• Microsoft แก้ปัญหา Windows 10 ESU ติดตั้งไม่สำเร็จ

    Microsoft ได้ออกแพตช์ใหม่ KB5071959 เพื่อแก้ปัญหาที่ทำให้ผู้ใช้ Windows 10 ไม่สามารถติดตั้ง Extended Security Updates (ESU) ได้อย่างถูกต้อง ปัญหานี้เกิดขึ้นหลังจาก Windows 10 หมดอายุการสนับสนุนหลัก และผู้ใช้ที่สมัคร ESU กลับถูกแจ้งว่าเครื่องหมดอายุแล้ว แม้จะเป็นรุ่น Enterprise ที่ยังอยู่ในระยะซัพพอร์ต

    การแก้ไขครั้งนี้ครอบคลุมทั้งการปรับปรุงระบบ Cloud Config และการแก้บั๊กที่ทำให้ผู้ใช้ในยุโรปไม่สามารถลงทะเบียน ESU ได้ รวมถึงการแก้ปัญหาที่ทำให้เกิดข้อความ “Something went wrong” เมื่อสมัครผ่าน Windows Backup

    ESU ถือเป็นการต่ออายุการสนับสนุน Windows 10 อีก 1–3 ปี เพื่อให้ผู้ใช้ที่ยังไม่สามารถอัปเกรดไป Windows 11 ได้รับการอัปเดตด้านความปลอดภัยต่อไป แต่ต้องมีการสมัครสมาชิกหรือใช้คะแนนรางวัล Microsoft เพื่อเข้าร่วม

    Microsoft ออกแพตช์ KB5071959 แก้ปัญหา ESU
    แก้บั๊กที่ทำให้เครื่องแจ้งหมดอายุผิดพลาด

    ESU ต่ออายุการสนับสนุน Windows 10 อีก 1–3 ปี
    เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ยังไม่สามารถอัปเกรดไป Windows 11

    ผู้ใช้สามารถสมัคร ESU ผ่าน Windows Backup หรือจ่ายเงิน
    ต้องมีบัญชี Microsoft เพื่อเข้าร่วม

    หากไม่เข้าร่วม ESU เครื่องจะเสี่ยงต่อการโจมตีไซเบอร์
    ไม่มีการอัปเดตความปลอดภัยเพิ่มเติม

    ปัญหาการสมัคร ESU ในบางภูมิภาคยังคงเกิดขึ้น
    ผู้ใช้ต้องตรวจสอบว่ามีสิทธิ์เข้าร่วมจริงหรือไม่

    https://www.tomshardware.com/software/windows/microsoft-patches-windows-10-issue-that-accidentally-blocked-extended-security-updates-from-installing-latest-update-should-finally-fix-all-the-issues-for-esu-eligible-devices
    🪟 Microsoft แก้ปัญหา Windows 10 ESU ติดตั้งไม่สำเร็จ Microsoft ได้ออกแพตช์ใหม่ KB5071959 เพื่อแก้ปัญหาที่ทำให้ผู้ใช้ Windows 10 ไม่สามารถติดตั้ง Extended Security Updates (ESU) ได้อย่างถูกต้อง ปัญหานี้เกิดขึ้นหลังจาก Windows 10 หมดอายุการสนับสนุนหลัก และผู้ใช้ที่สมัคร ESU กลับถูกแจ้งว่าเครื่องหมดอายุแล้ว แม้จะเป็นรุ่น Enterprise ที่ยังอยู่ในระยะซัพพอร์ต การแก้ไขครั้งนี้ครอบคลุมทั้งการปรับปรุงระบบ Cloud Config และการแก้บั๊กที่ทำให้ผู้ใช้ในยุโรปไม่สามารถลงทะเบียน ESU ได้ รวมถึงการแก้ปัญหาที่ทำให้เกิดข้อความ “Something went wrong” เมื่อสมัครผ่าน Windows Backup ESU ถือเป็นการต่ออายุการสนับสนุน Windows 10 อีก 1–3 ปี เพื่อให้ผู้ใช้ที่ยังไม่สามารถอัปเกรดไป Windows 11 ได้รับการอัปเดตด้านความปลอดภัยต่อไป แต่ต้องมีการสมัครสมาชิกหรือใช้คะแนนรางวัล Microsoft เพื่อเข้าร่วม ✅ Microsoft ออกแพตช์ KB5071959 แก้ปัญหา ESU ➡️ แก้บั๊กที่ทำให้เครื่องแจ้งหมดอายุผิดพลาด ✅ ESU ต่ออายุการสนับสนุน Windows 10 อีก 1–3 ปี ➡️ เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ยังไม่สามารถอัปเกรดไป Windows 11 ✅ ผู้ใช้สามารถสมัคร ESU ผ่าน Windows Backup หรือจ่ายเงิน ➡️ ต้องมีบัญชี Microsoft เพื่อเข้าร่วม ‼️ หากไม่เข้าร่วม ESU เครื่องจะเสี่ยงต่อการโจมตีไซเบอร์ ⛔ ไม่มีการอัปเดตความปลอดภัยเพิ่มเติม ‼️ ปัญหาการสมัคร ESU ในบางภูมิภาคยังคงเกิดขึ้น ⛔ ผู้ใช้ต้องตรวจสอบว่ามีสิทธิ์เข้าร่วมจริงหรือไม่ https://www.tomshardware.com/software/windows/microsoft-patches-windows-10-issue-that-accidentally-blocked-extended-security-updates-from-installing-latest-update-should-finally-fix-all-the-issues-for-esu-eligible-devices
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD Bulldozer และ Piledriver ได้รับเฟิร์มแวร์ใหม่ในปี 2025

    เรื่องนี้น่าสนใจมาก เพราะใครจะคิดว่า CPU รุ่นเก่าของ AMD อย่าง Bulldozer และ Piledriver ที่ออกมาตั้งแต่ปี 2011–2015 จะยังมีคนพัฒนาเฟิร์มแวร์ใหม่ให้ใช้งานได้ในปี 2025 โดยทีมอิสระชื่อ 15h.org ได้ทำให้เครื่องที่ใช้ CPU รุ่นนี้สามารถบูตได้เร็วขึ้นภายใน 15 วินาที แม้จะติดตั้ง RAM ขนาดมหาศาลถึง 256GB แถมยังรองรับการใช้งาน PCIe หลายตัว และแก้บั๊กต่าง ๆ ที่เคยมีในอดีต จุดเด่นคือ CPU รุ่นนี้ยังสามารถใช้ระบบที่เปิดซอร์สได้เต็มรูปแบบ ตั้งแต่ OS ไปจนถึง BIOS ซึ่งเป็นสิ่งที่ CPU รุ่นใหม่ไม่สามารถทำได้เพราะติดข้อจำกัดด้านความปลอดภัย UEFI

    การกลับมาของ Bulldozer และ Piledriver ทำให้เหล่า Linux Enthusiasts ตื่นเต้น เพราะมันเปิดโอกาสให้สร้างเครื่องที่ควบคุมได้ทุกส่วนโดยไม่ต้องพึ่งระบบปิดจากผู้ผลิต แม้ประสิทธิภาพต่อคอร์จะไม่สูง แต่การทำงานแบบหลายคอร์ยังคงมีประโยชน์ในงานเฉพาะทาง เช่น เซิร์ฟเวอร์หรือการประมวลผลแบบขนาน

    เฟิร์มแวร์ใหม่จาก 15h.org
    บูตเร็วขึ้น 15 วินาทีแม้ใช้ RAM 256GB
    รองรับ PCIe หลายตัวและแก้บั๊ก IOMMU

    จุดเด่นของ Bulldozer/Piledriver
    ใช้ระบบ open-source ได้เต็มรูปแบบ
    เหมาะกับผู้ใช้ Linux ที่ต้องการควบคุม BIOS

    ข้อจำกัดของ CPU รุ่นเก่า
    ประสิทธิภาพ single-core ต่ำมากเมื่อเทียบกับ CPU รุ่นใหม่
    ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วสูงต่อคอร์

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amds-ancient-bulldozer-and-piledriver-platforms-getting-open-source-firmwares-in-2025-latest-update-delivers-15-second-boot-up-times-with-256gb-memory-setups
    🖥️ AMD Bulldozer และ Piledriver ได้รับเฟิร์มแวร์ใหม่ในปี 2025 เรื่องนี้น่าสนใจมาก เพราะใครจะคิดว่า CPU รุ่นเก่าของ AMD อย่าง Bulldozer และ Piledriver ที่ออกมาตั้งแต่ปี 2011–2015 จะยังมีคนพัฒนาเฟิร์มแวร์ใหม่ให้ใช้งานได้ในปี 2025 โดยทีมอิสระชื่อ 15h.org ได้ทำให้เครื่องที่ใช้ CPU รุ่นนี้สามารถบูตได้เร็วขึ้นภายใน 15 วินาที แม้จะติดตั้ง RAM ขนาดมหาศาลถึง 256GB แถมยังรองรับการใช้งาน PCIe หลายตัว และแก้บั๊กต่าง ๆ ที่เคยมีในอดีต จุดเด่นคือ CPU รุ่นนี้ยังสามารถใช้ระบบที่เปิดซอร์สได้เต็มรูปแบบ ตั้งแต่ OS ไปจนถึง BIOS ซึ่งเป็นสิ่งที่ CPU รุ่นใหม่ไม่สามารถทำได้เพราะติดข้อจำกัดด้านความปลอดภัย UEFI การกลับมาของ Bulldozer และ Piledriver ทำให้เหล่า Linux Enthusiasts ตื่นเต้น เพราะมันเปิดโอกาสให้สร้างเครื่องที่ควบคุมได้ทุกส่วนโดยไม่ต้องพึ่งระบบปิดจากผู้ผลิต แม้ประสิทธิภาพต่อคอร์จะไม่สูง แต่การทำงานแบบหลายคอร์ยังคงมีประโยชน์ในงานเฉพาะทาง เช่น เซิร์ฟเวอร์หรือการประมวลผลแบบขนาน ✅ เฟิร์มแวร์ใหม่จาก 15h.org ➡️ บูตเร็วขึ้น 15 วินาทีแม้ใช้ RAM 256GB ➡️ รองรับ PCIe หลายตัวและแก้บั๊ก IOMMU ✅ จุดเด่นของ Bulldozer/Piledriver ➡️ ใช้ระบบ open-source ได้เต็มรูปแบบ ➡️ เหมาะกับผู้ใช้ Linux ที่ต้องการควบคุม BIOS ‼️ ข้อจำกัดของ CPU รุ่นเก่า ⛔ ประสิทธิภาพ single-core ต่ำมากเมื่อเทียบกับ CPU รุ่นใหม่ ⛔ ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วสูงต่อคอร์ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amds-ancient-bulldozer-and-piledriver-platforms-getting-open-source-firmwares-in-2025-latest-update-delivers-15-second-boot-up-times-with-256gb-memory-setups
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    AMD's ancient Bulldozer and Piledriver platforms getting new open source firmwares in 2025 — update delivers 15-second boot-up times with 256GB memory setups
    AMD's FX series and Opteron CPUs based on Bulldozer and Piledriver are still being supported through a third-party on a handful of motherboards.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1 มุมมอง 0 รีวิว
  • IBM เข้าร่วม OpenSearch Foundation เพื่อผลักดัน AI Search และ RAG

    IBM ประกาศเข้าร่วมเป็นสมาชิกระดับ Premier ของ OpenSearch Software Foundation ซึ่งอยู่ภายใต้ Linux Foundation จุดสำคัญคือการผลักดันเทคโนโลยี retrieval-augmented generation (RAG) ที่กำลังเป็นหัวใจของ AI ยุคใหม่ การเข้าร่วมครั้งนี้ไม่ใช่แค่การจ่ายค่าสมาชิก แต่ IBM ตั้งใจจะนำความเชี่ยวชาญด้าน vector search และ cloud-tested patterns มาเสริมความแข็งแกร่งให้กับ OpenSearch โดยเฉพาะด้าน security, observability และ developer experience

    ในงาน KubeCon + CloudNativeCon North America ปีนี้ IBM ได้ประกาศว่าจะเปิดตัวโครงการโอเพ่นซอร์สใหม่ที่ใช้ OpenSearch ในงาน OpenRAG Summit วันที่ 13 พฤศจิกายน 2025 การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขององค์กรที่ต้องการให้ AI มีรากฐานบนระบบเปิดและโปร่งใส ซึ่งจะช่วยให้การค้นหาและการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    นอกจากนี้ IBM ยังมีการใช้งานจริงผ่าน DataStax บริษัทลูกที่ได้ผสาน JVector เข้ากับ OpenSearch เพื่อรองรับการค้นหาข้อมูลระดับพันล้านเวกเตอร์ได้อย่างรวดเร็วและคุ้มค่า ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าการร่วมมือครั้งนี้ไม่ใช่แค่เชิงสัญลักษณ์ แต่มีผลต่อการใช้งานจริงในองค์กร

    IBM เข้าร่วม OpenSearch Foundation
    เสริมด้าน AI, RAG, vector search

    เปิดตัวโครงการใหม่ใน OpenRAG Summit
    เน้นระบบเปิดและโปร่งใส

    ความท้าทายคือการทำให้ระบบเปิดยังคงปลอดภัย
    หากไม่จัดการดี อาจเกิดช่องโหว่ด้านข้อมูล

    https://itsfoss.com/news/ibm-joins-opensearch-software-foundation/
    🏢 IBM เข้าร่วม OpenSearch Foundation เพื่อผลักดัน AI Search และ RAG IBM ประกาศเข้าร่วมเป็นสมาชิกระดับ Premier ของ OpenSearch Software Foundation ซึ่งอยู่ภายใต้ Linux Foundation จุดสำคัญคือการผลักดันเทคโนโลยี retrieval-augmented generation (RAG) ที่กำลังเป็นหัวใจของ AI ยุคใหม่ การเข้าร่วมครั้งนี้ไม่ใช่แค่การจ่ายค่าสมาชิก แต่ IBM ตั้งใจจะนำความเชี่ยวชาญด้าน vector search และ cloud-tested patterns มาเสริมความแข็งแกร่งให้กับ OpenSearch โดยเฉพาะด้าน security, observability และ developer experience ในงาน KubeCon + CloudNativeCon North America ปีนี้ IBM ได้ประกาศว่าจะเปิดตัวโครงการโอเพ่นซอร์สใหม่ที่ใช้ OpenSearch ในงาน OpenRAG Summit วันที่ 13 พฤศจิกายน 2025 การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขององค์กรที่ต้องการให้ AI มีรากฐานบนระบบเปิดและโปร่งใส ซึ่งจะช่วยให้การค้นหาและการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ IBM ยังมีการใช้งานจริงผ่าน DataStax บริษัทลูกที่ได้ผสาน JVector เข้ากับ OpenSearch เพื่อรองรับการค้นหาข้อมูลระดับพันล้านเวกเตอร์ได้อย่างรวดเร็วและคุ้มค่า ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าการร่วมมือครั้งนี้ไม่ใช่แค่เชิงสัญลักษณ์ แต่มีผลต่อการใช้งานจริงในองค์กร ✅ IBM เข้าร่วม OpenSearch Foundation ➡️ เสริมด้าน AI, RAG, vector search ✅ เปิดตัวโครงการใหม่ใน OpenRAG Summit ➡️ เน้นระบบเปิดและโปร่งใส ‼️ ความท้าทายคือการทำให้ระบบเปิดยังคงปลอดภัย ⛔ หากไม่จัดการดี อาจเกิดช่องโหว่ด้านข้อมูล https://itsfoss.com/news/ibm-joins-opensearch-software-foundation/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว
  • สรุปข่าวของ Techradar 🛜🛜

    วิกฤติชิป: AI ดูดทรัพยากรจนคนทั่วไปขาดแคลน
    การบูมของ AI ทำให้ชิปหน่วยความจำและ SSD ที่เคยใช้ในตลาดผู้บริโภคถูกดูดไปใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ ส่งผลให้ราคาพุ่งขึ้นสองเท่า ร้านค้าในญี่ปุ่นถึงขั้นจำกัดการซื้อเพื่อป้องกันการกักตุน ขณะที่ DDR4 กำลังหายไปจากตลาดเพราะผู้ผลิตหันไปทำ DDR5 ที่กำไรมากกว่า
    วิกฤติชิปและหน่วยความจำ
    AI ดาต้าเซ็นเตอร์ดูดทรัพยากรไปใช้
    DDR4 กำลังหายไปจากตลาด
    ความเสี่ยงจากการขาดแคลน
    ราคาพุ่งขึ้นสองเท่า
    ผู้บริโภคทั่วไปหาซื้อยาก

    P-QD เทคโนโลยีจอภาพใหม่: สีสดกว่า แต่จำเป็นจริงหรือ?
    Perovskite Quantum Dot (P-QD) กำลังถูกพัฒนาเพื่อให้จอภาพมีความแม่นยำสีสูงถึง 95% ของมาตรฐาน Rec.2020 แต่คำถามคือ ผู้ชมทั่วไปที่ดูหนัง HDR ยังใช้มาตรฐาน P3 อยู่ ซึ่งทีวีรุ่นใหม่ก็ทำได้ครบแล้ว เทคโนโลยีนี้อาจเหมาะกับจอมืออาชีพมากกว่าทีวีบ้าน
    เทคโนโลยี P-QD
    สีสดขึ้นถึง 95% Rec.2020
    เหมาะกับจอมืออาชีพมากกว่า
    ข้อควรระวัง
    ทีวีทั่วไปอาจไม่จำเป็นต้องใช้

    แฮกเกอร์เกาหลีเหนือใช้ Google Find Hub ลบข้อมูลเหยื่อ
    กลุ่ม KONNI ใช้ KakaoTalk ส่งไฟล์ติดมัลแวร์ เมื่อเหยื่อเปิดไฟล์ ข้อมูลบัญชี Google ถูกขโมย และถูกใช้เข้าถึง Find Hub เพื่อลบข้อมูลมือถือเหยื่อซ้ำถึงสามครั้ง พร้อมแพร่มัลแวร์ต่อไปยังเพื่อนในแชท
    การโจมตีไซเบอร์จากเกาหลีเหนือ
    ใช้ KakaoTalk ส่งไฟล์มัลแวร์
    เข้าถึง Google Find Hub ลบข้อมูล
    ความเสี่ยง
    ข้อมูลส่วนตัวถูกขโมย
    มัลแวร์แพร่ไปยังเพื่อนในแชท

    Microsoft 365 เจอคลื่นฟิชชิ่งใหม่ “Quantum Route Redirect”
    แพลตฟอร์มฟิชชิ่งอัตโนมัติที่ตรวจจับว่าใครเป็นบอทหรือคนจริง หากเป็นคนจริงจะถูกส่งไปหน้าเว็บปลอมเพื่อขโมยรหัสผ่าน ทำให้การโจมตีง่ายขึ้นและแพร่ไปกว่า 90 ประเทศ
    ฟิชชิ่ง Microsoft 365
    Quantum Route Redirect ตรวจจับบอท
    ส่งผู้ใช้จริงไปหน้าเว็บปลอม
    ความเสี่ยง
    แพร่ไปกว่า 90 ประเทศ
    ทำให้การโจมตีง่ายขึ้น

    Ookla เปิดตัว Speedtest Pulse: เครื่องมือวัดเน็ตแบบใหม่
    อุปกรณ์ใหม่ช่วยผู้ให้บริการตรวจสอบปัญหาเน็ตในบ้านได้แม่นยำขึ้น มีโหมด Active Pulse ตรวจสอบทันที และ Continuous Pulse ที่จะตามหาปัญหาเน็ตที่เกิดเป็นครั้งคราว
    Ookla Speedtest Pulse
    Active Pulse ตรวจสอบทันที
    Continuous Pulse ตรวจสอบปัญหาเน็ตซ้ำ
    ความเสี่ยง
    ยังไม่ประกาศราคาและวันวางจำหน่าย

    Wyze Scale Ultra BodyScan: เครื่องชั่งอัจฉริยะราคาย่อมเยา
    มีสายจับพร้อมอิเล็กโทรดเพื่อวัดร่างกายแยกส่วน แขน ขา ลำตัว ให้ข้อมูลสุขภาพละเอียดขึ้น เชื่อมต่อกับ Apple Health และ Google Fit ได้
    Wyze Scale Ultra BodyScan
    วัดร่างกายแยกส่วน
    เชื่อมต่อกับ Apple Health และ Google Fit
    ความเสี่ยง
    ราคาสูงกว่ารุ่นอื่นในตลาด

    ช่องโหว่ร้ายแรงในไลบรารี JavaScript ยอดนิยม
    expr-eval ไลบรารีที่มีดาวน์โหลดกว่า 800,000 ครั้งต่อสัปดาห์ พบช่องโหว่ Remote Code Execution หากไม่อัปเดตอาจถูกแฮกเข้าระบบได้
    ช่องโหว่ expr-eval
    พบ Remote Code Execution
    อัปเดตแก้ไขแล้วในเวอร์ชันใหม่
    ความเสี่ยง
    ผู้ใช้ที่ไม่อัปเดตเสี่ยงถูกเจาะระบบ

    Sony ยืดอายุ PS5 ถึงปี 2030
    Sony ประกาศว่า PS5 ยังอยู่กลางวงจรชีวิต และจะขยายต่อไปอีก ทำให้คาดว่า PS6 จะเปิดตัวราวปี 2027–2028 แต่ PS5 จะยังได้รับการสนับสนุนต่อเนื่อง
    Sony ยืดอายุ PS5
    สนับสนุนต่อถึงปี 2030
    PS6 คาดเปิดตัวปี 2027–2028

    ฟิชชิ่งโจมตีโรงแรม: PureRAT แฝงตัวใน Booking.com
    แฮกเกอร์ใช้บัญชี Booking.com ที่ถูกขโมย ส่งลิงก์ปลอมไปยังโรงแรมและลูกค้า ขโมยทั้งรหัสผ่านและข้อมูลบัตรเครดิต
    ฟิชชิ่งโจมตีโรงแรม
    ใช้ PureRAT ขโมยข้อมูล
    ส่งลิงก์ปลอม Booking.com
    ความเสี่ยง
    ขโมยข้อมูลบัตรเครดิตลูกค้า

    AI บริษัทใหญ่ทำข้อมูลรั่วบน GitHub
    วิจัยพบว่า 65% ของบริษัท AI ชั้นนำทำ API key และ token รั่วบน GitHub โดยมากเกิดจากนักพัฒนาเผลออัปโหลดข้อมูลลง repo ส่วนตัว
    AI บริษัทใหญ่รั่วข้อมูล
    65% ของบริษัท AI รั่ว API key
    เกิดจาก repo ส่วนตัวนักพัฒนา
    ความเสี่ยง
    อาจถูกใช้โจมตีระบบ AI

    หลังเหตุโจรกรรม Louvre: Proton แจก Password Manager ฟรี
    หลังพบว่ารหัสกล้องวงจรปิดของ Louvre คือ “louvre” บริษัท Proton จึงเสนอให้พิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ทั่วโลกใช้ Proton Pass ฟรี 2 ปี
    Proton ช่วยพิพิธภัณฑ์
    แจก Proton Pass ฟรี 2 ปี
    ป้องกันรหัสผ่านอ่อนแอ
    ความเสี่ยง
    เหตุ Louvre แสดงให้เห็นช่องโหว่ร้ายแรง

    Windows 11 เตรียมเพิ่ม Haptic Feedback ใน Trackpad
    Microsoft ซ่อนฟีเจอร์ “Haptic Signals” ในเวอร์ชันทดสอบ จะทำให้ผู้ใช้รู้สึกถึงแรงสั่นเมื่อ snap หน้าต่างหรือจัดวางวัตถุ คล้ายกับ Force Touch ของ MacBook
    Windows 11 เพิ่ม Haptic Feedback
    ฟีเจอร์ Haptic Signals
    คล้าย Force Touch ของ MacBook

    Firefox ลดการติดตามด้วย Anti-Fingerprinting
    Mozilla เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ลดการระบุตัวตนผู้ใช้จาก fingerprint ลงได้ถึง 70% โดยใช้เทคนิคสุ่ม noise และบังคับใช้ฟอนต์มาตรฐาน
    Firefox Anti-Fingerprinting
    ลดการติดตามลง 70%
    ใช้ noise และฟอนต์มาตรฐาน

    Facebook Business Page ปลอมระบาด
    แฮกเกอร์สร้างเพจปลอม ส่งอีเมลจากโดเมนจริง facebookmail.com หลอกผู้ใช้ให้กรอกข้อมูลเข้าสู่ระบบ ทำให้ธุรกิจเล็ก ๆ เสี่ยงถูกขโมยบัญชี
    Facebook Page ปลอม
    ส่งอีเมลจาก facebookmail.com
    หลอกผู้ใช้กรอกข้อมูล
    ความเสี่ยง
    ธุรกิจเล็ก ๆ เสี่ยงถูกขโมยบัญชี

    https://www.techradar.com/
    📌📌 สรุปข่าวของ Techradar 🛜🛜 🖥️ วิกฤติชิป: AI ดูดทรัพยากรจนคนทั่วไปขาดแคลน การบูมของ AI ทำให้ชิปหน่วยความจำและ SSD ที่เคยใช้ในตลาดผู้บริโภคถูกดูดไปใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ ส่งผลให้ราคาพุ่งขึ้นสองเท่า ร้านค้าในญี่ปุ่นถึงขั้นจำกัดการซื้อเพื่อป้องกันการกักตุน ขณะที่ DDR4 กำลังหายไปจากตลาดเพราะผู้ผลิตหันไปทำ DDR5 ที่กำไรมากกว่า ✅ วิกฤติชิปและหน่วยความจำ ➡️ AI ดาต้าเซ็นเตอร์ดูดทรัพยากรไปใช้ ➡️ DDR4 กำลังหายไปจากตลาด ‼️ ความเสี่ยงจากการขาดแคลน ⛔ ราคาพุ่งขึ้นสองเท่า ⛔ ผู้บริโภคทั่วไปหาซื้อยาก 📺 P-QD เทคโนโลยีจอภาพใหม่: สีสดกว่า แต่จำเป็นจริงหรือ? Perovskite Quantum Dot (P-QD) กำลังถูกพัฒนาเพื่อให้จอภาพมีความแม่นยำสีสูงถึง 95% ของมาตรฐาน Rec.2020 แต่คำถามคือ ผู้ชมทั่วไปที่ดูหนัง HDR ยังใช้มาตรฐาน P3 อยู่ ซึ่งทีวีรุ่นใหม่ก็ทำได้ครบแล้ว เทคโนโลยีนี้อาจเหมาะกับจอมืออาชีพมากกว่าทีวีบ้าน ✅ เทคโนโลยี P-QD ➡️ สีสดขึ้นถึง 95% Rec.2020 ➡️ เหมาะกับจอมืออาชีพมากกว่า ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ทีวีทั่วไปอาจไม่จำเป็นต้องใช้ 🔒 แฮกเกอร์เกาหลีเหนือใช้ Google Find Hub ลบข้อมูลเหยื่อ กลุ่ม KONNI ใช้ KakaoTalk ส่งไฟล์ติดมัลแวร์ เมื่อเหยื่อเปิดไฟล์ ข้อมูลบัญชี Google ถูกขโมย และถูกใช้เข้าถึง Find Hub เพื่อลบข้อมูลมือถือเหยื่อซ้ำถึงสามครั้ง พร้อมแพร่มัลแวร์ต่อไปยังเพื่อนในแชท ✅ การโจมตีไซเบอร์จากเกาหลีเหนือ ➡️ ใช้ KakaoTalk ส่งไฟล์มัลแวร์ ➡️ เข้าถึง Google Find Hub ลบข้อมูล ‼️ ความเสี่ยง ⛔ ข้อมูลส่วนตัวถูกขโมย ⛔ มัลแวร์แพร่ไปยังเพื่อนในแชท 📧 Microsoft 365 เจอคลื่นฟิชชิ่งใหม่ “Quantum Route Redirect” แพลตฟอร์มฟิชชิ่งอัตโนมัติที่ตรวจจับว่าใครเป็นบอทหรือคนจริง หากเป็นคนจริงจะถูกส่งไปหน้าเว็บปลอมเพื่อขโมยรหัสผ่าน ทำให้การโจมตีง่ายขึ้นและแพร่ไปกว่า 90 ประเทศ ✅ ฟิชชิ่ง Microsoft 365 ➡️ Quantum Route Redirect ตรวจจับบอท ➡️ ส่งผู้ใช้จริงไปหน้าเว็บปลอม ‼️ ความเสี่ยง ⛔ แพร่ไปกว่า 90 ประเทศ ⛔ ทำให้การโจมตีง่ายขึ้น 🌐 Ookla เปิดตัว Speedtest Pulse: เครื่องมือวัดเน็ตแบบใหม่ อุปกรณ์ใหม่ช่วยผู้ให้บริการตรวจสอบปัญหาเน็ตในบ้านได้แม่นยำขึ้น มีโหมด Active Pulse ตรวจสอบทันที และ Continuous Pulse ที่จะตามหาปัญหาเน็ตที่เกิดเป็นครั้งคราว ✅ Ookla Speedtest Pulse ➡️ Active Pulse ตรวจสอบทันที ➡️ Continuous Pulse ตรวจสอบปัญหาเน็ตซ้ำ ‼️ ความเสี่ยง ⛔ ยังไม่ประกาศราคาและวันวางจำหน่าย ⚖️ Wyze Scale Ultra BodyScan: เครื่องชั่งอัจฉริยะราคาย่อมเยา มีสายจับพร้อมอิเล็กโทรดเพื่อวัดร่างกายแยกส่วน แขน ขา ลำตัว ให้ข้อมูลสุขภาพละเอียดขึ้น เชื่อมต่อกับ Apple Health และ Google Fit ได้ ✅ Wyze Scale Ultra BodyScan ➡️ วัดร่างกายแยกส่วน ➡️ เชื่อมต่อกับ Apple Health และ Google Fit ‼️ ความเสี่ยง ⛔ ราคาสูงกว่ารุ่นอื่นในตลาด 🛡️ ช่องโหว่ร้ายแรงในไลบรารี JavaScript ยอดนิยม expr-eval ไลบรารีที่มีดาวน์โหลดกว่า 800,000 ครั้งต่อสัปดาห์ พบช่องโหว่ Remote Code Execution หากไม่อัปเดตอาจถูกแฮกเข้าระบบได้ ✅ ช่องโหว่ expr-eval ➡️ พบ Remote Code Execution ➡️ อัปเดตแก้ไขแล้วในเวอร์ชันใหม่ ‼️ ความเสี่ยง ⛔ ผู้ใช้ที่ไม่อัปเดตเสี่ยงถูกเจาะระบบ 🎮 Sony ยืดอายุ PS5 ถึงปี 2030 Sony ประกาศว่า PS5 ยังอยู่กลางวงจรชีวิต และจะขยายต่อไปอีก ทำให้คาดว่า PS6 จะเปิดตัวราวปี 2027–2028 แต่ PS5 จะยังได้รับการสนับสนุนต่อเนื่อง ✅ Sony ยืดอายุ PS5 ➡️ สนับสนุนต่อถึงปี 2030 ➡️ PS6 คาดเปิดตัวปี 2027–2028 🏨 ฟิชชิ่งโจมตีโรงแรม: PureRAT แฝงตัวใน Booking.com แฮกเกอร์ใช้บัญชี Booking.com ที่ถูกขโมย ส่งลิงก์ปลอมไปยังโรงแรมและลูกค้า ขโมยทั้งรหัสผ่านและข้อมูลบัตรเครดิต ✅ ฟิชชิ่งโจมตีโรงแรม ➡️ ใช้ PureRAT ขโมยข้อมูล ➡️ ส่งลิงก์ปลอม Booking.com ‼️ ความเสี่ยง ⛔ ขโมยข้อมูลบัตรเครดิตลูกค้า 🤖 AI บริษัทใหญ่ทำข้อมูลรั่วบน GitHub วิจัยพบว่า 65% ของบริษัท AI ชั้นนำทำ API key และ token รั่วบน GitHub โดยมากเกิดจากนักพัฒนาเผลออัปโหลดข้อมูลลง repo ส่วนตัว ✅ AI บริษัทใหญ่รั่วข้อมูล ➡️ 65% ของบริษัท AI รั่ว API key ➡️ เกิดจาก repo ส่วนตัวนักพัฒนา ‼️ ความเสี่ยง ⛔ อาจถูกใช้โจมตีระบบ AI 🏛️ หลังเหตุโจรกรรม Louvre: Proton แจก Password Manager ฟรี หลังพบว่ารหัสกล้องวงจรปิดของ Louvre คือ “louvre” บริษัท Proton จึงเสนอให้พิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ทั่วโลกใช้ Proton Pass ฟรี 2 ปี ✅ Proton ช่วยพิพิธภัณฑ์ ➡️ แจก Proton Pass ฟรี 2 ปี ➡️ ป้องกันรหัสผ่านอ่อนแอ ‼️ ความเสี่ยง ⛔ เหตุ Louvre แสดงให้เห็นช่องโหว่ร้ายแรง 💻 Windows 11 เตรียมเพิ่ม Haptic Feedback ใน Trackpad Microsoft ซ่อนฟีเจอร์ “Haptic Signals” ในเวอร์ชันทดสอบ จะทำให้ผู้ใช้รู้สึกถึงแรงสั่นเมื่อ snap หน้าต่างหรือจัดวางวัตถุ คล้ายกับ Force Touch ของ MacBook ✅ Windows 11 เพิ่ม Haptic Feedback ➡️ ฟีเจอร์ Haptic Signals ➡️ คล้าย Force Touch ของ MacBook 🦊 Firefox ลดการติดตามด้วย Anti-Fingerprinting Mozilla เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ลดการระบุตัวตนผู้ใช้จาก fingerprint ลงได้ถึง 70% โดยใช้เทคนิคสุ่ม noise และบังคับใช้ฟอนต์มาตรฐาน ✅ Firefox Anti-Fingerprinting ➡️ ลดการติดตามลง 70% ➡️ ใช้ noise และฟอนต์มาตรฐาน 📩 Facebook Business Page ปลอมระบาด แฮกเกอร์สร้างเพจปลอม ส่งอีเมลจากโดเมนจริง facebookmail.com หลอกผู้ใช้ให้กรอกข้อมูลเข้าสู่ระบบ ทำให้ธุรกิจเล็ก ๆ เสี่ยงถูกขโมยบัญชี ✅ Facebook Page ปลอม ➡️ ส่งอีเมลจาก facebookmail.com ➡️ หลอกผู้ใช้กรอกข้อมูล ‼️ ความเสี่ยง ⛔ ธุรกิจเล็ก ๆ เสี่ยงถูกขโมยบัญชี https://www.techradar.com/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 79 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวใหญ่: Broadcom + CAMB.AI สร้างชิป AI สำหรับการแปลและดับบเสียงบนอุปกรณ์

    Broadcom จับมือสตาร์ทอัพ CAMB.AI พัฒนาชิป AI รุ่นใหม่ที่สามารถทำงาน แปลภาษา, ดับบเสียง และบรรยายภาพแบบเรียลไทม์บนอุปกรณ์โดยตรง โดยไม่ต้องเชื่อมต่อคลาวด์ ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัว ลดความหน่วง และรองรับกว่า 150 ภาษาในอนาคต

    Broadcom ประกาศความร่วมมือกับ CAMB.AI เพื่อพัฒนาชิป AI ที่สามารถทำงานด้านเสียงและภาษาได้แบบ on-device จุดเด่นคือ:
    แปลภาษาและดับบเสียงทันที โดยไม่ต้องพึ่งพาอินเทอร์เน็ต
    บรรยายภาพ (audio description) เช่น อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นบนหน้าจอให้ผู้พิการทางสายตาเข้าใจ
    ความเป็นส่วนตัวสูงขึ้น เพราะข้อมูลไม่ต้องส่งไปยังคลาวด์
    ลดความหน่วง (latency) ทำให้การใช้งานเป็นธรรมชาติและทันที

    ในเดโมที่นำเสนอ มีการใช้คลิปจากภาพยนตร์ Ratatouille ที่ระบบสามารถแปลบทสนทนาและบรรยายภาพ เช่น “หนูกำลังวิ่งในครัว” ได้ทันทีในหลายภาษา

    แม้เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในขั้นทดสอบ แต่ CAMB.AI มีผลงานจริงแล้ว เช่น การนำไปใช้ใน NASCAR, Comcast และ Eurovision Song Contest ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพเชิงพาณิชย์

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    แนวโน้ม AI on-device กำลังมาแรง เพราะช่วยลดการพึ่งพาเครือข่ายและเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล
    Apple และ Google ก็พัฒนา AI บนชิปมือถือเพื่อรองรับงานด้านภาษาและภาพเช่นกัน
    หาก Broadcom และ CAMB.AI ทำสำเร็จ อาจเปิดตลาดใหม่สำหรับ ทีวี, สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์สื่อสาร ที่สามารถแปลและบรรยายได้ทันที
    เทคโนโลยีนี้ยังมีความสำคัญต่อ การเข้าถึง (Accessibility) โดยเฉพาะผู้พิการทางสายตาและผู้ใช้ที่ต้องการสื่อสารข้ามภาษา

    Broadcom จับมือ CAMB.AI พัฒนาชิป AI ใหม่
    ทำงานด้านแปลภาษา, ดับบเสียง และบรรยายภาพแบบเรียลไทม์บนอุปกรณ์

    เดโมจาก Ratatouille แสดงศักยภาพ
    แปลบทสนทนาและบรรยายภาพทันทีในหลายภาษา

    การใช้งานจริงแล้วในหลายองค์กร
    NASCAR, Comcast และ Eurovision Song Contest

    รองรับกว่า 150 ภาษาในอนาคต
    เพิ่มความเป็นส่วนตัวและลดความหน่วงเพราะไม่ต้องพึ่งพาคลาวด์

    คำเตือนและข้อจำกัด
    เทคโนโลยียังอยู่ในขั้นทดสอบ ประสิทธิภาพจริงอาจไม่ตรงกับเดโม
    หากไม่พัฒนาให้เสถียร อาจกระทบต่อการใช้งานในเชิงพาณิชย์

    https://securityonline.info/broadcom-camb-ai-developing-ai-chip-for-real-time-on-device-dubbing/
    🎙️ ข่าวใหญ่: Broadcom + CAMB.AI สร้างชิป AI สำหรับการแปลและดับบเสียงบนอุปกรณ์ Broadcom จับมือสตาร์ทอัพ CAMB.AI พัฒนาชิป AI รุ่นใหม่ที่สามารถทำงาน แปลภาษา, ดับบเสียง และบรรยายภาพแบบเรียลไทม์บนอุปกรณ์โดยตรง โดยไม่ต้องเชื่อมต่อคลาวด์ ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัว ลดความหน่วง และรองรับกว่า 150 ภาษาในอนาคต Broadcom ประกาศความร่วมมือกับ CAMB.AI เพื่อพัฒนาชิป AI ที่สามารถทำงานด้านเสียงและภาษาได้แบบ on-device จุดเด่นคือ: 🔰 แปลภาษาและดับบเสียงทันที โดยไม่ต้องพึ่งพาอินเทอร์เน็ต 🔰 บรรยายภาพ (audio description) เช่น อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นบนหน้าจอให้ผู้พิการทางสายตาเข้าใจ 🔰 ความเป็นส่วนตัวสูงขึ้น เพราะข้อมูลไม่ต้องส่งไปยังคลาวด์ 🔰 ลดความหน่วง (latency) ทำให้การใช้งานเป็นธรรมชาติและทันที ในเดโมที่นำเสนอ มีการใช้คลิปจากภาพยนตร์ Ratatouille ที่ระบบสามารถแปลบทสนทนาและบรรยายภาพ เช่น “หนูกำลังวิ่งในครัว” ได้ทันทีในหลายภาษา แม้เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในขั้นทดสอบ แต่ CAMB.AI มีผลงานจริงแล้ว เช่น การนำไปใช้ใน NASCAR, Comcast และ Eurovision Song Contest ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพเชิงพาณิชย์ 🔍 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 💠 แนวโน้ม AI on-device กำลังมาแรง เพราะช่วยลดการพึ่งพาเครือข่ายและเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล 💠 Apple และ Google ก็พัฒนา AI บนชิปมือถือเพื่อรองรับงานด้านภาษาและภาพเช่นกัน 💠 หาก Broadcom และ CAMB.AI ทำสำเร็จ อาจเปิดตลาดใหม่สำหรับ ทีวี, สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์สื่อสาร ที่สามารถแปลและบรรยายได้ทันที 💠 เทคโนโลยีนี้ยังมีความสำคัญต่อ การเข้าถึง (Accessibility) โดยเฉพาะผู้พิการทางสายตาและผู้ใช้ที่ต้องการสื่อสารข้ามภาษา ✅ Broadcom จับมือ CAMB.AI พัฒนาชิป AI ใหม่ ➡️ ทำงานด้านแปลภาษา, ดับบเสียง และบรรยายภาพแบบเรียลไทม์บนอุปกรณ์ ✅ เดโมจาก Ratatouille แสดงศักยภาพ ➡️ แปลบทสนทนาและบรรยายภาพทันทีในหลายภาษา ✅ การใช้งานจริงแล้วในหลายองค์กร ➡️ NASCAR, Comcast และ Eurovision Song Contest ✅ รองรับกว่า 150 ภาษาในอนาคต ➡️ เพิ่มความเป็นส่วนตัวและลดความหน่วงเพราะไม่ต้องพึ่งพาคลาวด์ ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ เทคโนโลยียังอยู่ในขั้นทดสอบ ประสิทธิภาพจริงอาจไม่ตรงกับเดโม ⛔ หากไม่พัฒนาให้เสถียร อาจกระทบต่อการใช้งานในเชิงพาณิชย์ https://securityonline.info/broadcom-camb-ai-developing-ai-chip-for-real-time-on-device-dubbing/
    SECURITYONLINE.INFO
    Broadcom & CAMB.AI Developing AI Chip for Real-Time On-Device Dubbing
    Broadcom partnered with CAMB.AI to develop an AI chip for real-time, on-device audio translation and dubbing in 150+ languages, promising ultra-low latency.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ฮอตด็อกไฟฟ้า" กลายเป็นเครื่องทดสอบ LED สุดพิสดาร

    ลองจินตนาการว่าคุณกำลังจะทดสอบหลอด LED แต่แทนที่จะใช้บอร์ดวงจรหรืออุปกรณ์มาตรฐาน คุณกลับหยิบ ฮอตด็อก มาทำหน้าที่เป็นตัวกลางไฟฟ้า! นี่คือสิ่งที่ Ian Dunn นักทำโปรเจกต์ DIY ส่งเข้าประกวดในงาน Hackaday Component Abuse Challenge 2025 ที่เน้นความ "เพี้ยน" และความคิดสร้างสรรค์เหนือเหตุผล

    เขาใช้เพียง สายไฟ, สองส้อม, และฮอตด็อกหนึ่งชิ้น เชื่อมต่อกับไฟบ้าน 120 โวลต์ AC แล้วเสียบ LED ลงไปในเนื้อไส้กรอก ผลลัพธ์คือ LED ติดสว่าง และในเวลาเดียวกันฮอตด็อกก็สุกพร้อมกินภายใน 2 นาที!

    แม้จะฟังดูตลกและสร้างสรรค์ แต่ก็มีข้อควรระวังมากมาย เพราะนี่ไม่ใช่วิธีที่ปลอดภัยสำหรับการทดสอบ LED หรือการทำอาหารแต่อย่างใด

    นอกเหนือจากข่าวนี้ ยังมีการทดลองคล้าย ๆ กันในอดีต เช่น TechTuber Big Clive เคยทดสอบเครื่องทำฮอตด็อกไฟฟ้า 120V บนระบบไฟ 240V เพื่อดูผลลัพธ์การสุกที่รวดเร็วขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า "การเล่นกับไฟฟ้าและอาหาร" เป็นสิ่งที่นักทดลองสาย DIY มักหยิบมาเล่นเพื่อความบันเทิง แต่ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำจริงในชีวิตประจำวัน

    https://www.tomshardware.com/maker-stem/frankly-dangerous-hot-dog-based-led-tester-could-be-a-weiner-in-the-2025-hackaday-component-abuse-challenge
    🌭⚡ "ฮอตด็อกไฟฟ้า" กลายเป็นเครื่องทดสอบ LED สุดพิสดาร ลองจินตนาการว่าคุณกำลังจะทดสอบหลอด LED แต่แทนที่จะใช้บอร์ดวงจรหรืออุปกรณ์มาตรฐาน คุณกลับหยิบ ฮอตด็อก มาทำหน้าที่เป็นตัวกลางไฟฟ้า! นี่คือสิ่งที่ Ian Dunn นักทำโปรเจกต์ DIY ส่งเข้าประกวดในงาน Hackaday Component Abuse Challenge 2025 ที่เน้นความ "เพี้ยน" และความคิดสร้างสรรค์เหนือเหตุผล เขาใช้เพียง สายไฟ, สองส้อม, และฮอตด็อกหนึ่งชิ้น เชื่อมต่อกับไฟบ้าน 120 โวลต์ AC แล้วเสียบ LED ลงไปในเนื้อไส้กรอก ผลลัพธ์คือ LED ติดสว่าง และในเวลาเดียวกันฮอตด็อกก็สุกพร้อมกินภายใน 2 นาที! แม้จะฟังดูตลกและสร้างสรรค์ แต่ก็มีข้อควรระวังมากมาย เพราะนี่ไม่ใช่วิธีที่ปลอดภัยสำหรับการทดสอบ LED หรือการทำอาหารแต่อย่างใด นอกเหนือจากข่าวนี้ ยังมีการทดลองคล้าย ๆ กันในอดีต เช่น TechTuber Big Clive เคยทดสอบเครื่องทำฮอตด็อกไฟฟ้า 120V บนระบบไฟ 240V เพื่อดูผลลัพธ์การสุกที่รวดเร็วขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า "การเล่นกับไฟฟ้าและอาหาร" เป็นสิ่งที่นักทดลองสาย DIY มักหยิบมาเล่นเพื่อความบันเทิง แต่ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำจริงในชีวิตประจำวัน https://www.tomshardware.com/maker-stem/frankly-dangerous-hot-dog-based-led-tester-could-be-a-weiner-in-the-2025-hackaday-component-abuse-challenge
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI เขียนโค้ดมัลแวร์! ส่วนขยาย VS Code ปลอมแฝงแรนซัมแวร์ โผล่บน Marketplace ของ Microsoft”

    นักวิจัยด้านความปลอดภัย John Tuckner จาก Secure Annex พบส่วนขยายชื่อว่า “susvsex” บน VS Code Marketplace ของ Microsoft ซึ่งทำหน้าที่เป็น แรนซัมแวร์ โดยตรง! ที่น่าตกใจคือมันระบุชัดเจนในคำอธิบายว่า “จะ zip, upload และเข้ารหัสไฟล์จาก C:\Users\Public\testing” และยังใช้ GitHub เป็นช่องทางควบคุมคำสั่ง (command-and-control)

    ที่สำคัญคือโค้ดของส่วนขยายนี้มีลักษณะ “vibe-coded” หรือเขียนโดยใช้ AI ผ่าน prompt ภาษาอังกฤษ ไม่ใช่โค้ดที่เขียนด้วยมือแบบปกติ และยังฝัง เครื่องมือถอดรหัสและคีย์ ไว้ในแพ็กเกจด้วย!

    จุดอ่อนของระบบ Marketplace
    Microsoft ไม่ได้ลบส่วนขยายทันทีหลังได้รับรายงาน
    ใช้เวลาเกือบ 8 ชั่วโมงหลังจากโพสต์บล็อกก่อนจะลบออก
    นักวิจัยตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นการ “ทดสอบระบบรีวิว” ก่อนการโจมตีจริงที่ซับซ้อนกว่า

    รายละเอียดของส่วนขยาย susvsex
    ระบุชัดเจนว่า zip, upload และเข้ารหัสไฟล์
    ใช้ GitHub เป็นช่องทางควบคุมคำสั่ง
    เขียนด้วย AI ผ่าน prompt ไม่ใช่โค้ดมือ
    ฝังเครื่องมือถอดรหัสและคีย์ไว้ในแพ็กเกจ

    การตอบสนองของ Microsoft
    ไม่ลบส่วนขยายทันทีหลังได้รับรายงาน
    ใช้เวลา 8 ชั่วโมงหลังโพสต์บล็อกจึงลบออก
    URL ของส่วนขยายตอนนี้กลายเป็น “404 – Page not found”

    ข้อสังเกตจากนักวิจัย
    อาจเป็นการทดสอบระบบรีวิวของ Microsoft
    เมตาดาต้าชี้ไปยังผู้ใช้ GitHub ในเมือง Baku ประเทศอาเซอร์ไบจาน
    โค้ดมีคอมเมนต์ที่บ่งชี้ว่าไม่ได้เขียนโดยมนุษย์

    คำเตือนสำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้ VS Code
    อย่าติดตั้งส่วนขยายจากผู้พัฒนาไม่รู้จักโดยไม่ตรวจสอบโค้ด
    ส่วนขยายที่มีคำอธิบายแปลกหรือชัดเจนเกินไปอาจเป็นกับดัก
    ควรใช้ VS Code ใน sandbox หรือ VM หากต้องทดลองส่วนขยายใหม่
    Microsoft ควรปรับปรุงระบบรีวิวให้ตรวจจับภัยคุกคามได้เร็วขึ้น

    https://www.techradar.com/pro/security/malicious-ai-made-extension-with-ransomware-capabilities-sneaks-on-to-microsofts-official-vs-code-marketplace
    🧨🧠 “AI เขียนโค้ดมัลแวร์! ส่วนขยาย VS Code ปลอมแฝงแรนซัมแวร์ โผล่บน Marketplace ของ Microsoft” นักวิจัยด้านความปลอดภัย John Tuckner จาก Secure Annex พบส่วนขยายชื่อว่า “susvsex” บน VS Code Marketplace ของ Microsoft ซึ่งทำหน้าที่เป็น แรนซัมแวร์ โดยตรง! ที่น่าตกใจคือมันระบุชัดเจนในคำอธิบายว่า “จะ zip, upload และเข้ารหัสไฟล์จาก C:\Users\Public\testing” และยังใช้ GitHub เป็นช่องทางควบคุมคำสั่ง (command-and-control) ที่สำคัญคือโค้ดของส่วนขยายนี้มีลักษณะ “vibe-coded” หรือเขียนโดยใช้ AI ผ่าน prompt ภาษาอังกฤษ ไม่ใช่โค้ดที่เขียนด้วยมือแบบปกติ และยังฝัง เครื่องมือถอดรหัสและคีย์ ไว้ในแพ็กเกจด้วย! 🧠 จุดอ่อนของระบบ Marketplace 🔖 Microsoft ไม่ได้ลบส่วนขยายทันทีหลังได้รับรายงาน 🔖 ใช้เวลาเกือบ 8 ชั่วโมงหลังจากโพสต์บล็อกก่อนจะลบออก 🔖 นักวิจัยตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นการ “ทดสอบระบบรีวิว” ก่อนการโจมตีจริงที่ซับซ้อนกว่า ✅ รายละเอียดของส่วนขยาย susvsex ➡️ ระบุชัดเจนว่า zip, upload และเข้ารหัสไฟล์ ➡️ ใช้ GitHub เป็นช่องทางควบคุมคำสั่ง ➡️ เขียนด้วย AI ผ่าน prompt ไม่ใช่โค้ดมือ ➡️ ฝังเครื่องมือถอดรหัสและคีย์ไว้ในแพ็กเกจ ✅ การตอบสนองของ Microsoft ➡️ ไม่ลบส่วนขยายทันทีหลังได้รับรายงาน ➡️ ใช้เวลา 8 ชั่วโมงหลังโพสต์บล็อกจึงลบออก ➡️ URL ของส่วนขยายตอนนี้กลายเป็น “404 – Page not found” ✅ ข้อสังเกตจากนักวิจัย ➡️ อาจเป็นการทดสอบระบบรีวิวของ Microsoft ➡️ เมตาดาต้าชี้ไปยังผู้ใช้ GitHub ในเมือง Baku ประเทศอาเซอร์ไบจาน ➡️ โค้ดมีคอมเมนต์ที่บ่งชี้ว่าไม่ได้เขียนโดยมนุษย์ ‼️ คำเตือนสำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้ VS Code ⛔ อย่าติดตั้งส่วนขยายจากผู้พัฒนาไม่รู้จักโดยไม่ตรวจสอบโค้ด ⛔ ส่วนขยายที่มีคำอธิบายแปลกหรือชัดเจนเกินไปอาจเป็นกับดัก ⛔ ควรใช้ VS Code ใน sandbox หรือ VM หากต้องทดลองส่วนขยายใหม่ ⛔ Microsoft ควรปรับปรุงระบบรีวิวให้ตรวจจับภัยคุกคามได้เร็วขึ้น https://www.techradar.com/pro/security/malicious-ai-made-extension-with-ransomware-capabilities-sneaks-on-to-microsofts-official-vs-code-marketplace
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ProtonVPN อัปเดตใหม่บน Android TV – บล็อกโฆษณาและตัวติดตามได้อัตโนมัติ!”

    ProtonVPN ได้ปล่อยอัปเดตล่าสุดสำหรับแอปบน Android TV โดยเพิ่มฟีเจอร์ NetShield Ad-Blocker ซึ่งเป็นระบบบล็อกโฆษณาและตัวติดตามที่ทำงานผ่าน DNS โดยตรง ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถรับชมคอนเทนต์ได้อย่างปลอดภัยและไร้สิ่งรบกวนมากขึ้น โดยฟีเจอร์นี้เปิดใช้งานโดยอัตโนมัติสำหรับผู้ใช้แบบเสียเงิน และสามารถปิดได้ในเมนูตั้งค่า

    NetShield ทำงานอย่างไร?
    ใช้ DNS server ของ ProtonVPN ที่ตรวจสอบโดเมนกับฐานข้อมูลมัลแวร์และตัวติดตาม
    บล็อกการเชื่อมต่อกับโดเมนที่มีโฆษณา, สปายแวร์, หรือมัลแวร์
    แสดงแดชบอร์ดให้ผู้ใช้เห็นจำนวนโฆษณาและตัวติดตามที่ถูกบล็อก พร้อมข้อมูลปริมาณดาต้าที่ประหยัดได้

    ฟีเจอร์เสริมที่เพิ่มเข้ามา
    ตั้งค่าให้แอป ProtonVPN เปิดอัตโนมัติเมื่อเปิด Android TV
    ลดขั้นตอนการตั้งค่าด้วยระบบเชื่อมต่ออัตโนมัติ
    รองรับการเข้าถึงคอนเทนต์จากกว่า 130 ประเทศผ่านการเชื่อมต่อ VPN

    ProtonVPN อัปเดตใหม่บน Android TV
    เพิ่มฟีเจอร์ NetShield Ad-Blocker แบบเปิดอัตโนมัติ
    ใช้ DNS server ตรวจสอบและบล็อกโดเมนไม่ปลอดภัย
    แสดงแดชบอร์ดสถิติการบล็อกและดาต้าที่ประหยัดได้

    ความสะดวกในการใช้งาน
    ตั้งค่าให้แอปเปิดอัตโนมัติเมื่อเปิด Android TV
    ลดขั้นตอนการเชื่อมต่อ VPN
    รองรับการเข้าถึงคอนเทนต์จากกว่า 130 ประเทศ

    ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว
    ป้องกันการเชื่อมต่อกับโดเมนมัลแวร์และตัวติดตาม
    เพิ่มความเป็นส่วนตัวในการรับชมคอนเทนต์
    เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความปลอดภัยขณะสตรีม

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Android TV
    ฟีเจอร์ NetShield ใช้ได้เฉพาะผู้ใช้ ProtonVPN แบบเสียเงิน
    หากปิดฟีเจอร์นี้ อาจกลับมาพบโฆษณาและตัวติดตามอีก
    การใช้ VPN อาจลดความเร็วอินเทอร์เน็ตในบางกรณี

    https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/protonvpn-crushes-ads-and-trackers-on-android-tv-app-with-latest-update
    📺🛡️ “ProtonVPN อัปเดตใหม่บน Android TV – บล็อกโฆษณาและตัวติดตามได้อัตโนมัติ!” ProtonVPN ได้ปล่อยอัปเดตล่าสุดสำหรับแอปบน Android TV โดยเพิ่มฟีเจอร์ NetShield Ad-Blocker ซึ่งเป็นระบบบล็อกโฆษณาและตัวติดตามที่ทำงานผ่าน DNS โดยตรง ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถรับชมคอนเทนต์ได้อย่างปลอดภัยและไร้สิ่งรบกวนมากขึ้น โดยฟีเจอร์นี้เปิดใช้งานโดยอัตโนมัติสำหรับผู้ใช้แบบเสียเงิน และสามารถปิดได้ในเมนูตั้งค่า 🧠 NetShield ทำงานอย่างไร? 🎗️ ใช้ DNS server ของ ProtonVPN ที่ตรวจสอบโดเมนกับฐานข้อมูลมัลแวร์และตัวติดตาม 🎗️ บล็อกการเชื่อมต่อกับโดเมนที่มีโฆษณา, สปายแวร์, หรือมัลแวร์ 🎗️ แสดงแดชบอร์ดให้ผู้ใช้เห็นจำนวนโฆษณาและตัวติดตามที่ถูกบล็อก พร้อมข้อมูลปริมาณดาต้าที่ประหยัดได้ ⚙️ ฟีเจอร์เสริมที่เพิ่มเข้ามา 🎗️ ตั้งค่าให้แอป ProtonVPN เปิดอัตโนมัติเมื่อเปิด Android TV 🎗️ ลดขั้นตอนการตั้งค่าด้วยระบบเชื่อมต่ออัตโนมัติ 🎗️ รองรับการเข้าถึงคอนเทนต์จากกว่า 130 ประเทศผ่านการเชื่อมต่อ VPN ✅ ProtonVPN อัปเดตใหม่บน Android TV ➡️ เพิ่มฟีเจอร์ NetShield Ad-Blocker แบบเปิดอัตโนมัติ ➡️ ใช้ DNS server ตรวจสอบและบล็อกโดเมนไม่ปลอดภัย ➡️ แสดงแดชบอร์ดสถิติการบล็อกและดาต้าที่ประหยัดได้ ✅ ความสะดวกในการใช้งาน ➡️ ตั้งค่าให้แอปเปิดอัตโนมัติเมื่อเปิด Android TV ➡️ ลดขั้นตอนการเชื่อมต่อ VPN ➡️ รองรับการเข้าถึงคอนเทนต์จากกว่า 130 ประเทศ ✅ ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ➡️ ป้องกันการเชื่อมต่อกับโดเมนมัลแวร์และตัวติดตาม ➡️ เพิ่มความเป็นส่วนตัวในการรับชมคอนเทนต์ ➡️ เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความปลอดภัยขณะสตรีม ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Android TV ⛔ ฟีเจอร์ NetShield ใช้ได้เฉพาะผู้ใช้ ProtonVPN แบบเสียเงิน ⛔ หากปิดฟีเจอร์นี้ อาจกลับมาพบโฆษณาและตัวติดตามอีก ⛔ การใช้ VPN อาจลดความเร็วอินเทอร์เน็ตในบางกรณี https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/protonvpn-crushes-ads-and-trackers-on-android-tv-app-with-latest-update
    WWW.TECHRADAR.COM
    ProtonVPN crushes ads and trackers on Android TV app with latest update
    Proton VPN boosts its Android TV app for more privacy with NetShield integration
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • “KitKat” แมวผู้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความโกรธต่อเทคโนโลยีในซานฟรานซิสโก

    แมวตัวหนึ่งชื่อ “KitKat” ไม่เพียงแต่เป็นขวัญใจชาวย่าน Mission District ในซานฟรานซิสโก แต่ยังกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวต่อต้านรถยนต์ไร้คนขับ หลังจากเขาถูก Waymo ชนเสียชีวิต เหตุการณ์นี้จุดประกายความโกรธของชุมชนต่อเทคโนโลยีที่พวกเขาไม่ได้ร้องขอ

    KitKat เป็นแมวอายุ 9 ปีที่อาศัยอยู่หน้าร้าน Randa’s Market ใกล้โรงภาพยนตร์ Roxie Theater เขาเป็นที่รักของชาวบ้านจนได้รับฉายาว่า “นายกเทศมนตรีแห่งถนน 16” แต่เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม เขาถูกรถ Waymo ชนเสียชีวิตขณะวิ่งออกจากหน้าร้าน

    เหตุการณ์นี้นำไปสู่การจัดชุมนุมเรียกร้องความยุติธรรมให้ KitKat โดยกลุ่ม Small Business Forward และสมาชิกสภา Jackie Fielder ซึ่งเสนอร่างมติให้ประชาชนมีสิทธิ์แบนรถยนต์ไร้คนขับในเขตของตนเอง

    ผู้ประท้วงวิจารณ์ว่า Waymo เป็น “องค์กรไร้หน้า” ที่บ่อนทำลายความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของชุมชน โดยติดตั้งกล้องและเซ็นเซอร์ไว้ทั่วรถยนต์ ขณะที่คนขับรถแท็กซี่และผู้ใช้ขนส่งสาธารณะก็ร่วมแสดงความไม่พอใจ เพราะมองว่ารถไร้คนขับกำลังแย่งงานและสร้างความแออัดบนท้องถนน

    แม้จะมีเสียงโต้แย้งจากผู้สนับสนุนเทคโนโลยีที่มองว่ารถไร้คนขับปลอดภัยกว่าคนขับ แต่การเสียชีวิตของ KitKat กลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนทางอารมณ์ที่ทำให้ชุมชนลุกขึ้นต่อต้านอย่างจริงจัง

    เหตุการณ์การเสียชีวิตของ KitKat
    ถูก Waymo ชนเสียชีวิตหน้าร้าน Randa’s Market
    เป็นแมวขวัญใจชุมชน มีฉายาว่า “นายกเทศมนตรีแห่งถนน 16”
    จุดกระแสความโกรธต่อเทคโนโลยีที่ไม่ได้รับการยอมรับจากชุมชน

    การเคลื่อนไหวของชุมชน
    จัดชุมนุมเรียกร้องความยุติธรรมให้ KitKat
    เสนอร่างมติให้ประชาชนมีสิทธิ์แบนรถไร้คนขับในพื้นที่
    คนขับรถแท็กซี่และผู้ใช้ขนส่งสาธารณะร่วมประท้วง
    ชี้ว่ารถไร้คนขับสร้างความแออัดและแย่งงานมนุษย์

    ปฏิกิริยาจาก Waymo
    แสดงความเสียใจและบริจาคเงินให้ศูนย์พักพิงสัตว์
    ยืนยันความมุ่งมั่นด้านความปลอดภัยและความไว้วางใจ

    คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบของเทคโนโลยี
    รถไร้คนขับอาจสร้างความไม่ปลอดภัยในพื้นที่ชุมชน
    การติดตั้งกล้องและเซ็นเซอร์ทั่วรถอาจละเมิดความเป็นส่วนตัว
    การพัฒนาเทคโนโลยีโดยไม่ฟังเสียงชุมชนอาจนำไปสู่ความขัดแย้ง
    การไม่ควบคุมการใช้งาน AV อาจส่งผลต่อระบบขนส่งสาธารณะและแรงงานมนุษย์

    เรื่องของ KitKat ไม่ใช่แค่การสูญเสียสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่ง แต่เป็นสัญลักษณ์ของการตั้งคำถามต่อเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนโดยไม่ได้รับความยินยอมจากพวกเขา.

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/08/how-a-cat-named-kitkat-became-san-francisco039s-latest-symbol-of-anti-tech-rage
    🐾 “KitKat” แมวผู้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความโกรธต่อเทคโนโลยีในซานฟรานซิสโก แมวตัวหนึ่งชื่อ “KitKat” ไม่เพียงแต่เป็นขวัญใจชาวย่าน Mission District ในซานฟรานซิสโก แต่ยังกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวต่อต้านรถยนต์ไร้คนขับ หลังจากเขาถูก Waymo ชนเสียชีวิต เหตุการณ์นี้จุดประกายความโกรธของชุมชนต่อเทคโนโลยีที่พวกเขาไม่ได้ร้องขอ KitKat เป็นแมวอายุ 9 ปีที่อาศัยอยู่หน้าร้าน Randa’s Market ใกล้โรงภาพยนตร์ Roxie Theater เขาเป็นที่รักของชาวบ้านจนได้รับฉายาว่า “นายกเทศมนตรีแห่งถนน 16” แต่เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม เขาถูกรถ Waymo ชนเสียชีวิตขณะวิ่งออกจากหน้าร้าน เหตุการณ์นี้นำไปสู่การจัดชุมนุมเรียกร้องความยุติธรรมให้ KitKat โดยกลุ่ม Small Business Forward และสมาชิกสภา Jackie Fielder ซึ่งเสนอร่างมติให้ประชาชนมีสิทธิ์แบนรถยนต์ไร้คนขับในเขตของตนเอง ผู้ประท้วงวิจารณ์ว่า Waymo เป็น “องค์กรไร้หน้า” ที่บ่อนทำลายความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของชุมชน โดยติดตั้งกล้องและเซ็นเซอร์ไว้ทั่วรถยนต์ ขณะที่คนขับรถแท็กซี่และผู้ใช้ขนส่งสาธารณะก็ร่วมแสดงความไม่พอใจ เพราะมองว่ารถไร้คนขับกำลังแย่งงานและสร้างความแออัดบนท้องถนน แม้จะมีเสียงโต้แย้งจากผู้สนับสนุนเทคโนโลยีที่มองว่ารถไร้คนขับปลอดภัยกว่าคนขับ แต่การเสียชีวิตของ KitKat กลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนทางอารมณ์ที่ทำให้ชุมชนลุกขึ้นต่อต้านอย่างจริงจัง ✅ เหตุการณ์การเสียชีวิตของ KitKat ➡️ ถูก Waymo ชนเสียชีวิตหน้าร้าน Randa’s Market ➡️ เป็นแมวขวัญใจชุมชน มีฉายาว่า “นายกเทศมนตรีแห่งถนน 16” ➡️ จุดกระแสความโกรธต่อเทคโนโลยีที่ไม่ได้รับการยอมรับจากชุมชน ✅ การเคลื่อนไหวของชุมชน ➡️ จัดชุมนุมเรียกร้องความยุติธรรมให้ KitKat ➡️ เสนอร่างมติให้ประชาชนมีสิทธิ์แบนรถไร้คนขับในพื้นที่ ➡️ คนขับรถแท็กซี่และผู้ใช้ขนส่งสาธารณะร่วมประท้วง ➡️ ชี้ว่ารถไร้คนขับสร้างความแออัดและแย่งงานมนุษย์ ✅ ปฏิกิริยาจาก Waymo ➡️ แสดงความเสียใจและบริจาคเงินให้ศูนย์พักพิงสัตว์ ➡️ ยืนยันความมุ่งมั่นด้านความปลอดภัยและความไว้วางใจ ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบของเทคโนโลยี ⛔ รถไร้คนขับอาจสร้างความไม่ปลอดภัยในพื้นที่ชุมชน ⛔ การติดตั้งกล้องและเซ็นเซอร์ทั่วรถอาจละเมิดความเป็นส่วนตัว ⛔ การพัฒนาเทคโนโลยีโดยไม่ฟังเสียงชุมชนอาจนำไปสู่ความขัดแย้ง ⛔ การไม่ควบคุมการใช้งาน AV อาจส่งผลต่อระบบขนส่งสาธารณะและแรงงานมนุษย์ เรื่องของ KitKat ไม่ใช่แค่การสูญเสียสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่ง แต่เป็นสัญลักษณ์ของการตั้งคำถามต่อเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนโดยไม่ได้รับความยินยอมจากพวกเขา. https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/08/how-a-cat-named-kitkat-became-san-francisco039s-latest-symbol-of-anti-tech-rage
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่ออัลกอริธึมเก่าแก่ถูกท้าทาย – นักวิจัยสร้างทางลัดใหม่ที่ฉลาดกว่า

    Dijkstra’s Algorithm ถูกใช้มาตั้งแต่ปี 1959 เพื่อหาทางที่สั้นที่สุดในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และยังคงเป็นหัวใจของโปรโตคอล OSPF ที่ใช้ในระบบอินเทอร์เน็ตทั่วโลก แต่ปัญหาคือมันมี “ขีดจำกัดความเร็ว” ที่เรียกว่า sorting barrier ซึ่งเกิดจากการต้องจัดเรียงจุดที่ใกล้ที่สุดซ้ำๆ ในทุกขั้นตอน

    ล่าสุด ทีมนักวิจัยจาก Stanford และ Tsinghua University ได้พัฒนาอัลกอริธึมใหม่ที่ รวมจุดแข็งของ Dijkstra กับ Bellman-Ford เพื่อข้ามขีดจำกัดนี้ โดยใช้เทคนิค “การจัดกลุ่ม node” และ “การขยายแบบชาญฉลาด” ที่ช่วยลดจำนวน node ที่ต้องประมวลผลลงอย่างมหาศาล

    Dijkstra’s Algorithm มีข้อจำกัดด้านความเร็ว
    ต้องจัดเรียง node ที่ใกล้ที่สุดในทุกขั้นตอน
    เกิด bottleneck ที่เรียกว่า “sorting barrier”

    อัลกอริธึมใหม่จาก Stanford และ Tsinghua
    ผสมผสาน Dijkstra กับ Bellman-Ford
    ใช้การจัดกลุ่ม node แทนการประมวลผลทีละ node
    ข้ามการคำนวณที่ไม่จำเป็นด้วยการเลือก node สำคัญ

    เทคนิคที่ใช้ในการเร่งความเร็ว
    เลือก node ที่มีผลกระทบสูงต่อเส้นทาง
    ลบการสุ่มออกจากกระบวนการ
    เพิ่มระบบ layering เพื่อจัดลำดับการค้นหาอย่างมีประสิทธิภาพ

    ความสำคัญของอัลกอริธึมในยุคปัจจุบัน
    อัลกอริธึมคือ “ฮีโร่ที่ถูกลืม” ในโลกดิจิทัล
    งานวิจัย MIT พบว่า 40% ของอัลกอริธึมพัฒนาเร็วกว่า Moore’s Law
    การปรับปรุงอัลกอริธึมมีผลมากกว่าการอัปเกรดฮาร์ดแวร์ในหลายกรณี

    คำเตือนสำหรับนักพัฒนาเครือข่าย
    การใช้ Dijkstra แบบเดิมอาจไม่ทันต่อความซับซ้อนของเครือข่ายยุคใหม่
    การพึ่งพาการจัดเรียง node อาจทำให้ระบบช้าลงในเครือข่ายขนาดใหญ่
    หากไม่ปรับปรุงอัลกอริธึม อาจเสียโอกาสในการเพิ่มประสิทธิภาพระบบ

    การค้นพบนี้ไม่ใช่แค่การเร่งความเร็ว แต่คือการพิสูจน์ว่า “แม้สิ่งที่ดีที่สุดก็ยังมีที่ให้พัฒนา” และในโลกที่ข้อมูลเคลื่อนที่เร็วขึ้นทุกวัน อัลกอริธึมที่ฉลาดขึ้นอาจเป็นกุญแจสำคัญของอนาคตเครือข่าย.

    https://www.slashgear.com/2014867/new-algorithm-beats-dijkstra-time-shortest-path-to-network/
    🧠 เมื่ออัลกอริธึมเก่าแก่ถูกท้าทาย – นักวิจัยสร้างทางลัดใหม่ที่ฉลาดกว่า Dijkstra’s Algorithm ถูกใช้มาตั้งแต่ปี 1959 เพื่อหาทางที่สั้นที่สุดในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และยังคงเป็นหัวใจของโปรโตคอล OSPF ที่ใช้ในระบบอินเทอร์เน็ตทั่วโลก แต่ปัญหาคือมันมี “ขีดจำกัดความเร็ว” ที่เรียกว่า sorting barrier ซึ่งเกิดจากการต้องจัดเรียงจุดที่ใกล้ที่สุดซ้ำๆ ในทุกขั้นตอน ล่าสุด ทีมนักวิจัยจาก Stanford และ Tsinghua University ได้พัฒนาอัลกอริธึมใหม่ที่ รวมจุดแข็งของ Dijkstra กับ Bellman-Ford เพื่อข้ามขีดจำกัดนี้ โดยใช้เทคนิค “การจัดกลุ่ม node” และ “การขยายแบบชาญฉลาด” ที่ช่วยลดจำนวน node ที่ต้องประมวลผลลงอย่างมหาศาล ✅ Dijkstra’s Algorithm มีข้อจำกัดด้านความเร็ว ➡️ ต้องจัดเรียง node ที่ใกล้ที่สุดในทุกขั้นตอน ➡️ เกิด bottleneck ที่เรียกว่า “sorting barrier” ✅ อัลกอริธึมใหม่จาก Stanford และ Tsinghua ➡️ ผสมผสาน Dijkstra กับ Bellman-Ford ➡️ ใช้การจัดกลุ่ม node แทนการประมวลผลทีละ node ➡️ ข้ามการคำนวณที่ไม่จำเป็นด้วยการเลือก node สำคัญ ✅ เทคนิคที่ใช้ในการเร่งความเร็ว ➡️ เลือก node ที่มีผลกระทบสูงต่อเส้นทาง ➡️ ลบการสุ่มออกจากกระบวนการ ➡️ เพิ่มระบบ layering เพื่อจัดลำดับการค้นหาอย่างมีประสิทธิภาพ ✅ ความสำคัญของอัลกอริธึมในยุคปัจจุบัน ➡️ อัลกอริธึมคือ “ฮีโร่ที่ถูกลืม” ในโลกดิจิทัล ➡️ งานวิจัย MIT พบว่า 40% ของอัลกอริธึมพัฒนาเร็วกว่า Moore’s Law ➡️ การปรับปรุงอัลกอริธึมมีผลมากกว่าการอัปเกรดฮาร์ดแวร์ในหลายกรณี ‼️ คำเตือนสำหรับนักพัฒนาเครือข่าย ⛔ การใช้ Dijkstra แบบเดิมอาจไม่ทันต่อความซับซ้อนของเครือข่ายยุคใหม่ ⛔ การพึ่งพาการจัดเรียง node อาจทำให้ระบบช้าลงในเครือข่ายขนาดใหญ่ ⛔ หากไม่ปรับปรุงอัลกอริธึม อาจเสียโอกาสในการเพิ่มประสิทธิภาพระบบ การค้นพบนี้ไม่ใช่แค่การเร่งความเร็ว แต่คือการพิสูจน์ว่า “แม้สิ่งที่ดีที่สุดก็ยังมีที่ให้พัฒนา” และในโลกที่ข้อมูลเคลื่อนที่เร็วขึ้นทุกวัน อัลกอริธึมที่ฉลาดขึ้นอาจเป็นกุญแจสำคัญของอนาคตเครือข่าย. https://www.slashgear.com/2014867/new-algorithm-beats-dijkstra-time-shortest-path-to-network/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    A New Algorithm Beats Dijkstra's Time For The Shortest Path To Any Point In A Network - SlashGear
    Researchers have combined the Dijkstra and Bellman-Ford algorithms to develop an even faster way to find the shortest paths in a network.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • Ryzen 5 7500X3D โผล่ในเบนช์มาร์กแรก! ประสิทธิภาพใกล้เคียง 7600X3D แต่ราคาประหยัดกว่า

    AMD เตรียมเปิดตัว Ryzen 5 7500X3D ซึ่งเป็นชิป X3D ราคาประหยัดตัวแรกบนแพลตฟอร์ม AM5 โดยมีผลเบนช์มาร์กหลุดออกมาแล้ว เผยให้เห็นว่าประสิทธิภาพใกล้เคียงกับรุ่นพี่ 7600X3D ทั้งในงานแบบ single-core และ multi-core แม้จะมีความเร็วสัญญาณนาฬิกาต่ำกว่าเล็กน้อย

    Ryzen 5 7500X3D เป็นซีพียู 6 คอร์ 12 เธรด ใช้สถาปัตยกรรม Zen 4 ผลิตบนเทคโนโลยี 5nm ของ TSMC โดยมี L3 cache ขนาด 96MB จาก 3D V-Cache รวมเป็น 102MB เท่ากับรุ่น 7600X3D แต่มี base clock อยู่ที่ 4.0GHz และ boost clock ที่ 4.5GHz (ต่ำกว่ารุ่นพี่เล็กน้อย)

    ผลเบนช์มาร์กจาก Geekbench ให้คะแนน 2,549 สำหรับ single-core และ 11,826 สำหรับ multi-core ซึ่งใกล้เคียงกับ 7600X3D ที่มี boost clock สูงกว่าเล็กน้อยที่ 4.7GHz

    แม้จะยังไม่มีข้อมูล TDP อย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าจะอยู่ที่ 65W เช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้า และมีแนวโน้มว่าจะเปิดตัวในงาน CES 2026

    อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ที่อาจกระทบผู้ใช้คือราคาของ DDR5 ที่พุ่งสูงขึ้นจากความต้องการในตลาด AI ทำให้แม้ตัวชิปจะราคาถูก แต่การประกอบเครื่องอาจแพงขึ้นมาก โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้ที่ยังไม่มีแรม DDR5 อยู่แล้ว

    Ryzen 5 7500X3D โผล่ใน Geekbench
    คะแนน single-core: 2,549
    คะแนน multi-core: 11,826
    ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ Ryzen 5 7600X3D

    สเปกเบื้องต้นของ 7500X3D
    6 คอร์ 12 เธรด สถาปัตยกรรม Zen 4
    Base clock: 4.0GHz / Boost clock: 4.5GHz
    L3 cache รวม 102MB (มี 3D V-Cache 64MB)
    คาดว่า TDP อยู่ที่ 65W

    คาดการณ์การเปิดตัว
    อาจเปิดตัวในงาน CES 2026
    เป็นชิป X3D ราคาประหยัดตัวแรกบน AM5

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amds-budget-ryzen-5-7500x3d-leaks-out-in-early-benchmarks-scores-hint-at-performance-on-par-with-existing-7600x3d-budget-offering-could-pack-a-punch-in-both-single-and-multi-core-tests
    🧠 Ryzen 5 7500X3D โผล่ในเบนช์มาร์กแรก! ประสิทธิภาพใกล้เคียง 7600X3D แต่ราคาประหยัดกว่า AMD เตรียมเปิดตัว Ryzen 5 7500X3D ซึ่งเป็นชิป X3D ราคาประหยัดตัวแรกบนแพลตฟอร์ม AM5 โดยมีผลเบนช์มาร์กหลุดออกมาแล้ว เผยให้เห็นว่าประสิทธิภาพใกล้เคียงกับรุ่นพี่ 7600X3D ทั้งในงานแบบ single-core และ multi-core แม้จะมีความเร็วสัญญาณนาฬิกาต่ำกว่าเล็กน้อย Ryzen 5 7500X3D เป็นซีพียู 6 คอร์ 12 เธรด ใช้สถาปัตยกรรม Zen 4 ผลิตบนเทคโนโลยี 5nm ของ TSMC โดยมี L3 cache ขนาด 96MB จาก 3D V-Cache รวมเป็น 102MB เท่ากับรุ่น 7600X3D แต่มี base clock อยู่ที่ 4.0GHz และ boost clock ที่ 4.5GHz (ต่ำกว่ารุ่นพี่เล็กน้อย) ผลเบนช์มาร์กจาก Geekbench ให้คะแนน 2,549 สำหรับ single-core และ 11,826 สำหรับ multi-core ซึ่งใกล้เคียงกับ 7600X3D ที่มี boost clock สูงกว่าเล็กน้อยที่ 4.7GHz แม้จะยังไม่มีข้อมูล TDP อย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าจะอยู่ที่ 65W เช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้า และมีแนวโน้มว่าจะเปิดตัวในงาน CES 2026 อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ที่อาจกระทบผู้ใช้คือราคาของ DDR5 ที่พุ่งสูงขึ้นจากความต้องการในตลาด AI ทำให้แม้ตัวชิปจะราคาถูก แต่การประกอบเครื่องอาจแพงขึ้นมาก โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้ที่ยังไม่มีแรม DDR5 อยู่แล้ว ✅ Ryzen 5 7500X3D โผล่ใน Geekbench ➡️ คะแนน single-core: 2,549 ➡️ คะแนน multi-core: 11,826 ➡️ ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ Ryzen 5 7600X3D ✅ สเปกเบื้องต้นของ 7500X3D ➡️ 6 คอร์ 12 เธรด สถาปัตยกรรม Zen 4 ➡️ Base clock: 4.0GHz / Boost clock: 4.5GHz ➡️ L3 cache รวม 102MB (มี 3D V-Cache 64MB) ➡️ คาดว่า TDP อยู่ที่ 65W ✅ คาดการณ์การเปิดตัว ➡️ อาจเปิดตัวในงาน CES 2026 ➡️ เป็นชิป X3D ราคาประหยัดตัวแรกบน AM5 https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amds-budget-ryzen-5-7500x3d-leaks-out-in-early-benchmarks-scores-hint-at-performance-on-par-with-existing-7600x3d-budget-offering-could-pack-a-punch-in-both-single-and-multi-core-tests
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Corsair โดนแฉ! พีซีเกมมิ่งราคา $5,000 ทำซีพียู Intel พัง 3 ตัว เพราะไม่อัปเดต BIOS”

    เรื่องเล่าที่สะเทือนใจสายเกมมิ่งและเทคโนโลยี! Matthew Wieland ช่างคอมพิวเตอร์และยูทูบเบอร์ชื่อดังจากช่อง Matt’s Computer Services ได้ออกมาเปิดเผยว่า Corsair พีซีเกมมิ่งราคา $5,000 ที่ลูกค้าของเขาซื้อไป กลับทำให้ซีพียู Intel Core i9-14900K พังถึง 3 ตัวในรอบปีเดียว เพราะ Corsair ไม่ยอมอัปเดต BIOS ให้รองรับแพตช์แก้ปัญหาจาก Intel

    ปัญหานี้เริ่มต้นจากบั๊ก Vmin instability ที่ทำให้ซีพียู Intel 13th และ 14th Gen เกิดความไม่เสถียรและร้อนจัดจนพัง ซึ่ง Intel ได้ออกแพตช์แก้ไขในชื่อ “0x12F” ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2025 แต่ Corsair กลับยังใช้ BIOS เวอร์ชันเก่า “0x12B” อยู่ และไม่เปิดให้ผู้ใช้ติดตั้ง BIOS จาก Asus โดยตรง เพราะระบบถูกล็อกไว้

    แม้ Corsair จะมีฝ่ายบริการลูกค้าที่ช่วยเหลือดี แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพราะวิศวกรยังไม่ปล่อย BIOS ใหม่ออกมา ทำให้ Wieland ต้องแนะนำให้ลูกค้าเปลี่ยนเมนบอร์ดแทน เพื่อไม่ให้ซีพียูตัวใหม่พังซ้ำอีก

    Corsair พีซีเกมมิ่งราคา $5,000 ทำซีพียู Intel พัง
    ใช้ Intel Core i9-14900K ที่มีปัญหา Vmin instability
    ซีพียูพังถึง 3 ตัวในรอบปีเดียว
    เมนบอร์ดใช้ Asus Prime Z790-P WIFI แต่ BIOS ถูกล็อก

    Intel ออกแพตช์แก้ไขชื่อ “0x12F”
    แก้ปัญหา Vmin instability ที่ทำให้ซีพียูร้อนและพัง
    ปล่อยแพตช์ในเดือนพฤษภาคม 2025
    Corsair ยังใช้ BIOS เวอร์ชัน “0x12B” ที่ไม่มีแพตช์นี้

    Corsair ไม่เปิดให้ติดตั้ง BIOS จาก Asus โดยตรง
    ระบบ BIOS ถูกล็อกในพีซีแบบ pre-built
    ต้องรอ BIOS จาก Corsair เท่านั้น
    Corsair ยังไม่ปล่อยเวอร์ชันใหม่ที่มีแพตช์ 0x12F

    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เปลี่ยนเมนบอร์ด
    เพื่อป้องกันไม่ให้ซีพียูตัวใหม่พังซ้ำ
    Intel ขยายระยะเวลารับประกันให้กับซีพียูที่ได้รับผลกระทบ

    ความเสี่ยงจากการไม่อัปเดต BIOS
    อาจทำให้ซีพียูเกิดความไม่เสถียรและพัง
    ส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพและอายุการใช้งานของเครื่อง

    การล็อก BIOS ในพีซีแบบ pre-built
    ผู้ใช้ไม่สามารถติดตั้ง BIOS จากผู้ผลิตเมนบอร์ดได้
    ต้องพึ่งพาผู้ผลิตพีซีในการอัปเดตเท่านั้น

    ความล่าช้าในการตอบสนองจากผู้ผลิต
    แม้จะมีแพตช์จาก Intel แล้ว แต่ Corsairยังไม่ปล่อย BIOS ใหม่
    ทำให้ผู้ใช้ต้องเผชิญกับความเสี่ยงโดยไม่สามารถแก้ไขได้เอง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/usd5-000-corsair-pre-built-keeps-on-frying-intel-cpus-due-to-lack-of-bios-update-tech-alleges-kills-three-intel-core-i9-chips-because-latest-version-still-doesnt-have-fix-for-intel-crashing-issues
    🔥 “Corsair โดนแฉ! พีซีเกมมิ่งราคา $5,000 ทำซีพียู Intel พัง 3 ตัว เพราะไม่อัปเดต BIOS” เรื่องเล่าที่สะเทือนใจสายเกมมิ่งและเทคโนโลยี! Matthew Wieland ช่างคอมพิวเตอร์และยูทูบเบอร์ชื่อดังจากช่อง Matt’s Computer Services ได้ออกมาเปิดเผยว่า Corsair พีซีเกมมิ่งราคา $5,000 ที่ลูกค้าของเขาซื้อไป กลับทำให้ซีพียู Intel Core i9-14900K พังถึง 3 ตัวในรอบปีเดียว เพราะ Corsair ไม่ยอมอัปเดต BIOS ให้รองรับแพตช์แก้ปัญหาจาก Intel ปัญหานี้เริ่มต้นจากบั๊ก Vmin instability ที่ทำให้ซีพียู Intel 13th และ 14th Gen เกิดความไม่เสถียรและร้อนจัดจนพัง ซึ่ง Intel ได้ออกแพตช์แก้ไขในชื่อ “0x12F” ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2025 แต่ Corsair กลับยังใช้ BIOS เวอร์ชันเก่า “0x12B” อยู่ และไม่เปิดให้ผู้ใช้ติดตั้ง BIOS จาก Asus โดยตรง เพราะระบบถูกล็อกไว้ แม้ Corsair จะมีฝ่ายบริการลูกค้าที่ช่วยเหลือดี แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพราะวิศวกรยังไม่ปล่อย BIOS ใหม่ออกมา ทำให้ Wieland ต้องแนะนำให้ลูกค้าเปลี่ยนเมนบอร์ดแทน เพื่อไม่ให้ซีพียูตัวใหม่พังซ้ำอีก ✅ Corsair พีซีเกมมิ่งราคา $5,000 ทำซีพียู Intel พัง ➡️ ใช้ Intel Core i9-14900K ที่มีปัญหา Vmin instability ➡️ ซีพียูพังถึง 3 ตัวในรอบปีเดียว ➡️ เมนบอร์ดใช้ Asus Prime Z790-P WIFI แต่ BIOS ถูกล็อก ✅ Intel ออกแพตช์แก้ไขชื่อ “0x12F” ➡️ แก้ปัญหา Vmin instability ที่ทำให้ซีพียูร้อนและพัง ➡️ ปล่อยแพตช์ในเดือนพฤษภาคม 2025 ➡️ Corsair ยังใช้ BIOS เวอร์ชัน “0x12B” ที่ไม่มีแพตช์นี้ ✅ Corsair ไม่เปิดให้ติดตั้ง BIOS จาก Asus โดยตรง ➡️ ระบบ BIOS ถูกล็อกในพีซีแบบ pre-built ➡️ ต้องรอ BIOS จาก Corsair เท่านั้น ➡️ Corsair ยังไม่ปล่อยเวอร์ชันใหม่ที่มีแพตช์ 0x12F ✅ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เปลี่ยนเมนบอร์ด ➡️ เพื่อป้องกันไม่ให้ซีพียูตัวใหม่พังซ้ำ ➡️ Intel ขยายระยะเวลารับประกันให้กับซีพียูที่ได้รับผลกระทบ ‼️ ความเสี่ยงจากการไม่อัปเดต BIOS ⛔ อาจทำให้ซีพียูเกิดความไม่เสถียรและพัง ⛔ ส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพและอายุการใช้งานของเครื่อง ‼️ การล็อก BIOS ในพีซีแบบ pre-built ⛔ ผู้ใช้ไม่สามารถติดตั้ง BIOS จากผู้ผลิตเมนบอร์ดได้ ⛔ ต้องพึ่งพาผู้ผลิตพีซีในการอัปเดตเท่านั้น ‼️ ความล่าช้าในการตอบสนองจากผู้ผลิต ⛔ แม้จะมีแพตช์จาก Intel แล้ว แต่ Corsairยังไม่ปล่อย BIOS ใหม่ ⛔ ทำให้ผู้ใช้ต้องเผชิญกับความเสี่ยงโดยไม่สามารถแก้ไขได้เอง https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/usd5-000-corsair-pre-built-keeps-on-frying-intel-cpus-due-to-lack-of-bios-update-tech-alleges-kills-three-intel-core-i9-chips-because-latest-version-still-doesnt-have-fix-for-intel-crashing-issues
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    $5,000 Corsair pre-built keeps on frying Intel CPUs due to lack of BIOS update, tech alleges — kills three Intel Core i9 chips because latest version still doesn’t have fix for Intel crashing issues
    It's been five months, but Corsair has yet to release the BIOS update with Intel's 0x12F fix to prevent its pre-built systems from frying Intel 13th- and 14th-gen chips.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Django ปล่อยแพตช์อุดช่องโหว่ร้ายแรง – SQL Injection และ DoS บน Windows”
    ลองจินตนาการว่าเว็บไซต์ของคุณที่สร้างด้วย Django อาจถูกแฮกเกอร์เจาะระบบฐานข้อมูล หรือแม้แต่ทำให้เซิร์ฟเวอร์ล่มได้เพียงแค่ส่ง URL แปลก ๆ! ล่าสุด Django Software Foundation ได้ปล่อยอัปเดตความปลอดภัยเพื่อแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงสองรายการ ได้แก่:

    CVE-2025-64459: ช่องโหว่ SQL Injection ที่เกิดจากการใช้ _connector กับ dictionary expansion ในฟังก์ชัน QuerySet.filter(), exclude(), get() และคลาส Q() ซึ่งหากผู้ใช้ส่งข้อมูลที่ไม่ปลอดภัยมา จะสามารถแทรกคำสั่ง SQL อันตรายเข้าไปได้

    CVE-2025-64458: ช่องโหว่ DoS บน Windows ที่เกิดจากการจัดการ Unicode redirect โดยใช้ฟังก์ชัน HttpResponseRedirect, HttpResponsePermanentRedirect, และ redirect() ซึ่งหากมีการส่ง URL ที่มีตัวอักษร Unicode จำนวนมาก จะทำให้ระบบใช้ CPU สูงจนล่มได้

    การอัปเดตนี้ครอบคลุมหลายเวอร์ชัน ได้แก่ Django 5.2.8, 5.1.14, และ 4.2.26 รวมถึงเวอร์ชันหลักและเบต้า 6.0 โดยทีมงาน Django แนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันความเสี่ยง

    Django อัปเดตเพื่อแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรง 2 รายการ
    CVE-2025-64459: SQL Injection ผ่าน _connector ใน dictionary expansion
    CVE-2025-64458: DoS บน Windows จาก Unicode redirect

    ช่องโหว่ SQL Injection มีผลต่อหลายฟังก์ชันหลัก
    QuerySet.filter(), exclude(), get() และคลาส Q()
    หากใช้ _connector กับ dictionary ที่ไม่ปลอดภัย อาจถูกแทรกคำสั่ง SQL

    ช่องโหว่ DoS บน Windows เกิดจาก Unicode normalization
    Python บน Windows จัดการ NFKC normalization ช้า
    ส่งผลให้ redirect ใช้ CPU สูงจนระบบล่มได้

    Django ปล่อยแพตช์ในหลายเวอร์ชัน
    Django 5.2.8, 5.1.14, 4.2.26 และเวอร์ชันหลัก
    พร้อม release notes สำหรับแต่ละเวอร์ชัน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SQL Injection เป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่อันตรายที่สุดในเว็บแอป
    Unicode normalization เป็นกระบวนการจัดรูปแบบตัวอักษรให้เหมือนกัน ซึ่งมีผลต่อการเปรียบเทียบและ redirect
    Django เป็นหนึ่งใน framework ที่นิยมใช้ในองค์กรและระบบ API ทั่วโลก

    https://securityonline.info/django-team-patches-high-severity-sql-injection-flaw-cve-2025-64459-and-dos-bug-cve-2025-64458-in-latest-security-update/
    🛠️ “Django ปล่อยแพตช์อุดช่องโหว่ร้ายแรง – SQL Injection และ DoS บน Windows” ลองจินตนาการว่าเว็บไซต์ของคุณที่สร้างด้วย Django อาจถูกแฮกเกอร์เจาะระบบฐานข้อมูล หรือแม้แต่ทำให้เซิร์ฟเวอร์ล่มได้เพียงแค่ส่ง URL แปลก ๆ! ล่าสุด Django Software Foundation ได้ปล่อยอัปเดตความปลอดภัยเพื่อแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงสองรายการ ได้แก่: 🪲 CVE-2025-64459: ช่องโหว่ SQL Injection ที่เกิดจากการใช้ _connector กับ dictionary expansion ในฟังก์ชัน QuerySet.filter(), exclude(), get() และคลาส Q() ซึ่งหากผู้ใช้ส่งข้อมูลที่ไม่ปลอดภัยมา จะสามารถแทรกคำสั่ง SQL อันตรายเข้าไปได้ 🪲 CVE-2025-64458: ช่องโหว่ DoS บน Windows ที่เกิดจากการจัดการ Unicode redirect โดยใช้ฟังก์ชัน HttpResponseRedirect, HttpResponsePermanentRedirect, และ redirect() ซึ่งหากมีการส่ง URL ที่มีตัวอักษร Unicode จำนวนมาก จะทำให้ระบบใช้ CPU สูงจนล่มได้ การอัปเดตนี้ครอบคลุมหลายเวอร์ชัน ได้แก่ Django 5.2.8, 5.1.14, และ 4.2.26 รวมถึงเวอร์ชันหลักและเบต้า 6.0 โดยทีมงาน Django แนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันความเสี่ยง ✅ Django อัปเดตเพื่อแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรง 2 รายการ ➡️ CVE-2025-64459: SQL Injection ผ่าน _connector ใน dictionary expansion ➡️ CVE-2025-64458: DoS บน Windows จาก Unicode redirect ✅ ช่องโหว่ SQL Injection มีผลต่อหลายฟังก์ชันหลัก ➡️ QuerySet.filter(), exclude(), get() และคลาส Q() ➡️ หากใช้ _connector กับ dictionary ที่ไม่ปลอดภัย อาจถูกแทรกคำสั่ง SQL ✅ ช่องโหว่ DoS บน Windows เกิดจาก Unicode normalization ➡️ Python บน Windows จัดการ NFKC normalization ช้า ➡️ ส่งผลให้ redirect ใช้ CPU สูงจนระบบล่มได้ ✅ Django ปล่อยแพตช์ในหลายเวอร์ชัน ➡️ Django 5.2.8, 5.1.14, 4.2.26 และเวอร์ชันหลัก ➡️ พร้อม release notes สำหรับแต่ละเวอร์ชัน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SQL Injection เป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่อันตรายที่สุดในเว็บแอป ➡️ Unicode normalization เป็นกระบวนการจัดรูปแบบตัวอักษรให้เหมือนกัน ซึ่งมีผลต่อการเปรียบเทียบและ redirect ➡️ Django เป็นหนึ่งใน framework ที่นิยมใช้ในองค์กรและระบบ API ทั่วโลก https://securityonline.info/django-team-patches-high-severity-sql-injection-flaw-cve-2025-64459-and-dos-bug-cve-2025-64458-in-latest-security-update/
    SECURITYONLINE.INFO
    Django Team Patches High-Severity SQL Injection Flaw (CVE-2025-64459) and DoS Bug (CVE-2025-64458) in Latest Security Update
    Django released urgent patches (v5.2.8+) for a Critical SQL Injection flaw (CVE-2025-64459) affecting QuerySet methods via the _connector keyword, risking remote database compromise.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 62 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Windows 11 ทดสอบอัปเดตแบบไม่ต้องรีสตาร์ต – ก้าวใหม่ของการใช้งานที่ลื่นไหล”

    ลองจินตนาการว่า…คุณอัปเดต Windows เสร็จแล้วใช้งานต่อได้ทันที ไม่ต้องรอรีสตาร์ตเครื่องอีกต่อไป! Microsoft กำลังทดสอบฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 ที่อาจเปลี่ยนประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ทั่วโลก

    ในเวอร์ชันทดลองล่าสุดสำหรับผู้ใช้ในโปรแกรม Windows Insider — ทั้ง Dev Build และ Beta Build หมายเลข 26220.7052 — Microsoft ได้เปิดตัวการอัปเดตที่สามารถติดตั้งได้โดยไม่ต้องรีสตาร์ตเครื่องเลย ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจากระบบเดิมที่ต้องรีบูตทุกครั้งหลังอัปเดต

    แม้ว่าเวอร์ชันนี้จะไม่มีฟีเจอร์ใหม่ที่ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่า Microsoft กำลังเตรียมระบบให้พร้อมสำหรับการอัปเดตที่ลื่นไหลในอนาคต โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ไม่ใช่แค่ในองค์กรเท่านั้น

    นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Dev Channel จะกลายเป็นพื้นที่ทดสอบเฉพาะสำหรับ Windows 11 รุ่น 26H1 ที่ออกแบบมาเพื่อ AI PC ที่ใช้ชิป Snapdragon X2 โดยเฉพาะ ส่วนผู้ใช้ PC แบบ x86 ทั่วไปจะได้รับรุ่น 26H2 ในช่วงปลายปีหน้า

    Microsoft ทดสอบการอัปเดต Windows 11 แบบไม่ต้องรีสตาร์ต
    ใช้ได้ใน Dev Build และ Beta Build หมายเลข 26220.7052
    ติดตั้งและใช้งานต่อได้ทันทีหลังอัปเดต
    ไม่มีฟีเจอร์ใหม่ที่ประกาศอย่างเป็นทางการในเวอร์ชันนี้

    แนวคิดการอัปเดตแบบ “Hotpatch” เคยใช้ในองค์กร
    ลดจำนวนการรีสตาร์ตเหลือเพียง 4 ครั้งต่อปี
    ช่วยให้ระบบปลอดภัยโดยไม่รบกวนการทำงาน

    Dev Channel อาจกลายเป็นพื้นที่ทดสอบเฉพาะสำหรับ AI PC
    Windows 11 รุ่น 26H1 จะรองรับเฉพาะ Snapdragon X2
    รุ่น 26H2 สำหรับ x86 จะตามมาในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีหน้า

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ระบบอัปเดตแบบไม่ต้องรีสตาร์ตมีใช้ใน Linux มานาน เช่น “Livepatch” ของ Ubuntu
    การลดการรีสตาร์ตช่วยเพิ่ม uptime ของระบบ โดยเฉพาะในเซิร์ฟเวอร์และองค์กรขนาดใหญ่
    Microsoft อาจนำแนวคิดนี้มาใช้กับผู้ใช้ทั่วไปในอนาคต เพื่อประสบการณ์ที่ลื่นไหลมากขึ้น

    https://securityonline.info/the-restartless-update-microsoft-tests-unusual-windows-11-build-that-installs-without-a-reboot/
    🖥️ “Windows 11 ทดสอบอัปเดตแบบไม่ต้องรีสตาร์ต – ก้าวใหม่ของการใช้งานที่ลื่นไหล” ลองจินตนาการว่า…คุณอัปเดต Windows เสร็จแล้วใช้งานต่อได้ทันที ไม่ต้องรอรีสตาร์ตเครื่องอีกต่อไป! Microsoft กำลังทดสอบฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 ที่อาจเปลี่ยนประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ทั่วโลก ในเวอร์ชันทดลองล่าสุดสำหรับผู้ใช้ในโปรแกรม Windows Insider — ทั้ง Dev Build และ Beta Build หมายเลข 26220.7052 — Microsoft ได้เปิดตัวการอัปเดตที่สามารถติดตั้งได้โดยไม่ต้องรีสตาร์ตเครื่องเลย ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจากระบบเดิมที่ต้องรีบูตทุกครั้งหลังอัปเดต แม้ว่าเวอร์ชันนี้จะไม่มีฟีเจอร์ใหม่ที่ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่า Microsoft กำลังเตรียมระบบให้พร้อมสำหรับการอัปเดตที่ลื่นไหลในอนาคต โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ไม่ใช่แค่ในองค์กรเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Dev Channel จะกลายเป็นพื้นที่ทดสอบเฉพาะสำหรับ Windows 11 รุ่น 26H1 ที่ออกแบบมาเพื่อ AI PC ที่ใช้ชิป Snapdragon X2 โดยเฉพาะ ส่วนผู้ใช้ PC แบบ x86 ทั่วไปจะได้รับรุ่น 26H2 ในช่วงปลายปีหน้า ✅ Microsoft ทดสอบการอัปเดต Windows 11 แบบไม่ต้องรีสตาร์ต ➡️ ใช้ได้ใน Dev Build และ Beta Build หมายเลข 26220.7052 ➡️ ติดตั้งและใช้งานต่อได้ทันทีหลังอัปเดต ➡️ ไม่มีฟีเจอร์ใหม่ที่ประกาศอย่างเป็นทางการในเวอร์ชันนี้ ✅ แนวคิดการอัปเดตแบบ “Hotpatch” เคยใช้ในองค์กร ➡️ ลดจำนวนการรีสตาร์ตเหลือเพียง 4 ครั้งต่อปี ➡️ ช่วยให้ระบบปลอดภัยโดยไม่รบกวนการทำงาน ✅ Dev Channel อาจกลายเป็นพื้นที่ทดสอบเฉพาะสำหรับ AI PC ➡️ Windows 11 รุ่น 26H1 จะรองรับเฉพาะ Snapdragon X2 ➡️ รุ่น 26H2 สำหรับ x86 จะตามมาในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีหน้า ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ระบบอัปเดตแบบไม่ต้องรีสตาร์ตมีใช้ใน Linux มานาน เช่น “Livepatch” ของ Ubuntu ➡️ การลดการรีสตาร์ตช่วยเพิ่ม uptime ของระบบ โดยเฉพาะในเซิร์ฟเวอร์และองค์กรขนาดใหญ่ ➡️ Microsoft อาจนำแนวคิดนี้มาใช้กับผู้ใช้ทั่วไปในอนาคต เพื่อประสบการณ์ที่ลื่นไหลมากขึ้น https://securityonline.info/the-restartless-update-microsoft-tests-unusual-windows-11-build-that-installs-without-a-reboot/
    SECURITYONLINE.INFO
    The Restartless Update: Microsoft Tests Unusual Windows 11 Build That Installs Without a Reboot
    Microsoft released an unusual Windows 11 Insider test build (26220.7052) that installs without requiring a system restart, hinting at future update process improvements.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • “36 USB Ports” บนเมนบอร์ด Intel สุดล้ำ — เชื่อมโลกดิจิทัลหรือฟาร์มบอท?

    ลองจินตนาการถึงเมนบอร์ดที่มี USB มากกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไปถึง 5 เท่า — นี่คือสิ่งที่ปรากฏในวิดีโอจาก Reddit ซึ่งเผยให้เห็นเมนบอร์ด Intel แบบปรับแต่งพิเศษที่มีถึง 36 พอร์ต USB พร้อมการออกแบบที่ดูเหมือนมาจากโรงงานหรือคลังสินค้า

    ภาพในวิดีโอแสดงให้เห็นเมนบอร์ดหลายตัววางเรียงกันบนถุงพลาสติกกันกระแทก โดยมี RAM และพัดลม CPU ติดตั้งไว้แล้ว จุดเด่นคือแผงพอร์ต USB ที่เรียงกันแน่นขนัด พร้อมชิปควบคุม USB หลายตัว ซึ่งบ่งบอกว่าเมนบอร์ดเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อ งานเฉพาะทาง เช่น การทดสอบอุปกรณ์จำนวนมาก, การทำฟาร์มบอท หรือแม้แต่การขุดคริปโต

    ฟาร์มบอทหรือแล็บทดสอบ? ความเป็นไปได้ที่หลากหลาย
    ผู้ใช้ใน Reddit ตั้งข้อสังเกตว่าเมนบอร์ดเหล่านี้อาจถูกใช้ในฟาร์มบอท ซึ่งต้องเชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมาก เช่น สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต เพื่อทำงานอัตโนมัติ หรืออาจใช้ในแล็บทดสอบอุปกรณ์ USB จำนวนมากในเวลาเดียวกัน

    นอกจากนี้ยังมีการเปรียบเทียบกับเมนบอร์ด Asus H370 Mining Master ที่เคยเปิดตัวพร้อม 20 พอร์ต USB สำหรับการขุดคริปโต ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการออกแบบแบบนี้มี รากฐานในอุตสาหกรรมจริง

    ขุมพลังจากยุค Skylake/Kaby Lake
    จากการตรวจสอบซ็อกเก็ตของ CPU พบว่าเป็น LGA 1151 ซึ่งรองรับชิป Intel รุ่น Skylake และ Kaby Lake — ยุคสุดท้ายก่อนที่ AMD จะเริ่มแซงหน้าในตลาด CPU ประสิทธิภาพสูง

    เมนบอร์ด Intel แบบปรับแต่งพิเศษ
    มีพอร์ต USB มากถึง 36 ช่อง
    ติดตั้ง RAM และพัดลม CPU พร้อมใช้งาน
    ใช้ซ็อกเก็ต LGA 1151 รองรับ Skylake/Kaby Lake

    การใช้งานที่เป็นไปได้
    ฟาร์มบอทที่ต้องเชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมาก
    แล็บทดสอบอุปกรณ์ USB แบบ mass testing
    การขุดคริปโตแบบใช้ USB riser

    การออกแบบเพื่อประสิทธิภาพ
    มีชิปควบคุม USB หลายตัวเพื่อรองรับการเชื่อมต่อ
    ยังมีพื้นที่สำหรับติดตั้ง GPU เพิ่มเติม

    ข้อจำกัดของการใช้งานทั่วไป
    เมนบอร์ดแบบนี้ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปหรือเกมเมอร์
    อาจมีข้อจำกัดด้านการระบายความร้อนและพลังงาน

    ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    การใช้ในฟาร์มบอทอาจเกี่ยวข้องกับการละเมิดเงื่อนไขการใช้งานของแพลตฟอร์มต่างๆ
    การเชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมากอาจเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัยข้อมูล

    https://www.tomshardware.com/pc-components/motherboards/custom-intel-motherboards-with-a-whopping-36-usb-ports-spotted-online-extravagant-connectivity-offering-fuels-bot-farm-speculation
    🧠🔌 “36 USB Ports” บนเมนบอร์ด Intel สุดล้ำ — เชื่อมโลกดิจิทัลหรือฟาร์มบอท? ลองจินตนาการถึงเมนบอร์ดที่มี USB มากกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไปถึง 5 เท่า — นี่คือสิ่งที่ปรากฏในวิดีโอจาก Reddit ซึ่งเผยให้เห็นเมนบอร์ด Intel แบบปรับแต่งพิเศษที่มีถึง 36 พอร์ต USB พร้อมการออกแบบที่ดูเหมือนมาจากโรงงานหรือคลังสินค้า ภาพในวิดีโอแสดงให้เห็นเมนบอร์ดหลายตัววางเรียงกันบนถุงพลาสติกกันกระแทก โดยมี RAM และพัดลม CPU ติดตั้งไว้แล้ว จุดเด่นคือแผงพอร์ต USB ที่เรียงกันแน่นขนัด พร้อมชิปควบคุม USB หลายตัว ซึ่งบ่งบอกว่าเมนบอร์ดเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อ งานเฉพาะทาง เช่น การทดสอบอุปกรณ์จำนวนมาก, การทำฟาร์มบอท หรือแม้แต่การขุดคริปโต 🏭 ฟาร์มบอทหรือแล็บทดสอบ? ความเป็นไปได้ที่หลากหลาย ผู้ใช้ใน Reddit ตั้งข้อสังเกตว่าเมนบอร์ดเหล่านี้อาจถูกใช้ในฟาร์มบอท ซึ่งต้องเชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมาก เช่น สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต เพื่อทำงานอัตโนมัติ หรืออาจใช้ในแล็บทดสอบอุปกรณ์ USB จำนวนมากในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีการเปรียบเทียบกับเมนบอร์ด Asus H370 Mining Master ที่เคยเปิดตัวพร้อม 20 พอร์ต USB สำหรับการขุดคริปโต ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการออกแบบแบบนี้มี รากฐานในอุตสาหกรรมจริง 🧬 ขุมพลังจากยุค Skylake/Kaby Lake จากการตรวจสอบซ็อกเก็ตของ CPU พบว่าเป็น LGA 1151 ซึ่งรองรับชิป Intel รุ่น Skylake และ Kaby Lake — ยุคสุดท้ายก่อนที่ AMD จะเริ่มแซงหน้าในตลาด CPU ประสิทธิภาพสูง ✅ เมนบอร์ด Intel แบบปรับแต่งพิเศษ ➡️ มีพอร์ต USB มากถึง 36 ช่อง ➡️ ติดตั้ง RAM และพัดลม CPU พร้อมใช้งาน ➡️ ใช้ซ็อกเก็ต LGA 1151 รองรับ Skylake/Kaby Lake ✅ การใช้งานที่เป็นไปได้ ➡️ ฟาร์มบอทที่ต้องเชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมาก ➡️ แล็บทดสอบอุปกรณ์ USB แบบ mass testing ➡️ การขุดคริปโตแบบใช้ USB riser ✅ การออกแบบเพื่อประสิทธิภาพ ➡️ มีชิปควบคุม USB หลายตัวเพื่อรองรับการเชื่อมต่อ ➡️ ยังมีพื้นที่สำหรับติดตั้ง GPU เพิ่มเติม ‼️ ข้อจำกัดของการใช้งานทั่วไป ⛔ เมนบอร์ดแบบนี้ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปหรือเกมเมอร์ ⛔ อาจมีข้อจำกัดด้านการระบายความร้อนและพลังงาน ‼️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ⛔ การใช้ในฟาร์มบอทอาจเกี่ยวข้องกับการละเมิดเงื่อนไขการใช้งานของแพลตฟอร์มต่างๆ ⛔ การเชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมากอาจเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัยข้อมูล https://www.tomshardware.com/pc-components/motherboards/custom-intel-motherboards-with-a-whopping-36-usb-ports-spotted-online-extravagant-connectivity-offering-fuels-bot-farm-speculation
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • แอปฟรีที่ควรมีติดเครื่อง Android เครื่องใหม่ทันที!

    หากคุณเพิ่งซื้อสมาร์ทโฟน Android เครื่องใหม่ หรือกำลังมองหาแอปฟรีที่คุ้มค่าและปลอดภัยในการใช้งาน นี่คือ 5 แอปที่ได้รับการแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ พร้อมสาระเสริมที่คุณอาจยังไม่รู้!

    Proton VPN: ปลอดภัยไว้ก่อน
    Proton VPN เป็นหนึ่งใน VPN ฟรีที่น่าเชื่อถือที่สุด เพราะไม่มีโฆษณา ไม่ขายข้อมูล และมีการตรวจสอบจากภายนอกอย่างสม่ำเสมอ
    VPN ฟรีที่ไม่เก็บ log และไม่มีโฆษณา
    ให้ความเร็วและแบนด์วิดธ์ไม่จำกัด
    เหมาะสำหรับการใช้งาน Wi-Fi สาธารณะและปลดล็อกคอนเทนต์
    VPN ไม่สามารถทำให้คุณ “นิรนาม” ได้จริง
    หากต้องการความเป็นส่วนตัวขั้นสูง ควรใช้ Tor Browser แทน

    Vivaldi Browser: เบราว์เซอร์ที่เหนือกว่า Chrome
    Vivaldi เป็นเบราว์เซอร์ที่ให้ความเป็นส่วนตัวสูง พร้อมฟีเจอร์จัดการแท็บและโน้ตที่เหนือชั้น
    รองรับการจัดการแท็บแบบซ้อน, จดโน้ต, ถ่ายภาพหน้าจอเต็มหน้า
    มีระบบซิงค์ข้อมูลข้ามอุปกรณ์
    มีตัวบล็อกโฆษณาในตัวและแปลภาษาอัตโนมัติ
    หากใช้ Chrome อาจเสี่ยงต่อการถูกติดตามพฤติกรรม
    ควรเปลี่ยนมาใช้เบราว์เซอร์ที่เน้นความเป็นส่วนตัวมากกว่า

    Blip: ส่งไฟล์ข้ามอุปกรณ์แบบไร้รอยต่อ
    Blip คือทางเลือกใหม่ที่เหนือกว่า AirDrop และ Quick Share เพราะรองรับทุกระบบปฏิบัติการ
    ส่งไฟล์ได้ทุกขนาด ข้ามแพลตฟอร์ม Android, iOS, Windows, macOS, Linux
    ไม่ต้องยืนยันการรับไฟล์จากอีกเครื่อง
    รองรับการส่งไฟล์ระยะไกลทั่วโลก
    ไม่มีการเข้ารหัสแบบ end-to-end
    หลีกเลี่ยงการส่งไฟล์ที่มีข้อมูลอ่อนไหว

    Speedtest by Ookla: ตรวจสอบความเร็วเน็ตแบบมือโปร
    แอปนี้ช่วยให้คุณตรวจสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตได้อย่างแม่นยำ
    วัดความเร็วดาวน์โหลด/อัปโหลด, ping, jitter และ packet loss
    ใช้งานง่าย แค่กดปุ่ม “Go”
    แอปมีโฆษณาและเก็บข้อมูลผู้ใช้
    หากต้องการความเป็นส่วนตัว ควรใช้ LibreSpeed ผ่านเว็บแทน

    Loop Habit Tracker: ตัวช่วยสร้างนิสัยดีๆ
    แอปติดตามนิสัยที่เรียบง่าย ไม่มีโฆษณา และไม่เก็บข้อมูล
    ใช้งานฟรี 100% พร้อมฟีเจอร์ครบ
    สร้างรายการนิสัย, ตั้งเตือน, ดูสถิติความก้าวหน้า
    ข้อมูลเก็บไว้ในเครื่อง ไม่แชร์ออกภายนอก
    แอปติดตามนิสัยบางตัวอาจบังคับให้สมัครสมาชิก
    ระวังแอปที่เก็บข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต

    https://www.slashgear.com/2010815/free-apps-you-should-install-on-any-android-device/
    📱 แอปฟรีที่ควรมีติดเครื่อง Android เครื่องใหม่ทันที! หากคุณเพิ่งซื้อสมาร์ทโฟน Android เครื่องใหม่ หรือกำลังมองหาแอปฟรีที่คุ้มค่าและปลอดภัยในการใช้งาน นี่คือ 5 แอปที่ได้รับการแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ พร้อมสาระเสริมที่คุณอาจยังไม่รู้! 🛡️ Proton VPN: ปลอดภัยไว้ก่อน Proton VPN เป็นหนึ่งใน VPN ฟรีที่น่าเชื่อถือที่สุด เพราะไม่มีโฆษณา ไม่ขายข้อมูล และมีการตรวจสอบจากภายนอกอย่างสม่ำเสมอ ✅ VPN ฟรีที่ไม่เก็บ log และไม่มีโฆษณา ➡️ ให้ความเร็วและแบนด์วิดธ์ไม่จำกัด ➡️ เหมาะสำหรับการใช้งาน Wi-Fi สาธารณะและปลดล็อกคอนเทนต์ ‼️ VPN ไม่สามารถทำให้คุณ “นิรนาม” ได้จริง ⛔ หากต้องการความเป็นส่วนตัวขั้นสูง ควรใช้ Tor Browser แทน 🌐 Vivaldi Browser: เบราว์เซอร์ที่เหนือกว่า Chrome Vivaldi เป็นเบราว์เซอร์ที่ให้ความเป็นส่วนตัวสูง พร้อมฟีเจอร์จัดการแท็บและโน้ตที่เหนือชั้น ✅ รองรับการจัดการแท็บแบบซ้อน, จดโน้ต, ถ่ายภาพหน้าจอเต็มหน้า ➡️ มีระบบซิงค์ข้อมูลข้ามอุปกรณ์ ➡️ มีตัวบล็อกโฆษณาในตัวและแปลภาษาอัตโนมัติ ‼️ หากใช้ Chrome อาจเสี่ยงต่อการถูกติดตามพฤติกรรม ⛔ ควรเปลี่ยนมาใช้เบราว์เซอร์ที่เน้นความเป็นส่วนตัวมากกว่า 📤 Blip: ส่งไฟล์ข้ามอุปกรณ์แบบไร้รอยต่อ Blip คือทางเลือกใหม่ที่เหนือกว่า AirDrop และ Quick Share เพราะรองรับทุกระบบปฏิบัติการ ✅ ส่งไฟล์ได้ทุกขนาด ข้ามแพลตฟอร์ม Android, iOS, Windows, macOS, Linux ➡️ ไม่ต้องยืนยันการรับไฟล์จากอีกเครื่อง ➡️ รองรับการส่งไฟล์ระยะไกลทั่วโลก ‼️ ไม่มีการเข้ารหัสแบบ end-to-end ⛔ หลีกเลี่ยงการส่งไฟล์ที่มีข้อมูลอ่อนไหว 📶 Speedtest by Ookla: ตรวจสอบความเร็วเน็ตแบบมือโปร แอปนี้ช่วยให้คุณตรวจสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตได้อย่างแม่นยำ ✅ วัดความเร็วดาวน์โหลด/อัปโหลด, ping, jitter และ packet loss ➡️ ใช้งานง่าย แค่กดปุ่ม “Go” ‼️ แอปมีโฆษณาและเก็บข้อมูลผู้ใช้ ⛔ หากต้องการความเป็นส่วนตัว ควรใช้ LibreSpeed ผ่านเว็บแทน 📊 Loop Habit Tracker: ตัวช่วยสร้างนิสัยดีๆ แอปติดตามนิสัยที่เรียบง่าย ไม่มีโฆษณา และไม่เก็บข้อมูล ✅ ใช้งานฟรี 100% พร้อมฟีเจอร์ครบ ➡️ สร้างรายการนิสัย, ตั้งเตือน, ดูสถิติความก้าวหน้า ➡️ ข้อมูลเก็บไว้ในเครื่อง ไม่แชร์ออกภายนอก ‼️ แอปติดตามนิสัยบางตัวอาจบังคับให้สมัครสมาชิก ⛔ ระวังแอปที่เก็บข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต https://www.slashgear.com/2010815/free-apps-you-should-install-on-any-android-device/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Free Apps You Should Install ASAP On A New Android Device - SlashGear
    Setting up your Android? Don’t waste time digging through the Play Store. These free apps are the ones actually worth keeping.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • Claude Code ช่วยดีบั๊กอัลกอริธึมเข้ารหัสระดับล่างได้จริง! เรื่องจริงจากนักพัฒนา Go.

    Filippo Valsorda นักพัฒนาและผู้ดูแลโครงการโอเพ่นซอร์สด้านความปลอดภัย ได้แชร์ประสบการณ์สุดทึ่งว่า Claude Code สามารถช่วยเขาดีบั๊กอัลกอริธึมเข้ารหัส ML-DSA ที่เขาเพิ่งเขียนในภาษา Go ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว โดยที่เขาเองยังไม่คาดคิดว่าจะได้ผลลัพธ์ขนาดนี้!

    เขาเริ่มต้นด้วยการเขียน ML-DSA ซึ่งเป็นอัลกอริธึมลายเซ็นหลังยุคควอนตัมที่ NIST เพิ่งประกาศเมื่อปีที่แล้ว แต่เมื่อรันการตรวจสอบลายเซ็นกลับพบว่า “Verify” ล้มเหลวทุกครั้ง แม้จะใช้ test vector ที่ถูกต้องก็ตาม หลังจากพยายามดีบั๊กเองแล้วไม่สำเร็จ เขาจึงลองให้ Claude Code วิเคราะห์ดู — และมันสามารถระบุบั๊กที่ซับซ้อนในระดับ low-level ได้ภายในไม่กี่นาที!

    บทความนี้พิสูจน์ว่า AI agent อย่าง Claude Code ไม่ใช่แค่เครื่องมือช่วยเขียนโค้ด แต่สามารถเป็น “ผู้ช่วยดีบั๊ก” ที่ทรงพลังในงานระดับล่างที่ซับซ้อน โดยเฉพาะในโลกของคริปโตกราฟีที่ต้องการความแม่นยำสูงสุด

    Claude Code ตรวจพบบั๊กใน ML-DSA ได้อย่างแม่นยำ
    ระบุว่า “w1” ถูกเข้ารหัสซ้ำซ้อนในขั้นตอน Verify ทำให้ลายเซ็นไม่ผ่าน

    Claude เขียน test ย่อยเพื่อยืนยันสมมติฐานของตัวเอง
    แม้โค้ดแก้ไขจะไม่สมบูรณ์ แต่ช่วยชี้จุดบั๊กได้ตรงเป้า

    Claude ยังช่วยดีบั๊กบั๊กอื่นในขั้นตอน signing ได้อีก
    เช่น ค่าคงที่ใน Montgomery domain ที่ผิด และการเข้ารหัสค่าที่สั้นเกินไป

    Claude ใช้เทคนิค printf debugging เหมือนนักพัฒนามืออาชีพ
    วิเคราะห์ค่าที่ผิดและเสนอแนวทางแก้ไขได้ใกล้เคียงกับมนุษย์

    Claude ทำงานแบบ one-shot ได้ดี
    ไม่ต้องใช้ context หรือคำสั่งพิเศษมากมาย ก็สามารถหาบั๊กได้ทันที

    Claude ไม่จำเป็นต้อง “เชื่อถือ” เหมือนมนุษย์
    ใช้เพื่อชี้จุดบั๊ก แล้วให้มนุษย์ตัดสินใจแก้ไขเองได้อย่างปลอดภัย

    Claude อาจไม่เหมาะกับบั๊กที่มีผลลัพธ์สุ่มหรือดูไม่เป็นระเบียบ
    เช่น บั๊กที่ทำให้ลายเซ็นมีขนาดผิด Claude ใช้เวลานานกว่าจะเข้าใจ

    ไม่ควรใช้ Claude เพื่อแก้โค้ดโดยตรงในระบบโปรดักชัน
    ควรใช้เพื่อชี้จุดบั๊ก แล้วให้มนุษย์ refactor หรือแก้ไขอย่างเหมาะสม

    Claude อาจหยุดหลังแก้บั๊กแรก แม้ยังมีบั๊กอื่นอยู่
    ต้องเริ่ม session ใหม่เพื่อให้มันวิเคราะห์บั๊กถัดไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    https://words.filippo.io/claude-debugging/
    🧪 Claude Code ช่วยดีบั๊กอัลกอริธึมเข้ารหัสระดับล่างได้จริง! เรื่องจริงจากนักพัฒนา Go. Filippo Valsorda นักพัฒนาและผู้ดูแลโครงการโอเพ่นซอร์สด้านความปลอดภัย ได้แชร์ประสบการณ์สุดทึ่งว่า Claude Code สามารถช่วยเขาดีบั๊กอัลกอริธึมเข้ารหัส ML-DSA ที่เขาเพิ่งเขียนในภาษา Go ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว โดยที่เขาเองยังไม่คาดคิดว่าจะได้ผลลัพธ์ขนาดนี้! เขาเริ่มต้นด้วยการเขียน ML-DSA ซึ่งเป็นอัลกอริธึมลายเซ็นหลังยุคควอนตัมที่ NIST เพิ่งประกาศเมื่อปีที่แล้ว แต่เมื่อรันการตรวจสอบลายเซ็นกลับพบว่า “Verify” ล้มเหลวทุกครั้ง แม้จะใช้ test vector ที่ถูกต้องก็ตาม หลังจากพยายามดีบั๊กเองแล้วไม่สำเร็จ เขาจึงลองให้ Claude Code วิเคราะห์ดู — และมันสามารถระบุบั๊กที่ซับซ้อนในระดับ low-level ได้ภายในไม่กี่นาที! บทความนี้พิสูจน์ว่า AI agent อย่าง Claude Code ไม่ใช่แค่เครื่องมือช่วยเขียนโค้ด แต่สามารถเป็น “ผู้ช่วยดีบั๊ก” ที่ทรงพลังในงานระดับล่างที่ซับซ้อน โดยเฉพาะในโลกของคริปโตกราฟีที่ต้องการความแม่นยำสูงสุด 🔐 ✅ Claude Code ตรวจพบบั๊กใน ML-DSA ได้อย่างแม่นยำ ➡️ ระบุว่า “w1” ถูกเข้ารหัสซ้ำซ้อนในขั้นตอน Verify ทำให้ลายเซ็นไม่ผ่าน ✅ Claude เขียน test ย่อยเพื่อยืนยันสมมติฐานของตัวเอง ➡️ แม้โค้ดแก้ไขจะไม่สมบูรณ์ แต่ช่วยชี้จุดบั๊กได้ตรงเป้า ✅ Claude ยังช่วยดีบั๊กบั๊กอื่นในขั้นตอน signing ได้อีก ➡️ เช่น ค่าคงที่ใน Montgomery domain ที่ผิด และการเข้ารหัสค่าที่สั้นเกินไป ✅ Claude ใช้เทคนิค printf debugging เหมือนนักพัฒนามืออาชีพ ➡️ วิเคราะห์ค่าที่ผิดและเสนอแนวทางแก้ไขได้ใกล้เคียงกับมนุษย์ ✅ Claude ทำงานแบบ one-shot ได้ดี ➡️ ไม่ต้องใช้ context หรือคำสั่งพิเศษมากมาย ก็สามารถหาบั๊กได้ทันที ✅ Claude ไม่จำเป็นต้อง “เชื่อถือ” เหมือนมนุษย์ ➡️ ใช้เพื่อชี้จุดบั๊ก แล้วให้มนุษย์ตัดสินใจแก้ไขเองได้อย่างปลอดภัย ‼️ Claude อาจไม่เหมาะกับบั๊กที่มีผลลัพธ์สุ่มหรือดูไม่เป็นระเบียบ ⛔ เช่น บั๊กที่ทำให้ลายเซ็นมีขนาดผิด Claude ใช้เวลานานกว่าจะเข้าใจ ‼️ ไม่ควรใช้ Claude เพื่อแก้โค้ดโดยตรงในระบบโปรดักชัน ⛔ ควรใช้เพื่อชี้จุดบั๊ก แล้วให้มนุษย์ refactor หรือแก้ไขอย่างเหมาะสม ‼️ Claude อาจหยุดหลังแก้บั๊กแรก แม้ยังมีบั๊กอื่นอยู่ ⛔ ต้องเริ่ม session ใหม่เพื่อให้มันวิเคราะห์บั๊กถัดไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ https://words.filippo.io/claude-debugging/
    WORDS.FILIPPO.IO
    Claude Code Can Debug Low-level Cryptography
    Surprisingly (to me) Claude Code debugged my new ML-DSA implementation faster than I would have, finding the non-obvious low-level issue that was making Verify fail.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • เกมเมอร์สาย Linux บน Steam ทะลุ 3% แล้ว! สัญญาณใหม่ของการเปลี่ยนแปลงวงการเกม
    ลองนึกภาพว่าโลกของเกมพีซีที่เคยถูกครองโดย Windows กำลังเริ่มมีรอยร้าวเล็กๆ ที่ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ และหนึ่งในรอยร้าวนั้นคือ Linux ที่กำลังแทรกตัวเข้ามาอย่างมั่นคง ล่าสุดจากการสำรวจของ Steam ในเดือนตุลาคม 2025 พบว่า ผู้ใช้ Linux บนแพลตฟอร์มนี้ทะลุ 3% เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์!

    แม้ตัวเลข 3% อาจดูเล็กน้อย แต่เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ใช้งาน Steam ที่มีหลายร้อยล้านคน ก็หมายถึงผู้ใช้ Linux ที่เล่นเกมมีจำนวนหลายล้านคนเลยทีเดียว โดยหนึ่งในแรงผลักดันสำคัญคือการสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 และการเติบโตของ Steam Deck ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ SteamOS ซึ่งเป็น Linux นั่นเอง

    นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงในส่วนแบ่งของดิสโทร Linux ที่ใช้เล่นเกม เช่น Linux Mint, Arch Linux, Ubuntu และดิสโทรใหม่ๆ อย่าง CachyOS และ Bazzite ที่เริ่มมีบทบาทมากขึ้นในกลุ่มเกมเมอร์สายเทคนิค

    สิ่งที่น่าสนใจคือ หากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป อาจส่งผลให้ผู้พัฒนาเกมต้องหันมาให้ความสำคัญกับการรองรับ Linux มากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ทุกคนในระยะยาว

    Linux กำลังค่อยๆ เปลี่ยนสถานะจาก “ระบบทางเลือก” ไปสู่ “ระบบที่ต้องคำนึงถึง” ในวงการเกม และหากคุณเป็นหนึ่งในผู้ใช้ Linux ที่ช่วยผลักดันตัวเลขนี้ ก็ขอแสดงความยินดีด้วย คุณคือส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในโลกเกมพีซี!

    จำนวนผู้ใช้ Linux บน Steam ทะลุ 3.05%
    เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 0.41% ถือเป็นการเติบโตที่ชัดเจน

    Windows ยังครองตลาดอยู่ที่ 94.84%
    ลดลง 0.75% ซึ่งอาจเป็นผลจากการสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10

    macOS ก็มีการเติบโตเช่นกัน
    อยู่ที่ 2.11% เพิ่มขึ้น 0.34%

    Steam Deck มีบทบาทสำคัญในการผลักดัน Linux
    SteamOS Holo ครองส่วนแบ่ง 27.18% ของผู้ใช้ Linux บน Steam

    ดิสโทร Linux ที่ได้รับความนิยม
    Arch Linux, Linux Mint, Ubuntu Core, CachyOS, Bazzite และ Fedora

    ดิสโทรใหม่ๆ เริ่มมีบทบาทมากขึ้น
    เช่น Bazzite และ CachyOS ที่เน้นการใช้งานด้านเกมโดยเฉพาะ

    แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในวงการเกม
    หาก Linux มีส่วนแบ่งมากขึ้น ผู้พัฒนาเกมอาจต้องรองรับมากขึ้น

    ผู้ใช้ Linux Mint อาจเจอปัญหากับฮาร์ดแวร์ใหม่
    เนื่องจากไม่รองรับเคอร์เนลและ Mesa รุ่นล่าสุดโดยค่าเริ่มต้น

    ดิสโทรที่ไม่ใช่ rolling release อาจไม่เหมาะกับเกมเมอร์สายเทคนิค
    ต้องมีความรู้ในการปรับแต่งระบบเพื่อให้รองรับเกมใหม่ๆ ได้ดี

    การใช้ดิสโทรที่ไม่เสถียรต้องมีความเข้าใจ
    Debian testing/unstable หรือ Arch ต้องรู้วิธีจัดการระบบอย่างเหมาะสม

    https://www.gamingonlinux.com/2025/11/linux-gamers-on-steam-finally-cross-over-the-3-mark/
    🐧 เกมเมอร์สาย Linux บน Steam ทะลุ 3% แล้ว! สัญญาณใหม่ของการเปลี่ยนแปลงวงการเกม ลองนึกภาพว่าโลกของเกมพีซีที่เคยถูกครองโดย Windows กำลังเริ่มมีรอยร้าวเล็กๆ ที่ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ และหนึ่งในรอยร้าวนั้นคือ Linux ที่กำลังแทรกตัวเข้ามาอย่างมั่นคง ล่าสุดจากการสำรวจของ Steam ในเดือนตุลาคม 2025 พบว่า ผู้ใช้ Linux บนแพลตฟอร์มนี้ทะลุ 3% เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์! 🎉 แม้ตัวเลข 3% อาจดูเล็กน้อย แต่เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ใช้งาน Steam ที่มีหลายร้อยล้านคน ก็หมายถึงผู้ใช้ Linux ที่เล่นเกมมีจำนวนหลายล้านคนเลยทีเดียว โดยหนึ่งในแรงผลักดันสำคัญคือการสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 และการเติบโตของ Steam Deck ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ SteamOS ซึ่งเป็น Linux นั่นเอง นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงในส่วนแบ่งของดิสโทร Linux ที่ใช้เล่นเกม เช่น Linux Mint, Arch Linux, Ubuntu และดิสโทรใหม่ๆ อย่าง CachyOS และ Bazzite ที่เริ่มมีบทบาทมากขึ้นในกลุ่มเกมเมอร์สายเทคนิค สิ่งที่น่าสนใจคือ หากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป อาจส่งผลให้ผู้พัฒนาเกมต้องหันมาให้ความสำคัญกับการรองรับ Linux มากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ทุกคนในระยะยาว Linux กำลังค่อยๆ เปลี่ยนสถานะจาก “ระบบทางเลือก” ไปสู่ “ระบบที่ต้องคำนึงถึง” ในวงการเกม และหากคุณเป็นหนึ่งในผู้ใช้ Linux ที่ช่วยผลักดันตัวเลขนี้ ก็ขอแสดงความยินดีด้วย คุณคือส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในโลกเกมพีซี! 🎮✨ ✅ จำนวนผู้ใช้ Linux บน Steam ทะลุ 3.05% ➡️ เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 0.41% ถือเป็นการเติบโตที่ชัดเจน ✅ Windows ยังครองตลาดอยู่ที่ 94.84% ➡️ ลดลง 0.75% ซึ่งอาจเป็นผลจากการสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 ✅ macOS ก็มีการเติบโตเช่นกัน ➡️ อยู่ที่ 2.11% เพิ่มขึ้น 0.34% ✅ Steam Deck มีบทบาทสำคัญในการผลักดัน Linux ➡️ SteamOS Holo ครองส่วนแบ่ง 27.18% ของผู้ใช้ Linux บน Steam ✅ ดิสโทร Linux ที่ได้รับความนิยม ➡️ Arch Linux, Linux Mint, Ubuntu Core, CachyOS, Bazzite และ Fedora ✅ ดิสโทรใหม่ๆ เริ่มมีบทบาทมากขึ้น ➡️ เช่น Bazzite และ CachyOS ที่เน้นการใช้งานด้านเกมโดยเฉพาะ ✅ แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในวงการเกม ➡️ หาก Linux มีส่วนแบ่งมากขึ้น ผู้พัฒนาเกมอาจต้องรองรับมากขึ้น ‼️ ผู้ใช้ Linux Mint อาจเจอปัญหากับฮาร์ดแวร์ใหม่ ⛔ เนื่องจากไม่รองรับเคอร์เนลและ Mesa รุ่นล่าสุดโดยค่าเริ่มต้น ‼️ ดิสโทรที่ไม่ใช่ rolling release อาจไม่เหมาะกับเกมเมอร์สายเทคนิค ⛔ ต้องมีความรู้ในการปรับแต่งระบบเพื่อให้รองรับเกมใหม่ๆ ได้ดี ‼️ การใช้ดิสโทรที่ไม่เสถียรต้องมีความเข้าใจ ⛔ Debian testing/unstable หรือ Arch ต้องรู้วิธีจัดการระบบอย่างเหมาะสม https://www.gamingonlinux.com/2025/11/linux-gamers-on-steam-finally-cross-over-the-3-mark/
    WWW.GAMINGONLINUX.COM
    Linux gamers on Steam finally cross over the 3% mark
    It finally happened. Linux gamers on Steam as of the Steam Hardware & Software Survey for October 2025 have crossed over the elusive 3% mark.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • แฮกเกอร์โจมตีระบบควบคุมโรงงานในแคนาดา! รัฐบาลเตือนภัย ICS หลังพบการแทรกแซงในน้ำมัน น้ำ และเกษตรกรรม

    รัฐบาลแคนาดาออกประกาศเตือนภัยไซเบอร์หลังพบกลุ่มแฮกเกอร์เจาะระบบควบคุมอุตสาหกรรม (ICS) หลายแห่งทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายที่โรงงานน้ำ, บริษัทน้ำมัน และฟาร์มเกษตร ซึ่งอาจส่งผลต่อความปลอดภัยของประชาชนและชื่อเสียงของประเทศ

    รายงานจาก Cyber Centre และตำรวจม้าแคนาดา (RCMP) ระบุว่ามี “หลายเหตุการณ์” ที่ระบบ ICS ถูกโจมตีผ่านอินเทอร์เน็ต โดยหนึ่งในนั้นคือโรงงานน้ำที่ถูกปรับแรงดันน้ำจนบริการเสียหาย อีกกรณีคือบริษัทน้ำมันที่ระบบตรวจวัดถัง (ATG) ถูกแฮกให้ส่งสัญญาณเตือนผิดพลาด และฟาร์มแห่งหนึ่งที่ระบบควบคุมอุณหภูมิและความชื้นของไซโลถูกเปลี่ยนค่าจนเกือบเกิดอันตราย

    ICS หรือ Industrial Control Systems คือระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ควบคุมโครงสร้างพื้นฐาน เช่น SCADA, DCS และ PLC ซึ่งหากถูกแฮกอาจทำให้ไฟดับ, น้ำไม่ไหล, หรือสายการผลิตหยุดชะงัก

    รัฐบาลแคนาดาเชื่อว่ากลุ่มแฮกเกอร์มีเป้าหมายเพื่อสร้างกระแสในสื่อ, ทำลายความน่าเชื่อถือขององค์กร และ “บั่นทอนชื่อเสียงของแคนาดา” โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศกำลังลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
    โรงงานน้ำถูกปรับแรงดันน้ำจนบริการเสียหาย
    บริษัทน้ำมันถูกแฮกระบบตรวจวัดถังให้ส่งสัญญาณผิด
    ฟาร์มถูกเปลี่ยนค่าควบคุมไซโลจนเกือบเกิดอันตราย

    ความหมายของ ICS
    รวมถึง SCADA, DCS, PLC ที่ควบคุมโครงสร้างพื้นฐาน
    หากถูกแฮกอาจทำให้ไฟดับ, น้ำไม่ไหล, หรือระบบขนส่งหยุด

    คำแนะนำจากรัฐบาลแคนาดา
    ใช้ VPN และ 2FA เพื่อป้องกันการเข้าถึง
    ติดตั้งระบบตรวจจับภัยคุกคามแบบ real-time
    ทำ penetration testing และ vulnerability management อย่างสม่ำเสมอ
    จัดทำเอกสารและแผนการป้องกันสินทรัพย์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

    https://www.techradar.com/pro/security/canada-says-hacktivists-breached-water-and-energy-facilities
    🚨💧 แฮกเกอร์โจมตีระบบควบคุมโรงงานในแคนาดา! รัฐบาลเตือนภัย ICS หลังพบการแทรกแซงในน้ำมัน น้ำ และเกษตรกรรม รัฐบาลแคนาดาออกประกาศเตือนภัยไซเบอร์หลังพบกลุ่มแฮกเกอร์เจาะระบบควบคุมอุตสาหกรรม (ICS) หลายแห่งทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายที่โรงงานน้ำ, บริษัทน้ำมัน และฟาร์มเกษตร ซึ่งอาจส่งผลต่อความปลอดภัยของประชาชนและชื่อเสียงของประเทศ รายงานจาก Cyber Centre และตำรวจม้าแคนาดา (RCMP) ระบุว่ามี “หลายเหตุการณ์” ที่ระบบ ICS ถูกโจมตีผ่านอินเทอร์เน็ต โดยหนึ่งในนั้นคือโรงงานน้ำที่ถูกปรับแรงดันน้ำจนบริการเสียหาย อีกกรณีคือบริษัทน้ำมันที่ระบบตรวจวัดถัง (ATG) ถูกแฮกให้ส่งสัญญาณเตือนผิดพลาด และฟาร์มแห่งหนึ่งที่ระบบควบคุมอุณหภูมิและความชื้นของไซโลถูกเปลี่ยนค่าจนเกือบเกิดอันตราย ICS หรือ Industrial Control Systems คือระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ควบคุมโครงสร้างพื้นฐาน เช่น SCADA, DCS และ PLC ซึ่งหากถูกแฮกอาจทำให้ไฟดับ, น้ำไม่ไหล, หรือสายการผลิตหยุดชะงัก รัฐบาลแคนาดาเชื่อว่ากลุ่มแฮกเกอร์มีเป้าหมายเพื่อสร้างกระแสในสื่อ, ทำลายความน่าเชื่อถือขององค์กร และ “บั่นทอนชื่อเสียงของแคนาดา” โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศกำลังลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ✅ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ➡️ โรงงานน้ำถูกปรับแรงดันน้ำจนบริการเสียหาย ➡️ บริษัทน้ำมันถูกแฮกระบบตรวจวัดถังให้ส่งสัญญาณผิด ➡️ ฟาร์มถูกเปลี่ยนค่าควบคุมไซโลจนเกือบเกิดอันตราย ✅ ความหมายของ ICS ➡️ รวมถึง SCADA, DCS, PLC ที่ควบคุมโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ หากถูกแฮกอาจทำให้ไฟดับ, น้ำไม่ไหล, หรือระบบขนส่งหยุด ✅ คำแนะนำจากรัฐบาลแคนาดา ➡️ ใช้ VPN และ 2FA เพื่อป้องกันการเข้าถึง ➡️ ติดตั้งระบบตรวจจับภัยคุกคามแบบ real-time ➡️ ทำ penetration testing และ vulnerability management อย่างสม่ำเสมอ ➡️ จัดทำเอกสารและแผนการป้องกันสินทรัพย์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต https://www.techradar.com/pro/security/canada-says-hacktivists-breached-water-and-energy-facilities
    WWW.TECHRADAR.COM
    Canadian government claims hacktivists are attacking water and energy facilities
    Businesses operating ICS systems need “effective communication and collaboration"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 202 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD หั่นฟีเจอร์การ์ดจอรุ่นเก่า พร้อมตัด USB-C บน RX 7900!

    AMD ประกาศว่าไดรเวอร์ใหม่ Adrenalin Edition 25.10.2 จะไม่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้กับการ์ดจอ Radeon RX 5000 และ RX 6000 อีกต่อไป โดยจะเข้าสู่โหมด “maintenance” ที่มีแค่การแก้บั๊กและอัปเดตความปลอดภัยเท่านั้น ขณะเดียวกัน RX 7900 ก็ถูกตัดฟังก์ชัน USB-C เหลือแค่ DisplayPort

    AMD ยืนยันว่าเพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่สำหรับ GPU รุ่นล่าสุด จึงตัดสินใจนำ Radeon RX 5000 และ RX 6000 เข้าสู่โหมด maintenance ซึ่งหมายความว่าจะไม่มีฟีเจอร์ใหม่ใด ๆ เพิ่มอีกต่อไป เช่น การรองรับ Battlefield 6 หรือ DirectX 12 Work Graphs ที่จะมีเฉพาะใน RX 7000 และ RX 9000 เท่านั้น

    แม้จะยังได้รับการอัปเดตด้านความปลอดภัยและแก้ไขบั๊ก แต่ผู้ใช้ RDNA 1 และ RDNA 2 จะไม่ได้รับฟีเจอร์ใหม่อีกแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นการ “ลดระดับการสนับสนุน” ที่เร็วกว่าที่หลายคนคาดไว้

    ที่น่าตกใจไม่แพ้กันคือ RX 7900 XT และ XTX ที่มีพอร์ต USB-C ด้านหลัง ถูกตัดความสามารถในการจ่ายไฟและเชื่อมต่อ USB ออกไปในไดรเวอร์ใหม่ ทำให้พอร์ตนั้นกลายเป็น DisplayPort ที่มีรูแปลก ๆ เท่านั้น

    AMD ให้เหตุผลว่าไดรเวอร์มีขนาดใหญ่เกินไป (1.6GB) และต้องลดภาระเพื่อให้เหมาะกับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่จำกัดในบางพื้นที่ ซึ่งอาจเป็นเหตุผลเบื้องหลังการตัดฟีเจอร์บางอย่าง

    AMD นำ RX 5000 และ RX 6000 เข้าสู่โหมด maintenance
    จะได้รับแค่การอัปเดตด้านความปลอดภัยและแก้ไขบั๊ก
    ไม่ได้รับฟีเจอร์ใหม่ เช่น Battlefield 6 หรือ DirectX 12 Work Graphs

    RX 7900 XT/XTX ถูกตัดฟังก์ชัน USB-C
    ไม่สามารถจ่ายไฟหรือเชื่อมต่อ USB ได้อีก
    พอร์ตกลายเป็น DisplayPort ที่มีรูเหมือน USB-C

    ฟีเจอร์ใหม่ในไดรเวอร์ 25.10.2
    รองรับ DirectX 12 Work Graphs บน RX 9000
    แก้บั๊กในเกม The Last of Us Part II, FBC Firebreak, NBA 2K25
    แก้ปัญหา VR และความผิดปกติในเกม Baldur’s Gate 3, Serious Sam 4

    ปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
    Cyberpunk 2077 crash ใน RT Overdrive
    Battlefield 6 crash บน iGPU บางรุ่น
    Roblox crash บน RX 7000
    Radeon Anti-Lag 2 หายไปใน CS2 บน RX 9000

    ผู้ใช้ RX 5000 และ RX 6000 จะไม่ได้รับฟีเจอร์ใหม่อีก
    อาจต้องพิจารณาอัปเกรดหากต้องการฟีเจอร์ล่าสุด
    การสนับสนุนที่ลดลงอาจกระทบประสบการณ์การเล่นเกมในอนาคต

    RX 7900 USB-C ถูกลดความสามารถโดยไม่แจ้งล่วงหน้า
    ผู้ใช้ที่ใช้พอร์ตนี้ในการจ่ายไฟหรือเชื่อมต่ออุปกรณ์จะได้รับผลกระทบ
    พอร์ตกลายเป็น DisplayPort ที่ไม่สามารถใช้งาน USB ได้อีก

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpu-drivers/new-amd-driver-snubs-radeon-rx-5000-6000-gpus-with-latest-updates-also-disables-usb-c-functionality-on-rx-7900-series
    🛑💻 AMD หั่นฟีเจอร์การ์ดจอรุ่นเก่า พร้อมตัด USB-C บน RX 7900! AMD ประกาศว่าไดรเวอร์ใหม่ Adrenalin Edition 25.10.2 จะไม่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้กับการ์ดจอ Radeon RX 5000 และ RX 6000 อีกต่อไป โดยจะเข้าสู่โหมด “maintenance” ที่มีแค่การแก้บั๊กและอัปเดตความปลอดภัยเท่านั้น ขณะเดียวกัน RX 7900 ก็ถูกตัดฟังก์ชัน USB-C เหลือแค่ DisplayPort AMD ยืนยันว่าเพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่สำหรับ GPU รุ่นล่าสุด จึงตัดสินใจนำ Radeon RX 5000 และ RX 6000 เข้าสู่โหมด maintenance ซึ่งหมายความว่าจะไม่มีฟีเจอร์ใหม่ใด ๆ เพิ่มอีกต่อไป เช่น การรองรับ Battlefield 6 หรือ DirectX 12 Work Graphs ที่จะมีเฉพาะใน RX 7000 และ RX 9000 เท่านั้น แม้จะยังได้รับการอัปเดตด้านความปลอดภัยและแก้ไขบั๊ก แต่ผู้ใช้ RDNA 1 และ RDNA 2 จะไม่ได้รับฟีเจอร์ใหม่อีกแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นการ “ลดระดับการสนับสนุน” ที่เร็วกว่าที่หลายคนคาดไว้ ที่น่าตกใจไม่แพ้กันคือ RX 7900 XT และ XTX ที่มีพอร์ต USB-C ด้านหลัง ถูกตัดความสามารถในการจ่ายไฟและเชื่อมต่อ USB ออกไปในไดรเวอร์ใหม่ ทำให้พอร์ตนั้นกลายเป็น DisplayPort ที่มีรูแปลก ๆ เท่านั้น AMD ให้เหตุผลว่าไดรเวอร์มีขนาดใหญ่เกินไป (1.6GB) และต้องลดภาระเพื่อให้เหมาะกับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่จำกัดในบางพื้นที่ ซึ่งอาจเป็นเหตุผลเบื้องหลังการตัดฟีเจอร์บางอย่าง ✅ AMD นำ RX 5000 และ RX 6000 เข้าสู่โหมด maintenance ➡️ จะได้รับแค่การอัปเดตด้านความปลอดภัยและแก้ไขบั๊ก ➡️ ไม่ได้รับฟีเจอร์ใหม่ เช่น Battlefield 6 หรือ DirectX 12 Work Graphs ✅ RX 7900 XT/XTX ถูกตัดฟังก์ชัน USB-C ➡️ ไม่สามารถจ่ายไฟหรือเชื่อมต่อ USB ได้อีก ➡️ พอร์ตกลายเป็น DisplayPort ที่มีรูเหมือน USB-C ✅ ฟีเจอร์ใหม่ในไดรเวอร์ 25.10.2 ➡️ รองรับ DirectX 12 Work Graphs บน RX 9000 ➡️ แก้บั๊กในเกม The Last of Us Part II, FBC Firebreak, NBA 2K25 ➡️ แก้ปัญหา VR และความผิดปกติในเกม Baldur’s Gate 3, Serious Sam 4 ✅ ปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ➡️ Cyberpunk 2077 crash ใน RT Overdrive ➡️ Battlefield 6 crash บน iGPU บางรุ่น ➡️ Roblox crash บน RX 7000 ➡️ Radeon Anti-Lag 2 หายไปใน CS2 บน RX 9000 ‼️ ผู้ใช้ RX 5000 และ RX 6000 จะไม่ได้รับฟีเจอร์ใหม่อีก ⛔ อาจต้องพิจารณาอัปเกรดหากต้องการฟีเจอร์ล่าสุด ⛔ การสนับสนุนที่ลดลงอาจกระทบประสบการณ์การเล่นเกมในอนาคต ‼️ RX 7900 USB-C ถูกลดความสามารถโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ⛔ ผู้ใช้ที่ใช้พอร์ตนี้ในการจ่ายไฟหรือเชื่อมต่ออุปกรณ์จะได้รับผลกระทบ ⛔ พอร์ตกลายเป็น DisplayPort ที่ไม่สามารถใช้งาน USB ได้อีก https://www.tomshardware.com/pc-components/gpu-drivers/new-amd-driver-snubs-radeon-rx-5000-6000-gpus-with-latest-updates-also-disables-usb-c-functionality-on-rx-7900-series
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • Qt Creator 18 เปิดตัว! IDE สุดล้ำพร้อมรองรับ Container และ GitHub Enterprise

    วันนี้มีข่าวดีสำหรับนักพัฒนา! Qt Project ได้ปล่อย Qt Creator 18 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของ IDE แบบโอเพ่นซอร์สที่รองรับหลายแพลตฟอร์ม ทั้ง Linux, macOS และ Windows โดยเวอร์ชันนี้มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่น่าตื่นเต้น โดยเฉพาะการรองรับ container สำหรับการพัฒนาแบบแยกส่วน และการเชื่อมต่อกับ GitHub Enterprise ผ่าน Copilot

    ลองนึกภาพว่า...คุณเปิดโปรเจกต์ที่มีไฟล์ devcontainer.json อยู่ แล้ว Qt Creator ก็จัดการสร้าง Docker container ให้คุณอัตโนมัติ พร้อมปรับแต่ง environment ให้เหมาะกับการพัฒนาโดยไม่ต้องตั้งค่าเองให้ยุ่งยากเลย! นี่คือก้าวสำคัญของการพัฒนาแบบ container-native ที่กำลังมาแรงในยุค DevOps และ Cloud-native

    นอกจากนี้ Qt Creator 18 ยังปรับปรุงหลายจุดเพื่อให้ใช้งานได้ลื่นไหลขึ้น เช่น:
    เพิ่มแท็บ Overview ในหน้า Welcome
    ปรับปรุงระบบแจ้งเตือนให้รวมอยู่ใน popup เดียว
    รองรับการใช้ editor แบบ tabbed
    ปรับปรุงระบบ Git ให้แสดงสถานะไฟล์ในมุมมอง File System
    เพิ่มการรองรับ CMake Test Presets และการเชื่อมต่ออุปกรณ์ Linux แบบอัตโนมัติ

    และที่สำคัญคือการอัปเดต Clangd/LLVM เป็นเวอร์ชัน 21.1 เพื่อรองรับฟีเจอร์ใหม่ของภาษา C++ ได้ดีขึ้น

    สาระเพิ่มเติม
    การใช้ container ในการพัฒนาเริ่มเป็นมาตรฐานในองค์กรขนาดใหญ่ เพราะช่วยให้การตั้งค่า environment เป็นเรื่องง่ายและลดปัญหา “มันทำงานบนเครื่องฉันนะ!”
    GitHub Copilot Enterprise ช่วยให้ทีมสามารถใช้ AI เขียนโค้ดได้อย่างปลอดภัยในระบบภายในองค์กร โดยไม่ต้องเปิดเผยโค้ดสู่สาธารณะ

    ฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่น
    รองรับการสร้าง development container ผ่านไฟล์ devcontainer.json
    เพิ่มแท็บ Overview ในหน้า Welcome
    รองรับ editor แบบ tabbed เพื่อการจัดการโค้ดที่ง่ายขึ้น
    ปรับปรุงระบบแจ้งเตือนให้รวมอยู่ใน popup เดียว
    รองรับ GitHub Enterprise ผ่าน Copilot

    การปรับปรุงด้าน Git และการจัดการโปรเจกต์
    เพิ่มการแสดงสถานะ version control ในมุมมอง File System
    รองรับ CMake Test Presets
    เพิ่มตัวเลือก auto-connect สำหรับอุปกรณ์ Linux
    ปรับปรุงการจัดการไฟล์ .user ให้แยกเก็บในโฟลเดอร์ .qtcreator/

    การอัปเดตด้านเทคโนโลยี
    อัปเดต Clangd/LLVM เป็นเวอร์ชัน 21.1
    ปรับปรุง code model ให้รองรับฟีเจอร์ใหม่ของ C++

    https://9to5linux.com/qt-creator-18-open-source-ide-released-with-experimental-container-support
    🛠️ Qt Creator 18 เปิดตัว! IDE สุดล้ำพร้อมรองรับ Container และ GitHub Enterprise วันนี้มีข่าวดีสำหรับนักพัฒนา! Qt Project ได้ปล่อย Qt Creator 18 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของ IDE แบบโอเพ่นซอร์สที่รองรับหลายแพลตฟอร์ม ทั้ง Linux, macOS และ Windows โดยเวอร์ชันนี้มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่น่าตื่นเต้น โดยเฉพาะการรองรับ container สำหรับการพัฒนาแบบแยกส่วน และการเชื่อมต่อกับ GitHub Enterprise ผ่าน Copilot ลองนึกภาพว่า...คุณเปิดโปรเจกต์ที่มีไฟล์ devcontainer.json อยู่ แล้ว Qt Creator ก็จัดการสร้าง Docker container ให้คุณอัตโนมัติ พร้อมปรับแต่ง environment ให้เหมาะกับการพัฒนาโดยไม่ต้องตั้งค่าเองให้ยุ่งยากเลย! นี่คือก้าวสำคัญของการพัฒนาแบบ container-native ที่กำลังมาแรงในยุค DevOps และ Cloud-native นอกจากนี้ Qt Creator 18 ยังปรับปรุงหลายจุดเพื่อให้ใช้งานได้ลื่นไหลขึ้น เช่น: 🎗️ เพิ่มแท็บ Overview ในหน้า Welcome 🎗️ ปรับปรุงระบบแจ้งเตือนให้รวมอยู่ใน popup เดียว 🎗️ รองรับการใช้ editor แบบ tabbed 🎗️ ปรับปรุงระบบ Git ให้แสดงสถานะไฟล์ในมุมมอง File System 🎗️ เพิ่มการรองรับ CMake Test Presets และการเชื่อมต่ออุปกรณ์ Linux แบบอัตโนมัติ และที่สำคัญคือการอัปเดต Clangd/LLVM เป็นเวอร์ชัน 21.1 เพื่อรองรับฟีเจอร์ใหม่ของภาษา C++ ได้ดีขึ้น 💡 สาระเพิ่มเติม 💠 การใช้ container ในการพัฒนาเริ่มเป็นมาตรฐานในองค์กรขนาดใหญ่ เพราะช่วยให้การตั้งค่า environment เป็นเรื่องง่ายและลดปัญหา “มันทำงานบนเครื่องฉันนะ!” 💠 GitHub Copilot Enterprise ช่วยให้ทีมสามารถใช้ AI เขียนโค้ดได้อย่างปลอดภัยในระบบภายในองค์กร โดยไม่ต้องเปิดเผยโค้ดสู่สาธารณะ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่น ➡️ รองรับการสร้าง development container ผ่านไฟล์ devcontainer.json ➡️ เพิ่มแท็บ Overview ในหน้า Welcome ➡️ รองรับ editor แบบ tabbed เพื่อการจัดการโค้ดที่ง่ายขึ้น ➡️ ปรับปรุงระบบแจ้งเตือนให้รวมอยู่ใน popup เดียว ➡️ รองรับ GitHub Enterprise ผ่าน Copilot ✅ การปรับปรุงด้าน Git และการจัดการโปรเจกต์ ➡️ เพิ่มการแสดงสถานะ version control ในมุมมอง File System ➡️ รองรับ CMake Test Presets ➡️ เพิ่มตัวเลือก auto-connect สำหรับอุปกรณ์ Linux ➡️ ปรับปรุงการจัดการไฟล์ .user ให้แยกเก็บในโฟลเดอร์ .qtcreator/ ✅ การอัปเดตด้านเทคโนโลยี ➡️ อัปเดต Clangd/LLVM เป็นเวอร์ชัน 21.1 ➡️ ปรับปรุง code model ให้รองรับฟีเจอร์ใหม่ของ C++ https://9to5linux.com/qt-creator-18-open-source-ide-released-with-experimental-container-support
    9TO5LINUX.COM
    Qt Creator 18 Open-Source IDE Released with Experimental Container Support - 9to5Linux
    Qt Creator 18 open-source IDE (Integrated Development Environment) is now available for download with various improvements. Here’s what’s new!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จากคลาวด์สู่เหล็กจริง” – บทเรียน 2 ปีหลังย้ายจาก AWS สู่ Bare Metal

    บริษัท OneUptime เผยเบื้องหลังการย้ายจาก AWS สู่ Bare Metal ที่ช่วยประหยัดกว่า 1.2 ล้านดอลลาร์ต่อปี พร้อมเปิดเผยกลยุทธ์และบทเรียนที่นักพัฒนาและองค์กรควรรู้ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐาน

    สองปีหลังจาก OneUptime ตัดสินใจย้ายโครงสร้างพื้นฐานจาก AWS ไปยังเซิร์ฟเวอร์แบบ Bare Metal บริษัทได้เปิดเผยผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง ทั้งด้านความคุ้มค่า ความเสถียร และความสามารถในการควบคุมระบบอย่างเต็มรูปแบบ

    การย้ายครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของการลดค่าใช้จ่าย แต่เป็นการปรับเปลี่ยนแนวคิดการบริหารโครงสร้างพื้นฐาน โดย OneUptime ได้ตอบคำถามจาก Hacker News และ Reddit อย่างตรงไปตรงมา พร้อมเปิดเผยตัวเลขจริงและกลยุทธ์ที่ใช้

    ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ:
    ประหยัดค่าใช้จ่ายจาก AWS ได้กว่า $1.2 ล้านต่อปี เทียบกับเดิมที่ประหยัด $230,000 ต่อปี
    ลด latency ลง 19% ด้วย NVMe และไม่มี “noisy neighbors”
    ใช้ MicroK8s + Ceph ใน production ด้วย uptime 99.993%
    เพิ่ม rack ที่ Frankfurt เพื่อแก้ปัญหา single point of failure
    ใช้ Talos, Tinkerbell, Flux และ Terraform เพื่อจัดการ automation
    ยังคงใช้ AWS สำหรับงานที่ต้องการความยืดหยุ่น เช่น CloudFront และ Glacier

    สรุปเนื้อหาสำคัญ
    ผลลัพธ์หลังย้ายจาก AWS
    ประหยัดค่าใช้จ่ายกว่า $1.2 ล้านต่อปี
    ลด latency ลง 19% ด้วย NVMe
    เพิ่มความเสถียรของระบบด้วย uptime 99.993%
    ขยาย rack ไปยัง Frankfurt เพื่อ redundancy

    กลยุทธ์ด้านเทคนิค
    ใช้ MicroK8s + Ceph ใน production
    เตรียมย้ายไปใช้ Talos เพื่อจัดการ Kubernetes
    ใช้ Tinkerbell PXE boot, Flux และ Terraform สำหรับ automation
    ไม่มีทีม onsite แต่ใช้บริการ remote hands จาก colo provider

    การจัดการต้นทุนและ CapEx
    เซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่: 2× AMD EPYC 9654, 1TB RAM
    วางแผน amortize 5 ปี แต่สามารถใช้งานได้ถึง 7–8 ปี
    มี cold spares และ extended warranty จาก OEM
    สามารถ refresh 40% ของ fleet ทุก 2 ปีโดยยังประหยัดกว่าบิล AWS

    การจัดการความปลอดภัยและ compliance
    ยังคงรักษา SOC 2 Type II และ ISO 27001
    ใช้ Terraform และ Talos config เป็นหลักฐานการเปลี่ยนแปลง
    ใช้รายงานจาก colo provider สำหรับ audit

    การใช้คลาวด์อย่างมีเหตุผล
    ใช้ AWS สำหรับ Glacier, CloudFront และ load testing
    เลือกใช้คลาวด์เมื่อ elasticity สำคัญ
    Bare metal เหมาะกับ workload ที่ steady และ predictable

    คำเตือนสำหรับผู้ที่คิดจะย้าย
    หาก workload มีลักษณะ burst หรือ seasonal ควรอยู่บนคลาวด์
    หากพึ่งพา managed services อย่าง Aurora หรือ Step Functions ควรอยู่บนคลาวด์
    หากไม่มีทีมที่เชี่ยวชาญ Kubernetes, Ceph และ observability อาจไม่เหมาะกับ bare metal
    การย้ายต้องมีการวางแผนด้าน compliance และ audit อย่างรอบคอบ

    https://oneuptime.com/blog/post/2025-10-29-aws-to-bare-metal-two-years-later/view
    🧠💻 “จากคลาวด์สู่เหล็กจริง” – บทเรียน 2 ปีหลังย้ายจาก AWS สู่ Bare Metal บริษัท OneUptime เผยเบื้องหลังการย้ายจาก AWS สู่ Bare Metal ที่ช่วยประหยัดกว่า 1.2 ล้านดอลลาร์ต่อปี พร้อมเปิดเผยกลยุทธ์และบทเรียนที่นักพัฒนาและองค์กรควรรู้ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐาน สองปีหลังจาก OneUptime ตัดสินใจย้ายโครงสร้างพื้นฐานจาก AWS ไปยังเซิร์ฟเวอร์แบบ Bare Metal บริษัทได้เปิดเผยผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง ทั้งด้านความคุ้มค่า ความเสถียร และความสามารถในการควบคุมระบบอย่างเต็มรูปแบบ การย้ายครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของการลดค่าใช้จ่าย แต่เป็นการปรับเปลี่ยนแนวคิดการบริหารโครงสร้างพื้นฐาน โดย OneUptime ได้ตอบคำถามจาก Hacker News และ Reddit อย่างตรงไปตรงมา พร้อมเปิดเผยตัวเลขจริงและกลยุทธ์ที่ใช้ ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ: 🎗️ ประหยัดค่าใช้จ่ายจาก AWS ได้กว่า $1.2 ล้านต่อปี เทียบกับเดิมที่ประหยัด $230,000 ต่อปี 🎗️ ลด latency ลง 19% ด้วย NVMe และไม่มี “noisy neighbors” 🎗️ ใช้ MicroK8s + Ceph ใน production ด้วย uptime 99.993% 🎗️ เพิ่ม rack ที่ Frankfurt เพื่อแก้ปัญหา single point of failure 🎗️ ใช้ Talos, Tinkerbell, Flux และ Terraform เพื่อจัดการ automation 🎗️ ยังคงใช้ AWS สำหรับงานที่ต้องการความยืดหยุ่น เช่น CloudFront และ Glacier 📌 สรุปเนื้อหาสำคัญ ✅ ผลลัพธ์หลังย้ายจาก AWS ➡️ ประหยัดค่าใช้จ่ายกว่า $1.2 ล้านต่อปี ➡️ ลด latency ลง 19% ด้วย NVMe ➡️ เพิ่มความเสถียรของระบบด้วย uptime 99.993% ➡️ ขยาย rack ไปยัง Frankfurt เพื่อ redundancy ✅ กลยุทธ์ด้านเทคนิค ➡️ ใช้ MicroK8s + Ceph ใน production ➡️ เตรียมย้ายไปใช้ Talos เพื่อจัดการ Kubernetes ➡️ ใช้ Tinkerbell PXE boot, Flux และ Terraform สำหรับ automation ➡️ ไม่มีทีม onsite แต่ใช้บริการ remote hands จาก colo provider ✅ การจัดการต้นทุนและ CapEx ➡️ เซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่: 2× AMD EPYC 9654, 1TB RAM ➡️ วางแผน amortize 5 ปี แต่สามารถใช้งานได้ถึง 7–8 ปี ➡️ มี cold spares และ extended warranty จาก OEM ➡️ สามารถ refresh 40% ของ fleet ทุก 2 ปีโดยยังประหยัดกว่าบิล AWS ✅ การจัดการความปลอดภัยและ compliance ➡️ ยังคงรักษา SOC 2 Type II และ ISO 27001 ➡️ ใช้ Terraform และ Talos config เป็นหลักฐานการเปลี่ยนแปลง ➡️ ใช้รายงานจาก colo provider สำหรับ audit ✅ การใช้คลาวด์อย่างมีเหตุผล ➡️ ใช้ AWS สำหรับ Glacier, CloudFront และ load testing ➡️ เลือกใช้คลาวด์เมื่อ elasticity สำคัญ ➡️ Bare metal เหมาะกับ workload ที่ steady และ predictable ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ที่คิดจะย้าย ⛔ หาก workload มีลักษณะ burst หรือ seasonal ควรอยู่บนคลาวด์ ⛔ หากพึ่งพา managed services อย่าง Aurora หรือ Step Functions ควรอยู่บนคลาวด์ ⛔ หากไม่มีทีมที่เชี่ยวชาญ Kubernetes, Ceph และ observability อาจไม่เหมาะกับ bare metal ⛔ การย้ายต้องมีการวางแผนด้าน compliance และ audit อย่างรอบคอบ https://oneuptime.com/blog/post/2025-10-29-aws-to-bare-metal-two-years-later/view
    ONEUPTIME.COM
    AWS to Bare Metal Two Years Later: Answering Your Toughest Questions About Leaving AWS
    Two years after our AWS-to-bare-metal migration, we revisit the numbers, share what changed, and address the biggest questions from Hacker News and Reddit.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 237 มุมมอง 0 รีวิว
  • VSCode ถูกเจาะ! ปลั๊กอินอันตรายขโมยโค้ด-เปิด backdoor
    HelixGuard Threat Intelligence ได้เปิดเผยการโจมตีแบบ supply chain ที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในวงการ IDE โดยพบปลั๊กอินอันตรายกว่า 12 ตัวใน VSCode Marketplace และ OpenVSX ซึ่งบางตัวยังคงออนไลน์อยู่ในขณะค้นพบ

    ปลั๊กอินเหล่านี้ไม่ได้แค่ขโมยโค้ด แต่ยังสามารถ:
    ดึงข้อมูล credential
    จับภาพหน้าจอ
    เปิด remote shell
    สร้าง reverse shell เพื่อควบคุมเครื่องของนักพัฒนา

    ตัวอย่างปลั๊กอินอันตราย:
    Christine-devops1234.scraper: ส่งข้อมูลโค้ดและภาพไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ควบคุมโดยผู้โจมตี
    Kodease.fyp-23-s2-08: ใช้ Ngrok tunnel เพื่อส่งโค้ดที่เลือกไปยัง endpoint อันตราย
    teste123444212.teste123444212: สร้าง reverse shell เชื่อมต่อกับ EC2 instance เพื่อรันคำสั่งจากระยะไกล
    ToToRoManComp.diff-tool-vsc: ใช้ Bash และ Perl สร้าง shell session ไปยัง IP อันตราย
    BX-Dev.Blackstone-DLP: ดึงข้อมูล clipboard และจับภาพหน้าจอส่งไปยัง CloudFront

    ที่น่ากังวลคือปลั๊กอินบางตัวมีความสามารถในการตรวจจับการติดตั้งและหลบเลี่ยงการวิเคราะห์ เช่นการส่ง beacon ไปยัง webhook เพื่อยืนยันการติดตั้ง

    HelixGuard เตือนว่า IDE ที่ถูกเจาะอาจกลายเป็นช่องทางเข้าสู่ระบบภายในองค์กร โดยเฉพาะใน DevOps pipeline และระบบที่ใช้ AI ช่วยเขียนโค้ด

    พบปลั๊กอินอันตรายกว่า 12 ตัวใน VSCode Marketplace และ OpenVSX
    บางตัวยังคงออนไลน์อยู่ในขณะค้นพบ
    ปลั๊กอินสามารถขโมยโค้ด, credential, ภาพหน้าจอ และเปิด remote shell
    ใช้เทคนิค reverse shell ผ่าน Bash, Perl และ JavaScript
    มีการส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ควบคุมโดยผู้โจมตี เช่น AWS EC2, Ngrok, CloudFront
    บางปลั๊กอินมีระบบตรวจจับการติดตั้งและหลบเลี่ยงการวิเคราะห์
    เป็นภัยคุกคามต่อ DevOps pipeline และระบบที่ใช้ AI coding

    นักพัฒนาอาจถูกขโมยโค้ดและข้อมูลสำคัญโดยไม่รู้ตัว
    IDE ที่ถูกเจาะสามารถเป็นช่องทางเข้าสู่ระบบภายในองค์กร
    ปลั๊กอินอันตรายอาจแฝงตัวใน Marketplace อย่างแนบเนียน
    การใช้ปลั๊กอินโดยไม่ตรวจสอบอาจเปิดช่องให้มัลแวร์ควบคุมเครื่อง

    https://securityonline.info/vscode-supply-chain-compromise-12-malicious-extensions-steal-source-code-and-open-remote-shells/
    🧨 VSCode ถูกเจาะ! ปลั๊กอินอันตรายขโมยโค้ด-เปิด backdoor HelixGuard Threat Intelligence ได้เปิดเผยการโจมตีแบบ supply chain ที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในวงการ IDE โดยพบปลั๊กอินอันตรายกว่า 12 ตัวใน VSCode Marketplace และ OpenVSX ซึ่งบางตัวยังคงออนไลน์อยู่ในขณะค้นพบ ปลั๊กอินเหล่านี้ไม่ได้แค่ขโมยโค้ด แต่ยังสามารถ: 💠 ดึงข้อมูล credential 💠 จับภาพหน้าจอ 💠 เปิด remote shell 💠 สร้าง reverse shell เพื่อควบคุมเครื่องของนักพัฒนา ตัวอย่างปลั๊กอินอันตราย: 💠 Christine-devops1234.scraper: ส่งข้อมูลโค้ดและภาพไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ควบคุมโดยผู้โจมตี 💠 Kodease.fyp-23-s2-08: ใช้ Ngrok tunnel เพื่อส่งโค้ดที่เลือกไปยัง endpoint อันตราย 💠 teste123444212.teste123444212: สร้าง reverse shell เชื่อมต่อกับ EC2 instance เพื่อรันคำสั่งจากระยะไกล 💠 ToToRoManComp.diff-tool-vsc: ใช้ Bash และ Perl สร้าง shell session ไปยัง IP อันตราย 💠 BX-Dev.Blackstone-DLP: ดึงข้อมูล clipboard และจับภาพหน้าจอส่งไปยัง CloudFront ที่น่ากังวลคือปลั๊กอินบางตัวมีความสามารถในการตรวจจับการติดตั้งและหลบเลี่ยงการวิเคราะห์ เช่นการส่ง beacon ไปยัง webhook เพื่อยืนยันการติดตั้ง HelixGuard เตือนว่า IDE ที่ถูกเจาะอาจกลายเป็นช่องทางเข้าสู่ระบบภายในองค์กร โดยเฉพาะใน DevOps pipeline และระบบที่ใช้ AI ช่วยเขียนโค้ด ✅ พบปลั๊กอินอันตรายกว่า 12 ตัวใน VSCode Marketplace และ OpenVSX ➡️ บางตัวยังคงออนไลน์อยู่ในขณะค้นพบ ➡️ ปลั๊กอินสามารถขโมยโค้ด, credential, ภาพหน้าจอ และเปิด remote shell ➡️ ใช้เทคนิค reverse shell ผ่าน Bash, Perl และ JavaScript ➡️ มีการส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ควบคุมโดยผู้โจมตี เช่น AWS EC2, Ngrok, CloudFront ➡️ บางปลั๊กอินมีระบบตรวจจับการติดตั้งและหลบเลี่ยงการวิเคราะห์ ➡️ เป็นภัยคุกคามต่อ DevOps pipeline และระบบที่ใช้ AI coding ‼️ นักพัฒนาอาจถูกขโมยโค้ดและข้อมูลสำคัญโดยไม่รู้ตัว ⛔ IDE ที่ถูกเจาะสามารถเป็นช่องทางเข้าสู่ระบบภายในองค์กร ⛔ ปลั๊กอินอันตรายอาจแฝงตัวใน Marketplace อย่างแนบเนียน ⛔ การใช้ปลั๊กอินโดยไม่ตรวจสอบอาจเปิดช่องให้มัลแวร์ควบคุมเครื่อง https://securityonline.info/vscode-supply-chain-compromise-12-malicious-extensions-steal-source-code-and-open-remote-shells/
    SECURITYONLINE.INFO
    VSCode Supply Chain Compromise: 12 Malicious Extensions Steal Source Code and Open Remote Shells
    HelixGuard exposed a VSCode supply chain attack using 12 malicious extensions. They steal source code, capture screenshots, and open reverse shells via Ngrok and AWS EC2 to compromise developers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 166 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวดีสายเกม: “Linux เล่นเกม Windows ได้เกือบ 90% แล้ว! พร้อมรับยุคหลัง Windows 10”

    ในยุคที่ Windows 10 กำลังจะหมดอายุในปี 2025 ผู้ใช้คอมพิวเตอร์จำนวนมากเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ และ Linux กำลังกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับสายเกม ล่าสุดมีรายงานจาก ProtonDB และ Boiling Steam เผยว่า เกือบ 90% ของเกม Windows สามารถเล่นบน Linux ได้แล้ว ด้วยความช่วยเหลือจากเทคโนโลยีอย่าง Proton และ WINE ที่พัฒนาโดย Valve และ CodeWeavers

    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจากความพยายามของชุมชนโอเพ่นซอร์สและการเติบโตของอุปกรณ์อย่าง Steam Deck ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Linux โดยตรง ซึ่งช่วยผลักดันให้เกมเมอร์สามารถเข้าถึงเกม Windows ได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องใช้ระบบปฏิบัติการของ Microsoft

    แม้จะยังมีเกมบางประเภทที่ไม่สามารถเล่นได้ เช่น เกมที่ใช้ระบบป้องกันโกงแบบเข้มงวด แต่แนวโน้มโดยรวมคือเกมใหม่ ๆ มีแนวโน้มรองรับ Linux มากขึ้น และผู้พัฒนาเกมก็เริ่มให้ความสำคัญกับการทดสอบบน Linux ตั้งแต่ต้น

    ความก้าวหน้าของเกม Windows บน Linux
    เกือบ 90% ของเกม Windows สามารถเล่นบน Linux ได้แล้ว
    ใช้ Proton และ WINE เป็นตัวกลางแปลคำสั่ง Windows ให้ Linux เข้าใจ
    Steam Deck ช่วยผลักดันการพัฒนาเกมให้รองรับ Linux มากขึ้น

    การจัดอันดับความเข้ากันได้ของเกม
    Platinum: เล่นได้สมบูรณ์แบบ
    Gold: เล่นได้ดี มีการปรับแต่งเล็กน้อย
    Silver: เล่นได้แต่มีข้อบกพร่อง
    Bronze: อยู่ระหว่างเล่นได้กับเล่นไม่ได้
    Borked: ไม่สามารถเปิดเกมได้เลย

    สถิติจาก ProtonDB และ Boiling Steam
    เกมใหม่มีแนวโน้มได้คะแนน Platinum มากขึ้น
    จำนวนเกมที่ “Borked” ลดลงอย่างต่อเนื่อง
    83% ของเกมยอดนิยมบน Steam ได้คะแนน Platinum หรือ Gold

    Linux กลายเป็นตัวเลือกจริงจังสำหรับเกมเมอร์
    Valve ร่วมมือกับนักพัฒนาเพื่อปรับปรุงความเข้ากันได้
    SteamOS และดิสโทร Linux เช่น Mint, Zorin, Bazzite รองรับเกมได้ดีขึ้น
    การสิ้นสุดของ Windows 10 เป็นแรงผลักดันให้ผู้ใช้หันมาใช้ Linux

    https://www.tomshardware.com/software/linux/nearly-90-percent-of-windows-games-now-run-on-linux-latest-data-shows-as-windows-10-dies-gaming-on-linux-is-more-viable-than-ever
    🎮 ข่าวดีสายเกม: “Linux เล่นเกม Windows ได้เกือบ 90% แล้ว! พร้อมรับยุคหลัง Windows 10” ในยุคที่ Windows 10 กำลังจะหมดอายุในปี 2025 ผู้ใช้คอมพิวเตอร์จำนวนมากเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ และ Linux กำลังกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับสายเกม ล่าสุดมีรายงานจาก ProtonDB และ Boiling Steam เผยว่า เกือบ 90% ของเกม Windows สามารถเล่นบน Linux ได้แล้ว ด้วยความช่วยเหลือจากเทคโนโลยีอย่าง Proton และ WINE ที่พัฒนาโดย Valve และ CodeWeavers การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจากความพยายามของชุมชนโอเพ่นซอร์สและการเติบโตของอุปกรณ์อย่าง Steam Deck ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Linux โดยตรง ซึ่งช่วยผลักดันให้เกมเมอร์สามารถเข้าถึงเกม Windows ได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องใช้ระบบปฏิบัติการของ Microsoft แม้จะยังมีเกมบางประเภทที่ไม่สามารถเล่นได้ เช่น เกมที่ใช้ระบบป้องกันโกงแบบเข้มงวด แต่แนวโน้มโดยรวมคือเกมใหม่ ๆ มีแนวโน้มรองรับ Linux มากขึ้น และผู้พัฒนาเกมก็เริ่มให้ความสำคัญกับการทดสอบบน Linux ตั้งแต่ต้น ✅ ความก้าวหน้าของเกม Windows บน Linux ➡️ เกือบ 90% ของเกม Windows สามารถเล่นบน Linux ได้แล้ว ➡️ ใช้ Proton และ WINE เป็นตัวกลางแปลคำสั่ง Windows ให้ Linux เข้าใจ ➡️ Steam Deck ช่วยผลักดันการพัฒนาเกมให้รองรับ Linux มากขึ้น ✅ การจัดอันดับความเข้ากันได้ของเกม ➡️ Platinum: เล่นได้สมบูรณ์แบบ ➡️ Gold: เล่นได้ดี มีการปรับแต่งเล็กน้อย ➡️ Silver: เล่นได้แต่มีข้อบกพร่อง ➡️ Bronze: อยู่ระหว่างเล่นได้กับเล่นไม่ได้ ➡️ Borked: ไม่สามารถเปิดเกมได้เลย ✅ สถิติจาก ProtonDB และ Boiling Steam ➡️ เกมใหม่มีแนวโน้มได้คะแนน Platinum มากขึ้น ➡️ จำนวนเกมที่ “Borked” ลดลงอย่างต่อเนื่อง ➡️ 83% ของเกมยอดนิยมบน Steam ได้คะแนน Platinum หรือ Gold ✅ Linux กลายเป็นตัวเลือกจริงจังสำหรับเกมเมอร์ ➡️ Valve ร่วมมือกับนักพัฒนาเพื่อปรับปรุงความเข้ากันได้ ➡️ SteamOS และดิสโทร Linux เช่น Mint, Zorin, Bazzite รองรับเกมได้ดีขึ้น ➡️ การสิ้นสุดของ Windows 10 เป็นแรงผลักดันให้ผู้ใช้หันมาใช้ Linux https://www.tomshardware.com/software/linux/nearly-90-percent-of-windows-games-now-run-on-linux-latest-data-shows-as-windows-10-dies-gaming-on-linux-is-more-viable-than-ever
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google แนะนำแนวทาง “Functional Core, Imperative Shell” เพื่อเขียนโค้ดให้สะอาด ทดสอบง่าย และปรับขยายได้

    บทความจาก Google Testing Blog เสนอแนวคิดการแยกโค้ดออกเป็นสองส่วน: Functional Core ที่เป็นฟังก์ชันบริสุทธิ์ (pure functions) และ Imperative Shell ที่จัดการ side effects เช่น I/O, database, หรือ network — เพื่อให้โค้ดมีความสามารถในการทดสอบและดูแลรักษาได้ดีขึ้น.

    แนวคิดหลักจากบทความ

    Functional Core คือส่วนที่ไม่มี side effects
    ประกอบด้วยฟังก์ชันที่รับข้อมูลเข้าและคืนผลลัพธ์โดยไม่เปลี่ยนแปลงสถานะภายนอก
    สามารถทดสอบได้ง่ายและนำกลับมาใช้ซ้ำได้

    Imperative Shell คือส่วนที่จัดการกับโลกภายนอก
    เช่น การส่งอีเมล, อ่านข้อมูลจาก database, หรือเขียนไฟล์
    ใช้ผลลัพธ์จาก Functional Core เพื่อดำเนินการจริง

    ตัวอย่างจากบทความ: การส่งอีเมลแจ้งเตือนผู้ใช้หมดอายุ
    โค้ดเดิมผสม logic กับ side effects ทำให้ทดสอบยาก
    โค้ดใหม่แยก logic ออกมาเป็นฟังก์ชัน getExpiredUsers() และ generateExpiryEmails()
    Shell ใช้ฟังก์ชันเหล่านี้เพื่อส่งอีเมลจริงผ่าน email.bulkSend(...)

    ข้อดีของแนวทางนี้
    ทดสอบง่าย: ไม่ต้อง mock database หรือ network
    ปรับขยายง่าย: เพิ่มฟีเจอร์ใหม่โดยเขียนฟังก์ชันใหม่ใน core
    ดูแลรักษาง่าย

    ตัวอย่างโค้ดเปรียบเทียบ

    ก่อน (ผสม logic กับ side effects):

    function sendUserExpiryEmail() {
    for (const user of db.getUsers()) {
    if (user.subscriptionEndDate > Date.now()) continue;
    if (user.isFreeTrial) continue;
    email.send(user.email, "Your account has expired " + user.name + ".");
    }
    }

    หลัง (แยก core และ shell):

    function getExpiredUsers(users, cutoff) {
    return users.filter(user => user.subscriptionEndDate <= cutoff && !user.isFreeTrial);
    }

    function generateExpiryEmails(users) {
    return users.map(user => [user.email, "Your account has expired " + user.name + "."]);
    }

    email.bulkSend(generateExpiryEmails(getExpiredUsers(db.getUsers(), Date.now())));

    การใช้แนวทาง Functional Core, Imperative Shell ช่วยให้โค้ดมีโครงสร้างที่ชัดเจนและยืดหยุ่น — เหมาะสำหรับทีมที่ต้องการลดความซับซ้อนและเพิ่มคุณภาพในการทดสอบและดูแลระบบในระยะยาว

    สาระเพิ่มเติมจากแนวทาง functional programming
    แนวคิดนี้คล้ายกับ “Hexagonal Architecture” หรือ “Clean Architecture” ที่แยก domain logic ออกจาก infrastructure
    ภาษา functional เช่น Haskell, F#, หรือ Elm ใช้แนวทางนี้เป็นหลัก
    ใน JavaScript/TypeScript ก็สามารถนำไปใช้ได้ โดยใช้ pure functions ร่วมกับ async shell
    ช่วยลดการใช้ mock ใน unit test เพราะ core ไม่ต้องพึ่ง database หรือ network

    https://testing.googleblog.com/2025/10/simplify-your-code-functional-core.html
    🧼🧠 Google แนะนำแนวทาง “Functional Core, Imperative Shell” เพื่อเขียนโค้ดให้สะอาด ทดสอบง่าย และปรับขยายได้ บทความจาก Google Testing Blog เสนอแนวคิดการแยกโค้ดออกเป็นสองส่วน: Functional Core ที่เป็นฟังก์ชันบริสุทธิ์ (pure functions) และ Imperative Shell ที่จัดการ side effects เช่น I/O, database, หรือ network — เพื่อให้โค้ดมีความสามารถในการทดสอบและดูแลรักษาได้ดีขึ้น. ✅ แนวคิดหลักจากบทความ ✅ Functional Core คือส่วนที่ไม่มี side effects ➡️ ประกอบด้วยฟังก์ชันที่รับข้อมูลเข้าและคืนผลลัพธ์โดยไม่เปลี่ยนแปลงสถานะภายนอก ➡️ สามารถทดสอบได้ง่ายและนำกลับมาใช้ซ้ำได้ ✅ Imperative Shell คือส่วนที่จัดการกับโลกภายนอก ➡️ เช่น การส่งอีเมล, อ่านข้อมูลจาก database, หรือเขียนไฟล์ ➡️ ใช้ผลลัพธ์จาก Functional Core เพื่อดำเนินการจริง ✅ ตัวอย่างจากบทความ: การส่งอีเมลแจ้งเตือนผู้ใช้หมดอายุ ➡️ โค้ดเดิมผสม logic กับ side effects ทำให้ทดสอบยาก ➡️ โค้ดใหม่แยก logic ออกมาเป็นฟังก์ชัน getExpiredUsers() และ generateExpiryEmails() ➡️ Shell ใช้ฟังก์ชันเหล่านี้เพื่อส่งอีเมลจริงผ่าน email.bulkSend(...) ✅ ข้อดีของแนวทางนี้ ➡️ ทดสอบง่าย: ไม่ต้อง mock database หรือ network ➡️ ปรับขยายง่าย: เพิ่มฟีเจอร์ใหม่โดยเขียนฟังก์ชันใหม่ใน core ➡️ ดูแลรักษาง่าย 🛠️ ตัวอย่างโค้ดเปรียบเทียบ 🔖 ก่อน (ผสม logic กับ side effects): function sendUserExpiryEmail() { for (const user of db.getUsers()) { if (user.subscriptionEndDate > Date.now()) continue; if (user.isFreeTrial) continue; email.send(user.email, "Your account has expired " + user.name + "."); } } 🔖 หลัง (แยก core และ shell): function getExpiredUsers(users, cutoff) { return users.filter(user => user.subscriptionEndDate <= cutoff && !user.isFreeTrial); } function generateExpiryEmails(users) { return users.map(user => [user.email, "Your account has expired " + user.name + "."]); } email.bulkSend(generateExpiryEmails(getExpiredUsers(db.getUsers(), Date.now()))); การใช้แนวทาง Functional Core, Imperative Shell ช่วยให้โค้ดมีโครงสร้างที่ชัดเจนและยืดหยุ่น — เหมาะสำหรับทีมที่ต้องการลดความซับซ้อนและเพิ่มคุณภาพในการทดสอบและดูแลระบบในระยะยาว ✅ สาระเพิ่มเติมจากแนวทาง functional programming ➡️ แนวคิดนี้คล้ายกับ “Hexagonal Architecture” หรือ “Clean Architecture” ที่แยก domain logic ออกจาก infrastructure ➡️ ภาษา functional เช่น Haskell, F#, หรือ Elm ใช้แนวทางนี้เป็นหลัก ➡️ ใน JavaScript/TypeScript ก็สามารถนำไปใช้ได้ โดยใช้ pure functions ร่วมกับ async shell ➡️ ช่วยลดการใช้ mock ใน unit test เพราะ core ไม่ต้องพึ่ง database หรือ network https://testing.googleblog.com/2025/10/simplify-your-code-functional-core.html
    TESTING.GOOGLEBLOG.COM
    Simplify Your Code: Functional Core, Imperative Shell
    This article was adapted from a Google Tech on the Toilet (TotT) episode. You can download a printer-friendly version of this TotT epis...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 188 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts