• แชร์ลูกโซ่ ...ธุรกิจขายตรง..เส้นบางๆ ของ 2 คำนี้...ในการตีความ...แต่ถ้าคุณเข้าใจ ในสถานการณ์ปัจจุบันของ ธุรกิจขายตรง ย้อนหลังไป 10 ปี...ยอด "ตก" ลง มาต่อเนื่องตลอด..เนื่องจากการกำเนิด ธุรกิจขายตรง มาจากยุค ที่ร้านค้า ไกลบ้าน...ไม่สะดวกที่จะต้องเดินทาง...แต่ปัจจุบัน #ไม่ใช่แล้ว# ตั้งแต่มี plat form online ..สารพัดแอป สารพัดเพจ สารพัดเวป...ที่คุณจะเลือก shop ได้แค่ปลายนิ้ว...ไม่ว่า สินค้าจะอยู่ส่วนไหน่ของโลก.....เช่น มี อาลีบาบา มีอาเมซอน มี e bay และอื่นๆ อีกมากมาย...แอปในไทย ก็หลายตัว ที่จัด Promotion ตลอด...เบือกเปรียบเทียบ สินค้า ราคา ได้แค่เพียงปลายนิ้ว....ตลาด online ในจีน โตกว่า 50 กว่า % ของมูลค่า การขายปลีกทั้งหมด....ในไทย sharing ในส่วน online ยังอยู่แค่ 10 % ของมูลค่าขายปลีกรวม...ซึ่งยังสามารถโตได้อีกมาก.....ดังนั้น...ใครคิดจะขายตรง และเข้าขั้นรวยแบบที่เขาวาดวิมานให้ดู...เลิกเสีย.....เพราะหาเหตุผลที่คน "ส่วนใหญ่" จะซื้อของๆ คุณ ....ไม่เจอ ...ดังเหตุผลข้างต้น
    ...
    ถ้าคุณทราบเรื่องเหล่านี้ วงจรแชร์ลูกโซ่ ที่ผ่านธุรกิจขายตรง...คุณก็จะไม่ตกเป็น "เหยื่อ" ของกลุ่มคน ..บางกลุ่ม..
    แชร์ลูกโซ่ ...ธุรกิจขายตรง..เส้นบางๆ ของ 2 คำนี้...ในการตีความ...แต่ถ้าคุณเข้าใจ ในสถานการณ์ปัจจุบันของ ธุรกิจขายตรง ย้อนหลังไป 10 ปี...ยอด "ตก" ลง มาต่อเนื่องตลอด..เนื่องจากการกำเนิด ธุรกิจขายตรง มาจากยุค ที่ร้านค้า ไกลบ้าน...ไม่สะดวกที่จะต้องเดินทาง...แต่ปัจจุบัน #ไม่ใช่แล้ว# ตั้งแต่มี plat form online ..สารพัดแอป สารพัดเพจ สารพัดเวป...ที่คุณจะเลือก shop ได้แค่ปลายนิ้ว...ไม่ว่า สินค้าจะอยู่ส่วนไหน่ของโลก.....เช่น มี อาลีบาบา มีอาเมซอน มี e bay และอื่นๆ อีกมากมาย...แอปในไทย ก็หลายตัว ที่จัด Promotion ตลอด...เบือกเปรียบเทียบ สินค้า ราคา ได้แค่เพียงปลายนิ้ว....ตลาด online ในจีน โตกว่า 50 กว่า % ของมูลค่า การขายปลีกทั้งหมด....ในไทย sharing ในส่วน online ยังอยู่แค่ 10 % ของมูลค่าขายปลีกรวม...ซึ่งยังสามารถโตได้อีกมาก.....ดังนั้น...ใครคิดจะขายตรง และเข้าขั้นรวยแบบที่เขาวาดวิมานให้ดู...เลิกเสีย.....เพราะหาเหตุผลที่คน "ส่วนใหญ่" จะซื้อของๆ คุณ ....ไม่เจอ ...ดังเหตุผลข้างต้น ... ถ้าคุณทราบเรื่องเหล่านี้ วงจรแชร์ลูกโซ่ ที่ผ่านธุรกิจขายตรง...คุณก็จะไม่ตกเป็น "เหยื่อ" ของกลุ่มคน ..บางกลุ่ม..
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดกองปัญหาเรื้อรัง 10 ปี @กบินทร์บุรี ว่าด้วยการลอบทิ้งกากยิปซัม ...“เขาเอาคนในชุมชนมาเป็นยามที่นี่ (โรงงาน) และให้ยามไปบอกชาวบ้านว่าเป็นการก่อสร้างโรงงานปุ๋ย แล้วก็ให้ชาวบ้านมารับปุ๋ยฟรี โดยที่เอาบัตรประชาชนมายื่น” ชาวบ้านรายหนึ่งเล่าย้อนเหตุการณ์เมื่อ 10 ปีก่อน.นั่นคือช่วงประมาณปี พ.ศ. 2557 โรงงานที่พูดถึงเป็นของบริษัท จีเอ็มไบโอเทค จำกัด เป็นโรงงานผลิตสารปรับปรุงดิน ได้เข้าเริ่มดำเนินกิจการที่ ต.หาดนางแก้ว อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี .ในขณะนั้นมีการประกาศให้ชาวบ้านในพื้นที่เข้ามาขนกากยิปซัมจากโรงงาน ไปใช้สำหรับทำปุ๋ยในการเกษตร ซึ่งมีผู้หลงเชื่อจำนวนไม่น้อยกระทั่งต่อมาจึงเริ่มมีข้อมูลว่า แท้จริงแล้วทางโรงงานได้ลักลอบนำกองยิปซัมมาทิ้งไว้ที่บริเวณ ม.5 ต.ลาดตะเคียน นั้น แต่เมื่อมีการร้องเรียนจากชาวบ้าน จึงได้มีการบอกให้ชาวบ้านสามารถมารับกากยิปซัมไปได้ โดยให้เหตุผลว่ากากยิปซัมเป็นปุ๋ย สามารถฆ่าเชื้อและแบคทีเรียในดิน.เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มีชาวบ้าน ม.5 และพื้นที่ใกล้เคียง จำนวนร่วม 100 คน ที่นำรถไปขนกากยิปซัมจากโรงงานจีเอ็มไบโอเทคฯ เพื่อไปใช้เป็นปุ๋ยในที่ดินของตน ตามที่โรงงานกล่าวอ้าง .“เราเอาไปใส่ที่ไร่มันเรา ไปกระจายออกลำบากมากมันหนัก พอเสร็จปุ๊ปเราปลูกผลผลิต คือปลูกมันเรานี่แหละ มันไม่งาม ต้นมันเราก็เหลือง สุดท้ายก็เน่า” ชาวบ้านถึงเหตุการณ์หลังจากนำกากยิปซัมเข้ามาใช้ทำปุ๋ยในไร่มันปะหลังของตน ดังนั้นจึงไม่มีใครต้องการปุ๋ยจากโรงงานแห่งนี้อีก.แต่กองกากยิปซัมดังกล่าวยังคงกองอยู่ในพื้นที่ยาวนานเป็นเวลาถึง 10 ปีแล้ว โดยมีจำนวนมาก กองสูงเกินกว่ารถสิบล้อ. “เหม็น..!! เวียนหัว แสบคอ ลมพัดแรงๆ เหม็นจนนอนไม่ได้ กลิ่นเหม็นเน่าๆ แสบคันตามผิวหนัง พอเกาก็จะเป็นผื่น” คือคำบรรยายของคนพื้นที่เมื่อถูกถามถึงผลกระทบที่ได้รับตลอด 10 ปีที่ผ่านมา จากการมีกากยิปซัมจำนวนมหาศาลมากองทิ้งไว้ห่างจากบ้านของตนเพียง 100 – 200 เมตร.ไม่เพียงแค่มนุษย์เท่านั้นที่ต้องเผชิญกับผลกระทบจากกองยิปซัมที่โรงงานจีเอ็มไบโอเทคฯ ทิ้งไว้ แม้กระทั่งวัวควายที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ยังได้รับผลกระทบด้วย.ชาวบ้านเล่าว่า ในยามที่ฝนตกชะยิปซัมลงไปในพื้นที่ใกล้เคียง วัวควายเดินไปเหยียบถึงกับเล็บเท้าหลุด.จากข้อมูลที่ทางมูลนิธิบูรณะนิเวศรวบรวมมา พบว่า ยิปซัมอาจแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ 1) ยิปซัมที่เกิดตามธรรมชาติจากการตกตะกอนของทะเลเก่า 2) ยิปซัมที่เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการของอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมการผลิตปุ๋ย กากของเสียจากกระบวนการผลิตกรดมะนาว เป็นต้น .ยิปซัม แม้จะประโยชน์ทางการเกษตร ช่วยแก้ปัญหาดินเค็มได้ แต่ก็มีข้อควรระวังอยู่มาก การใช้ยิปซัมมากเกินไปในการเกษตรอาจทำให้เกิดความไม่สมดุลของดินและปัญหาสิ่งแวดล้อม อาจทำให้มีค่าความเป็นกรดสูง เกิดสภาวะดินเปรี้ยว ดินไม่เหมาะสมกับการทำการเกษตร.ที่สำคัญคือ ควรต้องมีการตรวจสอบปริมาณการปนเปื้อนของสารอันตรายเช่น ปริมาณโลหะหนักก่อนนำไปใช้.นอกจากนี้ ยิปซัมในรูปแบบผงยังเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ และบุคคลอาจมีอาการแพ้หรือมีความไวทางผิวหนังต่อยิปซัม การสัมผัสทางผิวหนังกับผลิตภัณฑ์ยิปซัมเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดโรคผิวหนังอักเสบหรือปัญหาผิวหนังอื่นๆ.ยิปซัมมีปริมาณซัลเฟตสูง การรวมของเสียที่มีปริมาณซัลเฟตสูงกับของเสียที่ย่อยสลายได้จะก่อให้เกิดก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ที่มีพิษสูงและมีกลิ่นเหม็นด้วย เหตุนี้ยิปซัมจึงถูกห้ามไม่ให้นำไปฝังกลบและต้องกำจัดด้วยวิธีที่เหมาะสม ตามประการกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว.การกองกากยิปซัมทิ้งไว้นานเป็นเวลา 10 ปี ของบริษัท จีเอ็มไบโอเทค จำกัด เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามกระบวนการกำจัดของเสียของกระทรวงอุตสาหกรรม และยังสร้างความเดือดร้อนรำคราญแก่ชาวบ้านละแวกใกล้เคียง การใช้วิธียืมมือชาวบ้านหลอกทิ้งกากอุตสาหกรรมที่ผู้ประกอบการเป็นคนผลิตขึ้น เป็นวิธีที่ไร้ความรับผิดชอบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม .อีกแง่หนึ่ง เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนถึงการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเข้ามาแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ชาวบ้านที่เดือดร้อนกลุ่มนี้ เดินทางไปร้องเรียนกับหลายหน่วยงาน เช่น ศูนย์ดำรงธรรม สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี แต่ปัจจุบันยังต้องเผชิญกับความเดือดร้อนจากเรื่องดังกล่าวอยู่ และไม่มีวี่แววจะดีขึ้นเลย......เรื่องและภาพถ่ายโดย เจ้าหน้าที่มูลนิธิบูรณะนิเวศ
    เปิดกองปัญหาเรื้อรัง 10 ปี @กบินทร์บุรี ว่าด้วยการลอบทิ้งกากยิปซัม ...“เขาเอาคนในชุมชนมาเป็นยามที่นี่ (โรงงาน) และให้ยามไปบอกชาวบ้านว่าเป็นการก่อสร้างโรงงานปุ๋ย แล้วก็ให้ชาวบ้านมารับปุ๋ยฟรี โดยที่เอาบัตรประชาชนมายื่น” ชาวบ้านรายหนึ่งเล่าย้อนเหตุการณ์เมื่อ 10 ปีก่อน.นั่นคือช่วงประมาณปี พ.ศ. 2557 โรงงานที่พูดถึงเป็นของบริษัท จีเอ็มไบโอเทค จำกัด เป็นโรงงานผลิตสารปรับปรุงดิน ได้เข้าเริ่มดำเนินกิจการที่ ต.หาดนางแก้ว อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี .ในขณะนั้นมีการประกาศให้ชาวบ้านในพื้นที่เข้ามาขนกากยิปซัมจากโรงงาน ไปใช้สำหรับทำปุ๋ยในการเกษตร ซึ่งมีผู้หลงเชื่อจำนวนไม่น้อยกระทั่งต่อมาจึงเริ่มมีข้อมูลว่า แท้จริงแล้วทางโรงงานได้ลักลอบนำกองยิปซัมมาทิ้งไว้ที่บริเวณ ม.5 ต.ลาดตะเคียน นั้น แต่เมื่อมีการร้องเรียนจากชาวบ้าน จึงได้มีการบอกให้ชาวบ้านสามารถมารับกากยิปซัมไปได้ โดยให้เหตุผลว่ากากยิปซัมเป็นปุ๋ย สามารถฆ่าเชื้อและแบคทีเรียในดิน.เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มีชาวบ้าน ม.5 และพื้นที่ใกล้เคียง จำนวนร่วม 100 คน ที่นำรถไปขนกากยิปซัมจากโรงงานจีเอ็มไบโอเทคฯ เพื่อไปใช้เป็นปุ๋ยในที่ดินของตน ตามที่โรงงานกล่าวอ้าง .“เราเอาไปใส่ที่ไร่มันเรา ไปกระจายออกลำบากมากมันหนัก พอเสร็จปุ๊ปเราปลูกผลผลิต คือปลูกมันเรานี่แหละ มันไม่งาม ต้นมันเราก็เหลือง สุดท้ายก็เน่า” ชาวบ้านถึงเหตุการณ์หลังจากนำกากยิปซัมเข้ามาใช้ทำปุ๋ยในไร่มันปะหลังของตน ดังนั้นจึงไม่มีใครต้องการปุ๋ยจากโรงงานแห่งนี้อีก.แต่กองกากยิปซัมดังกล่าวยังคงกองอยู่ในพื้นที่ยาวนานเป็นเวลาถึง 10 ปีแล้ว โดยมีจำนวนมาก กองสูงเกินกว่ารถสิบล้อ. “เหม็น..!! เวียนหัว แสบคอ ลมพัดแรงๆ เหม็นจนนอนไม่ได้ กลิ่นเหม็นเน่าๆ แสบคันตามผิวหนัง พอเกาก็จะเป็นผื่น” คือคำบรรยายของคนพื้นที่เมื่อถูกถามถึงผลกระทบที่ได้รับตลอด 10 ปีที่ผ่านมา จากการมีกากยิปซัมจำนวนมหาศาลมากองทิ้งไว้ห่างจากบ้านของตนเพียง 100 – 200 เมตร.ไม่เพียงแค่มนุษย์เท่านั้นที่ต้องเผชิญกับผลกระทบจากกองยิปซัมที่โรงงานจีเอ็มไบโอเทคฯ ทิ้งไว้ แม้กระทั่งวัวควายที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ยังได้รับผลกระทบด้วย.ชาวบ้านเล่าว่า ในยามที่ฝนตกชะยิปซัมลงไปในพื้นที่ใกล้เคียง วัวควายเดินไปเหยียบถึงกับเล็บเท้าหลุด.จากข้อมูลที่ทางมูลนิธิบูรณะนิเวศรวบรวมมา พบว่า ยิปซัมอาจแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ 1) ยิปซัมที่เกิดตามธรรมชาติจากการตกตะกอนของทะเลเก่า 2) ยิปซัมที่เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการของอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมการผลิตปุ๋ย กากของเสียจากกระบวนการผลิตกรดมะนาว เป็นต้น .ยิปซัม แม้จะประโยชน์ทางการเกษตร ช่วยแก้ปัญหาดินเค็มได้ แต่ก็มีข้อควรระวังอยู่มาก การใช้ยิปซัมมากเกินไปในการเกษตรอาจทำให้เกิดความไม่สมดุลของดินและปัญหาสิ่งแวดล้อม อาจทำให้มีค่าความเป็นกรดสูง เกิดสภาวะดินเปรี้ยว ดินไม่เหมาะสมกับการทำการเกษตร.ที่สำคัญคือ ควรต้องมีการตรวจสอบปริมาณการปนเปื้อนของสารอันตรายเช่น ปริมาณโลหะหนักก่อนนำไปใช้.นอกจากนี้ ยิปซัมในรูปแบบผงยังเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ และบุคคลอาจมีอาการแพ้หรือมีความไวทางผิวหนังต่อยิปซัม การสัมผัสทางผิวหนังกับผลิตภัณฑ์ยิปซัมเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดโรคผิวหนังอักเสบหรือปัญหาผิวหนังอื่นๆ.ยิปซัมมีปริมาณซัลเฟตสูง การรวมของเสียที่มีปริมาณซัลเฟตสูงกับของเสียที่ย่อยสลายได้จะก่อให้เกิดก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ที่มีพิษสูงและมีกลิ่นเหม็นด้วย เหตุนี้ยิปซัมจึงถูกห้ามไม่ให้นำไปฝังกลบและต้องกำจัดด้วยวิธีที่เหมาะสม ตามประการกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว.การกองกากยิปซัมทิ้งไว้นานเป็นเวลา 10 ปี ของบริษัท จีเอ็มไบโอเทค จำกัด เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามกระบวนการกำจัดของเสียของกระทรวงอุตสาหกรรม และยังสร้างความเดือดร้อนรำคราญแก่ชาวบ้านละแวกใกล้เคียง การใช้วิธียืมมือชาวบ้านหลอกทิ้งกากอุตสาหกรรมที่ผู้ประกอบการเป็นคนผลิตขึ้น เป็นวิธีที่ไร้ความรับผิดชอบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม .อีกแง่หนึ่ง เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนถึงการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเข้ามาแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ชาวบ้านที่เดือดร้อนกลุ่มนี้ เดินทางไปร้องเรียนกับหลายหน่วยงาน เช่น ศูนย์ดำรงธรรม สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี แต่ปัจจุบันยังต้องเผชิญกับความเดือดร้อนจากเรื่องดังกล่าวอยู่ และไม่มีวี่แววจะดีขึ้นเลย......เรื่องและภาพถ่ายโดย เจ้าหน้าที่มูลนิธิบูรณะนิเวศ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 432 มุมมอง 0 รีวิว
  • 10/11/67

    เครื่องช่วยฟังสำหรับผู้สูงวัยที่ดีที่สุดของโลก
    ฟรี ! – รีบไปหาซื้อไอโฟนราคาถูก ๆ สำหรับช่วยผู้สูงวัยในการฟังไม่ต้องเสียเงินค่าซื้อเครื่องช่วยฟังราคาหลายหมื่นบาทซึ่งเจ็บหู ดูแก่ และน่ารำคาญ
    1. วันก่อนเห็นท่านธนินท์ เจียรวนนท์ และลูกชายทั้ง 2 คน คือ คุณสุภกิต เจียรวนนท์ และคุณศุภชัย เจียรวนนท์ไปทางภาคตะวันออกและได้รับมอบพระสมเด็จสายวังจากท่านอาจารย์บำเพ็ญก็มีความยินดีเพราะไม่ได้พบกันมานานแต่สังเกตเห็นว่าท่านธนินท์ เจียรวนนท์ ใส่เครื่อง AirPods (แอร์พอด) ติดกับหูก็แปลกใจว่าท่านไปงานมีผู้คนมากมายถึงจะติดเพลงอย่างไร ก็ย่อมรักษามารยาทไม่ไปฟังเพลงกลางงานเป็นแน่จึงสงสัยว่าอาจจะเป็นการใช้ในลักษณะเครื่องช่วยฟัง จึงให้ลูกชายไปค้นคว้าเรื่องนี้
    2. จ๊ะเอ๋....พบความจริงว่าโทรศัพท์ไอโฟนมีโปรแกรมหนึ่งสำหรับเป็นเครื่องช่วยฟังผ่าน AirPods (แอร์พอด) สามารถปรับเสียงและกรองเสียงทั้งหลายทำให้ฟังชัดเจนมาก และไม่ต้องเสียเวลาเปลี่ยนแบตเตอรี่บ่อยเหมือนเครื่องช่วยฟังธรรมดา หูไม่อื้อ ไม่เจ็บหู ฟังชัดแจ๋วแหว๋ว เมื่อใส่แล้วดูเท่ เป็นวัยรุ่น
    ปรากฏว่าโปรแกรมนี้ติดตั้งในไอโฟน ซึ่งที่บ้านมีไอโฟนที่ไม่ใช้แล้วเอามาปัดฝุ่นใช้ และไปหา AirPods (แอร์พอด) รุ่นใหม่ทันสมัยสวยหรู ดูเท่เป็นวัยรุ่น มาใช้สบายใจไปเลย
    ดังนั้นใครมี ญาติ พี่น้อง ปู่ย่า ตายาย ที่มีปัญหาการฟังเสียงก็รีบไปหา โปรแกรมนี้มาใช้ได้เลย ใครสงสัยก็ถามผู้ช่วยผมได้ โทร. 095 228 9924 (ไตเติ้ล)

    ไพศาล พืชมงคล


    ################

    เข้า iPhone ที่เมนู Setting แล้วเข้าไปที่ control center จากนั้นให้หาเมนู Hearing กดเครื่องหมายบวกแล้วออกจากหน้าจอนั้น

    จากนั้นเข้ามาที่หน้าแรกแล้ว ใช้นิ้วลากลงทางหน้าจอด้านขวา คลิกเลือกไอคอนที่เป็นรูปใบหู แล้วเลือก Live listening ครับ

    อย่าลืมเชื่อมบลูทูธระหว่าง iPhone กับ AirPods ก่อนด้วยนะครับ

    @@@@@@

    https://support.google.com/accessibility/android/answer/9157755?hl=th
    10/11/67 เครื่องช่วยฟังสำหรับผู้สูงวัยที่ดีที่สุดของโลก ฟรี ! – รีบไปหาซื้อไอโฟนราคาถูก ๆ สำหรับช่วยผู้สูงวัยในการฟังไม่ต้องเสียเงินค่าซื้อเครื่องช่วยฟังราคาหลายหมื่นบาทซึ่งเจ็บหู ดูแก่ และน่ารำคาญ 1. วันก่อนเห็นท่านธนินท์ เจียรวนนท์ และลูกชายทั้ง 2 คน คือ คุณสุภกิต เจียรวนนท์ และคุณศุภชัย เจียรวนนท์ไปทางภาคตะวันออกและได้รับมอบพระสมเด็จสายวังจากท่านอาจารย์บำเพ็ญก็มีความยินดีเพราะไม่ได้พบกันมานานแต่สังเกตเห็นว่าท่านธนินท์ เจียรวนนท์ ใส่เครื่อง AirPods (แอร์พอด) ติดกับหูก็แปลกใจว่าท่านไปงานมีผู้คนมากมายถึงจะติดเพลงอย่างไร ก็ย่อมรักษามารยาทไม่ไปฟังเพลงกลางงานเป็นแน่จึงสงสัยว่าอาจจะเป็นการใช้ในลักษณะเครื่องช่วยฟัง จึงให้ลูกชายไปค้นคว้าเรื่องนี้ 2. จ๊ะเอ๋....พบความจริงว่าโทรศัพท์ไอโฟนมีโปรแกรมหนึ่งสำหรับเป็นเครื่องช่วยฟังผ่าน AirPods (แอร์พอด) สามารถปรับเสียงและกรองเสียงทั้งหลายทำให้ฟังชัดเจนมาก และไม่ต้องเสียเวลาเปลี่ยนแบตเตอรี่บ่อยเหมือนเครื่องช่วยฟังธรรมดา หูไม่อื้อ ไม่เจ็บหู ฟังชัดแจ๋วแหว๋ว เมื่อใส่แล้วดูเท่ เป็นวัยรุ่น ปรากฏว่าโปรแกรมนี้ติดตั้งในไอโฟน ซึ่งที่บ้านมีไอโฟนที่ไม่ใช้แล้วเอามาปัดฝุ่นใช้ และไปหา AirPods (แอร์พอด) รุ่นใหม่ทันสมัยสวยหรู ดูเท่เป็นวัยรุ่น มาใช้สบายใจไปเลย ดังนั้นใครมี ญาติ พี่น้อง ปู่ย่า ตายาย ที่มีปัญหาการฟังเสียงก็รีบไปหา โปรแกรมนี้มาใช้ได้เลย ใครสงสัยก็ถามผู้ช่วยผมได้ โทร. 095 228 9924 (ไตเติ้ล) ไพศาล พืชมงคล ################ เข้า iPhone ที่เมนู Setting แล้วเข้าไปที่ control center จากนั้นให้หาเมนู Hearing กดเครื่องหมายบวกแล้วออกจากหน้าจอนั้น จากนั้นเข้ามาที่หน้าแรกแล้ว ใช้นิ้วลากลงทางหน้าจอด้านขวา คลิกเลือกไอคอนที่เป็นรูปใบหู แล้วเลือก Live listening ครับ อย่าลืมเชื่อมบลูทูธระหว่าง iPhone กับ AirPods ก่อนด้วยนะครับ @@@@@@ https://support.google.com/accessibility/android/answer/9157755?hl=th
    โปรแกรมขยายเสียง: ขยายเสียงพูดโดยรอบและเสียงในอุปกรณ์ - การช่วยเหลือพิเศษของ Android ความช่วยเหลือ
    คุณใช้โปรแกรมขยายเสียงกับหูฟังแบบมีสายหรือบลูทูธเพื่อกรอง เพิ่มคุณภาพ และขยายเสียงในสภาพแวดล้อมหรือในอุปกรณ์ Android ได้ ดาวน์โหลดและเปิดโปรแกรมขยายเสียง ดาวน์โหลดโปรแกรมขยายเสียงจาก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 423 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์ทัศนะของ วีระ ธีรภัทร จากเพจเฟซบุ๊ก สำนักพิมพ์โรนิน 25 สิงหาคม 2567

    “ คอลัมน์ ปากท้องชาวบ้าน

    ไม่มีอะไรจะเละไปกว่านี้(แล้ว)

    แม้ว่าผมจะไม่ห่วงเรื่องอุทกภัยที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือในขณะนี้ก็ตาม

    แต่ก็อดคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในปี ๒๕๕๔ ไม่ได้

    หลังการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคมในปีนั้น พรรคเพื่อไทยเอาชนะพรรคประชาธิปัตย์แบบถล่มทลายสามารถจัดตั้งรัฐบาลโดยมีคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีได้สำเร็จ

    อุทกภัยน้ำท่วมใหญ่ตามมาพร้อมกับการเป็นรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั่นเลยกลายเป็นบททดสอบความสามารถในการบริหารจัดการของรัฐบาลใหม่แบบชนิดไม่ทันได้ตั้งตัว

    ผลเป็นไงคงพอจำกันได้

    บัดนี้เราได้รัฐบาลใหม่ มีคุณแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แม้ว่าในขณะนี้ยังยุ่งขิงอยู่กับการสรรหาบุคคลมาเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลไม่เสร็จ (อันนี้เละเทะมาก) ยังไม่สามารถเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินและปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มรูปแบบ

    แต่น้ำเหนือก็หลากมาแล้ว แม้จะไม่น่ากลัวสำหรับคนกรุงเทพและปริมณฑลเหมือนกับเมื่อสิบสามปีก่อนหน้านี้ก็ตามที

    อะไรมันจะซ้ำซากกันได้ถึงขนาดนี้

    แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นข้อใหญ่ในความของเรื่องที่ผมจะคุยอะไรให้ฟังวันนี้ ครับ

    ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมามีอะไรต่อมิอะไรเกิดขึ้นมากมาย หลายเรื่องไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ถึงขนาดนั้น แม้ผมจะพอเข้าใจต้นสายปลายเหตุพอสมควร

    ผมเลยอยากจะเล่าอะไรต่อมิอะไรให้คุณฟังแบบเพลินๆ เท่าที่จะคิดได้เป็นสำคัญ

    แน่นอนล่ะครับว่ารายการ Vision For Thailand ในช่วงหัวค่ำของคืนวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ สิงหาคมที่คุณทักษิณ ชินวัตร ไปแสดงวิสัยทัศน์ท่ามกลางคนมีอำนาจในแวดวงการเมืองและธุรกิจภาคเอกชนจำนวนมากนั้น ย่อมอยู่ในความสนใจของผู้คน จนลืมกันไปหมดว่าวันดังกล่าวตรงกับวันครบรอบหนึ่งปีของการเดินทางกลับประเทศไทยของคุณทักษิณ

    ความเป็นคุณทักษิณ ความเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทย และด้วยอำนาจวาสนาบารมีที่สะสมมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน แม้จะพร่องไปบ้างในช่วงสิบห้าปีที่ลี้ภัยทางการเมืองในต่างแดน

    สิ่งที่คุณทักษิณคิดจึงมองข้ามไม่ได้

    ทักษิณคิดเพื่อไทยทำอย่างที่รู้ๆ กัน

    ผมและคนอื่นๆ อีกไม่น้อยจึงเสียยอมเวลาฟังสิ่งที่คุณทักษิณคิดและอยากให้เกิดกับสังคมไทยในอนาคตตลอดหนึ่งชั่วโมงเศษที่แกคุยอยู่คนเดียวด้วยความตั้งอกตั้งใจ

    สำหรับผมสิ่งที่คุณทักษิณคิดออกมาดังๆ ไม่ใช่เรื่องใหม่เป็นประเด็นปัญหาที่เราพอรู้พอทราบกันอยู่ แต่ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ว่าสิ่งที่คุณทักษิณ รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะเอาไปทำหรืออย่างน้อยก็เอาไปคิดต่อว่าจะทำต่อไปเป็นประเด็นที่น่าสนใจมากเป็นพิเศษ

    ตรงนี้จึงมีความหมายมากกว่าการแสดงความคิดเห็นของคนทั่วไป

    แม้ว่าข้อเสนอจำนวนมากเป็นเรื่องที่ผมพอทราบมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง โครงการดิจิทัลวอลเลต การชี้นำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยลดดอกเบี้ยและเพิ่มการให้สินเชื่อเพื่อเป็นการเติมสภาพคล่องให้กับภาคเศรษฐกิจ โครงการแลนด์บริดจ์ โครงการค่าโดยสารรถไฟฟ้า ๒๐ บาทตลอดสาย โครงการเอ็นเทอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ กองทุนวายุภักษ์ ฯลฯ ล้วนเป็นประเด็นที่จะต้องมีการตัดสินใจและขับเคลื่อนกันต่อไปในรัฐบาลของคุณแพทองธาร ชินวัตร ต่อไป

    นี่จึงเป็นข้อเสนอคำแนะนำที่ไม่ธรรมดาเพราะสามารถจะกลายเป็นนโยบายของรัฐบาลได้อย่างแยบคาย

    ผมจะไม่วิพากษ์วิจารณ์อะไรในเรื่องที่ว่าในตอนนี้ อยากจะรอดูก่อนว่าข้อเสนอดังกล่าวจะกลายเป็นนโยบายและมาตรการของรัฐบาลคุณแพทองธารในเนื้อหารายละเอียดอย่างไรให้ชัดเจนเสียก่อน

    แถมอันที่จริงแล้วในช่วงนี้ต้องบอกว่า ผมอยู่ในช่วงที่ผ่อนคลายมากมีเวลาเหลือมากขึ้น แถมได้ทำสิ่งที่ไม่ได้ทำมานานมากแล้วอีกต่างหาก

    ลำดับแรกเลย งานในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.๒๕๖๘ ซึ่งผมต้องไปประชุมรวมกันถึง ๔๐ ครั้งตลอดระยะเวลาสองเดือนเต็มๆ ที่ผ่านมา (นับหนึ่งวันจันทร์ที่ ๒๔ มิถุนายน) ถือว่าจบสิ้นแล้วในแง่ของกระบวนการพิจารณา แม้ยังไม่จบเสียทีเดียวเพราะต้องมีพิธีกรรมอีกเล็กน้อยในสัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้า

    วันพุธที่ ๒๘ สิงหาคมจะเป็นการประชุมครั้งที่ ๔๑ ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของกรรมาธิการเพื่อตรวจทานและลงมติรับร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.๒๕๖๘ ว่าจะเอาแบบไหน? อย่างไร? โดยมีกรรมาธิการและสส.จำนวนไม่น้อย ได้สงวนความเห็นและขอแปรญัตติเพื่อจะไปอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร ก่อนที่จะมีการลงมติให้ความเห็นชอบในวาระที่ ๒ และ ๓ ในช่วงวันที่ ๓-๕ กันยายนที่จะถึงนี้

    อันนี้น่าสนใจติดตามฟังกันครับ

    งานที่ว่านี้ดำเนินไปโดยยังไม่มีรัฐบาลใหม่ มีแต่เพียงนายกรัฐมนตรีที่ยังไม่สามารถเข้าปฏิบัติหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินได้

    นี่ต้องบอกว่าเป็นเรื่องแปลก แม้ผมจะเข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นก็ตามที

    ลำดับถัดมา ผมไปร่วมรายการ BOT Press Trip 2024 ที่โรงแรม Andaz แถวหาดจอมเทียน จังหวัดชลบุรี แม้จะห่างเหินจากการไปร่วมงานในฐานะสื่อมวลชนกับธนาคารแห่งประเทศไทยแบบนี้มานานมากแล้ว แต่ที่ผมอยากไปก็เพราะว่างานนี้มีประเด็นที่ผมอยากสอบถามให้แน่ใจว่าอะไรเป็นอะไรจากปากของผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นโอกาสดีมากเพราะว่าไปกันครบถ้วนเกือบทั้งหมด เหมือนเราไปเดินห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อของที่ต้องการได้ทั้งหมดในสถานที่เพียงแห่งเดียว

    ผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย นำโดยคุณเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ปีหน้าครบวาระห้าปีเป็นต่อไม่ได้) พร้อมกับรองผู้ว่าการและผู้ช่วยผู้ว่าการ ๑๑ คนโดยไม่รวมระดับผู้บริหารระดับปฏิบัติการในฝ่ายต่างๆ ที่มากันเป็นกองทัพ

    อะไรที่ผมสงสัยไม่แน่ใจในเรื่องนโยบายการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยบริหารจัดการอยู่ในเวลานี้ จึงถือโอกาสไปร่วมงานนี้ สอบถามพูดคุยกับคนที่ดูแลนโยบายและคนที่ลงมือปฏิบัติการจริงเพื่อให้เกิดความชัดเจนและได้ข้อมูลที่ต้องการครบถ้วน

    เอาเป็นว่าเรื่องระหว่างรัฐบาล กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เคยปีนเกลียวกันในช่วงรัฐบาลคุณเศรษฐา ทวีสิน ที่ผ่านมาและที่อาจจะมีการปะทะปะทั่งกันในช่วงรัฐบาลคุณแพทองธาร ชินวัตร ในอนาคตอันใกล้นี้

    ผมพอเข้าใจต้นสายปลายเหตุแล้ว

    เรื่องหลายเรื่องที่รัฐบาลอยากทำแล้วทำไม่ได้ เรื่องหลายเรื่องที่ถกเถียงกันระหว่างรัฐบาลกับธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าควรทำแบบไหนไม่ควรทำแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นโครงการดิจิตอลวอลเลต การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโบบาย ฯลฯ

    การได้พูดคุยกับคนที่เกี่ยวข้องโดยตรง ทำให้ผมพอปะติดปะต่อภาพได้เกือบครบถ้วนตามที่ต้องการแล้ว

    จะเอาไปทำอะไรต่อที่ไหน? อย่างไร? และเมื่อไหร่? เดี๋ยวค่อยมาว่ากันครับ

    ผมยังมีเรื่องอยากจะเล่าให้ฟังเพิ่มเติมแบบลงรายละเอียดสักหน่อย เพื่อบันทึกเป็นข้อมูลเอาไว้ตรงนี้เพื่อให้คุณๆ ได้ติดตามความเป็นไปของสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจการเงินการคลังได้อย่างครบถ้วนอยู่เรื่องหนึ่งที่สำคัญและจำเป็นควรรู้ควรทราบอย่างยิ่ง

    เรื่องของเรื่องก็คือในช่วงสุดท้ายของการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.๒๕๖๘ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางรัฐบาลโดยสำนักงบประมาณได้เสนอขอเปลี่ยนแปลงรายการจัดสรรเงินงบประมาณให้กับรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินของรัฐ ๕ แห่งเป็นเงินรวมกัน ๓๕,๐๐๐ ล้านบาท

    รายการที่ว่านั้นเป็นการตั้งงบประมาณชำระคืนเงินต้นและชดเชยดอกเบี้ยที่ให้หน่วยงานของรัฐออกเงินไปให้ก่อนตามมาตรา ๒๘ ของพรบ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ แต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยโอนย้ายไปเป็นรายการในงบกลางแทน โดยระบุว่าเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข็มแข็งของเศรษฐกิจ (อันนี้เป็นชื่อของโครงการดิจิตอลวอลเลตที่รัฐบาลจะทำในเอกสารงบประมาณ) เพิ่มเติมจากที่มีอยู่แล้ว ๑๕๒,๗๐๐ ล้านบาท

    นั่นเลยทำให้ค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการดิจิตอลวอลเลตในปีงบประมาณรายจ่ายปี ๒๕๖๘ เพิ่มเป็น ๑๘๗,๗๐๐ ล้านบาทเรียบร้อยแล้ว แต่จะหาจากไหนสำหรับส่วนที่เหลืออีก ๙๗,๓๐๐ ล้านบาทเพื่อให้ครบ ๒๘๕,๐๐๐ ล้านบาท

    อันนี้น่าสนใจ

    ผมอยากให้ข้อมูลตรงนี้เพิ่มเติมว่า การเปลี่ยนแปลงโอนย้ายรายจ่ายที่จะจัดสรรให้รัฐวิหาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินของรัฐ ๕ แห่งที่ว่าไปไว้ที่อื่นนั้น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรดูเหมือนจะเจอหนักกว่าใครเพื่อน เพราะเงินที่คาดว่าจะได้รับการชำระคืนเงินต้นและชดเชยดอกเบี้ยที่ธ.ก.ส.แบกรับภาระอยู่ประมาณ ๓๑,๒๐๐ ล้านบาท (จากยอดทั้งหมดประมาณ ๗๐๐,๐๐๐ ล้านบาท) จะถูกเลื่อนออกไป

    แบบนี้อธิบายแบบชาวบ้านก็คือรัฐบาลขอต๊ะหนี้ที่มีกับธ.ก.ส.ไว้ก่อน ส่วนจะชำระคืนเงินต้นและชดเชยดอกเบี้ยให้เมื่อไหร่? ค่อยไปว่ากันในอนาคต

    เรื่องนี้ผมคัดค้านอย่างเต็มที่ตอนที่ถกเถียงกันในที่ประชุมของคณะกรรมาธิการฯ

    แต่เมื่อเสียงข้างมากของกรรมาธิการวิสามัญฯ โดยเฉพาะกรรมาธิการที่มาในสัดส่วนของคณะรัฐมนตรีและพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลได้ลงมติให้เป็นไปตามนั้น ผมจึงกลายเป็นกรรมาธิการเสียงข้างน้อยในกรณีนี้

    แม้ว่าเรื่องนี้ยังไม่จบจะต้องไปว่ากันต่อในที่ประชุมวาระที่ ๒ และ ๓ เพื่อให้สส.ลงมติให้ความเห็นชอบสุดท้ายก็ตามที

    แต่เรื่องนี้บอกเราได้อย่างหนึ่งว่าโครงการดิจิตอลวอลเลตยังเดินหน้าเต็มตัว แม้จะปรับเปลี่ยนไปเป็นการจ่ายเงินสดให้กลุ่มเปราะบางไปก่อนในเฟสแรกหรือระลอกแรก (หลักๆ คือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีรายได้น้อย) ทั้งเพื่อให้ทันใช้เงินให้หมดภายในปีงบประมาณรายจ่ายปี ๒๕๖๗ ซึ่งจะสิ้นสุดภายในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้

    ส่วนจะเป็นเท่าไหร่กันแน่ระหว่างวงเงิน ๑๔๕,๐๐๐ หรือ ๑๖๕,๐๐๐ ล้านบาทนั้นคงต้องรอรัฐบาลแถลงนโยบายรัฐสภาต่อไปถึงจะชัดเจน

    พายุหมุนทางเศรษฐกิจที่พูดๆ กันก่อนหน้านี้คงไม่ใช่แล้วสำหรับตอนนี้

    แต่ก็อย่างที่บอกมาโดยตลอดแหละครับว่า ผมจะไม่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งนานเกินความจำเป็น

    แม้จะมีเรื่องอะไรต่อมิอะไรมากมายอย่างที่ว่าก็จริง แต่ผมก็แบ่งเวลาเพื่อทำงานที่ผมชอบอยู่เสมอ โชคดีว่าเมื่อวันศุกร์ก่อนที่จะเดินทางมาหาดจอมเทียน เพื่อร่วมงานกับธนาคารแห่งประเทศไทย ทางสำนักพิมพ์โรนินได้ส่งต้นฉบับหนังสือสองเล่มมาให้ผมตรวจทานรอบสุดท้าย

    เที่ยวเขมรฉบับพกพา และ ส่องภาพเขียนที่รัสเซีย

    ผมก็เลยเพลิดเพลินกับการอ่านหนังสือเล่มตัวอย่างก่อนที่จะส่งไปให้สำนักพิมพ์ไปจัดการให้ทางโรงพิมพ์ดำเนินการพิมพ์เพื่อจำหน่ายจ่ายแจกต่ออีกทอดในอนาคต

    แต่ที่น่ายินดีเป็นที่สุดก็คือเมื่อจบการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณปีพ.ศ.๒๕๖๘ ในช่วงต้นเดือนกันยายน (วันที่ ๓-๕ กันยายน) ก็ได้เวลาที่ผมจะไปพักผ่อนปลีกวิเวกเป็นการชั่วคราวที่ญี่ปุ่น (ดูภาพเขียน-ออนเซน) พร้อมกับวางแผนเดินทางไปรัสเซีย (ดูภาพเขียนกับเที่ยวชมเมือง) ในช่วงต้นเดือนตุลาคม และเตรียมการจะไปเที่ยวเขมรนครวัด-นครธมในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้ไปพร้อมกันด้วย

    พ้นจากนั้นจะไปทำอะไรที่ไหนค่อยว่ากันใหม่

    เมื่อมองย้อนกลับไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี ๒๕๖๗ มาจนถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าปีนี้เป็นปีที่ดีอีกปีหนึ่งของผม ได้ทำอะไรเยอะแยะไปหมด สะสางงานเก่าเริ่มงานใหม่และก้าวเข้าไปในพรมแดนใหม่ที่ไม่เคยคิดว่าจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอีกต่างหาก

    แม้ว่าบ้านเมืองของเรายามนี้ จะไม่มีอะไรให้เละมากไปกว่านี้ได้แล้วก็ตามที

    การเจริญอุเบกขาธรรมจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดครับ


    ป.ล. เรื่องการฟอร์มคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลคุณแพทองธาร ชินวัตร นี่ต้องบอกว่าไม่ง่ายเลยครับ งานนี้เราต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติของการเมืองไทย อย่าเพิ่งรำคาญอย่าไปหงุดหงิด แม้จะดูแล้วเละตุ้มเป๊ะได้ถึงขนาดนี้ พรรคพลังประชารัฐกับพรรคประชาธิปัตย์จะพาตัวเองให้รอดจากสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความขัดแย้งรุนแรงในภายพรรคในเวลานี้ เพราะประเด็นการร่วมรัฐบาลของพรรคและการเป็นรัฐมนตรีของผู้บริหารของพรรคได้อย่างไร คงจะมีคำตอบภายในเร็ววันนี้

    การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐในช่วงวันที่ ๑๗-๑๘ กันยายนที่จะถึงนี้ ถ้าหากฟังจากที่นายเจอโรม พาวเวล (Jerome Powell) ประธานธนาคารกลางไปพูดที่เมืองตากอากาศแจคสันโฮล ในรัฐไวโอมิงว่าถึงเวลาต้องปรับนโยบายการเงินด้วยการลดดอกเบี้ยนโยบายได้แล้ว เพราะหมดห่วงเรื่องเงินเฟ้อแล้ว แต่มาห่วงเรื่องการว่างงานแทนจึงทำให้ต้องลดดอกเบี้ย นั่นก็หมายความว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐที่กำหนดไว้ร้อยละ ๕.๒๕-๕.๕๐ ในปัจจุบันจะเริ่มแล้วตั้งแต่เดือนกันยายนนี้เป็นต้นไป จะลดมากน้อยลดเร็วช้าแค่ไหนไม่สำคัญเท่ากับทิศทางของดอกเบี้ยมีแนวโน้มเป็นขาลงอย่างชัดเจน

    ค่าเงิน หุ้น และอะไรที่ผูกโยงกับนโยบายการเงินของสหรัฐคงต้องปรับตัวตามไปด้วย

    สำหรับบ้านเราอัตราดอกเบี้ยนโยบายซึ่งในปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ ๒.๕๐ นั้น เท่าที่ฟังจากเกณฑ์ในการตัดสินเรื่องนี้จากผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นกรรมการเสียงข้างน้อยในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่เจอกันสุดสัปดาห์นี้ คิดว่าคงยังไม่ถึงเวลาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครับ

    งานนี้คงต้องมีเรื่องมีราวเรื่องลดไม่ลดดอกเบี้ยระหว่างรัฐบาลคุณแพทองธาร ชินวัตร กับธนาคารแห่งประเทศไทยไปอีกสักระยะหนึ่งครับ

    บันทึกเอาไว้กันลืมว่าเดือนสิงหาคม มีผู้นำสามประเทศในเอเชียต้องเผชิญชะตากรรมที่ทำให้พ้นจากตำแหน่งแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นบังกลาเทศ (เหมือน ๑๔ ตุลาคมปี ๒๕๑๖ ในบ้านเรา) ไทย (คงไม่ต้องบอกอะไรเพิ่มเติม) และญี่ปุ่น ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีฟูมิโอ คิชิดะ (Fumio Kishida) ได้ประกาศวางมือลงจากตำแหน่ง ส่วนกระบวนการคัดเลือกคนมาเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของเขาน่าสนใจครับ ถ้ามีเวลาจะหาโอกาสมาคุยให้ฟัง

    ขอจบลงตรงนี้ด้วยการแจ้งให้ทราบว่าพรบ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณพ.ศ๒๕๖๗ วงเงิน ๑๒๒,๐๐๐ ล้านบาทมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ ๒๓ สิงหาคม หลังจากได้นำประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาในวันที่ ๒๒ สิงหาคมที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    ใครที่รอแจกเงินสดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

    แต่ไม่ใช่โครงการดิจิตอลเลตเตรียมรับได้เลย


    วีระ ธีรภัทร
    วันอาทิตย์ที่ ๒๕ สิงหาคม 2567”

    ที่มา https://www.facebook.com/share/p/ZPvoLGVkV5QkhJNR/?mibextid=CTbP7E

    Thaitimes
    รีโพสต์ทัศนะของ วีระ ธีรภัทร จากเพจเฟซบุ๊ก สำนักพิมพ์โรนิน 25 สิงหาคม 2567 “ คอลัมน์ ปากท้องชาวบ้าน ไม่มีอะไรจะเละไปกว่านี้(แล้ว) แม้ว่าผมจะไม่ห่วงเรื่องอุทกภัยที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือในขณะนี้ก็ตาม แต่ก็อดคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในปี ๒๕๕๔ ไม่ได้ หลังการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคมในปีนั้น พรรคเพื่อไทยเอาชนะพรรคประชาธิปัตย์แบบถล่มทลายสามารถจัดตั้งรัฐบาลโดยมีคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีได้สำเร็จ อุทกภัยน้ำท่วมใหญ่ตามมาพร้อมกับการเป็นรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั่นเลยกลายเป็นบททดสอบความสามารถในการบริหารจัดการของรัฐบาลใหม่แบบชนิดไม่ทันได้ตั้งตัว ผลเป็นไงคงพอจำกันได้ บัดนี้เราได้รัฐบาลใหม่ มีคุณแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แม้ว่าในขณะนี้ยังยุ่งขิงอยู่กับการสรรหาบุคคลมาเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลไม่เสร็จ (อันนี้เละเทะมาก) ยังไม่สามารถเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินและปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มรูปแบบ แต่น้ำเหนือก็หลากมาแล้ว แม้จะไม่น่ากลัวสำหรับคนกรุงเทพและปริมณฑลเหมือนกับเมื่อสิบสามปีก่อนหน้านี้ก็ตามที อะไรมันจะซ้ำซากกันได้ถึงขนาดนี้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นข้อใหญ่ในความของเรื่องที่ผมจะคุยอะไรให้ฟังวันนี้ ครับ ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมามีอะไรต่อมิอะไรเกิดขึ้นมากมาย หลายเรื่องไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ถึงขนาดนั้น แม้ผมจะพอเข้าใจต้นสายปลายเหตุพอสมควร ผมเลยอยากจะเล่าอะไรต่อมิอะไรให้คุณฟังแบบเพลินๆ เท่าที่จะคิดได้เป็นสำคัญ แน่นอนล่ะครับว่ารายการ Vision For Thailand ในช่วงหัวค่ำของคืนวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ สิงหาคมที่คุณทักษิณ ชินวัตร ไปแสดงวิสัยทัศน์ท่ามกลางคนมีอำนาจในแวดวงการเมืองและธุรกิจภาคเอกชนจำนวนมากนั้น ย่อมอยู่ในความสนใจของผู้คน จนลืมกันไปหมดว่าวันดังกล่าวตรงกับวันครบรอบหนึ่งปีของการเดินทางกลับประเทศไทยของคุณทักษิณ ความเป็นคุณทักษิณ ความเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทย และด้วยอำนาจวาสนาบารมีที่สะสมมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน แม้จะพร่องไปบ้างในช่วงสิบห้าปีที่ลี้ภัยทางการเมืองในต่างแดน สิ่งที่คุณทักษิณคิดจึงมองข้ามไม่ได้ ทักษิณคิดเพื่อไทยทำอย่างที่รู้ๆ กัน ผมและคนอื่นๆ อีกไม่น้อยจึงเสียยอมเวลาฟังสิ่งที่คุณทักษิณคิดและอยากให้เกิดกับสังคมไทยในอนาคตตลอดหนึ่งชั่วโมงเศษที่แกคุยอยู่คนเดียวด้วยความตั้งอกตั้งใจ สำหรับผมสิ่งที่คุณทักษิณคิดออกมาดังๆ ไม่ใช่เรื่องใหม่เป็นประเด็นปัญหาที่เราพอรู้พอทราบกันอยู่ แต่ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ว่าสิ่งที่คุณทักษิณ รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะเอาไปทำหรืออย่างน้อยก็เอาไปคิดต่อว่าจะทำต่อไปเป็นประเด็นที่น่าสนใจมากเป็นพิเศษ ตรงนี้จึงมีความหมายมากกว่าการแสดงความคิดเห็นของคนทั่วไป แม้ว่าข้อเสนอจำนวนมากเป็นเรื่องที่ผมพอทราบมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง โครงการดิจิทัลวอลเลต การชี้นำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยลดดอกเบี้ยและเพิ่มการให้สินเชื่อเพื่อเป็นการเติมสภาพคล่องให้กับภาคเศรษฐกิจ โครงการแลนด์บริดจ์ โครงการค่าโดยสารรถไฟฟ้า ๒๐ บาทตลอดสาย โครงการเอ็นเทอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ กองทุนวายุภักษ์ ฯลฯ ล้วนเป็นประเด็นที่จะต้องมีการตัดสินใจและขับเคลื่อนกันต่อไปในรัฐบาลของคุณแพทองธาร ชินวัตร ต่อไป นี่จึงเป็นข้อเสนอคำแนะนำที่ไม่ธรรมดาเพราะสามารถจะกลายเป็นนโยบายของรัฐบาลได้อย่างแยบคาย ผมจะไม่วิพากษ์วิจารณ์อะไรในเรื่องที่ว่าในตอนนี้ อยากจะรอดูก่อนว่าข้อเสนอดังกล่าวจะกลายเป็นนโยบายและมาตรการของรัฐบาลคุณแพทองธารในเนื้อหารายละเอียดอย่างไรให้ชัดเจนเสียก่อน แถมอันที่จริงแล้วในช่วงนี้ต้องบอกว่า ผมอยู่ในช่วงที่ผ่อนคลายมากมีเวลาเหลือมากขึ้น แถมได้ทำสิ่งที่ไม่ได้ทำมานานมากแล้วอีกต่างหาก ลำดับแรกเลย งานในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.๒๕๖๘ ซึ่งผมต้องไปประชุมรวมกันถึง ๔๐ ครั้งตลอดระยะเวลาสองเดือนเต็มๆ ที่ผ่านมา (นับหนึ่งวันจันทร์ที่ ๒๔ มิถุนายน) ถือว่าจบสิ้นแล้วในแง่ของกระบวนการพิจารณา แม้ยังไม่จบเสียทีเดียวเพราะต้องมีพิธีกรรมอีกเล็กน้อยในสัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้า วันพุธที่ ๒๘ สิงหาคมจะเป็นการประชุมครั้งที่ ๔๑ ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของกรรมาธิการเพื่อตรวจทานและลงมติรับร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.๒๕๖๘ ว่าจะเอาแบบไหน? อย่างไร? โดยมีกรรมาธิการและสส.จำนวนไม่น้อย ได้สงวนความเห็นและขอแปรญัตติเพื่อจะไปอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร ก่อนที่จะมีการลงมติให้ความเห็นชอบในวาระที่ ๒ และ ๓ ในช่วงวันที่ ๓-๕ กันยายนที่จะถึงนี้ อันนี้น่าสนใจติดตามฟังกันครับ งานที่ว่านี้ดำเนินไปโดยยังไม่มีรัฐบาลใหม่ มีแต่เพียงนายกรัฐมนตรีที่ยังไม่สามารถเข้าปฏิบัติหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินได้ นี่ต้องบอกว่าเป็นเรื่องแปลก แม้ผมจะเข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นก็ตามที ลำดับถัดมา ผมไปร่วมรายการ BOT Press Trip 2024 ที่โรงแรม Andaz แถวหาดจอมเทียน จังหวัดชลบุรี แม้จะห่างเหินจากการไปร่วมงานในฐานะสื่อมวลชนกับธนาคารแห่งประเทศไทยแบบนี้มานานมากแล้ว แต่ที่ผมอยากไปก็เพราะว่างานนี้มีประเด็นที่ผมอยากสอบถามให้แน่ใจว่าอะไรเป็นอะไรจากปากของผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นโอกาสดีมากเพราะว่าไปกันครบถ้วนเกือบทั้งหมด เหมือนเราไปเดินห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อของที่ต้องการได้ทั้งหมดในสถานที่เพียงแห่งเดียว ผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย นำโดยคุณเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ปีหน้าครบวาระห้าปีเป็นต่อไม่ได้) พร้อมกับรองผู้ว่าการและผู้ช่วยผู้ว่าการ ๑๑ คนโดยไม่รวมระดับผู้บริหารระดับปฏิบัติการในฝ่ายต่างๆ ที่มากันเป็นกองทัพ อะไรที่ผมสงสัยไม่แน่ใจในเรื่องนโยบายการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยบริหารจัดการอยู่ในเวลานี้ จึงถือโอกาสไปร่วมงานนี้ สอบถามพูดคุยกับคนที่ดูแลนโยบายและคนที่ลงมือปฏิบัติการจริงเพื่อให้เกิดความชัดเจนและได้ข้อมูลที่ต้องการครบถ้วน เอาเป็นว่าเรื่องระหว่างรัฐบาล กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เคยปีนเกลียวกันในช่วงรัฐบาลคุณเศรษฐา ทวีสิน ที่ผ่านมาและที่อาจจะมีการปะทะปะทั่งกันในช่วงรัฐบาลคุณแพทองธาร ชินวัตร ในอนาคตอันใกล้นี้ ผมพอเข้าใจต้นสายปลายเหตุแล้ว เรื่องหลายเรื่องที่รัฐบาลอยากทำแล้วทำไม่ได้ เรื่องหลายเรื่องที่ถกเถียงกันระหว่างรัฐบาลกับธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าควรทำแบบไหนไม่ควรทำแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นโครงการดิจิตอลวอลเลต การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโบบาย ฯลฯ การได้พูดคุยกับคนที่เกี่ยวข้องโดยตรง ทำให้ผมพอปะติดปะต่อภาพได้เกือบครบถ้วนตามที่ต้องการแล้ว จะเอาไปทำอะไรต่อที่ไหน? อย่างไร? และเมื่อไหร่? เดี๋ยวค่อยมาว่ากันครับ ผมยังมีเรื่องอยากจะเล่าให้ฟังเพิ่มเติมแบบลงรายละเอียดสักหน่อย เพื่อบันทึกเป็นข้อมูลเอาไว้ตรงนี้เพื่อให้คุณๆ ได้ติดตามความเป็นไปของสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจการเงินการคลังได้อย่างครบถ้วนอยู่เรื่องหนึ่งที่สำคัญและจำเป็นควรรู้ควรทราบอย่างยิ่ง เรื่องของเรื่องก็คือในช่วงสุดท้ายของการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.๒๕๖๘ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางรัฐบาลโดยสำนักงบประมาณได้เสนอขอเปลี่ยนแปลงรายการจัดสรรเงินงบประมาณให้กับรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินของรัฐ ๕ แห่งเป็นเงินรวมกัน ๓๕,๐๐๐ ล้านบาท รายการที่ว่านั้นเป็นการตั้งงบประมาณชำระคืนเงินต้นและชดเชยดอกเบี้ยที่ให้หน่วยงานของรัฐออกเงินไปให้ก่อนตามมาตรา ๒๘ ของพรบ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ แต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยโอนย้ายไปเป็นรายการในงบกลางแทน โดยระบุว่าเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข็มแข็งของเศรษฐกิจ (อันนี้เป็นชื่อของโครงการดิจิตอลวอลเลตที่รัฐบาลจะทำในเอกสารงบประมาณ) เพิ่มเติมจากที่มีอยู่แล้ว ๑๕๒,๗๐๐ ล้านบาท นั่นเลยทำให้ค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการดิจิตอลวอลเลตในปีงบประมาณรายจ่ายปี ๒๕๖๘ เพิ่มเป็น ๑๘๗,๗๐๐ ล้านบาทเรียบร้อยแล้ว แต่จะหาจากไหนสำหรับส่วนที่เหลืออีก ๙๗,๓๐๐ ล้านบาทเพื่อให้ครบ ๒๘๕,๐๐๐ ล้านบาท อันนี้น่าสนใจ ผมอยากให้ข้อมูลตรงนี้เพิ่มเติมว่า การเปลี่ยนแปลงโอนย้ายรายจ่ายที่จะจัดสรรให้รัฐวิหาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินของรัฐ ๕ แห่งที่ว่าไปไว้ที่อื่นนั้น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรดูเหมือนจะเจอหนักกว่าใครเพื่อน เพราะเงินที่คาดว่าจะได้รับการชำระคืนเงินต้นและชดเชยดอกเบี้ยที่ธ.ก.ส.แบกรับภาระอยู่ประมาณ ๓๑,๒๐๐ ล้านบาท (จากยอดทั้งหมดประมาณ ๗๐๐,๐๐๐ ล้านบาท) จะถูกเลื่อนออกไป แบบนี้อธิบายแบบชาวบ้านก็คือรัฐบาลขอต๊ะหนี้ที่มีกับธ.ก.ส.ไว้ก่อน ส่วนจะชำระคืนเงินต้นและชดเชยดอกเบี้ยให้เมื่อไหร่? ค่อยไปว่ากันในอนาคต เรื่องนี้ผมคัดค้านอย่างเต็มที่ตอนที่ถกเถียงกันในที่ประชุมของคณะกรรมาธิการฯ แต่เมื่อเสียงข้างมากของกรรมาธิการวิสามัญฯ โดยเฉพาะกรรมาธิการที่มาในสัดส่วนของคณะรัฐมนตรีและพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลได้ลงมติให้เป็นไปตามนั้น ผมจึงกลายเป็นกรรมาธิการเสียงข้างน้อยในกรณีนี้ แม้ว่าเรื่องนี้ยังไม่จบจะต้องไปว่ากันต่อในที่ประชุมวาระที่ ๒ และ ๓ เพื่อให้สส.ลงมติให้ความเห็นชอบสุดท้ายก็ตามที แต่เรื่องนี้บอกเราได้อย่างหนึ่งว่าโครงการดิจิตอลวอลเลตยังเดินหน้าเต็มตัว แม้จะปรับเปลี่ยนไปเป็นการจ่ายเงินสดให้กลุ่มเปราะบางไปก่อนในเฟสแรกหรือระลอกแรก (หลักๆ คือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีรายได้น้อย) ทั้งเพื่อให้ทันใช้เงินให้หมดภายในปีงบประมาณรายจ่ายปี ๒๕๖๗ ซึ่งจะสิ้นสุดภายในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ ส่วนจะเป็นเท่าไหร่กันแน่ระหว่างวงเงิน ๑๔๕,๐๐๐ หรือ ๑๖๕,๐๐๐ ล้านบาทนั้นคงต้องรอรัฐบาลแถลงนโยบายรัฐสภาต่อไปถึงจะชัดเจน พายุหมุนทางเศรษฐกิจที่พูดๆ กันก่อนหน้านี้คงไม่ใช่แล้วสำหรับตอนนี้ แต่ก็อย่างที่บอกมาโดยตลอดแหละครับว่า ผมจะไม่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งนานเกินความจำเป็น แม้จะมีเรื่องอะไรต่อมิอะไรมากมายอย่างที่ว่าก็จริง แต่ผมก็แบ่งเวลาเพื่อทำงานที่ผมชอบอยู่เสมอ โชคดีว่าเมื่อวันศุกร์ก่อนที่จะเดินทางมาหาดจอมเทียน เพื่อร่วมงานกับธนาคารแห่งประเทศไทย ทางสำนักพิมพ์โรนินได้ส่งต้นฉบับหนังสือสองเล่มมาให้ผมตรวจทานรอบสุดท้าย เที่ยวเขมรฉบับพกพา และ ส่องภาพเขียนที่รัสเซีย ผมก็เลยเพลิดเพลินกับการอ่านหนังสือเล่มตัวอย่างก่อนที่จะส่งไปให้สำนักพิมพ์ไปจัดการให้ทางโรงพิมพ์ดำเนินการพิมพ์เพื่อจำหน่ายจ่ายแจกต่ออีกทอดในอนาคต แต่ที่น่ายินดีเป็นที่สุดก็คือเมื่อจบการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณปีพ.ศ.๒๕๖๘ ในช่วงต้นเดือนกันยายน (วันที่ ๓-๕ กันยายน) ก็ได้เวลาที่ผมจะไปพักผ่อนปลีกวิเวกเป็นการชั่วคราวที่ญี่ปุ่น (ดูภาพเขียน-ออนเซน) พร้อมกับวางแผนเดินทางไปรัสเซีย (ดูภาพเขียนกับเที่ยวชมเมือง) ในช่วงต้นเดือนตุลาคม และเตรียมการจะไปเที่ยวเขมรนครวัด-นครธมในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้ไปพร้อมกันด้วย พ้นจากนั้นจะไปทำอะไรที่ไหนค่อยว่ากันใหม่ เมื่อมองย้อนกลับไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี ๒๕๖๗ มาจนถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าปีนี้เป็นปีที่ดีอีกปีหนึ่งของผม ได้ทำอะไรเยอะแยะไปหมด สะสางงานเก่าเริ่มงานใหม่และก้าวเข้าไปในพรมแดนใหม่ที่ไม่เคยคิดว่าจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอีกต่างหาก แม้ว่าบ้านเมืองของเรายามนี้ จะไม่มีอะไรให้เละมากไปกว่านี้ได้แล้วก็ตามที การเจริญอุเบกขาธรรมจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดครับ ป.ล. เรื่องการฟอร์มคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลคุณแพทองธาร ชินวัตร นี่ต้องบอกว่าไม่ง่ายเลยครับ งานนี้เราต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติของการเมืองไทย อย่าเพิ่งรำคาญอย่าไปหงุดหงิด แม้จะดูแล้วเละตุ้มเป๊ะได้ถึงขนาดนี้ พรรคพลังประชารัฐกับพรรคประชาธิปัตย์จะพาตัวเองให้รอดจากสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความขัดแย้งรุนแรงในภายพรรคในเวลานี้ เพราะประเด็นการร่วมรัฐบาลของพรรคและการเป็นรัฐมนตรีของผู้บริหารของพรรคได้อย่างไร คงจะมีคำตอบภายในเร็ววันนี้ การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐในช่วงวันที่ ๑๗-๑๘ กันยายนที่จะถึงนี้ ถ้าหากฟังจากที่นายเจอโรม พาวเวล (Jerome Powell) ประธานธนาคารกลางไปพูดที่เมืองตากอากาศแจคสันโฮล ในรัฐไวโอมิงว่าถึงเวลาต้องปรับนโยบายการเงินด้วยการลดดอกเบี้ยนโยบายได้แล้ว เพราะหมดห่วงเรื่องเงินเฟ้อแล้ว แต่มาห่วงเรื่องการว่างงานแทนจึงทำให้ต้องลดดอกเบี้ย นั่นก็หมายความว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐที่กำหนดไว้ร้อยละ ๕.๒๕-๕.๕๐ ในปัจจุบันจะเริ่มแล้วตั้งแต่เดือนกันยายนนี้เป็นต้นไป จะลดมากน้อยลดเร็วช้าแค่ไหนไม่สำคัญเท่ากับทิศทางของดอกเบี้ยมีแนวโน้มเป็นขาลงอย่างชัดเจน ค่าเงิน หุ้น และอะไรที่ผูกโยงกับนโยบายการเงินของสหรัฐคงต้องปรับตัวตามไปด้วย สำหรับบ้านเราอัตราดอกเบี้ยนโยบายซึ่งในปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ ๒.๕๐ นั้น เท่าที่ฟังจากเกณฑ์ในการตัดสินเรื่องนี้จากผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นกรรมการเสียงข้างน้อยในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่เจอกันสุดสัปดาห์นี้ คิดว่าคงยังไม่ถึงเวลาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครับ งานนี้คงต้องมีเรื่องมีราวเรื่องลดไม่ลดดอกเบี้ยระหว่างรัฐบาลคุณแพทองธาร ชินวัตร กับธนาคารแห่งประเทศไทยไปอีกสักระยะหนึ่งครับ บันทึกเอาไว้กันลืมว่าเดือนสิงหาคม มีผู้นำสามประเทศในเอเชียต้องเผชิญชะตากรรมที่ทำให้พ้นจากตำแหน่งแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นบังกลาเทศ (เหมือน ๑๔ ตุลาคมปี ๒๕๑๖ ในบ้านเรา) ไทย (คงไม่ต้องบอกอะไรเพิ่มเติม) และญี่ปุ่น ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีฟูมิโอ คิชิดะ (Fumio Kishida) ได้ประกาศวางมือลงจากตำแหน่ง ส่วนกระบวนการคัดเลือกคนมาเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของเขาน่าสนใจครับ ถ้ามีเวลาจะหาโอกาสมาคุยให้ฟัง ขอจบลงตรงนี้ด้วยการแจ้งให้ทราบว่าพรบ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณพ.ศ๒๕๖๗ วงเงิน ๑๒๒,๐๐๐ ล้านบาทมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ ๒๓ สิงหาคม หลังจากได้นำประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาในวันที่ ๒๒ สิงหาคมที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ใครที่รอแจกเงินสดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ไม่ใช่โครงการดิจิตอลเลตเตรียมรับได้เลย วีระ ธีรภัทร วันอาทิตย์ที่ ๒๕ สิงหาคม 2567” ที่มา https://www.facebook.com/share/p/ZPvoLGVkV5QkhJNR/?mibextid=CTbP7E Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1483 มุมมอง 0 รีวิว