• หลวงพ่อทวดพิมพ์สามเหลี่ยม วัดตาลเจ็ดยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์
    หลวงพ่อทวดพิมพ์สามเหลี่ยม เนื้อผงผสมว่าน วัดตาลเจ็ดยอด ต.ศาลาลัย อ.สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ // พระดีพิธีใหญ่ //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณ แคล้วคลาดคงกระพันเป็นเลิศ เมตตามหานิยม โชคลาภ มหาอุตม์ !!! เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ เมตตามหานิยม ดีนัก.กันเสนียดจัญไร เป็นมหามงคลและสุดยอดนิรันตราย >>

    ** หลวงพ่อทวดพิมพ์สามเหลี่ยม หลังระฆัง จัดสร้างโดย พระมหาจำนงค์ วัดตาลเจ็ดยอด คำว่าตาลเจ็ดยอดนั้นคาดว่าน่าจะมีที่มาจากต้นตาลเจ็ดยอด ที่ถูกตัดทิ้งไปในช่วงที่มีการสร้างทางรถไฟสายใต้เมื่อปี พ.ศ. 2500 จุดเด่นของวัดนี้ที่แลเห็นมาแต่ไกล คือรูปหล่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ขนาดใหญ่ที่หล่อจากโลหะทองเหลือง ถือว่าเป็นรูปหล่อองค์สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งบริเวณด้านหน้ายังมีรูปหล่อขนาดเท่าองค์จริงของพระเกจิอาจารย์ชื่อดังหลายรูป เช่น พระอาจารย์มั่น หลวงปู่ทวด หลวงปู่ศุข หลวงปู่สด ฯลฯ นอกจากนี้ภายในวัดยังมีบ่อน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ที่จำลอง มาจากบ่อน้ำมนต์วัดอินทรวิหาร ซึ่งบริเวณปากบ่อน้ำมนต์นี้มีรูปองค์พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ เพื่อให้ประชาชน ทั่วไปได้สักการะเสริมสิริมงคล >>


    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    หลวงพ่อทวดพิมพ์สามเหลี่ยม วัดตาลเจ็ดยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ หลวงพ่อทวดพิมพ์สามเหลี่ยม เนื้อผงผสมว่าน วัดตาลเจ็ดยอด ต.ศาลาลัย อ.สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ // พระดีพิธีใหญ่ //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณ แคล้วคลาดคงกระพันเป็นเลิศ เมตตามหานิยม โชคลาภ มหาอุตม์ !!! เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ เมตตามหานิยม ดีนัก.กันเสนียดจัญไร เป็นมหามงคลและสุดยอดนิรันตราย >> ** หลวงพ่อทวดพิมพ์สามเหลี่ยม หลังระฆัง จัดสร้างโดย พระมหาจำนงค์ วัดตาลเจ็ดยอด คำว่าตาลเจ็ดยอดนั้นคาดว่าน่าจะมีที่มาจากต้นตาลเจ็ดยอด ที่ถูกตัดทิ้งไปในช่วงที่มีการสร้างทางรถไฟสายใต้เมื่อปี พ.ศ. 2500 จุดเด่นของวัดนี้ที่แลเห็นมาแต่ไกล คือรูปหล่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ขนาดใหญ่ที่หล่อจากโลหะทองเหลือง ถือว่าเป็นรูปหล่อองค์สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งบริเวณด้านหน้ายังมีรูปหล่อขนาดเท่าองค์จริงของพระเกจิอาจารย์ชื่อดังหลายรูป เช่น พระอาจารย์มั่น หลวงปู่ทวด หลวงปู่ศุข หลวงปู่สด ฯลฯ นอกจากนี้ภายในวัดยังมีบ่อน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ที่จำลอง มาจากบ่อน้ำมนต์วัดอินทรวิหาร ซึ่งบริเวณปากบ่อน้ำมนต์นี้มีรูปองค์พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ เพื่อให้ประชาชน ทั่วไปได้สักการะเสริมสิริมงคล >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • SoftBank ซื้อโรงงาน Foxconn ในโอไฮโอ: จุดเริ่มต้นของจักรวาล AI ชื่อ Stargate

    SoftBank ได้ซื้อโรงงานขนาดใหญ่ในเมือง Lordstown รัฐโอไฮโอ จาก Foxconn ด้วยมูลค่า $375 ล้าน โรงงานนี้มีพื้นที่กว่า 6.2 ล้านตารางฟุต เดิมใช้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แต่จะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI และอุปกรณ์สำหรับศูนย์ข้อมูล Stargate ซึ่งเป็นโครงการยักษ์ที่มีเป้าหมายสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $500 พันล้านในหลายปีข้างหน้า

    แม้ว่า SoftBank จะเป็นเจ้าของโรงงาน แต่ Foxconn จะยังคงเป็นผู้ดำเนินการผลิต โดยทั้งสองบริษัทจะร่วมมือกันในรูปแบบพันธมิตรระยะยาว จุดเด่นของโรงงานนี้คือมีพลังงานไฟฟ้าสำรองมหาศาล และพื้นที่ขยายตัวได้อีกมาก ซึ่งเหมาะกับการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ที่ต้องใช้พลังงานสูง

    SoftBank ยังอยู่ระหว่างการเลือกสถานที่ตั้งศูนย์ข้อมูล Stargate โดยพิจารณาจากแหล่งพลังงาน น้ำ และโครงสร้างโทรคมนาคม ซึ่งเมื่อสถานที่พร้อม โรงงานในโอไฮโอก็จะเป็นแหล่งผลิตเครื่องจักรหลักทันที

    นอกจากนี้ SoftBank ยังถือหุ้นในบริษัทผลิตชิปอย่าง Ampere และ Graphcore ซึ่งอาจนำชิปของตนมาใช้ในเซิร์ฟเวอร์ AI เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia ที่ปัจจุบันครองตลาดอยู่

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    SoftBank ซื้อโรงงาน Foxconn ในโอไฮโอด้วยมูลค่า $375 ล้าน
    โรงงานมีขนาด 6.2 ล้านตารางฟุต ใหญ่กว่าศูนย์ผลิตในฮิวสตันถึง 6 เท่า
    Foxconn จะยังคงดำเนินการผลิต แม้โรงงานเป็นของ SoftBank
    โรงงานจะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI สำหรับโครงการ Stargate
    โครงการ Stargate มีเป้าหมายสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $500 พันล้าน
    SoftBank กำลังเลือกสถานที่ตั้งศูนย์ข้อมูล โดยพิจารณาจากพลังงาน น้ำ และโครงสร้างโทรคมนาคม
    โรงงานโอไฮโอจะเป็นฐานผลิตหลักของ Stargate และรับคำสั่งซื้อจาก OpenAI, Oracle และ SoftBank
    Foxconn เป็นผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI รายใหญ่ที่สุดในโลก และกำลังขยายกำลังการผลิตในสหรัฐฯ
    SoftBank เคยประกาศลงทุน $100 พันล้านในโครงการนี้เมื่อเดือนมกราคม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SoftBank ถือหุ้นใน Ampere และ Graphcore ซึ่งผลิตชิปสำหรับ AI
    การใช้ชิปของตัวเองอาจช่วยลดต้นทุนและลดการพึ่งพา Nvidia
    Foxconn เคยใช้โรงงานนี้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ก่อนขายให้ SoftBank
    โครงการ Stargate ได้รับความสนใจจากธนาคารญี่ปุ่นและนักลงทุนสถาบันทั่วโลก
    SoftBank มีบริษัทลูกชื่อ SB Energy ที่พัฒนาโซลาร์ฟาร์มในสหรัฐฯ ซึ่งอาจใช้เป็นฐานพลังงานให้ Stargate

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/softbank-acquires-foxconns-ohio-facility-to-build-stargate-ai-servers-usd375-million-deal-says-foxconn-will-continue-to-operate-the-plant
    🏗️ SoftBank ซื้อโรงงาน Foxconn ในโอไฮโอ: จุดเริ่มต้นของจักรวาล AI ชื่อ Stargate SoftBank ได้ซื้อโรงงานขนาดใหญ่ในเมือง Lordstown รัฐโอไฮโอ จาก Foxconn ด้วยมูลค่า $375 ล้าน โรงงานนี้มีพื้นที่กว่า 6.2 ล้านตารางฟุต เดิมใช้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แต่จะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI และอุปกรณ์สำหรับศูนย์ข้อมูล Stargate ซึ่งเป็นโครงการยักษ์ที่มีเป้าหมายสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $500 พันล้านในหลายปีข้างหน้า แม้ว่า SoftBank จะเป็นเจ้าของโรงงาน แต่ Foxconn จะยังคงเป็นผู้ดำเนินการผลิต โดยทั้งสองบริษัทจะร่วมมือกันในรูปแบบพันธมิตรระยะยาว จุดเด่นของโรงงานนี้คือมีพลังงานไฟฟ้าสำรองมหาศาล และพื้นที่ขยายตัวได้อีกมาก ซึ่งเหมาะกับการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ที่ต้องใช้พลังงานสูง SoftBank ยังอยู่ระหว่างการเลือกสถานที่ตั้งศูนย์ข้อมูล Stargate โดยพิจารณาจากแหล่งพลังงาน น้ำ และโครงสร้างโทรคมนาคม ซึ่งเมื่อสถานที่พร้อม โรงงานในโอไฮโอก็จะเป็นแหล่งผลิตเครื่องจักรหลักทันที นอกจากนี้ SoftBank ยังถือหุ้นในบริษัทผลิตชิปอย่าง Ampere และ Graphcore ซึ่งอาจนำชิปของตนมาใช้ในเซิร์ฟเวอร์ AI เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia ที่ปัจจุบันครองตลาดอยู่ ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ SoftBank ซื้อโรงงาน Foxconn ในโอไฮโอด้วยมูลค่า $375 ล้าน ➡️ โรงงานมีขนาด 6.2 ล้านตารางฟุต ใหญ่กว่าศูนย์ผลิตในฮิวสตันถึง 6 เท่า ➡️ Foxconn จะยังคงดำเนินการผลิต แม้โรงงานเป็นของ SoftBank ➡️ โรงงานจะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI สำหรับโครงการ Stargate ➡️ โครงการ Stargate มีเป้าหมายสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $500 พันล้าน ➡️ SoftBank กำลังเลือกสถานที่ตั้งศูนย์ข้อมูล โดยพิจารณาจากพลังงาน น้ำ และโครงสร้างโทรคมนาคม ➡️ โรงงานโอไฮโอจะเป็นฐานผลิตหลักของ Stargate และรับคำสั่งซื้อจาก OpenAI, Oracle และ SoftBank ➡️ Foxconn เป็นผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI รายใหญ่ที่สุดในโลก และกำลังขยายกำลังการผลิตในสหรัฐฯ ➡️ SoftBank เคยประกาศลงทุน $100 พันล้านในโครงการนี้เมื่อเดือนมกราคม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SoftBank ถือหุ้นใน Ampere และ Graphcore ซึ่งผลิตชิปสำหรับ AI ➡️ การใช้ชิปของตัวเองอาจช่วยลดต้นทุนและลดการพึ่งพา Nvidia ➡️ Foxconn เคยใช้โรงงานนี้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ก่อนขายให้ SoftBank ➡️ โครงการ Stargate ได้รับความสนใจจากธนาคารญี่ปุ่นและนักลงทุนสถาบันทั่วโลก ➡️ SoftBank มีบริษัทลูกชื่อ SB Energy ที่พัฒนาโซลาร์ฟาร์มในสหรัฐฯ ซึ่งอาจใช้เป็นฐานพลังงานให้ Stargate https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/softbank-acquires-foxconns-ohio-facility-to-build-stargate-ai-servers-usd375-million-deal-says-foxconn-will-continue-to-operate-the-plant
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • Anna’s Archive ยังอยู่ และยังสู้: อัปเดตล่าสุดจากทีมงาน

    ในเดือนสิงหาคม 2025 ทีมงาน Anna’s Archive ออกมาอัปเดตสถานการณ์ล่าสุดผ่านบล็อกของพวกเขา โดยระบุว่ากำลังเผชิญ “การโจมตีที่เพิ่มขึ้น” ต่อภารกิจของพวกเขาในการปกป้องและเผยแพร่ความรู้ของมนุษยชาติ

    ตั้งแต่เริ่มต้นในปี 2022 พวกเขาได้ “ปลดปล่อย” หนังสือ บทความวิชาการ นิตยสาร และหนังสือพิมพ์หลายสิบล้านรายการจากแหล่งต่าง ๆ เช่น Internet Archive, HathiTrust, DuXiu และอื่น ๆ ผ่านการ scrape และการแชร์แบบ torrent

    นอกจากนี้ยังได้รวบรวม metadata จากแหล่งใหญ่ที่สุดในโลก เช่น WorldCat และ Google Books เพื่อระบุว่าหนังสือเล่มใดยังขาดหาย และควรได้รับการช่วยเหลือก่อน

    ทีมงานยังได้สร้างพันธมิตรกับ LibGen forks, STC/Nexus และ Z-Library เพื่อแลกเปลี่ยนไฟล์และ mirror ข้อมูลซึ่งช่วยให้ความรู้เหล่านี้ไม่สูญหายไปจากโลก แม้จะมีข่าวเศร้าคือหนึ่งใน LibGen forks ได้หายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ

    มีผู้เล่นใหม่ชื่อ WeLib ที่ใช้โค้ดของ Anna’s Archive และ mirror ข้อมูล แต่ไม่ได้แบ่งปันอะไรกลับคืนสู่ระบบนิเวศ ทีมงานจึงแนะนำให้ “ใช้ด้วยความระมัดระวัง” และไม่แนะนำให้ใช้งาน

    ขณะนี้ยังมีข้อมูลใหม่หลายร้อยเทราไบต์รอการประมวลผล และทีมงานเชิญชวนผู้สนใจให้เข้าร่วมเป็นอาสาสมัครหรือบริจาคเพื่อช่วยให้โครงการดำเนินต่อไปได้

    ความเคลื่อนไหวล่าสุดของ Anna’s Archive
    เผชิญการโจมตีต่อภารกิจในการปกป้องความรู้ของมนุษยชาติ
    ดำเนินการ harden ระบบ infrastructure และความปลอดภัยเชิงปฏิบัติการ
    ได้ scrape ไฟล์จาก IA CDL, HathiTrust, DuXiu และอื่น ๆ รวมหลายสิบล้านรายการ
    รวบรวม metadata จาก WorldCat และ Google Books เพื่อระบุหนังสือที่ยังขาด
    สร้างพันธมิตรกับ LibGen forks, STC/Nexus และ Z-Library เพื่อ mirror ข้อมูล
    มีข้อมูลใหม่หลายร้อยเทราไบต์รอการประมวลผล
    เชิญชวนให้ร่วมเป็นอาสาสมัครหรือบริจาคผ่านหน้า Volunteering และ Donate

    Anna’s Archive มีหนังสือกว่า 51 ล้านเล่ม และบทความวิชาการกว่า 98 ล้านรายการ
    ส่งผลต่อการวิจัยทั่วโลก โดยช่วยลดช่องว่างระหว่างมหาวิทยาลัยใหญ่กับสถาบันเล็ก
    นักวิจัยรายงานว่าใช้เวลาทำ literature review ลดลงถึง 60–80%
    ส่งเสริมการวิจัยข้ามสาขาเพิ่มขึ้นกว่า 40%
    บางมหาวิทยาลัยเริ่มปรับบทบาทห้องสมุดจากการเก็บหนังสือ สู่การฝึกทักษะดิจิทัล
    ผู้ให้บริการ AI และนักวิจัยใช้ข้อมูลจาก Anna’s Archive เพื่อฝึกโมเดลและวิเคราะห์ข้อมูล

    https://annas-archive.org/blog/an-update-from-the-team.html
    🔐 Anna’s Archive ยังอยู่ และยังสู้: อัปเดตล่าสุดจากทีมงาน ในเดือนสิงหาคม 2025 ทีมงาน Anna’s Archive ออกมาอัปเดตสถานการณ์ล่าสุดผ่านบล็อกของพวกเขา โดยระบุว่ากำลังเผชิญ “การโจมตีที่เพิ่มขึ้น” ต่อภารกิจของพวกเขาในการปกป้องและเผยแพร่ความรู้ของมนุษยชาติ ตั้งแต่เริ่มต้นในปี 2022 พวกเขาได้ “ปลดปล่อย” หนังสือ บทความวิชาการ นิตยสาร และหนังสือพิมพ์หลายสิบล้านรายการจากแหล่งต่าง ๆ เช่น Internet Archive, HathiTrust, DuXiu และอื่น ๆ ผ่านการ scrape และการแชร์แบบ torrent นอกจากนี้ยังได้รวบรวม metadata จากแหล่งใหญ่ที่สุดในโลก เช่น WorldCat และ Google Books เพื่อระบุว่าหนังสือเล่มใดยังขาดหาย และควรได้รับการช่วยเหลือก่อน ทีมงานยังได้สร้างพันธมิตรกับ LibGen forks, STC/Nexus และ Z-Library เพื่อแลกเปลี่ยนไฟล์และ mirror ข้อมูลซึ่งช่วยให้ความรู้เหล่านี้ไม่สูญหายไปจากโลก แม้จะมีข่าวเศร้าคือหนึ่งใน LibGen forks ได้หายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ มีผู้เล่นใหม่ชื่อ WeLib ที่ใช้โค้ดของ Anna’s Archive และ mirror ข้อมูล แต่ไม่ได้แบ่งปันอะไรกลับคืนสู่ระบบนิเวศ ทีมงานจึงแนะนำให้ “ใช้ด้วยความระมัดระวัง” และไม่แนะนำให้ใช้งาน ขณะนี้ยังมีข้อมูลใหม่หลายร้อยเทราไบต์รอการประมวลผล และทีมงานเชิญชวนผู้สนใจให้เข้าร่วมเป็นอาสาสมัครหรือบริจาคเพื่อช่วยให้โครงการดำเนินต่อไปได้ ✅ ความเคลื่อนไหวล่าสุดของ Anna’s Archive ➡️ เผชิญการโจมตีต่อภารกิจในการปกป้องความรู้ของมนุษยชาติ ➡️ ดำเนินการ harden ระบบ infrastructure และความปลอดภัยเชิงปฏิบัติการ ➡️ ได้ scrape ไฟล์จาก IA CDL, HathiTrust, DuXiu และอื่น ๆ รวมหลายสิบล้านรายการ ➡️ รวบรวม metadata จาก WorldCat และ Google Books เพื่อระบุหนังสือที่ยังขาด ➡️ สร้างพันธมิตรกับ LibGen forks, STC/Nexus และ Z-Library เพื่อ mirror ข้อมูล ➡️ มีข้อมูลใหม่หลายร้อยเทราไบต์รอการประมวลผล ➡️ เชิญชวนให้ร่วมเป็นอาสาสมัครหรือบริจาคผ่านหน้า Volunteering และ Donate ➡️ Anna’s Archive มีหนังสือกว่า 51 ล้านเล่ม และบทความวิชาการกว่า 98 ล้านรายการ ➡️ ส่งผลต่อการวิจัยทั่วโลก โดยช่วยลดช่องว่างระหว่างมหาวิทยาลัยใหญ่กับสถาบันเล็ก ➡️ นักวิจัยรายงานว่าใช้เวลาทำ literature review ลดลงถึง 60–80% ➡️ ส่งเสริมการวิจัยข้ามสาขาเพิ่มขึ้นกว่า 40% ➡️ บางมหาวิทยาลัยเริ่มปรับบทบาทห้องสมุดจากการเก็บหนังสือ สู่การฝึกทักษะดิจิทัล ➡️ ผู้ให้บริการ AI และนักวิจัยใช้ข้อมูลจาก Anna’s Archive เพื่อฝึกโมเดลและวิเคราะห์ข้อมูล https://annas-archive.org/blog/an-update-from-the-team.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 166 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้อถกเถียงอันน่าปวดหัวของคำว่า ขอม เขมร สยาม ไท ไต กับมุมมองความแตกต่างทางพันธุกรรม
    =================================================================
    ผมมักอ่านพบการโต้เถียงในเรื่องว่า ขอม เป็นใคร อยู่บ่อยๆ บ้างว่าคือ สยาม.. บ้างว่า คือ เขมร.. ทั้งที่ต่างก็เป็นชื่อสมมุติ มีความยืดหยุ่นมาก ชื่อส่วนใหญ่มักเป็นชื่อที่ผู้อื่นเรียก โดยมากมีความหมายไม่ดีมาก่อนและมีการเปลี่ยนผันไปตามกาลเวลา จึงอยากขออนุญาติเสนอความเห็นสักสองสตางค์ในมุมมองที่แตกต่างออกไป อาจจะยาวไปหน่อย ปกติมันควรใช้เวลาอธิบายสักสองชั่วโมง แต่ผมจะพยายามย่อให้สั้น
    .
    ผมคิดแบบเอาวิทยาศาสตร์เป็นตัวตั้ง ใช้ชีววิทยาพันธุกรรมเป็นแผนที่หลักในการสำรวจสิ่งต่างๆ ก็ด้วยเหตุผลว่า ดีเอ็นเอมนุษย์สามารถเชื่อมโยงมนุษย์ทั้งหมดเข้าด้วยกันได้ว่าใครสืบสายเลือดมาทางสาแหรกไหนหรือใครมีอายุเก่าใหม่กว่ากัน เพราะในดีเอ็นเอมี time stamp อยู่ในสิ่งที่เรียกว่า “genetic marker” ในมนุษย์ผู้ชายมียีนพ่อ Y chromosome DNA และยีนแม่ Mitochondreal DNA ปรากฏอยู่ในโครงสร้างของโปรตีนในเลือดเนื้อ.. ส่วนผู้หญิงมีแต่ยีนแม่ Mitochondrea DNA. ยีนพ่อและยีนแม่เหล่านี้มันไม่เคยหายไป มันอยู่ในตัวเราและสาวลึกไปสู่บรรพบุรุษต้นทางได้ ข้อมูลของความหนาแน่นของดีเอ็นเอประชากรโลกและ time stamp ที่บอกอายุของดีเอ็นเอ ก่อให้เกิดการคำนวณเส้นทางการอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์โบราณได้ ทีมวิจัยด้านพันธุกรรมศาสตร์ของสแตนฟอร์ดที่บุกเบิกโดยศาสตราจารย์ Luca Cavalli Sforza ทำการพลอตเส้นทางอพยพของมนุษย์จากฐานข้อมูลนี้. ดังนั้นสำหรับผม… ชื่อทุกชื่อเป็นเพียงสิ่งสมมุติ ภาษาพูดไม่ใช่สิ่งยืนยันทางพันธุกรรม.
    .
    แสนกว่าปีก่อนมนุษย์อพยพออกจากบริเวณที่เป็นซาฮารันโบราณในแอฟริกา ห้าหมื่นกว่าปีก่อน… มนุษย์กลุ่มแรกที่อพยพออกจากแอฟริกาใช้เส้นทางเลาะชายฝั่งทะเลและอพยพมาถึงเอเชียโบราณบริเวณที่เรียกว่าแผ่นดินซุนดา ซึ่งผืนดินเชื่อมถึงกันหมดทั้งอุษาคเนย์ ไม่มีทะเลบริเวณอ่าวไทย ยีนพ่อหรือมนุษย์ผู้ชายที่มาถึงก่อนเป็นพวก YDNA Haplogroup C และยีนแม่คือ Mitochondreal M และ B คนพวกนี้เคยถูกเรียกว่าอะไรหรือพูดภาษาอะไรมาก่อนไม่รู้ได้ นักวิชาการสมัยใหม่นิยามว่าภาษาซาฮารันโบราณหรือโปรโตซาฮารันอนุมานจากบริเวณถิ่นฐานในแอฟริกาโบราณที่พวกเขาจากมา ส่วนหนึ่งจากคลื่นอพยพของพวกเขากลายเป็นพวกที่เริ่มอารยะธรรมสินธุที่บริเวณฮารัปปา-โมฮันจดาโรเมื่ออพยพผ่านอินเดียโบราณ ซึ่งต่อมาพวกนี้กลายเป็นสาแหรกของกลุ่มดราวิเดียน ทมิฬ สิงหล… ส่วนหนึ่งพลัดข้ามไปสู่เกาะเซนทิเนียล นิโคบาร์ ในอันดามัน ถูกกักกั้นตัดขาดอยู่กลางทะเล รู้จักกันในชื่อพวกอันดามันนิส… ส่วนหนึ่งเข้าสู่เมนแลนด์ซุนดากลายเป็นพวกปาปวน แล้วข้ามไปแผ่นดินซาฮุลโบราณหรือออสเตรเลียปัจจุบันกลายเป็นพวกที่เรียกว่าอะบอริจินิสท์… ส่วนหนึ่งอพยพขึ้นเหนือ แล้วกลับเข้าสู่เอเชียตะวันออกทางตอนบนเคลื่อนย้อนมาทางตะวันตกกลายเป็นพวกมองโกล ส่วนหนึ่งข้ามไปบุกเบิกเกาะญี่ปุ่นกลายเป็นพวกไอนุ ส่วนหนึ่งขึ้นเหนือไปและข้ามทะเลแบริ่งไปทวีปอเมริกาโบราณกลายเป็นพวกอินุอิตที่พบในอะลาสก้า… ไม่ว่าพวกเขาทั้งหมดนี้จะมีหรือเคยมีชื่อชาติพันธุ์อะไร เคยพูดภาษาอะไรและในที่สุดพูดภาษาอะไร พวกเขาล้วนมีบรรพบุรุษร่วมกัน มาจากมดลูกของบรรพบุรุษสาแหรกเดียวกันทั้งสิ้น มนุษย์ผู้ชายทั้งหมดจากชาติพันธุ์ที่กล่าวไปนี้ทั้งหมด แครี่ Y Chromosome DNA Haplogroup C. และเมื่อลองพิจารณาดูปัจจุบันนี้ เฉพาะพวกไอนุอย่างเดียว วันนี้พูดภาษาญี่ปุ่นและสำมะโนประชากรระบุว่าเป็นคนญี่ปุ่น จะเห็นว่าชื่อทางชาติพันธุ์หรือภาษาพูดไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าพวกเขาเป็นใคร (ไม่ต่างกับการพูดภาษาขอม ภาษาเขมร ภาษาไทย ก็ไม่ได้เป็นตัวชี้ว่าพวกเขาเป็นใครมาก่อนกันแน่)
    .
    สามหมื่นห้าพันกว่าปีก่อน คลื่นอพยพระลอกที่สองประกอบด้วยยีนพ่อคือ Y Chromosome Hg O ยีนแม่คือ Mt DNA Hg F และ D. อพยพมาตามเส้นทางโบราณสายอนาโตเลีย ยูเครน สู่เอเชียกลาง มาถึงบริเวณที่รู้จักกันในชื่อ Pamir Knot ซึ่งมีภูเขายักษ์สามลูกคือ ฮินดูกูช หิมาลัย และเทียนซานขวางหน้าพวกเขา อุปสรรคทางภูมิศาสตร์นี้บีบให้เส้นทางอพยพแตกออกเป็นสามทาง พวกหนึ่งขึ้นเหนือเลาะเทียนซานมุ่งสู่ไซบีเรียและอพยพข้ามแบริ่งไปทวีปอเมริกากลายเป็นพวกนาดิเนอินเดียนและอะมาไรด์อินเดียน… พวกหนึ่งผ่าที่ราบสูงทิเบตแล้วกระจายกันสู่บริเวณที่เป็นเสฉวน หยุนหนาน กวางสี ในปัจจุบัน กลายเป็นพวกชนเผ่าหิมาลายัน และชนเผ่ามากมายที่บันทึกจีนเรียกเยว่ร้อยเผ่า ในบรรดาพวกนี้ ผลการสำรวจดีเอ็นเอในประเทศจีนตอนใต้โดยศาสตราจารย์จินลีของประเทศจีน ปรากฏว่าไม่มีใครมียีนเก่าไปกว่าพวกข่าว้าและพวกผู้ยีซึ่งเป็นชนเผ่าหนึ่งในตระกูลจ้วงเหนือ… พวกสุดท้ายกลุ่มที่สาม อพยพเลาะเทือกตะนาวศรีเข้าสู่ซุนดาโบราณ ลงมาปะทะสังสรรค์และผสานกับพวกอพยพคลื่นลูกแรกที่มาถึงก่อน ในบรรดาพวกนี้ทั้งหมด จากฐานข้อมูลดีเอ็นเอปัจุบันไม่มีใครมียีนเก่าไปกว่าพวกโอรังอัสลิ (นักวิชาการรุ่นใหม่เรียกว่า aslian) โดยเฉพาะกลุ่มที่อาศัยในซาบาห์ บอร์เนียว ที่สำคัญไปกว่านั้น แม่พันธุ์ของพวกอพยพระลอกแรก คือ mt DNA B และ M เลือกพวกผู้ชายอัสเลียนเป็นพ่อพันธุ์ด้วนเหตุผลใดไม่ทราบ ทำให้ยีนพ่อเดิมของพวกคลื่นอพยพแรกคือพวก Y DNA Hg C ถูกเบียดผลักให้ออกจากเมนแลนด์ไปสู่เกาะแก่งโดยรอบ... ด้วยการที่ตระกูลนี้มีแม่พันธ์ุใหญ่ถึงสี่สาแหรก คือ mt DNA hg B / M / D / F ทำให้ยีนพ่อ Y DNA hg O กลายเป็นสาแหรกที่ใหญ่ที่สุดและมีลูกหลานยึดครองแผ่นดินเอเชียที่มีปริมาณประชากรมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของประชากรเอเชียทั้งหมดจนถึงปัจจุบัน
    .
    ปัจจัยสำคัญเกิดขึ้นเมื่อเกือบหมื่นปีที่แล้ว สิ้นสุดยุคน้ำแข็ง น้ำแข็งละลายและระดับน้ำสูงขึ้นจนท่วมแผ่นดินซุนดาโบราณสามครั้ง รวมแล้วประมาณ 120 เมตร ทำให้แผ่นดินซุนดาหายไปกว่าครึ่ง และทำให้เอเชียมีรูปร่างอย่างที่เห็นทุกวันนี้ ผลจากน้ำท่วมโลกนี้ ทำให้ประชากรอัสเลียนโบราณ Y DNA O ในตอนล่างของคาบสมุทร อพยพหนีขึ้นเหนือไปรวมกับพวก Y DNA O ที่อยู่ทางตอนเหนือ บางส่วนอพยพหนีไปสู่เกาะต่างๆ โดยรอบ เกิดปรากฏการณ์ของ cultural transmission ที่หลากหลายและน่าทึ่ง
    .
    ทั้งหมดนี้คือวิทยาศาสตร์ที่บอกว่าเราเป็นใคร คนอุษาคเนย์ที่อยู่บนคาบสมุทรตอนล่างไม่ว่าจะถูกเรียกด้วยชื่ออะไร พูดภาษาอะไร พวกเขาล้วนมาจากพวกอัสเลียนอย่างเช่น เซมังซาไก มานิ โอรังลาโว้ย ดยัค อิฟูเกา บอนทอค…ฯลฯ ไม่ว่าต่อมาลูกหลานของพวกเขาจะกลายเป็นเซนอย เป็นข่า เป็นมอญ เป็นขอม เป็นละโว้ เป็นสยาม เป็นอโยธยา เป็นทวารวดี เป็นศรีโพธิ์ เป็นเขมรพระนคร…ฯลฯ. ชื่ออะไรก็ตามแต่... ผู้ชายของชื่อสมมุติพวกนี้ทั้งหมดล้วนมาจาก 'aslian' และบางกลุ่มยังมียีนแม่เป็นอะบอริจินิสท์ พวกเขาล้วนมีโครงสร้างทางโปรตีนในดีเอ็นเหมือนกันกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ต่างกันเพียงมิวเทชั่นเล็กน้อย ดังนั้น fact ง่ายๆ สำหรับผมพวกเขาคือ Y Chromosome DNA Haplogroup O . สาแหรกวงศ์ตระกูลทีใหญ่ที่สุดในโลก
    .
    คนมอญ คนสยาม คนเขมร ไม่ว่าเก่าใหม่ มีชื่อเรียกว่าอะไร เคยมีชื่อเรียกว่าอะไร.. มนุษย์ผู้ชาย 'ส่วนใหญ่' แชร์ยีนพ่อ sub clan จาก Y DNA hg O2 คนพื้นถิ่นพวกนี้ที่เป็นประชากรทั่วไป โดยธรรมชาติจะแทบไม่เคลื่อนย้ายไปไหน ถ้าไม่มีภัยพิบัติคุกคาม โรคระบาด หรือถูกกวาดต้อนย้ายไปเพราะมีสงคราม… เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคนเขมรพระนครยุคโบราณพากันย้ายไปไหนบ้าง เพราะเมืองนครวัดประสบปัญหาเรื่องชลประทาน สุขาภิบาลและสุขอนามัย ในที่สุดมันล่มสลายและถูกทิ้งให้ร้างอยู่ในป่า จนแม้แต่คนเขมรส่วนใหญ่ในยุคอาณานิคมก็ไม่รู้ว่ามีนครโบราณอยู่ตรงนั้นตอนที่พวกทีมสำรวจของฝรั่งเศสไปพบเข้า เป็นไปได้ว่ายังอาจมีเชื้อพันธุ์จากประชากรโบราณบางส่วนยังคงอยู่ในบริเวณนั้นบ้าง แต่ไม่ได้แปลว่าคนกัมพูชาปัจจุบันสืบสายมาจากประชากรเมืองพระนคร
    .
    ลองคิดดูว่า สมมุติว่าหลังพระนครล่มสลาย ถ้าพวกเขาส่วนหนึ่งย้ายถิ่นฐานมาอยู่แถบลุ่มน้ำเจ้าพระยาส่วนหนึ่ง ในขณะที่บางส่วนที่อาจยังคงอยู่ในบริเวณโตนเลสาปส่วนหนึ่ง หากวันนี้มีการนำลูกหลานของทั้งสองพวกนี้มาตรวจดีเอ็นเอ ก็จะไม่แปลกใจเลยเมื่อพบว่าพวกเขาส่วนใหญ่มียีน O2 เหมือนกัน แต่พวกหนึ่งพูดไทย พวกหนึ่งพูดกัมพูชา ทั้งที่เมื่อสาวย้อนไปไกลขึ้นอีกล้วนมีรากลึกที่สุดมาจากอัสเลียนและพูดภาษาอัสเลียนมาก่อนทั้งคู่ วิทยาศาสตร์จะบอกอย่างตรงไปตรงมาอย่างนี้โดยไม่สนความสมมุติทั้งหลาย.. หากเป็นเช่นนี้ คำพูดที่ว่า ขอมพระนครคือสยาม และขอมพระนครคือเขมร ก็จะถูกต้องทั้งสองแง่
    .
    ถ้าเราลองมองดูเฉพาะ อยุธยา ที่จีนเรียกว่า "เสียน-หลอ" เพราะเป็นการรวมกันของสุโขทัยและละโว้ในความคิดจีน พวกสุโขทัยหรือที่จีนเรียก 'เสียน' อาศัยอยู่ทางเหนือ พวกนี้ก็เป็น Y DNA hg O เช่นกัน จัดเป็นกลุ่มเยว่ พูดภาษาจ้วงไต... ขณะที่พวกละโว้อโยธยาที่จีนเรียกหลอหู่ อาศัยอยู่ตอนกลางคาบสมุทรแถบลุ่มน้ำเจ้าพระยา พวกนี้ก็เป็น Y DNA hg O เช่นกันอีก จัดเป็นสาแหรกอัสเลียนที่ไม่ต่างกับพวกอื่นที่อยู่ในคาบสมุทรมาเลย์ และพวกมอญ-เขมร. จะด้วยสาเหตุใดก็ตามที่พวกนี้ได้ปกครองเหนือชนพื้นเมืองหลายพงศ์เผ่า จะเป็นเพราะพวกเยว่รูปหล่อผิวขาวร่ำรวยกว่าหรืออย่างไรก็ไม่อาจทราบ คนพวกนี้ได้เป็นชนชั้นปกครองและเป็นผลให้ภาษาสกุลจ้วงไทกลายเป็นภาษากลางของหลอหู่ ทั้งที่คนพื้นเมืองหลายกลุ่มปะปนมีทั้งพูดอัสเลียนมาก่อน พูดขอมมาก่อน พูดข่ามาก่อน พูดมอญมาก่อน และประชากรชาวบ้านพวกนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้ย้ายไปไหน ชื่อเมืองอาจเปลี่ยน ชื่อคนอาจเปลี่ยน ชื่ออาณาจักรอาจเปลี่ยน ภาษาอาจเปลี่ยน แต่สาแหรกพันธุกรรมและความเชื่อมโยงกลับไม่เปลี่ยน ที่อัศจรรย์กว่านั้นคือ พวกที่อยู่ไกลกันมากอย่างเช่นพวกนากาในอัสสัม พวกอดิในอรุณาจัลประเทศ พวกดยัคในบอร์เนียว พวกบอนทอคในฟิลิปปินส์ พวกอตายาลในฟอร์โมซา พวกข่าว้าในหยุนหนานมีความเชื่อมโยงทางดีเอ็นเอใกล้ชิดกันมากอย่างน่าแปลกใจ แน่นอนผู้ชายของพวกเขาล้วนมียีน Y DNA hg O
    .
    เคสที่น่าสนใจ เคสนึงที่จะทำให้เห็นภาพปัจจัยทางสังคมศาสตร์มากขึ้นคือกรณีของพระนางจามเทวี พระนางไม่ได้เป็นเจ้านางของชนเผ่าไฮโซที่ไหน แต่เป็นผู้หญิงระดับสูงของพวกลั๊วะ และแน่ๆ คือเป็นนักรบด้วยเพราะนางพุ่งหอกชนะนักรบลั๊วะผู้ชายคนนึงที่หมายปองนาง แต่นางไปเลือกแต่งกับเจ้าชายจากเมืองเหนือแทน นักรบผู้นั้นก็เลยไปท้านางแข่งพุ่งหอกเดิมพันแต่งงานกันแต่ไม่อาจเอาชนะนางได้ การดองกันนี้ของเจ้าหญิงเผ่าลั๊วะกับเจ้านายหริภุญไชยเป็นการเมืองที่ทำให้คนเมืองเหนือที่พูดไทปกครองชนเผ่าเชื้อสายอัสเลียนที่พูดออสโตรเอเชียติคได้ ผ่านกาลเวลายาวนาน อัสเลียนกับไทดองกันเป็นประชากรชาติเดียวกันและพูดภาษาเดียวกัน ยาวมาจนทุกวันนี้
    .
    สำหรับผม การเอาข้อมูลเหล่านี้เป็นแผนที่วิจัย จะเห็นความเชื่อมโยงในอีกแง่มุมที่เราไม่เคยคิดมาก่อน ผมทำอย่างนี้ในเกือบทุกเรื่องที่ผมค้นคว้า และเมื่อใช้มันประกบเข้ากับสาขาความรู้อื่น เช่น ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ภาษาศาสตร์ นิรุกติศาสตร์ ธรณีวิทยา ศิลปะวัฒนธรรม หรือแม้แต่ปรัมปราคติ ถ้ามันเข้ากันได้ทั้งหมดโดยไม่มีข้อขัดแย้งซึ่งกันและกัน ในความเห็นผม มันน่าจะเป็นประวัติศาสตร์ที่มั่นคงที่สุด
    .
    เมื่อพิจารณาอย่างนี้ แนวคิดหนึ่งที่ถูกนำเสนอและดูจะมีน้ำหนักสุด คือแนวคิดที่เห็นว่า ขอม เป็นชื่อที่คนพื้นเมืองทางเหนือเรียกคนพื้นเมืองทางใต้ ประชากรพวกนี้บ้างอาจเคยเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นโบราณสักแคว้นหนึ่งหรือหลายแคว้น อาจปะปน เคลื่อนย้ายถ่ายเทไปมา บางพวกอาจเคยเป็นส่วนหนึ่งของฟูนัน อาจเป็นส่วนหนึ่งของมอญทวารวดี อาจเป็นส่วนหนึ่งของเขมรพระนคร เป็นส่วนหนึ่งของละโว้ เป็นส่วนหนึ่งอโยธยา เป็นส่วนหนึ่งของจาม.... แต่ความสมมุตินี้ได้จบสิ้นไปแล้วหลายร้อยปี ไม่ควรเอามาเป็นตัวชี้วัดปัจจุบัน ความเป็นจริงแท้เดียวที่ไม่เปลี่ยนแปรไป แม้ความสมมุติเหล่านั้นจะสิ้นสลายไปแล้วก็คือ ทั้งอุษาคเนย์ล้วนมียีนพ่อเดียวกันกว่า 70 เปอร์เซ็นต์คือ Y Chromosome DNA Haplogroup O เป็นสายพันธ์ุตระกูลใหญ่ที่มีรากมาจากหิมาลายัน ไป่เยว่และอัสเลียน และยังมีแม่จากต่างสาแหรกร่วมกับพวกดราวิเดียน อะบอริจินิสท์ ไอนุ โพลินิเชียน มองโกล และอินุอิต ถ้ายอมรับความจริงข้อนี้ ความขัดแย้งน่าจะยุติลง
    .
    อยากรู้ว่าประชากรเขมร หรือประชากรสยามคนไหนเคยเป็นส่วนหนึ่งของประชากรที่อาศัยในพื้นที่ใด มีความเก่าแก่แค่ไหนในตัวเขา และเขามาจากสาแหรกไหน เก่าแก่มากน้อยเพียงใด... ไม่ยาก สามารถอ่านได้จากรหัสมิวเทชั่นในพันธุกรรมของพวกเขา ที่ซึ่งจากฐานข้อมูลที่มีการรวบรวมอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมากว่าสามสิบปี อย่างเช่นของ familytreedna.org เราจะสามารถระบุความหนาแน่นของดีเอ็นเอในกลุ่มประชากรแต่ละพื้นที่ได้ ถ้าดีเอ็นเอของใครที่มาจากมิวเทชั่นของสาแหรกเก่าแก่นับพันปี (อย่างที่บอก ดีเอ็นเอมี time stamp) และพบหนาแน่นอยู่ในบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาไปจนจรดแถบตะวันออกของกัมพูชาเวียตนามปัจจุบัน และพบว่าไม่เคยย้ายถิ่นฐานไปไกลจากพื้นที่แถบนั้นเลยมาหลายชั่วคนเกินกว่าสองสามร้อยปีมาแล้ว ก็เป็นไปได้ว่าบรรพบุรุษพวกเขาอาจอยู่ในเขมรพระนครมาก่อน
    .
    เอา fact นี้เป็นตัวตั้ง แล้วเอาประวัติศาสตร์วางทาบลงไป
    =========================================================
    ข้อถกเถียงอันน่าปวดหัวของคำว่า ขอม เขมร สยาม ไท ไต กับมุมมองความแตกต่างทางพันธุกรรม ================================================================= ผมมักอ่านพบการโต้เถียงในเรื่องว่า ขอม เป็นใคร อยู่บ่อยๆ บ้างว่าคือ สยาม.. บ้างว่า คือ เขมร.. ทั้งที่ต่างก็เป็นชื่อสมมุติ มีความยืดหยุ่นมาก ชื่อส่วนใหญ่มักเป็นชื่อที่ผู้อื่นเรียก โดยมากมีความหมายไม่ดีมาก่อนและมีการเปลี่ยนผันไปตามกาลเวลา จึงอยากขออนุญาติเสนอความเห็นสักสองสตางค์ในมุมมองที่แตกต่างออกไป อาจจะยาวไปหน่อย ปกติมันควรใช้เวลาอธิบายสักสองชั่วโมง แต่ผมจะพยายามย่อให้สั้น . ผมคิดแบบเอาวิทยาศาสตร์เป็นตัวตั้ง ใช้ชีววิทยาพันธุกรรมเป็นแผนที่หลักในการสำรวจสิ่งต่างๆ ก็ด้วยเหตุผลว่า ดีเอ็นเอมนุษย์สามารถเชื่อมโยงมนุษย์ทั้งหมดเข้าด้วยกันได้ว่าใครสืบสายเลือดมาทางสาแหรกไหนหรือใครมีอายุเก่าใหม่กว่ากัน เพราะในดีเอ็นเอมี time stamp อยู่ในสิ่งที่เรียกว่า “genetic marker” ในมนุษย์ผู้ชายมียีนพ่อ Y chromosome DNA และยีนแม่ Mitochondreal DNA ปรากฏอยู่ในโครงสร้างของโปรตีนในเลือดเนื้อ.. ส่วนผู้หญิงมีแต่ยีนแม่ Mitochondrea DNA. ยีนพ่อและยีนแม่เหล่านี้มันไม่เคยหายไป มันอยู่ในตัวเราและสาวลึกไปสู่บรรพบุรุษต้นทางได้ ข้อมูลของความหนาแน่นของดีเอ็นเอประชากรโลกและ time stamp ที่บอกอายุของดีเอ็นเอ ก่อให้เกิดการคำนวณเส้นทางการอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์โบราณได้ ทีมวิจัยด้านพันธุกรรมศาสตร์ของสแตนฟอร์ดที่บุกเบิกโดยศาสตราจารย์ Luca Cavalli Sforza ทำการพลอตเส้นทางอพยพของมนุษย์จากฐานข้อมูลนี้. ดังนั้นสำหรับผม… ชื่อทุกชื่อเป็นเพียงสิ่งสมมุติ ภาษาพูดไม่ใช่สิ่งยืนยันทางพันธุกรรม. . แสนกว่าปีก่อนมนุษย์อพยพออกจากบริเวณที่เป็นซาฮารันโบราณในแอฟริกา ห้าหมื่นกว่าปีก่อน… มนุษย์กลุ่มแรกที่อพยพออกจากแอฟริกาใช้เส้นทางเลาะชายฝั่งทะเลและอพยพมาถึงเอเชียโบราณบริเวณที่เรียกว่าแผ่นดินซุนดา ซึ่งผืนดินเชื่อมถึงกันหมดทั้งอุษาคเนย์ ไม่มีทะเลบริเวณอ่าวไทย ยีนพ่อหรือมนุษย์ผู้ชายที่มาถึงก่อนเป็นพวก YDNA Haplogroup C และยีนแม่คือ Mitochondreal M และ B คนพวกนี้เคยถูกเรียกว่าอะไรหรือพูดภาษาอะไรมาก่อนไม่รู้ได้ นักวิชาการสมัยใหม่นิยามว่าภาษาซาฮารันโบราณหรือโปรโตซาฮารันอนุมานจากบริเวณถิ่นฐานในแอฟริกาโบราณที่พวกเขาจากมา ส่วนหนึ่งจากคลื่นอพยพของพวกเขากลายเป็นพวกที่เริ่มอารยะธรรมสินธุที่บริเวณฮารัปปา-โมฮันจดาโรเมื่ออพยพผ่านอินเดียโบราณ ซึ่งต่อมาพวกนี้กลายเป็นสาแหรกของกลุ่มดราวิเดียน ทมิฬ สิงหล… ส่วนหนึ่งพลัดข้ามไปสู่เกาะเซนทิเนียล นิโคบาร์ ในอันดามัน ถูกกักกั้นตัดขาดอยู่กลางทะเล รู้จักกันในชื่อพวกอันดามันนิส… ส่วนหนึ่งเข้าสู่เมนแลนด์ซุนดากลายเป็นพวกปาปวน แล้วข้ามไปแผ่นดินซาฮุลโบราณหรือออสเตรเลียปัจจุบันกลายเป็นพวกที่เรียกว่าอะบอริจินิสท์… ส่วนหนึ่งอพยพขึ้นเหนือ แล้วกลับเข้าสู่เอเชียตะวันออกทางตอนบนเคลื่อนย้อนมาทางตะวันตกกลายเป็นพวกมองโกล ส่วนหนึ่งข้ามไปบุกเบิกเกาะญี่ปุ่นกลายเป็นพวกไอนุ ส่วนหนึ่งขึ้นเหนือไปและข้ามทะเลแบริ่งไปทวีปอเมริกาโบราณกลายเป็นพวกอินุอิตที่พบในอะลาสก้า… ไม่ว่าพวกเขาทั้งหมดนี้จะมีหรือเคยมีชื่อชาติพันธุ์อะไร เคยพูดภาษาอะไรและในที่สุดพูดภาษาอะไร พวกเขาล้วนมีบรรพบุรุษร่วมกัน มาจากมดลูกของบรรพบุรุษสาแหรกเดียวกันทั้งสิ้น มนุษย์ผู้ชายทั้งหมดจากชาติพันธุ์ที่กล่าวไปนี้ทั้งหมด แครี่ Y Chromosome DNA Haplogroup C. และเมื่อลองพิจารณาดูปัจจุบันนี้ เฉพาะพวกไอนุอย่างเดียว วันนี้พูดภาษาญี่ปุ่นและสำมะโนประชากรระบุว่าเป็นคนญี่ปุ่น จะเห็นว่าชื่อทางชาติพันธุ์หรือภาษาพูดไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าพวกเขาเป็นใคร (ไม่ต่างกับการพูดภาษาขอม ภาษาเขมร ภาษาไทย ก็ไม่ได้เป็นตัวชี้ว่าพวกเขาเป็นใครมาก่อนกันแน่) . สามหมื่นห้าพันกว่าปีก่อน คลื่นอพยพระลอกที่สองประกอบด้วยยีนพ่อคือ Y Chromosome Hg O ยีนแม่คือ Mt DNA Hg F และ D. อพยพมาตามเส้นทางโบราณสายอนาโตเลีย ยูเครน สู่เอเชียกลาง มาถึงบริเวณที่รู้จักกันในชื่อ Pamir Knot ซึ่งมีภูเขายักษ์สามลูกคือ ฮินดูกูช หิมาลัย และเทียนซานขวางหน้าพวกเขา อุปสรรคทางภูมิศาสตร์นี้บีบให้เส้นทางอพยพแตกออกเป็นสามทาง พวกหนึ่งขึ้นเหนือเลาะเทียนซานมุ่งสู่ไซบีเรียและอพยพข้ามแบริ่งไปทวีปอเมริกากลายเป็นพวกนาดิเนอินเดียนและอะมาไรด์อินเดียน… พวกหนึ่งผ่าที่ราบสูงทิเบตแล้วกระจายกันสู่บริเวณที่เป็นเสฉวน หยุนหนาน กวางสี ในปัจจุบัน กลายเป็นพวกชนเผ่าหิมาลายัน และชนเผ่ามากมายที่บันทึกจีนเรียกเยว่ร้อยเผ่า ในบรรดาพวกนี้ ผลการสำรวจดีเอ็นเอในประเทศจีนตอนใต้โดยศาสตราจารย์จินลีของประเทศจีน ปรากฏว่าไม่มีใครมียีนเก่าไปกว่าพวกข่าว้าและพวกผู้ยีซึ่งเป็นชนเผ่าหนึ่งในตระกูลจ้วงเหนือ… พวกสุดท้ายกลุ่มที่สาม อพยพเลาะเทือกตะนาวศรีเข้าสู่ซุนดาโบราณ ลงมาปะทะสังสรรค์และผสานกับพวกอพยพคลื่นลูกแรกที่มาถึงก่อน ในบรรดาพวกนี้ทั้งหมด จากฐานข้อมูลดีเอ็นเอปัจุบันไม่มีใครมียีนเก่าไปกว่าพวกโอรังอัสลิ (นักวิชาการรุ่นใหม่เรียกว่า aslian) โดยเฉพาะกลุ่มที่อาศัยในซาบาห์ บอร์เนียว ที่สำคัญไปกว่านั้น แม่พันธุ์ของพวกอพยพระลอกแรก คือ mt DNA B และ M เลือกพวกผู้ชายอัสเลียนเป็นพ่อพันธุ์ด้วนเหตุผลใดไม่ทราบ ทำให้ยีนพ่อเดิมของพวกคลื่นอพยพแรกคือพวก Y DNA Hg C ถูกเบียดผลักให้ออกจากเมนแลนด์ไปสู่เกาะแก่งโดยรอบ... ด้วยการที่ตระกูลนี้มีแม่พันธ์ุใหญ่ถึงสี่สาแหรก คือ mt DNA hg B / M / D / F ทำให้ยีนพ่อ Y DNA hg O กลายเป็นสาแหรกที่ใหญ่ที่สุดและมีลูกหลานยึดครองแผ่นดินเอเชียที่มีปริมาณประชากรมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของประชากรเอเชียทั้งหมดจนถึงปัจจุบัน . ปัจจัยสำคัญเกิดขึ้นเมื่อเกือบหมื่นปีที่แล้ว สิ้นสุดยุคน้ำแข็ง น้ำแข็งละลายและระดับน้ำสูงขึ้นจนท่วมแผ่นดินซุนดาโบราณสามครั้ง รวมแล้วประมาณ 120 เมตร ทำให้แผ่นดินซุนดาหายไปกว่าครึ่ง และทำให้เอเชียมีรูปร่างอย่างที่เห็นทุกวันนี้ ผลจากน้ำท่วมโลกนี้ ทำให้ประชากรอัสเลียนโบราณ Y DNA O ในตอนล่างของคาบสมุทร อพยพหนีขึ้นเหนือไปรวมกับพวก Y DNA O ที่อยู่ทางตอนเหนือ บางส่วนอพยพหนีไปสู่เกาะต่างๆ โดยรอบ เกิดปรากฏการณ์ของ cultural transmission ที่หลากหลายและน่าทึ่ง . ทั้งหมดนี้คือวิทยาศาสตร์ที่บอกว่าเราเป็นใคร คนอุษาคเนย์ที่อยู่บนคาบสมุทรตอนล่างไม่ว่าจะถูกเรียกด้วยชื่ออะไร พูดภาษาอะไร พวกเขาล้วนมาจากพวกอัสเลียนอย่างเช่น เซมังซาไก มานิ โอรังลาโว้ย ดยัค อิฟูเกา บอนทอค…ฯลฯ ไม่ว่าต่อมาลูกหลานของพวกเขาจะกลายเป็นเซนอย เป็นข่า เป็นมอญ เป็นขอม เป็นละโว้ เป็นสยาม เป็นอโยธยา เป็นทวารวดี เป็นศรีโพธิ์ เป็นเขมรพระนคร…ฯลฯ. ชื่ออะไรก็ตามแต่... ผู้ชายของชื่อสมมุติพวกนี้ทั้งหมดล้วนมาจาก 'aslian' และบางกลุ่มยังมียีนแม่เป็นอะบอริจินิสท์ พวกเขาล้วนมีโครงสร้างทางโปรตีนในดีเอ็นเหมือนกันกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ต่างกันเพียงมิวเทชั่นเล็กน้อย ดังนั้น fact ง่ายๆ สำหรับผมพวกเขาคือ Y Chromosome DNA Haplogroup O . สาแหรกวงศ์ตระกูลทีใหญ่ที่สุดในโลก . คนมอญ คนสยาม คนเขมร ไม่ว่าเก่าใหม่ มีชื่อเรียกว่าอะไร เคยมีชื่อเรียกว่าอะไร.. มนุษย์ผู้ชาย 'ส่วนใหญ่' แชร์ยีนพ่อ sub clan จาก Y DNA hg O2 คนพื้นถิ่นพวกนี้ที่เป็นประชากรทั่วไป โดยธรรมชาติจะแทบไม่เคลื่อนย้ายไปไหน ถ้าไม่มีภัยพิบัติคุกคาม โรคระบาด หรือถูกกวาดต้อนย้ายไปเพราะมีสงคราม… เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคนเขมรพระนครยุคโบราณพากันย้ายไปไหนบ้าง เพราะเมืองนครวัดประสบปัญหาเรื่องชลประทาน สุขาภิบาลและสุขอนามัย ในที่สุดมันล่มสลายและถูกทิ้งให้ร้างอยู่ในป่า จนแม้แต่คนเขมรส่วนใหญ่ในยุคอาณานิคมก็ไม่รู้ว่ามีนครโบราณอยู่ตรงนั้นตอนที่พวกทีมสำรวจของฝรั่งเศสไปพบเข้า เป็นไปได้ว่ายังอาจมีเชื้อพันธุ์จากประชากรโบราณบางส่วนยังคงอยู่ในบริเวณนั้นบ้าง แต่ไม่ได้แปลว่าคนกัมพูชาปัจจุบันสืบสายมาจากประชากรเมืองพระนคร . ลองคิดดูว่า สมมุติว่าหลังพระนครล่มสลาย ถ้าพวกเขาส่วนหนึ่งย้ายถิ่นฐานมาอยู่แถบลุ่มน้ำเจ้าพระยาส่วนหนึ่ง ในขณะที่บางส่วนที่อาจยังคงอยู่ในบริเวณโตนเลสาปส่วนหนึ่ง หากวันนี้มีการนำลูกหลานของทั้งสองพวกนี้มาตรวจดีเอ็นเอ ก็จะไม่แปลกใจเลยเมื่อพบว่าพวกเขาส่วนใหญ่มียีน O2 เหมือนกัน แต่พวกหนึ่งพูดไทย พวกหนึ่งพูดกัมพูชา ทั้งที่เมื่อสาวย้อนไปไกลขึ้นอีกล้วนมีรากลึกที่สุดมาจากอัสเลียนและพูดภาษาอัสเลียนมาก่อนทั้งคู่ วิทยาศาสตร์จะบอกอย่างตรงไปตรงมาอย่างนี้โดยไม่สนความสมมุติทั้งหลาย.. หากเป็นเช่นนี้ คำพูดที่ว่า ขอมพระนครคือสยาม และขอมพระนครคือเขมร ก็จะถูกต้องทั้งสองแง่ . ถ้าเราลองมองดูเฉพาะ อยุธยา ที่จีนเรียกว่า "เสียน-หลอ" เพราะเป็นการรวมกันของสุโขทัยและละโว้ในความคิดจีน พวกสุโขทัยหรือที่จีนเรียก 'เสียน' อาศัยอยู่ทางเหนือ พวกนี้ก็เป็น Y DNA hg O เช่นกัน จัดเป็นกลุ่มเยว่ พูดภาษาจ้วงไต... ขณะที่พวกละโว้อโยธยาที่จีนเรียกหลอหู่ อาศัยอยู่ตอนกลางคาบสมุทรแถบลุ่มน้ำเจ้าพระยา พวกนี้ก็เป็น Y DNA hg O เช่นกันอีก จัดเป็นสาแหรกอัสเลียนที่ไม่ต่างกับพวกอื่นที่อยู่ในคาบสมุทรมาเลย์ และพวกมอญ-เขมร. จะด้วยสาเหตุใดก็ตามที่พวกนี้ได้ปกครองเหนือชนพื้นเมืองหลายพงศ์เผ่า จะเป็นเพราะพวกเยว่รูปหล่อผิวขาวร่ำรวยกว่าหรืออย่างไรก็ไม่อาจทราบ คนพวกนี้ได้เป็นชนชั้นปกครองและเป็นผลให้ภาษาสกุลจ้วงไทกลายเป็นภาษากลางของหลอหู่ ทั้งที่คนพื้นเมืองหลายกลุ่มปะปนมีทั้งพูดอัสเลียนมาก่อน พูดขอมมาก่อน พูดข่ามาก่อน พูดมอญมาก่อน และประชากรชาวบ้านพวกนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้ย้ายไปไหน ชื่อเมืองอาจเปลี่ยน ชื่อคนอาจเปลี่ยน ชื่ออาณาจักรอาจเปลี่ยน ภาษาอาจเปลี่ยน แต่สาแหรกพันธุกรรมและความเชื่อมโยงกลับไม่เปลี่ยน ที่อัศจรรย์กว่านั้นคือ พวกที่อยู่ไกลกันมากอย่างเช่นพวกนากาในอัสสัม พวกอดิในอรุณาจัลประเทศ พวกดยัคในบอร์เนียว พวกบอนทอคในฟิลิปปินส์ พวกอตายาลในฟอร์โมซา พวกข่าว้าในหยุนหนานมีความเชื่อมโยงทางดีเอ็นเอใกล้ชิดกันมากอย่างน่าแปลกใจ แน่นอนผู้ชายของพวกเขาล้วนมียีน Y DNA hg O . เคสที่น่าสนใจ เคสนึงที่จะทำให้เห็นภาพปัจจัยทางสังคมศาสตร์มากขึ้นคือกรณีของพระนางจามเทวี พระนางไม่ได้เป็นเจ้านางของชนเผ่าไฮโซที่ไหน แต่เป็นผู้หญิงระดับสูงของพวกลั๊วะ และแน่ๆ คือเป็นนักรบด้วยเพราะนางพุ่งหอกชนะนักรบลั๊วะผู้ชายคนนึงที่หมายปองนาง แต่นางไปเลือกแต่งกับเจ้าชายจากเมืองเหนือแทน นักรบผู้นั้นก็เลยไปท้านางแข่งพุ่งหอกเดิมพันแต่งงานกันแต่ไม่อาจเอาชนะนางได้ การดองกันนี้ของเจ้าหญิงเผ่าลั๊วะกับเจ้านายหริภุญไชยเป็นการเมืองที่ทำให้คนเมืองเหนือที่พูดไทปกครองชนเผ่าเชื้อสายอัสเลียนที่พูดออสโตรเอเชียติคได้ ผ่านกาลเวลายาวนาน อัสเลียนกับไทดองกันเป็นประชากรชาติเดียวกันและพูดภาษาเดียวกัน ยาวมาจนทุกวันนี้ . สำหรับผม การเอาข้อมูลเหล่านี้เป็นแผนที่วิจัย จะเห็นความเชื่อมโยงในอีกแง่มุมที่เราไม่เคยคิดมาก่อน ผมทำอย่างนี้ในเกือบทุกเรื่องที่ผมค้นคว้า และเมื่อใช้มันประกบเข้ากับสาขาความรู้อื่น เช่น ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ภาษาศาสตร์ นิรุกติศาสตร์ ธรณีวิทยา ศิลปะวัฒนธรรม หรือแม้แต่ปรัมปราคติ ถ้ามันเข้ากันได้ทั้งหมดโดยไม่มีข้อขัดแย้งซึ่งกันและกัน ในความเห็นผม มันน่าจะเป็นประวัติศาสตร์ที่มั่นคงที่สุด . เมื่อพิจารณาอย่างนี้ แนวคิดหนึ่งที่ถูกนำเสนอและดูจะมีน้ำหนักสุด คือแนวคิดที่เห็นว่า ขอม เป็นชื่อที่คนพื้นเมืองทางเหนือเรียกคนพื้นเมืองทางใต้ ประชากรพวกนี้บ้างอาจเคยเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นโบราณสักแคว้นหนึ่งหรือหลายแคว้น อาจปะปน เคลื่อนย้ายถ่ายเทไปมา บางพวกอาจเคยเป็นส่วนหนึ่งของฟูนัน อาจเป็นส่วนหนึ่งของมอญทวารวดี อาจเป็นส่วนหนึ่งของเขมรพระนคร เป็นส่วนหนึ่งของละโว้ เป็นส่วนหนึ่งอโยธยา เป็นส่วนหนึ่งของจาม.... แต่ความสมมุตินี้ได้จบสิ้นไปแล้วหลายร้อยปี ไม่ควรเอามาเป็นตัวชี้วัดปัจจุบัน ความเป็นจริงแท้เดียวที่ไม่เปลี่ยนแปรไป แม้ความสมมุติเหล่านั้นจะสิ้นสลายไปแล้วก็คือ ทั้งอุษาคเนย์ล้วนมียีนพ่อเดียวกันกว่า 70 เปอร์เซ็นต์คือ Y Chromosome DNA Haplogroup O เป็นสายพันธ์ุตระกูลใหญ่ที่มีรากมาจากหิมาลายัน ไป่เยว่และอัสเลียน และยังมีแม่จากต่างสาแหรกร่วมกับพวกดราวิเดียน อะบอริจินิสท์ ไอนุ โพลินิเชียน มองโกล และอินุอิต ถ้ายอมรับความจริงข้อนี้ ความขัดแย้งน่าจะยุติลง . อยากรู้ว่าประชากรเขมร หรือประชากรสยามคนไหนเคยเป็นส่วนหนึ่งของประชากรที่อาศัยในพื้นที่ใด มีความเก่าแก่แค่ไหนในตัวเขา และเขามาจากสาแหรกไหน เก่าแก่มากน้อยเพียงใด... ไม่ยาก สามารถอ่านได้จากรหัสมิวเทชั่นในพันธุกรรมของพวกเขา ที่ซึ่งจากฐานข้อมูลที่มีการรวบรวมอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมากว่าสามสิบปี อย่างเช่นของ familytreedna.org เราจะสามารถระบุความหนาแน่นของดีเอ็นเอในกลุ่มประชากรแต่ละพื้นที่ได้ ถ้าดีเอ็นเอของใครที่มาจากมิวเทชั่นของสาแหรกเก่าแก่นับพันปี (อย่างที่บอก ดีเอ็นเอมี time stamp) และพบหนาแน่นอยู่ในบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาไปจนจรดแถบตะวันออกของกัมพูชาเวียตนามปัจจุบัน และพบว่าไม่เคยย้ายถิ่นฐานไปไกลจากพื้นที่แถบนั้นเลยมาหลายชั่วคนเกินกว่าสองสามร้อยปีมาแล้ว ก็เป็นไปได้ว่าบรรพบุรุษพวกเขาอาจอยู่ในเขมรพระนครมาก่อน . เอา fact นี้เป็นตัวตั้ง แล้วเอาประวัติศาสตร์วางทาบลงไป =========================================================
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 230 มุมมอง 0 รีวิว
  • เล่าให้ฟังใหม่: SpaceX เปิดตัว Grid Fins ขนาดมหึมา — เตรียมจับจรวดที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยหอปล่อย

    SpaceX เผยโฉม Grid Fins รุ่นใหม่สำหรับจรวด Super Heavy ซึ่งเป็นบูสเตอร์ของ Starship — จรวดที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นจรวดเดียวที่ออกแบบมาให้ “ถูกจับ” โดยหอปล่อยแทนการลงจอดแบบเดิม

    Grid Fins คือแผงควบคุมการบินที่คล้ายตะแกรงเหล็ก ใช้ในการควบคุมทิศทางระหว่างการกลับสู่พื้นโลก โดย SpaceX ใช้กับ Falcon 9 มานานแล้ว แต่สำหรับ Super Heavy รุ่นใหม่ Grid Fins ถูกออกแบบใหม่ทั้งหมด: ใหญ่ขึ้น 50%, แข็งแรงขึ้น, และลดจำนวนจาก 4 เหลือ 3 ชิ้น เพื่อให้ควบคุมได้แม่นยำขึ้นในมุมตกที่สูงขึ้น

    นอกจากนี้ SpaceX ยังปรับตำแหน่ง Grid Fins ให้ต่ำลง เพื่อให้สอดคล้องกับจุดจับของหอปล่อย และลดความร้อนจากการแยกขั้นตอน (hot staging) โดยชิ้นส่วนควบคุม เช่น shaft และ actuator จะถูกฝังไว้ในถังเชื้อเพลิงของบูสเตอร์

    การออกแบบนี้ไม่เพียงช่วยให้ Super Heavy กลับสู่พื้นโลกอย่างแม่นยำ แต่ยังเตรียมพร้อมสำหรับการ “จับ” ด้วยแขนกลของหอปล่อย แล้วเติมเชื้อเพลิงใหม่เพื่อบินอีกครั้ง — เป็นก้าวสำคัญของการทำให้จรวดสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างเต็มรูปแบบ

    SpaceX เปิดตัว Grid Fins รุ่นใหม่สำหรับ Super Heavy
    ใหญ่ขึ้น 50% แข็งแรงขึ้น และลดจำนวนจาก 4 เหลือ 3 ชิ้น

    Grid Fins รุ่นใหม่ช่วยให้บูสเตอร์กลับสู่พื้นโลกในมุมตกที่สูงขึ้น
    ลดแรงเสียดทานอากาศและประหยัดเชื้อเพลิง

    ตำแหน่ง Grid Fins ถูกปรับให้ต่ำลงเพื่อให้สอดคล้องกับจุดจับของหอปล่อย
    ลดความร้อนจาก hot staging และเพิ่มความแม่นยำในการจับ

    ชิ้นส่วนควบคุม Grid Fins ถูกฝังไว้ในถังเชื้อเพลิงของบูสเตอร์
    ลดน้ำหนักและเพิ่มความทนทาน

    Super Heavy จะถูกจับด้วยหอปล่อยแทนการลงจอดในทะเล
    เพื่อเติมเชื้อเพลิงและนำกลับมาใช้ใหม่

    Elon Musk เผยว่า Grid Fins ใหม่นี้จะใช้กับ Super Heavy รุ่นที่ 3
    เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา Starship Flight 10 และรุ่นถัดไป

    https://wccftech.com/spacex-reveals-humongous-grid-fins-to-catch-worlds-largest-rocket-with-the-launch-tower/
    🚀🛠️ เล่าให้ฟังใหม่: SpaceX เปิดตัว Grid Fins ขนาดมหึมา — เตรียมจับจรวดที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยหอปล่อย SpaceX เผยโฉม Grid Fins รุ่นใหม่สำหรับจรวด Super Heavy ซึ่งเป็นบูสเตอร์ของ Starship — จรวดที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นจรวดเดียวที่ออกแบบมาให้ “ถูกจับ” โดยหอปล่อยแทนการลงจอดแบบเดิม Grid Fins คือแผงควบคุมการบินที่คล้ายตะแกรงเหล็ก ใช้ในการควบคุมทิศทางระหว่างการกลับสู่พื้นโลก โดย SpaceX ใช้กับ Falcon 9 มานานแล้ว แต่สำหรับ Super Heavy รุ่นใหม่ Grid Fins ถูกออกแบบใหม่ทั้งหมด: ใหญ่ขึ้น 50%, แข็งแรงขึ้น, และลดจำนวนจาก 4 เหลือ 3 ชิ้น เพื่อให้ควบคุมได้แม่นยำขึ้นในมุมตกที่สูงขึ้น นอกจากนี้ SpaceX ยังปรับตำแหน่ง Grid Fins ให้ต่ำลง เพื่อให้สอดคล้องกับจุดจับของหอปล่อย และลดความร้อนจากการแยกขั้นตอน (hot staging) โดยชิ้นส่วนควบคุม เช่น shaft และ actuator จะถูกฝังไว้ในถังเชื้อเพลิงของบูสเตอร์ การออกแบบนี้ไม่เพียงช่วยให้ Super Heavy กลับสู่พื้นโลกอย่างแม่นยำ แต่ยังเตรียมพร้อมสำหรับการ “จับ” ด้วยแขนกลของหอปล่อย แล้วเติมเชื้อเพลิงใหม่เพื่อบินอีกครั้ง — เป็นก้าวสำคัญของการทำให้จรวดสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างเต็มรูปแบบ ✅ SpaceX เปิดตัว Grid Fins รุ่นใหม่สำหรับ Super Heavy ➡️ ใหญ่ขึ้น 50% แข็งแรงขึ้น และลดจำนวนจาก 4 เหลือ 3 ชิ้น ✅ Grid Fins รุ่นใหม่ช่วยให้บูสเตอร์กลับสู่พื้นโลกในมุมตกที่สูงขึ้น ➡️ ลดแรงเสียดทานอากาศและประหยัดเชื้อเพลิง ✅ ตำแหน่ง Grid Fins ถูกปรับให้ต่ำลงเพื่อให้สอดคล้องกับจุดจับของหอปล่อย ➡️ ลดความร้อนจาก hot staging และเพิ่มความแม่นยำในการจับ ✅ ชิ้นส่วนควบคุม Grid Fins ถูกฝังไว้ในถังเชื้อเพลิงของบูสเตอร์ ➡️ ลดน้ำหนักและเพิ่มความทนทาน ✅ Super Heavy จะถูกจับด้วยหอปล่อยแทนการลงจอดในทะเล ➡️ เพื่อเติมเชื้อเพลิงและนำกลับมาใช้ใหม่ ✅ Elon Musk เผยว่า Grid Fins ใหม่นี้จะใช้กับ Super Heavy รุ่นที่ 3 ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา Starship Flight 10 และรุ่นถัดไป https://wccftech.com/spacex-reveals-humongous-grid-fins-to-catch-worlds-largest-rocket-with-the-launch-tower/
    WCCFTECH.COM
    SpaceX Reveals Humongous Grid Fins To Catch World's Largest Rocket With The Launch Tower
    SpaceX unveils 50% larger grid fins for Starship Super Heavy, enhancing performance with three fins and other upgrades.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ชาติศาสน์กษัตริย์ครบนี้จึงคือประเทศไทย.
    #อำนาจมืดชักใยโลกต้องการยึดไทย.


    รัฐลึก Deep State, หมวกขาว White Hats และ Q/Qanon ไร้สาระ
    รู้เพียงเท่านี้ยังไม่เพียงพอ!!!

    เมื่อผู้คนค่อยๆ ตื่นขึ้นสู่ความเป็นจริงของโลกของเรา การถูกจับเป็นตัวประกันโดย13สายเลือดผู้ปกครอง
    และปรสิตภายในสมาคมลับของพวกเขา (กลุ่มคาบาล) และทุกสิ่งที่เราถูกสอนมาเป็นเรื่องโกหก เส้นทางที่แตกต่างกันมากมาย
    บางคนหลุดเข้าไปในอุโมงค์มืด(รูกระต่าย)ของฝ่ายมืดที่ถูกควบคุม (คนเฝ้าประตู) และวาระของพวกเขากำหนดไว้
    เพื่อไม่ให้คุณรู้ลึกไปมากกว่านี้ ในบทความนี้ผมจะช่วยทำให้คุณเข้าใจอะไรๆได้ดีขึ้น เริ่มกันที่ “การเมือง…”

    ผู้คนที่อ้างถึงผู้มีอำนาจผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังว่า "The Deep State"
    จริงๆแล้วไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "The Deep State" นั่นเป็นเพียงคำพูดไร้สาระที่ CIA และ สาวก Q-โง่ๆ บัญญัติขึ้น
    เดิมทีมันปรากฏเป็นชวเลขสำหรับข้าราชการที่ต้องการบ่อนทำลายทรัมป์ - ซึ่งตลกเพราะการเมืองคือละครนํ้าเน่า
    กล่าวอีกนัยหนึ่ง อย่าใช้คำศัพท์เหล่านี้หากคุณต้องการได้รับความเชื่อ ราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ

    ผู้ที่มีอำนาจที่แท้จริงคือผู้คนจาก 13 สายเลือดโบราณ (ตระกูล) ของกษัตริย์และราชินี
    ตามมาด้วยพระสันตปาปาดำและคณะเยซูอิต ตามมาด้วยพวกนักบวชทางศาสนา (ซาตาน) มหาเศรษฐีและนายธนาคาร
    และพวกเขา ทั้งหมดทำงานภายในสมาคมลับหรือ 'พันธมิตร' - ทำงานเพื่อรัฐบาลโลกเดียวหรือที่เรียกว่าระเบียบโลกใหม่

    พวกเขามีคณะกรรมการประมาณ 300 คน (ชายและหญิงที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก) และคลังความคิดที่เรียกว่า Club of Rome
    ที่สร้างขึ้นโดยนิกายเยซูอิตหรือที่รู้จักกันในชื่อ Society of Jesus (คำสั่งภายในคริสตจักรคาทอลิก)
    และจาองค์กรอื่น ๆ เช่น Freemasons (แต่เดิมถูกแทรกซึมโดย Order of the Illuminati
    ซึ่งก่อตั้งโดยนักบวชนิกายเยซูอิต Adam Weishaupt) และกลายเป็นคำสั่งลึกลับและสถาบันของรัฐบาลทั้งหมด
    ที่ถูกแทรกซึมโดยกลุ่มดังกล่าวนี้ โดยเฉพาะตำรวจ, กองทัพ, NATO, UN(UnitedNation), GATT,
    ธนาคารกลาง, FED, กรมสรรพากร, ศูนย์ข้อมูลทางการทหาร, สถานพยาบาล, บริษัทและองค์กรข้ามชาติ
    และยังมี Bilderberg Group ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีสำหรับนักการเมือง,
    ผู้จัดการ, และนักธุรกิจ “แถวหน้า” นี่เป็นที่ที่พวกเขาจะได้รับข้อมูลและแนวทางสำหรับปีต่อ ๆ ไป
    และถ้าคุณดูว่าสายเลือดโบราณทั้ง 13 สายได้แทรกซึมทางการเงินไปทั่วโลกอย่างไร
    คุณต้องดูที่บริษัทการเงินและลงทุนเช่น Vanguard, BlackRock, State Street,
    Berkshire Hathaway, Morgan Stanley, JPMorgan Chase
    บริษัทเหล่านี้มีหุ้นส่วนใหญ่ในทุกอุตสาหกรรมและบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหมดในโลก
    และพวกเขายังเป็นเจ้าของหุ้นในกันและกัน และที่ด้านบนสุดของปิรามิดนี้ Vanguard และ BlackRock
    ซึ่งมีหุ้นใหญ่ในบริษัทอื่นๆ ทั้งหมดที่อยู่ใต้พวกเขา และพวกเขาล้วนเป็นเจ้าของหุ้นในทุกอุตสาหกรรมและทุกบริษัทในโลก
    และจากสองบริษัทนี้ Vanguardเป็นบริษัทเดียวที่สามารถไม่แสดงตัวผู้ถือหุ้น
    อย่างไรก็ตาม จากการขุดค้นข้อมูล คุณจะเห็นชื่อต่างๆ เช่น Rothschild, Rockefeller, DuPont เป็นต้น
    พวกเขาซ่อนตัวอยู่ใน Vanguard และเป็นเจ้าของทุกสิ่ง!

    ถ้าเราจะระบุ "Deep State"จริง ๆ มันก็เป็นแค่สมาชิกภายในรัฐบาลและศูนย์การทหารที่ทำตามคำสั่งของนิกายเยซูอิต
    ตามคำสั่งของ 13 ครอบครัวใน Vanguard และเป้าหมายปัจจุบันของพวกเขา และชาวสวีเดนตัวน้อย ตระกูลวอลเลนเบิร์กผู้ชั่วร้าย
    พวกเขาเป็นเพียงหุ่นเชิดของนิกายเยซูอิตในคริสตจักรคาทอลิกและอีก 13 ตระกูล พวกเขาอาจมีอำนาจในสายงานธุรกิจของพวกเขา
    แต่พวกเขาก็ยังอยู่ในห่วงโซ่อาหารและปฏิบัติตามคำสั่งเช่นเดียวกับคนอื่นๆ บริษัทของ Wallenberg เช่น Investor
    ถูกควบคุมโดย Vanguard และ BlackRock เช่นเดียวกับบริษัทอื่นๆ

    ผู้คนยังคงถกกันเรื่องการเมือง ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา
    การเมืองเป็นโรงละครสำหรับมวลชนที่ยังคงหลับใหล เช่นเดียวกับกีฬา รายการทีวี ข่าว ดนตรีและภาพยนตร์
    นักการเมืองและประธานาธิบดีส่วนใหญ่เป็นหุ่นเชิดที่ถูกควบคุมโดยนิกายเยซูอิต
    ผ่านสมาชิกและลูกน้องเพื่อให้ประชาชนรู้สึกยุติธรรมโดยการ "ลงคะแนนเสียง"
    หากคุณเสียเวลาไปกับการต่อสู้เพื่อแย่งชิงประธานาธิบดีหรือพรรคการเมือง
    แสดงว่าคุณกำลังเล่นเกมอยู่ในกำมือของพวกเขา
    การแบ่งประชากรออกเป็นกลุ่มที่ไม่ชอบหน้ากัน เช่นเดียวกับเรื่องไร้สาระ
    เช่น การเหยียดเชื้อชาติ กีฬา การหลอกลวงสภาพอากาศ ความถูกต้องทางการเมือง และอื่นๆ



    พวกเขา ควบคุมสื่อ ได้อย่างสมบูรณ์
    พวกเขา ควบคุมหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ของรัฐบาลกลางของเรา ได้อย่างสมบูรณ์
    พวกเขา มีนักการเมืองที่ฉ้อฉล อัยการเขต และผู้พิพากษา
    พวกเขา มีคนดังมากมาย
    พวกเขา จ่ายเงินให้กับผู้มีอิทธิพล
    พวกเขา เซ็นเซอร์เรา อย่างไม่ลดละ
    พวกเขา ควบคุมเครื่องลงคะแนนเสียง
    พวกเขา นำผู้ลงคะแนนเสียงใหม่ เข้ามาหลายล้านคน
    พวกเขา ติดตามทุกคนได้ อย่างไม่จำกัด
    พวกเขา มีผู้มีอิทธิพลทางการเมือง
    พวกเขา มี BlackRock, Vanguard และ State Street
    พวกเขา ควบคุมระบบกฎหมายของเรา
    พวกเขา ควบคุมระบบโรงเรียนของรัฐ
    พวกเขา ควบคุมมหาวิทยาลัยของเรา
    พวกเขา ควบคุมกองทัพของเรา
    พวกเขา ควบคุมความมั่นคงภายในประเทศ
    พวกเขา ควบคุมองค์กรนอกภาครัฐ หลายร้อยแห่ง
    พวกเขา ควบคุมตลาดการเงิน ได้อย่างสมบูรณ์
    พวกเขา ควบคุมหน่วยงานกำกับดูแลของเรา
    พวกเขา มีเงินมากกว่า
    พวกเขา ควบคุมนโยบายต่างประเทศ
    พวกเขา เก็บภาษีเราจนตาย
    พวกเขา ท่วมโซเชียลมีเดียของเรา ด้วยบ็อทและโทรล
    พวกเขา ควบคุมบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่
    พวกเขา ควบคุม Google
    พวกเขา ควบคุมรายการทอล์คโชว์ รายการวิทยุ นิตยสาร และใบอนุญาตออกอากาศ
    พวกเขา มีบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก อยู่เบื้องหลัง
    พวกเขา มีประสบการณ์หลายสิบปี
    อุตสาหกรรมการทหาร อยู่เบื้องหลังพวกเขา
    พวกเขา มีศูนย์ข้อมูล ที่ใช้โมเดลการคาดการณ์

    พวกเขามีทั้งหมดนั้น ... แต่พวกเขาก็ยังแพ้

    #ชาติศาสน์กษัตริย์ครบนี้จึงคือประเทศไทย. #อำนาจมืดชักใยโลกต้องการยึดไทย. รัฐลึก Deep State, หมวกขาว White Hats และ Q/Qanon ไร้สาระ รู้เพียงเท่านี้ยังไม่เพียงพอ!!! เมื่อผู้คนค่อยๆ ตื่นขึ้นสู่ความเป็นจริงของโลกของเรา การถูกจับเป็นตัวประกันโดย13สายเลือดผู้ปกครอง และปรสิตภายในสมาคมลับของพวกเขา (กลุ่มคาบาล) และทุกสิ่งที่เราถูกสอนมาเป็นเรื่องโกหก เส้นทางที่แตกต่างกันมากมาย บางคนหลุดเข้าไปในอุโมงค์มืด(รูกระต่าย)ของฝ่ายมืดที่ถูกควบคุม (คนเฝ้าประตู) และวาระของพวกเขากำหนดไว้ เพื่อไม่ให้คุณรู้ลึกไปมากกว่านี้ ในบทความนี้ผมจะช่วยทำให้คุณเข้าใจอะไรๆได้ดีขึ้น เริ่มกันที่ “การเมือง…” ผู้คนที่อ้างถึงผู้มีอำนาจผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังว่า "The Deep State" จริงๆแล้วไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "The Deep State" นั่นเป็นเพียงคำพูดไร้สาระที่ CIA และ สาวก Q-โง่ๆ บัญญัติขึ้น เดิมทีมันปรากฏเป็นชวเลขสำหรับข้าราชการที่ต้องการบ่อนทำลายทรัมป์ - ซึ่งตลกเพราะการเมืองคือละครนํ้าเน่า กล่าวอีกนัยหนึ่ง อย่าใช้คำศัพท์เหล่านี้หากคุณต้องการได้รับความเชื่อ ราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ ผู้ที่มีอำนาจที่แท้จริงคือผู้คนจาก 13 สายเลือดโบราณ (ตระกูล) ของกษัตริย์และราชินี ตามมาด้วยพระสันตปาปาดำและคณะเยซูอิต ตามมาด้วยพวกนักบวชทางศาสนา (ซาตาน) มหาเศรษฐีและนายธนาคาร และพวกเขา ทั้งหมดทำงานภายในสมาคมลับหรือ 'พันธมิตร' - ทำงานเพื่อรัฐบาลโลกเดียวหรือที่เรียกว่าระเบียบโลกใหม่ พวกเขามีคณะกรรมการประมาณ 300 คน (ชายและหญิงที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก) และคลังความคิดที่เรียกว่า Club of Rome ที่สร้างขึ้นโดยนิกายเยซูอิตหรือที่รู้จักกันในชื่อ Society of Jesus (คำสั่งภายในคริสตจักรคาทอลิก) และจาองค์กรอื่น ๆ เช่น Freemasons (แต่เดิมถูกแทรกซึมโดย Order of the Illuminati ซึ่งก่อตั้งโดยนักบวชนิกายเยซูอิต Adam Weishaupt) และกลายเป็นคำสั่งลึกลับและสถาบันของรัฐบาลทั้งหมด ที่ถูกแทรกซึมโดยกลุ่มดังกล่าวนี้ โดยเฉพาะตำรวจ, กองทัพ, NATO, UN(UnitedNation), GATT, ธนาคารกลาง, FED, กรมสรรพากร, ศูนย์ข้อมูลทางการทหาร, สถานพยาบาล, บริษัทและองค์กรข้ามชาติ และยังมี Bilderberg Group ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีสำหรับนักการเมือง, ผู้จัดการ, และนักธุรกิจ “แถวหน้า” นี่เป็นที่ที่พวกเขาจะได้รับข้อมูลและแนวทางสำหรับปีต่อ ๆ ไป และถ้าคุณดูว่าสายเลือดโบราณทั้ง 13 สายได้แทรกซึมทางการเงินไปทั่วโลกอย่างไร คุณต้องดูที่บริษัทการเงินและลงทุนเช่น Vanguard, BlackRock, State Street, Berkshire Hathaway, Morgan Stanley, JPMorgan Chase บริษัทเหล่านี้มีหุ้นส่วนใหญ่ในทุกอุตสาหกรรมและบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหมดในโลก และพวกเขายังเป็นเจ้าของหุ้นในกันและกัน และที่ด้านบนสุดของปิรามิดนี้ Vanguard และ BlackRock ซึ่งมีหุ้นใหญ่ในบริษัทอื่นๆ ทั้งหมดที่อยู่ใต้พวกเขา และพวกเขาล้วนเป็นเจ้าของหุ้นในทุกอุตสาหกรรมและทุกบริษัทในโลก และจากสองบริษัทนี้ Vanguardเป็นบริษัทเดียวที่สามารถไม่แสดงตัวผู้ถือหุ้น อย่างไรก็ตาม จากการขุดค้นข้อมูล คุณจะเห็นชื่อต่างๆ เช่น Rothschild, Rockefeller, DuPont เป็นต้น พวกเขาซ่อนตัวอยู่ใน Vanguard และเป็นเจ้าของทุกสิ่ง! ถ้าเราจะระบุ "Deep State"จริง ๆ มันก็เป็นแค่สมาชิกภายในรัฐบาลและศูนย์การทหารที่ทำตามคำสั่งของนิกายเยซูอิต ตามคำสั่งของ 13 ครอบครัวใน Vanguard และเป้าหมายปัจจุบันของพวกเขา และชาวสวีเดนตัวน้อย ตระกูลวอลเลนเบิร์กผู้ชั่วร้าย พวกเขาเป็นเพียงหุ่นเชิดของนิกายเยซูอิตในคริสตจักรคาทอลิกและอีก 13 ตระกูล พวกเขาอาจมีอำนาจในสายงานธุรกิจของพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังอยู่ในห่วงโซ่อาหารและปฏิบัติตามคำสั่งเช่นเดียวกับคนอื่นๆ บริษัทของ Wallenberg เช่น Investor ถูกควบคุมโดย Vanguard และ BlackRock เช่นเดียวกับบริษัทอื่นๆ ผู้คนยังคงถกกันเรื่องการเมือง ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา การเมืองเป็นโรงละครสำหรับมวลชนที่ยังคงหลับใหล เช่นเดียวกับกีฬา รายการทีวี ข่าว ดนตรีและภาพยนตร์ นักการเมืองและประธานาธิบดีส่วนใหญ่เป็นหุ่นเชิดที่ถูกควบคุมโดยนิกายเยซูอิต ผ่านสมาชิกและลูกน้องเพื่อให้ประชาชนรู้สึกยุติธรรมโดยการ "ลงคะแนนเสียง" หากคุณเสียเวลาไปกับการต่อสู้เพื่อแย่งชิงประธานาธิบดีหรือพรรคการเมือง แสดงว่าคุณกำลังเล่นเกมอยู่ในกำมือของพวกเขา การแบ่งประชากรออกเป็นกลุ่มที่ไม่ชอบหน้ากัน เช่นเดียวกับเรื่องไร้สาระ เช่น การเหยียดเชื้อชาติ กีฬา การหลอกลวงสภาพอากาศ ความถูกต้องทางการเมือง และอื่นๆ พวกเขา ควบคุมสื่อ ได้อย่างสมบูรณ์ พวกเขา ควบคุมหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ของรัฐบาลกลางของเรา ได้อย่างสมบูรณ์ พวกเขา มีนักการเมืองที่ฉ้อฉล อัยการเขต และผู้พิพากษา พวกเขา มีคนดังมากมาย พวกเขา จ่ายเงินให้กับผู้มีอิทธิพล พวกเขา เซ็นเซอร์เรา อย่างไม่ลดละ พวกเขา ควบคุมเครื่องลงคะแนนเสียง พวกเขา นำผู้ลงคะแนนเสียงใหม่ เข้ามาหลายล้านคน พวกเขา ติดตามทุกคนได้ อย่างไม่จำกัด พวกเขา มีผู้มีอิทธิพลทางการเมือง พวกเขา มี BlackRock, Vanguard และ State Street พวกเขา ควบคุมระบบกฎหมายของเรา พวกเขา ควบคุมระบบโรงเรียนของรัฐ พวกเขา ควบคุมมหาวิทยาลัยของเรา พวกเขา ควบคุมกองทัพของเรา พวกเขา ควบคุมความมั่นคงภายในประเทศ พวกเขา ควบคุมองค์กรนอกภาครัฐ หลายร้อยแห่ง พวกเขา ควบคุมตลาดการเงิน ได้อย่างสมบูรณ์ พวกเขา ควบคุมหน่วยงานกำกับดูแลของเรา พวกเขา มีเงินมากกว่า พวกเขา ควบคุมนโยบายต่างประเทศ พวกเขา เก็บภาษีเราจนตาย พวกเขา ท่วมโซเชียลมีเดียของเรา ด้วยบ็อทและโทรล พวกเขา ควบคุมบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ พวกเขา ควบคุม Google พวกเขา ควบคุมรายการทอล์คโชว์ รายการวิทยุ นิตยสาร และใบอนุญาตออกอากาศ พวกเขา มีบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก อยู่เบื้องหลัง พวกเขา มีประสบการณ์หลายสิบปี อุตสาหกรรมการทหาร อยู่เบื้องหลังพวกเขา พวกเขา มีศูนย์ข้อมูล ที่ใช้โมเดลการคาดการณ์ พวกเขามีทั้งหมดนั้น ... แต่พวกเขาก็ยังแพ้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 328 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: GPU กำลังจะกลายเป็นสินทรัพย์การเงินที่ซื้อขายได้

    Startup ชื่อ OneChronos จับมือกับ Auctionomics บริษัทออกแบบตลาดที่ก่อตั้งโดย Paul Milgrom นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล เพื่อสร้าง “ตลาดซื้อขายล่วงหน้า GPU” แห่งแรกของโลก โดยเป้าหมายคือให้ผู้ใช้งานสามารถ “ล็อกราคา” และ “จัดการความเสี่ยง” ของการเข้าถึง GPU ได้เหมือนกับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมันหรือไฟฟ้า

    ในยุคที่ AI เติบโตอย่างรวดเร็ว GPU กลายเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุด แต่กลับไม่มีเครื่องมือทางการเงินใดที่ช่วยให้บริษัทสามารถวางแผนหรือป้องกันความเสี่ยงจากราคาที่ผันผวนได้เลย

    ตลาดใหม่นี้จะใช้ระบบ “การประมูลแบบอัจฉริยะ” เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเสนอราคาสำหรับเวลาใช้งาน GPU หรือความจุที่ต้องการ โดย Auctionomics จะช่วยออกแบบกลไกตลาดให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และสามารถจัดสรรทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม

    OneChronos และ Auctionomics ร่วมกันสร้างตลาดซื้อขายล่วงหน้า GPU แห่งแรกของโลก
    ใช้ระบบประมูลอัจฉริยะเพื่อจัดสรรทรัพยากร GPU อย่างมีประสิทธิภาพ
    เปรียบเสมือน “ตลาดซื้อขายน้ำมัน” สำหรับโลก AI

    Paul Milgrom นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล เป็นผู้ออกแบบกลไกตลาด
    เคยออกแบบการประมูลคลื่นความถี่ที่เปลี่ยนโฉมวงการโทรคมนาคม
    ใช้ทฤษฎีเกมและคณิตศาสตร์เพื่อสร้างแรงจูงใจที่เหมาะสม

    GPU ถูกมองว่าเป็น “สินทรัพย์องค์กรที่ยังไม่มีการป้องกันความเสี่ยง” ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
    ไม่มีเครื่องมือทางการเงินใดที่ช่วยล็อกราคาหรือจัดการความเสี่ยง
    ต่างจากน้ำมันหรือไฟฟ้าที่มีตลาดซื้อขายล่วงหน้า

    ระบบจะเปิดให้ผู้ใช้งานเสนอราคาสำหรับเวลาใช้งาน GPU หรือความจุที่ต้องการ
    ช่วยให้บริษัทสามารถวางแผนล่วงหน้าและควบคุมต้นทุนได้
    ลดปัญหาการขาดแคลนและราคาผันผวนในช่วงที่มีความต้องการสูง

    ตลาดนี้จะเปิดให้ผู้เข้าร่วมหลากหลาย เช่น ผู้ผลิตชิป, ผู้ให้บริการคลาวด์, นักลงทุนในศูนย์ข้อมูล
    ยิ่งมีผู้เข้าร่วมหลากหลาย ตลาดจะยิ่งมีความโปร่งใสและมีสภาพคล่องสูง
    ช่วยให้เกิดการค้นหาราคาที่แท้จริงของทรัพยากร GPU

    https://www.techspot.com/news/108879-startup-nobel-laureate-collaborate-create-gpu-financial-exchange.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: GPU กำลังจะกลายเป็นสินทรัพย์การเงินที่ซื้อขายได้ Startup ชื่อ OneChronos จับมือกับ Auctionomics บริษัทออกแบบตลาดที่ก่อตั้งโดย Paul Milgrom นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล เพื่อสร้าง “ตลาดซื้อขายล่วงหน้า GPU” แห่งแรกของโลก โดยเป้าหมายคือให้ผู้ใช้งานสามารถ “ล็อกราคา” และ “จัดการความเสี่ยง” ของการเข้าถึง GPU ได้เหมือนกับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมันหรือไฟฟ้า ในยุคที่ AI เติบโตอย่างรวดเร็ว GPU กลายเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุด แต่กลับไม่มีเครื่องมือทางการเงินใดที่ช่วยให้บริษัทสามารถวางแผนหรือป้องกันความเสี่ยงจากราคาที่ผันผวนได้เลย ตลาดใหม่นี้จะใช้ระบบ “การประมูลแบบอัจฉริยะ” เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเสนอราคาสำหรับเวลาใช้งาน GPU หรือความจุที่ต้องการ โดย Auctionomics จะช่วยออกแบบกลไกตลาดให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และสามารถจัดสรรทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม ✅ OneChronos และ Auctionomics ร่วมกันสร้างตลาดซื้อขายล่วงหน้า GPU แห่งแรกของโลก ➡️ ใช้ระบบประมูลอัจฉริยะเพื่อจัดสรรทรัพยากร GPU อย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ เปรียบเสมือน “ตลาดซื้อขายน้ำมัน” สำหรับโลก AI ✅ Paul Milgrom นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล เป็นผู้ออกแบบกลไกตลาด ➡️ เคยออกแบบการประมูลคลื่นความถี่ที่เปลี่ยนโฉมวงการโทรคมนาคม ➡️ ใช้ทฤษฎีเกมและคณิตศาสตร์เพื่อสร้างแรงจูงใจที่เหมาะสม ✅ GPU ถูกมองว่าเป็น “สินทรัพย์องค์กรที่ยังไม่มีการป้องกันความเสี่ยง” ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ➡️ ไม่มีเครื่องมือทางการเงินใดที่ช่วยล็อกราคาหรือจัดการความเสี่ยง ➡️ ต่างจากน้ำมันหรือไฟฟ้าที่มีตลาดซื้อขายล่วงหน้า ✅ ระบบจะเปิดให้ผู้ใช้งานเสนอราคาสำหรับเวลาใช้งาน GPU หรือความจุที่ต้องการ ➡️ ช่วยให้บริษัทสามารถวางแผนล่วงหน้าและควบคุมต้นทุนได้ ➡️ ลดปัญหาการขาดแคลนและราคาผันผวนในช่วงที่มีความต้องการสูง ✅ ตลาดนี้จะเปิดให้ผู้เข้าร่วมหลากหลาย เช่น ผู้ผลิตชิป, ผู้ให้บริการคลาวด์, นักลงทุนในศูนย์ข้อมูล ➡️ ยิ่งมีผู้เข้าร่วมหลากหลาย ตลาดจะยิ่งมีความโปร่งใสและมีสภาพคล่องสูง ➡️ ช่วยให้เกิดการค้นหาราคาที่แท้จริงของทรัพยากร GPU https://www.techspot.com/news/108879-startup-nobel-laureate-collaborate-create-gpu-financial-exchange.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Startup and Nobel laureate collaborate to create GPU financial exchange
    The world of artificial intelligence is built on computing power, and at the heart of that engine are graphics processing units. These chips are in such high...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • st. isaac’s cathedral
    มหาวิหารขนาดใหญ่ใจกลางเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย
    เป็น 1 ในวิหารโดมทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิกและโดมทองอร่ามที่มองเห็นได้จากทั่วเมือง

    ไฮไลต์ที่ไม่ควรพลาด:

    * ภายในประดับด้วยหินอ่อน หินมัลไลต์ และภาพโมเสกอันวิจิตร
    * บันได 262 ขั้นสู่จุดชมวิวบนโดม มองเห็นวิวเมืองแบบพาโนรามา
    * สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19 ใช้เวลาก่อสร้างกว่า 40 ปี
    * เคยใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ในยุคโซเวียต และยังคงเปิดให้เข้าชมจนถึงปัจจุบัน

    ตั้งอยู่ในจัตุรัส st. isaac ใกล้แม่น้ำนีวา
    เปิดให้เข้าชมทุกวัน (บางช่วงอาจปิดปรับปรุง)
    มีค่าเข้าชม (และมีส่วนของ observation deck แยกต่างหาก)

    #stisaacscathedral #saintpetersburg #รัสเซียน่าเที่ยว #โบสถ์โดมทอง #วิหารรัสเซีย #etwรัสเซีย
    ⛪ st. isaac’s cathedral มหาวิหารขนาดใหญ่ใจกลางเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย 🇷🇺 เป็น 1 ในวิหารโดมทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิกและโดมทองอร่ามที่มองเห็นได้จากทั่วเมือง 🌟 ไฮไลต์ที่ไม่ควรพลาด: * ภายในประดับด้วยหินอ่อน หินมัลไลต์ และภาพโมเสกอันวิจิตร * บันได 262 ขั้นสู่จุดชมวิวบนโดม มองเห็นวิวเมืองแบบพาโนรามา * สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19 ใช้เวลาก่อสร้างกว่า 40 ปี * เคยใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ในยุคโซเวียต และยังคงเปิดให้เข้าชมจนถึงปัจจุบัน 📍 ตั้งอยู่ในจัตุรัส st. isaac ใกล้แม่น้ำนีวา ⏰ เปิดให้เข้าชมทุกวัน (บางช่วงอาจปิดปรับปรุง) 🎫 มีค่าเข้าชม (และมีส่วนของ observation deck แยกต่างหาก) #stisaacscathedral #saintpetersburg #รัสเซียน่าเที่ยว #โบสถ์โดมทอง #วิหารรัสเซีย #etwรัสเซีย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 252 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เรือที่ “คิดเองได้” กำลังจะเปลี่ยนโลกการขนส่ง

    ลองจินตนาการว่าเรือขนส่งขนาดมหึมา 750 ฟุต ที่บรรทุกรถยนต์กว่า 7,000 คัน กำลังแล่นข้ามมหาสมุทรโดยไม่ต้องมีคนควบคุม — นี่ไม่ใช่นิยายไซไฟ แต่คือแผนจริงของ Hyundai Glovis ที่ร่วมมือกับ Avikus บริษัทเทคโนโลยีในเครือ HD Hyundai เพื่อเปลี่ยนเรือขนส่งให้กลายเป็น “เรืออัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI”

    ระบบที่ใช้ชื่อว่า HiNAS (Hyundai Intelligent Navigation Assistant System) จะถูกติดตั้งในเรือ 7 ลำภายในปี 2026 โดยเป็นระบบระดับ MASS Level-2 ที่สามารถควบคุมระยะไกลและปรับเส้นทางแบบเรียลไทม์ผ่าน AI แม้จะยังไม่ใช่ระบบไร้คนขับเต็มรูปแบบ แต่ก็ถือเป็นก้าวใหญ่ของอุตสาหกรรมเดินเรือ

    เป้าหมายของโครงการนี้คือการลดการใช้เชื้อเพลิง เพิ่มประสิทธิภาพการเดินทาง และลดความผิดพลาดจากมนุษย์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอุบัติเหตุทางทะเล

    Hyundai Glovis ร่วมมือกับ Avikus พัฒนาเรือขนส่งอัตโนมัติ
    ใช้ระบบ HiNAS ที่พัฒนาโดย Avikus ในเครือ HD Hyundai
    ติดตั้งในเรือขนส่งรถยนต์ 7 ลำภายในกลางปี 2026

    ระบบ HiNAS เป็น MASS Level-2
    รองรับการควบคุมระยะไกลและปรับเส้นทางด้วย AI
    ยังไม่ใช่ระบบไร้คนขับเต็มรูปแบบ แต่สามารถตัดสินใจได้เองบางส่วน

    เรือ Sunrise จะเป็นเรือขนส่ง AI ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
    ยาว 229.9 เมตร บรรทุกได้ 7,000 คัน
    เป็นเรือแรกที่ติดตั้งระบบ AI แบบเต็มรูปแบบ

    เป้าหมายคือเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน
    ลดการใช้เชื้อเพลิงได้ถึง 3.9% จากการทดลอง
    ลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุที่เกิดจากมนุษย์

    เป็นส่วนหนึ่งของแผนลงทุน $6.5 พันล้านของ Glovis
    เพื่อเปลี่ยนองค์กรสู่ “Smart Logistics Company” ภายในปี 2030
    รวมถึงเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2045

    Avikus เคยสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการนำเรือ LNG ข้ามมหาสมุทรแบบอัตโนมัติ
    ในปี 2022 เรือ LNG ขนาด 300 เมตรเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกด้วยระบบ AI
    ลดการปล่อยคาร์บอน 5% และเพิ่มประสิทธิภาพเชื้อเพลิง 7%

    https://www.techradar.com/pro/shipping-giant-set-to-roll-out-worlds-first-ai-controlled-autonomous-car-carrying-ships-at-750-ft-long-and-weighing-almost-100-000-tons-its-probably-the-largest-ai-driven-vessel-ever
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: เรือที่ “คิดเองได้” กำลังจะเปลี่ยนโลกการขนส่ง ลองจินตนาการว่าเรือขนส่งขนาดมหึมา 750 ฟุต ที่บรรทุกรถยนต์กว่า 7,000 คัน กำลังแล่นข้ามมหาสมุทรโดยไม่ต้องมีคนควบคุม — นี่ไม่ใช่นิยายไซไฟ แต่คือแผนจริงของ Hyundai Glovis ที่ร่วมมือกับ Avikus บริษัทเทคโนโลยีในเครือ HD Hyundai เพื่อเปลี่ยนเรือขนส่งให้กลายเป็น “เรืออัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI” ระบบที่ใช้ชื่อว่า HiNAS (Hyundai Intelligent Navigation Assistant System) จะถูกติดตั้งในเรือ 7 ลำภายในปี 2026 โดยเป็นระบบระดับ MASS Level-2 ที่สามารถควบคุมระยะไกลและปรับเส้นทางแบบเรียลไทม์ผ่าน AI แม้จะยังไม่ใช่ระบบไร้คนขับเต็มรูปแบบ แต่ก็ถือเป็นก้าวใหญ่ของอุตสาหกรรมเดินเรือ เป้าหมายของโครงการนี้คือการลดการใช้เชื้อเพลิง เพิ่มประสิทธิภาพการเดินทาง และลดความผิดพลาดจากมนุษย์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอุบัติเหตุทางทะเล ✅ Hyundai Glovis ร่วมมือกับ Avikus พัฒนาเรือขนส่งอัตโนมัติ ➡️ ใช้ระบบ HiNAS ที่พัฒนาโดย Avikus ในเครือ HD Hyundai ➡️ ติดตั้งในเรือขนส่งรถยนต์ 7 ลำภายในกลางปี 2026 ✅ ระบบ HiNAS เป็น MASS Level-2 ➡️ รองรับการควบคุมระยะไกลและปรับเส้นทางด้วย AI ➡️ ยังไม่ใช่ระบบไร้คนขับเต็มรูปแบบ แต่สามารถตัดสินใจได้เองบางส่วน ✅ เรือ Sunrise จะเป็นเรือขนส่ง AI ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ➡️ ยาว 229.9 เมตร บรรทุกได้ 7,000 คัน ➡️ เป็นเรือแรกที่ติดตั้งระบบ AI แบบเต็มรูปแบบ ✅ เป้าหมายคือเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน ➡️ ลดการใช้เชื้อเพลิงได้ถึง 3.9% จากการทดลอง ➡️ ลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุที่เกิดจากมนุษย์ ✅ เป็นส่วนหนึ่งของแผนลงทุน $6.5 พันล้านของ Glovis ➡️ เพื่อเปลี่ยนองค์กรสู่ “Smart Logistics Company” ภายในปี 2030 ➡️ รวมถึงเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2045 ✅ Avikus เคยสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการนำเรือ LNG ข้ามมหาสมุทรแบบอัตโนมัติ ➡️ ในปี 2022 เรือ LNG ขนาด 300 เมตรเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกด้วยระบบ AI ➡️ ลดการปล่อยคาร์บอน 5% และเพิ่มประสิทธิภาพเชื้อเพลิง 7% https://www.techradar.com/pro/shipping-giant-set-to-roll-out-worlds-first-ai-controlled-autonomous-car-carrying-ships-at-750-ft-long-and-weighing-almost-100-000-tons-its-probably-the-largest-ai-driven-vessel-ever
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 294 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากการวัดเวลา: เมื่อหนึ่งวินาทีอาจไม่ใช่สิ่งที่เราเคยรู้จัก

    นาฬิกาอะตอมแบบซีเซียม (cesium atomic clocks) ถูกใช้เป็นมาตรฐานสากลในการกำหนด “หนึ่งวินาที” มาตั้งแต่ปี 1967 โดยอิงจากการสั่นของอะตอมซีเซียมที่ระดับพลังงานเฉพาะ แต่เทคโนโลยีใหม่อย่าง optical clocks ซึ่งใช้เลเซอร์วัดการกระโดดของอะตอมระหว่างระดับพลังงาน — มีความแม่นยำสูงกว่ามาก

    - Optical clocks อาจคลาดเคลื่อนน้อยกว่า 1 วินาทีในช่วงเวลาหลายพันล้านปี
    - การเปรียบเทียบครั้งนี้ใช้การวัดแบบ frequency ratio 38 ครั้ง โดย 4 ครั้งไม่เคยทำมาก่อน
    - ใช้การเชื่อมต่อผ่าน GPS และสายไฟเบอร์ออปติกพิเศษระหว่างประเทศ เช่นฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี

    ผลลัพธ์ช่วยให้:
    - ตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างนาฬิกาแต่ละเรือน
    - ลดความไม่แน่นอนในการวัด
    - เตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนมาตรฐาน “หนึ่งวินาที” จากซีเซียมเป็น optical

    นักวิจัยยังชี้ว่าเครือข่ายนาฬิกาเหล่านี้สามารถใช้ในการวิจัยฟิสิกส์ขั้นสูง เช่น:
    - การค้นหา dark matter
    - การทดสอบทฤษฎีพื้นฐานของฟิสิกส์
    - การวัดการเปลี่ยนแปลงของแรงโน้มถ่วงในระดับนาโน

    นักวิจัยจาก 6 ประเทศในยุโรปเปรียบเทียบนาฬิกาแสง 10 เรือนพร้อมกัน
    เป็นการทดลองที่ใหญ่ที่สุดในโลกสำหรับการวัดเวลาแบบ optical

    Optical clocks ใช้เลเซอร์วัดการกระโดดของอะตอมระหว่างระดับพลังงาน
    มีความแม่นยำสูงกว่านาฬิกาอะตอมซีเซียมหลายเท่า

    การทดลองใช้การวัด frequency ratio 38 ครั้ง โดย 4 ครั้งไม่เคยทำมาก่อน
    ช่วยตรวจสอบความสอดคล้องและลดความไม่แน่นอน

    ใช้การเชื่อมต่อผ่าน GPS และสายไฟเบอร์ออปติกพิเศษระหว่างประเทศ
    สายไฟเบอร์ให้ความแม่นยำสูงกว่า GPS ถึง 100 เท่า แต่ครอบคลุมระยะสั้น

    ผลลัพธ์ตีพิมพ์ในวารสาร Optica และได้รับการยอมรับในวงการวิทยาศาสตร์
    เป็นก้าวสำคัญสู่การนิยามใหม่ของ “หนึ่งวินาที” ในอนาคต

    เครือข่ายนาฬิกาเหล่านี้สามารถใช้ในการวิจัยฟิสิกส์ขั้นสูง เช่น dark matter และแรงโน้มถ่วง
    ทำให้ระบบวัดเวลากลายเป็นเครื่องมือวิทยาศาสตร์ระดับลึก

    https://www.neowin.net/news/science-is-almost-ready-to-redefine-the-second-with-this-new-research/
    🎙️ เรื่องเล่าจากการวัดเวลา: เมื่อหนึ่งวินาทีอาจไม่ใช่สิ่งที่เราเคยรู้จัก นาฬิกาอะตอมแบบซีเซียม (cesium atomic clocks) ถูกใช้เป็นมาตรฐานสากลในการกำหนด “หนึ่งวินาที” มาตั้งแต่ปี 1967 โดยอิงจากการสั่นของอะตอมซีเซียมที่ระดับพลังงานเฉพาะ แต่เทคโนโลยีใหม่อย่าง optical clocks ซึ่งใช้เลเซอร์วัดการกระโดดของอะตอมระหว่างระดับพลังงาน — มีความแม่นยำสูงกว่ามาก - Optical clocks อาจคลาดเคลื่อนน้อยกว่า 1 วินาทีในช่วงเวลาหลายพันล้านปี - การเปรียบเทียบครั้งนี้ใช้การวัดแบบ frequency ratio 38 ครั้ง โดย 4 ครั้งไม่เคยทำมาก่อน - ใช้การเชื่อมต่อผ่าน GPS และสายไฟเบอร์ออปติกพิเศษระหว่างประเทศ เช่นฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ผลลัพธ์ช่วยให้: - ตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างนาฬิกาแต่ละเรือน - ลดความไม่แน่นอนในการวัด - เตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนมาตรฐาน “หนึ่งวินาที” จากซีเซียมเป็น optical นักวิจัยยังชี้ว่าเครือข่ายนาฬิกาเหล่านี้สามารถใช้ในการวิจัยฟิสิกส์ขั้นสูง เช่น: - การค้นหา dark matter - การทดสอบทฤษฎีพื้นฐานของฟิสิกส์ - การวัดการเปลี่ยนแปลงของแรงโน้มถ่วงในระดับนาโน ✅ นักวิจัยจาก 6 ประเทศในยุโรปเปรียบเทียบนาฬิกาแสง 10 เรือนพร้อมกัน ➡️ เป็นการทดลองที่ใหญ่ที่สุดในโลกสำหรับการวัดเวลาแบบ optical ✅ Optical clocks ใช้เลเซอร์วัดการกระโดดของอะตอมระหว่างระดับพลังงาน ➡️ มีความแม่นยำสูงกว่านาฬิกาอะตอมซีเซียมหลายเท่า ✅ การทดลองใช้การวัด frequency ratio 38 ครั้ง โดย 4 ครั้งไม่เคยทำมาก่อน ➡️ ช่วยตรวจสอบความสอดคล้องและลดความไม่แน่นอน ✅ ใช้การเชื่อมต่อผ่าน GPS และสายไฟเบอร์ออปติกพิเศษระหว่างประเทศ ➡️ สายไฟเบอร์ให้ความแม่นยำสูงกว่า GPS ถึง 100 เท่า แต่ครอบคลุมระยะสั้น ✅ ผลลัพธ์ตีพิมพ์ในวารสาร Optica และได้รับการยอมรับในวงการวิทยาศาสตร์ ➡️ เป็นก้าวสำคัญสู่การนิยามใหม่ของ “หนึ่งวินาที” ในอนาคต ✅ เครือข่ายนาฬิกาเหล่านี้สามารถใช้ในการวิจัยฟิสิกส์ขั้นสูง เช่น dark matter และแรงโน้มถ่วง ➡️ ทำให้ระบบวัดเวลากลายเป็นเครื่องมือวิทยาศาสตร์ระดับลึก https://www.neowin.net/news/science-is-almost-ready-to-redefine-the-second-with-this-new-research/
    WWW.NEOWIN.NET
    Science is almost ready to "redefine the second" with this new research
    Scientists have been researching how to measure time even more accurately and with this new study, they are getting ready to "redefine the seconds."
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 237 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ทักษิณ" เตรียมขึ้นเวทีใหญ่ ปาฐกถา "ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย" กลางกรุง ก่อนลุยโคราชทอดผ้าป่าสร้างหลวงพ่อคูณองค์ใหญ่สุดในโลก!
    https://www.thai-tai.tv/news/20238/
    .
    #ทักษิณ #ทักษิณชินวัตร #ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย #พลิกเกมเศรษฐกิจไทย #ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ #วัดบ้านไร่ #หลวงพ่อคูณ #หลวงพ่อคูณองค์ใหญ่ที่สุดในโลก
    "ทักษิณ" เตรียมขึ้นเวทีใหญ่ ปาฐกถา "ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย" กลางกรุง ก่อนลุยโคราชทอดผ้าป่าสร้างหลวงพ่อคูณองค์ใหญ่สุดในโลก! https://www.thai-tai.tv/news/20238/ . #ทักษิณ #ทักษิณชินวัตร #ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย #พลิกเกมเศรษฐกิจไทย #ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ #วัดบ้านไร่ #หลวงพ่อคูณ #หลวงพ่อคูณองค์ใหญ่ที่สุดในโลก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 274 มุมมอง 0 รีวิว
  • Oktoberfest เทศกาลเบียร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก!
    จัดขึ้นที่เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี
    สายดื่ม สายสนุก สายวัฒนธรรมห้ามพลาด!

    จัดช่วงปลายก.ย.–ต้นต.ค. ของทุกปี
    สถานที่หลัก: สนาม Theresienwiese ใจกลางมิวนิก

    ไฮไลท์เด็ด
    เต็นท์เบียร์ยักษ์จากโรงเบียร์ชื่อดังของบาวาเรีย
    เบียร์สดสูตรดั้งเดิมจากโรงเบียร์อายุกว่า 500 ปี
    ชุดพื้นเมือง Lederhosen & Dirndl
    ขบวนพาเหรด รถม้า วงดนตรี บรรยากาศสุดคลาสสิก
    อาหารเยอรมันแบบจัดเต็ม: ไส้กรอก ขาหมู Brezel (เพรทเซล)

    เหมาะทั้งสายปาร์ตี้และสายถ่ายรูปสวย ๆ
    ยังมีสวนสนุก เครื่องเล่น ชิงช้าสวรรค์ให้เพลินทั้งครอบครัว

    ถ้าอยากสัมผัสวัฒนธรรม+ความมันระดับโลก Oktoberfest คือ “ที่สุด”! แนะนำจองที่พักล่วงหน้าอย่างน้อย 6 เดือนนะจ๊ะ

    ดูทัวร์ยุโรปทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/7e5d16

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #ทัวร์ยุโรป #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #Oktoberfest #เทศกาลเบียร์เยอรมัน #MunichVibes #สายดื่มต้องมา #บาวาเรียคลาสสิก #เยอรมนีเที่ยวได้ทั้งปี #เบียร์เย็นดนตรีมัน #เที่ยวเทศกาลระดับโลก
    🎉 Oktoberfest เทศกาลเบียร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก! จัดขึ้นที่เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี 🍂🇩🇪 สายดื่ม สายสนุก สายวัฒนธรรมห้ามพลาด! 📅 จัดช่วงปลายก.ย.–ต้นต.ค. ของทุกปี 📍 สถานที่หลัก: สนาม Theresienwiese ใจกลางมิวนิก 🍺 ไฮไลท์เด็ด 🔹 เต็นท์เบียร์ยักษ์จากโรงเบียร์ชื่อดังของบาวาเรีย 🔹 เบียร์สดสูตรดั้งเดิมจากโรงเบียร์อายุกว่า 500 ปี 🔹 ชุดพื้นเมือง Lederhosen & Dirndl 🔹 ขบวนพาเหรด รถม้า วงดนตรี บรรยากาศสุดคลาสสิก 🔹 อาหารเยอรมันแบบจัดเต็ม: ไส้กรอก ขาหมู Brezel (เพรทเซล) 🍖🥨 📸 เหมาะทั้งสายปาร์ตี้และสายถ่ายรูปสวย ๆ 🎡 ยังมีสวนสนุก เครื่องเล่น ชิงช้าสวรรค์ให้เพลินทั้งครอบครัว 🍻 ถ้าอยากสัมผัสวัฒนธรรม+ความมันระดับโลก Oktoberfest คือ “ที่สุด”! แนะนำจองที่พักล่วงหน้าอย่างน้อย 6 เดือนนะจ๊ะ 🏨 ดูทัวร์ยุโรปทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/7e5d16 LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์ยุโรป #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #Oktoberfest #เทศกาลเบียร์เยอรมัน #MunichVibes #สายดื่มต้องมา #บาวาเรียคลาสสิก #เยอรมนีเที่ยวได้ทั้งปี #เบียร์เย็นดนตรีมัน #เที่ยวเทศกาลระดับโลก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 504 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทัวร์บาหลี ภูเขาไฟโบรโม บุโรพุทโธ อีเจี้ยน
    โปรโมชั่นวันแม่ ลด 2,000 บาท เหลือเพียง 45,999.-
    เดินทาง: 12-19 ส.ค. 68

    ทัวร์รอบเดียวครบ! เดินทางไป บาหลี – ภูเขาไฟโบรโม – บุโรพุทโธ – อีเจี้ยน

    โปรแกรมทัวร์:
    * ชม อนุสาวรีย์มหาภารตะ สัญลักษณ์ของเกาะบาหลี
    * วิหารอูลูวาตู บนหน้าผาสูงสุดของมหาสมุทรอินเดีย
    * เดินทางเข้าชม อุทยานอีเจี้ยน
    * ชม พระอาทิตย์ขึ้นที่ภูเขาไฟโบรโม่
    * อนุสาวรีย์เรือดำน้ำสุราบาย่า
    * วัดพรามนันต์ มรดกโลกจาก UNESCO
    * ชม มหาเจดีย์บุโรพุทโธ ศาสนสถานที่ใหญ่ที่สุดในโลก

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/e0d785

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์บาหลี #ภูเขาไฟโบรโม #บุโรพุทโธ #อีเจี้ยน #โปรวันแม่ #เที่ยวต่างประเทศ #โปรทัวร์ #ราคาพิเศษ
    🇮🇩 ทัวร์บาหลี ภูเขาไฟโบรโม บุโรพุทโธ อีเจี้ยน 💥 ✨ โปรโมชั่นวันแม่ ลด 2,000 บาท เหลือเพียง 45,999.- 📅 เดินทาง: 12-19 ส.ค. 68 ทัวร์รอบเดียวครบ! เดินทางไป บาหลี – ภูเขาไฟโบรโม – บุโรพุทโธ – อีเจี้ยน 🌋 📍 โปรแกรมทัวร์: * ชม อนุสาวรีย์มหาภารตะ สัญลักษณ์ของเกาะบาหลี * วิหารอูลูวาตู บนหน้าผาสูงสุดของมหาสมุทรอินเดีย * เดินทางเข้าชม อุทยานอีเจี้ยน * ชม พระอาทิตย์ขึ้นที่ภูเขาไฟโบรโม่ 🌅 * อนุสาวรีย์เรือดำน้ำสุราบาย่า * วัดพรามนันต์ มรดกโลกจาก UNESCO 🌍 * ชม มหาเจดีย์บุโรพุทโธ ศาสนสถานที่ใหญ่ที่สุดในโลก 🕌 ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/e0d785 LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์บาหลี #ภูเขาไฟโบรโม #บุโรพุทโธ #อีเจี้ยน #โปรวันแม่ #เที่ยวต่างประเทศ #โปรทัวร์ #ราคาพิเศษ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 446 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลังจากรอกันมาหลายปี ในที่สุดกล้อง “LSST” ที่ติดตั้งอยู่บนหอดูดาว Vera C. Rubin Observatory ในประเทศชิลี ก็ได้ฤกษ์ถ่ายภาพทดสอบเป็นครั้งแรก — และผลลัพธ์เรียกได้ว่า “สมกับที่รอ”

    กล้องตัวนี้มีขนาดใหญ่มากระดับ “เท่ารถคันหนึ่ง” แถมน้ำหนักถึง 2.8 ตัน ใช้เลนส์กระจกหลักขนาด 27.5 ฟุต สะท้อนแสงผ่านกระจกอีก 2 ชิ้น ก่อนจะเข้าสู่เซนเซอร์ที่มีความละเอียดถึง 3.2 กิกะพิกเซล (ใหญ่ที่สุดในโลกตอนนี้)

    ภาพที่ได้จากการทดสอบเพียง 10 ชั่วโมงแรกนั้น…จับภาพได้ทั้งกาแล็กซีห่างไกล, กลุ่มเนบิวลานับพันปีแสง และ — ไฮไลต์เลย — ค้นพบดาวเคราะห์น้อยใหม่กว่า 2,000 ดวง! รวมถึงวัตถุใกล้โลก (Near-Earth Asteroids) อย่างน้อย 7 ดวง แต่ข่าวดีคือไม่มีดวงไหนเข้ามาชนโลกแน่นอน

    กล้องนี้มีมุมมองกว้างมาก จับภาพท้องฟ้าได้มากถึง 40 เท่าของดวงจันทร์เต็มดวงในครั้งเดียว และจะถ่ายภาพท้องฟ้าทั้งซีกใต้ทุก 3–4 วันวนไปเรื่อย ๆ เป็นเวลา 10 ปี รวมแล้วจะได้แผนที่ของ กาแล็กซี 20,000 ล้านแห่ง และอาจไขปริศนาเรื่องสสารมืด (dark matter) หรือแม้แต่เจอดาวเคราะห์หมายเลข 9 ในระบบสุริยะก็เป็นได้!

    Vera C. Rubin Observatory ใช้กล้อง LSST ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (3.2 กิกะพิกเซล)  
    • ประกอบด้วยระบบกระจก 3 ชั้นเพื่อรวมแสงก่อนเข้าสู่เซนเซอร์  
    • ตัวกล้องใหญ่ขนาดรถยนต์ หนัก 2.8 ตัน

    ภาพทดสอบแรกใช้เวลาเพียง 10 ชั่วโมง แต่ได้ผลเกินคาด  
    • จับภาพกาแล็กซี, กลุ่มเนบิวลา Trifid และ Lagoon  
    • จับภาพวัตถุใหม่ได้มากถึง 2,104 ดวง รวมถึงดาวเคราะห์น้อยใกล้โลก

    พื้นที่มองเห็นของกล้องกว้างถึง 40 เท่าของดวงจันทร์เต็มดวงต่อภาพ  
    • ถ่ายท้องฟ้าซ้ำทุก 3–4 วัน เป็นเวลารวมกว่า 10 ปี  
    • คาดว่าระบบนี้จะผลิตข้อมูลกว่า 500 เพตะไบต์

    จุดติดตั้งอยู่บนยอดเขาในเทือกเขาแอนดีส ประเทศชิลี  
    • สภาพแวดล้อมมืดสนิท เหมาะที่สุดในการสังเกตท้องฟ้า  
    • ถึงขนาดห้ามเปิดไฟสูงเมื่อขับรถขึ้นภูเขา

    ภารกิจหลักของกล้อง LSST คือทำแผนที่ท้องฟ้าใหม่ทั้งซีกใต้ และศึกษาปรากฏการณ์ลึกลับ เช่น สสารมืด, พลังงานมืด และดาวเคราะห์นอกระบบ

    https://www.techspot.com/news/108413-first-images-vera-c-rubin-observatory-car-sized.html
    หลังจากรอกันมาหลายปี ในที่สุดกล้อง “LSST” ที่ติดตั้งอยู่บนหอดูดาว Vera C. Rubin Observatory ในประเทศชิลี ก็ได้ฤกษ์ถ่ายภาพทดสอบเป็นครั้งแรก — และผลลัพธ์เรียกได้ว่า “สมกับที่รอ” กล้องตัวนี้มีขนาดใหญ่มากระดับ “เท่ารถคันหนึ่ง” แถมน้ำหนักถึง 2.8 ตัน ใช้เลนส์กระจกหลักขนาด 27.5 ฟุต สะท้อนแสงผ่านกระจกอีก 2 ชิ้น ก่อนจะเข้าสู่เซนเซอร์ที่มีความละเอียดถึง 3.2 กิกะพิกเซล (ใหญ่ที่สุดในโลกตอนนี้) ภาพที่ได้จากการทดสอบเพียง 10 ชั่วโมงแรกนั้น…จับภาพได้ทั้งกาแล็กซีห่างไกล, กลุ่มเนบิวลานับพันปีแสง และ — ไฮไลต์เลย — ค้นพบดาวเคราะห์น้อยใหม่กว่า 2,000 ดวง! รวมถึงวัตถุใกล้โลก (Near-Earth Asteroids) อย่างน้อย 7 ดวง แต่ข่าวดีคือไม่มีดวงไหนเข้ามาชนโลกแน่นอน 😅 กล้องนี้มีมุมมองกว้างมาก จับภาพท้องฟ้าได้มากถึง 40 เท่าของดวงจันทร์เต็มดวงในครั้งเดียว และจะถ่ายภาพท้องฟ้าทั้งซีกใต้ทุก 3–4 วันวนไปเรื่อย ๆ เป็นเวลา 10 ปี รวมแล้วจะได้แผนที่ของ กาแล็กซี 20,000 ล้านแห่ง และอาจไขปริศนาเรื่องสสารมืด (dark matter) หรือแม้แต่เจอดาวเคราะห์หมายเลข 9 ในระบบสุริยะก็เป็นได้! ✅ Vera C. Rubin Observatory ใช้กล้อง LSST ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (3.2 กิกะพิกเซล)   • ประกอบด้วยระบบกระจก 3 ชั้นเพื่อรวมแสงก่อนเข้าสู่เซนเซอร์   • ตัวกล้องใหญ่ขนาดรถยนต์ หนัก 2.8 ตัน ✅ ภาพทดสอบแรกใช้เวลาเพียง 10 ชั่วโมง แต่ได้ผลเกินคาด   • จับภาพกาแล็กซี, กลุ่มเนบิวลา Trifid และ Lagoon   • จับภาพวัตถุใหม่ได้มากถึง 2,104 ดวง รวมถึงดาวเคราะห์น้อยใกล้โลก ✅ พื้นที่มองเห็นของกล้องกว้างถึง 40 เท่าของดวงจันทร์เต็มดวงต่อภาพ   • ถ่ายท้องฟ้าซ้ำทุก 3–4 วัน เป็นเวลารวมกว่า 10 ปี   • คาดว่าระบบนี้จะผลิตข้อมูลกว่า 500 เพตะไบต์ ✅ จุดติดตั้งอยู่บนยอดเขาในเทือกเขาแอนดีส ประเทศชิลี   • สภาพแวดล้อมมืดสนิท เหมาะที่สุดในการสังเกตท้องฟ้า   • ถึงขนาดห้ามเปิดไฟสูงเมื่อขับรถขึ้นภูเขา ✅ ภารกิจหลักของกล้อง LSST คือทำแผนที่ท้องฟ้าใหม่ทั้งซีกใต้ และศึกษาปรากฏการณ์ลึกลับ เช่น สสารมืด, พลังงานมืด และดาวเคราะห์นอกระบบ https://www.techspot.com/news/108413-first-images-vera-c-rubin-observatory-car-sized.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    First incredible images from Vera Rubin observatory's car-sized camera reveal distant galaxies and asteroids
    The Legacy Survey of Space and Time (LSST) camera at the $810 million 18-storey Vera C. Rubin observatory in Chile, named after the US astronomer who discovered...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 341 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปกติเวลาพูดถึงเทคโนโลยี เรามักจะนึกถึง “พลังงาน” ที่มันใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ, สัญญาณ 5G หรือแม้แต่เน็ตบนรถไฟฟ้า แต่งานวิจัยล่าสุดจาก GSMA บอกว่า แม้ผู้ใช้งานมือถือทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 9% และมีการใช้ดาต้ามากกว่า 4 เท่า — แต่มือถือกลับปล่อยคาร์บอนน้อยลง

    สิ่งที่ช่วยให้เป็นแบบนั้นก็มีหลายปัจจัย เช่น:
    - การยกเลิกเครือข่ายเก่า (เช่น 2G/3G) ที่กินไฟมาก
    - เปลี่ยนจากเครื่องปั่นไฟดีเซล มาใช้พลังงานทดแทน (แสงอาทิตย์/แบตเตอรี่)
    - ใช้เทคโนโลยีสื่อสารใหม่ที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น

    โดยเฉพาะ “จีน” ที่เป็นตลาดมือถือใหญ่ที่สุดในโลก (มีผู้ใช้ 5G กว่า 1 พันล้านราย) กลับลดคาร์บอนลง 4% ในปี 2024 ได้สำเร็จ

    แต่ทาง GSMA ก็ยังบอกว่า ยังเร็วเกินจะดีใจ เพราะเป้าหมาย Net Zero ต้องลดลงเฉลี่ย 7.5% ต่อปี — ตอนนี้ทำได้แค่ 4.5% เท่านั้นในปีล่าสุด

    เรื่องที่น่าเป็นห่วงอีกด้านคือ “รอยเท้าคาร์บอนที่แฝงอยู่” (Scope 3) เช่น:
    - การผลิตมือถือและสายส่ง
    - การจัดส่งและรีไซเคิล
    - ระบบซัพพลายเชนทั้งหมด

    จุดนี้คิดเป็น 2 ใน 3 ของคาร์บอนทั้งหมดในอุตสาหกรรมมือถือ ซึ่งยังไม่มีการควบคุมอย่างจริงจังเท่า Scope 1–2

    ข่าวดีคือ ผู้บริโภคเริ่มสนใจความยั่งยืนแล้วจริง ๆ:
    - 90% อยากให้มือถือซ่อมง่ายและใช้นาน
    - 50% พร้อมซื้อเครื่อง Refurbished ซึ่งปล่อยคาร์บอนน้อยกว่ามือถือใหม่ถึง 80–90%
    - ตลาดมือถือมือสองตอนนี้โตไวมาก คาดว่าจะมูลค่าถึง $150B ภายในปี 2027 เลยทีเดียว

    https://www.techradar.com/pro/mobile-industry-slashes-global-carbon-emissions-despite-4x-increase-in-worldwide-data-traffic-heres-why-it-matters
    ปกติเวลาพูดถึงเทคโนโลยี เรามักจะนึกถึง “พลังงาน” ที่มันใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ, สัญญาณ 5G หรือแม้แต่เน็ตบนรถไฟฟ้า แต่งานวิจัยล่าสุดจาก GSMA บอกว่า แม้ผู้ใช้งานมือถือทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 9% และมีการใช้ดาต้ามากกว่า 4 เท่า — แต่มือถือกลับปล่อยคาร์บอนน้อยลง สิ่งที่ช่วยให้เป็นแบบนั้นก็มีหลายปัจจัย เช่น: - การยกเลิกเครือข่ายเก่า (เช่น 2G/3G) ที่กินไฟมาก - เปลี่ยนจากเครื่องปั่นไฟดีเซล มาใช้พลังงานทดแทน (แสงอาทิตย์/แบตเตอรี่) - ใช้เทคโนโลยีสื่อสารใหม่ที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น โดยเฉพาะ “จีน” ที่เป็นตลาดมือถือใหญ่ที่สุดในโลก (มีผู้ใช้ 5G กว่า 1 พันล้านราย) กลับลดคาร์บอนลง 4% ในปี 2024 ได้สำเร็จ แต่ทาง GSMA ก็ยังบอกว่า ยังเร็วเกินจะดีใจ เพราะเป้าหมาย Net Zero ต้องลดลงเฉลี่ย 7.5% ต่อปี — ตอนนี้ทำได้แค่ 4.5% เท่านั้นในปีล่าสุด เรื่องที่น่าเป็นห่วงอีกด้านคือ “รอยเท้าคาร์บอนที่แฝงอยู่” (Scope 3) เช่น: - การผลิตมือถือและสายส่ง - การจัดส่งและรีไซเคิล - ระบบซัพพลายเชนทั้งหมด จุดนี้คิดเป็น 2 ใน 3 ของคาร์บอนทั้งหมดในอุตสาหกรรมมือถือ ซึ่งยังไม่มีการควบคุมอย่างจริงจังเท่า Scope 1–2 ข่าวดีคือ ผู้บริโภคเริ่มสนใจความยั่งยืนแล้วจริง ๆ: - 90% อยากให้มือถือซ่อมง่ายและใช้นาน - 50% พร้อมซื้อเครื่อง Refurbished ซึ่งปล่อยคาร์บอนน้อยกว่ามือถือใหม่ถึง 80–90% - ตลาดมือถือมือสองตอนนี้โตไวมาก คาดว่าจะมูลค่าถึง $150B ภายในปี 2027 เลยทีเดียว https://www.techradar.com/pro/mobile-industry-slashes-global-carbon-emissions-despite-4x-increase-in-worldwide-data-traffic-heres-why-it-matters
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 346 มุมมอง 0 รีวิว
  • อิสราเอลเพิ่งส่งโดรนจากภายในอิหร่าน โจมตีแหล่งก๊าซ South Pars ทางใต้ของอิหร่าน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแหล่งก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อเตือนอิหร่านว่าทุกที่บนดินแดนอิหร่านอยู่ภายใต้การควบคุมของอิสราเอล!

    สื่อของอิหร่านรายงานว่า อิสราเอลใช้โดรนขนาดเล็ก 2 ลำในการโจมตีโรงแยกก๊าซที่รับก๊าซมาจากแหล่งก๊าซ South Pars ทำให้เกิดเพลิงไหม้ในโรงกลั่น 2 แห่ง คือโรงกลั่นก๊าซ Fajr Jam ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงกลั่นที่ใหญ่ที่สุดของอิหร่าน และโรงกลั่นขนาดเล็กแห่งหนึ่งในเฟส 14 ของ South Pars ในจังหวัดบูเชห์รทางตอนใต้ของอิหร่าน

    เจ้าหน้าที่กู้ภัยสามารถควบคุมสถานการณ์เพลิงไหม้ในโรงแยกก๊าซได้แล้ว ซึ่งได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย และไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการจ่ายก๊าซ และสิ่งอำนวยความสะดวกในการส่งก๊าซยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์

    อิสราเอลเพิ่งส่งโดรนจากภายในอิหร่าน โจมตีแหล่งก๊าซ South Pars ทางใต้ของอิหร่าน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแหล่งก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อเตือนอิหร่านว่าทุกที่บนดินแดนอิหร่านอยู่ภายใต้การควบคุมของอิสราเอล! สื่อของอิหร่านรายงานว่า อิสราเอลใช้โดรนขนาดเล็ก 2 ลำในการโจมตีโรงแยกก๊าซที่รับก๊าซมาจากแหล่งก๊าซ South Pars ทำให้เกิดเพลิงไหม้ในโรงกลั่น 2 แห่ง คือโรงกลั่นก๊าซ Fajr Jam ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงกลั่นที่ใหญ่ที่สุดของอิหร่าน และโรงกลั่นขนาดเล็กแห่งหนึ่งในเฟส 14 ของ South Pars ในจังหวัดบูเชห์รทางตอนใต้ของอิหร่าน เจ้าหน้าที่กู้ภัยสามารถควบคุมสถานการณ์เพลิงไหม้ในโรงแยกก๊าซได้แล้ว ซึ่งได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย และไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการจ่ายก๊าซ และสิ่งอำนวยความสะดวกในการส่งก๊าซยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • Family Trip Macau-Zhuhai-Chimelong 4 วัน 3 คืน
    บินสบาย Full Service กับ Air Macau (NX)
    เดินทางได้ตั้งแต่ วันนี้ - 31 ก.ค. 68
    เริ่มต้นเพียง 32,888.-

    พักสุดฟิน 2 คืนใน Chimelong Space Ship + 1 คืนในมาเก๊า
    กระเป๋ารวม 25 กก. สบายใจหายห่วง

    ไฮไลต์ทริปนี้ ห้ามพลาด!
    Chimelong Ocean Kingdom (เต็มวัน)
    Chimelong Space Ship (เต็มวัน)
    สวนสนุกในร่มใหญ่ที่สุดในโลก
    พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ & ตู้ปลาที่ใหญ่ที่สุดในโลก
    คลื่นเทียมในร่มใหญ่ที่สุดในโลกกกก!

    เที่ยวครบ สนุกทั้งครอบครัว แบบไม่ต้องห่วงเรื่องเวลา!

    #มาเก๊า #จูไห่ #chimelong #เที่ยวกับครอบครัว #SpaceShipHotel #OceanKingdom #เที่ยวจีนง่ายๆ #แพ็กเกจทัวร์ #ทัวร์ครอบครัว #MacauTrip #ZhuhaiTrip


    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/e9e11f

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    🌟 Family Trip Macau-Zhuhai-Chimelong 4 วัน 3 คืน 🌟 ✈️ บินสบาย Full Service กับ Air Macau (NX) 📅 เดินทางได้ตั้งแต่ วันนี้ - 31 ก.ค. 68 💥 เริ่มต้นเพียง 32,888.- 🏨 พักสุดฟิน 2 คืนใน Chimelong Space Ship + 1 คืนในมาเก๊า 🧳 กระเป๋ารวม 25 กก. สบายใจหายห่วง 🎡 ไฮไลต์ทริปนี้ ห้ามพลาด! 🐬 Chimelong Ocean Kingdom (เต็มวัน) 🪐 Chimelong Space Ship (เต็มวัน) 🌈 สวนสนุกในร่มใหญ่ที่สุดในโลก 🐠 พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ & ตู้ปลาที่ใหญ่ที่สุดในโลก 🌊 คลื่นเทียมในร่มใหญ่ที่สุดในโลกกกก! 📸 เที่ยวครบ สนุกทั้งครอบครัว แบบไม่ต้องห่วงเรื่องเวลา! #มาเก๊า #จูไห่ #chimelong #เที่ยวกับครอบครัว #SpaceShipHotel #OceanKingdom #เที่ยวจีนง่ายๆ #แพ็กเกจทัวร์ #ทัวร์ครอบครัว #MacauTrip #ZhuhaiTrip ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/e9e11f LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 541 มุมมอง 0 รีวิว
  • การโจมตีระลอกใหม่ของอิสราเอลเริ่มต้นขึ้นครั้ง โดยมีเป้าหมายในเตหะราน เคอราจ(Keraj) และกอม(Qom)

    นอกจากนี้ อิสราเอลยังโจมตีโรงงานเสริมสมรรถนะนิวเคลียร์นาตันซ์อีกครั้ง

    ภาพวิดีโอเป็นการโจมตีในเมืองศาสนากอม(Qom) ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนสอนศาสนาชีอะที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีรายงานการระเบิดรุนแรงสามครั้ง!

    ดูเหมือนอิสราเอลโจมตีทางอากาศได้อย่างอิสระ โดยไม่มีระบบป้องกันภัยทางอากาศเป็นอุปสรรคอีกต่อไป
    การโจมตีระลอกใหม่ของอิสราเอลเริ่มต้นขึ้นครั้ง โดยมีเป้าหมายในเตหะราน เคอราจ(Keraj) และกอม(Qom) นอกจากนี้ อิสราเอลยังโจมตีโรงงานเสริมสมรรถนะนิวเคลียร์นาตันซ์อีกครั้ง ภาพวิดีโอเป็นการโจมตีในเมืองศาสนากอม(Qom) ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนสอนศาสนาชีอะที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีรายงานการระเบิดรุนแรงสามครั้ง! ดูเหมือนอิสราเอลโจมตีทางอากาศได้อย่างอิสระ โดยไม่มีระบบป้องกันภัยทางอากาศเป็นอุปสรรคอีกต่อไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 94 มุมมอง 0 รีวิว
  • ASE เปลี่ยนมาใช้ AMD CPUs และเริ่มทดสอบ Instinct MI300-series GPUs สำหรับ AI
    ASE Technology ซึ่งเป็น บริษัทบรรจุและทดสอบชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้เปลี่ยนมาใช้ AMD EPYC และ Ryzen processors ในศูนย์ข้อมูลและระบบไคลเอนต์ของบริษัท ส่งผลให้ ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 50% และลดการใช้พลังงานลง 6.5%

    นอกจากนี้ ASE ยังเริ่ม ทดสอบ AMD Instinct MI300-series GPUs สำหรับงาน AI ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่า บริษัทกำลังพิจารณานำ GPU เหล่านี้มาใช้ในระบบภายใน

    รายละเอียดของการเปลี่ยนแปลง
    ASE ใช้ EPYC processors สำหรับเซิร์ฟเวอร์ และ Ryzen CPUs สำหรับเดสก์ท็อปและแล็ปท็อป ซึ่งช่วยให้บริษัท ลดต้นทุนการเป็นเจ้าของลง 30% และ เพิ่มเสถียรภาพของระบบ

    ข้อมูลจากข่าว
    - ASE เปลี่ยนมาใช้ AMD EPYC และ Ryzen processors ในศูนย์ข้อมูลและระบบไคลเอนต์
    - ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 50% และลดการใช้พลังงานลง 6.5%
    - ลดต้นทุนการเป็นเจ้าของลง 30%
    - เริ่มทดสอบ AMD Instinct MI300-series GPUs สำหรับงาน AI
    - ASE เป็นบริษัทแรกในระดับนี้ที่ยืนยันการทดสอบ Instinct MI300-series GPUs

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - AMD ไม่ได้เปิดเผยว่าก่อนหน้านี้ ASE ใช้ CPU จากผู้ผลิตรายใด
    - ยังไม่มีการยืนยันว่า ASE จะนำ Instinct MI300-series GPUs มาใช้จริงหรือไม่
    - ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนมาใช้ AMD จะส่งผลต่อการดำเนินงานของ ASE ในระยะยาวอย่างไร
    - การแข่งขันในตลาด AI GPUs ยังคงรุนแรง โดย Nvidia ยังคงเป็นผู้นำ

    การเปลี่ยนมาใช้ AMD CPUs และการทดสอบ Instinct MI300-series GPUs อาจช่วยให้ AMD ขยายตลาดในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์และ AI อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการแข่งขันกับ Nvidia จะส่งผลต่อการตัดสินใจของ ASE ในอนาคตหรือไม่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/ase-adopts-amd-cpus-begins-evaluating-instinct-mi300-series-gpus-for-ai
    🚀 ASE เปลี่ยนมาใช้ AMD CPUs และเริ่มทดสอบ Instinct MI300-series GPUs สำหรับ AI ASE Technology ซึ่งเป็น บริษัทบรรจุและทดสอบชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้เปลี่ยนมาใช้ AMD EPYC และ Ryzen processors ในศูนย์ข้อมูลและระบบไคลเอนต์ของบริษัท ส่งผลให้ ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 50% และลดการใช้พลังงานลง 6.5% นอกจากนี้ ASE ยังเริ่ม ทดสอบ AMD Instinct MI300-series GPUs สำหรับงาน AI ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่า บริษัทกำลังพิจารณานำ GPU เหล่านี้มาใช้ในระบบภายใน 🔍 รายละเอียดของการเปลี่ยนแปลง ASE ใช้ EPYC processors สำหรับเซิร์ฟเวอร์ และ Ryzen CPUs สำหรับเดสก์ท็อปและแล็ปท็อป ซึ่งช่วยให้บริษัท ลดต้นทุนการเป็นเจ้าของลง 30% และ เพิ่มเสถียรภาพของระบบ ✅ ข้อมูลจากข่าว - ASE เปลี่ยนมาใช้ AMD EPYC และ Ryzen processors ในศูนย์ข้อมูลและระบบไคลเอนต์ - ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 50% และลดการใช้พลังงานลง 6.5% - ลดต้นทุนการเป็นเจ้าของลง 30% - เริ่มทดสอบ AMD Instinct MI300-series GPUs สำหรับงาน AI - ASE เป็นบริษัทแรกในระดับนี้ที่ยืนยันการทดสอบ Instinct MI300-series GPUs ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - AMD ไม่ได้เปิดเผยว่าก่อนหน้านี้ ASE ใช้ CPU จากผู้ผลิตรายใด - ยังไม่มีการยืนยันว่า ASE จะนำ Instinct MI300-series GPUs มาใช้จริงหรือไม่ - ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนมาใช้ AMD จะส่งผลต่อการดำเนินงานของ ASE ในระยะยาวอย่างไร - การแข่งขันในตลาด AI GPUs ยังคงรุนแรง โดย Nvidia ยังคงเป็นผู้นำ การเปลี่ยนมาใช้ AMD CPUs และการทดสอบ Instinct MI300-series GPUs อาจช่วยให้ AMD ขยายตลาดในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์และ AI อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการแข่งขันกับ Nvidia จะส่งผลต่อการตัดสินใจของ ASE ในอนาคตหรือไม่ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/ase-adopts-amd-cpus-begins-evaluating-instinct-mi300-series-gpus-for-ai
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว
  • Shell เปิดตัว DLC Fluid S3: นวัตกรรมใหม่สำหรับการระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูล
    Shell ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทน้ำมันและก๊าซที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้เปิดตัว DLC Fluid S3 ซึ่งเป็น สารหล่อเย็นแบบของเหลวโดยตรง ที่ออกแบบมาเพื่อ รองรับความต้องการด้านความร้อนของศูนย์ข้อมูล AI และการประมวลผลประสิทธิภาพสูง

    DLC Fluid S3 เป็น สารหล่อเย็นที่ใช้โพรพิลีนไกลคอล ซึ่งสามารถ ลดอุณหภูมิของเซิร์ฟเวอร์ที่มีความหนาแน่นสูง โดย ส่งความเย็นไปยังส่วนที่สร้างความร้อนโดยตรง เช่น CPU และ GPU

    Shell ระบุว่า ของเหลวนี้สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (PUE) ได้ถึง 27% เมื่อเทียบกับระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ ซึ่งช่วย ลดความจำเป็นในการใช้เครื่องปรับอากาศที่ใช้พลังงานสูง

    นอกจากนี้ DLC Fluid S3 ยัง มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น และ มีสารป้องกันการกัดกร่อนสำหรับโลหะหลายประเภท รวมถึง มีสารเรืองแสงเพื่อช่วยตรวจจับการรั่วไหลได้ง่ายขึ้น

    ข้อมูลจากข่าว
    - Shell เปิดตัว DLC Fluid S3 ซึ่งเป็นสารหล่อเย็นแบบของเหลวโดยตรงสำหรับศูนย์ข้อมูล AI
    - ใช้โพรพิลีนไกลคอลเพื่อระบายความร้อนให้กับ CPU และ GPU โดยตรง
    - ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (PUE) ได้ถึง 27% เมื่อเทียบกับระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ
    - มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น และมีสารป้องกันการกัดกร่อนสำหรับโลหะหลายประเภท
    - มีสารเรืองแสงเพื่อช่วยตรวจจับการรั่วไหลได้ง่ายขึ้น

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะช่วยลดการใช้พลังงาน แต่ต้องติดตามว่าการนำไปใช้จริงจะมีผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลหรือไม่
    - ต้องตรวจสอบว่าของเหลวนี้สามารถทำงานร่วมกับระบบระบายความร้อนที่มีอยู่เดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่
    - การเปลี่ยนจากระบบระบายความร้อนด้วยอากาศไปเป็นของเหลวอาจต้องใช้ต้นทุนสูงในช่วงแรก
    - ต้องติดตามว่าผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลรายใหญ่จะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในวงกว้างหรือไม่

    DLC Fluid S3 อาจช่วยให้ ศูนย์ข้อมูลสามารถจัดการกับความร้อนที่เพิ่มขึ้นจากการประมวลผล AI ได้ดีขึ้น และ ลดการใช้พลังงานโดยรวม อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลในระยะยาวอย่างไร

    https://www.techradar.com/pro/one-of-worlds-largest-oil-companies-just-launched-a-unique-cooling-fluid-for-data-centers-and-ai-chips-and-i-cant-believe-who-it-is
    ❄️ Shell เปิดตัว DLC Fluid S3: นวัตกรรมใหม่สำหรับการระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูล Shell ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทน้ำมันและก๊าซที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้เปิดตัว DLC Fluid S3 ซึ่งเป็น สารหล่อเย็นแบบของเหลวโดยตรง ที่ออกแบบมาเพื่อ รองรับความต้องการด้านความร้อนของศูนย์ข้อมูล AI และการประมวลผลประสิทธิภาพสูง DLC Fluid S3 เป็น สารหล่อเย็นที่ใช้โพรพิลีนไกลคอล ซึ่งสามารถ ลดอุณหภูมิของเซิร์ฟเวอร์ที่มีความหนาแน่นสูง โดย ส่งความเย็นไปยังส่วนที่สร้างความร้อนโดยตรง เช่น CPU และ GPU Shell ระบุว่า ของเหลวนี้สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (PUE) ได้ถึง 27% เมื่อเทียบกับระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ ซึ่งช่วย ลดความจำเป็นในการใช้เครื่องปรับอากาศที่ใช้พลังงานสูง นอกจากนี้ DLC Fluid S3 ยัง มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น และ มีสารป้องกันการกัดกร่อนสำหรับโลหะหลายประเภท รวมถึง มีสารเรืองแสงเพื่อช่วยตรวจจับการรั่วไหลได้ง่ายขึ้น ✅ ข้อมูลจากข่าว - Shell เปิดตัว DLC Fluid S3 ซึ่งเป็นสารหล่อเย็นแบบของเหลวโดยตรงสำหรับศูนย์ข้อมูล AI - ใช้โพรพิลีนไกลคอลเพื่อระบายความร้อนให้กับ CPU และ GPU โดยตรง - ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (PUE) ได้ถึง 27% เมื่อเทียบกับระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ - มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น และมีสารป้องกันการกัดกร่อนสำหรับโลหะหลายประเภท - มีสารเรืองแสงเพื่อช่วยตรวจจับการรั่วไหลได้ง่ายขึ้น ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะช่วยลดการใช้พลังงาน แต่ต้องติดตามว่าการนำไปใช้จริงจะมีผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลหรือไม่ - ต้องตรวจสอบว่าของเหลวนี้สามารถทำงานร่วมกับระบบระบายความร้อนที่มีอยู่เดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ - การเปลี่ยนจากระบบระบายความร้อนด้วยอากาศไปเป็นของเหลวอาจต้องใช้ต้นทุนสูงในช่วงแรก - ต้องติดตามว่าผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลรายใหญ่จะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในวงกว้างหรือไม่ DLC Fluid S3 อาจช่วยให้ ศูนย์ข้อมูลสามารถจัดการกับความร้อนที่เพิ่มขึ้นจากการประมวลผล AI ได้ดีขึ้น และ ลดการใช้พลังงานโดยรวม อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลในระยะยาวอย่างไร https://www.techradar.com/pro/one-of-worlds-largest-oil-companies-just-launched-a-unique-cooling-fluid-for-data-centers-and-ai-chips-and-i-cant-believe-who-it-is
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 210 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลังมีข่าวลือออกมาว่ามีการถ่ายทำสารคดีชีวิตของ “ลิซ่า ลลิษา มโนบาล” หรือ “ลิซ่า BlackPink” ออกมาให้แฟนๆได้ชม ล่าสุดทาง Sony MUsic Vision ได้ออกมายืนยันว่าเป็นความจริง และกำลังอยู่ในขั้นตอนการผลิต

    Sony Music Vision เปิดเผยระหว่างการจัดแสดงเปิดทำการครั้งแรกในครึ่งปีหลังของบริษัท ที่ลอสแองเจลิสว่า บริษัทกำลังดำเนินการในโปรเจ็กต์นี้ร่วมกับ Lloud Co/ RCA Records และ Tremolo Productions

    สารคดีเรื่องนี้กำกับโดย ซู คิม ติดตามชีวิตของ ลิซ่าตลอดทั้งปีขณะที่เธอเริ่มต้นเส้นทางศิลปินเดี่ยวแยกตัวจาก Blackpink

    ตามรายงานของ The Hollywood Reporter ซู คิม ได้กล่าวว่า "ฉันพยายามทำให้ ลิซ่า ประทับใจจริงๆ ว่าไม่ใช่แค่ฉันเท่านั้น แต่ฉันคิดว่าทั้งโลกอยากเห็น ลิซ่าเวลาอยู่นอกเวที เธอชอบบอกว่า 'ตัวเองเป็นแค่เด็กสาวธรรมดาๆ คนหนึ่งจากประเทศไทย' และเมื่อคุณได้พบกับเธอ เธอก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เธอเป็นคนติดดินมาก มันน่าตกใจมาก เป็นธรรมชาติ และจริงใจมาก แต่เธอก็พบว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่เหลือเชื่อของการเป็นซูเปอร์สตาร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกคนหนึ่ง และแม้กระทั่งในโลกนั้น เธอก็พยายามขยายขอบเขตออกไปจากสิ่งนั้นอีก"

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000051618

    #MGROnline #Lisa #ลิซ่า #BLACKPINK
    หลังมีข่าวลือออกมาว่ามีการถ่ายทำสารคดีชีวิตของ “ลิซ่า ลลิษา มโนบาล” หรือ “ลิซ่า BlackPink” ออกมาให้แฟนๆได้ชม ล่าสุดทาง Sony MUsic Vision ได้ออกมายืนยันว่าเป็นความจริง และกำลังอยู่ในขั้นตอนการผลิต • Sony Music Vision เปิดเผยระหว่างการจัดแสดงเปิดทำการครั้งแรกในครึ่งปีหลังของบริษัท ที่ลอสแองเจลิสว่า บริษัทกำลังดำเนินการในโปรเจ็กต์นี้ร่วมกับ Lloud Co/ RCA Records และ Tremolo Productions • สารคดีเรื่องนี้กำกับโดย ซู คิม ติดตามชีวิตของ ลิซ่าตลอดทั้งปีขณะที่เธอเริ่มต้นเส้นทางศิลปินเดี่ยวแยกตัวจาก Blackpink • ตามรายงานของ The Hollywood Reporter ซู คิม ได้กล่าวว่า "ฉันพยายามทำให้ ลิซ่า ประทับใจจริงๆ ว่าไม่ใช่แค่ฉันเท่านั้น แต่ฉันคิดว่าทั้งโลกอยากเห็น ลิซ่าเวลาอยู่นอกเวที เธอชอบบอกว่า 'ตัวเองเป็นแค่เด็กสาวธรรมดาๆ คนหนึ่งจากประเทศไทย' และเมื่อคุณได้พบกับเธอ เธอก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เธอเป็นคนติดดินมาก มันน่าตกใจมาก เป็นธรรมชาติ และจริงใจมาก แต่เธอก็พบว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่เหลือเชื่อของการเป็นซูเปอร์สตาร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกคนหนึ่ง และแม้กระทั่งในโลกนั้น เธอก็พยายามขยายขอบเขตออกไปจากสิ่งนั้นอีก" • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000051618 • #MGROnline #Lisa #ลิซ่า #BLACKPINK
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 494 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกซอฟต์แวร์ออกแบบชิปให้จีน
    รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกคำสั่งให้บริษัทผู้ผลิต Electronic Design Automation (EDA) software เช่น Synopsys, Cadence Design Systems และ Siemens EDA หยุดขายเทคโนโลยีให้กับจีน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการควบคุมการส่งออกที่เข้มงวดขึ้น

    EDA software เป็นเครื่องมือสำคัญในการออกแบบและจำลองชิปเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นหัวใจของเทคโนโลยี AI และการประมวลผลขั้นสูง การจำกัดการเข้าถึงซอฟต์แวร์นี้อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถของจีนในการพัฒนา ชิปยุคใหม่

    ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ได้สั่งห้าม Nvidia ขายชิป H20 ให้กับจีน ซึ่งเป็นมาตรการที่ต่อเนื่องจากการควบคุมการส่งออกชิป AI ตั้งแต่ปี 2022

    ข้อมูลจากข่าว
    - สหรัฐฯ สั่งให้ Synopsys, Cadence และ Siemens EDA หยุดขายซอฟต์แวร์ออกแบบชิปให้จีน
    - EDA software มีความสำคัญต่อการพัฒนา AI และเทคโนโลยีขั้นสูง
    - ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ห้าม Nvidia ขายชิป H20 ให้จีน
    - จีนคิดเป็น 16% ของรายได้ Synopsys และ 12% ของรายได้ Cadence
    - หุ้นของ Synopsys และ Cadence ร่วงลงกว่า 9% หลังข่าวนี้เผยแพร่

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การจำกัดการส่งออกอาจกระตุ้นให้จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง
    - บริษัทสหรัฐฯ อาจสูญเสียรายได้จากตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
    - การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงเปราะบาง แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะตกลงหยุดการขึ้นภาษีใหม่เป็นเวลา 90 วัน
    - บริษัทจีน เช่น Empyrean Technology และ Primarius กำลังได้รับแรงหนุนจากมาตรการนี้

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    มาตรการของสหรัฐฯ อาจส่งผลให้จีนเร่งพัฒนา EDA software ของตนเอง และลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในระยะยาว

    https://www.techspot.com/news/108102-trump-blocks-china-key-semiconductor-design-software.html
    🚨 สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกซอฟต์แวร์ออกแบบชิปให้จีน รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกคำสั่งให้บริษัทผู้ผลิต Electronic Design Automation (EDA) software เช่น Synopsys, Cadence Design Systems และ Siemens EDA หยุดขายเทคโนโลยีให้กับจีน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการควบคุมการส่งออกที่เข้มงวดขึ้น EDA software เป็นเครื่องมือสำคัญในการออกแบบและจำลองชิปเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นหัวใจของเทคโนโลยี AI และการประมวลผลขั้นสูง การจำกัดการเข้าถึงซอฟต์แวร์นี้อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถของจีนในการพัฒนา ชิปยุคใหม่ ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ได้สั่งห้าม Nvidia ขายชิป H20 ให้กับจีน ซึ่งเป็นมาตรการที่ต่อเนื่องจากการควบคุมการส่งออกชิป AI ตั้งแต่ปี 2022 ✅ ข้อมูลจากข่าว - สหรัฐฯ สั่งให้ Synopsys, Cadence และ Siemens EDA หยุดขายซอฟต์แวร์ออกแบบชิปให้จีน - EDA software มีความสำคัญต่อการพัฒนา AI และเทคโนโลยีขั้นสูง - ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ห้าม Nvidia ขายชิป H20 ให้จีน - จีนคิดเป็น 16% ของรายได้ Synopsys และ 12% ของรายได้ Cadence - หุ้นของ Synopsys และ Cadence ร่วงลงกว่า 9% หลังข่าวนี้เผยแพร่ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การจำกัดการส่งออกอาจกระตุ้นให้จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง - บริษัทสหรัฐฯ อาจสูญเสียรายได้จากตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก - การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงเปราะบาง แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะตกลงหยุดการขึ้นภาษีใหม่เป็นเวลา 90 วัน - บริษัทจีน เช่น Empyrean Technology และ Primarius กำลังได้รับแรงหนุนจากมาตรการนี้ 🌍 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ มาตรการของสหรัฐฯ อาจส่งผลให้จีนเร่งพัฒนา EDA software ของตนเอง และลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในระยะยาว https://www.techspot.com/news/108102-trump-blocks-china-key-semiconductor-design-software.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Trump blocks China from key semiconductor design software
    These companies collectively control about 80 percent of China's EDA market, making them a critical part of the global semiconductor supply chain. EDA software, though a relatively...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 363 มุมมอง 0 รีวิว
  • คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) ได้ยกเลิกคดีฟ้องร้อง Binance ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยการตัดสินใจนี้สะท้อนถึงแนวทางใหม่ของ SEC ต่ออุตสาหกรรมคริปโตภายใต้การบริหารของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

    Binance เคยถูกกล่าวหาว่า เพิ่มปริมาณการซื้อขายโดยไม่โปร่งใส, โอนเงินลูกค้าไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ และให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแก่นักลงทุน อย่างไรก็ตาม การยกเลิกคดีครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Changpeng Zhao ผู้ก่อตั้ง Binance รับโทษจำคุก 4 เดือน จากคดีฟอกเงิน และ Binance ยอมจ่ายค่าปรับ 4.32 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

    นอกจากนี้ SEC ยังเคยยกเลิกคดีฟ้องร้อง Coinbase ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ โดยกล่าวหาว่า Coinbase จัดการซื้อขายโทเคนที่ไม่ได้ลงทะเบียนเป็นหลักทรัพย์

    ข้อมูลจากข่าว
    - SEC ยกเลิกคดีฟ้องร้อง Binance โดยระบุว่าเป็นการตัดสินใจเชิงนโยบาย
    - Changpeng Zhao ผู้ก่อตั้ง Binance รับโทษจำคุก 4 เดือน จากคดีฟอกเงิน
    - Binance จ่ายค่าปรับ 4.32 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อยุติคดีอาญา
    - SEC เคยยกเลิกคดีฟ้องร้อง Coinbase ซึ่งถูกกล่าวหาว่าจัดการซื้อขายโทเคนที่ไม่ได้ลงทะเบียน

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การยกเลิกคดีไม่ได้หมายความว่า Binance ไม่มีความผิด แต่เป็นการตัดสินใจเชิงนโยบายของ SEC
    - นักลงทุนควรติดตามแนวทางใหม่ของ SEC ต่ออุตสาหกรรมคริปโตภายใต้การบริหารของทรัมป์
    - Binance ยังต้องเผชิญกับความท้าทายด้านกฎระเบียบในประเทศอื่น ๆ
    - ตลาดคริปโตยังคงมีความเสี่ยงสูง และนักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน

    การยกเลิกคดี Binance ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมคริปโต และอาจส่งผลต่อแนวทางการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/30/us-sec-voluntarily-dismisses-lawsuit-against-binance
    คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) ได้ยกเลิกคดีฟ้องร้อง Binance ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยการตัดสินใจนี้สะท้อนถึงแนวทางใหม่ของ SEC ต่ออุตสาหกรรมคริปโตภายใต้การบริหารของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ Binance เคยถูกกล่าวหาว่า เพิ่มปริมาณการซื้อขายโดยไม่โปร่งใส, โอนเงินลูกค้าไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ และให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแก่นักลงทุน อย่างไรก็ตาม การยกเลิกคดีครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Changpeng Zhao ผู้ก่อตั้ง Binance รับโทษจำคุก 4 เดือน จากคดีฟอกเงิน และ Binance ยอมจ่ายค่าปรับ 4.32 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ นอกจากนี้ SEC ยังเคยยกเลิกคดีฟ้องร้อง Coinbase ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ โดยกล่าวหาว่า Coinbase จัดการซื้อขายโทเคนที่ไม่ได้ลงทะเบียนเป็นหลักทรัพย์ ✅ ข้อมูลจากข่าว - SEC ยกเลิกคดีฟ้องร้อง Binance โดยระบุว่าเป็นการตัดสินใจเชิงนโยบาย - Changpeng Zhao ผู้ก่อตั้ง Binance รับโทษจำคุก 4 เดือน จากคดีฟอกเงิน - Binance จ่ายค่าปรับ 4.32 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อยุติคดีอาญา - SEC เคยยกเลิกคดีฟ้องร้อง Coinbase ซึ่งถูกกล่าวหาว่าจัดการซื้อขายโทเคนที่ไม่ได้ลงทะเบียน ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การยกเลิกคดีไม่ได้หมายความว่า Binance ไม่มีความผิด แต่เป็นการตัดสินใจเชิงนโยบายของ SEC - นักลงทุนควรติดตามแนวทางใหม่ของ SEC ต่ออุตสาหกรรมคริปโตภายใต้การบริหารของทรัมป์ - Binance ยังต้องเผชิญกับความท้าทายด้านกฎระเบียบในประเทศอื่น ๆ - ตลาดคริปโตยังคงมีความเสี่ยงสูง และนักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน การยกเลิกคดี Binance ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมคริปโต และอาจส่งผลต่อแนวทางการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/30/us-sec-voluntarily-dismisses-lawsuit-against-binance
    WWW.THESTAR.COM.MY
    US SEC dismisses lawsuit against Binance crypto exchange
    (Reuters) -The U.S. Securities and Exchange Commission on Thursday voluntarily dismissed its civil lawsuit against Binance, the world's largest cryptocurrency exchange, extending the regulator's new approach to cryptocurrencies since President Donald Trump reentered the White House.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 413 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตั้งแต่ปี 2004... ผมได้พบกุญแจไขสิ่งที่ผมอยากรู้จากคำเพียงคำเดียว "Cultural Transmission" มันนำพาผมไปพบกับงานของศาสตราจารย์ Luigi Luca Cavalli-Sforza และลูกศิษย์ของเขาที่ Standford ชื่อ Spencer Wells… มันได้เปิดโลกทัศน์ของผมในการมองสิ่งต่างๆ ผ่านการพิจารณาหลายๆ ศาสตร์ควบคู่กับความรู้เกี่ยวกับพันธุกรรมมนุษย์และการอพยพย้ายถิ่น เมื่อเรารู้ว่าที่แท้แล้วเราเป็นใคร สิ่งต่างๆ ก็เชื่อมโยงกัน
    .
    ในปีเดียวกันนั้น Bill Clinton ประกาศที่ทำเนียบขาวถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์ แผนที่ดีเอ็นเออันแรกของมนุษย์ถูกทำสำเร็จ ความลับของสายพันธุ์มนุษย์ถูกไข ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะวิสัยทัศน์ของศาสตราจารย์ลูกา ที่มุ่งมั่นเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอมาก่อนหน้านั้นกว่าสามสิบปีเพราะเชื่อมั่นว่ามันซ่อนความลับของมนุษย์ไว้ ทันทีที่แผนที่ดีเอ็นเอสำเร็จ เสปนเซอร์ซึ่งเป็นทายาทรับช่วงงานวิจัยต่อจาก ศจ.ลูกา ก็นำเสนออีกแผนที่หนึ่ง คือแผนที่การอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์ย้อนหลังกว่าแสนปีจากแอฟริกา และสาแหรกพันธุกรรมมนุษย์ย้อนถอยไปถึงบรรพบุรุษคนแรกที่เป็นรากลึกที่สุด
    .
    ในเวลานั้น ไม่มีใครหรือสาขาวิชาใดมองความรู้ของมนุษย์ผ่านวิสัยทัศน์นี้ มันเป็นเรื่องใหม่ แต่ความฉงนสนเท่ห์ของผมที่มีกับตัวอย่างดนตรีของไท-ไทยและชาติพันธ์อื่นๆ ในเอเชีย โดยเฉพาะในจีนตอนใต้และประเทศไทย ทำให้ผมเอามานั่งคิด ผลจากการคิดวิเคราะห์ ผมรู้สึกว่ามันเป็นดนตรีชนิดเดียวหรือพูดให้ชัดกว่านั้น มันน่าจะเป็นวัฒนธรรมที่มีรากเหง้าร่วมกัน อาจจัดเป็นสกุลเดียวกันคล้ายๆ กับภาษา และถ้าสิ่งที่นักมานุษยวิทยาเชื่อกันมาเนิ่นนานจนบัดนี้ว่า ดนตรีเกิดมาจากภาษา ว่ามันเริ่มมาจากจุดนั้น มันก็จะต้องมีส่วนสัมพันธ์กับการส่งต่อทางวัฒนธรรม ซึ่งผมแบ่งได้ง่ายๆ ออกเป็นสามลักษณะหลักๆ
    .
    หนึ่งคือ สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษรุ่นสู่รุ่น เป็นเหมือนมรดกทางวัฒนธรรม จารีต ประเพณี / สองคือ รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากดินแดนอื่น-ชนชาติอื่นที่รุ่งเรืองกว่าหรือต่างดินแดนที่คบค้าไปมาหาสู่กันยาวนาน จึงรับเอาธรรมเนียมเขามานิยม / สามคือ เกิดจากการถูกพิชิตให้อยู่ในอาณัตหรือถูกบังคับให้รับวัฒนธรรมผู้อื่นมาเป็นของตน อาจจะยังดำเนินขนบทางวัฒนธรรมเดิมอยู่ได้ขณะที่ต้องยอมรับวัฒนธรรมอื่นเป็นหลัก หรืออาจถูกบังคับให้เลิกวัฒนธรรมของตนแล้วรับเอาวัฒนธรรมของชาติที่พิชิตเป็นของตนแทน
    .
    ในกรณีแรก วัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาจะมีอัตลักษณ์ที่จำแนกได้ชัดเจนเหมือนภาษาที่จัดเป็นสกุลหรือ phyla ได้ | กรณีที่สอง ย่อมมีการแทรกของวัฒนธรรมสกุลอื่นเข้ามาผสมผสาน แต่เนื่องจากการเชื่อมโยงกันเป็นไปอย่างละมุนละม่อมจึงไม่มีอะไรถูกทำลาย จะนำไปสู่ความหลากหลายมากขึ้นได้หลายปัจจัย แต่จะยังคงแยกแยะลักษณะของอัตลักษณ์แต่ละสกุลได้ | กรณีที่สาม ไม่ต่างอะไรกับขุดรากถอนโคน วัฒนธรรมสกุลเดิมถูกทำลายไป อาจมีบางคนที่ต่อต้านและต้องการรักษาขนบเก่าไว้อย่างหลบซ่อน ซึ่งจะทำให้กลายเป็นสิ่งต้องห้ามหรือตาบู แต่ก็อาจมีโอกาสที่วันหนึ่งจะถูกฟื้นฟูขึ้น
    .
    ตั้งแต่ปี 2004 ผมหมกมุ่นเรื่องนี้นานนับสิบปี อ่านหนังสือมากมาย ไปเก็บตัวอย่างจากภาคสนาม เสาะหาข้อมูลเสียงจากทุกที่ที่ได้เบาะแส ผมนึกอยู่เวียนวนจนได้สมมุติฐานอันนึงขึ้นมา "เป็นไปได้ไหมว่า ถ้าเรามีสายเลือดที่เชื่อมโยงกันทั้งโลกอย่างที่ ศจ.ลูกา และ เสปนเซอร์ นำเสนอ เราก็น่าจะมีวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกันโดยที่สอดคล้องกับสาแหรกพันธุกรรมด้วย และเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็น่าจะแยกแยะดนตรีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมมนุษย์ออกเป็นวงศ์ตระกูลได้ในลักษณะเดียวกัน ในเวลาต่อมา ผมพบบทความหนึ่งที่เขียนโดย ศจ. Victor Grauer หัวข้อเรื่อง Music Family ผมจำชื่อเขาได้ทันที เพราะผมเรียนหนังสือเล่มหนึ่งของ Alan Lomax นักมานุษยวิทยาดนตรีที่เป็นตำนานของโลก มันเกี่ยวกับระบบวิเคราะห์ดนตรีพื้นเมืองที่เขาคิดค้นขึ้นเรียกว่า Cantomatrics และอาจารย์วิคเตอร์ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของอลันมีส่วนในการคิดค้นนี้
    .
    ผมเขียนอีเมล์ไปหาอาจารย์วิคเตอร์ตามอีเมล์ที่ปรากฏบนบทความของแก บอกว่าผมอ่าน Music Family แล้วคิดว่าน่าจะเดินไปในทิศทางเดียวกับที่ผมคิด แล้วเล่า Hypothesis ของผมให้แกฟัง บอกว่าผมจะเทรซจากดีเอ็นเอและการอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์เป็นวิธีวิจัย แกตอบมาว่าเห็นด้วย นี่เป็นเรื่องใหม่และตื่นเต้นมาก อยากให้ผมแชร์ข้อมูลกับแก จากจุดนี้ไปคือการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นของผมกับโครงการ Genomusicology ตั้งแต่วันนั้นมาจนบัดนี้ ยี่สิบปีแล้ว
    .
    ผมเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับความสนใจของผมในเรื่องนี้มาเรื่อย และบางครั้งมันไม่ได้เกี่ยวกับดนตรีแต่เป็นเรื่องอื่น ผมรู้แต่ตอนนั้นว่าความรู้อะไรก็ตามหากมันขัดกับวิทยาศาสตร์นี้ ไม่ว่าจะสาขาวิชาอะไร มันมีแนวโน้มจะผิดพลาด ตัวอย่างเช่นประวัติศาสตร์ ยิ่งถ้าคุณเปิดหน้าต่างหลายๆ ศาสตร์พร้อมกันโดยไม่ยึดติดกับทัศนะของสำนักคิดเดิม คุณจะพบกับหนทางที่กว้างไกลกว่า ยกตัวอย่างเช่นเมื่อคุณหาคำตอบทางประวัติศาสตร์ คุณลองทาบมันกับชีววิทยาพันธุกรรม ขณะเดียวกันก็ทาบมันกับโบราณคดี ภาษาศาสตร์ ธรณีวิทยา นิรุกติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ปรัมปราคติ ศาสนาเทววิทยา...ฯลฯ มันจะนำคุณไปสู่คำตอบที่หนักแน่นกว่าที่คุณจะจมอยู่กับข้อมูลทางประวัติศาสตร์เพียงอย่างเดียว
    .
    หลายปีที่ผ่านมา เริ่มมีหลายสาขาวิชาที่หันมาใช้แผนที่แผ่นเดียวกับผม ที่ผมเห็นคือนักภาษาศาสตร์ในต่างประเทศมาก่อนเป็นพวกแรก ในไทยที่เริ่มก่อนคือนักโบราณคดีอย่างเช่น อาจารย์รัศมี ชูทรงเดช ท่านล้ำมาก ศึกษาซากบรรพชีวินแล้วเริ่มใช้ข้อมูลดีเอ็นเอมาก่อนที่จะมีนักชีววิทยารุ่นใหม่ที่สนใจด้านนี้เริ่มเอามาใช้ผนวกกับสาขามานุษยวิทยา ช่วงสี่ห้าปีหลังเริ่มมีงานวิจัยเกี่ยวกับดีเอ็นเอของคนไทยออกมาให้เห็นจากนักวิชาการไทยหลายคน
    .
    ถ้าจำเรื่องเก่าๆ ที่ผมเคยเขียนได้บ้างจะเห็นว่าผมพูดอยู่หลายครั้ง "ความแบ่งแยกเป็นความคิดของปีศาจ" และมันเป็นต้นตอความขัดแย้งที่ลุกลามกลายเป็นสงครามและการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ได้ ผมชี้ให้เห็นเสมอๆ ว่าคนเอเชียนั้นเป็นพี่น้องครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นลูกหลานของทายาทแห่งอาดัม (ในทางวิทยาศาสตร์) สองคนคือ Hg O และ Hg C และทายาทแห่งอีฟ (ในทางวิทยาศาสตร์) สี่คนคือ Hg B-M-F-D ดังนั้นพวกเขาไม่ว่าจะเรียกชื่อสมมุติตัวเองว่าอะไร ข้อเท็จจริงก็คือพวกเขาคือพี่น้องกันทั้งสิ้น เก่าใหม่ อ่อนแก่ ตามกาลเวลา
    .
    ด้วยเหตุนี้ ในปี 2008 ผมเขียนบทความหนึ่ง เรื่อง "ชื่อและชนเผ่า" และผมพยายามอธิบายความสมมุติที่ว่านี้ด้วยความพยายามยิ่งที่จะบอกความเป็นมาเป็นไปและความเกี่ยวโยงของแต่ละชาติพันธ์ ผมแบ่งกลุ่มพวกเขาออกเป็นสองกลุ่มง่ายๆ คือพวกเท้าเปียกและพวกเท้าแห้ง พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันและทั้งหมดอยู่บนดินแดนเอเชียนี้มาตั้งแต่สามหมื่นกว่าปีที่แล้ว แต่พวกเท้าเปียกคือพวกที่อยู่บนซุนดาตอนล่าง ต้องผจญชะตากรรมน้ำท่วมโลกซึ่งหนักกว่าโนอาห์แน่นอน เพราะธรณีวิทยาบอกว่ามีที่เดียวบนโลกในประวัติศาสตร์มนุษย์แสนกว่าปี ที่คุณจะเรียกว่าน้ำท่วมโลกได้จริงๆ คือดินแดนซุนดาแห่งนี้ ไม่ใช่ในดินแดนเสี้ยวจันทร์หรือแถวเทือกเขาอารารัต มันท่วมที่นี่สามครั้งหลังยุคน้ำแข็งสิ้นสุด ทั้งสามครั้งรวมแล้วประมาณร้อยยี่สิบเมตร!.. ส่วนพวกเท้าแห้งก็คือพวกที่อยู่เหนือขึ้นไปในเมนแลนด์เอเชีย ซึ่งก็ได้เป็นสักขีพยานภัยพิบัตินี้เช่นกัน แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ได้รับผลจากภัยพิบัติ
    .
    ดังนั้น สำหรับผม ไม่ว่าจะเอ่ยชื่อไหนมันก็คือสิ่งสมมุติ บรรดาพี่น้องในสาแหรกเท้าเปียกในอุษาคเนย์นับจากโบราณจนกระทั่งบัดนี้ อย่างที่บอก พวกเขาล้วนมาจากอัสเลียน แม้ต่อมาพวกเขาทั้งหลายจะกลายเป็นมอญ เป็นข่า เป็นละว้า เป็นขอมทวารวดี เป็นขอมละโว้ เป็นพนม เป็นสยาม เป็นศรีโพธิ์ เป็นมลายู เป็นนุสันทารา เป็นลาว เป็นจามปา เป็นเจนละ เป็นเขมร เป็นญวน... แต่หากคุณแล่เนื้อเถือหนังออกมา โครงสร้างทางโปรตีนของพวกเขาก็มีดีเอ็นเอที่มาจากบรรพบุรุษจากสาแหรกเดียวกันทั้งสิ้น..
    .
    การที่คุณแครี่วายโครโมโซมแฮพโพลกรุ๊พโอ หมายถึงคุณคลานตามกันมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน การย่อยออกเป็น sub group ต่างๆ เช่น O1 O1a O1b O1c O2 O2a O2b O2c... คือซับมิวเทชั่นในสกุลเดียวกัน แม้แตกแขนงออกไปแต่คุณยังคงมีสายเลือดที่โยงใยกันอยู่ จีนที่ซึ่งในการวิจัยช่วงแรกถูกจัดเป็น O3 (ปัจจุบันปรับเป็น O2) ยอมรับกันว่าเป็นชนชาติที่มีระบบบันทึกประวัติศาสตร์ดีที่สุดและเก่ากว่าทุกชนชาติในเอเชีย ถอยหลังไปถึงสี่พันกว่าปี แต่พันธุกรรมบอกว่าพวกเขาเป็นน้องเล็กที่สุด มียีนอายุน้อยที่สุดในสาแหรกวงศ์ตระกูล (เรียงจากหลักน้อยไปหามาก O > O1 > O2 หลักน้อยคือเก่ากว่า) ข้อนี้ยิ่งยืนยันว่าสาแหรก Y DNA Hg O มีรากเหง้าที่เก่าแก่ยาวไกลเพียงใด ในโลกนี้พวกเขาเก่ารองจากพวกออสตราอะบอริจิ้น และพวกซาฮารันโบราณ มียีนเป็นพี่ของชาวยุโรปเกือบทั้งหมด ยกเว้นพวกบาสก์ในอุสกาดี สเปน และพวกซามิแถวแลปแลนด์ ฟินด์แลนด์
    .
    Cultural Transmission ที่ส่งผ่านกันไปมานานนับหมื่นปี ทำให้ลักษณะที่ร่วมกันแต่โบราณจากวัฒนธรรมที่พื้นฐานที่สุดไปสู่วัฒนธรรมที่ซับซ้อนที่สุด ยังคงทิ้งเบาะแสความเกี่ยวโยงของพวกเขาเอาไว้ในทุกมิติทุกบริบท มันไม่ได้หายไปไหนและเรามองเห็นมันได้ แบบเดียวกับที่ผมเห็นผ่านดนตรี ตัวอย่างเช่น เราเป็นมนุษย์ที่ยุคบรรพกาลนับถือแม่เป็นใหญ่ เราจึงมีเทวี เจ้าแม่ พระแม่เต็มไปหมด ในดนตรีพื้นเมืองของเราผู้หญิงร้องเสียงสูงและดังทะลุทะลวง เพราะนางมีสถานะที่ได้รับการเคารพไม่ใช่ถูกกดไว้ นอกจากนั้นพวกนางยังมีการประสานเสียง มีพลังแข็งแรงและมั่นใจขณะขับร้อง นางสามารถยืนหยัดเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญได้ภายในสังคม แม้ทุกวันนี้ ผู้หญิงก็ยังคงเป็นใหญ่ในบ้าน ทุกบาททุกสตางค์ที่ผมหาได้ก็ต้องส่งมอบให้ภรรยาด้วยความเคารพ
    .
    เวลาที่มองภาพต่อทางประวัติศาสตร์ มุมมองของผมจึงเปลี่ยนไป ผมหยิบความรู้อื่นๆ เท่าที่อ้างอิงเชื่อถือได้มาประกบเข้าด้วยกันเสมอ... ทำไมกษัตริย์เขมรโบราณจะขึ้นครองราชย์ต้องแต่งกับนาค? สำหรับผม นี่คือปรัมปราคติที่สะท้อนการเมืองโบราณ เศรษฐีจากต่างถิ่น (ตัวขาวใส่เสื้อผ้าสวยงาม) จะมาปกครองคนท้องถิ่นที่เป็นคนพื้นเมือง (แก้ผ้า อยู่กับป่าฝนและมรสุม) ก็ต้องดองกับคนท้องถิ่น หลักฐานเจเนติคก็พบว่าพ้องกันว่า ผู้ชายบรรพบุรุษของพวกเรา (Y DNA Hg O) ซึ่งอพยพมาด้วยเส้นทางสายเอเชียกลาง อากาศดี อาหารสมบูรณ์ตลอดทาง พวกเขาคงหล่อเร้าใจไม่น้อยเมื่อเดินทางมาถึงซุนดา พวกผู้หญิงอะบอริจิ้น (mt DNA Hg B / M) พากันเลือกบรรพบุรุษของเราเป็นพ่อพันธ์ อุปมาดังหงส์ทองครองคู่กับนาคยังไงยังงั้น ทำให้ผู้ชายอะบอริจิ้นต้องถอยห่างออกไปจากแผ่นดินใหญ่ การได้แม่สายงูมาเป็นแม่พันธ์อีกสองแม่ ทำให้ลูกหลานพวก Hg O ออกลูกมาเต็มดินแดน มันคือการผสมกันของนกกับงู แต่พวก Hg C ที่ผู้หญิงไม่เลือกลูกหลานก็เลยน้อยกว่า แรงงานที่จะพัฒนาชุมชนและเป็นกำลังรบจึงน้อย ถ้าผู้หญิงของเขาไม่เลือกพวก Hg O และมีจำนวนประชากรพอๆ กัน พวกอัสเลียนกับอะบอริจิ้นคงรบกันแหลกราญตายไปข้างหนึ่ง นี่ไม่ใช่ครั้งเดียว...
    .
    พระนางจามเทวีแห่งละโว้ หรือจะเรียกละโว้ ละว้า ว้า ลั๊วะ ก็คือกัน เป็นข่า เป็นอัสเลียนที่ยังมีความเป็นชนพื้นเมือง เมื่อเทียบชายหนุ่มในเผ่าของนางกับหนุ่มเท้าแห้งพี่น้องสาแหรกเดียวกันแต่ขาวผ่องกว่าเพราะอาศัยอยู่ดินแดนทางเหนือขึ้นไป อากาศแสนดี แต่งตัวหล่อ เหตุฉะนี้ พระนางทำเหมือนบรรพบุรุษอะบอริจิ้นข้างแม่ ไม่เลือกพวกเดียวกันเอง แต่ไปเลือกหนุ่มทางเหนือแถวหริภุญชัยสายไป่เยว่ ทำเอานักรบหนุ่มละว้าถึงกับไม่พอใจทำไมไม่เลือกฉันไปเลือกไอ้ละอ่อนสำอางทางเหนือ เลยท้าพระนางจามพุ่งหอกแข่งกัน ถ้าแพ้ต้องแต่งกับเขา และพระนางจามเทวีชนะนักรบนะ! แปลว่าพระนางจามของเรานี้ก็ยังคงมีทักษะแบบที่ชนเผ่าในสมัยบรรพกาลมี คือโตมานี่ยังรบและล่าสัตว์อยู่ แม่หญิงธรรมดาที่ไหนจะพุ่งหอกชนะ พระนางคงเห็นว่าการแต่งกับหนุ่มทางเหนือเป็นการปรับปรุงสายพันธุ์และทำให้การเมืองมีหนทางที่ก้าวหน้าขึ้นกว่าที่เคยเป็น เพราะการดองลักษณะนี้ พวกเท้าเปียกและเท้าแห้งก็จะมี Cultural Transmission ที่ถ่ายเทต่อกันอย่างละมุนละม่อม ต่างกับพวกยุโรปที่ไปปล้นพวกเมาริ ยึดแผ่นดินพวกเขา แล้วบังคับให้ดีดอะคูเลเล่และเข้าโบสถ์ไปร้องประสานเสียง
    .
    หันมองเครือญาติข้างบ้าน ยุคสมัยแห่งเขมรพระนครนั้นล่มสลายไปนานแล้ว กัมพูชาอยู่ในปกครองของอยุธยายาวนานมาจนรัตนโกสินทร์ ตอนที่พวกอาณานิคมฝรั่งเศสบุกมายึดครอง แล้วฝรั่งพวกนี้ไปเจอนครวัดอยู่ในป่าดงดิบ คนเขมรส่วนใหญ่ในตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีปราสาทโบราณอยู่ตรงนั้น มันถูกต้นไม้กลืนจนหายไป รากและกิ่งใบเลื้อยพันฝังรากลงไปในตัวปราสาทจนมองไม่เห็น หลังเป็นอิสระจากอาณานิคมฝรั่งเศสพวกกษัตริย์เขมรนั้นมาโตมาเรียนอยู่ที่สยามทั้งนั้น ประวัติศาสตร์บอกชัดไม่ต้องบรรยายอีก Cultural Transmission ถูกส่งผ่านอย่างละมุนละม่อม ไม่ใช่เพราะถูกพิชิตถูกบังคับให้ทำตาม แต่เพราะรากเหง้าเดิมของเขมรเสื่อมสลายไปหมดนานแล้ว และเจ้านายเขมรนิยมชมชอบในขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมแบบไทยจึงรับและเรียนไป จนกระทั่งมันวินาศย่อยยับไปอีกครั้งในยุคเขมรแดง เพราะศิลปิน ปราชญ์ราชบัณฑิต ครู กวี ปัญญาชน...ถูกเขมรแดงฆ่าจนสิ้น
    .
    ผมก็รำคาญนะ พวกเขมรเคลมโบเดียน่ะ แต่ก็คิดว่ามันน่าสงสาร ยังไงก็พี่น้องสาแหรกเดียวกัน แล้วคนฉลาดๆ ของเขาก็ตายไปหมดแล้วตอนยุคเขมรแดงทุ่งสังหาร ที่พอจะรอดมาได้ก็หนีไปอเมริกา-ยุโรปไม่กลับมาอีก อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ที่บันทึกอยู่ในโลกก็บอกเรื่องราวของสยามและเขมรชัดแจ้งอยู่ มันจะเคลมยังไงก็ไม่มีใครเขาเชื่อ แล้วก็ไม่มีพิษสงอะไรหรอก นอกจากสร้างความรำคาญ ส่งพวกทหารพรานไปเป่าข้าวหลามสักสิบบ้องก็คงหยุดแล้ว
    .
    แต่ไอ้ที่เลวแท้ก็คือไอ้พวกตัวเป็นไทยใจเป็นเขมรนี่แหละ ไอ้ที่ส่งลูกไปปี้กับเขมรก็พอเข้าใจที่มันเกี่ยวดองเป็นเครือญาติกัน แต่ไอ้พวกที่ไม่ได้ดองอะไรแต่เสือกไปรับใช้เขมร อันนี้เรียกขายชาติ ในดีเอ็นเอมีพันธุกรรมสุนัขแทรกอยู่เลยเลือกกินอาจม ไม่กินผัดไทย
    .
    เรื่องที่ผมเขียนให้อ่านนี่มันยาก ผมเข้าใจนะ แต่หากคนเราในทุกวันนี้เข้าใจในข้อนี้ตรงกัน บางทีความขัดแย้งในโลกอาจลดลงจนหมดไปได้ และเราอาจก้าวไปสู่สังคมอุดมคติแบบที่เราไฝ่ฝันถึง "We're All Connected"
    .
    - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (2568) -
    .
    https://youtu.be/RdW1HNA5uSc?si=3E1WAUxHdLhSdVsw
    ตั้งแต่ปี 2004... ผมได้พบกุญแจไขสิ่งที่ผมอยากรู้จากคำเพียงคำเดียว "Cultural Transmission" มันนำพาผมไปพบกับงานของศาสตราจารย์ Luigi Luca Cavalli-Sforza และลูกศิษย์ของเขาที่ Standford ชื่อ Spencer Wells… มันได้เปิดโลกทัศน์ของผมในการมองสิ่งต่างๆ ผ่านการพิจารณาหลายๆ ศาสตร์ควบคู่กับความรู้เกี่ยวกับพันธุกรรมมนุษย์และการอพยพย้ายถิ่น เมื่อเรารู้ว่าที่แท้แล้วเราเป็นใคร สิ่งต่างๆ ก็เชื่อมโยงกัน . ในปีเดียวกันนั้น Bill Clinton ประกาศที่ทำเนียบขาวถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์ แผนที่ดีเอ็นเออันแรกของมนุษย์ถูกทำสำเร็จ ความลับของสายพันธุ์มนุษย์ถูกไข ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะวิสัยทัศน์ของศาสตราจารย์ลูกา ที่มุ่งมั่นเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอมาก่อนหน้านั้นกว่าสามสิบปีเพราะเชื่อมั่นว่ามันซ่อนความลับของมนุษย์ไว้ ทันทีที่แผนที่ดีเอ็นเอสำเร็จ เสปนเซอร์ซึ่งเป็นทายาทรับช่วงงานวิจัยต่อจาก ศจ.ลูกา ก็นำเสนออีกแผนที่หนึ่ง คือแผนที่การอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์ย้อนหลังกว่าแสนปีจากแอฟริกา และสาแหรกพันธุกรรมมนุษย์ย้อนถอยไปถึงบรรพบุรุษคนแรกที่เป็นรากลึกที่สุด . ในเวลานั้น ไม่มีใครหรือสาขาวิชาใดมองความรู้ของมนุษย์ผ่านวิสัยทัศน์นี้ มันเป็นเรื่องใหม่ แต่ความฉงนสนเท่ห์ของผมที่มีกับตัวอย่างดนตรีของไท-ไทยและชาติพันธ์อื่นๆ ในเอเชีย โดยเฉพาะในจีนตอนใต้และประเทศไทย ทำให้ผมเอามานั่งคิด ผลจากการคิดวิเคราะห์ ผมรู้สึกว่ามันเป็นดนตรีชนิดเดียวหรือพูดให้ชัดกว่านั้น มันน่าจะเป็นวัฒนธรรมที่มีรากเหง้าร่วมกัน อาจจัดเป็นสกุลเดียวกันคล้ายๆ กับภาษา และถ้าสิ่งที่นักมานุษยวิทยาเชื่อกันมาเนิ่นนานจนบัดนี้ว่า ดนตรีเกิดมาจากภาษา ว่ามันเริ่มมาจากจุดนั้น มันก็จะต้องมีส่วนสัมพันธ์กับการส่งต่อทางวัฒนธรรม ซึ่งผมแบ่งได้ง่ายๆ ออกเป็นสามลักษณะหลักๆ . หนึ่งคือ สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษรุ่นสู่รุ่น เป็นเหมือนมรดกทางวัฒนธรรม จารีต ประเพณี / สองคือ รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากดินแดนอื่น-ชนชาติอื่นที่รุ่งเรืองกว่าหรือต่างดินแดนที่คบค้าไปมาหาสู่กันยาวนาน จึงรับเอาธรรมเนียมเขามานิยม / สามคือ เกิดจากการถูกพิชิตให้อยู่ในอาณัตหรือถูกบังคับให้รับวัฒนธรรมผู้อื่นมาเป็นของตน อาจจะยังดำเนินขนบทางวัฒนธรรมเดิมอยู่ได้ขณะที่ต้องยอมรับวัฒนธรรมอื่นเป็นหลัก หรืออาจถูกบังคับให้เลิกวัฒนธรรมของตนแล้วรับเอาวัฒนธรรมของชาติที่พิชิตเป็นของตนแทน . ในกรณีแรก วัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาจะมีอัตลักษณ์ที่จำแนกได้ชัดเจนเหมือนภาษาที่จัดเป็นสกุลหรือ phyla ได้ | กรณีที่สอง ย่อมมีการแทรกของวัฒนธรรมสกุลอื่นเข้ามาผสมผสาน แต่เนื่องจากการเชื่อมโยงกันเป็นไปอย่างละมุนละม่อมจึงไม่มีอะไรถูกทำลาย จะนำไปสู่ความหลากหลายมากขึ้นได้หลายปัจจัย แต่จะยังคงแยกแยะลักษณะของอัตลักษณ์แต่ละสกุลได้ | กรณีที่สาม ไม่ต่างอะไรกับขุดรากถอนโคน วัฒนธรรมสกุลเดิมถูกทำลายไป อาจมีบางคนที่ต่อต้านและต้องการรักษาขนบเก่าไว้อย่างหลบซ่อน ซึ่งจะทำให้กลายเป็นสิ่งต้องห้ามหรือตาบู แต่ก็อาจมีโอกาสที่วันหนึ่งจะถูกฟื้นฟูขึ้น . ตั้งแต่ปี 2004 ผมหมกมุ่นเรื่องนี้นานนับสิบปี อ่านหนังสือมากมาย ไปเก็บตัวอย่างจากภาคสนาม เสาะหาข้อมูลเสียงจากทุกที่ที่ได้เบาะแส ผมนึกอยู่เวียนวนจนได้สมมุติฐานอันนึงขึ้นมา "เป็นไปได้ไหมว่า ถ้าเรามีสายเลือดที่เชื่อมโยงกันทั้งโลกอย่างที่ ศจ.ลูกา และ เสปนเซอร์ นำเสนอ เราก็น่าจะมีวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกันโดยที่สอดคล้องกับสาแหรกพันธุกรรมด้วย และเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็น่าจะแยกแยะดนตรีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมมนุษย์ออกเป็นวงศ์ตระกูลได้ในลักษณะเดียวกัน ในเวลาต่อมา ผมพบบทความหนึ่งที่เขียนโดย ศจ. Victor Grauer หัวข้อเรื่อง Music Family ผมจำชื่อเขาได้ทันที เพราะผมเรียนหนังสือเล่มหนึ่งของ Alan Lomax นักมานุษยวิทยาดนตรีที่เป็นตำนานของโลก มันเกี่ยวกับระบบวิเคราะห์ดนตรีพื้นเมืองที่เขาคิดค้นขึ้นเรียกว่า Cantomatrics และอาจารย์วิคเตอร์ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของอลันมีส่วนในการคิดค้นนี้ . ผมเขียนอีเมล์ไปหาอาจารย์วิคเตอร์ตามอีเมล์ที่ปรากฏบนบทความของแก บอกว่าผมอ่าน Music Family แล้วคิดว่าน่าจะเดินไปในทิศทางเดียวกับที่ผมคิด แล้วเล่า Hypothesis ของผมให้แกฟัง บอกว่าผมจะเทรซจากดีเอ็นเอและการอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์เป็นวิธีวิจัย แกตอบมาว่าเห็นด้วย นี่เป็นเรื่องใหม่และตื่นเต้นมาก อยากให้ผมแชร์ข้อมูลกับแก จากจุดนี้ไปคือการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นของผมกับโครงการ Genomusicology ตั้งแต่วันนั้นมาจนบัดนี้ ยี่สิบปีแล้ว . ผมเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับความสนใจของผมในเรื่องนี้มาเรื่อย และบางครั้งมันไม่ได้เกี่ยวกับดนตรีแต่เป็นเรื่องอื่น ผมรู้แต่ตอนนั้นว่าความรู้อะไรก็ตามหากมันขัดกับวิทยาศาสตร์นี้ ไม่ว่าจะสาขาวิชาอะไร มันมีแนวโน้มจะผิดพลาด ตัวอย่างเช่นประวัติศาสตร์ ยิ่งถ้าคุณเปิดหน้าต่างหลายๆ ศาสตร์พร้อมกันโดยไม่ยึดติดกับทัศนะของสำนักคิดเดิม คุณจะพบกับหนทางที่กว้างไกลกว่า ยกตัวอย่างเช่นเมื่อคุณหาคำตอบทางประวัติศาสตร์ คุณลองทาบมันกับชีววิทยาพันธุกรรม ขณะเดียวกันก็ทาบมันกับโบราณคดี ภาษาศาสตร์ ธรณีวิทยา นิรุกติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ปรัมปราคติ ศาสนาเทววิทยา...ฯลฯ มันจะนำคุณไปสู่คำตอบที่หนักแน่นกว่าที่คุณจะจมอยู่กับข้อมูลทางประวัติศาสตร์เพียงอย่างเดียว . หลายปีที่ผ่านมา เริ่มมีหลายสาขาวิชาที่หันมาใช้แผนที่แผ่นเดียวกับผม ที่ผมเห็นคือนักภาษาศาสตร์ในต่างประเทศมาก่อนเป็นพวกแรก ในไทยที่เริ่มก่อนคือนักโบราณคดีอย่างเช่น อาจารย์รัศมี ชูทรงเดช ท่านล้ำมาก ศึกษาซากบรรพชีวินแล้วเริ่มใช้ข้อมูลดีเอ็นเอมาก่อนที่จะมีนักชีววิทยารุ่นใหม่ที่สนใจด้านนี้เริ่มเอามาใช้ผนวกกับสาขามานุษยวิทยา ช่วงสี่ห้าปีหลังเริ่มมีงานวิจัยเกี่ยวกับดีเอ็นเอของคนไทยออกมาให้เห็นจากนักวิชาการไทยหลายคน . ถ้าจำเรื่องเก่าๆ ที่ผมเคยเขียนได้บ้างจะเห็นว่าผมพูดอยู่หลายครั้ง "ความแบ่งแยกเป็นความคิดของปีศาจ" และมันเป็นต้นตอความขัดแย้งที่ลุกลามกลายเป็นสงครามและการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ได้ ผมชี้ให้เห็นเสมอๆ ว่าคนเอเชียนั้นเป็นพี่น้องครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นลูกหลานของทายาทแห่งอาดัม (ในทางวิทยาศาสตร์) สองคนคือ Hg O และ Hg C และทายาทแห่งอีฟ (ในทางวิทยาศาสตร์) สี่คนคือ Hg B-M-F-D ดังนั้นพวกเขาไม่ว่าจะเรียกชื่อสมมุติตัวเองว่าอะไร ข้อเท็จจริงก็คือพวกเขาคือพี่น้องกันทั้งสิ้น เก่าใหม่ อ่อนแก่ ตามกาลเวลา . ด้วยเหตุนี้ ในปี 2008 ผมเขียนบทความหนึ่ง เรื่อง "ชื่อและชนเผ่า" และผมพยายามอธิบายความสมมุติที่ว่านี้ด้วยความพยายามยิ่งที่จะบอกความเป็นมาเป็นไปและความเกี่ยวโยงของแต่ละชาติพันธ์ ผมแบ่งกลุ่มพวกเขาออกเป็นสองกลุ่มง่ายๆ คือพวกเท้าเปียกและพวกเท้าแห้ง พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันและทั้งหมดอยู่บนดินแดนเอเชียนี้มาตั้งแต่สามหมื่นกว่าปีที่แล้ว แต่พวกเท้าเปียกคือพวกที่อยู่บนซุนดาตอนล่าง ต้องผจญชะตากรรมน้ำท่วมโลกซึ่งหนักกว่าโนอาห์แน่นอน เพราะธรณีวิทยาบอกว่ามีที่เดียวบนโลกในประวัติศาสตร์มนุษย์แสนกว่าปี ที่คุณจะเรียกว่าน้ำท่วมโลกได้จริงๆ คือดินแดนซุนดาแห่งนี้ ไม่ใช่ในดินแดนเสี้ยวจันทร์หรือแถวเทือกเขาอารารัต มันท่วมที่นี่สามครั้งหลังยุคน้ำแข็งสิ้นสุด ทั้งสามครั้งรวมแล้วประมาณร้อยยี่สิบเมตร!.. ส่วนพวกเท้าแห้งก็คือพวกที่อยู่เหนือขึ้นไปในเมนแลนด์เอเชีย ซึ่งก็ได้เป็นสักขีพยานภัยพิบัตินี้เช่นกัน แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ได้รับผลจากภัยพิบัติ . ดังนั้น สำหรับผม ไม่ว่าจะเอ่ยชื่อไหนมันก็คือสิ่งสมมุติ บรรดาพี่น้องในสาแหรกเท้าเปียกในอุษาคเนย์นับจากโบราณจนกระทั่งบัดนี้ อย่างที่บอก พวกเขาล้วนมาจากอัสเลียน แม้ต่อมาพวกเขาทั้งหลายจะกลายเป็นมอญ เป็นข่า เป็นละว้า เป็นขอมทวารวดี เป็นขอมละโว้ เป็นพนม เป็นสยาม เป็นศรีโพธิ์ เป็นมลายู เป็นนุสันทารา เป็นลาว เป็นจามปา เป็นเจนละ เป็นเขมร เป็นญวน... แต่หากคุณแล่เนื้อเถือหนังออกมา โครงสร้างทางโปรตีนของพวกเขาก็มีดีเอ็นเอที่มาจากบรรพบุรุษจากสาแหรกเดียวกันทั้งสิ้น.. . การที่คุณแครี่วายโครโมโซมแฮพโพลกรุ๊พโอ หมายถึงคุณคลานตามกันมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน การย่อยออกเป็น sub group ต่างๆ เช่น O1 O1a O1b O1c O2 O2a O2b O2c... คือซับมิวเทชั่นในสกุลเดียวกัน แม้แตกแขนงออกไปแต่คุณยังคงมีสายเลือดที่โยงใยกันอยู่ จีนที่ซึ่งในการวิจัยช่วงแรกถูกจัดเป็น O3 (ปัจจุบันปรับเป็น O2) ยอมรับกันว่าเป็นชนชาติที่มีระบบบันทึกประวัติศาสตร์ดีที่สุดและเก่ากว่าทุกชนชาติในเอเชีย ถอยหลังไปถึงสี่พันกว่าปี แต่พันธุกรรมบอกว่าพวกเขาเป็นน้องเล็กที่สุด มียีนอายุน้อยที่สุดในสาแหรกวงศ์ตระกูล (เรียงจากหลักน้อยไปหามาก O > O1 > O2 หลักน้อยคือเก่ากว่า) ข้อนี้ยิ่งยืนยันว่าสาแหรก Y DNA Hg O มีรากเหง้าที่เก่าแก่ยาวไกลเพียงใด ในโลกนี้พวกเขาเก่ารองจากพวกออสตราอะบอริจิ้น และพวกซาฮารันโบราณ มียีนเป็นพี่ของชาวยุโรปเกือบทั้งหมด ยกเว้นพวกบาสก์ในอุสกาดี สเปน และพวกซามิแถวแลปแลนด์ ฟินด์แลนด์ . Cultural Transmission ที่ส่งผ่านกันไปมานานนับหมื่นปี ทำให้ลักษณะที่ร่วมกันแต่โบราณจากวัฒนธรรมที่พื้นฐานที่สุดไปสู่วัฒนธรรมที่ซับซ้อนที่สุด ยังคงทิ้งเบาะแสความเกี่ยวโยงของพวกเขาเอาไว้ในทุกมิติทุกบริบท มันไม่ได้หายไปไหนและเรามองเห็นมันได้ แบบเดียวกับที่ผมเห็นผ่านดนตรี ตัวอย่างเช่น เราเป็นมนุษย์ที่ยุคบรรพกาลนับถือแม่เป็นใหญ่ เราจึงมีเทวี เจ้าแม่ พระแม่เต็มไปหมด ในดนตรีพื้นเมืองของเราผู้หญิงร้องเสียงสูงและดังทะลุทะลวง เพราะนางมีสถานะที่ได้รับการเคารพไม่ใช่ถูกกดไว้ นอกจากนั้นพวกนางยังมีการประสานเสียง มีพลังแข็งแรงและมั่นใจขณะขับร้อง นางสามารถยืนหยัดเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญได้ภายในสังคม แม้ทุกวันนี้ ผู้หญิงก็ยังคงเป็นใหญ่ในบ้าน ทุกบาททุกสตางค์ที่ผมหาได้ก็ต้องส่งมอบให้ภรรยาด้วยความเคารพ . เวลาที่มองภาพต่อทางประวัติศาสตร์ มุมมองของผมจึงเปลี่ยนไป ผมหยิบความรู้อื่นๆ เท่าที่อ้างอิงเชื่อถือได้มาประกบเข้าด้วยกันเสมอ... ทำไมกษัตริย์เขมรโบราณจะขึ้นครองราชย์ต้องแต่งกับนาค? สำหรับผม นี่คือปรัมปราคติที่สะท้อนการเมืองโบราณ เศรษฐีจากต่างถิ่น (ตัวขาวใส่เสื้อผ้าสวยงาม) จะมาปกครองคนท้องถิ่นที่เป็นคนพื้นเมือง (แก้ผ้า อยู่กับป่าฝนและมรสุม) ก็ต้องดองกับคนท้องถิ่น หลักฐานเจเนติคก็พบว่าพ้องกันว่า ผู้ชายบรรพบุรุษของพวกเรา (Y DNA Hg O) ซึ่งอพยพมาด้วยเส้นทางสายเอเชียกลาง อากาศดี อาหารสมบูรณ์ตลอดทาง พวกเขาคงหล่อเร้าใจไม่น้อยเมื่อเดินทางมาถึงซุนดา พวกผู้หญิงอะบอริจิ้น (mt DNA Hg B / M) พากันเลือกบรรพบุรุษของเราเป็นพ่อพันธ์ อุปมาดังหงส์ทองครองคู่กับนาคยังไงยังงั้น ทำให้ผู้ชายอะบอริจิ้นต้องถอยห่างออกไปจากแผ่นดินใหญ่ การได้แม่สายงูมาเป็นแม่พันธ์อีกสองแม่ ทำให้ลูกหลานพวก Hg O ออกลูกมาเต็มดินแดน มันคือการผสมกันของนกกับงู แต่พวก Hg C ที่ผู้หญิงไม่เลือกลูกหลานก็เลยน้อยกว่า แรงงานที่จะพัฒนาชุมชนและเป็นกำลังรบจึงน้อย ถ้าผู้หญิงของเขาไม่เลือกพวก Hg O และมีจำนวนประชากรพอๆ กัน พวกอัสเลียนกับอะบอริจิ้นคงรบกันแหลกราญตายไปข้างหนึ่ง นี่ไม่ใช่ครั้งเดียว... . พระนางจามเทวีแห่งละโว้ หรือจะเรียกละโว้ ละว้า ว้า ลั๊วะ ก็คือกัน เป็นข่า เป็นอัสเลียนที่ยังมีความเป็นชนพื้นเมือง เมื่อเทียบชายหนุ่มในเผ่าของนางกับหนุ่มเท้าแห้งพี่น้องสาแหรกเดียวกันแต่ขาวผ่องกว่าเพราะอาศัยอยู่ดินแดนทางเหนือขึ้นไป อากาศแสนดี แต่งตัวหล่อ เหตุฉะนี้ พระนางทำเหมือนบรรพบุรุษอะบอริจิ้นข้างแม่ ไม่เลือกพวกเดียวกันเอง แต่ไปเลือกหนุ่มทางเหนือแถวหริภุญชัยสายไป่เยว่ ทำเอานักรบหนุ่มละว้าถึงกับไม่พอใจทำไมไม่เลือกฉันไปเลือกไอ้ละอ่อนสำอางทางเหนือ เลยท้าพระนางจามพุ่งหอกแข่งกัน ถ้าแพ้ต้องแต่งกับเขา และพระนางจามเทวีชนะนักรบนะ! แปลว่าพระนางจามของเรานี้ก็ยังคงมีทักษะแบบที่ชนเผ่าในสมัยบรรพกาลมี คือโตมานี่ยังรบและล่าสัตว์อยู่ แม่หญิงธรรมดาที่ไหนจะพุ่งหอกชนะ พระนางคงเห็นว่าการแต่งกับหนุ่มทางเหนือเป็นการปรับปรุงสายพันธุ์และทำให้การเมืองมีหนทางที่ก้าวหน้าขึ้นกว่าที่เคยเป็น เพราะการดองลักษณะนี้ พวกเท้าเปียกและเท้าแห้งก็จะมี Cultural Transmission ที่ถ่ายเทต่อกันอย่างละมุนละม่อม ต่างกับพวกยุโรปที่ไปปล้นพวกเมาริ ยึดแผ่นดินพวกเขา แล้วบังคับให้ดีดอะคูเลเล่และเข้าโบสถ์ไปร้องประสานเสียง . หันมองเครือญาติข้างบ้าน ยุคสมัยแห่งเขมรพระนครนั้นล่มสลายไปนานแล้ว กัมพูชาอยู่ในปกครองของอยุธยายาวนานมาจนรัตนโกสินทร์ ตอนที่พวกอาณานิคมฝรั่งเศสบุกมายึดครอง แล้วฝรั่งพวกนี้ไปเจอนครวัดอยู่ในป่าดงดิบ คนเขมรส่วนใหญ่ในตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีปราสาทโบราณอยู่ตรงนั้น มันถูกต้นไม้กลืนจนหายไป รากและกิ่งใบเลื้อยพันฝังรากลงไปในตัวปราสาทจนมองไม่เห็น หลังเป็นอิสระจากอาณานิคมฝรั่งเศสพวกกษัตริย์เขมรนั้นมาโตมาเรียนอยู่ที่สยามทั้งนั้น ประวัติศาสตร์บอกชัดไม่ต้องบรรยายอีก Cultural Transmission ถูกส่งผ่านอย่างละมุนละม่อม ไม่ใช่เพราะถูกพิชิตถูกบังคับให้ทำตาม แต่เพราะรากเหง้าเดิมของเขมรเสื่อมสลายไปหมดนานแล้ว และเจ้านายเขมรนิยมชมชอบในขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมแบบไทยจึงรับและเรียนไป จนกระทั่งมันวินาศย่อยยับไปอีกครั้งในยุคเขมรแดง เพราะศิลปิน ปราชญ์ราชบัณฑิต ครู กวี ปัญญาชน...ถูกเขมรแดงฆ่าจนสิ้น . ผมก็รำคาญนะ พวกเขมรเคลมโบเดียน่ะ แต่ก็คิดว่ามันน่าสงสาร ยังไงก็พี่น้องสาแหรกเดียวกัน แล้วคนฉลาดๆ ของเขาก็ตายไปหมดแล้วตอนยุคเขมรแดงทุ่งสังหาร ที่พอจะรอดมาได้ก็หนีไปอเมริกา-ยุโรปไม่กลับมาอีก อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ที่บันทึกอยู่ในโลกก็บอกเรื่องราวของสยามและเขมรชัดแจ้งอยู่ มันจะเคลมยังไงก็ไม่มีใครเขาเชื่อ แล้วก็ไม่มีพิษสงอะไรหรอก นอกจากสร้างความรำคาญ ส่งพวกทหารพรานไปเป่าข้าวหลามสักสิบบ้องก็คงหยุดแล้ว . แต่ไอ้ที่เลวแท้ก็คือไอ้พวกตัวเป็นไทยใจเป็นเขมรนี่แหละ ไอ้ที่ส่งลูกไปปี้กับเขมรก็พอเข้าใจที่มันเกี่ยวดองเป็นเครือญาติกัน แต่ไอ้พวกที่ไม่ได้ดองอะไรแต่เสือกไปรับใช้เขมร อันนี้เรียกขายชาติ ในดีเอ็นเอมีพันธุกรรมสุนัขแทรกอยู่เลยเลือกกินอาจม ไม่กินผัดไทย . เรื่องที่ผมเขียนให้อ่านนี่มันยาก ผมเข้าใจนะ แต่หากคนเราในทุกวันนี้เข้าใจในข้อนี้ตรงกัน บางทีความขัดแย้งในโลกอาจลดลงจนหมดไปได้ และเราอาจก้าวไปสู่สังคมอุดมคติแบบที่เราไฝ่ฝันถึง "We're All Connected" . - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (2568) - . https://youtu.be/RdW1HNA5uSc?si=3E1WAUxHdLhSdVsw
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 924 มุมมอง 0 รีวิว
  • เขียนเล่าเรื่องพันธุกรรมมนุษย์มาหลายต่อหลายครั้ง ทั้งที่ความรู้นี้โลกเขารับรู้มาตั้งแต่ปี 2004 แล้ว ปัจจุบันนักวิชาการไทยหลายคนก็ทำวิจัยเรื่องนี้ตีพิมพ์ออกมาพอสมควร แต่ก็ยังมีบางพวกบางกลุ่มที่ยังตะแบงติดกับดักวังวนของสำนักคิดเก่าๆ อยู่อย่างนั้น ไอ้ที่แย่กว่าคือ จำต้องยอมรับวิทยาศาสตร์นี้โดยปริยายทั้งที่ไปกันไม่ได้กับเรื่องที่ตนเขียน แต่ความที่เคยพูดเคยเขียนหนังสือขายหาเงินรับประทานมาไม่น้อยกับความรู้ผิดๆ ครึ่งๆกลางๆ งูๆปลาๆ ก็เลยยังต้องยืนยันความคิดเดิมตะแบงต่อไป ถ้าไอ้ส่วนที่ความรู้ใหม่มันไปกันได้กับที่เคยเขียนก็จะหยิบมาอ้าง แต่ส่วนที่มันฟ้องว่าเอ็งเข้าใจผิดแล้วก็จะเลี่ยงเสีย เช่นกรณีเฒ่าเจ๊กปนลาวชังชาตินั่น
    .
    ความแบ่งแยกอันเป็นความคิดของปีศาจ นำมาซึ่งชื่อสมมุติ ที่โดยมากมักอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อปฏิเสธความเกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างอัตลักษณ์ใหม่ เพื่อให้ดูแตกต่างกับผู้คนหรือบรรพบุรุษที่เคยเกี่ยวข้อง ไม่ว่าเครื่องแต่งกายก็ตาม ความเชื่อ ภาษาพูดก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เครื่องพิสูจน์องค์ประกอบของตัวมนุษย์แต่ละผู้ว่าเป็นใครหรือเผ่าพันธุ์ไหน เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าความเป็นเจ๊กปนลาวที่พูดไทยหากินกับภาษาไทยของเฒ่าผู้นั้น อาจเป็นเรื่องเลื่อนลอยไปได้ ลาวที่เขาคิดว่าเป็นพ่ออาจเป็นกัมมุ และเจ๊กที่เขาคิดว่าเป็นแม่อาจเป็นชนเผ่าฮักกา ที่ซึ่งไม่ใช่เจ๊ก แต่เป็นเยว่ ก็เป็นได้... อยากจะแน่ใจก็ไปตรวจซะ
    .
    อย่างที่ทราบ (เอ๊ะ หรือใครยังไม่ทราบ?) มนุษย์ที่เป็นชนชาติต่างๆในโลกนี้ อพยพออกมาจากแอฟริกาเมื่อแสนกว่าปีก่อน เป็นหน่อเนื้อลูกหลานของบรรพบุรุษที่อาศัยในบริเวณที่ปัจจุบันเรียกว่าซาฮาร่า ดังนั้นนักวิชาการเลย "นิยามชื่อ" พวกเขาว่าพวก "ซาฮารันโบราณ" ผู้ชายทุกคนในโลกนี้ไม่ว่าคนออสตราอะบอริจิ้น คนเอเชีย คนตะวันออกกลาง คนยุโรป คนเมโสอเมริกา ล้วนมียีนของอาดัมทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าวายโครโมโซม M168 นี้ทุกคน ยกเว้นพวกแอฟริกาบางเผ่าที่บรรพบุรุษไม่ได้อพยพออกมาและยังคงอยู่รอดในแอฟริกาจนถึงปัจจุบันนี้
    .
    ด้วยภาพใหญ่นี้ สาแหรกพันธุกรรมแสดงให้เห็น "DEEP ANCESTOR" โคตรเหง้าที่ลึกที่สุดของมนุษย์โลก "การที่พวกอาหรับพูดภาษาสกุลเซมิติคส่วนคนไทยอย่างเราพูดภาษาสกุลจ้วง-ไท ความแตกต่างนี้ไม่อาจลบล้างข้อเท็จจริงทางพันธุกรรมที่ทั้งคู่มี Deep Ancestor ร่วมกันไปได้". ทุกวันนี้มนุษย์ที่มียีนของ M168 เก่าแก่กว่าใครในโลกคือพวก San Bushman พวกเขาพูดภาษาสกุลกอยซานที่ในทาง Linguistic ถือว่าเป็นภาษาลูกของภาษาซาฮารันโบราณที่ยอมรับกันว่าคือ Global Early Language * หมายถึงภาษาแรกของโลก เมื่อพิจารณาจากวิทยาศาสตร์ข้อนี้ มนุษย์ทุกชนชาติที่มีชื่อสมมุติกันไปต่างๆ จะว่าไปก็ถือเป็นคนกอยซานทั้งสิ้น ดังนั้นคุณจงอย่าได้ยึดติดว่าภาษาพูดของชาติพันธ์หนึ่ง จะบ่งบอกว่าเขาคือชาติพันธ์นั้นเสมอไป... คนจีนอพยพตั้งแต่รุ่นที่สองที่อยู่ในเมืองไทยพูดภาษาไทยชัดทุกคน คนอเมริกันที่เกิดที่นี่ คนอินเดียที่เกิดที่นี่พูดไทยสำเนียงไทยชัดทุกคน และเป็นไปได้ว่าวันหนึ่งเขาอาจย้ายไปอยู่ที่ภูฏานเป็นการถาวรจนลูกหลานเขาเกิดที่นั่น แล้วพูดภาษาภูฏานชัดเจน
    .
    [* ภาษากอยซาน : นักภาษาศาสตร์ลงความเห็นว่าคือภาษาที่เก่าที่สุดในโลก มีลักษณะพิเศษคือมีเสียงคลิ๊กอยู่ในคำ ซึ่งได้หายไปจากภาษาอื่นๆ ที่เกิดภายหลัง นักวิชาการเชื่อว่า เมื่อบรรพบุรุษของเราอพยพออกจากแอฟริกาเมื่อแสนปีก่อน พวกเขามีภาษาพูดแล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่สามารถล่าสัตว์ใหญ่อย่างแมมมอธได้ เพราะการล่าเช่นนี้ต้องทำงานเป็นทีม ไม่มีภาษาก็ทำงานเป็นทีมไม่ได้]
    .
    เมื่อมนุษย์มาจากแอฟริกาและเรามีเชื้อสายซาฮารันมาก่อน ทำไมเราจึงพูดกันไม่รู้เรื่อง พูดกันคนละภาษา ผมเคยเขียนบทความหนึ่งชื่อ บาเบล สืบเนื่องจากคัมภีร์ปฐมกาลบทที่ชื่อบาเบล เล่าว่า “พระเจ้าทรงเห็นว่ามนุษย์สร้างหอคอยใหญ่เทียมฟ้าขึ้นมาได้ พวกเขาอยากจะทำอะไรก็จะสำเร็จได้ อย่ากระนั้นเลย เราจะบันดาลให้เขาพูดกันไม่รู้เรื่อง ผู้คนก็แยกย้ายกันไป เป็นชนชาติต่างๆ ภาษาต่างๆ” นี่...ใครสักคนป้ายสีพระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นมูลเหตุให้มนุษย์พูดกันไม่รู้เรื่อง. ใครสักคนในที่นี้มีอย่างน้อยสามคน นักภาษาศาสตร์ยุคใหม่วิเคราะห์ลักษณะการเขียน สำนวน คำศัพท์ที่ใช้ซึ่งบ่งบอกรากฐานและยุคสมัยได้ ทำการวิเคราะห์พระคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับคิงเจมส์ พวกเขาลงความเห็นว่า คัมภีร์ไบเบิ้ลมีผู้เขียนราวสามคน มีลักษณะการเขียนที่แตกต่างกันสามสำนวน คละเคล้ากันไปในแต่ละบท บางบทมีการปนกันมากกว่าหนึ่งสำนวน และยังลงความเห็นว่ารูปแบบการเขียนของบทปฐมกาล (genesis) เขียนทีหลังบทอพยพ (exodus)
    .
    นอกจากนี้นักภาษาศาสตร์ยุคหลังมานี่เชื่อว่าภาษาอินโดยูโรเปี้ยนนี้ คือผลของการทุบทำลายภาษาแม่ครั้งสำคัญในโลก เมื่อคุณพิจารณาพันธุกรรม คุณจะต้องทราบว่าผู้ชายชาวยุโรปและตะวันออกกลางแชร์สาแหรกพันธุกรรมในเครือเดียวกันคือ R / J / E อย่างที่ผมเขียนเรื่องยิวและปาเลสไตน์ไปก่อนนี้.. พวกคนยุโรป เปอร์เซีย อารยัน (ที่ภายหลังไปบุกอินเดียโบราณ) ล้วนเป็นสาแหรกเดียวกัน อย่าว่าแต่ยิวซึ่งเป็น semitic speaker ฆ่าปาเลสไตน์ที่เป็นพี่น้องใกล้ชิดเลย หากคนกรีก คนโรมัน ไปฆ่าคนเปอร์เซียหรือกลับกัน ก็คือพี่น้องฆ่ากันอยู่ดีนั่นแหละ อยู่มาวันหนึ่ง ไม่แน่ชัดว่าอะไรเป็นเหตุ หลังสงครามเทวีที่เกิดการต่อต้านปฏิเสธความเชื่อที่นับถือแม่เป็นใหญ่ เทวรูปของเทพีมากมาย เช่น Artemis เทวีผู้มอบความอุดมสมบูรณ์ ต่างพากันถูกทุบจมูกทุบใบหน้าทิ้งให้ดูน่าเกลียด ชนชาติที่เคยเกี่ยวดองกัน พลันแยกออกจากกันเป็นชนชาติใหม่ พูดภาษาใหม่ เด็กที่เกิดใหม่นับแต่นั้นจะถูกฝึกให้พูดภาษาที่สร้างขึ้นมา จากนั้นก็ตามมาด้วยชื่อสมมุติอย่างเช่น อัสซีเรีย อัคเคเดียน ฮิตไทท์... จากนั้นก็ตามมาด้วยสงครามพี่น้องฆ่ากัน ทั้งที่ชีววิทยาพันธุกรรมบอกว่าพวกเขาคือพี่น้องคลานตามกันมาทั้งนั้น และถ้าอ้างไบเบิ้ล อย่างเช่นกรณีของบุตรหลานของ Sam ลูกหลานของโนอาห์ ก็อย่างที่เคยเล่าไปแล้ว ความแบ่งแยกทำให้พวกเขาปฏิเสธสายใยที่มี
    .
    อย่างที่ชี้ให้เห็นนี่ ดีเอ็นเอบอกเราถึงความเป็นพี่น้องร่วมสาแหรก แต่พวกเขาปฏิเสธกันเองแล้วแบ่งแยก ทุบทำลายภาษาแม่ทิ้งไปพร้อมๆ กันในเวลาไล่เลี่ยกัน ไม่ใช่เพราะฝีมือพระเจ้าหรอก มนุษย์นี่แหละ นักภาษาศาสตร์โบราณคดีทำการค้นคว้าเรื่องนี้แล้วทำการโยงภาษาในสกุลอินโดยูโรเปี้ยนทั้งหมด ย้อนกลับไปสู่ภาษาซาฮารันโบราณ ด้วยพจนานุกรมคำศัพท์ของพวก Basque (กลุ่มคนที่ isolated อยู่ในสเปนซึ่งเชื่อว่าเป็นภาษาลูกที่เหลืออยู่ของภาษาซาฮารัน).. เรื่องนี้ยาวนะ ผมเคยเล่าไว้ในบทความชื่อบาเบลที่ผมเกริ่นไปข้างบน ใครอยากลงลึกให้ไปอ่าน Linguistic Archaeology เขียนโดย Edo Nyland
    .
    เวลาเจอบทความอะไรจากเฒ่าเจ๊กปนลาวผู้นี้ รวมทั้งจากพวกสาวกกระดูกอ่อนของเขาก็เลยออกจะรำคาญ ด้วยการอ้างชื่อต่างๆ พวกเขาเชื่อมโยงยกแม่น้ำเป็นตุเป็นตะ ไอ้นั่นมาจากไหน ไอ้นี่มาจากไหน โดยไม่มีหลักฐานอะไรที่หนักแน่นพอมารองรับ… ยกตัวอย่างเช่นใช้กลองสำริดบ้าง ใช้ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณบ้าง มาอ้างอิงทั้งที่ไม่เข้าใจว่าดูอะไรอยู่
    .
    ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณแต่ละแห่งที่พบในโลกที่รังสรรค์โดยบรรพบุรุษยุคแรก ถ้าคุณทาบข้อมูลทางโบราณคดีของมันกับข้อมูลอื่น เช่น พันธุกรรมและการอพยพย้ายถิ่น ธรณีวิทยา ภาษาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ มานุษยวิทยา วิทยาศาสตร์.. ก็จะรู้อะไรที่ต่างไปจากที่เคยมีคนสันนิษฐานกันออกมาก่อนหน้านี้ได้ เช่น ภูมิศาสตร์บอกว่าลักษณะภูมิประเทศแบบใดที่มนุษย์โบราณในยุคนั้นชอบใช้เป็นที่อาศัยและหลบภัย ลักษณะทางภูมิศาสตร์แบบไหนที่พบภาพเขียนสี ทำไมมันจึงถูกเลือกเป็นที่จัดทำนิทรรศการ.. ธรณีวิทยาบอกว่า พบดินแบบเดียวกันถูกใช้เป็นสีเขียนผนังถ้ำทุกแห่ง.. วิทยาศาสตร์บอกองค์ประกอบธาตุของสีที่ใช้เขียนว่าเป็นแบบเดียวกัน ซึ่งแปลได้ว่าพวกเขาเรียนหนังสือมาจากที่เดียวกัน คือเรียนรู้เทคนิคในการทำแบบนี้ซ้ำต่อๆ กันมาเหมือนๆ กัน.. มานุษยวิทยาเห็นการสะท้อนธรรมเนียมนิยมทางวัฒนธรรมบรรพกาลของพวกเขา เช่น เอาสีใส่ปากพ่นผ่านมือให้เป็นรูปมือ เขียนรูปคนและสัตว์ที่มีลักษณะทาง figure ที่คล้ายคลึงกัน มีจินตนาการในการสร้างลักษณะของบุคคลที่พิเศษออกไปจากคนปกติเพื่อแสดงว่าเป็นผีสางเทวดาที่เขานับถือ... มีการวิเคราะห์คุณสมบัติทางวิทยาศาสตร์ของสภาวะแวดล้อมของพื้นที่ศักดิ์สิทธ์ที่พวกเขาไปเขียนรูปไว้ เช่น คุณสมบัติการก้องสะท้อนเสียงของสถานที่
    .
    และเมื่อทาบพันธุกรรมลงไปดูความสอดคล้องกัน เริ่มจากพวกเผ่า San Bushman ที่มียีนของอดัมที่เก่าที่สุดในโลก พบว่าพวกเขาทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันทุกด้านดังที่ได้กล่าวไปนั่น พวกอัสเลียนโบราณก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันกับที่กล่าวไปเช่นกัน เอาภาพเขียนสีเช่นที่ถ้ำเขาจันทร์งาม สีคิ้ว ไปเปรียบกับภาพเขียนสีในแอฟริกาที่พวกกอยซานทำ ทุกองค์ประกอบที่ว่านั่นก็จะเห็นว่าเหมือนกัน... พวกปาปัว-ออสตราอะบอริจิ้น ก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกับที่กล่าวไป นี่เป็นนวัตกรรมที่เป็นมรดกโคตรยาวนานของมนุษย์ จากแอฟริกาไปสู่จุดต่างๆในโลก ในวันนี้ พวกเขาเหล่านี้พูดกันคนละภาษา มันดูไม่มีความกี่ยวข้องกันใช่ไหมล่ะ? แต่วิทยาศาสตร์ไม่ได้บอกเช่นนั้น ในพันธุกรรมมี mutation ในวัฒนธรรมมี cultural transmission ถ้าเราขยับไปดูสิ่งที่คุ้นเคยกว่านั้นอีกสักอย่าง เช่น "กลอง".. มนุษย์ทุกแห่ง ตั้งแต่พวกที่อยู่ในแอฟริกา แม้แต่พวกชนเผ่าที่ไม่ได้อพยพไปไหนเลยจนกระทั่งยุคล่าอาณานิคม กับมนุษย์ทุกชนชาติที่กระจายอยู่ในทุกมุมโลก พวกเขาต่างทำกลองเหมือนกัน วิธีการคือ ด้วยการขึงหนังสัตว์ (membrane) ลงบนปากทรงกลมของวัตถุทรงกระบอก (cylinder) ขึงให้ตึงและตีให้สั่น นี่คือนวัตกรรมที่เรียก Membranophones คนทั้งโลกไม่ได้ต่างคนต่างทำเหมือนกันโดยบังเอิญ มันคือมรดกที่ส่งต่อกันมาตั้งแต่ก่อนอพยพเมื่อแสนปีที่แล้วและเก่าพอๆ กับภาษาแรก
    .
    ซากบรรพชีวินที่นักวิชาการไทยอย่างที่อาจารย์รัศมีท่านสำรวจและค้นคว้าอยู่ กรอบเวลาเท่าไหร่? โนนนกทา? บ้านเชียง? พวกนั้นเป็นใคร? โฮโมเซเปี้ยนส์แน่นอน ชีววิทยาบอกชัดว่าเซเปี้ยนส์ เราไม่ได้วิวัฒน์มาจากโฮโมอีเร็คตัส พวกนั้นสูญพันธ์ไปแล้วก็จบ ยีนพ่อไม่เคยหายไปจากมนุษย์และเราไม่มียีนของอีเร็คตัสอยู่ในตัวเรา เมื่อราวเจ็ดหมื่นปีก่อน เกิด super eruption ขึ้นที่ภูเขาโทบาในสุมาตราโบราณ [https://geographical.co.uk/.../explainer-the-toba...] ทิ้งบาดแผลไว้เป็นทะเลสาปโทบาให้ดูในทุกวันนี้ ภัยพิบัตินี้รุนแรง มันตามมาด้วยฤดูหนาวนิวเคลียร์ (นักวิชาการว่าเช่นนี้) เถ้าภูเขาไฟปกคลุมโลกนานหลายปีและลอยไปไกลถึงกรีนแลนด์ โฮโมอีเร็คตัสในเอเชียถ้ายังมีชีวิตอยู่จะต้องตายหมด ดังนั้นไม่ว่าจะมนุษย์ปักกิ่ง มนุษย์ชวาอะไร ไม่เกี่ยวกับเราทั้งนั้น กรอบเวลาของบรรพบุรุษเราที่มาถึงที่นี่คือห้าหมื่นและสามหมื่นปีมาแล้ว มากันสองระลอก และคนพื้นเมืองที่บุกเบิกดินแดนนี้ไม่ได้แปะยี่ห้ออะไรเมื่อมาถึง นอกจากเรียกตัวเองว่า กอย หมายถึง คน… (ข่า ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย.. ลาว ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย)
    .
    ในความเป็นจริง มนุษย์โบราณที่เป็นบรรพบุรุษของชายชาวเอเชียราว 75 เปอร์เซ็นต์ล้วนเป็น Y DNA Hg O คือครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก พวกเขามิวเททมาจากสาแหรกของพ่อ Y DNA Hg K ซึ่งมาถึงเอเชียกลางเมื่อราวสี่หมื่นปีและกระจายออกไป ทั้งที่ข้ามโกบีและไซบีเรีย ข้ามเบริงเจียไปอเมริกา (Hg Q) กลายเป็นพวกนาวาโฮ... ทั้งที่ย้อนกลับเข้าไปในยุโรปเผชิญความทารุณของยุคน้ำแข็งกลายเป็นพวกยุโรป (Hg R)… บรรพบุรุษพวกนี้ เมื่อตั้งถิ่นฐานตรงจุดใด ก็มักอยู่ตรงนั้น ลองนึกถึงความเป็นจริงว่า การย้ายถิ่นฐานใช้เวลายาวนานหลายชั่วคน เมื่อผู้อาวุโสหรือพ่อของเขาแก่เฒ่าไร้เรี่ยวแรงที่จะเดินทางบุกเบิกต่อไป บางส่วนของพวกเขาจะหยุดการเดินทางและตั้งหลักแหล่งโดยเฉพาะเมื่อพบสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์พอจะดำรงชีพ คนหนุ่มจะเดินทางผจญภัยต่อไปเพื่อหาที่ของตนที่จะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำ ได้มองโลกด้วยทัศนะของพวกเขาเอง พวกเขาจะพบปัญหาใหม่ จะได้หาทางแก้ไขสถานะการณ์ที่ไม่เคยพบ ดังนั้นพวกเขาจะมีเทคโนโลยีที่ดีขึ้นไปเองโดยธรรมชาติ จนเมื่อพวกเขาพบว่าได้เจอสถานที่ที่พึงพอใจหรือไปต่อไม่ได้แล้ว การเดินทางก็จะหยุด
    .
    คุณคิดว่ามีมนุษย์จำนวนเท่าไหร่ เมื่อพวกเขามาถึงแผ่นดินซุนดาเมื่อสามหมื่นปีก่อน?
    .
    บรรพบุรุษของเรา เดินทางมาตามซุปเปอร์ไฮเวย์โบราณสายเอเชียกลางที่เป็นทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ อุดมด้วยกวางแอนทีโลฟและช้างแมมมอธ ท้องอิ่ม อบอุ่น และอันตรายน้อย เมื่อมาถึงซุนดา คุณคิดว่าพวกเขาจะอยู่อาศัยกันที่ไหน? บนภูเขา ในป่า หรือที่ราบลุ่มปากแม่น้ำ? ไปคิดดูเป็นการบ้าน
    .
    หากพิจารณาดูปัจจัยต่างๆ เราจะรู้ได้ว่าชุมชนบรรพกาล มักจะตั้งอยู่บนที่ที่เหมาะสมในการผดุงชีพ อ.สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา ให้ความเห็นว่า เนื่องเพราะบรรพบุรุษพวกนี้ต้องเผชิญกับน้ำท่วมซุนดาถึงสามครั้ง พวกเขานิยมสร้างบ้านที่มีเสาสูงและมีไต้ถุนสูง ทำแพและมีทักษะในการเดินทางด้วยแพ ซึ่งพร้อมที่จะอพยพหนีโดยล่องด้วยแพขึ้นไปเรื่อยๆ สู่ทิศทางต้นน้ำ ไม่เดินเท้าเพราะไม่รู้ว่าน้ำจะมาทางไหน เมื่อเห็นและแน่ใจว่าน้ำหยุดท่วมแล้วก็ปักหลักตั้งถิ่นฐานใหม่ เพราะพวกเขารู้ดีว่าไม่มีจุดไหนที่มีทรัพยากรอุดมไปกว่าริมแม่น้ำ ทั้งสัตว์น้ำและดินที่เหมาะแก่การเพาะปลูก ในป่านั้นมีโรคมากมายและสัตว์ร้าย พวกเขาจะเข้าไปต่อเมื่อต้องการล่าหรือหาของป่า
    .
    ชุมชนบรรพกาลเหล่านี้ เมื่อพบพื้นที่ที่พวกเขาพึงพอใจแล้วก็มักจะปักหลักอยู่เช่นนั้น สืบต่อกันไปหลายชั่วคน หลักฐานทางโบราณคดีก็ชี้ชัดเช่นนั้น ทำให้เกิดชุมชนโบราณขึ้นตรงนั้นตรงนี้มากมายและขยายตัวออกไป เกษตรกรรมเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เลิกเร่ร่อนแล้วหยุดตั้งหลักแหล่ง ผลที่เก็บเกี่ยวแน่นอนตามฤดูกาลทำให้ปัจจัยทางอาหารมั่นคง ดังนั้นพวกเขาจะไม่ย้ายไปไหนโดยง่ายถ้าไม่ใช่เพราะภัยธรรมชาติ โรคระบาด หรือสงครามจากคนกลุ่มอื่นมาบีบบังคับให้ย้ายไปที่อื่น ชุมชนบรรพกาลซึ่งประชากรมีอยู่น้อย ย่อมต้องการปริมาณแรงงานไว้เพื่อสร้างชุมชนของตนให้เติบโตรุ่งเรืองขึ้น ถ้าไม่เกิดปัญหาที่ว่านี้ พวกเขาก็จะไม่ย้ายไปไหน พวกเขาจำฤดูกาลประจำถิ่น ทิศทางลม เวลาน้ำขึ้นลง ยาอยู่ที่ไหน อะไรเป็นยา จำต้นไม้ได้ทุกต้นและรู้ว่าอะไรใช้ทำอะไรได้บ้าง สัตว์อยู่ที่ไหน หาเจอยังไง จับยังไง... ความรู้ในภูมิลำเนาพวกนี้ใช้เวลาสั่งสมยาวนาน
    .
    เราต่างได้เรียนรู้กันมามากพอสมควรเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แต่บางครั้งนิยามหรือความสมมุติในความเป็นชนชาติบ้านเมืองต่างๆ มักพาให้ไขว้เขว บางถิ่นฐาน ผู้ปกครองเป็นผู้มีศักดิ์ฐานะ มีทรัพยากรมาก แต่เป็นคนต่างถิ่นมาจากที่อื่น ไม่ต่างกับทุกวันนี้ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหัวเมืองเช่นเชียงราย อาจเป็นลูกเศรษฐีตระกูลใหญ่จากกรุงเทพ สมัยโบราณก็เช่นกัน ประชากรเป็นคนพื้นเมืองท้องถิ่น อาจอยู่ที่นั่นมาแปดชั่วคนแล้ว เขาไม่ย้ายไปที่อื่นเพียงเพราะผู้ปกครองไม่ใช่คนพื้นเมืองเหมือนตน ถ้าปกครองดี ทุกคนยังกินอิ่ม ไม่รีดภาษี ไม่ก่อกรรมทำเข็ญ ข่มเหงรังแก พวกเขาก็จะอยู่อย่างนั้นต่อไปในรุ่นลูกรุ่นหลาน จักรวรรดิจีนโบราณดินแดนกว้างใหญ่ ประชากรไม่ได้มีแต่จีนฮั่นเท่านั้น ยังมีประชากรที่เป็นชนเผ่าอื่นๆในปกครองหลายสิบเผ่า แล้วก็มีผู้ปกครองที่มาจากถิ่นอื่นมาปกครอง เคยมีกษัตริย์ที่เป็นมองโกล กษัตริย์ที่เป็นแมนจูมานั่งบัลลังก์ฮ่องเต้ ยิ่งรูปงามผิวพรรณผุดผ่องมาพร้อมโปรโมชั่นว่าเป็นเทพลงมาเกิดก็จะทำให้รู้สึกนับถืออยากพึ่งพาบารมี ดังนั้นผู้ปกครองก็อาจเป็นชาติพันธุ์หนึ่งขณะที่ประชากรในดินแดนเป็นอีกชาติพันธุ์หนึ่งได้ เช่น ผู้ปกครองมีชื่อสมมุติว่าเป็นชาติพันธุ์ลาว ผู้ใต้ปกครองอาจเป็นชาวพื้นเมืองมีชื่อสมมุติว่าชาติพันธุ์ข่า เป็นต้น.. ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่พูดนี่ เป็นคนละเรื่องกับแนวความคิดเรื่องชาติ ประเทศ รัฐ ชนชาติและสัญชาติ ซึ่งเป็นความคิดใหม่ที่เกิดขึ้นภายหลังตามคติของอาณานิคมตะวันตก
    .
    สำหรับผมมันเป็นเรื่องตลก ที่พูดว่าคนโคราชไม่ใช่คนอีสาน
    ความยึดมั่นของผู้พูดผูกโยงกับภูมิลำเนา ผูกกับสำเนียงภาษาที่ใช้ แล้วเอามามัดให้ประชากรนั้นเป็นเผ่าพันธ์ตามที่ตนผูกไว้
    .
    คนอีสานคือใครในทัศนะวิทยาศาสตร์ คนอีสานอาจประกอบด้วยพลเมืองจากทางเหนือที่มาไกลจากจีน มาจากหยุนหนาน หรืออาจมาจากเวียตนาม ได้มากพอกับมีพลเมืองที่มีชื่อสมมุติว่า "ลาว" ที่เฒ่างี่เง่านี้นิยามให้สาวกเชื่อว่าเป็นคนท้องถิ่นโดยแท้แล้วก็ปฏิเสธในเชิงที่รู้สึกได้ว่าพยายามจะบอกใครๆ ว่าคนโคราชเป็น "สิ่งแปลกปลอมในท่ามกลางคนอีสาน" ผมรู้สึกอย่างนั้น แล้วเขาก็โยงเรื่องโยงชื่อ ทั้งคนทั้งสถานที่ มั่วไปหมดชนแพะชนแกะชนควาย อนุมานเอาตามความเชื่อตน ทั้งที่ความเป็นจริงทุกมนุษย์ที่อ้างอิงมานั่นไม่ว่าจะด้วยคำ สยาม ทวารวดี มอญ อยุธยา สุพรรณ โคราช ศรีโคตรบูรณ์ เวียงจันทร์ ชัยวรมัน.... บลาๆๆ... ล้วนคือ Y Chromosome DNA Haplogroup O (O2 เป็นจำนวนเปอร์เซ็นต์สูงสุด) ทั้งนั้น ต่อให้หมู่บ้านนึงมันดันพูดได้สามภาษา ทั้งลาวทั้งอังกฤษทั้งเกาหลีสำเนียงเป๊ะทั้งหมู่บ้านก็ตามที
    .
    เขย่าไว้ไม่ให้นอนก้น
    ข้าว่าพวกเอ็งมันนอนก้นถอยหลังไปสองร้อยปี
    ฟังวนอยู่ห้าคำสิบคำ เต็มไปด้วยคำว่า “สันนิษฐานว่า…“
    แปลเป็นไทยคือ คาดว่า เดาว่า... คือเอ็งไม่รู้ไง เชื่อเองเออเองแล้วมาชวนคนอื่นให้เชื่อตาม
    .
    นี่รู้ไหม...
    มีไม่น้อยนะที่สันนิษฐานว่ามนุษย์เซเปี้ยนส์นี่น่ะ มาจากเชื้อพันธุ์มนุษย์ต่างดาวชื่อ อนูนากิ แกเชื่อไหมเล่า?
    .
    - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา [2568] -
    .
    เขียนเล่าเรื่องพันธุกรรมมนุษย์มาหลายต่อหลายครั้ง ทั้งที่ความรู้นี้โลกเขารับรู้มาตั้งแต่ปี 2004 แล้ว ปัจจุบันนักวิชาการไทยหลายคนก็ทำวิจัยเรื่องนี้ตีพิมพ์ออกมาพอสมควร แต่ก็ยังมีบางพวกบางกลุ่มที่ยังตะแบงติดกับดักวังวนของสำนักคิดเก่าๆ อยู่อย่างนั้น ไอ้ที่แย่กว่าคือ จำต้องยอมรับวิทยาศาสตร์นี้โดยปริยายทั้งที่ไปกันไม่ได้กับเรื่องที่ตนเขียน แต่ความที่เคยพูดเคยเขียนหนังสือขายหาเงินรับประทานมาไม่น้อยกับความรู้ผิดๆ ครึ่งๆกลางๆ งูๆปลาๆ ก็เลยยังต้องยืนยันความคิดเดิมตะแบงต่อไป ถ้าไอ้ส่วนที่ความรู้ใหม่มันไปกันได้กับที่เคยเขียนก็จะหยิบมาอ้าง แต่ส่วนที่มันฟ้องว่าเอ็งเข้าใจผิดแล้วก็จะเลี่ยงเสีย เช่นกรณีเฒ่าเจ๊กปนลาวชังชาตินั่น . ความแบ่งแยกอันเป็นความคิดของปีศาจ นำมาซึ่งชื่อสมมุติ ที่โดยมากมักอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อปฏิเสธความเกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างอัตลักษณ์ใหม่ เพื่อให้ดูแตกต่างกับผู้คนหรือบรรพบุรุษที่เคยเกี่ยวข้อง ไม่ว่าเครื่องแต่งกายก็ตาม ความเชื่อ ภาษาพูดก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เครื่องพิสูจน์องค์ประกอบของตัวมนุษย์แต่ละผู้ว่าเป็นใครหรือเผ่าพันธุ์ไหน เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าความเป็นเจ๊กปนลาวที่พูดไทยหากินกับภาษาไทยของเฒ่าผู้นั้น อาจเป็นเรื่องเลื่อนลอยไปได้ ลาวที่เขาคิดว่าเป็นพ่ออาจเป็นกัมมุ และเจ๊กที่เขาคิดว่าเป็นแม่อาจเป็นชนเผ่าฮักกา ที่ซึ่งไม่ใช่เจ๊ก แต่เป็นเยว่ ก็เป็นได้... อยากจะแน่ใจก็ไปตรวจซะ . อย่างที่ทราบ (เอ๊ะ หรือใครยังไม่ทราบ?) มนุษย์ที่เป็นชนชาติต่างๆในโลกนี้ อพยพออกมาจากแอฟริกาเมื่อแสนกว่าปีก่อน เป็นหน่อเนื้อลูกหลานของบรรพบุรุษที่อาศัยในบริเวณที่ปัจจุบันเรียกว่าซาฮาร่า ดังนั้นนักวิชาการเลย "นิยามชื่อ" พวกเขาว่าพวก "ซาฮารันโบราณ" ผู้ชายทุกคนในโลกนี้ไม่ว่าคนออสตราอะบอริจิ้น คนเอเชีย คนตะวันออกกลาง คนยุโรป คนเมโสอเมริกา ล้วนมียีนของอาดัมทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าวายโครโมโซม M168 นี้ทุกคน ยกเว้นพวกแอฟริกาบางเผ่าที่บรรพบุรุษไม่ได้อพยพออกมาและยังคงอยู่รอดในแอฟริกาจนถึงปัจจุบันนี้ . ด้วยภาพใหญ่นี้ สาแหรกพันธุกรรมแสดงให้เห็น "DEEP ANCESTOR" โคตรเหง้าที่ลึกที่สุดของมนุษย์โลก "การที่พวกอาหรับพูดภาษาสกุลเซมิติคส่วนคนไทยอย่างเราพูดภาษาสกุลจ้วง-ไท ความแตกต่างนี้ไม่อาจลบล้างข้อเท็จจริงทางพันธุกรรมที่ทั้งคู่มี Deep Ancestor ร่วมกันไปได้". ทุกวันนี้มนุษย์ที่มียีนของ M168 เก่าแก่กว่าใครในโลกคือพวก San Bushman พวกเขาพูดภาษาสกุลกอยซานที่ในทาง Linguistic ถือว่าเป็นภาษาลูกของภาษาซาฮารันโบราณที่ยอมรับกันว่าคือ Global Early Language * หมายถึงภาษาแรกของโลก เมื่อพิจารณาจากวิทยาศาสตร์ข้อนี้ มนุษย์ทุกชนชาติที่มีชื่อสมมุติกันไปต่างๆ จะว่าไปก็ถือเป็นคนกอยซานทั้งสิ้น ดังนั้นคุณจงอย่าได้ยึดติดว่าภาษาพูดของชาติพันธ์หนึ่ง จะบ่งบอกว่าเขาคือชาติพันธ์นั้นเสมอไป... คนจีนอพยพตั้งแต่รุ่นที่สองที่อยู่ในเมืองไทยพูดภาษาไทยชัดทุกคน คนอเมริกันที่เกิดที่นี่ คนอินเดียที่เกิดที่นี่พูดไทยสำเนียงไทยชัดทุกคน และเป็นไปได้ว่าวันหนึ่งเขาอาจย้ายไปอยู่ที่ภูฏานเป็นการถาวรจนลูกหลานเขาเกิดที่นั่น แล้วพูดภาษาภูฏานชัดเจน . [* ภาษากอยซาน : นักภาษาศาสตร์ลงความเห็นว่าคือภาษาที่เก่าที่สุดในโลก มีลักษณะพิเศษคือมีเสียงคลิ๊กอยู่ในคำ ซึ่งได้หายไปจากภาษาอื่นๆ ที่เกิดภายหลัง นักวิชาการเชื่อว่า เมื่อบรรพบุรุษของเราอพยพออกจากแอฟริกาเมื่อแสนปีก่อน พวกเขามีภาษาพูดแล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่สามารถล่าสัตว์ใหญ่อย่างแมมมอธได้ เพราะการล่าเช่นนี้ต้องทำงานเป็นทีม ไม่มีภาษาก็ทำงานเป็นทีมไม่ได้] . เมื่อมนุษย์มาจากแอฟริกาและเรามีเชื้อสายซาฮารันมาก่อน ทำไมเราจึงพูดกันไม่รู้เรื่อง พูดกันคนละภาษา ผมเคยเขียนบทความหนึ่งชื่อ บาเบล สืบเนื่องจากคัมภีร์ปฐมกาลบทที่ชื่อบาเบล เล่าว่า “พระเจ้าทรงเห็นว่ามนุษย์สร้างหอคอยใหญ่เทียมฟ้าขึ้นมาได้ พวกเขาอยากจะทำอะไรก็จะสำเร็จได้ อย่ากระนั้นเลย เราจะบันดาลให้เขาพูดกันไม่รู้เรื่อง ผู้คนก็แยกย้ายกันไป เป็นชนชาติต่างๆ ภาษาต่างๆ” นี่...ใครสักคนป้ายสีพระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นมูลเหตุให้มนุษย์พูดกันไม่รู้เรื่อง. ใครสักคนในที่นี้มีอย่างน้อยสามคน นักภาษาศาสตร์ยุคใหม่วิเคราะห์ลักษณะการเขียน สำนวน คำศัพท์ที่ใช้ซึ่งบ่งบอกรากฐานและยุคสมัยได้ ทำการวิเคราะห์พระคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับคิงเจมส์ พวกเขาลงความเห็นว่า คัมภีร์ไบเบิ้ลมีผู้เขียนราวสามคน มีลักษณะการเขียนที่แตกต่างกันสามสำนวน คละเคล้ากันไปในแต่ละบท บางบทมีการปนกันมากกว่าหนึ่งสำนวน และยังลงความเห็นว่ารูปแบบการเขียนของบทปฐมกาล (genesis) เขียนทีหลังบทอพยพ (exodus) . นอกจากนี้นักภาษาศาสตร์ยุคหลังมานี่เชื่อว่าภาษาอินโดยูโรเปี้ยนนี้ คือผลของการทุบทำลายภาษาแม่ครั้งสำคัญในโลก เมื่อคุณพิจารณาพันธุกรรม คุณจะต้องทราบว่าผู้ชายชาวยุโรปและตะวันออกกลางแชร์สาแหรกพันธุกรรมในเครือเดียวกันคือ R / J / E อย่างที่ผมเขียนเรื่องยิวและปาเลสไตน์ไปก่อนนี้.. พวกคนยุโรป เปอร์เซีย อารยัน (ที่ภายหลังไปบุกอินเดียโบราณ) ล้วนเป็นสาแหรกเดียวกัน อย่าว่าแต่ยิวซึ่งเป็น semitic speaker ฆ่าปาเลสไตน์ที่เป็นพี่น้องใกล้ชิดเลย หากคนกรีก คนโรมัน ไปฆ่าคนเปอร์เซียหรือกลับกัน ก็คือพี่น้องฆ่ากันอยู่ดีนั่นแหละ อยู่มาวันหนึ่ง ไม่แน่ชัดว่าอะไรเป็นเหตุ หลังสงครามเทวีที่เกิดการต่อต้านปฏิเสธความเชื่อที่นับถือแม่เป็นใหญ่ เทวรูปของเทพีมากมาย เช่น Artemis เทวีผู้มอบความอุดมสมบูรณ์ ต่างพากันถูกทุบจมูกทุบใบหน้าทิ้งให้ดูน่าเกลียด ชนชาติที่เคยเกี่ยวดองกัน พลันแยกออกจากกันเป็นชนชาติใหม่ พูดภาษาใหม่ เด็กที่เกิดใหม่นับแต่นั้นจะถูกฝึกให้พูดภาษาที่สร้างขึ้นมา จากนั้นก็ตามมาด้วยชื่อสมมุติอย่างเช่น อัสซีเรีย อัคเคเดียน ฮิตไทท์... จากนั้นก็ตามมาด้วยสงครามพี่น้องฆ่ากัน ทั้งที่ชีววิทยาพันธุกรรมบอกว่าพวกเขาคือพี่น้องคลานตามกันมาทั้งนั้น และถ้าอ้างไบเบิ้ล อย่างเช่นกรณีของบุตรหลานของ Sam ลูกหลานของโนอาห์ ก็อย่างที่เคยเล่าไปแล้ว ความแบ่งแยกทำให้พวกเขาปฏิเสธสายใยที่มี . อย่างที่ชี้ให้เห็นนี่ ดีเอ็นเอบอกเราถึงความเป็นพี่น้องร่วมสาแหรก แต่พวกเขาปฏิเสธกันเองแล้วแบ่งแยก ทุบทำลายภาษาแม่ทิ้งไปพร้อมๆ กันในเวลาไล่เลี่ยกัน ไม่ใช่เพราะฝีมือพระเจ้าหรอก มนุษย์นี่แหละ นักภาษาศาสตร์โบราณคดีทำการค้นคว้าเรื่องนี้แล้วทำการโยงภาษาในสกุลอินโดยูโรเปี้ยนทั้งหมด ย้อนกลับไปสู่ภาษาซาฮารันโบราณ ด้วยพจนานุกรมคำศัพท์ของพวก Basque (กลุ่มคนที่ isolated อยู่ในสเปนซึ่งเชื่อว่าเป็นภาษาลูกที่เหลืออยู่ของภาษาซาฮารัน).. เรื่องนี้ยาวนะ ผมเคยเล่าไว้ในบทความชื่อบาเบลที่ผมเกริ่นไปข้างบน ใครอยากลงลึกให้ไปอ่าน Linguistic Archaeology เขียนโดย Edo Nyland . เวลาเจอบทความอะไรจากเฒ่าเจ๊กปนลาวผู้นี้ รวมทั้งจากพวกสาวกกระดูกอ่อนของเขาก็เลยออกจะรำคาญ ด้วยการอ้างชื่อต่างๆ พวกเขาเชื่อมโยงยกแม่น้ำเป็นตุเป็นตะ ไอ้นั่นมาจากไหน ไอ้นี่มาจากไหน โดยไม่มีหลักฐานอะไรที่หนักแน่นพอมารองรับ… ยกตัวอย่างเช่นใช้กลองสำริดบ้าง ใช้ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณบ้าง มาอ้างอิงทั้งที่ไม่เข้าใจว่าดูอะไรอยู่ . ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณแต่ละแห่งที่พบในโลกที่รังสรรค์โดยบรรพบุรุษยุคแรก ถ้าคุณทาบข้อมูลทางโบราณคดีของมันกับข้อมูลอื่น เช่น พันธุกรรมและการอพยพย้ายถิ่น ธรณีวิทยา ภาษาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ มานุษยวิทยา วิทยาศาสตร์.. ก็จะรู้อะไรที่ต่างไปจากที่เคยมีคนสันนิษฐานกันออกมาก่อนหน้านี้ได้ เช่น ภูมิศาสตร์บอกว่าลักษณะภูมิประเทศแบบใดที่มนุษย์โบราณในยุคนั้นชอบใช้เป็นที่อาศัยและหลบภัย ลักษณะทางภูมิศาสตร์แบบไหนที่พบภาพเขียนสี ทำไมมันจึงถูกเลือกเป็นที่จัดทำนิทรรศการ.. ธรณีวิทยาบอกว่า พบดินแบบเดียวกันถูกใช้เป็นสีเขียนผนังถ้ำทุกแห่ง.. วิทยาศาสตร์บอกองค์ประกอบธาตุของสีที่ใช้เขียนว่าเป็นแบบเดียวกัน ซึ่งแปลได้ว่าพวกเขาเรียนหนังสือมาจากที่เดียวกัน คือเรียนรู้เทคนิคในการทำแบบนี้ซ้ำต่อๆ กันมาเหมือนๆ กัน.. มานุษยวิทยาเห็นการสะท้อนธรรมเนียมนิยมทางวัฒนธรรมบรรพกาลของพวกเขา เช่น เอาสีใส่ปากพ่นผ่านมือให้เป็นรูปมือ เขียนรูปคนและสัตว์ที่มีลักษณะทาง figure ที่คล้ายคลึงกัน มีจินตนาการในการสร้างลักษณะของบุคคลที่พิเศษออกไปจากคนปกติเพื่อแสดงว่าเป็นผีสางเทวดาที่เขานับถือ... มีการวิเคราะห์คุณสมบัติทางวิทยาศาสตร์ของสภาวะแวดล้อมของพื้นที่ศักดิ์สิทธ์ที่พวกเขาไปเขียนรูปไว้ เช่น คุณสมบัติการก้องสะท้อนเสียงของสถานที่ . และเมื่อทาบพันธุกรรมลงไปดูความสอดคล้องกัน เริ่มจากพวกเผ่า San Bushman ที่มียีนของอดัมที่เก่าที่สุดในโลก พบว่าพวกเขาทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันทุกด้านดังที่ได้กล่าวไปนั่น พวกอัสเลียนโบราณก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันกับที่กล่าวไปเช่นกัน เอาภาพเขียนสีเช่นที่ถ้ำเขาจันทร์งาม สีคิ้ว ไปเปรียบกับภาพเขียนสีในแอฟริกาที่พวกกอยซานทำ ทุกองค์ประกอบที่ว่านั่นก็จะเห็นว่าเหมือนกัน... พวกปาปัว-ออสตราอะบอริจิ้น ก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกับที่กล่าวไป นี่เป็นนวัตกรรมที่เป็นมรดกโคตรยาวนานของมนุษย์ จากแอฟริกาไปสู่จุดต่างๆในโลก ในวันนี้ พวกเขาเหล่านี้พูดกันคนละภาษา มันดูไม่มีความกี่ยวข้องกันใช่ไหมล่ะ? แต่วิทยาศาสตร์ไม่ได้บอกเช่นนั้น ในพันธุกรรมมี mutation ในวัฒนธรรมมี cultural transmission ถ้าเราขยับไปดูสิ่งที่คุ้นเคยกว่านั้นอีกสักอย่าง เช่น "กลอง".. มนุษย์ทุกแห่ง ตั้งแต่พวกที่อยู่ในแอฟริกา แม้แต่พวกชนเผ่าที่ไม่ได้อพยพไปไหนเลยจนกระทั่งยุคล่าอาณานิคม กับมนุษย์ทุกชนชาติที่กระจายอยู่ในทุกมุมโลก พวกเขาต่างทำกลองเหมือนกัน วิธีการคือ ด้วยการขึงหนังสัตว์ (membrane) ลงบนปากทรงกลมของวัตถุทรงกระบอก (cylinder) ขึงให้ตึงและตีให้สั่น นี่คือนวัตกรรมที่เรียก Membranophones คนทั้งโลกไม่ได้ต่างคนต่างทำเหมือนกันโดยบังเอิญ มันคือมรดกที่ส่งต่อกันมาตั้งแต่ก่อนอพยพเมื่อแสนปีที่แล้วและเก่าพอๆ กับภาษาแรก . ซากบรรพชีวินที่นักวิชาการไทยอย่างที่อาจารย์รัศมีท่านสำรวจและค้นคว้าอยู่ กรอบเวลาเท่าไหร่? โนนนกทา? บ้านเชียง? พวกนั้นเป็นใคร? โฮโมเซเปี้ยนส์แน่นอน ชีววิทยาบอกชัดว่าเซเปี้ยนส์ เราไม่ได้วิวัฒน์มาจากโฮโมอีเร็คตัส พวกนั้นสูญพันธ์ไปแล้วก็จบ ยีนพ่อไม่เคยหายไปจากมนุษย์และเราไม่มียีนของอีเร็คตัสอยู่ในตัวเรา เมื่อราวเจ็ดหมื่นปีก่อน เกิด super eruption ขึ้นที่ภูเขาโทบาในสุมาตราโบราณ [https://geographical.co.uk/.../explainer-the-toba...] ทิ้งบาดแผลไว้เป็นทะเลสาปโทบาให้ดูในทุกวันนี้ ภัยพิบัตินี้รุนแรง มันตามมาด้วยฤดูหนาวนิวเคลียร์ (นักวิชาการว่าเช่นนี้) เถ้าภูเขาไฟปกคลุมโลกนานหลายปีและลอยไปไกลถึงกรีนแลนด์ โฮโมอีเร็คตัสในเอเชียถ้ายังมีชีวิตอยู่จะต้องตายหมด ดังนั้นไม่ว่าจะมนุษย์ปักกิ่ง มนุษย์ชวาอะไร ไม่เกี่ยวกับเราทั้งนั้น กรอบเวลาของบรรพบุรุษเราที่มาถึงที่นี่คือห้าหมื่นและสามหมื่นปีมาแล้ว มากันสองระลอก และคนพื้นเมืองที่บุกเบิกดินแดนนี้ไม่ได้แปะยี่ห้ออะไรเมื่อมาถึง นอกจากเรียกตัวเองว่า กอย หมายถึง คน… (ข่า ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย.. ลาว ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย) . ในความเป็นจริง มนุษย์โบราณที่เป็นบรรพบุรุษของชายชาวเอเชียราว 75 เปอร์เซ็นต์ล้วนเป็น Y DNA Hg O คือครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก พวกเขามิวเททมาจากสาแหรกของพ่อ Y DNA Hg K ซึ่งมาถึงเอเชียกลางเมื่อราวสี่หมื่นปีและกระจายออกไป ทั้งที่ข้ามโกบีและไซบีเรีย ข้ามเบริงเจียไปอเมริกา (Hg Q) กลายเป็นพวกนาวาโฮ... ทั้งที่ย้อนกลับเข้าไปในยุโรปเผชิญความทารุณของยุคน้ำแข็งกลายเป็นพวกยุโรป (Hg R)… บรรพบุรุษพวกนี้ เมื่อตั้งถิ่นฐานตรงจุดใด ก็มักอยู่ตรงนั้น ลองนึกถึงความเป็นจริงว่า การย้ายถิ่นฐานใช้เวลายาวนานหลายชั่วคน เมื่อผู้อาวุโสหรือพ่อของเขาแก่เฒ่าไร้เรี่ยวแรงที่จะเดินทางบุกเบิกต่อไป บางส่วนของพวกเขาจะหยุดการเดินทางและตั้งหลักแหล่งโดยเฉพาะเมื่อพบสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์พอจะดำรงชีพ คนหนุ่มจะเดินทางผจญภัยต่อไปเพื่อหาที่ของตนที่จะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำ ได้มองโลกด้วยทัศนะของพวกเขาเอง พวกเขาจะพบปัญหาใหม่ จะได้หาทางแก้ไขสถานะการณ์ที่ไม่เคยพบ ดังนั้นพวกเขาจะมีเทคโนโลยีที่ดีขึ้นไปเองโดยธรรมชาติ จนเมื่อพวกเขาพบว่าได้เจอสถานที่ที่พึงพอใจหรือไปต่อไม่ได้แล้ว การเดินทางก็จะหยุด . คุณคิดว่ามีมนุษย์จำนวนเท่าไหร่ เมื่อพวกเขามาถึงแผ่นดินซุนดาเมื่อสามหมื่นปีก่อน? . บรรพบุรุษของเรา เดินทางมาตามซุปเปอร์ไฮเวย์โบราณสายเอเชียกลางที่เป็นทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ อุดมด้วยกวางแอนทีโลฟและช้างแมมมอธ ท้องอิ่ม อบอุ่น และอันตรายน้อย เมื่อมาถึงซุนดา คุณคิดว่าพวกเขาจะอยู่อาศัยกันที่ไหน? บนภูเขา ในป่า หรือที่ราบลุ่มปากแม่น้ำ? ไปคิดดูเป็นการบ้าน . หากพิจารณาดูปัจจัยต่างๆ เราจะรู้ได้ว่าชุมชนบรรพกาล มักจะตั้งอยู่บนที่ที่เหมาะสมในการผดุงชีพ อ.สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา ให้ความเห็นว่า เนื่องเพราะบรรพบุรุษพวกนี้ต้องเผชิญกับน้ำท่วมซุนดาถึงสามครั้ง พวกเขานิยมสร้างบ้านที่มีเสาสูงและมีไต้ถุนสูง ทำแพและมีทักษะในการเดินทางด้วยแพ ซึ่งพร้อมที่จะอพยพหนีโดยล่องด้วยแพขึ้นไปเรื่อยๆ สู่ทิศทางต้นน้ำ ไม่เดินเท้าเพราะไม่รู้ว่าน้ำจะมาทางไหน เมื่อเห็นและแน่ใจว่าน้ำหยุดท่วมแล้วก็ปักหลักตั้งถิ่นฐานใหม่ เพราะพวกเขารู้ดีว่าไม่มีจุดไหนที่มีทรัพยากรอุดมไปกว่าริมแม่น้ำ ทั้งสัตว์น้ำและดินที่เหมาะแก่การเพาะปลูก ในป่านั้นมีโรคมากมายและสัตว์ร้าย พวกเขาจะเข้าไปต่อเมื่อต้องการล่าหรือหาของป่า . ชุมชนบรรพกาลเหล่านี้ เมื่อพบพื้นที่ที่พวกเขาพึงพอใจแล้วก็มักจะปักหลักอยู่เช่นนั้น สืบต่อกันไปหลายชั่วคน หลักฐานทางโบราณคดีก็ชี้ชัดเช่นนั้น ทำให้เกิดชุมชนโบราณขึ้นตรงนั้นตรงนี้มากมายและขยายตัวออกไป เกษตรกรรมเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เลิกเร่ร่อนแล้วหยุดตั้งหลักแหล่ง ผลที่เก็บเกี่ยวแน่นอนตามฤดูกาลทำให้ปัจจัยทางอาหารมั่นคง ดังนั้นพวกเขาจะไม่ย้ายไปไหนโดยง่ายถ้าไม่ใช่เพราะภัยธรรมชาติ โรคระบาด หรือสงครามจากคนกลุ่มอื่นมาบีบบังคับให้ย้ายไปที่อื่น ชุมชนบรรพกาลซึ่งประชากรมีอยู่น้อย ย่อมต้องการปริมาณแรงงานไว้เพื่อสร้างชุมชนของตนให้เติบโตรุ่งเรืองขึ้น ถ้าไม่เกิดปัญหาที่ว่านี้ พวกเขาก็จะไม่ย้ายไปไหน พวกเขาจำฤดูกาลประจำถิ่น ทิศทางลม เวลาน้ำขึ้นลง ยาอยู่ที่ไหน อะไรเป็นยา จำต้นไม้ได้ทุกต้นและรู้ว่าอะไรใช้ทำอะไรได้บ้าง สัตว์อยู่ที่ไหน หาเจอยังไง จับยังไง... ความรู้ในภูมิลำเนาพวกนี้ใช้เวลาสั่งสมยาวนาน . เราต่างได้เรียนรู้กันมามากพอสมควรเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แต่บางครั้งนิยามหรือความสมมุติในความเป็นชนชาติบ้านเมืองต่างๆ มักพาให้ไขว้เขว บางถิ่นฐาน ผู้ปกครองเป็นผู้มีศักดิ์ฐานะ มีทรัพยากรมาก แต่เป็นคนต่างถิ่นมาจากที่อื่น ไม่ต่างกับทุกวันนี้ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหัวเมืองเช่นเชียงราย อาจเป็นลูกเศรษฐีตระกูลใหญ่จากกรุงเทพ สมัยโบราณก็เช่นกัน ประชากรเป็นคนพื้นเมืองท้องถิ่น อาจอยู่ที่นั่นมาแปดชั่วคนแล้ว เขาไม่ย้ายไปที่อื่นเพียงเพราะผู้ปกครองไม่ใช่คนพื้นเมืองเหมือนตน ถ้าปกครองดี ทุกคนยังกินอิ่ม ไม่รีดภาษี ไม่ก่อกรรมทำเข็ญ ข่มเหงรังแก พวกเขาก็จะอยู่อย่างนั้นต่อไปในรุ่นลูกรุ่นหลาน จักรวรรดิจีนโบราณดินแดนกว้างใหญ่ ประชากรไม่ได้มีแต่จีนฮั่นเท่านั้น ยังมีประชากรที่เป็นชนเผ่าอื่นๆในปกครองหลายสิบเผ่า แล้วก็มีผู้ปกครองที่มาจากถิ่นอื่นมาปกครอง เคยมีกษัตริย์ที่เป็นมองโกล กษัตริย์ที่เป็นแมนจูมานั่งบัลลังก์ฮ่องเต้ ยิ่งรูปงามผิวพรรณผุดผ่องมาพร้อมโปรโมชั่นว่าเป็นเทพลงมาเกิดก็จะทำให้รู้สึกนับถืออยากพึ่งพาบารมี ดังนั้นผู้ปกครองก็อาจเป็นชาติพันธุ์หนึ่งขณะที่ประชากรในดินแดนเป็นอีกชาติพันธุ์หนึ่งได้ เช่น ผู้ปกครองมีชื่อสมมุติว่าเป็นชาติพันธุ์ลาว ผู้ใต้ปกครองอาจเป็นชาวพื้นเมืองมีชื่อสมมุติว่าชาติพันธุ์ข่า เป็นต้น.. ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่พูดนี่ เป็นคนละเรื่องกับแนวความคิดเรื่องชาติ ประเทศ รัฐ ชนชาติและสัญชาติ ซึ่งเป็นความคิดใหม่ที่เกิดขึ้นภายหลังตามคติของอาณานิคมตะวันตก . สำหรับผมมันเป็นเรื่องตลก ที่พูดว่าคนโคราชไม่ใช่คนอีสาน ความยึดมั่นของผู้พูดผูกโยงกับภูมิลำเนา ผูกกับสำเนียงภาษาที่ใช้ แล้วเอามามัดให้ประชากรนั้นเป็นเผ่าพันธ์ตามที่ตนผูกไว้ . คนอีสานคือใครในทัศนะวิทยาศาสตร์ คนอีสานอาจประกอบด้วยพลเมืองจากทางเหนือที่มาไกลจากจีน มาจากหยุนหนาน หรืออาจมาจากเวียตนาม ได้มากพอกับมีพลเมืองที่มีชื่อสมมุติว่า "ลาว" ที่เฒ่างี่เง่านี้นิยามให้สาวกเชื่อว่าเป็นคนท้องถิ่นโดยแท้แล้วก็ปฏิเสธในเชิงที่รู้สึกได้ว่าพยายามจะบอกใครๆ ว่าคนโคราชเป็น "สิ่งแปลกปลอมในท่ามกลางคนอีสาน" ผมรู้สึกอย่างนั้น แล้วเขาก็โยงเรื่องโยงชื่อ ทั้งคนทั้งสถานที่ มั่วไปหมดชนแพะชนแกะชนควาย อนุมานเอาตามความเชื่อตน ทั้งที่ความเป็นจริงทุกมนุษย์ที่อ้างอิงมานั่นไม่ว่าจะด้วยคำ สยาม ทวารวดี มอญ อยุธยา สุพรรณ โคราช ศรีโคตรบูรณ์ เวียงจันทร์ ชัยวรมัน.... บลาๆๆ... ล้วนคือ Y Chromosome DNA Haplogroup O (O2 เป็นจำนวนเปอร์เซ็นต์สูงสุด) ทั้งนั้น ต่อให้หมู่บ้านนึงมันดันพูดได้สามภาษา ทั้งลาวทั้งอังกฤษทั้งเกาหลีสำเนียงเป๊ะทั้งหมู่บ้านก็ตามที . เขย่าไว้ไม่ให้นอนก้น ข้าว่าพวกเอ็งมันนอนก้นถอยหลังไปสองร้อยปี ฟังวนอยู่ห้าคำสิบคำ เต็มไปด้วยคำว่า “สันนิษฐานว่า…“ แปลเป็นไทยคือ คาดว่า เดาว่า... คือเอ็งไม่รู้ไง เชื่อเองเออเองแล้วมาชวนคนอื่นให้เชื่อตาม . นี่รู้ไหม... มีไม่น้อยนะที่สันนิษฐานว่ามนุษย์เซเปี้ยนส์นี่น่ะ มาจากเชื้อพันธุ์มนุษย์ต่างดาวชื่อ อนูนากิ แกเชื่อไหมเล่า? . - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา [2568] - .
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 955 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts