• “F5 ถูกเจาะระบบโดยกลุ่มแฮกเกอร์ระดับรัฐ” — ซอร์สโค้ดและข้อมูลช่องโหว่หลุด เสี่ยงต่อการโจมตีในอนาคต

    บริษัท F5 ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโซลูชันด้านเครือข่ายและความปลอดภัย เช่น BIG-IP ถูกเจาะระบบโดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่เชื่อว่าได้รับการสนับสนุนจากรัฐ (nation-state actor) โดยการโจมตีเกิดขึ้นในช่วงก่อนเดือนสิงหาคม 2025 และเพิ่งถูกเปิดเผยในเดือนตุลาคม

    แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงระบบภายในของ F5 ได้เป็นเวลานาน และขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น ส่วนหนึ่งของซอร์สโค้ด BIG-IP, งานวิจัยเกี่ยวกับช่องโหว่ และข้อมูลการตั้งค่าของลูกค้าบางราย แม้ว่า F5 จะยืนยันว่าไม่มีการแก้ไขระบบ build หรือกลไกการอัปเดตซอฟต์แวร์ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าข้อมูลที่หลุดอาจถูกนำไปใช้ในการพัฒนาเครื่องมือเจาะระบบในอนาคต

    หน่วยงานด้านความมั่นคงของสหราชอาณาจักร (NCSC) ยืนยันว่าการโจมตีครั้งนี้มีลักษณะเป็นการแทรกซึมแบบต่อเนื่อง (APT) และมีเป้าหมายเพื่อศึกษาการทำงานของผลิตภัณฑ์ F5 อย่างลึกซึ้ง ซึ่งอาจนำไปสู่การโจมตีแบบ supply chain หรือการเจาะระบบของลูกค้าระดับองค์กรและรัฐบาล

    ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยแนะนำให้ผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ของ F5 ตรวจสอบการตั้งค่าการเข้าถึง และติดตั้งแพตช์ล่าสุดโดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากข้อมูลที่หลุด

    ข้อมูลในข่าว
    F5 ถูกเจาะระบบโดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่เชื่อว่าได้รับการสนับสนุนจากรัฐ
    ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึงซอร์สโค้ด BIG-IP และงานวิจัยช่องโหว่
    มีการเข้าถึงระบบภายในเป็นเวลานานก่อนถูกตรวจพบ
    ไม่มีหลักฐานว่าระบบ build หรือกลไกอัปเดตถูกแก้ไข
    หน่วยงาน NCSC ยืนยันว่าเป็นการโจมตีแบบ APT
    เป้าหมายคือการศึกษาการทำงานของผลิตภัณฑ์ F5 อย่างลึกซึ้ง
    ผู้ใช้งานควรติดตั้งแพตช์ล่าสุดและตรวจสอบการตั้งค่าการเข้าถึง
    การโจมตีอาจนำไปสู่การเจาะระบบของลูกค้าผ่าน supply chain

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    ข้อมูลซอร์สโค้ดและช่องโหว่ที่หลุดอาจถูกใช้ในการพัฒนาเครื่องมือเจาะระบบ
    การแทรกซึมแบบต่อเนื่องทำให้การตรวจจับยากและอาจเกิดความเสียหายระยะยาว
    ลูกค้าของ F5 อาจตกเป็นเป้าหมายจากข้อมูลที่หลุด
    การไม่อัปเดตแพตช์ล่าสุดอาจเปิดช่องให้ถูกโจมตีจากช่องโหว่ที่ถูกเปิดเผย
    การโจมตีแบบ nation-state มักมีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์และยากต่อการป้องกัน

    https://hackread.com/f5-breach-source-code-vulnerability-data-stolen/
    🛡️ “F5 ถูกเจาะระบบโดยกลุ่มแฮกเกอร์ระดับรัฐ” — ซอร์สโค้ดและข้อมูลช่องโหว่หลุด เสี่ยงต่อการโจมตีในอนาคต บริษัท F5 ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโซลูชันด้านเครือข่ายและความปลอดภัย เช่น BIG-IP ถูกเจาะระบบโดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่เชื่อว่าได้รับการสนับสนุนจากรัฐ (nation-state actor) โดยการโจมตีเกิดขึ้นในช่วงก่อนเดือนสิงหาคม 2025 และเพิ่งถูกเปิดเผยในเดือนตุลาคม แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงระบบภายในของ F5 ได้เป็นเวลานาน และขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น ส่วนหนึ่งของซอร์สโค้ด BIG-IP, งานวิจัยเกี่ยวกับช่องโหว่ และข้อมูลการตั้งค่าของลูกค้าบางราย แม้ว่า F5 จะยืนยันว่าไม่มีการแก้ไขระบบ build หรือกลไกการอัปเดตซอฟต์แวร์ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าข้อมูลที่หลุดอาจถูกนำไปใช้ในการพัฒนาเครื่องมือเจาะระบบในอนาคต หน่วยงานด้านความมั่นคงของสหราชอาณาจักร (NCSC) ยืนยันว่าการโจมตีครั้งนี้มีลักษณะเป็นการแทรกซึมแบบต่อเนื่อง (APT) และมีเป้าหมายเพื่อศึกษาการทำงานของผลิตภัณฑ์ F5 อย่างลึกซึ้ง ซึ่งอาจนำไปสู่การโจมตีแบบ supply chain หรือการเจาะระบบของลูกค้าระดับองค์กรและรัฐบาล ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยแนะนำให้ผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ของ F5 ตรวจสอบการตั้งค่าการเข้าถึง และติดตั้งแพตช์ล่าสุดโดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากข้อมูลที่หลุด ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ F5 ถูกเจาะระบบโดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่เชื่อว่าได้รับการสนับสนุนจากรัฐ ➡️ ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึงซอร์สโค้ด BIG-IP และงานวิจัยช่องโหว่ ➡️ มีการเข้าถึงระบบภายในเป็นเวลานานก่อนถูกตรวจพบ ➡️ ไม่มีหลักฐานว่าระบบ build หรือกลไกอัปเดตถูกแก้ไข ➡️ หน่วยงาน NCSC ยืนยันว่าเป็นการโจมตีแบบ APT ➡️ เป้าหมายคือการศึกษาการทำงานของผลิตภัณฑ์ F5 อย่างลึกซึ้ง ➡️ ผู้ใช้งานควรติดตั้งแพตช์ล่าสุดและตรวจสอบการตั้งค่าการเข้าถึง ➡️ การโจมตีอาจนำไปสู่การเจาะระบบของลูกค้าผ่าน supply chain ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ ข้อมูลซอร์สโค้ดและช่องโหว่ที่หลุดอาจถูกใช้ในการพัฒนาเครื่องมือเจาะระบบ ⛔ การแทรกซึมแบบต่อเนื่องทำให้การตรวจจับยากและอาจเกิดความเสียหายระยะยาว ⛔ ลูกค้าของ F5 อาจตกเป็นเป้าหมายจากข้อมูลที่หลุด ⛔ การไม่อัปเดตแพตช์ล่าสุดอาจเปิดช่องให้ถูกโจมตีจากช่องโหว่ที่ถูกเปิดเผย ⛔ การโจมตีแบบ nation-state มักมีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์และยากต่อการป้องกัน https://hackread.com/f5-breach-source-code-vulnerability-data-stolen/
    HACKREAD.COM
    F5 Confirms Nation-State Breach, Source Code and Vulnerability Data Stolen
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 30 Views 0 Reviews
  • “MCPTotal เปิดตัวแพลตฟอร์มรักษาความปลอดภัย MCP” — ยกระดับการเชื่อมต่อ AI กับระบบองค์กรอย่างปลอดภัย

    MCPTotal ประกาศเปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้องค์กรสามารถใช้งานและควบคุม MCP (Model Context Protocol) ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ MCP คือมาตรฐานใหม่ในการเชื่อมต่อโมเดล AI เข้ากับระบบภายในองค์กร แหล่งข้อมูลภายนอก และแอปพลิเคชันของบุคคลที่สาม แต่การนำมาใช้อย่างไร้การควบคุมก่อให้เกิดความเสี่ยง เช่น ช่องโหว่ด้านซัพพลายเชน, การโจมตีแบบ prompt injection, การใช้เซิร์ฟเวอร์ MCP ที่ไม่ปลอดภัย, การล้วงข้อมูล และช่องโหว่ด้านการยืนยันตัวตน

    MCPTotal จึงนำเสนอแพลตฟอร์มแบบครบวงจรที่มีโครงสร้างแบบ hub-and-gateway ซึ่งช่วยให้สามารถโฮสต์เซิร์ฟเวอร์ MCP ได้อย่างปลอดภัย พร้อมระบบยืนยันตัวตน, การจัดการข้อมูลรับรอง และการตรวจสอบทราฟฟิกแบบเรียลไทม์ โดยทำหน้าที่เป็นไฟร์วอลล์ที่ออกแบบมาเพื่อ AI โดยเฉพาะ

    แพลตฟอร์มนี้ยังมีแคตตาล็อกเซิร์ฟเวอร์ MCP ที่ผ่านการตรวจสอบแล้วหลายร้อยรายการ ให้ผู้ใช้เลือกใช้งานได้อย่างมั่นใจ พร้อมระบบ single sign-on ที่ช่วยให้พนักงานสามารถเชื่อมต่อโมเดล AI กับเครื่องมือสำคัญ เช่น Slack และ Gmail ได้ทันที โดยไม่ต้องจัดการ API key ด้วยตนเอง

    MCPTotal มี 4 จุดเด่นหลักที่แตกต่างจากตลาดทั่วไป:

    การเปิดใช้งานแบบปลอดภัย: ให้พนักงานทุกคนใช้งาน MCP ได้ทันทีผ่านอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย พร้อมระบบตรวจสอบและบังคับใช้นโยบายในตัว
    การตรวจสอบความปลอดภัยอัตโนมัติ: เซิร์ฟเวอร์ MCP ทุกตัวต้องผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวดก่อนเข้าสู่ระบบ
    การสแกนความเสี่ยงแบบครอบคลุม: ตรวจสอบเครื่องของพนักงานเพื่อหาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ MCP
    รองรับหลายสภาพแวดล้อม: ใช้งานได้ทั้งบนเดสก์ท็อป เบราว์เซอร์ คลาวด์ และระบบที่องค์กรโฮสต์เอง

    Gil Dabah ซีอีโอของ MCPTotal กล่าวว่า “นี่คือครั้งแรกที่มีโซลูชันที่ช่วยให้ทีมรักษาความปลอดภัยสามารถควบคุม MCP ได้ทันกับการใช้งานจริงของพนักงาน” โดยย้ำว่ามีรายงานพบเซิร์ฟเวอร์ MCP ที่เป็นอันตรายแล้วในโลกจริง และแพลตฟอร์มนี้จะช่วยให้สามารถโฮสต์ ตรวจสอบ และแยก sandbox ได้อย่างปลอดภัย

    ข้อมูลในข่าว
    MCPTotal เปิดตัวแพลตฟอร์มรักษาความปลอดภัยสำหรับ MCP แบบครบวงจร
    MCP คือมาตรฐานใหม่ในการเชื่อมต่อโมเดล AI กับระบบองค์กรและแอปภายนอก
    แพลตฟอร์มใช้โครงสร้าง hub-and-gateway พร้อมระบบยืนยันตัวตนและไฟร์วอลล์ AI-native
    มีแคตตาล็อกเซิร์ฟเวอร์ MCP ที่ผ่านการตรวจสอบหลายร้อยรายการ
    รองรับการเชื่อมต่อกับเครื่องมือสำคัญ เช่น Slack และ Gmail ผ่าน single sign-on
    พนักงานไม่ต้องจัดการ API key ด้วยตนเอง
    มีฟีเจอร์เด่น 4 ด้าน: เปิดใช้งานปลอดภัย, ตรวจสอบอัตโนมัติ, สแกนความเสี่ยง, รองรับหลายสภาพแวดล้อม
    ซีอีโอระบุว่าเซิร์ฟเวอร์ MCP ที่เป็นอันตรายเริ่มปรากฏในโลกจริงแล้ว

    https://securityonline.info/mcptotal-launches-to-power-secure-enterprise-mcp-workflows/
    🛡️ “MCPTotal เปิดตัวแพลตฟอร์มรักษาความปลอดภัย MCP” — ยกระดับการเชื่อมต่อ AI กับระบบองค์กรอย่างปลอดภัย MCPTotal ประกาศเปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้องค์กรสามารถใช้งานและควบคุม MCP (Model Context Protocol) ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ MCP คือมาตรฐานใหม่ในการเชื่อมต่อโมเดล AI เข้ากับระบบภายในองค์กร แหล่งข้อมูลภายนอก และแอปพลิเคชันของบุคคลที่สาม แต่การนำมาใช้อย่างไร้การควบคุมก่อให้เกิดความเสี่ยง เช่น ช่องโหว่ด้านซัพพลายเชน, การโจมตีแบบ prompt injection, การใช้เซิร์ฟเวอร์ MCP ที่ไม่ปลอดภัย, การล้วงข้อมูล และช่องโหว่ด้านการยืนยันตัวตน MCPTotal จึงนำเสนอแพลตฟอร์มแบบครบวงจรที่มีโครงสร้างแบบ hub-and-gateway ซึ่งช่วยให้สามารถโฮสต์เซิร์ฟเวอร์ MCP ได้อย่างปลอดภัย พร้อมระบบยืนยันตัวตน, การจัดการข้อมูลรับรอง และการตรวจสอบทราฟฟิกแบบเรียลไทม์ โดยทำหน้าที่เป็นไฟร์วอลล์ที่ออกแบบมาเพื่อ AI โดยเฉพาะ แพลตฟอร์มนี้ยังมีแคตตาล็อกเซิร์ฟเวอร์ MCP ที่ผ่านการตรวจสอบแล้วหลายร้อยรายการ ให้ผู้ใช้เลือกใช้งานได้อย่างมั่นใจ พร้อมระบบ single sign-on ที่ช่วยให้พนักงานสามารถเชื่อมต่อโมเดล AI กับเครื่องมือสำคัญ เช่น Slack และ Gmail ได้ทันที โดยไม่ต้องจัดการ API key ด้วยตนเอง MCPTotal มี 4 จุดเด่นหลักที่แตกต่างจากตลาดทั่วไป: ✨ การเปิดใช้งานแบบปลอดภัย: ให้พนักงานทุกคนใช้งาน MCP ได้ทันทีผ่านอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย พร้อมระบบตรวจสอบและบังคับใช้นโยบายในตัว ✨ การตรวจสอบความปลอดภัยอัตโนมัติ: เซิร์ฟเวอร์ MCP ทุกตัวต้องผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวดก่อนเข้าสู่ระบบ ✨ การสแกนความเสี่ยงแบบครอบคลุม: ตรวจสอบเครื่องของพนักงานเพื่อหาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ MCP ✨ รองรับหลายสภาพแวดล้อม: ใช้งานได้ทั้งบนเดสก์ท็อป เบราว์เซอร์ คลาวด์ และระบบที่องค์กรโฮสต์เอง Gil Dabah ซีอีโอของ MCPTotal กล่าวว่า “นี่คือครั้งแรกที่มีโซลูชันที่ช่วยให้ทีมรักษาความปลอดภัยสามารถควบคุม MCP ได้ทันกับการใช้งานจริงของพนักงาน” โดยย้ำว่ามีรายงานพบเซิร์ฟเวอร์ MCP ที่เป็นอันตรายแล้วในโลกจริง และแพลตฟอร์มนี้จะช่วยให้สามารถโฮสต์ ตรวจสอบ และแยก sandbox ได้อย่างปลอดภัย ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ MCPTotal เปิดตัวแพลตฟอร์มรักษาความปลอดภัยสำหรับ MCP แบบครบวงจร ➡️ MCP คือมาตรฐานใหม่ในการเชื่อมต่อโมเดล AI กับระบบองค์กรและแอปภายนอก ➡️ แพลตฟอร์มใช้โครงสร้าง hub-and-gateway พร้อมระบบยืนยันตัวตนและไฟร์วอลล์ AI-native ➡️ มีแคตตาล็อกเซิร์ฟเวอร์ MCP ที่ผ่านการตรวจสอบหลายร้อยรายการ ➡️ รองรับการเชื่อมต่อกับเครื่องมือสำคัญ เช่น Slack และ Gmail ผ่าน single sign-on ➡️ พนักงานไม่ต้องจัดการ API key ด้วยตนเอง ➡️ มีฟีเจอร์เด่น 4 ด้าน: เปิดใช้งานปลอดภัย, ตรวจสอบอัตโนมัติ, สแกนความเสี่ยง, รองรับหลายสภาพแวดล้อม ➡️ ซีอีโอระบุว่าเซิร์ฟเวอร์ MCP ที่เป็นอันตรายเริ่มปรากฏในโลกจริงแล้ว https://securityonline.info/mcptotal-launches-to-power-secure-enterprise-mcp-workflows/
    SECURITYONLINE.INFO
    MCPTotal Launches to Power Secure Enterprise MCP Workflows
    New York, USA, New York, 15th October 2025, CyberNewsWire
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 Reviews
  • โซลเชื่อพลเมืองเกาหลีใต้ราว 1,000 คนทำงานอยู่ในแก๊งฉ้อโกงออนไลน์ในกัมพูชา และได้ส่งทีมเจ้าหน้าที่พิเศษเดินทางไปยังเขมรเมื่อค่ำวันพุธ (15 ต.ค.) เพื่อหารือเกี่ยวกับการจ้างงานหลอกและแก๊งคอลล์เซ็นเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับการลักพาตัวชาวเกาหลีใต้จำนวนมาก ซึ่งรวมถึงนักศึกษาหนุ่มที่ถูกทรมานจนเสียชีวิตและเป็นข่าวดังทั่วโลกเมื่อเร็วๆ นี้
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000098700

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    โซลเชื่อพลเมืองเกาหลีใต้ราว 1,000 คนทำงานอยู่ในแก๊งฉ้อโกงออนไลน์ในกัมพูชา และได้ส่งทีมเจ้าหน้าที่พิเศษเดินทางไปยังเขมรเมื่อค่ำวันพุธ (15 ต.ค.) เพื่อหารือเกี่ยวกับการจ้างงานหลอกและแก๊งคอลล์เซ็นเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับการลักพาตัวชาวเกาหลีใต้จำนวนมาก ซึ่งรวมถึงนักศึกษาหนุ่มที่ถูกทรมานจนเสียชีวิตและเป็นข่าวดังทั่วโลกเมื่อเร็วๆ นี้ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000098700 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 92 Views 0 Reviews
  • เกาหลีใต้จะส่งคณะทำงานพิเศษไปยังกัมพูชาวันนี้ (15) เพื่อหารือเกี่ยวกับกรณีงานปลอมและศูนย์หลอกลวง ที่เกี่ยวข้องกับการลักพาตัวพลเมืองหลายสิบคน เจ้าหน้าที่เกาหลีกล่าวหลังจากทางการกรุงโซลประกาศจะนำพลเมืองเหล่านั้นกลับประเทศ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000098503

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    เกาหลีใต้จะส่งคณะทำงานพิเศษไปยังกัมพูชาวันนี้ (15) เพื่อหารือเกี่ยวกับกรณีงานปลอมและศูนย์หลอกลวง ที่เกี่ยวข้องกับการลักพาตัวพลเมืองหลายสิบคน เจ้าหน้าที่เกาหลีกล่าวหลังจากทางการกรุงโซลประกาศจะนำพลเมืองเหล่านั้นกลับประเทศ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000098503 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 201 Views 0 Reviews
  • “MSI โชว์นวัตกรรมศูนย์ข้อมูล” — เปิดตัว ORv3, DC-MHS และ MGX ที่งาน OCP Global Summit 2025

    ในงาน OCP Global Summit ปี 2025 MSI ได้เปิดตัวโซลูชันศูนย์ข้อมูลรุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานระดับ hyperscale และ AI โดยเน้นการผสานเทคโนโลยีแบบเปิดกับการเร่งความเร็วด้วย GPU เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพสูงและดูแลรักษาได้ง่าย

    หนึ่งในไฮไลต์คือ ORv3 Rack ขนาด 21 นิ้ว 44OU ที่มาพร้อมระบบพลังงาน 48V แบบรวมศูนย์ และเซิร์ฟเวอร์แบบ dual-node 16 ตัว ซึ่งช่วยเพิ่มพื้นที่สำหรับ CPU, RAM และ Storage พร้อมระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูง

    MSI ยังเปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ DC-MHS ที่รองรับทั้ง Intel Xeon 6 และ AMD EPYC 9005 โดยใช้โมดูล DC-SCM เพื่อให้สามารถใช้งานร่วมกันระหว่างผู้ผลิตได้ง่ายขึ้น พร้อมรองรับ PCIe 5.0 และ DDR5 สำหรับงานที่ต้องการความเร็วสูง

    ในด้าน GPU MSI ใช้สถาปัตยกรรม MGX ของ NVIDIA โดยมีรุ่น CG481-S6053 ที่รองรับ GPU PCIe 6.0 ได้ถึง 8 ตัว และ CG290-S3063 ที่ออกแบบมาเพื่องาน inference และ fine-tuning โดยใช้ GPU PCIe 5.0 จำนวน 4 ตัว

    ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงแนวทางของ MSI ที่ต้องการสร้างศูนย์ข้อมูลที่สามารถปรับขนาดได้ง่าย รองรับงาน AI และ cloud ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมลดความซับซ้อนในการติดตั้งและดูแลรักษา

    ข้อมูลในข่าว
    MSI เปิดตัว ORv3 Rack ขนาด 21 นิ้ว 44OU พร้อมระบบพลังงานรวมศูนย์ 48V
    รองรับเซิร์ฟเวอร์แบบ dual-node 16 ตัว พร้อม I/O ด้านหน้าเพื่อการดูแลจาก cold aisle
    เซิร์ฟเวอร์ DC-MHS รองรับ Intel Xeon 6 และ AMD EPYC 9005 ด้วยโมดูล DC-SCM
    รองรับ PCIe 5.0, DDR5 และ NVMe แบบ front-service
    GPU server ใช้สถาปัตยกรรม MGX ของ NVIDIA
    รุ่น CG481-S6053 รองรับ GPU PCIe 6.0 ได้ถึง 8 ตัว
    รุ่น CG290-S3063 รองรับ GPU PCIe 5.0 จำนวน 4 ตัว สำหรับงาน inference
    ออกแบบมาเพื่อศูนย์ข้อมูล AI และ cloud ที่ต้องการความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพสูง

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    การใช้ GPU จำนวนมากต้องมีระบบระบายความร้อนและพลังงานที่มีประสิทธิภาพ
    หากไม่ใช้โมดูล DC-SCM อาจทำให้เกิดปัญหาความเข้ากันได้ระหว่างผู้ผลิต
    การออกแบบศูนย์ข้อมูลแบบ rack-scale ต้องมีการวางแผนล่วงหน้าอย่างละเอียด
    การเปลี่ยนไปใช้ PCIe 6.0 ต้องตรวจสอบความเข้ากันได้กับอุปกรณ์เดิม

    https://www.techpowerup.com/341907/msi-highlights-orv3-dc-mhs-and-mgx-solutions-at-2025-ocp-global-summit
    🏢 “MSI โชว์นวัตกรรมศูนย์ข้อมูล” — เปิดตัว ORv3, DC-MHS และ MGX ที่งาน OCP Global Summit 2025 ในงาน OCP Global Summit ปี 2025 MSI ได้เปิดตัวโซลูชันศูนย์ข้อมูลรุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานระดับ hyperscale และ AI โดยเน้นการผสานเทคโนโลยีแบบเปิดกับการเร่งความเร็วด้วย GPU เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพสูงและดูแลรักษาได้ง่าย หนึ่งในไฮไลต์คือ ORv3 Rack ขนาด 21 นิ้ว 44OU ที่มาพร้อมระบบพลังงาน 48V แบบรวมศูนย์ และเซิร์ฟเวอร์แบบ dual-node 16 ตัว ซึ่งช่วยเพิ่มพื้นที่สำหรับ CPU, RAM และ Storage พร้อมระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูง MSI ยังเปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ DC-MHS ที่รองรับทั้ง Intel Xeon 6 และ AMD EPYC 9005 โดยใช้โมดูล DC-SCM เพื่อให้สามารถใช้งานร่วมกันระหว่างผู้ผลิตได้ง่ายขึ้น พร้อมรองรับ PCIe 5.0 และ DDR5 สำหรับงานที่ต้องการความเร็วสูง ในด้าน GPU MSI ใช้สถาปัตยกรรม MGX ของ NVIDIA โดยมีรุ่น CG481-S6053 ที่รองรับ GPU PCIe 6.0 ได้ถึง 8 ตัว และ CG290-S3063 ที่ออกแบบมาเพื่องาน inference และ fine-tuning โดยใช้ GPU PCIe 5.0 จำนวน 4 ตัว ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงแนวทางของ MSI ที่ต้องการสร้างศูนย์ข้อมูลที่สามารถปรับขนาดได้ง่าย รองรับงาน AI และ cloud ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมลดความซับซ้อนในการติดตั้งและดูแลรักษา ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ MSI เปิดตัว ORv3 Rack ขนาด 21 นิ้ว 44OU พร้อมระบบพลังงานรวมศูนย์ 48V ➡️ รองรับเซิร์ฟเวอร์แบบ dual-node 16 ตัว พร้อม I/O ด้านหน้าเพื่อการดูแลจาก cold aisle ➡️ เซิร์ฟเวอร์ DC-MHS รองรับ Intel Xeon 6 และ AMD EPYC 9005 ด้วยโมดูล DC-SCM ➡️ รองรับ PCIe 5.0, DDR5 และ NVMe แบบ front-service ➡️ GPU server ใช้สถาปัตยกรรม MGX ของ NVIDIA ➡️ รุ่น CG481-S6053 รองรับ GPU PCIe 6.0 ได้ถึง 8 ตัว ➡️ รุ่น CG290-S3063 รองรับ GPU PCIe 5.0 จำนวน 4 ตัว สำหรับงาน inference ➡️ ออกแบบมาเพื่อศูนย์ข้อมูล AI และ cloud ที่ต้องการความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพสูง ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ การใช้ GPU จำนวนมากต้องมีระบบระบายความร้อนและพลังงานที่มีประสิทธิภาพ ⛔ หากไม่ใช้โมดูล DC-SCM อาจทำให้เกิดปัญหาความเข้ากันได้ระหว่างผู้ผลิต ⛔ การออกแบบศูนย์ข้อมูลแบบ rack-scale ต้องมีการวางแผนล่วงหน้าอย่างละเอียด ⛔ การเปลี่ยนไปใช้ PCIe 6.0 ต้องตรวจสอบความเข้ากันได้กับอุปกรณ์เดิม https://www.techpowerup.com/341907/msi-highlights-orv3-dc-mhs-and-mgx-solutions-at-2025-ocp-global-summit
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    MSI Highlights ORv3, DC-MHS, and MGX Solutions at 2025 OCP Global Summit
    At 2025 OCP Global Summit (Booth #A55), MSI, a leading global provider of high-performance server solutions, highlights the ORv3 21" 44OU rack, OCP DC-MHS platforms, and GPU servers built on NVIDIA MGX architecture, accelerated by the latest NVIDIA Hopper GPUs and NVIDIA RTX PRO 6000 Blackwell Serve...
    0 Comments 0 Shares 77 Views 0 Reviews
  • “Supermicro เปิดตัว DCBBS” — โซลูชันสร้างศูนย์ข้อมูลครบวงจรจากผู้ผลิตรายเดียว

    Supermicro บริษัทผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT สำหรับ AI, HPC, Cloud และ 5G ได้เปิดตัวธุรกิจใหม่ในชื่อ Data Center Building Block Solutions (DCBBS) ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ในการออกแบบและสร้างศูนย์ข้อมูลแบบครบวงจรจากผู้ผลิตรายเดียว โดยมีเป้าหมายเพื่อลดเวลาในการออนไลน์ (Time-to-Online) และเพิ่มคุณภาพรวมถึงความสะดวกในการดูแลรักษา

    DCBBS ครอบคลุมทุกองค์ประกอบของศูนย์ข้อมูล ตั้งแต่เซิร์ฟเวอร์ ระบบจัดเก็บข้อมูล ซอฟต์แวร์บริหารจัดการ ระบบระบายความร้อนแบบของเหลว เครือข่าย และระบบไฟฟ้า โดยทุกชิ้นส่วนจะถูกทดสอบและประกอบในโรงงานของ Supermicro ก่อนส่งมอบ

    ระบบระบายความร้อนแบบของเหลวของ Supermicro สามารถลดการใช้พลังงานได้ถึง 40% เมื่อเทียบกับระบบระบายความร้อนด้วยอากาศแบบเดิม และสามารถรองรับความร้อนจาก GPU และ CPU รุ่นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    นอกจากนี้ยังมีโซลูชันเสริม เช่น ระบบจ่ายไฟ 33kW ต่อชั้นวาง, ระบบแบตเตอรี่สำรอง 48V DC, ระบบจัดการสายเคเบิลและเครือข่าย, รวมถึงซอฟต์แวร์บริหารจัดการศูนย์ข้อมูลแบบครบวงจร เช่น SuperCloud Composer และ Automation Center

    Supermicro ยังเปิดบริการระดับมืออาชีพสำหรับการออกแบบและติดตั้งศูนย์ข้อมูล พร้อมทีมงานที่สามารถให้การสนับสนุนในสถานที่ภายใน 4 ชั่วโมงสำหรับงานที่ต้องการความต่อเนื่องสูง

    ข้อมูลในข่าว
    Supermicro เปิดตัว Data Center Building Block Solutions (DCBBS) เป็นธุรกิจใหม่
    ครอบคลุมทุกองค์ประกอบของศูนย์ข้อมูลจากผู้ผลิตรายเดียว
    ระบบระบายความร้อนแบบของเหลวช่วยลดพลังงานได้ถึง 40%
    รองรับ GPU และ CPU รุ่นใหม่ด้วย cold plates ที่ลดความร้อนได้ถึง 98%
    มีระบบจ่ายไฟ 33kW ต่อชั้นวาง และแบตเตอรี่สำรอง 48V DC สำหรับงานสำคัญ
    ซอฟต์แวร์บริหารจัดการครบวงจร เช่น SuperCloud Composer และ SCAC
    บริการออกแบบและติดตั้งศูนย์ข้อมูล พร้อมทีมสนับสนุนในสถานที่

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    การเปลี่ยนมาใช้ระบบระบายความร้อนแบบของเหลวต้องมีการปรับโครงสร้างพื้นฐาน
    หากไม่มีการจัดการพลังงานและความร้อนที่ดี อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของศูนย์ข้อมูล
    การพึ่งพาผู้ผลิตรายเดียวอาจสร้างความเสี่ยงด้านการจัดหาและการซ่อมบำรุง
    การออกแบบศูนย์ข้อมูลใหม่ต้องใช้เวลาและงบประมาณสูงในการวางแผนและทดสอบ

    https://www.techpowerup.com/341891/supermicro-introduces-data-center-building-block-solutions
    🏗️ “Supermicro เปิดตัว DCBBS” — โซลูชันสร้างศูนย์ข้อมูลครบวงจรจากผู้ผลิตรายเดียว Supermicro บริษัทผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT สำหรับ AI, HPC, Cloud และ 5G ได้เปิดตัวธุรกิจใหม่ในชื่อ Data Center Building Block Solutions (DCBBS) ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ในการออกแบบและสร้างศูนย์ข้อมูลแบบครบวงจรจากผู้ผลิตรายเดียว โดยมีเป้าหมายเพื่อลดเวลาในการออนไลน์ (Time-to-Online) และเพิ่มคุณภาพรวมถึงความสะดวกในการดูแลรักษา DCBBS ครอบคลุมทุกองค์ประกอบของศูนย์ข้อมูล ตั้งแต่เซิร์ฟเวอร์ ระบบจัดเก็บข้อมูล ซอฟต์แวร์บริหารจัดการ ระบบระบายความร้อนแบบของเหลว เครือข่าย และระบบไฟฟ้า โดยทุกชิ้นส่วนจะถูกทดสอบและประกอบในโรงงานของ Supermicro ก่อนส่งมอบ ระบบระบายความร้อนแบบของเหลวของ Supermicro สามารถลดการใช้พลังงานได้ถึง 40% เมื่อเทียบกับระบบระบายความร้อนด้วยอากาศแบบเดิม และสามารถรองรับความร้อนจาก GPU และ CPU รุ่นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีโซลูชันเสริม เช่น ระบบจ่ายไฟ 33kW ต่อชั้นวาง, ระบบแบตเตอรี่สำรอง 48V DC, ระบบจัดการสายเคเบิลและเครือข่าย, รวมถึงซอฟต์แวร์บริหารจัดการศูนย์ข้อมูลแบบครบวงจร เช่น SuperCloud Composer และ Automation Center Supermicro ยังเปิดบริการระดับมืออาชีพสำหรับการออกแบบและติดตั้งศูนย์ข้อมูล พร้อมทีมงานที่สามารถให้การสนับสนุนในสถานที่ภายใน 4 ชั่วโมงสำหรับงานที่ต้องการความต่อเนื่องสูง ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Supermicro เปิดตัว Data Center Building Block Solutions (DCBBS) เป็นธุรกิจใหม่ ➡️ ครอบคลุมทุกองค์ประกอบของศูนย์ข้อมูลจากผู้ผลิตรายเดียว ➡️ ระบบระบายความร้อนแบบของเหลวช่วยลดพลังงานได้ถึง 40% ➡️ รองรับ GPU และ CPU รุ่นใหม่ด้วย cold plates ที่ลดความร้อนได้ถึง 98% ➡️ มีระบบจ่ายไฟ 33kW ต่อชั้นวาง และแบตเตอรี่สำรอง 48V DC สำหรับงานสำคัญ ➡️ ซอฟต์แวร์บริหารจัดการครบวงจร เช่น SuperCloud Composer และ SCAC ➡️ บริการออกแบบและติดตั้งศูนย์ข้อมูล พร้อมทีมสนับสนุนในสถานที่ ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ การเปลี่ยนมาใช้ระบบระบายความร้อนแบบของเหลวต้องมีการปรับโครงสร้างพื้นฐาน ⛔ หากไม่มีการจัดการพลังงานและความร้อนที่ดี อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของศูนย์ข้อมูล ⛔ การพึ่งพาผู้ผลิตรายเดียวอาจสร้างความเสี่ยงด้านการจัดหาและการซ่อมบำรุง ⛔ การออกแบบศูนย์ข้อมูลใหม่ต้องใช้เวลาและงบประมาณสูงในการวางแผนและทดสอบ https://www.techpowerup.com/341891/supermicro-introduces-data-center-building-block-solutions
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Supermicro Introduces Data Center Building Block Solutions
    Super Micro Computer, Inc. (SMCI), a total IT solution provider for AI/ML, HPC, Cloud, Storage, and 5G/Edge, is announcing the availability of its Data Center Building Block Solutions (DCBBS). These solutions are considered a new business line for Supermicro and enable organizations to design, order...
    0 Comments 0 Shares 64 Views 0 Reviews
  • “พบช่องโหว่ RCE ร้ายแรงใน Veeam Backup & Replication — CVSS 9.9 เปิดทางแฮ็กเกอร์เข้าควบคุมระบบสำรองข้อมูล”

    Veeam ผู้พัฒนาโซลูชันสำรองข้อมูลยอดนิยมสำหรับองค์กร ได้ออกแพตช์ความปลอดภัยเพื่อแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรง 2 รายการ ได้แก่ CVE-2025-48983 และ CVE-2025-48984 ซึ่งมีคะแนน CVSS สูงถึง 9.9 จาก 10 ถือเป็นระดับ “วิกฤต” ที่อาจเปิดทางให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดจากระยะไกล (Remote Code Execution) ได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน

    ช่องโหว่เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อ Veeam Backup & Replication เวอร์ชันก่อนหน้า 12.1.2.172 ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในองค์กรทั่วโลกเพื่อสำรองและกู้คืนข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์, VM, และคลาวด์ หากถูกโจมตีสำเร็จ แฮ็กเกอร์อาจเข้าถึงข้อมูลสำรอง, ปรับเปลี่ยนการตั้งค่า, หรือแม้แต่ลบข้อมูลสำคัญขององค์กรได้

    Veeam แนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 12.1.2.172 หรือใหม่กว่าโดยทันที และหากไม่สามารถอัปเดตได้ในทันที ควรปิดการเข้าถึงพอร์ต TCP 9401 ซึ่งเป็นช่องทางที่ใช้ในการโจมตี

    พบช่องโหว่ CVE-2025-48983 และ CVE-2025-48984 ใน Veeam Backup & Replication
    มีคะแนน CVSS 9.9 ถือเป็นระดับ “วิกฤต”

    ช่องโหว่เปิดทางให้โจมตีแบบ Remote Code Execution (RCE)
    โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน

    ส่งผลกระทบต่อเวอร์ชันก่อน 12.1.2.172
    รวมถึงระบบที่เปิดพอร์ต TCP 9401

    Veeam ออกแพตช์แก้ไขในเวอร์ชัน 12.1.2.172
    พร้อมคำแนะนำให้อัปเดตทันที

    หากยังไม่สามารถอัปเดตได้
    ควรปิดพอร์ต TCP 9401 ชั่วคราวเพื่อป้องกันการโจมตี

    ช่องโหว่ถูกค้นพบโดยนักวิจัยด้านความปลอดภัยภายนอก
    และได้รับการยืนยันโดยทีม Veeam

    https://securityonline.info/critical-rce-flaws-cve-2025-48983-cve-2025-48984-cvss-9-9-found-in-veeam-backup-replication/
    🛡️ “พบช่องโหว่ RCE ร้ายแรงใน Veeam Backup & Replication — CVSS 9.9 เปิดทางแฮ็กเกอร์เข้าควบคุมระบบสำรองข้อมูล” Veeam ผู้พัฒนาโซลูชันสำรองข้อมูลยอดนิยมสำหรับองค์กร ได้ออกแพตช์ความปลอดภัยเพื่อแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรง 2 รายการ ได้แก่ CVE-2025-48983 และ CVE-2025-48984 ซึ่งมีคะแนน CVSS สูงถึง 9.9 จาก 10 ถือเป็นระดับ “วิกฤต” ที่อาจเปิดทางให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดจากระยะไกล (Remote Code Execution) ได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ช่องโหว่เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อ Veeam Backup & Replication เวอร์ชันก่อนหน้า 12.1.2.172 ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในองค์กรทั่วโลกเพื่อสำรองและกู้คืนข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์, VM, และคลาวด์ หากถูกโจมตีสำเร็จ แฮ็กเกอร์อาจเข้าถึงข้อมูลสำรอง, ปรับเปลี่ยนการตั้งค่า, หรือแม้แต่ลบข้อมูลสำคัญขององค์กรได้ Veeam แนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 12.1.2.172 หรือใหม่กว่าโดยทันที และหากไม่สามารถอัปเดตได้ในทันที ควรปิดการเข้าถึงพอร์ต TCP 9401 ซึ่งเป็นช่องทางที่ใช้ในการโจมตี ✅ พบช่องโหว่ CVE-2025-48983 และ CVE-2025-48984 ใน Veeam Backup & Replication ➡️ มีคะแนน CVSS 9.9 ถือเป็นระดับ “วิกฤต” ✅ ช่องโหว่เปิดทางให้โจมตีแบบ Remote Code Execution (RCE) ➡️ โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ✅ ส่งผลกระทบต่อเวอร์ชันก่อน 12.1.2.172 ➡️ รวมถึงระบบที่เปิดพอร์ต TCP 9401 ✅ Veeam ออกแพตช์แก้ไขในเวอร์ชัน 12.1.2.172 ➡️ พร้อมคำแนะนำให้อัปเดตทันที ✅ หากยังไม่สามารถอัปเดตได้ ➡️ ควรปิดพอร์ต TCP 9401 ชั่วคราวเพื่อป้องกันการโจมตี ✅ ช่องโหว่ถูกค้นพบโดยนักวิจัยด้านความปลอดภัยภายนอก ➡️ และได้รับการยืนยันโดยทีม Veeam https://securityonline.info/critical-rce-flaws-cve-2025-48983-cve-2025-48984-cvss-9-9-found-in-veeam-backup-replication/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical RCE Flaws CVE-2025-48983 & CVE-2025-48984 (CVSS 9.9) Found in Veeam Backup & Replication
    Veeam patched two Critical RCE flaws (CVE-2025-48983 & -48984) in Backup & Replication v12 that let authenticated domain users compromise backup infrastructure.
    0 Comments 0 Shares 38 Views 0 Reviews
  • กัมพูชาเผยควบคุมตัวชาวเกาหลีใต้ 80 ราย แต่เจ้าตัว "ปฏิเสธกลับประเทศ" แม้ทางการโซลติดต่อแล้ว
    https://www.thai-tai.tv/news/21906/
    .
    #ไทยไท #เกาหลีใต้ #กัมพูชา #พลเมืองสูญหาย #ตมกัมพูชา #อาชญากรรมข้ามชาติ

    กัมพูชาเผยควบคุมตัวชาวเกาหลีใต้ 80 ราย แต่เจ้าตัว "ปฏิเสธกลับประเทศ" แม้ทางการโซลติดต่อแล้ว https://www.thai-tai.tv/news/21906/ . #ไทยไท #เกาหลีใต้ #กัมพูชา #พลเมืองสูญหาย #ตมกัมพูชา #อาชญากรรมข้ามชาติ
    0 Comments 0 Shares 30 Views 0 Reviews
  • "AMD Sound Wave – APU พลัง ARM ที่อาจเปลี่ยนเกมพกพาในอนาคต”

    แม้ AMD เคยยืนยันว่า ARM ไม่ได้มีข้อได้เปรียบด้านประสิทธิภาพเหนือ x86 โดยตรง แต่ล่าสุดกลับมีข้อมูลจาก shipping manifest ที่เผยว่า AMD กำลังพัฒนา SoC ใหม่ที่ใช้สถาปัตยกรรม ARM ภายใต้โค้ดเนม “Sound Wave”

    ชิปนี้มาในแพ็กเกจ BGA 1074 ขนาดเล็กเพียง 32 × 27 มม. เหมาะกับอุปกรณ์พกพาอย่างแล็ปท็อปหรือเกมคอนโซลแบบ handheld โดยใช้ซ็อกเก็ต FF5 ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ที่มาแทน FF3 ที่เคยใช้ใน Steam Deck

    Sound Wave คาดว่าจะใช้สถาปัตยกรรมแบบ big.LITTLE โดยมี 2 P-Core และ 4 E-Core รวมเป็น 6 คอร์ พร้อมกราฟิก RDNA 3.5 สูงสุด 4 CUs และทำงานในพลังงานเพียง 10W ซึ่งเหมาะกับการเล่นเกมต่อเนื่องบนแบตเตอรี่

    แม้ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า AMD จะนำชิปนี้ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ใด แต่การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงการแข่งขันที่ร้อนแรงในตลาด ARM ระหว่าง AMD, Qualcomm และ NVIDIA ที่ต่างเตรียมเปิดตัวชิปใหม่สำหรับอุปกรณ์พกพาและ AI

    AMD พัฒนา APU สถาปัตยกรรม ARM
    โค้ดเนม “Sound Wave” ปรากฏใน shipping manifest ล่าสุด
    ใช้แพ็กเกจ BGA 1074 ขนาด 32 × 27 มม.
    เหมาะกับ embedded systems และอุปกรณ์พกพา

    สเปกเบื้องต้นของ Sound Wave
    ใช้ซ็อกเก็ต FF5 แทน FF3 ที่เคยใช้ใน Steam Deck
    big.LITTLE architecture: 2 P-Core + 4 E-Core
    กราฟิก RDNA 3.5 สูงสุด 4 CUs
    TDP เพียง 10W พร้อมตัวเลือกปรับแต่งตามลูกค้า

    ความเป็นไปได้ในการใช้งาน
    อาจใช้ใน handheld gaming, Chromebook หรืออุปกรณ์ IoT
    รองรับการเล่นเกมต่อเนื่องบนแบตเตอรี่
    อาจเป็นคู่แข่งของ Snapdragon X Elite และ NVIDIA Grace

    แนวโน้มตลาด ARM
    ARM กำลังขยายจากมือถือสู่ PC และเซิร์ฟเวอร์
    Apple M-series เป็นตัวอย่างความสำเร็จของ ARM บน desktop
    AMD อาจใช้ Sound Wave เป็นจุดเริ่มต้นในการบุกตลาด ARM

    https://www.techpowerup.com/341848/amd-sound-wave-arm-powered-apu-appears-in-shipping-manifests
    🌀 "AMD Sound Wave – APU พลัง ARM ที่อาจเปลี่ยนเกมพกพาในอนาคต” แม้ AMD เคยยืนยันว่า ARM ไม่ได้มีข้อได้เปรียบด้านประสิทธิภาพเหนือ x86 โดยตรง แต่ล่าสุดกลับมีข้อมูลจาก shipping manifest ที่เผยว่า AMD กำลังพัฒนา SoC ใหม่ที่ใช้สถาปัตยกรรม ARM ภายใต้โค้ดเนม “Sound Wave” ชิปนี้มาในแพ็กเกจ BGA 1074 ขนาดเล็กเพียง 32 × 27 มม. เหมาะกับอุปกรณ์พกพาอย่างแล็ปท็อปหรือเกมคอนโซลแบบ handheld โดยใช้ซ็อกเก็ต FF5 ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ที่มาแทน FF3 ที่เคยใช้ใน Steam Deck Sound Wave คาดว่าจะใช้สถาปัตยกรรมแบบ big.LITTLE โดยมี 2 P-Core และ 4 E-Core รวมเป็น 6 คอร์ พร้อมกราฟิก RDNA 3.5 สูงสุด 4 CUs และทำงานในพลังงานเพียง 10W ซึ่งเหมาะกับการเล่นเกมต่อเนื่องบนแบตเตอรี่ แม้ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า AMD จะนำชิปนี้ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ใด แต่การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงการแข่งขันที่ร้อนแรงในตลาด ARM ระหว่าง AMD, Qualcomm และ NVIDIA ที่ต่างเตรียมเปิดตัวชิปใหม่สำหรับอุปกรณ์พกพาและ AI ✅ AMD พัฒนา APU สถาปัตยกรรม ARM ➡️ โค้ดเนม “Sound Wave” ปรากฏใน shipping manifest ล่าสุด ➡️ ใช้แพ็กเกจ BGA 1074 ขนาด 32 × 27 มม. ➡️ เหมาะกับ embedded systems และอุปกรณ์พกพา ✅ สเปกเบื้องต้นของ Sound Wave ➡️ ใช้ซ็อกเก็ต FF5 แทน FF3 ที่เคยใช้ใน Steam Deck ➡️ big.LITTLE architecture: 2 P-Core + 4 E-Core ➡️ กราฟิก RDNA 3.5 สูงสุด 4 CUs ➡️ TDP เพียง 10W พร้อมตัวเลือกปรับแต่งตามลูกค้า ✅ ความเป็นไปได้ในการใช้งาน ➡️ อาจใช้ใน handheld gaming, Chromebook หรืออุปกรณ์ IoT ➡️ รองรับการเล่นเกมต่อเนื่องบนแบตเตอรี่ ➡️ อาจเป็นคู่แข่งของ Snapdragon X Elite และ NVIDIA Grace ✅ แนวโน้มตลาด ARM ➡️ ARM กำลังขยายจากมือถือสู่ PC และเซิร์ฟเวอร์ ➡️ Apple M-series เป็นตัวอย่างความสำเร็จของ ARM บน desktop ➡️ AMD อาจใช้ Sound Wave เป็นจุดเริ่มต้นในการบุกตลาด ARM https://www.techpowerup.com/341848/amd-sound-wave-arm-powered-apu-appears-in-shipping-manifests
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    AMD "Sound Wave" Arm-Powered APU Appears in Shipping Manifests
    Despite AMD's assertion that the Arm ISA doesn't provide any inherent efficiency advantage and that power savings are primarily dependent on the package and design, it seems AMD is developing an Arm-based SoC codenamed "Sound Wave." Recent shipping manifests, noted by X user @Olrak29_, indicate that...
    0 Comments 0 Shares 87 Views 0 Reviews
  • “เกษตรทุเรียนอัจฉริยะ – เมื่อ 5G และเซนเซอร์เปลี่ยนสวนให้กลายเป็นระบบอัตโนมัติ”

    ใครจะคิดว่า “ทุเรียน” ผลไม้ที่ขึ้นชื่อเรื่องกลิ่นแรงและรสชาติเฉพาะตัว จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติวงการเกษตรในมาเลเซีย?

    Tan Han Wei อดีตวิศวกร R&D ผู้หลงใหลในทุเรียน ได้ก่อตั้งบริษัท Sustainable Hrvest เพื่อพัฒนาโซลูชันเกษตรอัจฉริยะ โดยเริ่มจากการลงพื้นที่พูดคุยกับเกษตรกรทุเรียนทั่วประเทศ เพื่อเข้าใจปัญหาที่แท้จริง เช่น ทำไมบางจุดในสวนให้ผลผลิตมากกว่าจุดอื่น และจะปรับปรุงพื้นที่ด้อยผลผลิตได้อย่างไร

    คำตอบคือ “ข้อมูล” และ “เทคโนโลยี” โดยเขาเริ่มติดตั้งเซนเซอร์ลงดินลึก 30–40 ซม. เพื่อวัดความชื้น, pH, และค่าการนำไฟฟ้าในดิน (EC) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสุขภาพของดิน ข้อมูลทั้งหมดถูกส่งขึ้นคลาวด์เพื่อวิเคราะห์

    ผลลัพธ์คือการค้นพบปัญหาที่ไม่เคยรู้มาก่อน เช่น จุดที่มีน้ำขังมากเกินไปซึ่งส่งผลให้รากเน่าและดูดซึมสารอาหารไม่ได้ เขาจึงแนะนำให้ลดการรดน้ำและปรับปรุงการระบายน้ำ

    นอกจากนี้ยังมีการตั้งระบบอัตโนมัติให้สปริงเกิลทำงานเมื่ออุณหภูมิสูงเกิน 35°C เพื่อป้องกันต้นไม้จากความเครียดจากความร้อน

    แต่ทั้งหมดนี้จะไร้ประโยชน์หากไม่มี “5G” เพราะการเชื่อมต่อแบบเรียลไทม์คือหัวใจของการจัดการฟาร์มขนาดใหญ่และซับซ้อน Tan จึงพัฒนาโซลูชันที่รองรับทั้ง 4G และ LoRaWAN พร้อมอัปเกรดเป็น 5G เมื่อโครงสร้างพื้นฐานพร้อม

    เขายังพัฒนา AI ตรวจจับศัตรูพืชผ่านกล้องและการวิเคราะห์รูปแบบ เพื่อแจ้งเตือนเกษตรกรล่วงหน้า พร้อมคำแนะนำในการรับมือ ซึ่งตอนนี้มีความแม่นยำราว 70%

    ในอนาคต เขาเสนอแนวคิด “Digital Agronomist” ที่ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลจากระยะไกล และ “หุ่นยนต์สุนัขลาดตระเวน” ที่สามารถเดินตรวจสวนและนับผลทุเรียนแบบเรียลไทม์

    ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่คือการเปลี่ยนวิธีคิดของเกษตรกร Tan เชื่อว่าเมื่อพวกเขาเห็นว่าเทคโนโลยีช่วยแก้ปัญหาได้จริง พวกเขาจะพร้อมเปิดรับและปรับตัว

    การใช้เซนเซอร์ในสวนทุเรียน
    วัดค่าความชื้น, pH, และ EC เพื่อประเมินสุขภาพดิน
    ตรวจพบปัญหาน้ำขังที่ส่งผลต่อรากและการดูดซึมสารอาหาร
    ข้อมูลถูกส่งขึ้นคลาวด์เพื่อวิเคราะห์และให้คำแนะนำ

    ระบบอัตโนมัติและการจัดการอุณหภูมิ
    สปริงเกิลทำงานอัตโนมัติเมื่ออุณหภูมิสูงเกิน 35°C
    หยุดทำงานเมื่ออุณหภูมิลดลงถึงระดับที่เหมาะสม
    ช่วยลดความเครียดจากความร้อนในต้นทุเรียน

    การใช้ AI และการวิเคราะห์ข้อมูล
    ระบบตรวจจับศัตรูพืชผ่านกล้องและการวิเคราะห์รูปแบบ
    แจ้งเตือนพร้อมคำแนะนำในการรับมือ
    แนวคิด “Digital Agronomist” วิเคราะห์ข้อมูลจากระยะไกล

    บทบาทของ 5G ในเกษตรอัจฉริยะ
    ช่วยให้การเชื่อมต่อแบบเรียลไทม์เป็นไปได้
    รองรับการจัดการฟาร์มขนาดใหญ่และซับซ้อน
    เปิดทางสู่การใช้หุ่นยนต์และการสตรีมวิดีโอความละเอียดสูง

    การเปลี่ยนแปลงทัศนคติของเกษตรกร
    เมื่อเห็นผลลัพธ์จริง เกษตรกรจะเปิดรับเทคโนโลยีมากขึ้น
    ปัญหาค่าครองชีพ, สภาพอากาศ, และแรงงานผลักดันให้ต้องปรับตัว
    การใช้เทคโนโลยีช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ

    อุปสรรคในการนำ 5G มาใช้จริง
    พื้นที่ห่างไกลยังขาดโครงสร้างพื้นฐาน 5G และแม้แต่ 4G
    ค่าใช้จ่ายในการอัปเกรดอุปกรณ์เป็น 5G ยังสูงสำหรับฟาร์มขนาดเล็ก
    เกษตรกรบางส่วนยังไม่เข้าใจศักยภาพของ 5G นอกเหนือจากอินเทอร์เน็ตเร็ว
    การขาดความรู้ด้านเทคโนโลยีอาจทำให้ใช้งานระบบได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/13/how-smart-sensors-and-5g-are-changing-the-game-for-msian-durian-farmers
    🌱 “เกษตรทุเรียนอัจฉริยะ – เมื่อ 5G และเซนเซอร์เปลี่ยนสวนให้กลายเป็นระบบอัตโนมัติ” ใครจะคิดว่า “ทุเรียน” ผลไม้ที่ขึ้นชื่อเรื่องกลิ่นแรงและรสชาติเฉพาะตัว จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติวงการเกษตรในมาเลเซีย? Tan Han Wei อดีตวิศวกร R&D ผู้หลงใหลในทุเรียน ได้ก่อตั้งบริษัท Sustainable Hrvest เพื่อพัฒนาโซลูชันเกษตรอัจฉริยะ โดยเริ่มจากการลงพื้นที่พูดคุยกับเกษตรกรทุเรียนทั่วประเทศ เพื่อเข้าใจปัญหาที่แท้จริง เช่น ทำไมบางจุดในสวนให้ผลผลิตมากกว่าจุดอื่น และจะปรับปรุงพื้นที่ด้อยผลผลิตได้อย่างไร คำตอบคือ “ข้อมูล” และ “เทคโนโลยี” โดยเขาเริ่มติดตั้งเซนเซอร์ลงดินลึก 30–40 ซม. เพื่อวัดความชื้น, pH, และค่าการนำไฟฟ้าในดิน (EC) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสุขภาพของดิน ข้อมูลทั้งหมดถูกส่งขึ้นคลาวด์เพื่อวิเคราะห์ ผลลัพธ์คือการค้นพบปัญหาที่ไม่เคยรู้มาก่อน เช่น จุดที่มีน้ำขังมากเกินไปซึ่งส่งผลให้รากเน่าและดูดซึมสารอาหารไม่ได้ เขาจึงแนะนำให้ลดการรดน้ำและปรับปรุงการระบายน้ำ นอกจากนี้ยังมีการตั้งระบบอัตโนมัติให้สปริงเกิลทำงานเมื่ออุณหภูมิสูงเกิน 35°C เพื่อป้องกันต้นไม้จากความเครียดจากความร้อน แต่ทั้งหมดนี้จะไร้ประโยชน์หากไม่มี “5G” เพราะการเชื่อมต่อแบบเรียลไทม์คือหัวใจของการจัดการฟาร์มขนาดใหญ่และซับซ้อน Tan จึงพัฒนาโซลูชันที่รองรับทั้ง 4G และ LoRaWAN พร้อมอัปเกรดเป็น 5G เมื่อโครงสร้างพื้นฐานพร้อม เขายังพัฒนา AI ตรวจจับศัตรูพืชผ่านกล้องและการวิเคราะห์รูปแบบ เพื่อแจ้งเตือนเกษตรกรล่วงหน้า พร้อมคำแนะนำในการรับมือ ซึ่งตอนนี้มีความแม่นยำราว 70% ในอนาคต เขาเสนอแนวคิด “Digital Agronomist” ที่ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลจากระยะไกล และ “หุ่นยนต์สุนัขลาดตระเวน” ที่สามารถเดินตรวจสวนและนับผลทุเรียนแบบเรียลไทม์ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่คือการเปลี่ยนวิธีคิดของเกษตรกร Tan เชื่อว่าเมื่อพวกเขาเห็นว่าเทคโนโลยีช่วยแก้ปัญหาได้จริง พวกเขาจะพร้อมเปิดรับและปรับตัว ✅ การใช้เซนเซอร์ในสวนทุเรียน ➡️ วัดค่าความชื้น, pH, และ EC เพื่อประเมินสุขภาพดิน ➡️ ตรวจพบปัญหาน้ำขังที่ส่งผลต่อรากและการดูดซึมสารอาหาร ➡️ ข้อมูลถูกส่งขึ้นคลาวด์เพื่อวิเคราะห์และให้คำแนะนำ ✅ ระบบอัตโนมัติและการจัดการอุณหภูมิ ➡️ สปริงเกิลทำงานอัตโนมัติเมื่ออุณหภูมิสูงเกิน 35°C ➡️ หยุดทำงานเมื่ออุณหภูมิลดลงถึงระดับที่เหมาะสม ➡️ ช่วยลดความเครียดจากความร้อนในต้นทุเรียน ✅ การใช้ AI และการวิเคราะห์ข้อมูล ➡️ ระบบตรวจจับศัตรูพืชผ่านกล้องและการวิเคราะห์รูปแบบ ➡️ แจ้งเตือนพร้อมคำแนะนำในการรับมือ ➡️ แนวคิด “Digital Agronomist” วิเคราะห์ข้อมูลจากระยะไกล ✅ บทบาทของ 5G ในเกษตรอัจฉริยะ ➡️ ช่วยให้การเชื่อมต่อแบบเรียลไทม์เป็นไปได้ ➡️ รองรับการจัดการฟาร์มขนาดใหญ่และซับซ้อน ➡️ เปิดทางสู่การใช้หุ่นยนต์และการสตรีมวิดีโอความละเอียดสูง ✅ การเปลี่ยนแปลงทัศนคติของเกษตรกร ➡️ เมื่อเห็นผลลัพธ์จริง เกษตรกรจะเปิดรับเทคโนโลยีมากขึ้น ➡️ ปัญหาค่าครองชีพ, สภาพอากาศ, และแรงงานผลักดันให้ต้องปรับตัว ➡️ การใช้เทคโนโลยีช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ ‼️ อุปสรรคในการนำ 5G มาใช้จริง ⛔ พื้นที่ห่างไกลยังขาดโครงสร้างพื้นฐาน 5G และแม้แต่ 4G ⛔ ค่าใช้จ่ายในการอัปเกรดอุปกรณ์เป็น 5G ยังสูงสำหรับฟาร์มขนาดเล็ก ⛔ เกษตรกรบางส่วนยังไม่เข้าใจศักยภาพของ 5G นอกเหนือจากอินเทอร์เน็ตเร็ว ⛔ การขาดความรู้ด้านเทคโนโลยีอาจทำให้ใช้งานระบบได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/13/how-smart-sensors-and-5g-are-changing-the-game-for-msian-durian-farmers
    WWW.THESTAR.COM.MY
    How smart sensors and 5G are changing the game for M’sian durian farmers
    Trees can't speak, so durian farmers in Malaysia are turning to digital tools to better understand their needs and boost their yields.
    0 Comments 0 Shares 117 Views 0 Reviews
  • “แผงโซลาร์เซลล์อายุยืนกว่าที่คิด! งานวิจัยใหม่เผยอายุการใช้งานทะลุ 30 ปี”

    หากคุณกำลังลังเลว่าจะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ดีหรือไม่ หนึ่งในคำถามสำคัญคือ “มันจะอยู่ได้นานแค่ไหน?” ล่าสุดมีงานวิจัยจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่อาจเปลี่ยนความคิดคุณไปเลย เพราะผลการศึกษาพบว่า แผงโซลาร์เซลล์สามารถใช้งานได้ยาวนานกว่าที่อุตสาหกรรมเคยประเมินไว้มาก

    งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสาร EES Solar โดยติดตามประสิทธิภาพของแผงโซลาร์เซลล์ 6 ระบบในพื้นที่ต่างกันทั่วสวิตเซอร์แลนด์เป็นเวลากว่า 30 ปี พบว่าอัตราการเสื่อมสภาพเฉลี่ยเพียง 0.24% ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าค่าประมาณเดิมที่อยู่ระหว่าง 0.75%-1% ต่อปีอย่างมาก นั่นหมายความว่าแผงส่วนใหญ่ยังคงรักษาประสิทธิภาพได้มากกว่า 80% แม้ผ่านไป 3 ทศวรรษ

    ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออายุการใช้งานไม่ใช่แค่สภาพแวดล้อม แต่คือคุณภาพวัสดุที่ใช้ผลิต หรือที่เรียกว่า BOM (Bill of Materials) โดยแผงที่ใช้วัสดุคุณภาพสูงแม้จะมีต้นทุนติดตั้งสูง แต่กลับให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าในระยะยาว

    อย่างไรก็ตาม งานวิจัยยังเตือนว่าแผงรุ่นใหม่ในตลาดปัจจุบันอาจไม่ได้ใช้วัสดุคุณภาพสูงเท่าเดิม เพราะผู้ผลิตเน้นลดต้นทุนมากกว่าความทนทาน และยังไม่มีข้อมูลระยะยาวเพียงพอที่จะประเมินอายุการใช้งานของแผงรุ่นใหม่เหล่านี้

    ผลการศึกษาจากสวิตเซอร์แลนด์
    ติดตามแผงโซลาร์เซลล์ 6 ระบบนานกว่า 30 ปี
    อัตราการเสื่อมสภาพเฉลี่ยเพียง 0.24% ต่อปี
    แผงยังคงประสิทธิภาพมากกว่า 80% หลังใช้งาน 30-35 ปี

    ปัจจัยที่ส่งผลต่ออายุการใช้งาน
    แผงในพื้นที่สูงเสื่อมช้ากว่าพื้นที่ต่ำ เพราะความเครียดจากความร้อนน้อยกว่า
    คุณภาพวัสดุ (BOM) เป็นตัวแปรสำคัญที่สุด
    แผงที่ใช้วัสดุคุณภาพสูงมีอายุการใช้งานยาวนานกว่า

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    BOM คือรายการวัสดุทั้งหมดที่ใช้ในการผลิตสินค้า
    แผงโซลาร์เซลล์ทั่วไปมีอายุการรับประกันประมาณ 25 ปี
    การเสื่อมสภาพของแผงเกิดจากความร้อน, รังสี UV, ความชื้น และแรงดันไฟฟ้า

    คำเตือนจากงานวิจัย
    แผงรุ่นใหม่อาจมีอายุการใช้งานสั้นกว่ารุ่นเก่า เพราะเน้นลดต้นทุน
    ยังไม่มีข้อมูลระยะยาวเพียงพอสำหรับแผงรุ่นใหม่
    ปัจจัยภายนอก เช่น สภาพอากาศรุนแรงหรือเศษวัสดุตกใส่ อาจทำให้แผงเสียหายก่อนเวลา
    ไม่สามารถให้คำตอบชัดเจนว่าแผงรุ่นใหม่จะอยู่ได้นานแค่ไหน

    https://www.slashgear.com/1989112/solar-panel-lifespan-longer-new-study/
    🌞 “แผงโซลาร์เซลล์อายุยืนกว่าที่คิด! งานวิจัยใหม่เผยอายุการใช้งานทะลุ 30 ปี” หากคุณกำลังลังเลว่าจะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ดีหรือไม่ หนึ่งในคำถามสำคัญคือ “มันจะอยู่ได้นานแค่ไหน?” ล่าสุดมีงานวิจัยจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่อาจเปลี่ยนความคิดคุณไปเลย เพราะผลการศึกษาพบว่า แผงโซลาร์เซลล์สามารถใช้งานได้ยาวนานกว่าที่อุตสาหกรรมเคยประเมินไว้มาก งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสาร EES Solar โดยติดตามประสิทธิภาพของแผงโซลาร์เซลล์ 6 ระบบในพื้นที่ต่างกันทั่วสวิตเซอร์แลนด์เป็นเวลากว่า 30 ปี พบว่าอัตราการเสื่อมสภาพเฉลี่ยเพียง 0.24% ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าค่าประมาณเดิมที่อยู่ระหว่าง 0.75%-1% ต่อปีอย่างมาก นั่นหมายความว่าแผงส่วนใหญ่ยังคงรักษาประสิทธิภาพได้มากกว่า 80% แม้ผ่านไป 3 ทศวรรษ ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออายุการใช้งานไม่ใช่แค่สภาพแวดล้อม แต่คือคุณภาพวัสดุที่ใช้ผลิต หรือที่เรียกว่า BOM (Bill of Materials) โดยแผงที่ใช้วัสดุคุณภาพสูงแม้จะมีต้นทุนติดตั้งสูง แต่กลับให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าในระยะยาว อย่างไรก็ตาม งานวิจัยยังเตือนว่าแผงรุ่นใหม่ในตลาดปัจจุบันอาจไม่ได้ใช้วัสดุคุณภาพสูงเท่าเดิม เพราะผู้ผลิตเน้นลดต้นทุนมากกว่าความทนทาน และยังไม่มีข้อมูลระยะยาวเพียงพอที่จะประเมินอายุการใช้งานของแผงรุ่นใหม่เหล่านี้ ✅ ผลการศึกษาจากสวิตเซอร์แลนด์ ➡️ ติดตามแผงโซลาร์เซลล์ 6 ระบบนานกว่า 30 ปี ➡️ อัตราการเสื่อมสภาพเฉลี่ยเพียง 0.24% ต่อปี ➡️ แผงยังคงประสิทธิภาพมากกว่า 80% หลังใช้งาน 30-35 ปี ✅ ปัจจัยที่ส่งผลต่ออายุการใช้งาน ➡️ แผงในพื้นที่สูงเสื่อมช้ากว่าพื้นที่ต่ำ เพราะความเครียดจากความร้อนน้อยกว่า ➡️ คุณภาพวัสดุ (BOM) เป็นตัวแปรสำคัญที่สุด ➡️ แผงที่ใช้วัสดุคุณภาพสูงมีอายุการใช้งานยาวนานกว่า ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ BOM คือรายการวัสดุทั้งหมดที่ใช้ในการผลิตสินค้า ➡️ แผงโซลาร์เซลล์ทั่วไปมีอายุการรับประกันประมาณ 25 ปี ➡️ การเสื่อมสภาพของแผงเกิดจากความร้อน, รังสี UV, ความชื้น และแรงดันไฟฟ้า ‼️ คำเตือนจากงานวิจัย ⛔ แผงรุ่นใหม่อาจมีอายุการใช้งานสั้นกว่ารุ่นเก่า เพราะเน้นลดต้นทุน ⛔ ยังไม่มีข้อมูลระยะยาวเพียงพอสำหรับแผงรุ่นใหม่ ⛔ ปัจจัยภายนอก เช่น สภาพอากาศรุนแรงหรือเศษวัสดุตกใส่ อาจทำให้แผงเสียหายก่อนเวลา ⛔ ไม่สามารถให้คำตอบชัดเจนว่าแผงรุ่นใหม่จะอยู่ได้นานแค่ไหน https://www.slashgear.com/1989112/solar-panel-lifespan-longer-new-study/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    New Study Suggests Solar Panels Could Last Even Longer Than We Thought - SlashGear
    The latest research from Switzerland show that high-quality solar panels constructed in the 1980s and 1990s are still performing well today.
    0 Comments 0 Shares 63 Views 0 Reviews
  • 🛜 “Wireguard FPGA — ปฏิวัติความปลอดภัยเครือข่ายด้วยฮาร์ดแวร์โอเพนซอร์สราคาประหยัด”

    ในยุคที่ความปลอดภัยของข้อมูลกลายเป็นเรื่องสำคัญระดับโลก การเชื่อมต่อเครือข่ายผ่าน VPN กลายเป็นสิ่งจำเป็น แต่โซลูชันแบบเดิมอย่าง OpenVPN หรือ IPSec เริ่มล้าหลัง ทั้งในด้านประสิทธิภาพและความซับซ้อนในการจัดการ นี่คือจุดเริ่มต้นของโครงการ “Wireguard FPGA” ที่มุ่งสร้างระบบ VPN แบบฮาร์ดแวร์เต็มรูปแบบ ด้วยความเร็วระดับสายไฟ (wire-speed) บน FPGA ราคาประหยัด พร้อมเปิดซอร์สให้ทุกคนเข้าถึงได้

    โครงการนี้ใช้ Artix-7 FPGA ซึ่งรองรับเครื่องมือโอเพนซอร์ส และเขียนโค้ดทั้งหมดด้วย Verilog/SystemVerilog โดยไม่พึ่งพา IP แบบปิดหรือเครื่องมือเชิงพาณิชย์ จุดเด่นคือการออกแบบระบบให้ทำงานแบบ self-contained ไม่ต้องพึ่งพา PC host และสามารถจัดการการเข้ารหัสแบบ ChaCha20-Poly1305 ได้ในระดับฮาร์ดแวร์

    ทีมงานเบื้องหลังเคยมีส่วนร่วมในโครงการ Blackwire ซึ่งเป็นฮาร์ดแวร์ VPN ความเร็ว 100Gbps แต่มีข้อจำกัดด้านราคาและเครื่องมือที่ใช้ ทำให้ Wireguard FPGA ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยมีแผนพัฒนาเป็นหลายเฟส ตั้งแต่การสร้างต้นแบบ ไปจนถึงการทดสอบจริง และการเพิ่มฟีเจอร์ควบคุมการไหลของข้อมูล


    เป้าหมายของโครงการ Wireguard FPGA
    สร้างระบบ VPN แบบฮาร์ดแวร์ที่เร็วระดับสายไฟ
    ใช้ Artix-7 FPGA ราคาประหยัดและเครื่องมือโอเพนซอร์ส
    เขียนโค้ดด้วย Verilog/SystemVerilog ทั้งหมด

    ความแตกต่างจากโครงการ Blackwire
    Blackwire ใช้ Alveo U50 ที่มีราคาสูงและเครื่องมือ Vivado แบบปิด
    Wireguard FPGA ไม่พึ่งพา PC host และใช้โค้ดที่เข้าถึงได้ง่าย
    Blackwire เปิดซอร์สเพราะปัญหาทางการเงิน ไม่ใช่เจตนาเดิม

    สถาปัตยกรรมระบบ
    แบ่งเป็น Control Plane (ซอฟต์แวร์บน RISC-V CPU) และ Data Plane (ฮาร์ดแวร์เข้ารหัส)
    ใช้ CSR-based HAL ในการเชื่อมต่อระหว่างสองส่วน
    รองรับการเข้ารหัส/ถอดรหัสด้วย ChaCha20-Poly1305 ในฮาร์ดแวร์

    การพัฒนาแบบหลายเฟส
    Phase 1: สร้างต้นแบบและทดสอบพื้นฐาน
    Phase 2: สร้าง datapath และรวม IP เข้าด้วยกัน
    Phase 3: พัฒนาเฟิร์มแวร์ควบคุมบน RISC-V
    Phase 4: จัดการ VPN tunnel แบบครบวงจร
    Phase 5: ทดสอบจริงและพอร์ตไปยัง OpenXC7
    Phase 6: เพิ่มโมดูลควบคุมการไหลของข้อมูล

    เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้
    ใช้ Verilator, cocoTB, VProc ISS ในการจำลอง
    ใช้ IP จากโครงการอื่น เช่น Corundum, Cookie Cutter SOC
    ใช้ระบบ co-simulation HAL ที่สร้างจาก SystemRDL

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ChaCha20-Poly1305 เป็นอัลกอริธึม AEAD ที่ใช้ใน Wireguard ตาม RFC7539
    Curve25519 ใช้สำหรับแลกเปลี่ยนคีย์แบบ ECDH
    OpenXC7 เป็นเครื่องมือโอเพนซอร์สสำหรับ FPGA ตระกูล Xilinx Series7

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    Artix-7 ไม่รองรับ High-Performance I/O ทำให้จำกัดความเร็วที่ 600MHz
    เครื่องมือโอเพนซอร์สยังไม่สมบูรณ์ อาจมีปัญหา timing closure และ routing
    การจำลองระบบขนาดใหญ่ต้องใช้ทรัพยากรสูงและอาจไม่เหมาะกับทุกคน
    การพอร์ตไปยัง OpenXC7 ยังมีปัญหา crash และไม่มี timing-driven STA

    https://github.com/chili-chips-ba/wireguard-fpga
    🛜 “Wireguard FPGA — ปฏิวัติความปลอดภัยเครือข่ายด้วยฮาร์ดแวร์โอเพนซอร์สราคาประหยัด” ในยุคที่ความปลอดภัยของข้อมูลกลายเป็นเรื่องสำคัญระดับโลก การเชื่อมต่อเครือข่ายผ่าน VPN กลายเป็นสิ่งจำเป็น แต่โซลูชันแบบเดิมอย่าง OpenVPN หรือ IPSec เริ่มล้าหลัง ทั้งในด้านประสิทธิภาพและความซับซ้อนในการจัดการ นี่คือจุดเริ่มต้นของโครงการ “Wireguard FPGA” ที่มุ่งสร้างระบบ VPN แบบฮาร์ดแวร์เต็มรูปแบบ ด้วยความเร็วระดับสายไฟ (wire-speed) บน FPGA ราคาประหยัด พร้อมเปิดซอร์สให้ทุกคนเข้าถึงได้ โครงการนี้ใช้ Artix-7 FPGA ซึ่งรองรับเครื่องมือโอเพนซอร์ส และเขียนโค้ดทั้งหมดด้วย Verilog/SystemVerilog โดยไม่พึ่งพา IP แบบปิดหรือเครื่องมือเชิงพาณิชย์ จุดเด่นคือการออกแบบระบบให้ทำงานแบบ self-contained ไม่ต้องพึ่งพา PC host และสามารถจัดการการเข้ารหัสแบบ ChaCha20-Poly1305 ได้ในระดับฮาร์ดแวร์ ทีมงานเบื้องหลังเคยมีส่วนร่วมในโครงการ Blackwire ซึ่งเป็นฮาร์ดแวร์ VPN ความเร็ว 100Gbps แต่มีข้อจำกัดด้านราคาและเครื่องมือที่ใช้ ทำให้ Wireguard FPGA ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยมีแผนพัฒนาเป็นหลายเฟส ตั้งแต่การสร้างต้นแบบ ไปจนถึงการทดสอบจริง และการเพิ่มฟีเจอร์ควบคุมการไหลของข้อมูล ✅ เป้าหมายของโครงการ Wireguard FPGA ➡️ สร้างระบบ VPN แบบฮาร์ดแวร์ที่เร็วระดับสายไฟ ➡️ ใช้ Artix-7 FPGA ราคาประหยัดและเครื่องมือโอเพนซอร์ส ➡️ เขียนโค้ดด้วย Verilog/SystemVerilog ทั้งหมด ✅ ความแตกต่างจากโครงการ Blackwire ➡️ Blackwire ใช้ Alveo U50 ที่มีราคาสูงและเครื่องมือ Vivado แบบปิด ➡️ Wireguard FPGA ไม่พึ่งพา PC host และใช้โค้ดที่เข้าถึงได้ง่าย ➡️ Blackwire เปิดซอร์สเพราะปัญหาทางการเงิน ไม่ใช่เจตนาเดิม ✅ สถาปัตยกรรมระบบ ➡️ แบ่งเป็น Control Plane (ซอฟต์แวร์บน RISC-V CPU) และ Data Plane (ฮาร์ดแวร์เข้ารหัส) ➡️ ใช้ CSR-based HAL ในการเชื่อมต่อระหว่างสองส่วน ➡️ รองรับการเข้ารหัส/ถอดรหัสด้วย ChaCha20-Poly1305 ในฮาร์ดแวร์ ✅ การพัฒนาแบบหลายเฟส ➡️ Phase 1: สร้างต้นแบบและทดสอบพื้นฐาน ➡️ Phase 2: สร้าง datapath และรวม IP เข้าด้วยกัน ➡️ Phase 3: พัฒนาเฟิร์มแวร์ควบคุมบน RISC-V ➡️ Phase 4: จัดการ VPN tunnel แบบครบวงจร ➡️ Phase 5: ทดสอบจริงและพอร์ตไปยัง OpenXC7 ➡️ Phase 6: เพิ่มโมดูลควบคุมการไหลของข้อมูล ✅ เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้ ➡️ ใช้ Verilator, cocoTB, VProc ISS ในการจำลอง ➡️ ใช้ IP จากโครงการอื่น เช่น Corundum, Cookie Cutter SOC ➡️ ใช้ระบบ co-simulation HAL ที่สร้างจาก SystemRDL ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ChaCha20-Poly1305 เป็นอัลกอริธึม AEAD ที่ใช้ใน Wireguard ตาม RFC7539 ➡️ Curve25519 ใช้สำหรับแลกเปลี่ยนคีย์แบบ ECDH ➡️ OpenXC7 เป็นเครื่องมือโอเพนซอร์สสำหรับ FPGA ตระกูล Xilinx Series7 ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ Artix-7 ไม่รองรับ High-Performance I/O ทำให้จำกัดความเร็วที่ 600MHz ⛔ เครื่องมือโอเพนซอร์สยังไม่สมบูรณ์ อาจมีปัญหา timing closure และ routing ⛔ การจำลองระบบขนาดใหญ่ต้องใช้ทรัพยากรสูงและอาจไม่เหมาะกับทุกคน ⛔ การพอร์ตไปยัง OpenXC7 ยังมีปัญหา crash และไม่มี timing-driven STA https://github.com/chili-chips-ba/wireguard-fpga
    0 Comments 0 Shares 105 Views 0 Reviews
  • บ้านน็อคดาวน์ยุคใหม่ คุ้มค่า ประหยัดไฟ พร้อมชีวิตที่ยั่งยืนด้วย "โซล่าเซลล์"
    https://www.thai-tai.tv/shop/21865/
    .
    #น็อคดาวน์โมเดิร์น #บ้านน็อคดาวน์โมเดิร์นราคาถูก #ออกแบบบ้านน็อคดาวน์ #บ้านสไตล์นอร์ดิก #บ้านสไตล์นอร์ดิกกรุงเทพ
    💡 บ้านน็อคดาวน์ยุคใหม่ คุ้มค่า ประหยัดไฟ พร้อมชีวิตที่ยั่งยืนด้วย "โซล่าเซลล์" https://www.thai-tai.tv/shop/21865/ . #น็อคดาวน์โมเดิร์น #บ้านน็อคดาวน์โมเดิร์นราคาถูก #ออกแบบบ้านน็อคดาวน์ #บ้านสไตล์นอร์ดิก #บ้านสไตล์นอร์ดิกกรุงเทพ
    0 Comments 0 Shares 76 Views 0 Reviews
  • พีระพันธุ์ ชูนโยบายปราบทุจริตคอร์รัปชัน "ประหารชีวิต-ลูกหลานชดใช้" เงินแผ่นดิน แจงปมถุงยังชีพ-คลิปเสียง ถูก "วางยา" ยืนยันพรรคไม่ถอนตัวรัฐบาล รอฟังคำตัดสินศาลรัฐธรรมนูญ
    https://www.thai-tai.tv/news/21851/
    .
    #ไทยไท #พีระพันธุ์ #รวมไทยสร้างชาติ #ปราบทุจริต #ปฏิรูปพลังงาน #ค่าไฟฟ้า #SMR #กฎหมายโซลาร์เสรี

    พีระพันธุ์ ชูนโยบายปราบทุจริตคอร์รัปชัน "ประหารชีวิต-ลูกหลานชดใช้" เงินแผ่นดิน แจงปมถุงยังชีพ-คลิปเสียง ถูก "วางยา" ยืนยันพรรคไม่ถอนตัวรัฐบาล รอฟังคำตัดสินศาลรัฐธรรมนูญ https://www.thai-tai.tv/news/21851/ . #ไทยไท #พีระพันธุ์ #รวมไทยสร้างชาติ #ปราบทุจริต #ปฏิรูปพลังงาน #ค่าไฟฟ้า #SMR #กฎหมายโซลาร์เสรี
    0 Comments 0 Shares 140 Views 0 Reviews
  • ‘พีระพันธุ์’ เปิดโครงการจิตอาสา ‘รักษ์คลองภาษีเจริญ’ ล่องเรือเก็บขยะ ปลุกจิตสำนึกชุมชน รับฟังชาวบ้านต้องการ ‘โซลาร์เสรี’
    https://www.thai-tai.tv/news/21841/
    ‘พีระพันธุ์’ เปิดโครงการจิตอาสา ‘รักษ์คลองภาษีเจริญ’ ล่องเรือเก็บขยะ ปลุกจิตสำนึกชุมชน รับฟังชาวบ้านต้องการ ‘โซลาร์เสรี’ https://www.thai-tai.tv/news/21841/
    0 Comments 0 Shares 100 Views 0 Reviews
  • “AMD เปิดตัว Radiance Cores, Neural Arrays และ Universal Compression — เทคโนโลยีใหม่ที่จะเปลี่ยนโลกกราฟิกเกมยุคถัดไป”

    AMD และ Sony ร่วมกันเปิดเผยเทคโนโลยีใหม่ 3 รายการที่จะถูกฝังอยู่ในสถาปัตยกรรมกราฟิก RDNA รุ่นถัดไป ได้แก่ Radiance Cores, Neural Arrays และ Universal Compression โดยทั้งหมดนี้ถูกออกแบบมาเพื่อยกระดับการเรนเดอร์ภาพแบบเรียลไทม์, การอัปสเกลด้วย AI และการจัดการแบนด์วิดธ์หน่วยความจำให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

    Radiance Cores คือฮาร์ดแวร์เฉพาะสำหรับการประมวลผล ray tracing และ path tracing โดยแยกออกจาก shader cores เพื่อให้สามารถจัดการกับการเคลื่อนที่ของแสง (ray traversal) ได้เร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น ซึ่งช่วยลดภาระของ CPU และเพิ่มประสิทธิภาพของ GPU ในการ shading และ lighting

    Neural Arrays คือการเชื่อมต่อ compute units (CU) ภายใน GPU ให้ทำงานร่วมกันแบบ AI engine เดียว ซึ่งช่วยให้สามารถประมวลผลโมเดล machine learning ขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในงาน neural rendering, frame generation และ denoising สำหรับฉากที่ใช้ ray tracing

    Universal Compression เป็นระบบบีบอัดข้อมูลภายใน GPU ที่สามารถจัดการกับข้อมูลทุกประเภทได้แบบอัตโนมัติ ช่วยลดการใช้แบนด์วิดธ์หน่วยความจำ และเพิ่มความเร็วในการโหลด texture และโมเดลกราฟิก

    Mark Cerny สถาปนิกของ PlayStation และ Jack Huynh รองประธาน AMD ระบุว่า เทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ใน GPU และ SoC รุ่นถัดไป รวมถึงคอนโซล PlayStation รุ่นใหม่ ซึ่งจะช่วยให้เกมมีความสมจริงระดับภาพยนตร์ และสามารถเรนเดอร์ฉากซับซ้อนได้แบบเรียลไทม์

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AMD เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ 3 รายการ: Radiance Cores, Neural Arrays และ Universal Compression
    Radiance Cores เป็นฮาร์ดแวร์เฉพาะสำหรับ ray/path tracing โดยแยกจาก shader cores
    Neural Arrays เชื่อม compute units ให้ทำงานร่วมกันแบบ AI engine เดียว
    Universal Compression บีบอัดข้อมูลทุกประเภทภายใน GPU เพื่อลดการใช้แบนด์วิดธ์
    เทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกใช้ใน RDNA GPU รุ่นถัดไปและ SoC สำหรับ PlayStation
    ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเรนเดอร์, อัปสเกล, และโหลด texture ได้เร็วขึ้น
    รองรับงาน neural rendering, frame generation และ denoising แบบเรียลไทม์
    Mark Cerny และ Jack Huynh ยืนยันว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนโฉมกราฟิกเกมในอนาคต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Radiance Cores คล้ายกับ RT Cores ของ Nvidia ที่ใช้ในการ์ดจอ RTX
    Neural Arrays จะช่วยให้ FSR และ PSSR มีคุณภาพสูงขึ้นและทำงานเร็วขึ้น
    Universal Compression มาแทน Delta Color Compression ที่ใช้ใน RDNA รุ่นก่อน
    การแยก ray traversal ออกจาก shader ช่วยลด latency และเพิ่ม frame rate
    Project Amethyst คือความร่วมมือระยะยาวระหว่าง AMD และ Sony เพื่อพัฒนา AI สำหรับเกม

    https://wccftech.com/amd-unveils-radiance-cores-neural-arrays-universal-compression-next-gen-rdna-gpu-architecture/
    🎮 “AMD เปิดตัว Radiance Cores, Neural Arrays และ Universal Compression — เทคโนโลยีใหม่ที่จะเปลี่ยนโลกกราฟิกเกมยุคถัดไป” AMD และ Sony ร่วมกันเปิดเผยเทคโนโลยีใหม่ 3 รายการที่จะถูกฝังอยู่ในสถาปัตยกรรมกราฟิก RDNA รุ่นถัดไป ได้แก่ Radiance Cores, Neural Arrays และ Universal Compression โดยทั้งหมดนี้ถูกออกแบบมาเพื่อยกระดับการเรนเดอร์ภาพแบบเรียลไทม์, การอัปสเกลด้วย AI และการจัดการแบนด์วิดธ์หน่วยความจำให้มีประสิทธิภาพสูงสุด Radiance Cores คือฮาร์ดแวร์เฉพาะสำหรับการประมวลผล ray tracing และ path tracing โดยแยกออกจาก shader cores เพื่อให้สามารถจัดการกับการเคลื่อนที่ของแสง (ray traversal) ได้เร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น ซึ่งช่วยลดภาระของ CPU และเพิ่มประสิทธิภาพของ GPU ในการ shading และ lighting Neural Arrays คือการเชื่อมต่อ compute units (CU) ภายใน GPU ให้ทำงานร่วมกันแบบ AI engine เดียว ซึ่งช่วยให้สามารถประมวลผลโมเดล machine learning ขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในงาน neural rendering, frame generation และ denoising สำหรับฉากที่ใช้ ray tracing Universal Compression เป็นระบบบีบอัดข้อมูลภายใน GPU ที่สามารถจัดการกับข้อมูลทุกประเภทได้แบบอัตโนมัติ ช่วยลดการใช้แบนด์วิดธ์หน่วยความจำ และเพิ่มความเร็วในการโหลด texture และโมเดลกราฟิก Mark Cerny สถาปนิกของ PlayStation และ Jack Huynh รองประธาน AMD ระบุว่า เทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ใน GPU และ SoC รุ่นถัดไป รวมถึงคอนโซล PlayStation รุ่นใหม่ ซึ่งจะช่วยให้เกมมีความสมจริงระดับภาพยนตร์ และสามารถเรนเดอร์ฉากซับซ้อนได้แบบเรียลไทม์ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AMD เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ 3 รายการ: Radiance Cores, Neural Arrays และ Universal Compression ➡️ Radiance Cores เป็นฮาร์ดแวร์เฉพาะสำหรับ ray/path tracing โดยแยกจาก shader cores ➡️ Neural Arrays เชื่อม compute units ให้ทำงานร่วมกันแบบ AI engine เดียว ➡️ Universal Compression บีบอัดข้อมูลทุกประเภทภายใน GPU เพื่อลดการใช้แบนด์วิดธ์ ➡️ เทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกใช้ใน RDNA GPU รุ่นถัดไปและ SoC สำหรับ PlayStation ➡️ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเรนเดอร์, อัปสเกล, และโหลด texture ได้เร็วขึ้น ➡️ รองรับงาน neural rendering, frame generation และ denoising แบบเรียลไทม์ ➡️ Mark Cerny และ Jack Huynh ยืนยันว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนโฉมกราฟิกเกมในอนาคต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Radiance Cores คล้ายกับ RT Cores ของ Nvidia ที่ใช้ในการ์ดจอ RTX ➡️ Neural Arrays จะช่วยให้ FSR และ PSSR มีคุณภาพสูงขึ้นและทำงานเร็วขึ้น ➡️ Universal Compression มาแทน Delta Color Compression ที่ใช้ใน RDNA รุ่นก่อน ➡️ การแยก ray traversal ออกจาก shader ช่วยลด latency และเพิ่ม frame rate ➡️ Project Amethyst คือความร่วมมือระยะยาวระหว่าง AMD และ Sony เพื่อพัฒนา AI สำหรับเกม https://wccftech.com/amd-unveils-radiance-cores-neural-arrays-universal-compression-next-gen-rdna-gpu-architecture/
    WCCFTECH.COM
    AMD Unveils Radiance Cores, Neural Arrays & Universal Compression For Next-Gen RDNA GPU Architecture: Faster RT, Better Upscaling, & Lower Bandwidth Needs
    AMD has just announced three key features of its next-gen RDNA architecture: Neural Arrays, Radiance Cores & Universal Compression.
    0 Comments 0 Shares 179 Views 0 Reviews
  • “PlayStation 6 เตรียมพลิกโฉมกราฟิกเกม — Sony และ AMD เปิดตัว Radiance Cores และ Neural Arrays เร่งพลัง AI และ Ray Tracing”

    Sony และ AMD ได้เปิดเผยเทคโนโลยีใหม่ที่จะถูกนำมาใช้ในคอนโซลรุ่นถัดไปของ PlayStation ภายใต้โครงการร่วมชื่อว่า “Project Amethyst” ซึ่งคาดว่าจะเป็นพื้นฐานของ PlayStation 6 โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับการประมวลผลกราฟิกและ AI ให้เทียบเท่ากับการ์ดจอระดับสูงของ PC

    สองเทคโนโลยีหลักที่ถูกเปิดเผยคือ “Neural Arrays” และ “Radiance Cores” ซึ่งจะถูกฝังอยู่ในสถาปัตยกรรม RDNA 5 ของ AMD

    Neural Arrays คือการเชื่อมต่อ Compute Units (CU) ทั้งหมดใน GPU ให้สามารถสื่อสารกันโดยตรงแบบ Infinity Fabric เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล AI และการเรนเดอร์ภาพแบบ machine learning

    Radiance Cores เป็นฮาร์ดแวร์เฉพาะที่แยกการประมวลผล ray tracing ออกจาก shader cores เพื่อให้สามารถทำ path tracing แบบเรียลไทม์ได้เร็วขึ้น

    นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี “Universal Compression” ที่สามารถบีบอัดข้อมูลทุกประเภทได้อย่างชาญฉลาด ซึ่งจะช่วยลดเวลาโหลดเกมและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการข้อมูลในระบบ

    Mark Cerny สถาปนิกของ PS5 และ Jack Huynh รองประธาน AMD ยืนยันว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ในคอนโซลรุ่นใหม่ภายใน “อีกไม่กี่ปีข้างหน้า” และอาจรวมถึงอุปกรณ์พกพารุ่นใหม่ของ PlayStation ด้วย

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Sony และ AMD เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ภายใต้โครงการ Project Amethyst
    คาดว่าจะถูกนำมาใช้ใน PlayStation 6 และอุปกรณ์พกพารุ่นใหม่
    Neural Arrays เชื่อม Compute Units ทั้งหมดใน GPU เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ AI
    Radiance Cores เป็นฮาร์ดแวร์เฉพาะสำหรับ ray tracing และ path tracing
    Universal Compression สามารถบีบอัดข้อมูลทุกประเภทได้แบบอัตโนมัติ
    เทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ใน RDNA 5 และ SoC รุ่นใหม่ของ AMD
    Mark Cerny และ Jack Huynh ยืนยันว่าเทคโนโลยีจะมาถึง “ในอีกไม่กี่ปี”
    Radiance Cores จะช่วยให้ PS6 เรนเดอร์ภาพได้เทียบเท่าการ์ดจอ PC ระดับสูง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Infinity Fabric เป็นเทคโนโลยีของ AMD ที่ใช้เชื่อมหน่วยประมวลผลภายในแบบความเร็วสูง
    Path tracing เป็นเทคนิคเรนเดอร์แสงที่สมจริงที่สุด แต่ใช้ทรัพยากรสูงมาก
    Universal Compression จะมาแทน Delta Color Compression ที่ใช้ใน PS5
    Neural Arrays อาจช่วยให้การใช้ FSR และ PSSR มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    Radiance Cores คล้ายกับ RT Cores ของ Nvidia ที่ใช้ในการ์ดจอ RTX

    https://www.tomshardware.com/video-games/console-gaming/sony-and-amd-tease-likely-playstation-6-gpu-upgrades-radiance-cores-and-a-new-interconnect-for-boosting-ai-rendering-performance
    🎮 “PlayStation 6 เตรียมพลิกโฉมกราฟิกเกม — Sony และ AMD เปิดตัว Radiance Cores และ Neural Arrays เร่งพลัง AI และ Ray Tracing” Sony และ AMD ได้เปิดเผยเทคโนโลยีใหม่ที่จะถูกนำมาใช้ในคอนโซลรุ่นถัดไปของ PlayStation ภายใต้โครงการร่วมชื่อว่า “Project Amethyst” ซึ่งคาดว่าจะเป็นพื้นฐานของ PlayStation 6 โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับการประมวลผลกราฟิกและ AI ให้เทียบเท่ากับการ์ดจอระดับสูงของ PC สองเทคโนโลยีหลักที่ถูกเปิดเผยคือ “Neural Arrays” และ “Radiance Cores” ซึ่งจะถูกฝังอยู่ในสถาปัตยกรรม RDNA 5 ของ AMD 🔰 Neural Arrays คือการเชื่อมต่อ Compute Units (CU) ทั้งหมดใน GPU ให้สามารถสื่อสารกันโดยตรงแบบ Infinity Fabric เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล AI และการเรนเดอร์ภาพแบบ machine learning 🔰 Radiance Cores เป็นฮาร์ดแวร์เฉพาะที่แยกการประมวลผล ray tracing ออกจาก shader cores เพื่อให้สามารถทำ path tracing แบบเรียลไทม์ได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี “Universal Compression” ที่สามารถบีบอัดข้อมูลทุกประเภทได้อย่างชาญฉลาด ซึ่งจะช่วยลดเวลาโหลดเกมและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการข้อมูลในระบบ Mark Cerny สถาปนิกของ PS5 และ Jack Huynh รองประธาน AMD ยืนยันว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ในคอนโซลรุ่นใหม่ภายใน “อีกไม่กี่ปีข้างหน้า” และอาจรวมถึงอุปกรณ์พกพารุ่นใหม่ของ PlayStation ด้วย ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Sony และ AMD เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ภายใต้โครงการ Project Amethyst ➡️ คาดว่าจะถูกนำมาใช้ใน PlayStation 6 และอุปกรณ์พกพารุ่นใหม่ ➡️ Neural Arrays เชื่อม Compute Units ทั้งหมดใน GPU เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ AI ➡️ Radiance Cores เป็นฮาร์ดแวร์เฉพาะสำหรับ ray tracing และ path tracing ➡️ Universal Compression สามารถบีบอัดข้อมูลทุกประเภทได้แบบอัตโนมัติ ➡️ เทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ใน RDNA 5 และ SoC รุ่นใหม่ของ AMD ➡️ Mark Cerny และ Jack Huynh ยืนยันว่าเทคโนโลยีจะมาถึง “ในอีกไม่กี่ปี” ➡️ Radiance Cores จะช่วยให้ PS6 เรนเดอร์ภาพได้เทียบเท่าการ์ดจอ PC ระดับสูง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Infinity Fabric เป็นเทคโนโลยีของ AMD ที่ใช้เชื่อมหน่วยประมวลผลภายในแบบความเร็วสูง ➡️ Path tracing เป็นเทคนิคเรนเดอร์แสงที่สมจริงที่สุด แต่ใช้ทรัพยากรสูงมาก ➡️ Universal Compression จะมาแทน Delta Color Compression ที่ใช้ใน PS5 ➡️ Neural Arrays อาจช่วยให้การใช้ FSR และ PSSR มีประสิทธิภาพมากขึ้น ➡️ Radiance Cores คล้ายกับ RT Cores ของ Nvidia ที่ใช้ในการ์ดจอ RTX https://www.tomshardware.com/video-games/console-gaming/sony-and-amd-tease-likely-playstation-6-gpu-upgrades-radiance-cores-and-a-new-interconnect-for-boosting-ai-rendering-performance
    0 Comments 0 Shares 180 Views 0 Reviews
  • “SquareX เตือนภัยเบราว์เซอร์ AI — Comet ถูกหลอกให้ส่งมัลแวร์, แชร์ไฟล์ลับ และเปิดช่อง OAuth โดยไม่รู้ตัว”

    ในวันที่เบราว์เซอร์ AI กำลังกลายเป็นเครื่องมือหลักของผู้ใช้ทั่วโลก SquareX ได้เปิดเผยงานวิจัยด้านความปลอดภัยที่ชี้ให้เห็นช่องโหว่ร้ายแรงในเบราว์เซอร์ AI โดยเฉพาะ Comet ซึ่งเป็นเบราว์เซอร์จาก Perplexity ที่มีความสามารถในการทำงานแทนผู้ใช้แบบอัตโนมัติ

    SquareX พบว่า Comet สามารถถูกโจมตีผ่านหลายวิธี เช่น:

    การโจมตีแบบ OAuth ที่ทำให้แฮกเกอร์เข้าถึงอีเมลและ Google Drive ของเหยื่อได้ทั้งหมด
    การฝังลิงก์อันตรายในคำเชิญปฏิทินที่ส่งไปยังเพื่อนร่วมงานของเหยื่อ
    การหลอกให้ดาวน์โหลดมัลแวร์โดยปลอมเป็นไฟล์ที่จำเป็นต่อ workflow
    การส่งไฟล์ลับไปยังผู้โจมตีผ่านอีเมลโดยไม่ตั้งใจ

    ปัญหาหลักคือ AI Browser อย่าง Comet ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรคือคำสั่งที่ปลอดภัย และอะไรคือคำสั่งที่ถูกแฮกเกอร์แทรกเข้ามาใน workflow โดยเฉพาะเมื่อเบราว์เซอร์มีสิทธิ์เท่ากับผู้ใช้ และทำงานแทนผู้ใช้โดยอัตโนมัติ

    SquareX ระบุว่าโซลูชันด้านความปลอดภัยแบบเดิม เช่น EDR หรือ SASE/SSE ไม่สามารถตรวจจับพฤติกรรมของ AI Browser ได้อย่างแม่นยำ เพราะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าการกระทำมาจากผู้ใช้จริงหรือจาก AI agent

    Stephen Bennett, CISO ของ Domino’s Pizza Enterprises กล่าวเสริมว่า “เบราว์เซอร์เคยเป็นหน้าต่างของผู้ใช้ แต่ AI Browser กำลังเปลี่ยนให้ผู้ใช้กลายเป็นผู้โดยสาร” ซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงที่ผู้ใช้อาจไม่สามารถควบคุมการทำงานของเบราว์เซอร์ได้อีกต่อไป

    SquareX เสนอให้มีการพัฒนาโซลูชันแบบ browser-native ที่สามารถแยกแยะตัวตนของ AI agent กับผู้ใช้จริง และกำหนดขอบเขตการเข้าถึงข้อมูลและการกระทำได้อย่างชัดเจน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    SquareX เปิดเผยช่องโหว่ในเบราว์เซอร์ AI โดยเฉพาะ Comet จาก Perplexity
    Comet ถูกโจมตีผ่าน OAuth ทำให้แฮกเกอร์เข้าถึงอีเมลและ Google Drive
    ถูกหลอกให้ฝังลิงก์อันตรายในคำเชิญปฏิทิน
    ถูกหลอกให้ดาวน์โหลดมัลแวร์โดยปลอมเป็นไฟล์ workflow
    ส่งไฟล์ลับไปยังผู้โจมตีโดยไม่ตั้งใจ
    AI Browser ทำงานแทนผู้ใช้โดยมีสิทธิ์เท่ากัน ทำให้ถูกหลอกได้ง่าย
    โซลูชัน EDR/SASE ไม่สามารถแยกแยะพฤติกรรมของ AI agent ได้
    SquareX เสนอให้มีระบบ browser-native ที่แยกแยะตัวตนและควบคุมการเข้าถึง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Comet เป็นเบราว์เซอร์ AI ที่สามารถทำงานใน inbox, ปฏิทิน และระบบ cloud
    OAuth เป็นโปรโตคอลที่ใช้ในการให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูล โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน
    Prompt injection คือการแทรกคำสั่งอันตรายเข้าไปใน workflow ของ AI
    AI Browser กำลังถูกนำมาใช้ในองค์กรเพื่อเพิ่ม productivity
    SquareX มีระบบ Browser Detection and Response (BDR) ที่ช่วยป้องกันภัยจากเบราว์เซอร์

    https://securityonline.info/squarex-shows-ai-browsers-fall-prey-to-oauth-attacks-malware-downloads-and-malicious-link-distribution/
    🕷️ “SquareX เตือนภัยเบราว์เซอร์ AI — Comet ถูกหลอกให้ส่งมัลแวร์, แชร์ไฟล์ลับ และเปิดช่อง OAuth โดยไม่รู้ตัว” ในวันที่เบราว์เซอร์ AI กำลังกลายเป็นเครื่องมือหลักของผู้ใช้ทั่วโลก SquareX ได้เปิดเผยงานวิจัยด้านความปลอดภัยที่ชี้ให้เห็นช่องโหว่ร้ายแรงในเบราว์เซอร์ AI โดยเฉพาะ Comet ซึ่งเป็นเบราว์เซอร์จาก Perplexity ที่มีความสามารถในการทำงานแทนผู้ใช้แบบอัตโนมัติ SquareX พบว่า Comet สามารถถูกโจมตีผ่านหลายวิธี เช่น: 🐛 การโจมตีแบบ OAuth ที่ทำให้แฮกเกอร์เข้าถึงอีเมลและ Google Drive ของเหยื่อได้ทั้งหมด 🐛 การฝังลิงก์อันตรายในคำเชิญปฏิทินที่ส่งไปยังเพื่อนร่วมงานของเหยื่อ 🐛 การหลอกให้ดาวน์โหลดมัลแวร์โดยปลอมเป็นไฟล์ที่จำเป็นต่อ workflow 🐛 การส่งไฟล์ลับไปยังผู้โจมตีผ่านอีเมลโดยไม่ตั้งใจ ปัญหาหลักคือ AI Browser อย่าง Comet ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรคือคำสั่งที่ปลอดภัย และอะไรคือคำสั่งที่ถูกแฮกเกอร์แทรกเข้ามาใน workflow โดยเฉพาะเมื่อเบราว์เซอร์มีสิทธิ์เท่ากับผู้ใช้ และทำงานแทนผู้ใช้โดยอัตโนมัติ SquareX ระบุว่าโซลูชันด้านความปลอดภัยแบบเดิม เช่น EDR หรือ SASE/SSE ไม่สามารถตรวจจับพฤติกรรมของ AI Browser ได้อย่างแม่นยำ เพราะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าการกระทำมาจากผู้ใช้จริงหรือจาก AI agent Stephen Bennett, CISO ของ Domino’s Pizza Enterprises กล่าวเสริมว่า “เบราว์เซอร์เคยเป็นหน้าต่างของผู้ใช้ แต่ AI Browser กำลังเปลี่ยนให้ผู้ใช้กลายเป็นผู้โดยสาร” ซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงที่ผู้ใช้อาจไม่สามารถควบคุมการทำงานของเบราว์เซอร์ได้อีกต่อไป SquareX เสนอให้มีการพัฒนาโซลูชันแบบ browser-native ที่สามารถแยกแยะตัวตนของ AI agent กับผู้ใช้จริง และกำหนดขอบเขตการเข้าถึงข้อมูลและการกระทำได้อย่างชัดเจน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ SquareX เปิดเผยช่องโหว่ในเบราว์เซอร์ AI โดยเฉพาะ Comet จาก Perplexity ➡️ Comet ถูกโจมตีผ่าน OAuth ทำให้แฮกเกอร์เข้าถึงอีเมลและ Google Drive ➡️ ถูกหลอกให้ฝังลิงก์อันตรายในคำเชิญปฏิทิน ➡️ ถูกหลอกให้ดาวน์โหลดมัลแวร์โดยปลอมเป็นไฟล์ workflow ➡️ ส่งไฟล์ลับไปยังผู้โจมตีโดยไม่ตั้งใจ ➡️ AI Browser ทำงานแทนผู้ใช้โดยมีสิทธิ์เท่ากัน ทำให้ถูกหลอกได้ง่าย ➡️ โซลูชัน EDR/SASE ไม่สามารถแยกแยะพฤติกรรมของ AI agent ได้ ➡️ SquareX เสนอให้มีระบบ browser-native ที่แยกแยะตัวตนและควบคุมการเข้าถึง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Comet เป็นเบราว์เซอร์ AI ที่สามารถทำงานใน inbox, ปฏิทิน และระบบ cloud ➡️ OAuth เป็นโปรโตคอลที่ใช้ในการให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูล โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน ➡️ Prompt injection คือการแทรกคำสั่งอันตรายเข้าไปใน workflow ของ AI ➡️ AI Browser กำลังถูกนำมาใช้ในองค์กรเพื่อเพิ่ม productivity ➡️ SquareX มีระบบ Browser Detection and Response (BDR) ที่ช่วยป้องกันภัยจากเบราว์เซอร์ https://securityonline.info/squarex-shows-ai-browsers-fall-prey-to-oauth-attacks-malware-downloads-and-malicious-link-distribution/
    0 Comments 0 Shares 109 Views 0 Reviews
  • “AOC เปิดตัวจอเกมสองรุ่นใหม่ U32G4U และ Q27G4SRU — จอเร็ว 320Hz ในราคาประหยัด พร้อมโหมดคู่ UHD/FHD สำหรับทุกสไตล์เกมเมอร์”

    AOC ผู้ผลิตจอภาพชื่อดังในกลุ่มเกมเมอร์ เปิดตัวจอเกมสองรุ่นใหม่ในซีรีส์ AGON ได้แก่ U32G4U และ Q27G4SRU โดยเน้นความเร็ว ความคมชัด และความคุ้มค่าในราคาที่เข้าถึงได้ ทั้งสองรุ่นใช้พาเนล Fast IPS ที่ตอบสนองเร็วระดับ 1ms GtG และรองรับเทคโนโลยี Adaptive Sync รวมถึง G-SYNC Compatible เพื่อภาพลื่นไหลไร้การฉีกขาด

    Q27G4SRU มาพร้อมหน้าจอขนาด 27 นิ้ว ความละเอียด QHD (2560x1440) และรีเฟรชเรตสูงถึง 320Hz เหมาะสำหรับเกมเมอร์สายแข่งขันที่ต้องการความเร็วและความคมชัดในขนาดที่พอดี โดยมีความสว่างสูงสุด 450 nits, รองรับ DisplayHDR 400 และครอบคลุมสี 136.9% sRGB และ 93.7% DCI-P3

    U32G4U คือรุ่นที่โดดเด่นด้วย “Dual Mode” ให้ผู้ใช้เลือกได้ระหว่าง UHD (3840x2160) ที่ 160Hz สำหรับภาพสวยคมในเกมเนื้อเรื่อง หรือ FHD (1920x1080) ที่ 320Hz สำหรับเกมที่ต้องการความเร็วสูง โดยหน้าจอขนาด 31.5 นิ้วให้พื้นที่การมองเห็นกว้างขึ้น เหมาะกับเกมแข่งรถ เกมยิง และงานสร้างคอนเทนต์

    ทั้งสองรุ่นมีพอร์ต HDMI 2.1 สองช่อง, DisplayPort 1.4 หนึ่งช่อง และ USB Hub 4 พอร์ต พร้อมลำโพงในตัว 2x2W และขาตั้งปรับระดับได้ รองรับการใช้งานทั้งกับ PC และคอนโซลยุคใหม่

    ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ £249 สำหรับ Q27G4SRU และ £339 สำหรับ U32G4U โดยจะวางขายกลางเดือนตุลาคม 2025 พร้อมรับประกัน 3 ปี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AOC เปิดตัวจอเกมรุ่น Q27G4SRU และ U32G4U ในซีรีส์ AGON
    ทั้งสองรุ่นใช้พาเนล Fast IPS ตอบสนองเร็ว 1ms GtG
    Q27G4SRU: ขนาด 27 นิ้ว, QHD 2560x1440, รีเฟรชเรต 320Hz
    U32G4U: ขนาด 31.5 นิ้ว, Dual Mode UHD@160Hz / FHD@320Hz
    รองรับ DisplayHDR 400, ความสว่างสูงสุด 450 nits
    ครอบคลุมสี 136.9% sRGB และ 93.7% DCI-P3
    มีพอร์ต HDMI 2.1 x2, DP 1.4 x1, USB Hub x4, ลำโพง 2x2W
    รองรับ G-SYNC Compatible และ Adaptive Sync
    ราคาจำหน่าย: Q27G4SRU £249 / U32G4U £339 พร้อมรับประกัน 3 ปี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    จอ 320Hz ให้ความลื่นไหลเหนือกว่า 240Hz อย่างชัดเจนในเกม FPS
    Dual Mode ช่วยให้ผู้ใช้เลือกโหมดตามประเภทเกมหรือฮาร์ดแวร์ที่ใช้งาน
    Fast IPS ให้สีสวยและมุมมองกว้างกว่า TN หรือ VA
    DisplayHDR 400 เหมาะกับการเล่นเกมและดูคอนเทนต์ทั่วไป
    USB Hub ช่วยลดความยุ่งยากในการเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริม

    https://wccftech.com/aoc-launches-dual-mode-u32g4u-and-qhd-q27g4sru-gaming-monitors-in-the-budget-segment/
    🖥️ “AOC เปิดตัวจอเกมสองรุ่นใหม่ U32G4U และ Q27G4SRU — จอเร็ว 320Hz ในราคาประหยัด พร้อมโหมดคู่ UHD/FHD สำหรับทุกสไตล์เกมเมอร์” AOC ผู้ผลิตจอภาพชื่อดังในกลุ่มเกมเมอร์ เปิดตัวจอเกมสองรุ่นใหม่ในซีรีส์ AGON ได้แก่ U32G4U และ Q27G4SRU โดยเน้นความเร็ว ความคมชัด และความคุ้มค่าในราคาที่เข้าถึงได้ ทั้งสองรุ่นใช้พาเนล Fast IPS ที่ตอบสนองเร็วระดับ 1ms GtG และรองรับเทคโนโลยี Adaptive Sync รวมถึง G-SYNC Compatible เพื่อภาพลื่นไหลไร้การฉีกขาด Q27G4SRU มาพร้อมหน้าจอขนาด 27 นิ้ว ความละเอียด QHD (2560x1440) และรีเฟรชเรตสูงถึง 320Hz เหมาะสำหรับเกมเมอร์สายแข่งขันที่ต้องการความเร็วและความคมชัดในขนาดที่พอดี โดยมีความสว่างสูงสุด 450 nits, รองรับ DisplayHDR 400 และครอบคลุมสี 136.9% sRGB และ 93.7% DCI-P3 U32G4U คือรุ่นที่โดดเด่นด้วย “Dual Mode” ให้ผู้ใช้เลือกได้ระหว่าง UHD (3840x2160) ที่ 160Hz สำหรับภาพสวยคมในเกมเนื้อเรื่อง หรือ FHD (1920x1080) ที่ 320Hz สำหรับเกมที่ต้องการความเร็วสูง โดยหน้าจอขนาด 31.5 นิ้วให้พื้นที่การมองเห็นกว้างขึ้น เหมาะกับเกมแข่งรถ เกมยิง และงานสร้างคอนเทนต์ ทั้งสองรุ่นมีพอร์ต HDMI 2.1 สองช่อง, DisplayPort 1.4 หนึ่งช่อง และ USB Hub 4 พอร์ต พร้อมลำโพงในตัว 2x2W และขาตั้งปรับระดับได้ รองรับการใช้งานทั้งกับ PC และคอนโซลยุคใหม่ ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ £249 สำหรับ Q27G4SRU และ £339 สำหรับ U32G4U โดยจะวางขายกลางเดือนตุลาคม 2025 พร้อมรับประกัน 3 ปี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AOC เปิดตัวจอเกมรุ่น Q27G4SRU และ U32G4U ในซีรีส์ AGON ➡️ ทั้งสองรุ่นใช้พาเนล Fast IPS ตอบสนองเร็ว 1ms GtG ➡️ Q27G4SRU: ขนาด 27 นิ้ว, QHD 2560x1440, รีเฟรชเรต 320Hz ➡️ U32G4U: ขนาด 31.5 นิ้ว, Dual Mode UHD@160Hz / FHD@320Hz ➡️ รองรับ DisplayHDR 400, ความสว่างสูงสุด 450 nits ➡️ ครอบคลุมสี 136.9% sRGB และ 93.7% DCI-P3 ➡️ มีพอร์ต HDMI 2.1 x2, DP 1.4 x1, USB Hub x4, ลำโพง 2x2W ➡️ รองรับ G-SYNC Compatible และ Adaptive Sync ➡️ ราคาจำหน่าย: Q27G4SRU £249 / U32G4U £339 พร้อมรับประกัน 3 ปี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ จอ 320Hz ให้ความลื่นไหลเหนือกว่า 240Hz อย่างชัดเจนในเกม FPS ➡️ Dual Mode ช่วยให้ผู้ใช้เลือกโหมดตามประเภทเกมหรือฮาร์ดแวร์ที่ใช้งาน ➡️ Fast IPS ให้สีสวยและมุมมองกว้างกว่า TN หรือ VA ➡️ DisplayHDR 400 เหมาะกับการเล่นเกมและดูคอนเทนต์ทั่วไป ➡️ USB Hub ช่วยลดความยุ่งยากในการเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริม https://wccftech.com/aoc-launches-dual-mode-u32g4u-and-qhd-q27g4sru-gaming-monitors-in-the-budget-segment/
    WCCFTECH.COM
    AOC Launches Dual Mode U32G4U And QHD Q27G4SRU Gaming Monitors In The Budget Segment
    AOC has launched two new budget gaming monitors, featuring a QHD model called Q27G4SRU and a dual mode model called U32G4U.
    0 Comments 0 Shares 163 Views 0 Reviews
  • “Huawei เดินเกมเดี่ยวผลักดัน 5G-Advanced พร้อม AI — คาดมือถือรองรับแตะ 100 ล้านเครื่องภายในสิ้นปี 2025”

    Huawei ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ในงาน Huawei Connect 2025 โดยมุ่งผลักดันเทคโนโลยี 5G-Advanced (5G-A) ที่ผสานการเชื่อมต่อไร้สายเข้ากับปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสร้างเครือข่ายที่ “เข้าใจผู้ใช้” และ “ตอบสนองแบบเรียลไทม์” โดยคาดว่าภายในสิ้นปี 2025 จะมีสมาร์ตโฟนที่รองรับ 5G-A มากกว่า 100 ล้านเครื่อง และมีเครือข่ายขนาดใหญ่กว่า 50 แห่งเปิดใช้งานทั่วโลก

    หัวใจของแนวทางนี้คือ AgenticRAN — เฟรมเวิร์กที่ฝัง AI เข้าไปในทุกชั้นของเครือข่าย ตั้งแต่การจัดการคลื่นความถี่ พลังงาน ไปจนถึงการดำเนินงาน โดย Huawei ระบุว่าเป็นก้าวสู่ระบบอัตโนมัติระดับ AN L4 แม้จะยังไม่ใช่มาตรฐานสากร แต่ถือเป็นหมุดหมายภายในของบริษัท

    ฮาร์ดแวร์ใหม่อย่าง AAU ซีรีส์ล่าสุดมาพร้อมดีไซน์ dual-band fused array ที่ช่วยเพิ่มความครอบคลุมและลด latency สำหรับงาน AI แบบเรียลไทม์ เช่น การสื่อสารด้วย intent-driven, การทำงานร่วมกันข้ามอุปกรณ์ และแม้แต่การโต้ตอบแบบ holographic

    Huawei ยังเน้นการเชื่อมต่อในทุกพื้นที่ ตั้งแต่เมืองหนาแน่นไปจนถึงชนบทห่างไกล โดยมีโซลูชันอย่าง RuralCow และ LampSite X ที่สามารถติดตั้งในทะเลทรายหรือกลางมหาสมุทรได้ พร้อมระบบเสาอากาศและพลังงานแบบดิจิทัลที่เปลี่ยนส่วนประกอบแบบ passive ให้กลายเป็นโครงสร้างที่รับรู้ข้อมูลและควบคุมได้

    นอกจากนี้ Huawei ยังคาดการณ์ว่าในปี 2030 จำนวน AI agents จะมากกว่าแอปพลิเคชันแบบเดิม และจะเปลี่ยนวิธีที่ผู้ใช้โต้ตอบกับอุปกรณ์อย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อ AI ถูกฝังเข้าไปในเครือข่ายและอุปกรณ์โดยตรง

    แม้ Huawei จะวางแผนอย่างทะเยอทะยาน แต่การยอมรับในระดับโลกยังเป็นคำถามใหญ่ โดยเฉพาะในตลาดนอกจีนที่ยังมีข้อจำกัดด้านการทำงานร่วมกันและต้นทุนการปรับโครงสร้างเครือข่าย

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Huawei ผลักดัน 5G-Advanced (5G-A) ผสาน AI เพื่อสร้างเครือข่ายอัจฉริยะ
    คาดว่าจะมีสมาร์ตโฟนรองรับ 5G-A มากกว่า 100 ล้านเครื่องภายในสิ้นปี 2025
    เครือข่ายขนาดใหญ่กว่า 50 แห่งจะเปิดใช้งานทั่วโลก
    ใช้เฟรมเวิร์ก AgenticRAN เพื่อฝัง AI ในคลื่น พลังงาน และการดำเนินงาน
    ฮาร์ดแวร์ใหม่ AAU ซีรีส์ ใช้ dual-band fused array เพิ่มความเร็วและลด latency
    โซลูชัน RuralCow และ LampSite X รองรับการติดตั้งในพื้นที่ห่างไกล
    ระบบเสาอากาศและพลังงานแบบดิจิทัลช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุม
    คาดว่า AI agents จะมากกว่าแอปทั่วไปภายในปี 2030
    Huawei มองว่า 5G-A จะเป็นทั้งเทคโนโลยีและตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    5G-Advanced คือการพัฒนาเพิ่มเติมจาก 5G ที่เน้นความเร็ว ultra-low latency และ AI integration
    AI agents คือระบบที่สามารถเข้าใจเจตนาและโต้ตอบกับผู้ใช้แบบอัตโนมัติ
    การสื่อสารแบบ intent-driven ช่วยให้ผู้ใช้สั่งงานด้วยความหมาย ไม่ใช่คำสั่งแบบเดิม
    การเชื่อมต่อแบบ ubiquitous IoT จะเป็นรากฐานของเมืองอัจฉริยะและระบบอัตโนมัติ
    Huawei เป็นผู้นำด้านเครือข่ายในจีน โดยมีข้อได้เปรียบด้านการผลิตและนโยบาย

    https://www.techradar.com/pro/chinas-huawei-powers-ahead-solo-with-5g-advanced-predicts-100-million-smartphones-will-be-5g-a-compatible-by-the-end-of-2025-and-it-is-just-getting-started
    📶 “Huawei เดินเกมเดี่ยวผลักดัน 5G-Advanced พร้อม AI — คาดมือถือรองรับแตะ 100 ล้านเครื่องภายในสิ้นปี 2025” Huawei ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ในงาน Huawei Connect 2025 โดยมุ่งผลักดันเทคโนโลยี 5G-Advanced (5G-A) ที่ผสานการเชื่อมต่อไร้สายเข้ากับปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสร้างเครือข่ายที่ “เข้าใจผู้ใช้” และ “ตอบสนองแบบเรียลไทม์” โดยคาดว่าภายในสิ้นปี 2025 จะมีสมาร์ตโฟนที่รองรับ 5G-A มากกว่า 100 ล้านเครื่อง และมีเครือข่ายขนาดใหญ่กว่า 50 แห่งเปิดใช้งานทั่วโลก หัวใจของแนวทางนี้คือ AgenticRAN — เฟรมเวิร์กที่ฝัง AI เข้าไปในทุกชั้นของเครือข่าย ตั้งแต่การจัดการคลื่นความถี่ พลังงาน ไปจนถึงการดำเนินงาน โดย Huawei ระบุว่าเป็นก้าวสู่ระบบอัตโนมัติระดับ AN L4 แม้จะยังไม่ใช่มาตรฐานสากร แต่ถือเป็นหมุดหมายภายในของบริษัท ฮาร์ดแวร์ใหม่อย่าง AAU ซีรีส์ล่าสุดมาพร้อมดีไซน์ dual-band fused array ที่ช่วยเพิ่มความครอบคลุมและลด latency สำหรับงาน AI แบบเรียลไทม์ เช่น การสื่อสารด้วย intent-driven, การทำงานร่วมกันข้ามอุปกรณ์ และแม้แต่การโต้ตอบแบบ holographic Huawei ยังเน้นการเชื่อมต่อในทุกพื้นที่ ตั้งแต่เมืองหนาแน่นไปจนถึงชนบทห่างไกล โดยมีโซลูชันอย่าง RuralCow และ LampSite X ที่สามารถติดตั้งในทะเลทรายหรือกลางมหาสมุทรได้ พร้อมระบบเสาอากาศและพลังงานแบบดิจิทัลที่เปลี่ยนส่วนประกอบแบบ passive ให้กลายเป็นโครงสร้างที่รับรู้ข้อมูลและควบคุมได้ นอกจากนี้ Huawei ยังคาดการณ์ว่าในปี 2030 จำนวน AI agents จะมากกว่าแอปพลิเคชันแบบเดิม และจะเปลี่ยนวิธีที่ผู้ใช้โต้ตอบกับอุปกรณ์อย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อ AI ถูกฝังเข้าไปในเครือข่ายและอุปกรณ์โดยตรง แม้ Huawei จะวางแผนอย่างทะเยอทะยาน แต่การยอมรับในระดับโลกยังเป็นคำถามใหญ่ โดยเฉพาะในตลาดนอกจีนที่ยังมีข้อจำกัดด้านการทำงานร่วมกันและต้นทุนการปรับโครงสร้างเครือข่าย ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Huawei ผลักดัน 5G-Advanced (5G-A) ผสาน AI เพื่อสร้างเครือข่ายอัจฉริยะ ➡️ คาดว่าจะมีสมาร์ตโฟนรองรับ 5G-A มากกว่า 100 ล้านเครื่องภายในสิ้นปี 2025 ➡️ เครือข่ายขนาดใหญ่กว่า 50 แห่งจะเปิดใช้งานทั่วโลก ➡️ ใช้เฟรมเวิร์ก AgenticRAN เพื่อฝัง AI ในคลื่น พลังงาน และการดำเนินงาน ➡️ ฮาร์ดแวร์ใหม่ AAU ซีรีส์ ใช้ dual-band fused array เพิ่มความเร็วและลด latency ➡️ โซลูชัน RuralCow และ LampSite X รองรับการติดตั้งในพื้นที่ห่างไกล ➡️ ระบบเสาอากาศและพลังงานแบบดิจิทัลช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุม ➡️ คาดว่า AI agents จะมากกว่าแอปทั่วไปภายในปี 2030 ➡️ Huawei มองว่า 5G-A จะเป็นทั้งเทคโนโลยีและตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ 5G-Advanced คือการพัฒนาเพิ่มเติมจาก 5G ที่เน้นความเร็ว ultra-low latency และ AI integration ➡️ AI agents คือระบบที่สามารถเข้าใจเจตนาและโต้ตอบกับผู้ใช้แบบอัตโนมัติ ➡️ การสื่อสารแบบ intent-driven ช่วยให้ผู้ใช้สั่งงานด้วยความหมาย ไม่ใช่คำสั่งแบบเดิม ➡️ การเชื่อมต่อแบบ ubiquitous IoT จะเป็นรากฐานของเมืองอัจฉริยะและระบบอัตโนมัติ ➡️ Huawei เป็นผู้นำด้านเครือข่ายในจีน โดยมีข้อได้เปรียบด้านการผลิตและนโยบาย https://www.techradar.com/pro/chinas-huawei-powers-ahead-solo-with-5g-advanced-predicts-100-million-smartphones-will-be-5g-a-compatible-by-the-end-of-2025-and-it-is-just-getting-started
    WWW.TECHRADAR.COM
    Huawei 5G-Advanced promises futuristic connectivity and AI agents
    Huawei's market is likely to be mostly, if not entirely, in China
    0 Comments 0 Shares 179 Views 0 Reviews
  • “Solidigm เปิดตัวคลัสเตอร์ SSD ขนาด 23.6PB ในพื้นที่แค่ 16U — ปลดล็อกศักยภาพ AI ด้วยความหนาแน่นระดับใหม่”

    Solidigm บริษัทในเครือ SK hynix ที่เชี่ยวชาญด้านการจัดเก็บข้อมูลระดับองค์กร ได้เปิดตัว AI Central Lab ที่เมือง Rancho Cordova รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นศูนย์ทดสอบระบบจัดเก็บข้อมูลที่มีความหนาแน่นสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยใช้ SSD ขนาด 122TB จำนวน 192 ตัว รวมเป็นคลัสเตอร์ขนาด 23.6PB ในพื้นที่เพียง 16U ของแร็คเซิร์ฟเวอร์

    คลัสเตอร์นี้ใช้ SSD รุ่น D5-P5336 สำหรับความจุ และ D7-PS1010 สำหรับความเร็ว โดยสามารถทำ throughput ได้สูงถึง 116GB/s ต่อ node ในการทดสอบ MLPerf Storage ซึ่งเป็นมาตรฐานสำหรับงานฝึกโมเดล AI แม้จะเป็นการทดสอบแบบ synthetic แต่ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของระบบในการรองรับงาน AI ที่ต้องการความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลสูงมาก

    AI Central Lab ยังใช้ GPU ระดับสูงอย่าง NVIDIA B200 และ H200 พร้อมระบบเครือข่าย Ethernet 800Gbps เพื่อจำลองสภาพแวดล้อมของศูนย์ข้อมูลยุคใหม่ โดยมีเป้าหมายเพื่อศึกษาว่า “การจัดเก็บข้อมูลใกล้ GPU” จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ AI ได้มากแค่ไหน

    หนึ่งในความร่วมมือที่น่าสนใจคือกับ Metrum AI ซึ่งพัฒนาเทคนิคการ offload ข้อมูลจาก DRAM ไปยัง SSD เพื่อลดการใช้หน่วยความจำลงถึง 57% ในงาน inference แบบ RAG (Retrieval-Augmented Generation) ซึ่งเป็นเทคนิคที่นิยมในงาน AI สมัยใหม่

    Solidigm ระบุว่า AI Central Lab ไม่ใช่แค่พื้นที่ทดสอบ แต่เป็นเวทีสำหรับนวัตกรรมร่วมกับนักพัฒนาและพันธมิตร เพื่อสร้างระบบที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในด้านพลังงาน ความเร็ว และต้นทุนต่อ token

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Solidigm เปิดตัว AI Central Lab ที่ Rancho Cordova, California
    ใช้ SSD D5-P5336 ขนาด 122TB จำนวน 192 ตัว รวมเป็น 23.6PB ในพื้นที่ 16U
    ใช้ SSD D7-PS1010 สำหรับความเร็ว throughput สูงสุด 116GB/s ต่อ node
    ใช้ GPU NVIDIA B200 และ H200 พร้อมเครือข่าย Ethernet 800Gbps
    ทดสอบงาน AI จริง เช่น training, inference, KV cache offload และ VectorDB tuning
    ร่วมมือกับ Metrum AI เพื่อลดการใช้ DRAM ลง 57% ด้วยการ offload ไปยัง SSD
    ศูนย์นี้ช่วยแปลงสเปก SSD ให้เป็น metric ที่ใช้ในอุตสาหกรรม เช่น tokens per watt
    Solidigm เป็นบริษัทในเครือ SK hynix ที่เน้นโซลูชันจัดเก็บข้อมูลระดับองค์กร

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SSD ขนาดใหญ่ช่วยลด latency และเพิ่ม throughput ในงาน AI ที่ใช้ GPU หนัก
    MLPerf Storage เป็น benchmark ที่ใช้วัดประสิทธิภาพการจัดเก็บข้อมูลในงาน AI
    RAG เป็นเทคนิคที่ใช้ข้อมูลภายนอกมาช่วยตอบคำถามในโมเดล AI
    การจัดเก็บข้อมูลใกล้ GPU ช่วยลด bottleneck และเพิ่ม utilization ของ accelerator
    การใช้ SSD แทน DRAM ช่วยลดต้นทุนและพลังงานในระบบขนาดใหญ่

    https://www.techradar.com/pro/solidigm-packed-usd2-7-million-worth-of-ssds-into-the-biggest-storage-cluster-ive-ever-seen-nearly-200-192tb-ssds-used-to-build-a-23-6pb-cluster-in-16u-rackspace
    📦 “Solidigm เปิดตัวคลัสเตอร์ SSD ขนาด 23.6PB ในพื้นที่แค่ 16U — ปลดล็อกศักยภาพ AI ด้วยความหนาแน่นระดับใหม่” Solidigm บริษัทในเครือ SK hynix ที่เชี่ยวชาญด้านการจัดเก็บข้อมูลระดับองค์กร ได้เปิดตัว AI Central Lab ที่เมือง Rancho Cordova รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นศูนย์ทดสอบระบบจัดเก็บข้อมูลที่มีความหนาแน่นสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยใช้ SSD ขนาด 122TB จำนวน 192 ตัว รวมเป็นคลัสเตอร์ขนาด 23.6PB ในพื้นที่เพียง 16U ของแร็คเซิร์ฟเวอร์ คลัสเตอร์นี้ใช้ SSD รุ่น D5-P5336 สำหรับความจุ และ D7-PS1010 สำหรับความเร็ว โดยสามารถทำ throughput ได้สูงถึง 116GB/s ต่อ node ในการทดสอบ MLPerf Storage ซึ่งเป็นมาตรฐานสำหรับงานฝึกโมเดล AI แม้จะเป็นการทดสอบแบบ synthetic แต่ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของระบบในการรองรับงาน AI ที่ต้องการความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลสูงมาก AI Central Lab ยังใช้ GPU ระดับสูงอย่าง NVIDIA B200 และ H200 พร้อมระบบเครือข่าย Ethernet 800Gbps เพื่อจำลองสภาพแวดล้อมของศูนย์ข้อมูลยุคใหม่ โดยมีเป้าหมายเพื่อศึกษาว่า “การจัดเก็บข้อมูลใกล้ GPU” จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ AI ได้มากแค่ไหน หนึ่งในความร่วมมือที่น่าสนใจคือกับ Metrum AI ซึ่งพัฒนาเทคนิคการ offload ข้อมูลจาก DRAM ไปยัง SSD เพื่อลดการใช้หน่วยความจำลงถึง 57% ในงาน inference แบบ RAG (Retrieval-Augmented Generation) ซึ่งเป็นเทคนิคที่นิยมในงาน AI สมัยใหม่ Solidigm ระบุว่า AI Central Lab ไม่ใช่แค่พื้นที่ทดสอบ แต่เป็นเวทีสำหรับนวัตกรรมร่วมกับนักพัฒนาและพันธมิตร เพื่อสร้างระบบที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในด้านพลังงาน ความเร็ว และต้นทุนต่อ token ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Solidigm เปิดตัว AI Central Lab ที่ Rancho Cordova, California ➡️ ใช้ SSD D5-P5336 ขนาด 122TB จำนวน 192 ตัว รวมเป็น 23.6PB ในพื้นที่ 16U ➡️ ใช้ SSD D7-PS1010 สำหรับความเร็ว throughput สูงสุด 116GB/s ต่อ node ➡️ ใช้ GPU NVIDIA B200 และ H200 พร้อมเครือข่าย Ethernet 800Gbps ➡️ ทดสอบงาน AI จริง เช่น training, inference, KV cache offload และ VectorDB tuning ➡️ ร่วมมือกับ Metrum AI เพื่อลดการใช้ DRAM ลง 57% ด้วยการ offload ไปยัง SSD ➡️ ศูนย์นี้ช่วยแปลงสเปก SSD ให้เป็น metric ที่ใช้ในอุตสาหกรรม เช่น tokens per watt ➡️ Solidigm เป็นบริษัทในเครือ SK hynix ที่เน้นโซลูชันจัดเก็บข้อมูลระดับองค์กร ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SSD ขนาดใหญ่ช่วยลด latency และเพิ่ม throughput ในงาน AI ที่ใช้ GPU หนัก ➡️ MLPerf Storage เป็น benchmark ที่ใช้วัดประสิทธิภาพการจัดเก็บข้อมูลในงาน AI ➡️ RAG เป็นเทคนิคที่ใช้ข้อมูลภายนอกมาช่วยตอบคำถามในโมเดล AI ➡️ การจัดเก็บข้อมูลใกล้ GPU ช่วยลด bottleneck และเพิ่ม utilization ของ accelerator ➡️ การใช้ SSD แทน DRAM ช่วยลดต้นทุนและพลังงานในระบบขนาดใหญ่ https://www.techradar.com/pro/solidigm-packed-usd2-7-million-worth-of-ssds-into-the-biggest-storage-cluster-ive-ever-seen-nearly-200-192tb-ssds-used-to-build-a-23-6pb-cluster-in-16u-rackspace
    WWW.TECHRADAR.COM
    Solidigm unveils dense cluster pushing storage limits
    Performance tests remain synthetic, raising doubts about real workloads
    0 Comments 0 Shares 225 Views 0 Reviews
  • 'พีระพันธุ์-อรรถวิชช์' สู้ต่อ ผลักดัน พ.ร.บ.โซลาร์เสรี ชี้กฎหมายขัดประโยชน์หลายกลุ่ม
    https://www.thai-tai.tv/news/21805/
    .
    #ไทยไท #โซลาร์เสรี #อรรถวิชช์ #รวมไทยสร้างชาติ #พีระพันธุ์ #พลังงานสะอาด #กฎหมายกฤษฎีกา
    'พีระพันธุ์-อรรถวิชช์' สู้ต่อ ผลักดัน พ.ร.บ.โซลาร์เสรี ชี้กฎหมายขัดประโยชน์หลายกลุ่ม https://www.thai-tai.tv/news/21805/ . #ไทยไท #โซลาร์เสรี #อรรถวิชช์ #รวมไทยสร้างชาติ #พีระพันธุ์ #พลังงานสะอาด #กฎหมายกฤษฎีกา
    0 Comments 0 Shares 50 Views 0 Reviews
  • “JEDEC เปิดตัวมาตรฐาน UFS 5.0 — ความเร็วทะลุ 10.8 GB/s เพื่อโลกแห่ง AI และอุปกรณ์พกพา”

    JEDEC สมาคมเทคโนโลยีโซลิดสเตต ได้ประกาศใกล้เสร็จสิ้นการพัฒนามาตรฐาน Universal Flash Storage (UFS) เวอร์ชัน 5.0 ซึ่งเป็นการอัปเกรดครั้งใหญ่จาก UFS 4.1 ที่เปิดตัวในปี 2024 โดย UFS 5.0 ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับอุปกรณ์พกพาและระบบคอมพิวเตอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ใช้พลังงานต่ำ เช่น สมาร์ทโฟน อุปกรณ์สวมใส่ คอนโซลเกม รถยนต์ และระบบ edge computing

    UFS 5.0 จะสามารถทำความเร็วในการอ่าน/เขียนแบบต่อเนื่องได้สูงถึง 10.8 GB/s โดยใช้เทคโนโลยีจาก MIPI Alliance ได้แก่ M-PHY เวอร์ชัน 6.0 และ UniPro เวอร์ชัน 3.0 ซึ่งช่วยเพิ่มแบนด์วิดท์ของอินเทอร์เฟซได้ถึง 46.6 Gb/s ต่อเลน และรองรับการทำงานแบบสองเลนเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

    นอกจากความเร็วแล้ว UFS 5.0 ยังเพิ่มฟีเจอร์ใหม่เพื่อความปลอดภัยและความเสถียร เช่น inline hashing เพื่อป้องกันข้อมูลเสียหาย, ระบบ equalization เพื่อรักษาคุณภาพสัญญาณ และการแยกแหล่งจ่ายไฟระหว่าง PHY กับหน่วยความจำเพื่อป้องกันสัญญาณรบกวน

    มาตรฐานใหม่นี้ยังคงรองรับฮาร์ดแวร์เดิมจาก UFS 4.x เพื่อให้ผู้ผลิตสามารถอัปเกรดได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างระบบทั้งหมด

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    JEDEC ใกล้เปิดตัวมาตรฐาน UFS 5.0 สำหรับอุปกรณ์พกพาและระบบคอมพิวเตอร์
    ความเร็วในการอ่าน/เขียนแบบต่อเนื่องสูงสุดถึง 10.8 GB/s
    ใช้เทคโนโลยี MIPI M-PHY 6.0 และ UniPro 3.0 เพื่อเพิ่มแบนด์วิดท์
    รองรับการทำงานแบบสองเลนที่ความเร็ว 46.6 Gb/s ต่อเลน
    เพิ่มฟีเจอร์ inline hashing เพื่อความปลอดภัยของข้อมูล
    มีระบบ equalization เพื่อรักษาคุณภาพสัญญาณ
    แยกแหล่งจ่ายไฟระหว่าง PHY กับหน่วยความจำเพื่อป้องกันสัญญาณรบกวน
    ยังคงรองรับฮาร์ดแวร์จาก UFS 4.x เพื่อความสะดวกในการอัปเกรด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    UFS ถูกใช้ในสมาร์ทโฟนระดับเรือธง เช่น Galaxy S และ iPhone รุ่นใหม่
    มาตรฐาน UFS ช่วยให้การโหลดแอปและเกมเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
    MIPI Alliance เป็นองค์กรที่พัฒนาโปรโตคอลการเชื่อมต่อสำหรับอุปกรณ์พกพาทั่วโลก
    Inline hashing เป็นเทคนิคที่ใช้ในระบบจัดเก็บข้อมูลระดับองค์กรเพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต
    การแยกแหล่งจ่ายไฟช่วยลดความร้อนและเพิ่มเสถียรภาพของระบบ

    https://www.techpowerup.com/341645/jedec-ufs-5-0-standard-to-deliver-sequential-performance-up-to-10-8-gb-s
    ⚡ “JEDEC เปิดตัวมาตรฐาน UFS 5.0 — ความเร็วทะลุ 10.8 GB/s เพื่อโลกแห่ง AI และอุปกรณ์พกพา” JEDEC สมาคมเทคโนโลยีโซลิดสเตต ได้ประกาศใกล้เสร็จสิ้นการพัฒนามาตรฐาน Universal Flash Storage (UFS) เวอร์ชัน 5.0 ซึ่งเป็นการอัปเกรดครั้งใหญ่จาก UFS 4.1 ที่เปิดตัวในปี 2024 โดย UFS 5.0 ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับอุปกรณ์พกพาและระบบคอมพิวเตอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ใช้พลังงานต่ำ เช่น สมาร์ทโฟน อุปกรณ์สวมใส่ คอนโซลเกม รถยนต์ และระบบ edge computing UFS 5.0 จะสามารถทำความเร็วในการอ่าน/เขียนแบบต่อเนื่องได้สูงถึง 10.8 GB/s โดยใช้เทคโนโลยีจาก MIPI Alliance ได้แก่ M-PHY เวอร์ชัน 6.0 และ UniPro เวอร์ชัน 3.0 ซึ่งช่วยเพิ่มแบนด์วิดท์ของอินเทอร์เฟซได้ถึง 46.6 Gb/s ต่อเลน และรองรับการทำงานแบบสองเลนเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากความเร็วแล้ว UFS 5.0 ยังเพิ่มฟีเจอร์ใหม่เพื่อความปลอดภัยและความเสถียร เช่น inline hashing เพื่อป้องกันข้อมูลเสียหาย, ระบบ equalization เพื่อรักษาคุณภาพสัญญาณ และการแยกแหล่งจ่ายไฟระหว่าง PHY กับหน่วยความจำเพื่อป้องกันสัญญาณรบกวน มาตรฐานใหม่นี้ยังคงรองรับฮาร์ดแวร์เดิมจาก UFS 4.x เพื่อให้ผู้ผลิตสามารถอัปเกรดได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างระบบทั้งหมด ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ JEDEC ใกล้เปิดตัวมาตรฐาน UFS 5.0 สำหรับอุปกรณ์พกพาและระบบคอมพิวเตอร์ ➡️ ความเร็วในการอ่าน/เขียนแบบต่อเนื่องสูงสุดถึง 10.8 GB/s ➡️ ใช้เทคโนโลยี MIPI M-PHY 6.0 และ UniPro 3.0 เพื่อเพิ่มแบนด์วิดท์ ➡️ รองรับการทำงานแบบสองเลนที่ความเร็ว 46.6 Gb/s ต่อเลน ➡️ เพิ่มฟีเจอร์ inline hashing เพื่อความปลอดภัยของข้อมูล ➡️ มีระบบ equalization เพื่อรักษาคุณภาพสัญญาณ ➡️ แยกแหล่งจ่ายไฟระหว่าง PHY กับหน่วยความจำเพื่อป้องกันสัญญาณรบกวน ➡️ ยังคงรองรับฮาร์ดแวร์จาก UFS 4.x เพื่อความสะดวกในการอัปเกรด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ UFS ถูกใช้ในสมาร์ทโฟนระดับเรือธง เช่น Galaxy S และ iPhone รุ่นใหม่ ➡️ มาตรฐาน UFS ช่วยให้การโหลดแอปและเกมเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ➡️ MIPI Alliance เป็นองค์กรที่พัฒนาโปรโตคอลการเชื่อมต่อสำหรับอุปกรณ์พกพาทั่วโลก ➡️ Inline hashing เป็นเทคนิคที่ใช้ในระบบจัดเก็บข้อมูลระดับองค์กรเพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต ➡️ การแยกแหล่งจ่ายไฟช่วยลดความร้อนและเพิ่มเสถียรภาพของระบบ https://www.techpowerup.com/341645/jedec-ufs-5-0-standard-to-deliver-sequential-performance-up-to-10-8-gb-s
    0 Comments 0 Shares 177 Views 0 Reviews
  • “เยอรมนีติดตั้งโซลาร์เซลล์บนระเบียงกว่า 500,000 จุด — พลังงานสะอาดที่ใครก็เข้าถึงได้”

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เยอรมนีได้พลิกโฉมการใช้พลังงานสะอาดด้วยการผลักดัน “Balkonkraftwerk” หรือระบบโซลาร์เซลล์ขนาดเล็กที่ติดตั้งบนระเบียง ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับปลั๊กไฟภายในบ้านได้โดยตรง โดยไม่ต้องมีการติดตั้งซับซ้อนหรือเป็นเจ้าของบ้านเอง

    ระบบนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2023 เพียงปีเดียวมีการติดตั้งมากกว่า 275,000 จุด และในปี 2024 ตัวเลขรวมทะลุ 550,000 จุดทั่วประเทศ โดยแต่ละชุดมีขนาดไม่เกิน 800 วัตต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับการชาร์จแล็ปท็อปหรือใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก

    ความสำเร็จนี้เกิดจากการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีที่เรียบง่าย ราคาที่เข้าถึงได้ (ประมาณ 500–700 ยูโรต่อชุด) และนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนอย่างจริงจัง เช่น การลดขั้นตอนการขออนุญาต การอนุญาตให้ใช้ปลั๊ก Schuko มาตรฐาน และการออกกฎหมายคุ้มครองผู้เช่าไม่ให้ถูกเจ้าของบ้านขัดขวางการติดตั้ง

    แม้ระบบจะผลิตไฟฟ้าได้ไม่มากนัก — เฉลี่ยประมาณ 500–600 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี — แต่ผู้ใช้งานจำนวนมากมองว่าเป็น “การกระทำเล็ก ๆ ที่มีความหมาย” ทั้งในแง่ของการลดค่าไฟ และการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ

    ผู้ใช้งานหลายคนยังกล่าวว่า การติดตั้งโซลาร์ระเบียงทำให้พวกเขาเริ่มตระหนักถึงการใช้พลังงานมากขึ้น เช่น การเลือกเวลาซักผ้าให้ตรงกับช่วงแดดจัด หรือการติดตามปริมาณพลังงานที่ผลิตผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งกลายเป็นกิจกรรมที่สร้างความภูมิใจและแรงบันดาลใจให้กับคนรอบข้าง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เยอรมนีติดตั้งโซลาร์เซลล์บนระเบียงมากกว่า 550,000 จุดทั่วประเทศ
    ระบบ Balkonkraftwerk มีขนาดไม่เกิน 800 วัตต์ และเชื่อมต่อผ่านปลั๊กไฟบ้าน
    ราคาต่อชุดประมาณ 500–700 ยูโร และติดตั้งได้เองโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของบ้าน
    รัฐบาลออกกฎหมายคุ้มครองผู้เช่าไม่ให้ถูกขัดขวางการติดตั้ง
    มีการลดขั้นตอนการขออนุญาตและอนุญาตให้ใช้ปลั๊ก Schuko มาตรฐาน
    ระบบผลิตไฟฟ้าเฉลี่ย 500–600 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี
    ผู้ใช้งานสามารถติดตามการผลิตพลังงานผ่านแอปพลิเคชัน
    การติดตั้งช่วยให้ผู้คนตระหนักถึงการใช้พลังงานและวางแผนการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ
    เป็นการมีส่วนร่วมเล็ก ๆ ที่ช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ในปี 2024 เยอรมนีผ่าน “Solarpaket 1” เพื่อสนับสนุนโซลาร์ระเบียงอย่างเป็นระบบ
    ระบบโซลาร์ระเบียงสามารถคืนทุนได้ภายใน 3–5 ปี ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและทิศทางของแสง
    ประเทศอื่นในยุโรป เช่น เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย และเบลเยียม กำลังนำแนวทางนี้ไปใช้
    ระบบแบบ plug-and-play ช่วยลดความซับซ้อนในการติดตั้งและเพิ่มการเข้าถึง
    การผลิตพลังงานในระดับครัวเรือนช่วยลดภาระของโครงข่ายไฟฟ้ากลาง

    https://grist.org/buildings/how-germany-outfitted-half-a-million-balconies-with-solar-panels/
    ☀️ “เยอรมนีติดตั้งโซลาร์เซลล์บนระเบียงกว่า 500,000 จุด — พลังงานสะอาดที่ใครก็เข้าถึงได้” ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เยอรมนีได้พลิกโฉมการใช้พลังงานสะอาดด้วยการผลักดัน “Balkonkraftwerk” หรือระบบโซลาร์เซลล์ขนาดเล็กที่ติดตั้งบนระเบียง ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับปลั๊กไฟภายในบ้านได้โดยตรง โดยไม่ต้องมีการติดตั้งซับซ้อนหรือเป็นเจ้าของบ้านเอง ระบบนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2023 เพียงปีเดียวมีการติดตั้งมากกว่า 275,000 จุด และในปี 2024 ตัวเลขรวมทะลุ 550,000 จุดทั่วประเทศ โดยแต่ละชุดมีขนาดไม่เกิน 800 วัตต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับการชาร์จแล็ปท็อปหรือใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก ความสำเร็จนี้เกิดจากการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีที่เรียบง่าย ราคาที่เข้าถึงได้ (ประมาณ 500–700 ยูโรต่อชุด) และนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนอย่างจริงจัง เช่น การลดขั้นตอนการขออนุญาต การอนุญาตให้ใช้ปลั๊ก Schuko มาตรฐาน และการออกกฎหมายคุ้มครองผู้เช่าไม่ให้ถูกเจ้าของบ้านขัดขวางการติดตั้ง แม้ระบบจะผลิตไฟฟ้าได้ไม่มากนัก — เฉลี่ยประมาณ 500–600 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี — แต่ผู้ใช้งานจำนวนมากมองว่าเป็น “การกระทำเล็ก ๆ ที่มีความหมาย” ทั้งในแง่ของการลดค่าไฟ และการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ ผู้ใช้งานหลายคนยังกล่าวว่า การติดตั้งโซลาร์ระเบียงทำให้พวกเขาเริ่มตระหนักถึงการใช้พลังงานมากขึ้น เช่น การเลือกเวลาซักผ้าให้ตรงกับช่วงแดดจัด หรือการติดตามปริมาณพลังงานที่ผลิตผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งกลายเป็นกิจกรรมที่สร้างความภูมิใจและแรงบันดาลใจให้กับคนรอบข้าง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เยอรมนีติดตั้งโซลาร์เซลล์บนระเบียงมากกว่า 550,000 จุดทั่วประเทศ ➡️ ระบบ Balkonkraftwerk มีขนาดไม่เกิน 800 วัตต์ และเชื่อมต่อผ่านปลั๊กไฟบ้าน ➡️ ราคาต่อชุดประมาณ 500–700 ยูโร และติดตั้งได้เองโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของบ้าน ➡️ รัฐบาลออกกฎหมายคุ้มครองผู้เช่าไม่ให้ถูกขัดขวางการติดตั้ง ➡️ มีการลดขั้นตอนการขออนุญาตและอนุญาตให้ใช้ปลั๊ก Schuko มาตรฐาน ➡️ ระบบผลิตไฟฟ้าเฉลี่ย 500–600 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี ➡️ ผู้ใช้งานสามารถติดตามการผลิตพลังงานผ่านแอปพลิเคชัน ➡️ การติดตั้งช่วยให้ผู้คนตระหนักถึงการใช้พลังงานและวางแผนการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ เป็นการมีส่วนร่วมเล็ก ๆ ที่ช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ในปี 2024 เยอรมนีผ่าน “Solarpaket 1” เพื่อสนับสนุนโซลาร์ระเบียงอย่างเป็นระบบ ➡️ ระบบโซลาร์ระเบียงสามารถคืนทุนได้ภายใน 3–5 ปี ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและทิศทางของแสง ➡️ ประเทศอื่นในยุโรป เช่น เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย และเบลเยียม กำลังนำแนวทางนี้ไปใช้ ➡️ ระบบแบบ plug-and-play ช่วยลดความซับซ้อนในการติดตั้งและเพิ่มการเข้าถึง ➡️ การผลิตพลังงานในระดับครัวเรือนช่วยลดภาระของโครงข่ายไฟฟ้ากลาง https://grist.org/buildings/how-germany-outfitted-half-a-million-balconies-with-solar-panels/
    GRIST.ORG
    How Germany outfitted half a million balconies with solar panels
    Meet balkonkraftwerk, the simple technology putting solar power in the hands of renters and nudging Germany toward its clean energy goals.
    0 Comments 0 Shares 203 Views 0 Reviews
  • “Reemo เปิดตัว Bastion+ — แพลตฟอร์มจัดการสิทธิ์เข้าถึงระดับสูงแบบไร้ขีดจำกัด เพื่อองค์กรทั่วโลก”

    Reemo บริษัทไซเบอร์ซีเคียวริตี้จากฝรั่งเศส ประกาศเปิดตัว Bastion+ โซลูชันใหม่สำหรับการจัดการสิทธิ์เข้าถึงระบบ (Privileged Access Management) ที่สามารถขยายการใช้งานได้ทั่วโลกแบบไร้ข้อจำกัด โดยมุ่งเป้าไปที่องค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการความปลอดภัยและความเรียบง่ายในการควบคุมการเข้าถึงระบบสำคัญ

    Yann Fourré ผู้ร่วมก่อตั้ง Reemo กล่าวว่า “องค์กรไม่ต้องการแค่ bastion อีกตัว แต่ต้องการวิสัยทัศน์ระดับโลกที่เรียบง่ายและปลอดภัยแม้โครงสร้างจะขยายตัว” Bastion+ จึงถูกออกแบบให้ผู้ใช้เห็นเฉพาะทรัพยากรที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น พร้อมบังคับใช้นโยบายความปลอดภัยแบบเดียวกันทุกที่ทั่วโลก

    Bastion+ รวมการมองเห็น การบันทึก session และ log ทั้งหมดไว้ในคอนโซลเดียว ช่วยให้ผู้บริหารด้านความปลอดภัย (CISO) ตรวจสอบและทำงานด้าน compliance ได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังผสานการทำงานกับแพลตฟอร์ม Reemo ที่มีฟีเจอร์ครบครัน เช่น Remote Desktop, Remote Browser Isolation (RBI), การเข้าถึงของบุคคลภายนอก และระบบข้อมูลจำกัด (SI Diffusion Restreinte)

    Bertrand Jeannet ซีอีโอของ Reemo กล่าวเสริมว่า Bastion+ คือหัวใจของภารกิจในการปลดปล่อยองค์กรจากระบบ remote access แบบเดิม ๆ โดยสร้างโลกที่ความปลอดภัยและประสิทธิภาพสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน

    Bastion+ พร้อมให้ใช้งานแล้ววันนี้ โดยเปิดให้ขอเดโมได้ทันที และถือเป็นครั้งแรกที่ผู้ให้บริการไซเบอร์ซีเคียวริตี้จากฝรั่งเศสสามารถปกป้องการเข้าถึงระยะไกลทั้งหมดได้ภายในแพลตฟอร์มเดียว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Reemo เปิดตัว Bastion+ สำหรับจัดการสิทธิ์เข้าถึงระบบระดับสูงแบบไร้ขีดจำกัด
    ผู้ใช้จะเห็นเฉพาะทรัพยากรที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
    นโยบายความปลอดภัยถูกบังคับใช้อย่างสม่ำเสมอทั่วโลก
    Bastion+ รวม log และ session recordings ไว้ในคอนโซลเดียว
    ช่วยให้ CISO ตรวจสอบและทำ compliance ได้ง่ายขึ้น
    ผสานการทำงานกับแพลตฟอร์ม Reemo ที่มี Remote Desktop, RBI, third-party access และ SI Diffusion Restreinte
    Bastion+ พร้อมให้ใช้งานแล้ว และเปิดให้ขอเดโมได้ทันที
    Reemo เป็นบริษัทไซเบอร์ซีเคียวริตี้จากฝรั่งเศสรายแรกที่รวมการปกป้อง remote access ไว้ในแพลตฟอร์มเดียว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Bastion คือระบบที่ใช้ควบคุมการเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์หรือระบบสำคัญ โดยเฉพาะในองค์กรขนาดใหญ่
    Privileged Access Management (PAM) เป็นหัวใจของการรักษาความปลอดภัยในยุคที่มีการทำงานจากระยะไกล
    การรวม log และ session recordings ช่วยลดเวลาในการตรวจสอบเหตุการณ์ผิดปกติ
    Remote Browser Isolation (RBI) ช่วยป้องกันมัลแวร์จากการใช้งานเว็บโดยแยกการประมวลผลออกจากเครื่องผู้ใช้
    การมีแพลตฟอร์มเดียวที่รวมทุกฟีเจอร์ช่วยลดต้นทุนและความซับซ้อนในการบริหารจัดการ

    https://securityonline.info/reemo-unveils-bastion-a-scalable-solution-for-global-privileged-access-management/
    🛡️ “Reemo เปิดตัว Bastion+ — แพลตฟอร์มจัดการสิทธิ์เข้าถึงระดับสูงแบบไร้ขีดจำกัด เพื่อองค์กรทั่วโลก” Reemo บริษัทไซเบอร์ซีเคียวริตี้จากฝรั่งเศส ประกาศเปิดตัว Bastion+ โซลูชันใหม่สำหรับการจัดการสิทธิ์เข้าถึงระบบ (Privileged Access Management) ที่สามารถขยายการใช้งานได้ทั่วโลกแบบไร้ข้อจำกัด โดยมุ่งเป้าไปที่องค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการความปลอดภัยและความเรียบง่ายในการควบคุมการเข้าถึงระบบสำคัญ Yann Fourré ผู้ร่วมก่อตั้ง Reemo กล่าวว่า “องค์กรไม่ต้องการแค่ bastion อีกตัว แต่ต้องการวิสัยทัศน์ระดับโลกที่เรียบง่ายและปลอดภัยแม้โครงสร้างจะขยายตัว” Bastion+ จึงถูกออกแบบให้ผู้ใช้เห็นเฉพาะทรัพยากรที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น พร้อมบังคับใช้นโยบายความปลอดภัยแบบเดียวกันทุกที่ทั่วโลก Bastion+ รวมการมองเห็น การบันทึก session และ log ทั้งหมดไว้ในคอนโซลเดียว ช่วยให้ผู้บริหารด้านความปลอดภัย (CISO) ตรวจสอบและทำงานด้าน compliance ได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังผสานการทำงานกับแพลตฟอร์ม Reemo ที่มีฟีเจอร์ครบครัน เช่น Remote Desktop, Remote Browser Isolation (RBI), การเข้าถึงของบุคคลภายนอก และระบบข้อมูลจำกัด (SI Diffusion Restreinte) Bertrand Jeannet ซีอีโอของ Reemo กล่าวเสริมว่า Bastion+ คือหัวใจของภารกิจในการปลดปล่อยองค์กรจากระบบ remote access แบบเดิม ๆ โดยสร้างโลกที่ความปลอดภัยและประสิทธิภาพสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน Bastion+ พร้อมให้ใช้งานแล้ววันนี้ โดยเปิดให้ขอเดโมได้ทันที และถือเป็นครั้งแรกที่ผู้ให้บริการไซเบอร์ซีเคียวริตี้จากฝรั่งเศสสามารถปกป้องการเข้าถึงระยะไกลทั้งหมดได้ภายในแพลตฟอร์มเดียว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Reemo เปิดตัว Bastion+ สำหรับจัดการสิทธิ์เข้าถึงระบบระดับสูงแบบไร้ขีดจำกัด ➡️ ผู้ใช้จะเห็นเฉพาะทรัพยากรที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ➡️ นโยบายความปลอดภัยถูกบังคับใช้อย่างสม่ำเสมอทั่วโลก ➡️ Bastion+ รวม log และ session recordings ไว้ในคอนโซลเดียว ➡️ ช่วยให้ CISO ตรวจสอบและทำ compliance ได้ง่ายขึ้น ➡️ ผสานการทำงานกับแพลตฟอร์ม Reemo ที่มี Remote Desktop, RBI, third-party access และ SI Diffusion Restreinte ➡️ Bastion+ พร้อมให้ใช้งานแล้ว และเปิดให้ขอเดโมได้ทันที ➡️ Reemo เป็นบริษัทไซเบอร์ซีเคียวริตี้จากฝรั่งเศสรายแรกที่รวมการปกป้อง remote access ไว้ในแพลตฟอร์มเดียว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Bastion คือระบบที่ใช้ควบคุมการเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์หรือระบบสำคัญ โดยเฉพาะในองค์กรขนาดใหญ่ ➡️ Privileged Access Management (PAM) เป็นหัวใจของการรักษาความปลอดภัยในยุคที่มีการทำงานจากระยะไกล ➡️ การรวม log และ session recordings ช่วยลดเวลาในการตรวจสอบเหตุการณ์ผิดปกติ ➡️ Remote Browser Isolation (RBI) ช่วยป้องกันมัลแวร์จากการใช้งานเว็บโดยแยกการประมวลผลออกจากเครื่องผู้ใช้ ➡️ การมีแพลตฟอร์มเดียวที่รวมทุกฟีเจอร์ช่วยลดต้นทุนและความซับซ้อนในการบริหารจัดการ https://securityonline.info/reemo-unveils-bastion-a-scalable-solution-for-global-privileged-access-management/
    0 Comments 0 Shares 154 Views 0 Reviews
More Results