• “เมื่อคุณน้อยใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์…ให้รู้ว่านั่นคือสัญญาณว่าได้เวลาเป็นผู้ใหญ่ทางใจแล้ว”

    บางครั้ง คนที่ศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์
    ก็เผลอรู้สึกน้อยใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียเอง
    โดยเฉพาะเมื่อไหว้วอนมาก
    แต่สิ่งที่หวัง…กลับยังไม่มาถึงสักที

    > “ทำไมถึงไม่ช่วยกันเลย?”
    “ทำไมปล่อยให้เราลำบากคนเดียว?”
    “เราทำดีขนาดนี้แล้วนะ…”

    เสียงแบบนี้เคยเกิดในใจใครหลายคน
    โดยเฉพาะกับผู้ที่พยายามฝึกตน
    แต่ยังไม่เห็นผลชัด
    ราวกับพยายามเดินเท้าเปล่าในทางหมื่นไมล์
    ที่ไม่มีใครอุ้ม ไม่มีลมส่ง
    ไม่มีปาฏิหาริย์ใดมารับขึ้นรถ

    ---

    แต่ในทางพุทธ…พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้ “น้อยใจท่าน”

    พระองค์ตรัสไว้ชัดว่า

    > “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”
    ไม่ใช่เพื่อปล่อยให้เราต่อสู้อย่างเดียวดาย
    แต่เพื่อเตือนว่า
    “อิสรภาพจากทุกข์ต้องเริ่มที่ใจตนเองก่อน”

    หากคุณเชื่อเรื่องกรรม
    แล้วชีวิตยังไม่ดี
    ให้กลับมาถามใจว่า

    > “เราทำกรรมดีพอหรือยัง?”
    ถ้าสู้เพื่อสิ่งที่หวัง ยังรู้สึกไม่พอใจตัวเอง
    ให้ยอมรับความจริงว่า
    “เรายังไม่ได้ทำเต็มที่พอให้รู้สึกภูมิใจ”
    ไม่ใช่ไปโทษว่า “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ช่วย”

    ---

    แม้แต่นักภาวนาก็เคยน้อยใจพระพุทธเจ้าได้

    แต่คนที่ปฏิบัติทางตรงจริง
    จะเริ่มเห็นว่าแม้ “อารมณ์น้อยใจ”
    ก็เป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น
    แล้ว “ดับไป”
    บนลมหายใจเข้าออกนี่เอง

    และเมื่อจิตมองเห็นความจริงอย่างนี้บ่อยขึ้น
    ก็จะเลิกยึดแม้แต่ความรู้สึกว่าตัวเองน่าสงสาร
    เลิกคาดหวังปาฏิหาริย์
    แล้วตั้งหน้าทำสิ่งที่ควรทำ
    ด้วยความเข้าใจว่าทางพ้นทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่ใครให้ได้
    นอกจากคุณจะสร้างเอง

    ---

    การเป็นผู้ใหญ่ทางใจ…เริ่มต้นเมื่อหยุดน้อยใจ

    หยุดน้อยใจโชคชะตา
    หยุดน้อยใจพระ
    หยุดน้อยใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์

    แล้วเปลี่ยนเป็น

    > “หายใจเข้าให้เต็มที่เพื่อเริ่มต้นใหม่”
    “หายใจออกเพื่อปล่อยทุกข์ที่แบกอยู่ไปทีละชั้น”
    “มองเห็นอารมณ์ แล้วปล่อยให้อารมณ์นั้นไปทางของมัน”

    ---

    บทสรุปของคนที่ไม่รอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาอุ้ม

    > ถ้าคุณยังน้อยใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้
    แสดงว่าคุณยังมองไม่ตรงทาง
    แต่ถ้าคุณมองเห็นแม้ความน้อยใจ
    ก็เป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น…แล้วดับไป
    วันนั้นแหละ คุณจะรู้ว่า
    คุณกำลังปฏิบัติธรรมอยู่ในทางตรงของพุทธศาสนาแล้ว
    “เมื่อคุณน้อยใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์…ให้รู้ว่านั่นคือสัญญาณว่าได้เวลาเป็นผู้ใหญ่ทางใจแล้ว” บางครั้ง คนที่ศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็เผลอรู้สึกน้อยใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียเอง โดยเฉพาะเมื่อไหว้วอนมาก แต่สิ่งที่หวัง…กลับยังไม่มาถึงสักที > “ทำไมถึงไม่ช่วยกันเลย?” “ทำไมปล่อยให้เราลำบากคนเดียว?” “เราทำดีขนาดนี้แล้วนะ…” เสียงแบบนี้เคยเกิดในใจใครหลายคน โดยเฉพาะกับผู้ที่พยายามฝึกตน แต่ยังไม่เห็นผลชัด ราวกับพยายามเดินเท้าเปล่าในทางหมื่นไมล์ ที่ไม่มีใครอุ้ม ไม่มีลมส่ง ไม่มีปาฏิหาริย์ใดมารับขึ้นรถ --- แต่ในทางพุทธ…พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้ “น้อยใจท่าน” พระองค์ตรัสไว้ชัดว่า > “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ไม่ใช่เพื่อปล่อยให้เราต่อสู้อย่างเดียวดาย แต่เพื่อเตือนว่า “อิสรภาพจากทุกข์ต้องเริ่มที่ใจตนเองก่อน” หากคุณเชื่อเรื่องกรรม แล้วชีวิตยังไม่ดี ให้กลับมาถามใจว่า > “เราทำกรรมดีพอหรือยัง?” ถ้าสู้เพื่อสิ่งที่หวัง ยังรู้สึกไม่พอใจตัวเอง ให้ยอมรับความจริงว่า “เรายังไม่ได้ทำเต็มที่พอให้รู้สึกภูมิใจ” ไม่ใช่ไปโทษว่า “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ช่วย” --- แม้แต่นักภาวนาก็เคยน้อยใจพระพุทธเจ้าได้ แต่คนที่ปฏิบัติทางตรงจริง จะเริ่มเห็นว่าแม้ “อารมณ์น้อยใจ” ก็เป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น แล้ว “ดับไป” บนลมหายใจเข้าออกนี่เอง และเมื่อจิตมองเห็นความจริงอย่างนี้บ่อยขึ้น ก็จะเลิกยึดแม้แต่ความรู้สึกว่าตัวเองน่าสงสาร เลิกคาดหวังปาฏิหาริย์ แล้วตั้งหน้าทำสิ่งที่ควรทำ ด้วยความเข้าใจว่าทางพ้นทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่ใครให้ได้ นอกจากคุณจะสร้างเอง --- การเป็นผู้ใหญ่ทางใจ…เริ่มต้นเมื่อหยุดน้อยใจ หยุดน้อยใจโชคชะตา หยุดน้อยใจพระ หยุดน้อยใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วเปลี่ยนเป็น > “หายใจเข้าให้เต็มที่เพื่อเริ่มต้นใหม่” “หายใจออกเพื่อปล่อยทุกข์ที่แบกอยู่ไปทีละชั้น” “มองเห็นอารมณ์ แล้วปล่อยให้อารมณ์นั้นไปทางของมัน” --- บทสรุปของคนที่ไม่รอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาอุ้ม > ถ้าคุณยังน้อยใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ แสดงว่าคุณยังมองไม่ตรงทาง แต่ถ้าคุณมองเห็นแม้ความน้อยใจ ก็เป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น…แล้วดับไป วันนั้นแหละ คุณจะรู้ว่า คุณกำลังปฏิบัติธรรมอยู่ในทางตรงของพุทธศาสนาแล้ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ความฝัน” ด้วยทัศนะทางพุทธศาสนาและกรรมวิบาก ผ่านมุมมองที่ผสมผสานทั้ง จิตวิทยา–กรรม–วิปัสสนา อย่างกลมกลืน

    ---

    1. ความฝันคือ "ภพจำลอง" ที่จิตสร้างขึ้นตามกรรม

    > “ฝัน คือ ภพจำลองขนาดเล็กที่เกิดขึ้นชั่วคราวตามแรงกรรมในใจ”

    ความฝันจึงไม่ใช่เรื่องเหลวไหล

    แต่มันเป็น “กระจกเงา” ที่สะท้อนความรู้สึก ความเชื่อ ความกลัว ความหวัง และ “เงาของกรรม” ที่ยังค้างในจิต

    ใจเป็นอย่างไรในยามตื่น

    > ฝันก็สะท้อน “คลื่นความถี่เดียวกัน” ในยามหลับ
    เช่น ถ้าใจสว่าง ฝันก็สดใส
    ถ้าใจฟุ้ง ฝันก็มึนมัว
    ถ้าใจสั่งสมบาปหรือทุกข์ใจ ฝันก็จะหลงทาง วิ่งหนี ขัดแย้ง วนเวียน

    ---

    2. ความฝันมี “เหตุ” เสมอ และมี “สาระ” ซ่อนอยู่เสมอ

    > “ความฝันคืออัตตาในเงามืด ที่รอให้เราเปิดไฟความเข้าใจไปหา”

    ตัวอย่างการตีความฝันเชิงธรรมะที่มีค่า:

    ฝันหลงทาง = ชีวิตจริงกำลังหลงทิศ

    ฝันทะเลาะคนรัก = มีบาปกรรมที่กำลังกระเพื่อม

    ฝันสอบไม่ทัน = ความรับผิดชอบในชีวิตมีจุดอ่อน

    ฝันผิดศีลบ่อย = จิตยังติดกรรมหรือกิเลสข้อนั้น

    > ฝันบอกจุดอ่อนของจิตได้ตรงกว่าเหตุผลในยามตื่น

    ---

    3. ความฝันกับวิปัสสนา: โอกาสในการรู้จัก “ตัวตน” ที่แท้จริง

    > “เมื่อสังเกตความฝันบ่อยๆ จะรู้ว่า... ตัวละครในฝันทั้งหมด คือตัวคุณเองในมุมที่ยังไม่รู้จัก”

    ฝันช่วยให้เรา “เห็น” สิ่งที่ยังไม่ยอมรับในตน เช่น:

    ความโกรธซ่อนลึก

    ความโลภแฝง

    ความเหงา ความว่างเปล่าที่ไม่กล้ายอมรับ

    และเมื่อฝันบ่อยๆ จะค่อยๆ เห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเอง

    จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง...

    > คุณอาจเห็นความฝัน “ไม่ใช่ของใคร” ไม่ใช่ “ตัวคุณ”
    แต่เป็นเพียง “ภาพชั่วคราวของกรรมที่กำลังสุกงอม”
    แล้วจิตจะเริ่มรู้ว่า “ไม่มีตัวเราที่แท้จริงในฝันเลย”

    ---

    4. ฝึกใช้ความฝันเป็นเครื่องมือภาวนาและพัฒนาจิต

    > ท่าทีแบบพุทธ คือ “สังเกต สะท้อน และไม่ยึดมั่น”

    บางครั้งฝันมาเพื่อเตือนสติ

    บางครั้งฝันมาเพื่อชำระเศษกรรม

    บางครั้งฝันมาทดสอบจิตว่าพร้อมหรือยัง

    ฝันที่ “รู้แจ้งตน” มากที่สุด อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายในระดับลึกสุด

    ดังพระอุสภะที่ฝันแล้วละมานะจนบรรลุธรรม!

    ---

    5. ข้อคิดส่งท้ายจากบทความ

    คุณในฝัน คือ ตัวคุณในเวอร์ชันไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่กรอง ไม่ปรุงแต่ง

    ฝันดีหรือฝันร้าย ไม่ใช่โชคชะตา
    แต่คือภาพจำลองของ “สภาพกรรมในใจ”

    ถ้าคุณกล้าดูฝันโดยไม่กลัว
    มันจะค่อยๆเปิดเผยว่า “ไม่มีอะไรน่ายึด”

    และนั่นคือ “ประตูสู่ความอิสระ” ในทางธรรม

    ---

    สรุปธรรมะสั้น ใช้ต่อยอดเป็นโพสต์หรือบทฝึกภาวนา

    ความฝันคือกระจกเงาของกรรม

    ฝันสะท้อนใจ ฝันเปิดเผยอัตตา

    ฝันบอกคุณว่าคุณกำลังเดินทางไปทางไหน

    ยิ่งฝันบ่อย ยิ่งรู้ว่า “ตัวเราก็แค่คลื่นในฝัน”

    ฝันที่เข้าใจได้ = ใจที่พร้อมปล่อยวาง
    “ความฝัน” ด้วยทัศนะทางพุทธศาสนาและกรรมวิบาก ผ่านมุมมองที่ผสมผสานทั้ง จิตวิทยา–กรรม–วิปัสสนา อย่างกลมกลืน --- 1. ความฝันคือ "ภพจำลอง" ที่จิตสร้างขึ้นตามกรรม > “ฝัน คือ ภพจำลองขนาดเล็กที่เกิดขึ้นชั่วคราวตามแรงกรรมในใจ” ความฝันจึงไม่ใช่เรื่องเหลวไหล แต่มันเป็น “กระจกเงา” ที่สะท้อนความรู้สึก ความเชื่อ ความกลัว ความหวัง และ “เงาของกรรม” ที่ยังค้างในจิต ใจเป็นอย่างไรในยามตื่น > ฝันก็สะท้อน “คลื่นความถี่เดียวกัน” ในยามหลับ เช่น ถ้าใจสว่าง ฝันก็สดใส ถ้าใจฟุ้ง ฝันก็มึนมัว ถ้าใจสั่งสมบาปหรือทุกข์ใจ ฝันก็จะหลงทาง วิ่งหนี ขัดแย้ง วนเวียน --- 2. ความฝันมี “เหตุ” เสมอ และมี “สาระ” ซ่อนอยู่เสมอ > “ความฝันคืออัตตาในเงามืด ที่รอให้เราเปิดไฟความเข้าใจไปหา” ตัวอย่างการตีความฝันเชิงธรรมะที่มีค่า: ฝันหลงทาง = ชีวิตจริงกำลังหลงทิศ ฝันทะเลาะคนรัก = มีบาปกรรมที่กำลังกระเพื่อม ฝันสอบไม่ทัน = ความรับผิดชอบในชีวิตมีจุดอ่อน ฝันผิดศีลบ่อย = จิตยังติดกรรมหรือกิเลสข้อนั้น > ฝันบอกจุดอ่อนของจิตได้ตรงกว่าเหตุผลในยามตื่น --- 3. ความฝันกับวิปัสสนา: โอกาสในการรู้จัก “ตัวตน” ที่แท้จริง > “เมื่อสังเกตความฝันบ่อยๆ จะรู้ว่า... ตัวละครในฝันทั้งหมด คือตัวคุณเองในมุมที่ยังไม่รู้จัก” ฝันช่วยให้เรา “เห็น” สิ่งที่ยังไม่ยอมรับในตน เช่น: ความโกรธซ่อนลึก ความโลภแฝง ความเหงา ความว่างเปล่าที่ไม่กล้ายอมรับ และเมื่อฝันบ่อยๆ จะค่อยๆ เห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเอง จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง... > คุณอาจเห็นความฝัน “ไม่ใช่ของใคร” ไม่ใช่ “ตัวคุณ” แต่เป็นเพียง “ภาพชั่วคราวของกรรมที่กำลังสุกงอม” แล้วจิตจะเริ่มรู้ว่า “ไม่มีตัวเราที่แท้จริงในฝันเลย” --- 4. ฝึกใช้ความฝันเป็นเครื่องมือภาวนาและพัฒนาจิต > ท่าทีแบบพุทธ คือ “สังเกต สะท้อน และไม่ยึดมั่น” บางครั้งฝันมาเพื่อเตือนสติ บางครั้งฝันมาเพื่อชำระเศษกรรม บางครั้งฝันมาทดสอบจิตว่าพร้อมหรือยัง ฝันที่ “รู้แจ้งตน” มากที่สุด อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายในระดับลึกสุด ดังพระอุสภะที่ฝันแล้วละมานะจนบรรลุธรรม! --- 5. ข้อคิดส่งท้ายจากบทความ คุณในฝัน คือ ตัวคุณในเวอร์ชันไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่กรอง ไม่ปรุงแต่ง ฝันดีหรือฝันร้าย ไม่ใช่โชคชะตา แต่คือภาพจำลองของ “สภาพกรรมในใจ” ถ้าคุณกล้าดูฝันโดยไม่กลัว มันจะค่อยๆเปิดเผยว่า “ไม่มีอะไรน่ายึด” และนั่นคือ “ประตูสู่ความอิสระ” ในทางธรรม --- สรุปธรรมะสั้น ใช้ต่อยอดเป็นโพสต์หรือบทฝึกภาวนา ความฝันคือกระจกเงาของกรรม ฝันสะท้อนใจ ฝันเปิดเผยอัตตา ฝันบอกคุณว่าคุณกำลังเดินทางไปทางไหน ยิ่งฝันบ่อย ยิ่งรู้ว่า “ตัวเราก็แค่คลื่นในฝัน” ฝันที่เข้าใจได้ = ใจที่พร้อมปล่อยวาง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 250 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมเด็จหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค จ.นครสวรรค์
    สมเด็จหลวงพ่อพรหมหลังยันต์สิบ เนื้อผงพุทธคุณ วัดช่องแค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ //พระดีพิธีใหญ๋ พระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งเมืองปากน้ำโพ แม้ท่านจะมรณภาพไปแล้ว ศพก็ยังไม่เน่าเปื่อย จึงได้รับการบรรจุไว้ในโลงแก้ว // พระสถาพสวย ผิวหิ้ง หายากกครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณช่วยเสริมดวงเรา เสริมโชคลาภ การเงินการงานความสำเร็จ ปกปักรักษาเราให้แคล้วคลาดจากภยันอันตรายทั้ง 10 ทิศ เมตตามหานิยม ค้าขายดีคล่อง พลิกโชคชะตาแก่ผู้บูชา >>

    ** พระสมเด็จหลังยันต์สิบ หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค วัตถุมงคลที่ได้จัดสร้าง โดยผ่านพิธีปลุกเสกและถูกต้องตามพิธีกรรม มีรายนามพระเกจิคณาจารย์ ร่วมพิธีปลุกเสกในอุโบสถ วัดช่องแค อาทิ หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม จ.กาญจนบุรี, หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง, หลวงพ่อหยอด วัดแก้งเจริญ, หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก, หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ, หลวงพ่อหลิว วัดไร่แตงทอง, หลวงพ่อเป้า วัดถ้ำพรสวรรค์ เป็นต้น >>

    ** พระสถาพสวย ผิวหิ้ง หายากกครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    สมเด็จหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค จ.นครสวรรค์ สมเด็จหลวงพ่อพรหมหลังยันต์สิบ เนื้อผงพุทธคุณ วัดช่องแค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ //พระดีพิธีใหญ๋ พระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งเมืองปากน้ำโพ แม้ท่านจะมรณภาพไปแล้ว ศพก็ยังไม่เน่าเปื่อย จึงได้รับการบรรจุไว้ในโลงแก้ว // พระสถาพสวย ผิวหิ้ง หายากกครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณช่วยเสริมดวงเรา เสริมโชคลาภ การเงินการงานความสำเร็จ ปกปักรักษาเราให้แคล้วคลาดจากภยันอันตรายทั้ง 10 ทิศ เมตตามหานิยม ค้าขายดีคล่อง พลิกโชคชะตาแก่ผู้บูชา >> ** พระสมเด็จหลังยันต์สิบ หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค วัตถุมงคลที่ได้จัดสร้าง โดยผ่านพิธีปลุกเสกและถูกต้องตามพิธีกรรม มีรายนามพระเกจิคณาจารย์ ร่วมพิธีปลุกเสกในอุโบสถ วัดช่องแค อาทิ หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม จ.กาญจนบุรี, หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง, หลวงพ่อหยอด วัดแก้งเจริญ, หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก, หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ, หลวงพ่อหลิว วัดไร่แตงทอง, หลวงพ่อเป้า วัดถ้ำพรสวรรค์ เป็นต้น >> ** พระสถาพสวย ผิวหิ้ง หายากกครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 192 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ความฝัน” ในทัศนะทางพุทธศาสนาและกรรมวิบาก ผ่านมุมมองที่ผสมผสานทั้ง จิตวิทยา–กรรม–วิปัสสนา

    ---

    1. ความฝันคือ "ภพจำลอง" ที่จิตสร้างขึ้นตามกรรม

    > “ฝัน คือ ภพจำลองขนาดเล็กที่เกิดขึ้นชั่วคราวตามแรงกรรมในใจ”

    ความฝันจึงไม่ใช่เรื่องเหลวไหล

    แต่มันเป็น “กระจกเงา” ที่สะท้อนความรู้สึก ความเชื่อ ความกลัว ความหวัง และ “เงาของกรรม” ที่ยังค้างในจิต

    ใจเป็นอย่างไรในยามตื่น

    > ฝันก็สะท้อน “คลื่นความถี่เดียวกัน” ในยามหลับ
    เช่น ถ้าใจสว่าง ฝันก็สดใส
    ถ้าใจฟุ้ง ฝันก็มึนมัว
    ถ้าใจสั่งสมบาปหรือทุกข์ใจ ฝันก็จะหลงทาง วิ่งหนี ขัดแย้ง วนเวียน

    ---

    2. ความฝันมี “เหตุ” เสมอ และมี “สาระ” ซ่อนอยู่เสมอ

    > “ความฝันคืออัตตาในเงามืด ที่รอให้เราเปิดไฟความเข้าใจไปหา”

    ตัวอย่างการตีความฝันเชิงธรรมะที่มีค่า:

    ฝันหลงทาง = ชีวิตจริงกำลังหลงทิศ

    ฝันทะเลาะคนรัก = มีบาปกรรมที่กำลังกระเพื่อม

    ฝันสอบไม่ทัน = ความรับผิดชอบในชีวิตมีจุดอ่อน

    ฝันผิดศีลบ่อย = จิตยังติดกรรมหรือกิเลสข้อนั้น

    > ฝันบอกจุดอ่อนของจิตได้ตรงกว่าเหตุผลในยามตื่น

    ---

    3. ความฝันกับวิปัสสนา: โอกาสในการรู้จัก “ตัวตน” ที่แท้จริง

    > “เมื่อสังเกตความฝันบ่อยๆ จะรู้ว่า... ตัวละครในฝันทั้งหมด คือตัวคุณเองในมุมที่ยังไม่รู้จัก”

    ฝันช่วยให้เรา “เห็น” สิ่งที่ยังไม่ยอมรับในตน เช่น:

    ความโกรธซ่อนลึก

    ความโลภแฝง

    ความเหงา ความว่างเปล่าที่ไม่กล้ายอมรับ

    และเมื่อฝันบ่อยๆ จะค่อยๆ เห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเอง

    จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง...

    > คุณอาจเห็นความฝัน “ไม่ใช่ของใคร” ไม่ใช่ “ตัวคุณ”
    แต่เป็นเพียง “ภาพชั่วคราวของกรรมที่กำลังสุกงอม”
    แล้วจิตจะเริ่มรู้ว่า “ไม่มีตัวเราที่แท้จริงในฝันเลย”

    ---

    4. ฝึกใช้ความฝันเป็นเครื่องมือภาวนาและพัฒนาจิต

    > ท่าทีแบบพุทธ คือ “สังเกต สะท้อน และไม่ยึดมั่น”

    บางครั้งฝันมาเพื่อเตือนสติ

    บางครั้งฝันมาเพื่อชำระเศษกรรม

    บางครั้งฝันมาทดสอบจิตว่าพร้อมหรือยัง

    ฝันที่ “รู้แจ้งตน” มากที่สุด อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายในระดับลึกสุด

    ดังพระอุสภะที่ฝันแล้วละมานะจนบรรลุธรรม!

    ---

    5. ข้อคิดส่งท้ายจากบทความ

    คุณในฝัน คือ ตัวคุณในเวอร์ชันไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่กรอง ไม่ปรุงแต่ง

    ฝันดีหรือฝันร้าย ไม่ใช่โชคชะตา
    แต่คือภาพจำลองของ “สภาพกรรมในใจ”

    ถ้าคุณกล้าดูฝันโดยไม่กลัว
    มันจะค่อยๆเปิดเผยว่า “ไม่มีอะไรน่ายึด”

    และนั่นคือ “ประตูสู่ความอิสระ” ในทางธรรม

    ---

    สรุปธรรมะสั้น ใช้ต่อยอดเป็นโพสต์หรือบทฝึกภาวนา

    ความฝันคือกระจกเงาของกรรม

    ฝันสะท้อนใจ ฝันเปิดเผยอัตตา

    ฝันบอกคุณว่าคุณกำลังเดินทางไปทางไหน

    ยิ่งฝันบ่อย ยิ่งรู้ว่า “ตัวเราก็แค่คลื่นในฝัน”

    ฝันที่เข้าใจได้ = ใจที่พร้อมปล่อยวาง
    “ความฝัน” ในทัศนะทางพุทธศาสนาและกรรมวิบาก ผ่านมุมมองที่ผสมผสานทั้ง จิตวิทยา–กรรม–วิปัสสนา --- 1. ความฝันคือ "ภพจำลอง" ที่จิตสร้างขึ้นตามกรรม > “ฝัน คือ ภพจำลองขนาดเล็กที่เกิดขึ้นชั่วคราวตามแรงกรรมในใจ” ความฝันจึงไม่ใช่เรื่องเหลวไหล แต่มันเป็น “กระจกเงา” ที่สะท้อนความรู้สึก ความเชื่อ ความกลัว ความหวัง และ “เงาของกรรม” ที่ยังค้างในจิต ใจเป็นอย่างไรในยามตื่น > ฝันก็สะท้อน “คลื่นความถี่เดียวกัน” ในยามหลับ เช่น ถ้าใจสว่าง ฝันก็สดใส ถ้าใจฟุ้ง ฝันก็มึนมัว ถ้าใจสั่งสมบาปหรือทุกข์ใจ ฝันก็จะหลงทาง วิ่งหนี ขัดแย้ง วนเวียน --- 2. ความฝันมี “เหตุ” เสมอ และมี “สาระ” ซ่อนอยู่เสมอ > “ความฝันคืออัตตาในเงามืด ที่รอให้เราเปิดไฟความเข้าใจไปหา” ตัวอย่างการตีความฝันเชิงธรรมะที่มีค่า: ฝันหลงทาง = ชีวิตจริงกำลังหลงทิศ ฝันทะเลาะคนรัก = มีบาปกรรมที่กำลังกระเพื่อม ฝันสอบไม่ทัน = ความรับผิดชอบในชีวิตมีจุดอ่อน ฝันผิดศีลบ่อย = จิตยังติดกรรมหรือกิเลสข้อนั้น > ฝันบอกจุดอ่อนของจิตได้ตรงกว่าเหตุผลในยามตื่น --- 3. ความฝันกับวิปัสสนา: โอกาสในการรู้จัก “ตัวตน” ที่แท้จริง > “เมื่อสังเกตความฝันบ่อยๆ จะรู้ว่า... ตัวละครในฝันทั้งหมด คือตัวคุณเองในมุมที่ยังไม่รู้จัก” ฝันช่วยให้เรา “เห็น” สิ่งที่ยังไม่ยอมรับในตน เช่น: ความโกรธซ่อนลึก ความโลภแฝง ความเหงา ความว่างเปล่าที่ไม่กล้ายอมรับ และเมื่อฝันบ่อยๆ จะค่อยๆ เห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเอง จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง... > คุณอาจเห็นความฝัน “ไม่ใช่ของใคร” ไม่ใช่ “ตัวคุณ” แต่เป็นเพียง “ภาพชั่วคราวของกรรมที่กำลังสุกงอม” แล้วจิตจะเริ่มรู้ว่า “ไม่มีตัวเราที่แท้จริงในฝันเลย” --- 4. ฝึกใช้ความฝันเป็นเครื่องมือภาวนาและพัฒนาจิต > ท่าทีแบบพุทธ คือ “สังเกต สะท้อน และไม่ยึดมั่น” บางครั้งฝันมาเพื่อเตือนสติ บางครั้งฝันมาเพื่อชำระเศษกรรม บางครั้งฝันมาทดสอบจิตว่าพร้อมหรือยัง ฝันที่ “รู้แจ้งตน” มากที่สุด อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายในระดับลึกสุด ดังพระอุสภะที่ฝันแล้วละมานะจนบรรลุธรรม! --- 5. ข้อคิดส่งท้ายจากบทความ คุณในฝัน คือ ตัวคุณในเวอร์ชันไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่กรอง ไม่ปรุงแต่ง ฝันดีหรือฝันร้าย ไม่ใช่โชคชะตา แต่คือภาพจำลองของ “สภาพกรรมในใจ” ถ้าคุณกล้าดูฝันโดยไม่กลัว มันจะค่อยๆเปิดเผยว่า “ไม่มีอะไรน่ายึด” และนั่นคือ “ประตูสู่ความอิสระ” ในทางธรรม --- สรุปธรรมะสั้น ใช้ต่อยอดเป็นโพสต์หรือบทฝึกภาวนา ความฝันคือกระจกเงาของกรรม ฝันสะท้อนใจ ฝันเปิดเผยอัตตา ฝันบอกคุณว่าคุณกำลังเดินทางไปทางไหน ยิ่งฝันบ่อย ยิ่งรู้ว่า “ตัวเราก็แค่คลื่นในฝัน” ฝันที่เข้าใจได้ = ใจที่พร้อมปล่อยวาง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 254 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ความอุ่นใจคือเครื่องวัดเส้นทางกรรม”

    1. ความอุ่นใจคือ “เข็มทิศกรรม”

    > “หากเมื่อโตขึ้นแล้ว ความอุ่นใจลดลง แสดงว่ากำลังเดินผิดทาง”
    นี่คือหลักธรรมที่เรียบง่ายแต่วัดผลได้จริง ความอุ่นใจในที่นี้ไม่ได้แปลว่า “สบายใจชั่วคราว” แต่คือ สุขทางใจอันเกิดจากบุญกรรม ที่สั่งสมอยู่ในใจ

    ถ้าอุ่นใจมากขึ้น แปลว่า สะสมกรรมดีเพิ่ม

    ถ้าอุ่นใจน้อยลง แปลว่า ใจเริ่มห่างจากธรรม

    ถ้าอุ่นใจเท่าเดิม แปลว่า เสมอตัว ยังไม่ได้สร้างกุศลใหม่

    > ธรรมะสั้น:
    “ใจอุ่นหรือใจหวิว เป็นใบเสร็จของกรรมปัจจุบัน”

    ---

    2. ใจสว่างคือพลังแห่งอนาคต

    > “หากใจคุณสว่าง อนาคตก็ย่อมสว่าง”
    ธรรมะในประโยคนี้คือการยืนยันว่า อนาคตของเรา ไม่ได้ถูกกำหนดจากโชคชะตา แต่ถูกหล่อหลอมจากภายในใจ

    ใจที่ผูกกับธรรมะ → เบิกบาน มั่นคง

    ใจที่ผูกกับอธรรม → สงสัย สับสน มืดมน

    > ธรรมะสั้น:
    “ใจผูกกับธรรมะมากแค่ไหน ชีวิตก็สว่างมากเท่านั้น”

    ---

    3. ศรัทธาในกรรมวิบาก คือจุดเปลี่ยนของวิถีชีวิต

    บทความย้ำว่า แม้กรรมเก่าอาจยังส่งผลรุนแรง แต่หากเราศรัทธาในกรรมอย่างมั่นคง:

    ไม่ทำกรรมใหม่ซ้ำซ้อน

    ไม่อาฆาตพยาบาท

    ไม่ใจดำตอบโต้

    ผลคือใจจะ “ใส ใจเบา” และอยู่ในภาวะที่ ไม่ถูกยั่วยุให้ทำชั่วง่ายๆ อีกต่อไป

    > ธรรมะสั้น:
    “ศรัทธาในกรรมวิบาก คือยาแก้เจ็บใจที่ลึกที่สุด”

    ---

    4. ความเชื่อมั่นในบุญ เป็น “ทุนใหม่” ที่เสริมแรงชีวิต

    > “ใครจะว่าคุณเข้าข้างตัวเองก็ช่าง… แต่หากคุณได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้า แปลว่าคุณมีทุนเก่าหนากว่าคนอื่นแล้ว”

    นี่คือการเตือนใจให้ หมั่นภาคภูมิในโอกาสอันล้ำค่าที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ภายใต้ร่มพระธรรม

    ไม่ใช่แค่โชคดี… แต่คือ โอกาสในการสร้างบุญใหม่ที่ยิ่งใหญ่

    ความอุ่นใจจากบุญที่ทำ = กำไรทางใจ ที่ไม่มีใครปล้นไปได้

    > ธรรมะสั้น:
    “ศรัทธาในบุญ คือทุนใหม่ที่ทำให้ชีวิตไม่ขาดทุนอีก”

    ---

    5. ทาน ศีล ภาวนา = กองทุนบุญของชีวิต

    บทความปิดท้ายด้วยแก่นของพุทธศาสนา:
    "ทาน ศีล ภาวนา" คือช่องทางในการสร้างกรรมดีที่แน่นอนและมั่นคงที่สุด

    ไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องเสี่ยง ไม่ต้องถามใคร

    เมื่อสะสมมากขึ้น ใจจะอิ่มเอิบจนถึงขั้นที่ ไม่กลัวความตาย ไม่สะท้านต่อความทุกข์

    > ธรรมะสั้น:
    “ผู้สั่งสมบุญย่อมอยู่เป็นสุขแน่นอน”

    ---

    สรุปสาระธรรมแบบใช้ต่อยอดได้ทันที

    ความอุ่นใจ = ใบเสร็จของผลกรรม

    ใจสว่าง = ชีวิตไปในทางเจริญ

    ศรัทธาในกรรม = หลักยึดเมื่อทุกข์ถาโถม

    การได้ฟังธรรม = เครื่องยืนยันว่าเรามีบุญ

    ทาน ศีล ภาวนา = ทางลัดสู่ความสุขทางใจอันแท้จริง
    “ความอุ่นใจคือเครื่องวัดเส้นทางกรรม” 1. ความอุ่นใจคือ “เข็มทิศกรรม” > “หากเมื่อโตขึ้นแล้ว ความอุ่นใจลดลง แสดงว่ากำลังเดินผิดทาง” นี่คือหลักธรรมที่เรียบง่ายแต่วัดผลได้จริง ความอุ่นใจในที่นี้ไม่ได้แปลว่า “สบายใจชั่วคราว” แต่คือ สุขทางใจอันเกิดจากบุญกรรม ที่สั่งสมอยู่ในใจ ถ้าอุ่นใจมากขึ้น แปลว่า สะสมกรรมดีเพิ่ม ถ้าอุ่นใจน้อยลง แปลว่า ใจเริ่มห่างจากธรรม ถ้าอุ่นใจเท่าเดิม แปลว่า เสมอตัว ยังไม่ได้สร้างกุศลใหม่ > ธรรมะสั้น: “ใจอุ่นหรือใจหวิว เป็นใบเสร็จของกรรมปัจจุบัน” --- 2. ใจสว่างคือพลังแห่งอนาคต > “หากใจคุณสว่าง อนาคตก็ย่อมสว่าง” ธรรมะในประโยคนี้คือการยืนยันว่า อนาคตของเรา ไม่ได้ถูกกำหนดจากโชคชะตา แต่ถูกหล่อหลอมจากภายในใจ ใจที่ผูกกับธรรมะ → เบิกบาน มั่นคง ใจที่ผูกกับอธรรม → สงสัย สับสน มืดมน > ธรรมะสั้น: “ใจผูกกับธรรมะมากแค่ไหน ชีวิตก็สว่างมากเท่านั้น” --- 3. ศรัทธาในกรรมวิบาก คือจุดเปลี่ยนของวิถีชีวิต บทความย้ำว่า แม้กรรมเก่าอาจยังส่งผลรุนแรง แต่หากเราศรัทธาในกรรมอย่างมั่นคง: ไม่ทำกรรมใหม่ซ้ำซ้อน ไม่อาฆาตพยาบาท ไม่ใจดำตอบโต้ ผลคือใจจะ “ใส ใจเบา” และอยู่ในภาวะที่ ไม่ถูกยั่วยุให้ทำชั่วง่ายๆ อีกต่อไป > ธรรมะสั้น: “ศรัทธาในกรรมวิบาก คือยาแก้เจ็บใจที่ลึกที่สุด” --- 4. ความเชื่อมั่นในบุญ เป็น “ทุนใหม่” ที่เสริมแรงชีวิต > “ใครจะว่าคุณเข้าข้างตัวเองก็ช่าง… แต่หากคุณได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้า แปลว่าคุณมีทุนเก่าหนากว่าคนอื่นแล้ว” นี่คือการเตือนใจให้ หมั่นภาคภูมิในโอกาสอันล้ำค่าที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ภายใต้ร่มพระธรรม ไม่ใช่แค่โชคดี… แต่คือ โอกาสในการสร้างบุญใหม่ที่ยิ่งใหญ่ ความอุ่นใจจากบุญที่ทำ = กำไรทางใจ ที่ไม่มีใครปล้นไปได้ > ธรรมะสั้น: “ศรัทธาในบุญ คือทุนใหม่ที่ทำให้ชีวิตไม่ขาดทุนอีก” --- 5. ทาน ศีล ภาวนา = กองทุนบุญของชีวิต บทความปิดท้ายด้วยแก่นของพุทธศาสนา: "ทาน ศีล ภาวนา" คือช่องทางในการสร้างกรรมดีที่แน่นอนและมั่นคงที่สุด ไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องเสี่ยง ไม่ต้องถามใคร เมื่อสะสมมากขึ้น ใจจะอิ่มเอิบจนถึงขั้นที่ ไม่กลัวความตาย ไม่สะท้านต่อความทุกข์ > ธรรมะสั้น: “ผู้สั่งสมบุญย่อมอยู่เป็นสุขแน่นอน” --- สรุปสาระธรรมแบบใช้ต่อยอดได้ทันที ความอุ่นใจ = ใบเสร็จของผลกรรม ใจสว่าง = ชีวิตไปในทางเจริญ ศรัทธาในกรรม = หลักยึดเมื่อทุกข์ถาโถม การได้ฟังธรรม = เครื่องยืนยันว่าเรามีบุญ ทาน ศีล ภาวนา = ทางลัดสู่ความสุขทางใจอันแท้จริง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 321 มุมมอง 0 รีวิว
  • **นิยายเรื่อง *The Seven Heirs: Bonds of the Compass*

    ### **Prologue: เงามรณะบนพิธีกรรม
    **สถานที่ : วิหารลับใต้ภูเขาหลวงพระบาง, ลาว**
    **เวลา : 1632 ปีก่อน**

    หมอกควันพิษสีม่วงคลุ้งรอบแท่นบูชาหิน บรรพบุรุษแห่ง 7 ตระกูลยืนเป็นวงกลมรอบ **"ดวงแก้วจตุรภุช"** แสงแก้วสะท้อนภาพหญิงสาวในชุดขาวถูกมัดไว้กลางแท่น—เธอคือ **หยวนเยี่ยน** หญิงร่างวิญญาณอมตะ

    **"เลือดบริสุทธิ์ของเธอจะผนึกคำสาปให้เราชั่วนิรันดร์!"** หัวหน้าตระกูลหลงร้องประกาศ แต่แล้วดวงแก้วก็ระเบิดเป็นแสงวาบวับ ภาพสุดท้ายที่ทุกคนเห็นคือหยวนเยี่ยนยิ้มอย่างเศร้าสร้อย ก่อนวิญญาณทั้งหมดถูกดูดเข้าไปในประตูมิติ...

    ---

    ### **ตอนที่ 1 : เสี้ยวผลึกแก้วแห่งโชคชะตา**
    **สถานที่ : ปักกิ่ง, จีน**
    **เวลา : ปัจจุบัน - 3 วันหลังพิธีล่มสลาย**

    **หลงเหมย** ฝันเห็นแม่ตาบอดส่งเสียงร้องในความมืด เธอตื่นขึ้นมาในห้องแล็บใต้ดินของตระกูลหลง ที่แขนขวาถูกติดตั้งท่อส่งเลือดสีม่วงเชื่อมกับ **หลงเจี้ยน**

    **"เลือดของฉันมีพิษ...พี่จะตายเพราะช่วยฉัน!"** เหมยพยายามดึงสายยางออก
    เจี้ยนจับมือเธอไว้แน่น : **"นี่คือคำขอโทษ...สำหรับเรื่องที่พี่ทำกับหยวนเยี่ยน"**

    บนจอคอมพิวเตอร์ ภาพแผนที่ 7 ทิศเริ่มเชื่อมโยงกัน แสดงตำแหน่ง **"ผอบศิลาทิศเหนือ"** ซ่อนอยู่ใน **ห้องอ่านหนังสือต้องห้าม** ของพระราชวังโบราณ แต่แล้วสัญญาณก็ถูกขัดจังหวะด้วยข้อความจาก **อสรพิษดำ*(blakeMemba)
    *"ม้ามืดคือผู้อยู่เบื้องหลังทุกอย่าง...และเธอไว้ใจเขา!"*

    ---

    ### **ตอนที่ 2 : ดาบสลักรักที่เกียวโต**
    **สถานที่ : ปราสาทนินจาลับ, เกียวโต**
    **เวลา : ฤดูร้อนคืนจันทร์เสี้ยว**

    **ทาเคดะ ฮารุโตะ** ฝึกดาบกับเงาสีแดงที่ปรากฏในกระจก ทุกครั้งที่ฟันถูกต้อง เงาจะกลายเป็นภาพ **ซากุระ** น้องสาวตัวเองที่ถูกแทงกลางใจ

    **"หยุดเล่นละครเสียที!"** ซากุระกระโจนเข้ามาหยุดพี่ชาย พร้อมชูสมุดภาพวาดโบราณที่เพิ่งขโมยมาได้ : **"ดูสิ...ราชปุตกับทาเคดะเคยเป็นพันธมิตร!"**

    ภาพในสมุดแสดงพิธี **"สละสายเลือด"** เมื่อ 500 ปีก่อน หญิงชาวอินเดียในชุดกิโมโนกำลังตัดเส้นเลือดบนแขนสองเด็กชาย—ฮารุโตะจำได้ทันทีว่านั้นคือแม่ของเขา!

    ทันใดนั้น กระจกทุกบานในห้องแตกเป็นเสี่ยงๆ **วีร ราชปุต** ปรากฏตัวพร้อมปืนจ่อมาที่หัวฮารุโตะ :
    *"ยอมแพ้...หรืออยากรู้ความจริงว่าทำไมเลือดเราจึงดึงดูดกัน?"*

    ---

    ### **ตอนที่ 3 : ไฟใต้ธุลีวงเวียน**
    **สถานที่ : ตลาดเครื่องเทศมุมไบ, อินเดีย**
    **เวลา : ตอนเที่ยงวันที่แดดร้อนแรงที่สุด**

    **เดีย วิชายา** ซ่อนตัวอยู่หลังรถบรรทุกเครื่องเทศ ตามหาพยานหลักฐานที่เชื่อมโยง **อานยา** น้องสาวกับองค์กรอสรพิษดำ(blakeMemba) เธอใช้กล้องส่องเห็น **อานยา** กำลังเจาะห้องนิรภัยในตึกระฟ้า

    **"นั่นไม่ใช่น้องฉัน..."** เดียกระซิบด้วยความหวาดหวั่นเมื่อเห็นอานยาฉีดสารสีดำเข้าหลอดเลือดตัวเอง ก่อนที่ร่างเธอจะบิดเบี้ยวเหมือนงูยักษ์

    เดียรีบส่งข้อมูลให้ **อาริ** พี่ชายในบาหลี แต่กลับถูกจับกุมโดย **เหงียนล็อง** สถาปนิกหนุ่มผู้ถือพิมพ์เขียวประหลาด :
    *"คุณคือตัวเชื่อม...แผนที่ทุกอันชี้มาที่คุณ!"*

    ---

    ### **ตอนที่ 4 : ศึกสายฟ้าในสายฝน**
    **สถานที่ : เกาะภูเขาไฟบาหลี, อินโดนีเซีย**
    **เวลา : ขณะภูเขาไฟเริ่มคำรามปะทุ**

    **อาริ วิชายา** ต่อสู้กับปีศาจุตนุคลายเต่าตัวขนาดใหญ่มีเกล็ดแขงปกคลุมทั่วตัวที่หลุดมาจากพิธีกรรมโบราณ เขาใช้มีดกรีดแขนตัวเองให้เลือดไหลลงลาวา :
    *"กินฉันไป...แต่ปล่อยน้องสาวฉันด้วย!"*

    ปีศาจตนุหัวเราะคราง : *"มนุษย์จอมปลอม...เจ้าคือลูกหลานของข้าเอง!"*
    ภาพหลอนแสดงให้อาริเห็นว่า เขาคือทายาทรุ่นที่ 100 ของการผสมพันธุ์ระหว่างมนุษย์กับปีศาจ

    ท่ามกลางความสับสน **เหงียนลาน** ปรากฏตัวพร้อมกระทะไฟ :
    *"ช่วยกันทำอาหารปราบปีศาจศักดิ์สิทธิ์ไหม? สูตรนี้ต้องใช้เลือดคนรักแท้...ซึ่งเราทั้งคู่ไม่มี!"*

    ---

    ### **ตอนที่ 5 : เพลงคำสาปในวงวัตธจักรโคจร**
    **สถานที่ : ห้องสตูดิโอใต้ดินโซล, เกาหลีใต้**
    **เวลา : ตอนเที่ยงคืนตรง**

    **คิมจีอู** กำลังอัดเพลงลับ *"Starlight Requiem"** ในห้องซาวด์พรูฟที่เต็มไปด้วยเครื่องมือแพทย์ **แทฮยอน** นั่งเฝ้าอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่แฮ็กข้อมูลจากดาวเทียม

    **"Oppa...ฉันได้ยินเสียงแม่ในไมโครโฟน"** จีอูสะอื้นขณะเสียงประสานหลอนเริ่มดังขึ้น
    แทฮยอนสแกนคลื่นเสียงแล้วตกใจ : **"นี่ไม่ใช่เสียงแม่...มันเป็นคำสาปจากผลึกดวงแก้ว!"**

    จอคอมพิวเตอร์ระเบิดเป็นไฟสีคราม **อสรพิษดำ**(bmb) บุกเข้ามาพร้อมประกาศ :
    *"เราจะใช้เพลงนี้เปิดประตูมิติ...และนางจะตายในวันที่เสียงเพลงจบลง!"*

    ---

    ### **ตอนที่ 6 : ระบำไฟแห่งอาถรรพณ์**
    **สถานที่ : เรือนแพกลางแม่น้ำเจ้าพระยา, ไทย**
    **เวลา : งานสงกรานต์**

    **ณัฐ ศรีสุวรรณ** ต่อสู้กับนักมวยปริศนาบนสะพานเรือ ทุกหมัดที่ต่อยโดนทำให้เขามองเห็นภาพ **พิมพ์ลดา** น้องสาวกำลังเต้นระบำหน้ากากกลางไฟ

    **"นี่ไม่ใช่การต่อสู้...แต่เป็นการเซ่นสังเวย!"** ณัฐตะโกนขณะรอยสักนาคราชลุกเป็นไฟ
    เขาใช้หมัดสุดท้ายทุบแท่นบูชา จนชิ้นแก้วทิศใต้หลุดออกมา—แต่กลับพบศพ **เดีย วิชายา** ถูกมัดไว้ใต้แท่น!

    พิมพ์ลดาปรากฏตัวในร่างเทพธิดา :
    *"เลือกเถิด...ระหว่างชีวิตนาง กับพลังปราบอสรพิษ?"*

    ---

    ### **ตอนที่ 7 : จุดชนวนอรุณกรรม**
    **สถานที่ : ยอดเขาหลวงพระบาง**
    **เวลา : รุ่งสางวันที่ดวงอาทิตย์อ่อนแสง

    ทุกตระกูลมาบรรจบกันที่ปล่องไฟโบราณ **เหงียนล็อง** ต่อจิ๊กซอว์ชิ้นผลึกแก้วจนสมบูรณ์ แต่กลับพบว่าต้องการ **"เลือดบริสุทธิ์ 7 หยดจากผู้มีรักแท้"**

    - **เจี้ยนกับหยวนเยี่ยน** : แม้เป็นศัตรูแต่เลือดกลับเข้ากัน
    - **ฮารุโตะกับวีร** : พี่น้องต่างมารดาที่เกลียดชังกัน
    - **จีอูกับแทฮยอน** : ความรักพี่น้องที่เกินขอบเขต
    - **ณัฐกับพิมพ์ลดา** : รักที่ถูกสาปให้เป็นสายเลือด
    - **ล็องกับลาน** : ผู้เห็นความฝันร้ายของกันและกัน

    เมื่อเลือดหยดสุดท้ายถูกเติมเต็ม **ประตูมิติวิญญาณ** เปิดออก เผยให้เห็น **หยวนเยี่ยนตัวจริง** ที่ถูกกักขังมานับพันปี :
    *"ขอบคุณ...ที่ทำให้ฉันได้ตายอย่างมนุษย์คนหนึ่งเสียที*

    ---

    ### **Epilogue: สายลมใหม่แห่งเอเชีย**
    **1 ปีต่อมา**
    - **เจี้ยน** เปิดโรงเรียนสอนแพทย์แผนโบราณที่ปักกิ่ง โดยมี **เหมย** เป็นผู้ช่วย
    - **ฮารุโตะกับวีร** ร่วมกันสร้างพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ตระกูลที่เกียวโต
    - **จีอู** กลายเป็นครูสอนดนตรีให้เด็กด้อยโอกาส โดยมี **แทฮยอน** คอยปกป้อง
    - **ณัฐ** สร้างคณะระบำหน้ากากที่ใช้การเต้นรักษาคำสาป
    - **ล็องกับลาน** ค้นพบสูตรอาหารที่ช่วยลบความฝันร้าย

    บนยอดเขาหลวงพระบาง **ดวงแก้วจตุรภุช** ถูกแปรสภาพเป็นอนุสาวรีย์แก้วสีรุ้ง ที่ฐานเขียนไว้ว่า :
    *"ชะตากรรมไม่ใช่สิ่งที่กำหนดไว้...แต่คือสิ่งที่เราเลือกจะเชื่อ"*

    ---

    **Preview ตอนต่อไป :**
    - ความลับสุดท้ายของ "ม้ามืด" ที่แฝงตัวใน 7 ตระกูล
    - การกลับมาของพลังปีศาจตนุในร่างใหม่
    - ความสัมพันธ์ลึกลับระหว่างพิมพ์ลดากับจีอูข้ามชาติภพ...
    **นิยายเรื่อง *The Seven Heirs: Bonds of the Compass* ### **Prologue: เงามรณะบนพิธีกรรม **สถานที่ : วิหารลับใต้ภูเขาหลวงพระบาง, ลาว** **เวลา : 1632 ปีก่อน** หมอกควันพิษสีม่วงคลุ้งรอบแท่นบูชาหิน บรรพบุรุษแห่ง 7 ตระกูลยืนเป็นวงกลมรอบ **"ดวงแก้วจตุรภุช"** แสงแก้วสะท้อนภาพหญิงสาวในชุดขาวถูกมัดไว้กลางแท่น—เธอคือ **หยวนเยี่ยน** หญิงร่างวิญญาณอมตะ **"เลือดบริสุทธิ์ของเธอจะผนึกคำสาปให้เราชั่วนิรันดร์!"** หัวหน้าตระกูลหลงร้องประกาศ แต่แล้วดวงแก้วก็ระเบิดเป็นแสงวาบวับ ภาพสุดท้ายที่ทุกคนเห็นคือหยวนเยี่ยนยิ้มอย่างเศร้าสร้อย ก่อนวิญญาณทั้งหมดถูกดูดเข้าไปในประตูมิติ... --- ### **ตอนที่ 1 : เสี้ยวผลึกแก้วแห่งโชคชะตา** **สถานที่ : ปักกิ่ง, จีน** **เวลา : ปัจจุบัน - 3 วันหลังพิธีล่มสลาย** **หลงเหมย** ฝันเห็นแม่ตาบอดส่งเสียงร้องในความมืด เธอตื่นขึ้นมาในห้องแล็บใต้ดินของตระกูลหลง ที่แขนขวาถูกติดตั้งท่อส่งเลือดสีม่วงเชื่อมกับ **หลงเจี้ยน** **"เลือดของฉันมีพิษ...พี่จะตายเพราะช่วยฉัน!"** เหมยพยายามดึงสายยางออก เจี้ยนจับมือเธอไว้แน่น : **"นี่คือคำขอโทษ...สำหรับเรื่องที่พี่ทำกับหยวนเยี่ยน"** บนจอคอมพิวเตอร์ ภาพแผนที่ 7 ทิศเริ่มเชื่อมโยงกัน แสดงตำแหน่ง **"ผอบศิลาทิศเหนือ"** ซ่อนอยู่ใน **ห้องอ่านหนังสือต้องห้าม** ของพระราชวังโบราณ แต่แล้วสัญญาณก็ถูกขัดจังหวะด้วยข้อความจาก **อสรพิษดำ*(blakeMemba) *"ม้ามืดคือผู้อยู่เบื้องหลังทุกอย่าง...และเธอไว้ใจเขา!"* --- ### **ตอนที่ 2 : ดาบสลักรักที่เกียวโต** **สถานที่ : ปราสาทนินจาลับ, เกียวโต** **เวลา : ฤดูร้อนคืนจันทร์เสี้ยว** **ทาเคดะ ฮารุโตะ** ฝึกดาบกับเงาสีแดงที่ปรากฏในกระจก ทุกครั้งที่ฟันถูกต้อง เงาจะกลายเป็นภาพ **ซากุระ** น้องสาวตัวเองที่ถูกแทงกลางใจ **"หยุดเล่นละครเสียที!"** ซากุระกระโจนเข้ามาหยุดพี่ชาย พร้อมชูสมุดภาพวาดโบราณที่เพิ่งขโมยมาได้ : **"ดูสิ...ราชปุตกับทาเคดะเคยเป็นพันธมิตร!"** ภาพในสมุดแสดงพิธี **"สละสายเลือด"** เมื่อ 500 ปีก่อน หญิงชาวอินเดียในชุดกิโมโนกำลังตัดเส้นเลือดบนแขนสองเด็กชาย—ฮารุโตะจำได้ทันทีว่านั้นคือแม่ของเขา! ทันใดนั้น กระจกทุกบานในห้องแตกเป็นเสี่ยงๆ **วีร ราชปุต** ปรากฏตัวพร้อมปืนจ่อมาที่หัวฮารุโตะ : *"ยอมแพ้...หรืออยากรู้ความจริงว่าทำไมเลือดเราจึงดึงดูดกัน?"* --- ### **ตอนที่ 3 : ไฟใต้ธุลีวงเวียน** **สถานที่ : ตลาดเครื่องเทศมุมไบ, อินเดีย** **เวลา : ตอนเที่ยงวันที่แดดร้อนแรงที่สุด** **เดีย วิชายา** ซ่อนตัวอยู่หลังรถบรรทุกเครื่องเทศ ตามหาพยานหลักฐานที่เชื่อมโยง **อานยา** น้องสาวกับองค์กรอสรพิษดำ(blakeMemba) เธอใช้กล้องส่องเห็น **อานยา** กำลังเจาะห้องนิรภัยในตึกระฟ้า **"นั่นไม่ใช่น้องฉัน..."** เดียกระซิบด้วยความหวาดหวั่นเมื่อเห็นอานยาฉีดสารสีดำเข้าหลอดเลือดตัวเอง ก่อนที่ร่างเธอจะบิดเบี้ยวเหมือนงูยักษ์ เดียรีบส่งข้อมูลให้ **อาริ** พี่ชายในบาหลี แต่กลับถูกจับกุมโดย **เหงียนล็อง** สถาปนิกหนุ่มผู้ถือพิมพ์เขียวประหลาด : *"คุณคือตัวเชื่อม...แผนที่ทุกอันชี้มาที่คุณ!"* --- ### **ตอนที่ 4 : ศึกสายฟ้าในสายฝน** **สถานที่ : เกาะภูเขาไฟบาหลี, อินโดนีเซีย** **เวลา : ขณะภูเขาไฟเริ่มคำรามปะทุ** **อาริ วิชายา** ต่อสู้กับปีศาจุตนุคลายเต่าตัวขนาดใหญ่มีเกล็ดแขงปกคลุมทั่วตัวที่หลุดมาจากพิธีกรรมโบราณ เขาใช้มีดกรีดแขนตัวเองให้เลือดไหลลงลาวา : *"กินฉันไป...แต่ปล่อยน้องสาวฉันด้วย!"* ปีศาจตนุหัวเราะคราง : *"มนุษย์จอมปลอม...เจ้าคือลูกหลานของข้าเอง!"* ภาพหลอนแสดงให้อาริเห็นว่า เขาคือทายาทรุ่นที่ 100 ของการผสมพันธุ์ระหว่างมนุษย์กับปีศาจ ท่ามกลางความสับสน **เหงียนลาน** ปรากฏตัวพร้อมกระทะไฟ : *"ช่วยกันทำอาหารปราบปีศาจศักดิ์สิทธิ์ไหม? สูตรนี้ต้องใช้เลือดคนรักแท้...ซึ่งเราทั้งคู่ไม่มี!"* --- ### **ตอนที่ 5 : เพลงคำสาปในวงวัตธจักรโคจร** **สถานที่ : ห้องสตูดิโอใต้ดินโซล, เกาหลีใต้** **เวลา : ตอนเที่ยงคืนตรง** **คิมจีอู** กำลังอัดเพลงลับ *"Starlight Requiem"** ในห้องซาวด์พรูฟที่เต็มไปด้วยเครื่องมือแพทย์ **แทฮยอน** นั่งเฝ้าอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่แฮ็กข้อมูลจากดาวเทียม **"Oppa...ฉันได้ยินเสียงแม่ในไมโครโฟน"** จีอูสะอื้นขณะเสียงประสานหลอนเริ่มดังขึ้น แทฮยอนสแกนคลื่นเสียงแล้วตกใจ : **"นี่ไม่ใช่เสียงแม่...มันเป็นคำสาปจากผลึกดวงแก้ว!"** จอคอมพิวเตอร์ระเบิดเป็นไฟสีคราม **อสรพิษดำ**(bmb) บุกเข้ามาพร้อมประกาศ : *"เราจะใช้เพลงนี้เปิดประตูมิติ...และนางจะตายในวันที่เสียงเพลงจบลง!"* --- ### **ตอนที่ 6 : ระบำไฟแห่งอาถรรพณ์** **สถานที่ : เรือนแพกลางแม่น้ำเจ้าพระยา, ไทย** **เวลา : งานสงกรานต์** **ณัฐ ศรีสุวรรณ** ต่อสู้กับนักมวยปริศนาบนสะพานเรือ ทุกหมัดที่ต่อยโดนทำให้เขามองเห็นภาพ **พิมพ์ลดา** น้องสาวกำลังเต้นระบำหน้ากากกลางไฟ **"นี่ไม่ใช่การต่อสู้...แต่เป็นการเซ่นสังเวย!"** ณัฐตะโกนขณะรอยสักนาคราชลุกเป็นไฟ เขาใช้หมัดสุดท้ายทุบแท่นบูชา จนชิ้นแก้วทิศใต้หลุดออกมา—แต่กลับพบศพ **เดีย วิชายา** ถูกมัดไว้ใต้แท่น! พิมพ์ลดาปรากฏตัวในร่างเทพธิดา : *"เลือกเถิด...ระหว่างชีวิตนาง กับพลังปราบอสรพิษ?"* --- ### **ตอนที่ 7 : จุดชนวนอรุณกรรม** **สถานที่ : ยอดเขาหลวงพระบาง** **เวลา : รุ่งสางวันที่ดวงอาทิตย์อ่อนแสง ทุกตระกูลมาบรรจบกันที่ปล่องไฟโบราณ **เหงียนล็อง** ต่อจิ๊กซอว์ชิ้นผลึกแก้วจนสมบูรณ์ แต่กลับพบว่าต้องการ **"เลือดบริสุทธิ์ 7 หยดจากผู้มีรักแท้"** - **เจี้ยนกับหยวนเยี่ยน** : แม้เป็นศัตรูแต่เลือดกลับเข้ากัน - **ฮารุโตะกับวีร** : พี่น้องต่างมารดาที่เกลียดชังกัน - **จีอูกับแทฮยอน** : ความรักพี่น้องที่เกินขอบเขต - **ณัฐกับพิมพ์ลดา** : รักที่ถูกสาปให้เป็นสายเลือด - **ล็องกับลาน** : ผู้เห็นความฝันร้ายของกันและกัน เมื่อเลือดหยดสุดท้ายถูกเติมเต็ม **ประตูมิติวิญญาณ** เปิดออก เผยให้เห็น **หยวนเยี่ยนตัวจริง** ที่ถูกกักขังมานับพันปี : *"ขอบคุณ...ที่ทำให้ฉันได้ตายอย่างมนุษย์คนหนึ่งเสียที* --- ### **Epilogue: สายลมใหม่แห่งเอเชีย** **1 ปีต่อมา** - **เจี้ยน** เปิดโรงเรียนสอนแพทย์แผนโบราณที่ปักกิ่ง โดยมี **เหมย** เป็นผู้ช่วย - **ฮารุโตะกับวีร** ร่วมกันสร้างพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ตระกูลที่เกียวโต - **จีอู** กลายเป็นครูสอนดนตรีให้เด็กด้อยโอกาส โดยมี **แทฮยอน** คอยปกป้อง - **ณัฐ** สร้างคณะระบำหน้ากากที่ใช้การเต้นรักษาคำสาป - **ล็องกับลาน** ค้นพบสูตรอาหารที่ช่วยลบความฝันร้าย บนยอดเขาหลวงพระบาง **ดวงแก้วจตุรภุช** ถูกแปรสภาพเป็นอนุสาวรีย์แก้วสีรุ้ง ที่ฐานเขียนไว้ว่า : *"ชะตากรรมไม่ใช่สิ่งที่กำหนดไว้...แต่คือสิ่งที่เราเลือกจะเชื่อ"* --- **Preview ตอนต่อไป :** - ความลับสุดท้ายของ "ม้ามืด" ที่แฝงตัวใน 7 ตระกูล - การกลับมาของพลังปีศาจตนุในร่างใหม่ - ความสัมพันธ์ลึกลับระหว่างพิมพ์ลดากับจีอูข้ามชาติภพ...
    Yay
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 728 มุมมอง 0 รีวิว
  • วรรณกรรมประเภทหนึ่งที่ตอนนี้มีเยอะมากโดยเฉพาะจากฝั่งตะวันออก (จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลี) แต่ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไร คือเรื่องแนวฟีลกู๊ดประเภทสถานที่เยียวยาจิตใจ ไม่ใช่เพราะผมเป็นพวกจิตใจหยาบกระด้างหรือชอบเสพแต่ความดาร์กและความสยอง แต่เพราะผมมองว่าตัวเองพอดักทางได้ว่าเรื่องพวกนั้นมี "สาร" อย่างไร ต้องการสอนผู้อ่านอย่างไร ทั้งนี้ก็จะมีบางเรื่องที่เป็นข้อยกเว้น หนึ่งในนั้นคือคาเฟ่ของแม่หมอมานูล

    'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' โดย อัตสึกิ โอโตะ เป็นนิยายแบบที่ผมคงไม่สนใจในแวบแรก ถ้าไม่ใช่เพราะโดนล่อตาล่อใจจากของแถมที่ทาง สนพ. บอกว่ามีเฉพาะในรอบพิมพ์ครั้งแรกเท่านั้น นั่นคือ ไพ่ทาโรต์ขนาดเล็ก ๆ 5 ใบที่เป็นภาพคุณมานูล แมวหมอดูตัวเอกประจำเรื่อง ข้อนี้เลยเป็นตัวแปรสำคัญให้ผมเปิดใจรับหนังสือเล่มนี้มาบรรจุเข้าชั้นที่บ้าน

    ไหน ๆ ก็พูดถึงหนังสือเล่มนี้แล้ว ผมก็เห็นว่ามันควรค่าแก่การรีวิวในแบบของไพ่เราเผาเรื่อง แต่รอบนี้จะต่างจากครั้งอื่น ๆ ตรงที่ผมจะไม่ใช้ไพ่ทาโรต์หรือไพ่พยากรณ์สำรับใด ๆ ในคลัง แต่จะใช้ไพ่แถม 5 ใบที่มากับหนังสือเล่มนี้เป็นเครื่องมือประกอบการ "เผาเรื่อง" โดยสับไพ่แล้วสุ่มหยิบตามลำดับ

    ขอเชิญรับชม #ไพ่เราเผาหนังสือ 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' ด้วยไพ่แถมสุดน่ารักทั้ง 5 ใบ ได้ ณ บัดนี้ครับ

    ----------

    "เรื่องจบในตอนพร้อมข้อคิดดี ๆ"
    🃏The Sun + 🃏The World

    ในไพ่ทาโรต์ 78 ใบ The Sun เป็นไพ่ที่ความหมายดีรอบด้านในอันดับต้น ๆ แต่ไพ่ใบนี้ยังสื่อถึง "ความจริง" และ "ข้อคิดที่เป็นประโยชน์" ได้ด้วย ส่วน The World ในฐานะไพ่ใบสุดท้ายของไพ่ชุดหลัก (Major Arcana) จึงมักสื่อความถึง "จุดสิ้นสุด" และ "ความสมบูรณ์" แต่มันไม่ใช่การตัดจบแบบบริบูรณ์หรือ Happily Ever After ทว่าเป็นการจบลงของบทหนึ่งเพื่อที่จะเข้าสู่บทถัดไป

    'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' มีลักษณะการเขียนแบบที่มักเจอใน Fiction ประเภทสถานที่ที่ช่วยให้ผู้คนได้ฮีลใจ นั่นคือเป็นนวนิยายแบบเนื้อเรื่องจบในตอน (Episodic novel) โดยแต่ละตอนมักจะมีข้อคิดจรรโลงใจหรือมุมมองที่น่าสนใจแตกต่างกัน บางครั้งต่างตอนก็มีสารหรือข้อคิดสำหรับคนต่างกลุ่มต่างจำพวก

    หนังสือเล่มนี้ประกอบด้วยเนื้อเรื่อง 5 บท แต่ละบทสามารถอ่านแยกในฐานะเรื่องสั้นที่จบสมบูรณ์ในตัวเองได้ แต่ตอนหลัง ๆ ก็จะมีรายละเอียดบางอย่างที่ต่อเนื่องจากตอนก่อน ๆ ตัวละครดำเนินเรื่องในแต่ละตอนมีช่วงอายุ บทบาท และปัญหาคาใจแตกต่างกัน มีทั้งเด็กมัธยมที่หาทาง fit in ในสังคมห้องเรียน อินฟลูเอนเซอร์สาว ซิงเกิลมัม ไปจนถึงวัยกลางคนที่กำลังสับสนกับทิศทางชีวิตและหน้าที่การงานของตัวเอง จากนั้นโชคชะตาหรือพล็อตเรื่องก็จะพาตัวละครไปเจอกับคุณมานูลและคาเฟมาร์เนิล

    คุณมานูล ศูนย์กลางของเรื่อง เดิมเคยเป็นมนุษย์ชื่อ คาวาตานิ ไอซาวะ แต่ด้วยสาเหตุบางอย่าง นางเลือก 'ลาออก' จากการเป็นมนุษย์ มาอยู่ในร่างของแมวมานูล (Manul) หรืออีกชื่อคือแมวพัลลาส (Pallas's cat) และรับดูดวงด้วยสารพัดวิธี ไม่ว่าจะใช้ไพ่ ลูกแก้ว หรือเครื่องเสี่ยงเซียมซีรูเลตต์ พร้อมทั้งเปิดคาเฟ่ร่วมกับคนที่น่าจะเป็นสามีและลูกสาว (ส่วนชื่อคาเฟ่ ทำไมถึงชื่อ "มาร์เนิล" แทนที่จะเป็น "มานูล" ตรงนี้ในหนังสือมีอธิบายไว้ แต่สั้น ๆ คือเป็นมุกที่เล่นกับตัวเขียนญี่ปุ่นแบบคาตาคานะ ซึ่งต้องขอชื่นชมผู้แปลที่พยายามเรียบเรียงเป็นไทยให้ใกล้เคียงโดยไม่เสียอรรถรสของต้นฉบับ)

    เนื้อเรื่องแต่ละตอนดำเนินไปอย่างค่อนข้างเป็นสูตรสำเร็จ เริ่มจากแนะนำตัวละครและชีวิตประจำวันที่เจ้าตัวไม่พึงพอใจเท่าไร จากนั้นตัวละครก็จะได้เจอคุณมานูลช่วยทำนายดวงชะตาพร้อมทั้งให้คำแนะนำแบบคร่าว ๆ เพื่อพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น ซึ่งตัวละครจะทำตามและอะไร ๆ ก็ดูจะดีขึ้นจริง ๆ แต่แล้วก็จะมีเหตุสักอย่างให้ชีวิตตัวละครกลับไปเป็นแบบตอนต้นเรื่องหรือเผลอ ๆ เหมือนจะดูแย่ลง และทำให้ตัวละครได้รับการชี้แนะจากคุณมานูลเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งคราวนี้เรื่องก็จะดูจบตอนแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ชวนให้นึกถึงโดราเอมอนแแบบอนิเมะในทีวีที่ฉายเป็นตอน ๆ หรือการ์ตูนต่อสู้อย่างเซเลอร์มูนช่วงแรก ๆ ที่จะมีตัวร้ายประจำสัปดาห์ (Monster of the week) มาให้ตัวเอกปราบ

    นิยายประเภทสถานที่ฮีลใจมักมีตัวละครประจำตอนที่แแตกต่างกันทั้งช่วงอายุและอาชีพ เพื่อจะได้เป็นตัวแทนของคนอ่านในกลุ่มต่าง ๆ นิยายเล่มนี้ก็เช่นกัน ทั้ง 5 ตอนมีตัวละครตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยกลางคน ซึ่งก็น่าจะเป็นกลุ่มคนที่ผู้เขียนคคาดหวังว่าจะรวมอยู่ในหมู่คนอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วย และถึงแม้ปัญหาที่ตัวละครในเรื่องเผชิญอาจไม่ตรงกับเรื่องที่คนอ่านในช่วงวัยเดียวกันเจอในชีวิตจริงทั้งหมด แต่ข้อคิดและคำแนะนำจากคุณมานููลในแต่ละตอนก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เช่นกัน

    ----------

    "เยียวยาจิตใจในสถานที่ที่มอบความสุข"
    🃏The Star + 🃏Ten of Cups

    The Star คือดวงดาว จึงเป็นไพ่ตัวแทนหลายสิ่งหลายอย่างที่คนเรามักเชื่อมโยงกับดาว ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง ความโด่งดัง หรือความหวัง แต่มันก็มีอีกความหมายหนึ่ง นั่นคือ "การเยียวยา" ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ส่วนไพ่ 10 ถ้วย โดยทั่วไปมักหมายถึงบ้านหรือครอบครัว แต่บางกรณีก็สื่อถึง "ความสุขอย่างเต็มเปี่ยม" โดยเป็นความสุขที่มาจากกลุ่มคนที่อยู่กันสนิทชิดเชื้อเหมือนเป็นครอบครัว (แบบใน "แฟ้มเมอะหลี่" ของพี่ดอม ทอร์เรตโต แห่งซีรีส์ Fast & Furious) หรือจากาสถานที่มีผู้พร้อมจะส่งมอบความสุขให้ผู้อื่น

    คาเฟ่มาร์เนิลของคุณมานูลลงล็อกพอดีกับคำจำกัดความของสถานที่แบบที่ว่า แต่ก็อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ข้างบน ๆ นิยายเรื่องนี้ผลิตซ้ำ Trope ของสถานที่ที่ให้ความช่วยเหลือผู้คนในการแก้ปัญหาและเยียวยาจิตใจ ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังนิยมกันในวงการวรรณกรรมฝั่งเอเชียตะวันออก แต่ละเรื่องอาจมีสถานที่ต่างกันไป บางเรื่องเป็นคาเฟ่ บางเรื่องเป็นร้านเบเกอรี่ บ้างเรื่องเป็นร้านหนังสือหรือห้องสมุด แต่ทุกเรื่องจบลงที่ตัวละครซึ่งไปเยือนสถานที่นั้น ๆ ได้เยียวยาบาดแผลหรือปมปัญหาในใจ หรือได้ปลดล็อกอะไรสักอย่างที่ติดค้างอยู่

    น่าสังเกตอย่างหนึ่งว่า ในชีวิตจริงซึ่งไม่ได้มีมนตร์วิเศษอยู่ (อย่างน้อยก็ในแบบที่มักเกิลอย่างเรา ๆ จับต้องและพิสูจน์ได้) คนเราก็มีสถานที่สำหรับเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำและแตกร้าว นอกจากกลับบ้านไปหาครอบครัวแล้ว ที่อื่นที่คนมักไปเพื่อฮีลใจตัวเอง เช่น คาเฟ่ ซุ้มหมอดู (หรือบางคนก็ทักไปหาหมอดูทางออนไลน์) และที่ใดก็ตามที่มีแมวอยู่ กล่าวอีกอย่างคือ คาเฟ่ การดูดวง และแมว คือ Top 3 แห่งเครื่องเยียวยาจิตใจของมนุษย์ในปัจจุบัน (ซึ่งจะเรียกว่าเป็นยุคทุนนิยมหรือยุคโพสต์โมเดิร์นก็ตามแต่)

    และสามอย่างที่ว่านี้ นอกจากในนิยายซีรีส์ "ร้านกาแฟจันทร์เต็มดวง" แล้ว ก็มีคุณมานูลในนิยายเรื่องนี้ที่รวมทุกอย่างไว้ในตัว เหมือนผู้เขียนจงใจ หรือไม่ก็สร้างไว้ให้คนอ่านที่ชอบ Overanalyze ได้สังเกตและทึกทักเอา

    ----------

    "โชคชะตาไม่สำคัญเมื่อเธอนั้นกลายเป็นแมว"
    🃏Wheel of Fortune

    ไพ่วงล้อแห่งโชคชะตาเป็นใบหนึ่งที่ท้าทายสกิลการอ่านและตีความไพ่ของผู้อ่านไพ่มากที่สุด บางบริบท มันสื่อถึงการที่โชคชะตากำลังดำเนินไปในทางที่ดีขึ้น แต่ถ้าช่วงนั้นดวงกกำลังดี ๆ อยู่ มันก็อาจเป็นคำเตือนในระวังถึงขาลงของชีวิตที่ส่อแววมาแต่ไกล โดยรวมแล้ว ไพ่ใบนี้สื่อถึง "โชคชะตา" ในภาพรวม ซึ่งโดยตัวมันเองไม่มีดีหรือร้าย แต่ที่เรามองว่าดีหรือร้ายก็เพราะเรามองจากมุมมองของตัวเรา ถ้าเรามองเรื่องที่เกิดกับคนอื่น หรือมองตัวเองอย่างเป็นภววิสัย เราก็คงมองว่าททุกอย่างเป็นเรื่องของธรรมชาติ เดี๋ยวมีดี เดี๋ยวมีร้าย ไม่แน่ไม่นอน เผลอ ๆ คาดเดาไม่ได้ (หากเราเชื่อตาม Chaos Theory) และด้วยเหตุนี้ ไพ่ใบนี้จึงหมายรวมถึงการพยากรณ์ การดูดวง หรือการตรวจสอบดวงชะตาเช่นกัน

    ไม่รู้มีใครเป็นเหมือนผมไหม ตอนเห็นชื่อหนังสือฉบับแปลไทยครั้งแรก ก็คิดว่าคุณมานูลน่าจะเป็นตัวละครประเภทกวน ๆ ที่ทำนายดวงตรงมั่งมั่วมั่ง (แต่สุดท้ายก็ช่วยให้ตัวละครในแต่ละตอนได้มีความสุขอยู่ดี ตามแนวทางของนิยายฮีลใจแบบนี้) แต่พอได้อ่านจริงก็พบว่านางเป็นคาแรกเตอร์ประเภทกวน ๆ จริง กวนแบบน่ารัก ๆ ชนิดที่เชื่อว่าทุกคนน่าจะอยากมีเพื่อนสนิทแบบนี้สักคนสองคน ทว่าสิ่งที่ดูเหมือนจะหายไปคือการทำนายแบบมั่ว ๆ เพราะเท่าที่อ่านเจอในเรื่อง คุณมานูลไม่เคยทำนายดวงชะตาให้ตัวละครไหนแบบมั่ว ๆ เลย อย่างมากคือทำนายแบบส่งเดช พอให้เห็นว่ามีการใช้อุปกรณ์ทำนาย (อันนี้พูดในฐานะคนที่ทุกวันนี้รายรอบด้วยคนในวงการนักพยากรณ์ และเคยเจอหมอดูที่ทำนายแบบมั่วซั่วมาจนมากเกินจะนับด้วยนิ้วมือรวมนิ้วเท้าได้) อันที่จริงชื่อต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นของนิยายเรื่องนี้แปลตรงตัวแค่ว่า "คุณมานูลผู้ลาออกจากการเป็นมนุษย์จะทำนายดวงชะตาให้คุณ" ด้วยซ้ำ

    อย่างไรก็ตาม คุณมานูลตลอดทั้งเรื่องจะเล่นอีกบทบาทหนึ่ง ซึ่งเป็นบทบาทที่หมอดูทุกศาสตร์ทุกแขนงควรเป็นในตัว (ถ้ายังไม่เป็นก็ควรฝึกตัวเองให้เป็น หรือไป take course เสียโดยด่วน โปรดรู้ว่าสังคมทุกวันนี้กำลังต้องการมาก) นั่นคือการเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านจิตใจและสังคม เนื้อเรื่องไม่เคยฟันธงว่าคุณมานูลดูดวงเป็นจริง ๆ หรือไม่ แต่เรื่องแสดงให้เห็นว่านางดูคนเป็น เข้าใจว่าแต่ละคนกำลังขาดหรือล้นเกินในเรื่องอะไร ซึ่งก็น่าจะเป็นทักษะที่ติดตัวมาตั้งแต่สมัยนางยังเป็นมนุษย์ และจากตรงนี้ นางจึงให้คำแนะนำแบบแมว ๆ ให้แต่ละตัวละครรับไปหาทางแก้ปัญหาของตัวเองอย่างตรงจุด

    เนื้อเรื่องไม่ได้บอกว่าเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้คุณไอซาวะลาออกจากการเป็นมนุษย์แล้วผันตัวมาเป็นแมวมานูล แต่เมื่อดูจากคำใบ้ในแต่ละตอน (โดยเฉพาะตอนสุดท้าย) ผมมองว่านางคงเบื่อชีวิตมนุษย์ที่วัน ๆ ได้แต่ไหลไปตามสิ่งรอบข้างอย่างกระแสสังคม ความควาดหวังและแรงกดดันจากคนรอบข้าง (ซึ่งไป ๆ มา ๆ ก็กลายเป็นสิ่งที่เรารับมากระทำกับตัวเราเอง) ตลอดจนการยอมจำนนต่อ "โชคชะตา" เดี๋ยวดวงดี เดี๋ยวดวงซวย ช่วงนี้ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อหลีกเลี่ยงกาลกิณี ฯลฯ

    ในเมื่อมีแต่มนุษย์ที่ปวดหัววุ่นวายกับเรื่องเหล่านี้ แต่แมวใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องนำพาต่อสิ่งเหล่านี้ นางก็เลยเลิกเป็นมนุษย์แล้วเป็นแมวซะดื้อ ๆ แต่ครั้นจะเป็นแมวพันธุ์ธรรมดา ๆ พื้น ๆ ก็ไม่เอา เลยขอเป็นพันธุ์หายากอย่างแมวมานูล และพอเป็นแมวแล้ว นางเลยสามารถมองเรื่องราววุ่น ๆ ของมนุษย์ได้อย่างเป็นกลาง พร้อมทั้งให้คำแนะนำแบบชิล ๆ แต่ตรงประเด็นได้

    ถึงแม้นิยายเรื่องนี้จะขึ้นชื่อว่ามีหมอดูอยู่ แต่เนื้อเรื่องแทบไม่เกี่ยวกับการทำนายดวงชะตา (จริง ๆ) เลย กลับกัน มันแนะแนววิธีการใช้ชีวิตแบบไม่แคร์ดวง เหมือนที่แมวไม่แคร์วิถีชีวิตของมนุษย์ แต่พร้อมกันนั้น มันก็ให้คำแนะนำที่ดีอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นหมอดูและอยากเป็นหมอดูครับ

    ----------

    Final Verdict: 🃏The Sun + 🃏The World + 🃏The Star + 🃏Ten of Cups + 🃏Wheel of Fortune

    'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' จะช่วยให้คุณเข้าใจความจริงว่า ต่อให้โลกนี้จะหมุนไปและชีวิตนำพาอะไรมาให้คุณ แต่คุณก็สามารถเฉิดฉายในแบบของตัวเองและมีความสุขทุกวันได้ ขอแค่คุณปล่อยจอยกับชีวิต คิดเสียว่าลาออกจากการมนุษย์แล้วทำตัวเหมือนเป็นแมวเสีย เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้แค่เวลาจำกัด แล้วทำไม เราต้องปล่อยให้เรื่องชั่วประเดี๋ยวประด๋าว (เมื่อเทียบกับเวลาของจักรวาล) มาขัดจังหวะการเก็บเกี่ยวความสุขในแต่ละวันของเราด้วย จริงไหม?

    🃏🃏🃏🃏🃏
    แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่งคาเฟมาร์เนิล (2025)
    • แปลจาก: 人間やめたマヌルさんが、あなたの人生占います (2023)
    • ผู้เขียน: ฮัตสึกิ โอโตะ
    • ผู้แปล: วิลาสินี จงสถิตวัฒนา
    • สำนักพิมพ์: Lumi (ในเครือนานมีบุ๊คส์)
    ไพ่ที่ใช้: ไพ่ทาโรต์แถมพิเศษเฉพาะฉบับพิมพ์ครั้งแรกของนิยายเรื่องนี้
    วรรณกรรมประเภทหนึ่งที่ตอนนี้มีเยอะมากโดยเฉพาะจากฝั่งตะวันออก (จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลี) แต่ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไร คือเรื่องแนวฟีลกู๊ดประเภทสถานที่เยียวยาจิตใจ ไม่ใช่เพราะผมเป็นพวกจิตใจหยาบกระด้างหรือชอบเสพแต่ความดาร์กและความสยอง แต่เพราะผมมองว่าตัวเองพอดักทางได้ว่าเรื่องพวกนั้นมี "สาร" อย่างไร ต้องการสอนผู้อ่านอย่างไร ทั้งนี้ก็จะมีบางเรื่องที่เป็นข้อยกเว้น หนึ่งในนั้นคือคาเฟ่ของแม่หมอมานูล 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' โดย อัตสึกิ โอโตะ เป็นนิยายแบบที่ผมคงไม่สนใจในแวบแรก ถ้าไม่ใช่เพราะโดนล่อตาล่อใจจากของแถมที่ทาง สนพ. บอกว่ามีเฉพาะในรอบพิมพ์ครั้งแรกเท่านั้น นั่นคือ ไพ่ทาโรต์ขนาดเล็ก ๆ 5 ใบที่เป็นภาพคุณมานูล แมวหมอดูตัวเอกประจำเรื่อง ข้อนี้เลยเป็นตัวแปรสำคัญให้ผมเปิดใจรับหนังสือเล่มนี้มาบรรจุเข้าชั้นที่บ้าน ไหน ๆ ก็พูดถึงหนังสือเล่มนี้แล้ว ผมก็เห็นว่ามันควรค่าแก่การรีวิวในแบบของไพ่เราเผาเรื่อง แต่รอบนี้จะต่างจากครั้งอื่น ๆ ตรงที่ผมจะไม่ใช้ไพ่ทาโรต์หรือไพ่พยากรณ์สำรับใด ๆ ในคลัง แต่จะใช้ไพ่แถม 5 ใบที่มากับหนังสือเล่มนี้เป็นเครื่องมือประกอบการ "เผาเรื่อง" โดยสับไพ่แล้วสุ่มหยิบตามลำดับ ขอเชิญรับชม #ไพ่เราเผาหนังสือ 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' ด้วยไพ่แถมสุดน่ารักทั้ง 5 ใบ ได้ ณ บัดนี้ครับ ---------- "เรื่องจบในตอนพร้อมข้อคิดดี ๆ" 🃏The Sun + 🃏The World ในไพ่ทาโรต์ 78 ใบ The Sun เป็นไพ่ที่ความหมายดีรอบด้านในอันดับต้น ๆ แต่ไพ่ใบนี้ยังสื่อถึง "ความจริง" และ "ข้อคิดที่เป็นประโยชน์" ได้ด้วย ส่วน The World ในฐานะไพ่ใบสุดท้ายของไพ่ชุดหลัก (Major Arcana) จึงมักสื่อความถึง "จุดสิ้นสุด" และ "ความสมบูรณ์" แต่มันไม่ใช่การตัดจบแบบบริบูรณ์หรือ Happily Ever After ทว่าเป็นการจบลงของบทหนึ่งเพื่อที่จะเข้าสู่บทถัดไป 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' มีลักษณะการเขียนแบบที่มักเจอใน Fiction ประเภทสถานที่ที่ช่วยให้ผู้คนได้ฮีลใจ นั่นคือเป็นนวนิยายแบบเนื้อเรื่องจบในตอน (Episodic novel) โดยแต่ละตอนมักจะมีข้อคิดจรรโลงใจหรือมุมมองที่น่าสนใจแตกต่างกัน บางครั้งต่างตอนก็มีสารหรือข้อคิดสำหรับคนต่างกลุ่มต่างจำพวก หนังสือเล่มนี้ประกอบด้วยเนื้อเรื่อง 5 บท แต่ละบทสามารถอ่านแยกในฐานะเรื่องสั้นที่จบสมบูรณ์ในตัวเองได้ แต่ตอนหลัง ๆ ก็จะมีรายละเอียดบางอย่างที่ต่อเนื่องจากตอนก่อน ๆ ตัวละครดำเนินเรื่องในแต่ละตอนมีช่วงอายุ บทบาท และปัญหาคาใจแตกต่างกัน มีทั้งเด็กมัธยมที่หาทาง fit in ในสังคมห้องเรียน อินฟลูเอนเซอร์สาว ซิงเกิลมัม ไปจนถึงวัยกลางคนที่กำลังสับสนกับทิศทางชีวิตและหน้าที่การงานของตัวเอง จากนั้นโชคชะตาหรือพล็อตเรื่องก็จะพาตัวละครไปเจอกับคุณมานูลและคาเฟมาร์เนิล คุณมานูล ศูนย์กลางของเรื่อง เดิมเคยเป็นมนุษย์ชื่อ คาวาตานิ ไอซาวะ แต่ด้วยสาเหตุบางอย่าง นางเลือก 'ลาออก' จากการเป็นมนุษย์ มาอยู่ในร่างของแมวมานูล (Manul) หรืออีกชื่อคือแมวพัลลาส (Pallas's cat) และรับดูดวงด้วยสารพัดวิธี ไม่ว่าจะใช้ไพ่ ลูกแก้ว หรือเครื่องเสี่ยงเซียมซีรูเลตต์ พร้อมทั้งเปิดคาเฟ่ร่วมกับคนที่น่าจะเป็นสามีและลูกสาว (ส่วนชื่อคาเฟ่ ทำไมถึงชื่อ "มาร์เนิล" แทนที่จะเป็น "มานูล" ตรงนี้ในหนังสือมีอธิบายไว้ แต่สั้น ๆ คือเป็นมุกที่เล่นกับตัวเขียนญี่ปุ่นแบบคาตาคานะ ซึ่งต้องขอชื่นชมผู้แปลที่พยายามเรียบเรียงเป็นไทยให้ใกล้เคียงโดยไม่เสียอรรถรสของต้นฉบับ) เนื้อเรื่องแต่ละตอนดำเนินไปอย่างค่อนข้างเป็นสูตรสำเร็จ เริ่มจากแนะนำตัวละครและชีวิตประจำวันที่เจ้าตัวไม่พึงพอใจเท่าไร จากนั้นตัวละครก็จะได้เจอคุณมานูลช่วยทำนายดวงชะตาพร้อมทั้งให้คำแนะนำแบบคร่าว ๆ เพื่อพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น ซึ่งตัวละครจะทำตามและอะไร ๆ ก็ดูจะดีขึ้นจริง ๆ แต่แล้วก็จะมีเหตุสักอย่างให้ชีวิตตัวละครกลับไปเป็นแบบตอนต้นเรื่องหรือเผลอ ๆ เหมือนจะดูแย่ลง และทำให้ตัวละครได้รับการชี้แนะจากคุณมานูลเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งคราวนี้เรื่องก็จะดูจบตอนแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ชวนให้นึกถึงโดราเอมอนแแบบอนิเมะในทีวีที่ฉายเป็นตอน ๆ หรือการ์ตูนต่อสู้อย่างเซเลอร์มูนช่วงแรก ๆ ที่จะมีตัวร้ายประจำสัปดาห์ (Monster of the week) มาให้ตัวเอกปราบ นิยายประเภทสถานที่ฮีลใจมักมีตัวละครประจำตอนที่แแตกต่างกันทั้งช่วงอายุและอาชีพ เพื่อจะได้เป็นตัวแทนของคนอ่านในกลุ่มต่าง ๆ นิยายเล่มนี้ก็เช่นกัน ทั้ง 5 ตอนมีตัวละครตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยกลางคน ซึ่งก็น่าจะเป็นกลุ่มคนที่ผู้เขียนคคาดหวังว่าจะรวมอยู่ในหมู่คนอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วย และถึงแม้ปัญหาที่ตัวละครในเรื่องเผชิญอาจไม่ตรงกับเรื่องที่คนอ่านในช่วงวัยเดียวกันเจอในชีวิตจริงทั้งหมด แต่ข้อคิดและคำแนะนำจากคุณมานููลในแต่ละตอนก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เช่นกัน ---------- "เยียวยาจิตใจในสถานที่ที่มอบความสุข" 🃏The Star + 🃏Ten of Cups The Star คือดวงดาว จึงเป็นไพ่ตัวแทนหลายสิ่งหลายอย่างที่คนเรามักเชื่อมโยงกับดาว ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง ความโด่งดัง หรือความหวัง แต่มันก็มีอีกความหมายหนึ่ง นั่นคือ "การเยียวยา" ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ส่วนไพ่ 10 ถ้วย โดยทั่วไปมักหมายถึงบ้านหรือครอบครัว แต่บางกรณีก็สื่อถึง "ความสุขอย่างเต็มเปี่ยม" โดยเป็นความสุขที่มาจากกลุ่มคนที่อยู่กันสนิทชิดเชื้อเหมือนเป็นครอบครัว (แบบใน "แฟ้มเมอะหลี่" ของพี่ดอม ทอร์เรตโต แห่งซีรีส์ Fast & Furious) หรือจากาสถานที่มีผู้พร้อมจะส่งมอบความสุขให้ผู้อื่น คาเฟ่มาร์เนิลของคุณมานูลลงล็อกพอดีกับคำจำกัดความของสถานที่แบบที่ว่า แต่ก็อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ข้างบน ๆ นิยายเรื่องนี้ผลิตซ้ำ Trope ของสถานที่ที่ให้ความช่วยเหลือผู้คนในการแก้ปัญหาและเยียวยาจิตใจ ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังนิยมกันในวงการวรรณกรรมฝั่งเอเชียตะวันออก แต่ละเรื่องอาจมีสถานที่ต่างกันไป บางเรื่องเป็นคาเฟ่ บางเรื่องเป็นร้านเบเกอรี่ บ้างเรื่องเป็นร้านหนังสือหรือห้องสมุด แต่ทุกเรื่องจบลงที่ตัวละครซึ่งไปเยือนสถานที่นั้น ๆ ได้เยียวยาบาดแผลหรือปมปัญหาในใจ หรือได้ปลดล็อกอะไรสักอย่างที่ติดค้างอยู่ น่าสังเกตอย่างหนึ่งว่า ในชีวิตจริงซึ่งไม่ได้มีมนตร์วิเศษอยู่ (อย่างน้อยก็ในแบบที่มักเกิลอย่างเรา ๆ จับต้องและพิสูจน์ได้) คนเราก็มีสถานที่สำหรับเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำและแตกร้าว นอกจากกลับบ้านไปหาครอบครัวแล้ว ที่อื่นที่คนมักไปเพื่อฮีลใจตัวเอง เช่น คาเฟ่ ซุ้มหมอดู (หรือบางคนก็ทักไปหาหมอดูทางออนไลน์) และที่ใดก็ตามที่มีแมวอยู่ กล่าวอีกอย่างคือ คาเฟ่ การดูดวง และแมว คือ Top 3 แห่งเครื่องเยียวยาจิตใจของมนุษย์ในปัจจุบัน (ซึ่งจะเรียกว่าเป็นยุคทุนนิยมหรือยุคโพสต์โมเดิร์นก็ตามแต่) และสามอย่างที่ว่านี้ นอกจากในนิยายซีรีส์ "ร้านกาแฟจันทร์เต็มดวง" แล้ว ก็มีคุณมานูลในนิยายเรื่องนี้ที่รวมทุกอย่างไว้ในตัว เหมือนผู้เขียนจงใจ หรือไม่ก็สร้างไว้ให้คนอ่านที่ชอบ Overanalyze ได้สังเกตและทึกทักเอา ---------- "โชคชะตาไม่สำคัญเมื่อเธอนั้นกลายเป็นแมว" 🃏Wheel of Fortune ไพ่วงล้อแห่งโชคชะตาเป็นใบหนึ่งที่ท้าทายสกิลการอ่านและตีความไพ่ของผู้อ่านไพ่มากที่สุด บางบริบท มันสื่อถึงการที่โชคชะตากำลังดำเนินไปในทางที่ดีขึ้น แต่ถ้าช่วงนั้นดวงกกำลังดี ๆ อยู่ มันก็อาจเป็นคำเตือนในระวังถึงขาลงของชีวิตที่ส่อแววมาแต่ไกล โดยรวมแล้ว ไพ่ใบนี้สื่อถึง "โชคชะตา" ในภาพรวม ซึ่งโดยตัวมันเองไม่มีดีหรือร้าย แต่ที่เรามองว่าดีหรือร้ายก็เพราะเรามองจากมุมมองของตัวเรา ถ้าเรามองเรื่องที่เกิดกับคนอื่น หรือมองตัวเองอย่างเป็นภววิสัย เราก็คงมองว่าททุกอย่างเป็นเรื่องของธรรมชาติ เดี๋ยวมีดี เดี๋ยวมีร้าย ไม่แน่ไม่นอน เผลอ ๆ คาดเดาไม่ได้ (หากเราเชื่อตาม Chaos Theory) และด้วยเหตุนี้ ไพ่ใบนี้จึงหมายรวมถึงการพยากรณ์ การดูดวง หรือการตรวจสอบดวงชะตาเช่นกัน ไม่รู้มีใครเป็นเหมือนผมไหม ตอนเห็นชื่อหนังสือฉบับแปลไทยครั้งแรก ก็คิดว่าคุณมานูลน่าจะเป็นตัวละครประเภทกวน ๆ ที่ทำนายดวงตรงมั่งมั่วมั่ง (แต่สุดท้ายก็ช่วยให้ตัวละครในแต่ละตอนได้มีความสุขอยู่ดี ตามแนวทางของนิยายฮีลใจแบบนี้) แต่พอได้อ่านจริงก็พบว่านางเป็นคาแรกเตอร์ประเภทกวน ๆ จริง กวนแบบน่ารัก ๆ ชนิดที่เชื่อว่าทุกคนน่าจะอยากมีเพื่อนสนิทแบบนี้สักคนสองคน ทว่าสิ่งที่ดูเหมือนจะหายไปคือการทำนายแบบมั่ว ๆ เพราะเท่าที่อ่านเจอในเรื่อง คุณมานูลไม่เคยทำนายดวงชะตาให้ตัวละครไหนแบบมั่ว ๆ เลย อย่างมากคือทำนายแบบส่งเดช พอให้เห็นว่ามีการใช้อุปกรณ์ทำนาย (อันนี้พูดในฐานะคนที่ทุกวันนี้รายรอบด้วยคนในวงการนักพยากรณ์ และเคยเจอหมอดูที่ทำนายแบบมั่วซั่วมาจนมากเกินจะนับด้วยนิ้วมือรวมนิ้วเท้าได้) อันที่จริงชื่อต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นของนิยายเรื่องนี้แปลตรงตัวแค่ว่า "คุณมานูลผู้ลาออกจากการเป็นมนุษย์จะทำนายดวงชะตาให้คุณ" ด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม คุณมานูลตลอดทั้งเรื่องจะเล่นอีกบทบาทหนึ่ง ซึ่งเป็นบทบาทที่หมอดูทุกศาสตร์ทุกแขนงควรเป็นในตัว (ถ้ายังไม่เป็นก็ควรฝึกตัวเองให้เป็น หรือไป take course เสียโดยด่วน โปรดรู้ว่าสังคมทุกวันนี้กำลังต้องการมาก) นั่นคือการเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านจิตใจและสังคม เนื้อเรื่องไม่เคยฟันธงว่าคุณมานูลดูดวงเป็นจริง ๆ หรือไม่ แต่เรื่องแสดงให้เห็นว่านางดูคนเป็น เข้าใจว่าแต่ละคนกำลังขาดหรือล้นเกินในเรื่องอะไร ซึ่งก็น่าจะเป็นทักษะที่ติดตัวมาตั้งแต่สมัยนางยังเป็นมนุษย์ และจากตรงนี้ นางจึงให้คำแนะนำแบบแมว ๆ ให้แต่ละตัวละครรับไปหาทางแก้ปัญหาของตัวเองอย่างตรงจุด เนื้อเรื่องไม่ได้บอกว่าเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้คุณไอซาวะลาออกจากการเป็นมนุษย์แล้วผันตัวมาเป็นแมวมานูล แต่เมื่อดูจากคำใบ้ในแต่ละตอน (โดยเฉพาะตอนสุดท้าย) ผมมองว่านางคงเบื่อชีวิตมนุษย์ที่วัน ๆ ได้แต่ไหลไปตามสิ่งรอบข้างอย่างกระแสสังคม ความควาดหวังและแรงกดดันจากคนรอบข้าง (ซึ่งไป ๆ มา ๆ ก็กลายเป็นสิ่งที่เรารับมากระทำกับตัวเราเอง) ตลอดจนการยอมจำนนต่อ "โชคชะตา" เดี๋ยวดวงดี เดี๋ยวดวงซวย ช่วงนี้ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อหลีกเลี่ยงกาลกิณี ฯลฯ ในเมื่อมีแต่มนุษย์ที่ปวดหัววุ่นวายกับเรื่องเหล่านี้ แต่แมวใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องนำพาต่อสิ่งเหล่านี้ นางก็เลยเลิกเป็นมนุษย์แล้วเป็นแมวซะดื้อ ๆ แต่ครั้นจะเป็นแมวพันธุ์ธรรมดา ๆ พื้น ๆ ก็ไม่เอา เลยขอเป็นพันธุ์หายากอย่างแมวมานูล และพอเป็นแมวแล้ว นางเลยสามารถมองเรื่องราววุ่น ๆ ของมนุษย์ได้อย่างเป็นกลาง พร้อมทั้งให้คำแนะนำแบบชิล ๆ แต่ตรงประเด็นได้ ถึงแม้นิยายเรื่องนี้จะขึ้นชื่อว่ามีหมอดูอยู่ แต่เนื้อเรื่องแทบไม่เกี่ยวกับการทำนายดวงชะตา (จริง ๆ) เลย กลับกัน มันแนะแนววิธีการใช้ชีวิตแบบไม่แคร์ดวง เหมือนที่แมวไม่แคร์วิถีชีวิตของมนุษย์ แต่พร้อมกันนั้น มันก็ให้คำแนะนำที่ดีอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นหมอดูและอยากเป็นหมอดูครับ ---------- Final Verdict: 🃏The Sun + 🃏The World + 🃏The Star + 🃏Ten of Cups + 🃏Wheel of Fortune 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' จะช่วยให้คุณเข้าใจความจริงว่า ต่อให้โลกนี้จะหมุนไปและชีวิตนำพาอะไรมาให้คุณ แต่คุณก็สามารถเฉิดฉายในแบบของตัวเองและมีความสุขทุกวันได้ ขอแค่คุณปล่อยจอยกับชีวิต คิดเสียว่าลาออกจากการมนุษย์แล้วทำตัวเหมือนเป็นแมวเสีย เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้แค่เวลาจำกัด แล้วทำไม เราต้องปล่อยให้เรื่องชั่วประเดี๋ยวประด๋าว (เมื่อเทียบกับเวลาของจักรวาล) มาขัดจังหวะการเก็บเกี่ยวความสุขในแต่ละวันของเราด้วย จริงไหม? 🃏🃏🃏🃏🃏 แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่งคาเฟมาร์เนิล (2025) • แปลจาก: 人間やめたマヌルさんが、あなたの人生占います (2023) • ผู้เขียน: ฮัตสึกิ โอโตะ • ผู้แปล: วิลาสินี จงสถิตวัฒนา • สำนักพิมพ์: Lumi (ในเครือนานมีบุ๊คส์) ไพ่ที่ใช้: ไพ่ทาโรต์แถมพิเศษเฉพาะฉบับพิมพ์ครั้งแรกของนิยายเรื่องนี้
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 710 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📌 เข้าใจชีวิต = ใช้โอกาสให้เป็นประโยชน์


    ---

    🔍 1️⃣ ทำไมเราจึงไม่เข้าใจชีวิตได้ง่ายๆ?

    ✅ ชีวิตที่เป็นอยู่ = ผลของสิ่งที่เคยทำ
    ✅ เกิดกับพ่อแม่แบบนี้ อยู่ในสังคมแบบนี้ = ผลจากกรรมเก่า

    📌 ปัญหาคือ
    ❌ อดีตชาติลืมไปหมด
    ❌ จำได้แค่บางอย่างในปัจจุบัน
    ❌ ยังไม่รู้แน่ชัดว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร

    💡 "แต่เรามีอำนาจเปลี่ยนแปลงปัจจุบันและสร้างอนาคตที่ดีได้"


    ---

    🔍 2️⃣ ทำไมชีวิตบางคนถึงดีขึ้น บางคนถึงจมปลัก?

    ✅ ชีวิตที่ดีขึ้น = สะสม บุญใหม่ (ทาน, ศีล, เจริญสติ)
    ❌ ชีวิตที่จมปลัก = ตอกย้ำความทุกข์ สร้าง อกุศลกรรมใหม่

    📌 "ชีวิตเป็นไปตามที่คิดและกระทำ"
    🔹 ถ้าสะสมกุศล → ชีวิตเปลี่ยนดีขึ้นแน่นอน
    🔹 ถ้าสะสมอกุศล → ชีวิตย่ำแย่ลงโดยไม่ต้องรอให้ใครทำร้าย

    💡 "สุข-ทุกข์ ไม่ได้มาจากโชคชะตา แต่มาจากการกระทำของเราเอง"


    ---

    🔍 3️⃣ บุญ 3 อย่าง ที่เปลี่ยนชีวิตได้แน่นอน

    1️⃣ ให้ทาน = ลดโลภ

    📌 สละออก = ได้รับกลับมาในรูปแบบดีขึ้น
    📌 ใครให้ทานสม่ำเสมอ = จิตเบา มีโอกาสดีๆเข้ามาในชีวิต

    2️⃣ รักษาศีล = ลดโทสะ

    📌 ศีลช่วยควบคุมไม่ให้ทำร้ายตัวเองและผู้อื่น
    📌 ศีลทำให้ใจสงบ ไม่ต้องกลัวผลกรรม

    3️⃣ เจริญสติ = ลดโมหะ

    📌 สติช่วยให้ไม่หลงผิด ไม่ตัดสินใจพลาด
    📌 เห็นความจริงของชีวิตว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้

    💡 "ทาน + ศีล + สติ = เปลี่ยนชีวิตทั้งระบบ"


    ---

    🔍 4️⃣ คนที่พลาดโอกาสในชีวิต คิดอย่างไร?

    ❌ คิดว่าชีวิตไม่มีวันดีขึ้น
    ❌ พยายามแล้ว ไม่มีอะไรเปลี่ยน
    ❌ โทษฟ้า โทษดิน โทษคนอื่น
    ❌ มองศาสนาเป็นเรื่องลวงโลก

    📌 "สุดท้ายคนแบบนี้เงยหน้าไม่ขึ้น หลงทางทั้งชีวิต"

    💡 "ชีวิตคือโอกาส ไม่ใช่โทษ"
    💡 "ถ้าไม่ใช้โอกาสที่มีให้ดี จะเสียใจภายหลัง"


    ---

    🔍 5️⃣ สรุป : ถ้าอยากเปลี่ยนชีวิต ต้องเริ่มทำอะไร?

    ✅ หยุดคิดลบ หยุดตอกย้ำความทุกข์
    ✅ เริ่มให้ทาน แม้เพียงเล็กน้อย
    ✅ เริ่มรักษาศีล ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
    ✅ เริ่มเจริญสติ เห็นความจริงของชีวิต
    ✅ เชื่อมั่นว่า “ทุกอย่างดีขึ้นได้” ถ้าทำกรรมใหม่ให้ถูกต้อง

    📌 "อดีตเปลี่ยนไม่ได้ แต่ปัจจุบันและอนาคตอยู่ในมือเรา!" 💙

    📌 เข้าใจชีวิต = ใช้โอกาสให้เป็นประโยชน์ --- 🔍 1️⃣ ทำไมเราจึงไม่เข้าใจชีวิตได้ง่ายๆ? ✅ ชีวิตที่เป็นอยู่ = ผลของสิ่งที่เคยทำ ✅ เกิดกับพ่อแม่แบบนี้ อยู่ในสังคมแบบนี้ = ผลจากกรรมเก่า 📌 ปัญหาคือ ❌ อดีตชาติลืมไปหมด ❌ จำได้แค่บางอย่างในปัจจุบัน ❌ ยังไม่รู้แน่ชัดว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร 💡 "แต่เรามีอำนาจเปลี่ยนแปลงปัจจุบันและสร้างอนาคตที่ดีได้" --- 🔍 2️⃣ ทำไมชีวิตบางคนถึงดีขึ้น บางคนถึงจมปลัก? ✅ ชีวิตที่ดีขึ้น = สะสม บุญใหม่ (ทาน, ศีล, เจริญสติ) ❌ ชีวิตที่จมปลัก = ตอกย้ำความทุกข์ สร้าง อกุศลกรรมใหม่ 📌 "ชีวิตเป็นไปตามที่คิดและกระทำ" 🔹 ถ้าสะสมกุศล → ชีวิตเปลี่ยนดีขึ้นแน่นอน 🔹 ถ้าสะสมอกุศล → ชีวิตย่ำแย่ลงโดยไม่ต้องรอให้ใครทำร้าย 💡 "สุข-ทุกข์ ไม่ได้มาจากโชคชะตา แต่มาจากการกระทำของเราเอง" --- 🔍 3️⃣ บุญ 3 อย่าง ที่เปลี่ยนชีวิตได้แน่นอน 1️⃣ ให้ทาน = ลดโลภ 📌 สละออก = ได้รับกลับมาในรูปแบบดีขึ้น 📌 ใครให้ทานสม่ำเสมอ = จิตเบา มีโอกาสดีๆเข้ามาในชีวิต 2️⃣ รักษาศีล = ลดโทสะ 📌 ศีลช่วยควบคุมไม่ให้ทำร้ายตัวเองและผู้อื่น 📌 ศีลทำให้ใจสงบ ไม่ต้องกลัวผลกรรม 3️⃣ เจริญสติ = ลดโมหะ 📌 สติช่วยให้ไม่หลงผิด ไม่ตัดสินใจพลาด 📌 เห็นความจริงของชีวิตว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้ 💡 "ทาน + ศีล + สติ = เปลี่ยนชีวิตทั้งระบบ" --- 🔍 4️⃣ คนที่พลาดโอกาสในชีวิต คิดอย่างไร? ❌ คิดว่าชีวิตไม่มีวันดีขึ้น ❌ พยายามแล้ว ไม่มีอะไรเปลี่ยน ❌ โทษฟ้า โทษดิน โทษคนอื่น ❌ มองศาสนาเป็นเรื่องลวงโลก 📌 "สุดท้ายคนแบบนี้เงยหน้าไม่ขึ้น หลงทางทั้งชีวิต" 💡 "ชีวิตคือโอกาส ไม่ใช่โทษ" 💡 "ถ้าไม่ใช้โอกาสที่มีให้ดี จะเสียใจภายหลัง" --- 🔍 5️⃣ สรุป : ถ้าอยากเปลี่ยนชีวิต ต้องเริ่มทำอะไร? ✅ หยุดคิดลบ หยุดตอกย้ำความทุกข์ ✅ เริ่มให้ทาน แม้เพียงเล็กน้อย ✅ เริ่มรักษาศีล ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ✅ เริ่มเจริญสติ เห็นความจริงของชีวิต ✅ เชื่อมั่นว่า “ทุกอย่างดีขึ้นได้” ถ้าทำกรรมใหม่ให้ถูกต้อง 📌 "อดีตเปลี่ยนไม่ได้ แต่ปัจจุบันและอนาคตอยู่ในมือเรา!" 💙
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 445 มุมมอง 0 รีวิว
  • 56 ปี สิ้น “อิศรา อมันตกุล” นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก
    ตำนานนักหนังสือพิมพ์ผู้กล้า ✊ สู่ต้นแบบนักสื่อสารมวลชนไทย

    รัฐจับขัง 5 ปี ไม่มีสั่งฟ้อง! แต่หัวใจนักข่าวไม่เคยสิ้นไฟ

    📌 ถ้าพูดถึงตำนานนักข่าวไทย ชื่อ “อิศรา อมันตกุล” คงเป็นหนึ่งในบุคคล ที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด เพราะคือผู้ที่ไม่เพียงแต่เป็น นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก แต่ยังเป็นนักข่าว นักเขียน และนักต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน ตัวจริงเสียงจริง วั

    💥 ย้อนไปในอดีตเมื่อ 56 ปี ที่ผ่านมา เพื่อรำลึกถึงชายผู้พลิกโฉม วงการสื่อสารมวลชนไทย อย่างแท้จริง "อาจไม่ใช่คนดังในโลกออนไลน์ แต่ในยุคที่ปากกาคืออาวุธ อิศราคือหนึ่งในนักรบผู้ยิ่งใหญ่"

    “อิศรา อมันตกุล” นักหนังสือพิมพ์ที่ชีวิตจริงยิ่งกว่านวนิยาย
    🗓 เกิดวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2464
    🏠 เชื้อสายมุสลิมอินเดีย จากครอบครัวมูฮัมหมัดซาเลย์ อะมัน และวัน อมรทัต
    🎓 จบชั้นประถมจากโรงเรียนบำรุงวิทยา จ.นครปฐม และชั้นมัธยมจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ปี 2479 คะแนนภาษาอังกฤษอันดับ 1 ของประเทศ

    ชีวิตอิศราไม่ใช่เส้นตรง เริ่มจากครูสอนหนังสือในนครศรีธรรมราช ก่อนที่โชคชะตาจะพากลับสู่เส้นทางของ “นักข่าว”

    นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก บทบาทที่สร้างมาตรฐานวิชาชีพสื่อไทย ในปี พ.ศ. 2499 อิศราได้รับเลือกให้เป็น นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก และดำรงตำแหน่งต่อเนื่อง 3 สมัย (2499 - 2501)

    💡 ผลงานสำคัญ เปลี่ยนรูปแบบการจัดหน้าหนังสือพิมพ์จาก 7 คอลัมน์เป็น 8 คอลัมน์ วางรากฐานจรรยาบรรณนักข่าวไทย 🌱 ปกป้องสิทธิเสรีภาพสื่อ แม้ต้องแลกด้วยอิสรภาพของตัวเองก็ตาม "อิศราเชื่อว่า หนังสือพิมพ์คือบันทึกประวัติศาสตร์รายวัน"

    เสรีภาพกับราคาที่ต้องจ่าย เมื่อ “อิศรา” ต้องติดคุกเกือบ 6 ปี โดยไม่มีการฟ้องร้อง!
    📆 วันที่ 21 ตุลาคม 2501 หลังรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ อิศราในฐานะบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ บางกอกเดลิเมล์ ถูกจับกุมข้อหาคอมมิวนิสต์
    🚫 ไม่มีการสอบสวน ไม่มีการส่งฟ้อง
    ⏳ ถูกขัง 5 ปี 10 เดือน

    แม้จะอยู่ในเรือนจำ แต่อิศรายังคงเขียนงานอย่างต่อเนื่อง ใช้นามปากกามากกว่า 10 ชื่อ เช่น
    ✨ นายอิสระ
    ✨ มะงุมมะงาหรา
    ✨ ธนุธร
    ✨ ดร.x XYZ

    🗨 "เอ็งติดตะรางเพราะทำงานหนังสือพิมพ์ มันยังโก้กว่าติดตะรางเพราะเป็นหัวไม้" เสียงแม่ที่ยังอยู่ในใจอิศราเสมอ

    ผลงานเด่นในวงการหนังสือพิมพ์ ครอบคลุมทุกแขนงข่าว จนกลายเป็นต้นแบบนักข่าว
    📰 หนังสือพิมพ์ที่อิศราเคยร่วมงาน สุภาพบุรุษ, สุวัณณภูมิ, บางกอกรายวัน, พิมพ์ไทยเบื้องหลังข่าว, เอกราช, เดลินิวส์

    📍 อิศราคือผู้ควบคุมการผลิตข่าว สารคดีเชิงข่าว เรื่องแรกของไทย คดีปล้นร้านทองเบ๊ลี่แซ นำไปสร้างเป็นละครเวที และภาพยนตร์ในเวลาต่อมา

    🎯 เทคนิคข่าวของอิศรา เน้นความถูกต้อง เที่ยงธรรม และตรวจสอบได้ "ข่าวไม่ใช่การสร้างสีสัน แต่คือการสะท้อนความจริงของสังคม"

    จุดยืนเพื่อเสรีภาพและศักดิ์ศรี ไม่เคยยอมอำนาจรัฐ ไม่รับสินบน ไม่หวั่นคำขู่ อิศราเป็นนักข่าว ที่ไม่ยอมให้นายทุน หรืออำนาจรัฐแทรกแซงสื่อ
    💼 ตรวจสอบทุกแหล่งข่าว
    🛑 ไม่ประณามผู้ต้องหาโดยไม่มีหลักฐาน
    ✍ ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของบุคคล

    อิศราเคยกล่าวว่า "หนังสือพิมพ์อาจดูเหมือนกระดาษไร้ค่า แต่ในวันหน้า มันคือหลักฐานทางประวัติศาสตร์"

    นักเขียนนวนิยายที่ตีแผ่สังคมไทย ผลงานที่ฝังลึกในหัวใจคนไทย
    📚 นวนิยาย นักบุญ-คนบาป (2486)
    🎭 เรื่องสั้น-นวนิยายกว่า 100 เรื่อง
    🖋 ภาษาเขียนที่สวิงสวาย แตกต่างจากนักเขียนร่วมยุค

    "...ชีพจรของงานเต้นเร็วถี่ขึ้นเป็นลำดับ..."
    "...เสียงซ่าของคลื่นที่ยื่นปากจูบชายหาย..."

    จอมพลสฤษดิ์ กับการปิดปากนักข่าว คุกคือคำตอบของรัฐต่อ “ปากกา” ของอิศรา
    📅 ตุลาคม 2501 รัฐประหาร -> จับนักข่าว นักการเมือง นักวิชาการ 📌 รวมถึง กุหลาบ สายประดิษฐ์, สุวัฒน์ วรดิลก และอิศรา อมันตกุล ไม่มีการพิสูจน์ ไม่มีหลักฐาน แต่ถูกขังโดยไม่ไต่สวน

    "นักหนังสือพิมพ์ถูกจับเ พราะเขียนข่าวที่รัฐไม่พอใจ"

    แม้ไร้อิสรภาพ แต่หัวใจยังคงเสรี เขียนหนังสือแม้ในเรือนจำ ใช้หลายนามปากกาเขียนคอลัมน์ และเรื่องสั้น

    📜 แสดงความกล้าหาญในการพูดถึงสังคม
    📢 ปกป้องเสรีภาพผ่านตัวหนังสือ

    "การติดคุกเพราะทำหนังสือพิมพ์ ยังโก้กว่าเป็นหัวไม้!" แม่ของอิศรา

    วาระสุดท้ายที่ไม่สิ้นไฟ ปากกาวาง...แต่คำยังสะท้อนก้อง

    🕯 เสียชีวิต 14 มีนาคม 2512 ด้วยโรคมะเร็งลิ้น อายุ 47 ปี "ผมไม่เสียใจเลย ที่เกิดมาเป็นหนังสือพิมพ์"
    แม้เจ็บป่วยแ ต่ยังเขียนข้อความสั้นๆ ฝากถึงเพื่อนร่วมวิชาชีพ

    ✒ ปณิธานนักข่าวไม่เคยจางหาย สารจากอิศรา ถึงคนข่าวรุ่นใหม่ "ข้าพเจ้าเป็นคนสามัญคนหนึ่ง ซึ่งมั่นหมายจะเขียน เฉพาะเรื่องราวของประชาชน เพื่อถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก ความดิ้นรน และความหวังจากประชาชนไปสู่ประชาชน เพราะประชาชนเท่านั้นที่เป็นผู้กำลังต่อสู้ และกำลังทำงานเพื่อสร้างเสรีภาพอันถูกต้อง และศตวรรษแห่งสามัญชน"

    สรุปบทเรียนจากชีวิต “อิศรา อมันตกุล”
    ✨ นักข่าวคือผู้บันทึกประวัติศาสตร์
    ✨ เสรีภาพไม่ใช่ของขวัญจากรัฐ แต่คือสิทธิที่ต้องรักษา
    ✨ จรรยาบรรณต้องมาก่อนผลประโยชน์
    ✨ ปากกาคืออาวุธ แต่ใจต้องเป็นธรรม

    🔖 คำคมจากอิศรา 🖋 "หนังสือพิมพ์คือเอกสารทางประวัติศาสตร์อย่างหนึ่ง และนักข่าวคือผู้บันทึกประวัติศาสตร์วันต่อวัน"

    “เพราะหนังสือพิมพ์ในวันนี้ คือประวัติศาสตร์ของวันหน้า”

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 141021 มี.ค. 2568

    🏷️ #อิศราอมันตกุล #นักข่าวต้นแบบ #เสรีภาพสื่อไทย #สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย #นักหนังสือพิมพ์ในตำนาน #ประวัติศาสตร์ข่าวไทย #ชีวิตอิศรา #นักข่าวสายตรง #นักเขียนเพื่อประชาชน #สื่อเสรีไทย
    56 ปี สิ้น “อิศรา อมันตกุล” นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก ตำนานนักหนังสือพิมพ์ผู้กล้า ✊ สู่ต้นแบบนักสื่อสารมวลชนไทย รัฐจับขัง 5 ปี ไม่มีสั่งฟ้อง! แต่หัวใจนักข่าวไม่เคยสิ้นไฟ 📌 ถ้าพูดถึงตำนานนักข่าวไทย ชื่อ “อิศรา อมันตกุล” คงเป็นหนึ่งในบุคคล ที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด เพราะคือผู้ที่ไม่เพียงแต่เป็น นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก แต่ยังเป็นนักข่าว นักเขียน และนักต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน ตัวจริงเสียงจริง วั 💥 ย้อนไปในอดีตเมื่อ 56 ปี ที่ผ่านมา เพื่อรำลึกถึงชายผู้พลิกโฉม วงการสื่อสารมวลชนไทย อย่างแท้จริง "อาจไม่ใช่คนดังในโลกออนไลน์ แต่ในยุคที่ปากกาคืออาวุธ อิศราคือหนึ่งในนักรบผู้ยิ่งใหญ่" “อิศรา อมันตกุล” นักหนังสือพิมพ์ที่ชีวิตจริงยิ่งกว่านวนิยาย 🗓 เกิดวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2464 🏠 เชื้อสายมุสลิมอินเดีย จากครอบครัวมูฮัมหมัดซาเลย์ อะมัน และวัน อมรทัต 🎓 จบชั้นประถมจากโรงเรียนบำรุงวิทยา จ.นครปฐม และชั้นมัธยมจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ปี 2479 คะแนนภาษาอังกฤษอันดับ 1 ของประเทศ ชีวิตอิศราไม่ใช่เส้นตรง เริ่มจากครูสอนหนังสือในนครศรีธรรมราช ก่อนที่โชคชะตาจะพากลับสู่เส้นทางของ “นักข่าว” นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก บทบาทที่สร้างมาตรฐานวิชาชีพสื่อไทย ในปี พ.ศ. 2499 อิศราได้รับเลือกให้เป็น นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก และดำรงตำแหน่งต่อเนื่อง 3 สมัย (2499 - 2501) 💡 ผลงานสำคัญ เปลี่ยนรูปแบบการจัดหน้าหนังสือพิมพ์จาก 7 คอลัมน์เป็น 8 คอลัมน์ วางรากฐานจรรยาบรรณนักข่าวไทย 🌱 ปกป้องสิทธิเสรีภาพสื่อ แม้ต้องแลกด้วยอิสรภาพของตัวเองก็ตาม "อิศราเชื่อว่า หนังสือพิมพ์คือบันทึกประวัติศาสตร์รายวัน" เสรีภาพกับราคาที่ต้องจ่าย เมื่อ “อิศรา” ต้องติดคุกเกือบ 6 ปี โดยไม่มีการฟ้องร้อง! 📆 วันที่ 21 ตุลาคม 2501 หลังรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ อิศราในฐานะบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ บางกอกเดลิเมล์ ถูกจับกุมข้อหาคอมมิวนิสต์ 🚫 ไม่มีการสอบสวน ไม่มีการส่งฟ้อง ⏳ ถูกขัง 5 ปี 10 เดือน แม้จะอยู่ในเรือนจำ แต่อิศรายังคงเขียนงานอย่างต่อเนื่อง ใช้นามปากกามากกว่า 10 ชื่อ เช่น ✨ นายอิสระ ✨ มะงุมมะงาหรา ✨ ธนุธร ✨ ดร.x XYZ 🗨 "เอ็งติดตะรางเพราะทำงานหนังสือพิมพ์ มันยังโก้กว่าติดตะรางเพราะเป็นหัวไม้" เสียงแม่ที่ยังอยู่ในใจอิศราเสมอ ผลงานเด่นในวงการหนังสือพิมพ์ ครอบคลุมทุกแขนงข่าว จนกลายเป็นต้นแบบนักข่าว 📰 หนังสือพิมพ์ที่อิศราเคยร่วมงาน สุภาพบุรุษ, สุวัณณภูมิ, บางกอกรายวัน, พิมพ์ไทยเบื้องหลังข่าว, เอกราช, เดลินิวส์ 📍 อิศราคือผู้ควบคุมการผลิตข่าว สารคดีเชิงข่าว เรื่องแรกของไทย คดีปล้นร้านทองเบ๊ลี่แซ นำไปสร้างเป็นละครเวที และภาพยนตร์ในเวลาต่อมา 🎯 เทคนิคข่าวของอิศรา เน้นความถูกต้อง เที่ยงธรรม และตรวจสอบได้ "ข่าวไม่ใช่การสร้างสีสัน แต่คือการสะท้อนความจริงของสังคม" จุดยืนเพื่อเสรีภาพและศักดิ์ศรี ไม่เคยยอมอำนาจรัฐ ไม่รับสินบน ไม่หวั่นคำขู่ อิศราเป็นนักข่าว ที่ไม่ยอมให้นายทุน หรืออำนาจรัฐแทรกแซงสื่อ 💼 ตรวจสอบทุกแหล่งข่าว 🛑 ไม่ประณามผู้ต้องหาโดยไม่มีหลักฐาน ✍ ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของบุคคล อิศราเคยกล่าวว่า "หนังสือพิมพ์อาจดูเหมือนกระดาษไร้ค่า แต่ในวันหน้า มันคือหลักฐานทางประวัติศาสตร์" นักเขียนนวนิยายที่ตีแผ่สังคมไทย ผลงานที่ฝังลึกในหัวใจคนไทย 📚 นวนิยาย นักบุญ-คนบาป (2486) 🎭 เรื่องสั้น-นวนิยายกว่า 100 เรื่อง 🖋 ภาษาเขียนที่สวิงสวาย แตกต่างจากนักเขียนร่วมยุค "...ชีพจรของงานเต้นเร็วถี่ขึ้นเป็นลำดับ..." "...เสียงซ่าของคลื่นที่ยื่นปากจูบชายหาย..." จอมพลสฤษดิ์ กับการปิดปากนักข่าว คุกคือคำตอบของรัฐต่อ “ปากกา” ของอิศรา 📅 ตุลาคม 2501 รัฐประหาร -> จับนักข่าว นักการเมือง นักวิชาการ 📌 รวมถึง กุหลาบ สายประดิษฐ์, สุวัฒน์ วรดิลก และอิศรา อมันตกุล ไม่มีการพิสูจน์ ไม่มีหลักฐาน แต่ถูกขังโดยไม่ไต่สวน "นักหนังสือพิมพ์ถูกจับเ พราะเขียนข่าวที่รัฐไม่พอใจ" แม้ไร้อิสรภาพ แต่หัวใจยังคงเสรี เขียนหนังสือแม้ในเรือนจำ ใช้หลายนามปากกาเขียนคอลัมน์ และเรื่องสั้น 📜 แสดงความกล้าหาญในการพูดถึงสังคม 📢 ปกป้องเสรีภาพผ่านตัวหนังสือ "การติดคุกเพราะทำหนังสือพิมพ์ ยังโก้กว่าเป็นหัวไม้!" แม่ของอิศรา วาระสุดท้ายที่ไม่สิ้นไฟ ปากกาวาง...แต่คำยังสะท้อนก้อง 🕯 เสียชีวิต 14 มีนาคม 2512 ด้วยโรคมะเร็งลิ้น อายุ 47 ปี "ผมไม่เสียใจเลย ที่เกิดมาเป็นหนังสือพิมพ์" แม้เจ็บป่วยแ ต่ยังเขียนข้อความสั้นๆ ฝากถึงเพื่อนร่วมวิชาชีพ ✒ ปณิธานนักข่าวไม่เคยจางหาย สารจากอิศรา ถึงคนข่าวรุ่นใหม่ "ข้าพเจ้าเป็นคนสามัญคนหนึ่ง ซึ่งมั่นหมายจะเขียน เฉพาะเรื่องราวของประชาชน เพื่อถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก ความดิ้นรน และความหวังจากประชาชนไปสู่ประชาชน เพราะประชาชนเท่านั้นที่เป็นผู้กำลังต่อสู้ และกำลังทำงานเพื่อสร้างเสรีภาพอันถูกต้อง และศตวรรษแห่งสามัญชน" สรุปบทเรียนจากชีวิต “อิศรา อมันตกุล” ✨ นักข่าวคือผู้บันทึกประวัติศาสตร์ ✨ เสรีภาพไม่ใช่ของขวัญจากรัฐ แต่คือสิทธิที่ต้องรักษา ✨ จรรยาบรรณต้องมาก่อนผลประโยชน์ ✨ ปากกาคืออาวุธ แต่ใจต้องเป็นธรรม 🔖 คำคมจากอิศรา 🖋 "หนังสือพิมพ์คือเอกสารทางประวัติศาสตร์อย่างหนึ่ง และนักข่าวคือผู้บันทึกประวัติศาสตร์วันต่อวัน" “เพราะหนังสือพิมพ์ในวันนี้ คือประวัติศาสตร์ของวันหน้า” ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 141021 มี.ค. 2568 🏷️ #อิศราอมันตกุล #นักข่าวต้นแบบ #เสรีภาพสื่อไทย #สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย #นักหนังสือพิมพ์ในตำนาน #ประวัติศาสตร์ข่าวไทย #ชีวิตอิศรา #นักข่าวสายตรง #นักเขียนเพื่อประชาชน #สื่อเสรีไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1325 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่างดุ่ย: นักสู้ในโลกมืด ผู้ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา
    ติดตามได้ในรายการ ฅนจริงใจไม่ท้อ
    วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม 2568 เวลา 11.30-12.00 น.
    ทางสถานีโทรทัศน์ News1 (IPM ช่อง 64 / PSI ช่อง 211)
    หรือ
    เฟซบุ๊ก / ยูทูบ / ติ๊กตอก : ฅนจริงใจไม่ท้อ
    โปรดช่วยกดติดตามช่องเพื่อเป็นกำลังใจทีมงานด้วยครับ
    .............................................................................................................
    ท่านใดต้องการสนับสนุนหรือใช้บริการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า สามารถติดต่อ ประพันธ์ บางนิมิตได้ที่หมายเลข 064 053-2298 หรือหากต้องการช่วยเหลือด้านทุนทรัพย์ สามารถโอนเงินช่วยเหลือได้ที่ บัญชีธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชี ประพันธ์ บางนิมิตร เลขบัญชี 761-0-33-514-2
    ช่างดุ่ย: นักสู้ในโลกมืด ผู้ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ติดตามได้ในรายการ ฅนจริงใจไม่ท้อ วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม 2568 เวลา 11.30-12.00 น. ทางสถานีโทรทัศน์ News1 (IPM ช่อง 64 / PSI ช่อง 211) หรือ เฟซบุ๊ก / ยูทูบ / ติ๊กตอก : ฅนจริงใจไม่ท้อ โปรดช่วยกดติดตามช่องเพื่อเป็นกำลังใจทีมงานด้วยครับ ............................................................................................................. ท่านใดต้องการสนับสนุนหรือใช้บริการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า สามารถติดต่อ ประพันธ์ บางนิมิตได้ที่หมายเลข 064 053-2298 หรือหากต้องการช่วยเหลือด้านทุนทรัพย์ สามารถโอนเงินช่วยเหลือได้ที่ บัญชีธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชี ประพันธ์ บางนิมิตร เลขบัญชี 761-0-33-514-2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 370 มุมมอง 9 0 รีวิว
  • 🌿 เข้าใจ "ตัวตน" ผ่านเส้นทางของครอบครัว 🌿


    ---

    🔹 ฐานของตัวตน → ครอบครัวแรก (พ่อแม่)

    📌 เราเริ่มต้นจากครอบครัวที่เราไม่ได้เลือก
    ✔ พ่อแม่เป็นใคร → เราเลือกไม่ได้
    ✔ เราเกิดมาในสภาพแวดล้อมแบบไหน → เราเลือกไม่ได้
    ✔ ถ้าโชคดี → เราอาจชอบตัวตนที่เติบโตมา
    ✔ ถ้าโชคร้าย → เราอาจรู้สึกไม่พอใจตัวเองตั้งแต่เด็ก

    💡 "ครอบครัวแรก คือ จุดเริ่มต้นของกรรมเก่า"
    🚩 เราไม่ได้เป็นคนกำหนดเอง
    🚩 เราอาจโทษโชคชะตา หรือโทษพ่อแม่
    🚩 แต่ไม่ว่าอย่างไร "กรรมเก่า" ก็กำหนดแค่จุดเริ่มต้น


    ---

    🔹 ยอดของตัวตน → ครอบครัวที่สอง (คู่ชีวิต)

    📌 การเลือกคู่ครอง คือการสร้างกรรมใหม่
    ✔ เราเลือกเองว่าจะใช้ชีวิตร่วมกับใคร
    ✔ เราตัดสินใจเองว่าจะสร้างครอบครัวแบบไหน
    ✔ เรามีสิทธิ์เลือกว่าจะเป็นพ่อแม่ที่ดีหรือไม่
    ✔ ถ้าครอบครัวที่สองเป็นไปตามที่เราหวัง → เราอาจรักตัวเองมากขึ้น
    ✔ ถ้าครอบครัวที่สองผิดไปจากที่หวัง → เราอาจรู้สึกเกลียดตัวเอง

    💡 "ครอบครัวที่สอง คือ จุดเริ่มต้นของกรรมใหม่"
    🚩 ไม่มีข้ออ้าง ไม่มีใครให้โทษ
    🚩 เรามีส่วนร่วม "อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง"
    🚩 ถ้าพลาด… เราต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่โทษโชคชะตา


    ---

    🔹 โอกาสแห่งความรัก = โอกาสสร้างกรรมใหม่

    📌 ในครอบครัวแรก (พ่อแม่) → คือกรรมเก่า
    👉 เราไม่ได้เลือก → เรารับมา
    👉 จะดีหรือร้าย → มันเกิดขึ้นแล้ว

    📌 ในครอบครัวที่สอง (คู่ครอง) → คือกรรมใหม่
    👉 เราเลือกได้ → จะเอาความรักแบบไหน
    👉 เราตัดสินใจเอง → จะใช้ชีวิตร่วมกับใคร
    👉 ถ้าเลือกผิด → โทษใครไม่ได้

    💡 "ก่อนเลือกคู่ครอง อย่าดูแค่ภาพวันนี้ แต่ต้องมองไปอีกหมื่นวันข้างหน้า"


    ---

    🔹 ถ้าไม่มีครอบครัวที่สอง (โสด)

    📌 การไม่มีครอบครัวที่สอง ไม่ใช่ความล้มเหลว
    ✔ บางคน "ไม่เหมาะกับชีวิตคู่" จริงๆ
    ✔ ไม่ได้แปลว่าต้องใช้ชีวิตแบบเคว้งคว้าง
    ✔ การอยู่ตัวคนเดียว อาจเป็นโอกาสให้ "เข้าใจตัวเอง"

    💡 "ชีวิตโสดที่มีคุณค่า = อยู่กับตัวเองอย่างมีเป้าหมาย"
    🚩 ไม่ใช่การใช้ชีวิตไร้จุดหมาย
    🚩 ไม่ใช่การวิ่งหนีความสัมพันธ์
    🚩 แต่เป็นโอกาสสร้าง "ตัวตนเบาบาง" ให้เป็นอิสระจากตัวตน


    ---

    🔹 ทางเลือกของเรา → สุขจากครอบครัว หรือ อิสระจากตัวตน

    📌 เราเลือกไม่ได้ว่าพ่อแม่เป็นใคร
    📌 เราเลือกได้ว่า "จะมีชีวิตคู่ หรือ อยู่โสด"
    📌 เราเลือกได้ว่า "จะใช้ชีวิตอย่างไร"

    💡 "ตัวตนของเรา ไม่ได้ถูกกำหนดตั้งแต่เกิด"
    💡 "ตัวตนของเรา ถูกกำหนดจากสิ่งที่เราเลือกวันนี้"

    👉 เลือกแบบไหน = ได้แบบนั้น
    👉 เลือกสร้างกรรมใหม่ที่ดี → ตัวตนก็จะดีขึ้น
    👉 เลือกใช้ชีวิตอย่างมีสติ → ไม่ว่าอยู่กับใคร ก็มีความสุขได้

    ✨ "สุดท้าย เราเลือกได้ ว่าจะเป็นพุทธหรือเปล่า ทั้งแบบที่มีครอบครัว และแบบที่เป็นอิสระจากตัวตน" ✨

    🌿 เข้าใจ "ตัวตน" ผ่านเส้นทางของครอบครัว 🌿 --- 🔹 ฐานของตัวตน → ครอบครัวแรก (พ่อแม่) 📌 เราเริ่มต้นจากครอบครัวที่เราไม่ได้เลือก ✔ พ่อแม่เป็นใคร → เราเลือกไม่ได้ ✔ เราเกิดมาในสภาพแวดล้อมแบบไหน → เราเลือกไม่ได้ ✔ ถ้าโชคดี → เราอาจชอบตัวตนที่เติบโตมา ✔ ถ้าโชคร้าย → เราอาจรู้สึกไม่พอใจตัวเองตั้งแต่เด็ก 💡 "ครอบครัวแรก คือ จุดเริ่มต้นของกรรมเก่า" 🚩 เราไม่ได้เป็นคนกำหนดเอง 🚩 เราอาจโทษโชคชะตา หรือโทษพ่อแม่ 🚩 แต่ไม่ว่าอย่างไร "กรรมเก่า" ก็กำหนดแค่จุดเริ่มต้น --- 🔹 ยอดของตัวตน → ครอบครัวที่สอง (คู่ชีวิต) 📌 การเลือกคู่ครอง คือการสร้างกรรมใหม่ ✔ เราเลือกเองว่าจะใช้ชีวิตร่วมกับใคร ✔ เราตัดสินใจเองว่าจะสร้างครอบครัวแบบไหน ✔ เรามีสิทธิ์เลือกว่าจะเป็นพ่อแม่ที่ดีหรือไม่ ✔ ถ้าครอบครัวที่สองเป็นไปตามที่เราหวัง → เราอาจรักตัวเองมากขึ้น ✔ ถ้าครอบครัวที่สองผิดไปจากที่หวัง → เราอาจรู้สึกเกลียดตัวเอง 💡 "ครอบครัวที่สอง คือ จุดเริ่มต้นของกรรมใหม่" 🚩 ไม่มีข้ออ้าง ไม่มีใครให้โทษ 🚩 เรามีส่วนร่วม "อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง" 🚩 ถ้าพลาด… เราต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่โทษโชคชะตา --- 🔹 โอกาสแห่งความรัก = โอกาสสร้างกรรมใหม่ 📌 ในครอบครัวแรก (พ่อแม่) → คือกรรมเก่า 👉 เราไม่ได้เลือก → เรารับมา 👉 จะดีหรือร้าย → มันเกิดขึ้นแล้ว 📌 ในครอบครัวที่สอง (คู่ครอง) → คือกรรมใหม่ 👉 เราเลือกได้ → จะเอาความรักแบบไหน 👉 เราตัดสินใจเอง → จะใช้ชีวิตร่วมกับใคร 👉 ถ้าเลือกผิด → โทษใครไม่ได้ 💡 "ก่อนเลือกคู่ครอง อย่าดูแค่ภาพวันนี้ แต่ต้องมองไปอีกหมื่นวันข้างหน้า" --- 🔹 ถ้าไม่มีครอบครัวที่สอง (โสด) 📌 การไม่มีครอบครัวที่สอง ไม่ใช่ความล้มเหลว ✔ บางคน "ไม่เหมาะกับชีวิตคู่" จริงๆ ✔ ไม่ได้แปลว่าต้องใช้ชีวิตแบบเคว้งคว้าง ✔ การอยู่ตัวคนเดียว อาจเป็นโอกาสให้ "เข้าใจตัวเอง" 💡 "ชีวิตโสดที่มีคุณค่า = อยู่กับตัวเองอย่างมีเป้าหมาย" 🚩 ไม่ใช่การใช้ชีวิตไร้จุดหมาย 🚩 ไม่ใช่การวิ่งหนีความสัมพันธ์ 🚩 แต่เป็นโอกาสสร้าง "ตัวตนเบาบาง" ให้เป็นอิสระจากตัวตน --- 🔹 ทางเลือกของเรา → สุขจากครอบครัว หรือ อิสระจากตัวตน 📌 เราเลือกไม่ได้ว่าพ่อแม่เป็นใคร 📌 เราเลือกได้ว่า "จะมีชีวิตคู่ หรือ อยู่โสด" 📌 เราเลือกได้ว่า "จะใช้ชีวิตอย่างไร" 💡 "ตัวตนของเรา ไม่ได้ถูกกำหนดตั้งแต่เกิด" 💡 "ตัวตนของเรา ถูกกำหนดจากสิ่งที่เราเลือกวันนี้" 👉 เลือกแบบไหน = ได้แบบนั้น 👉 เลือกสร้างกรรมใหม่ที่ดี → ตัวตนก็จะดีขึ้น 👉 เลือกใช้ชีวิตอย่างมีสติ → ไม่ว่าอยู่กับใคร ก็มีความสุขได้ ✨ "สุดท้าย เราเลือกได้ ว่าจะเป็นพุทธหรือเปล่า ทั้งแบบที่มีครอบครัว และแบบที่เป็นอิสระจากตัวตน" ✨
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 405 มุมมอง 0 รีวิว
  • การรับมือกับชะตากรรม: อยู่ที่มุมมองและการกระทำของเรา

    🔹 ชะตาบางอย่าง—มีไว้ให้ฝึก "ยอมรับ"

    ✅ ยิ่งรับได้เร็ว → ยิ่งเหนื่อยน้อยลง

    มีหลายสิ่งในชีวิตที่เรา "เลือกไม่ได้" ตั้งแต่ต้น เช่น พ่อแม่ที่เกิดมา

    ถ้าหมกมุ่นแต่ความคิดว่า "อยากเกิดกับพ่อแม่คนอื่น" → ก็มีแต่ทุกข์

    หลักความเชื่อทางพุทธ: เราเกิดตามกรรม → พ่อแม่เป็นผลของกรรมที่เราเคยทำไว้

    ถ้าอยากเปลี่ยนชะตาในชาติหน้า → ต้องเปลี่ยนกรรมในชาตินี้


    💡 สัจธรรม: สิ่งที่เราสะสมทั้งชีวิต → ไม่ใช่สมบัติภายนอก แต่เป็น "กรรมใหม่" ที่จะกำหนดอนาคต


    ---

    🔹 ชะตาบางอย่าง—มีไว้ให้ฝึก "อดกลั้น"

    ✅ ถ้าไม่อดกลั้น → จะเผลอทำกรรมใหม่ที่เป็นลบ

    บางช่วงชีวิตเหมือนถูก "ทดสอบ" ด้วยเรื่องแย่ๆ อย่างต่อเนื่อง

    เช่น:

    เราไม่ประมาท แต่คนอื่นประมาทแล้วทำให้เราซวย

    เราปฏิบัติดี แต่คนอื่นกลับทำร้าย


    ถ้าเจอเรื่องร้ายแล้ว "ร้ายตอบ" → เราจะไม่เหลือ "ความดี" อยู่ในใจเลย


    💡 การอดกลั้น ไม่ได้แปลว่าต้องยอมแพ้ แต่คือการไม่ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในวงจรของกรรมร้าย


    ---

    🔹 ชะตาบางอย่าง—มีไว้ให้ฝึก "ฮึดสู้"

    ✅ ถ้าไม่สู้ → ก็เหมือนปล่อยให้ชะตาฟ้าลิขิตเราอย่างเดียว

    บางคนเกิดมาในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก → แต่ถ้าสู้ก็สามารถเปลี่ยนชีวิตได้

    บางคนเกิดมาพร้อมข้อจำกัดทางปัญญา → แต่ถ้าหมั่นเรียนรู้ ก็สามารถเข้าใจสิ่งที่เคยยากได้


    💡 ชีวิตมนุษย์คือโอกาสในการเปลี่ยนแปลง

    ถ้าคิดว่า "ชะตาเปลี่ยนไม่ได้" → จะไม่พยายาม

    แต่ถ้าคิดว่า "ชีวิตเปลี่ยนได้" → จะหาทางพัฒนา



    ---

    🔹 สรุป: วิธีรับมือกับชะตากรรม

    ✅ 1. ยอมรับสิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้ → จะเหนื่อยน้อยลง
    ✅ 2. อดกลั้นต่อสิ่งที่กระทบจิตใจ → จะไม่ทำกรรมลบเพิ่ม
    ✅ 3. ฮึดสู้กับสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ → จะสร้างอนาคตที่ดีกว่าเดิม

    💡 ชีวิตไม่ใช่เรื่องของโชคชะตาล้วนๆ แต่เป็นผลของ "การกระทำของเราเอง"
    📌 อย่าปล่อยให้ชีวิตเป็นภาวะสูญเปล่า—เพราะทุกวันคือโอกาสใหม่ในการสร้าง "ชะตาใหม่"!

    การรับมือกับชะตากรรม: อยู่ที่มุมมองและการกระทำของเรา 🔹 ชะตาบางอย่าง—มีไว้ให้ฝึก "ยอมรับ" ✅ ยิ่งรับได้เร็ว → ยิ่งเหนื่อยน้อยลง มีหลายสิ่งในชีวิตที่เรา "เลือกไม่ได้" ตั้งแต่ต้น เช่น พ่อแม่ที่เกิดมา ถ้าหมกมุ่นแต่ความคิดว่า "อยากเกิดกับพ่อแม่คนอื่น" → ก็มีแต่ทุกข์ หลักความเชื่อทางพุทธ: เราเกิดตามกรรม → พ่อแม่เป็นผลของกรรมที่เราเคยทำไว้ ถ้าอยากเปลี่ยนชะตาในชาติหน้า → ต้องเปลี่ยนกรรมในชาตินี้ 💡 สัจธรรม: สิ่งที่เราสะสมทั้งชีวิต → ไม่ใช่สมบัติภายนอก แต่เป็น "กรรมใหม่" ที่จะกำหนดอนาคต --- 🔹 ชะตาบางอย่าง—มีไว้ให้ฝึก "อดกลั้น" ✅ ถ้าไม่อดกลั้น → จะเผลอทำกรรมใหม่ที่เป็นลบ บางช่วงชีวิตเหมือนถูก "ทดสอบ" ด้วยเรื่องแย่ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น: เราไม่ประมาท แต่คนอื่นประมาทแล้วทำให้เราซวย เราปฏิบัติดี แต่คนอื่นกลับทำร้าย ถ้าเจอเรื่องร้ายแล้ว "ร้ายตอบ" → เราจะไม่เหลือ "ความดี" อยู่ในใจเลย 💡 การอดกลั้น ไม่ได้แปลว่าต้องยอมแพ้ แต่คือการไม่ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในวงจรของกรรมร้าย --- 🔹 ชะตาบางอย่าง—มีไว้ให้ฝึก "ฮึดสู้" ✅ ถ้าไม่สู้ → ก็เหมือนปล่อยให้ชะตาฟ้าลิขิตเราอย่างเดียว บางคนเกิดมาในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก → แต่ถ้าสู้ก็สามารถเปลี่ยนชีวิตได้ บางคนเกิดมาพร้อมข้อจำกัดทางปัญญา → แต่ถ้าหมั่นเรียนรู้ ก็สามารถเข้าใจสิ่งที่เคยยากได้ 💡 ชีวิตมนุษย์คือโอกาสในการเปลี่ยนแปลง ถ้าคิดว่า "ชะตาเปลี่ยนไม่ได้" → จะไม่พยายาม แต่ถ้าคิดว่า "ชีวิตเปลี่ยนได้" → จะหาทางพัฒนา --- 🔹 สรุป: วิธีรับมือกับชะตากรรม ✅ 1. ยอมรับสิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้ → จะเหนื่อยน้อยลง ✅ 2. อดกลั้นต่อสิ่งที่กระทบจิตใจ → จะไม่ทำกรรมลบเพิ่ม ✅ 3. ฮึดสู้กับสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ → จะสร้างอนาคตที่ดีกว่าเดิม 💡 ชีวิตไม่ใช่เรื่องของโชคชะตาล้วนๆ แต่เป็นผลของ "การกระทำของเราเอง" 📌 อย่าปล่อยให้ชีวิตเป็นภาวะสูญเปล่า—เพราะทุกวันคือโอกาสใหม่ในการสร้าง "ชะตาใหม่"!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 405 มุมมอง 0 รีวิว

  • ประธานาธิบดี สีจิ้นผิงจะจัดประชุมสัมมนาสุดยอดผู้นำเทคโนโลยีของจีน งานนี้เชิญแจ๊ก หม่ากลับคืนเวที ถือเป็นกลยุทธ์การระดมความรู้และความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนที่มีบทบาทนำการพัฒนาจีนเป็นผู้นำโลกยุคใหม่

    แหล่งข่าวเผยว่า สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เตรียมจัดการประชุมสัมมนาเพื่อกระตุ้นความเชื่อมั่นภาคเอกชนในสัปดาห์หน้า โดยมีผู้นำธุรกิจของประเทศเข้าร่วมด้วย รวมถึงแจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งร่วมของบริษัทอาลีบาบา

    ที่ผ่านมา สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน แทบไม่เคยจัดการประชุมสัมมนาเกี่ยวกับภาคเอกชนเลย และงานดังกล่าวตอกย้ำความท้าทายมากมายที่บริษัทจีนต้องเผชิญ ตั้งแต่ความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นกับสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไปจนถึงการเติบโตที่ชะงักงันของเศรษฐกิจภายในประเทศ

    ผู้ประกอบการจำนวนมากจะเป็นผู้ประกอบการจากภาคเทคโนโลยี และคาดว่าสี จิ้นผิง จะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเหล่านี้ขยายธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ ท่ามกลางสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรงขึ้น แหล่งข่าว 2 รายระบุ

    การประชุมสัมมนาครั้งนี้มีแนวโน้มว่าจะมีขึ้นในวันจันทร์หน้า แหล่งข่าวระบุ ข่าวการประชุมดังกล่าวรายงานโดยสำนักข่าวรอยเตอร์เป็นครั้งแรก
    โพนี่ หม่า ซีอีโอของยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Tencent มีกำหนดที่จะเข้าร่วม แหล่งข่าวสองรายระบุว่า เล่ย จุน ซีอีโอของผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Xiaomi รวมถึงหวัง ซิงซิง ผู้ก่อตั้งบริษัทหุ่นยนต์ Yushu Technology ก็มีแนวโน้มที่จะเข้าร่วมเช่นกัน แหล่งข่าวหนึ่งกล่าว

    นอกจากนี้ ผู้บริหารระดับสูงของ Huawei Technologies ยังคาดว่าจะเข้าร่วมด้วย นอกจากนี้สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เหลียง เหวินเฟิง ผู้ก่อตั้ง DeepSeek จะเข้าร่วมด้วย เพราะบริษัทสตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งนี้ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับโลกเทคโนโลยีด้วยโมเดลที่บริษัทอ้างว่าพัฒนาขึ้นด้วยต้นทุนเพียงเศษเสี้ยวเดียวของคู่แข่งจากตะวันตก

    สำนักข่าวรอยเตอร์ได้ติดต่อกับบุคคลสำคัญทั้ง 5 รายที่ทราบเกี่ยวกับการประชุมดังกล่าว ซึ่งทั้งหมดขอสงวนนามเนื่องจากไม่ได้รับอนุญาตให้พูดคุยกับสื่อ 

    สำนักงานข้อมูลของคณะรัฐมนตรี ซึ่งทำหน้าที่ตอบคำถามสื่อในนามของผู้นำประเทศ ไม่ได้ตอบคำถามของสำนักข่าวรอยเตอร์เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวในทันที

    อาลีบาบา เทนเซนต์ เสี่ยวหมี่ หัวเว่ย ยู่ชู่ และดีพซีค ยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นเรื่องนี้

    ปรากฏว่าหุ้นที่จดทะเบียนในฮ่องกงของอาลีบาบา เทนเซนต์ และเสี่ยวหมี่ พุ่งขึ้นต่อเนื่องในการซื้อขายช่วงบ่ายตามข่าว โดยเสี่ยวหมี่ปิดตลาดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้น 7% นอกจากนี้ เทนเซนต์ยังปิดตลาดสูงขึ้น 7% ในขณะที่อาลีบาบาปิดตลาดที่ระดับ 6%

    ความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น
    สีจิ้นผิงเป็นประธานการประชุมสัมมนาระดับสูงสำหรับภาคเอกชนเป็นครั้งแรกในช่วงปลายปี 2561 ซึ่งเป็นเวลา 6 ปีหลังจากที่เขาดำรงตำแหน่ง ในเวลานั้น เขาให้คำมั่นว่าจะลดหย่อนภาษีและสร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียมกัน พร้อมทั้งยืนยันว่าบริษัทเอกชนจะสามารถเข้าถึงการสนับสนุนทางการเงินได้

    การเข้าร่วมการประชุมสัมมนาที่วางแผนไว้ของแจ็ค หม่า มีแนวโน้มที่จะเพิ่มความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ผู้ประกอบการที่ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อเสียงโด่งดังได้ถอนตัวออกจากชีวิตสาธารณะเป็นส่วนใหญ่ หลังจากที่ Ant บริษัทฟินเทคของเขาถูกทางการสั่งระงับการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกในปี 2020 ซึ่งการเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดจากคำปราศรัยของเขาในปีนั้นที่วิจารณ์ระบบการกำกับดูแลของจีน

    อาณาจักรธุรกิจของเขาและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่กว้างขึ้นก็ตกเป็นเป้าหมายของการปราบปรามทางการ โดยช่วงเวลาที่เขาอยู่ห่างจากจุดสนใจเป็นสัญลักษณ์ของการพลิกผันของโชคชะตาสำหรับภาคเอกชนของจีน

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สีได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นของจีนในการบรรลุ "ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน" โดยกล่าวว่าบริษัทเอกชนควร "ร่ำรวยและเปี่ยมด้วยความรัก" เช่นเดียวกับ "รักชาติ" และแบ่งปันผลจากการเติบโตของตนกับพนักงานอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น

    คำพูดของเขาถูกมองว่าเป็นการขัดขวางความเกินพอดีในอุตสาหกรรมจำนวนหนึ่ง และทำหน้าที่เป็นเบรกในการลงทุนที่มีความเสี่ยง

    การเข้าร่วมของผู้ก่อตั้ง DeepSeek อย่าง Liang จะช่วยเสริมสถานะใหม่ที่เพิ่งค้นพบของบริษัทสตาร์ทอัพแห่งนี้ให้กลายเป็นผู้พลิกผันครั้งใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม AI ระดับโลก เมื่อเดือนที่แล้ว เขาได้กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมสัมมนาแบบปิดที่จัดโดยนายกรัฐมนตรีหลี่ เชียง

    ประธานาธิบดีสีเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จีนต้องบรรลุความพอเพียงในตัวเองในด้านเซมิคอนดักเตอร์มาเป็นเวลานาน และต้องการให้ประเทศใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ

    แต่ความพยายามของจีนถูกขัดขวางโดยมาตรการควบคุมการส่งออกชิปที่บังคับใช้โดยวอชิงตัน ซึ่งกังวลว่าปักกิ่งอาจใช้เซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางทหาร

    ที่มา Xi to chair symposium attended by Jack Ma and other Chinese business leaders, sources say - https://www.reuters.com/world/china/xi-chair-symposium-attended-by-jack-ma-other-chinese-business-leaders-sources-2025-02-14/
    ประธานาธิบดี สีจิ้นผิงจะจัดประชุมสัมมนาสุดยอดผู้นำเทคโนโลยีของจีน งานนี้เชิญแจ๊ก หม่ากลับคืนเวที ถือเป็นกลยุทธ์การระดมความรู้และความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนที่มีบทบาทนำการพัฒนาจีนเป็นผู้นำโลกยุคใหม่ แหล่งข่าวเผยว่า สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เตรียมจัดการประชุมสัมมนาเพื่อกระตุ้นความเชื่อมั่นภาคเอกชนในสัปดาห์หน้า โดยมีผู้นำธุรกิจของประเทศเข้าร่วมด้วย รวมถึงแจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งร่วมของบริษัทอาลีบาบา ที่ผ่านมา สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน แทบไม่เคยจัดการประชุมสัมมนาเกี่ยวกับภาคเอกชนเลย และงานดังกล่าวตอกย้ำความท้าทายมากมายที่บริษัทจีนต้องเผชิญ ตั้งแต่ความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นกับสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไปจนถึงการเติบโตที่ชะงักงันของเศรษฐกิจภายในประเทศ ผู้ประกอบการจำนวนมากจะเป็นผู้ประกอบการจากภาคเทคโนโลยี และคาดว่าสี จิ้นผิง จะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเหล่านี้ขยายธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ ท่ามกลางสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรงขึ้น แหล่งข่าว 2 รายระบุ การประชุมสัมมนาครั้งนี้มีแนวโน้มว่าจะมีขึ้นในวันจันทร์หน้า แหล่งข่าวระบุ ข่าวการประชุมดังกล่าวรายงานโดยสำนักข่าวรอยเตอร์เป็นครั้งแรก โพนี่ หม่า ซีอีโอของยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Tencent มีกำหนดที่จะเข้าร่วม แหล่งข่าวสองรายระบุว่า เล่ย จุน ซีอีโอของผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Xiaomi รวมถึงหวัง ซิงซิง ผู้ก่อตั้งบริษัทหุ่นยนต์ Yushu Technology ก็มีแนวโน้มที่จะเข้าร่วมเช่นกัน แหล่งข่าวหนึ่งกล่าว นอกจากนี้ ผู้บริหารระดับสูงของ Huawei Technologies ยังคาดว่าจะเข้าร่วมด้วย นอกจากนี้สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เหลียง เหวินเฟิง ผู้ก่อตั้ง DeepSeek จะเข้าร่วมด้วย เพราะบริษัทสตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งนี้ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับโลกเทคโนโลยีด้วยโมเดลที่บริษัทอ้างว่าพัฒนาขึ้นด้วยต้นทุนเพียงเศษเสี้ยวเดียวของคู่แข่งจากตะวันตก สำนักข่าวรอยเตอร์ได้ติดต่อกับบุคคลสำคัญทั้ง 5 รายที่ทราบเกี่ยวกับการประชุมดังกล่าว ซึ่งทั้งหมดขอสงวนนามเนื่องจากไม่ได้รับอนุญาตให้พูดคุยกับสื่อ  สำนักงานข้อมูลของคณะรัฐมนตรี ซึ่งทำหน้าที่ตอบคำถามสื่อในนามของผู้นำประเทศ ไม่ได้ตอบคำถามของสำนักข่าวรอยเตอร์เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวในทันที อาลีบาบา เทนเซนต์ เสี่ยวหมี่ หัวเว่ย ยู่ชู่ และดีพซีค ยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ ปรากฏว่าหุ้นที่จดทะเบียนในฮ่องกงของอาลีบาบา เทนเซนต์ และเสี่ยวหมี่ พุ่งขึ้นต่อเนื่องในการซื้อขายช่วงบ่ายตามข่าว โดยเสี่ยวหมี่ปิดตลาดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้น 7% นอกจากนี้ เทนเซนต์ยังปิดตลาดสูงขึ้น 7% ในขณะที่อาลีบาบาปิดตลาดที่ระดับ 6% ความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น สีจิ้นผิงเป็นประธานการประชุมสัมมนาระดับสูงสำหรับภาคเอกชนเป็นครั้งแรกในช่วงปลายปี 2561 ซึ่งเป็นเวลา 6 ปีหลังจากที่เขาดำรงตำแหน่ง ในเวลานั้น เขาให้คำมั่นว่าจะลดหย่อนภาษีและสร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียมกัน พร้อมทั้งยืนยันว่าบริษัทเอกชนจะสามารถเข้าถึงการสนับสนุนทางการเงินได้ การเข้าร่วมการประชุมสัมมนาที่วางแผนไว้ของแจ็ค หม่า มีแนวโน้มที่จะเพิ่มความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ผู้ประกอบการที่ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อเสียงโด่งดังได้ถอนตัวออกจากชีวิตสาธารณะเป็นส่วนใหญ่ หลังจากที่ Ant บริษัทฟินเทคของเขาถูกทางการสั่งระงับการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกในปี 2020 ซึ่งการเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดจากคำปราศรัยของเขาในปีนั้นที่วิจารณ์ระบบการกำกับดูแลของจีน อาณาจักรธุรกิจของเขาและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่กว้างขึ้นก็ตกเป็นเป้าหมายของการปราบปรามทางการ โดยช่วงเวลาที่เขาอยู่ห่างจากจุดสนใจเป็นสัญลักษณ์ของการพลิกผันของโชคชะตาสำหรับภาคเอกชนของจีน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สีได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นของจีนในการบรรลุ "ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน" โดยกล่าวว่าบริษัทเอกชนควร "ร่ำรวยและเปี่ยมด้วยความรัก" เช่นเดียวกับ "รักชาติ" และแบ่งปันผลจากการเติบโตของตนกับพนักงานอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น คำพูดของเขาถูกมองว่าเป็นการขัดขวางความเกินพอดีในอุตสาหกรรมจำนวนหนึ่ง และทำหน้าที่เป็นเบรกในการลงทุนที่มีความเสี่ยง การเข้าร่วมของผู้ก่อตั้ง DeepSeek อย่าง Liang จะช่วยเสริมสถานะใหม่ที่เพิ่งค้นพบของบริษัทสตาร์ทอัพแห่งนี้ให้กลายเป็นผู้พลิกผันครั้งใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม AI ระดับโลก เมื่อเดือนที่แล้ว เขาได้กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมสัมมนาแบบปิดที่จัดโดยนายกรัฐมนตรีหลี่ เชียง ประธานาธิบดีสีเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จีนต้องบรรลุความพอเพียงในตัวเองในด้านเซมิคอนดักเตอร์มาเป็นเวลานาน และต้องการให้ประเทศใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่ความพยายามของจีนถูกขัดขวางโดยมาตรการควบคุมการส่งออกชิปที่บังคับใช้โดยวอชิงตัน ซึ่งกังวลว่าปักกิ่งอาจใช้เซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางทหาร ที่มา Xi to chair symposium attended by Jack Ma and other Chinese business leaders, sources say - https://www.reuters.com/world/china/xi-chair-symposium-attended-by-jack-ma-other-chinese-business-leaders-sources-2025-02-14/
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1251 มุมมอง 0 รีวิว
  • Chiromance เป็นวิธีโบราณที่มีบันทึกในการทํานายอนาคตและการตีความบุคลิกภาพและนิสัยของคนจากรูปแบบของลายเส้นของมือของพวกเขา บางครั้งเส้นเหล่านี้สามารถสร้างตัวเลขและตัวอักษรได้....
    หนึ่งในตัวอักษรเหล่านี้อาจจะเป็นตัว M ความหมายของซึ่งได้รับการค้นคว้าจากความลึกลับมากมาย
    เท่าที่หลายคนเชื่อ เส้นบนฝ่ามือเผยนิสัยและโชคชะตาของเราออกมา
    ตัว M ถูกมอบหมายให้กับคนพิเศษอย่างแท้จริง
    พวกเขาได้รับสัญชาตญาณอันพิเศษและจะมีทักษะพิเศษบางอย่าง ที่คนทั่วไปไม่มี

    ด้วยการเป็นคนฉลาดและมีสติปัญญาสูง คนที่มีตัว M ในฝ่ามือสามารถบอกได้ง่ายว่าพวกเขากําลังถูกโกหกหรือถูกหลอก..ดังนั้น พูดกับเขาไปตรงๆ..
    ผู้หญิงที่มีตัว M บนฝ่ามือ มีสัญชาตญาณที่แข็งแกร่งกว่าผู้ชาย ที่ไม่มี
    พวกเขาได้รับอํานาจในการจัดการและเอาชนะอุปสรรคใด ๆ ในชีวิต และพวกเขารู้วิธีใช้ประโยชน์จากทรัพยากรและโอกาสที่นําเสนอให้กับพวกเขา
    ตัวอักษร "M" บนฝ่ามือของคุณอาจหมายถึง:
    • ทักษะความเป็นผู้นํา
    • พลังงาน
    • ความสุข
    • โอกาสที่ดีเยี่ยม
    ° จิตสัมผัสกับสิ่งเร้นลับ
    คำขยายความที่กล่าวถึง สัญลักษณ์นี้เป็นลักษณะของพระศาสดา...
    ดังนั้นถ้าคุณมีเครื่องหมายนี้อยู่ในมือของคุณ คุณคือคนพิเศษอย่างแท้จริง!
    บางคนมีมันอยู่ในมือเดียว และบางคนมีมันอยู่ในทั้งสองอย่าง
    คุณจะโดดเด่นในเส้นทางที่คุณเลือก ทั้งดี และร้าย. ชีวิตแบบราบเรียบไม่มีในคนที่มีสัญลักษณ์นี้บนมือ..
    จงใฝ่ดี ใฝ่รู้ เพราะถ้าไปทางตรงข้าม..ก็ให้ผลแบบ สุดโต่ง เช่นกัน..
    #คัดลอกแปลจาก บทความต่างประเทศ

    Chiromance เป็นวิธีโบราณที่มีบันทึกในการทํานายอนาคตและการตีความบุคลิกภาพและนิสัยของคนจากรูปแบบของลายเส้นของมือของพวกเขา บางครั้งเส้นเหล่านี้สามารถสร้างตัวเลขและตัวอักษรได้.... หนึ่งในตัวอักษรเหล่านี้อาจจะเป็นตัว M ความหมายของซึ่งได้รับการค้นคว้าจากความลึกลับมากมาย เท่าที่หลายคนเชื่อ เส้นบนฝ่ามือเผยนิสัยและโชคชะตาของเราออกมา ตัว M ถูกมอบหมายให้กับคนพิเศษอย่างแท้จริง พวกเขาได้รับสัญชาตญาณอันพิเศษและจะมีทักษะพิเศษบางอย่าง ที่คนทั่วไปไม่มี ด้วยการเป็นคนฉลาดและมีสติปัญญาสูง คนที่มีตัว M ในฝ่ามือสามารถบอกได้ง่ายว่าพวกเขากําลังถูกโกหกหรือถูกหลอก..ดังนั้น พูดกับเขาไปตรงๆ.. ผู้หญิงที่มีตัว M บนฝ่ามือ มีสัญชาตญาณที่แข็งแกร่งกว่าผู้ชาย ที่ไม่มี พวกเขาได้รับอํานาจในการจัดการและเอาชนะอุปสรรคใด ๆ ในชีวิต และพวกเขารู้วิธีใช้ประโยชน์จากทรัพยากรและโอกาสที่นําเสนอให้กับพวกเขา ตัวอักษร "M" บนฝ่ามือของคุณอาจหมายถึง: • ทักษะความเป็นผู้นํา • พลังงาน • ความสุข • โอกาสที่ดีเยี่ยม ° จิตสัมผัสกับสิ่งเร้นลับ คำขยายความที่กล่าวถึง สัญลักษณ์นี้เป็นลักษณะของพระศาสดา... ดังนั้นถ้าคุณมีเครื่องหมายนี้อยู่ในมือของคุณ คุณคือคนพิเศษอย่างแท้จริง! บางคนมีมันอยู่ในมือเดียว และบางคนมีมันอยู่ในทั้งสองอย่าง คุณจะโดดเด่นในเส้นทางที่คุณเลือก ทั้งดี และร้าย. ชีวิตแบบราบเรียบไม่มีในคนที่มีสัญลักษณ์นี้บนมือ.. จงใฝ่ดี ใฝ่รู้ เพราะถ้าไปทางตรงข้าม..ก็ให้ผลแบบ สุดโต่ง เช่นกัน.. #คัดลอกแปลจาก บทความต่างประเทศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 399 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตารางอันดับหนังทำเงินตลอดกาลในจีน แตกก !!!!!!
    "Nezha 2" ผงาดยึดอันดับหนึ่ง
    ล้มแชมป์ด้วยเวลาที่สั้นกว่า และอาจไปได้ไกลถึง 10,000 ล้านหยวน

    "Nezha 2" เข้าฉายมาตั้งแต่วันพุธที่ 29 มกราคม ในเทศกาลตรุษจีน ใช้เวลาเพียง 9 วัน สามารถทำเงินล้มแชมป์หนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลในจีน ที่เดิมเป็นของ The Battle at Lake Changjin หนังสงครามที่รวม 3 ผู้กำกับ ฉีเคอะ เฉินข่ายเกอ และ ดันเต้ แลม โดยตัวเลขที่ทำได้ ถึงวันนี้ (6 กุมภาพันธ์) ในครึ่งวันแรก อยู่ที่ 5800 ล้านหยวน (796 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)

    มีบทวิเคราะห์ที่ว่ากันว่า นาจาภาคนี้ มีคนที่ดูแล้วชื่นชอบถึงขนาดต้องดูรอบสอง หรือบางคนมีถึงรอบที่สาม

    นาจา เป็นตัวละครพื้นฐานมาจากนวนิยายจีนสมัยศตวรรษที่ 17 ชื่อ (ห้องสิน-The Investiture of the Gods) ซึ่งเป็นหนึ่งในผลงานวรรณกรรมสําคัญชิ้นแรกที่มี "เทพ" และ "ปีศาจ" ในลัทธิเต๋าและพุทธศาสนา

    Nezha 2 เป็นสัญลักษณ์ของการขบถ ภาพลักษณ์ของ "นาจา" ได้เปลี่ยนจากวีรบุรุษโศกนาฏกรรมแบบดั้งเดิม "กลับไปหาพ่อ" มาเป็นขบถสมัยใหม่ที่ "เปลี่ยนโชคชะตาที่ขัดต่อพระประสงค์ของพระเจ้า" ซึ่งสอดคล้องกับความทะเยอทะยานทางจิตวิญญาณของเยาวชนในปัจจุบัน ความมุ่งมั่นในการต่อต้านระบบและการแสวงหาเป้าหมาย การดัดแปลงนี้ทำลายมายาคติความศักดิ์สิทธิ์ของตัวละคร ให้สามารถสะท้อนและเข้าใกล้กับผู้ชมได้มากยิ่งขึ้น

    ภาพยนตร์เรื่องนี้ผสมผสานสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน โดยผสมผสานสไตล์พังก์ ภาษาพูดสมัยใหม่ มีม และองค์ประกอบอื่นๆ เช่น สำเนียง "ภาษาจีนกลางสไตล์เสฉวน" ของอาจารย์ไท่ยี่ ผู้เป็นครูของนาจา วิธีการนี้ผสมผสานสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมดั้งเดิมเข้ากับวัฒนธรรมป๊อปคัลเจอร์เพื่อให้ภาพยนตร์ดึงดูดผู้ชม ขณะเดียวกันก็ปลูกฝังอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์

    Nezha 2 เป็นนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่ในด้านสุนทรียศาสตร์ทางภาพ ภาพยนตร์เรื่องนี้ขับเคลื่อนสิ่งต่างๆด้วย เทคโนโลยี 5G และเทคโนโลยีอัจฉริยะ พร้อมด้วยทิศทางศิลปะที่สร้างสรรค์อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะทิวทัศน์ที่มีหมอกหนา ซึ่งช่วยเพิ่มประสบการณ์ในการที่ต้องชมในโรงภาพยนตร์ ตัวละคร นาจา ถูกสร้างขึ้นด้วยความเอาใจใส่เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเห็นได้ชัดจากข้อเท็จจริงที่ว่าตัวละครบนหน้าจอยังคงอารมณ์ การแสดงออกในแบบตะวันออกเอาไว้ได้ แท้จริงแล้ว นาจา อาจกลายเป็นแบรนด์ทางวัฒนธรรมใหม่ของจีน

    ภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยเฉพาะตัวเอกของเรื่อง แสดงให้เห็นถึงความเห็นอกเห็นใจต่อ "ผู้ถูกละเลย" ประสบการณ์การถูกเลือกปฏิบัติของ นาจา เป็นคําอุปมาอุปมัยของสังคมร่วมสมัย ที่ปฏิเสธ "คนนอกรีต" และปลูกฝังจิตวิญญาณของ "การขจัดอคติ" ให้กับผู้คน

    หนังยังแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจริยธรรมของครอบครัว ด้วยการเปลี่ยนบทบาทพ่อแม่ของนาจา จากคนที่เคร่งครัดตามขนบธรรมเนียมมาเป็น พ่อและแม่ ที่รักลูกและ "ฝ่าฝืนพระประสงค์ของพระเจ้าเพื่อปกป้องลูก" ผู้สร้างภาพยนตร์ได้สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวจีนขึ้นใหม่ สะท้อนถึงการแสวงหา "รากฐานของครอบครัว" ของคนรุ่นใหม่ และสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์ระหว่างรุ่น

    ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถทางเทคโนโลยีของนักสร้างภาพเคลื่อนไหวชาวจีน ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นใจในวัฒนธรรมของผู้สร้างภาพยนตร์ชาวจีน นอกจากนี้ ทีมงานสร้างภาพยนตร์ยังได้เพิ่มจำนวนตัวละครขึ้นสามเท่าจากภาคก่อน ซึ่งดูเหมือนว่าจะสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้ ผู้ชมได้รับประสบการณ์ทางภาพที่งดงามตระการตา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะสร้างการเดินทางในภาพยนตร์ที่ดื่มด่ำและน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งขึ้น

    ในภาคนี้ นาจา ถูกเปลี่ยนบุคลิกจากคนดื้อรั้น เป็นผู้แบกรับภาระหนัก พร้อมสาบานที่จะ "ทำลายสวรรค์และโลก" และ "ปกป้องช่องเขาเฉินถังกวน" อย่างไรก็ตาม จิตวิญญาณของปัจเจกชน ไม่ได้สูญหายไปอย่างสมบูรณ์ เพราะมันสะท้อนถึงจิตวิญญาณแบบดั้งเดิมของความกล้าหาญ และดึงดูดผู้คนจํานวนมากไปชมดูภาพยนตร์

    ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเกมระหว่างความเชื่อเรื่องโชคชะตา และเจตจำนงเสรี คำกล่าวของนาจาที่ว่า "ฉันคือเจ้านายของชะตากรรมตนเอง" ผสมผสานแนวคิดของลัทธิเต๋าที่ว่า "การเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนเองโดยขัดต่อพระประสงค์ของพระเจ้า" ซึ่งสะท้อนถึงปรัชญาของลัทธิอัตถิภาวนิยม ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเติมความมีชีวิตชีวาในแบบสมัยใหม่ให้กับวัฒนธรรมดั้งเดิมอีกด้วย

    Nezha 2 ได้แสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมของแอนิเมชั่นจีนที่ทันสมัย ​​การเล่าเรื่องทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจ และความเชื่อมั่นของชาติอีกครั้ง ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้สร้างความหวังว่าภาพยนตร์แอนิเมชั่นจีนจะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในอนาคตทั้งในประเทศและต่างประเทศ
    ตารางอันดับหนังทำเงินตลอดกาลในจีน แตกก !!!!!! "Nezha 2" ผงาดยึดอันดับหนึ่ง ล้มแชมป์ด้วยเวลาที่สั้นกว่า และอาจไปได้ไกลถึง 10,000 ล้านหยวน "Nezha 2" เข้าฉายมาตั้งแต่วันพุธที่ 29 มกราคม ในเทศกาลตรุษจีน ใช้เวลาเพียง 9 วัน สามารถทำเงินล้มแชมป์หนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลในจีน ที่เดิมเป็นของ The Battle at Lake Changjin หนังสงครามที่รวม 3 ผู้กำกับ ฉีเคอะ เฉินข่ายเกอ และ ดันเต้ แลม โดยตัวเลขที่ทำได้ ถึงวันนี้ (6 กุมภาพันธ์) ในครึ่งวันแรก อยู่ที่ 5800 ล้านหยวน (796 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) มีบทวิเคราะห์ที่ว่ากันว่า นาจาภาคนี้ มีคนที่ดูแล้วชื่นชอบถึงขนาดต้องดูรอบสอง หรือบางคนมีถึงรอบที่สาม นาจา เป็นตัวละครพื้นฐานมาจากนวนิยายจีนสมัยศตวรรษที่ 17 ชื่อ (ห้องสิน-The Investiture of the Gods) ซึ่งเป็นหนึ่งในผลงานวรรณกรรมสําคัญชิ้นแรกที่มี "เทพ" และ "ปีศาจ" ในลัทธิเต๋าและพุทธศาสนา Nezha 2 เป็นสัญลักษณ์ของการขบถ ภาพลักษณ์ของ "นาจา" ได้เปลี่ยนจากวีรบุรุษโศกนาฏกรรมแบบดั้งเดิม "กลับไปหาพ่อ" มาเป็นขบถสมัยใหม่ที่ "เปลี่ยนโชคชะตาที่ขัดต่อพระประสงค์ของพระเจ้า" ซึ่งสอดคล้องกับความทะเยอทะยานทางจิตวิญญาณของเยาวชนในปัจจุบัน ความมุ่งมั่นในการต่อต้านระบบและการแสวงหาเป้าหมาย การดัดแปลงนี้ทำลายมายาคติความศักดิ์สิทธิ์ของตัวละคร ให้สามารถสะท้อนและเข้าใกล้กับผู้ชมได้มากยิ่งขึ้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ผสมผสานสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน โดยผสมผสานสไตล์พังก์ ภาษาพูดสมัยใหม่ มีม และองค์ประกอบอื่นๆ เช่น สำเนียง "ภาษาจีนกลางสไตล์เสฉวน" ของอาจารย์ไท่ยี่ ผู้เป็นครูของนาจา วิธีการนี้ผสมผสานสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมดั้งเดิมเข้ากับวัฒนธรรมป๊อปคัลเจอร์เพื่อให้ภาพยนตร์ดึงดูดผู้ชม ขณะเดียวกันก็ปลูกฝังอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ Nezha 2 เป็นนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่ในด้านสุนทรียศาสตร์ทางภาพ ภาพยนตร์เรื่องนี้ขับเคลื่อนสิ่งต่างๆด้วย เทคโนโลยี 5G และเทคโนโลยีอัจฉริยะ พร้อมด้วยทิศทางศิลปะที่สร้างสรรค์อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะทิวทัศน์ที่มีหมอกหนา ซึ่งช่วยเพิ่มประสบการณ์ในการที่ต้องชมในโรงภาพยนตร์ ตัวละคร นาจา ถูกสร้างขึ้นด้วยความเอาใจใส่เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเห็นได้ชัดจากข้อเท็จจริงที่ว่าตัวละครบนหน้าจอยังคงอารมณ์ การแสดงออกในแบบตะวันออกเอาไว้ได้ แท้จริงแล้ว นาจา อาจกลายเป็นแบรนด์ทางวัฒนธรรมใหม่ของจีน ภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยเฉพาะตัวเอกของเรื่อง แสดงให้เห็นถึงความเห็นอกเห็นใจต่อ "ผู้ถูกละเลย" ประสบการณ์การถูกเลือกปฏิบัติของ นาจา เป็นคําอุปมาอุปมัยของสังคมร่วมสมัย ที่ปฏิเสธ "คนนอกรีต" และปลูกฝังจิตวิญญาณของ "การขจัดอคติ" ให้กับผู้คน หนังยังแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจริยธรรมของครอบครัว ด้วยการเปลี่ยนบทบาทพ่อแม่ของนาจา จากคนที่เคร่งครัดตามขนบธรรมเนียมมาเป็น พ่อและแม่ ที่รักลูกและ "ฝ่าฝืนพระประสงค์ของพระเจ้าเพื่อปกป้องลูก" ผู้สร้างภาพยนตร์ได้สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวจีนขึ้นใหม่ สะท้อนถึงการแสวงหา "รากฐานของครอบครัว" ของคนรุ่นใหม่ และสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์ระหว่างรุ่น ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถทางเทคโนโลยีของนักสร้างภาพเคลื่อนไหวชาวจีน ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นใจในวัฒนธรรมของผู้สร้างภาพยนตร์ชาวจีน นอกจากนี้ ทีมงานสร้างภาพยนตร์ยังได้เพิ่มจำนวนตัวละครขึ้นสามเท่าจากภาคก่อน ซึ่งดูเหมือนว่าจะสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้ ผู้ชมได้รับประสบการณ์ทางภาพที่งดงามตระการตา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะสร้างการเดินทางในภาพยนตร์ที่ดื่มด่ำและน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งขึ้น ในภาคนี้ นาจา ถูกเปลี่ยนบุคลิกจากคนดื้อรั้น เป็นผู้แบกรับภาระหนัก พร้อมสาบานที่จะ "ทำลายสวรรค์และโลก" และ "ปกป้องช่องเขาเฉินถังกวน" อย่างไรก็ตาม จิตวิญญาณของปัจเจกชน ไม่ได้สูญหายไปอย่างสมบูรณ์ เพราะมันสะท้อนถึงจิตวิญญาณแบบดั้งเดิมของความกล้าหาญ และดึงดูดผู้คนจํานวนมากไปชมดูภาพยนตร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเกมระหว่างความเชื่อเรื่องโชคชะตา และเจตจำนงเสรี คำกล่าวของนาจาที่ว่า "ฉันคือเจ้านายของชะตากรรมตนเอง" ผสมผสานแนวคิดของลัทธิเต๋าที่ว่า "การเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนเองโดยขัดต่อพระประสงค์ของพระเจ้า" ซึ่งสะท้อนถึงปรัชญาของลัทธิอัตถิภาวนิยม ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเติมความมีชีวิตชีวาในแบบสมัยใหม่ให้กับวัฒนธรรมดั้งเดิมอีกด้วย Nezha 2 ได้แสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมของแอนิเมชั่นจีนที่ทันสมัย ​​การเล่าเรื่องทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจ และความเชื่อมั่นของชาติอีกครั้ง ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้สร้างความหวังว่าภาพยนตร์แอนิเมชั่นจีนจะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในอนาคตทั้งในประเทศและต่างประเทศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1043 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทีเซอร์ฉบับไทย “มังกรหยก จอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่"
    LENGENDS OF THE CONDOR HEROES: THE GALLANTS
    Action / Fantasy / Drama
    เข้าฉาย 20 กุมภาพันธ์ 2025

    ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงจากนิยายกาลังภายในอมตะฝีมือกิมย้งเรื่อง “มังกรหยก” ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวของความแค้นเคืองและความเกลียดชังในยุคสงคราม ที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งอำนาจ

    ก๊วยเจ๋ง (รับบทโดย เซียวจ้าน) จากบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง และได้ฝึกวิชาจนมีพลังยุทธมหาศาล ในการเปลี่ยนแปลงโชคชะตา แม้ว่าเขาจะได้รับการเชิดชูจากปรมาจารย์ ผู้ถ่ายทอด "คัมภีร์เก้าอิม” และ “18 ฝ่ามือพิชิตมังกร” ที่ไร้เทียมทานให้ ผู้คนทุกฝ่ายกลับต่างริษยาในตัวเขา จนทำให้เขาตกเป็นที่ครหาของชาวยุทธ ก๊วยเจ๋ง และ อึ้งย้ง (รับบทโดย จวงต๋าเฟย) จึงต้องพลิกสถานการณ์และป้องกันพรมแดนของราชวงศ์ซ่งใต้ ท่ามกลางลูกธนูที่ระดมยิงมาราวกับห่าฝนให้ได้ ด้วยจิตวิญญาณของวีรบุรุษ

    มหากาพย์ภาพยนตร์กาลังภายในฟอร์มยักษ์จากผู้กากับ ฉีเคอะ
    ตำนาน ‘มังกรหยก’ ที่ยิ่งใหญ่จะกลับมาอีกครั้ง
    20 กุมภาพันธ์ 2025 ในโรงภาพยนตร์
    ทีเซอร์ฉบับไทย “มังกรหยก จอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่" LENGENDS OF THE CONDOR HEROES: THE GALLANTS Action / Fantasy / Drama เข้าฉาย 20 กุมภาพันธ์ 2025 ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงจากนิยายกาลังภายในอมตะฝีมือกิมย้งเรื่อง “มังกรหยก” ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวของความแค้นเคืองและความเกลียดชังในยุคสงคราม ที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งอำนาจ ก๊วยเจ๋ง (รับบทโดย เซียวจ้าน) จากบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง และได้ฝึกวิชาจนมีพลังยุทธมหาศาล ในการเปลี่ยนแปลงโชคชะตา แม้ว่าเขาจะได้รับการเชิดชูจากปรมาจารย์ ผู้ถ่ายทอด "คัมภีร์เก้าอิม” และ “18 ฝ่ามือพิชิตมังกร” ที่ไร้เทียมทานให้ ผู้คนทุกฝ่ายกลับต่างริษยาในตัวเขา จนทำให้เขาตกเป็นที่ครหาของชาวยุทธ ก๊วยเจ๋ง และ อึ้งย้ง (รับบทโดย จวงต๋าเฟย) จึงต้องพลิกสถานการณ์และป้องกันพรมแดนของราชวงศ์ซ่งใต้ ท่ามกลางลูกธนูที่ระดมยิงมาราวกับห่าฝนให้ได้ ด้วยจิตวิญญาณของวีรบุรุษ มหากาพย์ภาพยนตร์กาลังภายในฟอร์มยักษ์จากผู้กากับ ฉีเคอะ ตำนาน ‘มังกรหยก’ ที่ยิ่งใหญ่จะกลับมาอีกครั้ง 20 กุมภาพันธ์ 2025 ในโรงภาพยนตร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 837 มุมมอง 24 0 รีวิว
  • ออร่าของคน มาจากอะไร?

    คำว่า "ออร่า" ที่เราพูดถึงในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่เรื่องของแสงสีที่ออกมาจากตัวบุคคล แต่หมายถึง "รัศมีแห่งความรู้สึก" ที่แผ่ออกมาโดยที่คนรอบข้างสามารถรับรู้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเสน่ห์ ความอบอุ่น หรือพลังงานเชิงบวกที่ทำให้ดูน่าดึงดูดขึ้น

    ออร่าเป็นสิ่งที่สามารถ "เปลี่ยนแปลง" ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมหรือโครงสร้างร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก "พฤติกรรม อารมณ์ และพลังภายใน" ของแต่ละคน


    ---

    ปัจจัยที่ทำให้คนดูมีออร่ามากขึ้น

    1. ทำกิจกรรมเพื่อคนอื่น

    คนที่มี น้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น จะมีออร่าที่สดใส

    จิตใจที่ขยายออกไปเพื่อคนอื่น ทำให้พลังชีวิตเปล่งประกาย

    ออร่าของความเมตตา สร้างเสน่ห์ดึงดูดที่ทำให้ดูดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ



    2. มีความขวนขวาย กระตือรือร้น

    คนที่ มีเป้าหมาย มีพลังชีวิต มีไฟในการทำงาน จะดูสดใส

    รัศมีของความกระตือรือร้นทำให้ใบหน้าและแววตาดูมีพลัง

    คนเหล่านี้ดูน่าสนใจ เพราะพลังของพวกเขาส่งผลให้คนรอบข้างรู้สึกมีแรงบันดาลใจ



    3. รักษาจิตให้สะอาด ด้วยศีล

    คนที่ มีศีล มีความสุจริตใจ จะมีออร่าแห่งความสงบและน่าเชื่อถือ

    ใบหน้าจะดูอ่อนโยนขึ้น เพราะจิตใจไม่เร่าร้อนด้วยกิเลส

    คนที่โกหก หรือทำผิดศีลบ่อยๆ จะมีออร่าขุ่นมัว ดูไม่น่าไว้ใจ



    4. มีจิตโปร่งใส ด้วยการเจริญสติ

    คนที่ ฝึกเจริญสติอยู่เสมอ จะมีแววตาที่สงบและแจ่มใส

    ออร่าของความสงบ จะทำให้คนรอบข้างรู้สึกสบายใจเมื่อต้องอยู่ใกล้

    ความสว่างจากภายใน ทำให้คนเหล่านี้ดูมีเสน่ห์แบบลึกซึ้ง





    ---

    ออร่า ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ แต่เป็นผลของกรรมในปัจจุบัน

    ออร่า ไม่ได้เกิดจากโชคชะตา แต่เกิดจากวิถีชีวิตของเราเอง

    คนที่ คิดดี พูดดี ทำดี ย่อมมีออร่าที่ดี

    คนที่ คิดลบ อิจฉา โกรธง่าย จะมีออร่าที่ขุ่นมัว

    ออร่า เปลี่ยนได้ตลอดเวลา ตามสภาวะจิตของแต่ละคน


    ดังนั้น ถ้าอยากดูดีขึ้น ไม่ใช่แค่เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้า หรือศัลยกรรม
    แต่ต้อง ปรับจิตใจให้สะอาด ปรับพฤติกรรมให้เป็นกุศล
    ออร่าที่แท้จริงจะค่อยๆ เปล่งออกมาเองอย่างเป็นธรรมชาติ!

    ออร่าของคน มาจากอะไร? คำว่า "ออร่า" ที่เราพูดถึงในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่เรื่องของแสงสีที่ออกมาจากตัวบุคคล แต่หมายถึง "รัศมีแห่งความรู้สึก" ที่แผ่ออกมาโดยที่คนรอบข้างสามารถรับรู้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเสน่ห์ ความอบอุ่น หรือพลังงานเชิงบวกที่ทำให้ดูน่าดึงดูดขึ้น ออร่าเป็นสิ่งที่สามารถ "เปลี่ยนแปลง" ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมหรือโครงสร้างร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก "พฤติกรรม อารมณ์ และพลังภายใน" ของแต่ละคน --- ปัจจัยที่ทำให้คนดูมีออร่ามากขึ้น 1. ทำกิจกรรมเพื่อคนอื่น คนที่มี น้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น จะมีออร่าที่สดใส จิตใจที่ขยายออกไปเพื่อคนอื่น ทำให้พลังชีวิตเปล่งประกาย ออร่าของความเมตตา สร้างเสน่ห์ดึงดูดที่ทำให้ดูดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ 2. มีความขวนขวาย กระตือรือร้น คนที่ มีเป้าหมาย มีพลังชีวิต มีไฟในการทำงาน จะดูสดใส รัศมีของความกระตือรือร้นทำให้ใบหน้าและแววตาดูมีพลัง คนเหล่านี้ดูน่าสนใจ เพราะพลังของพวกเขาส่งผลให้คนรอบข้างรู้สึกมีแรงบันดาลใจ 3. รักษาจิตให้สะอาด ด้วยศีล คนที่ มีศีล มีความสุจริตใจ จะมีออร่าแห่งความสงบและน่าเชื่อถือ ใบหน้าจะดูอ่อนโยนขึ้น เพราะจิตใจไม่เร่าร้อนด้วยกิเลส คนที่โกหก หรือทำผิดศีลบ่อยๆ จะมีออร่าขุ่นมัว ดูไม่น่าไว้ใจ 4. มีจิตโปร่งใส ด้วยการเจริญสติ คนที่ ฝึกเจริญสติอยู่เสมอ จะมีแววตาที่สงบและแจ่มใส ออร่าของความสงบ จะทำให้คนรอบข้างรู้สึกสบายใจเมื่อต้องอยู่ใกล้ ความสว่างจากภายใน ทำให้คนเหล่านี้ดูมีเสน่ห์แบบลึกซึ้ง --- ออร่า ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ แต่เป็นผลของกรรมในปัจจุบัน ออร่า ไม่ได้เกิดจากโชคชะตา แต่เกิดจากวิถีชีวิตของเราเอง คนที่ คิดดี พูดดี ทำดี ย่อมมีออร่าที่ดี คนที่ คิดลบ อิจฉา โกรธง่าย จะมีออร่าที่ขุ่นมัว ออร่า เปลี่ยนได้ตลอดเวลา ตามสภาวะจิตของแต่ละคน ดังนั้น ถ้าอยากดูดีขึ้น ไม่ใช่แค่เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้า หรือศัลยกรรม แต่ต้อง ปรับจิตใจให้สะอาด ปรับพฤติกรรมให้เป็นกุศล ออร่าที่แท้จริงจะค่อยๆ เปล่งออกมาเองอย่างเป็นธรรมชาติ!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 418 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลิขิตแห่งฟ้า ชะตาแห่งดิน
    ผู้คนทั่วไปมักมองว่าโชคชะตาของเรานั้นล้วนลิขิตเองได้ แต่สำหรับผมแล้วนั้นมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย ไม่มีใครฝืนชะตาแห่งฟ้าที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้วได้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ซึ่งบางครั้งเราก็รู้สึกว่าชีวิตเราทำไมมันเป็นอย่างนี้ไปได้ ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำและต้องการที่จะให้มันเป็นไปอย่างนี้อย่างนั้นเลย แต่สุดท้ายแล้วในท้ายที่สุดแล้วมันก็มักจะมาลงเอยในแบบที่เราไม่อยากให้เป็น ทุกชีวิตทุกจิตวิญญาณล้วนถูกฟ้าเบื้องบนลิขิตเอาไว้แล้วทั้งนั้น ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงใดๆได้เลย
    ชะตากรรมแห่งดินของเราๆสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ หมายถึงเราสามารถที่จะเลือกได้ เลือกได้ว่าจะไปในทิศทางใด จะไปดีหรือไปร้าย เราเลือกเดินได้และเลือกเดินด้วยตนเองทั้งนั้น เราสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ว่าอนาคตของเราที่เราคาดหวังไว้นั้นจะเป็นไปอย่างไรในชั่วชีวิตนี้ชาติหนึ่งของเรา และทุกบททดสอบ ทุกการทดสอบจากเบื้องบนนั้น เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยการเลือก และในการเลือกแต่ละครั้งนั้นหมายถึงอนาคตของเรานั่นเอง
    ลุงตั๊บ(ลุงสนธิ ลิ้มทองกุล)มักจะบอกอยู่เสมอๆว่า “คนคำนวณ ไม่สู้ฟ้าลิขิต” ซึ่งมันเป็นเรื่องจริง และมันไม่สามารถที่จะคำนวณเองได้ด้วยตรรกะของคนธรรมดาๆได้เลย
    นักปราชญ์อย่างท่านเทพขงเบ้ง หรือ จูกัดเหลียง มักจะบอกอยู่เสมอๆว่า “ฝืนฟ้ามิอาจอยู่ได้ ต้องปล่อยไปตามฟ้า” ซึ่งคนเราไม่อาจสามารถที่จะฝืนฟ้าหรือเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนเองได้เลย
    ส่วนผมนั้นได้คิดคำๆนี้ขึ้นมาก็คือ “ลิขิตแห่งฟ้า ชะตาแห่งดิน” ลิขิตแห่งฟ้านั้นฝืนไม่ได้ แต่โชคชะตาแห่งดินนั้นเราสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงมันได้ โดยการเลือกของเรา การเลือกเส้นทางเดินของเรา หากเราเลือกถูกก็ดีไป หากเราเลือกผิดก็แย่ไป
    หลวงปู่ญาณฯ(สมเด็จพระญาณสังวรฯ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก)ประมุขสงฆ์ไทยและโลก ได้เคยสอนไว้ว่า “ชีวิตนี้น้อยนัก แต่สำคัญนัก จะไปสูงไปต่ำ จะไปดีไปร้าย เลือกได้ในชีวิตนี้เท่านั้น จงคิดให้ดี แล้วจึงเลือกเถิด เลือกให้ดีเถิด”
    สุดท้ายนี้นี่ก็เป็นแค่ทฤษฎีของผมเอง ซึ่งมันขึ้นอยู่กับว่าคุณมีความเชื่อเป็นเช่นไร ซึ่งมันขึ้นอยู่กับตัวของคุณเอง ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ แล้วแต่ประสบการณ์ของคุณเอง
    ลิขิตแห่งฟ้า ชะตาแห่งดิน ผู้คนทั่วไปมักมองว่าโชคชะตาของเรานั้นล้วนลิขิตเองได้ แต่สำหรับผมแล้วนั้นมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย ไม่มีใครฝืนชะตาแห่งฟ้าที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้วได้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ซึ่งบางครั้งเราก็รู้สึกว่าชีวิตเราทำไมมันเป็นอย่างนี้ไปได้ ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำและต้องการที่จะให้มันเป็นไปอย่างนี้อย่างนั้นเลย แต่สุดท้ายแล้วในท้ายที่สุดแล้วมันก็มักจะมาลงเอยในแบบที่เราไม่อยากให้เป็น ทุกชีวิตทุกจิตวิญญาณล้วนถูกฟ้าเบื้องบนลิขิตเอาไว้แล้วทั้งนั้น ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงใดๆได้เลย ชะตากรรมแห่งดินของเราๆสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ หมายถึงเราสามารถที่จะเลือกได้ เลือกได้ว่าจะไปในทิศทางใด จะไปดีหรือไปร้าย เราเลือกเดินได้และเลือกเดินด้วยตนเองทั้งนั้น เราสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ว่าอนาคตของเราที่เราคาดหวังไว้นั้นจะเป็นไปอย่างไรในชั่วชีวิตนี้ชาติหนึ่งของเรา และทุกบททดสอบ ทุกการทดสอบจากเบื้องบนนั้น เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยการเลือก และในการเลือกแต่ละครั้งนั้นหมายถึงอนาคตของเรานั่นเอง ลุงตั๊บ(ลุงสนธิ ลิ้มทองกุล)มักจะบอกอยู่เสมอๆว่า “คนคำนวณ ไม่สู้ฟ้าลิขิต” ซึ่งมันเป็นเรื่องจริง และมันไม่สามารถที่จะคำนวณเองได้ด้วยตรรกะของคนธรรมดาๆได้เลย นักปราชญ์อย่างท่านเทพขงเบ้ง หรือ จูกัดเหลียง มักจะบอกอยู่เสมอๆว่า “ฝืนฟ้ามิอาจอยู่ได้ ต้องปล่อยไปตามฟ้า” ซึ่งคนเราไม่อาจสามารถที่จะฝืนฟ้าหรือเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนเองได้เลย ส่วนผมนั้นได้คิดคำๆนี้ขึ้นมาก็คือ “ลิขิตแห่งฟ้า ชะตาแห่งดิน” ลิขิตแห่งฟ้านั้นฝืนไม่ได้ แต่โชคชะตาแห่งดินนั้นเราสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงมันได้ โดยการเลือกของเรา การเลือกเส้นทางเดินของเรา หากเราเลือกถูกก็ดีไป หากเราเลือกผิดก็แย่ไป หลวงปู่ญาณฯ(สมเด็จพระญาณสังวรฯ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก)ประมุขสงฆ์ไทยและโลก ได้เคยสอนไว้ว่า “ชีวิตนี้น้อยนัก แต่สำคัญนัก จะไปสูงไปต่ำ จะไปดีไปร้าย เลือกได้ในชีวิตนี้เท่านั้น จงคิดให้ดี แล้วจึงเลือกเถิด เลือกให้ดีเถิด” สุดท้ายนี้นี่ก็เป็นแค่ทฤษฎีของผมเอง ซึ่งมันขึ้นอยู่กับว่าคุณมีความเชื่อเป็นเช่นไร ซึ่งมันขึ้นอยู่กับตัวของคุณเอง ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ แล้วแต่ประสบการณ์ของคุณเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 377 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวมคำคมของผม(ที่ผมแต่งขึ้น)ในรอบหลายปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งที่แต่งขึ้นมาใหม่ด้วย
    1. จงเป็นคนที่ต้องเป็น ไม่ใช่คนที่อยากเป็น เพราะเราไม่สามารถฝืนลิขิตฟ้า หรือ โชคชะตาได้หรอก
    1.1 ตายอย่างเสือ ดีกว่าอยู่อย่างหมา
    1.2 สูงสุด คืนสู่สามัญที่แท้จริง
    1.3 จิตวิญญาณแห่งความหวัง คือแสงแห่งความหวัง
    1.4 เจตจำนงบรรพชน
    2. รักแท้คือการไม่ผูกมัดกับคู่แท้ของเรา และเชื่อใจซึ่งกันและกัน
    2.1 คำว่า "รัก,ชอบ,หลง" นั้น มีความหมายที่แตกต่างกัน และลึกซึ้งมาก เพราะฉะนั้น จงใช้คำให้ถูกต้อง และพูดกับผู้อื่นอย่างระมัดระวังที่สุด(เพราะว่ามันอาจจะเกิดความเข้าใจผิดกันได้ และส่งผลกระทบย้อนกลับมาถึงตัวผู้พูดเองอย่างร้ายกาจที่สุด)
    2.2 ในเมื่อเค้าไม่รักเรา เราก็อย่าไปอาลัยอาวรถึงเค้าอีก
    2.3 จงรักคนที่รักเรา ไม่ใช่คนที่เรารัก เพราะว่าคนที่เรารักนั้นเค้าอาจจะไม่ได้รักเราก็เป็นได้
    2.4 ปล่อยวางไปกับอดีตที่ผ่านมา แล้วจำเอาไว้เป็นบทเรียน และอย่าได้ทำผิดพลาดซ้ำอีก
    2.5 จงมีความหวังและเฝ้ารอคนที่เราใฝ่ฝันอย่างตั้งใจจริง และอย่าได้ท้อถอยกับอุปสรรคจนกว่าจะได้พบกัน
    2.6 หมั่นทำความดีเอาไว้ให้มากๆ แล้วจะสมหวังในความรัก ถึงแม้ว่าชาติภพนี้เราอาจจะไม่ได้พบเจอกับคนที่ใช่ แต่ก็จะเป็นใบเบิกทางให้ชาติภพหน้าให้เราได้พบเจอกับเค้าคนนั้น
    2.7 จงมีความรักอย่างซื่อสัตย์ ทั้งต่อกับตัวเอง และคนที่เรารัก รวมทั้งทุกคนด้วย
    3. คนชั่วมักจะจองเวร คนดีมักจะให้อภัย
    3.1 ค่าของคน อยู่ที่จิตวิญญาณ และคุณความดี ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
    3.5 ค่าของคน อยู่ที่ใด ค่าของคน อยู่ที่ใจ ใจที่ดี ก็เป็นสุข ใจที่ชั่ว ก็เป็นทุกข์ แล้วใจของคุณล่ะ เป็นเช่นไร
    3.6 ความจริงกับความฝันสามารถอยู่ด้วยกันได้ในบางเรื่อง แต่ความจริงกับความฝันไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ในหลายเรื่อง
    3.4 จงมีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อตัวเอง
    3.5 มันยังไม่สายไปหรอก สำหรับการเริ่มต้นใหม่ ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ มันก็คงจะยังไม่สายไป
    3.6 เงินมีไว้ใช้(ประโยชน์) ไม่ได้มีไว้เก็บ(ตระหนี่)
    รวมคำคมของผม(ที่ผมแต่งขึ้น)ในรอบหลายปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งที่แต่งขึ้นมาใหม่ด้วย 1. จงเป็นคนที่ต้องเป็น ไม่ใช่คนที่อยากเป็น เพราะเราไม่สามารถฝืนลิขิตฟ้า หรือ โชคชะตาได้หรอก 1.1 ตายอย่างเสือ ดีกว่าอยู่อย่างหมา 1.2 สูงสุด คืนสู่สามัญที่แท้จริง 1.3 จิตวิญญาณแห่งความหวัง คือแสงแห่งความหวัง 1.4 เจตจำนงบรรพชน 2. รักแท้คือการไม่ผูกมัดกับคู่แท้ของเรา และเชื่อใจซึ่งกันและกัน 2.1 คำว่า "รัก,ชอบ,หลง" นั้น มีความหมายที่แตกต่างกัน และลึกซึ้งมาก เพราะฉะนั้น จงใช้คำให้ถูกต้อง และพูดกับผู้อื่นอย่างระมัดระวังที่สุด(เพราะว่ามันอาจจะเกิดความเข้าใจผิดกันได้ และส่งผลกระทบย้อนกลับมาถึงตัวผู้พูดเองอย่างร้ายกาจที่สุด) 2.2 ในเมื่อเค้าไม่รักเรา เราก็อย่าไปอาลัยอาวรถึงเค้าอีก 2.3 จงรักคนที่รักเรา ไม่ใช่คนที่เรารัก เพราะว่าคนที่เรารักนั้นเค้าอาจจะไม่ได้รักเราก็เป็นได้ 2.4 ปล่อยวางไปกับอดีตที่ผ่านมา แล้วจำเอาไว้เป็นบทเรียน และอย่าได้ทำผิดพลาดซ้ำอีก 2.5 จงมีความหวังและเฝ้ารอคนที่เราใฝ่ฝันอย่างตั้งใจจริง และอย่าได้ท้อถอยกับอุปสรรคจนกว่าจะได้พบกัน 2.6 หมั่นทำความดีเอาไว้ให้มากๆ แล้วจะสมหวังในความรัก ถึงแม้ว่าชาติภพนี้เราอาจจะไม่ได้พบเจอกับคนที่ใช่ แต่ก็จะเป็นใบเบิกทางให้ชาติภพหน้าให้เราได้พบเจอกับเค้าคนนั้น 2.7 จงมีความรักอย่างซื่อสัตย์ ทั้งต่อกับตัวเอง และคนที่เรารัก รวมทั้งทุกคนด้วย 3. คนชั่วมักจะจองเวร คนดีมักจะให้อภัย 3.1 ค่าของคน อยู่ที่จิตวิญญาณ และคุณความดี ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ 3.5 ค่าของคน อยู่ที่ใด ค่าของคน อยู่ที่ใจ ใจที่ดี ก็เป็นสุข ใจที่ชั่ว ก็เป็นทุกข์ แล้วใจของคุณล่ะ เป็นเช่นไร 3.6 ความจริงกับความฝันสามารถอยู่ด้วยกันได้ในบางเรื่อง แต่ความจริงกับความฝันไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ในหลายเรื่อง 3.4 จงมีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อตัวเอง 3.5 มันยังไม่สายไปหรอก สำหรับการเริ่มต้นใหม่ ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ มันก็คงจะยังไม่สายไป 3.6 เงินมีไว้ใช้(ประโยชน์) ไม่ได้มีไว้เก็บ(ตระหนี่)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 313 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลิขิตฟ้า โชคชะตา
    จงเป็นคนที่ต้องเป็น ไม่ใช่คนที่อยากเป็น เพราะเราไม่สามารถฝืนลิขิตฟ้า หรือ โชคชะตาได้หรอก
    ลิขิตฟ้า โชคชะตา จงเป็นคนที่ต้องเป็น ไม่ใช่คนที่อยากเป็น เพราะเราไม่สามารถฝืนลิขิตฟ้า หรือ โชคชะตาได้หรอก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิถีชีวิตของคนเราเกี่ยวกับเรื่องของความตาย
    วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนเรานั้นล้วนแตกต่างกัน
    บางคนก็มีชีวิตที่แสนสุขสบาย บางคนก็มีชีวิตที่แสนเรียบง่าย และบางคนก็มีชีวิตที่แสนขมขื่นและน่าอดสู ซึ่งขึ้นอยู่กับ "ดวงชะตา" หรือ "โชคชะตา" ของแต่ละคนที่แตกต่างกัน
    เราไม่สามารถที่จะเลือกเกิดได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะเป็นได้ หรืออย่างน้อยที่สุดเราก็สามารถเลือกที่จะตายได้
    ซึ่งการตายของคนเรานั้นมี 2 แบบด้วยกันคือ
    แบบที่ 1 คือการตายอย่างมีค่า
    ซึ่งหมายถึงการตายโดยที่ตนเองได้ทำประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้อื่น
    ซึ่งการตายแบบนี้นั้น อย่างน้อยที่สุดเขาหรือเธอคนนั้นก็สามารถทำให้ผู้อื่นได้ชื่นชมยกย่องในคุณงามความดีของเขาหรือเธอคนนั้นที่ได้เคยกระทำเอาไว้ในอดีต ทั้งยังเป็นที่จดจำของผู้คน และทำให้ได้รับการยกย่องสรรเสริญแก่วงศ์ตระกูลสืบต่อไปตราบนานเท่านาน อีกทั้งยังเป็นแบบอย่างที่ดีแก่คนรุ่นหลังให้ได้กระทำตามแบบอย่างที่ดีสืบต่อไปอีกด้วย
    ส่วนแบบที่ 2 นั้น คือการตายอย่างไร้ค่า
    ซึ่งหมายถึงการตายที่ตนเองไม่ได้ทำประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้อื่น อีกทั้งยังทำให้ผู้อื่นต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย
    ซึ่งการตายแบบนี้นั้น เป็นการตายที่ไม่น่ากระทำเป็นเยี่ยงอย่างเอาเสียเลย กล่าวคือ มันเป็นการตายที่ไม่มีประโยชน์ ไม่มีคุนค่า และบางคนหนักยิ่งไปกว่านั้นอีก คือ ตอนที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่นั้น ตนเองไม่เคยได้ทำประโยชน์ให้แก่ผู้ใดเลย และพอตนเองได้ตายไปแล้วนั้น ยังทำให้ผู้อื่นต้องเป็นธุระลำบากในเรื่องต่างๆอีกด้วย ส่วนบางคนนั้นกลับแย่ยิ่งไปกว่านั้นอีก คือ ตอนที่ตนเองมีชีวิตอยู่นั้น ตนเองได้แต่กระทำบาป ครั้นพอตนเองได้ตายลงไปแล้ว ก็ทำให้ผู้อื่นต้องคอยเป็นธุระจัดการในเรื่องต่างๆแล้วยังไม่พอ ยังทำให้วงศ์ตระกูลพลอยเสื่อมเสียไปด้วย ซ้ำยังถูกก่นด่าจากผู้คนอีก ด้วยความไม่พอใจในตนเอง ว่าตนเองได้เคยทำให้ผู้อื่นนั้นเดือดร้อน และก็ถูกผู้อื่นเกลียดชัง ซึ่งส่งผลให้คนในตระกูลของตนต้องรับกรรรมที่ตนเองได้เคยก่อเอาไว้ในอดีต ซึ่งคนในตระกุลไม่มีส่วนรู้เห็นในการกระทำของตนเองเลย แต่กลับต้องมารับกรรมแทนตนเองอีก ซึ่งคนแบบนี้นั้น ตายไปคงต้องตกนรกหมกไหม้อย่างแน่นอน
    สุดท้ายนี้ เมื่อกล่าวถึงเรื่องของความตายนั้น "ไม่ว่าใครก็ต้องตายด้วยกันทั้งนั้น มันเป็นสัจธรรม" สุดแท้แต่ใครจะเลือกเดินไปในเส้นทางไหน
    ผมขอให้ข้อคิดคุณ
    ในเมื่อคุณรู้อย่างนี้แล้ว แล้วคุณจะเลือกที่จะตายในแบบไหนกัน?
    ผมหวังว่าคุณคงจะเลือกเดินในเส้นทางที่ถูกนะครับ
    วิถีชีวิตของคนเราเกี่ยวกับเรื่องของความตาย วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนเรานั้นล้วนแตกต่างกัน บางคนก็มีชีวิตที่แสนสุขสบาย บางคนก็มีชีวิตที่แสนเรียบง่าย และบางคนก็มีชีวิตที่แสนขมขื่นและน่าอดสู ซึ่งขึ้นอยู่กับ "ดวงชะตา" หรือ "โชคชะตา" ของแต่ละคนที่แตกต่างกัน เราไม่สามารถที่จะเลือกเกิดได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะเป็นได้ หรืออย่างน้อยที่สุดเราก็สามารถเลือกที่จะตายได้ ซึ่งการตายของคนเรานั้นมี 2 แบบด้วยกันคือ แบบที่ 1 คือการตายอย่างมีค่า ซึ่งหมายถึงการตายโดยที่ตนเองได้ทำประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้อื่น ซึ่งการตายแบบนี้นั้น อย่างน้อยที่สุดเขาหรือเธอคนนั้นก็สามารถทำให้ผู้อื่นได้ชื่นชมยกย่องในคุณงามความดีของเขาหรือเธอคนนั้นที่ได้เคยกระทำเอาไว้ในอดีต ทั้งยังเป็นที่จดจำของผู้คน และทำให้ได้รับการยกย่องสรรเสริญแก่วงศ์ตระกูลสืบต่อไปตราบนานเท่านาน อีกทั้งยังเป็นแบบอย่างที่ดีแก่คนรุ่นหลังให้ได้กระทำตามแบบอย่างที่ดีสืบต่อไปอีกด้วย ส่วนแบบที่ 2 นั้น คือการตายอย่างไร้ค่า ซึ่งหมายถึงการตายที่ตนเองไม่ได้ทำประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้อื่น อีกทั้งยังทำให้ผู้อื่นต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย ซึ่งการตายแบบนี้นั้น เป็นการตายที่ไม่น่ากระทำเป็นเยี่ยงอย่างเอาเสียเลย กล่าวคือ มันเป็นการตายที่ไม่มีประโยชน์ ไม่มีคุนค่า และบางคนหนักยิ่งไปกว่านั้นอีก คือ ตอนที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่นั้น ตนเองไม่เคยได้ทำประโยชน์ให้แก่ผู้ใดเลย และพอตนเองได้ตายไปแล้วนั้น ยังทำให้ผู้อื่นต้องเป็นธุระลำบากในเรื่องต่างๆอีกด้วย ส่วนบางคนนั้นกลับแย่ยิ่งไปกว่านั้นอีก คือ ตอนที่ตนเองมีชีวิตอยู่นั้น ตนเองได้แต่กระทำบาป ครั้นพอตนเองได้ตายลงไปแล้ว ก็ทำให้ผู้อื่นต้องคอยเป็นธุระจัดการในเรื่องต่างๆแล้วยังไม่พอ ยังทำให้วงศ์ตระกูลพลอยเสื่อมเสียไปด้วย ซ้ำยังถูกก่นด่าจากผู้คนอีก ด้วยความไม่พอใจในตนเอง ว่าตนเองได้เคยทำให้ผู้อื่นนั้นเดือดร้อน และก็ถูกผู้อื่นเกลียดชัง ซึ่งส่งผลให้คนในตระกูลของตนต้องรับกรรรมที่ตนเองได้เคยก่อเอาไว้ในอดีต ซึ่งคนในตระกุลไม่มีส่วนรู้เห็นในการกระทำของตนเองเลย แต่กลับต้องมารับกรรมแทนตนเองอีก ซึ่งคนแบบนี้นั้น ตายไปคงต้องตกนรกหมกไหม้อย่างแน่นอน สุดท้ายนี้ เมื่อกล่าวถึงเรื่องของความตายนั้น "ไม่ว่าใครก็ต้องตายด้วยกันทั้งนั้น มันเป็นสัจธรรม" สุดแท้แต่ใครจะเลือกเดินไปในเส้นทางไหน ผมขอให้ข้อคิดคุณ ในเมื่อคุณรู้อย่างนี้แล้ว แล้วคุณจะเลือกที่จะตายในแบบไหนกัน? ผมหวังว่าคุณคงจะเลือกเดินในเส้นทางที่ถูกนะครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 190 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิธีแก้ไขปัญหา
    ลองแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองก่อน ถ้าหากว่าแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองไม่ได้ ก็ลองไปปรึกษาผู้ที่จะช่วยเหลือเราได้ และให้เค้าช่วยเหลือเรา แต่ถ้ายังแก้ไขปัญหาไม่ได้อีก ก็ควรที่จะปลง และปล่อยวางเสีย ปล่อยให้กาลเวลาคอยเยียวยารักษาไป ปล่อยให้โชคชะตาชี้นำทางให้เรา แล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง เพราะว่าบางเรื่องนั้นต้องใช้เวลาในการรักษา หรือแก้ไขปัญหา
    วิธีแก้ไขปัญหา ลองแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองก่อน ถ้าหากว่าแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองไม่ได้ ก็ลองไปปรึกษาผู้ที่จะช่วยเหลือเราได้ และให้เค้าช่วยเหลือเรา แต่ถ้ายังแก้ไขปัญหาไม่ได้อีก ก็ควรที่จะปลง และปล่อยวางเสีย ปล่อยให้กาลเวลาคอยเยียวยารักษาไป ปล่อยให้โชคชะตาชี้นำทางให้เรา แล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง เพราะว่าบางเรื่องนั้นต้องใช้เวลาในการรักษา หรือแก้ไขปัญหา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
  • "เสียงกีโยติน"

    สายลมเย็นยะเยือก กลางปลัสเดอลาเรวอลูซียง เสียงฝูงชนร้องก้องในกรุงปารีส พระเจ้าหลุยส์ที่สิบหก ทรงยืนบนทางแห่งโชคชะตา กีโยตินรออยู่ ด้วยคมดาบแห่งความจริง

    ประวัติศาสตร์จารึก ในคืนแห่งการเปลี่ยนแปลง เสรีภาพดังก้องลั่นโลกk พระองค์ผู้เคยทรงมงกุฎทองคำ วันนี้ต้องทรงศิโรราบให้กับแผ่นดิน

    * เสียงกีโยติน กรีดก้องฟ้า ตัดเส้นทางแห่งราชันย์และชะตา โลหิตหยดลงบนพื้นพสุธา ฝรั่งเศสร่ำร้อง เสรีภาพมาเยือน

    พระดำรัสสุดท้าย ดังก้องด้วยศรัทธา "ข้าพเจ้าบริสุทธิ์ แม้ถูกกล่าวหา โลหิตนี้ ขออย่าไหลล้างแผ่นดิน ขอให้ฝรั่งเศส พ้นจากวิกฤตินิรันดร์"

    ชาลส์ อ็องรี ซ็องซง ยืนถือดาบ ประกาศยุติอำนาจที่เคยแกร่งกล้า ท่ามกลางเสียงกลองรัว สุดท้ายจบสิ้น ชะตาของกษัตริย์ผู้พลิกวิถีปวงชน

    ซ้ำ *

    เลือดแห่งหลุยส์ที่สิบหก หลั่งไหลบนหน้าประวัติศาสตร์ บทเรียนแห่งความยิ่งใหญ่ และอำนาจที่ผิดทาง เสียงของปวงชนดังก้อง กลายเป็นตำนาน พระโลหิตนั้น เป็นเครื่องเตือนใจนิรันดร์

    ซ้ำ *

    ในความเงียบงัน พระเจ้าหลุยส์ที่สิบหกสิ้นเสียง ทว่าเสียงแห่งอิสรภาพยังคงก้อง กีโยตินไม่ใช่จุดจบ แต่คือการเริ่มต้น บทใหม่แห่งปวงชน ผู้โหยหาประชาธิปไตย

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 211008 ม.ค. 2568
    "เสียงกีโยติน" สายลมเย็นยะเยือก กลางปลัสเดอลาเรวอลูซียง เสียงฝูงชนร้องก้องในกรุงปารีส พระเจ้าหลุยส์ที่สิบหก ทรงยืนบนทางแห่งโชคชะตา กีโยตินรออยู่ ด้วยคมดาบแห่งความจริง ประวัติศาสตร์จารึก ในคืนแห่งการเปลี่ยนแปลง เสรีภาพดังก้องลั่นโลกk พระองค์ผู้เคยทรงมงกุฎทองคำ วันนี้ต้องทรงศิโรราบให้กับแผ่นดิน * เสียงกีโยติน กรีดก้องฟ้า ตัดเส้นทางแห่งราชันย์และชะตา โลหิตหยดลงบนพื้นพสุธา ฝรั่งเศสร่ำร้อง เสรีภาพมาเยือน พระดำรัสสุดท้าย ดังก้องด้วยศรัทธา "ข้าพเจ้าบริสุทธิ์ แม้ถูกกล่าวหา โลหิตนี้ ขออย่าไหลล้างแผ่นดิน ขอให้ฝรั่งเศส พ้นจากวิกฤตินิรันดร์" ชาลส์ อ็องรี ซ็องซง ยืนถือดาบ ประกาศยุติอำนาจที่เคยแกร่งกล้า ท่ามกลางเสียงกลองรัว สุดท้ายจบสิ้น ชะตาของกษัตริย์ผู้พลิกวิถีปวงชน ซ้ำ * เลือดแห่งหลุยส์ที่สิบหก หลั่งไหลบนหน้าประวัติศาสตร์ บทเรียนแห่งความยิ่งใหญ่ และอำนาจที่ผิดทาง เสียงของปวงชนดังก้อง กลายเป็นตำนาน พระโลหิตนั้น เป็นเครื่องเตือนใจนิรันดร์ ซ้ำ * ในความเงียบงัน พระเจ้าหลุยส์ที่สิบหกสิ้นเสียง ทว่าเสียงแห่งอิสรภาพยังคงก้อง กีโยตินไม่ใช่จุดจบ แต่คือการเริ่มต้น บทใหม่แห่งปวงชน ผู้โหยหาประชาธิปไตย ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 211008 ม.ค. 2568
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 416 มุมมอง 55 0 รีวิว
  • อย่าน้อยใจโชคชะตา วาสนา ลุกขึ้นมาทำดี รักษาศิล รักษาธรรม
    อย่าน้อยใจโชคชะตา วาสนา ลุกขึ้นมาทำดี รักษาศิล รักษาธรรม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/watch?v=UbiuSgjAjlU
    บทสนทนาวันปีใหม่
    (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้)
    แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาวันปีใหม่
    มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ

    #บทสนทนาภาษาอังกฤษ #ฝึกฟังภาษาอังกฤษ #ปีใหม่

    The conversations from the clip :

    Emily: Hi, Jack! Do you know how the New Year’s celebration started?
    Jack: Hey, Emily! Not exactly. I know it’s a global tradition, but what’s the history behind it?
    Emily: Well, the first recorded New Year’s celebration was over 4,000 years ago in ancient Babylon.
    Jack: Really? That’s so long ago! How did they celebrate?
    Emily: They celebrated during the spring equinox with a festival called Akitu. It lasted 11 days.
    Jack: Wow, 11 days of celebrations? That sounds intense!
    Emily: It was! They honored their gods and renewed their king's power during the festival.
    Jack: That’s fascinating. Did they celebrate on January 1st back then?
    Emily: No, the January 1st tradition started in 45 BCE when Julius Caesar introduced the Julian calendar.
    Jack: So, it was the Romans who set January 1st as New Year’s Day?
    Emily: Exactly. They dedicated the day to Janus, the god of beginnings and transitions.
    Jack: That’s why it’s called January! It makes so much sense now.
    Emily: Right! People would exchange gifts and make sacrifices to Janus for good fortune.
    Jack: Sounds similar to our modern traditions like resolutions and celebrations.
    Emily: Definitely! It’s amazing how some things have stayed the same for centuries.
    Jack: It really is. Thanks for the history lesson, Emily!
    Emily: Anytime, Jack! Happy early New Year, by the way!
    Jack: Same to you! Let’s celebrate and make it memorable this year.

    Emily: สวัสดี แจ็ค! คุณรู้ไหมว่าการเฉลิมฉลองปีใหม่เริ่มต้นขึ้นได้อย่างไร?
    Jack: สวัสดี เอมิลี่! ไม่ค่อยแน่ใจนะ รู้แค่ว่ามันเป็นประเพณีทั่วโลก แต่เบื้องหลังมันคืออะไรเหรอ?
    Emily: เอาล่ะ การเฉลิมฉลองปีใหม่ครั้งแรกที่บันทึกไว้เกิดขึ้นเมื่อกว่า 4,000 ปีก่อนในบาบิโลนโบราณ
    Jack: จริงเหรอ? นานขนาดนั้นเลย! พวกเขาเฉลิมฉลองกันยังไง?
    Emily: พวกเขาเฉลิมฉลองในช่วงเวลาที่กลางวันเท่ากับกลางคืนในฤดูใบไม้ผลิ ด้วยเทศกาลที่เรียกว่า Akitu ซึ่งกินเวลาถึง 11 วัน
    Jack: ว้าว เทศกาล 11 วันเลยเหรอ? ฟังดูยิ่งใหญ่มาก!
    Emily: ใช่เลย! พวกเขาบูชาเทพเจ้าของพวกเขา และฟื้นฟูอำนาจของกษัตริย์ในช่วงเทศกาล
    Jack: น่าสนใจจัง ตอนนั้นพวกเขาเฉลิมฉลองวันที่ 1 มกราคมด้วยไหม?
    Emily: ไม่เลย ประเพณีวันที่ 1 มกราคมเริ่มต้นขึ้นในปี 45 ก่อนคริสตกาล เมื่อจูเลียส ซีซาร์แนะนำปฏิทินจูเลียน
    Jack: อ๋อ งั้นเป็นชาวโรมันสินะที่กำหนดให้วันที่ 1 มกราคมเป็นวันปีใหม่?
    Emily: ถูกต้อง พวกเขาอุทิศวันนั้นให้กับเจนัส เทพเจ้าแห่งการเริ่มต้นและการเปลี่ยนแปลง
    Jack: อ๋อ นั่นสินะถึงได้เรียกว่า "January"! เข้าใจแล้วล่ะ
    Emily: ใช่เลย! คนในยุคนั้นจะแลกเปลี่ยนของขวัญและทำพิธีบูชาเจนัสเพื่อความโชคดี
    Jack: ฟังดูคล้ายกับประเพณีของเราในปัจจุบันเลย เช่น การตั้งปณิธานและการเฉลิมฉลอง
    Emily: ใช่เลย! น่าทึ่งนะที่บางสิ่งยังคงอยู่มาหลายศตวรรษ
    Jack: จริงมาก ขอบคุณสำหรับบทเรียนประวัติศาสตร์นะ เอมิลี่!
    Emily: ยินดีเสมอ แจ็ค! ว่าแต่ สุขสันต์ปีใหม่ล่วงหน้าด้วยนะ!
    Jack: เช่นกันเลย! มาฉลองให้ปีนี้เป็นปีที่น่าจดจำกันเถอะ

    Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้)

    Celebration (เซล-ละ-เบร-ชัน) n. แปลว่า การเฉลิมฉลอง
    Tradition (ทรา-ดิช-ชัน) n. แปลว่า ประเพณี
    History (ฮิส-ทอ-รี) n. แปลว่า ประวัติศาสตร์
    Festival (เฟส-ติ-เวิล) n. แปลว่า เทศกาล
    Equinox (อี-ควิ-นอคซ) n. แปลว่า วันราตรีเสมอภาค
    Power (เพา-เวอร์) n. แปลว่า อำนาจ
    Transition (แทรน-ซิช-ชัน) n. แปลว่า การเปลี่ยนผ่าน
    Fortune (ฟอร์-ชูน) n. แปลว่า โชคชะตา
    Resolution (เรส-ซะ-ลู-ชัน) n. แปลว่า ปณิธาน
    Calendar (แคล-เลน-เดอร์) n. แปลว่า ปฏิทิน
    Gift (กิฟท์) n. แปลว่า ของขวัญ
    Sacrifice (แซค-ริ-ไฟซ) n. แปลว่า การบูชายัญ
    Beginning (บิก-กิน-นิง) n. แปลว่า จุดเริ่มต้น
    Lesson (เลส-ซัน) n. แปลว่า บทเรียน
    Fortune (ฟอร์-ชูน) n. แปลว่า ความโชคดี
    https://www.youtube.com/watch?v=UbiuSgjAjlU บทสนทนาวันปีใหม่ (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้) แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาวันปีใหม่ มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ #บทสนทนาภาษาอังกฤษ #ฝึกฟังภาษาอังกฤษ #ปีใหม่ The conversations from the clip : Emily: Hi, Jack! Do you know how the New Year’s celebration started? Jack: Hey, Emily! Not exactly. I know it’s a global tradition, but what’s the history behind it? Emily: Well, the first recorded New Year’s celebration was over 4,000 years ago in ancient Babylon. Jack: Really? That’s so long ago! How did they celebrate? Emily: They celebrated during the spring equinox with a festival called Akitu. It lasted 11 days. Jack: Wow, 11 days of celebrations? That sounds intense! Emily: It was! They honored their gods and renewed their king's power during the festival. Jack: That’s fascinating. Did they celebrate on January 1st back then? Emily: No, the January 1st tradition started in 45 BCE when Julius Caesar introduced the Julian calendar. Jack: So, it was the Romans who set January 1st as New Year’s Day? Emily: Exactly. They dedicated the day to Janus, the god of beginnings and transitions. Jack: That’s why it’s called January! It makes so much sense now. Emily: Right! People would exchange gifts and make sacrifices to Janus for good fortune. Jack: Sounds similar to our modern traditions like resolutions and celebrations. Emily: Definitely! It’s amazing how some things have stayed the same for centuries. Jack: It really is. Thanks for the history lesson, Emily! Emily: Anytime, Jack! Happy early New Year, by the way! Jack: Same to you! Let’s celebrate and make it memorable this year. Emily: สวัสดี แจ็ค! คุณรู้ไหมว่าการเฉลิมฉลองปีใหม่เริ่มต้นขึ้นได้อย่างไร? Jack: สวัสดี เอมิลี่! ไม่ค่อยแน่ใจนะ รู้แค่ว่ามันเป็นประเพณีทั่วโลก แต่เบื้องหลังมันคืออะไรเหรอ? Emily: เอาล่ะ การเฉลิมฉลองปีใหม่ครั้งแรกที่บันทึกไว้เกิดขึ้นเมื่อกว่า 4,000 ปีก่อนในบาบิโลนโบราณ Jack: จริงเหรอ? นานขนาดนั้นเลย! พวกเขาเฉลิมฉลองกันยังไง? Emily: พวกเขาเฉลิมฉลองในช่วงเวลาที่กลางวันเท่ากับกลางคืนในฤดูใบไม้ผลิ ด้วยเทศกาลที่เรียกว่า Akitu ซึ่งกินเวลาถึง 11 วัน Jack: ว้าว เทศกาล 11 วันเลยเหรอ? ฟังดูยิ่งใหญ่มาก! Emily: ใช่เลย! พวกเขาบูชาเทพเจ้าของพวกเขา และฟื้นฟูอำนาจของกษัตริย์ในช่วงเทศกาล Jack: น่าสนใจจัง ตอนนั้นพวกเขาเฉลิมฉลองวันที่ 1 มกราคมด้วยไหม? Emily: ไม่เลย ประเพณีวันที่ 1 มกราคมเริ่มต้นขึ้นในปี 45 ก่อนคริสตกาล เมื่อจูเลียส ซีซาร์แนะนำปฏิทินจูเลียน Jack: อ๋อ งั้นเป็นชาวโรมันสินะที่กำหนดให้วันที่ 1 มกราคมเป็นวันปีใหม่? Emily: ถูกต้อง พวกเขาอุทิศวันนั้นให้กับเจนัส เทพเจ้าแห่งการเริ่มต้นและการเปลี่ยนแปลง Jack: อ๋อ นั่นสินะถึงได้เรียกว่า "January"! เข้าใจแล้วล่ะ Emily: ใช่เลย! คนในยุคนั้นจะแลกเปลี่ยนของขวัญและทำพิธีบูชาเจนัสเพื่อความโชคดี Jack: ฟังดูคล้ายกับประเพณีของเราในปัจจุบันเลย เช่น การตั้งปณิธานและการเฉลิมฉลอง Emily: ใช่เลย! น่าทึ่งนะที่บางสิ่งยังคงอยู่มาหลายศตวรรษ Jack: จริงมาก ขอบคุณสำหรับบทเรียนประวัติศาสตร์นะ เอมิลี่! Emily: ยินดีเสมอ แจ็ค! ว่าแต่ สุขสันต์ปีใหม่ล่วงหน้าด้วยนะ! Jack: เช่นกันเลย! มาฉลองให้ปีนี้เป็นปีที่น่าจดจำกันเถอะ Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้) Celebration (เซล-ละ-เบร-ชัน) n. แปลว่า การเฉลิมฉลอง Tradition (ทรา-ดิช-ชัน) n. แปลว่า ประเพณี History (ฮิส-ทอ-รี) n. แปลว่า ประวัติศาสตร์ Festival (เฟส-ติ-เวิล) n. แปลว่า เทศกาล Equinox (อี-ควิ-นอคซ) n. แปลว่า วันราตรีเสมอภาค Power (เพา-เวอร์) n. แปลว่า อำนาจ Transition (แทรน-ซิช-ชัน) n. แปลว่า การเปลี่ยนผ่าน Fortune (ฟอร์-ชูน) n. แปลว่า โชคชะตา Resolution (เรส-ซะ-ลู-ชัน) n. แปลว่า ปณิธาน Calendar (แคล-เลน-เดอร์) n. แปลว่า ปฏิทิน Gift (กิฟท์) n. แปลว่า ของขวัญ Sacrifice (แซค-ริ-ไฟซ) n. แปลว่า การบูชายัญ Beginning (บิก-กิน-นิง) n. แปลว่า จุดเริ่มต้น Lesson (เลส-ซัน) n. แปลว่า บทเรียน Fortune (ฟอร์-ชูน) n. แปลว่า ความโชคดี
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 928 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts