• “ไม่มีวิทยาศาสตร์ ก็ไม่มีสตาร์ทอัพ — เมื่อเครื่องยนต์แห่งนวัตกรรมกำลังถูกปิดโดยไม่รู้ตัว”

    Steve Blank ผู้บุกเบิกแนวคิด Lean Startup ได้เขียนบทความสะท้อนถึงวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา — การลดงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์และการวิจัยขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นรากฐานของนวัตกรรมและความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ

    เขาอธิบายว่า “วิทยาศาสตร์” ไม่ใช่แค่การทดลองในห้องแล็บ แต่คือระบบที่เชื่อมโยงกันระหว่างนักวิทยาศาสตร์ (ทั้งทฤษฎีและทดลอง), วิศวกร, ผู้ประกอบการ และนักลงทุน โดยแต่ละบทบาทมีหน้าที่เฉพาะที่เสริมกันอย่างกลมกลืน:

    นักวิทยาศาสตร์สร้างองค์ความรู้ใหม่
    วิศวกรนำความรู้นั้นไปสร้างสิ่งของ
    ผู้ประกอบการนำสิ่งของไปทดสอบตลาด
    นักลงทุนให้ทุนเพื่อขยายผล

    Blank เตือนว่า หากตัดบทบาทใดบทบาทหนึ่งออก โดยเฉพาะ “นักวิทยาศาสตร์” ที่มักถูกมองข้ามเพราะไม่สร้างรายได้ทันที ระบบนวัตกรรมทั้งหมดจะล่มสลาย

    เขายกตัวอย่างว่า เทคโนโลยีอย่าง ChatGPT, SpaceX, หรือแม้แต่วัคซีน ล้วนมีรากฐานจากการวิจัยขั้นพื้นฐานที่เริ่มต้นในมหาวิทยาลัยหรือห้องแล็บของรัฐเมื่อหลายสิบปีก่อน

    นักวิทยาศาสตร์มี 2 ประเภทหลัก: ทฤษฎี (Theorists) และทดลอง (Experimentalists)
    ทฤษฎีสร้างแบบจำลองความจริง ส่วนทดลองทดสอบสมมติฐาน

    วิทยาศาสตร์แบ่งเป็น “พื้นฐาน” และ “ประยุกต์”
    พื้นฐานเพื่อความเข้าใจโลก ประยุกต์เพื่อแก้ปัญหาในชีวิตจริง

    มหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ เป็นแหล่งวิจัยหลักของประเทศ
    มีระบบสนับสนุนจากรัฐ เช่น NIH, NSF, DoD

    นักวิจัยในมหาวิทยาลัยทำงานเหมือนสตาร์ทอัพขนาดเล็ก
    มีการเขียน proposal, บริหารทีม, สร้างนวัตกรรม

    วิศวกรสร้างสิ่งของจากองค์ความรู้ของนักวิทยาศาสตร์
    เช่น ชิป Nvidia, จรวด SpaceX, อัลกอริทึม AI

    ผู้ประกอบการนำสิ่งของไปทดสอบตลาด
    ใช้หลักการทดลองแบบวิทยาศาสตร์เพื่อหาความต้องการจริง

    นักลงทุน (VC) สนับสนุนผู้ประกอบการ ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์โดยตรง
    เพราะต้องการผลตอบแทนในระยะสั้น

    การลดงบวิทยาศาสตร์ในสหรัฐฯ จะทำให้ประเทศอ่อนแอลง
    ทั้งด้านเศรษฐกิจ, เทคโนโลยี และความมั่นคง

    https://steveblank.com/2025/10/13/no-science-no-startups-the-unseen-engine-were-switching-off/
    🧪 “ไม่มีวิทยาศาสตร์ ก็ไม่มีสตาร์ทอัพ — เมื่อเครื่องยนต์แห่งนวัตกรรมกำลังถูกปิดโดยไม่รู้ตัว” Steve Blank ผู้บุกเบิกแนวคิด Lean Startup ได้เขียนบทความสะท้อนถึงวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา — การลดงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์และการวิจัยขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นรากฐานของนวัตกรรมและความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ เขาอธิบายว่า “วิทยาศาสตร์” ไม่ใช่แค่การทดลองในห้องแล็บ แต่คือระบบที่เชื่อมโยงกันระหว่างนักวิทยาศาสตร์ (ทั้งทฤษฎีและทดลอง), วิศวกร, ผู้ประกอบการ และนักลงทุน โดยแต่ละบทบาทมีหน้าที่เฉพาะที่เสริมกันอย่างกลมกลืน: ⭐ นักวิทยาศาสตร์สร้างองค์ความรู้ใหม่ ⭐ วิศวกรนำความรู้นั้นไปสร้างสิ่งของ ⭐ ผู้ประกอบการนำสิ่งของไปทดสอบตลาด ⭐ นักลงทุนให้ทุนเพื่อขยายผล Blank เตือนว่า หากตัดบทบาทใดบทบาทหนึ่งออก โดยเฉพาะ “นักวิทยาศาสตร์” ที่มักถูกมองข้ามเพราะไม่สร้างรายได้ทันที ระบบนวัตกรรมทั้งหมดจะล่มสลาย เขายกตัวอย่างว่า เทคโนโลยีอย่าง ChatGPT, SpaceX, หรือแม้แต่วัคซีน ล้วนมีรากฐานจากการวิจัยขั้นพื้นฐานที่เริ่มต้นในมหาวิทยาลัยหรือห้องแล็บของรัฐเมื่อหลายสิบปีก่อน ✅ นักวิทยาศาสตร์มี 2 ประเภทหลัก: ทฤษฎี (Theorists) และทดลอง (Experimentalists) ➡️ ทฤษฎีสร้างแบบจำลองความจริง ส่วนทดลองทดสอบสมมติฐาน ✅ วิทยาศาสตร์แบ่งเป็น “พื้นฐาน” และ “ประยุกต์” ➡️ พื้นฐานเพื่อความเข้าใจโลก ประยุกต์เพื่อแก้ปัญหาในชีวิตจริง ✅ มหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ เป็นแหล่งวิจัยหลักของประเทศ ➡️ มีระบบสนับสนุนจากรัฐ เช่น NIH, NSF, DoD ✅ นักวิจัยในมหาวิทยาลัยทำงานเหมือนสตาร์ทอัพขนาดเล็ก ➡️ มีการเขียน proposal, บริหารทีม, สร้างนวัตกรรม ✅ วิศวกรสร้างสิ่งของจากองค์ความรู้ของนักวิทยาศาสตร์ ➡️ เช่น ชิป Nvidia, จรวด SpaceX, อัลกอริทึม AI ✅ ผู้ประกอบการนำสิ่งของไปทดสอบตลาด ➡️ ใช้หลักการทดลองแบบวิทยาศาสตร์เพื่อหาความต้องการจริง ✅ นักลงทุน (VC) สนับสนุนผู้ประกอบการ ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์โดยตรง ➡️ เพราะต้องการผลตอบแทนในระยะสั้น ✅ การลดงบวิทยาศาสตร์ในสหรัฐฯ จะทำให้ประเทศอ่อนแอลง ➡️ ทั้งด้านเศรษฐกิจ, เทคโนโลยี และความมั่นคง https://steveblank.com/2025/10/13/no-science-no-startups-the-unseen-engine-were-switching-off/
    STEVEBLANK.COM
    No Science, No Startups: The Innovation Engine We’re Switching Off
    Tons of words have been written about the Trump Administrations war on Science in Universities. But few people have asked what, exactly, is science? How does it work? Who are the scientists? What d…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 53 มุมมอง 0 รีวิว
  • EP 45

    เพื่อเติม

    หุ้นแข็งแกร่ง อาจสู้กับ SET ขาลงไหว

    WHA , THCOM

    AMATA เพิ่มเป็นตัวเลิกอีกตัว


    ฺํฺํBY.
    EP 45 เพื่อเติม หุ้นแข็งแกร่ง อาจสู้กับ SET ขาลงไหว WHA , THCOM AMATA เพิ่มเป็นตัวเลิกอีกตัว ฺํฺํBY.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 23 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • EP 43

    Updated สถานะการหุ้นใกล้บาทเรา

    หุ้นแข็งแกร่ง อาจสู้กับ SET ขาลงไหว
    WHA , THCOM

    จับตา DELTA

    ์NOTE :
    ไม่มีใน VDO แต่เอามาบอกเล่า
    CCET หุ้นยัง OK กำไรก็ดูไม่แย่ แต่มีปลดพนักงาน 14xx คน
    อาจเป็น Book to Bill ratio ต่ำ 1:1

    BY.
    EP 43 Updated สถานะการหุ้นใกล้บาทเรา หุ้นแข็งแกร่ง อาจสู้กับ SET ขาลงไหว WHA , THCOM จับตา DELTA ์NOTE : ไม่มีใน VDO แต่เอามาบอกเล่า CCET หุ้นยัง OK กำไรก็ดูไม่แย่ แต่มีปลดพนักงาน 14xx คน อาจเป็น Book to Bill ratio ต่ำ 1:1 BY.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 3

    เมื่อสหภาพโซเวียตพ้นไปจากเส้นทางครองโลก อเมริกาจึงเดินหน้าเต็มตัวเพื่อปฏิบัติการชิงโลก โดยมุ่งหน้าสู่การครอบครอง Eurasia ตามยุทธศาสตร์ครู Mac

    ปี ค.ศ.1999 หนึ่งปี ก่อนที่คาวบอย Bush จะเข้าสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของอเมริกาผู้ยิ่งใหญ่ คาวบอย Bush ได้จัดทัพสำหรับปฎิบัติการชิงโลก ไว้เรียบร้อย โดยมีแม่ทัพชื่อ **** Cheney เป็นผู้นำ Cheney ได้วางยุทธศาสตร์ ที่มีคนช่างนินทาเรียกว่า “Cheney Strategy” ซึ่งเป็นนโยบายด้านต่างประเทศ ที่เน้นเรื่องการจัดการ การขโมย และควบคุมแหล่งพลังงานของโลก ผ่านเครือข่ายและการดำเนินงานของบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของอเมริกา หรือบริษัทที่เกี่ยวพันกัน ที่เรียกว่า the Big Four คือ Chevron, Texaco, Exxon Mobil, BP หรือ Royal Dutch Shell

    นอกเหนือจากอาวุธที่ทรงอานุภาพ แล้ว น้ำมันที่อุดมสบูรณ์ และกองทัพที่แข็งแกร่ง เป็นอีก 2 ปัจจัยสำคัญ ที่อเมริกาต้องมี ในการชิงโลกใบนี้มาครอง ดังนั้นในช่วงรัฐบาลคาวบอย Bush โดยการนำทัพ ของ Cheney จึงเกิดการร่วมมือกันอย่างแนบแน่นระหว่างบริษัทน้ำมันยักษ์ ใหญ่ และบริษัทผลิตอาวุธ เห็นตัวอย่างได้ชัดเจน จากบริษัท Halliburton Inc ซึ่งเป็นบริษัทของ **** Cheney เอง ใน ช่วงนั้นประกอบกิจการเป็นทั้งบริษัทขุดน้ำมัน บริษัทสำรวจ และบริษัทรับเหมาก่อสร้างฐานทัพให้กับกองทัพ มันเอาทุกท่าจริงๆ ไม่น่าแปลกใจที่สูตรนี้มีคนทำตามแยะ

    ในช่วงระหว่างการจัดทัพเตรียม ชิงน้ำมัน Cheney ได้ไปพูดที่ London Institute of Petroleum เมื่อ เดือนกันยายน ค.ศ.1999 สรุปความว่า โลกจะเกิดการขาดแคลนน้ำมัน จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมากและรวดเร็ว ของประเทศใหญ่ๆหลายประเทศ เขาประมาณว่าในปี ค.ศ.2010 อย่างน้อยโลกต้องมีน้ำมันเพิ่มขึ้นอีกจำนวนอย่างน้อย 50% ต่อ วัน จากจำนวนที่มีอยู่ต่อวันในปี ค.ศ.1999 มันหมายถึงอย่างน้อยต้องได้แหล่งน้ำมันขนาดเดียวกันกับของซาอุดิอารเบีย อีก 5 แหล่ง ! จะไปหาจากที่ไหน?

    ขณะนั้น ตะวันออกกลางเป็นเจ้าของแหล่งน้ำมันถึง 2 ใน 3 ของแหล่งน้ำมันโลก และเป็นน้ำมันที่มีต้นทุนต่ำ และที่นั่นคือบริเวณที่อเมริกาจะต้องเข้าไปยึดครอง แต่แหล่งน้ำมันในตะวันออกกลางขณะนั้นเป็นของรัฐ หรืออยู่ในความควบคุมของรัฐบาลทั้งสิ้น ไม่มีที่สำหรับคนนอกอย่างอเมริกาและพวก แน่นอนเป็นภาระของ Cheney และพวกที่จะต้องหาทางส่งให้ Exxon Mobil หรือ Chevron หรือ Shell หรือ BP เข้าไปมีที่ยืนในดินแดนเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว
    การสำรวจและขุดเจาะแหล่งน้ำมัน ในกรณีที่มีน้ำมันเพียงพอ ใช้เวลาเร็วที่สุดประมาณ 7 ปี กว่าจะได้ผลผลิตน้ำมัน คาวบอย Bush และ Cheney รอไม่ไหวแน่

    ขณะเดียวกัน อิรัก ซึ่งขณะนั้น มีแหล่งน้ำมันมากเป็นที่สองในตะวันออกกลาง รองจากซาอุดิอารเบีย มี Saddam Hussein เป็น ผู้ครอบครอง ส่วนอิหร่านมีแหล่งก๊าซธรรมชาติใหญ่เป็นที่สองของโลก รวมทั้งมีแหล่งน้ำมันใหญ่มหึมาอีกด้วย อิหร่านในตอนนั้นปกครองโดยผู้นำทางศาสนา ซึ่งไม่เปิดประตูให้บริษัทน้ำมันอเมริกันเข้าไปทำมาหากิน

    ปี ค.ศ.2000 เมื่อคาวบอย Bush ชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดี นโยบายแรกของคาวบอย คือการเสริมสร้างด้านความมั่นคง ให้อเมริกาเสียใหม่ Re-building America’s Defense ซึ่งออกมาภายใต้ชื่อ Project of the New American Century (PNAC) อินทรีย์สยายปีก เตรียมพร้อมสำหรับปฏิบัติการยึด Eurasia

    PNAC เป็น การปูพื้น วางเส้นทางเข้าชิงน้ำมันในอิรัก อเมริกาจำเป็นต้องมีกองกำลังที่เกรียงไกรเพื่อเข้าใปยึดพื้นที่ในตะวันออกกลาง และจัดการปลี่ยนแปลงผู้ปกครองอิรัก เล่นกันดื้อๆแบบนั้น Saddam ดี เลว เป็นเผด็จการหรือไม่ ไม่เกี่ยวกันเลย เป็นการตอแหล หาเรื่องอ้างของอเมริกาอย่างหน้าด้านๆ เพื่อเข้าไปในอิรัก เพื่อไปยึดแหล่งน้ำมันเขา ไปเอารางวัลใหญ่ ที่คอยอยู่ตรงนั้นต่างหาก

    Cheney ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะทำงานด้านพลังงาน President of Energy Task Force Project หรือ ตำแหน่งหัวหน้าโครงการขโมยน้ำมัน แต่แผนขโมยปิดไม่มิด ใน ปี ค.ศ.2003 กระทรวงพาณิชย์ของอเมริกา เกิดทำเอกสารหล่นมาถึงสื่อ เป็นเอกสารที่แสดงรายละเอียดของบ่อน้ำมันในอิรักทั้งหมด รวมทั้งท่อส่ง โรงกลั่น และคลังน้ำมัน รวมทั้งเอกสารที่แสดงรายละเอียด ของโครงการน้ำมันและก๊าซในอนาคตของอิรัก และผู้ที่ขอเข้าเป็นคู่สัญญาในโครงการเหล่านั้น ซึ่งมีทั้งรัสเซีย จีน และฝรั่งเศส ซึ่งเป็นสมาชิกของคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ ที่คัดค้านสหประชาชาติที่อนุมัติ ให้อเมริกาบุกเข้าไปในอิรัก อืม.. น่าให้รางวัลคนทำหล่นจริงๆ

    แน่นอน หลังจากอเมริกายึดครองอิรักได้ สิ่งแรกที่อเมริการีบทำคือ ยกเลิกสัญญาที่อิรักทำกับรัสเซีย จีน และฝรั่งเศส น้ำมันของอิรักจะต้องดูแลและจัดการโดยบริษัทน้ำมันของอเมริกาและอังกฤษเท่า นั้น แผนการชิงโลกของอเมริกาสำเร็จไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว

    แต่ ภาระกิจที่สำคัญที่สุดของการชิงโลก ตั้งแต่การทำให้สหภาพโซเวียตล่มสลายในปี ค.ศ.1991 คือ การทำทุกอย่าง ที่จะไม่ให้รัสเซียสร้างชาติขึ้นมาใหม่ได้ และทำให้อดีตรัฐสมาชิกของสหภาพโซเวียต ไม่มีวันกลับมารวมตัวกันได้อีก เพื่ออเมริกาจะได้เข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมันและก๊าซที่ใหญ่มหึมาในแถบ Eurasia แถบที่มีรางวัลใหญ่กว่าคอยอยู่…

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    1 ธค. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 3 เมื่อสหภาพโซเวียตพ้นไปจากเส้นทางครองโลก อเมริกาจึงเดินหน้าเต็มตัวเพื่อปฏิบัติการชิงโลก โดยมุ่งหน้าสู่การครอบครอง Eurasia ตามยุทธศาสตร์ครู Mac ปี ค.ศ.1999 หนึ่งปี ก่อนที่คาวบอย Bush จะเข้าสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของอเมริกาผู้ยิ่งใหญ่ คาวบอย Bush ได้จัดทัพสำหรับปฎิบัติการชิงโลก ไว้เรียบร้อย โดยมีแม่ทัพชื่อ Dick Cheney เป็นผู้นำ Cheney ได้วางยุทธศาสตร์ ที่มีคนช่างนินทาเรียกว่า “Cheney Strategy” ซึ่งเป็นนโยบายด้านต่างประเทศ ที่เน้นเรื่องการจัดการ การขโมย และควบคุมแหล่งพลังงานของโลก ผ่านเครือข่ายและการดำเนินงานของบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของอเมริกา หรือบริษัทที่เกี่ยวพันกัน ที่เรียกว่า the Big Four คือ Chevron, Texaco, Exxon Mobil, BP หรือ Royal Dutch Shell นอกเหนือจากอาวุธที่ทรงอานุภาพ แล้ว น้ำมันที่อุดมสบูรณ์ และกองทัพที่แข็งแกร่ง เป็นอีก 2 ปัจจัยสำคัญ ที่อเมริกาต้องมี ในการชิงโลกใบนี้มาครอง ดังนั้นในช่วงรัฐบาลคาวบอย Bush โดยการนำทัพ ของ Cheney จึงเกิดการร่วมมือกันอย่างแนบแน่นระหว่างบริษัทน้ำมันยักษ์ ใหญ่ และบริษัทผลิตอาวุธ เห็นตัวอย่างได้ชัดเจน จากบริษัท Halliburton Inc ซึ่งเป็นบริษัทของ Dick Cheney เอง ใน ช่วงนั้นประกอบกิจการเป็นทั้งบริษัทขุดน้ำมัน บริษัทสำรวจ และบริษัทรับเหมาก่อสร้างฐานทัพให้กับกองทัพ มันเอาทุกท่าจริงๆ ไม่น่าแปลกใจที่สูตรนี้มีคนทำตามแยะ ในช่วงระหว่างการจัดทัพเตรียม ชิงน้ำมัน Cheney ได้ไปพูดที่ London Institute of Petroleum เมื่อ เดือนกันยายน ค.ศ.1999 สรุปความว่า โลกจะเกิดการขาดแคลนน้ำมัน จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมากและรวดเร็ว ของประเทศใหญ่ๆหลายประเทศ เขาประมาณว่าในปี ค.ศ.2010 อย่างน้อยโลกต้องมีน้ำมันเพิ่มขึ้นอีกจำนวนอย่างน้อย 50% ต่อ วัน จากจำนวนที่มีอยู่ต่อวันในปี ค.ศ.1999 มันหมายถึงอย่างน้อยต้องได้แหล่งน้ำมันขนาดเดียวกันกับของซาอุดิอารเบีย อีก 5 แหล่ง ! จะไปหาจากที่ไหน? ขณะนั้น ตะวันออกกลางเป็นเจ้าของแหล่งน้ำมันถึง 2 ใน 3 ของแหล่งน้ำมันโลก และเป็นน้ำมันที่มีต้นทุนต่ำ และที่นั่นคือบริเวณที่อเมริกาจะต้องเข้าไปยึดครอง แต่แหล่งน้ำมันในตะวันออกกลางขณะนั้นเป็นของรัฐ หรืออยู่ในความควบคุมของรัฐบาลทั้งสิ้น ไม่มีที่สำหรับคนนอกอย่างอเมริกาและพวก แน่นอนเป็นภาระของ Cheney และพวกที่จะต้องหาทางส่งให้ Exxon Mobil หรือ Chevron หรือ Shell หรือ BP เข้าไปมีที่ยืนในดินแดนเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว การสำรวจและขุดเจาะแหล่งน้ำมัน ในกรณีที่มีน้ำมันเพียงพอ ใช้เวลาเร็วที่สุดประมาณ 7 ปี กว่าจะได้ผลผลิตน้ำมัน คาวบอย Bush และ Cheney รอไม่ไหวแน่ ขณะเดียวกัน อิรัก ซึ่งขณะนั้น มีแหล่งน้ำมันมากเป็นที่สองในตะวันออกกลาง รองจากซาอุดิอารเบีย มี Saddam Hussein เป็น ผู้ครอบครอง ส่วนอิหร่านมีแหล่งก๊าซธรรมชาติใหญ่เป็นที่สองของโลก รวมทั้งมีแหล่งน้ำมันใหญ่มหึมาอีกด้วย อิหร่านในตอนนั้นปกครองโดยผู้นำทางศาสนา ซึ่งไม่เปิดประตูให้บริษัทน้ำมันอเมริกันเข้าไปทำมาหากิน ปี ค.ศ.2000 เมื่อคาวบอย Bush ชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดี นโยบายแรกของคาวบอย คือการเสริมสร้างด้านความมั่นคง ให้อเมริกาเสียใหม่ Re-building America’s Defense ซึ่งออกมาภายใต้ชื่อ Project of the New American Century (PNAC) อินทรีย์สยายปีก เตรียมพร้อมสำหรับปฏิบัติการยึด Eurasia PNAC เป็น การปูพื้น วางเส้นทางเข้าชิงน้ำมันในอิรัก อเมริกาจำเป็นต้องมีกองกำลังที่เกรียงไกรเพื่อเข้าใปยึดพื้นที่ในตะวันออกกลาง และจัดการปลี่ยนแปลงผู้ปกครองอิรัก เล่นกันดื้อๆแบบนั้น Saddam ดี เลว เป็นเผด็จการหรือไม่ ไม่เกี่ยวกันเลย เป็นการตอแหล หาเรื่องอ้างของอเมริกาอย่างหน้าด้านๆ เพื่อเข้าไปในอิรัก เพื่อไปยึดแหล่งน้ำมันเขา ไปเอารางวัลใหญ่ ที่คอยอยู่ตรงนั้นต่างหาก Cheney ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะทำงานด้านพลังงาน President of Energy Task Force Project หรือ ตำแหน่งหัวหน้าโครงการขโมยน้ำมัน แต่แผนขโมยปิดไม่มิด ใน ปี ค.ศ.2003 กระทรวงพาณิชย์ของอเมริกา เกิดทำเอกสารหล่นมาถึงสื่อ เป็นเอกสารที่แสดงรายละเอียดของบ่อน้ำมันในอิรักทั้งหมด รวมทั้งท่อส่ง โรงกลั่น และคลังน้ำมัน รวมทั้งเอกสารที่แสดงรายละเอียด ของโครงการน้ำมันและก๊าซในอนาคตของอิรัก และผู้ที่ขอเข้าเป็นคู่สัญญาในโครงการเหล่านั้น ซึ่งมีทั้งรัสเซีย จีน และฝรั่งเศส ซึ่งเป็นสมาชิกของคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ ที่คัดค้านสหประชาชาติที่อนุมัติ ให้อเมริกาบุกเข้าไปในอิรัก อืม.. น่าให้รางวัลคนทำหล่นจริงๆ แน่นอน หลังจากอเมริกายึดครองอิรักได้ สิ่งแรกที่อเมริการีบทำคือ ยกเลิกสัญญาที่อิรักทำกับรัสเซีย จีน และฝรั่งเศส น้ำมันของอิรักจะต้องดูแลและจัดการโดยบริษัทน้ำมันของอเมริกาและอังกฤษเท่า นั้น แผนการชิงโลกของอเมริกาสำเร็จไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว แต่ ภาระกิจที่สำคัญที่สุดของการชิงโลก ตั้งแต่การทำให้สหภาพโซเวียตล่มสลายในปี ค.ศ.1991 คือ การทำทุกอย่าง ที่จะไม่ให้รัสเซียสร้างชาติขึ้นมาใหม่ได้ และทำให้อดีตรัฐสมาชิกของสหภาพโซเวียต ไม่มีวันกลับมารวมตัวกันได้อีก เพื่ออเมริกาจะได้เข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมันและก๊าซที่ใหญ่มหึมาในแถบ Eurasia แถบที่มีรางวัลใหญ่กว่าคอยอยู่… สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 1 ธค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 2

    ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษมองอเมริกาเหมือนเป็นเด็กอ่อน เขี้ยวยังไม่งอก ดังนั้นอังกฤษจึงตั้งตัวเองเป็นหัวหน้า เป็นผู้ควบคุมเกมสงครามโลกครั้ง ที่ 1 อังกฤษอยากทำสงคราม แต่กำลังถังแตก! ไม่มีทุน แต่คิดการใหญ่ จึงมีการวางแผนหลอกล่อ ให้อเมริกาเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินและอื่นๆ ให้อังกฤษเข้าทำสงคราม แผนการหลอกล่ออเมริกานี้ เกิด ขึ้นจากการ ร่วมมือของเหล่าอิลีต นักการเมือง นักธุรกิจข้ามชาติ และนักการเงิน ของทั้ง 2 ฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ที่คิดร่ำรวย จากการยุให้ทั้งอังกฤษ และอเมริกา เข้าทำสงครามโลก โดยให้ Think Tank ถังความคิด Chatham House ของฝั่งอังกฤษและ Council on Foreign Relations (CFR) ของฝั่งอเมริกา ร่วมกันวางแผนดำเนินการ

    นักธุรกิจ ไม่ว่าสมัยไหน และเชื้อชาติไหน ส่วนใหญ่ก็คิดเพื่อกระเป๋าตัวเองทั้งสิ้น ประเทศชาติจะเป็นอย่างไร ช่างมัน

    แต่แท้จริงแล้ว อเมริกา ที่อังกฤษคิดว่าเป็นเด็กอ่อนเขี้ยวยังไม่งอก แอบเอาเขี้ยวหลบใน อเมริกามองข้ามซ๊อตไกลไปกว่าพวกชาวเกาะ ใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จะเกิดเสียอีก! อเมริกาเห็นว่า ไม่ใช่จะมีแต่อังกฤษเท่านั้น ที่ใหญ่พอที่จะเป็นผู้ครองโลกหมายเลขหนึ่ง อเมริกาเองก็มีสิทธิเข้าชิงตำแหน่งเหมือนกัน อเมริกาจึงวางแผน ที่มีทั้งความลึก และใช้เวลายาวนานอย่างเหลือเขื่อ !

    อเมริกา วางแผนล่วงหน้าที่จะให้มีทั้งสงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 รวมทั้งวางแผน จังหวะเวลาที่เหมาะสม สำหรับอเมริกา ที่จะเข้าสู่สงครามโลกแต่ละครั้ง และสุดท้ายจะเป็นรายเดียวของผู้ชนะสงครามโลก ที่ไม่บอบช้ำ วางแผนสมกับจะเป็นผู้นำโลกจริงๆ

    อเมริกาเล่นบทเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วย การลงทุนให้การสนับสนุนอังกฤษ ทั้งด้านการเงินและอื่นๆ ให้อังกฤษนำการรบ ให้อังกฤษจัดการคว่ำเยอรมัน ซึ่งเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่งในยุโรป โดยมีฝรั่งเศษ อิตาลีและ รัสเซีย เป็นกองเชียร์สนับสนุนและรุมทุบ โดยอเมริกาไม่ต้องออกแรง หลังจากนั้นอเมริกาวางแผนหนุนรัสเซีย ให้ทำการปฏิวัติล้มราชวงศ์ ทั้งหมดเพื่อนำไปสู่เกิดของสงครามโลกครั้งที่ 2 เห็นเขี้ยวอเมริกาหรือยัง

    อเมริกาวางแผนการเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ใน จังหวะที่จะส่งผลให้อังกฤษและยุโรปบอบซ้ำ ฉิบหาย กระเป๋าฉีก บ้านเมืองพังพินาศ และหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงจะเหลืออเมริกาประเทศใหญ่ ประเทศเดียวที่ไม่มีการบอบซ้ำ และผงาดเป็นพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลกแทนที่อังกฤษ ตามแผนที่วางไว้ทุกประการ (รายละเอียดของตอนนี้อยู่ในนิทานเรื่อง”มายากลยุทธ”) อเมริกาไม่ใช่มีเขี้ยวธรรมดา แต่เป็นเขี้ยวที่แหลมคมยิ่ง
    มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และอเมริกาก็ไม่ได้ถูกอังกฤษหลอกต้ม แต่อเมริกาปล่อยให้คิดว่า อเมริกาถูกหลอก จริงๆแล้วอเมริกาเอง ก็มีความคิดที่จะเป็นพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก โดยการครอบครอง Eurasia เช่น เดียวกับอังกฤษ เพราะกลุ่มผู้วางแผนให้อเมริกาเข้าสู่สงครามโลก ทั้ง 2 ครั้ง รวมทั้งเดินแผนครองโลกก็คือ กลุ่มบุคคลที่เป็นลูกศิษย์ครู Mac ใน ด้านภูมิศาสตร์การเมืองเหมือนกัน หรือมีความเห็นไม่ต่างกับครู Mac อิทธิพลครูMac นี่ไม่เบาเลย

    ผู้วางแผนปฏิบัติการของอเมริกาก็คือ ถังความคิดหมายเลขหนึ่งของอเมริกา Council of Foreign Relations หรือ CFR ตัวแสบนี่แหละ ที่ซ้อนแผนของอังกฤษอีกต่อหนึ่ง CFR โดยการชักใยของพวกอีลิต ที่อยากจะมีอำนาจเหนือรัฐบาลอเมริกัน นำโดยตระกูล Rockefeller ทำหน้าที่ คัดสรร จัดหา วางตัว และผลักดันบุคคล ที่พวกตนเลือก เข้าไปอยู่ในตำแหน่ง และองค์กรสำคัญๆ ของรัฐบาลอเมริกัน เพื่อมาดำเนินการตามแผน อย่างต่อเนื่อง

    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การเดินแผนครองโลกของอเมริกา เป็นไปตามโครงการ War and Peace Studies ที่ CFR เป็นผู้จัดทำให้รัฐบาลอเมริกาปฏิบัติ ตามโครงการนี้ อเมริกาต้องมุ่งหน้า แผ่อิทธิพลเข้าไป เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ลาตินอเมริกา และประเทศต่างๆที่หลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคม เนื่องจากผลของสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมทั้งกับอีกหลายประเทศในยุโรป ที่พังยับเยินจากสงครามโลกครั้งที่ 2 โครงการ War and Peace เรียกบริเวณต่างๆ เหล่านั้นว่า “Grand Area” ทุ่งใหญ่สำหรับการล่า เพื่อมุ่งหน้าไปสู่การเป็นหมายเลขหนึ่ง ผู้ครองโลกใบนี้

    เป็นการวางแผน เพื่อชิงโลกคนละเส้นทางกับครูMac แต่สอดคล้องกัน โดย เป็นการค่อยๆล้อม Eurasia มาจากอีกฝั่งหนึ่ง และดูเหมือนจะเป็นยุทธศาสตร์กระชับวงล้อมแบบที่อเมริกาชอบใช้

    จังหวะและการเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ของอเมริกา ก็เป็นหนึ่งในแผนการที่โครงการ War and Peace กำหนดไว้ล่วงหน้าด้วย (รายละเอียดตอนนี้อยู่ในนิทานเรื่อง “แหกคอก”)

    โดยการวางแผนของ CFR หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาล อเมริกันเริ่มแผน โดยมุ่งหน้ามาทางเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ก่อน ด้วยการสร้างผีคอมมิวนิสต์และทฤษฎีโดมิโน เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด รวมทั้งแดนสมันน้อย ก็ตกอยู่ในกำมือ ไม่ต่างกับเป็นเมืองขึ้นกลายๆของอเมริกา รวมกับญี่ปุ่นซึ่งแพ้สงครามโลก และอยู่ในกระเป๋าของอเมริกาไปก่อนแล้ว อเมริกา จึงเหมือนได้เอเซียไปเกือบหมด ยกเว้น จีน อินเดีย และเกาหลีเหนือ
    พร้อมกับการรวบเอเซีย อเมริกาก็จัดการกวาดประเทศแถบลาตินอเมริกามาได้เกือบหมดด้วย ยกเว้นคิวบา หนามยอกอกของอเมริกา ซึ่งเอียงไปทางฝั่งสหภาพโซเวียตอย่างไม่เปลี่ยนแปลง (รายละเอียดตอนนี้อยู่ในนิทานเรื่องจิ๊กโก๋ปากซอย และมายากลยุทธ)

    หมากต่อไปที่อเมริกาต้องรีบเดิน ตามอิทธิพลของยุทธศาสตร์ครู Mac คือ การชิง Heartland ของ Eurasia ทฤษฎีการปิดล้อม หรือ Containment สหภาพโซเวียต ที่นำไปสู่สงครามเย็น จึงถูกนำมาใช้ตั้งแต่ ค.ศ.1947 เป็นต้นมา

    ด้วยการ Containment ของอเมริกาและพวก เศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตจึงอาการสาหัส แต่โซเวียตก็ยังไม่ล้มอย่างที่อเมริกาคาด ทุบจากข้างนอกไม่ล้ม อเมริกาจึงเปลี่ยนเป็นแผนทุบจากข้างใน ค.ศ.1985 Mikhail Gorbachev เป็น ผู้คุมบังเหียนสหภาพโซเวียต เห็นคนนอกดีกว่าคนในเพราะอะไรคงเดากันออก ได้ตัดเชือกที่ผูกสหภาพโซเวียตไว้ด้วยกันขาดสะบั้น ตามต่อด้วย Boris Yelsin ใน ปี ค.ศ.1990 ซึ่งไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ในที่สุด ค.ศ.1991 สหภาพโซเวียตก็ล่มสลายสมใจอเมริกา (รายละเอียดตอนนี้อยู่ในนิทานเรื่อง” มายากลยุทธ”)

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    30 พย. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 2 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษมองอเมริกาเหมือนเป็นเด็กอ่อน เขี้ยวยังไม่งอก ดังนั้นอังกฤษจึงตั้งตัวเองเป็นหัวหน้า เป็นผู้ควบคุมเกมสงครามโลกครั้ง ที่ 1 อังกฤษอยากทำสงคราม แต่กำลังถังแตก! ไม่มีทุน แต่คิดการใหญ่ จึงมีการวางแผนหลอกล่อ ให้อเมริกาเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินและอื่นๆ ให้อังกฤษเข้าทำสงคราม แผนการหลอกล่ออเมริกานี้ เกิด ขึ้นจากการ ร่วมมือของเหล่าอิลีต นักการเมือง นักธุรกิจข้ามชาติ และนักการเงิน ของทั้ง 2 ฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ที่คิดร่ำรวย จากการยุให้ทั้งอังกฤษ และอเมริกา เข้าทำสงครามโลก โดยให้ Think Tank ถังความคิด Chatham House ของฝั่งอังกฤษและ Council on Foreign Relations (CFR) ของฝั่งอเมริกา ร่วมกันวางแผนดำเนินการ นักธุรกิจ ไม่ว่าสมัยไหน และเชื้อชาติไหน ส่วนใหญ่ก็คิดเพื่อกระเป๋าตัวเองทั้งสิ้น ประเทศชาติจะเป็นอย่างไร ช่างมัน แต่แท้จริงแล้ว อเมริกา ที่อังกฤษคิดว่าเป็นเด็กอ่อนเขี้ยวยังไม่งอก แอบเอาเขี้ยวหลบใน อเมริกามองข้ามซ๊อตไกลไปกว่าพวกชาวเกาะ ใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จะเกิดเสียอีก! อเมริกาเห็นว่า ไม่ใช่จะมีแต่อังกฤษเท่านั้น ที่ใหญ่พอที่จะเป็นผู้ครองโลกหมายเลขหนึ่ง อเมริกาเองก็มีสิทธิเข้าชิงตำแหน่งเหมือนกัน อเมริกาจึงวางแผน ที่มีทั้งความลึก และใช้เวลายาวนานอย่างเหลือเขื่อ ! อเมริกา วางแผนล่วงหน้าที่จะให้มีทั้งสงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 รวมทั้งวางแผน จังหวะเวลาที่เหมาะสม สำหรับอเมริกา ที่จะเข้าสู่สงครามโลกแต่ละครั้ง และสุดท้ายจะเป็นรายเดียวของผู้ชนะสงครามโลก ที่ไม่บอบช้ำ วางแผนสมกับจะเป็นผู้นำโลกจริงๆ อเมริกาเล่นบทเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วย การลงทุนให้การสนับสนุนอังกฤษ ทั้งด้านการเงินและอื่นๆ ให้อังกฤษนำการรบ ให้อังกฤษจัดการคว่ำเยอรมัน ซึ่งเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่งในยุโรป โดยมีฝรั่งเศษ อิตาลีและ รัสเซีย เป็นกองเชียร์สนับสนุนและรุมทุบ โดยอเมริกาไม่ต้องออกแรง หลังจากนั้นอเมริกาวางแผนหนุนรัสเซีย ให้ทำการปฏิวัติล้มราชวงศ์ ทั้งหมดเพื่อนำไปสู่เกิดของสงครามโลกครั้งที่ 2 เห็นเขี้ยวอเมริกาหรือยัง อเมริกาวางแผนการเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ใน จังหวะที่จะส่งผลให้อังกฤษและยุโรปบอบซ้ำ ฉิบหาย กระเป๋าฉีก บ้านเมืองพังพินาศ และหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงจะเหลืออเมริกาประเทศใหญ่ ประเทศเดียวที่ไม่มีการบอบซ้ำ และผงาดเป็นพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลกแทนที่อังกฤษ ตามแผนที่วางไว้ทุกประการ (รายละเอียดของตอนนี้อยู่ในนิทานเรื่อง”มายากลยุทธ”) อเมริกาไม่ใช่มีเขี้ยวธรรมดา แต่เป็นเขี้ยวที่แหลมคมยิ่ง มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และอเมริกาก็ไม่ได้ถูกอังกฤษหลอกต้ม แต่อเมริกาปล่อยให้คิดว่า อเมริกาถูกหลอก จริงๆแล้วอเมริกาเอง ก็มีความคิดที่จะเป็นพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก โดยการครอบครอง Eurasia เช่น เดียวกับอังกฤษ เพราะกลุ่มผู้วางแผนให้อเมริกาเข้าสู่สงครามโลก ทั้ง 2 ครั้ง รวมทั้งเดินแผนครองโลกก็คือ กลุ่มบุคคลที่เป็นลูกศิษย์ครู Mac ใน ด้านภูมิศาสตร์การเมืองเหมือนกัน หรือมีความเห็นไม่ต่างกับครู Mac อิทธิพลครูMac นี่ไม่เบาเลย ผู้วางแผนปฏิบัติการของอเมริกาก็คือ ถังความคิดหมายเลขหนึ่งของอเมริกา Council of Foreign Relations หรือ CFR ตัวแสบนี่แหละ ที่ซ้อนแผนของอังกฤษอีกต่อหนึ่ง CFR โดยการชักใยของพวกอีลิต ที่อยากจะมีอำนาจเหนือรัฐบาลอเมริกัน นำโดยตระกูล Rockefeller ทำหน้าที่ คัดสรร จัดหา วางตัว และผลักดันบุคคล ที่พวกตนเลือก เข้าไปอยู่ในตำแหน่ง และองค์กรสำคัญๆ ของรัฐบาลอเมริกัน เพื่อมาดำเนินการตามแผน อย่างต่อเนื่อง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การเดินแผนครองโลกของอเมริกา เป็นไปตามโครงการ War and Peace Studies ที่ CFR เป็นผู้จัดทำให้รัฐบาลอเมริกาปฏิบัติ ตามโครงการนี้ อเมริกาต้องมุ่งหน้า แผ่อิทธิพลเข้าไป เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ลาตินอเมริกา และประเทศต่างๆที่หลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคม เนื่องจากผลของสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมทั้งกับอีกหลายประเทศในยุโรป ที่พังยับเยินจากสงครามโลกครั้งที่ 2 โครงการ War and Peace เรียกบริเวณต่างๆ เหล่านั้นว่า “Grand Area” ทุ่งใหญ่สำหรับการล่า เพื่อมุ่งหน้าไปสู่การเป็นหมายเลขหนึ่ง ผู้ครองโลกใบนี้ เป็นการวางแผน เพื่อชิงโลกคนละเส้นทางกับครูMac แต่สอดคล้องกัน โดย เป็นการค่อยๆล้อม Eurasia มาจากอีกฝั่งหนึ่ง และดูเหมือนจะเป็นยุทธศาสตร์กระชับวงล้อมแบบที่อเมริกาชอบใช้ จังหวะและการเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ของอเมริกา ก็เป็นหนึ่งในแผนการที่โครงการ War and Peace กำหนดไว้ล่วงหน้าด้วย (รายละเอียดตอนนี้อยู่ในนิทานเรื่อง “แหกคอก”) โดยการวางแผนของ CFR หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาล อเมริกันเริ่มแผน โดยมุ่งหน้ามาทางเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ก่อน ด้วยการสร้างผีคอมมิวนิสต์และทฤษฎีโดมิโน เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด รวมทั้งแดนสมันน้อย ก็ตกอยู่ในกำมือ ไม่ต่างกับเป็นเมืองขึ้นกลายๆของอเมริกา รวมกับญี่ปุ่นซึ่งแพ้สงครามโลก และอยู่ในกระเป๋าของอเมริกาไปก่อนแล้ว อเมริกา จึงเหมือนได้เอเซียไปเกือบหมด ยกเว้น จีน อินเดีย และเกาหลีเหนือ พร้อมกับการรวบเอเซีย อเมริกาก็จัดการกวาดประเทศแถบลาตินอเมริกามาได้เกือบหมดด้วย ยกเว้นคิวบา หนามยอกอกของอเมริกา ซึ่งเอียงไปทางฝั่งสหภาพโซเวียตอย่างไม่เปลี่ยนแปลง (รายละเอียดตอนนี้อยู่ในนิทานเรื่องจิ๊กโก๋ปากซอย และมายากลยุทธ) หมากต่อไปที่อเมริกาต้องรีบเดิน ตามอิทธิพลของยุทธศาสตร์ครู Mac คือ การชิง Heartland ของ Eurasia ทฤษฎีการปิดล้อม หรือ Containment สหภาพโซเวียต ที่นำไปสู่สงครามเย็น จึงถูกนำมาใช้ตั้งแต่ ค.ศ.1947 เป็นต้นมา ด้วยการ Containment ของอเมริกาและพวก เศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตจึงอาการสาหัส แต่โซเวียตก็ยังไม่ล้มอย่างที่อเมริกาคาด ทุบจากข้างนอกไม่ล้ม อเมริกาจึงเปลี่ยนเป็นแผนทุบจากข้างใน ค.ศ.1985 Mikhail Gorbachev เป็น ผู้คุมบังเหียนสหภาพโซเวียต เห็นคนนอกดีกว่าคนในเพราะอะไรคงเดากันออก ได้ตัดเชือกที่ผูกสหภาพโซเวียตไว้ด้วยกันขาดสะบั้น ตามต่อด้วย Boris Yelsin ใน ปี ค.ศ.1990 ซึ่งไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ในที่สุด ค.ศ.1991 สหภาพโซเวียตก็ล่มสลายสมใจอเมริกา (รายละเอียดตอนนี้อยู่ในนิทานเรื่อง” มายากลยุทธ”) สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 30 พย. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 226 มุมมอง 0 รีวิว
  • สแกนเดียวครบ! QR Code รวมทุกช่องทางโซเชียลมีเดีย 'พรรคไทยก้าวใหม่' ชวนคนไทยพลิกโฉมประเทศสู่ความแข็งแกร่ง "ก้าวใหม่ ให้ไทยสตรอง"
    https://www.thai-tai.tv/news/21855/
    .
    #ไทยไท #ไทยก้าวใหม่ #ไทยสตรอง #การเมืองก้าวใหม่ #ติดตามการทำงาน
    สแกนเดียวครบ! QR Code รวมทุกช่องทางโซเชียลมีเดีย 'พรรคไทยก้าวใหม่' ชวนคนไทยพลิกโฉมประเทศสู่ความแข็งแกร่ง "ก้าวใหม่ ให้ไทยสตรอง" https://www.thai-tai.tv/news/21855/ . #ไทยไท #ไทยก้าวใหม่ #ไทยสตรอง #การเมืองก้าวใหม่ #ติดตามการทำงาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • “SonicWall ยืนยัน! แฮกเกอร์เจาะระบบสำรองไฟร์วอลล์ทุกเครื่อง — ข้อมูลเครือข่ายทั่วโลกเสี่ยงถูกวางแผนโจมตี”

    หลังจากรายงานเบื้องต้นในเดือนกันยายนว่า “มีลูกค้าเพียง 5% ได้รับผลกระทบ” ล่าสุด SonicWall และบริษัท Mandiant ได้เปิดเผยผลสอบสวนเต็มรูปแบบเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2025 ว่าแฮกเกอร์สามารถเข้าถึงไฟล์สำรองการตั้งค่าไฟร์วอลล์ของ “ลูกค้าทุกคน” ที่ใช้บริการสำรองข้อมูลบนคลาวด์ของ SonicWall24

    การโจมตีเริ่มต้นจากการ brute force API บนระบบ MySonicWall Cloud Backup ซึ่งเก็บไฟล์การตั้งค่าระบบไฟร์วอลล์ที่เข้ารหัสไว้ ไฟล์เหล่านี้มีข้อมูลสำคัญ เช่น กฎการกรองข้อมูล, การตั้งค่า VPN, routing, credentials, และข้อมูลบัญชีผู้ใช้ แม้รหัสผ่านจะถูกเข้ารหัสด้วย AES-256 (Gen 7) หรือ 3DES (Gen 6) แต่การที่แฮกเกอร์ได้ไฟล์ทั้งหมดไป ทำให้สามารถวิเคราะห์โครงสร้างเครือข่ายของลูกค้าได้อย่างละเอียด

    SonicWall ได้แบ่งระดับความเสี่ยงของอุปกรณ์ไว้ในพอร์ทัล MySonicWall เป็น 3 กลุ่ม:

    “Active – High Priority” สำหรับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
    “Active – Lower Priority” สำหรับอุปกรณ์ภายใน
    “Inactive” สำหรับอุปกรณ์ที่ไม่ได้เชื่อมต่อมาเกิน 90 วัน

    บริษัทแนะนำให้ลูกค้าเริ่มตรวจสอบอุปกรณ์กลุ่ม High Priority ก่อน พร้อมใช้เครื่องมือ Firewall Config Analysis Tool และสคริปต์ Essential Credential Reset เพื่อรีเซ็ตรหัสผ่านและ API key ที่อาจถูกเปิดเผย

    ผู้เชี่ยวชาญด้านภัยคุกคาม Ryan Dewhurst จาก watchTowr ระบุว่า แม้ข้อมูลจะถูกเข้ารหัส แต่หากรหัสผ่านอ่อนก็สามารถถูกถอดรหัสแบบออฟไลน์ได้ และการได้ไฟล์การตั้งค่าทั้งหมดคือ “ขุมทรัพย์” สำหรับการวางแผนโจมตีแบบเจาะจง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    SonicWall ยืนยันว่าแฮกเกอร์เข้าถึงไฟล์สำรองการตั้งค่าไฟร์วอลล์ของลูกค้าทุกคน
    การโจมตีเริ่มจาก brute force API บนระบบ MySonicWall Cloud Backup
    ไฟล์ที่ถูกเข้าถึงมีข้อมูล routing, VPN, firewall rules, credentials และบัญชีผู้ใช้
    รหัสผ่านถูกเข้ารหัสด้วย AES-256 (Gen 7) และ 3DES (Gen 6)
    SonicWall แบ่งระดับความเสี่ยงของอุปกรณ์เป็น High, Low และ Inactive
    ลูกค้าสามารถดูรายการอุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบใน MySonicWall portal
    มีเครื่องมือ Firewall Config Analysis Tool และสคริปต์รีเซ็ตรหัสผ่านให้ใช้งาน
    SonicWall ทำงานร่วมกับ Mandiant เพื่อเสริมระบบและช่วยเหลือลูกค้า

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    API brute force คือการสุ่มรหัสผ่านหรือ token เพื่อเข้าถึงระบบโดยไม่รับอนุญาต
    การเข้าถึงไฟล์การตั้งค่าไฟร์วอลล์ช่วยให้แฮกเกอร์เข้าใจโครงสร้างเครือข่ายขององค์กร
    AES-256 เป็นมาตรฐานการเข้ารหัสที่แข็งแกร่ง แต่ยังขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของรหัสผ่าน
    การใช้ cloud backup โดยไม่มี rate limiting หรือ access control ที่ดี เป็นช่องโหว่สำคัญ
    Mandiant เป็นบริษัทด้านความปลอดภัยที่มีชื่อเสียงในการสอบสวนเหตุการณ์ระดับโลก

    https://hackread.com/sonicwall-hackers-breached-all-firewall-backups/
    🧨 “SonicWall ยืนยัน! แฮกเกอร์เจาะระบบสำรองไฟร์วอลล์ทุกเครื่อง — ข้อมูลเครือข่ายทั่วโลกเสี่ยงถูกวางแผนโจมตี” หลังจากรายงานเบื้องต้นในเดือนกันยายนว่า “มีลูกค้าเพียง 5% ได้รับผลกระทบ” ล่าสุด SonicWall และบริษัท Mandiant ได้เปิดเผยผลสอบสวนเต็มรูปแบบเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2025 ว่าแฮกเกอร์สามารถเข้าถึงไฟล์สำรองการตั้งค่าไฟร์วอลล์ของ “ลูกค้าทุกคน” ที่ใช้บริการสำรองข้อมูลบนคลาวด์ของ SonicWall24 การโจมตีเริ่มต้นจากการ brute force API บนระบบ MySonicWall Cloud Backup ซึ่งเก็บไฟล์การตั้งค่าระบบไฟร์วอลล์ที่เข้ารหัสไว้ ไฟล์เหล่านี้มีข้อมูลสำคัญ เช่น กฎการกรองข้อมูล, การตั้งค่า VPN, routing, credentials, และข้อมูลบัญชีผู้ใช้ แม้รหัสผ่านจะถูกเข้ารหัสด้วย AES-256 (Gen 7) หรือ 3DES (Gen 6) แต่การที่แฮกเกอร์ได้ไฟล์ทั้งหมดไป ทำให้สามารถวิเคราะห์โครงสร้างเครือข่ายของลูกค้าได้อย่างละเอียด SonicWall ได้แบ่งระดับความเสี่ยงของอุปกรณ์ไว้ในพอร์ทัล MySonicWall เป็น 3 กลุ่ม: 🔰 “Active – High Priority” สำหรับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต 🔰 “Active – Lower Priority” สำหรับอุปกรณ์ภายใน 🔰 “Inactive” สำหรับอุปกรณ์ที่ไม่ได้เชื่อมต่อมาเกิน 90 วัน บริษัทแนะนำให้ลูกค้าเริ่มตรวจสอบอุปกรณ์กลุ่ม High Priority ก่อน พร้อมใช้เครื่องมือ Firewall Config Analysis Tool และสคริปต์ Essential Credential Reset เพื่อรีเซ็ตรหัสผ่านและ API key ที่อาจถูกเปิดเผย ผู้เชี่ยวชาญด้านภัยคุกคาม Ryan Dewhurst จาก watchTowr ระบุว่า แม้ข้อมูลจะถูกเข้ารหัส แต่หากรหัสผ่านอ่อนก็สามารถถูกถอดรหัสแบบออฟไลน์ได้ และการได้ไฟล์การตั้งค่าทั้งหมดคือ “ขุมทรัพย์” สำหรับการวางแผนโจมตีแบบเจาะจง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ SonicWall ยืนยันว่าแฮกเกอร์เข้าถึงไฟล์สำรองการตั้งค่าไฟร์วอลล์ของลูกค้าทุกคน ➡️ การโจมตีเริ่มจาก brute force API บนระบบ MySonicWall Cloud Backup ➡️ ไฟล์ที่ถูกเข้าถึงมีข้อมูล routing, VPN, firewall rules, credentials และบัญชีผู้ใช้ ➡️ รหัสผ่านถูกเข้ารหัสด้วย AES-256 (Gen 7) และ 3DES (Gen 6) ➡️ SonicWall แบ่งระดับความเสี่ยงของอุปกรณ์เป็น High, Low และ Inactive ➡️ ลูกค้าสามารถดูรายการอุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบใน MySonicWall portal ➡️ มีเครื่องมือ Firewall Config Analysis Tool และสคริปต์รีเซ็ตรหัสผ่านให้ใช้งาน ➡️ SonicWall ทำงานร่วมกับ Mandiant เพื่อเสริมระบบและช่วยเหลือลูกค้า ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ API brute force คือการสุ่มรหัสผ่านหรือ token เพื่อเข้าถึงระบบโดยไม่รับอนุญาต ➡️ การเข้าถึงไฟล์การตั้งค่าไฟร์วอลล์ช่วยให้แฮกเกอร์เข้าใจโครงสร้างเครือข่ายขององค์กร ➡️ AES-256 เป็นมาตรฐานการเข้ารหัสที่แข็งแกร่ง แต่ยังขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของรหัสผ่าน ➡️ การใช้ cloud backup โดยไม่มี rate limiting หรือ access control ที่ดี เป็นช่องโหว่สำคัญ ➡️ Mandiant เป็นบริษัทด้านความปลอดภัยที่มีชื่อเสียงในการสอบสวนเหตุการณ์ระดับโลก https://hackread.com/sonicwall-hackers-breached-all-firewall-backups/
    HACKREAD.COM
    SonicWall Says All Firewall Backups Were Accessed by Hackers
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 153 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Gemini พุ่งแรง 46% แต่ ChatGPT ยังครองใจผู้ใช้ — ศึก GenAI ที่วัดกันด้วยความภักดีมากกว่าปริมาณ”

    รายงานล่าสุดจาก Similarweb เผยว่า Google Gemini มีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในเดือนกันยายน 2025 มีผู้เข้าชมถึง 1.1 พันล้านครั้ง เพิ่มขึ้น 46% จากเดือนสิงหาคม ถือเป็นการเติบโตที่น่าจับตามองในตลาด GenAI ที่แข่งขันกันดุเดือด

    อย่างไรก็ตาม แม้ Gemini จะขยับขึ้นมาเป็นอันดับสองในส่วนแบ่งตลาด (13.7%) แต่ ChatGPT ยังคงครองอันดับหนึ่งด้วยส่วนแบ่ง 73.8% และมีจำนวนผู้ใช้งานถึง 5.9 พันล้านครั้งในเดือนเดียว ทำให้ ChatGPT.com ติดอันดับเว็บไซต์ยอดนิยมอันดับ 5 ของโลก

    สิ่งที่ทำให้ ChatGPT ยังคงแข็งแกร่งคือ “ความภักดีของผู้ใช้” โดย 82.2% ของผู้ใช้ ChatGPT ไม่เคยเข้าใช้งาน GenAI ตัวอื่นเลย ขณะที่ Gemini มีอัตราความภักดีอยู่ที่ 49.1% และคู่แข่งอื่น ๆ อย่าง Grok, Perplexity และ Claude อยู่ที่ 35.6%, 33.1% และ 18% ตามลำดับ

    การเติบโตของ Gemini อาจได้รับแรงหนุนจากกระแสไม่พอใจในฟีเจอร์ “GPT-5 Instant” ของ ChatGPT ซึ่งจะเปลี่ยนโมเดลอัตโนมัติเมื่อพบว่าผู้ใช้มีอารมณ์หรือเนื้อหาที่อ่อนไหว โดยมีผู้ใช้บางรายแสดงความไม่พอใจว่า “ระบบ nanny mode” นี้รบกวนการใช้งานและทำให้ต้องแก้ข้อความเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเปลี่ยนโมเดล

    แม้จะมีเสียงวิจารณ์ แต่ OpenAI ยืนยันว่าฟีเจอร์นี้มีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือผู้ใช้ในภาวะวิกฤต และจะบอกผู้ใช้เสมอว่าโมเดลใดกำลังทำงานอยู่

    Gemini ยังมีจุดแข็งในด้านฟีเจอร์บางอย่างที่ ChatGPT ยังไม่มี เช่น การสร้างภาพใน Google Sheets, การแก้สูตร, การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Google Home และการใช้งานใน Chrome Desktop สำหรับผู้ใช้ Pro และ Ultra

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Gemini มีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น 46% ในเดือนกันยายน 2025 รวมเป็น 1.1 พันล้านครั้ง
    ส่วนแบ่งตลาดของ Gemini เพิ่มจาก 9.1% เป็น 13.7%
    ChatGPT ยังคงครองอันดับหนึ่งด้วย 5.9 พันล้านครั้ง และส่วนแบ่ง 73.8%
    ChatGPT.com เป็นเว็บไซต์อันดับ 5 ของโลกในเดือนกันยายน
    ความภักดีของผู้ใช้ ChatGPT อยู่ที่ 82.2% สูงที่สุดในตลาด GenAI
    Gemini มีความภักดีของผู้ใช้ที่ 49.1% ตามด้วย Grok, Perplexity และ Claude
    ChatGPT เปิดตัว GPT-5 Instant เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้ในภาวะอ่อนไหว
    Gemini มีฟีเจอร์เฉพาะ เช่น การแก้สูตรใน Sheets และการเชื่อมต่อกับ Google Home

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    GPT-5 Instant เป็นโมเดลที่ถูกเรียกใช้เมื่อระบบตรวจพบเนื้อหาที่อ่อนไหว
    Similarweb เป็นแพลตฟอร์มวิเคราะห์การเข้าชมเว็บไซต์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย
    Gemini 2.5 Flash เป็นเวอร์ชันล่าสุดที่เน้นความเร็วและการเชื่อมต่อกับผลิตภัณฑ์ Google
    ChatGPT มีการใช้งานเฉลี่ย 2.5 พันล้าน prompt ต่อวัน
    Claude และ Perplexity เน้นการใช้งานเฉพาะกลุ่ม เช่น นักพัฒนาและนักวิจัย

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/gemini/google-gemini-just-saw-a-46-percent-spike-in-traffic-but-chatgpt-still-has-the-most-loyal-users
    📊 “Gemini พุ่งแรง 46% แต่ ChatGPT ยังครองใจผู้ใช้ — ศึก GenAI ที่วัดกันด้วยความภักดีมากกว่าปริมาณ” รายงานล่าสุดจาก Similarweb เผยว่า Google Gemini มีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในเดือนกันยายน 2025 มีผู้เข้าชมถึง 1.1 พันล้านครั้ง เพิ่มขึ้น 46% จากเดือนสิงหาคม ถือเป็นการเติบโตที่น่าจับตามองในตลาด GenAI ที่แข่งขันกันดุเดือด อย่างไรก็ตาม แม้ Gemini จะขยับขึ้นมาเป็นอันดับสองในส่วนแบ่งตลาด (13.7%) แต่ ChatGPT ยังคงครองอันดับหนึ่งด้วยส่วนแบ่ง 73.8% และมีจำนวนผู้ใช้งานถึง 5.9 พันล้านครั้งในเดือนเดียว ทำให้ ChatGPT.com ติดอันดับเว็บไซต์ยอดนิยมอันดับ 5 ของโลก สิ่งที่ทำให้ ChatGPT ยังคงแข็งแกร่งคือ “ความภักดีของผู้ใช้” โดย 82.2% ของผู้ใช้ ChatGPT ไม่เคยเข้าใช้งาน GenAI ตัวอื่นเลย ขณะที่ Gemini มีอัตราความภักดีอยู่ที่ 49.1% และคู่แข่งอื่น ๆ อย่าง Grok, Perplexity และ Claude อยู่ที่ 35.6%, 33.1% และ 18% ตามลำดับ การเติบโตของ Gemini อาจได้รับแรงหนุนจากกระแสไม่พอใจในฟีเจอร์ “GPT-5 Instant” ของ ChatGPT ซึ่งจะเปลี่ยนโมเดลอัตโนมัติเมื่อพบว่าผู้ใช้มีอารมณ์หรือเนื้อหาที่อ่อนไหว โดยมีผู้ใช้บางรายแสดงความไม่พอใจว่า “ระบบ nanny mode” นี้รบกวนการใช้งานและทำให้ต้องแก้ข้อความเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเปลี่ยนโมเดล แม้จะมีเสียงวิจารณ์ แต่ OpenAI ยืนยันว่าฟีเจอร์นี้มีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือผู้ใช้ในภาวะวิกฤต และจะบอกผู้ใช้เสมอว่าโมเดลใดกำลังทำงานอยู่ Gemini ยังมีจุดแข็งในด้านฟีเจอร์บางอย่างที่ ChatGPT ยังไม่มี เช่น การสร้างภาพใน Google Sheets, การแก้สูตร, การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Google Home และการใช้งานใน Chrome Desktop สำหรับผู้ใช้ Pro และ Ultra ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Gemini มีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น 46% ในเดือนกันยายน 2025 รวมเป็น 1.1 พันล้านครั้ง ➡️ ส่วนแบ่งตลาดของ Gemini เพิ่มจาก 9.1% เป็น 13.7% ➡️ ChatGPT ยังคงครองอันดับหนึ่งด้วย 5.9 พันล้านครั้ง และส่วนแบ่ง 73.8% ➡️ ChatGPT.com เป็นเว็บไซต์อันดับ 5 ของโลกในเดือนกันยายน ➡️ ความภักดีของผู้ใช้ ChatGPT อยู่ที่ 82.2% สูงที่สุดในตลาด GenAI ➡️ Gemini มีความภักดีของผู้ใช้ที่ 49.1% ตามด้วย Grok, Perplexity และ Claude ➡️ ChatGPT เปิดตัว GPT-5 Instant เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้ในภาวะอ่อนไหว ➡️ Gemini มีฟีเจอร์เฉพาะ เช่น การแก้สูตรใน Sheets และการเชื่อมต่อกับ Google Home ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ GPT-5 Instant เป็นโมเดลที่ถูกเรียกใช้เมื่อระบบตรวจพบเนื้อหาที่อ่อนไหว ➡️ Similarweb เป็นแพลตฟอร์มวิเคราะห์การเข้าชมเว็บไซต์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ➡️ Gemini 2.5 Flash เป็นเวอร์ชันล่าสุดที่เน้นความเร็วและการเชื่อมต่อกับผลิตภัณฑ์ Google ➡️ ChatGPT มีการใช้งานเฉลี่ย 2.5 พันล้าน prompt ต่อวัน ➡️ Claude และ Perplexity เน้นการใช้งานเฉพาะกลุ่ม เช่น นักพัฒนาและนักวิจัย https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/gemini/google-gemini-just-saw-a-46-percent-spike-in-traffic-but-chatgpt-still-has-the-most-loyal-users
    WWW.TECHRADAR.COM
    Gemini AI is having a moment with surging traffic, and ChatGPT might be helping without meaning to
    Gemini visits are up sharply – but ChatGPT users aren’t switching sides just yet
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Intel Granite Rapids-WS หลุดสเปก! ซีพียู 86 คอร์ 172 เธรด เตรียมท้าชน AMD Threadripper ในตลาดเวิร์กสเตชันระดับสูง”

    Intel กำลังกลับมาอย่างแข็งแกร่งในตลาดเวิร์กสเตชันระดับสูง (HEDT) หลังจากมีข้อมูลหลุดจาก OpenBenchmarking.org เกี่ยวกับซีพียูรุ่นใหม่ Granite Rapids-WS ที่มาพร้อม 86 คอร์ 172 เธรด และความเร็วสูงสุด 4.8GHz ซึ่งอาจเป็นความเร็วแบบ Turbo บนบางคอร์ ไม่ใช่ความเร็วพื้นฐานทั้งหมด

    ซีพียูรุ่นนี้ยังไม่มีชื่ออย่างเป็นทางการ โดยถูกระบุในฐานข้อมูลว่า “Intel 0000” และเป็นตัวอย่างทางวิศวกรรม (engineering sample) ที่ใช้โครงสร้างจากชิป XCC (Extreme Core Count) ซึ่งประกอบด้วย compute tiles 2 ชุด และ I/O tiles อีก 2 ชุด เพื่อรองรับ PCIe และหน่วยความจำ

    แม้จะยังไม่มีข้อมูลเรื่อง TDP หรือความเร็วพื้นฐาน แต่ระบบทดสอบที่ใช้ซีพียูนี้มี RAM 512GB, SSD 1TB และการ์ดจอ NVIDIA RTX 3090 โดยรันบน Red Hat Enterprise Linux 9.6 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าซีพียูนี้ถูกออกแบบมาสำหรับงานหนักระดับมืออาชีพ

    Granite Rapids-WS อาจใช้แพลตฟอร์มใหม่ W890 ที่รองรับ DDR5 แบบ 8 ช่อง และ PCIe Gen5 สูงสุด 128 เลน ซึ่งจะเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ AMD Threadripper Pro 9000 ที่มี 96 คอร์ และแคชสูงถึง 384MB

    หาก Intel เปิดตัว Granite Rapids-WS อย่างเป็นทางการในเร็ว ๆ นี้ ก็อาจเป็นการกลับเข้าสู่ตลาด HEDT ที่เคยถูกครองโดย AMD มานาน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ระดับมืออาชีพ เช่น นักสร้างคอนเทนต์ นักวิจัย และผู้พัฒนา AI

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel Granite Rapids-WS หลุดข้อมูลจาก OpenBenchmarking.org
    มี 86 คอร์ 172 เธรด และความเร็วสูงสุด 4.8GHz (Turbo บางคอร์)
    ใช้โครงสร้าง XCC: 2 compute tiles + 2 I/O tiles
    ระบบทดสอบมี RAM 512GB, SSD 1TB, GPU RTX 3090
    รันบน Red Hat Enterprise Linux 9.6
    อาจใช้แพลตฟอร์ม W890 รองรับ DDR5 แบบ 8 ช่อง และ PCIe Gen5 สูงสุด 128 เลน
    เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ AMD Threadripper Pro 9000
    ยังไม่มีข้อมูลเรื่อง TDP, base clock หรือ thermal envelope

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    XCC เป็นโครงสร้างที่ใช้ในเซิร์ฟเวอร์ระดับสูงของ Intel
    DDR5-6400 และ MR-DIMM ช่วยเพิ่มความเร็วและความจุของหน่วยความจำ
    AMD Threadripper Pro 9995WX มี 96 คอร์ และแคช 384MB
    ตลาด HEDT เคยถูก Intel ครอง แต่ถูก AMD แซงในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
    การกลับมาของ Intel ในตลาดนี้อาจช่วยเพิ่มตัวเลือกให้กับ OEM และผู้ใช้มืออาชีพ

    https://www.techradar.com/pro/intels-most-powerful-cpu-ever-may-have-been-spotted-86-core-granite-rapids-ws-has-a-4-8ghz-base-speed-and-will-give-amds-threadripper-hedt-a-run-for-its-money
    🧠 “Intel Granite Rapids-WS หลุดสเปก! ซีพียู 86 คอร์ 172 เธรด เตรียมท้าชน AMD Threadripper ในตลาดเวิร์กสเตชันระดับสูง” Intel กำลังกลับมาอย่างแข็งแกร่งในตลาดเวิร์กสเตชันระดับสูง (HEDT) หลังจากมีข้อมูลหลุดจาก OpenBenchmarking.org เกี่ยวกับซีพียูรุ่นใหม่ Granite Rapids-WS ที่มาพร้อม 86 คอร์ 172 เธรด และความเร็วสูงสุด 4.8GHz ซึ่งอาจเป็นความเร็วแบบ Turbo บนบางคอร์ ไม่ใช่ความเร็วพื้นฐานทั้งหมด ซีพียูรุ่นนี้ยังไม่มีชื่ออย่างเป็นทางการ โดยถูกระบุในฐานข้อมูลว่า “Intel 0000” และเป็นตัวอย่างทางวิศวกรรม (engineering sample) ที่ใช้โครงสร้างจากชิป XCC (Extreme Core Count) ซึ่งประกอบด้วย compute tiles 2 ชุด และ I/O tiles อีก 2 ชุด เพื่อรองรับ PCIe และหน่วยความจำ แม้จะยังไม่มีข้อมูลเรื่อง TDP หรือความเร็วพื้นฐาน แต่ระบบทดสอบที่ใช้ซีพียูนี้มี RAM 512GB, SSD 1TB และการ์ดจอ NVIDIA RTX 3090 โดยรันบน Red Hat Enterprise Linux 9.6 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าซีพียูนี้ถูกออกแบบมาสำหรับงานหนักระดับมืออาชีพ Granite Rapids-WS อาจใช้แพลตฟอร์มใหม่ W890 ที่รองรับ DDR5 แบบ 8 ช่อง และ PCIe Gen5 สูงสุด 128 เลน ซึ่งจะเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ AMD Threadripper Pro 9000 ที่มี 96 คอร์ และแคชสูงถึง 384MB หาก Intel เปิดตัว Granite Rapids-WS อย่างเป็นทางการในเร็ว ๆ นี้ ก็อาจเป็นการกลับเข้าสู่ตลาด HEDT ที่เคยถูกครองโดย AMD มานาน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ระดับมืออาชีพ เช่น นักสร้างคอนเทนต์ นักวิจัย และผู้พัฒนา AI ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel Granite Rapids-WS หลุดข้อมูลจาก OpenBenchmarking.org ➡️ มี 86 คอร์ 172 เธรด และความเร็วสูงสุด 4.8GHz (Turbo บางคอร์) ➡️ ใช้โครงสร้าง XCC: 2 compute tiles + 2 I/O tiles ➡️ ระบบทดสอบมี RAM 512GB, SSD 1TB, GPU RTX 3090 ➡️ รันบน Red Hat Enterprise Linux 9.6 ➡️ อาจใช้แพลตฟอร์ม W890 รองรับ DDR5 แบบ 8 ช่อง และ PCIe Gen5 สูงสุด 128 เลน ➡️ เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ AMD Threadripper Pro 9000 ➡️ ยังไม่มีข้อมูลเรื่อง TDP, base clock หรือ thermal envelope ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ XCC เป็นโครงสร้างที่ใช้ในเซิร์ฟเวอร์ระดับสูงของ Intel ➡️ DDR5-6400 และ MR-DIMM ช่วยเพิ่มความเร็วและความจุของหน่วยความจำ ➡️ AMD Threadripper Pro 9995WX มี 96 คอร์ และแคช 384MB ➡️ ตลาด HEDT เคยถูก Intel ครอง แต่ถูก AMD แซงในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ➡️ การกลับมาของ Intel ในตลาดนี้อาจช่วยเพิ่มตัวเลือกให้กับ OEM และผู้ใช้มืออาชีพ https://www.techradar.com/pro/intels-most-powerful-cpu-ever-may-have-been-spotted-86-core-granite-rapids-ws-has-a-4-8ghz-base-speed-and-will-give-amds-threadripper-hedt-a-run-for-its-money
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อติดคอ ตอนที่ 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อติดคอ”
    ตอนที่ 3

    แล้ว Shah ก็อยู่ในอำนาจนานถึง 25 ปี ในฐานะหุ่นเชิดราคาแพงของอเมริกานักล่าหน้าใหม่ ที่แสดงวิธีการล่าเหยื่ออย่างเด็ดดวง ชนิดนักล่ารุ่นเก่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ต้องจำใจคายเหยื่อให้ครึ่งตัว ศักดิ์ศรีของนักล่าชาวเกาะฯหมองหม่นไปจมหู

    CIA รับหน้าที่ดูแลด้านความมั่นคงภายในให้แก่ Shah โดยตั้งหน่วยงานชื่อ SAVAK ขึ้นมาใหม่ แน่นอน หน่วยงานนี่อยู่ในความดูแลของ Col. Schwazkopt เจ้าพ่อ CIA คนเดิม อเมริกาป้อนกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ให้ Shah อย่างไม่อั้น เงินจำนวน 68 ล้านเหรียญ ส่งให้ Shah วันขึ้นครองบัลลังก์เป็นการปลอบใจ ที่อิหร่านขาดรายได้ในช่วงที่ถูกอังกฤษคว่ำบาตร หลังจากนั้นก็ให้เงินกู้จำนวน 300 ล้านเหรียญ สำหรับฟื้นฟูเศรษฐกิจ และอีก 600 ล้านเหรียญ สำหรับสร้างกองทัพก็ตามมา นับเป็นเหยื่อที่อเมริกาลงทุนสูง สมันน้อยอย่าเอาตัวเองไปเทียบเลยนะ เดี๋ยวจะน้อยใจ ลมใส่กันเป็นแถวๆ

    หลังจากการปฏิวัติในปี ค.ศ.1953 แม้ Shah จะเป็นผู้ครองบัลลังก์ แต่ผู้บริหารประเทศอิหร่านจริงๆ ดูเหมือนจะเป็นบริษัทน้ำมันของอเมริกา อิหร่านยังต้องพึ่งอเมริกาทางด้านเทคนิคการผลิต กลไกการตลาดทุกอย่าง ถึงกับมีสื่อประชดว่า “Ownership Without Control”

    ค.ศ.1963 ภายใต้การชักใยของอเมริกา ซึ่งส่งที่ปรึกษา นักวิชาการเข้ามาล้นแทบขี่คอกันอยู่ในอิหร่าน อิหร่านก็เริ่มทำการปฏิรูปเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมตามที่อเมริกาสั่ง นโยบายที่เขียนโดยบรรดาอาจารย์จากมหาวิทยาลัย Harvard จัดมามาให้ เรียกว่า “White Revolution” ซึ่งมีเป้าหมายให้อิหร่านกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรม อเมริกาบอกเป็นการสร้างโอกาสให้ชนชั้นกลาง สร้างงานให้ชนชั้นแรงงานไงล่ะ แล้วทุนต่างชาติก็หลั่งไหลเข้ามาในอิหร่าน สังคมอิหร่านกลายเป็นสังคมศิวิไลซ์ตามความคิดของอเมริกา ต่างกันไหมกับเหยื่อชื่อไทยแลนด์แดนสมันน้อย

    White Revolution บอกว่าต้องปฏิรูปที่ดิน บังคับให้เจ้าของที่ดินขายคืนให้รัฐ เพื่อให้รัฐนำไปจัดสรรใหม่ ส่วนหนึ่งเอาไปทำเป็นพื้นที่อุตสาหรรรมเพิ่มเติม อีกส่วนหนึ่งจัดสรรให้ชาวไร่ชาวนา เจ้าของที่ดินส่วนใหญ่เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ให้ชาวบ้านเช่าที่ดินและใช้ทำกิน เงินที่ได้จากการให้เช่าที่ดินก็ส่งไปสนับสนุนกิจกรรมทางศาสนา การยึดที่ดินทั้งหมดไปจากพวกเขา เปลี่ยนวัฒนธรรมประเพณีที่สนับสนุนศาสนาอิสลามที่ดำเนินกันมาเป็นเวลานาน ตามนโยบายของ White Revolution รายการนี้ ดูเหมือนจะไปสะดุดตอใหญ่ ที่รอเวลาการงอกมาขวางทางเดินของ Shah

    อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ของอิหร่านงอกงาม ขยายตัว แต่ส่วนใหญ่เป็นการผลิตสินค้าที่เป็นเครื่องอุปโภคบริโภคที่อำนวยความสะดวก เช่น รถยนต์ ในขณะที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ของอิหร่านยังอาศัยอยู่ในเรือนไม้เล็กๆ ชาวเมืองอิหร่านเองก็เริ่มเสพติด “ของนอก” การนำเข้าสินค้าของอิหร่านกระ โดดจาก 400 ล้านเหรียญในปี ค.ศ.1958-1959 เป็น 18.4 พันล้านเหรียญ ในปี ค.ศ.1975-1976 สื่ออังกฤษได้โอกาสเสียดสี “อิหร่านได้แปรสภาพเป็นตะวันตกอย่างผิดที่ผิดทาง มีแต่โรงงานผลิตน้ำอัดลม Pepsi, Coke และ Canada Dry โผล่ขึ้นทั่วไปหมด ในขณะที่ชาวบ้านในเขตยากจนยังดื่มน้ำจากก็อกน้ำหัวถนน ซึ่งอยู่ข้างๆกองขยะ สนามบินเตหะรานหรูหราที่สุดในตะวันออกกลาง แต่ถนนหนทางดูเหมือนจะยังไม่พร้อมจะเชื่อมโยง โรงแรม Hilton ของอเมริกันสูงลิบกำลังสร้างอยู่ แต่ชาวอิหร่านอีกมากมายยังอาศัยนอนอยู่ตามถนน”
    อเมริกาหนุนให้ Shah ทำหน้าที่ตำรวจเฝ้ายามประจำอ่าวเปอร์เซีย คอยกันไม่ให้สหภาพโซเวียตแหลมเข้ามาตามเขตแดนด้านใต้ของสหภาพโซเวียต อเมริกาเริ่มวางแผนด้านกองทัพให้อิหร่าน ตั้งแต่ ค.ศ.1940 กว่า แต่หลังการปฏิวัติ ค.ศ.1953 อเมริกาเหมือนเป็นผู้นำกองทัพของอิหร่านเสียเอง ในปี ค.ศ.1954 มีหน่วยงานด้านกองทัพของอเมริกา 3 หน่วยงานคอยดูแลกำกับกองทัพอิหร่าน ให้ทั้งการฝึกทางอากาศ ทางทะเล และด้วยอาวุธที่นำเข้าจากต่างประเทศ

    ในช่วง ค.ศ.1970 กว่า อิหร่านขึ้นตำแหน่งเป็นลูกรักของอเมริกาในตะวันออกกลาง แน่นอน คงสร้างความขมให้แก่ซาอุดิอารเบียไม่น้อย ประธานาธิบดี Nixon บอกว่า เรากำลังปวดหัวกับเรื่องเวียตนาม ระหว่างนี้เรื่องทางตะวันออกกลางเราขอให้ท่าน พร้อมกับซาอุดิอารเบียและอิสราเอล ถือบังเหียนไปก่อนนะ

    เพื่อให้สมกับเป็นผู้นำตะวันออกกลาง ที่ได้รับความไว้วางใจจากอเมริกา ในปี ค.ศ.1975 อิหร่านใช้เงิน 35 พันล้านเหรียญ (จากรายได้น้ำมัน 62 พันล้านเหรียญ) เพื่อลงทุนสร้างกองทัพอิหร่านให้แข็งแกร่ง ในช่วงนั้นมีที่ปรึกษาด้านการทหารของอเมริกาอยู่ในอิหร่านประมาณ 8,000 คน

    Shah มองตัวเองในกระจก เข้าใจว่าหลังจากได้อาหารดี ร่างกายแข็งแรงพอที่แหกกรงเหยื่อเป็นอิสระจากอเมริกา เขาเริ่มเปลี่ยนนโยบายการต่างประเทศของอิหร่าน มุ่งหน้าไปสู่การเป็นผู้นำของตะวันออกกลาง ตัวจริงไม่ใช่ตัวแทน เขาเร่งสร้างกองทัพให้ใหญ่ขึ้น แข็งแกร่งขึ้น อเมริกาเริ่มคิ้วขมวดมองดู

    Shah มองตัวเองในกระจก เห็นแต่ภาพที่ตัวเองอยากเห็น แต่ไม่เห็นภาพที่ตัวเองเป็น เหยื่อ มักไม่รู้ตัวว่าตกเป็นเหยื่อ เมื่อ Shah เริ่มเบ่งกล้ามใส่อเมริกา อนาคตของ Shah ก็เริ่มสั้นลง แต่ดูเหมือน Shah จะเดินไปไกลเกินกว่าจะถอยหลัง เขาให้สัมภาษณ์ใน US News and World Magazine เมื่อ ค.ศ.1976 เกี่ยวกับอำนาจและอิทธิพลของอเมริกาในอิหร่านว่า “ถ้าอเมริกาพยายามจะสร้างความรู้สึกที่ไม่เป็นมิตรต่อประเทศเรา เราก็สามารถทำให้อเมริกาเจ็บได้ ไม่น้อยกว่าที่อเมริกาจะทำให้เราเจ็บ ไม่ใช่แค่ในด้านของน้ำมัน เราสามารถสร้างปัญหาให้กับอเมริกาได้ในบริเวณนี้ ถ้าอเมริกาบีบให้เราต้องเปลี่ยนจากการเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ผลสะท้อนมันคงเกินจะประมาณได้” อเมริกาควันออกทุกทวาร ความร้อนขึ้นจนปรอทแทบแตก และชะตาชีวิตของ Shah ก็ถูกตัดสินโดยวอชิงตันเรียบร้อย

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    23 กันยายน 2557
    เหยื่อติดคอ ตอนที่ 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อติดคอ” ตอนที่ 3 แล้ว Shah ก็อยู่ในอำนาจนานถึง 25 ปี ในฐานะหุ่นเชิดราคาแพงของอเมริกานักล่าหน้าใหม่ ที่แสดงวิธีการล่าเหยื่ออย่างเด็ดดวง ชนิดนักล่ารุ่นเก่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ต้องจำใจคายเหยื่อให้ครึ่งตัว ศักดิ์ศรีของนักล่าชาวเกาะฯหมองหม่นไปจมหู CIA รับหน้าที่ดูแลด้านความมั่นคงภายในให้แก่ Shah โดยตั้งหน่วยงานชื่อ SAVAK ขึ้นมาใหม่ แน่นอน หน่วยงานนี่อยู่ในความดูแลของ Col. Schwazkopt เจ้าพ่อ CIA คนเดิม อเมริกาป้อนกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ให้ Shah อย่างไม่อั้น เงินจำนวน 68 ล้านเหรียญ ส่งให้ Shah วันขึ้นครองบัลลังก์เป็นการปลอบใจ ที่อิหร่านขาดรายได้ในช่วงที่ถูกอังกฤษคว่ำบาตร หลังจากนั้นก็ให้เงินกู้จำนวน 300 ล้านเหรียญ สำหรับฟื้นฟูเศรษฐกิจ และอีก 600 ล้านเหรียญ สำหรับสร้างกองทัพก็ตามมา นับเป็นเหยื่อที่อเมริกาลงทุนสูง สมันน้อยอย่าเอาตัวเองไปเทียบเลยนะ เดี๋ยวจะน้อยใจ ลมใส่กันเป็นแถวๆ หลังจากการปฏิวัติในปี ค.ศ.1953 แม้ Shah จะเป็นผู้ครองบัลลังก์ แต่ผู้บริหารประเทศอิหร่านจริงๆ ดูเหมือนจะเป็นบริษัทน้ำมันของอเมริกา อิหร่านยังต้องพึ่งอเมริกาทางด้านเทคนิคการผลิต กลไกการตลาดทุกอย่าง ถึงกับมีสื่อประชดว่า “Ownership Without Control” ค.ศ.1963 ภายใต้การชักใยของอเมริกา ซึ่งส่งที่ปรึกษา นักวิชาการเข้ามาล้นแทบขี่คอกันอยู่ในอิหร่าน อิหร่านก็เริ่มทำการปฏิรูปเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมตามที่อเมริกาสั่ง นโยบายที่เขียนโดยบรรดาอาจารย์จากมหาวิทยาลัย Harvard จัดมามาให้ เรียกว่า “White Revolution” ซึ่งมีเป้าหมายให้อิหร่านกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรม อเมริกาบอกเป็นการสร้างโอกาสให้ชนชั้นกลาง สร้างงานให้ชนชั้นแรงงานไงล่ะ แล้วทุนต่างชาติก็หลั่งไหลเข้ามาในอิหร่าน สังคมอิหร่านกลายเป็นสังคมศิวิไลซ์ตามความคิดของอเมริกา ต่างกันไหมกับเหยื่อชื่อไทยแลนด์แดนสมันน้อย White Revolution บอกว่าต้องปฏิรูปที่ดิน บังคับให้เจ้าของที่ดินขายคืนให้รัฐ เพื่อให้รัฐนำไปจัดสรรใหม่ ส่วนหนึ่งเอาไปทำเป็นพื้นที่อุตสาหรรรมเพิ่มเติม อีกส่วนหนึ่งจัดสรรให้ชาวไร่ชาวนา เจ้าของที่ดินส่วนใหญ่เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ให้ชาวบ้านเช่าที่ดินและใช้ทำกิน เงินที่ได้จากการให้เช่าที่ดินก็ส่งไปสนับสนุนกิจกรรมทางศาสนา การยึดที่ดินทั้งหมดไปจากพวกเขา เปลี่ยนวัฒนธรรมประเพณีที่สนับสนุนศาสนาอิสลามที่ดำเนินกันมาเป็นเวลานาน ตามนโยบายของ White Revolution รายการนี้ ดูเหมือนจะไปสะดุดตอใหญ่ ที่รอเวลาการงอกมาขวางทางเดินของ Shah อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ของอิหร่านงอกงาม ขยายตัว แต่ส่วนใหญ่เป็นการผลิตสินค้าที่เป็นเครื่องอุปโภคบริโภคที่อำนวยความสะดวก เช่น รถยนต์ ในขณะที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ของอิหร่านยังอาศัยอยู่ในเรือนไม้เล็กๆ ชาวเมืองอิหร่านเองก็เริ่มเสพติด “ของนอก” การนำเข้าสินค้าของอิหร่านกระ โดดจาก 400 ล้านเหรียญในปี ค.ศ.1958-1959 เป็น 18.4 พันล้านเหรียญ ในปี ค.ศ.1975-1976 สื่ออังกฤษได้โอกาสเสียดสี “อิหร่านได้แปรสภาพเป็นตะวันตกอย่างผิดที่ผิดทาง มีแต่โรงงานผลิตน้ำอัดลม Pepsi, Coke และ Canada Dry โผล่ขึ้นทั่วไปหมด ในขณะที่ชาวบ้านในเขตยากจนยังดื่มน้ำจากก็อกน้ำหัวถนน ซึ่งอยู่ข้างๆกองขยะ สนามบินเตหะรานหรูหราที่สุดในตะวันออกกลาง แต่ถนนหนทางดูเหมือนจะยังไม่พร้อมจะเชื่อมโยง โรงแรม Hilton ของอเมริกันสูงลิบกำลังสร้างอยู่ แต่ชาวอิหร่านอีกมากมายยังอาศัยนอนอยู่ตามถนน” อเมริกาหนุนให้ Shah ทำหน้าที่ตำรวจเฝ้ายามประจำอ่าวเปอร์เซีย คอยกันไม่ให้สหภาพโซเวียตแหลมเข้ามาตามเขตแดนด้านใต้ของสหภาพโซเวียต อเมริกาเริ่มวางแผนด้านกองทัพให้อิหร่าน ตั้งแต่ ค.ศ.1940 กว่า แต่หลังการปฏิวัติ ค.ศ.1953 อเมริกาเหมือนเป็นผู้นำกองทัพของอิหร่านเสียเอง ในปี ค.ศ.1954 มีหน่วยงานด้านกองทัพของอเมริกา 3 หน่วยงานคอยดูแลกำกับกองทัพอิหร่าน ให้ทั้งการฝึกทางอากาศ ทางทะเล และด้วยอาวุธที่นำเข้าจากต่างประเทศ ในช่วง ค.ศ.1970 กว่า อิหร่านขึ้นตำแหน่งเป็นลูกรักของอเมริกาในตะวันออกกลาง แน่นอน คงสร้างความขมให้แก่ซาอุดิอารเบียไม่น้อย ประธานาธิบดี Nixon บอกว่า เรากำลังปวดหัวกับเรื่องเวียตนาม ระหว่างนี้เรื่องทางตะวันออกกลางเราขอให้ท่าน พร้อมกับซาอุดิอารเบียและอิสราเอล ถือบังเหียนไปก่อนนะ เพื่อให้สมกับเป็นผู้นำตะวันออกกลาง ที่ได้รับความไว้วางใจจากอเมริกา ในปี ค.ศ.1975 อิหร่านใช้เงิน 35 พันล้านเหรียญ (จากรายได้น้ำมัน 62 พันล้านเหรียญ) เพื่อลงทุนสร้างกองทัพอิหร่านให้แข็งแกร่ง ในช่วงนั้นมีที่ปรึกษาด้านการทหารของอเมริกาอยู่ในอิหร่านประมาณ 8,000 คน Shah มองตัวเองในกระจก เข้าใจว่าหลังจากได้อาหารดี ร่างกายแข็งแรงพอที่แหกกรงเหยื่อเป็นอิสระจากอเมริกา เขาเริ่มเปลี่ยนนโยบายการต่างประเทศของอิหร่าน มุ่งหน้าไปสู่การเป็นผู้นำของตะวันออกกลาง ตัวจริงไม่ใช่ตัวแทน เขาเร่งสร้างกองทัพให้ใหญ่ขึ้น แข็งแกร่งขึ้น อเมริกาเริ่มคิ้วขมวดมองดู Shah มองตัวเองในกระจก เห็นแต่ภาพที่ตัวเองอยากเห็น แต่ไม่เห็นภาพที่ตัวเองเป็น เหยื่อ มักไม่รู้ตัวว่าตกเป็นเหยื่อ เมื่อ Shah เริ่มเบ่งกล้ามใส่อเมริกา อนาคตของ Shah ก็เริ่มสั้นลง แต่ดูเหมือน Shah จะเดินไปไกลเกินกว่าจะถอยหลัง เขาให้สัมภาษณ์ใน US News and World Magazine เมื่อ ค.ศ.1976 เกี่ยวกับอำนาจและอิทธิพลของอเมริกาในอิหร่านว่า “ถ้าอเมริกาพยายามจะสร้างความรู้สึกที่ไม่เป็นมิตรต่อประเทศเรา เราก็สามารถทำให้อเมริกาเจ็บได้ ไม่น้อยกว่าที่อเมริกาจะทำให้เราเจ็บ ไม่ใช่แค่ในด้านของน้ำมัน เราสามารถสร้างปัญหาให้กับอเมริกาได้ในบริเวณนี้ ถ้าอเมริกาบีบให้เราต้องเปลี่ยนจากการเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ผลสะท้อนมันคงเกินจะประมาณได้” อเมริกาควันออกทุกทวาร ความร้อนขึ้นจนปรอทแทบแตก และชะตาชีวิตของ Shah ก็ถูกตัดสินโดยวอชิงตันเรียบร้อย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 23 กันยายน 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 267 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Nexcess รวมเข้ากับ Liquid Web อย่างสมบูรณ์ — ยกระดับบริการโฮสติ้ง WordPress และ Magento ภายใต้แบรนด์เดียว”

    หลังจากถูกซื้อกิจการในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 และดำเนินการในฐานะแบรนด์ลูกมานานกว่า 1 ปีครึ่ง ล่าสุด Nexcess ได้รวมเข้ากับ Liquid Web อย่างสมบูรณ์แล้ว โดยลูกค้าเดิมที่เคยใช้งานผ่าน nexcess.com จะถูกเปลี่ยนเส้นทางไปยังเว็บไซต์หลักของ Liquid Web และสามารถเข้าสู่ระบบได้ผ่าน my.nexcess.net ตามปกติ

    Nexcess เคยเป็นบริษัทโฮสติ้งอิสระมากว่า 20 ปี โดยมีชื่อเสียงด้านการให้บริการ Managed Hosting สำหรับ WordPress, WooCommerce และ Magento ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมในสาย eCommerce และคอนเทนต์

    การรวมแบรนด์ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนกลยุทธ์ของ Liquid Web ที่ต้องการยกระดับบริการโฮสติ้งให้ครอบคลุมตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงระดับองค์กร โดยเน้นความปลอดภัย ความเร็ว และการสนับสนุนทางเทคนิคที่เหนือกว่า

    Liquid Web ได้ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา โดยเพิ่มบริการ VPS ที่รองรับ GPU สำหรับงาน AI, ระบบจัดการหลายระดับ และโฮสติ้ง WordPress แบบแชร์ที่มีประสิทธิภาพสูง

    โฆษกของ Liquid Web ระบุว่า “การรวมแบรนด์จะช่วยให้ลูกค้าได้รับคุณค่ามากขึ้นจากบริการ Nexcess ที่มีความเชี่ยวชาญด้าน eCommerce ผสานกับแพลตฟอร์มโฮสติ้งที่แข็งแกร่งของ Liquid Web”

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Nexcess รวมเข้ากับ Liquid Web อย่างสมบูรณ์ในเดือนตุลาคม 2025
    ลูกค้าเดิมจะถูกเปลี่ยนเส้นทางจาก nexcess.com ไปยังเว็บไซต์ Liquid Web
    สามารถเข้าสู่ระบบผ่าน my.nexcess.net ได้ตามปกติ
    Nexcess เคยเป็นบริษัทโฮสติ้งอิสระมากว่า 20 ปี
    ให้บริการ Managed Hosting สำหรับ WordPress, WooCommerce และ Magento
    Liquid Web ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
    เพิ่มบริการ VPS ที่รองรับ GPU สำหรับงาน AI และโฮสติ้ง WordPress แบบแชร์
    การรวมแบรนด์ช่วยเพิ่มคุณค่าและประสิทธิภาพในการให้บริการ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Nexcess ก่อตั้งในปี 2000 และมีลูกค้าทั่วโลกในกว่า 150 ประเทศ
    Liquid Web มีประสบการณ์รวมกว่า 50 ปีในอุตสาหกรรมโฮสติ้ง
    Magento เป็นแพลตฟอร์ม eCommerce ที่ใช้โดยแบรนด์ใหญ่ เช่น HP และ Nike
    VPS ที่รองรับ GPU เหมาะสำหรับงาน AI, machine learning และการเรนเดอร์ภาพ
    การรวมแบรนด์ช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานและเพิ่มความคล่องตัวในการพัฒนา

    https://www.techradar.com/pro/website-hosting/nexcess-is-fully-absorbed-into-liquid-web
    🔗 “Nexcess รวมเข้ากับ Liquid Web อย่างสมบูรณ์ — ยกระดับบริการโฮสติ้ง WordPress และ Magento ภายใต้แบรนด์เดียว” หลังจากถูกซื้อกิจการในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 และดำเนินการในฐานะแบรนด์ลูกมานานกว่า 1 ปีครึ่ง ล่าสุด Nexcess ได้รวมเข้ากับ Liquid Web อย่างสมบูรณ์แล้ว โดยลูกค้าเดิมที่เคยใช้งานผ่าน nexcess.com จะถูกเปลี่ยนเส้นทางไปยังเว็บไซต์หลักของ Liquid Web และสามารถเข้าสู่ระบบได้ผ่าน my.nexcess.net ตามปกติ Nexcess เคยเป็นบริษัทโฮสติ้งอิสระมากว่า 20 ปี โดยมีชื่อเสียงด้านการให้บริการ Managed Hosting สำหรับ WordPress, WooCommerce และ Magento ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมในสาย eCommerce และคอนเทนต์ การรวมแบรนด์ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนกลยุทธ์ของ Liquid Web ที่ต้องการยกระดับบริการโฮสติ้งให้ครอบคลุมตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงระดับองค์กร โดยเน้นความปลอดภัย ความเร็ว และการสนับสนุนทางเทคนิคที่เหนือกว่า Liquid Web ได้ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา โดยเพิ่มบริการ VPS ที่รองรับ GPU สำหรับงาน AI, ระบบจัดการหลายระดับ และโฮสติ้ง WordPress แบบแชร์ที่มีประสิทธิภาพสูง โฆษกของ Liquid Web ระบุว่า “การรวมแบรนด์จะช่วยให้ลูกค้าได้รับคุณค่ามากขึ้นจากบริการ Nexcess ที่มีความเชี่ยวชาญด้าน eCommerce ผสานกับแพลตฟอร์มโฮสติ้งที่แข็งแกร่งของ Liquid Web” ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Nexcess รวมเข้ากับ Liquid Web อย่างสมบูรณ์ในเดือนตุลาคม 2025 ➡️ ลูกค้าเดิมจะถูกเปลี่ยนเส้นทางจาก nexcess.com ไปยังเว็บไซต์ Liquid Web ➡️ สามารถเข้าสู่ระบบผ่าน my.nexcess.net ได้ตามปกติ ➡️ Nexcess เคยเป็นบริษัทโฮสติ้งอิสระมากว่า 20 ปี ➡️ ให้บริการ Managed Hosting สำหรับ WordPress, WooCommerce และ Magento ➡️ Liquid Web ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ➡️ เพิ่มบริการ VPS ที่รองรับ GPU สำหรับงาน AI และโฮสติ้ง WordPress แบบแชร์ ➡️ การรวมแบรนด์ช่วยเพิ่มคุณค่าและประสิทธิภาพในการให้บริการ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Nexcess ก่อตั้งในปี 2000 และมีลูกค้าทั่วโลกในกว่า 150 ประเทศ ➡️ Liquid Web มีประสบการณ์รวมกว่า 50 ปีในอุตสาหกรรมโฮสติ้ง ➡️ Magento เป็นแพลตฟอร์ม eCommerce ที่ใช้โดยแบรนด์ใหญ่ เช่น HP และ Nike ➡️ VPS ที่รองรับ GPU เหมาะสำหรับงาน AI, machine learning และการเรนเดอร์ภาพ ➡️ การรวมแบรนด์ช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานและเพิ่มความคล่องตัวในการพัฒนา https://www.techradar.com/pro/website-hosting/nexcess-is-fully-absorbed-into-liquid-web
    WWW.TECHRADAR.COM
    Nexcess is fully absorbed into Liquid Web
    Nexcess is fully absorbed by web hosting brand Liquid Web
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Free Software Foundation ครบรอบ 40 ปี เปิดตัว ‘LibrePhone’ — มือถือเสรีที่ให้คุณควบคุมทุกบิตของระบบ”

    ในงานฉลองครบรอบ 40 ปีของ Free Software Foundation (FSF) ที่จัดขึ้นในเมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา องค์กรผู้ผลักดันซอฟต์แวร์เสรีได้เปิดตัวโครงการใหม่สุดทะเยอทะยานชื่อว่า “LibrePhone” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบมือถือที่เปิดเสรีอย่างแท้จริง ตั้งแต่เฟิร์มแวร์ไปจนถึงระบบปฏิบัติการ โดยไม่พึ่งพาซอฟต์แวร์ปิดหรือบริการคลาวด์ที่ควบคุมโดยบริษัทใหญ่

    โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง FSF กับ Rob Savoye นักพัฒนาระดับตำนานที่มีบทบาทในโครงการ GNU มาตั้งแต่ยุค 1980 โดยเขาเชื่อว่า “มือถือคือคอมพิวเตอร์ที่ทุกคนใช้ทุกวัน และควรมีสิทธิ์ควบคุมมันได้เต็มที่” LibrePhone จึงถูกออกแบบให้เป็นแพลตฟอร์มมือถือที่ใช้ซอฟต์แวร์เสรีทั้งหมด เพื่อให้ผู้ใช้สามารถศึกษา แก้ไข และแจกจ่ายซอฟต์แวร์ได้อย่างอิสระ

    ในงาน FSF40 ยังมีการแต่งตั้ง Ian Kelling เป็นประธานคนใหม่ของ FSF โดยเขาให้คำมั่นว่าจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับองค์กรในการรับมือกับภัยคุกคามใหม่ ๆ และเปิดรับผู้สนับสนุนซอฟต์แวร์เสรีให้มากขึ้นกว่าเดิม

    นอกจาก LibrePhone แล้ว FSF ยังประกาศแผนจัดกิจกรรมระดับท้องถิ่นทั่วโลกผ่านเครือข่าย “LibreLocal” เพื่อส่งเสริมความรู้ด้านเทคโนโลยีเสรีในชุมชน พร้อมทั้งพัฒนาเกณฑ์ใหม่สำหรับประเมินความเสรีของระบบ AI ที่กำลังแพร่หลาย โดยเน้นว่าการใช้โมเดลปิดและข้อมูลที่ไม่เปิดเผยขัดกับหลักการของซอฟต์แวร์เสรี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    FSF ฉลองครบรอบ 40 ปีด้วยการเปิดตัวโครงการ LibrePhone
    LibrePhone เป็นมือถือที่ใช้ซอฟต์แวร์เสรีทั้งหมด ตั้งแต่เฟิร์มแวร์ถึง OS
    พัฒนาโดย Rob Savoye ผู้มีบทบาทใน GNU toolchain ตั้งแต่ยุค 1980
    เป้าหมายคือให้ผู้ใช้ควบคุมมือถือได้เต็มที่ และไม่พึ่งพาซอฟต์แวร์ปิด
    Ian Kelling ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคนใหม่ของ FSF
    FSF เตรียมจัดกิจกรรมท้องถิ่นผ่านเครือข่าย LibreLocal เพื่อส่งเสริมความรู้
    มีการพัฒนาเกณฑ์ใหม่สำหรับประเมินความเสรีของระบบ AI
    งาน FSF40 มีผู้ร่วมอภิปรายจาก EFF, F-Droid, Sugar Labs และนักพัฒนา GNU
    เน้นความสำคัญของซอฟต์แวร์เสรีในด้านการศึกษา ความเป็นส่วนตัว และสิทธิผู้ใช้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    FSF ก่อตั้งในปี 1985 โดย Richard Stallman เพื่อส่งเสริม “Four Freedoms” ของผู้ใช้
    มือถือในปัจจุบันมักใช้ระบบปิด เช่น Android และ iOS ที่ควบคุมโดยบริษัทใหญ่
    โครงการมือถือเสรีเคยมีมาก่อน เช่น Librem 5 และ PinePhone แต่ยังไม่แพร่หลาย
    Rob Savoye เคยพัฒนา Gnash (Flash player แบบเสรี) และมีบทบาทใน GDB
    การประเมิน AI แบบเสรีจะช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจและควบคุมระบบที่ใช้ machine learning ได้ดีขึ้น

    https://news.itsfoss.com/fsf-librephone-initiative/
    📱 “Free Software Foundation ครบรอบ 40 ปี เปิดตัว ‘LibrePhone’ — มือถือเสรีที่ให้คุณควบคุมทุกบิตของระบบ” ในงานฉลองครบรอบ 40 ปีของ Free Software Foundation (FSF) ที่จัดขึ้นในเมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา องค์กรผู้ผลักดันซอฟต์แวร์เสรีได้เปิดตัวโครงการใหม่สุดทะเยอทะยานชื่อว่า “LibrePhone” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบมือถือที่เปิดเสรีอย่างแท้จริง ตั้งแต่เฟิร์มแวร์ไปจนถึงระบบปฏิบัติการ โดยไม่พึ่งพาซอฟต์แวร์ปิดหรือบริการคลาวด์ที่ควบคุมโดยบริษัทใหญ่ โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง FSF กับ Rob Savoye นักพัฒนาระดับตำนานที่มีบทบาทในโครงการ GNU มาตั้งแต่ยุค 1980 โดยเขาเชื่อว่า “มือถือคือคอมพิวเตอร์ที่ทุกคนใช้ทุกวัน และควรมีสิทธิ์ควบคุมมันได้เต็มที่” LibrePhone จึงถูกออกแบบให้เป็นแพลตฟอร์มมือถือที่ใช้ซอฟต์แวร์เสรีทั้งหมด เพื่อให้ผู้ใช้สามารถศึกษา แก้ไข และแจกจ่ายซอฟต์แวร์ได้อย่างอิสระ ในงาน FSF40 ยังมีการแต่งตั้ง Ian Kelling เป็นประธานคนใหม่ของ FSF โดยเขาให้คำมั่นว่าจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับองค์กรในการรับมือกับภัยคุกคามใหม่ ๆ และเปิดรับผู้สนับสนุนซอฟต์แวร์เสรีให้มากขึ้นกว่าเดิม นอกจาก LibrePhone แล้ว FSF ยังประกาศแผนจัดกิจกรรมระดับท้องถิ่นทั่วโลกผ่านเครือข่าย “LibreLocal” เพื่อส่งเสริมความรู้ด้านเทคโนโลยีเสรีในชุมชน พร้อมทั้งพัฒนาเกณฑ์ใหม่สำหรับประเมินความเสรีของระบบ AI ที่กำลังแพร่หลาย โดยเน้นว่าการใช้โมเดลปิดและข้อมูลที่ไม่เปิดเผยขัดกับหลักการของซอฟต์แวร์เสรี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ FSF ฉลองครบรอบ 40 ปีด้วยการเปิดตัวโครงการ LibrePhone ➡️ LibrePhone เป็นมือถือที่ใช้ซอฟต์แวร์เสรีทั้งหมด ตั้งแต่เฟิร์มแวร์ถึง OS ➡️ พัฒนาโดย Rob Savoye ผู้มีบทบาทใน GNU toolchain ตั้งแต่ยุค 1980 ➡️ เป้าหมายคือให้ผู้ใช้ควบคุมมือถือได้เต็มที่ และไม่พึ่งพาซอฟต์แวร์ปิด ➡️ Ian Kelling ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคนใหม่ของ FSF ➡️ FSF เตรียมจัดกิจกรรมท้องถิ่นผ่านเครือข่าย LibreLocal เพื่อส่งเสริมความรู้ ➡️ มีการพัฒนาเกณฑ์ใหม่สำหรับประเมินความเสรีของระบบ AI ➡️ งาน FSF40 มีผู้ร่วมอภิปรายจาก EFF, F-Droid, Sugar Labs และนักพัฒนา GNU ➡️ เน้นความสำคัญของซอฟต์แวร์เสรีในด้านการศึกษา ความเป็นส่วนตัว และสิทธิผู้ใช้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ FSF ก่อตั้งในปี 1985 โดย Richard Stallman เพื่อส่งเสริม “Four Freedoms” ของผู้ใช้ ➡️ มือถือในปัจจุบันมักใช้ระบบปิด เช่น Android และ iOS ที่ควบคุมโดยบริษัทใหญ่ ➡️ โครงการมือถือเสรีเคยมีมาก่อน เช่น Librem 5 และ PinePhone แต่ยังไม่แพร่หลาย ➡️ Rob Savoye เคยพัฒนา Gnash (Flash player แบบเสรี) และมีบทบาทใน GDB ➡️ การประเมิน AI แบบเสรีจะช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจและควบคุมระบบที่ใช้ machine learning ได้ดีขึ้น https://news.itsfoss.com/fsf-librephone-initiative/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    At 40 Years, Free Software Foundation Now Wants to 'Free Your Phone'
    The FSF looks to bring computing freedom to mobile with LibrePlanet and they also have a new president.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 151 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Qualcomm เข้าซื้อ Arduino พร้อมเปิดตัวบอร์ด UNO Q — ยกระดับ AI สำหรับนักพัฒนา 33 ล้านคนทั่วโลก”

    Qualcomm สร้างความประหลาดใจให้กับวงการเทคโนโลยีด้วยการประกาศเข้าซื้อกิจการของ Arduino บริษัทฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่มีผู้ใช้งานกว่า 33 ล้านคนทั่วโลก โดยดีลนี้มีเป้าหมายเพื่อขยายขอบเขตของ Qualcomm ในด้าน edge computing และ AI ให้เข้าถึงนักพัฒนาในระดับรากหญ้า ตั้งแต่นักเรียน ผู้ประกอบการ ไปจนถึงนักวิจัย

    แม้จะเปลี่ยนเจ้าของ แต่ Arduino จะยังคงรักษาแบรนด์ ความเป็นอิสระ และแนวทางโอเพ่นซอร์สไว้เช่นเดิม พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์แรกภายใต้ความร่วมมือคือ “Arduino UNO Q” — บอร์ดรุ่นใหม่ที่ใช้สถาปัตยกรรม “dual brain” โดยผสานพลังของ Qualcomm Dragonwing QRB2210 ซึ่งเป็นชิปประมวลผล Linux เข้ากับ STM32U585 MCU สำหรับงานควบคุมแบบเรียลไทม์

    UNO Q ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้าน AI เช่น การประมวลผลภาพ เสียง และการควบคุมอุปกรณ์อัจฉริยะ โดยมีขนาดเท่ากับบอร์ด Arduino UNO รุ่นเดิม ทำให้สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริม (shields) ที่มีอยู่แล้วได้ทันที

    นอกจากนี้ Arduino ยังเปิดตัว “App Lab” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มพัฒนาแบบใหม่ที่รวมการเขียนโปรแกรมด้วย Linux, Python, RTOS และ AI ไว้ในที่เดียว เพื่อให้การสร้างต้นแบบและการพัฒนาแอปพลิเคชัน AI เป็นเรื่องง่ายและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน

    Qualcomm ระบุว่าการเข้าซื้อ Arduino เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการสร้างแพลตฟอร์ม edge computing แบบครบวงจร โดยก่อนหน้านี้ก็ได้เข้าซื้อ Foundries.io และ Edge Impulse มาแล้ว เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในด้านซอฟต์แวร์และการเรียนรู้ของเครื่อง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Qualcomm เข้าซื้อ Arduino เพื่อขยายขอบเขตด้าน AI และ edge computing
    Arduino มีผู้ใช้งานกว่า 33 ล้านคนทั่วโลก
    Arduino จะยังคงรักษาแบรนด์และแนวทางโอเพ่นซอร์สไว้
    ผลิตภัณฑ์แรกคือ Arduino UNO Q ที่ใช้สถาปัตยกรรม “dual brain”
    ใช้ชิป Qualcomm Dragonwing QRB2210 สำหรับ Linux และ STM32U585 MCU สำหรับงานเรียลไทม์
    รองรับการประมวลผลภาพ เสียง และงานควบคุมอุปกรณ์อัจฉริยะ
    ขนาดบอร์ดเท่ากับ Arduino UNO รุ่นเดิม ใช้งานร่วมกับ shields ได้
    เปิดตัว App Lab สำหรับการพัฒนาแบบรวม Linux, Python, RTOS และ AI
    Qualcomm เคยเข้าซื้อ Foundries.io และ Edge Impulse เพื่อเสริมกลยุทธ์ edge computing

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    STM32U585 MCU ใช้สถาปัตยกรรม Arm Cortex-M33 ความเร็วสูงสุด 160 MHz
    Dragonwing QRB2210 มี CPU Kryo 4 คอร์, GPU Adreno 702 และ DSP แบบ dual-core
    UNO Q รองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB-C, Wi-Fi, Bluetooth และ eMMC storage
    สามารถใช้งานเป็นคอมพิวเตอร์เดี่ยวได้ เช่นเดียวกับ Raspberry Pi
    App Lab มีเป้าหมายเพื่อเร่งการพัฒนาและทดสอบโมเดล AI ด้วยข้อมูลจริง

    https://www.techradar.com/pro/qualcomm-acquires-arduino-in-surprising-move-that-puts-it-right-on-the-edge-and-at-the-helm-of-a-33-million-strong-maker-community
    🔧 “Qualcomm เข้าซื้อ Arduino พร้อมเปิดตัวบอร์ด UNO Q — ยกระดับ AI สำหรับนักพัฒนา 33 ล้านคนทั่วโลก” Qualcomm สร้างความประหลาดใจให้กับวงการเทคโนโลยีด้วยการประกาศเข้าซื้อกิจการของ Arduino บริษัทฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่มีผู้ใช้งานกว่า 33 ล้านคนทั่วโลก โดยดีลนี้มีเป้าหมายเพื่อขยายขอบเขตของ Qualcomm ในด้าน edge computing และ AI ให้เข้าถึงนักพัฒนาในระดับรากหญ้า ตั้งแต่นักเรียน ผู้ประกอบการ ไปจนถึงนักวิจัย แม้จะเปลี่ยนเจ้าของ แต่ Arduino จะยังคงรักษาแบรนด์ ความเป็นอิสระ และแนวทางโอเพ่นซอร์สไว้เช่นเดิม พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์แรกภายใต้ความร่วมมือคือ “Arduino UNO Q” — บอร์ดรุ่นใหม่ที่ใช้สถาปัตยกรรม “dual brain” โดยผสานพลังของ Qualcomm Dragonwing QRB2210 ซึ่งเป็นชิปประมวลผล Linux เข้ากับ STM32U585 MCU สำหรับงานควบคุมแบบเรียลไทม์ UNO Q ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้าน AI เช่น การประมวลผลภาพ เสียง และการควบคุมอุปกรณ์อัจฉริยะ โดยมีขนาดเท่ากับบอร์ด Arduino UNO รุ่นเดิม ทำให้สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริม (shields) ที่มีอยู่แล้วได้ทันที นอกจากนี้ Arduino ยังเปิดตัว “App Lab” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มพัฒนาแบบใหม่ที่รวมการเขียนโปรแกรมด้วย Linux, Python, RTOS และ AI ไว้ในที่เดียว เพื่อให้การสร้างต้นแบบและการพัฒนาแอปพลิเคชัน AI เป็นเรื่องง่ายและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน Qualcomm ระบุว่าการเข้าซื้อ Arduino เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการสร้างแพลตฟอร์ม edge computing แบบครบวงจร โดยก่อนหน้านี้ก็ได้เข้าซื้อ Foundries.io และ Edge Impulse มาแล้ว เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในด้านซอฟต์แวร์และการเรียนรู้ของเครื่อง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Qualcomm เข้าซื้อ Arduino เพื่อขยายขอบเขตด้าน AI และ edge computing ➡️ Arduino มีผู้ใช้งานกว่า 33 ล้านคนทั่วโลก ➡️ Arduino จะยังคงรักษาแบรนด์และแนวทางโอเพ่นซอร์สไว้ ➡️ ผลิตภัณฑ์แรกคือ Arduino UNO Q ที่ใช้สถาปัตยกรรม “dual brain” ➡️ ใช้ชิป Qualcomm Dragonwing QRB2210 สำหรับ Linux และ STM32U585 MCU สำหรับงานเรียลไทม์ ➡️ รองรับการประมวลผลภาพ เสียง และงานควบคุมอุปกรณ์อัจฉริยะ ➡️ ขนาดบอร์ดเท่ากับ Arduino UNO รุ่นเดิม ใช้งานร่วมกับ shields ได้ ➡️ เปิดตัว App Lab สำหรับการพัฒนาแบบรวม Linux, Python, RTOS และ AI ➡️ Qualcomm เคยเข้าซื้อ Foundries.io และ Edge Impulse เพื่อเสริมกลยุทธ์ edge computing ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ STM32U585 MCU ใช้สถาปัตยกรรม Arm Cortex-M33 ความเร็วสูงสุด 160 MHz ➡️ Dragonwing QRB2210 มี CPU Kryo 4 คอร์, GPU Adreno 702 และ DSP แบบ dual-core ➡️ UNO Q รองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB-C, Wi-Fi, Bluetooth และ eMMC storage ➡️ สามารถใช้งานเป็นคอมพิวเตอร์เดี่ยวได้ เช่นเดียวกับ Raspberry Pi ➡️ App Lab มีเป้าหมายเพื่อเร่งการพัฒนาและทดสอบโมเดล AI ด้วยข้อมูลจริง https://www.techradar.com/pro/qualcomm-acquires-arduino-in-surprising-move-that-puts-it-right-on-the-edge-and-at-the-helm-of-a-33-million-strong-maker-community
    WWW.TECHRADAR.COM
    Qualcomm acquires Arduino and unveils new UNO Q AI board
    Arduino UNO Q will be the first product from the collaboration
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 169 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AstraZeneca ทุ่ม 555 ล้านดอลลาร์ จับมือ Algen พัฒนาเทคโนโลยีตัดต่อยีนด้วย AI — เป้าหมายใหม่ของการรักษาโรคภูมิคุ้มกัน”

    AstraZeneca บริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่จากอังกฤษ-สวีเดน ได้ลงนามข้อตกลงมูลค่า 555 ล้านดอลลาร์กับ Algen Biotechnologies บริษัทไบโอเทคจากซานฟรานซิสโก เพื่อร่วมพัฒนาเทคโนโลยีการรักษาโรคด้วยการตัดต่อยีนแบบ CRISPR โดยใช้แพลตฟอร์ม AI ที่ชื่อว่า “AlgenBrain” ซึ่งสามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างยีนกับโรคได้อย่างแม่นยำ

    ข้อตกลงนี้ให้ AstraZeneca สิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการพัฒนาและจำหน่ายยาที่ได้จากเทคโนโลยีนี้ โดยเน้นไปที่โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคอักเสบเรื้อรัง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง โดย Algen จะได้รับเงินล่วงหน้าและเงินตามเป้าหมายการพัฒนาและการอนุมัติ ซึ่งรวมกันแล้วอาจสูงถึง 555 ล้านดอลลาร์

    Algen เป็นบริษัทที่แยกตัวออกมาจากห้องวิจัยของมหาวิทยาลัย UC Berkeley ซึ่งเป็นที่ที่ Jennifer Doudna ผู้ได้รับรางวัลโนเบลได้พัฒนาเทคโนโลยี CRISPR ขึ้นมา โดยแพลตฟอร์ม AlgenBrain ใช้การวิเคราะห์ RNA แบบไดนามิกในเซลล์มนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับโรค เพื่อหาจุดแทรกแซงที่สามารถย้อนกลับกระบวนการของโรคได้

    แม้ AstraZeneca จะไม่ซื้อหุ้นของ Algen ในข้อตกลงนี้ แต่ก็ถือเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับเป้าหมายของบริษัทในการเพิ่มยอดขายเป็น 80 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 โดยเฉพาะในกลุ่มโรคระบบภูมิคุ้มกันที่สร้างรายได้กว่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งแรกของปี 2025

    ข้อตกลงนี้ยังสะท้อนแนวโน้มของอุตสาหกรรมยา ที่หันมาใช้ AI และการตัดต่อยีนเพื่อเร่งการค้นพบยาใหม่ ๆ โดยมีบริษัทใหญ่อื่น ๆ เช่น Roche, BMS และ J&J ที่ร่วมมือกันพัฒนาโมเดล AI แบบ federated เพื่อค้นหายาโดยไม่ต้องแชร์ข้อมูลดิบ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AstraZeneca ลงนามข้อตกลงมูลค่า 555 ล้านดอลลาร์กับ Algen Biotechnologies
    ข้อตกลงให้สิทธิ์พัฒนาและจำหน่ายยาจากเทคโนโลยี CRISPR โดยใช้ AI
    เน้นการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน
    Algen ใช้แพลตฟอร์ม AlgenBrain วิเคราะห์ RNA ในเซลล์มนุษย์
    ข้อมูล RNA ถูกเชื่อมโยงกับผลลัพธ์ทางชีวภาพเพื่อหาจุดแทรกแซงของโรค
    AstraZeneca ไม่ซื้อหุ้นของ Algen แต่ให้เงินล่วงหน้าและตาม milestone
    เป้าหมายของ AstraZeneca คือยอดขาย 80 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030
    กลุ่มโรคภูมิคุ้มกันสร้างรายได้กว่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งปีแรกของ 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Algen แยกตัวจากห้องวิจัยของ Jennifer Doudna ผู้พัฒนา CRISPR
    แพลตฟอร์ม AlgenBrain ใช้การตัดต่อยีนแบบ single-cell และการเรียนรู้เชิงลึก
    AstraZeneca เคยร่วมมือกับ BenevolentAI และ Tempus AI ในการพัฒนายา
    อุตสาหกรรมยาเริ่มใช้โมเดล federated learning เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูล
    การใช้ AI ช่วยลดเวลาและต้นทุนในการค้นคว้ายาใหม่ แต่ยังต้องพิสูจน์ผลลัพธ์ในระยะยาว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/06/astrazeneca-inks-555-million-gene-editing-technology-deal-with-algen-ft-reports
    🧬 “AstraZeneca ทุ่ม 555 ล้านดอลลาร์ จับมือ Algen พัฒนาเทคโนโลยีตัดต่อยีนด้วย AI — เป้าหมายใหม่ของการรักษาโรคภูมิคุ้มกัน” AstraZeneca บริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่จากอังกฤษ-สวีเดน ได้ลงนามข้อตกลงมูลค่า 555 ล้านดอลลาร์กับ Algen Biotechnologies บริษัทไบโอเทคจากซานฟรานซิสโก เพื่อร่วมพัฒนาเทคโนโลยีการรักษาโรคด้วยการตัดต่อยีนแบบ CRISPR โดยใช้แพลตฟอร์ม AI ที่ชื่อว่า “AlgenBrain” ซึ่งสามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างยีนกับโรคได้อย่างแม่นยำ ข้อตกลงนี้ให้ AstraZeneca สิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการพัฒนาและจำหน่ายยาที่ได้จากเทคโนโลยีนี้ โดยเน้นไปที่โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคอักเสบเรื้อรัง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง โดย Algen จะได้รับเงินล่วงหน้าและเงินตามเป้าหมายการพัฒนาและการอนุมัติ ซึ่งรวมกันแล้วอาจสูงถึง 555 ล้านดอลลาร์ Algen เป็นบริษัทที่แยกตัวออกมาจากห้องวิจัยของมหาวิทยาลัย UC Berkeley ซึ่งเป็นที่ที่ Jennifer Doudna ผู้ได้รับรางวัลโนเบลได้พัฒนาเทคโนโลยี CRISPR ขึ้นมา โดยแพลตฟอร์ม AlgenBrain ใช้การวิเคราะห์ RNA แบบไดนามิกในเซลล์มนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับโรค เพื่อหาจุดแทรกแซงที่สามารถย้อนกลับกระบวนการของโรคได้ แม้ AstraZeneca จะไม่ซื้อหุ้นของ Algen ในข้อตกลงนี้ แต่ก็ถือเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับเป้าหมายของบริษัทในการเพิ่มยอดขายเป็น 80 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 โดยเฉพาะในกลุ่มโรคระบบภูมิคุ้มกันที่สร้างรายได้กว่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งแรกของปี 2025 ข้อตกลงนี้ยังสะท้อนแนวโน้มของอุตสาหกรรมยา ที่หันมาใช้ AI และการตัดต่อยีนเพื่อเร่งการค้นพบยาใหม่ ๆ โดยมีบริษัทใหญ่อื่น ๆ เช่น Roche, BMS และ J&J ที่ร่วมมือกันพัฒนาโมเดล AI แบบ federated เพื่อค้นหายาโดยไม่ต้องแชร์ข้อมูลดิบ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AstraZeneca ลงนามข้อตกลงมูลค่า 555 ล้านดอลลาร์กับ Algen Biotechnologies ➡️ ข้อตกลงให้สิทธิ์พัฒนาและจำหน่ายยาจากเทคโนโลยี CRISPR โดยใช้ AI ➡️ เน้นการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน ➡️ Algen ใช้แพลตฟอร์ม AlgenBrain วิเคราะห์ RNA ในเซลล์มนุษย์ ➡️ ข้อมูล RNA ถูกเชื่อมโยงกับผลลัพธ์ทางชีวภาพเพื่อหาจุดแทรกแซงของโรค ➡️ AstraZeneca ไม่ซื้อหุ้นของ Algen แต่ให้เงินล่วงหน้าและตาม milestone ➡️ เป้าหมายของ AstraZeneca คือยอดขาย 80 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ➡️ กลุ่มโรคภูมิคุ้มกันสร้างรายได้กว่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งปีแรกของ 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Algen แยกตัวจากห้องวิจัยของ Jennifer Doudna ผู้พัฒนา CRISPR ➡️ แพลตฟอร์ม AlgenBrain ใช้การตัดต่อยีนแบบ single-cell และการเรียนรู้เชิงลึก ➡️ AstraZeneca เคยร่วมมือกับ BenevolentAI และ Tempus AI ในการพัฒนายา ➡️ อุตสาหกรรมยาเริ่มใช้โมเดล federated learning เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ➡️ การใช้ AI ช่วยลดเวลาและต้นทุนในการค้นคว้ายาใหม่ แต่ยังต้องพิสูจน์ผลลัพธ์ในระยะยาว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/06/astrazeneca-inks-555-million-gene-editing-technology-deal-with-algen-ft-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AstraZeneca inks $555 million gene-editing technology deal with Algen, FT reports
    (Reuters) -AstraZeneca has signed a $555 million deal with a San Francisco-based biotech business Algen Biotechnologies, The Financial Times reported on Monday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • “openSUSE Leap 16 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — ปรับโฉมใหม่หมด พร้อมซัพพอร์ตฟรี 24 เดือน และระบบติดตั้งแบบเว็บ”

    หลังจากการพัฒนาอย่างเข้มข้นและการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ openSUSE Leap 16 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน ทั้งในระดับสถาปัตยกรรม ระบบติดตั้ง และแนวทางการสนับสนุนที่ยาวนานถึง 24 เดือน ซึ่งถือว่าเป็นการยกระดับครั้งสำคัญของดิสโทรสายเสถียรที่ได้รับความนิยมในองค์กรและผู้ใช้ทั่วไป

    Leap 16 ถูกสร้างขึ้นบนฐานของ SUSE Linux Enterprise 16 (SLES) และแพลตฟอร์มใหม่ SUSE Linux Framework One (SLFO) ซึ่งเคยรู้จักกันในชื่อ ALP ทำให้ Leap 16 ใช้ซอร์สโค้ดและไบนารีเดียวกันกับ SLES และสามารถย้ายไปใช้เวอร์ชันเชิงพาณิชย์ได้อย่างราบรื่น

    หนึ่งในไฮไลต์ของเวอร์ชันนี้คือการเปลี่ยนระบบติดตั้งจาก YaST ที่ใช้มานานกว่า 30 ปี ไปเป็น Agama ซึ่งเป็นระบบติดตั้งแบบเว็บที่สามารถเข้าถึงจากอุปกรณ์อื่นในเครือข่ายได้ ช่วยให้การติดตั้งสะดวกและทันสมัยมากขึ้น

    Leap 16 ยังเปลี่ยนมาใช้ Wayland เป็นระบบแสดงผลหลักแทน X11 โดยมีเดสก์ท็อปให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ GNOME 48, KDE Plasma 6.4 และ Xfce 4.20 (แบบทดลอง) พร้อมรองรับ XWayland สำหรับแอปเก่า

    ด้านความปลอดภัย Leap 16 เปลี่ยนมาใช้ SELinux เป็นโมดูลหลักแทน AppArmor เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานของ SLES และเพิ่มการควบคุมสิทธิ์แบบบังคับที่แข็งแกร่งขึ้น

    Leap 16 ยังรองรับเฉพาะระบบ 64-bit โดยต้องใช้ CPU ที่รองรับ x86-64-v2 (ตั้งแต่ปี 2008 ขึ้นไป) และปิดการรองรับ 32-bit โดยค่าเริ่มต้น แต่สามารถเปิดใช้งานได้ด้วย grub2-compat-ia32 และพารามิเตอร์ ia32_emulation=1 สำหรับผู้ที่ต้องการเล่นเกมผ่าน Steam

    การปรับปรุงอื่น ๆ ได้แก่ การเพิ่ม Cockpit สำหรับจัดการระบบผ่านเว็บ, การเปลี่ยน GUI สำหรับจัดการแพ็กเกจจาก YaST ไปเป็น Myrlyn, การเพิ่ม parallel downloads ใน Zypper และการรวม repository ระหว่าง community กับ enterprise ให้เป็น repo-oss เดียว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    openSUSE Leap 16 เปิดตัวพร้อมซัพพอร์ตฟรี 24 เดือน
    สร้างบนฐาน SUSE Linux Enterprise 16 และ SUSE Linux Framework One
    ใช้ซอร์สโค้ดและไบนารีเดียวกันกับ SLES สามารถย้ายไปใช้เชิงพาณิชย์ได้
    เปลี่ยนระบบติดตั้งจาก YaST ไปเป็น Agama แบบเว็บ
    รองรับการติดตั้งจากอุปกรณ์อื่นในเครือข่าย
    ใช้ Wayland เป็นระบบแสดงผลหลัก พร้อม GNOME 48, KDE Plasma 6.4 และ Xfce 4.20
    รองรับ XWayland สำหรับแอปที่ยังใช้ X11
    เปลี่ยนมาใช้ SELinux เป็นโมดูลความปลอดภัยหลัก
    รองรับเฉพาะ CPU ที่มี x86-64-v2 (ปี 2008 ขึ้นไป)
    ปิดการรองรับ 32-bit โดยค่าเริ่มต้น แต่สามารถเปิดใช้งานได้
    เพิ่ม Cockpit สำหรับจัดการระบบผ่านเว็บ
    เปลี่ยน GUI จัดการแพ็กเกจเป็น Myrlyn
    เพิ่ม parallel downloads ใน Zypper
    รวม repository เป็น repo-oss เดียว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Agama เป็นระบบติดตั้งที่สามารถควบคุมผ่านเว็บและมี CLI สำหรับผู้ดูแลระบบ
    Wayland ให้ประสิทธิภาพและความปลอดภัยดีกว่า X11 โดยเฉพาะในระบบสมัยใหม่
    SELinux เป็นระบบควบคุมสิทธิ์แบบ MAC ที่ใช้ใน Red Hat และระบบองค์กรหลายแห่ง
    การรวม repository ช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการแพ็กเกจ
    Leap 16 เป็นดิสโทรแรกที่ประกาศรองรับ Y2038 โดยไม่มีปัญหา timestamp overflow

    https://news.itsfoss.com/opensuse-leap-16-release/
    🐧 “openSUSE Leap 16 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — ปรับโฉมใหม่หมด พร้อมซัพพอร์ตฟรี 24 เดือน และระบบติดตั้งแบบเว็บ” หลังจากการพัฒนาอย่างเข้มข้นและการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ openSUSE Leap 16 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน ทั้งในระดับสถาปัตยกรรม ระบบติดตั้ง และแนวทางการสนับสนุนที่ยาวนานถึง 24 เดือน ซึ่งถือว่าเป็นการยกระดับครั้งสำคัญของดิสโทรสายเสถียรที่ได้รับความนิยมในองค์กรและผู้ใช้ทั่วไป Leap 16 ถูกสร้างขึ้นบนฐานของ SUSE Linux Enterprise 16 (SLES) และแพลตฟอร์มใหม่ SUSE Linux Framework One (SLFO) ซึ่งเคยรู้จักกันในชื่อ ALP ทำให้ Leap 16 ใช้ซอร์สโค้ดและไบนารีเดียวกันกับ SLES และสามารถย้ายไปใช้เวอร์ชันเชิงพาณิชย์ได้อย่างราบรื่น หนึ่งในไฮไลต์ของเวอร์ชันนี้คือการเปลี่ยนระบบติดตั้งจาก YaST ที่ใช้มานานกว่า 30 ปี ไปเป็น Agama ซึ่งเป็นระบบติดตั้งแบบเว็บที่สามารถเข้าถึงจากอุปกรณ์อื่นในเครือข่ายได้ ช่วยให้การติดตั้งสะดวกและทันสมัยมากขึ้น Leap 16 ยังเปลี่ยนมาใช้ Wayland เป็นระบบแสดงผลหลักแทน X11 โดยมีเดสก์ท็อปให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ GNOME 48, KDE Plasma 6.4 และ Xfce 4.20 (แบบทดลอง) พร้อมรองรับ XWayland สำหรับแอปเก่า ด้านความปลอดภัย Leap 16 เปลี่ยนมาใช้ SELinux เป็นโมดูลหลักแทน AppArmor เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานของ SLES และเพิ่มการควบคุมสิทธิ์แบบบังคับที่แข็งแกร่งขึ้น Leap 16 ยังรองรับเฉพาะระบบ 64-bit โดยต้องใช้ CPU ที่รองรับ x86-64-v2 (ตั้งแต่ปี 2008 ขึ้นไป) และปิดการรองรับ 32-bit โดยค่าเริ่มต้น แต่สามารถเปิดใช้งานได้ด้วย grub2-compat-ia32 และพารามิเตอร์ ia32_emulation=1 สำหรับผู้ที่ต้องการเล่นเกมผ่าน Steam การปรับปรุงอื่น ๆ ได้แก่ การเพิ่ม Cockpit สำหรับจัดการระบบผ่านเว็บ, การเปลี่ยน GUI สำหรับจัดการแพ็กเกจจาก YaST ไปเป็น Myrlyn, การเพิ่ม parallel downloads ใน Zypper และการรวม repository ระหว่าง community กับ enterprise ให้เป็น repo-oss เดียว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ openSUSE Leap 16 เปิดตัวพร้อมซัพพอร์ตฟรี 24 เดือน ➡️ สร้างบนฐาน SUSE Linux Enterprise 16 และ SUSE Linux Framework One ➡️ ใช้ซอร์สโค้ดและไบนารีเดียวกันกับ SLES สามารถย้ายไปใช้เชิงพาณิชย์ได้ ➡️ เปลี่ยนระบบติดตั้งจาก YaST ไปเป็น Agama แบบเว็บ ➡️ รองรับการติดตั้งจากอุปกรณ์อื่นในเครือข่าย ➡️ ใช้ Wayland เป็นระบบแสดงผลหลัก พร้อม GNOME 48, KDE Plasma 6.4 และ Xfce 4.20 ➡️ รองรับ XWayland สำหรับแอปที่ยังใช้ X11 ➡️ เปลี่ยนมาใช้ SELinux เป็นโมดูลความปลอดภัยหลัก ➡️ รองรับเฉพาะ CPU ที่มี x86-64-v2 (ปี 2008 ขึ้นไป) ➡️ ปิดการรองรับ 32-bit โดยค่าเริ่มต้น แต่สามารถเปิดใช้งานได้ ➡️ เพิ่ม Cockpit สำหรับจัดการระบบผ่านเว็บ ➡️ เปลี่ยน GUI จัดการแพ็กเกจเป็น Myrlyn ➡️ เพิ่ม parallel downloads ใน Zypper ➡️ รวม repository เป็น repo-oss เดียว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Agama เป็นระบบติดตั้งที่สามารถควบคุมผ่านเว็บและมี CLI สำหรับผู้ดูแลระบบ ➡️ Wayland ให้ประสิทธิภาพและความปลอดภัยดีกว่า X11 โดยเฉพาะในระบบสมัยใหม่ ➡️ SELinux เป็นระบบควบคุมสิทธิ์แบบ MAC ที่ใช้ใน Red Hat และระบบองค์กรหลายแห่ง ➡️ การรวม repository ช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการแพ็กเกจ ➡️ Leap 16 เป็นดิสโทรแรกที่ประกาศรองรับ Y2038 โดยไม่มีปัญหา timestamp overflow https://news.itsfoss.com/opensuse-leap-16-release/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • “OpenAI จับมือ Samsung สร้างศูนย์ข้อมูลลอยน้ำและโรงไฟฟ้า — ยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน AI สู่ระดับโลก”

    OpenAI และ Samsung ได้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) สำหรับความร่วมมือครั้งใหญ่ที่ครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่เซมิคอนดักเตอร์ ศูนย์ข้อมูล การต่อเรือ บริการคลาวด์ ไปจนถึงเทคโนโลยีทางทะเล โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันโครงการ Project Stargate ซึ่งเป็นแผนการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดมหึมาทั่วโลก

    Samsung Electronics จะเป็นพันธมิตรด้านหน่วยความจำหลักของ OpenAI โดยจะจัดส่ง DRAM wafers สูงถึง 900,000 แผ่นต่อเดือน เพื่อรองรับความต้องการของศูนย์ข้อมูล Stargate ที่ใช้ GPU ระดับสูงอย่าง Nvidia Blackwell ในการประมวลผลโมเดล AI ขนาดใหญ่

    Samsung SDS จะร่วมออกแบบและบริหารศูนย์ข้อมูล AI พร้อมให้บริการ AI สำหรับองค์กร และเป็นตัวแทนจำหน่าย ChatGPT Enterprise ในเกาหลีใต้ เพื่อสนับสนุนการนำ AI ไปใช้ในธุรกิจท้องถิ่น

    ที่น่าตื่นเต้นคือ Samsung Heavy Industries และ Samsung C&T จะร่วมมือกับ OpenAI ในการพัฒนา “ศูนย์ข้อมูลลอยน้ำ” และอาจขยายไปสู่ “โรงไฟฟ้าลอยน้ำ” และ “ศูนย์ควบคุมลอยน้ำ” โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมทางทะเลของ Samsung เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนพื้นที่บนบก ลดต้นทุนการทำความเย็น และลดการปล่อยคาร์บอน

    แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เสียทีเดียว — โครงการ Stockton ในแคลิฟอร์เนียเริ่มใช้ศูนย์ข้อมูลลอยน้ำตั้งแต่ปี 2021 และในญี่ปุ่นก็มีแผนสร้างศูนย์ข้อมูลพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำ ส่วนในเดือนมิถุนายน 2025 มีการเสนอแนวคิดศูนย์ข้อมูลลอยน้ำพลังงานนิวเคลียร์โดยองค์กรวิศวกรรมในสหรัฐฯ

    การประกาศความร่วมมือครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจาก Nvidia ลงทุน $100 พันล้านใน OpenAI เพื่อจัดซื้อชิปของตัวเอง ซึ่งสะท้อนว่า OpenAI ต้องการลดการพึ่งพาพันธมิตร hyperscaler อย่าง Microsoft และสร้างโครงสร้างพื้นฐานของตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    OpenAI และ Samsung ลงนามความร่วมมือเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ระดับโลก
    Samsung Electronics จะจัดส่ง DRAM wafers สูงถึง 900,000 แผ่นต่อเดือน
    Samsung SDS จะร่วมออกแบบศูนย์ข้อมูล AI และเป็นตัวแทนจำหน่าย ChatGPT Enterprise
    Samsung Heavy Industries และ Samsung C&T จะพัฒนาศูนย์ข้อมูลลอยน้ำร่วมกับ OpenAI
    แนวคิดศูนย์ข้อมูลลอยน้ำช่วยแก้ปัญหาพื้นที่จำกัด ลดต้นทุนความเย็น และลดคาร์บอน
    มีแผนขยายไปสู่โรงไฟฟ้าลอยน้ำและศูนย์ควบคุมลอยน้ำในอนาคต
    ความร่วมมือครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Project Stargate ของ OpenAI
    Nvidia ลงทุน $100 พันล้านใน OpenAI เพื่อจัดซื้อ GPU สำหรับศูนย์ข้อมูล Stargate
    OpenAI ต้องการลดการพึ่งพา Microsoft และสร้างโครงสร้างพื้นฐานของตัวเอง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Project Stargate มีเป้าหมายลงทุน $500 พันล้านในโครงสร้างพื้นฐาน AI ภายใน 4 ปี
    DRAM wafers ที่ใช้ใน Stargate อาจกินสัดส่วนถึง 40% ของกำลังผลิต DRAM ทั่วโลก
    Floating data centers เริ่มมีการใช้งานจริงในหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ และญี่ปุ่น
    Samsung SDS ยังมีบทบาทในการให้คำปรึกษาและบริการ AI สำหรับองค์กร
    ความร่วมมือครั้งนี้ช่วยผลักดันเกาหลีใต้สู่การเป็นประเทศผู้นำด้าน AI ระดับโลก

    https://www.techradar.com/pro/samsung-will-collaborate-with-openai-to-develop-floating-data-centers-and-power-plants-as-sam-altman-rushes-to-compete-with-his-firms-own-partners
    🌊 “OpenAI จับมือ Samsung สร้างศูนย์ข้อมูลลอยน้ำและโรงไฟฟ้า — ยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน AI สู่ระดับโลก” OpenAI และ Samsung ได้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) สำหรับความร่วมมือครั้งใหญ่ที่ครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่เซมิคอนดักเตอร์ ศูนย์ข้อมูล การต่อเรือ บริการคลาวด์ ไปจนถึงเทคโนโลยีทางทะเล โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันโครงการ Project Stargate ซึ่งเป็นแผนการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดมหึมาทั่วโลก Samsung Electronics จะเป็นพันธมิตรด้านหน่วยความจำหลักของ OpenAI โดยจะจัดส่ง DRAM wafers สูงถึง 900,000 แผ่นต่อเดือน เพื่อรองรับความต้องการของศูนย์ข้อมูล Stargate ที่ใช้ GPU ระดับสูงอย่าง Nvidia Blackwell ในการประมวลผลโมเดล AI ขนาดใหญ่ Samsung SDS จะร่วมออกแบบและบริหารศูนย์ข้อมูล AI พร้อมให้บริการ AI สำหรับองค์กร และเป็นตัวแทนจำหน่าย ChatGPT Enterprise ในเกาหลีใต้ เพื่อสนับสนุนการนำ AI ไปใช้ในธุรกิจท้องถิ่น ที่น่าตื่นเต้นคือ Samsung Heavy Industries และ Samsung C&T จะร่วมมือกับ OpenAI ในการพัฒนา “ศูนย์ข้อมูลลอยน้ำ” และอาจขยายไปสู่ “โรงไฟฟ้าลอยน้ำ” และ “ศูนย์ควบคุมลอยน้ำ” โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมทางทะเลของ Samsung เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนพื้นที่บนบก ลดต้นทุนการทำความเย็น และลดการปล่อยคาร์บอน แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เสียทีเดียว — โครงการ Stockton ในแคลิฟอร์เนียเริ่มใช้ศูนย์ข้อมูลลอยน้ำตั้งแต่ปี 2021 และในญี่ปุ่นก็มีแผนสร้างศูนย์ข้อมูลพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำ ส่วนในเดือนมิถุนายน 2025 มีการเสนอแนวคิดศูนย์ข้อมูลลอยน้ำพลังงานนิวเคลียร์โดยองค์กรวิศวกรรมในสหรัฐฯ การประกาศความร่วมมือครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจาก Nvidia ลงทุน $100 พันล้านใน OpenAI เพื่อจัดซื้อชิปของตัวเอง ซึ่งสะท้อนว่า OpenAI ต้องการลดการพึ่งพาพันธมิตร hyperscaler อย่าง Microsoft และสร้างโครงสร้างพื้นฐานของตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ OpenAI และ Samsung ลงนามความร่วมมือเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ระดับโลก ➡️ Samsung Electronics จะจัดส่ง DRAM wafers สูงถึง 900,000 แผ่นต่อเดือน ➡️ Samsung SDS จะร่วมออกแบบศูนย์ข้อมูล AI และเป็นตัวแทนจำหน่าย ChatGPT Enterprise ➡️ Samsung Heavy Industries และ Samsung C&T จะพัฒนาศูนย์ข้อมูลลอยน้ำร่วมกับ OpenAI ➡️ แนวคิดศูนย์ข้อมูลลอยน้ำช่วยแก้ปัญหาพื้นที่จำกัด ลดต้นทุนความเย็น และลดคาร์บอน ➡️ มีแผนขยายไปสู่โรงไฟฟ้าลอยน้ำและศูนย์ควบคุมลอยน้ำในอนาคต ➡️ ความร่วมมือครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Project Stargate ของ OpenAI ➡️ Nvidia ลงทุน $100 พันล้านใน OpenAI เพื่อจัดซื้อ GPU สำหรับศูนย์ข้อมูล Stargate ➡️ OpenAI ต้องการลดการพึ่งพา Microsoft และสร้างโครงสร้างพื้นฐานของตัวเอง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Project Stargate มีเป้าหมายลงทุน $500 พันล้านในโครงสร้างพื้นฐาน AI ภายใน 4 ปี ➡️ DRAM wafers ที่ใช้ใน Stargate อาจกินสัดส่วนถึง 40% ของกำลังผลิต DRAM ทั่วโลก ➡️ Floating data centers เริ่มมีการใช้งานจริงในหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ➡️ Samsung SDS ยังมีบทบาทในการให้คำปรึกษาและบริการ AI สำหรับองค์กร ➡️ ความร่วมมือครั้งนี้ช่วยผลักดันเกาหลีใต้สู่การเป็นประเทศผู้นำด้าน AI ระดับโลก https://www.techradar.com/pro/samsung-will-collaborate-with-openai-to-develop-floating-data-centers-and-power-plants-as-sam-altman-rushes-to-compete-with-his-firms-own-partners
    WWW.TECHRADAR.COM
    OpenAI and Samsung plan floating data centers and power plants
    Going to sea could solve the issue of land scarcity for infrastructure
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 226 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ฮุน เซน” เจ็บลึก โดนคนไทยนำรูปไปเป็นเป้ายิงปืนในงานวัด จวกไร้มนุษยธรรม ชั่วร้ายยิ่งกว่าสัตว์ กัดฟันบอกคนเขมรอย่าตอบโต้ อ้างแม้เศรษฐกิจอ่อนแอแต่ไม่อ่อนแอทางศีลธรรม แต่หากขุ่นเคืองประเทศไทยก็ให้งดซื้อสินค้าไทย ใครมีเงินบาทให้เอาไปแลกเป็นเงินเรียล เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจกัมพูชาให้แข็งแกร่ง

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000095493

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    “ฮุน เซน” เจ็บลึก โดนคนไทยนำรูปไปเป็นเป้ายิงปืนในงานวัด จวกไร้มนุษยธรรม ชั่วร้ายยิ่งกว่าสัตว์ กัดฟันบอกคนเขมรอย่าตอบโต้ อ้างแม้เศรษฐกิจอ่อนแอแต่ไม่อ่อนแอทางศีลธรรม แต่หากขุ่นเคืองประเทศไทยก็ให้งดซื้อสินค้าไทย ใครมีเงินบาทให้เอาไปแลกเป็นเงินเรียล เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจกัมพูชาให้แข็งแกร่ง อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000095493 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 324 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดอกไม้ป่า—ร่องรอยแห่งชนบทในสำเนียงเมือง

    คณะดอกไม้ป่า ก้าวเข้ามาสู่ฉากดนตรีไทยในช่วงต้นทศวรรษ 2520 (ค.ศ. 1980s) ซึ่งถือเป็น ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของรสนิยมและการผลิตดนตรีในประเทศไทย พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงกลุ่มนักร้องที่รวมตัวกันตามธรรมชาติ แต่เป็นโครงการทางดนตรีที่ถูกกำหนดและออกแบบอย่างพิถีพิถันจากผู้บุกเบิกในอุตสาหกรรมเพลงมืออาชีพ เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองต่อตลาดชนชั้นกลางในเมืองที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว

    สิ่งที่ทำให้วงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งคือความสามารถในการนำ "แก่นเรื่องแบบลูกทุ่ง" มาผสมผสานกับการเรียบเรียงและคุณภาพการผลิตแบบ "ดนตรีสตริงหรือป๊อป" อันนำไปสู่การก่อกำเนิดของแนวทางใหม่ที่เรียกว่า "ลูกทุ่งประยุกต์" ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานให้กับรูปแบบดนตรีป๊อปที่ครองตลาดในทศวรรษต่อมา

    ดอกไม้ป่าประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในช่วงปี พ.ศ. 2525–2526 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมหลังเหตุการณ์ทางการเมืองในทศวรรษก่อนหน้า วงนี้ถูกวางตำแหน่งทางการตลาดให้เป็นนักร้องคู่ดูโอหญิงที่เน้นทักษะการประสานเสียง (Harmonizing Duo) พวกเขาสามารถดึงดูดผู้ฟังได้อย่างกว้างขวางด้วยการรักษาความรู้สึกและแก่นเรื่องของความเป็นไทยไว้ ในขณะที่นำเสนอผ่านสำเนียงป๊อปสมัยใหม่

    ในเชิงสังคมวิทยา ความสำเร็จของวงมีความสัมพันธ์กับการถอยห่างจากเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเมืองที่รุนแรงของยุค 1970s ดนตรีป๊อปที่ได้รับความนิยมในช่วงนี้มักหลีกเลี่ยงสารทางการเมือง และหันไปให้ความสำคัญกับเรื่องราวส่วนตัว ความรัก และการมอบความบันเทิง ดอกไม้ป่าได้ปรับใช้แก่นเรื่องลูกทุ่งให้มีความอ่อนโยนและโรแมนติกในรูปแบบป๊อป ซึ่งทำให้บทเพลงของพวกเขากลายเป็นผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมที่ผู้บริโภคในเมืองสามารถยอมรับและเพลิดเพลินได้

    คณะดอกไม้ป่าถือกำเนิดขึ้นจากแนวคิดทางธุรกิจที่ชัดเจน โดยไม่ได้เกิดจากการรวมตัวกันของนักดนตรีตามธรรมชาติ การก่อตั้งมีรากฐานมาจากความต้องการขยายตลาดและรูปแบบความสำเร็จที่เคยมีมาก่อน โดยผู้ริเริ่มแนวคิดต้องการที่จะสรรหานักร้องหญิงคู่ประสานเสียงเป็นคู่ที่สอง เพื่อต่อยอดความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับวง The Hot Pepper Singers การตัดสินใจนี้สะท้อนให้เห็นว่า รูปแบบของ "นักร้องคู่ประสานเสียง" ที่มีภาพลักษณ์สุภาพและเน้นทักษะการร้องถือเป็นกลยุทธ์เชิงพาณิชย์ที่มีศักยภาพสูง

    การเน้นที่ "นักร้องคู่ประสานเสียง" แสดงให้เห็นว่าคุณภาพเสียงและการจัดวางเสียงประสานถูกกำหนดให้เป็นหัวใจหลักของแบรนด์ตั้งแต่เริ่มต้น แนวคิดนี้เป็นความพยายามที่จะยกระดับรูปแบบการร้องเพลงให้แตกต่างจากดนตรีลูกทุ่งทั่วไป การประสานเสียงที่ซับซ้อนนี้ถูกมองว่าเป็นคุณสมบัติของดนตรีแนวลูกกรุงและป๊อปที่มีความประณีตและมีรสนิยมสูง ซึ่งสามารถดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคในเมืองได้

    วงดอกไม้ป่าประกอบด้วยนักร้องดูโอหญิงสองคน: โชติมา ช่วงวิทย์ (ตุ้ม) และ ปัทมา มนต์รังสี (อ้อม) คุณโชติมาถือเป็นสมาชิกหลักที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเธอเป็นบุตรสาวของ ชวลีย์ ช่วงวิทย์ นักร้องชื่อดังของวงสุนทราภรณ์ สายเลือดจากสุนทราภรณ์นี้มอบความน่าเชื่อถือทางวัฒนธรรมและ "ความเป็นลูกกรุง" ให้กับวงโดยอัตโนมัติ ทำให้ดอกไม้ป่าสามารถวางตำแหน่งตัวเองอยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นลูกทุ่งและความเป็นลูกกรุง/คลาสสิก

    ในช่วงเวลาที่ดนตรีลูกทุ่งกำลังถูกกลุ่มรสนิยมใหม่ของคนเมืองมองว่าเป็น "ดนตรีบ้านนอก" การมีโชติมาได้ทำหน้าที่เป็น "การสร้างแบรนด์ทางวัฒนธรรม" ที่สำคัญยิ่ง การเชื่อมโยงนี้รับประกันว่าเพลงของดอกไม้ป่า แม้จะมีกลิ่นอายของลูกทุ่ง แต่ก็มีความสุภาพและมีคุณค่าในเชิงศิลปะแบบลูกกรุงสูง

    "ดอกไม้ป่าซาวด์" คือการผสมผสานทางดนตรี ที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจในการนำองค์ประกอบทางทำนองเพลงพื้นบ้านหรือลูกทุ่ง มารวมเข้ากับการเรียบเรียงดนตรีและเครื่องดนตรีสมัยใหม่ตามแบบฉบับดนตรีสตริง/ป๊อปในยุค 80s

    แก่นเรื่องแบบลูกทุ่งยังคงเป็นหัวใจหลักในการเล่าเรื่อง ตัวอย่างเช่น เพลง "ทุยใจดำ" ที่สื่อถึงคนรักที่ไม่ซื่อสัตย์ และเพลง "สาวชนบท" ที่หยิบยกเรื่องราวความรักและชีวิตในท้องถิ่นมานำเสนอ แต่สิ่งที่ทำให้ดนตรีมีความแตกต่างคือการเรียบเรียงแบบป๊อปสมัยใหม่ การใช้เครื่องดนตรีที่ซับซ้อน เช่น เปียโน กีตาร์ไฟฟ้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เครื่องเป่า (Brass Section) ที่สร้างความหนาแน่นและพลังเสียงที่ทันสมัย นอกจากนี้ยังมีการนำจังหวะที่ได้รับอิทธิพลจากดนตรีตะวันตกมาใช้ เช่น จังหวะช่าช่าช่า หรือฟังก์กี้ดิสโก้ในเพลงสนุกสนานอย่าง "ระบำยอดหญ้า" ทั้งหมดนี้ถูกขับร้องด้วยการประสานเสียงที่ไพเราะและสะอาดตา ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของดนตรีป๊อปในช่วงนั้น

    การวิเคราะห์เนื้อหาและแก่นหลักของบทเพลง
    1️⃣ ความรักที่ถูกทรยศในบริบทกึ่งชนบท: เพลงอย่าง "ทุยใจดำ" และ "ช้ำ" นำเสนอความผิดหวังในความรักจากมุมมองของผู้หญิง เมื่อเนื้อหาเหล่านี้ถูกขับร้องด้วยคุณภาพเสียงที่สะอาดและการเรียบเรียงแบบป๊อปสมัยใหม่ ความดิบหรือความรู้สึกที่เชื่อมโยงกับความยากจนในเพลงลูกทุ่งแบบดั้งเดิมก็ถูกลดทอนลง เนื้อหาจึงถูก "ทำให้สะอาด" ให้เหลือเพียงความเศร้าแบบโรแมนติกที่เข้ากับมาตรฐานของเพลงป๊อปในเมือง

    2️⃣ ความปรารถนาในชีวิตชนบทและความหวนคิดถึง: เพลง "สาวชนบท" และ "ระบำยอดหญ้า" นำเสนอภาพความสดใสและรื่นเริงของชีวิตในท้องถิ่น ผู้ฟังในเขตเมืองหลายคนซึ่งส่วนใหญ่อพยพมาจากชนบท ต่างให้การตอบรับต่อเพลงเหล่านี้อย่างดีเยี่ยม ดอกไม้ป่าจึงทำหน้าที่เป็นตัวแทนของ "การหวนคิดถึงอย่างมีรสนิยม" (Aesthetic Nostalgia)

    ความสำเร็จอย่างสูงในตลาดเพลงสตริง/ป๊อป แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการ "เชื่อมรอยแยกทางวัฒนธรรม" ระหว่างรสนิยมของคนเมือง (ที่แสวงหาความทันสมัย) กับความผูกพันของกลุ่มผู้ฟังต่อชนบท

    ปี พ.ศ. 2525 เป็นปีแห่งความรุ่งโรจน์ของคณะดอกไม้ป่าจากการเปิดตัวอัลบั้ม ทุยใจดำ ซึ่งได้กำหนดทิศทางและลักษณะเฉพาะของวงอย่างชัดเจน เพลงเอก "ทุยใจดำ" เป็นตัวอย่างชั้นยอดของการผสมผสานระหว่าง Luk Thung และ Pop ผนวกกับการเรียบเรียงที่ใช้เครื่องดนตรีครบวงและจังหวะที่เร้าใจ ทำให้เพลงนี้กลายเป็นเพลงเต้นรำที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง

    วงยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วในปี พ.ศ. 2526 โดยมีผลงานเพลงจากชุดต่อมา เช่น "สาวชนบท," "หนาวลมขมรัก," และ "รักทรมาน" การออกผลงานหลายชุดภายในเวลาอันสั้น เป็นเครื่องยืนยันถึงความเชื่อมั่นของค่ายเพลงในศักยภาพเชิงพาณิชย์และกระแสความนิยมที่แข็งแกร่งในช่วงเวลานั้น การที่เพลงของพวกเขาถูกรวมอยู่ในอัลบั้มรวมเพลงฮิตเงินล้าน ร่วมกับศิลปินใหญ่แห่งยุค แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นวงชั้นนำในตลาดเพลงเทปคาสเซ็ตต์อย่างแท้จริง

    นอกจากคุณภาพทางดนตรีแล้ว ภาพลักษณ์ของคณะดอกไม้ป่ามีความสำคัญต่อการตลาดไม่น้อยไปกว่ากัน ภาพลักษณ์ที่ถูกนำเสนอมีความเป็นมืออาชีพสูงและสอดคล้องกับแฟชั่นยุค 80s การปรากฏตัวทั้งในสตูดิโอและภาพคอนเสิร์ต แสดงให้เห็นถึงการลงทุนในการผลิต และการแต่งกายที่ดูทันสมัยและสะอาดตา ซึ่งแตกต่างอย่างชัดเจนจากภาพลักษณ์ลูกทุ่งแบบดั้งเดิม

    คณะดอกไม้ป่าทำหน้าที่เป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่สำคัญสองประการในต้นทศวรรษ 1980s นั่นคือพลวัตของการอพยพย้ายถิ่นฐาน และการเปลี่ยนแปลงของบทบาททางเพศ

    ในช่วงหลังปี 2520 สังคมไทยเข้าสู่ยุคของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการขยายตัวของชนชั้นกลางในเขตเมืองอย่างชัดเจน ผู้คนจำนวนมากอพยพจากชนบทเข้าสู่กรุงเทพฯ ทำให้เกิดความตึงเครียดทางวัฒนธรรมระหว่างวิถีชีวิตแบบเมืองกับรากเหง้าที่ยังคงผูกพันกับชนบท

    กลุ่มผู้ฟังที่ย้ายถิ่นฐานเหล่านี้ยังคงมีความผูกพันทางอารมณ์กับเนื้อหาและทำนองแบบลูกทุ่ง แต่รสนิยมทางเสียงของพวกเขาได้ถูกหล่อหลอมด้วยดนตรีป๊อปและสตริงที่ทันสมัย ดอกไม้ป่าจึงเข้ามาตอบโจทย์นี้ด้วยการนำเสนอ "ลูกทุ่งในแพ็คเกจป๊อป" เพลงที่มีธีมเกี่ยวกับ "สาวชนบท" ซึ่งถูกถ่ายทอดโดยนักร้องที่ดูทันสมัยในบริบทเมือง จึงสามารถสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับผู้ฟังกลุ่มย้ายถิ่นฐานได้อย่างลึกซึ้ง บทเพลงของดอกไม้ป่าเปรียบเสมือน "ซาวด์แทร็กของการปรับตัว" ของคนชนบทเข้าสู่สังคมเมือง

    การที่คณะดอกไม้ป่าเป็นนักร้องดูโอหญิงในแนว Pop/Fusion แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงบทบาททางเพศในสื่อและสังคมในช่วงเวลานั้น ภาพลักษณ์ของ โชติมา และ ปัทมา เป็นตัวแทนของ ผู้หญิงในยุคสมัยใหม่ ที่สามารถเป็นทั้งผู้รักษามรดกทางวัฒนธรรมและเป็นผู้หญิงที่มีความทันสมัย (ผ่านสไตล์การแต่งกายและการนำเสนอแบบป๊อป)

    นอกจากนี้ เพลงที่กล้าแสดงออกถึงความผิดหวังในความรักและความช้ำ เป็นการเปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกส่วนตัวในที่สาธารณะได้มากขึ้น โดยที่ยังคงรักษาภาพลักษณ์ที่ดูดีและไม่ฉีกกรอบทางสังคมมากนัก ซึ่งสอดคล้องกับยุคสมัยที่บทบาทของผู้หญิงเริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น

    ในช่วงปี พ.ศ. 2525 ซึ่งเป็นช่วงที่สังคมกำลังฟื้นตัวหลังความขัดแย้งทางการเมืองครั้งใหญ่ ดนตรีที่ได้รับความนิยมสูงมักจะไม่มีวาระทางการเมืองที่ชัดเจน คณะดอกไม้ป่าเองก็เน้นที่ความบันเทิงและเรื่องราวส่วนตัว การหลีกเลี่ยงข้อความที่อาจสร้างความขัดแย้งทางการเมืองในบทเพลง ส่งผลให้ดอกไม้ป่าสามารถเข้าถึงผู้ชมหลักได้อย่างง่ายดาย

    ดอกไม้ป่าประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์อย่างสูงในช่วงยุครุ่งเรือง ดังที่ปรากฏหลักฐานจากการออกอัลบั้ม Longplay เต็มรูปแบบหลายชุด และการมีอัลบั้มรวมเพลงฮิต การที่เพลงของวงถูกนำไปรวมอยู่ในอัลบั้มที่ทำยอดขายสูงร่วมกับศิลปินสำคัญแห่งยุค ตอกย้ำสถานะของพวกเขาในฐานะวงชั้นนำของตลาดเทปคาสเซ็ตต์ ซึ่งเป็นรูปแบบการบริโภคหลักในยุคนั้น

    ดอกไม้ป่าไม่ได้เป็นเพียงวงดนตรีที่ขายดี แต่ยังได้สร้างต้นแบบ ให้กับแนวเพลงผสมผสานที่ทรงอิทธิพล พวกเขาเป็นตัวอย่างสำคัญที่พิสูจน์ให้เห็นว่าดนตรีที่มีรากฐานลูกทุ่งสามารถนำเสนอในรูปแบบป๊อปสตริงที่มีคุณภาพสูงและประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ การเปิดทางนี้มีอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นหลังจำนวนมากที่พยายามนำเสนอ "ลูกทุ่งสมัยใหม่" ซึ่งช่วยยืดอายุและปรับโฉมให้ดนตรีลูกทุ่งยังคงอยู่รอดในยุคที่ดนตรี String ครองตลาด

    การที่ดอกไม้ป่าสามารถนำเอาองค์ประกอบของลูกทุ่งและป๊อปมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัวและได้รับความนิยมอย่างสูง ทำให้ผู้ผลิตเพลงเห็นว่า "สูตรผสม" นี้เป็นช่องทางที่มั่นคงในการขยายตลาดไปยังผู้ฟังที่มีรสนิยมหลากหลาย ถือเป็นการเร่งกระบวนการที่ทำให้ดนตรีสตริงได้ครอบครองความโดดเด่นในที่สุด

    มรดกทางดนตรีของดอกไม้ป่ายังคงยืนยง เพลงของพวกเขายังคงถูกค้นหาและรับฟังในปัจจุบันผ่านช่องทางดิจิทัล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความทนทานของทำนองและเนื้อหาที่เข้าถึงง่าย การปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลยังเห็นได้จากการที่สมาชิกหลักของวงยังคงมีความเคลื่อนไหวในการกลับมาทำเพลงใหม่ในนามดอกไม้ป่า ("พลังรัก") และมีการสร้างช่องทาง YouTube เฉพาะ การเคลื่อนไหวนี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าศิลปินยุคบุกเบิกสามารถใช้แพลตฟอร์มสมัยใหม่เพื่อรักษาและขยายฐานแฟนคลับให้เข้าถึงผู้ฟังรุ่นใหม่ได้

    สรุป: มรดกของดอกไม้ป่า
    คณะดอกไม้ป่าจัดเป็นปรากฏการณ์ทางดนตรีและวัฒนธรรมที่มีความซับซ้อนในช่วงรอยต่อของสังคมไทย พวกเขาประสบความสำเร็จในการสร้างความสมดุลระหว่างมรดกทางดนตรีคลาสสิก (ผ่านสายเลือดสุนทราภรณ์) กับความต้องการของตลาดป๊อปที่เน้นความทันสมัยและคุณภาพการผลิตสูง

    บทเพลงของดอกไม้ป่าทำหน้าที่เป็นกลไกทางวัฒนธรรมที่ช่วยบรรเทาความตึงเครียดทางสังคมภายหลังวิกฤตการณ์ทางการเมือง ด้วยการนำเสนอความบันเทิงที่ปลอดภัยและเป็นทางออกทางวัฒนธรรมสำหรับกลุ่มผู้ย้ายถิ่นฐานที่ต้องการรักษาความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับชนบท ในขณะที่ปรับตัวเข้าสู่ความเป็นเมืองอย่างเต็มตัว

    มรดกที่สำคัญที่สุดของคณะดอกไม้ป่าคือการเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกที่แข็งแกร่งที่สุดของ "ดนตรีลูกทุ่งประยุกต์" พวกเขาพิสูจน์ให้เห็นว่าความทันสมัยทางดนตรีไม่จำเป็นต้องตัดขาดจากรากฐานทางวัฒนธรรมดั้งเดิม และเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมเพลงป๊อปไทยในทศวรรษต่อมาให้ยอมรับและผสมผสานแนวเพลงที่มีรากฐานมาจาก Luk Thung เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเพลงกระแสหลักได้อย่างลงตัว

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://youtu.be/NnrS7BYpRRc
    🌼 ดอกไม้ป่า—ร่องรอยแห่งชนบทในสำเนียงเมือง คณะดอกไม้ป่า 🌸 ก้าวเข้ามาสู่ฉากดนตรีไทยในช่วงต้นทศวรรษ 2520 (ค.ศ. 1980s) ซึ่งถือเป็น 🔄 ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของรสนิยมและการผลิตดนตรีในประเทศไทย พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงกลุ่มนักร้องที่รวมตัวกันตามธรรมชาติ แต่เป็นโครงการทางดนตรีที่ถูกกำหนดและออกแบบอย่างพิถีพิถันจากผู้บุกเบิกในอุตสาหกรรมเพลงมืออาชีพ เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองต่อตลาดชนชั้นกลางในเมืองที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ทำให้วงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งคือความสามารถในการนำ "แก่นเรื่องแบบลูกทุ่ง" 🧬🌾 มาผสมผสานกับการเรียบเรียงและคุณภาพการผลิตแบบ "ดนตรีสตริงหรือป๊อป" 🎧 อันนำไปสู่การก่อกำเนิดของแนวทางใหม่ที่เรียกว่า "ลูกทุ่งประยุกต์" ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานให้กับรูปแบบดนตรีป๊อปที่ครองตลาดในทศวรรษต่อมา ดอกไม้ป่าประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในช่วงปี พ.ศ. 2525–2526 🌟 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมหลังเหตุการณ์ทางการเมืองในทศวรรษก่อนหน้า วงนี้ถูกวางตำแหน่งทางการตลาดให้เป็นนักร้องคู่ดูโอหญิงที่เน้นทักษะการประสานเสียง (Harmonizing Duo) พวกเขาสามารถดึงดูดผู้ฟังได้อย่างกว้างขวางด้วยการรักษาความรู้สึกและแก่นเรื่องของความเป็นไทยไว้ ในขณะที่นำเสนอผ่านสำเนียงป๊อปสมัยใหม่ ในเชิงสังคมวิทยา ความสำเร็จของวงมีความสัมพันธ์กับการถอยห่างจากเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเมืองที่รุนแรงของยุค 1970s ดนตรีป๊อปที่ได้รับความนิยมในช่วงนี้มักหลีกเลี่ยงสารทางการเมือง และหันไปให้ความสำคัญกับเรื่องราวส่วนตัว ความรัก ❤️ และการมอบความบันเทิง ดอกไม้ป่าได้ปรับใช้แก่นเรื่องลูกทุ่งให้มีความอ่อนโยนและโรแมนติกในรูปแบบป๊อป ซึ่งทำให้บทเพลงของพวกเขากลายเป็นผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมที่ผู้บริโภคในเมืองสามารถยอมรับและเพลิดเพลินได้ คณะดอกไม้ป่าถือกำเนิดขึ้นจากแนวคิดทางธุรกิจที่ชัดเจน 💡 โดยไม่ได้เกิดจากการรวมตัวกันของนักดนตรีตามธรรมชาติ การก่อตั้งมีรากฐานมาจากความต้องการขยายตลาดและรูปแบบความสำเร็จที่เคยมีมาก่อน โดยผู้ริเริ่มแนวคิดต้องการที่จะสรรหานักร้องหญิงคู่ประสานเสียงเป็นคู่ที่สอง เพื่อต่อยอดความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับวง The Hot Pepper Singers การตัดสินใจนี้สะท้อนให้เห็นว่า รูปแบบของ "นักร้องคู่ประสานเสียง" 🎤🤝 ที่มีภาพลักษณ์สุภาพและเน้นทักษะการร้องถือเป็นกลยุทธ์เชิงพาณิชย์ที่มีศักยภาพสูง การเน้นที่ "นักร้องคู่ประสานเสียง" แสดงให้เห็นว่าคุณภาพเสียงและการจัดวางเสียงประสานถูกกำหนดให้เป็นหัวใจหลักของแบรนด์ตั้งแต่เริ่มต้น แนวคิดนี้เป็นความพยายามที่จะยกระดับรูปแบบการร้องเพลงให้แตกต่างจากดนตรีลูกทุ่งทั่วไป การประสานเสียงที่ซับซ้อนนี้ถูกมองว่าเป็นคุณสมบัติของดนตรีแนวลูกกรุงและป๊อปที่มีความประณีตและมีรสนิยมสูง ซึ่งสามารถดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคในเมืองได้ วงดอกไม้ป่าประกอบด้วยนักร้องดูโอหญิงสองคน: โชติมา ช่วงวิทย์ (ตุ้ม) และ ปัทมา มนต์รังสี (อ้อม) คุณโชติมาถือเป็นสมาชิกหลักที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเธอเป็นบุตรสาวของ ชวลีย์ ช่วงวิทย์ นักร้องชื่อดังของวงสุนทราภรณ์ 👑 สายเลือดจากสุนทราภรณ์นี้มอบความน่าเชื่อถือทางวัฒนธรรมและ "ความเป็นลูกกรุง" ให้กับวงโดยอัตโนมัติ ทำให้ดอกไม้ป่าสามารถวางตำแหน่งตัวเองอยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นลูกทุ่งและความเป็นลูกกรุง/คลาสสิก ในช่วงเวลาที่ดนตรีลูกทุ่งกำลังถูกกลุ่มรสนิยมใหม่ของคนเมืองมองว่าเป็น "ดนตรีบ้านนอก" การมีโชติมาได้ทำหน้าที่เป็น "การสร้างแบรนด์ทางวัฒนธรรม" ที่สำคัญยิ่ง การเชื่อมโยงนี้รับประกันว่าเพลงของดอกไม้ป่า แม้จะมีกลิ่นอายของลูกทุ่ง แต่ก็มีความสุภาพและมีคุณค่าในเชิงศิลปะแบบลูกกรุงสูง "ดอกไม้ป่าซาวด์" คือการผสมผสานทางดนตรี 🔥 ที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจในการนำองค์ประกอบทางทำนองเพลงพื้นบ้านหรือลูกทุ่ง มารวมเข้ากับการเรียบเรียงดนตรีและเครื่องดนตรีสมัยใหม่ตามแบบฉบับดนตรีสตริง/ป๊อปในยุค 80s แก่นเรื่องแบบลูกทุ่งยังคงเป็นหัวใจหลักในการเล่าเรื่อง ตัวอย่างเช่น เพลง "ทุยใจดำ" 💔 ที่สื่อถึงคนรักที่ไม่ซื่อสัตย์ และเพลง "สาวชนบท" 🏡 ที่หยิบยกเรื่องราวความรักและชีวิตในท้องถิ่นมานำเสนอ แต่สิ่งที่ทำให้ดนตรีมีความแตกต่างคือการเรียบเรียงแบบป๊อปสมัยใหม่ การใช้เครื่องดนตรีที่ซับซ้อน เช่น เปียโน กีตาร์ไฟฟ้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เครื่องเป่า (Brass Section) 🎺🎷 ที่สร้างความหนาแน่นและพลังเสียงที่ทันสมัย นอกจากนี้ยังมีการนำจังหวะที่ได้รับอิทธิพลจากดนตรีตะวันตกมาใช้ เช่น จังหวะช่าช่าช่า หรือฟังก์กี้ดิสโก้ในเพลงสนุกสนานอย่าง "ระบำยอดหญ้า" 💃 ทั้งหมดนี้ถูกขับร้องด้วยการประสานเสียงที่ไพเราะและสะอาดตา ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของดนตรีป๊อปในช่วงนั้น การวิเคราะห์เนื้อหาและแก่นหลักของบทเพลง 1️⃣ ความรักที่ถูกทรยศในบริบทกึ่งชนบท: เพลงอย่าง "ทุยใจดำ" และ "ช้ำ" นำเสนอความผิดหวังในความรักจากมุมมองของผู้หญิง เมื่อเนื้อหาเหล่านี้ถูกขับร้องด้วยคุณภาพเสียงที่สะอาดและการเรียบเรียงแบบป๊อปสมัยใหม่ ความดิบหรือความรู้สึกที่เชื่อมโยงกับความยากจนในเพลงลูกทุ่งแบบดั้งเดิมก็ถูกลดทอนลง เนื้อหาจึงถูก "ทำให้สะอาด" ให้เหลือเพียงความเศร้าแบบโรแมนติกที่เข้ากับมาตรฐานของเพลงป๊อปในเมือง 2️⃣ ความปรารถนาในชีวิตชนบทและความหวนคิดถึง: เพลง "สาวชนบท" และ "ระบำยอดหญ้า" นำเสนอภาพความสดใสและรื่นเริงของชีวิตในท้องถิ่น ผู้ฟังในเขตเมืองหลายคนซึ่งส่วนใหญ่อพยพมาจากชนบท ต่างให้การตอบรับต่อเพลงเหล่านี้อย่างดีเยี่ยม ดอกไม้ป่าจึงทำหน้าที่เป็นตัวแทนของ "การหวนคิดถึงอย่างมีรสนิยม" (Aesthetic Nostalgia) 💖 ความสำเร็จอย่างสูงในตลาดเพลงสตริง/ป๊อป แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการ "เชื่อมรอยแยกทางวัฒนธรรม" 🔗 ระหว่างรสนิยมของคนเมือง (ที่แสวงหาความทันสมัย) กับความผูกพันของกลุ่มผู้ฟังต่อชนบท ปี พ.ศ. 2525 เป็นปีแห่งความรุ่งโรจน์ของคณะดอกไม้ป่าจากการเปิดตัวอัลบั้ม ทุยใจดำ 💿 ซึ่งได้กำหนดทิศทางและลักษณะเฉพาะของวงอย่างชัดเจน เพลงเอก "ทุยใจดำ" เป็นตัวอย่างชั้นยอดของการผสมผสานระหว่าง Luk Thung และ Pop ผนวกกับการเรียบเรียงที่ใช้เครื่องดนตรีครบวงและจังหวะที่เร้าใจ ทำให้เพลงนี้กลายเป็นเพลงเต้นรำที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง วงยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วในปี พ.ศ. 2526 โดยมีผลงานเพลงจากชุดต่อมา เช่น "สาวชนบท," "หนาวลมขมรัก," และ "รักทรมาน" การออกผลงานหลายชุดภายในเวลาอันสั้น เป็นเครื่องยืนยันถึงความเชื่อมั่นของค่ายเพลงในศักยภาพเชิงพาณิชย์และกระแสความนิยมที่แข็งแกร่งในช่วงเวลานั้น การที่เพลงของพวกเขาถูกรวมอยู่ในอัลบั้มรวมเพลงฮิตเงินล้าน 💰 ร่วมกับศิลปินใหญ่แห่งยุค แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นวงชั้นนำในตลาดเพลงเทปคาสเซ็ตต์อย่างแท้จริง นอกจากคุณภาพทางดนตรีแล้ว ภาพลักษณ์ของคณะดอกไม้ป่ามีความสำคัญต่อการตลาดไม่น้อยไปกว่ากัน ภาพลักษณ์ที่ถูกนำเสนอมีความเป็นมืออาชีพสูงและสอดคล้องกับแฟชั่นยุค 80s การปรากฏตัวทั้งในสตูดิโอและภาพคอนเสิร์ต 🎙️ แสดงให้เห็นถึงการลงทุนในการผลิต และการแต่งกายที่ดูทันสมัยและสะอาดตา ซึ่งแตกต่างอย่างชัดเจนจากภาพลักษณ์ลูกทุ่งแบบดั้งเดิม คณะดอกไม้ป่าทำหน้าที่เป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่สำคัญสองประการในต้นทศวรรษ 1980s นั่นคือพลวัตของการอพยพย้ายถิ่นฐาน 🚚 และการเปลี่ยนแปลงของบทบาททางเพศ ในช่วงหลังปี 2520 สังคมไทยเข้าสู่ยุคของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการขยายตัวของชนชั้นกลางในเขตเมืองอย่างชัดเจน ผู้คนจำนวนมากอพยพจากชนบทเข้าสู่กรุงเทพฯ 🏙️ ทำให้เกิดความตึงเครียดทางวัฒนธรรมระหว่างวิถีชีวิตแบบเมืองกับรากเหง้าที่ยังคงผูกพันกับชนบท กลุ่มผู้ฟังที่ย้ายถิ่นฐานเหล่านี้ยังคงมีความผูกพันทางอารมณ์กับเนื้อหาและทำนองแบบลูกทุ่ง แต่รสนิยมทางเสียงของพวกเขาได้ถูกหล่อหลอมด้วยดนตรีป๊อปและสตริงที่ทันสมัย ดอกไม้ป่าจึงเข้ามาตอบโจทย์นี้ด้วยการนำเสนอ "ลูกทุ่งในแพ็คเกจป๊อป" เพลงที่มีธีมเกี่ยวกับ "สาวชนบท" ซึ่งถูกถ่ายทอดโดยนักร้องที่ดูทันสมัยในบริบทเมือง จึงสามารถสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับผู้ฟังกลุ่มย้ายถิ่นฐานได้อย่างลึกซึ้ง บทเพลงของดอกไม้ป่าเปรียบเสมือน "ซาวด์แทร็กของการปรับตัว" ของคนชนบทเข้าสู่สังคมเมือง การที่คณะดอกไม้ป่าเป็นนักร้องดูโอหญิงในแนว Pop/Fusion แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงบทบาททางเพศในสื่อและสังคมในช่วงเวลานั้น ภาพลักษณ์ของ โชติมา และ ปัทมา เป็นตัวแทนของ ผู้หญิงในยุคสมัยใหม่ 👩‍🎤 ที่สามารถเป็นทั้งผู้รักษามรดกทางวัฒนธรรมและเป็นผู้หญิงที่มีความทันสมัย (ผ่านสไตล์การแต่งกายและการนำเสนอแบบป๊อป) นอกจากนี้ เพลงที่กล้าแสดงออกถึงความผิดหวังในความรักและความช้ำ 💔 เป็นการเปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกส่วนตัวในที่สาธารณะได้มากขึ้น โดยที่ยังคงรักษาภาพลักษณ์ที่ดูดีและไม่ฉีกกรอบทางสังคมมากนัก ซึ่งสอดคล้องกับยุคสมัยที่บทบาทของผู้หญิงเริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น ในช่วงปี พ.ศ. 2525 ซึ่งเป็นช่วงที่สังคมกำลังฟื้นตัวหลังความขัดแย้งทางการเมืองครั้งใหญ่ ดนตรีที่ได้รับความนิยมสูงมักจะไม่มีวาระทางการเมืองที่ชัดเจน คณะดอกไม้ป่าเองก็เน้นที่ความบันเทิงและเรื่องราวส่วนตัว การหลีกเลี่ยงข้อความที่อาจสร้างความขัดแย้งทางการเมืองในบทเพลง ส่งผลให้ดอกไม้ป่าสามารถเข้าถึงผู้ชมหลักได้อย่างง่ายดาย ดอกไม้ป่าประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์อย่างสูงในช่วงยุครุ่งเรือง 💵💶💷 ดังที่ปรากฏหลักฐานจากการออกอัลบั้ม Longplay เต็มรูปแบบหลายชุด และการมีอัลบั้มรวมเพลงฮิต การที่เพลงของวงถูกนำไปรวมอยู่ในอัลบั้มที่ทำยอดขายสูงร่วมกับศิลปินสำคัญแห่งยุค ตอกย้ำสถานะของพวกเขาในฐานะวงชั้นนำของตลาดเทปคาสเซ็ตต์ 📼 ซึ่งเป็นรูปแบบการบริโภคหลักในยุคนั้น ดอกไม้ป่าไม่ได้เป็นเพียงวงดนตรีที่ขายดี แต่ยังได้สร้างต้นแบบ 🏗️ ให้กับแนวเพลงผสมผสานที่ทรงอิทธิพล พวกเขาเป็นตัวอย่างสำคัญที่พิสูจน์ให้เห็นว่าดนตรีที่มีรากฐานลูกทุ่งสามารถนำเสนอในรูปแบบป๊อปสตริงที่มีคุณภาพสูงและประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ การเปิดทางนี้มีอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นหลังจำนวนมากที่พยายามนำเสนอ "ลูกทุ่งสมัยใหม่" ซึ่งช่วยยืดอายุและปรับโฉมให้ดนตรีลูกทุ่งยังคงอยู่รอดในยุคที่ดนตรี String ครองตลาด การที่ดอกไม้ป่าสามารถนำเอาองค์ประกอบของลูกทุ่งและป๊อปมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัวและได้รับความนิยมอย่างสูง ทำให้ผู้ผลิตเพลงเห็นว่า "สูตรผสม" นี้เป็นช่องทางที่มั่นคงในการขยายตลาดไปยังผู้ฟังที่มีรสนิยมหลากหลาย ถือเป็นการเร่งกระบวนการที่ทำให้ดนตรีสตริงได้ครอบครองความโดดเด่นในที่สุด มรดกทางดนตรีของดอกไม้ป่ายังคงยืนยง ⏳ เพลงของพวกเขายังคงถูกค้นหาและรับฟังในปัจจุบันผ่านช่องทางดิจิทัล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความทนทานของทำนองและเนื้อหาที่เข้าถึงง่าย การปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลยังเห็นได้จากการที่สมาชิกหลักของวงยังคงมีความเคลื่อนไหวในการกลับมาทำเพลงใหม่ในนามดอกไม้ป่า ("พลังรัก") และมีการสร้างช่องทาง YouTube เฉพาะ 🎥 การเคลื่อนไหวนี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าศิลปินยุคบุกเบิกสามารถใช้แพลตฟอร์มสมัยใหม่เพื่อรักษาและขยายฐานแฟนคลับให้เข้าถึงผู้ฟังรุ่นใหม่ได้ ✨ ✅✅ สรุป: มรดกของดอกไม้ป่า ✅✅ คณะดอกไม้ป่าจัดเป็นปรากฏการณ์ทางดนตรีและวัฒนธรรมที่มีความซับซ้อนในช่วงรอยต่อของสังคมไทย พวกเขาประสบความสำเร็จในการสร้างความสมดุลระหว่างมรดกทางดนตรีคลาสสิก (ผ่านสายเลือดสุนทราภรณ์) กับความต้องการของตลาดป๊อปที่เน้นความทันสมัยและคุณภาพการผลิตสูง บทเพลงของดอกไม้ป่าทำหน้าที่เป็นกลไกทางวัฒนธรรมที่ช่วยบรรเทาความตึงเครียดทางสังคมภายหลังวิกฤตการณ์ทางการเมือง ด้วยการนำเสนอความบันเทิงที่ปลอดภัยและเป็นทางออกทางวัฒนธรรมสำหรับกลุ่มผู้ย้ายถิ่นฐานที่ต้องการรักษาความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับชนบท ในขณะที่ปรับตัวเข้าสู่ความเป็นเมืองอย่างเต็มตัว มรดกที่สำคัญที่สุดของคณะดอกไม้ป่าคือการเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกที่แข็งแกร่งที่สุดของ "ดนตรีลูกทุ่งประยุกต์" 🎶 พวกเขาพิสูจน์ให้เห็นว่าความทันสมัยทางดนตรีไม่จำเป็นต้องตัดขาดจากรากฐานทางวัฒนธรรมดั้งเดิม และเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมเพลงป๊อปไทยในทศวรรษต่อมาให้ยอมรับและผสมผสานแนวเพลงที่มีรากฐานมาจาก Luk Thung เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเพลงกระแสหลักได้อย่างลงตัว 💯 #ลุงเล่าหลานฟัง https://youtu.be/NnrS7BYpRRc
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 373 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Intel อาจผลิตชิปให้ AMD — เมื่อคู่แข่งตลอดกาลเริ่มเปิดใจร่วมมือในยุคที่อุตสาหกรรมต้องปรับตัว”

    ในสิ่งที่หลายคนเรียกว่า “นรกยังต้องหยุดแช่แข็ง” Intel และ AMD ซึ่งเป็นคู่แข่งกันมายาวนานในตลาด x86 กำลังอยู่ในช่วงเจรจาเบื้องต้นเพื่อให้ Intel รับหน้าที่ผลิตชิปบางรุ่นให้ AMD ผ่านบริการ Intel Foundry Services (IFS) ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

    รายงานจาก Semafor และ TechRadar ระบุว่า AMD กำลังพิจารณาใช้โรงงานของ Intel สำหรับผลิตชิปรุ่นที่ไม่ใช่เรือธง เช่น Embedded APU หรือชิปด้านเครือข่าย (Pensando) เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพา TSMC เพียงรายเดียว โดยเฉพาะในช่วงที่ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และปัญหาซัพพลายเชนยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ

    Intel เองก็อยู่ในช่วงพลิกฟื้นธุรกิจ โดยได้รับเงินลงทุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ, Nvidia และ SoftBank รวมกว่า $15.9 พันล้าน เพื่อผลักดันให้ IFS กลายเป็นผู้ผลิตชิปแบบรับจ้างที่แข็งแกร่ง และลดการพึ่งพาตลาดยุโรปที่กำลังชะลอการลงทุน

    แม้ AMD จะยังไม่ยืนยันข้อตกลงใด ๆ และยังไม่มีการเปิดเผยว่าชิปรุ่นใดจะถูกผลิตโดย Intel แต่การเจรจานี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงในยุทธศาสตร์ของทั้งสองบริษัท ที่เริ่มมองข้ามการแข่งขันระยะยาวเพื่อความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน

    หากข้อตกลงเกิดขึ้นจริง จะเป็นการยืนยันว่า Intel สามารถผลิตชิปให้กับคู่แข่งโดยไม่กระทบต่อความลับทางเทคโนโลยี และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการร่วมมือในระดับอุตสาหกรรมที่กว้างขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel และ AMD กำลังเจรจาเบื้องต้นเพื่อให้ Intel ผลิตชิปรุ่นบางส่วนให้ AMD
    AMD ต้องการลดการพึ่งพา TSMC และกระจายความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน
    ชิปรุ่นที่อาจถูกผลิตโดย Intel ได้แก่ Embedded APU และชิปเครือข่าย (Pensando)
    Intel ได้รับเงินลงทุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ, Nvidia และ SoftBank รวมกว่า $15.9 พันล้าน
    Intel Foundry Services (IFS) เป็นหน่วยงานที่รับผลิตชิปให้ลูกค้าภายนอก
    AMD ยังไม่ยืนยันข้อตกลง และยังไม่มีการเปิดเผยว่าชิปรุ่นใดจะถูกผลิต
    การร่วมมือครั้งนี้อาจช่วยให้ AMD มีความยืดหยุ่นในการผลิตมากขึ้น
    Intel ต้องการพิสูจน์ว่าโรงงานของตนสามารถแข่งขันกับ TSMC ได้

    https://www.techradar.com/pro/hell-freezes-over-amd-may-team-up-with-intel-to-produce-chips-but-i-dont-expect-intel-foundries-to-push-out-ryzen-cpus-anytime-soon
    🤝 “Intel อาจผลิตชิปให้ AMD — เมื่อคู่แข่งตลอดกาลเริ่มเปิดใจร่วมมือในยุคที่อุตสาหกรรมต้องปรับตัว” ในสิ่งที่หลายคนเรียกว่า “นรกยังต้องหยุดแช่แข็ง” Intel และ AMD ซึ่งเป็นคู่แข่งกันมายาวนานในตลาด x86 กำลังอยู่ในช่วงเจรจาเบื้องต้นเพื่อให้ Intel รับหน้าที่ผลิตชิปบางรุ่นให้ AMD ผ่านบริการ Intel Foundry Services (IFS) ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ รายงานจาก Semafor และ TechRadar ระบุว่า AMD กำลังพิจารณาใช้โรงงานของ Intel สำหรับผลิตชิปรุ่นที่ไม่ใช่เรือธง เช่น Embedded APU หรือชิปด้านเครือข่าย (Pensando) เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพา TSMC เพียงรายเดียว โดยเฉพาะในช่วงที่ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และปัญหาซัพพลายเชนยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ Intel เองก็อยู่ในช่วงพลิกฟื้นธุรกิจ โดยได้รับเงินลงทุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ, Nvidia และ SoftBank รวมกว่า $15.9 พันล้าน เพื่อผลักดันให้ IFS กลายเป็นผู้ผลิตชิปแบบรับจ้างที่แข็งแกร่ง และลดการพึ่งพาตลาดยุโรปที่กำลังชะลอการลงทุน แม้ AMD จะยังไม่ยืนยันข้อตกลงใด ๆ และยังไม่มีการเปิดเผยว่าชิปรุ่นใดจะถูกผลิตโดย Intel แต่การเจรจานี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงในยุทธศาสตร์ของทั้งสองบริษัท ที่เริ่มมองข้ามการแข่งขันระยะยาวเพื่อความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน หากข้อตกลงเกิดขึ้นจริง จะเป็นการยืนยันว่า Intel สามารถผลิตชิปให้กับคู่แข่งโดยไม่กระทบต่อความลับทางเทคโนโลยี และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการร่วมมือในระดับอุตสาหกรรมที่กว้างขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel และ AMD กำลังเจรจาเบื้องต้นเพื่อให้ Intel ผลิตชิปรุ่นบางส่วนให้ AMD ➡️ AMD ต้องการลดการพึ่งพา TSMC และกระจายความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน ➡️ ชิปรุ่นที่อาจถูกผลิตโดย Intel ได้แก่ Embedded APU และชิปเครือข่าย (Pensando) ➡️ Intel ได้รับเงินลงทุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ, Nvidia และ SoftBank รวมกว่า $15.9 พันล้าน ➡️ Intel Foundry Services (IFS) เป็นหน่วยงานที่รับผลิตชิปให้ลูกค้าภายนอก ➡️ AMD ยังไม่ยืนยันข้อตกลง และยังไม่มีการเปิดเผยว่าชิปรุ่นใดจะถูกผลิต ➡️ การร่วมมือครั้งนี้อาจช่วยให้ AMD มีความยืดหยุ่นในการผลิตมากขึ้น ➡️ Intel ต้องการพิสูจน์ว่าโรงงานของตนสามารถแข่งขันกับ TSMC ได้ https://www.techradar.com/pro/hell-freezes-over-amd-may-team-up-with-intel-to-produce-chips-but-i-dont-expect-intel-foundries-to-push-out-ryzen-cpus-anytime-soon
    WWW.TECHRADAR.COM
    Reports suggest Intel could manufacture processors for AMD
    Intel's turnaround continues to surprise, who will be next to express an interest?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 266 มุมมอง 0 รีวิว
  • “วิวัฒนาการของ iPhone Unlockers — จาก Jailbreak สู่เครื่องมือปลดล็อกแบบปลอดภัยด้วย Dr.Fone”

    ตั้งแต่ iPhone รุ่นแรกเปิดตัวในปี 2007 ผู้ใช้จำนวนมากต่างพยายามหาวิธี “ปลดล็อก” อุปกรณ์เพื่อให้ใช้งานได้อิสระมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งแอปนอก App Store หรือเปลี่ยนเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ แต่ในยุคแรก การปลดล็อกมักต้องพึ่งพา “Jailbreak” ซึ่งแม้จะให้เสรีภาพ แต่ก็เต็มไปด้วยความเสี่ยง เช่น เครื่องไม่เสถียร แบตหมดเร็ว หรือแม้แต่การโดนมัลแวร์

    ต่อมาเกิดการปลดล็อกแบบ SIM Unlock เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนเครือข่ายได้ โดยมีทั้งวิธีขอปลดล็อกจากผู้ให้บริการอย่างถูกต้องตามสัญญา และวิธีใช้ชิปปลอมที่แอบเปลี่ยนการทำงานของ SIM ซึ่งแม้จะสะดวก แต่ก็เสี่ยงต่อการใช้งานไม่เสถียร หรือถูกนำไปใช้ในตลาดมืด

    Apple เองก็เริ่มเปิดทางให้ผู้ใช้สามารถปลดล็อกได้อย่างถูกต้อง เช่น การใช้ iCloud ลบข้อมูลผ่าน “Find My iPhone”, การ Restore ผ่าน iTunes หรือ Finder และการเข้า Recovery Mode เพื่อรีเซ็ตเครื่อง ซึ่งแม้จะปลอดภัย แต่ก็ต้องใช้ Apple ID เดิม และมักทำให้ข้อมูลหายทั้งหมด

    เมื่อระบบรักษาความปลอดภัยของ Apple แข็งแกร่งขึ้น ผู้ใช้ที่ลืมรหัสผ่าน หรือซื้อเครื่องมือสองที่ล็อกอยู่ ก็เริ่มหันไปใช้เครื่องมือจากผู้พัฒนาภายนอก เช่น Dr.Fone – Screen Unlock (iOS) ซึ่งออกแบบมาให้ปลดล็อกได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องพึ่งพาแฮกเกอร์ และรองรับการปลดล็อกหลายรูปแบบ เช่น Face ID, Touch ID, รหัสผ่าน, Apple ID, MDM และแม้แต่ SIM Lock

    Dr.Fone ยังรองรับ iOS ตั้งแต่เวอร์ชัน 7 ถึง 26 รวมถึง iPhone 17 series และสามารถทำงานผ่าน Recovery Mode หรือ DFU Mode โดยมีขั้นตอนที่ชัดเจนและปลอดภัย พร้อมคำแนะนำให้ผู้ใช้สำรองข้อมูลก่อนเริ่มกระบวนการ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    การปลดล็อก iPhone เริ่มจาก Jailbreak ซึ่งเสี่ยงต่อความไม่เสถียรและมัลแวร์
    SIM Unlock มีทั้งแบบขอจากผู้ให้บริการและใช้ชิปปลอม ซึ่งมีข้อจำกัด
    Apple มีวิธีปลดล็อกอย่างเป็นทางการ เช่น iCloud, iTunes/Finder และ Recovery Mode
    เครื่องมือจากภายนอก เช่น Dr.Fone – Screen Unlock (iOS) ช่วยปลดล็อกได้หลายรูปแบบ
    Dr.Fone รองรับ iOS 7–26 และ iPhone 17 series
    สามารถปลดล็อก Face ID, Touch ID, รหัสผ่าน, Apple ID, MDM และ SIM Lock
    ใช้ Recovery Mode หรือ DFU Mode เพื่อเริ่มกระบวนการปลดล็อก
    มีคำแนะนำให้สำรองข้อมูลก่อนเริ่มใช้งานเพื่อความปลอดภัย
    การปลดล็อกผ่าน Dr.Fone เป็นวิธีที่ถูกกฎหมายและไม่ต้องพึ่งพาแฮกเกอร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Jailbreaking คือการปรับแต่งระบบ iOS เพื่อให้เข้าถึงฟีเจอร์ที่ถูกจำกัด
    SIM Unlock ช่วยให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครือข่ายได้โดยไม่ต้องซื้อเครื่องใหม่
    Recovery Mode และ DFU Mode เป็นโหมดพิเศษที่ใช้ในการแก้ไขปัญหา iOS
    Dr.Fone เป็นผลิตภัณฑ์จาก Wondershare ที่มีเครื่องมือจัดการข้อมูล iOS ครบวงจร
    การปลดล็อกที่ถูกต้องตามกฎหมายต้องไม่เกี่ยวข้องกับเครื่องที่ถูกขโมยหรือ IMEI ที่ถูกบล็อก

    https://securityonline.info/the-evolution-of-iphone-unlockers-from-jailbreaks-to-secure-recovery-tools/
    📱 “วิวัฒนาการของ iPhone Unlockers — จาก Jailbreak สู่เครื่องมือปลดล็อกแบบปลอดภัยด้วย Dr.Fone” ตั้งแต่ iPhone รุ่นแรกเปิดตัวในปี 2007 ผู้ใช้จำนวนมากต่างพยายามหาวิธี “ปลดล็อก” อุปกรณ์เพื่อให้ใช้งานได้อิสระมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งแอปนอก App Store หรือเปลี่ยนเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ แต่ในยุคแรก การปลดล็อกมักต้องพึ่งพา “Jailbreak” ซึ่งแม้จะให้เสรีภาพ แต่ก็เต็มไปด้วยความเสี่ยง เช่น เครื่องไม่เสถียร แบตหมดเร็ว หรือแม้แต่การโดนมัลแวร์ ต่อมาเกิดการปลดล็อกแบบ SIM Unlock เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนเครือข่ายได้ โดยมีทั้งวิธีขอปลดล็อกจากผู้ให้บริการอย่างถูกต้องตามสัญญา และวิธีใช้ชิปปลอมที่แอบเปลี่ยนการทำงานของ SIM ซึ่งแม้จะสะดวก แต่ก็เสี่ยงต่อการใช้งานไม่เสถียร หรือถูกนำไปใช้ในตลาดมืด Apple เองก็เริ่มเปิดทางให้ผู้ใช้สามารถปลดล็อกได้อย่างถูกต้อง เช่น การใช้ iCloud ลบข้อมูลผ่าน “Find My iPhone”, การ Restore ผ่าน iTunes หรือ Finder และการเข้า Recovery Mode เพื่อรีเซ็ตเครื่อง ซึ่งแม้จะปลอดภัย แต่ก็ต้องใช้ Apple ID เดิม และมักทำให้ข้อมูลหายทั้งหมด เมื่อระบบรักษาความปลอดภัยของ Apple แข็งแกร่งขึ้น ผู้ใช้ที่ลืมรหัสผ่าน หรือซื้อเครื่องมือสองที่ล็อกอยู่ ก็เริ่มหันไปใช้เครื่องมือจากผู้พัฒนาภายนอก เช่น Dr.Fone – Screen Unlock (iOS) ซึ่งออกแบบมาให้ปลดล็อกได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องพึ่งพาแฮกเกอร์ และรองรับการปลดล็อกหลายรูปแบบ เช่น Face ID, Touch ID, รหัสผ่าน, Apple ID, MDM และแม้แต่ SIM Lock Dr.Fone ยังรองรับ iOS ตั้งแต่เวอร์ชัน 7 ถึง 26 รวมถึง iPhone 17 series และสามารถทำงานผ่าน Recovery Mode หรือ DFU Mode โดยมีขั้นตอนที่ชัดเจนและปลอดภัย พร้อมคำแนะนำให้ผู้ใช้สำรองข้อมูลก่อนเริ่มกระบวนการ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ การปลดล็อก iPhone เริ่มจาก Jailbreak ซึ่งเสี่ยงต่อความไม่เสถียรและมัลแวร์ ➡️ SIM Unlock มีทั้งแบบขอจากผู้ให้บริการและใช้ชิปปลอม ซึ่งมีข้อจำกัด ➡️ Apple มีวิธีปลดล็อกอย่างเป็นทางการ เช่น iCloud, iTunes/Finder และ Recovery Mode ➡️ เครื่องมือจากภายนอก เช่น Dr.Fone – Screen Unlock (iOS) ช่วยปลดล็อกได้หลายรูปแบบ ➡️ Dr.Fone รองรับ iOS 7–26 และ iPhone 17 series ➡️ สามารถปลดล็อก Face ID, Touch ID, รหัสผ่าน, Apple ID, MDM และ SIM Lock ➡️ ใช้ Recovery Mode หรือ DFU Mode เพื่อเริ่มกระบวนการปลดล็อก ➡️ มีคำแนะนำให้สำรองข้อมูลก่อนเริ่มใช้งานเพื่อความปลอดภัย ➡️ การปลดล็อกผ่าน Dr.Fone เป็นวิธีที่ถูกกฎหมายและไม่ต้องพึ่งพาแฮกเกอร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Jailbreaking คือการปรับแต่งระบบ iOS เพื่อให้เข้าถึงฟีเจอร์ที่ถูกจำกัด ➡️ SIM Unlock ช่วยให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครือข่ายได้โดยไม่ต้องซื้อเครื่องใหม่ ➡️ Recovery Mode และ DFU Mode เป็นโหมดพิเศษที่ใช้ในการแก้ไขปัญหา iOS ➡️ Dr.Fone เป็นผลิตภัณฑ์จาก Wondershare ที่มีเครื่องมือจัดการข้อมูล iOS ครบวงจร ➡️ การปลดล็อกที่ถูกต้องตามกฎหมายต้องไม่เกี่ยวข้องกับเครื่องที่ถูกขโมยหรือ IMEI ที่ถูกบล็อก https://securityonline.info/the-evolution-of-iphone-unlockers-from-jailbreaks-to-secure-recovery-tools/
    SECURITYONLINE.INFO
    The Evolution of iPhone Unlockers: From Jailbreaks to Secure Recovery Tools
    Looking for the best iPhone unlocker? Learn how iPhone unlocking evolved from jailbreak hacks to secure recovery tools like Dr.Fone. Read this guide for a safe and easy unlocking process.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 0 รีวิว
  • "จำไว้นะลูกชีวิตอยู่ที่เราเลือกเอง"
    ไปกับ"ผึ้ง"ลูกจะเจอ...ดอกไม้หอม
    ไปกับ"แมลงวัน"ลูกจะเจอ...ห้องน้ำ
    ไปกับ"คนรวย"ลูกจะได้...เรียนรู้วิธีหาเงิน
    ไปกับ"ขอทาน"ลูกจะได้..เรียนรู้วิธีขออาหาร
    มันไม่สำคัญว่า"ลูกเป็นใคร"
    มันสำคัญที่'ลูกอยู่กับใคร"
    ถ้าลูกอยู่กับ...คนใจกว้าง
    ลูกจะมี...สังคมที่กว้างมากยิ่งขึ้น
    ถ้าลูกอยู่กับ...คนใจบุญ
    ลูกจะเกิด...จิตเมตตามากยิ่งขึ้น
    ถ้าลูกอยู่กับ...คนกล้าหาญ
    ลูกจะ...แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
    ถ้าลูกอยู่กับ...คนมองโลกในแง่ดี
    ลูกจะมี...ความสุขมากยิ่งขึ้น
    ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้มันอยู่ที่เราเลือก
    เลือกสิ่งที่ดีมันก็ดีกับตัวเอง!!!
    #คำคมปรัชญาชีวิต #ข้อคิดดีๆ
    "จำไว้นะลูกชีวิตอยู่ที่เราเลือกเอง" ไปกับ"ผึ้ง"ลูกจะเจอ...ดอกไม้หอม ไปกับ"แมลงวัน"ลูกจะเจอ...ห้องน้ำ ไปกับ"คนรวย"ลูกจะได้...เรียนรู้วิธีหาเงิน ไปกับ"ขอทาน"ลูกจะได้..เรียนรู้วิธีขออาหาร มันไม่สำคัญว่า"ลูกเป็นใคร" มันสำคัญที่'ลูกอยู่กับใคร" ถ้าลูกอยู่กับ...คนใจกว้าง ลูกจะมี...สังคมที่กว้างมากยิ่งขึ้น ถ้าลูกอยู่กับ...คนใจบุญ ลูกจะเกิด...จิตเมตตามากยิ่งขึ้น ถ้าลูกอยู่กับ...คนกล้าหาญ ลูกจะ...แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ถ้าลูกอยู่กับ...คนมองโลกในแง่ดี ลูกจะมี...ความสุขมากยิ่งขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้มันอยู่ที่เราเลือก เลือกสิ่งที่ดีมันก็ดีกับตัวเอง!!! #คำคมปรัชญาชีวิต #ข้อคิดดีๆ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • “openSUSE Leap 16 เปิดตัวแล้ว — ปรับโฉมด้วย Agama, SELinux และ Linux Kernel 6.12 LTS พร้อมรองรับอนาคตองค์กร”

    openSUSE ประกาศเปิดตัว Leap 16 อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ตุลาคม 2025 โดยถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของดิสโทรสายเสถียรที่ได้รับการสนับสนุนระยะยาว (LTS) รุ่นนี้ถูกพัฒนาบนพื้นฐาน SUSE Linux Enterprise Server (SLES) 16 และใช้โครงสร้างใหม่ที่เรียกว่า SUSE Linux Framework One (ชื่อเดิมคือ Adaptable Linux Platform หรือ ALP) พร้อมขับเคลื่อนด้วย Linux Kernel 6.12 LTS ที่เน้นความเสถียรและความปลอดภัยสำหรับองค์กร

    หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือการเปลี่ยนตัวติดตั้งจาก YaST มาเป็น Agama ซึ่งพัฒนาโดยทีมเดียวกันกับ YaST แต่เน้นความยืดหยุ่นมากขึ้น รองรับการติดตั้งดิสโทรอื่น ๆ ของ openSUSE เช่น Tumbleweed, Slowroll และ MicroOS ได้ด้วย

    Leap 16 ยังเปลี่ยนระบบควบคุมสิทธิ์จาก AppArmor มาใช้ SELinux เป็นค่าเริ่มต้น ซึ่งได้รับการยอมรับมากกว่าในแวดวงความปลอดภัยระดับสูง และมีชุมชนพัฒนา upstream ที่แข็งแกร่งกว่า

    ด้านประสิทธิภาพ Leap 16 ปรับปรุงระบบจัดการ repository โดยใช้ RIS-based repository management ที่แยกตามสถาปัตยกรรม ทำให้ metadata มีขนาดเล็กลงและรีเฟรชได้เร็วขึ้น พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน Zypper ให้รองรับการดาวน์โหลดแพ็กเกจแบบขนาน (parallel downloads) เพื่อเร่งความเร็วในการติดตั้งและอัปเดต

    Leap 16 ยังเพิ่มเครื่องมือใหม่ เช่น Cockpit สำหรับจัดการระบบผ่านเว็บ และ Myrlyn ซึ่งมาแทน YaST Qt GUI สำหรับการติดตั้งซอฟต์แวร์ โดย Leap 16 ได้ถอดการรองรับ SysV init ออกอย่างสมบูรณ์แล้ว

    ผู้ใช้สามารถเลือกติดตั้ง Leap 16 ได้ทั้งแบบไม่มี GUI (Base) หรือใช้ GNOME 48, KDE Plasma 6.4 หรือ Xfce 4.20 เป็นเดสก์ท็อป โดยรองรับสถาปัตยกรรมหลากหลาย เช่น x86_64 v2, AArch64, ppc64le และ s390x รวมถึงมีภาพติดตั้งแบบ OEM เป็นครั้งแรก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    openSUSE Leap 16 เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อ 1 ตุลาคม 2025
    พัฒนาบน SUSE Linux Framework One และใช้ Linux Kernel 6.12 LTS
    เปลี่ยนตัวติดตั้งจาก YaST มาเป็น Agama ที่ยืดหยุ่นและรองรับหลายดิสโทร
    เปลี่ยนระบบควบคุมสิทธิ์จาก AppArmor มาใช้ SELinux เป็นค่าเริ่มต้น
    ปรับปรุง repository ด้วย RIS-based management แยกตามสถาปัตยกรรม
    Zypper รองรับการดาวน์โหลดแพ็กเกจแบบขนาน เพิ่มความเร็วในการติดตั้ง
    เพิ่ม Cockpit สำหรับจัดการระบบ และ Myrlyn แทน YaST Qt GUI
    ถอดการรองรับ SysV init ออกอย่างสมบูรณ์
    รองรับ GNOME 48, KDE Plasma 6.4, Xfce 4.20 และมีภาพติดตั้งแบบ OEM
    รองรับสถาปัตยกรรม x86_64 v2, AArch64, ppc64le และ s390x
    สนับสนุนการอัปเดตและแพตช์ความปลอดภัยเป็นเวลา 24 เดือน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SELinux ถูกใช้เป็นมาตรฐานในหลายระบบองค์กร เช่น Red Hat และ Fedora
    Agama installer ถูกออกแบบให้รองรับการติดตั้งแบบอัตโนมัติและ third-party integration
    Cockpit เป็นเครื่องมือจัดการระบบผ่านเว็บที่ได้รับความนิยมในดิสโทรองค์กร
    Myrlyn เป็น GUI ใหม่ที่เน้นความเบาและการจัดการ repository ได้ดีขึ้น
    Leap 16 เป็นรุ่นแรกที่ไม่รองรับเครื่องที่ไม่ใช่ x86_64 v2 อีกต่อไป

    https://9to5linux.com/opensuse-leap-16-is-now-available-for-download-with-linux-kernel-6-12-lts
    🐧 “openSUSE Leap 16 เปิดตัวแล้ว — ปรับโฉมด้วย Agama, SELinux และ Linux Kernel 6.12 LTS พร้อมรองรับอนาคตองค์กร” openSUSE ประกาศเปิดตัว Leap 16 อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ตุลาคม 2025 โดยถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของดิสโทรสายเสถียรที่ได้รับการสนับสนุนระยะยาว (LTS) รุ่นนี้ถูกพัฒนาบนพื้นฐาน SUSE Linux Enterprise Server (SLES) 16 และใช้โครงสร้างใหม่ที่เรียกว่า SUSE Linux Framework One (ชื่อเดิมคือ Adaptable Linux Platform หรือ ALP) พร้อมขับเคลื่อนด้วย Linux Kernel 6.12 LTS ที่เน้นความเสถียรและความปลอดภัยสำหรับองค์กร หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือการเปลี่ยนตัวติดตั้งจาก YaST มาเป็น Agama ซึ่งพัฒนาโดยทีมเดียวกันกับ YaST แต่เน้นความยืดหยุ่นมากขึ้น รองรับการติดตั้งดิสโทรอื่น ๆ ของ openSUSE เช่น Tumbleweed, Slowroll และ MicroOS ได้ด้วย Leap 16 ยังเปลี่ยนระบบควบคุมสิทธิ์จาก AppArmor มาใช้ SELinux เป็นค่าเริ่มต้น ซึ่งได้รับการยอมรับมากกว่าในแวดวงความปลอดภัยระดับสูง และมีชุมชนพัฒนา upstream ที่แข็งแกร่งกว่า ด้านประสิทธิภาพ Leap 16 ปรับปรุงระบบจัดการ repository โดยใช้ RIS-based repository management ที่แยกตามสถาปัตยกรรม ทำให้ metadata มีขนาดเล็กลงและรีเฟรชได้เร็วขึ้น พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน Zypper ให้รองรับการดาวน์โหลดแพ็กเกจแบบขนาน (parallel downloads) เพื่อเร่งความเร็วในการติดตั้งและอัปเดต Leap 16 ยังเพิ่มเครื่องมือใหม่ เช่น Cockpit สำหรับจัดการระบบผ่านเว็บ และ Myrlyn ซึ่งมาแทน YaST Qt GUI สำหรับการติดตั้งซอฟต์แวร์ โดย Leap 16 ได้ถอดการรองรับ SysV init ออกอย่างสมบูรณ์แล้ว ผู้ใช้สามารถเลือกติดตั้ง Leap 16 ได้ทั้งแบบไม่มี GUI (Base) หรือใช้ GNOME 48, KDE Plasma 6.4 หรือ Xfce 4.20 เป็นเดสก์ท็อป โดยรองรับสถาปัตยกรรมหลากหลาย เช่น x86_64 v2, AArch64, ppc64le และ s390x รวมถึงมีภาพติดตั้งแบบ OEM เป็นครั้งแรก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ openSUSE Leap 16 เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อ 1 ตุลาคม 2025 ➡️ พัฒนาบน SUSE Linux Framework One และใช้ Linux Kernel 6.12 LTS ➡️ เปลี่ยนตัวติดตั้งจาก YaST มาเป็น Agama ที่ยืดหยุ่นและรองรับหลายดิสโทร ➡️ เปลี่ยนระบบควบคุมสิทธิ์จาก AppArmor มาใช้ SELinux เป็นค่าเริ่มต้น ➡️ ปรับปรุง repository ด้วย RIS-based management แยกตามสถาปัตยกรรม ➡️ Zypper รองรับการดาวน์โหลดแพ็กเกจแบบขนาน เพิ่มความเร็วในการติดตั้ง ➡️ เพิ่ม Cockpit สำหรับจัดการระบบ และ Myrlyn แทน YaST Qt GUI ➡️ ถอดการรองรับ SysV init ออกอย่างสมบูรณ์ ➡️ รองรับ GNOME 48, KDE Plasma 6.4, Xfce 4.20 และมีภาพติดตั้งแบบ OEM ➡️ รองรับสถาปัตยกรรม x86_64 v2, AArch64, ppc64le และ s390x ➡️ สนับสนุนการอัปเดตและแพตช์ความปลอดภัยเป็นเวลา 24 เดือน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SELinux ถูกใช้เป็นมาตรฐานในหลายระบบองค์กร เช่น Red Hat และ Fedora ➡️ Agama installer ถูกออกแบบให้รองรับการติดตั้งแบบอัตโนมัติและ third-party integration ➡️ Cockpit เป็นเครื่องมือจัดการระบบผ่านเว็บที่ได้รับความนิยมในดิสโทรองค์กร ➡️ Myrlyn เป็น GUI ใหม่ที่เน้นความเบาและการจัดการ repository ได้ดีขึ้น ➡️ Leap 16 เป็นรุ่นแรกที่ไม่รองรับเครื่องที่ไม่ใช่ x86_64 v2 อีกต่อไป https://9to5linux.com/opensuse-leap-16-is-now-available-for-download-with-linux-kernel-6-12-lts
    9TO5LINUX.COM
    openSUSE Leap 16 Is Now Available for Download with Linux Kernel 6.12 LTS - 9to5Linux
    openSUSE Leap 16 operating system is now available for download as a major update based on SUSE Linux Enterprise 16 and Linux 6.12 LTS.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 221 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Intel ยันเดินหน้าสร้างโรงงานชิปในโอไฮโอ แม้ล่าช้า 5 ปี — ส.ว.ตั้งคำถามแรง ‘นี่คือการหลอกลวงหรือไม่?’”

    ย้อนกลับไปในปี 2022 Intel เคยประกาศแผนสร้างโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่รัฐโอไฮโอ ภายใต้ชื่อโครงการ “Ohio One” โดยมีเป้าหมายสร้างโรงงานถึง 8 แห่ง พร้อมดึงดูดการลงทุนกว่า 28,000 ล้านดอลลาร์ และเสริมความแข็งแกร่งให้สหรัฐฯ ในฐานะผู้นำด้านการผลิตชิปขั้นสูง

    แต่ในปี 2025 นี้ โครงการกลับล่าช้าอย่างหนัก โดย Intel ยืนยันว่าจะเลื่อนการเปิดโรงงานไปถึงปี 2030 ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับ ส.ว. Bernie Moreno ที่ส่งจดหมายถึง CEO ของ Intel เพื่อขอคำชี้แจง พร้อมตั้งคำถามว่า “นี่คือการหลอกลวง หรืออาจเป็นการฉ้อโกง?”

    Moreno ระบุว่า รัฐโอไฮโอได้ให้เงินสนับสนุนโครงการไปแล้วกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ และลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหม่อีกเกือบ 700 ล้านดอลลาร์ แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ที่เป็นรูปธรรม ขณะที่ชุมชนท้องถิ่นที่เตรียมรับการเติบโตกลับต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน

    Intel ตอบกลับด้วยถ้อยคำทั่วไปว่า “ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีและการผลิตในสหรัฐฯ” และ “ทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในรัฐโอไฮโออย่างใกล้ชิด” แต่ไม่ได้ตอบคำถามเรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจหรือแผนเยียวยาผู้เสียภาษี

    แม้จะมีความล่าช้า แต่ Intel ยังได้รับแรงสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่งเข้าถือหุ้น 10% ในบริษัท พร้อมกับการลงทุนจาก Nvidia และ SoftBank ที่ช่วยดันราคาหุ้นขึ้นกว่า 66% ในปีนี้ โดยรัฐบาลมองว่า Intel คือคู่แข่งสำคัญของ TSMC และต้องได้รับการสนับสนุนเพื่อความมั่นคงของชาติ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel ยืนยันเดินหน้าโครงการ Ohio One แม้จะเลื่อนเปิดโรงงานไปถึงปี 2030
    โครงการเดิมตั้งเป้าสร้างโรงงาน 8 แห่ง มูลค่ารวมกว่า $28 พันล้าน
    ส.ว. Bernie Moreno ส่งจดหมายถาม Intel ว่าโครงการนี้เป็น “การหลอกลวงหรือไม่”
    รัฐโอไฮโอให้เงินสนับสนุนแล้วกว่า $2 พันล้าน และโครงสร้างพื้นฐานอีก $700 ล้าน
    Intel ตอบกลับด้วยถ้อยคำทั่วไป ไม่ได้ชี้แจงผลกระทบหรือแผนเยียวยาผู้เสียภาษี
    รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าถือหุ้น 10% ใน Intel เพื่อสนับสนุนด้านความมั่นคง
    Nvidia และ SoftBank ลงทุนใน Intel ดันราคาหุ้นขึ้นกว่า 66% ในปี 2025
    โรงงานนี้เคยถูกวางให้เป็นฐานผลิตเทคโนโลยี 18A และ 14A ของ Intel

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/intels-elusive-ohio-fab-project-scrutinized-by-u-s-senator-amid-5-year-delay-to-2030-chipmaker-reassures-ambitious-plan-is-still-on-track-despite-recent-cut-downs
    🏗️ “Intel ยันเดินหน้าสร้างโรงงานชิปในโอไฮโอ แม้ล่าช้า 5 ปี — ส.ว.ตั้งคำถามแรง ‘นี่คือการหลอกลวงหรือไม่?’” ย้อนกลับไปในปี 2022 Intel เคยประกาศแผนสร้างโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่รัฐโอไฮโอ ภายใต้ชื่อโครงการ “Ohio One” โดยมีเป้าหมายสร้างโรงงานถึง 8 แห่ง พร้อมดึงดูดการลงทุนกว่า 28,000 ล้านดอลลาร์ และเสริมความแข็งแกร่งให้สหรัฐฯ ในฐานะผู้นำด้านการผลิตชิปขั้นสูง แต่ในปี 2025 นี้ โครงการกลับล่าช้าอย่างหนัก โดย Intel ยืนยันว่าจะเลื่อนการเปิดโรงงานไปถึงปี 2030 ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับ ส.ว. Bernie Moreno ที่ส่งจดหมายถึง CEO ของ Intel เพื่อขอคำชี้แจง พร้อมตั้งคำถามว่า “นี่คือการหลอกลวง หรืออาจเป็นการฉ้อโกง?” Moreno ระบุว่า รัฐโอไฮโอได้ให้เงินสนับสนุนโครงการไปแล้วกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ และลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหม่อีกเกือบ 700 ล้านดอลลาร์ แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ที่เป็นรูปธรรม ขณะที่ชุมชนท้องถิ่นที่เตรียมรับการเติบโตกลับต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน Intel ตอบกลับด้วยถ้อยคำทั่วไปว่า “ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีและการผลิตในสหรัฐฯ” และ “ทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในรัฐโอไฮโออย่างใกล้ชิด” แต่ไม่ได้ตอบคำถามเรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจหรือแผนเยียวยาผู้เสียภาษี แม้จะมีความล่าช้า แต่ Intel ยังได้รับแรงสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่งเข้าถือหุ้น 10% ในบริษัท พร้อมกับการลงทุนจาก Nvidia และ SoftBank ที่ช่วยดันราคาหุ้นขึ้นกว่า 66% ในปีนี้ โดยรัฐบาลมองว่า Intel คือคู่แข่งสำคัญของ TSMC และต้องได้รับการสนับสนุนเพื่อความมั่นคงของชาติ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel ยืนยันเดินหน้าโครงการ Ohio One แม้จะเลื่อนเปิดโรงงานไปถึงปี 2030 ➡️ โครงการเดิมตั้งเป้าสร้างโรงงาน 8 แห่ง มูลค่ารวมกว่า $28 พันล้าน ➡️ ส.ว. Bernie Moreno ส่งจดหมายถาม Intel ว่าโครงการนี้เป็น “การหลอกลวงหรือไม่” ➡️ รัฐโอไฮโอให้เงินสนับสนุนแล้วกว่า $2 พันล้าน และโครงสร้างพื้นฐานอีก $700 ล้าน ➡️ Intel ตอบกลับด้วยถ้อยคำทั่วไป ไม่ได้ชี้แจงผลกระทบหรือแผนเยียวยาผู้เสียภาษี ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าถือหุ้น 10% ใน Intel เพื่อสนับสนุนด้านความมั่นคง ➡️ Nvidia และ SoftBank ลงทุนใน Intel ดันราคาหุ้นขึ้นกว่า 66% ในปี 2025 ➡️ โรงงานนี้เคยถูกวางให้เป็นฐานผลิตเทคโนโลยี 18A และ 14A ของ Intel https://www.tomshardware.com/tech-industry/intels-elusive-ohio-fab-project-scrutinized-by-u-s-senator-amid-5-year-delay-to-2030-chipmaker-reassures-ambitious-plan-is-still-on-track-despite-recent-cut-downs
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 288 มุมมอง 0 รีวิว
  • สาเหตุที่รบ.อนุทิน แข็งแกร่งเรื่องชายแดนกว่าชุดก่อน เพราะ... (1/10/68)

    #ThaiTimes
    #News1
    #News1short
    #TruthFromThailand
    #shorts
    #อนุทิน
    #รัฐบาลไทย
    #ชายแดน
    #การเมืองไทย
    สาเหตุที่รบ.อนุทิน แข็งแกร่งเรื่องชายแดนกว่าชุดก่อน เพราะ... (1/10/68) #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #อนุทิน #รัฐบาลไทย #ชายแดน #การเมืองไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 168 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • “Meta ซื้อกิจการ Rivos — ปั้น GPU RISC-V สู้ Nvidia พร้อมเร่งเครื่อง MTIA เพื่อ AI ยุคใหม่”

    Meta กำลังเดินเกมครั้งใหญ่ในสนาม AI ด้วยการเข้าซื้อกิจการ Rivos บริษัทสตาร์ทอัพด้านชิปที่เน้นสถาปัตยกรรม RISC-V โดยดีลนี้ยังไม่เปิดเผยอย่างเป็นทางการ แต่ได้รับการยืนยันจากหลายแหล่งข่าว รวมถึงโพสต์ของรองประธานฝ่ายวิศวกรรมของ Meta บน LinkedIn ว่า “เราตื่นเต้นที่จะนำทีม Rivos เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับการพัฒนา MTIA” — ชิป AI แบบ custom ที่ Meta พัฒนาร่วมกับ Broadcom

    Rivos เป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในการออกแบบ GPU และ AI accelerator โดยใช้สถาปัตยกรรม RISC-V ซึ่งเป็นมาตรฐานเปิดที่ไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์เหมือนกับ Arm หรือ x86 ทำให้สามารถพัฒนาได้อย่างยืดหยุ่นและลดต้นทุนในระยะยาว

    Meta มีเป้าหมายชัดเจนในการลดการพึ่งพา Nvidia โดยเฉพาะในยุคที่ความต้องการชิป AI พุ่งสูงและเกิดปัญหาคอขวดด้านซัพพลาย Meta จึงต้องการควบคุมห่วงโซ่ฮาร์ดแวร์ของตัวเองให้มากขึ้น และการซื้อ Rivos ก็เป็นก้าวสำคัญในแผนนี้

    ก่อนหน้านี้ Meta ได้พัฒนา MTIA รุ่นแรกและเริ่มใช้งานในดาต้าเซ็นเตอร์ร่วมกับ GPU ของ Nvidia แต่มีรายงานว่า Mark Zuckerberg ไม่พอใจกับความล่าช้าในการพัฒนา MTIA รุ่นถัดไป จึงเร่งการซื้อกิจการเพื่อเสริมทีมและเร่งการ tape-out รุ่นใหม่

    Rivos เคยมีประเด็นทางกฎหมายกับ Apple ในปี 2022 จากข้อกล่าวหาว่าดึงวิศวกรกว่า 40 คนออกจากทีม SoC ของ Apple พร้อมข้อมูลภายในหลายกิกะไบต์ แต่สุดท้ายทั้งสองฝ่ายตกลงกันในปี 2024

    หากดีลนี้สำเร็จ Meta จะกลายเป็นหนึ่งในบริษัทแรกที่นำ RISC-V เข้าสู่ดาต้าเซ็นเตอร์ในระดับใหญ่ ซึ่งอาจเปลี่ยนสมดุลของตลาด AI hardware และเปิดทางให้สถาปัตยกรรมเปิดกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในยุค AI

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Meta เตรียมซื้อกิจการ Rivos เพื่อเสริมทีมพัฒนาชิป AI ภายในองค์กร
    Rivos เชี่ยวชาญด้าน GPU และ AI accelerator บนสถาปัตยกรรม RISC-V
    MTIA เป็นชิป AI ที่ Meta พัฒนาร่วมกับ Broadcom และเริ่มใช้งานแล้วในดาต้าเซ็นเตอร์
    Meta ต้องการลดการพึ่งพา Nvidia และควบคุมห่วงโซ่ฮาร์ดแวร์ของตัวเอง
    Mark Zuckerberg ไม่พอใจกับความล่าช้าในการพัฒนา MTIA รุ่นใหม่
    Rivos เคยมีคดีความกับ Apple จากการดึงวิศวกรและข้อมูลภายใน
    ดีลนี้อาจทำให้ RISC-V เข้าสู่ดาต้าเซ็นเตอร์ในระดับใหญ่เป็นครั้งแรก
    Meta ลงทุนกว่า $70 พันล้านในปี 2025 ส่วนใหญ่เพื่อโครงสร้างพื้นฐาน AI

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    RISC-V เป็นสถาปัตยกรรมเปิดที่ไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ เหมาะกับการพัฒนาแบบ custom
    Nvidia Rubin CPX เป็นชิป AI รุ่นใหม่ที่ใช้สถาปัตยกรรม Arm ซึ่งแข่งขันกับ Rivos โดยตรง
    Rivos พัฒนา GPU แบบ Data Parallel Accelerator ที่เน้นงาน inference โดยเฉพาะ
    HBM (High Bandwidth Memory) เป็นหน่วยความจำที่ Rivos ใช้ในชิปเพื่อเร่งการประมวลผล AI
    การควบรวมกิจการในวงการชิป AI กำลังเป็นเทรนด์ของ Big Tech เช่น Google, Amazon, Microsoft

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/meta-reportedly-buying-risc-v-ai-gpu-firm-rivos-acquisition-to-bolster-dev-team-and-possibly-replace-nvidia-internally
    🚀 “Meta ซื้อกิจการ Rivos — ปั้น GPU RISC-V สู้ Nvidia พร้อมเร่งเครื่อง MTIA เพื่อ AI ยุคใหม่” Meta กำลังเดินเกมครั้งใหญ่ในสนาม AI ด้วยการเข้าซื้อกิจการ Rivos บริษัทสตาร์ทอัพด้านชิปที่เน้นสถาปัตยกรรม RISC-V โดยดีลนี้ยังไม่เปิดเผยอย่างเป็นทางการ แต่ได้รับการยืนยันจากหลายแหล่งข่าว รวมถึงโพสต์ของรองประธานฝ่ายวิศวกรรมของ Meta บน LinkedIn ว่า “เราตื่นเต้นที่จะนำทีม Rivos เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับการพัฒนา MTIA” — ชิป AI แบบ custom ที่ Meta พัฒนาร่วมกับ Broadcom Rivos เป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในการออกแบบ GPU และ AI accelerator โดยใช้สถาปัตยกรรม RISC-V ซึ่งเป็นมาตรฐานเปิดที่ไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์เหมือนกับ Arm หรือ x86 ทำให้สามารถพัฒนาได้อย่างยืดหยุ่นและลดต้นทุนในระยะยาว Meta มีเป้าหมายชัดเจนในการลดการพึ่งพา Nvidia โดยเฉพาะในยุคที่ความต้องการชิป AI พุ่งสูงและเกิดปัญหาคอขวดด้านซัพพลาย Meta จึงต้องการควบคุมห่วงโซ่ฮาร์ดแวร์ของตัวเองให้มากขึ้น และการซื้อ Rivos ก็เป็นก้าวสำคัญในแผนนี้ ก่อนหน้านี้ Meta ได้พัฒนา MTIA รุ่นแรกและเริ่มใช้งานในดาต้าเซ็นเตอร์ร่วมกับ GPU ของ Nvidia แต่มีรายงานว่า Mark Zuckerberg ไม่พอใจกับความล่าช้าในการพัฒนา MTIA รุ่นถัดไป จึงเร่งการซื้อกิจการเพื่อเสริมทีมและเร่งการ tape-out รุ่นใหม่ Rivos เคยมีประเด็นทางกฎหมายกับ Apple ในปี 2022 จากข้อกล่าวหาว่าดึงวิศวกรกว่า 40 คนออกจากทีม SoC ของ Apple พร้อมข้อมูลภายในหลายกิกะไบต์ แต่สุดท้ายทั้งสองฝ่ายตกลงกันในปี 2024 หากดีลนี้สำเร็จ Meta จะกลายเป็นหนึ่งในบริษัทแรกที่นำ RISC-V เข้าสู่ดาต้าเซ็นเตอร์ในระดับใหญ่ ซึ่งอาจเปลี่ยนสมดุลของตลาด AI hardware และเปิดทางให้สถาปัตยกรรมเปิดกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในยุค AI ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Meta เตรียมซื้อกิจการ Rivos เพื่อเสริมทีมพัฒนาชิป AI ภายในองค์กร ➡️ Rivos เชี่ยวชาญด้าน GPU และ AI accelerator บนสถาปัตยกรรม RISC-V ➡️ MTIA เป็นชิป AI ที่ Meta พัฒนาร่วมกับ Broadcom และเริ่มใช้งานแล้วในดาต้าเซ็นเตอร์ ➡️ Meta ต้องการลดการพึ่งพา Nvidia และควบคุมห่วงโซ่ฮาร์ดแวร์ของตัวเอง ➡️ Mark Zuckerberg ไม่พอใจกับความล่าช้าในการพัฒนา MTIA รุ่นใหม่ ➡️ Rivos เคยมีคดีความกับ Apple จากการดึงวิศวกรและข้อมูลภายใน ➡️ ดีลนี้อาจทำให้ RISC-V เข้าสู่ดาต้าเซ็นเตอร์ในระดับใหญ่เป็นครั้งแรก ➡️ Meta ลงทุนกว่า $70 พันล้านในปี 2025 ส่วนใหญ่เพื่อโครงสร้างพื้นฐาน AI ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ RISC-V เป็นสถาปัตยกรรมเปิดที่ไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ เหมาะกับการพัฒนาแบบ custom ➡️ Nvidia Rubin CPX เป็นชิป AI รุ่นใหม่ที่ใช้สถาปัตยกรรม Arm ซึ่งแข่งขันกับ Rivos โดยตรง ➡️ Rivos พัฒนา GPU แบบ Data Parallel Accelerator ที่เน้นงาน inference โดยเฉพาะ ➡️ HBM (High Bandwidth Memory) เป็นหน่วยความจำที่ Rivos ใช้ในชิปเพื่อเร่งการประมวลผล AI ➡️ การควบรวมกิจการในวงการชิป AI กำลังเป็นเทรนด์ของ Big Tech เช่น Google, Amazon, Microsoft https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/meta-reportedly-buying-risc-v-ai-gpu-firm-rivos-acquisition-to-bolster-dev-team-and-possibly-replace-nvidia-internally
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 241 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts