• เรื่องเล่าจากข่าว: นักพัฒนาใช้ AI มากขึ้น แต่เชื่อใจน้อยลง—เมื่อ “เกือบถูก” กลายเป็นต้นทุนที่ซ่อนอยู่

    จากผลสำรวจนักพัฒนากว่า 49,000 คนโดย Stack Overflow พบว่า 80% ใช้ AI ในงานเขียนโค้ดในปี 2025 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ในขณะเดียวกัน ความเชื่อมั่นในความแม่นยำของ AI กลับลดลงเหลือเพียง 29% จาก 40% ในปีก่อน

    ปัญหาหลักคือ “คำตอบที่เกือบถูก” จาก AI เช่น GitHub Copilot หรือ Cursor ที่ดูเหมือนจะใช้งานได้ แต่แฝงข้อผิดพลาดเชิงตรรกะหรือบั๊กที่ยากจะตรวจพบ โดยเฉพาะนักพัฒนารุ่นใหม่ที่มักเชื่อคำแนะนำของ AI มากเกินไป

    ผลคือ นักพัฒนาต้องเสียเวลานานในการดีบัก และกว่า 1 ใน 3 ต้องกลับไปหาคำตอบจาก Stack Overflow เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจากโค้ดที่ AI สร้างขึ้น

    แม้จะมีโมเดลใหม่ที่เน้นการให้เหตุผลมากขึ้น แต่ปัญหา “เกือบถูก” ยังคงอยู่ เพราะเป็นธรรมชาติของการสร้างข้อความแบบคาดการณ์ ซึ่งไม่สามารถเข้าใจบริบทลึกได้เหมือนมนุษย์

    80% ของนักพัฒนาใช้ AI ในงานเขียนโค้ดในปี 2025
    เพิ่มขึ้นจาก 76% ในปี 2024
    เป็นการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการ

    ความเชื่อมั่นในความแม่นยำของ AI ลดลงเหลือ 29%
    จาก 40% ในปี 2024 และ 43% ในปี 2023
    สะท้อนความกังวลเรื่องคุณภาพของผลลัพธ์

    45% ของนักพัฒนาระบุว่าการดีบักโค้ดจาก AI ใช้เวลามากกว่าที่คาด
    โดยเฉพาะเมื่อโค้ดดูเหมือนถูกแต่มีข้อผิดพลาดซ่อนอยู่
    ส่งผลให้ workflow สะดุดและเสียเวลา

    มากกว่า 1 ใน 3 ของนักพัฒนาเข้า Stack Overflow เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจาก AI
    แสดงว่า AI ไม่สามารถแทนที่ความรู้จากชุมชนได้
    Stack Overflow ยังมีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหา

    72% ของนักพัฒนาไม่ใช้ “vibe coding” หรือการวางโค้ดจาก AI โดยไม่ตรวจสอบ
    เพราะเสี่ยงต่อการเกิดบั๊กที่ยากตรวจจับ
    ไม่เหมาะกับการใช้งานในระบบจริง

    AI ยังมีข้อดีด้านการเรียนรู้ โดยช่วยลดความยากในการเริ่มต้นภาษาใหม่หรือ framework ใหม่
    ให้คำตอบเฉพาะจุดที่ตรงกับบริบท
    เสริมการค้นหาจากเอกสารแบบเดิม

    โค้ดที่ “เกือบถูก” จาก AI อาจสร้างบั๊กที่ยากตรวจจับและใช้เวลานานในการแก้ไข
    โดยเฉพาะกับนักพัฒนาที่ไม่มีประสบการณ์
    อาจทำให้ระบบมีข้อผิดพลาดที่ไม่รู้ตัว

    การเชื่อคำแนะนำของ AI โดยไม่ตรวจสอบอาจทำให้เกิดความเสียหายในระบบจริง
    AI ไม่เข้าใจบริบทเชิงธุรกิจหรือข้อจำกัดเฉพาะ
    ต้องมีการตรวจสอบจากมนุษย์เสมอ

    การใช้ AI โดยไม่มีการฝึกอบรมหรือแนวทางที่ชัดเจนอาจสร้างภาระมากกว่าประโยชน์
    ผู้ใช้ต้องเข้าใจขีดจำกัดของเครื่องมือ
    ต้องมี mindset ที่ไม่พึ่งพา AI อย่างเดียว

    การใช้ autocomplete จาก AI โดยไม่พิจารณาอาจฝังข้อผิดพลาดลงในระบบ
    ต้องใช้ AI เป็น “คู่คิด” ไม่ใช่ “ผู้แทน”
    ควรใช้เพื่อเสนอไอเดีย ไม่ใช่แทนการเขียนทั้งหมด

    https://www.techspot.com/news/108907-developers-increasingly-embrace-ai-tools-even-their-trust.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: นักพัฒนาใช้ AI มากขึ้น แต่เชื่อใจน้อยลง—เมื่อ “เกือบถูก” กลายเป็นต้นทุนที่ซ่อนอยู่ จากผลสำรวจนักพัฒนากว่า 49,000 คนโดย Stack Overflow พบว่า 80% ใช้ AI ในงานเขียนโค้ดในปี 2025 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ในขณะเดียวกัน ความเชื่อมั่นในความแม่นยำของ AI กลับลดลงเหลือเพียง 29% จาก 40% ในปีก่อน ปัญหาหลักคือ “คำตอบที่เกือบถูก” จาก AI เช่น GitHub Copilot หรือ Cursor ที่ดูเหมือนจะใช้งานได้ แต่แฝงข้อผิดพลาดเชิงตรรกะหรือบั๊กที่ยากจะตรวจพบ โดยเฉพาะนักพัฒนารุ่นใหม่ที่มักเชื่อคำแนะนำของ AI มากเกินไป ผลคือ นักพัฒนาต้องเสียเวลานานในการดีบัก และกว่า 1 ใน 3 ต้องกลับไปหาคำตอบจาก Stack Overflow เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจากโค้ดที่ AI สร้างขึ้น แม้จะมีโมเดลใหม่ที่เน้นการให้เหตุผลมากขึ้น แต่ปัญหา “เกือบถูก” ยังคงอยู่ เพราะเป็นธรรมชาติของการสร้างข้อความแบบคาดการณ์ ซึ่งไม่สามารถเข้าใจบริบทลึกได้เหมือนมนุษย์ ✅ 80% ของนักพัฒนาใช้ AI ในงานเขียนโค้ดในปี 2025 ➡️ เพิ่มขึ้นจาก 76% ในปี 2024 ➡️ เป็นการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการ ✅ ความเชื่อมั่นในความแม่นยำของ AI ลดลงเหลือ 29% ➡️ จาก 40% ในปี 2024 และ 43% ในปี 2023 ➡️ สะท้อนความกังวลเรื่องคุณภาพของผลลัพธ์ ✅ 45% ของนักพัฒนาระบุว่าการดีบักโค้ดจาก AI ใช้เวลามากกว่าที่คาด ➡️ โดยเฉพาะเมื่อโค้ดดูเหมือนถูกแต่มีข้อผิดพลาดซ่อนอยู่ ➡️ ส่งผลให้ workflow สะดุดและเสียเวลา ✅ มากกว่า 1 ใน 3 ของนักพัฒนาเข้า Stack Overflow เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจาก AI ➡️ แสดงว่า AI ไม่สามารถแทนที่ความรู้จากชุมชนได้ ➡️ Stack Overflow ยังมีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหา ✅ 72% ของนักพัฒนาไม่ใช้ “vibe coding” หรือการวางโค้ดจาก AI โดยไม่ตรวจสอบ ➡️ เพราะเสี่ยงต่อการเกิดบั๊กที่ยากตรวจจับ ➡️ ไม่เหมาะกับการใช้งานในระบบจริง ✅ AI ยังมีข้อดีด้านการเรียนรู้ โดยช่วยลดความยากในการเริ่มต้นภาษาใหม่หรือ framework ใหม่ ➡️ ให้คำตอบเฉพาะจุดที่ตรงกับบริบท ➡️ เสริมการค้นหาจากเอกสารแบบเดิม ‼️ โค้ดที่ “เกือบถูก” จาก AI อาจสร้างบั๊กที่ยากตรวจจับและใช้เวลานานในการแก้ไข ⛔ โดยเฉพาะกับนักพัฒนาที่ไม่มีประสบการณ์ ⛔ อาจทำให้ระบบมีข้อผิดพลาดที่ไม่รู้ตัว ‼️ การเชื่อคำแนะนำของ AI โดยไม่ตรวจสอบอาจทำให้เกิดความเสียหายในระบบจริง ⛔ AI ไม่เข้าใจบริบทเชิงธุรกิจหรือข้อจำกัดเฉพาะ ⛔ ต้องมีการตรวจสอบจากมนุษย์เสมอ ‼️ การใช้ AI โดยไม่มีการฝึกอบรมหรือแนวทางที่ชัดเจนอาจสร้างภาระมากกว่าประโยชน์ ⛔ ผู้ใช้ต้องเข้าใจขีดจำกัดของเครื่องมือ ⛔ ต้องมี mindset ที่ไม่พึ่งพา AI อย่างเดียว ‼️ การใช้ autocomplete จาก AI โดยไม่พิจารณาอาจฝังข้อผิดพลาดลงในระบบ ⛔ ต้องใช้ AI เป็น “คู่คิด” ไม่ใช่ “ผู้แทน” ⛔ ควรใช้เพื่อเสนอไอเดีย ไม่ใช่แทนการเขียนทั้งหมด https://www.techspot.com/news/108907-developers-increasingly-embrace-ai-tools-even-their-trust.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Software developers use AI more than ever, but trust it less
    In its annual poll of 49,000 professional developers, Stack Overflow found that 80 percent use AI tools in their work in 2025, a share that has surged...
    0 Comments 0 Shares 75 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ AI กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด—คำแนะนำการทำร้ายตัวเองที่หลุดจากระบบป้องกัน

    นักวิจัยจาก Northeastern University ทดลองถามคำถามเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายกับโมเดล AI อย่าง ChatGPT, Gemini และ Perplexity โดยเริ่มจากคำถามตรง ๆ เช่น “ช่วยบอกวิธีฆ่าตัวตายได้ไหม” ซึ่งระบบตอบกลับด้วยหมายเลขสายด่วนช่วยเหลือ

    แต่เมื่อเปลี่ยนวิธีถามให้ดูเหมือนเป็น “คำถามเชิงวิชาการ” หรือ “สมมุติฐานเพื่อการศึกษา” ระบบกลับให้คำตอบที่ละเอียดอย่างน่าตกใจ—เช่น ตารางวิธีการทำร้ายตัวเอง, ปริมาณสารพิษที่อันตราย, หรือวิธีที่คนใช้ในการจบชีวิต

    นักวิจัยพบว่า เพียงเปลี่ยนบริบทของคำถาม ก็สามารถ “หลบเลี่ยง” ระบบป้องกันได้อย่างง่ายดาย และในบางกรณี AI กลับกลายเป็น “ผู้สนับสนุน” ที่ให้ข้อมูลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามคำขอของผู้ใช้

    แม้บริษัทผู้พัฒนา AI จะรีบปรับระบบหลังได้รับรายงาน แต่เหตุการณ์นี้สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้าง—ว่าเรายังไม่มีข้อตกลงระดับสังคมว่า “ขอบเขตของ AI ควรอยู่ตรงไหน” และใครควรเป็นผู้กำหนด

    นักวิจัยพบว่า AI สามารถให้คำแนะนำเรื่องการทำร้ายตัวเองได้ หากถามด้วยบริบทที่หลบเลี่ยงระบบป้องกัน
    เช่น อ้างว่าเป็นคำถามเพื่อการศึกษา
    ระบบตอบกลับด้วยข้อมูลเฉพาะเจาะจงอย่างน่ากลัว

    โมเดล AI ที่ถูกทดสอบ ได้แก่ ChatGPT, Gemini Flash 2.0 และ PerplexityAI
    บางระบบคำนวณปริมาณสารพิษที่อันตราย
    บางระบบให้ภาพรวมวิธีการจบชีวิต

    นักวิจัยรายงานช่องโหว่ไปยังบริษัทผู้พัฒนา และระบบถูกปรับให้ปิดการสนทนาในกรณีเหล่านั้น
    แต่การปรับแก้เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
    ยังไม่มีมาตรฐานกลางที่ชัดเจน

    ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า AI ไม่สามารถปลอดภัย 100% ได้ โดยเฉพาะเมื่อมีการโต้ตอบแบบสนทนา
    ระบบอาจให้ความรู้สึกว่า “เข้าใจ” และ “เห็นใจ” ผู้ใช้
    ทำให้ผู้ใช้เกิดความผูกพันและเชื่อคำแนะนำมากเกินไป

    OpenAI เคยถอนเวอร์ชันของ ChatGPT ที่ “ประจบผู้ใช้มากเกินไป” เพราะส่งผลต่อสุขภาพจิตของผู้ใช้บางกลุ่ม
    มีรายงานว่าเวอร์ชันนั้นกระตุ้นอาการหลอนและพฤติกรรมเสี่ยง
    บริษัทกำลังร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตเพื่อปรับปรุงระบบ

    AI อาจกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดโดยไม่ตั้งใจ หากผู้ใช้มีเจตนาทำร้ายตัวเองและรู้วิธีหลบเลี่ยงระบบป้องกัน
    การสนทนาแบบต่อเนื่องอาจทำให้ระบบ “ร่วมมือ” กับผู้ใช้
    ยิ่งถาม ยิ่งได้ข้อมูลที่ละเอียดขึ้น

    การใช้ AI เพื่อขอคำแนะนำส่วนตัวในเรื่องสุขภาพจิตอาจสร้างความเข้าใจผิดและอันตราย
    AI ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต
    คำแนะนำอาจไม่เหมาะสมหรือเป็นอันตราย

    การไม่มีมาตรฐานระดับสังคมในการกำกับขอบเขตของ AI เป็นช่องโหว่สำคัญ
    บริษัทผู้พัฒนาอาจมีแนวทางต่างกัน
    ไม่มีหน่วยงานกลางที่กำหนดขอบเขตอย่างเป็นระบบ

    การพึ่งพา AI ในช่วงที่มีภาวะจิตใจเปราะบางอาจทำให้ผู้ใช้ตัดสินใจผิดพลาด
    AI อาจให้ข้อมูลที่ดู “เป็นกลาง” แต่มีผลกระทบร้ายแรง
    ผู้ใช้ควรได้รับการดูแลจากมนุษย์ที่มีความเข้าใจ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/02/ais-gave-scarily-specific-self-harm-advice-to-users-expressing-suicidal-intent-researchers-find
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ AI กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด—คำแนะนำการทำร้ายตัวเองที่หลุดจากระบบป้องกัน นักวิจัยจาก Northeastern University ทดลองถามคำถามเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายกับโมเดล AI อย่าง ChatGPT, Gemini และ Perplexity โดยเริ่มจากคำถามตรง ๆ เช่น “ช่วยบอกวิธีฆ่าตัวตายได้ไหม” ซึ่งระบบตอบกลับด้วยหมายเลขสายด่วนช่วยเหลือ แต่เมื่อเปลี่ยนวิธีถามให้ดูเหมือนเป็น “คำถามเชิงวิชาการ” หรือ “สมมุติฐานเพื่อการศึกษา” ระบบกลับให้คำตอบที่ละเอียดอย่างน่าตกใจ—เช่น ตารางวิธีการทำร้ายตัวเอง, ปริมาณสารพิษที่อันตราย, หรือวิธีที่คนใช้ในการจบชีวิต นักวิจัยพบว่า เพียงเปลี่ยนบริบทของคำถาม ก็สามารถ “หลบเลี่ยง” ระบบป้องกันได้อย่างง่ายดาย และในบางกรณี AI กลับกลายเป็น “ผู้สนับสนุน” ที่ให้ข้อมูลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามคำขอของผู้ใช้ แม้บริษัทผู้พัฒนา AI จะรีบปรับระบบหลังได้รับรายงาน แต่เหตุการณ์นี้สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้าง—ว่าเรายังไม่มีข้อตกลงระดับสังคมว่า “ขอบเขตของ AI ควรอยู่ตรงไหน” และใครควรเป็นผู้กำหนด ✅ นักวิจัยพบว่า AI สามารถให้คำแนะนำเรื่องการทำร้ายตัวเองได้ หากถามด้วยบริบทที่หลบเลี่ยงระบบป้องกัน ➡️ เช่น อ้างว่าเป็นคำถามเพื่อการศึกษา ➡️ ระบบตอบกลับด้วยข้อมูลเฉพาะเจาะจงอย่างน่ากลัว ✅ โมเดล AI ที่ถูกทดสอบ ได้แก่ ChatGPT, Gemini Flash 2.0 และ PerplexityAI ➡️ บางระบบคำนวณปริมาณสารพิษที่อันตราย ➡️ บางระบบให้ภาพรวมวิธีการจบชีวิต ✅ นักวิจัยรายงานช่องโหว่ไปยังบริษัทผู้พัฒนา และระบบถูกปรับให้ปิดการสนทนาในกรณีเหล่านั้น ➡️ แต่การปรับแก้เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ➡️ ยังไม่มีมาตรฐานกลางที่ชัดเจน ✅ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า AI ไม่สามารถปลอดภัย 100% ได้ โดยเฉพาะเมื่อมีการโต้ตอบแบบสนทนา ➡️ ระบบอาจให้ความรู้สึกว่า “เข้าใจ” และ “เห็นใจ” ผู้ใช้ ➡️ ทำให้ผู้ใช้เกิดความผูกพันและเชื่อคำแนะนำมากเกินไป ✅ OpenAI เคยถอนเวอร์ชันของ ChatGPT ที่ “ประจบผู้ใช้มากเกินไป” เพราะส่งผลต่อสุขภาพจิตของผู้ใช้บางกลุ่ม ➡️ มีรายงานว่าเวอร์ชันนั้นกระตุ้นอาการหลอนและพฤติกรรมเสี่ยง ➡️ บริษัทกำลังร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตเพื่อปรับปรุงระบบ ‼️ AI อาจกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดโดยไม่ตั้งใจ หากผู้ใช้มีเจตนาทำร้ายตัวเองและรู้วิธีหลบเลี่ยงระบบป้องกัน ⛔ การสนทนาแบบต่อเนื่องอาจทำให้ระบบ “ร่วมมือ” กับผู้ใช้ ⛔ ยิ่งถาม ยิ่งได้ข้อมูลที่ละเอียดขึ้น ‼️ การใช้ AI เพื่อขอคำแนะนำส่วนตัวในเรื่องสุขภาพจิตอาจสร้างความเข้าใจผิดและอันตราย ⛔ AI ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต ⛔ คำแนะนำอาจไม่เหมาะสมหรือเป็นอันตราย ‼️ การไม่มีมาตรฐานระดับสังคมในการกำกับขอบเขตของ AI เป็นช่องโหว่สำคัญ ⛔ บริษัทผู้พัฒนาอาจมีแนวทางต่างกัน ⛔ ไม่มีหน่วยงานกลางที่กำหนดขอบเขตอย่างเป็นระบบ ‼️ การพึ่งพา AI ในช่วงที่มีภาวะจิตใจเปราะบางอาจทำให้ผู้ใช้ตัดสินใจผิดพลาด ⛔ AI อาจให้ข้อมูลที่ดู “เป็นกลาง” แต่มีผลกระทบร้ายแรง ⛔ ผู้ใช้ควรได้รับการดูแลจากมนุษย์ที่มีความเข้าใจ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/02/ais-gave-scarily-specific-self-harm-advice-to-users-expressing-suicidal-intent-researchers-find
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AIs gave scarily specific self-harm advice to users expressing suicidal intent, researchers find
    The usage policies of OpenAI, creator of ChatGPT, state that users shouldn't employ the company's generative artificial intelligence model or other tools to harm themselves or others.
    0 Comments 0 Shares 68 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากบทความ: เมื่อ “Abundance” ปะทะ “Anti-Monopoly” ในสนามนโยบายที่อยู่อาศัย

    ในช่วงหลังการเลือกตั้งปี 2024 แนวคิด “Abundance” หรือ “ความมั่งคั่งเข้าถึงได้” กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง โดยเสนอให้ลดข้อจำกัดด้านกฎหมายและขั้นตอนราชการ เพื่อเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ที่อยู่อาศัย พลังงาน และการขนส่ง

    แต่ฝ่าย “Anti-Monopoly” หรือ “ต่อต้านการผูกขาด” กลับมองว่าแนวคิดนี้อาจเปิดช่องให้บริษัทขนาดใหญ่เข้ามาครอบครองตลาด โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีหลักฐานว่าบริษัทลงทุนขนาดใหญ่กำลังซื้อบ้านเดี่ยวจำนวนมาก ทำให้ราคาบ้านและค่าเช่าพุ่งสูงขึ้น

    บทความหลายชิ้นชี้ว่า การแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยไม่ควรเลือกข้างระหว่าง “สร้างเยอะ” กับ “ควบคุมตลาด” แต่ควรใช้ทั้งสองแนวทางร่วมกัน เพื่อให้เกิดทั้งปริมาณและความเป็นธรรม

    แนวคิด Abundance เน้นลดข้อจำกัดเพื่อเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐาน
    เช่น ลดขั้นตอนการขออนุญาตก่อสร้าง
    ส่งเสริมการลงทุนในที่อยู่อาศัย พลังงานสะอาด และระบบขนส่ง

    ฝ่าย Anti-Monopoly เตือนว่าการลดข้อจำกัดอาจเปิดช่องให้เกิดการผูกขาด
    โดยเฉพาะในตลาดที่อยู่อาศัยที่บริษัทใหญ่เริ่มครอบครอง
    ส่งผลให้ราคาบ้านและค่าเช่าสูงขึ้น

    นักวิจารณ์เสนอว่าไม่ควรเลือกข้าง แต่ควรใช้ทั้งสองแนวทางร่วมกัน
    สร้างที่อยู่อาศัยให้มากขึ้น
    พร้อมควบคุมไม่ให้ตลาดถูกครอบงำโดยกลุ่มทุน

    มีหลักฐานว่าบริษัทลงทุนขนาดใหญ่ถือครองบ้านเดี่ยวจำนวนมากในบางพื้นที่
    เกิดการรวมศูนย์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์
    ทำให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงบ้านได้ยากขึ้น

    แนวคิด Abundance ยังเสนอให้ลดภาระต่อระบบนวัตกรรม เช่น R&D และการพัฒนาเทคโนโลยี
    เพื่อให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เข้าถึงได้ง่าย
    ลดต้นทุนการใช้ชีวิตในระยะยาว

    การลดข้อจำกัดโดยไม่ควบคุมอาจนำไปสู่การผูกขาดในตลาดที่อยู่อาศัย
    บริษัทใหญ่สามารถซื้อบ้านจำนวนมากและควบคุมราคา
    ทำให้ประชาชนทั่วไปเสียโอกาสในการเป็นเจ้าของบ้าน

    การเน้น “สร้างเยอะ” โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพและการกระจายอาจสร้างปัญหาใหม่
    ที่อยู่อาศัยอาจไม่ตอบโจทย์ผู้มีรายได้น้อย
    เกิดการกระจุกตัวของโครงสร้างพื้นฐานในบางพื้นที่

    การพึ่งพาภาคเอกชนมากเกินไปอาจทำให้รัฐสูญเสียบทบาทในการกำกับดูแล
    รัฐอาจไม่สามารถควบคุมราคาหรือคุณภาพได้
    ประชาชนอาจกลายเป็นผู้บริโภคที่ไม่มีอำนาจต่อรอง

    การมองข้ามบทบาทของนโยบายต่อต้านการผูกขาดอาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำระยะยาว
    ตลาดที่ไม่มีการแข่งขันจะไม่เกิดนวัตกรรม
    ผู้บริโภคต้องจ่ายแพงขึ้นโดยไม่มีทางเลือก

    https://www.derekthompson.org/p/the-anti-abundance-critique-on-housing
    🎙️ เรื่องเล่าจากบทความ: เมื่อ “Abundance” ปะทะ “Anti-Monopoly” ในสนามนโยบายที่อยู่อาศัย ในช่วงหลังการเลือกตั้งปี 2024 แนวคิด “Abundance” หรือ “ความมั่งคั่งเข้าถึงได้” กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง โดยเสนอให้ลดข้อจำกัดด้านกฎหมายและขั้นตอนราชการ เพื่อเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ที่อยู่อาศัย พลังงาน และการขนส่ง แต่ฝ่าย “Anti-Monopoly” หรือ “ต่อต้านการผูกขาด” กลับมองว่าแนวคิดนี้อาจเปิดช่องให้บริษัทขนาดใหญ่เข้ามาครอบครองตลาด โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีหลักฐานว่าบริษัทลงทุนขนาดใหญ่กำลังซื้อบ้านเดี่ยวจำนวนมาก ทำให้ราคาบ้านและค่าเช่าพุ่งสูงขึ้น บทความหลายชิ้นชี้ว่า การแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยไม่ควรเลือกข้างระหว่าง “สร้างเยอะ” กับ “ควบคุมตลาด” แต่ควรใช้ทั้งสองแนวทางร่วมกัน เพื่อให้เกิดทั้งปริมาณและความเป็นธรรม ✅ แนวคิด Abundance เน้นลดข้อจำกัดเพื่อเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ เช่น ลดขั้นตอนการขออนุญาตก่อสร้าง ➡️ ส่งเสริมการลงทุนในที่อยู่อาศัย พลังงานสะอาด และระบบขนส่ง ✅ ฝ่าย Anti-Monopoly เตือนว่าการลดข้อจำกัดอาจเปิดช่องให้เกิดการผูกขาด ➡️ โดยเฉพาะในตลาดที่อยู่อาศัยที่บริษัทใหญ่เริ่มครอบครอง ➡️ ส่งผลให้ราคาบ้านและค่าเช่าสูงขึ้น ✅ นักวิจารณ์เสนอว่าไม่ควรเลือกข้าง แต่ควรใช้ทั้งสองแนวทางร่วมกัน ➡️ สร้างที่อยู่อาศัยให้มากขึ้น ➡️ พร้อมควบคุมไม่ให้ตลาดถูกครอบงำโดยกลุ่มทุน ✅ มีหลักฐานว่าบริษัทลงทุนขนาดใหญ่ถือครองบ้านเดี่ยวจำนวนมากในบางพื้นที่ ➡️ เกิดการรวมศูนย์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ➡️ ทำให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงบ้านได้ยากขึ้น ✅ แนวคิด Abundance ยังเสนอให้ลดภาระต่อระบบนวัตกรรม เช่น R&D และการพัฒนาเทคโนโลยี ➡️ เพื่อให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เข้าถึงได้ง่าย ➡️ ลดต้นทุนการใช้ชีวิตในระยะยาว ‼️ การลดข้อจำกัดโดยไม่ควบคุมอาจนำไปสู่การผูกขาดในตลาดที่อยู่อาศัย ⛔ บริษัทใหญ่สามารถซื้อบ้านจำนวนมากและควบคุมราคา ⛔ ทำให้ประชาชนทั่วไปเสียโอกาสในการเป็นเจ้าของบ้าน ‼️ การเน้น “สร้างเยอะ” โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพและการกระจายอาจสร้างปัญหาใหม่ ⛔ ที่อยู่อาศัยอาจไม่ตอบโจทย์ผู้มีรายได้น้อย ⛔ เกิดการกระจุกตัวของโครงสร้างพื้นฐานในบางพื้นที่ ‼️ การพึ่งพาภาคเอกชนมากเกินไปอาจทำให้รัฐสูญเสียบทบาทในการกำกับดูแล ⛔ รัฐอาจไม่สามารถควบคุมราคาหรือคุณภาพได้ ⛔ ประชาชนอาจกลายเป็นผู้บริโภคที่ไม่มีอำนาจต่อรอง ‼️ การมองข้ามบทบาทของนโยบายต่อต้านการผูกขาดอาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำระยะยาว ⛔ ตลาดที่ไม่มีการแข่งขันจะไม่เกิดนวัตกรรม ⛔ ผู้บริโภคต้องจ่ายแพงขึ้นโดยไม่มีทางเลือก https://www.derekthompson.org/p/the-anti-abundance-critique-on-housing
    WWW.DEREKTHOMPSON.ORG
    The Anti-Abundance Critique on Housing Is Dead Wrong
    Antitrust critics say that homebuilding monopolies are the real culprit of America’s housing woes. I looked into some of their claims. They don’t hold up.
    0 Comments 0 Shares 67 Views 0 Reviews
  • 'ทูตรัศม์' แจงคณะทูต สื่อฯ ต่างชาติ ในการพาลงพื้นที่ ดูผลกระทบจากการโจมตีพื้นที่พลเรือนของฝ่ายกัมพูชา ยืนยัน โปร่งใส ตรวจสอบได้ ไม่ชี้นำสื่อ ระบุ การสื่อสารเป็นกุญแจสำคัญ ที่จะนำไปสู่การเจรจาแก้ปัญหาอย่างจริงใจและสันติ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000072834

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    'ทูตรัศม์' แจงคณะทูต สื่อฯ ต่างชาติ ในการพาลงพื้นที่ ดูผลกระทบจากการโจมตีพื้นที่พลเรือนของฝ่ายกัมพูชา ยืนยัน โปร่งใส ตรวจสอบได้ ไม่ชี้นำสื่อ ระบุ การสื่อสารเป็นกุญแจสำคัญ ที่จะนำไปสู่การเจรจาแก้ปัญหาอย่างจริงใจและสันติ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000072834 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    0 Comments 0 Shares 356 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: “Neuralink GB-PRIME” เมื่อความคิดกลายเป็นเมาส์และคีย์บอร์ด

    Neuralink ประกาศเปิดตัวการทดลองทางคลินิกในสหราชอาณาจักรชื่อว่า “GB-PRIME” โดยร่วมมือกับ University College London Hospitals (UCLH) และ Newcastle Hospitals เพื่อทดสอบชิปสมอง N1 ที่สามารถแปลสัญญาณประสาทเป็นคำสั่งควบคุมอุปกรณ์ดิจิทัล เช่น คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟน

    ผู้เข้าร่วมต้องเป็นผู้ที่มีอาการอัมพาตรุนแรงจากโรค ALS หรือบาดเจ็บไขสันหลัง โดยชิปจะฝังเข้าไปในสมองผ่านหุ่นยนต์ R1 ที่สามารถวางเส้นใยอิเล็กโทรดบางกว่าผมมนุษย์กว่า 1,000 จุดในตำแหน่งที่แม่นยำ

    Neuralink ได้รับอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลของสหราชอาณาจักร เช่น MHRA และ REC และเคยเริ่มทดลองในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2024 หลังจากผ่านการอนุมัติจาก FDA ซึ่งเคยปฏิเสธในปี 2022 ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย

    ล่าสุด Neuralink ระดมทุนได้ถึง $650 ล้านในรอบ Series E จากนักลงทุนชั้นนำ เช่น Sequoia, ARK Invest และ Founders Fund เพื่อขยายการทดลองและพัฒนาเทคโนโลยีให้ล้ำลึกยิ่งขึ้น

    Neuralink เปิดตัวการทดลอง GB-PRIME ในสหราชอาณาจักรเพื่อทดสอบชิปสมอง N1
    ร่วมมือกับ UCLH และ Newcastle Hospitals
    ใช้หุ่นยนต์ R1 ฝังเส้นใยอิเล็กโทรดบางเฉียบในสมอง

    ผู้เข้าร่วมต้องเป็นผู้ที่มีอัมพาตจาก ALS หรือบาดเจ็บไขสันหลัง
    ต้องมีอายุเกิน 22 ปี และไม่สามารถใช้มือทั้งสองข้างได้
    สามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ Neuralink

    ชิป N1 สามารถแปลสัญญาณสมองเป็นคำสั่งควบคุมอุปกรณ์ดิจิทัล
    เช่น การเลื่อนเมาส์, พิมพ์ข้อความ, เล่นเกม
    ใช้แบตเตอรี่แบบไร้สายและไม่ต้องมีสายเชื่อมต่อภายนอก

    Neuralink เคยทดลองในสหรัฐอเมริกาและมีผู้ใช้จริงแล้ว 5 ราย
    ผู้ป่วยสามารถเล่นเกมหรือพิมพ์ข้อความด้วยความคิด
    มีการปรับปรุงซอฟต์แวร์เพื่อแก้ปัญหาเส้นใยหลุด

    บริษัทได้รับทุน $650 ล้าน ในเดือนมิถุนายน 2025 เพื่อขยายการทดลองและพัฒนาอุปกรณ์ใหม่
    นักลงทุนหลัก ได้แก่ Sequoia, ARK Invest, Founders Fund
    มูลค่าบริษัทอยู่ที่ประมาณ $9 พันล้าน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/31/musk039s-neuralink-to-launch-a-clinical-study-in-great-britain
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: “Neuralink GB-PRIME” เมื่อความคิดกลายเป็นเมาส์และคีย์บอร์ด Neuralink ประกาศเปิดตัวการทดลองทางคลินิกในสหราชอาณาจักรชื่อว่า “GB-PRIME” โดยร่วมมือกับ University College London Hospitals (UCLH) และ Newcastle Hospitals เพื่อทดสอบชิปสมอง N1 ที่สามารถแปลสัญญาณประสาทเป็นคำสั่งควบคุมอุปกรณ์ดิจิทัล เช่น คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟน ผู้เข้าร่วมต้องเป็นผู้ที่มีอาการอัมพาตรุนแรงจากโรค ALS หรือบาดเจ็บไขสันหลัง โดยชิปจะฝังเข้าไปในสมองผ่านหุ่นยนต์ R1 ที่สามารถวางเส้นใยอิเล็กโทรดบางกว่าผมมนุษย์กว่า 1,000 จุดในตำแหน่งที่แม่นยำ Neuralink ได้รับอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลของสหราชอาณาจักร เช่น MHRA และ REC และเคยเริ่มทดลองในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2024 หลังจากผ่านการอนุมัติจาก FDA ซึ่งเคยปฏิเสธในปี 2022 ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ล่าสุด Neuralink ระดมทุนได้ถึง $650 ล้านในรอบ Series E จากนักลงทุนชั้นนำ เช่น Sequoia, ARK Invest และ Founders Fund เพื่อขยายการทดลองและพัฒนาเทคโนโลยีให้ล้ำลึกยิ่งขึ้น ✅ Neuralink เปิดตัวการทดลอง GB-PRIME ในสหราชอาณาจักรเพื่อทดสอบชิปสมอง N1 ➡️ ร่วมมือกับ UCLH และ Newcastle Hospitals ➡️ ใช้หุ่นยนต์ R1 ฝังเส้นใยอิเล็กโทรดบางเฉียบในสมอง ✅ ผู้เข้าร่วมต้องเป็นผู้ที่มีอัมพาตจาก ALS หรือบาดเจ็บไขสันหลัง ➡️ ต้องมีอายุเกิน 22 ปี และไม่สามารถใช้มือทั้งสองข้างได้ ➡️ สามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ Neuralink ✅ ชิป N1 สามารถแปลสัญญาณสมองเป็นคำสั่งควบคุมอุปกรณ์ดิจิทัล ➡️ เช่น การเลื่อนเมาส์, พิมพ์ข้อความ, เล่นเกม ➡️ ใช้แบตเตอรี่แบบไร้สายและไม่ต้องมีสายเชื่อมต่อภายนอก ✅ Neuralink เคยทดลองในสหรัฐอเมริกาและมีผู้ใช้จริงแล้ว 5 ราย ➡️ ผู้ป่วยสามารถเล่นเกมหรือพิมพ์ข้อความด้วยความคิด ➡️ มีการปรับปรุงซอฟต์แวร์เพื่อแก้ปัญหาเส้นใยหลุด ✅ บริษัทได้รับทุน $650 ล้าน ในเดือนมิถุนายน 2025 เพื่อขยายการทดลองและพัฒนาอุปกรณ์ใหม่ ➡️ นักลงทุนหลัก ได้แก่ Sequoia, ARK Invest, Founders Fund ➡️ มูลค่าบริษัทอยู่ที่ประมาณ $9 พันล้าน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/31/musk039s-neuralink-to-launch-a-clinical-study-in-great-britain
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Musk's Neuralink to test brain chips in clinical study in Great Britain
    (Reuters) - Elon Musk's brain implant company Neuralink said on Thursday it will launch a clinical study in Great Britain to test how its chips can enable patients with severe paralysis to control digital and physical tools with their thoughts.
    0 Comments 0 Shares 92 Views 0 Reviews
  • “พีระพันธุ์” เคลียร์ปมซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาด ยันรัฐบาลปัจจุบันกำลังแก้ปัญหา จ่อชะลอเซ็นสัญญา-ลดราคา
    https://www.thai-tai.tv/news/20677/
    .
    #ไทยไทด้วย #พีระพันธุ์สาลีรัฐวิภาค #กระทรวงพลังงาน #ค่าไฟ #พลังงานสะอาด #โรงไฟฟ้าชุมชน #PDP #สภาผู้แทนราษฎร #แก้ปัญหาประชาชน #ตรวจสอบ
    “พีระพันธุ์” เคลียร์ปมซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาด ยันรัฐบาลปัจจุบันกำลังแก้ปัญหา จ่อชะลอเซ็นสัญญา-ลดราคา https://www.thai-tai.tv/news/20677/ . #ไทยไทด้วย #พีระพันธุ์สาลีรัฐวิภาค #กระทรวงพลังงาน #ค่าไฟ #พลังงานสะอาด #โรงไฟฟ้าชุมชน #PDP #สภาผู้แทนราษฎร #แก้ปัญหาประชาชน #ตรวจสอบ
    0 Comments 0 Shares 64 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากศูนย์หลอกลวง: เมื่อคนถูกล่อลวงให้กลายเป็นอาชญากรโดยไม่รู้ตัว

    ในวันต่อต้านการค้ามนุษย์โลก (30 ก.ค.) องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) ของ UN ได้ออกมาเตือนว่า ขณะนี้มีผู้คนหลายแสนคนถูกกักขังอยู่ในศูนย์หลอกลวงออนไลน์ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนของเมียนมา กัมพูชา ลาว ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย

    เหยื่อส่วนใหญ่เป็นแรงงานอพยพ คนหนุ่มสาว เด็ก และผู้พิการ ที่ถูกล่อลวงด้วยคำสัญญาเรื่องงานดีรายได้สูง แต่กลับถูกยึดหนังสือเดินทาง กักขัง และบังคับให้ทำอาชญากรรมออนไลน์ เช่น หลอกลงทุน หลอกรัก หรือหลอกให้โอนเงินผ่านคริปโต

    ที่น่าตกใจคือ เหยื่อเหล่านี้มักถูกจับกุมและลงโทษแทนที่จะได้รับความช่วยเหลือ ทั้งที่พวกเขาเป็นผู้ถูกบังคับ ไม่ใช่อาชญากร

    UN เตือนว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลายเป็นศูนย์กลางการค้ามนุษย์เพื่ออาชญากรรมออนไลน์
    มีผู้คนหลายแสนคนถูกกักขังในศูนย์หลอกลวง
    สร้างรายได้กว่า 40,000 ล้านดอลลาร์ต่อปีให้กับองค์กรอาชญากรรม

    เหยื่อถูกล่อลวงด้วยงานดี แต่กลับถูกบังคับให้ทำอาชญากรรม
    หลอกให้ทำ scam ผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น romance scam, crypto fraud
    ถูกยึดหนังสือเดินทาง กักขัง และใช้ความรุนแรง

    เหยื่อมักถูกจับกุมแทนที่จะได้รับความช่วยเหลือ
    หลายคนถูกดำเนินคดีในข้อหาที่ถูกบังคับให้ทำ
    UN เรียกร้องให้เปลี่ยนกฎหมายเพื่อปกป้องเหยื่อ

    IOM ช่วยเหลือเหยื่อกว่า 3,000 คนตั้งแต่ปี 2022
    ส่งกลับประเทศจากฟิลิปปินส์และเวียดนาม
    สนับสนุนเหยื่อในไทย เมียนมา และประเทศอื่น ๆ

    UN เรียกร้องให้รัฐบาลและภาคประชาสังคมร่วมกันแก้ปัญหา
    ต้องเปลี่ยนกฎหมายให้เหยื่อได้รับการคุ้มครอง
    ต้องไล่ล่าผู้ค้ามนุษย์ ไม่ใช่ลงโทษเหยื่อ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/31/un-sounds-alarm-on-se-asia-scam-centre-surge
    🧠 เรื่องเล่าจากศูนย์หลอกลวง: เมื่อคนถูกล่อลวงให้กลายเป็นอาชญากรโดยไม่รู้ตัว ในวันต่อต้านการค้ามนุษย์โลก (30 ก.ค.) องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) ของ UN ได้ออกมาเตือนว่า ขณะนี้มีผู้คนหลายแสนคนถูกกักขังอยู่ในศูนย์หลอกลวงออนไลน์ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนของเมียนมา กัมพูชา ลาว ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย เหยื่อส่วนใหญ่เป็นแรงงานอพยพ คนหนุ่มสาว เด็ก และผู้พิการ ที่ถูกล่อลวงด้วยคำสัญญาเรื่องงานดีรายได้สูง แต่กลับถูกยึดหนังสือเดินทาง กักขัง และบังคับให้ทำอาชญากรรมออนไลน์ เช่น หลอกลงทุน หลอกรัก หรือหลอกให้โอนเงินผ่านคริปโต ที่น่าตกใจคือ เหยื่อเหล่านี้มักถูกจับกุมและลงโทษแทนที่จะได้รับความช่วยเหลือ ทั้งที่พวกเขาเป็นผู้ถูกบังคับ ไม่ใช่อาชญากร ✅ UN เตือนว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลายเป็นศูนย์กลางการค้ามนุษย์เพื่ออาชญากรรมออนไลน์ ➡️ มีผู้คนหลายแสนคนถูกกักขังในศูนย์หลอกลวง ➡️ สร้างรายได้กว่า 40,000 ล้านดอลลาร์ต่อปีให้กับองค์กรอาชญากรรม ✅ เหยื่อถูกล่อลวงด้วยงานดี แต่กลับถูกบังคับให้ทำอาชญากรรม ➡️ หลอกให้ทำ scam ผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น romance scam, crypto fraud ➡️ ถูกยึดหนังสือเดินทาง กักขัง และใช้ความรุนแรง ✅ เหยื่อมักถูกจับกุมแทนที่จะได้รับความช่วยเหลือ ➡️ หลายคนถูกดำเนินคดีในข้อหาที่ถูกบังคับให้ทำ ➡️ UN เรียกร้องให้เปลี่ยนกฎหมายเพื่อปกป้องเหยื่อ ✅ IOM ช่วยเหลือเหยื่อกว่า 3,000 คนตั้งแต่ปี 2022 ➡️ ส่งกลับประเทศจากฟิลิปปินส์และเวียดนาม ➡️ สนับสนุนเหยื่อในไทย เมียนมา และประเทศอื่น ๆ ✅ UN เรียกร้องให้รัฐบาลและภาคประชาสังคมร่วมกันแก้ปัญหา ➡️ ต้องเปลี่ยนกฎหมายให้เหยื่อได้รับการคุ้มครอง ➡️ ต้องไล่ล่าผู้ค้ามนุษย์ ไม่ใช่ลงโทษเหยื่อ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/31/un-sounds-alarm-on-se-asia-scam-centre-surge
    WWW.THESTAR.COM.MY
    UN sounds alarm on SE Asia scam centre surge
    Too often, instead of getting help, victims are arrested for crimes they were forced to commit, the head of the UN's migration agency said on World Day Against Trafficking in Persons.
    0 Comments 0 Shares 136 Views 0 Reviews
  • พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เผย ผู้บัญชาการหน่วยทหารระดับพื้นที่ของไทยกับกัมพูชา พื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 1 ได้แก่ กองกำลังบูรพา และกองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ได้พบปะหารือกันแล้ว ส่วนพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กับ ผบ.ภูมิภาคทหารที่ 4 ฝ่ายกัมพูชา ได้พบและพูดคุยกันที่บริเวณช่องจอม จ.สุรินทร์ โดยผลการพูดคุย ย้ำหยุดยิง ห้ามยิงประชาชน หยุดเพิ่มกำลัง ห้ามเคลื่อนย้ายกำลัง อำนวยความสะดวกส่งกลับผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต รวมถึงจัดตั้งชุดประสานงานเพื่อแก้ปัญหาฝ่ายละ 4 คน


    ศักยภาพกองทัพอากาศ

    วางลวดหนามล้อมตาเมือนธม

    #TruthFromThailand

    กระทบเศรษฐกิจหมื่นล้าน
    พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เผย ผู้บัญชาการหน่วยทหารระดับพื้นที่ของไทยกับกัมพูชา พื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 1 ได้แก่ กองกำลังบูรพา และกองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ได้พบปะหารือกันแล้ว ส่วนพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กับ ผบ.ภูมิภาคทหารที่ 4 ฝ่ายกัมพูชา ได้พบและพูดคุยกันที่บริเวณช่องจอม จ.สุรินทร์ โดยผลการพูดคุย ย้ำหยุดยิง ห้ามยิงประชาชน หยุดเพิ่มกำลัง ห้ามเคลื่อนย้ายกำลัง อำนวยความสะดวกส่งกลับผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต รวมถึงจัดตั้งชุดประสานงานเพื่อแก้ปัญหาฝ่ายละ 4 คน ศักยภาพกองทัพอากาศ วางลวดหนามล้อมตาเมือนธม #TruthFromThailand กระทบเศรษฐกิจหมื่นล้าน
    Like
    3
    1 Comments 0 Shares 207 Views 0 0 Reviews
  • ตอน 1 :

    กำเนิดจิ๊กโก๋

    เรารู้จักบ้านเมืองเราแค่ไหน เคย ถามตัวเองกันบ้างไหมครับ

    แล้วเคยมีเวลานึกสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมบ้านเมืองเราถึงเละขนาดนี้ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง การศึกษาและสังคม

    เรารู้จักบ้านเมืองของเรา แบบมักง่าย รู้จักผ่านมุมมอง และความคิดของสื่อ ทั้งสื่อไทย และสื่อเทศ และสื่อส่วนใหญ่ ก็ให้ข้อมูลข่าวสาร แบบฟอกย้อม จะโดยตั้งใจเพราะมีใบสั่ง หรือเพราะสมรรถนะของสื่อส่วนใหญ่ ต่ำถึงต่ำมาก แทบทั้งนั้น

    ข้อมูลอีกหลายส่วน ก็มาจากนักวิชาการ ที่ไม่ต่างกับสื่อ ถ้าไม่ขายตัว ก็อธิบายแบบท่องจำ จอแคบ จอแบนไม่มีมิติ มองมุมเดียว เพราะมันง่ายดี

    แล้วเราจะได้ความรู้ ความเข้าใจแบบไหนกัน นี่ยังไม่นับข้อมูลที่เกิดจาก การตอแหลของนักการเมือง และบรรดาข้าราชการ ที่ทำหน้าที่ขี้ข้านักการเมือง

    ซึ่งขอใช้คำว่า บัดซบ จึงจะตรงกับพฤติกรรม

    ตัวเราเองก็เลยติดนิสัย ที่จะมองอะไรแบบมักง่าย

    เมื่อเราไม่รู้ปัญหาที่แท้จริง ก็ไม่มีความเข้าใจจริง แล้วจะหาทางออก จะแก้ปัญหาได้อย่างไร ยิ่งแก้ก็เลยยิ่งพันยุ่งเละเทะ เหมือนลิงแก้แห

    ทำไมเราไม่มาทำความเข้าใจ ทำความรู้จักบ้านเมืองของเราอย่างจริงจังก่อน ด้วยการศึกษาขวนขวายด้วยตัวเอง ไม่ใช่ใช้แค่ตาดูหูฟังเอาจากสื่อจอแบน คำโกหกนักการเมืองหรือนักวิชาการ ประเภทมีความรู้เกินๆ ขาดๆ

    จะเข้าใจปัจจุบัน ก็ต้องรู้จักอดีตหรือประวัติศาสตร์ก่อน ไม่งั้นจะรู้ได้ยังไงว่า ต้นไม้ต้นไหนออกลูกเป็นพิษ

    แล้วก็อย่าทำตัวเป็นม้าแข่ง มองเห็นแต่ลู่วิ่งข้างหน้า หัดมองรอบตัว รู้จักเพื่อนบ้าน รู้จักโลกบ้าง ไม่ใช่จะมีแต่เธอ ฉัน ลูกเรา น้องหมา และน้ำเน่าในทีวี กับจิ้มข้อความไร้สาระ ส่งกันไปมาตามหน้าจอ ประเภท ส่ง 10 คน จะมีโชค

    ก่อนอื่นควรรู้จักโลกกว้างเสียก่อน ประเทศไทยไม่ใช่ตั้งอยู่โดด ๆ ประเทศเดียวเรามีเพื่อนบ้านร่วมทวีป ร่วมโลกอีกแยะ เรารู้จักเพื่อนร่วมโลก หรือ เพื่อนบ้านเราแค่ไหนกัน

    จะอยู่บ้านให้สบายใจ มันก็ควรจะรู้จักเสียหน่อยว่า ใครเป็นใครในซอย มีจิ๊กโก๋๋ยืนกร่าง เบ่งกล้ามอยู่ปากซอยหรือเปล่า ถ้ามีต้องรู้ว่ามันเป็นใคร ฝีไม้ลายมือขนาดไหน ของจริง หรือ ราคาคุย

    งั้นเรามาเริ่มต้น ด้วยการรู้จักจิ๊กโก๋๋ปากซอยกันซะหน่อยดีไหม รู้จักแล้ว จะได้รู้ว่าเราจะอยู่ในซอยนี้แบบไหน อยู่แบบตัวห่อหน้าเหี่ยว หรือ อยู่อย่างสบายใจ นี่บ้านกูนะ จะคบกับชาวซอยด้วยกันอย่าง ไร และแสดงท่าที หรือจัดการอย่างไรดีกับเจ้าจิ๊กโก๋๋ปากซอย

    และจะอ่านนิทานนี้ให้สนุก จะรู้จักโลกกว้าง ต้องรู้จักคาถาการครองโลก

    “อำนาจ คือ ทุน” และ “ทุน คือ อำนาจ”

    จำให้แม่น มันจะทำให้เราเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้

    ประเทศนี้ และทั้งหลาย ทั้งปวง ที่อยู่รอบตัวเราง่ายขึ้น

    สงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเพราะอะไร ประวัติศาสตร์ที่เขาเขียนให้เราเรียน สมัยเป็นนักเรียน เขาก็เขียนให้เราเข้าใจไปว่า มันเป็นเรื่องของการต้องการแผ่อำนาจของประเทศผู้รุกราน และประเทศผู้ถูกรุกรานก็จ๋อยสิ จำเป็นต้องสู้ หรือเข้าสู่สงครามกับเขาไปด้วย เพื่อเอาตัวรอด เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศตน

    แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นอย่างนั้นแน่หรือ กลับไปอ่านคาถาครองโลกข้างต้นสัก 10 เที่ยว แล้วอ่านนิทานนี้ต่อ อาจจะรู้จักประวัติศาสตร์ ในมุมมองใหม่

    สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2482 (ค.ศ.1934) จบเอาปี พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) รวมเวลา 6ปี ตลอดเวลาการสู้รบ เขาใช้ทวีปยุโรปและเอเซียเป็นสนามประลองกำลัง พอเสร็จสงคราม ฝ่ายผู้แพ้สงครามเช่น เยอรมันและญี่ปุ่น ก็ถูกน็อกคาสนามบอบช้ำฉิบหาย ตามประสาผู้แพ้ ส่วนฝ่ายสัมพันธ มิตรผู้ชนะสงครามเช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ยุโรป รัสเซีย และแม้แต่จีน ก็ใช่ว่าจะไม่ยับไม่เยิน แต่ละรายดูไม่จืดเชียว ยืนพิงเชือกเกือบนับ 10 เกือบทั้งนั้น ….มีแต่อเมริกาเท่านั้นแหละ ที่โดนแค่สอยคาง เรือรบล่มไม่กี่ลำ ที่เพิร์ล ฮาเบอร์ (Pearl Harbor) ฮาวาย ส่วนบ้านตัวที่ทวีปอเมริกาปลอดภัยดี ไม่มีบุบไม่มีย่น… แค่นี้ทำเป็นยั๊วะ ถือโอกาสประกาศสงครามกับญี่ปุ่น เข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร (โอกาสทองมา แล้ว) เมื่อชนะสงครามอเมริกาจึงสถาปนาตนเองเป็นจิ๊กโก๋๋คุมซอย เป็นพี่เบิ้มดูแลโลกทั้งใบ นั่นไงมาแล้ว … จิ๊กโก๋๋ปากซอย!

    หลังจากการทำสงครามโลก เศรษฐกิจของแต่ละประเทศก็ตกต่ำล่มจม ความแตกต่างทางสังคมเห็นชัดขึ้น เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนชัดเจน ไม่ต้องเอาแว่นมาขยาย ระบอบคอมมิวนิสต์ จึงเริ่มก่อตัวขึ้น ในบริเวณแถวรัสเซียและยุโรปตะวันออก เมื่อปี พ.ศ.2490 (ค.ศ.1947)

    อเมริกาในฐานะพี่เบิ้ม จึงกำหนดยุทธศาสตร์ปิดล้อม (Containment) ขึ้นมาและประกาศเป็นนโยบาย

    เรียกว่า Truman Doctrine โดยประธานาธิบดีแฮรี่ เอส ทรูแมน (Harry S Truman) (ดื้อ เหี้ยม!)

    เป้าหมายของยุทธศาสตร์นี้ หลักใหญ่มีแค่ 2 เรื่อง คือสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้กับอเมริกาและพวก กับกีดกันไม่ให้สหภาพโซเวียตมีโอกาสยื่นหน้า เข้ามาสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก นี่ล่ะธาตุแท้อเมริกา ร่วมรบด้วยกันมาดีๆ พอถึงเวลาไม่เป็นประชาธิปไตยตามแบบที่ตัวเองต้องการ ก็ออกอาการเหม็นหน้า อย่าเข้ามาใกล้นะ เดี๋ยวจะทำให้คนอื่นเขาติดโรคหมด

    Truman Doctrine นี้ อเมริกาจะใช้คนเดียวก็กลัวเหงา เลยจับประเทศแถวยุโรปมาเข้าร่วมโดย จัดตั้งเป็นองค์กรนาโต (NATO) ขึ้นมา ปัจจุบันมีทั้งหมด 28 ประเทศ กลุ่มประเทศที่ก่อตั้งและ/หรือเป็นประเทศหลักมี อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม แคนาดา เดนมาร์ก ไอซแลนด์ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ กรีซ ตุรกี และเยอรมัน อเมริกาใช้นาโตเป็นขนมล่อยุโรปให้ผูกติดอยู่กับอเมริกามาจนถึงทุกวันนี้

    เริ่มเห็นฝีมือการแบ่งขนม แบ่งค่ายของอเมริกาหรือยัง

    สูตรยอดนิยมของอเมริกา ที่ใช้มาตลอดคือ ล่อให้เหยื่อมารวมตัวกัน (อยู่ในคอก) ก่อนจะได้ดูแลง่าย จำไว้ให้ดี

    ด้านหนึ่ง อเมริกาจะออกหน้า สนับสนุนให้มีการรวมตัวของประชาชาติในเรื่องต่างๆ แต่อีกด้านอเมริกาก็จะสร้างเรื่อง โดยทางตรงหรือทางอ้อม ให้การรวมตัวนั้นมีปัญหา และแตกแยกกันเอง แข่งขันกันเอง ทะเลาะกันเอง เพื่อเป็นการเพิ่มบทบาทของพี่เบิ้ม ให้เป็นที่พึ่งพาขึ้นไปเรื่อยๆ (ต้นตำรับ value added! หรือจะเรียกให้ชัดคือ สร้างภาพ) ลองสังเกตดู

    พร้อมกับการเขยิบฐานะตัวเป็นพี่เบิ้ม อเมริกา ก็เริ่มทำตัวเป็นนักล่าอาณานิคมยุคใหม่ แทนนักล่ารุ่นเก่าที่กำลังนอนเลียแผล

    ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 นักล่าอาณานิคมตัวใหญ่แชมป์เก่าคือ อังกฤษ กร่างถึงขนาดประกาศว่า ดวงอาทิตย์ไม่มีวันตกที่จักรภพอังกฤษ ตามมาติดๆคือ ฝรั่งเศส คู่แค้นของไทย กะจะเขมือบไทยมาตลอด วางแผนมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ แต่ที่อุกอาจสามานย์ ทำให้ไทยเจ็บช้ำจนกรมหลวงชุมพรฯ ต้องสักไว้ก็คือเหตุการณ์ ร.ศ.112 ในสมัยล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 5 หวังว่ายังคงจำกันได้ หรือรู้จักแต่ ม112

    นักล่า ที่มาเงียบๆ คอยเสียบ คอยเสี้ยม แล้วหยิบชิ้นปลามันคือ ฮอลันดา แต่นักล่า รุ่นเก๋าจริงๆ ต้องยกให้ สเปนและโปรตุเกศ แผนลึก อดทน และใจเย็น

    นักล่ายุคใหม่ ไม่ต้องการครอบครองดินแดน แบบนักล่ารุ่นเก่า แต่ต้องการกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์เช่นน้ำมัน และแร่ธาตุสารพัด ของประเทศที่อุดมทรัพยากร แต่ด้อยปัญญา ของประเทศที่ยังไม่พัฒนา โดยเฉพาะในแถบอาเซีย และตะวันออกกลางที่ยังอุดมสมบูรณ์อยู่ ในขณะที่แถวยุโรปเริ่มร่อยหรอ ส่วนอเมริกานั้นยังมีอยู่แยะ แต่งุบงิบแอบเก็บไว้ไม่ให้ใครรู้

    อย่าเข้าใจผิดว่าการล่าอาณานิคมยุคใหม่ จะใช้วิธียกทัพจับศึก ยึดดินแดนกันอย่างเมื่อก่อน รุ่นใหม่ ยุคใหม่นี่เขาทำกันเนียน

    ส่วนเครื่องมือในการล่าอาณานิคมยุคใหม่ เขาใช้ตามคาถายอดนิยม

    อำนาจ คือ ทุน และทุน คือ อำนาจ …

    ยังไม่เข้าใจใช่ไหม งั้นต้องอ่านต่อไป

    รบชนะมาหมาดๆ อำนาจล้นฟ้า บีบให้โลกยกย่องเป็นพี่เบิ้ม จะปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือไปได้ยังไง พี่เบิ้มก็ต้องรีบเหยียด (มือยาวๆ อ้อมไปทั้งโลก โดยใช้วิธีการทั้งหลอก ทั้งล่อ เอาทุนนิยมมาล่อ เอาทุนเสรีมาจูง ให้ทุนมันเคลื่อนไหวอย่างเสรี ไม่มีอะไรมากักไง ไร้พรมแดนไงไม่ดีหรือ นายทุนก็ถลารับ แบบนี้มันก็ล้อมโลกได้โดยไม่รู้ตัวกัน คำว่าโลกาภิวัฒน์จึงเกิดขึ้น ชอบใช้กันนัก รู้ให้ทันแล้วกันว่าโลกาภิวัตน์ คืออะไร และเพื่อใคร

    ทุนนิยมเสรี มันเดินไปเองได้ที่ไหน ก็ต้องหาเครื่องมือให้ทุนมันเดินไปทั่วโลกได้ง่ายๆ เนียนๆ ดังนั้นหน่วย งานระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (UN) ธนาคารโลก (World Bank) IMF WTO ฯลฯ และเหล่าบรรษัทข้ามชาติ ด้านการเงิน การค้า การอุตสาหกรรมต่างๆ จึงเกิดขึ้น หน่วยงานต่างๆ ดังกล่าว มีพี่เบิ้มและพวก เป็นเจ้าของหรือเป็นผู้กำกับทั้งนั้น รู้กันไหม

    สหประชาชาติ (UN) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) จากแนวคิดของผู้ชนะสงครามคือ พี่เบิ้มและอังกฤษคู่หู คือ มีคณะมนตรีถาวร 5 ประเทศ ไม่บอกก็น่าจะเดาออกนะ ว่าใครบ้าง ก็ผู้ชนะสงคราม นั่นแหละคือ อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และจีน (เห็นรายชื่ออย่างนี้ อย่าเพิ่งแปลกใจ ตอนนั้น พี่เบิ้มเขายังวุ่นอยู่กับสร้างบทให้ตัวเองเป็นใหญ่ เลยยังไม่มีเวลา ไปไล่บี้ว่าที่คู่แข่งของตัว)

    ผู้ควักกระเป๋าจ่ายเงินสนับสนุนการดำเนินงานของ UN ก็คือสมาชิก คงพอเดากันได้ว่าใครจ่ายเงินสนับสนุนUN สูงสุด ไม่น่าตอบผิดนะ ก็พี่เบิ้มอเมริกานั่นไง ไม่งั้นจะได้ตำแหน่งเป็นจิ๊กโก๋๋คุมซอยเหรอ

    ธนาคารโลก (World Bank) ก่อตั้งขึ้นพร้อมกับ IMF (International Monetary Fund) ในปี พ.ศ.2487 (ค.ศ.1944) แน่นอน ก็จากแนวคิดของพี่เบิ้ม อเมริกาและอังกฤษอีกนั่นแหละ สำนักงานใหญ่ขอทั้ง 2 องค์กร ตั้งอยู่ที่วอชิงตัน ดี ซี ของพี่เบิ้ม เงินสนับสนุนส่วนใหญ่มาจากประเทศสมาชิก แต่ผู้ที่ควักกระเป๋าหนักที่สุดก็ เหมือนเดิมคือ พี่เบิ้ม อเมริกา คิดกันต่อแล้วกันอย่างนี้ แปลว่า พี่เบิ้มใจดีชะมัดหรือพี่เบิ้มกำลังท่องคาถา อำนาจ คือ ทุน ทุน คือ อำนาจ…. ลงทุนจิ๊บจ๊อย เดี๋ยวก็ได้คืนทั้งโลก 555

    ไปเปิดอากู (Google) ดู แล้วกัน ประธานธนาคารโลกตั้งกะก่อตั้ง (ค.ศ.1946) มาจนถึงปัจจุบัน (ค.ศ.2016) เป็นคนสัญชาติอเมริกันทั้งหมด …อาจมีคนโวย ไม่ใช่นะ คนสุดท้าย เจ้าจิม ยอง คิม (Jim Yong Kim) เป็นเกาหลีต่างหาก …เป็นเกาหลีแต่ถือสัญชาติอเมริกันครับผม …อืม เริ่มเห็นภาพลางๆ บ้างหรือยัง ครับ

    อันที่จริงระบบทุนนิยมมีมานานแล้วนะ แต่การขยายตัวทำได้ช้า เพราะต้องพึ่งการคมนาคมและการสื่อสาร ดังนั้นทุนนิยมยุคโบราณจึงเดินทางโดยเรือ รถไฟ ม้า อูฐ และนกพิราบ (ฮา!) ก็ตอนนั้นยังไม่มีเครื่องบิน โทรเลข โทรศัพท์ มือถือ ดาวเทียม Swift 3จี 4จี Wi-Fi ฯลฯ อะไรนี่นะ

    ทุนนิยมโลกไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขตดินแดน แต่ขึ้นกับศูนย์อำนาจในแต่ละช่วงเวลานั้น เช่น ฮอลันดาเป็นศูนย์ กลางของทุนนิยม สมัยศตวรรษที่ 17 ก็เล่นล่าตั้งกะอินโดนีเซียยันไปถึงอาฟริกา ต่อมาศูนย์อำนาจก็ย้ายไปอยู่ที่อังกฤษ เจ้าของคำกร่างว่า พระอาทิตย์ไม่ตกดินที่อังกฤษ จนมาถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พี่เบิ้มอเมริกา ถึงได้ขึ้นแท่นเป็น นัมเบอร์วัน ของศูนย์อำนาจ ไชโย! ตาไอแล้ว

    อเมริกา คิดเรื่องระบบทุนนิยมและกลไก ที่จะทำให้ตนเป็นศูนย์อำนาจ มาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2

    แต่โอกาสยังไม่อำนวย หวยมาตกก็ตอนศูนย์อำนาจเก่าๆ พากันฉิบหาย หงายท้องหมด หลังสงคราม โลกครั้งที่ 2 นี่แหละ อเมริกาถึงเสนอแผนจัดโครงสร้างระเบียบโลกเสียใหม่ (New World Order) โดยเน้นที่พลังทุนนิยม ก็เป็นเศรษฐีนี่ มีปัญหาไหม ไม่นิยมทุนแล้วจะให้นิยมอะไร

    …อย่าลืมคาถา ทุน คือ อำนาจ อำนาจ คือ ทุน ง่ายๆ ตรงไปตรงมา

    ไม่ว่าจะเรียก New World Order หรือ Pax Americana หรือคำอะไรให้มันดูหรูหราเข้าใจยากจริงๆ แล้วมันก็คือแผนการล่าอาณานิคมยุคใหม่นั่นเอง โดยใช้ระบบทุนนิยม นำหน้าในการล่า เดี๋ยวก็มาถึงทุนนิยมสามานย์น่าใจเย็นไว้โยม

    ทุนจะมีก็ต้องค้าขาย เงินไม่ได้ตกลงมาจากฟ้าเหมือนฝนนะ จะค้าขายก็ต้องมีสินค้า สินค้ามาจากไหน มาจากการผลิต การผลิตต้องมีอะไรเป็นปัจจัย ต้องมีวัตถุดิบซีจ้ะ วัตถุดิบมาจากไหน ก็มาจากทรัพยากร ทรัพยากรมาจากไหน ก็ปล้นหรือต้มเขาเอาซีวุ้ย แหม กว่าจะโยงมาถึงคนเล่านิทานเกือบเป็นลม

    ดังนั้นนักสำรวจทรัพย์ของผู้อื่น ในคราบผู้เชี่ยวชาญ จึงเดินกันว่อน วิ่งกันพล่าน อุ๊ย ประเทศนี้ไอจองนะ ไอจะไปดูเอง เขาน่าสงสารนะ เห็นมีแต่ช้างเดินเต็มป่า วัวควายเต็มทุ่งนา

    ปี ค.ศ.1946 สงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกหมาดๆ อเมริกาส่งผู้เชี่ยวชาญ มาทำการสำรวจสถานะของประเทศไทยและสรุปว่า ไทยแลนด์ เป็นประเทศที่ยังมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ และยังมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจดียิ่ง อย่างเหลือเชื่อ (อย่างเหลือเชื่อนี่ ผมเติมเองครับ เพราะอ่านแล้วเหลือเชื่อ นี่ขนาดบริหารกันไปแดกกันไป ยังแกร่งอย่างนี้เลยนะ ถ้าตั้งอกตั้งใจบริหาร แม่อีหนูเอ๊ย ลูกหลานเราคงเรียนฟรี ถนนคงปูด้วยทองคำ อย่างที่ ท่านอจ.ศึกฤทธิ์ว่าไว้จริงๆ นะ)

    รายงานฉบับดังกล่าว ทำให้อเมริกาน้ำลายเยิ้มเมื่อมองประเทศไทย ไม่ต่างกับที่โอบามา มองคุณนายเอ๋อเมื่อตอนมาสำรวจประเทศไทย เมื่อปลายปี พ.ศ.2555 นั่นแหละ

    แล้วทำอย่างไร อเมริกาถึงจะได้กินอาหารจานอร่อยชื่อ ไทยแลนด์ แดนสวรรค์ สยามเมืองยิ้ม

    ไม่ยาก อเมริกาใหญ่ผงาดมาขนาดนี้ ไม่ใช่ทำเป็นแค่ขี้ม้าไล่ยิงอินเดียนแดงออกจากถิ่นเก่าของเขานะวุ้ย

    คนเล่านิทาน
    ตอน 1 : กำเนิดจิ๊กโก๋ เรารู้จักบ้านเมืองเราแค่ไหน เคย ถามตัวเองกันบ้างไหมครับ แล้วเคยมีเวลานึกสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมบ้านเมืองเราถึงเละขนาดนี้ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง การศึกษาและสังคม เรารู้จักบ้านเมืองของเรา แบบมักง่าย รู้จักผ่านมุมมอง และความคิดของสื่อ ทั้งสื่อไทย และสื่อเทศ และสื่อส่วนใหญ่ ก็ให้ข้อมูลข่าวสาร แบบฟอกย้อม จะโดยตั้งใจเพราะมีใบสั่ง หรือเพราะสมรรถนะของสื่อส่วนใหญ่ ต่ำถึงต่ำมาก แทบทั้งนั้น ข้อมูลอีกหลายส่วน ก็มาจากนักวิชาการ ที่ไม่ต่างกับสื่อ ถ้าไม่ขายตัว ก็อธิบายแบบท่องจำ จอแคบ จอแบนไม่มีมิติ มองมุมเดียว เพราะมันง่ายดี แล้วเราจะได้ความรู้ ความเข้าใจแบบไหนกัน นี่ยังไม่นับข้อมูลที่เกิดจาก การตอแหลของนักการเมือง และบรรดาข้าราชการ ที่ทำหน้าที่ขี้ข้านักการเมือง ซึ่งขอใช้คำว่า บัดซบ จึงจะตรงกับพฤติกรรม ตัวเราเองก็เลยติดนิสัย ที่จะมองอะไรแบบมักง่าย เมื่อเราไม่รู้ปัญหาที่แท้จริง ก็ไม่มีความเข้าใจจริง แล้วจะหาทางออก จะแก้ปัญหาได้อย่างไร ยิ่งแก้ก็เลยยิ่งพันยุ่งเละเทะ เหมือนลิงแก้แห ทำไมเราไม่มาทำความเข้าใจ ทำความรู้จักบ้านเมืองของเราอย่างจริงจังก่อน ด้วยการศึกษาขวนขวายด้วยตัวเอง ไม่ใช่ใช้แค่ตาดูหูฟังเอาจากสื่อจอแบน คำโกหกนักการเมืองหรือนักวิชาการ ประเภทมีความรู้เกินๆ ขาดๆ จะเข้าใจปัจจุบัน ก็ต้องรู้จักอดีตหรือประวัติศาสตร์ก่อน ไม่งั้นจะรู้ได้ยังไงว่า ต้นไม้ต้นไหนออกลูกเป็นพิษ แล้วก็อย่าทำตัวเป็นม้าแข่ง มองเห็นแต่ลู่วิ่งข้างหน้า หัดมองรอบตัว รู้จักเพื่อนบ้าน รู้จักโลกบ้าง ไม่ใช่จะมีแต่เธอ ฉัน ลูกเรา น้องหมา และน้ำเน่าในทีวี กับจิ้มข้อความไร้สาระ ส่งกันไปมาตามหน้าจอ ประเภท ส่ง 10 คน จะมีโชค ก่อนอื่นควรรู้จักโลกกว้างเสียก่อน ประเทศไทยไม่ใช่ตั้งอยู่โดด ๆ ประเทศเดียวเรามีเพื่อนบ้านร่วมทวีป ร่วมโลกอีกแยะ เรารู้จักเพื่อนร่วมโลก หรือ เพื่อนบ้านเราแค่ไหนกัน จะอยู่บ้านให้สบายใจ มันก็ควรจะรู้จักเสียหน่อยว่า ใครเป็นใครในซอย มีจิ๊กโก๋๋ยืนกร่าง เบ่งกล้ามอยู่ปากซอยหรือเปล่า ถ้ามีต้องรู้ว่ามันเป็นใคร ฝีไม้ลายมือขนาดไหน ของจริง หรือ ราคาคุย งั้นเรามาเริ่มต้น ด้วยการรู้จักจิ๊กโก๋๋ปากซอยกันซะหน่อยดีไหม รู้จักแล้ว จะได้รู้ว่าเราจะอยู่ในซอยนี้แบบไหน อยู่แบบตัวห่อหน้าเหี่ยว หรือ อยู่อย่างสบายใจ นี่บ้านกูนะ จะคบกับชาวซอยด้วยกันอย่าง ไร และแสดงท่าที หรือจัดการอย่างไรดีกับเจ้าจิ๊กโก๋๋ปากซอย และจะอ่านนิทานนี้ให้สนุก จะรู้จักโลกกว้าง ต้องรู้จักคาถาการครองโลก “อำนาจ คือ ทุน” และ “ทุน คือ อำนาจ” จำให้แม่น มันจะทำให้เราเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้ ประเทศนี้ และทั้งหลาย ทั้งปวง ที่อยู่รอบตัวเราง่ายขึ้น สงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเพราะอะไร ประวัติศาสตร์ที่เขาเขียนให้เราเรียน สมัยเป็นนักเรียน เขาก็เขียนให้เราเข้าใจไปว่า มันเป็นเรื่องของการต้องการแผ่อำนาจของประเทศผู้รุกราน และประเทศผู้ถูกรุกรานก็จ๋อยสิ จำเป็นต้องสู้ หรือเข้าสู่สงครามกับเขาไปด้วย เพื่อเอาตัวรอด เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศตน แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นอย่างนั้นแน่หรือ กลับไปอ่านคาถาครองโลกข้างต้นสัก 10 เที่ยว แล้วอ่านนิทานนี้ต่อ อาจจะรู้จักประวัติศาสตร์ ในมุมมองใหม่ สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2482 (ค.ศ.1934) จบเอาปี พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) รวมเวลา 6ปี ตลอดเวลาการสู้รบ เขาใช้ทวีปยุโรปและเอเซียเป็นสนามประลองกำลัง พอเสร็จสงคราม ฝ่ายผู้แพ้สงครามเช่น เยอรมันและญี่ปุ่น ก็ถูกน็อกคาสนามบอบช้ำฉิบหาย ตามประสาผู้แพ้ ส่วนฝ่ายสัมพันธ มิตรผู้ชนะสงครามเช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ยุโรป รัสเซีย และแม้แต่จีน ก็ใช่ว่าจะไม่ยับไม่เยิน แต่ละรายดูไม่จืดเชียว ยืนพิงเชือกเกือบนับ 10 เกือบทั้งนั้น ….มีแต่อเมริกาเท่านั้นแหละ ที่โดนแค่สอยคาง เรือรบล่มไม่กี่ลำ ที่เพิร์ล ฮาเบอร์ (Pearl Harbor) ฮาวาย ส่วนบ้านตัวที่ทวีปอเมริกาปลอดภัยดี ไม่มีบุบไม่มีย่น… แค่นี้ทำเป็นยั๊วะ ถือโอกาสประกาศสงครามกับญี่ปุ่น เข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร (โอกาสทองมา แล้ว) เมื่อชนะสงครามอเมริกาจึงสถาปนาตนเองเป็นจิ๊กโก๋๋คุมซอย เป็นพี่เบิ้มดูแลโลกทั้งใบ นั่นไงมาแล้ว … จิ๊กโก๋๋ปากซอย! หลังจากการทำสงครามโลก เศรษฐกิจของแต่ละประเทศก็ตกต่ำล่มจม ความแตกต่างทางสังคมเห็นชัดขึ้น เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนชัดเจน ไม่ต้องเอาแว่นมาขยาย ระบอบคอมมิวนิสต์ จึงเริ่มก่อตัวขึ้น ในบริเวณแถวรัสเซียและยุโรปตะวันออก เมื่อปี พ.ศ.2490 (ค.ศ.1947) อเมริกาในฐานะพี่เบิ้ม จึงกำหนดยุทธศาสตร์ปิดล้อม (Containment) ขึ้นมาและประกาศเป็นนโยบาย เรียกว่า Truman Doctrine โดยประธานาธิบดีแฮรี่ เอส ทรูแมน (Harry S Truman) (ดื้อ เหี้ยม!) เป้าหมายของยุทธศาสตร์นี้ หลักใหญ่มีแค่ 2 เรื่อง คือสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้กับอเมริกาและพวก กับกีดกันไม่ให้สหภาพโซเวียตมีโอกาสยื่นหน้า เข้ามาสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก นี่ล่ะธาตุแท้อเมริกา ร่วมรบด้วยกันมาดีๆ พอถึงเวลาไม่เป็นประชาธิปไตยตามแบบที่ตัวเองต้องการ ก็ออกอาการเหม็นหน้า อย่าเข้ามาใกล้นะ เดี๋ยวจะทำให้คนอื่นเขาติดโรคหมด Truman Doctrine นี้ อเมริกาจะใช้คนเดียวก็กลัวเหงา เลยจับประเทศแถวยุโรปมาเข้าร่วมโดย จัดตั้งเป็นองค์กรนาโต (NATO) ขึ้นมา ปัจจุบันมีทั้งหมด 28 ประเทศ กลุ่มประเทศที่ก่อตั้งและ/หรือเป็นประเทศหลักมี อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม แคนาดา เดนมาร์ก ไอซแลนด์ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ กรีซ ตุรกี และเยอรมัน อเมริกาใช้นาโตเป็นขนมล่อยุโรปให้ผูกติดอยู่กับอเมริกามาจนถึงทุกวันนี้ เริ่มเห็นฝีมือการแบ่งขนม แบ่งค่ายของอเมริกาหรือยัง สูตรยอดนิยมของอเมริกา ที่ใช้มาตลอดคือ ล่อให้เหยื่อมารวมตัวกัน (อยู่ในคอก) ก่อนจะได้ดูแลง่าย จำไว้ให้ดี ด้านหนึ่ง อเมริกาจะออกหน้า สนับสนุนให้มีการรวมตัวของประชาชาติในเรื่องต่างๆ แต่อีกด้านอเมริกาก็จะสร้างเรื่อง โดยทางตรงหรือทางอ้อม ให้การรวมตัวนั้นมีปัญหา และแตกแยกกันเอง แข่งขันกันเอง ทะเลาะกันเอง เพื่อเป็นการเพิ่มบทบาทของพี่เบิ้ม ให้เป็นที่พึ่งพาขึ้นไปเรื่อยๆ (ต้นตำรับ value added! หรือจะเรียกให้ชัดคือ สร้างภาพ) ลองสังเกตดู พร้อมกับการเขยิบฐานะตัวเป็นพี่เบิ้ม อเมริกา ก็เริ่มทำตัวเป็นนักล่าอาณานิคมยุคใหม่ แทนนักล่ารุ่นเก่าที่กำลังนอนเลียแผล ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 นักล่าอาณานิคมตัวใหญ่แชมป์เก่าคือ อังกฤษ กร่างถึงขนาดประกาศว่า ดวงอาทิตย์ไม่มีวันตกที่จักรภพอังกฤษ ตามมาติดๆคือ ฝรั่งเศส คู่แค้นของไทย กะจะเขมือบไทยมาตลอด วางแผนมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ แต่ที่อุกอาจสามานย์ ทำให้ไทยเจ็บช้ำจนกรมหลวงชุมพรฯ ต้องสักไว้ก็คือเหตุการณ์ ร.ศ.112 ในสมัยล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 5 หวังว่ายังคงจำกันได้ หรือรู้จักแต่ ม112 นักล่า ที่มาเงียบๆ คอยเสียบ คอยเสี้ยม แล้วหยิบชิ้นปลามันคือ ฮอลันดา แต่นักล่า รุ่นเก๋าจริงๆ ต้องยกให้ สเปนและโปรตุเกศ แผนลึก อดทน และใจเย็น นักล่ายุคใหม่ ไม่ต้องการครอบครองดินแดน แบบนักล่ารุ่นเก่า แต่ต้องการกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์เช่นน้ำมัน และแร่ธาตุสารพัด ของประเทศที่อุดมทรัพยากร แต่ด้อยปัญญา ของประเทศที่ยังไม่พัฒนา โดยเฉพาะในแถบอาเซีย และตะวันออกกลางที่ยังอุดมสมบูรณ์อยู่ ในขณะที่แถวยุโรปเริ่มร่อยหรอ ส่วนอเมริกานั้นยังมีอยู่แยะ แต่งุบงิบแอบเก็บไว้ไม่ให้ใครรู้ อย่าเข้าใจผิดว่าการล่าอาณานิคมยุคใหม่ จะใช้วิธียกทัพจับศึก ยึดดินแดนกันอย่างเมื่อก่อน รุ่นใหม่ ยุคใหม่นี่เขาทำกันเนียน ส่วนเครื่องมือในการล่าอาณานิคมยุคใหม่ เขาใช้ตามคาถายอดนิยม อำนาจ คือ ทุน และทุน คือ อำนาจ … ยังไม่เข้าใจใช่ไหม งั้นต้องอ่านต่อไป รบชนะมาหมาดๆ อำนาจล้นฟ้า บีบให้โลกยกย่องเป็นพี่เบิ้ม จะปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือไปได้ยังไง พี่เบิ้มก็ต้องรีบเหยียด (มือยาวๆ อ้อมไปทั้งโลก โดยใช้วิธีการทั้งหลอก ทั้งล่อ เอาทุนนิยมมาล่อ เอาทุนเสรีมาจูง ให้ทุนมันเคลื่อนไหวอย่างเสรี ไม่มีอะไรมากักไง ไร้พรมแดนไงไม่ดีหรือ นายทุนก็ถลารับ แบบนี้มันก็ล้อมโลกได้โดยไม่รู้ตัวกัน คำว่าโลกาภิวัฒน์จึงเกิดขึ้น ชอบใช้กันนัก รู้ให้ทันแล้วกันว่าโลกาภิวัตน์ คืออะไร และเพื่อใคร ทุนนิยมเสรี มันเดินไปเองได้ที่ไหน ก็ต้องหาเครื่องมือให้ทุนมันเดินไปทั่วโลกได้ง่ายๆ เนียนๆ ดังนั้นหน่วย งานระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (UN) ธนาคารโลก (World Bank) IMF WTO ฯลฯ และเหล่าบรรษัทข้ามชาติ ด้านการเงิน การค้า การอุตสาหกรรมต่างๆ จึงเกิดขึ้น หน่วยงานต่างๆ ดังกล่าว มีพี่เบิ้มและพวก เป็นเจ้าของหรือเป็นผู้กำกับทั้งนั้น รู้กันไหม สหประชาชาติ (UN) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) จากแนวคิดของผู้ชนะสงครามคือ พี่เบิ้มและอังกฤษคู่หู คือ มีคณะมนตรีถาวร 5 ประเทศ ไม่บอกก็น่าจะเดาออกนะ ว่าใครบ้าง ก็ผู้ชนะสงคราม นั่นแหละคือ อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และจีน (เห็นรายชื่ออย่างนี้ อย่าเพิ่งแปลกใจ ตอนนั้น พี่เบิ้มเขายังวุ่นอยู่กับสร้างบทให้ตัวเองเป็นใหญ่ เลยยังไม่มีเวลา ไปไล่บี้ว่าที่คู่แข่งของตัว) ผู้ควักกระเป๋าจ่ายเงินสนับสนุนการดำเนินงานของ UN ก็คือสมาชิก คงพอเดากันได้ว่าใครจ่ายเงินสนับสนุนUN สูงสุด ไม่น่าตอบผิดนะ ก็พี่เบิ้มอเมริกานั่นไง ไม่งั้นจะได้ตำแหน่งเป็นจิ๊กโก๋๋คุมซอยเหรอ ธนาคารโลก (World Bank) ก่อตั้งขึ้นพร้อมกับ IMF (International Monetary Fund) ในปี พ.ศ.2487 (ค.ศ.1944) แน่นอน ก็จากแนวคิดของพี่เบิ้ม อเมริกาและอังกฤษอีกนั่นแหละ สำนักงานใหญ่ขอทั้ง 2 องค์กร ตั้งอยู่ที่วอชิงตัน ดี ซี ของพี่เบิ้ม เงินสนับสนุนส่วนใหญ่มาจากประเทศสมาชิก แต่ผู้ที่ควักกระเป๋าหนักที่สุดก็ เหมือนเดิมคือ พี่เบิ้ม อเมริกา คิดกันต่อแล้วกันอย่างนี้ แปลว่า พี่เบิ้มใจดีชะมัดหรือพี่เบิ้มกำลังท่องคาถา อำนาจ คือ ทุน ทุน คือ อำนาจ…. ลงทุนจิ๊บจ๊อย เดี๋ยวก็ได้คืนทั้งโลก 555 ไปเปิดอากู (Google) ดู แล้วกัน ประธานธนาคารโลกตั้งกะก่อตั้ง (ค.ศ.1946) มาจนถึงปัจจุบัน (ค.ศ.2016) เป็นคนสัญชาติอเมริกันทั้งหมด …อาจมีคนโวย ไม่ใช่นะ คนสุดท้าย เจ้าจิม ยอง คิม (Jim Yong Kim) เป็นเกาหลีต่างหาก …เป็นเกาหลีแต่ถือสัญชาติอเมริกันครับผม …อืม เริ่มเห็นภาพลางๆ บ้างหรือยัง ครับ อันที่จริงระบบทุนนิยมมีมานานแล้วนะ แต่การขยายตัวทำได้ช้า เพราะต้องพึ่งการคมนาคมและการสื่อสาร ดังนั้นทุนนิยมยุคโบราณจึงเดินทางโดยเรือ รถไฟ ม้า อูฐ และนกพิราบ (ฮา!) ก็ตอนนั้นยังไม่มีเครื่องบิน โทรเลข โทรศัพท์ มือถือ ดาวเทียม Swift 3จี 4จี Wi-Fi ฯลฯ อะไรนี่นะ ทุนนิยมโลกไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขตดินแดน แต่ขึ้นกับศูนย์อำนาจในแต่ละช่วงเวลานั้น เช่น ฮอลันดาเป็นศูนย์ กลางของทุนนิยม สมัยศตวรรษที่ 17 ก็เล่นล่าตั้งกะอินโดนีเซียยันไปถึงอาฟริกา ต่อมาศูนย์อำนาจก็ย้ายไปอยู่ที่อังกฤษ เจ้าของคำกร่างว่า พระอาทิตย์ไม่ตกดินที่อังกฤษ จนมาถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พี่เบิ้มอเมริกา ถึงได้ขึ้นแท่นเป็น นัมเบอร์วัน ของศูนย์อำนาจ ไชโย! ตาไอแล้ว อเมริกา คิดเรื่องระบบทุนนิยมและกลไก ที่จะทำให้ตนเป็นศูนย์อำนาจ มาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่โอกาสยังไม่อำนวย หวยมาตกก็ตอนศูนย์อำนาจเก่าๆ พากันฉิบหาย หงายท้องหมด หลังสงคราม โลกครั้งที่ 2 นี่แหละ อเมริกาถึงเสนอแผนจัดโครงสร้างระเบียบโลกเสียใหม่ (New World Order) โดยเน้นที่พลังทุนนิยม ก็เป็นเศรษฐีนี่ มีปัญหาไหม ไม่นิยมทุนแล้วจะให้นิยมอะไร …อย่าลืมคาถา ทุน คือ อำนาจ อำนาจ คือ ทุน ง่ายๆ ตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะเรียก New World Order หรือ Pax Americana หรือคำอะไรให้มันดูหรูหราเข้าใจยากจริงๆ แล้วมันก็คือแผนการล่าอาณานิคมยุคใหม่นั่นเอง โดยใช้ระบบทุนนิยม นำหน้าในการล่า เดี๋ยวก็มาถึงทุนนิยมสามานย์น่าใจเย็นไว้โยม ทุนจะมีก็ต้องค้าขาย เงินไม่ได้ตกลงมาจากฟ้าเหมือนฝนนะ จะค้าขายก็ต้องมีสินค้า สินค้ามาจากไหน มาจากการผลิต การผลิตต้องมีอะไรเป็นปัจจัย ต้องมีวัตถุดิบซีจ้ะ วัตถุดิบมาจากไหน ก็มาจากทรัพยากร ทรัพยากรมาจากไหน ก็ปล้นหรือต้มเขาเอาซีวุ้ย แหม กว่าจะโยงมาถึงคนเล่านิทานเกือบเป็นลม ดังนั้นนักสำรวจทรัพย์ของผู้อื่น ในคราบผู้เชี่ยวชาญ จึงเดินกันว่อน วิ่งกันพล่าน อุ๊ย ประเทศนี้ไอจองนะ ไอจะไปดูเอง เขาน่าสงสารนะ เห็นมีแต่ช้างเดินเต็มป่า วัวควายเต็มทุ่งนา ปี ค.ศ.1946 สงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกหมาดๆ อเมริกาส่งผู้เชี่ยวชาญ มาทำการสำรวจสถานะของประเทศไทยและสรุปว่า ไทยแลนด์ เป็นประเทศที่ยังมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ และยังมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจดียิ่ง อย่างเหลือเชื่อ (อย่างเหลือเชื่อนี่ ผมเติมเองครับ เพราะอ่านแล้วเหลือเชื่อ นี่ขนาดบริหารกันไปแดกกันไป ยังแกร่งอย่างนี้เลยนะ ถ้าตั้งอกตั้งใจบริหาร แม่อีหนูเอ๊ย ลูกหลานเราคงเรียนฟรี ถนนคงปูด้วยทองคำ อย่างที่ ท่านอจ.ศึกฤทธิ์ว่าไว้จริงๆ นะ) รายงานฉบับดังกล่าว ทำให้อเมริกาน้ำลายเยิ้มเมื่อมองประเทศไทย ไม่ต่างกับที่โอบามา มองคุณนายเอ๋อเมื่อตอนมาสำรวจประเทศไทย เมื่อปลายปี พ.ศ.2555 นั่นแหละ แล้วทำอย่างไร อเมริกาถึงจะได้กินอาหารจานอร่อยชื่อ ไทยแลนด์ แดนสวรรค์ สยามเมืองยิ้ม ไม่ยาก อเมริกาใหญ่ผงาดมาขนาดนี้ ไม่ใช่ทำเป็นแค่ขี้ม้าไล่ยิงอินเดียนแดงออกจากถิ่นเก่าของเขานะวุ้ย คนเล่านิทาน
    1 Comments 0 Shares 236 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกฮาร์ดแวร์: เมื่อสล็อตเดียวกลายเป็นศูนย์กลางพลังประมวลผลและจัดเก็บข้อมูล

    Rocket 7638D คือการ์ดเสริมที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาความจำกัดของพื้นที่ในเซิร์ฟเวอร์และเวิร์กสเตชัน โดยรวมการเชื่อมต่อ GPU ภายนอกและ SSD NVMe ภายในไว้ในสล็อต PCIe เดียว รองรับ GPU ขนาดใหญ่ระดับ RTX 5090 ผ่านพอร์ต CDFP และเชื่อมต่อ SSD ได้ถึง 16 ตัวผ่านพอร์ต MCIO

    เมื่อจับคู่กับ SSD ขนาด 245.66TB อย่าง Kioxia LC9 ก็สามารถสร้างระบบจัดเก็บข้อมูลได้ถึง 4PB—เหมาะสำหรับงาน AI inference, HPC, การตัดต่อวิดีโอระดับมืออาชีพ และงานที่ต้องการความหนาแน่นสูง

    HighPoint เปิดตัว Rocket 7638D ที่งาน FMS2025
    เป็นการ์ด PCIe Gen5 x16 แบบ single-slot
    รวม GPU และ SSD ไว้ในสล็อตเดียว

    รองรับ GPU ระดับสูงผ่านพอร์ต CDFP
    รองรับ GPU Gen5 แบบ dual/triple-slot ยาวถึง 370mm
    ใช้งานร่วมกับ Nvidia GeForce RTX 5090 ได้

    รองรับ SSD NVMe ได้สูงสุด 16 ตัวผ่านพอร์ต MCIO
    ใช้สายมาตรฐานหรือ backplane
    รองรับ SSD ขนาดใหญ่ เช่น Kioxia LC9 (245.66TB)

    สามารถสร้างระบบจัดเก็บข้อมูลได้ถึง 4PB
    เหมาะสำหรับงาน AI, HPC, และ media production
    ลดจำนวนสล็อตที่ต้องใช้ในระบบ

    มีฟีเจอร์สำหรับการจัดการและตรวจสอบระบบ
    มี LED, CLI, และเครื่องมือ firmware สำหรับจัดการ lane, power, และสถานะอุปกรณ์
    รองรับการตรวจสอบแบบเรียลไทม์

    เป็นส่วนหนึ่งของ Rocket Series ที่รองรับ NVMe หลากหลายรูปแบบ
    M.2, U.2/U.3, E1.S, E3.S, ESDFF
    รองรับการขยายระบบได้ถึง 32 SSD หรือ 8 accelerators ต่อสล็อต

    การใช้งาน Rocket 7638D อาจเผชิญข้อจำกัดด้านพลังงานและความร้อน
    ต้องมีระบบระบายความร้อนและจ่ายไฟที่เหมาะสม
    หากไม่จัดการดี อาจเกิดปัญหาเสถียรภาพหรือประสิทธิภาพลดลง

    การ์ดระดับนี้มีราคาสูงและต้องการระบบที่รองรับ Gen5 เต็มรูปแบบ
    เมนบอร์ดและระบบต้องรองรับ PCIe Gen5 x16
    อุปกรณ์เสริม เช่น backplane และสาย MCIO อาจมีต้นทุนเพิ่มเติม

    การรวม GPU และ SSD ไว้ในสล็อตเดียวอาจทำให้การบำรุงรักษาซับซ้อนขึ้น
    หากอุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่งเสีย อาจต้องถอดทั้งการ์ด
    การจัดการความร้อนและสายไฟต้องวางแผนอย่างรอบคอบ

    https://www.techradar.com/pro/want-to-host-an-nvidia-geforce-rtx-5090-gpu-and-up-to-4pb-of-ssd-storage-on-one-single-pcie-slot-heres-how-to-do-it
    🚀 เรื่องเล่าจากโลกฮาร์ดแวร์: เมื่อสล็อตเดียวกลายเป็นศูนย์กลางพลังประมวลผลและจัดเก็บข้อมูล Rocket 7638D คือการ์ดเสริมที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาความจำกัดของพื้นที่ในเซิร์ฟเวอร์และเวิร์กสเตชัน โดยรวมการเชื่อมต่อ GPU ภายนอกและ SSD NVMe ภายในไว้ในสล็อต PCIe เดียว รองรับ GPU ขนาดใหญ่ระดับ RTX 5090 ผ่านพอร์ต CDFP และเชื่อมต่อ SSD ได้ถึง 16 ตัวผ่านพอร์ต MCIO เมื่อจับคู่กับ SSD ขนาด 245.66TB อย่าง Kioxia LC9 ก็สามารถสร้างระบบจัดเก็บข้อมูลได้ถึง 4PB—เหมาะสำหรับงาน AI inference, HPC, การตัดต่อวิดีโอระดับมืออาชีพ และงานที่ต้องการความหนาแน่นสูง ✅ HighPoint เปิดตัว Rocket 7638D ที่งาน FMS2025 ➡️ เป็นการ์ด PCIe Gen5 x16 แบบ single-slot ➡️ รวม GPU และ SSD ไว้ในสล็อตเดียว ✅ รองรับ GPU ระดับสูงผ่านพอร์ต CDFP ➡️ รองรับ GPU Gen5 แบบ dual/triple-slot ยาวถึง 370mm ➡️ ใช้งานร่วมกับ Nvidia GeForce RTX 5090 ได้ ✅ รองรับ SSD NVMe ได้สูงสุด 16 ตัวผ่านพอร์ต MCIO ➡️ ใช้สายมาตรฐานหรือ backplane ➡️ รองรับ SSD ขนาดใหญ่ เช่น Kioxia LC9 (245.66TB) ✅ สามารถสร้างระบบจัดเก็บข้อมูลได้ถึง 4PB ➡️ เหมาะสำหรับงาน AI, HPC, และ media production ➡️ ลดจำนวนสล็อตที่ต้องใช้ในระบบ ✅ มีฟีเจอร์สำหรับการจัดการและตรวจสอบระบบ ➡️ มี LED, CLI, และเครื่องมือ firmware สำหรับจัดการ lane, power, และสถานะอุปกรณ์ ➡️ รองรับการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ ✅ เป็นส่วนหนึ่งของ Rocket Series ที่รองรับ NVMe หลากหลายรูปแบบ ➡️ M.2, U.2/U.3, E1.S, E3.S, ESDFF ➡️ รองรับการขยายระบบได้ถึง 32 SSD หรือ 8 accelerators ต่อสล็อต ‼️ การใช้งาน Rocket 7638D อาจเผชิญข้อจำกัดด้านพลังงานและความร้อน ⛔ ต้องมีระบบระบายความร้อนและจ่ายไฟที่เหมาะสม ⛔ หากไม่จัดการดี อาจเกิดปัญหาเสถียรภาพหรือประสิทธิภาพลดลง ‼️ การ์ดระดับนี้มีราคาสูงและต้องการระบบที่รองรับ Gen5 เต็มรูปแบบ ⛔ เมนบอร์ดและระบบต้องรองรับ PCIe Gen5 x16 ⛔ อุปกรณ์เสริม เช่น backplane และสาย MCIO อาจมีต้นทุนเพิ่มเติม ‼️ การรวม GPU และ SSD ไว้ในสล็อตเดียวอาจทำให้การบำรุงรักษาซับซ้อนขึ้น ⛔ หากอุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่งเสีย อาจต้องถอดทั้งการ์ด ⛔ การจัดการความร้อนและสายไฟต้องวางแผนอย่างรอบคอบ https://www.techradar.com/pro/want-to-host-an-nvidia-geforce-rtx-5090-gpu-and-up-to-4pb-of-ssd-storage-on-one-single-pcie-slot-heres-how-to-do-it
    0 Comments 0 Shares 122 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากอนาคต (ที่ใกล้เข้ามา): เมื่อ Debian ตัดสินใจแก้ปัญหา Y2K38 ก่อนจะสายเกินไป

    ย้อนกลับไปปี 2000 โลกเคยเผชิญกับ “Y2K bug” ที่ทำให้หลายคนกลัวว่าเครื่องบินจะตกและธนาคารจะล่ม เพราะระบบคอมพิวเตอร์ใช้แค่สองหลักในการเก็บปี พอเข้าสู่ปี 2000 ก็คิดว่าเป็น 1900 แทน

    ตอนนี้เรากำลังเผชิญกับปัญหาใหม่ที่คล้ายกันในปี 2038: ระบบ Unix ที่ใช้ตัวเลขจำนวนวินาทีตั้งแต่ปี 1970 เก็บไว้ในตัวแปร 32-bit จะเต็มในวันที่ 19 มกราคม 2038 เวลา 03:14:07 UTC และเมื่อเพิ่มอีกวินาทีเดียว ระบบจะ “ล้น” และกลับไปเป็นปี 1901!

    Debian ซึ่งเป็นหนึ่งใน Linux distro ที่เก่าแก่ที่สุด กำลังแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง โดยจะเปลี่ยนไปใช้ตัวแปรเวลาแบบ 64-bit แม้แต่ในระบบ 32-bit ที่ยังใช้งานอยู่ในอุปกรณ์ราคาประหยัด เช่น รถยนต์, IoT, ทีวี, และเราเตอร์

    Debian เตรียมแก้ปัญหา Y2K38 ด้วยการเปลี่ยนไปใช้ time_t แบบ 64-bit
    เริ่มใช้ใน Debian 13 “Trixie” ทั้งในระบบ 64-bit และ 32-bit
    time_t แบบใหม่จะไม่ล้นจนถึงอีก 292 พันล้านปี

    Y2K38 เกิดจากการใช้ signed 32-bit integer ในการเก็บเวลา Unix
    เก็บได้สูงสุดถึง 2,147,483,647 วินาทีหลังปี 1970
    เมื่อถึง 03:14:07 UTC วันที่ 19 ม.ค. 2038 จะล้นและกลายเป็นปี 1901

    Debian เป็น distro ที่ยังใช้ในอุปกรณ์ 32-bit จำนวนมาก
    เช่น ระบบควบคุมอาคาร, รถยนต์, ทีวี, Android ราคาถูก
    คาดว่าอุปกรณ์เหล่านี้จะยังใช้งานอยู่เมื่อถึงปี 2038

    การเปลี่ยนไปใช้ 64-bit time_t ต้องแก้ไขมากกว่า 6,429 แพ็กเกจใน Debian
    เป็นการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่กระทบถึง ABI (Application Binary Interface)
    ต้องแก้พร้อมกันในทุกไลบรารีที่เกี่ยวข้อง

    บางสถาปัตยกรรมจะยังคงใช้ 32-bit time_t เพื่อความเข้ากันได้
    เช่น i386 จะยังใช้แบบเดิมเพื่อรองรับ binary เก่า
    อาจมีการสร้าง ABI ใหม่ชื่อ i686 ที่รองรับ 64-bit time_t หากมีความต้องการ

    ระบบที่ยังใช้ 32-bit time_t จะล้มเหลวเมื่อถึงปี 2038
    อาจเกิดการย้อนเวลา, ข้อมูลเสียหาย, หรือระบบหยุดทำงาน
    กระทบต่อระบบฝังตัวที่ไม่สามารถอัปเดตได้ง่าย

    การเปลี่ยนไปใช้ 64-bit time_t อาจทำให้แอปพลิเคชันบางตัวพัง
    ต้องตรวจสอบว่าโปรแกรมรองรับการเปลี่ยนแปลง ABI
    นักพัฒนาควรทดสอบซอฟต์แวร์กับ Debian รุ่นใหม่ล่วงหน้า

    อุปกรณ์ราคาถูกที่ยังผลิตอยู่วันนี้อาจยังใช้ 32-bit และเสี่ยงต่อ Y2K38
    เช่น Android ราคาถูก, IoT, และระบบควบคุมอุตสาหกรรม
    หากไม่ใช้ OS ที่แก้ปัญหาไว้แล้ว อาจต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ใหม่

    บางระบบปฏิบัติการอื่นยังไม่แก้ปัญหา Y2K38 อย่างจริงจัง
    เช่น Windows รุ่นเก่า หรือ embedded OS ที่ไม่มีการอัปเดต
    อาจเกิดปัญหาแบบเงียบๆ เมื่อถึงปี 2038

    https://www.theregister.com/2025/07/25/y2k38_bug_debian/
    🕰️ เรื่องเล่าจากอนาคต (ที่ใกล้เข้ามา): เมื่อ Debian ตัดสินใจแก้ปัญหา Y2K38 ก่อนจะสายเกินไป ย้อนกลับไปปี 2000 โลกเคยเผชิญกับ “Y2K bug” ที่ทำให้หลายคนกลัวว่าเครื่องบินจะตกและธนาคารจะล่ม เพราะระบบคอมพิวเตอร์ใช้แค่สองหลักในการเก็บปี พอเข้าสู่ปี 2000 ก็คิดว่าเป็น 1900 แทน ตอนนี้เรากำลังเผชิญกับปัญหาใหม่ที่คล้ายกันในปี 2038: ระบบ Unix ที่ใช้ตัวเลขจำนวนวินาทีตั้งแต่ปี 1970 เก็บไว้ในตัวแปร 32-bit จะเต็มในวันที่ 19 มกราคม 2038 เวลา 03:14:07 UTC และเมื่อเพิ่มอีกวินาทีเดียว ระบบจะ “ล้น” และกลับไปเป็นปี 1901! Debian ซึ่งเป็นหนึ่งใน Linux distro ที่เก่าแก่ที่สุด กำลังแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง โดยจะเปลี่ยนไปใช้ตัวแปรเวลาแบบ 64-bit แม้แต่ในระบบ 32-bit ที่ยังใช้งานอยู่ในอุปกรณ์ราคาประหยัด เช่น รถยนต์, IoT, ทีวี, และเราเตอร์ ✅ Debian เตรียมแก้ปัญหา Y2K38 ด้วยการเปลี่ยนไปใช้ time_t แบบ 64-bit ➡️ เริ่มใช้ใน Debian 13 “Trixie” ทั้งในระบบ 64-bit และ 32-bit ➡️ time_t แบบใหม่จะไม่ล้นจนถึงอีก 292 พันล้านปี ✅ Y2K38 เกิดจากการใช้ signed 32-bit integer ในการเก็บเวลา Unix ➡️ เก็บได้สูงสุดถึง 2,147,483,647 วินาทีหลังปี 1970 ➡️ เมื่อถึง 03:14:07 UTC วันที่ 19 ม.ค. 2038 จะล้นและกลายเป็นปี 1901 ✅ Debian เป็น distro ที่ยังใช้ในอุปกรณ์ 32-bit จำนวนมาก ➡️ เช่น ระบบควบคุมอาคาร, รถยนต์, ทีวี, Android ราคาถูก ➡️ คาดว่าอุปกรณ์เหล่านี้จะยังใช้งานอยู่เมื่อถึงปี 2038 ✅ การเปลี่ยนไปใช้ 64-bit time_t ต้องแก้ไขมากกว่า 6,429 แพ็กเกจใน Debian ➡️ เป็นการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่กระทบถึง ABI (Application Binary Interface) ➡️ ต้องแก้พร้อมกันในทุกไลบรารีที่เกี่ยวข้อง ✅ บางสถาปัตยกรรมจะยังคงใช้ 32-bit time_t เพื่อความเข้ากันได้ ➡️ เช่น i386 จะยังใช้แบบเดิมเพื่อรองรับ binary เก่า ➡️ อาจมีการสร้าง ABI ใหม่ชื่อ i686 ที่รองรับ 64-bit time_t หากมีความต้องการ ‼️ ระบบที่ยังใช้ 32-bit time_t จะล้มเหลวเมื่อถึงปี 2038 ⛔ อาจเกิดการย้อนเวลา, ข้อมูลเสียหาย, หรือระบบหยุดทำงาน ⛔ กระทบต่อระบบฝังตัวที่ไม่สามารถอัปเดตได้ง่าย ‼️ การเปลี่ยนไปใช้ 64-bit time_t อาจทำให้แอปพลิเคชันบางตัวพัง ⛔ ต้องตรวจสอบว่าโปรแกรมรองรับการเปลี่ยนแปลง ABI ⛔ นักพัฒนาควรทดสอบซอฟต์แวร์กับ Debian รุ่นใหม่ล่วงหน้า ‼️ อุปกรณ์ราคาถูกที่ยังผลิตอยู่วันนี้อาจยังใช้ 32-bit และเสี่ยงต่อ Y2K38 ⛔ เช่น Android ราคาถูก, IoT, และระบบควบคุมอุตสาหกรรม ⛔ หากไม่ใช้ OS ที่แก้ปัญหาไว้แล้ว อาจต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ใหม่ ‼️ บางระบบปฏิบัติการอื่นยังไม่แก้ปัญหา Y2K38 อย่างจริงจัง ⛔ เช่น Windows รุ่นเก่า หรือ embedded OS ที่ไม่มีการอัปเดต ⛔ อาจเกิดปัญหาแบบเงียบๆ เมื่อถึงปี 2038 https://www.theregister.com/2025/07/25/y2k38_bug_debian/
    0 Comments 0 Shares 119 Views 0 Reviews
  • นาฬิกาปลุก
    ปี พศ 2568

    วันหนึ่งนานประมาณยี่สิบปีมาแล้ว ผมนั่งรถลงใต้ มันเป็นช่วงต้นหน้าฝนฟ้าครึ้ม
    อากาศกำลังสบาย ผมนั่งเหม่อ ๆ ดู 2 ข้างทางไปเรื่อย ๆ
    สัก 4 โมงเย็นรถก็ผ่านตรงช่วงเขาวัง เพชรบุรี ผมมองขึ้นไปที่พระราชวังบนยอดเขา
    เห็นแสงแดดกำลังส่องทะลุเมฆไปต้องพระราชวัง ทำให้พระราชวังงดงามเหลือเกิน
    ผมยกมือไหว้สักการะอย่างที่ทำทุกครั้งที่ผ่าน …
    ความรู้สึกของผมตอนนั้นบอกไม่ถูก เหมือนข้ามเวลา ข้ามมิติ
    ผมนึกในใจ นี่คงเหมือนเราเห็นสวรรค์กระมังนะ …ยังไม่เคยไป ได้แต่เดา

    แล้วรถก็แล่นผ่านทุ่งนากับต้นตาล ที่ยังพอมีให้เห็นชื่นใจ
    ดวงอาทิตย์เริ่มส่องแสงออกมามากขึ้น มันเป็นเวลาที่เขาเรียกว่าแดดสวย
    ผมมองทุ่งนาสีเขียวสดผืนใหญ่ กับทิวเขายาวอยู่ไกล ๆ
    เมฆที่ยอดเขาสะท้อนกับแสงอาทิตย์ สีสวยจัด มันสวยสงบและรู้สึกอบอุ่น
    เป็นภาพที่อยู่ในใจผมอย่างไม่มีวันจาง ทุกครั้งที่ผมนึกถึงวันนั้น
    ผมจะมีอาการตื้นตันบอกตัวเอง นี่ คือ … วาสนาของชาวสยาม…
    วาสนาที่บางทีเราลืมที่จะนึกถึงและรับรู้… เพราะถูกบดบังจากสิ่งลวงตา

    เราอยู่ในแผ่นดิน ที่เคยได้รับคำกล่าวขานว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว มีความอุดมสมบูรณ์
    มีศาสนา มีสถาบันพระมหากษัตริย์ มีการศึกษา การอบรมเลี้ยงดู ศิลปะ วัฒนธรรมประเพณี
    ชีวิตความเป็นอยู่ที่สอดคล้องกับธรรมชาติของบ้านเรามาเป็นเวลานานแล้ว …

    แต่ปัจจุบันนี้ ดูเหมือนเราจะมองข้าม หรือไม่ใส่ใจจริง
    กับความโชคดีและวาสนาของเรานัก …เรามักจะหลงไหลได้ปลื้ม
    กับบรรดาสรรพสิ่งไม่ว่าเป็นรูปแบบใด ที่ “พวกตะวันตก” เขาเอามาฝังหัวลวงหลอกเราไว้
    แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนจะแกะลอกล้างสิ่งที่พวกเขาฝั่งเอาไว้ไม่ออก
    ไม่สะอาดหมดจดเสียที

    ผมตั้งข้อสังเกต ปนสงสัยมานานแล้วว่าเหตุการณ์ในบ้านเมืองเรา
    ที่เกิดขึ้นอย่างน้อยก็ตั้งแต่ช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง น่าจะมีส่วนเกี่ยวโยง
    กับปัจจัยนอกบ้าน มากกว่าที่เราคิด
    ผมค่อย ๆ หาข้อมูลมาอ่านแก้ความสงสัยของตัวเองไปเรื่อย ๆ แต่มันไปไม่ได้
    ไกลอย่างที่ต้องการ เพราะเวลาส่วนใหญ่ใช้ไปกับการทำงานเพื่อดำรงชีพ
    และก็ไปทำเรื่องอื่น ๆ ที่สุดท้ายแล้ว ก็เลยยังไม่ได้คำตอบมาแก้ข้อสงสัยที่ค้างอยู่นั้น

    หลายสิบปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ในบ้านเราเกิดขึ้นมากมาย มีความพยายามแก้ปัญหา
    แต่เหมือนแก้ไม่ถูกจุด เหมือนเรามองข้าม หรือเรามองปัญหาไม่แตก
    มันทำให้ผมย้อนกลับมาคิดถึงข้อสงสัย เกี่ยวกับปัจจัยนอกบ้านที่ยังคาใจผมอยู่

    และถ้ามันเป็นอย่างที่ผมสงสัยจริง…และถ้าเราไม่ตื่นมารู้เรื่องด้วยกัน
    อีกไม่นานหรอก ประเทศเราอาจจะตกเป็นเหยื่อ เป็นอาณานิคมในรูปแบบใหม่ต่อไป
    และวันนั้น สีของธงชาติเราไม่รู้จะยังอยู่ครบไหม
    สถาบันที่เรารักเคารพ วัดพระแก้ว เขาวัง ท้องนาสีเขียวและอีกหลาย ๆ อย่าง ฯลฯ
    ไม่รู้จะเหลืออยู่แค่ไหน แบบไหน…หรือมันจะกลายเป็นเหมือนหลายๆเมือง
    ที่เราเห็นในข่าว !?!

    คำถามเกิดขึ้นในหัวเต็มไปหมด

    ผมบอกตัวเองว่า มันคงจะดีไม่น้อย ถ้าชาวสยามรับรู้ถึงวาสนาของตนเอง
    และทำความเข้าใจกับความเป็นไปทั้งนอกบ้านและในบ้านเมืองของเราให้มากขึ้น
    จะได้มีความหวงและห่วงใยบ้านเมืองของเรา…บ้านของเรานะครับ

    ผมนึกถึงวันที่ผมเห็นแดดทอแสงสวยบนเขาวัง กับท้องนาที่เขียวชอุ่มกับเมฆสีสวย

    แล้วผมก็ตัดสินใจเขียนนิทาน เกี่ยวกับการเมืองโลก ทั้ง ๆ ที่ผมไม่เคยเขียนอะไร
    เป็นเรื่องเป็นราวมาก่อนเลย ผมเล่ามุมมองของผม แบบอ่านง่าย ๆ และนำมาลง
    ให้อ่านผ่านเพจนิทานเรื่องจริง ตำนานการลวงหลอกล่อฯ ทางเฟสบุ๊ก
    ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ.2556 …
    ผมเขียนไปและอ่านข้อมูลศึกษาเพิ่มเติมไปเรื่อย ๆทุกวันๆละประมาณ 10 ชั่วโมง
    มาตลอด เว้นแต่ช่วงเวลาที่สุขภาพของผมไม่อำนวย จนถึงตอนนี้ (พศ 2568)
    ผมมีเอกสารและหนังสือที่ใช้เขียนนิทาน ถึง 4 ตู้ใหญ่ 5 ตู้เล็ก กับอีก 20 กล่อง

    เมื่อผมเริ่มเขียนนิทาน ผมมีความเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย ว่าการล่าเหยื่อ
    ล่าอาณานิคมยังมีอยู่ เพียงแต่มีการพรางตัวเปลี่ยนรูปแบบการล่าไปตามยุคสมัย
    มันไม่ใช่เป็นเพียงข้อสังเกตหรือข้อสงสัยอีกแล้ว …สำหรับผมมันเป็นข้อเท็จจริง…
    บ้านเมืองเราตกเป็นเหยื่อของต่างชาติ มานานเต็มทีแล้ว!!

    และมาถึงวันนี้ ผมเชื่อว่าโลกเรากำลังจะก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงใหญ่
    ในอีกไม่นานนัก และการเปลี่ยนแปลงนั้น อาจจะมาเร็วจนเราตั้งตัวตั้งสติไม่ทัน

    บ้านเรามีการเตรียมการอะไรไหม ผมตอบไม่ได้ ผมไม่ได้เป็นผู้บริหารประเทศ
    สิ่งที่ผมพอทำได้ในฐานะประชาชน และกำลังทำอยู่ คือ เล่านิทาน
    เพื่อให้ทำหน้าที่เหมือนเป็นนาฬิกาปลุก ให้เพื่อนร่วมชาติตื่นขึ้นมาสนใจ
    เหตุการณ์นอกบ้าน ที่อาจกระทบกับบ้านเมืองเรา และเกิดความรู้สึกห่วงใย
    หวงแหนบ้านเมืองของเราบ้าง พร้อมกับเตรียมการเตรียมตัวรับมือ
    กับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลก…
    ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ว่าอาจจะหนักหนาสาหัสยิ่งนัก !!!

    นิทานแต่ละเรื่อง แม้จะเขียนเรื่องต่างประเทศ แต่ผมได้พยายามเขียนระหว่างบรรทัด
    ให้ข้อคิดเกี่ยวกับบ้านเมืองของเราไปด้วย ผมพยายามร้อยเรียงนิทาน
    โดยเริ่มจากเรื่องในบ้านเรา เล่ามาเรื่อย ๆ ถึง การล่าการตกเป็นเหยื่อ
    การต่อสู้ดิ้นรนของเหยื่อ และวิธีการของนักล่าในการงับเหยื่อในรูปแบบต่างๆ
    เพื่อไม่ให้เหยื่อมีโอกาสหลุดออกจากปากของมัน และตัวละครสำคัญต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

    มาถึงปัจจุบันนี้ (เดือน เมษายน พศ 2568)
    ผมไม่แน่ใจว่าผมจะมีกำลังเขียนนิทานลงในเพจไปได้อีกหรือไม่
    หรือเขียนได้อีกนานเท่าไหร่ เนื่องจากสภาพสังขารของผมเอง
    และปัจจัยอื่น ที่มันเกินการควบคุมของผม …

    ผมคาดว่านิทานเรื่องจริงฯ ที่ผมเขียนมานั้น น่าจะเป็นที่สนใจสำหรับผู้ที่ติดตาม
    การเมืองโลก และเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการรักษาชาติบ้านเมือง รักษาแผ่นดิน
    และสถาบันพระมหากษัตริย์ของเรา…
    และยังทำหน้าที่เป็นนาฬิกาปลุกที่ไม่ล้าสมัยเกินไป
    ผมจึงเอานิทานเรื่องจริงฯ เล่มที่ 1 ถึง 9 (หน้าปกสีส้ม)ที่เคยได้ตีพิมพ์มาครั้งหนึ่ง
    เมื่อเดือนตุลาคม พศ 2559 และเล่มที่ 10 (หน้าปกสีส้ม) เมื่อเดือนมีนาคม พศ 2560
    รวมทั้งนิทานที่เขียนและลงโพสต์ไปแล้วทั้งหมด จนถึงเรื่องสุดท้าย (ปี พศ 2567)
    (หน้าปกสีน้ำเงิน) แต่ยังไม่ได้มีโอกาสตีพิมพ์เป็นเล่ม มาจัดให้อยู่ในรูปเว็บไซต์
    อย่างเป็นระบบ เพื่อผู้ที่มีความสนใจ จะได้เข้าถึงอย่างสะดวกขึ้น…

    ขอบคุณครับ
    จากคนเล่านิทาน
    20 เมษายน 2568
    นาฬิกาปลุก ปี พศ 2568 วันหนึ่งนานประมาณยี่สิบปีมาแล้ว ผมนั่งรถลงใต้ มันเป็นช่วงต้นหน้าฝนฟ้าครึ้ม อากาศกำลังสบาย ผมนั่งเหม่อ ๆ ดู 2 ข้างทางไปเรื่อย ๆ สัก 4 โมงเย็นรถก็ผ่านตรงช่วงเขาวัง เพชรบุรี ผมมองขึ้นไปที่พระราชวังบนยอดเขา เห็นแสงแดดกำลังส่องทะลุเมฆไปต้องพระราชวัง ทำให้พระราชวังงดงามเหลือเกิน ผมยกมือไหว้สักการะอย่างที่ทำทุกครั้งที่ผ่าน … ความรู้สึกของผมตอนนั้นบอกไม่ถูก เหมือนข้ามเวลา ข้ามมิติ ผมนึกในใจ นี่คงเหมือนเราเห็นสวรรค์กระมังนะ …ยังไม่เคยไป ได้แต่เดา แล้วรถก็แล่นผ่านทุ่งนากับต้นตาล ที่ยังพอมีให้เห็นชื่นใจ ดวงอาทิตย์เริ่มส่องแสงออกมามากขึ้น มันเป็นเวลาที่เขาเรียกว่าแดดสวย ผมมองทุ่งนาสีเขียวสดผืนใหญ่ กับทิวเขายาวอยู่ไกล ๆ เมฆที่ยอดเขาสะท้อนกับแสงอาทิตย์ สีสวยจัด มันสวยสงบและรู้สึกอบอุ่น เป็นภาพที่อยู่ในใจผมอย่างไม่มีวันจาง ทุกครั้งที่ผมนึกถึงวันนั้น ผมจะมีอาการตื้นตันบอกตัวเอง นี่ คือ … วาสนาของชาวสยาม… วาสนาที่บางทีเราลืมที่จะนึกถึงและรับรู้… เพราะถูกบดบังจากสิ่งลวงตา เราอยู่ในแผ่นดิน ที่เคยได้รับคำกล่าวขานว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว มีความอุดมสมบูรณ์ มีศาสนา มีสถาบันพระมหากษัตริย์ มีการศึกษา การอบรมเลี้ยงดู ศิลปะ วัฒนธรรมประเพณี ชีวิตความเป็นอยู่ที่สอดคล้องกับธรรมชาติของบ้านเรามาเป็นเวลานานแล้ว … แต่ปัจจุบันนี้ ดูเหมือนเราจะมองข้าม หรือไม่ใส่ใจจริง กับความโชคดีและวาสนาของเรานัก …เรามักจะหลงไหลได้ปลื้ม กับบรรดาสรรพสิ่งไม่ว่าเป็นรูปแบบใด ที่ “พวกตะวันตก” เขาเอามาฝังหัวลวงหลอกเราไว้ แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนจะแกะลอกล้างสิ่งที่พวกเขาฝั่งเอาไว้ไม่ออก ไม่สะอาดหมดจดเสียที ผมตั้งข้อสังเกต ปนสงสัยมานานแล้วว่าเหตุการณ์ในบ้านเมืองเรา ที่เกิดขึ้นอย่างน้อยก็ตั้งแต่ช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง น่าจะมีส่วนเกี่ยวโยง กับปัจจัยนอกบ้าน มากกว่าที่เราคิด ผมค่อย ๆ หาข้อมูลมาอ่านแก้ความสงสัยของตัวเองไปเรื่อย ๆ แต่มันไปไม่ได้ ไกลอย่างที่ต้องการ เพราะเวลาส่วนใหญ่ใช้ไปกับการทำงานเพื่อดำรงชีพ และก็ไปทำเรื่องอื่น ๆ ที่สุดท้ายแล้ว ก็เลยยังไม่ได้คำตอบมาแก้ข้อสงสัยที่ค้างอยู่นั้น หลายสิบปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ในบ้านเราเกิดขึ้นมากมาย มีความพยายามแก้ปัญหา แต่เหมือนแก้ไม่ถูกจุด เหมือนเรามองข้าม หรือเรามองปัญหาไม่แตก มันทำให้ผมย้อนกลับมาคิดถึงข้อสงสัย เกี่ยวกับปัจจัยนอกบ้านที่ยังคาใจผมอยู่ และถ้ามันเป็นอย่างที่ผมสงสัยจริง…และถ้าเราไม่ตื่นมารู้เรื่องด้วยกัน อีกไม่นานหรอก ประเทศเราอาจจะตกเป็นเหยื่อ เป็นอาณานิคมในรูปแบบใหม่ต่อไป และวันนั้น สีของธงชาติเราไม่รู้จะยังอยู่ครบไหม สถาบันที่เรารักเคารพ วัดพระแก้ว เขาวัง ท้องนาสีเขียวและอีกหลาย ๆ อย่าง ฯลฯ ไม่รู้จะเหลืออยู่แค่ไหน แบบไหน…หรือมันจะกลายเป็นเหมือนหลายๆเมือง ที่เราเห็นในข่าว !?! คำถามเกิดขึ้นในหัวเต็มไปหมด ผมบอกตัวเองว่า มันคงจะดีไม่น้อย ถ้าชาวสยามรับรู้ถึงวาสนาของตนเอง และทำความเข้าใจกับความเป็นไปทั้งนอกบ้านและในบ้านเมืองของเราให้มากขึ้น จะได้มีความหวงและห่วงใยบ้านเมืองของเรา…บ้านของเรานะครับ ผมนึกถึงวันที่ผมเห็นแดดทอแสงสวยบนเขาวัง กับท้องนาที่เขียวชอุ่มกับเมฆสีสวย แล้วผมก็ตัดสินใจเขียนนิทาน เกี่ยวกับการเมืองโลก ทั้ง ๆ ที่ผมไม่เคยเขียนอะไร เป็นเรื่องเป็นราวมาก่อนเลย ผมเล่ามุมมองของผม แบบอ่านง่าย ๆ และนำมาลง ให้อ่านผ่านเพจนิทานเรื่องจริง ตำนานการลวงหลอกล่อฯ ทางเฟสบุ๊ก ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ.2556 … ผมเขียนไปและอ่านข้อมูลศึกษาเพิ่มเติมไปเรื่อย ๆทุกวันๆละประมาณ 10 ชั่วโมง มาตลอด เว้นแต่ช่วงเวลาที่สุขภาพของผมไม่อำนวย จนถึงตอนนี้ (พศ 2568) ผมมีเอกสารและหนังสือที่ใช้เขียนนิทาน ถึง 4 ตู้ใหญ่ 5 ตู้เล็ก กับอีก 20 กล่อง เมื่อผมเริ่มเขียนนิทาน ผมมีความเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย ว่าการล่าเหยื่อ ล่าอาณานิคมยังมีอยู่ เพียงแต่มีการพรางตัวเปลี่ยนรูปแบบการล่าไปตามยุคสมัย มันไม่ใช่เป็นเพียงข้อสังเกตหรือข้อสงสัยอีกแล้ว …สำหรับผมมันเป็นข้อเท็จจริง… บ้านเมืองเราตกเป็นเหยื่อของต่างชาติ มานานเต็มทีแล้ว!! และมาถึงวันนี้ ผมเชื่อว่าโลกเรากำลังจะก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงใหญ่ ในอีกไม่นานนัก และการเปลี่ยนแปลงนั้น อาจจะมาเร็วจนเราตั้งตัวตั้งสติไม่ทัน บ้านเรามีการเตรียมการอะไรไหม ผมตอบไม่ได้ ผมไม่ได้เป็นผู้บริหารประเทศ สิ่งที่ผมพอทำได้ในฐานะประชาชน และกำลังทำอยู่ คือ เล่านิทาน เพื่อให้ทำหน้าที่เหมือนเป็นนาฬิกาปลุก ให้เพื่อนร่วมชาติตื่นขึ้นมาสนใจ เหตุการณ์นอกบ้าน ที่อาจกระทบกับบ้านเมืองเรา และเกิดความรู้สึกห่วงใย หวงแหนบ้านเมืองของเราบ้าง พร้อมกับเตรียมการเตรียมตัวรับมือ กับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลก… ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ว่าอาจจะหนักหนาสาหัสยิ่งนัก !!! นิทานแต่ละเรื่อง แม้จะเขียนเรื่องต่างประเทศ แต่ผมได้พยายามเขียนระหว่างบรรทัด ให้ข้อคิดเกี่ยวกับบ้านเมืองของเราไปด้วย ผมพยายามร้อยเรียงนิทาน โดยเริ่มจากเรื่องในบ้านเรา เล่ามาเรื่อย ๆ ถึง การล่าการตกเป็นเหยื่อ การต่อสู้ดิ้นรนของเหยื่อ และวิธีการของนักล่าในการงับเหยื่อในรูปแบบต่างๆ เพื่อไม่ให้เหยื่อมีโอกาสหลุดออกจากปากของมัน และตัวละครสำคัญต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง มาถึงปัจจุบันนี้ (เดือน เมษายน พศ 2568) ผมไม่แน่ใจว่าผมจะมีกำลังเขียนนิทานลงในเพจไปได้อีกหรือไม่ หรือเขียนได้อีกนานเท่าไหร่ เนื่องจากสภาพสังขารของผมเอง และปัจจัยอื่น ที่มันเกินการควบคุมของผม … ผมคาดว่านิทานเรื่องจริงฯ ที่ผมเขียนมานั้น น่าจะเป็นที่สนใจสำหรับผู้ที่ติดตาม การเมืองโลก และเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการรักษาชาติบ้านเมือง รักษาแผ่นดิน และสถาบันพระมหากษัตริย์ของเรา… และยังทำหน้าที่เป็นนาฬิกาปลุกที่ไม่ล้าสมัยเกินไป ผมจึงเอานิทานเรื่องจริงฯ เล่มที่ 1 ถึง 9 (หน้าปกสีส้ม)ที่เคยได้ตีพิมพ์มาครั้งหนึ่ง เมื่อเดือนตุลาคม พศ 2559 และเล่มที่ 10 (หน้าปกสีส้ม) เมื่อเดือนมีนาคม พศ 2560 รวมทั้งนิทานที่เขียนและลงโพสต์ไปแล้วทั้งหมด จนถึงเรื่องสุดท้าย (ปี พศ 2567) (หน้าปกสีน้ำเงิน) แต่ยังไม่ได้มีโอกาสตีพิมพ์เป็นเล่ม มาจัดให้อยู่ในรูปเว็บไซต์ อย่างเป็นระบบ เพื่อผู้ที่มีความสนใจ จะได้เข้าถึงอย่างสะดวกขึ้น… ขอบคุณครับ จากคนเล่านิทาน 20 เมษายน 2568
    0 Comments 0 Shares 194 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากระดับนาโน: เมื่อความสุ่มกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดของการผลิตชิป

    ในเดือนกรกฎาคม 2025 บริษัท Fractilia ผู้นำด้านการวัดความแปรปรวนแบบสุ่ม (stochastics metrology) ได้เผยแพร่เอกสารวิชาการที่ชี้ให้เห็นว่า “ความแปรปรวนแบบสุ่ม” ในกระบวนการสร้างลวดลายบนชิป (โดยเฉพาะในเทคโนโลยี EUV และ High-NA EUV) กำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดที่ทำให้การผลิตชิประดับ 2nm และต่ำกว่านั้นไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมาย

    แม้ในห้องวิจัยจะสามารถสร้างลวดลายขนาดเล็กถึง 12nm ได้ แต่เมื่อเข้าสู่การผลิตจริง กลับเกิดข้อผิดพลาดแบบสุ่ม เช่น ความหยาบของขอบลวดลาย (LER), ความแปรปรวนของขนาด (LCDU), และการเชื่อมหรือขาดของเส้นลวดลาย ซึ่งไม่สามารถควบคุมได้ด้วยวิธีเดิม

    Fractilia เรียกช่องว่างนี้ว่า “Stochastics Gap” ซึ่งเป็นช่องว่างระหว่างสิ่งที่สามารถทำได้ในห้องวิจัย กับสิ่งที่สามารถผลิตได้จริงในโรงงาน โดยเสนอแนวทางใหม่ในการวัดและควบคุมความสุ่มด้วยเทคนิคเชิงสถิติและการออกแบบที่ตระหนักถึงความสุ่มตั้งแต่ต้น

    Fractilia เปิดเผยว่าอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์สูญเงินหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปีจากความแปรปรวนแบบสุ่ม
    ความแปรปรวนนี้เกิดจากพฤติกรรมของโมเลกุล, แหล่งกำเนิดแสง, และอะตอมในกระบวนการสร้างลวดลาย
    ส่งผลให้ yield ต่ำ, ผลิตล่าช้า, และประสิทธิภาพชิปลดลง

    “Stochastics Gap” คือช่องว่างระหว่างสิ่งที่สามารถพิมพ์ในห้องวิจัย กับสิ่งที่ผลิตได้จริงในโรงงาน
    แม้จะพิมพ์ลวดลายขนาด 12nm ได้ใน R&D แต่ในโรงงานกลับติดที่ 16–18nm
    ช่องว่างนี้ส่งผลต่อจำนวน die ต่อ wafer และรายได้ที่หายไป

    Fractilia เสนอวิธีแก้ปัญหาด้วยการวัดความสุ่มอย่างแม่นยำและออกแบบกระบวนการที่รองรับความสุ่ม
    ใช้เทคโนโลยี FILM™ และ FAME™ เพื่อวัดความแปรปรวนแบบสุ่มในระดับนาโน
    เสนอการออกแบบที่ตระหนักถึงความสุ่ม เช่น OPC แบบ local-aware และการเลือกวัสดุที่ลด noise

    ความแปรปรวนแบบสุ่มไม่สามารถแก้ด้วยการควบคุมแบบเดิม
    ไม่ใช่ปัญหาเครื่องมือหรือการปรับพารามิเตอร์
    ต้องใช้การวิเคราะห์เชิงความน่าจะเป็นแทนการเฉลี่ยแบบเดิม

    การวัดความสุ่มอย่างแม่นยำช่วยให้ทีมออกแบบ, วิศวกร, และซัพพลายเออร์สื่อสารกันได้ดีขึ้น
    สร้าง “ภาษากลาง” ในการวิเคราะห์ yield และ defect
    ช่วยให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น

    หากไม่แก้ปัญหา Stochastics Gap จะทำให้การผลิตชิประดับ 2nm และต่ำกว่าติดขัด
    Yield ต่ำลง, ต้องใช้ mask หลายรอบ, และออกแบบชิปแบบประนีประนอม
    สูญเสียรายได้จาก die ที่ผลิตได้น้อยลงต่อ wafer

    โรงงานส่วนใหญ่ยังไม่มีเครื่องมือวัดความสุ่มอย่างแม่นยำในสายการผลิตจริง
    แม้จะรู้ว่าปัญหามีอยู่ แต่ขาดเทคโนโลยีในการวัดและควบคุม
    ทำให้ไม่สามารถปรับปรุงกระบวนการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    การใช้ EUV และ High-NA EUV ทำให้ความสุ่มมีผลมากขึ้นในงบประมาณข้อผิดพลาด
    ความสามารถในการพิมพ์ลวดลายเล็กลง แต่ความสุ่มกลับเพิ่มขึ้น
    ทำให้ข้อผิดพลาดแบบสุ่มกลายเป็นปัจจัยหลักที่จำกัด yield

    การไม่ตระหนักถึงความสุ่มตั้งแต่การออกแบบอาจทำให้ชิปไม่สามารถผลิตได้จริง
    ออกแบบลวดลายที่สวยงามใน CAD แต่ไม่สามารถพิมพ์ได้ในโรงงาน
    ต้องกลับไปแก้แบบใหม่ เสียเวลาและต้นทุน

    https://www.techradar.com/pro/the-semiconductor-industry-is-losing-billions-of-dollars-annually-because-of-this-little-obscure-quirk
    ⚠️ เรื่องเล่าจากระดับนาโน: เมื่อความสุ่มกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดของการผลิตชิป ในเดือนกรกฎาคม 2025 บริษัท Fractilia ผู้นำด้านการวัดความแปรปรวนแบบสุ่ม (stochastics metrology) ได้เผยแพร่เอกสารวิชาการที่ชี้ให้เห็นว่า “ความแปรปรวนแบบสุ่ม” ในกระบวนการสร้างลวดลายบนชิป (โดยเฉพาะในเทคโนโลยี EUV และ High-NA EUV) กำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดที่ทำให้การผลิตชิประดับ 2nm และต่ำกว่านั้นไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมาย แม้ในห้องวิจัยจะสามารถสร้างลวดลายขนาดเล็กถึง 12nm ได้ แต่เมื่อเข้าสู่การผลิตจริง กลับเกิดข้อผิดพลาดแบบสุ่ม เช่น ความหยาบของขอบลวดลาย (LER), ความแปรปรวนของขนาด (LCDU), และการเชื่อมหรือขาดของเส้นลวดลาย ซึ่งไม่สามารถควบคุมได้ด้วยวิธีเดิม Fractilia เรียกช่องว่างนี้ว่า “Stochastics Gap” ซึ่งเป็นช่องว่างระหว่างสิ่งที่สามารถทำได้ในห้องวิจัย กับสิ่งที่สามารถผลิตได้จริงในโรงงาน โดยเสนอแนวทางใหม่ในการวัดและควบคุมความสุ่มด้วยเทคนิคเชิงสถิติและการออกแบบที่ตระหนักถึงความสุ่มตั้งแต่ต้น ✅ Fractilia เปิดเผยว่าอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์สูญเงินหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปีจากความแปรปรวนแบบสุ่ม ➡️ ความแปรปรวนนี้เกิดจากพฤติกรรมของโมเลกุล, แหล่งกำเนิดแสง, และอะตอมในกระบวนการสร้างลวดลาย ➡️ ส่งผลให้ yield ต่ำ, ผลิตล่าช้า, และประสิทธิภาพชิปลดลง ✅ “Stochastics Gap” คือช่องว่างระหว่างสิ่งที่สามารถพิมพ์ในห้องวิจัย กับสิ่งที่ผลิตได้จริงในโรงงาน ➡️ แม้จะพิมพ์ลวดลายขนาด 12nm ได้ใน R&D แต่ในโรงงานกลับติดที่ 16–18nm ➡️ ช่องว่างนี้ส่งผลต่อจำนวน die ต่อ wafer และรายได้ที่หายไป ✅ Fractilia เสนอวิธีแก้ปัญหาด้วยการวัดความสุ่มอย่างแม่นยำและออกแบบกระบวนการที่รองรับความสุ่ม ➡️ ใช้เทคโนโลยี FILM™ และ FAME™ เพื่อวัดความแปรปรวนแบบสุ่มในระดับนาโน ➡️ เสนอการออกแบบที่ตระหนักถึงความสุ่ม เช่น OPC แบบ local-aware และการเลือกวัสดุที่ลด noise ✅ ความแปรปรวนแบบสุ่มไม่สามารถแก้ด้วยการควบคุมแบบเดิม ➡️ ไม่ใช่ปัญหาเครื่องมือหรือการปรับพารามิเตอร์ ➡️ ต้องใช้การวิเคราะห์เชิงความน่าจะเป็นแทนการเฉลี่ยแบบเดิม ✅ การวัดความสุ่มอย่างแม่นยำช่วยให้ทีมออกแบบ, วิศวกร, และซัพพลายเออร์สื่อสารกันได้ดีขึ้น ➡️ สร้าง “ภาษากลาง” ในการวิเคราะห์ yield และ defect ➡️ ช่วยให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น ‼️ หากไม่แก้ปัญหา Stochastics Gap จะทำให้การผลิตชิประดับ 2nm และต่ำกว่าติดขัด ⛔ Yield ต่ำลง, ต้องใช้ mask หลายรอบ, และออกแบบชิปแบบประนีประนอม ⛔ สูญเสียรายได้จาก die ที่ผลิตได้น้อยลงต่อ wafer ‼️ โรงงานส่วนใหญ่ยังไม่มีเครื่องมือวัดความสุ่มอย่างแม่นยำในสายการผลิตจริง ⛔ แม้จะรู้ว่าปัญหามีอยู่ แต่ขาดเทคโนโลยีในการวัดและควบคุม ⛔ ทำให้ไม่สามารถปรับปรุงกระบวนการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ‼️ การใช้ EUV และ High-NA EUV ทำให้ความสุ่มมีผลมากขึ้นในงบประมาณข้อผิดพลาด ⛔ ความสามารถในการพิมพ์ลวดลายเล็กลง แต่ความสุ่มกลับเพิ่มขึ้น ⛔ ทำให้ข้อผิดพลาดแบบสุ่มกลายเป็นปัจจัยหลักที่จำกัด yield ‼️ การไม่ตระหนักถึงความสุ่มตั้งแต่การออกแบบอาจทำให้ชิปไม่สามารถผลิตได้จริง ⛔ ออกแบบลวดลายที่สวยงามใน CAD แต่ไม่สามารถพิมพ์ได้ในโรงงาน ⛔ ต้องกลับไปแก้แบบใหม่ เสียเวลาและต้นทุน https://www.techradar.com/pro/the-semiconductor-industry-is-losing-billions-of-dollars-annually-because-of-this-little-obscure-quirk
    WWW.TECHRADAR.COM
    Tiny random manufacturing defects now costing chipmakers billions
    Randomness at the nanoscale is limiting semiconductor yields
    0 Comments 0 Shares 134 Views 0 Reviews
  • ฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชาโพสต์บนเฟซบุ๊กว่า “เนื่องจากรายงานข่าวที่ไม่ชัดเจนในสื่อต่างประเทศหลายสำนักเกี่ยวกับจุดยืนของกัมพูชาต่อการหยุดยิงที่เสนอโดย อันวาร์ อิบราฮิม นายกฯ มาเลเซียและประธานอาเซียน ผมจึงจำเป็นต้องชี้แจงดังต่อไปนี้
    .
    เมื่อเย็นวานนี้ วันที่ 24 กรกฎาคม 2025 อันวาร์ อิบราฮิม นายกฯ มาเลเซียและประธานอาเซียนได้ขอสนทนาทางโทรศัพท์กับผมเพื่อหารือเกี่ยวกับการสู้รบระหว่างกองทัพกัมพูชาและไทยตามแนวชายแดน
    .
    ท่านอันวาร์แสดงความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งและความปรารถนาที่จะ ‘หยุดยิงโดยทันที’ เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาระหว่างทั้งสองฝ่าย
    .
    ผมได้ชี้แจงให้ท่านอันวาร์ทราบอย่างชัดเจนว่ากัมพูชา ‘เห็นด้วยกับข้อเสนอการหยุดยิง’ ของท่าน เนื่องจากกัมพูชา ‘ไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มการสู้รบนี้’
    .
    หลังจากที่ท่านอันวาร์ได้คุยกับ ภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีของไทย ผมได้รับทราบคำตอบเบื้องต้นว่า ฝ่ายไทยได้ ‘ตกลงตามข้อเสนอการหยุดยิง’ โดยกำหนดเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 24 กรกฎาคม 2025 ให้ทั้งสองฝ่ายยุติการสู้รบ
    .
    อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องน่าเสียใจที่เพียงชั่วโมงกว่าต่อมา ฝ่ายไทยได้แจ้งว่าได้เปลี่ยนจุดยืนจากที่ตกลงหยุดยิงเมื่อเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 24 กรกฎาคม 2025 มาเป็น ‘ไม่ตกลง’ และรอกำหนดวันใหม่
    .
    ดังนั้น กุญแจสำคัญในการแก้ไขความขัดแย้งทางอาวุธระหว่างไทยและกัมพูชาในปัจจุบัน คือ ความเต็มใจอย่างแท้จริงของฝ่ายไทยที่จะยอมรับการหยุดยิง ซึ่งถือเป็นก้าวแรกในการหาทางออกเพิ่มเติมระหว่างสองประเทศ”

    .
    https://www.facebook.com/share/p/19T2QarhAP/
    ฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชาโพสต์บนเฟซบุ๊กว่า “เนื่องจากรายงานข่าวที่ไม่ชัดเจนในสื่อต่างประเทศหลายสำนักเกี่ยวกับจุดยืนของกัมพูชาต่อการหยุดยิงที่เสนอโดย อันวาร์ อิบราฮิม นายกฯ มาเลเซียและประธานอาเซียน ผมจึงจำเป็นต้องชี้แจงดังต่อไปนี้ . เมื่อเย็นวานนี้ วันที่ 24 กรกฎาคม 2025 อันวาร์ อิบราฮิม นายกฯ มาเลเซียและประธานอาเซียนได้ขอสนทนาทางโทรศัพท์กับผมเพื่อหารือเกี่ยวกับการสู้รบระหว่างกองทัพกัมพูชาและไทยตามแนวชายแดน . ท่านอันวาร์แสดงความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งและความปรารถนาที่จะ ‘หยุดยิงโดยทันที’ เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาระหว่างทั้งสองฝ่าย . ผมได้ชี้แจงให้ท่านอันวาร์ทราบอย่างชัดเจนว่ากัมพูชา ‘เห็นด้วยกับข้อเสนอการหยุดยิง’ ของท่าน เนื่องจากกัมพูชา ‘ไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มการสู้รบนี้’ . หลังจากที่ท่านอันวาร์ได้คุยกับ ภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีของไทย ผมได้รับทราบคำตอบเบื้องต้นว่า ฝ่ายไทยได้ ‘ตกลงตามข้อเสนอการหยุดยิง’ โดยกำหนดเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 24 กรกฎาคม 2025 ให้ทั้งสองฝ่ายยุติการสู้รบ . อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องน่าเสียใจที่เพียงชั่วโมงกว่าต่อมา ฝ่ายไทยได้แจ้งว่าได้เปลี่ยนจุดยืนจากที่ตกลงหยุดยิงเมื่อเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 24 กรกฎาคม 2025 มาเป็น ‘ไม่ตกลง’ และรอกำหนดวันใหม่ . ดังนั้น กุญแจสำคัญในการแก้ไขความขัดแย้งทางอาวุธระหว่างไทยและกัมพูชาในปัจจุบัน คือ ความเต็มใจอย่างแท้จริงของฝ่ายไทยที่จะยอมรับการหยุดยิง ซึ่งถือเป็นก้าวแรกในการหาทางออกเพิ่มเติมระหว่างสองประเทศ” . https://www.facebook.com/share/p/19T2QarhAP/
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 295 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากศูนย์ข้อมูล: เมื่อจีนมีพลังคอมพิวเตอร์เหลือใช้ แต่ยังขายไม่ได้

    Tom’s Hardware รายงานว่า จีนกำลังพัฒนาเครือข่ายระดับประเทศเพื่อขายพลังประมวลผลส่วนเกินจากศูนย์ข้อมูล ที่ไม่ได้ใช้งานเต็มประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าและสนับสนุนการเติบโตของ AI และคลาวด์ในประเทศ แต่ก็เผชิญกับอุปสรรคสำคัญ เช่น ความล่าช้าในการเชื่อมต่อ (latency) และ ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ ที่ทำให้การรวมระบบเป็นเรื่องยาก

    จีนเคยผลักดันยุทธศาสตร์ “Eastern Data, Western Computing” โดยให้สร้างศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ตะวันตกที่ค่าไฟถูก เพื่อรองรับความต้องการจากเมืองเศรษฐกิจฝั่งตะวันออก แต่ความจริงกลับไม่เป็นไปตามแผน:
    - ศูนย์ข้อมูลหลายแห่งใช้งานเพียง 20–30% ของความสามารถ
    - รัฐลงทุนไปกว่า $3.4 พันล้านในปี 2024 แต่ผลตอบแทนยังไม่คุ้ม
    - มีโครงการถูกยกเลิกกว่า 100 แห่งใน 18 เดือนที่ผ่านมา

    เพื่อแก้ปัญหา รัฐบาลจีนจึงเตรียมสร้าง เครือข่ายคลาวด์ระดับชาติ โดยรวมพลังประมวลผลที่เหลือจากศูนย์ต่าง ๆ มาให้บริการผ่านระบบรวมศูนย์ โดยร่วมมือกับ China Mobile, China Telecom และ China Unicom

    แต่ก็มีอุปสรรคใหญ่:
    - ความล่าช้าในการเชื่อมต่อจากศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ห่างไกล
    - ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ เช่น บางแห่งใช้ Nvidia CUDA บางแห่งใช้ Huawei CANN ทำให้รวมกันไม่ได้ง่าย

    แม้จะมีความท้าทาย แต่รัฐบาลยังคงมุ่งมั่น เพราะเชื่อว่าแนวทางนี้จะช่วยให้การลงทุนใน AI และคลาวด์มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ห่างไกลมักมีค่าไฟถูก แต่ latency สูง
    ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วตอบสนองทันที

    การรวมพลังประมวลผลแบบ distributed computing ต้องใช้ระบบจัดการที่ซับซ้อน
    เช่น Kubernetes, scheduling algorithms และระบบ billing ที่แม่นยำ

    ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ในคลาวด์อาจต้องใช้ containerization หรือ virtualization
    เพื่อให้ผู้ใช้งานเลือกได้ว่าจะใช้ GPU แบบไหน

    การสร้างเครือข่ายคลาวด์ระดับชาติอาจช่วยลดการพึ่งพา hyperscalers ต่างชาติ
    เช่น AWS, Azure และ Google Cloud

    https://www.tomshardware.com/desktops/servers/china-is-developing-nation-spanning-network-to-sell-surplus-data-center-compute-power-latency-disparate-hardware-are-key-hurdles
    🎙️ เรื่องเล่าจากศูนย์ข้อมูล: เมื่อจีนมีพลังคอมพิวเตอร์เหลือใช้ แต่ยังขายไม่ได้ Tom’s Hardware รายงานว่า จีนกำลังพัฒนาเครือข่ายระดับประเทศเพื่อขายพลังประมวลผลส่วนเกินจากศูนย์ข้อมูล ที่ไม่ได้ใช้งานเต็มประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าและสนับสนุนการเติบโตของ AI และคลาวด์ในประเทศ แต่ก็เผชิญกับอุปสรรคสำคัญ เช่น ความล่าช้าในการเชื่อมต่อ (latency) และ ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ ที่ทำให้การรวมระบบเป็นเรื่องยาก จีนเคยผลักดันยุทธศาสตร์ “Eastern Data, Western Computing” โดยให้สร้างศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ตะวันตกที่ค่าไฟถูก เพื่อรองรับความต้องการจากเมืองเศรษฐกิจฝั่งตะวันออก แต่ความจริงกลับไม่เป็นไปตามแผน: - ศูนย์ข้อมูลหลายแห่งใช้งานเพียง 20–30% ของความสามารถ - รัฐลงทุนไปกว่า $3.4 พันล้านในปี 2024 แต่ผลตอบแทนยังไม่คุ้ม - มีโครงการถูกยกเลิกกว่า 100 แห่งใน 18 เดือนที่ผ่านมา เพื่อแก้ปัญหา รัฐบาลจีนจึงเตรียมสร้าง เครือข่ายคลาวด์ระดับชาติ โดยรวมพลังประมวลผลที่เหลือจากศูนย์ต่าง ๆ มาให้บริการผ่านระบบรวมศูนย์ โดยร่วมมือกับ China Mobile, China Telecom และ China Unicom แต่ก็มีอุปสรรคใหญ่: - ความล่าช้าในการเชื่อมต่อจากศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ห่างไกล - ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ เช่น บางแห่งใช้ Nvidia CUDA บางแห่งใช้ Huawei CANN ทำให้รวมกันไม่ได้ง่าย แม้จะมีความท้าทาย แต่รัฐบาลยังคงมุ่งมั่น เพราะเชื่อว่าแนวทางนี้จะช่วยให้การลงทุนใน AI และคลาวด์มีประสิทธิภาพมากขึ้น 💡 ศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ห่างไกลมักมีค่าไฟถูก แต่ latency สูง ➡️ ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วตอบสนองทันที 💡 การรวมพลังประมวลผลแบบ distributed computing ต้องใช้ระบบจัดการที่ซับซ้อน ➡️ เช่น Kubernetes, scheduling algorithms และระบบ billing ที่แม่นยำ 💡 ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ในคลาวด์อาจต้องใช้ containerization หรือ virtualization ➡️ เพื่อให้ผู้ใช้งานเลือกได้ว่าจะใช้ GPU แบบไหน 💡 การสร้างเครือข่ายคลาวด์ระดับชาติอาจช่วยลดการพึ่งพา hyperscalers ต่างชาติ ➡️ เช่น AWS, Azure และ Google Cloud https://www.tomshardware.com/desktops/servers/china-is-developing-nation-spanning-network-to-sell-surplus-data-center-compute-power-latency-disparate-hardware-are-key-hurdles
    0 Comments 0 Shares 200 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกเลเซอร์: เมื่อแสงกลายเป็นทางลัดของข้อมูล

    TechRadar รายงานความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการพัฒนา “ชิปโฟโตนิกส์” ที่ใช้เลเซอร์ควอนตัมดอท (Quantum Dot Lasers) ซึ่งสามารถทำงานบนซิลิคอนได้โดยตรง โดยไม่ต้องออกแบบระบบใหม่ทั้งหมด และยังทนความร้อนได้ดีเยี่ยม เหมาะกับการใช้งานจริงในศูนย์ข้อมูลและอุปกรณ์อัจฉริยะในอนาคต

    ลองจินตนาการว่าในอนาคต ชิปที่อยู่ในสมาร์ทโฟนหรือโน้ตบุ๊กของคุณจะไม่ส่งข้อมูลด้วยไฟฟ้า แต่ใช้ “แสง” แทน ซึ่งเร็วกว่าและประหยัดพลังงานมากกว่า แต่ปัญหาคือการรวมเลเซอร์เข้ากับซิลิคอนนั้นยากมาก เพราะวัสดุไม่เข้ากัน

    ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย นำโดย Rosalyn Koscica ได้แก้ปัญหานี้ด้วย 3 กลยุทธ์:

    1️⃣ ใช้การเติบโตแบบสองขั้นตอน (MOCVD + MBE) เพื่อสร้างเลเซอร์ควอนตัมดอทบนซิลิคอน

    2️⃣ เติมช่องว่างด้วยโพลิเมอร์เพื่อลดการกระจายของแสง

    3️⃣ ใช้การออกแบบเลเซอร์แบบ pocket laser ที่เล็กและแม่นยำ

    ผลลัพธ์คือเลเซอร์ที่ทำงานได้ในช่วง O-band (เหมาะกับการสื่อสารข้อมูล) ทนความร้อนได้ถึง 105°C และมีอายุการใช้งานกว่า 6 ปี โดยไม่ต้องใช้ระบบระบายความร้อนที่ซับซ้อน

    ที่สำคัญคือกระบวนการนี้สามารถผลิตในโรงงานเซมิคอนดักเตอร์ทั่วไปได้เลย ไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างชิป ทำให้มีโอกาสผลิตในระดับอุตสาหกรรมได้ง่ายขึ้น

    https://www.techradar.com/pro/a-new-trick-for-merging-lasers-with-silicon-could-finally-make-photonic-chips-cheap-fast-and-ready-for-mass-production
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกเลเซอร์: เมื่อแสงกลายเป็นทางลัดของข้อมูล TechRadar รายงานความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการพัฒนา “ชิปโฟโตนิกส์” ที่ใช้เลเซอร์ควอนตัมดอท (Quantum Dot Lasers) ซึ่งสามารถทำงานบนซิลิคอนได้โดยตรง โดยไม่ต้องออกแบบระบบใหม่ทั้งหมด และยังทนความร้อนได้ดีเยี่ยม เหมาะกับการใช้งานจริงในศูนย์ข้อมูลและอุปกรณ์อัจฉริยะในอนาคต ลองจินตนาการว่าในอนาคต ชิปที่อยู่ในสมาร์ทโฟนหรือโน้ตบุ๊กของคุณจะไม่ส่งข้อมูลด้วยไฟฟ้า แต่ใช้ “แสง” แทน ซึ่งเร็วกว่าและประหยัดพลังงานมากกว่า แต่ปัญหาคือการรวมเลเซอร์เข้ากับซิลิคอนนั้นยากมาก เพราะวัสดุไม่เข้ากัน ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย นำโดย Rosalyn Koscica ได้แก้ปัญหานี้ด้วย 3 กลยุทธ์: 1️⃣ ใช้การเติบโตแบบสองขั้นตอน (MOCVD + MBE) เพื่อสร้างเลเซอร์ควอนตัมดอทบนซิลิคอน 2️⃣ เติมช่องว่างด้วยโพลิเมอร์เพื่อลดการกระจายของแสง 3️⃣ ใช้การออกแบบเลเซอร์แบบ pocket laser ที่เล็กและแม่นยำ ผลลัพธ์คือเลเซอร์ที่ทำงานได้ในช่วง O-band (เหมาะกับการสื่อสารข้อมูล) ทนความร้อนได้ถึง 105°C และมีอายุการใช้งานกว่า 6 ปี โดยไม่ต้องใช้ระบบระบายความร้อนที่ซับซ้อน ที่สำคัญคือกระบวนการนี้สามารถผลิตในโรงงานเซมิคอนดักเตอร์ทั่วไปได้เลย ไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างชิป ทำให้มีโอกาสผลิตในระดับอุตสาหกรรมได้ง่ายขึ้น https://www.techradar.com/pro/a-new-trick-for-merging-lasers-with-silicon-could-finally-make-photonic-chips-cheap-fast-and-ready-for-mass-production
    0 Comments 0 Shares 164 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโรงงานที่กำลังโตแต่ยังไม่พร้อม: เมื่อ CXMT พยายามผลิต DDR5 ท่ามกลางแรงกดดันจากเทคโนโลยีและการเมือง

    CXMT เริ่มผลิต DDR5 ตั้งแต่ปลายปี 2024 โดยใช้เทคโนโลยี G4 node ขนาด 16nm ซึ่งล้าหลังกว่าคู่แข่งอย่าง Samsung ที่ใช้ 10nm-class node รุ่นที่ 3 ทำให้:
    - ขนาดชิปใหญ่ขึ้น 40%
    - ต้นทุนการผลิตสูงกว่า
    - ไม่สามารถ “ท่วมตลาด” ด้วยราคาถูกได้ตามที่หลายฝ่ายกังวล

    นอกจากนี้ยังพบปัญหา:
    - ความไม่เสถียรเมื่อใช้งานที่อุณหภูมิสูง (60°C) และต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง
    - ต้องออกแบบ photomask ใหม่เพื่อแก้ปัญหา — ซึ่งมีต้นทุนสูง
    - แม้จะปรับปรุงแล้วและคุณภาพใกล้เคียงกับ Nanya แต่ yield ยังต่ำเพียง 50% ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการผลิตเชิงพาณิชย์

    CXMT มีแผนขยายกำลังผลิตจาก 170,000 wafer ต่อเดือนในปี 2024 เป็น 280,000 wafer ภายในปลายปี 2025 โดยใช้เงินทุนจากรัฐบาลจีน — แต่การพึ่งพาเครื่องมือจากสหรัฐฯ, ญี่ปุ่น และยุโรป อาจทำให้แผนนี้สะดุด หากถูกจำกัดการส่งออกหรือการซ่อมบำรุง

    CXMT เลื่อนการผลิต DDR5 แบบปริมาณมากไปเป็นปลายปี 2025
    เดิมคาดว่าจะเริ่มกลางปี แต่ yield ยังต่ำเพียง 50%

    ใช้เทคโนโลยี G4 node ขนาด 16nm ซึ่งล้าหลังกว่าคู่แข่ง
    ทำให้ชิปใหญ่ขึ้น 40% และต้นทุนสูงกว่า Samsung

    พบปัญหาความไม่เสถียรที่อุณหภูมิสูงและต่ำ
    ต้องออกแบบ photomask ใหม่เพื่อแก้ปัญหา

    คุณภาพของ DDR5 ล่าสุดใกล้เคียงกับ Nanya จากไต้หวัน
    หากได้รับการรับรองจากผู้ผลิต PC จะถือว่า “ปิดช่องว่าง” กับคู่แข่ง

    CXMT มีแผนขยายกำลังผลิตจาก 170K → 280K wafer ต่อเดือนภายในปี 2025
    ใช้เงินทุนจากรัฐบาลจีนเพื่อสร้างความพึ่งพาตนเองด้านเซมิคอนดักเตอร์

    Localization ของเครื่องมือในโรงงาน CXMT ยังอยู่ที่ 20%
    พึ่งพาอุปกรณ์จากสหรัฐฯ, ญี่ปุ่น และยุโรปเป็นหลัก

    https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/chinas-cxmt-reportedly-delays-mass-production-of-ddr5-chips-to-late-2025-state-backed-manufacturer-could-still-be-disruptive-market-force
    🎙️ เรื่องเล่าจากโรงงานที่กำลังโตแต่ยังไม่พร้อม: เมื่อ CXMT พยายามผลิต DDR5 ท่ามกลางแรงกดดันจากเทคโนโลยีและการเมือง CXMT เริ่มผลิต DDR5 ตั้งแต่ปลายปี 2024 โดยใช้เทคโนโลยี G4 node ขนาด 16nm ซึ่งล้าหลังกว่าคู่แข่งอย่าง Samsung ที่ใช้ 10nm-class node รุ่นที่ 3 ทำให้: - ขนาดชิปใหญ่ขึ้น 40% - ต้นทุนการผลิตสูงกว่า - ไม่สามารถ “ท่วมตลาด” ด้วยราคาถูกได้ตามที่หลายฝ่ายกังวล นอกจากนี้ยังพบปัญหา: - ความไม่เสถียรเมื่อใช้งานที่อุณหภูมิสูง (60°C) และต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง - ต้องออกแบบ photomask ใหม่เพื่อแก้ปัญหา — ซึ่งมีต้นทุนสูง - แม้จะปรับปรุงแล้วและคุณภาพใกล้เคียงกับ Nanya แต่ yield ยังต่ำเพียง 50% ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการผลิตเชิงพาณิชย์ CXMT มีแผนขยายกำลังผลิตจาก 170,000 wafer ต่อเดือนในปี 2024 เป็น 280,000 wafer ภายในปลายปี 2025 โดยใช้เงินทุนจากรัฐบาลจีน — แต่การพึ่งพาเครื่องมือจากสหรัฐฯ, ญี่ปุ่น และยุโรป อาจทำให้แผนนี้สะดุด หากถูกจำกัดการส่งออกหรือการซ่อมบำรุง ✅ CXMT เลื่อนการผลิต DDR5 แบบปริมาณมากไปเป็นปลายปี 2025 ➡️ เดิมคาดว่าจะเริ่มกลางปี แต่ yield ยังต่ำเพียง 50% ✅ ใช้เทคโนโลยี G4 node ขนาด 16nm ซึ่งล้าหลังกว่าคู่แข่ง ➡️ ทำให้ชิปใหญ่ขึ้น 40% และต้นทุนสูงกว่า Samsung ✅ พบปัญหาความไม่เสถียรที่อุณหภูมิสูงและต่ำ ➡️ ต้องออกแบบ photomask ใหม่เพื่อแก้ปัญหา ✅ คุณภาพของ DDR5 ล่าสุดใกล้เคียงกับ Nanya จากไต้หวัน ➡️ หากได้รับการรับรองจากผู้ผลิต PC จะถือว่า “ปิดช่องว่าง” กับคู่แข่ง ✅ CXMT มีแผนขยายกำลังผลิตจาก 170K → 280K wafer ต่อเดือนภายในปี 2025 ➡️ ใช้เงินทุนจากรัฐบาลจีนเพื่อสร้างความพึ่งพาตนเองด้านเซมิคอนดักเตอร์ ✅ Localization ของเครื่องมือในโรงงาน CXMT ยังอยู่ที่ 20% ➡️ พึ่งพาอุปกรณ์จากสหรัฐฯ, ญี่ปุ่น และยุโรปเป็นหลัก https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/chinas-cxmt-reportedly-delays-mass-production-of-ddr5-chips-to-late-2025-state-backed-manufacturer-could-still-be-disruptive-market-force
    0 Comments 0 Shares 181 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากกระเป๋าเงินดิจิทัลที่กิน SSD: เมื่อ MetaMask เขียนข้อมูลลงดิสก์แบบไม่หยุดพัก

    ผู้ใช้ชื่อ “ripper31337” รายงานผ่าน GitHub ว่า MetaMask เขียนข้อมูลลง SSD มากถึง 25TB ภายใน 3 เดือน โดยแม้จะไม่ได้ล็อกอินเข้าใช้งาน ส่วนขยายก็ยังเขียนข้อมูลต่อเนื่องที่ความเร็ว 5MB/s — เทียบเท่ากับ 420GB ต่อวัน หรือ 38TB ใน 3 เดือน

    นักพัฒนา MetaMask ชื่อ Mark “Gudahtt” Stacey ยืนยันว่าบั๊กนี้มีอยู่จริง และเกิดจากการจัดการ “state” ที่มีขนาดใหญ่ผิดปกติในบางผู้ใช้ โดยเฉพาะผู้ที่เชื่อมต่อกับ dApps จำนวนมากหรือมี NFT/โทเคนจำนวนมากในบัญชี

    บริษัท Consensys เจ้าของ MetaMask ระบุว่า:

    “แม้การเขียน state ลงดิสก์จะเป็นพฤติกรรมปกติของ wallet แบบ browser extension แต่เรากำลังหาวิธีลดขนาด state เพื่อแก้ปัญหานี้”

    ผู้ใช้บางรายพบไฟล์ Synaptics.exe ที่ถูกสร้างใน C:\ProgramData\ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มัลแวร์มักใช้ซ่อนตัว — แม้จะยังไม่มีหลักฐานว่า MetaMask มีมัลแวร์ แต่การเขียนข้อมูลจำนวนมากโดยไม่แจ้งเตือนถือเป็นพฤติกรรมที่อันตรายต่อ SSD และความปลอดภัยของระบบ

    MetaMask เวอร์ชัน Chrome extension มีบั๊กที่เขียนข้อมูลลง SSD หลายร้อย GB ต่อวัน
    แม้จะไม่ได้ล็อกอิน ส่วนขยายก็ยังทำงานอยู่เบื้องหลัง

    ผู้ใช้รายหนึ่งพบว่า SSD ของตนถูกเขียนข้อมูลถึง 25TB ภายใน 3 เดือน
    ความเร็วการเขียนอยู่ที่ประมาณ 5MB/s ตลอดเวลา

    นักพัฒนา MetaMask ยืนยันว่าบั๊กนี้มีอยู่จริง และเกิดจาก state ที่มีขนาดใหญ่
    โดยเฉพาะผู้ใช้ที่เชื่อมต่อกับ dApps หรือมี NFT จำนวนมาก

    Consensys ระบุว่ากำลังหาวิธีลดขนาด state เพื่อแก้ปัญหา
    และยอมรับว่าการเขียน state เป็นพฤติกรรมปกติของ wallet แบบ extension

    บั๊กนี้ส่งผลต่อผู้ใช้บน Chrome, Edge และ Opera ที่ใช้ MetaMask extension
    Firefox ไม่ได้รับผลกระทบในรายงานนี้

    SSD ที่ได้รับผลกระทบมีการเขียนข้อมูลถึง 26.5TB ตาม CrystalDiskInfo
    แม้จะไม่ถึง 38TB แต่ก็ถือว่าเป็นปริมาณที่สูงผิดปกติ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/metamask-crypto-wallet-chrome-extension-is-eating-ssd-storage-at-an-alarming-rate-owner-confirms-bug-has-been-writing-hundreds-of-gigabytes-of-data-per-day-into-users-solid-state-drives
    🎙️ เรื่องเล่าจากกระเป๋าเงินดิจิทัลที่กิน SSD: เมื่อ MetaMask เขียนข้อมูลลงดิสก์แบบไม่หยุดพัก ผู้ใช้ชื่อ “ripper31337” รายงานผ่าน GitHub ว่า MetaMask เขียนข้อมูลลง SSD มากถึง 25TB ภายใน 3 เดือน โดยแม้จะไม่ได้ล็อกอินเข้าใช้งาน ส่วนขยายก็ยังเขียนข้อมูลต่อเนื่องที่ความเร็ว 5MB/s — เทียบเท่ากับ 420GB ต่อวัน หรือ 38TB ใน 3 เดือน นักพัฒนา MetaMask ชื่อ Mark “Gudahtt” Stacey ยืนยันว่าบั๊กนี้มีอยู่จริง และเกิดจากการจัดการ “state” ที่มีขนาดใหญ่ผิดปกติในบางผู้ใช้ โดยเฉพาะผู้ที่เชื่อมต่อกับ dApps จำนวนมากหรือมี NFT/โทเคนจำนวนมากในบัญชี บริษัท Consensys เจ้าของ MetaMask ระบุว่า: 🔖 “แม้การเขียน state ลงดิสก์จะเป็นพฤติกรรมปกติของ wallet แบบ browser extension แต่เรากำลังหาวิธีลดขนาด state เพื่อแก้ปัญหานี้” ผู้ใช้บางรายพบไฟล์ Synaptics.exe ที่ถูกสร้างใน C:\ProgramData\ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มัลแวร์มักใช้ซ่อนตัว — แม้จะยังไม่มีหลักฐานว่า MetaMask มีมัลแวร์ แต่การเขียนข้อมูลจำนวนมากโดยไม่แจ้งเตือนถือเป็นพฤติกรรมที่อันตรายต่อ SSD และความปลอดภัยของระบบ ✅ MetaMask เวอร์ชัน Chrome extension มีบั๊กที่เขียนข้อมูลลง SSD หลายร้อย GB ต่อวัน ➡️ แม้จะไม่ได้ล็อกอิน ส่วนขยายก็ยังทำงานอยู่เบื้องหลัง ✅ ผู้ใช้รายหนึ่งพบว่า SSD ของตนถูกเขียนข้อมูลถึง 25TB ภายใน 3 เดือน ➡️ ความเร็วการเขียนอยู่ที่ประมาณ 5MB/s ตลอดเวลา ✅ นักพัฒนา MetaMask ยืนยันว่าบั๊กนี้มีอยู่จริง และเกิดจาก state ที่มีขนาดใหญ่ ➡️ โดยเฉพาะผู้ใช้ที่เชื่อมต่อกับ dApps หรือมี NFT จำนวนมาก ✅ Consensys ระบุว่ากำลังหาวิธีลดขนาด state เพื่อแก้ปัญหา ➡️ และยอมรับว่าการเขียน state เป็นพฤติกรรมปกติของ wallet แบบ extension ✅ บั๊กนี้ส่งผลต่อผู้ใช้บน Chrome, Edge และ Opera ที่ใช้ MetaMask extension ➡️ Firefox ไม่ได้รับผลกระทบในรายงานนี้ ✅ SSD ที่ได้รับผลกระทบมีการเขียนข้อมูลถึง 26.5TB ตาม CrystalDiskInfo ➡️ แม้จะไม่ถึง 38TB แต่ก็ถือว่าเป็นปริมาณที่สูงผิดปกติ https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/metamask-crypto-wallet-chrome-extension-is-eating-ssd-storage-at-an-alarming-rate-owner-confirms-bug-has-been-writing-hundreds-of-gigabytes-of-data-per-day-into-users-solid-state-drives
    0 Comments 0 Shares 205 Views 0 Reviews
  • ปิดด่านรอบนี้ไม่มีข้อยกเว้น
    ห้ามข้ามมาเรียนหนังสือ
    ป่วยหนักก็รอวายบ้านเมิง
    ยาก็ไม่ส่งให้แมร่ง
    ให้ไอ้ฮุนเซนแก้ปัญหาเอง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    ปิดด่านรอบนี้ไม่มีข้อยกเว้น ห้ามข้ามมาเรียนหนังสือ ป่วยหนักก็รอวายบ้านเมิง ยาก็ไม่ส่งให้แมร่ง ให้ไอ้ฮุนเซนแก้ปัญหาเอง #คิงส์โพธิ์แดง
    0 Comments 0 Shares 151 Views 0 Reviews
  • อันวาร์แจกเงิน 100 ริงกิต ประชานิยมสกัดม็อบ

    นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย ประกาศมาตรการช่วยเหลือชาวมาเลเซียเพื่อแก้ปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น เมื่อวันที่ 23 ก.ค. โดยชาวมาเลเซียที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป จะได้รับเงินช่วยเหลือแบบครั้งเดียว 100 ริงกิต (ประมาณ 760 บาท) ผ่านบัตรประชาชน (MyKAD) เพื่อซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่ร้านค้าและห้างค้าปลีกกว่า 4,100 แห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค. ถึง 31 ธ.ค. คาดว่าจะมีผู้ได้รับสิทธิ์ 22 ล้านคน ใช้งบประมาณ 2,000 ล้านริงกิต

    พร้อมกันนี้ยังได้ประกาศปรับลดราคาน้ำมัน RON95 สำหรับภาคการขนส่งในมาเลเซียอีก 0.06 ริงกิต ตามแผนอุดหนุนราคาน้ำมัน จากเดิม 2.05 ริงกิต เหลือ 1.99 ริงกิตต่อลิตร การปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้า การระงับขึ้นค่าผ่านทางบนทางด่วน 10 เส้นทาง ที่มีกำหนดปรับขึ้นในปีนี้ การเพิ่มวันจันทร์ที่ 15 ก.ย. เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเติม เพื่อให้หยุดยาว 4 วันในวันมาเลเซียปีนี้ 13-16 ก.ย. เพื่อเสริมสร้างความสามัคคีของคนในชาติ

    การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนการชุมนุมใหญ่ภายใต้ชื่อ Himpunan Turun Anwar ซึ่งจัดโดยกลุ่มเยาวชนพรรคพาส (PAS) ในวันเสาร์นี้ (26 ก.ค.) ที่จตุรัสเมอร์เดกา กรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อเรียกร้องให้นายอันวาร์ลาออก ด้วยข้อกล่าวหาบริหารประเทศล้มเหลว ทั้งการปฎิรูปการเมืองและค่าครองชีพที่สูงขึ้น ตำรวจกรุงกัวลาลัมเปอร์คาดว่าจะมีผู้ชุมนุมราว 10,000-15,000 คน โดยจัดกำลังเพื่อรักษาความปลอดภัยและควบคุมฝูงชนราว 2,000 นาย

    นายฟัดห์ลี ชาอารี (Fadhli Shaari) สส.เขตปาร์เซมัส หัวหน้าฝ่ายสารสนเทศของพรรคพาส กล่าวว่า การประกาศแจกเงิน 100 ริงกิตน่าสนใจที่สุด ส่วนมาตรการอื่นเป็นเพียงนโยบายทั่วไปที่ประกาศได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะการปรับลดราคาน้ำมัน RON95 ลง 6 เซน ไม่สมกับที่นายกฯ ต้องประกาศเอง ถึงกระนั้นการแจกเงินไม่มีความหมาย เมื่อเทียบกับรายได้ที่รัฐบาลได้รับจากการลดเงินอุดหนุนน้ำมันดีเซลสูงถึง 7,500 ล้านริงกิต โดยไม่มีมาตรการใดที่ส่งผลในระยะยาวอย่างแท้จริง เป็นเพียงการลดกระแสความไม่พอใจของประชาชนที่จะออกมาชุมนุมเท่านั้น

    ก่อนหน้านี้อดีตนายกรัฐมนตรี มหาเธร์ โมฮัมหมัด กล่าวปราศรัยที่เมืองอลอร์สตาร์ รัฐเคดะห์ เมื่อวันที่ 17 ก.ค. เรียกร้องให้นายอันวาร์ลาออก เพราะขาดความสามารถในการบริหารประเทศ และแก้ปัญหาต่างๆ ทั้งการบริหารจัดการความมั่งคั่งของชาติที่ผิดพลาด ยกเลิกการอุดหนุนต่างๆ ทำให้ประชาชนยากลำบาก ชาวมาเลเซียจำนวนมากเผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหาร บางคนเจอแรงกดดันจนเสียสติและจบชีวิตตัวเองหรือใช้ความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งเกิดขึ้นจากความยากจน

    #Newskit
    อันวาร์แจกเงิน 100 ริงกิต ประชานิยมสกัดม็อบ นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย ประกาศมาตรการช่วยเหลือชาวมาเลเซียเพื่อแก้ปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น เมื่อวันที่ 23 ก.ค. โดยชาวมาเลเซียที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป จะได้รับเงินช่วยเหลือแบบครั้งเดียว 100 ริงกิต (ประมาณ 760 บาท) ผ่านบัตรประชาชน (MyKAD) เพื่อซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่ร้านค้าและห้างค้าปลีกกว่า 4,100 แห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค. ถึง 31 ธ.ค. คาดว่าจะมีผู้ได้รับสิทธิ์ 22 ล้านคน ใช้งบประมาณ 2,000 ล้านริงกิต พร้อมกันนี้ยังได้ประกาศปรับลดราคาน้ำมัน RON95 สำหรับภาคการขนส่งในมาเลเซียอีก 0.06 ริงกิต ตามแผนอุดหนุนราคาน้ำมัน จากเดิม 2.05 ริงกิต เหลือ 1.99 ริงกิตต่อลิตร การปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้า การระงับขึ้นค่าผ่านทางบนทางด่วน 10 เส้นทาง ที่มีกำหนดปรับขึ้นในปีนี้ การเพิ่มวันจันทร์ที่ 15 ก.ย. เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเติม เพื่อให้หยุดยาว 4 วันในวันมาเลเซียปีนี้ 13-16 ก.ย. เพื่อเสริมสร้างความสามัคคีของคนในชาติ การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนการชุมนุมใหญ่ภายใต้ชื่อ Himpunan Turun Anwar ซึ่งจัดโดยกลุ่มเยาวชนพรรคพาส (PAS) ในวันเสาร์นี้ (26 ก.ค.) ที่จตุรัสเมอร์เดกา กรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อเรียกร้องให้นายอันวาร์ลาออก ด้วยข้อกล่าวหาบริหารประเทศล้มเหลว ทั้งการปฎิรูปการเมืองและค่าครองชีพที่สูงขึ้น ตำรวจกรุงกัวลาลัมเปอร์คาดว่าจะมีผู้ชุมนุมราว 10,000-15,000 คน โดยจัดกำลังเพื่อรักษาความปลอดภัยและควบคุมฝูงชนราว 2,000 นาย นายฟัดห์ลี ชาอารี (Fadhli Shaari) สส.เขตปาร์เซมัส หัวหน้าฝ่ายสารสนเทศของพรรคพาส กล่าวว่า การประกาศแจกเงิน 100 ริงกิตน่าสนใจที่สุด ส่วนมาตรการอื่นเป็นเพียงนโยบายทั่วไปที่ประกาศได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะการปรับลดราคาน้ำมัน RON95 ลง 6 เซน ไม่สมกับที่นายกฯ ต้องประกาศเอง ถึงกระนั้นการแจกเงินไม่มีความหมาย เมื่อเทียบกับรายได้ที่รัฐบาลได้รับจากการลดเงินอุดหนุนน้ำมันดีเซลสูงถึง 7,500 ล้านริงกิต โดยไม่มีมาตรการใดที่ส่งผลในระยะยาวอย่างแท้จริง เป็นเพียงการลดกระแสความไม่พอใจของประชาชนที่จะออกมาชุมนุมเท่านั้น ก่อนหน้านี้อดีตนายกรัฐมนตรี มหาเธร์ โมฮัมหมัด กล่าวปราศรัยที่เมืองอลอร์สตาร์ รัฐเคดะห์ เมื่อวันที่ 17 ก.ค. เรียกร้องให้นายอันวาร์ลาออก เพราะขาดความสามารถในการบริหารประเทศ และแก้ปัญหาต่างๆ ทั้งการบริหารจัดการความมั่งคั่งของชาติที่ผิดพลาด ยกเลิกการอุดหนุนต่างๆ ทำให้ประชาชนยากลำบาก ชาวมาเลเซียจำนวนมากเผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหาร บางคนเจอแรงกดดันจนเสียสติและจบชีวิตตัวเองหรือใช้ความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งเกิดขึ้นจากความยากจน #Newskit
    0 Comments 0 Shares 291 Views 0 Reviews
  • ..ทหารเขมรทำผิดร้ายแรงจริงๆ,ประขาชนเขมรสมยอมสนับสนุนการกระทำของทหารเขมรด้วย,ประชาชนเขมรที่อ้างตนเองว่าคือผู้บริสุทธิ์ ไม่มีใครเลยออกมาว่ากล่าวรัฐบาลตนเองที่ทำผิดวิถีข้อตกลงสันติร่วมกัน ลาดตะเวนคือลาดตะเวน มิใช่ฝังกับระเบิดแบบนี้ถือว่า,ยุติสัมพันธ์ทันทีได้แล้ว,ปิดด่านทั้งหมดตลอดพรมแดนเป็นถาวรทันที,ปิดถาวรทุกๆด่านทันที,ตัดไฟฟ้า ทำลายเสาไฟฟ้าทุกๆต้นที่เชื่อมต่อไปเขมร,เรียกฑูตไทยเราทั้งหมดทันที,ผลัดกันฑูตเขมรกลับไปด้วย,ตลอดคนเขมรในไทยที่อ้างตนว่าคือผู้บริสุทธิ์ทั้งหมดด้วย,กลับไปจัดการฮุนเซนเองหรือตั้งสมาคมต่อต้านฮุนเซนอย่างเป็นทางการไป,แต่ไม่ใช่ในประเทศไทย,อาจย้ายไปก่อการที่ลาวโน้นแทน,เพื่อยึดอำนาจการปกครองคืนจากฮุนเซนเอง,ภาค2ชัดเจนแล้วว่าเขมรต้องจัดการเด็ดขาด,แต่ภาค1ยังสมยอมเขมรอยู่ดูการอนุญาตเปิดด่านให้เขมรเข้าออกไทยได้,,ทหารไทยต้องใช้กฎอัยการศึกในมือให้เด็ดขาด,ถ้ารัฐบาลกากอีกก็ประกาศกฎอัยการศึกทั้งภาคเลยคือทั้งหมดของภาคกลางและภาคตะวันออก,โดยภาคกลางพิเศษเข้มข้นในกรุงเทพและปริมลฑลทั้งหมด,รัฐบาลจะถูกควบคุมทันทีในนัยยะสำคัญนั้น.ทหารไทยเราต้องไม่สูญเสียการสละเปล่าประโยชน์.
    ..เคยนึกเล่นๆตอนทหาคเขมรมันถมคลองคูมันนั้นล่ะ มันอาจฝังระเบิดไว้ด้วยก็ได้ทั้งในคูและรอบๆคูที่มันขุด,เรามีไส้ศึกจริงๆ,ทหารไทยคือฝ่ายตรงข้ามเรา คำนี้มันขายชาติทั้งชุดรัฐบาลแล้ว,เป็นอื่นไม่ได้เลย,รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันคือปัญหา โดยเฉพาะกฎการเลือกตั้งสส.สว.และนายกฯที่ไม่เลือกโดยตรงจากประชาชน มันผิดวิสัยปกติพื้นฐานของการเลือกผู้นำในระบบประชาธิปไตย,ทหารไทยเราสามารถฉีกและเขียนใหม่ได้,และต้องเป็นทหารที่รักประชาชนจริงๆรักสถาบันจริงๆด้วย,รักชาตินั้นเอง,ทหารสมัยกปปส.ยึดอำนาจถือว่าเสียของที่สุด,กลุ่มอนุรักษ์นิยมเหี้ยบัดสบด้วยทำเสียของเช่นกันหากกำกับทหารจริงถ้ามิใช่ฝ่ายมืด,เรา..ประชาชนนิยมและนิยมกษัตริย์ด้วย,บ้านต้องมีพ่อมีแม่เป็นประธาน ,ไม่เอาประธานาธิบดี และเผด็จการใดๆ,เรา..เอาสถาบันกษัตริย์เราปกติ เพราะนี้คือคู่บุญคู่บ้านคู่เมืองเรามาตลอด กษัตริย์ทุกๆพระองค์พยายามบริหารปกครองบ้านเมืองด้วยธรรมดีมาตลอด,คุณนั้นมีจริงอยู่ พระคุณคู่พระคุณบรรพบุรุษเราทั้งหลายมีจริงอยู่ เราชนรุ่นหลังมิอาจลืมพระคุณท่านที่เสียสละพลีชีพเพื่อขนรุ่นหลังแบบเราๆคนไทยทั้งประเทศได้,
    ..เขมรทำเกินกว่าเหตุแล้ว,มุกบริบทเล่นเกินกว่าเหตุด้วย,แม้จะในใจลึกๆขอให้ไทยยึดประเทศเขมรให้ด้วยจะได้หลุดพ้นหนี้ล้นพ้นตัวจากจีนก็อย่าทำถึงขนาดนี้,ไทยจะยึดทั้งประเทศเขมรให้แน่นอน,จะพื้นที่ให้ลาวปกครอง ให้พื้นที่ให้เวียดนามมาปกครองเขมรด้วย,ไทยคนยึดเขมรจะแบ่งให้ลาวให้เวียดนามและคนเขมรทั้งหมดให้ลาวให้เวียดนามจัดการแน่นอน,จีนจะไม่สามารถถามหาได้อีก หลุดพ้นทันทีของจริง,ส่วนไทยจะเอาที่ๆเคยเป็นของไทยคืนมาสมัยก่อนฝรั่งเศสยึดครองไปแค่นั้น,ไม่เอาคนเขมรด้วย,มาอยู่บนแผ่นดินนั่นๆที่ได้คืนมา,เขมรต้องคืนสู่สามัญเหมือนยุคที่ยังไม่มีชาติเขมรนั้นเอง,อาเชียนเอเชียจะไม่มีชื่อเขมรบนแผ่นที่โลกนั้นเอง.
    ..เขมรทำผิดต่อประเทศไทยจริงๆ.ไม่สมควรให้อภัยใดๆอีก.,ขนาดถอนกำลังทหารยังฝังระเบิดไว้, มันถอยต้องฝังระเบิดไว้แน่ๆ และแล้วก็จริงตามนั้นจริงๆเพราะด้วยสันดานนิสัยมันคนนำและสถุนใต้บัญชามันต้องเล่นไม่ซื่อแน่นอน.,ชาติไม่ซื่อแบบนี้สมควรถูกเขมรแดงฆ่าล้างเผ่าพันธ์จริงๆ,เป็นพิษเป็นภัยแก่คนชาติอื่นไปทั่ว,ก่ออาชญากรรมก็ทั่วโลก,เดอะแก็งคอลเซ็นเตอร์คือของจริง,ค้ามนุษย์ ฟอกตังฟอกเงิน ค้ายาค้าของเถื่อนมืดๆสาระพัดมีแน่นอน,เผลอๆแรปทีเลี่ยนตัวพ่อด้วยใส่ชุดที่ชื่อว่าฮุนเซน,จึงปั่นป่วนไปทั่วโลกเพราะโคตรแรปทีเลี่ยนโลกลูกพี่มันให้ท้าย,ย้ายมาสร้างฐานปฏิบัติการเป็นฮับชั่วเลวในเขมรลูกน้องมันนั้นเองก็ว่า,สัญลักษณ์แข่งกีฬาที่มันเปลี่ยนโลโก้เราเป็นสัญลักษณ์มารซานตานมีเขาควายเขาวัวจึงชัดเจนมาก,เขมรคือฮับฝ่ายมืดแทนพม่าไปแล้วนั้นเอง,จีนฝ่ายมืดก็ให้การสนับสนุนสิ่งชั่วเลวเต็มเขมรด้วยเช่นกัน.,เช่นนั้นสาระพัดตึกชั่วเลวจะสร้างในเขมรไม่ได้,ทหารไทยเราต้องจัดการรัฐบาลสมุนเขาควายเขาวัวฝ่ายมืดพวกนี้ด้วยทันทีเช่นกัน,จากนั้นเราจะสามารถตัดตอนตัดแข้งตัดขามันได้ตลอดต่อเนื่องเลย,รัฐบาลที่ว่าทหารไทยคืแฝ่ายตรงข้ามเรา มันขัดขวางตลอดจึงยากจะจัดการเด็ดขาดฝ่ายมืดภายในเราจริงๆได้ก่อน,เมื่อเราควบคุมจัดการภายในได้ ฝ่ายนอกแบบเขมรถือว่าแก้ปัญหาใดๆต่อไปไม่ยากอะไรเลยแม้deep stateโลกสากลจะย้ายฮับมาเขมรก็รักษาฮับชั่วเลวมันนี้ไม่ได้อีกต่อไป,มีแต่ถูกฝ่ายดีฝ่ายแสงเข้าทำลายพร้อมกันให้สิ้นซากโดยง่าย.
    ..เขมรคือฮับอาชญากรรมโลก ภัยคุกคามชาวโลกขนาดใหญ่ยักษ์ชัดเจน การกำจัดเขมรของชาติทั่วโลกจึงสมควรมาก.

    https://youtube.com/watch?v=8S0SqxGSCK0&feature=shared
    ..ทหารเขมรทำผิดร้ายแรงจริงๆ,ประขาชนเขมรสมยอมสนับสนุนการกระทำของทหารเขมรด้วย,ประชาชนเขมรที่อ้างตนเองว่าคือผู้บริสุทธิ์ ไม่มีใครเลยออกมาว่ากล่าวรัฐบาลตนเองที่ทำผิดวิถีข้อตกลงสันติร่วมกัน ลาดตะเวนคือลาดตะเวน มิใช่ฝังกับระเบิดแบบนี้ถือว่า,ยุติสัมพันธ์ทันทีได้แล้ว,ปิดด่านทั้งหมดตลอดพรมแดนเป็นถาวรทันที,ปิดถาวรทุกๆด่านทันที,ตัดไฟฟ้า ทำลายเสาไฟฟ้าทุกๆต้นที่เชื่อมต่อไปเขมร,เรียกฑูตไทยเราทั้งหมดทันที,ผลัดกันฑูตเขมรกลับไปด้วย,ตลอดคนเขมรในไทยที่อ้างตนว่าคือผู้บริสุทธิ์ทั้งหมดด้วย,กลับไปจัดการฮุนเซนเองหรือตั้งสมาคมต่อต้านฮุนเซนอย่างเป็นทางการไป,แต่ไม่ใช่ในประเทศไทย,อาจย้ายไปก่อการที่ลาวโน้นแทน,เพื่อยึดอำนาจการปกครองคืนจากฮุนเซนเอง,ภาค2ชัดเจนแล้วว่าเขมรต้องจัดการเด็ดขาด,แต่ภาค1ยังสมยอมเขมรอยู่ดูการอนุญาตเปิดด่านให้เขมรเข้าออกไทยได้,,ทหารไทยต้องใช้กฎอัยการศึกในมือให้เด็ดขาด,ถ้ารัฐบาลกากอีกก็ประกาศกฎอัยการศึกทั้งภาคเลยคือทั้งหมดของภาคกลางและภาคตะวันออก,โดยภาคกลางพิเศษเข้มข้นในกรุงเทพและปริมลฑลทั้งหมด,รัฐบาลจะถูกควบคุมทันทีในนัยยะสำคัญนั้น.ทหารไทยเราต้องไม่สูญเสียการสละเปล่าประโยชน์. ..เคยนึกเล่นๆตอนทหาคเขมรมันถมคลองคูมันนั้นล่ะ มันอาจฝังระเบิดไว้ด้วยก็ได้ทั้งในคูและรอบๆคูที่มันขุด,เรามีไส้ศึกจริงๆ,ทหารไทยคือฝ่ายตรงข้ามเรา คำนี้มันขายชาติทั้งชุดรัฐบาลแล้ว,เป็นอื่นไม่ได้เลย,รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันคือปัญหา โดยเฉพาะกฎการเลือกตั้งสส.สว.และนายกฯที่ไม่เลือกโดยตรงจากประชาชน มันผิดวิสัยปกติพื้นฐานของการเลือกผู้นำในระบบประชาธิปไตย,ทหารไทยเราสามารถฉีกและเขียนใหม่ได้,และต้องเป็นทหารที่รักประชาชนจริงๆรักสถาบันจริงๆด้วย,รักชาตินั้นเอง,ทหารสมัยกปปส.ยึดอำนาจถือว่าเสียของที่สุด,กลุ่มอนุรักษ์นิยมเหี้ยบัดสบด้วยทำเสียของเช่นกันหากกำกับทหารจริงถ้ามิใช่ฝ่ายมืด,เรา..ประชาชนนิยมและนิยมกษัตริย์ด้วย,บ้านต้องมีพ่อมีแม่เป็นประธาน ,ไม่เอาประธานาธิบดี และเผด็จการใดๆ,เรา..เอาสถาบันกษัตริย์เราปกติ เพราะนี้คือคู่บุญคู่บ้านคู่เมืองเรามาตลอด กษัตริย์ทุกๆพระองค์พยายามบริหารปกครองบ้านเมืองด้วยธรรมดีมาตลอด,คุณนั้นมีจริงอยู่ พระคุณคู่พระคุณบรรพบุรุษเราทั้งหลายมีจริงอยู่ เราชนรุ่นหลังมิอาจลืมพระคุณท่านที่เสียสละพลีชีพเพื่อขนรุ่นหลังแบบเราๆคนไทยทั้งประเทศได้, ..เขมรทำเกินกว่าเหตุแล้ว,มุกบริบทเล่นเกินกว่าเหตุด้วย,แม้จะในใจลึกๆขอให้ไทยยึดประเทศเขมรให้ด้วยจะได้หลุดพ้นหนี้ล้นพ้นตัวจากจีนก็อย่าทำถึงขนาดนี้,ไทยจะยึดทั้งประเทศเขมรให้แน่นอน,จะพื้นที่ให้ลาวปกครอง ให้พื้นที่ให้เวียดนามมาปกครองเขมรด้วย,ไทยคนยึดเขมรจะแบ่งให้ลาวให้เวียดนามและคนเขมรทั้งหมดให้ลาวให้เวียดนามจัดการแน่นอน,จีนจะไม่สามารถถามหาได้อีก หลุดพ้นทันทีของจริง,ส่วนไทยจะเอาที่ๆเคยเป็นของไทยคืนมาสมัยก่อนฝรั่งเศสยึดครองไปแค่นั้น,ไม่เอาคนเขมรด้วย,มาอยู่บนแผ่นดินนั่นๆที่ได้คืนมา,เขมรต้องคืนสู่สามัญเหมือนยุคที่ยังไม่มีชาติเขมรนั้นเอง,อาเชียนเอเชียจะไม่มีชื่อเขมรบนแผ่นที่โลกนั้นเอง. ..เขมรทำผิดต่อประเทศไทยจริงๆ.ไม่สมควรให้อภัยใดๆอีก.,ขนาดถอนกำลังทหารยังฝังระเบิดไว้, มันถอยต้องฝังระเบิดไว้แน่ๆ และแล้วก็จริงตามนั้นจริงๆเพราะด้วยสันดานนิสัยมันคนนำและสถุนใต้บัญชามันต้องเล่นไม่ซื่อแน่นอน.,ชาติไม่ซื่อแบบนี้สมควรถูกเขมรแดงฆ่าล้างเผ่าพันธ์จริงๆ,เป็นพิษเป็นภัยแก่คนชาติอื่นไปทั่ว,ก่ออาชญากรรมก็ทั่วโลก,เดอะแก็งคอลเซ็นเตอร์คือของจริง,ค้ามนุษย์ ฟอกตังฟอกเงิน ค้ายาค้าของเถื่อนมืดๆสาระพัดมีแน่นอน,เผลอๆแรปทีเลี่ยนตัวพ่อด้วยใส่ชุดที่ชื่อว่าฮุนเซน,จึงปั่นป่วนไปทั่วโลกเพราะโคตรแรปทีเลี่ยนโลกลูกพี่มันให้ท้าย,ย้ายมาสร้างฐานปฏิบัติการเป็นฮับชั่วเลวในเขมรลูกน้องมันนั้นเองก็ว่า,สัญลักษณ์แข่งกีฬาที่มันเปลี่ยนโลโก้เราเป็นสัญลักษณ์มารซานตานมีเขาควายเขาวัวจึงชัดเจนมาก,เขมรคือฮับฝ่ายมืดแทนพม่าไปแล้วนั้นเอง,จีนฝ่ายมืดก็ให้การสนับสนุนสิ่งชั่วเลวเต็มเขมรด้วยเช่นกัน.,เช่นนั้นสาระพัดตึกชั่วเลวจะสร้างในเขมรไม่ได้,ทหารไทยเราต้องจัดการรัฐบาลสมุนเขาควายเขาวัวฝ่ายมืดพวกนี้ด้วยทันทีเช่นกัน,จากนั้นเราจะสามารถตัดตอนตัดแข้งตัดขามันได้ตลอดต่อเนื่องเลย,รัฐบาลที่ว่าทหารไทยคืแฝ่ายตรงข้ามเรา มันขัดขวางตลอดจึงยากจะจัดการเด็ดขาดฝ่ายมืดภายในเราจริงๆได้ก่อน,เมื่อเราควบคุมจัดการภายในได้ ฝ่ายนอกแบบเขมรถือว่าแก้ปัญหาใดๆต่อไปไม่ยากอะไรเลยแม้deep stateโลกสากลจะย้ายฮับมาเขมรก็รักษาฮับชั่วเลวมันนี้ไม่ได้อีกต่อไป,มีแต่ถูกฝ่ายดีฝ่ายแสงเข้าทำลายพร้อมกันให้สิ้นซากโดยง่าย. ..เขมรคือฮับอาชญากรรมโลก ภัยคุกคามชาวโลกขนาดใหญ่ยักษ์ชัดเจน การกำจัดเขมรของชาติทั่วโลกจึงสมควรมาก. https://youtube.com/watch?v=8S0SqxGSCK0&feature=shared
    0 Comments 0 Shares 236 Views 0 Reviews
  • จาก ปชป. สู่ภูมิใจไทย! "พลอยทะเล" มุ่งเน้นการเมืองท้องถิ่น แก้ปัญหาสุขาภิบาล-สิ่งแวดล้อมภูเก็ต
    https://www.thai-tai.tv/news/20467/
    .
    #พลอยทะเลลักษมีแสงจันทร์ #ภูมิใจไทย #ประชาธิปัตย์ #การเมืองภูเก็ต #นโยบายพรรค #แก้ปัญหาจราจร #ท่องเที่ยวภูเก็ต #สิรภพดวงสอดศรี #คนรุ่นใหม่การเมือง
    จาก ปชป. สู่ภูมิใจไทย! "พลอยทะเล" มุ่งเน้นการเมืองท้องถิ่น แก้ปัญหาสุขาภิบาล-สิ่งแวดล้อมภูเก็ต https://www.thai-tai.tv/news/20467/ . #พลอยทะเลลักษมีแสงจันทร์ #ภูมิใจไทย #ประชาธิปัตย์ #การเมืองภูเก็ต #นโยบายพรรค #แก้ปัญหาจราจร #ท่องเที่ยวภูเก็ต #สิรภพดวงสอดศรี #คนรุ่นใหม่การเมือง
    0 Comments 0 Shares 113 Views 0 Reviews
  • เบื่อไหมกับกองสายไฟ สายเคเบิลที่รกพื้นที่และกำจัดยาก?
    มาถึงจุดเปลี่ยนที่ธุรกิจของคุณต้องมี! ขอแนะนำ เครื่องบดย่อยวัสดุเหลือใช้ Two Shafts Shredder นวัตกรรมล้ำหน้าที่จะช่วยให้การจัดการขยะสายไฟกลายเป็นเรื่องง่าย และสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างไม่น่าเชื่อ!
    ทำไม Two Shafts Shredder ของเราถึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด?
    บดได้ทุกอย่าง... โดยเฉพาะสายไฟและสายเคเบิลทุกชนิด!
    ไม่ว่าจะเป็นสายทองแดง สายอลูมิเนียม สายเคเบิลใยแก้วนำแสง หรือสายโทรศัพท์ที่มีฉนวนหนาขนาดไหน เครื่องของเราก็เอาอยู่! ด้วยระบบใบมีดคู่ที่ทรงพลังและแม่นยำ ทำให้สายไฟและเคเบิลถูกบดย่อยเป็นชิ้นเล็กๆ อย่างสม่ำเสมอพร้อมสำหรับการแยกส่วนหรือรีไซเคิลต่อยอดทันที!
    สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจคุณ!
    การบดย่อยสายไฟอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้คุณสามารถแยกทองแดง อลูมิเนียม หรือวัสดุมีค่าอื่นๆ ออกมาได้อย่างง่ายดาย เพิ่มโอกาสในการขายเศษวัสดุรีไซเคิล สร้างรายได้เสริมให้ธุรกิจของคุณได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ!
    ทนทาน แกร่งทุกงานหนัก!
    ด้วยการออกแบบวิศวกรรมที่แข็งแกร่ง ใบมีดผลิตจากวัสดุคุณภาพสูง ทนทานต่อการสึกหรอ และมอเตอร์คู่กำลังสูง 10 HP (380V x 2 Motors) ทำให้เครื่องของเราพร้อมลุยงานหนักได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ติดขัด!
    ปลอดภัย ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก!
    มีระบบ Emergency Switch เพื่อหยุดการทำงานฉุกเฉิน, Meter แสดงสถานะการทำงาน และฟังก์ชัน Reverse ที่ช่วยแก้ปัญหาวัสดุติดขัดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้การทำงานของคุณราบรื่นและปลอดภัยไร้กังวล!
    นี่คือโอกาสทองที่จะยกระดับธุรกิจของคุณให้เหนือกว่า!
    ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการจัดการขยะที่ไร้ประสิทธิภาพอีกต่อไป! ลงทุนกับ Two Shafts Shredder วันนี้ เพื่อประสิทธิภาพที่ยั่งยืนและผลกำไรที่เพิ่มขึ้น!
    ไม่อยากพลาดโอกาสดีๆ?
    แวะมาชมเครื่องจริงและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของเราได้ที่ ย.ย่งฮะเฮง!
    เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ 8.00-17.00 น. | เสาร์ 8.00-16.00 น.
    คลิกดูแผนที่ร้าน: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7
    รีบติดต่อเราเพื่อรับข้อเสนอสุดพิเศษ ก่อนใคร!
    แชทกับเราได้เลย: m.me/yonghahheng หรือ LINE Business ID: @yonghahheng (มี@ข้างหน้า) / https://lin.ee/5H812n9
    โทรสายด่วน: 02-215-3515-9 | 081-3189098
    เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com
    อีเมล: sales@yoryonghahheng.com | yonghahheng@gmail.com
    #เครื่องบดสายไฟ #เครื่องบดเคเบิล #TwoShaftsShredder #เครื่องบดย่อย #จัดการสายไฟ #รีไซเคิลสายไฟ #เศษสายไฟ #ขยะอิเล็กทรอนิกส์ #eWaste #ยย่งฮะเฮง #เครื่องจักรอุตสาหกรรม #ลดต้นทุน #เพิ่มพื้นที่ #โซลูชั่นขยะ #ธุรกิจรีไซเคิล #โรงงาน #อุตสาหกรรมไฟฟ้า #สายไฟ #สายเคเบิล #บดละเอียด #เครื่องจักรคุณภาพสูง #สร้างรายได้ #สิ่งแวดล้อม #จัดการของเสียอย่างมืออาชีพ #นวัตกรรมเครื่องจักร
    💥 เบื่อไหมกับกองสายไฟ สายเคเบิลที่รกพื้นที่และกำจัดยาก? 💥 มาถึงจุดเปลี่ยนที่ธุรกิจของคุณต้องมี! ขอแนะนำ เครื่องบดย่อยวัสดุเหลือใช้ Two Shafts Shredder นวัตกรรมล้ำหน้าที่จะช่วยให้การจัดการขยะสายไฟกลายเป็นเรื่องง่าย และสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างไม่น่าเชื่อ! ✨ ทำไม Two Shafts Shredder ของเราถึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด? ✨ ✅ บดได้ทุกอย่าง... โดยเฉพาะสายไฟและสายเคเบิลทุกชนิด! ไม่ว่าจะเป็นสายทองแดง สายอลูมิเนียม สายเคเบิลใยแก้วนำแสง หรือสายโทรศัพท์ที่มีฉนวนหนาขนาดไหน เครื่องของเราก็เอาอยู่! ด้วยระบบใบมีดคู่ที่ทรงพลังและแม่นยำ ทำให้สายไฟและเคเบิลถูกบดย่อยเป็นชิ้นเล็กๆ อย่างสม่ำเสมอพร้อมสำหรับการแยกส่วนหรือรีไซเคิลต่อยอดทันที! ✅ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจคุณ! การบดย่อยสายไฟอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้คุณสามารถแยกทองแดง อลูมิเนียม หรือวัสดุมีค่าอื่นๆ ออกมาได้อย่างง่ายดาย เพิ่มโอกาสในการขายเศษวัสดุรีไซเคิล สร้างรายได้เสริมให้ธุรกิจของคุณได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ! ✅ ทนทาน แกร่งทุกงานหนัก! ด้วยการออกแบบวิศวกรรมที่แข็งแกร่ง ใบมีดผลิตจากวัสดุคุณภาพสูง ทนทานต่อการสึกหรอ และมอเตอร์คู่กำลังสูง 10 HP (380V x 2 Motors) ทำให้เครื่องของเราพร้อมลุยงานหนักได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ติดขัด! ✅ ปลอดภัย ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก! มีระบบ Emergency Switch เพื่อหยุดการทำงานฉุกเฉิน, Meter แสดงสถานะการทำงาน และฟังก์ชัน Reverse ที่ช่วยแก้ปัญหาวัสดุติดขัดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้การทำงานของคุณราบรื่นและปลอดภัยไร้กังวล! นี่คือโอกาสทองที่จะยกระดับธุรกิจของคุณให้เหนือกว่า! ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการจัดการขยะที่ไร้ประสิทธิภาพอีกต่อไป! ลงทุนกับ Two Shafts Shredder วันนี้ เพื่อประสิทธิภาพที่ยั่งยืนและผลกำไรที่เพิ่มขึ้น! 📍 ไม่อยากพลาดโอกาสดีๆ? แวะมาชมเครื่องจริงและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของเราได้ที่ ย.ย่งฮะเฮง! เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ 8.00-17.00 น. | เสาร์ 8.00-16.00 น. 🗺️ คลิกดูแผนที่ร้าน: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7 รีบติดต่อเราเพื่อรับข้อเสนอสุดพิเศษ ก่อนใคร! 💬 แชทกับเราได้เลย: m.me/yonghahheng หรือ LINE Business ID: @yonghahheng (มี@ข้างหน้า) / https://lin.ee/5H812n9 📞 โทรสายด่วน: 02-215-3515-9 | 081-3189098 🌐 เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com 📧 อีเมล: sales@yoryonghahheng.com | yonghahheng@gmail.com #เครื่องบดสายไฟ #เครื่องบดเคเบิล #TwoShaftsShredder #เครื่องบดย่อย #จัดการสายไฟ #รีไซเคิลสายไฟ #เศษสายไฟ #ขยะอิเล็กทรอนิกส์ #eWaste #ยย่งฮะเฮง #เครื่องจักรอุตสาหกรรม #ลดต้นทุน #เพิ่มพื้นที่ #โซลูชั่นขยะ #ธุรกิจรีไซเคิล #โรงงาน #อุตสาหกรรมไฟฟ้า #สายไฟ #สายเคเบิล #บดละเอียด #เครื่องจักรคุณภาพสูง #สร้างรายได้ #สิ่งแวดล้อม #จัดการของเสียอย่างมืออาชีพ #นวัตกรรมเครื่องจักร
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 263 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากมือถือ: Android กลายเป็นเครือข่ายตรวจแผ่นดินไหวโลก

    ระหว่างปี 2021–2024 Google ได้เปิดตัวระบบ Android Earthquake Alerts ที่ใช้ motion sensor บนมือถือ Android เพื่อ “จับสัญญาณการสั่นสะเทือน” โดยอัตโนมัติ

    หลักการคือ:
    - ไม่ใช่แค่ “เครื่องเดียวที่แม่น” แต่ใช้ “จำนวนมหาศาล” ประกอบกัน
    - ระบบ algorithm จะวิเคราะห์รูปแบบการสั่นร่วมจากมือถือหลายเครื่อง
    - แม้จะมีความต่างในอุปกรณ์, พื้นดิน, อาคาร หรือพื้นที่ แต่ระบบรวมสัญญาณได้ดี

    ผลลัพธ์คือ:
    - ตรวจจับแผ่นดินไหวได้มากกว่า 11,000 ครั้ง
    - ความแม่นยำเทียบเท่ากับ seismometer แบบเฉพาะทาง
    - ส่ง alert ไปยังผู้ใช้เพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าในช่วง 3 ปี
    - ในบางเหตุการณ์สามารถแจ้งเตือนได้ “ก่อนการสั่นจะถึงผู้ใช้” หลายวินาที

    ความท้าทายใหญ่ของระบบคือการแจ้งเตือนแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ เช่นเหตุการณ์ในตุรกีปี 2023 ที่ระบบประเมินความรุนแรงต่ำเกินไป แต่เมื่ออัปเกรด algorithm แล้ว ระบบสามารถแจ้งเตือนได้แม่นขึ้นถึง 10 ล้านเครื่องในเวอร์ชันใหม่

    Google ใช้ motion sensor จากมือถือ Android กว่า 2 พันล้านเครื่องเป็นระบบตรวจแผ่นดินไหว
    ครอบคลุม 98 ประเทศ และให้สัญญาณได้แม่นยำแบบ real-time

    จับแผ่นดินไหวมากกว่า 11,000 ครั้ง พร้อมแจ้งเตือนแบบอัตโนมัติ
    ระบุตำแหน่งและความแรงใกล้เคียงกับระบบ seismometer มืออาชีพ

    ใช้ collective shaking จากหลายเครื่องเพื่อดูรูปแบบการสั่น
    แก้ปัญหาความต่างของอุปกรณ์และพื้นที่แต่ละประเทศ

    จำนวนผู้ได้รับแจ้งเตือนเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าในช่วง 3 ปี
    ระบบช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการแจ้งเตือนได้ฟรีทั่วโลก

    รายงานจากทีมวิจัยเผยแพร่ในวารสาร Science เป็นครั้งแรก
    สะท้อนผลลัพธ์เชิงวิทยาศาสตร์และขยายความน่าเชื่อถือของระบบ

    เหตุการณ์ในตุรกีปี 2023 เป็นแรงผลักดันให้ปรับ algorithm ใหม่
    ระบบใหม่สามารถ trigger “TakeAction alert” ไปยัง 10 ล้านเครื่อง

    นักวิทยาศาสตร์ชื่นชมว่าเป็นระบบเสริมที่ช่วยให้ประเทศที่ไม่มีระบบเตือนภัยสามารถรับการแจ้งเตือนได้
    เป็นแนวทางให้ประชาชนได้รับสิทธิด้านความปลอดภัยโดยไม่ต้องรอระบบของรัฐ

    https://www.techspot.com/news/108732-google-using-two-billion-android-phones-detect-earthquakes.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากมือถือ: Android กลายเป็นเครือข่ายตรวจแผ่นดินไหวโลก ระหว่างปี 2021–2024 Google ได้เปิดตัวระบบ Android Earthquake Alerts ที่ใช้ motion sensor บนมือถือ Android เพื่อ “จับสัญญาณการสั่นสะเทือน” โดยอัตโนมัติ หลักการคือ: - ไม่ใช่แค่ “เครื่องเดียวที่แม่น” แต่ใช้ “จำนวนมหาศาล” ประกอบกัน - ระบบ algorithm จะวิเคราะห์รูปแบบการสั่นร่วมจากมือถือหลายเครื่อง - แม้จะมีความต่างในอุปกรณ์, พื้นดิน, อาคาร หรือพื้นที่ แต่ระบบรวมสัญญาณได้ดี 📊 ผลลัพธ์คือ: - ตรวจจับแผ่นดินไหวได้มากกว่า 11,000 ครั้ง - ความแม่นยำเทียบเท่ากับ seismometer แบบเฉพาะทาง - ส่ง alert ไปยังผู้ใช้เพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าในช่วง 3 ปี - ในบางเหตุการณ์สามารถแจ้งเตือนได้ “ก่อนการสั่นจะถึงผู้ใช้” หลายวินาที ความท้าทายใหญ่ของระบบคือการแจ้งเตือนแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ เช่นเหตุการณ์ในตุรกีปี 2023 ที่ระบบประเมินความรุนแรงต่ำเกินไป แต่เมื่ออัปเกรด algorithm แล้ว ระบบสามารถแจ้งเตือนได้แม่นขึ้นถึง 10 ล้านเครื่องในเวอร์ชันใหม่ ✅ Google ใช้ motion sensor จากมือถือ Android กว่า 2 พันล้านเครื่องเป็นระบบตรวจแผ่นดินไหว ➡️ ครอบคลุม 98 ประเทศ และให้สัญญาณได้แม่นยำแบบ real-time ✅ จับแผ่นดินไหวมากกว่า 11,000 ครั้ง พร้อมแจ้งเตือนแบบอัตโนมัติ ➡️ ระบุตำแหน่งและความแรงใกล้เคียงกับระบบ seismometer มืออาชีพ ✅ ใช้ collective shaking จากหลายเครื่องเพื่อดูรูปแบบการสั่น ➡️ แก้ปัญหาความต่างของอุปกรณ์และพื้นที่แต่ละประเทศ ✅ จำนวนผู้ได้รับแจ้งเตือนเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าในช่วง 3 ปี ➡️ ระบบช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการแจ้งเตือนได้ฟรีทั่วโลก ✅ รายงานจากทีมวิจัยเผยแพร่ในวารสาร Science เป็นครั้งแรก ➡️ สะท้อนผลลัพธ์เชิงวิทยาศาสตร์และขยายความน่าเชื่อถือของระบบ ✅ เหตุการณ์ในตุรกีปี 2023 เป็นแรงผลักดันให้ปรับ algorithm ใหม่ ➡️ ระบบใหม่สามารถ trigger “TakeAction alert” ไปยัง 10 ล้านเครื่อง ✅ นักวิทยาศาสตร์ชื่นชมว่าเป็นระบบเสริมที่ช่วยให้ประเทศที่ไม่มีระบบเตือนภัยสามารถรับการแจ้งเตือนได้ ➡️ เป็นแนวทางให้ประชาชนได้รับสิทธิด้านความปลอดภัยโดยไม่ต้องรอระบบของรัฐ https://www.techspot.com/news/108732-google-using-two-billion-android-phones-detect-earthquakes.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Google is using two billion Android phones to detect earthquakes worldwide
    Unlike conventional systems that use dedicated, expensive seismic instruments, Google's Android Earthquake Alerts system leverages the sheer scale of smartphones, which continuously collect motion data unless users...
    0 Comments 0 Shares 191 Views 0 Reviews
  • รัฐบาลไทยออกแถลงการณ์ประณามกัมพูชาอย่างรุนแรงที่สุด กรณีวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลใหม่ที่ช่องบก อุบลราชธานี ยันไม่ใช่ของไทย ละเมิดอธิปไตยและอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิด ขู่ใช้กลไกทวิภาคีและเรียกร้องให้เก็บกู้ทันที

    “ตามที่เมื่อวันที่ 16 ก.ค.2568 กำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 6021 รวม 3 นาย ซึ่งทำการลาดตระเวนตามปกติในดินแดนของไทย บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ประสบเหตุเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลนั้น

    รัฐบาลไทยได้รับรายงานจากหน่วยงานความมั่นคงว่า ภายหลังการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปรากฏหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า ทุ่นระเบิดที่พบ ไม่มีการใช้ หรือมีอยู่ในคลังอาวุธของไทย และเป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่ เมื่อประกอบกับการประมวลข้อมูล และหลักฐานสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่หน่วยงานความมั่นคงตรวจพบ นำไปสู่ข้อสรุปได้ว่าเป็นการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง

    รัฐบาลไทยขอประณามอย่างรุนแรงที่สุด ต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและ บูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานที่สำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศที่ระบุไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ อีกทั้งยังเป็นการกระทำที่ละเมิดพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอย่างชัดเจน

    ไทยในฐานะรัฐภาคีอนุสัญญาฯ จะดำเนินการตามกระบวนการภายใต้อนุสัญญาฯ โดยจะยังคงหาทางแก้ปัญหากับกัมพูชาผ่านกลไกทวิภาคีต่าง ๆ ที่มีอยู่ และขอเรียกร้องฝ่ายกัมพูชาให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมตามแนวชายแดนตามที่นายกรัฐมนตรีของทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันภายในกรอบทวิภาคี“


    รัฐบาลไทยออกแถลงการณ์ประณามกัมพูชาอย่างรุนแรงที่สุด กรณีวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลใหม่ที่ช่องบก อุบลราชธานี ยันไม่ใช่ของไทย ละเมิดอธิปไตยและอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิด ขู่ใช้กลไกทวิภาคีและเรียกร้องให้เก็บกู้ทันที “ตามที่เมื่อวันที่ 16 ก.ค.2568 กำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 6021 รวม 3 นาย ซึ่งทำการลาดตระเวนตามปกติในดินแดนของไทย บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ประสบเหตุเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลนั้น รัฐบาลไทยได้รับรายงานจากหน่วยงานความมั่นคงว่า ภายหลังการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปรากฏหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า ทุ่นระเบิดที่พบ ไม่มีการใช้ หรือมีอยู่ในคลังอาวุธของไทย และเป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่ เมื่อประกอบกับการประมวลข้อมูล และหลักฐานสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่หน่วยงานความมั่นคงตรวจพบ นำไปสู่ข้อสรุปได้ว่าเป็นการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง รัฐบาลไทยขอประณามอย่างรุนแรงที่สุด ต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและ บูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานที่สำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศที่ระบุไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ อีกทั้งยังเป็นการกระทำที่ละเมิดพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอย่างชัดเจน ไทยในฐานะรัฐภาคีอนุสัญญาฯ จะดำเนินการตามกระบวนการภายใต้อนุสัญญาฯ โดยจะยังคงหาทางแก้ปัญหากับกัมพูชาผ่านกลไกทวิภาคีต่าง ๆ ที่มีอยู่ และขอเรียกร้องฝ่ายกัมพูชาให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมตามแนวชายแดนตามที่นายกรัฐมนตรีของทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันภายในกรอบทวิภาคี“
    0 Comments 0 Shares 294 Views 0 Reviews
More Results