• X-37B ยานอวกาศลับของกองทัพอวกาศสหรัฐฯ เพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจครั้งที่ 7 หลังจากลอยอยู่ในวงโคจรยาวนานถึง 434 วัน ยานลำนี้มีขนาดเล็กกว่ายานกระสวยอวกาศทั่วไปและใช้พลังงานจากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดพิเศษที่ช่วยให้สามารถอยู่ในอวกาศได้นานเป็นร้อยวัน โดยภารกิจนี้มุ่งเน้นไปที่การทดสอบและทดลองเทคโนโลยีหลากหลาย รวมถึงการศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของรังสีในอวกาศ และการเพิ่มประสิทธิภาพของการเปลี่ยนวงโคจรโดยใช้ "aerobraking" ซึ่งใช้แรงเสียดทานของชั้นบรรยากาศเพื่อลดการใช้พลังงาน

    แม้ว่ารายละเอียดของการทดลองและภารกิจของ X-37B จะยังคงเป็นความลับ แต่ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่ายานลำนี้อาจมีบทบาทสำคัญในด้านการเฝ้าระวัง การทดสอบเทคโนโลยีทางทหาร หรือแม้กระทั่งการพัฒนาความพร้อมในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันประเทศในอวกาศ

    น่าสนใจที่ยานอวกาศลำนี้ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในยุคที่อวกาศกลายเป็นพื้นที่ที่มีการแข่งขันสูง การวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีด้าน "space domain awareness" หรือการเฝ้าระวังอวกาศได้ถูกชี้ว่าเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินการในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยดาวเทียมและเศษซากต่าง ๆ ซึ่งสิ่งนี้อาจส่งผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการดำรงความปลอดภัยในอวกาศในอนาคต

    การลงจอดของ X-37B ที่ฐานทัพในแคลิฟอร์เนียเมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา ถือเป็นอีกก้าวที่ช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถของกองทัพอวกาศสหรัฐฯ สำหรับภารกิจครั้งต่อไป OTV-8 แม้ยังไม่มีรายละเอียด แต่ดูเหมือนจะเป็นอีกบทพิสูจน์ความสามารถของมนุษย์ในการก้าวเข้าสู่อนาคตที่เกี่ยวข้องกับอวกาศอย่างยั่งยืน

    https://www.techspot.com/news/107098-mysterious-x-37b-spaceplane-lands-following-434-day.html
    X-37B ยานอวกาศลับของกองทัพอวกาศสหรัฐฯ เพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจครั้งที่ 7 หลังจากลอยอยู่ในวงโคจรยาวนานถึง 434 วัน ยานลำนี้มีขนาดเล็กกว่ายานกระสวยอวกาศทั่วไปและใช้พลังงานจากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดพิเศษที่ช่วยให้สามารถอยู่ในอวกาศได้นานเป็นร้อยวัน โดยภารกิจนี้มุ่งเน้นไปที่การทดสอบและทดลองเทคโนโลยีหลากหลาย รวมถึงการศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของรังสีในอวกาศ และการเพิ่มประสิทธิภาพของการเปลี่ยนวงโคจรโดยใช้ "aerobraking" ซึ่งใช้แรงเสียดทานของชั้นบรรยากาศเพื่อลดการใช้พลังงาน แม้ว่ารายละเอียดของการทดลองและภารกิจของ X-37B จะยังคงเป็นความลับ แต่ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่ายานลำนี้อาจมีบทบาทสำคัญในด้านการเฝ้าระวัง การทดสอบเทคโนโลยีทางทหาร หรือแม้กระทั่งการพัฒนาความพร้อมในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันประเทศในอวกาศ น่าสนใจที่ยานอวกาศลำนี้ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในยุคที่อวกาศกลายเป็นพื้นที่ที่มีการแข่งขันสูง การวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีด้าน "space domain awareness" หรือการเฝ้าระวังอวกาศได้ถูกชี้ว่าเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินการในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยดาวเทียมและเศษซากต่าง ๆ ซึ่งสิ่งนี้อาจส่งผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการดำรงความปลอดภัยในอวกาศในอนาคต การลงจอดของ X-37B ที่ฐานทัพในแคลิฟอร์เนียเมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา ถือเป็นอีกก้าวที่ช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถของกองทัพอวกาศสหรัฐฯ สำหรับภารกิจครั้งต่อไป OTV-8 แม้ยังไม่มีรายละเอียด แต่ดูเหมือนจะเป็นอีกบทพิสูจน์ความสามารถของมนุษย์ในการก้าวเข้าสู่อนาคตที่เกี่ยวข้องกับอวกาศอย่างยั่งยืน https://www.techspot.com/news/107098-mysterious-x-37b-spaceplane-lands-following-434-day.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    US Space Force's secretive X-37B returns to Earth after 434 days
    Mission seven launched aboard a SpaceX Falcon Heavy on December 28, 2023, taking off from Launch Complex 39A at NASA's Kennedy Space Center in Florida. The spaceplane...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 96 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้นำเสนอเกี่ยวกับการเจาะระบบความปลอดภัยของ LastPass ผู้ให้บริการจัดการรหัสผ่านชื่อดัง ที่เชื่อมโยงกับการโจรกรรมคริปโทเคอร์เรนซีมูลค่าสูงถึง 150 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมีเป้าหมายไปที่ Chris Larsen ผู้ร่วมก่อตั้ง Ripple และบุคคลอื่น ๆ อีกมากมายในวงการคริปโท

    เหตุการณ์นี้เริ่มต้นจากการที่ข้อมูลสำคัญถูกขโมยจาก LastPass ในปี 2022 ทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกจัดเก็บไว้ในส่วน "Secure Notes" ซึ่งรวมถึง seed phrases ที่ใช้ในการเข้าถึงกระเป๋าเงินคริปโท โดยผู้เสียหายส่วนใหญ่ไม่ได้รับการแจ้งเตือนที่ชัดเจนจาก LastPass เกี่ยวกับความเสี่ยงนี้ ทำให้การขโมยเงินคริปโทเกิดขึ้นซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่อง

    จุดที่น่าสนใจคือ แฮกเกอร์ไม่ได้ใช้วิธีการโจมตีที่เราคุ้นเคย เช่น การโจมตีอีเมล หรือการปลอมแปลงเบอร์โทรศัพท์ แต่พวกเขาอาศัยข้อมูลที่ได้จาก LastPass โดยตรงเพื่อเข้าถึงบัญชีผู้ใช้ นอกจากนี้ ยังมีการเคลื่อนย้ายเงินคริปโทไปยังกระเป๋าเงินหลายแห่งเพื่อปกปิดเส้นทางเงิน

    บทเรียนจากเหตุการณ์นี้คือ การใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อนและการจัดเก็บ seed phrases ในที่ปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรเก็บข้อมูลสำคัญเหล่านี้ในอุปกรณ์ที่ไม่ได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (ออฟไลน์) เช่น ฮาร์ดแวร์วอลเล็ต

    https://www.techspot.com/news/107092-federal-agents-confirm-lastpass-hack-connection-high-profile.html
    ข่าวนี้นำเสนอเกี่ยวกับการเจาะระบบความปลอดภัยของ LastPass ผู้ให้บริการจัดการรหัสผ่านชื่อดัง ที่เชื่อมโยงกับการโจรกรรมคริปโทเคอร์เรนซีมูลค่าสูงถึง 150 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมีเป้าหมายไปที่ Chris Larsen ผู้ร่วมก่อตั้ง Ripple และบุคคลอื่น ๆ อีกมากมายในวงการคริปโท เหตุการณ์นี้เริ่มต้นจากการที่ข้อมูลสำคัญถูกขโมยจาก LastPass ในปี 2022 ทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกจัดเก็บไว้ในส่วน "Secure Notes" ซึ่งรวมถึง seed phrases ที่ใช้ในการเข้าถึงกระเป๋าเงินคริปโท โดยผู้เสียหายส่วนใหญ่ไม่ได้รับการแจ้งเตือนที่ชัดเจนจาก LastPass เกี่ยวกับความเสี่ยงนี้ ทำให้การขโมยเงินคริปโทเกิดขึ้นซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่อง จุดที่น่าสนใจคือ แฮกเกอร์ไม่ได้ใช้วิธีการโจมตีที่เราคุ้นเคย เช่น การโจมตีอีเมล หรือการปลอมแปลงเบอร์โทรศัพท์ แต่พวกเขาอาศัยข้อมูลที่ได้จาก LastPass โดยตรงเพื่อเข้าถึงบัญชีผู้ใช้ นอกจากนี้ ยังมีการเคลื่อนย้ายเงินคริปโทไปยังกระเป๋าเงินหลายแห่งเพื่อปกปิดเส้นทางเงิน บทเรียนจากเหตุการณ์นี้คือ การใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อนและการจัดเก็บ seed phrases ในที่ปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรเก็บข้อมูลสำคัญเหล่านี้ในอุปกรณ์ที่ไม่ได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (ออฟไลน์) เช่น ฮาร์ดแวร์วอลเล็ต https://www.techspot.com/news/107092-federal-agents-confirm-lastpass-hack-connection-high-profile.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Federal agents confirm LastPass breach linked to massive cryptocurrency heists
    The $150 million heist, which occurred on January 30, 2024, is believed to have targeted Chris Larsen, co-founder of the cryptocurrency platform Ripple, according to blockchain security...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 64 มุมมอง 0 รีวิว
  • Jim Rossman นักเขียนจาก The Star ได้แชร์ประสบการณ์ที่สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล หลังจากพบว่า Instagram ของคุณป้าผู้ล่วงลับปรากฏในคำแนะนำบัญชีที่อาจต้องการติดตาม เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า "จะเกิดอะไรกับบัญชี Instagram ของเราเมื่อเราจากโลกนี้ไป?"

    สำหรับ Instagram นั้น มีตัวเลือกสองทางหลักในการจัดการบัญชีของผู้ที่เสียชีวิต:
    1) การเปลี่ยนบัญชีเป็นที่ระลึก (Memorialisation): บัญชีจะถูกระบุด้วยคำว่า "Remembering" ถัดจากชื่อเจ้าของบัญชี การเข้าสู่ระบบจะถูกปิดกั้น แต่โพสต์ทั้งหมดจะยังคงปรากฏให้ผู้ติดตามเห็น ข้อมูลของบัญชีที่ระลึกจะไม่แสดงในคำแนะนำผู้ใช้งานใหม่ และไม่สามารถรับผู้ติดตามเพิ่มเติมได้
    2) การลบบัญชี: การลบบัญชี Instagram ต้องทำผ่าน Instagram Support โดยต้องแสดงหลักฐานการเสียชีวิต เช่น ใบมรณบัตรหรือข่าวร้ายเกี่ยวกับการเสียชีวิต

    Jim ในฐานะผู้ดูแลมรดกของป้า Sharon เล่าว่าเขาสามารถลบบัญชีของป้าได้เพราะมีข้อมูลการเข้าสู่ระบบ อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ไม่มีรหัสผ่าน การติดต่อ Instagram Support จะช่วยจัดการได้

    การเปลี่ยนบัญชีเป็นที่ระลึกหรือการลบบัญชี ช่วยลดโอกาสที่บัญชีจะถูกบุคคลภายนอกแฮกและใช้งานในทางที่ผิด เช่น การสแปมหรือการหลอกลวง ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญในการดูแล "มรดกดิจิทัล" ในยุคที่โซเชียลมีเดียเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของทุกคน

    ประเด็นนี้สะท้อนให้เห็นว่าการจัดการ "ชีวิตดิจิทัล" กลายเป็นส่วนสำคัญของการจัดการมรดกในยุคใหม่ ขณะที่บริษัทเทคโนโลยีพัฒนานโยบายและเครื่องมือเพื่อช่วยครอบครัวของผู้ล่วงลับในการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล เราทุกคนก็ควรมีการเตรียมตัวและทำความเข้าใจกับทางเลือกต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/09/opinion-what-happens-to-your-instagram-after-you-die
    Jim Rossman นักเขียนจาก The Star ได้แชร์ประสบการณ์ที่สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล หลังจากพบว่า Instagram ของคุณป้าผู้ล่วงลับปรากฏในคำแนะนำบัญชีที่อาจต้องการติดตาม เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า "จะเกิดอะไรกับบัญชี Instagram ของเราเมื่อเราจากโลกนี้ไป?" สำหรับ Instagram นั้น มีตัวเลือกสองทางหลักในการจัดการบัญชีของผู้ที่เสียชีวิต: 1) การเปลี่ยนบัญชีเป็นที่ระลึก (Memorialisation): บัญชีจะถูกระบุด้วยคำว่า "Remembering" ถัดจากชื่อเจ้าของบัญชี การเข้าสู่ระบบจะถูกปิดกั้น แต่โพสต์ทั้งหมดจะยังคงปรากฏให้ผู้ติดตามเห็น ข้อมูลของบัญชีที่ระลึกจะไม่แสดงในคำแนะนำผู้ใช้งานใหม่ และไม่สามารถรับผู้ติดตามเพิ่มเติมได้ 2) การลบบัญชี: การลบบัญชี Instagram ต้องทำผ่าน Instagram Support โดยต้องแสดงหลักฐานการเสียชีวิต เช่น ใบมรณบัตรหรือข่าวร้ายเกี่ยวกับการเสียชีวิต Jim ในฐานะผู้ดูแลมรดกของป้า Sharon เล่าว่าเขาสามารถลบบัญชีของป้าได้เพราะมีข้อมูลการเข้าสู่ระบบ อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ไม่มีรหัสผ่าน การติดต่อ Instagram Support จะช่วยจัดการได้ การเปลี่ยนบัญชีเป็นที่ระลึกหรือการลบบัญชี ช่วยลดโอกาสที่บัญชีจะถูกบุคคลภายนอกแฮกและใช้งานในทางที่ผิด เช่น การสแปมหรือการหลอกลวง ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญในการดูแล "มรดกดิจิทัล" ในยุคที่โซเชียลมีเดียเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของทุกคน ประเด็นนี้สะท้อนให้เห็นว่าการจัดการ "ชีวิตดิจิทัล" กลายเป็นส่วนสำคัญของการจัดการมรดกในยุคใหม่ ขณะที่บริษัทเทคโนโลยีพัฒนานโยบายและเครื่องมือเพื่อช่วยครอบครัวของผู้ล่วงลับในการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล เราทุกคนก็ควรมีการเตรียมตัวและทำความเข้าใจกับทางเลือกต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/09/opinion-what-happens-to-your-instagram-after-you-die
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Opinion: What happens to your Instagram after you die?
    I was scrolling through my Instagram account this week and I saw something that made me stop in my tracks. In the right-hand column, there was a suggested list of people whose accounts I may want to follow and the first person on that list was my Aunt Sharon.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • "เอามั้ยล่ะ!!"
    พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐฯ ตอบโต้สถานทูตจีนประจำอเมริกา ที่บอกว่าปักกิ่งพร้อมต่อสู้ "ในทุกรูปแบบของสงคราม" โดยระบุว่า “เราเตรียมพร้อมตลอดเวลา แม้ว่าเราแสวงหาสันติภาพ แต่เราต้องเตรียมพร้อมสำหรับสงครามเช่นกัน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมสหรัฐถึงเดินหน้าเสริมความเข้มแข็งด้านการทหาร”

    ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า สถานเอกอัครราชทูตจีนในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โพสต์บน "X" ว่า “หากสหรัฐต้องการทำสงคราม ไม่ว่าจะเป็นสงครามภาษี สงครามการค้า หรือสงครามประเภทใดก็ตาม เราพร้อมจะสู้จนถึงที่สุด”

    เฮกเซธ เน้นย้ำว่า เป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องมีความแข็งแกร่ง

    “นั่นคือเหตุผลที่เรากำลังสร้างกองทัพของเราขึ้นมาใหม่ นั่นคือเหตุผลที่เรากำลังสร้างความยับยั้งชั่งใจขึ้นใหม่ในอุดมการณ์ของนักรบ เรากำลังอาศัยอยู่ในโลกที่อันตราย ซึ่งมีประเทศที่มีอำนาจและกำลังรุ่งเรืองซึ่งมีอุดมการณ์ที่แตกต่างกันมาก”
    "เอามั้ยล่ะ!!" พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐฯ ตอบโต้สถานทูตจีนประจำอเมริกา ที่บอกว่าปักกิ่งพร้อมต่อสู้ "ในทุกรูปแบบของสงคราม" โดยระบุว่า “เราเตรียมพร้อมตลอดเวลา แม้ว่าเราแสวงหาสันติภาพ แต่เราต้องเตรียมพร้อมสำหรับสงครามเช่นกัน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมสหรัฐถึงเดินหน้าเสริมความเข้มแข็งด้านการทหาร” ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า สถานเอกอัครราชทูตจีนในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โพสต์บน "X" ว่า “หากสหรัฐต้องการทำสงคราม ไม่ว่าจะเป็นสงครามภาษี สงครามการค้า หรือสงครามประเภทใดก็ตาม เราพร้อมจะสู้จนถึงที่สุด” เฮกเซธ เน้นย้ำว่า เป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องมีความแข็งแกร่ง “นั่นคือเหตุผลที่เรากำลังสร้างกองทัพของเราขึ้นมาใหม่ นั่นคือเหตุผลที่เรากำลังสร้างความยับยั้งชั่งใจขึ้นใหม่ในอุดมการณ์ของนักรบ เรากำลังอาศัยอยู่ในโลกที่อันตราย ซึ่งมีประเทศที่มีอำนาจและกำลังรุ่งเรืองซึ่งมีอุดมการณ์ที่แตกต่างกันมาก”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📌 สายวิทย์ยาศาสตร์ ...สาย 1000 x ...สายวังหน้า..ช่างหลวง...สายประวัติศาสตร์ ....สายเซียนห้าง...มีรุ่นใหญ่ท่านนึงพูดกับผู้เขียนไว้ ร่วม 20 ปีก่อน...เพราะผู้เขียนมี ปุจฉา ไปถามแกมากมาย....แกตอบว่า...จุดประสงค์คืออ่ะไร....ขายไหม...เก็บเป็นสินทรัพย์ไหม...ถ้า 2 เหตุผลนี้...ก็ต้องเล่่นตามแบบที่เขาเล่นหากันมีราคาในวงกว้าง....ส่วนความจริงคืออ่ะไร? ...และจริงแท้รึปล่าว..ใครบอกได้....บอกได้ด้วยอ่ะไร? ...
    ...และต่อ ความจริงเหล่านี้น...อาจจะจริงก็ได้...แต่มันอยู่ในวงแคบๆ...ซื้อ 1000 วันนี้...อนาคตเวลาอยากขาย...ต้องทำไง...เล่านิทานหรือ...
    ...อยากให้ท่านคิดง่ายๆ...มีพระแท้ พระเก่า...หาที่ลงไม่ได้...จนต้อง..ยัด..ไปเป็นของเกจิดัง....ถ้าขายแบบ...พระแท้ไม่รู้ที่....ขายได้หลักร้อย หลักพัน ก็ดีถมแล้ว...
    ...อีกกรณี..ถ้าท่านเล่นด้วยความเชื่อ..ไม่ว่าเขื่อใครก็ตาม...ก็อย่าไปคาดหวังมากนัก...ในอนาคต...ว่า มันจะไปทางไหน...อาจมีมูลค่า หรือ ไม่มี...ก็ได้...
    ...ถ้าใครนึกภาพ การทำสงครามออก...สิ่งสำคัญคืออ่ะไร...คน..ไง..จำนวนคน...มันเหมือนการสร้างบ้าน แปลงเมือง..สิ่งสำคัญคืออ่ะไร ..ก็คน...เช่นกัน...
    ...
    📌 สายวิทย์ยาศาสตร์ ...สาย 1000 x ...สายวังหน้า..ช่างหลวง...สายประวัติศาสตร์ ....สายเซียนห้าง...มีรุ่นใหญ่ท่านนึงพูดกับผู้เขียนไว้ ร่วม 20 ปีก่อน...เพราะผู้เขียนมี ปุจฉา ไปถามแกมากมาย....แกตอบว่า...จุดประสงค์คืออ่ะไร....ขายไหม...เก็บเป็นสินทรัพย์ไหม...ถ้า 2 เหตุผลนี้...ก็ต้องเล่่นตามแบบที่เขาเล่นหากันมีราคาในวงกว้าง....ส่วนความจริงคืออ่ะไร? ...และจริงแท้รึปล่าว..ใครบอกได้....บอกได้ด้วยอ่ะไร? ... ...และต่อ ความจริงเหล่านี้น...อาจจะจริงก็ได้...แต่มันอยู่ในวงแคบๆ...ซื้อ 1000 วันนี้...อนาคตเวลาอยากขาย...ต้องทำไง...เล่านิทานหรือ... ...อยากให้ท่านคิดง่ายๆ...มีพระแท้ พระเก่า...หาที่ลงไม่ได้...จนต้อง..ยัด..ไปเป็นของเกจิดัง....ถ้าขายแบบ...พระแท้ไม่รู้ที่....ขายได้หลักร้อย หลักพัน ก็ดีถมแล้ว... ...อีกกรณี..ถ้าท่านเล่นด้วยความเชื่อ..ไม่ว่าเขื่อใครก็ตาม...ก็อย่าไปคาดหวังมากนัก...ในอนาคต...ว่า มันจะไปทางไหน...อาจมีมูลค่า หรือ ไม่มี...ก็ได้... ...ถ้าใครนึกภาพ การทำสงครามออก...สิ่งสำคัญคืออ่ะไร...คน..ไง..จำนวนคน...มันเหมือนการสร้างบ้าน แปลงเมือง..สิ่งสำคัญคืออ่ะไร ..ก็คน...เช่นกัน... ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 96 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทิศต้องห้าม.....ประจำเดือนมีนาคม 2568

    ตั้งแต่วันพุธที่ 5 เดือนมีนาคม ไปจนถึง วันพฤหัสบดีที่ 3 เดือนเมษายน พ.ศ. 2568 สิ่งสำคัญคือ ควรเลี่ยงต่อการกระทบ ทุบ ตอก ขุด เจาะ ในตำแหน่งวิบากทิศทาง ดังนี้

    1. ทิศแตกสลาย 月破(ง๊วยผั่ว) ทิศตะวันตก 兑卦(ต๋วยข่วย) ราศี 酉(อิ้ว) ตั้งแต่รัศมี 262.5 ถึง 277.5 องศา

    2. ทิศ 3 อสูร 月三煞(หง่วยซาสั่วะ) ตั้งแต่ทิศตะวันตก/ใต้ 坤卦(คุงข่วย) รัศมี 225 องศา ถึง ทิศตะวันตก/เหนือ 乾卦(สุ่งข่วย) รัศมี 315 องศา

    3. ทิศ 5 เหลือง 五黃(โหงวอี๊ง) ทิศใต้ 離卦(ลี้ข่วย) ตั้งแต่รัศมี 157.5 ถึง 202.5 องศา

    ดังนั้นหากกระทบสะเทือนถึงดินที่อัดอั้นด้วยกระแสพลังร้ายอันรุนแรงรอเพียงแค่การปลดปล่อย ด้วยการทุบ ตอก ขุด เจาะ ในตำแหน่งวิบากทิศทางดังที่กล่าวไว้ในข้างต้น ส่งผลให้ท่านที่ชะตาตก ชีวิตจะเกิดวิกฤต กลุ้ม วุ่นวาย มากอุปสรรคปัญหา ขัดแย้ง แตกแยก ถูกแทงหลัง ปองร้าย จี้ ปล้น ขโมย เสียทรัพย์อย่างไม่จำเป็น พัวพันเรื่องคดีความจนต้องขึ้นโรงขึ้นศาล หรือเกิดเจ็บป่วย ต้องผ่าตัดรักษาอาการ หรือจะบาดเจ็บจนเลือดตกยางออกจากอุบัติเหตุเภทภัยที่ไม่คาดคิด โดยเฉพาะบุคคลที่เกิดปีระกาพึงระวังเป็นพิเศษ
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    ทิศต้องห้าม.....ประจำเดือนมีนาคม 2568 ตั้งแต่วันพุธที่ 5 เดือนมีนาคม ไปจนถึง วันพฤหัสบดีที่ 3 เดือนเมษายน พ.ศ. 2568 สิ่งสำคัญคือ ควรเลี่ยงต่อการกระทบ ทุบ ตอก ขุด เจาะ ในตำแหน่งวิบากทิศทาง ดังนี้ 1. ทิศแตกสลาย 月破(ง๊วยผั่ว) ทิศตะวันตก 兑卦(ต๋วยข่วย) ราศี 酉(อิ้ว) ตั้งแต่รัศมี 262.5 ถึง 277.5 องศา 2. ทิศ 3 อสูร 月三煞(หง่วยซาสั่วะ) ตั้งแต่ทิศตะวันตก/ใต้ 坤卦(คุงข่วย) รัศมี 225 องศา ถึง ทิศตะวันตก/เหนือ 乾卦(สุ่งข่วย) รัศมี 315 องศา 3. ทิศ 5 เหลือง 五黃(โหงวอี๊ง) ทิศใต้ 離卦(ลี้ข่วย) ตั้งแต่รัศมี 157.5 ถึง 202.5 องศา ดังนั้นหากกระทบสะเทือนถึงดินที่อัดอั้นด้วยกระแสพลังร้ายอันรุนแรงรอเพียงแค่การปลดปล่อย ด้วยการทุบ ตอก ขุด เจาะ ในตำแหน่งวิบากทิศทางดังที่กล่าวไว้ในข้างต้น ส่งผลให้ท่านที่ชะตาตก ชีวิตจะเกิดวิกฤต กลุ้ม วุ่นวาย มากอุปสรรคปัญหา ขัดแย้ง แตกแยก ถูกแทงหลัง ปองร้าย จี้ ปล้น ขโมย เสียทรัพย์อย่างไม่จำเป็น พัวพันเรื่องคดีความจนต้องขึ้นโรงขึ้นศาล หรือเกิดเจ็บป่วย ต้องผ่าตัดรักษาอาการ หรือจะบาดเจ็บจนเลือดตกยางออกจากอุบัติเหตุเภทภัยที่ไม่คาดคิด โดยเฉพาะบุคคลที่เกิดปีระกาพึงระวังเป็นพิเศษ ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 151 มุมมอง 0 รีวิว
  • สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลส่วนบุคคลของแคนาดาได้เปิดการสอบสวนเกี่ยวกับ X ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เป็นเจ้าของโดย Elon Musk เพื่อดูว่า X ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของชาวแคนาดาในการฝึกอบรมโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างถูกต้องตามกฎหมายความเป็นส่วนตัวของแคนาดาหรือไม่ การสอบสวนนี้เกิดขึ้นหลังจากมีการร้องเรียนถึงการใช้ข้อมูลของผู้ใช้โดยไม่ได้รับความยินยอมที่เหมาะสม

    สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลส่วนบุคคลของแคนาดากล่าวว่าจะมุ่งเน้นการสอบสวนในเรื่องของการปฏิบัติตามกฎหมายความเป็นส่วนตัวของรัฐบาลกลาง โดยเฉพาะเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม การใช้งาน และการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของชาวแคนาดาเพื่อฝึกอบรมโมเดลปัญญาประดิษฐ์ โดยยังไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับลักษณะของการร้องเรียนนี้

    Brian Masse สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรค New Democratic Party (NDP) กล่าวว่ายินดีที่เห็นสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลส่วนบุคคลเปิดการสอบสวนเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลของ X และเน้นว่าความโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญในช่วงเวลาที่อัลกอริทึมอาจถูกบิดเบือนเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท็จ

    การสอบสวนนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีความตึงเครียดเพิ่มขึ้นระหว่างแคนาดาและสหรัฐฯ ในเรื่องการค้า การรักษาความปลอดภัยชายแดน และภาษีบริการดิจิทัลที่มีผลต่อบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน Elon Musk ที่ได้รับมอบหมายให้ลดขนาดรัฐบาลของสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดี Donald Trump ได้สัญญาว่าจะดำเนินการตามภาษี 25% สำหรับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก เนื่องจากปัญหายาเสพติดที่ยังคงเข้ามาในสหรัฐฯ จากประเทศเหล่านี้

    X ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเดิมชื่อ Twitter มีโมเดลปัญญาประดิษฐ์ที่ชื่อว่า Grok ซึ่งเปิดให้ผู้ใช้ใช้งานเพื่อทำงานต่าง ๆ เช่น ตอบคำถาม แก้ปัญหา และระดมความคิด Grok-3 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของโมเดลนี้ เพิ่งเปิดตัวให้กับสมาชิกระดับ Premium+ บน X

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/28/canada039s-privacy-watchdog-opens-investigation-into-x-following-complaint
    สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลส่วนบุคคลของแคนาดาได้เปิดการสอบสวนเกี่ยวกับ X ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เป็นเจ้าของโดย Elon Musk เพื่อดูว่า X ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของชาวแคนาดาในการฝึกอบรมโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างถูกต้องตามกฎหมายความเป็นส่วนตัวของแคนาดาหรือไม่ การสอบสวนนี้เกิดขึ้นหลังจากมีการร้องเรียนถึงการใช้ข้อมูลของผู้ใช้โดยไม่ได้รับความยินยอมที่เหมาะสม สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลส่วนบุคคลของแคนาดากล่าวว่าจะมุ่งเน้นการสอบสวนในเรื่องของการปฏิบัติตามกฎหมายความเป็นส่วนตัวของรัฐบาลกลาง โดยเฉพาะเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม การใช้งาน และการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของชาวแคนาดาเพื่อฝึกอบรมโมเดลปัญญาประดิษฐ์ โดยยังไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับลักษณะของการร้องเรียนนี้ Brian Masse สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรค New Democratic Party (NDP) กล่าวว่ายินดีที่เห็นสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลส่วนบุคคลเปิดการสอบสวนเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลของ X และเน้นว่าความโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญในช่วงเวลาที่อัลกอริทึมอาจถูกบิดเบือนเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท็จ การสอบสวนนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีความตึงเครียดเพิ่มขึ้นระหว่างแคนาดาและสหรัฐฯ ในเรื่องการค้า การรักษาความปลอดภัยชายแดน และภาษีบริการดิจิทัลที่มีผลต่อบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน Elon Musk ที่ได้รับมอบหมายให้ลดขนาดรัฐบาลของสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดี Donald Trump ได้สัญญาว่าจะดำเนินการตามภาษี 25% สำหรับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก เนื่องจากปัญหายาเสพติดที่ยังคงเข้ามาในสหรัฐฯ จากประเทศเหล่านี้ X ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเดิมชื่อ Twitter มีโมเดลปัญญาประดิษฐ์ที่ชื่อว่า Grok ซึ่งเปิดให้ผู้ใช้ใช้งานเพื่อทำงานต่าง ๆ เช่น ตอบคำถาม แก้ปัญหา และระดมความคิด Grok-3 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของโมเดลนี้ เพิ่งเปิดตัวให้กับสมาชิกระดับ Premium+ บน X https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/28/canada039s-privacy-watchdog-opens-investigation-into-x-following-complaint
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Canada watchdog probing X's use of personal data in AI models' training
    TORONTO (Reuters) - Canada's privacy watchdog has opened an investigation into X, the social media platform owned by billionaire tech mogul Elon Musk, on whether its use of Canadians' personal data to train artificial intelligence (AI) models broke privacy rules.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ยืนยันจะไม่มอบข้อเสนอวอชิงตันให้คำรับประกันด้านความมั่นคงแก่ยูเครนหรือมอบสถานภาพสมาชิกนาโตสำหรับเคียฟ ก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน เตรียมเดินทางเยือนอเมริกา เพื่อปิดดีลเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรทางธรรมชาติ
    .
    ทรัมป์ ผู้ซึ่งพลิกกลับนโยบายของสหรัฐฯ ด้วยการเลียบเคียงทาบทามไปยังรัสเซีย และหาทางยุติสงครามที่ยืดเยื้อมา 3 ปีอย่างรวดเร็ว บอกด้วยว่าบรรดาพันธมิตรยุโรปจะต้องแบกรับภาระความรับผิดชอบด้านความมั่นคงของยูเครน
    .
    ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บอกกับพวกผู้สื่อข่าว ณ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ว่าเซเลนสกี จะเดินทางมาเยือนในวันศุกร์ (28 ก.พ.) และลงนามในข้อตกลง หลังสหรัฐฯ ยกระดับกดดันอย่างหนักหน่วงให้ส่งมอบแร่แรเอิร์ธที่ใช้ในด้านการบินและอวกาศ รวมถึงเทคโนโลยีอื่นๆ
    .
    "มันเป็นข้อตกลงที่ยอดเยี่ยมสำหรับยูเครน ด้วยเช่นกัน เพราะพวกเขาจะมีเราอยู่ที่นั่น" ทรัมป์ "เราจะไปอยู่ในภาคสนาม และคุณก็รู้ ในแนวทางดังกล่าว มันเป็นรูปแบบของความมั่นคงโดยอัตโนมัติ เพราจะไม่มีใครเข้าไปยุ่งกับคนของเรา เมื่อเราอยู่ที่นั่น" ทรัมป์กล่าว
    .
    อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะมอบคำรับประกันด้านความมั่นคงอย่างเป็นทางการเพิ่มเติม ตามข้อเรียกร้องของเคียฟ "ผมจะไม่รับประกันด้านความมั่นคงที่เลยเถิดมากเกินไป" ประธานาธิบดีอเมริกากล่าว "เราจะมียุโรปทำหน้าที่นั้น ยุโรปคือเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันของพวกเขา แต่เราจะทำให้แน่ใจว่าทุกๆ อย่างจะดำเนินไปด้วยดี"
    .
    เมื่อถูกถามว่าการประนีประนอมใดที่จำเป็นสำหรับยุติสงคราม ทรัมป์ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่ยูเครนจะเข้าเป็นสมาชิกนาโต และเน้นย้ำจุดยืนของรัสเซีย ที่เคยบอกว่าประเด็นนี้อยู่เบื้องหลังการรุกรานของพวกเขา "สำหรับนาโต คุณลืมมันไปได้เลย" ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าว "ผมคิดว่าบางทีมันอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ทุกสิ่งอย่างเริ่มต้นขึ้น"
    .
    อดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน สนับสนุนยูเครน ว่าในท้ายที่สุดแล้วควรได้เป็นสมาชิกนาโต อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้เสนอกรอบเวลาที่เป็นรูปธรรมใดๆ
    .
    สหรัฐฯ ในวันจันทร์ (24 ก.พ.) เปลี่ยนฝั่งเลือกยืนอยู่ข้างรัสเซีย ณ เวทีสหประชาชาติ และอยู่ตรงข้ามกับบรรดาพันธมิตรยุโรปเกือบทั้งหมด ด้วยการสนับสนุนญัตติหนึ่งที่เรียกร้องให้ยุติสงคราม โดยปราศจากการเน้นย้ำบูรณภาพแห่งดินแดนของยูเครน
    .
    "เรากำลังทำอย่างดีที่สุด เพื่อให้เราสามารถทำข้อตกลงที่ดีที่สุดที่เราสามารถทำได้ สำหรับ 2 ฝ่าย" ทรัมป์บอกในวันพุธ (26 ก.พ.) "แต่สำหรับยูเครน เรากำลังพยายามอย่างหนักเพื่อทำข้อตกลงที่ดี เพื่อที่พวกเขาได้อะไรกลับคืนมามากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้"
    .
    ทรัมป์ กล่าวอ้างว่าแนวทางด้านการทูตของเขา ได้กระตุ้นเจตนารมณ์แห่งการประนีประนอมของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ที่ก่อนหน้านี้ตั้งการเอาทุกสิ่งทุกอย่างในยูเครน "เขาเป็นคนฉลาดมาก เขาเป็นคนฉลาดแกมโกงสุดๆ" ทรัมป์พูดถึงปูติน "ผมคิดว่าเรากำลังมีข้อตกลง ถ้าผมไม่ได้รับเลือกตั้ง ผมเชื่อว่าเขาจะยังคงเดินหน้าลุยไปทั่วยูเครน"
    .
    ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส ในวันจันทร์ (24 ก.พ.) บอกกับ ทรัมป์ ว่าบรรดาชาติยุโรปกำลังพิจารณาส่งทหารเข้าไปปกป้องข้อตกลงใดๆ แต่การสนับสนุนของสหรัฐฯ เป็นสิ่งสำคัญ ในแนวทางรับประกันความมั่นคง
    .
    คาดหมายว่า เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร จะส่งสารแบบเดียวกันนี้ ครั้งที่เขามีกำหนดพบปะกับ ทรัมป์ ในวันพฤหัสบดี (27 ก.พ.)
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000019217
    ..............
    Sondhi X
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ยืนยันจะไม่มอบข้อเสนอวอชิงตันให้คำรับประกันด้านความมั่นคงแก่ยูเครนหรือมอบสถานภาพสมาชิกนาโตสำหรับเคียฟ ก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน เตรียมเดินทางเยือนอเมริกา เพื่อปิดดีลเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรทางธรรมชาติ . ทรัมป์ ผู้ซึ่งพลิกกลับนโยบายของสหรัฐฯ ด้วยการเลียบเคียงทาบทามไปยังรัสเซีย และหาทางยุติสงครามที่ยืดเยื้อมา 3 ปีอย่างรวดเร็ว บอกด้วยว่าบรรดาพันธมิตรยุโรปจะต้องแบกรับภาระความรับผิดชอบด้านความมั่นคงของยูเครน . ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บอกกับพวกผู้สื่อข่าว ณ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ว่าเซเลนสกี จะเดินทางมาเยือนในวันศุกร์ (28 ก.พ.) และลงนามในข้อตกลง หลังสหรัฐฯ ยกระดับกดดันอย่างหนักหน่วงให้ส่งมอบแร่แรเอิร์ธที่ใช้ในด้านการบินและอวกาศ รวมถึงเทคโนโลยีอื่นๆ . "มันเป็นข้อตกลงที่ยอดเยี่ยมสำหรับยูเครน ด้วยเช่นกัน เพราะพวกเขาจะมีเราอยู่ที่นั่น" ทรัมป์ "เราจะไปอยู่ในภาคสนาม และคุณก็รู้ ในแนวทางดังกล่าว มันเป็นรูปแบบของความมั่นคงโดยอัตโนมัติ เพราจะไม่มีใครเข้าไปยุ่งกับคนของเรา เมื่อเราอยู่ที่นั่น" ทรัมป์กล่าว . อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะมอบคำรับประกันด้านความมั่นคงอย่างเป็นทางการเพิ่มเติม ตามข้อเรียกร้องของเคียฟ "ผมจะไม่รับประกันด้านความมั่นคงที่เลยเถิดมากเกินไป" ประธานาธิบดีอเมริกากล่าว "เราจะมียุโรปทำหน้าที่นั้น ยุโรปคือเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันของพวกเขา แต่เราจะทำให้แน่ใจว่าทุกๆ อย่างจะดำเนินไปด้วยดี" . เมื่อถูกถามว่าการประนีประนอมใดที่จำเป็นสำหรับยุติสงคราม ทรัมป์ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่ยูเครนจะเข้าเป็นสมาชิกนาโต และเน้นย้ำจุดยืนของรัสเซีย ที่เคยบอกว่าประเด็นนี้อยู่เบื้องหลังการรุกรานของพวกเขา "สำหรับนาโต คุณลืมมันไปได้เลย" ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าว "ผมคิดว่าบางทีมันอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ทุกสิ่งอย่างเริ่มต้นขึ้น" . อดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน สนับสนุนยูเครน ว่าในท้ายที่สุดแล้วควรได้เป็นสมาชิกนาโต อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้เสนอกรอบเวลาที่เป็นรูปธรรมใดๆ . สหรัฐฯ ในวันจันทร์ (24 ก.พ.) เปลี่ยนฝั่งเลือกยืนอยู่ข้างรัสเซีย ณ เวทีสหประชาชาติ และอยู่ตรงข้ามกับบรรดาพันธมิตรยุโรปเกือบทั้งหมด ด้วยการสนับสนุนญัตติหนึ่งที่เรียกร้องให้ยุติสงคราม โดยปราศจากการเน้นย้ำบูรณภาพแห่งดินแดนของยูเครน . "เรากำลังทำอย่างดีที่สุด เพื่อให้เราสามารถทำข้อตกลงที่ดีที่สุดที่เราสามารถทำได้ สำหรับ 2 ฝ่าย" ทรัมป์บอกในวันพุธ (26 ก.พ.) "แต่สำหรับยูเครน เรากำลังพยายามอย่างหนักเพื่อทำข้อตกลงที่ดี เพื่อที่พวกเขาได้อะไรกลับคืนมามากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้" . ทรัมป์ กล่าวอ้างว่าแนวทางด้านการทูตของเขา ได้กระตุ้นเจตนารมณ์แห่งการประนีประนอมของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ที่ก่อนหน้านี้ตั้งการเอาทุกสิ่งทุกอย่างในยูเครน "เขาเป็นคนฉลาดมาก เขาเป็นคนฉลาดแกมโกงสุดๆ" ทรัมป์พูดถึงปูติน "ผมคิดว่าเรากำลังมีข้อตกลง ถ้าผมไม่ได้รับเลือกตั้ง ผมเชื่อว่าเขาจะยังคงเดินหน้าลุยไปทั่วยูเครน" . ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส ในวันจันทร์ (24 ก.พ.) บอกกับ ทรัมป์ ว่าบรรดาชาติยุโรปกำลังพิจารณาส่งทหารเข้าไปปกป้องข้อตกลงใดๆ แต่การสนับสนุนของสหรัฐฯ เป็นสิ่งสำคัญ ในแนวทางรับประกันความมั่นคง . คาดหมายว่า เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร จะส่งสารแบบเดียวกันนี้ ครั้งที่เขามีกำหนดพบปะกับ ทรัมป์ ในวันพฤหัสบดี (27 ก.พ.) . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000019217 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Wow
    15
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2238 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทจะถูกทอดทิ้ง ยูเครนก็ถูก สหรัฐทอดทิ้งเอาได้ง่ายๆ หากศึกษาประวัติศาสตร์ในอดีตของไทย จะพบว่าครั้งหนึ่ง ไทยเองก็ถูกอเมริกาทอดทิ้งและเป็นบทเรียนให้เราได้รู้ว่า การเลือกข้าง ไม่ว่าจะมหาอำนาจข้างใดเขามองเห็นแค่ผลประโยชน์ของประเทศเขาเท่านั้น เรื่องมีอยู่ว่า....เมื่อในอดีต....ไทยเป็นประเทศเฉกเช่นเดียวกับหลายๆ ประเทศที่จะต้องรับมือการขยายอำนาจของประเทศคอมมิวนิสต์ อย่างรัสเซีย ผ่านเวียดนาม และจีนและสหรัฐอเมริกา ก็มีความพยายามในการสกัดกั้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้การเข้ามาประจันของทั้งสองมหาอำนาจนี้บางประเทศก็เลือกที่จะเข้าข้างอำนาจหนึ่ง บางประเทศก็เลือกที่จะผูกพันกับอีกอำนาจหนึ่ง แต่การผูกพันกับอำนาจใดอำนาจหนึ่งมากก็ย่อมส่งผลเสียตามมาหากมีมหาอำนาจฝ่ายหนึ่งต้องถอยหลังไป ดังนั้นแล้วการทุ่มตัวในการพลิกให้เป็นฝ่ายชนะให้ได้จึงเป็นสิ่งที่น่าจะให้ผลประโยชน์ได้ดีที่สุดมากกว่าการแพ้ แต่มีคนไทยผู้หนึ่งนั้นมองอย่างแตกต่างออกไปที่ถึงจะไม่ชนะ แต่ก็ต้องไม่แพ้ กล่าวคือการ “หนีเสือปะจระเข้” จะไม่มีผลต่อการเลือกว่าเราจะต้องอยู่บนบกหรือในน้ำอีกต่อไป คนไทยผู้นี้คือ " ถนัด คอมันตร์ "“หากเราหนีเสือ [จีน] แล้วไปปะจระเข้ [โซเวียต] มันก็ไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่านัก… ถ้าเราไม่มีทางอื่น เราอาจจะต้องอยู่กับจระเข้… ที่ว่ามานี้คือรูปแบบที่เป็นไปได้ถ้าสหรัฐอเมริกาต้องถอนกำลังออกจากประเทศเรา… เพราะเราไม่อาจบอกได้ว่าภูมิภาคของเราตอนนี้มีอำนาจมากพอ… เราหวังว่าทุกคนจะเข้าใจในประเด็นนี้ และช่วยสนับสนุนประเทศในภูมิภาคที่จะรวมตัวสร้างกลุ่มใหม่ขึ้นให้เหนียวแน่นกว่าเดิม” คำกล่าวนี้คือคำกล่าวของถนัด คอมันตร์ ผู้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศที่เป็นระดับตำนานของไทยที่จะคิดหาวิธีอยู่รอดในวันที่สหรัฐอเมริกากำลังเลือกที่จะถอนกำลังออก และในวันที่ประเทศที่เป็นคอมมิวนิสต์นั้นมีพลังมากขึ้นด้วยการรวมกลุ่มประเทศที่ไม่เป็นคอมมิวนิสต์เพื่อคานอิทธิพลของอำนาจแดงเอาไว้ [1]เรามักจะคุ้นหูว่าหลักการ Nixon (Nixon Doctrine) ที่ประกาศว่าสหรัฐอเมริกาจะถอนกำลังออกจากเวียดนามได้ทำให้ประเทศไทยต้องเปลี่ยนนโยบายกับประเทศคอมมิวนิสต์ แต่ความจริงแล้วการเปลี่ยนทิศของนโยบายการต่างประเทศไทยนั้นได้เริ่มขึ้นก่อนที่การตัดสินใจของสหรัฐอเมริกาจะเกิดขึ้น และการตัดสินใจนี้เองก็มีส่วนที่ทำให้สงครามเวียดนามบรรเทาความรุนแรงลงด้วย การตัดสินใจเปลี่ยนทิศของไทยนั้นเริ่มหลังจากที่ประธานาธิบดีลินดอน จอห์นสัน ประกาศนโยบายกลับลำให้คุยสันติภาพหลังจากการรุกตรุษญวน ในการนี้ ถนัด คอมันตร์ และคนอื่นๆ ได้มีการกล่าวว่าสหรัฐอเมริกาได้สร้างข้อสงสัยขึ้นให้กับประเทศอื่นๆ และตอนนี้ไทยก็ได้รู้ตัวอย่างแจ่มแจ้งมากกว่าเก่าว่าการพึ่งกับสหรัฐอเมริกานั้นไม่ใช่ทางที่ดีอีกต่อไปถึงแม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะต้องถอนทัพออกไป แต่ถนัดก็ได้ขอให้การถอนทัพนี้เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามความเหมาะสมของสถานการณ์ และไทยเองก็ต้องสร้างความสัมพันธ์กับประเทศคอมมิวนิสต์ในท่ามกลางดุลอำนาจที่เปลี่ยนไปนี้ด้วย ถนัดจึงได้คิดค้นการทูตแบบยืดหยุ่นขึ้นในขณะนั้นถนัดประเมินว่ามีอยู่ 5 แนวทางสำหรับนโยบายการต่างประเทศของไทยในอนาคต คือ ทางเลือกที่หนึ่ง การไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แต่นโยบายนี้เขาพบว่ามหาอำนาจจะไม่ยอมให้ประเทศเล็กๆ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และมักจะโดนยำเสมอ ทางเลือกนี้จึงตัดทิ้งไป ทางที่สอง คือการเข้าไปหาคอมมิวนิสต์โดยตรงและ “ชนะใจ” ในเชิงการทูตเพื่อให้อยู่ร่วมกันได้ซึ่งถนัดก็เห็นว่ามีความเป็นไปได้ เพียงแต่ยังไม่ใช่ในตอนนั้น ทางเลือกที่สาม คือการประกาศว่าเป็นกลางคือจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับประเด็นสงครามหรือความขัดแย้งทั้งสิ้นซึ่งต่างจากการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แต่เขาก็ประเมินว่าประเทศคอมมิวนิสต์คงไม่อยู่เฉยๆ เพราะถึงเราจะเป็นกลาง แต่คอมมิวนิสต์ไม่กลางด้วย หรือทางที่สี่ การเข้าไปร่วมกับคอมมิวนิสต์ด้วยเลยก็ไม่มีประโยชน์เพราะจะถูกบีบได้เสมอ เขาเห็นว่าทางที่ห้า เป็นไปได้มากที่สุดคือการรวมกลุ่มประเทศที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเข้าไว้ด้วยกันเพื่อเป็นพลังต่อรองใหม่ ซึ่งนี่คือจุดกำเนิดของ ASEAN นั่นเองถนัดเป็นผู้ริเริ่มเรื่องนี้ขึ้นเนื่องจากประเทศต่างๆ ในเอเชียไม่ต้องการพึ่งพลังจากภายนอกอีกต่อไป แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถจัดการต่อรองประเด็นต่างๆ ได้อย่างเท่าเทียมและมีพลังด้วย ถึงแม้ว่าถนัดในช่วงก่อนนั้นจะเห็นว่าการมีอยู่ของกองทัพสหรัฐอเมริกานั้นเป็นประโยชน์แต่ก็เสียความชอบธรรมลงไปเพราะการเมืองในประเทศของสหรัฐอเมริกาเอง ซึ่งถนัดได้ชี้ว่า “เป้าหมายของสหรัฐอเมริกาเปลี่ยนไป เราไม่ได้เปลี่ยน พวกเขาต่างหากที่เปลี่ยน การมีอยู่ของกองทัพอเมริกันในไทยเสียความชอบธรรมไปแล้ว” และเขายังได้ติติงว่าสหรัฐอเมริกาจะเป็นมหาอำนาจได้ก็ต่อเมื่อรับผิดชอบในภารกิจของตนให้เสร็จสิ้น การถอนทัพออกไปนั้นจะไม่ใช่แค่ส่งผลต่อประเทศอื่น แต่ยังส่งผลไปยังสหรัฐอเมริกาเองด้วยว่าไม่สามารถทำหน้าที่มหาอำนาจได้อีกต่อไปอย่างไรก็ดี ถนัดได้เดินหน้าต่อในการวางแนวทางใหม่ทางการทูตที่ไม่ต้องพึ่งสหรัฐอเมริกาอีกต่อไป พร้อมกับที่สหรัฐอเมริกาค่อยๆ ถอนกำลังออกจากไทย การถอนทัพนี้ได้สร้างความไม่ลงรอยทางการเมืองในไทยเองด้วย กล่าวคือกลุ่มกองทัพไทยยังคงอยากให้กองทัพสหรัฐอเมริกาอยู่ต่อไปเพื่อเป็นหลักประกันความปลอดภัย ส่วนกลุ่มในกระทรวงการต่างประเทศนั้นแม้จะยังอยากให้กองทัพอยู่เช่นกัน แต่ก็ตระหนักถึงความจริงที่สหรัฐอเมริกาได้ตัดสินใจไปแล้วด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงตระหนักว่าการถอนทัพออกของอเมริกันเองก็ได้มอบพื้นที่ใหม่ทางการต่างประเทศให้กับไทยและภูมิภาคด้วยการถอนกำลังของสหรัฐอเมริกานั้นสามารถก่อให้เกิดช่องว่างทางอำนาจขึ้นได้ ดังนั้นการร่วมมือของประเทศในภูมิภาคจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไทยจึงกลายเป็นหัวหอกในการพาชาติต่างๆ เข้ามาร่วมทำงานด้วยกันในการสร้างสันติภาพภายใต้องค์การ ASEAN ที่จะกลายเป็นสิ่งที่ถ่วงเอาไว้ไม่ให้เกิดช่องว่างอำนาจจนอาจสั่นคลอนภูมิภาคได้ แต่ ASEAN แตกต่างจากองค์การอื่นๆ ก่อนหน้าเช่น SEATO เพราะ ASEAN ไม่ใช่องค์การในเชิงทหาร แต่เป็นองค์การเชิงการเมือง โดยถนัดชี้ว่าต่อให้ทุกประเทศรวมกันในเชิงกองกำลังก็ยังต้านจีนไม่ได้ วิธีการจึงต้องเป็นวิธีอื่นนอกจากการทหารควบคู่ไปกับการร่วมมือกันของประเทศต่างๆ ไทย (และประเทศอื่น) ก็เริ่มหาแนวทางปรับความสัมพันธ์กับประเทศคอมมิวนิสต์ ถนัดได้เขียนบทความลง Times เดือนสิงหาคม ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) ว่า “จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการพูดคุยในทางการทูตระหว่างกันระหว่างเรากับประเทศคอมมิวนิสต์ แต่เราจะต้องพยายามให้เกิดขึ้นให้ได้ แต่เราจะทำได้ก็ต่อเมื่อประเทศในอาเซียนสามารถร่วมมือกันอย่างเป็นระบบได้ในการโน้มน้าวให้กลุ่มคอมมิวนิสต์ละทิ้งสงครามและร่วมมือกันอย่างสร้างสรรค์” นั่นหมายความว่าถนัดได้เห็นแล้วว่าการผ่อนคลายระหว่างกัน (Détente) นั้นเป็นสิ่งที่จะต้องทำซึ่งในช่วงเวลาของเขานั้นเรื่องนี้คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่เขาก็ยังเชื่อว่าจะเป็นนโยบายที่ “สามารถปฏิบัติได้จริงในอนาคต” เพราะว่าประเทศคอมมิวนิสต์ไม่สามารถมีท่าทีในเชิงรุกได้ตลอดไป ดังนั้นไทยต้องเตรียมที่จะปรับเปลี่ยนตัวเองให้สอดคล้องด้วย หรือเป็นการ “มีนโยบายที่ยืดหยุ่นมากขึ้นกับจีน” เขาจึงกล่าวว่า “ถ้าปักกิ่งมีสัญญาณว่าเราสามารถพูดคุยกันได้เมื่อไร ผมจะแนะนำให้รัฐบาลไทยไปนั่งโต๊ะทันที แต่ตอนนี้สัญญาณนั้นยังไม่เกิดขึ้น” ถนัดยืนยันว่าไทยไม่ต่อต้านคอมมิวนิสต์หรือจีน และต้องการที่จะพูดคุยหาทางในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติให้ได้ ถนัดยังกล่าวต่อไปอีกว่าจีนต่างหากที่ต้านไทยเพราะรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของจีนนั้นพูดเองว่าจะทำสงครามกองโจรกับไทยถนัดนั้นจึงเตรียมพร้อมเสมอในการไปปักกิ่ง และคาดกันว่าเขาเตรียมจะส่ง ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ไปเจรจา หรือกระทั่งแคล้ว นรปติ ซึ่งเป็นนักการเมืองสายสังคมนิยมในขณะนั้น ไปเพื่อถามกันตรงๆ ว่า ที่ว่าจะทำสงครามเป็นเพราะอะไร แต่ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์นั้นได้ออกมาปฏิเสธในการไปคุยกับจีนว่าไม่มีประโยชน์เพราะคำตอบนั้นชัดอยู่แล้วว่าเพราะไทยอยู่ข้างสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ดีถนัดได้ยืนยันว่านโยบายต่างประเทศไทยนั้นไม่เคยเปลี่ยนเลย คือ การปกป้องเอกราชของประเทศไทยนั้นคือสิ่งที่ดำเนินมาตลอด แต่วิธีการที่จะบรรลุเป้าหมายนี้จะต้องปรับเปลี่ยนไปตามบริบทดังที่เขากล่าวว่า “เราต้องตระหนักสถานการณ์ในปัจจุบันที่ดุลอำนาจเปลี่ยนไปแล้ว แต่เราไม่ได้เปลี่ยนนโยบายของเรา นโยบายของเราเหมือนเดิม และเราจะไม่มีวันปล่อยหลักการทางศีลธรรมและทางสติปัญญาของเราทิ้งไป” ดังนั้นจึงหมายความว่าแม้จะ “ลู่ลม” แต่ “ราก” นั้นไม่เปลี่ยนไปตามลมนั่นเองหลักการการทูตที่ยืดหยุ่นนั้นประกอบไปด้วยสามประการ คือ ไม่อเมริกัน การร่วมมือในภูมิภาค และการผ่อนคลายความตึงเครียด ถนัดได้สร้างช่องทางในการติดต่อกับจีนผ่านคนที่สามในการหาทางอยู่ร่วมกัน เช่น UN รวมไปถึงการติดต่อกับโซเวียตไปพร้อมกันด้วย แม้ว่าถนัดจะยืนยันว่านโยบายไม่ได้เปลี่ยนก็ตาม แต่การใช้วิธีแบบยืดหยุ่นนี้ได้สร้างการผ่อนคลายได้ในที่สุด และได้กลายเป็นฐานให้ผู้มีอำนาจอื่นๆ ต่อยอดวิธีการของถนัดในการอยู่กับประเทศคอมมิวนิสต์อย่างสันติและปกป้องเอกราชของไทยเอาไว้ได้ถนัดจึงสมควรได้รับการยกย่องที่สุดว่า “ถนัดและคนอื่นๆ ได้คิดในสิ่งที่มิอาจจินตนาการได้ในสงครามเย็น นั่นคือการอยู่ร่วมกับทั้งจระเข้และเสืออย่างปลอดภัย” และนี่คือถนัด คอมันตร์ ตำนานรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยตลอดกาล #มูลนิธิสยามรีกอเดอ #LueHistory #ประวัติศาสตร์ #ฤๅคัฟเวอรี่
    บทจะถูกทอดทิ้ง ยูเครนก็ถูก สหรัฐทอดทิ้งเอาได้ง่ายๆ หากศึกษาประวัติศาสตร์ในอดีตของไทย จะพบว่าครั้งหนึ่ง ไทยเองก็ถูกอเมริกาทอดทิ้งและเป็นบทเรียนให้เราได้รู้ว่า การเลือกข้าง ไม่ว่าจะมหาอำนาจข้างใดเขามองเห็นแค่ผลประโยชน์ของประเทศเขาเท่านั้น เรื่องมีอยู่ว่า....เมื่อในอดีต....ไทยเป็นประเทศเฉกเช่นเดียวกับหลายๆ ประเทศที่จะต้องรับมือการขยายอำนาจของประเทศคอมมิวนิสต์ อย่างรัสเซีย ผ่านเวียดนาม และจีนและสหรัฐอเมริกา ก็มีความพยายามในการสกัดกั้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้การเข้ามาประจันของทั้งสองมหาอำนาจนี้บางประเทศก็เลือกที่จะเข้าข้างอำนาจหนึ่ง บางประเทศก็เลือกที่จะผูกพันกับอีกอำนาจหนึ่ง แต่การผูกพันกับอำนาจใดอำนาจหนึ่งมากก็ย่อมส่งผลเสียตามมาหากมีมหาอำนาจฝ่ายหนึ่งต้องถอยหลังไป ดังนั้นแล้วการทุ่มตัวในการพลิกให้เป็นฝ่ายชนะให้ได้จึงเป็นสิ่งที่น่าจะให้ผลประโยชน์ได้ดีที่สุดมากกว่าการแพ้ แต่มีคนไทยผู้หนึ่งนั้นมองอย่างแตกต่างออกไปที่ถึงจะไม่ชนะ แต่ก็ต้องไม่แพ้ กล่าวคือการ “หนีเสือปะจระเข้” จะไม่มีผลต่อการเลือกว่าเราจะต้องอยู่บนบกหรือในน้ำอีกต่อไป คนไทยผู้นี้คือ " ถนัด คอมันตร์ "“หากเราหนีเสือ [จีน] แล้วไปปะจระเข้ [โซเวียต] มันก็ไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่านัก… ถ้าเราไม่มีทางอื่น เราอาจจะต้องอยู่กับจระเข้… ที่ว่ามานี้คือรูปแบบที่เป็นไปได้ถ้าสหรัฐอเมริกาต้องถอนกำลังออกจากประเทศเรา… เพราะเราไม่อาจบอกได้ว่าภูมิภาคของเราตอนนี้มีอำนาจมากพอ… เราหวังว่าทุกคนจะเข้าใจในประเด็นนี้ และช่วยสนับสนุนประเทศในภูมิภาคที่จะรวมตัวสร้างกลุ่มใหม่ขึ้นให้เหนียวแน่นกว่าเดิม” คำกล่าวนี้คือคำกล่าวของถนัด คอมันตร์ ผู้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศที่เป็นระดับตำนานของไทยที่จะคิดหาวิธีอยู่รอดในวันที่สหรัฐอเมริกากำลังเลือกที่จะถอนกำลังออก และในวันที่ประเทศที่เป็นคอมมิวนิสต์นั้นมีพลังมากขึ้นด้วยการรวมกลุ่มประเทศที่ไม่เป็นคอมมิวนิสต์เพื่อคานอิทธิพลของอำนาจแดงเอาไว้ [1]เรามักจะคุ้นหูว่าหลักการ Nixon (Nixon Doctrine) ที่ประกาศว่าสหรัฐอเมริกาจะถอนกำลังออกจากเวียดนามได้ทำให้ประเทศไทยต้องเปลี่ยนนโยบายกับประเทศคอมมิวนิสต์ แต่ความจริงแล้วการเปลี่ยนทิศของนโยบายการต่างประเทศไทยนั้นได้เริ่มขึ้นก่อนที่การตัดสินใจของสหรัฐอเมริกาจะเกิดขึ้น และการตัดสินใจนี้เองก็มีส่วนที่ทำให้สงครามเวียดนามบรรเทาความรุนแรงลงด้วย การตัดสินใจเปลี่ยนทิศของไทยนั้นเริ่มหลังจากที่ประธานาธิบดีลินดอน จอห์นสัน ประกาศนโยบายกลับลำให้คุยสันติภาพหลังจากการรุกตรุษญวน ในการนี้ ถนัด คอมันตร์ และคนอื่นๆ ได้มีการกล่าวว่าสหรัฐอเมริกาได้สร้างข้อสงสัยขึ้นให้กับประเทศอื่นๆ และตอนนี้ไทยก็ได้รู้ตัวอย่างแจ่มแจ้งมากกว่าเก่าว่าการพึ่งกับสหรัฐอเมริกานั้นไม่ใช่ทางที่ดีอีกต่อไปถึงแม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะต้องถอนทัพออกไป แต่ถนัดก็ได้ขอให้การถอนทัพนี้เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามความเหมาะสมของสถานการณ์ และไทยเองก็ต้องสร้างความสัมพันธ์กับประเทศคอมมิวนิสต์ในท่ามกลางดุลอำนาจที่เปลี่ยนไปนี้ด้วย ถนัดจึงได้คิดค้นการทูตแบบยืดหยุ่นขึ้นในขณะนั้นถนัดประเมินว่ามีอยู่ 5 แนวทางสำหรับนโยบายการต่างประเทศของไทยในอนาคต คือ ทางเลือกที่หนึ่ง การไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แต่นโยบายนี้เขาพบว่ามหาอำนาจจะไม่ยอมให้ประเทศเล็กๆ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และมักจะโดนยำเสมอ ทางเลือกนี้จึงตัดทิ้งไป ทางที่สอง คือการเข้าไปหาคอมมิวนิสต์โดยตรงและ “ชนะใจ” ในเชิงการทูตเพื่อให้อยู่ร่วมกันได้ซึ่งถนัดก็เห็นว่ามีความเป็นไปได้ เพียงแต่ยังไม่ใช่ในตอนนั้น ทางเลือกที่สาม คือการประกาศว่าเป็นกลางคือจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับประเด็นสงครามหรือความขัดแย้งทั้งสิ้นซึ่งต่างจากการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แต่เขาก็ประเมินว่าประเทศคอมมิวนิสต์คงไม่อยู่เฉยๆ เพราะถึงเราจะเป็นกลาง แต่คอมมิวนิสต์ไม่กลางด้วย หรือทางที่สี่ การเข้าไปร่วมกับคอมมิวนิสต์ด้วยเลยก็ไม่มีประโยชน์เพราะจะถูกบีบได้เสมอ เขาเห็นว่าทางที่ห้า เป็นไปได้มากที่สุดคือการรวมกลุ่มประเทศที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเข้าไว้ด้วยกันเพื่อเป็นพลังต่อรองใหม่ ซึ่งนี่คือจุดกำเนิดของ ASEAN นั่นเองถนัดเป็นผู้ริเริ่มเรื่องนี้ขึ้นเนื่องจากประเทศต่างๆ ในเอเชียไม่ต้องการพึ่งพลังจากภายนอกอีกต่อไป แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถจัดการต่อรองประเด็นต่างๆ ได้อย่างเท่าเทียมและมีพลังด้วย ถึงแม้ว่าถนัดในช่วงก่อนนั้นจะเห็นว่าการมีอยู่ของกองทัพสหรัฐอเมริกานั้นเป็นประโยชน์แต่ก็เสียความชอบธรรมลงไปเพราะการเมืองในประเทศของสหรัฐอเมริกาเอง ซึ่งถนัดได้ชี้ว่า “เป้าหมายของสหรัฐอเมริกาเปลี่ยนไป เราไม่ได้เปลี่ยน พวกเขาต่างหากที่เปลี่ยน การมีอยู่ของกองทัพอเมริกันในไทยเสียความชอบธรรมไปแล้ว” และเขายังได้ติติงว่าสหรัฐอเมริกาจะเป็นมหาอำนาจได้ก็ต่อเมื่อรับผิดชอบในภารกิจของตนให้เสร็จสิ้น การถอนทัพออกไปนั้นจะไม่ใช่แค่ส่งผลต่อประเทศอื่น แต่ยังส่งผลไปยังสหรัฐอเมริกาเองด้วยว่าไม่สามารถทำหน้าที่มหาอำนาจได้อีกต่อไปอย่างไรก็ดี ถนัดได้เดินหน้าต่อในการวางแนวทางใหม่ทางการทูตที่ไม่ต้องพึ่งสหรัฐอเมริกาอีกต่อไป พร้อมกับที่สหรัฐอเมริกาค่อยๆ ถอนกำลังออกจากไทย การถอนทัพนี้ได้สร้างความไม่ลงรอยทางการเมืองในไทยเองด้วย กล่าวคือกลุ่มกองทัพไทยยังคงอยากให้กองทัพสหรัฐอเมริกาอยู่ต่อไปเพื่อเป็นหลักประกันความปลอดภัย ส่วนกลุ่มในกระทรวงการต่างประเทศนั้นแม้จะยังอยากให้กองทัพอยู่เช่นกัน แต่ก็ตระหนักถึงความจริงที่สหรัฐอเมริกาได้ตัดสินใจไปแล้วด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงตระหนักว่าการถอนทัพออกของอเมริกันเองก็ได้มอบพื้นที่ใหม่ทางการต่างประเทศให้กับไทยและภูมิภาคด้วยการถอนกำลังของสหรัฐอเมริกานั้นสามารถก่อให้เกิดช่องว่างทางอำนาจขึ้นได้ ดังนั้นการร่วมมือของประเทศในภูมิภาคจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไทยจึงกลายเป็นหัวหอกในการพาชาติต่างๆ เข้ามาร่วมทำงานด้วยกันในการสร้างสันติภาพภายใต้องค์การ ASEAN ที่จะกลายเป็นสิ่งที่ถ่วงเอาไว้ไม่ให้เกิดช่องว่างอำนาจจนอาจสั่นคลอนภูมิภาคได้ แต่ ASEAN แตกต่างจากองค์การอื่นๆ ก่อนหน้าเช่น SEATO เพราะ ASEAN ไม่ใช่องค์การในเชิงทหาร แต่เป็นองค์การเชิงการเมือง โดยถนัดชี้ว่าต่อให้ทุกประเทศรวมกันในเชิงกองกำลังก็ยังต้านจีนไม่ได้ วิธีการจึงต้องเป็นวิธีอื่นนอกจากการทหารควบคู่ไปกับการร่วมมือกันของประเทศต่างๆ ไทย (และประเทศอื่น) ก็เริ่มหาแนวทางปรับความสัมพันธ์กับประเทศคอมมิวนิสต์ ถนัดได้เขียนบทความลง Times เดือนสิงหาคม ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) ว่า “จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการพูดคุยในทางการทูตระหว่างกันระหว่างเรากับประเทศคอมมิวนิสต์ แต่เราจะต้องพยายามให้เกิดขึ้นให้ได้ แต่เราจะทำได้ก็ต่อเมื่อประเทศในอาเซียนสามารถร่วมมือกันอย่างเป็นระบบได้ในการโน้มน้าวให้กลุ่มคอมมิวนิสต์ละทิ้งสงครามและร่วมมือกันอย่างสร้างสรรค์” นั่นหมายความว่าถนัดได้เห็นแล้วว่าการผ่อนคลายระหว่างกัน (Détente) นั้นเป็นสิ่งที่จะต้องทำซึ่งในช่วงเวลาของเขานั้นเรื่องนี้คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่เขาก็ยังเชื่อว่าจะเป็นนโยบายที่ “สามารถปฏิบัติได้จริงในอนาคต” เพราะว่าประเทศคอมมิวนิสต์ไม่สามารถมีท่าทีในเชิงรุกได้ตลอดไป ดังนั้นไทยต้องเตรียมที่จะปรับเปลี่ยนตัวเองให้สอดคล้องด้วย หรือเป็นการ “มีนโยบายที่ยืดหยุ่นมากขึ้นกับจีน” เขาจึงกล่าวว่า “ถ้าปักกิ่งมีสัญญาณว่าเราสามารถพูดคุยกันได้เมื่อไร ผมจะแนะนำให้รัฐบาลไทยไปนั่งโต๊ะทันที แต่ตอนนี้สัญญาณนั้นยังไม่เกิดขึ้น” ถนัดยืนยันว่าไทยไม่ต่อต้านคอมมิวนิสต์หรือจีน และต้องการที่จะพูดคุยหาทางในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติให้ได้ ถนัดยังกล่าวต่อไปอีกว่าจีนต่างหากที่ต้านไทยเพราะรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของจีนนั้นพูดเองว่าจะทำสงครามกองโจรกับไทยถนัดนั้นจึงเตรียมพร้อมเสมอในการไปปักกิ่ง และคาดกันว่าเขาเตรียมจะส่ง ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ไปเจรจา หรือกระทั่งแคล้ว นรปติ ซึ่งเป็นนักการเมืองสายสังคมนิยมในขณะนั้น ไปเพื่อถามกันตรงๆ ว่า ที่ว่าจะทำสงครามเป็นเพราะอะไร แต่ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์นั้นได้ออกมาปฏิเสธในการไปคุยกับจีนว่าไม่มีประโยชน์เพราะคำตอบนั้นชัดอยู่แล้วว่าเพราะไทยอยู่ข้างสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ดีถนัดได้ยืนยันว่านโยบายต่างประเทศไทยนั้นไม่เคยเปลี่ยนเลย คือ การปกป้องเอกราชของประเทศไทยนั้นคือสิ่งที่ดำเนินมาตลอด แต่วิธีการที่จะบรรลุเป้าหมายนี้จะต้องปรับเปลี่ยนไปตามบริบทดังที่เขากล่าวว่า “เราต้องตระหนักสถานการณ์ในปัจจุบันที่ดุลอำนาจเปลี่ยนไปแล้ว แต่เราไม่ได้เปลี่ยนนโยบายของเรา นโยบายของเราเหมือนเดิม และเราจะไม่มีวันปล่อยหลักการทางศีลธรรมและทางสติปัญญาของเราทิ้งไป” ดังนั้นจึงหมายความว่าแม้จะ “ลู่ลม” แต่ “ราก” นั้นไม่เปลี่ยนไปตามลมนั่นเองหลักการการทูตที่ยืดหยุ่นนั้นประกอบไปด้วยสามประการ คือ ไม่อเมริกัน การร่วมมือในภูมิภาค และการผ่อนคลายความตึงเครียด ถนัดได้สร้างช่องทางในการติดต่อกับจีนผ่านคนที่สามในการหาทางอยู่ร่วมกัน เช่น UN รวมไปถึงการติดต่อกับโซเวียตไปพร้อมกันด้วย แม้ว่าถนัดจะยืนยันว่านโยบายไม่ได้เปลี่ยนก็ตาม แต่การใช้วิธีแบบยืดหยุ่นนี้ได้สร้างการผ่อนคลายได้ในที่สุด และได้กลายเป็นฐานให้ผู้มีอำนาจอื่นๆ ต่อยอดวิธีการของถนัดในการอยู่กับประเทศคอมมิวนิสต์อย่างสันติและปกป้องเอกราชของไทยเอาไว้ได้ถนัดจึงสมควรได้รับการยกย่องที่สุดว่า “ถนัดและคนอื่นๆ ได้คิดในสิ่งที่มิอาจจินตนาการได้ในสงครามเย็น นั่นคือการอยู่ร่วมกับทั้งจระเข้และเสืออย่างปลอดภัย” และนี่คือถนัด คอมันตร์ ตำนานรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยตลอดกาล #มูลนิธิสยามรีกอเดอ #LueHistory #ประวัติศาสตร์ #ฤๅคัฟเวอรี่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 371 มุมมอง 0 รีวิว
  • บางส่วนที่ปูตินตอบคำถามระหว่างการให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ของรัสเซีย:

    - รัสเซียพร้อมที่จะมอบโอกาสให้สหรัฐฯ ได้ทำงานร่วมกันในด้านแร่ธาตุหายาก

    - เซเลนสกีไม่มีโอกาสชนะการเลือกตั้งหากเขาลงแข่งขัน คะแนนนิยมของเซเลนสกีต่ำกว่า "ซาลูซนีย์" (อดีตผู้บัญชาการสูงสุดกองทัพยูเครน) ถึงสองเท่า

    - รัสเซียไม่ได้ต่อต้านการรักษาสถานะความเป็นรัฐของยูเครน แต่สิ่งสำคัญคือต้องไม่ใช้ดินแดนยูเครนเป็นภัยคุกคามต่อมอสโก

    - รัสเซียพร้อมหารือกับสหรัฐฯ เกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการลดงบประมาณกลาโหม การลดงบประมาณลง 50% ถือเป็นความคิดที่ดี

    - รัสเซียพร้อมที่จะเสนอความร่วมมือด้านแร่หายากแก่หุ้นส่วนต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ โดยยกตัวอย่าง เช่น อาจเป็นความร่วมมือกันในโครงการขุดอะลูมิเนียม เช่น ในเขตครัสโนยาสก์ ซึ่งคาดว่าจะมีอยู่ราว 2 ล้านตันให้กับตลาดสหรัฐฯ ซึ่งอาจสร้างเม็ดเงินได้ถึง 15,000 ล้านดอลลาร์เข้าสู่เศรษฐกิจของรัสเซีย หรือแม้แต่แร่หายากอื่นๆในภูมิภาคใหม่ทั้งสี่

    - โดยพื้นฐานแล้ว การแก้ไขความขัดแย้งในยูเครนยังไม่ได้มีการหารือกับทรัมป์อย่างจริงจัง

    - ผู้นำสหภาพยุโรปชุดปัจจุบันมุ่งมั่นกับระบอบเคียฟมากเกินไป จนไม่อาจถอนตัวจากจุดยืนนี้ได้โดยไม่เสียหน้า

    - ปูตินไม่ขัดขวางหากยุโรปจะเข้าร่วมในกระบวนการเจรจา พวกเขาเพียงแค่ปฏิเสธไม่อยากเข้าร่วมเอง

    - เกี่ยวกับยุโรปและคำขาดของพวกเขา: “ปล่อยให้พวกเขาอยู่กับข้อเรียกร้องเหล่านั้น และให้พวกเขาได้คิดว่าพวกเขาลงเอยแบบนี้ได้อย่างไร”
    บางส่วนที่ปูตินตอบคำถามระหว่างการให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ของรัสเซีย: - รัสเซียพร้อมที่จะมอบโอกาสให้สหรัฐฯ ได้ทำงานร่วมกันในด้านแร่ธาตุหายาก - เซเลนสกีไม่มีโอกาสชนะการเลือกตั้งหากเขาลงแข่งขัน คะแนนนิยมของเซเลนสกีต่ำกว่า "ซาลูซนีย์" (อดีตผู้บัญชาการสูงสุดกองทัพยูเครน) ถึงสองเท่า - รัสเซียไม่ได้ต่อต้านการรักษาสถานะความเป็นรัฐของยูเครน แต่สิ่งสำคัญคือต้องไม่ใช้ดินแดนยูเครนเป็นภัยคุกคามต่อมอสโก - รัสเซียพร้อมหารือกับสหรัฐฯ เกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการลดงบประมาณกลาโหม การลดงบประมาณลง 50% ถือเป็นความคิดที่ดี - รัสเซียพร้อมที่จะเสนอความร่วมมือด้านแร่หายากแก่หุ้นส่วนต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ โดยยกตัวอย่าง เช่น อาจเป็นความร่วมมือกันในโครงการขุดอะลูมิเนียม เช่น ในเขตครัสโนยาสก์ ซึ่งคาดว่าจะมีอยู่ราว 2 ล้านตันให้กับตลาดสหรัฐฯ ซึ่งอาจสร้างเม็ดเงินได้ถึง 15,000 ล้านดอลลาร์เข้าสู่เศรษฐกิจของรัสเซีย หรือแม้แต่แร่หายากอื่นๆในภูมิภาคใหม่ทั้งสี่ - โดยพื้นฐานแล้ว การแก้ไขความขัดแย้งในยูเครนยังไม่ได้มีการหารือกับทรัมป์อย่างจริงจัง - ผู้นำสหภาพยุโรปชุดปัจจุบันมุ่งมั่นกับระบอบเคียฟมากเกินไป จนไม่อาจถอนตัวจากจุดยืนนี้ได้โดยไม่เสียหน้า - ปูตินไม่ขัดขวางหากยุโรปจะเข้าร่วมในกระบวนการเจรจา พวกเขาเพียงแค่ปฏิเสธไม่อยากเข้าร่วมเอง - เกี่ยวกับยุโรปและคำขาดของพวกเขา: “ปล่อยให้พวกเขาอยู่กับข้อเรียกร้องเหล่านั้น และให้พวกเขาได้คิดว่าพวกเขาลงเอยแบบนี้ได้อย่างไร”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 264 มุมมอง 0 รีวิว
  • TSMC (Taiwan Semiconductor Manufacturing Company) กำลังเดินหน้าในกระบวนการผลิตชิปรุ่น 2 นาโนเมตร (2nm) อย่างรวดเร็ว ซึ่งคาดว่าจะสามารถผลิตเวเฟอร์ได้ถึง 50,000 หน่วยต่อเดือนภายในปี 2025 และอาจเพิ่มขึ้นถึง 80,000 หน่วยหากไม่พบอุปสรรคในการผลิตใด ๆ

    จากข้อมูลล่าสุดที่เผยแพร่ใน Economic Daily News TSMC ได้บรรลุเป้าหมายสำคัญในการทดลองผลิตโดยมีอัตราการผลิตที่สำเร็จ (yield) สูงถึง 60% ซึ่งทำให้ TSMC สามารถเปลี่ยนมาสู่การผลิตเต็มรูปแบบในเร็วๆ นี้ เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการชิปรุ่นใหม่ในหลากหลายแอปพลิเคชัน

    มีโรงงานสองแห่งในไต้หวันที่เน้นการผลิตชิปรุ่น 2nm ได้แก่ โรงงานใน Baoshan และ Kaohsiung ในระยะการทดลองผลิต TSMC มีเป้าหมายในการผลิตเวเฟอร์ที่ 5,000 หน่วยที่โรงงานใน Kaohsiung และ Baoshan แต่จากข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่า TSMC มีศักยภาพในการผลิตเวเฟอร์ได้ถึง 50,000 หน่วยต่อเดือนภายในสิ้นปีนี้ และหากไม่มีอุปสรรคในการผลิต จำนวนนี้อาจเพิ่มขึ้นถึง 80,000 หน่วย

    โรงงานใน Baoshan มีศักยภาพในการผลิตเวเฟอร์ได้ถึง 25,000 หน่วยต่อเดือน และอีก 25,000 หน่วยจะถูกผลิตโดยโรงงานใน Kaohsiung ความต้องการชิปรุ่น 2nm คาดว่าจะสูงกว่ารุ่น 3nm ซึ่งทำให้ TSMC ต้องเร่งการผลิตเพื่อให้ได้จำนวนที่ต้องการ

    ในขณะที่ TSMC กำลังทำได้ดีกว่า Samsung ที่มีอัตราการผลิตสำเร็จเพียง 30% ในกระบวนการผลิตชิปรุ่น 2nm GAA ของ Exynos 2600 การที่ TSMC สามารถเพิ่มการผลิตและตอบสนองความต้องการของตลาดได้เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้บริษัทสามารถแข่งขันได้

    https://wccftech.com/tsmc-2nm-output-could-reach-up-to-80000-monthly-wafers-in-2025/
    TSMC (Taiwan Semiconductor Manufacturing Company) กำลังเดินหน้าในกระบวนการผลิตชิปรุ่น 2 นาโนเมตร (2nm) อย่างรวดเร็ว ซึ่งคาดว่าจะสามารถผลิตเวเฟอร์ได้ถึง 50,000 หน่วยต่อเดือนภายในปี 2025 และอาจเพิ่มขึ้นถึง 80,000 หน่วยหากไม่พบอุปสรรคในการผลิตใด ๆ จากข้อมูลล่าสุดที่เผยแพร่ใน Economic Daily News TSMC ได้บรรลุเป้าหมายสำคัญในการทดลองผลิตโดยมีอัตราการผลิตที่สำเร็จ (yield) สูงถึง 60% ซึ่งทำให้ TSMC สามารถเปลี่ยนมาสู่การผลิตเต็มรูปแบบในเร็วๆ นี้ เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการชิปรุ่นใหม่ในหลากหลายแอปพลิเคชัน มีโรงงานสองแห่งในไต้หวันที่เน้นการผลิตชิปรุ่น 2nm ได้แก่ โรงงานใน Baoshan และ Kaohsiung ในระยะการทดลองผลิต TSMC มีเป้าหมายในการผลิตเวเฟอร์ที่ 5,000 หน่วยที่โรงงานใน Kaohsiung และ Baoshan แต่จากข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่า TSMC มีศักยภาพในการผลิตเวเฟอร์ได้ถึง 50,000 หน่วยต่อเดือนภายในสิ้นปีนี้ และหากไม่มีอุปสรรคในการผลิต จำนวนนี้อาจเพิ่มขึ้นถึง 80,000 หน่วย โรงงานใน Baoshan มีศักยภาพในการผลิตเวเฟอร์ได้ถึง 25,000 หน่วยต่อเดือน และอีก 25,000 หน่วยจะถูกผลิตโดยโรงงานใน Kaohsiung ความต้องการชิปรุ่น 2nm คาดว่าจะสูงกว่ารุ่น 3nm ซึ่งทำให้ TSMC ต้องเร่งการผลิตเพื่อให้ได้จำนวนที่ต้องการ ในขณะที่ TSMC กำลังทำได้ดีกว่า Samsung ที่มีอัตราการผลิตสำเร็จเพียง 30% ในกระบวนการผลิตชิปรุ่น 2nm GAA ของ Exynos 2600 การที่ TSMC สามารถเพิ่มการผลิตและตอบสนองความต้องการของตลาดได้เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้บริษัทสามารถแข่งขันได้ https://wccftech.com/tsmc-2nm-output-could-reach-up-to-80000-monthly-wafers-in-2025/
    WCCFTECH.COM
    TSMC’s Efforts In 2nm Production Could See The Company Reaching 50,000 Monthly Wafers In 2025; With Both Facilities Operational, Output Could Reach 80,000 Units
    Two 2nm facilities belonging to TSMC have the potential to produce 80,000 monthly wafers as demand for next-generation chips continues to rise
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ขานรับญัตติหนึ่งที่ร่างโดยสหรัฐฯ ในวาระครบรอบ 3 ปี รัสเซียรุกรานยูเครน ที่ขอให้ใช้จุดยืนเป็นกลางในความขัดแย้งดังกล่าว ในขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังหาทางเป็นคนกลางสร้างสันติภาพ
    .
    ที่ผ่านมา สมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ 15 ชาติ ไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้เกี่ยวกับความขัดแย้งในยูเครน สืบเนื่องจากรัสเซียมีอำนาจวีโต้ ในขณะที่ญัตติล่าสุดที่เสนอโดยสหรัฐฯ นั้น ได้รับเสียงสนับสนุน 10 เสียง ส่วนฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร กรีซ และสโลวีเนีย งดออกเสียง
    .
    "ญัตตินี้นำพาเราไปสู่เส้นทางแห่งสันติภาพ มันเป็นก้าวย่างแรก แต่เป็นก้าวย่างที่สำคัญ เป็นหนึ่งในก้าวย่างที่เราทุกคนควรภูมิใจ" โดโรธีย์ เชีย ผู้แทนทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติบอกกับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ "ตอนนี้ เราต้องใช้มันสร้างอนาคตแห่งสันติเพื่อยูเครน รัสเซียและประชาคมนานาชาติ"
    .
    ในญัตติสั้นๆ ที่ไว้อาลัยผู้สูญเสียชีวิตในความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ได้เน้นย้ำถึงเจตจำนงของสหประชาชาติในการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ และหาทางออกในข้อพิพาทต่างๆ อย่างสันติ รวมถึงเรียกร้องให้ยุติความขัดแย้งอย่างรวดเร็วและแสวงหาสันติภาพอย่างยั่งยืน
    .
    ความพยายามเป็นคนกลางของทรัมป์ ก่อความกังวลแก่บรรดาพันธมิตรยุโรปและยูเครน ที่วิตกว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ มุ่งเน้นให้ความสำคัญแต่กับรัสเซียและกีดกันพวกเขาออกจากการเจรจาสันติภาพ
    .
    บาร์บารา วู้ดวาร์ด ผู้แทนทูตสหราชอาณาจักรประจำสหประชาชาติ บอกกับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติว่า เงื่อนไขสำหรับสันติภาพในยูเครนเป็นสิ่งสำคัญ และต้องไม่ส่งสารผิดๆ ไปถึงผู้รุกราน "นี่คือเหตุผลว่าทำไมถึงไม่อาจมีความเท่าเทียมได้ระหว่างรัสเซียและยูเครน ในแนวทางที่คณะมนตรีกล่าวอ้างถึงสงครามนี้ ถ้าเราจะพบเส้นทางสันติภาพที่ยั่งยืน คณะมนตรีต้องพูดอย่างชัดเจนเกี่ยวกับที่มาที่ไปของสงคราม"
    .
    ก่อนหน้านี้ ที่ประชุมสมัชชาแห่งสหประชาติ 193 ประเทศ ปฏิเสธข้อเสนอของสหรัฐฯ ที่ขอให้ลดสุ้มเสียงแข็งกร้าวขององค์กรระหว่างประเทศแห่งนี้ ที่มีจุดยืนมาช้านานในการหนุนหลังอธิปไตย เอกราช ความเป็นหนึ่งเดียวกันและบูรณภาพแห่งดินแดนของยูเครน และเรียกร้องสันติภาพที่ยั่งยืนและครอบคลุมตามกรอบของกฎบัตรสหประชาชาติ ซึ่งถือเป็นตราสารสถาปนาองค์การแห่งนี้อย่างเป็นทางการ
    .
    ขณะเดียวกัน สมัชชาแห่งสหประชาติได้ขานรับญัตติ 2 ญัตติ หนึ่งในนั้นร่างโดยยูเครนและยุโรป ส่วนอีกหนึ่งร่างโดยสหรัฐฯ ที่ผ่านการปรับแก้โดยที่ประชุมสมัชชาแล้ว ในนั้นรวมถึงภาษาที่สนับสนุนยูเครน ทั้งนี้ผลโหวตดังกล่าวถือเป็นชัยชนะทางการทูตของยูเครนและยุโรป เหนือวอชิงตัน
    .
    "สงครามนี้ไม่เคยเป็นเรื่องเกี่ยวกับเฉพาะยูเครนเท่านั้น แต่มันเกี่ยวข้องกับสิทธิพื้นฐานของประเทศไหนในการอยู่รอด ในการเลือกเส้นทางของตนเองและในการมีชีวิตอยู่โดยปราศจากการรุกราน" มาเรียนา เบตซา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของยูเครน บอกกับที่ประชุมก่อนการโหวต
    .
    ญัตติที่ร่างโดยสหรัฐฯ ฉบับผ่านการปรับแก้แล้ว ได้รับเสียงสนับสนุนจากที่ประชุม 93 เสียง งดออกเสียง 73 เสียงและมี 8 เสียงที่โหวตคัดค้าน ขณะที่รัสเซียเองก็ล้มเหลวในการปรับแก้ร่างของสหรัฐฯ ในนั้นรวมถึงกรณีถูกพาดพิงเป็น "สาเหตุรากเหง้า" ของความขัดแย้ง
    .
    ส่วนญัตติที่ร่างโดยยูเครนและบรรดาชาติยุโรป ผ่านความเห็นชอบด้วยคะแนน 93 เสียง งดออกเสียง 65 เสียง และโหวตคัดค้าน 18 เสียง โดยนอกเหนือจากสหรัฐฯ แล้ว บางประเทศที่โหวตโน ได้แก่รัสเซีย เกาหลีเหนือและอิสราเอล
    .
    "วันนี้ สหายอเมริกาของเรา มองตัวเองว่าเป็นเส้นทางสู่สันติภาพในยูเครน แต่มันจะไม่ใช่เส้นทางที่ง่าย และมีอยู่หลายชาติที่พยายามเตะถ่วงการมาของสันติภาพให้ยืดเยื้อนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่พวกเขาไม่อาจหยุดยั้งเราได้" วาสซิลีย์ เนเบนเซีย ผู้แทนทูตรัสเซียประจำสหประชาชาติบอกกับที่ประชุม
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000018396
    ..............
    Sondhi X
    คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ขานรับญัตติหนึ่งที่ร่างโดยสหรัฐฯ ในวาระครบรอบ 3 ปี รัสเซียรุกรานยูเครน ที่ขอให้ใช้จุดยืนเป็นกลางในความขัดแย้งดังกล่าว ในขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังหาทางเป็นคนกลางสร้างสันติภาพ . ที่ผ่านมา สมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ 15 ชาติ ไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้เกี่ยวกับความขัดแย้งในยูเครน สืบเนื่องจากรัสเซียมีอำนาจวีโต้ ในขณะที่ญัตติล่าสุดที่เสนอโดยสหรัฐฯ นั้น ได้รับเสียงสนับสนุน 10 เสียง ส่วนฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร กรีซ และสโลวีเนีย งดออกเสียง . "ญัตตินี้นำพาเราไปสู่เส้นทางแห่งสันติภาพ มันเป็นก้าวย่างแรก แต่เป็นก้าวย่างที่สำคัญ เป็นหนึ่งในก้าวย่างที่เราทุกคนควรภูมิใจ" โดโรธีย์ เชีย ผู้แทนทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติบอกกับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ "ตอนนี้ เราต้องใช้มันสร้างอนาคตแห่งสันติเพื่อยูเครน รัสเซียและประชาคมนานาชาติ" . ในญัตติสั้นๆ ที่ไว้อาลัยผู้สูญเสียชีวิตในความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ได้เน้นย้ำถึงเจตจำนงของสหประชาชาติในการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ และหาทางออกในข้อพิพาทต่างๆ อย่างสันติ รวมถึงเรียกร้องให้ยุติความขัดแย้งอย่างรวดเร็วและแสวงหาสันติภาพอย่างยั่งยืน . ความพยายามเป็นคนกลางของทรัมป์ ก่อความกังวลแก่บรรดาพันธมิตรยุโรปและยูเครน ที่วิตกว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ มุ่งเน้นให้ความสำคัญแต่กับรัสเซียและกีดกันพวกเขาออกจากการเจรจาสันติภาพ . บาร์บารา วู้ดวาร์ด ผู้แทนทูตสหราชอาณาจักรประจำสหประชาชาติ บอกกับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติว่า เงื่อนไขสำหรับสันติภาพในยูเครนเป็นสิ่งสำคัญ และต้องไม่ส่งสารผิดๆ ไปถึงผู้รุกราน "นี่คือเหตุผลว่าทำไมถึงไม่อาจมีความเท่าเทียมได้ระหว่างรัสเซียและยูเครน ในแนวทางที่คณะมนตรีกล่าวอ้างถึงสงครามนี้ ถ้าเราจะพบเส้นทางสันติภาพที่ยั่งยืน คณะมนตรีต้องพูดอย่างชัดเจนเกี่ยวกับที่มาที่ไปของสงคราม" . ก่อนหน้านี้ ที่ประชุมสมัชชาแห่งสหประชาติ 193 ประเทศ ปฏิเสธข้อเสนอของสหรัฐฯ ที่ขอให้ลดสุ้มเสียงแข็งกร้าวขององค์กรระหว่างประเทศแห่งนี้ ที่มีจุดยืนมาช้านานในการหนุนหลังอธิปไตย เอกราช ความเป็นหนึ่งเดียวกันและบูรณภาพแห่งดินแดนของยูเครน และเรียกร้องสันติภาพที่ยั่งยืนและครอบคลุมตามกรอบของกฎบัตรสหประชาชาติ ซึ่งถือเป็นตราสารสถาปนาองค์การแห่งนี้อย่างเป็นทางการ . ขณะเดียวกัน สมัชชาแห่งสหประชาติได้ขานรับญัตติ 2 ญัตติ หนึ่งในนั้นร่างโดยยูเครนและยุโรป ส่วนอีกหนึ่งร่างโดยสหรัฐฯ ที่ผ่านการปรับแก้โดยที่ประชุมสมัชชาแล้ว ในนั้นรวมถึงภาษาที่สนับสนุนยูเครน ทั้งนี้ผลโหวตดังกล่าวถือเป็นชัยชนะทางการทูตของยูเครนและยุโรป เหนือวอชิงตัน . "สงครามนี้ไม่เคยเป็นเรื่องเกี่ยวกับเฉพาะยูเครนเท่านั้น แต่มันเกี่ยวข้องกับสิทธิพื้นฐานของประเทศไหนในการอยู่รอด ในการเลือกเส้นทางของตนเองและในการมีชีวิตอยู่โดยปราศจากการรุกราน" มาเรียนา เบตซา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของยูเครน บอกกับที่ประชุมก่อนการโหวต . ญัตติที่ร่างโดยสหรัฐฯ ฉบับผ่านการปรับแก้แล้ว ได้รับเสียงสนับสนุนจากที่ประชุม 93 เสียง งดออกเสียง 73 เสียงและมี 8 เสียงที่โหวตคัดค้าน ขณะที่รัสเซียเองก็ล้มเหลวในการปรับแก้ร่างของสหรัฐฯ ในนั้นรวมถึงกรณีถูกพาดพิงเป็น "สาเหตุรากเหง้า" ของความขัดแย้ง . ส่วนญัตติที่ร่างโดยยูเครนและบรรดาชาติยุโรป ผ่านความเห็นชอบด้วยคะแนน 93 เสียง งดออกเสียง 65 เสียง และโหวตคัดค้าน 18 เสียง โดยนอกเหนือจากสหรัฐฯ แล้ว บางประเทศที่โหวตโน ได้แก่รัสเซีย เกาหลีเหนือและอิสราเอล . "วันนี้ สหายอเมริกาของเรา มองตัวเองว่าเป็นเส้นทางสู่สันติภาพในยูเครน แต่มันจะไม่ใช่เส้นทางที่ง่าย และมีอยู่หลายชาติที่พยายามเตะถ่วงการมาของสันติภาพให้ยืดเยื้อนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่พวกเขาไม่อาจหยุดยั้งเราได้" วาสซิลีย์ เนเบนเซีย ผู้แทนทูตรัสเซียประจำสหประชาชาติบอกกับที่ประชุม . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000018396 .............. Sondhi X
    Like
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2192 มุมมอง 0 รีวิว
  • Raja Koduri อดีตผู้บริหารของ Intel ที่เคยรับผิดชอบกลุ่มกราฟิกของบริษัท ได้ออกมาพูดถึงปัญหาภายในของ Intel ที่ทำให้นวัตกรรมไม่สามารถก้าวหน้าได้ โดยเขายกตัวอย่างโปรเจ็กต์ Falcon Shores ว่าเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของปัญหานี้

    Koduri อธิบายว่า Intel มีเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญาหลายอย่างที่สามารถเปลี่ยนแปลงตลาดได้อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในศูนย์ข้อมูล อุปกรณ์ปลายทาง หรืออุปกรณ์ส่วนบุคคล อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักคือผู้นำบริษัทที่ไม่สามารถทำให้ Intel ตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมได้ ซึ่งเขากล่าวถึงการตัดสินใจทางการเมืองและกระบวนการที่ทำให้การพัฒนาช้าลง

    ในบทความที่เขาโพสต์ใน X, Koduri กล่าวถึงปัญหาที่เขาเรียกว่า "งูในสเปรดชีตและพาวเวอร์พอยต์" ที่หมายถึงการตัดสินใจที่เกิดขึ้นจากกระบวนการบริหารที่ซับซ้อนและไม่เข้าใจถึงความสำคัญของประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งทำให้ความพยายามในการทดลองนวัตกรรมใหม่ ๆ ต้องหยุดชะงัก

    Koduri ยังกล่าวถึงอดีต CEO Andy Grove ว่าเป็นคนเดียวที่เข้าใจถึงรายละเอียดของทุกชั้นในองค์กรของ Intel และเขาเชื่อว่า Intel ยังคงมีศักยภาพในการแข่งขันกับ NVIDIA ในระยะยาว แต่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่มากกว่าความคาดหวังเท่านั้น

    ตัวอย่างที่ Koduri ยกขึ้นมาคือโปรเจ็กต์ Rialto Bridge และ Falcon Shores ซึ่งเป็นกราฟิกการ์ดที่มุ่งเน้นการประมวลผลประสิทธิภาพสูงและ AI หาก Intel เปิดตัว Rialto Bridge ในปี 2024 น่าจะทำให้พวกเขาสามารถแข่งขันกับ NVIDIA Hopper H100 ได้อย่างสบาย แต่พวกเขากลับไม่สามารถจับโอกาสนั้นได้ ทำให้รายได้ในส่วนของ AI ต่ำที่สุดในบรรดาคู่แข่ง

    Koduri ได้เสนอแนะวิธีการที่เขาเชื่อว่าจะสามารถขับเคลื่อน Intel ไปข้างหน้าได้และหวังว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงองค์กรได้ในอนาคตประกอบด้วย

    1) การลดกระบวนการตัดสินใจที่ซับซ้อน: Koduri กล่าวว่ากระบวนการบริหารที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดและความซับซ้อนเป็นปัญหาหลักที่ทำให้ Intel ไม่สามารถก้าวหน้าได้ เขาแนะนำว่า Intel ควรปรับลดขั้นตอนการตัดสินใจให้น้อยลงและให้ความสำคัญกับผลลัพธ์จริงจังมากขึ้น

    2) การปรับปรุงการวิจัยและพัฒนา: Intel ควรมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาในเทคโนโลยีใหม่ ๆ และเน้นการทดลองนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยไม่กลัวความล้มเหลว Koduri เชื่อว่าการทดลองและนวัตกรรมเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้บริษัทก้าวหน้าได้

    3) การนำโครงการที่ถูกยกเลิกกลับมาใช้ใหม่: Koduri กล่าวว่าโครงการบางโครงการที่ถูกยกเลิก เช่น Rialto Bridge และ Falcon Shores นั้นมีศักยภาพในการแข่งขันกับคู่แข่ง แต่กลับไม่สามารถเปิดตัวได้เนื่องจากการตัดสินใจที่ผิดพลาด เขาแนะนำให้พิจารณาการนำโครงการเหล่านี้กลับมาใช้ใหม่

    4) การเสริมสร้างทีมงานที่มีความสามารถ: Koduri เน้นถึงความสำคัญของการมีทีมงานที่มีความสามารถและมีความรับผิดชอบในทุกชั้นขององค์กร เขาเชื่อว่าการให้ทีมงานมีอิสระในการทำงานและการสนับสนุนที่เพียงพอจะทำให้บริษัทสามารถก้าวข้ามความท้าทายได้

    5) การลดความกลัวในการทดลอง: Koduri กล่าวว่าควรสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการทดลองและการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยไม่ต้องกลัวความล้มเหลว การพัฒนานวัตกรรมต้องการความกล้าในการทดลองและการเรียนรู้จากความผิดพลาด

    https://wccftech.com/intel-ex-exec-raja-koduri-says-you-dont-learn-without-shipping/
    Raja Koduri อดีตผู้บริหารของ Intel ที่เคยรับผิดชอบกลุ่มกราฟิกของบริษัท ได้ออกมาพูดถึงปัญหาภายในของ Intel ที่ทำให้นวัตกรรมไม่สามารถก้าวหน้าได้ โดยเขายกตัวอย่างโปรเจ็กต์ Falcon Shores ว่าเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของปัญหานี้ Koduri อธิบายว่า Intel มีเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญาหลายอย่างที่สามารถเปลี่ยนแปลงตลาดได้อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในศูนย์ข้อมูล อุปกรณ์ปลายทาง หรืออุปกรณ์ส่วนบุคคล อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักคือผู้นำบริษัทที่ไม่สามารถทำให้ Intel ตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมได้ ซึ่งเขากล่าวถึงการตัดสินใจทางการเมืองและกระบวนการที่ทำให้การพัฒนาช้าลง ในบทความที่เขาโพสต์ใน X, Koduri กล่าวถึงปัญหาที่เขาเรียกว่า "งูในสเปรดชีตและพาวเวอร์พอยต์" ที่หมายถึงการตัดสินใจที่เกิดขึ้นจากกระบวนการบริหารที่ซับซ้อนและไม่เข้าใจถึงความสำคัญของประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งทำให้ความพยายามในการทดลองนวัตกรรมใหม่ ๆ ต้องหยุดชะงัก Koduri ยังกล่าวถึงอดีต CEO Andy Grove ว่าเป็นคนเดียวที่เข้าใจถึงรายละเอียดของทุกชั้นในองค์กรของ Intel และเขาเชื่อว่า Intel ยังคงมีศักยภาพในการแข่งขันกับ NVIDIA ในระยะยาว แต่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่มากกว่าความคาดหวังเท่านั้น ตัวอย่างที่ Koduri ยกขึ้นมาคือโปรเจ็กต์ Rialto Bridge และ Falcon Shores ซึ่งเป็นกราฟิกการ์ดที่มุ่งเน้นการประมวลผลประสิทธิภาพสูงและ AI หาก Intel เปิดตัว Rialto Bridge ในปี 2024 น่าจะทำให้พวกเขาสามารถแข่งขันกับ NVIDIA Hopper H100 ได้อย่างสบาย แต่พวกเขากลับไม่สามารถจับโอกาสนั้นได้ ทำให้รายได้ในส่วนของ AI ต่ำที่สุดในบรรดาคู่แข่ง Koduri ได้เสนอแนะวิธีการที่เขาเชื่อว่าจะสามารถขับเคลื่อน Intel ไปข้างหน้าได้และหวังว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงองค์กรได้ในอนาคตประกอบด้วย 1) การลดกระบวนการตัดสินใจที่ซับซ้อน: Koduri กล่าวว่ากระบวนการบริหารที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดและความซับซ้อนเป็นปัญหาหลักที่ทำให้ Intel ไม่สามารถก้าวหน้าได้ เขาแนะนำว่า Intel ควรปรับลดขั้นตอนการตัดสินใจให้น้อยลงและให้ความสำคัญกับผลลัพธ์จริงจังมากขึ้น 2) การปรับปรุงการวิจัยและพัฒนา: Intel ควรมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาในเทคโนโลยีใหม่ ๆ และเน้นการทดลองนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยไม่กลัวความล้มเหลว Koduri เชื่อว่าการทดลองและนวัตกรรมเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้บริษัทก้าวหน้าได้ 3) การนำโครงการที่ถูกยกเลิกกลับมาใช้ใหม่: Koduri กล่าวว่าโครงการบางโครงการที่ถูกยกเลิก เช่น Rialto Bridge และ Falcon Shores นั้นมีศักยภาพในการแข่งขันกับคู่แข่ง แต่กลับไม่สามารถเปิดตัวได้เนื่องจากการตัดสินใจที่ผิดพลาด เขาแนะนำให้พิจารณาการนำโครงการเหล่านี้กลับมาใช้ใหม่ 4) การเสริมสร้างทีมงานที่มีความสามารถ: Koduri เน้นถึงความสำคัญของการมีทีมงานที่มีความสามารถและมีความรับผิดชอบในทุกชั้นขององค์กร เขาเชื่อว่าการให้ทีมงานมีอิสระในการทำงานและการสนับสนุนที่เพียงพอจะทำให้บริษัทสามารถก้าวข้ามความท้าทายได้ 5) การลดความกลัวในการทดลอง: Koduri กล่าวว่าควรสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการทดลองและการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยไม่ต้องกลัวความล้มเหลว การพัฒนานวัตกรรมต้องการความกล้าในการทดลองและการเรียนรู้จากความผิดพลาด https://wccftech.com/intel-ex-exec-raja-koduri-says-you-dont-learn-without-shipping/
    WCCFTECH.COM
    Intel's Ex-Exec Raja Koduri Says "You Don't Learn Without Shipping"; Gives A Rundown Into What's Wrong With Team Blue & How Intel Is Held Back By Bureaucratic Snakes
    Intel's former executive Raja Koduri has revealed that Team Blue's internal structure "stifles innovation", citing Falcon Shores as example.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 202 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ก่อนหน้าวาระครบ 3 ปีแห่งการรุกรานของรัสเซีย ระบุเขาพร้อมลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดียูเครน หากมันหมายความว่านาโตจะอ้าแขนรับเคียฟเข้าสู่พันธมิตรทหารแห่งนี้
    .
    เซเลนสกี ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือดจากรัฐบาลใหม่สหรัฐฯ บอกด้วยว่าเขาต้องการพูดคุยกับโดนัลด์ ทรัมป์ ก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีอเมริกา จะมีการประชุมร่วมกับประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย
    .
    ที่ผ่านมา เซเลนสกี เรียกร้องให้ยูเครนได้รับการอนุมัติสถานภาพความเป็นสมาชิกของนาโต ส่วนหนึ่งในข้อตกลงใดๆ ในการยุติสงคราม แต่พันธมิตรทหารแห่งนี้ที่นำโดยวอชิงตันลังเลที่จะรับปากในเรื่องดังกล่าว "ถ้ามันก่อสันติภาพสำหรับยูเครน ถ้าคุณอยากให้ผมออกจากตำแหน่งของผมจริงๆ ผมก็พร้อม" เซเลสกีกล่าวระหว่างแถลงข่าวในกรุงเคียฟ "ผมสามารถแลกมันกับนาโต"
    .
    เซเลนสกีและทรัมป์ ทำสงครามน้ำลายกันมาตั้งแต่พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และรัสเซียพบปะกันในซาอุดีอาระเบียเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ถือเป็นการพูดคุยในระดับสูงเป็นครั้งแรกระหว่าง 2 ชาติในรอบกว่า 3 ปี ความเคลื่อนไหวนี้บ่อนทำลายนโยบายโดดเดี่ยวเครมลินของตะวันตก และก่อความขุ่นเคืองแก่พวกผู้นำยูเครนและยุโรปที่ถูกกีดกันออกจากโต๊ะเจรจา
    .
    ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ทรัมป์ ตราหน้า เซเลนสกี ว่าเป็น "เผด็จการ" และกล่าวหายูเครนเป็นคนเริ่มสงคราม และอ้างว่าผู้นำยูเครนไม่เป็นที่นิยมนักในประเทศ
    .
    ประธานาธิบดีเซเลนสกี บอกว่าเขาไม่รู้สึกขุ่นเคืองต่อความเห็นของทรัมป์ และพร้อมทดสอบคะแนนนิยมของเขาในศึกเลือกตั้ง ครั้งที่กฎอัยการศึกสิ้นสุดลงในยูเครน "สิ่งที่ผมต้องการจากทรัมป์ คืออยากทำความเข้าใจกันและกัน" เขากล่าว พร้อมระบุว่า "การรับประกันความมั่นคง" จากประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก
    .
    ผู้นำยูเครนยังเรียกร้องขอประชุมร่วมกับทรัมป์ ก่อนที่ทรัมป์จะพูดคุยเจรจาใดๆ กับปูติน พร้อมอ้างว่ามีความคืบหน้าในข้อตกลงที่จะเปิดทางให้สหรัฐฯ เข้าถึงทรัพยากรสำคัญๆ ของยูเครน
    .
    ในวันอาทิตย์ (23 ก.พ.) ดูเหมือนว่าพวกผู้นำยุโรปเริ่มปรับท่าทียอมรับความเป็นจริงที่เปลี่ยนแปลงไปในทางภูมิรัฐศาสตร์ ในนั้นรวมถึง ฟรีดริช แมร์ซ ผู้นำพรรคคอนเซอร์เวทีฟ ที่คว้าชัยในศึกเลือกตั้งเยอรมนี บอกว่าเขาจะให้ความสำคัญลำดับต้นๆ กับศักยภาพการป้องกันตนเองของยุโรป
    .
    ส่วน มาร์ค รุตต์ เลขาธิการนาโต โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ ระบุว่าเขากำลังตั้งตาคอยทำงานร่วมกับ แมร์ซ ในช่วงเวลาสำคัญแห่งความมั่นคงร่วม "มันเป็นเรื่องสำคัญที่ยุโปต้องยกระดับการใช้จ่ายด้านการป้องกันตนเอง และความเป็นผู้นำของคุณจะเป็นกุญแจสำคัญ"
    .
    ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส และ เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร จะเดินทางไปยังกรุงวอชิงตันในสัปดาห์นี้ เพื่อเรียกร้องให้เดินหน้าสนับสนุนยูเครนต่อไป
    .
    ก่อนหน้านี้ในวันอาทิตย์ (23 ก.พ.) วังเครมลินยกย่องการเลียบเคียงทางการทูตระหว่างทรัมป์กับปูติน โดยทางโฆษก ดมิทรี เปสคอฟ เรียกการพูดคุยระหว่างประธานาธิบดีทั้ง 2 ว่ามีความหวัง "มันสำคัญที่ต้องไม่มีอะไรขัดขวางเราจากความเป็นจริงแห่งเจตจำนงทางการเมืองของผู้นำทั้ง 2"
    .
    อย่างไรก็ตาม เขาปฏิเสธความเป็นไปได้ใดๆ ที่จะยอมสละดินแดนที่อยู่ภายใต้การยึดครองของรัสเซีย ในขณะเดียวกันมอสโกก็ปฏิเสธซ้ำๆ เกี่ยวกับการเข้าเป็นสมาชิกนาโตของยูเครน "ประชาชนเหล่านี้ตัดสินใจเข้าร่วมรัสเซียนานแล้ว" อ้างถึงการลงประชามติที่จัดโดยรัสเซีย ในแคว้นต่างๆ ทางตะวันออกของยูเครน ที่ถูกเคียฟ ตะวันตกและพวกนักสังเกตการณ์นานาชาติประณามว่าเป็นประชามติจอมปลอม "ไม่มีใครจะขายดินแดนเหล่านี้ นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด"
    .
    ในส่วนของปูติน ได้แสดงความคิดเห็นก่อนวาระครบ 3 ปีของปฏิบัติการพิเศษด้านการทหารของเขาในยูเครน บอกว่า "พระเจ้า" อยู่เบื้องหลังภารกิจปกป้องรัสเซีย "ชะตากรรมปรารถนาเช่นนั้น พระเจ้าก็ปรารถนาเช่นนั้น ผมก็อาจปรารถนาเช่นนั้นเหมือนกัน มันเป็นภารกิจที่ยากลำบากแต่เป็นภารกิจที่ทรงเกียรติในการปกป้องรัสเซีย มันเป็นภาระที่วางอยู่บนบ่าของเราและพวกคุณร่วมกัน" เขาบอกกับกำลังพลที่สู้รบในยูเครน
    .
    ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังจากกองทัพรัสเซียใช้โดรนโจมตียูเครน มากสุดเท่าที่เคยมีมา จำนวน 267 ลำ ในคืนวันเสาร์ (22 ก.พ.) จนถึงวันอาทิตย์ (23 ก.พ.) จากคำกล่าวอ้างของกองกำลังเคียฟ อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่แล้วถูกสอยร่วงหรือโดนสกัดไว้ได้ และไม่มีรายงานความเสียหายร้ายแรงใดๆ
    .
    สำนักข่าวทาสส์นิวส์ รายงานว่าคณะผู้แทนทูตสหรัฐฯ และรัสเซีย จะพบปะกันในสัปดาห์หน้า ตามด้วยการเจรจาในกรุงริยาด ระหว่าง เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประทศรัสเซีย และ มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ นอกจากนี้แล้วมีรายงานด้วยว่าเวลานี้ ลาฟรอฟ ได้เดินทางถึงตุรกีแล้ว สำหรับพูดคุยกับ ฮาคาน ไฟซาน รัฐมนตรีต่างประเทศตุรกีในวันจันทร์ (24 ก.พ.)
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000017983
    ..............
    Sondhi X
    ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ก่อนหน้าวาระครบ 3 ปีแห่งการรุกรานของรัสเซีย ระบุเขาพร้อมลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดียูเครน หากมันหมายความว่านาโตจะอ้าแขนรับเคียฟเข้าสู่พันธมิตรทหารแห่งนี้ . เซเลนสกี ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือดจากรัฐบาลใหม่สหรัฐฯ บอกด้วยว่าเขาต้องการพูดคุยกับโดนัลด์ ทรัมป์ ก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีอเมริกา จะมีการประชุมร่วมกับประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย . ที่ผ่านมา เซเลนสกี เรียกร้องให้ยูเครนได้รับการอนุมัติสถานภาพความเป็นสมาชิกของนาโต ส่วนหนึ่งในข้อตกลงใดๆ ในการยุติสงคราม แต่พันธมิตรทหารแห่งนี้ที่นำโดยวอชิงตันลังเลที่จะรับปากในเรื่องดังกล่าว "ถ้ามันก่อสันติภาพสำหรับยูเครน ถ้าคุณอยากให้ผมออกจากตำแหน่งของผมจริงๆ ผมก็พร้อม" เซเลสกีกล่าวระหว่างแถลงข่าวในกรุงเคียฟ "ผมสามารถแลกมันกับนาโต" . เซเลนสกีและทรัมป์ ทำสงครามน้ำลายกันมาตั้งแต่พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และรัสเซียพบปะกันในซาอุดีอาระเบียเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ถือเป็นการพูดคุยในระดับสูงเป็นครั้งแรกระหว่าง 2 ชาติในรอบกว่า 3 ปี ความเคลื่อนไหวนี้บ่อนทำลายนโยบายโดดเดี่ยวเครมลินของตะวันตก และก่อความขุ่นเคืองแก่พวกผู้นำยูเครนและยุโรปที่ถูกกีดกันออกจากโต๊ะเจรจา . ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ทรัมป์ ตราหน้า เซเลนสกี ว่าเป็น "เผด็จการ" และกล่าวหายูเครนเป็นคนเริ่มสงคราม และอ้างว่าผู้นำยูเครนไม่เป็นที่นิยมนักในประเทศ . ประธานาธิบดีเซเลนสกี บอกว่าเขาไม่รู้สึกขุ่นเคืองต่อความเห็นของทรัมป์ และพร้อมทดสอบคะแนนนิยมของเขาในศึกเลือกตั้ง ครั้งที่กฎอัยการศึกสิ้นสุดลงในยูเครน "สิ่งที่ผมต้องการจากทรัมป์ คืออยากทำความเข้าใจกันและกัน" เขากล่าว พร้อมระบุว่า "การรับประกันความมั่นคง" จากประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก . ผู้นำยูเครนยังเรียกร้องขอประชุมร่วมกับทรัมป์ ก่อนที่ทรัมป์จะพูดคุยเจรจาใดๆ กับปูติน พร้อมอ้างว่ามีความคืบหน้าในข้อตกลงที่จะเปิดทางให้สหรัฐฯ เข้าถึงทรัพยากรสำคัญๆ ของยูเครน . ในวันอาทิตย์ (23 ก.พ.) ดูเหมือนว่าพวกผู้นำยุโรปเริ่มปรับท่าทียอมรับความเป็นจริงที่เปลี่ยนแปลงไปในทางภูมิรัฐศาสตร์ ในนั้นรวมถึง ฟรีดริช แมร์ซ ผู้นำพรรคคอนเซอร์เวทีฟ ที่คว้าชัยในศึกเลือกตั้งเยอรมนี บอกว่าเขาจะให้ความสำคัญลำดับต้นๆ กับศักยภาพการป้องกันตนเองของยุโรป . ส่วน มาร์ค รุตต์ เลขาธิการนาโต โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ ระบุว่าเขากำลังตั้งตาคอยทำงานร่วมกับ แมร์ซ ในช่วงเวลาสำคัญแห่งความมั่นคงร่วม "มันเป็นเรื่องสำคัญที่ยุโปต้องยกระดับการใช้จ่ายด้านการป้องกันตนเอง และความเป็นผู้นำของคุณจะเป็นกุญแจสำคัญ" . ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส และ เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร จะเดินทางไปยังกรุงวอชิงตันในสัปดาห์นี้ เพื่อเรียกร้องให้เดินหน้าสนับสนุนยูเครนต่อไป . ก่อนหน้านี้ในวันอาทิตย์ (23 ก.พ.) วังเครมลินยกย่องการเลียบเคียงทางการทูตระหว่างทรัมป์กับปูติน โดยทางโฆษก ดมิทรี เปสคอฟ เรียกการพูดคุยระหว่างประธานาธิบดีทั้ง 2 ว่ามีความหวัง "มันสำคัญที่ต้องไม่มีอะไรขัดขวางเราจากความเป็นจริงแห่งเจตจำนงทางการเมืองของผู้นำทั้ง 2" . อย่างไรก็ตาม เขาปฏิเสธความเป็นไปได้ใดๆ ที่จะยอมสละดินแดนที่อยู่ภายใต้การยึดครองของรัสเซีย ในขณะเดียวกันมอสโกก็ปฏิเสธซ้ำๆ เกี่ยวกับการเข้าเป็นสมาชิกนาโตของยูเครน "ประชาชนเหล่านี้ตัดสินใจเข้าร่วมรัสเซียนานแล้ว" อ้างถึงการลงประชามติที่จัดโดยรัสเซีย ในแคว้นต่างๆ ทางตะวันออกของยูเครน ที่ถูกเคียฟ ตะวันตกและพวกนักสังเกตการณ์นานาชาติประณามว่าเป็นประชามติจอมปลอม "ไม่มีใครจะขายดินแดนเหล่านี้ นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด" . ในส่วนของปูติน ได้แสดงความคิดเห็นก่อนวาระครบ 3 ปีของปฏิบัติการพิเศษด้านการทหารของเขาในยูเครน บอกว่า "พระเจ้า" อยู่เบื้องหลังภารกิจปกป้องรัสเซีย "ชะตากรรมปรารถนาเช่นนั้น พระเจ้าก็ปรารถนาเช่นนั้น ผมก็อาจปรารถนาเช่นนั้นเหมือนกัน มันเป็นภารกิจที่ยากลำบากแต่เป็นภารกิจที่ทรงเกียรติในการปกป้องรัสเซีย มันเป็นภาระที่วางอยู่บนบ่าของเราและพวกคุณร่วมกัน" เขาบอกกับกำลังพลที่สู้รบในยูเครน . ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังจากกองทัพรัสเซียใช้โดรนโจมตียูเครน มากสุดเท่าที่เคยมีมา จำนวน 267 ลำ ในคืนวันเสาร์ (22 ก.พ.) จนถึงวันอาทิตย์ (23 ก.พ.) จากคำกล่าวอ้างของกองกำลังเคียฟ อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่แล้วถูกสอยร่วงหรือโดนสกัดไว้ได้ และไม่มีรายงานความเสียหายร้ายแรงใดๆ . สำนักข่าวทาสส์นิวส์ รายงานว่าคณะผู้แทนทูตสหรัฐฯ และรัสเซีย จะพบปะกันในสัปดาห์หน้า ตามด้วยการเจรจาในกรุงริยาด ระหว่าง เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประทศรัสเซีย และ มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ นอกจากนี้แล้วมีรายงานด้วยว่าเวลานี้ ลาฟรอฟ ได้เดินทางถึงตุรกีแล้ว สำหรับพูดคุยกับ ฮาคาน ไฟซาน รัฐมนตรีต่างประเทศตุรกีในวันจันทร์ (24 ก.พ.) . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000017983 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1573 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในช่วงหลังนี้มีการวิจัยเกี่ยวกับระบบเบรกอัตโนมัติ (Automatic Emergency Braking - AEB) ที่ถูกติดตั้งในรถยนต์ใหม่ทั้งหมด ซึ่งพบว่าระบบ AEB นี้อาจมี "จุดบอด" สำหรับเสื้อผ้าที่มีแถบสะท้อนแสง การศึกษาโดยสถาบัน Insurance Institute for Highway Safety (IIHS) ในสหรัฐอเมริกาได้ทดสอบการชนกันของหุ่นทดสอบกับรถยนต์สามคันที่วิ่งด้วยความเร็ว 40 กม./ชม.: Honda CR-V, Mazda CX-5 และ Subaru Forester

    ผลการทดสอบพบว่า รถ Honda และ Mazda ชนกับหุ่นทดสอบที่สวมแถบสะท้อนแสง ขณะที่ Honda ไม่ชะลอตัวเมื่อหุ่นสวมเสื้อกั๊กสะท้อนแสง สำหรับ Subaru ชะลอตัวลงในทุกการทดสอบยกเว้นเมื่อหุ่นทดสอบสวมแถบสะท้อนแสงในสภาพแสงน้อยมาก

    David Harkey ประธาน IIHS กล่าวว่า "ผลการวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่าผู้ผลิตรถยนต์บางรายต้องปรับปรุงระบบเบรกอัตโนมัติเพื่อการรับรู้ผู้ใช้ถนนที่สวมเสื้อผ้าสะท้อนแสงได้ดีขึ้น" เขายังเสริมว่า "นี่เป็นจุดบอดที่น่ากังวลมาก"

    Mazda ได้แถลงว่า "ความปลอดภัยบนถนนสำหรับทุกคนรวมถึงผู้ที่อยู่รอบๆ รถของเรานั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด วิศวกรของเรากำลังทำงานอย่างต่อเนื่องในการปรับปรุงระบบหลีกเลี่ยงการชนของ Mazda"

    สิ่งที่น่าสนใจคือการจัดวางแถบสะท้อนแสงบนข้อต่อและแขนขาของเสื้อผ้าและกางเกงช่วยให้คนขับรับรู้การเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว แต่แถบสะท้อนแสงนี้กลับสร้างความสับสนให้กับเซ็นเซอร์ของระบบเบรกอัตโนมัติ

    การวิจัยนี้แสดงให้เห็นถึงความท้าทายในการพัฒนาระบบ AEB ที่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในสถานการณ์ที่ซับซ้อน เช่น ในเวลากลางคืนที่มีการสวมเสื้อผ้าสะท้อนแสง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/22/car-safety-tech-has-blind-spot-for-high-vis-jackets-study-suggests
    ในช่วงหลังนี้มีการวิจัยเกี่ยวกับระบบเบรกอัตโนมัติ (Automatic Emergency Braking - AEB) ที่ถูกติดตั้งในรถยนต์ใหม่ทั้งหมด ซึ่งพบว่าระบบ AEB นี้อาจมี "จุดบอด" สำหรับเสื้อผ้าที่มีแถบสะท้อนแสง การศึกษาโดยสถาบัน Insurance Institute for Highway Safety (IIHS) ในสหรัฐอเมริกาได้ทดสอบการชนกันของหุ่นทดสอบกับรถยนต์สามคันที่วิ่งด้วยความเร็ว 40 กม./ชม.: Honda CR-V, Mazda CX-5 และ Subaru Forester ผลการทดสอบพบว่า รถ Honda และ Mazda ชนกับหุ่นทดสอบที่สวมแถบสะท้อนแสง ขณะที่ Honda ไม่ชะลอตัวเมื่อหุ่นสวมเสื้อกั๊กสะท้อนแสง สำหรับ Subaru ชะลอตัวลงในทุกการทดสอบยกเว้นเมื่อหุ่นทดสอบสวมแถบสะท้อนแสงในสภาพแสงน้อยมาก David Harkey ประธาน IIHS กล่าวว่า "ผลการวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่าผู้ผลิตรถยนต์บางรายต้องปรับปรุงระบบเบรกอัตโนมัติเพื่อการรับรู้ผู้ใช้ถนนที่สวมเสื้อผ้าสะท้อนแสงได้ดีขึ้น" เขายังเสริมว่า "นี่เป็นจุดบอดที่น่ากังวลมาก" Mazda ได้แถลงว่า "ความปลอดภัยบนถนนสำหรับทุกคนรวมถึงผู้ที่อยู่รอบๆ รถของเรานั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด วิศวกรของเรากำลังทำงานอย่างต่อเนื่องในการปรับปรุงระบบหลีกเลี่ยงการชนของ Mazda" สิ่งที่น่าสนใจคือการจัดวางแถบสะท้อนแสงบนข้อต่อและแขนขาของเสื้อผ้าและกางเกงช่วยให้คนขับรับรู้การเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว แต่แถบสะท้อนแสงนี้กลับสร้างความสับสนให้กับเซ็นเซอร์ของระบบเบรกอัตโนมัติ การวิจัยนี้แสดงให้เห็นถึงความท้าทายในการพัฒนาระบบ AEB ที่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในสถานการณ์ที่ซับซ้อน เช่น ในเวลากลางคืนที่มีการสวมเสื้อผ้าสะท้อนแสง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/22/car-safety-tech-has-blind-spot-for-high-vis-jackets-study-suggests
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Car safety tech has 'blind spot' for high-vis jackets, study suggests
    A study by the US-based Insurance Institute for Highway Safety indicated the systems may have a 'blind spot' for reflective items.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อ AI เข้าควบคุมข่าวสารทั่วโลก อาจส่งผลทั้งด้านบวกและลบต่อสังคม ดังนี้

    ### ด้านบวก:
    1. **การกรองข้อมูล**: AI สามารถกรองข่าวปลอมและข้อมูลผิดๆ ได้อย่างรวดเร็ว ช่วยลดการแพร่กระจายของข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง
    2. **การปรับเนื้อหาให้ตรงกับผู้ใช้**: AI สามารถปรับข่าวสารให้ตรงกับความสนใจของผู้ใช้แต่ละคน ทำให้เข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายขึ้น
    3. **การวิเคราะห์ข้อมูล**: AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ช่วยให้เข้าใจแนวโน้มและสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีขึ้น
    4. **การเข้าถึงข้อมูล**: AI ช่วยให้ผู้คนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารจากทั่วโลกได้ง่ายขึ้น โดยไม่จำกัดด้วยภาษาและเวลา

    ### ด้านลบ:
    1. **การควบคุมข้อมูล**: หาก AI ถูกควบคุมโดยกลุ่มบุคคลหรือองค์กรที่มีอำนาจ อาจนำไปสู่การเซ็นเซอร์หรือบิดเบือนข้อมูลเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว
    2. **การละเมิดความเป็นส่วนตัว**: AI อาจรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้มากเกินไป ทำให้ความเป็นส่วนตัวถูกคุกคาม
    3. **การสูญเสียงาน**: AI อาจเข้ามาทำงานแทนมนุษย์ในวงการข่าวสาร ทำให้เกิดการว่างงานในอุตสาหกรรมสื่อ
    4. **การพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไป**: การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจทำให้มนุษย์สูญเสียทักษะการคิดวิเคราะห์และตัดสินใจด้วยตนเอง

    ### สรุป:
    การที่ AI เข้าควบคุมข่าวสารทั่วโลกมีทั้งโอกาสและความท้าทาย สิ่งสำคัญคือต้องมีการกำกับดูแลและตรวจสอบอย่างเหมาะสม เพื่อให้มั่นใจว่า AI ถูกใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะและไม่ละเมิดสิทธิ์ส่วนบุคคล
    เมื่อ AI เข้าควบคุมข่าวสารทั่วโลก อาจส่งผลทั้งด้านบวกและลบต่อสังคม ดังนี้ ### ด้านบวก: 1. **การกรองข้อมูล**: AI สามารถกรองข่าวปลอมและข้อมูลผิดๆ ได้อย่างรวดเร็ว ช่วยลดการแพร่กระจายของข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง 2. **การปรับเนื้อหาให้ตรงกับผู้ใช้**: AI สามารถปรับข่าวสารให้ตรงกับความสนใจของผู้ใช้แต่ละคน ทำให้เข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายขึ้น 3. **การวิเคราะห์ข้อมูล**: AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ช่วยให้เข้าใจแนวโน้มและสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีขึ้น 4. **การเข้าถึงข้อมูล**: AI ช่วยให้ผู้คนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารจากทั่วโลกได้ง่ายขึ้น โดยไม่จำกัดด้วยภาษาและเวลา ### ด้านลบ: 1. **การควบคุมข้อมูล**: หาก AI ถูกควบคุมโดยกลุ่มบุคคลหรือองค์กรที่มีอำนาจ อาจนำไปสู่การเซ็นเซอร์หรือบิดเบือนข้อมูลเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว 2. **การละเมิดความเป็นส่วนตัว**: AI อาจรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้มากเกินไป ทำให้ความเป็นส่วนตัวถูกคุกคาม 3. **การสูญเสียงาน**: AI อาจเข้ามาทำงานแทนมนุษย์ในวงการข่าวสาร ทำให้เกิดการว่างงานในอุตสาหกรรมสื่อ 4. **การพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไป**: การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจทำให้มนุษย์สูญเสียทักษะการคิดวิเคราะห์และตัดสินใจด้วยตนเอง ### สรุป: การที่ AI เข้าควบคุมข่าวสารทั่วโลกมีทั้งโอกาสและความท้าทาย สิ่งสำคัญคือต้องมีการกำกับดูแลและตรวจสอบอย่างเหมาะสม เพื่อให้มั่นใจว่า AI ถูกใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะและไม่ละเมิดสิทธิ์ส่วนบุคคล
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 262 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เกี่ยวกับการโจมตีทางไซเบอร์ที่ใช้มัลแวร์ประเภท Infostealer ส่งผลกระทบต่อหน่วยงานทหารและผู้รับเหมาด้านกลาโหมของสหรัฐฯ เช่น Lockheed Martin, BAE Systems, Boeing, Honeywell, L3Harris, และ Leidos โดยมัลแวร์นี้มีความสามารถในการขโมยข้อมูลที่สำคัญจากอุปกรณ์ของผู้ที่ถูกโจมตี

    จากรายงานของ Hudson Rock ระบุว่า อาชญากรสามารถซื้อข้อมูลที่ขโมยจากพนักงานที่ทำงานในภาคการป้องกันและกองทัพได้ในราคาประมาณ $10 ต่อคอมพิวเตอร์ ข้อมูลที่ถูกขโมยนั้นรวมถึงรหัสผ่านและข้อมูลการเข้าสู่ระบบของระบบสำคัญ เช่น Active Directory Federation Services (ADFS), Identity and Access Management (IAM) ของ Honeywell รวมถึงการแทรกซึมเข้าสู่ระบบ intranet ภายในองค์กร

    นอกจากนี้ยังพบการโจมตีที่ส่งผลกระทบต่อหน่วยงานภาครัฐ เช่น US Army, US Navy, FBI และ Government Accountability Office (GAO) โดยผู้โจมตีสามารถเข้าถึงข้อมูลการยืนยันตัวตนภายในระบบเช่น OWA, Confluence, Citrix, และ FTP ทำให้ผู้โจมตีสามารถเคลื่อนย้ายภายในระบบทหารได้

    Infostealer เป็นมัลแวร์ที่อาศัยความผิดพลาดของผู้ใช้ เช่น การดาวน์โหลดไฟล์ PDF ที่ติดไวรัส หรือการคลิกลิงก์ที่เป็นอันตราย ดังนั้นการมีการฝึกอบรมเกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้กับพนักงานทุกระดับขององค์กรเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อป้องกันการโจมตีในลักษณะนี้

    การโจมตีแบบ Infostealer ไม่ได้ใช้การโจมตีแบบ brute-force แต่เน้นการใช้ความผิดพลาดของมนุษย์เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญ ทำให้เห็นว่าการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญในทุกองค์กร ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือภาคเอกชน

    https://www.techradar.com/pro/security/us-military-and-defense-contractors-hit-with-infostealer-malware
    ข่าวนี้เกี่ยวกับการโจมตีทางไซเบอร์ที่ใช้มัลแวร์ประเภท Infostealer ส่งผลกระทบต่อหน่วยงานทหารและผู้รับเหมาด้านกลาโหมของสหรัฐฯ เช่น Lockheed Martin, BAE Systems, Boeing, Honeywell, L3Harris, และ Leidos โดยมัลแวร์นี้มีความสามารถในการขโมยข้อมูลที่สำคัญจากอุปกรณ์ของผู้ที่ถูกโจมตี จากรายงานของ Hudson Rock ระบุว่า อาชญากรสามารถซื้อข้อมูลที่ขโมยจากพนักงานที่ทำงานในภาคการป้องกันและกองทัพได้ในราคาประมาณ $10 ต่อคอมพิวเตอร์ ข้อมูลที่ถูกขโมยนั้นรวมถึงรหัสผ่านและข้อมูลการเข้าสู่ระบบของระบบสำคัญ เช่น Active Directory Federation Services (ADFS), Identity and Access Management (IAM) ของ Honeywell รวมถึงการแทรกซึมเข้าสู่ระบบ intranet ภายในองค์กร นอกจากนี้ยังพบการโจมตีที่ส่งผลกระทบต่อหน่วยงานภาครัฐ เช่น US Army, US Navy, FBI และ Government Accountability Office (GAO) โดยผู้โจมตีสามารถเข้าถึงข้อมูลการยืนยันตัวตนภายในระบบเช่น OWA, Confluence, Citrix, และ FTP ทำให้ผู้โจมตีสามารถเคลื่อนย้ายภายในระบบทหารได้ Infostealer เป็นมัลแวร์ที่อาศัยความผิดพลาดของผู้ใช้ เช่น การดาวน์โหลดไฟล์ PDF ที่ติดไวรัส หรือการคลิกลิงก์ที่เป็นอันตราย ดังนั้นการมีการฝึกอบรมเกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้กับพนักงานทุกระดับขององค์กรเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อป้องกันการโจมตีในลักษณะนี้ การโจมตีแบบ Infostealer ไม่ได้ใช้การโจมตีแบบ brute-force แต่เน้นการใช้ความผิดพลาดของมนุษย์เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญ ทำให้เห็นว่าการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญในทุกองค์กร ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือภาคเอกชน https://www.techradar.com/pro/security/us-military-and-defense-contractors-hit-with-infostealer-malware
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 295 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔹 วิธีตัดสินว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลของกรรมเก่าหรือกรรมใหม่?

    ในพุทธศาสนา ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าจะเป็นสุขหรือทุกข์ ล้วนเป็นผลของกรรมทั้งสิ้น แต่จะแยกออกเป็นกรรมเก่า (อดีต) และกรรมใหม่ (ปัจจุบัน) ซึ่งสามารถจำแนกได้ตามเกณฑ์ดังนี้:


    ---

    1️⃣ กรรมเก่า (กรรมจากอดีตชาติหรือต้นทุนชีวิตที่เลือกไม่ได้)

    ✅ เกิดขึ้นโดยไม่สามารถควบคุมได้
    ✅ เป็นสิ่งที่เลือกไม่ได้ตั้งแต่เกิด
    ✅ เป็นเงื่อนไขพื้นฐานของชีวิตเรา

    🔹 ตัวอย่างของกรรมเก่า

    เกิดมามีร่างกายเป็นมนุษย์ (ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เทวดา)

    เกิดมาในครอบครัวฐานะดี หรือยากจน

    เกิดมาในประเทศหนึ่ง ไม่ใช่อีกประเทศหนึ่ง

    เกิดมามีลักษณะร่างกายแบบนี้ (สูง/ต่ำ ผิวพรรณดี/ไม่ดี)

    บางครั้งโชคดีแบบคาดไม่ถึง หรือโชคร้ายแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้


    👉 กรรมเก่าจะส่งผลเป็นเหตุการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น

    ได้รับรางวัลใหญ่จากการสุ่มจับฉลาก โดยไม่ได้พยายามอะไร

    ถูกรถชนแบบไม่ทันตั้งตัว ทั้งที่ข้ามถนนถูกต้องแล้ว

    เกิดมามีสุขภาพแข็งแรง หรือมีโรคประจำตัวที่ไม่ได้เกิดจากพฤติกรรมของตน



    ---

    2️⃣ กรรมใหม่ (การกระทำและเจตนาในปัจจุบัน)

    ✅ เกิดจากความพยายามและการเลือกของตัวเอง
    ✅ เป็นสิ่งที่ควบคุมได้
    ✅ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะเจตนาในปัจจุบัน

    🔹 ตัวอย่างของกรรมใหม่

    ตัดสินใจอดทน ไม่ตอบโต้คนที่ด่าหรือทำร้ายเรา → ได้ผลคือ "ใจเบา" และไม่สร้างศัตรู

    ตัดสินใจทำงานหนัก และเก็บเงินอย่างมีวินัย → ได้ผลคือ "รวยขึ้น" จากความพยายามของตัวเอง

    เลือกคบคนดี หรือแวดล้อมตัวเองด้วยสิ่งแวดล้อมที่ดี → ได้ผลคือ "จิตใจสงบ" และมีชีวิตดีขึ้น

    ตัดสินใจมีศีล ไม่ผิดศีลข้อ ๓ (กาเม) → ได้ผลคือ "โล่งใจ" และไม่ต้องรู้สึกผิด

    ฝึกสติ นั่งสมาธิ → ได้ผลคือ "จิตสงบ" และมีปัญญามากขึ้น


    👉 กรรมใหม่เป็นตัวแทรกแซงผลของกรรมเก่าได้ เช่น

    แม้เกิดมาในครอบครัวยากจน (กรรมเก่า) แต่หากขยันทำงาน เก็บเงิน สร้างโอกาสให้ตัวเอง (กรรมใหม่) ก็สามารถร่ำรวยได้

    แม้เกิดมามีร่างกายอ่อนแอ (กรรมเก่า) แต่ดูแลสุขภาพดี ออกกำลังกาย กินอาหารที่ดี (กรรมใหม่) ก็สามารถแข็งแรงขึ้นได้

    แม้เกิดมามีโอกาสน้อย (กรรมเก่า) แต่หมั่นเรียนรู้ พัฒนาตัวเอง (กรรมใหม่) ก็สามารถเปลี่ยนชีวิตได้



    ---

    🔹 วิธีตัดสินว่าเป็นกรรมเก่าหรือกรรมใหม่

    📌 ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นควบคุมไม่ได้ → เป็นผลของกรรมเก่า
    📌 ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการกระทำและเจตนา → เป็นผลของกรรมใหม่

    💡 แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ กรรมใหม่สามารถเปลี่ยนผลของกรรมเก่าได้
    💡 อย่าเชื่อว่า "ชีวิตถูกกำหนดแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้" → นี่คือมิจฉาทิฏฐิ
    💡 พุทธศาสนาสอนให้เราลงมือเปลี่ยนชีวิตด้วยกรรมใหม่ที่ดีในปัจจุบัน


    ---

    🔹 สรุป: ทางเลือกที่ชาญฉลาด

    ✅ อย่าโทษกรรมเก่าแล้วปล่อยตัวให้เป็นไปตามยถากรรม
    ✅ ตั้งใจสร้างกรรมใหม่ที่ดี เพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคตของตัวเอง
    ✅ แม้กรรมเก่าจะเป็นตัวกำหนด "ต้นทุนชีวิต" แต่กรรมใหม่คือสิ่งที่เราใช้พลิกชีวิตได้

    📌 วันนี้คุณเลือกสร้างกรรมใหม่แบบไหน?
    ✨ กรรมดีที่พาตัวเองไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้น หรือ
    🔥 กรรมชั่วที่ทำให้ต้องวนเวียนอยู่ในปัญหาเดิมๆ

    ➡ ทุกอย่างอยู่ที่ "การตัดสินใจในปัจจุบัน" นี่แหละ!

    🔹 วิธีตัดสินว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลของกรรมเก่าหรือกรรมใหม่? ในพุทธศาสนา ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าจะเป็นสุขหรือทุกข์ ล้วนเป็นผลของกรรมทั้งสิ้น แต่จะแยกออกเป็นกรรมเก่า (อดีต) และกรรมใหม่ (ปัจจุบัน) ซึ่งสามารถจำแนกได้ตามเกณฑ์ดังนี้: --- 1️⃣ กรรมเก่า (กรรมจากอดีตชาติหรือต้นทุนชีวิตที่เลือกไม่ได้) ✅ เกิดขึ้นโดยไม่สามารถควบคุมได้ ✅ เป็นสิ่งที่เลือกไม่ได้ตั้งแต่เกิด ✅ เป็นเงื่อนไขพื้นฐานของชีวิตเรา 🔹 ตัวอย่างของกรรมเก่า เกิดมามีร่างกายเป็นมนุษย์ (ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เทวดา) เกิดมาในครอบครัวฐานะดี หรือยากจน เกิดมาในประเทศหนึ่ง ไม่ใช่อีกประเทศหนึ่ง เกิดมามีลักษณะร่างกายแบบนี้ (สูง/ต่ำ ผิวพรรณดี/ไม่ดี) บางครั้งโชคดีแบบคาดไม่ถึง หรือโชคร้ายแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ 👉 กรรมเก่าจะส่งผลเป็นเหตุการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น ได้รับรางวัลใหญ่จากการสุ่มจับฉลาก โดยไม่ได้พยายามอะไร ถูกรถชนแบบไม่ทันตั้งตัว ทั้งที่ข้ามถนนถูกต้องแล้ว เกิดมามีสุขภาพแข็งแรง หรือมีโรคประจำตัวที่ไม่ได้เกิดจากพฤติกรรมของตน --- 2️⃣ กรรมใหม่ (การกระทำและเจตนาในปัจจุบัน) ✅ เกิดจากความพยายามและการเลือกของตัวเอง ✅ เป็นสิ่งที่ควบคุมได้ ✅ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะเจตนาในปัจจุบัน 🔹 ตัวอย่างของกรรมใหม่ ตัดสินใจอดทน ไม่ตอบโต้คนที่ด่าหรือทำร้ายเรา → ได้ผลคือ "ใจเบา" และไม่สร้างศัตรู ตัดสินใจทำงานหนัก และเก็บเงินอย่างมีวินัย → ได้ผลคือ "รวยขึ้น" จากความพยายามของตัวเอง เลือกคบคนดี หรือแวดล้อมตัวเองด้วยสิ่งแวดล้อมที่ดี → ได้ผลคือ "จิตใจสงบ" และมีชีวิตดีขึ้น ตัดสินใจมีศีล ไม่ผิดศีลข้อ ๓ (กาเม) → ได้ผลคือ "โล่งใจ" และไม่ต้องรู้สึกผิด ฝึกสติ นั่งสมาธิ → ได้ผลคือ "จิตสงบ" และมีปัญญามากขึ้น 👉 กรรมใหม่เป็นตัวแทรกแซงผลของกรรมเก่าได้ เช่น แม้เกิดมาในครอบครัวยากจน (กรรมเก่า) แต่หากขยันทำงาน เก็บเงิน สร้างโอกาสให้ตัวเอง (กรรมใหม่) ก็สามารถร่ำรวยได้ แม้เกิดมามีร่างกายอ่อนแอ (กรรมเก่า) แต่ดูแลสุขภาพดี ออกกำลังกาย กินอาหารที่ดี (กรรมใหม่) ก็สามารถแข็งแรงขึ้นได้ แม้เกิดมามีโอกาสน้อย (กรรมเก่า) แต่หมั่นเรียนรู้ พัฒนาตัวเอง (กรรมใหม่) ก็สามารถเปลี่ยนชีวิตได้ --- 🔹 วิธีตัดสินว่าเป็นกรรมเก่าหรือกรรมใหม่ 📌 ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นควบคุมไม่ได้ → เป็นผลของกรรมเก่า 📌 ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการกระทำและเจตนา → เป็นผลของกรรมใหม่ 💡 แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ กรรมใหม่สามารถเปลี่ยนผลของกรรมเก่าได้ 💡 อย่าเชื่อว่า "ชีวิตถูกกำหนดแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้" → นี่คือมิจฉาทิฏฐิ 💡 พุทธศาสนาสอนให้เราลงมือเปลี่ยนชีวิตด้วยกรรมใหม่ที่ดีในปัจจุบัน --- 🔹 สรุป: ทางเลือกที่ชาญฉลาด ✅ อย่าโทษกรรมเก่าแล้วปล่อยตัวให้เป็นไปตามยถากรรม ✅ ตั้งใจสร้างกรรมใหม่ที่ดี เพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคตของตัวเอง ✅ แม้กรรมเก่าจะเป็นตัวกำหนด "ต้นทุนชีวิต" แต่กรรมใหม่คือสิ่งที่เราใช้พลิกชีวิตได้ 📌 วันนี้คุณเลือกสร้างกรรมใหม่แบบไหน? ✨ กรรมดีที่พาตัวเองไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้น หรือ 🔥 กรรมชั่วที่ทำให้ต้องวนเวียนอยู่ในปัญหาเดิมๆ ➡ ทุกอย่างอยู่ที่ "การตัดสินใจในปัจจุบัน" นี่แหละ!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 361 มุมมอง 0 รีวิว
  • เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เปิดเผยผลการเจรจาระหว่างรัสเซียและสหรัฐฯ ที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย ดังนี้:
    - มีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าฝ่ายอเมริกาเริ่มรับฟังจุดยืนของรัสเซียมากขึ้น: การสนทนามีประโยชน์มาก

    - ทั้งสองตกลงที่จะแต่งตั้งเอกอัครราชทูตเข้ามาทำหน้าที่อย่างรวดเร็วเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการทูต

    - ตกลงที่จะขจัดอุปสรรคที่รัฐบาลไบเดนสร้างขึ้นในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งขัดขวางการทำงานของคณะผู้แทนทางการทูตของทั้งสอง

    - อุปสรรคต่างๆ ที่ถูกสร้างโดยรัฐบาลของไบเดน ซึ่งทำให้การทำงานของนักการทูตประสบความยากลำบากนั้น จะต้องได้รับการกำจัดออกไป ซึ่งรวมถึงการยึดทรัพย์สินอย่างต่อเนื่อง

    - ตกลงที่จะจัดตั้งกระบวนการแก้ไขข้อขัดแย้งในยูเครน โดยจะมีการแต่งตั้งทีมเจรจาในอนาคตอันใกล้นี้ เพื่อทำงานเกี่ยวกับข้อตกลงยูเครนอย่างจริงจังและสม่ำเสมอ

    - ตกลงที่จะสร้างเงื่อนไขสำหรับการฟื้นคืนความร่วมมือทวิภาคีควบคู่ไปกับการแก้ไขวิกฤตยูเครน

    - รัสเซียแจ้งโดยตรงต่อสหรัฐว่า การที่ยูเครนเข้าเป็นสมาชิก NATO คือภัยคุกคามโดยตรง และการมีทหารจากประเทศสมาชิก NATO แม้จะอยู่ภายใต้ธงประเทศในสหภาพยุโรปหรือธงอื่นๆ ถือเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้

    - สหรัฐอเมริกา ต้องการให้ยกเลิกเป้าหมายในการโจมตีโครงสร้างด้านพลังงานทั้งในรัสเซียและยูเครนในช่วงระหว่างขั้นตอนการเจรจา

    - แต่ละประเทศล้วนชี้นำโดยผลประโยชน์ของชาติของตนเอง ทำให้ความเข้าใจระหว่างรัสเซียและสหรัฐในบางเรื่อง อาจมีความเห็นต่างกัน สิ่งสำคัญคือการหารือร่วมกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า
    เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เปิดเผยผลการเจรจาระหว่างรัสเซียและสหรัฐฯ ที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย ดังนี้: - มีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าฝ่ายอเมริกาเริ่มรับฟังจุดยืนของรัสเซียมากขึ้น: การสนทนามีประโยชน์มาก - ทั้งสองตกลงที่จะแต่งตั้งเอกอัครราชทูตเข้ามาทำหน้าที่อย่างรวดเร็วเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการทูต - ตกลงที่จะขจัดอุปสรรคที่รัฐบาลไบเดนสร้างขึ้นในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งขัดขวางการทำงานของคณะผู้แทนทางการทูตของทั้งสอง - อุปสรรคต่างๆ ที่ถูกสร้างโดยรัฐบาลของไบเดน ซึ่งทำให้การทำงานของนักการทูตประสบความยากลำบากนั้น จะต้องได้รับการกำจัดออกไป ซึ่งรวมถึงการยึดทรัพย์สินอย่างต่อเนื่อง - ตกลงที่จะจัดตั้งกระบวนการแก้ไขข้อขัดแย้งในยูเครน โดยจะมีการแต่งตั้งทีมเจรจาในอนาคตอันใกล้นี้ เพื่อทำงานเกี่ยวกับข้อตกลงยูเครนอย่างจริงจังและสม่ำเสมอ - ตกลงที่จะสร้างเงื่อนไขสำหรับการฟื้นคืนความร่วมมือทวิภาคีควบคู่ไปกับการแก้ไขวิกฤตยูเครน - รัสเซียแจ้งโดยตรงต่อสหรัฐว่า การที่ยูเครนเข้าเป็นสมาชิก NATO คือภัยคุกคามโดยตรง และการมีทหารจากประเทศสมาชิก NATO แม้จะอยู่ภายใต้ธงประเทศในสหภาพยุโรปหรือธงอื่นๆ ถือเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ - สหรัฐอเมริกา ต้องการให้ยกเลิกเป้าหมายในการโจมตีโครงสร้างด้านพลังงานทั้งในรัสเซียและยูเครนในช่วงระหว่างขั้นตอนการเจรจา - แต่ละประเทศล้วนชี้นำโดยผลประโยชน์ของชาติของตนเอง ทำให้ความเข้าใจระหว่างรัสเซียและสหรัฐในบางเรื่อง อาจมีความเห็นต่างกัน สิ่งสำคัญคือการหารือร่วมกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 369 มุมมอง 0 รีวิว
  • การศึกษาของคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากเมื่อเทียบกับอดีต เนื่องจากเทคโนโลยีและสภาพสังคมที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว นี่คือประเด็นสำคัญบางประการเกี่ยวกับการศึกษาของคนรุ่นใหม่:

    ### 1. **เทคโนโลยีและการเรียนรู้ดิจิทัล**
    - **การเข้าถึงข้อมูล**: คนรุ่นใหม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายผ่านอินเทอร์เน็ต ทำให้การเรียนรู้ไม่จำกัดอยู่เพียงในห้องเรียน
    - **การเรียนรู้แบบออนไลน์**: คอร์สออนไลน์และแพลตฟอร์มการเรียนรู้เช่น Coursera, Udemy, Khan Academy ทำให้คนรุ่นใหม่สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา
    - **การใช้ AI และเครื่องมือดิจิทัล**: คนรุ่นใหม่ใช้เครื่องมือเช่น ChatGPT, Google Scholar และแอปพลิเคชันอื่นๆ เพื่อช่วยในการศึกษาและการวิจัย

    ### 2. **การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning)**
    - คนรุ่นใหม่ตระหนักถึงความสำคัญของการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดงานและเทคโนโลยี
    - การเรียนไม่จำกัดเฉพาะในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย แต่รวมถึงการฝึกอบรม การเรียนรู้นอกระบบ และการพัฒนาทักษะใหม่ๆ

    ### 3. **ทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21**
    - **ทักษะดิจิทัล**: การใช้เทคโนโลยีเป็นทักษะพื้นฐานที่จำเป็น
    - **ทักษะการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหา**: คนรุ่นใหม่ต้องสามารถวิเคราะห์ข้อมูลและแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    - **ทักษะการสื่อสารและทำงานเป็นทีม**: การทำงานร่วมกับผู้อื่นและการสื่อสารที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ
    - **ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม**: การคิดนอกกรอบและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เป็นทักษะที่ถูกต้องการในยุคนี้

    ### 4. **การปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลง**
    - คนรุ่นใหม่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งในด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และสังคม ดังนั้นการปรับตัวและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญ
    - การศึกษาต้องไม่เพียงแต่ให้ความรู้ แต่ต้องสอนให้รู้จักคิด วิเคราะห์ และปรับตัวได้

    ### 5. **ความท้าทาย**
    - **ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา**: การเข้าถึงเทคโนโลยีและทรัพยากรทางการศึกษายังไม่เท่าเทียมกันในทุกพื้นที่
    - **การแข่งขันสูง**: คนรุ่นใหม่ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงทั้งในด้านการศึกษาและการทำงาน
    - **สุขภาพจิต**: ความกดดันจากการเรียนและการทำงานอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของคนรุ่นใหม่

    ### 6. **แนวโน้มในอนาคต**
    - **การเรียนรู้แบบ personalized**: การศึกษาจะปรับให้เหมาะกับความต้องการและความสนใจของแต่ละคนมากขึ้น
    - **การเรียนรู้นอกระบบ**: การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริงและการทำงานจะมีความสำคัญมากขึ้น
    - **การศึกษาแบบบูรณาการ**: การเรียนจะไม่แยกส่วนระหว่างวิชาการและทักษะชีวิต แต่จะรวมเข้าด้วยกันเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับชีวิตจริง

    การศึกษาของคนรุ่นใหม่จึงไม่เพียงแต่เป็นการเรียนในห้องเรียน แต่เป็นการเรียนรู้เพื่อชีวิตและการทำงานในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
    การศึกษาของคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากเมื่อเทียบกับอดีต เนื่องจากเทคโนโลยีและสภาพสังคมที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว นี่คือประเด็นสำคัญบางประการเกี่ยวกับการศึกษาของคนรุ่นใหม่: ### 1. **เทคโนโลยีและการเรียนรู้ดิจิทัล** - **การเข้าถึงข้อมูล**: คนรุ่นใหม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายผ่านอินเทอร์เน็ต ทำให้การเรียนรู้ไม่จำกัดอยู่เพียงในห้องเรียน - **การเรียนรู้แบบออนไลน์**: คอร์สออนไลน์และแพลตฟอร์มการเรียนรู้เช่น Coursera, Udemy, Khan Academy ทำให้คนรุ่นใหม่สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา - **การใช้ AI และเครื่องมือดิจิทัล**: คนรุ่นใหม่ใช้เครื่องมือเช่น ChatGPT, Google Scholar และแอปพลิเคชันอื่นๆ เพื่อช่วยในการศึกษาและการวิจัย ### 2. **การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning)** - คนรุ่นใหม่ตระหนักถึงความสำคัญของการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดงานและเทคโนโลยี - การเรียนไม่จำกัดเฉพาะในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย แต่รวมถึงการฝึกอบรม การเรียนรู้นอกระบบ และการพัฒนาทักษะใหม่ๆ ### 3. **ทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21** - **ทักษะดิจิทัล**: การใช้เทคโนโลยีเป็นทักษะพื้นฐานที่จำเป็น - **ทักษะการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหา**: คนรุ่นใหม่ต้องสามารถวิเคราะห์ข้อมูลและแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ - **ทักษะการสื่อสารและทำงานเป็นทีม**: การทำงานร่วมกับผู้อื่นและการสื่อสารที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ - **ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม**: การคิดนอกกรอบและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เป็นทักษะที่ถูกต้องการในยุคนี้ ### 4. **การปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลง** - คนรุ่นใหม่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งในด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และสังคม ดังนั้นการปรับตัวและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญ - การศึกษาต้องไม่เพียงแต่ให้ความรู้ แต่ต้องสอนให้รู้จักคิด วิเคราะห์ และปรับตัวได้ ### 5. **ความท้าทาย** - **ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา**: การเข้าถึงเทคโนโลยีและทรัพยากรทางการศึกษายังไม่เท่าเทียมกันในทุกพื้นที่ - **การแข่งขันสูง**: คนรุ่นใหม่ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงทั้งในด้านการศึกษาและการทำงาน - **สุขภาพจิต**: ความกดดันจากการเรียนและการทำงานอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของคนรุ่นใหม่ ### 6. **แนวโน้มในอนาคต** - **การเรียนรู้แบบ personalized**: การศึกษาจะปรับให้เหมาะกับความต้องการและความสนใจของแต่ละคนมากขึ้น - **การเรียนรู้นอกระบบ**: การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริงและการทำงานจะมีความสำคัญมากขึ้น - **การศึกษาแบบบูรณาการ**: การเรียนจะไม่แยกส่วนระหว่างวิชาการและทักษะชีวิต แต่จะรวมเข้าด้วยกันเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับชีวิตจริง การศึกษาของคนรุ่นใหม่จึงไม่เพียงแต่เป็นการเรียนในห้องเรียน แต่เป็นการเรียนรู้เพื่อชีวิตและการทำงานในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 306 มุมมอง 0 รีวิว
  • คิริลล์ ดมิทรีเยฟ (Kirill Dmitriev) หัวหน้ากองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติรัสเซีย (RDIF - Russian Direct Investment Fund) ซึ่งได้เข้าร่วมทีมเจรจาระดับสูงระหว่างสหรัฐกับรัสเซียครั้งนี้ด้วย บ่งชี้ถึงความต้องการของรัสเซียที่มีแนวโน้มจะให้สหรัฐลดมาตรการคว่ำบาตรที่มีต่อรัสเซียลงซึ่งอดีตนายธนาคารจากโกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) เคยมีบทบาทสำคัญในการประสานงานช่วงแรกระหว่างมอสโกกับวอชิงตัน ในสมัยที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งปธน.วาระแรกระหว่างปี 2559-2563

    ก่อนเข้าร่วมการประชุม ดมิทรีเยฟ กล่าวว่า มาตรการลงโทษของสหรัฐที่มีต่อรัสเซีย มีแต่จะทำให้ธุรกิจของอเมริกาเสียหาย เพราะที่ผ่านมาพวกเขาสูญเสียเงินไปแล้วประมาณ 300,000 ล้านดอลลาร์ หลังต้องทิ้งธุรกิจเพื่อจากออกจากรัสเซียไป

    “สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักคือ ธุรกิจอเมริกันสูญเสียเงินราว 3 แสนล้านดอลลาร์จากการถอนตัวออกจากรัสเซีย นี่คือผลกระทบทางเศรษฐกิจอันใหญ่หลวงต่อหลายประเทศจากสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น และเราเชื่อว่าหนทางข้างหน้าคือการหาทางออกร่วมกัน” ดมิทรีเยฟกล่าว

    ดมิทรีเยฟ เกิดที่กรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครน ในสมัยที่ยังเป็นส่วนหนึ่งของอดีตสหภาพโซเวียต และได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีปูติน ให้เป็น CEO ของกองทุน RDIF ตั้งแต่ปี 2011

    เขามีประวัติการทำงานที่น่าสนใจ ซึ่งเคยทำงานในบริษัทระดับโลกหลายแห่งไม่ว่าจะเป็น Goldman Sachs, McKinsey, General Electric (GE) และ Société Générale
    คิริลล์ ดมิทรีเยฟ (Kirill Dmitriev) หัวหน้ากองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติรัสเซีย (RDIF - Russian Direct Investment Fund) ซึ่งได้เข้าร่วมทีมเจรจาระดับสูงระหว่างสหรัฐกับรัสเซียครั้งนี้ด้วย บ่งชี้ถึงความต้องการของรัสเซียที่มีแนวโน้มจะให้สหรัฐลดมาตรการคว่ำบาตรที่มีต่อรัสเซียลงซึ่งอดีตนายธนาคารจากโกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) เคยมีบทบาทสำคัญในการประสานงานช่วงแรกระหว่างมอสโกกับวอชิงตัน ในสมัยที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งปธน.วาระแรกระหว่างปี 2559-2563 ก่อนเข้าร่วมการประชุม ดมิทรีเยฟ กล่าวว่า มาตรการลงโทษของสหรัฐที่มีต่อรัสเซีย มีแต่จะทำให้ธุรกิจของอเมริกาเสียหาย เพราะที่ผ่านมาพวกเขาสูญเสียเงินไปแล้วประมาณ 300,000 ล้านดอลลาร์ หลังต้องทิ้งธุรกิจเพื่อจากออกจากรัสเซียไป “สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักคือ ธุรกิจอเมริกันสูญเสียเงินราว 3 แสนล้านดอลลาร์จากการถอนตัวออกจากรัสเซีย นี่คือผลกระทบทางเศรษฐกิจอันใหญ่หลวงต่อหลายประเทศจากสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น และเราเชื่อว่าหนทางข้างหน้าคือการหาทางออกร่วมกัน” ดมิทรีเยฟกล่าว ดมิทรีเยฟ เกิดที่กรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครน ในสมัยที่ยังเป็นส่วนหนึ่งของอดีตสหภาพโซเวียต และได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีปูติน ให้เป็น CEO ของกองทุน RDIF ตั้งแต่ปี 2011 เขามีประวัติการทำงานที่น่าสนใจ ซึ่งเคยทำงานในบริษัทระดับโลกหลายแห่งไม่ว่าจะเป็น Goldman Sachs, McKinsey, General Electric (GE) และ Société Générale
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 426 มุมมอง 15 0 รีวิว
  • เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เดินทางถึงซาอุดีอาระเบียแล้ว เพื่อหารือกับสหรัฐเกี่ยวกับการยุติสงครามยูเครน

    คณะผู้แทนระดับสูงของรัสเซีย รวมถึงนายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศ และนายยูริ อูชาคอฟ ผู้ช่วยเครมลิน

    อูชาคอฟกล่าวว่า “สิ่งสำคัญในครั้งนี้ คือการเริ่มต้นสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นปกติและไว้ใจกันอย่างแท้จริงระหว่างเราและวอชิงตัน”
    เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เดินทางถึงซาอุดีอาระเบียแล้ว เพื่อหารือกับสหรัฐเกี่ยวกับการยุติสงครามยูเครน คณะผู้แทนระดับสูงของรัสเซีย รวมถึงนายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศ และนายยูริ อูชาคอฟ ผู้ช่วยเครมลิน อูชาคอฟกล่าวว่า “สิ่งสำคัญในครั้งนี้ คือการเริ่มต้นสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นปกติและไว้ใจกันอย่างแท้จริงระหว่างเราและวอชิงตัน”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 10 0 รีวิว
  • เมื่อไม่นานมานี้ TechSpot รายงานว่าการใช้หูฟังตัดเสียงรบกวนในวัยรุ่นอาจก่อให้เกิดปัญหาด้านการได้ยินที่เรียกว่า "การผิดพลาดในการประมวลผลเสียง (APD)" ภาวะนี้ทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาในการตีความเสียงและคำพูดแม้ว่าการได้ยินจะปกติ เนื่องจากการประมวลผลเสียงของสมองได้รับผลกระทบ นักโสตสัมผัสวิทยาบางรายเชื่อว่าการใช้หูฟังตัดเสียงรบกวนเป็นเวลานานในช่วงที่สมองกำลังพัฒนาอาจทำให้พัฒนาการการได้ยินล่าช้า

    Claire Benton รองประธานสถาบันโสตสัมผัสวิทยาแห่งสหราชอาณาจักรอธิบายว่า การที่วัยรุ่นอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปราศจากเสียงรบกวนอาจทำให้สมองไม่สามารถพัฒนาความสามารถในการกรองเสียงที่ไม่สำคัญออกไปได้ นอกจากนี้ ยังมีจำนวนวัยรุ่นที่ถูกส่งมาตรวจสอบปัญหาการได้ยินเพิ่มมากขึ้นในหน่วยงานโสตสัมผัสวิทยาของ NHS สหราชอาณาจักร และการประเมินภาวะ APD ใช้เวลานานและซับซ้อน ซึ่งทำให้กระบวนการตรวจสอบเป็นไปได้ยาก

    ในขณะที่หูฟังตัดเสียงรบกวนมีประโยชน์ในการป้องกันการสูญเสียการได้ยินจากเสียงดัง นักโสตสัมผัสวิทยาเน้นว่าการใช้งานอย่างเหมาะสมและการได้รับเสียงธรรมชาติเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความสามารถในการกรองเสียงของสมองให้มีประสิทธิภาพ

    https://www.techspot.com/news/106790-audiologists-suspect-link-between-anc-hearing-problems-young.html
    เมื่อไม่นานมานี้ TechSpot รายงานว่าการใช้หูฟังตัดเสียงรบกวนในวัยรุ่นอาจก่อให้เกิดปัญหาด้านการได้ยินที่เรียกว่า "การผิดพลาดในการประมวลผลเสียง (APD)" ภาวะนี้ทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาในการตีความเสียงและคำพูดแม้ว่าการได้ยินจะปกติ เนื่องจากการประมวลผลเสียงของสมองได้รับผลกระทบ นักโสตสัมผัสวิทยาบางรายเชื่อว่าการใช้หูฟังตัดเสียงรบกวนเป็นเวลานานในช่วงที่สมองกำลังพัฒนาอาจทำให้พัฒนาการการได้ยินล่าช้า Claire Benton รองประธานสถาบันโสตสัมผัสวิทยาแห่งสหราชอาณาจักรอธิบายว่า การที่วัยรุ่นอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปราศจากเสียงรบกวนอาจทำให้สมองไม่สามารถพัฒนาความสามารถในการกรองเสียงที่ไม่สำคัญออกไปได้ นอกจากนี้ ยังมีจำนวนวัยรุ่นที่ถูกส่งมาตรวจสอบปัญหาการได้ยินเพิ่มมากขึ้นในหน่วยงานโสตสัมผัสวิทยาของ NHS สหราชอาณาจักร และการประเมินภาวะ APD ใช้เวลานานและซับซ้อน ซึ่งทำให้กระบวนการตรวจสอบเป็นไปได้ยาก ในขณะที่หูฟังตัดเสียงรบกวนมีประโยชน์ในการป้องกันการสูญเสียการได้ยินจากเสียงดัง นักโสตสัมผัสวิทยาเน้นว่าการใช้งานอย่างเหมาะสมและการได้รับเสียงธรรมชาติเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความสามารถในการกรองเสียงของสมองให้มีประสิทธิภาพ https://www.techspot.com/news/106790-audiologists-suspect-link-between-anc-hearing-problems-young.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Noise-canceling headphones may be rewiring young brains, experts warn
    The issue revolves around a condition called auditory processing disorder (APD), in which the brain struggles to interpret sounds and speech, even when a person's hearing is...
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 216 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📣10 วิธีดูแลและจัดการอารมณ์ของ Gen X เมื่อเข้าสู่ผู้สูงวัย😊

    1. ฝึกสติและสมาธิ – ช่วยควบคุมอารมณ์ ลดความเครียด และเพิ่มความสงบในจิตใจ
    2. ยอมรับการเปลี่ยนแปลง – เข้าใจวัยที่เปลี่ยนไป ปรับตัว และมองชีวิตเชิงบวก
    3. หลีกเลี่ยงความโดดเดี่ยว – สร้างความสัมพันธ์กับครอบครัว เพื่อน และสังคม
    4. หางานอดิเรกที่ชอบ – ทำกิจกรรมสร้างสรรค์ เช่น ศิลปะ ดนตรี หรือปลูกต้นไม้
    5. ออกกำลังกายเป็นประจำ – ลดภาวะซึมเศร้า กระตุ้นฮอร์โมนแห่งความสุข
    6. จัดการความเครียดอย่างมีสติ – ใช้เทคนิคหายใจลึก ๆ หรือฝึกโยคะ
    7. หลีกเลี่ยงข่าวและโซเชียลที่กระทบใจ – ลดการเสพข้อมูลลบ ลดอารมณ์แปรปรวน
    8. แบ่งปันและช่วยเหลือผู้อื่น – ทำจิตอาสา เพิ่มคุณค่าในชีวิต และเติมเต็มจิตใจ
    9. ดูแลสุขภาพจิต – ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหากมีภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวลรุนแรง
    10. ใช้ชีวิตให้มีความหมาย – ตั้งเป้าหมายใหม่ และมองอนาคตอย่างมีความหวัง
    📌การดูแลอารมณ์เป็นสิ่งสำคัญ ช่วยให้วัยสูงอายุมีความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดี!

    📣10 วิธีดูแลและจัดการอารมณ์ของ Gen X เมื่อเข้าสู่ผู้สูงวัย😊 1. ฝึกสติและสมาธิ – ช่วยควบคุมอารมณ์ ลดความเครียด และเพิ่มความสงบในจิตใจ 2. ยอมรับการเปลี่ยนแปลง – เข้าใจวัยที่เปลี่ยนไป ปรับตัว และมองชีวิตเชิงบวก 3. หลีกเลี่ยงความโดดเดี่ยว – สร้างความสัมพันธ์กับครอบครัว เพื่อน และสังคม 4. หางานอดิเรกที่ชอบ – ทำกิจกรรมสร้างสรรค์ เช่น ศิลปะ ดนตรี หรือปลูกต้นไม้ 5. ออกกำลังกายเป็นประจำ – ลดภาวะซึมเศร้า กระตุ้นฮอร์โมนแห่งความสุข 6. จัดการความเครียดอย่างมีสติ – ใช้เทคนิคหายใจลึก ๆ หรือฝึกโยคะ 7. หลีกเลี่ยงข่าวและโซเชียลที่กระทบใจ – ลดการเสพข้อมูลลบ ลดอารมณ์แปรปรวน 8. แบ่งปันและช่วยเหลือผู้อื่น – ทำจิตอาสา เพิ่มคุณค่าในชีวิต และเติมเต็มจิตใจ 9. ดูแลสุขภาพจิต – ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหากมีภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวลรุนแรง 10. ใช้ชีวิตให้มีความหมาย – ตั้งเป้าหมายใหม่ และมองอนาคตอย่างมีความหวัง 📌การดูแลอารมณ์เป็นสิ่งสำคัญ ช่วยให้วัยสูงอายุมีความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดี!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 285 มุมมอง 0 รีวิว
  • การพัฒนา AI (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำหน้าที่ที่ต้องการความฉลาดของมนุษย์ เช่น การเรียนรู้ การตัดสินใจ การแก้ปัญหา และการเข้าใจภาษา โดยการพัฒนา AI มีขั้นตอนและแนวทางหลักดังนี้:

    ### 1. **การกำหนดปัญหา**
    - **การระบุปัญหา**: กำหนดปัญหาที่ต้องการให้ AI แก้ไข เช่น การจดจำภาพ การแปลภาษา หรือการแนะนำสินค้า
    - **การรวบรวมข้อมูล**: ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนา AI ต้องมีการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหาและมีคุณภาพ

    ### 2. **การเลือกเทคนิคและอัลกอริทึม**
    - **การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning)**: ใช้เทคนิคเช่น การเรียนรู้ภายใต้การดูแล (Supervised Learning), การเรียนรู้แบบไม่มีผู้ดูแล (Unsupervised Learning), และการเรียนรู้แบบเสริมกำลัง (Reinforcement Learning)
    - **การเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning)**: ใช้โครงข่ายประสาทเทียม (Neural Networks) เพื่อจัดการกับข้อมูลที่ซับซ้อน เช่น ภาพและเสียง
    - **การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing - NLP)**: ใช้สำหรับการเข้าใจและสร้างภาษา

    ### 3. **การฝึกโมเดล**
    - **การเตรียมข้อมูล**: ทำความสะอาดข้อมูลและแบ่งข้อมูลเป็นชุดฝึกและชุดทดสอบ
    - **การฝึกโมเดล**: ใช้ข้อมูลชุดฝึกเพื่อสอนโมเดลให้เรียนรู้รูปแบบและทำนายผลลัพธ์
    - **การปรับแต่งโมเดล**: ปรับพารามิเตอร์และโครงสร้างโมเดลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

    ### 4. **การประเมินผล**
    - **การทดสอบโมเดล**: ใช้ข้อมูลชุดทดสอบเพื่อประเมินประสิทธิภาพของโมเดล
    - **การวัดประสิทธิภาพ**: ใช้เมตริกเช่น ความแม่นยำ (Accuracy), ความจำเพาะ (Precision), ความไว (Recall), และ F1 Score

    ### 5. **การปรับปรุงและพัฒนา**
    - **การปรับปรุงโมเดล**: ปรับปรุงโมเดลโดยการเพิ่มข้อมูลหรือปรับอัลกอริทึม
    - **การทดสอบในสภาพจริง**: นำโมเดลไปทดสอบในสภาพแวดล้อมจริงเพื่อดูประสิทธิภาพ

    ### 6. **การนำไปใช้**
    - **การปรับใช้โมเดล**: นำโมเดลไปใช้ในระบบจริง เช่น แอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์
    - **การติดตามและบำรุงรักษา**: ติดตามประสิทธิภาพของโมเดลและทำการบำรุงรักษาเป็นระยะ

    ### 7. **การพัฒนาต่อยอด**
    - **การวิจัยและพัฒนา**: ทำการวิจัยเพื่อพัฒนาอัลกอริทึมและเทคนิคใหม่ๆ
    - **การประยุกต์ใช้ในด้านอื่นๆ**: นำ AI ไปใช้ในด้านต่างๆ เช่น การแพทย์ การเงิน การขนส่ง

    ### 8. **การพิจารณาด้านจริยธรรมและกฎหมาย**
    - **จริยธรรมของ AI**: พิจารณาผลกระทบทางสังคมและจริยธรรมของการใช้ AI
    - **กฎหมายและข้อบังคับ**: ปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการใช้ AI

    การพัฒนา AI เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความรู้และทักษะในหลายด้าน รวมถึงการทำงานร่วมกันของทีมที่มีความเชี่ยวชาญต่างกัน เพื่อให้ได้ระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง
    การพัฒนา AI (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำหน้าที่ที่ต้องการความฉลาดของมนุษย์ เช่น การเรียนรู้ การตัดสินใจ การแก้ปัญหา และการเข้าใจภาษา โดยการพัฒนา AI มีขั้นตอนและแนวทางหลักดังนี้: ### 1. **การกำหนดปัญหา** - **การระบุปัญหา**: กำหนดปัญหาที่ต้องการให้ AI แก้ไข เช่น การจดจำภาพ การแปลภาษา หรือการแนะนำสินค้า - **การรวบรวมข้อมูล**: ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนา AI ต้องมีการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหาและมีคุณภาพ ### 2. **การเลือกเทคนิคและอัลกอริทึม** - **การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning)**: ใช้เทคนิคเช่น การเรียนรู้ภายใต้การดูแล (Supervised Learning), การเรียนรู้แบบไม่มีผู้ดูแล (Unsupervised Learning), และการเรียนรู้แบบเสริมกำลัง (Reinforcement Learning) - **การเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning)**: ใช้โครงข่ายประสาทเทียม (Neural Networks) เพื่อจัดการกับข้อมูลที่ซับซ้อน เช่น ภาพและเสียง - **การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing - NLP)**: ใช้สำหรับการเข้าใจและสร้างภาษา ### 3. **การฝึกโมเดล** - **การเตรียมข้อมูล**: ทำความสะอาดข้อมูลและแบ่งข้อมูลเป็นชุดฝึกและชุดทดสอบ - **การฝึกโมเดล**: ใช้ข้อมูลชุดฝึกเพื่อสอนโมเดลให้เรียนรู้รูปแบบและทำนายผลลัพธ์ - **การปรับแต่งโมเดล**: ปรับพารามิเตอร์และโครงสร้างโมเดลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ### 4. **การประเมินผล** - **การทดสอบโมเดล**: ใช้ข้อมูลชุดทดสอบเพื่อประเมินประสิทธิภาพของโมเดล - **การวัดประสิทธิภาพ**: ใช้เมตริกเช่น ความแม่นยำ (Accuracy), ความจำเพาะ (Precision), ความไว (Recall), และ F1 Score ### 5. **การปรับปรุงและพัฒนา** - **การปรับปรุงโมเดล**: ปรับปรุงโมเดลโดยการเพิ่มข้อมูลหรือปรับอัลกอริทึม - **การทดสอบในสภาพจริง**: นำโมเดลไปทดสอบในสภาพแวดล้อมจริงเพื่อดูประสิทธิภาพ ### 6. **การนำไปใช้** - **การปรับใช้โมเดล**: นำโมเดลไปใช้ในระบบจริง เช่น แอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ - **การติดตามและบำรุงรักษา**: ติดตามประสิทธิภาพของโมเดลและทำการบำรุงรักษาเป็นระยะ ### 7. **การพัฒนาต่อยอด** - **การวิจัยและพัฒนา**: ทำการวิจัยเพื่อพัฒนาอัลกอริทึมและเทคนิคใหม่ๆ - **การประยุกต์ใช้ในด้านอื่นๆ**: นำ AI ไปใช้ในด้านต่างๆ เช่น การแพทย์ การเงิน การขนส่ง ### 8. **การพิจารณาด้านจริยธรรมและกฎหมาย** - **จริยธรรมของ AI**: พิจารณาผลกระทบทางสังคมและจริยธรรมของการใช้ AI - **กฎหมายและข้อบังคับ**: ปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการใช้ AI การพัฒนา AI เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความรู้และทักษะในหลายด้าน รวมถึงการทำงานร่วมกันของทีมที่มีความเชี่ยวชาญต่างกัน เพื่อให้ได้ระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 252 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts