• ข่าวนี้เล่าถึงความท้าทายของ Meta ในการพัฒนาโครงการ Metaverse ซึ่งใช้เงินลงทุนไปแล้วกว่า 45 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่น่าพอใจได้

    Meta ซึ่งนำโดย Mark Zuckerberg ได้เปลี่ยนชื่อจาก Facebook เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนา Metaverse แต่โครงการนี้กลับกลายเป็นปัญหาทางการเงินที่ใหญ่หลวง โดยมีการสูญเสียเงินถึง 16 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 และอีก 3.8 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปี 2024 สาเหตุหลักมาจากการขาดความชัดเจนในกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์และการบริหารที่ไม่เหมาะสม เช่น การแต่งตั้งผู้บริหารที่ไม่มีประสบการณ์ในด้าน AR และ VR

    นอกจากนี้ รายได้ประจำปีของ Reality Labs ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการ Metaverse ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2021 เนื่องจากยอดขายที่อ่อนแอและการไม่สามารถเข้าถึงตลาดหลักได้

    ✅ การลงทุนในโครงการ Metaverse
    - Meta ใช้เงินลงทุนกว่า 45 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา
    - สูญเสียเงินถึง 16 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 และอีก 3.8 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปี 2024

    ✅ ปัญหาด้านการบริหารและกลยุทธ์
    - การแต่งตั้งผู้บริหารที่ไม่มีประสบการณ์ในด้าน AR และ VR
    - ขาดความชัดเจนในกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์

    ✅ ผลกระทบต่อรายได้ของ Reality Labs
    - รายได้ประจำปีลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2021
    - ยอดขายอ่อนแอและไม่สามารถเข้าถึงตลาดหลักได้

    ℹ️ ความเสี่ยงต่อความยั่งยืนของโครงการ
    - การสูญเสียเงินจำนวนมากอาจทำให้โครงการ Metaverse ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้
    - ความล้มเหลวในการเข้าถึงตลาดหลักอาจลดความเชื่อมั่นของนักลงทุน

    ℹ️ คำแนะนำสำหรับการปรับปรุง
    - Meta ควรพัฒนากลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจนและตอบสนองความต้องการของตลาด
    - การแต่งตั้งผู้บริหารที่มีประสบการณ์ในด้าน AR และ VR เป็นสิ่งสำคัญ

    https://www.techspot.com/news/107530-four-years-meta-has-burned-through-45-billion.html
    ข่าวนี้เล่าถึงความท้าทายของ Meta ในการพัฒนาโครงการ Metaverse ซึ่งใช้เงินลงทุนไปแล้วกว่า 45 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่น่าพอใจได้ Meta ซึ่งนำโดย Mark Zuckerberg ได้เปลี่ยนชื่อจาก Facebook เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนา Metaverse แต่โครงการนี้กลับกลายเป็นปัญหาทางการเงินที่ใหญ่หลวง โดยมีการสูญเสียเงินถึง 16 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 และอีก 3.8 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปี 2024 สาเหตุหลักมาจากการขาดความชัดเจนในกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์และการบริหารที่ไม่เหมาะสม เช่น การแต่งตั้งผู้บริหารที่ไม่มีประสบการณ์ในด้าน AR และ VR นอกจากนี้ รายได้ประจำปีของ Reality Labs ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการ Metaverse ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2021 เนื่องจากยอดขายที่อ่อนแอและการไม่สามารถเข้าถึงตลาดหลักได้ ✅ การลงทุนในโครงการ Metaverse - Meta ใช้เงินลงทุนกว่า 45 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา - สูญเสียเงินถึง 16 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 และอีก 3.8 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปี 2024 ✅ ปัญหาด้านการบริหารและกลยุทธ์ - การแต่งตั้งผู้บริหารที่ไม่มีประสบการณ์ในด้าน AR และ VR - ขาดความชัดเจนในกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ ✅ ผลกระทบต่อรายได้ของ Reality Labs - รายได้ประจำปีลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2021 - ยอดขายอ่อนแอและไม่สามารถเข้าถึงตลาดหลักได้ ℹ️ ความเสี่ยงต่อความยั่งยืนของโครงการ - การสูญเสียเงินจำนวนมากอาจทำให้โครงการ Metaverse ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ - ความล้มเหลวในการเข้าถึงตลาดหลักอาจลดความเชื่อมั่นของนักลงทุน ℹ️ คำแนะนำสำหรับการปรับปรุง - Meta ควรพัฒนากลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจนและตอบสนองความต้องการของตลาด - การแต่งตั้งผู้บริหารที่มีประสบการณ์ในด้าน AR และ VR เป็นสิ่งสำคัญ https://www.techspot.com/news/107530-four-years-meta-has-burned-through-45-billion.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Four years in, Meta has burned through $45 billion chasing its metaverse dream
    Insiders say the metaverse project has become a financial sinkhole, consuming $45 billion by early 2025. That's nearly equal to the combined market caps of social media...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เล่าถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของชิป AI ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้พลังงานทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศที่ยังพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล

    Greenpeace รายงานว่าการผลิตชิป AI ใช้พลังงานไฟฟ้าถึง 984 กิกะวัตต์ชั่วโมงในปี 2024 ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 350% จากปี 2023 และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 453,600 เมตริกตันในปีเดียวกัน การผลิตชิป AI มีความต้องการพลังงานสูง โดยโรงงานผลิตขนาดใหญ่สามารถใช้ไฟฟ้าได้ถึง 100 เมกะวัตต์ชั่วโมงต่อชั่วโมง

    นอกจากนี้ Greenpeace ยังเตือนว่าความต้องการไฟฟ้าสำหรับการผลิตชิป AI อาจเพิ่มขึ้นถึง 37,238 กิกะวัตต์ชั่วโมงภายในปี 2030 ซึ่งมากกว่าการใช้ไฟฟ้าทั้งหมดของประเทศไอร์แลนด์ในปัจจุบัน

    ✅ ผลกระทบจากการผลิตชิป AI
    - การผลิตชิป AI ใช้พลังงานไฟฟ้าถึง 984 กิกะวัตต์ชั่วโมงในปี 2024
    - การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นถึง 453,600 เมตริกตันในปีเดียวกัน

    ✅ ความต้องการพลังงานในอนาคต
    - ความต้องการไฟฟ้าสำหรับการผลิตชิป AI อาจเพิ่มขึ้นถึง 37,238 กิกะวัตต์ชั่วโมงภายในปี 2030
    - มากกว่าการใช้ไฟฟ้าทั้งหมดของประเทศไอร์แลนด์ในปัจจุบัน

    ✅ บทบาทของบริษัทเทคโนโลยี
    - บริษัทเช่น Nvidia, Microsoft, Meta และ Google ถูกเรียกร้องให้สนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียน
    - TSMC กำลังเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียน แต่ยังมีความล่าช้า

    ℹ️ ความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อม
    - การผลิตชิป AI มีความต้องการพลังงานสูงและเพิ่มการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
    - การพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลในประเทศผู้ผลิตอาจเพิ่มผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

    ℹ️ คำแนะนำเพื่อความยั่งยืน
    - บริษัทเทคโนโลยีควรสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียนในห่วงโซ่อุปทาน
    - การพัฒนาเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานเป็นสิ่งสำคัญ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/14/report-soaring-demand-for-ai-chips-fuels-power-usage
    ข่าวนี้เล่าถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของชิป AI ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้พลังงานทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศที่ยังพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล Greenpeace รายงานว่าการผลิตชิป AI ใช้พลังงานไฟฟ้าถึง 984 กิกะวัตต์ชั่วโมงในปี 2024 ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 350% จากปี 2023 และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 453,600 เมตริกตันในปีเดียวกัน การผลิตชิป AI มีความต้องการพลังงานสูง โดยโรงงานผลิตขนาดใหญ่สามารถใช้ไฟฟ้าได้ถึง 100 เมกะวัตต์ชั่วโมงต่อชั่วโมง นอกจากนี้ Greenpeace ยังเตือนว่าความต้องการไฟฟ้าสำหรับการผลิตชิป AI อาจเพิ่มขึ้นถึง 37,238 กิกะวัตต์ชั่วโมงภายในปี 2030 ซึ่งมากกว่าการใช้ไฟฟ้าทั้งหมดของประเทศไอร์แลนด์ในปัจจุบัน ✅ ผลกระทบจากการผลิตชิป AI - การผลิตชิป AI ใช้พลังงานไฟฟ้าถึง 984 กิกะวัตต์ชั่วโมงในปี 2024 - การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นถึง 453,600 เมตริกตันในปีเดียวกัน ✅ ความต้องการพลังงานในอนาคต - ความต้องการไฟฟ้าสำหรับการผลิตชิป AI อาจเพิ่มขึ้นถึง 37,238 กิกะวัตต์ชั่วโมงภายในปี 2030 - มากกว่าการใช้ไฟฟ้าทั้งหมดของประเทศไอร์แลนด์ในปัจจุบัน ✅ บทบาทของบริษัทเทคโนโลยี - บริษัทเช่น Nvidia, Microsoft, Meta และ Google ถูกเรียกร้องให้สนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียน - TSMC กำลังเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียน แต่ยังมีความล่าช้า ℹ️ ความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อม - การผลิตชิป AI มีความต้องการพลังงานสูงและเพิ่มการปล่อยก๊าซเรือนกระจก - การพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลในประเทศผู้ผลิตอาจเพิ่มผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ℹ️ คำแนะนำเพื่อความยั่งยืน - บริษัทเทคโนโลยีควรสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียนในห่วงโซ่อุปทาน - การพัฒนาเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานเป็นสิ่งสำคัญ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/14/report-soaring-demand-for-ai-chips-fuels-power-usage
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Report: Soaring demand for AI chips fuels power usage
    Growing demand for the semiconductor chips that power artificial intelligence is driving soaring electricity use, particularly in countries that rely on fossil fuels for power, environmental group Greenpeace warned.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 87 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เล่าถึงการพัฒนาเทคโนโลยี Broadcast Positioning System (BPS) ซึ่งเป็นระบบที่ใช้สัญญาณโทรทัศน์ดิจิทัล ATSC 3.0 แทนดาวเทียม GPS เพื่อเป็นระบบสำรองในกรณีที่ GPS ถูกโจมตีหรือขัดข้อง

    Broadcast Positioning System (BPS) ถูกออกแบบมาเพื่อใช้สัญญาณโทรทัศน์ดิจิทัลในการให้ข้อมูลตำแหน่งและเวลา โดยมีความแม่นยำในระดับ 100 นาโนวินาที ซึ่งแม้จะน้อยกว่า GPS ที่มีความแม่นยำ 10 นาโนวินาที แต่ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานในบางกรณี อย่างไรก็ตาม การใช้งาน BPS ต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีสัญญาณจากสถานีส่งอย่างน้อย 4 แห่ง และมีความแม่นยำในรัศมีประมาณ 100 เมตร

    เทคโนโลยีนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา โดยคาดว่าจะพร้อมใช้งานในปี 2027 และจะมีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ในปี 2029 นอกจากนี้ BPS ยังสามารถใช้เป็นระบบยืนยันข้อมูลของ GPS ได้ ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในกรณีที่ GPS ถูกโจมตี

    ✅ การพัฒนา Broadcast Positioning System (BPS)
    - ใช้สัญญาณโทรทัศน์ดิจิทัล ATSC 3.0 แทนดาวเทียม GPS
    - มีความแม่นยำในระดับ 100 นาโนวินาที

    ✅ การใช้งานและความพร้อม
    - ต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีสัญญาณจากสถานีส่งอย่างน้อย 4 แห่ง
    - คาดว่าจะพร้อมใช้งานในปี 2027 และเพิ่มฟีเจอร์ในปี 2029

    ✅ การยืนยันข้อมูล GPS
    - BPS สามารถใช้เป็นระบบยืนยันข้อมูลของ GPS
    - ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในกรณีที่ GPS ถูกโจมตี

    ℹ️ ข้อจำกัดของ BPS
    - ความแม่นยำต่ำกว่า GPS และต้องการสถานีส่งสัญญาณหลายแห่ง
    - การใช้งานอาจจำกัดในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณ ATSC 3.0

    ℹ️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    - หากระบบ BPS ถูกโจมตี อาจส่งผลกระทบต่อการใช้งานที่พึ่งพาเทคโนโลยีนี้
    - การพัฒนาระบบสำรองที่มีความปลอดภัยสูงเป็นสิ่งสำคัญ

    https://www.tomshardware.com/service-providers/tv-signal-based-bps-tested-as-fallback-for-gps-digital-tv-infrastructure-could-come-to-the-rescue-if-satellites-are-compromised
    ข่าวนี้เล่าถึงการพัฒนาเทคโนโลยี Broadcast Positioning System (BPS) ซึ่งเป็นระบบที่ใช้สัญญาณโทรทัศน์ดิจิทัล ATSC 3.0 แทนดาวเทียม GPS เพื่อเป็นระบบสำรองในกรณีที่ GPS ถูกโจมตีหรือขัดข้อง Broadcast Positioning System (BPS) ถูกออกแบบมาเพื่อใช้สัญญาณโทรทัศน์ดิจิทัลในการให้ข้อมูลตำแหน่งและเวลา โดยมีความแม่นยำในระดับ 100 นาโนวินาที ซึ่งแม้จะน้อยกว่า GPS ที่มีความแม่นยำ 10 นาโนวินาที แต่ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานในบางกรณี อย่างไรก็ตาม การใช้งาน BPS ต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีสัญญาณจากสถานีส่งอย่างน้อย 4 แห่ง และมีความแม่นยำในรัศมีประมาณ 100 เมตร เทคโนโลยีนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา โดยคาดว่าจะพร้อมใช้งานในปี 2027 และจะมีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ในปี 2029 นอกจากนี้ BPS ยังสามารถใช้เป็นระบบยืนยันข้อมูลของ GPS ได้ ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในกรณีที่ GPS ถูกโจมตี ✅ การพัฒนา Broadcast Positioning System (BPS) - ใช้สัญญาณโทรทัศน์ดิจิทัล ATSC 3.0 แทนดาวเทียม GPS - มีความแม่นยำในระดับ 100 นาโนวินาที ✅ การใช้งานและความพร้อม - ต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีสัญญาณจากสถานีส่งอย่างน้อย 4 แห่ง - คาดว่าจะพร้อมใช้งานในปี 2027 และเพิ่มฟีเจอร์ในปี 2029 ✅ การยืนยันข้อมูล GPS - BPS สามารถใช้เป็นระบบยืนยันข้อมูลของ GPS - ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในกรณีที่ GPS ถูกโจมตี ℹ️ ข้อจำกัดของ BPS - ความแม่นยำต่ำกว่า GPS และต้องการสถานีส่งสัญญาณหลายแห่ง - การใช้งานอาจจำกัดในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณ ATSC 3.0 ℹ️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย - หากระบบ BPS ถูกโจมตี อาจส่งผลกระทบต่อการใช้งานที่พึ่งพาเทคโนโลยีนี้ - การพัฒนาระบบสำรองที่มีความปลอดภัยสูงเป็นสิ่งสำคัญ https://www.tomshardware.com/service-providers/tv-signal-based-bps-tested-as-fallback-for-gps-digital-tv-infrastructure-could-come-to-the-rescue-if-satellites-are-compromised
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 84 มุมมอง 0 รีวิว
  • แฮกเกอร์ได้ใช้สคริปต์ที่ทำให้ผู้เล่นไม่สามารถเข้าสู่เซิร์ฟเวอร์ในโหมด Supremacy และ Galactic Assault ได้ ส่งผลให้เกมกลายเป็นโหมดที่ว่างเปล่าโดยไม่มีผู้เล่นเลย นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าผู้เล่นบางคนได้รับข้อความแชทที่ไม่เหมาะสมและถูกเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว (doxxing) โดยแฮกเกอร์

    Kyber ซึ่งเป็นกลุ่มนักพัฒนา modding ได้รายงานว่า EA ได้แก้ไขช่องโหว่บางส่วนในเซิร์ฟเวอร์ แต่ยังไม่มีการออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการจากบริษัท

    ✅ ปัญหาในเกม Star Wars Battlefront II
    - แฮกเกอร์ใช้สคริปต์ที่ทำให้ผู้เล่นไม่สามารถเข้าสู่เซิร์ฟเวอร์ในโหมด Supremacy และ Galactic Assault
    - ผู้เล่นบางคนได้รับข้อความแชทที่ไม่เหมาะสมและถูกเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว

    ✅ การตอบสนองจาก EA
    - EA ได้แก้ไขช่องโหว่บางส่วนในเซิร์ฟเวอร์
    - ยังไม่มีการออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการจากบริษัท

    ✅ บทบาทของ Kyber
    - Kyber รายงานปัญหาและกำลังพัฒนาแพลตฟอร์ม modding ใหม่ที่ชื่อ Kyber V2
    - Kyber V2 จะเพิ่มฟีเจอร์ เช่น เซิร์ฟเวอร์แบบอิสระและการสนับสนุน Nexus Mods

    ℹ️ ความเสี่ยงต่อผู้เล่น
    - การโจมตีอาจทำให้ข้อมูลส่วนตัวของผู้เล่นตกอยู่ในความเสี่ยง
    - การแสดงข้อความแชทที่ไม่เหมาะสมอาจส่งผลต่อประสบการณ์การเล่นเกม

    ℹ️ ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นใน EA
    - การแก้ไขปัญหาที่ล่าช้าอาจลดความเชื่อมั่นของผู้เล่นในบริษัท
    - การจัดการปัญหาอย่างโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่น

    https://www.techspot.com/news/107519-pc-gamers-report-hackers-have-taken-over-star.html
    แฮกเกอร์ได้ใช้สคริปต์ที่ทำให้ผู้เล่นไม่สามารถเข้าสู่เซิร์ฟเวอร์ในโหมด Supremacy และ Galactic Assault ได้ ส่งผลให้เกมกลายเป็นโหมดที่ว่างเปล่าโดยไม่มีผู้เล่นเลย นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าผู้เล่นบางคนได้รับข้อความแชทที่ไม่เหมาะสมและถูกเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว (doxxing) โดยแฮกเกอร์ Kyber ซึ่งเป็นกลุ่มนักพัฒนา modding ได้รายงานว่า EA ได้แก้ไขช่องโหว่บางส่วนในเซิร์ฟเวอร์ แต่ยังไม่มีการออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการจากบริษัท ✅ ปัญหาในเกม Star Wars Battlefront II - แฮกเกอร์ใช้สคริปต์ที่ทำให้ผู้เล่นไม่สามารถเข้าสู่เซิร์ฟเวอร์ในโหมด Supremacy และ Galactic Assault - ผู้เล่นบางคนได้รับข้อความแชทที่ไม่เหมาะสมและถูกเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ✅ การตอบสนองจาก EA - EA ได้แก้ไขช่องโหว่บางส่วนในเซิร์ฟเวอร์ - ยังไม่มีการออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการจากบริษัท ✅ บทบาทของ Kyber - Kyber รายงานปัญหาและกำลังพัฒนาแพลตฟอร์ม modding ใหม่ที่ชื่อ Kyber V2 - Kyber V2 จะเพิ่มฟีเจอร์ เช่น เซิร์ฟเวอร์แบบอิสระและการสนับสนุน Nexus Mods ℹ️ ความเสี่ยงต่อผู้เล่น - การโจมตีอาจทำให้ข้อมูลส่วนตัวของผู้เล่นตกอยู่ในความเสี่ยง - การแสดงข้อความแชทที่ไม่เหมาะสมอาจส่งผลต่อประสบการณ์การเล่นเกม ℹ️ ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นใน EA - การแก้ไขปัญหาที่ล่าช้าอาจลดความเชื่อมั่นของผู้เล่นในบริษัท - การจัดการปัญหาอย่างโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่น https://www.techspot.com/news/107519-pc-gamers-report-hackers-have-taken-over-star.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    PC gamers report hackers have taken over Star Wars Battlefront II
    The subreddit and official support forums for Star Wars Battlefront II are currently filled with complaints about a hack that has broken some parts of the game...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sarah Wynn-Williams อดีตผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายสาธารณะของ Meta ได้ให้การต่อหน้าคณะกรรมการวุฒิสภาสหรัฐฯ โดยกล่าวหาว่า Meta และ Zuckerberg พร้อมที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อเข้าถึงตลาดจีนที่มีประชากร 1.4 พันล้านคน รวมถึงการเสนอข้อมูลของผู้ใช้ชาวอเมริกันให้กับรัฐบาลจีน

    Meta ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ โดยโฆษกของ Meta ระบุว่าข้อกล่าวหานั้น "ไม่เป็นความจริงและห่างไกลจากความเป็นจริง" และยืนยันว่า Meta ไม่ได้ดำเนินการในประเทศจีน

    นอกจากนี้ Wynn-Williams ยังกล่าวว่า Meta มีส่วนช่วยในการพัฒนา AI ของจีนผ่านการเปิดเผยโมเดล Llama AI และยังร่วมมือกับรัฐบาลจีนในการพัฒนาเครื่องมือเซ็นเซอร์

    ✅ ข้อกล่าวหาต่อ Mark Zuckerberg และ Meta
    - Sarah Wynn-Williams กล่าวหาว่า Zuckerberg เสนอข้อมูลของผู้ใช้ชาวอเมริกันให้กับรัฐบาลจีน
    - Meta ปฏิเสธข้อกล่าวหาและยืนยันว่าไม่ได้ดำเนินการในประเทศจีน

    ✅ การพัฒนา AI และเครื่องมือเซ็นเซอร์
    - Wynn-Williams อ้างว่า Meta มีส่วนช่วยในการพัฒนา AI ของจีน
    - Meta ถูกกล่าวหาว่าร่วมมือกับรัฐบาลจีนในการพัฒนาเครื่องมือเซ็นเซอร์

    ℹ️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูล
    - การเสนอข้อมูลของผู้ใช้ชาวอเมริกันให้กับรัฐบาลจีนอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของข้อมูล
    - การเปิดเผยโมเดล AI อาจเพิ่มความสามารถของจีนในด้านเทคโนโลยี

    ℹ️ ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นใน Meta
    - ข้อกล่าวหาเหล่านี้อาจลดความเชื่อมั่นของผู้ใช้และนักลงทุนใน Meta
    - การจัดการข้อกล่าวหาอย่างโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่น

    https://www.techradar.com/pro/security/zuckerberg-offered-us-data-to-china-in-bid-to-enter-market-ex-meta-exec-tells-senate
    Sarah Wynn-Williams อดีตผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายสาธารณะของ Meta ได้ให้การต่อหน้าคณะกรรมการวุฒิสภาสหรัฐฯ โดยกล่าวหาว่า Meta และ Zuckerberg พร้อมที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อเข้าถึงตลาดจีนที่มีประชากร 1.4 พันล้านคน รวมถึงการเสนอข้อมูลของผู้ใช้ชาวอเมริกันให้กับรัฐบาลจีน Meta ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ โดยโฆษกของ Meta ระบุว่าข้อกล่าวหานั้น "ไม่เป็นความจริงและห่างไกลจากความเป็นจริง" และยืนยันว่า Meta ไม่ได้ดำเนินการในประเทศจีน นอกจากนี้ Wynn-Williams ยังกล่าวว่า Meta มีส่วนช่วยในการพัฒนา AI ของจีนผ่านการเปิดเผยโมเดล Llama AI และยังร่วมมือกับรัฐบาลจีนในการพัฒนาเครื่องมือเซ็นเซอร์ ✅ ข้อกล่าวหาต่อ Mark Zuckerberg และ Meta - Sarah Wynn-Williams กล่าวหาว่า Zuckerberg เสนอข้อมูลของผู้ใช้ชาวอเมริกันให้กับรัฐบาลจีน - Meta ปฏิเสธข้อกล่าวหาและยืนยันว่าไม่ได้ดำเนินการในประเทศจีน ✅ การพัฒนา AI และเครื่องมือเซ็นเซอร์ - Wynn-Williams อ้างว่า Meta มีส่วนช่วยในการพัฒนา AI ของจีน - Meta ถูกกล่าวหาว่าร่วมมือกับรัฐบาลจีนในการพัฒนาเครื่องมือเซ็นเซอร์ ℹ️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูล - การเสนอข้อมูลของผู้ใช้ชาวอเมริกันให้กับรัฐบาลจีนอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของข้อมูล - การเปิดเผยโมเดล AI อาจเพิ่มความสามารถของจีนในด้านเทคโนโลยี ℹ️ ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นใน Meta - ข้อกล่าวหาเหล่านี้อาจลดความเชื่อมั่นของผู้ใช้และนักลงทุนใน Meta - การจัดการข้อกล่าวหาอย่างโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่น https://www.techradar.com/pro/security/zuckerberg-offered-us-data-to-china-in-bid-to-enter-market-ex-meta-exec-tells-senate
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sensata Technologies ได้รายงานเหตุการณ์แรนซัมแวร์ที่เข้ารหัสอุปกรณ์บางส่วนในเครือข่ายของบริษัท การโจมตีนี้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน เช่น การจัดส่ง การรับสินค้า การผลิต และการสนับสนุนอื่นๆ บริษัทได้ดำเนินการตอบสนองทันทีโดยปิดเครือข่ายบางส่วน นำผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วย และแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

    Sensata ยังระบุว่ามีการสูญเสียไฟล์บางส่วน แต่ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับไฟล์เหล่านั้น ขณะนี้บริษัทกำลังตรวจสอบไฟล์ที่ได้รับผลกระทบและจะดำเนินการเพิ่มเติมตามความเหมาะสม

    แม้ว่าบริษัทจะคาดการณ์ว่าเหตุการณ์นี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการในไตรมาสที่สองของปี 2025 แต่ก็ยังไม่สามารถประเมินผลกระทบทั้งหมดได้

    ✅ เหตุการณ์แรนซัมแวร์ที่ Sensata Technologies
    - Sensata ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ที่เข้ารหัสอุปกรณ์บางส่วนในเครือข่าย
    - ส่งผลกระทบต่อการจัดส่ง การรับสินค้า การผลิต และการสนับสนุนอื่นๆ

    ✅ การตอบสนองของบริษัท
    - ปิดเครือข่ายบางส่วนและนำผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วย
    - แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเริ่มการตรวจสอบ

    ✅ การสูญเสียไฟล์และการตรวจสอบ
    - บริษัทสูญเสียไฟล์บางส่วนและกำลังตรวจสอบไฟล์ที่ได้รับผลกระทบ
    - จะดำเนินการเพิ่มเติมตามความเหมาะสม

    ✅ ผลกระทบต่อผลประกอบการ
    - Sensata คาดว่าเหตุการณ์นี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการในไตรมาสที่สองของปี 2025

    ℹ️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยไซเบอร์
    - การโจมตีแรนซัมแวร์อาจทำให้ข้อมูลสำคัญของบริษัทตกอยู่ในความเสี่ยง
    - การสูญเสียไฟล์อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานในระยะยาว

    ℹ️ ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้า
    - เหตุการณ์นี้อาจลดความเชื่อมั่นของลูกค้าและคู่ค้าในระบบความปลอดภัยของบริษัท
    - การจัดการเหตุการณ์อย่างโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่น

    https://www.techradar.com/pro/security/top-us-sensor-maker-sensata-hit-by-worrying-ransomware-attack
    Sensata Technologies ได้รายงานเหตุการณ์แรนซัมแวร์ที่เข้ารหัสอุปกรณ์บางส่วนในเครือข่ายของบริษัท การโจมตีนี้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน เช่น การจัดส่ง การรับสินค้า การผลิต และการสนับสนุนอื่นๆ บริษัทได้ดำเนินการตอบสนองทันทีโดยปิดเครือข่ายบางส่วน นำผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วย และแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง Sensata ยังระบุว่ามีการสูญเสียไฟล์บางส่วน แต่ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับไฟล์เหล่านั้น ขณะนี้บริษัทกำลังตรวจสอบไฟล์ที่ได้รับผลกระทบและจะดำเนินการเพิ่มเติมตามความเหมาะสม แม้ว่าบริษัทจะคาดการณ์ว่าเหตุการณ์นี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการในไตรมาสที่สองของปี 2025 แต่ก็ยังไม่สามารถประเมินผลกระทบทั้งหมดได้ ✅ เหตุการณ์แรนซัมแวร์ที่ Sensata Technologies - Sensata ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ที่เข้ารหัสอุปกรณ์บางส่วนในเครือข่าย - ส่งผลกระทบต่อการจัดส่ง การรับสินค้า การผลิต และการสนับสนุนอื่นๆ ✅ การตอบสนองของบริษัท - ปิดเครือข่ายบางส่วนและนำผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วย - แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเริ่มการตรวจสอบ ✅ การสูญเสียไฟล์และการตรวจสอบ - บริษัทสูญเสียไฟล์บางส่วนและกำลังตรวจสอบไฟล์ที่ได้รับผลกระทบ - จะดำเนินการเพิ่มเติมตามความเหมาะสม ✅ ผลกระทบต่อผลประกอบการ - Sensata คาดว่าเหตุการณ์นี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการในไตรมาสที่สองของปี 2025 ℹ️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยไซเบอร์ - การโจมตีแรนซัมแวร์อาจทำให้ข้อมูลสำคัญของบริษัทตกอยู่ในความเสี่ยง - การสูญเสียไฟล์อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานในระยะยาว ℹ️ ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้า - เหตุการณ์นี้อาจลดความเชื่อมั่นของลูกค้าและคู่ค้าในระบบความปลอดภัยของบริษัท - การจัดการเหตุการณ์อย่างโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่น https://www.techradar.com/pro/security/top-us-sensor-maker-sensata-hit-by-worrying-ransomware-attack
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีอดีตพนักงาน OpenAI จำนวนสิบสองคนตัดสินใจยื่นเอกสารเพื่อสนับสนุนการฟ้องร้องของ Elon Musk ว่า OpenAI ควรรักษาสถานะองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรไว้ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อดึงดูดการลงทุน แต่มันกลับทำให้เกิดคำถามว่าองค์กรยังยึดมั่นในเป้าหมายเดิมหรือไม่ Musk กล่าวหาว่า OpenAI หลุดจากเส้นทางเดิมที่ตั้งใจไว้ ซึ่งเป็นการพัฒนา AI เพื่อมนุษยชาติแทนที่จะเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ

    เมื่อย้อนมาดูต้นเรื่อง OpenAI ก่อตั้งโดย Musk และ Sam Altman ในปี 2015 โดยมีเป้าหมายในการสร้าง AI อย่างมีความรับผิดชอบ แต่ Musk ออกจาก OpenAI ก่อนที่มันจะเติบโตเป็นองค์กรชั้นนำในเทคโนโลยี AI และต่อมาได้จัดตั้งบริษัท AI ของเขาเองชื่อ xAI ในปี 2023

    ✅ อดีตพนักงาน OpenAI สนับสนุน Musk ในคดีฟ้องร้อง อดีตพนักงาน 12 คนจาก OpenAI สนับสนุน Elon Musk ในความพยายามรักษาสถานะองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรของ OpenAI

    ✅ ข้อกล่าวหาจาก Musk Musk อ้างว่า OpenAI ละเลยเป้าหมายเดิมและมุ่งเน้นที่ผลกำไร

    ✅ จุดประสงค์การเปลี่ยนแปลง OpenAI ชี้แจงว่าการเปลี่ยนแปลงมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มทรัพยากรเพื่อสนับสนุนเป้าหมายเดิม

    ✅ ความสำคัญของโครงสร้างองค์กร อดีตพนักงานระบุว่าการรักษาโครงสร้างองค์กรเดิมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเป้าหมายเพื่อมนุษยชาติ

    ℹ️ ข้อกังวลเรื่องเป้าหมาย การเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรอาจทำให้ OpenAI สูญเสียการควบคุม AI เพื่อประโยชน์สาธารณะ

    ℹ️ แรงกดดันด้านการลงทุน OpenAI ต้องเผชิญแรงกดดันในการระดมทุน 40 พันล้านเหรียญ ซึ่งอาจเร่งให้ต้องเปลี่ยนโครงสร้าง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/12/group-of-ex-openai-employees-back-musk039s-lawsuit-to-halt-openai-restructure
    มีอดีตพนักงาน OpenAI จำนวนสิบสองคนตัดสินใจยื่นเอกสารเพื่อสนับสนุนการฟ้องร้องของ Elon Musk ว่า OpenAI ควรรักษาสถานะองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรไว้ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อดึงดูดการลงทุน แต่มันกลับทำให้เกิดคำถามว่าองค์กรยังยึดมั่นในเป้าหมายเดิมหรือไม่ Musk กล่าวหาว่า OpenAI หลุดจากเส้นทางเดิมที่ตั้งใจไว้ ซึ่งเป็นการพัฒนา AI เพื่อมนุษยชาติแทนที่จะเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ เมื่อย้อนมาดูต้นเรื่อง OpenAI ก่อตั้งโดย Musk และ Sam Altman ในปี 2015 โดยมีเป้าหมายในการสร้าง AI อย่างมีความรับผิดชอบ แต่ Musk ออกจาก OpenAI ก่อนที่มันจะเติบโตเป็นองค์กรชั้นนำในเทคโนโลยี AI และต่อมาได้จัดตั้งบริษัท AI ของเขาเองชื่อ xAI ในปี 2023 ✅ อดีตพนักงาน OpenAI สนับสนุน Musk ในคดีฟ้องร้อง อดีตพนักงาน 12 คนจาก OpenAI สนับสนุน Elon Musk ในความพยายามรักษาสถานะองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรของ OpenAI ✅ ข้อกล่าวหาจาก Musk Musk อ้างว่า OpenAI ละเลยเป้าหมายเดิมและมุ่งเน้นที่ผลกำไร ✅ จุดประสงค์การเปลี่ยนแปลง OpenAI ชี้แจงว่าการเปลี่ยนแปลงมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มทรัพยากรเพื่อสนับสนุนเป้าหมายเดิม ✅ ความสำคัญของโครงสร้างองค์กร อดีตพนักงานระบุว่าการรักษาโครงสร้างองค์กรเดิมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเป้าหมายเพื่อมนุษยชาติ ℹ️ ข้อกังวลเรื่องเป้าหมาย การเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรอาจทำให้ OpenAI สูญเสียการควบคุม AI เพื่อประโยชน์สาธารณะ ℹ️ แรงกดดันด้านการลงทุน OpenAI ต้องเผชิญแรงกดดันในการระดมทุน 40 พันล้านเหรียญ ซึ่งอาจเร่งให้ต้องเปลี่ยนโครงสร้าง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/12/group-of-ex-openai-employees-back-musk039s-lawsuit-to-halt-openai-restructure
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Group of ex-OpenAI employees back Musk's lawsuit to halt OpenAI restructure
    SAN FRANCISCO (Reuters) - A dozen former OpenAI employees filed a legal brief on Friday backing co-founder Elon Musk's lawsuit aimed at keeping the non-profit status of OpenAI, marking the latest development in the dispute over the future of the artificial intelligence firm.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • การแพร่กระจายข้อมูลเท็จหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมาแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการตรวจสอบข้อมูลและการสนับสนุนองค์กรช่วยเหลือในพื้นที่ การเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญในช่วงวิกฤต

    ✅ การแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ:
    - หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2025 มีการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ เช่น วิดีโอที่สร้างจาก AI หรือภาพจากเหตุการณ์ในประเทศอื่น
    - ข้อมูลเท็จเหล่านี้ถูกใช้เพื่อสร้างรายได้จากโฆษณา โดยผู้สร้างเนื้อหาได้รับเงินจากการแชร์และการดู

    ✅ ผลกระทบต่อการช่วยเหลือ:
    - การแพร่กระจายข้อมูลเท็จทำให้เกิดความตื่นตระหนกและขัดขวางการช่วยเหลือผู้ประสบภัย
    - องค์กรช่วยเหลือและประชาชนในพื้นที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง

    ✅ การตอบสนองของแพลตฟอร์ม:
    - Meta และ TikTok ได้ดำเนินการลบโพสต์ที่มีข้อมูลเท็จและแนะนำแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
    - TikTok มีการฝึกอบรมผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในกว่า 50 ภาษาเพื่อจัดการกับข้อมูลเท็จ

    ✅ ความสำคัญของการเข้าถึงข้อมูล:
    - การเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องในช่วงวิกฤตเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากข้อมูลที่ผิดพลาดอาจส่งผลต่อชีวิตและความปลอดภัย

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/11/making-money-out-of-a-disaster-fake-news-in-myanmar-quake
    การแพร่กระจายข้อมูลเท็จหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมาแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการตรวจสอบข้อมูลและการสนับสนุนองค์กรช่วยเหลือในพื้นที่ การเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญในช่วงวิกฤต ✅ การแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ: - หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2025 มีการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ เช่น วิดีโอที่สร้างจาก AI หรือภาพจากเหตุการณ์ในประเทศอื่น - ข้อมูลเท็จเหล่านี้ถูกใช้เพื่อสร้างรายได้จากโฆษณา โดยผู้สร้างเนื้อหาได้รับเงินจากการแชร์และการดู ✅ ผลกระทบต่อการช่วยเหลือ: - การแพร่กระจายข้อมูลเท็จทำให้เกิดความตื่นตระหนกและขัดขวางการช่วยเหลือผู้ประสบภัย - องค์กรช่วยเหลือและประชาชนในพื้นที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง ✅ การตอบสนองของแพลตฟอร์ม: - Meta และ TikTok ได้ดำเนินการลบโพสต์ที่มีข้อมูลเท็จและแนะนำแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ - TikTok มีการฝึกอบรมผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในกว่า 50 ภาษาเพื่อจัดการกับข้อมูลเท็จ ✅ ความสำคัญของการเข้าถึงข้อมูล: - การเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องในช่วงวิกฤตเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากข้อมูลที่ผิดพลาดอาจส่งผลต่อชีวิตและความปลอดภัย https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/11/making-money-out-of-a-disaster-fake-news-in-myanmar-quake
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Making money out of a disaster: fake news in Myanmar quake
    Creators and social platforms cash in as misinformation floods newsfeeds after Myanmar quake.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในงาน Kyiv International Cyber Resilience Forum 2025 ที่จัดขึ้นในยูเครน มีการพูดถึงบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความยืดหยุ่นในโลกไซเบอร์ โดยเฉพาะในบริบทของสงครามไซเบอร์ที่ยูเครนต้องเผชิญจากการโจมตีของรัสเซีย

    ✅ ความร่วมมือระหว่างประเทศ:
    - ยูเครนสามารถป้องกันการโจมตีไซเบอร์จากรัสเซียได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยความช่วยเหลือจากองค์กรเอกชนในสหรัฐฯ และยุโรป
    - การโจมตีของรัสเซียไม่ได้มาจากหน่วยงานรัฐอย่าง GRU, SVR และ FSB เท่านั้น แต่ยังรวมถึงกลุ่มอาชญากรรมไซเบอร์ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการโจมตี

    ✅ กลยุทธ์ของรัสเซีย:
    - รัสเซียมีความเชี่ยวชาญในด้าน Social Engineering โดยใช้ QR Code เพื่อหลอกลวงเป้าหมายให้ติดตั้งมัลแวร์ผ่านแอปพลิเคชัน Signal
    - Google Threat Intelligence Group ได้เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับวิธีการโจมตีนี้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025

    ✅ ความยืดหยุ่นในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง:
    - ยูเครนต้องเผชิญกับความท้าทายเมื่อพันธมิตรบางราย เช่น Signal หยุดให้ความร่วมมือ
    - การมีแผนสำรองและทางเลือกที่หลากหลาย เช่น การใช้ระบบสื่อสารหรือภาพถ่ายดาวเทียมจากแหล่งอื่น เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความยืดหยุ่น

    บทเรียนที่องค์กรสามารถนำไปปรับใช้:
    💡 อย่าพึ่งพาแหล่งเดียว:
    - การมีแผนสำรองสำหรับกรณีที่บริการหรือพันธมิตรหยุดให้ความร่วมมือเป็นสิ่งสำคัญ

    💡 การเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์เลวร้ายที่สุด:
    - การวางแผนรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น การโจมตีไซเบอร์หรือภัยพิบัติ ช่วยให้องค์กรสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว

    💡 การสร้างความร่วมมือในระดับนานาชาติ:
    - การทำงานร่วมกับพันธมิตรในระดับโลกช่วยเพิ่มศักยภาพในการป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์

    https://www.csoonline.com/article/3950749/some-lessons-learned-about-resilience-in-cybersecurity-from-a-visit-to-ukraine.html
    ในงาน Kyiv International Cyber Resilience Forum 2025 ที่จัดขึ้นในยูเครน มีการพูดถึงบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความยืดหยุ่นในโลกไซเบอร์ โดยเฉพาะในบริบทของสงครามไซเบอร์ที่ยูเครนต้องเผชิญจากการโจมตีของรัสเซีย ✅ ความร่วมมือระหว่างประเทศ: - ยูเครนสามารถป้องกันการโจมตีไซเบอร์จากรัสเซียได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยความช่วยเหลือจากองค์กรเอกชนในสหรัฐฯ และยุโรป - การโจมตีของรัสเซียไม่ได้มาจากหน่วยงานรัฐอย่าง GRU, SVR และ FSB เท่านั้น แต่ยังรวมถึงกลุ่มอาชญากรรมไซเบอร์ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการโจมตี ✅ กลยุทธ์ของรัสเซีย: - รัสเซียมีความเชี่ยวชาญในด้าน Social Engineering โดยใช้ QR Code เพื่อหลอกลวงเป้าหมายให้ติดตั้งมัลแวร์ผ่านแอปพลิเคชัน Signal - Google Threat Intelligence Group ได้เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับวิธีการโจมตีนี้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ✅ ความยืดหยุ่นในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง: - ยูเครนต้องเผชิญกับความท้าทายเมื่อพันธมิตรบางราย เช่น Signal หยุดให้ความร่วมมือ - การมีแผนสำรองและทางเลือกที่หลากหลาย เช่น การใช้ระบบสื่อสารหรือภาพถ่ายดาวเทียมจากแหล่งอื่น เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความยืดหยุ่น บทเรียนที่องค์กรสามารถนำไปปรับใช้: 💡 อย่าพึ่งพาแหล่งเดียว: - การมีแผนสำรองสำหรับกรณีที่บริการหรือพันธมิตรหยุดให้ความร่วมมือเป็นสิ่งสำคัญ 💡 การเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์เลวร้ายที่สุด: - การวางแผนรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น การโจมตีไซเบอร์หรือภัยพิบัติ ช่วยให้องค์กรสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว 💡 การสร้างความร่วมมือในระดับนานาชาติ: - การทำงานร่วมกับพันธมิตรในระดับโลกช่วยเพิ่มศักยภาพในการป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์ https://www.csoonline.com/article/3950749/some-lessons-learned-about-resilience-in-cybersecurity-from-a-visit-to-ukraine.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Lessons learned about cyber resilience from a visit to Ukraine
    When systems fail, it’s important to have a plan to replace lost resources however and from wherever you can source them, as the embattled country has learned over more than a decade of conflict.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 178 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในยุคที่ภัยคุกคามไซเบอร์พัฒนาอย่างรวดเร็ว การฝึกอบรมพนักงานให้รับมือกับการโจมตี เช่น Phishing, Social Engineering และ Deepfake เป็นสิ่งสำคัญ แต่การมอบหมายให้ HR เป็นผู้ดูแลการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยไซเบอร์โดยลำพัง อาจทำให้องค์กรตกอยู่ในความเสี่ยง

    == ข้อจำกัดของ HR ในการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ==
    ✅ ขาดความรู้เฉพาะทาง:
    - HR อาจไม่มีความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เช่น เทคนิคใหม่ ๆ ที่แฮ็กเกอร์ใช้โจมตี

    ✅ การฝึกอบรมที่ไม่ตรงจุด:
    - การฝึกอบรมที่จัดโดย HR อาจเน้นไปที่การปฏิบัติตามข้อกำหนดทั่วไป แต่ขาดการเน้นย้ำถึงภัยคุกคามเฉพาะที่องค์กรเผชิญ

    ✅ ความไม่สอดคล้องกับความต้องการขององค์กร:
    - HR อาจไม่สามารถปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับอุตสาหกรรม เช่น ในภาคการเงินที่ต้องเน้นการป้องกันข้อมูลบัตรเครดิต

    == ความสำคัญของความร่วมมือระหว่าง HR และทีมความปลอดภัย ==
    💡 การสร้างเนื้อหาที่มีประสิทธิภาพ:
    - ทีมความปลอดภัยสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับภัยคุกคามที่องค์กรเผชิญ และช่วยออกแบบการฝึกอบรมที่ตรงจุด

    💡 การแปลข้อมูลเทคนิคให้เข้าใจง่าย:
    - HR สามารถช่วยแปลข้อมูลเชิงเทคนิคให้เป็นภาษาที่พนักงานทั่วไปเข้าใจได้ง่าย

    💡 การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย:
    - การฝึกอบรมที่มีความร่วมมือระหว่าง HR และทีมความปลอดภัยช่วยสร้างความตระหนักรู้และวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กร

    https://www.csoonline.com/article/3856404/is-hr-running-your-employee-security-training-heres-why-thats-not-always-the-best-idea.html
    ในยุคที่ภัยคุกคามไซเบอร์พัฒนาอย่างรวดเร็ว การฝึกอบรมพนักงานให้รับมือกับการโจมตี เช่น Phishing, Social Engineering และ Deepfake เป็นสิ่งสำคัญ แต่การมอบหมายให้ HR เป็นผู้ดูแลการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยไซเบอร์โดยลำพัง อาจทำให้องค์กรตกอยู่ในความเสี่ยง == ข้อจำกัดของ HR ในการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยไซเบอร์ == ✅ ขาดความรู้เฉพาะทาง: - HR อาจไม่มีความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เช่น เทคนิคใหม่ ๆ ที่แฮ็กเกอร์ใช้โจมตี ✅ การฝึกอบรมที่ไม่ตรงจุด: - การฝึกอบรมที่จัดโดย HR อาจเน้นไปที่การปฏิบัติตามข้อกำหนดทั่วไป แต่ขาดการเน้นย้ำถึงภัยคุกคามเฉพาะที่องค์กรเผชิญ ✅ ความไม่สอดคล้องกับความต้องการขององค์กร: - HR อาจไม่สามารถปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับอุตสาหกรรม เช่น ในภาคการเงินที่ต้องเน้นการป้องกันข้อมูลบัตรเครดิต == ความสำคัญของความร่วมมือระหว่าง HR และทีมความปลอดภัย == 💡 การสร้างเนื้อหาที่มีประสิทธิภาพ: - ทีมความปลอดภัยสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับภัยคุกคามที่องค์กรเผชิญ และช่วยออกแบบการฝึกอบรมที่ตรงจุด 💡 การแปลข้อมูลเทคนิคให้เข้าใจง่าย: - HR สามารถช่วยแปลข้อมูลเชิงเทคนิคให้เป็นภาษาที่พนักงานทั่วไปเข้าใจได้ง่าย 💡 การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย: - การฝึกอบรมที่มีความร่วมมือระหว่าง HR และทีมความปลอดภัยช่วยสร้างความตระหนักรู้และวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กร https://www.csoonline.com/article/3856404/is-hr-running-your-employee-security-training-heres-why-thats-not-always-the-best-idea.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Is HR running your employee security training? Here’s why that’s not always the best idea
    Training employees to resist the lure of phishing, scams, and deepfakes is central to a good cybersecurity posture, but to be effective it needs to be handled with plenty of input and guidance from the security team.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลุ่มแฮ็กเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากจีนอย่าง ToddyCat ถูกเปิดโปงว่ากำลังใช้ช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส ESET เพื่อฝังโค้ดอันตรายเข้าสู่ระบบที่ไม่ได้รับการป้องกันอย่างเหมาะสม ช่องโหว่นี้ระบุว่าเป็น CVE-2024-11859 ซึ่งเกี่ยวกับการจัดการ Dynamic Link Library (DLL) โดยมีการค้นพบครั้งแรกและแจ้งเตือนจาก Kaspersky

    ✅ วิธีการโจมตี:
    - ช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ ESET ถูกใช้ในการปลูกฝัง DLL ที่มีโค้ดอันตราย เพื่อให้โหลดแทนไฟล์ระบบที่ถูกต้องเมื่อเรียกใช้ ESET Command Line Scanner
    - การโจมตีแบบนี้ต้องการสิทธิ์ระดับผู้ดูแลระบบ ทำให้นักโจมตีสามารถเจาะระบบอย่างลึกซึ้งและติดตั้งมัลแวร์ เช่น TCESB ซึ่งเป็นมัลแวร์เฉพาะที่ใช้ในแคมเปญนี้

    ✅ กลุ่มเป้าหมาย:
    - กลุ่ม ToddyCat ได้ใช้ช่องโหว่นี้ตั้งแต่ต้นปี 2024 โดยเน้นเจาะอุปกรณ์ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของ ESET เช่น ESET NOD32 Antivirus, ESET Internet Security, และผลิตภัณฑ์สำหรับองค์กร เช่น Endpoint Security

    ✅ การตอบสนอง:
    - ESET ได้ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่นี้ในเดือนมกราคม 2025 และแนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดตซอฟต์แวร์ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด เพื่อปิดช่องทางที่กลุ่ม ToddyCat ใช้ในการโจมตี

    💡 ช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญสำหรับแฮ็กเกอร์: เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่าการไม่อัปเดตซอฟต์แวร์สามารถทำให้อุปกรณ์ตกเป็นเป้าได้ง่าย

    💡 ตรวจสอบและป้องกันมัลแวร์ในระดับลึก: การตรวจสอบไฟล์ระบบ เช่น version.dll หรือการติดตามการติดตั้งไดรเวอร์ที่มีช่องโหว่เป็นสิ่งสำคัญ

    https://www.csoonline.com/article/3957108/chinese-toddycat-abuses-eset-antivirus-bug-for-malicious-activities.html
    กลุ่มแฮ็กเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากจีนอย่าง ToddyCat ถูกเปิดโปงว่ากำลังใช้ช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส ESET เพื่อฝังโค้ดอันตรายเข้าสู่ระบบที่ไม่ได้รับการป้องกันอย่างเหมาะสม ช่องโหว่นี้ระบุว่าเป็น CVE-2024-11859 ซึ่งเกี่ยวกับการจัดการ Dynamic Link Library (DLL) โดยมีการค้นพบครั้งแรกและแจ้งเตือนจาก Kaspersky ✅ วิธีการโจมตี: - ช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ ESET ถูกใช้ในการปลูกฝัง DLL ที่มีโค้ดอันตราย เพื่อให้โหลดแทนไฟล์ระบบที่ถูกต้องเมื่อเรียกใช้ ESET Command Line Scanner - การโจมตีแบบนี้ต้องการสิทธิ์ระดับผู้ดูแลระบบ ทำให้นักโจมตีสามารถเจาะระบบอย่างลึกซึ้งและติดตั้งมัลแวร์ เช่น TCESB ซึ่งเป็นมัลแวร์เฉพาะที่ใช้ในแคมเปญนี้ ✅ กลุ่มเป้าหมาย: - กลุ่ม ToddyCat ได้ใช้ช่องโหว่นี้ตั้งแต่ต้นปี 2024 โดยเน้นเจาะอุปกรณ์ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของ ESET เช่น ESET NOD32 Antivirus, ESET Internet Security, และผลิตภัณฑ์สำหรับองค์กร เช่น Endpoint Security ✅ การตอบสนอง: - ESET ได้ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่นี้ในเดือนมกราคม 2025 และแนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดตซอฟต์แวร์ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด เพื่อปิดช่องทางที่กลุ่ม ToddyCat ใช้ในการโจมตี 💡 ช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญสำหรับแฮ็กเกอร์: เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่าการไม่อัปเดตซอฟต์แวร์สามารถทำให้อุปกรณ์ตกเป็นเป้าได้ง่าย 💡 ตรวจสอบและป้องกันมัลแวร์ในระดับลึก: การตรวจสอบไฟล์ระบบ เช่น version.dll หรือการติดตามการติดตั้งไดรเวอร์ที่มีช่องโหว่เป็นสิ่งสำคัญ https://www.csoonline.com/article/3957108/chinese-toddycat-abuses-eset-antivirus-bug-for-malicious-activities.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Chinese ToddyCat abuses ESET antivirus bug for malicious activities
    The DLL search order hijacking vulnerability allows attackers to trick Windows into executing malicious DLLs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ได้ปล่อยอัปเดต Patch Tuesday สำหรับเดือนเมษายน 2025 โดยแก้ไขช่องโหว่ความปลอดภัยถึง 134 รายการ รวมถึง Zero-Day ที่นักโจมตีไซเบอร์ได้ใช้ประโยชน์เพื่อเข้าถึงสิทธิ์ระดับสูงในระบบ Windows เหตุการณ์นี้เตือนให้ผู้ใช้งานรีบติดตั้งอัปเดตเพื่อป้องกันภัยคุกคาม

    == สิ่งสำคัญในอัปเดตครั้งนี้ ==
    ✅ ช่องโหว่ Zero-Day ที่ต้องรีบแก้ไข:
    - ช่องโหว่ Zero-Day ถูกติดตามในชื่อ CVE-2025-29824 และช่วยให้นักโจมตีสามารถเข้าถึงสิทธิ์การใช้งานระบบ (System Privileges) บน Windows
    - แม้ Microsoft ยังไม่ได้เปิดเผยว่าช่องโหว่นี้ถูกใช้โจมตีในสถานการณ์จริงอย่างไร แต่ความสำคัญของการติดตั้งอัปเดตนี้คือการป้องกันไม่ให้ผู้ใช้ตกเป็นเป้าหมาย

    ✅ รายละเอียดของช่องโหว่ที่ได้รับการแก้ไข:
    - 49 Elevation of Privilege Vulnerabilities
    - 9 Security Feature Bypass Vulnerabilities
    - 31 Remote Code Execution Vulnerabilities
    - 17 Information Disclosure Vulnerabilities
    - 14 Denial of Service Vulnerabilities
    - 3 Spoofing Vulnerabilities

    ✅ คำแนะนำจาก Microsoft: ผู้ใช้ Windows ทุกคนควรรีบติดตั้งแพตช์ใหม่ทันทีที่พร้อมใช้งาน เพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากช่องโหว่เหล่านี้

    https://www.tomsguide.com/computing/online-security/microsoft-just-patched-134-windows-security-flaws-including-a-zero-day-used-by-hackers-update-your-pc-right-now
    Microsoft ได้ปล่อยอัปเดต Patch Tuesday สำหรับเดือนเมษายน 2025 โดยแก้ไขช่องโหว่ความปลอดภัยถึง 134 รายการ รวมถึง Zero-Day ที่นักโจมตีไซเบอร์ได้ใช้ประโยชน์เพื่อเข้าถึงสิทธิ์ระดับสูงในระบบ Windows เหตุการณ์นี้เตือนให้ผู้ใช้งานรีบติดตั้งอัปเดตเพื่อป้องกันภัยคุกคาม == สิ่งสำคัญในอัปเดตครั้งนี้ == ✅ ช่องโหว่ Zero-Day ที่ต้องรีบแก้ไข: - ช่องโหว่ Zero-Day ถูกติดตามในชื่อ CVE-2025-29824 และช่วยให้นักโจมตีสามารถเข้าถึงสิทธิ์การใช้งานระบบ (System Privileges) บน Windows - แม้ Microsoft ยังไม่ได้เปิดเผยว่าช่องโหว่นี้ถูกใช้โจมตีในสถานการณ์จริงอย่างไร แต่ความสำคัญของการติดตั้งอัปเดตนี้คือการป้องกันไม่ให้ผู้ใช้ตกเป็นเป้าหมาย ✅ รายละเอียดของช่องโหว่ที่ได้รับการแก้ไข: - 49 Elevation of Privilege Vulnerabilities - 9 Security Feature Bypass Vulnerabilities - 31 Remote Code Execution Vulnerabilities - 17 Information Disclosure Vulnerabilities - 14 Denial of Service Vulnerabilities - 3 Spoofing Vulnerabilities ✅ คำแนะนำจาก Microsoft: ผู้ใช้ Windows ทุกคนควรรีบติดตั้งแพตช์ใหม่ทันทีที่พร้อมใช้งาน เพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากช่องโหว่เหล่านี้ https://www.tomsguide.com/computing/online-security/microsoft-just-patched-134-windows-security-flaws-including-a-zero-day-used-by-hackers-update-your-pc-right-now
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 112 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในยุคที่การโจมตีไซเบอร์เป็นภัยคุกคามระดับโลกและพัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็ว ความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการรวมกลุ่ม (DEI) ได้ถูกยกระดับเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งของทีมไซเบอร์ ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดช่องว่างความสามารถด้านความปลอดภัย แต่ยังสร้างทีมงานที่สามารถป้องกันและตอบสนองภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    == ความสำคัญของ DEI ในความปลอดภัยไซเบอร์ ==
    ✅ การรวมความหลากหลายทำให้ทีมแข็งแกร่งขึ้น:
    - ทีมงานที่มีความหลากหลายไม่เพียงแต่ช่วยให้มีมุมมองที่แตกต่าง แต่ยังช่วยลดจุดบอดที่ทีมงานทั่วไปอาจมองไม่เห็น
    - เช่น ความหลากหลายด้านวัฒนธรรมและพฤติกรรมช่วยให้เข้าใจวิธีการใช้เทคโนโลยีในแบบต่าง ๆ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญต่อการสร้างกลยุทธ์ป้องกัน

    ✅ สร้างโอกาสให้กลุ่มคนที่ถูกมองข้าม:
    - การให้ความสำคัญกับ DEI ช่วยเปิดทางให้บุคคลที่เคยขาดโอกาสได้เข้าสู่สายงานไซเบอร์ เช่น ผู้หญิงที่ยังเป็นเพียง 15% ในวงการนี้ และชาวแอฟริกันอเมริกันที่มีเพียง 8% ในสายงานเทคโนโลยี

    ✅ ช่วยลดปัญหาขาดแคลนบุคลากร:
    - ปัจจุบัน มีตำแหน่งงานด้านไซเบอร์กว่า 450,000 ตำแหน่ง ในสหรัฐฯ ที่ยังขาดแคลนบุคลากร และ DEI จะช่วยสร้างเส้นทางสู่การพัฒนาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ

    == โครงการและมาตรการที่ช่วยผลักดัน DEI ==
    #ShareTheMicInCyber (#STMIC):
    - แคมเปญที่ช่วยสร้างพื้นที่และยกระดับความสำคัญของผู้เชี่ยวชาญไซเบอร์ที่เป็นคนผิวดำ พร้อมกับจัดตั้งทุนการศึกษาที่ช่วยสร้างโอกาสในสายงานนี้

    ✅ การสร้างแนวทางที่มีมิติทางสังคมและเทคโนโลยี:
    - DEI ช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมการใช้งานเทคโนโลยีที่แตกต่างตามวัฒนธรรม ช่วยเสริมสร้างระบบป้องกันความเสี่ยงที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

    https://www.csoonline.com/article/3953961/why-dei-is-key-for-a-cyber-safe-future.html
    ในยุคที่การโจมตีไซเบอร์เป็นภัยคุกคามระดับโลกและพัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็ว ความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการรวมกลุ่ม (DEI) ได้ถูกยกระดับเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งของทีมไซเบอร์ ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดช่องว่างความสามารถด้านความปลอดภัย แต่ยังสร้างทีมงานที่สามารถป้องกันและตอบสนองภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพ == ความสำคัญของ DEI ในความปลอดภัยไซเบอร์ == ✅ การรวมความหลากหลายทำให้ทีมแข็งแกร่งขึ้น: - ทีมงานที่มีความหลากหลายไม่เพียงแต่ช่วยให้มีมุมมองที่แตกต่าง แต่ยังช่วยลดจุดบอดที่ทีมงานทั่วไปอาจมองไม่เห็น - เช่น ความหลากหลายด้านวัฒนธรรมและพฤติกรรมช่วยให้เข้าใจวิธีการใช้เทคโนโลยีในแบบต่าง ๆ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญต่อการสร้างกลยุทธ์ป้องกัน ✅ สร้างโอกาสให้กลุ่มคนที่ถูกมองข้าม: - การให้ความสำคัญกับ DEI ช่วยเปิดทางให้บุคคลที่เคยขาดโอกาสได้เข้าสู่สายงานไซเบอร์ เช่น ผู้หญิงที่ยังเป็นเพียง 15% ในวงการนี้ และชาวแอฟริกันอเมริกันที่มีเพียง 8% ในสายงานเทคโนโลยี ✅ ช่วยลดปัญหาขาดแคลนบุคลากร: - ปัจจุบัน มีตำแหน่งงานด้านไซเบอร์กว่า 450,000 ตำแหน่ง ในสหรัฐฯ ที่ยังขาดแคลนบุคลากร และ DEI จะช่วยสร้างเส้นทางสู่การพัฒนาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ == โครงการและมาตรการที่ช่วยผลักดัน DEI == ✅ #ShareTheMicInCyber (#STMIC): - แคมเปญที่ช่วยสร้างพื้นที่และยกระดับความสำคัญของผู้เชี่ยวชาญไซเบอร์ที่เป็นคนผิวดำ พร้อมกับจัดตั้งทุนการศึกษาที่ช่วยสร้างโอกาสในสายงานนี้ ✅ การสร้างแนวทางที่มีมิติทางสังคมและเทคโนโลยี: - DEI ช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมการใช้งานเทคโนโลยีที่แตกต่างตามวัฒนธรรม ช่วยเสริมสร้างระบบป้องกันความเสี่ยงที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น https://www.csoonline.com/article/3953961/why-dei-is-key-for-a-cyber-safe-future.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Why DEI is key for a cyber safe future
    Diversity, equity, and inclusion (DEI) can be a cyber superpower — not just for reducing security skills gaps but for ensuring cybersecurity teams make defenses stronger and more adaptive.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ประกาศย้ำมาตรการใหม่เกี่ยวกับ Microsoft Teams โดยผู้ใช้งานจะไม่สามารถใช้งานแอปได้ หากไม่ได้อัปเดตเกิน 90 วัน หลังจากการปล่อยเวอร์ชันใหม่ มาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการเพิ่มความปลอดภัยและป้องกันปัญหาด้านการปฏิบัติงานในระบบ

    == เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังมาตรการนี้ ==
    ✅ การรักษาความปลอดภัย:
    - Microsoft ระบุว่าการอัปเดต Teams เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ของผู้ใช้งานปลอดภัยและเป็นไปตามมาตรฐาน Modern Lifecycle Policy

    ✅ การปรับปรุงระบบโดยอัตโนมัติ:
    - โดยปกติ Teams จะได้รับการอัปเดตอัตโนมัติ เพื่อลดภาระการจัดการของผู้ใช้งาน

    == รูปแบบการแจ้งเตือนผู้ใช้งาน ==
    ✅ เมื่อแอปไม่ได้รับการอัปเดตเกิน 30–90 วัน (หรือ 60–90 วันในระบบ VDI) ผู้ใช้งานจะเห็นการแจ้งเตือนภายในแอป

    ✅ หากเกิน 90 วัน แอปจะถูกบล็อก และแสดงตัวเลือกให้ผู้ใช้งานอัปเดต ติดต่อแอดมิน หรือเปลี่ยนไปใช้ Teams บนเว็บแทน

    ✅ วันเริ่มต้นบล็อกการใช้งาน:
    - 11 เมษายน 2025: บนแอป Teams ใน Windows
    - 6 พฤษภาคม 2025: สำหรับการใช้งานใน Virtual Desktop Infrastructure (VDI)
    - 15 พฤษภาคม 2025: บนแอป Teams สำหรับ macOS

    https://www.neowin.net/news/microsoft-shares-details-on-teams-block-if-app-is-not-updated-after-90-days/
    Microsoft ประกาศย้ำมาตรการใหม่เกี่ยวกับ Microsoft Teams โดยผู้ใช้งานจะไม่สามารถใช้งานแอปได้ หากไม่ได้อัปเดตเกิน 90 วัน หลังจากการปล่อยเวอร์ชันใหม่ มาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการเพิ่มความปลอดภัยและป้องกันปัญหาด้านการปฏิบัติงานในระบบ == เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังมาตรการนี้ == ✅ การรักษาความปลอดภัย: - Microsoft ระบุว่าการอัปเดต Teams เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ของผู้ใช้งานปลอดภัยและเป็นไปตามมาตรฐาน Modern Lifecycle Policy ✅ การปรับปรุงระบบโดยอัตโนมัติ: - โดยปกติ Teams จะได้รับการอัปเดตอัตโนมัติ เพื่อลดภาระการจัดการของผู้ใช้งาน == รูปแบบการแจ้งเตือนผู้ใช้งาน == ✅ เมื่อแอปไม่ได้รับการอัปเดตเกิน 30–90 วัน (หรือ 60–90 วันในระบบ VDI) ผู้ใช้งานจะเห็นการแจ้งเตือนภายในแอป ✅ หากเกิน 90 วัน แอปจะถูกบล็อก และแสดงตัวเลือกให้ผู้ใช้งานอัปเดต ติดต่อแอดมิน หรือเปลี่ยนไปใช้ Teams บนเว็บแทน ✅ วันเริ่มต้นบล็อกการใช้งาน: - 11 เมษายน 2025: บนแอป Teams ใน Windows - 6 พฤษภาคม 2025: สำหรับการใช้งานใน Virtual Desktop Infrastructure (VDI) - 15 พฤษภาคม 2025: บนแอป Teams สำหรับ macOS https://www.neowin.net/news/microsoft-shares-details-on-teams-block-if-app-is-not-updated-after-90-days/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft shares details on Teams block if app is not updated after 90 days
    Microsoft has confirmed that Teams will be warning users who are on an outdated app version and will eventually block it after 90 days.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความกตัญญูรู้คุณเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในครอบครัวใครละทิ้งนี้ไปให้ทำมาหากินให้ตายชีวิตก็ไม่มีความสุข
    ความกตัญญูรู้คุณเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในครอบครัวใครละทิ้งนี้ไปให้ทำมาหากินให้ตายชีวิตก็ไม่มีความสุข
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI กลายเป็นทั้งเครื่องมือช่วยเหลือและความท้าทายสำหรับนักศึกษาในมหาวิทยาลัย บางคนใช้เพื่อประหยัดเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียน ในขณะที่คนอื่นกังวลว่า AI อาจลดทักษะการคิดวิเคราะห์และความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียน การใช้ AI อย่างชาญฉลาดและการมีพื้นฐานความรู้ที่แข็งแกร่งจึงเป็นสิ่งสำคัญในการรับมือกับข้อดีและข้อเสียเหล่านี้

    == ข้อดีของการใช้ AI ในงานวิชาการ ==

    ✅ ประหยัดเวลา:
    - AI ช่วยลดระยะเวลาในการทำวิจัยแบบพื้นฐาน โดยช่วยจัดโครงสร้างไอเดียและสรุปเนื้อหา ทำให้นักศึกษาสามารถมุ่งเน้นไปที่งานสำคัญ เช่น โครงการวิจัยปริญญาโทหรือปริญญาเอก

    ✅ ช่วยตรวจสอบงาน:
    - นักศึกษาสามารถใช้ AI เพื่อช่วยตรวจสอบความถูกต้องของคำตอบ เช่น ในโจทย์คณิตศาสตร์หรือโปรแกรมมิ่ง

    ✅ ช่วยพัฒนาความเข้าใจ:
    - สำหรับผู้ที่มีปัญหาทักษะภาษา AI ช่วยให้พวกเขาเข้าใจเนื้อหาและสามารถแสดงความคิดเห็นในงานวิชาการได้ดีขึ้น

    ✅ เพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้:
    - AI อาจช่วยลดความเครียดและเพิ่มโอกาสในกิจกรรมเสริม เช่น งานพาร์ทไทม์หรือกิจกรรมอาสา

    == ข้อเสียและความเสี่ยงของการพึ่งพา AI ==

    ✅ ความเสี่ยงของข้อมูลผิดพลาด:
    - AI อาจสร้างข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง (hallucination) ซึ่งดูเหมือนน่าเชื่อถือ แต่จริง ๆ แล้วไม่เป็นความจริง นักศึกษาจึงต้องตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลด้วยตัวเอง

    ✅ ขาดความลึกซึ้งในความคิด:
    - การใช้ AI ในการสร้างงานแบบสำเร็จรูปอาจส่งผลให้นักศึกษาเสียโอกาสพัฒนาทักษะด้านการวิเคราะห์และความคิดสร้างสรรค์

    ✅ การพึ่งพามากเกินไป:
    - การใช้ AI อย่างหนักอาจทำให้นักศึกษาไม่พัฒนา “พื้นฐานการเรียนรู้” ที่เป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในงานวิชาการ

    == บทบาทของมหาวิทยาลัยและผู้สอน: ==

    ✅ มหาวิทยาลัยควรมีบทบาทชัดเจนในการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้งาน AI เช่น การจัดหลักสูตรเกี่ยวกับ prompt engineering และการสอนวิธีการใช้ AI อย่างเหมาะสม

    ✅ ผู้สอนบางคนมองว่า AI เป็นเครื่องมือที่ควรใช้ในระยะเริ่มต้น เพื่อกระตุ้นความคิดและแรงบันดาลใจ แต่ไม่ควรนำมาใช้สร้างงานขั้นสุดท้าย

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/07/borrowed-brainpower-m039sian-uni-students-weigh-the-pros-and-cons-of-ai-use-in-coursework
    AI กลายเป็นทั้งเครื่องมือช่วยเหลือและความท้าทายสำหรับนักศึกษาในมหาวิทยาลัย บางคนใช้เพื่อประหยัดเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียน ในขณะที่คนอื่นกังวลว่า AI อาจลดทักษะการคิดวิเคราะห์และความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียน การใช้ AI อย่างชาญฉลาดและการมีพื้นฐานความรู้ที่แข็งแกร่งจึงเป็นสิ่งสำคัญในการรับมือกับข้อดีและข้อเสียเหล่านี้ == ข้อดีของการใช้ AI ในงานวิชาการ == ✅ ประหยัดเวลา: - AI ช่วยลดระยะเวลาในการทำวิจัยแบบพื้นฐาน โดยช่วยจัดโครงสร้างไอเดียและสรุปเนื้อหา ทำให้นักศึกษาสามารถมุ่งเน้นไปที่งานสำคัญ เช่น โครงการวิจัยปริญญาโทหรือปริญญาเอก ✅ ช่วยตรวจสอบงาน: - นักศึกษาสามารถใช้ AI เพื่อช่วยตรวจสอบความถูกต้องของคำตอบ เช่น ในโจทย์คณิตศาสตร์หรือโปรแกรมมิ่ง ✅ ช่วยพัฒนาความเข้าใจ: - สำหรับผู้ที่มีปัญหาทักษะภาษา AI ช่วยให้พวกเขาเข้าใจเนื้อหาและสามารถแสดงความคิดเห็นในงานวิชาการได้ดีขึ้น ✅ เพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้: - AI อาจช่วยลดความเครียดและเพิ่มโอกาสในกิจกรรมเสริม เช่น งานพาร์ทไทม์หรือกิจกรรมอาสา == ข้อเสียและความเสี่ยงของการพึ่งพา AI == ✅ ความเสี่ยงของข้อมูลผิดพลาด: - AI อาจสร้างข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง (hallucination) ซึ่งดูเหมือนน่าเชื่อถือ แต่จริง ๆ แล้วไม่เป็นความจริง นักศึกษาจึงต้องตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลด้วยตัวเอง ✅ ขาดความลึกซึ้งในความคิด: - การใช้ AI ในการสร้างงานแบบสำเร็จรูปอาจส่งผลให้นักศึกษาเสียโอกาสพัฒนาทักษะด้านการวิเคราะห์และความคิดสร้างสรรค์ ✅ การพึ่งพามากเกินไป: - การใช้ AI อย่างหนักอาจทำให้นักศึกษาไม่พัฒนา “พื้นฐานการเรียนรู้” ที่เป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในงานวิชาการ == บทบาทของมหาวิทยาลัยและผู้สอน: == ✅ มหาวิทยาลัยควรมีบทบาทชัดเจนในการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้งาน AI เช่น การจัดหลักสูตรเกี่ยวกับ prompt engineering และการสอนวิธีการใช้ AI อย่างเหมาะสม ✅ ผู้สอนบางคนมองว่า AI เป็นเครื่องมือที่ควรใช้ในระยะเริ่มต้น เพื่อกระตุ้นความคิดและแรงบันดาลใจ แต่ไม่ควรนำมาใช้สร้างงานขั้นสุดท้าย https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/07/borrowed-brainpower-m039sian-uni-students-weigh-the-pros-and-cons-of-ai-use-in-coursework
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Borrowed brainpower? M'sian uni students debate the pros and cons of AI use
    Diving into what drives student AI usage amid concerns that it may be eroding their critical thinking and creativity.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องนี้เราสามารถมาประยุกต์เป็นข้อคิดและป้องกันสำหรับคนไทยได้ครับ

    Microsoft เตือนว่าแคมเปญหลอกลวงช่วงวันภาษีในสหรัฐฯ เป็นอันตรายที่มุ่งหวังข้อมูลส่วนบุคคลและการเงินของเหยื่อ ผู้โจมตีใช้เทคนิคเชิงจิตวิทยาเพื่อสร้างความเร่งด่วนและส่งมัลแวร์ผ่านฟิชชิ่งอีเมล การเรียนรู้วิธีรับมือและปฏิเสธการคลิกไฟล์แนบหรือลิงก์ที่น่าสงสัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในยุคที่ภัยไซเบอร์ขยายวงกว้าง

    == ภัยคุกคามที่ต้องระวัง==
    ✅ การใช้เทคนิคโซเชียลวิศวกรรม (Social Engineering)
    - ผู้โจมตีใช้ QR Codes, URL Shorteners และไฟล์แนบที่เป็นอันตราย เพื่อส่งมัลแวร์ เช่น Latrodectus, BruteRatel C4 (BRc4), AHKBot และ Remote Access Trojans (RATs)
    - ฟิชชิ่งอีเมลมักมาพร้อมหัวข้อเช่น “Important Action Required: IRS Audit” หรือ “Notice: IRS Has Flagged Issues with Your Tax Filing” เพื่อสร้างความเร่งด่วน

    ✅ เทคนิคหลอกลวงที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
    - ผู้โจมตีบางกลุ่มใช้ อีเมลสร้างความไว้ใจ ก่อนส่งอีเมลรอบสองที่มาพร้อมไฟล์ PDF อันตราย ซึ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือและอัตราการหลงเชื่อ

    ✅ มัลแวร์ที่ถูกใช้ในแคมเปญโจมตี
    - ตัวอย่างมัลแวร์ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ GuLoader ซึ่งเป็น malware downloader แบบหลบหลีกสูง ใช้เทคนิค Process Injection และ Cloud-based Hosting ในการปล่อยมัลแวร์

    ✅ ผลกระทบที่ตามมา
    - เหยื่อต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการถูกเปิดบัญชีเครดิตใหม่ในชื่อของตนเอง รวมถึงการสูญเสียเงินในบัญชี

    == คำแนะนำเพื่อการป้องกัน ==
    ✅ การเรียนรู้และการมีสติเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุด
    - Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้มีความรู้เกี่ยวกับ ลักษณะของฟิชชิ่งอีเมล และตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อความก่อนดำเนินการใด ๆ
    - หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์หรือดาวน์โหลดไฟล์แนบที่ไม่คุ้นเคย

    ✅ เลือกใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันภัยไซเบอร์
    - ใช้ Antivirus Software และ Malware Removal Tools ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยตรวจจับและลบมัลแวร์

    https://www.techradar.com/pro/security/look-out-for-tax-themed-scams-this-month-microsoft-warns
    เรื่องนี้เราสามารถมาประยุกต์เป็นข้อคิดและป้องกันสำหรับคนไทยได้ครับ Microsoft เตือนว่าแคมเปญหลอกลวงช่วงวันภาษีในสหรัฐฯ เป็นอันตรายที่มุ่งหวังข้อมูลส่วนบุคคลและการเงินของเหยื่อ ผู้โจมตีใช้เทคนิคเชิงจิตวิทยาเพื่อสร้างความเร่งด่วนและส่งมัลแวร์ผ่านฟิชชิ่งอีเมล การเรียนรู้วิธีรับมือและปฏิเสธการคลิกไฟล์แนบหรือลิงก์ที่น่าสงสัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในยุคที่ภัยไซเบอร์ขยายวงกว้าง == ภัยคุกคามที่ต้องระวัง== ✅ การใช้เทคนิคโซเชียลวิศวกรรม (Social Engineering) - ผู้โจมตีใช้ QR Codes, URL Shorteners และไฟล์แนบที่เป็นอันตราย เพื่อส่งมัลแวร์ เช่น Latrodectus, BruteRatel C4 (BRc4), AHKBot และ Remote Access Trojans (RATs) - ฟิชชิ่งอีเมลมักมาพร้อมหัวข้อเช่น “Important Action Required: IRS Audit” หรือ “Notice: IRS Has Flagged Issues with Your Tax Filing” เพื่อสร้างความเร่งด่วน ✅ เทคนิคหลอกลวงที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น - ผู้โจมตีบางกลุ่มใช้ อีเมลสร้างความไว้ใจ ก่อนส่งอีเมลรอบสองที่มาพร้อมไฟล์ PDF อันตราย ซึ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือและอัตราการหลงเชื่อ ✅ มัลแวร์ที่ถูกใช้ในแคมเปญโจมตี - ตัวอย่างมัลแวร์ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ GuLoader ซึ่งเป็น malware downloader แบบหลบหลีกสูง ใช้เทคนิค Process Injection และ Cloud-based Hosting ในการปล่อยมัลแวร์ ✅ ผลกระทบที่ตามมา - เหยื่อต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการถูกเปิดบัญชีเครดิตใหม่ในชื่อของตนเอง รวมถึงการสูญเสียเงินในบัญชี == คำแนะนำเพื่อการป้องกัน == ✅ การเรียนรู้และการมีสติเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุด - Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้มีความรู้เกี่ยวกับ ลักษณะของฟิชชิ่งอีเมล และตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อความก่อนดำเนินการใด ๆ - หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์หรือดาวน์โหลดไฟล์แนบที่ไม่คุ้นเคย ✅ เลือกใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันภัยไซเบอร์ - ใช้ Antivirus Software และ Malware Removal Tools ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยตรวจจับและลบมัลแวร์ https://www.techradar.com/pro/security/look-out-for-tax-themed-scams-this-month-microsoft-warns
    WWW.TECHRADAR.COM
    Look out for tax-themed scams this month, Microsoft warns
    Criminals are taking advantage as US tax day approaches
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 232 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทิศต้องห้าม.....ประจำเดือนเมษายน 2568

    ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 4 เดือนเมษายน ไปจนถึง วันอาทิตย์ที่ 4 เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2568 สิ่งสำคัญคือ ควรเลี่ยงต่อการกระทบ ทุบ ตอก ขุด เจาะ ในตำแหน่งวิบากทิศทาง ดังนี้

    1. ทิศแตกสลาย 月破(ง๊วยผั่ว) ทิศตะวันตก/เหนือ 乾卦(เคี้ยงข่วย) ราศี 戌(สุก) ตั้งแต่รัศมี 292.5 ถึง 307.5 องศา

    2. ทิศ 3 อสูร 月三煞(หง่วยซาสั่วะ) ตั้งแต่ทิศตะวันออก/ใต้ 巽卦(สุ่งข่วย) รัศมี 135 องศา ถึง ทิศตะวันตก/ใต้ 坤卦(คุงข่วย) รัศมี 225 องศา

    3. ทิศ 5 เหลือง 五黃(โหงวอี๊ง) ทิศเหนือ 坎卦(ข่ำข่วย) ตั้งแต่รัศมี 337.5 ถึง 22.5 องศา

    ดังนั้นหากกระทบสะเทือนถึงดินที่อัดอั้นด้วยกระแสพลังร้ายอันรุนแรงรอเพียงแค่การปลดปล่อย ด้วยการทุบ ตอก ขุด เจาะ ในตำแหน่งวิบากทิศทางดังที่กล่าวไว้ในข้างต้น ส่งผลให้ท่านที่ชะตาตก ชีวิตจะเกิดวิกฤต กลุ้ม วุ่นวาย มากอุปสรรคปัญหา ขัดแย้ง แตกแยก ถูกแทงหลัง ปองร้าย จี้ ปล้น ขโมย เสียทรัพย์อย่างไม่จำเป็น พัวพันเรื่องคดีความจนต้องขึ้นโรงขึ้นศาล หรือเกิดเจ็บป่วย ต้องผ่าตัดรักษาอาการ หรือจะบาดเจ็บจนเลือดตกยางออกจากอุบัติเหตุเภทภัยที่ไม่คาดคิด โดยเฉพาะบุคคลที่เกิดปีจอพึงระวังเป็นพิเศษ
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    ทิศต้องห้าม.....ประจำเดือนเมษายน 2568 ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 4 เดือนเมษายน ไปจนถึง วันอาทิตย์ที่ 4 เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2568 สิ่งสำคัญคือ ควรเลี่ยงต่อการกระทบ ทุบ ตอก ขุด เจาะ ในตำแหน่งวิบากทิศทาง ดังนี้ 1. ทิศแตกสลาย 月破(ง๊วยผั่ว) ทิศตะวันตก/เหนือ 乾卦(เคี้ยงข่วย) ราศี 戌(สุก) ตั้งแต่รัศมี 292.5 ถึง 307.5 องศา 2. ทิศ 3 อสูร 月三煞(หง่วยซาสั่วะ) ตั้งแต่ทิศตะวันออก/ใต้ 巽卦(สุ่งข่วย) รัศมี 135 องศา ถึง ทิศตะวันตก/ใต้ 坤卦(คุงข่วย) รัศมี 225 องศา 3. ทิศ 5 เหลือง 五黃(โหงวอี๊ง) ทิศเหนือ 坎卦(ข่ำข่วย) ตั้งแต่รัศมี 337.5 ถึง 22.5 องศา ดังนั้นหากกระทบสะเทือนถึงดินที่อัดอั้นด้วยกระแสพลังร้ายอันรุนแรงรอเพียงแค่การปลดปล่อย ด้วยการทุบ ตอก ขุด เจาะ ในตำแหน่งวิบากทิศทางดังที่กล่าวไว้ในข้างต้น ส่งผลให้ท่านที่ชะตาตก ชีวิตจะเกิดวิกฤต กลุ้ม วุ่นวาย มากอุปสรรคปัญหา ขัดแย้ง แตกแยก ถูกแทงหลัง ปองร้าย จี้ ปล้น ขโมย เสียทรัพย์อย่างไม่จำเป็น พัวพันเรื่องคดีความจนต้องขึ้นโรงขึ้นศาล หรือเกิดเจ็บป่วย ต้องผ่าตัดรักษาอาการ หรือจะบาดเจ็บจนเลือดตกยางออกจากอุบัติเหตุเภทภัยที่ไม่คาดคิด โดยเฉพาะบุคคลที่เกิดปีจอพึงระวังเป็นพิเศษ ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้พูดถึงช่องโหว่ความปลอดภัยใน ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งอาจทำให้ นักโจมตีทางไซเบอร์ สามารถควบคุมการผลิตพลังงาน แทรกแซงข้อมูลส่วนตัว หรือแม้กระทั่งขัดขวางการทำงานของโครงข่ายพลังงาน ผู้เชี่ยวชาญจาก Forescout – Vedere Labs ระบุช่องโหว่ใหม่ถึง 46 รายการในอุปกรณ์อินเวอร์เตอร์จากผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง Sungrow, Growatt และ SMA โดย 80% ของช่องโหว่ที่รายงานถือเป็นปัญหาร้ายแรงหรือสำคัญ

    ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการเชื่อมต่อออนไลน์:
    - หลายอินเวอร์เตอร์ในระบบพลังงานแสงอาทิตย์มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยตรง ทำให้ง่ายต่อการโจมตีผ่านการใช้เฟิร์มแวร์ที่ล้าสมัยหรือการเข้ารหัสข้อมูลที่อ่อนแอ

    ผลกระทบที่เกิดขึ้น:
    - การโจมตีสามารถทำให้เกิดความไม่สมดุลในโครงข่ายพลังงาน การขโมยข้อมูลที่ละเมิดข้อกำหนดด้าน GDPR รวมถึงการควบคุมอุปกรณ์ภายในบ้านอัจฉริยะ เช่น เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า

    คำแนะนำในการป้องกัน:
    - ผู้ผลิตควรเร่งแก้ไขปัญหาด้วยการอัปเดตระบบ ปรับปรุงโค้ดให้ปลอดภัย และทดสอบเจาะระบบอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ควรมีการใช้ Web Application Firewall และมาตรการความปลอดภัยมาตรฐาน เช่น NIST IR 8259

    บทบาทของเจ้าของระบบพลังงานแสงอาทิตย์:
    - การแยกเครือข่ายของอุปกรณ์แสงอาทิตย์ การตั้งค่าระบบเฝ้าระวังความปลอดภัย และการใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันภัยไซเบอร์เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใช้ควรดำเนินการ

    https://www.techradar.com/pro/millions-of-solar-power-systems-could-be-at-risk-of-cyber-attacks-after-researchers-find-flurry-of-vulnerabilities
    ข่าวนี้พูดถึงช่องโหว่ความปลอดภัยใน ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งอาจทำให้ นักโจมตีทางไซเบอร์ สามารถควบคุมการผลิตพลังงาน แทรกแซงข้อมูลส่วนตัว หรือแม้กระทั่งขัดขวางการทำงานของโครงข่ายพลังงาน ผู้เชี่ยวชาญจาก Forescout – Vedere Labs ระบุช่องโหว่ใหม่ถึง 46 รายการในอุปกรณ์อินเวอร์เตอร์จากผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง Sungrow, Growatt และ SMA โดย 80% ของช่องโหว่ที่รายงานถือเป็นปัญหาร้ายแรงหรือสำคัญ ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการเชื่อมต่อออนไลน์: - หลายอินเวอร์เตอร์ในระบบพลังงานแสงอาทิตย์มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยตรง ทำให้ง่ายต่อการโจมตีผ่านการใช้เฟิร์มแวร์ที่ล้าสมัยหรือการเข้ารหัสข้อมูลที่อ่อนแอ ผลกระทบที่เกิดขึ้น: - การโจมตีสามารถทำให้เกิดความไม่สมดุลในโครงข่ายพลังงาน การขโมยข้อมูลที่ละเมิดข้อกำหนดด้าน GDPR รวมถึงการควบคุมอุปกรณ์ภายในบ้านอัจฉริยะ เช่น เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า คำแนะนำในการป้องกัน: - ผู้ผลิตควรเร่งแก้ไขปัญหาด้วยการอัปเดตระบบ ปรับปรุงโค้ดให้ปลอดภัย และทดสอบเจาะระบบอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ควรมีการใช้ Web Application Firewall และมาตรการความปลอดภัยมาตรฐาน เช่น NIST IR 8259 บทบาทของเจ้าของระบบพลังงานแสงอาทิตย์: - การแยกเครือข่ายของอุปกรณ์แสงอาทิตย์ การตั้งค่าระบบเฝ้าระวังความปลอดภัย และการใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันภัยไซเบอร์เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใช้ควรดำเนินการ https://www.techradar.com/pro/millions-of-solar-power-systems-could-be-at-risk-of-cyber-attacks-after-researchers-find-flurry-of-vulnerabilities
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 358 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊ก Dr.Pete Peerapar “ห้องคอนโดที่เช่าแตกร้าว เสียหาย จนอยู่ไม่ได้ ใครมีหน้าที่ต้องซ่อม และผู้เช่าบอกเลิกสัญญาได้หรือไม่ ?เพื่อน ๆ หลายคนอาจจะสงสัยว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวาน หากห้องที่เราเช่าอยู่เสียหาย แบบนี้เรามีสิทธิอย่างไรบ้างตามกฎหมายมาลองไล่เรียงข้อกฎหมาย และทำความเข้าใจสิทธิของเรากันดูครับ......✅ สัญญาเช่าเราต้องเข้าใจก่อนว่า #สัญญาเช่า คือ สัญญาที่ฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ (ผู้ให้เช่า) ส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าให้อีกฝ่าย (ผู้เช่า) #ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สิน ในชั่วระยะเวลาอันจำกัด และผู้เช่าตกลงจะจ่ายค่าเช่าให้แสดงว่า สาระสำคัญของสัญญาเช่า คือ การส่งมอบทรัพย์สินให้อีกฝ่ายผู้เช่าได้ใช้ หรือ ได้รับประโยชน์นั่นเองหมายความว่า หากผู้เช่าไม่สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่าได้ สัญญาเช่านั้นก็เป็นอันยกเลิกแต่ถ้าเสียหายเพียงบางส่วน แบบนี้ผู้เช่าสามารถขอลดค่าเช่าลงตามส่วน หรือ จะเลิกสัญญาก็ได้ หากไม่สามารถใช้สอยทรัพย์สินที่เช่าได้ตามความมุ่งหมายที่เข้าทำสัญญาเช่าอธิบายแบบภาษาบ้าน ๆ คือกรณีที่ 1 ถ้าคอนโดที่เราเช่าอยู่นั้น พังไปทั้งหมด แบบนี้สัญญาเช่าเลิกทันที เพราะ ทรัพย์สินที่เช่า ไม่เหลืออยู่แล้วกรณีที่ 2 ถ้าคอนโดที่เราเช่าอยู่นั้น แตกร้าว เสียหาย แบบนี้ก็จะต้องพิจารณาก่อนว่า ความเสียหายดังกล่าวสามารถซ่อมแซมแก้ไขได้หรือไม่ถ้าแก้ไขได้ ผู้ให้เช่าก็จะต้องรีบดำเนินการแก้ไขซ่อมแซม เพื่อให้ผู้เช่าสามารถกลับเข้าไปอยู่อาศัยได้ตามปกติ กรณีนี้ก็อาจยังไม่ถึงขั้นที่จะเลิกสัญญากันได้แต่ถ้าแก้ไขไม่ได้ เช่น หน่วยงานราชการประกาศว่าอาคารนี้ไม่ปลอดภัย แม้ห้องจะยังไม่ได้พังไป แต่ผู้เช่าก็ไม่สามารถเข้าไปใช้สอยได้ตามความมุ่งหมาย (เข้าไปอยู่อาศัย) กรณีนี้ ผู้เช่าก็สามารถเลิกสัญญาได้ทันทีทั้งนี้ทั้งนั้น เรื่องความปลอดภัยนี้ คนที่จะบอกว่าปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัย ถ้าคู่สัญญาเถียงกันอาจจะหาข้อยุติไม่ได้ คนที่จะช่วยชี้ขาดได้ คือ คนกลางอย่างหน่วยงานราชการ หรือ วิศวกรที่ได้รับใบอนุญาต.......✅ ถ้ายังอยู่ได้ แต่ห้องแตกร้าว แบบนี้ใครต้องจ่ายค่าซ่อมโดยหลักแล้ว ฝ่ายที่ทำให้เกิดความเสียหายจะต้องเป็นผู้จ่ายค่าซ่อม แต่ถ้าเป็นเหตุสุดวิสัย (เหตุที่ไม่มีใครสามารถป้องกันได้) เช่น แผ่นดินไหว แบบนี้จะถือว่าไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดเลยเราก็จะต้องว่ากันไปตามหลักกฎหมายเรื่องการเช่า ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 กรณี ตามความเสียหายที่เกิดขึ้น กรณีแรก ถ้าโดยความจำเป็นและสมควรเพื่อรักษาทรัพย์สินซึ่งเช่า หรือ เรียกง่าย ๆ ว่า ต้องซ่อมใหญ่ เช่น ห้องแตกร้าว เพดานพัง ประตูพัง แบบนี้จะเป็นหน้าที่ของผู้ให้เช่ากรณีที่สอง ถ้าเป็นการบำรุงรักษาตามปกติและเพื่อซ่อมแซมเพียงเล็กน้อย เช่น หลอดไฟขาด ผนังเป็นรอยเล็กน้อย แบบนี้ตามกฎหมายจะเป็นหน้าที่ของผู้เช่าดังนั้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นในห้องจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวาน เราต้องพิจารณากันก่อนว่า เป็นกรณีที่ซ่อมใหญ่ หรือซ่อมเล็ก ถ้าเป็นการซ่อมใหญ่ ผู้ให้เช่าก็จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด แต่ถ้าเป็นการซ่อมเล็ก แบบนี้ ผู้เช่าก็จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง......✅ ประกันคอนโด คุ้มครองแผ่นดินไหว หรือไม่ขอแถมเรื่องประกันให้อีกสักเรื่องหลายคอนโด ท่านอาจจะเคยเห็นนิติบุคคลขออนุมัติทำประกันอัคคีภัยไว้ตอนประชุมลูกบ้านส่วนใหญ่ประกันอัคคีภัย หรือ ประกันความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน (Industrial All Risk) ที่นิติบุคคลทำนั้น มักจะมีความคุ้มครองในเรื่องความเสียหายอันเนื่องมาจากแผ่นดินไหวอยู่แล้วดังนั้น หากคอนโดเสียหาย แตกร้าว จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ประกันก็จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าเสียหายในส่วนนี้ให้ทั้งหมดแต่ท่านเจ้าของห้องอย่าพึ่งดีใจนะครับ เพราะ ที่บอกว่าประกันรับผิดชอบให้นั้น หมายถึง เขารับผิดชอบในส่วนกลางของคอนโดเท่านั้น ไม่รวมถึงความเสียหายในห้องของท่าน เว้นแต่ส่วนที่เป็นโครงสร้างของอาคารเพราะ กรณีทรัพย์สิน หรือเฟอร์นิเจอร์ของท่านเสียหาย หรือบุบสลาย ประกันของส่วนกลางจะไม่คุ้มครองด้วย หากจะได้รับความคุ้มครอง ต้องเป็นกรณีที่ท่านเจ้าของห้องมีการทำประกันภัยในส่วนของท่านเพิ่มเติมอีกกรมธรรม์หนึ่งหลายท่านที่ไม่เคยเห็นความสำคัญของการทำประกัน ก็อาจจะได้ตระหนักถึงความสำคัญเมื่อเกิดเหตุขึ้นนี่แหละครับ....ทั้งหมดที่เล่าไป เป็นเพียงหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องในเบื้องต้น แต่เพื่อน ๆ จะต้องไปดูข้อความโดยละเอียดในสัญญาเช่า และกรมธรรม์ประกันภัย ที่ท่านมีด้วยอีกครั้งที่สำคัญและอยากฝากไว้ คือ ความเข้าอกเข้าใจกันระหว่างผู้เช่าและผู้ให้เช่าในยามที่เกิดเหตุเช่นนี้ เป็นสิ่งสำคัญกว่าการที่เราจะมุ่งเอาชนะกันด้วยข้อกฎหมาย https://www.facebook.com/share/p/16NCZE8YFL/?mibextid=wwXIfr
    รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊ก Dr.Pete Peerapar “ห้องคอนโดที่เช่าแตกร้าว เสียหาย จนอยู่ไม่ได้ ใครมีหน้าที่ต้องซ่อม และผู้เช่าบอกเลิกสัญญาได้หรือไม่ ?เพื่อน ๆ หลายคนอาจจะสงสัยว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวาน หากห้องที่เราเช่าอยู่เสียหาย แบบนี้เรามีสิทธิอย่างไรบ้างตามกฎหมายมาลองไล่เรียงข้อกฎหมาย และทำความเข้าใจสิทธิของเรากันดูครับ......✅ สัญญาเช่าเราต้องเข้าใจก่อนว่า #สัญญาเช่า คือ สัญญาที่ฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ (ผู้ให้เช่า) ส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าให้อีกฝ่าย (ผู้เช่า) #ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สิน ในชั่วระยะเวลาอันจำกัด และผู้เช่าตกลงจะจ่ายค่าเช่าให้แสดงว่า สาระสำคัญของสัญญาเช่า คือ การส่งมอบทรัพย์สินให้อีกฝ่ายผู้เช่าได้ใช้ หรือ ได้รับประโยชน์นั่นเองหมายความว่า หากผู้เช่าไม่สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่าได้ สัญญาเช่านั้นก็เป็นอันยกเลิกแต่ถ้าเสียหายเพียงบางส่วน แบบนี้ผู้เช่าสามารถขอลดค่าเช่าลงตามส่วน หรือ จะเลิกสัญญาก็ได้ หากไม่สามารถใช้สอยทรัพย์สินที่เช่าได้ตามความมุ่งหมายที่เข้าทำสัญญาเช่าอธิบายแบบภาษาบ้าน ๆ คือกรณีที่ 1 ถ้าคอนโดที่เราเช่าอยู่นั้น พังไปทั้งหมด แบบนี้สัญญาเช่าเลิกทันที เพราะ ทรัพย์สินที่เช่า ไม่เหลืออยู่แล้วกรณีที่ 2 ถ้าคอนโดที่เราเช่าอยู่นั้น แตกร้าว เสียหาย แบบนี้ก็จะต้องพิจารณาก่อนว่า ความเสียหายดังกล่าวสามารถซ่อมแซมแก้ไขได้หรือไม่ถ้าแก้ไขได้ ผู้ให้เช่าก็จะต้องรีบดำเนินการแก้ไขซ่อมแซม เพื่อให้ผู้เช่าสามารถกลับเข้าไปอยู่อาศัยได้ตามปกติ กรณีนี้ก็อาจยังไม่ถึงขั้นที่จะเลิกสัญญากันได้แต่ถ้าแก้ไขไม่ได้ เช่น หน่วยงานราชการประกาศว่าอาคารนี้ไม่ปลอดภัย แม้ห้องจะยังไม่ได้พังไป แต่ผู้เช่าก็ไม่สามารถเข้าไปใช้สอยได้ตามความมุ่งหมาย (เข้าไปอยู่อาศัย) กรณีนี้ ผู้เช่าก็สามารถเลิกสัญญาได้ทันทีทั้งนี้ทั้งนั้น เรื่องความปลอดภัยนี้ คนที่จะบอกว่าปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัย ถ้าคู่สัญญาเถียงกันอาจจะหาข้อยุติไม่ได้ คนที่จะช่วยชี้ขาดได้ คือ คนกลางอย่างหน่วยงานราชการ หรือ วิศวกรที่ได้รับใบอนุญาต.......✅ ถ้ายังอยู่ได้ แต่ห้องแตกร้าว แบบนี้ใครต้องจ่ายค่าซ่อมโดยหลักแล้ว ฝ่ายที่ทำให้เกิดความเสียหายจะต้องเป็นผู้จ่ายค่าซ่อม แต่ถ้าเป็นเหตุสุดวิสัย (เหตุที่ไม่มีใครสามารถป้องกันได้) เช่น แผ่นดินไหว แบบนี้จะถือว่าไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดเลยเราก็จะต้องว่ากันไปตามหลักกฎหมายเรื่องการเช่า ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 กรณี ตามความเสียหายที่เกิดขึ้น กรณีแรก ถ้าโดยความจำเป็นและสมควรเพื่อรักษาทรัพย์สินซึ่งเช่า หรือ เรียกง่าย ๆ ว่า ต้องซ่อมใหญ่ เช่น ห้องแตกร้าว เพดานพัง ประตูพัง แบบนี้จะเป็นหน้าที่ของผู้ให้เช่ากรณีที่สอง ถ้าเป็นการบำรุงรักษาตามปกติและเพื่อซ่อมแซมเพียงเล็กน้อย เช่น หลอดไฟขาด ผนังเป็นรอยเล็กน้อย แบบนี้ตามกฎหมายจะเป็นหน้าที่ของผู้เช่าดังนั้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นในห้องจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวาน เราต้องพิจารณากันก่อนว่า เป็นกรณีที่ซ่อมใหญ่ หรือซ่อมเล็ก ถ้าเป็นการซ่อมใหญ่ ผู้ให้เช่าก็จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด แต่ถ้าเป็นการซ่อมเล็ก แบบนี้ ผู้เช่าก็จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง......✅ ประกันคอนโด คุ้มครองแผ่นดินไหว หรือไม่ขอแถมเรื่องประกันให้อีกสักเรื่องหลายคอนโด ท่านอาจจะเคยเห็นนิติบุคคลขออนุมัติทำประกันอัคคีภัยไว้ตอนประชุมลูกบ้านส่วนใหญ่ประกันอัคคีภัย หรือ ประกันความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน (Industrial All Risk) ที่นิติบุคคลทำนั้น มักจะมีความคุ้มครองในเรื่องความเสียหายอันเนื่องมาจากแผ่นดินไหวอยู่แล้วดังนั้น หากคอนโดเสียหาย แตกร้าว จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ประกันก็จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าเสียหายในส่วนนี้ให้ทั้งหมดแต่ท่านเจ้าของห้องอย่าพึ่งดีใจนะครับ เพราะ ที่บอกว่าประกันรับผิดชอบให้นั้น หมายถึง เขารับผิดชอบในส่วนกลางของคอนโดเท่านั้น ไม่รวมถึงความเสียหายในห้องของท่าน เว้นแต่ส่วนที่เป็นโครงสร้างของอาคารเพราะ กรณีทรัพย์สิน หรือเฟอร์นิเจอร์ของท่านเสียหาย หรือบุบสลาย ประกันของส่วนกลางจะไม่คุ้มครองด้วย หากจะได้รับความคุ้มครอง ต้องเป็นกรณีที่ท่านเจ้าของห้องมีการทำประกันภัยในส่วนของท่านเพิ่มเติมอีกกรมธรรม์หนึ่งหลายท่านที่ไม่เคยเห็นความสำคัญของการทำประกัน ก็อาจจะได้ตระหนักถึงความสำคัญเมื่อเกิดเหตุขึ้นนี่แหละครับ....ทั้งหมดที่เล่าไป เป็นเพียงหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องในเบื้องต้น แต่เพื่อน ๆ จะต้องไปดูข้อความโดยละเอียดในสัญญาเช่า และกรมธรรม์ประกันภัย ที่ท่านมีด้วยอีกครั้งที่สำคัญและอยากฝากไว้ คือ ความเข้าอกเข้าใจกันระหว่างผู้เช่าและผู้ให้เช่าในยามที่เกิดเหตุเช่นนี้ เป็นสิ่งสำคัญกว่าการที่เราจะมุ่งเอาชนะกันด้วยข้อกฎหมาย https://www.facebook.com/share/p/16NCZE8YFL/?mibextid=wwXIfr
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 396 มุมมอง 0 รีวิว
  • EU กำลังพิจารณามาตรการที่อาจกระทบต่อบริการ VPN โดยต้องการให้เก็บข้อมูลเพื่อตรวจสอบ แต่แนวคิดนี้ถูกมองว่าอาจทำลายความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้และสร้างปัญหาความปลอดภัยด้านข้อมูล ผู้เชี่ยวชาญเน้นว่าสิทธิพลเมืองและความปลอดภัยของระบบยังเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

    จุดยืนของ EU:
    - HLG ถูกตั้งขึ้นเพื่อวางแผนยุทธศาสตร์ “การเข้าถึงข้อมูลเพื่อการบังคับใช้กฎหมาย” โดยมีเป้าหมายในการทำให้เทคโนโลยีดิจิทัลที่ใช้งานในชีวิตประจำวันสามารถถูกตรวจสอบได้ตลอดเวลา ทั้งสมาร์ทโฟน, IoT และรถยนต์

    ผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัว:
    - ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าหากมีการบังคับใช้กฎหมายเพื่อเข้าถึงข้อมูล ผู้ใช้อาจต้องพก “สปายแวร์ของรัฐ” ในมือถือ ขณะที่การบังคับให้ VPN เก็บข้อมูลเมทาดาต้า เช่น ตำแหน่ง หรือเวลาใช้งาน จะทำลายหลักการไม่เก็บข้อมูล (no-log policy) ของบริการที่เน้นความเป็นส่วนตัว

    สมดุลความปลอดภัยและสิทธิพลเมือง:
    - รายงานยังยอมรับว่าการเข้ารหัสเป็นสิ่งสำคัญต่อความปลอดภัย เช่น การป้องกันการโจรกรรมข้อมูล และการสอดแนมจากภาครัฐ แต่การเปิดช่องทางการเข้าถึงโดยกฎหมายอาจนำไปสู่การสูญเสียความปลอดภัยทางข้อมูลได้

    ข้อกังวลจากผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี:
    - ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า “การเข้ารหัสทำงานได้สมบูรณ์หรือถูกทำลายทั้งหมด” ไม่สามารถสร้าง “ทางเข้าลับ” (backdoor) ที่ยังคงความปลอดภัยได้ ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาทางเทคนิคในข้อเสนอของกฎหมาย

    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/vpn-services-may-soon-become-a-new-target-of-eu-lawmakers-after-being-deemed-a-key-challenge
    EU กำลังพิจารณามาตรการที่อาจกระทบต่อบริการ VPN โดยต้องการให้เก็บข้อมูลเพื่อตรวจสอบ แต่แนวคิดนี้ถูกมองว่าอาจทำลายความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้และสร้างปัญหาความปลอดภัยด้านข้อมูล ผู้เชี่ยวชาญเน้นว่าสิทธิพลเมืองและความปลอดภัยของระบบยังเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม จุดยืนของ EU: - HLG ถูกตั้งขึ้นเพื่อวางแผนยุทธศาสตร์ “การเข้าถึงข้อมูลเพื่อการบังคับใช้กฎหมาย” โดยมีเป้าหมายในการทำให้เทคโนโลยีดิจิทัลที่ใช้งานในชีวิตประจำวันสามารถถูกตรวจสอบได้ตลอดเวลา ทั้งสมาร์ทโฟน, IoT และรถยนต์ ผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัว: - ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าหากมีการบังคับใช้กฎหมายเพื่อเข้าถึงข้อมูล ผู้ใช้อาจต้องพก “สปายแวร์ของรัฐ” ในมือถือ ขณะที่การบังคับให้ VPN เก็บข้อมูลเมทาดาต้า เช่น ตำแหน่ง หรือเวลาใช้งาน จะทำลายหลักการไม่เก็บข้อมูล (no-log policy) ของบริการที่เน้นความเป็นส่วนตัว สมดุลความปลอดภัยและสิทธิพลเมือง: - รายงานยังยอมรับว่าการเข้ารหัสเป็นสิ่งสำคัญต่อความปลอดภัย เช่น การป้องกันการโจรกรรมข้อมูล และการสอดแนมจากภาครัฐ แต่การเปิดช่องทางการเข้าถึงโดยกฎหมายอาจนำไปสู่การสูญเสียความปลอดภัยทางข้อมูลได้ ข้อกังวลจากผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี: - ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า “การเข้ารหัสทำงานได้สมบูรณ์หรือถูกทำลายทั้งหมด” ไม่สามารถสร้าง “ทางเข้าลับ” (backdoor) ที่ยังคงความปลอดภัยได้ ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาทางเทคนิคในข้อเสนอของกฎหมาย https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/vpn-services-may-soon-become-a-new-target-of-eu-lawmakers-after-being-deemed-a-key-challenge
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 321 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่สามกลายเป็นความเสี่ยงใหญ่ที่บริษัทต่าง ๆ ต้องเผชิญ รายงานเผยว่ากว่า 35% ของการละเมิดข้อมูลในปี 2024 เกิดจากบุคคลที่สาม โดยอุตสาหกรรมค้าปลีกและการบริการได้รับผลกระทบหนักที่สุด การโจมตีแบบแรนซัมแวร์ยังเริ่มต้นจากช่องโหว่เหล่านี้เป็นจำนวนมาก การจัดการความปลอดภัยแบบเรียลไทม์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่องค์กรควรให้ความสำคัญ

    อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด:
    - อุตสาหกรรมค้าปลีกและการบริการพบอัตราการละเมิดสูงที่สุดที่ 52.4% ตามมาด้วยเทคโนโลยีและพลังงานที่ 47.3% และ 46.7% ตามลำดับ.
    - แม้ว่าอุตสาหกรรมสุขภาพจะมีอัตราการละเมิดต่ำเพียง 32.2% แต่จำนวนการละเมิดที่เกิดขึ้นจริงนั้นสูงที่สุดในแง่ตัวเลข.

    การโจมตีผ่านแรนซัมแวร์:
    - การโจมตีแรนซัมแวร์ 41.4% เริ่มต้นผ่านบุคคลที่สาม โดยกลุ่ม Cl0p มีบทบาทนำในกิจกรรมเหล่านี้.

    พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบทางภูมิศาสตร์:
    - สิงคโปร์มีอัตราการละเมิดสูงสุดที่ 71.4% รองลงมาคือเนเธอร์แลนด์ 70.4% และญี่ปุ่น 60%.

    คำแนะนำในการป้องกัน:
    - ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เปลี่ยนจากการตรวจสอบเป็นระยะ มาเป็นการตรวจสอบแบบเรียลไทม์เพื่อลดความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทาน.

    https://www.techradar.com/pro/security/third-party-security-issues-could-be-the-biggest-threat-facing-your-business
    ภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่สามกลายเป็นความเสี่ยงใหญ่ที่บริษัทต่าง ๆ ต้องเผชิญ รายงานเผยว่ากว่า 35% ของการละเมิดข้อมูลในปี 2024 เกิดจากบุคคลที่สาม โดยอุตสาหกรรมค้าปลีกและการบริการได้รับผลกระทบหนักที่สุด การโจมตีแบบแรนซัมแวร์ยังเริ่มต้นจากช่องโหว่เหล่านี้เป็นจำนวนมาก การจัดการความปลอดภัยแบบเรียลไทม์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่องค์กรควรให้ความสำคัญ อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด: - อุตสาหกรรมค้าปลีกและการบริการพบอัตราการละเมิดสูงที่สุดที่ 52.4% ตามมาด้วยเทคโนโลยีและพลังงานที่ 47.3% และ 46.7% ตามลำดับ. - แม้ว่าอุตสาหกรรมสุขภาพจะมีอัตราการละเมิดต่ำเพียง 32.2% แต่จำนวนการละเมิดที่เกิดขึ้นจริงนั้นสูงที่สุดในแง่ตัวเลข. การโจมตีผ่านแรนซัมแวร์: - การโจมตีแรนซัมแวร์ 41.4% เริ่มต้นผ่านบุคคลที่สาม โดยกลุ่ม Cl0p มีบทบาทนำในกิจกรรมเหล่านี้. พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบทางภูมิศาสตร์: - สิงคโปร์มีอัตราการละเมิดสูงสุดที่ 71.4% รองลงมาคือเนเธอร์แลนด์ 70.4% และญี่ปุ่น 60%. คำแนะนำในการป้องกัน: - ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เปลี่ยนจากการตรวจสอบเป็นระยะ มาเป็นการตรวจสอบแบบเรียลไทม์เพื่อลดความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทาน. https://www.techradar.com/pro/security/third-party-security-issues-could-be-the-biggest-threat-facing-your-business
    WWW.TECHRADAR.COM
    Third-party security issues could be the biggest threat facing your business
    More than a third of all breaches of 2024 were related to third parties
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 222 มุมมอง 0 รีวิว
  • 👨‍👩‍👧‍👦 การตีไม่ใช่การสอน: เจาะลึก พ.ร.บ.ใหม่ ห้ามทารุณกรรมบุตร พ.ศ. 2568
    เมื่อกฎหมายบอกว่า "พ่อแม่ตีลูกไม่ได้": ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของครอบครัวไทย

    📌 เจาะลึกถึงกฎหมายใหม่ห้ามตีลูก พ.ศ. 2568 ซึ่งระบุชัดเจนว่า การทำโทษต้องไม่เป็นการทารุณกรรม หรือรุนแรงทั้งร่างกายและจิตใจ แนวทางการปรับทัศนคติพ่อแม่ สู่การเลี้ยงดูเชิงบวก

    ✨ จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ในสังคมไทยที่ผ่านมา คำว่า "ไม้เรียวคือรัก" หรือ "ตีเพราะรัก" เป็นสิ่งที่หลายครอบครัว เติบโตมาพร้อมกับแนวคิดนี้ แต่ปัจจุบัน เมื่อสังคมเปลี่ยน โลกเปลี่ยน และองค์ความรู้ด้านจิตวิทยาเด็ก พัฒนาไปมากขึ้น ก็เริ่มมีคำถามว่า...

    👉 “การตีลูก = การอบรมจริงหรือ?”

    และแล้ว... คำตอบจากรัฐ ก็มาในรูปแบบของ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2568 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป 🗓️

    📖 พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือการแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 (2) ซึ่งแต่เดิมเคยระบุว่า ผู้ใช้อำนาจปกครอง พ่อแม่ หรือผู้ปกครอง สามารถทำโทษบุตร เพื่ออบรมสั่งสอนได้ตามสมควร

    แต่ในฉบับใหม่ ปี 2568 นี้ ระบุเพิ่มเติมไว้อย่างชัดเจนว่า 👇

    “ทำโทษบุตรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน หรือปรับพฤติกรรม โดยต้องไม่เป็นการกระทำทารุณกรรม หรือทำร้ายด้วยความรุนแรงต่อร่างกาย หรือจิตใจ หรือกระทำโดยมิชอบ”

    📌 สรุปคือ พ่อแม่ ยังสามารถอบรมลูกได้ แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรง หรือการกระทำที่เป็นอันตราย ทั้งทางกายและจิตใจ

    ❓ ทำไมถึงต้องออกกฎหมายนี้? สาเหตุหลัก ๆ ของการออกกฎหมายนี้ มาจากหลายปัจจัยรวมกัน เช่น

    📉 ผลกระทบทางจิตใจ เด็กที่ถูกตีบ่อย มีแนวโน้มจะขาดความมั่นใจ เกิดบาดแผลทางใจเรื้อรัง

    😢 การใช้ความรุนแรง แฝงรูปแบบการทารุณกรรม ที่ซ่อนอยู่ภายใต้คำว่า "การสั่งสอน"

    🤝 ความรับผิดชอบของรัฐไทย ในฐานะภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (UNCRC) ที่ต้องปกป้องสิทธิเด็ กจากความรุนแรงทุกรูปแบบ

    🔄 การพัฒนาแนวทางเลี้ยงดูเชิงบวก (Positive Parenting) ที่เริ่มเป็นมาตรฐานสากล

    ⚖️ หัวใจสำคัญของกฎหมาย “ตีลูกไม่ได้” หมายถึงอะไร หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า กฎหมายนี้ ห้ามไม่ให้พ่อแม่อบรมลูกเลย ❌ แต่ในความจริงแล้ว...

    👉 "การสั่งสอนลูกยังทำได้" แต่ต้องเป็นการสั่งสอน ที่ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ดูถูก หรือทำให้ลูกเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ

    ตัวอย่างของพฤติกรรมที่ “ผิด” ตามกฎหมายใหม่
    - ตีด้วยของแข็ง เช่น ไม้แข็ง, สายไฟ
    - ดุด่าด้วยคำรุนแรง หรือดูถูก
    - บังคับให้ลูกกลัว หรือรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า
    - ทำโทษด้วยวิธีที่ขัดกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

    💔 ทัศนคติแบบเดิม ความเข้าใจผิดที่ส่งผลเสีย “ลูกโดนตีตอนเด็ก โตขึ้นมาถึงรู้จักผิดชอบชั่วดี” ประโยคนี้คือความเข้าใจผิด ที่ฝังรากลึกในหลายครอบครัว 😓

    แต่ข้อมูลจากจิตแพทย์เด็ก และองค์กรเพื่อสิทธิเด็กทั่วโลก ชี้ว่า... เด็กที่เติบโตในครอบครัว ที่ใช้ความรุนแรง มักจะมีแนวโน้ม ถ่ายทอดความรุนแรงนั้นต่อไป

    นั่นคือวงจรของ “ความรุนแรงในครอบครัว” ที่ไม่เคยสิ้นสุด 💢 กฎหมายใหม่นี้จึงไม่ได้มาเพื่อ "ลงโทษพ่อแม่" แต่เพื่อหยุดวงจรของความรุนแรงตั้งแต่ต้นทาง

    🌈 การเลี้ยงลูกเชิงบวก แนวคิดนี้เรียกว่า Positive Discipline หรือ Positive Parenting
    เป็นการสั่งสอนลูกโดยใช้ความเข้าใจ ความรัก และเหตุผล มากกว่าความกลัวหรือการบังคับ

    หลักการสำคัญ มีดังนี้
    - สร้างวินัยด้วยข้อตกลง ไม่ใช่การขู่เข็ญ
    - สอนให้ลูกรับผิดชอบ ไม่ใช่รู้สึกผิด
    - ใช้ “ผลลัพธ์ตามธรรมชาติ” แทน “การลงโทษ”

    ตัวอย่าง แทนที่จะตีลูกที่ไม่ยอมทำการบ้าน → อธิบายผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น เช่น คะแนนไม่ดี หรือไม่มีเวลาเล่น

    🛠️ วิธีอบรมลูกโดยไม่ใช้ความรุนแรง
    - ใช้เวลาฟังลูกมากขึ้น 👂 ให้ลูกพูดสิ่งที่รู้สึกหรือคิด โดยไม่ตัดสิน
    - สร้างกฎร่วมกันในบ้าน 📜 เด็กจะเชื่อฟังมากขึ้น ถ้ารู้สึกว่าเขามีส่วนร่วม
    - สอนด้วยเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ 💬 เวลาลูกทำผิด ให้ถาม-ตอบ ชวนคิดถึงผลกระทบ
    - เสริมแรงทางบวก 🌟 ชมลูกเมื่อทำสิ่งที่ดี แทนที่จะเน้นเฉพาะเวลาทำผิด
    - เป็นแบบอย่างที่ดี 👨‍👩‍👧 เด็กเรียนรู้พฤติกรรม จากการสังเกตพ่อแม่

    📣 เสียงสะท้อนจากสังคมไทย หลังการประกาศกฎหมายฉบับนี้ มีทั้งเสียงเห็นด้วย และเสียงที่ยัง “ไม่เข้าใจ”

    เสียงเห็นด้วย “กฎหมายนี้ช่วยให้พ่อแม่ หันมาสนใจพัฒนาวิธีสื่อสารกับลูกมากขึ้น ไม่ใช้แต่กำลัง” 🙌

    เสียงคัดค้าน “กลัวว่าเด็กจะไม่กลัว ไม่เชื่อฟัง ถ้าพ่อแม่ไม่มีสิทธิ์ทำโทษ”

    สิ่งสำคัญคือ การสร้างความเข้าใจใหม่ว่า 👉 การสร้างวินัย ไม่เท่ากับการใช้กำลัง

    🧠 พ่อแม่ต้องเตรียมตัวอย่างไร?
    - เรียนรู้เรื่อง จิตวิทยาพัฒนาการเด็ก
    - เข้าอบรมเรื่อง การเลี้ยงลูกเชิงบวก ที่หลายหน่วยงานจัดขึ้น
    - พูดคุยแลกเปลี่ยนกับครอบครัวอื่น ๆ เพื่อหาแนวทางใหม่
    - ตระหนักว่า “ความรุนแรง” ไม่ได้ช่วยให้ลูกดีขึ้น แต่ ทำให้ห่างกันมากขึ้น

    ❓ คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
    Q1 ถ้าแค่ตีเบา ๆ ยังผิดกฎหมายไหม?
    A ถ้าการตีทำให้เด็กเจ็บทั้งกายหรือใจ หรือทำด้วยอารมณ์ ไม่ถือว่าเบา และอาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย

    Q2 แล้วจะอบรมลูกที่ดื้อยังไงดี?
    A ใช้หลักการ "พูด-ฟัง-เข้าใจ" และเสริมแรงทางบวก เช่น ให้รางวัลเมื่อทำดี

    Q3 ถ้าลูกก้าวร้าวก่อน พ่อแม่ต้องทำยังไง?
    A หลีกเลี่ยงการตอบโต้ ใช้วิธีตั้งสติ พูดคุยหลังเหตุการณ์สงบลง

    Q4 จะรู้ได้ยังไง ว่าเราทำผิดตามกฎหมายหรือไม่?
    A หากมีการทำโทษที่รุนแรง หรือทำให้เด็กรู้สึกด้อยค่า อาจเข้าข่ายผิด

    Q5 กฎหมายนี้ใช้กับครู หรือเฉพาะพ่อแม่?
    A แม้จะเน้นที่ผู้ปกครอง แต่หลักการเดียวกัน ควรใช้กับผู้ใหญ่ทุกคนที่ดูแลเด็ก

    Q6 ถ้ารู้ว่ามีคนใช้ความรุนแรงกับเด็ก จะทำอย่างไร?
    A แจ้งสำนักงานพัฒนาสังคม หรือมูลนิธิเพื่อเด็ก เช่น มูลนิธิเด็ก หรือสายด่วน 1300

    📌 การเลี้ยงลูกในยุคใหม่ ต้องอาศัยทั้งความรัก ความเข้าใจ และการเรียนรู้ พระราชบัญญัติฉบับนี้ ไม่ได้มาเพื่อควบคุมพ่อแม่ แต่มาเพื่อปกป้องเด็ก

    การตี ไม่ใช่การสอนอีกต่อไป... และลูกก็สมควรได้รับการอบรม อย่างมีศักดิ์ศรี ❤️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 252012 มี.ค. 2568

    📲 #ห้ามตีลูก #กฎหมายใหม่2568 #การเลี้ยงลูกเชิงบวก #สิทธิเด็กไทย #ราชกิจจานุเบกษา #ครอบครัวไทย #ตีไม่ใช่สอน #เลี้ยงลูกอย่างเข้าใจ #จิตวิทยาเด็ก #พ่อแม่ยุคใหม่
    👨‍👩‍👧‍👦 การตีไม่ใช่การสอน: เจาะลึก พ.ร.บ.ใหม่ ห้ามทารุณกรรมบุตร พ.ศ. 2568 เมื่อกฎหมายบอกว่า "พ่อแม่ตีลูกไม่ได้": ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของครอบครัวไทย 📌 เจาะลึกถึงกฎหมายใหม่ห้ามตีลูก พ.ศ. 2568 ซึ่งระบุชัดเจนว่า การทำโทษต้องไม่เป็นการทารุณกรรม หรือรุนแรงทั้งร่างกายและจิตใจ แนวทางการปรับทัศนคติพ่อแม่ สู่การเลี้ยงดูเชิงบวก ✨ จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ในสังคมไทยที่ผ่านมา คำว่า "ไม้เรียวคือรัก" หรือ "ตีเพราะรัก" เป็นสิ่งที่หลายครอบครัว เติบโตมาพร้อมกับแนวคิดนี้ แต่ปัจจุบัน เมื่อสังคมเปลี่ยน โลกเปลี่ยน และองค์ความรู้ด้านจิตวิทยาเด็ก พัฒนาไปมากขึ้น ก็เริ่มมีคำถามว่า... 👉 “การตีลูก = การอบรมจริงหรือ?” และแล้ว... คำตอบจากรัฐ ก็มาในรูปแบบของ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2568 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป 🗓️ 📖 พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือการแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 (2) ซึ่งแต่เดิมเคยระบุว่า ผู้ใช้อำนาจปกครอง พ่อแม่ หรือผู้ปกครอง สามารถทำโทษบุตร เพื่ออบรมสั่งสอนได้ตามสมควร แต่ในฉบับใหม่ ปี 2568 นี้ ระบุเพิ่มเติมไว้อย่างชัดเจนว่า 👇 “ทำโทษบุตรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน หรือปรับพฤติกรรม โดยต้องไม่เป็นการกระทำทารุณกรรม หรือทำร้ายด้วยความรุนแรงต่อร่างกาย หรือจิตใจ หรือกระทำโดยมิชอบ” 📌 สรุปคือ พ่อแม่ ยังสามารถอบรมลูกได้ แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรง หรือการกระทำที่เป็นอันตราย ทั้งทางกายและจิตใจ ❓ ทำไมถึงต้องออกกฎหมายนี้? สาเหตุหลัก ๆ ของการออกกฎหมายนี้ มาจากหลายปัจจัยรวมกัน เช่น 📉 ผลกระทบทางจิตใจ เด็กที่ถูกตีบ่อย มีแนวโน้มจะขาดความมั่นใจ เกิดบาดแผลทางใจเรื้อรัง 😢 การใช้ความรุนแรง แฝงรูปแบบการทารุณกรรม ที่ซ่อนอยู่ภายใต้คำว่า "การสั่งสอน" 🤝 ความรับผิดชอบของรัฐไทย ในฐานะภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (UNCRC) ที่ต้องปกป้องสิทธิเด็ กจากความรุนแรงทุกรูปแบบ 🔄 การพัฒนาแนวทางเลี้ยงดูเชิงบวก (Positive Parenting) ที่เริ่มเป็นมาตรฐานสากล ⚖️ หัวใจสำคัญของกฎหมาย “ตีลูกไม่ได้” หมายถึงอะไร หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า กฎหมายนี้ ห้ามไม่ให้พ่อแม่อบรมลูกเลย ❌ แต่ในความจริงแล้ว... 👉 "การสั่งสอนลูกยังทำได้" แต่ต้องเป็นการสั่งสอน ที่ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ดูถูก หรือทำให้ลูกเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ ตัวอย่างของพฤติกรรมที่ “ผิด” ตามกฎหมายใหม่ - ตีด้วยของแข็ง เช่น ไม้แข็ง, สายไฟ - ดุด่าด้วยคำรุนแรง หรือดูถูก - บังคับให้ลูกกลัว หรือรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า - ทำโทษด้วยวิธีที่ขัดกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ 💔 ทัศนคติแบบเดิม ความเข้าใจผิดที่ส่งผลเสีย “ลูกโดนตีตอนเด็ก โตขึ้นมาถึงรู้จักผิดชอบชั่วดี” ประโยคนี้คือความเข้าใจผิด ที่ฝังรากลึกในหลายครอบครัว 😓 แต่ข้อมูลจากจิตแพทย์เด็ก และองค์กรเพื่อสิทธิเด็กทั่วโลก ชี้ว่า... เด็กที่เติบโตในครอบครัว ที่ใช้ความรุนแรง มักจะมีแนวโน้ม ถ่ายทอดความรุนแรงนั้นต่อไป นั่นคือวงจรของ “ความรุนแรงในครอบครัว” ที่ไม่เคยสิ้นสุด 💢 กฎหมายใหม่นี้จึงไม่ได้มาเพื่อ "ลงโทษพ่อแม่" แต่เพื่อหยุดวงจรของความรุนแรงตั้งแต่ต้นทาง 🌈 การเลี้ยงลูกเชิงบวก แนวคิดนี้เรียกว่า Positive Discipline หรือ Positive Parenting เป็นการสั่งสอนลูกโดยใช้ความเข้าใจ ความรัก และเหตุผล มากกว่าความกลัวหรือการบังคับ หลักการสำคัญ มีดังนี้ - สร้างวินัยด้วยข้อตกลง ไม่ใช่การขู่เข็ญ - สอนให้ลูกรับผิดชอบ ไม่ใช่รู้สึกผิด - ใช้ “ผลลัพธ์ตามธรรมชาติ” แทน “การลงโทษ” ตัวอย่าง แทนที่จะตีลูกที่ไม่ยอมทำการบ้าน → อธิบายผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น เช่น คะแนนไม่ดี หรือไม่มีเวลาเล่น 🛠️ วิธีอบรมลูกโดยไม่ใช้ความรุนแรง - ใช้เวลาฟังลูกมากขึ้น 👂 ให้ลูกพูดสิ่งที่รู้สึกหรือคิด โดยไม่ตัดสิน - สร้างกฎร่วมกันในบ้าน 📜 เด็กจะเชื่อฟังมากขึ้น ถ้ารู้สึกว่าเขามีส่วนร่วม - สอนด้วยเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ 💬 เวลาลูกทำผิด ให้ถาม-ตอบ ชวนคิดถึงผลกระทบ - เสริมแรงทางบวก 🌟 ชมลูกเมื่อทำสิ่งที่ดี แทนที่จะเน้นเฉพาะเวลาทำผิด - เป็นแบบอย่างที่ดี 👨‍👩‍👧 เด็กเรียนรู้พฤติกรรม จากการสังเกตพ่อแม่ 📣 เสียงสะท้อนจากสังคมไทย หลังการประกาศกฎหมายฉบับนี้ มีทั้งเสียงเห็นด้วย และเสียงที่ยัง “ไม่เข้าใจ” เสียงเห็นด้วย “กฎหมายนี้ช่วยให้พ่อแม่ หันมาสนใจพัฒนาวิธีสื่อสารกับลูกมากขึ้น ไม่ใช้แต่กำลัง” 🙌 เสียงคัดค้าน “กลัวว่าเด็กจะไม่กลัว ไม่เชื่อฟัง ถ้าพ่อแม่ไม่มีสิทธิ์ทำโทษ” สิ่งสำคัญคือ การสร้างความเข้าใจใหม่ว่า 👉 การสร้างวินัย ไม่เท่ากับการใช้กำลัง 🧠 พ่อแม่ต้องเตรียมตัวอย่างไร? - เรียนรู้เรื่อง จิตวิทยาพัฒนาการเด็ก - เข้าอบรมเรื่อง การเลี้ยงลูกเชิงบวก ที่หลายหน่วยงานจัดขึ้น - พูดคุยแลกเปลี่ยนกับครอบครัวอื่น ๆ เพื่อหาแนวทางใหม่ - ตระหนักว่า “ความรุนแรง” ไม่ได้ช่วยให้ลูกดีขึ้น แต่ ทำให้ห่างกันมากขึ้น ❓ คำถามที่พบบ่อย (FAQs) Q1 ถ้าแค่ตีเบา ๆ ยังผิดกฎหมายไหม? A ถ้าการตีทำให้เด็กเจ็บทั้งกายหรือใจ หรือทำด้วยอารมณ์ ไม่ถือว่าเบา และอาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย Q2 แล้วจะอบรมลูกที่ดื้อยังไงดี? A ใช้หลักการ "พูด-ฟัง-เข้าใจ" และเสริมแรงทางบวก เช่น ให้รางวัลเมื่อทำดี Q3 ถ้าลูกก้าวร้าวก่อน พ่อแม่ต้องทำยังไง? A หลีกเลี่ยงการตอบโต้ ใช้วิธีตั้งสติ พูดคุยหลังเหตุการณ์สงบลง Q4 จะรู้ได้ยังไง ว่าเราทำผิดตามกฎหมายหรือไม่? A หากมีการทำโทษที่รุนแรง หรือทำให้เด็กรู้สึกด้อยค่า อาจเข้าข่ายผิด Q5 กฎหมายนี้ใช้กับครู หรือเฉพาะพ่อแม่? A แม้จะเน้นที่ผู้ปกครอง แต่หลักการเดียวกัน ควรใช้กับผู้ใหญ่ทุกคนที่ดูแลเด็ก Q6 ถ้ารู้ว่ามีคนใช้ความรุนแรงกับเด็ก จะทำอย่างไร? A แจ้งสำนักงานพัฒนาสังคม หรือมูลนิธิเพื่อเด็ก เช่น มูลนิธิเด็ก หรือสายด่วน 1300 📌 การเลี้ยงลูกในยุคใหม่ ต้องอาศัยทั้งความรัก ความเข้าใจ และการเรียนรู้ พระราชบัญญัติฉบับนี้ ไม่ได้มาเพื่อควบคุมพ่อแม่ แต่มาเพื่อปกป้องเด็ก การตี ไม่ใช่การสอนอีกต่อไป... และลูกก็สมควรได้รับการอบรม อย่างมีศักดิ์ศรี ❤️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 252012 มี.ค. 2568 📲 #ห้ามตีลูก #กฎหมายใหม่2568 #การเลี้ยงลูกเชิงบวก #สิทธิเด็กไทย #ราชกิจจานุเบกษา #ครอบครัวไทย #ตีไม่ใช่สอน #เลี้ยงลูกอย่างเข้าใจ #จิตวิทยาเด็ก #พ่อแม่ยุคใหม่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 693 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🕌🇸🇦 50 ปี ลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ไฟซาล แห่งซาอุดีอาระเบีย ราชนัดดามีอาการทางจิต ปลิดชีพลุง 3 นัดซ้อน เสยคาง-ข้างหู เบื้องลึกโศกนาฏกรรมสะเทือนโลก 🕊️🔫

    📌 ย้อนเหตุการณ์สะเทือนโลก เมื่อ 50 ปี ที่ผ่านมา เหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ไฟซาล แห่งซาอุฯ โดยเจ้าชายผู้มีอาการทางจิต พร้อมเผยข้อเท็จจริงที่หลายคนไม่เคยรู้ ผลกระทบที่ยังคงอยู่ถึงปัจจุบัน

    🕌 ย้อนรอยโศกนาฏกรรมแห่งราชวงศ์ซาอุฯ 25 มีนาคม พ.ศ. 2518... เช้าวันอังคารที่เงียบเหงาในกรุงริยาด กลับกลายเป็นวันแห่งโศกนาฏกรรมระดับโลก เมื่อ "สมเด็จพระราชาธิบดีไฟซาล บิน อับดุล อาซิซ อัล ซาอุด" ผู้นำสูงสุดแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ต้องสิ้นพระชนม์ด้วยฝีมือของเจ้าชาย ซึ่งเป็น "หลานชายแท้ ๆ" จากการลอบยิงระยะประชิด 3 นัดซ้อน ในพระราชวังหลวง... 💔🔫

    เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่ความสูญเสียของราชวงศ์ หากแต่ส่งผลสะเทือนทั้งโลก โดยเฉพาะโลกมุสลิม ที่ยังคงสั่นคลอน กับคำถามที่ยังไม่มีคำตอบอย่างแท้จริงว่า...

    "ทำไมเจ้าชายจึงลั่นไก?" 🤯

    📖 เรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์ "สมเด็จพระราชาธิบดีไฟซาล บิน อับดุล อาซิซ อัล ซาอุด" ทรงขึ้นครองราชย์เมื่อปี พ.ศ. 2507 ทรงเป็นที่รู้จักในฐานะกษัตริย์ผู้มีวิสัยทัศน์ 🌍✨

    พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการลดการพึ่งพาน้ำมัน ⛽️ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 🏗️ การส่งเสริมการศึกษา 📚 และการวางแผนปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศ ในระยะยาว

    นอกจากนี้ กษัตริย์ไฟซาลยังเป็นผู้นำ ในการต่อต้านอิสราเอลอย่างแข็งกร้าว ในช่วงสงคราม Yom Kippur และมีบทบาทสำคัญในการใช้ “นโยบายน้ำมันเป็นอาวุธ” (Oil Weapon Policy) กดดันตะวันตก ในช่วงวิกฤตน้ำมันปี 2516 🛢️⚖️

    พระองค์จึงเป็นทั้งผู้นำเชิงกลยุทธ์ และนักปฏิรูปผู้ทรงพลังของซาอุดีอาระเบีย

    😱 เหตุการณ์ลอบสังหาร เช้าแห่งความมืดมิด เช้าวันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2518 ในพระราชวังหลวง กรุงริยาด 🇸🇦 "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด บิน อับดุลลาซิซ อัล ซาอุด" หลานชายแท้ ๆ ของกษัตริย์ไฟซาล ได้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระราชาธิบดี พร้อมคณะผู้แทนจากประเทศคูเวต

    ขณะนั้นไม่มีผู้ใดคาดคิดว่า…

    ทันทีที่กษัตริย์โน้มพระองค์ลง เพื่อจุมพิตเจ้าชายตามธรรมเนียม เจ้าชายกลับชักปืนพกสั้นออกมา แล้วยิงไปที่คางและข้างพระกรรณของกษัตริย์ 3 นัดซ้อน 🔫💥

    ราชองครักษ์พยายามจะโต้ตอบทันที แต่ “ชีค อาห์เมด ซากีห์ ยามานี” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงปิโตรเลียมและทรัพยากรธรรมชาติ ได้ตะโกนห้ามไม่ให้สังหารเจ้าชายผู้ก่อเหตุ ทำให้เจ้าชายถูกจับกุมแทน

    👑 "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด" เป็นพระราชโอรสของเจ้าชายมูซาอิด พระอนุชาของกษัตริย์ไฟซาล เคยศึกษาที่สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 และมีประวัติพฤติกรรมแปลกประหลาดหลายอย่าง เช่น...

    - ถูกจับที่สหรัฯอเมริกา จากคดีครอบครองยาเสพติด 💊
    - มีพฤติกรรมต่อต้านสังคม และมีแนวคิดเสรีนิยมแบบตะวันตก 🌐
    - เคยมีความขัดแย้งภายในราชวงศ์ 📉

    รายงานจากนักจิตแพทย์หลายฝ่ายตรงกันว่า เจ้าชายทรงมีอาการ “โรคจิตเภท” (Schizophrenia) 😵‍💫

    อาการที่สังเกตได้คือ
    - ความหวาดระแวง (Paranoia)
    - ความคิดหลงผิด (Delusions)
    - พฤติกรรมรุนแรง และขาดการควบคุมตนเอง

    ❓ แรงจูงใจเบื้องหลังการลอบสังหาร แม้การสอบสวนจะสรุปว่า เจ้าชายไฟซาลก่อเหตุเพียงลำพัง แต่แรงจูงใจยังคงเป็นปริศนา 🤔

    ข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้ ได้แก่
    - แก้แค้นให้เจ้าชายคาลิด พระเชษฐาซึ่งเสียชีวิตจากการต่อสู้ กับกองกำลังรัฐในปี 2509 ⚔️
    - อาการป่วยจิตเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมรุนแรง โดยไม่มีแรงจูงใจทางการเมืองชัดเจน 💭
    - ความไม่พอใจต่อราชวงศ์ เจ้าชายรู้สึกถูกจำกัดเสรีภาพ หลังกลับจากสหรัฐฯ 🗽
    - แรงกระตุ้นจากภายนอก บางฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าอาจมี "ตะวันตก" อยู่เบื้องหลัง 🤫 แม้ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน

    ⚖️ หลังจากเหตุการณ์ไม่นาน "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด" ถูกนำตัวขึ้นศาล ในข้อหาลอบปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์

    ศาลตัดสินให้ บั่นพระเศียรกลางจัตุรัสสาธารณะ ในกรุงริยาด ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายชารีอะห์ ของซาอุดีอาระเบีย ✝️⚔️

    การลงโทษต่อหน้าประชาชน ถูกใช้เพื่อส่งสารถึงประชาชนว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย แม้จะเป็นเจ้าชายก็ตาม 👑❌⚖️

    🧠 จิตวิทยากับโศกนาฏกรรม ความเชื่อมโยงของ "โรคจิตเภท" จากคำวินิจฉัยของคณะจิตแพทย์พบว่าเจ้าชายไฟซาลมีอาการของ "โรคจิตเภท" ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้ผู้ป่วยมีความคิดที่หลงผิด ไม่สามารถแยกแยะความจริง จากจินตนาการได้อย่างถูกต้อง 🤯

    อาการเด่นที่สังเกตได้คือ
    - ความหวาดระแวงว่า ถูกคุกคาม
    - อารมณ์ไม่คงที่
    - มีการตัดสินใจที่ผิดเพี้ยน
    - การรับรู้ผิดปกติอย่างรุนแรง

    💡สิ่งสำคัญคือ โรคจิตเภทไม่ใช่ความผิดของผู้ป่วย แต่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในเวลานั้น การวินิจฉัยและการรักษา ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร

    🕵️‍♂️ เรื่องจริงที่โลกไม่ค่อยรู้
    📌 เจ้าชายเคยถูกจับในสหรัฐอเมริกา ในคดีครอบครองยาเสพติด
    📌 กษัตริย์ไฟซาลมีเป้าหมายลดการพึ่งพาน้ำมัน พัฒนาการศึกษา
    📌 บางแหล่งข่าวสงสัยว่า ตะวันตกอาจเกี่ยวข้องกับการลอบสังหาร
    📌 "ชีค ยามานี" รัฐมนตรีน้ำมัน เป็นผู้หยุดราชองครักษ์ ไม่ให้สังหารเจ้าชายทันที

    🧩 โศกนาฏกรรมที่กลายเป็นบทเรียนแห่งโลก สะท้อนให้เห็นว่า... แม้จะอยู่ในพระราชวังสูงสุด หรือมีพระยศสูงส่งเพียงใด ก็ไม่อาจหนีจาก "ความเป็นมนุษย์" และ "ความเปราะบางของจิตใจ" ได้เลย

    กษัตริย์ไฟซาล อาจจากโลกนี้ไปด้วยความเจ็บปวด... แต่พระองค์ได้ทิ้งมรดกแห่งวิสัยทัศน์ ไว้ให้ซาอุดีอาระเบียก้าวหน้า ต่อมาอีกหลายทศวรรษ 🕊️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 251024 มี.ค. 2568

    📲 #กษัตริย์ไฟซาล #ลอบสังหารซาอุ #ประวัติศาสตร์ซาอุ #โศกนาฏกรรมซาอุดีอาระเบีย #จิตเวชในราชวงศ์ #ซาอุยุค70 #เจ้าชายไฟซาล #ราชวงศ์อาหรับ #เรื่องจริงไม่เคยรู้ #FaisalBinAbdulAziz
    🕌🇸🇦 50 ปี ลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ไฟซาล แห่งซาอุดีอาระเบีย ราชนัดดามีอาการทางจิต ปลิดชีพลุง 3 นัดซ้อน เสยคาง-ข้างหู เบื้องลึกโศกนาฏกรรมสะเทือนโลก 🕊️🔫 📌 ย้อนเหตุการณ์สะเทือนโลก เมื่อ 50 ปี ที่ผ่านมา เหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ไฟซาล แห่งซาอุฯ โดยเจ้าชายผู้มีอาการทางจิต พร้อมเผยข้อเท็จจริงที่หลายคนไม่เคยรู้ ผลกระทบที่ยังคงอยู่ถึงปัจจุบัน 🕌 ย้อนรอยโศกนาฏกรรมแห่งราชวงศ์ซาอุฯ 25 มีนาคม พ.ศ. 2518... เช้าวันอังคารที่เงียบเหงาในกรุงริยาด กลับกลายเป็นวันแห่งโศกนาฏกรรมระดับโลก เมื่อ "สมเด็จพระราชาธิบดีไฟซาล บิน อับดุล อาซิซ อัล ซาอุด" ผู้นำสูงสุดแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ต้องสิ้นพระชนม์ด้วยฝีมือของเจ้าชาย ซึ่งเป็น "หลานชายแท้ ๆ" จากการลอบยิงระยะประชิด 3 นัดซ้อน ในพระราชวังหลวง... 💔🔫 เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่ความสูญเสียของราชวงศ์ หากแต่ส่งผลสะเทือนทั้งโลก โดยเฉพาะโลกมุสลิม ที่ยังคงสั่นคลอน กับคำถามที่ยังไม่มีคำตอบอย่างแท้จริงว่า... "ทำไมเจ้าชายจึงลั่นไก?" 🤯 📖 เรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์ "สมเด็จพระราชาธิบดีไฟซาล บิน อับดุล อาซิซ อัล ซาอุด" ทรงขึ้นครองราชย์เมื่อปี พ.ศ. 2507 ทรงเป็นที่รู้จักในฐานะกษัตริย์ผู้มีวิสัยทัศน์ 🌍✨ พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการลดการพึ่งพาน้ำมัน ⛽️ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 🏗️ การส่งเสริมการศึกษา 📚 และการวางแผนปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศ ในระยะยาว นอกจากนี้ กษัตริย์ไฟซาลยังเป็นผู้นำ ในการต่อต้านอิสราเอลอย่างแข็งกร้าว ในช่วงสงคราม Yom Kippur และมีบทบาทสำคัญในการใช้ “นโยบายน้ำมันเป็นอาวุธ” (Oil Weapon Policy) กดดันตะวันตก ในช่วงวิกฤตน้ำมันปี 2516 🛢️⚖️ พระองค์จึงเป็นทั้งผู้นำเชิงกลยุทธ์ และนักปฏิรูปผู้ทรงพลังของซาอุดีอาระเบีย 😱 เหตุการณ์ลอบสังหาร เช้าแห่งความมืดมิด เช้าวันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2518 ในพระราชวังหลวง กรุงริยาด 🇸🇦 "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด บิน อับดุลลาซิซ อัล ซาอุด" หลานชายแท้ ๆ ของกษัตริย์ไฟซาล ได้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระราชาธิบดี พร้อมคณะผู้แทนจากประเทศคูเวต ขณะนั้นไม่มีผู้ใดคาดคิดว่า… ทันทีที่กษัตริย์โน้มพระองค์ลง เพื่อจุมพิตเจ้าชายตามธรรมเนียม เจ้าชายกลับชักปืนพกสั้นออกมา แล้วยิงไปที่คางและข้างพระกรรณของกษัตริย์ 3 นัดซ้อน 🔫💥 ราชองครักษ์พยายามจะโต้ตอบทันที แต่ “ชีค อาห์เมด ซากีห์ ยามานี” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงปิโตรเลียมและทรัพยากรธรรมชาติ ได้ตะโกนห้ามไม่ให้สังหารเจ้าชายผู้ก่อเหตุ ทำให้เจ้าชายถูกจับกุมแทน 👑 "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด" เป็นพระราชโอรสของเจ้าชายมูซาอิด พระอนุชาของกษัตริย์ไฟซาล เคยศึกษาที่สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 และมีประวัติพฤติกรรมแปลกประหลาดหลายอย่าง เช่น... - ถูกจับที่สหรัฯอเมริกา จากคดีครอบครองยาเสพติด 💊 - มีพฤติกรรมต่อต้านสังคม และมีแนวคิดเสรีนิยมแบบตะวันตก 🌐 - เคยมีความขัดแย้งภายในราชวงศ์ 📉 รายงานจากนักจิตแพทย์หลายฝ่ายตรงกันว่า เจ้าชายทรงมีอาการ “โรคจิตเภท” (Schizophrenia) 😵‍💫 อาการที่สังเกตได้คือ - ความหวาดระแวง (Paranoia) - ความคิดหลงผิด (Delusions) - พฤติกรรมรุนแรง และขาดการควบคุมตนเอง ❓ แรงจูงใจเบื้องหลังการลอบสังหาร แม้การสอบสวนจะสรุปว่า เจ้าชายไฟซาลก่อเหตุเพียงลำพัง แต่แรงจูงใจยังคงเป็นปริศนา 🤔 ข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้ ได้แก่ - แก้แค้นให้เจ้าชายคาลิด พระเชษฐาซึ่งเสียชีวิตจากการต่อสู้ กับกองกำลังรัฐในปี 2509 ⚔️ - อาการป่วยจิตเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมรุนแรง โดยไม่มีแรงจูงใจทางการเมืองชัดเจน 💭 - ความไม่พอใจต่อราชวงศ์ เจ้าชายรู้สึกถูกจำกัดเสรีภาพ หลังกลับจากสหรัฐฯ 🗽 - แรงกระตุ้นจากภายนอก บางฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าอาจมี "ตะวันตก" อยู่เบื้องหลัง 🤫 แม้ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน ⚖️ หลังจากเหตุการณ์ไม่นาน "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด" ถูกนำตัวขึ้นศาล ในข้อหาลอบปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ ศาลตัดสินให้ บั่นพระเศียรกลางจัตุรัสสาธารณะ ในกรุงริยาด ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายชารีอะห์ ของซาอุดีอาระเบีย ✝️⚔️ การลงโทษต่อหน้าประชาชน ถูกใช้เพื่อส่งสารถึงประชาชนว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย แม้จะเป็นเจ้าชายก็ตาม 👑❌⚖️ 🧠 จิตวิทยากับโศกนาฏกรรม ความเชื่อมโยงของ "โรคจิตเภท" จากคำวินิจฉัยของคณะจิตแพทย์พบว่าเจ้าชายไฟซาลมีอาการของ "โรคจิตเภท" ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้ผู้ป่วยมีความคิดที่หลงผิด ไม่สามารถแยกแยะความจริง จากจินตนาการได้อย่างถูกต้อง 🤯 อาการเด่นที่สังเกตได้คือ - ความหวาดระแวงว่า ถูกคุกคาม - อารมณ์ไม่คงที่ - มีการตัดสินใจที่ผิดเพี้ยน - การรับรู้ผิดปกติอย่างรุนแรง 💡สิ่งสำคัญคือ โรคจิตเภทไม่ใช่ความผิดของผู้ป่วย แต่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในเวลานั้น การวินิจฉัยและการรักษา ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร 🕵️‍♂️ เรื่องจริงที่โลกไม่ค่อยรู้ 📌 เจ้าชายเคยถูกจับในสหรัฐอเมริกา ในคดีครอบครองยาเสพติด 📌 กษัตริย์ไฟซาลมีเป้าหมายลดการพึ่งพาน้ำมัน พัฒนาการศึกษา 📌 บางแหล่งข่าวสงสัยว่า ตะวันตกอาจเกี่ยวข้องกับการลอบสังหาร 📌 "ชีค ยามานี" รัฐมนตรีน้ำมัน เป็นผู้หยุดราชองครักษ์ ไม่ให้สังหารเจ้าชายทันที 🧩 โศกนาฏกรรมที่กลายเป็นบทเรียนแห่งโลก สะท้อนให้เห็นว่า... แม้จะอยู่ในพระราชวังสูงสุด หรือมีพระยศสูงส่งเพียงใด ก็ไม่อาจหนีจาก "ความเป็นมนุษย์" และ "ความเปราะบางของจิตใจ" ได้เลย กษัตริย์ไฟซาล อาจจากโลกนี้ไปด้วยความเจ็บปวด... แต่พระองค์ได้ทิ้งมรดกแห่งวิสัยทัศน์ ไว้ให้ซาอุดีอาระเบียก้าวหน้า ต่อมาอีกหลายทศวรรษ 🕊️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 251024 มี.ค. 2568 📲 #กษัตริย์ไฟซาล #ลอบสังหารซาอุ #ประวัติศาสตร์ซาอุ #โศกนาฏกรรมซาอุดีอาระเบีย #จิตเวชในราชวงศ์ #ซาอุยุค70 #เจ้าชายไฟซาล #ราชวงศ์อาหรับ #เรื่องจริงไม่เคยรู้ #FaisalBinAbdulAziz
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 808 มุมมอง 0 รีวิว
  • 10 ปี โศกนาฏกรรม Germanwings เที่ยวบิน 4U9525 เครื่องบินตกที่เทือกเขาแอลป์ จากเหตุ “นักบินผู้ช่วยป่วยจิต” เจตนาฆ่ายกลำ 150 ศพ!

    ✈️ เหตุการณ์เครื่องบินตกของสายการบิน Germanwings เที่ยวบิน 4U9525 ถือเป็นโศกนาฏกรรมทางอากาศ ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง ในประวัติศาสตร์การบินของเยอรมนี และกลายเป็นคดีสะเทือนขวัญ ที่ยังคงถูกพูดถึง แม้เวลาจะล่วงเลยไปกว่า 10 ปีแล้ว 🚨

    เพราะสิ่งที่ยิ่งกว่าความสูญเสียคือ “ข้อเท็จจริงอันน่าสยดสยอง” ว่าผู้ช่วยนักบิน ตั้งใจทำให้เครื่องบินตก นำไปสู่การเสียชีวิตของผู้โดยสาร และลูกเรือทั้ง 150 คนบนเครื่อง ✈️

    ✈️ โศกนาฏกรรม เที่ยวบิน 4U9525 วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 10:41 น. สายการบิน Germanwings เที่ยวบินที่ 4U9525 ได้บินจากบาร์เซโลนา ประเทศสเปน มุ่งหน้าสู่ดุสเซลดอร์ฟ ประเทศเยอรมนี ด้วยเครื่องบิน Airbus A320-200 ที่มีอายุการใช้งาน 24 ปี ผู้โดยสารบนเครื่องมีทั้งหมด 144 คน และลูกเรือ 6 คน รวมถึงกัปตัน " แพทริก ซอน เดนไฮเมอร์" (Patrick Son Denheimer) และผู้ช่วยนักบิน "อันเดรียส ลูบริซ" (Andreas Lubitz) 👨‍✈️

    การเดินทางที่ควรจะ "ปกติ" เริ่มต้นได้อย่างราบรื่น เครื่องบินไต่ระดับขึ้นไปที่ 38,000 ฟุต ⛰️ แต่เพียงไม่นาน... เครื่องบินก็เริ่มลดระดับลงอย่างผิดปกติ โดยไม่มีการติดต่อกลับจากนักบินผู้ช่วย ⚠️

    🚨 สิบนาทีสุดท้าย ก่อนพุ่งชนเทือกเขาแอลป์ ในช่วงเวลาสิบกว่านาทีสุดท้ายของเที่ยวบิน ลูบิตซ์ นักบินผู้ช่วย ได้ใช้โอกาสที่กัปตันเดนไฮเมอร์ ออกไปจากห้องนักบิน กดล็อกประตูไม่ให้กัปตันกลับเข้าไป และตั้งค่าระบบนำร่องอัตโนมัติ ให้เครื่องบินพุ่งต่ำลงเรื่อยๆ จนกระทั่งชนภูเขาในเขต Massif des Trois-Évêchés ของเทือกเขาแอลป์ 🏔️

    เสียงในห้องนักบินที่บันทึกโดยกล่องดำ (CVR) เผยให้เห็นว่าลูบิตซ์เงียบตลอดเวลาดำเนินการ และไม่ตอบสนองต่อการติดต่อใดๆ แม้แต่เสียงร้องขอความช่วยเหลือของกัปตันเดนไฮเมอร์ และเสียงกรีดร้องของผู้โดยสาร ที่ตระหนักถึงชะตากรรมของตนเอง 😢

    ⚠️ นักบินผู้ช่วยที่ป่วยจิต… และระบบที่พังทลาย ลูบิตซ์มีประวัติเป็นโรคซึมเศร้า และมีอาการจิตเวชที่ซับซ้อนมาก่อน เคยหยุดการฝึกบินกลางคันในปี 2552 ด้วยปัญหาทางจิตใจ แต่ได้รับใบรับรองแพทย์คืนหลังจากผ่านการรักษา ✅

    แม้จะหายป่วยในช่วงหนึ่ง แต่ภายหลังอาการกลับมาอีกครั้งในปี 2557-2558 โดยไม่มีใครในสายการบินรับรู้ เพราะลูบิตซ์เลือก "ปกปิด" ไม่แจ้งข้อมูลนี้กับบริษัท และเพื่อนร่วมงาน เพราะกลัวสูญเสียอาชีพการบิน ที่หลงใหลมาตลอดชีวิต 🛩️

    👉 ปัญหานี้ชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่อง ในระบบตรวจสอบสุขภาพจิตของนักบิน ที่เน้นแต่การคัดกรองและป้องกัน โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับระบบสนับสนุน และการฟื้นฟูผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ อย่างแท้จริง

    🔍 เบื้องหลังอาชญากรรม "อันเดรียส ลูบิตซ์" เป็นชายหนุ่มชาวเยอรมัน ที่เติบโตในเมือง Montabaur รักการบินมาตั้งแต่เด็ก เริ่มฝึกบินเครื่องร่อนตั้งแต่อายุ 14 ปี มีเส้นทางที่ดูเหมือนจะรุ่งโรจน์ในอาชีพนักบิน แต่ด้วยปัญหาสุขภาพจิต ที่ไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม ทำให้กลายเป็นฆาตกรในคราบนักบิน ✈️

    ลูบิตซ์ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรัง เคยมีความคิดฆ่าตัวตายหลายครั้ง และสุดท้าย ก็เลือกจบชีวิตตัวเองบนเครื่องบิน พร้อมกับพรากชีวิตคนอีก 149 คนไปพร้อมกัน ⚰️

    📜 มาตรการความปลอดภัย ที่เปลี่ยนแปลงหลังเหตุการณ์
    มาตรการเร่งด่วนที่ถูกนำมาใช้ทันที
    - ต้องมีนักบินสองคนในห้องนักบินตลอดเวลา (Two-Person Cockpit Rule)
    - เข้มงวดกับการตรวจสุขภาพจิตของนักบินมากขึ้น 📝
    - ให้สิทธิ์แพทย์ ในการแจ้งข้อมูลสุขภาพจิตของนักบิน ในกรณีเสี่ยงต่อความปลอดภัย ⚖️

    แต่ปัจจุบัน หลายฝ่ายมองว่านโยบายเหล่านี้ อาจไม่ได้ป้องกันปัญหาที่แท้จริง เพราะระบบยังคงขาดความยืดหยุ่น ในการจัดการกับปัญหาสุขภาพจิตของนักบิน 😔

    💡 บทเรียนที่ยังคงถูกถกเถียงในวงการการบิน
    - นักบินหลายคนเลือก "โกหก" เพื่อไม่ให้ประวัติสุขภาพจิต มาทำลายอาชีพการบินของตนเอง
    - ความเข้มงวดเกินไปในระบบใบรับรองแพทย์ อาจทำให้ปัญหาซ่อนอยู่ มากกว่าการเปิดเผยความจริง
    - จำเป็นต้องสร้างวัฒนธรรมการยอมรับและสนับสนุน ไม่ใช่การลงโทษคนที่ขอความช่วยเหลือ

    🎯 คำถามคือ เราจะป้องกันไม่ให้เกิด "Andreas Lubitz คนต่อไป" ได้อย่างไร?

    ✨ เหตุการณ์ที่โลกไม่มีวันลืม โศกนาฏกรรมเที่ยวบิน 4U9525 เป็นตัวอย่างสะท้อนความสำคัญ ของการตรวจสอบสุขภาพจิตนักบิน อย่างเป็นระบบและมีมนุษยธรรม หากไม่มีการปรับปรุง ระบบเดิมจะยังคงสร้างช่องว่าง ให้โศกนาฏกรรมเกิดขึ้นได้อีกครั้ง 💔

    10 ปีผ่านไป... แต่รอยแผลจากวันนั้นยังคงอยู่ และคำถามที่ไร้คำตอบก็คือ "ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ สิ่งนี้จะป้องกันได้ไหม?" ⏳

    ✈️ ความเชื่อใจในนักบินเป็นสิ่งสำคัญ แต่ "ระบบ" ที่สนับสนุนความปลอดภัยนั้น สำคัญยิ่งกว่า!

    10 ปีแห่งบทเรียนที่ไม่มีวันลืม...

    🕊️ เพื่อความปลอดภัยของทุกชีวิตบนท้องฟ้า 🌤️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 241018 มี.ค. 2568

    📌 #เที่ยวบิน9525 #Germanwings #โศกนาฏกรรมการบิน #AndreasLubitz #สุขภาพจิตนักบิน #โศกนาฏกรรมเยอรมันวิงส์ #ความปลอดภัยทางการบิน #ห้องนักบิน #อุบัติเหตุการบิน #บินปลอดภัย
    10 ปี โศกนาฏกรรม Germanwings เที่ยวบิน 4U9525 เครื่องบินตกที่เทือกเขาแอลป์ จากเหตุ “นักบินผู้ช่วยป่วยจิต” เจตนาฆ่ายกลำ 150 ศพ! ✈️ เหตุการณ์เครื่องบินตกของสายการบิน Germanwings เที่ยวบิน 4U9525 ถือเป็นโศกนาฏกรรมทางอากาศ ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง ในประวัติศาสตร์การบินของเยอรมนี และกลายเป็นคดีสะเทือนขวัญ ที่ยังคงถูกพูดถึง แม้เวลาจะล่วงเลยไปกว่า 10 ปีแล้ว 🚨 เพราะสิ่งที่ยิ่งกว่าความสูญเสียคือ “ข้อเท็จจริงอันน่าสยดสยอง” ว่าผู้ช่วยนักบิน ตั้งใจทำให้เครื่องบินตก นำไปสู่การเสียชีวิตของผู้โดยสาร และลูกเรือทั้ง 150 คนบนเครื่อง ✈️ ✈️ โศกนาฏกรรม เที่ยวบิน 4U9525 วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 10:41 น. สายการบิน Germanwings เที่ยวบินที่ 4U9525 ได้บินจากบาร์เซโลนา ประเทศสเปน มุ่งหน้าสู่ดุสเซลดอร์ฟ ประเทศเยอรมนี ด้วยเครื่องบิน Airbus A320-200 ที่มีอายุการใช้งาน 24 ปี ผู้โดยสารบนเครื่องมีทั้งหมด 144 คน และลูกเรือ 6 คน รวมถึงกัปตัน " แพทริก ซอน เดนไฮเมอร์" (Patrick Son Denheimer) และผู้ช่วยนักบิน "อันเดรียส ลูบริซ" (Andreas Lubitz) 👨‍✈️ การเดินทางที่ควรจะ "ปกติ" เริ่มต้นได้อย่างราบรื่น เครื่องบินไต่ระดับขึ้นไปที่ 38,000 ฟุต ⛰️ แต่เพียงไม่นาน... เครื่องบินก็เริ่มลดระดับลงอย่างผิดปกติ โดยไม่มีการติดต่อกลับจากนักบินผู้ช่วย ⚠️ 🚨 สิบนาทีสุดท้าย ก่อนพุ่งชนเทือกเขาแอลป์ ในช่วงเวลาสิบกว่านาทีสุดท้ายของเที่ยวบิน ลูบิตซ์ นักบินผู้ช่วย ได้ใช้โอกาสที่กัปตันเดนไฮเมอร์ ออกไปจากห้องนักบิน กดล็อกประตูไม่ให้กัปตันกลับเข้าไป และตั้งค่าระบบนำร่องอัตโนมัติ ให้เครื่องบินพุ่งต่ำลงเรื่อยๆ จนกระทั่งชนภูเขาในเขต Massif des Trois-Évêchés ของเทือกเขาแอลป์ 🏔️ เสียงในห้องนักบินที่บันทึกโดยกล่องดำ (CVR) เผยให้เห็นว่าลูบิตซ์เงียบตลอดเวลาดำเนินการ และไม่ตอบสนองต่อการติดต่อใดๆ แม้แต่เสียงร้องขอความช่วยเหลือของกัปตันเดนไฮเมอร์ และเสียงกรีดร้องของผู้โดยสาร ที่ตระหนักถึงชะตากรรมของตนเอง 😢 ⚠️ นักบินผู้ช่วยที่ป่วยจิต… และระบบที่พังทลาย ลูบิตซ์มีประวัติเป็นโรคซึมเศร้า และมีอาการจิตเวชที่ซับซ้อนมาก่อน เคยหยุดการฝึกบินกลางคันในปี 2552 ด้วยปัญหาทางจิตใจ แต่ได้รับใบรับรองแพทย์คืนหลังจากผ่านการรักษา ✅ แม้จะหายป่วยในช่วงหนึ่ง แต่ภายหลังอาการกลับมาอีกครั้งในปี 2557-2558 โดยไม่มีใครในสายการบินรับรู้ เพราะลูบิตซ์เลือก "ปกปิด" ไม่แจ้งข้อมูลนี้กับบริษัท และเพื่อนร่วมงาน เพราะกลัวสูญเสียอาชีพการบิน ที่หลงใหลมาตลอดชีวิต 🛩️ 👉 ปัญหานี้ชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่อง ในระบบตรวจสอบสุขภาพจิตของนักบิน ที่เน้นแต่การคัดกรองและป้องกัน โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับระบบสนับสนุน และการฟื้นฟูผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ อย่างแท้จริง 🔍 เบื้องหลังอาชญากรรม "อันเดรียส ลูบิตซ์" เป็นชายหนุ่มชาวเยอรมัน ที่เติบโตในเมือง Montabaur รักการบินมาตั้งแต่เด็ก เริ่มฝึกบินเครื่องร่อนตั้งแต่อายุ 14 ปี มีเส้นทางที่ดูเหมือนจะรุ่งโรจน์ในอาชีพนักบิน แต่ด้วยปัญหาสุขภาพจิต ที่ไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม ทำให้กลายเป็นฆาตกรในคราบนักบิน ✈️ ลูบิตซ์ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรัง เคยมีความคิดฆ่าตัวตายหลายครั้ง และสุดท้าย ก็เลือกจบชีวิตตัวเองบนเครื่องบิน พร้อมกับพรากชีวิตคนอีก 149 คนไปพร้อมกัน ⚰️ 📜 มาตรการความปลอดภัย ที่เปลี่ยนแปลงหลังเหตุการณ์ มาตรการเร่งด่วนที่ถูกนำมาใช้ทันที - ต้องมีนักบินสองคนในห้องนักบินตลอดเวลา (Two-Person Cockpit Rule) - เข้มงวดกับการตรวจสุขภาพจิตของนักบินมากขึ้น 📝 - ให้สิทธิ์แพทย์ ในการแจ้งข้อมูลสุขภาพจิตของนักบิน ในกรณีเสี่ยงต่อความปลอดภัย ⚖️ แต่ปัจจุบัน หลายฝ่ายมองว่านโยบายเหล่านี้ อาจไม่ได้ป้องกันปัญหาที่แท้จริง เพราะระบบยังคงขาดความยืดหยุ่น ในการจัดการกับปัญหาสุขภาพจิตของนักบิน 😔 💡 บทเรียนที่ยังคงถูกถกเถียงในวงการการบิน - นักบินหลายคนเลือก "โกหก" เพื่อไม่ให้ประวัติสุขภาพจิต มาทำลายอาชีพการบินของตนเอง - ความเข้มงวดเกินไปในระบบใบรับรองแพทย์ อาจทำให้ปัญหาซ่อนอยู่ มากกว่าการเปิดเผยความจริง - จำเป็นต้องสร้างวัฒนธรรมการยอมรับและสนับสนุน ไม่ใช่การลงโทษคนที่ขอความช่วยเหลือ 🎯 คำถามคือ เราจะป้องกันไม่ให้เกิด "Andreas Lubitz คนต่อไป" ได้อย่างไร? ✨ เหตุการณ์ที่โลกไม่มีวันลืม โศกนาฏกรรมเที่ยวบิน 4U9525 เป็นตัวอย่างสะท้อนความสำคัญ ของการตรวจสอบสุขภาพจิตนักบิน อย่างเป็นระบบและมีมนุษยธรรม หากไม่มีการปรับปรุง ระบบเดิมจะยังคงสร้างช่องว่าง ให้โศกนาฏกรรมเกิดขึ้นได้อีกครั้ง 💔 10 ปีผ่านไป... แต่รอยแผลจากวันนั้นยังคงอยู่ และคำถามที่ไร้คำตอบก็คือ "ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ สิ่งนี้จะป้องกันได้ไหม?" ⏳ ✈️ ความเชื่อใจในนักบินเป็นสิ่งสำคัญ แต่ "ระบบ" ที่สนับสนุนความปลอดภัยนั้น สำคัญยิ่งกว่า! 10 ปีแห่งบทเรียนที่ไม่มีวันลืม... 🕊️ เพื่อความปลอดภัยของทุกชีวิตบนท้องฟ้า 🌤️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 241018 มี.ค. 2568 📌 #เที่ยวบิน9525 #Germanwings #โศกนาฏกรรมการบิน #AndreasLubitz #สุขภาพจิตนักบิน #โศกนาฏกรรมเยอรมันวิงส์ #ความปลอดภัยทางการบิน #ห้องนักบิน #อุบัติเหตุการบิน #บินปลอดภัย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 822 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts