• แก๊งคอลตั้งฐานในไทย เปิดพฤติกรรมต้องสงสัย : [NEWS UPDATE]

    พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยพฤติกรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พบแฝงตัวตั้งฐานปฏิบัติการในที่พักอาศัย เช่น คอนโดมิเนียม หมู่บ้านจัดสรร หรือบ้านเช่า เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับของเจ้าหน้าที่ ใช้โทรศัพท์ สื่อสังคมออนไลน์หลอกเหยื่อทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดย 4 พฤติกรรมต้องสงสัย ได้แก่ 1.ชาวต่างชาติอยู่รวมกัน ไม่ปรากฏอาชีพชัดเจน มักมาเป็นกลุ่ม เช่าพักระยะสั้น ไม่สุงสิงกับคนในชุมชน เข้า-ออกไม่เป็นเวลา 2.มีเสียงพูดโทรศัพท์ภาษาต่างประเทศตลอดเวลา ลักษณะเหมือนอ่านสคริปต์ซ้ำๆ หลอกเหยื่อ 3.ปิดม่านตลอดเวลา ไม่เปิดไฟตอนกลางวัน แต่เปิดไฟตลอดคืน ตามเวลาประเทศต้นทางของเหยื่อ และ 4.มีอุปกรณ์สายไฟ เครื่องมือสื่อสารจำนวนมาก มีคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ เราเตอร์หลายเครื่อง และมักมีคนมาซ่อมหรือขนของเข้าออกบ่อยครั้ง

    -แร่แรร์เอิร์ธกระจายทั่วไทย

    -ซัดเพื่อไทยเพิ่งลุกจากโคลน

    -เก็บภาษีวืดเป้า 6.4 หมื่นล้าน

    -รับมืออากาศแปรปรวน
    แก๊งคอลตั้งฐานในไทย เปิดพฤติกรรมต้องสงสัย : [NEWS UPDATE] พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยพฤติกรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พบแฝงตัวตั้งฐานปฏิบัติการในที่พักอาศัย เช่น คอนโดมิเนียม หมู่บ้านจัดสรร หรือบ้านเช่า เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับของเจ้าหน้าที่ ใช้โทรศัพท์ สื่อสังคมออนไลน์หลอกเหยื่อทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดย 4 พฤติกรรมต้องสงสัย ได้แก่ 1.ชาวต่างชาติอยู่รวมกัน ไม่ปรากฏอาชีพชัดเจน มักมาเป็นกลุ่ม เช่าพักระยะสั้น ไม่สุงสิงกับคนในชุมชน เข้า-ออกไม่เป็นเวลา 2.มีเสียงพูดโทรศัพท์ภาษาต่างประเทศตลอดเวลา ลักษณะเหมือนอ่านสคริปต์ซ้ำๆ หลอกเหยื่อ 3.ปิดม่านตลอดเวลา ไม่เปิดไฟตอนกลางวัน แต่เปิดไฟตลอดคืน ตามเวลาประเทศต้นทางของเหยื่อ และ 4.มีอุปกรณ์สายไฟ เครื่องมือสื่อสารจำนวนมาก มีคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ เราเตอร์หลายเครื่อง และมักมีคนมาซ่อมหรือขนของเข้าออกบ่อยครั้ง -แร่แรร์เอิร์ธกระจายทั่วไทย -ซัดเพื่อไทยเพิ่งลุกจากโคลน -เก็บภาษีวืดเป้า 6.4 หมื่นล้าน -รับมืออากาศแปรปรวน
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 206 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • “Cooler Master แนะลูกค้า ‘รื้อสายไฟ’ เพื่อเสียบการ์ดจอ – แต่คำแนะนำอาจไม่ช่วย แถมเสี่ยงไฟไหม้!”

    เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้ Asus RTX 5070 Ti พบว่าไม่สามารถเสียบสายไฟ 12V-2x6 จาก PSU ของ Cooler Master รุ่น MWE Gold V2 1250W ได้ เพราะหัวสายแบบงอ (right-angled) ไม่พอดีกับพอร์ตบนการ์ดจอ ซึ่งมีการออกแบบตำแหน่งพอร์ตไฟเบี้ยวเล็กน้อย

    ลูกค้าจึงติดต่อฝ่ายบริการของ Cooler Master เพื่อขอสายแบบตรง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือคำแนะนำให้ “รื้อสายไฟ” โดยการถอดคลิปล็อกด้านข้างของหัวสาย เพื่อให้สามารถเสียบเข้าไปได้ — ซึ่งเท่ากับเปลี่ยนสายงอให้กลายเป็นสายตรงแบบ DIY

    โชคดีที่ลูกค้าไม่ทำตาม และเลือกซื้อสายจาก Cablemod แทน เพราะการรื้อสายแบบนั้นไม่เพียงแต่ไม่ช่วยแก้ปัญหา แต่ยังเสี่ยงต่อการเสียหายของหัวสาย และอาจเพิ่มความต้านทานไฟฟ้า จนเกิดความร้อนสะสมและไฟไหม้ได้

    Igor’s Lab ซึ่งเป็นแหล่งข่าวต้นเรื่อง ได้ทดสอบสาย Cooler Master กับการ์ดจอ MSI RTX 5090 Suprim และพบว่าแม้จะถอดคลิปล็อกแล้ว ก็ยังเสียบไม่สุด เพราะ housing ภายในของสาย Cooler Master สั้นกว่ามาตรฐานของ Nvidia ถึง 3.2 มม. ทำให้ชนกับฮีตซิงก์ของการ์ดจอ

    นอกจากนี้ยังเตือนว่า สาย 12V-2x6 เป็นสายที่เปราะบางมาก การงอหรือดัดสายอาจทำให้ขั้วภายในเคลื่อน ส่งผลให้เกิดความร้อนและไฟไหม้ได้ง่าย ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งกับสาย 16-pin ในอดีต

    ปัญหาที่พบ
    สายไฟ 12V-2x6 แบบงอของ Cooler Master เสียบไม่พอดีกับ Asus RTX 5070 Ti
    พอร์ตไฟบนการ์ดจอมีตำแหน่งเบี้ยว ทำให้สายชนกับฮีตซิงก์
    Housing ภายในของสาย Cooler Master สั้นกว่ามาตรฐาน Nvidia 3.2 มม.
    แม้ถอดคลิปล็อกแล้วก็ยังเสียบไม่สุด

    คำแนะนำจากฝ่ายบริการ
    แนะนำให้ลูกค้ารื้อสายโดยถอดคลิปล็อกด้านข้าง
    เปลี่ยนสายงอให้กลายเป็นสายตรงแบบ DIY
    ลูกค้าเลือกไม่ทำตาม และซื้อสายจาก Cablemod แทน
    Igor’s Lab ยืนยันว่าคำแนะนำนี้ไม่ช่วยแก้ปัญหา

    ความเสี่ยงจากการแก้ไขสายไฟ
    การดัดสายอาจทำให้ขั้วภายในเคลื่อน
    เพิ่มความต้านทานไฟฟ้า → ความร้อนสะสม → เสี่ยงไฟไหม้
    สาย 12V-2x6 มีประวัติเสียหายจากการใช้งานผิดวิธี
    การใช้สายที่ไม่ตรงมาตรฐานอาจทำให้การ์ดจอเสียหาย

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/cooler-master-tells-customer-to-dismantle-12v2x6-connector-to-fit-asus-rtx-5070-ti-customer-service-offers-dubious-advice-that-might-not-even-fix-issue
    ⚠️ “Cooler Master แนะลูกค้า ‘รื้อสายไฟ’ เพื่อเสียบการ์ดจอ – แต่คำแนะนำอาจไม่ช่วย แถมเสี่ยงไฟไหม้!” เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้ Asus RTX 5070 Ti พบว่าไม่สามารถเสียบสายไฟ 12V-2x6 จาก PSU ของ Cooler Master รุ่น MWE Gold V2 1250W ได้ เพราะหัวสายแบบงอ (right-angled) ไม่พอดีกับพอร์ตบนการ์ดจอ ซึ่งมีการออกแบบตำแหน่งพอร์ตไฟเบี้ยวเล็กน้อย ลูกค้าจึงติดต่อฝ่ายบริการของ Cooler Master เพื่อขอสายแบบตรง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือคำแนะนำให้ “รื้อสายไฟ” โดยการถอดคลิปล็อกด้านข้างของหัวสาย เพื่อให้สามารถเสียบเข้าไปได้ — ซึ่งเท่ากับเปลี่ยนสายงอให้กลายเป็นสายตรงแบบ DIY โชคดีที่ลูกค้าไม่ทำตาม และเลือกซื้อสายจาก Cablemod แทน เพราะการรื้อสายแบบนั้นไม่เพียงแต่ไม่ช่วยแก้ปัญหา แต่ยังเสี่ยงต่อการเสียหายของหัวสาย และอาจเพิ่มความต้านทานไฟฟ้า จนเกิดความร้อนสะสมและไฟไหม้ได้ Igor’s Lab ซึ่งเป็นแหล่งข่าวต้นเรื่อง ได้ทดสอบสาย Cooler Master กับการ์ดจอ MSI RTX 5090 Suprim และพบว่าแม้จะถอดคลิปล็อกแล้ว ก็ยังเสียบไม่สุด เพราะ housing ภายในของสาย Cooler Master สั้นกว่ามาตรฐานของ Nvidia ถึง 3.2 มม. ทำให้ชนกับฮีตซิงก์ของการ์ดจอ นอกจากนี้ยังเตือนว่า สาย 12V-2x6 เป็นสายที่เปราะบางมาก การงอหรือดัดสายอาจทำให้ขั้วภายในเคลื่อน ส่งผลให้เกิดความร้อนและไฟไหม้ได้ง่าย ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งกับสาย 16-pin ในอดีต ✅ ปัญหาที่พบ ➡️ สายไฟ 12V-2x6 แบบงอของ Cooler Master เสียบไม่พอดีกับ Asus RTX 5070 Ti ➡️ พอร์ตไฟบนการ์ดจอมีตำแหน่งเบี้ยว ทำให้สายชนกับฮีตซิงก์ ➡️ Housing ภายในของสาย Cooler Master สั้นกว่ามาตรฐาน Nvidia 3.2 มม. ➡️ แม้ถอดคลิปล็อกแล้วก็ยังเสียบไม่สุด ✅ คำแนะนำจากฝ่ายบริการ ➡️ แนะนำให้ลูกค้ารื้อสายโดยถอดคลิปล็อกด้านข้าง ➡️ เปลี่ยนสายงอให้กลายเป็นสายตรงแบบ DIY ➡️ ลูกค้าเลือกไม่ทำตาม และซื้อสายจาก Cablemod แทน ➡️ Igor’s Lab ยืนยันว่าคำแนะนำนี้ไม่ช่วยแก้ปัญหา ✅ ความเสี่ยงจากการแก้ไขสายไฟ ➡️ การดัดสายอาจทำให้ขั้วภายในเคลื่อน ➡️ เพิ่มความต้านทานไฟฟ้า → ความร้อนสะสม → เสี่ยงไฟไหม้ ➡️ สาย 12V-2x6 มีประวัติเสียหายจากการใช้งานผิดวิธี ➡️ การใช้สายที่ไม่ตรงมาตรฐานอาจทำให้การ์ดจอเสียหาย https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/cooler-master-tells-customer-to-dismantle-12v2x6-connector-to-fit-asus-rtx-5070-ti-customer-service-offers-dubious-advice-that-might-not-even-fix-issue
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ศาลเยอรมันตัดสิน ISP หลอกลูกค้าเรื่องอินเทอร์เน็ตไฟเบอร์ – สุดท้ายใช้สายทองแดงช่วงสุดท้าย!”

    เรื่องนี้เกิดขึ้นในเยอรมนี เมื่อศาลภูมิภาคเมือง Koblenz ตัดสินให้บริษัทอินเทอร์เน็ต 1&1 มีความผิดฐานโฆษณาเกินจริง โดยอ้างว่าให้บริการ “Fiber Optic DSL” ทั้งที่จริงแล้วสายไฟเบอร์นั้นไปไม่ถึงบ้านลูกค้า แต่ใช้สายทองแดงในช่วงสุดท้ายของการเชื่อมต่อ

    ระบบที่บริษัทใช้คือ FTTC (Fiber to the Curb) ซึ่งหมายถึงสายไฟเบอร์จะไปถึงกล่องกระจายสัญญาณในละแวกบ้านหรืออาคารเท่านั้น จากนั้นจะใช้สายทองแดงวิ่งเข้าไปถึงตัวบ้าน ซึ่งทำให้ความเร็วและคุณภาพลดลงจากไฟเบอร์แท้ ๆ ที่ควรจะเป็นแบบ FTTH (Fiber to the Home)

    ที่แย่คือ บนเว็บไซต์ของบริษัทมีการแสดงผลว่า “Fiber Optic DSL connection available” แม้จะเป็นแค่ DSL ธรรมดา และแพ็กเกจที่เสนอให้ก็เป็น DSL ไม่ใช่ไฟเบอร์จริง ๆ แต่ใช้คำว่า “Fiber Optic” เต็มไปหมด ทำให้ลูกค้าที่ไม่เข้าใจเทคนิคอาจเข้าใจผิดได้ง่าย

    องค์กรผู้บริโภคของเยอรมนีจึงฟ้องร้อง และศาลก็เห็นด้วยว่าเป็นการหลอกลวง แม้ในรายละเอียดเล็ก ๆ จะมีการระบุว่าใช้สายทองแดง แต่ก็ไม่ชัดเจนพอที่จะป้องกันความเข้าใจผิด

    อย่างไรก็ตาม คำตัดสินนี้ยังไม่สามารถบังคับใช้ได้ทันที เพราะบริษัทได้ยื่นอุทธรณ์ และต้องรอการตัดสินจากศาลสูงต่อไป

    รายละเอียดการหลอกลวงของ ISP
    บริษัท 1&1 โฆษณาว่าให้บริการ “Fiber Optic DSL”
    ใช้ระบบ FTTC ที่มีสายไฟเบอร์ถึงแค่กล่องกระจายสัญญาณ
    ช่วงสุดท้ายถึงบ้านลูกค้าใช้สายทองแดง
    เว็บไซต์แสดงผลว่า “Fiber Optic DSL connection available” แม้จะเป็น DSL
    แพ็กเกจที่เสนอเป็น DSL แต่ใช้คำว่า “Fiber Optic” เต็มไปหมด
    ลูกค้าที่ไม่เข้าใจเทคนิคอาจเข้าใจผิดว่าเป็นไฟเบอร์แท้

    การดำเนินคดีและคำตัดสิน
    องค์กรผู้บริโภคเยอรมนีฟ้องร้องบริษัท
    ศาล Koblenz ตัดสินว่าเป็นการหลอกลวง
    แม้มีข้อมูลในรายละเอียด แต่ไม่ชัดเจนพอ
    คำตัดสินยังไม่บังคับใช้ เพราะบริษัทยื่นอุทธรณ์
    ต้องรอการตัดสินจากศาลสูงก่อนจะมีผลจริง

    https://www.tomshardware.com/service-providers/network-providers/isp-tricked-customers-about-fiber-optics-being-used-in-their-internet-service-german-court-rules-full-fiber-customers-found-to-have-last-mile-copper-connections
    📡 “ศาลเยอรมันตัดสิน ISP หลอกลูกค้าเรื่องอินเทอร์เน็ตไฟเบอร์ – สุดท้ายใช้สายทองแดงช่วงสุดท้าย!” เรื่องนี้เกิดขึ้นในเยอรมนี เมื่อศาลภูมิภาคเมือง Koblenz ตัดสินให้บริษัทอินเทอร์เน็ต 1&1 มีความผิดฐานโฆษณาเกินจริง โดยอ้างว่าให้บริการ “Fiber Optic DSL” ทั้งที่จริงแล้วสายไฟเบอร์นั้นไปไม่ถึงบ้านลูกค้า แต่ใช้สายทองแดงในช่วงสุดท้ายของการเชื่อมต่อ ระบบที่บริษัทใช้คือ FTTC (Fiber to the Curb) ซึ่งหมายถึงสายไฟเบอร์จะไปถึงกล่องกระจายสัญญาณในละแวกบ้านหรืออาคารเท่านั้น จากนั้นจะใช้สายทองแดงวิ่งเข้าไปถึงตัวบ้าน ซึ่งทำให้ความเร็วและคุณภาพลดลงจากไฟเบอร์แท้ ๆ ที่ควรจะเป็นแบบ FTTH (Fiber to the Home) ที่แย่คือ บนเว็บไซต์ของบริษัทมีการแสดงผลว่า “Fiber Optic DSL connection available” แม้จะเป็นแค่ DSL ธรรมดา และแพ็กเกจที่เสนอให้ก็เป็น DSL ไม่ใช่ไฟเบอร์จริง ๆ แต่ใช้คำว่า “Fiber Optic” เต็มไปหมด ทำให้ลูกค้าที่ไม่เข้าใจเทคนิคอาจเข้าใจผิดได้ง่าย องค์กรผู้บริโภคของเยอรมนีจึงฟ้องร้อง และศาลก็เห็นด้วยว่าเป็นการหลอกลวง แม้ในรายละเอียดเล็ก ๆ จะมีการระบุว่าใช้สายทองแดง แต่ก็ไม่ชัดเจนพอที่จะป้องกันความเข้าใจผิด อย่างไรก็ตาม คำตัดสินนี้ยังไม่สามารถบังคับใช้ได้ทันที เพราะบริษัทได้ยื่นอุทธรณ์ และต้องรอการตัดสินจากศาลสูงต่อไป ✅ รายละเอียดการหลอกลวงของ ISP ➡️ บริษัท 1&1 โฆษณาว่าให้บริการ “Fiber Optic DSL” ➡️ ใช้ระบบ FTTC ที่มีสายไฟเบอร์ถึงแค่กล่องกระจายสัญญาณ ➡️ ช่วงสุดท้ายถึงบ้านลูกค้าใช้สายทองแดง ➡️ เว็บไซต์แสดงผลว่า “Fiber Optic DSL connection available” แม้จะเป็น DSL ➡️ แพ็กเกจที่เสนอเป็น DSL แต่ใช้คำว่า “Fiber Optic” เต็มไปหมด ➡️ ลูกค้าที่ไม่เข้าใจเทคนิคอาจเข้าใจผิดว่าเป็นไฟเบอร์แท้ ✅ การดำเนินคดีและคำตัดสิน ➡️ องค์กรผู้บริโภคเยอรมนีฟ้องร้องบริษัท ➡️ ศาล Koblenz ตัดสินว่าเป็นการหลอกลวง ➡️ แม้มีข้อมูลในรายละเอียด แต่ไม่ชัดเจนพอ ➡️ คำตัดสินยังไม่บังคับใช้ เพราะบริษัทยื่นอุทธรณ์ ➡️ ต้องรอการตัดสินจากศาลสูงก่อนจะมีผลจริง https://www.tomshardware.com/service-providers/network-providers/isp-tricked-customers-about-fiber-optics-being-used-in-their-internet-service-german-court-rules-full-fiber-customers-found-to-have-last-mile-copper-connections
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 0 รีวิว
  • "13 อุปกรณ์สุดเซอร์ไพรส์ที่คุณสามารถเสียบเข้าพอร์ต USB ของจอมอนิเตอร์ได้"

    หลายคนอาจไม่รู้ว่าจอมอนิเตอร์ของคุณไม่ได้มีไว้แค่แสดงภาพเท่านั้น แต่ยังสามารถเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อีกด้วย! บทความจาก SlashGear เผยว่า USB Type-A ที่อยู่ด้านหลังหรือข้างจอสามารถใช้เป็น USB hub หรือ dock ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพึ่งพาพอร์ตบนตัวเครื่อง PC ที่อาจมีจำกัด

    ตั้งแต่การเสียบ dongle ไร้สาย ไปจนถึงพัดลมตั้งโต๊ะ ไฟ RGB ไมโครโฟน กล้องเว็บแคม และแม้แต่เครื่องดูดฝุ่นขนาดจิ๋ว—ทั้งหมดนี้สามารถเชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB ของจอได้อย่างง่ายดาย แต่ก็มีข้อควรระวัง เช่น การตรวจสอบกำลังไฟที่อุปกรณ์ใช้ และการทำความสะอาดพอร์ตเพื่อป้องกันการเชื่อมต่อผิดพลาด

    พอร์ต USB บนจอมอนิเตอร์
    มักเป็น USB Type-A ที่รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์หลากหลาย
    ใช้เป็น USB hub หรือ dock ได้
    ช่วยประหยัดพอร์ตบนตัวเครื่อง PC

    อุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อได้
    Dongle สำหรับเมาส์ หูฟัง และ Wi-Fi
    จอยเกม เช่น 8BitDo Ultimate 2C Wireless Controller
    พัดลมตั้งโต๊ะ เช่น Gaiatop USB Desk Fan
    ไฟ RGB เช่น Phopollo Light Strip และ Velted RGB Light Bar
    ไมโครโฟน USB เช่น Logitech Blue Microphone
    เครื่องดูดฝุ่นจิ๋ว เช่น Auloea Portable Mini Vacuum Cleaner
    USB Hub Splitter เช่น Vienon USB Hub
    กล้องเว็บแคม เช่น Logitech Brio 101 HD
    คีย์บอร์ด เมาส์ และลำโพง
    อุปกรณ์ชาร์จ เช่น สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต
    แฟลชไดรฟ์และฮาร์ดดิสก์ภายนอก
    จอแสดงผลขนาดเล็ก เช่น Wownova Temp Monitor
    เครื่องอ่าน SD Card เช่น uni SD Card Reader

    คำเตือนในการใช้งานพอร์ต USB บนจอ
    อย่าเสียบอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานสูงเกินไป อาจทำให้วงจรจอเสียหาย
    หากอุปกรณ์ไม่ถูกตรวจพบ อาจเกิดจากพอร์ตเสียหรือมีฝุ่นสะสม
    ความเร็วในการชาร์จอาจไม่เทียบเท่าที่ชาร์จโดยตรงจากปลั๊กไฟ

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:

    ประโยชน์ของการใช้จอเป็น USB hub
    ลดความยุ่งเหยิงของสายไฟบนโต๊ะ
    เพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงอุปกรณ์
    เหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นที่จำกัดหรือใช้โน้ตบุ๊กที่มีพอร์ตน้อย

    แนวโน้มการออกแบบจอภาพยุคใหม่
    จอภาพหลายรุ่นเริ่มมีพอร์ต USB-C และฟีเจอร์ชาร์จเร็ว
    บางรุ่นรองรับการถ่ายโอนข้อมูลและภาพผ่าน USB-C โดยตรง

    https://www.slashgear.com/1996516/surprising-gadgets-can-plug-into-monitor-usb-port/
    🖥️ "13 อุปกรณ์สุดเซอร์ไพรส์ที่คุณสามารถเสียบเข้าพอร์ต USB ของจอมอนิเตอร์ได้" หลายคนอาจไม่รู้ว่าจอมอนิเตอร์ของคุณไม่ได้มีไว้แค่แสดงภาพเท่านั้น แต่ยังสามารถเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อีกด้วย! บทความจาก SlashGear เผยว่า USB Type-A ที่อยู่ด้านหลังหรือข้างจอสามารถใช้เป็น USB hub หรือ dock ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพึ่งพาพอร์ตบนตัวเครื่อง PC ที่อาจมีจำกัด ตั้งแต่การเสียบ dongle ไร้สาย ไปจนถึงพัดลมตั้งโต๊ะ ไฟ RGB ไมโครโฟน กล้องเว็บแคม และแม้แต่เครื่องดูดฝุ่นขนาดจิ๋ว—ทั้งหมดนี้สามารถเชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB ของจอได้อย่างง่ายดาย แต่ก็มีข้อควรระวัง เช่น การตรวจสอบกำลังไฟที่อุปกรณ์ใช้ และการทำความสะอาดพอร์ตเพื่อป้องกันการเชื่อมต่อผิดพลาด ✅ พอร์ต USB บนจอมอนิเตอร์ ➡️ มักเป็น USB Type-A ที่รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์หลากหลาย ➡️ ใช้เป็น USB hub หรือ dock ได้ ➡️ ช่วยประหยัดพอร์ตบนตัวเครื่อง PC ✅ อุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อได้ ➡️ Dongle สำหรับเมาส์ หูฟัง และ Wi-Fi ➡️ จอยเกม เช่น 8BitDo Ultimate 2C Wireless Controller ➡️ พัดลมตั้งโต๊ะ เช่น Gaiatop USB Desk Fan ➡️ ไฟ RGB เช่น Phopollo Light Strip และ Velted RGB Light Bar ➡️ ไมโครโฟน USB เช่น Logitech Blue Microphone ➡️ เครื่องดูดฝุ่นจิ๋ว เช่น Auloea Portable Mini Vacuum Cleaner ➡️ USB Hub Splitter เช่น Vienon USB Hub ➡️ กล้องเว็บแคม เช่น Logitech Brio 101 HD ➡️ คีย์บอร์ด เมาส์ และลำโพง ➡️ อุปกรณ์ชาร์จ เช่น สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ➡️ แฟลชไดรฟ์และฮาร์ดดิสก์ภายนอก ➡️ จอแสดงผลขนาดเล็ก เช่น Wownova Temp Monitor ➡️ เครื่องอ่าน SD Card เช่น uni SD Card Reader ‼️ คำเตือนในการใช้งานพอร์ต USB บนจอ ⛔ อย่าเสียบอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานสูงเกินไป อาจทำให้วงจรจอเสียหาย ⛔ หากอุปกรณ์ไม่ถูกตรวจพบ อาจเกิดจากพอร์ตเสียหรือมีฝุ่นสะสม ⛔ ความเร็วในการชาร์จอาจไม่เทียบเท่าที่ชาร์จโดยตรงจากปลั๊กไฟ 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ ประโยชน์ของการใช้จอเป็น USB hub ➡️ ลดความยุ่งเหยิงของสายไฟบนโต๊ะ ➡️ เพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงอุปกรณ์ ➡️ เหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นที่จำกัดหรือใช้โน้ตบุ๊กที่มีพอร์ตน้อย ✅ แนวโน้มการออกแบบจอภาพยุคใหม่ ➡️ จอภาพหลายรุ่นเริ่มมีพอร์ต USB-C และฟีเจอร์ชาร์จเร็ว ➡️ บางรุ่นรองรับการถ่ายโอนข้อมูลและภาพผ่าน USB-C โดยตรง https://www.slashgear.com/1996516/surprising-gadgets-can-plug-into-monitor-usb-port/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    13 Surprising Gadgets You Can Plug Into Your Monitor's USB Port - SlashGear
    Your monitor’s USB ports can do more than you think. Learn how to power, connect, and enhance your setup with smart, space-saving gadgets.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • “EU บังคับใช้ USB-C สำหรับอะแดปเตอร์ทุกชนิดภายในปี 2028 — พร้อมติดฉลากกำลังไฟบนสายและหัวชาร์จ”

    สหภาพยุโรปออกกฎหมายใหม่ที่กำหนดให้ “External Power Supplies” (EPS) หรืออะแดปเตอร์ไฟฟ้าทุกชนิดต้องใช้พอร์ต USB-C พร้อมสายถอดได้ภายในปี 2028 โดยครอบคลุมอุปกรณ์หลากหลายประเภท เช่น คอนโซลเกม, จอมอนิเตอร์, เราเตอร์, กล่องรับสัญญาณ, เครื่องชาร์จไร้สาย และแม้แต่ PoE injectors

    เป้าหมายหลักคือการสร้างความ “interoperability” หรือความเข้ากันได้ระหว่างอุปกรณ์ และส่งเสริมความยั่งยืน โดยผู้ใช้สามารถใช้สายและหัวชาร์จเดียวกันกับหลายอุปกรณ์ได้

    กฎหมายยังบังคับให้ผู้ผลิตแสดง “กำลังไฟ” (power rating) บนตัวอะแดปเตอร์, พอร์ตชาร์จ และสายไฟ เพื่อป้องกันการโฆษณาเกินจริง และช่วยให้ผู้ใช้เลือกใช้อุปกรณ์ได้อย่างปลอดภัย

    นอกจากนี้ EPS ที่จ่ายไฟเกิน 10W ต้องผ่านเกณฑ์ประสิทธิภาพขั้นต่ำทั้งในสภาวะโหลดต่ำ, เฉลี่ย และไม่มีโหลด ส่วนแท่นชาร์จไร้สายต้องลดการใช้พลังงานขณะ idle และมีวงจรจ่ายไฟแยกต่างหากเพื่อให้สามารถเปลี่ยนหรือใช้ซ้ำได้

    อุปกรณ์บางประเภทได้รับการยกเว้น เช่น UPS, อุปกรณ์ทางการแพทย์, ของเล่นบางชนิด, สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า, ระบบไฟฉุกเฉิน และอุปกรณ์ที่ใช้ในสภาพแวดล้อมเปียก

    EU คาดว่ากฎหมายนี้จะช่วยลดการใช้พลังงานได้ถึง 1,070 TWh ต่อปีภายในปี 2030 โดยอิงจากข้อมูลว่ามี EPS ขายมากถึง 400 ล้านชิ้นต่อปี

    EU ออกกฎหมายบังคับให้ EPS ทุกชนิดใช้ USB-C พร้อมสายถอดได้ภายในปี 2028
    ครอบคลุมอุปกรณ์หลากหลาย เช่น คอนโซล, เราเตอร์, กล่องรับสัญญาณ ฯลฯ

    ต้องแสดงกำลังไฟบนตัวอะแดปเตอร์, พอร์ต และสาย
    เพื่อความปลอดภัยและความโปร่งใสในการใช้งาน

    EPS ที่จ่ายไฟเกิน 10W ต้องผ่านเกณฑ์ประสิทธิภาพขั้นต่ำ
    ทั้งในโหลดต่ำ, เฉลี่ย และไม่มีโหลด

    แท่นชาร์จไร้สายต้องลด idle power และมีวงจรจ่ายไฟแยก
    เพื่อให้สามารถเปลี่ยนหรือใช้ซ้ำได้

    มีการออกโลโก้ “Common Charger” เพื่อระบุอุปกรณ์ที่ผ่านเกณฑ์
    ช่วยให้ผู้ใช้เลือกใช้งานได้ง่ายขึ้น

    คาดว่าจะลดการใช้พลังงานได้ 1,070 TWh ต่อปีภายในปี 2030
    จากการลดจำนวน EPS ที่ผลิตและใช้งานซ้ำ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/power-bricks-and-wall-warts-must-be-usb-c-by-2028-new-eu-legislation-also-adds-power-rating-labels-for-power-units-and-cables
    🔌 “EU บังคับใช้ USB-C สำหรับอะแดปเตอร์ทุกชนิดภายในปี 2028 — พร้อมติดฉลากกำลังไฟบนสายและหัวชาร์จ” สหภาพยุโรปออกกฎหมายใหม่ที่กำหนดให้ “External Power Supplies” (EPS) หรืออะแดปเตอร์ไฟฟ้าทุกชนิดต้องใช้พอร์ต USB-C พร้อมสายถอดได้ภายในปี 2028 โดยครอบคลุมอุปกรณ์หลากหลายประเภท เช่น คอนโซลเกม, จอมอนิเตอร์, เราเตอร์, กล่องรับสัญญาณ, เครื่องชาร์จไร้สาย และแม้แต่ PoE injectors เป้าหมายหลักคือการสร้างความ “interoperability” หรือความเข้ากันได้ระหว่างอุปกรณ์ และส่งเสริมความยั่งยืน โดยผู้ใช้สามารถใช้สายและหัวชาร์จเดียวกันกับหลายอุปกรณ์ได้ กฎหมายยังบังคับให้ผู้ผลิตแสดง “กำลังไฟ” (power rating) บนตัวอะแดปเตอร์, พอร์ตชาร์จ และสายไฟ เพื่อป้องกันการโฆษณาเกินจริง และช่วยให้ผู้ใช้เลือกใช้อุปกรณ์ได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ EPS ที่จ่ายไฟเกิน 10W ต้องผ่านเกณฑ์ประสิทธิภาพขั้นต่ำทั้งในสภาวะโหลดต่ำ, เฉลี่ย และไม่มีโหลด ส่วนแท่นชาร์จไร้สายต้องลดการใช้พลังงานขณะ idle และมีวงจรจ่ายไฟแยกต่างหากเพื่อให้สามารถเปลี่ยนหรือใช้ซ้ำได้ อุปกรณ์บางประเภทได้รับการยกเว้น เช่น UPS, อุปกรณ์ทางการแพทย์, ของเล่นบางชนิด, สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า, ระบบไฟฉุกเฉิน และอุปกรณ์ที่ใช้ในสภาพแวดล้อมเปียก EU คาดว่ากฎหมายนี้จะช่วยลดการใช้พลังงานได้ถึง 1,070 TWh ต่อปีภายในปี 2030 โดยอิงจากข้อมูลว่ามี EPS ขายมากถึง 400 ล้านชิ้นต่อปี ✅ EU ออกกฎหมายบังคับให้ EPS ทุกชนิดใช้ USB-C พร้อมสายถอดได้ภายในปี 2028 ➡️ ครอบคลุมอุปกรณ์หลากหลาย เช่น คอนโซล, เราเตอร์, กล่องรับสัญญาณ ฯลฯ ✅ ต้องแสดงกำลังไฟบนตัวอะแดปเตอร์, พอร์ต และสาย ➡️ เพื่อความปลอดภัยและความโปร่งใสในการใช้งาน ✅ EPS ที่จ่ายไฟเกิน 10W ต้องผ่านเกณฑ์ประสิทธิภาพขั้นต่ำ ➡️ ทั้งในโหลดต่ำ, เฉลี่ย และไม่มีโหลด ✅ แท่นชาร์จไร้สายต้องลด idle power และมีวงจรจ่ายไฟแยก ➡️ เพื่อให้สามารถเปลี่ยนหรือใช้ซ้ำได้ ✅ มีการออกโลโก้ “Common Charger” เพื่อระบุอุปกรณ์ที่ผ่านเกณฑ์ ➡️ ช่วยให้ผู้ใช้เลือกใช้งานได้ง่ายขึ้น ✅ คาดว่าจะลดการใช้พลังงานได้ 1,070 TWh ต่อปีภายในปี 2030 ➡️ จากการลดจำนวน EPS ที่ผลิตและใช้งานซ้ำ https://www.tomshardware.com/tech-industry/power-bricks-and-wall-warts-must-be-usb-c-by-2028-new-eu-legislation-also-adds-power-rating-labels-for-power-units-and-cables
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
  • “XTU J9 Plus กล้องกริ่งไร้สายสุดคุ้ม — ปลอดค่ารายเดือน พร้อมฟีเจอร์จัดเต็ม”

    XTU เปิดตัวกล้องกริ่งไร้สายรุ่น J9 Plus พร้อมระบบ Chime ที่มาพร้อมสโลแกน “Smarter Security, Zero Fees” โดยเน้นจุดขายคือการใช้งานแบบไม่มีค่าบริการรายเดือน ซึ่งแตกต่างจากแบรนด์ใหญ่ที่มักล็อกฟีเจอร์สำคัญไว้หลัง paywall

    กล้องรุ่นนี้รองรับการบันทึกวิดีโอแบบ local storage สูงสุด 128GB และมี cloud storage แบบจำกัด 6 วินาที โดยไม่ต้องสมัครสมาชิกใด ๆ ทั้งสิ้น

    ด้านฟีเจอร์ กล้องมาพร้อม:

    มุมมองกว้าง 180 องศาแบบ head-to-toe
    ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวแบบตั้งค่าโซนได้ ลด false alert จากสัตว์เลี้ยง
    วิดีโอความละเอียด 2K พร้อม night vision
    ระบบเสียงสองทางและ quick response ด้วยข้อความ preset
    กันน้ำระดับ IP66 ใช้งานกลางแจ้งได้สบาย
    ใช้แบตเตอรี่แบบชาร์จได้ ไม่ต้องเดินสายไฟ
    รองรับ Google Assistant และ Alexa

    XTU J9 Plus วางจำหน่ายผ่าน Amazon ในราคาพิเศษ $49.99 (ลดจาก $69.99) ตั้งแต่วันที่ 16–29 ตุลาคม 2025 พร้อมจัดส่งฟรี

    XTU J9 Plus เป็นกล้องกริ่งไร้สายพร้อมระบบ Chime
    ใช้งานได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าบริการรายเดือน

    รองรับ local storage สูงสุด 128GB และ cloud storage 6 วินาที
    ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

    มุมมองกว้าง 180 องศาแบบเต็มตัว
    เห็นทั้งคนและพัสดุที่วางหน้าประตู

    ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวแบบตั้งค่าโซน
    ลดการแจ้งเตือนผิดพลาดจากสัตว์หรือสิ่งรบกวน

    วิดีโอความละเอียด 2K พร้อม night vision
    มองเห็นชัดแม้ในเวลากลางคืน

    ระบบเสียงสองทางและ quick response
    สื่อสารกับผู้มาเยือนได้ทันที

    กันน้ำระดับ IP66 และใช้แบตเตอรี่แบบชาร์จได้
    ติดตั้งง่าย ไม่ต้องเดินสายไฟ

    รองรับ Google Assistant และ Alexa
    เชื่อมต่อกับระบบบ้านอัจฉริยะได้ทันที

    วางจำหน่ายในราคา $49.99 บน Amazon
    โปรโมชั่นถึงวันที่ 29 ตุลาคม 2025

    Cloud storage มีความจุจำกัดเพียง 6 วินาที
    อาจไม่เพียงพอสำหรับการเก็บหลักฐานในเหตุการณ์สำคัญ

    ต้องใช้แบตเตอรี่แบบชาร์จใหม่
    หากลืมชาร์จอาจทำให้กล้องหยุดทำงานชั่วคราว

    การตั้งค่าโซนตรวจจับต้องปรับให้เหมาะกับบ้านแต่ละหลัง
    หากตั้งไม่ดีอาจยังมี false alert อยู่

    ไม่รองรับการบันทึกต่อเนื่องแบบ cloud เหมือนบางแบรนด์
    ผู้ใช้ที่ต้องการระบบ cloud เต็มรูปแบบอาจไม่เหมาะ

    https://www.slashgear.com/sponsored/1999695/xtu-doorbell-camera-zero-fees-smarter-security/
    🔔 “XTU J9 Plus กล้องกริ่งไร้สายสุดคุ้ม — ปลอดค่ารายเดือน พร้อมฟีเจอร์จัดเต็ม” XTU เปิดตัวกล้องกริ่งไร้สายรุ่น J9 Plus พร้อมระบบ Chime ที่มาพร้อมสโลแกน “Smarter Security, Zero Fees” โดยเน้นจุดขายคือการใช้งานแบบไม่มีค่าบริการรายเดือน ซึ่งแตกต่างจากแบรนด์ใหญ่ที่มักล็อกฟีเจอร์สำคัญไว้หลัง paywall กล้องรุ่นนี้รองรับการบันทึกวิดีโอแบบ local storage สูงสุด 128GB และมี cloud storage แบบจำกัด 6 วินาที โดยไม่ต้องสมัครสมาชิกใด ๆ ทั้งสิ้น ด้านฟีเจอร์ กล้องมาพร้อม: 🔔 มุมมองกว้าง 180 องศาแบบ head-to-toe 🔔 ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวแบบตั้งค่าโซนได้ ลด false alert จากสัตว์เลี้ยง 🔔 วิดีโอความละเอียด 2K พร้อม night vision 🔔 ระบบเสียงสองทางและ quick response ด้วยข้อความ preset 🔔 กันน้ำระดับ IP66 ใช้งานกลางแจ้งได้สบาย 🔔 ใช้แบตเตอรี่แบบชาร์จได้ ไม่ต้องเดินสายไฟ 🔔 รองรับ Google Assistant และ Alexa XTU J9 Plus วางจำหน่ายผ่าน Amazon ในราคาพิเศษ $49.99 (ลดจาก $69.99) ตั้งแต่วันที่ 16–29 ตุลาคม 2025 พร้อมจัดส่งฟรี ✅ XTU J9 Plus เป็นกล้องกริ่งไร้สายพร้อมระบบ Chime ➡️ ใช้งานได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าบริการรายเดือน ✅ รองรับ local storage สูงสุด 128GB และ cloud storage 6 วินาที ➡️ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ✅ มุมมองกว้าง 180 องศาแบบเต็มตัว ➡️ เห็นทั้งคนและพัสดุที่วางหน้าประตู ✅ ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวแบบตั้งค่าโซน ➡️ ลดการแจ้งเตือนผิดพลาดจากสัตว์หรือสิ่งรบกวน ✅ วิดีโอความละเอียด 2K พร้อม night vision ➡️ มองเห็นชัดแม้ในเวลากลางคืน ✅ ระบบเสียงสองทางและ quick response ➡️ สื่อสารกับผู้มาเยือนได้ทันที ✅ กันน้ำระดับ IP66 และใช้แบตเตอรี่แบบชาร์จได้ ➡️ ติดตั้งง่าย ไม่ต้องเดินสายไฟ ✅ รองรับ Google Assistant และ Alexa ➡️ เชื่อมต่อกับระบบบ้านอัจฉริยะได้ทันที ✅ วางจำหน่ายในราคา $49.99 บน Amazon ➡️ โปรโมชั่นถึงวันที่ 29 ตุลาคม 2025 ‼️ Cloud storage มีความจุจำกัดเพียง 6 วินาที ⛔ อาจไม่เพียงพอสำหรับการเก็บหลักฐานในเหตุการณ์สำคัญ ‼️ ต้องใช้แบตเตอรี่แบบชาร์จใหม่ ⛔ หากลืมชาร์จอาจทำให้กล้องหยุดทำงานชั่วคราว ‼️ การตั้งค่าโซนตรวจจับต้องปรับให้เหมาะกับบ้านแต่ละหลัง ⛔ หากตั้งไม่ดีอาจยังมี false alert อยู่ ‼️ ไม่รองรับการบันทึกต่อเนื่องแบบ cloud เหมือนบางแบรนด์ ⛔ ผู้ใช้ที่ต้องการระบบ cloud เต็มรูปแบบอาจไม่เหมาะ https://www.slashgear.com/sponsored/1999695/xtu-doorbell-camera-zero-fees-smarter-security/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Discover Smarter Security And Zero Fees With This Video Doorbell Camera - SlashGear
    If you've been shopping around for a wireless video doorbell with no strings or fees attached, look no further than the XTU J9 Plus with a full view and chime.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 211 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลัดกันล้วง ตอนที่ 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ผลัดกันล้วง”
    ตอนที่ 4 (ตอนจบ)

    “สวีเดน ทำการจารกรรมข้อมูลเกี่ยวกับ รัสเซีย ให้อเมริกามานานแล้ว ”

    โทรทัศน์ สวีเดน Sveriges Television ( SVT ) ออกข่าวนี้ ตั้งแต่ปลายปี 2013 บอกว่า เรื่องนี้อยู่ในเอกสาร ที่นาย Edward Snowden เอามาปูด จนต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปน่ะและตอนนี้ นาย Snowden ก็คงกำลังนั่งซุกหัว ซุกตัว อยู่ในที่หลบภัยอุ่นๆ ตรงไหนสักแห่งหนึ่งของรัสเซีย และเล่าเรื่องที่มีรายละเอียดน่าสนใจเพิ่มเติม ให้เจ้าของที่หลบภัยฟังต่อ

    ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ผู้สื่อข่าวสวีเดน นาย Martin Jonsson ได้พยายามขุดมา ตั้งแต่ปี 2005 เกี่ยวกับหน่วยงานข่าวกรองของสวีเดน ชื่อ Forsvarets Radioanstalt ( FRA ) แปลคร่าวๆ คือ National Defense Radio Establishment ซึ่งมีข่าวว่า ตั้งขึ้นมา เพื่อทำการจารกรรมข้อมูลจากสัญญาน ( wiretap ) ที่ผ่านไปมาอยู่แถบนั้น ให้กับ National Security Agency (NSA) ของอเมริกา โดยใช้ระบบที่รู้จักกันในชื่อ Echelon ที่โด่งดัง และประสิทธิภาพน่าขนลุก (ที่ใช้ลูกกลมเหมือนลูกปิงปองยักษ์) แต่ความเป็นจริง Echelon เป็นเพียงหนึ่งในระบบต่างๆที่ NSA ใช้ ยังมีระบบอื่นที่น่าตกใจกว่า อีกแยะ.

    นาย Jonsson บอกว่า NSA เป็นหน่วยงานข่าวกรองที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา และเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายการดักฟัง ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ FRA ก็เป็นส่วนหนึ่ง ของเครือข่ายนี้

    NSA มีขนาด และเครือข่ายใหญ่กว่า CIA มาก โดย NSA เน้นการหาข่าวกรองจากคลื่นสัญญานต่างๆ ที่ส่งกันทั้ง บนดิน ใต้ดิน บนเรือ ใต้น้ำ บนท้องฟ้า ในเครื่องบิน จากดาวเทียม ฯลฯ โดยมีการทำสัญญาการให้ร่วมมือกัน ระหว่าง อเมริกา อังกฤษ แคนาดา นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย เรียกว่า กลุ่ม Five Eyes ตั้งแต่ ปี 1954 เพื่อแลกเปลี่ยน ข้อมูลระหว่างกันอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในช่วงสงครามเย็น

    นาย Jonssen เล่าว่า ตอนนั้น เราเพียงรู้ว่า เครือข่ายดักฟังข้อมูล มีเพียง 5 ประเทศ ดังกล่าว ต่อมาปี 2007 มีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า สวีเดน อาจจะเป็น ประเทศที่ 6 ที่จะได้เข้าไปร่วมกับเครือข่ายนี้ด้วย โดยจะทำสัญญาเพิ่ม ขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการเตรียมตัวให้พร้อม สวีเดนก็ดำเนินการออกกฏหมาย ที่รู้จักกันในชื่อ FRA law ให้รัฐสามารถดักฟัง เก็บข้อมูลทุกอย่าง ที่ผ่านเข้ามาในอาณาเขตของสวีเดน ไม่ว่า จะเป็นทางโทรศัพท์ หรือทางเอกสาร ฯลฯได้ ซึ่งเดิมถือว่าเป็นการผิดกฏหมาย ในเรื่องการละเมิดสิทธิ โดยทาง NSA ส่งทีมมาช่วยร่างกฏหมาย เตี๊ยมคำถามคำตอบ ที่ทางรัฐจะต้องตอบกับสภาประชาชนและสื่อ เล่นกันแบบนั้นเลย นึกว่าจะมีแต่แถวบ้านสมันน้อย

    ชาวสวีเดน ต่างออกมาประท้วงร่างกฏหมายฉบับนี้ อย่างมากมาย แต่ในที่สุด ฝ่ายรัฐก็ชนะไปอย่างเฉียดฉิว วันที่ 13 เดือนเมษายน 2007 Odenberg รัฐมนตรีกลาโหมของสวีเดน กับ Chertoff หัวหน้า Homeland Security ของอเมริกา ก็ลงนามในสัญญาที่มีผลให้ สวีเดน รับหน้าที่ ทำการดักฟังการสื่อสารระหว่างประเทศทั้งหมดของรัสเซีย และแชร์ข้อมูลที่ได้รับกับอเมริกา หลังจากนั้นไม่นาน ข่าวเกี่ยวกับสัญญาล้วงตับนี้ก็หลุดออกมาถึงสื่อ รัฐบาลสวีเดนพยายามแก้ตัวว่า มันเป็นเรื่องจำเป็น เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ เป็นเรื่องธรรมดา หลายประเทศก็ทำสัญญาเช่นนี้กับอเมริกา
    ส่วน FRA law ฝีแตกที่หลัง ชาวสวีเดนเพิ่งรู้เรื่อง ต่างไม่พอใจการกระทำของรัฐบาล สื่อ และพรรคฝ่ายค้าน พากันสอบถามรัฐบาล รัฐบาลแก้ตัวไม่หลุด แถไปเรื่อยๆ ข้อแก้ตัวอันหนึ่ง ที่ทำให้ชาวบ้านยิ่งงงหนัก คือคำตอบที่บอกว่า การล้วงตับรัสเซีย เป็นเรื่องจำเป็น สำหรับการป้องกันพวกทหารของเรา ที่ส่งไปรบที่อาฟกานิสถาน อืม เป็นการอ้างเหตุผลได้บัดซบ ไม่น้อยกว่านักการเมืองแถวบ้านสมันน้อย สวีเดนส่งกองทหารไปช่วยอเมริกาถล่มอาฟกานิสถาน และลิเบียในช่วงปี 2011 รวมทั้งส่งเครื่องบินรบ Saab Gripen ที่โด่งดัง ไปช่วยด้วย

    เป็นการดูแลความมั่นคงของสวีเดน ที่ใช้วิสัยทัศน์ ที่ยาว และระยะทางอ้อมไกลมาก

    สื่อสวีเดนไม่ยอมหยุด ช่วยกันขุดต่อ และนำมาเปิดเผยว่า ประมาณ 80% ของการใช้อินเตอร์เนทระหว่างประเทศของรัสเซีย ต้องผ่านเส้นทางสวีเดน นับว่าอเมริกามีตาแหลมคม เลือกคนล้วงตับได้เก่งจริงๆ นอกจากนี้ TeliaSonera บริษัทร่วมทุนยักษ์ใหญ่ ของสวีเดนและฟินแลนด์ ซึ่งมีเครือข่ายใยแก้ว ( fiberoptic ) ใหญ่ที่สุดของโลกบริษัทหนึ่ง และได้รับสัมปทานประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในรัสเซียรายหนึ่งนั้น ถ้าดูตามแผนที่ของบริษัท จะเห็นว่า ได้มีการวางแผน การวางเส้นทางสายใยแก้วของบริษัท ที่มีผลให้การสื่อสารของรัสเซีย ต้องทำผ่านสวีเดน การส่งเมล์ และโทรศัพท์ ไปต่างประเทศของรัสเซีย ต้องผ่านสต๊อกโฮมก่อน ไม่ว่าผู้รับจะอยูที่ใด เยี่ยมจริงๆ

    ความร่วม มือระหว่าง FRA กับ NSA ขยายตัวขึ้นอย่างมโหฬาร ตั้งแต่ 2011 NSA สามารถดักฟัง การสื่อสารในประเทศแถบบอลติกได้หมด ผ่านเคเบิลของสวีเดน

    Duncan Campbell สื่อชาวอังกฤษ ประเภทเกาะติด ตามขุดลึกอย่างไม่เลิก ตามสืบเรื่อง การล้วงตับดักฟังข้อมูลต่อ ได้ข้อมูลลึกมาเพียบ เขาบอกว่า องค์กรที่มาร่วมเป็นตาที่ 6 กับกลุ่ม Five Eyes และถือว่าเป็นหุ้นส่วนใหญ่ ที่ ไม่ได้เป็นประเทศ ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ แต่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่ง กับหน่วยงานของรัฐบาลอังกฤษ UK’s Government Communications Head Quarters (GCHQ) คือสวีเดน!

    ตกลง สวีเดนเป็นนักล้วงตัวจริง ไม่ล้วงธรรมดา ล้วงแล้ว แล้วแหกปากบอกต่อไปทั่วอีกด้วย สวีเดนทำอย่างนี้ทำไม

    โฆษก ของ FRA ยอมรับว่า NSA ของอเมริกา มี full access ผ่านได้ทุกด่าน เข้าได้ตลอดเวลาถึงศูนย์ข้อมูล ที่ฝ่ายข่าวกรองของสวีเดนได้มา เขาให้เหตุผลว่า ” เราคงไม่ทำอะไร โดยไม่ได้อะไรกลับมาหรอกนะ เมื่อเราสามารถหาข้อมูลในส่วนนี้ของโลกได้ เราก็เอาข้อมูลเหล่านี้ ไปแลกกับข้อมูลของส่วนอื่นของโลก ซึ่งยากสำหรับเราที่จะได้มา แต่มันเป็นข้อมูล ที่อาจมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด สำหรับนโยบายต่างประเทศของเรา”

    อย่างหนึ่งที่ สวีเดนได้รับมาจาก NSA ในการเป็นมิตรร่วมล้วง คือได้ โปรแกรมสุดยอดสำหรับการตามประกบเป้าหมาย ที่ต้องการจะล้วงลึกถึงสุดทางชื่อ Xkeyscore คือการตาม online ของทุกคนได้อย่างหมดจด อ้อ ไอ้เจ้านี่เอง ที่มันตาม ป่วนลุงนิทาน! โปรแกรมนี้ สามารถทำให้สวีเดน แฮ๊กเข้าไปในคอมพิวเตอร์ และสอดส่องดูกิจกรรมของประชาชน ของตนได้แบบไม่เหลือ อืม มันเลวได้เหมือนกันหมด นอกจากนี้ สวีเดนยังได้เข้าร่วม Project Quantum ที่ว่าเป็นการปฏิบัติการ hijacks ด้านคอมพิวเตอร์ที่สุดยอด
    Edward Snowden พูดถึงฤทธิ์เดช ของ Xkeyscore ไว้ว่า “ผมแค่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของ ผม ผมก็สามารถ wiretap ใครก็ได้ จากคุณ หรือบัญชีของคุณ ไปจนถึง ผู้พิพากษาศาลสูง แม้กระทั่งประธานาธิบดี เพียงมีอีเมล์ ของคนนั้นเท่านั้น

    ส่วน Quantum เขาว่า เป็นการใช้คลื่นวิทยุ กับอุปกรณ์ ที่ NSA สร้างขึ้นพิเศษ มีชื่อเรียกกันวงในว่า Cottonmouth I ก็ดูดข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ได้หมด แถมส่งต่อไปตามสถานีใหญ่ของ NSA หรือส่งไปสถานีย่อยแบบพกพา portable ได้อีก

    เรื่องการจารกรรมข้อมูลของรัสเซีย โดยสวีเดน เพื่ออเมริกาและพวก เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ และค้านกับการที่สวีเดนประกาศตัวเสมอว่า ฉันเป็นชาติเป็นกลาง มันเป็นกลางแบบที่เราคงนึกกันไม่ถึง โลกนี้ยังมีอะไรอีกแยะที่เรายังไม่รู้ ตราบเท่าที่ยังไม่เอากระป๋องสี่เหลี่ยมที่เขาครอบหัวเราออก

    แล้วรัสเซียรู้เรื่องการล้วงตับ นี้ไหม รัสเซียคงยิ่งกว่ารู้ การเอาเครื่องบินรบ บินเฉี่ยวหัว และเอาเรือดำน้ำ โผล่ขึ้นไปตบหน้า แล้วหายตัวไป เบ็ดเสร็จประมาณ 40 ครั้ง ในรอบ 8 เดือน อย่างที่ครูอี ด่าหน้าเสาธงนั่นแหละ คงเป็นคำตอบของรัสเซียอย่างหนึ่ง ก็ไหนว่ามีมือยาวล้วงได้ล้ำลึกนัก ก็ผลัดกันล้วงบ้างแล้วกัน และเราก็ดูกันต่อไปว่า ที่สุดแล้ว ใครจะล้วงลึก หรือ ลวงลึก ได้กว่ากัน

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    22 ธค. 2557

    ————————–———————–

    บทส่งท้าย

    เขียนเรื่องเขา ผลัดกันล้วงแล้ว อดนึกถึงเรื่องของเรา สมันน้อยไม่ได้ สมันน้อยเคยถูกล้วงบ้างไหม โดยใคร แล้วยังล้วงกันอยู่หรือเปล่า เคยคิดกันบ้างไหมครับ

    ลองคิดเป็นตัวอย่างเล่นๆ ประมาณ ปี พ.ศ. 2533 แดนสมันน้อยประกาศเชิญชวนติดตั้ง โทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมาย แบ่งเป็น กทม. 2 ล้านเลขหมาย ต่างจังหวัด 1 ล้านเลขหมาย ใครประมูลได้ ส่วนไหนบ้าง ใครเป็นคนได้งานวางไฟเบอร์ออพติก ใครรับช่วงต่อ ใครเป็นหัวเรือใหญ่ดูแลต่อรองเงื่อนไข ไปลองหาอ่านกันบ้างก็ดีนะครับ จะได้รู้หนา รู้บาง รู้ข้าง รู้ฝ่าย กันบ้าง

    แล้วลองนึกถึงอีกเรื่อง เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2535 แดนสมันน้อยให้สัมปทานดาวเทียม ใครเป็นคนได้สัมปทาน ทำอยู่กี่ปีแล้วดันขายไปให้ใคร ผิดเงื่อนไขสัมปทาน ผิดกฏหมายไหม มีใครคิดดำเนินการอะไรกันบ้างหรือเปล่า

    ตอนนี้ ดาวเทียมของบริษัทที่ขายไป ก็ยังใช้ตำแหน่งวงโคจรประจำ ของสมันน้อยอยู่เหมือนเดิม แต่เจ้าของใหม่กลายเป็นลูกกระเป๋ง ของไอ้นักล่า

    ลองต่อจิ๊กซอว์ เรื่องดาวเทียม โทรศัพท์ และสายไฟเบอร์ออพติก ดูเล่นกันหน่อย เห็นภาพอะไรไหมครับ นี่ยังไม่ได้เอาเรื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่มารวมต่อเลยนะ

    ถ้าเห็นภาพแล้ว จะทำอะไรก็ให้มันมิดชิด ระวังกันหน่อยนะครับ เดี๋ยวไอ้คนแอบอ่านแอบดูแอบฟังมันกุ้งยิงกินหมด ฮาออกไหมครับ ผมฮาไม่ออกหรอก ยิ่งเคยเห็นไอ้ลูกปิงปองยักษ์แว็บๆ ยิ่งคิดมาก ใครอยากเห็น นู่นครับ แถวเชียงใหม่ ออกนอกเมืองไปไม่ถึงชั่วโมงมีลูกเบ้อเริ่ม
    ผลัดกันล้วง ตอนที่ 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ผลัดกันล้วง” ตอนที่ 4 (ตอนจบ) “สวีเดน ทำการจารกรรมข้อมูลเกี่ยวกับ รัสเซีย ให้อเมริกามานานแล้ว ” โทรทัศน์ สวีเดน Sveriges Television ( SVT ) ออกข่าวนี้ ตั้งแต่ปลายปี 2013 บอกว่า เรื่องนี้อยู่ในเอกสาร ที่นาย Edward Snowden เอามาปูด จนต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปน่ะและตอนนี้ นาย Snowden ก็คงกำลังนั่งซุกหัว ซุกตัว อยู่ในที่หลบภัยอุ่นๆ ตรงไหนสักแห่งหนึ่งของรัสเซีย และเล่าเรื่องที่มีรายละเอียดน่าสนใจเพิ่มเติม ให้เจ้าของที่หลบภัยฟังต่อ ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ผู้สื่อข่าวสวีเดน นาย Martin Jonsson ได้พยายามขุดมา ตั้งแต่ปี 2005 เกี่ยวกับหน่วยงานข่าวกรองของสวีเดน ชื่อ Forsvarets Radioanstalt ( FRA ) แปลคร่าวๆ คือ National Defense Radio Establishment ซึ่งมีข่าวว่า ตั้งขึ้นมา เพื่อทำการจารกรรมข้อมูลจากสัญญาน ( wiretap ) ที่ผ่านไปมาอยู่แถบนั้น ให้กับ National Security Agency (NSA) ของอเมริกา โดยใช้ระบบที่รู้จักกันในชื่อ Echelon ที่โด่งดัง และประสิทธิภาพน่าขนลุก (ที่ใช้ลูกกลมเหมือนลูกปิงปองยักษ์) แต่ความเป็นจริง Echelon เป็นเพียงหนึ่งในระบบต่างๆที่ NSA ใช้ ยังมีระบบอื่นที่น่าตกใจกว่า อีกแยะ. นาย Jonsson บอกว่า NSA เป็นหน่วยงานข่าวกรองที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา และเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายการดักฟัง ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ FRA ก็เป็นส่วนหนึ่ง ของเครือข่ายนี้ NSA มีขนาด และเครือข่ายใหญ่กว่า CIA มาก โดย NSA เน้นการหาข่าวกรองจากคลื่นสัญญานต่างๆ ที่ส่งกันทั้ง บนดิน ใต้ดิน บนเรือ ใต้น้ำ บนท้องฟ้า ในเครื่องบิน จากดาวเทียม ฯลฯ โดยมีการทำสัญญาการให้ร่วมมือกัน ระหว่าง อเมริกา อังกฤษ แคนาดา นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย เรียกว่า กลุ่ม Five Eyes ตั้งแต่ ปี 1954 เพื่อแลกเปลี่ยน ข้อมูลระหว่างกันอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในช่วงสงครามเย็น นาย Jonssen เล่าว่า ตอนนั้น เราเพียงรู้ว่า เครือข่ายดักฟังข้อมูล มีเพียง 5 ประเทศ ดังกล่าว ต่อมาปี 2007 มีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า สวีเดน อาจจะเป็น ประเทศที่ 6 ที่จะได้เข้าไปร่วมกับเครือข่ายนี้ด้วย โดยจะทำสัญญาเพิ่ม ขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการเตรียมตัวให้พร้อม สวีเดนก็ดำเนินการออกกฏหมาย ที่รู้จักกันในชื่อ FRA law ให้รัฐสามารถดักฟัง เก็บข้อมูลทุกอย่าง ที่ผ่านเข้ามาในอาณาเขตของสวีเดน ไม่ว่า จะเป็นทางโทรศัพท์ หรือทางเอกสาร ฯลฯได้ ซึ่งเดิมถือว่าเป็นการผิดกฏหมาย ในเรื่องการละเมิดสิทธิ โดยทาง NSA ส่งทีมมาช่วยร่างกฏหมาย เตี๊ยมคำถามคำตอบ ที่ทางรัฐจะต้องตอบกับสภาประชาชนและสื่อ เล่นกันแบบนั้นเลย นึกว่าจะมีแต่แถวบ้านสมันน้อย ชาวสวีเดน ต่างออกมาประท้วงร่างกฏหมายฉบับนี้ อย่างมากมาย แต่ในที่สุด ฝ่ายรัฐก็ชนะไปอย่างเฉียดฉิว วันที่ 13 เดือนเมษายน 2007 Odenberg รัฐมนตรีกลาโหมของสวีเดน กับ Chertoff หัวหน้า Homeland Security ของอเมริกา ก็ลงนามในสัญญาที่มีผลให้ สวีเดน รับหน้าที่ ทำการดักฟังการสื่อสารระหว่างประเทศทั้งหมดของรัสเซีย และแชร์ข้อมูลที่ได้รับกับอเมริกา หลังจากนั้นไม่นาน ข่าวเกี่ยวกับสัญญาล้วงตับนี้ก็หลุดออกมาถึงสื่อ รัฐบาลสวีเดนพยายามแก้ตัวว่า มันเป็นเรื่องจำเป็น เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ เป็นเรื่องธรรมดา หลายประเทศก็ทำสัญญาเช่นนี้กับอเมริกา ส่วน FRA law ฝีแตกที่หลัง ชาวสวีเดนเพิ่งรู้เรื่อง ต่างไม่พอใจการกระทำของรัฐบาล สื่อ และพรรคฝ่ายค้าน พากันสอบถามรัฐบาล รัฐบาลแก้ตัวไม่หลุด แถไปเรื่อยๆ ข้อแก้ตัวอันหนึ่ง ที่ทำให้ชาวบ้านยิ่งงงหนัก คือคำตอบที่บอกว่า การล้วงตับรัสเซีย เป็นเรื่องจำเป็น สำหรับการป้องกันพวกทหารของเรา ที่ส่งไปรบที่อาฟกานิสถาน อืม เป็นการอ้างเหตุผลได้บัดซบ ไม่น้อยกว่านักการเมืองแถวบ้านสมันน้อย สวีเดนส่งกองทหารไปช่วยอเมริกาถล่มอาฟกานิสถาน และลิเบียในช่วงปี 2011 รวมทั้งส่งเครื่องบินรบ Saab Gripen ที่โด่งดัง ไปช่วยด้วย เป็นการดูแลความมั่นคงของสวีเดน ที่ใช้วิสัยทัศน์ ที่ยาว และระยะทางอ้อมไกลมาก สื่อสวีเดนไม่ยอมหยุด ช่วยกันขุดต่อ และนำมาเปิดเผยว่า ประมาณ 80% ของการใช้อินเตอร์เนทระหว่างประเทศของรัสเซีย ต้องผ่านเส้นทางสวีเดน นับว่าอเมริกามีตาแหลมคม เลือกคนล้วงตับได้เก่งจริงๆ นอกจากนี้ TeliaSonera บริษัทร่วมทุนยักษ์ใหญ่ ของสวีเดนและฟินแลนด์ ซึ่งมีเครือข่ายใยแก้ว ( fiberoptic ) ใหญ่ที่สุดของโลกบริษัทหนึ่ง และได้รับสัมปทานประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในรัสเซียรายหนึ่งนั้น ถ้าดูตามแผนที่ของบริษัท จะเห็นว่า ได้มีการวางแผน การวางเส้นทางสายใยแก้วของบริษัท ที่มีผลให้การสื่อสารของรัสเซีย ต้องทำผ่านสวีเดน การส่งเมล์ และโทรศัพท์ ไปต่างประเทศของรัสเซีย ต้องผ่านสต๊อกโฮมก่อน ไม่ว่าผู้รับจะอยูที่ใด เยี่ยมจริงๆ ความร่วม มือระหว่าง FRA กับ NSA ขยายตัวขึ้นอย่างมโหฬาร ตั้งแต่ 2011 NSA สามารถดักฟัง การสื่อสารในประเทศแถบบอลติกได้หมด ผ่านเคเบิลของสวีเดน Duncan Campbell สื่อชาวอังกฤษ ประเภทเกาะติด ตามขุดลึกอย่างไม่เลิก ตามสืบเรื่อง การล้วงตับดักฟังข้อมูลต่อ ได้ข้อมูลลึกมาเพียบ เขาบอกว่า องค์กรที่มาร่วมเป็นตาที่ 6 กับกลุ่ม Five Eyes และถือว่าเป็นหุ้นส่วนใหญ่ ที่ ไม่ได้เป็นประเทศ ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ แต่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่ง กับหน่วยงานของรัฐบาลอังกฤษ UK’s Government Communications Head Quarters (GCHQ) คือสวีเดน! ตกลง สวีเดนเป็นนักล้วงตัวจริง ไม่ล้วงธรรมดา ล้วงแล้ว แล้วแหกปากบอกต่อไปทั่วอีกด้วย สวีเดนทำอย่างนี้ทำไม โฆษก ของ FRA ยอมรับว่า NSA ของอเมริกา มี full access ผ่านได้ทุกด่าน เข้าได้ตลอดเวลาถึงศูนย์ข้อมูล ที่ฝ่ายข่าวกรองของสวีเดนได้มา เขาให้เหตุผลว่า ” เราคงไม่ทำอะไร โดยไม่ได้อะไรกลับมาหรอกนะ เมื่อเราสามารถหาข้อมูลในส่วนนี้ของโลกได้ เราก็เอาข้อมูลเหล่านี้ ไปแลกกับข้อมูลของส่วนอื่นของโลก ซึ่งยากสำหรับเราที่จะได้มา แต่มันเป็นข้อมูล ที่อาจมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด สำหรับนโยบายต่างประเทศของเรา” อย่างหนึ่งที่ สวีเดนได้รับมาจาก NSA ในการเป็นมิตรร่วมล้วง คือได้ โปรแกรมสุดยอดสำหรับการตามประกบเป้าหมาย ที่ต้องการจะล้วงลึกถึงสุดทางชื่อ Xkeyscore คือการตาม online ของทุกคนได้อย่างหมดจด อ้อ ไอ้เจ้านี่เอง ที่มันตาม ป่วนลุงนิทาน! โปรแกรมนี้ สามารถทำให้สวีเดน แฮ๊กเข้าไปในคอมพิวเตอร์ และสอดส่องดูกิจกรรมของประชาชน ของตนได้แบบไม่เหลือ อืม มันเลวได้เหมือนกันหมด นอกจากนี้ สวีเดนยังได้เข้าร่วม Project Quantum ที่ว่าเป็นการปฏิบัติการ hijacks ด้านคอมพิวเตอร์ที่สุดยอด Edward Snowden พูดถึงฤทธิ์เดช ของ Xkeyscore ไว้ว่า “ผมแค่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของ ผม ผมก็สามารถ wiretap ใครก็ได้ จากคุณ หรือบัญชีของคุณ ไปจนถึง ผู้พิพากษาศาลสูง แม้กระทั่งประธานาธิบดี เพียงมีอีเมล์ ของคนนั้นเท่านั้น ส่วน Quantum เขาว่า เป็นการใช้คลื่นวิทยุ กับอุปกรณ์ ที่ NSA สร้างขึ้นพิเศษ มีชื่อเรียกกันวงในว่า Cottonmouth I ก็ดูดข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ได้หมด แถมส่งต่อไปตามสถานีใหญ่ของ NSA หรือส่งไปสถานีย่อยแบบพกพา portable ได้อีก เรื่องการจารกรรมข้อมูลของรัสเซีย โดยสวีเดน เพื่ออเมริกาและพวก เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ และค้านกับการที่สวีเดนประกาศตัวเสมอว่า ฉันเป็นชาติเป็นกลาง มันเป็นกลางแบบที่เราคงนึกกันไม่ถึง โลกนี้ยังมีอะไรอีกแยะที่เรายังไม่รู้ ตราบเท่าที่ยังไม่เอากระป๋องสี่เหลี่ยมที่เขาครอบหัวเราออก แล้วรัสเซียรู้เรื่องการล้วงตับ นี้ไหม รัสเซียคงยิ่งกว่ารู้ การเอาเครื่องบินรบ บินเฉี่ยวหัว และเอาเรือดำน้ำ โผล่ขึ้นไปตบหน้า แล้วหายตัวไป เบ็ดเสร็จประมาณ 40 ครั้ง ในรอบ 8 เดือน อย่างที่ครูอี ด่าหน้าเสาธงนั่นแหละ คงเป็นคำตอบของรัสเซียอย่างหนึ่ง ก็ไหนว่ามีมือยาวล้วงได้ล้ำลึกนัก ก็ผลัดกันล้วงบ้างแล้วกัน และเราก็ดูกันต่อไปว่า ที่สุดแล้ว ใครจะล้วงลึก หรือ ลวงลึก ได้กว่ากัน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 22 ธค. 2557 ————————–———————– บทส่งท้าย เขียนเรื่องเขา ผลัดกันล้วงแล้ว อดนึกถึงเรื่องของเรา สมันน้อยไม่ได้ สมันน้อยเคยถูกล้วงบ้างไหม โดยใคร แล้วยังล้วงกันอยู่หรือเปล่า เคยคิดกันบ้างไหมครับ ลองคิดเป็นตัวอย่างเล่นๆ ประมาณ ปี พ.ศ. 2533 แดนสมันน้อยประกาศเชิญชวนติดตั้ง โทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมาย แบ่งเป็น กทม. 2 ล้านเลขหมาย ต่างจังหวัด 1 ล้านเลขหมาย ใครประมูลได้ ส่วนไหนบ้าง ใครเป็นคนได้งานวางไฟเบอร์ออพติก ใครรับช่วงต่อ ใครเป็นหัวเรือใหญ่ดูแลต่อรองเงื่อนไข ไปลองหาอ่านกันบ้างก็ดีนะครับ จะได้รู้หนา รู้บาง รู้ข้าง รู้ฝ่าย กันบ้าง แล้วลองนึกถึงอีกเรื่อง เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2535 แดนสมันน้อยให้สัมปทานดาวเทียม ใครเป็นคนได้สัมปทาน ทำอยู่กี่ปีแล้วดันขายไปให้ใคร ผิดเงื่อนไขสัมปทาน ผิดกฏหมายไหม มีใครคิดดำเนินการอะไรกันบ้างหรือเปล่า ตอนนี้ ดาวเทียมของบริษัทที่ขายไป ก็ยังใช้ตำแหน่งวงโคจรประจำ ของสมันน้อยอยู่เหมือนเดิม แต่เจ้าของใหม่กลายเป็นลูกกระเป๋ง ของไอ้นักล่า ลองต่อจิ๊กซอว์ เรื่องดาวเทียม โทรศัพท์ และสายไฟเบอร์ออพติก ดูเล่นกันหน่อย เห็นภาพอะไรไหมครับ นี่ยังไม่ได้เอาเรื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่มารวมต่อเลยนะ ถ้าเห็นภาพแล้ว จะทำอะไรก็ให้มันมิดชิด ระวังกันหน่อยนะครับ เดี๋ยวไอ้คนแอบอ่านแอบดูแอบฟังมันกุ้งยิงกินหมด ฮาออกไหมครับ ผมฮาไม่ออกหรอก ยิ่งเคยเห็นไอ้ลูกปิงปองยักษ์แว็บๆ ยิ่งคิดมาก ใครอยากเห็น นู่นครับ แถวเชียงใหม่ ออกนอกเมืองไปไม่ถึงชั่วโมงมีลูกเบ้อเริ่ม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 464 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Nvidia จับมือ ABB” — เปิดตัวระบบไฟฟ้า 800V DC สำหรับศูนย์ข้อมูลยุคใหม่ระดับกิกะวัตต์

    Nvidia ประกาศความร่วมมือกับ ABB บริษัทอุตสาหกรรมระดับโลกจากสวีเดน-สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบไฟฟ้า 800V DC สำหรับแร็คเซิร์ฟเวอร์ขนาด 1 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญของศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ในอนาคต

    การใช้ระบบไฟฟ้า 800V DC ถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนวัสดุ และรองรับการจ่ายไฟในระดับสูงได้มากขึ้น โดย Nvidia ตั้งเป้าสร้างศูนย์ข้อมูลระดับกิกะวัตต์ ซึ่งต้องใช้แร็คเซิร์ฟเวอร์จำนวนมากที่กินไฟระดับเมกะวัตต์ต่อแร็ค

    ABB ระบุว่าได้พัฒนาอุปกรณ์รองรับระบบ 800V DC สำหรับศูนย์ข้อมูล AI รุ่นใหม่แล้ว และยกตัวอย่างจากระบบไฟฟ้าในเรือเดินสมุทรที่ใช้ 1,000V DC ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานได้ถึง 20–40% และลดค่าบำรุงรักษา 30%

    ระบบใหม่นี้จะเปลี่ยนจากการใช้ไฟฟ้า AC ที่ต้องแปลงหลายขั้นตอน มาเป็นการจ่ายไฟ DC โดยตรงจากห้องจ่ายไฟไปยังแร็คเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งช่วยลดการสูญเสียพลังงานและลดขนาดอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในระบบเดิม

    การเปลี่ยนไปใช้ไฟฟ้าแรงดันสูงแบบ DC ยังช่วยลดขนาดสายไฟและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ทำให้การออกแบบศูนย์ข้อมูลมีความยืดหยุ่นและประหยัดมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่ศูนย์ข้อมูล AI ต้องรองรับการประมวลผลมหาศาล

    ข้อมูลในข่าว
    Nvidia ร่วมมือกับ ABB พัฒนาโครงสร้างไฟฟ้า 800V DC สำหรับแร็คเซิร์ฟเวอร์ขนาด 1 เมกะวัตต์
    ระบบใหม่นี้จะใช้ในศูนย์ข้อมูล AI ขนาดกิกะวัตต์ในอนาคต
    ABB พัฒนาอุปกรณ์รองรับระบบ 800V DC แล้ว
    ระบบ DC ช่วยลดการสูญเสียพลังงานและลดต้นทุนวัสดุ
    ตัวอย่างจากเรือเดินสมุทรที่ใช้ 1,000V DC ลดพลังงาน 20–40% และค่าบำรุงรักษา 30%
    การจ่ายไฟ DC โดยตรงช่วยลดขั้นตอนการแปลงไฟฟ้าและขนาดอุปกรณ์
    การใช้แรงดันสูงช่วยลดขนาดสายไฟและอุปกรณ์ ทำให้ศูนย์ข้อมูลออกแบบได้ง่ายขึ้น

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    การเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบไฟฟ้า DC ต้องใช้การออกแบบใหม่และอุปกรณ์เฉพาะ
    หากไม่มีการป้องกันกระแสไฟฟ้าอย่างเหมาะสม อาจเกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์
    ศูนย์ข้อมูลที่ยังใช้ระบบเดิมอาจเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นและประสิทธิภาพต่ำกว่า
    การเปลี่ยนระบบไฟฟ้าในระดับเมกะวัตต์ต้องผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/nvidia-800-vdc-power-rollout-for-1-megawatt-server-racks-to-be-supported-by-abb-company-says-collaboration-will-create-new-power-solutions-for-future-gigawatt-scale-data-centers
    ⚡ “Nvidia จับมือ ABB” — เปิดตัวระบบไฟฟ้า 800V DC สำหรับศูนย์ข้อมูลยุคใหม่ระดับกิกะวัตต์ Nvidia ประกาศความร่วมมือกับ ABB บริษัทอุตสาหกรรมระดับโลกจากสวีเดน-สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบไฟฟ้า 800V DC สำหรับแร็คเซิร์ฟเวอร์ขนาด 1 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญของศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ในอนาคต การใช้ระบบไฟฟ้า 800V DC ถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนวัสดุ และรองรับการจ่ายไฟในระดับสูงได้มากขึ้น โดย Nvidia ตั้งเป้าสร้างศูนย์ข้อมูลระดับกิกะวัตต์ ซึ่งต้องใช้แร็คเซิร์ฟเวอร์จำนวนมากที่กินไฟระดับเมกะวัตต์ต่อแร็ค ABB ระบุว่าได้พัฒนาอุปกรณ์รองรับระบบ 800V DC สำหรับศูนย์ข้อมูล AI รุ่นใหม่แล้ว และยกตัวอย่างจากระบบไฟฟ้าในเรือเดินสมุทรที่ใช้ 1,000V DC ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานได้ถึง 20–40% และลดค่าบำรุงรักษา 30% ระบบใหม่นี้จะเปลี่ยนจากการใช้ไฟฟ้า AC ที่ต้องแปลงหลายขั้นตอน มาเป็นการจ่ายไฟ DC โดยตรงจากห้องจ่ายไฟไปยังแร็คเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งช่วยลดการสูญเสียพลังงานและลดขนาดอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในระบบเดิม การเปลี่ยนไปใช้ไฟฟ้าแรงดันสูงแบบ DC ยังช่วยลดขนาดสายไฟและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ทำให้การออกแบบศูนย์ข้อมูลมีความยืดหยุ่นและประหยัดมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่ศูนย์ข้อมูล AI ต้องรองรับการประมวลผลมหาศาล ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Nvidia ร่วมมือกับ ABB พัฒนาโครงสร้างไฟฟ้า 800V DC สำหรับแร็คเซิร์ฟเวอร์ขนาด 1 เมกะวัตต์ ➡️ ระบบใหม่นี้จะใช้ในศูนย์ข้อมูล AI ขนาดกิกะวัตต์ในอนาคต ➡️ ABB พัฒนาอุปกรณ์รองรับระบบ 800V DC แล้ว ➡️ ระบบ DC ช่วยลดการสูญเสียพลังงานและลดต้นทุนวัสดุ ➡️ ตัวอย่างจากเรือเดินสมุทรที่ใช้ 1,000V DC ลดพลังงาน 20–40% และค่าบำรุงรักษา 30% ➡️ การจ่ายไฟ DC โดยตรงช่วยลดขั้นตอนการแปลงไฟฟ้าและขนาดอุปกรณ์ ➡️ การใช้แรงดันสูงช่วยลดขนาดสายไฟและอุปกรณ์ ทำให้ศูนย์ข้อมูลออกแบบได้ง่ายขึ้น ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ การเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบไฟฟ้า DC ต้องใช้การออกแบบใหม่และอุปกรณ์เฉพาะ ⛔ หากไม่มีการป้องกันกระแสไฟฟ้าอย่างเหมาะสม อาจเกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์ ⛔ ศูนย์ข้อมูลที่ยังใช้ระบบเดิมอาจเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นและประสิทธิภาพต่ำกว่า ⛔ การเปลี่ยนระบบไฟฟ้าในระดับเมกะวัตต์ต้องผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวด https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/nvidia-800-vdc-power-rollout-for-1-megawatt-server-racks-to-be-supported-by-abb-company-says-collaboration-will-create-new-power-solutions-for-future-gigawatt-scale-data-centers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Applied Materials เปิดตัว Kinex, Xtera และ Provision 10 — เตรียมเข้าสู่ยุคแองสตรอมแห่งการผลิตชิประดับอะตอม”

    Applied Materials บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์สำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ได้เปิดตัวระบบใหม่ 3 ชุด ได้แก่ Kinex, Xtera และ Provision 10 เพื่อรองรับการผลิตชิประดับแองสตรอม (angstrom era) ซึ่งเป็นยุคที่ขนาดทรานซิสเตอร์เล็กลงจนใกล้ระดับอะตอม โดยมุ่งเน้นการควบคุมโครงสร้าง 3D ที่ซับซ้อนและการจัดการวัสดุในระดับโมเลกุล

    ระบบ Kinex ถูกออกแบบมาเพื่อจัดการกับการเคลือบและกัดกรดในโครงสร้างแนวตั้งที่มีความสูงมาก เช่น gate-all-around (GAA) และ backside power delivery โดยใช้เทคนิคการควบคุมความหนาและความสม่ำเสมอของชั้นวัสดุในระดับอะตอม

    Xtera เป็นระบบใหม่สำหรับการเคลือบฟิล์มบางที่มีความแม่นยำสูง โดยใช้เทคนิค atomic layer deposition (ALD) และ atomic layer etching (ALE) เพื่อให้สามารถสร้างโครงสร้างที่มีความละเอียดสูงและลดความเสียหายจากการกัดกรด

    Provision 10 เป็นระบบตรวจสอบและวิเคราะห์โครงสร้างในระดับนาโนเมตร โดยใช้เซนเซอร์และอัลกอริธึม AI เพื่อวัดความหนา ความเรียบ และความผิดปกติของวัสดุในระหว่างการผลิตแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยลดความผิดพลาดและเพิ่ม yield ในการผลิตชิประดับแองสตรอม

    Applied Materials ระบุว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะเป็นหัวใจสำคัญในการผลิตชิปรุ่นใหม่ เช่น 2nm และต่ำกว่า ซึ่งต้องการความแม่นยำสูงและการควบคุมโครงสร้างที่ซับซ้อนมากขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Applied Materials เปิดตัวระบบ Kinex, Xtera และ Provision 10
    Kinex ใช้สำหรับจัดการโครงสร้างแนวตั้ง เช่น GAA และ backside power
    Xtera ใช้เทคนิค ALD และ ALE เพื่อเคลือบและกัดฟิล์มบาง
    Provision 10 ใช้ AI ตรวจสอบโครงสร้างวัสดุแบบเรียลไทม์
    ระบบทั้งหมดรองรับการผลิตชิประดับแองสตรอม เช่น 2nm และต่ำกว่า
    มุ่งเน้นการควบคุมความแม่นยำและลดความผิดพลาดในการผลิต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    1 แองสตรอม = 0.1 นาโนเมตร ซึ่งใกล้เคียงกับขนาดของอะตอม
    GAA เป็นสถาปัตยกรรมทรานซิสเตอร์ที่ใช้ในชิปรุ่นใหม่ เช่น Intel 20A และ TSMC N2
    Backside power delivery ช่วยลดความซับซ้อนของการเดินสายไฟและเพิ่มประสิทธิภาพ
    ALD และ ALE เป็นเทคนิคที่ใช้ในการสร้างฟิล์มบางระดับอะตอม
    Yield สูงเป็นปัจจัยสำคัญในการลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการผลิต

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/applied-materials-preps-for-angstrom-era-in-chipmaking-spearheaded-by-its-new-kinex-xtera-and-provision-10-systems
    ⚙️ “Applied Materials เปิดตัว Kinex, Xtera และ Provision 10 — เตรียมเข้าสู่ยุคแองสตรอมแห่งการผลิตชิประดับอะตอม” Applied Materials บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์สำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ได้เปิดตัวระบบใหม่ 3 ชุด ได้แก่ Kinex, Xtera และ Provision 10 เพื่อรองรับการผลิตชิประดับแองสตรอม (angstrom era) ซึ่งเป็นยุคที่ขนาดทรานซิสเตอร์เล็กลงจนใกล้ระดับอะตอม โดยมุ่งเน้นการควบคุมโครงสร้าง 3D ที่ซับซ้อนและการจัดการวัสดุในระดับโมเลกุล ระบบ Kinex ถูกออกแบบมาเพื่อจัดการกับการเคลือบและกัดกรดในโครงสร้างแนวตั้งที่มีความสูงมาก เช่น gate-all-around (GAA) และ backside power delivery โดยใช้เทคนิคการควบคุมความหนาและความสม่ำเสมอของชั้นวัสดุในระดับอะตอม Xtera เป็นระบบใหม่สำหรับการเคลือบฟิล์มบางที่มีความแม่นยำสูง โดยใช้เทคนิค atomic layer deposition (ALD) และ atomic layer etching (ALE) เพื่อให้สามารถสร้างโครงสร้างที่มีความละเอียดสูงและลดความเสียหายจากการกัดกรด Provision 10 เป็นระบบตรวจสอบและวิเคราะห์โครงสร้างในระดับนาโนเมตร โดยใช้เซนเซอร์และอัลกอริธึม AI เพื่อวัดความหนา ความเรียบ และความผิดปกติของวัสดุในระหว่างการผลิตแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยลดความผิดพลาดและเพิ่ม yield ในการผลิตชิประดับแองสตรอม Applied Materials ระบุว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะเป็นหัวใจสำคัญในการผลิตชิปรุ่นใหม่ เช่น 2nm และต่ำกว่า ซึ่งต้องการความแม่นยำสูงและการควบคุมโครงสร้างที่ซับซ้อนมากขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Applied Materials เปิดตัวระบบ Kinex, Xtera และ Provision 10 ➡️ Kinex ใช้สำหรับจัดการโครงสร้างแนวตั้ง เช่น GAA และ backside power ➡️ Xtera ใช้เทคนิค ALD และ ALE เพื่อเคลือบและกัดฟิล์มบาง ➡️ Provision 10 ใช้ AI ตรวจสอบโครงสร้างวัสดุแบบเรียลไทม์ ➡️ ระบบทั้งหมดรองรับการผลิตชิประดับแองสตรอม เช่น 2nm และต่ำกว่า ➡️ มุ่งเน้นการควบคุมความแม่นยำและลดความผิดพลาดในการผลิต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ 1 แองสตรอม = 0.1 นาโนเมตร ซึ่งใกล้เคียงกับขนาดของอะตอม ➡️ GAA เป็นสถาปัตยกรรมทรานซิสเตอร์ที่ใช้ในชิปรุ่นใหม่ เช่น Intel 20A และ TSMC N2 ➡️ Backside power delivery ช่วยลดความซับซ้อนของการเดินสายไฟและเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ ALD และ ALE เป็นเทคนิคที่ใช้ในการสร้างฟิล์มบางระดับอะตอม ➡️ Yield สูงเป็นปัจจัยสำคัญในการลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการผลิต https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/applied-materials-preps-for-angstrom-era-in-chipmaking-spearheaded-by-its-new-kinex-xtera-and-provision-10-systems
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Intel 18A เริ่มผลิตก่อน TSMC N2 — ศึกเทคโนโลยีระดับ 2nm เปิดฉากแล้ว”

    Intel ประกาศเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ของกระบวนการผลิต 18A (1.8nm class) ก่อนคู่แข่งอย่าง TSMC ที่ยังอยู่ในช่วงเตรียมการสำหรับเทคโนโลยี N2 (2nm class) ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในช่วงกลางถึงปลายปี 2026

    Intel 18A ใช้เทคโนโลยี RibbonFET (ทรานซิสเตอร์แบบ Gate-All-Around) และ PowerVia (การจ่ายไฟจากด้านหลังของเวเฟอร์) ซึ่งช่วยลดความต้านทานและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ขณะที่ TSMC N2 ก็จะใช้ GAA เช่นกัน แต่ยังไม่มีการเปิดเผยว่าจะใช้เทคนิคการจ่ายไฟจากด้านหลังหรือไม่

    Intel ตั้งเป้าให้ 18A เป็นกระบวนการผลิตที่ใช้ได้ทั้งกับผลิตภัณฑ์ของตัวเองและลูกค้าภายนอก เช่น MediaTek และ U.S. Department of Defense ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการกลับเข้าสู่ตลาด foundry อย่างจริงจัง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel เริ่มผลิต 18A ก่อน TSMC N2
    18A ใช้ RibbonFET และ PowerVia เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    TSMC N2 จะใช้ GAA แต่ยังไม่ยืนยันเรื่อง PowerVia
    Intel วางแผนให้ 18A รองรับลูกค้าภายนอก เช่น MediaTek
    TSMC N2 คาดว่าจะเริ่มผลิตในปี 2026

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    RibbonFET เป็นเทคโนโลยี GAA ที่ Intel พัฒนาขึ้นเอง
    PowerVia ช่วยลดความซับซ้อนของการเดินสายไฟด้านหน้าเวเฟอร์
    GAA ช่วยลด leakage current และเพิ่ม density ของทรานซิสเตอร์
    Intel ตั้งเป้าแซง TSMC และ Samsung ในด้านเทคโนโลยีภายในปี 2025
    TSMC N2 จะใช้ในชิปของ Apple, AMD และ NVIDIA เป็นหลัก

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intels-18a-production-starts-before-tsmcs-competing-n2-tech-heres-how-the-two-process-nodes-compare
    ⚙️ “Intel 18A เริ่มผลิตก่อน TSMC N2 — ศึกเทคโนโลยีระดับ 2nm เปิดฉากแล้ว” Intel ประกาศเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ของกระบวนการผลิต 18A (1.8nm class) ก่อนคู่แข่งอย่าง TSMC ที่ยังอยู่ในช่วงเตรียมการสำหรับเทคโนโลยี N2 (2nm class) ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในช่วงกลางถึงปลายปี 2026 Intel 18A ใช้เทคโนโลยี RibbonFET (ทรานซิสเตอร์แบบ Gate-All-Around) และ PowerVia (การจ่ายไฟจากด้านหลังของเวเฟอร์) ซึ่งช่วยลดความต้านทานและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ขณะที่ TSMC N2 ก็จะใช้ GAA เช่นกัน แต่ยังไม่มีการเปิดเผยว่าจะใช้เทคนิคการจ่ายไฟจากด้านหลังหรือไม่ Intel ตั้งเป้าให้ 18A เป็นกระบวนการผลิตที่ใช้ได้ทั้งกับผลิตภัณฑ์ของตัวเองและลูกค้าภายนอก เช่น MediaTek และ U.S. Department of Defense ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการกลับเข้าสู่ตลาด foundry อย่างจริงจัง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel เริ่มผลิต 18A ก่อน TSMC N2 ➡️ 18A ใช้ RibbonFET และ PowerVia เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ TSMC N2 จะใช้ GAA แต่ยังไม่ยืนยันเรื่อง PowerVia ➡️ Intel วางแผนให้ 18A รองรับลูกค้าภายนอก เช่น MediaTek ➡️ TSMC N2 คาดว่าจะเริ่มผลิตในปี 2026 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ RibbonFET เป็นเทคโนโลยี GAA ที่ Intel พัฒนาขึ้นเอง ➡️ PowerVia ช่วยลดความซับซ้อนของการเดินสายไฟด้านหน้าเวเฟอร์ ➡️ GAA ช่วยลด leakage current และเพิ่ม density ของทรานซิสเตอร์ ➡️ Intel ตั้งเป้าแซง TSMC และ Samsung ในด้านเทคโนโลยีภายในปี 2025 ➡️ TSMC N2 จะใช้ในชิปของ Apple, AMD และ NVIDIA เป็นหลัก https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intels-18a-production-starts-before-tsmcs-competing-n2-tech-heres-how-the-two-process-nodes-compare
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 190 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🛜 “Wireguard FPGA — ปฏิวัติความปลอดภัยเครือข่ายด้วยฮาร์ดแวร์โอเพนซอร์สราคาประหยัด”

    ในยุคที่ความปลอดภัยของข้อมูลกลายเป็นเรื่องสำคัญระดับโลก การเชื่อมต่อเครือข่ายผ่าน VPN กลายเป็นสิ่งจำเป็น แต่โซลูชันแบบเดิมอย่าง OpenVPN หรือ IPSec เริ่มล้าหลัง ทั้งในด้านประสิทธิภาพและความซับซ้อนในการจัดการ นี่คือจุดเริ่มต้นของโครงการ “Wireguard FPGA” ที่มุ่งสร้างระบบ VPN แบบฮาร์ดแวร์เต็มรูปแบบ ด้วยความเร็วระดับสายไฟ (wire-speed) บน FPGA ราคาประหยัด พร้อมเปิดซอร์สให้ทุกคนเข้าถึงได้

    โครงการนี้ใช้ Artix-7 FPGA ซึ่งรองรับเครื่องมือโอเพนซอร์ส และเขียนโค้ดทั้งหมดด้วย Verilog/SystemVerilog โดยไม่พึ่งพา IP แบบปิดหรือเครื่องมือเชิงพาณิชย์ จุดเด่นคือการออกแบบระบบให้ทำงานแบบ self-contained ไม่ต้องพึ่งพา PC host และสามารถจัดการการเข้ารหัสแบบ ChaCha20-Poly1305 ได้ในระดับฮาร์ดแวร์

    ทีมงานเบื้องหลังเคยมีส่วนร่วมในโครงการ Blackwire ซึ่งเป็นฮาร์ดแวร์ VPN ความเร็ว 100Gbps แต่มีข้อจำกัดด้านราคาและเครื่องมือที่ใช้ ทำให้ Wireguard FPGA ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยมีแผนพัฒนาเป็นหลายเฟส ตั้งแต่การสร้างต้นแบบ ไปจนถึงการทดสอบจริง และการเพิ่มฟีเจอร์ควบคุมการไหลของข้อมูล


    เป้าหมายของโครงการ Wireguard FPGA
    สร้างระบบ VPN แบบฮาร์ดแวร์ที่เร็วระดับสายไฟ
    ใช้ Artix-7 FPGA ราคาประหยัดและเครื่องมือโอเพนซอร์ส
    เขียนโค้ดด้วย Verilog/SystemVerilog ทั้งหมด

    ความแตกต่างจากโครงการ Blackwire
    Blackwire ใช้ Alveo U50 ที่มีราคาสูงและเครื่องมือ Vivado แบบปิด
    Wireguard FPGA ไม่พึ่งพา PC host และใช้โค้ดที่เข้าถึงได้ง่าย
    Blackwire เปิดซอร์สเพราะปัญหาทางการเงิน ไม่ใช่เจตนาเดิม

    สถาปัตยกรรมระบบ
    แบ่งเป็น Control Plane (ซอฟต์แวร์บน RISC-V CPU) และ Data Plane (ฮาร์ดแวร์เข้ารหัส)
    ใช้ CSR-based HAL ในการเชื่อมต่อระหว่างสองส่วน
    รองรับการเข้ารหัส/ถอดรหัสด้วย ChaCha20-Poly1305 ในฮาร์ดแวร์

    การพัฒนาแบบหลายเฟส
    Phase 1: สร้างต้นแบบและทดสอบพื้นฐาน
    Phase 2: สร้าง datapath และรวม IP เข้าด้วยกัน
    Phase 3: พัฒนาเฟิร์มแวร์ควบคุมบน RISC-V
    Phase 4: จัดการ VPN tunnel แบบครบวงจร
    Phase 5: ทดสอบจริงและพอร์ตไปยัง OpenXC7
    Phase 6: เพิ่มโมดูลควบคุมการไหลของข้อมูล

    เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้
    ใช้ Verilator, cocoTB, VProc ISS ในการจำลอง
    ใช้ IP จากโครงการอื่น เช่น Corundum, Cookie Cutter SOC
    ใช้ระบบ co-simulation HAL ที่สร้างจาก SystemRDL

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ChaCha20-Poly1305 เป็นอัลกอริธึม AEAD ที่ใช้ใน Wireguard ตาม RFC7539
    Curve25519 ใช้สำหรับแลกเปลี่ยนคีย์แบบ ECDH
    OpenXC7 เป็นเครื่องมือโอเพนซอร์สสำหรับ FPGA ตระกูล Xilinx Series7

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    Artix-7 ไม่รองรับ High-Performance I/O ทำให้จำกัดความเร็วที่ 600MHz
    เครื่องมือโอเพนซอร์สยังไม่สมบูรณ์ อาจมีปัญหา timing closure และ routing
    การจำลองระบบขนาดใหญ่ต้องใช้ทรัพยากรสูงและอาจไม่เหมาะกับทุกคน
    การพอร์ตไปยัง OpenXC7 ยังมีปัญหา crash และไม่มี timing-driven STA

    https://github.com/chili-chips-ba/wireguard-fpga
    🛜 “Wireguard FPGA — ปฏิวัติความปลอดภัยเครือข่ายด้วยฮาร์ดแวร์โอเพนซอร์สราคาประหยัด” ในยุคที่ความปลอดภัยของข้อมูลกลายเป็นเรื่องสำคัญระดับโลก การเชื่อมต่อเครือข่ายผ่าน VPN กลายเป็นสิ่งจำเป็น แต่โซลูชันแบบเดิมอย่าง OpenVPN หรือ IPSec เริ่มล้าหลัง ทั้งในด้านประสิทธิภาพและความซับซ้อนในการจัดการ นี่คือจุดเริ่มต้นของโครงการ “Wireguard FPGA” ที่มุ่งสร้างระบบ VPN แบบฮาร์ดแวร์เต็มรูปแบบ ด้วยความเร็วระดับสายไฟ (wire-speed) บน FPGA ราคาประหยัด พร้อมเปิดซอร์สให้ทุกคนเข้าถึงได้ โครงการนี้ใช้ Artix-7 FPGA ซึ่งรองรับเครื่องมือโอเพนซอร์ส และเขียนโค้ดทั้งหมดด้วย Verilog/SystemVerilog โดยไม่พึ่งพา IP แบบปิดหรือเครื่องมือเชิงพาณิชย์ จุดเด่นคือการออกแบบระบบให้ทำงานแบบ self-contained ไม่ต้องพึ่งพา PC host และสามารถจัดการการเข้ารหัสแบบ ChaCha20-Poly1305 ได้ในระดับฮาร์ดแวร์ ทีมงานเบื้องหลังเคยมีส่วนร่วมในโครงการ Blackwire ซึ่งเป็นฮาร์ดแวร์ VPN ความเร็ว 100Gbps แต่มีข้อจำกัดด้านราคาและเครื่องมือที่ใช้ ทำให้ Wireguard FPGA ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยมีแผนพัฒนาเป็นหลายเฟส ตั้งแต่การสร้างต้นแบบ ไปจนถึงการทดสอบจริง และการเพิ่มฟีเจอร์ควบคุมการไหลของข้อมูล ✅ เป้าหมายของโครงการ Wireguard FPGA ➡️ สร้างระบบ VPN แบบฮาร์ดแวร์ที่เร็วระดับสายไฟ ➡️ ใช้ Artix-7 FPGA ราคาประหยัดและเครื่องมือโอเพนซอร์ส ➡️ เขียนโค้ดด้วย Verilog/SystemVerilog ทั้งหมด ✅ ความแตกต่างจากโครงการ Blackwire ➡️ Blackwire ใช้ Alveo U50 ที่มีราคาสูงและเครื่องมือ Vivado แบบปิด ➡️ Wireguard FPGA ไม่พึ่งพา PC host และใช้โค้ดที่เข้าถึงได้ง่าย ➡️ Blackwire เปิดซอร์สเพราะปัญหาทางการเงิน ไม่ใช่เจตนาเดิม ✅ สถาปัตยกรรมระบบ ➡️ แบ่งเป็น Control Plane (ซอฟต์แวร์บน RISC-V CPU) และ Data Plane (ฮาร์ดแวร์เข้ารหัส) ➡️ ใช้ CSR-based HAL ในการเชื่อมต่อระหว่างสองส่วน ➡️ รองรับการเข้ารหัส/ถอดรหัสด้วย ChaCha20-Poly1305 ในฮาร์ดแวร์ ✅ การพัฒนาแบบหลายเฟส ➡️ Phase 1: สร้างต้นแบบและทดสอบพื้นฐาน ➡️ Phase 2: สร้าง datapath และรวม IP เข้าด้วยกัน ➡️ Phase 3: พัฒนาเฟิร์มแวร์ควบคุมบน RISC-V ➡️ Phase 4: จัดการ VPN tunnel แบบครบวงจร ➡️ Phase 5: ทดสอบจริงและพอร์ตไปยัง OpenXC7 ➡️ Phase 6: เพิ่มโมดูลควบคุมการไหลของข้อมูล ✅ เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้ ➡️ ใช้ Verilator, cocoTB, VProc ISS ในการจำลอง ➡️ ใช้ IP จากโครงการอื่น เช่น Corundum, Cookie Cutter SOC ➡️ ใช้ระบบ co-simulation HAL ที่สร้างจาก SystemRDL ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ChaCha20-Poly1305 เป็นอัลกอริธึม AEAD ที่ใช้ใน Wireguard ตาม RFC7539 ➡️ Curve25519 ใช้สำหรับแลกเปลี่ยนคีย์แบบ ECDH ➡️ OpenXC7 เป็นเครื่องมือโอเพนซอร์สสำหรับ FPGA ตระกูล Xilinx Series7 ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ Artix-7 ไม่รองรับ High-Performance I/O ทำให้จำกัดความเร็วที่ 600MHz ⛔ เครื่องมือโอเพนซอร์สยังไม่สมบูรณ์ อาจมีปัญหา timing closure และ routing ⛔ การจำลองระบบขนาดใหญ่ต้องใช้ทรัพยากรสูงและอาจไม่เหมาะกับทุกคน ⛔ การพอร์ตไปยัง OpenXC7 ยังมีปัญหา crash และไม่มี timing-driven STA https://github.com/chili-chips-ba/wireguard-fpga
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • “T-Glass ขาดแคลนหนัก กระทบการผลิตชิปสมาร์ตโฟน — ผลพวงจากกระแส AI ที่ลามถึงซัพพลายเชน”

    ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 อุตสาหกรรมสมาร์ตโฟนกำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนวัสดุสำคัญอย่าง “T-glass” ซึ่งเป็นไฟเบอร์กลาสชนิดพิเศษที่ใช้ในแผ่นฐาน (substrate) ของชิป SoC โดยเฉพาะในสมาร์ตโฟนระดับสูง ปัญหานี้เกิดจากความต้องการที่พุ่งสูงของชิป AI อย่าง GPU และ ASIC ที่ใช้วัสดุเดียวกันในแผ่น ABF (Ajinomoto Build-up Film) ซึ่งมีความซับซ้อนและต้องใช้ T-glass ในปริมาณมาก

    Goldman Sachs รายงานว่า T-glass สำหรับ BT substrate ซึ่งเป็นวัสดุหลักในชิปสมาร์ตโฟน อาจขาดแคลนในระดับ “สองหลัก” (double-digit percentage) ต่อเนื่องไปอีกหลายเดือนถึงไตรมาสหน้า ส่งผลให้ผู้ผลิตสมาร์ตโฟนอาจต้องปรับแผนการผลิตหรือหาวัสดุทดแทนที่ยังไม่มีประสิทธิภาพเทียบเท่า

    T-glass มีคุณสมบัติเด่น เช่น ความเสถียรด้านความร้อน พื้นผิวเรียบสำหรับการเดินสายไฟละเอียด และความทนทานสูง ซึ่งทำให้เป็นวัสดุที่ขาดไม่ได้ในชิปที่มีความหนาแน่นสูงและต้องการความแม่นยำในการผลิต

    ในขณะที่ ABF substrate ถูกใช้ในชิป AI ที่มีจำนวนขา (pin count) สูงและต้องการการเชื่อมต่อที่แม่นยำ ทำให้ซัพพลายของ T-glass ถูกดูดไปใช้ในตลาด AI อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงที่ NVIDIA และ TSMC เร่งผลิตชิปรุ่นใหม่สำหรับแพลตฟอร์ม Windows AI

    สถานการณ์นี้ยิ่งน่ากังวลเมื่อพิจารณาว่า Apple เตรียมเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ถึง 6 รุ่นในปี 2026 รวมถึงรุ่นพับได้ ซึ่งคาดว่าจะมียอดส่งมอบกว่า 250 ล้านเครื่อง หากไม่มีวัสดุเพียงพอ อาจกระทบต่อการเปิดตัวและราคาของสมาร์ตโฟนในวงกว้าง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    T-glass เป็นวัสดุสำคัญใน substrate ของชิปสมาร์ตโฟน โดยเฉพาะ BT substrate
    ความต้องการ T-glass พุ่งสูงจากการผลิต ABF substrate สำหรับชิป AI
    Goldman Sachs คาดการณ์ว่า T-glass จะขาดแคลนในระดับ “สองหลัก” ต่อเนื่องหลายเดือน
    ABF substrate ใช้ใน GPU และ ASIC ที่มีความซับซ้อนสูง
    T-glass มีคุณสมบัติเด่นด้านความร้อน พื้นผิวเรียบ และความทนทาน
    Apple เตรียมเปิดตัว iPhone 6 รุ่นในปี 2026 รวมถึงรุ่นพับได้
    คาดว่าจะมีการส่งมอบ iPhone กว่า 250 ล้านเครื่องในปีหน้า
    การขาดแคลน T-glass อาจกระทบต่อแผนการผลิตและราคาสมาร์ตโฟน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    BT substrate ประกอบด้วยเรซิน Bismaleimide Triazine และ T-glass reinforcement
    ABF substrate มีโครงสร้างหลายชั้นบนแผ่นทองแดง ใช้ในชิปที่มี pin count สูง
    T-glass มีต้นกำเนิดจากญี่ปุ่น โดยผู้ผลิตหลักคือ Nitto Boseki
    ราคาของ T-glass เกรดสูงอาจสูงถึง $80–100 ต่อกิโลกรัม
    ผู้ผลิตชิปอย่าง MediaTek และ Qualcomm อาจต้องปรับสูตรวัสดุเพื่อรับมือ

    https://wccftech.com/a-key-component-for-smartphone-socs-now-faces-prolonged-double-digit-percentage-shortage/
    📱 “T-Glass ขาดแคลนหนัก กระทบการผลิตชิปสมาร์ตโฟน — ผลพวงจากกระแส AI ที่ลามถึงซัพพลายเชน” ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 อุตสาหกรรมสมาร์ตโฟนกำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนวัสดุสำคัญอย่าง “T-glass” ซึ่งเป็นไฟเบอร์กลาสชนิดพิเศษที่ใช้ในแผ่นฐาน (substrate) ของชิป SoC โดยเฉพาะในสมาร์ตโฟนระดับสูง ปัญหานี้เกิดจากความต้องการที่พุ่งสูงของชิป AI อย่าง GPU และ ASIC ที่ใช้วัสดุเดียวกันในแผ่น ABF (Ajinomoto Build-up Film) ซึ่งมีความซับซ้อนและต้องใช้ T-glass ในปริมาณมาก Goldman Sachs รายงานว่า T-glass สำหรับ BT substrate ซึ่งเป็นวัสดุหลักในชิปสมาร์ตโฟน อาจขาดแคลนในระดับ “สองหลัก” (double-digit percentage) ต่อเนื่องไปอีกหลายเดือนถึงไตรมาสหน้า ส่งผลให้ผู้ผลิตสมาร์ตโฟนอาจต้องปรับแผนการผลิตหรือหาวัสดุทดแทนที่ยังไม่มีประสิทธิภาพเทียบเท่า T-glass มีคุณสมบัติเด่น เช่น ความเสถียรด้านความร้อน พื้นผิวเรียบสำหรับการเดินสายไฟละเอียด และความทนทานสูง ซึ่งทำให้เป็นวัสดุที่ขาดไม่ได้ในชิปที่มีความหนาแน่นสูงและต้องการความแม่นยำในการผลิต ในขณะที่ ABF substrate ถูกใช้ในชิป AI ที่มีจำนวนขา (pin count) สูงและต้องการการเชื่อมต่อที่แม่นยำ ทำให้ซัพพลายของ T-glass ถูกดูดไปใช้ในตลาด AI อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงที่ NVIDIA และ TSMC เร่งผลิตชิปรุ่นใหม่สำหรับแพลตฟอร์ม Windows AI สถานการณ์นี้ยิ่งน่ากังวลเมื่อพิจารณาว่า Apple เตรียมเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ถึง 6 รุ่นในปี 2026 รวมถึงรุ่นพับได้ ซึ่งคาดว่าจะมียอดส่งมอบกว่า 250 ล้านเครื่อง หากไม่มีวัสดุเพียงพอ อาจกระทบต่อการเปิดตัวและราคาของสมาร์ตโฟนในวงกว้าง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ T-glass เป็นวัสดุสำคัญใน substrate ของชิปสมาร์ตโฟน โดยเฉพาะ BT substrate ➡️ ความต้องการ T-glass พุ่งสูงจากการผลิต ABF substrate สำหรับชิป AI ➡️ Goldman Sachs คาดการณ์ว่า T-glass จะขาดแคลนในระดับ “สองหลัก” ต่อเนื่องหลายเดือน ➡️ ABF substrate ใช้ใน GPU และ ASIC ที่มีความซับซ้อนสูง ➡️ T-glass มีคุณสมบัติเด่นด้านความร้อน พื้นผิวเรียบ และความทนทาน ➡️ Apple เตรียมเปิดตัว iPhone 6 รุ่นในปี 2026 รวมถึงรุ่นพับได้ ➡️ คาดว่าจะมีการส่งมอบ iPhone กว่า 250 ล้านเครื่องในปีหน้า ➡️ การขาดแคลน T-glass อาจกระทบต่อแผนการผลิตและราคาสมาร์ตโฟน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ BT substrate ประกอบด้วยเรซิน Bismaleimide Triazine และ T-glass reinforcement ➡️ ABF substrate มีโครงสร้างหลายชั้นบนแผ่นทองแดง ใช้ในชิปที่มี pin count สูง ➡️ T-glass มีต้นกำเนิดจากญี่ปุ่น โดยผู้ผลิตหลักคือ Nitto Boseki ➡️ ราคาของ T-glass เกรดสูงอาจสูงถึง $80–100 ต่อกิโลกรัม ➡️ ผู้ผลิตชิปอย่าง MediaTek และ Qualcomm อาจต้องปรับสูตรวัสดุเพื่อรับมือ https://wccftech.com/a-key-component-for-smartphone-socs-now-faces-prolonged-double-digit-percentage-shortage/
    WCCFTECH.COM
    A Key Component For Smartphone SoCs Now Faces Prolonged "Double-Digit Percentage Shortage"
    This is a worrying development for the broader smartphone market, especially at a time when the industry is gearing up for a vibrant 2026.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 239 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Point2 เปิดตัว e-Tube ระบบส่งข้อมูล RF ผ่านพลาสติก — พลิกโฉมการเชื่อมต่อ AI ระดับดาต้าเซ็นเตอร์”

    ในงาน Open Compute Project Global Summit ที่จัดขึ้นในเดือนตุลาคม 2025 ณ เมืองซานโฮเซ่ บริษัท Point2 Technology ได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่ชื่อว่า “e-Tube” ซึ่งเป็นระบบส่งข้อมูลแบบ RF (Radio Frequency) ผ่านพลาสติก waveguide สำหรับการเชื่อมต่อภายในดาต้าเซ็นเตอร์ โดยมุ่งเป้าไปที่การรองรับงาน AI ที่ต้องการความเร็วสูงและพลังงานต่ำ

    e-Tube ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นทางเลือกใหม่แทนสายทองแดงและสายไฟเบอร์ออปติก โดยมีข้อได้เปรียบหลายด้าน เช่น

    ระยะส่งข้อมูลไกลกว่าสายทองแดงถึง 10 เท่า
    ใช้พลังงานน้อยกว่าการเชื่อมต่อแบบออปติกถึง 3 เท่า
    มี latency ต่ำกว่าถึง 1000 เท่า
    ราคาถูกกว่าการเชื่อมต่อแบบออปติกถึง 3 เท่า

    ระบบนี้ใช้การส่งข้อมูลผ่านคลื่นวิทยุในย่าน millimeter wave โดยใช้พลาสติกเป็นตัวนำคลื่น ซึ่งช่วยลดข้อจำกัดจาก skin effect ที่พบในสายทองแดง และไม่ต้องใช้การแปลงสัญญาณแบบ optical-electrical ที่กินพลังงานสูง

    Point2 ได้ร่วมมือกับ Molex และ Foxconn Interconnect Technology (FIT) เพื่อพัฒนา ecosystem ของสายและหัวเชื่อมต่อที่สามารถใช้งานร่วมกับมาตรฐาน OSFP ได้ทันที โดยมีการสาธิตการใช้งานจริงในรูปแบบ OSFP Pluggable Active RF Cable (ARC) สำหรับการเชื่อมต่อระหว่างแร็คและภายในแร็ค

    อีกหนึ่งการใช้งานสำคัญคือการเชื่อมต่อ GPU accelerator ผ่าน backplane ด้วย e-Tube ซึ่งช่วยให้สามารถขยายคลัสเตอร์ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพึ่งสายทองแดงหรือออปติกที่มีข้อจำกัดด้านระยะและพลังงาน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Point2 เปิดตัว e-Tube ระบบส่งข้อมูล RF ผ่านพลาสติก waveguide
    ใช้คลื่น millimeter wave ส่งข้อมูลผ่านพลาสติก dielectric waveguide
    ระยะส่งข้อมูลไกลกว่าสายทองแดงถึง 10 เท่า
    ใช้พลังงานน้อยกว่าการเชื่อมต่อแบบออปติกถึง 3 เท่า
    latency ต่ำกว่าการเชื่อมต่อแบบออปติกถึง 1000 เท่า
    ราคาถูกกว่าการเชื่อมต่อแบบออปติกถึง 3 เท่า
    ไม่ต้องใช้การแปลงสัญญาณ OE conversion แบบ optical
    รองรับความเร็ว 800G / 1.6T / 3.2T ต่อสาย
    ร่วมมือกับ Molex และ FIT พัฒนา ecosystem สำหรับการใช้งานจริง
    รองรับ OSFP form factor และการเชื่อมต่อ GPU ผ่าน backplane

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    millimeter wave เป็นคลื่นวิทยุที่มีความถี่สูง ใช้ใน 5G และ radar
    dielectric waveguide ทำจากพลาสติกทั่วไป แต่มีคุณสมบัติในการนำคลื่น
    skin effect คือปรากฏการณ์ที่กระแสไฟฟ้าไหลเฉพาะผิวของสายทองแดง ทำให้มีข้อจำกัดด้านความเร็ว
    OE conversion คือการแปลงสัญญาณแสงเป็นไฟฟ้า ซึ่งใช้พลังงานสูงและมี latency
    OSFP (Octal Small Form Factor Pluggable) เป็นมาตรฐานหัวเชื่อมต่อสำหรับความเร็วสูงในดาต้าเซ็นเตอร์

    https://www.techpowerup.com/341677/point2-technology-demos-e-tube-rack-scale-rf-transmission-over-plastic-waveguide-for-ai-interconnect
    🔌 “Point2 เปิดตัว e-Tube ระบบส่งข้อมูล RF ผ่านพลาสติก — พลิกโฉมการเชื่อมต่อ AI ระดับดาต้าเซ็นเตอร์” ในงาน Open Compute Project Global Summit ที่จัดขึ้นในเดือนตุลาคม 2025 ณ เมืองซานโฮเซ่ บริษัท Point2 Technology ได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่ชื่อว่า “e-Tube” ซึ่งเป็นระบบส่งข้อมูลแบบ RF (Radio Frequency) ผ่านพลาสติก waveguide สำหรับการเชื่อมต่อภายในดาต้าเซ็นเตอร์ โดยมุ่งเป้าไปที่การรองรับงาน AI ที่ต้องการความเร็วสูงและพลังงานต่ำ e-Tube ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นทางเลือกใหม่แทนสายทองแดงและสายไฟเบอร์ออปติก โดยมีข้อได้เปรียบหลายด้าน เช่น 🔰 ระยะส่งข้อมูลไกลกว่าสายทองแดงถึง 10 เท่า 🔰 ใช้พลังงานน้อยกว่าการเชื่อมต่อแบบออปติกถึง 3 เท่า 🔰 มี latency ต่ำกว่าถึง 1000 เท่า 🔰 ราคาถูกกว่าการเชื่อมต่อแบบออปติกถึง 3 เท่า ระบบนี้ใช้การส่งข้อมูลผ่านคลื่นวิทยุในย่าน millimeter wave โดยใช้พลาสติกเป็นตัวนำคลื่น ซึ่งช่วยลดข้อจำกัดจาก skin effect ที่พบในสายทองแดง และไม่ต้องใช้การแปลงสัญญาณแบบ optical-electrical ที่กินพลังงานสูง Point2 ได้ร่วมมือกับ Molex และ Foxconn Interconnect Technology (FIT) เพื่อพัฒนา ecosystem ของสายและหัวเชื่อมต่อที่สามารถใช้งานร่วมกับมาตรฐาน OSFP ได้ทันที โดยมีการสาธิตการใช้งานจริงในรูปแบบ OSFP Pluggable Active RF Cable (ARC) สำหรับการเชื่อมต่อระหว่างแร็คและภายในแร็ค อีกหนึ่งการใช้งานสำคัญคือการเชื่อมต่อ GPU accelerator ผ่าน backplane ด้วย e-Tube ซึ่งช่วยให้สามารถขยายคลัสเตอร์ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพึ่งสายทองแดงหรือออปติกที่มีข้อจำกัดด้านระยะและพลังงาน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Point2 เปิดตัว e-Tube ระบบส่งข้อมูล RF ผ่านพลาสติก waveguide ➡️ ใช้คลื่น millimeter wave ส่งข้อมูลผ่านพลาสติก dielectric waveguide ➡️ ระยะส่งข้อมูลไกลกว่าสายทองแดงถึง 10 เท่า ➡️ ใช้พลังงานน้อยกว่าการเชื่อมต่อแบบออปติกถึง 3 เท่า ➡️ latency ต่ำกว่าการเชื่อมต่อแบบออปติกถึง 1000 เท่า ➡️ ราคาถูกกว่าการเชื่อมต่อแบบออปติกถึง 3 เท่า ➡️ ไม่ต้องใช้การแปลงสัญญาณ OE conversion แบบ optical ➡️ รองรับความเร็ว 800G / 1.6T / 3.2T ต่อสาย ➡️ ร่วมมือกับ Molex และ FIT พัฒนา ecosystem สำหรับการใช้งานจริง ➡️ รองรับ OSFP form factor และการเชื่อมต่อ GPU ผ่าน backplane ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ millimeter wave เป็นคลื่นวิทยุที่มีความถี่สูง ใช้ใน 5G และ radar ➡️ dielectric waveguide ทำจากพลาสติกทั่วไป แต่มีคุณสมบัติในการนำคลื่น ➡️ skin effect คือปรากฏการณ์ที่กระแสไฟฟ้าไหลเฉพาะผิวของสายทองแดง ทำให้มีข้อจำกัดด้านความเร็ว ➡️ OE conversion คือการแปลงสัญญาณแสงเป็นไฟฟ้า ซึ่งใช้พลังงานสูงและมี latency ➡️ OSFP (Octal Small Form Factor Pluggable) เป็นมาตรฐานหัวเชื่อมต่อสำหรับความเร็วสูงในดาต้าเซ็นเตอร์ https://www.techpowerup.com/341677/point2-technology-demos-e-tube-rack-scale-rf-transmission-over-plastic-waveguide-for-ai-interconnect
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Point2 Technology Demos e-Tube Rack-Scale RF Transmission Over Plastic Waveguide for AI Interconnect
    Point2 Technology, a leading provider of ultra-low-power, low-latency mixed-signal SoC solutions for scalable interconnects in AI data centers, will showcase its latest advancements in e-Tube RF rack-scale data transmission over plastic waveguides at the upcoming Open Compute Project (OCP) Global Su...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เครื่องกระตุ้นหัวใจที่ช่วยชีวิตคนนับล้าน — เกิดจากความผิดพลาดที่เปลี่ยนโลกการแพทย์ไปตลอดกาล”

    ทุกวันนี้ เครื่องกระตุ้นหัวใจ (pacemaker) มีขนาดเล็กเท่ากล่องไม้ขีด และบางรุ่นในอนาคตอาจเล็กกว่าข้าวเม็ดเดียว โดยสามารถใช้งานได้นานถึง 10–15 ปี ปรับจังหวะการเต้นของหัวใจตามกิจกรรมของผู้ป่วย และส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์ผ่านอินเทอร์เน็ตไปยังแพทย์โดยไม่ต้องเข้ารพ. ซึ่งในอนาคตอันใกล้ อุปกรณ์เหล่านี้อาจใช้ AI เพื่อคาดการณ์ภาวะแทรกซ้อนล่วงหน้า หรือปรับอัลกอริธึมการกระตุ้นให้เหมาะกับหัวใจแต่ละคน

    แต่จุดเริ่มต้นของเทคโนโลยีนี้กลับไม่ได้เกิดจากการวางแผนอย่างเป็นระบบ หากแต่เป็น “ความผิดพลาดที่โชคดี” ของวิศวกรไฟฟ้าชื่อ Wilson Greatbatch ในปี 1958 ขณะกำลังสร้างอุปกรณ์บันทึกคลื่นหัวใจ เขาหยิบตัวต้านทานผิดค่า ทำให้วงจรปล่อยสัญญาณไฟฟ้าเป็นจังหวะคล้ายการเต้นของหัวใจ เมื่อทดลองกับหัวใจสุนัข มันทำงานได้อย่างสมบูรณ์ และในปี 1960 ก็มีการปลูกถ่ายเครื่องรุ่นแรกให้กับผู้ป่วยวัย 77 ปี ซึ่งมีชีวิตต่ออีก 2 ปี

    ก่อนหน้านั้น เครื่องกระตุ้นหัวใจมีขนาดเท่าตู้ข้างเตียง ต้องเสียบปลั๊กไฟบ้าน และหากไฟดับก็หยุดทำงานทันที ต่อมา Earl Bakken ได้พัฒนาเครื่องรุ่นพกพาใช้แบตเตอรี่ ซึ่งผู้ป่วยต้องคล้องคอไว้และมีสายไฟเชื่อมผ่านหน้าอกจากการผ่าตัดหัวใจ แม้จะเป็นก้าวสำคัญ แต่ก็ยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากสายภายนอก

    การค้นพบของ Greatbatch จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่แท้จริง เพราะเป็นครั้งแรกที่เครื่องกระตุ้นหัวใจสามารถฝังในร่างกายได้ แม้จะยังมีปัญหาเรื่องแบตเตอรี่และวัสดุห่อหุ้ม แต่ก็เปิดทางให้วิศวกรและแพทย์ทั่วโลกพัฒนาต่อเนื่องจนกลายเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยชีวิตผู้คนกว่า 3 ล้านรายทั่วโลก และมีการปลูกถ่ายใหม่ราว 600,000 เครื่องต่อปี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เครื่องกระตุ้นหัวใจรุ่นใหม่มีขนาดเล็ก ใช้งานได้นาน 10–15 ปี
    สามารถปรับจังหวะตามกิจกรรม และส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตแบบเรียลไทม์
    อนาคตอาจใช้ AI เพื่อคาดการณ์ภาวะแทรกซ้อนและปรับอัลกอริธึมเฉพาะบุคคล
    เครื่องรุ่นแรกเกิดจากความผิดพลาดของ Wilson Greatbatch ในปี 1958
    ใช้ตัวต้านทานผิดค่า ทำให้วงจรปล่อยสัญญาณคล้ายหัวใจเต้น
    ทดลองกับหัวใจสุนัขแล้วได้ผลดี และปลูกถ่ายให้ผู้ป่วยในปี 1960
    ก่อนหน้านั้น เครื่องรุ่นเก่ามีขนาดใหญ่ ต้องเสียบปลั๊ก และไม่เสถียร
    Earl Bakken พัฒนาเครื่องพกพาใช้แบตเตอรี่ แต่ยังมีสายภายนอก
    ปัจจุบันมีผู้ใช้งานกว่า 3 ล้านรายทั่วโลก และปลูกถ่ายใหม่ปีละ 600,000 เครื่อง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Wilson Greatbatch ได้รับสิทธิบัตรเครื่องกระตุ้นหัวใจในปี 1960 และมีสิทธิบัตรรวมกว่า 325 รายการ
    เขายังพัฒนาแบตเตอรี่ลิเธียมชนิดพิเศษที่ทนต่อการกัดกร่อนเพื่อใช้ใน pacemaker
    ในปี 1985 อุปกรณ์นี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ทางวิศวกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 50 ปี
    ระบบไฟฟ้าของหัวใจมาจาก “ไซนัสโนด” ซึ่งทำหน้าที่เป็น pacemaker ธรรมชาติ
    ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (arrhythmia) ส่งผลต่อผู้ใหญ่ 1 ใน 18 คนในสหรัฐฯ

    https://www.slashgear.com/1984002/how-important-medical-technology-invented-by-accident-pacemaker/
    ❤️ “เครื่องกระตุ้นหัวใจที่ช่วยชีวิตคนนับล้าน — เกิดจากความผิดพลาดที่เปลี่ยนโลกการแพทย์ไปตลอดกาล” ทุกวันนี้ เครื่องกระตุ้นหัวใจ (pacemaker) มีขนาดเล็กเท่ากล่องไม้ขีด และบางรุ่นในอนาคตอาจเล็กกว่าข้าวเม็ดเดียว โดยสามารถใช้งานได้นานถึง 10–15 ปี ปรับจังหวะการเต้นของหัวใจตามกิจกรรมของผู้ป่วย และส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์ผ่านอินเทอร์เน็ตไปยังแพทย์โดยไม่ต้องเข้ารพ. ซึ่งในอนาคตอันใกล้ อุปกรณ์เหล่านี้อาจใช้ AI เพื่อคาดการณ์ภาวะแทรกซ้อนล่วงหน้า หรือปรับอัลกอริธึมการกระตุ้นให้เหมาะกับหัวใจแต่ละคน แต่จุดเริ่มต้นของเทคโนโลยีนี้กลับไม่ได้เกิดจากการวางแผนอย่างเป็นระบบ หากแต่เป็น “ความผิดพลาดที่โชคดี” ของวิศวกรไฟฟ้าชื่อ Wilson Greatbatch ในปี 1958 ขณะกำลังสร้างอุปกรณ์บันทึกคลื่นหัวใจ เขาหยิบตัวต้านทานผิดค่า ทำให้วงจรปล่อยสัญญาณไฟฟ้าเป็นจังหวะคล้ายการเต้นของหัวใจ เมื่อทดลองกับหัวใจสุนัข มันทำงานได้อย่างสมบูรณ์ และในปี 1960 ก็มีการปลูกถ่ายเครื่องรุ่นแรกให้กับผู้ป่วยวัย 77 ปี ซึ่งมีชีวิตต่ออีก 2 ปี ก่อนหน้านั้น เครื่องกระตุ้นหัวใจมีขนาดเท่าตู้ข้างเตียง ต้องเสียบปลั๊กไฟบ้าน และหากไฟดับก็หยุดทำงานทันที ต่อมา Earl Bakken ได้พัฒนาเครื่องรุ่นพกพาใช้แบตเตอรี่ ซึ่งผู้ป่วยต้องคล้องคอไว้และมีสายไฟเชื่อมผ่านหน้าอกจากการผ่าตัดหัวใจ แม้จะเป็นก้าวสำคัญ แต่ก็ยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากสายภายนอก การค้นพบของ Greatbatch จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่แท้จริง เพราะเป็นครั้งแรกที่เครื่องกระตุ้นหัวใจสามารถฝังในร่างกายได้ แม้จะยังมีปัญหาเรื่องแบตเตอรี่และวัสดุห่อหุ้ม แต่ก็เปิดทางให้วิศวกรและแพทย์ทั่วโลกพัฒนาต่อเนื่องจนกลายเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยชีวิตผู้คนกว่า 3 ล้านรายทั่วโลก และมีการปลูกถ่ายใหม่ราว 600,000 เครื่องต่อปี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เครื่องกระตุ้นหัวใจรุ่นใหม่มีขนาดเล็ก ใช้งานได้นาน 10–15 ปี ➡️ สามารถปรับจังหวะตามกิจกรรม และส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตแบบเรียลไทม์ ➡️ อนาคตอาจใช้ AI เพื่อคาดการณ์ภาวะแทรกซ้อนและปรับอัลกอริธึมเฉพาะบุคคล ➡️ เครื่องรุ่นแรกเกิดจากความผิดพลาดของ Wilson Greatbatch ในปี 1958 ➡️ ใช้ตัวต้านทานผิดค่า ทำให้วงจรปล่อยสัญญาณคล้ายหัวใจเต้น ➡️ ทดลองกับหัวใจสุนัขแล้วได้ผลดี และปลูกถ่ายให้ผู้ป่วยในปี 1960 ➡️ ก่อนหน้านั้น เครื่องรุ่นเก่ามีขนาดใหญ่ ต้องเสียบปลั๊ก และไม่เสถียร ➡️ Earl Bakken พัฒนาเครื่องพกพาใช้แบตเตอรี่ แต่ยังมีสายภายนอก ➡️ ปัจจุบันมีผู้ใช้งานกว่า 3 ล้านรายทั่วโลก และปลูกถ่ายใหม่ปีละ 600,000 เครื่อง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Wilson Greatbatch ได้รับสิทธิบัตรเครื่องกระตุ้นหัวใจในปี 1960 และมีสิทธิบัตรรวมกว่า 325 รายการ ➡️ เขายังพัฒนาแบตเตอรี่ลิเธียมชนิดพิเศษที่ทนต่อการกัดกร่อนเพื่อใช้ใน pacemaker ➡️ ในปี 1985 อุปกรณ์นี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ทางวิศวกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 50 ปี ➡️ ระบบไฟฟ้าของหัวใจมาจาก “ไซนัสโนด” ซึ่งทำหน้าที่เป็น pacemaker ธรรมชาติ ➡️ ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (arrhythmia) ส่งผลต่อผู้ใหญ่ 1 ใน 18 คนในสหรัฐฯ https://www.slashgear.com/1984002/how-important-medical-technology-invented-by-accident-pacemaker/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Medical Device Can Extend People's Lives (And Was Invented Entirely By Accident) - SlashGear
    A total accident led to the discovery of a medical device that's helped extend people's lives and get a vital organ back on track. Here's how it happened.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Ampinel: อุปกรณ์ $95 ที่อาจช่วยชีวิตการ์ดจอ RTX ของคุณ — แก้ปัญหา 16-pin ละลายด้วยระบบบาลานซ์ไฟที่ Nvidia ลืมใส่”

    ตั้งแต่การ์ดจอซีรีส์ RTX 40 ของ Nvidia เปิดตัวพร้อมหัวต่อไฟแบบ 16-pin (12VHPWR) ก็มีรายงานปัญหาหัวละลายและสายไหม้ตามมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในรุ่น RTX 4090 และ 5090 ซึ่งดึงไฟสูงถึง 600W แต่ไม่มีระบบกระจายโหลดไฟฟ้าในตัว ต่างจาก RTX 3090 Ti ที่ยังมีวงจรบาลานซ์ไฟอยู่

    ล่าสุด Aqua Computer จากเยอรมนีเปิดตัวอุปกรณ์ชื่อว่า Ampinel ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ ด้วยการใส่ระบบ active load balancing ที่สามารถตรวจสอบและกระจายกระแสไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ผ่านสาย 12V ทั้ง 6 เส้นในหัวต่อ 16-pin หากพบว่ามีสายใดเกิน 7.5A ซึ่งเป็นค่าที่ปลอดภัยต่อคอนแทค Ampinel จะปรับโหลดทันทีเพื่อป้องกันความร้อนสะสม

    Ampinel ยังมาพร้อมหน้าจอ OLED ขนาดเล็กที่แสดงค่ากระแสไฟแต่ละเส้น, ระบบแจ้งเตือนด้วยเสียง 85 dB และไฟ RGB ที่เปลี่ยนสีตามสถานะการใช้งาน นอกจากนี้ยังสามารถตั้งค่าผ่านซอฟต์แวร์ Aquasuite เพื่อกำหนดพฤติกรรมเมื่อเกิดเหตุ เช่น ปิดแอปที่ใช้ GPU หนัก, สั่ง shutdown เครื่อง หรือแม้แต่ตัดสัญญาณ sense บนการ์ดจอเพื่อหยุดจ่ายไฟทันที

    อุปกรณ์นี้ใช้แผงวงจร 6 ชั้นที่ทำจากทองแดงหนา 70 ไมครอน พร้อมบอดี้อะลูมิเนียมที่ช่วยระบายความร้อน และระบบ MCU ที่ควบคุม MOSFET แบบ low-resistance เพื่อให้การกระจายโหลดมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยไม่ต้องพึ่งพาการเชื่อมต่อ USB หรือซอฟต์แวร์ตลอดเวลา

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Ampinel เป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับหัวต่อ 16-pin ที่มีระบบ active load balancing
    ตรวจสอบสายไฟ 6 เส้นแบบเรียลไทม์ และปรับโหลดทันทีเมื่อเกิน 7.5A
    มีหน้าจอ OLED แสดงค่ากระแสไฟ, ไฟ RGB แจ้งเตือน และเสียงเตือน 85 dB
    ใช้แผงวงจร 6 ชั้นทองแดงหนา พร้อมบอดี้อะลูมิเนียมช่วยระบายความร้อน
    สามารถตั้งค่าผ่าน Aquasuite ให้สั่งปิดแอป, shutdown หรือหยุดจ่ายไฟ
    ระบบแจ้งเตือนแบ่งเป็น 8 ระดับ ตั้งค่าได้ทั้งภาพ เสียง และการตอบสนอง
    ไม่ต้องพึ่งพา USB หรือซอฟต์แวร์ในการทำงานหลัก
    ราคาประมาณ $95 หรือ €79.90 เริ่มส่งกลางเดือนพฤศจิกายน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    หัวต่อ 16-pin มี safety margin ต่ำกว่าหัว 8-pin PCIe เดิมถึง 40%
    ปัญหาหัวละลายเกิดจากการกระจายโหลดไม่เท่ากันในสายไฟ
    RTX 3090 Ti ไม่มีปัญหาเพราะยังมีวงจรบาลานซ์ไฟในตัว
    MOSFET แบบ low-RDS(on) ช่วยลดความร้อนและเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุม
    การตัดสัญญาณ sense บนการ์ดจอคือวิธีหยุดจ่ายไฟแบบฉุกเฉินที่ปลอดภัย

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidias-16-pin-time-bomb-could-be-defused-by-this-usd95-gadget-ampinel-offers-load-balancing-that-nvidia-forgot-to-include
    🔥 “Ampinel: อุปกรณ์ $95 ที่อาจช่วยชีวิตการ์ดจอ RTX ของคุณ — แก้ปัญหา 16-pin ละลายด้วยระบบบาลานซ์ไฟที่ Nvidia ลืมใส่” ตั้งแต่การ์ดจอซีรีส์ RTX 40 ของ Nvidia เปิดตัวพร้อมหัวต่อไฟแบบ 16-pin (12VHPWR) ก็มีรายงานปัญหาหัวละลายและสายไหม้ตามมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในรุ่น RTX 4090 และ 5090 ซึ่งดึงไฟสูงถึง 600W แต่ไม่มีระบบกระจายโหลดไฟฟ้าในตัว ต่างจาก RTX 3090 Ti ที่ยังมีวงจรบาลานซ์ไฟอยู่ ล่าสุด Aqua Computer จากเยอรมนีเปิดตัวอุปกรณ์ชื่อว่า Ampinel ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ ด้วยการใส่ระบบ active load balancing ที่สามารถตรวจสอบและกระจายกระแสไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ผ่านสาย 12V ทั้ง 6 เส้นในหัวต่อ 16-pin หากพบว่ามีสายใดเกิน 7.5A ซึ่งเป็นค่าที่ปลอดภัยต่อคอนแทค Ampinel จะปรับโหลดทันทีเพื่อป้องกันความร้อนสะสม Ampinel ยังมาพร้อมหน้าจอ OLED ขนาดเล็กที่แสดงค่ากระแสไฟแต่ละเส้น, ระบบแจ้งเตือนด้วยเสียง 85 dB และไฟ RGB ที่เปลี่ยนสีตามสถานะการใช้งาน นอกจากนี้ยังสามารถตั้งค่าผ่านซอฟต์แวร์ Aquasuite เพื่อกำหนดพฤติกรรมเมื่อเกิดเหตุ เช่น ปิดแอปที่ใช้ GPU หนัก, สั่ง shutdown เครื่อง หรือแม้แต่ตัดสัญญาณ sense บนการ์ดจอเพื่อหยุดจ่ายไฟทันที อุปกรณ์นี้ใช้แผงวงจร 6 ชั้นที่ทำจากทองแดงหนา 70 ไมครอน พร้อมบอดี้อะลูมิเนียมที่ช่วยระบายความร้อน และระบบ MCU ที่ควบคุม MOSFET แบบ low-resistance เพื่อให้การกระจายโหลดมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยไม่ต้องพึ่งพาการเชื่อมต่อ USB หรือซอฟต์แวร์ตลอดเวลา ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Ampinel เป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับหัวต่อ 16-pin ที่มีระบบ active load balancing ➡️ ตรวจสอบสายไฟ 6 เส้นแบบเรียลไทม์ และปรับโหลดทันทีเมื่อเกิน 7.5A ➡️ มีหน้าจอ OLED แสดงค่ากระแสไฟ, ไฟ RGB แจ้งเตือน และเสียงเตือน 85 dB ➡️ ใช้แผงวงจร 6 ชั้นทองแดงหนา พร้อมบอดี้อะลูมิเนียมช่วยระบายความร้อน ➡️ สามารถตั้งค่าผ่าน Aquasuite ให้สั่งปิดแอป, shutdown หรือหยุดจ่ายไฟ ➡️ ระบบแจ้งเตือนแบ่งเป็น 8 ระดับ ตั้งค่าได้ทั้งภาพ เสียง และการตอบสนอง ➡️ ไม่ต้องพึ่งพา USB หรือซอฟต์แวร์ในการทำงานหลัก ➡️ ราคาประมาณ $95 หรือ €79.90 เริ่มส่งกลางเดือนพฤศจิกายน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ หัวต่อ 16-pin มี safety margin ต่ำกว่าหัว 8-pin PCIe เดิมถึง 40% ➡️ ปัญหาหัวละลายเกิดจากการกระจายโหลดไม่เท่ากันในสายไฟ ➡️ RTX 3090 Ti ไม่มีปัญหาเพราะยังมีวงจรบาลานซ์ไฟในตัว ➡️ MOSFET แบบ low-RDS(on) ช่วยลดความร้อนและเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุม ➡️ การตัดสัญญาณ sense บนการ์ดจอคือวิธีหยุดจ่ายไฟแบบฉุกเฉินที่ปลอดภัย https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidias-16-pin-time-bomb-could-be-defused-by-this-usd95-gadget-ampinel-offers-load-balancing-that-nvidia-forgot-to-include
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 284 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AMD Zen 6 เตรียมเปลี่ยนระบบเชื่อมต่อภายในชิป — จาก SERDES สู่ Sea-of-Wires เพื่อประสิทธิภาพและพลังงานที่เหนือกว่า”

    AMD กำลังเตรียมปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ในสถาปัตยกรรม Zen 6 โดยเฉพาะในส่วนของการเชื่อมต่อระหว่างได (D2D Interconnect) ซึ่งเดิมใช้ระบบ SERDES (serializer/deserializer) มาตั้งแต่ Zen 2 แต่ใน Zen 6 จะเปลี่ยนมาใช้ระบบใหม่ที่เรียกว่า “Sea-of-Wires” ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อแบบขนานผ่านสายสั้นจำนวนมากที่อยู่ใต้ไดโดยตรง

    ระบบ SERDES เดิมมีข้อดีคือสามารถส่งข้อมูลแบบ serial ระหว่าง CCD และ IOD ได้โดยไม่ต้องใช้สายจำนวนมาก แต่ก็มีข้อเสียคือใช้พลังงานสูงจากการแปลงข้อมูลและมี latency จากการ encode/decode และ clock recovery ซึ่งไม่เหมาะกับยุคที่ต้องการ bandwidth สูงและ latency ต่ำ โดยเฉพาะเมื่อมีการเพิ่ม NPU และการประมวลผล AI เข้ามาในชิป

    AMD ได้เริ่มทดลองระบบ Sea-of-Wires แล้วใน APU รุ่น Strix Halo โดยใช้เทคโนโลยี InFO-oS (Integrated Fan-Out on Substrate) ของ TSMC ร่วมกับ RDL (Redistribution Layer) เพื่อวางสายเชื่อมต่อแบบขนานระหว่างไดโดยตรง ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานและ latency ได้อย่างชัดเจน

    การเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้ Zen 6 สามารถสื่อสารระหว่าง CCD และ IOD ได้เร็วขึ้น มี bandwidth สูงขึ้น และใช้พลังงานน้อยลง โดยไม่ต้องผ่านการแปลงข้อมูลแบบ serial อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม การออกแบบแบบ fan-out ก็มีความซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องการจัดการพื้นที่ใต้ไดและการจัดลำดับการเดินสาย

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AMD เตรียมเปลี่ยนระบบ D2D Interconnect จาก SERDES เป็น Sea-of-Wires ใน Zen 6
    SERDES ใช้การแปลงข้อมูลแบบ serial ซึ่งมี overhead ด้านพลังงานและ latency
    Sea-of-Wires ใช้สายขนานสั้นจำนวนมากใต้ไดเพื่อสื่อสารโดยตรง
    เริ่มทดลองแล้วใน APU รุ่น Strix Halo โดยใช้เทคโนโลยี InFO-oS และ RDL จาก TSMC
    การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยลดการใช้พลังงานและ latency ได้อย่างมีนัยสำคัญ
    Bandwidth เพิ่มขึ้นจากการใช้พอร์ตขนานจำนวนมาก
    SERDES block ถูกถอดออกจาก Strix Halo และแทนที่ด้วย fan-out pad
    Zen 6 จะใช้แนวทางเดียวกับ Strix Halo ในการออกแบบระบบเชื่อมต่อภายใน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SERDES เคยเป็นมาตรฐานในชิปหลายรุ่น เช่น Intel, AMD, NVIDIA สำหรับการเชื่อมต่อระหว่างได
    InFO-oS เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในชิประดับสูง เช่น Apple M-series และ MediaTek Dimensity
    RDL ช่วยให้สามารถวางสายไฟหลายชั้นใต้ไดได้ แต่ต้องใช้การออกแบบที่แม่นยำ
    Sea-of-Wires อาจเป็นแนวทางใหม่สำหรับการออกแบบชิปแบบ chiplet ที่ต้องการความเร็วสูง
    การลด latency และพลังงานใน D2D จะช่วยให้ AI และ NPU ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น

    https://wccftech.com/amd-to-pivot-from-serdes-to-a-sea-of-wires-d2d-interconnect-with-zen-6-cpus/
    🔗 “AMD Zen 6 เตรียมเปลี่ยนระบบเชื่อมต่อภายในชิป — จาก SERDES สู่ Sea-of-Wires เพื่อประสิทธิภาพและพลังงานที่เหนือกว่า” AMD กำลังเตรียมปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ในสถาปัตยกรรม Zen 6 โดยเฉพาะในส่วนของการเชื่อมต่อระหว่างได (D2D Interconnect) ซึ่งเดิมใช้ระบบ SERDES (serializer/deserializer) มาตั้งแต่ Zen 2 แต่ใน Zen 6 จะเปลี่ยนมาใช้ระบบใหม่ที่เรียกว่า “Sea-of-Wires” ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อแบบขนานผ่านสายสั้นจำนวนมากที่อยู่ใต้ไดโดยตรง ระบบ SERDES เดิมมีข้อดีคือสามารถส่งข้อมูลแบบ serial ระหว่าง CCD และ IOD ได้โดยไม่ต้องใช้สายจำนวนมาก แต่ก็มีข้อเสียคือใช้พลังงานสูงจากการแปลงข้อมูลและมี latency จากการ encode/decode และ clock recovery ซึ่งไม่เหมาะกับยุคที่ต้องการ bandwidth สูงและ latency ต่ำ โดยเฉพาะเมื่อมีการเพิ่ม NPU และการประมวลผล AI เข้ามาในชิป AMD ได้เริ่มทดลองระบบ Sea-of-Wires แล้วใน APU รุ่น Strix Halo โดยใช้เทคโนโลยี InFO-oS (Integrated Fan-Out on Substrate) ของ TSMC ร่วมกับ RDL (Redistribution Layer) เพื่อวางสายเชื่อมต่อแบบขนานระหว่างไดโดยตรง ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานและ latency ได้อย่างชัดเจน การเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้ Zen 6 สามารถสื่อสารระหว่าง CCD และ IOD ได้เร็วขึ้น มี bandwidth สูงขึ้น และใช้พลังงานน้อยลง โดยไม่ต้องผ่านการแปลงข้อมูลแบบ serial อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม การออกแบบแบบ fan-out ก็มีความซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องการจัดการพื้นที่ใต้ไดและการจัดลำดับการเดินสาย ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AMD เตรียมเปลี่ยนระบบ D2D Interconnect จาก SERDES เป็น Sea-of-Wires ใน Zen 6 ➡️ SERDES ใช้การแปลงข้อมูลแบบ serial ซึ่งมี overhead ด้านพลังงานและ latency ➡️ Sea-of-Wires ใช้สายขนานสั้นจำนวนมากใต้ไดเพื่อสื่อสารโดยตรง ➡️ เริ่มทดลองแล้วใน APU รุ่น Strix Halo โดยใช้เทคโนโลยี InFO-oS และ RDL จาก TSMC ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยลดการใช้พลังงานและ latency ได้อย่างมีนัยสำคัญ ➡️ Bandwidth เพิ่มขึ้นจากการใช้พอร์ตขนานจำนวนมาก ➡️ SERDES block ถูกถอดออกจาก Strix Halo และแทนที่ด้วย fan-out pad ➡️ Zen 6 จะใช้แนวทางเดียวกับ Strix Halo ในการออกแบบระบบเชื่อมต่อภายใน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SERDES เคยเป็นมาตรฐานในชิปหลายรุ่น เช่น Intel, AMD, NVIDIA สำหรับการเชื่อมต่อระหว่างได ➡️ InFO-oS เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในชิประดับสูง เช่น Apple M-series และ MediaTek Dimensity ➡️ RDL ช่วยให้สามารถวางสายไฟหลายชั้นใต้ไดได้ แต่ต้องใช้การออกแบบที่แม่นยำ ➡️ Sea-of-Wires อาจเป็นแนวทางใหม่สำหรับการออกแบบชิปแบบ chiplet ที่ต้องการความเร็วสูง ➡️ การลด latency และพลังงานใน D2D จะช่วยให้ AI และ NPU ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น https://wccftech.com/amd-to-pivot-from-serdes-to-a-sea-of-wires-d2d-interconnect-with-zen-6-cpus/
    WCCFTECH.COM
    AMD to Pivot from SERDES to a “Sea-of-Wires” D2D Interconnect in Next-Gen Zen 6 CPUs, Bringing Major Power-Efficiency and Latency Gains
    AMD has planned a massive uplift with D2D interconnect on Zen 6, and a glimpse of it has already been seen with Strix Halo APUs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
  • “iNapGPU: การทดลองสร้างการ์ดจอที่แย่ที่สุดในโลก กลับกลายเป็นบทเรียนวิศวกรรมที่ทรงคุณค่า”

    Leoneq นักพัฒนาสายฮาร์ดแวร์บน GitHub ได้เปิดตัวโปรเจกต์สุดแหวกแนวชื่อ “iNapGPU” โดยตั้งใจจะสร้าง “การ์ดจอที่แย่ที่สุดในโลกอันดับสอง” ด้วยการใช้วงจร TTL ล้วน ๆ โดยไม่พึ่งพาไมโครคอนโทรลเลอร์หรือ FPGA แม้แต่น้อย เป้าหมายคือการสร้างการ์ดจอแบบ text-mode ที่ใช้งานได้จริง แต่มีข้อจำกัดสูงสุดเท่าที่จะทำได้

    แม้จะตั้งใจให้แย่ แต่ผลลัพธ์กลับ “ดีเกินคาด” เพราะ iNapGPU สามารถแสดงผลที่ความละเอียด VGA 800x600 ได้จริง (แม้จะเป็น SVGA ที่ลดลงเหลือ 400x300 แบบขาวดำ) โดยใช้วงจรเพียง 21 ชิ้น เช่น NAND gate, counter, EPROM และ SRAM

    Leoneq ใช้ EPROM ขนาด 1Mbit เป็นหน่วยความจำแบบ 1-bit เพื่อเก็บชุดตัวอักษรได้ถึง 4 ชุด ชุดละ 255 ตัวอักษร และใช้สายไฟขนาด 0.12 มม. บน protoboard ซึ่งทำให้การประกอบยุ่งยากมาก แต่ก็ยังสามารถสร้างสัญญาณภาพได้สำเร็จ

    แม้จะไม่มีการควบคุมแบบเต็มรูปแบบ แต่การใช้ counter 12-bit ที่โอเวอร์คล็อกจาก 12MHz ไปถึง 20MHz ก็ช่วยให้ได้ pixel clock ที่สูงขึ้น และสามารถสร้างสัญญาณ HSYNC/VSYNC ได้ครบ แม้จะมี glitch และ noise จากสาย USB ข้างเคียงก็ตาม

    Leoneq ยอมรับว่าโปรเจกต์นี้ “น่าเกลียดและเสียเวลามาก” พร้อมแนะนำให้ใช้ FPGA แทน TTL หากใครคิดจะทำจริง แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็พิสูจน์ให้เห็นว่า “แม้การออกแบบที่แย่ที่สุด ก็ยังสามารถทำงานได้ หากเข้าใจพื้นฐานอย่างลึกซึ้ง”

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    iNapGPU เป็นการ์ดจอ text-mode ที่สร้างจากวงจร TTL ล้วน ๆ โดยไม่ใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์
    ใช้ EPROM 1Mbit เป็นหน่วยความจำแบบ 1-bit สำหรับเก็บชุดตัวอักษร
    ความละเอียดสูงสุดที่ได้คือ VGA 800x600 @60Hz และใช้งานจริงที่ 400x300 ขาวดำ
    ใช้ counter 12-bit ที่โอเวอร์คล็อกจาก 12MHz ไปถึง 20MHz เพื่อสร้าง pixel clock
    ใช้ NAND gate และ RS flip-flop ในการสร้างสัญญาณ HSYNC และ VSYNC
    ตัวโปรเจกต์ใช้สายไฟ 0.12 มม. บน protoboard ซึ่งทำให้ประกอบยากมาก
    มี glitch และ noise จากสาย USB ข้างเคียง แต่ยังสามารถแสดงผลได้
    มีการปล่อยโค้ดสำหรับ Arduino Mega เพื่อทดสอบการ์ดจอ
    Leoneq แนะนำให้ใช้ FPGA แทน TTL หากต้องการสร้างการ์ดจอ DIY

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Ben Eater เคยสร้าง “การ์ดจอที่แย่ที่สุดในโลก” ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้โปรเจกต์นี้
    TTL (Transistor-Transistor Logic) เป็นเทคโนโลยีวงจรที่ใช้ในยุคก่อน CMOS
    การใช้ EPROM แบบ UV ต้องใช้แสงในการลบข้อมูล และมี read time สูง
    การสร้างการ์ดจอด้วย TTL เป็นการฝึกพื้นฐานการออกแบบสัญญาณภาพ
    FPGA สามารถจำลองวงจร TTL ได้ทั้งหมด แต่มีความยืดหยุ่นและเสถียรกว่า

    https://www.techradar.com/pro/this-hardware-fan-wanted-to-build-the-worlds-worst-graphics-card-with-128kb-rom-but-couldnt-manage-to-drop-to-a-vga-resolution
    🧠💻 “iNapGPU: การทดลองสร้างการ์ดจอที่แย่ที่สุดในโลก กลับกลายเป็นบทเรียนวิศวกรรมที่ทรงคุณค่า” Leoneq นักพัฒนาสายฮาร์ดแวร์บน GitHub ได้เปิดตัวโปรเจกต์สุดแหวกแนวชื่อ “iNapGPU” โดยตั้งใจจะสร้าง “การ์ดจอที่แย่ที่สุดในโลกอันดับสอง” ด้วยการใช้วงจร TTL ล้วน ๆ โดยไม่พึ่งพาไมโครคอนโทรลเลอร์หรือ FPGA แม้แต่น้อย เป้าหมายคือการสร้างการ์ดจอแบบ text-mode ที่ใช้งานได้จริง แต่มีข้อจำกัดสูงสุดเท่าที่จะทำได้ แม้จะตั้งใจให้แย่ แต่ผลลัพธ์กลับ “ดีเกินคาด” เพราะ iNapGPU สามารถแสดงผลที่ความละเอียด VGA 800x600 ได้จริง (แม้จะเป็น SVGA ที่ลดลงเหลือ 400x300 แบบขาวดำ) โดยใช้วงจรเพียง 21 ชิ้น เช่น NAND gate, counter, EPROM และ SRAM Leoneq ใช้ EPROM ขนาด 1Mbit เป็นหน่วยความจำแบบ 1-bit เพื่อเก็บชุดตัวอักษรได้ถึง 4 ชุด ชุดละ 255 ตัวอักษร และใช้สายไฟขนาด 0.12 มม. บน protoboard ซึ่งทำให้การประกอบยุ่งยากมาก แต่ก็ยังสามารถสร้างสัญญาณภาพได้สำเร็จ แม้จะไม่มีการควบคุมแบบเต็มรูปแบบ แต่การใช้ counter 12-bit ที่โอเวอร์คล็อกจาก 12MHz ไปถึง 20MHz ก็ช่วยให้ได้ pixel clock ที่สูงขึ้น และสามารถสร้างสัญญาณ HSYNC/VSYNC ได้ครบ แม้จะมี glitch และ noise จากสาย USB ข้างเคียงก็ตาม Leoneq ยอมรับว่าโปรเจกต์นี้ “น่าเกลียดและเสียเวลามาก” พร้อมแนะนำให้ใช้ FPGA แทน TTL หากใครคิดจะทำจริง แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็พิสูจน์ให้เห็นว่า “แม้การออกแบบที่แย่ที่สุด ก็ยังสามารถทำงานได้ หากเข้าใจพื้นฐานอย่างลึกซึ้ง” ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ iNapGPU เป็นการ์ดจอ text-mode ที่สร้างจากวงจร TTL ล้วน ๆ โดยไม่ใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์ ➡️ ใช้ EPROM 1Mbit เป็นหน่วยความจำแบบ 1-bit สำหรับเก็บชุดตัวอักษร ➡️ ความละเอียดสูงสุดที่ได้คือ VGA 800x600 @60Hz และใช้งานจริงที่ 400x300 ขาวดำ ➡️ ใช้ counter 12-bit ที่โอเวอร์คล็อกจาก 12MHz ไปถึง 20MHz เพื่อสร้าง pixel clock ➡️ ใช้ NAND gate และ RS flip-flop ในการสร้างสัญญาณ HSYNC และ VSYNC ➡️ ตัวโปรเจกต์ใช้สายไฟ 0.12 มม. บน protoboard ซึ่งทำให้ประกอบยากมาก ➡️ มี glitch และ noise จากสาย USB ข้างเคียง แต่ยังสามารถแสดงผลได้ ➡️ มีการปล่อยโค้ดสำหรับ Arduino Mega เพื่อทดสอบการ์ดจอ ➡️ Leoneq แนะนำให้ใช้ FPGA แทน TTL หากต้องการสร้างการ์ดจอ DIY ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Ben Eater เคยสร้าง “การ์ดจอที่แย่ที่สุดในโลก” ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้โปรเจกต์นี้ ➡️ TTL (Transistor-Transistor Logic) เป็นเทคโนโลยีวงจรที่ใช้ในยุคก่อน CMOS ➡️ การใช้ EPROM แบบ UV ต้องใช้แสงในการลบข้อมูล และมี read time สูง ➡️ การสร้างการ์ดจอด้วย TTL เป็นการฝึกพื้นฐานการออกแบบสัญญาณภาพ ➡️ FPGA สามารถจำลองวงจร TTL ได้ทั้งหมด แต่มีความยืดหยุ่นและเสถียรกว่า https://www.techradar.com/pro/this-hardware-fan-wanted-to-build-the-worlds-worst-graphics-card-with-128kb-rom-but-couldnt-manage-to-drop-to-a-vga-resolution
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 290 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI ดันศูนย์ข้อมูลสู่ยุค 1 เมกะวัตต์ต่อแร็ค — เมื่อพลังงานและความร้อนกลายเป็นศูนย์กลางของโครงสร้างดิจิทัล”

    ในอดีต แร็คในศูนย์ข้อมูลเคยใช้พลังงานเพียงไม่กี่กิโลวัตต์ แต่ด้วยการเติบโตของงานประมวลผล AI ที่ต้องการพลังมหาศาล ข้อมูลล่าสุดจาก Lennox Data Centre Solutions ระบุว่า ภายในปี 2030 แร็คที่เน้นงาน AI อาจใช้พลังงานสูงถึง 1 เมกะวัตต์ต่อแร็ค ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูลทั้งแห่งในอดีต

    แร็คทั่วไปจะขยับขึ้นไปอยู่ที่ 30–50 กิโลวัตต์ในช่วงเวลาเดียวกัน แต่แร็ค AI จะใช้พลังงานมากกว่าถึง 20–30 เท่า ทำให้ “การจ่ายไฟ” และ “การระบายความร้อน” กลายเป็นหัวใจของการออกแบบศูนย์ข้อมูลยุคใหม่

    Ted Pulfer จาก Lennox ระบุว่า อุตสาหกรรมกำลังเปลี่ยนจากการใช้ไฟฟ้า AC แบบเดิม ไปสู่ระบบ DC แรงสูง เช่น +/-400V เพื่อลดการสูญเสียพลังงานและขนาดสายไฟ พร้อมทั้งใช้ระบบระบายความร้อนแบบ liquid cooling ที่ควบคุมโดย CDU (Coolant Distribution Unit) ซึ่งส่งน้ำหล่อเย็นไปยัง cold plate ที่ติดตั้งตรงจุดร้อนของเซิร์ฟเวอร์

    Microsoft กำลังทดลองระบบ microfluidics ที่ฝังร่องเล็ก ๆ บนชิปเพื่อให้น้ำหล่อเย็นไหลผ่านโดยตรง ซึ่งช่วยลดอุณหภูมิ GPU ได้ถึง 65% และเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อนถึง 3 เท่า เมื่อรวมกับ AI ที่ช่วยตรวจจับจุดร้อนบนชิป ระบบนี้สามารถควบคุมการไหลของน้ำได้แม่นยำยิ่งขึ้น

    แม้ hyperscaler อย่าง Google และ Microsoft จะเป็นผู้นำในด้านนี้ แต่ Ted เชื่อว่าผู้ให้บริการรายเล็กยังมีโอกาส เพราะความคล่องตัวและนวัตกรรมยังเป็นจุดแข็งที่สำคัญในตลาดที่เปลี่ยนแปลงเร็ว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    แร็ค AI อาจใช้พลังงานถึง 1 เมกะวัตต์ต่อแร็คภายในปี 2030
    แร็คทั่วไปจะขยับขึ้นไปอยู่ที่ 30–50 กิโลวัตต์ในช่วงเดียวกัน
    แร็ค AI ใช้พลังงานมากกว่ารุ่นทั่วไปถึง 20–30 เท่า
    อุตสาหกรรมเปลี่ยนไปใช้ระบบไฟฟ้า DC แรงสูง เช่น +/-400V
    ระบบระบายความร้อนแบบ liquid cooling ถูกควบคุมโดย CDU
    Microsoft ทดลองระบบ microfluidics ที่ฝังร่องบนชิปเพื่อให้น้ำไหลผ่านโดยตรง
    ระบบใหม่ช่วยลดอุณหภูมิ GPU ได้ถึง 65% และเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อนถึง 3 เท่า
    AI ถูกนำมาใช้ร่วมกับระบบระบายความร้อนเพื่อควบคุมการไหลของน้ำอย่างแม่นยำ
    ผู้ให้บริการรายเล็กยังมีโอกาสแข่งขันในตลาดผ่านความคล่องตัวและนวัตกรรม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    น้ำมีความสามารถในการนำความร้อนสูงกว่าอากาศถึง 30 เท่า และบรรจุพลังงานความร้อนได้มากกว่า 4,000 เท่า
    Google ใช้ liquid cooling กับ TPU Pods มากกว่า 2,000 ชุด และมี uptime ถึง 99.999% ตลอด 7 ปี
    การใช้ +/-400V DC ช่วยลดขนาดสายไฟและเพิ่มประสิทธิภาพการจ่ายไฟ
    ระบบ AC-to-DC sidecar ช่วยแยกส่วนพลังงานออกจากแร็ค ทำให้พื้นที่ภายในแร็คใช้สำหรับ compute ได้เต็มที่
    การออกแบบแร็คใหม่อาจเป็นตัวกำหนดอนาคตของโครงสร้างดิจิทัลทั้งหมด

    https://www.techradar.com/pro/security/this-graph-alone-shows-how-global-ai-power-consumption-is-getting-out-of-hand-very-quickly-and-its-not-just-about-hyperscalers-or-openai
    🔥 “AI ดันศูนย์ข้อมูลสู่ยุค 1 เมกะวัตต์ต่อแร็ค — เมื่อพลังงานและความร้อนกลายเป็นศูนย์กลางของโครงสร้างดิจิทัล” ในอดีต แร็คในศูนย์ข้อมูลเคยใช้พลังงานเพียงไม่กี่กิโลวัตต์ แต่ด้วยการเติบโตของงานประมวลผล AI ที่ต้องการพลังมหาศาล ข้อมูลล่าสุดจาก Lennox Data Centre Solutions ระบุว่า ภายในปี 2030 แร็คที่เน้นงาน AI อาจใช้พลังงานสูงถึง 1 เมกะวัตต์ต่อแร็ค ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูลทั้งแห่งในอดีต แร็คทั่วไปจะขยับขึ้นไปอยู่ที่ 30–50 กิโลวัตต์ในช่วงเวลาเดียวกัน แต่แร็ค AI จะใช้พลังงานมากกว่าถึง 20–30 เท่า ทำให้ “การจ่ายไฟ” และ “การระบายความร้อน” กลายเป็นหัวใจของการออกแบบศูนย์ข้อมูลยุคใหม่ Ted Pulfer จาก Lennox ระบุว่า อุตสาหกรรมกำลังเปลี่ยนจากการใช้ไฟฟ้า AC แบบเดิม ไปสู่ระบบ DC แรงสูง เช่น +/-400V เพื่อลดการสูญเสียพลังงานและขนาดสายไฟ พร้อมทั้งใช้ระบบระบายความร้อนแบบ liquid cooling ที่ควบคุมโดย CDU (Coolant Distribution Unit) ซึ่งส่งน้ำหล่อเย็นไปยัง cold plate ที่ติดตั้งตรงจุดร้อนของเซิร์ฟเวอร์ Microsoft กำลังทดลองระบบ microfluidics ที่ฝังร่องเล็ก ๆ บนชิปเพื่อให้น้ำหล่อเย็นไหลผ่านโดยตรง ซึ่งช่วยลดอุณหภูมิ GPU ได้ถึง 65% และเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อนถึง 3 เท่า เมื่อรวมกับ AI ที่ช่วยตรวจจับจุดร้อนบนชิป ระบบนี้สามารถควบคุมการไหลของน้ำได้แม่นยำยิ่งขึ้น แม้ hyperscaler อย่าง Google และ Microsoft จะเป็นผู้นำในด้านนี้ แต่ Ted เชื่อว่าผู้ให้บริการรายเล็กยังมีโอกาส เพราะความคล่องตัวและนวัตกรรมยังเป็นจุดแข็งที่สำคัญในตลาดที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ แร็ค AI อาจใช้พลังงานถึง 1 เมกะวัตต์ต่อแร็คภายในปี 2030 ➡️ แร็คทั่วไปจะขยับขึ้นไปอยู่ที่ 30–50 กิโลวัตต์ในช่วงเดียวกัน ➡️ แร็ค AI ใช้พลังงานมากกว่ารุ่นทั่วไปถึง 20–30 เท่า ➡️ อุตสาหกรรมเปลี่ยนไปใช้ระบบไฟฟ้า DC แรงสูง เช่น +/-400V ➡️ ระบบระบายความร้อนแบบ liquid cooling ถูกควบคุมโดย CDU ➡️ Microsoft ทดลองระบบ microfluidics ที่ฝังร่องบนชิปเพื่อให้น้ำไหลผ่านโดยตรง ➡️ ระบบใหม่ช่วยลดอุณหภูมิ GPU ได้ถึง 65% และเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อนถึง 3 เท่า ➡️ AI ถูกนำมาใช้ร่วมกับระบบระบายความร้อนเพื่อควบคุมการไหลของน้ำอย่างแม่นยำ ➡️ ผู้ให้บริการรายเล็กยังมีโอกาสแข่งขันในตลาดผ่านความคล่องตัวและนวัตกรรม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ น้ำมีความสามารถในการนำความร้อนสูงกว่าอากาศถึง 30 เท่า และบรรจุพลังงานความร้อนได้มากกว่า 4,000 เท่า ➡️ Google ใช้ liquid cooling กับ TPU Pods มากกว่า 2,000 ชุด และมี uptime ถึง 99.999% ตลอด 7 ปี ➡️ การใช้ +/-400V DC ช่วยลดขนาดสายไฟและเพิ่มประสิทธิภาพการจ่ายไฟ ➡️ ระบบ AC-to-DC sidecar ช่วยแยกส่วนพลังงานออกจากแร็ค ทำให้พื้นที่ภายในแร็คใช้สำหรับ compute ได้เต็มที่ ➡️ การออกแบบแร็คใหม่อาจเป็นตัวกำหนดอนาคตของโครงสร้างดิจิทัลทั้งหมด https://www.techradar.com/pro/security/this-graph-alone-shows-how-global-ai-power-consumption-is-getting-out-of-hand-very-quickly-and-its-not-just-about-hyperscalers-or-openai
    WWW.TECHRADAR.COM
    Projections show AI racks may consume 20 to 30 times the energy of traditional racks by 2030
    AI racks could consume 20 to 30 times the energy of traditional racks by 2030
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 228 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Evanston สั่ง Flock ถอนกล้อง LPR ทันที หลังบริษัทแอบติดตั้งใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาต — ขัดคำสั่งเมือง เสี่ยงฟ้องร้อง”

    เมือง Evanston ในรัฐอิลลินอยส์ออกคำสั่ง “หยุดและถอน” (cease-and-desist) ต่อบริษัท Flock Safety หลังพบว่าบริษัทได้แอบนำกล้องอ่านป้ายทะเบียน (License Plate Reader – LPR) กลับมาติดตั้งใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งที่ก่อนหน้านี้เมืองได้สั่งให้ถอดกล้องทั้งหมดและเตรียมยกเลิกสัญญาในวันที่ 26 กันยายน 2025

    เหตุการณ์เริ่มต้นจากการที่รัฐมนตรีต่างประเทศของรัฐอิลลินอยส์พบว่า Flock ได้อนุญาตให้หน่วยงานรัฐบาลกลาง เช่น U.S. Customs and Border Protection เข้าถึงข้อมูลจากกล้องในรัฐ ซึ่งขัดต่อกฎหมายของรัฐ และละเมิดนโยบายของเมือง Evanston ที่ห้ามแชร์ข้อมูลกับหน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง

    แม้ Flock จะถอดกล้องออกไปแล้ว 15 จาก 18 ตัวภายในวันที่ 8 กันยายน แต่กลับนำกลับมาติดตั้งใหม่ในจุดเดิมภายในเวลาไม่ถึงเดือน โดยบางกล้องใช้เสาใหม่ มีการพ่นสี “FLOCK” และหมายเลขกำกับไว้ชัดเจน บางจุดยังใช้กล้องรุ่นใหม่ที่เชื่อมต่อกับสายไฟของเมืองโดยตรง แทนที่จะใช้พลังงานจากแผงโซลาร์เหมือนเดิม

    เมือง Evanston ยืนยันว่าไม่ได้เปลี่ยนนโยบายใด ๆ และการติดตั้งใหม่ถือเป็นการละเมิดคำสั่งอย่างชัดเจน โดย Flock ได้ให้คำมั่นว่าจะถอดกล้องออกอีกครั้งหลังได้รับคำสั่งล่าสุด

    อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก “transparency portal” ของ Flock เองกลับแสดงให้เห็นว่ากล้องบางตัวอาจยังคงทำงานอยู่ แม้จะมีคำสั่งปิดระบบตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม โดยจำนวนรถที่ถูกตรวจจับในช่วง 30 วันยังไม่ลดลงตามที่ควรจะเป็น ซึ่งอาจบ่งชี้ว่ามีการเก็บข้อมูลต่อเนื่องโดยไม่ได้รับอนุญาต

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เมือง Evanston ออกคำสั่ง cease-and-desist ต่อ Flock Safety หลังพบการติดตั้งกล้องใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาต
    เดิมเมืองสั่งให้ถอดกล้อง LPR ทั้งหมด 19 ตัว และเตรียมยกเลิกสัญญาในวันที่ 26 กันยายน 2025
    การยกเลิกสัญญาเกิดจากการที่ Flock แชร์ข้อมูลกับหน่วยงานรัฐบาลกลางโดยไม่ได้รับอนุญาต
    กล้อง 15 ตัวที่เคยถอดออกถูกนำกลับมาติดตั้งในจุดเดิม พร้อมเสาใหม่และหมายเลขกำกับ
    บางกล้องใช้รุ่นใหม่ที่เชื่อมต่อกับสายไฟของเมือง แทนการใช้พลังงานแสงอาทิตย์
    Flock ให้คำมั่นว่าจะถอดกล้องออกอีกครั้งหลังได้รับคำสั่งล่าสุด
    ข้อมูลจาก transparency portal ของ Flock แสดงว่ากล้องบางตัวอาจยังคงทำงานอยู่
    เมือง Evanston อาจต้องจ่ายเงิน $145,500 หากสัญญายังถูกถือว่าใช้งานอยู่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    LPR เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการตรวจจับและบันทึกหมายเลขทะเบียนรถโดยอัตโนมัติ
    การแชร์ข้อมูลกับหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองขัดต่อ “Welcoming City Ordinance” ของ Evanston
    การติดตั้งกล้องใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาตอาจนำไปสู่การฟ้องร้องทางกฎหมาย
    การใช้กล้องที่เชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้าของเมืองอาจละเมิดข้อกำหนดด้านความปลอดภัย
    Transparency portal เป็นเครื่องมือที่ Flock ใช้แสดงข้อมูลการทำงานของกล้องแบบสาธารณะ

    https://evanstonroundtable.com/2025/09/24/flock-safety-reinstalls-evanston-cameras/
    📸 “Evanston สั่ง Flock ถอนกล้อง LPR ทันที หลังบริษัทแอบติดตั้งใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาต — ขัดคำสั่งเมือง เสี่ยงฟ้องร้อง” เมือง Evanston ในรัฐอิลลินอยส์ออกคำสั่ง “หยุดและถอน” (cease-and-desist) ต่อบริษัท Flock Safety หลังพบว่าบริษัทได้แอบนำกล้องอ่านป้ายทะเบียน (License Plate Reader – LPR) กลับมาติดตั้งใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งที่ก่อนหน้านี้เมืองได้สั่งให้ถอดกล้องทั้งหมดและเตรียมยกเลิกสัญญาในวันที่ 26 กันยายน 2025 เหตุการณ์เริ่มต้นจากการที่รัฐมนตรีต่างประเทศของรัฐอิลลินอยส์พบว่า Flock ได้อนุญาตให้หน่วยงานรัฐบาลกลาง เช่น U.S. Customs and Border Protection เข้าถึงข้อมูลจากกล้องในรัฐ ซึ่งขัดต่อกฎหมายของรัฐ และละเมิดนโยบายของเมือง Evanston ที่ห้ามแชร์ข้อมูลกับหน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง แม้ Flock จะถอดกล้องออกไปแล้ว 15 จาก 18 ตัวภายในวันที่ 8 กันยายน แต่กลับนำกลับมาติดตั้งใหม่ในจุดเดิมภายในเวลาไม่ถึงเดือน โดยบางกล้องใช้เสาใหม่ มีการพ่นสี “FLOCK” และหมายเลขกำกับไว้ชัดเจน บางจุดยังใช้กล้องรุ่นใหม่ที่เชื่อมต่อกับสายไฟของเมืองโดยตรง แทนที่จะใช้พลังงานจากแผงโซลาร์เหมือนเดิม เมือง Evanston ยืนยันว่าไม่ได้เปลี่ยนนโยบายใด ๆ และการติดตั้งใหม่ถือเป็นการละเมิดคำสั่งอย่างชัดเจน โดย Flock ได้ให้คำมั่นว่าจะถอดกล้องออกอีกครั้งหลังได้รับคำสั่งล่าสุด อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก “transparency portal” ของ Flock เองกลับแสดงให้เห็นว่ากล้องบางตัวอาจยังคงทำงานอยู่ แม้จะมีคำสั่งปิดระบบตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม โดยจำนวนรถที่ถูกตรวจจับในช่วง 30 วันยังไม่ลดลงตามที่ควรจะเป็น ซึ่งอาจบ่งชี้ว่ามีการเก็บข้อมูลต่อเนื่องโดยไม่ได้รับอนุญาต ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เมือง Evanston ออกคำสั่ง cease-and-desist ต่อ Flock Safety หลังพบการติดตั้งกล้องใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาต ➡️ เดิมเมืองสั่งให้ถอดกล้อง LPR ทั้งหมด 19 ตัว และเตรียมยกเลิกสัญญาในวันที่ 26 กันยายน 2025 ➡️ การยกเลิกสัญญาเกิดจากการที่ Flock แชร์ข้อมูลกับหน่วยงานรัฐบาลกลางโดยไม่ได้รับอนุญาต ➡️ กล้อง 15 ตัวที่เคยถอดออกถูกนำกลับมาติดตั้งในจุดเดิม พร้อมเสาใหม่และหมายเลขกำกับ ➡️ บางกล้องใช้รุ่นใหม่ที่เชื่อมต่อกับสายไฟของเมือง แทนการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ➡️ Flock ให้คำมั่นว่าจะถอดกล้องออกอีกครั้งหลังได้รับคำสั่งล่าสุด ➡️ ข้อมูลจาก transparency portal ของ Flock แสดงว่ากล้องบางตัวอาจยังคงทำงานอยู่ ➡️ เมือง Evanston อาจต้องจ่ายเงิน $145,500 หากสัญญายังถูกถือว่าใช้งานอยู่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ LPR เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการตรวจจับและบันทึกหมายเลขทะเบียนรถโดยอัตโนมัติ ➡️ การแชร์ข้อมูลกับหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองขัดต่อ “Welcoming City Ordinance” ของ Evanston ➡️ การติดตั้งกล้องใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาตอาจนำไปสู่การฟ้องร้องทางกฎหมาย ➡️ การใช้กล้องที่เชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้าของเมืองอาจละเมิดข้อกำหนดด้านความปลอดภัย ➡️ Transparency portal เป็นเครื่องมือที่ Flock ใช้แสดงข้อมูลการทำงานของกล้องแบบสาธารณะ https://evanstonroundtable.com/2025/09/24/flock-safety-reinstalls-evanston-cameras/
    EVANSTONROUNDTABLE.COM
    Evanston orders Flock to remove reinstalled cameras - Evanston RoundTable
    Private surveillance vendor Flock Safety reinstalled all of its stationary license plate cameras in Evanston that had previously been removed, apparently
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 232 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Phone Farm Box: ฟาร์ม iPhone 420 เครื่องในตู้เดียว — เครื่องมือทดสอบแอปหรืออาวุธลับโกงโฆษณา?”

    ในยุคที่มือถือกลายเป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง ตั้งแต่การสื่อสารไปจนถึงการทำเงิน มีเทคโนโลยีหนึ่งที่กำลังถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นคือ “Phone Farm Box” — กล่องที่สามารถจัดการ iPhone ได้ทีละ 20 เครื่อง และเมื่อวางเรียงในตู้เซิร์ฟเวอร์ขนาด 42U ก็สามารถควบคุม iPhone ได้ถึง 420 เครื่องพร้อมกัน

    ระบบนี้ไม่ใช่แค่การเสียบมือถือหลายเครื่องไว้เฉย ๆ แต่มีซอฟต์แวร์ควบคุมจาก PC ที่สามารถสั่งงานผ่าน API ได้หลากหลาย เช่น HTTP, WebSocket, Python, OCR, การคลิก, การเลื่อนหน้าจอ และแม้แต่การจำลองคีย์บอร์ดและเมาส์แบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถควบคุมมือถือทั้งหมดได้พร้อมกันแบบอัตโนมัติ

    Phone Farm Box ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในงานที่ต้องการทดสอบแอปจำนวนมาก เช่น QA, การเก็บข้อมูลประสิทธิภาพ หรือการจำลองการใช้งานจริงในหลายอุปกรณ์พร้อมกัน แต่ในอีกด้านหนึ่ง เทคโนโลยีนี้ก็สามารถถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การโกงระบบโฆษณา (ad fraud) ด้วยการสร้างคลิกปลอม, การติดตั้งแอปซ้ำ ๆ หรือการสร้าง engagement ปลอมในโซเชียลมีเดีย

    ตัวเครื่องรองรับ iPhone ตั้งแต่รุ่น 6s ขึ้นไป โดยไม่มีกล้อง, ไม่มี SIM, ไม่สามารถล้างเครื่อง และไม่สามารถใช้บริการ iCloud ได้ ซึ่งทำให้เหมาะกับการใช้งานแบบเฉพาะทางมากกว่าการใช้งานทั่วไป

    ราคาของกล่องเปล่าอยู่ที่ประมาณ $700 และหากรวม iPhone ทั้ง 20 เครื่องจะอยู่ที่ $1,900 โดยจัดส่งเฉพาะในสหรัฐฯ และไม่สามารถคืนสินค้าได้หากเป็นแบบสั่งผลิตพิเศษ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Phone Farm Box สามารถควบคุม iPhone ได้ถึง 420 เครื่องในตู้ 42U
    ใช้ซอฟต์แวร์ PC ควบคุมผ่าน API เช่น HTTP, Python, OCR และอื่น ๆ
    รองรับการควบคุมแบบ batch เช่น คลิก, เลื่อน, พิมพ์, โอนไฟล์ และ copy-paste
    รองรับ iPhone ตั้งแต่รุ่น 6s ขึ้นไป ที่ใช้ iOS 13.4 หรือใหม่กว่า
    iPhone ที่ใช้ไม่มีกล้อง, ไม่มี SIM, ไม่สามารถล้างเครื่อง และไม่ใช้ iCloud
    ใช้สายไฟจาก chassis แทนแบตเตอรี่เพื่อความปลอดภัยและเสถียร
    เหมาะสำหรับงาน QA, ทดสอบแอป, เก็บข้อมูล และการจำลองการใช้งาน
    ราคากล่องเปล่า $700 และแบบรวมเครื่อง $1,900 จัดส่งเฉพาะในสหรัฐฯ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Phone farm เป็นเทคนิคที่ใช้มือถือหลายเครื่องเพื่อสร้างรายได้จากแอป, โฆษณา, หรือคลิกปลอม
    การควบคุมแบบอัตโนมัติช่วยลดแรงงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานซ้ำ ๆ
    มีการใช้ phone farm เพื่อโกงระบบติดตั้งแอป, เพิ่มยอดวิว, หรือสร้าง engagement ปลอม
    การใช้ SDK ที่แอบส่งข้อมูลจากแอปสามารถรวมเข้ากับระบบนี้ได้ง่าย
    การจัดการความร้อนและพลังงานเป็นสิ่งสำคัญในการใช้งาน phone farm ระยะยาว

    https://www.techradar.com/pro/you-can-run-420-apple-iphone-smartphones-using-a-42u-rack-full-of-these-phone-farm-boxes-who-needs-power-pcs-when-you-can-recycle-old-mobiles
    📦 “Phone Farm Box: ฟาร์ม iPhone 420 เครื่องในตู้เดียว — เครื่องมือทดสอบแอปหรืออาวุธลับโกงโฆษณา?” ในยุคที่มือถือกลายเป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง ตั้งแต่การสื่อสารไปจนถึงการทำเงิน มีเทคโนโลยีหนึ่งที่กำลังถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นคือ “Phone Farm Box” — กล่องที่สามารถจัดการ iPhone ได้ทีละ 20 เครื่อง และเมื่อวางเรียงในตู้เซิร์ฟเวอร์ขนาด 42U ก็สามารถควบคุม iPhone ได้ถึง 420 เครื่องพร้อมกัน ระบบนี้ไม่ใช่แค่การเสียบมือถือหลายเครื่องไว้เฉย ๆ แต่มีซอฟต์แวร์ควบคุมจาก PC ที่สามารถสั่งงานผ่าน API ได้หลากหลาย เช่น HTTP, WebSocket, Python, OCR, การคลิก, การเลื่อนหน้าจอ และแม้แต่การจำลองคีย์บอร์ดและเมาส์แบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถควบคุมมือถือทั้งหมดได้พร้อมกันแบบอัตโนมัติ Phone Farm Box ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในงานที่ต้องการทดสอบแอปจำนวนมาก เช่น QA, การเก็บข้อมูลประสิทธิภาพ หรือการจำลองการใช้งานจริงในหลายอุปกรณ์พร้อมกัน แต่ในอีกด้านหนึ่ง เทคโนโลยีนี้ก็สามารถถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การโกงระบบโฆษณา (ad fraud) ด้วยการสร้างคลิกปลอม, การติดตั้งแอปซ้ำ ๆ หรือการสร้าง engagement ปลอมในโซเชียลมีเดีย ตัวเครื่องรองรับ iPhone ตั้งแต่รุ่น 6s ขึ้นไป โดยไม่มีกล้อง, ไม่มี SIM, ไม่สามารถล้างเครื่อง และไม่สามารถใช้บริการ iCloud ได้ ซึ่งทำให้เหมาะกับการใช้งานแบบเฉพาะทางมากกว่าการใช้งานทั่วไป ราคาของกล่องเปล่าอยู่ที่ประมาณ $700 และหากรวม iPhone ทั้ง 20 เครื่องจะอยู่ที่ $1,900 โดยจัดส่งเฉพาะในสหรัฐฯ และไม่สามารถคืนสินค้าได้หากเป็นแบบสั่งผลิตพิเศษ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Phone Farm Box สามารถควบคุม iPhone ได้ถึง 420 เครื่องในตู้ 42U ➡️ ใช้ซอฟต์แวร์ PC ควบคุมผ่าน API เช่น HTTP, Python, OCR และอื่น ๆ ➡️ รองรับการควบคุมแบบ batch เช่น คลิก, เลื่อน, พิมพ์, โอนไฟล์ และ copy-paste ➡️ รองรับ iPhone ตั้งแต่รุ่น 6s ขึ้นไป ที่ใช้ iOS 13.4 หรือใหม่กว่า ➡️ iPhone ที่ใช้ไม่มีกล้อง, ไม่มี SIM, ไม่สามารถล้างเครื่อง และไม่ใช้ iCloud ➡️ ใช้สายไฟจาก chassis แทนแบตเตอรี่เพื่อความปลอดภัยและเสถียร ➡️ เหมาะสำหรับงาน QA, ทดสอบแอป, เก็บข้อมูล และการจำลองการใช้งาน ➡️ ราคากล่องเปล่า $700 และแบบรวมเครื่อง $1,900 จัดส่งเฉพาะในสหรัฐฯ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Phone farm เป็นเทคนิคที่ใช้มือถือหลายเครื่องเพื่อสร้างรายได้จากแอป, โฆษณา, หรือคลิกปลอม ➡️ การควบคุมแบบอัตโนมัติช่วยลดแรงงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานซ้ำ ๆ ➡️ มีการใช้ phone farm เพื่อโกงระบบติดตั้งแอป, เพิ่มยอดวิว, หรือสร้าง engagement ปลอม ➡️ การใช้ SDK ที่แอบส่งข้อมูลจากแอปสามารถรวมเข้ากับระบบนี้ได้ง่าย ➡️ การจัดการความร้อนและพลังงานเป็นสิ่งสำคัญในการใช้งาน phone farm ระยะยาว https://www.techradar.com/pro/you-can-run-420-apple-iphone-smartphones-using-a-42u-rack-full-of-these-phone-farm-boxes-who-needs-power-pcs-when-you-can-recycle-old-mobiles
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 319 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลุมยุบกลางกรุงฯ มีโอกาสเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

    เกิดเหตุถนนทรุดตัวและเกิดหลุมยุบขนาดใหญ่กว้าง 30 เมตร ลึก 50 เมตร บนถนนสามเสน หน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล เขตดุสิต กรุงเทพฯ เมื่อเช้าวันที่ 24 ก.ย. กรมทรัพยากรธรณีระบุว่า เกิดจากรอยต่อของอุโมงค์ชั้นบนมีรอยแตก ทำให้ดินด้านบนไหลลงสู่ช่องว่างภายในอุโมงค์ ส่งผลให้ชั้นดินด้านบนทรุดตัว ประกอบกับมีท่อประปาแตก ขนาด 1.5 เมตร ของการประปานครหลวง เนื่องจากการทรุดตัวของชั้นดิน ส่งผลให้มีน้ำประปาเข้าไปชะล้างดิน ถนนเกิดการทรุดตัวเพิ่มขึ้นเป็นบริเวณกว้าง

    บริเวณดังกล่าวเป็นจุดก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) นายกิตติกร ตันเปาว์ รองผู้ว่าการ รฟม. ฝ่ายวิศวกรรมและก่อสร้าง ประเมินเบื้องต้น เกิดน้ำรั่วซึมในชั้นดินใต้ผิวจราจร ส่งผลโดยตรงให้ชั้นดินบริเวณรอบโครงการก่อสร้างสูญเสียเสถียรภาพ โดยเฉพาะรอยต่อของอุโมงค์กับตัวสถานี ซึ่งเป็นจุดอ่อนไหว เมื่อดินเริ่มสไลด์เข้าไปในตัวสถานี ประกอบกับน้ำหนักที่กดทับจากด้านบน ความเสียหายจึงขยายวงกว้างและรุนแรง เกิดการยุบตัวครั้งใหญ่ เป็นไปได้สูงว่าดินจำนวนมหาศาลได้ไหลเข้าไปอยู่ในตัวอาคารสถานี (Station Box) ขณะนี้ยังไม่สามารถสำรวจภายในได้ เนื่องจากโครงสร้างโดยรอบยังไม่มีความเสถียรและอาจเกิดการถล่มซ้ำได้ตลอดเวลา จึงถือเป็นพื้นที่อันตรายสูงสุด

    มีรายงานว่า รฟม. สั่งให้ผู้รับจ้างงานโยธาเร่งถมดินกลับ โดยใช้กระสอบทรายและหินคลุก เพื่อหยุดการไหลของดินและน้ำใต้ดินเข้าสู่สถานีรถไฟฟ้า ลดการทรุดตัวของดินโดยรอบ รวมถึงเพิ่มเสถียรภาพของดินมากขึ้น มีการกั้นพื้นที่โดยรอบบริเวณหลุมที่ทรุดตัว พร้อมกับใช้กระสอบทรายเสริมเป็นแนวกั้นไม่ให้น้ำฝนไหลลงไปหลุมยุบเพิ่มเติม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ตามแผนงานที่คาดว่ารถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้จะแล้วเสร็จเดือน ต.ค.2570 เปิดให้บริการในปี 2571 ต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด

    ในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีเหตุการณ์ถนนยุบเป็นหลุมขนาดใหญ่ ตั้งแต่กรณีถนนอุดมสุข ยุบตัวเป็นทางยาว 50 เมตร บริเวณโครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำบึงหนองบอน กรณีถนนทรุดตัวใต้สะพานพระราม 4 ถนนแจ้งวัฒนะ จ.นนทบุรี บริเวณโครงการก่อสร้างบ่อพักและท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดิน กรณีถนนยุบบริเวณแยกเกษะโกมล ถนนนครไชยศรี บริเวณโครงการก่อสร้างเขื่อนคลองเปรมประชากร ส่วนใหญ่เกิดจากน้ำชะล้างดิน แล้วดินไหลลงไปทำให้เกิดการทรุดตัว ถือเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงของคนกรุงเทพฯ ที่ต้องระวังการทรุดตัวของชั้นดินที่มองไม่เห็น ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
    หลุมยุบกลางกรุงฯ มีโอกาสเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เกิดเหตุถนนทรุดตัวและเกิดหลุมยุบขนาดใหญ่กว้าง 30 เมตร ลึก 50 เมตร บนถนนสามเสน หน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล เขตดุสิต กรุงเทพฯ เมื่อเช้าวันที่ 24 ก.ย. กรมทรัพยากรธรณีระบุว่า เกิดจากรอยต่อของอุโมงค์ชั้นบนมีรอยแตก ทำให้ดินด้านบนไหลลงสู่ช่องว่างภายในอุโมงค์ ส่งผลให้ชั้นดินด้านบนทรุดตัว ประกอบกับมีท่อประปาแตก ขนาด 1.5 เมตร ของการประปานครหลวง เนื่องจากการทรุดตัวของชั้นดิน ส่งผลให้มีน้ำประปาเข้าไปชะล้างดิน ถนนเกิดการทรุดตัวเพิ่มขึ้นเป็นบริเวณกว้าง บริเวณดังกล่าวเป็นจุดก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) นายกิตติกร ตันเปาว์ รองผู้ว่าการ รฟม. ฝ่ายวิศวกรรมและก่อสร้าง ประเมินเบื้องต้น เกิดน้ำรั่วซึมในชั้นดินใต้ผิวจราจร ส่งผลโดยตรงให้ชั้นดินบริเวณรอบโครงการก่อสร้างสูญเสียเสถียรภาพ โดยเฉพาะรอยต่อของอุโมงค์กับตัวสถานี ซึ่งเป็นจุดอ่อนไหว เมื่อดินเริ่มสไลด์เข้าไปในตัวสถานี ประกอบกับน้ำหนักที่กดทับจากด้านบน ความเสียหายจึงขยายวงกว้างและรุนแรง เกิดการยุบตัวครั้งใหญ่ เป็นไปได้สูงว่าดินจำนวนมหาศาลได้ไหลเข้าไปอยู่ในตัวอาคารสถานี (Station Box) ขณะนี้ยังไม่สามารถสำรวจภายในได้ เนื่องจากโครงสร้างโดยรอบยังไม่มีความเสถียรและอาจเกิดการถล่มซ้ำได้ตลอดเวลา จึงถือเป็นพื้นที่อันตรายสูงสุด มีรายงานว่า รฟม. สั่งให้ผู้รับจ้างงานโยธาเร่งถมดินกลับ โดยใช้กระสอบทรายและหินคลุก เพื่อหยุดการไหลของดินและน้ำใต้ดินเข้าสู่สถานีรถไฟฟ้า ลดการทรุดตัวของดินโดยรอบ รวมถึงเพิ่มเสถียรภาพของดินมากขึ้น มีการกั้นพื้นที่โดยรอบบริเวณหลุมที่ทรุดตัว พร้อมกับใช้กระสอบทรายเสริมเป็นแนวกั้นไม่ให้น้ำฝนไหลลงไปหลุมยุบเพิ่มเติม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ตามแผนงานที่คาดว่ารถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้จะแล้วเสร็จเดือน ต.ค.2570 เปิดให้บริการในปี 2571 ต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด ในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีเหตุการณ์ถนนยุบเป็นหลุมขนาดใหญ่ ตั้งแต่กรณีถนนอุดมสุข ยุบตัวเป็นทางยาว 50 เมตร บริเวณโครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำบึงหนองบอน กรณีถนนทรุดตัวใต้สะพานพระราม 4 ถนนแจ้งวัฒนะ จ.นนทบุรี บริเวณโครงการก่อสร้างบ่อพักและท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดิน กรณีถนนยุบบริเวณแยกเกษะโกมล ถนนนครไชยศรี บริเวณโครงการก่อสร้างเขื่อนคลองเปรมประชากร ส่วนใหญ่เกิดจากน้ำชะล้างดิน แล้วดินไหลลงไปทำให้เกิดการทรุดตัว ถือเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงของคนกรุงเทพฯ ที่ต้องระวังการทรุดตัวของชั้นดินที่มองไม่เห็น ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
    Like
    3
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 539 มุมมอง 0 รีวิว
  • แนว พระราม 2
    แนวก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน

    มาแล้วเดวเราจะเป็น "เด็กแนวไหนดี"

    ผู้ใหญ่ทำให้เห็นแล้ว เขตก่อสร้าง เมื่อเร็วนี้ก็มีข่าว รถใหญ่ เบียดมอเตอร์ช่วงฝนตก ทำให้คนขับมอเตอร์ต้องไปเท้าแท่นวอริเออร์ ที่สายไฟอยู่ตรงสัน แท่น ตายไป

    พื้นที่เขตก่อสร้าง สมัยก่อนยุคเบบี้บูมไม่เป็นข่าว หรือเป็นข่าวแต่ไม่มีใครตามเรื่องต่อ (โชเชียล)

    ยุคนี้อะไรมา ตามกันมาไทยมุง ทั้งโชเชียล
    แนว พระราม 2 แนวก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน มาแล้วเดวเราจะเป็น "เด็กแนวไหนดี" ผู้ใหญ่ทำให้เห็นแล้ว เขตก่อสร้าง เมื่อเร็วนี้ก็มีข่าว รถใหญ่ เบียดมอเตอร์ช่วงฝนตก ทำให้คนขับมอเตอร์ต้องไปเท้าแท่นวอริเออร์ ที่สายไฟอยู่ตรงสัน แท่น ตายไป พื้นที่เขตก่อสร้าง สมัยก่อนยุคเบบี้บูมไม่เป็นข่าว หรือเป็นข่าวแต่ไม่มีใครตามเรื่องต่อ (โชเชียล) ยุคนี้อะไรมา ตามกันมาไทยมุง ทั้งโชเชียล
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 155 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ช่างซ่อมคอมฯ เจอเคส ‘สัตว์ประหลาด’ — การจัดสายไฟสุดโหดที่อาจบาดมือและทำลายระบบในพริบตา”

    เรื่องราวสุดสะเทือนวงการ PC Building เกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้ Reddit และเจ้าของร้านซ่อมคอมฯ elishalewisusaf ได้รับเครื่องเกมมิ่งพีซีจากลูกค้ารายหนึ่งที่มีการดัดแปลงภายในอย่างน่าตกใจ โดยเฉพาะบริเวณ PSU shroud ที่ถูกเจาะทะลุเหล็กแบบไม่ปราณี จนดูเหมือนถูก “เอเลี่ยน” ฉีกออกเพื่อปกป้องรังของมัน

    แม้ PSU shroud จะมีช่องสำหรับเดินสายอยู่แล้ว แต่เจ้าของเครื่องกลับเลือกใช้วิธี “ผ่าตรง” ด้วยเครื่องมือไม่ระบุชนิด ทำให้เกิดรอยแผลเหล็กบิดเบี้ยวที่อาจบาดมือได้ง่าย และอาจทำให้สายไฟภายในเสียหายหรือเกิดการลัดวงจรจากเศษโลหะและฝุ่นที่สะสม

    ในภาพยังเห็นว่าพีซีเครื่องนี้เคยเป็นของแบรนด์ Digital Storm ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการประกอบเครื่องด้วยความประณีต และมีบริการซัพพอร์ตตลอดชีพ แต่เจ้าของกลับเลือกใช้วิธี DIY ที่เสี่ยงแทนการติดต่อบริษัท

    การ์ดจอที่ติดตั้งอยู่คาดว่าเป็น Asus Dual RTX 3060 หรือ 4060 ซึ่งหมายความว่าเครื่องนี้น่าจะประกอบมาไม่เกิน 4 ปี แต่กลับมีฝุ่นสะสมหนาแน่น และใช้ SSD SATA ขนาด 256GB ที่ติดตั้งไว้บน PSU shroud ซึ่งไม่เหมาะกับการใช้งานเกมในยุค 2025

    แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยว่าเครื่องมีปัญหาอะไร แต่ช่างซ่อมและผู้เชี่ยวชาญใน Reddit ต่างคาดว่าอาจมีสายไฟที่ถูกบาดหรือเกิดการลัดวงจรจากการดัดแปลงที่ไม่เหมาะสม

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ช่างซ่อมพบพีซีที่มีการเจาะ PSU shroud อย่างรุนแรงจนเหล็กบิดเบี้ยว
    การดัดแปลงนี้อาจเกิดจากความพยายามเดินสาย 8-pin ที่สั้นเกินไป
    เครื่องเป็นของแบรนด์ Digital Storm ที่มีชื่อเสียงด้านการประกอบคุณภาพสูง
    ใช้ SSD SATA 256GB ซึ่งไม่เหมาะกับเกมมิ่งในยุคปัจจุบัน

    ความเห็นจากช่างและชุมชน
    ช่างซ่อมเรียกเครื่องนี้ว่า “monstrosity” และ “บาดมือได้”
    ผู้ใช้ Reddit ส่วนใหญ่เห็นว่าเป็น user error ที่ไม่ควรเกิดขึ้น
    บางคนเสนอว่าเจ้าของควรใช้สายต่อหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนลงมือ
    การจัดสายไฟที่ดีช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพของระบบ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การจัดสายไฟที่ไม่ดีอาจทำให้พัดลมติดสายและเกิดความร้อนสะสม
    การเจาะเคสโดยไม่ระวังอาจทำให้โครงสร้างอ่อนแอและเกิดเสียงรบกวน
    SSD SATA มีความเร็วต่ำกว่า NVMe และไม่เหมาะกับเกมขนาดใหญ่ในปี 2025
    Digital Storm มีบริการ Lifetime Support ซึ่งควรใช้ก่อนลงมือ DIY

    https://www.tomshardware.com/desktops/pc-building/repairer-brands-customers-gaming-pc-a-monstrosity-skin-lacerating-cable-management-technique-provokes-horror
    🧨 “ช่างซ่อมคอมฯ เจอเคส ‘สัตว์ประหลาด’ — การจัดสายไฟสุดโหดที่อาจบาดมือและทำลายระบบในพริบตา” เรื่องราวสุดสะเทือนวงการ PC Building เกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้ Reddit และเจ้าของร้านซ่อมคอมฯ elishalewisusaf ได้รับเครื่องเกมมิ่งพีซีจากลูกค้ารายหนึ่งที่มีการดัดแปลงภายในอย่างน่าตกใจ โดยเฉพาะบริเวณ PSU shroud ที่ถูกเจาะทะลุเหล็กแบบไม่ปราณี จนดูเหมือนถูก “เอเลี่ยน” ฉีกออกเพื่อปกป้องรังของมัน แม้ PSU shroud จะมีช่องสำหรับเดินสายอยู่แล้ว แต่เจ้าของเครื่องกลับเลือกใช้วิธี “ผ่าตรง” ด้วยเครื่องมือไม่ระบุชนิด ทำให้เกิดรอยแผลเหล็กบิดเบี้ยวที่อาจบาดมือได้ง่าย และอาจทำให้สายไฟภายในเสียหายหรือเกิดการลัดวงจรจากเศษโลหะและฝุ่นที่สะสม ในภาพยังเห็นว่าพีซีเครื่องนี้เคยเป็นของแบรนด์ Digital Storm ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการประกอบเครื่องด้วยความประณีต และมีบริการซัพพอร์ตตลอดชีพ แต่เจ้าของกลับเลือกใช้วิธี DIY ที่เสี่ยงแทนการติดต่อบริษัท การ์ดจอที่ติดตั้งอยู่คาดว่าเป็น Asus Dual RTX 3060 หรือ 4060 ซึ่งหมายความว่าเครื่องนี้น่าจะประกอบมาไม่เกิน 4 ปี แต่กลับมีฝุ่นสะสมหนาแน่น และใช้ SSD SATA ขนาด 256GB ที่ติดตั้งไว้บน PSU shroud ซึ่งไม่เหมาะกับการใช้งานเกมในยุค 2025 แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยว่าเครื่องมีปัญหาอะไร แต่ช่างซ่อมและผู้เชี่ยวชาญใน Reddit ต่างคาดว่าอาจมีสายไฟที่ถูกบาดหรือเกิดการลัดวงจรจากการดัดแปลงที่ไม่เหมาะสม ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ช่างซ่อมพบพีซีที่มีการเจาะ PSU shroud อย่างรุนแรงจนเหล็กบิดเบี้ยว ➡️ การดัดแปลงนี้อาจเกิดจากความพยายามเดินสาย 8-pin ที่สั้นเกินไป ➡️ เครื่องเป็นของแบรนด์ Digital Storm ที่มีชื่อเสียงด้านการประกอบคุณภาพสูง ➡️ ใช้ SSD SATA 256GB ซึ่งไม่เหมาะกับเกมมิ่งในยุคปัจจุบัน ✅ ความเห็นจากช่างและชุมชน ➡️ ช่างซ่อมเรียกเครื่องนี้ว่า “monstrosity” และ “บาดมือได้” ➡️ ผู้ใช้ Reddit ส่วนใหญ่เห็นว่าเป็น user error ที่ไม่ควรเกิดขึ้น ➡️ บางคนเสนอว่าเจ้าของควรใช้สายต่อหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนลงมือ ➡️ การจัดสายไฟที่ดีช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพของระบบ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การจัดสายไฟที่ไม่ดีอาจทำให้พัดลมติดสายและเกิดความร้อนสะสม ➡️ การเจาะเคสโดยไม่ระวังอาจทำให้โครงสร้างอ่อนแอและเกิดเสียงรบกวน ➡️ SSD SATA มีความเร็วต่ำกว่า NVMe และไม่เหมาะกับเกมขนาดใหญ่ในปี 2025 ➡️ Digital Storm มีบริการ Lifetime Support ซึ่งควรใช้ก่อนลงมือ DIY https://www.tomshardware.com/desktops/pc-building/repairer-brands-customers-gaming-pc-a-monstrosity-skin-lacerating-cable-management-technique-provokes-horror
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 292 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ASUS ปฏิวัติสล็อต PCIe — ส่งพลังงานได้ถึง 250W โดยไม่ต้องใช้สายเสริม พร้อมเปิดทางสู่ยุค GPU ไร้สาย”

    ตั้งแต่ PCIe ถือกำเนิดในช่วงต้นยุค 2000 สล็อตกราฟิกบนเมนบอร์ดสามารถจ่ายไฟได้สูงสุดเพียง 75W ซึ่งเพียงพอสำหรับการ์ดจอระดับเริ่มต้นเท่านั้น ส่วนการ์ดจอระดับกลางและสูงต้องพึ่งพาสายไฟเสริมจาก PSU เสมอ แต่ล่าสุด ASUS ได้เปิดตัวแนวคิดใหม่ที่อาจเปลี่ยนแปลงวงการพีซีไปตลอดกาล — สล็อต PCIe ที่สามารถจ่ายไฟได้สูงถึง 250W โดยไม่ต้องใช้สายเสริมเลย

    แนวคิดนี้ใช้การปรับแต่ง “gold finger” ด้านหน้าของสล็อต PCIe โดยรวมสายไฟ 12V จำนวน 5 เส้นเข้าด้วยกัน พร้อมเพิ่มความหนาและใช้วัสดุที่นำไฟฟ้าได้ดีขึ้น ทำให้สามารถรับกระแสไฟได้มากขึ้นอย่างปลอดภัย โดยมีการเสริมพลังงานผ่านหัวต่อ 8-pin PCIe บนเมนบอร์ด ซึ่งช่วยป้อนพลังงานเพิ่มเติมให้กับสล็อตโดยตรง

    ASUS ตั้งเป้าให้แนวคิดนี้รองรับการ์ดจอระดับกลาง เช่น RTX 5060 Ti หรือ Radeon RX 9060 XT ที่มีการใช้พลังงานระหว่าง 150–220W ซึ่งอยู่ในขอบเขตที่สล็อตใหม่สามารถรองรับได้โดยไม่ต้องใช้สายเสริม การ์ดจอเหล่านี้จะสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพผ่านสล็อต PCIe เพียงอย่างเดียว

    แม้ ASUS จะมีมาตรฐาน GC-HPWR สำหรับการ์ดจอไร้สายอยู่แล้ว แต่แนวคิดใหม่นี้ถือเป็นทางเลือกที่ “ถูกกว่า” และ “ง่ายกว่า” เพราะไม่ต้องเพิ่มช่องเชื่อมต่อพิเศษภายในตัวการ์ดหรือเมนบอร์ด ทำให้เหมาะกับตลาดระดับกลางที่ต้องการความสะอาดในการจัดสายและลดต้นทุนการผลิต

    ที่สำคัญคือ การออกแบบใหม่นี้ยังคงความเข้ากันได้กับสล็อต PCIe แบบเดิม หากใช้การ์ดจอที่รองรับในเมนบอร์ดทั่วไป ก็จะกลับไปใช้การจ่ายไฟแบบเดิมได้ทันที แต่หากใช้กับเมนบอร์ดที่รองรับการจ่ายไฟ 250W ก็จะสามารถใช้งานแบบไร้สายได้เต็มรูปแบบ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ASUS พัฒนาแนวคิดสล็อต PCIe ที่สามารถจ่ายไฟได้ถึง 250W โดยไม่ต้องใช้สายเสริม
    ใช้การรวมสาย 12V จำนวน 5 เส้น พร้อมเพิ่มความหนาและวัสดุนำไฟฟ้า
    เสริมพลังงานผ่านหัวต่อ 8-pin PCIe บนเมนบอร์ด
    รองรับการ์ดจอระดับกลาง เช่น RTX 5060 Ti และ RX 9060 XT

    จุดเด่นของแนวคิด
    ไม่ต้องใช้สายไฟเสริม ทำให้เคสสะอาดและจัดสายง่ายขึ้น
    เหมาะกับตลาด mainstream ที่ต้องการลดต้นทุนและความซับซ้อน
    ยังคงความเข้ากันได้กับสล็อต PCIe แบบเดิม
    เป็นทางเลือกที่ถูกกว่า GC-HPWR สำหรับการ์ดจอไร้สาย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    PCIe มาตรฐานเดิมจ่ายไฟได้เพียง 75W ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการ์ดจอส่วนใหญ่
    GC-HPWR ของ ASUS เคยใช้ใน RTX 4070 และเมนบอร์ด Z790 TUF Gaming
    MSI เคยใช้หัวต่อ 8-pin บนเมนบอร์ดเพื่อเสริมพลังงานเช่นกัน
    การออกแบบแบบนี้อาจนำไปสู่มาตรฐานใหม่ของ GPU ในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/asus-gives-us-the-pcie-finger-teases-new-concept-that-boosts-motherboard-gpu-slot-power-to-250w
    🔌 “ASUS ปฏิวัติสล็อต PCIe — ส่งพลังงานได้ถึง 250W โดยไม่ต้องใช้สายเสริม พร้อมเปิดทางสู่ยุค GPU ไร้สาย” ตั้งแต่ PCIe ถือกำเนิดในช่วงต้นยุค 2000 สล็อตกราฟิกบนเมนบอร์ดสามารถจ่ายไฟได้สูงสุดเพียง 75W ซึ่งเพียงพอสำหรับการ์ดจอระดับเริ่มต้นเท่านั้น ส่วนการ์ดจอระดับกลางและสูงต้องพึ่งพาสายไฟเสริมจาก PSU เสมอ แต่ล่าสุด ASUS ได้เปิดตัวแนวคิดใหม่ที่อาจเปลี่ยนแปลงวงการพีซีไปตลอดกาล — สล็อต PCIe ที่สามารถจ่ายไฟได้สูงถึง 250W โดยไม่ต้องใช้สายเสริมเลย แนวคิดนี้ใช้การปรับแต่ง “gold finger” ด้านหน้าของสล็อต PCIe โดยรวมสายไฟ 12V จำนวน 5 เส้นเข้าด้วยกัน พร้อมเพิ่มความหนาและใช้วัสดุที่นำไฟฟ้าได้ดีขึ้น ทำให้สามารถรับกระแสไฟได้มากขึ้นอย่างปลอดภัย โดยมีการเสริมพลังงานผ่านหัวต่อ 8-pin PCIe บนเมนบอร์ด ซึ่งช่วยป้อนพลังงานเพิ่มเติมให้กับสล็อตโดยตรง ASUS ตั้งเป้าให้แนวคิดนี้รองรับการ์ดจอระดับกลาง เช่น RTX 5060 Ti หรือ Radeon RX 9060 XT ที่มีการใช้พลังงานระหว่าง 150–220W ซึ่งอยู่ในขอบเขตที่สล็อตใหม่สามารถรองรับได้โดยไม่ต้องใช้สายเสริม การ์ดจอเหล่านี้จะสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพผ่านสล็อต PCIe เพียงอย่างเดียว แม้ ASUS จะมีมาตรฐาน GC-HPWR สำหรับการ์ดจอไร้สายอยู่แล้ว แต่แนวคิดใหม่นี้ถือเป็นทางเลือกที่ “ถูกกว่า” และ “ง่ายกว่า” เพราะไม่ต้องเพิ่มช่องเชื่อมต่อพิเศษภายในตัวการ์ดหรือเมนบอร์ด ทำให้เหมาะกับตลาดระดับกลางที่ต้องการความสะอาดในการจัดสายและลดต้นทุนการผลิต ที่สำคัญคือ การออกแบบใหม่นี้ยังคงความเข้ากันได้กับสล็อต PCIe แบบเดิม หากใช้การ์ดจอที่รองรับในเมนบอร์ดทั่วไป ก็จะกลับไปใช้การจ่ายไฟแบบเดิมได้ทันที แต่หากใช้กับเมนบอร์ดที่รองรับการจ่ายไฟ 250W ก็จะสามารถใช้งานแบบไร้สายได้เต็มรูปแบบ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ASUS พัฒนาแนวคิดสล็อต PCIe ที่สามารถจ่ายไฟได้ถึง 250W โดยไม่ต้องใช้สายเสริม ➡️ ใช้การรวมสาย 12V จำนวน 5 เส้น พร้อมเพิ่มความหนาและวัสดุนำไฟฟ้า ➡️ เสริมพลังงานผ่านหัวต่อ 8-pin PCIe บนเมนบอร์ด ➡️ รองรับการ์ดจอระดับกลาง เช่น RTX 5060 Ti และ RX 9060 XT ✅ จุดเด่นของแนวคิด ➡️ ไม่ต้องใช้สายไฟเสริม ทำให้เคสสะอาดและจัดสายง่ายขึ้น ➡️ เหมาะกับตลาด mainstream ที่ต้องการลดต้นทุนและความซับซ้อน ➡️ ยังคงความเข้ากันได้กับสล็อต PCIe แบบเดิม ➡️ เป็นทางเลือกที่ถูกกว่า GC-HPWR สำหรับการ์ดจอไร้สาย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ PCIe มาตรฐานเดิมจ่ายไฟได้เพียง 75W ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการ์ดจอส่วนใหญ่ ➡️ GC-HPWR ของ ASUS เคยใช้ใน RTX 4070 และเมนบอร์ด Z790 TUF Gaming ➡️ MSI เคยใช้หัวต่อ 8-pin บนเมนบอร์ดเพื่อเสริมพลังงานเช่นกัน ➡️ การออกแบบแบบนี้อาจนำไปสู่มาตรฐานใหม่ของ GPU ในอนาคต https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/asus-gives-us-the-pcie-finger-teases-new-concept-that-boosts-motherboard-gpu-slot-power-to-250w
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Asus gives us the PCIe finger — teases new concept that boosts motherboard GPU slot power to 250W
    This could be a cheaper way for Asus to make cableless graphics cards in the future.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • “C-200 มีดเชฟอัลตราโซนิกตัวแรกของโลก — ตัดง่ายขึ้น 50% ด้วยแรงสั่น 40,000 ครั้งต่อวินาที”

    Seattle Ultrasonics บริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีครัวจากสหรัฐฯ ได้เปิดตัว C-200 มีดเชฟอัลตราโซนิกตัวแรกของโลกสำหรับผู้ใช้ทั่วไป โดยใช้เทคโนโลยีแรงสั่นสะเทือนระดับอุตสาหกรรมที่ถูกย่อส่วนให้พอดีกับด้ามมีด เมื่อเปิดใช้งาน ใบมีดจะสั่นด้วยความถี่กว่า 40,000 ครั้งต่อวินาที ทำให้ลดแรงต้านจากอาหารลงได้ถึง 50% และลดการติดของอาหารบนใบมีดอย่างเห็นได้ชัด

    ตัวใบมีดผลิตจากเหล็กญี่ปุ่นแบบสามชั้น (san mai) ชนิด AUS-10 ที่ผ่านการชุบแข็งถึงระดับ 60HRC ทำให้คมและทนทานแม้ไม่ได้เปิดโหมดอัลตราโซนิก โดยออกแบบให้เหมาะกับทั้งผู้ใช้ถนัดซ้ายและขวา ใช้ได้กับเทคนิคการหั่นทั่วไป เช่น การสับกระเทียม การหั่นแบบโยก หรือการตัดวัตถุดิบที่เปียกและลื่นอย่างมะเขือเทศหรือปลา

    เมื่อเปิดใช้งาน ใบมีดสามารถเปลี่ยนของเหลวให้กลายเป็นละอองฝอยได้ เช่น น้ำมะนาวที่ปลายมีดจะถูกแปรสภาพเป็นละอองละเอียดโดยไม่ผ่านความร้อน ซึ่งสามารถใช้ตกแต่งอาหารหรือเครื่องดื่มได้อย่างน่าสนใจ

    C-200 มาพร้อมระบบชาร์จ USB-C และรองรับการชาร์จแบบไร้สายผ่านแท่นไม้สักที่ออกแบบมาให้วางบนเคาน์เตอร์หรือแขวนผนังได้โดยไม่ต้องเจาะหรือเดินสายไฟ มีดรุ่นนี้กันน้ำระดับ IP65 สามารถล้างด้วยมือได้เหมือนมีดทั่วไป และเปิดให้พรีออเดอร์แล้วในราคา $399 โดยจะเริ่มจัดส่งในเดือนมกราคม 2026

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    C-200 เป็นมีดเชฟอัลตราโซนิกตัวแรกของโลกสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    ใบมีดสั่นด้วยความถี่ 40,000 ครั้งต่อวินาที ลดแรงต้านลง 50%
    ผลิตจากเหล็กญี่ปุ่น AUS-10 แบบ san mai แข็งระดับ 60HRC
    ออกแบบให้ใช้ได้ทั้งมือซ้ายและขวา รองรับเทคนิคการหั่นทั่วไป

    ฟีเจอร์เสริมและการใช้งาน
    สามารถเปลี่ยนของเหลวเป็นละอองฝอยโดยไม่ใช้ความร้อน
    กันน้ำระดับ IP65 ล้างมือได้เหมือนมีดทั่วไป
    ชาร์จผ่าน USB-C หรือแท่นชาร์จไร้สายแบบไม้สัก
    ราคาเปิดตัว $399 พร้อมจัดส่งเดือนมกราคม 2026

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เทคโนโลยีอัลตราโซนิกเคยใช้ในอุตสาหกรรมตัดวัสดุ เช่น พลาสติกและโลหะ
    Scott Heimendinger ผู้ก่อตั้งบริษัท เคยเป็นหัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีอาหารของ Modernist Cuisine
    การสั่นระดับไมโครช่วยลดแรงเสียดทานและเพิ่มความแม่นยำในการตัด
    มีดอัลตราโซนิกอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในครัวเรือนยุคใหม่

    https://seattleultrasonics.com/
    🔪 “C-200 มีดเชฟอัลตราโซนิกตัวแรกของโลก — ตัดง่ายขึ้น 50% ด้วยแรงสั่น 40,000 ครั้งต่อวินาที” Seattle Ultrasonics บริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีครัวจากสหรัฐฯ ได้เปิดตัว C-200 มีดเชฟอัลตราโซนิกตัวแรกของโลกสำหรับผู้ใช้ทั่วไป โดยใช้เทคโนโลยีแรงสั่นสะเทือนระดับอุตสาหกรรมที่ถูกย่อส่วนให้พอดีกับด้ามมีด เมื่อเปิดใช้งาน ใบมีดจะสั่นด้วยความถี่กว่า 40,000 ครั้งต่อวินาที ทำให้ลดแรงต้านจากอาหารลงได้ถึง 50% และลดการติดของอาหารบนใบมีดอย่างเห็นได้ชัด ตัวใบมีดผลิตจากเหล็กญี่ปุ่นแบบสามชั้น (san mai) ชนิด AUS-10 ที่ผ่านการชุบแข็งถึงระดับ 60HRC ทำให้คมและทนทานแม้ไม่ได้เปิดโหมดอัลตราโซนิก โดยออกแบบให้เหมาะกับทั้งผู้ใช้ถนัดซ้ายและขวา ใช้ได้กับเทคนิคการหั่นทั่วไป เช่น การสับกระเทียม การหั่นแบบโยก หรือการตัดวัตถุดิบที่เปียกและลื่นอย่างมะเขือเทศหรือปลา เมื่อเปิดใช้งาน ใบมีดสามารถเปลี่ยนของเหลวให้กลายเป็นละอองฝอยได้ เช่น น้ำมะนาวที่ปลายมีดจะถูกแปรสภาพเป็นละอองละเอียดโดยไม่ผ่านความร้อน ซึ่งสามารถใช้ตกแต่งอาหารหรือเครื่องดื่มได้อย่างน่าสนใจ C-200 มาพร้อมระบบชาร์จ USB-C และรองรับการชาร์จแบบไร้สายผ่านแท่นไม้สักที่ออกแบบมาให้วางบนเคาน์เตอร์หรือแขวนผนังได้โดยไม่ต้องเจาะหรือเดินสายไฟ มีดรุ่นนี้กันน้ำระดับ IP65 สามารถล้างด้วยมือได้เหมือนมีดทั่วไป และเปิดให้พรีออเดอร์แล้วในราคา $399 โดยจะเริ่มจัดส่งในเดือนมกราคม 2026 ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ C-200 เป็นมีดเชฟอัลตราโซนิกตัวแรกของโลกสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ➡️ ใบมีดสั่นด้วยความถี่ 40,000 ครั้งต่อวินาที ลดแรงต้านลง 50% ➡️ ผลิตจากเหล็กญี่ปุ่น AUS-10 แบบ san mai แข็งระดับ 60HRC ➡️ ออกแบบให้ใช้ได้ทั้งมือซ้ายและขวา รองรับเทคนิคการหั่นทั่วไป ✅ ฟีเจอร์เสริมและการใช้งาน ➡️ สามารถเปลี่ยนของเหลวเป็นละอองฝอยโดยไม่ใช้ความร้อน ➡️ กันน้ำระดับ IP65 ล้างมือได้เหมือนมีดทั่วไป ➡️ ชาร์จผ่าน USB-C หรือแท่นชาร์จไร้สายแบบไม้สัก ➡️ ราคาเปิดตัว $399 พร้อมจัดส่งเดือนมกราคม 2026 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เทคโนโลยีอัลตราโซนิกเคยใช้ในอุตสาหกรรมตัดวัสดุ เช่น พลาสติกและโลหะ ➡️ Scott Heimendinger ผู้ก่อตั้งบริษัท เคยเป็นหัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีอาหารของ Modernist Cuisine ➡️ การสั่นระดับไมโครช่วยลดแรงเสียดทานและเพิ่มความแม่นยำในการตัด ➡️ มีดอัลตราโซนิกอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในครัวเรือนยุคใหม่ https://seattleultrasonics.com/
    SEATTLEULTRASONICS.COM
    Seattle Ultrasonics
    Discover Seattle Ultrasonics, a startup founded by culinary technologist Scott Heimendinger. We're on a mission to make happy home cooks, and we're starting by building a better knife.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 275 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts