• 20/2/68

    า ~รอยมือพ่อบนผนัง~

    พ่อของผมอายุมากแล้วและต้องเกาะกำแพงเวลาเดิน เพื่อพยุงตัว
    เป็นผลให้ผนังที่เขาจับ เปลี่ยนสีและมีรอยนิ้วมือของเขาถูกทิ้งไว้บนผนัง

    ภรรยาของผมสังเกตเห็นสิ่งนี้และมักจะบ่นว่าผนังดูสกปรก
    วันหนึ่งพ่อของผมปวดหัวจึงทาน้ำมันนวดบนศีรษะ
    จึงมีคราบน้ำมันติดอยู่ที่มือ และไปติดผนังเวลาเดิน

    ภรรยาของผมตะโกนใส่ผมเมื่อเธอเห็นสิ่งนี้ และผมก็ตะโกนใส่พ่อของผม และบอกเขาว่าอย่าแตะกำแพงเมื่อเขาเดิน
    เขาดูเจ็บปวด และผมรู้สึกละอายใจกับพฤติกรรมของผมในภายหลัง แต่ผมไม่ได้ขอโทษเขา

    หลังจากนั้นพ่อของผมก็หยุดจับกำแพงเพื่อพยุงตัวเวลาเดิน
    แล้ววันหนึ่ง พ่อผมก็ล้มลงโดยไม่ตั้งใจ

    เขาล้มป่วยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาและเสียชีวิตหลังจากนั้นไม่นาน
    ผมรู้สึกผิดมากจนไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้

    สักพักเราก็อยากจะทาสีบ้านใหม่
    เมื่อช่างทาสีมา ลูกชายของผมเขาชื่นชอบปู่ของเขา ไม่ยอมให้ช่างทาสีลบรอยนิ้วมือของพ่อผมออกหรือทาสีบริเวณนั้น
    ช่างทาสีให้คำมั่นกับเด็กๆ ว่าจะไม่ลบลายนิ้วมือ/รอยมือออกจากผนัง แต่จะวาดลวดลายรอบๆ ให้อย่างสวยงาม ช่างทาสีเขาเก่งและมีความคิดสร้างสรรค์มาก

    หลังจากทาสีเสร็จ ลายมือของพ่อผม ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของบ้านของเรา และทุกคนที่มาเยี่ยมบ้านก็ชื่นชมการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์นี้

    เมื่อเวลาผ่านไป ผมอายุมากขึ้น ตอนนี้ผมก็ต้องการกำแพงเพื่อพยุงตัวช่วยเดินด้วย

    วันหนึ่งขณะเดิน จู่ๆ ผมก็นึกถึงคำพูดที่พูดกับพ่อว่า “อย่าแตะกำแพงเวลาเดิน” และผมพยายามเดินโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือ

    เมื่อลูกชายเห็นดังนั้น เขาก็เข้ามาหาผมทันทีและขอให้ผมเกาะกำแพงไว้ เพราะเขากังวลว่าถ้าผมไม่จับจะล้มลง
    ลูกสาวคนโตของผมก้าวไปข้างหน้าทันทีและให้ผมวางมือบนไหล่ของเธอ

    ผมเกือบจะเริ่มร้องไห้เงียบๆ
    ถ้าผมได้ทำสิ่งเดียวกันกับพ่อของผม เขาจะอายุยืนยาวขึ้นอย่างแน่นอน

    วันหนึ่งหลานสาวช่วยพยุงผมเดินด้วยกันในห้องนั่งเล่นแล้วขอให้ผมนั่งบนโซฟา เธอหยิบภาพที่วาดออกมาให้ผมดู
    ครูของเธอชื่นชมภาพวาดของเธอและเข้าใจความหมายของภาพวาดเหล่านั้น และให้คะแนนเธอสูงมาก
    ภาพวาดของเธอคือ "รอยมือของพ่อผม" บนผนัง

    ความเห็นของอาจารย์:
    “ฉันหวังว่าเด็กทุกคนจะรักผู้ใหญ่เหมือนกัน”

    ผมกลับไปที่ห้องและเริ่มร้องไห้เพื่อขอการให้อภัยจากพ่อที่เสียชีวิตไปแล้ว
    -
    วันหนึ่งเราในฐานะเด็กก็จะโตขึ้นเมื่อเราโตขึ้น
    อย่าลืมดูแลพ่อแม่ของเราอย่างอ่อนโยนและด้วยความรักเมื่อพวกเขาอายุมากขึ้น และสอนลูกๆ ของเราเช่นเดียวกัน
    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
    รูปภาพ และข้อความ โดย หวัง หลิงหลิง
    20/2/68 า ~รอยมือพ่อบนผนัง~ พ่อของผมอายุมากแล้วและต้องเกาะกำแพงเวลาเดิน เพื่อพยุงตัว เป็นผลให้ผนังที่เขาจับ เปลี่ยนสีและมีรอยนิ้วมือของเขาถูกทิ้งไว้บนผนัง ภรรยาของผมสังเกตเห็นสิ่งนี้และมักจะบ่นว่าผนังดูสกปรก วันหนึ่งพ่อของผมปวดหัวจึงทาน้ำมันนวดบนศีรษะ จึงมีคราบน้ำมันติดอยู่ที่มือ และไปติดผนังเวลาเดิน ภรรยาของผมตะโกนใส่ผมเมื่อเธอเห็นสิ่งนี้ และผมก็ตะโกนใส่พ่อของผม และบอกเขาว่าอย่าแตะกำแพงเมื่อเขาเดิน เขาดูเจ็บปวด และผมรู้สึกละอายใจกับพฤติกรรมของผมในภายหลัง แต่ผมไม่ได้ขอโทษเขา หลังจากนั้นพ่อของผมก็หยุดจับกำแพงเพื่อพยุงตัวเวลาเดิน แล้ววันหนึ่ง พ่อผมก็ล้มลงโดยไม่ตั้งใจ เขาล้มป่วยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาและเสียชีวิตหลังจากนั้นไม่นาน ผมรู้สึกผิดมากจนไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้ สักพักเราก็อยากจะทาสีบ้านใหม่ เมื่อช่างทาสีมา ลูกชายของผมเขาชื่นชอบปู่ของเขา ไม่ยอมให้ช่างทาสีลบรอยนิ้วมือของพ่อผมออกหรือทาสีบริเวณนั้น ช่างทาสีให้คำมั่นกับเด็กๆ ว่าจะไม่ลบลายนิ้วมือ/รอยมือออกจากผนัง แต่จะวาดลวดลายรอบๆ ให้อย่างสวยงาม ช่างทาสีเขาเก่งและมีความคิดสร้างสรรค์มาก หลังจากทาสีเสร็จ ลายมือของพ่อผม ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของบ้านของเรา และทุกคนที่มาเยี่ยมบ้านก็ชื่นชมการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์นี้ เมื่อเวลาผ่านไป ผมอายุมากขึ้น ตอนนี้ผมก็ต้องการกำแพงเพื่อพยุงตัวช่วยเดินด้วย วันหนึ่งขณะเดิน จู่ๆ ผมก็นึกถึงคำพูดที่พูดกับพ่อว่า “อย่าแตะกำแพงเวลาเดิน” และผมพยายามเดินโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือ เมื่อลูกชายเห็นดังนั้น เขาก็เข้ามาหาผมทันทีและขอให้ผมเกาะกำแพงไว้ เพราะเขากังวลว่าถ้าผมไม่จับจะล้มลง ลูกสาวคนโตของผมก้าวไปข้างหน้าทันทีและให้ผมวางมือบนไหล่ของเธอ ผมเกือบจะเริ่มร้องไห้เงียบๆ ถ้าผมได้ทำสิ่งเดียวกันกับพ่อของผม เขาจะอายุยืนยาวขึ้นอย่างแน่นอน วันหนึ่งหลานสาวช่วยพยุงผมเดินด้วยกันในห้องนั่งเล่นแล้วขอให้ผมนั่งบนโซฟา เธอหยิบภาพที่วาดออกมาให้ผมดู ครูของเธอชื่นชมภาพวาดของเธอและเข้าใจความหมายของภาพวาดเหล่านั้น และให้คะแนนเธอสูงมาก ภาพวาดของเธอคือ "รอยมือของพ่อผม" บนผนัง ความเห็นของอาจารย์: “ฉันหวังว่าเด็กทุกคนจะรักผู้ใหญ่เหมือนกัน” ผมกลับไปที่ห้องและเริ่มร้องไห้เพื่อขอการให้อภัยจากพ่อที่เสียชีวิตไปแล้ว - วันหนึ่งเราในฐานะเด็กก็จะโตขึ้นเมื่อเราโตขึ้น อย่าลืมดูแลพ่อแม่ของเราอย่างอ่อนโยนและด้วยความรักเมื่อพวกเขาอายุมากขึ้น และสอนลูกๆ ของเราเช่นเดียวกัน ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~ รูปภาพ และข้อความ โดย หวัง หลิงหลิง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมืองนิโคลาเยฟ ในยูเครน

    หญิงสูงอายุรายหนึ่งจุดชนวนระเบิดในถุงที่ข้างในใส่ระเบิดแสวงเครื่องไว้ต่อหน้ากลุ่มเจ้าหน้าที่ยูเครนที่ทำหน้าที่บังคับชายชาวยูเครนเข้าสู่แนวหน้า

    ต่อมาทราบว่าหญิงรายนี้ต้องสูญเสียลูกชายและสามีของเธอไปในสงคราม หลังจากถูกบังคับเข้าสู่แนวหน้า

    มีรายงานเจ้าหน้าที่ 1 รายเสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บอีก 6 ราย บางคนมีอาการสาหัส
    เมืองนิโคลาเยฟ ในยูเครน หญิงสูงอายุรายหนึ่งจุดชนวนระเบิดในถุงที่ข้างในใส่ระเบิดแสวงเครื่องไว้ต่อหน้ากลุ่มเจ้าหน้าที่ยูเครนที่ทำหน้าที่บังคับชายชาวยูเครนเข้าสู่แนวหน้า ต่อมาทราบว่าหญิงรายนี้ต้องสูญเสียลูกชายและสามีของเธอไปในสงคราม หลังจากถูกบังคับเข้าสู่แนวหน้า มีรายงานเจ้าหน้าที่ 1 รายเสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บอีก 6 ราย บางคนมีอาการสาหัส
    Sad
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 315 มุมมอง 30 0 รีวิว
  • 77 ปี จับ “หะยีสุหลง” จากโต๊ะอิหม่าม นักเคลื่อนไหว ปลายด้ามขวาน สู่สี่ชีวิตถูกอุ้มฆ่า ถ่วงทะเลสาบสงขลา

    📅 ย้อนไปเมื่อ 77 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 วันที่ชื่อของ "หะยีสุหลง โต๊ะมีนา" ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ไทย ในฐานะนักเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิของชาวมลายูมุสลิม ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทว่าการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม และสิทธิของประชาชนของเหะยีสุหลง กลับจบลงอย่างโศกนาฏกรรม

    หะยีสุหลงพร้อมกับผู้ติดตามอีก 3 คน หายตัวไปหลังจากเดินทางไปยัง กองบัญชาการตำรวจสันติบาล จังหวัดสงขลา ก่อนถูกสังหาร และถ่วงน้ำในทะเลสาบสงขลา เหตุการณ์นี้กลายเป็น หนึ่งในกรณีการอุ้มฆ่าทางการเมือง ที่สำคัญที่สุดของไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้ง ระหว่างอำนาจรัฐ กับกลุ่มชนพื้นเมืองในภาคใต้

    🔍 "หะยีสุหลง บิน อับดุลกาเคร์ ฒูฮัมมัด เอล ฟาโทนิ" หรือที่รู้จักในนาม "หะยีสุหลง" เป็นผู้นำศาสนาและนักเคลื่อนไหวทางสังคม ของชาวมลายูมุสลิม ในภาคใต้ของไทย เป็นประธานกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี และเป็นบุคคลสำคัญ ในการเรียกร้องให้รัฐไทย ให้ความเป็นธรรมแก่ชาวมุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้

    📌 ภารกิจของหะยีสุหลง
    ✅ ปรับปรุงระบบการศึกษา โดยก่อตั้ง "ปอเนาะ" หรือโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามแห่งแรก
    ✅ ส่งเสริมศาสนาอิสลามที่ถูกต้อง ต่อต้านความเชื่อที่ขัดกับหลักศาสนา
    ✅ เรียกร้องสิทธิและความเป็นธรรม ให้ชาวมลายูมุสลิม ภายใต้กรอบของรัฐไทย

    แต่... เส้นทางการต่อสู้ กลับนำไปสู่ความขัดแย้งกับรัฐบาลไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่หะยีสุหลงเสนอ "7 ข้อเรียกร้อง" ต่อรัฐบาลไทย

    📜 7 ข้อเรียกร้องของหะยีสุหลง พ.ศ. 2490
    ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2490 หะยีสุหลงได้เสนอข้อเรียกร้อง 7 ประการต่อ พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่งเป็นข้อเสนอ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม แก่ประชาชนมุสลิม ในภาคใต้

    📝 รายละเอียดของ 7 ข้อเรียกร้อง
    1. ให้แต่งตั้งผู้ว่าราชการ ที่เป็นชาวมลายูมุสลิม และมาจากการเลือกตั้ง
    2. ข้าราชการในพื้นที่ ต้องเป็นมุสลิมอย่างน้อย 80%
    3. ให้ใช้ภาษามลายูและภาษาไทย เป็นภาษาราชการ
    4. ให้ภาษามลายูเป็นภาษากลาง ในโรงเรียนระดับประถมศึกษา
    5. ให้ใช้กฎหมายอิสลาม ในการพิจารณาคดีของศาลศาสนา
    6. รายได้จากภาษีใน 4 จังหวัด ต้องถูกใช้ในพื้นที่นั้น
    7. ให้จัดตั้งคณะกรรมการมุสลิม เพื่อดูแลกิจการของชาวมุสลิม

    💡 แต่กลับเกิดผลกระทบ เนื่องจากข้อเรียกร้องนี้ถูกมองว่า เป็นการพยายามแบ่งแยกดินแดน นำไปสู่การจับกุม และกล่าวหาหะยีสุหลงว่าเป็น "กบฏ"

    ⚖️ หลังการรัฐประหารในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ซึ่งเปลี่ยนแปลงรัฐบาล มาเป็นฝ่ายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม แนวคิด "7 ข้อเรียกร้อง" ของหะยีสุหลง ถูกตีความว่า เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ

    📅 เหตุการณ์สำคัญ
    16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 → หะยีสุหลงถูกจับกุมที่ปัตตานี
    30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493 → ศาลฎีกาตัดสินจำคุก 4 ปี 8 เดือน ในข้อหาปลุกระดม ให้ประชาชนต่อต้านรัฐ

    หลังจากพ้นโทษ หะยีสุหลงยังคงถูกจับตามอง และเผชิญกับการคุกคามจากฝ่ายรัฐ จนนำไปสู่เหตุการณ์ "การอุ้มหาย" ที่สร้างความตื่นตัวในสังคม

    🚨 การอุ้มหายและสังหาร 13 สิงหาคม พ.ศ. 2497
    หลังจากได้รับคำสั่ง ให้เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สงขลา หะยีสุหลงพร้อมลูกชายวัย 15 ปี ซึ่งเป็นล่าม และพรรคพวกอีก 2 คน ได้เดินทางไปยัง สำนักงานตำรวจสันติบาลจังหวัดสงชลา

    ❌ แล้วพวกเขาก็หายตัวไป...
    หลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่า พวกเขาถูกสังหารในบังกะโล ริมทะเลสาบสงขลา โดยใช้เชือกรัดคอ คว้านท้องศพ แล้วผูกกับแท่งซีเมนต์ก่อนถ่วงน้ำ มีหลักฐานโยงไปถึง พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น ว่าเป็นผู้บงการอุ้มฆ่า

    เหตุการณ์นี้ กลายเป็นหนึ่งในคดีอุ้มหาย ที่สะเทือนขวัญที่สุดของไทย และแม้ว่าจะมีการรื้อฟื้นคดี ในปี พ.ศ. 2500 แต่สุดท้าย... ก็ไม่มีใครต้องรับผิดชอบ

    🏛️ เหตุการณ์การอุ้มหายของหะยีสุหลง ส่งผลให้เกิดกระแสต่อต้านรัฐบาล และสร้างแรงบันดาลใจ ให้ขบวนการเคลื่อนไหวในภาคใต้

    📌 ผลกระทบที่สำคัญ
    ✅ จุดชนวนความไม่พอใจ ของชาวมลายูมุสลิมต่อรัฐไทย
    ✅ ทำให้ปัญหาความขัดแย้งใน 4 จังหวัดภาคใต้รุนแรงขึ้น
    ✅ กระตุ้นให้เกิดขบวนการเคลื่อนไห วและกลุ่มติดอาวุธในเวลาต่อมา

    แม้ว่าปัจจุบันปัญหาภาคใต้ จะมีพัฒนาการที่ซับซ้อนขึ้น แต่เหตุการณ์ของหะยีสุหลง ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจ ถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหา ด้วยสันติวิธีและความเป็นธรรม

    📌 กรณีของหะยีสุหลง แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อน ของปัญหาชายแดนใต้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ วัฒนธรรม และการปกครองของรัฐไทย 🔎

    ⚖️ สิ่งที่รัฐควรเรียนรู้
    ✅ การให้สิทธิทางวัฒนธรรมและศาสนา แก่กลุ่มชาติพันธุ์
    ✅ การเปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมทางการเมือง
    ✅ การแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ด้วยกระบวนการสันติ

    📌 เหตุการณ์นี้ เป็นหนึ่งในบทเรียนสำคัญ ของประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งยังคงมีอิทธิพล ต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน ⬇️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 161122 ก.พ. 2568

    #หะยีสุหลง #ชายแดนใต้ #อุ้มหาย #77ปีหะยีสุหลง #ประวัติศาสตร์ไทย
    77 ปี จับ “หะยีสุหลง” จากโต๊ะอิหม่าม นักเคลื่อนไหว ปลายด้ามขวาน สู่สี่ชีวิตถูกอุ้มฆ่า ถ่วงทะเลสาบสงขลา 📅 ย้อนไปเมื่อ 77 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 วันที่ชื่อของ "หะยีสุหลง โต๊ะมีนา" ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ไทย ในฐานะนักเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิของชาวมลายูมุสลิม ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทว่าการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม และสิทธิของประชาชนของเหะยีสุหลง กลับจบลงอย่างโศกนาฏกรรม หะยีสุหลงพร้อมกับผู้ติดตามอีก 3 คน หายตัวไปหลังจากเดินทางไปยัง กองบัญชาการตำรวจสันติบาล จังหวัดสงขลา ก่อนถูกสังหาร และถ่วงน้ำในทะเลสาบสงขลา เหตุการณ์นี้กลายเป็น หนึ่งในกรณีการอุ้มฆ่าทางการเมือง ที่สำคัญที่สุดของไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้ง ระหว่างอำนาจรัฐ กับกลุ่มชนพื้นเมืองในภาคใต้ 🔍 "หะยีสุหลง บิน อับดุลกาเคร์ ฒูฮัมมัด เอล ฟาโทนิ" หรือที่รู้จักในนาม "หะยีสุหลง" เป็นผู้นำศาสนาและนักเคลื่อนไหวทางสังคม ของชาวมลายูมุสลิม ในภาคใต้ของไทย เป็นประธานกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี และเป็นบุคคลสำคัญ ในการเรียกร้องให้รัฐไทย ให้ความเป็นธรรมแก่ชาวมุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้ 📌 ภารกิจของหะยีสุหลง ✅ ปรับปรุงระบบการศึกษา โดยก่อตั้ง "ปอเนาะ" หรือโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามแห่งแรก ✅ ส่งเสริมศาสนาอิสลามที่ถูกต้อง ต่อต้านความเชื่อที่ขัดกับหลักศาสนา ✅ เรียกร้องสิทธิและความเป็นธรรม ให้ชาวมลายูมุสลิม ภายใต้กรอบของรัฐไทย แต่... เส้นทางการต่อสู้ กลับนำไปสู่ความขัดแย้งกับรัฐบาลไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่หะยีสุหลงเสนอ "7 ข้อเรียกร้อง" ต่อรัฐบาลไทย 📜 7 ข้อเรียกร้องของหะยีสุหลง พ.ศ. 2490 ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2490 หะยีสุหลงได้เสนอข้อเรียกร้อง 7 ประการต่อ พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่งเป็นข้อเสนอ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม แก่ประชาชนมุสลิม ในภาคใต้ 📝 รายละเอียดของ 7 ข้อเรียกร้อง 1. ให้แต่งตั้งผู้ว่าราชการ ที่เป็นชาวมลายูมุสลิม และมาจากการเลือกตั้ง 2. ข้าราชการในพื้นที่ ต้องเป็นมุสลิมอย่างน้อย 80% 3. ให้ใช้ภาษามลายูและภาษาไทย เป็นภาษาราชการ 4. ให้ภาษามลายูเป็นภาษากลาง ในโรงเรียนระดับประถมศึกษา 5. ให้ใช้กฎหมายอิสลาม ในการพิจารณาคดีของศาลศาสนา 6. รายได้จากภาษีใน 4 จังหวัด ต้องถูกใช้ในพื้นที่นั้น 7. ให้จัดตั้งคณะกรรมการมุสลิม เพื่อดูแลกิจการของชาวมุสลิม 💡 แต่กลับเกิดผลกระทบ เนื่องจากข้อเรียกร้องนี้ถูกมองว่า เป็นการพยายามแบ่งแยกดินแดน นำไปสู่การจับกุม และกล่าวหาหะยีสุหลงว่าเป็น "กบฏ" ⚖️ หลังการรัฐประหารในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ซึ่งเปลี่ยนแปลงรัฐบาล มาเป็นฝ่ายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม แนวคิด "7 ข้อเรียกร้อง" ของหะยีสุหลง ถูกตีความว่า เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ 📅 เหตุการณ์สำคัญ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 → หะยีสุหลงถูกจับกุมที่ปัตตานี 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493 → ศาลฎีกาตัดสินจำคุก 4 ปี 8 เดือน ในข้อหาปลุกระดม ให้ประชาชนต่อต้านรัฐ หลังจากพ้นโทษ หะยีสุหลงยังคงถูกจับตามอง และเผชิญกับการคุกคามจากฝ่ายรัฐ จนนำไปสู่เหตุการณ์ "การอุ้มหาย" ที่สร้างความตื่นตัวในสังคม 🚨 การอุ้มหายและสังหาร 13 สิงหาคม พ.ศ. 2497 หลังจากได้รับคำสั่ง ให้เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สงขลา หะยีสุหลงพร้อมลูกชายวัย 15 ปี ซึ่งเป็นล่าม และพรรคพวกอีก 2 คน ได้เดินทางไปยัง สำนักงานตำรวจสันติบาลจังหวัดสงชลา ❌ แล้วพวกเขาก็หายตัวไป... หลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่า พวกเขาถูกสังหารในบังกะโล ริมทะเลสาบสงขลา โดยใช้เชือกรัดคอ คว้านท้องศพ แล้วผูกกับแท่งซีเมนต์ก่อนถ่วงน้ำ มีหลักฐานโยงไปถึง พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น ว่าเป็นผู้บงการอุ้มฆ่า เหตุการณ์นี้ กลายเป็นหนึ่งในคดีอุ้มหาย ที่สะเทือนขวัญที่สุดของไทย และแม้ว่าจะมีการรื้อฟื้นคดี ในปี พ.ศ. 2500 แต่สุดท้าย... ก็ไม่มีใครต้องรับผิดชอบ 🏛️ เหตุการณ์การอุ้มหายของหะยีสุหลง ส่งผลให้เกิดกระแสต่อต้านรัฐบาล และสร้างแรงบันดาลใจ ให้ขบวนการเคลื่อนไหวในภาคใต้ 📌 ผลกระทบที่สำคัญ ✅ จุดชนวนความไม่พอใจ ของชาวมลายูมุสลิมต่อรัฐไทย ✅ ทำให้ปัญหาความขัดแย้งใน 4 จังหวัดภาคใต้รุนแรงขึ้น ✅ กระตุ้นให้เกิดขบวนการเคลื่อนไห วและกลุ่มติดอาวุธในเวลาต่อมา แม้ว่าปัจจุบันปัญหาภาคใต้ จะมีพัฒนาการที่ซับซ้อนขึ้น แต่เหตุการณ์ของหะยีสุหลง ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจ ถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหา ด้วยสันติวิธีและความเป็นธรรม 📌 กรณีของหะยีสุหลง แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อน ของปัญหาชายแดนใต้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ วัฒนธรรม และการปกครองของรัฐไทย 🔎 ⚖️ สิ่งที่รัฐควรเรียนรู้ ✅ การให้สิทธิทางวัฒนธรรมและศาสนา แก่กลุ่มชาติพันธุ์ ✅ การเปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมทางการเมือง ✅ การแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ด้วยกระบวนการสันติ 📌 เหตุการณ์นี้ เป็นหนึ่งในบทเรียนสำคัญ ของประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งยังคงมีอิทธิพล ต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน ⬇️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 161122 ก.พ. 2568 #หะยีสุหลง #ชายแดนใต้ #อุ้มหาย #77ปีหะยีสุหลง #ประวัติศาสตร์ไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 304 มุมมอง 0 รีวิว
  • JD Vance รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปฏิเสธข่าวในหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัลของสหรัฐฯ ที่อ้างคำพูดของเขาว่าอาจส่งกองทหารสหรัฐฯ ไปยังยูเครน หากรัสเซียไม่เห็นด้วยกับแผนสันติภาพ

    "ประธานาธิบดีทรัมป์คือนักเจรจาตัวจริง และจะนำสันติภาพมาสู่ภูมิภาคด้วยการยุติสงครามในยูเครน ตามที่เราพูดเสมอ ไม่ควรส่งทหารอเมริกันไปเสี่ยงอันตรายในที่ที่ไม่ได้ส่งเสริมผลประโยชน์และความมั่นคงของอเมริกา สงครามนี้เป็นเรื่องระหว่างรัสเซียกับยูเครน" Vance กล่าว พร้อมโพสต์ข้อความซ้ำจากผู้ใช้โซเชียลมีเดียที่กล่าวหาว่าวอลล์สตรีทเจอร์นัลรายงานคำพูดของเขาไม่ถูกต้องอย่างร้ายแรง

    "การที่ WSJ บิดเบือนคำพูดของผมในลักษณะนี้เป็นเรื่องไร้สาระ แต่ก็ไม่น่าแปลกใจ เมื่อพิจารณาว่าพวกเขาใช้เวลาหลายปีในการผลักดันให้ลูกชายลูกสาวชาวอเมริกันในเครื่องแบบต้องไปประจำการในต่างประเทศโดยไม่จำเป็น"

    .

    การรายงานข่าวคำให้สัมภาษณ์ของแวนซ์โดย WSJ ทำให้รัฐบาลรัสเซียออกมาตอบโต้ทันที โดยเรียกร้องให้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้กำลังทหารสหรัฐเข้าสู่ยูเครน
    JD Vance รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปฏิเสธข่าวในหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัลของสหรัฐฯ ที่อ้างคำพูดของเขาว่าอาจส่งกองทหารสหรัฐฯ ไปยังยูเครน หากรัสเซียไม่เห็นด้วยกับแผนสันติภาพ "ประธานาธิบดีทรัมป์คือนักเจรจาตัวจริง และจะนำสันติภาพมาสู่ภูมิภาคด้วยการยุติสงครามในยูเครน ตามที่เราพูดเสมอ ไม่ควรส่งทหารอเมริกันไปเสี่ยงอันตรายในที่ที่ไม่ได้ส่งเสริมผลประโยชน์และความมั่นคงของอเมริกา สงครามนี้เป็นเรื่องระหว่างรัสเซียกับยูเครน" Vance กล่าว พร้อมโพสต์ข้อความซ้ำจากผู้ใช้โซเชียลมีเดียที่กล่าวหาว่าวอลล์สตรีทเจอร์นัลรายงานคำพูดของเขาไม่ถูกต้องอย่างร้ายแรง "การที่ WSJ บิดเบือนคำพูดของผมในลักษณะนี้เป็นเรื่องไร้สาระ แต่ก็ไม่น่าแปลกใจ เมื่อพิจารณาว่าพวกเขาใช้เวลาหลายปีในการผลักดันให้ลูกชายลูกสาวชาวอเมริกันในเครื่องแบบต้องไปประจำการในต่างประเทศโดยไม่จำเป็น" . การรายงานข่าวคำให้สัมภาษณ์ของแวนซ์โดย WSJ ทำให้รัฐบาลรัสเซียออกมาตอบโต้ทันที โดยเรียกร้องให้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้กำลังทหารสหรัฐเข้าสู่ยูเครน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 208 มุมมอง 0 รีวิว
  • ท้ายสุดแต่ยังไม่ใช่คนสุดท้าย วันพฤหัสฯเมื่อวานนี้ นายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี้ จูเนียร์ (Robert F. Kennedy) หรือ RFK Jr. ได้รับมติจากสภาสูงหรือซีเนทในคองเกรส ด้วยคะแนนเสียงชนะ 52:48 รับเลือกให้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขและบริการประชาชน (Health and Human Services) ในค.ร.ม.รัฐบาลของนายทรัมป์2.0 ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกา นายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี้ จูเนียร์ เป็นลูกชายของนายโรเบิร์ต เคนเนดี้ อดีตอัยการสูงสุดของรัฐบาลกลางหรือเทียบเท่ารัฐมนตรียุติธรรม และยังเป็นหลานลุงคือนายจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ อดีตประธานาธิบดีคนที่ 35 ของสหรัฐอเมริกา แต่ทั้งพ่อและลุงของเขาถูกลอบสังหารเสียชีวิตทั้งคู่ในประเด็นการเมือง นาย RFK Jr. ในอดีตเคยสังกัดพรรคเดโมแครตมาก่อน แต่ตอนหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแข่งกับนายทรัมป์เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 ปีที่แล้ว เขาลงแข่งในนามพรรคอิสระ แต่กลางเดือนกรกฎาคมปีที่แล้วขณะมีการประชุมใหญ่คอนเวนชั่นของพรรคริพับลิกันที่เมืองมิลวอกี้ของรัฐวิสคอนซิล นาย RFK Jr. เดินเข้าไปปรากฏตัวระหว่างการประชุมพร้อมกับประกาศสนับสนุนนายโดนัล ทรัมป์ ให้ได้รับเลือกเป็นผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแข่งกับนางคามารา แฮรีส ผู้สมัครในนามพรรคเดโมแครต นาย RFK Jr. มีข่าวเกรียวกราวมากตอนหาเสียง เพราะเขาเป็นผู้สมัครคนเดียวที่ต่อต้านการฉีดวัคซีนตอนช่วงไวรัสโควิด19ระบาดไปทั่วโลกของบริษัทยา ที่ยังไม่เคยได้มีการทดลองหาผลข้างเคียงที่อาจจะมีภัยต่อมนุษย์มาก่อน กับทั้งเขายังต่อต้านกับบริษัทอาหารที่ใช้สารเคมีหลายอย่างร่วมกับการปรุงอาหารอีกด้วย ตรงนี้นี่เองที่พรรคเดโมแครตจึงไม่คิดที่จะส่งเขาเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อปีที่แล้ว วันนี้นายทรัมป์เห็นความดีงามของเขา จึงมอบตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขฯให้กับนาย RFK Jr. เป็นการตอบแทน
    ท้ายสุดแต่ยังไม่ใช่คนสุดท้าย วันพฤหัสฯเมื่อวานนี้ นายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี้ จูเนียร์ (Robert F. Kennedy) หรือ RFK Jr. ได้รับมติจากสภาสูงหรือซีเนทในคองเกรส ด้วยคะแนนเสียงชนะ 52:48 รับเลือกให้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขและบริการประชาชน (Health and Human Services) ในค.ร.ม.รัฐบาลของนายทรัมป์2.0 ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกา นายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี้ จูเนียร์ เป็นลูกชายของนายโรเบิร์ต เคนเนดี้ อดีตอัยการสูงสุดของรัฐบาลกลางหรือเทียบเท่ารัฐมนตรียุติธรรม และยังเป็นหลานลุงคือนายจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ อดีตประธานาธิบดีคนที่ 35 ของสหรัฐอเมริกา แต่ทั้งพ่อและลุงของเขาถูกลอบสังหารเสียชีวิตทั้งคู่ในประเด็นการเมือง นาย RFK Jr. ในอดีตเคยสังกัดพรรคเดโมแครตมาก่อน แต่ตอนหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแข่งกับนายทรัมป์เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 ปีที่แล้ว เขาลงแข่งในนามพรรคอิสระ แต่กลางเดือนกรกฎาคมปีที่แล้วขณะมีการประชุมใหญ่คอนเวนชั่นของพรรคริพับลิกันที่เมืองมิลวอกี้ของรัฐวิสคอนซิล นาย RFK Jr. เดินเข้าไปปรากฏตัวระหว่างการประชุมพร้อมกับประกาศสนับสนุนนายโดนัล ทรัมป์ ให้ได้รับเลือกเป็นผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแข่งกับนางคามารา แฮรีส ผู้สมัครในนามพรรคเดโมแครต นาย RFK Jr. มีข่าวเกรียวกราวมากตอนหาเสียง เพราะเขาเป็นผู้สมัครคนเดียวที่ต่อต้านการฉีดวัคซีนตอนช่วงไวรัสโควิด19ระบาดไปทั่วโลกของบริษัทยา ที่ยังไม่เคยได้มีการทดลองหาผลข้างเคียงที่อาจจะมีภัยต่อมนุษย์มาก่อน กับทั้งเขายังต่อต้านกับบริษัทอาหารที่ใช้สารเคมีหลายอย่างร่วมกับการปรุงอาหารอีกด้วย ตรงนี้นี่เองที่พรรคเดโมแครตจึงไม่คิดที่จะส่งเขาเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อปีที่แล้ว วันนี้นายทรัมป์เห็นความดีงามของเขา จึงมอบตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขฯให้กับนาย RFK Jr. เป็นการตอบแทน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 186 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาพหน้าปกนิตยสารไทม์สล่าสุดทำเอาจี๊ดเมื่อจับมหาเศรษฐีพันล้าน “อีลอน มัสก์” ขึ้นปกจัดให้นั่งหลังโต๊ะประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในทำเนียบขาวบริหารอเมริกา นักข่าวใช้ไมโครโฟนจี้ถาม ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ถึงภาพปกใหม่ โดนตอบกลับ “ยังทำธุรกิจอยู่อีกหรือ?”
    .
    CNNของสหรัฐฯ รายงานวันศุกร์ (7 ก.พ.) ว่า นักข่าวชื่อดังประจำนิตยสารไทม์ส ไซมอน ชัสเตอร์ (Simon Schuster) และไบรอัน เบนเนตต์ (Brian Bennett) แสดงความเห็นว่า “มาจนถึงเวลานี้ มัสก์์ (อีลอน มัสก์) ดูเหมือนไม่อยู่ภายใต้ใครยกเว้นประธานาธิบดีทรัมป์ผู้ที่ให้อำนาจกวาดล้างแก่คนที่ช่วยให้เขาชนะเพื่อให้รัฐบาลสหรัฐฯ ทำตามเป้าหมายของเขา”
    .
    โดยภาพปกฮือฮาและมีสีสันของนิตยสารไทม์สล่าสุดแสดงให้เห็นมหาเศรษฐีอเมริกันเจ้าของเทสลาและสเปซเอ็กซ์ “อีลอน มัสก์” ขึ้นปกจัดให้นั่งหลังโต๊ะทำงานประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในห้องทำงานรูปไข่ภายในทำเนียบขาวนั่งบริหารประเทศแทนทรัมป์
    .
    มือของมัสก์ถือแก้วกาแฟและเขานั่งระหว่างธงชาติสหรัฐฯ และธงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตัดฉากหลังสีแดงสด เป็นภาพปกที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สำนักงานประสิทธิภาพรัฐ DOGE ที่ตั้งใหม่โดยทรัมป์ให้มัสก์บริหาร และตามมาด้วยการสั่งปิด USAID และหมายตาเพื่อล้างบางไปที่หน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯ อื่นอีก 14 แห่ง รวมกระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์
    .
    CNN รายงานว่าขณะที่ทรัมป์เองวันศุกร์ (7) สั่งปลดผู้บริหารสูงสุดสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติสหรัฐฯ NARA แบบฟ้าผ่าจากเหตุผลเกี่ยวข้องกับคดีทรัมป์นำเอกสารลับทำเนียบขาว รวมจดหมายจากประธานาธิบดีเกาหลีเหนือ คิม จองอึน มาเก็บไว้ที่คฤหาสน์ Mar-a-Lago ที่รัฐฟลอริดา
    .
    และในวันเดียวกัน (7) ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งทางบริหารสั่งตัดเงินช่วยเหลือแอฟริกาใต้ อ้างอิงจากเดอะการ์เดียนของอังกฤษรายงานวันเสาร์ (8)
    .
    โดยทรัมป์ให้เหตุผลว่า เป็นการกีดกันทางเชื้อชาติอย่างไม่ชอบธรรมต่อชาวแอฟริกาใต้ผิวขาวพร้อมเสนอให้คนเหล่านั้นสามารถเข้าไปลี้ภัยต่อในอเมริกา
    .
    เป็นการออกมาวิจารณ์ต่อกฎหมายที่ทรัมป์เห็นว่าไม่ชอบธรรมในการพริทอเรียเปิดโอกาสให้สามารถยึดที่ดินของแอฟริกันผิวขาวได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าเยียวยาในบางกรณี
    .
    แอฟริกาใต้เป็นประเทศบ้านเกิดของอีลอน มัสก์ ก่อนที่เขาจะย้ายไปอเมริกาและเปลี่ยนสัญชาติในที่สุด พ่อของเขาคือ เออโรล มัสก์ (Errol Musk) ปัจจุบันอายุ 79 ปี และยังอาศัยอยู่ที่แอฟริกาใต้ แต่เมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา รอยเตอร์รายงานว่า พ่อของเขาอ้างว่า ที่ปรึกษาของประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ ซีริล รามาโฟซา ได้ร้องขอให้ช่วยประสานโทรศัพท์ติดต่อหารือระหว่างรามาโฟซา และลูกชายอีลอน มัสก์เกิดขึ้นก่อนข่าวสหรัฐฯ จะตัดเงินช่วยเหลือแอฟริกาใต้อ้างเหตุกฎหมายที่ดินแอฟริกาใต้
    .
    โดยการทูตหลังบ้านแบบรีบด่วนหลังผู้นำสหรัฐฯ ได้โพสต์ทางออนไลน์โดยไม่แสดงหลักฐานว่า แอฟริกาใต้กำลังยึดที่ดินและ “บางชนชั้น” กำลังได้รับการปฏิบัติอย่างเลวร้าย
    .
    CNN รายงานต่อว่า เป็นครั้งที่ 2 ที่นิตยสารไทม์สขึ้นปก อีลอน มัสก์ หลังเมื่อพฤศจิกายนล่าสุดมีการขึ้นปกรูปเจ้าของบริษัทเทสลาพร้อมคำว่า “ประชาชนมัสก์” (Citizen Musk) แสดงให้เห็นถึงความเป็นคนที่ช่วยให้ทรัมป์ชนะเลือกตั้งได้สำเร็จ
    .
    อย่างไรก็ตาม เมื่อนักข่าวถามทรัมป์ที่ทำเนียบขาวในวันศุกร์ (7) ถึงปกนิตยสารไทม์สล่าสุดว่าเป็นเช่นใด
    .
    เขากลับตอบกลับมาว่า “นิตยสารไทม์สยังทำธุรกิจอยู่อีกหรือ?” และเสริมต่อว่า “ผมไม่รู้เลยนะนี่
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013144
    ..............
    Sondhi X
    ภาพหน้าปกนิตยสารไทม์สล่าสุดทำเอาจี๊ดเมื่อจับมหาเศรษฐีพันล้าน “อีลอน มัสก์” ขึ้นปกจัดให้นั่งหลังโต๊ะประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในทำเนียบขาวบริหารอเมริกา นักข่าวใช้ไมโครโฟนจี้ถาม ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ถึงภาพปกใหม่ โดนตอบกลับ “ยังทำธุรกิจอยู่อีกหรือ?” . CNNของสหรัฐฯ รายงานวันศุกร์ (7 ก.พ.) ว่า นักข่าวชื่อดังประจำนิตยสารไทม์ส ไซมอน ชัสเตอร์ (Simon Schuster) และไบรอัน เบนเนตต์ (Brian Bennett) แสดงความเห็นว่า “มาจนถึงเวลานี้ มัสก์์ (อีลอน มัสก์) ดูเหมือนไม่อยู่ภายใต้ใครยกเว้นประธานาธิบดีทรัมป์ผู้ที่ให้อำนาจกวาดล้างแก่คนที่ช่วยให้เขาชนะเพื่อให้รัฐบาลสหรัฐฯ ทำตามเป้าหมายของเขา” . โดยภาพปกฮือฮาและมีสีสันของนิตยสารไทม์สล่าสุดแสดงให้เห็นมหาเศรษฐีอเมริกันเจ้าของเทสลาและสเปซเอ็กซ์ “อีลอน มัสก์” ขึ้นปกจัดให้นั่งหลังโต๊ะทำงานประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในห้องทำงานรูปไข่ภายในทำเนียบขาวนั่งบริหารประเทศแทนทรัมป์ . มือของมัสก์ถือแก้วกาแฟและเขานั่งระหว่างธงชาติสหรัฐฯ และธงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตัดฉากหลังสีแดงสด เป็นภาพปกที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สำนักงานประสิทธิภาพรัฐ DOGE ที่ตั้งใหม่โดยทรัมป์ให้มัสก์บริหาร และตามมาด้วยการสั่งปิด USAID และหมายตาเพื่อล้างบางไปที่หน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯ อื่นอีก 14 แห่ง รวมกระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ . CNN รายงานว่าขณะที่ทรัมป์เองวันศุกร์ (7) สั่งปลดผู้บริหารสูงสุดสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติสหรัฐฯ NARA แบบฟ้าผ่าจากเหตุผลเกี่ยวข้องกับคดีทรัมป์นำเอกสารลับทำเนียบขาว รวมจดหมายจากประธานาธิบดีเกาหลีเหนือ คิม จองอึน มาเก็บไว้ที่คฤหาสน์ Mar-a-Lago ที่รัฐฟลอริดา . และในวันเดียวกัน (7) ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งทางบริหารสั่งตัดเงินช่วยเหลือแอฟริกาใต้ อ้างอิงจากเดอะการ์เดียนของอังกฤษรายงานวันเสาร์ (8) . โดยทรัมป์ให้เหตุผลว่า เป็นการกีดกันทางเชื้อชาติอย่างไม่ชอบธรรมต่อชาวแอฟริกาใต้ผิวขาวพร้อมเสนอให้คนเหล่านั้นสามารถเข้าไปลี้ภัยต่อในอเมริกา . เป็นการออกมาวิจารณ์ต่อกฎหมายที่ทรัมป์เห็นว่าไม่ชอบธรรมในการพริทอเรียเปิดโอกาสให้สามารถยึดที่ดินของแอฟริกันผิวขาวได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าเยียวยาในบางกรณี . แอฟริกาใต้เป็นประเทศบ้านเกิดของอีลอน มัสก์ ก่อนที่เขาจะย้ายไปอเมริกาและเปลี่ยนสัญชาติในที่สุด พ่อของเขาคือ เออโรล มัสก์ (Errol Musk) ปัจจุบันอายุ 79 ปี และยังอาศัยอยู่ที่แอฟริกาใต้ แต่เมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา รอยเตอร์รายงานว่า พ่อของเขาอ้างว่า ที่ปรึกษาของประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ ซีริล รามาโฟซา ได้ร้องขอให้ช่วยประสานโทรศัพท์ติดต่อหารือระหว่างรามาโฟซา และลูกชายอีลอน มัสก์เกิดขึ้นก่อนข่าวสหรัฐฯ จะตัดเงินช่วยเหลือแอฟริกาใต้อ้างเหตุกฎหมายที่ดินแอฟริกาใต้ . โดยการทูตหลังบ้านแบบรีบด่วนหลังผู้นำสหรัฐฯ ได้โพสต์ทางออนไลน์โดยไม่แสดงหลักฐานว่า แอฟริกาใต้กำลังยึดที่ดินและ “บางชนชั้น” กำลังได้รับการปฏิบัติอย่างเลวร้าย . CNN รายงานต่อว่า เป็นครั้งที่ 2 ที่นิตยสารไทม์สขึ้นปก อีลอน มัสก์ หลังเมื่อพฤศจิกายนล่าสุดมีการขึ้นปกรูปเจ้าของบริษัทเทสลาพร้อมคำว่า “ประชาชนมัสก์” (Citizen Musk) แสดงให้เห็นถึงความเป็นคนที่ช่วยให้ทรัมป์ชนะเลือกตั้งได้สำเร็จ . อย่างไรก็ตาม เมื่อนักข่าวถามทรัมป์ที่ทำเนียบขาวในวันศุกร์ (7) ถึงปกนิตยสารไทม์สล่าสุดว่าเป็นเช่นใด . เขากลับตอบกลับมาว่า “นิตยสารไทม์สยังทำธุรกิจอยู่อีกหรือ?” และเสริมต่อว่า “ผมไม่รู้เลยนะนี่ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013144 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Yay
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1304 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์กล่าวกับสื่อขณะอยู่บนเครื่องบินแอร์ ฟอร์ซ วัน เมื่อวันศุกร์ เกี่ยวกับการโทรศัพท์คุยกับผู้นำรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน เพื่อพยายามเจรจายุติสงครามยูเครน โดยเขากล่าวว่า

    - ผู้นำรัสเซีย "ไม่เคยมุ่งหวังให้ผู้คนต้องเสียชีวิตจากความขัดแย้งในยูเครน"

    - นอกจากนี้ ทรัมป์ยังคงปิดปากเงียบ โดยไม่ยอมบอกว่า ที่ผ่านมาเขาเคยสนทนากับปูตินมาแล้วกี่ครั้ง “ผมไมขอพูดถึงตรงนั้น” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตอบคำถามสื่อเกี่ยวกับจำนวนครั้งที่ผู้นำรัสเซียและสหรัฐเคยพูดคุนกัน

    - ทรัมป์ยังบอกอีกว่า เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับปูตินมาโดยตลอด ต่างจากไบเดน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐที่ต้องการโค่นล้มปูติน

    - ทรัมป์กล่าวหาไบเดนว่า “เป็นความเสื่อมเสียของอเมริกาอย่างสมบูรณ์”

    - ไมค์ วอลท์ซ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งร่วมเดินทางกับทรัมป์ในครั้งนี้ กล่าวเสริมถึงประธานาธิบดีปูตินว่า "เรามาเริ่มการประชุมกันเถอะ พวกเขาต้องการพบปะกัน ผู้คนต้องเสียชีวิตทุกวัน ทหารที่ยังหนุ่มต้องมาสังเวยชีวิต พวกเขาอยู่ในวัยเดียวกับลูกชายของผม ทั้งนั้น ทั่วทั้งสนามรบ"
    ทรัมป์กล่าวกับสื่อขณะอยู่บนเครื่องบินแอร์ ฟอร์ซ วัน เมื่อวันศุกร์ เกี่ยวกับการโทรศัพท์คุยกับผู้นำรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน เพื่อพยายามเจรจายุติสงครามยูเครน โดยเขากล่าวว่า - ผู้นำรัสเซีย "ไม่เคยมุ่งหวังให้ผู้คนต้องเสียชีวิตจากความขัดแย้งในยูเครน" - นอกจากนี้ ทรัมป์ยังคงปิดปากเงียบ โดยไม่ยอมบอกว่า ที่ผ่านมาเขาเคยสนทนากับปูตินมาแล้วกี่ครั้ง “ผมไมขอพูดถึงตรงนั้น” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตอบคำถามสื่อเกี่ยวกับจำนวนครั้งที่ผู้นำรัสเซียและสหรัฐเคยพูดคุนกัน - ทรัมป์ยังบอกอีกว่า เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับปูตินมาโดยตลอด ต่างจากไบเดน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐที่ต้องการโค่นล้มปูติน - ทรัมป์กล่าวหาไบเดนว่า “เป็นความเสื่อมเสียของอเมริกาอย่างสมบูรณ์” - ไมค์ วอลท์ซ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งร่วมเดินทางกับทรัมป์ในครั้งนี้ กล่าวเสริมถึงประธานาธิบดีปูตินว่า "เรามาเริ่มการประชุมกันเถอะ พวกเขาต้องการพบปะกัน ผู้คนต้องเสียชีวิตทุกวัน ทหารที่ยังหนุ่มต้องมาสังเวยชีวิต พวกเขาอยู่ในวัยเดียวกับลูกชายของผม ทั้งนั้น ทั่วทั้งสนามรบ"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลังออกมาประกาศข่าวดีตั้งท้องลูกคนที่สองได้สำเร็จ ล่าสุด "เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น" หรือ "รัชนก สุวรรณเกตุ" ควงสามี "ยิว ฉัตรมงคล" จัดปาร์ตี้เฉลยเพศลูกคนที่ 2 งานนี้ทำเอาคุณแม่ได้เฮลั่น

    โดย "ยิว ฉัตรมงคล" ได้ออกมาโพสต์คลิปเจาะลูกโป่งซึ่งมีกระดาษที่ชมพูแผ่นเล็กๆ ปลิวออกมา พร้อมแคปชั่น "สาวน้อยของป๊ามาแล้ววว ไม่ว่าจะได้ลูกสาวหรือลูกชาย สิ่งนึงที่ลูกมั่นใจได้เลยคือ พ่อจะทำทุกอย่างให้ลูกรู้สึกโชคดีที่ได้เกิดมาเป็นลูกพ่อคนนี้ รักลูกนะ เจ้าหญิงตัวน้อยของพ่ออีกคน นับวันเจอหน้ากัน"

    ขณะที่ "เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น" ก็โพสต์ภาพอุ้มลูกสาว "น้องยูจิน" พร้อมยิ้มดีใจยกใหญ่ และเขียนข้อความว่า "ได้ลูกสาวอีกแล้วจ้า"

    นอกจากนี้ "เจนนี่" ยังเฉลยชื่อลูกไว้ด้วยว่า "ใบ้ให้ก่อนถึงเวลาเฉลย ถ้าได้ชาย ชื่อ ฉัตรชวิล ได้หญิง ชื่อ ฉัตรธิดา พี่ยูจินชื่อ ฉัตรชนก ทุกคนคิดว่าไงงงงงงง"

    งานนี้ก็มีทั้งเพื่อนๆ และแฟนคลับแห่เข้ามาร่วมแสดงความยินดีกับ "เจนนี่-ยิว" กันเป็นจำนวนมาก

    #MGROnline #เจนนี่ได้หมดถ้าสดชื่น #ยิวฉัตรมงคล #ปาร์ตี้เฉลยเพศ #ลูกคนที่2
    หลังออกมาประกาศข่าวดีตั้งท้องลูกคนที่สองได้สำเร็จ ล่าสุด "เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น" หรือ "รัชนก สุวรรณเกตุ" ควงสามี "ยิว ฉัตรมงคล" จัดปาร์ตี้เฉลยเพศลูกคนที่ 2 งานนี้ทำเอาคุณแม่ได้เฮลั่น • โดย "ยิว ฉัตรมงคล" ได้ออกมาโพสต์คลิปเจาะลูกโป่งซึ่งมีกระดาษที่ชมพูแผ่นเล็กๆ ปลิวออกมา พร้อมแคปชั่น "สาวน้อยของป๊ามาแล้ววว ไม่ว่าจะได้ลูกสาวหรือลูกชาย สิ่งนึงที่ลูกมั่นใจได้เลยคือ พ่อจะทำทุกอย่างให้ลูกรู้สึกโชคดีที่ได้เกิดมาเป็นลูกพ่อคนนี้ รักลูกนะ เจ้าหญิงตัวน้อยของพ่ออีกคน นับวันเจอหน้ากัน" • ขณะที่ "เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น" ก็โพสต์ภาพอุ้มลูกสาว "น้องยูจิน" พร้อมยิ้มดีใจยกใหญ่ และเขียนข้อความว่า "ได้ลูกสาวอีกแล้วจ้า" • นอกจากนี้ "เจนนี่" ยังเฉลยชื่อลูกไว้ด้วยว่า "ใบ้ให้ก่อนถึงเวลาเฉลย ถ้าได้ชาย ชื่อ ฉัตรชวิล ได้หญิง ชื่อ ฉัตรธิดา พี่ยูจินชื่อ ฉัตรชนก ทุกคนคิดว่าไงงงงงงง" • งานนี้ก็มีทั้งเพื่อนๆ และแฟนคลับแห่เข้ามาร่วมแสดงความยินดีกับ "เจนนี่-ยิว" กันเป็นจำนวนมาก • #MGROnline #เจนนี่ได้หมดถ้าสดชื่น #ยิวฉัตรมงคล #ปาร์ตี้เฉลยเพศ #ลูกคนที่2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
  • ครั้งหนึ่งไบเดนเคยข่มขู่ยูเครนว่าจะยึดเงินกู้ 1 พันล้านดอลลาร์ที่ USAID ค้ำประกัน เว้นแต่ยูเครนจะไล่อัยการที่ทำการสอบสวนบริษัท Burisma ซึ่งเป็นบริษัทที่ฮันเตอร์ ไบเดน ลูกชายของเขาทำงานอยู่

    ส่วน วิกตอเรีย นูลแลนด์ เคยใช้ USAID ในการออกหน้าระดมทุนเพื่อสนับสนุนการก่อความไม่สงบในยูเครนที่จัตุรัสไมดาน และล้มล้างรัฐบาลของยานูโควิช ซึ่งถือเป็นจุดกำเนิดของสงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซีย

    USAID ไม่ใช่ "องค์กรความช่วยเหลือ" แต่เป็นเครื่องมือสำหรับการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง การแบล็กเมล์ และการแทรกแซงประเทศต่างๆ

    ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อประชาธิปไตยไม่ได้มาจากต่างประเทศ แต่มาจากภายในรัฐบาลสหรัฐตลอดมา
    ครั้งหนึ่งไบเดนเคยข่มขู่ยูเครนว่าจะยึดเงินกู้ 1 พันล้านดอลลาร์ที่ USAID ค้ำประกัน เว้นแต่ยูเครนจะไล่อัยการที่ทำการสอบสวนบริษัท Burisma ซึ่งเป็นบริษัทที่ฮันเตอร์ ไบเดน ลูกชายของเขาทำงานอยู่ ส่วน วิกตอเรีย นูลแลนด์ เคยใช้ USAID ในการออกหน้าระดมทุนเพื่อสนับสนุนการก่อความไม่สงบในยูเครนที่จัตุรัสไมดาน และล้มล้างรัฐบาลของยานูโควิช ซึ่งถือเป็นจุดกำเนิดของสงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซีย USAID ไม่ใช่ "องค์กรความช่วยเหลือ" แต่เป็นเครื่องมือสำหรับการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง การแบล็กเมล์ และการแทรกแซงประเทศต่างๆ ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อประชาธิปไตยไม่ได้มาจากต่างประเทศ แต่มาจากภายในรัฐบาลสหรัฐตลอดมา
    Like
    Sad
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 238 มุมมอง 0 รีวิว
  • “อัจฉริยะ” เผยมีอดีต สว.ดังเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการกำกับคดี “แตงโม” ส่วนสาเหตุที่ทำให้ต้องเสียชีวิตเพราะไปรู้ความลับบางอย่างของขบวนการค้ายา

    วันนี้ (30 ม.ค.) นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เปิดเผยว่า การเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ หรือ แตงโม นิดา นั้น มีเครือข่ายผู้มีอิทธิพลเกี่ยวข้อง โดยบุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังเคยดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกวุฒิสภา (สว.) และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการกำกับคดีนี้

    “บุคคลนี้เคยเป็น อดีต สว.ชื่อดัง และมีอำนาจอย่างมากในอดีต ตำรวจที่ต้องการวิ่งเต้น เพื่อเลื่อนตำแหน่งหรือโยกย้ายล้วนต้องผ่านบุคคลนี้จึงจะสำเร็จ บุคคลดังกล่าวยังเป็นนักการเมืองระดับประเทศ และมีลูกชายเป็นตำรวจที่เกี่ยวข้องกับคดีแตงโม” นายอัจฉริยะ กล่าว

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000009824

    #MGROnline #อัจฉริยะ #แตงโม #ขบวนการค้ายา
    “อัจฉริยะ” เผยมีอดีต สว.ดังเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการกำกับคดี “แตงโม” ส่วนสาเหตุที่ทำให้ต้องเสียชีวิตเพราะไปรู้ความลับบางอย่างของขบวนการค้ายา • วันนี้ (30 ม.ค.) นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เปิดเผยว่า การเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ หรือ แตงโม นิดา นั้น มีเครือข่ายผู้มีอิทธิพลเกี่ยวข้อง โดยบุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังเคยดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกวุฒิสภา (สว.) และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการกำกับคดีนี้ • “บุคคลนี้เคยเป็น อดีต สว.ชื่อดัง และมีอำนาจอย่างมากในอดีต ตำรวจที่ต้องการวิ่งเต้น เพื่อเลื่อนตำแหน่งหรือโยกย้ายล้วนต้องผ่านบุคคลนี้จึงจะสำเร็จ บุคคลดังกล่าวยังเป็นนักการเมืองระดับประเทศ และมีลูกชายเป็นตำรวจที่เกี่ยวข้องกับคดีแตงโม” นายอัจฉริยะ กล่าว • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000009824 • #MGROnline #อัจฉริยะ #แตงโม #ขบวนการค้ายา
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 411 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำความรู้จักกับตัวละครใน
    The Last Dance - เดอะ ลาสต์ แดนซ์
    เข้าฉาย 6 กุมภาพันธ์ ในโรงภาพยนตร์

    🎞ไมเคิล ฮุย รับบทเป็น ซินแสหมั่น

    ซินแสหมั่นผู้เคร่งครัดในขนบธรรมเนียมและอุทิศชีวิตให้การทำพิธีศพแบบลัทธิเต๋า และไม่เชื่อมั่นในตัวของ โต่วซัง เพราะคิดว่ามือใหม่ไม่เคร่งในพิธีกรรมเท่ากับมืออาชีพที่ทำงานนี้มาอย่างช้านาน

    🎞ดาโย หว่อง รับบทเป็น โต่วซัง

    จากนักจัดงานแต่งตัวท็อป สู่นักจัดงานศพผู้ทำหน้าที่ส่งคนตาย เพื่อให้คนเป็นไว้อาลัย ทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง

    🎬มิเชล ไหว่ รับบทเป็น หมั่นหยู

    หนึ่งในลูกสาวของ ซินแสหมั่น เธอเชื่อมั่นและชื่นชมในอาชีพของพ่อมาโดยตลอด แต่ด้วยความเชื่อของบรรพบุรุษ ที่สั่งสอนกันต่อมาชั่วลูกชั่วหลานว่า ผู้หญิงเกิดมาพร้อมกับมลทินที่เรียกว่าประจำเดือน ทำให้ไม่สามารถประกอบพิธีกรรมได้ และจะทำให้พิธีกรรไม่ศักสิทธิ์ แต่เธอก็ยังแสดงเจตจำนงอยากสืบทอดหน้าที่ต่อจากพ่อมาโดยตลอด

    🎞ทอมมี จู รับบทเป็น หมั่นปิน

    หมั่นปิน ลูกชายเพียงคนเดียวของ ซินแสหมั่น ผู้ได้รับการไว้วางใจและถูกวางตัวให้เป็นผู้สืบทอดการทำพิธีส่งวิญญาณในงานศพต่อจาก ซินแสหมั่น แต่เขาไม่ได้อยากทำเพราะเขาอยากทุ่มเทเวาทังหมดให้กับครอบครัวของเขามากกว่า

    🎞แคทเธอรีน เชา รับบท เจด

    เจด เป็นคนรักของ โต่วซัง ที่เข้าใจความต้องการ โตว่ซัง และยังช่วยบอกปัดความต้องการของพ่อแม่เธอที่เร่งให้ทั้งสองแต่งงานกัน พวกเขาเป็นคู่ที่เข้ากันได้เป็นอย่างดี

    📽The Last Dance - เดอะ ลาสต์ แดนซ์
    เข้าฉาย 6 กุมภาพันธ์ ในโรงภาพยนตร์

    ชมตัวอย่าง | https://www.youtube.com/watch?v=9KA870tDFMA
    #TheLastDance #เดอะลาสต์แดนซ์
    ทำความรู้จักกับตัวละครใน The Last Dance - เดอะ ลาสต์ แดนซ์ เข้าฉาย 6 กุมภาพันธ์ ในโรงภาพยนตร์ 🎞ไมเคิล ฮุย รับบทเป็น ซินแสหมั่น ซินแสหมั่นผู้เคร่งครัดในขนบธรรมเนียมและอุทิศชีวิตให้การทำพิธีศพแบบลัทธิเต๋า และไม่เชื่อมั่นในตัวของ โต่วซัง เพราะคิดว่ามือใหม่ไม่เคร่งในพิธีกรรมเท่ากับมืออาชีพที่ทำงานนี้มาอย่างช้านาน 🎞ดาโย หว่อง รับบทเป็น โต่วซัง จากนักจัดงานแต่งตัวท็อป สู่นักจัดงานศพผู้ทำหน้าที่ส่งคนตาย เพื่อให้คนเป็นไว้อาลัย ทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง 🎬มิเชล ไหว่ รับบทเป็น หมั่นหยู หนึ่งในลูกสาวของ ซินแสหมั่น เธอเชื่อมั่นและชื่นชมในอาชีพของพ่อมาโดยตลอด แต่ด้วยความเชื่อของบรรพบุรุษ ที่สั่งสอนกันต่อมาชั่วลูกชั่วหลานว่า ผู้หญิงเกิดมาพร้อมกับมลทินที่เรียกว่าประจำเดือน ทำให้ไม่สามารถประกอบพิธีกรรมได้ และจะทำให้พิธีกรรไม่ศักสิทธิ์ แต่เธอก็ยังแสดงเจตจำนงอยากสืบทอดหน้าที่ต่อจากพ่อมาโดยตลอด 🎞ทอมมี จู รับบทเป็น หมั่นปิน หมั่นปิน ลูกชายเพียงคนเดียวของ ซินแสหมั่น ผู้ได้รับการไว้วางใจและถูกวางตัวให้เป็นผู้สืบทอดการทำพิธีส่งวิญญาณในงานศพต่อจาก ซินแสหมั่น แต่เขาไม่ได้อยากทำเพราะเขาอยากทุ่มเทเวาทังหมดให้กับครอบครัวของเขามากกว่า 🎞แคทเธอรีน เชา รับบท เจด เจด เป็นคนรักของ โต่วซัง ที่เข้าใจความต้องการ โตว่ซัง และยังช่วยบอกปัดความต้องการของพ่อแม่เธอที่เร่งให้ทั้งสองแต่งงานกัน พวกเขาเป็นคู่ที่เข้ากันได้เป็นอย่างดี 📽The Last Dance - เดอะ ลาสต์ แดนซ์ เข้าฉาย 6 กุมภาพันธ์ ในโรงภาพยนตร์ ชมตัวอย่าง | https://www.youtube.com/watch?v=9KA870tDFMA #TheLastDance #เดอะลาสต์แดนซ์
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 397 มุมมอง 0 รีวิว
  • Part 2 : จาก “ไอ้ขี้ยา” ถึง “มื้อกลางวันที่เปลือยเปล่า”
    .
    การฆ่าคนสักคนโดยที่คนเราจะตั้งใจไม่หรือไม่ตั้งใจก็ตาม หากคนผู้นั้นมีจิตสำนึก ชีวิตอาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง สำหรับ วิลเลี่ยม “บิล” เอส. เบอร์โรส์ ที่ชักปืนมายิงเปรี้ยงพลาดเข้ากางหน้าผากโวมเมอร์ ภรรยาโดยพฤตินัยนั้น อย่างแรกที่เขาเลือกที่จะทำคือการโทรหาทนายความหัวหมอคนนั้นอีก ซึ่งแน่นอน เขารอดคุกเป็นครั้งที่ 2 จากการใช้ช่องโหว่ทางจดหมาย แต่ไม่นานเท่าไหร่ ทนายเองก็มีปัญหาส่วนตัวกับกฏหมายบ้านเมือง ทางออกที่ดีที่สุดคือ บิลต้องเดินทางออกนอกประเทศอีกครั้ง คราวนี้ต้องไปให้ไกลกว่าเดิม ลึกกว่าเดิม เขาไปใช้ชีวิตในแถบอเมริกาใต้อยู่ครึ่งปี และกลายเป็นคนแรกในกลุ่มบีทส์ ที่ได้เสพ อายาวัสกาอย่างบ้าคลั่ง ในปี 1953 บิลกลับมาที่แม็กซิโก และ เดินทางออกจากที่นั่น กลับไปที่้ นิวยอร์ค เพื่อพบกับอัลแลน ซึ่งได้แนะนำเส้นสายในวงการโรงพิมพ์ให้เขารู้จัก หนึ่งในนั้นคือ คาร์ล โซโลมอน ซึ่งเป็นบรรณาธิการของ เอสบุ๊ค ผู้รับหนังสือเล่มแรกของบิลตีพิมพ์ออกสู่ตลาดในวงกว้าง "ไอ้ขี้ยา" - Junkie บิลได้เงินจากการขายสิทธิ์ในการตีพิมพ์เป็นเงิน 800 เหรียญ หนังสือเล่มนี้ "ไอ้ขี้ยา" - Junkie ขายไม่ค่อยดีเท่าไรนักในเวลานั้น เนื่องจากมันเป็นการรวมประสบการณ์ส่วนตัวที่ดิบและเถื่อนของบิลเองในฐานะผู้เสพยาเสพติดหลากหลายชนิด แต่หากมองในมุมมองของโลกบุคปัจจุบันซึ่งผ่านมาแล้วกว่า 70 ปี หนังสือเล่มนี้เปิดโลกอีกใบของสังคมอเมริกาในยุค mid-century ที่คนภายนอก หรือคนในปัจจุบัน มองว่าทุกอย่างนั้นเป็นระเบียบแบบแผน มีสีสัน มีความล้ำสมัย มีความเป็นอเมริกาน่าแบบไม่ตกยุค "ไอ้ขี้ยา" - Junkie จึงเป็นหนังสือเล่มหนึ่งในจำนวนที่น้อยมากๆ ที่สะท้อนสังคมอเมริกันในยุคนั้น อย่างลึกซึ้ง
    .
    อันที่จริง บิล ตกหลุมรัก อัลแลน แบบจริงจัง แบบหัวปักหัวปำ โดยออกปากว่าอยากความสัมพันธ์ทางเพศแบบชายรักชายกับเขา แต่เมื่อ อัลแลนปฏิเสธเขา บิลรู้สึกอกหัก และเดินทางออกนอกประเทศอีกครั้งสู่ แทนเจียร์ ประเทศโมร็อกโก ซึ่งขึ้นชื่ออยู่แล้วว่า เป็นตลาดใหญ่ของ โสเภณีชาย และ ยาเสพติดทุกประเภทในโลก และมันก็ไม่เกินความคาดเดา บิลเสพยาหนักขึ้นอีก ยาที่เขาเลือกใช้บ่อยที่สุดในช่วงนั้นคือ ยูคาโดล ซึ่งก็คือชื่้อทางการตลาดของยาระงับประสาท ออกซิโคโดน นั่นเอง เขาติดแบบงอมแงมซะเขาต้องเลือกที่จะบากหน้ากลับไปหาแม่ ในเดือนกันยายน ปี 1956 เพื่อขอยืมเงิน 500 เหรียญเพื่อไปบำบัด ซึ่งเขาได้พบกับ ดร. จอห์น ยาเบอร์รี่ ซึ่งเป็นหนึ่งใน แพทย์สายบำบัด ที่เก่งที่สุดในโลก โดยให้ อโปมอร์ฟีน กับบิลแทน นั่นก็ทำให้บิลหยุดอาการอยากยา ได้ขณะหนึ่ง แต่ไม่รู้เหตุอันใด บิล รีบเดินทางกลับไปที่แทนเจียร์เลยทันที
    .
    แทนเจียร์ สภาพที่คุ้นเคย สถานที่ที่บิลจัดหาทุกอย่างเพื่อสนองความต้องของตัวเองได้ทุกเวลา บิลเริ่มมีความมุ่งมั่นในการผลิตงานเขียนอย่างจริงๆจังๆ ก็ที่นี่ ที่ผลงานชั้นครูในโลกของวรรณกรรมนอกกระแส "มื้อกลางวันที่เปลือยเปล่า" - Naked Lunch บิลเขียนจดหมายถึงอัลแลนเล่าว่า "นายรู้หรือเปล่า? วิธีเขียนหนังสือยาวๆแบบฉัน ฉันนี่ดูดกัญชาไปเรื่อยๆ พิมพ์ไปด้วยความสูงสุดเท่าที่จะพิมพ์ได้ วันละ หกชั่วโมงติดต่อกันเท่านั้นเป็นเลิกกัน" อันที่จริงแล้วชื่อวรรณกรรมเล่มนี้มาด้วยความบังเอิญสุดๆ คือตอนที่จะให้ชื่อกับวรรณกรรมดังกล่าว ก่อนหน้านี้ที่บิลนั้นเดินทางไปเยี่ยมพรรคพวกที่ ม.โคลัมเบีย ซึ่งกลุ่มบีทส์ นำโดย แจ็ค กับ อัลแลน จะฝึกวิชาเขียนบทกันอย่างหนักหน่วงมาก โดยจะผลัดกับเขียนเรื่องสั้น เรียกว่า รูทีน และเอาพวกคนในกลุ่มผลัดกันมาเล่นละครแล้วก็วิจารณ์กันเองอย่างดุเดือด อัลแลนอ่านประโยค "ความใคร่อันเปลือยเปล่า" - Naked Lust ผิดเป็น Naked Lunch ซึ่งบิลชื่นชอบคำนี้มาก และจำมาเขียนเป็นชื่อวรรณกรรมของเขาเอง ในปี 1957 แจ็คเดินทางไปแทนเจียร์และพบว่า ต้นฉบับของ Naked Lunch นั้นปลิวกระจายไปทั่วห้อง แจ็คถึงกลับต้องเอามานั่งเรียบเรียงและพิมพ์ดีดลงกระดาษให้เรียบร้อย แต่อย่างไรก็ตาม เดือนถัดมา แจ็คก็ยังรู้สึกไม่พอใจ จึงกลับไปที่แทนเจียร์อีกรอบพร้อมกับชายคนรักคนใหม่ของเขา ปีเตอร์ ออลอฟสกี้ และสองคนนี้ก็ไปช่วยกันเรียบเรียงให้ต้นฉบับนี้สมบูรณ์และพร้อมตีพิมพ์ในเวลาต่อมา ซึ่งเมื่ออัลแลนได้อ่านต้นฉบับถึงกลับเขียนจดหมายไปหา ลูเชี่ยน คารร์ เล่าว่า "ผลงานของบิลนี้โคตรเจ๋ง การที่บิลเขาทุ่มเทกับมันใช้ความรู้และศิลปะในการใช้ภาษาที่เขามี และ ยังมีพวกเราที่มาขัดเกลามันขึ้นอีก!"
    .
    บิลกับอัลแลนเดินทางไปปารีสในเดือนมกราคมปี 1958 และขายสิทธิ์ในการตีพิมพ์งานชิ้นเอกของเขาให้กับ สำนักพิมพ์โอลิมเปีย และต่อมา ในปี 1962 ผลงานนี้จึงถูกนำเข้ามาตีพิมพ์ในอเมริกาโดย สำนักพิมพ์โกว์ฟ แต่ขายได้ไม่นานก็ถูกสั่งโดยรัฐบาลกลางให้เลิกขายโดยทันทีเนื่องจากมีเนื้อหาที่ลามกหยาบโลนเกินไปสำหรับนักอ่านในอเมริกา กว่าหนังสือเล่มนี้จะได้ขายในตลาดหนังสืออเมริกาก็ปาเข้าไปปี 1966 ซึ่งบิลนั้นยินดีมากที่หนังสือเขาจะไม่ถูกหาว่าเป็นหนังสือต้องห้าม ในเวลาต่อมาเมื่อมีการเสวนากันโดยสื่อมวลชนถึง คุณค่าและความเป็นวรรณกรรมของหนังสือดังกล่าว นอแมน เมลเลอร์ กล่าวว่า "ก็ด้วยความที่มันสุดขอบในเรื่องเซ็กซ์ ความใคร่ ความกระสันในความรุนแรงแบบน่าสยดสยอง แบบดิบๆ ที่เราเจอได้ในหนังสือเล่มนี้ ทำให้ผมชื่นชม คุณ เบอร์โรส์ มากๆ เพราะเขาเข้าถึงเรื่องอย่างว่าได้ลึกกว่านักเขียนคนใดในโลกตะวันตกในยุคนี้"
    .
    วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์ ก็ใช่่จะไม่เจอปัญหาที่ในชีวิตที่ดูเหมือนจะไม่แคร์โลกไม่แคร์สังคมของเขา นั่นก็คือลูกชายเขา - บิลจูเนียร์ นั่นเอง บิลจูเนียร์ติดยาเสพติดอย่างงอมแงม ตามไลฟสไตล์ที่เขาเห็นพ่อ และ แม่ผู้ล่วงลับใช้ชีวิตกันแบบนั้นมาตลอด บิลเดินทางออกจากแทนเจียร์อีกครั้ง มาอเมริกาเพื่อเอาลูกชายตัวเอง เข้าสถานบำบัดเอกชน เล็กซิงตั้น มีเรื่้องเล่าอยู่ว่า วันที่ สองคนเดินทางไปถึง พยาบาลถึงกลับงงและถามว่า "หนึ่งในสองคนนี้ คนไหนกันคะที่จะเข้ารับการบำบัด?" บิลจูเนียร์ มีชีวิตที่น่าสงสาร เป็นโรคไตวาย เปลี่ยนไตใหม่ไปหนึ่งครั้ง และก็จบชีวิตที่แสนสั้นของเขาที่ฟลอริดา บิลจูเนียร์เขียนจดหมายลาพ่อของเขา ลงท้ายจดหมาย "จาก บุตรที่โดนสาปแช่งตั้งแต่เกิดของท่านเอง"
    .
    .
    to be continued...
    .
    .
    Part 2 : จาก “ไอ้ขี้ยา” ถึง “มื้อกลางวันที่เปลือยเปล่า” . การฆ่าคนสักคนโดยที่คนเราจะตั้งใจไม่หรือไม่ตั้งใจก็ตาม หากคนผู้นั้นมีจิตสำนึก ชีวิตอาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง สำหรับ วิลเลี่ยม “บิล” เอส. เบอร์โรส์ ที่ชักปืนมายิงเปรี้ยงพลาดเข้ากางหน้าผากโวมเมอร์ ภรรยาโดยพฤตินัยนั้น อย่างแรกที่เขาเลือกที่จะทำคือการโทรหาทนายความหัวหมอคนนั้นอีก ซึ่งแน่นอน เขารอดคุกเป็นครั้งที่ 2 จากการใช้ช่องโหว่ทางจดหมาย แต่ไม่นานเท่าไหร่ ทนายเองก็มีปัญหาส่วนตัวกับกฏหมายบ้านเมือง ทางออกที่ดีที่สุดคือ บิลต้องเดินทางออกนอกประเทศอีกครั้ง คราวนี้ต้องไปให้ไกลกว่าเดิม ลึกกว่าเดิม เขาไปใช้ชีวิตในแถบอเมริกาใต้อยู่ครึ่งปี และกลายเป็นคนแรกในกลุ่มบีทส์ ที่ได้เสพ อายาวัสกาอย่างบ้าคลั่ง ในปี 1953 บิลกลับมาที่แม็กซิโก และ เดินทางออกจากที่นั่น กลับไปที่้ นิวยอร์ค เพื่อพบกับอัลแลน ซึ่งได้แนะนำเส้นสายในวงการโรงพิมพ์ให้เขารู้จัก หนึ่งในนั้นคือ คาร์ล โซโลมอน ซึ่งเป็นบรรณาธิการของ เอสบุ๊ค ผู้รับหนังสือเล่มแรกของบิลตีพิมพ์ออกสู่ตลาดในวงกว้าง "ไอ้ขี้ยา" - Junkie บิลได้เงินจากการขายสิทธิ์ในการตีพิมพ์เป็นเงิน 800 เหรียญ หนังสือเล่มนี้ "ไอ้ขี้ยา" - Junkie ขายไม่ค่อยดีเท่าไรนักในเวลานั้น เนื่องจากมันเป็นการรวมประสบการณ์ส่วนตัวที่ดิบและเถื่อนของบิลเองในฐานะผู้เสพยาเสพติดหลากหลายชนิด แต่หากมองในมุมมองของโลกบุคปัจจุบันซึ่งผ่านมาแล้วกว่า 70 ปี หนังสือเล่มนี้เปิดโลกอีกใบของสังคมอเมริกาในยุค mid-century ที่คนภายนอก หรือคนในปัจจุบัน มองว่าทุกอย่างนั้นเป็นระเบียบแบบแผน มีสีสัน มีความล้ำสมัย มีความเป็นอเมริกาน่าแบบไม่ตกยุค "ไอ้ขี้ยา" - Junkie จึงเป็นหนังสือเล่มหนึ่งในจำนวนที่น้อยมากๆ ที่สะท้อนสังคมอเมริกันในยุคนั้น อย่างลึกซึ้ง . อันที่จริง บิล ตกหลุมรัก อัลแลน แบบจริงจัง แบบหัวปักหัวปำ โดยออกปากว่าอยากความสัมพันธ์ทางเพศแบบชายรักชายกับเขา แต่เมื่อ อัลแลนปฏิเสธเขา บิลรู้สึกอกหัก และเดินทางออกนอกประเทศอีกครั้งสู่ แทนเจียร์ ประเทศโมร็อกโก ซึ่งขึ้นชื่ออยู่แล้วว่า เป็นตลาดใหญ่ของ โสเภณีชาย และ ยาเสพติดทุกประเภทในโลก และมันก็ไม่เกินความคาดเดา บิลเสพยาหนักขึ้นอีก ยาที่เขาเลือกใช้บ่อยที่สุดในช่วงนั้นคือ ยูคาโดล ซึ่งก็คือชื่้อทางการตลาดของยาระงับประสาท ออกซิโคโดน นั่นเอง เขาติดแบบงอมแงมซะเขาต้องเลือกที่จะบากหน้ากลับไปหาแม่ ในเดือนกันยายน ปี 1956 เพื่อขอยืมเงิน 500 เหรียญเพื่อไปบำบัด ซึ่งเขาได้พบกับ ดร. จอห์น ยาเบอร์รี่ ซึ่งเป็นหนึ่งใน แพทย์สายบำบัด ที่เก่งที่สุดในโลก โดยให้ อโปมอร์ฟีน กับบิลแทน นั่นก็ทำให้บิลหยุดอาการอยากยา ได้ขณะหนึ่ง แต่ไม่รู้เหตุอันใด บิล รีบเดินทางกลับไปที่แทนเจียร์เลยทันที . แทนเจียร์ สภาพที่คุ้นเคย สถานที่ที่บิลจัดหาทุกอย่างเพื่อสนองความต้องของตัวเองได้ทุกเวลา บิลเริ่มมีความมุ่งมั่นในการผลิตงานเขียนอย่างจริงๆจังๆ ก็ที่นี่ ที่ผลงานชั้นครูในโลกของวรรณกรรมนอกกระแส "มื้อกลางวันที่เปลือยเปล่า" - Naked Lunch บิลเขียนจดหมายถึงอัลแลนเล่าว่า "นายรู้หรือเปล่า? วิธีเขียนหนังสือยาวๆแบบฉัน ฉันนี่ดูดกัญชาไปเรื่อยๆ พิมพ์ไปด้วยความสูงสุดเท่าที่จะพิมพ์ได้ วันละ หกชั่วโมงติดต่อกันเท่านั้นเป็นเลิกกัน" อันที่จริงแล้วชื่อวรรณกรรมเล่มนี้มาด้วยความบังเอิญสุดๆ คือตอนที่จะให้ชื่อกับวรรณกรรมดังกล่าว ก่อนหน้านี้ที่บิลนั้นเดินทางไปเยี่ยมพรรคพวกที่ ม.โคลัมเบีย ซึ่งกลุ่มบีทส์ นำโดย แจ็ค กับ อัลแลน จะฝึกวิชาเขียนบทกันอย่างหนักหน่วงมาก โดยจะผลัดกับเขียนเรื่องสั้น เรียกว่า รูทีน และเอาพวกคนในกลุ่มผลัดกันมาเล่นละครแล้วก็วิจารณ์กันเองอย่างดุเดือด อัลแลนอ่านประโยค "ความใคร่อันเปลือยเปล่า" - Naked Lust ผิดเป็น Naked Lunch ซึ่งบิลชื่นชอบคำนี้มาก และจำมาเขียนเป็นชื่อวรรณกรรมของเขาเอง ในปี 1957 แจ็คเดินทางไปแทนเจียร์และพบว่า ต้นฉบับของ Naked Lunch นั้นปลิวกระจายไปทั่วห้อง แจ็คถึงกลับต้องเอามานั่งเรียบเรียงและพิมพ์ดีดลงกระดาษให้เรียบร้อย แต่อย่างไรก็ตาม เดือนถัดมา แจ็คก็ยังรู้สึกไม่พอใจ จึงกลับไปที่แทนเจียร์อีกรอบพร้อมกับชายคนรักคนใหม่ของเขา ปีเตอร์ ออลอฟสกี้ และสองคนนี้ก็ไปช่วยกันเรียบเรียงให้ต้นฉบับนี้สมบูรณ์และพร้อมตีพิมพ์ในเวลาต่อมา ซึ่งเมื่ออัลแลนได้อ่านต้นฉบับถึงกลับเขียนจดหมายไปหา ลูเชี่ยน คารร์ เล่าว่า "ผลงานของบิลนี้โคตรเจ๋ง การที่บิลเขาทุ่มเทกับมันใช้ความรู้และศิลปะในการใช้ภาษาที่เขามี และ ยังมีพวกเราที่มาขัดเกลามันขึ้นอีก!" . บิลกับอัลแลนเดินทางไปปารีสในเดือนมกราคมปี 1958 และขายสิทธิ์ในการตีพิมพ์งานชิ้นเอกของเขาให้กับ สำนักพิมพ์โอลิมเปีย และต่อมา ในปี 1962 ผลงานนี้จึงถูกนำเข้ามาตีพิมพ์ในอเมริกาโดย สำนักพิมพ์โกว์ฟ แต่ขายได้ไม่นานก็ถูกสั่งโดยรัฐบาลกลางให้เลิกขายโดยทันทีเนื่องจากมีเนื้อหาที่ลามกหยาบโลนเกินไปสำหรับนักอ่านในอเมริกา กว่าหนังสือเล่มนี้จะได้ขายในตลาดหนังสืออเมริกาก็ปาเข้าไปปี 1966 ซึ่งบิลนั้นยินดีมากที่หนังสือเขาจะไม่ถูกหาว่าเป็นหนังสือต้องห้าม ในเวลาต่อมาเมื่อมีการเสวนากันโดยสื่อมวลชนถึง คุณค่าและความเป็นวรรณกรรมของหนังสือดังกล่าว นอแมน เมลเลอร์ กล่าวว่า "ก็ด้วยความที่มันสุดขอบในเรื่องเซ็กซ์ ความใคร่ ความกระสันในความรุนแรงแบบน่าสยดสยอง แบบดิบๆ ที่เราเจอได้ในหนังสือเล่มนี้ ทำให้ผมชื่นชม คุณ เบอร์โรส์ มากๆ เพราะเขาเข้าถึงเรื่องอย่างว่าได้ลึกกว่านักเขียนคนใดในโลกตะวันตกในยุคนี้" . วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์ ก็ใช่่จะไม่เจอปัญหาที่ในชีวิตที่ดูเหมือนจะไม่แคร์โลกไม่แคร์สังคมของเขา นั่นก็คือลูกชายเขา - บิลจูเนียร์ นั่นเอง บิลจูเนียร์ติดยาเสพติดอย่างงอมแงม ตามไลฟสไตล์ที่เขาเห็นพ่อ และ แม่ผู้ล่วงลับใช้ชีวิตกันแบบนั้นมาตลอด บิลเดินทางออกจากแทนเจียร์อีกครั้ง มาอเมริกาเพื่อเอาลูกชายตัวเอง เข้าสถานบำบัดเอกชน เล็กซิงตั้น มีเรื่้องเล่าอยู่ว่า วันที่ สองคนเดินทางไปถึง พยาบาลถึงกลับงงและถามว่า "หนึ่งในสองคนนี้ คนไหนกันคะที่จะเข้ารับการบำบัด?" บิลจูเนียร์ มีชีวิตที่น่าสงสาร เป็นโรคไตวาย เปลี่ยนไตใหม่ไปหนึ่งครั้ง และก็จบชีวิตที่แสนสั้นของเขาที่ฟลอริดา บิลจูเนียร์เขียนจดหมายลาพ่อของเขา ลงท้ายจดหมาย "จาก บุตรที่โดนสาปแช่งตั้งแต่เกิดของท่านเอง" . . to be continued... . .
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 476 มุมมอง 0 รีวิว
  • Part 1 : The Beats and William S. Burroughs

    บีทเจนเนอเรชั่น คือ กลุ่มคนหนุ่ม-สาว ในยุคต้น 1960s ที่เกี่ยวข้องแวะกันด้วยอิทธิพลทางความคิดต้านกระแสสังคม พวกเขายืนอยู่บนเส้นแบ่งของแนวคิดแบบองค์รวมของสังคมอเมริกันอุดมคติแบบ แฟร้งคลิน ดีลาโน่ รูทส์เวลท์ และ สังคมที่นิยมความเป็นปัจเจกบุคคลแบบสุดโต่งในช่วงเวลานั้น ตัวตนขวกเขาถูกแสดงผ่านผลงานการเขียน หลากหลายรูปแบบ เซ็กซ์ ดนตรี และ ศิลปะ พวกเขาเชื่อกันเองว่าในกลุ่มพวกเขามีอยู่เพียงหลักร้อยคน ซึ่งอันที่จริง จำนวนที่แท้จริงของกลุ่ม บีทส์ นั้นไม่ปรากฏเป็นตัวเลขที่ชัดเจนนัก



    นอแมน เมลเลอร์ ผู้อุปถัมภ์ค้ำจุน ความมีตัวตนของ บีทส์ กล่าวไว้อย่างสวยงามมากว่า บีทส์นั้นคือผู้กล้าหาญที่จะแสดงถึงความเป็นตัวของตัวเอง ในยุคที่ทุกกระแสสังคมถูกจับจ้องโดยรัฐบาลสหรัฐ พวกเขาคือคนที่อยู่นอกกฏระเบียบของสังคม งานเขียนของพวกเขาสะท้อนสิ่งที่ประชาชนยุคนั้นมองไม่เห็นหรือแกล้งมองไม่เห็น ซึ่งครอบคลุมเรื่องการเมือง วัฒนธรรม และ การแสวงหาทางจิตวิญญาณ โดยที่พวกเขานั้นไม่อิงแอบกับตรรกะภายนอก ไม่ว่าจะเป็น เรื่องทุนนิยมเรื่องสังคมนิยม แต่เป็นการค้นพบสิ่งใหม่ด้วยตัวเอง ผลงานของพวกเขาจึงเป็นดั่งการเบิกทางให้กับผู้ที่จะค้นพบสิ่งใหม่ๆในยุคต่อๆมา



    แจ็ค คูโรแวค

    แอลลัน กินเบิร์ค

    วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์



    สามศาสดาแถวหน้า บีทเจนเนอเรชั่น



    วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์ “อัจฉริยะ รุนแรง บ้าคลั่ง”

    .

    .

    วิลเลี่ยม “บิล” เอส. เบอร์โรส์ อายุมากกว่าเพื่อนอีกสองคน และ ผลงานของเขาประสบความสำเร็จช้ากว่าอีกสองคนมาก แต่เป็นการประสบความสำเร็จที่ยาวนานและยั่งยืนที่สุด บิล เกิดในปี ค.ศ. 1914 ในเซนหลุยส์ มิสซูรี่ ปู่ของเขาร่ำรวยจากกว่าเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องบวกเลขเครื่องแรกของโลก แม้ครอบครัวของบิลจะไม่รวยเท่ากับรุ่นปู่แต่บอกได้ว่าเป็นครอบครัวที่มีฐานะดีมากๆครอบครัวหนึ่งในเวลานั้น เมื่ออายุได้ 15 ปี ตามกระแสในยุคนั้น ครอบครัวส่งบิลได้เรียนในโรงเรียน “บ้านไร่” โรงเรียนประจำที่อยู่ในรัฐตะวันตกอเมริกา ซึ่งเขาถูกส่งไปอยู่ถึงรัฐนิวแม็กซิโก - โรงเรียนประจำลอสอลาโมสแรนช์สกูล เนื่องจากบิลเป็นคนที่เกลียดกิจกรรมภายนอกห้องเรียนอยู่เป็นทุนเดิน เขาแทบจะเข้ากับที่นั่นไม่ได้ ยกเว้นเสียแต่กีฬาชนิดหนึ่งของโรงเรียนที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษนั่นก็คือ กีฬายิงปืนนั่นเอง

    .

    ที่นั่นบิลได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับสารเสพติดเป็นครั้งแรกนั่นก็คือ คลอรอลไฮเดรต ยาระงับประสาท และเป็นที่รู้กันว่า บิลเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการเสพเกินขนาด พอเรียนต่อไม่ได้จึงต้องย้ายไปเข้าโรงเรียนเอกชนเพื่อเก็บเกรดไว้ไปต่อที่ฮาร์วาร์ด ซึ่งก็ทันตอนอายุ 18 พอดี พอเข้าไปได้ บิลก็ไม่ได้สนใจเล่าเรียนเท่าไหร่ แต่มักพบว่าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ที่นั่นเขาได้อ่านวรรณกรรมภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสอย่างจุใจ พอเรียนจบตอนอายุ 21 ปีพอดี บิลขอพ่อแม่ออกเดินทางท่องเที่ยวทั่วยุโรป และ ก็ได้เมียเป็นแม่หม้าย ชาวยิวอายุ 35 ปี จาก ยูโกสลาเวีย นัยว่าตัวเขานั้นอยากเป็นฮีโร่ ปกป้องผู้หญิงคนหนึ่งจากลัทธิเผด็จการที่เริ่มก่อตัวในยุโรปในขณะนั้น ซึ่งก็อยู่กินกับเขาเกือบ 9 ปีในนิวยอร์ค กระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงในปี 1945

    .

    หลังจากกลับมาถึงสหรัฐอเมริกา บิลเลือกจะที่กลับไปสู่แวดวงการศึกษาโดยเข้าเรียนในระดับปริญญาโทอีกครั้งที่ ฮาร์วาร์ด โดยแรงจูงใจในครั้งนี้คือการได้ใกล้ชิดกับเพื่อนชายของเขา เคลส์ แอลวินส์ ที่นั่นเอง ทั้งสองคนได้ร่วมกันผลิตงานเขียนเสียดสี เกี่้ยวกับการจมลงของเรือไททานิคโดยใช้ชื่อว่า "แสงสะท้อนสุดท้ายของยามพลบค่ำ" ซึ่งพวกเขาไม่ประสบความสำเร็จในการหาสำนักพิมพ์ที่จะรับซื้องานเขียนดังกล่าวได้ โดยนิตยสาร Esquire ตอบกลับมาว่า มันไม่มีเนื้อหาอะไรลึกซึ้งพอที่จะให้พวกเขานำไปตีพิมพ์ได้ แต่อย่างไรก็ตาม งานเขียนนี้กลับมาปรากฏในนิยายเรื่อง "โนวา เอ็กซ์เพรส"ของบิลในเวลาต่อมา

    .

    บิลเลือกที่จะทิ้งการเรียนปริญญาโทไปแบบครึ่งๆกลางๆ และ กลับไปอยู่ที่ เซนหลุยส์ มิสซูรี่ เพื่อจะไปเป็นลูกศิษย์ของ อัลเฟรด คอซิบสกี้ นักอรรถศาสตร์ ผู้เสนอแนวคิดว่า "คำพูดต่างๆนั้นสูญเสียความหมายที่แท้จริง" และ จากนี้ต่อไปตลอดชีวิต บิลก็ทุ่มเทความคิดให้กับการค้นหาความหมายที่แท้จริงของคำศัพท์แต่ละคำที่เขาเล็งเห็นว่าถูกใช้อย่างผิดๆโดยมนุษย์
    .
    "ผมขอเสนอทฤษฎีอย่างกว้างๆว่า คำศัพท์ของมนุษย์เราจริงๆแล้วคือ ไวรัส แต่มนุษย์เราจะไม่ได้ทราบว่ามันเป็นไวรัส ก็เพราะว่าเราเป็นพาหะที่ค่อนข้างเสถียร ซึ่ง ไอ้ไวรัสนี่ไม่มีหน้าที่อะไรนอกจาก ทำสำเนาให้ตัวเอง และส่งต่อจากมนุษย์คนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งหรือหลายๆคน..."
    .
    หลังเหตุการณ์ประกาศสงครามกับฝ่ายอักษะ บิลถูกหมายเกณฑ์ให้เป็นทหาร แต่แม่ของบิลช่วยเขาหลีกเลี่ยงการเป็นทหารโดยการส่งเขาเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช และให้การรับรองว่าเขาป่วยทางจิตและไม่เหมาะสมกับการรับใช้ชาติ ช่วงเวลาดังกล่าว บิลเดินทางออกจาก เซนหลุยส์ มิสซูรี่ สู่เมืองชิคาโก้ และหาเลี้ยงชีพโดยการรับจ้างกำจัดสัตว์ไม่พึงประสงค์ (อาชีพนี้ทำให้เขาได้เข้าไปสัมผัสมุมมืดในสังคมเมืองใหญ่ ที่เขาเคยแต่เพียงอ่านจากในหนังสือเท่านั้น พอเป็นแบบนี้มันทำให้บิลมีความรู้สึกว่า สิ่งที่เขาพบเจอนั้นคือของแท้) นอกจากนี้ยังได้รับเงินอุดหนุนจากทางบ้านเป็นค่ากินอยู่อีกเดือนละ 200 เหรียญ เป็นอยู่อย่างนี้อีกประมาณแปดเดือนเศษ กระทั่งเขาได้เจอเพื่อนเก่าจาก เซนหลุยส์ มิสซูรี่ นั่นก็คือ ลูเชี่ยน คารร์ และ เดวิท แคมเมอเรอร์ ที่ชิคาโก้ (ในเวลาต่อมา คารร์ก็ปลิดชีพ แคมเมอเรอร์ ที่นิวยอร์ค)
    .
    คารร์ มาแวะเพียงชั่วคราว และ มุ่งหน้าสู่นิวยอร์คเพื่อจะกลับไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ บิล กับ แคมเมอเรอร์ก็ตามไปสมทบในที่สุด ซึ่งที่นี่เองเป็นที่ ที่ บิลได้พบกับเพื่อนที่จะข้องเกี่ยวกับตัวเขาเองไปอีกครึ่งศตวรรษ เขาคนนั้นคือ แอลลัน กินเบิร์ค - และ แอลลันก็แนะนำพวกเขาให้รู้จักกับ แจ็ค คูโรแวค , อีดี้ ปาร์คเกอร์ (แฟนสาวของแจ็ค) และ โจแอน โวมเมอร์ (ภรรยาของบิลในเวลาต่อมา) แอลลัน กับ แจ็ค ร่วมกันผลิตงานเขียนด้วยกันเป็นครั้งแรก มีชื่อว่า "และฮิปโปโดนต้มในบ่อของมันเอง" ซึ่งก็ไม่ได้ถูกสำนักพิมพ์ใดๆนำไปตีพิมพ์ ขณะเดียวกัน บิลก็เริ่มเบนเข็มสู่อีกช่าวของชีวิต เขาเริ่มเป็นแมงดาข้างถนนย่านไทม์สแควร์ ขายของอีหยิบ ขายมอร์ฟีนแบบเข็มฉีดเข้าเส้น และ ปล้นจี้คนด้วยปืนพกในสถานีรถไฟใต้ดินในยามค่ำคืน คนที่เป็นผู้ชักชวนบิลสู่เส้นทางสายนี้คือ เฮอเบิร์ท ฮังค์คี ซึ่งอยู่ในสายอาชีพ ปล้นชิงทรัพย์ ลักเล็กขโมยน้อย มาแต่เดิม อีกด้านหนึ่ง บิลก็แนะนำ เฮอเบิร์ทให้รู้กจักกับพวกกลุ่มเพื่อนของเขาใน มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ รวมกลุ่มกันอยู่แบบชุมชนเล็กในอพาร์ทเม็นท์ใกล้ๆ มหาวิทยาลัย นั่นแหละ
    .
    โจแอน โวมเมอร์ นักศึกษาสาวคณะวารสารศาสตร์ เริ่มคบหาเชิงชู้สาวกับ บิล ทั้งๆที่ใครๆในกลุ่มก็ทราบดีว่าบิลมีรสนิยมทางเพศแบบโฮโมเซ็กซ์ชั่ล แต่เธอให้เห็นผลว่า "บิลเก่งเรื่องบนเตียง แบบที่แมงดาควรเป็น" - สองคนนี้อยู่กินกันแบบสามีภรรยา และเสพยาหนักทั้งคู่ กระทั่งวันหนึ่งก็ถูกตำรวจบุกจับถึงอพาร์ทเม็นท์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สองคนยังหาเวลาไปเขียนบทละครสั้น เกี่ยวกับเรื่องรสนิยมทางเพศ อยู่ด้วยกันอยู่หลายเรื่อง ซึ่งในเวลาต่อมา บิลก็เอาไปยัดใส่ในวรรณกรรมของเขาทีละเรื่อง ทีละเรื่อง ไม่นานหลังจากห้วงเวลาในรั้วมหาวิทยาลัย โวมเมอร์กับบิล ร่วมกันซื้อไร่ขนาด 99 เอเคอร์ ในเมือง นิวเวเวอรี่ รัฐเท็กซัส และ โวมเมอร์ก็ให้กำเนิดลูกชายของบิลหนึ่งคน สองผัวเมียมองหาธุรกิจทำและในที่สุดก็ชักชวน ฮังค์คี ให้มาอยู่ด้วยกันที่ไร่ และไม่นานเกินรอผลผลิตหลักจากไร่ของสองผัวเมีย คือ กัญชา
    .
    เพื่อนที่เริ่มมีชื่อเสียงมาก ก็ได้แวะเวียนมาเยี่ยมสองผัวเมีย ไม่ว่าจะเป็น อัลแลน รวมไปถึง นีล แคซซิดี้ (คู่ขาเพศชายของอัลแลน) นีลทำหน้าที่หลักคือขนกัญชาของบิลไปขายในนิวยอร์ค ส่วน อัลแลนส่งกัญชาของสองผัวเมียไปขายผ่านเส้นสายของเหล่าพาณิชย์นาวี ที่เขามีแต่เดิม เป็นแผนธุรกิจฟังดูดีใช่ไหม? แต่เอาจริง แม่งเจ๊งไม่เป็นท่า เพราะค่าใช้จ่ายของแต่ละคนมันสูงมาก เนื่องจาก สองผัวเมียนักเสพ ต้องคอยส่งส่วยให้ตำรวจท้องถิ่นตลอด ราคาขายส่งที่ควรจะเป็นมันถีบสูงไปถึงร้อยเหรียญ ในที่สุดสองผัวเมียและอีกหนึ่งนักปลูกเพื่อนผัว ก็ต้องระเห็ดไปอยู่ที่ นิวออร์ลีนส์ แต่แค่พักเดียวยังไม่ทันได้ทำอะไรจริงจัง ตำรวจก็เข้าจับกุมพวกเขาถึงบ้าน ซ้ำร้ายนอกจากกัญชาที่ปลูกไว้เสพด้วย ขายด้วยแล้ว ก็เจอยาเสพติดอีกหลายประเภทในบ้านของสองผัวเมีย แต่โชคดีพวกนี้รู้จักทนายเก่ง ทนายก็ทำให้คดีหลุดด้วยช่องโหว่ทางกฏหมาย แต่ก็แนะนำว่า สองผัวเมียควรออกไปอยู่นอกประเทศสักพักจะเป็นการดีที่สุด
    .
    ในปี 1950 บิลเขียนจดหมายหาอัลแลน จากที่ประเทศแม็กซิโก แจ้งว่าเขาเขียนหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา ใกล้เสร็จแล้ว หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า "ไอ้ขี้ยา" - Junkie. ในวันที่ 6 กันยายน ปีเดียวกันนั้นเอง เล่ากันว่า บิลและโวมเมอร์กำลังเมากันได้ที่ จากการเสพและดื่ม โวมเมอร์เริ่มต้นก่อนด้วยการท้าทายฝีมือการแม่นปืนของบิล ซึ่งเธอเอาแก้วน้ำวางไว้เหนือหัว และ บิลก็ชักปืนสั้นขึ้นยิงแก้วนั้น แต่เล็งพลาด กระสุนเลยพุ่งเข้ากลางหน้าผากโวมเมอร์ ปลิดชีพภรรยาคู่เสพทันที และ ปิดบทบาทสามี ที่ บิลไม่ค่อยเต็มใจนัก
    .
    .
    to be continued...
    Part 1 : The Beats and William S. Burroughs บีทเจนเนอเรชั่น คือ กลุ่มคนหนุ่ม-สาว ในยุคต้น 1960s ที่เกี่ยวข้องแวะกันด้วยอิทธิพลทางความคิดต้านกระแสสังคม พวกเขายืนอยู่บนเส้นแบ่งของแนวคิดแบบองค์รวมของสังคมอเมริกันอุดมคติแบบ แฟร้งคลิน ดีลาโน่ รูทส์เวลท์ และ สังคมที่นิยมความเป็นปัจเจกบุคคลแบบสุดโต่งในช่วงเวลานั้น ตัวตนขวกเขาถูกแสดงผ่านผลงานการเขียน หลากหลายรูปแบบ เซ็กซ์ ดนตรี และ ศิลปะ พวกเขาเชื่อกันเองว่าในกลุ่มพวกเขามีอยู่เพียงหลักร้อยคน ซึ่งอันที่จริง จำนวนที่แท้จริงของกลุ่ม บีทส์ นั้นไม่ปรากฏเป็นตัวเลขที่ชัดเจนนัก นอแมน เมลเลอร์ ผู้อุปถัมภ์ค้ำจุน ความมีตัวตนของ บีทส์ กล่าวไว้อย่างสวยงามมากว่า บีทส์นั้นคือผู้กล้าหาญที่จะแสดงถึงความเป็นตัวของตัวเอง ในยุคที่ทุกกระแสสังคมถูกจับจ้องโดยรัฐบาลสหรัฐ พวกเขาคือคนที่อยู่นอกกฏระเบียบของสังคม งานเขียนของพวกเขาสะท้อนสิ่งที่ประชาชนยุคนั้นมองไม่เห็นหรือแกล้งมองไม่เห็น ซึ่งครอบคลุมเรื่องการเมือง วัฒนธรรม และ การแสวงหาทางจิตวิญญาณ โดยที่พวกเขานั้นไม่อิงแอบกับตรรกะภายนอก ไม่ว่าจะเป็น เรื่องทุนนิยมเรื่องสังคมนิยม แต่เป็นการค้นพบสิ่งใหม่ด้วยตัวเอง ผลงานของพวกเขาจึงเป็นดั่งการเบิกทางให้กับผู้ที่จะค้นพบสิ่งใหม่ๆในยุคต่อๆมา แจ็ค คูโรแวค แอลลัน กินเบิร์ค วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์ สามศาสดาแถวหน้า บีทเจนเนอเรชั่น วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์ “อัจฉริยะ รุนแรง บ้าคลั่ง” . . วิลเลี่ยม “บิล” เอส. เบอร์โรส์ อายุมากกว่าเพื่อนอีกสองคน และ ผลงานของเขาประสบความสำเร็จช้ากว่าอีกสองคนมาก แต่เป็นการประสบความสำเร็จที่ยาวนานและยั่งยืนที่สุด บิล เกิดในปี ค.ศ. 1914 ในเซนหลุยส์ มิสซูรี่ ปู่ของเขาร่ำรวยจากกว่าเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องบวกเลขเครื่องแรกของโลก แม้ครอบครัวของบิลจะไม่รวยเท่ากับรุ่นปู่แต่บอกได้ว่าเป็นครอบครัวที่มีฐานะดีมากๆครอบครัวหนึ่งในเวลานั้น เมื่ออายุได้ 15 ปี ตามกระแสในยุคนั้น ครอบครัวส่งบิลได้เรียนในโรงเรียน “บ้านไร่” โรงเรียนประจำที่อยู่ในรัฐตะวันตกอเมริกา ซึ่งเขาถูกส่งไปอยู่ถึงรัฐนิวแม็กซิโก - โรงเรียนประจำลอสอลาโมสแรนช์สกูล เนื่องจากบิลเป็นคนที่เกลียดกิจกรรมภายนอกห้องเรียนอยู่เป็นทุนเดิน เขาแทบจะเข้ากับที่นั่นไม่ได้ ยกเว้นเสียแต่กีฬาชนิดหนึ่งของโรงเรียนที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษนั่นก็คือ กีฬายิงปืนนั่นเอง . ที่นั่นบิลได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับสารเสพติดเป็นครั้งแรกนั่นก็คือ คลอรอลไฮเดรต ยาระงับประสาท และเป็นที่รู้กันว่า บิลเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการเสพเกินขนาด พอเรียนต่อไม่ได้จึงต้องย้ายไปเข้าโรงเรียนเอกชนเพื่อเก็บเกรดไว้ไปต่อที่ฮาร์วาร์ด ซึ่งก็ทันตอนอายุ 18 พอดี พอเข้าไปได้ บิลก็ไม่ได้สนใจเล่าเรียนเท่าไหร่ แต่มักพบว่าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ที่นั่นเขาได้อ่านวรรณกรรมภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสอย่างจุใจ พอเรียนจบตอนอายุ 21 ปีพอดี บิลขอพ่อแม่ออกเดินทางท่องเที่ยวทั่วยุโรป และ ก็ได้เมียเป็นแม่หม้าย ชาวยิวอายุ 35 ปี จาก ยูโกสลาเวีย นัยว่าตัวเขานั้นอยากเป็นฮีโร่ ปกป้องผู้หญิงคนหนึ่งจากลัทธิเผด็จการที่เริ่มก่อตัวในยุโรปในขณะนั้น ซึ่งก็อยู่กินกับเขาเกือบ 9 ปีในนิวยอร์ค กระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงในปี 1945 . หลังจากกลับมาถึงสหรัฐอเมริกา บิลเลือกจะที่กลับไปสู่แวดวงการศึกษาโดยเข้าเรียนในระดับปริญญาโทอีกครั้งที่ ฮาร์วาร์ด โดยแรงจูงใจในครั้งนี้คือการได้ใกล้ชิดกับเพื่อนชายของเขา เคลส์ แอลวินส์ ที่นั่นเอง ทั้งสองคนได้ร่วมกันผลิตงานเขียนเสียดสี เกี่้ยวกับการจมลงของเรือไททานิคโดยใช้ชื่อว่า "แสงสะท้อนสุดท้ายของยามพลบค่ำ" ซึ่งพวกเขาไม่ประสบความสำเร็จในการหาสำนักพิมพ์ที่จะรับซื้องานเขียนดังกล่าวได้ โดยนิตยสาร Esquire ตอบกลับมาว่า มันไม่มีเนื้อหาอะไรลึกซึ้งพอที่จะให้พวกเขานำไปตีพิมพ์ได้ แต่อย่างไรก็ตาม งานเขียนนี้กลับมาปรากฏในนิยายเรื่อง "โนวา เอ็กซ์เพรส"ของบิลในเวลาต่อมา . บิลเลือกที่จะทิ้งการเรียนปริญญาโทไปแบบครึ่งๆกลางๆ และ กลับไปอยู่ที่ เซนหลุยส์ มิสซูรี่ เพื่อจะไปเป็นลูกศิษย์ของ อัลเฟรด คอซิบสกี้ นักอรรถศาสตร์ ผู้เสนอแนวคิดว่า "คำพูดต่างๆนั้นสูญเสียความหมายที่แท้จริง" และ จากนี้ต่อไปตลอดชีวิต บิลก็ทุ่มเทความคิดให้กับการค้นหาความหมายที่แท้จริงของคำศัพท์แต่ละคำที่เขาเล็งเห็นว่าถูกใช้อย่างผิดๆโดยมนุษย์ . "ผมขอเสนอทฤษฎีอย่างกว้างๆว่า คำศัพท์ของมนุษย์เราจริงๆแล้วคือ ไวรัส แต่มนุษย์เราจะไม่ได้ทราบว่ามันเป็นไวรัส ก็เพราะว่าเราเป็นพาหะที่ค่อนข้างเสถียร ซึ่ง ไอ้ไวรัสนี่ไม่มีหน้าที่อะไรนอกจาก ทำสำเนาให้ตัวเอง และส่งต่อจากมนุษย์คนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งหรือหลายๆคน..." . หลังเหตุการณ์ประกาศสงครามกับฝ่ายอักษะ บิลถูกหมายเกณฑ์ให้เป็นทหาร แต่แม่ของบิลช่วยเขาหลีกเลี่ยงการเป็นทหารโดยการส่งเขาเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช และให้การรับรองว่าเขาป่วยทางจิตและไม่เหมาะสมกับการรับใช้ชาติ ช่วงเวลาดังกล่าว บิลเดินทางออกจาก เซนหลุยส์ มิสซูรี่ สู่เมืองชิคาโก้ และหาเลี้ยงชีพโดยการรับจ้างกำจัดสัตว์ไม่พึงประสงค์ (อาชีพนี้ทำให้เขาได้เข้าไปสัมผัสมุมมืดในสังคมเมืองใหญ่ ที่เขาเคยแต่เพียงอ่านจากในหนังสือเท่านั้น พอเป็นแบบนี้มันทำให้บิลมีความรู้สึกว่า สิ่งที่เขาพบเจอนั้นคือของแท้) นอกจากนี้ยังได้รับเงินอุดหนุนจากทางบ้านเป็นค่ากินอยู่อีกเดือนละ 200 เหรียญ เป็นอยู่อย่างนี้อีกประมาณแปดเดือนเศษ กระทั่งเขาได้เจอเพื่อนเก่าจาก เซนหลุยส์ มิสซูรี่ นั่นก็คือ ลูเชี่ยน คารร์ และ เดวิท แคมเมอเรอร์ ที่ชิคาโก้ (ในเวลาต่อมา คารร์ก็ปลิดชีพ แคมเมอเรอร์ ที่นิวยอร์ค) . คารร์ มาแวะเพียงชั่วคราว และ มุ่งหน้าสู่นิวยอร์คเพื่อจะกลับไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ บิล กับ แคมเมอเรอร์ก็ตามไปสมทบในที่สุด ซึ่งที่นี่เองเป็นที่ ที่ บิลได้พบกับเพื่อนที่จะข้องเกี่ยวกับตัวเขาเองไปอีกครึ่งศตวรรษ เขาคนนั้นคือ แอลลัน กินเบิร์ค - และ แอลลันก็แนะนำพวกเขาให้รู้จักกับ แจ็ค คูโรแวค , อีดี้ ปาร์คเกอร์ (แฟนสาวของแจ็ค) และ โจแอน โวมเมอร์ (ภรรยาของบิลในเวลาต่อมา) แอลลัน กับ แจ็ค ร่วมกันผลิตงานเขียนด้วยกันเป็นครั้งแรก มีชื่อว่า "และฮิปโปโดนต้มในบ่อของมันเอง" ซึ่งก็ไม่ได้ถูกสำนักพิมพ์ใดๆนำไปตีพิมพ์ ขณะเดียวกัน บิลก็เริ่มเบนเข็มสู่อีกช่าวของชีวิต เขาเริ่มเป็นแมงดาข้างถนนย่านไทม์สแควร์ ขายของอีหยิบ ขายมอร์ฟีนแบบเข็มฉีดเข้าเส้น และ ปล้นจี้คนด้วยปืนพกในสถานีรถไฟใต้ดินในยามค่ำคืน คนที่เป็นผู้ชักชวนบิลสู่เส้นทางสายนี้คือ เฮอเบิร์ท ฮังค์คี ซึ่งอยู่ในสายอาชีพ ปล้นชิงทรัพย์ ลักเล็กขโมยน้อย มาแต่เดิม อีกด้านหนึ่ง บิลก็แนะนำ เฮอเบิร์ทให้รู้กจักกับพวกกลุ่มเพื่อนของเขาใน มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ รวมกลุ่มกันอยู่แบบชุมชนเล็กในอพาร์ทเม็นท์ใกล้ๆ มหาวิทยาลัย นั่นแหละ . โจแอน โวมเมอร์ นักศึกษาสาวคณะวารสารศาสตร์ เริ่มคบหาเชิงชู้สาวกับ บิล ทั้งๆที่ใครๆในกลุ่มก็ทราบดีว่าบิลมีรสนิยมทางเพศแบบโฮโมเซ็กซ์ชั่ล แต่เธอให้เห็นผลว่า "บิลเก่งเรื่องบนเตียง แบบที่แมงดาควรเป็น" - สองคนนี้อยู่กินกันแบบสามีภรรยา และเสพยาหนักทั้งคู่ กระทั่งวันหนึ่งก็ถูกตำรวจบุกจับถึงอพาร์ทเม็นท์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สองคนยังหาเวลาไปเขียนบทละครสั้น เกี่ยวกับเรื่องรสนิยมทางเพศ อยู่ด้วยกันอยู่หลายเรื่อง ซึ่งในเวลาต่อมา บิลก็เอาไปยัดใส่ในวรรณกรรมของเขาทีละเรื่อง ทีละเรื่อง ไม่นานหลังจากห้วงเวลาในรั้วมหาวิทยาลัย โวมเมอร์กับบิล ร่วมกันซื้อไร่ขนาด 99 เอเคอร์ ในเมือง นิวเวเวอรี่ รัฐเท็กซัส และ โวมเมอร์ก็ให้กำเนิดลูกชายของบิลหนึ่งคน สองผัวเมียมองหาธุรกิจทำและในที่สุดก็ชักชวน ฮังค์คี ให้มาอยู่ด้วยกันที่ไร่ และไม่นานเกินรอผลผลิตหลักจากไร่ของสองผัวเมีย คือ กัญชา . เพื่อนที่เริ่มมีชื่อเสียงมาก ก็ได้แวะเวียนมาเยี่ยมสองผัวเมีย ไม่ว่าจะเป็น อัลแลน รวมไปถึง นีล แคซซิดี้ (คู่ขาเพศชายของอัลแลน) นีลทำหน้าที่หลักคือขนกัญชาของบิลไปขายในนิวยอร์ค ส่วน อัลแลนส่งกัญชาของสองผัวเมียไปขายผ่านเส้นสายของเหล่าพาณิชย์นาวี ที่เขามีแต่เดิม เป็นแผนธุรกิจฟังดูดีใช่ไหม? แต่เอาจริง แม่งเจ๊งไม่เป็นท่า เพราะค่าใช้จ่ายของแต่ละคนมันสูงมาก เนื่องจาก สองผัวเมียนักเสพ ต้องคอยส่งส่วยให้ตำรวจท้องถิ่นตลอด ราคาขายส่งที่ควรจะเป็นมันถีบสูงไปถึงร้อยเหรียญ ในที่สุดสองผัวเมียและอีกหนึ่งนักปลูกเพื่อนผัว ก็ต้องระเห็ดไปอยู่ที่ นิวออร์ลีนส์ แต่แค่พักเดียวยังไม่ทันได้ทำอะไรจริงจัง ตำรวจก็เข้าจับกุมพวกเขาถึงบ้าน ซ้ำร้ายนอกจากกัญชาที่ปลูกไว้เสพด้วย ขายด้วยแล้ว ก็เจอยาเสพติดอีกหลายประเภทในบ้านของสองผัวเมีย แต่โชคดีพวกนี้รู้จักทนายเก่ง ทนายก็ทำให้คดีหลุดด้วยช่องโหว่ทางกฏหมาย แต่ก็แนะนำว่า สองผัวเมียควรออกไปอยู่นอกประเทศสักพักจะเป็นการดีที่สุด . ในปี 1950 บิลเขียนจดหมายหาอัลแลน จากที่ประเทศแม็กซิโก แจ้งว่าเขาเขียนหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา ใกล้เสร็จแล้ว หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า "ไอ้ขี้ยา" - Junkie. ในวันที่ 6 กันยายน ปีเดียวกันนั้นเอง เล่ากันว่า บิลและโวมเมอร์กำลังเมากันได้ที่ จากการเสพและดื่ม โวมเมอร์เริ่มต้นก่อนด้วยการท้าทายฝีมือการแม่นปืนของบิล ซึ่งเธอเอาแก้วน้ำวางไว้เหนือหัว และ บิลก็ชักปืนสั้นขึ้นยิงแก้วนั้น แต่เล็งพลาด กระสุนเลยพุ่งเข้ากลางหน้าผากโวมเมอร์ ปลิดชีพภรรยาคู่เสพทันที และ ปิดบทบาทสามี ที่ บิลไม่ค่อยเต็มใจนัก . . to be continued...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 602 มุมมอง 0 รีวิว
  • หนี่ว์ฮู่ ‘ครัวเรือนสตรี’

    สวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <ซ่อนรักชายาลับ> คงจำกันได้ว่าในช่วงตอนท้ายๆ ของเรื่อง นางเอกของเราแยกออกมาอยู่เอง Storyฯ ไม่แน่ใจว่าในซับไทยแปลว่าอย่างไรแต่ในภาษาจีนนางบอกว่าจะแยกออกมาตั้งครัวเรือนสตรีหรือที่เรียกว่า ‘หนี่ว์ฮู่’ (女户) ซึ่งคำว่า ‘หนี่ว์ฮู่’ เป็นศัพท์เฉพาะที่หมายถึงครัวเรือนที่จดทะเบียนให้สตรีเป็นเจ้าบ้าน วันนี้เรามาคุยเรื่องนี้กัน

    ความเป็นเจ้าบ้านในบริบทสังคมจีนโบราณนี้ เพื่อนเพจไม่สามารถใช้นิยามและบริบทของเราท่านชาวไทยสมัยนี้มาเปรียบเทียบ เพราะสำหรับเราในยุคไทยปัจจุบันคำว่า ‘เจ้าบ้าน’ ในทะเบียนบ้านไม่ได้หมายถึงผู้ที่มีกรรมสิทธิ์ในบ้านที่ดินหรือสินทรัพย์ในบ้าน แต่ในบริบทสังคมจีนโบราณนี้ ‘เจ้าบ้าน’ หรือ ‘ฮู่จู่’ (户主) เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในบ้านและสินทรัพย์กองกลางของครัวเรือนนั้นๆ ซึ่งคนจีนโบราณอาจอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่รวมหลายรุ่น (เช่นมีลูกชายหลายคน ทุกคนแต่งเมียเข้าบ้านมีลูกมีหลานอยู่รวมกัน) หรืออาจมีบางคนแยกบ้านออกไปตามความจำเป็นและค่านิยมของสังคมแต่ละยุคสมัย แต่ตราบใดที่อยู่ในบ้านในฐานะสมาชิกครอบครัวจะเป็นเพียงผู้อยู่อาศัยและอาจมีเบี้ยเลี้ยงรายเดือน ไม่มีกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์ที่เป็นของครัวเรือนนั้น มีสินทรัพย์ส่วนตัวได้เฉพาะที่เก็บหอมรอมริบหรือได้รับกำนัลมาเป็นการส่วนตัว เพื่อนเพจเชื้อสายจีนที่คุ้นเคยกับระบบกงสีจะเข้าใจบริบทนี้ได้ง่าย

    ดังนั้น การเป็นเจ้าบ้านในสมัยจีนโบราณผูกรวมกับการมีกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์กองกลางของครัวเรือนนั้น และหมายรวมถึงอำนาจการปกครองและการตัดสินใจในเรื่องใหญ่ๆ ในบ้าน และหน้าที่ที่สำคัญมากก็คือการเสียภาษีให้รัฐ

    ในสมัยจีนโบราณนั้น โดยทั่วไป การเป็นเจ้าบ้านและการมีกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์ของครอบครัวนั้นสืบทอดทางสายโลหิตจากรุ่นสู่รุ่นและสืบทอดผ่านบุรุษ และในบริบทนี้สตรีขึ้นทะเบียนเป็นเจ้าบ้านได้ก็ต่อเมื่อครอบครัวนั้นๆ ไร้ซึ่งบุรุษสืบทอดหรือที่เรียกว่าสภาวะ ‘ฮู่เจวี๋ย’ (户绝/สิ้นครัวเรือน) นี่คือเหตุผลที่ Storyฯ บอกว่ามันเป็นศัพท์เฉพาะ

    ว่ากันว่า หนี่ว์ฮู่มีมาแต่สมัยฮั่นตอนต้นซึ่งเป็นช่วงหลังสงคราม ประชากรเพศชายเสียชีวิตมากมายในสงคราม จึงจำเป็นต้องให้สิทธิ์สตรีดูแลตนเองได้โดยการตั้งครัวเรือนของตนเพื่อจะได้บริหารสินทรัพย์และเสียภาษีได้ในกรณีที่ไม่เหลือทายาทบุรุษในครอบครัวแล้ว และในสมัยอื่นๆ ต่อมาก็มีหลักการเดียวกันที่ว่า สตรีเป็นเจ้าบ้านได้ในกรณีที่ไร้ทายาทบุรุษ แต่ความแตกต่างของแต่ละสมัยขึ้นอยู่กับคำนิยามของ ‘ทายาทบุรุษ’ ผู้สืบทอดกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน (เช่น นับลูกหลานสายตรง หรือนับรวมพี่ชายน้องชายและลูกหลาน หรือนับรวมญาติสกุลเดียวกันที่ห่างออกไปอีก) ทำให้เกณฑ์ที่สตรีจะเข้าเงื่อนไขที่สามารถจดทะเบียนเป็นเจ้าบ้านได้มีการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดตามไปด้วย ทั้งนี้ สตรีที่เป็นเจ้าบ้านได้นั้นหมายรวมถึงมารดาม่าย ภรรยาม่าย หรือลูกสาวที่ยังไม่ออกเรือน

    นับแต่สมัยถังมามีการกำหนดกฎหมายมากมายที่ระบุสิทธิของสตรีให้ชัดเจนขึ้น อย่างเช่นเรื่องสินเดิมเจ้าสาวและการหย่าร้างที่ Storyฯ เคยเขียนถึง และรวมถึงสิทธิในการสืบทอดมรดกอีกด้วย เป็นต้นว่าในสมัยถังและซ่ง หากไร้ทายาทบุรุษ ให้ขายสินทรัพย์ทั้งหมดรวมถึงบ่าวไพร่ในบ้าน นำเงินมาจัดงานศพแล้วหากมีเหลือจึงแบ่งกันระหว่างบุตรีที่ยังไม่ออกเรือน เมื่อได้ส่วนแบ่งมรดกของตนแล้ว สตรีนั้นๆ สามารถตั้งครัวเรือนใหม่โดยขึ้นทะเบียนเป็นเจ้าบ้านได้ หรือหากไม่มีบุตรีที่ยังไม่ออกเรือน บุตรีที่ออกเรือนไปแล้วมีสิทธิ์ในส่วนแบ่งมรดกแต่ในกรณีนี้นางอยู่กับครอบครัวสามีก็ไม่ตั้งครัวเรือนใหม่ ส่วนสตรีที่จัดตั้งหนี่ว์ฮู่ขึ้นแล้ว หากต่อมาแต่งงานโดยสามีแต่งเข้า (เรียกว่า จุ้ยซวี่) สตรีนั้นยังคงสิทธิ์เจ้าบ้านตามเดิม แต่หากแต่งออกไปอยู่บ้านสามีก็จะต้องยุบครัวเรือนนั้นทิ้งโดยสามารถนำทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนติดตัวไปด้วยได้ ทั้งนี้สิทธิเหล่านี้มีความแตกต่างในรายละเอียดตามยุคสมัย

    Storyฯ ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและไม่ได้ค้นคว้าลงลึกถึงสิทธิในการครอบครองและสืบทอดสินทรัพย์ของแต่ละยุคสมัยจีนโบราณเพราะมันซับซ้อนเกินความสามารถ ประเด็นหลักที่จะสื่อในวันนี้ก็คือ ในสมัยโบราณสตรีสามารถจัดตั้งครัวเรือนเป็นเจ้าบ้านได้ และสามารถสืบทอดมรดกได้ แต่... เฉพาะในกรณีที่ครอบครัวไร้ทายาทบุรุษ ซึ่งเกณฑ์นี้ขึ้นอยู่กับนิยามว่า ‘ทายาทบุรุษ’ ครอบคลุมญาติในวงแคบหรือวงกว้างเพียงใด

    อนึ่ง Storyฯ เคยเขียนถึงเรื่องราวที่มีความเกี่ยวข้อง เพื่อนเพจสามารถอ่านย้อนหลังเพื่อทบทวนความทรงจำ จะได้เข้าใจต่อเนื่องในบทความข้างต้นได้ค่ะ:
    - เกี่ยวกับทะเบียนราษฎร์ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid02DGMdxYPJTbeiAS9n5zUXqo7Zfsn9WTLGbbHPCXcpBFChCxxHzWafnNr8wuNBJ63Tl
    - เกี่ยวกับสินเดิมเจ้าสาว https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/1127226122739012
    - เกี่ยวกับเจ้าบ่าวที่แต่งเข้าเรือนหรือ ‘จุ้ยซวี่’ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid02nZxNBtk2h6V7W1wReZ5td8nc2Aaj85o2wkWmPSRtpnGP6dqQSGyCbKaXJPUjHzEal

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.harpersbazaar.com/tw/culture/drama/g61833754/are-you-the-one-8-highlights/
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://legalinfo.moj.gov.cn/pub/sfbzhfx/zhfxfzwh/fzwhfsgs/202107/t20210702_429806.html
    http://e.mzyfz.org.cn/paper/1957/paper_52459_10896.html
    https://www.chinacourt.org/article/detail/2023/05/id/7273412.shtml
    https://bjgy.bjcourt.gov.cn/article/detail/2020/11/id/5563896.shtml
    https://www.chinacourt.org/article/detail/2021/07/id/6125052.shtml
    https://baike.baidu.com/item/户绝

    #ซ่อนรักชายาลับ #หนี่ว์ฮู่ #ครัวเรือนสตรี #สิทธิการสืบทอดมรดกจีนโบราณ #เจ้าบ้านในสมัยจีนโบราณ #สาระจีน
    หนี่ว์ฮู่ ‘ครัวเรือนสตรี’ สวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <ซ่อนรักชายาลับ> คงจำกันได้ว่าในช่วงตอนท้ายๆ ของเรื่อง นางเอกของเราแยกออกมาอยู่เอง Storyฯ ไม่แน่ใจว่าในซับไทยแปลว่าอย่างไรแต่ในภาษาจีนนางบอกว่าจะแยกออกมาตั้งครัวเรือนสตรีหรือที่เรียกว่า ‘หนี่ว์ฮู่’ (女户) ซึ่งคำว่า ‘หนี่ว์ฮู่’ เป็นศัพท์เฉพาะที่หมายถึงครัวเรือนที่จดทะเบียนให้สตรีเป็นเจ้าบ้าน วันนี้เรามาคุยเรื่องนี้กัน ความเป็นเจ้าบ้านในบริบทสังคมจีนโบราณนี้ เพื่อนเพจไม่สามารถใช้นิยามและบริบทของเราท่านชาวไทยสมัยนี้มาเปรียบเทียบ เพราะสำหรับเราในยุคไทยปัจจุบันคำว่า ‘เจ้าบ้าน’ ในทะเบียนบ้านไม่ได้หมายถึงผู้ที่มีกรรมสิทธิ์ในบ้านที่ดินหรือสินทรัพย์ในบ้าน แต่ในบริบทสังคมจีนโบราณนี้ ‘เจ้าบ้าน’ หรือ ‘ฮู่จู่’ (户主) เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในบ้านและสินทรัพย์กองกลางของครัวเรือนนั้นๆ ซึ่งคนจีนโบราณอาจอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่รวมหลายรุ่น (เช่นมีลูกชายหลายคน ทุกคนแต่งเมียเข้าบ้านมีลูกมีหลานอยู่รวมกัน) หรืออาจมีบางคนแยกบ้านออกไปตามความจำเป็นและค่านิยมของสังคมแต่ละยุคสมัย แต่ตราบใดที่อยู่ในบ้านในฐานะสมาชิกครอบครัวจะเป็นเพียงผู้อยู่อาศัยและอาจมีเบี้ยเลี้ยงรายเดือน ไม่มีกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์ที่เป็นของครัวเรือนนั้น มีสินทรัพย์ส่วนตัวได้เฉพาะที่เก็บหอมรอมริบหรือได้รับกำนัลมาเป็นการส่วนตัว เพื่อนเพจเชื้อสายจีนที่คุ้นเคยกับระบบกงสีจะเข้าใจบริบทนี้ได้ง่าย ดังนั้น การเป็นเจ้าบ้านในสมัยจีนโบราณผูกรวมกับการมีกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์กองกลางของครัวเรือนนั้น และหมายรวมถึงอำนาจการปกครองและการตัดสินใจในเรื่องใหญ่ๆ ในบ้าน และหน้าที่ที่สำคัญมากก็คือการเสียภาษีให้รัฐ ในสมัยจีนโบราณนั้น โดยทั่วไป การเป็นเจ้าบ้านและการมีกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์ของครอบครัวนั้นสืบทอดทางสายโลหิตจากรุ่นสู่รุ่นและสืบทอดผ่านบุรุษ และในบริบทนี้สตรีขึ้นทะเบียนเป็นเจ้าบ้านได้ก็ต่อเมื่อครอบครัวนั้นๆ ไร้ซึ่งบุรุษสืบทอดหรือที่เรียกว่าสภาวะ ‘ฮู่เจวี๋ย’ (户绝/สิ้นครัวเรือน) นี่คือเหตุผลที่ Storyฯ บอกว่ามันเป็นศัพท์เฉพาะ ว่ากันว่า หนี่ว์ฮู่มีมาแต่สมัยฮั่นตอนต้นซึ่งเป็นช่วงหลังสงคราม ประชากรเพศชายเสียชีวิตมากมายในสงคราม จึงจำเป็นต้องให้สิทธิ์สตรีดูแลตนเองได้โดยการตั้งครัวเรือนของตนเพื่อจะได้บริหารสินทรัพย์และเสียภาษีได้ในกรณีที่ไม่เหลือทายาทบุรุษในครอบครัวแล้ว และในสมัยอื่นๆ ต่อมาก็มีหลักการเดียวกันที่ว่า สตรีเป็นเจ้าบ้านได้ในกรณีที่ไร้ทายาทบุรุษ แต่ความแตกต่างของแต่ละสมัยขึ้นอยู่กับคำนิยามของ ‘ทายาทบุรุษ’ ผู้สืบทอดกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน (เช่น นับลูกหลานสายตรง หรือนับรวมพี่ชายน้องชายและลูกหลาน หรือนับรวมญาติสกุลเดียวกันที่ห่างออกไปอีก) ทำให้เกณฑ์ที่สตรีจะเข้าเงื่อนไขที่สามารถจดทะเบียนเป็นเจ้าบ้านได้มีการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดตามไปด้วย ทั้งนี้ สตรีที่เป็นเจ้าบ้านได้นั้นหมายรวมถึงมารดาม่าย ภรรยาม่าย หรือลูกสาวที่ยังไม่ออกเรือน นับแต่สมัยถังมามีการกำหนดกฎหมายมากมายที่ระบุสิทธิของสตรีให้ชัดเจนขึ้น อย่างเช่นเรื่องสินเดิมเจ้าสาวและการหย่าร้างที่ Storyฯ เคยเขียนถึง และรวมถึงสิทธิในการสืบทอดมรดกอีกด้วย เป็นต้นว่าในสมัยถังและซ่ง หากไร้ทายาทบุรุษ ให้ขายสินทรัพย์ทั้งหมดรวมถึงบ่าวไพร่ในบ้าน นำเงินมาจัดงานศพแล้วหากมีเหลือจึงแบ่งกันระหว่างบุตรีที่ยังไม่ออกเรือน เมื่อได้ส่วนแบ่งมรดกของตนแล้ว สตรีนั้นๆ สามารถตั้งครัวเรือนใหม่โดยขึ้นทะเบียนเป็นเจ้าบ้านได้ หรือหากไม่มีบุตรีที่ยังไม่ออกเรือน บุตรีที่ออกเรือนไปแล้วมีสิทธิ์ในส่วนแบ่งมรดกแต่ในกรณีนี้นางอยู่กับครอบครัวสามีก็ไม่ตั้งครัวเรือนใหม่ ส่วนสตรีที่จัดตั้งหนี่ว์ฮู่ขึ้นแล้ว หากต่อมาแต่งงานโดยสามีแต่งเข้า (เรียกว่า จุ้ยซวี่) สตรีนั้นยังคงสิทธิ์เจ้าบ้านตามเดิม แต่หากแต่งออกไปอยู่บ้านสามีก็จะต้องยุบครัวเรือนนั้นทิ้งโดยสามารถนำทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนติดตัวไปด้วยได้ ทั้งนี้สิทธิเหล่านี้มีความแตกต่างในรายละเอียดตามยุคสมัย Storyฯ ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและไม่ได้ค้นคว้าลงลึกถึงสิทธิในการครอบครองและสืบทอดสินทรัพย์ของแต่ละยุคสมัยจีนโบราณเพราะมันซับซ้อนเกินความสามารถ ประเด็นหลักที่จะสื่อในวันนี้ก็คือ ในสมัยโบราณสตรีสามารถจัดตั้งครัวเรือนเป็นเจ้าบ้านได้ และสามารถสืบทอดมรดกได้ แต่... เฉพาะในกรณีที่ครอบครัวไร้ทายาทบุรุษ ซึ่งเกณฑ์นี้ขึ้นอยู่กับนิยามว่า ‘ทายาทบุรุษ’ ครอบคลุมญาติในวงแคบหรือวงกว้างเพียงใด อนึ่ง Storyฯ เคยเขียนถึงเรื่องราวที่มีความเกี่ยวข้อง เพื่อนเพจสามารถอ่านย้อนหลังเพื่อทบทวนความทรงจำ จะได้เข้าใจต่อเนื่องในบทความข้างต้นได้ค่ะ: - เกี่ยวกับทะเบียนราษฎร์ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid02DGMdxYPJTbeiAS9n5zUXqo7Zfsn9WTLGbbHPCXcpBFChCxxHzWafnNr8wuNBJ63Tl - เกี่ยวกับสินเดิมเจ้าสาว https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/1127226122739012 - เกี่ยวกับเจ้าบ่าวที่แต่งเข้าเรือนหรือ ‘จุ้ยซวี่’ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid02nZxNBtk2h6V7W1wReZ5td8nc2Aaj85o2wkWmPSRtpnGP6dqQSGyCbKaXJPUjHzEal (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.harpersbazaar.com/tw/culture/drama/g61833754/are-you-the-one-8-highlights/ Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://legalinfo.moj.gov.cn/pub/sfbzhfx/zhfxfzwh/fzwhfsgs/202107/t20210702_429806.html http://e.mzyfz.org.cn/paper/1957/paper_52459_10896.html https://www.chinacourt.org/article/detail/2023/05/id/7273412.shtml https://bjgy.bjcourt.gov.cn/article/detail/2020/11/id/5563896.shtml https://www.chinacourt.org/article/detail/2021/07/id/6125052.shtml https://baike.baidu.com/item/户绝 #ซ่อนรักชายาลับ #หนี่ว์ฮู่ #ครัวเรือนสตรี #สิทธิการสืบทอดมรดกจีนโบราณ #เจ้าบ้านในสมัยจีนโบราณ #สาระจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 680 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เอ็มมอบ4แสนให้แม่แบงค์
    เห็นแล้วก็อดอิ่มอกอิ่มใจแทนแม่แบงค์ไม่ได้จริงๆ
    เฝ้าอุตส่าห์ให้ยายเลี้ยงลูกตัวเองอย่างดี
    ฝึกให้แบงค์อดทนด้วยการไม่ส่งเสีย
    หายหัวไปไม่ใช่ไม่รัก แต่มีเป้าหมาย
    ที่จะให้แบงค์รู้จักดิ้นรน เอาชีวิตให้รอด
    เงินก้อนนี้ ถือเป็นการตอบแทน
    ที่แม่ของแบ้งค์ อดทนต่อการไม่ใส่ใจ
    และเมื่อเกิดเหตุ ก็มีความเข้าอกเข้าใจ
    และพร้อมยืนเคียงข้างคนที่กระทำกับลูกจนดับ
    เพราะเค้าเหล่านี้ คือผู้เสียสละ ยอมถูกสังคมตราหน้า
    เพียงเพราะทุกคนอยากช่วยสร้างประสบการณ์
    ให้ลูกชาย ได้เติบโต ที่ไม่ได้ไปต่อ
    มันก็เหตุสุดวิสัยเท่านั้นเอง
    ยินดีกับทั้งผู้ให้ และผู้รับนะครับ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #เอ็มมอบ4แสนให้แม่แบงค์ เห็นแล้วก็อดอิ่มอกอิ่มใจแทนแม่แบงค์ไม่ได้จริงๆ เฝ้าอุตส่าห์ให้ยายเลี้ยงลูกตัวเองอย่างดี ฝึกให้แบงค์อดทนด้วยการไม่ส่งเสีย หายหัวไปไม่ใช่ไม่รัก แต่มีเป้าหมาย ที่จะให้แบงค์รู้จักดิ้นรน เอาชีวิตให้รอด เงินก้อนนี้ ถือเป็นการตอบแทน ที่แม่ของแบ้งค์ อดทนต่อการไม่ใส่ใจ และเมื่อเกิดเหตุ ก็มีความเข้าอกเข้าใจ และพร้อมยืนเคียงข้างคนที่กระทำกับลูกจนดับ เพราะเค้าเหล่านี้ คือผู้เสียสละ ยอมถูกสังคมตราหน้า เพียงเพราะทุกคนอยากช่วยสร้างประสบการณ์ ให้ลูกชาย ได้เติบโต ที่ไม่ได้ไปต่อ มันก็เหตุสุดวิสัยเท่านั้นเอง ยินดีกับทั้งผู้ให้ และผู้รับนะครับ #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 220 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน วิงวอน โดนัลด์ ทรัมป์ หลายต่อหลายครั้ง ขอเข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่ถูกปฏิเสธมาอย่างต่อเนื่อง จากคำกล่าวอ้างของโดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ลูกชายของ ทรัมป์ อย่างไรก็ตาม ล่าสุดผู้นำเคียฟ ใช้แพลตฟอร์มเอ็กซ์ เขียนแสดงความยินดีกับประธานาธิบดีคนใหม่ของอเมริกา
    .
    โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ เขียนบนอินสตาแกรม ก่อนพิธีสาบานตนของผู้เป็นพ่อ เย้ยหยันคำพูดของผู้นำยูเครน ที่ให้สัมภาษณ์กับ เล็กซ์ ฟรีดแมน พอดแคสต์ชาวอเมริกัน เมื่อช่วงต้นเดือน ซึ่ง เซเลนสกี บอกว่าเขาไม่ได้รับเชิญเข้าร่มพิธีสาบานตนในวันที่ 20 มกราคม
    .
    "ผมไม่สามารถมาได้ โดยเฉพาะในช่วงระหว่างสงคราม จนกว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะเชิญผมเป็นการส่วนตัว ผมไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นเรื่องเหมาะสมไหมที่จะเดินทางมา เพราะผมรู้ว่าโดยทั่วไปแล้ว พวกผู้นำบางคนมีเหตุผลบางประการที่ไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ" เซเลนสกี บอกกับ ฟรีดแมน
    .
    ทรัมป์ จูเนียร์ ตอบโต้ว่า "ส่วนที่ตลกที่สุดก็คือ เขาเป็นผู้ร้องขออย่างไม่เป็นทางการสำหรับคำเชิญถึง 3 รอบ และแต่ละครั้งถูกปฏิเสธ "ตอนนี้ เขาทำราวกับว่าเขาไม่ได้เดินทางมาด้วยตนเอง" พร้อมตราหน้าเซเลนสกีว่าเป็น "คนประหลาด"
    .
    โดยปกติแล้ว ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มักไม่เชิญพวกผู้นำต่างชาติเข้าร่วมพิธีสาบานตน แต่ ทรัมป์ นั้น เปลี่ยนแปลงแนวทางปฏิบัติดั้งเดิมและส่งคำเชิญอย่างครอบคลุมถึง สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน วิคตอร์ เออร์บาน นายกรัฐมนตรีฮังการี ฆาเบียร์ มิลเล ประธานาธิบดีอาร์เจนตินา จอร์เจีย เมโลนี นายกรัฐมนตรีอิตาลี ดาเนียล โนโบอา ประธานาธิบดีเอกวาดอร์ และประธานาธิบดีซานติอาร์โก เปญา แห่งปารากวัย
    .
    ทรัมป์ ก่อความเคลือบแคลงแก่ยุทธการของสหรัฐฯ ในการช่วยเหลือยูเครน และประกาศยุติความขัดแย้งระหว่างมอสโกกับเคียฟอย่างรวดเร็ว พวกเจ้าหน้าที่ยูเครนเกรงว่าข้อตกลงหยุดยิงที่เสนอโดย ทรัมป์ จะทำให้ประเทศของเขาเสียเปรียบ
    .
    ทั้งนี้ เซเลนสกี พบปะกับ ทรัมป์ ในนิวยอร์ก เมื่อเดือนกันยายน จากนั้น ทรัมป์ เผยว่าผู้นำยูเครน "ต้องการให้ความขัดแย้งยุติลง และทั้ง 2 ฝ่ายต่างต้องการ "ข้อตกลงที่ยุติธรรม"
    .
    แม้ไม่ได้รับเชิญ แต่ในวันจันทร์ (20 ม.ค.) เซเลนสกี โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ แสดงความยินดีกับ ทรัมป์ ในพิธีสาบานตนรับตำแหน่ง และยกย่องว่ามันเป็นโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายแห่งสันติภาพในประเทศของเขา ที่สู้รบทำสงครามต่อต้านการรุกรานของรัสเซียมาเกือบ 3 ปี
    .
    ทรัมป์ เรียกร้องซ้ำๆ เกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง และสัญญาว่าจะหยุดสงครามอย่างทันทีทันใด แต่ไม่ได้บอกว่าจะด้วยวิธีการใด "ประธานาธิบดีทรัมป์เด็ดขาดเสมอ และนโยบายสันติภาพผ่านความเข้มแข็งที่เขาแถลง เปิดโอกาสสำหรับเสริมเข้มแข็งแก่ความเป็นผู้นำของอเมริกา และบรรลุเป้าหมายสันติภาพในระยะยาว ซึ่งมันมีความสำคัญลำดับสูงสุด" เซเลนสกีระบุ
    .
    ยูเครน มองการเพาะบ่มความใกล้ชิดกับว่าที่รัฐบาลใหม่ของทรัมป์ คือเป้าหมายสำคัญ และเซเลนสกี กล่าวในวันจันทร์ (20 ม.ค.) ว่ายูเครนกำลังตั้งตาคอยบรรลุเป้าหมายแห่งความร่วมมือที่ก่อประโยชน์ร่วมกันกับรัฐบาลทรัมป์ "เมื่อร่วมมือกัน เราเข้มแข็งกว่าเดิม และเราสามารถมอบความมั่นคงและเสถียรภาพที่ดียิ่งขึ้น เช่นเดียวกับมอบการเติบโตทางเศรษฐกิจในทิศทางที่ดีขึ้นแก่โลกและประเทศของเราทั้ง 2 ชาติ" เขากล่าว
    .
    ระหว่างการปราศรัยในช่วงค่ำ เซเลนสกี ให้คำจำกัดความ ทรัมป์ ว่าเป็น "คนที่เข้มแข็ง" ที่มอบแรงกดดันที่จำเป็นสำหรับเดินหน้าความพยายามบรรลุเป้าหมายแห่งสันติภาพ "นี่คือโอกาสที่ต้องคว้าไว้" เซเลนสกีกล่าว
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006233
    .........
    Sondhi X
    ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน วิงวอน โดนัลด์ ทรัมป์ หลายต่อหลายครั้ง ขอเข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่ถูกปฏิเสธมาอย่างต่อเนื่อง จากคำกล่าวอ้างของโดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ลูกชายของ ทรัมป์ อย่างไรก็ตาม ล่าสุดผู้นำเคียฟ ใช้แพลตฟอร์มเอ็กซ์ เขียนแสดงความยินดีกับประธานาธิบดีคนใหม่ของอเมริกา . โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ เขียนบนอินสตาแกรม ก่อนพิธีสาบานตนของผู้เป็นพ่อ เย้ยหยันคำพูดของผู้นำยูเครน ที่ให้สัมภาษณ์กับ เล็กซ์ ฟรีดแมน พอดแคสต์ชาวอเมริกัน เมื่อช่วงต้นเดือน ซึ่ง เซเลนสกี บอกว่าเขาไม่ได้รับเชิญเข้าร่มพิธีสาบานตนในวันที่ 20 มกราคม . "ผมไม่สามารถมาได้ โดยเฉพาะในช่วงระหว่างสงคราม จนกว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะเชิญผมเป็นการส่วนตัว ผมไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นเรื่องเหมาะสมไหมที่จะเดินทางมา เพราะผมรู้ว่าโดยทั่วไปแล้ว พวกผู้นำบางคนมีเหตุผลบางประการที่ไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ" เซเลนสกี บอกกับ ฟรีดแมน . ทรัมป์ จูเนียร์ ตอบโต้ว่า "ส่วนที่ตลกที่สุดก็คือ เขาเป็นผู้ร้องขออย่างไม่เป็นทางการสำหรับคำเชิญถึง 3 รอบ และแต่ละครั้งถูกปฏิเสธ "ตอนนี้ เขาทำราวกับว่าเขาไม่ได้เดินทางมาด้วยตนเอง" พร้อมตราหน้าเซเลนสกีว่าเป็น "คนประหลาด" . โดยปกติแล้ว ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มักไม่เชิญพวกผู้นำต่างชาติเข้าร่วมพิธีสาบานตน แต่ ทรัมป์ นั้น เปลี่ยนแปลงแนวทางปฏิบัติดั้งเดิมและส่งคำเชิญอย่างครอบคลุมถึง สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน วิคตอร์ เออร์บาน นายกรัฐมนตรีฮังการี ฆาเบียร์ มิลเล ประธานาธิบดีอาร์เจนตินา จอร์เจีย เมโลนี นายกรัฐมนตรีอิตาลี ดาเนียล โนโบอา ประธานาธิบดีเอกวาดอร์ และประธานาธิบดีซานติอาร์โก เปญา แห่งปารากวัย . ทรัมป์ ก่อความเคลือบแคลงแก่ยุทธการของสหรัฐฯ ในการช่วยเหลือยูเครน และประกาศยุติความขัดแย้งระหว่างมอสโกกับเคียฟอย่างรวดเร็ว พวกเจ้าหน้าที่ยูเครนเกรงว่าข้อตกลงหยุดยิงที่เสนอโดย ทรัมป์ จะทำให้ประเทศของเขาเสียเปรียบ . ทั้งนี้ เซเลนสกี พบปะกับ ทรัมป์ ในนิวยอร์ก เมื่อเดือนกันยายน จากนั้น ทรัมป์ เผยว่าผู้นำยูเครน "ต้องการให้ความขัดแย้งยุติลง และทั้ง 2 ฝ่ายต่างต้องการ "ข้อตกลงที่ยุติธรรม" . แม้ไม่ได้รับเชิญ แต่ในวันจันทร์ (20 ม.ค.) เซเลนสกี โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ แสดงความยินดีกับ ทรัมป์ ในพิธีสาบานตนรับตำแหน่ง และยกย่องว่ามันเป็นโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายแห่งสันติภาพในประเทศของเขา ที่สู้รบทำสงครามต่อต้านการรุกรานของรัสเซียมาเกือบ 3 ปี . ทรัมป์ เรียกร้องซ้ำๆ เกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง และสัญญาว่าจะหยุดสงครามอย่างทันทีทันใด แต่ไม่ได้บอกว่าจะด้วยวิธีการใด "ประธานาธิบดีทรัมป์เด็ดขาดเสมอ และนโยบายสันติภาพผ่านความเข้มแข็งที่เขาแถลง เปิดโอกาสสำหรับเสริมเข้มแข็งแก่ความเป็นผู้นำของอเมริกา และบรรลุเป้าหมายสันติภาพในระยะยาว ซึ่งมันมีความสำคัญลำดับสูงสุด" เซเลนสกีระบุ . ยูเครน มองการเพาะบ่มความใกล้ชิดกับว่าที่รัฐบาลใหม่ของทรัมป์ คือเป้าหมายสำคัญ และเซเลนสกี กล่าวในวันจันทร์ (20 ม.ค.) ว่ายูเครนกำลังตั้งตาคอยบรรลุเป้าหมายแห่งความร่วมมือที่ก่อประโยชน์ร่วมกันกับรัฐบาลทรัมป์ "เมื่อร่วมมือกัน เราเข้มแข็งกว่าเดิม และเราสามารถมอบความมั่นคงและเสถียรภาพที่ดียิ่งขึ้น เช่นเดียวกับมอบการเติบโตทางเศรษฐกิจในทิศทางที่ดีขึ้นแก่โลกและประเทศของเราทั้ง 2 ชาติ" เขากล่าว . ระหว่างการปราศรัยในช่วงค่ำ เซเลนสกี ให้คำจำกัดความ ทรัมป์ ว่าเป็น "คนที่เข้มแข็ง" ที่มอบแรงกดดันที่จำเป็นสำหรับเดินหน้าความพยายามบรรลุเป้าหมายแห่งสันติภาพ "นี่คือโอกาสที่ต้องคว้าไว้" เซเลนสกีกล่าว . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006233 ......... Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    16
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1435 มุมมอง 1 รีวิว
  • ลารา ทรัมป์ (Lara Trump) ภรรยาของ เอริก ทรัมป์ (Eric Trump) ลูกชายคนที่สามของโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังห้ามไม่ให้เอริกแสดงสัญลักษณ์รูปสามเหลี่ยมคว่ำบนเวที

    รูปสัญลักษณ์สามเหลี่ยมคว่ำ มีความเกี่ยวข้องกับทฤษฎีสมคบคิดที่มีมาอย่างยาวนานถึงกลุ่มชนชั้นนำที่แอบปกครองและชักใยโลกใบนี้

    ลารา ทรัมป์ (Lara Trump) ภรรยาของ เอริก ทรัมป์ (Eric Trump) ลูกชายคนที่สามของโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังห้ามไม่ให้เอริกแสดงสัญลักษณ์รูปสามเหลี่ยมคว่ำบนเวที รูปสัญลักษณ์สามเหลี่ยมคว่ำ มีความเกี่ยวข้องกับทฤษฎีสมคบคิดที่มีมาอย่างยาวนานถึงกลุ่มชนชั้นนำที่แอบปกครองและชักใยโลกใบนี้
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 317 มุมมอง 22 0 รีวิว
  • พ่อ-ลูกครู ตชด. เหยื่อผู้ก่อความไม่สงบ

    เมื่อวันที่ 20 ม.ค.2568 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. เป็นผู้แทนพระองค์เชิญดินฝังศพพระราชทานวางบนหลุมฝังศพของ พ.ต.ท.สุวิทย์ ช่วยเทวฤทธิ์ ครูใหญ่ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน (รร.ตชด.) บ้านบ้านตืองอช่างกลปทุมวันอนุสรณ์ 13 และ ด.ต.โดม ช่วยเทวฤทธิ์ ครู รร.ตชด.บ้านตืองอฯ บุตรชาย ที่บ้านเลขที่ 293 หมู่ 3 ต.คลองทรายขาว อ.กงหรา จ.พัทลุง ในการนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายรัฐศาสตร์ ชิดชู ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง เป็นผู้แทนพระองค์เชิญดินฝังศพพระราชทานวางบนหลุมฝังศพของครู ตชด. ทั้ง 2 นายด้วย

    พ.ต.ท.สุวิทย์ ครูใหญ่ และลูกชาย ด.ต.โดม ครูวิชาเกษตรโรงเรียนเดียวกัน ถูกคนร้ายนำระเบิดแสวงเครื่องซุกใต้ถนนดักถล่มแล้วยิงซ้ำ เสียชีวิต 2 ราย พร้อมขโมยปืนไป 2 กระบอก เหตุเกิดบนถนนศรีสาคร-ลูโบ๊ะยือริง ช่วงบ้านไอร์กือแด หมู่ 4 ต.ศรีบรรพต อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 13 ม.ค.2568 สร้างความสะเทือนใจให้แก่วงการตำรวจ และแวดวงการศึกษา เนื่องจาก พ.ต.ท.สุวิทย์เป็นครูที่ทุ่มเทเสียสละสอนนักเรียนในพื้นที่เสี่ยงภัยมานานกว่า 30 ปี และถือเป็นครูต้นแบบให้กับโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนอยู่ทั้งหมด 12 แห่งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้

    นางสุปรีดา ช่วยเทวฤทธิ์ ภรรยา พ.ต.ท.สุวิทย์ กล่าวว่า “พี่แกไปดีแล้ว และสมความตั้งใจในหน้าที่การงาน แกไปไม่คิดขอย้ายจากที่นี่ ทั้งมีโอกาส แกบอกแกรักคนที่นี่ แต่สุดท้าย มีไม่กี่คนที่เกลียดแก แกไปดีแล้ว” สอดคล้องกับ จ.ส.ต.หญิง ฮานีบะห์ สานิ ครูโรงเรียน ตชด.บ้านตืองอฯ ตามรายงานข่าวของศูนย์ข่าวภาคใต้ สำนักข่าวอิศรา กล่าวว่า ทั้งโรงเรียนมีครูผู้ชายอยู่ 2 คน คือครูใหญ่สุวิทย์และครูโดม ที่เหลือเป็นครูผู้หญิง 11 คน ต้องดูแลเด็กนักเรียน 120 ชีวิต เรานั่งเรือด้วยกัน แต่คนขับเรือไม่อยู่แล้ว แล้วใครจะขับต่อ แล้วจะไปต่ออย่างไร วันข้างหน้าเราไม่รู้ว่าจะเจออะไร อุปสรรคอะไร แล้วจะไปต่อถึงฝั่งได้อย่างไร

    เฟซบุ๊กของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบกลุ่มหนึ่ง กล่าวอ้างพระนามแห่งอัลเลาะห์ ระบุว่าทั้งสองคนเป็นพลรบสยามไทย นอกจากเป็นครูแล้วยังมีสถานะพลรบด้วย แม้จะเสียดายผู้มากด้วยฝีมือและประสบการณ์ แต่ไม่อาจหลีกเลี่ยงการต่อสู้และทำลายได้ ขณะที่ศาลจังหวัดนราธิวาส อนุมัติออกหมายจับนายอับดุลเลาะห์ สาเมาะ อายุ 30 ปี และนายอับดุลเลาะ บูละ อายุ 40 ปี มีหมายจับในคดีความมั่นคงหลายคดี รวม 14 หมายจับ มาจากหลักฐานดีเอ็นเอในที่เกิดเหตุ

    #Newskit
    พ่อ-ลูกครู ตชด. เหยื่อผู้ก่อความไม่สงบ เมื่อวันที่ 20 ม.ค.2568 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. เป็นผู้แทนพระองค์เชิญดินฝังศพพระราชทานวางบนหลุมฝังศพของ พ.ต.ท.สุวิทย์ ช่วยเทวฤทธิ์ ครูใหญ่ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน (รร.ตชด.) บ้านบ้านตืองอช่างกลปทุมวันอนุสรณ์ 13 และ ด.ต.โดม ช่วยเทวฤทธิ์ ครู รร.ตชด.บ้านตืองอฯ บุตรชาย ที่บ้านเลขที่ 293 หมู่ 3 ต.คลองทรายขาว อ.กงหรา จ.พัทลุง ในการนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายรัฐศาสตร์ ชิดชู ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง เป็นผู้แทนพระองค์เชิญดินฝังศพพระราชทานวางบนหลุมฝังศพของครู ตชด. ทั้ง 2 นายด้วย พ.ต.ท.สุวิทย์ ครูใหญ่ และลูกชาย ด.ต.โดม ครูวิชาเกษตรโรงเรียนเดียวกัน ถูกคนร้ายนำระเบิดแสวงเครื่องซุกใต้ถนนดักถล่มแล้วยิงซ้ำ เสียชีวิต 2 ราย พร้อมขโมยปืนไป 2 กระบอก เหตุเกิดบนถนนศรีสาคร-ลูโบ๊ะยือริง ช่วงบ้านไอร์กือแด หมู่ 4 ต.ศรีบรรพต อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 13 ม.ค.2568 สร้างความสะเทือนใจให้แก่วงการตำรวจ และแวดวงการศึกษา เนื่องจาก พ.ต.ท.สุวิทย์เป็นครูที่ทุ่มเทเสียสละสอนนักเรียนในพื้นที่เสี่ยงภัยมานานกว่า 30 ปี และถือเป็นครูต้นแบบให้กับโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนอยู่ทั้งหมด 12 แห่งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ นางสุปรีดา ช่วยเทวฤทธิ์ ภรรยา พ.ต.ท.สุวิทย์ กล่าวว่า “พี่แกไปดีแล้ว และสมความตั้งใจในหน้าที่การงาน แกไปไม่คิดขอย้ายจากที่นี่ ทั้งมีโอกาส แกบอกแกรักคนที่นี่ แต่สุดท้าย มีไม่กี่คนที่เกลียดแก แกไปดีแล้ว” สอดคล้องกับ จ.ส.ต.หญิง ฮานีบะห์ สานิ ครูโรงเรียน ตชด.บ้านตืองอฯ ตามรายงานข่าวของศูนย์ข่าวภาคใต้ สำนักข่าวอิศรา กล่าวว่า ทั้งโรงเรียนมีครูผู้ชายอยู่ 2 คน คือครูใหญ่สุวิทย์และครูโดม ที่เหลือเป็นครูผู้หญิง 11 คน ต้องดูแลเด็กนักเรียน 120 ชีวิต เรานั่งเรือด้วยกัน แต่คนขับเรือไม่อยู่แล้ว แล้วใครจะขับต่อ แล้วจะไปต่ออย่างไร วันข้างหน้าเราไม่รู้ว่าจะเจออะไร อุปสรรคอะไร แล้วจะไปต่อถึงฝั่งได้อย่างไร เฟซบุ๊กของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบกลุ่มหนึ่ง กล่าวอ้างพระนามแห่งอัลเลาะห์ ระบุว่าทั้งสองคนเป็นพลรบสยามไทย นอกจากเป็นครูแล้วยังมีสถานะพลรบด้วย แม้จะเสียดายผู้มากด้วยฝีมือและประสบการณ์ แต่ไม่อาจหลีกเลี่ยงการต่อสู้และทำลายได้ ขณะที่ศาลจังหวัดนราธิวาส อนุมัติออกหมายจับนายอับดุลเลาะห์ สาเมาะ อายุ 30 ปี และนายอับดุลเลาะ บูละ อายุ 40 ปี มีหมายจับในคดีความมั่นคงหลายคดี รวม 14 หมายจับ มาจากหลักฐานดีเอ็นเอในที่เกิดเหตุ #Newskit
    Like
    Sad
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 518 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีเซเลนสกีของยูเครน ขอเข้าร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของโดนัลด์ ทรัมป์ถึง 3 ครั้ง แต่ถูกปฏิเสธ
    โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ (ลูกชาย ปธน.ทรัมป์) กล่าว
    ประธานาธิบดีเซเลนสกีของยูเครน ขอเข้าร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของโดนัลด์ ทรัมป์ถึง 3 ครั้ง แต่ถูกปฏิเสธ โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ (ลูกชาย ปธน.ทรัมป์) กล่าว
    Haha
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 139 มุมมอง 0 รีวิว
  • เกิดอุบัติเหตุสุดสลด ยายชาวบางระกำ อายุ 74 จูงจักรยานข้ามถนนเตรียมไปเลี้ยงเพลพระลูกชาย ถูกรถตราโล่ขนผู้ต้องหาส่งศาลชนร่างกระเด็นเสียชีวิต รถ ตร.พลิกหงานท้องล้อชี้ฟ้า

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000005277

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    เกิดอุบัติเหตุสุดสลด ยายชาวบางระกำ อายุ 74 จูงจักรยานข้ามถนนเตรียมไปเลี้ยงเพลพระลูกชาย ถูกรถตราโล่ขนผู้ต้องหาส่งศาลชนร่างกระเด็นเสียชีวิต รถ ตร.พลิกหงานท้องล้อชี้ฟ้า อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000005277 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Sad
    Like
    Angry
    13
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1246 มุมมอง 0 รีวิว
  • 17/1/68

    https://thaipublica.org
    Integrated Resort ที่มาภาพ : https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons
    กาสิโนซีรีส์ตอนที่แล้ว(จากบ่อน 1.0 ถึงกาสิโน 5.0) ได้พูดถึงวิวัฒนาการของบ่อนพนันในบ้านเรา

    จากยุค 1.0 "ยุคบ่อนบ้าน" ที่มีมาแต่อดีตกาล

    มายุค 2.0 "ยุคบ่อนเบี้ย" ที่ยาวนานจากสมัยอยุธยาจนถึงรัตน โกสินทร์ตอนต้นมาถึงยุค

    3.0 "ยุคของการปิดบ่อน" ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลที่ 6 ที่ต้องใช้เวลานานร่วม 30 ปีกว่าจะปิดบ่อนเบี้ยได้ทั่วราชอาณาจักร

    และมาถึงยุค 4.0 "ยุคของกาสิโนโดยรัฐบาล" หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร ในปี พ.ศ.2475 ที่นำมาสู่การออกพ.ร.บ.การพนันในปี พ.ศ.2478 และนำมาสู่การทดลองเปิดกาสิโน 11 แห่งทั่วประเทศในปี 2481 ซึ่งไม่ประสบผลสำเร็จ แต่กลับมาเปิดจริงจังในอีก 7 ปีต่อมาในปี 2488
    ที่ปราณบุรี ที่เปิดได้เพียง 82 วันก็ต้องปิดตัวลง เพราะ "เอาไม่อยู่"กับปัญหาสังคมที่เกิดตามมา

    ก้าวสู่ยุค 5.0 "ยุคกาสิโนโดยกลุ่มทุน" กรณีศึกษาที่ทั่วโลกยอมรับมากที่สุด คือ "สิงคโปร์" มีเรื่องเล่าพาดพิงถึงชีวิตของบุคคล 2 คน คนแรกคือ "ลีกวนยู" แห่งสิงคโปร์ คนที่สอง คือ "สแตนลีย์ โฮ" แห่งมาเก้า คนหนึ่งคือผู้นำประเทศ คนหนึ่งคือเจ้าพ่อกาสิโน คนหนึ่งปฏิเสธกาสิโน คนหนึ่งร่ำรวยเพราะกาสิโน ทั้งคู่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ต่างกันเพียง 2 ปีสแตนลีย์ โฮ เกิดก่อนเมื่อปี พ.ศ.2464 ที่ฮ่องกงในครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกจากภาวะสงครามโลกทำให้ครอบครัวเขาได้รับผลกระทบ โฮไม่ทันได้เรียนจบมหาวิทยาลัยก็ต้องเลิกเรียน ชีวิตต้องระหกระเหิน จนต้องลี้ภัยมาทำมาค้าขายอยู่ที่มาเก้า
    อายุ 27 ปี โฮได้แต่งงานกับลูกสาวของทนายความใหญ่ในมาเก้าที่มีสายสัมพันธ์กับเจ้าอาณานิคมโปรตุเกส

    10 ปีต่อมาพ่อตาได้ใช้เส้นสายช่วยให้โฮได้สัมปาทานกาสิโนในมาเก้า เป็นสัมปทานผูกขาดที่ยาวนานถึง 40 ปี สแตนลีย์ โฮ จึงเป็นเจ้าพ่อกาสิโนในมาเก้ามาจนถึงปี 2002 จนหมดอายุสัมปทาน เขาเป็นเจ้าของกาสิโนถึง 19 แห่ง

    การได้รับสัมปทานคือจุดสำคัญที่ทำให้โฮกลายเป็นมหาเศรษฐีขึ้นมา
    จุดหนึ่งที่น่าสนใจคือ โฮกล่าวว่า "ผมไม่เล่นพนัน" และเตือนด้วยว่า "อย่าหวังรวยจากการพนัน มันเป็นแค่เกมเท่านั้น"
    โฮจึงเหมือนคนปลูกผักที่ไม่กินผักที่ตัวเองปลูก เพราะรู้ดีว่ามันมีสารพิษ

    ด้วยความเป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจกาสิโน ทำให้โฮมองหาลู่ทางขยายอาณาจักรธุรกิจของตนเอง และพบที่หนึ่งที่น่าสนใจ เป็นประเทศเกิดใหม่ที่เพิ่งได้รับเอกราชและกำลังสร้างชาติ นั่นคือ สิงค โปร์ ที่มีผู้นำชื่อ "ลึกวนยู"

    วินทร์ เลียววาริณ นักเขียนรางวัลซีไรท์ เขียนถึงเรื่องราวการสร้างชาติสิงคโปร์ของลึกวนยูในหนังสือ "สร้างชาติจากศูนย์" ว่า ปี พ.ศ.2508 เกาะสิงคโปร์ถูกมาเลเซียปฏิเสธ "ไม่ให้ไปต่อ" ไม่รับสิงคโปร์เป็นรัฐหนึ่งของสหพันธรัฐมาเลเซียอีกต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ลีกวน ยู ที่ขณะนั้นอยู่ในวัยเพียง 35 ปี และเพิ่งชนะเลือกตั้งได้เป็นผู้บริหารรัฐสิงคโปร์ได้เพียง 2 ปีคาดไม่ถึงว่าจะถูกมาเลเซียตัดขาด เป็นเอกราชที่ไม่ได้ปรารถนา

    เพราะสิงคโปร์เป็นเพียงเกาะเล็ก ๆ เป็นเพียงเมืองท่าที่เต็มไปด้วยชาวจีนอพยพกับยุงณ เวลานั้น ลีกวนยู กล่าวว่า "สิงคโปร์ไม่ควรจะดำรงอยู่ เราไม่มีฐาน ไม่มีพื้นที่ ไม่มีเงินทุน ไม่มีวัตถุดิบอะไรเลยที่จะสร้างประเทศ" สิงคโปร์มีแต่ความเป็นเมืองท่าและมีคน
    ในอดีตสมัยเป็นอาณานิคมอังกฤษ สิงคโปร์เต็มไปด้วยชาวจีนอพยพ และแน่นอนเต็มไปด้วยการเล่นพนัน 3 ปีหลังจากเป็นเอกราช ลีกวนยูประกาศให้การพนันเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
    วินทร์ เรียววาริณ เล่าว่า "ลีกวนยูมองเห็นหายนะของการพนันมาตั้งแต่เด็ก พ่อของเขาติดพนัน และขอเครื่องทองของแม่ไปจำนำเพื่อเล่นการพนัน ลีกวนยูจึงไม่เคยเล่นการพนัน และต่อต้านเรื่องนี้"

    ลีกวนยู จึงปฏิเสธข้อเสนอขอสร้างกาสิโนในสิงคโปร์ของสแตนลีย์ โฮ อย่างไม่สนใจใยดี และประกาศว่า "ขอสร้างชาติด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และจะไม่ขอพึ่งเงินจากการพนัน"

    สิงคโปร์เองในสมัยนั้นน่าจะไม่ต่างจากมาเก๊า ตรงที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากเป็นเมืองท่า หรืออาจจะไม่ต่างจากสปป.ลาวหรือกัมพูชา ที่บอบซ้ำกับสงครามคอมมิวนิสต์
    เพียงแต่ ลีกวนยู ไม่เลือกง้อเงินพนัน ขณะที่ผู้ปกครองมาเก้า ลาว และกัมพูชาคิดต่างออกไป ลีกวนยู ตั้งใจจะทำให้สิงคโปร์เป็น "First World Oasis" เป็นจุดแวะพักจุดแรกของชาวตะวันตกที่เดินทางมาทวีปเอเซียไม่น่าเชื่อว่า เพียง 8 ปีหลังจากได้รับเอกราชที่คาดไม่ถึง ลีกวนยู และชาวสิงคโปร์ทำงานอย่างหนัก เพื่อพัฒนาตัวเองเป็นเมืองท่าปลอดภาษี เป็นศูนย์กลางการบินและการเดินเรือ เป็นศูนย์กลางการขนถ่ายสินค้า และเป็นศูนย์กลางการเงิน

    ความสำเร็จของสิงคโปร์ นอกจากการทำงานหนักแล้วก็คือ

    * การมุ่งสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานให้ดี เพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชน

    * การบังคับใช้กฎหมายที่เด็ดขาด ไม่มีสองมาตรฐาน

    * การปราบคอรัปชั้นอย่างจริงจัง

    * และการให้ความสำคัญกับ "การพัฒนาคน" เพราะทรัพยากรธรรมชาติอย่างเดียวที่สิงคโปร์มีคือ "คน"การพยายามสร้างตัวเองให้เป็น "First World Oasis" ทำให้สิงคโปร์พยายามสร้างจุดดึงดูด นักท่องเที่ยวด้วย

    * โปรเจคมากมาย ถมทะเลเพื่อสร้างสนามบิน ถมทะเลเพื่อสร้างอ่าว ปลูกต้นไม้ทั้งเกาะให้เป็น "อุทยานนคร" และสร้างเมืองให้สะอาดและปลอดภัย สิงคโปร์จึงเต็มไปด้วย "ข้อห้ามและค่าปรับ" จนถูกกระแนะกระแหนว่า "Singapore is Fine country"

    จวบจนปลายทศวรรษ 1990 เมื่อทำทุกอย่างจนแทบไม่เหลืออะไรให้ทำอีกแล้ว จนประเทศมีระบบที่มีประสิทธิภาพและสะอาดมากจนเป็น ที่เลื่องลือ สิงคโปร์จึงยอมรับข้อเสนอเรื่องการเปิด "Integrated Resort" หรือรีสอร์ตแบบบูรณาการที่รวมเอากิจการหลาย ๆ อย่างไว้ด้วยกัน รวมทั้งกาสิโน
    แต่นั่นไม่ใช่ในสมัยของลีกวนยู เป็นยุคของผู้นำรุ่นที่ 3 ที่มีชื่อว่า "ลีเซียนลุง" บุตรชายของเขาเอง ซึ่งลึกวนยู ก็ยังคงไม่เห็นด้วยกับการหวังเงินจากการพนันเช่นเคย

    สิ่งที่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ลีกวนยู ยอมให้ลูกชายที่เป็นนายกรัฐมนตรีเปิดกาสิโน คือ งานวิจัยเพราะใช่ว่าชาวสิงคโปร์ทั้งหมดจะเห็นด้วยกับโปรเจคนี้ ถึงขนาดฝ่ายคัดค้านกดดันให้ ลีเซียนลุง จัดทำประชามติ แต่เขาปฏิเสธ ด้วย

    ข่าวจากทั่วทุกสารทิศทั่วโลกต่างรายงานถึงผลกระทบจากการมีกาสิโน
    ที่สหรัฐอเมริกา การเปิดกาสิโนมากมายที่เมืองแอตแลนติกซิตี้ มลรัฐนิวเจอร์ชีย์ ตามรอยของลาสเวกัส ส่งผลให้เกิดอาชญากรรมในพื้นที่เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าในปีเดียว และ

    ปัจจุบันกาสิโนหลายแห่งทะยอยปิดตัวลง
    ที่มาเก้า เมื่อมีการเปิดกาสิโนเพิ่มขึ้นจาก 19 แห่งในยุคสแตนลีย์ โฮ ขยายเป็น 35 แห่งในยุคหลัง กาสิโนนอกจากจะทำให้เกิดปัญหาประชากรแออัด ปัญหาจราจร มลพิษทางอากาศ เงินเฟ้อพุ่ง ค่าครองชีพและมูลค่าอสังหาริมทรัพย์พุ่งสูงขึ้น ยังก่อให้เกิดปัญหาความไม่ปลอดภัยในสังคมตามมา สำนักงานตำรวจของมาเก้า เปิดเผยว่าอาชญากรรมเกี่ยวกับการพนัน เพิ่มขึ้นถึง 37.8% ในช่วงเวลาเพียง 3ปี

    ที่สปป.ลาว รัฐบาลมีกฎหมายห้ามไม่ให้คนลาวเข้าเล่นการพนันในกาสิโนเด็ดขาด แต่การบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอ ทำให้กาสิโนตามตะเข็บชายแดนรอบประเทศกลายเป็นสถานที่คุ้นเคยของประชาชนลาว ที่ "คิงส์โรมัน" สถานกาสิโนชื่อดัง พบว่านักพนันกว่า 60% ที่เข้าไปเล่นเป็นนักพนันชาวลาว

    เช่นเดียวกับที่กัมพูชา รัฐบาลกัมพูชาไม่อนุญาตให้คนกัมพูชาเข้ากาสิโน แต่พบว่าคนกัมพูชา ในท้องถิ่นที่กาสิโนตั้งอยู่ต่างกรูกันเข้าไปเล่น
    นี่คือความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นในสิงคโปร์ กับมาเก๊า สปป.ลาว กัมพูชา รวมถึงสหรัฐอเมริกา

    กาสิโนในยุค 5.0 จึงเป็นความท้าทายของผู้บริหารประเทศว่า จะสร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ กับความสงบสุขทางสังคมได้อย่างไร?
    17/1/68 https://thaipublica.org Integrated Resort ที่มาภาพ : https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons กาสิโนซีรีส์ตอนที่แล้ว(จากบ่อน 1.0 ถึงกาสิโน 5.0) ได้พูดถึงวิวัฒนาการของบ่อนพนันในบ้านเรา จากยุค 1.0 "ยุคบ่อนบ้าน" ที่มีมาแต่อดีตกาล มายุค 2.0 "ยุคบ่อนเบี้ย" ที่ยาวนานจากสมัยอยุธยาจนถึงรัตน โกสินทร์ตอนต้นมาถึงยุค 3.0 "ยุคของการปิดบ่อน" ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลที่ 6 ที่ต้องใช้เวลานานร่วม 30 ปีกว่าจะปิดบ่อนเบี้ยได้ทั่วราชอาณาจักร และมาถึงยุค 4.0 "ยุคของกาสิโนโดยรัฐบาล" หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร ในปี พ.ศ.2475 ที่นำมาสู่การออกพ.ร.บ.การพนันในปี พ.ศ.2478 และนำมาสู่การทดลองเปิดกาสิโน 11 แห่งทั่วประเทศในปี 2481 ซึ่งไม่ประสบผลสำเร็จ แต่กลับมาเปิดจริงจังในอีก 7 ปีต่อมาในปี 2488 ที่ปราณบุรี ที่เปิดได้เพียง 82 วันก็ต้องปิดตัวลง เพราะ "เอาไม่อยู่"กับปัญหาสังคมที่เกิดตามมา ก้าวสู่ยุค 5.0 "ยุคกาสิโนโดยกลุ่มทุน" กรณีศึกษาที่ทั่วโลกยอมรับมากที่สุด คือ "สิงคโปร์" มีเรื่องเล่าพาดพิงถึงชีวิตของบุคคล 2 คน คนแรกคือ "ลีกวนยู" แห่งสิงคโปร์ คนที่สอง คือ "สแตนลีย์ โฮ" แห่งมาเก้า คนหนึ่งคือผู้นำประเทศ คนหนึ่งคือเจ้าพ่อกาสิโน คนหนึ่งปฏิเสธกาสิโน คนหนึ่งร่ำรวยเพราะกาสิโน ทั้งคู่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ต่างกันเพียง 2 ปีสแตนลีย์ โฮ เกิดก่อนเมื่อปี พ.ศ.2464 ที่ฮ่องกงในครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกจากภาวะสงครามโลกทำให้ครอบครัวเขาได้รับผลกระทบ โฮไม่ทันได้เรียนจบมหาวิทยาลัยก็ต้องเลิกเรียน ชีวิตต้องระหกระเหิน จนต้องลี้ภัยมาทำมาค้าขายอยู่ที่มาเก้า อายุ 27 ปี โฮได้แต่งงานกับลูกสาวของทนายความใหญ่ในมาเก้าที่มีสายสัมพันธ์กับเจ้าอาณานิคมโปรตุเกส 10 ปีต่อมาพ่อตาได้ใช้เส้นสายช่วยให้โฮได้สัมปาทานกาสิโนในมาเก้า เป็นสัมปทานผูกขาดที่ยาวนานถึง 40 ปี สแตนลีย์ โฮ จึงเป็นเจ้าพ่อกาสิโนในมาเก้ามาจนถึงปี 2002 จนหมดอายุสัมปทาน เขาเป็นเจ้าของกาสิโนถึง 19 แห่ง การได้รับสัมปทานคือจุดสำคัญที่ทำให้โฮกลายเป็นมหาเศรษฐีขึ้นมา จุดหนึ่งที่น่าสนใจคือ โฮกล่าวว่า "ผมไม่เล่นพนัน" และเตือนด้วยว่า "อย่าหวังรวยจากการพนัน มันเป็นแค่เกมเท่านั้น" โฮจึงเหมือนคนปลูกผักที่ไม่กินผักที่ตัวเองปลูก เพราะรู้ดีว่ามันมีสารพิษ ด้วยความเป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจกาสิโน ทำให้โฮมองหาลู่ทางขยายอาณาจักรธุรกิจของตนเอง และพบที่หนึ่งที่น่าสนใจ เป็นประเทศเกิดใหม่ที่เพิ่งได้รับเอกราชและกำลังสร้างชาติ นั่นคือ สิงค โปร์ ที่มีผู้นำชื่อ "ลึกวนยู" วินทร์ เลียววาริณ นักเขียนรางวัลซีไรท์ เขียนถึงเรื่องราวการสร้างชาติสิงคโปร์ของลึกวนยูในหนังสือ "สร้างชาติจากศูนย์" ว่า ปี พ.ศ.2508 เกาะสิงคโปร์ถูกมาเลเซียปฏิเสธ "ไม่ให้ไปต่อ" ไม่รับสิงคโปร์เป็นรัฐหนึ่งของสหพันธรัฐมาเลเซียอีกต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ลีกวน ยู ที่ขณะนั้นอยู่ในวัยเพียง 35 ปี และเพิ่งชนะเลือกตั้งได้เป็นผู้บริหารรัฐสิงคโปร์ได้เพียง 2 ปีคาดไม่ถึงว่าจะถูกมาเลเซียตัดขาด เป็นเอกราชที่ไม่ได้ปรารถนา เพราะสิงคโปร์เป็นเพียงเกาะเล็ก ๆ เป็นเพียงเมืองท่าที่เต็มไปด้วยชาวจีนอพยพกับยุงณ เวลานั้น ลีกวนยู กล่าวว่า "สิงคโปร์ไม่ควรจะดำรงอยู่ เราไม่มีฐาน ไม่มีพื้นที่ ไม่มีเงินทุน ไม่มีวัตถุดิบอะไรเลยที่จะสร้างประเทศ" สิงคโปร์มีแต่ความเป็นเมืองท่าและมีคน ในอดีตสมัยเป็นอาณานิคมอังกฤษ สิงคโปร์เต็มไปด้วยชาวจีนอพยพ และแน่นอนเต็มไปด้วยการเล่นพนัน 3 ปีหลังจากเป็นเอกราช ลีกวนยูประกาศให้การพนันเป็นสิ่งผิดกฎหมาย วินทร์ เรียววาริณ เล่าว่า "ลีกวนยูมองเห็นหายนะของการพนันมาตั้งแต่เด็ก พ่อของเขาติดพนัน และขอเครื่องทองของแม่ไปจำนำเพื่อเล่นการพนัน ลีกวนยูจึงไม่เคยเล่นการพนัน และต่อต้านเรื่องนี้" ลีกวนยู จึงปฏิเสธข้อเสนอขอสร้างกาสิโนในสิงคโปร์ของสแตนลีย์ โฮ อย่างไม่สนใจใยดี และประกาศว่า "ขอสร้างชาติด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และจะไม่ขอพึ่งเงินจากการพนัน" สิงคโปร์เองในสมัยนั้นน่าจะไม่ต่างจากมาเก๊า ตรงที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากเป็นเมืองท่า หรืออาจจะไม่ต่างจากสปป.ลาวหรือกัมพูชา ที่บอบซ้ำกับสงครามคอมมิวนิสต์ เพียงแต่ ลีกวนยู ไม่เลือกง้อเงินพนัน ขณะที่ผู้ปกครองมาเก้า ลาว และกัมพูชาคิดต่างออกไป ลีกวนยู ตั้งใจจะทำให้สิงคโปร์เป็น "First World Oasis" เป็นจุดแวะพักจุดแรกของชาวตะวันตกที่เดินทางมาทวีปเอเซียไม่น่าเชื่อว่า เพียง 8 ปีหลังจากได้รับเอกราชที่คาดไม่ถึง ลีกวนยู และชาวสิงคโปร์ทำงานอย่างหนัก เพื่อพัฒนาตัวเองเป็นเมืองท่าปลอดภาษี เป็นศูนย์กลางการบินและการเดินเรือ เป็นศูนย์กลางการขนถ่ายสินค้า และเป็นศูนย์กลางการเงิน ความสำเร็จของสิงคโปร์ นอกจากการทำงานหนักแล้วก็คือ * การมุ่งสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานให้ดี เพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชน * การบังคับใช้กฎหมายที่เด็ดขาด ไม่มีสองมาตรฐาน * การปราบคอรัปชั้นอย่างจริงจัง * และการให้ความสำคัญกับ "การพัฒนาคน" เพราะทรัพยากรธรรมชาติอย่างเดียวที่สิงคโปร์มีคือ "คน"การพยายามสร้างตัวเองให้เป็น "First World Oasis" ทำให้สิงคโปร์พยายามสร้างจุดดึงดูด นักท่องเที่ยวด้วย * โปรเจคมากมาย ถมทะเลเพื่อสร้างสนามบิน ถมทะเลเพื่อสร้างอ่าว ปลูกต้นไม้ทั้งเกาะให้เป็น "อุทยานนคร" และสร้างเมืองให้สะอาดและปลอดภัย สิงคโปร์จึงเต็มไปด้วย "ข้อห้ามและค่าปรับ" จนถูกกระแนะกระแหนว่า "Singapore is Fine country" จวบจนปลายทศวรรษ 1990 เมื่อทำทุกอย่างจนแทบไม่เหลืออะไรให้ทำอีกแล้ว จนประเทศมีระบบที่มีประสิทธิภาพและสะอาดมากจนเป็น ที่เลื่องลือ สิงคโปร์จึงยอมรับข้อเสนอเรื่องการเปิด "Integrated Resort" หรือรีสอร์ตแบบบูรณาการที่รวมเอากิจการหลาย ๆ อย่างไว้ด้วยกัน รวมทั้งกาสิโน แต่นั่นไม่ใช่ในสมัยของลีกวนยู เป็นยุคของผู้นำรุ่นที่ 3 ที่มีชื่อว่า "ลีเซียนลุง" บุตรชายของเขาเอง ซึ่งลึกวนยู ก็ยังคงไม่เห็นด้วยกับการหวังเงินจากการพนันเช่นเคย สิ่งที่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ลีกวนยู ยอมให้ลูกชายที่เป็นนายกรัฐมนตรีเปิดกาสิโน คือ งานวิจัยเพราะใช่ว่าชาวสิงคโปร์ทั้งหมดจะเห็นด้วยกับโปรเจคนี้ ถึงขนาดฝ่ายคัดค้านกดดันให้ ลีเซียนลุง จัดทำประชามติ แต่เขาปฏิเสธ ด้วย ข่าวจากทั่วทุกสารทิศทั่วโลกต่างรายงานถึงผลกระทบจากการมีกาสิโน ที่สหรัฐอเมริกา การเปิดกาสิโนมากมายที่เมืองแอตแลนติกซิตี้ มลรัฐนิวเจอร์ชีย์ ตามรอยของลาสเวกัส ส่งผลให้เกิดอาชญากรรมในพื้นที่เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าในปีเดียว และ ปัจจุบันกาสิโนหลายแห่งทะยอยปิดตัวลง ที่มาเก้า เมื่อมีการเปิดกาสิโนเพิ่มขึ้นจาก 19 แห่งในยุคสแตนลีย์ โฮ ขยายเป็น 35 แห่งในยุคหลัง กาสิโนนอกจากจะทำให้เกิดปัญหาประชากรแออัด ปัญหาจราจร มลพิษทางอากาศ เงินเฟ้อพุ่ง ค่าครองชีพและมูลค่าอสังหาริมทรัพย์พุ่งสูงขึ้น ยังก่อให้เกิดปัญหาความไม่ปลอดภัยในสังคมตามมา สำนักงานตำรวจของมาเก้า เปิดเผยว่าอาชญากรรมเกี่ยวกับการพนัน เพิ่มขึ้นถึง 37.8% ในช่วงเวลาเพียง 3ปี ที่สปป.ลาว รัฐบาลมีกฎหมายห้ามไม่ให้คนลาวเข้าเล่นการพนันในกาสิโนเด็ดขาด แต่การบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอ ทำให้กาสิโนตามตะเข็บชายแดนรอบประเทศกลายเป็นสถานที่คุ้นเคยของประชาชนลาว ที่ "คิงส์โรมัน" สถานกาสิโนชื่อดัง พบว่านักพนันกว่า 60% ที่เข้าไปเล่นเป็นนักพนันชาวลาว เช่นเดียวกับที่กัมพูชา รัฐบาลกัมพูชาไม่อนุญาตให้คนกัมพูชาเข้ากาสิโน แต่พบว่าคนกัมพูชา ในท้องถิ่นที่กาสิโนตั้งอยู่ต่างกรูกันเข้าไปเล่น นี่คือความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นในสิงคโปร์ กับมาเก๊า สปป.ลาว กัมพูชา รวมถึงสหรัฐอเมริกา กาสิโนในยุค 5.0 จึงเป็นความท้าทายของผู้บริหารประเทศว่า จะสร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ กับความสงบสุขทางสังคมได้อย่างไร?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 809 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความไม่สงบชายแดนใต้ ปัญหาที่คอยตบหน้ารัฐบาลไม่มีวันจบ
    นับจากเหตุการณ์ปล้นปืนในปี 2547อันเป็นเสมือนจุดเริ่มต้นเหตุการณ์ความไม่สงบ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จวบจนวันนี้เป็นเวลากว่า 20ปี ที่ผ่านมา ที่รัฐบาลไทยภายใต้การบริหารของรัฐบาล 10 ชุด นายกรัฐมนตรี 8 คนไม่สามารถแก้ไขปัญหาความรุนแรงได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
    ตัวเลขของผู้เสียชีวิต มีทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั้งไทยพุทธ และมุสลิมเสียชีวิตมากกว่าเจ็ดพันคน บาดเจ็บและพิการทุพพลภาพมากกว่า2พัน คนใช้งบประมาณในการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่องรวมกันแล้วมากกว่า 3.13แสนล้านบาท
    ล่าสุดหลังผ่านพ้นเทศกาลปีใหม่ไปได้สัปดาห์เดียว 14 มกราคม 68โจรใต้ได้ก่อเหตุวางระเบิดและยิงซ้ําเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นครูโรงเรียนตํารวจตระเวนชายแดนเสียชีวิตอีก 2 นายที่จังหวัดนราธิวาส สิ่งที่สร้างความสะเทือนใจจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ก็คือผู้เสียชีวิตทั้ง2 นายเป็นพ่อลูกทําหน้าที่ครูโรงเรียนตํารวจตระเวนชายแดนในพื้นที่บ้านไอกึนเนาะ จังหวัดนราธิวาส โดยผู้เป็นพ่อคือพันตํารวจโทสุวิทย์ ช่วยเทวฤทธิ์อายุ 56 ปีเป็นครูใหญ่ของโรงเรียน ส่วนลูกชายคือดาบตํารวจโดมช่วยเทวฤทธิ์ อายุ 35ปี เป็นครูอาสาโรงเรียนเดียวกัน
    ครูสุวิทย์เคยเปิดใจให้สัมภาษณ์ว่าผมตั้งใจไว้ตั้งแต่เด็กสักวันจะเป็นครูอยากช่วยเหลือเด็กในพื้นที่ที่ทุรกันดารจึงเข้ามาเป็นครู โดยได้สิทธิสอบบรรจุ ครูคุรุทายาทเมื่อได้จึงเลือกที่จะทํางานในพื้นที่ของจังหวัดนราธิวาสที่ใครๆก็ไม่อยากมาแต่ผมกลับมองว่าเป็นโอกาสดี
    ที่จะได้ทํางานสนองงานพระราชดําริทุกพระองค์ได้อย่างเต็มที่ การสูญเสียวีรบุรุษครูตํารวจตระเวนชายแดนครั้งนี้ไม่ต่างอะไรกับการเย้ยหยันตบหน้ารัฐบาลไทยว่ารัฐไทยหมดน้ํายาแพ้พ่ายโจรก่อการร้ายชายแดนใต้ตลอดกาล งส์โพธิ์ดำขอไว้อาลัยแก่ครูผู้เสียสละจากเหตุการณ์ความไม่สงบในชายแดนใต้ ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    ความไม่สงบชายแดนใต้ ปัญหาที่คอยตบหน้ารัฐบาลไม่มีวันจบ นับจากเหตุการณ์ปล้นปืนในปี 2547อันเป็นเสมือนจุดเริ่มต้นเหตุการณ์ความไม่สงบ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จวบจนวันนี้เป็นเวลากว่า 20ปี ที่ผ่านมา ที่รัฐบาลไทยภายใต้การบริหารของรัฐบาล 10 ชุด นายกรัฐมนตรี 8 คนไม่สามารถแก้ไขปัญหาความรุนแรงได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ตัวเลขของผู้เสียชีวิต มีทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั้งไทยพุทธ และมุสลิมเสียชีวิตมากกว่าเจ็ดพันคน บาดเจ็บและพิการทุพพลภาพมากกว่า2พัน คนใช้งบประมาณในการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่องรวมกันแล้วมากกว่า 3.13แสนล้านบาท ล่าสุดหลังผ่านพ้นเทศกาลปีใหม่ไปได้สัปดาห์เดียว 14 มกราคม 68โจรใต้ได้ก่อเหตุวางระเบิดและยิงซ้ําเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นครูโรงเรียนตํารวจตระเวนชายแดนเสียชีวิตอีก 2 นายที่จังหวัดนราธิวาส สิ่งที่สร้างความสะเทือนใจจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ก็คือผู้เสียชีวิตทั้ง2 นายเป็นพ่อลูกทําหน้าที่ครูโรงเรียนตํารวจตระเวนชายแดนในพื้นที่บ้านไอกึนเนาะ จังหวัดนราธิวาส โดยผู้เป็นพ่อคือพันตํารวจโทสุวิทย์ ช่วยเทวฤทธิ์อายุ 56 ปีเป็นครูใหญ่ของโรงเรียน ส่วนลูกชายคือดาบตํารวจโดมช่วยเทวฤทธิ์ อายุ 35ปี เป็นครูอาสาโรงเรียนเดียวกัน ครูสุวิทย์เคยเปิดใจให้สัมภาษณ์ว่าผมตั้งใจไว้ตั้งแต่เด็กสักวันจะเป็นครูอยากช่วยเหลือเด็กในพื้นที่ที่ทุรกันดารจึงเข้ามาเป็นครู โดยได้สิทธิสอบบรรจุ ครูคุรุทายาทเมื่อได้จึงเลือกที่จะทํางานในพื้นที่ของจังหวัดนราธิวาสที่ใครๆก็ไม่อยากมาแต่ผมกลับมองว่าเป็นโอกาสดี ที่จะได้ทํางานสนองงานพระราชดําริทุกพระองค์ได้อย่างเต็มที่ การสูญเสียวีรบุรุษครูตํารวจตระเวนชายแดนครั้งนี้ไม่ต่างอะไรกับการเย้ยหยันตบหน้ารัฐบาลไทยว่ารัฐไทยหมดน้ํายาแพ้พ่ายโจรก่อการร้ายชายแดนใต้ตลอดกาล งส์โพธิ์ดำขอไว้อาลัยแก่ครูผู้เสียสละจากเหตุการณ์ความไม่สงบในชายแดนใต้ ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 573 มุมมอง 0 รีวิว
  • พ่อนายแบบจีน ร้อง ผบ.ตร. ช่วยตามตัวลูกชาย หลังเดินทางมาไทย หายตัวไปเกือบเดือน หวั่นถูกลวงข้ามแดนซ้ำรอย "หวังซิง" ดาราจีน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000004813

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    พ่อนายแบบจีน ร้อง ผบ.ตร. ช่วยตามตัวลูกชาย หลังเดินทางมาไทย หายตัวไปเกือบเดือน หวั่นถูกลวงข้ามแดนซ้ำรอย "หวังซิง" ดาราจีน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000004813 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1155 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวบรวม 61ความระยำของ ทักษิณ บันทึกไว้ให้ลูกหลานมันจำ" 🧐เครดิต:ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิทย์ แชร์ให้โลกรู้
    9 ธค.นี้ 10.00 น.หน้าทำเนียบรัฐบาลไทยทุกคน

    1. แก้ พรบ.สรรพสามิตโทรคมนาคม ให้เสียภาษีน้อยลง ได้ผลประโยชน์ 8,000 ล้าน
    2. ลดสัมปทาน itv ได้ผลประโยชน์ 20,000 ล้าน แถมได้สถานีโทรทัศน์ที่เคยมีอุดมการณ์เปลี่ยนมาทำลายวัฒนธรรม โดยการเอาหนังเกาหลีมาฉาย และปิดสื่อความไม่ดีสร้างภาพดีๆให้ตัวเอง (กลุ่มชินคอร์ป ถือหุ้น itv 53%)
    3. ตั้ง ชัยสิทธิ์ ชินวัตร เป็น ผบ.ทบ. ก็ได้พี่ชายตนเองคุมทหาร
    4. ตั้ง เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ เป็น รอง ผบ.ตร. ก็ได้พี่เขยตนเองคุมตำรวจ
    5. ตั้ง วาสนา เพิ่มลาภ เป็น ประธาน กกต ก็ได้ตำรวจพวกพ้องตัวเองคุม กกต.
    6. ตั้ง สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ เป็น ผอ.กองสลาก ก็ได้ตำรวจพวกพ้องตัวเองคุม กองสลาก
    7. ตั้ง คงศักดิ์ วันทนา เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สามีลูกน้ำเพื่อนรักที่ช่วยแลกเช็คให้สมัยยังจนอยู่ก็ได้เพื่อนคุณหญิงอ้อ…มาคุมทุกเหล่า
    8. กล่าวคําพูดท้าทายพวกก่อการร้ายในภาคใต้ว่าเป็นแค่โจรกระจอก อย่าไปใส่ใจ ทําให้เกิดความรุนแรงคนตายมากมายและหลุดปากด่าทหารว่า “สมควรตาย”
    9. ปล่อยเงินกู้ให้พม่า 4,000ล้าน เพื่อนำมาเช่าช่องสัญญาณ IP Star ของตัวเอง ถึงกำหนดแล้วพม่ายังไม่ใช้หนี้เลย
    10. เจรจาเซ็น FTA กับจีน ให้จีนนำเข้า หอม กระเทียม เข้ามาไม่เสียภาษี เกษตรกรที่ปลูกหอมปลูกกระเทียมทางเหนือก็ตายหมด ส่วนไทยได้ขายธุรกิจช่อง สัญญาณดาวเทียม IP Star
    11. เจรจาเซ็น FTA กับออสเตรเลีย ให้นำเข้า นม ไวน์ เข้ามาไม่เสียภาษี ทำลายเหล้าไวน์พื้นบ้าน OTOP ทำลายนมพระราชดำริ ส่วนไทยได้ขายธุรกิจช่องสัญญาณ IP Star
    12. ในเดือนพฤศจิกายน 2546 คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มีมติส่งเสริมการลงทุนโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์ของ ชินแซทเทิลไลท์ โดยให้การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเฉพาะรายได้ที่ได้รับจากต่างประเทศ ทั้ง ๆที่เป็นกิจการที่ลงทุนเดิมอยู่แล้วไม่รู้ไปยกเว้นภาษีทำไม บริษัทจึงได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้อีก 16,459 ล้านบาทต่อปี
    13. แปรรูปขายหุ้น ปตท วันแรกเปิดขายหุ้นหมดภายใน 1 นาที 17 วินาที ตระกูลใครละที่ได้ซื้อหุ้นไปหลังจากแปรรูป น้ำมันก็แพงขึ้นทุกวัน ให้กองทุนน้ำมันของคนไทยขาดทุนกว่า 70,000 ล้านบาท แต่ ปตท ได้กำไรปี 2548 จำนวน 160,000 ล้านบาท แล้วกำไรแทนที่จะเป็นของรัฐก็กลายเป็นกำไรของตระกูลพวกถือหุ้น
    14. ซุกหุ้นภาคแรกให้เมียตัวเองขึ้นศาลรับผิด ซุกหุ้นภาค 2 ให้ลูกชายตัวเองขึ้นศาลรับผิดไหนบอกว่ารักครอบครัวไง
    15. บริษัทของลูกท่านได้เงินกู้ 5,000 ล้าน จาก ICT ดอกเบี้ย0% ไม่กำหนดเวลาชำระคืนแถมได้รับการเว้นภาษีจาก บีโอไอ อีกทำสวนสนุกได้รับการเว้นภาษี
    16. ได้รับสัมปทานสื่อโฆษณาที่รถไฟใต้ดิน โดยที่ไม่ได้รับการเปิดประมูลเพื่อแข่งขันกับบริษัทอื่น
    17. ทักษิณ สั่ง รมต. กลางวง ครม. ลดค่าเช่าพื้นที่ย่านสยามสแควร์ เปิดทางลูก-หลานเปิด สตูดิโอ – ร้านกาแฟ อ้างค่าเช่าแพงเกินจริง
    18. ลดเงินค่ารถไฟฟ้า-ใต้ดิน พอดีกับงานสวนสนุกธุรกิจของลูกๆ สอดคล้องสนับสนุนกันพอดี บังเอิญจริงๆ
    19. ทักษิณพูดว่า”จังหวัดไหนเลือกไทยรักไทย จะให้ความดูแลก่อน” น้ำท่วมภาคใต้ 5 วันแล้ว แต่ทักษิณไปช่วยหาเสียงเลือกตั้งซ่อม ไปกินก๋วยเตี๋ยวสร้างภาพ ไปเดินตลาดหาเสียง ทั้งๆที่มี สส อยู่เต็มสภาแล้วแต่ที่ต้องลงใต้ไปดูน้ำท่วมวันศุกร์เช้า เนื่องจากกลัวสนธิพูดตอนเย็นในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์
    20. การที่มีพวกพ้องตัวเองเป็น กกต. จึงเปลี่ยนรูปแบบการเลือกตั้งให้สามารถโกงการเลือกตั้งเพิ่มขึ้นได้อีก 2 วิธี
    20.1 ปั๊มตรายางอีกชุดรอเวลาเปลี่ยนกล่องบัตรได้ทุกเวลา
    20.2 หมึกมีแบบล่องหน และ แบบโผล่ขึ้นมาได้ (ในทางเคมีสามารถทำได้)
    21. ปิดข่าวเรื่องไข้หวัดนกทําให้ชาวบ้านที่ไม่ทราบต้องตายแล้วยังไปแสดงการกินไก่ไปหัวเราะไป เพื่อ ซีพี.นายทุนพรรคเท่านั้น
    22. ทําให้เกิดการฆ่าตัดตอนประชาชนผู้บริสุทธิ์กว่า 2000 คน จากการปราบยาบ้าสั่งฆ่าคนได้หน้าตาเฉย โหดร้ายทารุณ
    23. ซุกหุ้นปั่นหุ้น ซุกซ่อนทรัพย์สินไว้กับญาติพี่น้องเอาเงินไปฟอกต่างประเทศเอาเปรียบใน การทําธุรกิจผูกขาด
    ทั้งรับทั้งจ่ายใต้โต๊ะจนคนในวงการธุรกิจ เขารู้กันหมด ค้ากำไรเกินควร จนรํ่ารวยมหาศาล
    24. โกงที่ดินวัดของสนามกอล์ฟอัลไพน์มีคนโกงที่ดินธรณีสงฆ์เอามาทำสนามกอล์ฟ แล้วทักษิณไปซื้อต่อทั้ง ๆ รู้ว่าที่ดินนั้นได้มา ไม่ถูกต้องเพราะไม่กลัวบาปกรรม
    25. ประชาชนเสียรู้ทักษิณ เรียนฟรี 12 ปี นโยบายรัฐที่เปิดช่องให้โรงเรียนนำค่าใช้จ่ายอย่างอื่นมาเพิ่มแทนค่าเทอม นั่นแหละ สุดท้ายก็ไม่ได้เรียนฟรีอยู่ดี เป็นความล้มเหลวที่เห็นได้ชัดเจนของการปฎิรูปการศึกษาไทย ประชาชนจะถูกหลอกอีก 4 ปี เอาเข้าไป เป็นความจริงที่สุดเลย นี่คือการโกหกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในโลกนี้ซึ่งหาดูไม่ได้ที่ไหนนอกจากประเทศไทยที่กฎหมายบอกว่าเรียนฟรี แต่ความจริงมีใครบ้างที่เรียนฟรีถามผู้ปกครองทุกคนดูได้เลย
    26. ชั่วเวลาแค่ปีเศษ ๆ รัฐบาลชุดนี้ก็ทำให้สถานการณ์ภาคใต้ที่ร่มเย็นเป็นสุขมานานหลายสิบปี กลับร้อนระอุกลายเป็นแดนมิคสัญญี
    27. เช่าน่านฟ้า เช่าผืนแผ่นดินไทย ราคาเช่าช่างถูกจัง มีอะไรแอบแฝงหรือเปล่า ตนเองน่าจะรู้ดี ไหนบอกว่าแผ่นดินไทยจะไม่ให้หายแม้แต่ตารางนิ้วเดียวไงใช้อำนาจจนเลยเถิดไม่เห็นด้วย คิดไงท่านนายก ที่ให้เช่า 15 ปี แถมมีเปลียนสัญญาได้ทุกๆ 5 ปี เหมือนทำธรุกิจเลยขอเชิญชาวไทยเรียกร้องอธิปไตยชาติไทยกลับมาด้วยขอให้มี สส สว ที่ยังพอมีความเป็นไทยที่มิใช่มีความเป็น ทรท. ช่วยกันคัดค้าน ล่ารายชื่อด้วยครับผมว่ามันเกี่ยวกันหมดแหละครับ ตั้งแต่ AIS (มือถือ) ไทยคม1 ไทยคม 2 IPstar ชินคอร์ป ธนาคาร ธุรกิจ การเมือง อยู่ในมือสิงคโปร์ทั้งหมดแล้วครับ ชัดเจน มีผลประโยชน์ทับซ้อนแหง๋ ไม่งั้นไม่งุบงิบกันทำหรอก อย่านึกว่าประชาชนโง่นะคุณ ยุคทักษิณคือ ยุคของเงินเหนือรัฐ ยุคตำรวจรังแกประชาชน ยุคทหารฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ยุคความรุนแรงอยู่เหนือเหตุผล
    28. ฉลาด อย่างตัวจับยาก เอาเงินหลวงไปหว่านให้รากหญ้าแล้ว ผ่านกระเป๋ารากหญ้าแบบเคาะกะลาให้หมาดีใจ ผ่านธุรกิจมือถือเข้ากระเป๋ามันเอง
    29. ยุบสภาหนีความผิด เนื่องจากนายกองค์การนักศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ ล่า 50,000 รายชื่อ เพื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง
    30. ยุบสภาได้ยังไงไม่ได้มีปัญหาภายในสภาสักหน่อย อภิปรายไม่ไว้วางใจก็ไม่ได้ ฝ่ายค้านมีไม่พอ
    31. วันที่ประกาศยุบสภาประกาศพร้อมกันว่าให้ไปเลือกตั้งวันที่ 2 เมษา ได้ยังไง รู้ได้ยังไง ไหนว่า กกต. เป็นกลางไง
    32. คุณหญิงพจมาน อยากมีสมเด็จพระสังฆราชประจำตระกูลตัวเอง จึงให้นายวิษณุ เครืองา ลงนามแต่งตั้ง สมเด็จพระพุฒาจารย์ เกี่ยว อุปเสโณ วัดสระเกศ ขึ้นปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2547 เสมอกับสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนา อ้างว่า สมเด็จญาณฯ ทรงประชวร ไม่สามารถประกอบศาสนกิจได้ ทั้งๆที่มี VDO วันที่ 13 มีนาคม 2547 สมเด็จพระสังฆราชพระราชทานรางวัลให้กับเด็กนักเรียนที่ได้รับทุนของมหามกุฏราชวิทยาลัยในการประกวดเรียงความเรื่อง สมเด็จพระสังฆราช 90 พรรษา
    33. คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่า สตง. ตรวจเจอการทุจริตของรัฐบาลหลายเรื่อง ล่าสุดตรวจสอบเจอการทุจริต CTX ทางรัฐบาลจึงอ้างว่ากระบวนการสรรหา คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (ผู้ว่าการ สตง.) มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ (ทั้งๆที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว) คุณหญิงปิดห้องทำงานแล้ว ยังไปงัดห้องคุณหญิง คิดจะหาหลักฐานทุจริตที่ห้องคุณหญิง ต่อมาคนดีอย่างคุณหญิงก็ได้กลับมาทำงานเหมือนเดิม
    34. จัดซื้อเครื่องบินรบ ซู30 ตั้งงบประมาณไว้ 35,000 ล้าน ทั้งที่รัสเซียบอกว่าขายแค่ 20,000 ล้าน กะจะกินตั้ง 15,000 ล้าน เครื่องบินเป็นแบบบินระยะไกล เสียค่าซ่อมเยอะ (ไทยนี้รักสงบ) เราเป็นพวกบุกรุก หรือ ตั้งรับถ้าเราเป็นฝ่ายตั้งรับ แล้วจะซื้อเครื่องบินระยะไกลทำไม ให้ช่างทหารอากาศเลือกซื้อทำไมไม่ให้นักบินเป็นคนเลือก เพราะฝ่ายช่างอยู่ในความดูแลของ คงศักดิ์ วัณทนา สามีของเพื่อน คุณหญิงพจมาน…
    35. ก่อนขายหุ้นบอกว่าจะไปพักผ่อนที่สิงคโปร์ 4 วัน เดินเล่นที่สิงคโปร์ไปเดินครึ่งวัน อย่างมากก็วันเดียวก็ไม่รู้จะไปเดิน ที่ไหนแล้วนี่ไปถึง 4 วันเจรจาขายหุ้น แต่โกหกประชาชนคนไทยว่าจะไปพักผ่อน บอกตรงๆก็ได้
    36. จัดซื้อ CTX ราคา ระหว่าง บทม.และใบแจ้งราคาสินค้าของบริษัท อินวิชั่นฯ เป็นเงินประมาณ 283,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 11.30 ล้านบาทต่อเครื่อง หากคิดรวม 26 เครื่อง เป็นเงิน 7.36 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 294.4 ล้านบาทซึ่ง “ส่วนต่าง”ราคานี้ถูกนำไปใช้บันทึกซ้ำซ้อน โดยอ้างว่าเป็นอุปกรณ์ที่ต้องการซื้อเพิ่มเติม ทั้งที่รวมอยู่ในราคา 35.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯหรือประมาณ1,432 ล้านบาทกะจะกิน1,432 ล้าน – 294.4 ล้าน = ?
    37. ร่วมทุนชินคอร์ปกับมาเลเซีย เปิดธุรกิจสายการบิน Low Cost แล้วสั่งยกเลิกเที่ยวบินการบินไทยที่ได้กำไร แล้วเอาสายการบินของตัวเองไปบินทับที่แทน ทำให้การบินไทยซึ่ง เป็นสายการบินของคนไทยขาดทุน แล้วทำหนังสือถึงหน่วยงานราชการว่านอกจากการบินไทยแล้ว สามารถใช้งบหลวงเบิกค่านั่งเครื่องบิน Low Cost ได้ด้วย แล้วยังขายหุ้น Low Cost ให้สิงคโปร์อีก ทำให้ Low Cost ที่มีเที่ยวบินที่กำไรดีที่สุด (แย่ง จากการบินไทย) เป็นเที่ยวบินของ มาเลเซีย+สิงคโปร์ (ขายชาติ)
    38. โทรศัพท์เครื่องที่ระบบ 1900 “ไทยโมบาย” ของ ทีโอที มันให้ ทีโอทีตั้งเสาเฉพาะใน กทม. ส่วนในต่างจังหวัด มันไม่ยอมให้ตั้งเสาทั้งๆที่ ทีโอทีมีที่ดินอยู่มากมายในต่างจังหวัด มันสั่งให้ ระบบ 1900 ของทีโอที ในต่างจังหวัดใช้เสาสัญญาณของAISโดยโทร 3 บาท ทีโอที ต้องจ่ายให้ AIS 2 บาท ทีโอที ได้ 1 บาท ..สุดยอดไหมละ
    39. ปี 2535 – วิ่งเต้นจนได้รับสัมปทานดาวเทียมไทยคมโดยการสนับสนุนอย่างดีจากรัฐบาลเผด็จ การ รสช. โดยอิงความสัมพันธ์ที่สนิทแนบแน่นกับ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ซึ่งก็ชดใช้บุญคุณมาจนถึงสนับสนุน 2 คนสนิทของท่านให้ได้ดีในยุคนี้คือ พล.อ.สัมพันธ์ บุญญานันท์ ได้เป็นรมว.กลาโหม และพล.อ.เรืองโรจน์ มหาสรานนท์ ได้เป็นผบ.สูงสุด
    40. การพูดจาบจ้วงดูหมิ่นพระบรมฯ
    40.1. สำนัก ราชเลขาฯ ขอให้รัฐบาลพิจารณาเครื่องบินราชพาหนะลำใหม่.. แทนลำเก่าที่ ชำรุดมากแล้ว …..ทักษิณ อ้างว่า ไม่มีงบประมาณ แต่สุดท้าย ซื้อเครื่องบินไทยคู่ฟ้าให้ตนเองและครอบครัวนั่งก่อน..จาก ข่าวที่น้องสาว ทักษิณใช้เครื่องบินไปฉลองวันเกิดที่เชียงใหม่……………
    40.2. ทักษิณ ชินวัตร ใช้อุโบสถวัดพระแก้วในการทำบุญประเทศ (แต่แต่งกายในชุดสบายๆ ไม่เป็นทางการ) ทั้งๆที่ประธานในการทำบุญระดับประเทศควรเป็นพระองค์ท่านมากกว่า…ที่ สำคัญอุโบสถวัดพระแก้วเป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับประกอบ ศาสนพิธีของพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน.. ไม่มีการขอพระบรมราชานุญาต… .พอ มีคนรู้ทัน.. รีบขอพระบรมราชานุญาตย้อนหลัง… จนพระองค์ท่านออกมาตรัสใน วันที่ 4 ธันวาคมว่า นายกฯจะให้ท่านทำอะไรก็ทำให้หมด แต่ควรพิจารณาด้วยว่าสมควรหรือไม่
    40.3. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า ถ้านายกฯไม่จงรักภักดี ”ผีที่ไหนจะจงรักภักดี….”
    คนระดับทักษิณ มีการศึกษาสูงพอ ผ่านงานพระราชพิธีมามากมาย..ย่อมควรรู้ดีว่าสมควรพูดเช่นนี้ หรือไม่….ถ้ามีปัญญาก็ควรพูดว่า ถ้านายกฯไม่จงรักภักดี ใครเล่าที่จะจงรักภักดี มากกว่า
    40.4. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า ถ้าในหลวงมากระซิบข้างหู…(พูดว่าข้างหู) ว่าออกเถอะจะกราบบังคมลาทันที…คำหลังยังใช้ราชาศัพท์เป็น แต่คำหน้าไหงใช้คำว่ามากระซิบข้างหู… ทักษิณ ไม่ควรทำตัวเสมอพระองค์ท่าน
    40.5. แม่ยายของทักษิณ กล่าวจาบจ้วงว่า บางทีตนอาจขอม็อบพระราชทานบ้าง คำว่า สิ่งพระราชทาน ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่มงคล เป็นสิ่งที่ดีแต่คำว่า “ม็อบ” หมายถึง กลุ่มผู้ชุมนุมที่เรียกร้องบางอย่าง พระองค์ท่านจะพระราชทานได้อย่าง ไร…ไม่สมควรพูด
    40.6. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า ตนเป็นนายกฯพระราชทานอยู่แล้ว ถ้าได้กลับมาอีกครั้งพระองค์ท่านต้อง …ใช้คำว่า “ต้อง” เซ็นให้ตนเป็นนายกฯอยู่วันยังค่ำ
    40.7. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า โผทหารที่นายกฯเซ็นแล้ว ใครจะกล้าเปลี่…
    รวบรวม 61ความระยำของ ทักษิณ บันทึกไว้ให้ลูกหลานมันจำ" 🧐เครดิต:ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิทย์ แชร์ให้โลกรู้ 9 ธค.นี้ 10.00 น.หน้าทำเนียบรัฐบาลไทยทุกคน 1. แก้ พรบ.สรรพสามิตโทรคมนาคม ให้เสียภาษีน้อยลง ได้ผลประโยชน์ 8,000 ล้าน 2. ลดสัมปทาน itv ได้ผลประโยชน์ 20,000 ล้าน แถมได้สถานีโทรทัศน์ที่เคยมีอุดมการณ์เปลี่ยนมาทำลายวัฒนธรรม โดยการเอาหนังเกาหลีมาฉาย และปิดสื่อความไม่ดีสร้างภาพดีๆให้ตัวเอง (กลุ่มชินคอร์ป ถือหุ้น itv 53%) 3. ตั้ง ชัยสิทธิ์ ชินวัตร เป็น ผบ.ทบ. ก็ได้พี่ชายตนเองคุมทหาร 4. ตั้ง เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ เป็น รอง ผบ.ตร. ก็ได้พี่เขยตนเองคุมตำรวจ 5. ตั้ง วาสนา เพิ่มลาภ เป็น ประธาน กกต ก็ได้ตำรวจพวกพ้องตัวเองคุม กกต. 6. ตั้ง สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ เป็น ผอ.กองสลาก ก็ได้ตำรวจพวกพ้องตัวเองคุม กองสลาก 7. ตั้ง คงศักดิ์ วันทนา เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สามีลูกน้ำเพื่อนรักที่ช่วยแลกเช็คให้สมัยยังจนอยู่ก็ได้เพื่อนคุณหญิงอ้อ…มาคุมทุกเหล่า 8. กล่าวคําพูดท้าทายพวกก่อการร้ายในภาคใต้ว่าเป็นแค่โจรกระจอก อย่าไปใส่ใจ ทําให้เกิดความรุนแรงคนตายมากมายและหลุดปากด่าทหารว่า “สมควรตาย” 9. ปล่อยเงินกู้ให้พม่า 4,000ล้าน เพื่อนำมาเช่าช่องสัญญาณ IP Star ของตัวเอง ถึงกำหนดแล้วพม่ายังไม่ใช้หนี้เลย 10. เจรจาเซ็น FTA กับจีน ให้จีนนำเข้า หอม กระเทียม เข้ามาไม่เสียภาษี เกษตรกรที่ปลูกหอมปลูกกระเทียมทางเหนือก็ตายหมด ส่วนไทยได้ขายธุรกิจช่อง สัญญาณดาวเทียม IP Star 11. เจรจาเซ็น FTA กับออสเตรเลีย ให้นำเข้า นม ไวน์ เข้ามาไม่เสียภาษี ทำลายเหล้าไวน์พื้นบ้าน OTOP ทำลายนมพระราชดำริ ส่วนไทยได้ขายธุรกิจช่องสัญญาณ IP Star 12. ในเดือนพฤศจิกายน 2546 คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มีมติส่งเสริมการลงทุนโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์ของ ชินแซทเทิลไลท์ โดยให้การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเฉพาะรายได้ที่ได้รับจากต่างประเทศ ทั้ง ๆที่เป็นกิจการที่ลงทุนเดิมอยู่แล้วไม่รู้ไปยกเว้นภาษีทำไม บริษัทจึงได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้อีก 16,459 ล้านบาทต่อปี 13. แปรรูปขายหุ้น ปตท วันแรกเปิดขายหุ้นหมดภายใน 1 นาที 17 วินาที ตระกูลใครละที่ได้ซื้อหุ้นไปหลังจากแปรรูป น้ำมันก็แพงขึ้นทุกวัน ให้กองทุนน้ำมันของคนไทยขาดทุนกว่า 70,000 ล้านบาท แต่ ปตท ได้กำไรปี 2548 จำนวน 160,000 ล้านบาท แล้วกำไรแทนที่จะเป็นของรัฐก็กลายเป็นกำไรของตระกูลพวกถือหุ้น 14. ซุกหุ้นภาคแรกให้เมียตัวเองขึ้นศาลรับผิด ซุกหุ้นภาค 2 ให้ลูกชายตัวเองขึ้นศาลรับผิดไหนบอกว่ารักครอบครัวไง 15. บริษัทของลูกท่านได้เงินกู้ 5,000 ล้าน จาก ICT ดอกเบี้ย0% ไม่กำหนดเวลาชำระคืนแถมได้รับการเว้นภาษีจาก บีโอไอ อีกทำสวนสนุกได้รับการเว้นภาษี 16. ได้รับสัมปทานสื่อโฆษณาที่รถไฟใต้ดิน โดยที่ไม่ได้รับการเปิดประมูลเพื่อแข่งขันกับบริษัทอื่น 17. ทักษิณ สั่ง รมต. กลางวง ครม. ลดค่าเช่าพื้นที่ย่านสยามสแควร์ เปิดทางลูก-หลานเปิด สตูดิโอ – ร้านกาแฟ อ้างค่าเช่าแพงเกินจริง 18. ลดเงินค่ารถไฟฟ้า-ใต้ดิน พอดีกับงานสวนสนุกธุรกิจของลูกๆ สอดคล้องสนับสนุนกันพอดี บังเอิญจริงๆ 19. ทักษิณพูดว่า”จังหวัดไหนเลือกไทยรักไทย จะให้ความดูแลก่อน” น้ำท่วมภาคใต้ 5 วันแล้ว แต่ทักษิณไปช่วยหาเสียงเลือกตั้งซ่อม ไปกินก๋วยเตี๋ยวสร้างภาพ ไปเดินตลาดหาเสียง ทั้งๆที่มี สส อยู่เต็มสภาแล้วแต่ที่ต้องลงใต้ไปดูน้ำท่วมวันศุกร์เช้า เนื่องจากกลัวสนธิพูดตอนเย็นในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ 20. การที่มีพวกพ้องตัวเองเป็น กกต. จึงเปลี่ยนรูปแบบการเลือกตั้งให้สามารถโกงการเลือกตั้งเพิ่มขึ้นได้อีก 2 วิธี 20.1 ปั๊มตรายางอีกชุดรอเวลาเปลี่ยนกล่องบัตรได้ทุกเวลา 20.2 หมึกมีแบบล่องหน และ แบบโผล่ขึ้นมาได้ (ในทางเคมีสามารถทำได้) 21. ปิดข่าวเรื่องไข้หวัดนกทําให้ชาวบ้านที่ไม่ทราบต้องตายแล้วยังไปแสดงการกินไก่ไปหัวเราะไป เพื่อ ซีพี.นายทุนพรรคเท่านั้น 22. ทําให้เกิดการฆ่าตัดตอนประชาชนผู้บริสุทธิ์กว่า 2000 คน จากการปราบยาบ้าสั่งฆ่าคนได้หน้าตาเฉย โหดร้ายทารุณ 23. ซุกหุ้นปั่นหุ้น ซุกซ่อนทรัพย์สินไว้กับญาติพี่น้องเอาเงินไปฟอกต่างประเทศเอาเปรียบใน การทําธุรกิจผูกขาด ทั้งรับทั้งจ่ายใต้โต๊ะจนคนในวงการธุรกิจ เขารู้กันหมด ค้ากำไรเกินควร จนรํ่ารวยมหาศาล 24. โกงที่ดินวัดของสนามกอล์ฟอัลไพน์มีคนโกงที่ดินธรณีสงฆ์เอามาทำสนามกอล์ฟ แล้วทักษิณไปซื้อต่อทั้ง ๆ รู้ว่าที่ดินนั้นได้มา ไม่ถูกต้องเพราะไม่กลัวบาปกรรม 25. ประชาชนเสียรู้ทักษิณ เรียนฟรี 12 ปี นโยบายรัฐที่เปิดช่องให้โรงเรียนนำค่าใช้จ่ายอย่างอื่นมาเพิ่มแทนค่าเทอม นั่นแหละ สุดท้ายก็ไม่ได้เรียนฟรีอยู่ดี เป็นความล้มเหลวที่เห็นได้ชัดเจนของการปฎิรูปการศึกษาไทย ประชาชนจะถูกหลอกอีก 4 ปี เอาเข้าไป เป็นความจริงที่สุดเลย นี่คือการโกหกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในโลกนี้ซึ่งหาดูไม่ได้ที่ไหนนอกจากประเทศไทยที่กฎหมายบอกว่าเรียนฟรี แต่ความจริงมีใครบ้างที่เรียนฟรีถามผู้ปกครองทุกคนดูได้เลย 26. ชั่วเวลาแค่ปีเศษ ๆ รัฐบาลชุดนี้ก็ทำให้สถานการณ์ภาคใต้ที่ร่มเย็นเป็นสุขมานานหลายสิบปี กลับร้อนระอุกลายเป็นแดนมิคสัญญี 27. เช่าน่านฟ้า เช่าผืนแผ่นดินไทย ราคาเช่าช่างถูกจัง มีอะไรแอบแฝงหรือเปล่า ตนเองน่าจะรู้ดี ไหนบอกว่าแผ่นดินไทยจะไม่ให้หายแม้แต่ตารางนิ้วเดียวไงใช้อำนาจจนเลยเถิดไม่เห็นด้วย คิดไงท่านนายก ที่ให้เช่า 15 ปี แถมมีเปลียนสัญญาได้ทุกๆ 5 ปี เหมือนทำธรุกิจเลยขอเชิญชาวไทยเรียกร้องอธิปไตยชาติไทยกลับมาด้วยขอให้มี สส สว ที่ยังพอมีความเป็นไทยที่มิใช่มีความเป็น ทรท. ช่วยกันคัดค้าน ล่ารายชื่อด้วยครับผมว่ามันเกี่ยวกันหมดแหละครับ ตั้งแต่ AIS (มือถือ) ไทยคม1 ไทยคม 2 IPstar ชินคอร์ป ธนาคาร ธุรกิจ การเมือง อยู่ในมือสิงคโปร์ทั้งหมดแล้วครับ ชัดเจน มีผลประโยชน์ทับซ้อนแหง๋ ไม่งั้นไม่งุบงิบกันทำหรอก อย่านึกว่าประชาชนโง่นะคุณ ยุคทักษิณคือ ยุคของเงินเหนือรัฐ ยุคตำรวจรังแกประชาชน ยุคทหารฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ยุคความรุนแรงอยู่เหนือเหตุผล 28. ฉลาด อย่างตัวจับยาก เอาเงินหลวงไปหว่านให้รากหญ้าแล้ว ผ่านกระเป๋ารากหญ้าแบบเคาะกะลาให้หมาดีใจ ผ่านธุรกิจมือถือเข้ากระเป๋ามันเอง 29. ยุบสภาหนีความผิด เนื่องจากนายกองค์การนักศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ ล่า 50,000 รายชื่อ เพื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง 30. ยุบสภาได้ยังไงไม่ได้มีปัญหาภายในสภาสักหน่อย อภิปรายไม่ไว้วางใจก็ไม่ได้ ฝ่ายค้านมีไม่พอ 31. วันที่ประกาศยุบสภาประกาศพร้อมกันว่าให้ไปเลือกตั้งวันที่ 2 เมษา ได้ยังไง รู้ได้ยังไง ไหนว่า กกต. เป็นกลางไง 32. คุณหญิงพจมาน อยากมีสมเด็จพระสังฆราชประจำตระกูลตัวเอง จึงให้นายวิษณุ เครืองา ลงนามแต่งตั้ง สมเด็จพระพุฒาจารย์ เกี่ยว อุปเสโณ วัดสระเกศ ขึ้นปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2547 เสมอกับสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนา อ้างว่า สมเด็จญาณฯ ทรงประชวร ไม่สามารถประกอบศาสนกิจได้ ทั้งๆที่มี VDO วันที่ 13 มีนาคม 2547 สมเด็จพระสังฆราชพระราชทานรางวัลให้กับเด็กนักเรียนที่ได้รับทุนของมหามกุฏราชวิทยาลัยในการประกวดเรียงความเรื่อง สมเด็จพระสังฆราช 90 พรรษา 33. คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่า สตง. ตรวจเจอการทุจริตของรัฐบาลหลายเรื่อง ล่าสุดตรวจสอบเจอการทุจริต CTX ทางรัฐบาลจึงอ้างว่ากระบวนการสรรหา คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (ผู้ว่าการ สตง.) มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ (ทั้งๆที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว) คุณหญิงปิดห้องทำงานแล้ว ยังไปงัดห้องคุณหญิง คิดจะหาหลักฐานทุจริตที่ห้องคุณหญิง ต่อมาคนดีอย่างคุณหญิงก็ได้กลับมาทำงานเหมือนเดิม 34. จัดซื้อเครื่องบินรบ ซู30 ตั้งงบประมาณไว้ 35,000 ล้าน ทั้งที่รัสเซียบอกว่าขายแค่ 20,000 ล้าน กะจะกินตั้ง 15,000 ล้าน เครื่องบินเป็นแบบบินระยะไกล เสียค่าซ่อมเยอะ (ไทยนี้รักสงบ) เราเป็นพวกบุกรุก หรือ ตั้งรับถ้าเราเป็นฝ่ายตั้งรับ แล้วจะซื้อเครื่องบินระยะไกลทำไม ให้ช่างทหารอากาศเลือกซื้อทำไมไม่ให้นักบินเป็นคนเลือก เพราะฝ่ายช่างอยู่ในความดูแลของ คงศักดิ์ วัณทนา สามีของเพื่อน คุณหญิงพจมาน… 35. ก่อนขายหุ้นบอกว่าจะไปพักผ่อนที่สิงคโปร์ 4 วัน เดินเล่นที่สิงคโปร์ไปเดินครึ่งวัน อย่างมากก็วันเดียวก็ไม่รู้จะไปเดิน ที่ไหนแล้วนี่ไปถึง 4 วันเจรจาขายหุ้น แต่โกหกประชาชนคนไทยว่าจะไปพักผ่อน บอกตรงๆก็ได้ 36. จัดซื้อ CTX ราคา ระหว่าง บทม.และใบแจ้งราคาสินค้าของบริษัท อินวิชั่นฯ เป็นเงินประมาณ 283,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 11.30 ล้านบาทต่อเครื่อง หากคิดรวม 26 เครื่อง เป็นเงิน 7.36 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 294.4 ล้านบาทซึ่ง “ส่วนต่าง”ราคานี้ถูกนำไปใช้บันทึกซ้ำซ้อน โดยอ้างว่าเป็นอุปกรณ์ที่ต้องการซื้อเพิ่มเติม ทั้งที่รวมอยู่ในราคา 35.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯหรือประมาณ1,432 ล้านบาทกะจะกิน1,432 ล้าน – 294.4 ล้าน = ? 37. ร่วมทุนชินคอร์ปกับมาเลเซีย เปิดธุรกิจสายการบิน Low Cost แล้วสั่งยกเลิกเที่ยวบินการบินไทยที่ได้กำไร แล้วเอาสายการบินของตัวเองไปบินทับที่แทน ทำให้การบินไทยซึ่ง เป็นสายการบินของคนไทยขาดทุน แล้วทำหนังสือถึงหน่วยงานราชการว่านอกจากการบินไทยแล้ว สามารถใช้งบหลวงเบิกค่านั่งเครื่องบิน Low Cost ได้ด้วย แล้วยังขายหุ้น Low Cost ให้สิงคโปร์อีก ทำให้ Low Cost ที่มีเที่ยวบินที่กำไรดีที่สุด (แย่ง จากการบินไทย) เป็นเที่ยวบินของ มาเลเซีย+สิงคโปร์ (ขายชาติ) 38. โทรศัพท์เครื่องที่ระบบ 1900 “ไทยโมบาย” ของ ทีโอที มันให้ ทีโอทีตั้งเสาเฉพาะใน กทม. ส่วนในต่างจังหวัด มันไม่ยอมให้ตั้งเสาทั้งๆที่ ทีโอทีมีที่ดินอยู่มากมายในต่างจังหวัด มันสั่งให้ ระบบ 1900 ของทีโอที ในต่างจังหวัดใช้เสาสัญญาณของAISโดยโทร 3 บาท ทีโอที ต้องจ่ายให้ AIS 2 บาท ทีโอที ได้ 1 บาท ..สุดยอดไหมละ 39. ปี 2535 – วิ่งเต้นจนได้รับสัมปทานดาวเทียมไทยคมโดยการสนับสนุนอย่างดีจากรัฐบาลเผด็จ การ รสช. โดยอิงความสัมพันธ์ที่สนิทแนบแน่นกับ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ซึ่งก็ชดใช้บุญคุณมาจนถึงสนับสนุน 2 คนสนิทของท่านให้ได้ดีในยุคนี้คือ พล.อ.สัมพันธ์ บุญญานันท์ ได้เป็นรมว.กลาโหม และพล.อ.เรืองโรจน์ มหาสรานนท์ ได้เป็นผบ.สูงสุด 40. การพูดจาบจ้วงดูหมิ่นพระบรมฯ 40.1. สำนัก ราชเลขาฯ ขอให้รัฐบาลพิจารณาเครื่องบินราชพาหนะลำใหม่.. แทนลำเก่าที่ ชำรุดมากแล้ว …..ทักษิณ อ้างว่า ไม่มีงบประมาณ แต่สุดท้าย ซื้อเครื่องบินไทยคู่ฟ้าให้ตนเองและครอบครัวนั่งก่อน..จาก ข่าวที่น้องสาว ทักษิณใช้เครื่องบินไปฉลองวันเกิดที่เชียงใหม่…………… 40.2. ทักษิณ ชินวัตร ใช้อุโบสถวัดพระแก้วในการทำบุญประเทศ (แต่แต่งกายในชุดสบายๆ ไม่เป็นทางการ) ทั้งๆที่ประธานในการทำบุญระดับประเทศควรเป็นพระองค์ท่านมากกว่า…ที่ สำคัญอุโบสถวัดพระแก้วเป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับประกอบ ศาสนพิธีของพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน.. ไม่มีการขอพระบรมราชานุญาต… .พอ มีคนรู้ทัน.. รีบขอพระบรมราชานุญาตย้อนหลัง… จนพระองค์ท่านออกมาตรัสใน วันที่ 4 ธันวาคมว่า นายกฯจะให้ท่านทำอะไรก็ทำให้หมด แต่ควรพิจารณาด้วยว่าสมควรหรือไม่ 40.3. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า ถ้านายกฯไม่จงรักภักดี ”ผีที่ไหนจะจงรักภักดี….” คนระดับทักษิณ มีการศึกษาสูงพอ ผ่านงานพระราชพิธีมามากมาย..ย่อมควรรู้ดีว่าสมควรพูดเช่นนี้ หรือไม่….ถ้ามีปัญญาก็ควรพูดว่า ถ้านายกฯไม่จงรักภักดี ใครเล่าที่จะจงรักภักดี มากกว่า 40.4. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า ถ้าในหลวงมากระซิบข้างหู…(พูดว่าข้างหู) ว่าออกเถอะจะกราบบังคมลาทันที…คำหลังยังใช้ราชาศัพท์เป็น แต่คำหน้าไหงใช้คำว่ามากระซิบข้างหู… ทักษิณ ไม่ควรทำตัวเสมอพระองค์ท่าน 40.5. แม่ยายของทักษิณ กล่าวจาบจ้วงว่า บางทีตนอาจขอม็อบพระราชทานบ้าง คำว่า สิ่งพระราชทาน ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่มงคล เป็นสิ่งที่ดีแต่คำว่า “ม็อบ” หมายถึง กลุ่มผู้ชุมนุมที่เรียกร้องบางอย่าง พระองค์ท่านจะพระราชทานได้อย่าง ไร…ไม่สมควรพูด 40.6. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า ตนเป็นนายกฯพระราชทานอยู่แล้ว ถ้าได้กลับมาอีกครั้งพระองค์ท่านต้อง …ใช้คำว่า “ต้อง” เซ็นให้ตนเป็นนายกฯอยู่วันยังค่ำ 40.7. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า โผทหารที่นายกฯเซ็นแล้ว ใครจะกล้าเปลี่…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1398 มุมมอง 0 รีวิว
  • พันธมิตรรีพับลิกันของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ นำเสนอร่างกฎหมายที่มีเป้าหมายให้อำนาจการเจรจา กรณีที่อเมริกาจะซื้อเกาะกรีนแลนด์จากเดนมาร์ก ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังจากผู้นำโปรเอกราชของเกาะแบะท่าพร้อมเจรจา หลัง ทรัมป์ ไม่ตัดความเป็นไปได้ในการใช้กำลังทหารเข้ายึด
    .
    ร่างกฎหมายดังกล่าวที่ส่งต่อในวันจันทร์ (13 ม.ค.) โดย แอนดี ออกเลส สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนสมาชิกนับสิบคน จะเปิดทางให้ ทรัมป์ สามารถเริ่มเจรจากับเดนมาร์ก ได้ทันทีที่เขาสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง
    .
    "ด้วยเหตุนี้ คองเกรสให้อำนาจประธานาธิบดี เริ่มตั้งแต่ 00.01 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก ของวันที่ 20 มกราคม 2025 ในการหาทางเข้าสู่การเจรจากับประเทศเดนมาร์ก เกี่ยวกับการซื้อเกาะกรีนแลนด์" ร่างกฎหมายระบุ
    .
    ข้อเสนอนี้มีขึ้นหลังจาก ทรัมป์ รื้อฟื้นความสนใจในการดึงเกาะกรีนแลนด์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ อ้างว่ามันมีความจำเป็นอย่างที่สุดสำหรับความมั่นคงแห่งชาติ และไม่ตัดความเป็นไปได้ในการใช้กำลังทหารและมาตรการกดดันทางเศรษฐกิจเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว "ประชาชนไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เดนมาร์ก มีสิทธิโดยชอบธรรมทางกฎหมายใดๆ เหนือเกาะกรีนแลนด์หรือไม่ แต่ถ้าพวกเขามี พวกเขาควรปล่อยมือ เพราะเราต้องการมัน" ทรัมป์ กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
    .
    มูเต เอเกเด นายกรัฐมนตรีกรีนแลนด์ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เน้นย้ำว่าเกาะแห่งนี้มีความทะเทอทะยานอยากเป็นเอกราชแยกออกจากเดนมาร์ก พร้อมระบุประชาชนชาวกรีนแลนด์ไม่ต้องการเป็นทั้งคนเดนมาร์กหรืออเมริกันชน นอกจากนี้ เขายังแสดงถึงความพร้อมที่จะพูดคุยกับทรัมป์ และยอมรับว่าการที่ ทรัมป์ ไม่ตัดความเป็นไปได้ในการบีบบังคับขอซื้อเกาะกรีนแลนด์ เป็นสิ่งที่ "น่าเคร่งเครียดอย่างยิ่ง"
    .
    กรีนแลนด์ เป็นเกาะใหญ่ที่สุดในโลก มีชายฝั่งทั้งด้านแอตแลนติกและอาร์กติก ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ถึงปี 1950 มันเป็นดินแดนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเดนมาร์กโดยสมบูรณ์ แต่ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เกาะแห่งนี้ถูกยึดครองโดยสหรัฐฯ หลังจากเดนมาร์ก ถูกยึดโดยนาซีเยอรมนี ปัจจุบันเกาะแห่งนี้เป็นที่ตั้งฐานทัพทหารอเมริกาแห่งหนึ่ง และมีระบบแจ้งเตือนล่วงหน้าสำหรับภัยคุกคามจากขีปนาวุธ
    .
    เกาะแห่งนี้เป็นอิสระมากขึ้นเรื่อยๆ และได้รับอนุมัติให้ปกครองตนเองในปี 1979 พร้อมได้รับสิทธิในปี 2009 ในการประกาศเอกราช หากว่าประชามติผ่านความเห็นชอบ "ความปรารถนาเป็นเอกราช ความปรารถนาที่จะมีบ้านของตนเอง คงได้รับความเข้าใจจากประชาชนทั่วโลก" เอเกเด กล่าว พร้อมระบุว่าการลงประชามติประกาศเอกราช "จะมีขึ้นเร็วๆ นี้"
    .
    กรีนแลนด์ เป็นถิ่นพำนักของประชาชนไม่ถึง 57,000 คน และ 80% ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง แต่มันอุดมไปด้วยทรัพยากรทองคำ เงิน ทองแดงและอะลูมิเนียม และเชื่อว่ามันมีแหล่งสำรองน้ำมันมหาศาลอยู่ในเขตน่านน้ำ
    .
    ผลสำรวจเมื่อเร็วๆ นี้ของ Patriot Polling สถาบันวิจัยสหรัฐฯ พบว่ามีพลเมืองเกาะกรีนแลนด์ 57% สนับสนุนข้อเสนอของทรัมป์ โดยโพลดังกล่าวเป็นการสอบถามผู้ตอบแบบสอบถาม 416 คน และจัดทำเมื่อช่วงต้นเดือนนี้ ในช่วงที่ โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ลูกชายของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เดินทางไปเยือนเกาะกรีนแลนด์ ในทริปส่วนตัวพอดี
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000004284
    ..............
    Sondhi X
    พันธมิตรรีพับลิกันของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ นำเสนอร่างกฎหมายที่มีเป้าหมายให้อำนาจการเจรจา กรณีที่อเมริกาจะซื้อเกาะกรีนแลนด์จากเดนมาร์ก ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังจากผู้นำโปรเอกราชของเกาะแบะท่าพร้อมเจรจา หลัง ทรัมป์ ไม่ตัดความเป็นไปได้ในการใช้กำลังทหารเข้ายึด . ร่างกฎหมายดังกล่าวที่ส่งต่อในวันจันทร์ (13 ม.ค.) โดย แอนดี ออกเลส สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนสมาชิกนับสิบคน จะเปิดทางให้ ทรัมป์ สามารถเริ่มเจรจากับเดนมาร์ก ได้ทันทีที่เขาสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง . "ด้วยเหตุนี้ คองเกรสให้อำนาจประธานาธิบดี เริ่มตั้งแต่ 00.01 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก ของวันที่ 20 มกราคม 2025 ในการหาทางเข้าสู่การเจรจากับประเทศเดนมาร์ก เกี่ยวกับการซื้อเกาะกรีนแลนด์" ร่างกฎหมายระบุ . ข้อเสนอนี้มีขึ้นหลังจาก ทรัมป์ รื้อฟื้นความสนใจในการดึงเกาะกรีนแลนด์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ อ้างว่ามันมีความจำเป็นอย่างที่สุดสำหรับความมั่นคงแห่งชาติ และไม่ตัดความเป็นไปได้ในการใช้กำลังทหารและมาตรการกดดันทางเศรษฐกิจเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว "ประชาชนไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เดนมาร์ก มีสิทธิโดยชอบธรรมทางกฎหมายใดๆ เหนือเกาะกรีนแลนด์หรือไม่ แต่ถ้าพวกเขามี พวกเขาควรปล่อยมือ เพราะเราต้องการมัน" ทรัมป์ กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว . มูเต เอเกเด นายกรัฐมนตรีกรีนแลนด์ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เน้นย้ำว่าเกาะแห่งนี้มีความทะเทอทะยานอยากเป็นเอกราชแยกออกจากเดนมาร์ก พร้อมระบุประชาชนชาวกรีนแลนด์ไม่ต้องการเป็นทั้งคนเดนมาร์กหรืออเมริกันชน นอกจากนี้ เขายังแสดงถึงความพร้อมที่จะพูดคุยกับทรัมป์ และยอมรับว่าการที่ ทรัมป์ ไม่ตัดความเป็นไปได้ในการบีบบังคับขอซื้อเกาะกรีนแลนด์ เป็นสิ่งที่ "น่าเคร่งเครียดอย่างยิ่ง" . กรีนแลนด์ เป็นเกาะใหญ่ที่สุดในโลก มีชายฝั่งทั้งด้านแอตแลนติกและอาร์กติก ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ถึงปี 1950 มันเป็นดินแดนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเดนมาร์กโดยสมบูรณ์ แต่ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เกาะแห่งนี้ถูกยึดครองโดยสหรัฐฯ หลังจากเดนมาร์ก ถูกยึดโดยนาซีเยอรมนี ปัจจุบันเกาะแห่งนี้เป็นที่ตั้งฐานทัพทหารอเมริกาแห่งหนึ่ง และมีระบบแจ้งเตือนล่วงหน้าสำหรับภัยคุกคามจากขีปนาวุธ . เกาะแห่งนี้เป็นอิสระมากขึ้นเรื่อยๆ และได้รับอนุมัติให้ปกครองตนเองในปี 1979 พร้อมได้รับสิทธิในปี 2009 ในการประกาศเอกราช หากว่าประชามติผ่านความเห็นชอบ "ความปรารถนาเป็นเอกราช ความปรารถนาที่จะมีบ้านของตนเอง คงได้รับความเข้าใจจากประชาชนทั่วโลก" เอเกเด กล่าว พร้อมระบุว่าการลงประชามติประกาศเอกราช "จะมีขึ้นเร็วๆ นี้" . กรีนแลนด์ เป็นถิ่นพำนักของประชาชนไม่ถึง 57,000 คน และ 80% ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง แต่มันอุดมไปด้วยทรัพยากรทองคำ เงิน ทองแดงและอะลูมิเนียม และเชื่อว่ามันมีแหล่งสำรองน้ำมันมหาศาลอยู่ในเขตน่านน้ำ . ผลสำรวจเมื่อเร็วๆ นี้ของ Patriot Polling สถาบันวิจัยสหรัฐฯ พบว่ามีพลเมืองเกาะกรีนแลนด์ 57% สนับสนุนข้อเสนอของทรัมป์ โดยโพลดังกล่าวเป็นการสอบถามผู้ตอบแบบสอบถาม 416 คน และจัดทำเมื่อช่วงต้นเดือนนี้ ในช่วงที่ โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ลูกชายของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เดินทางไปเยือนเกาะกรีนแลนด์ ในทริปส่วนตัวพอดี . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000004284 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    Love
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1636 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts