• "เอกนัฏ" เก็บหลักฐานเหล็กตึก สตง.ถล่ม หากไร้มาตรฐานเอาผิดถึงที่สุด
    https://www.thai-tai.tv/news/17944/
    "เอกนัฏ" เก็บหลักฐานเหล็กตึก สตง.ถล่ม หากไร้มาตรฐานเอาผิดถึงที่สุด https://www.thai-tai.tv/news/17944/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมาคมประกันวินาศภัยไทยเผย...
    หากตรวจสอบพบว่าโครงการใช้วัสดุไม่ได้มาตรฐาน หรือก่อสร้างไม่เป็นไปตามหลักวิศวกรรม อาจเข้าข่ายข้อยกเว้นความคุ้มครอง ต้องรอผลพิสูจน์จากผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและสถาบันที่เกี่ยวข้อง
    สมาคมประกันวินาศภัยไทยเผย... หากตรวจสอบพบว่าโครงการใช้วัสดุไม่ได้มาตรฐาน หรือก่อสร้างไม่เป็นไปตามหลักวิศวกรรม อาจเข้าข่ายข้อยกเว้นความคุ้มครอง ต้องรอผลพิสูจน์จากผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและสถาบันที่เกี่ยวข้อง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 35 มุมมอง 0 รีวิว
  • โซเชียลจีนชี้เป้าปัญหาจากโครงสร้าง“ท่อแกนกลาง-พื้นไร้คาน”ที่ถูกห้ามในประเทศจีน
    .
    โครงการนี้ดำเนินการร่วมกันโดย China Railway 10th Bureau Group กับบริษัทอิตาลี และบริษัทไทย โดยบริษัทอิตาลีรับผิดชอบด้านการออกแบบ และ China Railway 10th Bureau Group รับผิดชอบด้านการก่อสร้าง รูปแบบความร่วมมือระหว่างประเทศนี้ยังนำมาซึ่งความท้าทายในด้านการสื่อสาร การประสานงาน และการกำกับดูแล แม้ว่าระบบโครงสร้างของ “ท่อแกนกลาง + พื้นไร้คาน” จะมีข้อได้เปรียบในด้านการใช้พื้นที่ แต่ก็มีข้อบกพร่องที่เห็นได้ชัดในด้านประสิทธิภาพในการต้านทานแผ่นดินไหว โครงสร้างประเภทนี้ถูกห้ามในประเทศ แต่ในประเทศไทย อาจเป็นเพราะการกำกับดูแลที่ไม่เพียงพอหรือมาตรฐานที่แตกต่างกัน การออกแบบจึงผ่านการตรวจสอบแล้ว
    .
    该项目由中铁十局、意大利公司和一家泰国公司共同承建,其中意大利公司负责设计,中铁十局负责施工。这种国际合作模式,本身就存在沟通、协调和监管方面的挑战。 “核心筒+无梁楼板”的结构体系,虽然在空间利用率方面有优势,但在抗震性能上却存在明显的缺陷。这种结构在国内已被明令禁止,但在泰国,或许由于监管不足或标准差异,该设计方案通过了审核。

    .

    https://www.facebook.com/share/p/12GweXtHTNG/
    โซเชียลจีนชี้เป้าปัญหาจากโครงสร้าง“ท่อแกนกลาง-พื้นไร้คาน”ที่ถูกห้ามในประเทศจีน . โครงการนี้ดำเนินการร่วมกันโดย China Railway 10th Bureau Group กับบริษัทอิตาลี และบริษัทไทย โดยบริษัทอิตาลีรับผิดชอบด้านการออกแบบ และ China Railway 10th Bureau Group รับผิดชอบด้านการก่อสร้าง รูปแบบความร่วมมือระหว่างประเทศนี้ยังนำมาซึ่งความท้าทายในด้านการสื่อสาร การประสานงาน และการกำกับดูแล แม้ว่าระบบโครงสร้างของ “ท่อแกนกลาง + พื้นไร้คาน” จะมีข้อได้เปรียบในด้านการใช้พื้นที่ แต่ก็มีข้อบกพร่องที่เห็นได้ชัดในด้านประสิทธิภาพในการต้านทานแผ่นดินไหว โครงสร้างประเภทนี้ถูกห้ามในประเทศ แต่ในประเทศไทย อาจเป็นเพราะการกำกับดูแลที่ไม่เพียงพอหรือมาตรฐานที่แตกต่างกัน การออกแบบจึงผ่านการตรวจสอบแล้ว . 该项目由中铁十局、意大利公司和一家泰国公司共同承建,其中意大利公司负责设计,中铁十局负责施工。这种国际合作模式,本身就存在沟通、协调和监管方面的挑战。 “核心筒+无梁楼板”的结构体系,虽然在空间利用率方面有优势,但在抗震性能上却存在明显的缺陷。这种结构在国内已被明令禁止,但在泰国,或许由于监管不足或标准差异,该设计方案通过了审核。 . https://www.facebook.com/share/p/12GweXtHTNG/
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • สถานการณ์ของสงครามการค้าโลกในปัจจุบันยังคงมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยมีทั้งแนวโน้มที่ดีขึ้นและความท้าทายที่ยังคงอยู่ ดังนี้

    ### 1. **แนวโน้มที่ดีขึ้น**
    - **การลดความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน**:
    แม้สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะยังไม่สิ้นสุด แต่ทั้งสองฝ่ายเริ่มหันมาเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงการขึ้นภาษีเพิ่มเติม เช่น การยกเลิกภาษีบางส่วนในสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ นอกจากนี้ การประชุมระดับสูงระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศในช่วงปลายปี 2022-2023 ช่วยฟื้นฟูช่องทางการสื่อสาร แม้จะยังไม่มีการแก้ไขข้อพิพาทหลัก เช่น ปัญหาไต้หวันหรือการจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง

    - **ความร่วมมือระดับภูมิภาค**:
    ความตกลงทางการค้าในรูปแบบภูมิภาคขยายตัว เช่น **RCEP** (ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค) ในเอเชีย-แปซิฟิก และ **AfCFTA** (เขตการค้าเสรีทวีปแอฟริกา) ซึ่งช่วยกระตุ้นการค้าภายในภูมิภาค แทนการพึ่งพาตลาดโลกเพียงอย่างเดียว

    - **นโยบายการค้าที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม**:
    หลายประเทศเริ่มผนวกเป้าหมายสิ่งแวดล้อมเข้ากับนโยบายการค้า เช่น สหภาพยุโรป推行 **CBAM** (มาตรการปรับคาร์บอนชายแดน) เพื่อส่งเสริมการผลิตที่ยั่งยืน แม้อาจก่อความขัดแย้งใหม่ แต่ก็เป็นโอกาสในการสร้างมาตรฐานสากลร่วมกัน

    ---

    ### 2. **ความท้าทายที่ยังคงอยู่**
    - **การแข่งขันทางเทคโนโลยีและการแยกห่วงโซ่อุปทาน**:
    สหรัฐฯ ยังคงจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูง (เช่น ชิปเซมิคอนดักเตอร์) ไปยังจีน ขณะที่จีนพยายามสร้างระบบนิเวศเทคโนโลยีของตนเอง (เช่น การพัฒนาชิปด้วยเทคโนโลยี 7 นาโนเมตรของ Huawei) ส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานโลกแตกออกเป็น "สองขั้ว" (Tech Decoupling)

    - **ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์**:
    สงครามยูเครน-รัสเซียและความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ยังส่งผลต่อความมั่นคงด้านพลังงานและเส้นทางการค้า รวมถึงกระตุ้นให้ประเทศต่างๆ หันมาเก็บกักเสบียงอาหารและทรัพยากร стратеติกมากขึ้น

    - **ความอ่อนแอของระบบพหุภาคี**:
    องค์การการค้าโลก (WTO) ยังไม่สามารถปฏิรูปกลไกระงับข้อพิพาท (Dispute Settlement Body) ได้อย่างเต็มที่ ทำให้ขาดกลไกกลางในการจัดการความขัดแย้งทางการค้า

    ---

    ### 3. **ทิศทางในอนาคต**
    - **เศรษฐกิจโลกอาจแบ่งเป็น "บล็อก"**:
    การค้าโลกกำลังเคลื่อนไปสู่รูปแบบ "friend-shoring" (การผลิตในประเทศพันธมิตร) และ "near-shoring" (การผลิตในประเทศใกล้เคียง) เพื่อลดความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น แต่เพิ่มความยืดหยุ่นให้ห่วงโซ่อุปทาน

    - **การค้าดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว**:
    การเติบโตของการค้าอิเล็กทรอนิกส์และมาตรการลดคาร์บอนจะเป็นตัวขับเคลื่อนใหม่ของระบบการค้าโลก แม้อาจก่อให้เกิดข้อพิพาทเรื่องกฎระเบียบระหว่างประเทศ

    ---

    ### สรุป
    สถานการณ์สงครามการค้าโลกมีทั้งพัฒนาการในทางที่ดี เช่น การเจรจาเพื่อลดความขัดแย้งและการขยายความร่วมมือระดับภูมิภาค แต่ก็ยังมีแรงกดดันจากความแข่งขันทางเทคโนโลยี ภูมิรัฐศาสตร์ และการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลก ซึ่งอาจทำให้การค้าโลกไม่กลับสู่รูปแบบเดิมอีกต่อไป แต่ปรับตัวสู่ระบบที่ "แบ่งกลุ่มแต่เชื่อมโยง" มากขึ้นภายใต้ความไม่แน่นอนสูง
    สถานการณ์ของสงครามการค้าโลกในปัจจุบันยังคงมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยมีทั้งแนวโน้มที่ดีขึ้นและความท้าทายที่ยังคงอยู่ ดังนี้ ### 1. **แนวโน้มที่ดีขึ้น** - **การลดความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน**: แม้สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะยังไม่สิ้นสุด แต่ทั้งสองฝ่ายเริ่มหันมาเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงการขึ้นภาษีเพิ่มเติม เช่น การยกเลิกภาษีบางส่วนในสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ นอกจากนี้ การประชุมระดับสูงระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศในช่วงปลายปี 2022-2023 ช่วยฟื้นฟูช่องทางการสื่อสาร แม้จะยังไม่มีการแก้ไขข้อพิพาทหลัก เช่น ปัญหาไต้หวันหรือการจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง - **ความร่วมมือระดับภูมิภาค**: ความตกลงทางการค้าในรูปแบบภูมิภาคขยายตัว เช่น **RCEP** (ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค) ในเอเชีย-แปซิฟิก และ **AfCFTA** (เขตการค้าเสรีทวีปแอฟริกา) ซึ่งช่วยกระตุ้นการค้าภายในภูมิภาค แทนการพึ่งพาตลาดโลกเพียงอย่างเดียว - **นโยบายการค้าที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม**: หลายประเทศเริ่มผนวกเป้าหมายสิ่งแวดล้อมเข้ากับนโยบายการค้า เช่น สหภาพยุโรป推行 **CBAM** (มาตรการปรับคาร์บอนชายแดน) เพื่อส่งเสริมการผลิตที่ยั่งยืน แม้อาจก่อความขัดแย้งใหม่ แต่ก็เป็นโอกาสในการสร้างมาตรฐานสากลร่วมกัน --- ### 2. **ความท้าทายที่ยังคงอยู่** - **การแข่งขันทางเทคโนโลยีและการแยกห่วงโซ่อุปทาน**: สหรัฐฯ ยังคงจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูง (เช่น ชิปเซมิคอนดักเตอร์) ไปยังจีน ขณะที่จีนพยายามสร้างระบบนิเวศเทคโนโลยีของตนเอง (เช่น การพัฒนาชิปด้วยเทคโนโลยี 7 นาโนเมตรของ Huawei) ส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานโลกแตกออกเป็น "สองขั้ว" (Tech Decoupling) - **ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์**: สงครามยูเครน-รัสเซียและความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ยังส่งผลต่อความมั่นคงด้านพลังงานและเส้นทางการค้า รวมถึงกระตุ้นให้ประเทศต่างๆ หันมาเก็บกักเสบียงอาหารและทรัพยากร стратеติกมากขึ้น - **ความอ่อนแอของระบบพหุภาคี**: องค์การการค้าโลก (WTO) ยังไม่สามารถปฏิรูปกลไกระงับข้อพิพาท (Dispute Settlement Body) ได้อย่างเต็มที่ ทำให้ขาดกลไกกลางในการจัดการความขัดแย้งทางการค้า --- ### 3. **ทิศทางในอนาคต** - **เศรษฐกิจโลกอาจแบ่งเป็น "บล็อก"**: การค้าโลกกำลังเคลื่อนไปสู่รูปแบบ "friend-shoring" (การผลิตในประเทศพันธมิตร) และ "near-shoring" (การผลิตในประเทศใกล้เคียง) เพื่อลดความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น แต่เพิ่มความยืดหยุ่นให้ห่วงโซ่อุปทาน - **การค้าดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว**: การเติบโตของการค้าอิเล็กทรอนิกส์และมาตรการลดคาร์บอนจะเป็นตัวขับเคลื่อนใหม่ของระบบการค้าโลก แม้อาจก่อให้เกิดข้อพิพาทเรื่องกฎระเบียบระหว่างประเทศ --- ### สรุป สถานการณ์สงครามการค้าโลกมีทั้งพัฒนาการในทางที่ดี เช่น การเจรจาเพื่อลดความขัดแย้งและการขยายความร่วมมือระดับภูมิภาค แต่ก็ยังมีแรงกดดันจากความแข่งขันทางเทคโนโลยี ภูมิรัฐศาสตร์ และการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลก ซึ่งอาจทำให้การค้าโลกไม่กลับสู่รูปแบบเดิมอีกต่อไป แต่ปรับตัวสู่ระบบที่ "แบ่งกลุ่มแต่เชื่อมโยง" มากขึ้นภายใต้ความไม่แน่นอนสูง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้พูดถึงช่องโหว่ความปลอดภัยใน ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งอาจทำให้ นักโจมตีทางไซเบอร์ สามารถควบคุมการผลิตพลังงาน แทรกแซงข้อมูลส่วนตัว หรือแม้กระทั่งขัดขวางการทำงานของโครงข่ายพลังงาน ผู้เชี่ยวชาญจาก Forescout – Vedere Labs ระบุช่องโหว่ใหม่ถึง 46 รายการในอุปกรณ์อินเวอร์เตอร์จากผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง Sungrow, Growatt และ SMA โดย 80% ของช่องโหว่ที่รายงานถือเป็นปัญหาร้ายแรงหรือสำคัญ

    ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการเชื่อมต่อออนไลน์:
    - หลายอินเวอร์เตอร์ในระบบพลังงานแสงอาทิตย์มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยตรง ทำให้ง่ายต่อการโจมตีผ่านการใช้เฟิร์มแวร์ที่ล้าสมัยหรือการเข้ารหัสข้อมูลที่อ่อนแอ

    ผลกระทบที่เกิดขึ้น:
    - การโจมตีสามารถทำให้เกิดความไม่สมดุลในโครงข่ายพลังงาน การขโมยข้อมูลที่ละเมิดข้อกำหนดด้าน GDPR รวมถึงการควบคุมอุปกรณ์ภายในบ้านอัจฉริยะ เช่น เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า

    คำแนะนำในการป้องกัน:
    - ผู้ผลิตควรเร่งแก้ไขปัญหาด้วยการอัปเดตระบบ ปรับปรุงโค้ดให้ปลอดภัย และทดสอบเจาะระบบอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ควรมีการใช้ Web Application Firewall และมาตรการความปลอดภัยมาตรฐาน เช่น NIST IR 8259

    บทบาทของเจ้าของระบบพลังงานแสงอาทิตย์:
    - การแยกเครือข่ายของอุปกรณ์แสงอาทิตย์ การตั้งค่าระบบเฝ้าระวังความปลอดภัย และการใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันภัยไซเบอร์เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใช้ควรดำเนินการ

    https://www.techradar.com/pro/millions-of-solar-power-systems-could-be-at-risk-of-cyber-attacks-after-researchers-find-flurry-of-vulnerabilities
    ข่าวนี้พูดถึงช่องโหว่ความปลอดภัยใน ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งอาจทำให้ นักโจมตีทางไซเบอร์ สามารถควบคุมการผลิตพลังงาน แทรกแซงข้อมูลส่วนตัว หรือแม้กระทั่งขัดขวางการทำงานของโครงข่ายพลังงาน ผู้เชี่ยวชาญจาก Forescout – Vedere Labs ระบุช่องโหว่ใหม่ถึง 46 รายการในอุปกรณ์อินเวอร์เตอร์จากผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง Sungrow, Growatt และ SMA โดย 80% ของช่องโหว่ที่รายงานถือเป็นปัญหาร้ายแรงหรือสำคัญ ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการเชื่อมต่อออนไลน์: - หลายอินเวอร์เตอร์ในระบบพลังงานแสงอาทิตย์มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยตรง ทำให้ง่ายต่อการโจมตีผ่านการใช้เฟิร์มแวร์ที่ล้าสมัยหรือการเข้ารหัสข้อมูลที่อ่อนแอ ผลกระทบที่เกิดขึ้น: - การโจมตีสามารถทำให้เกิดความไม่สมดุลในโครงข่ายพลังงาน การขโมยข้อมูลที่ละเมิดข้อกำหนดด้าน GDPR รวมถึงการควบคุมอุปกรณ์ภายในบ้านอัจฉริยะ เช่น เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า คำแนะนำในการป้องกัน: - ผู้ผลิตควรเร่งแก้ไขปัญหาด้วยการอัปเดตระบบ ปรับปรุงโค้ดให้ปลอดภัย และทดสอบเจาะระบบอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ควรมีการใช้ Web Application Firewall และมาตรการความปลอดภัยมาตรฐาน เช่น NIST IR 8259 บทบาทของเจ้าของระบบพลังงานแสงอาทิตย์: - การแยกเครือข่ายของอุปกรณ์แสงอาทิตย์ การตั้งค่าระบบเฝ้าระวังความปลอดภัย และการใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันภัยไซเบอร์เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใช้ควรดำเนินการ https://www.techradar.com/pro/millions-of-solar-power-systems-could-be-at-risk-of-cyber-attacks-after-researchers-find-flurry-of-vulnerabilities
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 35 มุมมอง 0 รีวิว
  • UNIS เปิดตัว S5 Ultra SSD ที่เร็วที่สุดในตลาดด้วยการอ่าน 14.9 GB/s และเขียน 12.9 GB/s แม้จะใช้เทคโนโลยีเก่ากว่าแต่ยังสามารถแข่งขันกับแบรนด์ใหญ่เช่น Samsung และ Crucial ทั้งนี้ SSD ยังออกแบบให้เหมาะกับงานที่ต้องการประสิทธิภาพสูงโดยมีการระบายความร้อนแบบกราฟีน ซึ่งอาจเป็นจุดที่ต้องพัฒนาต่อไปในอนาคต

    การออกแบบที่แตกต่าง:
    - รุ่น S5 Ultra มีโครงสร้างแบบ DRAM-less แต่สามารถทำความเร็วได้สูงสุด ด้วยตัวควบคุมที่ใช้กระบวนการผลิต 12nm ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพแม้จะดูเก่าเมื่อเทียบกับมาตรฐานในตลาด.

    ความพิเศษในรุ่น Ultra:
    - UNIS S5 Ultra ใช้ตัวควบคุมแบบ 6nm และเพิ่ม DRAM Cache เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความเหมาะสมสำหรับงานด้านผลิตภาพ โดยลดความเร็วการอ่านลงเหลือ 14.2 GB/s แต่ชดเชยด้วยการเขียนที่สูงขึ้น.

    ความร้อนจากการใช้งาน:
    - SSD เหล่านี้มาพร้อมกับแผ่นระบายความร้อนกราฟีน แม้จะเป็นเพียงการระบายแบบ passive ซึ่งอาจไม่เพียงพอสำหรับความร้อนที่เกิดขึ้นเมื่อใช้งานความเร็วสูงระดับนี้.

    การใช้งานที่หลากหลาย:
    - UNIS S5 Ultra ออกแบบมาเพื่อรองรับงานที่ต้องการประสิทธิภาพสูง เช่น การตัดต่อวิดีโอระดับ 4K และการเล่นเกมขั้นสูง อีกทั้งยังเหมาะกับงานที่ใช้ความเร็วในลักษณะ random access สูง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/chinese-pcie-5-0-ssd-boasts-14-9-gb-s-speeds-positioning-as-the-fastest-mainstream-pcie-5-0-drive-on-the-market
    UNIS เปิดตัว S5 Ultra SSD ที่เร็วที่สุดในตลาดด้วยการอ่าน 14.9 GB/s และเขียน 12.9 GB/s แม้จะใช้เทคโนโลยีเก่ากว่าแต่ยังสามารถแข่งขันกับแบรนด์ใหญ่เช่น Samsung และ Crucial ทั้งนี้ SSD ยังออกแบบให้เหมาะกับงานที่ต้องการประสิทธิภาพสูงโดยมีการระบายความร้อนแบบกราฟีน ซึ่งอาจเป็นจุดที่ต้องพัฒนาต่อไปในอนาคต การออกแบบที่แตกต่าง: - รุ่น S5 Ultra มีโครงสร้างแบบ DRAM-less แต่สามารถทำความเร็วได้สูงสุด ด้วยตัวควบคุมที่ใช้กระบวนการผลิต 12nm ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพแม้จะดูเก่าเมื่อเทียบกับมาตรฐานในตลาด. ความพิเศษในรุ่น Ultra: - UNIS S5 Ultra ใช้ตัวควบคุมแบบ 6nm และเพิ่ม DRAM Cache เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความเหมาะสมสำหรับงานด้านผลิตภาพ โดยลดความเร็วการอ่านลงเหลือ 14.2 GB/s แต่ชดเชยด้วยการเขียนที่สูงขึ้น. ความร้อนจากการใช้งาน: - SSD เหล่านี้มาพร้อมกับแผ่นระบายความร้อนกราฟีน แม้จะเป็นเพียงการระบายแบบ passive ซึ่งอาจไม่เพียงพอสำหรับความร้อนที่เกิดขึ้นเมื่อใช้งานความเร็วสูงระดับนี้. การใช้งานที่หลากหลาย: - UNIS S5 Ultra ออกแบบมาเพื่อรองรับงานที่ต้องการประสิทธิภาพสูง เช่น การตัดต่อวิดีโอระดับ 4K และการเล่นเกมขั้นสูง อีกทั้งยังเหมาะกับงานที่ใช้ความเร็วในลักษณะ random access สูง https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/chinese-pcie-5-0-ssd-boasts-14-9-gb-s-speeds-positioning-as-the-fastest-mainstream-pcie-5-0-drive-on-the-market
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้นำเสนอถึงการพัฒนาเครื่องมือการพิมพ์ลายวงจร (Lithography tool) ใหม่ของรัสเซียที่สามารถรองรับเทคโนโลยีการผลิตระดับ 350 นาโนเมตร ซึ่งเป็นความสำเร็จที่มีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ แม้ว่าเครื่องมือดังกล่าวจะล้าสมัยเมื่อเปรียบเทียบกับมาตรฐานปัจจุบันที่มุ่งสู่ระดับ 5 นาโนเมตรหรือดีกว่า

    เทคโนโลยี Solid-State Laser:
    - เครื่องมือ Lithography ที่พัฒนาโดย ZNTC และ Planar ใช้แหล่งกำเนิดแสงแบบ Solid-State Laser ซึ่งช่วยเพิ่มความทนทานและการประหยัดพลังงานเมื่อเทียบกับระบบเก่าที่ใช้หลอด Mercury หรือ Laser Excimer.

    ความเหมาะสมในตลาด:
    - แม้เครื่องมือนี้จะไม่สามารถเทียบได้กับระบบล้ำหน้าของ ASML แต่ยังสามารถใช้ในอุตสาหกรรมที่ไม่ต้องการเทคโนโลยีขั้นสูง เช่นการผลิตชิ้นส่วนในรถยนต์ หรือการจัดการพลังงาน รวมถึงการใช้งานด้านทหารที่ไม่จำเป็นต้องใช้ประสิทธิภาพสูง.

    เป้าหมายในอนาคต:
    - ZNTC กำลังพัฒนาเครื่องมือ Lithography ใหม่ที่รองรับเทคโนโลยีระดับ 130 นาโนเมตร โดยวางแผนเสร็จสิ้นภายในปี 2026 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนระยะยาวของรัฐบาลรัสเซียที่จะพัฒนาไปสู่เทคโนโลยี 14 นาโนเมตร ภายในปี 2030

    ความท้าทายที่ต้องเผชิญ:
    - ปัจจุบันรัสเซียยังคงใช้เครื่องมือจากบริษัท ASML ที่ถูกนำเข้าอย่างไม่เป็นทางการ และการพัฒนาที่ล่าช้าอาจทำให้เป้าหมายในแผนระยะยาวของประเทศไม่สำเร็จตามกำหนด.

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/russia-completes-development-of-30-year-old-outdated-lithography-tool
    ข่าวนี้นำเสนอถึงการพัฒนาเครื่องมือการพิมพ์ลายวงจร (Lithography tool) ใหม่ของรัสเซียที่สามารถรองรับเทคโนโลยีการผลิตระดับ 350 นาโนเมตร ซึ่งเป็นความสำเร็จที่มีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ แม้ว่าเครื่องมือดังกล่าวจะล้าสมัยเมื่อเปรียบเทียบกับมาตรฐานปัจจุบันที่มุ่งสู่ระดับ 5 นาโนเมตรหรือดีกว่า เทคโนโลยี Solid-State Laser: - เครื่องมือ Lithography ที่พัฒนาโดย ZNTC และ Planar ใช้แหล่งกำเนิดแสงแบบ Solid-State Laser ซึ่งช่วยเพิ่มความทนทานและการประหยัดพลังงานเมื่อเทียบกับระบบเก่าที่ใช้หลอด Mercury หรือ Laser Excimer. ความเหมาะสมในตลาด: - แม้เครื่องมือนี้จะไม่สามารถเทียบได้กับระบบล้ำหน้าของ ASML แต่ยังสามารถใช้ในอุตสาหกรรมที่ไม่ต้องการเทคโนโลยีขั้นสูง เช่นการผลิตชิ้นส่วนในรถยนต์ หรือการจัดการพลังงาน รวมถึงการใช้งานด้านทหารที่ไม่จำเป็นต้องใช้ประสิทธิภาพสูง. เป้าหมายในอนาคต: - ZNTC กำลังพัฒนาเครื่องมือ Lithography ใหม่ที่รองรับเทคโนโลยีระดับ 130 นาโนเมตร โดยวางแผนเสร็จสิ้นภายในปี 2026 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนระยะยาวของรัฐบาลรัสเซียที่จะพัฒนาไปสู่เทคโนโลยี 14 นาโนเมตร ภายในปี 2030 ความท้าทายที่ต้องเผชิญ: - ปัจจุบันรัสเซียยังคงใช้เครื่องมือจากบริษัท ASML ที่ถูกนำเข้าอย่างไม่เป็นทางการ และการพัฒนาที่ล่าช้าอาจทำให้เป้าหมายในแผนระยะยาวของประเทศไม่สำเร็จตามกำหนด. https://www.tomshardware.com/tech-industry/russia-completes-development-of-30-year-old-outdated-lithography-tool
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 37 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหล็กจีนทำลายโลกประเด็นตึกถล่ม จากบริษัทจีนที่ร่วมมือกับบริษัทอิตาเลียนไทย ยังดูเล็กไป ถ้าคนไทยตื่นรู้ความจริงว่า รัฐบาลจีนได้เข้าทะลายโรงงานผลิตเหล็กปลอมจำนวนมากหลายแห่งในประเทศจีนทำให้รัฐบาลจีนสูญเสียรายได้ไปมากถึงกว่า 2.4ล้านล้านเหรียญ เพราะอสังหาริมทรัพย์ที่สำคัญในการก่อสร้างของจีนเสียหายไปหลายแห่ง และทำให้จีนเสื่อมเสียความเชื่อมั่นไปทั่วโลก จากการส่งออกเหล็กปลอมในปีที่แล้ว สีจิ้นผิง ใช้ไม้แข็ง สั่งเจ้าหน้าที่ทุกมลฑล เข้ากรวดล้างโรงงานผลิตเหล็กเถื่อนกว่า500แห่ง จนราบคาบ กลายเป็นโรงงานร้าง และดำเนินคดีเจ้าของโรงงานด้วยการสั่งประหาร และจำคุกตลอดชีวิตคาดกันว่ายังมีเหล็กปลอมจากจีนกว่า 60 ล้านตัน หลุดออกไปยังประเทศต่างๆในอาเซียน โดยเฉพาะในประเทศที่มีเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ได้ใส่ใจและมีการคอรัปชั่นสูง เช่น ไทย เมียนมาร์ สปป.ลาวตึกถล่มในไทย เป็นผลงานการก่อสร้างจากกลุ่มบริษัทเดียวกันที่คานเหล็กถล่มลงมาในการก่อสร้างที่ถนนพระราม2และยังมีคอนโดหรูอีกหลายแห่ง ที่ใช้บริการเหล็กปลอมจากจีนปีที่แล้วก็เกิดคานเหล็กร่วงลงมาบ่อยมาก จากการก่อสร้างรถไฟภายใน กทม.เพราะเหล็กไม่ได้มาตรฐานผลจากการเกิดอาฟเตอร์ช็อคในเมียนมาร์ หลังเกิดแผ่นดินไหว ตึกอาคาร บ้านเรือน วัด แม้ไม่ได้สร้างให้สูง ก็พังถล่มลงมาจำนวนมากข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปถึงประเทศจีน คนจีนหลายล้านคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า **นั่นมันต้องเกิดจากเหล็กปลอมที่ถูกส่งมาจากประเทศจีนแน่นอน**งานนี้บริษัทรับเหมาของบริษัทจีนกับอิตาเลียนไทย ไม่ได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป เพราะเสียเครดิตไปหมดแล้วส่วนข้าราชการไทยกับนักการเมืองไทย ก็จะโบ้ยโทษกันไปมาเหมือนเคย และจะไม่มีใครมาสนใจเหล็กปลอมกว่า 60 ล้านตันของจีน ว่าแจกพรอตมันจะหล่นไปตรงใส่หัวของใครตึก สนง.ของ สตช.ถล่ม แน่นอนว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทย ก็จะตายตามไปด้วย.เดชา นฤนารท.29/3/68 11.20 น.
    เหล็กจีนทำลายโลกประเด็นตึกถล่ม จากบริษัทจีนที่ร่วมมือกับบริษัทอิตาเลียนไทย ยังดูเล็กไป ถ้าคนไทยตื่นรู้ความจริงว่า รัฐบาลจีนได้เข้าทะลายโรงงานผลิตเหล็กปลอมจำนวนมากหลายแห่งในประเทศจีนทำให้รัฐบาลจีนสูญเสียรายได้ไปมากถึงกว่า 2.4ล้านล้านเหรียญ เพราะอสังหาริมทรัพย์ที่สำคัญในการก่อสร้างของจีนเสียหายไปหลายแห่ง และทำให้จีนเสื่อมเสียความเชื่อมั่นไปทั่วโลก จากการส่งออกเหล็กปลอมในปีที่แล้ว สีจิ้นผิง ใช้ไม้แข็ง สั่งเจ้าหน้าที่ทุกมลฑล เข้ากรวดล้างโรงงานผลิตเหล็กเถื่อนกว่า500แห่ง จนราบคาบ กลายเป็นโรงงานร้าง และดำเนินคดีเจ้าของโรงงานด้วยการสั่งประหาร และจำคุกตลอดชีวิตคาดกันว่ายังมีเหล็กปลอมจากจีนกว่า 60 ล้านตัน หลุดออกไปยังประเทศต่างๆในอาเซียน โดยเฉพาะในประเทศที่มีเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ได้ใส่ใจและมีการคอรัปชั่นสูง เช่น ไทย เมียนมาร์ สปป.ลาวตึกถล่มในไทย เป็นผลงานการก่อสร้างจากกลุ่มบริษัทเดียวกันที่คานเหล็กถล่มลงมาในการก่อสร้างที่ถนนพระราม2และยังมีคอนโดหรูอีกหลายแห่ง ที่ใช้บริการเหล็กปลอมจากจีนปีที่แล้วก็เกิดคานเหล็กร่วงลงมาบ่อยมาก จากการก่อสร้างรถไฟภายใน กทม.เพราะเหล็กไม่ได้มาตรฐานผลจากการเกิดอาฟเตอร์ช็อคในเมียนมาร์ หลังเกิดแผ่นดินไหว ตึกอาคาร บ้านเรือน วัด แม้ไม่ได้สร้างให้สูง ก็พังถล่มลงมาจำนวนมากข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปถึงประเทศจีน คนจีนหลายล้านคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า **นั่นมันต้องเกิดจากเหล็กปลอมที่ถูกส่งมาจากประเทศจีนแน่นอน**งานนี้บริษัทรับเหมาของบริษัทจีนกับอิตาเลียนไทย ไม่ได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป เพราะเสียเครดิตไปหมดแล้วส่วนข้าราชการไทยกับนักการเมืองไทย ก็จะโบ้ยโทษกันไปมาเหมือนเคย และจะไม่มีใครมาสนใจเหล็กปลอมกว่า 60 ล้านตันของจีน ว่าแจกพรอตมันจะหล่นไปตรงใส่หัวของใครตึก สนง.ของ สตช.ถล่ม แน่นอนว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทย ก็จะตายตามไปด้วย.เดชา นฤนารท.29/3/68 11.20 น.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 101 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตามที่มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งแชร์คลิปการสัมภาษณ์สด ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ในพื้นที่ตึกถล่มจากเหตุแผ่นดินไหวย่านจตุจักรเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2568 โดยตอนหนึ่งของการสัมภาษณ์มีเสียงคำถามในวงสัมภาษณ์ดังกล่าว ถาม ดร.สุชัชวีร์ในเชิงเชื่อมโยงว่าแผ่นดินไหว ตึกถล่มเป็นเพราะมี พ.ร.บ.สมรสเพศเดียวกัน ทำให้พระเจ้าพิโรธหรือไม่ ซึ่งการแชร์คลิปดังกล่าว ได้สร้างความเข้าใจผิดและตำหนิการทำงานของสื่อมวลชน

    นายจีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง อุปนายกด้านมาตรฐานวิชาชีพ สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์(SONP) ขอชี้แจงแทนสื่อมวลชนภาคสนามเพื่อลดความเข้าใจผิดว่า จากการตรวจสอบจากนักข่าวภาคสนาม ทำให้ทราบว่าเสียงคำถามดังกล่าวไม่ใช่เป็นคำถามจากนักข่าวที่ลงพื้นที่ทำข่าว แต่เป็นเสียงคำถามของประช่าชนที่มาอยู่ในวงล้อมของการสัมภาษณ์

    นายจีรพงษ์ กล่าวอีกว่า ในสถานการณ์ภัยพิบัติมักมีข้อมูลข่าวสารทั้งเนื้อหา คลิป และภาพ ที่เป็นข่าวปลอมและสร้างความเข้าใจผิด อาทิ เป็นข้อมูลเก่า เป็นข้อมูลคนละเหตุการณ์และสถานที่ จึงขอให้ประชาชนและสื่อมวลชนสมาชิกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ตรวจสอบกลั่นกรองข้อมูลก่อนนำเสนอทุกครั้งเพื่อไม่ซ้ำเติมสถานการณ์

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000030080

    #MGROnline #ประชาธิปัตย์ #เอ้สุชัชวีร์ #แผ่นดินไหว #ตึกถล่ม #ไทยแผ่นดินไหว #แผ่นดินไหวไทย #กรุงเทพแผ่นดินไหว #กรุงเทพมหานคร #ประเทศไทย #เมียนมา #bkkearthquake #BangkokEarthquake #ThailandEarthquake
    ตามที่มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งแชร์คลิปการสัมภาษณ์สด ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ในพื้นที่ตึกถล่มจากเหตุแผ่นดินไหวย่านจตุจักรเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2568 โดยตอนหนึ่งของการสัมภาษณ์มีเสียงคำถามในวงสัมภาษณ์ดังกล่าว ถาม ดร.สุชัชวีร์ในเชิงเชื่อมโยงว่าแผ่นดินไหว ตึกถล่มเป็นเพราะมี พ.ร.บ.สมรสเพศเดียวกัน ทำให้พระเจ้าพิโรธหรือไม่ ซึ่งการแชร์คลิปดังกล่าว ได้สร้างความเข้าใจผิดและตำหนิการทำงานของสื่อมวลชน • นายจีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง อุปนายกด้านมาตรฐานวิชาชีพ สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์(SONP) ขอชี้แจงแทนสื่อมวลชนภาคสนามเพื่อลดความเข้าใจผิดว่า จากการตรวจสอบจากนักข่าวภาคสนาม ทำให้ทราบว่าเสียงคำถามดังกล่าวไม่ใช่เป็นคำถามจากนักข่าวที่ลงพื้นที่ทำข่าว แต่เป็นเสียงคำถามของประช่าชนที่มาอยู่ในวงล้อมของการสัมภาษณ์ • นายจีรพงษ์ กล่าวอีกว่า ในสถานการณ์ภัยพิบัติมักมีข้อมูลข่าวสารทั้งเนื้อหา คลิป และภาพ ที่เป็นข่าวปลอมและสร้างความเข้าใจผิด อาทิ เป็นข้อมูลเก่า เป็นข้อมูลคนละเหตุการณ์และสถานที่ จึงขอให้ประชาชนและสื่อมวลชนสมาชิกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ตรวจสอบกลั่นกรองข้อมูลก่อนนำเสนอทุกครั้งเพื่อไม่ซ้ำเติมสถานการณ์ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000030080 • #MGROnline #ประชาธิปัตย์ #เอ้สุชัชวีร์ #แผ่นดินไหว #ตึกถล่ม #ไทยแผ่นดินไหว #แผ่นดินไหวไทย #กรุงเทพแผ่นดินไหว #กรุงเทพมหานคร #ประเทศไทย #เมียนมา #bkkearthquake #BangkokEarthquake #ThailandEarthquake
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยุติค้นหา ตึกใหม่ สตง. ถล่ม! ยืนยันตาย 7 ศพ สูญหาย 47 คน เปิดเบื้องหลังบริษัทยักษ์ใหญ่จีน ชิมลางสร้างตึกสูงในไทย แห่งแรกในต่างแดน ที่จบไม่สวย

    📌 เหตุการณ์สั่นสะเทือนวงการก่อสร้างไทย-จีน ที่สะท้อนความเสี่ยงระดับชาติ

    🏗️ แผ่นดินไหวแรงสะเทือนถึงใจ ตึกใหม่ สตง. ถล่มกลางกรุง! ในช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น... อาคารสำนักงานแห่งใหม่ของ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่กำลังก่อสร้างอยู่ในย่านจตุจักร กรุงเทพฯ พังถล่มลงมาอย่างรุนแรง หลังเกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูด ในประเทศเมียนมา ซึ่งแรงสั่นสะเทือนส่งผลมาถึงกรุงเทพฯ

    เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงแต่สะเทือนชีวิตผู้คน มีผู้เสียชีวิตยืนยันแล้ว 7 ศพ สูญหาย 47 คน และมีผู้ติดอยู่ใต้ซากอาคาร 30 คน แต่ยังเป็น จุดจบของความหวังทางยุทธศาสตร์ ที่จะให้บริษัทจีนเข้ามาชิมลาง สร้างอาคารสูงพิเศษในไทย เป็นครั้งแรกในต่างแดน 🇹🇭🇨🇳

    📌 เมื่อช่วงบ่ายของวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ 8.2 แมกนิจูด ในประเทศเมียนมา ซึ่งมีศูนย์กลางลึกใต้ดินกว่า 90 กม. แม้จะห่างจากกรุงเทพฯ หลายร้อยกิโลเมตร แต่แรงสั่นสะเทือน สามารถรับรู้ได้ถึงกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล 🌀

    จุดพังถล่มคือ อาคารสำนักงาน สตง. แห่งใหม่ บริเวณถนนกำแพงเพชร 2 เขตจตุจักร ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และเพิ่งสร้างโครงสร้างเสร็จไปได้เพียง 30% ของแผนงาน

    แม้อาคารจะยังไม่เปิดใช้งาน แต่ในขณะนั้นมีวิศวกร ช่างเทคนิค และคนงานกว่า 100 ชีวิต อยู่ภายใน เนื่องจากกำลังเร่งติดตั้งระบบภายใน เช่น ระบบไฟฟ้า น้ำ และระบบอาคารอัจฉริยะต่างๆ

    ⛑️ ทันทีหลังจากเหตุการณ์ถล่ม เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยหลายทีม ได้เข้าพื้นที่อย่างเร่งด่วน พร้อมอุปกรณ์ค้นหา และกู้ภัยทันสมัย เช่น กล้องจับความร้อน, โดรน, เครื่องตรวจจับเสียง ฯลฯ

    📉 ภาพรวมความเสียหาย และภารกิจค้นหาผู้รอดชีวิต
    🚨 สรุปสถานการณ์ ณ วันที่ 29 มีนาคม เวลา 05.00 น.
    - เสียชีวิตแล้ว 7 ศพ นำออกมาได้แล้ว 5 ศพ
    - ผู้รอดชีวิต 9 คน บาดเจ็บหลากหลายระดับ
    - ผู้ติดใต้ซาก 30 คน มีสัญญาณชีพ 15 คน
    - ผู้สูญหาย 47 คน
    - ยืนยันตัวตนแล้ว 85 คน

    การค้นหาแบ่งออกเป็น 4 โซน ได้แก่ A, B, C, D
    📍โซน A พบผู้มีสัญญาณชีพ 10 ราย
    📍โซน B พบผู้มีสัญญาณชีพ 2 ราย
    📍โซน D พบผู้มีสัญญาณชีพ 3 ราย

    การค้นหาต้องหยุดชั่วคราว เพื่อประเมินแผนใหม่ เนื่องจากโครงสร้างบางจุดยังไม่เสถียร เสี่ยงต่อเจ้าหน้าที่ค้นหาเองด้วย

    💬 “เรากำลังแข่งกับเวลา และแข่งกับซากปูนที่อาจถล่มซ้ำอีกทุกวินาที” หนึ่งในทีมกู้ภัยกล่าว

    🏢 โครงการก่อสร้างอาคาร สตง. เป้าหมายสู่อนาคตรัฐ อาคารสำนักงานแห่งใหม่นี้ ถูกวางเป้าหมายให้เป็น ศูนย์กลางการเงิน และการควบคุมงบประมาณของรัฐ โดยมีโครงสร้าง 30 ชั้น ความสูงรวม 137 เมตร รวมพื้นที่ก่อสร้างกว่า 96,000 ตารางเมตร

    👉 อาคารนี้ประกอบด้วย อาคารสำนักงานหลัก อาคารประชุม และอาคารจอดรถอัตโนมัติ

    โครงการเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2563 ด้วยงบประมาณ 2,136 ล้านบาท โดยผู้รับเหมาก่อสร้างหลัก คือ กิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี และควบคุมงานโดยกลุ่มวิศวกร PKW โดยมีการลงนาม Integrity Pact กับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เพื่อความโปร่งใสในการจัดจ้าง

    🏗️ "ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10" บริษัทยักษ์จากจีนผู้หวังปักหมุดในไทย “China Railway No.10 Engineering Group” หรือ CRCC เป็นบริษัทลูกของกลุ่มรัฐวิสาหกิจจีน ที่มีชื่อเสียงด้านโครงสร้างพื้นฐาน

    โครงการ สตง. คือ โครงการอาคารสูงพิเศษแห่งแรกในต่างแดน ของบริษัทนี้ นำเทคโนโลยีล้ำสมัยจากจีนเข้ามาใช้เต็มที่ เช่น
    - ระบบ “แกนกลางรับแรง + พื้นไร้คาน”
    - เทคนิคแบบสไลด์คอนกรีต (Slip Form)
    - ระบบนั่งร้านปีนไต่อัตโนมัติ
    - ระบบติดตั้งไฟฟ้า แบบไม่ให้ท่อชนกันแม้แต่นิดเดียว

    👷 ทั้งหมดนี้แสดงถึงความพร้อมด้านวิศวกรรม และความหวังจะก้าวเข้าตลาดอาเซียนอย่างยิ่งใหญ่ แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น กลับกลายเป็นวิกฤตแห่งความเชื่อมั่น...

    🔍 ความเสียหายเชิงยุทธศาสตร์ ไม่ใช่แค่ตึกถล่ม แต่คือภาพลักษณ์ล่มสลาย ผลกระทบหลัก 3 ด้าน
    - ชีวิตคนงาน การสูญเสียชีวิต7 ศพ และผู้ติดอยู่ใต้ซากหลายสิบคน คือความสูญเสียที่ไม่มีเม็ดเงินใดทดแทนได้

    - ความเชื่อมั่นในบริษัทจีน โครงการนี้เคยเป็นความหวังว่าจะเป็น “โชว์เคสระดับอาเซียน” กลายเป็น “บทเรียนราคาแพง”

    - ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย-จีน โครงการยุทธศาสตร์ไทย-จีนในอนาคตอาจถูกชะลอ ตรวจสอบมากขึ้น และถูกตั้งคำถามมากขึ้น

    🧑‍💼 การตอบสนองของหน่วยงานรัฐ เดินหน้าแก้ไข เร่งค้นหาความจริง
    – นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ลงพื้นที่พร้อมทีมวิศวกรกว่า 100 คน เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของอาคารทั่วกรุงเทพฯ ที่อาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว

    – นายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ในฐานะโฆษกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เร่งตรวจสอบคุณภาพโครงการ และประเมินความเสียหาย พร้อมยืนยัน จะเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส

    – นายสุริยชัย รวิวรรณ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กทม. รายงานสถานการณ์ค้นหาอย่างต่อเนื่อง พร้อมแบ่งโซนและใช้เทคโนโลยี ช่วยระบุตำแหน่งผู้ติดใต้ซาก

    ✅ จุดจบที่ไม่ควรเกิด กับความหวังที่ดับไปกลางซากอาคาร โศกนาฏกรรมครั้งนี้ เป็นจุดเตือนที่สะเทือนใจว่า การลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ และความร่วมมือระหว่างประเทศ ไม่อาจวัดด้วยเทคโนโลยี หรือเงินทุนเพียงอย่างเดียว ต้องอาศัย มาตรฐาน ความปลอดภัย และความโปร่งใสระดับสูงสุด

    หากสิ่งเหล่านี้ขาดหายไป... แม้จะเป็นโครงการที่ดูดีแค่ไหน ก็พร้อมจะพังถล่มลงมาในพริบตา 🕯️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 291100 มี.ค. 2568

    🔖#ตึกสตงถล่ม #CRCCไทย #ไชน่าเรลเวย์10 #ข่าวด่วน #แผ่นดินไหว #อาคารสูงพิเศษ #ก่อสร้างไทยจีน #ข่าวโศกนาฏกรรม #ตึกถล่ม #ไทยจีน
    ยุติค้นหา ตึกใหม่ สตง. ถล่ม! ยืนยันตาย 7 ศพ สูญหาย 47 คน เปิดเบื้องหลังบริษัทยักษ์ใหญ่จีน ชิมลางสร้างตึกสูงในไทย แห่งแรกในต่างแดน ที่จบไม่สวย 📌 เหตุการณ์สั่นสะเทือนวงการก่อสร้างไทย-จีน ที่สะท้อนความเสี่ยงระดับชาติ 🏗️ แผ่นดินไหวแรงสะเทือนถึงใจ ตึกใหม่ สตง. ถล่มกลางกรุง! ในช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น... อาคารสำนักงานแห่งใหม่ของ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่กำลังก่อสร้างอยู่ในย่านจตุจักร กรุงเทพฯ พังถล่มลงมาอย่างรุนแรง หลังเกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูด ในประเทศเมียนมา ซึ่งแรงสั่นสะเทือนส่งผลมาถึงกรุงเทพฯ เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงแต่สะเทือนชีวิตผู้คน มีผู้เสียชีวิตยืนยันแล้ว 7 ศพ สูญหาย 47 คน และมีผู้ติดอยู่ใต้ซากอาคาร 30 คน แต่ยังเป็น จุดจบของความหวังทางยุทธศาสตร์ ที่จะให้บริษัทจีนเข้ามาชิมลาง สร้างอาคารสูงพิเศษในไทย เป็นครั้งแรกในต่างแดน 🇹🇭🇨🇳 📌 เมื่อช่วงบ่ายของวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ 8.2 แมกนิจูด ในประเทศเมียนมา ซึ่งมีศูนย์กลางลึกใต้ดินกว่า 90 กม. แม้จะห่างจากกรุงเทพฯ หลายร้อยกิโลเมตร แต่แรงสั่นสะเทือน สามารถรับรู้ได้ถึงกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล 🌀 จุดพังถล่มคือ อาคารสำนักงาน สตง. แห่งใหม่ บริเวณถนนกำแพงเพชร 2 เขตจตุจักร ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และเพิ่งสร้างโครงสร้างเสร็จไปได้เพียง 30% ของแผนงาน แม้อาคารจะยังไม่เปิดใช้งาน แต่ในขณะนั้นมีวิศวกร ช่างเทคนิค และคนงานกว่า 100 ชีวิต อยู่ภายใน เนื่องจากกำลังเร่งติดตั้งระบบภายใน เช่น ระบบไฟฟ้า น้ำ และระบบอาคารอัจฉริยะต่างๆ ⛑️ ทันทีหลังจากเหตุการณ์ถล่ม เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยหลายทีม ได้เข้าพื้นที่อย่างเร่งด่วน พร้อมอุปกรณ์ค้นหา และกู้ภัยทันสมัย เช่น กล้องจับความร้อน, โดรน, เครื่องตรวจจับเสียง ฯลฯ 📉 ภาพรวมความเสียหาย และภารกิจค้นหาผู้รอดชีวิต 🚨 สรุปสถานการณ์ ณ วันที่ 29 มีนาคม เวลา 05.00 น. - เสียชีวิตแล้ว 7 ศพ นำออกมาได้แล้ว 5 ศพ - ผู้รอดชีวิต 9 คน บาดเจ็บหลากหลายระดับ - ผู้ติดใต้ซาก 30 คน มีสัญญาณชีพ 15 คน - ผู้สูญหาย 47 คน - ยืนยันตัวตนแล้ว 85 คน การค้นหาแบ่งออกเป็น 4 โซน ได้แก่ A, B, C, D 📍โซน A พบผู้มีสัญญาณชีพ 10 ราย 📍โซน B พบผู้มีสัญญาณชีพ 2 ราย 📍โซน D พบผู้มีสัญญาณชีพ 3 ราย การค้นหาต้องหยุดชั่วคราว เพื่อประเมินแผนใหม่ เนื่องจากโครงสร้างบางจุดยังไม่เสถียร เสี่ยงต่อเจ้าหน้าที่ค้นหาเองด้วย 💬 “เรากำลังแข่งกับเวลา และแข่งกับซากปูนที่อาจถล่มซ้ำอีกทุกวินาที” หนึ่งในทีมกู้ภัยกล่าว 🏢 โครงการก่อสร้างอาคาร สตง. เป้าหมายสู่อนาคตรัฐ อาคารสำนักงานแห่งใหม่นี้ ถูกวางเป้าหมายให้เป็น ศูนย์กลางการเงิน และการควบคุมงบประมาณของรัฐ โดยมีโครงสร้าง 30 ชั้น ความสูงรวม 137 เมตร รวมพื้นที่ก่อสร้างกว่า 96,000 ตารางเมตร 👉 อาคารนี้ประกอบด้วย อาคารสำนักงานหลัก อาคารประชุม และอาคารจอดรถอัตโนมัติ โครงการเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2563 ด้วยงบประมาณ 2,136 ล้านบาท โดยผู้รับเหมาก่อสร้างหลัก คือ กิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี และควบคุมงานโดยกลุ่มวิศวกร PKW โดยมีการลงนาม Integrity Pact กับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เพื่อความโปร่งใสในการจัดจ้าง 🏗️ "ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10" บริษัทยักษ์จากจีนผู้หวังปักหมุดในไทย “China Railway No.10 Engineering Group” หรือ CRCC เป็นบริษัทลูกของกลุ่มรัฐวิสาหกิจจีน ที่มีชื่อเสียงด้านโครงสร้างพื้นฐาน โครงการ สตง. คือ โครงการอาคารสูงพิเศษแห่งแรกในต่างแดน ของบริษัทนี้ นำเทคโนโลยีล้ำสมัยจากจีนเข้ามาใช้เต็มที่ เช่น - ระบบ “แกนกลางรับแรง + พื้นไร้คาน” - เทคนิคแบบสไลด์คอนกรีต (Slip Form) - ระบบนั่งร้านปีนไต่อัตโนมัติ - ระบบติดตั้งไฟฟ้า แบบไม่ให้ท่อชนกันแม้แต่นิดเดียว 👷 ทั้งหมดนี้แสดงถึงความพร้อมด้านวิศวกรรม และความหวังจะก้าวเข้าตลาดอาเซียนอย่างยิ่งใหญ่ แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น กลับกลายเป็นวิกฤตแห่งความเชื่อมั่น... 🔍 ความเสียหายเชิงยุทธศาสตร์ ไม่ใช่แค่ตึกถล่ม แต่คือภาพลักษณ์ล่มสลาย ผลกระทบหลัก 3 ด้าน - ชีวิตคนงาน การสูญเสียชีวิต7 ศพ และผู้ติดอยู่ใต้ซากหลายสิบคน คือความสูญเสียที่ไม่มีเม็ดเงินใดทดแทนได้ - ความเชื่อมั่นในบริษัทจีน โครงการนี้เคยเป็นความหวังว่าจะเป็น “โชว์เคสระดับอาเซียน” กลายเป็น “บทเรียนราคาแพง” - ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย-จีน โครงการยุทธศาสตร์ไทย-จีนในอนาคตอาจถูกชะลอ ตรวจสอบมากขึ้น และถูกตั้งคำถามมากขึ้น 🧑‍💼 การตอบสนองของหน่วยงานรัฐ เดินหน้าแก้ไข เร่งค้นหาความจริง – นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ลงพื้นที่พร้อมทีมวิศวกรกว่า 100 คน เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของอาคารทั่วกรุงเทพฯ ที่อาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว – นายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ในฐานะโฆษกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เร่งตรวจสอบคุณภาพโครงการ และประเมินความเสียหาย พร้อมยืนยัน จะเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส – นายสุริยชัย รวิวรรณ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กทม. รายงานสถานการณ์ค้นหาอย่างต่อเนื่อง พร้อมแบ่งโซนและใช้เทคโนโลยี ช่วยระบุตำแหน่งผู้ติดใต้ซาก ✅ จุดจบที่ไม่ควรเกิด กับความหวังที่ดับไปกลางซากอาคาร โศกนาฏกรรมครั้งนี้ เป็นจุดเตือนที่สะเทือนใจว่า การลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ และความร่วมมือระหว่างประเทศ ไม่อาจวัดด้วยเทคโนโลยี หรือเงินทุนเพียงอย่างเดียว ต้องอาศัย มาตรฐาน ความปลอดภัย และความโปร่งใสระดับสูงสุด หากสิ่งเหล่านี้ขาดหายไป... แม้จะเป็นโครงการที่ดูดีแค่ไหน ก็พร้อมจะพังถล่มลงมาในพริบตา 🕯️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 291100 มี.ค. 2568 🔖#ตึกสตงถล่ม #CRCCไทย #ไชน่าเรลเวย์10 #ข่าวด่วน #แผ่นดินไหว #อาคารสูงพิเศษ #ก่อสร้างไทยจีน #ข่าวโศกนาฏกรรม #ตึกถล่ม #ไทยจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 242 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท Scale AI สตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์ที่เติบโตเร็ว กำลังมองหาการเพิ่มมูลค่าผ่านการขายหุ้นคืน โดยตั้งเป้าที่มูลค่า 25 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงขึ้นอย่างมากจากการประเมินครั้งก่อนที่ 14 พันล้านดอลลาร์ บริษัทให้บริการข้อมูลที่ช่วยพัฒนาโมเดล AI เช่น ChatGPT และได้รับการสนับสนุนจากบริษัทใหญ่หลายแห่ง อย่างไรก็ตาม Scale AI กำลังถูกตรวจสอบด้านกฎหมายแรงงาน ซึ่งอาจส่งผลต่อความท้าทายในการเติบโต

    บทบาทของ Scale AI:
    - Scale AI เน้นการให้บริการข้อมูลที่ผ่านการจัดทำเป็นข้อมูลที่มีความแม่นยำสูง เพื่อช่วยในการฝึกโมเดล AI ที่ซับซ้อน เช่น OpenAI ChatGPT ซึ่งปัจจุบันเป็นที่นิยมอย่างมากในตลาดเทคโนโลยี AI.

    ความท้าทายที่เผชิญ:
    - แม้ Scale AI จะมีบทบาทสำคัญในตลาด AI แต่บริษัทกำลังถูกตรวจสอบจากกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมายมาตรฐานแรงงาน (Fair Labor Standards Act) ซึ่งเป็นข้อกังวลต่อภาพลักษณ์ขององค์กร.

    การเติบโตของตลาด AI:
    - ความต้องการ AI ในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น การผลิตชิปและการเรียนรู้ของเครื่อง ได้ช่วยสร้างความโดดเด่นให้กับ Scale AI ในตลาดการเงินส่วนตัว.

    กระบวนการ Tender Offer:
    - การขายหุ้นคืน (Tender Offer) เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้นักลงทุนปัจจุบันสามารถขายหุ้นให้แก่บริษัทหรือผู้ลงทุนรายอื่น โดยมีการประเมินมูลค่าตามความต้องการของตลาดและการเติบโตที่คาดการณ์.

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/29/scale-ai-seeking-valuation-as-high-as-25-billion-in-potential-tender-offer-business-insider-reports
    บริษัท Scale AI สตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์ที่เติบโตเร็ว กำลังมองหาการเพิ่มมูลค่าผ่านการขายหุ้นคืน โดยตั้งเป้าที่มูลค่า 25 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงขึ้นอย่างมากจากการประเมินครั้งก่อนที่ 14 พันล้านดอลลาร์ บริษัทให้บริการข้อมูลที่ช่วยพัฒนาโมเดล AI เช่น ChatGPT และได้รับการสนับสนุนจากบริษัทใหญ่หลายแห่ง อย่างไรก็ตาม Scale AI กำลังถูกตรวจสอบด้านกฎหมายแรงงาน ซึ่งอาจส่งผลต่อความท้าทายในการเติบโต บทบาทของ Scale AI: - Scale AI เน้นการให้บริการข้อมูลที่ผ่านการจัดทำเป็นข้อมูลที่มีความแม่นยำสูง เพื่อช่วยในการฝึกโมเดล AI ที่ซับซ้อน เช่น OpenAI ChatGPT ซึ่งปัจจุบันเป็นที่นิยมอย่างมากในตลาดเทคโนโลยี AI. ความท้าทายที่เผชิญ: - แม้ Scale AI จะมีบทบาทสำคัญในตลาด AI แต่บริษัทกำลังถูกตรวจสอบจากกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมายมาตรฐานแรงงาน (Fair Labor Standards Act) ซึ่งเป็นข้อกังวลต่อภาพลักษณ์ขององค์กร. การเติบโตของตลาด AI: - ความต้องการ AI ในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น การผลิตชิปและการเรียนรู้ของเครื่อง ได้ช่วยสร้างความโดดเด่นให้กับ Scale AI ในตลาดการเงินส่วนตัว. กระบวนการ Tender Offer: - การขายหุ้นคืน (Tender Offer) เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้นักลงทุนปัจจุบันสามารถขายหุ้นให้แก่บริษัทหรือผู้ลงทุนรายอื่น โดยมีการประเมินมูลค่าตามความต้องการของตลาดและการเติบโตที่คาดการณ์. https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/29/scale-ai-seeking-valuation-as-high-as-25-billion-in-potential-tender-offer-business-insider-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Scale AI seeking valuation as high as $25 billion in potential tender offer, Business Insider reports
    (Reuters) - Artificial intelligence startup Scale AI is seeking a valuation as high as $25 billion in a potential tender offer as it looks to capitalize on the booming demand for the technology, Business Insider reported on Friday, citing multiple sources.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 168 มุมมอง 0 รีวิว
  • 27 มีนาคม 2568 - รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก เรื่อง “นายกสืบสันดาน นิติกรรมอำพราง หลบภาษี?” โดยมีเนื้อหาดังนี้

    ตามที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายกรัฐมนตรีนางสาวแพทองธาร ได้รับการโอนหุ้นจากแม่ พี่ชาย พี่สาว ลุง และป้า จำนวนรวมกันประมาณ 4,434 ล้านบาท ในปีพ.ศ. 2559 โดยได้ทำหนังสือสัญญาใช้เงิน (PN) ที่ไม่มีดอกเบี้ยและไม่กำหนดวันครบชำระเงิน เพื่อให้เป็นหลักฐานเสมือนการซื้อหุ้นโดยยังไม่จ่ายเงิน (เป็นหนี้ที่ไม่มีดอกเบี้ย ไม่กำหนดวันชำระคืน)

    มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าทำไม นางสาวแพทองธาร ในปี 2559 ขณะที่อายุเพียงประมาณ 30 ปีจึงอยากซื้อหุ้นจำนวนมากจากบุคคลในครอบครัวและผู้เกี่ยวดอง
    โดยที่ตนไม่มีเงินที่จะจ่าย แต่ไปออกหนังสือสัญญาใช้เงินเป็นการกู้ยืมเงินที่จะจ่ายค่าหุ้นจำนวน 4,434 ล้านบาท

    เรื่องนี้ต้องเข้าใจ พฤติกรรมของคนในตระกูลชินวัตร รู้ที่มาที่ไปของหุ้น จึงพอจะวิเคราะห์และตั้งเป็นสมมุติฐานได้ว่า

    ในปี 2544 เมื่อนายทักษิณจะขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ประสงค์จะไม่แจ้งบัญชีทรัพย์สินให้ครบถ้วนกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติในบางรายการ จึงได้โอนหุ้นจำนวนหนึ่งซุกไว้ในชื่อของ คนสวน คนรับใช้ คนขับรถ และคนเฝ้ายาม จนเกิดคดีซุกหุ้น ดังที่ปรากฎคดีกับนายทักษิณมาแล้ว

    เวลาต่อมา ได้โอนหุ้นจากชื่อของ “ลูกจ้าง”ในบ้านทั้งสามคน ไปให้กับ “ลูกจริง” ทั้ง 3คน แต่เนื่องจากลูกสาวคนเล็กคือแพทองธาร ขณะนั้นยังไม่บรรลุนิติภาวะยังไม่สามารถบริหารจัดการหุ้นในบริษัทต่างๆได้ จึงอาจจะโอนฝากไว้ที่ แม่ พี่ชาย พี่สาว ลุงและป้า

    ต่อมาในปี 2559 เมื่อแพทองธาร บรรลุนิติภาวะแล้ว ประสงค์ให้ญาติที่ถือหุ้นไว้โอนหุ้นมากลับมาให้ แต่ขณะนั้นมีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในต้นปี 2559 เพื่อให้สอดคล้องกับการเก็บภาษีมรดก ซึ่งระบุให้

    การให้สินทรัพย์ ในระหว่างพ่อ แม่ ลูก ถือเป็นรายได้ของผู้รับ หากมีมูลค่าเกิน 20ล้านบาทส่วนที่เกิน20ล้านจะต้องเสียภาษีเงินได้ 5%
    แต่ หากเป็นพี่ น้อง ลุง ป้า หากมีมูลค่าเกิน 10 ล้านบาท ส่วนที่เกิน 10ล้าน บาท จะต้องเสียภาษีเงินได้ 5%

    วิธีการหลีกเลี่ยงหลบภาษี หรือบริหารภาษี ให้จ่ายน้อยหรือไม่ต้องจ่าย คือทำนิติกรรมอำพรางโดยให้ดูเสมือนเป็นการซื้อขาย

    ผู้รับโอนจึงออกตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งก็คือทำสัญญากู้ยืม แต่ที่น่าสังเกตคือไม่มีดอกเบี้ยและไม่มีการกำหนดวันชำระเงิน
    จึงถูกตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใด นางสาวแพทองธาร จึงออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (ที่ไม่กำหนดเวลาชำระเงินและไม่มีดอกเบี้ย) เพื่อให้ดูเป็นเรื่องการซื้อขายไม่ใช่การให้ จะได้ไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้ให้กับรัฐจำนวนมากกว่า 200 ล้านบาท หรือไม่

    น.ส.แพทองธาร ชี้แจงว่า การโอนหุ้นดังกล่าวเป็นการซื้อขายจริงไม่ได้มีพฤติกรรมอำพรางใดๆ ยอดหนี้ (ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน) ก็แสดงว่าชัดเจนในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. อยู่แล้ว
    “ เรื่องตั๋วพีเอ็นไม่ใช่เรื่องใหม่เป็นเรื่องที่ทำกันมาเป็นเรื่องปกติ.. การออกตั๋วสัญญาใช้เงินจะทำกับธุรกรรมที่ถูกกฎหมาย ดำเนินการเปิดเผย ฝ่ายผู้ซื้อผู้ขายรับภาระหนี้สินระหว่างกัน ไม่มีการกระทำนอกกฎหมายใดๆ เพราะการกระทำนอกกฎหมายที่ไหนออกหลักฐานเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่ระบุที่มาของเงินไม่ได้ ก็ไม่สามารถทำได้..”

    คำอธิบายของนายกรัฐมนตรีที่ว่า ได้แสดงชัดเจนในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อป.ป.ช. แล้วก็ไม่ได้ช่วยอะไร

    อีกทั้งคำอธิบายว่า ตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) เป็นเรื่องที่ทำกันเป็นปกติ (ใครใครเขาก็ทำกัน ) ก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะขึ้นอยู่กับว่าเขาใช้ตั๋วสัญญาใช้เงินโดยสุจริตหรือไม่

    หลายสิ่งที่คนทั่วไปทำได้ แต่การเป็นนายกรัฐมนตรีทำไม่ได้เพราะจะต้องมีมาตรฐานของความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีมาตรฐานจริยธรรมสูงกว่าบุคคลทั่วไป ทั้งนี้เพราะจะต้องรับผิดชอบต่อสังคมและคนจำนวนมาก ใช่หรือไม่?

    ประชาชนส่วนหนึ่งตั้งคำถามว่าครอบครัวรักกันมาก ทำไมจึงใช้วิธีซื้อขายหุ้นระหว่างกันไปมา โดยเฉพาะในช่วงที่นางสาวแพทองธาร จะเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้โอนหุ้นสนามกอล์ฟอัลไพน์ จำนวน 22,410,000 หุ้น ไปให้ผู้เป็นแม่ ด้วยวิธีการซื้อขายโดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) เพื่อให้เข้าหลักเกณฑ์การซื้อขายแทนการให้ เช่นเดียวกันใช่หรือไม่

    ถ้าจะพิจารณาจากอดีต คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองคดี หมายเลขแดงที่ อม.1/2553 เรื่อง ขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน หรือคดียึดทรัพย์นายทักษิณ ชินวัตร 46,737 ล้านบาท เห็นว่า การออกตั๋วสัญญาใช้เงินชำระค่าหุ้นมีพิรุธ เป็นการอำพรางการโอนหุ้นชินคอร์ป เพราะสุดท้ายแล้ว หุ้นชินคอร์ป ที่นายทักษิณโอนให้กับบุคคลต่างๆ ดังกล่าวยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของนายทักษิณ

    ยิ่งไปกว่านั้นข้าราชการระดับสูงของกรมสรรพากรเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกสองปีโดยไม่รอลงอาญาในการปฎิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบตามมาตรา157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา กรณี ช่วยบุตรชายและบุตรสาว ของนายทักษิณ ชินวัตร หลบเลี่ยงภาษีกรณีหุ้นชินคอร์ปมาแล้ว

    หากกรมสรรพากรและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มองว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทำได้ ถูกต้องตามกฏหมายและเหมาะสมตามจริยธรรม ต่อไปการที่จะมีผู้โอนทรัพย์สินให้บุคคลในครอบครัว ก็ทำทีเป็นซื้อขายแล้วทำหนังสือสัญญาใช้เงิน ที่ไม่มีดอกเบี้ยและไม่ต้องระบุวันจ่ายเงิน (หนังสือสัญญาไม่ต้องจ่ายเงิน) ทำให้เกิดช่องโหว่ทางกฎหมายส่งผลให้ ภาษีมรดกที่กำหนดให้ผู้รับมรดกจะต้องจ่ายเป็นอันยกเลิกไปโดยปริยาย
    เท่ากับว่าฝ่ายบริหารโดยกรมสรรพากรได้ตีความให้กฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติบังคับใช้ไม่ได้อีกต่อไป.
    27 มีนาคม 2568 - รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก เรื่อง “นายกสืบสันดาน นิติกรรมอำพราง หลบภาษี?” โดยมีเนื้อหาดังนี้ ตามที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายกรัฐมนตรีนางสาวแพทองธาร ได้รับการโอนหุ้นจากแม่ พี่ชาย พี่สาว ลุง และป้า จำนวนรวมกันประมาณ 4,434 ล้านบาท ในปีพ.ศ. 2559 โดยได้ทำหนังสือสัญญาใช้เงิน (PN) ที่ไม่มีดอกเบี้ยและไม่กำหนดวันครบชำระเงิน เพื่อให้เป็นหลักฐานเสมือนการซื้อหุ้นโดยยังไม่จ่ายเงิน (เป็นหนี้ที่ไม่มีดอกเบี้ย ไม่กำหนดวันชำระคืน) มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าทำไม นางสาวแพทองธาร ในปี 2559 ขณะที่อายุเพียงประมาณ 30 ปีจึงอยากซื้อหุ้นจำนวนมากจากบุคคลในครอบครัวและผู้เกี่ยวดอง โดยที่ตนไม่มีเงินที่จะจ่าย แต่ไปออกหนังสือสัญญาใช้เงินเป็นการกู้ยืมเงินที่จะจ่ายค่าหุ้นจำนวน 4,434 ล้านบาท เรื่องนี้ต้องเข้าใจ พฤติกรรมของคนในตระกูลชินวัตร รู้ที่มาที่ไปของหุ้น จึงพอจะวิเคราะห์และตั้งเป็นสมมุติฐานได้ว่า ในปี 2544 เมื่อนายทักษิณจะขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ประสงค์จะไม่แจ้งบัญชีทรัพย์สินให้ครบถ้วนกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติในบางรายการ จึงได้โอนหุ้นจำนวนหนึ่งซุกไว้ในชื่อของ คนสวน คนรับใช้ คนขับรถ และคนเฝ้ายาม จนเกิดคดีซุกหุ้น ดังที่ปรากฎคดีกับนายทักษิณมาแล้ว เวลาต่อมา ได้โอนหุ้นจากชื่อของ “ลูกจ้าง”ในบ้านทั้งสามคน ไปให้กับ “ลูกจริง” ทั้ง 3คน แต่เนื่องจากลูกสาวคนเล็กคือแพทองธาร ขณะนั้นยังไม่บรรลุนิติภาวะยังไม่สามารถบริหารจัดการหุ้นในบริษัทต่างๆได้ จึงอาจจะโอนฝากไว้ที่ แม่ พี่ชาย พี่สาว ลุงและป้า ต่อมาในปี 2559 เมื่อแพทองธาร บรรลุนิติภาวะแล้ว ประสงค์ให้ญาติที่ถือหุ้นไว้โอนหุ้นมากลับมาให้ แต่ขณะนั้นมีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในต้นปี 2559 เพื่อให้สอดคล้องกับการเก็บภาษีมรดก ซึ่งระบุให้ การให้สินทรัพย์ ในระหว่างพ่อ แม่ ลูก ถือเป็นรายได้ของผู้รับ หากมีมูลค่าเกิน 20ล้านบาทส่วนที่เกิน20ล้านจะต้องเสียภาษีเงินได้ 5% แต่ หากเป็นพี่ น้อง ลุง ป้า หากมีมูลค่าเกิน 10 ล้านบาท ส่วนที่เกิน 10ล้าน บาท จะต้องเสียภาษีเงินได้ 5% วิธีการหลีกเลี่ยงหลบภาษี หรือบริหารภาษี ให้จ่ายน้อยหรือไม่ต้องจ่าย คือทำนิติกรรมอำพรางโดยให้ดูเสมือนเป็นการซื้อขาย ผู้รับโอนจึงออกตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งก็คือทำสัญญากู้ยืม แต่ที่น่าสังเกตคือไม่มีดอกเบี้ยและไม่มีการกำหนดวันชำระเงิน จึงถูกตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใด นางสาวแพทองธาร จึงออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (ที่ไม่กำหนดเวลาชำระเงินและไม่มีดอกเบี้ย) เพื่อให้ดูเป็นเรื่องการซื้อขายไม่ใช่การให้ จะได้ไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้ให้กับรัฐจำนวนมากกว่า 200 ล้านบาท หรือไม่ น.ส.แพทองธาร ชี้แจงว่า การโอนหุ้นดังกล่าวเป็นการซื้อขายจริงไม่ได้มีพฤติกรรมอำพรางใดๆ ยอดหนี้ (ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน) ก็แสดงว่าชัดเจนในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. อยู่แล้ว “ เรื่องตั๋วพีเอ็นไม่ใช่เรื่องใหม่เป็นเรื่องที่ทำกันมาเป็นเรื่องปกติ.. การออกตั๋วสัญญาใช้เงินจะทำกับธุรกรรมที่ถูกกฎหมาย ดำเนินการเปิดเผย ฝ่ายผู้ซื้อผู้ขายรับภาระหนี้สินระหว่างกัน ไม่มีการกระทำนอกกฎหมายใดๆ เพราะการกระทำนอกกฎหมายที่ไหนออกหลักฐานเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่ระบุที่มาของเงินไม่ได้ ก็ไม่สามารถทำได้..” คำอธิบายของนายกรัฐมนตรีที่ว่า ได้แสดงชัดเจนในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อป.ป.ช. แล้วก็ไม่ได้ช่วยอะไร อีกทั้งคำอธิบายว่า ตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) เป็นเรื่องที่ทำกันเป็นปกติ (ใครใครเขาก็ทำกัน ) ก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะขึ้นอยู่กับว่าเขาใช้ตั๋วสัญญาใช้เงินโดยสุจริตหรือไม่ หลายสิ่งที่คนทั่วไปทำได้ แต่การเป็นนายกรัฐมนตรีทำไม่ได้เพราะจะต้องมีมาตรฐานของความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีมาตรฐานจริยธรรมสูงกว่าบุคคลทั่วไป ทั้งนี้เพราะจะต้องรับผิดชอบต่อสังคมและคนจำนวนมาก ใช่หรือไม่? ประชาชนส่วนหนึ่งตั้งคำถามว่าครอบครัวรักกันมาก ทำไมจึงใช้วิธีซื้อขายหุ้นระหว่างกันไปมา โดยเฉพาะในช่วงที่นางสาวแพทองธาร จะเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้โอนหุ้นสนามกอล์ฟอัลไพน์ จำนวน 22,410,000 หุ้น ไปให้ผู้เป็นแม่ ด้วยวิธีการซื้อขายโดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) เพื่อให้เข้าหลักเกณฑ์การซื้อขายแทนการให้ เช่นเดียวกันใช่หรือไม่ ถ้าจะพิจารณาจากอดีต คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองคดี หมายเลขแดงที่ อม.1/2553 เรื่อง ขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน หรือคดียึดทรัพย์นายทักษิณ ชินวัตร 46,737 ล้านบาท เห็นว่า การออกตั๋วสัญญาใช้เงินชำระค่าหุ้นมีพิรุธ เป็นการอำพรางการโอนหุ้นชินคอร์ป เพราะสุดท้ายแล้ว หุ้นชินคอร์ป ที่นายทักษิณโอนให้กับบุคคลต่างๆ ดังกล่าวยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของนายทักษิณ ยิ่งไปกว่านั้นข้าราชการระดับสูงของกรมสรรพากรเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกสองปีโดยไม่รอลงอาญาในการปฎิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบตามมาตรา157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา กรณี ช่วยบุตรชายและบุตรสาว ของนายทักษิณ ชินวัตร หลบเลี่ยงภาษีกรณีหุ้นชินคอร์ปมาแล้ว หากกรมสรรพากรและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มองว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทำได้ ถูกต้องตามกฏหมายและเหมาะสมตามจริยธรรม ต่อไปการที่จะมีผู้โอนทรัพย์สินให้บุคคลในครอบครัว ก็ทำทีเป็นซื้อขายแล้วทำหนังสือสัญญาใช้เงิน ที่ไม่มีดอกเบี้ยและไม่ต้องระบุวันจ่ายเงิน (หนังสือสัญญาไม่ต้องจ่ายเงิน) ทำให้เกิดช่องโหว่ทางกฎหมายส่งผลให้ ภาษีมรดกที่กำหนดให้ผู้รับมรดกจะต้องจ่ายเป็นอันยกเลิกไปโดยปริยาย เท่ากับว่าฝ่ายบริหารโดยกรมสรรพากรได้ตีความให้กฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติบังคับใช้ไม่ได้อีกต่อไป.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 169 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📰 61 ปี หนังสือพิมพ์ “เดลินิวส์” จากบางกอกเดลิเมล์ สู่เดลินิวส์ออนไลน์ บันทึกความทรงจำของสื่อไทย ที่เติบโตเคียงข้างประชาชน

    ✨ 61 ปี แห่งการเปลี่ยนผ่านของสื่อที่ไม่หยุดนิ่ง ในยุคที่โลกหมุนเร็วด้วยข่าวสารและเทคโนโลยี 🌐 มีไม่กี่สื่อ ที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคง ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษ แต่ “เดลินิวส์” คือหนึ่งในนั้น 🙌

    จากวันแรกของการก่อตั้ง เมื่อวันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 สู่การเป็นผู้นำข่าวระดับประเทศ ทั้งในรูปแบบสิ่งพิมพ์และออนไลน์ 🖥️ เส้นทางของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์นั้น ไม่เพียงแต่สะท้อนวิวัฒนาการ ของวงการสื่อไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นกระจกเงาสำคัญของประวัติศาสตร์ สังคม และการเมืองไทยตลอด 61 ปี ที่ผ่านมา

    📆 ย้อนเวลาสำรวจเส้นทางของหนังสือพิมพ์ ที่เริ่มต้นจาก “บางกอกเดลิเมล์” สู่การเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” และ “เดลินิวส์ออนไลน์” ในวันนี้ พร้อมทั้งเผยเบื้องหลังความเปลี่ยนแปลง วิสัยทัศน์ และจุดยืนของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งภารกิจเพื่อประชาชนไทย 🇹🇭

    🕰 จุดเริ่มต้นจากบางกอกเดลิเมล์ ความกล้าในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2493 ประเทศไทยอยู่ในยุคหลังสงครามโลก ครั้งที่สอง 📜 สื่อยังถูกควบคุมโดยรัฐอย่างเข้มงวด การเปิดตัวหนังสือพิมพ์ใหม่ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ “นายห้างแสง เหตระกูล” ผู้มีประสบการณ์ในธุรกิจ "โรงพิมพ์ประชาช่าง" กลับกล้าเสี่ยง 🔍

    นายห้างแสงตัดสินใจซื้อกิจการ "หนังสือพิมพ์บางกอกเดลิเมล์" (Bangkok Daily Mail) ของนายหลุย คีรีวัตน์ ซึ่งได้หยุดดำเนินการไปตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 และรื้อฟื้นมันขึ้นใหม่ ในรูปแบบหนังสือพิมพ์รายปักษ์ชื่อว่า “เดลิเมล์วันจันทร์” ออกฉบับแรกเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2493 📅

    ฉบับแรกมีพาดหัวว่า “นักศึกษา มธก.รากเลือดค้าน ก.พ.” เป็นการสะท้อนจุดยืนของสื่อ ที่กล้าแตะประเด็นทางสังคม การเมืองอย่างตรงไปตรงมา

    📰 เปลี่ยนผ่านอย่างมีทิศทาง จากเดลิเมล์ สู่แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ ในช่วง พ.ศ. 2500 “บางกอกเดลิเมล์รายวัน” ขยับสู่การเป็นหนังสือพิมพ์รายวัน อย่างเต็มรูปแบบ ขยายขนาดหน้ากระดาษจาก 7 เป็น 8 คอลัมน์นิ้ว 🖨 ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ในวงการสื่อขณะนั้น 📈

    แต่แล้วจุดเปลี่ยนสำคัญก็เกิดขึ้น เมื่อรัฐบาล "จอมพลแปลก พิบูลสงคราม" ถูกโค่นล้มโดย "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ซึ่งส่งผลให้สื่อหลายฉบับถูกตรวจสอบ และปิดตัวลง ❌

    ในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 “เดลิเมล์รายวัน” ถูกสั่งปิดโดยคำสั่งคณะปฏิวัติ มีการ ล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ และลงครั่งประทับ ปิดฉากความกล้าหาญของสื่อเสรีในยุคนั้น อย่างสิ้นเชิง

    📢 เดลินิวส์ฉบับแรก กำเนิดเกิดใหม่ในนาม “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” แม้จะถูกสั่งปิด แต่ “นายห้างแสง” ไม่ยอมแพ้ ✊ เดินหน้าสู่บทใหม่ ซื้อหัวหนังสือพิมพ์ “แนวหน้า” และรวมเข้ากับชื่อเดิม กลายเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” 🗞

    วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ออกวางแผงเป็นครั้งแรก โดยมี "นายประพันธ์ เหตระกูล" บุตรชายเป็นบรรณาธิการบริหาร

    พาดหัวฉบับแรกสร้างเสียงฮือฮาทันที “เมียน้อยจอมพลสฤษดิ์ท้องในอเมริกา พบรักแท้กับนักเรียนไทยวัยรุ่น” 😲 นำเสนอข่าวแบบเจาะลึกถึงตัวบุคคล และโครงสร้างอำนาจการเมือง

    🔍 ข่าวเด่นยุคแรก กล้าท้าชนอำนาจรัฐ เดลินิวส์มีจุดขายที่ชัดเจน คือการเสนอข่าวที่ตรงไปตรงมา 💥 โดยเฉพาะเรื่องของ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับอนุภรรยากว่า 103 คน และทรัพย์สินมูลค่ากว่า 2,874 ล้านบาท 😮

    นอกจากนี้ยังเปิดโปงคดีอาชญากรรม การทุจริต และประเด็นอ่อนไหวที่สื่ออื่นหลีกเลี่ยง จึงได้รับความนิยมจากผู้อ่านในวงกว้าง และถือเป็น “กระบอกเสียงของประชาชน” ที่แท้จริง

    📈 ก้าวข้ามวิกฤตเศรษฐกิจ ปรับคุณภาพเพื่อความอยู่รอด ช่วง พ.ศ. 2516 - 2517 ทั่วโลกประสบปัญหาน้ำมันขาดแคลน ทำให้ต้นทุนการผลิตหนังสือพิมพ์สูงขึ้น 📉 หนังสือพิมพ์หลายฉบับต้องขึ้นราคาขาย เดลินิวส์ก็เช่นกัน โดยปรับขึ้น 50 สตางค์ 💸

    แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เดลินิวส์ ไม่ลดคุณภาพข่าว ตรงกันข้ามกลับเพิ่มคอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง และข่าวสังคม มากขึ้น ส่งผลให้ได้รับความเชื่อถือจากผู้อ่าน อย่างต่อเนื่อง ✨

    📚 เปลี่ยนชื่อเป็น “เดลินิวส์” อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2522 บริษัทสี่พระยาการพิมพ์ จำกัด ได้ยื่นเรื่องเปลี่ยนชื่อหนังสือพิมพ์เป็น “เดลินิวส์” และได้รับอนุญาตในวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2522 🎉

    ต่อมา เดลินิวส์ได้ขยายสำนักงานจากถนนสี่พระยา มาที่ถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบัน 🏢 พร้อมขยายจำนวนหน้าจาก 16 เป็น 48 หน้า และเพิ่มราคาจำหน่ายจาก 1 บาท เป็น 10 บาทในปัจจุบัน

    🖨 นวัตกรรมการพิมพ์ ก้าวสู่งานข่าวสีเต็มรูปแบบ ในปี พ.ศ. 2529 เดลินิวส์เริ่มพิมพ์ภาพข่าวสี่สีครั้งแรก คือ ภาพโศกนาฏกรรมกระสวยอวกาศ “แชลเลนเจอร์” 🚀 และต่อมาในปี พ.ศ. 2531 ตีพิมพ์ภาพ “ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก” คว้ามงกุฎนางงามจักรวาลที่ไต้หวัน 👑

    พร้อมลงทุนในระบบพิมพ์ แซตเติลไลต์ ยูนิต และโฟร์ไฮ ที่สามารถพิมพ์ได้เร็วถึง 120,000 ฉบับ ต่อชั่วโมง 🚀 สร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการสื่อสิ่งพิมพ์ไทย

    🌐 เดลินิวส์ออนไลน์ ปฏิวัติวงการข่าวดิจิทัล ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2541 เดลินิวส์เข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตอย่างเต็มตัว เปิดเว็บไซต์ www.dailynews.co.th 💻 พร้อมคอนเซปต์ว่า...

    “ให้ข่าวสารพาไปไกลกว่าแค่ ‘รู้’ แต่คือ รู้ลึก รู้จริง และรู้เท่าทันทุกสถานการณ์”

    ในวันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ข่าว 🗂️ ไม่ว่าจะเป็นข่าวการเมือง เศรษฐกิจ สังคม บันเทิง กีฬา ไลฟ์สไตล์ รวมถึง วิดีโอ, อินโฟกราฟิก และ คอนเทนต์แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง ⏱

    💡 ปณิธานของ “เดลินิวส์” ข่าวเพื่อประชาชน สิ่งที่ทำให้ “เดลินิวส์” อยู่ได้มากว่า 61 ปี ไม่ใช่เพียงเพราะยอดขายหรือชื่อเสียง 🏆 แต่เป็นเพราะความตั้งใจจริงของคณะผู้บริหาร ในการทำสื่อเพื่อประชาชน

    เดลินิวส์นำเสนอข่าวสารที่ครอบคลุม ทั้งข่าวสังคมที่ใกล้ตัว และข่าวเศรษฐกิจระดับชาติ โดยยึดมั่นในหลักจริยธรรมข่าว สร้างความเข้าใจ ที่มากกว่าแค่การรับรู้ข้อมูล 📘

    📌 เดลินิวส์…มากกว่าข่าว คือความเข้าใจ จาก “บางกอกเดลิเมล์” ที่เคยถูกล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ จนถึง “เดลินิวส์ออนไลน์” ที่ไหลลื่นในโลกดิจิทัล 🌐

    เส้นทางกว่า 61 ปี ของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย และบทบาทของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งประชาชน 💞

    และไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไปอย่างไร เดลินิวส์ยังคงทำหน้าที่ ด้วยหัวใจของนักข่าวเพื่อประชาชน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 280955 มี.ค. 2568

    📢 #เดลินิวส์ #ประวัติเดลินิวส์ #หนังสือพิมพ์ไทย #สื่อไทย #ข่าวออนไลน์ #เดลินิวส์ออนไลน์ #ข่าวเพื่อประชาชน #61ปีเดลินิวส์ #DailyNewsTH #ข่าวไทย
    📰 61 ปี หนังสือพิมพ์ “เดลินิวส์” จากบางกอกเดลิเมล์ สู่เดลินิวส์ออนไลน์ บันทึกความทรงจำของสื่อไทย ที่เติบโตเคียงข้างประชาชน ✨ 61 ปี แห่งการเปลี่ยนผ่านของสื่อที่ไม่หยุดนิ่ง ในยุคที่โลกหมุนเร็วด้วยข่าวสารและเทคโนโลยี 🌐 มีไม่กี่สื่อ ที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคง ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษ แต่ “เดลินิวส์” คือหนึ่งในนั้น 🙌 จากวันแรกของการก่อตั้ง เมื่อวันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 สู่การเป็นผู้นำข่าวระดับประเทศ ทั้งในรูปแบบสิ่งพิมพ์และออนไลน์ 🖥️ เส้นทางของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์นั้น ไม่เพียงแต่สะท้อนวิวัฒนาการ ของวงการสื่อไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นกระจกเงาสำคัญของประวัติศาสตร์ สังคม และการเมืองไทยตลอด 61 ปี ที่ผ่านมา 📆 ย้อนเวลาสำรวจเส้นทางของหนังสือพิมพ์ ที่เริ่มต้นจาก “บางกอกเดลิเมล์” สู่การเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” และ “เดลินิวส์ออนไลน์” ในวันนี้ พร้อมทั้งเผยเบื้องหลังความเปลี่ยนแปลง วิสัยทัศน์ และจุดยืนของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งภารกิจเพื่อประชาชนไทย 🇹🇭 🕰 จุดเริ่มต้นจากบางกอกเดลิเมล์ ความกล้าในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2493 ประเทศไทยอยู่ในยุคหลังสงครามโลก ครั้งที่สอง 📜 สื่อยังถูกควบคุมโดยรัฐอย่างเข้มงวด การเปิดตัวหนังสือพิมพ์ใหม่ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ “นายห้างแสง เหตระกูล” ผู้มีประสบการณ์ในธุรกิจ "โรงพิมพ์ประชาช่าง" กลับกล้าเสี่ยง 🔍 นายห้างแสงตัดสินใจซื้อกิจการ "หนังสือพิมพ์บางกอกเดลิเมล์" (Bangkok Daily Mail) ของนายหลุย คีรีวัตน์ ซึ่งได้หยุดดำเนินการไปตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 และรื้อฟื้นมันขึ้นใหม่ ในรูปแบบหนังสือพิมพ์รายปักษ์ชื่อว่า “เดลิเมล์วันจันทร์” ออกฉบับแรกเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2493 📅 ฉบับแรกมีพาดหัวว่า “นักศึกษา มธก.รากเลือดค้าน ก.พ.” เป็นการสะท้อนจุดยืนของสื่อ ที่กล้าแตะประเด็นทางสังคม การเมืองอย่างตรงไปตรงมา 📰 เปลี่ยนผ่านอย่างมีทิศทาง จากเดลิเมล์ สู่แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ ในช่วง พ.ศ. 2500 “บางกอกเดลิเมล์รายวัน” ขยับสู่การเป็นหนังสือพิมพ์รายวัน อย่างเต็มรูปแบบ ขยายขนาดหน้ากระดาษจาก 7 เป็น 8 คอลัมน์นิ้ว 🖨 ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ในวงการสื่อขณะนั้น 📈 แต่แล้วจุดเปลี่ยนสำคัญก็เกิดขึ้น เมื่อรัฐบาล "จอมพลแปลก พิบูลสงคราม" ถูกโค่นล้มโดย "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ซึ่งส่งผลให้สื่อหลายฉบับถูกตรวจสอบ และปิดตัวลง ❌ ในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 “เดลิเมล์รายวัน” ถูกสั่งปิดโดยคำสั่งคณะปฏิวัติ มีการ ล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ และลงครั่งประทับ ปิดฉากความกล้าหาญของสื่อเสรีในยุคนั้น อย่างสิ้นเชิง 📢 เดลินิวส์ฉบับแรก กำเนิดเกิดใหม่ในนาม “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” แม้จะถูกสั่งปิด แต่ “นายห้างแสง” ไม่ยอมแพ้ ✊ เดินหน้าสู่บทใหม่ ซื้อหัวหนังสือพิมพ์ “แนวหน้า” และรวมเข้ากับชื่อเดิม กลายเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” 🗞 วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ออกวางแผงเป็นครั้งแรก โดยมี "นายประพันธ์ เหตระกูล" บุตรชายเป็นบรรณาธิการบริหาร พาดหัวฉบับแรกสร้างเสียงฮือฮาทันที “เมียน้อยจอมพลสฤษดิ์ท้องในอเมริกา พบรักแท้กับนักเรียนไทยวัยรุ่น” 😲 นำเสนอข่าวแบบเจาะลึกถึงตัวบุคคล และโครงสร้างอำนาจการเมือง 🔍 ข่าวเด่นยุคแรก กล้าท้าชนอำนาจรัฐ เดลินิวส์มีจุดขายที่ชัดเจน คือการเสนอข่าวที่ตรงไปตรงมา 💥 โดยเฉพาะเรื่องของ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับอนุภรรยากว่า 103 คน และทรัพย์สินมูลค่ากว่า 2,874 ล้านบาท 😮 นอกจากนี้ยังเปิดโปงคดีอาชญากรรม การทุจริต และประเด็นอ่อนไหวที่สื่ออื่นหลีกเลี่ยง จึงได้รับความนิยมจากผู้อ่านในวงกว้าง และถือเป็น “กระบอกเสียงของประชาชน” ที่แท้จริง 📈 ก้าวข้ามวิกฤตเศรษฐกิจ ปรับคุณภาพเพื่อความอยู่รอด ช่วง พ.ศ. 2516 - 2517 ทั่วโลกประสบปัญหาน้ำมันขาดแคลน ทำให้ต้นทุนการผลิตหนังสือพิมพ์สูงขึ้น 📉 หนังสือพิมพ์หลายฉบับต้องขึ้นราคาขาย เดลินิวส์ก็เช่นกัน โดยปรับขึ้น 50 สตางค์ 💸 แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เดลินิวส์ ไม่ลดคุณภาพข่าว ตรงกันข้ามกลับเพิ่มคอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง และข่าวสังคม มากขึ้น ส่งผลให้ได้รับความเชื่อถือจากผู้อ่าน อย่างต่อเนื่อง ✨ 📚 เปลี่ยนชื่อเป็น “เดลินิวส์” อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2522 บริษัทสี่พระยาการพิมพ์ จำกัด ได้ยื่นเรื่องเปลี่ยนชื่อหนังสือพิมพ์เป็น “เดลินิวส์” และได้รับอนุญาตในวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2522 🎉 ต่อมา เดลินิวส์ได้ขยายสำนักงานจากถนนสี่พระยา มาที่ถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบัน 🏢 พร้อมขยายจำนวนหน้าจาก 16 เป็น 48 หน้า และเพิ่มราคาจำหน่ายจาก 1 บาท เป็น 10 บาทในปัจจุบัน 🖨 นวัตกรรมการพิมพ์ ก้าวสู่งานข่าวสีเต็มรูปแบบ ในปี พ.ศ. 2529 เดลินิวส์เริ่มพิมพ์ภาพข่าวสี่สีครั้งแรก คือ ภาพโศกนาฏกรรมกระสวยอวกาศ “แชลเลนเจอร์” 🚀 และต่อมาในปี พ.ศ. 2531 ตีพิมพ์ภาพ “ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก” คว้ามงกุฎนางงามจักรวาลที่ไต้หวัน 👑 พร้อมลงทุนในระบบพิมพ์ แซตเติลไลต์ ยูนิต และโฟร์ไฮ ที่สามารถพิมพ์ได้เร็วถึง 120,000 ฉบับ ต่อชั่วโมง 🚀 สร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการสื่อสิ่งพิมพ์ไทย 🌐 เดลินิวส์ออนไลน์ ปฏิวัติวงการข่าวดิจิทัล ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2541 เดลินิวส์เข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตอย่างเต็มตัว เปิดเว็บไซต์ www.dailynews.co.th 💻 พร้อมคอนเซปต์ว่า... “ให้ข่าวสารพาไปไกลกว่าแค่ ‘รู้’ แต่คือ รู้ลึก รู้จริง และรู้เท่าทันทุกสถานการณ์” ในวันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ข่าว 🗂️ ไม่ว่าจะเป็นข่าวการเมือง เศรษฐกิจ สังคม บันเทิง กีฬา ไลฟ์สไตล์ รวมถึง วิดีโอ, อินโฟกราฟิก และ คอนเทนต์แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง ⏱ 💡 ปณิธานของ “เดลินิวส์” ข่าวเพื่อประชาชน สิ่งที่ทำให้ “เดลินิวส์” อยู่ได้มากว่า 61 ปี ไม่ใช่เพียงเพราะยอดขายหรือชื่อเสียง 🏆 แต่เป็นเพราะความตั้งใจจริงของคณะผู้บริหาร ในการทำสื่อเพื่อประชาชน เดลินิวส์นำเสนอข่าวสารที่ครอบคลุม ทั้งข่าวสังคมที่ใกล้ตัว และข่าวเศรษฐกิจระดับชาติ โดยยึดมั่นในหลักจริยธรรมข่าว สร้างความเข้าใจ ที่มากกว่าแค่การรับรู้ข้อมูล 📘 📌 เดลินิวส์…มากกว่าข่าว คือความเข้าใจ จาก “บางกอกเดลิเมล์” ที่เคยถูกล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ จนถึง “เดลินิวส์ออนไลน์” ที่ไหลลื่นในโลกดิจิทัล 🌐 เส้นทางกว่า 61 ปี ของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย และบทบาทของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งประชาชน 💞 และไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไปอย่างไร เดลินิวส์ยังคงทำหน้าที่ ด้วยหัวใจของนักข่าวเพื่อประชาชน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 280955 มี.ค. 2568 📢 #เดลินิวส์ #ประวัติเดลินิวส์ #หนังสือพิมพ์ไทย #สื่อไทย #ข่าวออนไลน์ #เดลินิวส์ออนไลน์ #ข่าวเพื่อประชาชน #61ปีเดลินิวส์ #DailyNewsTH #ข่าวไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 237 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ได้แสดงความตั้งใจที่จะขยายการใช้งานระบบไฟล์ Resilient File System (ReFS) ในระบบปฏิบัติการ Windows 11 โดยล่าสุดพบว่าใน Windows 11 Build 27823 มีตัวเลือก "Flexible Storage" ใหม่ที่อนุญาตให้ผู้ใช้งานฟอร์แมตพาร์ติชันหรือพื้นที่ดิสก์ที่ไม่ได้ถูกกำหนดค่า โดยสามารถเลือกใช้ระบบไฟล์แบบ NTFS หรือ ReFS ได้ ฟีเจอร์นี้อาจเป็นก้าวสำคัญที่นำ ReFS เข้าสู่การใช้งานในกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป มากกว่าที่จะจำกัดในองค์กรหรือเซิร์ฟเวอร์เหมือนที่ผ่านมา

    ศักยภาพและข้อจำกัดของ ReFS:
    - ReFS รองรับการจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ได้ถึง 35 เพตะไบต์ (PB) และไฟล์เดี่ยวที่ใหญ่เท่ากับปริมาณข้อมูลทั้งหมด ขณะที่ NTFS รองรับสูงสุดเพียง 256 เทระไบต์ (TB).
    - คุณสมบัติเด่น เช่น การโคลนข้อมูลแบบบล็อก และทำ snapshot ในระดับไฟล์ แต่ยังไม่มีฟีเจอร์สำหรับการบู๊ต, การบีบอัดไฟล์, หรือการเข้ารหัส ซึ่งอาจพัฒนาในอนาคต

    การเปรียบเทียบกับ NTFS:
    - NTFS ยังคงเป็นมาตรฐานที่ใช้งานในระบบ Windows ส่วนใหญ่ แต่ ReFS ได้รับการออกแบบมาเพื่อการจัดการข้อมูลที่มีประสิทธิภาพและรองรับการเติบโตของชุดข้อมูลขนาดใหญ่

    การเคลื่อนไหวในชุมชนนักพัฒนา:
    - ชุมชนโอเพ่นซอร์สได้เริ่มเขียนเอกสารสำหรับ ReFS ในขณะที่บริษัทอย่าง Paragon Software เสนอไดรเวอร์ ReFS แบบปิดซอร์ส เพื่อรองรับการใช้งานที่กว้างขึ้น

    https://www.techspot.com/news/107321-microsoft-resilient-file-system-resurfaces-latest-windows-11.html
    Microsoft ได้แสดงความตั้งใจที่จะขยายการใช้งานระบบไฟล์ Resilient File System (ReFS) ในระบบปฏิบัติการ Windows 11 โดยล่าสุดพบว่าใน Windows 11 Build 27823 มีตัวเลือก "Flexible Storage" ใหม่ที่อนุญาตให้ผู้ใช้งานฟอร์แมตพาร์ติชันหรือพื้นที่ดิสก์ที่ไม่ได้ถูกกำหนดค่า โดยสามารถเลือกใช้ระบบไฟล์แบบ NTFS หรือ ReFS ได้ ฟีเจอร์นี้อาจเป็นก้าวสำคัญที่นำ ReFS เข้าสู่การใช้งานในกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป มากกว่าที่จะจำกัดในองค์กรหรือเซิร์ฟเวอร์เหมือนที่ผ่านมา ศักยภาพและข้อจำกัดของ ReFS: - ReFS รองรับการจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ได้ถึง 35 เพตะไบต์ (PB) และไฟล์เดี่ยวที่ใหญ่เท่ากับปริมาณข้อมูลทั้งหมด ขณะที่ NTFS รองรับสูงสุดเพียง 256 เทระไบต์ (TB). - คุณสมบัติเด่น เช่น การโคลนข้อมูลแบบบล็อก และทำ snapshot ในระดับไฟล์ แต่ยังไม่มีฟีเจอร์สำหรับการบู๊ต, การบีบอัดไฟล์, หรือการเข้ารหัส ซึ่งอาจพัฒนาในอนาคต การเปรียบเทียบกับ NTFS: - NTFS ยังคงเป็นมาตรฐานที่ใช้งานในระบบ Windows ส่วนใหญ่ แต่ ReFS ได้รับการออกแบบมาเพื่อการจัดการข้อมูลที่มีประสิทธิภาพและรองรับการเติบโตของชุดข้อมูลขนาดใหญ่ การเคลื่อนไหวในชุมชนนักพัฒนา: - ชุมชนโอเพ่นซอร์สได้เริ่มเขียนเอกสารสำหรับ ReFS ในขณะที่บริษัทอย่าง Paragon Software เสนอไดรเวอร์ ReFS แบบปิดซอร์ส เพื่อรองรับการใช้งานที่กว้างขึ้น https://www.techspot.com/news/107321-microsoft-resilient-file-system-resurfaces-latest-windows-11.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Microsoft's ReFS file system resurfaces in latest Windows 11 build
    At last, Microsoft appears to be taking action with its Resilient File System (ReFS) technology. Despite being 14 years old, the storage format remains largely unfamiliar to...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
  • 48 ปี โศกนาฏกรรมกลางรันเวย์ “โบอิง 747” ชนกันที่เตเนริเฟ 🇪🇸✈️ สำเนียงสเปนพ่นพิษ นักบินสื่อสารผิดพลาด 583 ศพ บทเรียนราคาแพงจากท่าอากาศยาน ท่ามกลางหมอกหนา ความเครียด และสำเนียงที่ฟังยาก

    🌫️ โศกนาฏกรรมแห่งเตเนริเฟ 🔥 ย้อนไปเมื่อ 48 ปี ที่ผ่านมา ช่วงเย็นวันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2520 เป็นวันที่โลกต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การบิน เมื่อเครื่องบินโดยสารขนาดยักษ์ โบอิง 747 ของสายการบิน KLM และ Pan Am ชนกันกลางรันเวย์ที่สนามบินโลสโรเดโอส ปัจจุบันคือท่าอากาศยานเตเนริเฟนอร์เต เกาะเตเนริเฟ ประเทศสเปน

    ผลที่ตามมาคือ ผู้เสียชีวิต 583 ราย และบาดเจ็บ 61 คน เป็นอุบัติเหตุทางอากาศ ที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดในโลก เหตุการณ์ครั้งนั้น ไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยีขัดข้อง หากแต่เป็นผลพวงจากปัจจัยมนุษย์ (Human Error) และการสื่อสารที่ผิดพลาด ท่ามกลางความกดดัน

    ✈️💥 บริบทก่อนเกิดเหตุ ในช่วงบ่ายของวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2520 "สนามบินกรันกานาเรีย" ซึ่งเป็นสนามบินหลักของหมู่เกาะคานารี ถูกขู่วางระเบิด ทำให้ต้องปิดการใช้งานชั่วคราว ✋🔴

    เครื่องบินหลายลำ รวมถึงเที่ยวบิน KLM 4805 และ Pan Am 1736 จำเป็นต้องลงจอดที่สนามบินสำรองอย่าง “โลสโรเดโอส” ซึ่งเป็นสนามบินขนาดเล็ก ที่ไม่มีความพร้อมรองรับ เครื่องบินลำใหญ่จำนวนมาก

    🕰️ จุดเริ่มต้นของหายนะ 🧨
    - KLM 4805 เดินทางจากอัมสเตอร์ดัม พร้อมผู้โดยสาร 234 คน และลูกเรือ 14 คน
    - Pan Am 1736:เดินทางจากลอสแอนเจลิส แวะนิวยอร์ก มุ่งหน้ากรุงมาดริด พร้อมผู้โดยสาร 380 คน และลูกเรือ 16 คน

    หลังจากเครื่องบินหลายลำลงจอด และจอดเรียงรายกันในพื้นที่จำกัด เจ้าหน้าที่ต้องบริหารพื้นที่ อย่างเร่งด่วน ก่อให้เกิดความเครียด ทั้งในหอบังคับการบินและลูกเรือ

    🚧 จุดเปลี่ยนสำคัญคือ กัปตันของ KLM ตัดสินใจเติมน้ำมันให้เต็มถัง เพื่อเลี่ยงเติมที่สนามบินปลายทางเ พราะราคาถูกกว่า ทำให้ต้องจอดนานกว่าเดิม และขัดขวางการเคลื่อนตัวของ Pan Am

    ☁️ หมอกและความสับสน ภัยเงียบแห่งรันเวย์ 🗣️ เมื่อสนามบินกรันกานาเรียเปิดใช้งานอีกครั้ง การจราจรทางอากาศในโลสโรเดโอส วุ่นวายทันที

    📻 หอบังคับการบิน ต้องจัดการเครื่องบินหลายลำ แต่ขาดเรดาร์ภาคพื้นดิน ทำให้พวกเขามองไม่เห็นตำแหน่งเครื่องบิน ต้องอาศัยการสื่อสารวิทยุแทน

    ✋ จุดวิกฤตเกิดขึ้นเมื่อ KLM เข้าใจผิดว่า สามารถนำเครื่องขึ้นได้ทันที ขณะที่ Pan Am ยังอยู่บนรันเวย์เดียวกัน!

    สำเนียงสเปน กับความคลุมเครือของคำว่า “Takeoff” 😓📡

    📌 ขณะที่ KLM กำลังเตรียมนำเครื่องขึ้น นักบินผู้ช่วยพูดว่า

    “We are now at takeoff.”

    ซึ่งไม่ใช่ประโยคขออนุญาตขึ้นบินโดยตรง แต่เป็นการสื่อสารที่ทำให้เข้าใจคลุมเครือ หอบังคับการบินตอบกลับว่า

    “OK, stand by for takeoff, I will call you.”

    แต่...❗เสียงตอบกลับนั้น ถูกกลืนหายไปกับคลื่นรบกวน ทำให้นักบิน KLM ไม่ได้ยินคำสั่งเต็ม ๆ

    🔥 การชนที่ไม่ควรเกิดขึ้น 💔 KLM เร่งนำเครื่องขึ้น โดยเข้าใจว่าได้รับอนุญาต ขณะที่ Pan Am กำลังเคลื่อนผ่านทางแยก วิ่งบนรันเวย์เดียวกัน หมอกหนาทำให้มองไม่เห็น

    ผลลัพธ์คือ ❌

    ✈️ เครื่องบิน KLM ชนเข้ากลางลำ Pan Am อย่างรุนแรง

    💥 ไฟลุกท่วมเครื่องบินทั้งสองลำในทันที

    - เสียชีวิตจาก KLM 248 ศพ (รอด = 0)
    - เสียชีวิตจาก Pan Am 335 ศพ (รอด = 61 คน)

    😢 บทวิเคราะห์: สาเหตุแห่งหายนะ 🔍
    ปัจจัยมนุษย์ (Human Error)
    - ความเครียดของกัปตัน KLM ที่ต้องรับแรงกดดัน จากบริษัทห้ามดีเลย์ 🕒
    - ขาดการสื่อสารชัดเจน ระหว่างนักบินกับหอบังคับการบิน 📻
    - สำเนียงสเปน ทำให้สื่อสารภาษาอังกฤษไม่ชัดเจน 🗣️

    ปัจจัยสิ่งแวดล้อม
    - สนามบินโลสโรเดโอส ไม่มีเรดาร์พื้นดิน ❌
    - หมอกลงจัด มองไม่เห็นปลายรันเวย์ 🌫️
    - พื้นที่สนามบิน ไม่พร้อมรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่หลายลำ 🚫

    📚🛫 หลังเหตุการณ์นี้ อุตสาหกรรมการบินทั่วโลก ได้ปรับปรุงมาตรการอย่างจริงจัง
    ✅ การสื่อสารต้องใช้ภาษามาตรฐาน และชัดเจนมากขึ้น (Standard Phraseology)
    ✅ ห้ามนักบินตีความเอง โดยไม่มีการอนุญาตชัดเจน
    ✅ มีการพัฒนา Cockpit Resource Management (CRM) เพื่อเน้นการทำงานเป็นทีมระหว่างลูกเรือ
    ✅ ระบบเรดาร์พื้นดิน (Ground Radar) ถูกติดตั้งในสนามบินใหญ่ ๆ ทั่วโลก

    😨 เหตุการณ์ที่เกือบซ้ำรอยในปี 2542 🛬
    เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2542 ที่สนามบินโอแฮร์ สหรัฐอเมริกา ✈️
    - Korean Air เที่ยวบิน 36 Boeing 747 พร้อมผู้โดยสาร 340 คน
    - China Airlines เที่ยวบิน 9018 Boeing 747 เช่นกัน

    เกือบชนกันกลางรันเวย์ เนื่องจากความเข้าใจผิด ในการจราจรทางอากาศ แต่โชคดีที่หลีกเลี่ยงได้ทันโดยเครื่องบินอยู่ห่างกันเพียง 75 ฟุตเท่านั้น 😱

    🕯️ 583 ชีวิต กับบทเรียนที่ไม่มีวันลืม ✈️ “โศกนาฏกรรมเตเนริเฟ” เป็นบทเรียนราคาแพงที่สุดครั้งหนึ่งของมนุษยชาติ ที่สอนเราให้ระมัดระวังในการสื่อสาร การจัดการความเสี่ยง และให้ความสำคัญ กับมาตรฐานความปลอดภัยการบิน ✈️🧠

    แม้เวลาจะผ่านไป 48 ปี... แต่ความสูญเสีย และบทเรียนจากเหตุการณ์นี้ ยังคงส่องแสงเป็นคำเตือน ถึงทุกคนในวงการการบินเสมอ

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 271250 มี.ค. 2568

    📲 #TenerifeDisaster #Boeing747 #PlaneCrashHistory #AirlineSafety #KLM4805 #PanAm1736 #AirCrashInvestigation #อุบัติเหตุทางการบิน #โบอิง747ชนกัน #บทเรียนการบิน
    48 ปี โศกนาฏกรรมกลางรันเวย์ “โบอิง 747” ชนกันที่เตเนริเฟ 🇪🇸✈️ สำเนียงสเปนพ่นพิษ นักบินสื่อสารผิดพลาด 583 ศพ บทเรียนราคาแพงจากท่าอากาศยาน ท่ามกลางหมอกหนา ความเครียด และสำเนียงที่ฟังยาก 🌫️ โศกนาฏกรรมแห่งเตเนริเฟ 🔥 ย้อนไปเมื่อ 48 ปี ที่ผ่านมา ช่วงเย็นวันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2520 เป็นวันที่โลกต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การบิน เมื่อเครื่องบินโดยสารขนาดยักษ์ โบอิง 747 ของสายการบิน KLM และ Pan Am ชนกันกลางรันเวย์ที่สนามบินโลสโรเดโอส ปัจจุบันคือท่าอากาศยานเตเนริเฟนอร์เต เกาะเตเนริเฟ ประเทศสเปน ผลที่ตามมาคือ ผู้เสียชีวิต 583 ราย และบาดเจ็บ 61 คน เป็นอุบัติเหตุทางอากาศ ที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดในโลก เหตุการณ์ครั้งนั้น ไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยีขัดข้อง หากแต่เป็นผลพวงจากปัจจัยมนุษย์ (Human Error) และการสื่อสารที่ผิดพลาด ท่ามกลางความกดดัน ✈️💥 บริบทก่อนเกิดเหตุ ในช่วงบ่ายของวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2520 "สนามบินกรันกานาเรีย" ซึ่งเป็นสนามบินหลักของหมู่เกาะคานารี ถูกขู่วางระเบิด ทำให้ต้องปิดการใช้งานชั่วคราว ✋🔴 เครื่องบินหลายลำ รวมถึงเที่ยวบิน KLM 4805 และ Pan Am 1736 จำเป็นต้องลงจอดที่สนามบินสำรองอย่าง “โลสโรเดโอส” ซึ่งเป็นสนามบินขนาดเล็ก ที่ไม่มีความพร้อมรองรับ เครื่องบินลำใหญ่จำนวนมาก 🕰️ จุดเริ่มต้นของหายนะ 🧨 - KLM 4805 เดินทางจากอัมสเตอร์ดัม พร้อมผู้โดยสาร 234 คน และลูกเรือ 14 คน - Pan Am 1736:เดินทางจากลอสแอนเจลิส แวะนิวยอร์ก มุ่งหน้ากรุงมาดริด พร้อมผู้โดยสาร 380 คน และลูกเรือ 16 คน หลังจากเครื่องบินหลายลำลงจอด และจอดเรียงรายกันในพื้นที่จำกัด เจ้าหน้าที่ต้องบริหารพื้นที่ อย่างเร่งด่วน ก่อให้เกิดความเครียด ทั้งในหอบังคับการบินและลูกเรือ 🚧 จุดเปลี่ยนสำคัญคือ กัปตันของ KLM ตัดสินใจเติมน้ำมันให้เต็มถัง เพื่อเลี่ยงเติมที่สนามบินปลายทางเ พราะราคาถูกกว่า ทำให้ต้องจอดนานกว่าเดิม และขัดขวางการเคลื่อนตัวของ Pan Am ☁️ หมอกและความสับสน ภัยเงียบแห่งรันเวย์ 🗣️ เมื่อสนามบินกรันกานาเรียเปิดใช้งานอีกครั้ง การจราจรทางอากาศในโลสโรเดโอส วุ่นวายทันที 📻 หอบังคับการบิน ต้องจัดการเครื่องบินหลายลำ แต่ขาดเรดาร์ภาคพื้นดิน ทำให้พวกเขามองไม่เห็นตำแหน่งเครื่องบิน ต้องอาศัยการสื่อสารวิทยุแทน ✋ จุดวิกฤตเกิดขึ้นเมื่อ KLM เข้าใจผิดว่า สามารถนำเครื่องขึ้นได้ทันที ขณะที่ Pan Am ยังอยู่บนรันเวย์เดียวกัน! สำเนียงสเปน กับความคลุมเครือของคำว่า “Takeoff” 😓📡 📌 ขณะที่ KLM กำลังเตรียมนำเครื่องขึ้น นักบินผู้ช่วยพูดว่า “We are now at takeoff.” ซึ่งไม่ใช่ประโยคขออนุญาตขึ้นบินโดยตรง แต่เป็นการสื่อสารที่ทำให้เข้าใจคลุมเครือ หอบังคับการบินตอบกลับว่า “OK, stand by for takeoff, I will call you.” แต่...❗เสียงตอบกลับนั้น ถูกกลืนหายไปกับคลื่นรบกวน ทำให้นักบิน KLM ไม่ได้ยินคำสั่งเต็ม ๆ 🔥 การชนที่ไม่ควรเกิดขึ้น 💔 KLM เร่งนำเครื่องขึ้น โดยเข้าใจว่าได้รับอนุญาต ขณะที่ Pan Am กำลังเคลื่อนผ่านทางแยก วิ่งบนรันเวย์เดียวกัน หมอกหนาทำให้มองไม่เห็น ผลลัพธ์คือ ❌ ✈️ เครื่องบิน KLM ชนเข้ากลางลำ Pan Am อย่างรุนแรง 💥 ไฟลุกท่วมเครื่องบินทั้งสองลำในทันที - เสียชีวิตจาก KLM 248 ศพ (รอด = 0) - เสียชีวิตจาก Pan Am 335 ศพ (รอด = 61 คน) 😢 บทวิเคราะห์: สาเหตุแห่งหายนะ 🔍 ปัจจัยมนุษย์ (Human Error) - ความเครียดของกัปตัน KLM ที่ต้องรับแรงกดดัน จากบริษัทห้ามดีเลย์ 🕒 - ขาดการสื่อสารชัดเจน ระหว่างนักบินกับหอบังคับการบิน 📻 - สำเนียงสเปน ทำให้สื่อสารภาษาอังกฤษไม่ชัดเจน 🗣️ ปัจจัยสิ่งแวดล้อม - สนามบินโลสโรเดโอส ไม่มีเรดาร์พื้นดิน ❌ - หมอกลงจัด มองไม่เห็นปลายรันเวย์ 🌫️ - พื้นที่สนามบิน ไม่พร้อมรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่หลายลำ 🚫 📚🛫 หลังเหตุการณ์นี้ อุตสาหกรรมการบินทั่วโลก ได้ปรับปรุงมาตรการอย่างจริงจัง ✅ การสื่อสารต้องใช้ภาษามาตรฐาน และชัดเจนมากขึ้น (Standard Phraseology) ✅ ห้ามนักบินตีความเอง โดยไม่มีการอนุญาตชัดเจน ✅ มีการพัฒนา Cockpit Resource Management (CRM) เพื่อเน้นการทำงานเป็นทีมระหว่างลูกเรือ ✅ ระบบเรดาร์พื้นดิน (Ground Radar) ถูกติดตั้งในสนามบินใหญ่ ๆ ทั่วโลก 😨 เหตุการณ์ที่เกือบซ้ำรอยในปี 2542 🛬 เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2542 ที่สนามบินโอแฮร์ สหรัฐอเมริกา ✈️ - Korean Air เที่ยวบิน 36 Boeing 747 พร้อมผู้โดยสาร 340 คน - China Airlines เที่ยวบิน 9018 Boeing 747 เช่นกัน เกือบชนกันกลางรันเวย์ เนื่องจากความเข้าใจผิด ในการจราจรทางอากาศ แต่โชคดีที่หลีกเลี่ยงได้ทันโดยเครื่องบินอยู่ห่างกันเพียง 75 ฟุตเท่านั้น 😱 🕯️ 583 ชีวิต กับบทเรียนที่ไม่มีวันลืม ✈️ “โศกนาฏกรรมเตเนริเฟ” เป็นบทเรียนราคาแพงที่สุดครั้งหนึ่งของมนุษยชาติ ที่สอนเราให้ระมัดระวังในการสื่อสาร การจัดการความเสี่ยง และให้ความสำคัญ กับมาตรฐานความปลอดภัยการบิน ✈️🧠 แม้เวลาจะผ่านไป 48 ปี... แต่ความสูญเสีย และบทเรียนจากเหตุการณ์นี้ ยังคงส่องแสงเป็นคำเตือน ถึงทุกคนในวงการการบินเสมอ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 271250 มี.ค. 2568 📲 #TenerifeDisaster #Boeing747 #PlaneCrashHistory #AirlineSafety #KLM4805 #PanAm1736 #AirCrashInvestigation #อุบัติเหตุทางการบิน #โบอิง747ชนกัน #บทเรียนการบิน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 259 มุมมอง 0 รีวิว
  • สื่อชื่อมาตรฐาน แต่คุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน แถมยังให้พื้นที่สส.พรรคส้มโจมตีกองทัพด้วยนิยายไอโอ แล้วที่มันบอกเองว่า แม้แต่นายกฯ ยังไม่รู้ แล้วมึงเอามาอภิปรายเค้าได้ไง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    สื่อชื่อมาตรฐาน แต่คุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน แถมยังให้พื้นที่สส.พรรคส้มโจมตีกองทัพด้วยนิยายไอโอ แล้วที่มันบอกเองว่า แม้แต่นายกฯ ยังไม่รู้ แล้วมึงเอามาอภิปรายเค้าได้ไง #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 286 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sarcina Technology เปิดตัวแพลตฟอร์ม AI Chiplet ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานหลากหลาย ด้วยเทคโนโลยี FOCoS-CL ที่ช่วยให้สามารถสร้างระบบขนาดใหญ่ถึง 100x100 มม. ภายในชุดเดียว เทคโนโลยีนี้ยังรองรับการเชื่อมต่อระหว่าง Chiplets ผ่านมาตรฐาน UCIe-A เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการส่งผ่านข้อมูลที่รวดเร็วและการจัดการหน่วยความจำที่มีประสิทธิภาพสูง การเปิดตัวครั้งนี้จะช่วยยกระดับความสามารถของ AI ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ระบบอัตโนมัติและการคำนวณขั้นสูง

    การออกแบบที่ตอบโจทย์หลากหลายความต้องการ:
    - Sarcina Technology มุ่งเน้นความคุ้มค่าโดยใช้ Chiplets ทดแทน SoC ที่ราคาแพง พร้อมสนับสนุนหน่วยความจำแบบ LPDDR5X/6 และ HBM3E ซึ่งรองรับ AI Workloads ได้หลากหลายรูปแบบ.

    ความก้าวหน้าด้านการส่งข้อมูล:
    - การออกแบบ Interposer ใหม่สามารถรองรับอัตราส่งข้อมูลสูงสุดที่ 32 GT/s ต่อช่องสัญญาณ พร้อมความสามารถในการวางซ้อนโมดูลหน่วยความจำได้สูงสุด 8 ชิป HBM3E หรือ 20 ชิป LPDDR6.

    ประสิทธิภาพและการควบคุมพลังงาน:
    - ระบบสามารถทำงานที่กำลังไฟต่ำกว่า 500 W ด้วยพัดลมระบายอากาศ หรือสูงถึง 1000 W ด้วยการระบายความร้อนด้วยน้ำ.

    การประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรม:
    - แพลตฟอร์มนี้เหมาะสำหรับระบบอัตโนมัติ ศูนย์ข้อมูล และการคำนวณทางวิทยาศาสตร์ โดยช่วยเพิ่มความสามารถของ Generative AI และระบบ AI สำหรับการฝึกอบรมใน Edge Computing.

    https://www.techpowerup.com/334680/sarcina-technology-launches-ai-chiplet-platform-enabling-systems-up-to-100x100-mm-in-a-single-package
    Sarcina Technology เปิดตัวแพลตฟอร์ม AI Chiplet ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานหลากหลาย ด้วยเทคโนโลยี FOCoS-CL ที่ช่วยให้สามารถสร้างระบบขนาดใหญ่ถึง 100x100 มม. ภายในชุดเดียว เทคโนโลยีนี้ยังรองรับการเชื่อมต่อระหว่าง Chiplets ผ่านมาตรฐาน UCIe-A เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการส่งผ่านข้อมูลที่รวดเร็วและการจัดการหน่วยความจำที่มีประสิทธิภาพสูง การเปิดตัวครั้งนี้จะช่วยยกระดับความสามารถของ AI ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ระบบอัตโนมัติและการคำนวณขั้นสูง การออกแบบที่ตอบโจทย์หลากหลายความต้องการ: - Sarcina Technology มุ่งเน้นความคุ้มค่าโดยใช้ Chiplets ทดแทน SoC ที่ราคาแพง พร้อมสนับสนุนหน่วยความจำแบบ LPDDR5X/6 และ HBM3E ซึ่งรองรับ AI Workloads ได้หลากหลายรูปแบบ. ความก้าวหน้าด้านการส่งข้อมูล: - การออกแบบ Interposer ใหม่สามารถรองรับอัตราส่งข้อมูลสูงสุดที่ 32 GT/s ต่อช่องสัญญาณ พร้อมความสามารถในการวางซ้อนโมดูลหน่วยความจำได้สูงสุด 8 ชิป HBM3E หรือ 20 ชิป LPDDR6. ประสิทธิภาพและการควบคุมพลังงาน: - ระบบสามารถทำงานที่กำลังไฟต่ำกว่า 500 W ด้วยพัดลมระบายอากาศ หรือสูงถึง 1000 W ด้วยการระบายความร้อนด้วยน้ำ. การประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรม: - แพลตฟอร์มนี้เหมาะสำหรับระบบอัตโนมัติ ศูนย์ข้อมูล และการคำนวณทางวิทยาศาสตร์ โดยช่วยเพิ่มความสามารถของ Generative AI และระบบ AI สำหรับการฝึกอบรมใน Edge Computing. https://www.techpowerup.com/334680/sarcina-technology-launches-ai-chiplet-platform-enabling-systems-up-to-100x100-mm-in-a-single-package
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Sarcina Technology Launches AI Chiplet Platform Enabling Systems Up to 100x100 mm in a Single Package
    Sarcina Technology, a global semiconductor packaging specialist, is excited to announce the launch of its innovative AI platform to enable advanced AI packaging solutions that can be tailored to meet specific customer requirements. Leveraging ASE's FOCoS-CL (Fan-Out Chip-on-Substrate-Chip Last) asse...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI ไม่ได้มาแทนที่พนักงานโดยตรง แต่มันช่วยให้พนักงานที่เก่งสามารถทำงานได้เร็วและดีขึ้น จนลดความจำเป็นของการจ้างพนักงานเพิ่มในบางตำแหน่ง ในยุคที่ AI ปรับเปลี่ยนมาตรฐานการทำงานอย่างรวดเร็ว การเพิ่มทักษะและใช้งาน AI อย่างชาญฉลาดจึงเป็นเรื่องสำคัญ หากเราไม่พัฒนาตัวเอง เราอาจถูกทิ้งไว้เบื้องหลังได้ง่าย ๆ

    ผลกระทบของ productivity inflation:
    - ด้วยการใช้ AI ช่วยงาน พนักงานระดับกลางสามารถทำงานที่เคยใช้เวลานาน 8 ชั่วโมงในเวลาเพียง 5 ชั่วโมง ขณะที่ยังสามารถจัดการงานที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น ทำให้โครงสร้างทีมงานในองค์กรเริ่มเปลี่ยนจากการจ้างคนเป็นลำดับขั้นไปสู่การจ้างพนักงานที่ต้องเชี่ยวชาญการใช้ AI เป็นหลัก.

    ความสำคัญของการใช้ AI อย่างสร้างสรรค์:
    - การใช้ AI ไม่ได้หมายถึงการลดภาระงานทั้งหมด แต่กลับช่วยเสริมศักยภาพของพนักงาน เช่น การใช้ AI เพื่อสร้างไอเดียใหม่ๆ ทำการวิจัยอย่างรวดเร็ว หรือปรับปรุงเนื้อหาการเขียนให้น่าสนใจ.

    ทักษะที่ต้องการในยุคใหม่:
    - ความสามารถในการใช้งานเครื่องมือ AI และการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องกลายเป็นทักษะสำคัญสำหรับ "A players" หรือผู้เล่นระดับท็อปในตลาดแรงงาน.

    ความเปลี่ยนแปลงในนิยามของ "การแข่งขัน":
    - ผู้ที่สามารถใช้งาน AI เป็นเครื่องมือในการเพิ่มความคิดสร้างสรรค์และผลิตผลจะมีโอกาสก้าวนำหน้าคู่แข่งได้ ในขณะที่การปล่อยให้งานขึ้นอยู่กับ AI อย่างเดียวอาจสร้างความล้าหลัง.

    https://www.zdnet.com/article/ai-wont-take-your-job-but-this-definitely-will/
    AI ไม่ได้มาแทนที่พนักงานโดยตรง แต่มันช่วยให้พนักงานที่เก่งสามารถทำงานได้เร็วและดีขึ้น จนลดความจำเป็นของการจ้างพนักงานเพิ่มในบางตำแหน่ง ในยุคที่ AI ปรับเปลี่ยนมาตรฐานการทำงานอย่างรวดเร็ว การเพิ่มทักษะและใช้งาน AI อย่างชาญฉลาดจึงเป็นเรื่องสำคัญ หากเราไม่พัฒนาตัวเอง เราอาจถูกทิ้งไว้เบื้องหลังได้ง่าย ๆ ผลกระทบของ productivity inflation: - ด้วยการใช้ AI ช่วยงาน พนักงานระดับกลางสามารถทำงานที่เคยใช้เวลานาน 8 ชั่วโมงในเวลาเพียง 5 ชั่วโมง ขณะที่ยังสามารถจัดการงานที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น ทำให้โครงสร้างทีมงานในองค์กรเริ่มเปลี่ยนจากการจ้างคนเป็นลำดับขั้นไปสู่การจ้างพนักงานที่ต้องเชี่ยวชาญการใช้ AI เป็นหลัก. ความสำคัญของการใช้ AI อย่างสร้างสรรค์: - การใช้ AI ไม่ได้หมายถึงการลดภาระงานทั้งหมด แต่กลับช่วยเสริมศักยภาพของพนักงาน เช่น การใช้ AI เพื่อสร้างไอเดียใหม่ๆ ทำการวิจัยอย่างรวดเร็ว หรือปรับปรุงเนื้อหาการเขียนให้น่าสนใจ. ทักษะที่ต้องการในยุคใหม่: - ความสามารถในการใช้งานเครื่องมือ AI และการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องกลายเป็นทักษะสำคัญสำหรับ "A players" หรือผู้เล่นระดับท็อปในตลาดแรงงาน. ความเปลี่ยนแปลงในนิยามของ "การแข่งขัน": - ผู้ที่สามารถใช้งาน AI เป็นเครื่องมือในการเพิ่มความคิดสร้างสรรค์และผลิตผลจะมีโอกาสก้าวนำหน้าคู่แข่งได้ ในขณะที่การปล่อยให้งานขึ้นอยู่กับ AI อย่างเดียวอาจสร้างความล้าหลัง. https://www.zdnet.com/article/ai-wont-take-your-job-but-this-definitely-will/
    WWW.ZDNET.COM
    AI won't take your job, but this definitely will
    Here's what's quietly reshaping the job market, and it's happening faster than you think.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่เน้นการใช้ AI ในแอป Photos บน Windows ไม่ว่าจะเป็น Copilot ที่ช่วยแนะนำการแก้ไขภาพ หรือฟีเจอร์ OCR ที่สแกนข้อความจากภาพและค้นหาข้อมูลได้ทันที การรองรับ JPEG XL ก็ถูกเพิ่มเข้ามาเพื่อช่วยในการจัดการไฟล์ภาพที่มีคุณภาพสูงขึ้น พร้อมกับการปรับปรุงให้แอปใช้งานง่ายขึ้น

    ฟีเจอร์ Copilot:
    - Copilot ปรากฏเป็นปุ่มที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการแก้ไขภาพ เช่น Photography Editing Tips และ Image Insights ซึ่งช่วยให้คุณปรับปรุงภาพถ่ายและค้นหารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาพนั้น อย่างไรก็ตาม Copilot ยังไม่ได้แก้ไขภาพโดยตรง แต่เป็นเครื่องมือช่วยในการแนะนำ.

    ฟีเจอร์ Optical Character Recognition (OCR):
    - เพิ่มความสามารถในการอ่านและดึงข้อความจากภาพ เช่น การถ่ายภาพหน้าร้านและค้นหาออนไลน์ หรือการสแกนเอกสารเพื่อค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องบนเว็บ.

    การแก้ไขภาพจาก File Explorer:
    - คุณสามารถคลิกขวาที่ภาพใน File Explorer เพื่อใช้คำสั่ง Create with Designer ซึ่งช่วยเพิ่มข้อความ ปรับเลย์เอาต์ ลบวัตถุ หรือปรับแต่งสีได้ง่าย.

    การจัดการรูปภาพที่ดีขึ้น:
    - Gallery View ช่วยให้เรียกดูโฟลเดอร์ย่อยได้สะดวกขึ้นโดยไม่ต้องเปลี่ยนการนำทางมากนัก.

    การรองรับ JPEG XL:
    - เพิ่มการรองรับไฟล์ JPEG XL ซึ่งมีคุณภาพของภาพดีกว่าและบีบอัดได้มีประสิทธิภาพกว่ามาตรฐาน JPEG เดิม.

    https://www.techspot.com/news/107295-microsoft-revamps-windows-photos-powerful-ai-features-smarter.html
    Microsoft ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่เน้นการใช้ AI ในแอป Photos บน Windows ไม่ว่าจะเป็น Copilot ที่ช่วยแนะนำการแก้ไขภาพ หรือฟีเจอร์ OCR ที่สแกนข้อความจากภาพและค้นหาข้อมูลได้ทันที การรองรับ JPEG XL ก็ถูกเพิ่มเข้ามาเพื่อช่วยในการจัดการไฟล์ภาพที่มีคุณภาพสูงขึ้น พร้อมกับการปรับปรุงให้แอปใช้งานง่ายขึ้น ฟีเจอร์ Copilot: - Copilot ปรากฏเป็นปุ่มที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการแก้ไขภาพ เช่น Photography Editing Tips และ Image Insights ซึ่งช่วยให้คุณปรับปรุงภาพถ่ายและค้นหารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาพนั้น อย่างไรก็ตาม Copilot ยังไม่ได้แก้ไขภาพโดยตรง แต่เป็นเครื่องมือช่วยในการแนะนำ. ฟีเจอร์ Optical Character Recognition (OCR): - เพิ่มความสามารถในการอ่านและดึงข้อความจากภาพ เช่น การถ่ายภาพหน้าร้านและค้นหาออนไลน์ หรือการสแกนเอกสารเพื่อค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องบนเว็บ. การแก้ไขภาพจาก File Explorer: - คุณสามารถคลิกขวาที่ภาพใน File Explorer เพื่อใช้คำสั่ง Create with Designer ซึ่งช่วยเพิ่มข้อความ ปรับเลย์เอาต์ ลบวัตถุ หรือปรับแต่งสีได้ง่าย. การจัดการรูปภาพที่ดีขึ้น: - Gallery View ช่วยให้เรียกดูโฟลเดอร์ย่อยได้สะดวกขึ้นโดยไม่ต้องเปลี่ยนการนำทางมากนัก. การรองรับ JPEG XL: - เพิ่มการรองรับไฟล์ JPEG XL ซึ่งมีคุณภาพของภาพดีกว่าและบีบอัดได้มีประสิทธิภาพกว่ามาตรฐาน JPEG เดิม. https://www.techspot.com/news/107295-microsoft-revamps-windows-photos-powerful-ai-features-smarter.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Windows Photos gets revamped with powerful AI features and smarter tools
    Let's start with Copilot integration. This new feature appears as a button that provides direct access to an AI assistant designed for working with images. One of...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
  • Pat Gelsinger ได้เข้ามาบริหาร Gloo บริษัทที่มุ่งสร้างเทคโนโลยีสำหรับองค์กรศรัทธาและชุมชนความเชื่อ เขามีแผนพัฒนาคลาวด์เฉพาะสำหรับวงการนี้ และผลักดันให้ AI เป็นเครื่องมือที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยองค์กรศรัทธาเชื่อมต่อผู้คนและพัฒนาชุมชน แนวคิดนี้สะท้อนถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อความเป็นมนุษย์อย่างลึกซึ้ง

    การพัฒนาคลาวด์เฉพาะวงการศรัทธา:
    - หนึ่งในโครงการแรกของ Gelsinger คือการสร้างคลาวด์ "Vertical Cloud" สำหรับองค์กรศรัทธา โดยเน้นให้ AI มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนชุมชน.

    ความสัมพันธ์กับเทคโนโลยี AI:
    - Gloo ใช้โมเดล AI จาก DeepSeek เนื่องจากมีธรรมชาติแบบโอเพ่นซอร์สและสามารถรวมเข้ากับระบบได้ง่าย แม้จะมีการโต้เถียงเกี่ยวกับวิธีการฝึกโมเดลของ DeepSeek แต่ Gelsinger เน้นความโปร่งใสและการมีมาตรฐานในกระบวนการ.

    การนำเทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างมนุษยธรรม:
    - เขาให้ความสำคัญกับการใช้ AI ที่ "ส่งเสริม" มากกว่าทำลาย เพื่อช่วยให้เทคโนโลยีสนับสนุนประสบการณ์มนุษย์อย่างแท้จริง.

    เป้าหมายของ Gloo:
    - นอกจากจะเป็นพื้นที่ดิจิทัลสำหรับผู้นำศรัทธาแล้ว Gloo ยังมีเครื่องมือที่ช่วยเชื่อมต่อชุมชน เช่น การกระจายสื่อคริสเตียน และสนับสนุนองค์กรศรัทธาในการเข้าถึงสมาชิกใหม่.

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/pat-gelsinger-becomes-executive-chairman-head-of-technology-at-church-focused-platform-gloo
    Pat Gelsinger ได้เข้ามาบริหาร Gloo บริษัทที่มุ่งสร้างเทคโนโลยีสำหรับองค์กรศรัทธาและชุมชนความเชื่อ เขามีแผนพัฒนาคลาวด์เฉพาะสำหรับวงการนี้ และผลักดันให้ AI เป็นเครื่องมือที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยองค์กรศรัทธาเชื่อมต่อผู้คนและพัฒนาชุมชน แนวคิดนี้สะท้อนถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อความเป็นมนุษย์อย่างลึกซึ้ง การพัฒนาคลาวด์เฉพาะวงการศรัทธา: - หนึ่งในโครงการแรกของ Gelsinger คือการสร้างคลาวด์ "Vertical Cloud" สำหรับองค์กรศรัทธา โดยเน้นให้ AI มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนชุมชน. ความสัมพันธ์กับเทคโนโลยี AI: - Gloo ใช้โมเดล AI จาก DeepSeek เนื่องจากมีธรรมชาติแบบโอเพ่นซอร์สและสามารถรวมเข้ากับระบบได้ง่าย แม้จะมีการโต้เถียงเกี่ยวกับวิธีการฝึกโมเดลของ DeepSeek แต่ Gelsinger เน้นความโปร่งใสและการมีมาตรฐานในกระบวนการ. การนำเทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างมนุษยธรรม: - เขาให้ความสำคัญกับการใช้ AI ที่ "ส่งเสริม" มากกว่าทำลาย เพื่อช่วยให้เทคโนโลยีสนับสนุนประสบการณ์มนุษย์อย่างแท้จริง. เป้าหมายของ Gloo: - นอกจากจะเป็นพื้นที่ดิจิทัลสำหรับผู้นำศรัทธาแล้ว Gloo ยังมีเครื่องมือที่ช่วยเชื่อมต่อชุมชน เช่น การกระจายสื่อคริสเตียน และสนับสนุนองค์กรศรัทธาในการเข้าถึงสมาชิกใหม่. https://www.tomshardware.com/tech-industry/pat-gelsinger-becomes-executive-chairman-head-of-technology-at-church-focused-platform-gloo
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 166 มุมมอง 0 รีวิว
  • ASML เริ่มต้นจากโรงงานหลังคารั่วที่เนเธอร์แลนด์ แต่ด้วยวิสัยทัศน์และความทุ่มเท บริษัทนี้กลายมาเป็นผู้นำระดับโลกในเทคโนโลยีลิโทกราฟีสำหรับผลิตชิป ตั้งแต่การเปิดตัวเครื่องจักรรุ่นแรกในปี 1984 ไปจนถึงการพัฒนาเทคโนโลยี EUV ที่ทรงอิทธิพลในปัจจุบัน แสดงถึงการเติบโตที่น่าทึ่งของบริษัท

    บริษัทนี้เริ่มต้นจากการร่วมมือระหว่าง Philips และ Advanced Semiconductor Materials International (ASMI) เพื่อมุ่งสร้างระบบลิโทกราฟีที่ตอบโจทย์การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในอนาคต ปัจจุบัน ASML มีพนักงานกว่า 44,000 คน และสร้างรายได้เกือบ 31 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อปี

    นวัตกรรมตั้งแต่ยุคเริ่มต้น:
    - ASML เปิดตัวผลิตภัณฑ์แรกในชื่อ PAS 2000 stepper โดยทีมงานสามารถแก้ปัญหาเสียงรบกวนจากปั๊มน้ำมันไฮดรอลิกผ่านการติดตั้งคอนเทนเนอร์ในบริเวณโรงงาน ซึ่งกลายเป็นตัวจุดประกายการพัฒนาเทคโนโลยีลิโทกราฟีที่ล้ำหน้าต่อมา.

    ความร่วมมือทางเทคนิคที่ต่อเนื่อง:
    - ความร่วมมือกับบริษัท Carl Zeiss ในด้านการผลิตเลนส์เริ่มต้นตั้งแต่ปี 1986 และยังคงดำเนินต่อจนถึงปัจจุบัน สร้างมาตรฐานความแม่นยำในเครื่องจักรของ ASML.

    เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า:
    - ในปี 2010 ASML ได้เปิดตัวเครื่อง Twinscan NXE:3100 ที่ใช้เทคโนโลยี EUV (Extreme Ultraviolet Lithography) ซึ่งกลายเป็นหัวใจสำคัญของการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในยุคปัจจุบัน.

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม:
    - ปัจจุบัน ASML เป็นผู้นำในตลาดเครื่องจักรผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งบริษัทใหญ่อย่าง TSMC, Intel, และ Samsung ต่างพึ่งพาเทคโนโลยีของ ASML เพื่อพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ที่ล้ำสมัย.

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/asml-recalls-its-humble-origins-in-a-leaky-shed-in-eindhoven-circa-1984-it-now-makes-the-most-cutting-edge-chipmaking-tools-on-the-planet
    ASML เริ่มต้นจากโรงงานหลังคารั่วที่เนเธอร์แลนด์ แต่ด้วยวิสัยทัศน์และความทุ่มเท บริษัทนี้กลายมาเป็นผู้นำระดับโลกในเทคโนโลยีลิโทกราฟีสำหรับผลิตชิป ตั้งแต่การเปิดตัวเครื่องจักรรุ่นแรกในปี 1984 ไปจนถึงการพัฒนาเทคโนโลยี EUV ที่ทรงอิทธิพลในปัจจุบัน แสดงถึงการเติบโตที่น่าทึ่งของบริษัท บริษัทนี้เริ่มต้นจากการร่วมมือระหว่าง Philips และ Advanced Semiconductor Materials International (ASMI) เพื่อมุ่งสร้างระบบลิโทกราฟีที่ตอบโจทย์การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในอนาคต ปัจจุบัน ASML มีพนักงานกว่า 44,000 คน และสร้างรายได้เกือบ 31 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อปี นวัตกรรมตั้งแต่ยุคเริ่มต้น: - ASML เปิดตัวผลิตภัณฑ์แรกในชื่อ PAS 2000 stepper โดยทีมงานสามารถแก้ปัญหาเสียงรบกวนจากปั๊มน้ำมันไฮดรอลิกผ่านการติดตั้งคอนเทนเนอร์ในบริเวณโรงงาน ซึ่งกลายเป็นตัวจุดประกายการพัฒนาเทคโนโลยีลิโทกราฟีที่ล้ำหน้าต่อมา. ความร่วมมือทางเทคนิคที่ต่อเนื่อง: - ความร่วมมือกับบริษัท Carl Zeiss ในด้านการผลิตเลนส์เริ่มต้นตั้งแต่ปี 1986 และยังคงดำเนินต่อจนถึงปัจจุบัน สร้างมาตรฐานความแม่นยำในเครื่องจักรของ ASML. เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า: - ในปี 2010 ASML ได้เปิดตัวเครื่อง Twinscan NXE:3100 ที่ใช้เทคโนโลยี EUV (Extreme Ultraviolet Lithography) ซึ่งกลายเป็นหัวใจสำคัญของการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในยุคปัจจุบัน. ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม: - ปัจจุบัน ASML เป็นผู้นำในตลาดเครื่องจักรผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งบริษัทใหญ่อย่าง TSMC, Intel, และ Samsung ต่างพึ่งพาเทคโนโลยีของ ASML เพื่อพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ที่ล้ำสมัย. https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/asml-recalls-its-humble-origins-in-a-leaky-shed-in-eindhoven-circa-1984-it-now-makes-the-most-cutting-edge-chipmaking-tools-on-the-planet
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 204 มุมมอง 0 รีวิว
  • 👨‍👩‍👧‍👦 การตีไม่ใช่การสอน: เจาะลึก พ.ร.บ.ใหม่ ห้ามทารุณกรรมบุตร พ.ศ. 2568
    เมื่อกฎหมายบอกว่า "พ่อแม่ตีลูกไม่ได้": ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของครอบครัวไทย

    📌 เจาะลึกถึงกฎหมายใหม่ห้ามตีลูก พ.ศ. 2568 ซึ่งระบุชัดเจนว่า การทำโทษต้องไม่เป็นการทารุณกรรม หรือรุนแรงทั้งร่างกายและจิตใจ แนวทางการปรับทัศนคติพ่อแม่ สู่การเลี้ยงดูเชิงบวก

    ✨ จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ในสังคมไทยที่ผ่านมา คำว่า "ไม้เรียวคือรัก" หรือ "ตีเพราะรัก" เป็นสิ่งที่หลายครอบครัว เติบโตมาพร้อมกับแนวคิดนี้ แต่ปัจจุบัน เมื่อสังคมเปลี่ยน โลกเปลี่ยน และองค์ความรู้ด้านจิตวิทยาเด็ก พัฒนาไปมากขึ้น ก็เริ่มมีคำถามว่า...

    👉 “การตีลูก = การอบรมจริงหรือ?”

    และแล้ว... คำตอบจากรัฐ ก็มาในรูปแบบของ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2568 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป 🗓️

    📖 พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือการแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 (2) ซึ่งแต่เดิมเคยระบุว่า ผู้ใช้อำนาจปกครอง พ่อแม่ หรือผู้ปกครอง สามารถทำโทษบุตร เพื่ออบรมสั่งสอนได้ตามสมควร

    แต่ในฉบับใหม่ ปี 2568 นี้ ระบุเพิ่มเติมไว้อย่างชัดเจนว่า 👇

    “ทำโทษบุตรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน หรือปรับพฤติกรรม โดยต้องไม่เป็นการกระทำทารุณกรรม หรือทำร้ายด้วยความรุนแรงต่อร่างกาย หรือจิตใจ หรือกระทำโดยมิชอบ”

    📌 สรุปคือ พ่อแม่ ยังสามารถอบรมลูกได้ แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรง หรือการกระทำที่เป็นอันตราย ทั้งทางกายและจิตใจ

    ❓ ทำไมถึงต้องออกกฎหมายนี้? สาเหตุหลัก ๆ ของการออกกฎหมายนี้ มาจากหลายปัจจัยรวมกัน เช่น

    📉 ผลกระทบทางจิตใจ เด็กที่ถูกตีบ่อย มีแนวโน้มจะขาดความมั่นใจ เกิดบาดแผลทางใจเรื้อรัง

    😢 การใช้ความรุนแรง แฝงรูปแบบการทารุณกรรม ที่ซ่อนอยู่ภายใต้คำว่า "การสั่งสอน"

    🤝 ความรับผิดชอบของรัฐไทย ในฐานะภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (UNCRC) ที่ต้องปกป้องสิทธิเด็ กจากความรุนแรงทุกรูปแบบ

    🔄 การพัฒนาแนวทางเลี้ยงดูเชิงบวก (Positive Parenting) ที่เริ่มเป็นมาตรฐานสากล

    ⚖️ หัวใจสำคัญของกฎหมาย “ตีลูกไม่ได้” หมายถึงอะไร หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า กฎหมายนี้ ห้ามไม่ให้พ่อแม่อบรมลูกเลย ❌ แต่ในความจริงแล้ว...

    👉 "การสั่งสอนลูกยังทำได้" แต่ต้องเป็นการสั่งสอน ที่ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ดูถูก หรือทำให้ลูกเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ

    ตัวอย่างของพฤติกรรมที่ “ผิด” ตามกฎหมายใหม่
    - ตีด้วยของแข็ง เช่น ไม้แข็ง, สายไฟ
    - ดุด่าด้วยคำรุนแรง หรือดูถูก
    - บังคับให้ลูกกลัว หรือรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า
    - ทำโทษด้วยวิธีที่ขัดกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

    💔 ทัศนคติแบบเดิม ความเข้าใจผิดที่ส่งผลเสีย “ลูกโดนตีตอนเด็ก โตขึ้นมาถึงรู้จักผิดชอบชั่วดี” ประโยคนี้คือความเข้าใจผิด ที่ฝังรากลึกในหลายครอบครัว 😓

    แต่ข้อมูลจากจิตแพทย์เด็ก และองค์กรเพื่อสิทธิเด็กทั่วโลก ชี้ว่า... เด็กที่เติบโตในครอบครัว ที่ใช้ความรุนแรง มักจะมีแนวโน้ม ถ่ายทอดความรุนแรงนั้นต่อไป

    นั่นคือวงจรของ “ความรุนแรงในครอบครัว” ที่ไม่เคยสิ้นสุด 💢 กฎหมายใหม่นี้จึงไม่ได้มาเพื่อ "ลงโทษพ่อแม่" แต่เพื่อหยุดวงจรของความรุนแรงตั้งแต่ต้นทาง

    🌈 การเลี้ยงลูกเชิงบวก แนวคิดนี้เรียกว่า Positive Discipline หรือ Positive Parenting
    เป็นการสั่งสอนลูกโดยใช้ความเข้าใจ ความรัก และเหตุผล มากกว่าความกลัวหรือการบังคับ

    หลักการสำคัญ มีดังนี้
    - สร้างวินัยด้วยข้อตกลง ไม่ใช่การขู่เข็ญ
    - สอนให้ลูกรับผิดชอบ ไม่ใช่รู้สึกผิด
    - ใช้ “ผลลัพธ์ตามธรรมชาติ” แทน “การลงโทษ”

    ตัวอย่าง แทนที่จะตีลูกที่ไม่ยอมทำการบ้าน → อธิบายผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น เช่น คะแนนไม่ดี หรือไม่มีเวลาเล่น

    🛠️ วิธีอบรมลูกโดยไม่ใช้ความรุนแรง
    - ใช้เวลาฟังลูกมากขึ้น 👂 ให้ลูกพูดสิ่งที่รู้สึกหรือคิด โดยไม่ตัดสิน
    - สร้างกฎร่วมกันในบ้าน 📜 เด็กจะเชื่อฟังมากขึ้น ถ้ารู้สึกว่าเขามีส่วนร่วม
    - สอนด้วยเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ 💬 เวลาลูกทำผิด ให้ถาม-ตอบ ชวนคิดถึงผลกระทบ
    - เสริมแรงทางบวก 🌟 ชมลูกเมื่อทำสิ่งที่ดี แทนที่จะเน้นเฉพาะเวลาทำผิด
    - เป็นแบบอย่างที่ดี 👨‍👩‍👧 เด็กเรียนรู้พฤติกรรม จากการสังเกตพ่อแม่

    📣 เสียงสะท้อนจากสังคมไทย หลังการประกาศกฎหมายฉบับนี้ มีทั้งเสียงเห็นด้วย และเสียงที่ยัง “ไม่เข้าใจ”

    เสียงเห็นด้วย “กฎหมายนี้ช่วยให้พ่อแม่ หันมาสนใจพัฒนาวิธีสื่อสารกับลูกมากขึ้น ไม่ใช้แต่กำลัง” 🙌

    เสียงคัดค้าน “กลัวว่าเด็กจะไม่กลัว ไม่เชื่อฟัง ถ้าพ่อแม่ไม่มีสิทธิ์ทำโทษ”

    สิ่งสำคัญคือ การสร้างความเข้าใจใหม่ว่า 👉 การสร้างวินัย ไม่เท่ากับการใช้กำลัง

    🧠 พ่อแม่ต้องเตรียมตัวอย่างไร?
    - เรียนรู้เรื่อง จิตวิทยาพัฒนาการเด็ก
    - เข้าอบรมเรื่อง การเลี้ยงลูกเชิงบวก ที่หลายหน่วยงานจัดขึ้น
    - พูดคุยแลกเปลี่ยนกับครอบครัวอื่น ๆ เพื่อหาแนวทางใหม่
    - ตระหนักว่า “ความรุนแรง” ไม่ได้ช่วยให้ลูกดีขึ้น แต่ ทำให้ห่างกันมากขึ้น

    ❓ คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
    Q1 ถ้าแค่ตีเบา ๆ ยังผิดกฎหมายไหม?
    A ถ้าการตีทำให้เด็กเจ็บทั้งกายหรือใจ หรือทำด้วยอารมณ์ ไม่ถือว่าเบา และอาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย

    Q2 แล้วจะอบรมลูกที่ดื้อยังไงดี?
    A ใช้หลักการ "พูด-ฟัง-เข้าใจ" และเสริมแรงทางบวก เช่น ให้รางวัลเมื่อทำดี

    Q3 ถ้าลูกก้าวร้าวก่อน พ่อแม่ต้องทำยังไง?
    A หลีกเลี่ยงการตอบโต้ ใช้วิธีตั้งสติ พูดคุยหลังเหตุการณ์สงบลง

    Q4 จะรู้ได้ยังไง ว่าเราทำผิดตามกฎหมายหรือไม่?
    A หากมีการทำโทษที่รุนแรง หรือทำให้เด็กรู้สึกด้อยค่า อาจเข้าข่ายผิด

    Q5 กฎหมายนี้ใช้กับครู หรือเฉพาะพ่อแม่?
    A แม้จะเน้นที่ผู้ปกครอง แต่หลักการเดียวกัน ควรใช้กับผู้ใหญ่ทุกคนที่ดูแลเด็ก

    Q6 ถ้ารู้ว่ามีคนใช้ความรุนแรงกับเด็ก จะทำอย่างไร?
    A แจ้งสำนักงานพัฒนาสังคม หรือมูลนิธิเพื่อเด็ก เช่น มูลนิธิเด็ก หรือสายด่วน 1300

    📌 การเลี้ยงลูกในยุคใหม่ ต้องอาศัยทั้งความรัก ความเข้าใจ และการเรียนรู้ พระราชบัญญัติฉบับนี้ ไม่ได้มาเพื่อควบคุมพ่อแม่ แต่มาเพื่อปกป้องเด็ก

    การตี ไม่ใช่การสอนอีกต่อไป... และลูกก็สมควรได้รับการอบรม อย่างมีศักดิ์ศรี ❤️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 252012 มี.ค. 2568

    📲 #ห้ามตีลูก #กฎหมายใหม่2568 #การเลี้ยงลูกเชิงบวก #สิทธิเด็กไทย #ราชกิจจานุเบกษา #ครอบครัวไทย #ตีไม่ใช่สอน #เลี้ยงลูกอย่างเข้าใจ #จิตวิทยาเด็ก #พ่อแม่ยุคใหม่
    👨‍👩‍👧‍👦 การตีไม่ใช่การสอน: เจาะลึก พ.ร.บ.ใหม่ ห้ามทารุณกรรมบุตร พ.ศ. 2568 เมื่อกฎหมายบอกว่า "พ่อแม่ตีลูกไม่ได้": ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของครอบครัวไทย 📌 เจาะลึกถึงกฎหมายใหม่ห้ามตีลูก พ.ศ. 2568 ซึ่งระบุชัดเจนว่า การทำโทษต้องไม่เป็นการทารุณกรรม หรือรุนแรงทั้งร่างกายและจิตใจ แนวทางการปรับทัศนคติพ่อแม่ สู่การเลี้ยงดูเชิงบวก ✨ จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ในสังคมไทยที่ผ่านมา คำว่า "ไม้เรียวคือรัก" หรือ "ตีเพราะรัก" เป็นสิ่งที่หลายครอบครัว เติบโตมาพร้อมกับแนวคิดนี้ แต่ปัจจุบัน เมื่อสังคมเปลี่ยน โลกเปลี่ยน และองค์ความรู้ด้านจิตวิทยาเด็ก พัฒนาไปมากขึ้น ก็เริ่มมีคำถามว่า... 👉 “การตีลูก = การอบรมจริงหรือ?” และแล้ว... คำตอบจากรัฐ ก็มาในรูปแบบของ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2568 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป 🗓️ 📖 พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือการแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 (2) ซึ่งแต่เดิมเคยระบุว่า ผู้ใช้อำนาจปกครอง พ่อแม่ หรือผู้ปกครอง สามารถทำโทษบุตร เพื่ออบรมสั่งสอนได้ตามสมควร แต่ในฉบับใหม่ ปี 2568 นี้ ระบุเพิ่มเติมไว้อย่างชัดเจนว่า 👇 “ทำโทษบุตรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน หรือปรับพฤติกรรม โดยต้องไม่เป็นการกระทำทารุณกรรม หรือทำร้ายด้วยความรุนแรงต่อร่างกาย หรือจิตใจ หรือกระทำโดยมิชอบ” 📌 สรุปคือ พ่อแม่ ยังสามารถอบรมลูกได้ แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรง หรือการกระทำที่เป็นอันตราย ทั้งทางกายและจิตใจ ❓ ทำไมถึงต้องออกกฎหมายนี้? สาเหตุหลัก ๆ ของการออกกฎหมายนี้ มาจากหลายปัจจัยรวมกัน เช่น 📉 ผลกระทบทางจิตใจ เด็กที่ถูกตีบ่อย มีแนวโน้มจะขาดความมั่นใจ เกิดบาดแผลทางใจเรื้อรัง 😢 การใช้ความรุนแรง แฝงรูปแบบการทารุณกรรม ที่ซ่อนอยู่ภายใต้คำว่า "การสั่งสอน" 🤝 ความรับผิดชอบของรัฐไทย ในฐานะภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (UNCRC) ที่ต้องปกป้องสิทธิเด็ กจากความรุนแรงทุกรูปแบบ 🔄 การพัฒนาแนวทางเลี้ยงดูเชิงบวก (Positive Parenting) ที่เริ่มเป็นมาตรฐานสากล ⚖️ หัวใจสำคัญของกฎหมาย “ตีลูกไม่ได้” หมายถึงอะไร หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า กฎหมายนี้ ห้ามไม่ให้พ่อแม่อบรมลูกเลย ❌ แต่ในความจริงแล้ว... 👉 "การสั่งสอนลูกยังทำได้" แต่ต้องเป็นการสั่งสอน ที่ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ดูถูก หรือทำให้ลูกเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ ตัวอย่างของพฤติกรรมที่ “ผิด” ตามกฎหมายใหม่ - ตีด้วยของแข็ง เช่น ไม้แข็ง, สายไฟ - ดุด่าด้วยคำรุนแรง หรือดูถูก - บังคับให้ลูกกลัว หรือรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า - ทำโทษด้วยวิธีที่ขัดกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ 💔 ทัศนคติแบบเดิม ความเข้าใจผิดที่ส่งผลเสีย “ลูกโดนตีตอนเด็ก โตขึ้นมาถึงรู้จักผิดชอบชั่วดี” ประโยคนี้คือความเข้าใจผิด ที่ฝังรากลึกในหลายครอบครัว 😓 แต่ข้อมูลจากจิตแพทย์เด็ก และองค์กรเพื่อสิทธิเด็กทั่วโลก ชี้ว่า... เด็กที่เติบโตในครอบครัว ที่ใช้ความรุนแรง มักจะมีแนวโน้ม ถ่ายทอดความรุนแรงนั้นต่อไป นั่นคือวงจรของ “ความรุนแรงในครอบครัว” ที่ไม่เคยสิ้นสุด 💢 กฎหมายใหม่นี้จึงไม่ได้มาเพื่อ "ลงโทษพ่อแม่" แต่เพื่อหยุดวงจรของความรุนแรงตั้งแต่ต้นทาง 🌈 การเลี้ยงลูกเชิงบวก แนวคิดนี้เรียกว่า Positive Discipline หรือ Positive Parenting เป็นการสั่งสอนลูกโดยใช้ความเข้าใจ ความรัก และเหตุผล มากกว่าความกลัวหรือการบังคับ หลักการสำคัญ มีดังนี้ - สร้างวินัยด้วยข้อตกลง ไม่ใช่การขู่เข็ญ - สอนให้ลูกรับผิดชอบ ไม่ใช่รู้สึกผิด - ใช้ “ผลลัพธ์ตามธรรมชาติ” แทน “การลงโทษ” ตัวอย่าง แทนที่จะตีลูกที่ไม่ยอมทำการบ้าน → อธิบายผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น เช่น คะแนนไม่ดี หรือไม่มีเวลาเล่น 🛠️ วิธีอบรมลูกโดยไม่ใช้ความรุนแรง - ใช้เวลาฟังลูกมากขึ้น 👂 ให้ลูกพูดสิ่งที่รู้สึกหรือคิด โดยไม่ตัดสิน - สร้างกฎร่วมกันในบ้าน 📜 เด็กจะเชื่อฟังมากขึ้น ถ้ารู้สึกว่าเขามีส่วนร่วม - สอนด้วยเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ 💬 เวลาลูกทำผิด ให้ถาม-ตอบ ชวนคิดถึงผลกระทบ - เสริมแรงทางบวก 🌟 ชมลูกเมื่อทำสิ่งที่ดี แทนที่จะเน้นเฉพาะเวลาทำผิด - เป็นแบบอย่างที่ดี 👨‍👩‍👧 เด็กเรียนรู้พฤติกรรม จากการสังเกตพ่อแม่ 📣 เสียงสะท้อนจากสังคมไทย หลังการประกาศกฎหมายฉบับนี้ มีทั้งเสียงเห็นด้วย และเสียงที่ยัง “ไม่เข้าใจ” เสียงเห็นด้วย “กฎหมายนี้ช่วยให้พ่อแม่ หันมาสนใจพัฒนาวิธีสื่อสารกับลูกมากขึ้น ไม่ใช้แต่กำลัง” 🙌 เสียงคัดค้าน “กลัวว่าเด็กจะไม่กลัว ไม่เชื่อฟัง ถ้าพ่อแม่ไม่มีสิทธิ์ทำโทษ” สิ่งสำคัญคือ การสร้างความเข้าใจใหม่ว่า 👉 การสร้างวินัย ไม่เท่ากับการใช้กำลัง 🧠 พ่อแม่ต้องเตรียมตัวอย่างไร? - เรียนรู้เรื่อง จิตวิทยาพัฒนาการเด็ก - เข้าอบรมเรื่อง การเลี้ยงลูกเชิงบวก ที่หลายหน่วยงานจัดขึ้น - พูดคุยแลกเปลี่ยนกับครอบครัวอื่น ๆ เพื่อหาแนวทางใหม่ - ตระหนักว่า “ความรุนแรง” ไม่ได้ช่วยให้ลูกดีขึ้น แต่ ทำให้ห่างกันมากขึ้น ❓ คำถามที่พบบ่อย (FAQs) Q1 ถ้าแค่ตีเบา ๆ ยังผิดกฎหมายไหม? A ถ้าการตีทำให้เด็กเจ็บทั้งกายหรือใจ หรือทำด้วยอารมณ์ ไม่ถือว่าเบา และอาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย Q2 แล้วจะอบรมลูกที่ดื้อยังไงดี? A ใช้หลักการ "พูด-ฟัง-เข้าใจ" และเสริมแรงทางบวก เช่น ให้รางวัลเมื่อทำดี Q3 ถ้าลูกก้าวร้าวก่อน พ่อแม่ต้องทำยังไง? A หลีกเลี่ยงการตอบโต้ ใช้วิธีตั้งสติ พูดคุยหลังเหตุการณ์สงบลง Q4 จะรู้ได้ยังไง ว่าเราทำผิดตามกฎหมายหรือไม่? A หากมีการทำโทษที่รุนแรง หรือทำให้เด็กรู้สึกด้อยค่า อาจเข้าข่ายผิด Q5 กฎหมายนี้ใช้กับครู หรือเฉพาะพ่อแม่? A แม้จะเน้นที่ผู้ปกครอง แต่หลักการเดียวกัน ควรใช้กับผู้ใหญ่ทุกคนที่ดูแลเด็ก Q6 ถ้ารู้ว่ามีคนใช้ความรุนแรงกับเด็ก จะทำอย่างไร? A แจ้งสำนักงานพัฒนาสังคม หรือมูลนิธิเพื่อเด็ก เช่น มูลนิธิเด็ก หรือสายด่วน 1300 📌 การเลี้ยงลูกในยุคใหม่ ต้องอาศัยทั้งความรัก ความเข้าใจ และการเรียนรู้ พระราชบัญญัติฉบับนี้ ไม่ได้มาเพื่อควบคุมพ่อแม่ แต่มาเพื่อปกป้องเด็ก การตี ไม่ใช่การสอนอีกต่อไป... และลูกก็สมควรได้รับการอบรม อย่างมีศักดิ์ศรี ❤️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 252012 มี.ค. 2568 📲 #ห้ามตีลูก #กฎหมายใหม่2568 #การเลี้ยงลูกเชิงบวก #สิทธิเด็กไทย #ราชกิจจานุเบกษา #ครอบครัวไทย #ตีไม่ใช่สอน #เลี้ยงลูกอย่างเข้าใจ #จิตวิทยาเด็ก #พ่อแม่ยุคใหม่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 334 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซอฟต์แวร์ตัดต่อภาพที่ดีที่สุดในปี 2025 โดยมีการทดสอบและรีวิวอย่างละเอียดเพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานเลือกซอฟต์แวร์ที่เหมาะสมที่สุด ทั้งสำหรับมืออาชีพและผู้เริ่มต้น บทความกล่าวถึงข้อดี ข้อเสีย ราคา และจุดเด่นของแต่ละโปรแกรม

    ==มาตรฐานสูงสุดของการตัดต่อภาพ==
    Adobe Photoshop Adobe Photoshop ยังคงครองตำแหน่งซอฟต์แวร์ที่ดีที่สุดในตลาด ด้วยเครื่องมือที่หลากหลาย เช่น การปรับสี การครอบตัดภาพ และการลบวัตถุออกจากภาพ Photoshop ยังเพิ่มฟีเจอร์ใหม่อย่างการลบวัตถุที่ไม่ต้องการและการสร้างพื้นหลังอัตโนมัติ ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือการสมัครสมาชิกที่มีราคาเริ่มต้น $23 ต่อเดือน

    ==การจัดการภาพจำนวนมากอย่างมีประสิทธิภาพ==
    Adobe Lightroom Lightroom โดดเด่นด้วยเครื่องมือที่ช่วยลดเวลาในการแก้ไขภาพจำนวนมาก เช่น การปรับแสงและสีแบบแบช (Batch Editing) และฟีเจอร์คลาวด์ที่ทำให้การจัดการไฟล์สะดวกสบายยิ่งขึ้น ค่าสมัครเริ่มต้นที่ $12 ต่อเดือน

    ==ตัวเลือกแบบซื้อครั้งเดียว==
    Affinity Photo 2 หากคุณเบื่อการจ่ายค่าสมาชิก Affinity Photo 2 เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม ด้วยราคา $70 และคุณสมบัติครบครัน เช่น การแต่งภาพ การลบวัตถุ และการปรับแต่งเลเยอร์

    ==การใช้ AI เพื่อการแต่งภาพ==
    Skylum Luminar NEO ซอฟต์แวร์นี้เน้นใช้ AI เป็นหลัก ช่วยปรับแต่งภาพให้ง่ายขึ้น ผ่านเครื่องมืออย่างการปรับสีและความชัดโดยใช้เพียงไม่กี่คลิก ราคาเริ่มต้นที่ $69 ต่อปี

    ==ฟรีและเปิดโอเพ่นซอร์ส==
    GIMP สำหรับคนที่ไม่อยากเสียค่าใช้จ่าย GIMP เป็นตัวเลือกที่ดี ด้วยความสามารถในการแต่งภาพหลากหลายรูปแบบ แม้จะมีข้อเสียคืออินเทอร์เฟซที่อาจต้องใช้เวลาศึกษา

    ==สำหรับงานศิลปะ==
    Procreate ถ้าคุณชอบการแต่งภาพที่แฝงด้วยงานศิลปะ Procreate อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะที่สุด มีราคาที่เป็นมิตรเพียง $13 และเหมาะกับ iPad เท่านั้น

    การเลือกซอฟต์แวร์ตัดต่อภาพที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับงบประมาณ ความต้องการ และความชำนาญของแต่ละคนครับ หากเพิ่งเริ่มต้น โปรแกรมฟรีหรือราคาย่อมเยาอาจเพียงพอ แต่สำหรับมืออาชีพ Adobe ยังคงเป็นตัวเลือกที่ครองใจหลายคน

    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Link ข้างล่างเลยครับ
    https://www.zdnet.com/home-and-office/smart-office/best-photo-editing-software/
    ซอฟต์แวร์ตัดต่อภาพที่ดีที่สุดในปี 2025 โดยมีการทดสอบและรีวิวอย่างละเอียดเพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานเลือกซอฟต์แวร์ที่เหมาะสมที่สุด ทั้งสำหรับมืออาชีพและผู้เริ่มต้น บทความกล่าวถึงข้อดี ข้อเสีย ราคา และจุดเด่นของแต่ละโปรแกรม ==มาตรฐานสูงสุดของการตัดต่อภาพ== Adobe Photoshop Adobe Photoshop ยังคงครองตำแหน่งซอฟต์แวร์ที่ดีที่สุดในตลาด ด้วยเครื่องมือที่หลากหลาย เช่น การปรับสี การครอบตัดภาพ และการลบวัตถุออกจากภาพ Photoshop ยังเพิ่มฟีเจอร์ใหม่อย่างการลบวัตถุที่ไม่ต้องการและการสร้างพื้นหลังอัตโนมัติ ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือการสมัครสมาชิกที่มีราคาเริ่มต้น $23 ต่อเดือน ==การจัดการภาพจำนวนมากอย่างมีประสิทธิภาพ== Adobe Lightroom Lightroom โดดเด่นด้วยเครื่องมือที่ช่วยลดเวลาในการแก้ไขภาพจำนวนมาก เช่น การปรับแสงและสีแบบแบช (Batch Editing) และฟีเจอร์คลาวด์ที่ทำให้การจัดการไฟล์สะดวกสบายยิ่งขึ้น ค่าสมัครเริ่มต้นที่ $12 ต่อเดือน ==ตัวเลือกแบบซื้อครั้งเดียว== Affinity Photo 2 หากคุณเบื่อการจ่ายค่าสมาชิก Affinity Photo 2 เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม ด้วยราคา $70 และคุณสมบัติครบครัน เช่น การแต่งภาพ การลบวัตถุ และการปรับแต่งเลเยอร์ ==การใช้ AI เพื่อการแต่งภาพ== Skylum Luminar NEO ซอฟต์แวร์นี้เน้นใช้ AI เป็นหลัก ช่วยปรับแต่งภาพให้ง่ายขึ้น ผ่านเครื่องมืออย่างการปรับสีและความชัดโดยใช้เพียงไม่กี่คลิก ราคาเริ่มต้นที่ $69 ต่อปี ==ฟรีและเปิดโอเพ่นซอร์ส== GIMP สำหรับคนที่ไม่อยากเสียค่าใช้จ่าย GIMP เป็นตัวเลือกที่ดี ด้วยความสามารถในการแต่งภาพหลากหลายรูปแบบ แม้จะมีข้อเสียคืออินเทอร์เฟซที่อาจต้องใช้เวลาศึกษา ==สำหรับงานศิลปะ== Procreate ถ้าคุณชอบการแต่งภาพที่แฝงด้วยงานศิลปะ Procreate อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะที่สุด มีราคาที่เป็นมิตรเพียง $13 และเหมาะกับ iPad เท่านั้น การเลือกซอฟต์แวร์ตัดต่อภาพที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับงบประมาณ ความต้องการ และความชำนาญของแต่ละคนครับ หากเพิ่งเริ่มต้น โปรแกรมฟรีหรือราคาย่อมเยาอาจเพียงพอ แต่สำหรับมืออาชีพ Adobe ยังคงเป็นตัวเลือกที่ครองใจหลายคน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Link ข้างล่างเลยครับ https://www.zdnet.com/home-and-office/smart-office/best-photo-editing-software/
    WWW.ZDNET.COM
    The best photo editing software of 2025: Expert tested and reviewed
    The best photo editing software in the market will streamline your workflow, offer creative tools, and bring the best out of your images. These are ZDNET's recommendations.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • "รัชนก" จวก “วันนอร์” ไม่เป็นกลาง ทำมาตรฐานสภาตกต่ำ ก่อนสะบัดหน้าเดินออกห้องประชุม เพราะถูกปิดไมค์ห้ามพูด ”วันนอร์“ ยันทำหน้าที่เป็นกลาง และต้องร่วมรับผิดชอบกับสส. ลั่นไม่ใช่นั่งเป็นหัวหลักหัวตอได้

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000028088
    "รัชนก" จวก “วันนอร์” ไม่เป็นกลาง ทำมาตรฐานสภาตกต่ำ ก่อนสะบัดหน้าเดินออกห้องประชุม เพราะถูกปิดไมค์ห้ามพูด ”วันนอร์“ ยันทำหน้าที่เป็นกลาง และต้องร่วมรับผิดชอบกับสส. ลั่นไม่ใช่นั่งเป็นหัวหลักหัวตอได้ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000028088
    Haha
    Like
    7
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 597 มุมมอง 0 รีวิว
  • กรมที่ดิน โต้ทันควันยืนยัน "แพทองธาร" ไม่ได้แทรกแซงเพิกถอนที่ดินธรณีสงฆ์ ปมถือหุ้นสนามกอล์ฟอัลไพน์ ป้องดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายและไม่มีการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ

    วันนี้ (24 มี.ค. 68) หลังจาก พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อภิปรายไม่วางไว้ใจ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยหนึ่งในประเด็นที่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ อภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นประเด็น นายกฯ ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) และ (5) ไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ทำนิติกรรมอำพราง ยื่นบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จเพื่อเลี่ยงภาษี อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ยังไม่นับการถือหุ้นอัลไพน์กอล์ฟ ทั้งที่รู้ว่าเป็นที่ดินธรณีสงฆ์ ไม่ควรแสวงประโยชน์ในทางที่ผิด นอกจากนั้น ปล่อยปละให้บุคคลในครอบครัวมากระทำให้เกิดผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่

    ล่าสุด กรมที่ดิน ได้โพสต์ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กว่า กระทรวงมหาดไทย โดยกรมที่ดิน ในฐานะหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ชี้แจง! นายกฯ ไม่ได้แทรกแซงเกี่ยวกับการเพิกถอนที่ดินธรณีสงฆ์ตามที่มีการอภิปรายในประเด็นเกี่ยวกับการถือหุ้นของนายกรัฐมนตรีในบริษัท อัลไพน์ฯ ซึ่งถูกกล่าวอ้างว่าเป็นการขาดความสุจริตเป็นที่ประจักษ์ เนื่องจากมีการถือครองที่ดินที่เป็นที่ธรณีสงฆ์นั้น กรมที่ดินขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ดังนี้

    “การถือหุ้นในบริษัท อัลไพน์ฯ นายกรัฐมนตรีได้รับโอนหุ้นของบริษัท อัลไพน์ฯ มาจากผู้ถือหุ้นเดิมก่อนเข้ารับตำแหน่ง โดยการโอนดังกล่าวเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมายและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดินแต่อย่างใดซึ่งสถานะทางกฎหมายของที่ดิน ณ ขณะนั้นเมื่อมีการรับโอนหุ้นดังกล่าว สถานะของที่ดินที่เป็นประเด็นยังไม่ถูกเพิกถอน และยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาทางกฎหมาย การเพิกถอนที่ดินให้กลับเป็นที่ธรณีสงฆ์หลังจากนายกรัฐมนตรีเข้ารับตำแหน่ง มิได้มีการสั่งการหรือกระทำการใด ๆ ที่เป็นการแทรกแซงหรือชะลอการเพิกถอนที่ดินดังกล่าว ตรงกันข้าม กระบวนการเพิกถอนที่ดินให้กลับเป็นที่ธรณีสงฆ์ได้ดำเนินการอย่างรวดเร็วภายใต้การดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี แสดงให้เห็นว่าการดำเนินการเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายและไม่มีการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ”

    #MGROnline #กรมที่ดิน
    กรมที่ดิน โต้ทันควันยืนยัน "แพทองธาร" ไม่ได้แทรกแซงเพิกถอนที่ดินธรณีสงฆ์ ปมถือหุ้นสนามกอล์ฟอัลไพน์ ป้องดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายและไม่มีการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ • วันนี้ (24 มี.ค. 68) หลังจาก พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อภิปรายไม่วางไว้ใจ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยหนึ่งในประเด็นที่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ อภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นประเด็น นายกฯ ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) และ (5) ไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ทำนิติกรรมอำพราง ยื่นบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จเพื่อเลี่ยงภาษี อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ยังไม่นับการถือหุ้นอัลไพน์กอล์ฟ ทั้งที่รู้ว่าเป็นที่ดินธรณีสงฆ์ ไม่ควรแสวงประโยชน์ในทางที่ผิด นอกจากนั้น ปล่อยปละให้บุคคลในครอบครัวมากระทำให้เกิดผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ • ล่าสุด กรมที่ดิน ได้โพสต์ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กว่า กระทรวงมหาดไทย โดยกรมที่ดิน ในฐานะหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ชี้แจง! นายกฯ ไม่ได้แทรกแซงเกี่ยวกับการเพิกถอนที่ดินธรณีสงฆ์ตามที่มีการอภิปรายในประเด็นเกี่ยวกับการถือหุ้นของนายกรัฐมนตรีในบริษัท อัลไพน์ฯ ซึ่งถูกกล่าวอ้างว่าเป็นการขาดความสุจริตเป็นที่ประจักษ์ เนื่องจากมีการถือครองที่ดินที่เป็นที่ธรณีสงฆ์นั้น กรมที่ดินขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ดังนี้ • “การถือหุ้นในบริษัท อัลไพน์ฯ นายกรัฐมนตรีได้รับโอนหุ้นของบริษัท อัลไพน์ฯ มาจากผู้ถือหุ้นเดิมก่อนเข้ารับตำแหน่ง โดยการโอนดังกล่าวเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมายและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดินแต่อย่างใดซึ่งสถานะทางกฎหมายของที่ดิน ณ ขณะนั้นเมื่อมีการรับโอนหุ้นดังกล่าว สถานะของที่ดินที่เป็นประเด็นยังไม่ถูกเพิกถอน และยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาทางกฎหมาย การเพิกถอนที่ดินให้กลับเป็นที่ธรณีสงฆ์หลังจากนายกรัฐมนตรีเข้ารับตำแหน่ง มิได้มีการสั่งการหรือกระทำการใด ๆ ที่เป็นการแทรกแซงหรือชะลอการเพิกถอนที่ดินดังกล่าว ตรงกันข้าม กระบวนการเพิกถอนที่ดินให้กลับเป็นที่ธรณีสงฆ์ได้ดำเนินการอย่างรวดเร็วภายใต้การดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี แสดงให้เห็นว่าการดำเนินการเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายและไม่มีการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ” • #MGROnline #กรมที่ดิน
    Angry
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 340 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts