• รองหัวหน้าไทยก้าวใหม่เน้นปฏิบัติจริง ชู "Mobile STEMLAB" พลิกโฉมการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยีในโรงเรียนห่างไกล
    https://www.thai-tai.tv/news/22191/
    .
    #ไทยไท #MobileSTEMLAB #ไทยก้าวใหม่ #วราวิชกำภูณอยุธยา #ลดความเหลื่อมล้ำ #การศึกษา
    รองหัวหน้าไทยก้าวใหม่เน้นปฏิบัติจริง ชู "Mobile STEMLAB" พลิกโฉมการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยีในโรงเรียนห่างไกล https://www.thai-tai.tv/news/22191/ . #ไทยไท #MobileSTEMLAB #ไทยก้าวใหม่ #วราวิชกำภูณอยุธยา #ลดความเหลื่อมล้ำ #การศึกษา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 23 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำพลังงานลมแห่งแรกของโลก!

    จีนสร้างศูนย์ข้อมูลใต้ทะเลลึก 35 เมตรนอกชายฝั่งเซี่ยงไฮ้ ใช้พลังงานลมและน้ำทะเลในการระบายความร้อน ตั้งเป้าเป็นต้นแบบโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่ประหยัดพลังงานและลดการใช้พื้นที่บนบก

    ในยุคที่ข้อมูลคือทุกสิ่ง จีนได้เปิดตัวโครงการที่พลิกโฉมวงการไอที: ศูนย์ข้อมูลใต้น้ำพลังงานลมแห่งแรกของโลก ตั้งอยู่ในพื้นที่พิเศษ Lin-gang ทางตอนใต้ของเซี่ยงไฮ้ โครงการนี้มีมูลค่ากว่า 226 ล้านดอลลาร์ และมีเป้าหมายสร้างศูนย์ข้อมูลขนาด 24 เมกะวัตต์ โดยเริ่มต้นแล้วที่ 2.3 เมกะวัตต์

    แนวคิดเบื้องหลังนั้นเรียบง่ายแต่ทรงพลัง: นำเซิร์ฟเวอร์ใส่แคปซูลกันน้ำ วางไว้ใต้ทะเล แล้วปล่อยให้ธรรมชาติช่วยระบายความร้อน ด้วยการใช้พลังงานลมจากทะเลและน้ำทะเลแทนเครื่องทำความเย็นแบบเดิม ทำให้ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (PUE) ต่ำกว่า 1.15 ซึ่งดีกว่าค่าเฉลี่ยของศูนย์ข้อมูลบนบก

    โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มรัฐวิสาหกิจจีนหลายแห่ง และมีแผนขยายเป็นเวอร์ชัน 500 เมกะวัตต์ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่: การซ่อมแซมหรืออัปเกรดฮาร์ดแวร์ในแคปซูลที่มีแรงดันสูงนั้นทั้งแพงและใช้เวลานาน

    แม้ Microsoft เคยทดลองแนวคิดคล้ายกันในโครงการ Natick แต่ก็ยุติไปเพราะต้นทุนและการบำรุงรักษาไม่คุ้มค่า จีนจึงต้องพิสูจน์ว่าแนวทางนี้จะยั่งยืนได้จริงในเชิงพาณิชย์

    จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำพลังงานลมแห่งแรกของโลก
    ตั้งอยู่ในพื้นที่ Lin-gang ใกล้เซี่ยงไฮ้
    ลึก 35 เมตรใต้ทะเล ใช้แคปซูลเหล็กเคลือบกันสนิม
    ใช้พลังงานลม 95% และน้ำทะเลในการระบายความร้อน
    PUE ต่ำกว่า 1.15 ดีกว่าค่ามาตรฐานของจีนที่ 1.25

    เป้าหมายและการขยายในอนาคต
    เริ่มต้นที่ 2.3 เมกะวัตต์ ตั้งเป้า 24 เมกะวัตต์
    มีแผนขยายเป็น 500 เมกะวัตต์ในพื้นที่นอกชายฝั่ง

    เทียบกับโครงการ Natick ของ Microsoft
    Natick มีความน่าเชื่อถือสูงถึง 8 เท่า แต่ไม่คุ้มทุน
    ถูกยุติและนำข้อมูลไปใช้ใน Azure

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cnina-deploys-wind-powered-underwater-data-center
    🌊⚡ จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำพลังงานลมแห่งแรกของโลก! จีนสร้างศูนย์ข้อมูลใต้ทะเลลึก 35 เมตรนอกชายฝั่งเซี่ยงไฮ้ ใช้พลังงานลมและน้ำทะเลในการระบายความร้อน ตั้งเป้าเป็นต้นแบบโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่ประหยัดพลังงานและลดการใช้พื้นที่บนบก ในยุคที่ข้อมูลคือทุกสิ่ง จีนได้เปิดตัวโครงการที่พลิกโฉมวงการไอที: ศูนย์ข้อมูลใต้น้ำพลังงานลมแห่งแรกของโลก ตั้งอยู่ในพื้นที่พิเศษ Lin-gang ทางตอนใต้ของเซี่ยงไฮ้ โครงการนี้มีมูลค่ากว่า 226 ล้านดอลลาร์ และมีเป้าหมายสร้างศูนย์ข้อมูลขนาด 24 เมกะวัตต์ โดยเริ่มต้นแล้วที่ 2.3 เมกะวัตต์ แนวคิดเบื้องหลังนั้นเรียบง่ายแต่ทรงพลัง: นำเซิร์ฟเวอร์ใส่แคปซูลกันน้ำ วางไว้ใต้ทะเล แล้วปล่อยให้ธรรมชาติช่วยระบายความร้อน ด้วยการใช้พลังงานลมจากทะเลและน้ำทะเลแทนเครื่องทำความเย็นแบบเดิม ทำให้ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (PUE) ต่ำกว่า 1.15 ซึ่งดีกว่าค่าเฉลี่ยของศูนย์ข้อมูลบนบก โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มรัฐวิสาหกิจจีนหลายแห่ง และมีแผนขยายเป็นเวอร์ชัน 500 เมกะวัตต์ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่: การซ่อมแซมหรืออัปเกรดฮาร์ดแวร์ในแคปซูลที่มีแรงดันสูงนั้นทั้งแพงและใช้เวลานาน แม้ Microsoft เคยทดลองแนวคิดคล้ายกันในโครงการ Natick แต่ก็ยุติไปเพราะต้นทุนและการบำรุงรักษาไม่คุ้มค่า จีนจึงต้องพิสูจน์ว่าแนวทางนี้จะยั่งยืนได้จริงในเชิงพาณิชย์ ✅ จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำพลังงานลมแห่งแรกของโลก ➡️ ตั้งอยู่ในพื้นที่ Lin-gang ใกล้เซี่ยงไฮ้ ➡️ ลึก 35 เมตรใต้ทะเล ใช้แคปซูลเหล็กเคลือบกันสนิม ➡️ ใช้พลังงานลม 95% และน้ำทะเลในการระบายความร้อน ➡️ PUE ต่ำกว่า 1.15 ดีกว่าค่ามาตรฐานของจีนที่ 1.25 ✅ เป้าหมายและการขยายในอนาคต ➡️ เริ่มต้นที่ 2.3 เมกะวัตต์ ตั้งเป้า 24 เมกะวัตต์ ➡️ มีแผนขยายเป็น 500 เมกะวัตต์ในพื้นที่นอกชายฝั่ง ✅ เทียบกับโครงการ Natick ของ Microsoft ➡️ Natick มีความน่าเชื่อถือสูงถึง 8 เท่า แต่ไม่คุ้มทุน ➡️ ถูกยุติและนำข้อมูลไปใช้ใน Azure https://www.tomshardware.com/tech-industry/cnina-deploys-wind-powered-underwater-data-center
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • OpenAI จับมือ Juilliard สร้างเครื่องมือ AI แต่งเพลงจากข้อความ — เตรียมพลิกโฉมวงการดนตรี

    OpenAI กำลังพัฒนาเครื่องมือสร้างเพลงด้วย AI ที่สามารถแต่งเพลงจากข้อความหรือเสียง โดยร่วมมือกับนักเรียนจาก Juilliard School เพื่อฝึกโมเดลด้วยข้อมูลระดับมืออาชีพ เป้าหมายคือการสร้างเพลงคุณภาพสูงจากคำอธิบายง่าย ๆ เช่น “อยากได้เพลงเศร้าแบบเปียโน” หรือ “จังหวะสนุกสไตล์เร็กเก้”

    OpenAI เคยทดลองสร้างเพลงด้วย AI มาแล้วในโปรเจกต์ MuseNet และ Jukebox แต่ครั้งนี้กลับมาใหม่ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำกว่าเดิม โดยใช้โมเดลมัลติโหมดที่สามารถรับคำสั่งเป็นข้อความหรือเสียง แล้วสร้างเพลงที่ตรงกับอารมณ์และสไตล์ที่ผู้ใช้ต้องการ

    เพื่อให้โมเดลเรียนรู้ได้อย่างแม่นยำ OpenAI ได้ร่วมมือกับนักเรียนจาก Juilliard ซึ่งเป็นโรงเรียนดนตรีระดับโลก โดยให้นักเรียนช่วย “annotate” หรือใส่คำอธิบายให้กับโน้ตเพลง เพื่อให้ AI เข้าใจโครงสร้างดนตรี เครื่องดนตรี และอารมณ์ของแต่ละท่อน

    เครื่องมือนี้อาจถูกนำไปใช้ในหลายรูปแบบ เช่น:
    สร้างเพลงประกอบวิดีโอ YouTube หรือโฆษณา
    เติมเสียงดนตรีให้กับเสียงร้องที่มีอยู่แล้ว
    สร้างเพลงประกอบเกมหรือพอดแคสต์แบบอัตโนมัติ

    แม้ยังไม่มีวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าเครื่องมือนี้อาจถูกผนวกเข้ากับ ChatGPT หรือ Sora ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสร้างวิดีโอของ OpenAI

    จุดเด่นของเครื่องมือ AI สร้างเพลง
    สร้างเพลงจากข้อความหรือเสียงได้โดยตรง
    รองรับการกำหนดอารมณ์ จังหวะ และสไตล์
    ใช้ข้อมูลจาก Juilliard เพื่อฝึกโมเดลให้เข้าใจดนตรีระดับมืออาชีพ

    ความร่วมมือกับ Juilliard
    นักเรียนช่วยใส่คำอธิบายให้โน้ตเพลงเพื่อฝึก AI
    เพิ่มความแม่นยำในการเข้าใจโครงสร้างและอารมณ์ของเพลง
    ผสานความรู้ดนตรีคลาสสิกกับเทคโนโลยีล้ำสมัย

    การใช้งานที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
    สร้างเพลงประกอบวิดีโอ โฆษณา หรือเกม
    เติมเสียงดนตรีให้กับเสียงร้องที่มีอยู่
    สร้างเพลงแบบอัตโนมัติสำหรับครีเอเตอร์อิสระ

    คำเตือนเกี่ยวกับ AI ดนตรี
    อาจเกิดปัญหาลิขสิทธิ์หาก AI เลียนแบบเพลงที่มีอยู่
    ศิลปินบางคนกังวลว่า AI อาจลดคุณค่าของงานสร้างสรรค์
    มีกรณีที่ผู้ไม่หวังดีใช้ AI สร้างเพลงปลอมเพื่อหารายได้จากสตรีมมิ่ง

    https://securityonline.info/openai-is-developing-an-ai-music-generator-with-help-from-juilliard/
    🎼 OpenAI จับมือ Juilliard สร้างเครื่องมือ AI แต่งเพลงจากข้อความ — เตรียมพลิกโฉมวงการดนตรี OpenAI กำลังพัฒนาเครื่องมือสร้างเพลงด้วย AI ที่สามารถแต่งเพลงจากข้อความหรือเสียง โดยร่วมมือกับนักเรียนจาก Juilliard School เพื่อฝึกโมเดลด้วยข้อมูลระดับมืออาชีพ เป้าหมายคือการสร้างเพลงคุณภาพสูงจากคำอธิบายง่าย ๆ เช่น “อยากได้เพลงเศร้าแบบเปียโน” หรือ “จังหวะสนุกสไตล์เร็กเก้” OpenAI เคยทดลองสร้างเพลงด้วย AI มาแล้วในโปรเจกต์ MuseNet และ Jukebox แต่ครั้งนี้กลับมาใหม่ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำกว่าเดิม โดยใช้โมเดลมัลติโหมดที่สามารถรับคำสั่งเป็นข้อความหรือเสียง แล้วสร้างเพลงที่ตรงกับอารมณ์และสไตล์ที่ผู้ใช้ต้องการ เพื่อให้โมเดลเรียนรู้ได้อย่างแม่นยำ OpenAI ได้ร่วมมือกับนักเรียนจาก Juilliard ซึ่งเป็นโรงเรียนดนตรีระดับโลก โดยให้นักเรียนช่วย “annotate” หรือใส่คำอธิบายให้กับโน้ตเพลง เพื่อให้ AI เข้าใจโครงสร้างดนตรี เครื่องดนตรี และอารมณ์ของแต่ละท่อน เครื่องมือนี้อาจถูกนำไปใช้ในหลายรูปแบบ เช่น: 🎵 สร้างเพลงประกอบวิดีโอ YouTube หรือโฆษณา 🎵 เติมเสียงดนตรีให้กับเสียงร้องที่มีอยู่แล้ว 🎵 สร้างเพลงประกอบเกมหรือพอดแคสต์แบบอัตโนมัติ แม้ยังไม่มีวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าเครื่องมือนี้อาจถูกผนวกเข้ากับ ChatGPT หรือ Sora ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสร้างวิดีโอของ OpenAI ✅ จุดเด่นของเครื่องมือ AI สร้างเพลง ➡️ สร้างเพลงจากข้อความหรือเสียงได้โดยตรง ➡️ รองรับการกำหนดอารมณ์ จังหวะ และสไตล์ ➡️ ใช้ข้อมูลจาก Juilliard เพื่อฝึกโมเดลให้เข้าใจดนตรีระดับมืออาชีพ ✅ ความร่วมมือกับ Juilliard ➡️ นักเรียนช่วยใส่คำอธิบายให้โน้ตเพลงเพื่อฝึก AI ➡️ เพิ่มความแม่นยำในการเข้าใจโครงสร้างและอารมณ์ของเพลง ➡️ ผสานความรู้ดนตรีคลาสสิกกับเทคโนโลยีล้ำสมัย ✅ การใช้งานที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ➡️ สร้างเพลงประกอบวิดีโอ โฆษณา หรือเกม ➡️ เติมเสียงดนตรีให้กับเสียงร้องที่มีอยู่ ➡️ สร้างเพลงแบบอัตโนมัติสำหรับครีเอเตอร์อิสระ ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับ AI ดนตรี ⛔ อาจเกิดปัญหาลิขสิทธิ์หาก AI เลียนแบบเพลงที่มีอยู่ ⛔ ศิลปินบางคนกังวลว่า AI อาจลดคุณค่าของงานสร้างสรรค์ ⛔ มีกรณีที่ผู้ไม่หวังดีใช้ AI สร้างเพลงปลอมเพื่อหารายได้จากสตรีมมิ่ง https://securityonline.info/openai-is-developing-an-ai-music-generator-with-help-from-juilliard/
    SECURITYONLINE.INFO
    OpenAI is Developing an AI Music Generator with Help from Juilliard
    OpenAI is reportedly developing a text/audio-to-music AI generator and is collaborating with students from The Juilliard School to train its models.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 99 มุมมอง 0 รีวิว
  • Amazon เปิดตัวหุ่นยนต์ Blue Jay และ AI Eluna พลิกโฉมโลจิสติกส์ เพิ่มประสิทธิภาพ ลดภาระพนักงาน

    Amazon เผยโฉมนวัตกรรมใหม่ในระบบโลจิสติกส์ ได้แก่ “Blue Jay” หุ่นยนต์แขนกลอัจฉริยะ และ “Project Eluna” ผู้ช่วย AI สำหรับผู้จัดการคลังสินค้า โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ลดงานซ้ำซ้อน และยกระดับประสิทธิภาพการจัดส่ง

    Amazon กำลังเร่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อยกระดับการทำงานในคลังสินค้า โดยเปิดตัว 2 เทคโนโลยีใหม่ ได้แก่:

    1️⃣ Blue Jay – หุ่นยนต์แขนกลหลายแขนที่สามารถทำงานร่วมกับพนักงานได้อย่างคล่องตัว เช่น หยิบของ เก็บของ และจัดเรียงสินค้าในพื้นที่เดียวกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เปรียบเสมือน “นักเล่นกลที่ไม่เคยทำของตก” และ “วาทยกร” ที่ควบคุมการเคลื่อนไหวอย่างแม่นยำ โดยใช้พื้นที่น้อยลงแต่ทำงานได้มากขึ้น ปัจจุบันกำลังทดสอบในศูนย์ของ Amazon ที่เซาท์แคโรไลนา และสามารถจัดการสินค้ากว่า 75% ของคลังได้แล้ว

    2️⃣ Project Eluna – ผู้ช่วย AI สำหรับผู้จัดการคลังสินค้า ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเรียลไทม์และประวัติการทำงาน เพื่อแนะนำการตัดสินใจ เช่น การจัดสรรพนักงานเพื่อหลีกเลี่ยงคอขวดในระบบ โดยผู้จัดการสามารถถามคำถามเชิงกลยุทธ์ เช่น “ควรย้ายพนักงานไปตรงไหนเพื่อป้องกันความล่าช้า?” แล้ว Eluna จะให้คำตอบที่มีข้อมูลรองรับ

    ทั้งสองเทคโนโลยีนี้มีเป้าหมายร่วมกันคือ ลดภาระงานซ้ำซ้อน เพิ่มความปลอดภัยทางกายภาพ และเปิดโอกาสให้พนักงานได้พัฒนาทักษะในงานที่มีคุณค่ามากขึ้น

    หุ่นยนต์ Blue Jay
    เป็นระบบแขนกลหลายแขนที่ทำงานร่วมกับพนักงาน
    รวม 3 สถานีงาน (หยิบ-เก็บ-รวมสินค้า) ไว้ในจุดเดียว
    ใช้พื้นที่น้อยลงแต่ทำงานได้มากขึ้น
    ทดสอบแล้วในศูนย์ Amazon ที่เซาท์แคโรไลนา

    AI ผู้ช่วย Project Eluna
    วิเคราะห์ข้อมูลเรียลไทม์และประวัติการทำงาน
    แนะนำการจัดสรรทรัพยากรเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา
    ช่วยให้ผู้จัดการวางแผนเชิงรุก แทนการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

    เป้าหมายของเทคโนโลยี
    ลดงานซ้ำซ้อน เพิ่มความปลอดภัยในการทำงาน
    สนับสนุนการเติบโตของพนักงานในบทบาทที่มีคุณค่ามากขึ้น

    คำเตือนเกี่ยวกับการใช้ AI และหุ่นยนต์ในที่ทำงาน
    ควรมีการฝึกอบรมพนักงานให้เข้าใจการทำงานร่วมกับ AI
    ต้องมีมาตรการป้องกันการพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไป
    ควรติดตามผลกระทบต่อแรงงานในระยะยาวอย่างใกล้ชิด

    https://securityonline.info/future-of-logistics-amazon-unveils-blue-jay-robot-and-eluna-ai-assistant/
    🤖 Amazon เปิดตัวหุ่นยนต์ Blue Jay และ AI Eluna พลิกโฉมโลจิสติกส์ เพิ่มประสิทธิภาพ ลดภาระพนักงาน Amazon เผยโฉมนวัตกรรมใหม่ในระบบโลจิสติกส์ ได้แก่ “Blue Jay” หุ่นยนต์แขนกลอัจฉริยะ และ “Project Eluna” ผู้ช่วย AI สำหรับผู้จัดการคลังสินค้า โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ลดงานซ้ำซ้อน และยกระดับประสิทธิภาพการจัดส่ง Amazon กำลังเร่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อยกระดับการทำงานในคลังสินค้า โดยเปิดตัว 2 เทคโนโลยีใหม่ ได้แก่: 1️⃣ Blue Jay – หุ่นยนต์แขนกลหลายแขนที่สามารถทำงานร่วมกับพนักงานได้อย่างคล่องตัว เช่น หยิบของ เก็บของ และจัดเรียงสินค้าในพื้นที่เดียวกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เปรียบเสมือน “นักเล่นกลที่ไม่เคยทำของตก” และ “วาทยกร” ที่ควบคุมการเคลื่อนไหวอย่างแม่นยำ โดยใช้พื้นที่น้อยลงแต่ทำงานได้มากขึ้น ปัจจุบันกำลังทดสอบในศูนย์ของ Amazon ที่เซาท์แคโรไลนา และสามารถจัดการสินค้ากว่า 75% ของคลังได้แล้ว 2️⃣ Project Eluna – ผู้ช่วย AI สำหรับผู้จัดการคลังสินค้า ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเรียลไทม์และประวัติการทำงาน เพื่อแนะนำการตัดสินใจ เช่น การจัดสรรพนักงานเพื่อหลีกเลี่ยงคอขวดในระบบ โดยผู้จัดการสามารถถามคำถามเชิงกลยุทธ์ เช่น “ควรย้ายพนักงานไปตรงไหนเพื่อป้องกันความล่าช้า?” แล้ว Eluna จะให้คำตอบที่มีข้อมูลรองรับ ทั้งสองเทคโนโลยีนี้มีเป้าหมายร่วมกันคือ ลดภาระงานซ้ำซ้อน เพิ่มความปลอดภัยทางกายภาพ และเปิดโอกาสให้พนักงานได้พัฒนาทักษะในงานที่มีคุณค่ามากขึ้น ✅ หุ่นยนต์ Blue Jay ➡️ เป็นระบบแขนกลหลายแขนที่ทำงานร่วมกับพนักงาน ➡️ รวม 3 สถานีงาน (หยิบ-เก็บ-รวมสินค้า) ไว้ในจุดเดียว ➡️ ใช้พื้นที่น้อยลงแต่ทำงานได้มากขึ้น ➡️ ทดสอบแล้วในศูนย์ Amazon ที่เซาท์แคโรไลนา ✅ AI ผู้ช่วย Project Eluna ➡️ วิเคราะห์ข้อมูลเรียลไทม์และประวัติการทำงาน ➡️ แนะนำการจัดสรรทรัพยากรเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา ➡️ ช่วยให้ผู้จัดการวางแผนเชิงรุก แทนการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ✅ เป้าหมายของเทคโนโลยี ➡️ ลดงานซ้ำซ้อน เพิ่มความปลอดภัยในการทำงาน ➡️ สนับสนุนการเติบโตของพนักงานในบทบาทที่มีคุณค่ามากขึ้น ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการใช้ AI และหุ่นยนต์ในที่ทำงาน ⛔ ควรมีการฝึกอบรมพนักงานให้เข้าใจการทำงานร่วมกับ AI ⛔ ต้องมีมาตรการป้องกันการพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไป ⛔ ควรติดตามผลกระทบต่อแรงงานในระยะยาวอย่างใกล้ชิด https://securityonline.info/future-of-logistics-amazon-unveils-blue-jay-robot-and-eluna-ai-assistant/
    SECURITYONLINE.INFO
    Future of Logistics: Amazon Unveils Blue Jay Robot and Eluna AI Assistant
    Amazon introduced Blue Jay, a multi-arm robot for packing, and Project Eluna, an AI assistant for managers, promising safer, faster operations.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 153 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI พลิกโฉมการเงิน: ที่ปรึกษากลยุทธ์ช่วยสถาบันการเงินรับมือความเสี่ยงยุคดิจิทัล”

    ตอนนี้วงการการเงินกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะ AI ไม่ได้แค่เข้ามาช่วยคิดเลขหรือวิเคราะห์ข้อมูลธรรมดา ๆ แล้วนะ มันกลายเป็นเครื่องมือหลักในการจัดการความเสี่ยง ป้องกันการโกง และตัดสินใจเชิงกลยุทธ์แบบที่มนุษย์ทำคนเดียวไม่ไหว

    AI ในภาคการเงินตอนนี้ฉลาดมากถึงขั้นตรวจจับธุรกรรมที่น่าสงสัยได้แบบเรียลไทม์ วิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลเพื่อหาความผิดปกติ และช่วยให้สถาบันการเงินตอบสนองต่อภัยคุกคามได้ทันที ที่เด็ดคือมันยังช่วยปรับปรุงการตัดสินใจเรื่องการลงทุน การให้เครดิต และการบริหารพอร์ตได้อย่างแม่นยำด้วย

    แต่การจะใช้ AI ให้เวิร์กจริง ๆ ไม่ใช่แค่ซื้อระบบมาแล้วจบ ต้องมี “ที่ปรึกษากลยุทธ์ด้าน AI” มาช่วยวางแผนให้ตรงกับเป้าหมายธุรกิจ ตรวจสอบความเสี่ยงตั้งแต่ต้น และออกแบบระบบให้เข้ากับโครงสร้างเดิมขององค์กร

    AI ช่วยจัดการความเสี่ยงและป้องกันการโกงในภาคการเงิน
    วิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากเพื่อหาความผิดปกติ
    ตรวจจับธุรกรรมที่น่าสงสัยแบบเรียลไทม์
    ลดผลกระทบทางการเงินจากการโกงและช่วยให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบ

    AI ช่วยตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ด้วยข้อมูลเชิงลึก
    วิเคราะห์แนวโน้มตลาดและคาดการณ์ผลลัพธ์ในอนาคต
    ปรับปรุงการตัดสินใจเรื่องการลงทุนและการบริหารความเสี่ยง
    ใช้ข้อมูลย้อนหลังและการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

    AI เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานโดยอัตโนมัติ
    ลดเวลาและข้อผิดพลาดจากงานซ้ำ ๆ เช่น การป้อนข้อมูลและการจัดทำรายงาน
    ใช้ chatbot และผู้ช่วยเสมือนในการตอบคำถามลูกค้า
    เพิ่มความเร็วในการให้บริการและลดต้นทุน

    AI ช่วยปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล
    วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าเพื่อเสนอคำแนะนำที่ตรงใจ
    สร้างแคมเปญการตลาดเฉพาะบุคคลเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วม
    พัฒนาระบบ self-service ที่ตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละราย

    AI ช่วยให้สถาบันการเงินปฏิบัติตามกฎระเบียบได้ง่ายขึ้น
    ตรวจสอบความปลอดภัยของข้อมูลและการเข้ารหัส
    ปรับระบบให้สอดคล้องกับกฎหมายที่เปลี่ยนแปลง
    ลดความเสี่ยงด้านกฎหมายและการละเมิดข้อมูล

    บทบาทของที่ปรึกษากลยุทธ์ AI ในการเงิน
    วางแผนการใช้ AI ให้สอดคล้องกับเป้าหมายธุรกิจ
    ตรวจสอบความเสี่ยงและความปลอดภัยของระบบ AI
    พัฒนาโซลูชัน AI ที่เหมาะกับความต้องการเฉพาะของแต่ละองค์กร
    ปรับปรุงประสิทธิภาพของโมเดล AI อย่างต่อเนื่อง
    เชื่อมต่อระบบ AI เข้ากับโครงสร้างเดิมขององค์กรอย่างราบรื่น

    https://hackread.com/ai-financial-sector-consulting-navigate-risk/
    “AI พลิกโฉมการเงิน: ที่ปรึกษากลยุทธ์ช่วยสถาบันการเงินรับมือความเสี่ยงยุคดิจิทัล” ตอนนี้วงการการเงินกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะ AI ไม่ได้แค่เข้ามาช่วยคิดเลขหรือวิเคราะห์ข้อมูลธรรมดา ๆ แล้วนะ มันกลายเป็นเครื่องมือหลักในการจัดการความเสี่ยง ป้องกันการโกง และตัดสินใจเชิงกลยุทธ์แบบที่มนุษย์ทำคนเดียวไม่ไหว AI ในภาคการเงินตอนนี้ฉลาดมากถึงขั้นตรวจจับธุรกรรมที่น่าสงสัยได้แบบเรียลไทม์ วิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลเพื่อหาความผิดปกติ และช่วยให้สถาบันการเงินตอบสนองต่อภัยคุกคามได้ทันที ที่เด็ดคือมันยังช่วยปรับปรุงการตัดสินใจเรื่องการลงทุน การให้เครดิต และการบริหารพอร์ตได้อย่างแม่นยำด้วย แต่การจะใช้ AI ให้เวิร์กจริง ๆ ไม่ใช่แค่ซื้อระบบมาแล้วจบ ต้องมี “ที่ปรึกษากลยุทธ์ด้าน AI” มาช่วยวางแผนให้ตรงกับเป้าหมายธุรกิจ ตรวจสอบความเสี่ยงตั้งแต่ต้น และออกแบบระบบให้เข้ากับโครงสร้างเดิมขององค์กร ✅ AI ช่วยจัดการความเสี่ยงและป้องกันการโกงในภาคการเงิน ➡️ วิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากเพื่อหาความผิดปกติ ➡️ ตรวจจับธุรกรรมที่น่าสงสัยแบบเรียลไทม์ ➡️ ลดผลกระทบทางการเงินจากการโกงและช่วยให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบ ✅ AI ช่วยตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ด้วยข้อมูลเชิงลึก ➡️ วิเคราะห์แนวโน้มตลาดและคาดการณ์ผลลัพธ์ในอนาคต ➡️ ปรับปรุงการตัดสินใจเรื่องการลงทุนและการบริหารความเสี่ยง ➡️ ใช้ข้อมูลย้อนหลังและการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ✅ AI เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานโดยอัตโนมัติ ➡️ ลดเวลาและข้อผิดพลาดจากงานซ้ำ ๆ เช่น การป้อนข้อมูลและการจัดทำรายงาน ➡️ ใช้ chatbot และผู้ช่วยเสมือนในการตอบคำถามลูกค้า ➡️ เพิ่มความเร็วในการให้บริการและลดต้นทุน ✅ AI ช่วยปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล ➡️ วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าเพื่อเสนอคำแนะนำที่ตรงใจ ➡️ สร้างแคมเปญการตลาดเฉพาะบุคคลเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วม ➡️ พัฒนาระบบ self-service ที่ตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละราย ✅ AI ช่วยให้สถาบันการเงินปฏิบัติตามกฎระเบียบได้ง่ายขึ้น ➡️ ตรวจสอบความปลอดภัยของข้อมูลและการเข้ารหัส ➡️ ปรับระบบให้สอดคล้องกับกฎหมายที่เปลี่ยนแปลง ➡️ ลดความเสี่ยงด้านกฎหมายและการละเมิดข้อมูล ✅ บทบาทของที่ปรึกษากลยุทธ์ AI ในการเงิน ➡️ วางแผนการใช้ AI ให้สอดคล้องกับเป้าหมายธุรกิจ ➡️ ตรวจสอบความเสี่ยงและความปลอดภัยของระบบ AI ➡️ พัฒนาโซลูชัน AI ที่เหมาะกับความต้องการเฉพาะของแต่ละองค์กร ➡️ ปรับปรุงประสิทธิภาพของโมเดล AI อย่างต่อเนื่อง ➡️ เชื่อมต่อระบบ AI เข้ากับโครงสร้างเดิมขององค์กรอย่างราบรื่น https://hackread.com/ai-financial-sector-consulting-navigate-risk/
    HACKREAD.COM
    AI for the Financial Sector: How Strategy Consulting Helps You Navigate Risk
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google Fi อัปเกรดครั้งใหญ่! เพิ่ม AI, รองรับหลายอุปกรณ์ และโปรแรงสุดครึ่งราคา

    Google Fi Wireless กำลังพลิกโฉมบริการเครือข่ายมือถือด้วยการอัปเกรดครั้งใหญ่ที่เน้นความเร็ว ความสะดวก และการใช้ AI เพื่อยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ โดยเฉพาะผู้ใช้ Android ที่ต้องการเครือข่ายที่ลื่นไหลและฉลาดขึ้น

    หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือการขยายเครือข่าย Wi-Fi Auto Connect+ ไปยังสนามบินและศูนย์การค้าทั่วสหรัฐฯ ซึ่งช่วยให้โทรศัพท์สลับไปยังเครือข่ายที่เร็วกว่าโดยอัตโนมัติเมื่อสัญญาณเริ่มช้า นอกจากนี้ยังรองรับการใช้งานหลายอุปกรณ์ เช่น แท็บเล็ตและแล็ปท็อป ที่สามารถโทร ส่งข้อความ และรับวิดีโอได้โดยไม่ต้องอยู่ใกล้โทรศัพท์

    AI ก็เข้ามามีบทบาทสำคัญ โดยช่วยลดเสียงรบกวนระหว่างการโทรแม้ปลายสายใช้โทรศัพท์บ้าน และยังสามารถสรุปบิลรายเดือน การปรับแผน และค่าใช้จ่ายผ่านแอป Google Fi ได้อีกด้วย

    Google Fi ยังจัดโปรแรงสุดสำหรับผู้ใช้ใหม่: ลด 50% นาน 15 เดือน เมื่อสมัคร Unlimited Essentials ($60/เดือน) หรือ Unlimited Standard ($80/เดือน) ก่อนวันที่ 4 พฤศจิกายน 2025

    การอัปเกรดเครือข่าย
    ขยาย Wi-Fi Auto Connect+ ไปยังสนามบินและศูนย์การค้า
    สลับเครือข่ายอัตโนมัติเมื่อสัญญาณช้า

    รองรับหลายอุปกรณ์
    โทร ส่งข้อความ รับวิดีโอจากแท็บเล็ตหรือแล็ปท็อป
    ไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้โทรศัพท์

    ฟีเจอร์ AI ใหม่
    ลดเสียงรบกวนระหว่างการโทร แม้ปลายสายใช้โทรศัพท์บ้าน
    สรุปบิลรายเดือนและข้อมูลแผนผ่านแอป Google Fi

    โปรโมชันพิเศษ
    ลด 50% นาน 15 เดือน สำหรับผู้ใช้ใหม่
    ใช้ได้กับ Unlimited Essentials ($60/เดือน) และ Unlimited Standard ($80/เดือน)
    หมดเขตวันที่ 4 พฤศจิกายน 2025

    ความเห็นจากผู้ใช้
    WhistleOut ให้คะแนน 4.0/5 สำหรับความเร็วและความคุ้มค่า
    เหมาะกับผู้ใช้ที่เดินทางบ่อยและต้องการเครือข่ายที่ยืดหยุ่น

    คำเตือนจากรีวิว Trustpilot
    คะแนนต่ำเพียง 1.1/5 จากกว่า 400 รีวิว
    ปัญหาด้านบริการลูกค้าและบิลที่สับสน
    ปัญหาการเชื่อมต่อในพื้นที่ที่เคยมีสัญญาณดี

    คำแนะนำก่อนสมัคร
    ตรวจสอบพื้นที่ที่คุณใช้งานว่ารองรับสัญญาณ Google Fi หรือไม่
    อ่านเงื่อนไขโปรโมชันอย่างละเอียดก่อนสมัคร
    เปรียบเทียบกับผู้ให้บริการอื่นเพื่อดูว่าคุ้มค่าจริงหรือไม่

    https://www.slashgear.com/2005515/google-fi-wireless-upgrade-new-ai-features/
    📶 Google Fi อัปเกรดครั้งใหญ่! เพิ่ม AI, รองรับหลายอุปกรณ์ และโปรแรงสุดครึ่งราคา Google Fi Wireless กำลังพลิกโฉมบริการเครือข่ายมือถือด้วยการอัปเกรดครั้งใหญ่ที่เน้นความเร็ว ความสะดวก และการใช้ AI เพื่อยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ โดยเฉพาะผู้ใช้ Android ที่ต้องการเครือข่ายที่ลื่นไหลและฉลาดขึ้น หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือการขยายเครือข่าย Wi-Fi Auto Connect+ ไปยังสนามบินและศูนย์การค้าทั่วสหรัฐฯ ซึ่งช่วยให้โทรศัพท์สลับไปยังเครือข่ายที่เร็วกว่าโดยอัตโนมัติเมื่อสัญญาณเริ่มช้า นอกจากนี้ยังรองรับการใช้งานหลายอุปกรณ์ เช่น แท็บเล็ตและแล็ปท็อป ที่สามารถโทร ส่งข้อความ และรับวิดีโอได้โดยไม่ต้องอยู่ใกล้โทรศัพท์ AI ก็เข้ามามีบทบาทสำคัญ โดยช่วยลดเสียงรบกวนระหว่างการโทรแม้ปลายสายใช้โทรศัพท์บ้าน และยังสามารถสรุปบิลรายเดือน การปรับแผน และค่าใช้จ่ายผ่านแอป Google Fi ได้อีกด้วย Google Fi ยังจัดโปรแรงสุดสำหรับผู้ใช้ใหม่: ลด 50% นาน 15 เดือน เมื่อสมัคร Unlimited Essentials ($60/เดือน) หรือ Unlimited Standard ($80/เดือน) ก่อนวันที่ 4 พฤศจิกายน 2025 ✅ การอัปเกรดเครือข่าย ➡️ ขยาย Wi-Fi Auto Connect+ ไปยังสนามบินและศูนย์การค้า ➡️ สลับเครือข่ายอัตโนมัติเมื่อสัญญาณช้า ✅ รองรับหลายอุปกรณ์ ➡️ โทร ส่งข้อความ รับวิดีโอจากแท็บเล็ตหรือแล็ปท็อป ➡️ ไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้โทรศัพท์ ✅ ฟีเจอร์ AI ใหม่ ➡️ ลดเสียงรบกวนระหว่างการโทร แม้ปลายสายใช้โทรศัพท์บ้าน ➡️ สรุปบิลรายเดือนและข้อมูลแผนผ่านแอป Google Fi ✅ โปรโมชันพิเศษ ➡️ ลด 50% นาน 15 เดือน สำหรับผู้ใช้ใหม่ ➡️ ใช้ได้กับ Unlimited Essentials ($60/เดือน) และ Unlimited Standard ($80/เดือน) ➡️ หมดเขตวันที่ 4 พฤศจิกายน 2025 ✅ ความเห็นจากผู้ใช้ ➡️ WhistleOut ให้คะแนน 4.0/5 สำหรับความเร็วและความคุ้มค่า ➡️ เหมาะกับผู้ใช้ที่เดินทางบ่อยและต้องการเครือข่ายที่ยืดหยุ่น ‼️ คำเตือนจากรีวิว Trustpilot ⛔ คะแนนต่ำเพียง 1.1/5 จากกว่า 400 รีวิว ⛔ ปัญหาด้านบริการลูกค้าและบิลที่สับสน ⛔ ปัญหาการเชื่อมต่อในพื้นที่ที่เคยมีสัญญาณดี ‼️ คำแนะนำก่อนสมัคร ⛔ ตรวจสอบพื้นที่ที่คุณใช้งานว่ารองรับสัญญาณ Google Fi หรือไม่ ⛔ อ่านเงื่อนไขโปรโมชันอย่างละเอียดก่อนสมัคร ⛔ เปรียบเทียบกับผู้ให้บริการอื่นเพื่อดูว่าคุ้มค่าจริงหรือไม่ https://www.slashgear.com/2005515/google-fi-wireless-upgrade-new-ai-features/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Google Fi Wireless Is Adding New Features - Here's What To Expect With The Upgrade - SlashGear
    Budget mobile plans continue to grow as people look to cut costs where they can, and Google Fi is incentivizing customers with some brand-new features.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 186 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อำลา Yang Chen-Ning: นักฟิสิกส์ผู้เปลี่ยนโลกและสร้างสะพานวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศ"

    Yang Chen-Ning นักฟิสิกส์ระดับโลกและผู้ได้รับรางวัลโนเบลคนแรกของจีน เสียชีวิตอย่างสงบในกรุงปักกิ่งเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ด้วยวัย 103 ปี เขาเป็นบุคคลสำคัญที่มีบทบาททั้งในวงการฟิสิกส์ระดับโลกและการพัฒนาวิทยาศาสตร์ของจีน

    Yang ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ร่วมกับ Tsung-Dao Lee ในปี 1957 จากทฤษฎี “Parity Non-Conservation” ซึ่งพลิกโฉมความเข้าใจเกี่ยวกับแรงพื้นฐานในธรรมชาติ เขายังเป็นผู้ร่วมพัฒนา “Yang-Mills Theory” ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญของ Standard Model ในฟิสิกส์อนุภาค

    ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยการเดินทางทางวิชาการที่ยิ่งใหญ่ ตั้งแต่เรียนที่มหาวิทยาลัยชิคาโก ไปจนถึงเป็นศาสตราจารย์ที่ Princeton และ SUNY Stony Brook ก่อนจะกลับมารับตำแหน่งที่ Tsinghua University ในจีน ซึ่งเขาอุทิศตนเพื่อพัฒนาการศึกษาวิทยาศาสตร์และสร้างโอกาสให้กับนักวิจัยรุ่นใหม่

    Yang ไม่เพียงเป็นนักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ยังเป็นผู้เชื่อมโยงโลกวิทยาศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ผ่านการแลกเปลี่ยนนักวิจัยและการให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลจีนในโครงการวิทยาศาสตร์ระดับชาติ

    ประวัติชีวิตและการศึกษา
    เกิดที่ Hefei, Anhui ในปี 1922
    เรียนที่ National Southwestern Associated University และ Tsinghua University
    ได้รับปริญญาเอกจาก University of Chicago ในปี 1948

    เส้นทางอาชีพในต่างประเทศ
    เป็นสมาชิกถาวรของ Institute for Advanced Study ที่ Princeton
    ดำรงตำแหน่ง Albert Einstein Professor ที่ SUNY Stony Brook จนถึงปี 1999
    เป็น visiting professor ที่ Chinese University of Hong Kong ตั้งแต่ปี 1986

    ผลงานทางวิทยาศาสตร์
    ร่วมกับ Tsung-Dao Lee เสนอทฤษฎี Parity Non-Conservation ใน weak interaction
    พัฒนา Yang-Mills Theory ซึ่งเป็นรากฐานของ Standard Model
    ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ 20

    บทบาทในจีน
    กลับมารับตำแหน่งที่ Tsinghua University และเป็นประธานกิตติมศักดิ์ของ Institute for Advanced Study
    เสนอแนวทางการฟื้นฟูงานวิจัยพื้นฐานให้รัฐบาลจีน
    สนับสนุนทุนการศึกษาให้นักวิจัยจีนไปศึกษาต่อในสหรัฐฯ
    มีบทบาทสำคัญในการพัฒนานโยบายวิทยาศาสตร์ระดับชาติ

    ความสูญเสียของวงการวิทยาศาสตร์
    การจากไปของ Yang ถือเป็นการสูญเสียบุคคลสำคัญที่มีบทบาททั้งในระดับโลกและระดับชาติ
    ทิ้งไว้เพียงผลงานและแรงบันดาลใจให้กับนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่

    มรดกทางวิชาการ
    ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำกว่า 20 แห่งทั่วโลก
    เป็นสมาชิกต่างชาติของสถาบันวิทยาศาสตร์มากกว่า 10 แห่ง
    ผลงานของเขายังคงเป็นรากฐานของฟิสิกส์ยุคใหม่

    https://www.chinadaily.com.cn/a/202510/18/WS68f3170ea310f735438b5bf2.html
    🪦 "อำลา Yang Chen-Ning: นักฟิสิกส์ผู้เปลี่ยนโลกและสร้างสะพานวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศ" Yang Chen-Ning นักฟิสิกส์ระดับโลกและผู้ได้รับรางวัลโนเบลคนแรกของจีน เสียชีวิตอย่างสงบในกรุงปักกิ่งเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ด้วยวัย 103 ปี เขาเป็นบุคคลสำคัญที่มีบทบาททั้งในวงการฟิสิกส์ระดับโลกและการพัฒนาวิทยาศาสตร์ของจีน Yang ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ร่วมกับ Tsung-Dao Lee ในปี 1957 จากทฤษฎี “Parity Non-Conservation” ซึ่งพลิกโฉมความเข้าใจเกี่ยวกับแรงพื้นฐานในธรรมชาติ เขายังเป็นผู้ร่วมพัฒนา “Yang-Mills Theory” ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญของ Standard Model ในฟิสิกส์อนุภาค ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยการเดินทางทางวิชาการที่ยิ่งใหญ่ ตั้งแต่เรียนที่มหาวิทยาลัยชิคาโก ไปจนถึงเป็นศาสตราจารย์ที่ Princeton และ SUNY Stony Brook ก่อนจะกลับมารับตำแหน่งที่ Tsinghua University ในจีน ซึ่งเขาอุทิศตนเพื่อพัฒนาการศึกษาวิทยาศาสตร์และสร้างโอกาสให้กับนักวิจัยรุ่นใหม่ Yang ไม่เพียงเป็นนักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ยังเป็นผู้เชื่อมโยงโลกวิทยาศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ผ่านการแลกเปลี่ยนนักวิจัยและการให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลจีนในโครงการวิทยาศาสตร์ระดับชาติ ✅ ประวัติชีวิตและการศึกษา ➡️ เกิดที่ Hefei, Anhui ในปี 1922 ➡️ เรียนที่ National Southwestern Associated University และ Tsinghua University ➡️ ได้รับปริญญาเอกจาก University of Chicago ในปี 1948 ✅ เส้นทางอาชีพในต่างประเทศ ➡️ เป็นสมาชิกถาวรของ Institute for Advanced Study ที่ Princeton ➡️ ดำรงตำแหน่ง Albert Einstein Professor ที่ SUNY Stony Brook จนถึงปี 1999 ➡️ เป็น visiting professor ที่ Chinese University of Hong Kong ตั้งแต่ปี 1986 ✅ ผลงานทางวิทยาศาสตร์ ➡️ ร่วมกับ Tsung-Dao Lee เสนอทฤษฎี Parity Non-Conservation ใน weak interaction ➡️ พัฒนา Yang-Mills Theory ซึ่งเป็นรากฐานของ Standard Model ➡️ ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ 20 ✅ บทบาทในจีน ➡️ กลับมารับตำแหน่งที่ Tsinghua University และเป็นประธานกิตติมศักดิ์ของ Institute for Advanced Study ➡️ เสนอแนวทางการฟื้นฟูงานวิจัยพื้นฐานให้รัฐบาลจีน ➡️ สนับสนุนทุนการศึกษาให้นักวิจัยจีนไปศึกษาต่อในสหรัฐฯ ➡️ มีบทบาทสำคัญในการพัฒนานโยบายวิทยาศาสตร์ระดับชาติ ‼️ ความสูญเสียของวงการวิทยาศาสตร์ ⛔ การจากไปของ Yang ถือเป็นการสูญเสียบุคคลสำคัญที่มีบทบาททั้งในระดับโลกและระดับชาติ ⛔ ทิ้งไว้เพียงผลงานและแรงบันดาลใจให้กับนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ✅ มรดกทางวิชาการ ➡️ ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำกว่า 20 แห่งทั่วโลก ➡️ เป็นสมาชิกต่างชาติของสถาบันวิทยาศาสตร์มากกว่า 10 แห่ง ➡️ ผลงานของเขายังคงเป็นรากฐานของฟิสิกส์ยุคใหม่ https://www.chinadaily.com.cn/a/202510/18/WS68f3170ea310f735438b5bf2.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 262 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Spotify จับมือ Netflix” — เปิดศักราชใหม่ของวิดีโอพอดแคสต์บนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง

    Spotify กำลังพลิกโฉมวงการพอดแคสต์อีกครั้ง ด้วยการจับมือกับ Netflix เพื่อนำวิดีโอพอดแคสต์ยอดนิยมจากค่าย Ringer และ Spotify Studios ไปเผยแพร่บนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งที่มีผู้ชมมหาศาล โดยเริ่มจากสหรัฐฯ ในปีหน้า และจะขยายไปยังประเทศอื่น ๆ ในภายหลัง

    รายการที่ถูกเลือกให้เผยแพร่บน Netflix ได้แก่ The Bill Simmons Podcast, The Zach Lowe Show, The Rewatchables, Conspiracy Theories และ The Big Picture ซึ่งจะมีเฉพาะคลิปบางส่วนเท่านั้นที่ยังคงเผยแพร่บน YouTube ส่วนเวอร์ชันเสียงยังคงฟังได้ผ่านแพลตฟอร์มพอดแคสต์ทั่วไป

    การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงแนวโน้มของพอดแคสต์ที่กำลังเปลี่ยนจากเสียงล้วนไปสู่รูปแบบวิดีโอ เพื่อเข้าถึงผู้ชมมากขึ้น โดยอิงกับอัลกอริธึมของ TikTok, YouTube และ Instagram ที่เน้นคอนเทนต์ภาพเคลื่อนไหว ปัจจุบันมีผู้ชมวิดีโอพอดแคสต์บน YouTube มากกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือน และ 77% ของผู้ฟังใหม่ระบุว่าชอบดูวิดีโอพอดแคสต์มากกว่าฟังอย่างเดียว

    Netflix เองก็เริ่มทดลองเผยแพร่พอดแคสต์วิดีโอมาบ้างแล้ว เช่นรายการ Kill Tony และมีผู้บริหารระดับสูงอย่าง Ted Sarandos ที่นั่งอยู่ในบอร์ดของ Spotify ซึ่งช่วยผลักดันความร่วมมือครั้งนี้

    Spotify ยังเดินหน้าสร้างระบบสนับสนุนครีเอเตอร์วิดีโอ โดยเปิดให้ YouTuber และผู้ผลิตคอนเทนต์อัปโหลดรายการของตนเอง พร้อมเผยว่า มีวิดีโอพอดแคสต์มากกว่า 430,000 รายการบนแพลตฟอร์ม และมีผู้ชมกว่า 350 ล้านคนแล้ว

    ข้อมูลในข่าว
    Spotify ร่วมมือกับ Netflix นำวิดีโอพอดแคสต์เผยแพร่บนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง
    เริ่มจากสหรัฐฯ ปีหน้า และจะขยายไปยังตลาดอื่น
    รายการที่เผยแพร่ เช่น The Bill Simmons Podcast และ The Rewatchables
    YouTube จะมีเฉพาะคลิปบางส่วน ไม่ใช่ตอนเต็ม
    พอดแคสต์เสียงยังคงฟังได้บนแพลตฟอร์มทั่วไป
    Netflix จะเผยแพร่แบบไม่มีโฆษณาสำหรับผู้ใช้แพ็กเกจ ad-free
    Spotify มีวิดีโอพอดแคสต์มากกว่า 430,000 รายการ และผู้ชมกว่า 350 ล้านคน

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    การเปลี่ยนแปลงรูปแบบพอดแคสต์อาจทำให้ผู้ฟังที่ชอบเสียงล้วนรู้สึกไม่สะดวก
    คอนเทนต์บางรายการอาจถูกจำกัดการเข้าถึงบน YouTube
    ผู้ผลิตพอดแคสต์อิสระอาจต้องปรับตัวเพื่อแข่งขันกับคอนเทนต์จากแพลตฟอร์มใหญ่
    การรวมตัวของแพลตฟอร์มอาจนำไปสู่การควบคุมเนื้อหาและอัลกอริธึมที่มากขึ้น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/15/spotify-to-start-putting-video-podcasts-on-netflix
    🎬 “Spotify จับมือ Netflix” — เปิดศักราชใหม่ของวิดีโอพอดแคสต์บนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง Spotify กำลังพลิกโฉมวงการพอดแคสต์อีกครั้ง ด้วยการจับมือกับ Netflix เพื่อนำวิดีโอพอดแคสต์ยอดนิยมจากค่าย Ringer และ Spotify Studios ไปเผยแพร่บนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งที่มีผู้ชมมหาศาล โดยเริ่มจากสหรัฐฯ ในปีหน้า และจะขยายไปยังประเทศอื่น ๆ ในภายหลัง รายการที่ถูกเลือกให้เผยแพร่บน Netflix ได้แก่ The Bill Simmons Podcast, The Zach Lowe Show, The Rewatchables, Conspiracy Theories และ The Big Picture ซึ่งจะมีเฉพาะคลิปบางส่วนเท่านั้นที่ยังคงเผยแพร่บน YouTube ส่วนเวอร์ชันเสียงยังคงฟังได้ผ่านแพลตฟอร์มพอดแคสต์ทั่วไป การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงแนวโน้มของพอดแคสต์ที่กำลังเปลี่ยนจากเสียงล้วนไปสู่รูปแบบวิดีโอ เพื่อเข้าถึงผู้ชมมากขึ้น โดยอิงกับอัลกอริธึมของ TikTok, YouTube และ Instagram ที่เน้นคอนเทนต์ภาพเคลื่อนไหว ปัจจุบันมีผู้ชมวิดีโอพอดแคสต์บน YouTube มากกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือน และ 77% ของผู้ฟังใหม่ระบุว่าชอบดูวิดีโอพอดแคสต์มากกว่าฟังอย่างเดียว Netflix เองก็เริ่มทดลองเผยแพร่พอดแคสต์วิดีโอมาบ้างแล้ว เช่นรายการ Kill Tony และมีผู้บริหารระดับสูงอย่าง Ted Sarandos ที่นั่งอยู่ในบอร์ดของ Spotify ซึ่งช่วยผลักดันความร่วมมือครั้งนี้ Spotify ยังเดินหน้าสร้างระบบสนับสนุนครีเอเตอร์วิดีโอ โดยเปิดให้ YouTuber และผู้ผลิตคอนเทนต์อัปโหลดรายการของตนเอง พร้อมเผยว่า มีวิดีโอพอดแคสต์มากกว่า 430,000 รายการบนแพลตฟอร์ม และมีผู้ชมกว่า 350 ล้านคนแล้ว ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Spotify ร่วมมือกับ Netflix นำวิดีโอพอดแคสต์เผยแพร่บนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง ➡️ เริ่มจากสหรัฐฯ ปีหน้า และจะขยายไปยังตลาดอื่น ➡️ รายการที่เผยแพร่ เช่น The Bill Simmons Podcast และ The Rewatchables ➡️ YouTube จะมีเฉพาะคลิปบางส่วน ไม่ใช่ตอนเต็ม ➡️ พอดแคสต์เสียงยังคงฟังได้บนแพลตฟอร์มทั่วไป ➡️ Netflix จะเผยแพร่แบบไม่มีโฆษณาสำหรับผู้ใช้แพ็กเกจ ad-free ➡️ Spotify มีวิดีโอพอดแคสต์มากกว่า 430,000 รายการ และผู้ชมกว่า 350 ล้านคน ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบพอดแคสต์อาจทำให้ผู้ฟังที่ชอบเสียงล้วนรู้สึกไม่สะดวก ⛔ คอนเทนต์บางรายการอาจถูกจำกัดการเข้าถึงบน YouTube ⛔ ผู้ผลิตพอดแคสต์อิสระอาจต้องปรับตัวเพื่อแข่งขันกับคอนเทนต์จากแพลตฟอร์มใหญ่ ⛔ การรวมตัวของแพลตฟอร์มอาจนำไปสู่การควบคุมเนื้อหาและอัลกอริธึมที่มากขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/15/spotify-to-start-putting-video-podcasts-on-netflix
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Spotify to start putting video podcasts on Netflix
    Spotify Technology SA is partnering with Netflix Inc. to bring some of its top video podcasts to the streaming service's massive audience.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 252 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตลาดบริการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูล: พลิกโฉมเศรษฐกิจดิจิทัลด้วยพลังของข้อมูล

    ในยุคดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ธุรกิจทั่วโลกต่างมองหาวิธีในการแบ่งปันและใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ตลาด บริการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูล (Data Exchange Platform Services Market) จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่ โดยช่วยให้บริษัท หน่วยงานรัฐบาล และสตาร์ทอัพ สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้อย่างโปร่งใส ปลอดภัย และรวดเร็ว
    https://www.marketresearchfuture.com/reports/data-exchange-platform-services-market-23989
    แพลตฟอร์มเหล่านี้ทำหน้าที่เป็น “สะพานเชื่อมข้อมูล” ระหว่างองค์กร โดยมีระบบเข้ารหัสและการควบคุมสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล เพื่อป้องกันการละเมิดความเป็นส่วนตัวและการรั่วไหลของข้อมูล ผู้ใช้งานสามารถแชร์ข้อมูลเชิงลึก เช่น ข้อมูลผู้บริโภค ข้อมูลตลาด และข้อมูลอุตสาหกรรม เพื่อสร้างมูลค่าทางธุรกิจร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ปัจจัยที่ผลักดันการเติบโตของตลาด

    หนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักคือ การเติบโตของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ บิ๊กดาต้า (Big Data) ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลปริมาณมหาศาลจากหลายแหล่งเพื่อการวิเคราะห์เชิงลึก นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของกฎระเบียบด้านความปลอดภัยข้อมูล เช่น GDPR และ PDPA ทำให้องค์กรต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ปลอดภัยและโปร่งใสมากขึ้น

    ในภาคอุตสาหกรรม เช่น การเงิน การดูแลสุขภาพ และพลังงาน แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูลถูกใช้เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการทำธุรกรรม ข้อมูลผู้ป่วย และข้อมูลการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้การตัดสินใจทางธุรกิจเร็วขึ้นและลดความเสี่ยงจากข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน
    ตลาดบริการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูล: พลิกโฉมเศรษฐกิจดิจิทัลด้วยพลังของข้อมูล ในยุคดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ธุรกิจทั่วโลกต่างมองหาวิธีในการแบ่งปันและใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ตลาด บริการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูล (Data Exchange Platform Services Market) จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่ โดยช่วยให้บริษัท หน่วยงานรัฐบาล และสตาร์ทอัพ สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้อย่างโปร่งใส ปลอดภัย และรวดเร็ว https://www.marketresearchfuture.com/reports/data-exchange-platform-services-market-23989 แพลตฟอร์มเหล่านี้ทำหน้าที่เป็น “สะพานเชื่อมข้อมูล” ระหว่างองค์กร โดยมีระบบเข้ารหัสและการควบคุมสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล เพื่อป้องกันการละเมิดความเป็นส่วนตัวและการรั่วไหลของข้อมูล ผู้ใช้งานสามารถแชร์ข้อมูลเชิงลึก เช่น ข้อมูลผู้บริโภค ข้อมูลตลาด และข้อมูลอุตสาหกรรม เพื่อสร้างมูลค่าทางธุรกิจร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจัยที่ผลักดันการเติบโตของตลาด หนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักคือ การเติบโตของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ บิ๊กดาต้า (Big Data) ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลปริมาณมหาศาลจากหลายแหล่งเพื่อการวิเคราะห์เชิงลึก นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของกฎระเบียบด้านความปลอดภัยข้อมูล เช่น GDPR และ PDPA ทำให้องค์กรต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ปลอดภัยและโปร่งใสมากขึ้น ในภาคอุตสาหกรรม เช่น การเงิน การดูแลสุขภาพ และพลังงาน แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูลถูกใช้เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการทำธุรกรรม ข้อมูลผู้ป่วย และข้อมูลการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้การตัดสินใจทางธุรกิจเร็วขึ้นและลดความเสี่ยงจากข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน
    WWW.MARKETRESEARCHFUTURE.COM
    Data Exchange Platform Services Market Size, Industry Share
    Data Exchange Platform Services Market size is expected to reach USD 51.69 billion by 2034, growing at a CAGR of 17.91% during the forecast period 2025-2034.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 208 มุมมอง 0 รีวิว
  • “REFRAG — งานวิจัยแรกของ Meta Superintelligence ที่พลิกโฉม RAG ให้เร็วขึ้น 30 เท่า”

    ลองจินตนาการว่าโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) สามารถตอบคำถามจากฐานข้อมูลได้เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 30 เท่า โดยไม่ต้องเสียความแม่นยำ — นั่นคือสิ่งที่ Meta Superintelligence (MSI) นำเสนอในงานวิจัยแรกของพวกเขา “REFRAG” ซึ่งเป็นการปรับปรุงกระบวนการ Retrieval-Augmented Generation (RAG) ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างน่าทึ่ง

    แทนที่จะส่งข้อมูลทั้งหมดจากเอกสารที่ค้นมาให้ LLM ประมวลผล REFRAG ใช้เทคนิคใหม่ที่แปลงข้อมูลเหล่านั้นเป็น “chunk embeddings” ซึ่งเป็นเวกเตอร์ที่ LLM เข้าใจได้โดยตรง และใช้ policy network ที่ฝึกด้วย reinforcement learning เพื่อเลือกบางส่วนที่ควรขยายกลับเป็น token เต็มรูปแบบภายใต้ข้อจำกัดด้านงบประมาณ

    ผลลัพธ์คือ ลดการใช้ KV cache และ attention cost ได้อย่างมาก ทำให้ latency ต่ำลงและ throughput สูงขึ้น โดยยังคงความแม่นยำของผลลัพธ์ไว้ได้

    จุดเด่นของ REFRAG

    ปรับปรุงกระบวนการ RAG โดยใช้ chunk embeddings แทน token เต็ม
    ใช้ policy network เพื่อเลือกบางส่วนที่ควรขยายกลับเป็น token
    ลด latency และเพิ่ม throughput โดยไม่ลดความแม่นยำ

    วิธีการทำงาน
    เอกสารถูกแบ่งเป็น chunk (~128 token) และแปลงเป็น embeddings
    embeddings ถูกส่งเข้า LLM โดยตรง พร้อมกับบาง chunk ที่ถูกขยายเป็น token
    policy network ตัดสินใจเลือก chunk ที่ควรขยาย โดยใช้ RL objective

    ผลกระทบเชิงธุรกิจ
    ลดต้นทุน inference และเพิ่มความเร็วตอบกลับ
    เหมาะกับแอปพลิเคชันที่ใช้ RAG เช่น customer support, summarization, vertical agents
    เพิ่มจำนวน query ต่อ GPU และลดค่าใช้จ่ายโครงสร้างพื้นฐาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    RAG คือการใช้การค้นคืนข้อมูลร่วมกับการสร้างข้อความจาก LLM
    ChaCha20-Poly1305 เป็นอัลกอริธึมเข้ารหัสที่ใช้ใน Wireguard และบางระบบ AI
    RL (Reinforcement Learning) ช่วยให้ policy network ตัดสินใจได้ดีขึ้นภายใต้ข้อจำกัด

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    ต้องฝึก encoder และ projection ให้ LLM เข้าใจ embeddings
    การฝึก policy network ด้วย RL เพิ่มความซับซ้อนในการพัฒนา
    การบีบอัดมากเกินไปอาจลดคุณภาพของผลลัพธ์
    embeddings ที่ precompute เหมาะกับข้อมูลคงที่ ไม่เหมาะกับข้อมูลที่เปลี่ยนบ่อย
    งานบางประเภท เช่น กฎหมายหรือการแพทย์ อาจต้องใช้ token เต็มเพื่อความแม่นยำ

    https://paddedinputs.substack.com/p/meta-superintelligences-surprising
    🧪 “REFRAG — งานวิจัยแรกของ Meta Superintelligence ที่พลิกโฉม RAG ให้เร็วขึ้น 30 เท่า” ลองจินตนาการว่าโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) สามารถตอบคำถามจากฐานข้อมูลได้เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 30 เท่า โดยไม่ต้องเสียความแม่นยำ — นั่นคือสิ่งที่ Meta Superintelligence (MSI) นำเสนอในงานวิจัยแรกของพวกเขา “REFRAG” ซึ่งเป็นการปรับปรุงกระบวนการ Retrieval-Augmented Generation (RAG) ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างน่าทึ่ง แทนที่จะส่งข้อมูลทั้งหมดจากเอกสารที่ค้นมาให้ LLM ประมวลผล REFRAG ใช้เทคนิคใหม่ที่แปลงข้อมูลเหล่านั้นเป็น “chunk embeddings” ซึ่งเป็นเวกเตอร์ที่ LLM เข้าใจได้โดยตรง และใช้ policy network ที่ฝึกด้วย reinforcement learning เพื่อเลือกบางส่วนที่ควรขยายกลับเป็น token เต็มรูปแบบภายใต้ข้อจำกัดด้านงบประมาณ ผลลัพธ์คือ ลดการใช้ KV cache และ attention cost ได้อย่างมาก ทำให้ latency ต่ำลงและ throughput สูงขึ้น โดยยังคงความแม่นยำของผลลัพธ์ไว้ได้ ✅ จุดเด่นของ REFRAG ➡️ ปรับปรุงกระบวนการ RAG โดยใช้ chunk embeddings แทน token เต็ม ➡️ ใช้ policy network เพื่อเลือกบางส่วนที่ควรขยายกลับเป็น token ➡️ ลด latency และเพิ่ม throughput โดยไม่ลดความแม่นยำ ✅ วิธีการทำงาน ➡️ เอกสารถูกแบ่งเป็น chunk (~128 token) และแปลงเป็น embeddings ➡️ embeddings ถูกส่งเข้า LLM โดยตรง พร้อมกับบาง chunk ที่ถูกขยายเป็น token ➡️ policy network ตัดสินใจเลือก chunk ที่ควรขยาย โดยใช้ RL objective ✅ ผลกระทบเชิงธุรกิจ ➡️ ลดต้นทุน inference และเพิ่มความเร็วตอบกลับ ➡️ เหมาะกับแอปพลิเคชันที่ใช้ RAG เช่น customer support, summarization, vertical agents ➡️ เพิ่มจำนวน query ต่อ GPU และลดค่าใช้จ่ายโครงสร้างพื้นฐาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ RAG คือการใช้การค้นคืนข้อมูลร่วมกับการสร้างข้อความจาก LLM ➡️ ChaCha20-Poly1305 เป็นอัลกอริธึมเข้ารหัสที่ใช้ใน Wireguard และบางระบบ AI ➡️ RL (Reinforcement Learning) ช่วยให้ policy network ตัดสินใจได้ดีขึ้นภายใต้ข้อจำกัด ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ ต้องฝึก encoder และ projection ให้ LLM เข้าใจ embeddings ⛔ การฝึก policy network ด้วย RL เพิ่มความซับซ้อนในการพัฒนา ⛔ การบีบอัดมากเกินไปอาจลดคุณภาพของผลลัพธ์ ⛔ embeddings ที่ precompute เหมาะกับข้อมูลคงที่ ไม่เหมาะกับข้อมูลที่เปลี่ยนบ่อย ⛔ งานบางประเภท เช่น กฎหมายหรือการแพทย์ อาจต้องใช้ token เต็มเพื่อความแม่นยำ https://paddedinputs.substack.com/p/meta-superintelligences-surprising
    PADDEDINPUTS.SUBSTACK.COM
    Meta Superintelligence’s surprising first paper
    Long awaited first paper from Meta Superintelligence Labs is not a model layer innovation. What does this mean?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Datastar — เฟรมเวิร์กใหม่ที่พลิกโฉมการสร้างเว็บแบบเรียลไทม์ ด้วยไฟล์เดียวและไม่ต้องใช้ JavaScript”

    ลองนึกภาพว่าคุณสามารถสร้างเว็บแอปแบบเรียลไทม์ที่ตอบสนองไว ใช้งานง่าย และไม่ต้องพึ่งพา JavaScript ฝั่งผู้ใช้เลย — นั่นคือสิ่งที่ Datastar เสนอให้กับนักพัฒนาในยุคที่หลายคนเริ่มเบื่อกับความซับซ้อนของ SPA (Single Page Application)

    Datastar เป็นเฟรมเวิร์กน้ำหนักเบาเพียง 10.75 KiB ที่ช่วยให้คุณสร้างเว็บตั้งแต่หน้าเว็บธรรมดาไปจนถึงแอปแบบ collaborative ที่ทำงานแบบเรียลไทม์ โดยใช้แนวคิด “hypermedia-driven frontend” ซึ่งหมายถึงการควบคุม DOM และ state จากฝั่ง backend ผ่าน HTML attributes เช่น data-on-click="@get('/endpoint')" โดยไม่ต้องเขียน JavaScript ฝั่งผู้ใช้เลย

    เฟรมเวิร์กนี้รองรับการส่งข้อมูลแบบ HTML ปกติและแบบ event-stream (SSE) ทำให้สามารถอัปเดต DOM แบบเรียลไทม์ได้ง่าย และยังสามารถใช้ backend ภาษาใดก็ได้ เช่น Go, Python, Rust หรือ Node.js โดยมี SDK รองรับ

    นักพัฒนาหลายคนที่เคยใช้ React, htmx หรือ Alpine.js ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า Datastar ช่วยลดความซับซ้อนของ frontend ได้อย่างมาก และทำให้พวกเขากลับมาโฟกัสกับการแก้ปัญหาทางธุรกิจแทนที่จะต้องมานั่งจัดการกับ state และ virtual DOM

    จุดเด่นของ Datastar
    เป็นเฟรมเวิร์กน้ำหนักเบาเพียง 10.75 KiB
    รองรับการสร้างเว็บแบบเรียลไทม์โดยไม่ต้องใช้ JavaScript ฝั่งผู้ใช้
    ใช้แนวคิด hypermedia-driven frontend ควบคุม DOM ผ่าน HTML attributes

    การทำงานแบบเรียลไทม์
    รองรับการส่งข้อมูลแบบ text/html และ text/event-stream (SSE)
    สามารถอัปเดต DOM จาก backend ได้ทันที
    ใช้คำสั่งเช่น PatchElements() เพื่อเปลี่ยนแปลง DOM แบบสดๆ

    ความยืดหยุ่นของ backend
    สามารถใช้ภาษาใดก็ได้ในการเขียน backend เช่น Go, Python, Rust
    มี SDK รองรับหลายภาษา
    ไม่จำกัดเทคโนโลยีฝั่งเซิร์ฟเวอร์

    ความเห็นจากนักพัฒนา
    ลดความซับซ้อนจาก SPA และ virtual DOM
    ใช้งานง่ายกว่า htmx หรือ Alpine.js
    เหมาะกับแอปที่ต้องการความเร็วและความเสถียร

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SSE (Server-Sent Events) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ส่งข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ไปยัง client แบบต่อเนื่อง โดยไม่ต้องเปิด WebSocket
    Hypermedia-driven frontend เป็นแนวคิดที่ใช้ข้อมูลจาก backend ควบคุม UI โดยตรง ผ่าน HTML attributes
    การไม่ใช้ JavaScript ฝั่งผู้ใช้ช่วยลดปัญหาเรื่อง bundle size, security และ performance

    https://data-star.dev/
    ⭐ “Datastar — เฟรมเวิร์กใหม่ที่พลิกโฉมการสร้างเว็บแบบเรียลไทม์ ด้วยไฟล์เดียวและไม่ต้องใช้ JavaScript” ลองนึกภาพว่าคุณสามารถสร้างเว็บแอปแบบเรียลไทม์ที่ตอบสนองไว ใช้งานง่าย และไม่ต้องพึ่งพา JavaScript ฝั่งผู้ใช้เลย — นั่นคือสิ่งที่ Datastar เสนอให้กับนักพัฒนาในยุคที่หลายคนเริ่มเบื่อกับความซับซ้อนของ SPA (Single Page Application) Datastar เป็นเฟรมเวิร์กน้ำหนักเบาเพียง 10.75 KiB ที่ช่วยให้คุณสร้างเว็บตั้งแต่หน้าเว็บธรรมดาไปจนถึงแอปแบบ collaborative ที่ทำงานแบบเรียลไทม์ โดยใช้แนวคิด “hypermedia-driven frontend” ซึ่งหมายถึงการควบคุม DOM และ state จากฝั่ง backend ผ่าน HTML attributes เช่น data-on-click="@get('/endpoint')" โดยไม่ต้องเขียน JavaScript ฝั่งผู้ใช้เลย เฟรมเวิร์กนี้รองรับการส่งข้อมูลแบบ HTML ปกติและแบบ event-stream (SSE) ทำให้สามารถอัปเดต DOM แบบเรียลไทม์ได้ง่าย และยังสามารถใช้ backend ภาษาใดก็ได้ เช่น Go, Python, Rust หรือ Node.js โดยมี SDK รองรับ นักพัฒนาหลายคนที่เคยใช้ React, htmx หรือ Alpine.js ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า Datastar ช่วยลดความซับซ้อนของ frontend ได้อย่างมาก และทำให้พวกเขากลับมาโฟกัสกับการแก้ปัญหาทางธุรกิจแทนที่จะต้องมานั่งจัดการกับ state และ virtual DOM ✅ จุดเด่นของ Datastar ➡️ เป็นเฟรมเวิร์กน้ำหนักเบาเพียง 10.75 KiB ➡️ รองรับการสร้างเว็บแบบเรียลไทม์โดยไม่ต้องใช้ JavaScript ฝั่งผู้ใช้ ➡️ ใช้แนวคิด hypermedia-driven frontend ควบคุม DOM ผ่าน HTML attributes ✅ การทำงานแบบเรียลไทม์ ➡️ รองรับการส่งข้อมูลแบบ text/html และ text/event-stream (SSE) ➡️ สามารถอัปเดต DOM จาก backend ได้ทันที ➡️ ใช้คำสั่งเช่น PatchElements() เพื่อเปลี่ยนแปลง DOM แบบสดๆ ✅ ความยืดหยุ่นของ backend ➡️ สามารถใช้ภาษาใดก็ได้ในการเขียน backend เช่น Go, Python, Rust ➡️ มี SDK รองรับหลายภาษา ➡️ ไม่จำกัดเทคโนโลยีฝั่งเซิร์ฟเวอร์ ✅ ความเห็นจากนักพัฒนา ➡️ ลดความซับซ้อนจาก SPA และ virtual DOM ➡️ ใช้งานง่ายกว่า htmx หรือ Alpine.js ➡️ เหมาะกับแอปที่ต้องการความเร็วและความเสถียร ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SSE (Server-Sent Events) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ส่งข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ไปยัง client แบบต่อเนื่อง โดยไม่ต้องเปิด WebSocket ➡️ Hypermedia-driven frontend เป็นแนวคิดที่ใช้ข้อมูลจาก backend ควบคุม UI โดยตรง ผ่าน HTML attributes ➡️ การไม่ใช้ JavaScript ฝั่งผู้ใช้ช่วยลดปัญหาเรื่อง bundle size, security และ performance https://data-star.dev/
    DATA-STAR.DEV
    Datastar
    The hypermedia framework.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 207 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Album Cards — พลิกโฉมการฟังเพลงให้ลูกชาย ด้วยการ์ดอัลบั้ม NFC สุดสร้างสรรค์”

    ลองนึกภาพการฟังเพลงที่ไม่ใช่แค่กดเล่นจากมือถือหรือลำโพงอัจฉริยะ แต่เป็นการ “เลือก” เพลงจากการ์ดอัลบั้มที่จับต้องได้ เหมือนสมัยที่เรานั่งเลือกซีดีบนพื้นห้อง — นั่นคือสิ่งที่ Jordan Fulghum พยายามสร้างขึ้นใหม่ให้กับลูกชายวัย 10 ขวบของเขา

    Jordan เล่าว่าในวัยเด็ก เขาเคยใช้เงินทั้งหมดซื้อซีดีเพลง และหลงใหลกับการอ่านเนื้อเพลงจากปกซีดี แต่ลูกชายของเขาเติบโตมาในยุคที่เพลงเป็นสิ่งไร้รูปแบบ ไหลผ่านลำโพงอัจฉริยะและเพลย์ลิสต์อัตโนมัติ เขาจึงคิดค้น “Album Cards” — การ์ดสะสมที่มีภาพปกอัลบั้ม พร้อมแท็ก NFC ที่สามารถแตะเพื่อเล่นเพลงจากเซิร์ฟเวอร์ Plex ส่วนตัวได้ทันที

    เขาใช้เทคโนโลยี AI เพื่อขยายภาพปกอัลบั้มให้พอดีกับขนาดการ์ดที่เป็นสัดส่วน 2.5:3.5 นิ้ว ซึ่งต่างจากภาพปกอัลบั้มที่เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส และใช้ PlexAmp ในการเขียนลิงก์เพลงลงในแท็ก NFC ได้อย่างง่ายดาย

    ผลลัพธ์คือ ลูกชายของเขาเลือกฟังเพลงอย่างตั้งใจมากขึ้น เหมือนเล่นโปเกมอนการ์ด แต่แทนที่จะเป็นสัตว์ประหลาด กลับเป็นเพลงที่พ่ออยากให้ฟัง และเพลงที่เขาอยากค้นพบด้วยตัวเอง

    แนวคิดเบื้องหลัง Album Cards
    สร้างประสบการณ์ฟังเพลงแบบจับต้องได้ให้ลูกชายวัย 10 ขวบ
    เปรียบเทียบกับการเลือกซีดีในวัยเด็กของผู้เขียน
    แก้ปัญหาการฟังเพลงแบบไร้รูปแบบในยุคปัจจุบัน

    วิธีการสร้าง Album Cards
    ใช้ภาพปกอัลบั้มจาก Google และขยายด้วย AI ให้พอดีกับขนาดการ์ด
    ใช้ Canva และเทมเพลต PDF ในการออกแบบ
    พิมพ์ลงบนกระดาษสติกเกอร์หรือกระดาษแข็ง แล้วติดแท็ก NFC

    การใช้งาน NFC กับ PlexAmp
    PlexAmp รองรับการเขียนลิงก์เพลงลง NFC โดยตรง
    แตะการ์ดเพื่อเล่นเพลงจากเซิร์ฟเวอร์ Plex ส่วนตัว
    ไม่ต้องใช้หน้าจอหรือแอปมือถือในการเล่นเพลง

    ผลลัพธ์ที่ได้
    ลูกชายเลือกฟังเพลงอย่างตั้งใจมากขึ้น
    การ์ดกลายเป็นของสะสมที่สามารถแลกเปลี่ยนได้
    สร้างความผูกพันกับเพลงในระดับอัลบั้ม ไม่ใช่แค่เพลงเดี่ยว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    NFC (Near Field Communication) เป็นเทคโนโลยีไร้สายระยะสั้นที่ใช้ในบัตรโดยสาร, การชำระเงิน และอุปกรณ์อัจฉริยะ
    Plex เป็นระบบจัดการสื่อที่สามารถสตรีมไฟล์จากเซิร์ฟเวอร์ส่วนตัวได้
    AI diffusion model ใช้ในการสร้างภาพต่อเติมจากต้นฉบับ โดยรักษาสไตล์เดิมไว้

    https://fulghum.io/album-cards
    ♦️ “Album Cards — พลิกโฉมการฟังเพลงให้ลูกชาย ด้วยการ์ดอัลบั้ม NFC สุดสร้างสรรค์” ลองนึกภาพการฟังเพลงที่ไม่ใช่แค่กดเล่นจากมือถือหรือลำโพงอัจฉริยะ แต่เป็นการ “เลือก” เพลงจากการ์ดอัลบั้มที่จับต้องได้ เหมือนสมัยที่เรานั่งเลือกซีดีบนพื้นห้อง — นั่นคือสิ่งที่ Jordan Fulghum พยายามสร้างขึ้นใหม่ให้กับลูกชายวัย 10 ขวบของเขา Jordan เล่าว่าในวัยเด็ก เขาเคยใช้เงินทั้งหมดซื้อซีดีเพลง และหลงใหลกับการอ่านเนื้อเพลงจากปกซีดี แต่ลูกชายของเขาเติบโตมาในยุคที่เพลงเป็นสิ่งไร้รูปแบบ ไหลผ่านลำโพงอัจฉริยะและเพลย์ลิสต์อัตโนมัติ เขาจึงคิดค้น “Album Cards” — การ์ดสะสมที่มีภาพปกอัลบั้ม พร้อมแท็ก NFC ที่สามารถแตะเพื่อเล่นเพลงจากเซิร์ฟเวอร์ Plex ส่วนตัวได้ทันที เขาใช้เทคโนโลยี AI เพื่อขยายภาพปกอัลบั้มให้พอดีกับขนาดการ์ดที่เป็นสัดส่วน 2.5:3.5 นิ้ว ซึ่งต่างจากภาพปกอัลบั้มที่เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส และใช้ PlexAmp ในการเขียนลิงก์เพลงลงในแท็ก NFC ได้อย่างง่ายดาย ผลลัพธ์คือ ลูกชายของเขาเลือกฟังเพลงอย่างตั้งใจมากขึ้น เหมือนเล่นโปเกมอนการ์ด แต่แทนที่จะเป็นสัตว์ประหลาด กลับเป็นเพลงที่พ่ออยากให้ฟัง และเพลงที่เขาอยากค้นพบด้วยตัวเอง ✅ แนวคิดเบื้องหลัง Album Cards ➡️ สร้างประสบการณ์ฟังเพลงแบบจับต้องได้ให้ลูกชายวัย 10 ขวบ ➡️ เปรียบเทียบกับการเลือกซีดีในวัยเด็กของผู้เขียน ➡️ แก้ปัญหาการฟังเพลงแบบไร้รูปแบบในยุคปัจจุบัน ✅ วิธีการสร้าง Album Cards ➡️ ใช้ภาพปกอัลบั้มจาก Google และขยายด้วย AI ให้พอดีกับขนาดการ์ด ➡️ ใช้ Canva และเทมเพลต PDF ในการออกแบบ ➡️ พิมพ์ลงบนกระดาษสติกเกอร์หรือกระดาษแข็ง แล้วติดแท็ก NFC ✅ การใช้งาน NFC กับ PlexAmp ➡️ PlexAmp รองรับการเขียนลิงก์เพลงลง NFC โดยตรง ➡️ แตะการ์ดเพื่อเล่นเพลงจากเซิร์ฟเวอร์ Plex ส่วนตัว ➡️ ไม่ต้องใช้หน้าจอหรือแอปมือถือในการเล่นเพลง ✅ ผลลัพธ์ที่ได้ ➡️ ลูกชายเลือกฟังเพลงอย่างตั้งใจมากขึ้น ➡️ การ์ดกลายเป็นของสะสมที่สามารถแลกเปลี่ยนได้ ➡️ สร้างความผูกพันกับเพลงในระดับอัลบั้ม ไม่ใช่แค่เพลงเดี่ยว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ NFC (Near Field Communication) เป็นเทคโนโลยีไร้สายระยะสั้นที่ใช้ในบัตรโดยสาร, การชำระเงิน และอุปกรณ์อัจฉริยะ ➡️ Plex เป็นระบบจัดการสื่อที่สามารถสตรีมไฟล์จากเซิร์ฟเวอร์ส่วนตัวได้ ➡️ AI diffusion model ใช้ในการสร้างภาพต่อเติมจากต้นฉบับ โดยรักษาสไตล์เดิมไว้ https://fulghum.io/album-cards
    FULGHUM.IO
    Album Cards: Rebuilding the Joy of Music Discovery for My 10-Year-Old
    What's the modern equivalent of flipping through CDs? Physical album cards with NFC tags that bring back the tactile joy of music discovery.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 229 มุมมอง 0 รีวิว
  • Quick Big Win พลิกโฉมตลาดทุนไทย : [Biz Talk]

    Taskforce (สศค.,ก.ล.ต.,ตลท.,FETCO) คลอด ‘ชุดมาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดทุนไทย’ หลังเผชิญปัญหารอบด้าน หวังใช้ 4 มาตรการหลัก ฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุน ยกระดับขีดความสามารถตลาดทุนไทยในระดับสากล โดยภายใน 4 เดือนนี้ จะทยอยเห็นผลมาตรการ สอดรับนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล
    Quick Big Win พลิกโฉมตลาดทุนไทย : [Biz Talk] Taskforce (สศค.,ก.ล.ต.,ตลท.,FETCO) คลอด ‘ชุดมาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดทุนไทย’ หลังเผชิญปัญหารอบด้าน หวังใช้ 4 มาตรการหลัก ฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุน ยกระดับขีดความสามารถตลาดทุนไทยในระดับสากล โดยภายใน 4 เดือนนี้ จะทยอยเห็นผลมาตรการ สอดรับนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 318 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • สแกนเดียวครบ! QR Code รวมทุกช่องทางโซเชียลมีเดีย 'พรรคไทยก้าวใหม่' ชวนคนไทยพลิกโฉมประเทศสู่ความแข็งแกร่ง "ก้าวใหม่ ให้ไทยสตรอง"
    https://www.thai-tai.tv/news/21855/
    .
    #ไทยไท #ไทยก้าวใหม่ #ไทยสตรอง #การเมืองก้าวใหม่ #ติดตามการทำงาน
    สแกนเดียวครบ! QR Code รวมทุกช่องทางโซเชียลมีเดีย 'พรรคไทยก้าวใหม่' ชวนคนไทยพลิกโฉมประเทศสู่ความแข็งแกร่ง "ก้าวใหม่ ให้ไทยสตรอง" https://www.thai-tai.tv/news/21855/ . #ไทยไท #ไทยก้าวใหม่ #ไทยสตรอง #การเมืองก้าวใหม่ #ติดตามการทำงาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 216 มุมมอง 0 รีวิว
  • “PlayStation 6 เตรียมพลิกโฉมกราฟิกเกม — Sony และ AMD เปิดตัว Radiance Cores และ Neural Arrays เร่งพลัง AI และ Ray Tracing”

    Sony และ AMD ได้เปิดเผยเทคโนโลยีใหม่ที่จะถูกนำมาใช้ในคอนโซลรุ่นถัดไปของ PlayStation ภายใต้โครงการร่วมชื่อว่า “Project Amethyst” ซึ่งคาดว่าจะเป็นพื้นฐานของ PlayStation 6 โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับการประมวลผลกราฟิกและ AI ให้เทียบเท่ากับการ์ดจอระดับสูงของ PC

    สองเทคโนโลยีหลักที่ถูกเปิดเผยคือ “Neural Arrays” และ “Radiance Cores” ซึ่งจะถูกฝังอยู่ในสถาปัตยกรรม RDNA 5 ของ AMD

    Neural Arrays คือการเชื่อมต่อ Compute Units (CU) ทั้งหมดใน GPU ให้สามารถสื่อสารกันโดยตรงแบบ Infinity Fabric เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล AI และการเรนเดอร์ภาพแบบ machine learning

    Radiance Cores เป็นฮาร์ดแวร์เฉพาะที่แยกการประมวลผล ray tracing ออกจาก shader cores เพื่อให้สามารถทำ path tracing แบบเรียลไทม์ได้เร็วขึ้น

    นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี “Universal Compression” ที่สามารถบีบอัดข้อมูลทุกประเภทได้อย่างชาญฉลาด ซึ่งจะช่วยลดเวลาโหลดเกมและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการข้อมูลในระบบ

    Mark Cerny สถาปนิกของ PS5 และ Jack Huynh รองประธาน AMD ยืนยันว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ในคอนโซลรุ่นใหม่ภายใน “อีกไม่กี่ปีข้างหน้า” และอาจรวมถึงอุปกรณ์พกพารุ่นใหม่ของ PlayStation ด้วย

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Sony และ AMD เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ภายใต้โครงการ Project Amethyst
    คาดว่าจะถูกนำมาใช้ใน PlayStation 6 และอุปกรณ์พกพารุ่นใหม่
    Neural Arrays เชื่อม Compute Units ทั้งหมดใน GPU เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ AI
    Radiance Cores เป็นฮาร์ดแวร์เฉพาะสำหรับ ray tracing และ path tracing
    Universal Compression สามารถบีบอัดข้อมูลทุกประเภทได้แบบอัตโนมัติ
    เทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ใน RDNA 5 และ SoC รุ่นใหม่ของ AMD
    Mark Cerny และ Jack Huynh ยืนยันว่าเทคโนโลยีจะมาถึง “ในอีกไม่กี่ปี”
    Radiance Cores จะช่วยให้ PS6 เรนเดอร์ภาพได้เทียบเท่าการ์ดจอ PC ระดับสูง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Infinity Fabric เป็นเทคโนโลยีของ AMD ที่ใช้เชื่อมหน่วยประมวลผลภายในแบบความเร็วสูง
    Path tracing เป็นเทคนิคเรนเดอร์แสงที่สมจริงที่สุด แต่ใช้ทรัพยากรสูงมาก
    Universal Compression จะมาแทน Delta Color Compression ที่ใช้ใน PS5
    Neural Arrays อาจช่วยให้การใช้ FSR และ PSSR มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    Radiance Cores คล้ายกับ RT Cores ของ Nvidia ที่ใช้ในการ์ดจอ RTX

    https://www.tomshardware.com/video-games/console-gaming/sony-and-amd-tease-likely-playstation-6-gpu-upgrades-radiance-cores-and-a-new-interconnect-for-boosting-ai-rendering-performance
    🎮 “PlayStation 6 เตรียมพลิกโฉมกราฟิกเกม — Sony และ AMD เปิดตัว Radiance Cores และ Neural Arrays เร่งพลัง AI และ Ray Tracing” Sony และ AMD ได้เปิดเผยเทคโนโลยีใหม่ที่จะถูกนำมาใช้ในคอนโซลรุ่นถัดไปของ PlayStation ภายใต้โครงการร่วมชื่อว่า “Project Amethyst” ซึ่งคาดว่าจะเป็นพื้นฐานของ PlayStation 6 โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับการประมวลผลกราฟิกและ AI ให้เทียบเท่ากับการ์ดจอระดับสูงของ PC สองเทคโนโลยีหลักที่ถูกเปิดเผยคือ “Neural Arrays” และ “Radiance Cores” ซึ่งจะถูกฝังอยู่ในสถาปัตยกรรม RDNA 5 ของ AMD 🔰 Neural Arrays คือการเชื่อมต่อ Compute Units (CU) ทั้งหมดใน GPU ให้สามารถสื่อสารกันโดยตรงแบบ Infinity Fabric เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล AI และการเรนเดอร์ภาพแบบ machine learning 🔰 Radiance Cores เป็นฮาร์ดแวร์เฉพาะที่แยกการประมวลผล ray tracing ออกจาก shader cores เพื่อให้สามารถทำ path tracing แบบเรียลไทม์ได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี “Universal Compression” ที่สามารถบีบอัดข้อมูลทุกประเภทได้อย่างชาญฉลาด ซึ่งจะช่วยลดเวลาโหลดเกมและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการข้อมูลในระบบ Mark Cerny สถาปนิกของ PS5 และ Jack Huynh รองประธาน AMD ยืนยันว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ในคอนโซลรุ่นใหม่ภายใน “อีกไม่กี่ปีข้างหน้า” และอาจรวมถึงอุปกรณ์พกพารุ่นใหม่ของ PlayStation ด้วย ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Sony และ AMD เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ภายใต้โครงการ Project Amethyst ➡️ คาดว่าจะถูกนำมาใช้ใน PlayStation 6 และอุปกรณ์พกพารุ่นใหม่ ➡️ Neural Arrays เชื่อม Compute Units ทั้งหมดใน GPU เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ AI ➡️ Radiance Cores เป็นฮาร์ดแวร์เฉพาะสำหรับ ray tracing และ path tracing ➡️ Universal Compression สามารถบีบอัดข้อมูลทุกประเภทได้แบบอัตโนมัติ ➡️ เทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ใน RDNA 5 และ SoC รุ่นใหม่ของ AMD ➡️ Mark Cerny และ Jack Huynh ยืนยันว่าเทคโนโลยีจะมาถึง “ในอีกไม่กี่ปี” ➡️ Radiance Cores จะช่วยให้ PS6 เรนเดอร์ภาพได้เทียบเท่าการ์ดจอ PC ระดับสูง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Infinity Fabric เป็นเทคโนโลยีของ AMD ที่ใช้เชื่อมหน่วยประมวลผลภายในแบบความเร็วสูง ➡️ Path tracing เป็นเทคนิคเรนเดอร์แสงที่สมจริงที่สุด แต่ใช้ทรัพยากรสูงมาก ➡️ Universal Compression จะมาแทน Delta Color Compression ที่ใช้ใน PS5 ➡️ Neural Arrays อาจช่วยให้การใช้ FSR และ PSSR มีประสิทธิภาพมากขึ้น ➡️ Radiance Cores คล้ายกับ RT Cores ของ Nvidia ที่ใช้ในการ์ดจอ RTX https://www.tomshardware.com/video-games/console-gaming/sony-and-amd-tease-likely-playstation-6-gpu-upgrades-radiance-cores-and-a-new-interconnect-for-boosting-ai-rendering-performance
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 241 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'พรพรหม' สุดภูมิใจเผยภาพ Before-After 3 ปีผ่านมา จากกองขยะอ่อนนุช สู่ สวนป่า 60,000 ต้น กลายเป็นปอดใหญ่แห่งใหม่ของกรุงเทพฯ
    https://www.thai-tai.tv/news/21835/
    .
    #ไทยไท #สวนป่าอ่อนนุช #พื้นที่สีเขียว #ปอดกรุงเทพ #พลิกโฉม #สิ่งแวดล้อม
    'พรพรหม' สุดภูมิใจเผยภาพ Before-After 3 ปีผ่านมา จากกองขยะอ่อนนุช สู่ สวนป่า 60,000 ต้น กลายเป็นปอดใหญ่แห่งใหม่ของกรุงเทพฯ https://www.thai-tai.tv/news/21835/ . #ไทยไท #สวนป่าอ่อนนุช #พื้นที่สีเขียว #ปอดกรุงเทพ #พลิกโฉม #สิ่งแวดล้อม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 211 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'พรรคไทยก้าวใหม่' ชวนคนไทยร่วม “พลิกโฉม” ประเทศ สมัครสมาชิกพรรคในรูปแบบ One-stop service
    https://www.thai-tai.tv/news/21814/
    .
    #ไทยไท #ไทยก้าวใหม่ #ดรเอ้ #สุชัชวีร์ #การศึกษาฟรี #เศรษฐกิจชาตินิยมใหม่ #ปฏิรูประบบราชการ
    'พรรคไทยก้าวใหม่' ชวนคนไทยร่วม “พลิกโฉม” ประเทศ สมัครสมาชิกพรรคในรูปแบบ One-stop service https://www.thai-tai.tv/news/21814/ . #ไทยไท #ไทยก้าวใหม่ #ดรเอ้ #สุชัชวีร์ #การศึกษาฟรี #เศรษฐกิจชาตินิยมใหม่ #ปฏิรูประบบราชการ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 186 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Point2 เปิดตัว e-Tube ระบบส่งข้อมูล RF ผ่านพลาสติก — พลิกโฉมการเชื่อมต่อ AI ระดับดาต้าเซ็นเตอร์”

    ในงาน Open Compute Project Global Summit ที่จัดขึ้นในเดือนตุลาคม 2025 ณ เมืองซานโฮเซ่ บริษัท Point2 Technology ได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่ชื่อว่า “e-Tube” ซึ่งเป็นระบบส่งข้อมูลแบบ RF (Radio Frequency) ผ่านพลาสติก waveguide สำหรับการเชื่อมต่อภายในดาต้าเซ็นเตอร์ โดยมุ่งเป้าไปที่การรองรับงาน AI ที่ต้องการความเร็วสูงและพลังงานต่ำ

    e-Tube ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นทางเลือกใหม่แทนสายทองแดงและสายไฟเบอร์ออปติก โดยมีข้อได้เปรียบหลายด้าน เช่น

    ระยะส่งข้อมูลไกลกว่าสายทองแดงถึง 10 เท่า
    ใช้พลังงานน้อยกว่าการเชื่อมต่อแบบออปติกถึง 3 เท่า
    มี latency ต่ำกว่าถึง 1000 เท่า
    ราคาถูกกว่าการเชื่อมต่อแบบออปติกถึง 3 เท่า

    ระบบนี้ใช้การส่งข้อมูลผ่านคลื่นวิทยุในย่าน millimeter wave โดยใช้พลาสติกเป็นตัวนำคลื่น ซึ่งช่วยลดข้อจำกัดจาก skin effect ที่พบในสายทองแดง และไม่ต้องใช้การแปลงสัญญาณแบบ optical-electrical ที่กินพลังงานสูง

    Point2 ได้ร่วมมือกับ Molex และ Foxconn Interconnect Technology (FIT) เพื่อพัฒนา ecosystem ของสายและหัวเชื่อมต่อที่สามารถใช้งานร่วมกับมาตรฐาน OSFP ได้ทันที โดยมีการสาธิตการใช้งานจริงในรูปแบบ OSFP Pluggable Active RF Cable (ARC) สำหรับการเชื่อมต่อระหว่างแร็คและภายในแร็ค

    อีกหนึ่งการใช้งานสำคัญคือการเชื่อมต่อ GPU accelerator ผ่าน backplane ด้วย e-Tube ซึ่งช่วยให้สามารถขยายคลัสเตอร์ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพึ่งสายทองแดงหรือออปติกที่มีข้อจำกัดด้านระยะและพลังงาน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Point2 เปิดตัว e-Tube ระบบส่งข้อมูล RF ผ่านพลาสติก waveguide
    ใช้คลื่น millimeter wave ส่งข้อมูลผ่านพลาสติก dielectric waveguide
    ระยะส่งข้อมูลไกลกว่าสายทองแดงถึง 10 เท่า
    ใช้พลังงานน้อยกว่าการเชื่อมต่อแบบออปติกถึง 3 เท่า
    latency ต่ำกว่าการเชื่อมต่อแบบออปติกถึง 1000 เท่า
    ราคาถูกกว่าการเชื่อมต่อแบบออปติกถึง 3 เท่า
    ไม่ต้องใช้การแปลงสัญญาณ OE conversion แบบ optical
    รองรับความเร็ว 800G / 1.6T / 3.2T ต่อสาย
    ร่วมมือกับ Molex และ FIT พัฒนา ecosystem สำหรับการใช้งานจริง
    รองรับ OSFP form factor และการเชื่อมต่อ GPU ผ่าน backplane

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    millimeter wave เป็นคลื่นวิทยุที่มีความถี่สูง ใช้ใน 5G และ radar
    dielectric waveguide ทำจากพลาสติกทั่วไป แต่มีคุณสมบัติในการนำคลื่น
    skin effect คือปรากฏการณ์ที่กระแสไฟฟ้าไหลเฉพาะผิวของสายทองแดง ทำให้มีข้อจำกัดด้านความเร็ว
    OE conversion คือการแปลงสัญญาณแสงเป็นไฟฟ้า ซึ่งใช้พลังงานสูงและมี latency
    OSFP (Octal Small Form Factor Pluggable) เป็นมาตรฐานหัวเชื่อมต่อสำหรับความเร็วสูงในดาต้าเซ็นเตอร์

    https://www.techpowerup.com/341677/point2-technology-demos-e-tube-rack-scale-rf-transmission-over-plastic-waveguide-for-ai-interconnect
    🔌 “Point2 เปิดตัว e-Tube ระบบส่งข้อมูล RF ผ่านพลาสติก — พลิกโฉมการเชื่อมต่อ AI ระดับดาต้าเซ็นเตอร์” ในงาน Open Compute Project Global Summit ที่จัดขึ้นในเดือนตุลาคม 2025 ณ เมืองซานโฮเซ่ บริษัท Point2 Technology ได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่ชื่อว่า “e-Tube” ซึ่งเป็นระบบส่งข้อมูลแบบ RF (Radio Frequency) ผ่านพลาสติก waveguide สำหรับการเชื่อมต่อภายในดาต้าเซ็นเตอร์ โดยมุ่งเป้าไปที่การรองรับงาน AI ที่ต้องการความเร็วสูงและพลังงานต่ำ e-Tube ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นทางเลือกใหม่แทนสายทองแดงและสายไฟเบอร์ออปติก โดยมีข้อได้เปรียบหลายด้าน เช่น 🔰 ระยะส่งข้อมูลไกลกว่าสายทองแดงถึง 10 เท่า 🔰 ใช้พลังงานน้อยกว่าการเชื่อมต่อแบบออปติกถึง 3 เท่า 🔰 มี latency ต่ำกว่าถึง 1000 เท่า 🔰 ราคาถูกกว่าการเชื่อมต่อแบบออปติกถึง 3 เท่า ระบบนี้ใช้การส่งข้อมูลผ่านคลื่นวิทยุในย่าน millimeter wave โดยใช้พลาสติกเป็นตัวนำคลื่น ซึ่งช่วยลดข้อจำกัดจาก skin effect ที่พบในสายทองแดง และไม่ต้องใช้การแปลงสัญญาณแบบ optical-electrical ที่กินพลังงานสูง Point2 ได้ร่วมมือกับ Molex และ Foxconn Interconnect Technology (FIT) เพื่อพัฒนา ecosystem ของสายและหัวเชื่อมต่อที่สามารถใช้งานร่วมกับมาตรฐาน OSFP ได้ทันที โดยมีการสาธิตการใช้งานจริงในรูปแบบ OSFP Pluggable Active RF Cable (ARC) สำหรับการเชื่อมต่อระหว่างแร็คและภายในแร็ค อีกหนึ่งการใช้งานสำคัญคือการเชื่อมต่อ GPU accelerator ผ่าน backplane ด้วย e-Tube ซึ่งช่วยให้สามารถขยายคลัสเตอร์ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพึ่งสายทองแดงหรือออปติกที่มีข้อจำกัดด้านระยะและพลังงาน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Point2 เปิดตัว e-Tube ระบบส่งข้อมูล RF ผ่านพลาสติก waveguide ➡️ ใช้คลื่น millimeter wave ส่งข้อมูลผ่านพลาสติก dielectric waveguide ➡️ ระยะส่งข้อมูลไกลกว่าสายทองแดงถึง 10 เท่า ➡️ ใช้พลังงานน้อยกว่าการเชื่อมต่อแบบออปติกถึง 3 เท่า ➡️ latency ต่ำกว่าการเชื่อมต่อแบบออปติกถึง 1000 เท่า ➡️ ราคาถูกกว่าการเชื่อมต่อแบบออปติกถึง 3 เท่า ➡️ ไม่ต้องใช้การแปลงสัญญาณ OE conversion แบบ optical ➡️ รองรับความเร็ว 800G / 1.6T / 3.2T ต่อสาย ➡️ ร่วมมือกับ Molex และ FIT พัฒนา ecosystem สำหรับการใช้งานจริง ➡️ รองรับ OSFP form factor และการเชื่อมต่อ GPU ผ่าน backplane ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ millimeter wave เป็นคลื่นวิทยุที่มีความถี่สูง ใช้ใน 5G และ radar ➡️ dielectric waveguide ทำจากพลาสติกทั่วไป แต่มีคุณสมบัติในการนำคลื่น ➡️ skin effect คือปรากฏการณ์ที่กระแสไฟฟ้าไหลเฉพาะผิวของสายทองแดง ทำให้มีข้อจำกัดด้านความเร็ว ➡️ OE conversion คือการแปลงสัญญาณแสงเป็นไฟฟ้า ซึ่งใช้พลังงานสูงและมี latency ➡️ OSFP (Octal Small Form Factor Pluggable) เป็นมาตรฐานหัวเชื่อมต่อสำหรับความเร็วสูงในดาต้าเซ็นเตอร์ https://www.techpowerup.com/341677/point2-technology-demos-e-tube-rack-scale-rf-transmission-over-plastic-waveguide-for-ai-interconnect
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Point2 Technology Demos e-Tube Rack-Scale RF Transmission Over Plastic Waveguide for AI Interconnect
    Point2 Technology, a leading provider of ultra-low-power, low-latency mixed-signal SoC solutions for scalable interconnects in AI data centers, will showcase its latest advancements in e-Tube RF rack-scale data transmission over plastic waveguides at the upcoming Open Compute Project (OCP) Global Su...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 220 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Applied Materials เปิดตัว 3 ระบบใหม่พลิกโฉมการผลิตชิป — รองรับ AI ยุค 2nm และ 3D อย่างเต็มรูปแบบ”

    Applied Materials บริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก ได้เปิดตัวระบบใหม่ 3 รายการที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับการผลิตชิปให้รองรับความต้องการของยุค AI โดยเน้นที่การเพิ่มประสิทธิภาพ ลดการใช้พลังงาน และรองรับโครงสร้างชิปที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น Gate-All-Around (GAA), DRAM ความเร็วสูง และการแพ็กเกจแบบ 3D

    1️⃣ ระบบแรกคือ Kinex Bonding System ซึ่งเป็นเครื่องไฮบริดบอนเดอร์แบบ die-to-wafer ตัวแรกของอุตสาหกรรม โดยร่วมพัฒนากับบริษัท Besi จากเนเธอร์แลนด์ ระบบนี้รวมขั้นตอนการบอนด์ทั้งหมดไว้ในเครื่องเดียว ทำให้สามารถจัดการแพ็กเกจแบบ multi-die ได้ดีขึ้น ลดระยะเวลาและความคลาดเคลื่อนในการประกอบ และรองรับการเชื่อมต่อแบบ copper-to-copper ที่แม่นยำและประหยัดพลังงาน

    2️⃣ ระบบที่สองคือ Centura Xtera Epi System สำหรับการสร้างทรานซิสเตอร์ GAA ที่ระดับ 2nm และต่ำกว่า โดยใช้กระบวนการ epitaxial deposition แบบใหม่ที่สามารถเติมวัสดุในร่องลึกของทรานซิสเตอร์ได้อย่างสม่ำเสมอ ลดการเกิดช่องว่างและเพิ่มความแม่นยำในการเติบโตของวัสดุถึง 40% พร้อมลดการใช้แก๊สลงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับระบบเดิม

    3️⃣ ระบบสุดท้ายคือ PROVision 10 eBeam Metrology System ซึ่งเป็นเครื่องวัดขนาดและภาพแบบอิเล็กตรอนที่ใช้เทคโนโลยี cold field emission (CFE) ทำให้สามารถสร้างภาพระดับ sub-nanometer ได้เร็วขึ้นถึง 10 เท่าเมื่อเทียบกับระบบเดิม รองรับการวัดโครงสร้าง 3D ที่ซับซ้อน เช่น DRAM รุ่นใหม่, 3D NAND และทรานซิสเตอร์แบบ backside power delivery

    ทั้งสามระบบนี้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการผลิตชิปที่ใช้ในงาน AI โดยเฉพาะ เช่น GPU, HPC และระบบ edge computing ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและการจัดการพลังงานที่ดีเยี่ยม

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Applied Materials เปิดตัว 3 ระบบใหม่เพื่อการผลิตชิปยุค AI
    Kinex Bonding System เป็น die-to-wafer hybrid bonder ตัวแรกของอุตสาหกรรม
    ระบบ Kinex รวมขั้นตอนการบอนด์ทั้งหมดไว้ในเครื่องเดียว
    รองรับการเชื่อมต่อ copper-to-copper ที่แม่นยำและประหยัดพลังงาน
    Centura Xtera Epi System ใช้กระบวนการใหม่สำหรับทรานซิสเตอร์ GAA
    ลดการเกิดช่องว่างในร่องลึก และเพิ่มความแม่นยำในการเติบโตของวัสดุ 40%
    ลดการใช้แก๊สลง 50% เมื่อเทียบกับระบบเดิม
    PROVision 10 ใช้เทคโนโลยี cold field emission (CFE)
    สร้างภาพระดับ sub-nanometer ได้เร็วขึ้น 10 เท่า
    รองรับการวัดโครงสร้าง 3D เช่น DRAM, 3D NAND และ GAA

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    GAA ทรานซิสเตอร์เป็นเทคโนโลยีหลักในชิประดับ 2nm ที่ใช้ใน AI และ HPC
    Hybrid bonding เป็นเทคนิคที่ใช้ในการเชื่อมชิปหลายตัวเข้าด้วยกันแบบ 3D
    Cold field emission ให้ความละเอียดสูงกว่า thermal field emission ที่ใช้ทั่วไป
    การวัดแบบ eBeam ช่วยตรวจสอบความคลาดเคลื่อนในระดับนาโนได้แม่นยำ
    Applied Materials เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ในโรงงานชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลก

    https://www.techpowerup.com/341672/applied-materials-unveils-next-gen-chipmaking-products
    🔬 “Applied Materials เปิดตัว 3 ระบบใหม่พลิกโฉมการผลิตชิป — รองรับ AI ยุค 2nm และ 3D อย่างเต็มรูปแบบ” Applied Materials บริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก ได้เปิดตัวระบบใหม่ 3 รายการที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับการผลิตชิปให้รองรับความต้องการของยุค AI โดยเน้นที่การเพิ่มประสิทธิภาพ ลดการใช้พลังงาน และรองรับโครงสร้างชิปที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น Gate-All-Around (GAA), DRAM ความเร็วสูง และการแพ็กเกจแบบ 3D 1️⃣ ระบบแรกคือ Kinex Bonding System ซึ่งเป็นเครื่องไฮบริดบอนเดอร์แบบ die-to-wafer ตัวแรกของอุตสาหกรรม โดยร่วมพัฒนากับบริษัท Besi จากเนเธอร์แลนด์ ระบบนี้รวมขั้นตอนการบอนด์ทั้งหมดไว้ในเครื่องเดียว ทำให้สามารถจัดการแพ็กเกจแบบ multi-die ได้ดีขึ้น ลดระยะเวลาและความคลาดเคลื่อนในการประกอบ และรองรับการเชื่อมต่อแบบ copper-to-copper ที่แม่นยำและประหยัดพลังงาน 2️⃣ ระบบที่สองคือ Centura Xtera Epi System สำหรับการสร้างทรานซิสเตอร์ GAA ที่ระดับ 2nm และต่ำกว่า โดยใช้กระบวนการ epitaxial deposition แบบใหม่ที่สามารถเติมวัสดุในร่องลึกของทรานซิสเตอร์ได้อย่างสม่ำเสมอ ลดการเกิดช่องว่างและเพิ่มความแม่นยำในการเติบโตของวัสดุถึง 40% พร้อมลดการใช้แก๊สลงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับระบบเดิม 3️⃣ ระบบสุดท้ายคือ PROVision 10 eBeam Metrology System ซึ่งเป็นเครื่องวัดขนาดและภาพแบบอิเล็กตรอนที่ใช้เทคโนโลยี cold field emission (CFE) ทำให้สามารถสร้างภาพระดับ sub-nanometer ได้เร็วขึ้นถึง 10 เท่าเมื่อเทียบกับระบบเดิม รองรับการวัดโครงสร้าง 3D ที่ซับซ้อน เช่น DRAM รุ่นใหม่, 3D NAND และทรานซิสเตอร์แบบ backside power delivery ทั้งสามระบบนี้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการผลิตชิปที่ใช้ในงาน AI โดยเฉพาะ เช่น GPU, HPC และระบบ edge computing ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและการจัดการพลังงานที่ดีเยี่ยม ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Applied Materials เปิดตัว 3 ระบบใหม่เพื่อการผลิตชิปยุค AI ➡️ Kinex Bonding System เป็น die-to-wafer hybrid bonder ตัวแรกของอุตสาหกรรม ➡️ ระบบ Kinex รวมขั้นตอนการบอนด์ทั้งหมดไว้ในเครื่องเดียว ➡️ รองรับการเชื่อมต่อ copper-to-copper ที่แม่นยำและประหยัดพลังงาน ➡️ Centura Xtera Epi System ใช้กระบวนการใหม่สำหรับทรานซิสเตอร์ GAA ➡️ ลดการเกิดช่องว่างในร่องลึก และเพิ่มความแม่นยำในการเติบโตของวัสดุ 40% ➡️ ลดการใช้แก๊สลง 50% เมื่อเทียบกับระบบเดิม ➡️ PROVision 10 ใช้เทคโนโลยี cold field emission (CFE) ➡️ สร้างภาพระดับ sub-nanometer ได้เร็วขึ้น 10 เท่า ➡️ รองรับการวัดโครงสร้าง 3D เช่น DRAM, 3D NAND และ GAA ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ GAA ทรานซิสเตอร์เป็นเทคโนโลยีหลักในชิประดับ 2nm ที่ใช้ใน AI และ HPC ➡️ Hybrid bonding เป็นเทคนิคที่ใช้ในการเชื่อมชิปหลายตัวเข้าด้วยกันแบบ 3D ➡️ Cold field emission ให้ความละเอียดสูงกว่า thermal field emission ที่ใช้ทั่วไป ➡️ การวัดแบบ eBeam ช่วยตรวจสอบความคลาดเคลื่อนในระดับนาโนได้แม่นยำ ➡️ Applied Materials เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ในโรงงานชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลก https://www.techpowerup.com/341672/applied-materials-unveils-next-gen-chipmaking-products
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Applied Materials Unveils Next-Gen Chipmaking Products
    Applied Materials, Inc. today introduced new semiconductor manufacturing systems that boost the performance of advanced logic and memory chips foundational to AI computing. The new products target three critical areas in the race to deliver ever more powerful AI chips: leading-edge logic including G...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 262 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Evernote v11 พลิกโฉมครั้งใหญ่ในรอบ 5 ปี — เสริมพลัง AI ช่วยจัดการโน้ตอย่างชาญฉลาด”

    หลังจากเงียบไปนาน Evernote แอปจดบันทึกยอดนิยมกลับมาอีกครั้งด้วยการอัปเดตครั้งใหญ่ในเวอร์ชัน 11 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในรอบ 5 ปี โดยมีการปรับปรุงมากกว่า 200 รายการตั้งแต่ต้นปี 2024 ทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความเสถียร และประสบการณ์ผู้ใช้ พร้อมเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อยกระดับการใช้งานให้ทันสมัยและทรงพลังยิ่งขึ้น

    ฟีเจอร์เด่นคือ “AI Assistant” ที่พัฒนาโดยร่วมมือกับ OpenAI ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยสนทนาในแอป ช่วยค้นหา แก้ไข สรุป และจัดการเนื้อหาในโน้ต รวมถึงสามารถค้นหาข้อมูลจากเว็บโดยไม่ต้องออกจาก Evernote เลย

    อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าจับตามองคือ “Semantic Search” ที่ช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาโน้ตด้วยภาษาธรรมชาติ เช่น พิมพ์ว่า “ทริปอังกฤษ” แล้วระบบสามารถแสดงโน้ตที่เกี่ยวกับ “London Trip” หรือ “Edinburgh Trip” ได้ทันที โดยไม่ต้องใช้คำค้นตรงตัว

    นอกจากนี้ยังมี “AI-powered meeting notes” ที่สามารถบันทึกเสียงจากไมโครโฟนของเครื่อง แล้วแปลงเป็นสรุปและบันทึกการประชุมแบบอัตโนมัติ พร้อมแยกเสียงของผู้พูดแต่ละคนได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นการต่อยอดจากฟีเจอร์ AI Transcribe ที่เปิดตัวในปี 2024

    Evernote ยังปรับภาพลักษณ์ใหม่ด้วยโลโก้และดีไซน์ที่ทันสมัยขึ้น เพื่อสะท้อนความเปลี่ยนแปลงในยุคที่ AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานประจำวัน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Evernote v11 เป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ในรอบ 5 ปี
    มีการปรับปรุงมากกว่า 200 รายการตั้งแต่ต้นปี 2024
    เปิดตัวฟีเจอร์ AI Assistant ที่พัฒนาโดย OpenAI
    AI Assistant ช่วยค้นหา สรุป แก้ไข และจัดการโน้ต รวมถึงค้นหาเว็บในแอป
    Semantic Search ช่วยค้นหาโน้ตด้วยภาษาธรรมชาติ ไม่ต้องใช้คำค้นตรงตัว
    AI-powered meeting notes บันทึกเสียงและแปลงเป็นสรุป พร้อมแยกเสียงผู้พูด
    ปรับภาพลักษณ์ใหม่ด้วยโลโก้และดีไซน์ที่ทันสมัย
    ฟีเจอร์ใหม่ช่วยให้ Evernote กลายเป็นแพลตฟอร์มที่ทรงพลังและเป็น “สมองที่สอง”

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Evernote ถูกซื้อกิจการโดย Bending Spoons ในปี 2022 และเริ่มปรับโครงสร้างใหม่
    OpenAI SDK ที่ใช้ใน AI Assistant เป็นเทคโนโลยีเดียวกับที่ใช้ใน ChatGPT
    Semantic Search เป็นเทคนิคที่ใช้ embedding และ vector search เพื่อจับความหมาย
    การแยกเสียงผู้พูดใน meeting notes ใช้เทคนิค speaker diarization ที่นิยมในระบบ transcription
    Evernote เคยเป็นแอปจดโน้ตอันดับหนึ่งในช่วงปี 2010–2015 ก่อนจะถูกแซงโดย Notion และ OneNote

    https://www.techradar.com/pro/evernote-unveils-its-biggest-update-yet-and-unsurprisingly-theres-ai-involved
    📝 “Evernote v11 พลิกโฉมครั้งใหญ่ในรอบ 5 ปี — เสริมพลัง AI ช่วยจัดการโน้ตอย่างชาญฉลาด” หลังจากเงียบไปนาน Evernote แอปจดบันทึกยอดนิยมกลับมาอีกครั้งด้วยการอัปเดตครั้งใหญ่ในเวอร์ชัน 11 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในรอบ 5 ปี โดยมีการปรับปรุงมากกว่า 200 รายการตั้งแต่ต้นปี 2024 ทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความเสถียร และประสบการณ์ผู้ใช้ พร้อมเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อยกระดับการใช้งานให้ทันสมัยและทรงพลังยิ่งขึ้น ฟีเจอร์เด่นคือ “AI Assistant” ที่พัฒนาโดยร่วมมือกับ OpenAI ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยสนทนาในแอป ช่วยค้นหา แก้ไข สรุป และจัดการเนื้อหาในโน้ต รวมถึงสามารถค้นหาข้อมูลจากเว็บโดยไม่ต้องออกจาก Evernote เลย อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าจับตามองคือ “Semantic Search” ที่ช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาโน้ตด้วยภาษาธรรมชาติ เช่น พิมพ์ว่า “ทริปอังกฤษ” แล้วระบบสามารถแสดงโน้ตที่เกี่ยวกับ “London Trip” หรือ “Edinburgh Trip” ได้ทันที โดยไม่ต้องใช้คำค้นตรงตัว นอกจากนี้ยังมี “AI-powered meeting notes” ที่สามารถบันทึกเสียงจากไมโครโฟนของเครื่อง แล้วแปลงเป็นสรุปและบันทึกการประชุมแบบอัตโนมัติ พร้อมแยกเสียงของผู้พูดแต่ละคนได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นการต่อยอดจากฟีเจอร์ AI Transcribe ที่เปิดตัวในปี 2024 Evernote ยังปรับภาพลักษณ์ใหม่ด้วยโลโก้และดีไซน์ที่ทันสมัยขึ้น เพื่อสะท้อนความเปลี่ยนแปลงในยุคที่ AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานประจำวัน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Evernote v11 เป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ในรอบ 5 ปี ➡️ มีการปรับปรุงมากกว่า 200 รายการตั้งแต่ต้นปี 2024 ➡️ เปิดตัวฟีเจอร์ AI Assistant ที่พัฒนาโดย OpenAI ➡️ AI Assistant ช่วยค้นหา สรุป แก้ไข และจัดการโน้ต รวมถึงค้นหาเว็บในแอป ➡️ Semantic Search ช่วยค้นหาโน้ตด้วยภาษาธรรมชาติ ไม่ต้องใช้คำค้นตรงตัว ➡️ AI-powered meeting notes บันทึกเสียงและแปลงเป็นสรุป พร้อมแยกเสียงผู้พูด ➡️ ปรับภาพลักษณ์ใหม่ด้วยโลโก้และดีไซน์ที่ทันสมัย ➡️ ฟีเจอร์ใหม่ช่วยให้ Evernote กลายเป็นแพลตฟอร์มที่ทรงพลังและเป็น “สมองที่สอง” ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Evernote ถูกซื้อกิจการโดย Bending Spoons ในปี 2022 และเริ่มปรับโครงสร้างใหม่ ➡️ OpenAI SDK ที่ใช้ใน AI Assistant เป็นเทคโนโลยีเดียวกับที่ใช้ใน ChatGPT ➡️ Semantic Search เป็นเทคนิคที่ใช้ embedding และ vector search เพื่อจับความหมาย ➡️ การแยกเสียงผู้พูดใน meeting notes ใช้เทคนิค speaker diarization ที่นิยมในระบบ transcription ➡️ Evernote เคยเป็นแอปจดโน้ตอันดับหนึ่งในช่วงปี 2010–2015 ก่อนจะถูกแซงโดย Notion และ OneNote https://www.techradar.com/pro/evernote-unveils-its-biggest-update-yet-and-unsurprisingly-theres-ai-involved
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 300 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'ดร.เอ้ สุชัชวีร์' ชูธง 'การศึกษาคือทางรอด' ลั่น 'ไทยก้าวใหม่' พร้อมพลิกโฉมการศึกษา สร้างทุนมนุษย์สู้ศึกเศรษฐกิจโลก
    https://www.thai-tai.tv/news/21792/
    .
    #พรรคไทยก้าวใหม่ #ไทยก้าวใหม่ #การศึกษา
    'ดร.เอ้ สุชัชวีร์' ชูธง 'การศึกษาคือทางรอด' ลั่น 'ไทยก้าวใหม่' พร้อมพลิกโฉมการศึกษา สร้างทุนมนุษย์สู้ศึกเศรษฐกิจโลก https://www.thai-tai.tv/news/21792/ . #พรรคไทยก้าวใหม่ #ไทยก้าวใหม่ #การศึกษา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'ดร.เอ้ สุชัชวีร์' ชูธง 'การศึกษาคือทางรอด' ลั่น 'ไทยก้าวใหม่' พร้อมพลิกโฉมการศึกษา สร้างทุนมนุษย์สู้ศึกเศรษฐกิจโลก
    https://www.thai-tai.tv/news/21792/
    .
    #พรรคไทยก้าวใหม่ #ไทยก้าวใหม่ #การศึกษา
    'ดร.เอ้ สุชัชวีร์' ชูธง 'การศึกษาคือทางรอด' ลั่น 'ไทยก้าวใหม่' พร้อมพลิกโฉมการศึกษา สร้างทุนมนุษย์สู้ศึกเศรษฐกิจโลก https://www.thai-tai.tv/news/21792/ . #พรรคไทยก้าวใหม่ #ไทยก้าวใหม่ #การศึกษา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เยอรมนีติดตั้งโซลาร์เซลล์บนระเบียงกว่า 500,000 จุด — พลังงานสะอาดที่ใครก็เข้าถึงได้”

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เยอรมนีได้พลิกโฉมการใช้พลังงานสะอาดด้วยการผลักดัน “Balkonkraftwerk” หรือระบบโซลาร์เซลล์ขนาดเล็กที่ติดตั้งบนระเบียง ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับปลั๊กไฟภายในบ้านได้โดยตรง โดยไม่ต้องมีการติดตั้งซับซ้อนหรือเป็นเจ้าของบ้านเอง

    ระบบนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2023 เพียงปีเดียวมีการติดตั้งมากกว่า 275,000 จุด และในปี 2024 ตัวเลขรวมทะลุ 550,000 จุดทั่วประเทศ โดยแต่ละชุดมีขนาดไม่เกิน 800 วัตต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับการชาร์จแล็ปท็อปหรือใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก

    ความสำเร็จนี้เกิดจากการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีที่เรียบง่าย ราคาที่เข้าถึงได้ (ประมาณ 500–700 ยูโรต่อชุด) และนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนอย่างจริงจัง เช่น การลดขั้นตอนการขออนุญาต การอนุญาตให้ใช้ปลั๊ก Schuko มาตรฐาน และการออกกฎหมายคุ้มครองผู้เช่าไม่ให้ถูกเจ้าของบ้านขัดขวางการติดตั้ง

    แม้ระบบจะผลิตไฟฟ้าได้ไม่มากนัก — เฉลี่ยประมาณ 500–600 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี — แต่ผู้ใช้งานจำนวนมากมองว่าเป็น “การกระทำเล็ก ๆ ที่มีความหมาย” ทั้งในแง่ของการลดค่าไฟ และการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ

    ผู้ใช้งานหลายคนยังกล่าวว่า การติดตั้งโซลาร์ระเบียงทำให้พวกเขาเริ่มตระหนักถึงการใช้พลังงานมากขึ้น เช่น การเลือกเวลาซักผ้าให้ตรงกับช่วงแดดจัด หรือการติดตามปริมาณพลังงานที่ผลิตผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งกลายเป็นกิจกรรมที่สร้างความภูมิใจและแรงบันดาลใจให้กับคนรอบข้าง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เยอรมนีติดตั้งโซลาร์เซลล์บนระเบียงมากกว่า 550,000 จุดทั่วประเทศ
    ระบบ Balkonkraftwerk มีขนาดไม่เกิน 800 วัตต์ และเชื่อมต่อผ่านปลั๊กไฟบ้าน
    ราคาต่อชุดประมาณ 500–700 ยูโร และติดตั้งได้เองโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของบ้าน
    รัฐบาลออกกฎหมายคุ้มครองผู้เช่าไม่ให้ถูกขัดขวางการติดตั้ง
    มีการลดขั้นตอนการขออนุญาตและอนุญาตให้ใช้ปลั๊ก Schuko มาตรฐาน
    ระบบผลิตไฟฟ้าเฉลี่ย 500–600 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี
    ผู้ใช้งานสามารถติดตามการผลิตพลังงานผ่านแอปพลิเคชัน
    การติดตั้งช่วยให้ผู้คนตระหนักถึงการใช้พลังงานและวางแผนการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ
    เป็นการมีส่วนร่วมเล็ก ๆ ที่ช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ในปี 2024 เยอรมนีผ่าน “Solarpaket 1” เพื่อสนับสนุนโซลาร์ระเบียงอย่างเป็นระบบ
    ระบบโซลาร์ระเบียงสามารถคืนทุนได้ภายใน 3–5 ปี ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและทิศทางของแสง
    ประเทศอื่นในยุโรป เช่น เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย และเบลเยียม กำลังนำแนวทางนี้ไปใช้
    ระบบแบบ plug-and-play ช่วยลดความซับซ้อนในการติดตั้งและเพิ่มการเข้าถึง
    การผลิตพลังงานในระดับครัวเรือนช่วยลดภาระของโครงข่ายไฟฟ้ากลาง

    https://grist.org/buildings/how-germany-outfitted-half-a-million-balconies-with-solar-panels/
    ☀️ “เยอรมนีติดตั้งโซลาร์เซลล์บนระเบียงกว่า 500,000 จุด — พลังงานสะอาดที่ใครก็เข้าถึงได้” ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เยอรมนีได้พลิกโฉมการใช้พลังงานสะอาดด้วยการผลักดัน “Balkonkraftwerk” หรือระบบโซลาร์เซลล์ขนาดเล็กที่ติดตั้งบนระเบียง ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับปลั๊กไฟภายในบ้านได้โดยตรง โดยไม่ต้องมีการติดตั้งซับซ้อนหรือเป็นเจ้าของบ้านเอง ระบบนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2023 เพียงปีเดียวมีการติดตั้งมากกว่า 275,000 จุด และในปี 2024 ตัวเลขรวมทะลุ 550,000 จุดทั่วประเทศ โดยแต่ละชุดมีขนาดไม่เกิน 800 วัตต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับการชาร์จแล็ปท็อปหรือใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก ความสำเร็จนี้เกิดจากการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีที่เรียบง่าย ราคาที่เข้าถึงได้ (ประมาณ 500–700 ยูโรต่อชุด) และนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนอย่างจริงจัง เช่น การลดขั้นตอนการขออนุญาต การอนุญาตให้ใช้ปลั๊ก Schuko มาตรฐาน และการออกกฎหมายคุ้มครองผู้เช่าไม่ให้ถูกเจ้าของบ้านขัดขวางการติดตั้ง แม้ระบบจะผลิตไฟฟ้าได้ไม่มากนัก — เฉลี่ยประมาณ 500–600 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี — แต่ผู้ใช้งานจำนวนมากมองว่าเป็น “การกระทำเล็ก ๆ ที่มีความหมาย” ทั้งในแง่ของการลดค่าไฟ และการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ ผู้ใช้งานหลายคนยังกล่าวว่า การติดตั้งโซลาร์ระเบียงทำให้พวกเขาเริ่มตระหนักถึงการใช้พลังงานมากขึ้น เช่น การเลือกเวลาซักผ้าให้ตรงกับช่วงแดดจัด หรือการติดตามปริมาณพลังงานที่ผลิตผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งกลายเป็นกิจกรรมที่สร้างความภูมิใจและแรงบันดาลใจให้กับคนรอบข้าง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เยอรมนีติดตั้งโซลาร์เซลล์บนระเบียงมากกว่า 550,000 จุดทั่วประเทศ ➡️ ระบบ Balkonkraftwerk มีขนาดไม่เกิน 800 วัตต์ และเชื่อมต่อผ่านปลั๊กไฟบ้าน ➡️ ราคาต่อชุดประมาณ 500–700 ยูโร และติดตั้งได้เองโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของบ้าน ➡️ รัฐบาลออกกฎหมายคุ้มครองผู้เช่าไม่ให้ถูกขัดขวางการติดตั้ง ➡️ มีการลดขั้นตอนการขออนุญาตและอนุญาตให้ใช้ปลั๊ก Schuko มาตรฐาน ➡️ ระบบผลิตไฟฟ้าเฉลี่ย 500–600 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี ➡️ ผู้ใช้งานสามารถติดตามการผลิตพลังงานผ่านแอปพลิเคชัน ➡️ การติดตั้งช่วยให้ผู้คนตระหนักถึงการใช้พลังงานและวางแผนการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ เป็นการมีส่วนร่วมเล็ก ๆ ที่ช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ในปี 2024 เยอรมนีผ่าน “Solarpaket 1” เพื่อสนับสนุนโซลาร์ระเบียงอย่างเป็นระบบ ➡️ ระบบโซลาร์ระเบียงสามารถคืนทุนได้ภายใน 3–5 ปี ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและทิศทางของแสง ➡️ ประเทศอื่นในยุโรป เช่น เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย และเบลเยียม กำลังนำแนวทางนี้ไปใช้ ➡️ ระบบแบบ plug-and-play ช่วยลดความซับซ้อนในการติดตั้งและเพิ่มการเข้าถึง ➡️ การผลิตพลังงานในระดับครัวเรือนช่วยลดภาระของโครงข่ายไฟฟ้ากลาง https://grist.org/buildings/how-germany-outfitted-half-a-million-balconies-with-solar-panels/
    GRIST.ORG
    How Germany outfitted half a million balconies with solar panels
    Meet balkonkraftwerk, the simple technology putting solar power in the hands of renters and nudging Germany toward its clean energy goals.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 296 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิสัยทัศน์ 'ไทยก้าวใหม่' ‘ดร.เอ้่’ ย้ำจุดยืน ใช้ 'ความรู้-ความกล้าหาญ' นำนโยบาย "สร้างคน" สู่การเมือง
    https://www.thai-tai.tv/news/21780/
    .
    #สุชัชวีร์สุวรรณสวัสดิ์ #พรรคไทยก้าวใหม่ #สร้างคน #ธนู4ดอก #พลิกโฉมการศึกษา #เศรษฐกิจก้าวใหม่ #คุณภาพชีวิต #คนดีต้องมีที่ยืน
    วิสัยทัศน์ 'ไทยก้าวใหม่' ‘ดร.เอ้่’ ย้ำจุดยืน ใช้ 'ความรู้-ความกล้าหาญ' นำนโยบาย "สร้างคน" สู่การเมือง https://www.thai-tai.tv/news/21780/ . #สุชัชวีร์สุวรรณสวัสดิ์ #พรรคไทยก้าวใหม่ #สร้างคน #ธนู4ดอก #พลิกโฉมการศึกษา #เศรษฐกิจก้าวใหม่ #คุณภาพชีวิต #คนดีต้องมีที่ยืน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 207 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Jane Goodall เสียชีวิตในวัย 91 — นักวิทยาศาสตร์ผู้เปลี่ยนความเข้าใจของมนุษย์ต่อสัตว์โลก”

    Jane Goodall นักธรรมชาติวิทยาและนักอนุรักษ์ชื่อดังระดับโลก ได้เสียชีวิตอย่างสงบในรัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2025 ขณะอยู่ระหว่างการเดินสายบรรยายในสหรัฐฯ เธอจากไปในวัย 91 ปี โดยสถาบัน Jane Goodall Institute ได้ประกาศข่าวผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย พร้อมยกย่องว่า “การค้นพบของเธอได้พลิกโฉมวิทยาศาสตร์ และการอุทิศตนเพื่อธรรมชาติคือแรงบันดาลใจให้คนทั่วโลก”

    Goodall เริ่มต้นเส้นทางวิทยาศาสตร์โดยไม่มีวุฒิการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย แต่ด้วยความหลงใหลในสัตว์และธรรมชาติ เธอเดินทางไปเคนยาในปี 1957 และได้พบกับนักมานุษยวิทยาชื่อดัง Louis Leakey ซึ่งส่งเธอไปศึกษาชิมแปนซีในป่า Gombe ประเทศแทนซาเนีย

    ในปี 1960 เธอค้นพบว่า ชิมแปนซีสามารถใช้และสร้างเครื่องมือได้ เช่น การใช้ใบหญ้าเพื่อจับปลวก ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เคยเชื่อว่าเป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์เท่านั้น การค้นพบนี้ทำให้โลกต้อง “นิยามมนุษย์ใหม่” และเปิดประตูสู่การศึกษาพฤติกรรมสัตว์ในมิติที่ลึกซึ้งขึ้น

    Goodall ยังเป็นผู้บุกเบิกการตั้งชื่อให้กับชิมแปนซีแต่ละตัว เช่น David Greybeard, Flo และ Flint แทนการใช้หมายเลข ซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในยุคนั้น แต่ต่อมากลับกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในวงการวิทยาศาสตร์สัตว์

    เธอพบว่าชิมแปนซีมีอารมณ์ ความรัก ความเศร้า และแม้แต่ความรุนแรงที่คล้ายคลึงกับมนุษย์ โดยเฉพาะเหตุการณ์ “สงครามสี่ปี” ที่กลุ่มชิมแปนซี Kasakela โจมตีและทำลายกลุ่มเพื่อนบ้านอย่างเป็นระบบ ซึ่งเปลี่ยนมุมมองของ Goodall ต่อธรรมชาติของสัตว์อย่างสิ้นเชิง

    นอกจากงานวิจัย เธอยังเป็นนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิสัตว์ โดยก่อตั้ง Jane Goodall Institute ในปี 1977 และโครงการ Roots & Shoots เพื่อส่งเสริมเยาวชนในกว่า 130 ประเทศให้ร่วมอนุรักษ์โลก เธอได้รับรางวัลระดับโลกมากมาย รวมถึงเหรียญ Presidential Medal of Freedom จากสหรัฐฯ และตำแหน่ง Messenger of Peace จากสหประชาชาติ

    https://www.latimes.com/obituaries/story/2025-10-01/jane-goodall-chimpanzees-dead
    🌿 “Jane Goodall เสียชีวิตในวัย 91 — นักวิทยาศาสตร์ผู้เปลี่ยนความเข้าใจของมนุษย์ต่อสัตว์โลก” Jane Goodall นักธรรมชาติวิทยาและนักอนุรักษ์ชื่อดังระดับโลก ได้เสียชีวิตอย่างสงบในรัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2025 ขณะอยู่ระหว่างการเดินสายบรรยายในสหรัฐฯ เธอจากไปในวัย 91 ปี โดยสถาบัน Jane Goodall Institute ได้ประกาศข่าวผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย พร้อมยกย่องว่า “การค้นพบของเธอได้พลิกโฉมวิทยาศาสตร์ และการอุทิศตนเพื่อธรรมชาติคือแรงบันดาลใจให้คนทั่วโลก” Goodall เริ่มต้นเส้นทางวิทยาศาสตร์โดยไม่มีวุฒิการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย แต่ด้วยความหลงใหลในสัตว์และธรรมชาติ เธอเดินทางไปเคนยาในปี 1957 และได้พบกับนักมานุษยวิทยาชื่อดัง Louis Leakey ซึ่งส่งเธอไปศึกษาชิมแปนซีในป่า Gombe ประเทศแทนซาเนีย ในปี 1960 เธอค้นพบว่า ชิมแปนซีสามารถใช้และสร้างเครื่องมือได้ เช่น การใช้ใบหญ้าเพื่อจับปลวก ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เคยเชื่อว่าเป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์เท่านั้น การค้นพบนี้ทำให้โลกต้อง “นิยามมนุษย์ใหม่” และเปิดประตูสู่การศึกษาพฤติกรรมสัตว์ในมิติที่ลึกซึ้งขึ้น Goodall ยังเป็นผู้บุกเบิกการตั้งชื่อให้กับชิมแปนซีแต่ละตัว เช่น David Greybeard, Flo และ Flint แทนการใช้หมายเลข ซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในยุคนั้น แต่ต่อมากลับกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในวงการวิทยาศาสตร์สัตว์ เธอพบว่าชิมแปนซีมีอารมณ์ ความรัก ความเศร้า และแม้แต่ความรุนแรงที่คล้ายคลึงกับมนุษย์ โดยเฉพาะเหตุการณ์ “สงครามสี่ปี” ที่กลุ่มชิมแปนซี Kasakela โจมตีและทำลายกลุ่มเพื่อนบ้านอย่างเป็นระบบ ซึ่งเปลี่ยนมุมมองของ Goodall ต่อธรรมชาติของสัตว์อย่างสิ้นเชิง นอกจากงานวิจัย เธอยังเป็นนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิสัตว์ โดยก่อตั้ง Jane Goodall Institute ในปี 1977 และโครงการ Roots & Shoots เพื่อส่งเสริมเยาวชนในกว่า 130 ประเทศให้ร่วมอนุรักษ์โลก เธอได้รับรางวัลระดับโลกมากมาย รวมถึงเหรียญ Presidential Medal of Freedom จากสหรัฐฯ และตำแหน่ง Messenger of Peace จากสหประชาชาติ https://www.latimes.com/obituaries/story/2025-10-01/jane-goodall-chimpanzees-dead
    WWW.LATIMES.COM
    Jane Goodall, trailblazing naturalist whose intimate observations of chimpanzees transformed our understanding of humankind, has died
    Jane Goodall, the trailblazing naturalist whose intimate observations of chimpanzees in the African wild produced powerful insights that transformed basic conceptions of humankind, has died. She was 91.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 356 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts