• 🛳 Paris River Cruise Port — ประตูสู่หัวใจแห่งมหานครปารีส!
    สัมผัสความโรแมนติกของ “เมืองแห่งแสง” จากอีกมุมมองหนึ่ง — บนลำน้ำแซนอันโด่งดังของฝรั่งเศส

    Eiffel Tower หอไอเฟล
    สัญลักษณ์อันดับหนึ่งของฝรั่งเศส ตั้งอยู่ริม แม่น้ำแซน สามารถขึ้นลิฟต์ชมวิวเมือง ปารีสแบบพาโนรามา จุดถ่ายรูปยอดนิยม คือจากสวน Champ de Mars หรือสะพาน Bir-Hakeim

    Louvre Museum พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์
    พิพิธภัณฑ์ศิลปะขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีภาพ Mona Lisa และผลงานระดับโลกมากมาย โดดเด่นด้วยพีระมิดแก้วกลางลาน และสถาปัตยกรรมสุดอลังการ

    Notre-Dame de Paris มหาวิหารนอเทรอดาม
    จุดเริ่มต้นของศูนย์กลางกรุงปารีสตามหลักกิโลเมตรที่ 0 โบสถ์สไตล์กอทิกอายุกว่า 850 ปี ตั้งอยู่บนเกาะ Île de la Cité กลางแม่น้ำแซน แม้ภายในยังปิดปรับปรุงจากเหตุไฟไหม้ แต่ภายนอกยังงดงามและถ่ายรูปได้

    Sacré-Cœur & Montmartre โบสถ์ซาเครเกอร์ และย่านมงมาร์ต
    ตั้งอยู่บนเนินเขาที่สูงที่สุดของปารีส มองเห็นวิวเมืองได้จากมุมสูง โบสถ์ซาเครเกอร์มีสถาปัตยกรรมโดมสีขาวงดงาม รอบๆ เป็นย่านศิลปิน คาเฟ่ และร้านของ ที่ระลึกบรรยากาศยุโรปคลาสสิก

    สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที!
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696

    #ParisRiverCruisePort #SeineRiver #France #EiffelTower #LouvreMuseum #NotreDamedeParis #SacrCœurMontmartre #port #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #cruisedomain
    🛳 Paris River Cruise Port — ประตูสู่หัวใจแห่งมหานครปารีส! 🌉 สัมผัสความโรแมนติกของ “เมืองแห่งแสง” จากอีกมุมมองหนึ่ง — บนลำน้ำแซนอันโด่งดังของฝรั่งเศส 🇫🇷✨🗼 🅿️ Eiffel Tower 🚗 หอไอเฟล สัญลักษณ์อันดับหนึ่งของฝรั่งเศส ตั้งอยู่ริม แม่น้ำแซน สามารถขึ้นลิฟต์ชมวิวเมือง ปารีสแบบพาโนรามา จุดถ่ายรูปยอดนิยม คือจากสวน Champ de Mars หรือสะพาน Bir-Hakeim 🅿️ Louvre Museum 🚗 พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ พิพิธภัณฑ์ศิลปะขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีภาพ Mona Lisa และผลงานระดับโลกมากมาย โดดเด่นด้วยพีระมิดแก้วกลางลาน และสถาปัตยกรรมสุดอลังการ 🅿️ Notre-Dame de Paris 🚗 มหาวิหารนอเทรอดาม จุดเริ่มต้นของศูนย์กลางกรุงปารีสตามหลักกิโลเมตรที่ 0 โบสถ์สไตล์กอทิกอายุกว่า 850 ปี ตั้งอยู่บนเกาะ Île de la Cité กลางแม่น้ำแซน แม้ภายในยังปิดปรับปรุงจากเหตุไฟไหม้ แต่ภายนอกยังงดงามและถ่ายรูปได้ 🅿️ Sacré-Cœur & Montmartre 🚗 โบสถ์ซาเครเกอร์ และย่านมงมาร์ต ตั้งอยู่บนเนินเขาที่สูงที่สุดของปารีส มองเห็นวิวเมืองได้จากมุมสูง โบสถ์ซาเครเกอร์มีสถาปัตยกรรมโดมสีขาวงดงาม รอบๆ เป็นย่านศิลปิน คาเฟ่ และร้านของ ที่ระลึกบรรยากาศยุโรปคลาสสิก 📩 สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที! https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 #ParisRiverCruisePort #SeineRiver #France #EiffelTower #LouvreMuseum #NotreDamedeParis #SacrCœurMontmartre #port #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #cruisedomain
    0 Comments 0 Shares 225 Views 0 Reviews
  • ดื่มด่ำมนต์เสน่ห์ฝรั่งเศส… ผ่านการล่องเรือสุดหรูบนแม่น้ำแซน
    เส้นทางโรแมนติกจากปารีสสู่นอร์ม็องดี พร้อมประสบการณ์ระดับ 6 ดาวบนเรือ S.S. Joie de Vivre ของ Uniworld
    🛳 Paris & Normandy – Uniworld River Cruise เส้นทางไฮไลท์ฝรั่งเศส 8 วัน 7 คืน

    เดินทาง มี.ค. – พ.ย. 2569

    เส้นทางเต็มอิ่มฝั่งแม่น้ำแซน
    ปารีส → ลา โรช-กียง → แวร์นง → ชีแวร์นี่ → รูอ็อง → โกดด์เบค → อองโก (องเฟลอร์–แอตเทรอตา) → รูอ็อง → มงต์-ลา-ฌอลี (พระราชวังแวร์ซาย) → กลับสู่ปารีส

    จาก 4,299 USD → เหลือเพียง 3,869 USD

    ✔ พักบนเรือสำราญหรูหรา 7 คืน
    ✔ เครื่องดื่มทุกมื้อ + Wi-Fi ตลอดการเดินทาง
    ✔ ทัวร์บนฝั่ง & กิจกรรมบนเรือสุดพรีเมียม
    ✔ รวมภาษีท่าเรือ และค่าทิปพนักงานบนเรือ

    รหัสโปรแกรม : UNIP-8D7N-PAR-PAR-2611021
    คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e79677

    ดูเรือ Uniworld River Cruise ทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/bb9b58

    สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที!
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696

    #เรือUniworldRiverCruise #UniworldRiverCruise #Paris #Normandy #LaRoche #France #Rouen #แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำ #CruiseDomain
    🌟 ดื่มด่ำมนต์เสน่ห์ฝรั่งเศส… ผ่านการล่องเรือสุดหรูบนแม่น้ำแซน เส้นทางโรแมนติกจากปารีสสู่นอร์ม็องดี พร้อมประสบการณ์ระดับ 6 ดาวบนเรือ S.S. Joie de Vivre ของ Uniworld 🛳 Paris & Normandy – Uniworld River Cruise เส้นทางไฮไลท์ฝรั่งเศส 8 วัน 7 คืน 📅 เดินทาง มี.ค. – พ.ย. 2569 📍 เส้นทางเต็มอิ่มฝั่งแม่น้ำแซน ปารีส → ลา โรช-กียง → แวร์นง → ชีแวร์นี่ → รูอ็อง → โกดด์เบค → อองโก (องเฟลอร์–แอตเทรอตา) → รูอ็อง → มงต์-ลา-ฌอลี (พระราชวังแวร์ซาย) → กลับสู่ปารีส 💸 จาก 4,299 USD → เหลือเพียง 3,869 USD ✔ พักบนเรือสำราญหรูหรา 7 คืน ✔ เครื่องดื่มทุกมื้อ + Wi-Fi ตลอดการเดินทาง ✔ ทัวร์บนฝั่ง & กิจกรรมบนเรือสุดพรีเมียม ✔ รวมภาษีท่าเรือ และค่าทิปพนักงานบนเรือ 📌 รหัสโปรแกรม : UNIP-8D7N-PAR-PAR-2611021 คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e79677 ดูเรือ Uniworld River Cruise ทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/bb9b58 📩 สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที! https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 #เรือUniworldRiverCruise #UniworldRiverCruise #Paris #Normandy #LaRoche #France #Rouen #แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำ #CruiseDomain
    0 Comments 0 Shares 202 Views 0 Reviews
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 10

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 10
    ในปี ค.ศ.1904 ญี่ปุ่นมอบหมายให้ ทากาฮาชิ ซึ่งไปเรียนหนังสือที่อังกฤษ ตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ไปทำหน้าที่หาเงินกู้ที่อังกฤษ เพื่อให้ญี่ปุ่นมีทุนไปรบรัสเซีย ปรากฏว่า มีผู้อุดหนุนให้ญี่ปุ่นรบรัสเซียล้นหลาม แสดงว่า รัสเซียคงไม่ค่อยมีเพื่อนในอังกฤษ นอกจากนี้ยังมีผู้ลงทุนจากนิวยอร์ค ปารีส และฮัมเบอร์ก รายชื่อผู้ลงทุนให้ญี่ปุ่นรบรัสเซีย นอกจากมีสาระพัดบริษัทเงินทุนใหญ่คับโลกแล้ว ยังมีคนใหญ่ๆ คับโลก เช่น Lord Spencer เสนาบดีกระทรวงวังของอังกฤษ และมงกุฏราชกุมารของอังกฤษ ซึ่งต่อมาขึ้นครองราชย์ในชื่อของกษัตริย์ George ที่ 5 อีกด้วย
    จากการไปเดินสายหาเงินสนับสนุนการรบ ทากาฮาชิ ได้ข้อคิดกลับมาว่า ชัยชนะของญี่ปุ่น ไม่ได้ขึ้นกับความสามารถของญี่ปุ่นโดยลำพัง แต่จะต้องได้รับการสนับสนุน ด้านการเงินและอาวุธ จากอังกฤษและอเมริกา
    เขากลับมาบอกกับฝ่ายที่ต้องการสร้างกองทัพญี่ปุ่นเช่นนั้น และทำให้เขาเป็นที่เกลียดชังของฝ่ายกองทัพอย่างยิ่ง
    เมื่อปรากฏว่า กองทัพญี่ปุ่นรบชนะรัสเซียในปี ค.ศ.1905 ฝ่ายที่ต้องการสร้างกองทัพให้ยิ่งใหญ่ก็คิดว่า ตนเองใกล้จะเป็นมหาอำนาจแล้ว งบประมาณของญี่ปุ่น ตั้งแต่ปี ค.ศ.1905 ถึง ปี ค.ศ.1914 จึงเน้นไปในทางพัฒนากองทัพและอาวุธ และเมื่อถึง ปี ค.ศ.1915 ระหว่างที่พวกฝรั่งกำลังทำสงครามโลกรบกันเอง ญี่ปุ่นจึงลองเชิง ยื่นข้อเสนอ 21 ข้อ ให้จีน
    ทากาฮาชิไม่เห็นด้วย เขาบอกว่า ญี่ปุ่นกำลังหาเรื่องใส่ตัว การกระทำดังกล่าว จะสร้างแรงสะท้อนกลับ ทำให้อังกฤษและอเมริกาไม่พอใจญี่ปุ่น และจะทำให้จีนเอง ก็เพิ่มการต่อต้านญี่ปุ่นด้วย และเมื่อทากาฮาชิได้เป็นรัฐมนตรีคลัง ในปี ค.ศ.1920 เขาจึงเสนอให้มีการลดกำลังกองทัพบก และกองทัพเรือลง เพราะว่ากองทัพกำลังคุกคามความเป็นประชาธิปไตยของญี่ปุ่น ในการกำหนดนโยบายด้านต่างประเทศ
    ดูเหมือนคำเตือนของทากาฮาชิ และข้อเสนอของเขา จะยิ่งสร้างความแตกแยก เกี่ยวกับเรื่องกองทัพของญี่ปุ่นให้เพิ่มมากขึ้นไปอีก ถึงขนาดมีการลอบฆ่าผู้ที่ไม่เห็นด้วย แน่นอน ผู้ที่ถูกลอบฆ่ามักจะเป็นเป็นฝ่ายที่ไม่ต้องการให้มีกองทัพ
    เมื่อนายกรัฐมนตรี ฮารา เคอิ Hara Kei ถูกลอบฆ่าในปี ค.ศ.1921 ทากาฮาชิ ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทนและไปตกลงทำสัญญา Washington Treaty 1922 ที่มีผลให้กองทัพเรือญี่ปุ่นต้องจำกัดจำนวนเรือ เมื่อเทียบกับกับอเมริกา อังกฤษ แล้ว สัดส่วนจำนวนเรือรบของญี่ปุ่นจะเป็นเพียง 3 ใน 5 ส่วน ของอเมริกากับอังกฤษแต่ละประเทศ และญี่ปุ่น ต้องคืนเกาะชิงเตา ของจีน ที่ให้เยอรมันเช่าไป และญี่ปุ่นไปยึดมาในช่วงทำสงครามโลกครั้งที่ 1 นอกจากนี้ ข้อสัญญายังกำหนดให้ทุกฝ่ายเคารพอาณาเขตและอธิปไตยของจีน และหยุดการใช้กำลังทางทหารกับจีน
    สัญญานี้ ยิ่งสร้างความเดือดดาลให้แก่ฝ่ายกองทัพของญี่ปุ่น ซึ่งบอกว่า ทากาฮาชิกำลังพาญี่ปุ่นเข้าไปอยูใต้ตีนของอังกฤษและอเมริกา เรื่องจีน
    เหมือนใครกำลังเล่นอะไร ปกป้อง คุ้มครอง ทนุถนอมจีนเป็นพิเศษ ถ้านึกถึงเรื่องสงครามฝิ่นและกบฏนักมวย ก็คงเข้าใจได้ว่า มันไม่ใช่เพราะความเห็นใจจีน และคงพอเห็นรางๆว่า น่าจะเป็นรายการหวงชามข้าว หรือแย่งชามข้าวกันมากกว่า
    หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลง อังกฤษยังไม่ได้ทุกอย่างตามที่ลงทุนวางแผน ขนาดบ้านเมืองฉิบหายกันไปทั่ว และผู้คนล้มตายเกลื่อน อังกฤษ ยังมีเรื่องค้างที่ต้องทำต่ออีกแยะ คือการแบ่งสมบัติของผู้แพ้สงคราม การแบ่งเค้กตะวันออกกลาง การจัดการเรื่อง อิตาลี เยอรมัน และรัสเซียให้จบแบบเบ็ดเสร็จ และไม่ใช่อังกฤษจะวุ่นเรื่องยุโรปเท่านั้น เรื่องในเอเซียก็ต้องจัดการด้วย สรุปคือ ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย หลังจากสร้างสงครามโลกครั้งที่ 1 เสร็จ คิดว่าตนเองเป็นเจ้าของโลกไปเรียบร้อยแล้ว จึงต้องการจัดการบ้านเมืองผู้อื่น รวมทั้งทรัพยากรของเขา ให้เป็นอย่างที่ตนเองต้องการ
    อ้าว แล้วอังกฤษ ลืมอเมริกา เจ้าหนี้รายใหญ่และผู้ร่วมปล้นตัวสำคัญไปแล้วหรือ คิดว่าอเมริกาจะอือออช่วยกันห่อแล้วหมกด้วยกันทุกเรื่องหรือไง
    ย้อนกลับมาที่จีน ในช่วง ปี ค.ศ.1900 หลังจากกบฏนักมวย จีนก็ยิ่งแตกเป็นก๊กมากขึ้น แต่ในที่สุด ในปี ค.ศ.1911 ซุนยัดเซ็น แห่งก๊กมินตั๋ง ก็ปฏิวัติยึดอำนาจในจีน โค่นราชวงศ์ชิงลงได้
    แต่อังกฤษไม่สบอารมณ์เกี่ยวกับเรื่องการปฏิวัติในจีนอย่างยิ่ง ถึงกับบอกว่า ซุนยัดเซ็นคือตัวปัญหาใหญ่ของอังกฤษ ในเอเซีย ซุนยัดเซ็นควรจะปฏิวัติให้สำเร็จ และรีบปราบก๊กต่างๆ ในจีนให้ราบคาบ แต่ซุนยัดเซ็นกลับเดินสายพูดว่า เราต้องล้างคราบอาณานิคมฝรั่ง โดยเฉพาะอังกฤษ ให้หมดไปจากจีน
    เอะ ไหนเขาว่า ซุนยัดเซ็นนี้เป็นเด็กสร้างของฝรั่งไง สงสัยต้องขุดเรื่องคุณหมอซุนกันหน่อย จะได้ตามทันว่า อังกฤษต่อมแตก เพราะอะไร
    ซุนยัดเซ็น เกิดเมื่อปี ค.ศ.1866 เป็นชาวเมืองเจียงชัน (Xiangshan) ครอบครัวแค่พอมีกินมีใช้ อายุเพียง 13 ก็ นั่งเรือไปฮาวาย ไปอยู่กับ ซุนไหม พี่ชาย ที่นั่น เพื่อเข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนฝรั่ง เขาพูด เขียนภาษาอังกฤษได้คล่อง แถมได้รางวัลด้านไวยากรณ์อังกฤษอีกด้วย หลังจากนั้นก็ เข้ารีต ไปนับถือศาสนาคริสเตียน และได้รับการสนับสนุนจากพวกมิชันนารีในจีนและฮาวาย ให้ข้ามไปเรียนหมอที่ฮ่องกงจนจบ ญาติพี่น้องส่วนใหญ่ของคุณหมอซุน ต่างก็ขึ้นเรือหนีชีวิตลำเค็ญในจีน ไปอยู่อเมริกาเป็นแถว พ่อเลยบอกว่า เขาก็ควรทำเช่นนั้น แต่คุณหมอซุนกลับนึกถึงประเทศจีน ที่ถูกฝรั่งกำลังลอกคราบ จึงไม่อยากไปทำงานในอเมริกา แต่คิดอยากทำปฏิวัติ ไล่ราชวงศ์จีน ไล่ฝรั่งออกไป แล้วสร้างจีนใหม่ เพื่อประชาชนจีนปกครองตัวเอง ขึ้นมาแทน
    ปี ค.ศ.1884 คุณหมอซุน ก็จัดประชุมที่ฮาวาย เพื่อจะตั้งสมาคมลับ ที่มีเป้าหมายจะโค่นล้มราชวงศ์แมนจู ต่อมาสมาคมลับนี้ ก็พัฒนาเป็นพวกก๊กมินตั๋ง
    คุณหมอซุน ได้เพื่อนที่ดูเหมือนจะเป็นคนมองเห็นการณ์ไกล คอยให้การสนับสนุน ชื่อ ชาลี ซ่ง ( Charlie Soong) เป็นชาวจีน ที่ไปสู้เอาข้างหน้าในอเมริกา แต่รวยแล้วกลับมาอยู่ในจีนแล้วก็ยิ่งรวยใหญ่ ชาลีชื่นชมความคิดของคุณหมอซุน ให้การสนับสนุนเต็มที่ แต่เขาว่า มาแตกคอกัน เมื่อคุณหมอซุน ทดลองซ้อมปฏิวัติครั้งแรก ในปี ค.ศ.1895 แล้วปรากฏว่าล่มไม่เป็นท่า คุณหมอกับพวก ก็เลยอพยพ หลบไปปักหลักอยูที่ญี่ปุ่นเสียนาน โดยลูกสาว ชาลี ซ่ง หนีตามไปอยู่ด้วย เลยไม่แน่ใจว่า ชาลี ซ่ง แตกคอกับซุนยัดเซ็น เพราะเสียดายลูกสาว หรือเสียดายว่า ซุนยัดเซ็นปฏิวัติไม่สำเร็จ
    เอะ ปี ค.ศ.1895 นี่มัน จีนกับญี่ปุ่นทะเลาะกันรบกัน ไม่ใช่หรือ ก็ที่ญี่ปุ่นรบกับจีนเรื่องเกาหลีนะ ก็น่าคิด เหมือนมีใครมากระซิบบอกคุณหมอว่า จีนต้องยกกองทัพไปเกาหลี ค่ายทหารว่างทางปลอด น่าจะเป็นเวลาเหมาะในการปฏิวัติจีน แต่คุณหมอดันทำปฏิวัติไม่สำเร็จ แถมเลือกหลบภัยไปอยู่บ้านศัตรู เรื่องนี้มันชวนให้งงจริงๆ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    21 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 10 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 10 ในปี ค.ศ.1904 ญี่ปุ่นมอบหมายให้ ทากาฮาชิ ซึ่งไปเรียนหนังสือที่อังกฤษ ตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ไปทำหน้าที่หาเงินกู้ที่อังกฤษ เพื่อให้ญี่ปุ่นมีทุนไปรบรัสเซีย ปรากฏว่า มีผู้อุดหนุนให้ญี่ปุ่นรบรัสเซียล้นหลาม แสดงว่า รัสเซียคงไม่ค่อยมีเพื่อนในอังกฤษ นอกจากนี้ยังมีผู้ลงทุนจากนิวยอร์ค ปารีส และฮัมเบอร์ก รายชื่อผู้ลงทุนให้ญี่ปุ่นรบรัสเซีย นอกจากมีสาระพัดบริษัทเงินทุนใหญ่คับโลกแล้ว ยังมีคนใหญ่ๆ คับโลก เช่น Lord Spencer เสนาบดีกระทรวงวังของอังกฤษ และมงกุฏราชกุมารของอังกฤษ ซึ่งต่อมาขึ้นครองราชย์ในชื่อของกษัตริย์ George ที่ 5 อีกด้วย จากการไปเดินสายหาเงินสนับสนุนการรบ ทากาฮาชิ ได้ข้อคิดกลับมาว่า ชัยชนะของญี่ปุ่น ไม่ได้ขึ้นกับความสามารถของญี่ปุ่นโดยลำพัง แต่จะต้องได้รับการสนับสนุน ด้านการเงินและอาวุธ จากอังกฤษและอเมริกา เขากลับมาบอกกับฝ่ายที่ต้องการสร้างกองทัพญี่ปุ่นเช่นนั้น และทำให้เขาเป็นที่เกลียดชังของฝ่ายกองทัพอย่างยิ่ง เมื่อปรากฏว่า กองทัพญี่ปุ่นรบชนะรัสเซียในปี ค.ศ.1905 ฝ่ายที่ต้องการสร้างกองทัพให้ยิ่งใหญ่ก็คิดว่า ตนเองใกล้จะเป็นมหาอำนาจแล้ว งบประมาณของญี่ปุ่น ตั้งแต่ปี ค.ศ.1905 ถึง ปี ค.ศ.1914 จึงเน้นไปในทางพัฒนากองทัพและอาวุธ และเมื่อถึง ปี ค.ศ.1915 ระหว่างที่พวกฝรั่งกำลังทำสงครามโลกรบกันเอง ญี่ปุ่นจึงลองเชิง ยื่นข้อเสนอ 21 ข้อ ให้จีน ทากาฮาชิไม่เห็นด้วย เขาบอกว่า ญี่ปุ่นกำลังหาเรื่องใส่ตัว การกระทำดังกล่าว จะสร้างแรงสะท้อนกลับ ทำให้อังกฤษและอเมริกาไม่พอใจญี่ปุ่น และจะทำให้จีนเอง ก็เพิ่มการต่อต้านญี่ปุ่นด้วย และเมื่อทากาฮาชิได้เป็นรัฐมนตรีคลัง ในปี ค.ศ.1920 เขาจึงเสนอให้มีการลดกำลังกองทัพบก และกองทัพเรือลง เพราะว่ากองทัพกำลังคุกคามความเป็นประชาธิปไตยของญี่ปุ่น ในการกำหนดนโยบายด้านต่างประเทศ ดูเหมือนคำเตือนของทากาฮาชิ และข้อเสนอของเขา จะยิ่งสร้างความแตกแยก เกี่ยวกับเรื่องกองทัพของญี่ปุ่นให้เพิ่มมากขึ้นไปอีก ถึงขนาดมีการลอบฆ่าผู้ที่ไม่เห็นด้วย แน่นอน ผู้ที่ถูกลอบฆ่ามักจะเป็นเป็นฝ่ายที่ไม่ต้องการให้มีกองทัพ เมื่อนายกรัฐมนตรี ฮารา เคอิ Hara Kei ถูกลอบฆ่าในปี ค.ศ.1921 ทากาฮาชิ ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทนและไปตกลงทำสัญญา Washington Treaty 1922 ที่มีผลให้กองทัพเรือญี่ปุ่นต้องจำกัดจำนวนเรือ เมื่อเทียบกับกับอเมริกา อังกฤษ แล้ว สัดส่วนจำนวนเรือรบของญี่ปุ่นจะเป็นเพียง 3 ใน 5 ส่วน ของอเมริกากับอังกฤษแต่ละประเทศ และญี่ปุ่น ต้องคืนเกาะชิงเตา ของจีน ที่ให้เยอรมันเช่าไป และญี่ปุ่นไปยึดมาในช่วงทำสงครามโลกครั้งที่ 1 นอกจากนี้ ข้อสัญญายังกำหนดให้ทุกฝ่ายเคารพอาณาเขตและอธิปไตยของจีน และหยุดการใช้กำลังทางทหารกับจีน สัญญานี้ ยิ่งสร้างความเดือดดาลให้แก่ฝ่ายกองทัพของญี่ปุ่น ซึ่งบอกว่า ทากาฮาชิกำลังพาญี่ปุ่นเข้าไปอยูใต้ตีนของอังกฤษและอเมริกา เรื่องจีน เหมือนใครกำลังเล่นอะไร ปกป้อง คุ้มครอง ทนุถนอมจีนเป็นพิเศษ ถ้านึกถึงเรื่องสงครามฝิ่นและกบฏนักมวย ก็คงเข้าใจได้ว่า มันไม่ใช่เพราะความเห็นใจจีน และคงพอเห็นรางๆว่า น่าจะเป็นรายการหวงชามข้าว หรือแย่งชามข้าวกันมากกว่า หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลง อังกฤษยังไม่ได้ทุกอย่างตามที่ลงทุนวางแผน ขนาดบ้านเมืองฉิบหายกันไปทั่ว และผู้คนล้มตายเกลื่อน อังกฤษ ยังมีเรื่องค้างที่ต้องทำต่ออีกแยะ คือการแบ่งสมบัติของผู้แพ้สงคราม การแบ่งเค้กตะวันออกกลาง การจัดการเรื่อง อิตาลี เยอรมัน และรัสเซียให้จบแบบเบ็ดเสร็จ และไม่ใช่อังกฤษจะวุ่นเรื่องยุโรปเท่านั้น เรื่องในเอเซียก็ต้องจัดการด้วย สรุปคือ ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย หลังจากสร้างสงครามโลกครั้งที่ 1 เสร็จ คิดว่าตนเองเป็นเจ้าของโลกไปเรียบร้อยแล้ว จึงต้องการจัดการบ้านเมืองผู้อื่น รวมทั้งทรัพยากรของเขา ให้เป็นอย่างที่ตนเองต้องการ อ้าว แล้วอังกฤษ ลืมอเมริกา เจ้าหนี้รายใหญ่และผู้ร่วมปล้นตัวสำคัญไปแล้วหรือ คิดว่าอเมริกาจะอือออช่วยกันห่อแล้วหมกด้วยกันทุกเรื่องหรือไง ย้อนกลับมาที่จีน ในช่วง ปี ค.ศ.1900 หลังจากกบฏนักมวย จีนก็ยิ่งแตกเป็นก๊กมากขึ้น แต่ในที่สุด ในปี ค.ศ.1911 ซุนยัดเซ็น แห่งก๊กมินตั๋ง ก็ปฏิวัติยึดอำนาจในจีน โค่นราชวงศ์ชิงลงได้ แต่อังกฤษไม่สบอารมณ์เกี่ยวกับเรื่องการปฏิวัติในจีนอย่างยิ่ง ถึงกับบอกว่า ซุนยัดเซ็นคือตัวปัญหาใหญ่ของอังกฤษ ในเอเซีย ซุนยัดเซ็นควรจะปฏิวัติให้สำเร็จ และรีบปราบก๊กต่างๆ ในจีนให้ราบคาบ แต่ซุนยัดเซ็นกลับเดินสายพูดว่า เราต้องล้างคราบอาณานิคมฝรั่ง โดยเฉพาะอังกฤษ ให้หมดไปจากจีน เอะ ไหนเขาว่า ซุนยัดเซ็นนี้เป็นเด็กสร้างของฝรั่งไง สงสัยต้องขุดเรื่องคุณหมอซุนกันหน่อย จะได้ตามทันว่า อังกฤษต่อมแตก เพราะอะไร ซุนยัดเซ็น เกิดเมื่อปี ค.ศ.1866 เป็นชาวเมืองเจียงชัน (Xiangshan) ครอบครัวแค่พอมีกินมีใช้ อายุเพียง 13 ก็ นั่งเรือไปฮาวาย ไปอยู่กับ ซุนไหม พี่ชาย ที่นั่น เพื่อเข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนฝรั่ง เขาพูด เขียนภาษาอังกฤษได้คล่อง แถมได้รางวัลด้านไวยากรณ์อังกฤษอีกด้วย หลังจากนั้นก็ เข้ารีต ไปนับถือศาสนาคริสเตียน และได้รับการสนับสนุนจากพวกมิชันนารีในจีนและฮาวาย ให้ข้ามไปเรียนหมอที่ฮ่องกงจนจบ ญาติพี่น้องส่วนใหญ่ของคุณหมอซุน ต่างก็ขึ้นเรือหนีชีวิตลำเค็ญในจีน ไปอยู่อเมริกาเป็นแถว พ่อเลยบอกว่า เขาก็ควรทำเช่นนั้น แต่คุณหมอซุนกลับนึกถึงประเทศจีน ที่ถูกฝรั่งกำลังลอกคราบ จึงไม่อยากไปทำงานในอเมริกา แต่คิดอยากทำปฏิวัติ ไล่ราชวงศ์จีน ไล่ฝรั่งออกไป แล้วสร้างจีนใหม่ เพื่อประชาชนจีนปกครองตัวเอง ขึ้นมาแทน ปี ค.ศ.1884 คุณหมอซุน ก็จัดประชุมที่ฮาวาย เพื่อจะตั้งสมาคมลับ ที่มีเป้าหมายจะโค่นล้มราชวงศ์แมนจู ต่อมาสมาคมลับนี้ ก็พัฒนาเป็นพวกก๊กมินตั๋ง คุณหมอซุน ได้เพื่อนที่ดูเหมือนจะเป็นคนมองเห็นการณ์ไกล คอยให้การสนับสนุน ชื่อ ชาลี ซ่ง ( Charlie Soong) เป็นชาวจีน ที่ไปสู้เอาข้างหน้าในอเมริกา แต่รวยแล้วกลับมาอยู่ในจีนแล้วก็ยิ่งรวยใหญ่ ชาลีชื่นชมความคิดของคุณหมอซุน ให้การสนับสนุนเต็มที่ แต่เขาว่า มาแตกคอกัน เมื่อคุณหมอซุน ทดลองซ้อมปฏิวัติครั้งแรก ในปี ค.ศ.1895 แล้วปรากฏว่าล่มไม่เป็นท่า คุณหมอกับพวก ก็เลยอพยพ หลบไปปักหลักอยูที่ญี่ปุ่นเสียนาน โดยลูกสาว ชาลี ซ่ง หนีตามไปอยู่ด้วย เลยไม่แน่ใจว่า ชาลี ซ่ง แตกคอกับซุนยัดเซ็น เพราะเสียดายลูกสาว หรือเสียดายว่า ซุนยัดเซ็นปฏิวัติไม่สำเร็จ เอะ ปี ค.ศ.1895 นี่มัน จีนกับญี่ปุ่นทะเลาะกันรบกัน ไม่ใช่หรือ ก็ที่ญี่ปุ่นรบกับจีนเรื่องเกาหลีนะ ก็น่าคิด เหมือนมีใครมากระซิบบอกคุณหมอว่า จีนต้องยกกองทัพไปเกาหลี ค่ายทหารว่างทางปลอด น่าจะเป็นเวลาเหมาะในการปฏิวัติจีน แต่คุณหมอดันทำปฏิวัติไม่สำเร็จ แถมเลือกหลบภัยไปอยู่บ้านศัตรู เรื่องนี้มันชวนให้งงจริงๆ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 21 ส.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 509 Views 0 Reviews
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 5

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 5
    ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ญี่ปุ่นไปยึดเกาหลี ได้ในปี ค.ศ.1895 และตีจีนกระเจิงกลับบ้านพวกไกยิ่น ฝรั่งชาติต่างๆ โดยเฉพาะอังกฤษ เริ่มหรี่ตามองญี่ปุ่น ไอ้หมอนี่ชักจะเรียนเร็วไปแล้ว แล้วอังกฤษ ก็หลอกญี่ปุ่นให้ทำสัญญามิตรภาพ เมื่อต้นปี ค.ศ.1902 เป็นสัญญาที่ดูเหมือนเอาไว้กันท่ากันชาวบ้าน และกันท่ากันเองด้วย ในสัญญาบอกว่า ญี่ปุ่นรับรู้ว่า อังกฤษมีผลประโยชน์ในจีน ส่วนอังกฤษก็รับรู้ว่า ญี่ปุ่นมีผลประโยชน์ในจีน และในเกาหลี และถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องไปรบกับใคร อีกฝ่ายก็จะส่งกำลังไปช่วย
    เป็นสัญญาที่แสดงความเก๋าของอังกฤษอย่างยิ่ง อังกฤษตาไว มองไกล เห็นหน่วยก้านญี่ปุ่นแล้ว ปล่อยให้ไปอยู่ข้างอื่นไม่ได้ ต้องเอามาอยู่ใกล้ตัว อังกฤษ เตรียมพร้อมที่จะกันท่าญี่ปุ่นเรื่องจีน และพร้อมที่หลอกใช้ญี่ปุ่นด้วย
    สำหรับอังกฤษ การทำสัญญากับญี่ปุ่น มันเป็นเรื่องยุทธศาสตร์กันท่าอย่างเดียว แต่สำหรับญี่ปุ่น มันเป็นคนละเรื่องกัน ญี่ปุ่นปลาบปลื้มยิ่งนัก ญี่ปุ่นคิดว่า อังกฤษเป็นเพื่อนคนแรกของญี่ปุ่น ที่เห็นคุณค่า และความสามารถของญี่ปุ่น ที่สำคัญ เป็นเพื่อนผมทอง ตาน้ำข้าวที่ญี่ปุ่นปลื้มหนักหนา…
    ท่านที่อ่านนิทานเรื่อง ต้มข้ามศตวรรษ คงจำกันได้ว่า ญี่ปุ่นลุกขึ้นไปรบรัสเซียในปี ค.ศ.1904 แต่ก่อนจะไปรบ ญี่ปุ่นไม่มีทุน คนที่ช่วยหาทุนให้ญี่ปุ่น คือ ชาวยิวชื่อ Jacob Schiff ซึ่งเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของ Kuhn Loeb & Co บริษัทการเงินใหญ่ แห่งวอลสตรีท ที่เป็นร่างทรงของ Rothschild ผู้ปกครองของรัฐบาลอังกฤษ Rothschild มีแผนจะคิดบัญชีซาร์นิโคลัส กษัตริย์ที่ปกครองรัสเซีย และยึดน้ำมันรัสเซีย จึงต้องสร้างปฏิวัติให้รัสเซียน่วมก่อน แต่ก่อนจะสร้างปฏิวัติรัสเซีย อังกฤษก็ยุให้ญี่ปุ่น ที่กำลังอยากแสดงฝีมือ ให้ไปรบให้รัสเซียเซเสียก่อน และทุกอย่างก็เป็นไปแผน ญี่ปุ่นบ้ายุ ไปรบรัสเซีย จนรัสเซียแพ้ เซแซดจริงๆ
    พอจะเห็นรางๆแล้วนะครับว่า ตั้งแต่เปลี่ยนนิสัย ไม่รักสันโดษ ญี่ปุ่นดูเหมือนไม่อยู่แบบเดี่ยวๆ และทำท่าจะเกี่ยวโยงกันไปหมด
    เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1914 อังกฤษ เปลี่ยนนโยบายกระทันหัน จากที่เคยคิดปิดล้อมรัสเซีย ก็ไม่จำเป็นแล้ว เพราะรัสเซียเซแซดใกล้ล้ม อังกฤษเลยเปลี่ยน จากล้อมรัสเซีย เป็นเข้าไปต้ม หรือปล้นให้รู้แล้วรู้รอด และไปล้อมเยอรมันแทน
    เมื่อไม่ต้องรบรัสเซีย อังกฤษคิดไม่ตก ในอังกฤษเสียงแตก ฝ่ายหนึ่งบอก ญี่ปุ่นเป็นคู่แค้นรัสเซีย ไม่รบรัสเซีย ก็ไม่ต้องชวนญี่ปุ่นเข้าร่วมก๊วน เพราะไม่ไว้ใจว่า ถ้าบอกให้ญี่ปุ่นคอยกันกองทัพเรือเยอรมัน ในแถวแปซิฟิก ญี่ปุ่นอาจจะฉวยโอกาสแย่งงับเกาะเล็ก เกาะน้อยของเยอรมันแถวแปซิฟิกไป โดยอังกฤษ หันมางับไม่ทันก็เป็นได้ เหมือนกรณีงาบเกาหลีไปจากจีน นับว่า ฝ่ายนี้มองญี่ปุ่นได้ลึกซึ้ง แต่อีกฝ่ายหนึ่งคือ หลอดวินสตัน เชอชิล บอกว่า เหลวไหล เราไม่ชวนญี่ปุ่น แปลว่า เรากลัวเขาจนตีนจิกละสิ แล้วอังกฤษก็เลยชวนญี่ปุ่นเล่นสงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วยกัน แปลว่า ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ กลัวญี่ปุ่นจนตีนจิกจริงๆ ฮาจริง (โว้ย)
    หลังจากออกคำชวนไปไม่ถึงสัปดาห์ ญี่ปุ่นไม่ให้เสียเวลา ส่งหนังสือถึงเยอรมัน ให้เยอรมันถอยเรือออกไปจากแปซืฟิกให้หมด เยอรมันไม่ตอบ แต่สั่งให้กองกำลังของตนที่เกาะชิงเตา Tsingtao เตรียมพร้อม วันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ.1914 ญี่ปุ่นก็ประกาศสงครามกับเยอรมัน และเคลื่อนพลไปยึดบรรดาเกาะต่างๆ ที่อยู่ในความครอบครองของเยอรมันเรียบหมด
    ญี่ปุ่นดูเหมือนจะให้ความร่วมมือกับฝ่ายสัมพันธมิตรในมหาสมุทรแปซิฟิกอยู่พักใหญ่ แต่หลังจากที่กวาดเอาเกาะของเยอรมันมาหมดแล้ว ญี่ปุ่นก็พักเหนื่อย เมื่ออังกฤษขอให้ญี่ปุ่นส่งเรือมาช่วยรบที่ทะเลเมดิเตอเรเนียนกับ ทะเลบอลติก ญี่ปุ่นก็ปฏิเสธอย่างสุภาพ
    เมื่อถูกต่อว่า ญี่ปุ่นบอกมีปัญหาภายในกองทัพแก้ไม่ตก นายทหารเรือของญี่ปุ่นส่วนใหญ่ จบมาจากเยอรมันทั้งนั้น แถมเยอรมันยังมาช่าวทำการฝึก การรบ การใช้อาวุธให้อีก ใครจะอยากไปรบกับครู และในญี่ปุ่นเอง เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ.1912 มาแล้ว มีเสียงบ่นว่า เราน่าจะเลิกสัญญาบ้าบอที่ไปทำกับอังกฤษเสีย แล้วมาผูกสัมพันธ์กับเยอรมันดีกว่า
    เรื่องที่ญี่ปุ่นคิดเอาใจออกห่างไปอยู่กับเยอรมัน มีหรือจะไม่ไปถึงหูอังกฤษ อังกฤษยังแค่ลงบัญชีไว้ ยังไม่ถึงคิดบัญชี ญี่ปุ่นก็เลยแสดงความกร่างต่อ ด้วยการยื่นข้อเสนอ 21 ข้อต่อจีน ในปี ค.ศ.1915 ระหว่างที่อังกฤษกำลังวุ่นกับสงครามอยู่ในยุโรป เหมือนกับญี่ปุ่นฉวยโอกาสลองของ ก็รู้อยู่แล้วตามสัญญาที่ทำกับอังกฤษว่า อังกฤษก็เล็งจีนอยู่ แบบนี้อังกฤษจะรับไหวหรือ แล้วความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษกับญี่ปุ่น ก็เริ่มหวานน้อยลง
    แต่ญี่ปุ่น ก็ไม่ได้สร้าง”รอย” ไว้แค่กับอังกฤษเท่านั้น
    เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลง ฝ่ายผู้ชนะสงคราม ได้จัดประชุมขึ้นที่ปารีส เมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ.1919 เพื่อจัดการแบ่งสมบัติของฝ่ายผู้แพ้ ปรับค่าทำสงคราม จัดหาบ้านให้ยิว ฯลฯ และเรื่องจัดตั้ง League of Nations (LON) เพื่อจะให้เป็นหน่วยงานสากลระหว่างประเทศ (ต้นกำเนิดของสหประชาชาติ) ในการดูแลแก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างประเทศ ฯลฯ
    ในเรื่องการแบ่งสมบัติ ญี่ปุ่นคิดว่าตนเองควรจะได้บรรดาสมบัติของเยอรมันในแปซิฟิก ที่ตัวไปออกแรงยึดมา แต่กรรมการแบ่ง นำโดยอังกฤษ กลับจัดให้ครึ่งเดียว อีกครึ่งยกให้ออสเตรเลียที่ไม่ได้ทำอะไร แต่ก็ได้รางวัล เพราะเป็นเครือเดียวกับอังกฤษ ญี่ปุ่น เลือดขึ้นหน้า แต่น้ำตาตกใน เพิ่งสำนึกถึงสถานะจริงของตัว แหม หลงนึกว่า เขานับเราเป็นเพื่อนซี๊ แบบนี้ไม่ให้จี๋หลวมได้ยังไง
    นอกจากได้ สมบัติมาครึ่งเดียว ระหว่างที่ประชุมเรื่อง League of Nations ญี่ปุ่นเกิดข้องใจ ไปเจอข้อความในร่างข้อบังคับของ LON ที่เขียนเหมือนเป็นการหมิ่น หรือกีดกันเชื่อชาติ คิดว่าตนก็เพิ่งโดนมา จึงออกอาการ ทำการประท้วงยาวเหยียด แต่อเมริกาโดยประธานาธิบดี Woodlow Wilson ในฐานะประธาน และประเทศมหาอำนาจใหญ่กว่า บอกว่า แม้จะมีการออกเสียงโดยเสียงข้างมากเห็นชอบ ให้แก้ไขตามที่ญี่ปุ่นเสนอ แต่พณฯ จากประเทศมหาอำนาจใหญ่กว่าญี่ปุ่น เห็นว่าการแก้ไขต้องได้คะแนนเสียงเอกฉันท์ ประเด็นคะแนนเสียงเอกฉันท์นี้ เป็นความเห็นพ้อง หรือสำทับมาจากอังกฤษ อเมริกาเอง กำลังจะอ่อนให้ญี่ปุ่นอยู่แล้ว เลยต้องแข็งกลับ ญี่ปุ่น ก็เลยเก็บของกลับบ้าน รีบมาหาใบบัวบกกิน แก้ช้ำใจ
    นักประวัติศาสตร์บอกว่า เรื่องที่ประชุมที่ปารีสนี้ คาใจญี่ปุ่นยิ่งนัก และเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เชื้อความรุกรานของญี่ปุ่น รุนแรงขึ้นทุกวัน ในที่สุดก็พัฒนา มาเป็นการเข้าร่วมทำสงครามโลกครั้งที่ 2
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    16 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 5 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 5 ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ญี่ปุ่นไปยึดเกาหลี ได้ในปี ค.ศ.1895 และตีจีนกระเจิงกลับบ้านพวกไกยิ่น ฝรั่งชาติต่างๆ โดยเฉพาะอังกฤษ เริ่มหรี่ตามองญี่ปุ่น ไอ้หมอนี่ชักจะเรียนเร็วไปแล้ว แล้วอังกฤษ ก็หลอกญี่ปุ่นให้ทำสัญญามิตรภาพ เมื่อต้นปี ค.ศ.1902 เป็นสัญญาที่ดูเหมือนเอาไว้กันท่ากันชาวบ้าน และกันท่ากันเองด้วย ในสัญญาบอกว่า ญี่ปุ่นรับรู้ว่า อังกฤษมีผลประโยชน์ในจีน ส่วนอังกฤษก็รับรู้ว่า ญี่ปุ่นมีผลประโยชน์ในจีน และในเกาหลี และถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องไปรบกับใคร อีกฝ่ายก็จะส่งกำลังไปช่วย เป็นสัญญาที่แสดงความเก๋าของอังกฤษอย่างยิ่ง อังกฤษตาไว มองไกล เห็นหน่วยก้านญี่ปุ่นแล้ว ปล่อยให้ไปอยู่ข้างอื่นไม่ได้ ต้องเอามาอยู่ใกล้ตัว อังกฤษ เตรียมพร้อมที่จะกันท่าญี่ปุ่นเรื่องจีน และพร้อมที่หลอกใช้ญี่ปุ่นด้วย สำหรับอังกฤษ การทำสัญญากับญี่ปุ่น มันเป็นเรื่องยุทธศาสตร์กันท่าอย่างเดียว แต่สำหรับญี่ปุ่น มันเป็นคนละเรื่องกัน ญี่ปุ่นปลาบปลื้มยิ่งนัก ญี่ปุ่นคิดว่า อังกฤษเป็นเพื่อนคนแรกของญี่ปุ่น ที่เห็นคุณค่า และความสามารถของญี่ปุ่น ที่สำคัญ เป็นเพื่อนผมทอง ตาน้ำข้าวที่ญี่ปุ่นปลื้มหนักหนา… ท่านที่อ่านนิทานเรื่อง ต้มข้ามศตวรรษ คงจำกันได้ว่า ญี่ปุ่นลุกขึ้นไปรบรัสเซียในปี ค.ศ.1904 แต่ก่อนจะไปรบ ญี่ปุ่นไม่มีทุน คนที่ช่วยหาทุนให้ญี่ปุ่น คือ ชาวยิวชื่อ Jacob Schiff ซึ่งเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของ Kuhn Loeb & Co บริษัทการเงินใหญ่ แห่งวอลสตรีท ที่เป็นร่างทรงของ Rothschild ผู้ปกครองของรัฐบาลอังกฤษ Rothschild มีแผนจะคิดบัญชีซาร์นิโคลัส กษัตริย์ที่ปกครองรัสเซีย และยึดน้ำมันรัสเซีย จึงต้องสร้างปฏิวัติให้รัสเซียน่วมก่อน แต่ก่อนจะสร้างปฏิวัติรัสเซีย อังกฤษก็ยุให้ญี่ปุ่น ที่กำลังอยากแสดงฝีมือ ให้ไปรบให้รัสเซียเซเสียก่อน และทุกอย่างก็เป็นไปแผน ญี่ปุ่นบ้ายุ ไปรบรัสเซีย จนรัสเซียแพ้ เซแซดจริงๆ พอจะเห็นรางๆแล้วนะครับว่า ตั้งแต่เปลี่ยนนิสัย ไม่รักสันโดษ ญี่ปุ่นดูเหมือนไม่อยู่แบบเดี่ยวๆ และทำท่าจะเกี่ยวโยงกันไปหมด เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1914 อังกฤษ เปลี่ยนนโยบายกระทันหัน จากที่เคยคิดปิดล้อมรัสเซีย ก็ไม่จำเป็นแล้ว เพราะรัสเซียเซแซดใกล้ล้ม อังกฤษเลยเปลี่ยน จากล้อมรัสเซีย เป็นเข้าไปต้ม หรือปล้นให้รู้แล้วรู้รอด และไปล้อมเยอรมันแทน เมื่อไม่ต้องรบรัสเซีย อังกฤษคิดไม่ตก ในอังกฤษเสียงแตก ฝ่ายหนึ่งบอก ญี่ปุ่นเป็นคู่แค้นรัสเซีย ไม่รบรัสเซีย ก็ไม่ต้องชวนญี่ปุ่นเข้าร่วมก๊วน เพราะไม่ไว้ใจว่า ถ้าบอกให้ญี่ปุ่นคอยกันกองทัพเรือเยอรมัน ในแถวแปซิฟิก ญี่ปุ่นอาจจะฉวยโอกาสแย่งงับเกาะเล็ก เกาะน้อยของเยอรมันแถวแปซิฟิกไป โดยอังกฤษ หันมางับไม่ทันก็เป็นได้ เหมือนกรณีงาบเกาหลีไปจากจีน นับว่า ฝ่ายนี้มองญี่ปุ่นได้ลึกซึ้ง แต่อีกฝ่ายหนึ่งคือ หลอดวินสตัน เชอชิล บอกว่า เหลวไหล เราไม่ชวนญี่ปุ่น แปลว่า เรากลัวเขาจนตีนจิกละสิ แล้วอังกฤษก็เลยชวนญี่ปุ่นเล่นสงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วยกัน แปลว่า ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ กลัวญี่ปุ่นจนตีนจิกจริงๆ ฮาจริง (โว้ย) หลังจากออกคำชวนไปไม่ถึงสัปดาห์ ญี่ปุ่นไม่ให้เสียเวลา ส่งหนังสือถึงเยอรมัน ให้เยอรมันถอยเรือออกไปจากแปซืฟิกให้หมด เยอรมันไม่ตอบ แต่สั่งให้กองกำลังของตนที่เกาะชิงเตา Tsingtao เตรียมพร้อม วันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ.1914 ญี่ปุ่นก็ประกาศสงครามกับเยอรมัน และเคลื่อนพลไปยึดบรรดาเกาะต่างๆ ที่อยู่ในความครอบครองของเยอรมันเรียบหมด ญี่ปุ่นดูเหมือนจะให้ความร่วมมือกับฝ่ายสัมพันธมิตรในมหาสมุทรแปซิฟิกอยู่พักใหญ่ แต่หลังจากที่กวาดเอาเกาะของเยอรมันมาหมดแล้ว ญี่ปุ่นก็พักเหนื่อย เมื่ออังกฤษขอให้ญี่ปุ่นส่งเรือมาช่วยรบที่ทะเลเมดิเตอเรเนียนกับ ทะเลบอลติก ญี่ปุ่นก็ปฏิเสธอย่างสุภาพ เมื่อถูกต่อว่า ญี่ปุ่นบอกมีปัญหาภายในกองทัพแก้ไม่ตก นายทหารเรือของญี่ปุ่นส่วนใหญ่ จบมาจากเยอรมันทั้งนั้น แถมเยอรมันยังมาช่าวทำการฝึก การรบ การใช้อาวุธให้อีก ใครจะอยากไปรบกับครู และในญี่ปุ่นเอง เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ.1912 มาแล้ว มีเสียงบ่นว่า เราน่าจะเลิกสัญญาบ้าบอที่ไปทำกับอังกฤษเสีย แล้วมาผูกสัมพันธ์กับเยอรมันดีกว่า เรื่องที่ญี่ปุ่นคิดเอาใจออกห่างไปอยู่กับเยอรมัน มีหรือจะไม่ไปถึงหูอังกฤษ อังกฤษยังแค่ลงบัญชีไว้ ยังไม่ถึงคิดบัญชี ญี่ปุ่นก็เลยแสดงความกร่างต่อ ด้วยการยื่นข้อเสนอ 21 ข้อต่อจีน ในปี ค.ศ.1915 ระหว่างที่อังกฤษกำลังวุ่นกับสงครามอยู่ในยุโรป เหมือนกับญี่ปุ่นฉวยโอกาสลองของ ก็รู้อยู่แล้วตามสัญญาที่ทำกับอังกฤษว่า อังกฤษก็เล็งจีนอยู่ แบบนี้อังกฤษจะรับไหวหรือ แล้วความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษกับญี่ปุ่น ก็เริ่มหวานน้อยลง แต่ญี่ปุ่น ก็ไม่ได้สร้าง”รอย” ไว้แค่กับอังกฤษเท่านั้น เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลง ฝ่ายผู้ชนะสงคราม ได้จัดประชุมขึ้นที่ปารีส เมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ.1919 เพื่อจัดการแบ่งสมบัติของฝ่ายผู้แพ้ ปรับค่าทำสงคราม จัดหาบ้านให้ยิว ฯลฯ และเรื่องจัดตั้ง League of Nations (LON) เพื่อจะให้เป็นหน่วยงานสากลระหว่างประเทศ (ต้นกำเนิดของสหประชาชาติ) ในการดูแลแก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างประเทศ ฯลฯ ในเรื่องการแบ่งสมบัติ ญี่ปุ่นคิดว่าตนเองควรจะได้บรรดาสมบัติของเยอรมันในแปซิฟิก ที่ตัวไปออกแรงยึดมา แต่กรรมการแบ่ง นำโดยอังกฤษ กลับจัดให้ครึ่งเดียว อีกครึ่งยกให้ออสเตรเลียที่ไม่ได้ทำอะไร แต่ก็ได้รางวัล เพราะเป็นเครือเดียวกับอังกฤษ ญี่ปุ่น เลือดขึ้นหน้า แต่น้ำตาตกใน เพิ่งสำนึกถึงสถานะจริงของตัว แหม หลงนึกว่า เขานับเราเป็นเพื่อนซี๊ แบบนี้ไม่ให้จี๋หลวมได้ยังไง นอกจากได้ สมบัติมาครึ่งเดียว ระหว่างที่ประชุมเรื่อง League of Nations ญี่ปุ่นเกิดข้องใจ ไปเจอข้อความในร่างข้อบังคับของ LON ที่เขียนเหมือนเป็นการหมิ่น หรือกีดกันเชื่อชาติ คิดว่าตนก็เพิ่งโดนมา จึงออกอาการ ทำการประท้วงยาวเหยียด แต่อเมริกาโดยประธานาธิบดี Woodlow Wilson ในฐานะประธาน และประเทศมหาอำนาจใหญ่กว่า บอกว่า แม้จะมีการออกเสียงโดยเสียงข้างมากเห็นชอบ ให้แก้ไขตามที่ญี่ปุ่นเสนอ แต่พณฯ จากประเทศมหาอำนาจใหญ่กว่าญี่ปุ่น เห็นว่าการแก้ไขต้องได้คะแนนเสียงเอกฉันท์ ประเด็นคะแนนเสียงเอกฉันท์นี้ เป็นความเห็นพ้อง หรือสำทับมาจากอังกฤษ อเมริกาเอง กำลังจะอ่อนให้ญี่ปุ่นอยู่แล้ว เลยต้องแข็งกลับ ญี่ปุ่น ก็เลยเก็บของกลับบ้าน รีบมาหาใบบัวบกกิน แก้ช้ำใจ นักประวัติศาสตร์บอกว่า เรื่องที่ประชุมที่ปารีสนี้ คาใจญี่ปุ่นยิ่งนัก และเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เชื้อความรุกรานของญี่ปุ่น รุนแรงขึ้นทุกวัน ในที่สุดก็พัฒนา มาเป็นการเข้าร่วมทำสงครามโลกครั้งที่ 2 สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 16 ส.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 466 Views 0 Reviews
  • เครื่อง Enigma M4: สมบัติแห่งสงครามโลกครั้งที่สอง

    เครื่อง Enigma รุ่น M4 ที่หายากมากจากยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ถูกประมูลไปในปารีสด้วยราคากว่า €482,600 (ประมาณ 555,000 ดอลลาร์สหรัฐ) เนื่องจากเป็นหนึ่งในไม่กี่เครื่องที่ยังทำงานได้สมบูรณ์

    การประมูลครั้งนี้จัดขึ้นโดย Christie’s ในกรุงปารีส โดยเครื่อง Enigma M4 ที่มีสี่โรเตอร์ ได้รับความสนใจอย่างมากเพราะเป็นหนึ่งในรุ่นที่ยากต่อการถอดรหัสที่สุดในยุคนั้น ตัวเครื่องยังคงทำงานได้สมบูรณ์พร้อมแบตเตอรี่ตะกั่ว-กรด ซึ่งทำให้มูลค่าพุ่งสูงกว่าสองเท่าของราคาประเมินเดิม

    บทบาทในสงครามและการเข้ารหัส
    Enigma M4 ถูกพัฒนาในปี 1941 ตามคำสั่งของ Admiral Karl Dönitz เพื่อใช้ในการสื่อสารของกองเรือดำน้ำเยอรมัน (U-boat) จุดเด่นคือการเพิ่มโรเตอร์ที่สี่ ทำให้การเข้ารหัสซับซ้อนขึ้นมาก จนเครื่องถอดรหัส The Bombe ของ Alan Turing ต้องอาศัยสมุดรหัสที่ถูกยึดมาเพื่อช่วยในการแก้รหัส

    จุดเปลี่ยนสู่การกำเนิดคอมพิวเตอร์
    ความท้าทายในการถอดรหัส Enigma เป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนาเครื่องคำนวณและคอมพิวเตอร์ยุคแรก เช่น Colossus MK I และ MK II ที่ใช้ในการถอดรหัส Lorenz cipher ของกองบัญชาการเยอรมัน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ยุคคอมพิวเตอร์ดิจิทัล

    ความหมายต่อโลกปัจจุบัน
    การประมูลครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการซื้อขายของสะสม แต่ยังเป็นการตอกย้ำถึงความสำคัญของ ประวัติศาสตร์การเข้ารหัสและการคำนวณ ที่มีผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตั้งแต่การสื่อสารปลอดภัยไปจนถึงการสร้างคอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันทุกวันนี้

    สรุปเป็นหัวข้อ
    รายละเอียดการประมูล
    เครื่อง Enigma M4 ถูกขายในปารีส
    ราคาสุดท้าย €482,600 (US$555,233)

    บทบาทในสงคราม
    ใช้โดยกองเรือดำน้ำเยอรมัน (U-boat)
    เพิ่มโรเตอร์ที่สี่เพื่อความปลอดภัยสูงขึ้น

    การถอดรหัสโดยฝ่ายสัมพันธมิตร
    Alan Turing และทีมใช้เครื่อง The Bombe
    ต้องอาศัยสมุดรหัสที่ยึดมาเพื่อช่วยแก้รหัส

    ผลต่อวิวัฒนาการคอมพิวเตอร์
    นำไปสู่การสร้าง Colossus MK I และ MK II
    จุดเริ่มต้นของคอมพิวเตอร์ดิจิทัล

    คำเตือนจากประวัติศาสตร์
    เยอรมันเชื่อว่า Enigma “ไม่สามารถถอดรหัสได้”
    ความมั่นใจเกินไปทำให้เสียเปรียบในสงคราม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/wwii-enigma-machine-sells-for-over-half-a-million-dollars-at-auction-this-was-one-of-the-rare-4-rotor-m4-models
    🔐 เครื่อง Enigma M4: สมบัติแห่งสงครามโลกครั้งที่สอง เครื่อง Enigma รุ่น M4 ที่หายากมากจากยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ถูกประมูลไปในปารีสด้วยราคากว่า €482,600 (ประมาณ 555,000 ดอลลาร์สหรัฐ) เนื่องจากเป็นหนึ่งในไม่กี่เครื่องที่ยังทำงานได้สมบูรณ์ การประมูลครั้งนี้จัดขึ้นโดย Christie’s ในกรุงปารีส โดยเครื่อง Enigma M4 ที่มีสี่โรเตอร์ ได้รับความสนใจอย่างมากเพราะเป็นหนึ่งในรุ่นที่ยากต่อการถอดรหัสที่สุดในยุคนั้น ตัวเครื่องยังคงทำงานได้สมบูรณ์พร้อมแบตเตอรี่ตะกั่ว-กรด ซึ่งทำให้มูลค่าพุ่งสูงกว่าสองเท่าของราคาประเมินเดิม ⚓ บทบาทในสงครามและการเข้ารหัส Enigma M4 ถูกพัฒนาในปี 1941 ตามคำสั่งของ Admiral Karl Dönitz เพื่อใช้ในการสื่อสารของกองเรือดำน้ำเยอรมัน (U-boat) จุดเด่นคือการเพิ่มโรเตอร์ที่สี่ ทำให้การเข้ารหัสซับซ้อนขึ้นมาก จนเครื่องถอดรหัส The Bombe ของ Alan Turing ต้องอาศัยสมุดรหัสที่ถูกยึดมาเพื่อช่วยในการแก้รหัส 🧠 จุดเปลี่ยนสู่การกำเนิดคอมพิวเตอร์ ความท้าทายในการถอดรหัส Enigma เป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนาเครื่องคำนวณและคอมพิวเตอร์ยุคแรก เช่น Colossus MK I และ MK II ที่ใช้ในการถอดรหัส Lorenz cipher ของกองบัญชาการเยอรมัน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ยุคคอมพิวเตอร์ดิจิทัล 💡 ความหมายต่อโลกปัจจุบัน การประมูลครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการซื้อขายของสะสม แต่ยังเป็นการตอกย้ำถึงความสำคัญของ ประวัติศาสตร์การเข้ารหัสและการคำนวณ ที่มีผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตั้งแต่การสื่อสารปลอดภัยไปจนถึงการสร้างคอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันทุกวันนี้ 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ รายละเอียดการประมูล ➡️ เครื่อง Enigma M4 ถูกขายในปารีส ➡️ ราคาสุดท้าย €482,600 (US$555,233) ✅ บทบาทในสงคราม ➡️ ใช้โดยกองเรือดำน้ำเยอรมัน (U-boat) ➡️ เพิ่มโรเตอร์ที่สี่เพื่อความปลอดภัยสูงขึ้น ✅ การถอดรหัสโดยฝ่ายสัมพันธมิตร ➡️ Alan Turing และทีมใช้เครื่อง The Bombe ➡️ ต้องอาศัยสมุดรหัสที่ยึดมาเพื่อช่วยแก้รหัส ✅ ผลต่อวิวัฒนาการคอมพิวเตอร์ ➡️ นำไปสู่การสร้าง Colossus MK I และ MK II ➡️ จุดเริ่มต้นของคอมพิวเตอร์ดิจิทัล ‼️ คำเตือนจากประวัติศาสตร์ ⛔ เยอรมันเชื่อว่า Enigma “ไม่สามารถถอดรหัสได้” ⛔ ความมั่นใจเกินไปทำให้เสียเปรียบในสงคราม https://www.tomshardware.com/tech-industry/wwii-enigma-machine-sells-for-over-half-a-million-dollars-at-auction-this-was-one-of-the-rare-4-rotor-m4-models
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    WWII Enigma machine sells for over half a million dollars at auction — one of the rare four-rotor 'M4' models
    A fully working wood encased Enigma machine went for double the expected price in Paris earlier this week. Batteries were included.
    0 Comments 0 Shares 225 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 7 – 8
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทแถม
    “ฤทธิ์ยิว”

    (7)

    ปี คศ 1917 เป็นปีแรก ของการเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของ Woodlow Wilson ตอนนั้นยุโรปทำสงครามกันไป 3 ปีแล้ว และทำท่าว่าจะค้างเติ่ง ไม่เห็นทางแพ้ทางชนะของฝ่ายใดชัดเจน เยอรมันยังเดินหน้าใช้เรือดำน้ำยิงกองเรือของอังกฤษ แต่แล้วอเมริกา เป็นกลางต่อไปไม่ไหว ประกาศร่วมสงครามโลก เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับการปฏิวัติในรัสเซีย ซึ่งเกิดขึ้น 2 ครั้ง ครั้งแรก เพื่อโค่นล้มซาร์ ครั้งที่สองเพื่อเอาพวกบอลเชวิก นักปฏิวัติชาวยิว เข้ามาอยู่ในอำนาจ

    บทบาทของชาวยิวในการปฏิวัติรัสเซีย เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและน่าสนใจ และส่วนที่น่าสนใจเป็นพิเศษ คือ ขบวนการของบอลเชวิกนั้น มีชาวยิวเป็นหัวหน้า จำนวนมากถึง 3 ใน 4 ขณะที่ เมื่อปี คศ 1907 ในการประชุมพรรคสังคมนิยม มีชาวยิวเป็นสมาชิก ประมาณ 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่านั้น น่าจะแสดงให้เห็นว่า ทฤษฏี internal/external นั้นพวกยิวเอาจริง โดยฉเพาะในการโค่นล้มซาร์ มีบันทึกของของพวกไซออนนิสต์ เขียนไว้ว่า เรากำลังก่อตั้งและผูกสัมพันธ์ ระหว่างชาวยิวในอเมริกา กับ ยิวในยุโรปตะวันออก เพื่อจะได้ร่วมประสานกันในการโค่นล้มซาร์ของรัสเซีย และเสริมสร้างให้การปกครองตนเองของชาวยิวเข้มแข็งขี้น

    หลอด Winston Churchill ของอังกฤษ มีความเห็นในเรื่องนี้ว่า... อิทธิพลของพวกยิวในรัสเซียมีมากจริงๆ และมีบทบาทสูงในการปฏิวัติ...และ ในปี คศ 1920 Churchill ยังเขียนบทความอธิบายถึงความต่างระหว่าง ไซออนนิสต์ที่ดี กับบอลเชวิกที่เลวร้าย เขาบอกว่า ไซออนนิสต์ต้องการแค่จะมีประเทศของตนเอง ขณะที่พวกบอลเชวิก เป็นพวกยิวที่ไม่มีสัญชาติ ต้องการแต่จะก่อเรื่องวุ่นวาย และหวังไปถึงจะครองโลก Churchill บอกว่า มันเป็นการสมคบคิดของพวกคนบาป.. อืม… สมเป็นความเห็นของท่านหลอด แห่งเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ที่ตวัดลิ้น และปากกาไปมาได้ตามประโยชน์
    หลอด Winston ลุ้นให้พวกไซออนนิสต์มานานไม่น้อยกว่า 15 ปี ขณะเดียวกัน พวกยิวก็สนับสนุนท่านหลอดด้านการเมือง จนมีข่าวลือว่า ท่านหลอดก็มีชื่ออยู่ในบัญชีรายจ่ายของพวกไซออนนิสต์กระเป๋าหนัก

    ปฏิวัติรัสเซียเป็นเรื่องมีความสำคัญ แต่เหตุการณ์ก่อนการปฏิวัติ Balfour Declarationในวันที่ 2 ธันวาคม อาจมีความสำคัญไม่แพ้กันและเกี่ยวโยงกัน

    Balfour Declaration เป็นจดหมายจาก Arthur James Balfour รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของอังกฤษ ที่เขียนไปถึง Baron Rothschild (แปลกดีไหมครับ) สัญญาว่าจะยกดินแดนเนื้อที่เล็กกระจ้อยคือ ปาเลสไตน์ ซึ่งไม่ไช่เป็นของอังกฤษ แต่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน ให้เป็นดินแดนเพื่อชาวยิวไปตั้งบ้านตั้งเมือง ต้องยอมรับว่า ชาวเกาะแน่จริงๆ ทำสัญญายกที่ของคนอื่นให้ คนอื่นอีกคนนี่ มันต้องคารวะในความกลมกลิ้งของคนทำสัญญา แล้วคนรับสัญญาจะเอาที่ของคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของล่ะ ตกหลุม หรือลุ่มลึก ในตอนนั้น อังกฤษหลอกให้คนทั่วไปเข้าใจว่า อังกฤษต้องการปาเลสไตน์เอง เพราะอยู่ใกล้กับคลองซุเอซ ที่อังกฤษต้องการคุม แต่จริงๆแล้ว อังกฤษต้องการฉกปาเลสไตน์มาจากออตโตมาน เพื่อเอามาให้พวกยิว

    ระหว่างอังกฤษกับยิว ใครกำลังต้มใคร

    เริ่มตั้งแต่ต้นปี คศ 1916 อังกฤษ รู้ดีอยู่แก่ใจว่า ยิวเป็นเครือข่ายที่มีอิทธิพลมาก โดยเฉพาะในความเห็นของหลอด Churchill ซึ่งบอกว่า ถ้าเราเอาพวกยิวมาอยู่ในมือได้ โอกาสชนะสงครามของอังกฤษก็มีสูงขึ้น อังกฤษพยายามหา “อะไร” ที่จะมาใช้เป็นข้อแลกเปลี่ยนกับพวกยิว เพื่อให้พวกยิวสนับสนุนอังกฤษอย่างเต็มที่ ยิวมีอยู่ในทุกประเทศโดยฉเพาะเยอรมัน และยุโรปตะวันออก
    ปลายปี คศ 1916 James Malcolm ที่ปรึกษาของรัฐบาลอังกฤษ แนะนำว่า อังกฤษน่าจะเอาเรื่องปาเลสไตน์ไปต่อรองกับยิว สัญญาว่าจะยกปาเลสไตน์ให้พวกไซออนนิสต์ไงล่ะ แล้วพวกยิวก็จะไปใช้อิทธิพลของพวกเขาที่มีอยู่เกือบทั่วโลก โดยเฉพาะในอเมริกาทำประโยชน์ให้อังกฤษเอง อังกฤษไม่เล่นตัวนาน เมื่อ David Lloyd George ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ของอังกฤษ ในเดือนธันวาคม 1916 เขาสั่งการทันที

    Lloyd George เป็นขวัญใจพวกไซออนนิสต์อยู่แล้ว คงไม่ลืมกันว่า เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรี เขาอ่อนอยู่ในมือใคร เขาสั่งให้ลูกน้องซ้ายขวา Sir Mark Sykes และหลอด Arthur Balfour ไปคุยกับพวกยิวทันที

    Sykes หลบไปจับเข่า Weizmann และไซออนนิสต์อีกหลายคน พวกยิวบอก ไม่มีปัญหา ถ้าเราทำให้ตามสัญญาแล้ว อย่าเบี้ยวเราก็แล้วกัน ขณะเดียวกัน พวกยิวก็ปล่อยข่าว ว่า เยอรมันก็คุยทำนองเดียวกันกับพวกเขาอย่างนี้แหละ ดูเหมือนพวกยิวพยายามจะไล่ราคาหุ้นให้ถึงเพดาน เมื่อข่าวไล่ราคาหุ้นลือกระฉ่อนในลอนดอน รัฐบาลอังกฤษถึงกับนั่งไม่ติด

    ในที่สุด ร่างแรก ของ Balfour Declaration ของอังกฤษก็ออกมาในเดือนกรกฎาคม 1917 แต่เป็นฝีมือร่างของ Brandeis ชาวยิวที่เป็นผู้พิพากษาศาลสูง คนแรกของอเมริกา ฝีมือมั่วขั้นสูงจริงๆ และร่างที่ 2 ก็ออกมากลางเดือนตุลาคม รัฐบาลอังกฤษพร้อมที่จะแถลงอย่างเป็นทางการในปลายเดือนตุลาคม

    เวลาการปฏิวัติรัสเซียของบอลเชวิก การประการคำสัญญาของอังกฤษเกี่ยวกับปาเลสไตน์ การประกาศเข้าสงครามโลกของอเมริกา ดูแบบประชาชนคนซื่อ ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวพันกันเลย

    ####################
    ” ฤทธิ์ยิว”

    (8 จบ)
    เมื่อพูดถึงการทำสงคราม สำหรับคนส่วนใหญ่ มันหมายถึงการสู้รบ การทำลาย การบาดเจ็บล้มตาย แต่สำหรับคนบางพวก สงครามไม่ได้มีความหมายอย่างนั้น สำหรับพวกเขา สงครามหมายถึง โอกาสทอง สำหรับสร้างกำไรมหาศาล และเป็นโอกาสสำหรับการเปลี่ยนมือ หรือทิศทางของฐานอำนาจในโลก และสำหรับผู้ที่ไปอยู่ถูกตำแหน่ง ถูกที่ สงครามอาจสร้างทั้งความร่ำรวย และอำนาจให้กับผู้นั้น อย่างเหลือเชื่อ และเหลือประมาณ

    สงครามโลกครั้งที่ 1 นับเป็นโอกาสทอง ที่สร้างผลกำไรให้แก่ชาวยิว ในหลายๆเรื่องอย่างเหลือเชื่อ

    เรื่องแรก : ตำแหน่งใหญ่ๆรอบตัว Taft และ Wilson ดูเหมือนจะถูกครอบ และครองโดยชาวยิว โดยฉเพาะ เรื่องการอนุญาตให้ชาวยิวอพยพเข้ามาอยู่ในอเมริกา ซึ่งมีชาวยิวเป็นผู้ดูแลในตำแหน่งใหญ่สุด และทำให้จำนวนชาวยิวที่อพยพมาอยู่ในอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างมาก เป็น 4 ล้านกว่าคน นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา

    เรื่องที่สอง : Balfour Declaration ซึ่งอังกฤษสัญญาว่าจะเอาปาเลสไตน์มาให้ยิว แม้จะยังมาไม่ถึง แต่เป็นถึงเจ้าของเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ตกปากตกคำเป็นหนังสือให้เขา ถ้าทำไม่ได้ ยิวก็คงเอาไว้บีบให้หาอย่างอื่นมาทดแทน เอาไว้ใช้ทวงไปได้อีกนานแสนนาน ถึงหากจะไม่ได้อะไรมาทดแทน เอาไว้ด่าลำเลิก ก็พอแก้เหงาปาก

    เรื่องที่สาม : โลกนี้เปลี่ยนไปแยะสำหรับยิว รัสเซีย ที่มีชาวยิวอยู่มากมาย และปกครองโดยซาร์ ที่เกลียดยิว และยิวก็เกลียดซาร์ เปลี่ยนเป็นปกครองโดยพวกยิวบอลเชวิก ที่พวกยิวไปจัดการเอามานั่งแท่น มันยิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งของพวกยิวเลยล่ะ ส่วนเยอรมัน ซึ่งปกครองโดย Kaiser Wilhelm ที่ 2 ที่ไม่ชอบยิวเช่นกัน เปลี่ยนเป็นรัฐบาล Weimar นี่ก็รางวัลใหญ่ไม่น้อย นอกจากนี้ ยิวยังได้ถือเชือก ชักใยรัฐบาลของประเทศมหาอำนาจเก่าอย่างอังกฤษ และอำนาจใหม่อย่างอเมริกา ที่หวังจะครองโลก ไม่เรียกว่าสงครามโลก สร้างโอกาสทองให้ยิว แล้วจะเรียกว่าอะไร
    เรื่องสุดท้าย : หันไปทางไหนก็มีแต่เงินหล่นใส่ การได้คุม War Industry Board ในรัฐบาล Wilson ของ Bernard Baruch ซึ่งเป็นการควบคุมจ่ายเงินของกองทัพยามสงคราม คงไม่ต้องอธิบายมากว่า เงินงอกในกระเป๋าพวกยิวอย่างไร และขนาดไหน

    เล่าเลยไปถึงเหตุการณ์หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สักนิด จะได้เห็นฤทธิ์ยิวชัดขึ้นอีกหน่อย

    หลังจากสงครามโลกจบลง บรรดาผู้ชนะสงครามก็จัดประชุมที่ปารีส ในเดือนมกราคม คศ 1919 เพื่อแบ่งสมบัติ ที่ได้มาจากการต้ม และการปล้น

    ทีมยิวของ Wilson คิดว่าพวกตัวน่าจะเป็นผู้กำกับการประชุม เพราะถ้าไม่มีอเมริกามาเข้าฉากรบ อังกฤษ ก็อาจต้องไปนั่งรอ อยู่ที่นอกประตูตึกประชุมด้วยซ้ำ แล้วใครล่ะที่เอาอเมริกาใส่ถาดมาให้อังกฤษ ไม่ใช่ยิวหรือไง ยิวคนไหน นู่น ยิว Brandies ไง ที่ไปจูง Wilson ออกมาจากการนั่งเขียนจดหมายถึงเมียใครอยู่อย่างเหงาๆ ในทำเนียบขาว ให้มายืนหน้าเครียด บัญชาการรบแทน

    ไม่ใช่แค่ทีมยิวของ Wilson เท่านั้น ที่นั่งหน้าสลอน อยู่แถวหน้าของการประชุมที่ปารีส ดูเหมือนทุกประเทศที่ชนะสงคราม จะมีตัวแทนชาวยิวมานั่งกำกับในที่ประชุมด้วย มีทั้งยิวจากโปแลนด์ ยิวจากฮอลแลนด์ ยิวจากเบลเยี่ยม และมากที่สุด คือ ยิวจากอเมริกา

    อังกฤษชักหงุดหงิด เราต่างหาก เป็นคนเสียสละเริ่มทำสงคราม เป็นคนวางแผนตั้งแต่ต้น ทั้งบี้เยอรมัน ทั้งต้มรัสเซีย ทั้งหลอกฝรั่งเศส มาถึงวันนี้ วันที่ทุกฝ่าย(ที่ชนะ) ได้อย่างที่ต้องการกันหมด
    ก็เพราะเรา เอะ แต่อังกฤษจ่ายค่าแบกถาดใส่อเมริกา ให้พวกยิวหรือยังครับท่าน งั้นตกลงเป็นเพียงกระดาษ แผ่นเดียวที่อังกฤษลงทุนใช้ต้มยิว ให้ไปแบกอเมริกามาซินะ

    อเมริกา อมยิ้มในหน้า เออ ดูมันกัดกัน แย่งกัน ว่า ใครที่สร้างสงครามสำเร็จ และใครไปอุ้ม ไปแบกอเมริกามาเข้าสงคราม สำหรับหลายคนในอเมริกา ใครสร้างสงครามอย่างไร ไม่สำคัญ และใครที่คิดว่าอุ้มอเมริกามาได้ ถ้าอเมริกาไม่พร้อมใจ หรือวางแผนให้ถูกอุ้ม จะอุ้มอเมริกามาได้แน่หรือ อเมริกาทำตัวเหมือนไอ้โง่ถูกหลอก แต่จริงๆแล้ว สงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้อเมริกาได้โอกาสทองมากกว่าใครๆ มากขนาดเดินเบียดอังกฤษ ตกจากเส้นทางสู่การเป็น หมายเลขหนึ่งของโลกไปเรียบร้อย
    มันเป็นเรื่องน่าสนใจ ที่ทุกฝ่ายต่างคิดว่า ตนเองได้กำไร และหลอกใช้ฝ่ายอื่นสำเร็จทั้งสิ้น

    และถ้าสังเกตกันอีกนิด จะเห็นว่า สงครามโลกครั้งที่ 1 นี้ นอกจากจะมีอาณาจักร หรือจักรวรรดิ์เก่าแก่ล่มสล่าย ไป 3 รายแล้ว ทุกประเทศมีค่าใช้จ่าย หรือต้นทุนทั้งสิ้น โดยเฉพาะต้นทุน ที่เป็นชีวิต ของพลเมืองและทหารนับล้าน บ้านเมืองที่พังทลายเหลือแต่ซาก ผู้ชนะอย่างอังกฤษ ก็ไม่แน่ว่าคุ้มทุนที่ลงไป อเมริกาแน่นอนกำไรมหาศาล แต่ก็ต้องลงทุนไม่น้อย โดยเฉพาะชีวิตทหารอเมริกันที่ไปรบ ดูเหมือนจะมีแต่ชาวยิวเท่านั้น ที่ไม่มีต้นทุนที่ต้องเสีย ด้านชีวิตพลเมือง ทหาร และบ้านเมืองเลย

    ยิวแค่ลงทุนด้วยปาก กับใช้เล่ห์เหลี่ยม และทำให้ผู้อื่นเชื่อว่ายิวมีอำนาจ ที่สร้างจากสื่อกระป๋องสียี่ห้อยิวเท่านั้นเอง แต่ยิวก็ทำสำเร็จ แต่การวิธีลงทุนแบบนี้ของยิว มีเส้นทางต่อมาอย่างไร มีผลในสงครามโลกครั้งที่ 2 แบบไหน และจะเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือไม่ น่าติดตามนะครับ

    ไม่มีใครหนีกรรมของตนเองพ้นอย่างแน่นอน

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    9 มิ.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 7 – 8 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทแถม “ฤทธิ์ยิว” (7) ปี คศ 1917 เป็นปีแรก ของการเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของ Woodlow Wilson ตอนนั้นยุโรปทำสงครามกันไป 3 ปีแล้ว และทำท่าว่าจะค้างเติ่ง ไม่เห็นทางแพ้ทางชนะของฝ่ายใดชัดเจน เยอรมันยังเดินหน้าใช้เรือดำน้ำยิงกองเรือของอังกฤษ แต่แล้วอเมริกา เป็นกลางต่อไปไม่ไหว ประกาศร่วมสงครามโลก เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับการปฏิวัติในรัสเซีย ซึ่งเกิดขึ้น 2 ครั้ง ครั้งแรก เพื่อโค่นล้มซาร์ ครั้งที่สองเพื่อเอาพวกบอลเชวิก นักปฏิวัติชาวยิว เข้ามาอยู่ในอำนาจ บทบาทของชาวยิวในการปฏิวัติรัสเซีย เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและน่าสนใจ และส่วนที่น่าสนใจเป็นพิเศษ คือ ขบวนการของบอลเชวิกนั้น มีชาวยิวเป็นหัวหน้า จำนวนมากถึง 3 ใน 4 ขณะที่ เมื่อปี คศ 1907 ในการประชุมพรรคสังคมนิยม มีชาวยิวเป็นสมาชิก ประมาณ 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่านั้น น่าจะแสดงให้เห็นว่า ทฤษฏี internal/external นั้นพวกยิวเอาจริง โดยฉเพาะในการโค่นล้มซาร์ มีบันทึกของของพวกไซออนนิสต์ เขียนไว้ว่า เรากำลังก่อตั้งและผูกสัมพันธ์ ระหว่างชาวยิวในอเมริกา กับ ยิวในยุโรปตะวันออก เพื่อจะได้ร่วมประสานกันในการโค่นล้มซาร์ของรัสเซีย และเสริมสร้างให้การปกครองตนเองของชาวยิวเข้มแข็งขี้น หลอด Winston Churchill ของอังกฤษ มีความเห็นในเรื่องนี้ว่า... อิทธิพลของพวกยิวในรัสเซียมีมากจริงๆ และมีบทบาทสูงในการปฏิวัติ...และ ในปี คศ 1920 Churchill ยังเขียนบทความอธิบายถึงความต่างระหว่าง ไซออนนิสต์ที่ดี กับบอลเชวิกที่เลวร้าย เขาบอกว่า ไซออนนิสต์ต้องการแค่จะมีประเทศของตนเอง ขณะที่พวกบอลเชวิก เป็นพวกยิวที่ไม่มีสัญชาติ ต้องการแต่จะก่อเรื่องวุ่นวาย และหวังไปถึงจะครองโลก Churchill บอกว่า มันเป็นการสมคบคิดของพวกคนบาป.. อืม… สมเป็นความเห็นของท่านหลอด แห่งเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ที่ตวัดลิ้น และปากกาไปมาได้ตามประโยชน์ หลอด Winston ลุ้นให้พวกไซออนนิสต์มานานไม่น้อยกว่า 15 ปี ขณะเดียวกัน พวกยิวก็สนับสนุนท่านหลอดด้านการเมือง จนมีข่าวลือว่า ท่านหลอดก็มีชื่ออยู่ในบัญชีรายจ่ายของพวกไซออนนิสต์กระเป๋าหนัก ปฏิวัติรัสเซียเป็นเรื่องมีความสำคัญ แต่เหตุการณ์ก่อนการปฏิวัติ Balfour Declarationในวันที่ 2 ธันวาคม อาจมีความสำคัญไม่แพ้กันและเกี่ยวโยงกัน Balfour Declaration เป็นจดหมายจาก Arthur James Balfour รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของอังกฤษ ที่เขียนไปถึง Baron Rothschild (แปลกดีไหมครับ) สัญญาว่าจะยกดินแดนเนื้อที่เล็กกระจ้อยคือ ปาเลสไตน์ ซึ่งไม่ไช่เป็นของอังกฤษ แต่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน ให้เป็นดินแดนเพื่อชาวยิวไปตั้งบ้านตั้งเมือง ต้องยอมรับว่า ชาวเกาะแน่จริงๆ ทำสัญญายกที่ของคนอื่นให้ คนอื่นอีกคนนี่ มันต้องคารวะในความกลมกลิ้งของคนทำสัญญา แล้วคนรับสัญญาจะเอาที่ของคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของล่ะ ตกหลุม หรือลุ่มลึก ในตอนนั้น อังกฤษหลอกให้คนทั่วไปเข้าใจว่า อังกฤษต้องการปาเลสไตน์เอง เพราะอยู่ใกล้กับคลองซุเอซ ที่อังกฤษต้องการคุม แต่จริงๆแล้ว อังกฤษต้องการฉกปาเลสไตน์มาจากออตโตมาน เพื่อเอามาให้พวกยิว ระหว่างอังกฤษกับยิว ใครกำลังต้มใคร เริ่มตั้งแต่ต้นปี คศ 1916 อังกฤษ รู้ดีอยู่แก่ใจว่า ยิวเป็นเครือข่ายที่มีอิทธิพลมาก โดยเฉพาะในความเห็นของหลอด Churchill ซึ่งบอกว่า ถ้าเราเอาพวกยิวมาอยู่ในมือได้ โอกาสชนะสงครามของอังกฤษก็มีสูงขึ้น อังกฤษพยายามหา “อะไร” ที่จะมาใช้เป็นข้อแลกเปลี่ยนกับพวกยิว เพื่อให้พวกยิวสนับสนุนอังกฤษอย่างเต็มที่ ยิวมีอยู่ในทุกประเทศโดยฉเพาะเยอรมัน และยุโรปตะวันออก ปลายปี คศ 1916 James Malcolm ที่ปรึกษาของรัฐบาลอังกฤษ แนะนำว่า อังกฤษน่าจะเอาเรื่องปาเลสไตน์ไปต่อรองกับยิว สัญญาว่าจะยกปาเลสไตน์ให้พวกไซออนนิสต์ไงล่ะ แล้วพวกยิวก็จะไปใช้อิทธิพลของพวกเขาที่มีอยู่เกือบทั่วโลก โดยเฉพาะในอเมริกาทำประโยชน์ให้อังกฤษเอง อังกฤษไม่เล่นตัวนาน เมื่อ David Lloyd George ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ของอังกฤษ ในเดือนธันวาคม 1916 เขาสั่งการทันที Lloyd George เป็นขวัญใจพวกไซออนนิสต์อยู่แล้ว คงไม่ลืมกันว่า เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรี เขาอ่อนอยู่ในมือใคร เขาสั่งให้ลูกน้องซ้ายขวา Sir Mark Sykes และหลอด Arthur Balfour ไปคุยกับพวกยิวทันที Sykes หลบไปจับเข่า Weizmann และไซออนนิสต์อีกหลายคน พวกยิวบอก ไม่มีปัญหา ถ้าเราทำให้ตามสัญญาแล้ว อย่าเบี้ยวเราก็แล้วกัน ขณะเดียวกัน พวกยิวก็ปล่อยข่าว ว่า เยอรมันก็คุยทำนองเดียวกันกับพวกเขาอย่างนี้แหละ ดูเหมือนพวกยิวพยายามจะไล่ราคาหุ้นให้ถึงเพดาน เมื่อข่าวไล่ราคาหุ้นลือกระฉ่อนในลอนดอน รัฐบาลอังกฤษถึงกับนั่งไม่ติด ในที่สุด ร่างแรก ของ Balfour Declaration ของอังกฤษก็ออกมาในเดือนกรกฎาคม 1917 แต่เป็นฝีมือร่างของ Brandeis ชาวยิวที่เป็นผู้พิพากษาศาลสูง คนแรกของอเมริกา ฝีมือมั่วขั้นสูงจริงๆ และร่างที่ 2 ก็ออกมากลางเดือนตุลาคม รัฐบาลอังกฤษพร้อมที่จะแถลงอย่างเป็นทางการในปลายเดือนตุลาคม เวลาการปฏิวัติรัสเซียของบอลเชวิก การประการคำสัญญาของอังกฤษเกี่ยวกับปาเลสไตน์ การประกาศเข้าสงครามโลกของอเมริกา ดูแบบประชาชนคนซื่อ ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวพันกันเลย #################### ” ฤทธิ์ยิว” (8 จบ) เมื่อพูดถึงการทำสงคราม สำหรับคนส่วนใหญ่ มันหมายถึงการสู้รบ การทำลาย การบาดเจ็บล้มตาย แต่สำหรับคนบางพวก สงครามไม่ได้มีความหมายอย่างนั้น สำหรับพวกเขา สงครามหมายถึง โอกาสทอง สำหรับสร้างกำไรมหาศาล และเป็นโอกาสสำหรับการเปลี่ยนมือ หรือทิศทางของฐานอำนาจในโลก และสำหรับผู้ที่ไปอยู่ถูกตำแหน่ง ถูกที่ สงครามอาจสร้างทั้งความร่ำรวย และอำนาจให้กับผู้นั้น อย่างเหลือเชื่อ และเหลือประมาณ สงครามโลกครั้งที่ 1 นับเป็นโอกาสทอง ที่สร้างผลกำไรให้แก่ชาวยิว ในหลายๆเรื่องอย่างเหลือเชื่อ เรื่องแรก : ตำแหน่งใหญ่ๆรอบตัว Taft และ Wilson ดูเหมือนจะถูกครอบ และครองโดยชาวยิว โดยฉเพาะ เรื่องการอนุญาตให้ชาวยิวอพยพเข้ามาอยู่ในอเมริกา ซึ่งมีชาวยิวเป็นผู้ดูแลในตำแหน่งใหญ่สุด และทำให้จำนวนชาวยิวที่อพยพมาอยู่ในอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างมาก เป็น 4 ล้านกว่าคน นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา เรื่องที่สอง : Balfour Declaration ซึ่งอังกฤษสัญญาว่าจะเอาปาเลสไตน์มาให้ยิว แม้จะยังมาไม่ถึง แต่เป็นถึงเจ้าของเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ตกปากตกคำเป็นหนังสือให้เขา ถ้าทำไม่ได้ ยิวก็คงเอาไว้บีบให้หาอย่างอื่นมาทดแทน เอาไว้ใช้ทวงไปได้อีกนานแสนนาน ถึงหากจะไม่ได้อะไรมาทดแทน เอาไว้ด่าลำเลิก ก็พอแก้เหงาปาก เรื่องที่สาม : โลกนี้เปลี่ยนไปแยะสำหรับยิว รัสเซีย ที่มีชาวยิวอยู่มากมาย และปกครองโดยซาร์ ที่เกลียดยิว และยิวก็เกลียดซาร์ เปลี่ยนเป็นปกครองโดยพวกยิวบอลเชวิก ที่พวกยิวไปจัดการเอามานั่งแท่น มันยิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งของพวกยิวเลยล่ะ ส่วนเยอรมัน ซึ่งปกครองโดย Kaiser Wilhelm ที่ 2 ที่ไม่ชอบยิวเช่นกัน เปลี่ยนเป็นรัฐบาล Weimar นี่ก็รางวัลใหญ่ไม่น้อย นอกจากนี้ ยิวยังได้ถือเชือก ชักใยรัฐบาลของประเทศมหาอำนาจเก่าอย่างอังกฤษ และอำนาจใหม่อย่างอเมริกา ที่หวังจะครองโลก ไม่เรียกว่าสงครามโลก สร้างโอกาสทองให้ยิว แล้วจะเรียกว่าอะไร เรื่องสุดท้าย : หันไปทางไหนก็มีแต่เงินหล่นใส่ การได้คุม War Industry Board ในรัฐบาล Wilson ของ Bernard Baruch ซึ่งเป็นการควบคุมจ่ายเงินของกองทัพยามสงคราม คงไม่ต้องอธิบายมากว่า เงินงอกในกระเป๋าพวกยิวอย่างไร และขนาดไหน เล่าเลยไปถึงเหตุการณ์หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สักนิด จะได้เห็นฤทธิ์ยิวชัดขึ้นอีกหน่อย หลังจากสงครามโลกจบลง บรรดาผู้ชนะสงครามก็จัดประชุมที่ปารีส ในเดือนมกราคม คศ 1919 เพื่อแบ่งสมบัติ ที่ได้มาจากการต้ม และการปล้น ทีมยิวของ Wilson คิดว่าพวกตัวน่าจะเป็นผู้กำกับการประชุม เพราะถ้าไม่มีอเมริกามาเข้าฉากรบ อังกฤษ ก็อาจต้องไปนั่งรอ อยู่ที่นอกประตูตึกประชุมด้วยซ้ำ แล้วใครล่ะที่เอาอเมริกาใส่ถาดมาให้อังกฤษ ไม่ใช่ยิวหรือไง ยิวคนไหน นู่น ยิว Brandies ไง ที่ไปจูง Wilson ออกมาจากการนั่งเขียนจดหมายถึงเมียใครอยู่อย่างเหงาๆ ในทำเนียบขาว ให้มายืนหน้าเครียด บัญชาการรบแทน ไม่ใช่แค่ทีมยิวของ Wilson เท่านั้น ที่นั่งหน้าสลอน อยู่แถวหน้าของการประชุมที่ปารีส ดูเหมือนทุกประเทศที่ชนะสงคราม จะมีตัวแทนชาวยิวมานั่งกำกับในที่ประชุมด้วย มีทั้งยิวจากโปแลนด์ ยิวจากฮอลแลนด์ ยิวจากเบลเยี่ยม และมากที่สุด คือ ยิวจากอเมริกา อังกฤษชักหงุดหงิด เราต่างหาก เป็นคนเสียสละเริ่มทำสงคราม เป็นคนวางแผนตั้งแต่ต้น ทั้งบี้เยอรมัน ทั้งต้มรัสเซีย ทั้งหลอกฝรั่งเศส มาถึงวันนี้ วันที่ทุกฝ่าย(ที่ชนะ) ได้อย่างที่ต้องการกันหมด ก็เพราะเรา เอะ แต่อังกฤษจ่ายค่าแบกถาดใส่อเมริกา ให้พวกยิวหรือยังครับท่าน งั้นตกลงเป็นเพียงกระดาษ แผ่นเดียวที่อังกฤษลงทุนใช้ต้มยิว ให้ไปแบกอเมริกามาซินะ อเมริกา อมยิ้มในหน้า เออ ดูมันกัดกัน แย่งกัน ว่า ใครที่สร้างสงครามสำเร็จ และใครไปอุ้ม ไปแบกอเมริกามาเข้าสงคราม สำหรับหลายคนในอเมริกา ใครสร้างสงครามอย่างไร ไม่สำคัญ และใครที่คิดว่าอุ้มอเมริกามาได้ ถ้าอเมริกาไม่พร้อมใจ หรือวางแผนให้ถูกอุ้ม จะอุ้มอเมริกามาได้แน่หรือ อเมริกาทำตัวเหมือนไอ้โง่ถูกหลอก แต่จริงๆแล้ว สงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้อเมริกาได้โอกาสทองมากกว่าใครๆ มากขนาดเดินเบียดอังกฤษ ตกจากเส้นทางสู่การเป็น หมายเลขหนึ่งของโลกไปเรียบร้อย มันเป็นเรื่องน่าสนใจ ที่ทุกฝ่ายต่างคิดว่า ตนเองได้กำไร และหลอกใช้ฝ่ายอื่นสำเร็จทั้งสิ้น และถ้าสังเกตกันอีกนิด จะเห็นว่า สงครามโลกครั้งที่ 1 นี้ นอกจากจะมีอาณาจักร หรือจักรวรรดิ์เก่าแก่ล่มสล่าย ไป 3 รายแล้ว ทุกประเทศมีค่าใช้จ่าย หรือต้นทุนทั้งสิ้น โดยเฉพาะต้นทุน ที่เป็นชีวิต ของพลเมืองและทหารนับล้าน บ้านเมืองที่พังทลายเหลือแต่ซาก ผู้ชนะอย่างอังกฤษ ก็ไม่แน่ว่าคุ้มทุนที่ลงไป อเมริกาแน่นอนกำไรมหาศาล แต่ก็ต้องลงทุนไม่น้อย โดยเฉพาะชีวิตทหารอเมริกันที่ไปรบ ดูเหมือนจะมีแต่ชาวยิวเท่านั้น ที่ไม่มีต้นทุนที่ต้องเสีย ด้านชีวิตพลเมือง ทหาร และบ้านเมืองเลย ยิวแค่ลงทุนด้วยปาก กับใช้เล่ห์เหลี่ยม และทำให้ผู้อื่นเชื่อว่ายิวมีอำนาจ ที่สร้างจากสื่อกระป๋องสียี่ห้อยิวเท่านั้นเอง แต่ยิวก็ทำสำเร็จ แต่การวิธีลงทุนแบบนี้ของยิว มีเส้นทางต่อมาอย่างไร มีผลในสงครามโลกครั้งที่ 2 แบบไหน และจะเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือไม่ น่าติดตามนะครับ ไม่มีใครหนีกรรมของตนเองพ้นอย่างแน่นอน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 9 มิ.ย. 2558
    0 Comments 0 Shares 707 Views 0 Reviews
  • เรื่องอื้อฉาว Shein กับตุ๊กตาเด็ก: จุดไฟปัญหามืดของตลาดออนไลน์

    เรื่องราวล่าสุดจากฝรั่งเศสได้เปิดโปงด้านมืดของตลาดออนไลน์ เมื่อมีการประท้วงต่อต้าน Shein ที่ขายตุ๊กตาเซ็กซ์ลักษณะคล้ายเด็ก พร้อมอาวุธต้องห้ามผ่านแพลตฟอร์มของตน ทำให้รัฐบาลฝรั่งเศสต้องออกมาตรการจัดการอย่างเร่งด่วน

    Shein ซึ่งเป็นแบรนด์แฟชั่นจีนชื่อดัง ถูกวิจารณ์อย่างหนักหลังมีการพบว่าบนแพลตฟอร์มของตนมีการขายตุ๊กตาเซ็กซ์ที่มีลักษณะคล้ายเด็ก รวมถึงอาวุธต้องห้ามบางประเภท โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนการเปิดร้านถาวรแห่งแรกของ Shein ในกรุงปารีส ทำให้เกิดการประท้วงจากประชาชนและองค์กรสิทธิมนุษยชน

    ป้ายประท้วงมีข้อความรุนแรง เช่น “Shein สมรู้ร่วมคิดกับสื่อลามกเด็ก” และ “ร้าน BHV ไม่ควรซ่อนความอับอายนี้ไว้หลังหน้าต่าง” สะท้อนความโกรธของสังคมต่อการปล่อยให้สินค้าลักษณะนี้หลุดรอดเข้าสู่ตลาดได้

    เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาเรื้อรังของตลาดออนไลน์ที่เปิดให้ผู้ขายหลายรายเข้ามาโดยไม่มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ทำให้สินค้าผิดกฎหมาย อันตราย หรือไม่เหมาะสมสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายดาย

    จุดอ่อนของตลาดออนไลน์แบบหลายผู้ขาย
    แพลตฟอร์มอย่าง Shein, Amazon, Temu และ Alibaba เปิดให้ผู้ขายทั่วโลกเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง
    การตรวจสอบสินค้าบนแพลตฟอร์มยังไม่เข้มงวดพอ
    สินค้าผิดกฎหมาย เช่น อาวุธต้องห้าม และสินค้าลามกสามารถหลุดรอดได้
    ผู้บริโภคอาจไม่รู้ว่าสินค้าที่ซื้อผิดกฎหมายหรือไม่เหมาะสม

    ปฏิกิริยาจากสังคมและรัฐบาล
    ฝรั่งเศสออกมาตรการจัดการกับสินค้าผิดกฎหมายบนแพลตฟอร์ม
    การประท้วงหน้าร้าน BHV Marais สะท้อนความไม่พอใจของประชาชน
    สื่อมวลชนและองค์กรสิทธิมนุษยชนเรียกร้องให้มีการควบคุมที่เข้มงวดขึ้น

    คำเตือนต่อผู้บริโภคและแพลตฟอร์ม
    การซื้อสินค้าจากแพลตฟอร์มที่ไม่มีการตรวจสอบอาจนำไปสู่การสนับสนุนกิจกรรมผิดกฎหมาย
    แพลตฟอร์มที่ไม่ควบคุมผู้ขายอาจกลายเป็นช่องทางของการค้ามนุษย์หรือการละเมิดสิทธิเด็ก
    การเปิดร้านถาวรโดยไม่จัดการกับปัญหาในระบบออนไลน์อาจสร้างภาพลักษณ์เชิงลบต่อแบรนด์
    ผู้บริโภคควรตรวจสอบแหล่งที่มาของสินค้าและหลีกเลี่ยงสินค้าที่มีลักษณะไม่เหมาะสม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/08/shein-sex-doll-scandal-shines-light-on-marketplaces039-dark-corners
    🛑 เรื่องอื้อฉาว Shein กับตุ๊กตาเด็ก: จุดไฟปัญหามืดของตลาดออนไลน์ เรื่องราวล่าสุดจากฝรั่งเศสได้เปิดโปงด้านมืดของตลาดออนไลน์ เมื่อมีการประท้วงต่อต้าน Shein ที่ขายตุ๊กตาเซ็กซ์ลักษณะคล้ายเด็ก พร้อมอาวุธต้องห้ามผ่านแพลตฟอร์มของตน ทำให้รัฐบาลฝรั่งเศสต้องออกมาตรการจัดการอย่างเร่งด่วน Shein ซึ่งเป็นแบรนด์แฟชั่นจีนชื่อดัง ถูกวิจารณ์อย่างหนักหลังมีการพบว่าบนแพลตฟอร์มของตนมีการขายตุ๊กตาเซ็กซ์ที่มีลักษณะคล้ายเด็ก รวมถึงอาวุธต้องห้ามบางประเภท โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนการเปิดร้านถาวรแห่งแรกของ Shein ในกรุงปารีส ทำให้เกิดการประท้วงจากประชาชนและองค์กรสิทธิมนุษยชน ป้ายประท้วงมีข้อความรุนแรง เช่น “Shein สมรู้ร่วมคิดกับสื่อลามกเด็ก” และ “ร้าน BHV ไม่ควรซ่อนความอับอายนี้ไว้หลังหน้าต่าง” สะท้อนความโกรธของสังคมต่อการปล่อยให้สินค้าลักษณะนี้หลุดรอดเข้าสู่ตลาดได้ เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาเรื้อรังของตลาดออนไลน์ที่เปิดให้ผู้ขายหลายรายเข้ามาโดยไม่มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ทำให้สินค้าผิดกฎหมาย อันตราย หรือไม่เหมาะสมสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายดาย ✅ จุดอ่อนของตลาดออนไลน์แบบหลายผู้ขาย ➡️ แพลตฟอร์มอย่าง Shein, Amazon, Temu และ Alibaba เปิดให้ผู้ขายทั่วโลกเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง ➡️ การตรวจสอบสินค้าบนแพลตฟอร์มยังไม่เข้มงวดพอ ➡️ สินค้าผิดกฎหมาย เช่น อาวุธต้องห้าม และสินค้าลามกสามารถหลุดรอดได้ ➡️ ผู้บริโภคอาจไม่รู้ว่าสินค้าที่ซื้อผิดกฎหมายหรือไม่เหมาะสม ✅ ปฏิกิริยาจากสังคมและรัฐบาล ➡️ ฝรั่งเศสออกมาตรการจัดการกับสินค้าผิดกฎหมายบนแพลตฟอร์ม ➡️ การประท้วงหน้าร้าน BHV Marais สะท้อนความไม่พอใจของประชาชน ➡️ สื่อมวลชนและองค์กรสิทธิมนุษยชนเรียกร้องให้มีการควบคุมที่เข้มงวดขึ้น ‼️ คำเตือนต่อผู้บริโภคและแพลตฟอร์ม ⛔ การซื้อสินค้าจากแพลตฟอร์มที่ไม่มีการตรวจสอบอาจนำไปสู่การสนับสนุนกิจกรรมผิดกฎหมาย ⛔ แพลตฟอร์มที่ไม่ควบคุมผู้ขายอาจกลายเป็นช่องทางของการค้ามนุษย์หรือการละเมิดสิทธิเด็ก ⛔ การเปิดร้านถาวรโดยไม่จัดการกับปัญหาในระบบออนไลน์อาจสร้างภาพลักษณ์เชิงลบต่อแบรนด์ ⛔ ผู้บริโภคควรตรวจสอบแหล่งที่มาของสินค้าและหลีกเลี่ยงสินค้าที่มีลักษณะไม่เหมาะสม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/08/shein-sex-doll-scandal-shines-light-on-marketplaces039-dark-corners
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Shein sex doll scandal shines light on marketplaces' dark corners
    LONDON (Reuters) -France's crackdown on Shein over childlike sex dolls and banned weapons is exposing a perennial problem of online marketplaces: failing to properly police third-party sellers and block sales of counterfeit, illegal, dangerous or simply offensive products.
    0 Comments 0 Shares 311 Views 0 Reviews
  • “แฮกเกอร์บุกพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ – รหัสผ่านคือชื่อสถานที่! ระบบยังใช้ Windows 2000”

    เรื่องเล่าจากปารีสที่ฟังแล้วต้องอึ้ง! พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ศิลปะที่สำคัญที่สุดของโลก ถูกโจรกรรมเครื่องประดับมูลค่ากว่า 101 ล้านดอลลาร์กลางวันแสก ๆ เหตุการณ์นี้เปิดโปงช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่น่าตกใจอย่างยิ่ง

    ย้อนกลับไปในปี 2014 หน่วยงานด้านความมั่นคงไซเบอร์ของฝรั่งเศส (ANSSI) ได้ทำการตรวจสอบระบบของลูฟวร์ พบว่ารหัสผ่านของระบบกล้องวงจรปิดคือ “LOUVRE” และระบบอื่นที่พัฒนาโดยบริษัท Thales ก็ใช้รหัสว่า “THALES” เช่นกัน! นอกจากนี้ยังพบว่าคอมพิวเตอร์ในระบบอัตโนมัติของพิพิธภัณฑ์ยังคงใช้ Windows 2000 ซึ่ง Microsoft ยุติการสนับสนุนไปตั้งแต่ปี 2010 แล้ว

    แม้จะมีการตรวจสอบซ้ำในปี 2017 และอีกครั้งในปี 2021 แต่ปัญหาก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง จนกระทั่งเกิดเหตุโจรกรรมครั้งใหญ่ในปีนี้ ซึ่งทำให้ผู้บริหารต้องออกมายอมรับว่า “ระบบต้องได้รับการปรับปรุงอย่างแท้จริง”

    น่าสนใจคือ ในโลกไซเบอร์ปัจจุบัน การใช้รหัสผ่านง่าย ๆ เช่นชื่อสถานที่หรือองค์กรนั้นถือว่าเป็นความผิดพลาดร้ายแรง เพราะสามารถถูกเดาได้ง่ายโดยแฮกเกอร์ และการใช้ระบบปฏิบัติการที่ล้าสมัยก็เปิดช่องให้มัลแวร์หรือการเจาะระบบได้ง่ายขึ้น

    ระบบความปลอดภัยของลูฟวร์มีช่องโหว่ร้ายแรง
    ใช้รหัสผ่าน “LOUVRE” สำหรับระบบกล้องวงจรปิด
    ระบบของบริษัท Thales ใช้รหัส “THALES”
    คอมพิวเตอร์ในระบบยังใช้ Windows 2000 ซึ่งหมดการสนับสนุนแล้ว

    มีการตรวจสอบระบบหลายครั้ง
    ปี 2014 โดย ANSSI
    ปี 2017 โดยสถาบันความมั่นคงแห่งชาติ
    ปี 2021 ยังพบว่าใช้ระบบเก่าอยู่
    ปี 2025 มีการตรวจสอบใหม่ แต่ยังไม่เปิดเผยผล

    ผู้บริหารยอมรับว่าระบบต้องปรับปรุง
    กล่าวต่อวุฒิสภาฝรั่งเศสว่า “ต้องปรับปรุงอย่างแท้จริง”
    ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ยืนยันว่ารับรู้ถึงปัญหา

    ความเสี่ยงจากการใช้รหัสผ่านง่าย
    แฮกเกอร์สามารถเดาได้ง่ายจากชื่อสถานที่หรือองค์กร
    ไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยสากล

    การใช้ระบบปฏิบัติการที่ล้าสมัย
    Windows 2000 ไม่มีการอัปเดตด้านความปลอดภัย
    เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากมัลแวร์หรือการเจาะระบบ

    การละเลยคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
    รายงานตรวจสอบถูกตีตรา “ลับ” และไม่ได้รับการดำเนินการ
    ปัญหาถูกปล่อยทิ้งไว้นานนับสิบปี

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/louvre-heist-reveals-glaring-security-weaknesses-previous-reports-say-museum-used-louvre-as-password-for-its-video-surveillance-still-has-workstations-with-windows-2000
    🕵️‍♂️ “แฮกเกอร์บุกพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ – รหัสผ่านคือชื่อสถานที่! ระบบยังใช้ Windows 2000” เรื่องเล่าจากปารีสที่ฟังแล้วต้องอึ้ง! พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ศิลปะที่สำคัญที่สุดของโลก ถูกโจรกรรมเครื่องประดับมูลค่ากว่า 101 ล้านดอลลาร์กลางวันแสก ๆ เหตุการณ์นี้เปิดโปงช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่น่าตกใจอย่างยิ่ง ย้อนกลับไปในปี 2014 หน่วยงานด้านความมั่นคงไซเบอร์ของฝรั่งเศส (ANSSI) ได้ทำการตรวจสอบระบบของลูฟวร์ พบว่ารหัสผ่านของระบบกล้องวงจรปิดคือ “LOUVRE” และระบบอื่นที่พัฒนาโดยบริษัท Thales ก็ใช้รหัสว่า “THALES” เช่นกัน! นอกจากนี้ยังพบว่าคอมพิวเตอร์ในระบบอัตโนมัติของพิพิธภัณฑ์ยังคงใช้ Windows 2000 ซึ่ง Microsoft ยุติการสนับสนุนไปตั้งแต่ปี 2010 แล้ว แม้จะมีการตรวจสอบซ้ำในปี 2017 และอีกครั้งในปี 2021 แต่ปัญหาก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง จนกระทั่งเกิดเหตุโจรกรรมครั้งใหญ่ในปีนี้ ซึ่งทำให้ผู้บริหารต้องออกมายอมรับว่า “ระบบต้องได้รับการปรับปรุงอย่างแท้จริง” น่าสนใจคือ ในโลกไซเบอร์ปัจจุบัน การใช้รหัสผ่านง่าย ๆ เช่นชื่อสถานที่หรือองค์กรนั้นถือว่าเป็นความผิดพลาดร้ายแรง เพราะสามารถถูกเดาได้ง่ายโดยแฮกเกอร์ และการใช้ระบบปฏิบัติการที่ล้าสมัยก็เปิดช่องให้มัลแวร์หรือการเจาะระบบได้ง่ายขึ้น ✅ ระบบความปลอดภัยของลูฟวร์มีช่องโหว่ร้ายแรง ➡️ ใช้รหัสผ่าน “LOUVRE” สำหรับระบบกล้องวงจรปิด ➡️ ระบบของบริษัท Thales ใช้รหัส “THALES” ➡️ คอมพิวเตอร์ในระบบยังใช้ Windows 2000 ซึ่งหมดการสนับสนุนแล้ว ✅ มีการตรวจสอบระบบหลายครั้ง ➡️ ปี 2014 โดย ANSSI ➡️ ปี 2017 โดยสถาบันความมั่นคงแห่งชาติ ➡️ ปี 2021 ยังพบว่าใช้ระบบเก่าอยู่ ➡️ ปี 2025 มีการตรวจสอบใหม่ แต่ยังไม่เปิดเผยผล ✅ ผู้บริหารยอมรับว่าระบบต้องปรับปรุง ➡️ กล่าวต่อวุฒิสภาฝรั่งเศสว่า “ต้องปรับปรุงอย่างแท้จริง” ➡️ ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ยืนยันว่ารับรู้ถึงปัญหา ‼️ ความเสี่ยงจากการใช้รหัสผ่านง่าย ⛔ แฮกเกอร์สามารถเดาได้ง่ายจากชื่อสถานที่หรือองค์กร ⛔ ไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยสากล ‼️ การใช้ระบบปฏิบัติการที่ล้าสมัย ⛔ Windows 2000 ไม่มีการอัปเดตด้านความปลอดภัย ⛔ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากมัลแวร์หรือการเจาะระบบ ‼️ การละเลยคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ⛔ รายงานตรวจสอบถูกตีตรา “ลับ” และไม่ได้รับการดำเนินการ ⛔ ปัญหาถูกปล่อยทิ้งไว้นานนับสิบปี https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/louvre-heist-reveals-glaring-security-weaknesses-previous-reports-say-museum-used-louvre-as-password-for-its-video-surveillance-still-has-workstations-with-windows-2000
    0 Comments 0 Shares 251 Views 0 Reviews
  • ทัวร์ยุโรป ❄ ปีใหม่ 63,333

    🗓 จำนวนวัน 8วัน 6คืน
    ✈ DE-คอนดอร์
    พักโรงแรม &

    เยอรมนี
    ▪มหาวิหารโคโลญ
    ▪เก่าไฮเดลเบิร์ก

    เนเธอร์แลนด์
    ▪จัตุรัสดามสแควร์ –
    ▪ย่านโคมแดง

    เบลเยี่ยม
    ▪บรัสเซลส์

    ฝรั่งเศส
    ▪ปารีส
    ▪หน้าพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์

    รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี ">https://eTravelWay.com
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8

    LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f
    Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663
    Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626
    Tiktok : https://78s.me/903597
    : 021166395

    #ทัวร์ยุโรป #europe #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้
    #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1
    #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    ทัวร์ยุโรป ❄ ปีใหม่ 🎄📍 63,333 🔥😍 🗓 จำนวนวัน 8วัน 6คืน ✈ DE-คอนดอร์ 🏨 พักโรงแรม ⭐⭐⭐ & ⭐⭐⭐⭐ 📍 เยอรมนี ▪มหาวิหารโคโลญ ▪เก่าไฮเดลเบิร์ก 📍 เนเธอร์แลนด์ ▪จัตุรัสดามสแควร์ – ▪ย่านโคมแดง 📍 เบลเยี่ยม ▪บรัสเซลส์ 📍 ฝรั่งเศส ▪ปารีส ▪หน้าพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี https://eTravelWay.com🔥 ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8 LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663 Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626 Tiktok : https://78s.me/903597 ☎️: 021166395 #ทัวร์ยุโรป #europe #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้ #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 Comments 0 Shares 640 Views 0 0 Reviews
  • ทางเดินเลื่อนแห่งอนาคตในอดีต: ปารีสเปิดตัว “moving sidewalk” ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19
    ในงาน World's Fair ที่จัดขึ้นที่กรุงปารีสปี 1900 มีสิ่งประดิษฐ์ที่ล้ำยุคอย่างไม่น่าเชื่อ — นั่นคือ ทางเดินเลื่อนอัตโนมัติ (moving sidewalk) ซึ่งเป็นระบบขนส่งที่ให้ผู้คนยืนเฉย ๆ แล้วเคลื่อนที่ไปข้างหน้าโดยไม่ต้องเดินเอง

    ระบบนี้ประกอบด้วย สามระดับความเร็ว:

    ระดับแรก: ทางเดินนิ่งสำหรับคนที่ไม่ต้องการเคลื่อนที่
    ระดับสอง: ทางเดินเลื่อนช้า
    ระดับสาม: ทางเดินเลื่อนเร็ว

    ผู้ใช้สามารถก้าวจากระดับหนึ่งไปยังอีกระดับได้อย่างราบรื่น โดยไม่ต้องหยุดเดินหรือกระโดด ซึ่งถือว่าเป็นนวัตกรรมที่ล้ำหน้ามากในยุคนั้น

    สิ่งที่น่าทึ่งคือ Thomas Edison ได้ถ่ายฟุตเทจของทางเดินเลื่อนนี้ไว้ ซึ่งกลายเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นว่าแนวคิดการขนส่งอัตโนมัติมีมานานกว่าศตวรรษแล้ว

    ปารีสมีทางเดินเลื่อนอัตโนมัติในปี 1900
    เปิดตัวในงาน World's Fair
    เป็นระบบขนส่งสาธารณะที่ล้ำยุคในยุคนั้น

    ระบบมี 3 ระดับความเร็วให้เลือก
    ทางเดินนิ่ง, ทางเดินเลื่อนช้า, ทางเดินเลื่อนเร็ว
    ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนระดับได้อย่างราบรื่น

    Thomas Edison ถ่ายฟุตเทจของระบบนี้ไว้
    เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่หายาก
    แสดงให้เห็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในยุคก่อน

    https://www.openculture.com/2020/03/paris-had-a-moving-sidewalk-in-1900.html
    🚶‍♂️ ทางเดินเลื่อนแห่งอนาคตในอดีต: ปารีสเปิดตัว “moving sidewalk” ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ในงาน World's Fair ที่จัดขึ้นที่กรุงปารีสปี 1900 มีสิ่งประดิษฐ์ที่ล้ำยุคอย่างไม่น่าเชื่อ — นั่นคือ ทางเดินเลื่อนอัตโนมัติ (moving sidewalk) ซึ่งเป็นระบบขนส่งที่ให้ผู้คนยืนเฉย ๆ แล้วเคลื่อนที่ไปข้างหน้าโดยไม่ต้องเดินเอง ระบบนี้ประกอบด้วย สามระดับความเร็ว: 📍 ระดับแรก: ทางเดินนิ่งสำหรับคนที่ไม่ต้องการเคลื่อนที่ 📍 ระดับสอง: ทางเดินเลื่อนช้า 📍 ระดับสาม: ทางเดินเลื่อนเร็ว ผู้ใช้สามารถก้าวจากระดับหนึ่งไปยังอีกระดับได้อย่างราบรื่น โดยไม่ต้องหยุดเดินหรือกระโดด ซึ่งถือว่าเป็นนวัตกรรมที่ล้ำหน้ามากในยุคนั้น สิ่งที่น่าทึ่งคือ Thomas Edison ได้ถ่ายฟุตเทจของทางเดินเลื่อนนี้ไว้ ซึ่งกลายเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นว่าแนวคิดการขนส่งอัตโนมัติมีมานานกว่าศตวรรษแล้ว ✅ ปารีสมีทางเดินเลื่อนอัตโนมัติในปี 1900 ➡️ เปิดตัวในงาน World's Fair ➡️ เป็นระบบขนส่งสาธารณะที่ล้ำยุคในยุคนั้น ✅ ระบบมี 3 ระดับความเร็วให้เลือก ➡️ ทางเดินนิ่ง, ทางเดินเลื่อนช้า, ทางเดินเลื่อนเร็ว ➡️ ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนระดับได้อย่างราบรื่น ✅ Thomas Edison ถ่ายฟุตเทจของระบบนี้ไว้ ➡️ เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่หายาก ➡️ แสดงให้เห็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในยุคก่อน https://www.openculture.com/2020/03/paris-had-a-moving-sidewalk-in-1900.html
    WWW.OPENCULTURE.COM
    Paris Had a Moving Sidewalk in 1900, and a Thomas Edison Film Captured It in Action
    It's fair to say that few of us now marvel at moving walkways, those standard infrastructural elements of such utilitarian spaces as airport terminals, subway stations, and big-box stores. But there was a time when they astounded even residents of one of the most cosmopolitan cities in the world.
    0 Comments 0 Shares 225 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ – โคตรเหี้ยม 1 – 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม”

    ตอน 1

    หนังสือ Forbes Magazine ฉบับลงวันที่ 19 ธันวาคม 1983 เขียนว่า “ครึ่งหนึ่ง ของ 10 อันดับแรก ของธนาคารเยอรมันนั้น ตั้งอยู่ที่ Frankfurt และระบบการเงินของโลกปัจจุบัน ซึ่งพัฒนามาจากระบบการเก็บภาษี และวิธีการจ่ายเงิน ที่ใช้ในสมัย Babylon ก็เกิดขึ้นครั้งแรกที่เมือง Frankfurt-on-Main ซึ่งอยู่ในแคว้น Hesse

    Mayer Amschel Bauer ค้นพบว่า แม้ว่าการให้เงินกู้กับชาวนาหรือธุรกิจเล็กๆ จะทำกำไรได้ แต่กำไร ที่เป็นกอบเป็นกำกว่าแยะ คือกำไร ที่ได้มาจากการให้เงินกู้กับรัฐบาลต่างๆ

    Mayer Amschel เกิดที่เมือง Frankfurt ในปี ค.ศ. 1743 เขาแต่งงานกับ Gutta Schnapper เขาฝึกงานอยู่ที่ธนาคาร Oppenheim เมือง Hannover อยู่ 3 ปี ระหว่างนั้นเขาได้มีโอกาสดูแลและบริการ Baron Von Estorff ซึ่งเป็นที่ปรึกษาใหญ่ให้กับ Landgrave Frederick ที่ II แห่ง Hesse ซึ่งเป็นคนรวยที่สุดในยุโรปขณะนั้น Frederick มีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 70 ถึง 100 ล้านฟลอริน (florins) ซึ่งเป็นมรดกที่ได้มาจากพ่อคือ Wilhelm ที่ 8 น้องชายของกษัตริย์สวีเดน

    Boron Von Estorff บอกกับ Landgrave ว่า Mayer Amschel นี้ ฉลาดเป็นกรด ในการคิดวิธีการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนดีเยี่ยม Landgrave บอก ไปตามตัว Mayer Amschel มาพบเราเดี๋ยวนี้เลย

    ช่วงเวลาเดียวกัน George ที่ 3 กษัตริย์ของอังกฤษกำลังปวดหัว กับการกระด้างกระเดื่องของคนอเมริกัน ซึ่งอังกฤษถือว่า ยังเป็นเมืองขึ้นของตนอยู่ จึงคิดส่งทหารไปปราบคนอเมริกัน ซึ่งถนัดสู้ในสนามรบที่เป็นที่ ทุ่งกว้าง Mayer Amschel ได้โอกาส จึงเสนอให้ Landgrave รับจ้าง Goerge ที่ 3 ที่จะหาหนุ่มล่ำชาว Hesse 16,800 คน ไปช่วยรบ การรับจ้าง จัดหาคนไปรบให้อังกฤษครั้งนี้ ทำให้ Landgrave รวยขึ้นอีกแยะ แต่ Mayer Amschel รวยขึ้นในจำนวนมากกว่า
    แต่แผนการทำมาหากินของ Mayer Amschel กับ Landgrave ก็จบลงเร็ว เพราะ Landgrave อายุสั้น ตายเมื่ออายุเพียง 25 ปี Mayer Amschel จึงย้ายไปเกาะพี่ชายของ Landgrave คือ Elector Wilhelm ที่ 1 ซึ่งเกิดปีเดียวกับ Mayer Amschel และดูเหมือนจะเป็นลูกค้า (หรือ เหยื่อ) รายใหม่ ที่ทำให้ Mayer Amschel รุ่งเรืองกว่า เพราะอยู่ในมือของเขามากกว่าน้องชาย ซึ่งเอาใจ (หรือต้ม) ยากกว่า การตายกระทันหันของ Landgrave ดูเหมือนจะทำให้ Mayer Amschel ได้กลายเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินกองใหญ่ที่สุดในยุโรป

    เมื่อร่ำรวยขึ้น (อย่างมาก) Mayer Amschel ก็เอาโล่ห์แดง ติดไว้ที่ประตูหน้าบ้าน ในเมือง Judengasse ซึ่งเขาแบ่งกันอยู่กับครอบครัว Schiff และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “Rothschild” ตามป้ายชื่อ เมื่อ Mayer Amschel Rothschild ตายในปี ค.ศ 1812 เขาทิ้งสมบัติประมาณ 1,000 ล้านแฟรงค์ ให้แก่ลูกชายของเขา ที่มีอยู่ 5 คน

    ลูกคนโต Anselm ได้รับมอบหมายให้ดูแลธนาคารที่ Frankfurt แต่ Anselm ไม่มีลูก เมื่อเขาตาย ธนาคารนี้จึงถูกปิดลง

    ลูกคนที่ 2 Solomon ถูกส่งไป Vienna ที่ ออสเตรีย เพื่อดูแลธุรกิจการธนาคาร ซึ่งเคยถูกผูกขาดอยู่ในมือของชาวยิวเพียง 5 ตระกูล

    ลูกคนที่ 3 Nathan ตั้งสาขา London หลังจากไปทำกำไรจากธุรกิจสิ่งทอในเมือง Manchester ซึ่งทำให้เขาได้รับตำแหน่งเป็นบุคคล ที่วงการธุรกิจเกรงกลัว และเกลียดที่สุด

    ลูกคนที่ 4 Karl ไปเมือง Naples ที่อิตาลี และได้เป็นหัวหน้าองค์กรลึกลับ ชื่อ Alta Vendita

    ลูกคนที่ 5 James ตั้ง House of Rothschild สาขาปารีส ที่ฝรั่งเศส
    ลูกทั้ง 5 คนของ Mayer Amschel เริ่มปฎิบัติภาระกิจ ตามที่พ่อมอบหมายคือ ครอบงำรัฐบาลของแต่ละประเทศ ที่พวกเขากระจายกันอยู่ โดยการให้กู้เงินแก่รัฐบาลเหล่านั้น ภายใต้เครื่องหมายการค้า ลูกธนู 5 ดอก

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม”

    ตอน 2

    Federic Morton เขียนไว้ในคำนำของหนังสือเรื่อง “The Rothschilds” ว่า
    ” เป็นเวลานานติดต่อกันกว่า 150 ปี ที่ตระกูล Rothschild เป็นผู้อยู่เบื้องหลังประวัติศาสตร์ของยุโรปตะวันตก การไม่ปล่อยเงินกู้ให้แก่เอกชน แต่ปล่อยเงินกู้ให้กับประเทศต่างๆ แทน ทำให้พวกเขาได้กำไรอย่างสูงยิ่ง มีบางคนเคยพูดว่า ความรวยของตระกูล Rothschild มาจากการล้มละลายของหลายประเทศนั่นเอง”

    หนังสือพิมพ์ Chicago Evening American ของตระกูล Hearst เศรษฐีอีกคนหนึ่งของอเมริกา ฉบับลงวันที่ 3 ธันวาคม 1923 เขียนว่า

    “พวก Rothschild จะ เป็นผู้เริ่มสงคราม หรือเป็นผู้ระงับสงครามก็ได้ พวกเขาสามารถสร้าง หรือ ทำลาย อาณาจักรใดก็ได้ การล้มละลายของนโปเลียน เป็นการเกิดขึ้นของพวก Rothschild นโปเลียนถูกวางยาพิษทีละน้อย จนถึงแก่ความตายในที่สุด (นโปเลียนเป็นโรคปวดท้องเป็นประจำ รูปภาพของนโปเลียนส่วนมาก จะเห็นเอามือสอดเข้าไปในเสื้อ เพื่อกดท้องที่ปวดอยู่เสมอ) ผู้ที่วางยาพิษก็คือสายลับของตระกูล Rothschild นั่นเอง”

    New York Evening Post วันที่ 22 กรกฎาคม 1924 ระบุว่า Kaiser ของเยอรมัน ต้องหารือกับ Rothschild เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองควรทำสงครามหรือไม่ นายกรัฐมนตรีของ Kaiser คือ Bethmann Hollweg ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่ทำให้เยอรมันถล่ำตัวเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เป็นสมาชิกของตระกูล Bethmann เจ้าของธนาคารที่อยู่ใน Frankfurt และเป็นญาติกับ Rothschild
    หลังจากนโปเลียนถูกกำจัดพ้นทางไป ราชวงศ์ใหญ่ที่เหลืออยู่ในสายตาของ Rothschild คือ ราชวงศ์ของอังกฤษ ราชวงศ์ของเยอรมัน และราชวงศ์ของรัสเซีย

    Rothschild เล็งเป้าแรก ไปที่ราชวงศ์ Romanov ของรัสเซีย ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ร่ำรวยมาก และลงทุนไว้ทั่วทั้งในยุโรปและอเมริกา แต่ที่สำคัญ เป็นราชวงศ์ที่ Rothschild เกลียดที่สุด และแสดงความเกลียดอย่างเปิดเผย

    Tsar Nicholas ที่ I ก็ขึ้นชื่อว่าไม่ชอบยิวและแสดงความไม่ชอบอย่างเปิดเผย ด้วยการพยายามผลักดัน ไปจนถึงขับไล่ ให้พวกยิวออกไปจากรัสเซีย แต่มีพวกยิวทำมาหากินอยู่ในรัสเซียมากมาย ขณะเดียวกันพวกยิวก็อ้างว่า Tsar นั้น ทารุณข่มเหงยิวอย่างรุนแรง Rothschild ซึ่งพื้นเพเป็นชาวยิว จึงวางแผนอย่างรอบคอบก่อนจะเข้าไปค้าขาย หรือทำลายอาณาจักรรัสเซีย

    เงินกู้จาก Bank of England 800,000 ปอนด์ ที่ยื่นให้กับนาย Peabody ในปี 1853 จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ Peabody และ Morgan มีภาพเป็นอเมริกัน ไม่มีกลิ่นยิวเจือปน เงื่อนไข 4 ข้อ ของ Peabody เมื่อ ตอนจะหาทายาทมารับช่วงธุรกิจของเขา น่าจะเป็นของเขาเพียงข้อสุดท้าย ส่วน 3 ข้อแรก คงเป็นเงื่อนไขของนายทุนตัวจริง ที่ต้องการให้ J P Morgan ถูกสร้างเสร็จสมบูรณ์ออกมาเป็นอังกฤษแท้ แม้จะมีหน้าเป็นบริษัทอเมริกัน แต่ก็ต้องออกกลิ่นอังกฤษปน นับเป็นการมองการณ์ไกลอย่างยิ่งของ เจ้าพ่อ Rothschild

    ธุรกิจเงินทุนไม่ว่าจะในตลาด London หรือ Wall Street มีลูกค้าหลากหลาย บางรายอยากค้าแต่กับพวกยิวด้วยกัน บางรายก็ขออย่าให้พวกยิวมาเข้าใกล้ Rothschild เป็นยิวที่ “รู้จัก” ลูกค้าของตัวเองดี ใครอยากได้เงินกลิ่นไหน เขาจัดการให้ได้ก็แล้วกัน

    J. P Morgan จึงมีไว้สำหรับพวกไม่เอายิว พวกหัวสูงไฮโซ รัฐบาลของทั้งอังกฤษ และอเมริกา และสำหรับพวกที่อยากจะคุยแต่กับ พวกยิวด้วยกัน ก็มี Kuhn Loeb ของ Jacob Schiff เพื่อนบ้านที่โตมาด้วยกัน และที่ Rothschild เป็นผู้ลงทุน และให้ Schiff เป็นคนออกหน้า

    Rothschild ยังมีคนออกหน้า ให้เขาหนุนอีกหลายราย โดยไม่มีใครรู้ เขาน่าจะเป็นคนเล่นซ่อนแอบเก่งตั้งแต่เด็ก
    ประมาณปี ค.ศ. 1850 กว่า ซึ่งเป็นช่วงที่ Tsar Nicholas ที่ I ปกครองรัสเซีย Alfonse Rothschild หูไว จมูกไว รู้ว่ารัสเซียมีแหล่งน้ำมันแยะ เขาจึงเข้าไปลงทุนที่ Baku ซึ่งขณะนั้นอยู่ในรัฐ Azerbaijun ประมาณปีค.ศ 1870 ถึงปี ค.ศ. 1880 เขามีโรงกลั่นน้ำมันใน Baku ประมาณ 200 แห่ง และเริ่มส่งน้ำมันไปทั่วยุโรปผ่าน ตะวันออกกลาง ทางรถไฟ Baku – Batumi ทำท่าว่าจะสั้นไป สำหรับการส่งน้ำมัน เขาต้องหาทางเส้นทางใหม่ คลองสุเอชยาวถึง 4,000 ไมล์ น่าสนใจ แต่มันยังอยู่ในความดูแลของฝรั่งเศส แล้วเขาก็วางแผนเรื่อง Palestine ซึ่งจะต้องมีคนของพวกเขาไปอยู่ที่นั่น เพื่อดูแลผลประโยชน์แถวนั้นของพวกเขา

    เมื่อรัฐบาลอียิปต์ล้มละลายในปี ค.ศ. 1874 อังกฤษตกลงซื้อคลองสุเอชมาจากรัฐบาล อียิปต์ ด้วยเงินกู้ของ Rothschild ทั้งหมด ในการประชุมผู้ถือหุ้น Suez Canal บริษัทการเงินกลุ่มของ Rothschild ฝั่งอังกฤษ เช่น Baring Brothers, Morgan Grenfell และ Lazard Brothers นั่งเคียงรัฐบาลอังกฤษ

    แม้ว่าจะถูกกดดันจาก Tsar Nicholas เรื่องยิว แต่ Rothschild ก็ยังขุดน้ำมันต่อ แค่นั้นรู้สึกจะยังไม่เป็นการท้าทาย Tsar ถึงใจ ขณะนั้น Standard Oil ของ Rockefeller ก็ไปขุดน้ำมันที่ Baku ด้วย ยักษ์ใหญ่เจอกัน แม้ตอนแรกจะตีกัน แต่เพื่อผลประโยชน์ ยักษ์เปลี่ยนใจมาจับมือกัน วางแผนแบ่งเขตขุดน้ำมันกัน ตกลงกันเองเสร็จ เหมือนไม่เห็นหัวเจ้าของแผ่นดิน มันทำอย่างนี้มาร้อยกว่าปีแล้ว สมันน้อย เข้าใจไหม พวกมันไม่เคยเห็นหัวเจ้าของแผ่นดิน !

    คราวนี้ Tsar Nicholas ที่ II ซึ่งขึ้นมาครองราชย์แทนพ่อ และดำเนินตามนโยบายของพ่อที่ให้ย ิวออกไปจากรัสเซีย ไม่ยอมให้ Rothschild เฉี่ยวหัว ยื่นเงื่อนไขกลับไปที่ Rothschild ถ้าจะขุดน้ำมันต่อ ก็อพยพเอาพวกยิวออกไปจากรัสเซียด้วย Rothschild ตอบเงื่อนไขของ Tsar ด้วยการขายหุ้นบริษัทของตัว ที่กำลังขุดน้ำมันที่ Baku ทิ้ง
    Rothschild เลือกยิว หรือเลือกหักหน้า Tsar Nicholas นั่นเอง !
    Rothschild ขายหุ้นทั้งหมดที่ตระกูลถืออยู่ในธุรกิจน้ำมันที่ Baku ให้ Royal Dutch Shell เพราะ Rothschild “ประเมิน” ว่าอีกไม่นานเกินรอ การเมืองในรัสเซียน่าจะเกิดปัญหาใหญ่

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม”

    ตอน 3

    แม้จะรู้ว่าคนอังกฤษ ชื่นชมเงินของเขา มากกว่าตัวและเทือกเถายิวของเขา Rothschild ก็คบคนอังกฤษ และสนับสนุนการเงินให้ โดยเฉพาะที่จะเป็นประโยชน์ต่อการทำธุรกิจของเขาและ ทำให้ตระกูลเขา มีอิทธิพล เหนือรัฐบาล รวมทั้งราชวงศ์อังกฤษด้วย

    Cecil Rhodes ชาวอังกฤษนักผจญภัย และนักล่าอาณานิคมตัวจริง เข้าไปทำเหมืองทองและ เหมืองเพชรที่ South Africa ในช่วงประมาณปี ค.ศ.1889 โดยมี Rothschlid เป็นผู้สนับสนุนเงินทุน เหมืองทองที่ Rhodes ขุดได้ ส่งมาที่อังกฤษ หลอมเป็นแท่งเก็บเป็นทองสำรองของ Bank of England ที่มี Rothschild เป็นตัวแทน กำไรท่วม ตอนหลัง Rhodes เข้าไปทำสงครามกับพวก Boers (คนดัชท์ ที่ไปตั้งรกรากใน South Africa) Rothschild ขนกองทัพของอังกฤษไปช่วยปล้นต่อ ถือเป็นวีรกรรมความชั่ว ที่ประวัติศาสตร์ของคน South Africa ไม่คิดลืม

    Rhodes มีความฝันที่จะให้อังกฤษแผ่อาณาจักรและอิทธิพลไปทั่วโลก อาณานิคมทั้งปวงจะต้องอยู่ภายใต้ระบบอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นด้าน การเงิน การค้า หรือการศึกษา และที่สำคัญ ทำให้อเมริกา กลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ เพื่อให้ได้ตามเป้าหมาย เขาตั้งสมาคมลับชื่อ the Round Table กับพรรคพวก ที่มีอุดมการณ์เดียวกัน เช่น Lord Alfred Milner, Lord Balfour , Lord Albert Grey และนอกจากนั้น เขาทำพินัยกรรม ยกทรัพย์สินจำนวนมากมหาศาลทั้งหมดของเขา ตั้งเป็นกองทุนชื่อ Rhodes Trust เพื่อดำเนินการตามวัถตุประสงค์ พร้อมให้ทุนการศึกษากับ พวก Anglo Saxon ที่มีแววว่าจะสืบทอดอุดมการณ์ของเขาได้ ทุนนี้ยังมีอยู่จนถึงทุกวันนี้
    (อดีตประธานาธิบดี Bill Clinton ก็เป็นคนหนึ่ง ที่ได้รับทุน Rhodes ไปเรียนที่มหาวิทยาลัย Oxford ของอังกฤษ แต่เขาไม่เรียนจนจบ เปลี่ยนใจกลับมาเรียนที่ มหาวิทยาลัย Yale แทน)

    เมื่อ Rhodes ตาย ผู้ที่เป็นหัวหน้า the Round Table ต่อมา และดูแลกองทุนของ Rhodes คือ Lord Alfred Milner ที่มีอำนาจไม่น้อยกว่านายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George และ Rothschild ก็มีชื่อ เป็นหนึ่งในผู้ดูแลกองทุนนี้ด้วย

    สมาชิก Round Table เกือบทั้งหมด มีตำแหน่งอยู่ในรัฐบาลอังกฤษ ทั้งตำแหน่งใหญ่มาก และใหญ่น้อย และเป็นที่ปรึกษาสำคัญของราชวงศ์ เช่น Lord Esher ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านการเมือง ให้ราชวงศ์อังกฤษ ประมาณ 25 ปี ตั้งแต่ คศ 1895 ถึง 1920 (สมัย พระนาง Victoria , กษัตริย์ Edward ที่ 7 และ กษัตริย์ George ที่ 5)

    แม้ก่อนทำสงครามโลก อังกฤษจะ จับมือรัสเซีย เอามาอยู่ข้างเดียวกันเพื่อรบกับเยอรมัน และแม้รัสเซียจะมีกษัตริย์ปกครอง เช่นเดียวกับอังกฤษและเยอรมัน แถมเป็นญาติกันอีก โดยซารินา ราชินีของรัสเซีย เป็นหลานยายของพระนางวิกตอเรีย แต่ดูเหมือนราชวงศ์ของรัสเซีย จะสนิทใกล้ชิดกับเยอรมันมากกว่าอังกฤษ และด้วยนิสัยขี้ระแวงของอังกฤษ อังกฤษจึงไม่ค่อยวางใจ ในจุดยืนของราชวงค์โรมานอฟของรัสเซีย ดังนั้น ถ้าจะให้เลือกใครมาปกครองรัสเซีย อังกฤษคงเลือกผู้ที่อังกฤษคิดว่า ควบคุมได้ และเป็นประโยชน์ต่ออังกฤษ

    จึงไม่เป็นเรื่องเกินความคาดหมาย ที่ Round Table จะสนับสนุนให้รัฐบาลอังกฤษ รับรองพวก Bolsheviks อาจมีคนคิดว่าข่าวกรองของ Round Table ไม่แม่นยำหรือไง ไม่รู้ว่า พวก Bolsheviks นั้น มีทั้งฝ่ายที่อเมริกาสนับสนุน และฝ่ายที่เยอรมันสนับสนุน Round Table น่าจะรู้ดีว่าใครกันแน่ ที่คุม หรือชักใย รัฐบาลเยอรมันขณะนั้น ขณะเดียวกัน การเดินตามอเมริกาสนับสนุนปฏิวัติกำมะลอ ของ Bolsheviks ก็น่าจะเป็นเรื่องหมาป่าอังกฤษ จับมือ หรือตามประกบหมาป่าอเมริกัน ในการออกล่ารัสเซียนั่นเอง

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    6 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – โคตรเหี้ยม 1 – 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม” ตอน 1 หนังสือ Forbes Magazine ฉบับลงวันที่ 19 ธันวาคม 1983 เขียนว่า “ครึ่งหนึ่ง ของ 10 อันดับแรก ของธนาคารเยอรมันนั้น ตั้งอยู่ที่ Frankfurt และระบบการเงินของโลกปัจจุบัน ซึ่งพัฒนามาจากระบบการเก็บภาษี และวิธีการจ่ายเงิน ที่ใช้ในสมัย Babylon ก็เกิดขึ้นครั้งแรกที่เมือง Frankfurt-on-Main ซึ่งอยู่ในแคว้น Hesse Mayer Amschel Bauer ค้นพบว่า แม้ว่าการให้เงินกู้กับชาวนาหรือธุรกิจเล็กๆ จะทำกำไรได้ แต่กำไร ที่เป็นกอบเป็นกำกว่าแยะ คือกำไร ที่ได้มาจากการให้เงินกู้กับรัฐบาลต่างๆ Mayer Amschel เกิดที่เมือง Frankfurt ในปี ค.ศ. 1743 เขาแต่งงานกับ Gutta Schnapper เขาฝึกงานอยู่ที่ธนาคาร Oppenheim เมือง Hannover อยู่ 3 ปี ระหว่างนั้นเขาได้มีโอกาสดูแลและบริการ Baron Von Estorff ซึ่งเป็นที่ปรึกษาใหญ่ให้กับ Landgrave Frederick ที่ II แห่ง Hesse ซึ่งเป็นคนรวยที่สุดในยุโรปขณะนั้น Frederick มีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 70 ถึง 100 ล้านฟลอริน (florins) ซึ่งเป็นมรดกที่ได้มาจากพ่อคือ Wilhelm ที่ 8 น้องชายของกษัตริย์สวีเดน Boron Von Estorff บอกกับ Landgrave ว่า Mayer Amschel นี้ ฉลาดเป็นกรด ในการคิดวิธีการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนดีเยี่ยม Landgrave บอก ไปตามตัว Mayer Amschel มาพบเราเดี๋ยวนี้เลย ช่วงเวลาเดียวกัน George ที่ 3 กษัตริย์ของอังกฤษกำลังปวดหัว กับการกระด้างกระเดื่องของคนอเมริกัน ซึ่งอังกฤษถือว่า ยังเป็นเมืองขึ้นของตนอยู่ จึงคิดส่งทหารไปปราบคนอเมริกัน ซึ่งถนัดสู้ในสนามรบที่เป็นที่ ทุ่งกว้าง Mayer Amschel ได้โอกาส จึงเสนอให้ Landgrave รับจ้าง Goerge ที่ 3 ที่จะหาหนุ่มล่ำชาว Hesse 16,800 คน ไปช่วยรบ การรับจ้าง จัดหาคนไปรบให้อังกฤษครั้งนี้ ทำให้ Landgrave รวยขึ้นอีกแยะ แต่ Mayer Amschel รวยขึ้นในจำนวนมากกว่า แต่แผนการทำมาหากินของ Mayer Amschel กับ Landgrave ก็จบลงเร็ว เพราะ Landgrave อายุสั้น ตายเมื่ออายุเพียง 25 ปี Mayer Amschel จึงย้ายไปเกาะพี่ชายของ Landgrave คือ Elector Wilhelm ที่ 1 ซึ่งเกิดปีเดียวกับ Mayer Amschel และดูเหมือนจะเป็นลูกค้า (หรือ เหยื่อ) รายใหม่ ที่ทำให้ Mayer Amschel รุ่งเรืองกว่า เพราะอยู่ในมือของเขามากกว่าน้องชาย ซึ่งเอาใจ (หรือต้ม) ยากกว่า การตายกระทันหันของ Landgrave ดูเหมือนจะทำให้ Mayer Amschel ได้กลายเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินกองใหญ่ที่สุดในยุโรป เมื่อร่ำรวยขึ้น (อย่างมาก) Mayer Amschel ก็เอาโล่ห์แดง ติดไว้ที่ประตูหน้าบ้าน ในเมือง Judengasse ซึ่งเขาแบ่งกันอยู่กับครอบครัว Schiff และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “Rothschild” ตามป้ายชื่อ เมื่อ Mayer Amschel Rothschild ตายในปี ค.ศ 1812 เขาทิ้งสมบัติประมาณ 1,000 ล้านแฟรงค์ ให้แก่ลูกชายของเขา ที่มีอยู่ 5 คน ลูกคนโต Anselm ได้รับมอบหมายให้ดูแลธนาคารที่ Frankfurt แต่ Anselm ไม่มีลูก เมื่อเขาตาย ธนาคารนี้จึงถูกปิดลง ลูกคนที่ 2 Solomon ถูกส่งไป Vienna ที่ ออสเตรีย เพื่อดูแลธุรกิจการธนาคาร ซึ่งเคยถูกผูกขาดอยู่ในมือของชาวยิวเพียง 5 ตระกูล ลูกคนที่ 3 Nathan ตั้งสาขา London หลังจากไปทำกำไรจากธุรกิจสิ่งทอในเมือง Manchester ซึ่งทำให้เขาได้รับตำแหน่งเป็นบุคคล ที่วงการธุรกิจเกรงกลัว และเกลียดที่สุด ลูกคนที่ 4 Karl ไปเมือง Naples ที่อิตาลี และได้เป็นหัวหน้าองค์กรลึกลับ ชื่อ Alta Vendita ลูกคนที่ 5 James ตั้ง House of Rothschild สาขาปารีส ที่ฝรั่งเศส ลูกทั้ง 5 คนของ Mayer Amschel เริ่มปฎิบัติภาระกิจ ตามที่พ่อมอบหมายคือ ครอบงำรัฐบาลของแต่ละประเทศ ที่พวกเขากระจายกันอยู่ โดยการให้กู้เงินแก่รัฐบาลเหล่านั้น ภายใต้เครื่องหมายการค้า ลูกธนู 5 ดอก นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม” ตอน 2 Federic Morton เขียนไว้ในคำนำของหนังสือเรื่อง “The Rothschilds” ว่า ” เป็นเวลานานติดต่อกันกว่า 150 ปี ที่ตระกูล Rothschild เป็นผู้อยู่เบื้องหลังประวัติศาสตร์ของยุโรปตะวันตก การไม่ปล่อยเงินกู้ให้แก่เอกชน แต่ปล่อยเงินกู้ให้กับประเทศต่างๆ แทน ทำให้พวกเขาได้กำไรอย่างสูงยิ่ง มีบางคนเคยพูดว่า ความรวยของตระกูล Rothschild มาจากการล้มละลายของหลายประเทศนั่นเอง” หนังสือพิมพ์ Chicago Evening American ของตระกูล Hearst เศรษฐีอีกคนหนึ่งของอเมริกา ฉบับลงวันที่ 3 ธันวาคม 1923 เขียนว่า “พวก Rothschild จะ เป็นผู้เริ่มสงคราม หรือเป็นผู้ระงับสงครามก็ได้ พวกเขาสามารถสร้าง หรือ ทำลาย อาณาจักรใดก็ได้ การล้มละลายของนโปเลียน เป็นการเกิดขึ้นของพวก Rothschild นโปเลียนถูกวางยาพิษทีละน้อย จนถึงแก่ความตายในที่สุด (นโปเลียนเป็นโรคปวดท้องเป็นประจำ รูปภาพของนโปเลียนส่วนมาก จะเห็นเอามือสอดเข้าไปในเสื้อ เพื่อกดท้องที่ปวดอยู่เสมอ) ผู้ที่วางยาพิษก็คือสายลับของตระกูล Rothschild นั่นเอง” New York Evening Post วันที่ 22 กรกฎาคม 1924 ระบุว่า Kaiser ของเยอรมัน ต้องหารือกับ Rothschild เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองควรทำสงครามหรือไม่ นายกรัฐมนตรีของ Kaiser คือ Bethmann Hollweg ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่ทำให้เยอรมันถล่ำตัวเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เป็นสมาชิกของตระกูล Bethmann เจ้าของธนาคารที่อยู่ใน Frankfurt และเป็นญาติกับ Rothschild หลังจากนโปเลียนถูกกำจัดพ้นทางไป ราชวงศ์ใหญ่ที่เหลืออยู่ในสายตาของ Rothschild คือ ราชวงศ์ของอังกฤษ ราชวงศ์ของเยอรมัน และราชวงศ์ของรัสเซีย Rothschild เล็งเป้าแรก ไปที่ราชวงศ์ Romanov ของรัสเซีย ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ร่ำรวยมาก และลงทุนไว้ทั่วทั้งในยุโรปและอเมริกา แต่ที่สำคัญ เป็นราชวงศ์ที่ Rothschild เกลียดที่สุด และแสดงความเกลียดอย่างเปิดเผย Tsar Nicholas ที่ I ก็ขึ้นชื่อว่าไม่ชอบยิวและแสดงความไม่ชอบอย่างเปิดเผย ด้วยการพยายามผลักดัน ไปจนถึงขับไล่ ให้พวกยิวออกไปจากรัสเซีย แต่มีพวกยิวทำมาหากินอยู่ในรัสเซียมากมาย ขณะเดียวกันพวกยิวก็อ้างว่า Tsar นั้น ทารุณข่มเหงยิวอย่างรุนแรง Rothschild ซึ่งพื้นเพเป็นชาวยิว จึงวางแผนอย่างรอบคอบก่อนจะเข้าไปค้าขาย หรือทำลายอาณาจักรรัสเซีย เงินกู้จาก Bank of England 800,000 ปอนด์ ที่ยื่นให้กับนาย Peabody ในปี 1853 จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ Peabody และ Morgan มีภาพเป็นอเมริกัน ไม่มีกลิ่นยิวเจือปน เงื่อนไข 4 ข้อ ของ Peabody เมื่อ ตอนจะหาทายาทมารับช่วงธุรกิจของเขา น่าจะเป็นของเขาเพียงข้อสุดท้าย ส่วน 3 ข้อแรก คงเป็นเงื่อนไขของนายทุนตัวจริง ที่ต้องการให้ J P Morgan ถูกสร้างเสร็จสมบูรณ์ออกมาเป็นอังกฤษแท้ แม้จะมีหน้าเป็นบริษัทอเมริกัน แต่ก็ต้องออกกลิ่นอังกฤษปน นับเป็นการมองการณ์ไกลอย่างยิ่งของ เจ้าพ่อ Rothschild ธุรกิจเงินทุนไม่ว่าจะในตลาด London หรือ Wall Street มีลูกค้าหลากหลาย บางรายอยากค้าแต่กับพวกยิวด้วยกัน บางรายก็ขออย่าให้พวกยิวมาเข้าใกล้ Rothschild เป็นยิวที่ “รู้จัก” ลูกค้าของตัวเองดี ใครอยากได้เงินกลิ่นไหน เขาจัดการให้ได้ก็แล้วกัน J. P Morgan จึงมีไว้สำหรับพวกไม่เอายิว พวกหัวสูงไฮโซ รัฐบาลของทั้งอังกฤษ และอเมริกา และสำหรับพวกที่อยากจะคุยแต่กับ พวกยิวด้วยกัน ก็มี Kuhn Loeb ของ Jacob Schiff เพื่อนบ้านที่โตมาด้วยกัน และที่ Rothschild เป็นผู้ลงทุน และให้ Schiff เป็นคนออกหน้า Rothschild ยังมีคนออกหน้า ให้เขาหนุนอีกหลายราย โดยไม่มีใครรู้ เขาน่าจะเป็นคนเล่นซ่อนแอบเก่งตั้งแต่เด็ก ประมาณปี ค.ศ. 1850 กว่า ซึ่งเป็นช่วงที่ Tsar Nicholas ที่ I ปกครองรัสเซีย Alfonse Rothschild หูไว จมูกไว รู้ว่ารัสเซียมีแหล่งน้ำมันแยะ เขาจึงเข้าไปลงทุนที่ Baku ซึ่งขณะนั้นอยู่ในรัฐ Azerbaijun ประมาณปีค.ศ 1870 ถึงปี ค.ศ. 1880 เขามีโรงกลั่นน้ำมันใน Baku ประมาณ 200 แห่ง และเริ่มส่งน้ำมันไปทั่วยุโรปผ่าน ตะวันออกกลาง ทางรถไฟ Baku – Batumi ทำท่าว่าจะสั้นไป สำหรับการส่งน้ำมัน เขาต้องหาทางเส้นทางใหม่ คลองสุเอชยาวถึง 4,000 ไมล์ น่าสนใจ แต่มันยังอยู่ในความดูแลของฝรั่งเศส แล้วเขาก็วางแผนเรื่อง Palestine ซึ่งจะต้องมีคนของพวกเขาไปอยู่ที่นั่น เพื่อดูแลผลประโยชน์แถวนั้นของพวกเขา เมื่อรัฐบาลอียิปต์ล้มละลายในปี ค.ศ. 1874 อังกฤษตกลงซื้อคลองสุเอชมาจากรัฐบาล อียิปต์ ด้วยเงินกู้ของ Rothschild ทั้งหมด ในการประชุมผู้ถือหุ้น Suez Canal บริษัทการเงินกลุ่มของ Rothschild ฝั่งอังกฤษ เช่น Baring Brothers, Morgan Grenfell และ Lazard Brothers นั่งเคียงรัฐบาลอังกฤษ แม้ว่าจะถูกกดดันจาก Tsar Nicholas เรื่องยิว แต่ Rothschild ก็ยังขุดน้ำมันต่อ แค่นั้นรู้สึกจะยังไม่เป็นการท้าทาย Tsar ถึงใจ ขณะนั้น Standard Oil ของ Rockefeller ก็ไปขุดน้ำมันที่ Baku ด้วย ยักษ์ใหญ่เจอกัน แม้ตอนแรกจะตีกัน แต่เพื่อผลประโยชน์ ยักษ์เปลี่ยนใจมาจับมือกัน วางแผนแบ่งเขตขุดน้ำมันกัน ตกลงกันเองเสร็จ เหมือนไม่เห็นหัวเจ้าของแผ่นดิน มันทำอย่างนี้มาร้อยกว่าปีแล้ว สมันน้อย เข้าใจไหม พวกมันไม่เคยเห็นหัวเจ้าของแผ่นดิน ! คราวนี้ Tsar Nicholas ที่ II ซึ่งขึ้นมาครองราชย์แทนพ่อ และดำเนินตามนโยบายของพ่อที่ให้ย ิวออกไปจากรัสเซีย ไม่ยอมให้ Rothschild เฉี่ยวหัว ยื่นเงื่อนไขกลับไปที่ Rothschild ถ้าจะขุดน้ำมันต่อ ก็อพยพเอาพวกยิวออกไปจากรัสเซียด้วย Rothschild ตอบเงื่อนไขของ Tsar ด้วยการขายหุ้นบริษัทของตัว ที่กำลังขุดน้ำมันที่ Baku ทิ้ง Rothschild เลือกยิว หรือเลือกหักหน้า Tsar Nicholas นั่นเอง ! Rothschild ขายหุ้นทั้งหมดที่ตระกูลถืออยู่ในธุรกิจน้ำมันที่ Baku ให้ Royal Dutch Shell เพราะ Rothschild “ประเมิน” ว่าอีกไม่นานเกินรอ การเมืองในรัสเซียน่าจะเกิดปัญหาใหญ่ นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม” ตอน 3 แม้จะรู้ว่าคนอังกฤษ ชื่นชมเงินของเขา มากกว่าตัวและเทือกเถายิวของเขา Rothschild ก็คบคนอังกฤษ และสนับสนุนการเงินให้ โดยเฉพาะที่จะเป็นประโยชน์ต่อการทำธุรกิจของเขาและ ทำให้ตระกูลเขา มีอิทธิพล เหนือรัฐบาล รวมทั้งราชวงศ์อังกฤษด้วย Cecil Rhodes ชาวอังกฤษนักผจญภัย และนักล่าอาณานิคมตัวจริง เข้าไปทำเหมืองทองและ เหมืองเพชรที่ South Africa ในช่วงประมาณปี ค.ศ.1889 โดยมี Rothschlid เป็นผู้สนับสนุนเงินทุน เหมืองทองที่ Rhodes ขุดได้ ส่งมาที่อังกฤษ หลอมเป็นแท่งเก็บเป็นทองสำรองของ Bank of England ที่มี Rothschild เป็นตัวแทน กำไรท่วม ตอนหลัง Rhodes เข้าไปทำสงครามกับพวก Boers (คนดัชท์ ที่ไปตั้งรกรากใน South Africa) Rothschild ขนกองทัพของอังกฤษไปช่วยปล้นต่อ ถือเป็นวีรกรรมความชั่ว ที่ประวัติศาสตร์ของคน South Africa ไม่คิดลืม Rhodes มีความฝันที่จะให้อังกฤษแผ่อาณาจักรและอิทธิพลไปทั่วโลก อาณานิคมทั้งปวงจะต้องอยู่ภายใต้ระบบอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นด้าน การเงิน การค้า หรือการศึกษา และที่สำคัญ ทำให้อเมริกา กลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ เพื่อให้ได้ตามเป้าหมาย เขาตั้งสมาคมลับชื่อ the Round Table กับพรรคพวก ที่มีอุดมการณ์เดียวกัน เช่น Lord Alfred Milner, Lord Balfour , Lord Albert Grey และนอกจากนั้น เขาทำพินัยกรรม ยกทรัพย์สินจำนวนมากมหาศาลทั้งหมดของเขา ตั้งเป็นกองทุนชื่อ Rhodes Trust เพื่อดำเนินการตามวัถตุประสงค์ พร้อมให้ทุนการศึกษากับ พวก Anglo Saxon ที่มีแววว่าจะสืบทอดอุดมการณ์ของเขาได้ ทุนนี้ยังมีอยู่จนถึงทุกวันนี้ (อดีตประธานาธิบดี Bill Clinton ก็เป็นคนหนึ่ง ที่ได้รับทุน Rhodes ไปเรียนที่มหาวิทยาลัย Oxford ของอังกฤษ แต่เขาไม่เรียนจนจบ เปลี่ยนใจกลับมาเรียนที่ มหาวิทยาลัย Yale แทน) เมื่อ Rhodes ตาย ผู้ที่เป็นหัวหน้า the Round Table ต่อมา และดูแลกองทุนของ Rhodes คือ Lord Alfred Milner ที่มีอำนาจไม่น้อยกว่านายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George และ Rothschild ก็มีชื่อ เป็นหนึ่งในผู้ดูแลกองทุนนี้ด้วย สมาชิก Round Table เกือบทั้งหมด มีตำแหน่งอยู่ในรัฐบาลอังกฤษ ทั้งตำแหน่งใหญ่มาก และใหญ่น้อย และเป็นที่ปรึกษาสำคัญของราชวงศ์ เช่น Lord Esher ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านการเมือง ให้ราชวงศ์อังกฤษ ประมาณ 25 ปี ตั้งแต่ คศ 1895 ถึง 1920 (สมัย พระนาง Victoria , กษัตริย์ Edward ที่ 7 และ กษัตริย์ George ที่ 5) แม้ก่อนทำสงครามโลก อังกฤษจะ จับมือรัสเซีย เอามาอยู่ข้างเดียวกันเพื่อรบกับเยอรมัน และแม้รัสเซียจะมีกษัตริย์ปกครอง เช่นเดียวกับอังกฤษและเยอรมัน แถมเป็นญาติกันอีก โดยซารินา ราชินีของรัสเซีย เป็นหลานยายของพระนางวิกตอเรีย แต่ดูเหมือนราชวงศ์ของรัสเซีย จะสนิทใกล้ชิดกับเยอรมันมากกว่าอังกฤษ และด้วยนิสัยขี้ระแวงของอังกฤษ อังกฤษจึงไม่ค่อยวางใจ ในจุดยืนของราชวงค์โรมานอฟของรัสเซีย ดังนั้น ถ้าจะให้เลือกใครมาปกครองรัสเซีย อังกฤษคงเลือกผู้ที่อังกฤษคิดว่า ควบคุมได้ และเป็นประโยชน์ต่ออังกฤษ จึงไม่เป็นเรื่องเกินความคาดหมาย ที่ Round Table จะสนับสนุนให้รัฐบาลอังกฤษ รับรองพวก Bolsheviks อาจมีคนคิดว่าข่าวกรองของ Round Table ไม่แม่นยำหรือไง ไม่รู้ว่า พวก Bolsheviks นั้น มีทั้งฝ่ายที่อเมริกาสนับสนุน และฝ่ายที่เยอรมันสนับสนุน Round Table น่าจะรู้ดีว่าใครกันแน่ ที่คุม หรือชักใย รัฐบาลเยอรมันขณะนั้น ขณะเดียวกัน การเดินตามอเมริกาสนับสนุนปฏิวัติกำมะลอ ของ Bolsheviks ก็น่าจะเป็นเรื่องหมาป่าอังกฤษ จับมือ หรือตามประกบหมาป่าอเมริกัน ในการออกล่ารัสเซียนั่นเอง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 6 พ.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 1008 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ – บทไอ้โหดเขียน 5 – 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 5

    J P Morgan ไม่ใช่เป็นบริษัทการเงินเล็กๆ เขาใหญ่ และดังคับโลก เขาสนใจ และรับงาน เฉพาะรายใหญ่ระดับชาติเท่านั้น และแม้ J P Morgan จะเป็นเจ้าพ่อ Wall Street แต่เขาก็สนิทสนม จนเกือบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ Rothschild เจ้าพ่อตัวจริงของฝั่งอังกฤษ ทำให้ผู้คนต่างพากันเดาถึงที่มาของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของ 2 กลุ่มการเงิน ที่ไม่แน่ว่าจะมีใครรู้จริง

    นาย George Peabody เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน จาก Massachusetts เดินทางไปอังกฤษในปี ค.ศ. 1837 เพื่อขายพันธบัตร กิจการสร้างคลอง Chesapeake Ohio ของอเมริกา ซึ่งขายได้ฝืดมากในอเมริกา เนื่องจากอยู่ในช่วงเศรษฐกิจถอยหลัง เขาหวังว่าคนอังกฤษจะกระเป๋าหนักกว่าคนอเมริกัน แต่ประตูของตลาดลอนดอน ก็เปิดยากเอาการ แต่ Peabody มีความเพียร เขาพยายามเคาะประตูนักการเงินใหญ่ของลอนดอนไปทุกบาน ในที่สุดก็ขายพันธบัตรคลอง Ohio ได้หมด และได้กำไรไม่น้อย

    นาย Peabody ไม่เอาเงินกำไรกลับอเมริกา เขาเอาเงินนั้นไปลงทุน ตั้งบริษัททำธุรกิจตัวแทนเกี่ยวกับการนำเข้าส่งออก อยู่ที่ถนน Bond Street ในลอนดอน ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้นักธุรกิจ ทั้ง 2 ฝั่ง ของมหาสมุทรแอตแลนติก ใครต้องการส่งสินค้า เขาส่งให้ ใครต้องการขาย เขาหาคนซื้อให้ ใครไม่มีเงิน เขาให้เงินกู้ มันคงเป็นจังหวะดี หรือนาย Peabody มีฝีมือจริง ธุรกิจในลอนดอนของเขา จึงก้าวหน้าไปลิ่ว

    คงมัวแต่ทำงานหนัก เลยไม่มีเวลาหาเมีย กว่าจะนึกออกก็คงดึกไปแล้ว แทนที่จะไปมองหาสาว เขาเลยมองหาคนที่จะมารับช่วงกิจการต่อไป ซึ่งต้องมีคุณสมบัติตามที่เขา ตั้งไว้ คือ ข้อที่ 1. ต้องเป็นคนเกิดที่อเมริกา ถึงยังไง นาย Peabody ก็ยังรักบ้านเกิด และที่สำคัญ เขาถือว่าบริษัทของเขา เป็นบริษัทอเมริกัน ข้อที่ 2 ต้องเป็นคนที่มีสัญชาตญาณ หรือวิญญาณอังกฤษสิงอยู่หน่อยๆ จะได้ต้อนรับลูกค้า ที่เป็นคนใหญ่คนโตของอังกฤษ ได้อย่างไม่เก้งก้าง ข้อที่ 3 คือต้องรู้จักธุรกิจการเงินของอังกฤษ อเมริกา (Anglo-American finance) เป็นอย่างดี และข้อที่ 4 Peabody จะต้องชอบคนนั้นด้วย
    เมื่อนาย Junius Morgan พ่อค้าชาว Boston เจอกับ Peabody ที่ London ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่งในปี 1850 Junius Morgan ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูก Peabody เอากล้องส่องสำรวจอย่างละเอียด Peabody รู้สึกถูกชะตากับ Junius Morgan อย่างยิ่ง หลังจากไปสืบถามถึงภูมิหลังและชื่อเสียงจนเป็นที่พอใจ ปี 1854 Junius Morgan ก็อพยพครอบครัว ย้ายมาอยู่ที่ London และมีตำแหน่งเป็นหุ้นส่วนกิจการ ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Peabody, Morgan & Company

    นอกเหนือจากขายพันธบัตร ของธุรกิจของฝั่งอเมริกา และของรัฐบาลอเมริกันแล้ว บริษัทยังทำหน้าที่เป็นตัวแทนของรัฐบาลฝ่ายเหนือ ในตอนสงครามระหว่างเหนือใต้ ของอเมริกาอีกด้วย งานนี้ทำกำไรให้กับบริษัทมากมาย จน Peabody ได้ขึ้นอันดับไปยืนอยู่แถวหน้าของตลาดเงิน London

    ปี 1864 Peabody ก็ขอเกษียณตัวเอง และยกธุรกิจทั้งหมดให้กับ Junius ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น J. S Morgan and Company

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 6

    ลูกชายของ Junius คือ นาย John Pierpont ที่โด่งดัง เริ่มเข้าเรียนโรงเรียนมัธยมของอังกฤษที่ Boston แต่ต่อมา การเรียน และการใช้ชีวิตส่วนใหญ่ของเขาอยู่แถวยุโรป เขาจึงมีลักษณะท่าทาง เป็นคนอังกฤษมากกว่าคนอเมริกัน ดูเหมือนเขาจะถูกสร้างให้เป็นตามแบบพิมพ์ที่ Peabody ตั้งใจ
    John Pierpont ถูกส่งไปฝึกงานกับบริษัทการเงินอื่น ก่อนจะมารับตำแหน่งหุ้นส่วนในกิจการ Dabney, Morgan & Company ซึ่งเป็นสาขา New York ของบริษัทที่ London
    ในปี 1871 บริษัทได้หุ้นส่วนใหม่อีกคนจาก Philadelphia คือ Anthony Drexel บริษัทจึงเปลี่ยนชื่อเป็น Drexel, Morgan & Company และในปี 1895 เมื่อ Drexel ตาย บริษัทจึงเปลี่ยนชื่อกลับมาเป็น J P Morgan & Company และมีสาขาที่ปารีส ชื่อ Morgan, Haries & Company

    หลังจาก Junius ตาย ไม่กี่ปีต่อมา Pierpont ก็ตัดสินใจปรับปรุงรูปโฉมของบริษัทที่ London ให้กลายเป็นบริษัทอังกฤษแท้ และแบ่งธุรกิจให้สาขาที่อเมริกา ก็รับแต่งานของฝั่งอเมริกาไป และก็เป็นโอกาสให้ J P Morgan Jr. ซึ่งเพื่อนฝูงเรียกว่า Jack ลูกชายของ Pierpont ได้รับตำแหน่งเป็นผู้จัดการธุรกิจที่อเมริกา และกลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการทำให้โลกนี้กลายเป็นแดนอธรรม หรือ ดงโจร

    ตามชีวประวัติของ Jack ซึ่งนาย John Forbes เขียนไว้ดังนี้ :

    J P Morgan, Jr. ได้เป็นหุ้นส่วนของ London House ของ J. P Morgan & Co เมื่อเดือนมกราคม 1898 และหลังจากนั้นไม่กี่วัน ตัวเขาพร้อมครอบครัว เมีย 1 ลูก 3 ก็ย้ายจาก New York มาใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษนานถึง 8 ปี เขาถูกส่งให้มาอยู่อังกฤษ เพื่อมาทำภาระกิจสำคัญ 2 รายการ

    ภาระกิจแรก เพื่อเรียนรู้ภาคปฎิบัติว่า คนอังกฤษทำธุรกิจการธนาคารอย่างไร ภายใต้ระบบธนาคารกลาง ซึ่งกำหนดโดย Bank of England ซึ่ง Morgan คนพ่อ มีความหวังอยากจะตั้งระบบธนาคารกลางในอเมริกา และหวังจะให้คนของ Morgan รู้ไว้ก่อนว่าระบบนี้ทำงานอย่างไร

    ภาระกิจที่สอง เพื่อทำความรู้จักกับนักธุรกิจการเงินของ London อย่างจริงจัง และเลือกหุ้นส่วนที่เป็นอังกฤษ ของแท้ ภาระที่สองนี้ ประสพผลสำเร็จชัดเจน เมื่อ Edward Grenfell ซึ่งเป็นกรรมการของ Bank of England มาเป็นเวลานาน ตกลงมาร่วมเป็นหุ้นส่วนอาวุโส และบริษัทก็เปลี่ยนชื่อใหม่อีกครั้ง เป็น Morgan Grenfell & Company นับว่า Jack ตกได้ปลาตัวใหญ่จริง และสงสัยว่าเขาจะใช้เหยื่อตกปลาชนิดพิเศษ
    ผู้คนพากันสงสัยว่า เมื่อนักการเงินอเมริกา อาจหาญมาซ่าอยู่แถวตลาด London ซึ่งมีเขี้ยวลากกันทั้งนั้น จะไปรอดหรือ มันคงเอาเขี้ยวงัดกัดกันน่าดู นั่นแสดงว่าไม่รู้จัก ว่าคนเป็นเจ้าพ่อตัวจริง เขาคิดอย่างไร

    เมื่อ George Peabody มาถึง London ใหม่ๆ เขาแปลกใจมาก เรียกว่า ตกใจจะตรงกว่า เขาตกใจ ที่อยู่ดีๆ ได้รับคำสั่งให้ไปพบเจ้าพ่อ Baron Nathan Mayer Rothschild ใครจะกล้าเบี้ยวใบสั่งเจ้าพ่อ โดยเฉพาะกำลังมาหากิน อยู่กลางดงของเจ้าพ่อ

    แต่เรื่องกลับโอละพ่อ เจ้าพ่อก็มีวันต้องการมีสมุนนอกบัญชี

    Rothschild บอกกับนาย Peabody ว่า เขาไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบนัก ของพวกผู้ดีหัวสูงของสังคมอังกฤษ ในสายตาของพวกผู้ดีหลายคน เขาก็เป็นเพียงพวกกา หาใช่พันธุ์หงส์ เพราะฉะนั้น พวกสังคมชั้นสูง ก็ไม่ปลื้ม ไม่จริงใจ ในการคบค้าเขา สนใจแต่จะคบกับเงินของเขาเท่านั้น

    แล้วนาย Peabody ก็จัดงานฉลองวันชาติของอเมริกาที่ London โดยเชิญบรรดา ขุนนาง ผู้ดีอังกฤษ หัวสูง ยะโสทั้งหลายมาร่วมงาน แขกรับเชิญต่างชอบใจเจ้าภาพ และพอใจที่จะคบค้าด้วย เพราะยังไง ก็เป็น Anglo Saxon เผ่าพันธ์เดียวกัน คงไม่มีใครรู้ว่า ค่าอาหาร ค่าเหล้าในงานเลี้ยงคืน และอีกหลายๆครั้งต่อมา นาย Peabody ไม่ได้เป็นคนจ่ายเงิน

    ปี 1857 เมื่อตลาด Wall Street เกือบล่ม นักเล่นหุ้นใช้สูตร ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย เหมือนพวกเซียนใหญ่บ้านเรา Peabody และ Morgan คนพ่อ ถลาเข้าไปรับประกันชำระหนี้แทน นักเล่นหุ้น รวม ๆ แล้ว ประมาณ 2 ล้านปอนด์ หวังค่าคอมก้อนใหญ่ แต่ก็มีคนไม่แน่ใจว่า ถึงเวลา ถ้าลูกหนี้เบี้ยวหมด Peabody และ Morgan จะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย

    ในประวัติของ The House of Morgan เขียนโดย Ron Chernow บอกว่า ขณะที่ข่าวลือชิ้นแรกว่อนไปทั่วว่า George Peabody น่าจะร่วงตามลูกหนี้ ข่าวลือชิ้นต่อมา ก็บอกว่า จะมีเจ้ามือใหญ่ของตลาดมาช่วยนาย Peabody โดยมีเงื่อนไข เขาจะต้องปิดกิจการบริษัทที่อังกฤษ และกลับอเมริกาไปภายใน 1 ปี
    ไม่นานหลังจากมีข่าวลือ ก็มีข่าวจริงออกมา ว่า Bank of England ประกาศให้เงินกู้ 8 แสนปอนด์ ด้วยดอกเบี้ยอัตราต่ำติดพื้นให้แก่ Peabody รวมทั้งให้ credit line อีก 1 ล้านปอนด์ ถ้าจำเป็นและต้องการ มันเป็นเรื่องผิดคาดของตลาดการเงินลอนดอน ที่ Thomas Hanley ผู้ว่าการธนาคาร Bank of England ซึ่งปฎิเสธ ที่จะช่วยเหลือบริษัทการเงินอเมริกันมาหลายรายแล้ว จะมาอุ้ม Peabody & Company ในขณะที่จมน้ำไปเกือบมิดหัวแล้ว

    แต่ถ้าลองไล่เรียง ความก้าวหน้าของ Peabody ใน London ตั้งแต่เริ่ม ปี 1837 มาจนถึงวันที่ J P Morgan & Co กลายเป็น Morgan Grenfell & Company หลัง ปี 1894 ก็น่าจะพอต่อเรื่องกันได้ว่า ฝีมือเขาดีจริง หรือน่าจะเพราะมีเจ้าพ่อหนุนหลัง หรือทั้ง 2 อย่าง แต่ฝีมือดีอย่างเดียว คงไม่น่ามาได้ไกลขนาดนี้

    Guaranty Trust ของ J P Morgan จึงรับบทสำคัญไม่น้อย หรืออาจจะมากกว่า Jacob Schiff เสียด้วยซ้ำ ในละครลวงโลกปฏิวัติ Bolsheviks ปล้นรัสเซีย

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    5 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – บทไอ้โหดเขียน 5 – 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 5 J P Morgan ไม่ใช่เป็นบริษัทการเงินเล็กๆ เขาใหญ่ และดังคับโลก เขาสนใจ และรับงาน เฉพาะรายใหญ่ระดับชาติเท่านั้น และแม้ J P Morgan จะเป็นเจ้าพ่อ Wall Street แต่เขาก็สนิทสนม จนเกือบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ Rothschild เจ้าพ่อตัวจริงของฝั่งอังกฤษ ทำให้ผู้คนต่างพากันเดาถึงที่มาของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของ 2 กลุ่มการเงิน ที่ไม่แน่ว่าจะมีใครรู้จริง นาย George Peabody เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน จาก Massachusetts เดินทางไปอังกฤษในปี ค.ศ. 1837 เพื่อขายพันธบัตร กิจการสร้างคลอง Chesapeake Ohio ของอเมริกา ซึ่งขายได้ฝืดมากในอเมริกา เนื่องจากอยู่ในช่วงเศรษฐกิจถอยหลัง เขาหวังว่าคนอังกฤษจะกระเป๋าหนักกว่าคนอเมริกัน แต่ประตูของตลาดลอนดอน ก็เปิดยากเอาการ แต่ Peabody มีความเพียร เขาพยายามเคาะประตูนักการเงินใหญ่ของลอนดอนไปทุกบาน ในที่สุดก็ขายพันธบัตรคลอง Ohio ได้หมด และได้กำไรไม่น้อย นาย Peabody ไม่เอาเงินกำไรกลับอเมริกา เขาเอาเงินนั้นไปลงทุน ตั้งบริษัททำธุรกิจตัวแทนเกี่ยวกับการนำเข้าส่งออก อยู่ที่ถนน Bond Street ในลอนดอน ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้นักธุรกิจ ทั้ง 2 ฝั่ง ของมหาสมุทรแอตแลนติก ใครต้องการส่งสินค้า เขาส่งให้ ใครต้องการขาย เขาหาคนซื้อให้ ใครไม่มีเงิน เขาให้เงินกู้ มันคงเป็นจังหวะดี หรือนาย Peabody มีฝีมือจริง ธุรกิจในลอนดอนของเขา จึงก้าวหน้าไปลิ่ว คงมัวแต่ทำงานหนัก เลยไม่มีเวลาหาเมีย กว่าจะนึกออกก็คงดึกไปแล้ว แทนที่จะไปมองหาสาว เขาเลยมองหาคนที่จะมารับช่วงกิจการต่อไป ซึ่งต้องมีคุณสมบัติตามที่เขา ตั้งไว้ คือ ข้อที่ 1. ต้องเป็นคนเกิดที่อเมริกา ถึงยังไง นาย Peabody ก็ยังรักบ้านเกิด และที่สำคัญ เขาถือว่าบริษัทของเขา เป็นบริษัทอเมริกัน ข้อที่ 2 ต้องเป็นคนที่มีสัญชาตญาณ หรือวิญญาณอังกฤษสิงอยู่หน่อยๆ จะได้ต้อนรับลูกค้า ที่เป็นคนใหญ่คนโตของอังกฤษ ได้อย่างไม่เก้งก้าง ข้อที่ 3 คือต้องรู้จักธุรกิจการเงินของอังกฤษ อเมริกา (Anglo-American finance) เป็นอย่างดี และข้อที่ 4 Peabody จะต้องชอบคนนั้นด้วย เมื่อนาย Junius Morgan พ่อค้าชาว Boston เจอกับ Peabody ที่ London ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่งในปี 1850 Junius Morgan ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูก Peabody เอากล้องส่องสำรวจอย่างละเอียด Peabody รู้สึกถูกชะตากับ Junius Morgan อย่างยิ่ง หลังจากไปสืบถามถึงภูมิหลังและชื่อเสียงจนเป็นที่พอใจ ปี 1854 Junius Morgan ก็อพยพครอบครัว ย้ายมาอยู่ที่ London และมีตำแหน่งเป็นหุ้นส่วนกิจการ ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Peabody, Morgan & Company นอกเหนือจากขายพันธบัตร ของธุรกิจของฝั่งอเมริกา และของรัฐบาลอเมริกันแล้ว บริษัทยังทำหน้าที่เป็นตัวแทนของรัฐบาลฝ่ายเหนือ ในตอนสงครามระหว่างเหนือใต้ ของอเมริกาอีกด้วย งานนี้ทำกำไรให้กับบริษัทมากมาย จน Peabody ได้ขึ้นอันดับไปยืนอยู่แถวหน้าของตลาดเงิน London ปี 1864 Peabody ก็ขอเกษียณตัวเอง และยกธุรกิจทั้งหมดให้กับ Junius ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น J. S Morgan and Company นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 6 ลูกชายของ Junius คือ นาย John Pierpont ที่โด่งดัง เริ่มเข้าเรียนโรงเรียนมัธยมของอังกฤษที่ Boston แต่ต่อมา การเรียน และการใช้ชีวิตส่วนใหญ่ของเขาอยู่แถวยุโรป เขาจึงมีลักษณะท่าทาง เป็นคนอังกฤษมากกว่าคนอเมริกัน ดูเหมือนเขาจะถูกสร้างให้เป็นตามแบบพิมพ์ที่ Peabody ตั้งใจ John Pierpont ถูกส่งไปฝึกงานกับบริษัทการเงินอื่น ก่อนจะมารับตำแหน่งหุ้นส่วนในกิจการ Dabney, Morgan & Company ซึ่งเป็นสาขา New York ของบริษัทที่ London ในปี 1871 บริษัทได้หุ้นส่วนใหม่อีกคนจาก Philadelphia คือ Anthony Drexel บริษัทจึงเปลี่ยนชื่อเป็น Drexel, Morgan & Company และในปี 1895 เมื่อ Drexel ตาย บริษัทจึงเปลี่ยนชื่อกลับมาเป็น J P Morgan & Company และมีสาขาที่ปารีส ชื่อ Morgan, Haries & Company หลังจาก Junius ตาย ไม่กี่ปีต่อมา Pierpont ก็ตัดสินใจปรับปรุงรูปโฉมของบริษัทที่ London ให้กลายเป็นบริษัทอังกฤษแท้ และแบ่งธุรกิจให้สาขาที่อเมริกา ก็รับแต่งานของฝั่งอเมริกาไป และก็เป็นโอกาสให้ J P Morgan Jr. ซึ่งเพื่อนฝูงเรียกว่า Jack ลูกชายของ Pierpont ได้รับตำแหน่งเป็นผู้จัดการธุรกิจที่อเมริกา และกลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการทำให้โลกนี้กลายเป็นแดนอธรรม หรือ ดงโจร ตามชีวประวัติของ Jack ซึ่งนาย John Forbes เขียนไว้ดังนี้ : J P Morgan, Jr. ได้เป็นหุ้นส่วนของ London House ของ J. P Morgan & Co เมื่อเดือนมกราคม 1898 และหลังจากนั้นไม่กี่วัน ตัวเขาพร้อมครอบครัว เมีย 1 ลูก 3 ก็ย้ายจาก New York มาใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษนานถึง 8 ปี เขาถูกส่งให้มาอยู่อังกฤษ เพื่อมาทำภาระกิจสำคัญ 2 รายการ ภาระกิจแรก เพื่อเรียนรู้ภาคปฎิบัติว่า คนอังกฤษทำธุรกิจการธนาคารอย่างไร ภายใต้ระบบธนาคารกลาง ซึ่งกำหนดโดย Bank of England ซึ่ง Morgan คนพ่อ มีความหวังอยากจะตั้งระบบธนาคารกลางในอเมริกา และหวังจะให้คนของ Morgan รู้ไว้ก่อนว่าระบบนี้ทำงานอย่างไร ภาระกิจที่สอง เพื่อทำความรู้จักกับนักธุรกิจการเงินของ London อย่างจริงจัง และเลือกหุ้นส่วนที่เป็นอังกฤษ ของแท้ ภาระที่สองนี้ ประสพผลสำเร็จชัดเจน เมื่อ Edward Grenfell ซึ่งเป็นกรรมการของ Bank of England มาเป็นเวลานาน ตกลงมาร่วมเป็นหุ้นส่วนอาวุโส และบริษัทก็เปลี่ยนชื่อใหม่อีกครั้ง เป็น Morgan Grenfell & Company นับว่า Jack ตกได้ปลาตัวใหญ่จริง และสงสัยว่าเขาจะใช้เหยื่อตกปลาชนิดพิเศษ ผู้คนพากันสงสัยว่า เมื่อนักการเงินอเมริกา อาจหาญมาซ่าอยู่แถวตลาด London ซึ่งมีเขี้ยวลากกันทั้งนั้น จะไปรอดหรือ มันคงเอาเขี้ยวงัดกัดกันน่าดู นั่นแสดงว่าไม่รู้จัก ว่าคนเป็นเจ้าพ่อตัวจริง เขาคิดอย่างไร เมื่อ George Peabody มาถึง London ใหม่ๆ เขาแปลกใจมาก เรียกว่า ตกใจจะตรงกว่า เขาตกใจ ที่อยู่ดีๆ ได้รับคำสั่งให้ไปพบเจ้าพ่อ Baron Nathan Mayer Rothschild ใครจะกล้าเบี้ยวใบสั่งเจ้าพ่อ โดยเฉพาะกำลังมาหากิน อยู่กลางดงของเจ้าพ่อ แต่เรื่องกลับโอละพ่อ เจ้าพ่อก็มีวันต้องการมีสมุนนอกบัญชี Rothschild บอกกับนาย Peabody ว่า เขาไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบนัก ของพวกผู้ดีหัวสูงของสังคมอังกฤษ ในสายตาของพวกผู้ดีหลายคน เขาก็เป็นเพียงพวกกา หาใช่พันธุ์หงส์ เพราะฉะนั้น พวกสังคมชั้นสูง ก็ไม่ปลื้ม ไม่จริงใจ ในการคบค้าเขา สนใจแต่จะคบกับเงินของเขาเท่านั้น แล้วนาย Peabody ก็จัดงานฉลองวันชาติของอเมริกาที่ London โดยเชิญบรรดา ขุนนาง ผู้ดีอังกฤษ หัวสูง ยะโสทั้งหลายมาร่วมงาน แขกรับเชิญต่างชอบใจเจ้าภาพ และพอใจที่จะคบค้าด้วย เพราะยังไง ก็เป็น Anglo Saxon เผ่าพันธ์เดียวกัน คงไม่มีใครรู้ว่า ค่าอาหาร ค่าเหล้าในงานเลี้ยงคืน และอีกหลายๆครั้งต่อมา นาย Peabody ไม่ได้เป็นคนจ่ายเงิน ปี 1857 เมื่อตลาด Wall Street เกือบล่ม นักเล่นหุ้นใช้สูตร ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย เหมือนพวกเซียนใหญ่บ้านเรา Peabody และ Morgan คนพ่อ ถลาเข้าไปรับประกันชำระหนี้แทน นักเล่นหุ้น รวม ๆ แล้ว ประมาณ 2 ล้านปอนด์ หวังค่าคอมก้อนใหญ่ แต่ก็มีคนไม่แน่ใจว่า ถึงเวลา ถ้าลูกหนี้เบี้ยวหมด Peabody และ Morgan จะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย ในประวัติของ The House of Morgan เขียนโดย Ron Chernow บอกว่า ขณะที่ข่าวลือชิ้นแรกว่อนไปทั่วว่า George Peabody น่าจะร่วงตามลูกหนี้ ข่าวลือชิ้นต่อมา ก็บอกว่า จะมีเจ้ามือใหญ่ของตลาดมาช่วยนาย Peabody โดยมีเงื่อนไข เขาจะต้องปิดกิจการบริษัทที่อังกฤษ และกลับอเมริกาไปภายใน 1 ปี ไม่นานหลังจากมีข่าวลือ ก็มีข่าวจริงออกมา ว่า Bank of England ประกาศให้เงินกู้ 8 แสนปอนด์ ด้วยดอกเบี้ยอัตราต่ำติดพื้นให้แก่ Peabody รวมทั้งให้ credit line อีก 1 ล้านปอนด์ ถ้าจำเป็นและต้องการ มันเป็นเรื่องผิดคาดของตลาดการเงินลอนดอน ที่ Thomas Hanley ผู้ว่าการธนาคาร Bank of England ซึ่งปฎิเสธ ที่จะช่วยเหลือบริษัทการเงินอเมริกันมาหลายรายแล้ว จะมาอุ้ม Peabody & Company ในขณะที่จมน้ำไปเกือบมิดหัวแล้ว แต่ถ้าลองไล่เรียง ความก้าวหน้าของ Peabody ใน London ตั้งแต่เริ่ม ปี 1837 มาจนถึงวันที่ J P Morgan & Co กลายเป็น Morgan Grenfell & Company หลัง ปี 1894 ก็น่าจะพอต่อเรื่องกันได้ว่า ฝีมือเขาดีจริง หรือน่าจะเพราะมีเจ้าพ่อหนุนหลัง หรือทั้ง 2 อย่าง แต่ฝีมือดีอย่างเดียว คงไม่น่ามาได้ไกลขนาดนี้ Guaranty Trust ของ J P Morgan จึงรับบทสำคัญไม่น้อย หรืออาจจะมากกว่า Jacob Schiff เสียด้วยซ้ำ ในละครลวงโลกปฏิวัติ Bolsheviks ปล้นรัสเซีย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 5 พ.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 611 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ไอ้เสือเอาวา
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 6 “ไอ้เสือเอาวา”

    ตอน 1

    The American International Corporation (AIC) ตั้งขึ้นที่นิวยอร์ค เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 1915 โดยกลุ่ม J P Morgan และผู้ร่วมทุนจาก National City Bank ของกลุ่ม Stillman และกลุ่มผลประโยชน์ของตระกูล Rockefeller เรียกว่าเป็นการร่วมทุนของพวก เจ้าพ่อ ธุรกิจการเงิน และอุตสาหกรรมของอเมริกา สำนักงานใหญ่ของ AIC ตั้ง อยู่เลขที่ 120 ถนนบรอดเวย์ หนังสือบริคณห์ของบริษัท ระบุวัตถุประสงค์ว่า เพื่อทำธุรกิจทุกประเภท (ยกเว้นการธนาคารและสาธารณูปโภค) ในทุกประเทศ “ทั่วโลก” เพื่อเป็นการส่งเสริมธุรกิจการค้าภายในและภายนอกประเทศ และขยายธุรกิจของอเมริกาไปยังต่างประเทศ

    Frank A. Vanderlip เขียนไว้ในบันทึกความทรงจำของเขาว่า เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นอย่าง มาก ที่ American International Corporation ก่อตั้งขึ้นได้สำเร็จ จริงๆแล้ว มันเกิดขึ้น จากการคุยกัน ระหว่าง คนทำงานของ Stone & Webster บริษัทก่อสร้างทางรถไฟระหว่างประเทศ ที่บอกกับ Jim Perkins และ Frank A. Vanderlip แห่ง National City Bank (NCB) ว่า จะไม่เหลือทางรถไฟในอเมริกาให้เราสร้างสักเท่าไรแล้ว !

    บริษัทได้ระบุจำนวนทุน ที่ได้รับอนุญาตให้เรียกชำระ คือ 50 ล้านเหรียญ และนาย Vanderlip บันทึกต่อไปว่า เขาได้เขียนไปหาประธานของ American International Corporation “…หลังจากที่ผมบอกให้พวกเขา รู้ว่า เรากำลังทำจะอะไร พวกเขาดีใจมาก ที่เราชวนพวกเขามาร่วมด้วย ทุกคนลงทุนกันเป็นจำนวนมาก บางคนถึงกับขอเพิ่มอีก และแถมบางคนยังกันท่า ไม่อยากให้บางคนมาร่วมมือด้วย…ทุกคนที่เราไปคุย เอาด้วยทั้งนั้น”
    ตกลงพวกเขากำลังจะทำอะไร ธุรกิจของ AIC คืออะไรกันแน่ นักธุรกิจอเมริกัน ถึงกับแย่งกันเข้ามาร่วมลงทุน

    ในปี 1916 AIC มีการลงทุนในต่างประเทศ เป็นจำนวนมากกว่า 23 ล้านเหรียญ และในปี 1917 เพิ่มเป็นกว่า 27 ล้านเหรียญ มีบริษัทตัวแทน อยู่ที่ลอนดอน ปารีส บัวโนสไอเรส ปักกิ่ง Petrograd รัสเซีย และหลังจากตั้งบริษัทได้ไม่ถึง 2 ปี ธุรกิจของ AIC ก็ขยายไปถึง ออสเตรเลีย อาร์เจนตินา อุรุกวัย ปารากวัย โคลัมเบีย บราซิล ซิลี จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ซีลอน อิตาลี สวิสเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส สเปน คิวบา เม็กซิโก และอีกหลายๆประเทศในอเมริกากลาง

    หลังจากนั้นไม่นาน American International Corporation (AIC) ได้ตั้งบริษัทลูก อีกหลายบริษัทคือ

    – The Allied Machinery Company of America ตั้งขึ้นในปี 1916 ถือหุ้นทั้งหมดโดย AIC

    – The Grace Russian Company ตั้งขึ้นในปี 1917 ถือหุ้นโดย W.R. Grace & Co และ San Galli Trading Company of Petrograd โดย AIC ถือหุ้นข้างมากใน Grace Russian ร่วมกับ Holbrook ซึ่งเป็นผู้บริหาร Allied Machinery

    – United Fruit Company ซึ่งเข้าไปมีส่วนในการปฏิวัติหลายครั้งในอเมริกากลาง ในปี ช่วงปี 1920 กว่าๆ

    – American International Shipbuilding Corporation ซึ่ง AIC ถือหุ้นทั้งหมด และได้รับสัญญาให้ต่อเรือรบหลายสัญญาจาก Emergency Fleet Corporation สัญญาหนึ่งประมาณ 50 ลำ อีกสัญญา 40 ลำ และยังมีสัญญาให้ต่อเรือบรรทุกสินค้าอีก 60 ลำ นับเป็นบริษัทแห่งเดียว ที่ได้รับสัญญาต่อเรือจำนวนมากที่สุดจาก Emergency Fleet Corporation ซึ่งเป็นของรัฐบาลอเมริกัน
    G. Amsinck & Co., Inc of New York ซึ่ง AIC ซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัทนี้ ในเดือนพฤศจิกายนปี 1917 Amsinck เป็นแหล่งเงินทุนใหญ่ ในการสนับสนุนการจารกรรมของเยอรมันในอเมริกา

    – Symington Forge Corporation บริษัทซึ่งได้รับสัญญาจากรัฐบาล ให้ทำการหล่อลูกปืนจำนวนมากที่สุด

    ดูเหมือน American International Corporation จะเป็นบริษัท ที่รับงานเกือบทั้งหมดของรัฐบาลอเมริกันและต่างประเทศ เกี่ยวกับกิจกรรมสงคราม

    สรุปสั้นๆ ธุรกิจของบริษัทคือ การทำให้สงครามโลกครั้งที่ 1 เดินหน้านั่นแหละ !

    American International Corporation มีกรรมการ 22 คน กรรมการไม่น้อยกว่า 10 คนมาจาก National City Bank ที่เหลือมาจาก Stillman, Rockefeller, Morgan, Kuhn Loeb, Du Ponts, Stone & Webster และจาก Federal Reserve Banks

    คงเห็นธุรกิจที่ไม่ธรรมดาของ American International Corporation กันแล้ว คราวนี้มาดูอิทธิพลของบริษัทนี้ เกี่ยวกับการปฏิวัติในรัสเซีย

    เมื่อพวก Bolsheviks รุกคืบเข้าไปคุมในรัสเซียกลางได้ Robert Lansing รัฐมนตรีต่างประเทศของอเมริกา ได้ขอความเห็นจาก American International Corporation เกี่ยวกับนโยบาย ที่อเมริกาควรดำเนินกับรัฐบาลโซเวียตต่อไป

    ในวันที่ 16 มกราคม 1918 ประมาณ 2 เดือน หลังจากการยึด Petrograd และ Moscow และก่อนที่ Bolsheviks จะควบคุมส่วนอื่นๆได้ นาย William Franklin Sands เลขาธิการของ American International Corporation ได้ทำบันทึกเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองของรัสเซีย ส่งให้กับรัฐมนตรี Lansing

    หนังสือปะหน้านำส่งบันทึกของ Sands ลงวันที่ 16 มกราคม 1918 เขียนไว้ดังนี้ :
    กราบเรียน พณฯ รัฐมนตรี
    กระทรวงต่างประเทศ
    วอซิงตัน ดี ซี

    กระผม ขอเรียนเสนอบันทึกที่แนบมานี้ ตามที่ท่านขอให้กระผม แสดงความคิดเห็นของกระผมเสนอท่าน เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง ในรัสเซีย กระผมได้แยกการอธิบายเป็น 3 ส่วน : ประวัติศาสตร์ สาเหตุที่มาของการปฏิวัติ อย่างย่อเท่าที่จะทำได้, ข้อเสนอเกี่ยวกับนโยบาย, และการบรรยายถึงกิจกรรมของคนอเมริกา ที่กำลังดำเนินการอยู่ในรัสเซีย..”

    แม้ว่าการควบคุมรัสเซียของพวก Bolsheviks จะยังไม่แน่นอน และอันที่จริงพวก Bolsheviks ก็ทำท่าจะไปไม่รอดเอาด้วยซ้ำในกลางปี 1918 แต่ Sands ก็เขียนไว้ในบันทึกของเขาตั้งแต่เดือนมกราคม 1918 ไปแล้วว่า อเมริกาแสดงความล่าช้าเกินไป ในการให้การรับรองของ Trotsky โดยเขาเน้นว่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม (ที่เรายังไม่รับรอง Trotsky) บัดนี้ ก็น่าจะให้การรับรองได้แล้ว อย่างน้อยก็ในชัยชนะที่ Trotsky ทำให้เกิดขึ้น จากความเสียสละส่วนตัวเขา

    หลังจากนั้น Sands ก็ย้ำถึงสิ่งที่อเมริกาสามารถจะทำ เพื่อแก้ไขการล่าช้าเสียเวลานั้น ควบคู่ไปกับปฏิวัติของ Bolsheviks คือ “การปฏิวัติของเรา” และสรุปว่า “กระผมมีเหตุผลทุกประการที่น่าเชื่อว่า “แผนการบริหารรัสเซีย” จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐสภา และได้รับการเห็นชอบจากมหาชนในอเมริกาอย่างท่วมท้น”

    จดหมายของนาย William F Sands ข้างต้น คงชัดเจน คงไม่ต้องอธิบาย หรือสรุปใดอีก

    William F Sands เป็นผู้ที่มีเส้นสายและอิทธิพลในกระทรวงต่างประเทศอย่างลึกซึ้ง
    ถนนอาชีพของ Sands วิ่งไปมา ระหว่างกระทรวงต่างประเทศและวอลสตรีท ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึง ต้นศตวรรษที่ 20 เขารับตำแหน่ง ทางการฑูตหลายตำแหน่ง ในปี 1910 เขาเปลี่ยนจากอาชีพในกระทรวงต่างประเทศ มาร่วมธุรกิจธนาคารกับ James Speyer เพื่อไปช่วยเจรจาเงินกู้ให้กับ ประเทศ Ecuador หลังจากนั้น ก็ไปยึดกิจการน้ำตาลใน Puerto Rico อยู่ 2 ปี ในปี 1916 เขาอยู่ในรัสเซีย ในกิจกรรมกาชาด เพื่อปฏิบัติภาระกิจพิเศษ โดยทำคู่กับ Basil Miles และกลับมาร่วมงานกับ American International Corporation ในนิวยอร์ค

    ในต้นปี 1918 เป็นที่รู้กันว่า Sands เป็นคนที่ได้สัญญาลับพิเศษ จากฝ่ายรัสเซีย นอกจากนั้น Sands ยังเป็นผู้ถือเอกสารติดต่อ ลับพิเศษจากรัสเซีย มาให้กระทรวงต่างประเทศ แถมบางครั้งยังได้อ่านเอกสารก่อนกระทรวงต่างประเทศเสียอีก

    วันที่ 14 มกราคม 1918 เพียง 2 วันก่อนที่ Sands จะเขียนบันทึกของเขาเกี่ยวกับนโยบายที่ควรมีต่อพวก Bolsheviks รัฐมนตรีต่างประเทศ Lansing ได้โทรเลขโดยใส่รหัส Green Cipher ถึงสถานฑูตอเมริกันที่ Stockhlom !

    “เอกสารราชการสำคัญมากสำหรับให้ Sands นำมาส่งที่กระทรวง ถูกส่งทิ้งไว้ที่สถานฑูต ได้มีการส่งต่อให้หรือไม่ Lansing”

    คำตอบจาก Morris ที่ Stockhlom : “เลขที่ 460 ของท่าน 14 มกราคม 5 โมงเย็น เอกสารดังกล่าวได้ส่งต่อไปให้กระทรวงทางถุงเมล์ เลขที่ 34 เมื่อธันวาคม 28”
    และมีเอกสารเป็นบันทึกลงชื่อ “BM” (Basil Miles คณะทำงานของ Sands)
    ” Mr. Philips พวกเขาไม่ได้ส่งเอกสารลับ ส่วนที่ 1 ให้แก่ Sands ที่เขานำมาที่ Stockholm จาก Petrogard”

    ทำไม เลขานุการบริหาร ของ AIC ถึงเป็นบุคคลสำคัญ ขนาดรัฐมนตรีต่างประเทศต้องคอยดูแลตามเอกสารให้ และทำไมเอกสารสำคัญของทางรัสเซีย จึงอยู่ในมือของบุคคลธรรมดาอย่างนาย Sands
    หลายเดือนต่อมา ในวันที่ 1 กรกฏาคม 1918 Sands เขียนจดหมายถึงรัฐมนตรีคลัง McAdoo แนะนำให้มีคณะกรรมาธิการ สำหรับ “ช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่รัสเซีย”

    เขาแนะนำว่า เนื่องจากเป็นการยาก สำหรับหน่วยงานของรัฐ ที่จะเข้าไปช่วยจัดหา อุปกรณ์ และเครื่องจักร ที่เกี่ยวเนื่องกับการให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่รัสเซีย ดังนั้น รัฐบาลจึงควรเรียกให้ฝ่ายเอกชน ที่มีความชำนาญ ด้านธุรกิจการเงิน การค้า และอุตสาหกรรมในอเมริกา มาเป็นผู้จัดหา อุปกรณ์และเครื่องจักร ภายใต้การดูแล ของคณะกรรมาธิการ หรือคณะกรรมการใด ที่ประธานาธิบดีจะเลือก หรือแต่งตั้งขึ้นเพื่อกิจกรรมนี้

    ความหมายของ Sands คือ ถึงเวลาที่จะให้กลุ่มธุรกิจ ไปจัดการ “ปล้น” รัสเซียให้เหลือแต่คราบ ตามที่ตกลงกันได้แล้ว

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    3 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ไอ้เสือเอาวา นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 6 “ไอ้เสือเอาวา” ตอน 1 The American International Corporation (AIC) ตั้งขึ้นที่นิวยอร์ค เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 1915 โดยกลุ่ม J P Morgan และผู้ร่วมทุนจาก National City Bank ของกลุ่ม Stillman และกลุ่มผลประโยชน์ของตระกูล Rockefeller เรียกว่าเป็นการร่วมทุนของพวก เจ้าพ่อ ธุรกิจการเงิน และอุตสาหกรรมของอเมริกา สำนักงานใหญ่ของ AIC ตั้ง อยู่เลขที่ 120 ถนนบรอดเวย์ หนังสือบริคณห์ของบริษัท ระบุวัตถุประสงค์ว่า เพื่อทำธุรกิจทุกประเภท (ยกเว้นการธนาคารและสาธารณูปโภค) ในทุกประเทศ “ทั่วโลก” เพื่อเป็นการส่งเสริมธุรกิจการค้าภายในและภายนอกประเทศ และขยายธุรกิจของอเมริกาไปยังต่างประเทศ Frank A. Vanderlip เขียนไว้ในบันทึกความทรงจำของเขาว่า เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นอย่าง มาก ที่ American International Corporation ก่อตั้งขึ้นได้สำเร็จ จริงๆแล้ว มันเกิดขึ้น จากการคุยกัน ระหว่าง คนทำงานของ Stone & Webster บริษัทก่อสร้างทางรถไฟระหว่างประเทศ ที่บอกกับ Jim Perkins และ Frank A. Vanderlip แห่ง National City Bank (NCB) ว่า จะไม่เหลือทางรถไฟในอเมริกาให้เราสร้างสักเท่าไรแล้ว ! บริษัทได้ระบุจำนวนทุน ที่ได้รับอนุญาตให้เรียกชำระ คือ 50 ล้านเหรียญ และนาย Vanderlip บันทึกต่อไปว่า เขาได้เขียนไปหาประธานของ American International Corporation “…หลังจากที่ผมบอกให้พวกเขา รู้ว่า เรากำลังทำจะอะไร พวกเขาดีใจมาก ที่เราชวนพวกเขามาร่วมด้วย ทุกคนลงทุนกันเป็นจำนวนมาก บางคนถึงกับขอเพิ่มอีก และแถมบางคนยังกันท่า ไม่อยากให้บางคนมาร่วมมือด้วย…ทุกคนที่เราไปคุย เอาด้วยทั้งนั้น” ตกลงพวกเขากำลังจะทำอะไร ธุรกิจของ AIC คืออะไรกันแน่ นักธุรกิจอเมริกัน ถึงกับแย่งกันเข้ามาร่วมลงทุน ในปี 1916 AIC มีการลงทุนในต่างประเทศ เป็นจำนวนมากกว่า 23 ล้านเหรียญ และในปี 1917 เพิ่มเป็นกว่า 27 ล้านเหรียญ มีบริษัทตัวแทน อยู่ที่ลอนดอน ปารีส บัวโนสไอเรส ปักกิ่ง Petrograd รัสเซีย และหลังจากตั้งบริษัทได้ไม่ถึง 2 ปี ธุรกิจของ AIC ก็ขยายไปถึง ออสเตรเลีย อาร์เจนตินา อุรุกวัย ปารากวัย โคลัมเบีย บราซิล ซิลี จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ซีลอน อิตาลี สวิสเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส สเปน คิวบา เม็กซิโก และอีกหลายๆประเทศในอเมริกากลาง หลังจากนั้นไม่นาน American International Corporation (AIC) ได้ตั้งบริษัทลูก อีกหลายบริษัทคือ – The Allied Machinery Company of America ตั้งขึ้นในปี 1916 ถือหุ้นทั้งหมดโดย AIC – The Grace Russian Company ตั้งขึ้นในปี 1917 ถือหุ้นโดย W.R. Grace & Co และ San Galli Trading Company of Petrograd โดย AIC ถือหุ้นข้างมากใน Grace Russian ร่วมกับ Holbrook ซึ่งเป็นผู้บริหาร Allied Machinery – United Fruit Company ซึ่งเข้าไปมีส่วนในการปฏิวัติหลายครั้งในอเมริกากลาง ในปี ช่วงปี 1920 กว่าๆ – American International Shipbuilding Corporation ซึ่ง AIC ถือหุ้นทั้งหมด และได้รับสัญญาให้ต่อเรือรบหลายสัญญาจาก Emergency Fleet Corporation สัญญาหนึ่งประมาณ 50 ลำ อีกสัญญา 40 ลำ และยังมีสัญญาให้ต่อเรือบรรทุกสินค้าอีก 60 ลำ นับเป็นบริษัทแห่งเดียว ที่ได้รับสัญญาต่อเรือจำนวนมากที่สุดจาก Emergency Fleet Corporation ซึ่งเป็นของรัฐบาลอเมริกัน G. Amsinck & Co., Inc of New York ซึ่ง AIC ซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัทนี้ ในเดือนพฤศจิกายนปี 1917 Amsinck เป็นแหล่งเงินทุนใหญ่ ในการสนับสนุนการจารกรรมของเยอรมันในอเมริกา – Symington Forge Corporation บริษัทซึ่งได้รับสัญญาจากรัฐบาล ให้ทำการหล่อลูกปืนจำนวนมากที่สุด ดูเหมือน American International Corporation จะเป็นบริษัท ที่รับงานเกือบทั้งหมดของรัฐบาลอเมริกันและต่างประเทศ เกี่ยวกับกิจกรรมสงคราม สรุปสั้นๆ ธุรกิจของบริษัทคือ การทำให้สงครามโลกครั้งที่ 1 เดินหน้านั่นแหละ ! American International Corporation มีกรรมการ 22 คน กรรมการไม่น้อยกว่า 10 คนมาจาก National City Bank ที่เหลือมาจาก Stillman, Rockefeller, Morgan, Kuhn Loeb, Du Ponts, Stone & Webster และจาก Federal Reserve Banks คงเห็นธุรกิจที่ไม่ธรรมดาของ American International Corporation กันแล้ว คราวนี้มาดูอิทธิพลของบริษัทนี้ เกี่ยวกับการปฏิวัติในรัสเซีย เมื่อพวก Bolsheviks รุกคืบเข้าไปคุมในรัสเซียกลางได้ Robert Lansing รัฐมนตรีต่างประเทศของอเมริกา ได้ขอความเห็นจาก American International Corporation เกี่ยวกับนโยบาย ที่อเมริกาควรดำเนินกับรัฐบาลโซเวียตต่อไป ในวันที่ 16 มกราคม 1918 ประมาณ 2 เดือน หลังจากการยึด Petrograd และ Moscow และก่อนที่ Bolsheviks จะควบคุมส่วนอื่นๆได้ นาย William Franklin Sands เลขาธิการของ American International Corporation ได้ทำบันทึกเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองของรัสเซีย ส่งให้กับรัฐมนตรี Lansing หนังสือปะหน้านำส่งบันทึกของ Sands ลงวันที่ 16 มกราคม 1918 เขียนไว้ดังนี้ : กราบเรียน พณฯ รัฐมนตรี กระทรวงต่างประเทศ วอซิงตัน ดี ซี กระผม ขอเรียนเสนอบันทึกที่แนบมานี้ ตามที่ท่านขอให้กระผม แสดงความคิดเห็นของกระผมเสนอท่าน เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง ในรัสเซีย กระผมได้แยกการอธิบายเป็น 3 ส่วน : ประวัติศาสตร์ สาเหตุที่มาของการปฏิวัติ อย่างย่อเท่าที่จะทำได้, ข้อเสนอเกี่ยวกับนโยบาย, และการบรรยายถึงกิจกรรมของคนอเมริกา ที่กำลังดำเนินการอยู่ในรัสเซีย..” แม้ว่าการควบคุมรัสเซียของพวก Bolsheviks จะยังไม่แน่นอน และอันที่จริงพวก Bolsheviks ก็ทำท่าจะไปไม่รอดเอาด้วยซ้ำในกลางปี 1918 แต่ Sands ก็เขียนไว้ในบันทึกของเขาตั้งแต่เดือนมกราคม 1918 ไปแล้วว่า อเมริกาแสดงความล่าช้าเกินไป ในการให้การรับรองของ Trotsky โดยเขาเน้นว่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม (ที่เรายังไม่รับรอง Trotsky) บัดนี้ ก็น่าจะให้การรับรองได้แล้ว อย่างน้อยก็ในชัยชนะที่ Trotsky ทำให้เกิดขึ้น จากความเสียสละส่วนตัวเขา หลังจากนั้น Sands ก็ย้ำถึงสิ่งที่อเมริกาสามารถจะทำ เพื่อแก้ไขการล่าช้าเสียเวลานั้น ควบคู่ไปกับปฏิวัติของ Bolsheviks คือ “การปฏิวัติของเรา” และสรุปว่า “กระผมมีเหตุผลทุกประการที่น่าเชื่อว่า “แผนการบริหารรัสเซีย” จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐสภา และได้รับการเห็นชอบจากมหาชนในอเมริกาอย่างท่วมท้น” จดหมายของนาย William F Sands ข้างต้น คงชัดเจน คงไม่ต้องอธิบาย หรือสรุปใดอีก William F Sands เป็นผู้ที่มีเส้นสายและอิทธิพลในกระทรวงต่างประเทศอย่างลึกซึ้ง ถนนอาชีพของ Sands วิ่งไปมา ระหว่างกระทรวงต่างประเทศและวอลสตรีท ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึง ต้นศตวรรษที่ 20 เขารับตำแหน่ง ทางการฑูตหลายตำแหน่ง ในปี 1910 เขาเปลี่ยนจากอาชีพในกระทรวงต่างประเทศ มาร่วมธุรกิจธนาคารกับ James Speyer เพื่อไปช่วยเจรจาเงินกู้ให้กับ ประเทศ Ecuador หลังจากนั้น ก็ไปยึดกิจการน้ำตาลใน Puerto Rico อยู่ 2 ปี ในปี 1916 เขาอยู่ในรัสเซีย ในกิจกรรมกาชาด เพื่อปฏิบัติภาระกิจพิเศษ โดยทำคู่กับ Basil Miles และกลับมาร่วมงานกับ American International Corporation ในนิวยอร์ค ในต้นปี 1918 เป็นที่รู้กันว่า Sands เป็นคนที่ได้สัญญาลับพิเศษ จากฝ่ายรัสเซีย นอกจากนั้น Sands ยังเป็นผู้ถือเอกสารติดต่อ ลับพิเศษจากรัสเซีย มาให้กระทรวงต่างประเทศ แถมบางครั้งยังได้อ่านเอกสารก่อนกระทรวงต่างประเทศเสียอีก วันที่ 14 มกราคม 1918 เพียง 2 วันก่อนที่ Sands จะเขียนบันทึกของเขาเกี่ยวกับนโยบายที่ควรมีต่อพวก Bolsheviks รัฐมนตรีต่างประเทศ Lansing ได้โทรเลขโดยใส่รหัส Green Cipher ถึงสถานฑูตอเมริกันที่ Stockhlom ! “เอกสารราชการสำคัญมากสำหรับให้ Sands นำมาส่งที่กระทรวง ถูกส่งทิ้งไว้ที่สถานฑูต ได้มีการส่งต่อให้หรือไม่ Lansing” คำตอบจาก Morris ที่ Stockhlom : “เลขที่ 460 ของท่าน 14 มกราคม 5 โมงเย็น เอกสารดังกล่าวได้ส่งต่อไปให้กระทรวงทางถุงเมล์ เลขที่ 34 เมื่อธันวาคม 28” และมีเอกสารเป็นบันทึกลงชื่อ “BM” (Basil Miles คณะทำงานของ Sands) ” Mr. Philips พวกเขาไม่ได้ส่งเอกสารลับ ส่วนที่ 1 ให้แก่ Sands ที่เขานำมาที่ Stockholm จาก Petrogard” ทำไม เลขานุการบริหาร ของ AIC ถึงเป็นบุคคลสำคัญ ขนาดรัฐมนตรีต่างประเทศต้องคอยดูแลตามเอกสารให้ และทำไมเอกสารสำคัญของทางรัสเซีย จึงอยู่ในมือของบุคคลธรรมดาอย่างนาย Sands หลายเดือนต่อมา ในวันที่ 1 กรกฏาคม 1918 Sands เขียนจดหมายถึงรัฐมนตรีคลัง McAdoo แนะนำให้มีคณะกรรมาธิการ สำหรับ “ช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่รัสเซีย” เขาแนะนำว่า เนื่องจากเป็นการยาก สำหรับหน่วยงานของรัฐ ที่จะเข้าไปช่วยจัดหา อุปกรณ์ และเครื่องจักร ที่เกี่ยวเนื่องกับการให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่รัสเซีย ดังนั้น รัฐบาลจึงควรเรียกให้ฝ่ายเอกชน ที่มีความชำนาญ ด้านธุรกิจการเงิน การค้า และอุตสาหกรรมในอเมริกา มาเป็นผู้จัดหา อุปกรณ์และเครื่องจักร ภายใต้การดูแล ของคณะกรรมาธิการ หรือคณะกรรมการใด ที่ประธานาธิบดีจะเลือก หรือแต่งตั้งขึ้นเพื่อกิจกรรมนี้ ความหมายของ Sands คือ ถึงเวลาที่จะให้กลุ่มธุรกิจ ไปจัดการ “ปล้น” รัสเซียให้เหลือแต่คราบ ตามที่ตกลงกันได้แล้ว สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 3 พ.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 1019 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ปั่นหุ้น 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 5 “ปั่นหุ้น”

    ตอน 1

    William Boyce Thompson คงเป็นชื่อที่ยังไม่มีใครรู้จักในประวัติศาสตร์ ก่อนศตวรรษที่ 20 แต่ Thompson เป็นผู้ที่รับบทสำคัญยิ่ง เกี่ยวกับการปฏิวัติพวก Bolsheviks
    แน่นอน ที่สุดถ้า Thompson ไม่ไปอยู่ที่รัสเซียในปี 1917 ประวัติศาสตร์หลังจากนั้นอาจจะเปลี่ยนไปคนละเรื่อง และถ้าไม่มีเรื่องสนับสนุนทางการเงิน โดยเฉพาะเรื่องการเมือง และการโฆษณาชวนเชื่อที่ทำให้กับ Trotsky และ Lenin โดย Thompson และ Robins กับพรรคพวกในนิวยอร์คแล้ว พวก Bolsheviks อาจจะเหี่ยวแห้งเฉาตายไป และรัสเซียจะออกหัวหรือก้อยไม่รู้ได้ แต่การเมืองโลก อาจจะเป็นฉากอื่น ต่างจากที่เราเห็นกันอยู่นี้อย่างสิ้นเชิง

    ใครคือ William Boyce Thompson

    Thompson คือ นักปั้นหุ้น หรือ ปั่นหุ้นเหมืองแร่ มือดีอันดับหนึ่งในธุรกิจสาขานี้ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เขาเป็นคนดูแลหุ้นให้กับมหาเศรษฐีตระกูล Guggenheim เจ้าของเหมืองทองแดง ด้วยความสามารถระดับเซียน ในการระดมทุนในตลาดหุ้นประเภทความเสี่ยงสูง ทำให้ Thompson ร่ำรวยขึ้นมา และได้เป็นกรรมการในหลายบริษัทที่เกี่ยวกับธุรกิจเหมืองแร่ต่างๆ โดยเฉพาะแร่ทองแดง ที่เป็นแร่สำคัญในการนำมาใช้ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ นอกจากนี้ เขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธนาคาร Chase National Bank

    และ เป็น Albert H. Wiggin ประธาน Chase Bank ที่เป็นคนดันให้ Thompson เข้าไปมีส่วนในการจัดตั้งระบบธนาคารกลาง Federal Reserve System ของอเมริกา และในปี 1913 Thompson เป็นกรรมการที่ทำงานเต็มเวลา (full time) คนแรกของ Federal Reserve Bank of New York ธนาคารกลางที่สำคัญที่สุดในระบบFederal Reserve System
    เขาไม่ใช่กระจอกไม่มีชื่ออีกต่อไป!
    ปี 1917 William Boyce Thompson เปลี่ยนเป็นอินทรีย์และเริ่มสยายปีกไปทางด้านการเงินและการเมือง เขาแสดงให้เห็นถึงสายตายาวไกล และความคล่องตัวจัดของเขา ด้วยการสนับสนุน Karensky ในการปฎิวัติครั้งแรกของรัสเซีย ในต้นปี 1917 และเปลี่ยนเข็มทิศ หมุนกลับมาสนับสนุน Bolsheviks ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าเส้นทางของ Bolsheviks น่าจะดีกว่า หรือว่า มันเป็นการวางแผนไว้เป็น 2 ขั้นตอน ตั้งแต่แรก

    ก่อนจะออกเดินทางกลับจากรัสเซียในต้นเดือนธันวาคม 1917 Thompson ส่งมอบภาระกิจกาชาดเพื่อรัสเซียให้ผู้ช่วยเขา Raymond Robins ให้เป็นคนดูแลต่อ

    Thompson ได้เตรียมการตั้งแต่ปลายปี 1917 ที่จะเดินทางออกจากPetrograd เพื่อปั่นหุ้นตัวสำคัญ “Bolsheviks Revolution” ไปเสนอขายกับรัฐบาลแถบยุโรป และอเมริกาเอง

    ก่อนเดินทาง เขาโทรเลขไปหา Thomas W. Lamont ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของ Morgan และกำลังอยู่ที่ปารีส กับ Colonel E.M. House ที่ปรึกษาสุดใหญ่ ของประธานาธิบดี Woodlow Wilson

    Lamont ได้บันทึกข้อความเกี่ยวกับโทรเลขของ Thompson ไว้ในชีวประวัติของเขา

    “ขณะ ที่คณะของ House กำลังจะเสร็จสิ้นการเจรจาตามภาระกิจของเขาที่ Paris ในเดือนธันวาคมปี 1917 ผมได้รับโทรเลขที่น่าสนใจอย่างยิ่ง จากเพื่อนนักเรียนเก่า และเป็นเพื่อนร่วมธุรกิจกัน William Boyce Thompson ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่ Petrograd กำลังดูแลเรื่องภาระกิจกาชาดอเมริกันอยู่ที่นั่น”

    Lamont รีบเดินทางไปลอนดอน เพื่อพบกับ Thompson ซึ่งเดินทางมาจาก Petrograd เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม โดยผ่าน Norway และมาถึงลอนดอนในวันที่ 10 ธันวาคม Thompson และ Lamont กำลังต้องทำเรื่องที่สำคัญที่สุดในลอนดอน คือ กล่อมกลุ่มรัฐมนตรีกิจการสงคราม ของอังกฤษ British War Cabinet ซึ่งขณะนั้น ลงความเห็นกันไปแล้วว่า ไม่เอาพวก Bolsheviks ให้เปลี่ยนใจมาเชื่อว่า พวก Bolsheviksนั้น ได้ควบคุมรัสเซียสำเร็จแล้ว และเป็นพวกที่อังกฤษต้องเลิกต่อต้าน และเปลี่ยนมาให้การสนับสนุนแก่ Lenin และ Trotsky แทน จะเป็นการดีที่สุด
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 5 “ปั่นหุ้น”

    ตอน 2

    ใน ช่วงปลายปี 1917 ขณะที่ Lamont และ Thompson เดินทางมาถึงลอนดอน เพื่อพบนายกรัฐมนตรี Lloyd George ของอังกฤษ ชึ่งดูเหมือนกำลังอ่อนปวกเปียกอยู่ในมือของนักค้าอาวุธผู้ทรงอิทธิพล Sir Basil Zaharoff เป็นข่าวลือทั่วไปในยุโรปว่า ที่ Zaharroff กุม Lloyd George อยู่หมัด เพราะ Zaharoff เป็นคนหาสาวมาบำเรอให้ และ บังเอิญสาวที่ Lloyd Geroge ติดกับ ก็คือ เมียของ Zaharoff นั่นเอง อืม…เกมแบบนี้ เล่นกันมาตลอด แล้วก็มีคนติดกับตลอด

    Zaharoff ที่ผู้คนเรียกเขาว่า “the Merchant of Death” เป็นนักค้าอาวุธที่รอบจัด เขาค้าขายกับทุกคนที่อยากซื้ออาวุธ จะเป็นประเทศใด ฝ่ายไหน เขาก็ขายให้ทั้งนั้น และก็ร่ำรวยจากการทำธุรกิจเช่นนี้ และจากการที่ค้าขายแบบนี้ และน่าจะรวมทั้ง การส่งสินค้าที่ไม่ใช่อาวุธด้วย ทำให้ Zaharoff มีหูตาที่กว้างขวาง ทำให้ลูกค้าของเขาต่างอยากได้ข ่าววงใน ลับสุดยอดจาก Zaharoff ทั้งสิ้น มีหลายครั้ง ที่ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกา Lloyd George นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ และ Georges Clemenceau นายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส ต้องไปล้อมวงประชุมกัน อยู่ที่บ้านของZaharoff ที่กรุงปารีส ถึงขนาดมีข่าวเล่ากันว่า ก่อนจะมีการเคลื่อนพลไปบุกที่ไหน ส่วนใหญ่ Zaharoff ก็จะถูกเชิญมาหารืออยู่เสมอ

    หน่วย ข่าวกรองของอังกฤษ บันทึกไว้ว่า “ภายหลัง มีการพบเอกสารที่ระบุว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเอง เอาความลับไปบอก Sir Basil Zaharoff ซึ่งนายกรัฐมนตรี Lloyd George ก็รู้เรื่องนี้ด้วย”
    นอกจากอ่อนอยู่ในมือของ Zaharoff แล้ว นายกรัฐมนตรี Lloyd George ยังมีคนดันหลังชื่อ Lord Milner อีกด้วย เป็น Lord Milner แห่งสมาคม Round Table ที่แม้ลึกลับ แต่อำนาจสูงเทียมฟ้า เป็นต้นกำเนิดของ think tank ถังความคิดคู่แฝดที่ทรงอิทธิพล Royal Institute of International Affairs (RIIA) ของอังกฤษ และ Council on Foreign Relations (CFR) ของอเมริกา คงพอจำกันได้

    นายก รัฐมนตรี Lloyd George ได้ทำรายงานต่อ War Cabinet ว่า ได้สนทนากับนาย Thompson มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากรัสเซีย และได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับรัสเซีย แตกต่างไปจากที่เราได้ยินกัน นาย Thompson เชื่อว่า พวกปฏิวัติ Bolsheviks ทำงานสำเร็จได้ผลดี และคงจะปกครองรัสเซียไปอีกนาน แต่พวกเราฝ่ายสัมพันธมิตร ไม่ได้แสดงความชื่นชม หรือเห็นพ้องกับฝ่ายปฏิวัติเลย และผู้นำการปฏิวัติ Trotsky และ Lenin ไม่ได้ถูกจ้างโดยฝ่ายเยอรมัน และ Lenin ค่อนข้างจะมีลักษณะไปในทางเป็นครูบาอาจารย์ที่น่าเคารพเสียด้วยซ้ำ

    นาย Thompson ยังแนะนำอีกว่า ฝ่ายสัมพันธมิตร ควรจะมีการออกความเห็น ให้การสนับสนุนแก่พวกปฏิวัติบ้าง และควรมีการแสดงความเห็นนี้ ที่ Petrograd เองด้วย ขณะเดียวกัน ก็ควรมีการพิจารณาเปลี่ยนตัวเจ้าหน้าที่ ของฝ่ายสัมพันธมิตรที่อยู่ที่ Petrograd ที่ไม่เหมาะสมเสียด้วย และฝ่ายสัมพันธมิตรควรจะเข้าใจว่า ขณะนี้รัสเซียไม่ได้มาร่วมอยู่ ในสงครามแล้ว ไม่ว่าจะโดยกองทัพ หรือประชาชน และพวกเราฝ่ายสัมพันธมิตร ควรจะเลือกให้ดีว่า เราต้องการรัสเซีย ที่เป็นเพื่อน หรือรัสเซีย ที่เป็นกลาง แบบไม่เป็นมิตร

    หลังจากรับทราบรายงานการสนทนาดังกล่าว ของนายกรัฐมนตรี Lloyd George พร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องแล้ว War Cabinet คณะรัฐมนตรีกิจการสงคราม ก็เห็นพ้องที่จะเดินตามคำแนะนำของ Thompson และสนับสนุนพวก Bolsheviks

    นาย William Boyce Thompson สมกับเป็นเซียนปั่นหุ้นความเสี่ยงสูงจริงๆ

    Lord Milner ซึ่งสั่งให้ นาย Bruce Lockhart อดีตกงสุลอังกฤษ ที่เคยทำงานอยู่ในรัสเซีย ยืนคอยฟังข่าวอยู่หน้าห้องประชุม เพื่อเตรียมพร้อม ที่จะรายงานและสรุปการประชุมส่งไปให้ พรรคพวกทางรัสเซียดำเนินการอย่างไม่เป็นทางการ กับพวกโซเวียตต่อไป
    ต้องถือว่าการเสนอขายหุ้น Bolsheviks ของ นายThompson ประสบความสำเร็จอย่างสูง สมกับการเป็นนักปั่นมือเซียน แมงเม่าระดับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ และคณะรัฐมนตรีกิจการสงคราม อ้าปากหวอ ซื้อ “หุ้น Bolsheviks” กันหมดหน้าตัก

    หลัง จาก Thompson เดินทางกลับไปแล้ว คณะรัฐมนตรีกิจการสงครามของอังกฤษ ก็ได้รับรายงานจากอีกสายข่าว ซึ่งก็อ้างว่า น่าเชื่อถือมากกว่า รายงานนั้นได้บรรยายถึงสรรพคุณ Bolsheviks ตรงกันข้ามกับที่นาย Thompson มาออกหนังสือชี้ชวนไว้ แต่ดูเหมือนมันจะมาสายไป ลงทุนกันจนหมดหน้าตักไปแล้ว รายงานดังกล่าวจึงถูกวางไว้บนโต๊ะ ให้ฝุ่นจับไปแค่นั้นเอง

    รายงาน นั้น มาถึงโต๊ะรัฐมนตรีกิจการสงคราม ในเดือนเมษายน 1918 จาก General Jan Smuts ว่าเขาได้สนทนากับ General Nieffel หัวหน้ากิจการกองทัพฝรั่งเศส ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากรัสเซีย ได้ความว่า :

    “Trotsky…. เป็นคนเลวอย่างสมบูรณ์ แม้จะไม่ใช่พวกชอบเยอรมัน แต่เป็นคนขี้โอ่และหลงตัวเอง และการปฏิวัติของตน เขาไม่น่าไว้วางใจ ไม่ว่าในทางได เขามีอำนาจโดยการมีอิทธิพลครอบงำ เหนือ Lockhart, Robins และตัวแทนของฝรั่งเศส…….”

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    01 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ปั่นหุ้น 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 5 “ปั่นหุ้น” ตอน 1 William Boyce Thompson คงเป็นชื่อที่ยังไม่มีใครรู้จักในประวัติศาสตร์ ก่อนศตวรรษที่ 20 แต่ Thompson เป็นผู้ที่รับบทสำคัญยิ่ง เกี่ยวกับการปฏิวัติพวก Bolsheviks แน่นอน ที่สุดถ้า Thompson ไม่ไปอยู่ที่รัสเซียในปี 1917 ประวัติศาสตร์หลังจากนั้นอาจจะเปลี่ยนไปคนละเรื่อง และถ้าไม่มีเรื่องสนับสนุนทางการเงิน โดยเฉพาะเรื่องการเมือง และการโฆษณาชวนเชื่อที่ทำให้กับ Trotsky และ Lenin โดย Thompson และ Robins กับพรรคพวกในนิวยอร์คแล้ว พวก Bolsheviks อาจจะเหี่ยวแห้งเฉาตายไป และรัสเซียจะออกหัวหรือก้อยไม่รู้ได้ แต่การเมืองโลก อาจจะเป็นฉากอื่น ต่างจากที่เราเห็นกันอยู่นี้อย่างสิ้นเชิง ใครคือ William Boyce Thompson Thompson คือ นักปั้นหุ้น หรือ ปั่นหุ้นเหมืองแร่ มือดีอันดับหนึ่งในธุรกิจสาขานี้ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เขาเป็นคนดูแลหุ้นให้กับมหาเศรษฐีตระกูล Guggenheim เจ้าของเหมืองทองแดง ด้วยความสามารถระดับเซียน ในการระดมทุนในตลาดหุ้นประเภทความเสี่ยงสูง ทำให้ Thompson ร่ำรวยขึ้นมา และได้เป็นกรรมการในหลายบริษัทที่เกี่ยวกับธุรกิจเหมืองแร่ต่างๆ โดยเฉพาะแร่ทองแดง ที่เป็นแร่สำคัญในการนำมาใช้ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ นอกจากนี้ เขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธนาคาร Chase National Bank และ เป็น Albert H. Wiggin ประธาน Chase Bank ที่เป็นคนดันให้ Thompson เข้าไปมีส่วนในการจัดตั้งระบบธนาคารกลาง Federal Reserve System ของอเมริกา และในปี 1913 Thompson เป็นกรรมการที่ทำงานเต็มเวลา (full time) คนแรกของ Federal Reserve Bank of New York ธนาคารกลางที่สำคัญที่สุดในระบบFederal Reserve System เขาไม่ใช่กระจอกไม่มีชื่ออีกต่อไป! ปี 1917 William Boyce Thompson เปลี่ยนเป็นอินทรีย์และเริ่มสยายปีกไปทางด้านการเงินและการเมือง เขาแสดงให้เห็นถึงสายตายาวไกล และความคล่องตัวจัดของเขา ด้วยการสนับสนุน Karensky ในการปฎิวัติครั้งแรกของรัสเซีย ในต้นปี 1917 และเปลี่ยนเข็มทิศ หมุนกลับมาสนับสนุน Bolsheviks ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าเส้นทางของ Bolsheviks น่าจะดีกว่า หรือว่า มันเป็นการวางแผนไว้เป็น 2 ขั้นตอน ตั้งแต่แรก ก่อนจะออกเดินทางกลับจากรัสเซียในต้นเดือนธันวาคม 1917 Thompson ส่งมอบภาระกิจกาชาดเพื่อรัสเซียให้ผู้ช่วยเขา Raymond Robins ให้เป็นคนดูแลต่อ Thompson ได้เตรียมการตั้งแต่ปลายปี 1917 ที่จะเดินทางออกจากPetrograd เพื่อปั่นหุ้นตัวสำคัญ “Bolsheviks Revolution” ไปเสนอขายกับรัฐบาลแถบยุโรป และอเมริกาเอง ก่อนเดินทาง เขาโทรเลขไปหา Thomas W. Lamont ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของ Morgan และกำลังอยู่ที่ปารีส กับ Colonel E.M. House ที่ปรึกษาสุดใหญ่ ของประธานาธิบดี Woodlow Wilson Lamont ได้บันทึกข้อความเกี่ยวกับโทรเลขของ Thompson ไว้ในชีวประวัติของเขา “ขณะ ที่คณะของ House กำลังจะเสร็จสิ้นการเจรจาตามภาระกิจของเขาที่ Paris ในเดือนธันวาคมปี 1917 ผมได้รับโทรเลขที่น่าสนใจอย่างยิ่ง จากเพื่อนนักเรียนเก่า และเป็นเพื่อนร่วมธุรกิจกัน William Boyce Thompson ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่ Petrograd กำลังดูแลเรื่องภาระกิจกาชาดอเมริกันอยู่ที่นั่น” Lamont รีบเดินทางไปลอนดอน เพื่อพบกับ Thompson ซึ่งเดินทางมาจาก Petrograd เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม โดยผ่าน Norway และมาถึงลอนดอนในวันที่ 10 ธันวาคม Thompson และ Lamont กำลังต้องทำเรื่องที่สำคัญที่สุดในลอนดอน คือ กล่อมกลุ่มรัฐมนตรีกิจการสงคราม ของอังกฤษ British War Cabinet ซึ่งขณะนั้น ลงความเห็นกันไปแล้วว่า ไม่เอาพวก Bolsheviks ให้เปลี่ยนใจมาเชื่อว่า พวก Bolsheviksนั้น ได้ควบคุมรัสเซียสำเร็จแล้ว และเป็นพวกที่อังกฤษต้องเลิกต่อต้าน และเปลี่ยนมาให้การสนับสนุนแก่ Lenin และ Trotsky แทน จะเป็นการดีที่สุด นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 5 “ปั่นหุ้น” ตอน 2 ใน ช่วงปลายปี 1917 ขณะที่ Lamont และ Thompson เดินทางมาถึงลอนดอน เพื่อพบนายกรัฐมนตรี Lloyd George ของอังกฤษ ชึ่งดูเหมือนกำลังอ่อนปวกเปียกอยู่ในมือของนักค้าอาวุธผู้ทรงอิทธิพล Sir Basil Zaharoff เป็นข่าวลือทั่วไปในยุโรปว่า ที่ Zaharroff กุม Lloyd George อยู่หมัด เพราะ Zaharoff เป็นคนหาสาวมาบำเรอให้ และ บังเอิญสาวที่ Lloyd Geroge ติดกับ ก็คือ เมียของ Zaharoff นั่นเอง อืม…เกมแบบนี้ เล่นกันมาตลอด แล้วก็มีคนติดกับตลอด Zaharoff ที่ผู้คนเรียกเขาว่า “the Merchant of Death” เป็นนักค้าอาวุธที่รอบจัด เขาค้าขายกับทุกคนที่อยากซื้ออาวุธ จะเป็นประเทศใด ฝ่ายไหน เขาก็ขายให้ทั้งนั้น และก็ร่ำรวยจากการทำธุรกิจเช่นนี้ และจากการที่ค้าขายแบบนี้ และน่าจะรวมทั้ง การส่งสินค้าที่ไม่ใช่อาวุธด้วย ทำให้ Zaharoff มีหูตาที่กว้างขวาง ทำให้ลูกค้าของเขาต่างอยากได้ข ่าววงใน ลับสุดยอดจาก Zaharoff ทั้งสิ้น มีหลายครั้ง ที่ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกา Lloyd George นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ และ Georges Clemenceau นายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส ต้องไปล้อมวงประชุมกัน อยู่ที่บ้านของZaharoff ที่กรุงปารีส ถึงขนาดมีข่าวเล่ากันว่า ก่อนจะมีการเคลื่อนพลไปบุกที่ไหน ส่วนใหญ่ Zaharoff ก็จะถูกเชิญมาหารืออยู่เสมอ หน่วย ข่าวกรองของอังกฤษ บันทึกไว้ว่า “ภายหลัง มีการพบเอกสารที่ระบุว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเอง เอาความลับไปบอก Sir Basil Zaharoff ซึ่งนายกรัฐมนตรี Lloyd George ก็รู้เรื่องนี้ด้วย” นอกจากอ่อนอยู่ในมือของ Zaharoff แล้ว นายกรัฐมนตรี Lloyd George ยังมีคนดันหลังชื่อ Lord Milner อีกด้วย เป็น Lord Milner แห่งสมาคม Round Table ที่แม้ลึกลับ แต่อำนาจสูงเทียมฟ้า เป็นต้นกำเนิดของ think tank ถังความคิดคู่แฝดที่ทรงอิทธิพล Royal Institute of International Affairs (RIIA) ของอังกฤษ และ Council on Foreign Relations (CFR) ของอเมริกา คงพอจำกันได้ นายก รัฐมนตรี Lloyd George ได้ทำรายงานต่อ War Cabinet ว่า ได้สนทนากับนาย Thompson มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากรัสเซีย และได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับรัสเซีย แตกต่างไปจากที่เราได้ยินกัน นาย Thompson เชื่อว่า พวกปฏิวัติ Bolsheviks ทำงานสำเร็จได้ผลดี และคงจะปกครองรัสเซียไปอีกนาน แต่พวกเราฝ่ายสัมพันธมิตร ไม่ได้แสดงความชื่นชม หรือเห็นพ้องกับฝ่ายปฏิวัติเลย และผู้นำการปฏิวัติ Trotsky และ Lenin ไม่ได้ถูกจ้างโดยฝ่ายเยอรมัน และ Lenin ค่อนข้างจะมีลักษณะไปในทางเป็นครูบาอาจารย์ที่น่าเคารพเสียด้วยซ้ำ นาย Thompson ยังแนะนำอีกว่า ฝ่ายสัมพันธมิตร ควรจะมีการออกความเห็น ให้การสนับสนุนแก่พวกปฏิวัติบ้าง และควรมีการแสดงความเห็นนี้ ที่ Petrograd เองด้วย ขณะเดียวกัน ก็ควรมีการพิจารณาเปลี่ยนตัวเจ้าหน้าที่ ของฝ่ายสัมพันธมิตรที่อยู่ที่ Petrograd ที่ไม่เหมาะสมเสียด้วย และฝ่ายสัมพันธมิตรควรจะเข้าใจว่า ขณะนี้รัสเซียไม่ได้มาร่วมอยู่ ในสงครามแล้ว ไม่ว่าจะโดยกองทัพ หรือประชาชน และพวกเราฝ่ายสัมพันธมิตร ควรจะเลือกให้ดีว่า เราต้องการรัสเซีย ที่เป็นเพื่อน หรือรัสเซีย ที่เป็นกลาง แบบไม่เป็นมิตร หลังจากรับทราบรายงานการสนทนาดังกล่าว ของนายกรัฐมนตรี Lloyd George พร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องแล้ว War Cabinet คณะรัฐมนตรีกิจการสงคราม ก็เห็นพ้องที่จะเดินตามคำแนะนำของ Thompson และสนับสนุนพวก Bolsheviks นาย William Boyce Thompson สมกับเป็นเซียนปั่นหุ้นความเสี่ยงสูงจริงๆ Lord Milner ซึ่งสั่งให้ นาย Bruce Lockhart อดีตกงสุลอังกฤษ ที่เคยทำงานอยู่ในรัสเซีย ยืนคอยฟังข่าวอยู่หน้าห้องประชุม เพื่อเตรียมพร้อม ที่จะรายงานและสรุปการประชุมส่งไปให้ พรรคพวกทางรัสเซียดำเนินการอย่างไม่เป็นทางการ กับพวกโซเวียตต่อไป ต้องถือว่าการเสนอขายหุ้น Bolsheviks ของ นายThompson ประสบความสำเร็จอย่างสูง สมกับการเป็นนักปั่นมือเซียน แมงเม่าระดับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ และคณะรัฐมนตรีกิจการสงคราม อ้าปากหวอ ซื้อ “หุ้น Bolsheviks” กันหมดหน้าตัก หลัง จาก Thompson เดินทางกลับไปแล้ว คณะรัฐมนตรีกิจการสงครามของอังกฤษ ก็ได้รับรายงานจากอีกสายข่าว ซึ่งก็อ้างว่า น่าเชื่อถือมากกว่า รายงานนั้นได้บรรยายถึงสรรพคุณ Bolsheviks ตรงกันข้ามกับที่นาย Thompson มาออกหนังสือชี้ชวนไว้ แต่ดูเหมือนมันจะมาสายไป ลงทุนกันจนหมดหน้าตักไปแล้ว รายงานดังกล่าวจึงถูกวางไว้บนโต๊ะ ให้ฝุ่นจับไปแค่นั้นเอง รายงาน นั้น มาถึงโต๊ะรัฐมนตรีกิจการสงคราม ในเดือนเมษายน 1918 จาก General Jan Smuts ว่าเขาได้สนทนากับ General Nieffel หัวหน้ากิจการกองทัพฝรั่งเศส ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากรัสเซีย ได้ความว่า : “Trotsky…. เป็นคนเลวอย่างสมบูรณ์ แม้จะไม่ใช่พวกชอบเยอรมัน แต่เป็นคนขี้โอ่และหลงตัวเอง และการปฏิวัติของตน เขาไม่น่าไว้วางใจ ไม่ว่าในทางได เขามีอำนาจโดยการมีอิทธิพลครอบงำ เหนือ Lockhart, Robins และตัวแทนของฝรั่งเศส…….” สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 01 พ.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 817 Views 0 Reviews
  • Intel เปิด Pop-up Store 5 เมืองทั่วโลก โชว์พลัง AI PC พร้อมเผยโฉมชิป Panther Lake ที่มิวนิก!

    Intel เปิดตัว “AI Experience Store” ใน 5 เมืองใหญ่ทั่วโลก ได้แก่ นิวยอร์ก ลอนดอน ปารีส มิวนิก และโซล เพื่อโปรโมตโน้ตบุ๊ก AI จากแบรนด์ชั้นนำช่วงเทศกาลช้อปปิ้งปลายปี โดยมีทั้ง Asus, Acer, Dell, HP, Lenovo, LG, Microsoft, MSI, Samsung และ Google ร่วมจัดแสดงผลิตภัณฑ์

    ร้าน Pop-up ของ Intel ไม่ได้มีแค่โน้ตบุ๊กทำงานทั่วไปหรือ Chromebook เท่านั้น แต่ยังมีโซนเกมที่ให้ผู้เข้าชมทดลองเล่นเกมดังอย่าง Clair Obscur: Expedition 33, Marvel Rivals และ Battlefield 6 บนเครื่องที่ใช้ชิป AI รุ่นล่าสุด

    แม้ร้านในนิวยอร์กจะเน้นโชว์เครื่องที่มีวางขายอยู่แล้ว แต่ที่มิวนิกกลับมีเซอร์ไพรส์ เมื่อ YouTuber สายเทคโนโลยี “High Yield” พบโน้ตบุ๊กที่ใช้ชิป “Panther Lake” ซึ่งยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ

    Panther Lake คือชิปรุ่นใหม่ของ Intel ที่ใช้กระบวนการผลิต 18A ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุดของบริษัท คาดว่าจะมีประสิทธิภาพสูงกว่า Lunar Lake ถึง 50% ที่ระดับพลังงานเท่ากัน และจะเป็นหัวใจสำคัญของโน้ตบุ๊ก AI รุ่นถัดไป

    อย่างไรก็ตาม แม้ Intel จะพยายามผลักดันแบรนด์ “AI PC” อย่างหนัก แต่ยอดขายกลับยังไม่เป็นไปตามคาด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับชิปรุ่นเก่าอย่าง Raptor Lake ที่ยังขายดีกว่า และการสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 ที่ควรเป็นแรงผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครื่องใหม่ กลับกลายเป็นว่าผู้บริโภคจำนวนมากเลือกหันไปใช้ Mac แทน

    Intel เปิด Pop-up Store ใน 5 เมืองใหญ่ทั่วโลก
    นิวยอร์ก, ลอนดอน, ปารีส, มิวนิก, โซล
    จัดแสดงโน้ตบุ๊ก AI จากแบรนด์ชั้นนำ
    มีโซนเกมให้ทดลองเล่นเกมใหม่ล่าสุด

    การพบชิป Panther Lake ที่มิวนิก
    พบในโน้ตบุ๊กบางรุ่นที่จัดแสดง
    ใช้กระบวนการผลิต 18A ของ Intel
    ประสิทธิภาพสูงกว่า Lunar Lake ถึง 50% ที่พลังงานเท่ากัน

    ความพยายามของ Intel ในการโปรโมต AI PC
    ใช้แบรนด์ “AI Experience” เพื่อดึงดูดผู้บริโภค
    ชูจุดขายด้านการทำงาน, การเรียนรู้, การสร้างสรรค์ และการเล่นเกม

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-opens-pop-up-stores-across-five-cities-featuring-ai-pcs-from-laptop-manufacturers-we-stopped-by-the-nyc-store-and-one-visitor-in-munich-found-panther-lake
    🏬💻 Intel เปิด Pop-up Store 5 เมืองทั่วโลก โชว์พลัง AI PC พร้อมเผยโฉมชิป Panther Lake ที่มิวนิก! Intel เปิดตัว “AI Experience Store” ใน 5 เมืองใหญ่ทั่วโลก ได้แก่ นิวยอร์ก ลอนดอน ปารีส มิวนิก และโซล เพื่อโปรโมตโน้ตบุ๊ก AI จากแบรนด์ชั้นนำช่วงเทศกาลช้อปปิ้งปลายปี โดยมีทั้ง Asus, Acer, Dell, HP, Lenovo, LG, Microsoft, MSI, Samsung และ Google ร่วมจัดแสดงผลิตภัณฑ์ ร้าน Pop-up ของ Intel ไม่ได้มีแค่โน้ตบุ๊กทำงานทั่วไปหรือ Chromebook เท่านั้น แต่ยังมีโซนเกมที่ให้ผู้เข้าชมทดลองเล่นเกมดังอย่าง Clair Obscur: Expedition 33, Marvel Rivals และ Battlefield 6 บนเครื่องที่ใช้ชิป AI รุ่นล่าสุด แม้ร้านในนิวยอร์กจะเน้นโชว์เครื่องที่มีวางขายอยู่แล้ว แต่ที่มิวนิกกลับมีเซอร์ไพรส์ เมื่อ YouTuber สายเทคโนโลยี “High Yield” พบโน้ตบุ๊กที่ใช้ชิป “Panther Lake” ซึ่งยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ Panther Lake คือชิปรุ่นใหม่ของ Intel ที่ใช้กระบวนการผลิต 18A ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุดของบริษัท คาดว่าจะมีประสิทธิภาพสูงกว่า Lunar Lake ถึง 50% ที่ระดับพลังงานเท่ากัน และจะเป็นหัวใจสำคัญของโน้ตบุ๊ก AI รุ่นถัดไป อย่างไรก็ตาม แม้ Intel จะพยายามผลักดันแบรนด์ “AI PC” อย่างหนัก แต่ยอดขายกลับยังไม่เป็นไปตามคาด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับชิปรุ่นเก่าอย่าง Raptor Lake ที่ยังขายดีกว่า และการสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 ที่ควรเป็นแรงผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครื่องใหม่ กลับกลายเป็นว่าผู้บริโภคจำนวนมากเลือกหันไปใช้ Mac แทน ✅ Intel เปิด Pop-up Store ใน 5 เมืองใหญ่ทั่วโลก ➡️ นิวยอร์ก, ลอนดอน, ปารีส, มิวนิก, โซล ➡️ จัดแสดงโน้ตบุ๊ก AI จากแบรนด์ชั้นนำ ➡️ มีโซนเกมให้ทดลองเล่นเกมใหม่ล่าสุด ✅ การพบชิป Panther Lake ที่มิวนิก ➡️ พบในโน้ตบุ๊กบางรุ่นที่จัดแสดง ➡️ ใช้กระบวนการผลิต 18A ของ Intel ➡️ ประสิทธิภาพสูงกว่า Lunar Lake ถึง 50% ที่พลังงานเท่ากัน ✅ ความพยายามของ Intel ในการโปรโมต AI PC ➡️ ใช้แบรนด์ “AI Experience” เพื่อดึงดูดผู้บริโภค ➡️ ชูจุดขายด้านการทำงาน, การเรียนรู้, การสร้างสรรค์ และการเล่นเกม https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-opens-pop-up-stores-across-five-cities-featuring-ai-pcs-from-laptop-manufacturers-we-stopped-by-the-nyc-store-and-one-visitor-in-munich-found-panther-lake
    0 Comments 0 Shares 356 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ – บทนำ 5
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทนำ

    (5)

    ลำพังการโตเร็วของเยอรมัน ก็ทำให้อังกฤษออกอาการแล้ว มันหมายถึง อังกฤษมองว่าเยอรมันกำลังคุกคามอังกฤษ โดยเยอรมันจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม และทำให้เยอรมันเปลี่ยนสถานะ กลายเป็นฝ่ายตรงข้ามกับอังกฤษ โดยการจัดตำแหน่งของอังกฤษเอง

    ไม่ต่างอะไร กับอาการของอเมริกา ที่มองจีน เมื่อราว คศ 2000 ต้นๆ เมื่อเศรษฐกิจของจีนโตอย่างก้าวกระโดด และอเมริกา ก็จัดสถานะจีน ไว้ในตำแหน่ง ที่ต้องจับตามอง อย่างไม่ใว้วางใจ

    สถานะของเยอรมัน เหมือนจะคุกคาม (ความอยากเป็นผู้ครองโลกของ) อังกฤษ มากขึ้นไปอีก ถึงขนาดที่อังกฤษทนอยู่เฉยไม่ได้ เมื่อเยอรมัน ได้รับสัมปทานจากออตโตมาน ให้สร้างทางรถไฟ Berlin Bagdad และไม่ใช่เป็นเส้นทางที่ ผ่านแหล่งน้ำมันอย่างเดียว แต่อังกฤษเห็นว่า เป็นเส้นทางที่เยอรมันจะขนส่งน้ำมันทางบก ในเมโสโปเตเมียได้อย่างอิสระ โดยกองทัพเรืออันเกรียงไกรของอังกฤษ หมดหนทางสกัดกั้น

    เมื่อโอกาสของอังกฤษ ที่จะเข้าไปถึงแหล่งน้ำมันที่เล็งไว้ ดูจะลางเลือนมีอุปสรรค ผู้อื่นก็ไม่ควรมีโอกาสดีกว่าอังกฤษ แผนการกำจัดเยอรมัน จึงต้องเกิดขึ้น

    ความต้องการของอังกฤษที่แท้จริงคือ กำจัดเยอรมันอย่างหมดจด และครอบครองแหล่งน้ำมันในตะวันออกกลางทั้งหมด โดยไม่มีใครมาแย่ง มาแบ่ง มาขวาง เสาหลักทั้ง 3 จึงจะมีครบอย่างแข็งแรง และการเอาโลกใบนี้มาอยู่ในกำมือของตนตลอดกาลนาน จะได้ไม่เป็นแค่ความฝัน

    อังกฤษคิดว่า วิธีเดียว ที่จะทำให้อังกฤษได้ตามที่ต้องการทั้งหมดคือ ต้องสร้างสงคราม !

    เดือนเมษายน คศ 1914 George ที่ 7 กษัตริย์ของอังกฤษ พร้อมด้วยนายกรัฐมนตรี
    Sir Edward Grey จึงเดินทางไปฝรั่งเศส เป็นกรณีพิเศษ เพื่อไปพบประธานาธิบดี Poincare ของฝรั่งเศส ที่ปารีส โดยมีนาย Iswolski ฑูตรัสเซียประจำฝรั่งเศส เข้าร่วมสนทนากัน 3 ประเทศ และด้วยลิ้นการทูตที่ยาวไปถึงใบหู อันแสนโดดเด่นของอังกฤษ ทั้ง 3 ประเทศ ก็ตกลงจับมือกันอย่างเป็นทางการ เพื่อผนึกกำลังด้านการทหารสำหรับต่อสู้ กับฝ่ายเยอรมันและออสเตรียฮังการี

    อันที่จริง ในสังคมอีลิต และชนชั้นสูงอังกฤษ ก็เห็นพ้องกันก่อน ปี คศ 1914 เสียด้วยซ้ำว่า สงครามเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อจะได้จัดระเบียบของยุโรปเสียใหม่ ให้เป็นไปตามที่อังกฤษเห็นเหมาะสม
    เป็นเวลาหลายทศวรรษมาแล้ว ที่อังกฤษใช้วิธีถ่วงอำนาจการควบคุมยุโรป ด้วยการสนับสนุนอาณาจักรออตโตมาน (ตุรกี ในปัจจุบัน) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือขวางทางรัสเซีย ที่กำลังสร้างความก้าวหน้าทางด้านอุตสาหกรรม อังกฤษสนับสนุนตุรกี ให้ควบคุม Dardanelles ทางเข้าแหล่งน้ำจืดของรัสเซีย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากของรัสเซียขณะนั้น แต่การที่ออตโตมาน กลายมาเป็นส่วนหนึ่ง ที่สนับสนุนความเจริญทางเศรษฐกิจ ของเยอรมัน ที่เข้มแข็งขึ้นทุกวันในช่วงปลาย คศ 1900 ถึง 1900 ต้นๆ อังกฤษ จึงต้องปรับดุลยอำนาจ และแผนการทูต ที่เกี่ยวข้องเสียใหม่

    อังกฤษเริ่มแผน ด้วยการปรับสัมพันธ์การทูต เปลี่ยนมิตรเป็นศัตรู และเปลี่ยนศัตรูเป็นมิตร ตามผลประโยชน์ของอังกฤษ อังกฤษใช้ผลประโยชน์อย่างเดียว เป็นเครื่องวัดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และในกรณีนี้ ออตโตมาน ซึ่งเคยเป็นมิตรที่ดีกับอังกฤษ เสมอมา จึงถูกปรับสถานะใหม่ ให้เป็นศัตรู และไม่ใช่ศัตรูธรรมดา เป็นศัตรูที่ต้องถูกลงโทษ จนไม่เหลือประเทศ เพราะไปคบกับเยอรมัน ที่อังกฤษยกระดับให้เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งไปแล้ว และเพราะออตโตมานมีแหล่งน้ำมันที่อังกฤษตั้งใจจะครอบครองให้ได้ แต่ออตโตมานกำลังทำตัว ให้เยอรมันมีโอกาสได้แหล่งน้ำมัน ที่อังกฤษเล็งไว้ไปแทน

    ส่วนรัสเซีย ซึ่งอังกฤษเคยมองอย่างไม่ไว้ใจ คราวนี้จึงถูกหลอก มาให้ช่วยกำจัดออตโตมาน ซึ่งอังกฤษก็น่าจะมีเป้าหมาย ให้รัสเซียมีชะตากรรมไม่ต่างกับออตโตมาน เช่นกัน

    อังกฤษ มีความไม่พอใจรัสเซียสะสมอยู่แล้ว ที่รัสเซียเอง ก็มีแผนที่จะสร้างทางรถไฟสาย Trans-Siberia ยาว 5,400 ไมล์ ไปถึงเมืองท่า Vladivostock ทางตะวันออกไกลของรัสเซีย ตั้งแต่ ประมาณ คศ 1890 ต้นๆ ถ้ารัสเซียสร้างสำเร็จ จะทำให้รัสเซียเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว และเป็นสิ่งที่อังกฤษยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้เช่นเดียวกัน อังกฤษเป็นโรคแพ้ทางรถไฟของผู้อื่นจริงๆ อังกฤษพยายามเสี้ยม ให้เกิดสงครามบอลข่านหลายครั้ง เพื่อขวางการสร้างทางรถไฟ สาย Trans-Siberia แต่ในที่สุด ในปี คศ 1903 Trans-Siberia ก็สร้างสำเร็จ

    แต่รัสเซีย ก็หนีไม่พ้นมือขวางของอังกฤษ คศ 1904 อังกฤษ สนับสนุนให้ญี่ปุ่นบุกรัสเซียทางไซบีเรีย รัสเซียแพ้ญี่ปุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากนั้น ภายในรัสเซียเองก็เริ่มระส่ำระสาย มีการแบ่งข้าง แบ่งฝ่าย วุ่นวายไปหมด ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าน่าจะต้านอังกฤษต่อไม่ไหว ควรกลับไปอ่อนข้อกับอังกฤษ อีกฝ่ายหนึ่ง คือฝ่ายที่สนับสนุนให้มีการสร้างทางรถไฟ บอกว่า ถ้ารัสเซียยอมอังกฤษเที่ยวนี้อีก ก็คงต้องยอมไปตลอดชาติ

    ซาร์นิโคลัส ที่ 2 ตัดสินใจตามความเห็นของฝ่ายแรก ปลดรัฐมนตรีที่แนะนำให้สร้างทางรถไฟ และ ตกลงยอมอ่อนข้อให้อังกฤษ แล้วรัสเซียก็เสียสิทธิในการปกครองอาฟกานิสถาน กับดินแดนบางส่วนในอิหร่านให้อังกฤษไปด้วย เป็นบทเรียนที่รัสเซียไม่ควรลืม

    ปี คศ 1907 อังกฤษ กล่อมฝรั่งเศสและรัสเซีย มาร่วมเป็นสัมพันธมิตร Triple Entente โดยมีเป้าหมายแรก เพื่อล๊อกคอ 2 สหาย แยกออกมาจากฝั่งเยอรมันเสียก่อน เพื่อก้าวไปยังเป้าหมายต่อไป คือการทำสงครามกับเยอรมัน รัสเซียคงแพ้ทางอังกฤษ เดินหมากผิดติดต่อกัน
    หลังจากล๊อกคอ 2 สหายมาได้แล้ว อังกฤษ ก็ยุให้เกิดสงครามบอลข่าน 1 ในปี คศ 1912 บุลกาเรีย กรีก และเซอร์เบีย ทำสงครามกับออตโตมาน ซึ่งกำลังเริ่มเป็นคนป่วย (ทางเศรษฐกิจ) ของยุโรป อังกฤษเห็นว่า ไม่มีโอกาสไหนจะดีกว่า ทุบคนเวลาป่วย มีแต่ชนะไม่มีแพ้ แล้วออตโตมานก็น่วมตามคาด รอเวลาถูกทึ้ง

    บอลข่าน 1 เกิดขึ้นแล้ว แต่เยอรมันอาจมีตัวช่วยเหลืออยู่ บอลข่าน 2 จึงต้องเกิดขึ้น โดยโรมาเนียออกมาช่วยอัดกลับบุลกาเรีย อัดกันไปอัดกันมา ผลสุดท้ายอ่อนล้าไปทั้งคู่ ทั้งหมดเป็นการเตรียมการของอังกฤษในการเข้าเข้าสู่สงคราม ที่อังกฤษเรียกว่า The Great Game ที่อังกฤษวางแผนไว้เอง

    ด้วยสงครามเท่านั้น ที่จะทำลายเยอรมันจนหมดสภาพ ทำลายจักรออตโตมานจนไม่เหลือเค้าเดิม เพื่ออังกฤษจะได้เขียนแผนที่ตะวันออกกลางเสียใหม่ จัดสรร แบ่งแหล่งน้ำมันกันใหม่ กับผู้ที่ชนะสงคราม และเปิดตลาดให้นักล่ารุ่นใหม่เข้าไปแล่เนื้อเถือหนังของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ

    3 อาณาจักรใหญ่ มีประวัติศาสตร์ยืนยาว และน่าจะยังยั่งยืนได้ต่อไป ออตโตมาน เยอรมัน รัสเซีย จึงถูกวางแผนให้ล่มสลาย

    3 เดือนหลังจากที่อังกฤษ ไปจับมือกับฝรั่งเศสและรัสเซียที่ปารีส วันที่ 28 กรกฎาคม คศ 1914 อาชดยุก ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ รัชทายาทของราชวงศ์ออสเตรีย ก็ถูกลอบยิง ที่เมืองเซราเยโว โดยชาวเซอร์เบีย ที่มีข่าวลือว่าเป็นสายลับของอังกฤษ

    แล้วสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เริ่มขึ้นตามแผนของอังกฤษ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    22 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – บทนำ 5 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทนำ (5) ลำพังการโตเร็วของเยอรมัน ก็ทำให้อังกฤษออกอาการแล้ว มันหมายถึง อังกฤษมองว่าเยอรมันกำลังคุกคามอังกฤษ โดยเยอรมันจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม และทำให้เยอรมันเปลี่ยนสถานะ กลายเป็นฝ่ายตรงข้ามกับอังกฤษ โดยการจัดตำแหน่งของอังกฤษเอง ไม่ต่างอะไร กับอาการของอเมริกา ที่มองจีน เมื่อราว คศ 2000 ต้นๆ เมื่อเศรษฐกิจของจีนโตอย่างก้าวกระโดด และอเมริกา ก็จัดสถานะจีน ไว้ในตำแหน่ง ที่ต้องจับตามอง อย่างไม่ใว้วางใจ สถานะของเยอรมัน เหมือนจะคุกคาม (ความอยากเป็นผู้ครองโลกของ) อังกฤษ มากขึ้นไปอีก ถึงขนาดที่อังกฤษทนอยู่เฉยไม่ได้ เมื่อเยอรมัน ได้รับสัมปทานจากออตโตมาน ให้สร้างทางรถไฟ Berlin Bagdad และไม่ใช่เป็นเส้นทางที่ ผ่านแหล่งน้ำมันอย่างเดียว แต่อังกฤษเห็นว่า เป็นเส้นทางที่เยอรมันจะขนส่งน้ำมันทางบก ในเมโสโปเตเมียได้อย่างอิสระ โดยกองทัพเรืออันเกรียงไกรของอังกฤษ หมดหนทางสกัดกั้น เมื่อโอกาสของอังกฤษ ที่จะเข้าไปถึงแหล่งน้ำมันที่เล็งไว้ ดูจะลางเลือนมีอุปสรรค ผู้อื่นก็ไม่ควรมีโอกาสดีกว่าอังกฤษ แผนการกำจัดเยอรมัน จึงต้องเกิดขึ้น ความต้องการของอังกฤษที่แท้จริงคือ กำจัดเยอรมันอย่างหมดจด และครอบครองแหล่งน้ำมันในตะวันออกกลางทั้งหมด โดยไม่มีใครมาแย่ง มาแบ่ง มาขวาง เสาหลักทั้ง 3 จึงจะมีครบอย่างแข็งแรง และการเอาโลกใบนี้มาอยู่ในกำมือของตนตลอดกาลนาน จะได้ไม่เป็นแค่ความฝัน อังกฤษคิดว่า วิธีเดียว ที่จะทำให้อังกฤษได้ตามที่ต้องการทั้งหมดคือ ต้องสร้างสงคราม ! เดือนเมษายน คศ 1914 George ที่ 7 กษัตริย์ของอังกฤษ พร้อมด้วยนายกรัฐมนตรี Sir Edward Grey จึงเดินทางไปฝรั่งเศส เป็นกรณีพิเศษ เพื่อไปพบประธานาธิบดี Poincare ของฝรั่งเศส ที่ปารีส โดยมีนาย Iswolski ฑูตรัสเซียประจำฝรั่งเศส เข้าร่วมสนทนากัน 3 ประเทศ และด้วยลิ้นการทูตที่ยาวไปถึงใบหู อันแสนโดดเด่นของอังกฤษ ทั้ง 3 ประเทศ ก็ตกลงจับมือกันอย่างเป็นทางการ เพื่อผนึกกำลังด้านการทหารสำหรับต่อสู้ กับฝ่ายเยอรมันและออสเตรียฮังการี อันที่จริง ในสังคมอีลิต และชนชั้นสูงอังกฤษ ก็เห็นพ้องกันก่อน ปี คศ 1914 เสียด้วยซ้ำว่า สงครามเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อจะได้จัดระเบียบของยุโรปเสียใหม่ ให้เป็นไปตามที่อังกฤษเห็นเหมาะสม เป็นเวลาหลายทศวรรษมาแล้ว ที่อังกฤษใช้วิธีถ่วงอำนาจการควบคุมยุโรป ด้วยการสนับสนุนอาณาจักรออตโตมาน (ตุรกี ในปัจจุบัน) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือขวางทางรัสเซีย ที่กำลังสร้างความก้าวหน้าทางด้านอุตสาหกรรม อังกฤษสนับสนุนตุรกี ให้ควบคุม Dardanelles ทางเข้าแหล่งน้ำจืดของรัสเซีย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากของรัสเซียขณะนั้น แต่การที่ออตโตมาน กลายมาเป็นส่วนหนึ่ง ที่สนับสนุนความเจริญทางเศรษฐกิจ ของเยอรมัน ที่เข้มแข็งขึ้นทุกวันในช่วงปลาย คศ 1900 ถึง 1900 ต้นๆ อังกฤษ จึงต้องปรับดุลยอำนาจ และแผนการทูต ที่เกี่ยวข้องเสียใหม่ อังกฤษเริ่มแผน ด้วยการปรับสัมพันธ์การทูต เปลี่ยนมิตรเป็นศัตรู และเปลี่ยนศัตรูเป็นมิตร ตามผลประโยชน์ของอังกฤษ อังกฤษใช้ผลประโยชน์อย่างเดียว เป็นเครื่องวัดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และในกรณีนี้ ออตโตมาน ซึ่งเคยเป็นมิตรที่ดีกับอังกฤษ เสมอมา จึงถูกปรับสถานะใหม่ ให้เป็นศัตรู และไม่ใช่ศัตรูธรรมดา เป็นศัตรูที่ต้องถูกลงโทษ จนไม่เหลือประเทศ เพราะไปคบกับเยอรมัน ที่อังกฤษยกระดับให้เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งไปแล้ว และเพราะออตโตมานมีแหล่งน้ำมันที่อังกฤษตั้งใจจะครอบครองให้ได้ แต่ออตโตมานกำลังทำตัว ให้เยอรมันมีโอกาสได้แหล่งน้ำมัน ที่อังกฤษเล็งไว้ไปแทน ส่วนรัสเซีย ซึ่งอังกฤษเคยมองอย่างไม่ไว้ใจ คราวนี้จึงถูกหลอก มาให้ช่วยกำจัดออตโตมาน ซึ่งอังกฤษก็น่าจะมีเป้าหมาย ให้รัสเซียมีชะตากรรมไม่ต่างกับออตโตมาน เช่นกัน อังกฤษ มีความไม่พอใจรัสเซียสะสมอยู่แล้ว ที่รัสเซียเอง ก็มีแผนที่จะสร้างทางรถไฟสาย Trans-Siberia ยาว 5,400 ไมล์ ไปถึงเมืองท่า Vladivostock ทางตะวันออกไกลของรัสเซีย ตั้งแต่ ประมาณ คศ 1890 ต้นๆ ถ้ารัสเซียสร้างสำเร็จ จะทำให้รัสเซียเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว และเป็นสิ่งที่อังกฤษยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้เช่นเดียวกัน อังกฤษเป็นโรคแพ้ทางรถไฟของผู้อื่นจริงๆ อังกฤษพยายามเสี้ยม ให้เกิดสงครามบอลข่านหลายครั้ง เพื่อขวางการสร้างทางรถไฟ สาย Trans-Siberia แต่ในที่สุด ในปี คศ 1903 Trans-Siberia ก็สร้างสำเร็จ แต่รัสเซีย ก็หนีไม่พ้นมือขวางของอังกฤษ คศ 1904 อังกฤษ สนับสนุนให้ญี่ปุ่นบุกรัสเซียทางไซบีเรีย รัสเซียแพ้ญี่ปุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากนั้น ภายในรัสเซียเองก็เริ่มระส่ำระสาย มีการแบ่งข้าง แบ่งฝ่าย วุ่นวายไปหมด ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าน่าจะต้านอังกฤษต่อไม่ไหว ควรกลับไปอ่อนข้อกับอังกฤษ อีกฝ่ายหนึ่ง คือฝ่ายที่สนับสนุนให้มีการสร้างทางรถไฟ บอกว่า ถ้ารัสเซียยอมอังกฤษเที่ยวนี้อีก ก็คงต้องยอมไปตลอดชาติ ซาร์นิโคลัส ที่ 2 ตัดสินใจตามความเห็นของฝ่ายแรก ปลดรัฐมนตรีที่แนะนำให้สร้างทางรถไฟ และ ตกลงยอมอ่อนข้อให้อังกฤษ แล้วรัสเซียก็เสียสิทธิในการปกครองอาฟกานิสถาน กับดินแดนบางส่วนในอิหร่านให้อังกฤษไปด้วย เป็นบทเรียนที่รัสเซียไม่ควรลืม ปี คศ 1907 อังกฤษ กล่อมฝรั่งเศสและรัสเซีย มาร่วมเป็นสัมพันธมิตร Triple Entente โดยมีเป้าหมายแรก เพื่อล๊อกคอ 2 สหาย แยกออกมาจากฝั่งเยอรมันเสียก่อน เพื่อก้าวไปยังเป้าหมายต่อไป คือการทำสงครามกับเยอรมัน รัสเซียคงแพ้ทางอังกฤษ เดินหมากผิดติดต่อกัน หลังจากล๊อกคอ 2 สหายมาได้แล้ว อังกฤษ ก็ยุให้เกิดสงครามบอลข่าน 1 ในปี คศ 1912 บุลกาเรีย กรีก และเซอร์เบีย ทำสงครามกับออตโตมาน ซึ่งกำลังเริ่มเป็นคนป่วย (ทางเศรษฐกิจ) ของยุโรป อังกฤษเห็นว่า ไม่มีโอกาสไหนจะดีกว่า ทุบคนเวลาป่วย มีแต่ชนะไม่มีแพ้ แล้วออตโตมานก็น่วมตามคาด รอเวลาถูกทึ้ง บอลข่าน 1 เกิดขึ้นแล้ว แต่เยอรมันอาจมีตัวช่วยเหลืออยู่ บอลข่าน 2 จึงต้องเกิดขึ้น โดยโรมาเนียออกมาช่วยอัดกลับบุลกาเรีย อัดกันไปอัดกันมา ผลสุดท้ายอ่อนล้าไปทั้งคู่ ทั้งหมดเป็นการเตรียมการของอังกฤษในการเข้าเข้าสู่สงคราม ที่อังกฤษเรียกว่า The Great Game ที่อังกฤษวางแผนไว้เอง ด้วยสงครามเท่านั้น ที่จะทำลายเยอรมันจนหมดสภาพ ทำลายจักรออตโตมานจนไม่เหลือเค้าเดิม เพื่ออังกฤษจะได้เขียนแผนที่ตะวันออกกลางเสียใหม่ จัดสรร แบ่งแหล่งน้ำมันกันใหม่ กับผู้ที่ชนะสงคราม และเปิดตลาดให้นักล่ารุ่นใหม่เข้าไปแล่เนื้อเถือหนังของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ 3 อาณาจักรใหญ่ มีประวัติศาสตร์ยืนยาว และน่าจะยังยั่งยืนได้ต่อไป ออตโตมาน เยอรมัน รัสเซีย จึงถูกวางแผนให้ล่มสลาย 3 เดือนหลังจากที่อังกฤษ ไปจับมือกับฝรั่งเศสและรัสเซียที่ปารีส วันที่ 28 กรกฎาคม คศ 1914 อาชดยุก ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ รัชทายาทของราชวงศ์ออสเตรีย ก็ถูกลอบยิง ที่เมืองเซราเยโว โดยชาวเซอร์เบีย ที่มีข่าวลือว่าเป็นสายลับของอังกฤษ แล้วสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เริ่มขึ้นตามแผนของอังกฤษ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 22 เม.ย. 2558
    0 Comments 0 Shares 630 Views 0 Reviews
  • “สม รังสี” ประกาศตั้ง “รัฐบาลกัมพูชาอิสระ 23 ตุลาคม” เคลื่อนไหวทั้งใต้ดินบนดิน นำหลักการข้อตกลงสันติภาพปารีสปี 2534 มาปกครองกัมพูชา ขับไล่ “ระบอบฮุนเซน” ที่ทำลายประชาธิปไตย สมคบกับโจรเปลี่ยนกัมพูชาเป็นศูนย์กลางอาชญากรรมระดับโลก ย้ำกัมพูชาต้องได้เอกราชโดยสมบูรณ์ เป็นกลาง ปิดฐานทัพเรือเรียมของจีนและฐานทัพต่างประเทศอื่นๆ ทั้งหมด

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000101325

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    “สม รังสี” ประกาศตั้ง “รัฐบาลกัมพูชาอิสระ 23 ตุลาคม” เคลื่อนไหวทั้งใต้ดินบนดิน นำหลักการข้อตกลงสันติภาพปารีสปี 2534 มาปกครองกัมพูชา ขับไล่ “ระบอบฮุนเซน” ที่ทำลายประชาธิปไตย สมคบกับโจรเปลี่ยนกัมพูชาเป็นศูนย์กลางอาชญากรรมระดับโลก ย้ำกัมพูชาต้องได้เอกราชโดยสมบูรณ์ เป็นกลาง ปิดฐานทัพเรือเรียมของจีนและฐานทัพต่างประเทศอื่นๆ ทั้งหมด อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000101325 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    Like
    Love
    5
    0 Comments 0 Shares 578 Views 0 Reviews
  • ทำหน้าที่ ขุดคุ้ย สอดส่อง ฉวยโฉบเอกสาร แต่ถ้าใครคิดว่าแบนี้อิหร่านคงโป๊ไม่เหลือ เรียกว่ายังไม่รู้จักอิหร่านจริง!

    แล้วก็เป็นไปตามคาด การเจรจาไม่เป็นผล ตกลงกันไม่ได้ วันสิ้นสุดการเจรจา ต้องมีการต่ออายุไปถึงกลางปี 2015 แสดงว่า อิสราเอลยังทำภาระกิจไม่สำเร็จ ระหว่างนี้หากมีการเปลี่ยนค่าย เปลี่ยนพฤติกรรม พวกซุ่มเงียบเปลี่ยนใจเปิดตัว อิสราเอลจะเอาอยู่ไหม น้ำมันในตะวันออกกลาง ยังเป็นของรัก ของหวง ของนักล่าใบตองแห้งและพวก โดยเฉพาะลูกพี่ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ที่กบไต๋เงียบกริบ และใช้นักล่า ออกหน้าแทน… อย่างเคย

    จะเห็นว่าอิสราเอล กำลังเล่นบทหนัก ในการหนุน หรือ ผลักดัน การขยับหมากของนักล่าใบตองแห้ง นอกจากนี้ อิสราเอลยังมีเป้าหมาย ลับลึกซ่อนอยู่อีกหลายเรื่อง

    ถ้าสังเกตกัน จะเห็นว่า อิสราเอล พยายามเน้นให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ฝรั่งเศส เป็นเรื่องการรังแกยิว โดยนาย Liberman รัฐมนตรีต่างประเทศของอิสราเอล ซึ่งไปเดินแถวคล้องแขนที่ปารีสด้วย บอกว่า เขาดู CNN แล้ว ปรากฏว่า ไม่มีการเสนอข่าวในมุมของชาวยิวเลยนะ เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต Kosher ที่ยิงกัน ก็เป็นของชาวยิว หรือ พวกตัวประกัน ก็เป็นพวกชาวยิว พร้อมพูดว่า
    ” เราควรต้องพูดกันอย่างซื่อสัตย์ ไม่ต้องอาย และ เอาทุกอย่างวางบนโต๊ะ เพราะที่มาของการฆาตกรรมหมู่ชาวยิว มาจากมุสลิมเคร่งจัดด้านหนึ่ง และการด่าชาวยิวอย่างรุนแรงและไม่มีเหตุผลอีกด้านหนึ่ง”

    นี่ก็เป็นการให้ข่าวแบบกาฝาก คราวนี้ฝากไปให้ใคร

    ฝรั่งเศส มีชาวยิวอาศัยอยู่จำนวนมาก ไม่ต่ำกว่า 6 แสนคน นับเป็นอันดับ 3 ในโลก รองจากอิสราเอล และอเมริกา และฝรั่งเศส อีกเช่นเดียวกัน ที่มีคนนับถืออิสลามอาศัยอยู่มากที่สุดในยุโรป มีจำนวนไม่น้อยกว่า 4.7 ล้านคน ถึง 7.7 ล้านคน แล้วแต่แหล่งที่มาของข้อมูล

    ยูเครน ที่กำลังเล่นกันจนเละ จะกลายเป็นโรงละครสัตว์อยู่แล้วนั้น อิสราเอลก็แอบสนับสนุนฝ่ายที่ต่อสู้กับคุณพี่ปูตินอย่างเงียบ เชียบ แต่แข็งขัน อย่าลืมว่า คุณนาย Nuland นางเหยี่ยวของอเมริกา เจ้าของวลีเด็ด **** EU เป็นคนเลือกนาย Yatsenyuk ยิวหนุ่ม ไปเป็นนายกรัฐมนตรียูเครน ยูเครนจึง ไม่ได้เป็นเพียงสนามชิงท่อส่งแก๊ส มีหลายฝ่าย แอบหวังที่จะเอายูเครน เป็นบ้านยิวสาขา 2

    ฝรั่งเศสจึงน่าสนใจ ที่จะใช้เป็นสนามทดลอง หรือห้องทดลอง ทฤษฏีต่างๆ ก่อนมีการปฏิบัติการณ์ของจริง เพื่อดูปฏิกริยา การโต้ตอบ และกำลังสนับสนุนของแต่ละฝ่าย

    ในการทำศึกสงคราม แต่ละฝ่าย ต่างมียุทธศาสตร์ และต่างมีวาระซ่อนเร้น ซึ่งเราอาจจะยังเห็นไม่หมด มองไม่ชัดในตอนนี้ เพราะพวกเขาคงจะยังไม่เปิดฉากแสดงกันที่สถานที่จริง หรือถ้าเปิด มันก็ดูเป็นฉาก ที่ไม่ต่อเนื่องกัน

    เช่นเรื่องยูเครนกับตะวันออกกลาง อาจเกี่ยวโยงกันอย่างที่เรานึกไม่ถึง และเช่นเดียวกับการลงมติ คว่ำบาตรรัสเซีย ที่กลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป กำลังทดสอบความแข็งของข้อกัน และคงจะรู้กันเร็วๆนี้ ว่า ใครกันแน่ ที่ข้อแข็งในสหภาพยุโรป

    ส่วนเรื่องการคว่ำบาตรอิหร่าน ซึ่งสมาชิกรัฐสภาอเมริกันกลุ่มหนึ่ง กำลังกระเหี้ยน กระหือรือ ที่จะยื่นเรื่องให้รัฐสภา ลงมติเพิ่มการคว่ำบาตรอิหร่านเพิ่ม ทั้งที่การเจรจาเรื่องพัฒนานิวเคลียร์ ที่เพิ่งเริ่ม หลังจากมีการต่ออายุใหม่ และมีข่าวว่า นายโอบามาบอกว่า พยายามจะใช้สิทธิวีโต้ เพราะการเจรจากับอิหร่านยังไปได้อยู่

    คงจะไม่เป็นเรื่องน่าแปลกใจ ถ้าการพยายามคว่ำบาตรอิหร่านเพิ่มนั้น ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มยิว ทั้งใน และนอกอเมริกา ถ้าอิหร่านล้มคว่ำตามบาตรในตะวันออกกลาง ที่จะลุกขึ้นตีปีกคืออิสราเอล เพราะถ้าเจอทั้งอิหร่าน และตุรกี พร้อมกัน ในตะวันออกกลาง มันเหนื่อยโว้ย สะกัดไปทีละประเทศ น่าจะดีกว่า ส่วนความฝันเรื่องยูเครน ถ้ารัสเซียหมดแรง ถอบฉากเลิกขวาง อิสราเอลก็หวานคอ เอะ นี่ตกลงเป็นเรื่องของยิวล้วนๆหรือไง แล้วพวกลูกพี่ ทั้งนักล่าใบตองแห้ง และชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ที่คอยกำกับ ทุกรายการ ยังต้องการให้จัดการเรื่องอะไรอีกครับ ?!

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    18 มค. 2558
    ทำหน้าที่ ขุดคุ้ย สอดส่อง ฉวยโฉบเอกสาร แต่ถ้าใครคิดว่าแบนี้อิหร่านคงโป๊ไม่เหลือ เรียกว่ายังไม่รู้จักอิหร่านจริง! แล้วก็เป็นไปตามคาด การเจรจาไม่เป็นผล ตกลงกันไม่ได้ วันสิ้นสุดการเจรจา ต้องมีการต่ออายุไปถึงกลางปี 2015 แสดงว่า อิสราเอลยังทำภาระกิจไม่สำเร็จ ระหว่างนี้หากมีการเปลี่ยนค่าย เปลี่ยนพฤติกรรม พวกซุ่มเงียบเปลี่ยนใจเปิดตัว อิสราเอลจะเอาอยู่ไหม น้ำมันในตะวันออกกลาง ยังเป็นของรัก ของหวง ของนักล่าใบตองแห้งและพวก โดยเฉพาะลูกพี่ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ที่กบไต๋เงียบกริบ และใช้นักล่า ออกหน้าแทน… อย่างเคย จะเห็นว่าอิสราเอล กำลังเล่นบทหนัก ในการหนุน หรือ ผลักดัน การขยับหมากของนักล่าใบตองแห้ง นอกจากนี้ อิสราเอลยังมีเป้าหมาย ลับลึกซ่อนอยู่อีกหลายเรื่อง ถ้าสังเกตกัน จะเห็นว่า อิสราเอล พยายามเน้นให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ฝรั่งเศส เป็นเรื่องการรังแกยิว โดยนาย Liberman รัฐมนตรีต่างประเทศของอิสราเอล ซึ่งไปเดินแถวคล้องแขนที่ปารีสด้วย บอกว่า เขาดู CNN แล้ว ปรากฏว่า ไม่มีการเสนอข่าวในมุมของชาวยิวเลยนะ เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต Kosher ที่ยิงกัน ก็เป็นของชาวยิว หรือ พวกตัวประกัน ก็เป็นพวกชาวยิว พร้อมพูดว่า ” เราควรต้องพูดกันอย่างซื่อสัตย์ ไม่ต้องอาย และ เอาทุกอย่างวางบนโต๊ะ เพราะที่มาของการฆาตกรรมหมู่ชาวยิว มาจากมุสลิมเคร่งจัดด้านหนึ่ง และการด่าชาวยิวอย่างรุนแรงและไม่มีเหตุผลอีกด้านหนึ่ง” นี่ก็เป็นการให้ข่าวแบบกาฝาก คราวนี้ฝากไปให้ใคร ฝรั่งเศส มีชาวยิวอาศัยอยู่จำนวนมาก ไม่ต่ำกว่า 6 แสนคน นับเป็นอันดับ 3 ในโลก รองจากอิสราเอล และอเมริกา และฝรั่งเศส อีกเช่นเดียวกัน ที่มีคนนับถืออิสลามอาศัยอยู่มากที่สุดในยุโรป มีจำนวนไม่น้อยกว่า 4.7 ล้านคน ถึง 7.7 ล้านคน แล้วแต่แหล่งที่มาของข้อมูล ยูเครน ที่กำลังเล่นกันจนเละ จะกลายเป็นโรงละครสัตว์อยู่แล้วนั้น อิสราเอลก็แอบสนับสนุนฝ่ายที่ต่อสู้กับคุณพี่ปูตินอย่างเงียบ เชียบ แต่แข็งขัน อย่าลืมว่า คุณนาย Nuland นางเหยี่ยวของอเมริกา เจ้าของวลีเด็ด Fuck EU เป็นคนเลือกนาย Yatsenyuk ยิวหนุ่ม ไปเป็นนายกรัฐมนตรียูเครน ยูเครนจึง ไม่ได้เป็นเพียงสนามชิงท่อส่งแก๊ส มีหลายฝ่าย แอบหวังที่จะเอายูเครน เป็นบ้านยิวสาขา 2 ฝรั่งเศสจึงน่าสนใจ ที่จะใช้เป็นสนามทดลอง หรือห้องทดลอง ทฤษฏีต่างๆ ก่อนมีการปฏิบัติการณ์ของจริง เพื่อดูปฏิกริยา การโต้ตอบ และกำลังสนับสนุนของแต่ละฝ่าย ในการทำศึกสงคราม แต่ละฝ่าย ต่างมียุทธศาสตร์ และต่างมีวาระซ่อนเร้น ซึ่งเราอาจจะยังเห็นไม่หมด มองไม่ชัดในตอนนี้ เพราะพวกเขาคงจะยังไม่เปิดฉากแสดงกันที่สถานที่จริง หรือถ้าเปิด มันก็ดูเป็นฉาก ที่ไม่ต่อเนื่องกัน เช่นเรื่องยูเครนกับตะวันออกกลาง อาจเกี่ยวโยงกันอย่างที่เรานึกไม่ถึง และเช่นเดียวกับการลงมติ คว่ำบาตรรัสเซีย ที่กลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป กำลังทดสอบความแข็งของข้อกัน และคงจะรู้กันเร็วๆนี้ ว่า ใครกันแน่ ที่ข้อแข็งในสหภาพยุโรป ส่วนเรื่องการคว่ำบาตรอิหร่าน ซึ่งสมาชิกรัฐสภาอเมริกันกลุ่มหนึ่ง กำลังกระเหี้ยน กระหือรือ ที่จะยื่นเรื่องให้รัฐสภา ลงมติเพิ่มการคว่ำบาตรอิหร่านเพิ่ม ทั้งที่การเจรจาเรื่องพัฒนานิวเคลียร์ ที่เพิ่งเริ่ม หลังจากมีการต่ออายุใหม่ และมีข่าวว่า นายโอบามาบอกว่า พยายามจะใช้สิทธิวีโต้ เพราะการเจรจากับอิหร่านยังไปได้อยู่ คงจะไม่เป็นเรื่องน่าแปลกใจ ถ้าการพยายามคว่ำบาตรอิหร่านเพิ่มนั้น ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มยิว ทั้งใน และนอกอเมริกา ถ้าอิหร่านล้มคว่ำตามบาตรในตะวันออกกลาง ที่จะลุกขึ้นตีปีกคืออิสราเอล เพราะถ้าเจอทั้งอิหร่าน และตุรกี พร้อมกัน ในตะวันออกกลาง มันเหนื่อยโว้ย สะกัดไปทีละประเทศ น่าจะดีกว่า ส่วนความฝันเรื่องยูเครน ถ้ารัสเซียหมดแรง ถอบฉากเลิกขวาง อิสราเอลก็หวานคอ เอะ นี่ตกลงเป็นเรื่องของยิวล้วนๆหรือไง แล้วพวกลูกพี่ ทั้งนักล่าใบตองแห้ง และชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ที่คอยกำกับ ทุกรายการ ยังต้องการให้จัดการเรื่องอะไรอีกครับ ?! สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 18 มค. 2558
    0 Comments 0 Shares 569 Views 0 Reviews
  • เรื่อง ห้องทดลอง
    “ห้องทดลอง”

    (1)

    ผ่านไปไม่กี่วัน จากไปเดินเรียงแถวคล้องแขน แสดงความเสียใจกับเหตุการณ์น่า สลดที่ปารีส ฝรั่งเศส เมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม ค.ศ. 2015 ตุรกี ที่ส่งนายกรัฐมนตรี นาย Amed Davutoglu ไปร่วมเดินห่างไม่กี่แถว กับคู่แค้น Benjamin Netanyahu นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล ก็เกิดอาการเบรคแตก

    Independent สื่อค่ายชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ฉบับวันที่ 14 มกราคม 2015 รายงานว่า ประธานาธิบดี RecepTayip Erdogan ของตุรกี ให้ข่าวทันที ว่า

    ” พวกตะวันตก the west กำลังเล่นเกมส์ เล่นกันกลางกรุงปารีส ด้วยโดยการโยนให้มุสลิมเป็นเหยื่อ …คนฝรั่งเศส เป็นคนจัดการให้มีการฆ่า แล้วโยนบาปมาให้คนมุสลิม ฝ่ายข่าวกรองของฝรั่งเศส ไม่รู้จักตามรอยคนออกมาจากคุกหรือไง? หลังจากเกิดเหตุ ก็มีการโจมตีสุเหร่าของอิสลาม …เห็นชัดถึงการตอแหล จอมปลอมของพวกตะวันตก เราไม่เคยมีส่วนร่วมในการก่อการร้ายใดเลย …เบื้องหลังเรื่องนี้ มันเกี่ยวกับการแบ่งแยกเรื่องเชื้อชาติ สร้างคำพูดใส่ร้าย และสร้างความเกลียดชังให้กับพวกมุสลิม”

    “กำลังมีการเล่นเกมส์กับโลกมุสลิม เราต้องรับรู้เรื่องนี้กันไว้ ” นาย Erdogan กล่าวเพิ่ม

    สหภาพมุสลิมในฝรั่งเศสรายงานว่า ตั้งแต่เกิดเหตุ มีเหตุการณ์ที่แสดงถึงการต่อต้านมุสลิมประมาณ 50 รายการ ซึ่งรวมถึงการไล่ยิง และการพยายามเผาสุเหร่า

    นาย Erdogan ยังไม่จบง่ายๆ ด่าฝากแถมไปถึงการไปเดินเรียงแถวของ นาย Netanyahoo ว่า
    เขาทำไปได้ยังไง ทำไมคนที่สั่งฆ่าคน 2,500 คน ที่กาซ่า ยังมีหน้ามาเดินโบกมืออยู่ในปารีส เหมือนมีคนมาคอยต้อนรับด้วยความตื่นเต้น กล้าดีไปเดินอยู่ที่นั่นได้ยังไง ไม่นึกถึง เด็กและผู้หญิง ที่ตัวเองฆ่าบ้างเลยหรือ”

    คงยังไม่หนำใจ นายกเทศมนตรี เมืองหลวง Ankara ของตุรกี ช่วยออกมาเสริมอีก
    ” นี่ต้องเป็นผลงานของ Mossad ( หน่วยสืบราชการลับของอิสราเอล ที่ฝีมือชั่วไม่แพ้ CIA หรืออาจจะมากกว่า! ) อยู่เบื้องหลังแน่นอน เป็นการเพิ่มความรังเกียจต่อคนอิสลาม”

    โห รายการนี้ด่ากันแรงนะครับ ถ้าตุรกีไม่ได้ไปถูกเสี้ยนตำตีน หรือเหยียบไปบนขี้หมากองโต ที่กลางกรุงปารีส ระหว่างเดินเรียงแถวกันละก้อ สงสัยต้องมีเรื่องใหญ่คิดการณ์เอาไว้แล้ว ถึงได้ตอกใส่กันแรงขนาดนี้

    ฝ่ายอิสราเอล ก็ไม่ใช่เล่น ถูกด่าปั้บ ออกมาตอกกลับทันที ยังกะสั่งหนังสือพิมพ์ ให้ออกข่าวรอล่วงหน้า เหมือนกับรู้ว่า อีกฝ่ายจะพูดอะไร

    วันที่ 14 มกราคม วันเดียวกัน หนังสือพิมพ์ the Jerusalem Post ลงข่าวว่า นายกรัฐมนตรี Netanyahoo และรัฐมนตรีต่างประเทศ นาย Avigdor Liberman บอกว่า นาย Erdogan ของตุรกี เป็นพวกเกลียดยิว anti-Semitic เป็นเพื่อนบ้านจอมป่วน และกล่าวอ้อมๆว่า ตุรกีให้การสนับสนุนแก่ผู้ก่อการร้าย

    ” การปราบปรามผู้ก่อการร้าย ไม่มีวันทำสำเร็จหรอก ถ้าเรายังใช้วิธีเสแสร้ง หน้าไหว้หลังหลอกกันอยู่อย่างนี้ เราไม่ได้ยินผู้นำระดับโลกคนใดเลย ออกมามาประนามคำพูดของนาย Erdogan ไม่มีสักคนจริงๆ ” นาย Netanyahoo สำทับ

    คำสำทับนี้ดูเหมือนไม่ได้ส่งกลับ ไปที่ นาย Erdogan แต่น่าจะส่งไปไกลกว่านั้น

    เป็นที่รู้กันอยู่ว่า ตอนนี้นายโอบามา ไม่หวานชื่นกับ Nethanyahoo ไม่เหมือน ประธานาธิบดีอเมริกันคนอื่นๆ ที่คอยเอาใจพวกยิว โดยเฉพาะ ก่อนการเลือกตั้ง

    ขณะที่อิสราเอลเหน็บอเมริกา ตุรกี ซึ่งอเมริกามองว่าเป็นลูกกระเป๋งมาตลอด แต่กลับเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลก ที่ให้การสนับสนุนอย่างเปิดเผยต่อ องค์กรฮามาส Hamas ที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวของชาวปาเลสไตน์ และเป็นองค์กรที่อเมริกา และสหภาพยุโรป ต่างขึ้นบัญชีดำ ให้เป็นผู้ก่อการร้ายระดับสำคัญ แต่ดูเหมือนตุรกีจะไม่สนใจ
    แถมล่าสุดเมื่อปลายเดือนธันวา คม ปี 2014 ตุรกีได้เชิญ นาย Khaled Meshaal หัวหน้ากลุ่มฮามาส ไปเยียนตุรกี และเอานาย Meshaal ไปเข้าร่วมประชุมพรรค AKP ของประธานาธิบดี Erdogan ด้วย แน่จริงๆ เรียกว่าท้าทายกันแบบไม่เกรงใจใครเลย
    เอะ แล้วตุรกีต้องเกรงใจใครหรือ?!

    ข่าวหัวหน้าฮามาส ไปเดินฉุยฉายลอยชายอยู่ตุรกี แน่นอนยอมมีคนหงุดหงิด นักล่าใบตองแห้งหงุดหงิดง่ายอ ยู่แล้ว แค่ลมพัดใบตองแห้ง แกว่งแรงไปหน่อย ยังออกเสียงฮึมแฮ่เลย นี่หัวหน้าฮามาส ที่นักล่า อยากขยี้มาหลายรอบ แต่ไม่สำเร็จ ตอนนี้ลงทุนเปลี่ยนแผน ขยี้ไม่ตาย แต่ถ้าซื้อขายอาจจะโอเคมั่งนะ แต่ขอโทษ ฮามาส นอกจากไม่ยอมขายตัวแล้ว ยังไปนั่งสบายใจ เฮฮา กับสุดยอดนักไต่ลวด นายErdogan แชมป์เล่นเกมเสียว เหมือนโชว์ให้ใครดูเสียอีก แบบนี้นักล่าหรือจะปล่อยไปเฉยๆ

    วันที่ 8 มกราคม คศ 2015 คุณหนูเจน Psaki โฆษก กระทรวงการต่างประเทศของนักล่า เลยต้องออกมาทำหน้าเครียดแถลงข่าวว่า

    ” ท่าทีของเราต่อขบวนการฮามาสยังไม่เปลี่ยนนะ ฮามาสคือองค์กรต่างประเทศที่เกี่ยวพันกับการก่อการร้ายมาอย่างต่อเนื่อง และฮามาส ได้แสดงให้เห็นถึงเจตนาอย่างชัดเจนในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา (ช่วงสิงหาคม ปีที่แล้ว) ในความขัดแย้งกับอิสราเอล”

    “เรามีความเป็นห่วงเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตุรกีกับฮามาส และเมื่อรู้ว่า Meshaal ไปเยี่ยมตุรกี เราได้ขอให้รัฐบาลตุรกีกดดันฮามาส เพื่อลดความตึงเครียดและป้องกันความรุนแรง” แหม คุณหนู ช่างไม่มีศิลปะในการพูดเสียเลย มิน่าแถลงข่าวที่ไร ถูกนักข่าวหนุ่มๆ ต้อนจนติดอ่าง ฮา

    ขณะเดียวกันมีข่าวว่า รัฐมนตรีต่างประเทศของตุรกีบอกว่า ตุรกียินดีต้อนรับ Khaled Meshaal หัวหน้าฮามาส หลังจากมีข่าวว่า Meshaal ซึ่งลี้ภัยไปอยู่ที่กาต้าร์ ได้ถูกทางการของกาต้าร์ ขับออกนอกประเทศแล้ว และเขาอาจจะไปตุรกี

    เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศตุรกีบอกว่า ไม่ว่าใคร จะเป็นคนของประเทศใด ก็สามารถเข้าออกตุรกีได้อยู่แล้ว ตราบใดที่ไม่มีปัญหาด้านกฏหมาย นี่มันต้องตอบแบบกลิ้งได้หลายตลบอย่างนี้ สมกับเป็นพวกนักไต่ลวดจริงๆ นักล่าใบตองแห้งน่าจะส่งคุณหนู Psaki มาฝึกงานแถวตุรกีซะหน่อยนะ ฮาอีกครั้ง

    อเมริกา อิสราเอล และตุรกี กำลังมีอะไรคาใจ หรือเล่นบทอะไรกันอยู่หรือ ถึงใช้วิธีเหมือนกาฝาก บินโฉบทิ้งของที่ระลึก แล้วแฉลบข้ามไปต่อ

    #######
    (2)

    ฝ่ายทางกลุ่มฮามาสเองก็ฉุนขาด เมื่อได้ฟังคำวิจารณ์ของอเมริกา เกี่ยวกับการไปนั่งชมวิวตุรกีของนายMehsaal ที่ถ่ายทอดโดยฝีปากของคุณหนู Psaki บอกว่าอเมริกาสามหาว และเหยียดเผ่าพันธ์มากไปแล้ว รัฐบาลอเมริกากำลังไต่อันดับ ทำตัวเข้าข่ายเป็นศัตรูที่แท้จริงของพวกเขาทีเดียว ทั้งนี้ตามคำแถลงของ Al-Qassam Brigades ฝ่ายกองทัพของกลุ่มฮามาส

    ส่วนเรื่องกาต้าร์ขับไล่ นายMeshaal ออกจากประเทศ กาต้าร์ไม่ยืนยัน แต่เมื่อเดือนสิงหาคม ปีที่แล้ว กาต้าร์ขับไล่ระดับหัวหน้าของ Muslim Brotherhood 7 คน ที่กาต้าร์เลี้ยงดูไว้นานแล้วออกจากประเทศ เพื่อเป็นการเอาใจพวกราชวงศ์เสี่ยน้ำมันตะวันออกกลาง และรัฐบาลอียิปต์ อืม มาแปลก

    กาต้าร์ไม่ใช่นายทุนรายเดียวที่สนับสนันเลี้ยงดู Muslim Brotherhood ตุรกีก็สนับสนุนเช่นเดียวกัน

    Muslim Brotherhood เป็นกลุ่มอิสลามฝักใฝ่การเมือง ที่รวมตัวกันขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะโค่นล้มรัฐบาลอิสลาม ที่อยู่ใต้อิทธิพลของอเมริกา ตุรกีย่อมให้การสนับสนุนไว้ก่อน เพราะยังไม่แน่ใจอนาคตของตนเอง ส่วนกาต้าร์ละ เข้าไปเกี่ยวอะไรด้วย

    เมื่ออียิปต์เกิดอาหรับสปริง ที่ไม่แน่ว่า สาเหตุจะมาจากการที่ นายมูบารัค ของอียิปต์มีนโยบายเกี่ยวกับปาเลสไตน์ สวนทางกับอิสราเอลหรือเปล่า และอเมริกาภายใต้การกดดันของอิสราเอล จึงส่งอาหรับสปริง เป็นของขวัญให้นายมูบารัค

    ลูกไปเข้าทางของ Muslim Brotherhood อิยิปต์จึงได้ นาย Mohamed Morsi ของ Muslim Brotherhood มาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเรื่องถูกใจตุรกีอย่างยิ่ง เพราะถ้าอิยิปต์ซึ่งมีอาณาเขต ด้านหนึ่ง ติดกับด้านใต้ของอิสราเอล มีผู้มีอำนาจปกครองเป็นพวกเดียวกับตุรกี เมื่อไหร่ที่อิสราเอลทำซ่า อาละวาดใส่ปาเลสไตน์ที่ตุรกีสนับสนุนมาตลอด ตุรกีกับอิยิปต์ซึ่งมีอาณาเขตประกบหัวท้ายอิสราเอลอยู่ คิดเล่นแซนด์วิช ผลัดกันโยนหัวปลีข้ามใส่อิสราเอล ก็น่าจะลดความกร่างของอิสราเอลไปได้บ้าง
    และก็เพราะการเดินสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบนี้ ในช่วงหลังๆของตุรกี โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับอิสราเอล สัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับตุรกี จึงไม่หวานอย่างเดิม และมีส่วนให้ นาย Morsi ของ Muslim Brotherhood น่าจะถูกใบสั่ง ให้ทหารอียิปต์ทำการปฏิวัติซ้อน ทำเอา นาย Morsi หล่นจากแท่นอำนาจไปอย่างรวดเร็ว หลังจากขึ้นมามีอำนาจได้เพียงปีเดียว ดูกันไว้เป็นตัวอย่างนะครับ ว่าเขาเล่นเกมกันอย่างไร

    นอกจากมีเรื่องกับอิสราเอลแล้ว เรื่องซีเรียก็เป็นปัญหาใหญ่ อเมริกาบอกชักจะเบื่อการเล่นเกมของตุรกี ที่พักหลังมีแต่ all pain, no gain แล้วนะ เราชักอยากให้ตุรกีเลือกข้างมาให้ชัดๆเลย เราไม่สนใจ และไม่เดือดร้อนเลย ถ้าไม่ได้ใช้ฐานทัพของเรา ที่อยู่ในตุรกีเพื่อทำการฝึกให้กับฝ่ายต่อต้านไอซิส หรือต่อต้านซีเรีย เราไม่ได้ต้องการให้กองทัพตุรกี ไปสู้ศึกที่ซีเรีย ที่เราต้องต้องการให้ตุรกีทำคือ ให้ตุรกีไปสืบดูให้ได้ และขจัดเส้นทางเข้าออกของผู้ก่อการร้าย เครือข่ายการธุรกิจ และการเงิน ที่ทำผ่านตุรกี ไปให้ซีเรีย ที่ทำให้กลุ่มผู้ก่อการร้ายนี้โตขึ้นอย่างมากใน 3 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น แต่ตุรกีทำไม่ได้ หรือไม่ทำให้อเมริกา

    จะให้เข้าใจเรื่องนี้ดีขึ้น ผมขอแนะนำให้ท่านผู้อ่าน ไปเอาแผนที่มากางดู อียิปต์อยู่ด้านล่าง ถัดขึ้นมาข้างบนเอียงขวาหน่อย เป็นอิสราเอล เหนืออิสราเอลเป็นเลบานอน ระหว่างอิสราเอลกับเลบานอนมีเนื้อที่แถบเล็กๆ คือปาเลสไตน์ เหนือเลบานอนเป็นซีเรียและอิรัค เหนือชีเรียเป็นตุรกี เหนือตรุกีเป็นจอร์เจีย ใกล้กับเขตแดนรัสเซีย เหนืออิรัคเป็นอิหร่าน ซึ่งมีเขตแดนติดกับรัสเซียยาวเหยียด

    เล่าแผนที่มายาว เพื่อให้เห็นความสำคัญของปาเลสไตน์ เลบานอน ซีเรีย ตุรกี อิรัค และอิหร่าน ซึ่งเหมือนขนมชั้น ขวางทางเข้าสู่รัสเซีย มันเป็นขนมชั้นที่มีความสำคัญ ทั้งในมิติของสงครามภูมิภาค และมิติสงครามโลก !

    และหมากที่จะเดินให้เป็นสงครามภูมิภาค หรือสงครามโลกตัวสำคัญตัวหนึ่งของฝ่ายอเมริกาคือ อิสราเอล ซึ่งมีอิทธิพล และเล่ห์เหลี่ยมสูงมาก ถึงขนาด อาจจะเป็นตัวบีบ ให้อเมริกาเดินหมากตัวอื่นตามที่ตนเองต้องการ เผลอๆอาจจะเหลี่ยมสูง ถึงขนาดบีบให้ตัวอเมริกาเอง เดินตามที่อิสราเอลหลอกให้เดินก็มีทางเป็นไปได้

    ในขณะที่ตุรกีเป็นหมากตัวใหม่ ที่เหมือนแสดงตัวเปิดเผยว่า เราไม่ใช่อยู่ฝ่ายอเมริกาแล้วนะ ตุรกีและ อิหร่าน น่าจะเป็นหมากที่เดินตามจังหวะที่น่าสนใจ ให้กับฝ่ายรัสเซียในตะวันออกกลาง

    การขยับของอิสราเอล ตุรกี และอิหร่าน ย่อมมีความหมาย ไม่น้อยกว่าการขยับของฝรั่งเศส อังกฤษ และเยอรมัน ในยุโรป มันดูเหมือนเป็นคนละเรื่อง แต่มันอาจจะเป็นเรื่องเดียวกัน หรือต่อเนื่องกัน จึงโปรดอย่าลืมจับตา คอยดูการขยับของหมากทั้ง 6 ตัวนี้

    #####
    (3)

    อิหร่าน เป็นหมากอีกตัวที่สำคัญของฝ่ายรัสเซีย เพราะมีข่าวว่า กำลังพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อย่าง ซุ่มเงียบ อเมริกานักล่าใบตองแห้ง แน่นอน ย่อมหงุดหงิดออกอาการ น้ำลายฟูมปาก แต่ก็คิดหนัก เพราะอิหร่านนั้น เหมือนผีดิบคืนชีพ โดนอเมริกาบดขยี้มาหลายรอบ ไม่ตายคาที่เสียที แค่ช้ำใน กลัดหนองอยู่นาน ปล่อยให้อิหร่านพัฒนานิวเคลียร์ไปเรื่อยๆ นอกจากเป็นการเสริมเขี้ยวเล็บให้ ทั้งอิหร่านเอง และช่วยฝ่ายรัสเซียแล้ว ยังทำให้อิสราเอลไข้ขึ้น รู้สึกหนาวสั่นกลางแดดได้ ในตะวันออกกลาง แต่สูตรยาขจัดอิหร่านแบบยกเดียวจบ อเมริกายังคิดไม่สำเร็จ

    อิสราเอลตัวแสบ ต้องรู้อะไรลึกและมีแผนซับซ้อน จึงหนุน แนะ หรือสั่งให้อเมริกาใช้วิธีเจรจากับอิหร่านไปพลางๆก่อน และอเมริกาก็หันมาสั่งสหภาพยุโรปอีกต่อ เจรจากับอิหร่านต่อไปนะพวก เอะ ตกลงใครใหญ่กันแน่

    การเจรจากับอิหร่านในปี 2014 ดูเหมือนราบรื่นดี ผู้ที่รับบทหนักในการเดินสาย เดินสารปั่นหัว เหล่าคณะกรรมการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์ กับอิหร่าน คือ รัฐมนตรีด้านงานข่าวกรอง Minister of Intelligence ของอิสราเอล นาย Yuval Steinitz ซึ่งเดินทางจนนักข่าวแซวว่า ได้ไมล์เลจเป็นบัตรแพลตินั่มหลายใบแล้ว นาย Steinitz เป็นคนไปเอาเอกสารลับมาป้อนให้ คณะกรรมการเจรจา เอาไว้ยันหน้ากับอิหร่าน นอกจากนั้น ทีมงานข่าวกรองของอิสราเอล หน่วยงาน Mossad ก็ทำงานหนัก เพราะเป็นตัวจริง
    เรื่อง ห้องทดลอง “ห้องทดลอง” (1) ผ่านไปไม่กี่วัน จากไปเดินเรียงแถวคล้องแขน แสดงความเสียใจกับเหตุการณ์น่า สลดที่ปารีส ฝรั่งเศส เมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม ค.ศ. 2015 ตุรกี ที่ส่งนายกรัฐมนตรี นาย Amed Davutoglu ไปร่วมเดินห่างไม่กี่แถว กับคู่แค้น Benjamin Netanyahu นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล ก็เกิดอาการเบรคแตก Independent สื่อค่ายชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ฉบับวันที่ 14 มกราคม 2015 รายงานว่า ประธานาธิบดี RecepTayip Erdogan ของตุรกี ให้ข่าวทันที ว่า ” พวกตะวันตก the west กำลังเล่นเกมส์ เล่นกันกลางกรุงปารีส ด้วยโดยการโยนให้มุสลิมเป็นเหยื่อ …คนฝรั่งเศส เป็นคนจัดการให้มีการฆ่า แล้วโยนบาปมาให้คนมุสลิม ฝ่ายข่าวกรองของฝรั่งเศส ไม่รู้จักตามรอยคนออกมาจากคุกหรือไง? หลังจากเกิดเหตุ ก็มีการโจมตีสุเหร่าของอิสลาม …เห็นชัดถึงการตอแหล จอมปลอมของพวกตะวันตก เราไม่เคยมีส่วนร่วมในการก่อการร้ายใดเลย …เบื้องหลังเรื่องนี้ มันเกี่ยวกับการแบ่งแยกเรื่องเชื้อชาติ สร้างคำพูดใส่ร้าย และสร้างความเกลียดชังให้กับพวกมุสลิม” “กำลังมีการเล่นเกมส์กับโลกมุสลิม เราต้องรับรู้เรื่องนี้กันไว้ ” นาย Erdogan กล่าวเพิ่ม สหภาพมุสลิมในฝรั่งเศสรายงานว่า ตั้งแต่เกิดเหตุ มีเหตุการณ์ที่แสดงถึงการต่อต้านมุสลิมประมาณ 50 รายการ ซึ่งรวมถึงการไล่ยิง และการพยายามเผาสุเหร่า นาย Erdogan ยังไม่จบง่ายๆ ด่าฝากแถมไปถึงการไปเดินเรียงแถวของ นาย Netanyahoo ว่า เขาทำไปได้ยังไง ทำไมคนที่สั่งฆ่าคน 2,500 คน ที่กาซ่า ยังมีหน้ามาเดินโบกมืออยู่ในปารีส เหมือนมีคนมาคอยต้อนรับด้วยความตื่นเต้น กล้าดีไปเดินอยู่ที่นั่นได้ยังไง ไม่นึกถึง เด็กและผู้หญิง ที่ตัวเองฆ่าบ้างเลยหรือ” คงยังไม่หนำใจ นายกเทศมนตรี เมืองหลวง Ankara ของตุรกี ช่วยออกมาเสริมอีก ” นี่ต้องเป็นผลงานของ Mossad ( หน่วยสืบราชการลับของอิสราเอล ที่ฝีมือชั่วไม่แพ้ CIA หรืออาจจะมากกว่า! ) อยู่เบื้องหลังแน่นอน เป็นการเพิ่มความรังเกียจต่อคนอิสลาม” โห รายการนี้ด่ากันแรงนะครับ ถ้าตุรกีไม่ได้ไปถูกเสี้ยนตำตีน หรือเหยียบไปบนขี้หมากองโต ที่กลางกรุงปารีส ระหว่างเดินเรียงแถวกันละก้อ สงสัยต้องมีเรื่องใหญ่คิดการณ์เอาไว้แล้ว ถึงได้ตอกใส่กันแรงขนาดนี้ ฝ่ายอิสราเอล ก็ไม่ใช่เล่น ถูกด่าปั้บ ออกมาตอกกลับทันที ยังกะสั่งหนังสือพิมพ์ ให้ออกข่าวรอล่วงหน้า เหมือนกับรู้ว่า อีกฝ่ายจะพูดอะไร วันที่ 14 มกราคม วันเดียวกัน หนังสือพิมพ์ the Jerusalem Post ลงข่าวว่า นายกรัฐมนตรี Netanyahoo และรัฐมนตรีต่างประเทศ นาย Avigdor Liberman บอกว่า นาย Erdogan ของตุรกี เป็นพวกเกลียดยิว anti-Semitic เป็นเพื่อนบ้านจอมป่วน และกล่าวอ้อมๆว่า ตุรกีให้การสนับสนุนแก่ผู้ก่อการร้าย ” การปราบปรามผู้ก่อการร้าย ไม่มีวันทำสำเร็จหรอก ถ้าเรายังใช้วิธีเสแสร้ง หน้าไหว้หลังหลอกกันอยู่อย่างนี้ เราไม่ได้ยินผู้นำระดับโลกคนใดเลย ออกมามาประนามคำพูดของนาย Erdogan ไม่มีสักคนจริงๆ ” นาย Netanyahoo สำทับ คำสำทับนี้ดูเหมือนไม่ได้ส่งกลับ ไปที่ นาย Erdogan แต่น่าจะส่งไปไกลกว่านั้น เป็นที่รู้กันอยู่ว่า ตอนนี้นายโอบามา ไม่หวานชื่นกับ Nethanyahoo ไม่เหมือน ประธานาธิบดีอเมริกันคนอื่นๆ ที่คอยเอาใจพวกยิว โดยเฉพาะ ก่อนการเลือกตั้ง ขณะที่อิสราเอลเหน็บอเมริกา ตุรกี ซึ่งอเมริกามองว่าเป็นลูกกระเป๋งมาตลอด แต่กลับเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลก ที่ให้การสนับสนุนอย่างเปิดเผยต่อ องค์กรฮามาส Hamas ที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวของชาวปาเลสไตน์ และเป็นองค์กรที่อเมริกา และสหภาพยุโรป ต่างขึ้นบัญชีดำ ให้เป็นผู้ก่อการร้ายระดับสำคัญ แต่ดูเหมือนตุรกีจะไม่สนใจ แถมล่าสุดเมื่อปลายเดือนธันวา คม ปี 2014 ตุรกีได้เชิญ นาย Khaled Meshaal หัวหน้ากลุ่มฮามาส ไปเยียนตุรกี และเอานาย Meshaal ไปเข้าร่วมประชุมพรรค AKP ของประธานาธิบดี Erdogan ด้วย แน่จริงๆ เรียกว่าท้าทายกันแบบไม่เกรงใจใครเลย เอะ แล้วตุรกีต้องเกรงใจใครหรือ?! ข่าวหัวหน้าฮามาส ไปเดินฉุยฉายลอยชายอยู่ตุรกี แน่นอนยอมมีคนหงุดหงิด นักล่าใบตองแห้งหงุดหงิดง่ายอ ยู่แล้ว แค่ลมพัดใบตองแห้ง แกว่งแรงไปหน่อย ยังออกเสียงฮึมแฮ่เลย นี่หัวหน้าฮามาส ที่นักล่า อยากขยี้มาหลายรอบ แต่ไม่สำเร็จ ตอนนี้ลงทุนเปลี่ยนแผน ขยี้ไม่ตาย แต่ถ้าซื้อขายอาจจะโอเคมั่งนะ แต่ขอโทษ ฮามาส นอกจากไม่ยอมขายตัวแล้ว ยังไปนั่งสบายใจ เฮฮา กับสุดยอดนักไต่ลวด นายErdogan แชมป์เล่นเกมเสียว เหมือนโชว์ให้ใครดูเสียอีก แบบนี้นักล่าหรือจะปล่อยไปเฉยๆ วันที่ 8 มกราคม คศ 2015 คุณหนูเจน Psaki โฆษก กระทรวงการต่างประเทศของนักล่า เลยต้องออกมาทำหน้าเครียดแถลงข่าวว่า ” ท่าทีของเราต่อขบวนการฮามาสยังไม่เปลี่ยนนะ ฮามาสคือองค์กรต่างประเทศที่เกี่ยวพันกับการก่อการร้ายมาอย่างต่อเนื่อง และฮามาส ได้แสดงให้เห็นถึงเจตนาอย่างชัดเจนในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา (ช่วงสิงหาคม ปีที่แล้ว) ในความขัดแย้งกับอิสราเอล” “เรามีความเป็นห่วงเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตุรกีกับฮามาส และเมื่อรู้ว่า Meshaal ไปเยี่ยมตุรกี เราได้ขอให้รัฐบาลตุรกีกดดันฮามาส เพื่อลดความตึงเครียดและป้องกันความรุนแรง” แหม คุณหนู ช่างไม่มีศิลปะในการพูดเสียเลย มิน่าแถลงข่าวที่ไร ถูกนักข่าวหนุ่มๆ ต้อนจนติดอ่าง ฮา ขณะเดียวกันมีข่าวว่า รัฐมนตรีต่างประเทศของตุรกีบอกว่า ตุรกียินดีต้อนรับ Khaled Meshaal หัวหน้าฮามาส หลังจากมีข่าวว่า Meshaal ซึ่งลี้ภัยไปอยู่ที่กาต้าร์ ได้ถูกทางการของกาต้าร์ ขับออกนอกประเทศแล้ว และเขาอาจจะไปตุรกี เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศตุรกีบอกว่า ไม่ว่าใคร จะเป็นคนของประเทศใด ก็สามารถเข้าออกตุรกีได้อยู่แล้ว ตราบใดที่ไม่มีปัญหาด้านกฏหมาย นี่มันต้องตอบแบบกลิ้งได้หลายตลบอย่างนี้ สมกับเป็นพวกนักไต่ลวดจริงๆ นักล่าใบตองแห้งน่าจะส่งคุณหนู Psaki มาฝึกงานแถวตุรกีซะหน่อยนะ ฮาอีกครั้ง อเมริกา อิสราเอล และตุรกี กำลังมีอะไรคาใจ หรือเล่นบทอะไรกันอยู่หรือ ถึงใช้วิธีเหมือนกาฝาก บินโฉบทิ้งของที่ระลึก แล้วแฉลบข้ามไปต่อ ####### (2) ฝ่ายทางกลุ่มฮามาสเองก็ฉุนขาด เมื่อได้ฟังคำวิจารณ์ของอเมริกา เกี่ยวกับการไปนั่งชมวิวตุรกีของนายMehsaal ที่ถ่ายทอดโดยฝีปากของคุณหนู Psaki บอกว่าอเมริกาสามหาว และเหยียดเผ่าพันธ์มากไปแล้ว รัฐบาลอเมริกากำลังไต่อันดับ ทำตัวเข้าข่ายเป็นศัตรูที่แท้จริงของพวกเขาทีเดียว ทั้งนี้ตามคำแถลงของ Al-Qassam Brigades ฝ่ายกองทัพของกลุ่มฮามาส ส่วนเรื่องกาต้าร์ขับไล่ นายMeshaal ออกจากประเทศ กาต้าร์ไม่ยืนยัน แต่เมื่อเดือนสิงหาคม ปีที่แล้ว กาต้าร์ขับไล่ระดับหัวหน้าของ Muslim Brotherhood 7 คน ที่กาต้าร์เลี้ยงดูไว้นานแล้วออกจากประเทศ เพื่อเป็นการเอาใจพวกราชวงศ์เสี่ยน้ำมันตะวันออกกลาง และรัฐบาลอียิปต์ อืม มาแปลก กาต้าร์ไม่ใช่นายทุนรายเดียวที่สนับสนันเลี้ยงดู Muslim Brotherhood ตุรกีก็สนับสนุนเช่นเดียวกัน Muslim Brotherhood เป็นกลุ่มอิสลามฝักใฝ่การเมือง ที่รวมตัวกันขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะโค่นล้มรัฐบาลอิสลาม ที่อยู่ใต้อิทธิพลของอเมริกา ตุรกีย่อมให้การสนับสนุนไว้ก่อน เพราะยังไม่แน่ใจอนาคตของตนเอง ส่วนกาต้าร์ละ เข้าไปเกี่ยวอะไรด้วย เมื่ออียิปต์เกิดอาหรับสปริง ที่ไม่แน่ว่า สาเหตุจะมาจากการที่ นายมูบารัค ของอียิปต์มีนโยบายเกี่ยวกับปาเลสไตน์ สวนทางกับอิสราเอลหรือเปล่า และอเมริกาภายใต้การกดดันของอิสราเอล จึงส่งอาหรับสปริง เป็นของขวัญให้นายมูบารัค ลูกไปเข้าทางของ Muslim Brotherhood อิยิปต์จึงได้ นาย Mohamed Morsi ของ Muslim Brotherhood มาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเรื่องถูกใจตุรกีอย่างยิ่ง เพราะถ้าอิยิปต์ซึ่งมีอาณาเขต ด้านหนึ่ง ติดกับด้านใต้ของอิสราเอล มีผู้มีอำนาจปกครองเป็นพวกเดียวกับตุรกี เมื่อไหร่ที่อิสราเอลทำซ่า อาละวาดใส่ปาเลสไตน์ที่ตุรกีสนับสนุนมาตลอด ตุรกีกับอิยิปต์ซึ่งมีอาณาเขตประกบหัวท้ายอิสราเอลอยู่ คิดเล่นแซนด์วิช ผลัดกันโยนหัวปลีข้ามใส่อิสราเอล ก็น่าจะลดความกร่างของอิสราเอลไปได้บ้าง และก็เพราะการเดินสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบนี้ ในช่วงหลังๆของตุรกี โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับอิสราเอล สัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับตุรกี จึงไม่หวานอย่างเดิม และมีส่วนให้ นาย Morsi ของ Muslim Brotherhood น่าจะถูกใบสั่ง ให้ทหารอียิปต์ทำการปฏิวัติซ้อน ทำเอา นาย Morsi หล่นจากแท่นอำนาจไปอย่างรวดเร็ว หลังจากขึ้นมามีอำนาจได้เพียงปีเดียว ดูกันไว้เป็นตัวอย่างนะครับ ว่าเขาเล่นเกมกันอย่างไร นอกจากมีเรื่องกับอิสราเอลแล้ว เรื่องซีเรียก็เป็นปัญหาใหญ่ อเมริกาบอกชักจะเบื่อการเล่นเกมของตุรกี ที่พักหลังมีแต่ all pain, no gain แล้วนะ เราชักอยากให้ตุรกีเลือกข้างมาให้ชัดๆเลย เราไม่สนใจ และไม่เดือดร้อนเลย ถ้าไม่ได้ใช้ฐานทัพของเรา ที่อยู่ในตุรกีเพื่อทำการฝึกให้กับฝ่ายต่อต้านไอซิส หรือต่อต้านซีเรีย เราไม่ได้ต้องการให้กองทัพตุรกี ไปสู้ศึกที่ซีเรีย ที่เราต้องต้องการให้ตุรกีทำคือ ให้ตุรกีไปสืบดูให้ได้ และขจัดเส้นทางเข้าออกของผู้ก่อการร้าย เครือข่ายการธุรกิจ และการเงิน ที่ทำผ่านตุรกี ไปให้ซีเรีย ที่ทำให้กลุ่มผู้ก่อการร้ายนี้โตขึ้นอย่างมากใน 3 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น แต่ตุรกีทำไม่ได้ หรือไม่ทำให้อเมริกา จะให้เข้าใจเรื่องนี้ดีขึ้น ผมขอแนะนำให้ท่านผู้อ่าน ไปเอาแผนที่มากางดู อียิปต์อยู่ด้านล่าง ถัดขึ้นมาข้างบนเอียงขวาหน่อย เป็นอิสราเอล เหนืออิสราเอลเป็นเลบานอน ระหว่างอิสราเอลกับเลบานอนมีเนื้อที่แถบเล็กๆ คือปาเลสไตน์ เหนือเลบานอนเป็นซีเรียและอิรัค เหนือชีเรียเป็นตุรกี เหนือตรุกีเป็นจอร์เจีย ใกล้กับเขตแดนรัสเซีย เหนืออิรัคเป็นอิหร่าน ซึ่งมีเขตแดนติดกับรัสเซียยาวเหยียด เล่าแผนที่มายาว เพื่อให้เห็นความสำคัญของปาเลสไตน์ เลบานอน ซีเรีย ตุรกี อิรัค และอิหร่าน ซึ่งเหมือนขนมชั้น ขวางทางเข้าสู่รัสเซีย มันเป็นขนมชั้นที่มีความสำคัญ ทั้งในมิติของสงครามภูมิภาค และมิติสงครามโลก ! และหมากที่จะเดินให้เป็นสงครามภูมิภาค หรือสงครามโลกตัวสำคัญตัวหนึ่งของฝ่ายอเมริกาคือ อิสราเอล ซึ่งมีอิทธิพล และเล่ห์เหลี่ยมสูงมาก ถึงขนาด อาจจะเป็นตัวบีบ ให้อเมริกาเดินหมากตัวอื่นตามที่ตนเองต้องการ เผลอๆอาจจะเหลี่ยมสูง ถึงขนาดบีบให้ตัวอเมริกาเอง เดินตามที่อิสราเอลหลอกให้เดินก็มีทางเป็นไปได้ ในขณะที่ตุรกีเป็นหมากตัวใหม่ ที่เหมือนแสดงตัวเปิดเผยว่า เราไม่ใช่อยู่ฝ่ายอเมริกาแล้วนะ ตุรกีและ อิหร่าน น่าจะเป็นหมากที่เดินตามจังหวะที่น่าสนใจ ให้กับฝ่ายรัสเซียในตะวันออกกลาง การขยับของอิสราเอล ตุรกี และอิหร่าน ย่อมมีความหมาย ไม่น้อยกว่าการขยับของฝรั่งเศส อังกฤษ และเยอรมัน ในยุโรป มันดูเหมือนเป็นคนละเรื่อง แต่มันอาจจะเป็นเรื่องเดียวกัน หรือต่อเนื่องกัน จึงโปรดอย่าลืมจับตา คอยดูการขยับของหมากทั้ง 6 ตัวนี้ ##### (3) อิหร่าน เป็นหมากอีกตัวที่สำคัญของฝ่ายรัสเซีย เพราะมีข่าวว่า กำลังพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อย่าง ซุ่มเงียบ อเมริกานักล่าใบตองแห้ง แน่นอน ย่อมหงุดหงิดออกอาการ น้ำลายฟูมปาก แต่ก็คิดหนัก เพราะอิหร่านนั้น เหมือนผีดิบคืนชีพ โดนอเมริกาบดขยี้มาหลายรอบ ไม่ตายคาที่เสียที แค่ช้ำใน กลัดหนองอยู่นาน ปล่อยให้อิหร่านพัฒนานิวเคลียร์ไปเรื่อยๆ นอกจากเป็นการเสริมเขี้ยวเล็บให้ ทั้งอิหร่านเอง และช่วยฝ่ายรัสเซียแล้ว ยังทำให้อิสราเอลไข้ขึ้น รู้สึกหนาวสั่นกลางแดดได้ ในตะวันออกกลาง แต่สูตรยาขจัดอิหร่านแบบยกเดียวจบ อเมริกายังคิดไม่สำเร็จ อิสราเอลตัวแสบ ต้องรู้อะไรลึกและมีแผนซับซ้อน จึงหนุน แนะ หรือสั่งให้อเมริกาใช้วิธีเจรจากับอิหร่านไปพลางๆก่อน และอเมริกาก็หันมาสั่งสหภาพยุโรปอีกต่อ เจรจากับอิหร่านต่อไปนะพวก เอะ ตกลงใครใหญ่กันแน่ การเจรจากับอิหร่านในปี 2014 ดูเหมือนราบรื่นดี ผู้ที่รับบทหนักในการเดินสาย เดินสารปั่นหัว เหล่าคณะกรรมการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์ กับอิหร่าน คือ รัฐมนตรีด้านงานข่าวกรอง Minister of Intelligence ของอิสราเอล นาย Yuval Steinitz ซึ่งเดินทางจนนักข่าวแซวว่า ได้ไมล์เลจเป็นบัตรแพลตินั่มหลายใบแล้ว นาย Steinitz เป็นคนไปเอาเอกสารลับมาป้อนให้ คณะกรรมการเจรจา เอาไว้ยันหน้ากับอิหร่าน นอกจากนั้น ทีมงานข่าวกรองของอิสราเอล หน่วยงาน Mossad ก็ทำงานหนัก เพราะเป็นตัวจริง
    1 Comments 0 Shares 1149 Views 0 Reviews
  • “Wi-Fi 8 มาแล้ว! Sercomm เปิดตัวเราเตอร์จริงเครื่องแรก” — เมื่อยุคใหม่ของการเชื่อมต่อไร้สายเริ่มต้นจากบริษัทที่คุณอาจไม่รู้จัก

    Wi-Fi 8 กำลังเปลี่ยนจากแนวคิดในห้องทดลองสู่ผลิตภัณฑ์จริงที่จับต้องได้ โดย Sercomm บริษัทจากไต้หวันที่เชี่ยวชาญด้านอุปกรณ์บรอดแบนด์ ได้เปิดตัวเราเตอร์ Wi-Fi 8 เครื่องแรกของโลกที่สร้างขึ้นจากชิปเซ็ตใหม่ล่าสุดของ Broadcom

    ต่างจาก Wi-Fi รุ่นก่อนที่เน้นความเร็วสูงสุด Wi-Fi 8 มุ่งเน้น “ความเสถียร” และ “ความน่าเชื่อถือ” เป็นหลัก โดยใช้ช่องสัญญาณกว้างถึง 320MHz บนคลื่น 2.4GHz, 5GHz และ 6GHz พร้อมฟีเจอร์ใหม่ เช่น Enhanced Long Range และ Distributed Resource Units ที่ช่วยให้สัญญาณไม่หลุดแม้มีอุปกรณ์เชื่อมต่อจำนวนมาก หรือผู้ใช้อยู่ไกลจากเราเตอร์

    Qualcomm เรียก Wi-Fi 8 ว่าเป็น “การเปลี่ยนแปลงพื้นฐาน” ของการออกแบบระบบไร้สาย โดยเน้น latency ต่ำและการจัดการสัญญาณอัจฉริยะ ซึ่งเหมาะกับบ้านอัจฉริยะและการใช้งานในพื้นที่แออัด

    เราเตอร์ของ Sercomm ยังรองรับมาตรฐาน Matter สำหรับอุปกรณ์สมาร์ตโฮม และระบบ fiber-to-the-room เพื่อการเชื่อมต่อที่เร็วและเสถียรยิ่งขึ้น โดยจะเปิดตัวในงาน Network X 2025 ที่กรุงปารีส

    Sercomm เปิดตัวเราเตอร์ Wi-Fi 8 เครื่องแรกของโลก
    ใช้ชิปเซ็ตใหม่ล่าสุดจาก Broadcom

    Wi-Fi 8 เน้นความเสถียรและ latency ต่ำมากกว่าความเร็วสูงสุด
    ช่องสัญญาณกว้าง 320MHz บนคลื่น 2.4GHz, 5GHz และ 6GHz

    ฟีเจอร์ใหม่ เช่น Enhanced Long Range และ Distributed Resource Units
    ช่วยให้สัญญาณเสถียรแม้มีอุปกรณ์จำนวนมากหรืออยู่ไกล

    Qualcomm เรียก Wi-Fi 8 ว่า “การเปลี่ยนแปลงพื้นฐาน” ของระบบไร้สาย
    เหมาะกับบ้านอัจฉริยะและพื้นที่แออัด

    เราเตอร์ของ Sercomm รองรับมาตรฐาน Matter และ fiber-to-the-room
    เตรียมเปิดตัวในงาน Network X 2025 ที่กรุงปารีส

    https://www.techradar.com/pro/the-first-wi-fi-8-wireless-router-you-can-actually-touch-and-see-will-be-built-by-a-company-youve-probably-never-heard-of
    📶 “Wi-Fi 8 มาแล้ว! Sercomm เปิดตัวเราเตอร์จริงเครื่องแรก” — เมื่อยุคใหม่ของการเชื่อมต่อไร้สายเริ่มต้นจากบริษัทที่คุณอาจไม่รู้จัก Wi-Fi 8 กำลังเปลี่ยนจากแนวคิดในห้องทดลองสู่ผลิตภัณฑ์จริงที่จับต้องได้ โดย Sercomm บริษัทจากไต้หวันที่เชี่ยวชาญด้านอุปกรณ์บรอดแบนด์ ได้เปิดตัวเราเตอร์ Wi-Fi 8 เครื่องแรกของโลกที่สร้างขึ้นจากชิปเซ็ตใหม่ล่าสุดของ Broadcom ต่างจาก Wi-Fi รุ่นก่อนที่เน้นความเร็วสูงสุด Wi-Fi 8 มุ่งเน้น “ความเสถียร” และ “ความน่าเชื่อถือ” เป็นหลัก โดยใช้ช่องสัญญาณกว้างถึง 320MHz บนคลื่น 2.4GHz, 5GHz และ 6GHz พร้อมฟีเจอร์ใหม่ เช่น Enhanced Long Range และ Distributed Resource Units ที่ช่วยให้สัญญาณไม่หลุดแม้มีอุปกรณ์เชื่อมต่อจำนวนมาก หรือผู้ใช้อยู่ไกลจากเราเตอร์ Qualcomm เรียก Wi-Fi 8 ว่าเป็น “การเปลี่ยนแปลงพื้นฐาน” ของการออกแบบระบบไร้สาย โดยเน้น latency ต่ำและการจัดการสัญญาณอัจฉริยะ ซึ่งเหมาะกับบ้านอัจฉริยะและการใช้งานในพื้นที่แออัด เราเตอร์ของ Sercomm ยังรองรับมาตรฐาน Matter สำหรับอุปกรณ์สมาร์ตโฮม และระบบ fiber-to-the-room เพื่อการเชื่อมต่อที่เร็วและเสถียรยิ่งขึ้น โดยจะเปิดตัวในงาน Network X 2025 ที่กรุงปารีส ✅ Sercomm เปิดตัวเราเตอร์ Wi-Fi 8 เครื่องแรกของโลก ➡️ ใช้ชิปเซ็ตใหม่ล่าสุดจาก Broadcom ✅ Wi-Fi 8 เน้นความเสถียรและ latency ต่ำมากกว่าความเร็วสูงสุด ➡️ ช่องสัญญาณกว้าง 320MHz บนคลื่น 2.4GHz, 5GHz และ 6GHz ✅ ฟีเจอร์ใหม่ เช่น Enhanced Long Range และ Distributed Resource Units ➡️ ช่วยให้สัญญาณเสถียรแม้มีอุปกรณ์จำนวนมากหรืออยู่ไกล ✅ Qualcomm เรียก Wi-Fi 8 ว่า “การเปลี่ยนแปลงพื้นฐาน” ของระบบไร้สาย ➡️ เหมาะกับบ้านอัจฉริยะและพื้นที่แออัด ✅ เราเตอร์ของ Sercomm รองรับมาตรฐาน Matter และ fiber-to-the-room ➡️ เตรียมเปิดตัวในงาน Network X 2025 ที่กรุงปารีส https://www.techradar.com/pro/the-first-wi-fi-8-wireless-router-you-can-actually-touch-and-see-will-be-built-by-a-company-youve-probably-never-heard-of
    WWW.TECHRADAR.COM
    Sercomm builds first Wi-Fi 8 router using Broadcom’s new chipset
    Sercomm's router is built around Broadcom’s newest chipset
    0 Comments 0 Shares 253 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: “แดเนียล คาห์เนมัน” นักจิตวิทยาเจ้าของรางวัลโนเบล เลือกจบชีวิตอย่างสงบในสวิตเซอร์แลนด์

    ในวันที่ 27 มีนาคม 2024 โลกต้องสูญเสียหนึ่งในนักคิดผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคสมัย ดร.แดเนียล คาห์เนมัน นักจิตวิทยาเชิงพฤติกรรมและเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ปี 2002 ได้เลือกจบชีวิตด้วยการทำการุณยฆาตในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ขณะมีอายุ 90 ปี

    เรื่องราวของเขาไม่ได้จบลงด้วยความเศร้า หากแต่เป็นการตัดสินใจที่สะท้อนถึงความเข้าใจชีวิตอย่างลึกซึ้ง เขาใช้เวลาช่วงสุดท้ายในกรุงปารีสกับครอบครัว เดินเล่น ชมบัลเลต์ และลิ้มรสช็อกโกแลตมูสอย่างมีความสุข ก่อนจะส่งอีเมลอำลาเพื่อนสนิท แล้วเดินทางไปซูริกเพื่อจบชีวิตอย่างสงบ

    แม้เขาจะไม่ได้ป่วยหนักหรือเป็นโรคร้ายแรง แต่เขาเริ่มรู้สึกถึงความเสื่อมถอยของร่างกายและจิตใจ และไม่ต้องการเผชิญกับความทรมานหรือการสูญเสียอัตลักษณ์แบบที่คนใกล้ตัวเคยประสบ เขาเลือกที่จะรักษาความเป็นตัวเองไว้จนวาระสุดท้าย

    การตัดสินใจของคาห์เนมันจุดประกายให้สังคมหันกลับมาคิดถึงเรื่องสิทธิในการเลือกจบชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งเป็นประเด็นที่ยังถกเถียงกันในหลายประเทศ โดยเฉพาะในแง่จริยธรรม กฎหมาย และความเชื่อทางศาสนา

    สรุปเนื้อหาจากข่าวและข้อมูลเพิ่มเติม
    ชีวิตและการตัดสินใจของแดเนียล คาห์เนมัน
    เขาเป็นนักจิตวิทยาเชิงพฤติกรรมที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 2002
    เลือกจบชีวิตด้วยการทำการุณยฆาตในสวิตเซอร์แลนด์เมื่ออายุ 90 ปี
    ใช้เวลาสุดท้ายในปารีสกับครอบครัวอย่างสงบและมีความสุข
    ส่งอีเมลอำลาเพื่อนสนิทก่อนเดินทางไปซูริก
    ต้องการหลีกเลี่ยงความเสื่อมถอยทางร่างกายและจิตใจ
    เคยสูญเสียคนใกล้ตัวจากภาวะสมองเสื่อมและโรคร้ายแรง
    ต้องการรักษาความเป็นตัวเองและความสง่างามจนวาระสุดท้าย
    ไม่ต้องการให้การตัดสินใจของเขากลายเป็นประเด็นถกเถียงในสาธารณะ

    ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการุณยฆาต
    สวิตเซอร์แลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่อนุญาตให้ทำการุณยฆาตอย่างถูกกฎหมาย
    ต้องผ่านการประเมินจากแพทย์และจิตแพทย์อย่างเข้มงวด
    ผู้ป่วยต้องมีสติสัมปชัญญะและตัดสินใจด้วยตัวเอง
    มีองค์กรเช่น Dignitas และ Exit ที่ให้บริการด้านนี้
    หลายประเทศยังคงห้ามหรือจำกัดการทำการุณยฆาต เช่น สหรัฐอเมริกา (บางรัฐ), ญี่ปุ่น, ไทย

    คำเตือนเกี่ยวกับการตัดสินใจจบชีวิต
    การทำการุณยฆาตไม่ใช่ทางออกสำหรับภาวะซึมเศร้าหรือความสิ้นหวัง
    ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตก่อนตัดสินใจใดๆ
    การสูญเสียคนรักอาจกระทบจิตใจอย่างรุนแรง ต้องได้รับการดูแล
    การตัดสินใจจบชีวิตควรเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ควรถูกกดดันจากสังคมหรือครอบครัว
    มีบริการสายด่วนและองค์กรช่วยเหลือผู้ที่มีความคิดฆ่าตัวตาย เช่น สายด่วน 143 และ 147 ในสวิตเซอร์แลนด์

    หากคุณหรือคนใกล้ตัวกำลังเผชิญกับความทุกข์ใจ โปรดอย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญหรือองค์กรที่พร้อมรับฟังและช่วยเหลือคุณอย่างจริงใจ.

    https://www.bluewin.ch/en/entertainment/nobel-prize-winner-opts-for-suicide-in-switzerland-2619460.html
    หัวข้อข่าว: “แดเนียล คาห์เนมัน” นักจิตวิทยาเจ้าของรางวัลโนเบล เลือกจบชีวิตอย่างสงบในสวิตเซอร์แลนด์ ในวันที่ 27 มีนาคม 2024 โลกต้องสูญเสียหนึ่งในนักคิดผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคสมัย ดร.แดเนียล คาห์เนมัน นักจิตวิทยาเชิงพฤติกรรมและเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ปี 2002 ได้เลือกจบชีวิตด้วยการทำการุณยฆาตในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ขณะมีอายุ 90 ปี เรื่องราวของเขาไม่ได้จบลงด้วยความเศร้า หากแต่เป็นการตัดสินใจที่สะท้อนถึงความเข้าใจชีวิตอย่างลึกซึ้ง เขาใช้เวลาช่วงสุดท้ายในกรุงปารีสกับครอบครัว เดินเล่น ชมบัลเลต์ และลิ้มรสช็อกโกแลตมูสอย่างมีความสุข ก่อนจะส่งอีเมลอำลาเพื่อนสนิท แล้วเดินทางไปซูริกเพื่อจบชีวิตอย่างสงบ แม้เขาจะไม่ได้ป่วยหนักหรือเป็นโรคร้ายแรง แต่เขาเริ่มรู้สึกถึงความเสื่อมถอยของร่างกายและจิตใจ และไม่ต้องการเผชิญกับความทรมานหรือการสูญเสียอัตลักษณ์แบบที่คนใกล้ตัวเคยประสบ เขาเลือกที่จะรักษาความเป็นตัวเองไว้จนวาระสุดท้าย การตัดสินใจของคาห์เนมันจุดประกายให้สังคมหันกลับมาคิดถึงเรื่องสิทธิในการเลือกจบชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งเป็นประเด็นที่ยังถกเถียงกันในหลายประเทศ โดยเฉพาะในแง่จริยธรรม กฎหมาย และความเชื่อทางศาสนา สรุปเนื้อหาจากข่าวและข้อมูลเพิ่มเติม ✅ ชีวิตและการตัดสินใจของแดเนียล คาห์เนมัน ➡️ เขาเป็นนักจิตวิทยาเชิงพฤติกรรมที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 2002 ➡️ เลือกจบชีวิตด้วยการทำการุณยฆาตในสวิตเซอร์แลนด์เมื่ออายุ 90 ปี ➡️ ใช้เวลาสุดท้ายในปารีสกับครอบครัวอย่างสงบและมีความสุข ➡️ ส่งอีเมลอำลาเพื่อนสนิทก่อนเดินทางไปซูริก ➡️ ต้องการหลีกเลี่ยงความเสื่อมถอยทางร่างกายและจิตใจ ➡️ เคยสูญเสียคนใกล้ตัวจากภาวะสมองเสื่อมและโรคร้ายแรง ➡️ ต้องการรักษาความเป็นตัวเองและความสง่างามจนวาระสุดท้าย ➡️ ไม่ต้องการให้การตัดสินใจของเขากลายเป็นประเด็นถกเถียงในสาธารณะ ✅ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการุณยฆาต ➡️ สวิตเซอร์แลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่อนุญาตให้ทำการุณยฆาตอย่างถูกกฎหมาย ➡️ ต้องผ่านการประเมินจากแพทย์และจิตแพทย์อย่างเข้มงวด ➡️ ผู้ป่วยต้องมีสติสัมปชัญญะและตัดสินใจด้วยตัวเอง ➡️ มีองค์กรเช่น Dignitas และ Exit ที่ให้บริการด้านนี้ ➡️ หลายประเทศยังคงห้ามหรือจำกัดการทำการุณยฆาต เช่น สหรัฐอเมริกา (บางรัฐ), ญี่ปุ่น, ไทย ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการตัดสินใจจบชีวิต ⛔ การทำการุณยฆาตไม่ใช่ทางออกสำหรับภาวะซึมเศร้าหรือความสิ้นหวัง ⛔ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตก่อนตัดสินใจใดๆ ⛔ การสูญเสียคนรักอาจกระทบจิตใจอย่างรุนแรง ต้องได้รับการดูแล ⛔ การตัดสินใจจบชีวิตควรเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ควรถูกกดดันจากสังคมหรือครอบครัว ⛔ มีบริการสายด่วนและองค์กรช่วยเหลือผู้ที่มีความคิดฆ่าตัวตาย เช่น สายด่วน 143 และ 147 ในสวิตเซอร์แลนด์ หากคุณหรือคนใกล้ตัวกำลังเผชิญกับความทุกข์ใจ โปรดอย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญหรือองค์กรที่พร้อมรับฟังและช่วยเหลือคุณอย่างจริงใจ. https://www.bluewin.ch/en/entertainment/nobel-prize-winner-opts-for-suicide-in-switzerland-2619460.html
    WWW.BLUEWIN.CH
    Nobel Prize winner opts for suicide in Switzerland
    At the age of 90, Nobel Prize winner Daniel Kahneman has decided to die by his own hand in Switzerland. He spent his last days in Paris - conscious, fulfilled and quiet.
    0 Comments 0 Shares 580 Views 0 Reviews
  • เหยื่อติดคอ ตอนที่ 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อติดคอ”
    ตอนที่ 4

    อเมริกาเริ่มมองหาผู้ที่น่าจะเหมาะสมเป็นหุ่นตัวใหม่แทน Shah สาระพัดฑูตและที่ปรึกษาถูกส่งตัวไปเดินหาข่าวแถวอิหร่าน แน่นอนทุกคนต่างหาเรื่องโกหกมาบังหน้าในการเดินเข้าไปอยู่ในสังคมอิหร่าน

    นาย Henry Precht นักการฑูตคนหนึ่ง ซึ่งถูกส่งไปเดินเล่นช่วงนั้น บรรยายถึงการปฏิบัติการดังกล่าว “เป็นปฏิบัติการสร้างหนทางสำหรับให้คนในสังคมการเมืองระดับสูง เข้ามาจัดตั้งรัฐบาลอิหร่านที่สนับสนุนอเมริกา”

    นาย William H. Sullivan ฑูตอเมริกันประจำอิหร่านช่วง ค.ศ.1977 ถึง ค.ศ.1979 พูดถึงช่วงเวลาดังกล่าวไว้ว่า “ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของ ค.ศ.1978 (ประมาณ 1 ปี ก่อนมี Islamic Revolution ) สถานะการณ์ในอิหร่านเกิดการเปลี่ยนแปลง และเราก็คอยโอกาสนั้น……… สถานฑูตเราได้สร้างเครือข่ายติดต่อกับผู้ไม่เห็นด้วย (กับ Shah) และเราก็ทำให้พวกเขาเชื่อมั่น………. พวกเขาส่วนมากแปลกใจที่ความเห็นของเรากับของพวกเขาใกล้เคียงกันมาก……… เขา (Shah) ถามผมบ่อยๆว่า พวกนักสอนศาสนาเพื่อนคุณทำอะไรกันนะ ? ……”

    เมื่อพวกนักเดินเล่น ส่งรายงานกลับไปที่วอซิงตัน พวกเขาสรุปกันว่า อเมริกาควรสนับสนุนพวก Islamic ที่อยู่ตรงกันข้ามกับ Shah พวกนักการเมืองฝ่านค้าน อ่อนแอเกินไป ส่วนพรรคคอมมิวนิตส์ ก็ใกล้ชิดกับสหภาพโซเวียตมากไป พวก Islamic นี้ มีผู้นำชื่อ Ayatollah Ruhollah Khomeini ซึ่งอาศัยอยู่ที่เมือง Najif ในอิรักมาหลายปี ตั้งแต่ตั้งตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามกับ Shah แต่ใน ค.ศ.1978 Saddam Hussein ไล่เขาออกไปจากอิรัก Khomeini ย้ายไปปักหลักแถวชานเมืองของปารีสที่ฝรั่งเศสชื่อ Neauphle Le Chateau

    เมื่ออยู่ที่เมือง Najif พวกอเมริกันไปแวะเยี่ยม Khomeini บ่อยๆ Richard Cottam พวก CIA กลุ่มที่มีส่วนในการสร้างการปฏิวัติโค่น Massadeq ได้ไปพบ Khomeini ในฐานะตัวแทนของรัฐบาลอเมริกัน Cottam เข้าใจว่า Khomeini มีความเป็นห่วงคอมมิวนิตส์จะเข้ามาครองอิหร่าน และบอกว่าจะต้องระวังไม่ใช่ไล่ Shah ออกไป แล้วเป็นการเปิดทางให้คอมมิวนิตส์เข้ามาครองอิหร่านแทน Khomeini ขอให้ Cottam สื่อสารกับนายที่วอซิงตันให้รู้เรื่องว่า Khomeini หวังจะได้รับการสนับสนุนจากอเมริกา หากพวกคอมมิวนิตส์ในอิหร่านต่อต้านการปฏิวัติ

    อเมริกาส่งตัวแทนไปคุยที่ Neauphle Le Chateau ในเดือนตุลาคม ค.ศ.1978 แล้ว Khomeini กับอเมริกา ก็ได้มีตกลงกันเป็นทางการว่า Khomeini ตกลงจะให้ความร่วมมือกับอเมริกา ถ้าอเมริกาจะช่วยเขาโค่น Shah และรับรองว่าหลังจากการปฏิวัติโค่น Shah อเมริกาจะไม่เข้ามายุ่งในกิจการภายในของอิหร่าน อเมริกาตกลงรับคำ
    ประธานาธิบดี Jimmy Carter ส่ง General Robert Huyser ไปอิหร่านเพื่อประสานงานกับพวกนายพลอิหร่าน Huyser ถึงอิหร่านในวันที่ 4 มกราคม ค.ศ.1979 เขาบอกกับนายพลอิหร่านว่า ถ้าพวกคุณไม่สนับสนุนการปฏิวัติของ Khomeini โดยนั่งอยู่เฉยๆแล้วละก้อ พวกคอมมิวนิตส์จะฉวยโอกาสนี้บุกเข้าประเทศคุณ เปลี่ยนอิหร่านเป็นรัฐคอมมิวนิตส์แน่นอน ข้อมูลนี้ปรากฏอยู่ในรายงานของ Al Watan รายงานในหนังสือพิมพ์ Kuwaiti วันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ.1979 ประธานาธิบดี Carter เขียนไว้ในบันทึกความทรงจำของเขาว่า “Huyser มีความเห็นว่า กองทัพอิหร่านเตรียมพร้อมที่จะป้องกันอาวุธพวกเขา (ไม่ไห้ตกไปอยู่ในมือของคนอื่น) และรับรองว่าจะไม่ออกมาขัดขวางตามถนน”

    Shah เองก็สังหรณ์ใจว่า น่าจะมีอะไรผิดปกติ เขาเขียนในบันทึกความทรงจำเกี่ยวกับการมาอิหร่านของ General Huyser ในเดือนมกราคม ค.ศ.1979 ว่า “Huyser ไม่แจ้งเราล่วงหน้าถึงการมา เขามาเตหะรานบ่อยมาก และทุกครั้งจะแจ้งตารางการนัดพบล่วงหน้า เพื่อหารือกับเราเกี่ยวกับเรื่อ งการทหาร กับเราและพวกทหาร” แต่การมาคราวนี้ของ Huyser ไม่มีการแจ้งให้ Shah ทราบ Shah ได้เขียนบันทึกต่อไปว่า “Huyser ได้กล่อมให้หัวหน้าเลขาธิการของเรา General Ghara-Baghi ซึ่งพฤติกรรมช่วงหลังของเขา ทำให้เราเชื่อว่าเขาทรยศต่อเราแล้ว Huyser ขอให้ Ghara-Baghi นัดให้เขาพบกับทนายชื่อดังด้านสิทธิมนุษยชนชื่อ Mehdi Bazargan” (ซึ่งภายหลังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของรัฐบาล Khomeini)

    “นายพล Ghara-Baghi แจ้งเราเกี่ยวกับเรื่องที่ Huyser ขอให้นัด ก่อนที่เราจะไปจากอิหร่าน และเราไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น เรารู้แต่ว่า Ghara-Baghi ใช้อำนาจของเขา ห้ามกองทัพมิให้ขัดขวาง Khomeini เขาคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่า มีการตัดสินใจกันอย่างไรและในราคาใด เข้าใจว่าพวกนายพลของเราตอนหลังได้ถูกประหารชีวิตหมด ยกเว้น Ghara-Baghi ที่ได้รับผ่อนผัน คนช่วยเขาก็คือ Mehdi Bazargan นั่นแหละ”

    วันที่ 14 มกราคม ค.ศ.1979 ฑูตอเมริกันได้นัดพบกับ Ebrahin Yazedi ผู้ช่วยของ Khomeini พร้อมด้วยตัวแทนของกระทรวงต่างประเทศอเมริกา Yazedi อาศัยอยู่ในอเมริกาเป็นเวลานานตั้งแต่ ค.ศ.1961 เขาถูกบังคับให้ลี้ภัยจากอิหร่าน เพราะเขาต่อต้าน Shah หลังจากเข้าไปอยู่ในอเมริกา เขาผูกสัมพันธ์แน่นชิดกับ CIA และกระทรวงต่างประเทศอเมริกา ตอนหลังเขาได้แปลงสัญชาติเป็นอเมริกัน

    ระหว่างการนัดพบ Warren Zimmerman ในฐานะตัวแทนของกระทรวงต่างประเทศอเมริกา บอกให้ Yazedi แจ้ง Khomeini ให้คอยก่อน อย่างเพิ่งกลับมาอิหร่าน จนกว่า Huyser จะได้เตี๊ยมกับบรรดาพวกนายพลอิหร่านเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นใน วันที่ 26 มกราคม ค.ศ.1979 นาย Ramsay Clark จากกระทรวงต่างประเทศก็ไปพบ Khomeini ที่ Neauphle Le Chateau หลังจากพบ เขาแจ้งแก่นักข่าวว่า เราหวังว่าการปฏิวัติจะสร้างความเป็นธรรมในสังคมให้กลับมาสู่ชาวอิหร่าน การปฏิวัติได้ถูกเตรียมการพร้อมเดินหน้าแล้ว

    วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1979 Khomeini ก็ขึ้นเครื่องบิน Air France จากปารีสบินเข้าเตหะราน ส่วน Shah รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น และคงไม่อยู่ในสภาพที่จะระงับได้ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1979 Khomeini ก็ขึ้นมาเป็นผู้ครองอิหร่าน และตั้งรัฐบาลรักษาการณ์ มี Mehdi Bazargan เป็นหัวหน้ารัฐบาล
    Bazargan เป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างพวกปฏิวัติ กับอเมริกา ในช่วง ค.ศ.1978 ตัวแทนของรัฐบาลอเมริกัน เช่น John Stempel, Hurry Precht, Warren Zimmerman และ Richard Cottam ต่างได้มาพบพูดคุยกับขบวนการ Iranian Freedom Movement ซึ่งนำโดย Bazargan อยู่ตลอด อเมริกาติดต่อกับ Bazargan โดยผ่านขบวนการ Freedom Movement นี้ตลอดช่วงเดือนแรกๆ หลังจากการปฏิวัติ

    Bazargan ได้แต่งตั้ง Abbas Amir Entezam ซึ่งอยู่อเมริกามากว่า 20 ปี ให้เป็นรองนายกรัฐมนตรี Entezam นี้ใกล้ชิดติดต่อกับ CIA มาตั้งแต่สมัยของ Massadeq และเป็นสายข่าวให้แก่ CIA เมื่อมีการสร้างปฏิวัติล้ม Massadeq นอกจากนี้ยังตั้ง Kerim Sanjabi เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ Sanjabi ก็เช่นกัน เป็นผู้ที่คุ้นเคยกับสถานฑูตอเมริกาในกรุงเตหะราน คณะรัฐมนตรีของ Bazargan สรุปแล้วมีคนอิหร่านถือสัญชาติอเมริกันถึง 5 คน

    ในบันทึกความทรงจำของประธานาธิบดี Carter เขียนชื่นชมว่า Bazargan และคณะรัฐบาล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้จบการศึกษาจากตะวันตกว่า ให้ความร่วมมือกับอเมริกาอย่าง ดีเยี่ยม คอยดูแลป้องกันสถานฑูต ดูแลการเดินทางของ General Philip C. Gast ซึ่งมาแทน Huyser และคอยส่งข่าวให้พวกเรา Bazargan เองก็ประกาศชัดเจนว่า ต้องการจะสร้างสัมพันธ์ไมตรีอันดียิ่งกับอเมริกา และอิหร่านก็จะกลับมาส่งน้ำมันให้แก่ลูกค้าตามปกติในเร็วๆนี้

    การปฏิวัติในอิหร่านในปี ค.ศ.1979 เหมือนเป็นการจับคู่ที่เหมาะสม ระหว่างกลุ่มอิสลามที่เคร่งครัดและไม่ชอบระบอบคอมมิวนิตส์ กับจักรวรรดิอเมริกาที่กีดกั้นระบอบคอมมิวนิตส์ แต่ไม่แน่ว่าการจับคู่ถูกในตอนนั้น จะไปลงท้ายด้วยการหย่าและเคียดแค้น หรือถือไม้เท้ายอดทองด้วยกัน

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    23 กันยายน 2557
    เหยื่อติดคอ ตอนที่ 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อติดคอ” ตอนที่ 4 อเมริกาเริ่มมองหาผู้ที่น่าจะเหมาะสมเป็นหุ่นตัวใหม่แทน Shah สาระพัดฑูตและที่ปรึกษาถูกส่งตัวไปเดินหาข่าวแถวอิหร่าน แน่นอนทุกคนต่างหาเรื่องโกหกมาบังหน้าในการเดินเข้าไปอยู่ในสังคมอิหร่าน นาย Henry Precht นักการฑูตคนหนึ่ง ซึ่งถูกส่งไปเดินเล่นช่วงนั้น บรรยายถึงการปฏิบัติการดังกล่าว “เป็นปฏิบัติการสร้างหนทางสำหรับให้คนในสังคมการเมืองระดับสูง เข้ามาจัดตั้งรัฐบาลอิหร่านที่สนับสนุนอเมริกา” นาย William H. Sullivan ฑูตอเมริกันประจำอิหร่านช่วง ค.ศ.1977 ถึง ค.ศ.1979 พูดถึงช่วงเวลาดังกล่าวไว้ว่า “ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของ ค.ศ.1978 (ประมาณ 1 ปี ก่อนมี Islamic Revolution ) สถานะการณ์ในอิหร่านเกิดการเปลี่ยนแปลง และเราก็คอยโอกาสนั้น……… สถานฑูตเราได้สร้างเครือข่ายติดต่อกับผู้ไม่เห็นด้วย (กับ Shah) และเราก็ทำให้พวกเขาเชื่อมั่น………. พวกเขาส่วนมากแปลกใจที่ความเห็นของเรากับของพวกเขาใกล้เคียงกันมาก……… เขา (Shah) ถามผมบ่อยๆว่า พวกนักสอนศาสนาเพื่อนคุณทำอะไรกันนะ ? ……” เมื่อพวกนักเดินเล่น ส่งรายงานกลับไปที่วอซิงตัน พวกเขาสรุปกันว่า อเมริกาควรสนับสนุนพวก Islamic ที่อยู่ตรงกันข้ามกับ Shah พวกนักการเมืองฝ่านค้าน อ่อนแอเกินไป ส่วนพรรคคอมมิวนิตส์ ก็ใกล้ชิดกับสหภาพโซเวียตมากไป พวก Islamic นี้ มีผู้นำชื่อ Ayatollah Ruhollah Khomeini ซึ่งอาศัยอยู่ที่เมือง Najif ในอิรักมาหลายปี ตั้งแต่ตั้งตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามกับ Shah แต่ใน ค.ศ.1978 Saddam Hussein ไล่เขาออกไปจากอิรัก Khomeini ย้ายไปปักหลักแถวชานเมืองของปารีสที่ฝรั่งเศสชื่อ Neauphle Le Chateau เมื่ออยู่ที่เมือง Najif พวกอเมริกันไปแวะเยี่ยม Khomeini บ่อยๆ Richard Cottam พวก CIA กลุ่มที่มีส่วนในการสร้างการปฏิวัติโค่น Massadeq ได้ไปพบ Khomeini ในฐานะตัวแทนของรัฐบาลอเมริกัน Cottam เข้าใจว่า Khomeini มีความเป็นห่วงคอมมิวนิตส์จะเข้ามาครองอิหร่าน และบอกว่าจะต้องระวังไม่ใช่ไล่ Shah ออกไป แล้วเป็นการเปิดทางให้คอมมิวนิตส์เข้ามาครองอิหร่านแทน Khomeini ขอให้ Cottam สื่อสารกับนายที่วอซิงตันให้รู้เรื่องว่า Khomeini หวังจะได้รับการสนับสนุนจากอเมริกา หากพวกคอมมิวนิตส์ในอิหร่านต่อต้านการปฏิวัติ อเมริกาส่งตัวแทนไปคุยที่ Neauphle Le Chateau ในเดือนตุลาคม ค.ศ.1978 แล้ว Khomeini กับอเมริกา ก็ได้มีตกลงกันเป็นทางการว่า Khomeini ตกลงจะให้ความร่วมมือกับอเมริกา ถ้าอเมริกาจะช่วยเขาโค่น Shah และรับรองว่าหลังจากการปฏิวัติโค่น Shah อเมริกาจะไม่เข้ามายุ่งในกิจการภายในของอิหร่าน อเมริกาตกลงรับคำ ประธานาธิบดี Jimmy Carter ส่ง General Robert Huyser ไปอิหร่านเพื่อประสานงานกับพวกนายพลอิหร่าน Huyser ถึงอิหร่านในวันที่ 4 มกราคม ค.ศ.1979 เขาบอกกับนายพลอิหร่านว่า ถ้าพวกคุณไม่สนับสนุนการปฏิวัติของ Khomeini โดยนั่งอยู่เฉยๆแล้วละก้อ พวกคอมมิวนิตส์จะฉวยโอกาสนี้บุกเข้าประเทศคุณ เปลี่ยนอิหร่านเป็นรัฐคอมมิวนิตส์แน่นอน ข้อมูลนี้ปรากฏอยู่ในรายงานของ Al Watan รายงานในหนังสือพิมพ์ Kuwaiti วันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ.1979 ประธานาธิบดี Carter เขียนไว้ในบันทึกความทรงจำของเขาว่า “Huyser มีความเห็นว่า กองทัพอิหร่านเตรียมพร้อมที่จะป้องกันอาวุธพวกเขา (ไม่ไห้ตกไปอยู่ในมือของคนอื่น) และรับรองว่าจะไม่ออกมาขัดขวางตามถนน” Shah เองก็สังหรณ์ใจว่า น่าจะมีอะไรผิดปกติ เขาเขียนในบันทึกความทรงจำเกี่ยวกับการมาอิหร่านของ General Huyser ในเดือนมกราคม ค.ศ.1979 ว่า “Huyser ไม่แจ้งเราล่วงหน้าถึงการมา เขามาเตหะรานบ่อยมาก และทุกครั้งจะแจ้งตารางการนัดพบล่วงหน้า เพื่อหารือกับเราเกี่ยวกับเรื่อ งการทหาร กับเราและพวกทหาร” แต่การมาคราวนี้ของ Huyser ไม่มีการแจ้งให้ Shah ทราบ Shah ได้เขียนบันทึกต่อไปว่า “Huyser ได้กล่อมให้หัวหน้าเลขาธิการของเรา General Ghara-Baghi ซึ่งพฤติกรรมช่วงหลังของเขา ทำให้เราเชื่อว่าเขาทรยศต่อเราแล้ว Huyser ขอให้ Ghara-Baghi นัดให้เขาพบกับทนายชื่อดังด้านสิทธิมนุษยชนชื่อ Mehdi Bazargan” (ซึ่งภายหลังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของรัฐบาล Khomeini) “นายพล Ghara-Baghi แจ้งเราเกี่ยวกับเรื่องที่ Huyser ขอให้นัด ก่อนที่เราจะไปจากอิหร่าน และเราไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น เรารู้แต่ว่า Ghara-Baghi ใช้อำนาจของเขา ห้ามกองทัพมิให้ขัดขวาง Khomeini เขาคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่า มีการตัดสินใจกันอย่างไรและในราคาใด เข้าใจว่าพวกนายพลของเราตอนหลังได้ถูกประหารชีวิตหมด ยกเว้น Ghara-Baghi ที่ได้รับผ่อนผัน คนช่วยเขาก็คือ Mehdi Bazargan นั่นแหละ” วันที่ 14 มกราคม ค.ศ.1979 ฑูตอเมริกันได้นัดพบกับ Ebrahin Yazedi ผู้ช่วยของ Khomeini พร้อมด้วยตัวแทนของกระทรวงต่างประเทศอเมริกา Yazedi อาศัยอยู่ในอเมริกาเป็นเวลานานตั้งแต่ ค.ศ.1961 เขาถูกบังคับให้ลี้ภัยจากอิหร่าน เพราะเขาต่อต้าน Shah หลังจากเข้าไปอยู่ในอเมริกา เขาผูกสัมพันธ์แน่นชิดกับ CIA และกระทรวงต่างประเทศอเมริกา ตอนหลังเขาได้แปลงสัญชาติเป็นอเมริกัน ระหว่างการนัดพบ Warren Zimmerman ในฐานะตัวแทนของกระทรวงต่างประเทศอเมริกา บอกให้ Yazedi แจ้ง Khomeini ให้คอยก่อน อย่างเพิ่งกลับมาอิหร่าน จนกว่า Huyser จะได้เตี๊ยมกับบรรดาพวกนายพลอิหร่านเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นใน วันที่ 26 มกราคม ค.ศ.1979 นาย Ramsay Clark จากกระทรวงต่างประเทศก็ไปพบ Khomeini ที่ Neauphle Le Chateau หลังจากพบ เขาแจ้งแก่นักข่าวว่า เราหวังว่าการปฏิวัติจะสร้างความเป็นธรรมในสังคมให้กลับมาสู่ชาวอิหร่าน การปฏิวัติได้ถูกเตรียมการพร้อมเดินหน้าแล้ว วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1979 Khomeini ก็ขึ้นเครื่องบิน Air France จากปารีสบินเข้าเตหะราน ส่วน Shah รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น และคงไม่อยู่ในสภาพที่จะระงับได้ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1979 Khomeini ก็ขึ้นมาเป็นผู้ครองอิหร่าน และตั้งรัฐบาลรักษาการณ์ มี Mehdi Bazargan เป็นหัวหน้ารัฐบาล Bazargan เป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างพวกปฏิวัติ กับอเมริกา ในช่วง ค.ศ.1978 ตัวแทนของรัฐบาลอเมริกัน เช่น John Stempel, Hurry Precht, Warren Zimmerman และ Richard Cottam ต่างได้มาพบพูดคุยกับขบวนการ Iranian Freedom Movement ซึ่งนำโดย Bazargan อยู่ตลอด อเมริกาติดต่อกับ Bazargan โดยผ่านขบวนการ Freedom Movement นี้ตลอดช่วงเดือนแรกๆ หลังจากการปฏิวัติ Bazargan ได้แต่งตั้ง Abbas Amir Entezam ซึ่งอยู่อเมริกามากว่า 20 ปี ให้เป็นรองนายกรัฐมนตรี Entezam นี้ใกล้ชิดติดต่อกับ CIA มาตั้งแต่สมัยของ Massadeq และเป็นสายข่าวให้แก่ CIA เมื่อมีการสร้างปฏิวัติล้ม Massadeq นอกจากนี้ยังตั้ง Kerim Sanjabi เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ Sanjabi ก็เช่นกัน เป็นผู้ที่คุ้นเคยกับสถานฑูตอเมริกาในกรุงเตหะราน คณะรัฐมนตรีของ Bazargan สรุปแล้วมีคนอิหร่านถือสัญชาติอเมริกันถึง 5 คน ในบันทึกความทรงจำของประธานาธิบดี Carter เขียนชื่นชมว่า Bazargan และคณะรัฐบาล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้จบการศึกษาจากตะวันตกว่า ให้ความร่วมมือกับอเมริกาอย่าง ดีเยี่ยม คอยดูแลป้องกันสถานฑูต ดูแลการเดินทางของ General Philip C. Gast ซึ่งมาแทน Huyser และคอยส่งข่าวให้พวกเรา Bazargan เองก็ประกาศชัดเจนว่า ต้องการจะสร้างสัมพันธ์ไมตรีอันดียิ่งกับอเมริกา และอิหร่านก็จะกลับมาส่งน้ำมันให้แก่ลูกค้าตามปกติในเร็วๆนี้ การปฏิวัติในอิหร่านในปี ค.ศ.1979 เหมือนเป็นการจับคู่ที่เหมาะสม ระหว่างกลุ่มอิสลามที่เคร่งครัดและไม่ชอบระบอบคอมมิวนิตส์ กับจักรวรรดิอเมริกาที่กีดกั้นระบอบคอมมิวนิตส์ แต่ไม่แน่ว่าการจับคู่ถูกในตอนนั้น จะไปลงท้ายด้วยการหย่าและเคียดแค้น หรือถือไม้เท้ายอดทองด้วยกัน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 23 กันยายน 2557
    0 Comments 0 Shares 669 Views 0 Reviews
  • ล่องเรือแม่น้ำแซน ฝรั่งเศส เส้นทางสุดโรแมนติก จากปารีสสู่นอร์ม็องดี พักผ่อนบนเรือล่องแม่น้ำบริการระดับโรงแรม 6 ดาว อาหารฝรั่งเศสระดับกูร์เมต์ พร้อมไวน์ท้องถิ่นเสิร์ฟทุกมื้อ

    แพ็คเกจเรือล่องเรือ Paris & Normandy พัก S.S. Joie de Vivre By Uniworld River Cruise

    เดินทาง มี.ค. - พ.ย. 2569

    เส้นทางปารีส - ลา โรช - กียง, แวร์นง, ชีแวร์นี่ - รูอ็อง - โกดด์เบค - ออง โก (องเฟลอ แอเทรอตา) - รูอ็อง - มองต์ - ลา - ฌอลี (แวร์ซาย) - ปารีส

    Early Booking ลดสูงสุด 10% (บางช่วงวันเดินทาง)
    ปกติเริ่มต้น 4,299 USD ลดเหลือ เริ่มต้น 3,869 USD

    ค่าที่พักบนเรือตลอดการเดินทาง
    WIFI บนเรือ และ เครื่องดื่มบนเรือ
    รถรับ-ส่ง สนามบิน-ท่าเรือ (กรณีเดินทางมาถึงในวันที่เรือออกเดินทาง)
    กิจกรรมบนเรือ และความบันเทิง
    ค่าภาษีท่าเรือและค่าทิปพนักงานบนเรือ

    รหัสโปรแกรม : UNIP-8D7N-PAR-PAR-2611021
    คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e79677

    สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที!
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696

    #UniworldRiverCruise #Paris #Normandy #LaRoche #France #Rouen #แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำ #CruiseDomain
    🎼 ล่องเรือแม่น้ำแซน ฝรั่งเศส เส้นทางสุดโรแมนติก จากปารีสสู่นอร์ม็องดี พักผ่อนบนเรือล่องแม่น้ำบริการระดับโรงแรม 6 ดาว อาหารฝรั่งเศสระดับกูร์เมต์ พร้อมไวน์ท้องถิ่นเสิร์ฟทุกมื้อ 🍷🍴 ✨ แพ็คเกจเรือล่องเรือ Paris & Normandy พัก S.S. Joie de Vivre By Uniworld River Cruise 📅 เดินทาง มี.ค. - พ.ย. 2569 📍 เส้นทางปารีส - ลา โรช - กียง, แวร์นง, ชีแวร์นี่ - รูอ็อง - โกดด์เบค - ออง โก (องเฟลอ แอเทรอตา) - รูอ็อง - มองต์ - ลา - ฌอลี (แวร์ซาย) - ปารีส 🎇 Early Booking ลดสูงสุด 10% (บางช่วงวันเดินทาง) 💸 ปกติเริ่มต้น 4,299 USD ลดเหลือ เริ่มต้น 3,869 USD ✅ ค่าที่พักบนเรือตลอดการเดินทาง ✅ WIFI บนเรือ และ เครื่องดื่มบนเรือ ✅ รถรับ-ส่ง สนามบิน-ท่าเรือ (กรณีเดินทางมาถึงในวันที่เรือออกเดินทาง) ✅ กิจกรรมบนเรือ และความบันเทิง ✅ ค่าภาษีท่าเรือและค่าทิปพนักงานบนเรือ 📌 รหัสโปรแกรม : UNIP-8D7N-PAR-PAR-2611021 คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e79677 📩 สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที! https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 #UniworldRiverCruise #Paris #Normandy #LaRoche #France #Rouen #แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำ #CruiseDomain
    0 Comments 0 Shares 658 Views 0 Reviews
  • เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 3 – จอร์แดน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว3”
    จอร์แดน
ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 Transjordan หรือที่ปัจจุบันเรียกกันว่า Jordan ยังไม่เป็นรัฐ เป็นเพียงกลุ่มหมู่บ้าน เรียงรายอยู่บริเวณใกล้เคียง ขึ้นกับอาณาจักรออตโตมาน อังกฤษเริ่มสนใจจอร์แดนด้านการเมืองเมื่อ ค.ศ.1930 เพราะฝรั่งเศสให้ความสนใจ ! มันเป็นสันดานของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ จะต้องคอยเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของฝรั่งเศส แล้วหยิบไม้เตรียมใช้เสี้ยม หรือขวาง ฯลฯ อะไรทำนองนั้น
    ฝรั่งเศสอ้างว่าเป็นหน้าที่ของฝรั่งเศส ที่จะต้องเข้าไปดูแลพวกชาวคริสต์ที่อยู่ในออตโตมาน บริเวณที่เป็นจอร์แดนปัจจุบัน โดยมีผู้ปกครองอิยิปต์ขณะนั้นคือ Mohammed Ali รู้เห็นเป็นใจด้วย ทำให้อังกฤษและรัสเซียไม่พอใจ มันกำลังตบตาหลอกลวงอะไรเราหรือเปล่า แล้วอังกฤษกับรัสเซียก็จับมือกันมาออกโรงไล่ Mohammed Ali กลับอิยิปต์ไป อย่ายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่ แล้วผู้ใหญ่ 3 คนก็ตกลงกันเอง
    ฝรั่งเศสตกลงดูแลแคทอลิก และรัสเซียตกลงดูแลพวกออโทดอกซ์ (Orthodox) ส่วนอังกฤษบอกเราไม่ยุ่งเรื่องศาสนา ขอเรามีสิทธิภาพนอกอาณาเขต เหนือกฏหมายในแถบนั้นก็แล้วกัน (Extraterritotrial Status) แน่จริงๆลูกพี่ นอกเหนือจากเรื่องนี้แล้ว อังกฤษบอก เราไม่สนใจอะไรในจอร์แดน
    เมื่อเริ่มต้นศตวรรษที่ 19 และออตโตมานคนป่วยของยุโรป เกิดเนื้อหอม มีคนอยากมาดูแลหลายราย แต่คนดูแลชื่อเยอรมันนี ทำให้อังกฤษต้องเตรียมการหาเหยื่อ และออกโรงแสดงความชำนาญในวิทยา ยุทธแม่ไม้ จัดเต็มชุด เริ่มแรกก็หลอกเหยื่อ Sharif Hussein ให้ไปช่วยยึดเมืองดามัสกัส เพื่อแยกออกมาจากออตโตมาน ส่วนอังกฤษมุ่งหน้าไปยึดปาเลสไตน์และเยรูซาเร็มใน ค.ศ.1917
    ในวันที่ฝ่ายตะวันตก ผู้ชนะในสงครามโลกครั้งที่ 1 กำลังตัดแบ่งอาณาจักรออตโตมานกันอยู่ที่ปารีส Faisal ลูกชายของ Sharif Hussein ลงทุนไม่ขี่อูฐ แต่ขึ้นรถไฟมาประชุมด้วย เขาตั้งใจจะมาบอกว่าพวกอาหรับไม่เห็นด้วยกับเรื่องการแบ่งดินแดนตะวันออกกลาง ให้ยิวมาอยู่ที่ปาเลสไตน์ แต่มารถไฟช้ากว่าขี่อูฐ เมื่อมาถึง อังกฤษตัดสินใจเดินหน้าประกาศเรื่องให้ยิวมาอยู่ปาเลสไตน์ตามข้อตกลง Balfour Declaration ไปเรียบร้อยแล้ว
    ขณะเดียวกันนั้น พวกอาหรับเองก็จัดชุมนุมกันที่ ดามัสกัส ประกาศให้ซีเรียเป็นเอกราช และแต่งตั้ง Faisal ขึ้นเป็นกษัตริย์ ส่วน Abdullah น้องชายของ Faisal ประกาศตั้งตัวเองเป็นกษัตริย์ของอิรัก
    สันนิบาตชาติ (Leagul of Nation) รู้เรื่องเข้าก็โวย บอกเฮ้ย พวกเจ้าประกาศแต่งตั้งกันเองไม่ได้ ต้องให้พวกเราเป็นคนเห็นชอบ ถึงจะเป็นเรื่องของตะวันออกกลาง แต่พวกเราชาวตะวันตกต่างหาก เป็นผู้ตัดสินเกี่ยวกับเขตแดน และชะตาชีวิตของพวกเจ้า และในการประชุมที่ San Remo ก็ยืนยันความเห็นของสันนิบาตชาติ หลังจากนั้นฝรั่งเศสก็อัญเชิญท่านกษัตริย์ Faisal ให้ขึ้นอูฐขนย้ายครอบครัวออกจากซีเรียเป็นการด่วน
    Faisal อาจจะว่าง่าย แต่ Abdullah บอกว่าอย่าไปยอมมันพี่เรา ว่าแล้วเขาก็อพยพชาวเผ่าร่อนเร่หลายพันคนมายังดามัสกัสประกาศบุกซีเรีย ท้าทายฝรั่งเศส ทวงถามสิทธิในบัลลังก์ของพี่ชาย คราวนี้อังกฤษนั่งไม่ติด ออกมาห้ามทัพ อังกฤษบอกกันเอง แต่ไม่ได้บอกพวกอาหรับว่า ถึงสัมพันธ์อังกฤษฝรั่งเศสจะลุ่มๆดอนๆ ก็ยังมีค่ากว่าพวกเร่ร่อนเป็นร้อยเท่า
    ก่อนตัดสินใจดำเนินการต่อ อังกฤษจัดประชุมหัวหน้าเผ่าอาหรับระดับพี่ใหญ่ทั้งหลาย ถามความเห็นเกี่ยวกับเรื่องยิวมาอยู่ในตะวันออกกลาง พวกอาหรับบอก ตะวันตกอยากจะทำอะไรก็เชิญ แต่พวกเรากำลังจะตั้งกลุ่มศาสนานิกายวาฮาบี ภายใต้การนำของหัวหน้าเผ่าใหญ่ Ibn Saud ซึ่งเริ่มมีอำนาจและอิทธิพลขึ้นเรื่อยๆ อังกฤษคงยังแปลคำตอบแบบตะวันออกกลางไม่ออก หรือแกล้งไม่เข้าใจ หรือเข้าใจดีอย่างชัดเจน
    อังกฤษเดินหน้าจับเข่า หักมือ Abdullah บอกว่าใจเย็นๆ เราจะปล่อยให้ท่านทะเลาะกับฝรั่งเศสไม่ได้ แต่เราก็ไม่ทำให้ท่านผิดหวังหรอก เราจะจัดการให้ท่านไปเป็นหัวหน้ารัฐ Transjordan ส่วนพี่ชายของท่าน Faisal เราจะจัดการให้เขาได้เป็นกษัตริย์ที่อิรักก็แล้วกันนะ เจอทองเรียกว่าพี่เข้า Abdullah ก็ใจอ่อน ถอยทัพออกไปจากซีเรีย เพียงแต่ต้องเพิ่มอูฐอีกหลายตัวหน่อย เพื่อขนทองของกำนัลปิดปากจากนักล่าชาวเกาะฯ
    ในการประชุม Cairo Conference เกี่ยวกับกิจการตะวันออกกลางของอังกฤษเมื่อ ค.ศ.1921 ซึ่งอำนวยการโดยท่านหลอด Winston Churchill อังกฤษจัดการตัดแบ่งปาเลสไตน์ยาวตามเส้นทางของแม่น้ำจอร์ แดนไปถึงอ่าวอกาบา (Gulf of Aqaba) โดยเรียกด้านตะวันตกว่า Transjordan ให้พวกอาหรับของ Abdullah ไปอยู่ ภายใต้การดูแลของกงสุลอังกฤษที่ประจำอยู่ปาเลสไตน์ สันนิบาตชาติประทับตราเห็นชอบ (ตามเคย!) แล้วอังกฤษก็มีอิทธิพลใน Transjordan เต็มที่ตั้งแต่นั้นมา
    ชาวจอร์แดนส่วนใหญ่ทำกสิกรรม จอร์แดนเป็นบริเวณเดียวในตะวันออกกลางที่ไม่มีแหล่งน้ำมัน แต่อังกฤษก็ยังสนใจ อุ้มชู ดูแล เหมือนจะตอบแทนบุญคุณของ Sharif Hussein !
    ตลอดเวลานับตั้งแต่อังกฤษตั้ง Transjordan พวกฮาวาบี ซึ่งก่อตั้งใหม่เอี่ยม ก็บุกเข้ามาตีรวนในจอร์แดนตลอดเวลาเหมือนกัน อย่างน้อยปีละครั้ง ตั้งแต่ ค.ศ.1921 เป็นต้นมา ไม่ให้พวก Abdullah นั่งหงอยเหงา อังกฤษก็ทำหน้าที่เป็นผู้ขับไล่ออกไปทุกครั้ง อังกฤษดูแลด้านความมั่นคง การเงิน และการต่างประเทศของจอร์แดนรวมทั้งจ่ายค่าเลี้ยงดูชาวจอร์แดนอีกด้วย นักล่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯใจดีผิดสันดาน
    จอร์แดนเป็นบริเวณกันชนระหว่างปาเลสไตน์กับอิรัก และเป็นเส้นทางบินระหว่างอังกฤษกับอินเดียสมัยนั้น แต่นั่นคงไม่น่ามีค่าพอทำให้อังกฤษลงทุนควักกระเป๋าเลี้ยงดูจอร์แดน
    ด้วยเขตแดนของจอร์แดนที่ติดกับซาอุดิอารเบีย ทำให้พวกวาฮาบีข้ามเขตมารุกรานจอร์แดนเหมือนเป็นกิจกรรมหลัก ในที่สุดอังกฤษก็ขอเจรจากับซา อุดิอารเบีย อังกฤษยึดเมืองอกาบาไป และยอมยก Wadi Sirhan ให้ซาอุดิอารเบียและ ค.ศ.1925 Hadda Agreement ก็ลงนาม Wadi Sirhan ตกลงเป็นส่วนหนึ่งของ Nejd ของซาอุดิและอกาบาเป็นส่วนหนึ่งของTransjordan
    ซาอุดิอารเบียกลืนเบ็ดโดยไม่รู้ตัว Aqaba Gulf เป็นจุดสำคัญในการคุมทางเข้าปาเลสไตน์และอิยิปต์จากพวกวาฮาบี
    Abdullah ยังมีความฝันตามพ่อ ที่จะเห็นรัฐอาหรับ สำหรับ Abdullah เขาอยากจะครองอาณาจักรที่ประกอบไปด้วย Transjordan ซีเรีย เลบานอน รวมไปถึงปาเลสไตน์ เพราะฝันแบบนี้ Abdullah ซึ่งเป็นหัวหน้าอาหรับคนเดียวที่เห็นด้วยกับมติของสหประชาชาติ ที่ยอมรับการจัดสรรดินแดนปาเลสไตน์ในปี ค.ศ.1947
    เกือบทุกรัฐอาหรับไม่ไว้ใจ Abdullah และเห็นว่าเขาหักหลังพรรคพวก และเชื่อว่าเขาสนับสนุนให้มีการตั้งรัฐให้ยิวเสียด้วยซ้ำ
    เมื่อถูกกล่าวหาเช่นนั้น Abdullah ก็มีพวกน้อยลง และไว้ใจพวกน้อยลง การตัดแบ่ง Transjordan และการให้ Abdullah มาครอง จึงน่าจะเป็นยุทธศาสตร์แม่ไม้ของขาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ที่เหี้ยมโหดสิ้นดี อังกฤษรู้ดีว่าชาวอาหรับส่วนใหญ่คิดอย่างไรเรื่องการให้ยิวมาอยู่ปาเลสไตน์ ตั้งแต่เมื่อเรียกประชุมพวกอาหรับ แต่เขาเดินหน้าหลอกเหยื่อซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยเฉพาะเหยื่อที่เป็นพวกครอบครัวของ Sharif Hussein !
    วันที่ 20 กรกฏาคม ค.ศ.1951 Abdullah ก็ถูกยิงตายอยู่บนบันไดทางขึ้นของ Al-Aqsa Mosque ในนครเยรูซาเร็ม คนยิงเขาเป็นชาวปาเลสไตน์ ซึ่งต่อต้านจอร์แดนที่ทำตัวเป็นมิตรกับอิสราเอล
    ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน Raid Bay al-Solh อดีตนายกรัฐมนตรีเลบานอนถูกฆาตกรรมที่อัมมาน (Amman) หลังจากมีข่าวลือออกไปทั่วว่า เลบานอนและจอร์แดนกำลังเจรจาสันติภาพกับอิสราเอล
    Abdullah ไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อร่วมพิธีสวดให้กับอดีตนายกรัฐมนตรีเลบานอน และก็ถูกยิงตรงทางขึ้นโบสถ์ที่ กำลังมีพิธีสวด เขาถูกยิง 3 นัด ที่หัวและหน้าอก หลานชายของเขา Hussien bin Talal (กษัตริย์จอร์แดนตั้งแต่ ค.ศ.1953-1999) ยืนอยู่ข้างปู่ของเขาขณะที่ปู่ของเขาถูกยิง
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
12 ก.ย. 57
    เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 3 – จอร์แดน นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว3” จอร์แดน
ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 Transjordan หรือที่ปัจจุบันเรียกกันว่า Jordan ยังไม่เป็นรัฐ เป็นเพียงกลุ่มหมู่บ้าน เรียงรายอยู่บริเวณใกล้เคียง ขึ้นกับอาณาจักรออตโตมาน อังกฤษเริ่มสนใจจอร์แดนด้านการเมืองเมื่อ ค.ศ.1930 เพราะฝรั่งเศสให้ความสนใจ ! มันเป็นสันดานของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ จะต้องคอยเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของฝรั่งเศส แล้วหยิบไม้เตรียมใช้เสี้ยม หรือขวาง ฯลฯ อะไรทำนองนั้น ฝรั่งเศสอ้างว่าเป็นหน้าที่ของฝรั่งเศส ที่จะต้องเข้าไปดูแลพวกชาวคริสต์ที่อยู่ในออตโตมาน บริเวณที่เป็นจอร์แดนปัจจุบัน โดยมีผู้ปกครองอิยิปต์ขณะนั้นคือ Mohammed Ali รู้เห็นเป็นใจด้วย ทำให้อังกฤษและรัสเซียไม่พอใจ มันกำลังตบตาหลอกลวงอะไรเราหรือเปล่า แล้วอังกฤษกับรัสเซียก็จับมือกันมาออกโรงไล่ Mohammed Ali กลับอิยิปต์ไป อย่ายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่ แล้วผู้ใหญ่ 3 คนก็ตกลงกันเอง ฝรั่งเศสตกลงดูแลแคทอลิก และรัสเซียตกลงดูแลพวกออโทดอกซ์ (Orthodox) ส่วนอังกฤษบอกเราไม่ยุ่งเรื่องศาสนา ขอเรามีสิทธิภาพนอกอาณาเขต เหนือกฏหมายในแถบนั้นก็แล้วกัน (Extraterritotrial Status) แน่จริงๆลูกพี่ นอกเหนือจากเรื่องนี้แล้ว อังกฤษบอก เราไม่สนใจอะไรในจอร์แดน เมื่อเริ่มต้นศตวรรษที่ 19 และออตโตมานคนป่วยของยุโรป เกิดเนื้อหอม มีคนอยากมาดูแลหลายราย แต่คนดูแลชื่อเยอรมันนี ทำให้อังกฤษต้องเตรียมการหาเหยื่อ และออกโรงแสดงความชำนาญในวิทยา ยุทธแม่ไม้ จัดเต็มชุด เริ่มแรกก็หลอกเหยื่อ Sharif Hussein ให้ไปช่วยยึดเมืองดามัสกัส เพื่อแยกออกมาจากออตโตมาน ส่วนอังกฤษมุ่งหน้าไปยึดปาเลสไตน์และเยรูซาเร็มใน ค.ศ.1917 ในวันที่ฝ่ายตะวันตก ผู้ชนะในสงครามโลกครั้งที่ 1 กำลังตัดแบ่งอาณาจักรออตโตมานกันอยู่ที่ปารีส Faisal ลูกชายของ Sharif Hussein ลงทุนไม่ขี่อูฐ แต่ขึ้นรถไฟมาประชุมด้วย เขาตั้งใจจะมาบอกว่าพวกอาหรับไม่เห็นด้วยกับเรื่องการแบ่งดินแดนตะวันออกกลาง ให้ยิวมาอยู่ที่ปาเลสไตน์ แต่มารถไฟช้ากว่าขี่อูฐ เมื่อมาถึง อังกฤษตัดสินใจเดินหน้าประกาศเรื่องให้ยิวมาอยู่ปาเลสไตน์ตามข้อตกลง Balfour Declaration ไปเรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกันนั้น พวกอาหรับเองก็จัดชุมนุมกันที่ ดามัสกัส ประกาศให้ซีเรียเป็นเอกราช และแต่งตั้ง Faisal ขึ้นเป็นกษัตริย์ ส่วน Abdullah น้องชายของ Faisal ประกาศตั้งตัวเองเป็นกษัตริย์ของอิรัก สันนิบาตชาติ (Leagul of Nation) รู้เรื่องเข้าก็โวย บอกเฮ้ย พวกเจ้าประกาศแต่งตั้งกันเองไม่ได้ ต้องให้พวกเราเป็นคนเห็นชอบ ถึงจะเป็นเรื่องของตะวันออกกลาง แต่พวกเราชาวตะวันตกต่างหาก เป็นผู้ตัดสินเกี่ยวกับเขตแดน และชะตาชีวิตของพวกเจ้า และในการประชุมที่ San Remo ก็ยืนยันความเห็นของสันนิบาตชาติ หลังจากนั้นฝรั่งเศสก็อัญเชิญท่านกษัตริย์ Faisal ให้ขึ้นอูฐขนย้ายครอบครัวออกจากซีเรียเป็นการด่วน Faisal อาจจะว่าง่าย แต่ Abdullah บอกว่าอย่าไปยอมมันพี่เรา ว่าแล้วเขาก็อพยพชาวเผ่าร่อนเร่หลายพันคนมายังดามัสกัสประกาศบุกซีเรีย ท้าทายฝรั่งเศส ทวงถามสิทธิในบัลลังก์ของพี่ชาย คราวนี้อังกฤษนั่งไม่ติด ออกมาห้ามทัพ อังกฤษบอกกันเอง แต่ไม่ได้บอกพวกอาหรับว่า ถึงสัมพันธ์อังกฤษฝรั่งเศสจะลุ่มๆดอนๆ ก็ยังมีค่ากว่าพวกเร่ร่อนเป็นร้อยเท่า ก่อนตัดสินใจดำเนินการต่อ อังกฤษจัดประชุมหัวหน้าเผ่าอาหรับระดับพี่ใหญ่ทั้งหลาย ถามความเห็นเกี่ยวกับเรื่องยิวมาอยู่ในตะวันออกกลาง พวกอาหรับบอก ตะวันตกอยากจะทำอะไรก็เชิญ แต่พวกเรากำลังจะตั้งกลุ่มศาสนานิกายวาฮาบี ภายใต้การนำของหัวหน้าเผ่าใหญ่ Ibn Saud ซึ่งเริ่มมีอำนาจและอิทธิพลขึ้นเรื่อยๆ อังกฤษคงยังแปลคำตอบแบบตะวันออกกลางไม่ออก หรือแกล้งไม่เข้าใจ หรือเข้าใจดีอย่างชัดเจน อังกฤษเดินหน้าจับเข่า หักมือ Abdullah บอกว่าใจเย็นๆ เราจะปล่อยให้ท่านทะเลาะกับฝรั่งเศสไม่ได้ แต่เราก็ไม่ทำให้ท่านผิดหวังหรอก เราจะจัดการให้ท่านไปเป็นหัวหน้ารัฐ Transjordan ส่วนพี่ชายของท่าน Faisal เราจะจัดการให้เขาได้เป็นกษัตริย์ที่อิรักก็แล้วกันนะ เจอทองเรียกว่าพี่เข้า Abdullah ก็ใจอ่อน ถอยทัพออกไปจากซีเรีย เพียงแต่ต้องเพิ่มอูฐอีกหลายตัวหน่อย เพื่อขนทองของกำนัลปิดปากจากนักล่าชาวเกาะฯ ในการประชุม Cairo Conference เกี่ยวกับกิจการตะวันออกกลางของอังกฤษเมื่อ ค.ศ.1921 ซึ่งอำนวยการโดยท่านหลอด Winston Churchill อังกฤษจัดการตัดแบ่งปาเลสไตน์ยาวตามเส้นทางของแม่น้ำจอร์ แดนไปถึงอ่าวอกาบา (Gulf of Aqaba) โดยเรียกด้านตะวันตกว่า Transjordan ให้พวกอาหรับของ Abdullah ไปอยู่ ภายใต้การดูแลของกงสุลอังกฤษที่ประจำอยู่ปาเลสไตน์ สันนิบาตชาติประทับตราเห็นชอบ (ตามเคย!) แล้วอังกฤษก็มีอิทธิพลใน Transjordan เต็มที่ตั้งแต่นั้นมา ชาวจอร์แดนส่วนใหญ่ทำกสิกรรม จอร์แดนเป็นบริเวณเดียวในตะวันออกกลางที่ไม่มีแหล่งน้ำมัน แต่อังกฤษก็ยังสนใจ อุ้มชู ดูแล เหมือนจะตอบแทนบุญคุณของ Sharif Hussein ! ตลอดเวลานับตั้งแต่อังกฤษตั้ง Transjordan พวกฮาวาบี ซึ่งก่อตั้งใหม่เอี่ยม ก็บุกเข้ามาตีรวนในจอร์แดนตลอดเวลาเหมือนกัน อย่างน้อยปีละครั้ง ตั้งแต่ ค.ศ.1921 เป็นต้นมา ไม่ให้พวก Abdullah นั่งหงอยเหงา อังกฤษก็ทำหน้าที่เป็นผู้ขับไล่ออกไปทุกครั้ง อังกฤษดูแลด้านความมั่นคง การเงิน และการต่างประเทศของจอร์แดนรวมทั้งจ่ายค่าเลี้ยงดูชาวจอร์แดนอีกด้วย นักล่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯใจดีผิดสันดาน จอร์แดนเป็นบริเวณกันชนระหว่างปาเลสไตน์กับอิรัก และเป็นเส้นทางบินระหว่างอังกฤษกับอินเดียสมัยนั้น แต่นั่นคงไม่น่ามีค่าพอทำให้อังกฤษลงทุนควักกระเป๋าเลี้ยงดูจอร์แดน ด้วยเขตแดนของจอร์แดนที่ติดกับซาอุดิอารเบีย ทำให้พวกวาฮาบีข้ามเขตมารุกรานจอร์แดนเหมือนเป็นกิจกรรมหลัก ในที่สุดอังกฤษก็ขอเจรจากับซา อุดิอารเบีย อังกฤษยึดเมืองอกาบาไป และยอมยก Wadi Sirhan ให้ซาอุดิอารเบียและ ค.ศ.1925 Hadda Agreement ก็ลงนาม Wadi Sirhan ตกลงเป็นส่วนหนึ่งของ Nejd ของซาอุดิและอกาบาเป็นส่วนหนึ่งของTransjordan ซาอุดิอารเบียกลืนเบ็ดโดยไม่รู้ตัว Aqaba Gulf เป็นจุดสำคัญในการคุมทางเข้าปาเลสไตน์และอิยิปต์จากพวกวาฮาบี Abdullah ยังมีความฝันตามพ่อ ที่จะเห็นรัฐอาหรับ สำหรับ Abdullah เขาอยากจะครองอาณาจักรที่ประกอบไปด้วย Transjordan ซีเรีย เลบานอน รวมไปถึงปาเลสไตน์ เพราะฝันแบบนี้ Abdullah ซึ่งเป็นหัวหน้าอาหรับคนเดียวที่เห็นด้วยกับมติของสหประชาชาติ ที่ยอมรับการจัดสรรดินแดนปาเลสไตน์ในปี ค.ศ.1947 เกือบทุกรัฐอาหรับไม่ไว้ใจ Abdullah และเห็นว่าเขาหักหลังพรรคพวก และเชื่อว่าเขาสนับสนุนให้มีการตั้งรัฐให้ยิวเสียด้วยซ้ำ เมื่อถูกกล่าวหาเช่นนั้น Abdullah ก็มีพวกน้อยลง และไว้ใจพวกน้อยลง การตัดแบ่ง Transjordan และการให้ Abdullah มาครอง จึงน่าจะเป็นยุทธศาสตร์แม่ไม้ของขาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ที่เหี้ยมโหดสิ้นดี อังกฤษรู้ดีว่าชาวอาหรับส่วนใหญ่คิดอย่างไรเรื่องการให้ยิวมาอยู่ปาเลสไตน์ ตั้งแต่เมื่อเรียกประชุมพวกอาหรับ แต่เขาเดินหน้าหลอกเหยื่อซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยเฉพาะเหยื่อที่เป็นพวกครอบครัวของ Sharif Hussein ! วันที่ 20 กรกฏาคม ค.ศ.1951 Abdullah ก็ถูกยิงตายอยู่บนบันไดทางขึ้นของ Al-Aqsa Mosque ในนครเยรูซาเร็ม คนยิงเขาเป็นชาวปาเลสไตน์ ซึ่งต่อต้านจอร์แดนที่ทำตัวเป็นมิตรกับอิสราเอล ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน Raid Bay al-Solh อดีตนายกรัฐมนตรีเลบานอนถูกฆาตกรรมที่อัมมาน (Amman) หลังจากมีข่าวลือออกไปทั่วว่า เลบานอนและจอร์แดนกำลังเจรจาสันติภาพกับอิสราเอล Abdullah ไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อร่วมพิธีสวดให้กับอดีตนายกรัฐมนตรีเลบานอน และก็ถูกยิงตรงทางขึ้นโบสถ์ที่ กำลังมีพิธีสวด เขาถูกยิง 3 นัด ที่หัวและหน้าอก หลานชายของเขา Hussien bin Talal (กษัตริย์จอร์แดนตั้งแต่ ค.ศ.1953-1999) ยืนอยู่ข้างปู่ของเขาขณะที่ปู่ของเขาถูกยิง สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
12 ก.ย. 57
    0 Comments 0 Shares 719 Views 0 Reviews
  • “Open Printer — เครื่องพิมพ์หมึกแบบเปิดที่ไม่ล็อกตลับ ไม่ล็อกผู้ใช้ และไม่ล็อกอนาคต”

    ในโลกที่เครื่องพิมพ์กลายเป็นอุปกรณ์ที่ผู้ใช้ต้อง “เชื่อฟัง” มากกว่าจะ “ควบคุม” Startup จากปารีสชื่อ Open Tools ได้เปิดตัว Open Printer — เครื่องพิมพ์หมึกแบบใหม่ที่ยึดหลักโอเพ่นซอร์สอย่างแท้จริง ทั้งในด้านฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และสิทธิ์ของผู้ใช้

    Open Printer ถูกออกแบบมาให้ซ่อมง่าย ดัดแปลงได้ และไม่ล็อกผู้ใช้กับตลับหมึกของแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง โดยใช้ตลับ HP 63 (หรือ HP 302 ในยุโรป) ซึ่งเป็นรุ่นยอดนิยมที่มีทั้งของแท้และของรีฟิลจากผู้ผลิตอิสระ ที่สำคัญคือไม่มีระบบ DRM หรือชิปตรวจสอบตลับหมึก ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกใช้ตลับจากแหล่งใดก็ได้โดยไม่ถูกบล็อก

    ตัวเครื่องยังรองรับการพิมพ์บนกระดาษม้วนขนาด 27 มม. พร้อมใบมีดตัดในตัวสำหรับแปลงเป็นแผ่น A4 หรือพิมพ์งานยาวแบบแบนเนอร์ได้อย่างยืดหยุ่น โดยมีหน้าจอ LCD ขนาดเล็กและปุ่มหมุนสำหรับควบคุมพื้นฐาน พร้อมการเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi, Bluetooth และ USB-C ทำให้สามารถสั่งพิมพ์จากมือถือหรือคอมพิวเตอร์ได้โดยไม่ต้องพึ่งสาย

    ภายในใช้ Raspberry Pi Zero W เป็นสมองหลัก ร่วมกับไมโครคอนโทรลเลอร์ STM32 และมีการเปิดเผยไฟล์ออกแบบทางกล, เฟิร์มแวร์ และ BOM ภายใต้ไลเซนส์ Creative Commons เพื่อให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหรือผลิตเองได้ในอนาคต

    Open Printer จะเปิดตัวผ่านแคมเปญระดมทุนบน Crowd Supply โดยยังไม่ระบุราคาและวันวางจำหน่าย แต่แนวคิดนี้ได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ใช้ที่เบื่อกับการถูกบังคับให้ซื้อหมึกแพงหรือเปลี่ยนเครื่องเมื่อหมดอายุซอฟต์แวร์

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Open Printer เป็นเครื่องพิมพ์หมึกแบบโอเพ่นซอร์สจากบริษัท Open Tools
    ใช้ตลับ HP 63 หรือ HP 302 โดยไม่มีระบบ DRM ล็อกตลับ
    รองรับกระดาษม้วนขนาด 27 มม. พร้อมใบมีดตัดในตัว
    มีหน้าจอ LCD และปุ่มหมุนสำหรับควบคุมพื้นฐาน
    เชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi, Bluetooth, USB-C และ USB-A
    ใช้ Raspberry Pi Zero W และ STM32 เป็นหน่วยประมวลผล
    เปิดเผยไฟล์ออกแบบและเฟิร์มแวร์ภายใต้ไลเซนส์ Creative Commons
    เตรียมเปิดตัวผ่าน Crowd Supply โดยยังไม่ระบุราคา

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    HP เป็นหนึ่งในบริษัทที่ใช้ DRM ล็อกตลับหมึกอย่างเข้มงวด
    ระบบ “razor-blade model” คือการขายเครื่องราคาถูกแต่บังคับซื้อหมึกแพง
    เครื่องพิมพ์ทั่วไปมักมีอายุการใช้งานจำกัดตามซอฟต์แวร์ที่บริษัทควบคุม
    การใช้ Raspberry Pi ทำให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งระบบได้อย่างอิสระ
    การเปิดเผย BOM และไฟล์ออกแบบช่วยให้ผู้ผลิตรายย่อยสามารถสร้างเครื่องพิมพ์เองได้

    https://www.notebookcheck.net/Open-Printer-is-an-open-source-inkjet-printer-with-DRM-free-ink-and-roll-paper-support.1126929.0.html
    🖨️ “Open Printer — เครื่องพิมพ์หมึกแบบเปิดที่ไม่ล็อกตลับ ไม่ล็อกผู้ใช้ และไม่ล็อกอนาคต” ในโลกที่เครื่องพิมพ์กลายเป็นอุปกรณ์ที่ผู้ใช้ต้อง “เชื่อฟัง” มากกว่าจะ “ควบคุม” Startup จากปารีสชื่อ Open Tools ได้เปิดตัว Open Printer — เครื่องพิมพ์หมึกแบบใหม่ที่ยึดหลักโอเพ่นซอร์สอย่างแท้จริง ทั้งในด้านฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และสิทธิ์ของผู้ใช้ Open Printer ถูกออกแบบมาให้ซ่อมง่าย ดัดแปลงได้ และไม่ล็อกผู้ใช้กับตลับหมึกของแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง โดยใช้ตลับ HP 63 (หรือ HP 302 ในยุโรป) ซึ่งเป็นรุ่นยอดนิยมที่มีทั้งของแท้และของรีฟิลจากผู้ผลิตอิสระ ที่สำคัญคือไม่มีระบบ DRM หรือชิปตรวจสอบตลับหมึก ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกใช้ตลับจากแหล่งใดก็ได้โดยไม่ถูกบล็อก ตัวเครื่องยังรองรับการพิมพ์บนกระดาษม้วนขนาด 27 มม. พร้อมใบมีดตัดในตัวสำหรับแปลงเป็นแผ่น A4 หรือพิมพ์งานยาวแบบแบนเนอร์ได้อย่างยืดหยุ่น โดยมีหน้าจอ LCD ขนาดเล็กและปุ่มหมุนสำหรับควบคุมพื้นฐาน พร้อมการเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi, Bluetooth และ USB-C ทำให้สามารถสั่งพิมพ์จากมือถือหรือคอมพิวเตอร์ได้โดยไม่ต้องพึ่งสาย ภายในใช้ Raspberry Pi Zero W เป็นสมองหลัก ร่วมกับไมโครคอนโทรลเลอร์ STM32 และมีการเปิดเผยไฟล์ออกแบบทางกล, เฟิร์มแวร์ และ BOM ภายใต้ไลเซนส์ Creative Commons เพื่อให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหรือผลิตเองได้ในอนาคต Open Printer จะเปิดตัวผ่านแคมเปญระดมทุนบน Crowd Supply โดยยังไม่ระบุราคาและวันวางจำหน่าย แต่แนวคิดนี้ได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ใช้ที่เบื่อกับการถูกบังคับให้ซื้อหมึกแพงหรือเปลี่ยนเครื่องเมื่อหมดอายุซอฟต์แวร์ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Open Printer เป็นเครื่องพิมพ์หมึกแบบโอเพ่นซอร์สจากบริษัท Open Tools ➡️ ใช้ตลับ HP 63 หรือ HP 302 โดยไม่มีระบบ DRM ล็อกตลับ ➡️ รองรับกระดาษม้วนขนาด 27 มม. พร้อมใบมีดตัดในตัว ➡️ มีหน้าจอ LCD และปุ่มหมุนสำหรับควบคุมพื้นฐาน ➡️ เชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi, Bluetooth, USB-C และ USB-A ➡️ ใช้ Raspberry Pi Zero W และ STM32 เป็นหน่วยประมวลผล ➡️ เปิดเผยไฟล์ออกแบบและเฟิร์มแวร์ภายใต้ไลเซนส์ Creative Commons ➡️ เตรียมเปิดตัวผ่าน Crowd Supply โดยยังไม่ระบุราคา ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ HP เป็นหนึ่งในบริษัทที่ใช้ DRM ล็อกตลับหมึกอย่างเข้มงวด ➡️ ระบบ “razor-blade model” คือการขายเครื่องราคาถูกแต่บังคับซื้อหมึกแพง ➡️ เครื่องพิมพ์ทั่วไปมักมีอายุการใช้งานจำกัดตามซอฟต์แวร์ที่บริษัทควบคุม ➡️ การใช้ Raspberry Pi ทำให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งระบบได้อย่างอิสระ ➡️ การเปิดเผย BOM และไฟล์ออกแบบช่วยให้ผู้ผลิตรายย่อยสามารถสร้างเครื่องพิมพ์เองได้ https://www.notebookcheck.net/Open-Printer-is-an-open-source-inkjet-printer-with-DRM-free-ink-and-roll-paper-support.1126929.0.html
    WWW.NOTEBOOKCHECK.NET
    Open Printer is an open source inkjet printer with DRM-free ink and roll paper support
    The Open Printer features a modular and highly repairable design, and while it uses the popular HP 63 cartridges, it lacks DRM blocks that lock out third-party cartridges. It also allows printing on paper rolls, so you can either use the in-built cutter to make A4 sheets, or print longer items like banners. The Open Printer will be launched via a crowdfunding campaign soon.
    0 Comments 0 Shares 256 Views 0 Reviews
More Results