• 🌿 โอเมก้า-3 เดินทางจากจานอาหาร…สู่สมอง ลำไส้ และยีนของคุณ

    โอเมก้า-3 อาจเริ่มต้นจากจานปลาย่างในมือคุณ หรือเมล็ดแฟลกซ์เล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในข้าวต้มตอนเช้า

    แต่มันไม่ได้หยุดแค่ที่ลำไส้

    เมื่อคุณเคี้ยวกลืน และดูดซึม…โอเมก้า-3 จะออกเดินทางอย่างเงียบงาม

    ไปจนถึงเยื่อหุ้มเซลล์ของหัวใจ

    ไปจนถึงตับที่ผลิตไขมัน
    และแม้แต่สมองที่คุณใช้คิด พูด ร้องไห้ และให้อภัย

    โอเมก้า-3 จึงไม่ใช่ “สารอาหารเฉพาะทาง”…

    แต่มันคือผู้ประสานความสัมพันธ์ของอวัยวะทั้งร่างกายให้กลับมาเข้าใจกันอีกครั้ง

    🔬 กลไกเชิงลึก: เส้นทางของโอเมก้า-3 ในร่างกาย

    1. 🧠 จากปลา…สู่สมอง

    โอเมก้า-3 โดยเฉพาะ DHA เป็นกรดไขมันหลักใน เยื่อหุ้มเซลล์สมองและตา

    ช่วยเสริมความยืดหยุ่นของเยื่อหุ้มเซลล์ประสาท → การส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ดีขึ้น

    ลดการอักเสบในสมองผ่านการยับยั้ง MAPK และ NF-κB

    มีผลต่อ PPARγ และกระตุ้นการตายของเซลล์ผิดปกติ (apoptosis) ในเซลล์มะเร็ง

    🧠 โอเมก้า-3 จึงทั้ง “ปกป้อง” สมอง และ “คัดแยก” เซลล์ที่ไม่ควรอยู่

    2. 🍽 จากจานอาหาร…สู่ระบบย่อยและลำไส้

    เมื่อเรารับประทานโอเมก้า-3 → ร่างกายดูดซึมผ่าน ลำไส้เล็ก

    จากนั้นเข้าสู่กระแสเลือดผ่านระบบหลอดเลือด (vasculature) → ส่งไปยังอวัยวะต่างๆ

    โอเมก้า-3 ที่ไปถึงลำไส้ใหญ่ → เปลี่ยนแปลงสมดุลของจุลินทรีย์

    เพิ่มแบคทีเรียที่ผลิต butyrate และ SCFAs

    ลดเชื้อร้าย เช่น E. coli, S. aureus, Pseudomonas

    🧠 โอเมก้า-3 เหมือนผู้ดูแลชุมชนจุลินทรีย์ในลำไส้...ให้สงบ ไม่ก่อไฟอักเสบเรื้อรัง

    3. 🫀 จากลำไส้…สู่หลอดเลือด

    โอเมก้า-3 ลดการแข็งตัวของเลือด, ลดความหนืด

    เสริมความยืดหยุ่นของผนังหลอดเลือด → ความดันโลหิตลดลง

    ลดสารกระตุ้นการอักเสบ เช่น LTB₄ และ TXA₂

    4. 🧬 จากเซลล์ลำไส้…สู่ตับและยีน

    ตับคือจุดศูนย์กลางของการเผาผลาญไขมัน

    โอเมก้า-3 ปรับสมดุล omega-3:omega-6 ratio → ลดไขมันสะสมในตับ (NAFLD)

    กระตุ้น PPARα และ PPARγ → ควบคุมการเผาผลาญและลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน

    ลดความเสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคอ้วนจากอาหารไขมันสูง

    🧠 นี่ไม่ใช่แค่การลดน้ำหนัก…แต่คือการเปลี่ยน “สภาวะยีน” ของตับให้กลับมาสมดุลอีกครั้ง

    🍽 เมนูอบอุ่นที่ส่งโอเมก้า-3 ไปถึงหัวใจของคุณ

    ปลาทะเล (ย่างพริกไทยดำ, ต้มส้ม, ปลาทูต้มเค็มใส่กระเทียม)

    แฟลกซ์ซีดบดผสมน้ำมะนาว/น้ำผึ้ง

    ไข่ไก่โอเมก้า-3

    ข้าวยำใส่ปลาทู + เมล็ดเจียเล็กน้อย

    🧭 คำแนะนำการใช้

    หากรับประทานโอเมก้า-3จากปลา

    แนะนำอย่างน้อย 2–3 ครั้ง/สัปดาห์ เพื่อให้ได้ DHA และ EPA อย่างพอเพียง
    (ปลาทะเลน้ำลึก เช่น แซลมอน ปลาทู ปลาซาร์ดีน เป็นแหล่งดี)

    หากรับประทานในรูปแบบน้ำมันปลา (เสริม)

    เริ่มจาก 1000–2000 มก./วัน (รวม EPA + DHA)
    และควรเลือกแบบ Triglyceride form หรือจากปลาเล็ก เพื่อความปลอดภัยและดูดซึมได้ดี

    โอเมก้า-3 จากพืช (ALA) เช่น เมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดเจีย

    สามารถใช้เสริมได้ แต่ควรกินเป็นประจำ และอาจไม่เพียงพอหากต้องการผลลึกด้านสมองหรือภูมิคุ้มกัน

    ❗ ข้อควรระวัง

    ผู้ที่ใช้ ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น warfarin, aspirin ควรปรึกษาแพทย์ก่อน

    เพราะโอเมก้า-3 มีฤทธิ์ทำให้เลือดไหลลื่นขึ้น อาจเพิ่มความเสี่ยงเลือดออก

    ผู้ที่มี โรคตับรุนแรง, โรคแพ้อาหารทะเล, หรือใช้ยาเบาหวานบางชนิด ควรได้รับการดูแลจากแพทย์ก่อนเริ่มเสริมโอเมก้า-3

    หากมีภาวะ ภูมิคุ้มกันต่ำ, ลำไส้แปรปรวนรุนแรง, หรือเคยมีปัญหาแพ้น้ำมันปลา

    ควรเริ่มจากปริมาณน้อย และเลือกแหล่งที่บริสุทธิ์ ผ่านการตรวจโลหะหนัก

    ❓ คำถามชวนคิด

    Q: ถ้าไม่กินปลาเลย ควรทำอย่างไร?

    A: ใช้แฟลกซ์ซีดบด + เมล็ดเจีย + น้ำมันงาขี้ม่อน (ALA) ร่วมกับ DHA จากสาหร่าย

    Q: หากเป็นเบาหวานหรือ NAFLD แล้ว จะช่วยจริงไหม?

    A: งานวิจัยนี้ระบุว่าโอเมก้า-3 ช่วยลดการอักเสบของตับและลำไส้ และลดภาวะดื้อต่ออินซูลินได้

    🌿 สมุนไพรที่เสริมกลไกนี้

    ขมิ้นชัน → ช่วยลดการอักเสบในลำไส้และตับผ่าน NF-κB

    กระเทียม → เสริมภูมิคุ้มกันในลำไส้

    ใบหม่อน → ปรับสมดุลจุลินทรีย์ และลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน

    พริกไทยดำ → เสริมการดูดซึมโอเมก้า-3 และสารอื่นๆ

    🤍 ปลอบโยนหัวใจ

    ร่างกายของคุณมีทางเชื่อมลับ ๆ มากมาย
    ที่สมองพูดคุยกับลำไส้

    ที่ตับส่งสัญญาณถึงหลอดเลือด
    และที่จุลินทรีย์นับล้านกำลังตัดสินว่าคุณจะอักเสบหรือหายดีในวันนี้หรือไม่

    โอเมก้า-3 จึงไม่ใช่แค่ไขมันชนิดหนึ่ง

    แต่มันคือ “สะพานเชื่อมระหว่างอวัยวะ…ด้วยความสงบ”

    ขอให้คุณใช้มื้ออาหารเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟู

    และให้โอเมก้า-3 พาคุณกลับไปหาความสงบในแบบที่คุณเคยลืมไปนานแล้ว 🌿

    ⚠️ คำเตือน

    บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อการศึกษาเชิงกลไกทางชีวภาพเท่านั้น
    ไม่ได้มีเจตนาให้ใช้แทนการรักษา หรือคำแนะนำทางการแพทย์

    ผู้ที่มีโรคตับ โรคเบาหวาน หรือใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
    ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้โอเมก้า-3 หรือสมุนไพรเสริมใดๆ

    📚 อ้างอิง

    Fu Y, Wang Y, Zhang Y, et al. (2021). Associations among Dietary Omega‐3 Polyunsaturated Fatty Acids, the Gut Microbiota, and Intestinal Immunity. Mediators of Inflammation, 2021, Article ID 8879227. https://doi.org/10.1155/2021/8879227
    🌿 โอเมก้า-3 เดินทางจากจานอาหาร…สู่สมอง ลำไส้ และยีนของคุณ โอเมก้า-3 อาจเริ่มต้นจากจานปลาย่างในมือคุณ หรือเมล็ดแฟลกซ์เล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในข้าวต้มตอนเช้า แต่มันไม่ได้หยุดแค่ที่ลำไส้ เมื่อคุณเคี้ยวกลืน และดูดซึม…โอเมก้า-3 จะออกเดินทางอย่างเงียบงาม ไปจนถึงเยื่อหุ้มเซลล์ของหัวใจ ไปจนถึงตับที่ผลิตไขมัน และแม้แต่สมองที่คุณใช้คิด พูด ร้องไห้ และให้อภัย โอเมก้า-3 จึงไม่ใช่ “สารอาหารเฉพาะทาง”… แต่มันคือผู้ประสานความสัมพันธ์ของอวัยวะทั้งร่างกายให้กลับมาเข้าใจกันอีกครั้ง 🔬 กลไกเชิงลึก: เส้นทางของโอเมก้า-3 ในร่างกาย 1. 🧠 จากปลา…สู่สมอง โอเมก้า-3 โดยเฉพาะ DHA เป็นกรดไขมันหลักใน เยื่อหุ้มเซลล์สมองและตา ช่วยเสริมความยืดหยุ่นของเยื่อหุ้มเซลล์ประสาท → การส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ดีขึ้น ลดการอักเสบในสมองผ่านการยับยั้ง MAPK และ NF-κB มีผลต่อ PPARγ และกระตุ้นการตายของเซลล์ผิดปกติ (apoptosis) ในเซลล์มะเร็ง 🧠 โอเมก้า-3 จึงทั้ง “ปกป้อง” สมอง และ “คัดแยก” เซลล์ที่ไม่ควรอยู่ 2. 🍽 จากจานอาหาร…สู่ระบบย่อยและลำไส้ เมื่อเรารับประทานโอเมก้า-3 → ร่างกายดูดซึมผ่าน ลำไส้เล็ก จากนั้นเข้าสู่กระแสเลือดผ่านระบบหลอดเลือด (vasculature) → ส่งไปยังอวัยวะต่างๆ โอเมก้า-3 ที่ไปถึงลำไส้ใหญ่ → เปลี่ยนแปลงสมดุลของจุลินทรีย์ เพิ่มแบคทีเรียที่ผลิต butyrate และ SCFAs ลดเชื้อร้าย เช่น E. coli, S. aureus, Pseudomonas 🧠 โอเมก้า-3 เหมือนผู้ดูแลชุมชนจุลินทรีย์ในลำไส้...ให้สงบ ไม่ก่อไฟอักเสบเรื้อรัง 3. 🫀 จากลำไส้…สู่หลอดเลือด โอเมก้า-3 ลดการแข็งตัวของเลือด, ลดความหนืด เสริมความยืดหยุ่นของผนังหลอดเลือด → ความดันโลหิตลดลง ลดสารกระตุ้นการอักเสบ เช่น LTB₄ และ TXA₂ 4. 🧬 จากเซลล์ลำไส้…สู่ตับและยีน ตับคือจุดศูนย์กลางของการเผาผลาญไขมัน โอเมก้า-3 ปรับสมดุล omega-3:omega-6 ratio → ลดไขมันสะสมในตับ (NAFLD) กระตุ้น PPARα และ PPARγ → ควบคุมการเผาผลาญและลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ลดความเสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคอ้วนจากอาหารไขมันสูง 🧠 นี่ไม่ใช่แค่การลดน้ำหนัก…แต่คือการเปลี่ยน “สภาวะยีน” ของตับให้กลับมาสมดุลอีกครั้ง 🍽 เมนูอบอุ่นที่ส่งโอเมก้า-3 ไปถึงหัวใจของคุณ ปลาทะเล (ย่างพริกไทยดำ, ต้มส้ม, ปลาทูต้มเค็มใส่กระเทียม) แฟลกซ์ซีดบดผสมน้ำมะนาว/น้ำผึ้ง ไข่ไก่โอเมก้า-3 ข้าวยำใส่ปลาทู + เมล็ดเจียเล็กน้อย 🧭 คำแนะนำการใช้ หากรับประทานโอเมก้า-3จากปลา แนะนำอย่างน้อย 2–3 ครั้ง/สัปดาห์ เพื่อให้ได้ DHA และ EPA อย่างพอเพียง (ปลาทะเลน้ำลึก เช่น แซลมอน ปลาทู ปลาซาร์ดีน เป็นแหล่งดี) หากรับประทานในรูปแบบน้ำมันปลา (เสริม) เริ่มจาก 1000–2000 มก./วัน (รวม EPA + DHA) และควรเลือกแบบ Triglyceride form หรือจากปลาเล็ก เพื่อความปลอดภัยและดูดซึมได้ดี โอเมก้า-3 จากพืช (ALA) เช่น เมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดเจีย สามารถใช้เสริมได้ แต่ควรกินเป็นประจำ และอาจไม่เพียงพอหากต้องการผลลึกด้านสมองหรือภูมิคุ้มกัน ❗ ข้อควรระวัง ผู้ที่ใช้ ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น warfarin, aspirin ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะโอเมก้า-3 มีฤทธิ์ทำให้เลือดไหลลื่นขึ้น อาจเพิ่มความเสี่ยงเลือดออก ผู้ที่มี โรคตับรุนแรง, โรคแพ้อาหารทะเล, หรือใช้ยาเบาหวานบางชนิด ควรได้รับการดูแลจากแพทย์ก่อนเริ่มเสริมโอเมก้า-3 หากมีภาวะ ภูมิคุ้มกันต่ำ, ลำไส้แปรปรวนรุนแรง, หรือเคยมีปัญหาแพ้น้ำมันปลา ควรเริ่มจากปริมาณน้อย และเลือกแหล่งที่บริสุทธิ์ ผ่านการตรวจโลหะหนัก ❓ คำถามชวนคิด Q: ถ้าไม่กินปลาเลย ควรทำอย่างไร? A: ใช้แฟลกซ์ซีดบด + เมล็ดเจีย + น้ำมันงาขี้ม่อน (ALA) ร่วมกับ DHA จากสาหร่าย Q: หากเป็นเบาหวานหรือ NAFLD แล้ว จะช่วยจริงไหม? A: งานวิจัยนี้ระบุว่าโอเมก้า-3 ช่วยลดการอักเสบของตับและลำไส้ และลดภาวะดื้อต่ออินซูลินได้ 🌿 สมุนไพรที่เสริมกลไกนี้ ขมิ้นชัน → ช่วยลดการอักเสบในลำไส้และตับผ่าน NF-κB กระเทียม → เสริมภูมิคุ้มกันในลำไส้ ใบหม่อน → ปรับสมดุลจุลินทรีย์ และลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน พริกไทยดำ → เสริมการดูดซึมโอเมก้า-3 และสารอื่นๆ 🤍 ปลอบโยนหัวใจ ร่างกายของคุณมีทางเชื่อมลับ ๆ มากมาย ที่สมองพูดคุยกับลำไส้ ที่ตับส่งสัญญาณถึงหลอดเลือด และที่จุลินทรีย์นับล้านกำลังตัดสินว่าคุณจะอักเสบหรือหายดีในวันนี้หรือไม่ โอเมก้า-3 จึงไม่ใช่แค่ไขมันชนิดหนึ่ง แต่มันคือ “สะพานเชื่อมระหว่างอวัยวะ…ด้วยความสงบ” ขอให้คุณใช้มื้ออาหารเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟู และให้โอเมก้า-3 พาคุณกลับไปหาความสงบในแบบที่คุณเคยลืมไปนานแล้ว 🌿 ⚠️ คำเตือน บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อการศึกษาเชิงกลไกทางชีวภาพเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้ใช้แทนการรักษา หรือคำแนะนำทางการแพทย์ ผู้ที่มีโรคตับ โรคเบาหวาน หรือใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้โอเมก้า-3 หรือสมุนไพรเสริมใดๆ 📚 อ้างอิง Fu Y, Wang Y, Zhang Y, et al. (2021). Associations among Dietary Omega‐3 Polyunsaturated Fatty Acids, the Gut Microbiota, and Intestinal Immunity. Mediators of Inflammation, 2021, Article ID 8879227. https://doi.org/10.1155/2021/8879227
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้กล่าวถึง การใช้ AI เพื่อช่วยชะลอวัยและส่งเสริมสุขภาพ โดยเปรียบเทียบคำแนะนำจาก AI หลายตัว เช่น ChatGPT, Copilot, Gemini และ Claude AI เพื่อดูว่าแต่ละระบบให้คำแนะนำอย่างไรเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและการชะลอวัย

    นักเขียนได้ตั้งคำถามว่า "วิธีที่ดีที่สุดในการชะลอวัยคืออะไร?" และพบว่า AI แต่ละตัวให้คำตอบที่แตกต่างกันไป เช่น ChatGPT เน้นการออกกำลังกายและโภชนาการ, Copilot เน้นการดูแลสุขภาพจิตและการมีสังคม, Claude AI ให้คำตอบเชิงวิชาการเกี่ยวกับโภชนาการและการจัดการความเครียด, และ Gemini เน้นย้ำว่าควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพ

    นอกจากนี้ บทความยังกล่าวถึง Bryan Johnson นักธุรกิจที่ลงทุนมหาศาลเพื่อยืดอายุขัยของตัวเอง โดยใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลร่างกายของเขาเพื่อปรับปรุงสุขภาพ

    ✅ AI หลายตัวให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและการชะลอวัย
    - ChatGPT เน้น การออกกำลังกายและโภชนาการ
    - Copilot เน้น สุขภาพจิตและการมีสังคม
    - Claude AI ให้คำตอบเชิงวิชาการเกี่ยวกับ โภชนาการและการจัดการความเครียด
    - Gemini เน้นย้ำว่า ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพ

    ✅ Bryan Johnson ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลร่างกายเพื่อปรับปรุงสุขภาพ
    - เชื่อว่า AI อาจให้คำแนะนำที่ดีกว่าแพทย์ในอนาคต
    - ลงทุนมหาศาลเพื่อ ยืดอายุขัยของตัวเอง

    ✅ AI อาจมีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพในอนาคต
    - อาจช่วย วิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพและให้คำแนะนำเฉพาะบุคคล
    - อาจเปลี่ยนแปลงแนวคิดเกี่ยวกับ ศาสนาและการดูแลร่างกาย

    ℹ️ AI ไม่สามารถแทนที่แพทย์ได้ในปัจจุบัน
    - AI อาจให้คำแนะนำทั่วไป แต่ ไม่สามารถวินิจฉัยโรคหรือให้คำปรึกษาทางการแพทย์ได้

    ℹ️ ข้อมูลที่ AI ใช้อาจไม่เหมาะกับทุกคน
    - AI ไม่สามารถรู้ข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคล เช่น อาการแพ้หรือข้อจำกัดทางร่างกาย

    ℹ️ แนวโน้มของการพัฒนาในอนาคต
    - หาก AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพได้แม่นยำขึ้น อาจทำให้ การดูแลสุขภาพมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/i-asked-chatgpt-gemini-and-other-ais-how-to-combat-aging-and-only-one-did-the-right-thing
    บทความนี้กล่าวถึง การใช้ AI เพื่อช่วยชะลอวัยและส่งเสริมสุขภาพ โดยเปรียบเทียบคำแนะนำจาก AI หลายตัว เช่น ChatGPT, Copilot, Gemini และ Claude AI เพื่อดูว่าแต่ละระบบให้คำแนะนำอย่างไรเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและการชะลอวัย นักเขียนได้ตั้งคำถามว่า "วิธีที่ดีที่สุดในการชะลอวัยคืออะไร?" และพบว่า AI แต่ละตัวให้คำตอบที่แตกต่างกันไป เช่น ChatGPT เน้นการออกกำลังกายและโภชนาการ, Copilot เน้นการดูแลสุขภาพจิตและการมีสังคม, Claude AI ให้คำตอบเชิงวิชาการเกี่ยวกับโภชนาการและการจัดการความเครียด, และ Gemini เน้นย้ำว่าควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพ นอกจากนี้ บทความยังกล่าวถึง Bryan Johnson นักธุรกิจที่ลงทุนมหาศาลเพื่อยืดอายุขัยของตัวเอง โดยใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลร่างกายของเขาเพื่อปรับปรุงสุขภาพ ✅ AI หลายตัวให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและการชะลอวัย - ChatGPT เน้น การออกกำลังกายและโภชนาการ - Copilot เน้น สุขภาพจิตและการมีสังคม - Claude AI ให้คำตอบเชิงวิชาการเกี่ยวกับ โภชนาการและการจัดการความเครียด - Gemini เน้นย้ำว่า ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพ ✅ Bryan Johnson ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลร่างกายเพื่อปรับปรุงสุขภาพ - เชื่อว่า AI อาจให้คำแนะนำที่ดีกว่าแพทย์ในอนาคต - ลงทุนมหาศาลเพื่อ ยืดอายุขัยของตัวเอง ✅ AI อาจมีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพในอนาคต - อาจช่วย วิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพและให้คำแนะนำเฉพาะบุคคล - อาจเปลี่ยนแปลงแนวคิดเกี่ยวกับ ศาสนาและการดูแลร่างกาย ℹ️ AI ไม่สามารถแทนที่แพทย์ได้ในปัจจุบัน - AI อาจให้คำแนะนำทั่วไป แต่ ไม่สามารถวินิจฉัยโรคหรือให้คำปรึกษาทางการแพทย์ได้ ℹ️ ข้อมูลที่ AI ใช้อาจไม่เหมาะกับทุกคน - AI ไม่สามารถรู้ข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคล เช่น อาการแพ้หรือข้อจำกัดทางร่างกาย ℹ️ แนวโน้มของการพัฒนาในอนาคต - หาก AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพได้แม่นยำขึ้น อาจทำให้ การดูแลสุขภาพมีประสิทธิภาพมากขึ้น https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/i-asked-chatgpt-gemini-and-other-ais-how-to-combat-aging-and-only-one-did-the-right-thing
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 195 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อาหารเป็นยา" เป็นคำกล่าวที่สะท้อนถึงความสำคัญของอาหารที่มีต่อสุขภาพ โดยเน้นว่าอาหารไม่เพียงแต่ให้พลังงานและสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยป้องกันและรักษาโรคได้อีกด้วย แนวคิดนี้มีรากฐานมาจากทั้งภูมิปัญญาดั้งเดิมและวิทยาศาสตร์สมัยใหม่

    ### ตัวอย่างอาหารที่เป็นยา
    1. **กระเทียม**: ช่วยลดความดันโลหิตและคอเลสเตอรอล มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
    2. **ขิง**: ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้และอาเจียน ลดการอักเสบในร่างกาย
    3. **ขมิ้น**: มีสารเคอร์คูมินที่ช่วยต้านการอักเสบและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
    4. **ผักใบเขียว**: เช่น คะน้า ผักโขม อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพ
    5. **ผลไม้ตระกูลเบอร์รี**: เช่น บลูเบอร์รี สตรอเบอร์รี มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยชะลอวัยและป้องกันโรค

    ### หลักการบริโภคอาหารเป็นยา
    - **สมดุล**: บริโภคอาหารให้หลากหลายและครบ 5 หมู่
    - **ปริมาณที่เหมาะสม**: ไม่บริโภคมากหรือน้อยเกินไป
    - **คุณภาพ**: เลือกอาหารสด สะอาด และปราศจากสารเคมี
    - **การปรุงอย่างเหมาะสม**: หลีกเลี่ยงการทอดหรือใช้น้ำมันมากเกินไป

    ### ข้อควรระวัง
    แม้อาหารจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ก็ไม่ควรใช้แทนการรักษาทางการแพทย์เมื่อมีอาการป่วยรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนปรับเปลี่ยนการบริโภคอาหารเพื่อการรักษาโรคใดๆ

    การเลือกรับประทานอาหารอย่างถูกต้องและเหมาะสมจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพและป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือหัวใจของแนวคิด "อาหารเป็นยา"
    "อาหารเป็นยา" เป็นคำกล่าวที่สะท้อนถึงความสำคัญของอาหารที่มีต่อสุขภาพ โดยเน้นว่าอาหารไม่เพียงแต่ให้พลังงานและสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยป้องกันและรักษาโรคได้อีกด้วย แนวคิดนี้มีรากฐานมาจากทั้งภูมิปัญญาดั้งเดิมและวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ### ตัวอย่างอาหารที่เป็นยา 1. **กระเทียม**: ช่วยลดความดันโลหิตและคอเลสเตอรอล มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง 2. **ขิง**: ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้และอาเจียน ลดการอักเสบในร่างกาย 3. **ขมิ้น**: มีสารเคอร์คูมินที่ช่วยต้านการอักเสบและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน 4. **ผักใบเขียว**: เช่น คะน้า ผักโขม อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพ 5. **ผลไม้ตระกูลเบอร์รี**: เช่น บลูเบอร์รี สตรอเบอร์รี มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยชะลอวัยและป้องกันโรค ### หลักการบริโภคอาหารเป็นยา - **สมดุล**: บริโภคอาหารให้หลากหลายและครบ 5 หมู่ - **ปริมาณที่เหมาะสม**: ไม่บริโภคมากหรือน้อยเกินไป - **คุณภาพ**: เลือกอาหารสด สะอาด และปราศจากสารเคมี - **การปรุงอย่างเหมาะสม**: หลีกเลี่ยงการทอดหรือใช้น้ำมันมากเกินไป ### ข้อควรระวัง แม้อาหารจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ก็ไม่ควรใช้แทนการรักษาทางการแพทย์เมื่อมีอาการป่วยรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนปรับเปลี่ยนการบริโภคอาหารเพื่อการรักษาโรคใดๆ การเลือกรับประทานอาหารอย่างถูกต้องและเหมาะสมจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพและป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือหัวใจของแนวคิด "อาหารเป็นยา"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 858 มุมมอง 0 รีวิว
  • #น้ำ

    ร่างกายมีน้ำเป็นส่วนประกอบกว่าร้อยละ 70 และยังเป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์ทุก ๆ เซลล์ในร่างกาย ช่วยในการนำของเสียออกจากร่างกาย ช่วยลำเลียงอาหารที่ย่อยแล้วไปยังส่วนต่าง ๆ และช่วยในการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย เพราะฉะนั้นการดื่มน้ำเป็นวิธีการสำคัญที่จำเป็นต้องทำ

    หน้าที่ของน้ำในร่างกาย

    • เป็นองค์ประกอบส่วนใหญ่ของเซลล์

    • เป็นส่วนประกอบของเลือด น้ำเหลือง น้ำดี น้ำย่อยอาหาร เหงื่อ ปัสสาวะ และน้ำต่าง ๆ ทั่วร่างกาย

    • ทำหน้าที่ละลายอาหารที่ย่อยแล้วและแพร่ผ่านผนังหลอดเลือดที่ลำไส้เล็กเข้าสู่กระแสเลือด

    • ทำหน้าที่เป็นตัวกลางนำอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ นำของเสียออกจากร่างกายผ่านทางอวัยวะต่าง ๆ เช่น ปอด ผิวหนัง ไต

    • ช่วยหล่อลื่นอวัยวะต่าง ๆ ให้มีการเคลื่อนไหวได้ดีและทำงานได้ตามปกติ เช่น น้ำในข้อต่อ ช่องท้อง ช่องปอด

    • ทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่ตลอดเวลา รวมทั้งทำให้ร่างกายสดชื่น

    ในแต่ละวันร่างกายต้องสูญเสียน้ำประมาณวันละ 2 ลิตร ซึ่งขับออกมาทางปัสสาวะ เหงื่อและลมหายใจ ซึ่งขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่ทำ ช่วงอายุ และน้ำหนักของแต่ละบุคคล ดังนั้นเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียไปทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร ร่างกายอาจมีการสูญเสียน้ำมากกว่าปกติได้หากมีการสูญเสียน้ำทางอื่น เช่น ท้องเสีย อากาศร้อนจัดจนมีการระเหยของน้ำทางลมหายใจและเสียเหงื่อมากขึ้น สำหรับผู้มีโรคประจำตัวบางชนิดอาจต้องมีการจำกัดน้ำ เนื่องจากร่างกายขับน้ำส่วนเกินได้น้อย เช่น กลุ่มผู้ป่วยโรคไต โรคหัวใจ ผู้มีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับปริมาณการบริโภคน้ำที่เหมาะสมกับตนเอง หากดื่มมากหรือน้อยเกินไปก็จะส่งผลต่อร่างกายได้

    เมื่อร่างกายขาดน้ำ การทำงานของระบบอวัยวะต่าง ๆ จะติดขัด ในทางกลับกันถ้าร่างกายได้รับน้ำมากเกินไปจนเกิดภาวะน้ำเป็นพิษ จะเกิดการเสียสมดุลระหว่างน้ำในเซลล์และนอกเซลล์ ทำให้ความเข้มข้นของเลือดลดลง ร่างกายต้องขับแร่ธาตุบางชนิดออกจากเซลล์เพื่อปรับสมดุลของน้ำและทำให้ขาดความสมดุลของแร่ธาตุชนิดนั้นแทน ส่งผลให้เกิดความผิดปกติขึ้นในกระบวนการทำงานของเซลล์ ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้

    ควรดื่มน้ำเปล่าในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อทดแทนน้ำที่ร่างกายสูญเสียไป โดยมาตรฐานการดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว ก็เพียงพอต่อการทำงานของร่างกายของบุคคลทั่วไป แต่ความจริงแล้วยังมีปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น กิจกรรมที่เราทำในแต่ละวัน เพศ อายุ โรคประจำตัว ความร้อนในสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีส่วนกำหนดความเหมาะสมต่อการดื่มน้ำในแต่ละวันด้วยเช่นกัน

    นิ่วและน้ำ

    น้ำดื่มที่สะอาดจะช่วยลดการเกิดนิ่วชนิดออกซาเลตในไต บรรเทาการอักเสบของทางเดินปัสสาวะ ลดอาการท้องผูก น้ำสะอาดจะเร่งการขับสารพิษและของเสียออกไป เมื่อดื่มน้ำที่เพียงพอต่อร่างกายน้ำจะไปช่วยหล่อลื่นข้อกระดูกต่าง ๆ ลดอาการปวดข้อ ปวดหลัง และปวดเอว

    ดื่มน้ำมากๆ เพื่อรักษาความสะอาดช่องปาก ป้องกัน “นิ่วต่อมน้ำลาย”

    ของเหลวกับน้ำ

    เครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ เช่น น้ำอัดลม ชา กาแฟ เหล้า เบียร์ จะทำให้เกิดการขับน้ำออกจากร่างกายมากยิ่งขึ้น เพราะคาเฟอีนจะกระตุ้นการขับปัสสาวะ ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากขึ้น น้ำตาลที่เป็นส่วนผสมในเครื่องดื่มเหล่านี้เป็นสาเหตุของระดับน้ำตาลในเลือดที่สูง อาจนำไปสู่โรคเบาหวานได้ และในผู้ป่วยเบาหวานที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากจะมีปัญหาการขับปัสสาวะมากกว่าปกติได้

    ผู้ป่วยด้วยภาวะต่างๆ เช่น ข้อเข่าเสื่อม กลั้นปัสสาวะไม่ได้ สมองเสื่อม มีความลำบากในการลุกเข้าห้องน้ำทำให้ไม่อยากดื่มน้ำ ผู้ป่วยกลุ่มนี้ควรดื่มน้ำตามปกติ โดยอาจจัดเวลาดื่มน้ำเน้นในช่วงเวลากลางวัน และจัดสถานที่ปัสสาวะให้สะดวกมากขึ้น

    ความรู้เรื่องน้ำดื่ม

    น้ำ RO

    น้ำ RO เป็นน้ำที่มีการกรองเอาเกลือแร่ส่วนเกินและแบคทีเรียออกไป ดังนั้นจึงนับว่าเป็นน้ำที่สะอาด

    น้ำด่าง

    น้ำด่างนอกจากไม่ช่วยในการป้องกันโรคมะเร็ง เนื่องจากเป็นน้ำที่เติมเกลือแร่บางอย่างเข้าไปทำให้ค่าความเป็นด่างสูงขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ยังเป็นน้ำที่ไปทำให้กระเพาะอาหารมีค่าความเป็นกรดด่างเปลี่ยนไป จนนำไปสู่ปัญหาในระบบทางเดินอาหารและการย่อย

    น้ำมนต์

    น้ำมนต์บางที่อาจจะเป็นน้ำที่ทำความสะอาดและกรองมาแบบปกติ หรือน้ำดื่มบรรจุขวดมาตรฐานที่มีขายทั่วไป เพียงแค่นำมาตั้งและสวดมนต์ตามความเชื่อ สามารถดื่มได้ตามปกติ

    แต่ถ้าเป็นน้ำมนต์จากน้ำที่ผุดขึ้นมาจากบ่อดิน หรือมีการหยดสารอื่น ๆ ลงไป เช่น เทียน ธูป ทำให้น้ำมีสารปนเปื้อนสารเคมี ฝุ่นผง และเชื้อโรค เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรนำไปดื่ม

    • เหล็ก หากได้รับเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมาก จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพหลายทาง เช่น ระคายเคืองทางเดินอาหาร ในรายที่รุนแรงมีภาวะเลือดเป็นกรด หลอดเลือดขยายตัวทำให้ความดันเลือดลดลง การสะสมธาตุเหล็กเกินในระยะยาวส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บของตับได้

    • ปรอท เมื่อร่างกายมีปรอทสะสมอยู่ในปริมาณมากจะทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องเสีย หรือส่งผลร้ายแรงต่อระบบประสาท เช่น ทำให้ตาพร่ามัว มองไม่ชัด ส่งผลต่อระบบประสาทด้านอารมณ์และความจำ มีภาวะสมองเสื่อมได้

    • แมงกานีส อาจปนเปื้อนมากับน้ำดื่มที่ไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลให้มีอาการปวดศีรษะ ระคายเคืองทางเดินอาหารในระยะยาว ส่งผลต่อการบาดเจ็บของเซลล์สมองได้

    • ทองแดง หากร่างกายมีทองแดงสะสมเกินกว่า 100 มิลลิกรัม จะส่งผลให้ระคายเคืองทางเดินอาหาร อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร อาเจียน ในรายที่รุนแรงอาจมีเม็ดเลือดแดงแตกและส่งผลถึงการทำงานของตับ

    • เชื้อโรคที่ปนเปื้อนมากับน้ำไม่สะอาดโดยเฉพาะเชื้อโคลิฟอร์มแบคทีเรีย เช่น เชื้ออีโคไล ซิโตรแบคเตอร์ เคลบเซลล่า หากมีเชื้อโรคเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อ ทำให้มีไข้ ปวดท้อง ท้องเสีย

    • การฆ่าเชื้อโรคกลุ่มนี้สามารถทำได้โดยกระบวนการฆ่าเชื้อต่าง ๆ เช่น การต้มน้ำ กระบวนการพาสเจอไรซ์ หรือผ่านระบบกรองน้ำที่มีระบบฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพ

    น้ำแร่

    ในธรรมชาติแล้วน้ำแร่มักได้มาจากภูเขาสูงซึ่งมีค้างคาวอาศัยอยู่ ของเสียจากสัตว์เหล่านี้อาจจะมีสิ่งปนเปื้อนชนิดที่เรียกว่า สารหนู ซึ่งไม่มีสี ไม่มีรสและไม่มีกลิ่น แต่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก

    ถ้าคิดจะดื่ม ต้องมั่นใจว่าผู้ผลิตได้ยืนยันการตรวจสอบปริมาณสารหนูเรียบร้อยแล้ว

    TIPS

    ในช่วง 5:00 น ถึง 7:00 น ลำไส้จะไม่มีการดูดซึมน้ำ แต่ร่างกายจะปล่อยน้ำส่วนใหญ่มาที่ลำไส้ใหญ่เพื่อการขับถ่าย ดังนั้นการดื่มน้ำในช่วงเวลานี้ในปริมาณมากจึงส่งผลดีต่อร่างกาย

    ก่อนรับประทานอาหาร ให้จิบน้ำแค่พอลื่นคอ
    ในขณะรับประทานอาหารไม่ควรดื่มน้ำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากจะไปรบกวนความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร และพึงระลึกไว้ว่าอาหารที่เรารับประทานส่วนใหญ่ประกอบด้วยน้ำในตัวของพวกเขาอยู่แล้ว

    หลังรับประทานอาหารจิบน้ำเพียงเล็กน้อยแล้วให้รีบไปแปรงฟัน จากนั้นรอจนอาหารย่อยและสารอาหารถูกดูดซึมเข้าหลอดเลือด ในช่วงเวลานี้เลือดคุณจะข้นขึ้น เมื่อเลือดที่ข้นผ่านไปยังไต ไตก็จะสั่ง สัญญาณให้คุณรู้สึกคอแห้งเพื่อเติมน้ำเข้าระบบ ส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 40 นาที

    งดหรือหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำในปริมาณมากๆ ในคราวเดียว เนื่องจากจะทำให้กระเพาะอาหารขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนไปทับเส้นประสาทที่ควบคุมการทำงานของม้ามและไต ซึ่งนำไปสู่อาการปวดส้นเท้าหรือที่เรียกกันว่ารองช้ำได้

    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง

    Cr. Santi Manadee
    #น้ำ ร่างกายมีน้ำเป็นส่วนประกอบกว่าร้อยละ 70 และยังเป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์ทุก ๆ เซลล์ในร่างกาย ช่วยในการนำของเสียออกจากร่างกาย ช่วยลำเลียงอาหารที่ย่อยแล้วไปยังส่วนต่าง ๆ และช่วยในการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย เพราะฉะนั้นการดื่มน้ำเป็นวิธีการสำคัญที่จำเป็นต้องทำ หน้าที่ของน้ำในร่างกาย • เป็นองค์ประกอบส่วนใหญ่ของเซลล์ • เป็นส่วนประกอบของเลือด น้ำเหลือง น้ำดี น้ำย่อยอาหาร เหงื่อ ปัสสาวะ และน้ำต่าง ๆ ทั่วร่างกาย • ทำหน้าที่ละลายอาหารที่ย่อยแล้วและแพร่ผ่านผนังหลอดเลือดที่ลำไส้เล็กเข้าสู่กระแสเลือด • ทำหน้าที่เป็นตัวกลางนำอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ นำของเสียออกจากร่างกายผ่านทางอวัยวะต่าง ๆ เช่น ปอด ผิวหนัง ไต • ช่วยหล่อลื่นอวัยวะต่าง ๆ ให้มีการเคลื่อนไหวได้ดีและทำงานได้ตามปกติ เช่น น้ำในข้อต่อ ช่องท้อง ช่องปอด • ทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่ตลอดเวลา รวมทั้งทำให้ร่างกายสดชื่น ในแต่ละวันร่างกายต้องสูญเสียน้ำประมาณวันละ 2 ลิตร ซึ่งขับออกมาทางปัสสาวะ เหงื่อและลมหายใจ ซึ่งขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่ทำ ช่วงอายุ และน้ำหนักของแต่ละบุคคล ดังนั้นเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียไปทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร ร่างกายอาจมีการสูญเสียน้ำมากกว่าปกติได้หากมีการสูญเสียน้ำทางอื่น เช่น ท้องเสีย อากาศร้อนจัดจนมีการระเหยของน้ำทางลมหายใจและเสียเหงื่อมากขึ้น สำหรับผู้มีโรคประจำตัวบางชนิดอาจต้องมีการจำกัดน้ำ เนื่องจากร่างกายขับน้ำส่วนเกินได้น้อย เช่น กลุ่มผู้ป่วยโรคไต โรคหัวใจ ผู้มีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับปริมาณการบริโภคน้ำที่เหมาะสมกับตนเอง หากดื่มมากหรือน้อยเกินไปก็จะส่งผลต่อร่างกายได้ เมื่อร่างกายขาดน้ำ การทำงานของระบบอวัยวะต่าง ๆ จะติดขัด ในทางกลับกันถ้าร่างกายได้รับน้ำมากเกินไปจนเกิดภาวะน้ำเป็นพิษ จะเกิดการเสียสมดุลระหว่างน้ำในเซลล์และนอกเซลล์ ทำให้ความเข้มข้นของเลือดลดลง ร่างกายต้องขับแร่ธาตุบางชนิดออกจากเซลล์เพื่อปรับสมดุลของน้ำและทำให้ขาดความสมดุลของแร่ธาตุชนิดนั้นแทน ส่งผลให้เกิดความผิดปกติขึ้นในกระบวนการทำงานของเซลล์ ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้ ควรดื่มน้ำเปล่าในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อทดแทนน้ำที่ร่างกายสูญเสียไป โดยมาตรฐานการดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว ก็เพียงพอต่อการทำงานของร่างกายของบุคคลทั่วไป แต่ความจริงแล้วยังมีปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น กิจกรรมที่เราทำในแต่ละวัน เพศ อายุ โรคประจำตัว ความร้อนในสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีส่วนกำหนดความเหมาะสมต่อการดื่มน้ำในแต่ละวันด้วยเช่นกัน นิ่วและน้ำ น้ำดื่มที่สะอาดจะช่วยลดการเกิดนิ่วชนิดออกซาเลตในไต บรรเทาการอักเสบของทางเดินปัสสาวะ ลดอาการท้องผูก น้ำสะอาดจะเร่งการขับสารพิษและของเสียออกไป เมื่อดื่มน้ำที่เพียงพอต่อร่างกายน้ำจะไปช่วยหล่อลื่นข้อกระดูกต่าง ๆ ลดอาการปวดข้อ ปวดหลัง และปวดเอว ดื่มน้ำมากๆ เพื่อรักษาความสะอาดช่องปาก ป้องกัน “นิ่วต่อมน้ำลาย” ของเหลวกับน้ำ เครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ เช่น น้ำอัดลม ชา กาแฟ เหล้า เบียร์ จะทำให้เกิดการขับน้ำออกจากร่างกายมากยิ่งขึ้น เพราะคาเฟอีนจะกระตุ้นการขับปัสสาวะ ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากขึ้น น้ำตาลที่เป็นส่วนผสมในเครื่องดื่มเหล่านี้เป็นสาเหตุของระดับน้ำตาลในเลือดที่สูง อาจนำไปสู่โรคเบาหวานได้ และในผู้ป่วยเบาหวานที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากจะมีปัญหาการขับปัสสาวะมากกว่าปกติได้ ผู้ป่วยด้วยภาวะต่างๆ เช่น ข้อเข่าเสื่อม กลั้นปัสสาวะไม่ได้ สมองเสื่อม มีความลำบากในการลุกเข้าห้องน้ำทำให้ไม่อยากดื่มน้ำ ผู้ป่วยกลุ่มนี้ควรดื่มน้ำตามปกติ โดยอาจจัดเวลาดื่มน้ำเน้นในช่วงเวลากลางวัน และจัดสถานที่ปัสสาวะให้สะดวกมากขึ้น ความรู้เรื่องน้ำดื่ม น้ำ RO น้ำ RO เป็นน้ำที่มีการกรองเอาเกลือแร่ส่วนเกินและแบคทีเรียออกไป ดังนั้นจึงนับว่าเป็นน้ำที่สะอาด น้ำด่าง น้ำด่างนอกจากไม่ช่วยในการป้องกันโรคมะเร็ง เนื่องจากเป็นน้ำที่เติมเกลือแร่บางอย่างเข้าไปทำให้ค่าความเป็นด่างสูงขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ยังเป็นน้ำที่ไปทำให้กระเพาะอาหารมีค่าความเป็นกรดด่างเปลี่ยนไป จนนำไปสู่ปัญหาในระบบทางเดินอาหารและการย่อย น้ำมนต์ น้ำมนต์บางที่อาจจะเป็นน้ำที่ทำความสะอาดและกรองมาแบบปกติ หรือน้ำดื่มบรรจุขวดมาตรฐานที่มีขายทั่วไป เพียงแค่นำมาตั้งและสวดมนต์ตามความเชื่อ สามารถดื่มได้ตามปกติ แต่ถ้าเป็นน้ำมนต์จากน้ำที่ผุดขึ้นมาจากบ่อดิน หรือมีการหยดสารอื่น ๆ ลงไป เช่น เทียน ธูป ทำให้น้ำมีสารปนเปื้อนสารเคมี ฝุ่นผง และเชื้อโรค เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรนำไปดื่ม • เหล็ก หากได้รับเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมาก จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพหลายทาง เช่น ระคายเคืองทางเดินอาหาร ในรายที่รุนแรงมีภาวะเลือดเป็นกรด หลอดเลือดขยายตัวทำให้ความดันเลือดลดลง การสะสมธาตุเหล็กเกินในระยะยาวส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บของตับได้ • ปรอท เมื่อร่างกายมีปรอทสะสมอยู่ในปริมาณมากจะทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องเสีย หรือส่งผลร้ายแรงต่อระบบประสาท เช่น ทำให้ตาพร่ามัว มองไม่ชัด ส่งผลต่อระบบประสาทด้านอารมณ์และความจำ มีภาวะสมองเสื่อมได้ • แมงกานีส อาจปนเปื้อนมากับน้ำดื่มที่ไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลให้มีอาการปวดศีรษะ ระคายเคืองทางเดินอาหารในระยะยาว ส่งผลต่อการบาดเจ็บของเซลล์สมองได้ • ทองแดง หากร่างกายมีทองแดงสะสมเกินกว่า 100 มิลลิกรัม จะส่งผลให้ระคายเคืองทางเดินอาหาร อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร อาเจียน ในรายที่รุนแรงอาจมีเม็ดเลือดแดงแตกและส่งผลถึงการทำงานของตับ • เชื้อโรคที่ปนเปื้อนมากับน้ำไม่สะอาดโดยเฉพาะเชื้อโคลิฟอร์มแบคทีเรีย เช่น เชื้ออีโคไล ซิโตรแบคเตอร์ เคลบเซลล่า หากมีเชื้อโรคเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อ ทำให้มีไข้ ปวดท้อง ท้องเสีย • การฆ่าเชื้อโรคกลุ่มนี้สามารถทำได้โดยกระบวนการฆ่าเชื้อต่าง ๆ เช่น การต้มน้ำ กระบวนการพาสเจอไรซ์ หรือผ่านระบบกรองน้ำที่มีระบบฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพ น้ำแร่ ในธรรมชาติแล้วน้ำแร่มักได้มาจากภูเขาสูงซึ่งมีค้างคาวอาศัยอยู่ ของเสียจากสัตว์เหล่านี้อาจจะมีสิ่งปนเปื้อนชนิดที่เรียกว่า สารหนู ซึ่งไม่มีสี ไม่มีรสและไม่มีกลิ่น แต่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก ถ้าคิดจะดื่ม ต้องมั่นใจว่าผู้ผลิตได้ยืนยันการตรวจสอบปริมาณสารหนูเรียบร้อยแล้ว TIPS ในช่วง 5:00 น ถึง 7:00 น ลำไส้จะไม่มีการดูดซึมน้ำ แต่ร่างกายจะปล่อยน้ำส่วนใหญ่มาที่ลำไส้ใหญ่เพื่อการขับถ่าย ดังนั้นการดื่มน้ำในช่วงเวลานี้ในปริมาณมากจึงส่งผลดีต่อร่างกาย ก่อนรับประทานอาหาร ให้จิบน้ำแค่พอลื่นคอ ในขณะรับประทานอาหารไม่ควรดื่มน้ำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากจะไปรบกวนความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร และพึงระลึกไว้ว่าอาหารที่เรารับประทานส่วนใหญ่ประกอบด้วยน้ำในตัวของพวกเขาอยู่แล้ว หลังรับประทานอาหารจิบน้ำเพียงเล็กน้อยแล้วให้รีบไปแปรงฟัน จากนั้นรอจนอาหารย่อยและสารอาหารถูกดูดซึมเข้าหลอดเลือด ในช่วงเวลานี้เลือดคุณจะข้นขึ้น เมื่อเลือดที่ข้นผ่านไปยังไต ไตก็จะสั่ง สัญญาณให้คุณรู้สึกคอแห้งเพื่อเติมน้ำเข้าระบบ ส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 40 นาที งดหรือหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำในปริมาณมากๆ ในคราวเดียว เนื่องจากจะทำให้กระเพาะอาหารขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนไปทับเส้นประสาทที่ควบคุมการทำงานของม้ามและไต ซึ่งนำไปสู่อาการปวดส้นเท้าหรือที่เรียกกันว่ารองช้ำได้ ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1289 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฮอร์โมนรักษาวัยทอง 🧑‍⚕️ ไม่ได้เหมาะกับทุกคน! 🌿 แม้ว่าจะช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ของวัยทอง แต่ก็ต้องปรึกษาแพทย์และพิจารณาความเหมาะสมของแต่ละบุคคล 💬 ไม่ทุกร่างกายจะตอบสนองเหมือนกัน ดังนั้นอย่าลืมตรวจสอบให้ดีก่อนตัดสินใจค่ะ ✨
    .
    📩 สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสำรองคิวใน Comment
    .
    #วัยทอง #ฮอร์โมนรักษาวัยทอง #ดูแลสุขภาพ #ปรึกษาแพทย์ #สุขภาพดี #วัยทองเป็นเรื่องที่ใส่ใจ #ฮอร์โมนเพศ #คลินิกเพื่อคนข้ามเพศ #เพราะทุกเพศสำคัญ #TransCare #HormoneTherapy #ดูแลตัวเอง #ฟื้นฟูสุขภาพ #ฮอร์โมนสมดุล #มั่นใจในทุกวัย #ปรับสมดุลฮอร์โมน #ชีวิตดีไม่มีสะดุด #ฮอร์โมนสมดุล #ผู้หญิงยุคใหม่ #ดูแลด้วยใจ #DrJim #VagiClinic
    ฮอร์โมนรักษาวัยทอง 🧑‍⚕️ ไม่ได้เหมาะกับทุกคน! 🌿 แม้ว่าจะช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ของวัยทอง แต่ก็ต้องปรึกษาแพทย์และพิจารณาความเหมาะสมของแต่ละบุคคล 💬 ไม่ทุกร่างกายจะตอบสนองเหมือนกัน ดังนั้นอย่าลืมตรวจสอบให้ดีก่อนตัดสินใจค่ะ ✨ . 📩 สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสำรองคิวใน Comment . #วัยทอง #ฮอร์โมนรักษาวัยทอง #ดูแลสุขภาพ #ปรึกษาแพทย์ #สุขภาพดี #วัยทองเป็นเรื่องที่ใส่ใจ #ฮอร์โมนเพศ #คลินิกเพื่อคนข้ามเพศ #เพราะทุกเพศสำคัญ #TransCare #HormoneTherapy #ดูแลตัวเอง #ฟื้นฟูสุขภาพ #ฮอร์โมนสมดุล #มั่นใจในทุกวัย #ปรับสมดุลฮอร์โมน #ชีวิตดีไม่มีสะดุด #ฮอร์โมนสมดุล #ผู้หญิงยุคใหม่ #ดูแลด้วยใจ #DrJim #VagiClinic
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1299 มุมมอง 32 0 รีวิว
  • 23/1/68

    PM 2.5 หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน เช็ก 4 อาการเสี่ยงระดับรุนแรง

    ฝุ่น PM2.5 ทำให้ค่าอายุเฉลี่ยของคนไทยลดลง 1.78 ปี โดยกรมอนามัย ระบุ ผลกระทบต่อสุขภาพ ในระยะสั้น ไอ จาม ระคายเคืองผิวหนัง ผื่น คัน ระคายเคืองตา แสบตา ตาแดง ส่วนผลกระทบระยะยาว ระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ เสี่ยงต่อภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน หัวใจวาย ภาวะหลอดเลือดสมองตีบ ความดันโลหิตสูง ,ระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคหอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ,เบาหวาน, มะเร็งปอด ,เสี่ยงแท้ง/คลอดก่อนกำหนด ,กระทบต่อพัฒนาการ/ระบบสมองของทารกและทารกแรกคลอดผิดปกติ/น้ำหนักน้อย

    4 อาการ เสี่ยงระดับรุนแรง
    การประเมินตนเองผ่านคลินิกมลพิษออนไลน์ หากมีอาการ 1 ใน 4 รายการนี้เพียง 1 ข้อ ถือว่าอยู่ในระดับรุนแรงควรรีบปรึกษาแพทย์ ได้แก่

    แน่นหน้าอก หายใจลำบาก

    หอบ หายใจเสียงดังวี๊ด

    เจ็บหน้าอก

    เหนื่อยมากจนต้องนั่งพักหรือทำงานไม่ได้

    ฝุ่น PM 2.5 ทำร้ายเซลล์หลอดเลือด

    พญ.ฉันทนา ผดุงทศ ผอ.กองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงผลกระทบฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ว่า ข้อมูลสะสมตั้งแต่ ต.ค.2567-ม.ค.2568 มีรายงานผู้ป่วย 4 กลุ่มโรคที่เฝ้าระวังประมาณ 1 ล้านราย มากที่สุดคือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่นราว 2 แสนราย เป็นต้น

    การได้รับฝุ่น PM 2.5 ต่อเนื่อง กรณีที่ป่วยอยู่แล้ว ในระยะยาวจะทำให้ป่วยรุนแรง เช่น ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือหอบหืดอยู่แล้ว แทนที่จะหายใจได้บ้างก็กลายเป็นหายใจลำบาก เพราะฝุ่นทำให้โรคไม่หายเสียที นอกจากนี้ ยังมีโอกาสได้รับสารเคมีตัวอื่นที่เกาะกับฝุ่น PM 2.5 เข้าสู่ร่างกายได้ด้วย ฝุ่น PM 2.5 เข้าไปได้ลึกถึงถุงลม สารเคมีที่มาจับกับฝุ่นก็ลงไปได้ลึกเท่านั้น ที่กังวลคือการก่อมะเร็งปอดในอนาคต
    “ผลกระทบจริงๆ ของฝุ่น PM 2.5 เข้าไปทำร้ายเซลล์หลอดเลือด เช่น เส้นเลือดหัวใจตีบ เนื่องจากฝุ่น PM2.5 เข้าไปทำให้ผนังเส้นเลือดไม่แข็งแรง หรือกรณีที่เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคเกี่ยวกับสมองเพราะฝุ่น PM2.5 เข้าไปทำให้เส้นเลือดสมองไม่แข็งแรง ทำให้เกิดการอุดตันได้ง่าย”พญ.ฉันทนากล่าว

    หากเป็นกรณีการอักเสบ เหมือนเป็นแผล ถ้าไม่มีฝุ่น PM2.5 เข้ามาทำให้เกิดการระคายเคืองอีก ก็สามารถหายได้ แต่กรณีโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืดก็จะเข้าสู่ภาวะโรคปกติ เช่น ยังต้องพ่นยาอยู่ แต่ก็ไม่ต้องพ่นเยอะเหมือนช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 แต่ในส่วนของมะเร็งอาจจะต้องดูระยะยาว ต้องติดตาม

    พญ.ฉันทนา กล่าวอีกว่า มะเร็งปอดที่มาจากฝุ่น PM2.5 ยังต้องเก็บข้อมูลในระยะยาว แต่ก็เห็นตัวอย่างในหลายๆ ประเทศแล้ว แม้แต่ในไทยก็พบมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอด ทั้งที่มีประวัติคลีนมาก ก็อาจเป็นเรื่องของฝุ่นเป็นหลัก ปัจจุบันคาดการณ์จากประเทศอื่นๆ ที่ทำวิจัย ส่วนในประเทศไทย กำลังมีการศึกษาวิจัยไปข้างหน้าว่ามันจะเกิดขึ้นไหม ยังไม่นานพอที่จะทำให้เห็นว่าเกี่ยวกับฝุ่น แต่ก็พอเห็นกรณีที่มีความเป็นไปได้ว่ามาจากฝุ่น

    ปัญหาฝุ่น PM2.5 มาจาก 3 ปัจจัยหลักๆ คือ การเผาในที่โล่ง ซึ่งพบมากที่สุดในตอนนี้ ต่อมาเป็นโรงงานอุตสาหกรรม และการคมนาคมขนส่ง นอกจากฝุ่น PM 2.5 ยังมีสารพิษที่น่ากลัว และน่ากังวลที่สามารถเกาะมากับ PM2.5 คือ สารโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic Aromatic Hydrocarbon : PAHs) โดยเฉพาะการเผาไหม้ที่เกิดจากการเผายาง หรือการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ทำให้เกิดสาร PAHs เช่นกัน

    เสี่ยง โรคหัวใจ-สมองขาดเลือดเฉียบพลัน
    ขณะที่ รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ให้ข้อมูลผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ค่า PM2.5 ที่บ้านริมน้ำวัดได้สูงสุดตอนเจ็ดโมงเช้าที่ 102.9 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร(มคก./ลบ.ม.) ค่ารายชั่วโมงที่ 75 มคก./ลบ.ม. สำหรับคนทั่วไปอาจจะถึงขั้น เจ็บได้ คือ แสบจมูกและคอ ระคายเคืองตาและผิวหนัง

    แต่ถ้าขึ้นไปถึง 150 มคก./ลบ.ม. อาจตายได้ จากโรคหัวใจขาดเลือดและสมองขาดเลือดเฉียบพลัน สำหรับกลุ่มคนเปราะบาง ค่าเจ็บได้จะอยู่ที่ 37.5 มคก./ลบ.ม. จากโรคหืดและโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้กำเริบ โรคถุงลมโป่งพองกำเริบ โรคหัวใจและสมองกำเริบ ส่วนค่าที่อาจตายได้จะอยู่ที่ 75 มคก./ลบ.ม. หรือเอาง่าย ๆ คือ ครึ่งหนึ่งของคนปกติ

    มะเร็งปอดภาคเหนือสูง
    ดังที่ทราบว่าภาคเหนือมีปัญหาฝุ่น PM 2.5 มานานนับ 10 ปี การศึกษาวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.) ในการเปรียบเทียบอัตราการตายของผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด ตั้งแต่ปี 2553-2564 ระหว่าง ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ พบว่าภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ และลำปาง มีอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดสูงที่สุด นอกจากนี้ ยังพบสัดส่วนของผู้ป่วยมะเร็งปอดในคนหนุ่มสาวของประชากรภาคเหนือสูงกว่าภาคอื่นๆ

    นอกจากนี้ งานวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ มช. ยังบ่งบอกหลักฐานสนับสนุนความสัมพันธ์ของฝุ่น PM2.5 กับมะเร็ง โดยการศึกษาผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพองในพื้นที่ อ.เชียงดาว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีค่า PM2.5 สูงอันดับต้นๆของจ.เชียงใหม่ โดยการขูดเซลล์บริเวณกระพุ้งแก้มของผู้ป่วยถุงลมโป่งพองไปตรวจ เปรียบเทียบกันระหว่างช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 สูงและช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 ต่ำ ผลปรากฏว่าในช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 สูง เซลล์กระพุ้งแก้มของผู้ป่วยมีการเปลี่ยนแปลง บ่งบอกว่ายีนมีความผิดปกติ ซึ่งจะส่งผลในระยะยาว จนกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ ในอนาคต
    23/1/68 PM 2.5 หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน เช็ก 4 อาการเสี่ยงระดับรุนแรง ฝุ่น PM2.5 ทำให้ค่าอายุเฉลี่ยของคนไทยลดลง 1.78 ปี โดยกรมอนามัย ระบุ ผลกระทบต่อสุขภาพ ในระยะสั้น ไอ จาม ระคายเคืองผิวหนัง ผื่น คัน ระคายเคืองตา แสบตา ตาแดง ส่วนผลกระทบระยะยาว ระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ เสี่ยงต่อภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน หัวใจวาย ภาวะหลอดเลือดสมองตีบ ความดันโลหิตสูง ,ระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคหอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ,เบาหวาน, มะเร็งปอด ,เสี่ยงแท้ง/คลอดก่อนกำหนด ,กระทบต่อพัฒนาการ/ระบบสมองของทารกและทารกแรกคลอดผิดปกติ/น้ำหนักน้อย 4 อาการ เสี่ยงระดับรุนแรง การประเมินตนเองผ่านคลินิกมลพิษออนไลน์ หากมีอาการ 1 ใน 4 รายการนี้เพียง 1 ข้อ ถือว่าอยู่ในระดับรุนแรงควรรีบปรึกษาแพทย์ ได้แก่ แน่นหน้าอก หายใจลำบาก หอบ หายใจเสียงดังวี๊ด เจ็บหน้าอก เหนื่อยมากจนต้องนั่งพักหรือทำงานไม่ได้ ฝุ่น PM 2.5 ทำร้ายเซลล์หลอดเลือด พญ.ฉันทนา ผดุงทศ ผอ.กองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงผลกระทบฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ว่า ข้อมูลสะสมตั้งแต่ ต.ค.2567-ม.ค.2568 มีรายงานผู้ป่วย 4 กลุ่มโรคที่เฝ้าระวังประมาณ 1 ล้านราย มากที่สุดคือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่นราว 2 แสนราย เป็นต้น การได้รับฝุ่น PM 2.5 ต่อเนื่อง กรณีที่ป่วยอยู่แล้ว ในระยะยาวจะทำให้ป่วยรุนแรง เช่น ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือหอบหืดอยู่แล้ว แทนที่จะหายใจได้บ้างก็กลายเป็นหายใจลำบาก เพราะฝุ่นทำให้โรคไม่หายเสียที นอกจากนี้ ยังมีโอกาสได้รับสารเคมีตัวอื่นที่เกาะกับฝุ่น PM 2.5 เข้าสู่ร่างกายได้ด้วย ฝุ่น PM 2.5 เข้าไปได้ลึกถึงถุงลม สารเคมีที่มาจับกับฝุ่นก็ลงไปได้ลึกเท่านั้น ที่กังวลคือการก่อมะเร็งปอดในอนาคต “ผลกระทบจริงๆ ของฝุ่น PM 2.5 เข้าไปทำร้ายเซลล์หลอดเลือด เช่น เส้นเลือดหัวใจตีบ เนื่องจากฝุ่น PM2.5 เข้าไปทำให้ผนังเส้นเลือดไม่แข็งแรง หรือกรณีที่เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคเกี่ยวกับสมองเพราะฝุ่น PM2.5 เข้าไปทำให้เส้นเลือดสมองไม่แข็งแรง ทำให้เกิดการอุดตันได้ง่าย”พญ.ฉันทนากล่าว หากเป็นกรณีการอักเสบ เหมือนเป็นแผล ถ้าไม่มีฝุ่น PM2.5 เข้ามาทำให้เกิดการระคายเคืองอีก ก็สามารถหายได้ แต่กรณีโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืดก็จะเข้าสู่ภาวะโรคปกติ เช่น ยังต้องพ่นยาอยู่ แต่ก็ไม่ต้องพ่นเยอะเหมือนช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 แต่ในส่วนของมะเร็งอาจจะต้องดูระยะยาว ต้องติดตาม พญ.ฉันทนา กล่าวอีกว่า มะเร็งปอดที่มาจากฝุ่น PM2.5 ยังต้องเก็บข้อมูลในระยะยาว แต่ก็เห็นตัวอย่างในหลายๆ ประเทศแล้ว แม้แต่ในไทยก็พบมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอด ทั้งที่มีประวัติคลีนมาก ก็อาจเป็นเรื่องของฝุ่นเป็นหลัก ปัจจุบันคาดการณ์จากประเทศอื่นๆ ที่ทำวิจัย ส่วนในประเทศไทย กำลังมีการศึกษาวิจัยไปข้างหน้าว่ามันจะเกิดขึ้นไหม ยังไม่นานพอที่จะทำให้เห็นว่าเกี่ยวกับฝุ่น แต่ก็พอเห็นกรณีที่มีความเป็นไปได้ว่ามาจากฝุ่น ปัญหาฝุ่น PM2.5 มาจาก 3 ปัจจัยหลักๆ คือ การเผาในที่โล่ง ซึ่งพบมากที่สุดในตอนนี้ ต่อมาเป็นโรงงานอุตสาหกรรม และการคมนาคมขนส่ง นอกจากฝุ่น PM 2.5 ยังมีสารพิษที่น่ากลัว และน่ากังวลที่สามารถเกาะมากับ PM2.5 คือ สารโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic Aromatic Hydrocarbon : PAHs) โดยเฉพาะการเผาไหม้ที่เกิดจากการเผายาง หรือการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ทำให้เกิดสาร PAHs เช่นกัน เสี่ยง โรคหัวใจ-สมองขาดเลือดเฉียบพลัน ขณะที่ รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ให้ข้อมูลผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ค่า PM2.5 ที่บ้านริมน้ำวัดได้สูงสุดตอนเจ็ดโมงเช้าที่ 102.9 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร(มคก./ลบ.ม.) ค่ารายชั่วโมงที่ 75 มคก./ลบ.ม. สำหรับคนทั่วไปอาจจะถึงขั้น เจ็บได้ คือ แสบจมูกและคอ ระคายเคืองตาและผิวหนัง แต่ถ้าขึ้นไปถึง 150 มคก./ลบ.ม. อาจตายได้ จากโรคหัวใจขาดเลือดและสมองขาดเลือดเฉียบพลัน สำหรับกลุ่มคนเปราะบาง ค่าเจ็บได้จะอยู่ที่ 37.5 มคก./ลบ.ม. จากโรคหืดและโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้กำเริบ โรคถุงลมโป่งพองกำเริบ โรคหัวใจและสมองกำเริบ ส่วนค่าที่อาจตายได้จะอยู่ที่ 75 มคก./ลบ.ม. หรือเอาง่าย ๆ คือ ครึ่งหนึ่งของคนปกติ มะเร็งปอดภาคเหนือสูง ดังที่ทราบว่าภาคเหนือมีปัญหาฝุ่น PM 2.5 มานานนับ 10 ปี การศึกษาวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.) ในการเปรียบเทียบอัตราการตายของผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด ตั้งแต่ปี 2553-2564 ระหว่าง ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ พบว่าภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ และลำปาง มีอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดสูงที่สุด นอกจากนี้ ยังพบสัดส่วนของผู้ป่วยมะเร็งปอดในคนหนุ่มสาวของประชากรภาคเหนือสูงกว่าภาคอื่นๆ นอกจากนี้ งานวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ มช. ยังบ่งบอกหลักฐานสนับสนุนความสัมพันธ์ของฝุ่น PM2.5 กับมะเร็ง โดยการศึกษาผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพองในพื้นที่ อ.เชียงดาว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีค่า PM2.5 สูงอันดับต้นๆของจ.เชียงใหม่ โดยการขูดเซลล์บริเวณกระพุ้งแก้มของผู้ป่วยถุงลมโป่งพองไปตรวจ เปรียบเทียบกันระหว่างช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 สูงและช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 ต่ำ ผลปรากฏว่าในช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 สูง เซลล์กระพุ้งแก้มของผู้ป่วยมีการเปลี่ยนแปลง บ่งบอกว่ายีนมีความผิดปกติ ซึ่งจะส่งผลในระยะยาว จนกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ ในอนาคต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1352 มุมมอง 0 รีวิว
  • 17/1/68

    อาการคัน

    เป็นเพราะเลือดข้นหนืดสังเกต
    1.ผิวพรรณไม่ผ่องใส
    2.มึนศรีษะ มือเท้าชา
    3.มักจะคันเวลาเดิมๆ

    การแก้ไข
    1.ต้องขยับร่างกาย คือออกกำลังกาย
    2.ดื่มน้ำให้มากพอเพียง 6~8 แก้ว
    3.หายใจเข้า~ออกให้ลึก& ผ่อนคลาย

    แก้ไขเลือดข้นหนืดด้วยสมุนไพร แต่ต้องระวัง! สำหรัลโรคไตเสื่อม (ทานไม่ได้~ต้องปรึกษาแพทย์)
    1.สาหร่ายเกลียวทอง 4-5 เม็ดก่อนอาหาร เพื่อเพิ่มสารอาหาร

    2.ตรีผลาก่อนหรือหลังอาหาร เพื่อเพิ่มน้ำในเลือด(ทานแบบน้ำ ปรือแบบเม็ดก็ได้)

    3.ทานยาแก้น้ำเหลืองเสีย ก่อนนอน แก้การระบายพิษอุจจาระ ปัสสาวะ

    cr: NosickHandup ใครไม่ป่วยยกมือขึ้น
    https://youtu.be/pri7gvRPzzE?si=nqvIOB9sso_DMpYV
    17/1/68 อาการคัน เป็นเพราะเลือดข้นหนืดสังเกต 1.ผิวพรรณไม่ผ่องใส 2.มึนศรีษะ มือเท้าชา 3.มักจะคันเวลาเดิมๆ การแก้ไข 1.ต้องขยับร่างกาย คือออกกำลังกาย 2.ดื่มน้ำให้มากพอเพียง 6~8 แก้ว 3.หายใจเข้า~ออกให้ลึก& ผ่อนคลาย แก้ไขเลือดข้นหนืดด้วยสมุนไพร แต่ต้องระวัง! สำหรัลโรคไตเสื่อม (ทานไม่ได้~ต้องปรึกษาแพทย์) 1.สาหร่ายเกลียวทอง 4-5 เม็ดก่อนอาหาร เพื่อเพิ่มสารอาหาร 2.ตรีผลาก่อนหรือหลังอาหาร เพื่อเพิ่มน้ำในเลือด(ทานแบบน้ำ ปรือแบบเม็ดก็ได้) 3.ทานยาแก้น้ำเหลืองเสีย ก่อนนอน แก้การระบายพิษอุจจาระ ปัสสาวะ cr: NosickHandup ใครไม่ป่วยยกมือขึ้น https://youtu.be/pri7gvRPzzE?si=nqvIOB9sso_DMpYV
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 539 มุมมอง 0 รีวิว
  • 14/1/68

    ซุปเปอร์ฟู้ด! 5 ธัญพืชคุณค่าโภชนาการใยอาหารสูง มีส่วนช่วยควบคุมน้ำหนัก

    ซุปเปอร์ฟู้ด (Superfood) อาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพในปริมาณสูงเมื่อเทียบกับปริมาณที่บริโภค โดยซุปเปอร์ฟู้ดมักจะช่วยบำรุงร่างกาย เสริมภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่าง ๆ วันนี้อยากให้ทุกคนรู้จักธัญพืชที่เป็นซุปเปอร์ฟู้ด หาซื้อง่าย ดีต่อสุขภาพ ช่วยให้ไฟเบอร์ช่วยเรื่องการขับถ่าย รักษาสมดุลสุขภาพ
    5 ธัญพืชซุปเปอร์ฟู้ด

    1.เมล็ดเจีย (Chia Seeds)
    ข้อมูลการศึกษาวิจัยพบว่าในเมล็ดเจียมีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว โอเมก้า-3 อยู่ร้อยละ 62.48

    และมีกรดไลโนเลอิก (linoleic acid : LA) หรือโอเมก้า-6 อยู่ร้อยละ 22.43 ของกรดไขมันทั้งหมดในเมล็ดเจีย นอกจากนี้ยังมี แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกเนเซียม และสารต้านอนุมูลอิสระ อีกด้วย ในกระแสช่วงนี้มีผู้นิยมบริโภคเมล็ดเจียเพื่อลดน้ำหนักซึ่งจากการศึกษาวิจัยทางคลินิก พบว่าการรับประทานเมล็ดเจียขนาด 35 - 40 ก./วัน สามารถลดความระดับความดันโลหิต ระดับน้ำตาล ระดับไขมันในเลือด และลดน้ำหนักได้ แต่การศึกษายังมีไม่มากพอที่จะสรุปได้อย่างชัดเจน

    2.ควินัว (Quinoa)
    มีโปรตีนสูง ที่มีกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน เช่น เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูงที่มีกรดอะมิโนจำเป็นครบทั้ง 9 ชนิด มีแร่ธาตุสำคัญและอุดมไปด้วยวิตามิน ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก มีใยอาหารสูง
    นอกจากนี้ ควินัวเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่แพ้กลูเตนหรือผู้ที่ต้องการลดการบริโภคกลูเตน มีไขมันชนิดดี เช่น กรดไขมันโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 ที่ช่วยเสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังและช่วยควบคุมน้ำหนักด้วย

    3.เมล็ดแฟลกซ์ (Flaxseeds)
    แหล่งของลิกแนน (สารต้านอนุมูลอิสระ)กรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LDL (คอเลสเตอรอลไม่ดี) มีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำและไม่ละลายน้ำช่วยปรับสมดุลระบบย่อยอาหาร อาจช่วยลดความเสี่ยง มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมาก

    4.ลูกเดือย (Job’s Tears)
    จัดเป็นธัญพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูง เพราะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับร่างกาย นอกจากนี้ยังมีกรดอะมิโนหลายชนิดที่สูงกว่าความต้องตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก เช่น กรดกลูตามิก ลิวซีน อะลานีน โปรลีน วาลีน ฟินิลอะลานีน ไอโซลิวซีน อาร์จีนีน เป็นต้น และยังมีกรดไขมันจำเป็นชนิดที่ไม่อิ่มตัว อย่างเช่น กรดลิโนเลอิก กรดโอเลอิก และกรดไขมันชนิดอิ่มตัว อย่างเช่น ปาลมิติกและสเตียริก อีกด้วย ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ช่วยบำรุงสายตา
    แหล่งอาหารที่ควรกินหลังออกกำลังกาย พลังงาน-คาร์บ-โปรตีน เสริมครบสุขภาพแข็งแรง

    5.ข้าวกล้อง (Brown Rice)

    ส่งผลดีต่อลูกน้อยในครรภ์และสุขภาพคุณแม่มากมาย ถือเป็นหนึ่งในอาหารกลุ่มให้พลังงาน ข้าวกล้องเป็นข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี เมื่อรับประทานข้าวกล้องเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ป้องกันการเกิดปากนกกระจอก เนื่องจากมีวิตามินบี 2บรรเทาอาการอ่อนเพลีย มีธาตุเหล็กมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง มีแคลเซียมจำเป็นที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับ ช่วยให้กระดูกแข็งแรง และยังช่วยป้องกันการเกิดตะคริว ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์กว่า 90% ต้องเผชิญมีไขมันที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ในข้าวกล้องเป็นไขมันดีที่ไม่มีคอเลสเตอรอล (Cholesterol)มีเส้นใยอาหาร ซึ่งช่วยในเรื่องของอาการท้องผูกและมะเร็งลำไส้ มีโปรตีนมากกว่า 20-30% ช่วยเสริมสร้างร่างกาย ซ่อมแซมเซลล์ส่วนที่สึกหรอ แป้งมีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน ส่วนคนที่ผอมก็แข็งแรงยิ่งขึ้น
    อย่างไรก็ตามควรเลือกกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนไม่มากไปไม่น้อยไป ในผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือ แพ้อาหาร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน
    ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพบาบาลพญาไท พหลโยธิน,medthai และ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
    แหล่งอาหารที่ควรกินหลังออกกำลังกาย พลังงาน-คาร์บ-โปรตีน เสริมครบสุขภาพแข็งแรง
    14/1/68 ซุปเปอร์ฟู้ด! 5 ธัญพืชคุณค่าโภชนาการใยอาหารสูง มีส่วนช่วยควบคุมน้ำหนัก ซุปเปอร์ฟู้ด (Superfood) อาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพในปริมาณสูงเมื่อเทียบกับปริมาณที่บริโภค โดยซุปเปอร์ฟู้ดมักจะช่วยบำรุงร่างกาย เสริมภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่าง ๆ วันนี้อยากให้ทุกคนรู้จักธัญพืชที่เป็นซุปเปอร์ฟู้ด หาซื้อง่าย ดีต่อสุขภาพ ช่วยให้ไฟเบอร์ช่วยเรื่องการขับถ่าย รักษาสมดุลสุขภาพ 5 ธัญพืชซุปเปอร์ฟู้ด 1.เมล็ดเจีย (Chia Seeds) ข้อมูลการศึกษาวิจัยพบว่าในเมล็ดเจียมีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว โอเมก้า-3 อยู่ร้อยละ 62.48 และมีกรดไลโนเลอิก (linoleic acid : LA) หรือโอเมก้า-6 อยู่ร้อยละ 22.43 ของกรดไขมันทั้งหมดในเมล็ดเจีย นอกจากนี้ยังมี แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกเนเซียม และสารต้านอนุมูลอิสระ อีกด้วย ในกระแสช่วงนี้มีผู้นิยมบริโภคเมล็ดเจียเพื่อลดน้ำหนักซึ่งจากการศึกษาวิจัยทางคลินิก พบว่าการรับประทานเมล็ดเจียขนาด 35 - 40 ก./วัน สามารถลดความระดับความดันโลหิต ระดับน้ำตาล ระดับไขมันในเลือด และลดน้ำหนักได้ แต่การศึกษายังมีไม่มากพอที่จะสรุปได้อย่างชัดเจน 2.ควินัว (Quinoa) มีโปรตีนสูง ที่มีกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน เช่น เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูงที่มีกรดอะมิโนจำเป็นครบทั้ง 9 ชนิด มีแร่ธาตุสำคัญและอุดมไปด้วยวิตามิน ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก มีใยอาหารสูง นอกจากนี้ ควินัวเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่แพ้กลูเตนหรือผู้ที่ต้องการลดการบริโภคกลูเตน มีไขมันชนิดดี เช่น กรดไขมันโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 ที่ช่วยเสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังและช่วยควบคุมน้ำหนักด้วย 3.เมล็ดแฟลกซ์ (Flaxseeds) แหล่งของลิกแนน (สารต้านอนุมูลอิสระ)กรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LDL (คอเลสเตอรอลไม่ดี) มีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำและไม่ละลายน้ำช่วยปรับสมดุลระบบย่อยอาหาร อาจช่วยลดความเสี่ยง มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมาก 4.ลูกเดือย (Job’s Tears) จัดเป็นธัญพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูง เพราะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับร่างกาย นอกจากนี้ยังมีกรดอะมิโนหลายชนิดที่สูงกว่าความต้องตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก เช่น กรดกลูตามิก ลิวซีน อะลานีน โปรลีน วาลีน ฟินิลอะลานีน ไอโซลิวซีน อาร์จีนีน เป็นต้น และยังมีกรดไขมันจำเป็นชนิดที่ไม่อิ่มตัว อย่างเช่น กรดลิโนเลอิก กรดโอเลอิก และกรดไขมันชนิดอิ่มตัว อย่างเช่น ปาลมิติกและสเตียริก อีกด้วย ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ช่วยบำรุงสายตา แหล่งอาหารที่ควรกินหลังออกกำลังกาย พลังงาน-คาร์บ-โปรตีน เสริมครบสุขภาพแข็งแรง 5.ข้าวกล้อง (Brown Rice) ส่งผลดีต่อลูกน้อยในครรภ์และสุขภาพคุณแม่มากมาย ถือเป็นหนึ่งในอาหารกลุ่มให้พลังงาน ข้าวกล้องเป็นข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี เมื่อรับประทานข้าวกล้องเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ป้องกันการเกิดปากนกกระจอก เนื่องจากมีวิตามินบี 2บรรเทาอาการอ่อนเพลีย มีธาตุเหล็กมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง มีแคลเซียมจำเป็นที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับ ช่วยให้กระดูกแข็งแรง และยังช่วยป้องกันการเกิดตะคริว ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์กว่า 90% ต้องเผชิญมีไขมันที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ในข้าวกล้องเป็นไขมันดีที่ไม่มีคอเลสเตอรอล (Cholesterol)มีเส้นใยอาหาร ซึ่งช่วยในเรื่องของอาการท้องผูกและมะเร็งลำไส้ มีโปรตีนมากกว่า 20-30% ช่วยเสริมสร้างร่างกาย ซ่อมแซมเซลล์ส่วนที่สึกหรอ แป้งมีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน ส่วนคนที่ผอมก็แข็งแรงยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามควรเลือกกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนไม่มากไปไม่น้อยไป ในผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือ แพ้อาหาร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพบาบาลพญาไท พหลโยธิน,medthai และ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล แหล่งอาหารที่ควรกินหลังออกกำลังกาย พลังงาน-คาร์บ-โปรตีน เสริมครบสุขภาพแข็งแรง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1033 มุมมอง 0 รีวิว