• “Microsoft vs ValueLicensing: ศึกชี้ชะตาตลาดซอฟต์แวร์มือสองในยุโรป — เมื่อสิทธิ์การใช้งานกลายเป็นสนามรบ”

    คดีความระหว่าง Microsoft และ ValueLicensing กลับมาอีกครั้งในศาล Competition Appeal Tribunal ของสหราชอาณาจักร โดยมีประเด็นสำคัญคือ “การขายสิทธิ์ใช้งานซอฟต์แวร์มือสอง” เช่น Windows และ Office นั้นผิดกฎหมายหรือไม่ Microsoft ยืนยันว่าการขายสิทธิ์ใช้งานแบบ perpetual ที่เคยซื้อมาแล้วไม่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่แรก เพราะองค์ประกอบบางส่วนของซอฟต์แวร์ เช่น graphical user interface (GUI) ไม่อยู่ภายใต้ข้อกำหนดของ European Software Directive

    ValueLicensing ซึ่งเป็นบริษัทรีเซลเลอร์ซอฟต์แวร์มือสองในสหราชอาณาจักร ยื่นฟ้อง Microsoft ตั้งแต่ปี 2021 โดยกล่าวหาว่า Microsoft ใช้กลยุทธ์กีดกันการแข่งขัน เช่น เสนอส่วนลดให้ลูกค้าองค์กรที่ยอมคืนสิทธิ์ perpetual license เพื่อเปลี่ยนไปใช้บริการแบบ subscription ซึ่งทำให้ตลาดมือสองขาดแคลนสิทธิ์ใช้งาน และบริษัทสูญเสียรายได้กว่า £270 ล้าน

    Microsoft เปลี่ยนแนวทางการป้องกันจากเดิมที่ปฏิเสธการกระทำผิด มาเป็นการโต้แย้งว่าตลาดซอฟต์แวร์มือสอง “ไม่ควรมีอยู่เลย” โดยอ้างสิทธิ์ในองค์ประกอบที่ไม่ใช่โค้ดโปรแกรม เช่น GUI และสื่อประกอบอื่น ๆ ซึ่งไม่อยู่ภายใต้สิทธิ์การขายต่อ

    หากศาลตัดสินตามแนวทางของ Microsoft อาจส่งผลให้ตลาดซอฟต์แวร์มือสองในยุโรปต้องปิดตัวลง และผู้ใช้งานทั่วไปที่เคยซื้อสิทธิ์ราคาถูกจากรีเซลเลอร์อาจไม่มีทางเลือกอีกต่อไป

    ประเด็นสำคัญในคดี Microsoft vs ValueLicensing
    Microsoft โต้แย้งว่าการขายสิทธิ์ใช้งานซอฟต์แวร์มือสองเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
    อ้างสิทธิ์ในองค์ประกอบที่ไม่ใช่โค้ด เช่น GUI ซึ่งไม่อยู่ภายใต้ European Software Directive
    ValueLicensing ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายกว่า £270 ล้าน จากการสูญเสียรายได้

    กลยุทธ์ที่ถูกกล่าวหา
    Microsoft เสนอส่วนลดให้ลูกค้าองค์กรที่คืนสิทธิ์ perpetual license เพื่อใช้ subscription
    ใส่เงื่อนไขในสัญญาที่จำกัดสิทธิ์การขายต่อ
    ส่งผลให้ตลาดมือสองขาดแคลนสิทธิ์ใช้งาน และรีเซลเลอร์ไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    คดีนี้อ้างอิงคำตัดสินของศาลยุโรปในคดี UsedSoft ซึ่งเคยอนุญาตให้ขายซอฟต์แวร์มือสองได้
    ตลาดซอฟต์แวร์มือสองในยุโรปมีมูลค่าสูง และช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าถึงซอฟต์แวร์ในราคาถูก
    การขายสิทธิ์แบบ perpetual เป็นทางเลือกที่สำคัญสำหรับองค์กรที่ไม่ต้องการ subscription
    หาก Microsoft ชนะคดี อาจมีผลกระทบต่อบริษัทรีเซลเลอร์กว่า 50 แห่งทั่วยุโรป

    https://www.techradar.com/pro/security/microsoft-wants-to-ban-pre-owned-software-cheap-office-keys-and-windows-11-serials-but-is-that-a-lost-battle-already
    ⚖️ “Microsoft vs ValueLicensing: ศึกชี้ชะตาตลาดซอฟต์แวร์มือสองในยุโรป — เมื่อสิทธิ์การใช้งานกลายเป็นสนามรบ” คดีความระหว่าง Microsoft และ ValueLicensing กลับมาอีกครั้งในศาล Competition Appeal Tribunal ของสหราชอาณาจักร โดยมีประเด็นสำคัญคือ “การขายสิทธิ์ใช้งานซอฟต์แวร์มือสอง” เช่น Windows และ Office นั้นผิดกฎหมายหรือไม่ Microsoft ยืนยันว่าการขายสิทธิ์ใช้งานแบบ perpetual ที่เคยซื้อมาแล้วไม่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่แรก เพราะองค์ประกอบบางส่วนของซอฟต์แวร์ เช่น graphical user interface (GUI) ไม่อยู่ภายใต้ข้อกำหนดของ European Software Directive ValueLicensing ซึ่งเป็นบริษัทรีเซลเลอร์ซอฟต์แวร์มือสองในสหราชอาณาจักร ยื่นฟ้อง Microsoft ตั้งแต่ปี 2021 โดยกล่าวหาว่า Microsoft ใช้กลยุทธ์กีดกันการแข่งขัน เช่น เสนอส่วนลดให้ลูกค้าองค์กรที่ยอมคืนสิทธิ์ perpetual license เพื่อเปลี่ยนไปใช้บริการแบบ subscription ซึ่งทำให้ตลาดมือสองขาดแคลนสิทธิ์ใช้งาน และบริษัทสูญเสียรายได้กว่า £270 ล้าน Microsoft เปลี่ยนแนวทางการป้องกันจากเดิมที่ปฏิเสธการกระทำผิด มาเป็นการโต้แย้งว่าตลาดซอฟต์แวร์มือสอง “ไม่ควรมีอยู่เลย” โดยอ้างสิทธิ์ในองค์ประกอบที่ไม่ใช่โค้ดโปรแกรม เช่น GUI และสื่อประกอบอื่น ๆ ซึ่งไม่อยู่ภายใต้สิทธิ์การขายต่อ หากศาลตัดสินตามแนวทางของ Microsoft อาจส่งผลให้ตลาดซอฟต์แวร์มือสองในยุโรปต้องปิดตัวลง และผู้ใช้งานทั่วไปที่เคยซื้อสิทธิ์ราคาถูกจากรีเซลเลอร์อาจไม่มีทางเลือกอีกต่อไป ✅ ประเด็นสำคัญในคดี Microsoft vs ValueLicensing ➡️ Microsoft โต้แย้งว่าการขายสิทธิ์ใช้งานซอฟต์แวร์มือสองเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ➡️ อ้างสิทธิ์ในองค์ประกอบที่ไม่ใช่โค้ด เช่น GUI ซึ่งไม่อยู่ภายใต้ European Software Directive ➡️ ValueLicensing ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายกว่า £270 ล้าน จากการสูญเสียรายได้ ✅ กลยุทธ์ที่ถูกกล่าวหา ➡️ Microsoft เสนอส่วนลดให้ลูกค้าองค์กรที่คืนสิทธิ์ perpetual license เพื่อใช้ subscription ➡️ ใส่เงื่อนไขในสัญญาที่จำกัดสิทธิ์การขายต่อ ➡️ ส่งผลให้ตลาดมือสองขาดแคลนสิทธิ์ใช้งาน และรีเซลเลอร์ไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ คดีนี้อ้างอิงคำตัดสินของศาลยุโรปในคดี UsedSoft ซึ่งเคยอนุญาตให้ขายซอฟต์แวร์มือสองได้ ➡️ ตลาดซอฟต์แวร์มือสองในยุโรปมีมูลค่าสูง และช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าถึงซอฟต์แวร์ในราคาถูก ➡️ การขายสิทธิ์แบบ perpetual เป็นทางเลือกที่สำคัญสำหรับองค์กรที่ไม่ต้องการ subscription ➡️ หาก Microsoft ชนะคดี อาจมีผลกระทบต่อบริษัทรีเซลเลอร์กว่า 50 แห่งทั่วยุโรป https://www.techradar.com/pro/security/microsoft-wants-to-ban-pre-owned-software-cheap-office-keys-and-windows-11-serials-but-is-that-a-lost-battle-already
    0 Comments 0 Shares 101 Views 0 Reviews
  • “Seagate ทุ่มงบ 135 ล้านดอลลาร์ พัฒนาเทคโนโลยีฮาร์ดดิสก์ 100TB — ดันไอร์แลนด์เหนือสู่ศูนย์กลางการวิจัยระดับโลก”

    ในยุคที่ข้อมูลกลายเป็นเชื้อเพลิงของ AI และเศรษฐกิจดิจิทัล Seagate ได้ประกาศลงทุนครั้งใหญ่กว่า 135 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ £115 ล้าน) เพื่อขยายศูนย์วิจัยในเมือง Derry/Londonderry ประเทศไอร์แลนด์เหนือ โดยมีเป้าหมายพัฒนาเทคโนโลยีฮาร์ดดิสก์ที่สามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 100TB ภายในปี 2030

    โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจาก Invest Northern Ireland ด้วยเงินทุนร่วมอีก £15 ล้าน และจะเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี photonics และระบบบันทึกแบบ Mozaic ซึ่งใช้เลเซอร์ช่วยในการเขียนข้อมูลลงบนจานแม่เหล็ก — แนวทางที่ช่วยเพิ่มความจุได้อย่างมหาศาลโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดของฮาร์ดดิสก์

    ปัจจุบันศูนย์วิจัยของ Seagate ในไอร์แลนด์เหนือผลิตหัวอ่านข้อมูลมากกว่าหนึ่งในสี่ของโลก และเป็นศูนย์กลางการวิจัยด้านเลเซอร์ที่สำคัญสำหรับฮาร์ดดิสก์รุ่นถัดไป โดยโครงการใหม่นี้จะช่วยสร้างงานวิจัยและงานผลิตที่มีทักษะสูง พร้อมเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานในท้องถิ่น

    John Morris, CTO ของ Seagate กล่าวว่า “ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วย AI ปริมาณข้อมูลไม่เพียงแต่เพิ่มขึ้น — แต่คุณค่าของข้อมูลก็เปลี่ยนไป เราต้องการโซลูชันการจัดเก็บที่ไม่เพียงใหญ่ แต่ต้องเชื่อถือได้ ทนทาน และขยายได้”

    รายละเอียดการลงทุนของ Seagate
    ลงทุนรวม 135 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ £115 ล้าน) ในศูนย์วิจัยที่ไอร์แลนด์เหนือ
    ได้รับเงินสนับสนุนจาก Invest NI จำนวน £15 ล้าน
    เน้นการพัฒนาเทคโนโลยี Mozaic และ photonics สำหรับฮาร์ดดิสก์
    เป้าหมายคือฮาร์ดดิสก์ขนาด 100TB ภายในปี 2030

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและท้องถิ่น
    สร้างงานวิจัยและงานผลิตที่มีทักษะสูงในภูมิภาค
    เสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานผ่านการจัดซื้อวัสดุและบริการในท้องถิ่น
    เพิ่มความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยผ่านโครงการ Smart Nano NI Consortium
    ผลักดันไอร์แลนด์เหนือเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมด้านการจัดเก็บข้อมูล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่ยังคงมีบทบาทสำคัญในศูนย์ข้อมูลระดับ exabyte
    เทคโนโลยี Mozaic ใช้ plasmonic transducer และ waveguide เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการเขียนข้อมูล
    SSD แม้จะเร็วกว่า แต่ยังมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและความจุเมื่อเทียบกับ HDD
    ตลาดจัดเก็บข้อมูลเติบโตจากความต้องการของ AI, cloud และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่

    https://www.techradar.com/pro/seagate-invests-usd135-million-in-its-european-photonic-center-to-deliver-100tb-hard-drives-by-2030
    💽 “Seagate ทุ่มงบ 135 ล้านดอลลาร์ พัฒนาเทคโนโลยีฮาร์ดดิสก์ 100TB — ดันไอร์แลนด์เหนือสู่ศูนย์กลางการวิจัยระดับโลก” ในยุคที่ข้อมูลกลายเป็นเชื้อเพลิงของ AI และเศรษฐกิจดิจิทัล Seagate ได้ประกาศลงทุนครั้งใหญ่กว่า 135 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ £115 ล้าน) เพื่อขยายศูนย์วิจัยในเมือง Derry/Londonderry ประเทศไอร์แลนด์เหนือ โดยมีเป้าหมายพัฒนาเทคโนโลยีฮาร์ดดิสก์ที่สามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 100TB ภายในปี 2030 โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจาก Invest Northern Ireland ด้วยเงินทุนร่วมอีก £15 ล้าน และจะเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี photonics และระบบบันทึกแบบ Mozaic ซึ่งใช้เลเซอร์ช่วยในการเขียนข้อมูลลงบนจานแม่เหล็ก — แนวทางที่ช่วยเพิ่มความจุได้อย่างมหาศาลโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดของฮาร์ดดิสก์ ปัจจุบันศูนย์วิจัยของ Seagate ในไอร์แลนด์เหนือผลิตหัวอ่านข้อมูลมากกว่าหนึ่งในสี่ของโลก และเป็นศูนย์กลางการวิจัยด้านเลเซอร์ที่สำคัญสำหรับฮาร์ดดิสก์รุ่นถัดไป โดยโครงการใหม่นี้จะช่วยสร้างงานวิจัยและงานผลิตที่มีทักษะสูง พร้อมเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานในท้องถิ่น John Morris, CTO ของ Seagate กล่าวว่า “ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วย AI ปริมาณข้อมูลไม่เพียงแต่เพิ่มขึ้น — แต่คุณค่าของข้อมูลก็เปลี่ยนไป เราต้องการโซลูชันการจัดเก็บที่ไม่เพียงใหญ่ แต่ต้องเชื่อถือได้ ทนทาน และขยายได้” ✅ รายละเอียดการลงทุนของ Seagate ➡️ ลงทุนรวม 135 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ £115 ล้าน) ในศูนย์วิจัยที่ไอร์แลนด์เหนือ ➡️ ได้รับเงินสนับสนุนจาก Invest NI จำนวน £15 ล้าน ➡️ เน้นการพัฒนาเทคโนโลยี Mozaic และ photonics สำหรับฮาร์ดดิสก์ ➡️ เป้าหมายคือฮาร์ดดิสก์ขนาด 100TB ภายในปี 2030 ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและท้องถิ่น ➡️ สร้างงานวิจัยและงานผลิตที่มีทักษะสูงในภูมิภาค ➡️ เสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานผ่านการจัดซื้อวัสดุและบริการในท้องถิ่น ➡️ เพิ่มความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยผ่านโครงการ Smart Nano NI Consortium ➡️ ผลักดันไอร์แลนด์เหนือเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมด้านการจัดเก็บข้อมูล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่ยังคงมีบทบาทสำคัญในศูนย์ข้อมูลระดับ exabyte ➡️ เทคโนโลยี Mozaic ใช้ plasmonic transducer และ waveguide เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการเขียนข้อมูล ➡️ SSD แม้จะเร็วกว่า แต่ยังมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและความจุเมื่อเทียบกับ HDD ➡️ ตลาดจัดเก็บข้อมูลเติบโตจากความต้องการของ AI, cloud และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ https://www.techradar.com/pro/seagate-invests-usd135-million-in-its-european-photonic-center-to-deliver-100tb-hard-drives-by-2030
    0 Comments 0 Shares 121 Views 0 Reviews
  • “Chat Control: กฎหมายสแกนแชต EU ใกล้ผ่าน — เสียงคัดค้านเพิ่มขึ้น แต่แรงสนับสนุนยังแข็งแกร่ง”

    ในวันที่ 12 กันยายน 2025 สภาสหภาพยุโรป (EU Council) เตรียมประกาศจุดยืนสุดท้ายต่อร่างกฎหมาย “Chat Control” ซึ่งมีเป้าหมายในการตรวจจับเนื้อหาล่วงละเมิดเด็ก (CSAM) โดยบังคับให้บริการส่งข้อความทุกประเภท — แม้จะมีการเข้ารหัสแบบ end-to-end — ต้องสแกนเนื้อหาของผู้ใช้ทั้งหมด

    แม้จะมีเสียงสนับสนุนจากประเทศสมาชิก EU ถึง 15 ประเทศ เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน และสวีเดน แต่กระแสคัดค้านก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดเยอรมนีและลักเซมเบิร์กได้เข้าร่วมกับออสเตรีย เนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ และโปแลนด์ในการต่อต้านร่างกฎหมายนี้ โดยมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชน

    ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์กว่า 600 คน รวมถึงนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ได้ลงนามในจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้ยกเลิกร่างกฎหมายนี้ โดยระบุว่าการสแกนแชตแบบ client-side จะทำให้ระบบเข้ารหัสอ่อนแอลง และเปิดช่องให้เกิดการโจมตีจากภายนอกได้ง่ายขึ้น

    แม้ร่างกฎหมายจะระบุว่า “การเข้ารหัสควรได้รับการปกป้องอย่างครอบคลุม” แต่ข้อกำหนดที่ให้สแกนเนื้อหาทั้งหมด รวมถึงไฟล์และลิงก์ที่ส่งผ่าน WhatsApp, Signal หรือ ProtonMail ก็ยังคงอยู่ โดยบัญชีของรัฐบาลและทหารจะได้รับการยกเว้นจากการสแกน

    การลงคะแนนเสียงครั้งสุดท้ายจะเกิดขึ้นในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 และหากผ่าน จะมีผลบังคับใช้ในเดือนเดียวกัน ซึ่งหมายความว่าแชตส่วนตัวของผู้ใช้ในยุโรปอาจถูกสแกนทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้

    ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับร่างกฎหมาย Chat Control
    สภา EU เตรียมประกาศจุดยืนสุดท้ายในวันที่ 12 กันยายน 2025
    ร่างกฎหมายมีเป้าหมายตรวจจับ CSAM โดยสแกนแชตผู้ใช้ทุกคน แม้จะมีการเข้ารหัส
    บัญชีรัฐบาลและทหารจะได้รับการยกเว้นจากการสแกน
    หากผ่าน จะมีผลบังคับใช้ในเดือนตุลาคม 2025

    ประเทศที่สนับสนุนและคัดค้าน
    ประเทศสนับสนุน ได้แก่ ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน สวีเดน ลิทัวเนีย ไซปรัส ลัตเวีย และไอร์แลนด์
    ประเทศคัดค้านล่าสุด ได้แก่ เยอรมนี ลักเซมเบิร์ก ออสเตรีย เนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ และโปแลนด์
    เบลเยียมเรียกร่างนี้ว่า “สัตว์ประหลาดที่ละเมิดความเป็นส่วนตัวและควบคุมไม่ได้”
    ประเทศที่ยังไม่ตัดสินใจ ได้แก่ เอสโตเนีย กรีซ โรมาเนีย และสโลวีเนีย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ผู้เชี่ยวชาญกว่า 600 คนลงนามคัดค้าน โดยชี้ว่าการสแกนแบบ client-side มี false positive สูงถึง 10%
    การเปิดช่องให้หน่วยงานรัฐเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวอาจกลายเป็น “ภัยความมั่นคงระดับชาติ”
    การสแกนเนื้อหาแบบเรียลไทม์ยังไม่มีเทคโนโลยีที่แม่นยำพอ
    การเข้ารหัสแบบ end-to-end เป็นหัวใจของความปลอดภัยในยุคดิจิทัล

    https://www.techradar.com/computing/cyber-security/chat-control-the-list-of-countries-opposing-the-law-grows-but-support-remains-strong
    🔐 “Chat Control: กฎหมายสแกนแชต EU ใกล้ผ่าน — เสียงคัดค้านเพิ่มขึ้น แต่แรงสนับสนุนยังแข็งแกร่ง” ในวันที่ 12 กันยายน 2025 สภาสหภาพยุโรป (EU Council) เตรียมประกาศจุดยืนสุดท้ายต่อร่างกฎหมาย “Chat Control” ซึ่งมีเป้าหมายในการตรวจจับเนื้อหาล่วงละเมิดเด็ก (CSAM) โดยบังคับให้บริการส่งข้อความทุกประเภท — แม้จะมีการเข้ารหัสแบบ end-to-end — ต้องสแกนเนื้อหาของผู้ใช้ทั้งหมด แม้จะมีเสียงสนับสนุนจากประเทศสมาชิก EU ถึง 15 ประเทศ เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน และสวีเดน แต่กระแสคัดค้านก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดเยอรมนีและลักเซมเบิร์กได้เข้าร่วมกับออสเตรีย เนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ และโปแลนด์ในการต่อต้านร่างกฎหมายนี้ โดยมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชน ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์กว่า 600 คน รวมถึงนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ได้ลงนามในจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้ยกเลิกร่างกฎหมายนี้ โดยระบุว่าการสแกนแชตแบบ client-side จะทำให้ระบบเข้ารหัสอ่อนแอลง และเปิดช่องให้เกิดการโจมตีจากภายนอกได้ง่ายขึ้น แม้ร่างกฎหมายจะระบุว่า “การเข้ารหัสควรได้รับการปกป้องอย่างครอบคลุม” แต่ข้อกำหนดที่ให้สแกนเนื้อหาทั้งหมด รวมถึงไฟล์และลิงก์ที่ส่งผ่าน WhatsApp, Signal หรือ ProtonMail ก็ยังคงอยู่ โดยบัญชีของรัฐบาลและทหารจะได้รับการยกเว้นจากการสแกน การลงคะแนนเสียงครั้งสุดท้ายจะเกิดขึ้นในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 และหากผ่าน จะมีผลบังคับใช้ในเดือนเดียวกัน ซึ่งหมายความว่าแชตส่วนตัวของผู้ใช้ในยุโรปอาจถูกสแกนทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้ ✅ ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับร่างกฎหมาย Chat Control ➡️ สภา EU เตรียมประกาศจุดยืนสุดท้ายในวันที่ 12 กันยายน 2025 ➡️ ร่างกฎหมายมีเป้าหมายตรวจจับ CSAM โดยสแกนแชตผู้ใช้ทุกคน แม้จะมีการเข้ารหัส ➡️ บัญชีรัฐบาลและทหารจะได้รับการยกเว้นจากการสแกน ➡️ หากผ่าน จะมีผลบังคับใช้ในเดือนตุลาคม 2025 ✅ ประเทศที่สนับสนุนและคัดค้าน ➡️ ประเทศสนับสนุน ได้แก่ ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน สวีเดน ลิทัวเนีย ไซปรัส ลัตเวีย และไอร์แลนด์ ➡️ ประเทศคัดค้านล่าสุด ได้แก่ เยอรมนี ลักเซมเบิร์ก ออสเตรีย เนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ และโปแลนด์ ➡️ เบลเยียมเรียกร่างนี้ว่า “สัตว์ประหลาดที่ละเมิดความเป็นส่วนตัวและควบคุมไม่ได้” ➡️ ประเทศที่ยังไม่ตัดสินใจ ได้แก่ เอสโตเนีย กรีซ โรมาเนีย และสโลวีเนีย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ผู้เชี่ยวชาญกว่า 600 คนลงนามคัดค้าน โดยชี้ว่าการสแกนแบบ client-side มี false positive สูงถึง 10% ➡️ การเปิดช่องให้หน่วยงานรัฐเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวอาจกลายเป็น “ภัยความมั่นคงระดับชาติ” ➡️ การสแกนเนื้อหาแบบเรียลไทม์ยังไม่มีเทคโนโลยีที่แม่นยำพอ ➡️ การเข้ารหัสแบบ end-to-end เป็นหัวใจของความปลอดภัยในยุคดิจิทัล https://www.techradar.com/computing/cyber-security/chat-control-the-list-of-countries-opposing-the-law-grows-but-support-remains-strong
    WWW.TECHRADAR.COM
    Chat Control: The list of countries opposing the law grows, but support remains strong
    Germany and Luxembourg joined the opposition on the eve of the crucial September 12 meeting
    0 Comments 0 Shares 97 Views 0 Reviews
  • “SK hynix เปิดตัว HBM4 พร้อมผลิตจริง — หน่วยความจำ AI ที่เร็วที่สุดในโลก พร้อมลดพลังงานศูนย์ข้อมูล”

    SK hynix ประกาศความสำเร็จในการพัฒนาและเตรียมการผลิตหน่วยความจำ HBM4 เป็นรายแรกของโลกเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2025 โดยชิปนี้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับงานประมวลผล AI ที่ต้องการความเร็วสูงและประสิทธิภาพด้านพลังงานอย่างเข้มข้น โดยถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยปลดล็อกข้อจำกัดของโครงสร้างพื้นฐาน AI ในปัจจุบัน

    HBM4 มีการปรับปรุงครั้งใหญ่จากรุ่นก่อนหน้า โดยเพิ่มจำนวนช่องสัญญาณ I/O เป็น 2,048 ช่อง — มากกว่ารุ่น HBM3E ถึงสองเท่า ส่งผลให้แบนด์วิดธ์เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และประสิทธิภาพด้านพลังงานดีขึ้นกว่าเดิมถึง 40% ซึ่งช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลได้อย่างมีนัยสำคัญ

    SK hynix ระบุว่า HBM4 สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของบริการ AI ได้สูงสุดถึง 69% และมีความเร็วในการทำงานเกินมาตรฐาน JEDEC ที่ 8 Gbps โดยสามารถทำงานได้มากกว่า 10 Gbps ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงที่สุดในอุตสาหกรรม ณ ขณะนี้

    นอกจากนี้ยังใช้กระบวนการผลิตขั้นสูง MR-MUF (Mass Reflow Molded Underfill) และเทคโนโลยี 1bnm ซึ่งเป็นเจเนอเรชันที่ 5 ของกระบวนการ 10 นาโนเมตร เพื่อเพิ่มความเสถียรในการผลิตและลดความเสี่ยงจากการบิดตัวของชิปที่ซ้อนกันหลายชั้น

    การเปิดตัว HBM4 ส่งผลให้หุ้นของ SK hynix พุ่งขึ้นทันทีเกือบ 6% และสร้างความเชื่อมั่นว่า SK hynix จะกลายเป็นผู้นำด้านหน่วยความจำสำหรับยุค AI อย่างแท้จริง

    จุดเด่นของ HBM4 จาก SK hynix
    เป็นหน่วยความจำรุ่นใหม่สำหรับงาน AI ที่มีแบนด์วิดธ์สูงและประหยัดพลังงาน
    เพิ่มจำนวนช่องสัญญาณ I/O เป็น 2,048 ช่อง — มากกว่ารุ่นก่อนหน้า 2 เท่า
    ประสิทธิภาพด้านพลังงานดีขึ้นกว่าเดิม 40%
    เพิ่มประสิทธิภาพของบริการ AI ได้สูงสุดถึง 69%

    เทคโนโลยีการผลิตและมาตรฐาน
    ใช้กระบวนการ MR-MUF เพื่อควบคุมการบิดตัวและระบายความร้อน
    ใช้เทคโนโลยี 1bnm (เจเนอเรชันที่ 5 ของ 10nm) เพื่อเพิ่มความเสถียรในการผลิต
    ความเร็วในการทำงานเกิน 10 Gbps — สูงกว่ามาตรฐาน JEDEC ที่ 8 Gbps
    พร้อมเข้าสู่การผลิตเชิงพาณิชย์แล้วในโรงงานที่อินชอน ประเทศเกาหลีใต้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    HBM4 เป็นรุ่นที่ 6 ต่อจาก HBM, HBM2, HBM2E, HBM3 และ HBM3E
    ใช้ใน GPU และ AI accelerator รุ่นใหม่จาก NVIDIA และ AMD
    ตลาดหน่วยความจำ AI เติบโตอย่างรวดเร็วจากความต้องการของศูนย์ข้อมูล
    SK hynix แซง Samsung ขึ้นเป็นผู้นำด้าน DRAM ในไตรมาสล่าสุด

    https://www.techpowerup.com/340924/sk-hynix-completes-worlds-first-hbm4-development-and-readies-mass-production
    🚀 “SK hynix เปิดตัว HBM4 พร้อมผลิตจริง — หน่วยความจำ AI ที่เร็วที่สุดในโลก พร้อมลดพลังงานศูนย์ข้อมูล” SK hynix ประกาศความสำเร็จในการพัฒนาและเตรียมการผลิตหน่วยความจำ HBM4 เป็นรายแรกของโลกเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2025 โดยชิปนี้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับงานประมวลผล AI ที่ต้องการความเร็วสูงและประสิทธิภาพด้านพลังงานอย่างเข้มข้น โดยถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยปลดล็อกข้อจำกัดของโครงสร้างพื้นฐาน AI ในปัจจุบัน HBM4 มีการปรับปรุงครั้งใหญ่จากรุ่นก่อนหน้า โดยเพิ่มจำนวนช่องสัญญาณ I/O เป็น 2,048 ช่อง — มากกว่ารุ่น HBM3E ถึงสองเท่า ส่งผลให้แบนด์วิดธ์เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และประสิทธิภาพด้านพลังงานดีขึ้นกว่าเดิมถึง 40% ซึ่งช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลได้อย่างมีนัยสำคัญ SK hynix ระบุว่า HBM4 สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของบริการ AI ได้สูงสุดถึง 69% และมีความเร็วในการทำงานเกินมาตรฐาน JEDEC ที่ 8 Gbps โดยสามารถทำงานได้มากกว่า 10 Gbps ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงที่สุดในอุตสาหกรรม ณ ขณะนี้ นอกจากนี้ยังใช้กระบวนการผลิตขั้นสูง MR-MUF (Mass Reflow Molded Underfill) และเทคโนโลยี 1bnm ซึ่งเป็นเจเนอเรชันที่ 5 ของกระบวนการ 10 นาโนเมตร เพื่อเพิ่มความเสถียรในการผลิตและลดความเสี่ยงจากการบิดตัวของชิปที่ซ้อนกันหลายชั้น การเปิดตัว HBM4 ส่งผลให้หุ้นของ SK hynix พุ่งขึ้นทันทีเกือบ 6% และสร้างความเชื่อมั่นว่า SK hynix จะกลายเป็นผู้นำด้านหน่วยความจำสำหรับยุค AI อย่างแท้จริง ✅ จุดเด่นของ HBM4 จาก SK hynix ➡️ เป็นหน่วยความจำรุ่นใหม่สำหรับงาน AI ที่มีแบนด์วิดธ์สูงและประหยัดพลังงาน ➡️ เพิ่มจำนวนช่องสัญญาณ I/O เป็น 2,048 ช่อง — มากกว่ารุ่นก่อนหน้า 2 เท่า ➡️ ประสิทธิภาพด้านพลังงานดีขึ้นกว่าเดิม 40% ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพของบริการ AI ได้สูงสุดถึง 69% ✅ เทคโนโลยีการผลิตและมาตรฐาน ➡️ ใช้กระบวนการ MR-MUF เพื่อควบคุมการบิดตัวและระบายความร้อน ➡️ ใช้เทคโนโลยี 1bnm (เจเนอเรชันที่ 5 ของ 10nm) เพื่อเพิ่มความเสถียรในการผลิต ➡️ ความเร็วในการทำงานเกิน 10 Gbps — สูงกว่ามาตรฐาน JEDEC ที่ 8 Gbps ➡️ พร้อมเข้าสู่การผลิตเชิงพาณิชย์แล้วในโรงงานที่อินชอน ประเทศเกาหลีใต้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ HBM4 เป็นรุ่นที่ 6 ต่อจาก HBM, HBM2, HBM2E, HBM3 และ HBM3E ➡️ ใช้ใน GPU และ AI accelerator รุ่นใหม่จาก NVIDIA และ AMD ➡️ ตลาดหน่วยความจำ AI เติบโตอย่างรวดเร็วจากความต้องการของศูนย์ข้อมูล ➡️ SK hynix แซง Samsung ขึ้นเป็นผู้นำด้าน DRAM ในไตรมาสล่าสุด https://www.techpowerup.com/340924/sk-hynix-completes-worlds-first-hbm4-development-and-readies-mass-production
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    SK Hynix Completes World's First HBM4 Development and Readies Mass Production
    SK hynix Inc. announced today that it has completed development and finished preparation of HBM4, a next generation memory product for ultra-high performance AI, mass production for the world's first time. SK hynix said that the company has successfully completed development and based on this tec...
    0 Comments 0 Shares 114 Views 0 Reviews
  • “TCS เปิดตัวบริการออกแบบระบบด้วยชิปเลต — อินเดียเร่งเครื่องสู่ศูนย์กลางเซมิคอนดักเตอร์โลก”

    Tata Consultancy Services (TCS) บริษัทไอทีระดับโลกจากอินเดีย ประกาศเปิดตัวบริการใหม่ “Chiplet-Based System Engineering Services” เพื่อช่วยผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ออกแบบชิปยุคใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ต้นทุนต่ำลง และพร้อมตอบโจทย์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยใช้แนวคิด “ชิปเลต” ซึ่งเป็นวงจรขนาดเล็กที่สามารถประกอบรวมกันเป็นชิปขนาดใหญ่ได้ตามความต้องการ

    การเปิดตัวครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่อินเดียกำลังเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อย่างจริงจัง โดยมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 45–50 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024–2025 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 100–110 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ภายใต้การสนับสนุนจากรัฐบาลผ่านโครงการ India Semiconductor Mission มูลค่า ₹76,000 crore

    TCS ให้บริการออกแบบและตรวจสอบตามมาตรฐานอุตสาหกรรม เช่น UCIe (Universal Chiplet Interconnect Express) และ HBM (High Bandwidth Memory) รวมถึงการออกแบบแพ็กเกจขั้นสูงแบบ 2.5D และ 3D interposer ซึ่งช่วยให้สามารถรวมชิปหลายตัวเข้าด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านความเร็ว ความเสถียร และขนาดที่กะทัดรัด

    บริการใหม่นี้ยังช่วยให้บริษัทสามารถเร่ง tape-out หรือการส่งแบบชิปเข้าสู่กระบวนการผลิตได้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขันในตลาดที่ขับเคลื่อนด้วย AI, คลาวด์, สมาร์ตโฟน, รถยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์เชื่อมต่อ

    จุดเด่นของบริการ Chiplet-Based System Engineering จาก TCS
    ใช้แนวคิด “ชิปเลต” เพื่อออกแบบชิปที่ยืดหยุ่นและปรับแต่งได้ตามความต้องการ
    ช่วยเร่ง tape-out และลดต้นทุนการผลิตชิป
    รองรับมาตรฐาน UCIe และ HBM สำหรับการเชื่อมต่อและหน่วยความจำความเร็วสูง
    ให้บริการออกแบบแพ็กเกจขั้นสูง เช่น 2.5D และ 3D interposer

    บริบทของตลาดเซมิคอนดักเตอร์อินเดีย
    มูลค่าตลาดปี 2024–2025 อยู่ที่ $45–50 พันล้าน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น $100–110 พันล้านในปี 2030
    รัฐบาลสนับสนุนผ่านโครงการ India Semiconductor Mission มูลค่า ₹76,000 crore
    อินเดียมีวิศวกรออกแบบชิปคิดเป็น 20% ของโลก
    บริษัทต่างชาติเริ่มลงทุนตั้งโรงงานประกอบและออกแบบในอินเดีย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    แนวคิด chiplet-based design กำลังแทนที่การลดขนาดทรานซิสเตอร์แบบเดิม
    UCIe เป็นมาตรฐานเปิดที่ช่วยให้ชิปหลายตัวสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    HBM เป็นหน่วยความจำที่ใช้ใน GPU และ AI accelerator ที่ต้องการความเร็วสูง
    TCS เคยร่วมมือกับบริษัทในอเมริกาเหนือเพื่อเร่งการผลิต AI processor ด้วยแนวทางนี้

    คำเตือนและข้อจำกัด
    การออกแบบด้วยชิปเลตยังมีความซับซ้อนด้านการจัดการสัญญาณและความร้อน
    การรวมชิปต่างชนิดอาจเกิดปัญหาเรื่อง latency และความเข้ากันได้
    มาตรฐาน UCIe ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา — อาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
    บริษัทที่ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านแพ็กเกจขั้นสูงอาจไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มที่
    การแข่งขันในตลาดเซมิคอนดักเตอร์ยังสูงมาก — ต้องมีนวัตกรรมต่อเนื่องเพื่ออยู่รอด

    https://www.techpowerup.com/340896/tcs-unveils-chiplet-based-system-engineering-services-to-accelerate-semiconductor-innovation
    🔧 “TCS เปิดตัวบริการออกแบบระบบด้วยชิปเลต — อินเดียเร่งเครื่องสู่ศูนย์กลางเซมิคอนดักเตอร์โลก” Tata Consultancy Services (TCS) บริษัทไอทีระดับโลกจากอินเดีย ประกาศเปิดตัวบริการใหม่ “Chiplet-Based System Engineering Services” เพื่อช่วยผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ออกแบบชิปยุคใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ต้นทุนต่ำลง และพร้อมตอบโจทย์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยใช้แนวคิด “ชิปเลต” ซึ่งเป็นวงจรขนาดเล็กที่สามารถประกอบรวมกันเป็นชิปขนาดใหญ่ได้ตามความต้องการ การเปิดตัวครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่อินเดียกำลังเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อย่างจริงจัง โดยมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 45–50 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024–2025 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 100–110 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ภายใต้การสนับสนุนจากรัฐบาลผ่านโครงการ India Semiconductor Mission มูลค่า ₹76,000 crore TCS ให้บริการออกแบบและตรวจสอบตามมาตรฐานอุตสาหกรรม เช่น UCIe (Universal Chiplet Interconnect Express) และ HBM (High Bandwidth Memory) รวมถึงการออกแบบแพ็กเกจขั้นสูงแบบ 2.5D และ 3D interposer ซึ่งช่วยให้สามารถรวมชิปหลายตัวเข้าด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านความเร็ว ความเสถียร และขนาดที่กะทัดรัด บริการใหม่นี้ยังช่วยให้บริษัทสามารถเร่ง tape-out หรือการส่งแบบชิปเข้าสู่กระบวนการผลิตได้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขันในตลาดที่ขับเคลื่อนด้วย AI, คลาวด์, สมาร์ตโฟน, รถยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์เชื่อมต่อ ✅ จุดเด่นของบริการ Chiplet-Based System Engineering จาก TCS ➡️ ใช้แนวคิด “ชิปเลต” เพื่อออกแบบชิปที่ยืดหยุ่นและปรับแต่งได้ตามความต้องการ ➡️ ช่วยเร่ง tape-out และลดต้นทุนการผลิตชิป ➡️ รองรับมาตรฐาน UCIe และ HBM สำหรับการเชื่อมต่อและหน่วยความจำความเร็วสูง ➡️ ให้บริการออกแบบแพ็กเกจขั้นสูง เช่น 2.5D และ 3D interposer ✅ บริบทของตลาดเซมิคอนดักเตอร์อินเดีย ➡️ มูลค่าตลาดปี 2024–2025 อยู่ที่ $45–50 พันล้าน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น $100–110 พันล้านในปี 2030 ➡️ รัฐบาลสนับสนุนผ่านโครงการ India Semiconductor Mission มูลค่า ₹76,000 crore ➡️ อินเดียมีวิศวกรออกแบบชิปคิดเป็น 20% ของโลก ➡️ บริษัทต่างชาติเริ่มลงทุนตั้งโรงงานประกอบและออกแบบในอินเดีย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ แนวคิด chiplet-based design กำลังแทนที่การลดขนาดทรานซิสเตอร์แบบเดิม ➡️ UCIe เป็นมาตรฐานเปิดที่ช่วยให้ชิปหลายตัวสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ HBM เป็นหน่วยความจำที่ใช้ใน GPU และ AI accelerator ที่ต้องการความเร็วสูง ➡️ TCS เคยร่วมมือกับบริษัทในอเมริกาเหนือเพื่อเร่งการผลิต AI processor ด้วยแนวทางนี้ ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ การออกแบบด้วยชิปเลตยังมีความซับซ้อนด้านการจัดการสัญญาณและความร้อน ⛔ การรวมชิปต่างชนิดอาจเกิดปัญหาเรื่อง latency และความเข้ากันได้ ⛔ มาตรฐาน UCIe ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา — อาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ⛔ บริษัทที่ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านแพ็กเกจขั้นสูงอาจไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ ⛔ การแข่งขันในตลาดเซมิคอนดักเตอร์ยังสูงมาก — ต้องมีนวัตกรรมต่อเนื่องเพื่ออยู่รอด https://www.techpowerup.com/340896/tcs-unveils-chiplet-based-system-engineering-services-to-accelerate-semiconductor-innovation
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    TCS Unveils Chiplet-Based System Engineering Services to Accelerate Semiconductor Innovation
    Tata Consultancy Services a global leader in IT services, consulting, and business solutions, announced the launch of its Chiplet-based System Engineering Services, designed to help semiconductor companies push the boundaries of traditional chip design. By using chiplets (which are small integrated ...
    0 Comments 0 Shares 103 Views 0 Reviews
  • “OpenAI เซ็นสัญญา 300 พันล้านดอลลาร์กับ Oracle — สร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่เท่ากับสองเขื่อนฮูเวอร์ เพื่อขับเคลื่อนยุค AI”

    ในข้อตกลงที่อาจเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมคลาวด์ไปตลอดกาล OpenAI ได้ลงนามสัญญากับ Oracle มูลค่า 300 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อซื้อพลังประมวลผลสำหรับการฝึกและให้บริการโมเดล AI ในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยจะเริ่มต้นในปี 2027 และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “Stargate” ที่มีเป้าหมายสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ขนาดมหึมาในสหรัฐฯ

    ข้อตกลงนี้ต้องใช้พลังงานถึง 4.5 กิกะวัตต์ ซึ่งเทียบเท่ากับการจ่ายไฟให้บ้านกว่า 4 ล้านหลัง หรือมากกว่ากำลังผลิตของเขื่อนฮูเวอร์ถึงสองเท่า Oracle จะร่วมมือกับ Crusoe และพันธมิตรอื่น ๆ เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลในหลายรัฐ เช่น เท็กซัส, เพนซิลเวเนีย, ไวโอมิง, มิชิแกน และนิวเม็กซิโก

    แม้ OpenAI จะมีรายได้ราว 10 พันล้านดอลลาร์ต่อปี แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายรายปีที่สูงถึง 60 พันล้านดอลลาร์ภายใต้สัญญานี้ ซึ่งหมายความว่าทั้ง OpenAI และ Oracle ต้องแบกรับภาระทางการเงินมหาศาล โดย Oracle เองก็มีหนี้สินมากกว่าคู่แข่งอย่าง Microsoft และ Amazon หลายเท่า

    อย่างไรก็ตาม ตลาดตอบรับเชิงบวกทันที หุ้นของ Oracle พุ่งขึ้นกว่า 43% ในวันเดียว ส่งผลให้ Larry Ellison กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกชั่วขณะ ด้วยมูลค่าทรัพย์สินเกือบ 400 พันล้านดอลลาร์

    รายละเอียดของข้อตกลง OpenAI–Oracle
    มูลค่าสัญญา 300 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ระยะเวลา 5 ปี เริ่มปี 2027
    เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Stargate เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่
    ต้องใช้พลังงาน 4.5 กิกะวัตต์ — เทียบเท่ากับบ้าน 4 ล้านหลัง
    สถานที่สร้างศูนย์ข้อมูล ได้แก่ เท็กซัส, เพนซิลเวเนีย, ไวโอมิง, มิชิแกน, นิวเม็กซิโก

    ผลกระทบต่อ Oracle และ OpenAI
    หุ้น Oracle พุ่งขึ้น 43% — Larry Ellison กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
    Oracle มีรายได้ล่วงหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 455 พันล้านดอลลาร์
    OpenAI มีรายได้ปีละ 10 พันล้าน แต่ต้องจ่ายถึง 60 พันล้านต่อปี
    ทั้งสองบริษัทต้องกู้เงินเพิ่มเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและซื้อชิป AI

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    โครงการ Stargate เคยชะงักจากความขัดแย้งภายใน แต่ถูกรีบูตในปี 2025
    SoftBank และ Foxconn เข้าร่วมในโครงการ โดยใช้โรงงานเก่าในโอไฮโอ
    Microsoft เคยเป็นผู้ให้บริการคลาวด์หลักของ OpenAI แต่ความสัมพันธ์เริ่มเย็นลง
    ตลาดศูนย์ข้อมูล AI คาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวมกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2028

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/openai-signs-contract-to-buy-usd300-billion-worth-of-oracle-computing-power-over-the-next-five-years-company-needs-4-5-gigawatts-of-power-enough-to-power-four-million-homes
    ⚡ “OpenAI เซ็นสัญญา 300 พันล้านดอลลาร์กับ Oracle — สร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่เท่ากับสองเขื่อนฮูเวอร์ เพื่อขับเคลื่อนยุค AI” ในข้อตกลงที่อาจเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมคลาวด์ไปตลอดกาล OpenAI ได้ลงนามสัญญากับ Oracle มูลค่า 300 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อซื้อพลังประมวลผลสำหรับการฝึกและให้บริการโมเดล AI ในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยจะเริ่มต้นในปี 2027 และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “Stargate” ที่มีเป้าหมายสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ขนาดมหึมาในสหรัฐฯ ข้อตกลงนี้ต้องใช้พลังงานถึง 4.5 กิกะวัตต์ ซึ่งเทียบเท่ากับการจ่ายไฟให้บ้านกว่า 4 ล้านหลัง หรือมากกว่ากำลังผลิตของเขื่อนฮูเวอร์ถึงสองเท่า Oracle จะร่วมมือกับ Crusoe และพันธมิตรอื่น ๆ เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลในหลายรัฐ เช่น เท็กซัส, เพนซิลเวเนีย, ไวโอมิง, มิชิแกน และนิวเม็กซิโก แม้ OpenAI จะมีรายได้ราว 10 พันล้านดอลลาร์ต่อปี แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายรายปีที่สูงถึง 60 พันล้านดอลลาร์ภายใต้สัญญานี้ ซึ่งหมายความว่าทั้ง OpenAI และ Oracle ต้องแบกรับภาระทางการเงินมหาศาล โดย Oracle เองก็มีหนี้สินมากกว่าคู่แข่งอย่าง Microsoft และ Amazon หลายเท่า อย่างไรก็ตาม ตลาดตอบรับเชิงบวกทันที หุ้นของ Oracle พุ่งขึ้นกว่า 43% ในวันเดียว ส่งผลให้ Larry Ellison กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกชั่วขณะ ด้วยมูลค่าทรัพย์สินเกือบ 400 พันล้านดอลลาร์ ✅ รายละเอียดของข้อตกลง OpenAI–Oracle ➡️ มูลค่าสัญญา 300 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ระยะเวลา 5 ปี เริ่มปี 2027 ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Stargate เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่ ➡️ ต้องใช้พลังงาน 4.5 กิกะวัตต์ — เทียบเท่ากับบ้าน 4 ล้านหลัง ➡️ สถานที่สร้างศูนย์ข้อมูล ได้แก่ เท็กซัส, เพนซิลเวเนีย, ไวโอมิง, มิชิแกน, นิวเม็กซิโก ✅ ผลกระทบต่อ Oracle และ OpenAI ➡️ หุ้น Oracle พุ่งขึ้น 43% — Larry Ellison กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ➡️ Oracle มีรายได้ล่วงหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 455 พันล้านดอลลาร์ ➡️ OpenAI มีรายได้ปีละ 10 พันล้าน แต่ต้องจ่ายถึง 60 พันล้านต่อปี ➡️ ทั้งสองบริษัทต้องกู้เงินเพิ่มเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและซื้อชิป AI ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ โครงการ Stargate เคยชะงักจากความขัดแย้งภายใน แต่ถูกรีบูตในปี 2025 ➡️ SoftBank และ Foxconn เข้าร่วมในโครงการ โดยใช้โรงงานเก่าในโอไฮโอ ➡️ Microsoft เคยเป็นผู้ให้บริการคลาวด์หลักของ OpenAI แต่ความสัมพันธ์เริ่มเย็นลง ➡️ ตลาดศูนย์ข้อมูล AI คาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวมกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2028 https://www.tomshardware.com/tech-industry/openai-signs-contract-to-buy-usd300-billion-worth-of-oracle-computing-power-over-the-next-five-years-company-needs-4-5-gigawatts-of-power-enough-to-power-four-million-homes
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    OpenAI signs contract to buy $300 billion worth of Oracle computing power over the next five years — company needs 4.5 gigawatts of power, enough to power four million homes
    Instantly boosting Oracle CEO Larry Ellison to the world's richest man, but questions remain about how either company will afford such a deal.
    0 Comments 0 Shares 79 Views 0 Reviews
  • “Nano11 ลดขนาด Windows 11 เหลือแค่ 2.8GB — สคริปต์ทดลองสุดขั้วสำหรับสายทดสอบที่ไม่ต้องการ ‘ขยะ’ ใด ๆ”

    NTDEV นักพัฒนาผู้เคยสร้าง Tiny11 ได้เปิดตัวสคริปต์ใหม่ชื่อว่า “Nano11 Builder” ซึ่งสามารถลดขนาดไฟล์ติดตั้ง Windows 11 ลงได้อย่างน่าทึ่ง โดยจาก ISO มาตรฐานขนาด 7.04GB สามารถลดเหลือเพียง 2.29GB และหากใช้ Windows 11 LTSC เป็นต้นฉบับ จะสามารถติดตั้งได้ในพื้นที่เพียง 2.8GB เท่านั้น

    Nano11 ไม่ใช่แค่การลบฟีเจอร์ทั่วไป แต่เป็นการ “ปาดทิ้งทุกสิ่งที่ไม่จำเป็น” เช่น Windows Hello, .NET assemblies, IME, driver ที่ไม่จำเป็น, wallpaper และอื่น ๆ โดยใช้ PowerShell script ที่ออกแบบมาเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมสำหรับการทดสอบเท่านั้น ไม่เหมาะกับการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน

    การติดตั้ง Nano11 บน VMware Workstation ใช้พื้นที่เพียง 20GB และหลังจากรันคำสั่ง ‘Compact’ ด้วย LZX compression และลบ page file แล้ว พื้นที่ใช้งานจริงเหลือเพียง 3.2GB ซึ่งถือว่าเบากว่าระบบปฏิบัติการมือถือบางตัวเสียอีก

    แม้จะดูน่าตื่นเต้นสำหรับสายทดสอบหรือผู้ที่ต้องการ VM ขนาดเล็ก แต่ NTDEV ก็เตือนชัดเจนว่า Nano11 เป็น “สคริปต์ทดลองสุดขั้ว” ไม่เหมาะกับการใช้งานจริง และไม่มีระบบอัปเดตหรือความปลอดภัยที่เพียงพอ

    จุดเด่นของ Nano11 Builder
    ลดขนาด ISO จาก 7.04GB เหลือ 2.29GB ด้วย PowerShell script
    หากใช้ Windows 11 LTSC จะติดตั้งได้ในพื้นที่เพียง 2.8GB
    ลบฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น เช่น Windows Hello, IME, .NET assemblies, driver, wallpaper
    ใช้ LZX compression และลบ page file เพื่อให้ footprint ต่ำสุด

    การใช้งานและการติดตั้ง
    เหมาะสำหรับการสร้าง VM ขนาดเล็กเพื่อทดสอบระบบ
    ใช้ VMware Workstation ติดตั้งบน virtual disk ขนาด 20GB
    ใช้เครื่องมือจาก Microsoft เช่น DISM และ oscdimg เท่านั้น
    เหมาะกับผู้พัฒนา, นักทดสอบ, หรือผู้ที่ต้องการระบบเบาสุด ๆ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Tiny11 เคยลดขนาด Windows 11 ได้เหลือประมาณ 8GB — Nano11 เล็กกว่า 3.5 เท่า
    โครงการนี้ได้รับความนิยมใน GitHub และฟอรั่มสายทดสอบ
    Windows 11 LTSC เป็นเวอร์ชันที่ไม่มีฟีเจอร์ AI และแอป Microsoft 365
    Nano11 ยังสามารถใช้กับ Windows 11 รุ่นอื่นได้ แต่ผลลัพธ์อาจต่างกัน

    คำเตือนและข้อจำกัด
    Nano11 เป็นสคริปต์ทดลอง — ไม่เหมาะกับการใช้งานจริงหรือเครื่องหลัก
    ไม่มีระบบ Windows Update — ไม่สามารถอัปเดตหรือรับแพตช์ความปลอดภัย
    การลบฟีเจอร์บางอย่างอาจทำให้แอปหรือบริการบางตัวไม่ทำงาน
    ไม่มีการรับประกันความเสถียรหรือความปลอดภัยของระบบ
    การใช้งานในองค์กรหรือเครื่องจริงอาจเสี่ยงต่อข้อมูลและความมั่นคง

    https://www.tomshardware.com/software/windows/nano11-compresses-windows-11-install-footprint-to-as-little-as-2-8gb-extreme-experimental-script-is-3-5-times-smaller-than-tiny11-and-comes-with-none-of-the-fluff
    🧪 “Nano11 ลดขนาด Windows 11 เหลือแค่ 2.8GB — สคริปต์ทดลองสุดขั้วสำหรับสายทดสอบที่ไม่ต้องการ ‘ขยะ’ ใด ๆ” NTDEV นักพัฒนาผู้เคยสร้าง Tiny11 ได้เปิดตัวสคริปต์ใหม่ชื่อว่า “Nano11 Builder” ซึ่งสามารถลดขนาดไฟล์ติดตั้ง Windows 11 ลงได้อย่างน่าทึ่ง โดยจาก ISO มาตรฐานขนาด 7.04GB สามารถลดเหลือเพียง 2.29GB และหากใช้ Windows 11 LTSC เป็นต้นฉบับ จะสามารถติดตั้งได้ในพื้นที่เพียง 2.8GB เท่านั้น Nano11 ไม่ใช่แค่การลบฟีเจอร์ทั่วไป แต่เป็นการ “ปาดทิ้งทุกสิ่งที่ไม่จำเป็น” เช่น Windows Hello, .NET assemblies, IME, driver ที่ไม่จำเป็น, wallpaper และอื่น ๆ โดยใช้ PowerShell script ที่ออกแบบมาเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมสำหรับการทดสอบเท่านั้น ไม่เหมาะกับการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน การติดตั้ง Nano11 บน VMware Workstation ใช้พื้นที่เพียง 20GB และหลังจากรันคำสั่ง ‘Compact’ ด้วย LZX compression และลบ page file แล้ว พื้นที่ใช้งานจริงเหลือเพียง 3.2GB ซึ่งถือว่าเบากว่าระบบปฏิบัติการมือถือบางตัวเสียอีก แม้จะดูน่าตื่นเต้นสำหรับสายทดสอบหรือผู้ที่ต้องการ VM ขนาดเล็ก แต่ NTDEV ก็เตือนชัดเจนว่า Nano11 เป็น “สคริปต์ทดลองสุดขั้ว” ไม่เหมาะกับการใช้งานจริง และไม่มีระบบอัปเดตหรือความปลอดภัยที่เพียงพอ ✅ จุดเด่นของ Nano11 Builder ➡️ ลดขนาด ISO จาก 7.04GB เหลือ 2.29GB ด้วย PowerShell script ➡️ หากใช้ Windows 11 LTSC จะติดตั้งได้ในพื้นที่เพียง 2.8GB ➡️ ลบฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น เช่น Windows Hello, IME, .NET assemblies, driver, wallpaper ➡️ ใช้ LZX compression และลบ page file เพื่อให้ footprint ต่ำสุด ✅ การใช้งานและการติดตั้ง ➡️ เหมาะสำหรับการสร้าง VM ขนาดเล็กเพื่อทดสอบระบบ ➡️ ใช้ VMware Workstation ติดตั้งบน virtual disk ขนาด 20GB ➡️ ใช้เครื่องมือจาก Microsoft เช่น DISM และ oscdimg เท่านั้น ➡️ เหมาะกับผู้พัฒนา, นักทดสอบ, หรือผู้ที่ต้องการระบบเบาสุด ๆ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Tiny11 เคยลดขนาด Windows 11 ได้เหลือประมาณ 8GB — Nano11 เล็กกว่า 3.5 เท่า ➡️ โครงการนี้ได้รับความนิยมใน GitHub และฟอรั่มสายทดสอบ ➡️ Windows 11 LTSC เป็นเวอร์ชันที่ไม่มีฟีเจอร์ AI และแอป Microsoft 365 ➡️ Nano11 ยังสามารถใช้กับ Windows 11 รุ่นอื่นได้ แต่ผลลัพธ์อาจต่างกัน ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ Nano11 เป็นสคริปต์ทดลอง — ไม่เหมาะกับการใช้งานจริงหรือเครื่องหลัก ⛔ ไม่มีระบบ Windows Update — ไม่สามารถอัปเดตหรือรับแพตช์ความปลอดภัย ⛔ การลบฟีเจอร์บางอย่างอาจทำให้แอปหรือบริการบางตัวไม่ทำงาน ⛔ ไม่มีการรับประกันความเสถียรหรือความปลอดภัยของระบบ ⛔ การใช้งานในองค์กรหรือเครื่องจริงอาจเสี่ยงต่อข้อมูลและความมั่นคง https://www.tomshardware.com/software/windows/nano11-compresses-windows-11-install-footprint-to-as-little-as-2-8gb-extreme-experimental-script-is-3-5-times-smaller-than-tiny11-and-comes-with-none-of-the-fluff
    0 Comments 0 Shares 68 Views 0 Reviews
  • “บริการป้องกัน DDoS กลายเป็นเหยื่อของการโจมตี DDoS ขนาดมหึมา — FastNetMon ตรวจจับได้ทันก่อนระบบล่ม”

    ในเหตุการณ์ที่ชวนให้ตั้งคำถามถึงความมั่นคงของโครงสร้างอินเทอร์เน็ต บริการป้องกัน DDoS รายหนึ่งในยุโรปตะวันตกกลับกลายเป็นเป้าหมายของการโจมตี DDoS ขนาดใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ โดยมีปริมาณการโจมตีสูงถึง 1.5 พันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที (1.5 Gpps) ซึ่งเป็นการโจมตีแบบ UDP flood ที่มาจากอุปกรณ์ลูกค้าทั่วโลกกว่า 11,000 เครือข่าย2.

    แม้จะเป็นบริการที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการโจมตีลักษณะนี้ แต่ครั้งนี้ก็ต้องพึ่งพาการช่วยเหลือจาก FastNetMon ซึ่งสามารถตรวจจับและบรรเทาการโจมตีได้ภายในไม่กี่วินาที ด้วยแพลตฟอร์มที่ใช้ algorithm แบบ C++ ที่ปรับแต่งมาเพื่อการวิเคราะห์ทราฟฟิกแบบเรียลไทม์

    สิ่งที่ทำให้การโจมตีครั้งนี้น่ากังวลคือการใช้ “อุปกรณ์ทั่วไปในบ้าน” เช่น เราเตอร์และ IoT ที่ถูกแฮกมาเป็นเครื่องมือโจมตี ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มใหม่ของการ weaponize อุปกรณ์ผู้บริโภคในระดับมหาศาล โดย FastNetMon เตือนว่า หากไม่มีการกรองทราฟฟิกที่ระดับ ISP การโจมตีลักษณะนี้จะยิ่งขยายตัวและควบคุมได้ยาก

    แม้จะไม่ใช่การโจมตีที่ใหญ่ที่สุดในแง่ของ bandwidth (Cloudflare เคยรับมือกับการโจมตีขนาด 11.5 Tbps และ 5.1 พันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที) แต่การโจมตีครั้งนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในระดับ packet-rate ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเปิดเผยต่อสาธารณะ และเป็นสัญญาณเตือนว่าโลกไซเบอร์กำลังเข้าสู่ยุคที่การโจมตีสามารถเกิดขึ้นจากอุปกรณ์ที่เราใช้อยู่ทุกวัน

    รายละเอียดของการโจมตี DDoS ครั้งใหญ่
    เป้าหมายคือผู้ให้บริการ DDoS scrubbing ในยุโรปตะวันตก
    ปริมาณการโจมตีสูงถึง 1.5 พันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที (1.5 Gpps)
    ใช้เทคนิค UDP flood จากอุปกรณ์ CPE ที่ถูกแฮก เช่น IoT และเราเตอร์
    มาจากกว่า 11,000 เครือข่ายทั่วโลก — สะท้อนการกระจายตัวระดับมหาศาล

    การตอบสนองของ FastNetMon
    ใช้แพลตฟอร์ม Advanced ที่เขียนด้วย C++ สำหรับการตรวจจับแบบเรียลไทม์
    ตรวจจับได้ภายในไม่กี่วินาที — ป้องกันระบบล่มได้ทัน
    ใช้ ACL บน edge routers เพื่อบล็อกทราฟฟิกที่เป็นอันตราย
    เตือนให้มีการกรองทราฟฟิกที่ระดับ ISP เพื่อป้องกันการโจมตีในอนาคต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Cloudflare เคยรับมือกับการโจมตีขนาด 11.5 Tbps และ 5.1 Bpps เพียงไม่กี่วันก่อนหน้า
    UDP เป็นโปรโตคอลที่นิยมใช้โจมตี เพราะไม่ต้องมี handshake แบบ TCP
    อุปกรณ์ CPE ที่ไม่ได้รับการอัปเดตหรือมีรหัสผ่านเริ่มต้น เป็นเป้าหมายหลักของการแฮก
    การโจมตีแบบ packet-rate flood มุ่งทำลาย state table และ buffer ของอุปกรณ์เครือข่าย

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/ddos-scrubbing-service-ironic-target-of-massive-attack-it-was-built-to-prevent-hit-with-1-5-billion-packets-per-second-from-more-than-11-000-distributed-networks
    🌐 “บริการป้องกัน DDoS กลายเป็นเหยื่อของการโจมตี DDoS ขนาดมหึมา — FastNetMon ตรวจจับได้ทันก่อนระบบล่ม” ในเหตุการณ์ที่ชวนให้ตั้งคำถามถึงความมั่นคงของโครงสร้างอินเทอร์เน็ต บริการป้องกัน DDoS รายหนึ่งในยุโรปตะวันตกกลับกลายเป็นเป้าหมายของการโจมตี DDoS ขนาดใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ โดยมีปริมาณการโจมตีสูงถึง 1.5 พันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที (1.5 Gpps) ซึ่งเป็นการโจมตีแบบ UDP flood ที่มาจากอุปกรณ์ลูกค้าทั่วโลกกว่า 11,000 เครือข่าย2. แม้จะเป็นบริการที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการโจมตีลักษณะนี้ แต่ครั้งนี้ก็ต้องพึ่งพาการช่วยเหลือจาก FastNetMon ซึ่งสามารถตรวจจับและบรรเทาการโจมตีได้ภายในไม่กี่วินาที ด้วยแพลตฟอร์มที่ใช้ algorithm แบบ C++ ที่ปรับแต่งมาเพื่อการวิเคราะห์ทราฟฟิกแบบเรียลไทม์ สิ่งที่ทำให้การโจมตีครั้งนี้น่ากังวลคือการใช้ “อุปกรณ์ทั่วไปในบ้าน” เช่น เราเตอร์และ IoT ที่ถูกแฮกมาเป็นเครื่องมือโจมตี ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มใหม่ของการ weaponize อุปกรณ์ผู้บริโภคในระดับมหาศาล โดย FastNetMon เตือนว่า หากไม่มีการกรองทราฟฟิกที่ระดับ ISP การโจมตีลักษณะนี้จะยิ่งขยายตัวและควบคุมได้ยาก แม้จะไม่ใช่การโจมตีที่ใหญ่ที่สุดในแง่ของ bandwidth (Cloudflare เคยรับมือกับการโจมตีขนาด 11.5 Tbps และ 5.1 พันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที) แต่การโจมตีครั้งนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในระดับ packet-rate ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเปิดเผยต่อสาธารณะ และเป็นสัญญาณเตือนว่าโลกไซเบอร์กำลังเข้าสู่ยุคที่การโจมตีสามารถเกิดขึ้นจากอุปกรณ์ที่เราใช้อยู่ทุกวัน ✅ รายละเอียดของการโจมตี DDoS ครั้งใหญ่ ➡️ เป้าหมายคือผู้ให้บริการ DDoS scrubbing ในยุโรปตะวันตก ➡️ ปริมาณการโจมตีสูงถึง 1.5 พันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที (1.5 Gpps) ➡️ ใช้เทคนิค UDP flood จากอุปกรณ์ CPE ที่ถูกแฮก เช่น IoT และเราเตอร์ ➡️ มาจากกว่า 11,000 เครือข่ายทั่วโลก — สะท้อนการกระจายตัวระดับมหาศาล ✅ การตอบสนองของ FastNetMon ➡️ ใช้แพลตฟอร์ม Advanced ที่เขียนด้วย C++ สำหรับการตรวจจับแบบเรียลไทม์ ➡️ ตรวจจับได้ภายในไม่กี่วินาที — ป้องกันระบบล่มได้ทัน ➡️ ใช้ ACL บน edge routers เพื่อบล็อกทราฟฟิกที่เป็นอันตราย ➡️ เตือนให้มีการกรองทราฟฟิกที่ระดับ ISP เพื่อป้องกันการโจมตีในอนาคต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Cloudflare เคยรับมือกับการโจมตีขนาด 11.5 Tbps และ 5.1 Bpps เพียงไม่กี่วันก่อนหน้า ➡️ UDP เป็นโปรโตคอลที่นิยมใช้โจมตี เพราะไม่ต้องมี handshake แบบ TCP ➡️ อุปกรณ์ CPE ที่ไม่ได้รับการอัปเดตหรือมีรหัสผ่านเริ่มต้น เป็นเป้าหมายหลักของการแฮก ➡️ การโจมตีแบบ packet-rate flood มุ่งทำลาย state table และ buffer ของอุปกรณ์เครือข่าย https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/ddos-scrubbing-service-ironic-target-of-massive-attack-it-was-built-to-prevent-hit-with-1-5-billion-packets-per-second-from-more-than-11-000-distributed-networks
    0 Comments 0 Shares 82 Views 0 Reviews
  • “เวียดนามสั่นสะเทือนจากการเจาะฐานข้อมูลเครดิตระดับชาติ — กลุ่ม ShinyHunters ถูกสงสัยอยู่เบื้องหลัง”

    เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2025 เวียดนามเผชิญกับเหตุการณ์ไซเบอร์ครั้งใหญ่ เมื่อฐานข้อมูลของศูนย์ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (CIC) ซึ่งอยู่ภายใต้ธนาคารกลางของประเทศ ถูกโจมตีโดยแฮกเกอร์ โดยมีการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลอย่างไม่ถูกต้อง และยังอยู่ระหว่างการประเมินความเสียหายทั้งหมด

    CIC เป็นหน่วยงานที่เก็บข้อมูลสำคัญ เช่น รายละเอียดส่วนตัว ข้อมูลการชำระเงิน เครดิตการ์ด การวิเคราะห์ความเสี่ยง และประวัติทางการเงินของประชาชนและองค์กรทั่วประเทศ โดยเบื้องต้นมีการสงสัยว่ากลุ่มแฮกเกอร์นานาชาติชื่อ ShinyHunters ซึ่งเคยโจมตีบริษัทใหญ่ระดับโลกอย่าง Google, Microsoft และ Qantas อาจอยู่เบื้องหลังการโจมตีครั้งนี้

    แม้ระบบบริการข้อมูลเครดิตยังคงทำงานได้ตามปกติ แต่เว็บไซต์ของ CIC ไม่สามารถเข้าถึงได้ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ และยังไม่มีการเปิดเผยจำนวนบัญชีที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน

    หน่วยงานด้านความมั่นคงไซเบอร์ของเวียดนาม เช่น VNCERT และ A05 ได้เข้ามาร่วมตรวจสอบและดำเนินมาตรการตอบโต้ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ประชาชนและองค์กรไม่ดาวน์โหลดหรือเผยแพร่ข้อมูลที่รั่วไหล และให้ปฏิบัติตามมาตรฐาน TCVN 14423:2025 เพื่อเสริมความปลอดภัยของระบบสารสนเทศที่สำคัญ

    รายละเอียดเหตุการณ์การโจมตีข้อมูลเครดิตในเวียดนาม
    เกิดขึ้นกับศูนย์ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (CIC) ภายใต้ธนาคารกลางเวียดนาม
    ข้อมูลที่ถูกเข้าถึงรวมถึงข้อมูลส่วนบุคคล การชำระเงิน และเครดิตการ์ด
    สงสัยว่ากลุ่ม ShinyHunters อยู่เบื้องหลังการโจมตี
    ระบบบริการยังคงทำงานได้ตามปกติ แต่เว็บไซต์ CIC ไม่สามารถเข้าถึงได้

    การตอบสนองจากหน่วยงานรัฐ
    VNCERT และ A05 เข้าตรวจสอบและดำเนินมาตรการตอบโต้
    มีการเก็บหลักฐานและข้อมูลเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย
    แนะนำให้หน่วยงานต่าง ๆ ปฏิบัติตามมาตรฐาน TCVN 14423:2025
    เตือนประชาชนไม่ให้ดาวน์โหลดหรือเผยแพร่ข้อมูลที่รั่วไหล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ShinyHunters เคยโจมตีบริษัทใหญ่ระดับโลกหลายแห่งตั้งแต่ปี 2020
    รายงานจาก Viettel ระบุว่าเวียดนามมีบัญชีรั่วไหลกว่า 14.5 ล้านบัญชีในปี 2024
    คิดเป็น 12% ของการรั่วไหลข้อมูลทั่วโลก — สะท้อนความเปราะบางของระบบ
    กลุ่มแฮกเกอร์เสนอขายข้อมูลกว่า 160 ล้านรายการในฟอรั่มใต้ดิน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/12/vietnam-investigates-cyberattack-on-creditors-data
    🔓 “เวียดนามสั่นสะเทือนจากการเจาะฐานข้อมูลเครดิตระดับชาติ — กลุ่ม ShinyHunters ถูกสงสัยอยู่เบื้องหลัง” เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2025 เวียดนามเผชิญกับเหตุการณ์ไซเบอร์ครั้งใหญ่ เมื่อฐานข้อมูลของศูนย์ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (CIC) ซึ่งอยู่ภายใต้ธนาคารกลางของประเทศ ถูกโจมตีโดยแฮกเกอร์ โดยมีการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลอย่างไม่ถูกต้อง และยังอยู่ระหว่างการประเมินความเสียหายทั้งหมด CIC เป็นหน่วยงานที่เก็บข้อมูลสำคัญ เช่น รายละเอียดส่วนตัว ข้อมูลการชำระเงิน เครดิตการ์ด การวิเคราะห์ความเสี่ยง และประวัติทางการเงินของประชาชนและองค์กรทั่วประเทศ โดยเบื้องต้นมีการสงสัยว่ากลุ่มแฮกเกอร์นานาชาติชื่อ ShinyHunters ซึ่งเคยโจมตีบริษัทใหญ่ระดับโลกอย่าง Google, Microsoft และ Qantas อาจอยู่เบื้องหลังการโจมตีครั้งนี้ แม้ระบบบริการข้อมูลเครดิตยังคงทำงานได้ตามปกติ แต่เว็บไซต์ของ CIC ไม่สามารถเข้าถึงได้ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ และยังไม่มีการเปิดเผยจำนวนบัญชีที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน หน่วยงานด้านความมั่นคงไซเบอร์ของเวียดนาม เช่น VNCERT และ A05 ได้เข้ามาร่วมตรวจสอบและดำเนินมาตรการตอบโต้ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ประชาชนและองค์กรไม่ดาวน์โหลดหรือเผยแพร่ข้อมูลที่รั่วไหล และให้ปฏิบัติตามมาตรฐาน TCVN 14423:2025 เพื่อเสริมความปลอดภัยของระบบสารสนเทศที่สำคัญ ✅ รายละเอียดเหตุการณ์การโจมตีข้อมูลเครดิตในเวียดนาม ➡️ เกิดขึ้นกับศูนย์ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (CIC) ภายใต้ธนาคารกลางเวียดนาม ➡️ ข้อมูลที่ถูกเข้าถึงรวมถึงข้อมูลส่วนบุคคล การชำระเงิน และเครดิตการ์ด ➡️ สงสัยว่ากลุ่ม ShinyHunters อยู่เบื้องหลังการโจมตี ➡️ ระบบบริการยังคงทำงานได้ตามปกติ แต่เว็บไซต์ CIC ไม่สามารถเข้าถึงได้ ✅ การตอบสนองจากหน่วยงานรัฐ ➡️ VNCERT และ A05 เข้าตรวจสอบและดำเนินมาตรการตอบโต้ ➡️ มีการเก็บหลักฐานและข้อมูลเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย ➡️ แนะนำให้หน่วยงานต่าง ๆ ปฏิบัติตามมาตรฐาน TCVN 14423:2025 ➡️ เตือนประชาชนไม่ให้ดาวน์โหลดหรือเผยแพร่ข้อมูลที่รั่วไหล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ShinyHunters เคยโจมตีบริษัทใหญ่ระดับโลกหลายแห่งตั้งแต่ปี 2020 ➡️ รายงานจาก Viettel ระบุว่าเวียดนามมีบัญชีรั่วไหลกว่า 14.5 ล้านบัญชีในปี 2024 ➡️ คิดเป็น 12% ของการรั่วไหลข้อมูลทั่วโลก — สะท้อนความเปราะบางของระบบ ➡️ กลุ่มแฮกเกอร์เสนอขายข้อมูลกว่า 160 ล้านรายการในฟอรั่มใต้ดิน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/12/vietnam-investigates-cyberattack-on-creditors-data
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Vietnam investigates cyberattack on creditors data
    HANOI (Reuters) - A large database in Vietnam containing data on creditors has been attacked by hackers, and the impact of the breach is still being assessed, according to the country's cybersecurity agency as well as a document seen by Reuters.
    0 Comments 0 Shares 68 Views 0 Reviews
  • “Ant Group เปิดตัวหุ่นยนต์ R1 — ก้าวแรกสู่ยุค AI ที่มีร่างกาย พร้อมท้าชน Tesla และ Unitree”

    Ant Group บริษัทฟินเทคชื่อดังที่ได้รับการสนับสนุนจาก Jack Ma ได้เปิดตัวหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์รุ่นแรกของตนในชื่อ “R1” ผ่านบริษัทลูก Robbyant ในงาน Inclusion Conference ที่เซี่ยงไฮ้เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2025 โดยถือเป็นการเข้าสู่สนามแข่งขันด้าน embodied AI อย่างเต็มตัว ซึ่งมีคู่แข่งระดับโลกอย่าง Tesla, Unitree Robotics และบริษัทสตาร์ทอัพอีกมากมาย

    หุ่นยนต์ R1 ถูกออกแบบให้มีความสามารถหลากหลาย เช่น เป็นไกด์นำเที่ยว, คัดแยกยาในร้านขายยา, ให้คำปรึกษาทางการแพทย์ และทำงานครัวพื้นฐาน โดยเน้นการพัฒนา “สมอง” มากกว่ารูปร่าง — Ant Group เชื่อว่าความฉลาดจากโมเดล AI ขนาดใหญ่จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของหุ่นยนต์ มากกว่าการออกแบบฮาร์ดแวร์เพียงอย่างเดียว

    R1 มีน้ำหนักประมาณ 110 กิโลกรัม สูงราว 1.6–1.75 เมตร เคลื่อนที่ได้ด้วยความเร็วไม่เกิน 1.5 เมตรต่อวินาที และมีข้อต่อที่เคลื่อนไหวได้ถึง 34 จุด โดยใช้ชิ้นส่วนจากซัพพลายเออร์จีน เช่น Ti5 และ Galaxea AI ซึ่ง Ant Group เป็นผู้สนับสนุน

    นอกจากการเปิดตัว R1 แล้ว Ant ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาโมเดลภาษา BaiLing ของตนเอง และทดลองฝึกด้วยชิปที่ผลิตในประเทศจีน เพื่อเสริมความเป็นอิสระด้านเทคโนโลยี AI ของประเทศ

    จุดเด่นของหุ่นยนต์ R1 จาก Ant Group
    เปิดตัวในงาน Inclusion Conference ที่เซี่ยงไฮ้ วันที่ 11 กันยายน 2025
    พัฒนาโดย Robbyant บริษัทลูกของ Ant Group
    มีความสามารถหลากหลาย เช่น ทำงานครัว, เป็นไกด์, คัดแยกยา, ให้คำปรึกษา
    เน้นการพัฒนา “สมอง” ด้วยโมเดล AI มากกว่าการออกแบบฮาร์ดแวร์

    สเปกและการใช้งานของ R1
    น้ำหนัก 110 กิโลกรัม สูง 1.6–1.75 เมตร เคลื่อนที่ได้ไม่เกิน 1.5 เมตร/วินาที
    มีข้อต่อเคลื่อนไหวได้ 34 จุด ใช้ชิ้นส่วนจากซัพพลายเออร์จีน
    อยู่ในขั้นตอนการผลิตและส่งมอบให้ลูกค้า เช่น พิพิธภัณฑ์เซี่ยงไฮ้
    ไม่ขายเป็นเครื่องเดี่ยว แต่เป็น “โซลูชันตามสถานการณ์”

    วิสัยทัศน์ของ Ant Group
    มองหุ่นยนต์เป็นช่องทางขยายบริการดิจิทัลสู่โลกจริง เช่น การเงินและสาธารณสุข
    พัฒนาโมเดลภาษา BaiLing เพื่อใช้กับหุ่นยนต์และบริการ AI
    ทดลองฝึกโมเดลด้วยชิปที่ผลิตในจีนเพื่อลดต้นทุนและพึ่งพาต่างประเทศ
    มุ่งเน้น embodied intelligence เพื่อสร้างหุ่นยนต์ที่เข้าใจและตอบสนองมนุษย์ได้ดีขึ้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Tesla อยู่ระหว่างพัฒนา Optimus รุ่น 3 ที่มีความคล่องตัวสูงและราคาต่ำ
    Unitree Robotics เป็นผู้นำด้านหุ่นยนต์เคลื่อนที่ในจีน
    Nvidia สนับสนุนหลายบริษัทด้วย Jetson modules และ Isaac Sim
    ตลาด embodied AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในภาคการผลิต, โลจิสติกส์ และการดูแลสุขภาพ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/11/jack-ma-backed-ants-first-humanoid-robot-sheds-light-on-its-ai-ambitions
    🤖 “Ant Group เปิดตัวหุ่นยนต์ R1 — ก้าวแรกสู่ยุค AI ที่มีร่างกาย พร้อมท้าชน Tesla และ Unitree” Ant Group บริษัทฟินเทคชื่อดังที่ได้รับการสนับสนุนจาก Jack Ma ได้เปิดตัวหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์รุ่นแรกของตนในชื่อ “R1” ผ่านบริษัทลูก Robbyant ในงาน Inclusion Conference ที่เซี่ยงไฮ้เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2025 โดยถือเป็นการเข้าสู่สนามแข่งขันด้าน embodied AI อย่างเต็มตัว ซึ่งมีคู่แข่งระดับโลกอย่าง Tesla, Unitree Robotics และบริษัทสตาร์ทอัพอีกมากมาย หุ่นยนต์ R1 ถูกออกแบบให้มีความสามารถหลากหลาย เช่น เป็นไกด์นำเที่ยว, คัดแยกยาในร้านขายยา, ให้คำปรึกษาทางการแพทย์ และทำงานครัวพื้นฐาน โดยเน้นการพัฒนา “สมอง” มากกว่ารูปร่าง — Ant Group เชื่อว่าความฉลาดจากโมเดล AI ขนาดใหญ่จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของหุ่นยนต์ มากกว่าการออกแบบฮาร์ดแวร์เพียงอย่างเดียว R1 มีน้ำหนักประมาณ 110 กิโลกรัม สูงราว 1.6–1.75 เมตร เคลื่อนที่ได้ด้วยความเร็วไม่เกิน 1.5 เมตรต่อวินาที และมีข้อต่อที่เคลื่อนไหวได้ถึง 34 จุด โดยใช้ชิ้นส่วนจากซัพพลายเออร์จีน เช่น Ti5 และ Galaxea AI ซึ่ง Ant Group เป็นผู้สนับสนุน นอกจากการเปิดตัว R1 แล้ว Ant ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาโมเดลภาษา BaiLing ของตนเอง และทดลองฝึกด้วยชิปที่ผลิตในประเทศจีน เพื่อเสริมความเป็นอิสระด้านเทคโนโลยี AI ของประเทศ ✅ จุดเด่นของหุ่นยนต์ R1 จาก Ant Group ➡️ เปิดตัวในงาน Inclusion Conference ที่เซี่ยงไฮ้ วันที่ 11 กันยายน 2025 ➡️ พัฒนาโดย Robbyant บริษัทลูกของ Ant Group ➡️ มีความสามารถหลากหลาย เช่น ทำงานครัว, เป็นไกด์, คัดแยกยา, ให้คำปรึกษา ➡️ เน้นการพัฒนา “สมอง” ด้วยโมเดล AI มากกว่าการออกแบบฮาร์ดแวร์ ✅ สเปกและการใช้งานของ R1 ➡️ น้ำหนัก 110 กิโลกรัม สูง 1.6–1.75 เมตร เคลื่อนที่ได้ไม่เกิน 1.5 เมตร/วินาที ➡️ มีข้อต่อเคลื่อนไหวได้ 34 จุด ใช้ชิ้นส่วนจากซัพพลายเออร์จีน ➡️ อยู่ในขั้นตอนการผลิตและส่งมอบให้ลูกค้า เช่น พิพิธภัณฑ์เซี่ยงไฮ้ ➡️ ไม่ขายเป็นเครื่องเดี่ยว แต่เป็น “โซลูชันตามสถานการณ์” ✅ วิสัยทัศน์ของ Ant Group ➡️ มองหุ่นยนต์เป็นช่องทางขยายบริการดิจิทัลสู่โลกจริง เช่น การเงินและสาธารณสุข ➡️ พัฒนาโมเดลภาษา BaiLing เพื่อใช้กับหุ่นยนต์และบริการ AI ➡️ ทดลองฝึกโมเดลด้วยชิปที่ผลิตในจีนเพื่อลดต้นทุนและพึ่งพาต่างประเทศ ➡️ มุ่งเน้น embodied intelligence เพื่อสร้างหุ่นยนต์ที่เข้าใจและตอบสนองมนุษย์ได้ดีขึ้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Tesla อยู่ระหว่างพัฒนา Optimus รุ่น 3 ที่มีความคล่องตัวสูงและราคาต่ำ ➡️ Unitree Robotics เป็นผู้นำด้านหุ่นยนต์เคลื่อนที่ในจีน ➡️ Nvidia สนับสนุนหลายบริษัทด้วย Jetson modules และ Isaac Sim ➡️ ตลาด embodied AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในภาคการผลิต, โลจิสติกส์ และการดูแลสุขภาพ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/11/jack-ma-backed-ants-first-humanoid-robot-sheds-light-on-its-ai-ambitions
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Jack Ma-backed Ant's first humanoid robot sheds light on its AI ambitions
    Jack Ma-backed Ant Group Co showcased its first humanoid robot on Sept 11, formally joining an intensifying effort by Chinese companies to compete with the US in commercialising a frontier technology.
    0 Comments 0 Shares 100 Views 0 Reviews
  • “Senator Wyden จี้ FTC สอบ Microsoft หลังมัลแวร์โจมตีโรงพยาบาล Ascension — เมื่อซอฟต์แวร์ที่ ‘ผ่านการรับรอง’ กลายเป็นช่องโหว่ระดับชาติ”

    วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ Ron Wyden ได้ส่งจดหมายถึง FTC (คณะกรรมการการค้าแห่งสหรัฐฯ) เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2025 เพื่อเรียกร้องให้สอบสวน Microsoft กรณีซอฟต์แวร์ของบริษัทมีส่วนทำให้เกิดการโจมตีแบบ ransomware ครั้งใหญ่ต่อเครือข่ายโรงพยาบาล Ascension ซึ่งเป็นหนึ่งในระบบสาธารณสุขไม่แสวงกำไรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยเหตุการณ์นี้ส่งผลให้ข้อมูลผู้ป่วยกว่า 5.6 ล้านรายถูกขโมย และระบบไอทีของโรงพยาบาลต้องหยุดชะงักเป็นเวลาหลายสัปดาห์

    การโจมตีเริ่มต้นจากการที่ผู้รับเหมาของ Ascension คลิกลิงก์อันตรายจากการค้นหาบน Bing ซึ่งเป็นเครื่องมือค้นหาของ Microsoft ส่งผลให้มัลแวร์แฝงตัวเข้าสู่ระบบ จากนั้นผู้โจมตีใช้เทคนิคที่เรียกว่า “Kerberoasting” เพื่อเจาะระบบ Active Directory โดยอาศัยช่องโหว่จากการใช้การเข้ารหัสแบบ RC4 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเก่าตั้งแต่ยุค 1980 ที่ยังคงเปิดใช้งานโดยค่าเริ่มต้นในซอฟต์แวร์ของ Microsoft

    Wyden ระบุว่า Microsoft ได้รับการแจ้งเตือนเรื่องช่องโหว่นี้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2024 แต่ใช้เวลาถึงเดือนตุลาคมจึงเผยแพร่บล็อกโพสต์ทางเทคนิค และจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ปล่อยอัปเดตซอฟต์แวร์เพื่อปิดช่องโหว่ดังกล่าว Wyden เปรียบเทียบ Microsoft ว่าเป็น “นักวางเพลิงที่ขายบริการดับไฟให้เหยื่อของตัวเอง” และชี้ว่าการผูกขาดของ Microsoft ทำให้หลายองค์กรไม่มีทางเลือกอื่นในการใช้งานซอฟต์แวร์

    รายละเอียดเหตุการณ์โจมตี Ascension
    เกิดจากผู้รับเหมาคลิกลิงก์อันตรายจาก Bing บนแล็ปท็อปของ Ascension
    มัลแวร์เข้าระบบและใช้ Kerberoasting เจาะ Active Directory
    ใช้การเข้ารหัส RC4 ซึ่งยังเปิดใช้งานโดยค่าเริ่มต้นใน Windows
    ส่งผลให้ข้อมูลผู้ป่วยกว่า 5.6 ล้านรายถูกขโมย และระบบโรงพยาบาลล่มหลายสัปดาห์

    การตอบสนองของ Microsoft
    ได้รับการแจ้งเตือนจากทีม Wyden ตั้งแต่กรกฎาคม 2024
    เผยแพร่บล็อกโพสต์ในเดือนตุลาคม แต่ยังไม่ปล่อยอัปเดตซอฟต์แวร์
    ระบุว่า RC4 ใช้งานน้อยกว่า 0.1% แต่ยังไม่ปิดการใช้งานโดยค่าเริ่มต้น
    วางแผนจะปิด RC4 ใน Windows Server 2025 และ Windows 11 24H2

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    RC4 ถูกห้ามใช้ใน TLS มาตั้งแต่ปี 2015 เนื่องจากมีช่องโหว่ร้ายแรง
    Kerberoasting เป็นเทคนิคที่ใช้เจาะรหัสผ่านจาก service tickets ใน Active Directory
    กลุ่ม Black Basta ถูกระบุว่าอยู่เบื้องหลังการโจมตี Ascension
    Microsoft มีรายได้จากธุรกิจความปลอดภัยกว่า $20 พันล้านต่อปี แต่ฟีเจอร์สำคัญบางส่วนอยู่หลัง paywall

    https://hackread.com/senator-ftc-probe-microsoft-ascension-ransomware-attack/
    🧯 “Senator Wyden จี้ FTC สอบ Microsoft หลังมัลแวร์โจมตีโรงพยาบาล Ascension — เมื่อซอฟต์แวร์ที่ ‘ผ่านการรับรอง’ กลายเป็นช่องโหว่ระดับชาติ” วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ Ron Wyden ได้ส่งจดหมายถึง FTC (คณะกรรมการการค้าแห่งสหรัฐฯ) เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2025 เพื่อเรียกร้องให้สอบสวน Microsoft กรณีซอฟต์แวร์ของบริษัทมีส่วนทำให้เกิดการโจมตีแบบ ransomware ครั้งใหญ่ต่อเครือข่ายโรงพยาบาล Ascension ซึ่งเป็นหนึ่งในระบบสาธารณสุขไม่แสวงกำไรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยเหตุการณ์นี้ส่งผลให้ข้อมูลผู้ป่วยกว่า 5.6 ล้านรายถูกขโมย และระบบไอทีของโรงพยาบาลต้องหยุดชะงักเป็นเวลาหลายสัปดาห์ การโจมตีเริ่มต้นจากการที่ผู้รับเหมาของ Ascension คลิกลิงก์อันตรายจากการค้นหาบน Bing ซึ่งเป็นเครื่องมือค้นหาของ Microsoft ส่งผลให้มัลแวร์แฝงตัวเข้าสู่ระบบ จากนั้นผู้โจมตีใช้เทคนิคที่เรียกว่า “Kerberoasting” เพื่อเจาะระบบ Active Directory โดยอาศัยช่องโหว่จากการใช้การเข้ารหัสแบบ RC4 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเก่าตั้งแต่ยุค 1980 ที่ยังคงเปิดใช้งานโดยค่าเริ่มต้นในซอฟต์แวร์ของ Microsoft Wyden ระบุว่า Microsoft ได้รับการแจ้งเตือนเรื่องช่องโหว่นี้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2024 แต่ใช้เวลาถึงเดือนตุลาคมจึงเผยแพร่บล็อกโพสต์ทางเทคนิค และจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ปล่อยอัปเดตซอฟต์แวร์เพื่อปิดช่องโหว่ดังกล่าว Wyden เปรียบเทียบ Microsoft ว่าเป็น “นักวางเพลิงที่ขายบริการดับไฟให้เหยื่อของตัวเอง” และชี้ว่าการผูกขาดของ Microsoft ทำให้หลายองค์กรไม่มีทางเลือกอื่นในการใช้งานซอฟต์แวร์ ✅ รายละเอียดเหตุการณ์โจมตี Ascension ➡️ เกิดจากผู้รับเหมาคลิกลิงก์อันตรายจาก Bing บนแล็ปท็อปของ Ascension ➡️ มัลแวร์เข้าระบบและใช้ Kerberoasting เจาะ Active Directory ➡️ ใช้การเข้ารหัส RC4 ซึ่งยังเปิดใช้งานโดยค่าเริ่มต้นใน Windows ➡️ ส่งผลให้ข้อมูลผู้ป่วยกว่า 5.6 ล้านรายถูกขโมย และระบบโรงพยาบาลล่มหลายสัปดาห์ ✅ การตอบสนองของ Microsoft ➡️ ได้รับการแจ้งเตือนจากทีม Wyden ตั้งแต่กรกฎาคม 2024 ➡️ เผยแพร่บล็อกโพสต์ในเดือนตุลาคม แต่ยังไม่ปล่อยอัปเดตซอฟต์แวร์ ➡️ ระบุว่า RC4 ใช้งานน้อยกว่า 0.1% แต่ยังไม่ปิดการใช้งานโดยค่าเริ่มต้น ➡️ วางแผนจะปิด RC4 ใน Windows Server 2025 และ Windows 11 24H2 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ RC4 ถูกห้ามใช้ใน TLS มาตั้งแต่ปี 2015 เนื่องจากมีช่องโหว่ร้ายแรง ➡️ Kerberoasting เป็นเทคนิคที่ใช้เจาะรหัสผ่านจาก service tickets ใน Active Directory ➡️ กลุ่ม Black Basta ถูกระบุว่าอยู่เบื้องหลังการโจมตี Ascension ➡️ Microsoft มีรายได้จากธุรกิจความปลอดภัยกว่า $20 พันล้านต่อปี แต่ฟีเจอร์สำคัญบางส่วนอยู่หลัง paywall https://hackread.com/senator-ftc-probe-microsoft-ascension-ransomware-attack/
    HACKREAD.COM
    Senator Urges FTC Probe Into Microsoft After Ascension Ransomware Attack
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 86 Views 0 Reviews
  • “DDoS ระดับพันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที — FastNetMon ตรวจจับการโจมตีครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยเปิดเผย”

    FastNetMon ผู้ให้บริการด้านความปลอดภัยเครือข่าย ประกาศตรวจพบการโจมตีแบบ DDoS ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเปิดเผยต่อสาธารณะ โดยมีอัตราการส่งข้อมูลสูงถึง 1.5 พันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที (1.5 Gpps) ซึ่งเป็นการโจมตีแบบ UDP flood ที่มุ่งเป้าไปยังเว็บไซต์ของผู้ให้บริการ DDoS scrubbing รายใหญ่ในยุโรปตะวันตก

    สิ่งที่น่าตกใจคือการโจมตีนี้ไม่ได้ใช้ botnet แบบเดิม แต่ใช้ “อุปกรณ์ลูกค้า” (CPE) ที่ถูกแฮก เช่น เราเตอร์และอุปกรณ์ IoT จากกว่า 11,000 เครือข่ายทั่วโลก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มใหม่ของการใช้ฮาร์ดแวร์ทั่วไปเป็นอาวุธไซเบอร์

    FastNetMon ใช้แพลตฟอร์ม Advanced ที่เขียนด้วย C++ เพื่อวิเคราะห์ทราฟฟิกแบบเรียลไทม์ และสามารถตรวจจับการโจมตีได้ภายในไม่กี่วินาที พร้อมส่งสัญญาณเตือนและเริ่มกระบวนการบรรเทาทันที โดยใช้ ACL บน edge routers และระบบ scrubbing ของลูกค้า

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจาก Cloudflare รายงานการโจมตีแบบ volumetric ที่มีขนาดถึง 11.5 Tbps ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้โจมตีกำลังเพิ่มทั้ง “ปริมาณข้อมูล” และ “จำนวนแพ็กเก็ต” เพื่อเจาะระบบในหลายมิติพร้อมกัน

    Pavel Odintsov ผู้ก่อตั้ง FastNetMon เตือนว่า อุตสาหกรรมต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีตรวจจับที่ระดับ ISP เพื่อป้องกันการโจมตีจากอุปกรณ์ที่ถูกแฮกก่อนที่มันจะขยายตัวเป็นระดับมหึมา

    รายละเอียดการโจมตี DDoS ครั้งใหญ่
    อัตราการโจมตีสูงถึง 1.5 พันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที (1.5 Gpps)
    เป็นการโจมตีแบบ UDP flood ที่มุ่งเป้าไปยังผู้ให้บริการ DDoS scrubbing
    ใช้อุปกรณ์ CPE ที่ถูกแฮก เช่น เราเตอร์และ IoT จากกว่า 11,000 เครือข่าย
    FastNetMon ตรวจจับได้ภายในไม่กี่วินาที และเริ่มบรรเทาทันที

    เทคโนโลยีที่ใช้ในการตรวจจับ
    FastNetMon Advanced ใช้ C++ algorithm สำหรับการวิเคราะห์แบบเรียลไทม์
    รองรับ Netflow/IPFIX, sFlow และ SPAN mode สำหรับเครือข่ายขนาดใหญ่
    ใช้ ACL บน edge routers เพื่อบล็อกทราฟฟิกที่เป็นอันตราย
    ระบบสามารถใช้ CPU ได้เต็มประสิทธิภาพในการตรวจจับแบบ high-speed

    แนวโน้มและผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    การโจมตีแบบ packet-rate flood กำลังเพิ่มขึ้นควบคู่กับ volumetric attack
    อุปกรณ์ทั่วไปถูกใช้เป็นอาวุธไซเบอร์ — ไม่ใช่แค่เซิร์ฟเวอร์หรือ botnet
    การตรวจจับที่ระดับ ISP เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อหยุดการโจมตีตั้งแต่ต้นทาง
    Cloudflare รายงานการโจมตี 11.5 Tbps เพียงไม่กี่วันก่อนหน้านี้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    MikroTik routers และ IP cameras เป็นเป้าหมายหลักของการแฮก CPE
    การโจมตีแบบ Gpps มุ่งทำลาย state table และ buffer ของอุปกรณ์เครือข่าย
    FastNetMon Community Edition ก็สามารถตรวจจับได้ในระดับพื้นฐาน
    การโจมตีแบบนี้อาจทำให้ระบบที่มี bandwidth สูงแต่ CPU ต่ำล่มได้ทันที

    https://hackread.com/1-5-billion-packets-per-second-ddos-attack-detected-with-fastnetmon/
    🌐 “DDoS ระดับพันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที — FastNetMon ตรวจจับการโจมตีครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยเปิดเผย” FastNetMon ผู้ให้บริการด้านความปลอดภัยเครือข่าย ประกาศตรวจพบการโจมตีแบบ DDoS ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเปิดเผยต่อสาธารณะ โดยมีอัตราการส่งข้อมูลสูงถึง 1.5 พันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที (1.5 Gpps) ซึ่งเป็นการโจมตีแบบ UDP flood ที่มุ่งเป้าไปยังเว็บไซต์ของผู้ให้บริการ DDoS scrubbing รายใหญ่ในยุโรปตะวันตก สิ่งที่น่าตกใจคือการโจมตีนี้ไม่ได้ใช้ botnet แบบเดิม แต่ใช้ “อุปกรณ์ลูกค้า” (CPE) ที่ถูกแฮก เช่น เราเตอร์และอุปกรณ์ IoT จากกว่า 11,000 เครือข่ายทั่วโลก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มใหม่ของการใช้ฮาร์ดแวร์ทั่วไปเป็นอาวุธไซเบอร์ FastNetMon ใช้แพลตฟอร์ม Advanced ที่เขียนด้วย C++ เพื่อวิเคราะห์ทราฟฟิกแบบเรียลไทม์ และสามารถตรวจจับการโจมตีได้ภายในไม่กี่วินาที พร้อมส่งสัญญาณเตือนและเริ่มกระบวนการบรรเทาทันที โดยใช้ ACL บน edge routers และระบบ scrubbing ของลูกค้า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจาก Cloudflare รายงานการโจมตีแบบ volumetric ที่มีขนาดถึง 11.5 Tbps ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้โจมตีกำลังเพิ่มทั้ง “ปริมาณข้อมูล” และ “จำนวนแพ็กเก็ต” เพื่อเจาะระบบในหลายมิติพร้อมกัน Pavel Odintsov ผู้ก่อตั้ง FastNetMon เตือนว่า อุตสาหกรรมต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีตรวจจับที่ระดับ ISP เพื่อป้องกันการโจมตีจากอุปกรณ์ที่ถูกแฮกก่อนที่มันจะขยายตัวเป็นระดับมหึมา ✅ รายละเอียดการโจมตี DDoS ครั้งใหญ่ ➡️ อัตราการโจมตีสูงถึง 1.5 พันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที (1.5 Gpps) ➡️ เป็นการโจมตีแบบ UDP flood ที่มุ่งเป้าไปยังผู้ให้บริการ DDoS scrubbing ➡️ ใช้อุปกรณ์ CPE ที่ถูกแฮก เช่น เราเตอร์และ IoT จากกว่า 11,000 เครือข่าย ➡️ FastNetMon ตรวจจับได้ภายในไม่กี่วินาที และเริ่มบรรเทาทันที ✅ เทคโนโลยีที่ใช้ในการตรวจจับ ➡️ FastNetMon Advanced ใช้ C++ algorithm สำหรับการวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ ➡️ รองรับ Netflow/IPFIX, sFlow และ SPAN mode สำหรับเครือข่ายขนาดใหญ่ ➡️ ใช้ ACL บน edge routers เพื่อบล็อกทราฟฟิกที่เป็นอันตราย ➡️ ระบบสามารถใช้ CPU ได้เต็มประสิทธิภาพในการตรวจจับแบบ high-speed ✅ แนวโน้มและผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ การโจมตีแบบ packet-rate flood กำลังเพิ่มขึ้นควบคู่กับ volumetric attack ➡️ อุปกรณ์ทั่วไปถูกใช้เป็นอาวุธไซเบอร์ — ไม่ใช่แค่เซิร์ฟเวอร์หรือ botnet ➡️ การตรวจจับที่ระดับ ISP เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อหยุดการโจมตีตั้งแต่ต้นทาง ➡️ Cloudflare รายงานการโจมตี 11.5 Tbps เพียงไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ MikroTik routers และ IP cameras เป็นเป้าหมายหลักของการแฮก CPE ➡️ การโจมตีแบบ Gpps มุ่งทำลาย state table และ buffer ของอุปกรณ์เครือข่าย ➡️ FastNetMon Community Edition ก็สามารถตรวจจับได้ในระดับพื้นฐาน ➡️ การโจมตีแบบนี้อาจทำให้ระบบที่มี bandwidth สูงแต่ CPU ต่ำล่มได้ทันที https://hackread.com/1-5-billion-packets-per-second-ddos-attack-detected-with-fastnetmon/
    HACKREAD.COM
    1.5 billion packets per second DDoS attack detected with FastNetMon
    London, United Kingdom, 11th September 2025, CyberNewsWire
    0 Comments 0 Shares 88 Views 0 Reviews
  • “ศาลสหรัฐฯ ตัดสิน Verizon ผิดฐานขายข้อมูลตำแหน่งลูกค้าโดยไม่ขออนุญาต — จุดเปลี่ยนสำคัญของสิทธิความเป็นส่วนตัวในยุคดิจิทัล”

    ในคดีที่อาจกลายเป็นหมุดหมายสำคัญของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ เขตที่ 2 ได้มีคำตัดสินเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2025 ว่า Verizon กระทำผิดจริงจากการขายข้อมูลตำแหน่งของลูกค้าโดยไม่ได้รับความยินยอมอย่างชัดเจน โดยยืนยันคำสั่งปรับจาก FCC เป็นเงิน 46.9 ล้านดอลลาร์ ซึ่ง Verizon พยายามยื่นอุทธรณ์เพื่อยกเลิกแต่ไม่สำเร็จ

    คดีนี้ย้อนกลับไปถึงปี 2018 เมื่อมีการเปิดเผยว่า Verizon และผู้ให้บริการรายใหญ่อื่น ๆ เช่น AT&T และ T-Mobile ได้ขายข้อมูลตำแหน่งแบบเรียลไทม์ของลูกค้าให้กับบริษัทตัวกลาง เช่น LocationSmart และ Zumigo ซึ่งนำข้อมูลไปขายต่อให้กับหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงบริษัทเอกชนและเจ้าหน้าที่รัฐ โดยไม่มีการตรวจสอบเอกสารหรือขออนุญาตจากลูกค้าอย่างเหมาะสม

    Verizon อ้างว่าข้อมูลตำแหน่งของอุปกรณ์ไม่อยู่ภายใต้การคุ้มครองตามกฎหมาย Communications Act แต่ศาลไม่เห็นด้วย โดยระบุว่าข้อมูลดังกล่าวถือเป็น “customer proprietary network information” ซึ่งต้องได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย และ Verizon เองก็เลือกที่จะจ่ายค่าปรับแทนที่จะขอสิทธิพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุน ทำให้ข้ออ้างเรื่องการละเมิดสิทธิการพิจารณาคดีไม่สามารถนำมาใช้ได้

    แม้ AT&T จะชนะคดีในศาลเขตที่ 5 ซึ่งมีแนวโน้มอนุรักษ์นิยมมากกว่า แต่คำตัดสินที่แตกต่างกันในแต่ละเขตศาลทำให้คดีนี้อาจต้องขึ้นสู่ศาลสูงสุดของสหรัฐฯ เพื่อวินิจฉัยให้ชัดเจนว่า FCC มีอำนาจในการลงโทษบริษัทโทรคมนาคมในกรณีละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลหรือไม่

    คำตัดสินของศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ เขตที่ 2
    ยืนยันคำสั่งปรับ Verizon เป็นเงิน 46.9 ล้านดอลลาร์
    ปฏิเสธข้ออ้างเรื่องสิทธิการพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุน
    ระบุว่าข้อมูลตำแหน่งของอุปกรณ์อยู่ภายใต้การคุ้มครองตาม Communications Act
    Verizon เลือกจ่ายค่าปรับแทนการขอพิจารณาคดี ทำให้เสียสิทธิ์การโต้แย้ง

    พฤติกรรมที่นำไปสู่การลงโทษ
    Verizon ขายข้อมูลตำแหน่งผ่านตัวกลางโดยไม่ตรวจสอบเอกสารหรือขออนุญาต
    บริษัทตัวกลาง เช่น Securus Technologies เปิดช่องให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้าถึงข้อมูลโดยไม่มีหมายศาล
    มีกรณีที่นายอำเภอในรัฐ Missouri เข้าถึงข้อมูลลูกค้าโดยไม่มีเอกสารทางกฎหมาย
    ระบบการขออนุญาตถูก “มอบหมาย” ให้บริษัทตัวกลางแทนที่จะทำโดย Verizon เอง

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคม
    FCC เคยปรับผู้ให้บริการรายใหญ่รวมเกือบ 200 ล้านดอลลาร์ในปี 2024
    AT&T ชนะคดีในศาลเขตที่ 5 ขณะที่ T-Mobile แพ้ในศาล DC Circuit
    ความขัดแย้งระหว่างเขตศาลอาจนำไปสู่การพิจารณาโดยศาลสูงสุด
    หากศาลสูงรับเรื่อง อาจเปลี่ยนขอบเขตอำนาจของ FCC ในการลงโทษ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ข้อมูลตำแหน่งเคยถูกใช้ในบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน, ป้องกันการค้ามนุษย์ และการตรวจจับการฉ้อโกง
    FCC ระบุว่าบริษัทโทรคมนาคมยังคงดำเนินโครงการโดยไม่มีมาตรการป้องกันที่เพียงพอ
    การขายข้อมูลให้กับ bounty hunters และบริษัทเอกชนสร้างความไม่พอใจในสภาคองเกรส
    การเปิดเผยในปี 2018 โดย New York Times เป็นจุดเริ่มต้นของการสอบสวน

    https://arstechnica.com/tech-policy/2025/09/court-rejects-verizon-claim-that-selling-location-data-without-consent-is-legal/
    📍 “ศาลสหรัฐฯ ตัดสิน Verizon ผิดฐานขายข้อมูลตำแหน่งลูกค้าโดยไม่ขออนุญาต — จุดเปลี่ยนสำคัญของสิทธิความเป็นส่วนตัวในยุคดิจิทัล” ในคดีที่อาจกลายเป็นหมุดหมายสำคัญของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ เขตที่ 2 ได้มีคำตัดสินเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2025 ว่า Verizon กระทำผิดจริงจากการขายข้อมูลตำแหน่งของลูกค้าโดยไม่ได้รับความยินยอมอย่างชัดเจน โดยยืนยันคำสั่งปรับจาก FCC เป็นเงิน 46.9 ล้านดอลลาร์ ซึ่ง Verizon พยายามยื่นอุทธรณ์เพื่อยกเลิกแต่ไม่สำเร็จ คดีนี้ย้อนกลับไปถึงปี 2018 เมื่อมีการเปิดเผยว่า Verizon และผู้ให้บริการรายใหญ่อื่น ๆ เช่น AT&T และ T-Mobile ได้ขายข้อมูลตำแหน่งแบบเรียลไทม์ของลูกค้าให้กับบริษัทตัวกลาง เช่น LocationSmart และ Zumigo ซึ่งนำข้อมูลไปขายต่อให้กับหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงบริษัทเอกชนและเจ้าหน้าที่รัฐ โดยไม่มีการตรวจสอบเอกสารหรือขออนุญาตจากลูกค้าอย่างเหมาะสม Verizon อ้างว่าข้อมูลตำแหน่งของอุปกรณ์ไม่อยู่ภายใต้การคุ้มครองตามกฎหมาย Communications Act แต่ศาลไม่เห็นด้วย โดยระบุว่าข้อมูลดังกล่าวถือเป็น “customer proprietary network information” ซึ่งต้องได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย และ Verizon เองก็เลือกที่จะจ่ายค่าปรับแทนที่จะขอสิทธิพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุน ทำให้ข้ออ้างเรื่องการละเมิดสิทธิการพิจารณาคดีไม่สามารถนำมาใช้ได้ แม้ AT&T จะชนะคดีในศาลเขตที่ 5 ซึ่งมีแนวโน้มอนุรักษ์นิยมมากกว่า แต่คำตัดสินที่แตกต่างกันในแต่ละเขตศาลทำให้คดีนี้อาจต้องขึ้นสู่ศาลสูงสุดของสหรัฐฯ เพื่อวินิจฉัยให้ชัดเจนว่า FCC มีอำนาจในการลงโทษบริษัทโทรคมนาคมในกรณีละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลหรือไม่ ✅ คำตัดสินของศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ เขตที่ 2 ➡️ ยืนยันคำสั่งปรับ Verizon เป็นเงิน 46.9 ล้านดอลลาร์ ➡️ ปฏิเสธข้ออ้างเรื่องสิทธิการพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุน ➡️ ระบุว่าข้อมูลตำแหน่งของอุปกรณ์อยู่ภายใต้การคุ้มครองตาม Communications Act ➡️ Verizon เลือกจ่ายค่าปรับแทนการขอพิจารณาคดี ทำให้เสียสิทธิ์การโต้แย้ง ✅ พฤติกรรมที่นำไปสู่การลงโทษ ➡️ Verizon ขายข้อมูลตำแหน่งผ่านตัวกลางโดยไม่ตรวจสอบเอกสารหรือขออนุญาต ➡️ บริษัทตัวกลาง เช่น Securus Technologies เปิดช่องให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้าถึงข้อมูลโดยไม่มีหมายศาล ➡️ มีกรณีที่นายอำเภอในรัฐ Missouri เข้าถึงข้อมูลลูกค้าโดยไม่มีเอกสารทางกฎหมาย ➡️ ระบบการขออนุญาตถูก “มอบหมาย” ให้บริษัทตัวกลางแทนที่จะทำโดย Verizon เอง ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคม ➡️ FCC เคยปรับผู้ให้บริการรายใหญ่รวมเกือบ 200 ล้านดอลลาร์ในปี 2024 ➡️ AT&T ชนะคดีในศาลเขตที่ 5 ขณะที่ T-Mobile แพ้ในศาล DC Circuit ➡️ ความขัดแย้งระหว่างเขตศาลอาจนำไปสู่การพิจารณาโดยศาลสูงสุด ➡️ หากศาลสูงรับเรื่อง อาจเปลี่ยนขอบเขตอำนาจของ FCC ในการลงโทษ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ข้อมูลตำแหน่งเคยถูกใช้ในบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน, ป้องกันการค้ามนุษย์ และการตรวจจับการฉ้อโกง ➡️ FCC ระบุว่าบริษัทโทรคมนาคมยังคงดำเนินโครงการโดยไม่มีมาตรการป้องกันที่เพียงพอ ➡️ การขายข้อมูลให้กับ bounty hunters และบริษัทเอกชนสร้างความไม่พอใจในสภาคองเกรส ➡️ การเปิดเผยในปี 2018 โดย New York Times เป็นจุดเริ่มต้นของการสอบสวน https://arstechnica.com/tech-policy/2025/09/court-rejects-verizon-claim-that-selling-location-data-without-consent-is-legal/
    ARSTECHNICA.COM
    Court rejects Verizon claim that selling location data without consent is legal
    Verizon and T-Mobile lost, but AT&T beat the FCC. SCOTUS may have to step in.
    0 Comments 0 Shares 117 Views 0 Reviews
  • ..พล.อ.รังษี อย่าให้จีนมาถือการลงทุนมากกว่าไทยเลยนะ ไม่ดีแน่นอน นี้คือการครอบงำกิจการ ครอบงำการปฏิบัติงานอธิปไตยของชาตินะ จะทำอะไรก็ต้องขออนุญาตจีนแล้วนะนั้น อันตรายมาก,แนวคิดนี้ท่านพลาดใหญ่หลวงเลยนะ,การดำรงอธิปไตยไทยได้ดีที่สุดคือเป็นเจ้าของ100% ให้บริการดูแลเขาเต็มที่ก็พอ เสมือนห้องประชุมงานเลี้ยงที่สถานที่คือของเรา100%ผลประโยชน์ด้านงานสถานที่คือรับเต็มๆ100%
    เราบริหารจัดการสั่งการบัญชาการอะไร ปรับปรุงแบบไหนอิสระเต็มที่ ไม่ต้องรออนุญาตอนุมัติจากใคร รอใครมาเห็นชอบด้วย บริหารจัดการได้100%.

    ..จะรถไฟระบบรางความเร็วสูงจะรีบร้อนอะไร เรามีกำลังเท่าไรก็ทำเองเท่านั้นก่อน,ที่ดินและระบบรางเป็นตังเป็นทุนของเราเองสร้าง ความเป็นเจ้าของเราก็100%เต็ม พื้นที่บริหารจัดการรางรถไฟทั้งหมดเราบริหารจัดการเอง,เชื่อมรถไฟจีน จีนแค่เอารถไฟจีนของตัวเองมาวิ่งแค่นั้น ห้ามมีสิทธิใดๆในอธิปไตยดินแดนบนแผ่นดินไทยเราให้บรืหารจัดการยุ่งยาก,ผลประโยชน์ทั้งหมดจะตกแก่คนไทยในชาติเราเอง,เช่นสถานีพักระหว่างทางขึ้นลง คนไทยสร้างศูนย์การค้าการตลาดประชาชนเองร่วมกัน นักท่องเที่ยวลงจอดแวะซื้อขายบนเขตพื้นที่บริหารจัดการเราผู้เดียว ตังก็หมุนเวียนทันทีภายในประเทศไทยเรา รถไฟจีนมาหน้าที่ขนคนขนสินค้าบริการตนตามเป้าหมายปลายทางแค่นั้น,ไทยไม่เป็นหนี้ตังจีนมาเร่งรีบลงทุนงานก่อสร้างด้วย,เราจัดการข้าราชการทุจริตจริงจังจบก็สบายทันที โปร่งใสสร้างความเชื่อถือได้แล้ว ไม่ยากอะไร,อย่าเป็นแบบลาว จีนสร้างเแ็นของจีนหมดตลอดที่ดินสร้างรางรถไฟ นี้เสียอธิปไตยบริหารจัดการบนแผ่นดินตนชัดเจน,ความโลภลักษณะนี้อันตรายต่อลูกหลานเราเองในคนรุ่นหลังๆเราอาจด่าโคตรเหง้าว่าขายชาติขายสิทธิอธิปไตยตนเองได้,

    ..ขุดคลองคิดกระก็ขุดเอง100%ห้ามต่างชาติมายุ่ง
    ..สร้างแลนด์บริดจ์ข้างคลองคอดกระทั้งสองข้างก็ห้ามใครมายุ่ง,ระดมทุนจากภาคประชาชนทั้งประเทศไทยได้ สร้างมันขึ้นมาสิ.,ตั้งเป็นกองทุนคลองไทยแห่งชาติก็ได้ สร้างบริษัทบริหารจัดการคลองคอดกระและแลนด์บริดจ์เอง,ไม่ต้องให้มหาอำนาจใดมาแดกตังมากอบโกยเม็ดเงินมหาศาลนี้ง่ายๆจะจีนจะอเมริกาก็ตามที่เป็นเขตราชอาณาจักรอธิปไตยไทยนี้,เม็ดเงินมหาศาลจากการบริหารจัดการคลองคอดกระ จากแลนด์บริดจ์อาจกว่า1,000ล้านล้านบาทต่อปีได้ทั่วประ้ทศไทยเราโดยเฉพาะเขตคลองคอดกระและแลนด์บริดจ์นี้.,จะไปให้จีนถือมากกว่าไทยทำไม,ใช่ไม่ได้ เสมือนหมอบกราบสยบใต้ตีนจีนเกินไป ไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรีเพราะนี้คือดินแดนแผ่นดินไทย เขตอธิปไตยไทยคลองไทยเราขุดเองระเบิดเองจะทำไม,จีนอเมริกามาบีบหมายบังคับจะแดกด้วยใช้ไม่ได้,ให้สามารถสร้างงานบริการเต็มที่ที่ลูกค้าทั่วโลกผ่านเข้าออกคลองไทยเรา,ต่างชาติจะมาแทรกแซงสั่งการใดๆไม่ได้ เราจะปิดจะเปิดคลองไทยมันคืออธิปไตยไทย100% รวมรางรถไฟความเร็วสูงด้วย ปิดระบบรางเพื่อความมั่นคงของไทยก็ได้ตลอดเวลาอีก ใครจะมาปรับเอาความเสียหายกับเราก็ไม่ได้,รางรถไฟเราสร้างเองไม่ต้องกู้ตังใครถูกต้องที่สุด ดำเนินทางสายกลางถูกแล้ว.

    ..จริงๆเราสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยเราทันทีได้ง่ายๆ พลิกหน้ามือมารอดมาตั้งหลักตั้งฐานได้ทันทีกันเลย นั้นคือ ยกเลิกสัมปทานปิโตรเลียมทั้งหมดที่ไม่ผ่านสภาประชาธิปไตยใดๆเลย ซึ่งเป็นกิจการความมั่นคงโดยตรงด้านพลังงานขับเคลื่อนทุกๆบริบทกิจกรรมภายในประเทศไทยเรา ต้องโมฆะทันที ยึดคืนสู่สามัญใหม่ให้ถูกต้องเป็นธรรมกว่าในอดีตๆที่ผ่านๆมา,เศรษฐกิจจะพลิกฟื้นทันที เราสามารถส่งทหารไปผลิตเองใช้ในประเทศก่อนได้ ขายน้ำมันราคาไม่แพงแก่ประชาชนแลัอุตสาหกรรมภายในประเทศที่เป็นของคนไทยก่อน สัญชาติไทย100%หุ้นไทยก่อน,ใครมีต่างชาติถือหุ้นด้วยก็อีกราคาต่างหาก,เกษตรกรสามารถซื้อน้ำมันราคาลิตรละ1-2บาทได้ ขนส่งก็อาจลิตรละ0.90บาท ,ค่าครองชีพค่าขนส่งจะลดลงทันที,ราคาสินค้าจะปรับฐานใหม่ภายในประเทศ ทุกๆอย่างจะปรับฐานใหม่หมดจะเชื่อมโยงกระทบทางที่ดีหมด,ราคาสินค้าเราจะต้นทุนต่ำ สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ทันที ข้าวจากตันละ400-600$,อาจลดเหลือ200-300$ ต้นทุนแค่10$ต่อตัน,กำไรกว่า100$พอใจมั้ย,คนซื้อก็พอใจประหยัดตังได้อีก,ความอุดมสมบูรณ์จะกลับคืนมาทันที,นักเรียนนักศึกษาจากปกติพกตังหลายร้อยบาทไปโรงเรียนไปมหาลัยตื๊ดๆทีก็หมดไปหลายร้อย,ปัจจุบันตื๊ดๆที ได้สินค้าอาหารกับข้าวกินจนอิ่มจนเหลือทุกๆวันเพราะ10-20บาทอาจเทียบกับพกตังไปในกระเป๋ากว่าพันกว่าหมื่นบาทกันเลย,ข้าวอาหารก๋วยเตี๋ยวอาจชามละ0.25บาทนั้นเอง,น้ำมันเติมมอไซค์ไปโรงเรียนไปมหาลัยอาจแค่ลิตรละ0.5-1บาทสำหรับนักเรียนนักศึกษาก็ได้,1บาทได้2ลิตรเกือบเต็มถัง.2บาท4ลิตรล้นถังมอไซค์แน่นอน,
    ..ต้นเหตุเศรษฐกิจจริงๆตอนนี้คือน้ำมันคือพลังงาน จะรบจะทำสงครามกันเครื่องจักรปัจจุบันกินน้ำมันหมด,
    ..ไทยเรายึดบ่อน้ำมันจากอีลิทต่างชาติdeep state หลายๆปัญหาจบแน่นอน,ยึดสัก20-30บ่อมาผลิตขายเองในไทยดูสิ จะเห็นผลทันที ทุกๆคนไทยใช้รถ ขนส่งสินค้าใช้รถ ราคาสินค้าบวกต้นทุนขนส่งหมด,ต้นทุนต้นน้ำแบบเกษตรกร โรงงานผู้ผลิตต่างๆลดลง กำไรเขาก็มากได้ ลดค่าใช้จ่ายรวมอีก,ต้นน้ำถูก ปลายน้ำก็ถูกทันที
    ..จริงๆปัญหาประเทศไทยตัวโคตรพ่อโคตรแมร่งจริงๆคือบ่อน้ำมันในไทยเรา,ยึดคืนมาทั้งหมดที่ถูกปล้นจากสัญญาสัมปทานเอาเปรียบประเทศไทยมานานก็จบแล้ว.,ไปเดินอ้อมปัญหาจริงๆทำไม.ลดค่าน้ำมันลิตรละ0.50-1บาทในไทย ลดค่าไฟฟ้า 0.15-0.25บาทต่อหน่วย ,เศรษฐกิจทั่วประเทศไทยฟื้นฟูทันที,จากนั้นค่อยแก้ไปทีละจุดๆต่อไป,ขายน้ำมันในราคาตลาดโลกเมื่อส่งออก,วิกฤติไทยแก้ได้แน่นอน.,ที่เขมรใช้1:200,000ก็ฝรั่งเศสอเมริกาหรือหลายชาติต่างอยากได้แดกบ่อน้ำมันในอ่าวไทยเรานี้ด้วยล่ะ,ก่อนไปพลังงานสะอาดอื่นๆที่สร้างค่าเสถียรการใช้งานปลอดภัยได้แล้ว.,แต่คงหลายสิบปีหรือหลายร้อยปีกันเลย.


    https://youtube.com/watch?v=41WZaOg8ZFo&si=RViZxHzSvx9JtmUZ
    ..พล.อ.รังษี อย่าให้จีนมาถือการลงทุนมากกว่าไทยเลยนะ ไม่ดีแน่นอน นี้คือการครอบงำกิจการ ครอบงำการปฏิบัติงานอธิปไตยของชาตินะ จะทำอะไรก็ต้องขออนุญาตจีนแล้วนะนั้น อันตรายมาก,แนวคิดนี้ท่านพลาดใหญ่หลวงเลยนะ,การดำรงอธิปไตยไทยได้ดีที่สุดคือเป็นเจ้าของ100% ให้บริการดูแลเขาเต็มที่ก็พอ เสมือนห้องประชุมงานเลี้ยงที่สถานที่คือของเรา100%ผลประโยชน์ด้านงานสถานที่คือรับเต็มๆ100% เราบริหารจัดการสั่งการบัญชาการอะไร ปรับปรุงแบบไหนอิสระเต็มที่ ไม่ต้องรออนุญาตอนุมัติจากใคร รอใครมาเห็นชอบด้วย บริหารจัดการได้100%. ..จะรถไฟระบบรางความเร็วสูงจะรีบร้อนอะไร เรามีกำลังเท่าไรก็ทำเองเท่านั้นก่อน,ที่ดินและระบบรางเป็นตังเป็นทุนของเราเองสร้าง ความเป็นเจ้าของเราก็100%เต็ม พื้นที่บริหารจัดการรางรถไฟทั้งหมดเราบริหารจัดการเอง,เชื่อมรถไฟจีน จีนแค่เอารถไฟจีนของตัวเองมาวิ่งแค่นั้น ห้ามมีสิทธิใดๆในอธิปไตยดินแดนบนแผ่นดินไทยเราให้บรืหารจัดการยุ่งยาก,ผลประโยชน์ทั้งหมดจะตกแก่คนไทยในชาติเราเอง,เช่นสถานีพักระหว่างทางขึ้นลง คนไทยสร้างศูนย์การค้าการตลาดประชาชนเองร่วมกัน นักท่องเที่ยวลงจอดแวะซื้อขายบนเขตพื้นที่บริหารจัดการเราผู้เดียว ตังก็หมุนเวียนทันทีภายในประเทศไทยเรา รถไฟจีนมาหน้าที่ขนคนขนสินค้าบริการตนตามเป้าหมายปลายทางแค่นั้น,ไทยไม่เป็นหนี้ตังจีนมาเร่งรีบลงทุนงานก่อสร้างด้วย,เราจัดการข้าราชการทุจริตจริงจังจบก็สบายทันที โปร่งใสสร้างความเชื่อถือได้แล้ว ไม่ยากอะไร,อย่าเป็นแบบลาว จีนสร้างเแ็นของจีนหมดตลอดที่ดินสร้างรางรถไฟ นี้เสียอธิปไตยบริหารจัดการบนแผ่นดินตนชัดเจน,ความโลภลักษณะนี้อันตรายต่อลูกหลานเราเองในคนรุ่นหลังๆเราอาจด่าโคตรเหง้าว่าขายชาติขายสิทธิอธิปไตยตนเองได้, ..ขุดคลองคิดกระก็ขุดเอง100%ห้ามต่างชาติมายุ่ง ..สร้างแลนด์บริดจ์ข้างคลองคอดกระทั้งสองข้างก็ห้ามใครมายุ่ง,ระดมทุนจากภาคประชาชนทั้งประเทศไทยได้ สร้างมันขึ้นมาสิ.,ตั้งเป็นกองทุนคลองไทยแห่งชาติก็ได้ สร้างบริษัทบริหารจัดการคลองคอดกระและแลนด์บริดจ์เอง,ไม่ต้องให้มหาอำนาจใดมาแดกตังมากอบโกยเม็ดเงินมหาศาลนี้ง่ายๆจะจีนจะอเมริกาก็ตามที่เป็นเขตราชอาณาจักรอธิปไตยไทยนี้,เม็ดเงินมหาศาลจากการบริหารจัดการคลองคอดกระ จากแลนด์บริดจ์อาจกว่า1,000ล้านล้านบาทต่อปีได้ทั่วประ้ทศไทยเราโดยเฉพาะเขตคลองคอดกระและแลนด์บริดจ์นี้.,จะไปให้จีนถือมากกว่าไทยทำไม,ใช่ไม่ได้ เสมือนหมอบกราบสยบใต้ตีนจีนเกินไป ไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรีเพราะนี้คือดินแดนแผ่นดินไทย เขตอธิปไตยไทยคลองไทยเราขุดเองระเบิดเองจะทำไม,จีนอเมริกามาบีบหมายบังคับจะแดกด้วยใช้ไม่ได้,ให้สามารถสร้างงานบริการเต็มที่ที่ลูกค้าทั่วโลกผ่านเข้าออกคลองไทยเรา,ต่างชาติจะมาแทรกแซงสั่งการใดๆไม่ได้ เราจะปิดจะเปิดคลองไทยมันคืออธิปไตยไทย100% รวมรางรถไฟความเร็วสูงด้วย ปิดระบบรางเพื่อความมั่นคงของไทยก็ได้ตลอดเวลาอีก ใครจะมาปรับเอาความเสียหายกับเราก็ไม่ได้,รางรถไฟเราสร้างเองไม่ต้องกู้ตังใครถูกต้องที่สุด ดำเนินทางสายกลางถูกแล้ว. ..จริงๆเราสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยเราทันทีได้ง่ายๆ พลิกหน้ามือมารอดมาตั้งหลักตั้งฐานได้ทันทีกันเลย นั้นคือ ยกเลิกสัมปทานปิโตรเลียมทั้งหมดที่ไม่ผ่านสภาประชาธิปไตยใดๆเลย ซึ่งเป็นกิจการความมั่นคงโดยตรงด้านพลังงานขับเคลื่อนทุกๆบริบทกิจกรรมภายในประเทศไทยเรา ต้องโมฆะทันที ยึดคืนสู่สามัญใหม่ให้ถูกต้องเป็นธรรมกว่าในอดีตๆที่ผ่านๆมา,เศรษฐกิจจะพลิกฟื้นทันที เราสามารถส่งทหารไปผลิตเองใช้ในประเทศก่อนได้ ขายน้ำมันราคาไม่แพงแก่ประชาชนแลัอุตสาหกรรมภายในประเทศที่เป็นของคนไทยก่อน สัญชาติไทย100%หุ้นไทยก่อน,ใครมีต่างชาติถือหุ้นด้วยก็อีกราคาต่างหาก,เกษตรกรสามารถซื้อน้ำมันราคาลิตรละ1-2บาทได้ ขนส่งก็อาจลิตรละ0.90บาท ,ค่าครองชีพค่าขนส่งจะลดลงทันที,ราคาสินค้าจะปรับฐานใหม่ภายในประเทศ ทุกๆอย่างจะปรับฐานใหม่หมดจะเชื่อมโยงกระทบทางที่ดีหมด,ราคาสินค้าเราจะต้นทุนต่ำ สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ทันที ข้าวจากตันละ400-600$,อาจลดเหลือ200-300$ ต้นทุนแค่10$ต่อตัน,กำไรกว่า100$พอใจมั้ย,คนซื้อก็พอใจประหยัดตังได้อีก,ความอุดมสมบูรณ์จะกลับคืนมาทันที,นักเรียนนักศึกษาจากปกติพกตังหลายร้อยบาทไปโรงเรียนไปมหาลัยตื๊ดๆทีก็หมดไปหลายร้อย,ปัจจุบันตื๊ดๆที ได้สินค้าอาหารกับข้าวกินจนอิ่มจนเหลือทุกๆวันเพราะ10-20บาทอาจเทียบกับพกตังไปในกระเป๋ากว่าพันกว่าหมื่นบาทกันเลย,ข้าวอาหารก๋วยเตี๋ยวอาจชามละ0.25บาทนั้นเอง,น้ำมันเติมมอไซค์ไปโรงเรียนไปมหาลัยอาจแค่ลิตรละ0.5-1บาทสำหรับนักเรียนนักศึกษาก็ได้,1บาทได้2ลิตรเกือบเต็มถัง.2บาท4ลิตรล้นถังมอไซค์แน่นอน, ..ต้นเหตุเศรษฐกิจจริงๆตอนนี้คือน้ำมันคือพลังงาน จะรบจะทำสงครามกันเครื่องจักรปัจจุบันกินน้ำมันหมด, ..ไทยเรายึดบ่อน้ำมันจากอีลิทต่างชาติdeep state หลายๆปัญหาจบแน่นอน,ยึดสัก20-30บ่อมาผลิตขายเองในไทยดูสิ จะเห็นผลทันที ทุกๆคนไทยใช้รถ ขนส่งสินค้าใช้รถ ราคาสินค้าบวกต้นทุนขนส่งหมด,ต้นทุนต้นน้ำแบบเกษตรกร โรงงานผู้ผลิตต่างๆลดลง กำไรเขาก็มากได้ ลดค่าใช้จ่ายรวมอีก,ต้นน้ำถูก ปลายน้ำก็ถูกทันที ..จริงๆปัญหาประเทศไทยตัวโคตรพ่อโคตรแมร่งจริงๆคือบ่อน้ำมันในไทยเรา,ยึดคืนมาทั้งหมดที่ถูกปล้นจากสัญญาสัมปทานเอาเปรียบประเทศไทยมานานก็จบแล้ว.,ไปเดินอ้อมปัญหาจริงๆทำไม.ลดค่าน้ำมันลิตรละ0.50-1บาทในไทย ลดค่าไฟฟ้า 0.15-0.25บาทต่อหน่วย ,เศรษฐกิจทั่วประเทศไทยฟื้นฟูทันที,จากนั้นค่อยแก้ไปทีละจุดๆต่อไป,ขายน้ำมันในราคาตลาดโลกเมื่อส่งออก,วิกฤติไทยแก้ได้แน่นอน.,ที่เขมรใช้1:200,000ก็ฝรั่งเศสอเมริกาหรือหลายชาติต่างอยากได้แดกบ่อน้ำมันในอ่าวไทยเรานี้ด้วยล่ะ,ก่อนไปพลังงานสะอาดอื่นๆที่สร้างค่าเสถียรการใช้งานปลอดภัยได้แล้ว.,แต่คงหลายสิบปีหรือหลายร้อยปีกันเลย. https://youtube.com/watch?v=41WZaOg8ZFo&si=RViZxHzSvx9JtmUZ
    0 Comments 0 Shares 146 Views 0 Reviews
  • แหกคอก ตอนที่ 2 – ทุ่งใหญ่
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 2 : ทุ่งใหญ่
    CFR แอบทำโครงการลับๆ อย่างเงียบๆ และต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1939 ถึง 1945 ชื่อ War and Peace Studies ซึ่งเป็นการประสานงานร่วมมือกันระหว่างสมาชิกของ CFR กับ State Department ของรัฐบาล แต่เงินทุนที่ใช่ในการทำโครงการนี้ทั้งหมด ไม่ต้องบอกก็คงเดากันออก มาจากนายทุนโคตรรวย กระเป๋าของมูลนิธิ Rockefeller ทั้งหมด (อย่าเพิ่งเบื่อชื่อนี้นะครับ ถึงเบื่อ ก็ต้องทนเอา เพราะเขาเป็นตัวจริงเสียงจริง ในการกำกับพวกพี่เลี้ยง หรือเรียกให้ถูก น่าจะต้องใช้คำว่า เขาเป็น เจ้าของ คงไม่เป็นการแดกดันเขานัก)
    โครงการ War and Peace Studies นี้ วัตถุประสงค์หลัก คือ เพื่อสร้างให้อเมริกาเป็นจักรวรรดิอเมริกา เช่นเดียวกับ จักรวรรดิ หรือจักรภพอังกฤษ เพียงแต่จะเป็นจักรวรรดินักล่าที่วิธีการล่าต่างกัน อังกฤษเป็นนักล่าอาณานิคมที่ต้องการขยายดินแดน เพราะประเทศตัวเองเป็นเกาะเล็กเท่าปลายนิ้วก้อย ต้องการเอาประเทศของคนอื่นมาเป็นอาณานิคม เพื่อขยายอาณาจักรตัวเอง เพื่อปกครองและเพื่อใช้ทรัพยากรของเขา เพื่อสร้างความเจริญและความยิ่งใหญ่ของตนเอง แหม ! ให้ใครๆ เรียกว่า Empress of India หรือ Viceroy of Burma มันก็สมเป็นนายเหนือของอาณานิคมกร่างดีออก ภูมิใจนักหนากับประโยคที่พูดซ้ำซากว่า ดวงอาทิตย์ไม่มีวันตกในจักรภพอังกฤษ แสดงให้เห็นถึงอาณาจักรที่กว้างใหญ่ไพศาล
    แต่ผู้คิดสร้างอเมริกานักล่ารุ่นใหม่บอก คิดแบบนั้นมันไม่ฉลาดเท่าไหร่หรอก เอาไปทำไมประเทศคนอื่น ต้องไปเลี้ยงดูประชาชนพลเมืองเขาอีก ตัวเล็ก ตัวดำ ตัวเหลือง พูดกันไม่รู้เรื่อง คิดก็ต่างกัน ไม่เอาหรอก เราอย่าไปคิดเอาประเทศเขามาเป็นอาณานิคมเลยนะ ภาระมันแยะ เราแค่คิดวิธีที่จะทำอะไรก็ได้ ในแผ่นดินเขาดีกว่า ใช้ทรัพยากร ใช้คน ใช้เงิน ใช้กลอุบายทุกอย่าง ให้ผู้คนในแผ่นดินนั้น มันตกหลุมเราทุกประการ โดยเราไม่ต้องไปรับผิดชอบว่าเขาเป็นคนของเรา มันไม่ดีกว่าหรือ เราแค่อ้างว่าเราจะนำความเจริญมาให้เขา เราทำเพื่อความเจริญของโลก แค่นั้น เขาก็รีบเปิดประตูเมืองรับเรามือไม้สั่นไปหมดแล้ว
    แล้วเราอย่าไปเรียกตัวเองว่า จักรวรรดิอเมริกาด้วย มันล่อแหลม (ต่อความล้มเหลว !) ในทางตรงกันข้าม เรากลับต้องปลอมตัว (ลวงโลก) ว่า อเมริกาต่างหากที่เป็นผู้สนับสนุนให้เสรีภาพ อิสระภาพให้เกิดขึ้นกับประเทศอาณานิคม (ถือโอกาสตบหน้าอังกฤษแถมให้) ให้มีประชาธิปไตยเกิดขึ้นในโลกอันสวยงามใบนี้ และให้มีเสรีภาพในการทำมาค้าขาย ไม่มีการปิดกั้น โดยเราจะใช้กลไกที่จะเราจะตั้งขึ้นใหม่ เพื่อการนี้โดยเฉพาะ แต่โลกจะดูไม่รู้ จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน
    มันเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ ที่สวยหรู ที่บิดเบือนความจริง ลวงโลก ที่ได้ผลอย่างยอดเยี่ยมที่สุดแห่งศตวรรษ จนบัดนี้ยังไม่มีโฆษณาชวนเชื่อใดมาลบล้างได้ !
    ตราบใดที่เศรษฐกิจของอเมริการุ่งเรือง แบงค์ดอลล่าร์สีเขียวของอเมริกา ยังเป็นแผ่นกระดาษที่โลกยอมรับและต้องการ การลวงโลกแบบนี้จะบอกว่าไม่สำเร็จ ได้อย่างไร และตราบใดที่ยุโรปตะวันตก ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง และเอเซียตะวันออก เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ฯลฯ ยังต้องพึ่งพากองทัพ (ที่อ้างว่า) เกรียงไกรของอเมริกาในการปกป้องภูมิภาคของตน นี่แหละคือข้อพิสูจน์ว่า จักรวรรดิอเมริกามีจริงเป็นจริง จักรวรรดิอเมริกา พี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก ใหญ่อย่างชนิด ไม่มีใครกล้ามาท้าทาย (แน่ใจหรือเปล่า ? !)
    นอกจากนี้ โครงการ War and Peace Studies นี้ เสนอความคิด และแนวทาง (shopping list) เพื่อให้อเมริกาปฏิบัติการอีกมากมาย ภายหลังสงครามโลกสิ้นสุด ที่สำคัญคือเขากำหนด บริเวณ ของโลกใบนี้ที่อเมริกาจะต้องประทับตรา ควบคุมหรือครอบครอง เพื่อส่งเสริมให้อเมริกามีเศรษฐกิจที่แข็งแรง บริเวณที่อเมริกาจะควบคุมนี้เขาเรียกกันว่า “Grand Area” ทุ่งใหญ่สำหรับนักล่า ซึ่งอยู่ในบริเวณต่อไปนี้
– ลาตินอเมริกา (ดินแดนกว้างใหญ่ ทรัพยากรแยะ นักล่าจะเอาไว้ทำอะไร ถ้าจำไม่ได้ช่วยกลับไปอ่านนิทานมายากลยุทธอีกรอบนะครับ)
– ยุโรป ซึ่งจะต้องยับเยินหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด (เป็นพี่เลี้ยงที่สุดเจ๋งจริงๆ คาดการณ์ได้แม่นยำเหมือนลงมือจัดการเอง ! ! เป็นการควบคุมให้ล้มอย่างมีระเบียบ ฮา)
– เหล่าอดีตอาณานิคมของจักรภพอังกฤษ (นายเหนือเจ๊ง แล้วขี้ข้าจะทำยังไง ไม่ฉวยโอกาสฉกมาตอนนี้ แล้วจะไปรอหลังสงครามโลกครั้งหน้าหรือไง)
– เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (มาแล้ว ทุ่งหญ้าของพวกเราไง ที่เหล่าสมันน้อยอยู่แบบกินอิ่ม นอนหลับ ตื่นมาก็วิ่งเล่นเต๊าะแต๊ะน่ารัก) เพราะบริเวณนี้ ยังอุดมสมบูรณ์ มีแหล่งทรัพยากรและวัตถุดิบ ที่ Great Britain และญี่ปุ่น จะได้ใช้สอย ในฐานะผู้ผลิต และเหล่าสมันน้อยในทุ่งหญ้านี้จะได้ใช้สอย ในฐานะผู้บริโภคผลผลิต ของญี่ปุ่น (โอ ! นายท่าน ช่างเก่งจริงๆ อ่านขาดล่วงหน้า ตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์เกิดขึ้นอีกแบบนี้ ถ้านักการเมืองไทยมันรู้ว่า CFR สุดโปรดของผม มันเยี่ยมขนาดนี้นะ หมอดูอีที เห็นทีจะหมดอาชีพ มิน่าเล่าไอ้หมาไนโจรร้ายมันถึงไปใช้บริการของไอ้ก๊วนพวกนี้ !)
    ดังนั้นโปรดเข้าใจด้วย เวลาเขาพูดถึงผลประโยชน์ของอเมริกา เขาบอกว่าจะต้องนับเอา Grand Area ทุ่งใหญ่ รวมทั้งการปกป้อง คุมครองดูแลทุ่งใหญ่นี้ เข้าไปด้วย อ้าว ! สมันน้อยกลายเป็นผลประโยชน์ของเขา ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เลยนะ รู้ตัวกันบ้างหรือเปล่า และในที่สุดจะรวมไปถึงโจทย์ที่ว่า จะพิจารณาปกป้องเวียตนาม ให้พ้นจากลัทธิคอมมิวนิสต์ด้วย หรือไม่ นี่เขียนไว้ตั้งแต่ ค.ศ.1939 นะเนี่ย ! ศักดิ์สิทธิจริงๆ หลวงพ่อ CFR ! ผมเลื่อนตำแหน่งให้แล้ว เพราะการวิเคราะห์ แบบนี้ หมอดูคนไหนก็ไม่มีทางสู้หลวงพ่อ CFR ได้แน่นอน
    คนเล่านิทาน
29 พค. 57
    แหกคอก ตอนที่ 2 – ทุ่งใหญ่ นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 2 : ทุ่งใหญ่ CFR แอบทำโครงการลับๆ อย่างเงียบๆ และต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1939 ถึง 1945 ชื่อ War and Peace Studies ซึ่งเป็นการประสานงานร่วมมือกันระหว่างสมาชิกของ CFR กับ State Department ของรัฐบาล แต่เงินทุนที่ใช่ในการทำโครงการนี้ทั้งหมด ไม่ต้องบอกก็คงเดากันออก มาจากนายทุนโคตรรวย กระเป๋าของมูลนิธิ Rockefeller ทั้งหมด (อย่าเพิ่งเบื่อชื่อนี้นะครับ ถึงเบื่อ ก็ต้องทนเอา เพราะเขาเป็นตัวจริงเสียงจริง ในการกำกับพวกพี่เลี้ยง หรือเรียกให้ถูก น่าจะต้องใช้คำว่า เขาเป็น เจ้าของ คงไม่เป็นการแดกดันเขานัก) โครงการ War and Peace Studies นี้ วัตถุประสงค์หลัก คือ เพื่อสร้างให้อเมริกาเป็นจักรวรรดิอเมริกา เช่นเดียวกับ จักรวรรดิ หรือจักรภพอังกฤษ เพียงแต่จะเป็นจักรวรรดินักล่าที่วิธีการล่าต่างกัน อังกฤษเป็นนักล่าอาณานิคมที่ต้องการขยายดินแดน เพราะประเทศตัวเองเป็นเกาะเล็กเท่าปลายนิ้วก้อย ต้องการเอาประเทศของคนอื่นมาเป็นอาณานิคม เพื่อขยายอาณาจักรตัวเอง เพื่อปกครองและเพื่อใช้ทรัพยากรของเขา เพื่อสร้างความเจริญและความยิ่งใหญ่ของตนเอง แหม ! ให้ใครๆ เรียกว่า Empress of India หรือ Viceroy of Burma มันก็สมเป็นนายเหนือของอาณานิคมกร่างดีออก ภูมิใจนักหนากับประโยคที่พูดซ้ำซากว่า ดวงอาทิตย์ไม่มีวันตกในจักรภพอังกฤษ แสดงให้เห็นถึงอาณาจักรที่กว้างใหญ่ไพศาล แต่ผู้คิดสร้างอเมริกานักล่ารุ่นใหม่บอก คิดแบบนั้นมันไม่ฉลาดเท่าไหร่หรอก เอาไปทำไมประเทศคนอื่น ต้องไปเลี้ยงดูประชาชนพลเมืองเขาอีก ตัวเล็ก ตัวดำ ตัวเหลือง พูดกันไม่รู้เรื่อง คิดก็ต่างกัน ไม่เอาหรอก เราอย่าไปคิดเอาประเทศเขามาเป็นอาณานิคมเลยนะ ภาระมันแยะ เราแค่คิดวิธีที่จะทำอะไรก็ได้ ในแผ่นดินเขาดีกว่า ใช้ทรัพยากร ใช้คน ใช้เงิน ใช้กลอุบายทุกอย่าง ให้ผู้คนในแผ่นดินนั้น มันตกหลุมเราทุกประการ โดยเราไม่ต้องไปรับผิดชอบว่าเขาเป็นคนของเรา มันไม่ดีกว่าหรือ เราแค่อ้างว่าเราจะนำความเจริญมาให้เขา เราทำเพื่อความเจริญของโลก แค่นั้น เขาก็รีบเปิดประตูเมืองรับเรามือไม้สั่นไปหมดแล้ว แล้วเราอย่าไปเรียกตัวเองว่า จักรวรรดิอเมริกาด้วย มันล่อแหลม (ต่อความล้มเหลว !) ในทางตรงกันข้าม เรากลับต้องปลอมตัว (ลวงโลก) ว่า อเมริกาต่างหากที่เป็นผู้สนับสนุนให้เสรีภาพ อิสระภาพให้เกิดขึ้นกับประเทศอาณานิคม (ถือโอกาสตบหน้าอังกฤษแถมให้) ให้มีประชาธิปไตยเกิดขึ้นในโลกอันสวยงามใบนี้ และให้มีเสรีภาพในการทำมาค้าขาย ไม่มีการปิดกั้น โดยเราจะใช้กลไกที่จะเราจะตั้งขึ้นใหม่ เพื่อการนี้โดยเฉพาะ แต่โลกจะดูไม่รู้ จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน มันเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ ที่สวยหรู ที่บิดเบือนความจริง ลวงโลก ที่ได้ผลอย่างยอดเยี่ยมที่สุดแห่งศตวรรษ จนบัดนี้ยังไม่มีโฆษณาชวนเชื่อใดมาลบล้างได้ ! ตราบใดที่เศรษฐกิจของอเมริการุ่งเรือง แบงค์ดอลล่าร์สีเขียวของอเมริกา ยังเป็นแผ่นกระดาษที่โลกยอมรับและต้องการ การลวงโลกแบบนี้จะบอกว่าไม่สำเร็จ ได้อย่างไร และตราบใดที่ยุโรปตะวันตก ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง และเอเซียตะวันออก เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ฯลฯ ยังต้องพึ่งพากองทัพ (ที่อ้างว่า) เกรียงไกรของอเมริกาในการปกป้องภูมิภาคของตน นี่แหละคือข้อพิสูจน์ว่า จักรวรรดิอเมริกามีจริงเป็นจริง จักรวรรดิอเมริกา พี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก ใหญ่อย่างชนิด ไม่มีใครกล้ามาท้าทาย (แน่ใจหรือเปล่า ? !) นอกจากนี้ โครงการ War and Peace Studies นี้ เสนอความคิด และแนวทาง (shopping list) เพื่อให้อเมริกาปฏิบัติการอีกมากมาย ภายหลังสงครามโลกสิ้นสุด ที่สำคัญคือเขากำหนด บริเวณ ของโลกใบนี้ที่อเมริกาจะต้องประทับตรา ควบคุมหรือครอบครอง เพื่อส่งเสริมให้อเมริกามีเศรษฐกิจที่แข็งแรง บริเวณที่อเมริกาจะควบคุมนี้เขาเรียกกันว่า “Grand Area” ทุ่งใหญ่สำหรับนักล่า ซึ่งอยู่ในบริเวณต่อไปนี้
– ลาตินอเมริกา (ดินแดนกว้างใหญ่ ทรัพยากรแยะ นักล่าจะเอาไว้ทำอะไร ถ้าจำไม่ได้ช่วยกลับไปอ่านนิทานมายากลยุทธอีกรอบนะครับ)
– ยุโรป ซึ่งจะต้องยับเยินหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด (เป็นพี่เลี้ยงที่สุดเจ๋งจริงๆ คาดการณ์ได้แม่นยำเหมือนลงมือจัดการเอง ! ! เป็นการควบคุมให้ล้มอย่างมีระเบียบ ฮา)
– เหล่าอดีตอาณานิคมของจักรภพอังกฤษ (นายเหนือเจ๊ง แล้วขี้ข้าจะทำยังไง ไม่ฉวยโอกาสฉกมาตอนนี้ แล้วจะไปรอหลังสงครามโลกครั้งหน้าหรือไง)
– เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (มาแล้ว ทุ่งหญ้าของพวกเราไง ที่เหล่าสมันน้อยอยู่แบบกินอิ่ม นอนหลับ ตื่นมาก็วิ่งเล่นเต๊าะแต๊ะน่ารัก) เพราะบริเวณนี้ ยังอุดมสมบูรณ์ มีแหล่งทรัพยากรและวัตถุดิบ ที่ Great Britain และญี่ปุ่น จะได้ใช้สอย ในฐานะผู้ผลิต และเหล่าสมันน้อยในทุ่งหญ้านี้จะได้ใช้สอย ในฐานะผู้บริโภคผลผลิต ของญี่ปุ่น (โอ ! นายท่าน ช่างเก่งจริงๆ อ่านขาดล่วงหน้า ตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์เกิดขึ้นอีกแบบนี้ ถ้านักการเมืองไทยมันรู้ว่า CFR สุดโปรดของผม มันเยี่ยมขนาดนี้นะ หมอดูอีที เห็นทีจะหมดอาชีพ มิน่าเล่าไอ้หมาไนโจรร้ายมันถึงไปใช้บริการของไอ้ก๊วนพวกนี้ !) ดังนั้นโปรดเข้าใจด้วย เวลาเขาพูดถึงผลประโยชน์ของอเมริกา เขาบอกว่าจะต้องนับเอา Grand Area ทุ่งใหญ่ รวมทั้งการปกป้อง คุมครองดูแลทุ่งใหญ่นี้ เข้าไปด้วย อ้าว ! สมันน้อยกลายเป็นผลประโยชน์ของเขา ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เลยนะ รู้ตัวกันบ้างหรือเปล่า และในที่สุดจะรวมไปถึงโจทย์ที่ว่า จะพิจารณาปกป้องเวียตนาม ให้พ้นจากลัทธิคอมมิวนิสต์ด้วย หรือไม่ นี่เขียนไว้ตั้งแต่ ค.ศ.1939 นะเนี่ย ! ศักดิ์สิทธิจริงๆ หลวงพ่อ CFR ! ผมเลื่อนตำแหน่งให้แล้ว เพราะการวิเคราะห์ แบบนี้ หมอดูคนไหนก็ไม่มีทางสู้หลวงพ่อ CFR ได้แน่นอน คนเล่านิทาน
29 พค. 57
    0 Comments 0 Shares 153 Views 0 Reviews
  • “เมื่อ AI กลายเป็นผู้ช่วยของแฮกเกอร์ — 80% ของแรนซัมแวร์ในปี 2025 ใช้ AI สร้างมัลแวร์ ปลอมเสียง และเจาะระบบแบบไร้รอย”

    ภัยไซเบอร์ในปี 2025 ไม่ได้มาในรูปแบบเดิมอีกต่อไป เพราะตอนนี้แฮกเกอร์ใช้ AI เป็นเครื่องมือหลักในการสร้างแรนซัมแวร์ที่ทั้งฉลาดและอันตรายกว่าเดิม จากการศึกษาของ MIT Sloan และ Safe Security พบว่า 80% ของการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ในช่วงปีที่ผ่านมา มีการใช้ AI เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างมัลแวร์อัตโนมัติ, ปลอมเสียงด้วย deepfake, หรือแม้แต่การเจาะระบบผ่าน CAPTCHA และรหัสผ่านด้วย LLM

    AI ไม่ได้แค่ช่วยให้แฮกเกอร์ทำงานเร็วขึ้น แต่ยังทำให้การโจมตีมีความแม่นยำและยากต่อการตรวจจับมากขึ้น เช่น การปลอมตัวเป็นฝ่ายบริการลูกค้าด้วยเสียงที่เหมือนจริง หรือการสร้างอีเมลฟิชชิ่งที่ดูน่าเชื่อถือจนแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญยังหลงกล

    Michael Siegel นักวิจัยจาก CAMS เตือนว่า “ผู้โจมตีต้องการแค่ช่องโหว่เดียว แต่ผู้ป้องกันต้องปิดทุกช่องทาง” ซึ่งกลายเป็นความท้าทายที่รุนแรงขึ้นเมื่อ AI ทำให้การโจมตีขยายตัวได้ในระดับที่มนุษย์ตามไม่ทัน

    เพื่อรับมือกับภัยคุกคามนี้ นักวิจัยเสนอแนวทางป้องกันแบบ 3 เสาหลัก ได้แก่

    1️⃣ ระบบ hygiene อัตโนมัติ เช่น โค้ดที่ซ่อมตัวเอง, ระบบ patch อัตโนมัติ และการตรวจสอบพื้นผิวการโจมตีแบบต่อเนื่อง

    2️⃣ ระบบป้องกันแบบหลอกล่อและอัตโนมัติ เช่น การเปลี่ยนเป้าหมายตลอดเวลา และการใช้ข้อมูลปลอมเพื่อหลอกแฮกเกอร์

    3️⃣ การรายงานและ oversight แบบ real-time เพื่อให้ผู้บริหารเห็นภาพรวมของภัยคุกคามและตัดสินใจได้ทันเวลา

    สถานการณ์ภัยไซเบอร์ในปี 2025
    80% ของแรนซัมแวร์ใช้ AI ในการสร้างมัลแวร์ ฟิชชิ่ง และ deepfake
    ใช้ LLM ในการเจาะรหัสผ่าน, bypass CAPTCHA และเขียนโค้ดอัตโนมัติ
    ปลอมเสียงเป็นฝ่ายบริการลูกค้าเพื่อหลอกเหยื่อผ่านโทรศัพท์
    AI ทำให้การโจมตีขยายตัวเร็วและแม่นยำกว่าที่เคย

    แนวทางป้องกันที่แนะนำ
    เสาหลักที่ 1: ระบบ hygiene อัตโนมัติ เช่น self-healing code และ zero-trust architecture
    เสาหลักที่ 2: ระบบป้องกันแบบหลอกล่อ เช่น moving-target defense และข้อมูลปลอม
    เสาหลักที่ 3: การ oversight แบบ real-time เพื่อให้ผู้บริหารตัดสินใจได้ทัน
    ต้องใช้หลายชั้นร่วมกัน ไม่ใช่แค่เครื่องมือ AI ฝั่งป้องกันอย่างเดียว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Deepfake phishing หรือ “vishing” เพิ่มขึ้น 1,633% ใน Q1 ปี 2025
    การโจมตีแบบ adversary-in-the-middle เพิ่มขึ้น — ขโมย session cookie เพื่อข้าม 2FA
    การโจมตีระบบ OT (Operational Technology) เช่นโรงงานและโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้น
    จำนวนการโจมตี ransomware เพิ่มขึ้น 132% แม้ยอดจ่ายค่าไถ่จะลดลง

    https://www.techradar.com/pro/security/only-20-of-ransomware-is-not-powered-by-ai-but-expect-that-number-to-drop-even-further-in-2025
    🧨 “เมื่อ AI กลายเป็นผู้ช่วยของแฮกเกอร์ — 80% ของแรนซัมแวร์ในปี 2025 ใช้ AI สร้างมัลแวร์ ปลอมเสียง และเจาะระบบแบบไร้รอย” ภัยไซเบอร์ในปี 2025 ไม่ได้มาในรูปแบบเดิมอีกต่อไป เพราะตอนนี้แฮกเกอร์ใช้ AI เป็นเครื่องมือหลักในการสร้างแรนซัมแวร์ที่ทั้งฉลาดและอันตรายกว่าเดิม จากการศึกษาของ MIT Sloan และ Safe Security พบว่า 80% ของการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ในช่วงปีที่ผ่านมา มีการใช้ AI เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างมัลแวร์อัตโนมัติ, ปลอมเสียงด้วย deepfake, หรือแม้แต่การเจาะระบบผ่าน CAPTCHA และรหัสผ่านด้วย LLM AI ไม่ได้แค่ช่วยให้แฮกเกอร์ทำงานเร็วขึ้น แต่ยังทำให้การโจมตีมีความแม่นยำและยากต่อการตรวจจับมากขึ้น เช่น การปลอมตัวเป็นฝ่ายบริการลูกค้าด้วยเสียงที่เหมือนจริง หรือการสร้างอีเมลฟิชชิ่งที่ดูน่าเชื่อถือจนแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญยังหลงกล Michael Siegel นักวิจัยจาก CAMS เตือนว่า “ผู้โจมตีต้องการแค่ช่องโหว่เดียว แต่ผู้ป้องกันต้องปิดทุกช่องทาง” ซึ่งกลายเป็นความท้าทายที่รุนแรงขึ้นเมื่อ AI ทำให้การโจมตีขยายตัวได้ในระดับที่มนุษย์ตามไม่ทัน เพื่อรับมือกับภัยคุกคามนี้ นักวิจัยเสนอแนวทางป้องกันแบบ 3 เสาหลัก ได้แก่ 1️⃣ ระบบ hygiene อัตโนมัติ เช่น โค้ดที่ซ่อมตัวเอง, ระบบ patch อัตโนมัติ และการตรวจสอบพื้นผิวการโจมตีแบบต่อเนื่อง 2️⃣ ระบบป้องกันแบบหลอกล่อและอัตโนมัติ เช่น การเปลี่ยนเป้าหมายตลอดเวลา และการใช้ข้อมูลปลอมเพื่อหลอกแฮกเกอร์ 3️⃣ การรายงานและ oversight แบบ real-time เพื่อให้ผู้บริหารเห็นภาพรวมของภัยคุกคามและตัดสินใจได้ทันเวลา ✅ สถานการณ์ภัยไซเบอร์ในปี 2025 ➡️ 80% ของแรนซัมแวร์ใช้ AI ในการสร้างมัลแวร์ ฟิชชิ่ง และ deepfake ➡️ ใช้ LLM ในการเจาะรหัสผ่าน, bypass CAPTCHA และเขียนโค้ดอัตโนมัติ ➡️ ปลอมเสียงเป็นฝ่ายบริการลูกค้าเพื่อหลอกเหยื่อผ่านโทรศัพท์ ➡️ AI ทำให้การโจมตีขยายตัวเร็วและแม่นยำกว่าที่เคย ✅ แนวทางป้องกันที่แนะนำ ➡️ เสาหลักที่ 1: ระบบ hygiene อัตโนมัติ เช่น self-healing code และ zero-trust architecture ➡️ เสาหลักที่ 2: ระบบป้องกันแบบหลอกล่อ เช่น moving-target defense และข้อมูลปลอม ➡️ เสาหลักที่ 3: การ oversight แบบ real-time เพื่อให้ผู้บริหารตัดสินใจได้ทัน ➡️ ต้องใช้หลายชั้นร่วมกัน ไม่ใช่แค่เครื่องมือ AI ฝั่งป้องกันอย่างเดียว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Deepfake phishing หรือ “vishing” เพิ่มขึ้น 1,633% ใน Q1 ปี 2025 ➡️ การโจมตีแบบ adversary-in-the-middle เพิ่มขึ้น — ขโมย session cookie เพื่อข้าม 2FA ➡️ การโจมตีระบบ OT (Operational Technology) เช่นโรงงานและโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้น ➡️ จำนวนการโจมตี ransomware เพิ่มขึ้น 132% แม้ยอดจ่ายค่าไถ่จะลดลง https://www.techradar.com/pro/security/only-20-of-ransomware-is-not-powered-by-ai-but-expect-that-number-to-drop-even-further-in-2025
    0 Comments 0 Shares 103 Views 0 Reviews
  • “Microsoft ผนึกกำลัง Nebius สร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $17.4 พันล้าน — ขยายศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ รับยุค AI เต็มรูปแบบ”

    ในยุคที่ความต้องการด้านการประมวลผล AI พุ่งทะยานอย่างไม่หยุดยั้ง Microsoft ได้ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่กับ Nebius บริษัทโครงสร้างพื้นฐาน AI สัญชาติเนเธอร์แลนด์ (อดีตส่วนหนึ่งของ Yandex) เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ในเมือง Vineland รัฐนิวเจอร์ซีย์ โดยมีมูลค่าสัญญาเบื้องต้นอยู่ที่ $17.4 พันล้าน และอาจขยายถึง $19.4 พันล้านหากมีการเพิ่มบริการหรือความจุในอนาคต

    ศูนย์ข้อมูลแห่งนี้จะให้บริการ GPU infrastructure สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ ซึ่ง Microsoft ต้องการอย่างเร่งด่วนเพื่อรองรับการเติบโตของบริการ AI ทั้งภายในบริษัทและลูกค้าบน Azure โดยเฉพาะในช่วงที่บริษัทเผชิญข้อจำกัดด้านความจุของศูนย์ข้อมูลเดิม

    Nebius ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในอัมสเตอร์ดัม และได้รับการสนับสนุนจาก Nvidia และ Accel จะใช้เงินจากสัญญานี้ร่วมกับเงินกู้ระยะสั้นที่มีเงื่อนไขพิเศษจาก Microsoft เพื่อเร่งการก่อสร้างและขยายธุรกิจ AI cloud ของตน โดยคาดว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วในปี 2026 เป็นต้นไป

    ข้อตกลงนี้ยังสะท้อนถึงการแข่งขันในตลาดโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่รุนแรงขึ้น โดยก่อนหน้านี้ Microsoft เคยพึ่งพา CoreWeave สำหรับ GPU capacity แต่ไม่ได้ทำสัญญาระยะยาวเช่นนี้ ทำให้ OpenAI เข้าซื้อสิทธิ์จาก CoreWeave ไปแทน

    รายละเอียดข้อตกลงระหว่าง Microsoft และ Nebius
    มูลค่าสัญญาเบื้องต้น $17.4 พันล้าน ขยายได้ถึง $19.4 พันล้าน
    ระยะเวลาสัญญายาวถึงปี 2031
    เริ่มต้นด้วยการสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ใน Vineland, New Jersey
    ให้บริการ GPU infrastructure สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ

    จุดแข็งของ Nebius
    เป็นบริษัทที่แยกตัวจาก Yandex และมุ่งเน้นด้าน AI cloud infrastructure
    ได้รับการสนับสนุนจาก Nvidia และ Accel
    มีศูนย์ R&D ในยุโรป อเมริกา และอิสราเอล
    มีแพลตฟอร์ม cloud ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับงาน AI เช่น training และ deployment

    ผลกระทบและการเติบโต
    หุ้นของ Nebius พุ่งขึ้นกว่า 40% หลังประกาศข้อตกลง
    รายได้ Q2 เพิ่มขึ้น 625% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
    Microsoft ได้รับความจุเพิ่มเติมเพื่อรองรับบริการ AI ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
    Nebius เตรียมขยายศูนย์ข้อมูลในหลายประเทศ เช่น ฟินแลนด์ อิสราเอล และอังกฤษ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Microsoft เผชิญข้อจำกัดด้านความจุของศูนย์ข้อมูลในปี 2025
    OpenAI ทำสัญญา multibillion กับ CoreWeave เพื่อ GPU capacity
    Nvidia คาดว่าโครงสร้างพื้นฐาน AI จะมีมูลค่ารวมถึง $3–4 พันล้านภายในปี 2030
    Microsoft กำลังสำรวจเทคโนโลยี optical computing เพื่อลดพลังงานในการประมวลผล AI

    https://www.techradar.com/pro/nebius-and-microsoft-to-collaborate-on-multi-billion-ai-infrastructure-agreement
    🌐 “Microsoft ผนึกกำลัง Nebius สร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $17.4 พันล้าน — ขยายศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ รับยุค AI เต็มรูปแบบ” ในยุคที่ความต้องการด้านการประมวลผล AI พุ่งทะยานอย่างไม่หยุดยั้ง Microsoft ได้ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่กับ Nebius บริษัทโครงสร้างพื้นฐาน AI สัญชาติเนเธอร์แลนด์ (อดีตส่วนหนึ่งของ Yandex) เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ในเมือง Vineland รัฐนิวเจอร์ซีย์ โดยมีมูลค่าสัญญาเบื้องต้นอยู่ที่ $17.4 พันล้าน และอาจขยายถึง $19.4 พันล้านหากมีการเพิ่มบริการหรือความจุในอนาคต ศูนย์ข้อมูลแห่งนี้จะให้บริการ GPU infrastructure สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ ซึ่ง Microsoft ต้องการอย่างเร่งด่วนเพื่อรองรับการเติบโตของบริการ AI ทั้งภายในบริษัทและลูกค้าบน Azure โดยเฉพาะในช่วงที่บริษัทเผชิญข้อจำกัดด้านความจุของศูนย์ข้อมูลเดิม Nebius ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในอัมสเตอร์ดัม และได้รับการสนับสนุนจาก Nvidia และ Accel จะใช้เงินจากสัญญานี้ร่วมกับเงินกู้ระยะสั้นที่มีเงื่อนไขพิเศษจาก Microsoft เพื่อเร่งการก่อสร้างและขยายธุรกิจ AI cloud ของตน โดยคาดว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วในปี 2026 เป็นต้นไป ข้อตกลงนี้ยังสะท้อนถึงการแข่งขันในตลาดโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่รุนแรงขึ้น โดยก่อนหน้านี้ Microsoft เคยพึ่งพา CoreWeave สำหรับ GPU capacity แต่ไม่ได้ทำสัญญาระยะยาวเช่นนี้ ทำให้ OpenAI เข้าซื้อสิทธิ์จาก CoreWeave ไปแทน ✅ รายละเอียดข้อตกลงระหว่าง Microsoft และ Nebius ➡️ มูลค่าสัญญาเบื้องต้น $17.4 พันล้าน ขยายได้ถึง $19.4 พันล้าน ➡️ ระยะเวลาสัญญายาวถึงปี 2031 ➡️ เริ่มต้นด้วยการสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ใน Vineland, New Jersey ➡️ ให้บริการ GPU infrastructure สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ ✅ จุดแข็งของ Nebius ➡️ เป็นบริษัทที่แยกตัวจาก Yandex และมุ่งเน้นด้าน AI cloud infrastructure ➡️ ได้รับการสนับสนุนจาก Nvidia และ Accel ➡️ มีศูนย์ R&D ในยุโรป อเมริกา และอิสราเอล ➡️ มีแพลตฟอร์ม cloud ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับงาน AI เช่น training และ deployment ✅ ผลกระทบและการเติบโต ➡️ หุ้นของ Nebius พุ่งขึ้นกว่า 40% หลังประกาศข้อตกลง ➡️ รายได้ Q2 เพิ่มขึ้น 625% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ➡️ Microsoft ได้รับความจุเพิ่มเติมเพื่อรองรับบริการ AI ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ➡️ Nebius เตรียมขยายศูนย์ข้อมูลในหลายประเทศ เช่น ฟินแลนด์ อิสราเอล และอังกฤษ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Microsoft เผชิญข้อจำกัดด้านความจุของศูนย์ข้อมูลในปี 2025 ➡️ OpenAI ทำสัญญา multibillion กับ CoreWeave เพื่อ GPU capacity ➡️ Nvidia คาดว่าโครงสร้างพื้นฐาน AI จะมีมูลค่ารวมถึง $3–4 พันล้านภายในปี 2030 ➡️ Microsoft กำลังสำรวจเทคโนโลยี optical computing เพื่อลดพลังงานในการประมวลผล AI https://www.techradar.com/pro/nebius-and-microsoft-to-collaborate-on-multi-billion-ai-infrastructure-agreement
    0 Comments 0 Shares 90 Views 0 Reviews
  • “Pontevedra เมืองที่ออกแบบเพื่อคน ไม่ใช่รถ — โมเดลเมืองเดินได้ที่เปลี่ยนชีวิตคนทั้งเมือง และอาจเปลี่ยนยุโรปทั้งทวีป”

    ในขณะที่เมืองใหญ่ทั่วยุโรปกำลังเผชิญกับปัญหามลพิษทางอากาศ ความแออัด และอุบัติเหตุจากรถยนต์ เมืองเล็กๆ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของสเปนชื่อว่า Pontevedra กลับเลือกเดินเส้นทางที่ต่างออกไป — โดยเปลี่ยนเมืองทั้งเมืองให้เป็นพื้นที่สำหรับคนเดินเท้า ไม่ใช่รถยนต์

    ตั้งแต่ปี 1999 ที่นายกเทศมนตรี Miguel Anxo Fernández Lores เข้ารับตำแหน่ง เมืองนี้ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเมืองอย่างจริงจัง โดยไม่ห้ามรถยนต์แบบเด็ดขาด แต่จำกัดการใช้งานเฉพาะกรณีจำเป็น เช่น รถฉุกเฉิน รถบริการสาธารณะ หรือการขนส่งผู้มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว

    ผลลัพธ์คือเมืองที่มีอากาศสะอาดขึ้น ปลอดภัยขึ้น และมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด — เด็กๆ เดินไปโรงเรียนเองได้ ผู้สูงอายุออกมาเดินเล่นได้อย่างมั่นใจ และร้านค้าท้องถิ่นกลับมาคึกคักอีกครั้ง เพราะคนเดินเท้ามีโอกาสแวะซื้อของมากขึ้น

    Pontevedra ยังได้รับรางวัลระดับนานาชาติ เช่น UN-Habitat Award และ EU Urban Road Safety Award จากการลดอุบัติเหตุถึงขั้น “ไม่มีผู้เสียชีวิตบนถนนในเมืองเลย” เป็นเวลากว่า 10 ปี และลดการปล่อย CO₂ ได้ถึง 67% ตั้งแต่เริ่มโครงการ

    นอกจากการออกแบบเมืองให้เดินได้ เมืองยังมีระบบแผนที่ Metrominuto ที่บอกระยะทางและแคลอรี่ที่เผาผลาญจากการเดินไปยังจุดต่างๆ เพื่อส่งเสริมสุขภาพและความเข้าใจในการใช้พื้นที่เมืองอย่างมีประสิทธิภาพ

    โมเดลเมืองของ Pontevedra
    จำกัดการใช้รถยนต์เฉพาะกรณีจำเป็น เช่น รถฉุกเฉินและขนส่ง
    เปลี่ยนพื้นที่ 490 เฮกตาร์เป็น “เขตลดการจราจร”
    ไม่มีการจอดรถในพื้นที่สาธารณะระหว่าง 18.00–08.00 น.
    ความเร็วรถในเมืองถูกจำกัดเหลือ 10–30 กม./ชม. ตามพื้นที่

    ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
    ไม่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนถนนในเมืองนานกว่า 10 ปี
    เด็ก 73% เดินไปโรงเรียน โดย 29% เดินเอง
    การเดินและปั่นจักรยานเพิ่มจาก 66% เป็น 90% ภายใน 10 ปี
    ลดการปล่อย CO₂ ได้ประมาณ 67% ตั้งแต่ปลายยุค 1990

    การออกแบบเมืองเพื่อคน
    ถนนและทางเท้าในใจกลางเมืองไม่มีเส้นแบ่ง — คนเดินนำ
    มีแผนที่ Metrominuto บอกระยะทางและแคลอรี่จากการเดิน
    ร้านค้าเล็กๆ กลับมาคึกคักเพราะคนเดินเท้าแวะซื้อของ
    พื้นที่สาธารณะถูกใช้จัดกิจกรรม วัฒนธรรม และการพบปะ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เมืองอื่นในยุโรปเริ่มทำตาม เช่น Freiburg, Oslo, Barcelona
    EU มีโครงการ Climate-Neutral and Smart Cities สนับสนุนเมืองแบบนี้
    เครือข่าย “Ciudades que caminan” ส่งเสริมการเดินในเมืองทั่วสเปน
    เมืองที่ออกแบบให้เดินได้ช่วยเพิ่มสมาธิเด็กและสุขภาพประชาชน

    https://www.greeneuropeanjournal.eu/made-for-people-not-cars-reclaiming-european-cities/
    🚶‍♀️ “Pontevedra เมืองที่ออกแบบเพื่อคน ไม่ใช่รถ — โมเดลเมืองเดินได้ที่เปลี่ยนชีวิตคนทั้งเมือง และอาจเปลี่ยนยุโรปทั้งทวีป” ในขณะที่เมืองใหญ่ทั่วยุโรปกำลังเผชิญกับปัญหามลพิษทางอากาศ ความแออัด และอุบัติเหตุจากรถยนต์ เมืองเล็กๆ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของสเปนชื่อว่า Pontevedra กลับเลือกเดินเส้นทางที่ต่างออกไป — โดยเปลี่ยนเมืองทั้งเมืองให้เป็นพื้นที่สำหรับคนเดินเท้า ไม่ใช่รถยนต์ ตั้งแต่ปี 1999 ที่นายกเทศมนตรี Miguel Anxo Fernández Lores เข้ารับตำแหน่ง เมืองนี้ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเมืองอย่างจริงจัง โดยไม่ห้ามรถยนต์แบบเด็ดขาด แต่จำกัดการใช้งานเฉพาะกรณีจำเป็น เช่น รถฉุกเฉิน รถบริการสาธารณะ หรือการขนส่งผู้มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว ผลลัพธ์คือเมืองที่มีอากาศสะอาดขึ้น ปลอดภัยขึ้น และมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด — เด็กๆ เดินไปโรงเรียนเองได้ ผู้สูงอายุออกมาเดินเล่นได้อย่างมั่นใจ และร้านค้าท้องถิ่นกลับมาคึกคักอีกครั้ง เพราะคนเดินเท้ามีโอกาสแวะซื้อของมากขึ้น Pontevedra ยังได้รับรางวัลระดับนานาชาติ เช่น UN-Habitat Award และ EU Urban Road Safety Award จากการลดอุบัติเหตุถึงขั้น “ไม่มีผู้เสียชีวิตบนถนนในเมืองเลย” เป็นเวลากว่า 10 ปี และลดการปล่อย CO₂ ได้ถึง 67% ตั้งแต่เริ่มโครงการ นอกจากการออกแบบเมืองให้เดินได้ เมืองยังมีระบบแผนที่ Metrominuto ที่บอกระยะทางและแคลอรี่ที่เผาผลาญจากการเดินไปยังจุดต่างๆ เพื่อส่งเสริมสุขภาพและความเข้าใจในการใช้พื้นที่เมืองอย่างมีประสิทธิภาพ ✅ โมเดลเมืองของ Pontevedra ➡️ จำกัดการใช้รถยนต์เฉพาะกรณีจำเป็น เช่น รถฉุกเฉินและขนส่ง ➡️ เปลี่ยนพื้นที่ 490 เฮกตาร์เป็น “เขตลดการจราจร” ➡️ ไม่มีการจอดรถในพื้นที่สาธารณะระหว่าง 18.00–08.00 น. ➡️ ความเร็วรถในเมืองถูกจำกัดเหลือ 10–30 กม./ชม. ตามพื้นที่ ✅ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ➡️ ไม่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนถนนในเมืองนานกว่า 10 ปี ➡️ เด็ก 73% เดินไปโรงเรียน โดย 29% เดินเอง ➡️ การเดินและปั่นจักรยานเพิ่มจาก 66% เป็น 90% ภายใน 10 ปี ➡️ ลดการปล่อย CO₂ ได้ประมาณ 67% ตั้งแต่ปลายยุค 1990 ✅ การออกแบบเมืองเพื่อคน ➡️ ถนนและทางเท้าในใจกลางเมืองไม่มีเส้นแบ่ง — คนเดินนำ ➡️ มีแผนที่ Metrominuto บอกระยะทางและแคลอรี่จากการเดิน ➡️ ร้านค้าเล็กๆ กลับมาคึกคักเพราะคนเดินเท้าแวะซื้อของ ➡️ พื้นที่สาธารณะถูกใช้จัดกิจกรรม วัฒนธรรม และการพบปะ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เมืองอื่นในยุโรปเริ่มทำตาม เช่น Freiburg, Oslo, Barcelona ➡️ EU มีโครงการ Climate-Neutral and Smart Cities สนับสนุนเมืองแบบนี้ ➡️ เครือข่าย “Ciudades que caminan” ส่งเสริมการเดินในเมืองทั่วสเปน ➡️ เมืองที่ออกแบบให้เดินได้ช่วยเพิ่มสมาธิเด็กและสุขภาพประชาชน https://www.greeneuropeanjournal.eu/made-for-people-not-cars-reclaiming-european-cities/
    WWW.GREENEUROPEANJOURNAL.EU
    Made for People, Not Cars: Reclaiming European Cities
    By prioritising residents over private vehicles, a Spanish municipality has overcome some of the biggest challenges facing Europe’s cities.
    0 Comments 0 Shares 101 Views 0 Reviews
  • เปลี่ยนภาพจำ บขส. รถทัวร์ใหม่-พนักงานต้อนรับสีชมพู

    รถโดยสารใหม่สีชมพู ยี่ห้อเอ็ม.อา.เอ็น (M.A.N) สัญชาติเยอรมนี ของบริษัท ขนส่ง จำกัด หรือ บขส. ซึ่งเช่ารถโดยสารจำนวน 311 คัน จากบริษัท อิทธิพรอิมปอร์ต จำกัด เป็นเวลา 5 ปี วงเงิน 3,018 ล้านบาท เพื่อทดแทนรถโดยสารรุ่นเก่าที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 10-30 ปี ในทุกเส้นทางทั่วประเทศ ล่าสุดได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยจะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2568 และทยอยรับรถจนครบ 311 คันภายในปลายเดือน ธ.ค.2568 โดยในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 จะพยายามใช้รถรุ่นใหม่ทั้งระบบ และหยุดใช้รถรุ่นเก่าทั้งหมด

    พร้อมกันนี้ ยังได้เปลี่ยนแบบฟอร์มชุดพนักงานต้อนรับ และพนักงานขับรถหญิง โทนสีชมพูทั้งหมด นายอรรถวิท รักจำรูญ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. กล่าวว่า ต้องการเปลี่ยนภาพลักษณ์ บขส. ทั้งเรื่องของรถ ชุดพนักงาน และการให้บริการเป็นภาพจำใหม่ สีชมพู ซึ่งเป็นสีแห่งความรักความอบอุ่น และเข้าถึงง่าย

    สำหรับรถโดยสารใหม่ มีความยาว 12 เมตร 3 มาตรฐาน ได้แก่ 1. รถปรับอากาศชั้น 1 VIP จำนวน 24 ที่นั่ง 2. รถปรับอากาศชั้น 1 พิเศษ จำนวน 32 ที่นั่ง และ 3. รถปรับอากาศชั้น 1 จำนวน 36 ที่นั่ง ใช้เครื่องยนต์มาตรฐาน Euro 5 ช่วยลดมลพิษทางอากาศ ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง ภายในรถมีสิ่งอำนวยความสะดวก ได้แก่ ห้องน้ำ ช่องเก็บสัมภาระ ช่องเสียบ USB สำหรับชาร์จโทรศัพท์มือถือ และบริการไว-ไฟฟรี พร้อมระบบ GPS และกล้อง CCTV

    ในรอบปีที่ผ่านมา บขส.ได้พัฒนาบริการอย่างต่อเนื่อง เช่น การเปิดเส้นทางเดินรถเชื่อมต่อท่าอากาศยาน 3 เส้นทาง สุวรรณภูมิ-พัทยา, ดอนเมือง-พัทยา ซึ่งได้รับความนิยมสูงสุด และดอนเมือง-หัวหิน การเพิ่มบริการส่งพัสดุถึงบ้าน นำร่องพื้นที่กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ปัจจุบันมีรายได้ 1,988 ล้านบาท ขาดทุน 170 ล้านบาท ขาดทุนสะสมตั้งแต่ช่วงโควิด-19 รวม 3,000 ล้านบาท ตั้งเป้าภายใน 2 ปี จะสร้างรายได้ 3,500 ล้านบาทต่อปี กำไร 1,000 ล้านบาทต่อปี และแก้ขาดทุนสะสม เพื่อให้ บขส.อยู่ได้โดยไม่ของบประมาณจากรัฐ

    ปัจจุบัน บขส.ให้บริการรวม 62 เส้นทาง 175 เที่ยววิ่งต่อวัน แบ่งเป็นภาคเหนือ 19 เส้นทาง 68 เที่ยววิ่งต่อวัน, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก 18 เส้นทาง 58 เที่ยววิ่งต่อวัน และภาคใต้ 25 เส้นทาง 49 เที่ยววิ่งต่อวัน โดยมีช่องทางจำหน่ายตั๋วโดยสารอย่างเป็นทางการ ได้แก่ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพมหานคร (จตุจักร ตลิ่งชัน และเอกมัย) สถานีเดินรถ บขส. ทั่วประเทศ เว็บไซต์ transport.co.th แอปพลิเคชัน E-Ticket เฟซบุ๊ก BorKorSor99 และไลน์ @TCL99

    #Newskit
    เปลี่ยนภาพจำ บขส. รถทัวร์ใหม่-พนักงานต้อนรับสีชมพู รถโดยสารใหม่สีชมพู ยี่ห้อเอ็ม.อา.เอ็น (M.A.N) สัญชาติเยอรมนี ของบริษัท ขนส่ง จำกัด หรือ บขส. ซึ่งเช่ารถโดยสารจำนวน 311 คัน จากบริษัท อิทธิพรอิมปอร์ต จำกัด เป็นเวลา 5 ปี วงเงิน 3,018 ล้านบาท เพื่อทดแทนรถโดยสารรุ่นเก่าที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 10-30 ปี ในทุกเส้นทางทั่วประเทศ ล่าสุดได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยจะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2568 และทยอยรับรถจนครบ 311 คันภายในปลายเดือน ธ.ค.2568 โดยในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 จะพยายามใช้รถรุ่นใหม่ทั้งระบบ และหยุดใช้รถรุ่นเก่าทั้งหมด พร้อมกันนี้ ยังได้เปลี่ยนแบบฟอร์มชุดพนักงานต้อนรับ และพนักงานขับรถหญิง โทนสีชมพูทั้งหมด นายอรรถวิท รักจำรูญ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. กล่าวว่า ต้องการเปลี่ยนภาพลักษณ์ บขส. ทั้งเรื่องของรถ ชุดพนักงาน และการให้บริการเป็นภาพจำใหม่ สีชมพู ซึ่งเป็นสีแห่งความรักความอบอุ่น และเข้าถึงง่าย สำหรับรถโดยสารใหม่ มีความยาว 12 เมตร 3 มาตรฐาน ได้แก่ 1. รถปรับอากาศชั้น 1 VIP จำนวน 24 ที่นั่ง 2. รถปรับอากาศชั้น 1 พิเศษ จำนวน 32 ที่นั่ง และ 3. รถปรับอากาศชั้น 1 จำนวน 36 ที่นั่ง ใช้เครื่องยนต์มาตรฐาน Euro 5 ช่วยลดมลพิษทางอากาศ ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง ภายในรถมีสิ่งอำนวยความสะดวก ได้แก่ ห้องน้ำ ช่องเก็บสัมภาระ ช่องเสียบ USB สำหรับชาร์จโทรศัพท์มือถือ และบริการไว-ไฟฟรี พร้อมระบบ GPS และกล้อง CCTV ในรอบปีที่ผ่านมา บขส.ได้พัฒนาบริการอย่างต่อเนื่อง เช่น การเปิดเส้นทางเดินรถเชื่อมต่อท่าอากาศยาน 3 เส้นทาง สุวรรณภูมิ-พัทยา, ดอนเมือง-พัทยา ซึ่งได้รับความนิยมสูงสุด และดอนเมือง-หัวหิน การเพิ่มบริการส่งพัสดุถึงบ้าน นำร่องพื้นที่กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ปัจจุบันมีรายได้ 1,988 ล้านบาท ขาดทุน 170 ล้านบาท ขาดทุนสะสมตั้งแต่ช่วงโควิด-19 รวม 3,000 ล้านบาท ตั้งเป้าภายใน 2 ปี จะสร้างรายได้ 3,500 ล้านบาทต่อปี กำไร 1,000 ล้านบาทต่อปี และแก้ขาดทุนสะสม เพื่อให้ บขส.อยู่ได้โดยไม่ของบประมาณจากรัฐ ปัจจุบัน บขส.ให้บริการรวม 62 เส้นทาง 175 เที่ยววิ่งต่อวัน แบ่งเป็นภาคเหนือ 19 เส้นทาง 68 เที่ยววิ่งต่อวัน, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก 18 เส้นทาง 58 เที่ยววิ่งต่อวัน และภาคใต้ 25 เส้นทาง 49 เที่ยววิ่งต่อวัน โดยมีช่องทางจำหน่ายตั๋วโดยสารอย่างเป็นทางการ ได้แก่ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพมหานคร (จตุจักร ตลิ่งชัน และเอกมัย) สถานีเดินรถ บขส. ทั่วประเทศ เว็บไซต์ transport.co.th แอปพลิเคชัน E-Ticket เฟซบุ๊ก BorKorSor99 และไลน์ @TCL99 #Newskit
    1 Comments 0 Shares 152 Views 0 Reviews
  • ผอ.สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานฯ เผยให้ทางสวนสัตว์ดังพักให้บริการซาฟารีโซนสัตว์ดุร้าย กรณีฝูงสิงโตรุมขย้ำ จนท.เสียชีวิต พร้อมทบทวนกฎเหล็ก 23 ข้อหลังเกิดเหตุ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000086824

    #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    ผอ.สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานฯ เผยให้ทางสวนสัตว์ดังพักให้บริการซาฟารีโซนสัตว์ดุร้าย กรณีฝูงสิงโตรุมขย้ำ จนท.เสียชีวิต พร้อมทบทวนกฎเหล็ก 23 ข้อหลังเกิดเหตุ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000086824 #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 301 Views 0 Reviews
  • ..#ยกเลิกMOU43
    ..#ยกเลิกMOU44
    #MOU43MOU44ต้องยกเลิกทันที

    ..ยกเลิกmou43,44ไม่ทำแน่ๆดูทรงๆแล้ว,เขตแดน1:1คือเสาเขตแดนสยามปักหมุดชัดเจนแล้วถึง73-74เสาปักหมุดเขตแดน,สร้างรั้วลวดหนามกั้นได้ทันที,
    ..ถ้านายกฯหนูไม่ยกเลิกMOU43,44หลังเข้ารับตำแหน่งภายใน15วันของเดือนกันยายน2568นี้,ต้องฟันธงได้ทันทีว่า ไม่มีความซื่อสัตย์จริงใจทั้งต่อชาติไทยอธิปไตยไทยตนเองและประชาชนแน่แล้ว,วาทะกรรมที่พรรคภูมิใจธรรมรวมตัวกันเสนอยกเลิกMOU43,44กับรัฐบาลนายกฯอุ๊งอิ๊งเป็นละครโกหกประชาชนฉากหนึ่งนั้นเอง,ไม่อาจสามารถให้รัฐบาลนี้อยู่ต่อได้อีกต่อไป,ต้องขอนายกฯคนที่33พระราชทานแล้ว,รัฐบาลพระราชทานแล้ว, นายกฯหนู มีเวลาตัดสินใจถึงวันที่15ก.ย.68นี้เท่านั้นหลังรับตำแหน่ง,ช้าสุดวันที่17,ถ้าไม่ทำก็อย่าอ้างอะไร อ้างเหตุผลใดๆเลย,นี้ขนาดประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเชื่อกันว่าต้องปิดด่านถาวรทั้งหมดแน่นอนและจะด่านใดๆต้องทำการปิดตลอดแนวจนกว่าไทยจะสร้างรั้วลวดหนามเสร็จจึงค่อยกลับมาเจรจากันใหม่โน้น,เพื่อตัดเสบียงอาหาร เสบียงอาวุธ เสบียงขนย้ายไส้ศึกกำลังพลมันต่างๆ เสบียงสาระพัดรูปแบบผ่านเอกชนต่างชาติในไทยหรือเอกชนในไทยเองที่รอช่วยเหลือเขมรทุกๆทางอยู่ก็ว่า,
    ..การเปิดด่านเสมือนฆ่าอธิปไตยไทยตนเอง,ส่งมีดส่งปืนให้อีกฝ่ายมาฆ่าตนได้,มันคือความมั่นคงทั้งหมดนะ,เสบียงการซ่อมบำรุงสนับสนุนมันขนจากฝั่งจันทบุรี และ ตราด ก็สามารถกระจายอะไรสาระพัดถึงทหารชายแดนมันให้มีกำลังขึ้นมาต่อสู้กับไทยได้ เพิ่มศักยภาพทางการรบทางทหารเขมรชัดเจนด้วย,เอกชนใดๆในไทยหมายอยากค้าขายกับเขมรสามารถย้ายบริษัท ย้ายโรงงาน ย้ายกิจการตนไปตั้งที่เวียดนาม ที่ลาว ไปค้าขายกับเขมรที่ประเทศลาวและเวียดนามได้,อย่ามาสร้างเงื่อนไขให้ไทย บีบบังคับไทยเปิดด่านเพื่อการค้าขายทำกำไรของส่วนตนประโยชน์บริษัทกิจการตัวเองเลย,เรา..คนไทยถีบคุณออกจากประเทศไทยได้,สื่อนักข่าวสมควรนำข้อมูลบริษัทอะไรบ้างในไทยที่เปิดด่านแล้วผ่านเข้าออกไปเขมรนี้จะบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลใดๆ เราเอามาแฉบอกความจริงประชาชนเถอะแล้วร่วมกดดันแบบกิจการมัน ไม่ใช้สินค้าบริการมัน,ประชาชนมีสิทธิรับรู้ถึงการเข้าออกไปเขมรของมันที่วุ่นวายกับชาติไทยเราในการปกป้องความมั่นคงปลอดภัยของคนไทยเราเองทั้งประเทศ,เสมือนเอกชนนี้เจตนาใช้จังหวะนี้เปิดประตูให้โจร ว่าโจรนี้กำลังขาดอาหาร สร้างความเดือดร้อนแก่โจรที่กำลังจะพังประตูข้ามเส้นมาฆ่ามาขึ้นบ้านเรา มาสังหารยกครอบครัวเราภายในบ้าน มันพวกนี้อยากขายอาหารให้โจร ขายสินค้าให้โจรปล้นฆ่าเอาบ้านเรา เจตนาสงสารกลุ่มโจร กลัวโจรเดือดร้อน เจรจาเปิดประตูให้โจรนั้นเอง,คนประเภทนี้หนักแผ่นดินไทยมิสามารถแก้ไขได้จริงๆ,ได้โอกาสแก้ตัวที่ดีแล้วกลับทำตัวเหมือนเดิม,มุ่งช่วยเหลือศัตรูปกติ,มันจะเก็บระเบิดหรือไม่เก็บบนแผ่นดินมัน,มันเป็นเรื่องของมัน,บนแผ่นดินไทยเมื่อมันเข้ามาวางมันต้องเก็บทั้งหมด,ไม่เก็บก็ไม่ต้องพูดอะไรอีก,เราเก็บเอง สร้างรั้วลวดหนามคู่ขนานขณะเก็บไปด้วย ,เอามาวางอีกรัศมีติดรั้วลวดหนามเขตไทยยิงทิ้งเลย,
    ..เข้ายังไม่ไว้วางใจอะไ ก็ออกลายให้เขาเชื่อว่าไม่น่าไว้วางใจไปอีก,เรา..ประชาชนตกลงกันทั่วประเทศให้ยกเลิกmou43,44ทันทีก็ไม่รีบทำตั้งคณะทำงานผีบ้าอะไรอีก มันไม่ชอบด้วยกฎหมายอธิปไตยไทยแต่แรกแล้ว ไม่เคยเอาเข้าสภาด้วย ตกลงกันเองในรัฐบาลนั้นๆเองซึ่งคนทำก็ติดคุกแล้วด้วย,ไร้ความน่าเชื่อถือไปอีก,ต่อมาให้สร้างรั้วลวดหนาทถาวรเสร็จก่อนค่อยว่าเรื่องไม่เปิดด่านอีกหรือไม่.
    https://youtube.com/watch?v=iwUrVFOyo1Y&si=UZ4FkQsz6bQNydMH
    ..#ยกเลิกMOU43 ..#ยกเลิกMOU44 #MOU43MOU44ต้องยกเลิกทันที ..ยกเลิกmou43,44ไม่ทำแน่ๆดูทรงๆแล้ว,เขตแดน1:1คือเสาเขตแดนสยามปักหมุดชัดเจนแล้วถึง73-74เสาปักหมุดเขตแดน,สร้างรั้วลวดหนามกั้นได้ทันที, ..ถ้านายกฯหนูไม่ยกเลิกMOU43,44หลังเข้ารับตำแหน่งภายใน15วันของเดือนกันยายน2568นี้,ต้องฟันธงได้ทันทีว่า ไม่มีความซื่อสัตย์จริงใจทั้งต่อชาติไทยอธิปไตยไทยตนเองและประชาชนแน่แล้ว,วาทะกรรมที่พรรคภูมิใจธรรมรวมตัวกันเสนอยกเลิกMOU43,44กับรัฐบาลนายกฯอุ๊งอิ๊งเป็นละครโกหกประชาชนฉากหนึ่งนั้นเอง,ไม่อาจสามารถให้รัฐบาลนี้อยู่ต่อได้อีกต่อไป,ต้องขอนายกฯคนที่33พระราชทานแล้ว,รัฐบาลพระราชทานแล้ว, นายกฯหนู มีเวลาตัดสินใจถึงวันที่15ก.ย.68นี้เท่านั้นหลังรับตำแหน่ง,ช้าสุดวันที่17,ถ้าไม่ทำก็อย่าอ้างอะไร อ้างเหตุผลใดๆเลย,นี้ขนาดประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเชื่อกันว่าต้องปิดด่านถาวรทั้งหมดแน่นอนและจะด่านใดๆต้องทำการปิดตลอดแนวจนกว่าไทยจะสร้างรั้วลวดหนามเสร็จจึงค่อยกลับมาเจรจากันใหม่โน้น,เพื่อตัดเสบียงอาหาร เสบียงอาวุธ เสบียงขนย้ายไส้ศึกกำลังพลมันต่างๆ เสบียงสาระพัดรูปแบบผ่านเอกชนต่างชาติในไทยหรือเอกชนในไทยเองที่รอช่วยเหลือเขมรทุกๆทางอยู่ก็ว่า, ..การเปิดด่านเสมือนฆ่าอธิปไตยไทยตนเอง,ส่งมีดส่งปืนให้อีกฝ่ายมาฆ่าตนได้,มันคือความมั่นคงทั้งหมดนะ,เสบียงการซ่อมบำรุงสนับสนุนมันขนจากฝั่งจันทบุรี และ ตราด ก็สามารถกระจายอะไรสาระพัดถึงทหารชายแดนมันให้มีกำลังขึ้นมาต่อสู้กับไทยได้ เพิ่มศักยภาพทางการรบทางทหารเขมรชัดเจนด้วย,เอกชนใดๆในไทยหมายอยากค้าขายกับเขมรสามารถย้ายบริษัท ย้ายโรงงาน ย้ายกิจการตนไปตั้งที่เวียดนาม ที่ลาว ไปค้าขายกับเขมรที่ประเทศลาวและเวียดนามได้,อย่ามาสร้างเงื่อนไขให้ไทย บีบบังคับไทยเปิดด่านเพื่อการค้าขายทำกำไรของส่วนตนประโยชน์บริษัทกิจการตัวเองเลย,เรา..คนไทยถีบคุณออกจากประเทศไทยได้,สื่อนักข่าวสมควรนำข้อมูลบริษัทอะไรบ้างในไทยที่เปิดด่านแล้วผ่านเข้าออกไปเขมรนี้จะบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลใดๆ เราเอามาแฉบอกความจริงประชาชนเถอะแล้วร่วมกดดันแบบกิจการมัน ไม่ใช้สินค้าบริการมัน,ประชาชนมีสิทธิรับรู้ถึงการเข้าออกไปเขมรของมันที่วุ่นวายกับชาติไทยเราในการปกป้องความมั่นคงปลอดภัยของคนไทยเราเองทั้งประเทศ,เสมือนเอกชนนี้เจตนาใช้จังหวะนี้เปิดประตูให้โจร ว่าโจรนี้กำลังขาดอาหาร สร้างความเดือดร้อนแก่โจรที่กำลังจะพังประตูข้ามเส้นมาฆ่ามาขึ้นบ้านเรา มาสังหารยกครอบครัวเราภายในบ้าน มันพวกนี้อยากขายอาหารให้โจร ขายสินค้าให้โจรปล้นฆ่าเอาบ้านเรา เจตนาสงสารกลุ่มโจร กลัวโจรเดือดร้อน เจรจาเปิดประตูให้โจรนั้นเอง,คนประเภทนี้หนักแผ่นดินไทยมิสามารถแก้ไขได้จริงๆ,ได้โอกาสแก้ตัวที่ดีแล้วกลับทำตัวเหมือนเดิม,มุ่งช่วยเหลือศัตรูปกติ,มันจะเก็บระเบิดหรือไม่เก็บบนแผ่นดินมัน,มันเป็นเรื่องของมัน,บนแผ่นดินไทยเมื่อมันเข้ามาวางมันต้องเก็บทั้งหมด,ไม่เก็บก็ไม่ต้องพูดอะไรอีก,เราเก็บเอง สร้างรั้วลวดหนามคู่ขนานขณะเก็บไปด้วย ,เอามาวางอีกรัศมีติดรั้วลวดหนามเขตไทยยิงทิ้งเลย, ..เข้ายังไม่ไว้วางใจอะไ ก็ออกลายให้เขาเชื่อว่าไม่น่าไว้วางใจไปอีก,เรา..ประชาชนตกลงกันทั่วประเทศให้ยกเลิกmou43,44ทันทีก็ไม่รีบทำตั้งคณะทำงานผีบ้าอะไรอีก มันไม่ชอบด้วยกฎหมายอธิปไตยไทยแต่แรกแล้ว ไม่เคยเอาเข้าสภาด้วย ตกลงกันเองในรัฐบาลนั้นๆเองซึ่งคนทำก็ติดคุกแล้วด้วย,ไร้ความน่าเชื่อถือไปอีก,ต่อมาให้สร้างรั้วลวดหนาทถาวรเสร็จก่อนค่อยว่าเรื่องไม่เปิดด่านอีกหรือไม่. https://youtube.com/watch?v=iwUrVFOyo1Y&si=UZ4FkQsz6bQNydMH
    0 Comments 0 Shares 138 Views 0 Reviews
  • DongPleng On Air
    www.dongpleng.com
    ศิลปะ ดนตรี กวี ธรรมชาติ
    เจตนารมณ์ ของเรา
    1. เพื่อให้ความบันเทิงและผ่อนคลายด้านเสียงเพลงรวมถึงสาระที่น่าสนใจในแนวทาง ศิลปะ ดนตรี กวี ธรรมชาติ
    2. รณรงค์ให้ทุกคนรู้คุณค่าของแหล่งธรรมชาติต่างๆ การอณุรักษ์แหล่งท่องเที่ยว การรักษาสิ่งแวดล้อม
    3. เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร สาระบันเทิง เช่น กิจกรรม ประเพณี วัฒนธรรมและเทศกาลต่างๆ ของไทย และให้พื้นที่นำเสนอผลงานของศิลปินนักร้องได้อย่างอิสระ
    4. รณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวสนใจเที่ยวในเมืองไทยรวมถึงนำเสนอเอกลักษณ์ไทย เช่น ศิลปะไทย อาหารไทย
    5. สร้างสัมพันธภาพที่ดีของคนในสังคมให้รู้รักสามัคคี ภูมิใจและรักในความเป็นไทย
    6. สร้างภาพลักษณ์ที่ดีสำหรับองค์กร ผลิตภัณฑ์สินค้า และบริการ ต่างๆ
    7. ส่งเสริมการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์ในทางที่สร้างสรรค์
    ขอบพระคุณครับ
    #ศิลปะดนตรีกวีธรรมชาติ #indie #onair #dongplengonair #radioonline #อัลเตอร์90 #djดีเจชอว์ #shawsherryduck #วิทยุออนไลน์ #สถานีวิทยุ #ชอว์พิชิต #ชอว์เชอร์รี่ดั๊ก #radioshow #live #สาระบันเทิง #เพลงไทย #เสียงเพลงสร้างสรรค์ #เพื่อชีวิต #ลูกทุ่ง #วิทยุอารมณ์ดี #ป็อปร็อค #ยุคเทป #เพลงใหม่ #เพลงเก่า #คิดบวก #ความสุข #ความรัก #เพลงรัก #เพลงดี #เพลงสากล
    DongPleng On Air www.dongpleng.com ศิลปะ ดนตรี กวี ธรรมชาติ เจตนารมณ์ ของเรา 1. เพื่อให้ความบันเทิงและผ่อนคลายด้านเสียงเพลงรวมถึงสาระที่น่าสนใจในแนวทาง ศิลปะ ดนตรี กวี ธรรมชาติ 2. รณรงค์ให้ทุกคนรู้คุณค่าของแหล่งธรรมชาติต่างๆ การอณุรักษ์แหล่งท่องเที่ยว การรักษาสิ่งแวดล้อม 3. เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร สาระบันเทิง เช่น กิจกรรม ประเพณี วัฒนธรรมและเทศกาลต่างๆ ของไทย และให้พื้นที่นำเสนอผลงานของศิลปินนักร้องได้อย่างอิสระ 4. รณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวสนใจเที่ยวในเมืองไทยรวมถึงนำเสนอเอกลักษณ์ไทย เช่น ศิลปะไทย อาหารไทย 5. สร้างสัมพันธภาพที่ดีของคนในสังคมให้รู้รักสามัคคี ภูมิใจและรักในความเป็นไทย 6. สร้างภาพลักษณ์ที่ดีสำหรับองค์กร ผลิตภัณฑ์สินค้า และบริการ ต่างๆ 7. ส่งเสริมการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์ในทางที่สร้างสรรค์ ขอบพระคุณครับ #ศิลปะดนตรีกวีธรรมชาติ #indie #onair #dongplengonair #radioonline #อัลเตอร์90 #djดีเจชอว์ #shawsherryduck #วิทยุออนไลน์ #สถานีวิทยุ #ชอว์พิชิต #ชอว์เชอร์รี่ดั๊ก #radioshow #live #สาระบันเทิง #เพลงไทย #เสียงเพลงสร้างสรรค์ #เพื่อชีวิต #ลูกทุ่ง #วิทยุอารมณ์ดี #ป็อปร็อค #ยุคเทป #เพลงใหม่ #เพลงเก่า #คิดบวก #ความสุข #ความรัก #เพลงรัก #เพลงดี #เพลงสากล
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 126 Views 0 0 Reviews
  • “Republic จับมือ Incentiv สร้าง Web3 ที่ง่ายและให้รางวัลทุกการมีส่วนร่วม — ไม่ใช่แค่สำหรับนักพัฒนา แต่สำหรับทุกคน”

    ถ้าคุณเคยรู้สึกว่าโลก Web3 นั้นซับซ้อนเกินไป มีแต่คนวงในที่ได้ประโยชน์ และคุณไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นตรงไหน — ความร่วมมือระหว่าง Republic และ Incentiv อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ Web3 กลายเป็นพื้นที่ที่ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย และได้รับรางวัลจากการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

    Republic ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระดับโลกด้านการลงทุนและการเร่งการเติบโตของ Web3 ได้ประกาศจับมือกับ Incentiv ซึ่งเป็นบล็อกเชน Layer 1 ที่รองรับ EVM โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการสร้างระบบเศรษฐกิจดิจิทัลที่ “ให้รางวัลทุกการมีส่วนร่วม” ไม่ว่าจะเป็นนักพัฒนา, ผู้ใช้งาน, ผู้ให้สภาพคล่อง หรือแม้แต่คนที่ช่วยขยายเครือข่าย

    Incentiv มีจุดเด่นคือการรวมเทคโนโลยี Advanced Account Abstraction เข้าไว้ในระดับโปรโตคอล พร้อมโมเดลเศรษฐกิจแบบ regenerative ที่กระจายมูลค่าอย่างโปร่งใสไปยังทุกฝ่ายที่มีบทบาทในระบบ — ไม่ใช่แค่คนที่ถือโทเคนเยอะที่สุด

    ระบบนี้ขับเคลื่อนด้วย Incentiv+ Engine ซึ่งเป็นกลไกกลางที่จัดสรรรางวัลตาม “ผลกระทบที่วัดได้จริง” เช่น จำนวนธุรกรรมที่สร้าง, การพัฒนาโค้ด, การให้บริการ หรือการแนะนำผู้ใช้ใหม่ โดยมีฟีเจอร์เสริมที่ช่วยให้ใช้งานง่ายขึ้น เช่น passkey login, การกู้คืนกระเป๋าเงิน, การรวมธุรกรรมหลายรายการ, การจ่ายค่าธรรมเนียมด้วยโทเคนเดียว และกฎการโอนผ่าน TransferGate

    Republic ซึ่งเคยมีบทบาทสำคัญในการผลักดันโปรเจกต์อย่าง Avalanche และ Supra จะเข้ามาให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์ พร้อมเปิดเครือข่ายระดับโลกที่ลงทุนไปแล้วกว่า $2.6 พันล้านใน 150 ประเทศ เพื่อช่วยให้ Incentiv เข้าถึงผู้ใช้งานจริงในระดับสากล

    ปัจจุบัน Incentiv มีผู้ใช้งานใน testnet แล้วกว่า 1.3 ล้านกระเป๋าเงิน และเตรียมเปิดตัว mainnet พร้อม token generation event ในเร็วๆ นี้ — ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้าง Web3 ที่ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของ “คุณค่าที่ทุกคนมีสิทธิ์ได้รับ”

    ความร่วมมือระหว่าง Republic และ Incentiv
    Republic ให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์ผ่าน Republic Research
    สนับสนุนการเติบโตของ Incentiv ด้วยเครือข่ายที่ลงทุนกว่า $2.6 พันล้านใน 150 ประเทศ
    เป้าหมายคือสร้าง Web3 ที่ง่าย ยั่งยืน และให้รางวัลทุกการมีส่วนร่วม

    จุดเด่นของ Incentiv blockchain
    เป็น Layer 1 ที่รองรับ EVM และออกแบบเพื่อการใช้งานจริง
    ใช้ Advanced Account Abstraction ในระดับโปรโตคอล
    มีโมเดลเศรษฐกิจแบบ regenerative ที่กระจายมูลค่าอย่างโปร่งใส
    รางวัลถูกจัดสรรตามผลกระทบที่วัดได้จริงผ่าน Incentiv+ Engine

    ฟีเจอร์ที่ช่วยให้ใช้งานง่าย
    Passkey log-in และการกู้คืนกระเป๋าเงิน
    Bundled transactions และ unified token fee payments
    TransferGate transaction rules สำหรับควบคุมการโอน
    ระบบรางวัลรวมที่กระตุ้นการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Republic เคยสนับสนุนโปรเจกต์อย่าง Avalanche และ Supra
    Incentiv มีผู้ใช้งาน testnet แล้วกว่า 1.3 ล้านกระเป๋าเงิน
    เตรียมเปิดตัว mainnet และ token generation event ในเร็วๆ นี้
    เป้าหมายคือสร้าง Web3 ที่ทุกคนเข้าถึงได้ ไม่ใช่แค่คนวงใน

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานและนักลงทุน
    ระบบรางวัลที่อิงผลกระทบต้องมีการวัดผลที่แม่นยำ — หากไม่ชัดเจนอาจเกิดความเหลื่อมล้ำ
    การรวมฟีเจอร์หลายอย่างในโปรโตคอลอาจเพิ่มความซับซ้อนด้านความปลอดภัย
    การเปิด mainnet และ token event อาจมีความผันผวนด้านราคาในช่วงแรก
    ผู้ใช้ใหม่อาจยังไม่เข้าใจระบบ TransferGate หรือ bundled transactions
    หากไม่มีการกำกับดูแลที่ดี อาจเกิดการใช้ระบบเพื่อผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม

    https://hackread.com/republic-incentiv-partner-reward-web3-participation/
    🌐 “Republic จับมือ Incentiv สร้าง Web3 ที่ง่ายและให้รางวัลทุกการมีส่วนร่วม — ไม่ใช่แค่สำหรับนักพัฒนา แต่สำหรับทุกคน” ถ้าคุณเคยรู้สึกว่าโลก Web3 นั้นซับซ้อนเกินไป มีแต่คนวงในที่ได้ประโยชน์ และคุณไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นตรงไหน — ความร่วมมือระหว่าง Republic และ Incentiv อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ Web3 กลายเป็นพื้นที่ที่ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย และได้รับรางวัลจากการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง Republic ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระดับโลกด้านการลงทุนและการเร่งการเติบโตของ Web3 ได้ประกาศจับมือกับ Incentiv ซึ่งเป็นบล็อกเชน Layer 1 ที่รองรับ EVM โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการสร้างระบบเศรษฐกิจดิจิทัลที่ “ให้รางวัลทุกการมีส่วนร่วม” ไม่ว่าจะเป็นนักพัฒนา, ผู้ใช้งาน, ผู้ให้สภาพคล่อง หรือแม้แต่คนที่ช่วยขยายเครือข่าย Incentiv มีจุดเด่นคือการรวมเทคโนโลยี Advanced Account Abstraction เข้าไว้ในระดับโปรโตคอล พร้อมโมเดลเศรษฐกิจแบบ regenerative ที่กระจายมูลค่าอย่างโปร่งใสไปยังทุกฝ่ายที่มีบทบาทในระบบ — ไม่ใช่แค่คนที่ถือโทเคนเยอะที่สุด ระบบนี้ขับเคลื่อนด้วย Incentiv+ Engine ซึ่งเป็นกลไกกลางที่จัดสรรรางวัลตาม “ผลกระทบที่วัดได้จริง” เช่น จำนวนธุรกรรมที่สร้าง, การพัฒนาโค้ด, การให้บริการ หรือการแนะนำผู้ใช้ใหม่ โดยมีฟีเจอร์เสริมที่ช่วยให้ใช้งานง่ายขึ้น เช่น passkey login, การกู้คืนกระเป๋าเงิน, การรวมธุรกรรมหลายรายการ, การจ่ายค่าธรรมเนียมด้วยโทเคนเดียว และกฎการโอนผ่าน TransferGate Republic ซึ่งเคยมีบทบาทสำคัญในการผลักดันโปรเจกต์อย่าง Avalanche และ Supra จะเข้ามาให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์ พร้อมเปิดเครือข่ายระดับโลกที่ลงทุนไปแล้วกว่า $2.6 พันล้านใน 150 ประเทศ เพื่อช่วยให้ Incentiv เข้าถึงผู้ใช้งานจริงในระดับสากล ปัจจุบัน Incentiv มีผู้ใช้งานใน testnet แล้วกว่า 1.3 ล้านกระเป๋าเงิน และเตรียมเปิดตัว mainnet พร้อม token generation event ในเร็วๆ นี้ — ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้าง Web3 ที่ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของ “คุณค่าที่ทุกคนมีสิทธิ์ได้รับ” ✅ ความร่วมมือระหว่าง Republic และ Incentiv ➡️ Republic ให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์ผ่าน Republic Research ➡️ สนับสนุนการเติบโตของ Incentiv ด้วยเครือข่ายที่ลงทุนกว่า $2.6 พันล้านใน 150 ประเทศ ➡️ เป้าหมายคือสร้าง Web3 ที่ง่าย ยั่งยืน และให้รางวัลทุกการมีส่วนร่วม ✅ จุดเด่นของ Incentiv blockchain ➡️ เป็น Layer 1 ที่รองรับ EVM และออกแบบเพื่อการใช้งานจริง ➡️ ใช้ Advanced Account Abstraction ในระดับโปรโตคอล ➡️ มีโมเดลเศรษฐกิจแบบ regenerative ที่กระจายมูลค่าอย่างโปร่งใส ➡️ รางวัลถูกจัดสรรตามผลกระทบที่วัดได้จริงผ่าน Incentiv+ Engine ✅ ฟีเจอร์ที่ช่วยให้ใช้งานง่าย ➡️ Passkey log-in และการกู้คืนกระเป๋าเงิน ➡️ Bundled transactions และ unified token fee payments ➡️ TransferGate transaction rules สำหรับควบคุมการโอน ➡️ ระบบรางวัลรวมที่กระตุ้นการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Republic เคยสนับสนุนโปรเจกต์อย่าง Avalanche และ Supra ➡️ Incentiv มีผู้ใช้งาน testnet แล้วกว่า 1.3 ล้านกระเป๋าเงิน ➡️ เตรียมเปิดตัว mainnet และ token generation event ในเร็วๆ นี้ ➡️ เป้าหมายคือสร้าง Web3 ที่ทุกคนเข้าถึงได้ ไม่ใช่แค่คนวงใน ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานและนักลงทุน ⛔ ระบบรางวัลที่อิงผลกระทบต้องมีการวัดผลที่แม่นยำ — หากไม่ชัดเจนอาจเกิดความเหลื่อมล้ำ ⛔ การรวมฟีเจอร์หลายอย่างในโปรโตคอลอาจเพิ่มความซับซ้อนด้านความปลอดภัย ⛔ การเปิด mainnet และ token event อาจมีความผันผวนด้านราคาในช่วงแรก ⛔ ผู้ใช้ใหม่อาจยังไม่เข้าใจระบบ TransferGate หรือ bundled transactions ⛔ หากไม่มีการกำกับดูแลที่ดี อาจเกิดการใช้ระบบเพื่อผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม https://hackread.com/republic-incentiv-partner-reward-web3-participation/
    HACKREAD.COM
    Republic and Incentiv Partner to Simplify and Reward Web3 Participation
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 119 Views 0 Reviews
  • “ดาวเทียมล้นวงโคจร! สหรัฐฯ ครองแชมป์ด้วย 9,203 ดวง ขณะที่โลกเพิ่มขึ้นวันละ 7 ตัน — จาก Sputnik สู่ยุค Starlink และสงครามอวกาศ”

    ย้อนกลับไปปี 1957 เมื่อ Sputnik 1 กลายเป็นดาวเทียมดวงแรกของโลกที่โคจรรอบโลกอย่างโดดเดี่ยว — วันนี้มันคงรู้สึกเหงาไม่ออก เพราะมีวัตถุมนุษย์สร้างกว่า 45,000 ชิ้นลอยอยู่ในอวกาศ และในจำนวนนี้มีดาวเทียมที่ยังทำงานอยู่ถึง 13,727 ดวงจาก 82 ประเทศทั่วโลก

    สหรัฐอเมริกาครองตำแหน่งผู้นำแบบทิ้งห่าง ด้วยจำนวนดาวเทียมถึง 9,203 ดวง มากกว่ารัสเซียที่ตามมาเป็นอันดับสองถึง 6 เท่า ส่วนจีนมี 1,121 ดวง และสหราชอาณาจักรมี 722 ดวง โดยในปี 2024 เพียงปีเดียว มีดาวเทียมใหม่ถูกส่งขึ้นไปถึง 2,695 ดวง — เทียบกับปี 2020 ที่มีเพียง 3,371 ดวงเท่านั้น1

    ดาวเทียมเหล่านี้ไม่ได้มีไว้แค่ส่งสัญญาณทีวีหรือพยากรณ์อากาศ แต่ยังใช้ในงานที่หลากหลายอย่างไม่น่าเชื่อ เช่น การทำธุรกรรมทางการเงิน, การติดตามกระแสน้ำในมหาสมุทร, การควบคุมโครงข่ายพลังงาน, การสื่อสารทางทหาร, และแม้แต่การพาเถ้ากระดูกมนุษย์ไปโคจรรอบโลก

    ในด้านการทหาร สหรัฐฯ ก็ยังนำโด่งด้วยดาวเทียมทางทหารถึง 247 ดวง ตามด้วยจีน 157 ดวง และรัสเซีย 110 ดวง3 ดาวเทียมเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการสอดแนม, แจ้งเตือนการยิงขีปนาวุธ, สื่อสารภาคสนาม, และแม้แต่การป้องกันไซเบอร์

    แม้จะมีประโยชน์มหาศาล แต่การเพิ่มขึ้นของดาวเทียมก็ทำให้เกิดปัญหา “ขยะอวกาศ” ที่กำลังทวีความรุนแรง โดยมีวัตถุที่ถูกติดตามแล้วกว่า 32,750 ชิ้น และมีฮาร์ดแวร์ใหม่ถูกส่งขึ้นไปถึง 7 ตันต่อวัน — ทำให้วงโคจรของโลกกลายเป็นพื้นที่แออัดที่อาจเกิดอุบัติเหตุได้ทุกเมื่อ

    สถานการณ์ดาวเทียมในปัจจุบัน
    มีดาวเทียมที่ยังทำงานอยู่ 13,727 ดวง จาก 82 ประเทศและองค์กร
    สหรัฐฯ มีมากที่สุดที่ 9,203 ดวง ตามด้วยรัสเซีย 1,471 ดวง และจีน 1,121 ดวง1
    ปี 2024 มีดาวเทียมใหม่เพิ่มขึ้น 2,695 ดวง เทียบกับ 3,371 ดวงในปี 2020

    การใช้งานดาวเทียม
    ใช้ในระบบนำทาง, อินเทอร์เน็ต, การพยากรณ์อากาศ, การสื่อสาร
    ใช้ในธุรกรรมการเงิน เช่น การส่งข้อมูลบัตรเครดิตผ่านดาวเทียม
    ใช้ในงานวิจัย เช่น กล้องโทรทรรศน์อวกาศ Hubble และการติดตามมหาสมุทร
    ใช้ในพิธีกรรม เช่น การนำเถ้ากระดูกมนุษย์ไปโคจรรอบโลก

    ดาวเทียมทางทหาร
    สหรัฐฯ มีดาวเทียมทางทหาร 247 ดวง มากที่สุดในโลก3
    จีนมี 157 ดวง, รัสเซีย 110 ดวง, ฝรั่งเศส 17 ดวง, อิสราเอล 12 ดวง
    ใช้ในการสอดแนม, แจ้งเตือนภัย, GPS, และการสื่อสารภาคสนาม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ดาวเทียมของสหรัฐฯ มีทั้งเชิงพาณิชย์, วิจัย, และทหาร รวมกว่า 11,655 ดวง
    ระบบดาวเทียมเช่น Starlink ของ Elon Musk มีบทบาทสำคัญในการให้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วโลก
    ระบบ SATCOM ถูกใช้ในสงคราม เช่น Operation Desert Storm ปี 19912
    ประเทศอื่นที่มีดาวเทียมจำนวนมาก ได้แก่ รัสเซีย (7,187 ดวง), จีน (5,330 ดวง), สหราชอาณาจักร (735 ดวง), ฝรั่งเศส (604 ดวง)

    คำเตือนจากการเพิ่มขึ้นของดาวเทียม
    ขยะอวกาศมีมากกว่า 32,750 ชิ้นที่ถูกติดตามแล้ว — เสี่ยงต่อการชนกันในวงโคจร
    มีฮาร์ดแวร์ใหม่ถูกส่งขึ้นไปถึง 7 ตันต่อวัน — เพิ่มความแออัดในอวกาศ
    การควบคุมการปล่อยดาวเทียมยังไม่มีมาตรฐานสากลที่ชัดเจน
    ดาวเทียมทางทหารอาจถูกใช้ในสงครามไซเบอร์หรือการสอดแนมประชาชน
    หากไม่มีการจัดการขยะอวกาศอย่างจริงจัง อาจเกิด “Kessler Syndrome” ที่ทำให้วงโคจรใช้งานไม่ได้

    https://www.slashgear.com/1961880/how-many-satellites-are-in-space-which-country-has-the-most/
    🛰️ “ดาวเทียมล้นวงโคจร! สหรัฐฯ ครองแชมป์ด้วย 9,203 ดวง ขณะที่โลกเพิ่มขึ้นวันละ 7 ตัน — จาก Sputnik สู่ยุค Starlink และสงครามอวกาศ” ย้อนกลับไปปี 1957 เมื่อ Sputnik 1 กลายเป็นดาวเทียมดวงแรกของโลกที่โคจรรอบโลกอย่างโดดเดี่ยว — วันนี้มันคงรู้สึกเหงาไม่ออก เพราะมีวัตถุมนุษย์สร้างกว่า 45,000 ชิ้นลอยอยู่ในอวกาศ และในจำนวนนี้มีดาวเทียมที่ยังทำงานอยู่ถึง 13,727 ดวงจาก 82 ประเทศทั่วโลก สหรัฐอเมริกาครองตำแหน่งผู้นำแบบทิ้งห่าง ด้วยจำนวนดาวเทียมถึง 9,203 ดวง มากกว่ารัสเซียที่ตามมาเป็นอันดับสองถึง 6 เท่า ส่วนจีนมี 1,121 ดวง และสหราชอาณาจักรมี 722 ดวง โดยในปี 2024 เพียงปีเดียว มีดาวเทียมใหม่ถูกส่งขึ้นไปถึง 2,695 ดวง — เทียบกับปี 2020 ที่มีเพียง 3,371 ดวงเท่านั้น1 ดาวเทียมเหล่านี้ไม่ได้มีไว้แค่ส่งสัญญาณทีวีหรือพยากรณ์อากาศ แต่ยังใช้ในงานที่หลากหลายอย่างไม่น่าเชื่อ เช่น การทำธุรกรรมทางการเงิน, การติดตามกระแสน้ำในมหาสมุทร, การควบคุมโครงข่ายพลังงาน, การสื่อสารทางทหาร, และแม้แต่การพาเถ้ากระดูกมนุษย์ไปโคจรรอบโลก ในด้านการทหาร สหรัฐฯ ก็ยังนำโด่งด้วยดาวเทียมทางทหารถึง 247 ดวง ตามด้วยจีน 157 ดวง และรัสเซีย 110 ดวง3 ดาวเทียมเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการสอดแนม, แจ้งเตือนการยิงขีปนาวุธ, สื่อสารภาคสนาม, และแม้แต่การป้องกันไซเบอร์ แม้จะมีประโยชน์มหาศาล แต่การเพิ่มขึ้นของดาวเทียมก็ทำให้เกิดปัญหา “ขยะอวกาศ” ที่กำลังทวีความรุนแรง โดยมีวัตถุที่ถูกติดตามแล้วกว่า 32,750 ชิ้น และมีฮาร์ดแวร์ใหม่ถูกส่งขึ้นไปถึง 7 ตันต่อวัน — ทำให้วงโคจรของโลกกลายเป็นพื้นที่แออัดที่อาจเกิดอุบัติเหตุได้ทุกเมื่อ ✅ สถานการณ์ดาวเทียมในปัจจุบัน ➡️ มีดาวเทียมที่ยังทำงานอยู่ 13,727 ดวง จาก 82 ประเทศและองค์กร ➡️ สหรัฐฯ มีมากที่สุดที่ 9,203 ดวง ตามด้วยรัสเซีย 1,471 ดวง และจีน 1,121 ดวง1 ➡️ ปี 2024 มีดาวเทียมใหม่เพิ่มขึ้น 2,695 ดวง เทียบกับ 3,371 ดวงในปี 2020 ✅ การใช้งานดาวเทียม ➡️ ใช้ในระบบนำทาง, อินเทอร์เน็ต, การพยากรณ์อากาศ, การสื่อสาร ➡️ ใช้ในธุรกรรมการเงิน เช่น การส่งข้อมูลบัตรเครดิตผ่านดาวเทียม ➡️ ใช้ในงานวิจัย เช่น กล้องโทรทรรศน์อวกาศ Hubble และการติดตามมหาสมุทร ➡️ ใช้ในพิธีกรรม เช่น การนำเถ้ากระดูกมนุษย์ไปโคจรรอบโลก ✅ ดาวเทียมทางทหาร ➡️ สหรัฐฯ มีดาวเทียมทางทหาร 247 ดวง มากที่สุดในโลก3 ➡️ จีนมี 157 ดวง, รัสเซีย 110 ดวง, ฝรั่งเศส 17 ดวง, อิสราเอล 12 ดวง ➡️ ใช้ในการสอดแนม, แจ้งเตือนภัย, GPS, และการสื่อสารภาคสนาม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ดาวเทียมของสหรัฐฯ มีทั้งเชิงพาณิชย์, วิจัย, และทหาร รวมกว่า 11,655 ดวง ➡️ ระบบดาวเทียมเช่น Starlink ของ Elon Musk มีบทบาทสำคัญในการให้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วโลก ➡️ ระบบ SATCOM ถูกใช้ในสงคราม เช่น Operation Desert Storm ปี 19912 ➡️ ประเทศอื่นที่มีดาวเทียมจำนวนมาก ได้แก่ รัสเซีย (7,187 ดวง), จีน (5,330 ดวง), สหราชอาณาจักร (735 ดวง), ฝรั่งเศส (604 ดวง) ‼️ คำเตือนจากการเพิ่มขึ้นของดาวเทียม ⛔ ขยะอวกาศมีมากกว่า 32,750 ชิ้นที่ถูกติดตามแล้ว — เสี่ยงต่อการชนกันในวงโคจร ⛔ มีฮาร์ดแวร์ใหม่ถูกส่งขึ้นไปถึง 7 ตันต่อวัน — เพิ่มความแออัดในอวกาศ ⛔ การควบคุมการปล่อยดาวเทียมยังไม่มีมาตรฐานสากลที่ชัดเจน ⛔ ดาวเทียมทางทหารอาจถูกใช้ในสงครามไซเบอร์หรือการสอดแนมประชาชน ⛔ หากไม่มีการจัดการขยะอวกาศอย่างจริงจัง อาจเกิด “Kessler Syndrome” ที่ทำให้วงโคจรใช้งานไม่ได้ https://www.slashgear.com/1961880/how-many-satellites-are-in-space-which-country-has-the-most/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    How Many Satellites Are In Space And Which Country Has The Most? - SlashGear
    Around 13,700 satellites orbit Earth, and with over 9,000, the U.S. owns the most. It's way ahead of any other nation, including Russia, China, and the U.K.
    0 Comments 0 Shares 147 Views 0 Reviews
  • “นิวเม็กซิโกประกาศใช้ ‘Universal Child Care’ เป็นรัฐแรกในสหรัฐฯ — ดูแลเด็กทุกคนฟรี ไม่จำกัดรายได้!”

    ลองจินตนาการว่าคุณเป็นพ่อแม่ในรัฐนิวเม็กซิโก ที่ต้องจ่ายค่าเนอร์สเซอรี่หรือศูนย์ดูแลเด็กเดือนละหลายร้อยดอลลาร์ — แล้ววันหนึ่งรัฐประกาศว่า “ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายนนี้ ทุกครอบครัวจะได้รับสิทธิ์ดูแลเด็กฟรี โดยไม่ต้องสนใจรายได้” นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปี 2025 และถือเป็นก้าวประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา

    ผู้ว่าการรัฐ Michelle Lujan Grisham ร่วมกับกรมการศึกษาปฐมวัยของรัฐ (ECECD) ประกาศว่า นิวเม็กซิโกจะเป็นรัฐแรกที่ให้บริการดูแลเด็กแบบ “ฟรีถ้วนหน้า” โดยยกเลิกข้อกำหนดด้านรายได้ และยังคงยกเว้นค่า copay สำหรับครอบครัวทั้งหมด

    นโยบายนี้ต่อยอดจากความพยายามตั้งแต่ปี 2019 ที่รัฐเริ่มขยายสิทธิ์ให้ครอบครัวที่มีรายได้ไม่เกิน 400% ของระดับความยากจนของรัฐบาลกลาง และตอนนี้จะครอบคลุมทุกครอบครัวโดยไม่จำกัดรายได้ — คิดเป็นการประหยัดเฉลี่ยปีละ $12,000 ต่อเด็กหนึ่งคน

    นอกจากการให้สิทธิ์ฟรี รัฐยังลงทุนเพิ่มในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น กองทุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ $12.7 ล้าน เพื่อสร้างและปรับปรุงศูนย์ดูแลเด็ก และขอเพิ่มงบอีก $20 ล้านในปีงบประมาณ 2027 พร้อมทั้งเพิ่มค่าตอบแทนให้ผู้ดูแลเด็ก โดยกำหนดขั้นต่ำ $18 ต่อชั่วโมง และให้สิทธิพิเศษกับศูนย์ที่เปิดบริการ 10 ชั่วโมงต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์

    เป้าหมายคือการเพิ่มจำนวนบุคลากรอีก 5,000 คนทั่วรัฐ เพื่อรองรับระบบถ้วนหน้าอย่างเต็มรูปแบบ และสร้างระบบที่ยั่งยืนสำหรับเด็กเล็ก ครอบครัว และเศรษฐกิจของรัฐในระยะยาว

    การประกาศใช้นโยบาย Universal Child Care
    เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2025
    ยกเลิกข้อกำหนดด้านรายได้ในการรับสิทธิ์
    ยังคงยกเว้นค่า copay สำหรับทุกครอบครัว
    ประหยัดเฉลี่ย $12,000 ต่อเด็กหนึ่งคนต่อปี

    การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
    กองทุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ $12.7 ล้านสำหรับสร้างและปรับปรุงศูนย์ดูแลเด็ก
    ขอเพิ่มงบอีก $20 ล้านในปีงบประมาณ 2027
    เน้นการขยายบริการสำหรับเด็กเล็ก, ครอบครัวยากจน และเด็กพิเศษ

    การสนับสนุนผู้ให้บริการ
    เพิ่มอัตราการจ่ายให้สะท้อนต้นทุนจริง
    ศูนย์ที่จ่ายขั้นต่ำ $18/ชม. และเปิดบริการ 10 ชม./วัน จะได้รับอัตราส่งเสริม
    เปิดแคมเปญทั่วรัฐเพื่อรับสมัครผู้ให้บริการแบบบ้าน (home providers)

    ผลกระทบต่อครอบครัวและเศรษฐกิจ
    ครอบครัวมีเสถียรภาพทางการเงินมากขึ้น
    มีเวลามากขึ้นในการดูแลลูกและเลือกศูนย์ที่มีคุณภาพ
    ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในตลาดแรงงาน
    สร้างผลลัพธ์ที่ดีในด้านสุขภาพ การเรียนรู้ และความเป็นอยู่ของเด็ก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Save the Children Action Network ยกย่องนโยบายนี้ว่าเป็นต้นแบบระดับชาติ
    นโยบายนี้ต่อยอดจากการตั้งกองทุน Early Childhood Trust Fund และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
    นักวิชาการชี้ว่าเป็นการลงทุนที่สร้างความเท่าเทียมและความมั่นคงในระยะยาว
    นิวเม็กซิโกเคยเป็นผู้นำด้าน universal preschool และการปรับค่าจ้างครูเด็กเล็ก

    https://www.governor.state.nm.us/2025/09/08/new-mexico-is-first-state-in-nation-to-offer-universal-child-care/
    👶 “นิวเม็กซิโกประกาศใช้ ‘Universal Child Care’ เป็นรัฐแรกในสหรัฐฯ — ดูแลเด็กทุกคนฟรี ไม่จำกัดรายได้!” ลองจินตนาการว่าคุณเป็นพ่อแม่ในรัฐนิวเม็กซิโก ที่ต้องจ่ายค่าเนอร์สเซอรี่หรือศูนย์ดูแลเด็กเดือนละหลายร้อยดอลลาร์ — แล้ววันหนึ่งรัฐประกาศว่า “ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายนนี้ ทุกครอบครัวจะได้รับสิทธิ์ดูแลเด็กฟรี โดยไม่ต้องสนใจรายได้” นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปี 2025 และถือเป็นก้าวประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ผู้ว่าการรัฐ Michelle Lujan Grisham ร่วมกับกรมการศึกษาปฐมวัยของรัฐ (ECECD) ประกาศว่า นิวเม็กซิโกจะเป็นรัฐแรกที่ให้บริการดูแลเด็กแบบ “ฟรีถ้วนหน้า” โดยยกเลิกข้อกำหนดด้านรายได้ และยังคงยกเว้นค่า copay สำหรับครอบครัวทั้งหมด นโยบายนี้ต่อยอดจากความพยายามตั้งแต่ปี 2019 ที่รัฐเริ่มขยายสิทธิ์ให้ครอบครัวที่มีรายได้ไม่เกิน 400% ของระดับความยากจนของรัฐบาลกลาง และตอนนี้จะครอบคลุมทุกครอบครัวโดยไม่จำกัดรายได้ — คิดเป็นการประหยัดเฉลี่ยปีละ $12,000 ต่อเด็กหนึ่งคน นอกจากการให้สิทธิ์ฟรี รัฐยังลงทุนเพิ่มในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น กองทุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ $12.7 ล้าน เพื่อสร้างและปรับปรุงศูนย์ดูแลเด็ก และขอเพิ่มงบอีก $20 ล้านในปีงบประมาณ 2027 พร้อมทั้งเพิ่มค่าตอบแทนให้ผู้ดูแลเด็ก โดยกำหนดขั้นต่ำ $18 ต่อชั่วโมง และให้สิทธิพิเศษกับศูนย์ที่เปิดบริการ 10 ชั่วโมงต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์ เป้าหมายคือการเพิ่มจำนวนบุคลากรอีก 5,000 คนทั่วรัฐ เพื่อรองรับระบบถ้วนหน้าอย่างเต็มรูปแบบ และสร้างระบบที่ยั่งยืนสำหรับเด็กเล็ก ครอบครัว และเศรษฐกิจของรัฐในระยะยาว ✅ การประกาศใช้นโยบาย Universal Child Care ➡️ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2025 ➡️ ยกเลิกข้อกำหนดด้านรายได้ในการรับสิทธิ์ ➡️ ยังคงยกเว้นค่า copay สำหรับทุกครอบครัว ➡️ ประหยัดเฉลี่ย $12,000 ต่อเด็กหนึ่งคนต่อปี ✅ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ กองทุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ $12.7 ล้านสำหรับสร้างและปรับปรุงศูนย์ดูแลเด็ก ➡️ ขอเพิ่มงบอีก $20 ล้านในปีงบประมาณ 2027 ➡️ เน้นการขยายบริการสำหรับเด็กเล็ก, ครอบครัวยากจน และเด็กพิเศษ ✅ การสนับสนุนผู้ให้บริการ ➡️ เพิ่มอัตราการจ่ายให้สะท้อนต้นทุนจริง ➡️ ศูนย์ที่จ่ายขั้นต่ำ $18/ชม. และเปิดบริการ 10 ชม./วัน จะได้รับอัตราส่งเสริม ➡️ เปิดแคมเปญทั่วรัฐเพื่อรับสมัครผู้ให้บริการแบบบ้าน (home providers) ✅ ผลกระทบต่อครอบครัวและเศรษฐกิจ ➡️ ครอบครัวมีเสถียรภาพทางการเงินมากขึ้น ➡️ มีเวลามากขึ้นในการดูแลลูกและเลือกศูนย์ที่มีคุณภาพ ➡️ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในตลาดแรงงาน ➡️ สร้างผลลัพธ์ที่ดีในด้านสุขภาพ การเรียนรู้ และความเป็นอยู่ของเด็ก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Save the Children Action Network ยกย่องนโยบายนี้ว่าเป็นต้นแบบระดับชาติ ➡️ นโยบายนี้ต่อยอดจากการตั้งกองทุน Early Childhood Trust Fund และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ➡️ นักวิชาการชี้ว่าเป็นการลงทุนที่สร้างความเท่าเทียมและความมั่นคงในระยะยาว ➡️ นิวเม็กซิโกเคยเป็นผู้นำด้าน universal preschool และการปรับค่าจ้างครูเด็กเล็ก https://www.governor.state.nm.us/2025/09/08/new-mexico-is-first-state-in-nation-to-offer-universal-child-care/
    WWW.GOVERNOR.STATE.NM.US
    New Mexico is first state in nation to offer universal child care - Office of the Governor - Michelle Lujan Grisham
    [et_pb_section fb_built=”1″ fullwidth=”on” _builder_version=”3.19.5″ background_image=”https://www.governor.state.nm.us/wp-content/uploads/2018/12/press-release.jpg” global_module=”236″ saved_tabs=”all” locked=”off” global_colors_info=”{}” theme_builder_area=”post_content”][et_pb_fullwidth_header title=”PRESS RELEASES” _builder_version=”4.16″ title_font=”|||on|||||” title_font_size=”50px” use_background_color_gradient=”on” background_color_gradient_direction=”90deg” background_color_gradient_stops=”#141a3d 16%|rgba(20,26,61,0) 100%” background_color_gradient_overlays_image=”on” background_color_gradient_start=”#141a3d” background_color_gradient_start_position=”16%” background_color_gradient_end=”rgba(20,26,61,0)” background_image=”https://www.governor.state.nm.us/wp-content/uploads/2018/12/press-release.jpg” custom_margin=”|0px||0px||true” custom_padding=”|0px||0px||true” global_colors_info=”{}” theme_builder_area=”post_content”][/et_pb_fullwidth_header][/et_pb_section][et_pb_section fb_built=”1″ _builder_version=”4.17.4″ width=”100%” custom_margin=”0px|0px|0px|0px|true|true” custom_padding=”0px|0px|0px|0px|true|true” global_module=”200″ locked=”on” global_colors_info=”{}” theme_builder_area=”post_content”][et_pb_row use_custom_gutter=”on” gutter_width=”1″ module_class=” et_pb_row_fullwidth” _builder_version=”4.16″ width=”100%” width_tablet=”100%” width_phone=”” width_last_edited=”on|desktop” max_width=”100%” max_width_tablet=”100%” max_width_phone=”” max_width_last_edited=”on|desktop” custom_margin=”0px|0px|0px|0px|true|true” custom_padding=”0px||0px|0px” make_fullwidth=”on” locked=”on” […]
    0 Comments 0 Shares 139 Views 0 Reviews
More Results