• เกี่ยวกับคะแนนนิยม 57% ที่เซเลนสกีใช้ตอบโต้ทรัมป์ เป็นผลสำรวจที่จัดทำขึ้นโดย สถาบันสังคมวิทยานานาชาติ Kyiv หรือ KIIS ซึ่งได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก USAID และสำหรับการทำโพลครั้งนี้ เป็นดารจัดทำขึ้นโดย อันตอน ฮรูเชตสกี (Anton Hrushetskyi) ซึ่งเป็นชาวยูเครนที่มีแนวคิดคลั่งชาติอย่างมาก จึงเป็นไปได้สูงว่าผลสำรวจดังกล่าวไม่น่าเชื่อถือ


    ทางด้าน อีลอน มัสก์ ได้โพสต์ข้อความว่า :
    "น่าเสียดายที่ CommunityNotes ถูกแทรกแซงโดยรัฐบาลและสื่อกระแสหลักมากขึ้นเรื่อยๆ
    เรากำลังดำเนินการแก้ไขปัญหานี้ มันควรจะเป็นเรื่องที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า โพลที่ควบคุมโดยเซเลนสกีเกี่ยวกับคะแนนนิยมของตัวเองนั้นไม่น่าเชื่อถืออย่างสิ้นเชิง!!

    ถ้าเซเลนสกีได้รับความรักจากประชาชนยูเครนจริง เขาคงจัดการเลือกตั้งไปแล้ว แต่เขารู้ดีว่าเขาจะแพ้อย่างย่อยยับ แม้จะเข้ายึดการควบคุมสื่อทั้งหมดของยูเครนไปแล้วก็ตาม ดังนั้นเขาจึงยกเลิกการเลือกตั้ง

    ความจริงก็คือ ประชาชนยูเครนรังเกียจเขา และนั่นคือเหตุผลที่เขาปฏิเสธที่จะจัดการเลือกตั้ง ผมท้าให้เซเลนสกีจัดการเลือกตั้งเพื่อพิสูจน์สิ่งนี้ แต่เขาจะไม่ทำ

    ประธานาธิบดีทรัมป์คิดถูกที่ไม่สนใจเขา และหาทางยุติสงครามโดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับระบบคอร์รัปชันขนาดมหึมาที่แสวงหาผลประโยชน์จากศพของทหารยูเครน"


    ข้อกล่าวอ้างว่าเซเลนสกีมีคะแนนนิยม 57% มาจากสถาบันสังคมวิทยานานาชาติ Kyiv (KIIS) ซึ่งได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก USAID สำหรับการทำโพล นอกจากนี้ สถาบันนี้ยังดำเนินการโดย อันตอน ฮรูเชตสกี (Anton Hrushetskyi) ซึ่งเป็นชาวยูเครนที่มีแนวคิดคลั่งชาติอย่างมาก จึงเป็นไปได้สูงว่าผลสำรวจดังกล่าวไม่น่าเชื่อถือ
    เกี่ยวกับคะแนนนิยม 57% ที่เซเลนสกีใช้ตอบโต้ทรัมป์ เป็นผลสำรวจที่จัดทำขึ้นโดย สถาบันสังคมวิทยานานาชาติ Kyiv หรือ KIIS ซึ่งได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก USAID และสำหรับการทำโพลครั้งนี้ เป็นดารจัดทำขึ้นโดย อันตอน ฮรูเชตสกี (Anton Hrushetskyi) ซึ่งเป็นชาวยูเครนที่มีแนวคิดคลั่งชาติอย่างมาก จึงเป็นไปได้สูงว่าผลสำรวจดังกล่าวไม่น่าเชื่อถือ ทางด้าน อีลอน มัสก์ ได้โพสต์ข้อความว่า : "น่าเสียดายที่ CommunityNotes ถูกแทรกแซงโดยรัฐบาลและสื่อกระแสหลักมากขึ้นเรื่อยๆ เรากำลังดำเนินการแก้ไขปัญหานี้ มันควรจะเป็นเรื่องที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า โพลที่ควบคุมโดยเซเลนสกีเกี่ยวกับคะแนนนิยมของตัวเองนั้นไม่น่าเชื่อถืออย่างสิ้นเชิง!! ถ้าเซเลนสกีได้รับความรักจากประชาชนยูเครนจริง เขาคงจัดการเลือกตั้งไปแล้ว แต่เขารู้ดีว่าเขาจะแพ้อย่างย่อยยับ แม้จะเข้ายึดการควบคุมสื่อทั้งหมดของยูเครนไปแล้วก็ตาม ดังนั้นเขาจึงยกเลิกการเลือกตั้ง ความจริงก็คือ ประชาชนยูเครนรังเกียจเขา และนั่นคือเหตุผลที่เขาปฏิเสธที่จะจัดการเลือกตั้ง ผมท้าให้เซเลนสกีจัดการเลือกตั้งเพื่อพิสูจน์สิ่งนี้ แต่เขาจะไม่ทำ ประธานาธิบดีทรัมป์คิดถูกที่ไม่สนใจเขา และหาทางยุติสงครามโดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับระบบคอร์รัปชันขนาดมหึมาที่แสวงหาผลประโยชน์จากศพของทหารยูเครน" ข้อกล่าวอ้างว่าเซเลนสกีมีคะแนนนิยม 57% มาจากสถาบันสังคมวิทยานานาชาติ Kyiv (KIIS) ซึ่งได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก USAID สำหรับการทำโพล นอกจากนี้ สถาบันนี้ยังดำเนินการโดย อันตอน ฮรูเชตสกี (Anton Hrushetskyi) ซึ่งเป็นชาวยูเครนที่มีแนวคิดคลั่งชาติอย่างมาก จึงเป็นไปได้สูงว่าผลสำรวจดังกล่าวไม่น่าเชื่อถือ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 175 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความอาย: ด่านสำคัญของจิตที่กำหนดเส้นทางกรรม

    "ความอาย" เป็นสิ่งที่ติดตัวมนุษย์มาแต่เกิด เป็นกลไกทางจิตใจที่ช่วยกำกับพฤติกรรม แต่ในขณะเดียวกัน ความอายก็สามารถเป็นทั้งตัวฉุดรั้งและตัวผลักดันให้คนเราเดินไปในเส้นทางกรรมที่แตกต่างกัน


    ---

    🔹 ประเภทของความอายและผลกระทบต่อชีวิต

    1️⃣ ความอายเรื่องรูปลักษณ์: เปลี่ยนไปตามกาลเวลา

    ✅ บางช่วงชีวิต คนเราอาจรู้สึกอายกับหน้าตา รูปร่าง หรือการแต่งกาย

    บางวันไม่มั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเอง

    บางช่วงชีวิตรู้สึกว่าต้องสวย ต้องดูดี เพื่อให้ได้รับการยอมรับ

    แต่เมื่อโตขึ้น โฟกัสจะเปลี่ยนไปจากรูปลักษณ์เป็น “ผลงาน” หรือ “การกระทำ”

    สุดท้ายคนเรามักเลิกสนใจว่าตัวเองดูเป็นอย่างไร และสนใจว่าตัวเอง “เป็นคนอย่างไร” แทน


    💡 ความอายเรื่องรูปลักษณ์จึงเป็นเพียงอารมณ์ชั่วคราว และสามารถเปลี่ยนแปลงได้


    ---

    2️⃣ ความอายเรื่องร่างกาย: สัญชาตญาณ vs. ค่านิยม

    ✅ มนุษย์มีสัญชาตญาณในการปกปิดร่างกายโดยธรรมชาติ

    การไม่เปิดเผยของลับเป็นสัญชาตญาณปกติของมนุษย์

    แต่เมื่อค่านิยมของสังคมเปลี่ยนไป ความรู้สึกอายนี้ก็ถูกลดทอนลง

    เมื่อค่านิยมทางสังคมผลักดันให้ “ความไม่อาย” กลายเป็นแฟชั่น → จิตใจจะหยาบขึ้นโดยไม่รู้ตัว

    และนี่เองคือสาเหตุที่เมื่อค่านิยมเปลี่ยนไป → ศีลธรรมก็เปลี่ยนตาม


    💡 ถ้าสัญชาตญาณการอายที่สุกงอมถูกกดทับ ความหยาบจะเข้ามาแทนที่ และเปิดโอกาสให้บาปกรรมเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น


    ---

    3️⃣ ความอายบาป: เส้นกั้นระหว่างมนุษย์กับอบายภูมิ

    ✅ ความอายต่อบาปเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เพราะมนุษย์มีบุญหนุนนำให้เกิดมา

    ความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นหลังทำสิ่งไม่ดี → เป็นเครื่องยืนยันว่าจิตยังมี “ศีลธรรม” อยู่

    แต่ถ้าครั้งหนึ่งเคยทำบาปแล้วไม่รู้สึกผิด → ครั้งต่อไปจะทำได้ง่ายขึ้น

    ตัวอย่างเช่น:

    ยืมเงินคนอื่นแล้วไม่คืน → ถ้ารู้สึกผิด อาจหาโอกาสคืน

    แต่ถ้าไม่รู้สึกผิด → จะทำอีกได้โดยไม่ลังเล

    และหากทำซ้ำๆ → อาจพัฒนาไปสู่พฤติกรรมทุจริตที่ร้ายแรงขึ้น



    💡 หากชนะความละอายต่อบาปได้ครั้งหนึ่ง → บาปจะเกิดง่ายขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นธรรมชาติของจิต


    ---

    4️⃣ ความอายบุญ: อุปสรรคของการทำดี

    ✅ แปลกแต่จริง: คนเรามักรู้สึกอายเมื่อต้องทำบุญหรือทำความดีต่อหน้าคนอื่น

    เช่น เห็นคนตาบอดกำลังข้ามถนน → อยากช่วยแต่รู้สึกกระดาก

    เห็นคนมอเตอร์ไซค์ล้ม → อยากช่วยพยุงแต่ก็ลังเล

    อยากพูดเรื่องธรรมะ → แต่กลัวเพื่อนล้อ


    💡 ความอายประเภทนี้ ทำให้พลาดโอกาสสร้างบุญไปอย่างน่าเสียดาย

    💭 หากพิจารณาดีๆ จะพบว่าความอายที่แท้จริง คือ "อายต่อการทำดี" ต่างหากที่ควรปล่อยวาง


    ---

    🔹 วิธีบริหารความอายให้เป็นประโยชน์

    ✅ 1️⃣ ความอายเรื่องรูปลักษณ์ → เปลี่ยนโฟกัสจาก “ภายนอก” เป็น “ภายใน”

    ฝึกมองตัวเองจากมุมมองของคุณค่าที่แท้จริง → เช่น เราเป็นคนมีน้ำใจไหม? เราเป็นคนขยันไหม?

    ฝึกมองคนอื่นจากผลงาน มากกว่ารูปลักษณ์


    ✅ 2️⃣ ความอายเรื่องร่างกาย → ตระหนักว่าสังคมอาจมีอิทธิพลต่อจิตใจเรา

    เลือกเสพสื่อที่ไม่บิดเบือนจิตใจให้หยาบลง

    ฝึกสังเกตความรู้สึกตัวเองว่าอะไรคือ “ธรรมชาติของจิต” และอะไรคือ “สิ่งที่สังคมปลูกฝัง”


    ✅ 3️⃣ ความอายบาป → ใช้เป็นตัววัดจิตใจตนเอง

    ถ้าเคยทำผิดแล้วรู้สึกผิด → นั่นคือสัญญาณที่ดี แสดงว่าจิตยังมีศีลธรรม

    หากรู้สึกผิดแต่แก้ไขไม่ได้ทันที → ให้ตั้งใจแก้ไขเมื่อมีโอกาส


    ✅ 4️⃣ ความอายบุญ → ฝึกทำความดีอย่างมั่นใจ

    ถ้าอยากช่วยคน แต่รู้สึกอาย → ให้ลองนึกว่า "ถ้าเราเป็นคนที่ต้องการความช่วยเหลือล่ะ?"

    ถ้ากลัวคนล้อเรื่องทำดี → ให้ยึดมั่นว่า "ดีคือดี" ไม่จำเป็นต้องอาย



    ---

    🔹 สรุป: บริหารความอายให้ถูกทาง

    💡 ความอายที่ดี → ทำให้เรารู้จักปกป้องศีลธรรม
    💡 ความอายที่ไม่ดี → ทำให้เราพลาดโอกาสทำความดี
    💡 หากฝึกสติให้มากพอ จะสามารถแยกแยะได้ว่า "ความอายแบบไหน ควรรักษา" และ "ความอายแบบไหน ควรปล่อยวาง"

    📌 สุดท้ายแล้ว จิตใจที่พัฒนา คือจิตที่รู้ว่าอะไรควรอาย และอะไรไม่ควรอาย!

    ความอาย: ด่านสำคัญของจิตที่กำหนดเส้นทางกรรม "ความอาย" เป็นสิ่งที่ติดตัวมนุษย์มาแต่เกิด เป็นกลไกทางจิตใจที่ช่วยกำกับพฤติกรรม แต่ในขณะเดียวกัน ความอายก็สามารถเป็นทั้งตัวฉุดรั้งและตัวผลักดันให้คนเราเดินไปในเส้นทางกรรมที่แตกต่างกัน --- 🔹 ประเภทของความอายและผลกระทบต่อชีวิต 1️⃣ ความอายเรื่องรูปลักษณ์: เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ✅ บางช่วงชีวิต คนเราอาจรู้สึกอายกับหน้าตา รูปร่าง หรือการแต่งกาย บางวันไม่มั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเอง บางช่วงชีวิตรู้สึกว่าต้องสวย ต้องดูดี เพื่อให้ได้รับการยอมรับ แต่เมื่อโตขึ้น โฟกัสจะเปลี่ยนไปจากรูปลักษณ์เป็น “ผลงาน” หรือ “การกระทำ” สุดท้ายคนเรามักเลิกสนใจว่าตัวเองดูเป็นอย่างไร และสนใจว่าตัวเอง “เป็นคนอย่างไร” แทน 💡 ความอายเรื่องรูปลักษณ์จึงเป็นเพียงอารมณ์ชั่วคราว และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ --- 2️⃣ ความอายเรื่องร่างกาย: สัญชาตญาณ vs. ค่านิยม ✅ มนุษย์มีสัญชาตญาณในการปกปิดร่างกายโดยธรรมชาติ การไม่เปิดเผยของลับเป็นสัญชาตญาณปกติของมนุษย์ แต่เมื่อค่านิยมของสังคมเปลี่ยนไป ความรู้สึกอายนี้ก็ถูกลดทอนลง เมื่อค่านิยมทางสังคมผลักดันให้ “ความไม่อาย” กลายเป็นแฟชั่น → จิตใจจะหยาบขึ้นโดยไม่รู้ตัว และนี่เองคือสาเหตุที่เมื่อค่านิยมเปลี่ยนไป → ศีลธรรมก็เปลี่ยนตาม 💡 ถ้าสัญชาตญาณการอายที่สุกงอมถูกกดทับ ความหยาบจะเข้ามาแทนที่ และเปิดโอกาสให้บาปกรรมเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น --- 3️⃣ ความอายบาป: เส้นกั้นระหว่างมนุษย์กับอบายภูมิ ✅ ความอายต่อบาปเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เพราะมนุษย์มีบุญหนุนนำให้เกิดมา ความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นหลังทำสิ่งไม่ดี → เป็นเครื่องยืนยันว่าจิตยังมี “ศีลธรรม” อยู่ แต่ถ้าครั้งหนึ่งเคยทำบาปแล้วไม่รู้สึกผิด → ครั้งต่อไปจะทำได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น: ยืมเงินคนอื่นแล้วไม่คืน → ถ้ารู้สึกผิด อาจหาโอกาสคืน แต่ถ้าไม่รู้สึกผิด → จะทำอีกได้โดยไม่ลังเล และหากทำซ้ำๆ → อาจพัฒนาไปสู่พฤติกรรมทุจริตที่ร้ายแรงขึ้น 💡 หากชนะความละอายต่อบาปได้ครั้งหนึ่ง → บาปจะเกิดง่ายขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นธรรมชาติของจิต --- 4️⃣ ความอายบุญ: อุปสรรคของการทำดี ✅ แปลกแต่จริง: คนเรามักรู้สึกอายเมื่อต้องทำบุญหรือทำความดีต่อหน้าคนอื่น เช่น เห็นคนตาบอดกำลังข้ามถนน → อยากช่วยแต่รู้สึกกระดาก เห็นคนมอเตอร์ไซค์ล้ม → อยากช่วยพยุงแต่ก็ลังเล อยากพูดเรื่องธรรมะ → แต่กลัวเพื่อนล้อ 💡 ความอายประเภทนี้ ทำให้พลาดโอกาสสร้างบุญไปอย่างน่าเสียดาย 💭 หากพิจารณาดีๆ จะพบว่าความอายที่แท้จริง คือ "อายต่อการทำดี" ต่างหากที่ควรปล่อยวาง --- 🔹 วิธีบริหารความอายให้เป็นประโยชน์ ✅ 1️⃣ ความอายเรื่องรูปลักษณ์ → เปลี่ยนโฟกัสจาก “ภายนอก” เป็น “ภายใน” ฝึกมองตัวเองจากมุมมองของคุณค่าที่แท้จริง → เช่น เราเป็นคนมีน้ำใจไหม? เราเป็นคนขยันไหม? ฝึกมองคนอื่นจากผลงาน มากกว่ารูปลักษณ์ ✅ 2️⃣ ความอายเรื่องร่างกาย → ตระหนักว่าสังคมอาจมีอิทธิพลต่อจิตใจเรา เลือกเสพสื่อที่ไม่บิดเบือนจิตใจให้หยาบลง ฝึกสังเกตความรู้สึกตัวเองว่าอะไรคือ “ธรรมชาติของจิต” และอะไรคือ “สิ่งที่สังคมปลูกฝัง” ✅ 3️⃣ ความอายบาป → ใช้เป็นตัววัดจิตใจตนเอง ถ้าเคยทำผิดแล้วรู้สึกผิด → นั่นคือสัญญาณที่ดี แสดงว่าจิตยังมีศีลธรรม หากรู้สึกผิดแต่แก้ไขไม่ได้ทันที → ให้ตั้งใจแก้ไขเมื่อมีโอกาส ✅ 4️⃣ ความอายบุญ → ฝึกทำความดีอย่างมั่นใจ ถ้าอยากช่วยคน แต่รู้สึกอาย → ให้ลองนึกว่า "ถ้าเราเป็นคนที่ต้องการความช่วยเหลือล่ะ?" ถ้ากลัวคนล้อเรื่องทำดี → ให้ยึดมั่นว่า "ดีคือดี" ไม่จำเป็นต้องอาย --- 🔹 สรุป: บริหารความอายให้ถูกทาง 💡 ความอายที่ดี → ทำให้เรารู้จักปกป้องศีลธรรม 💡 ความอายที่ไม่ดี → ทำให้เราพลาดโอกาสทำความดี 💡 หากฝึกสติให้มากพอ จะสามารถแยกแยะได้ว่า "ความอายแบบไหน ควรรักษา" และ "ความอายแบบไหน ควรปล่อยวาง" 📌 สุดท้ายแล้ว จิตใจที่พัฒนา คือจิตที่รู้ว่าอะไรควรอาย และอะไรไม่ควรอาย!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 86 มุมมอง 0 รีวิว
  • เซเลนสกี้กล่าวว่าทรัมป์อาศัยอยู่บน 'พื้นที่ข้อมูลบิดเบือน'

    โวโลดิมีร์ เซเลนสกี กล่าวหาโดนัลด์ ทรัมป์ว่าให้ข้อมูลเท็จซ้ำแล้วซ้ำเล่า หนึ่งวันหลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวหายูเครนอย่างเท็จว่าเริ่มสงครามกับรัสเซีย

    - ความคิดเห็นของเซเลนสกี้ เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่กำลังก่อตัวเป็นการแลกเปลี่ยนข้อกล่าวหาต่อสาธารณะมากที่สุดระหว่างเคียฟและวอชิงตัน นับตั้งแต่สงครามเต็มรูปแบบเริ่มต้นขึ้นเมื่อเกือบ 3 ปีก่อน
    .
    - เมื่อพูดคุยกับผู้สื่อข่าวในกรุงเคียฟ เซเลนสกีได้โต้แย้งคำกล่าวอ้างที่ไม่มีมูลความจริงหลายกรณีที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันอังคาร ขณะเดียวกันก็ย้ำจุดยืนของยูเครนว่าข้อตกลงยุติสงครามต้องได้รับการมีส่วนร่วมจากยูเครน
    .
    - “น่าเสียดายที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ผมเคารพเขามากในฐานะผู้นำของประเทศที่เราเคารพนับถืออย่างยิ่ง ประชาชนชาวอเมริกันที่สนับสนุนเราเสมอ น่าเสียดายที่เขาต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งข้อมูลบิดเบือน” เซเลนสกีกล่าว
    .
    - เจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ และรัสเซียได้จัดการเจรจาระดับสูงเพื่อยุติสงครามในยูเครน ณ กรุงริยาด เมืองหลวงของซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันอังคาร โดยการประชุมครั้งนี้ไม่ได้จัดขึ้นที่กรุงเคียฟ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องแต่งตั้งคณะทำงานระดับสูงเพื่อเจรจายุติสงคราม และกล่าวว่าพวกเขากำลังดำเนินการเพื่อสร้างช่องทางการทูตขึ้นใหม่
    .
    - เซเลนสกีกล่าวว่า แม้ประเทศใดๆ ก็มีสิทธิที่จะหารือเรื่องปัญหาทวิภาคีกับซาอุดีอาระเบีย แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าสหรัฐฯ จัดการเจรจาโดยตรงกับรัสเซียนั้น “ช่วยให้ปูตินพ้นจากความโดดเดี่ยวอันยาวนานได้”
    .
    - การร้องเรียนของเคียฟเรื่องการถูกปิดกั้นไม่ให้เข้าร่วมการเจรจาเป็นชนวนให้ทรัมป์ออกมาโจมตีด้วยความเท็จในวันอังคาร
    .
    - ทรัมป์กล่าวเมื่อช่วงดึกของวันอังคารว่า “วันนี้ผมได้ยินว่า ‘โอ้ เราไม่ได้รับเชิญเลย คุณอยู่ที่นั่นมาสามปีแล้ว คุณควรยุติเรื่องนี้หลังจากสามปี คุณไม่ควรเริ่มเรื่องนี้เลย คุณควรทำข้อตกลงได้แล้ว”
    .
    - ความคิดเห็นของทรัมป์ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในกรุงมอสโก โดยที่รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ ชื่นชมประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่สะท้อนคำพูดของเครมลิน และกล่าวต่อรัฐสภารัสเซีย หรือดูมา ว่าทรัมป์ดูเหมือนจะ "เข้าใจจุดยืนของพวกเรา"
    .
    - “ผมคิดว่าทรัมป์เป็นผู้นำตะวันตกคนแรกที่ออกมาพูดต่อสาธารณะว่าสาเหตุของความขัดแย้งในยูเครนคือความพยายามของรัฐบาลชุดก่อนที่จะขยายนาโต” ลาฟรอฟกล่าวกับสมาชิกรัฐสภาเมื่อวันพุธ “ไม่มีผู้นำตะวันตกคนใดเคยพูดแบบนั้นมาก่อน ดังนั้น นั่นจึงเป็นสัญญาณว่าเขาเข้าใจจุดยืนของเราแล้ว”
    .
    - รัสเซียโต้แย้งมานานแล้วว่าการขยายตัวของนาโต้ไปทางตะวันออกทำให้ความมั่นคงของประเทศตกอยู่ในอันตราย โดยผู้นำนาโต้สัญญากับรัสเซียว่าพันธมิตรป้องกันประเทศจะไม่ขยายตัวหลังจากสงครามเย็นสิ้นสุดลง นาโต้มีนโยบายเปิดประตูต้อนรับรัฐในยุโรปทุกรัฐให้เข้าร่วมตราบใดที่รัฐเหล่านั้นตรงตามเกณฑ์การเข้าร่วม
    .
    - แต่ทรัมป์ไม่ได้หยุดเพียงแค่ตั้งคำถามว่าใครเป็นคนเริ่มสงครามในยูเครน โดยทรัมป์ยังคงตั้งคำถามถึงความชอบธรรมของเซเลนสกี โดยเขาพูดซ้ำแนวทางที่เครมลินมักจะเสนออยู่เสมอ
    .
    - เมื่อวันพุธที่ผ่านมา เซเลนสกีระบุโดยเฉพาะว่าการอ้างว่าคะแนนนิยมของเขาอยู่ที่ 4% มาจากรัสเซีย และเคียฟก็มีหลักฐานบางอย่างที่บ่งชี้ว่าตัวเลขดังกล่าวได้รับการหารือกันระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียแล้ว
    -------
    CNN
    เซเลนสกี้กล่าวว่าทรัมป์อาศัยอยู่บน 'พื้นที่ข้อมูลบิดเบือน' โวโลดิมีร์ เซเลนสกี กล่าวหาโดนัลด์ ทรัมป์ว่าให้ข้อมูลเท็จซ้ำแล้วซ้ำเล่า หนึ่งวันหลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวหายูเครนอย่างเท็จว่าเริ่มสงครามกับรัสเซีย - ความคิดเห็นของเซเลนสกี้ เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่กำลังก่อตัวเป็นการแลกเปลี่ยนข้อกล่าวหาต่อสาธารณะมากที่สุดระหว่างเคียฟและวอชิงตัน นับตั้งแต่สงครามเต็มรูปแบบเริ่มต้นขึ้นเมื่อเกือบ 3 ปีก่อน . - เมื่อพูดคุยกับผู้สื่อข่าวในกรุงเคียฟ เซเลนสกีได้โต้แย้งคำกล่าวอ้างที่ไม่มีมูลความจริงหลายกรณีที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันอังคาร ขณะเดียวกันก็ย้ำจุดยืนของยูเครนว่าข้อตกลงยุติสงครามต้องได้รับการมีส่วนร่วมจากยูเครน . - “น่าเสียดายที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ผมเคารพเขามากในฐานะผู้นำของประเทศที่เราเคารพนับถืออย่างยิ่ง ประชาชนชาวอเมริกันที่สนับสนุนเราเสมอ น่าเสียดายที่เขาต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งข้อมูลบิดเบือน” เซเลนสกีกล่าว . - เจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ และรัสเซียได้จัดการเจรจาระดับสูงเพื่อยุติสงครามในยูเครน ณ กรุงริยาด เมืองหลวงของซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันอังคาร โดยการประชุมครั้งนี้ไม่ได้จัดขึ้นที่กรุงเคียฟ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องแต่งตั้งคณะทำงานระดับสูงเพื่อเจรจายุติสงคราม และกล่าวว่าพวกเขากำลังดำเนินการเพื่อสร้างช่องทางการทูตขึ้นใหม่ . - เซเลนสกีกล่าวว่า แม้ประเทศใดๆ ก็มีสิทธิที่จะหารือเรื่องปัญหาทวิภาคีกับซาอุดีอาระเบีย แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าสหรัฐฯ จัดการเจรจาโดยตรงกับรัสเซียนั้น “ช่วยให้ปูตินพ้นจากความโดดเดี่ยวอันยาวนานได้” . - การร้องเรียนของเคียฟเรื่องการถูกปิดกั้นไม่ให้เข้าร่วมการเจรจาเป็นชนวนให้ทรัมป์ออกมาโจมตีด้วยความเท็จในวันอังคาร . - ทรัมป์กล่าวเมื่อช่วงดึกของวันอังคารว่า “วันนี้ผมได้ยินว่า ‘โอ้ เราไม่ได้รับเชิญเลย คุณอยู่ที่นั่นมาสามปีแล้ว คุณควรยุติเรื่องนี้หลังจากสามปี คุณไม่ควรเริ่มเรื่องนี้เลย คุณควรทำข้อตกลงได้แล้ว” . - ความคิดเห็นของทรัมป์ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในกรุงมอสโก โดยที่รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ ชื่นชมประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่สะท้อนคำพูดของเครมลิน และกล่าวต่อรัฐสภารัสเซีย หรือดูมา ว่าทรัมป์ดูเหมือนจะ "เข้าใจจุดยืนของพวกเรา" . - “ผมคิดว่าทรัมป์เป็นผู้นำตะวันตกคนแรกที่ออกมาพูดต่อสาธารณะว่าสาเหตุของความขัดแย้งในยูเครนคือความพยายามของรัฐบาลชุดก่อนที่จะขยายนาโต” ลาฟรอฟกล่าวกับสมาชิกรัฐสภาเมื่อวันพุธ “ไม่มีผู้นำตะวันตกคนใดเคยพูดแบบนั้นมาก่อน ดังนั้น นั่นจึงเป็นสัญญาณว่าเขาเข้าใจจุดยืนของเราแล้ว” . - รัสเซียโต้แย้งมานานแล้วว่าการขยายตัวของนาโต้ไปทางตะวันออกทำให้ความมั่นคงของประเทศตกอยู่ในอันตราย โดยผู้นำนาโต้สัญญากับรัสเซียว่าพันธมิตรป้องกันประเทศจะไม่ขยายตัวหลังจากสงครามเย็นสิ้นสุดลง นาโต้มีนโยบายเปิดประตูต้อนรับรัฐในยุโรปทุกรัฐให้เข้าร่วมตราบใดที่รัฐเหล่านั้นตรงตามเกณฑ์การเข้าร่วม . - แต่ทรัมป์ไม่ได้หยุดเพียงแค่ตั้งคำถามว่าใครเป็นคนเริ่มสงครามในยูเครน โดยทรัมป์ยังคงตั้งคำถามถึงความชอบธรรมของเซเลนสกี โดยเขาพูดซ้ำแนวทางที่เครมลินมักจะเสนออยู่เสมอ . - เมื่อวันพุธที่ผ่านมา เซเลนสกีระบุโดยเฉพาะว่าการอ้างว่าคะแนนนิยมของเขาอยู่ที่ 4% มาจากรัสเซีย และเคียฟก็มีหลักฐานบางอย่างที่บ่งชี้ว่าตัวเลขดังกล่าวได้รับการหารือกันระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียแล้ว ------- CNN
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 200 มุมมอง 0 รีวิว
  • #การอักเสบ

    ส่งผลกระทบต่อทุกแง่มุมด้านสุขภาพของคุณได้อย่างไร

    การอักเสบควบคุมชีวิตของเรา ถ้าคุณหรือคนที่คุณรักกำลังต่อสู้กับอาการปวด โรคอ้วน โรคสมาธิสั้น ปลายประสาทอักเสบ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ไมเกรน ปัญหาต่อมไทรอยด์ ปัญหาทางทันตกรรมหรือโรคมะเร็ง

    น่าเศร้าที่คนส่วนใหญ่กำลังทุกข์ทรมานจากหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งของความผิดปกติเหล่านี้ แต่ไม่มีแนวความคิดหรือวิธีการที่จะกำจัดการอักเสบ แพทย์ส่วนใหญ่ใช้ยาแทนการมุ่งเป้าไปที่ต้นตอของสาเหตุ

    มันมักจะดูเหมือนว่า..มันเป็นเรื่องแปลกเป็นอย่างยิ่งเมื่อตระหนักว่าสาเหตุส่วนใหญ่ของการอักเสบเริ่มต้นในลำไส้จากปฏิกิริยาของภูมิคุ้มกันซึ่งจะดำเนินการอักเสบไปยังระบบต่าง ๆ ของร่างกายเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการจัดการอย่างแท้จริงและหวังว่าจะเอาชนะโรค

    การมองให้ลึกถึงขั้นตอนแห่งการเริ่มต้นเป็นกุญแจที่สำคัญที่สุด

    ....การอักเสบเริ่มต้นที่ใด.....

    ลำไส้ของคุณประกอบขึ้นด้วยเยื่อบุกึ่งซึมผ่านที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อ พื้นที่ผิวของลำไส้ของคุณสามารถครอบคลุมพื้นที่เท่ากับสนามเทนนิส 2 สนามเมื่อแผ่ออกให้แบน

    ระดับของการซึมผ่านผันผวนตามการตอบสนองต่อความหลากหลายของสภาพสารเคมี... ตัวอย่างเช่นเมื่อฮอร์โมน cortisol สูงขึ้นเนื่องจากความเครียดจากการโต้แย้งหรือระดับฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ของคุณเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากการเผาผลาญน้ำมันในตอนเที่ยงคืน เยื่อบุลำไส้ของคุณจะซึมผ่านได้มากขึ้น ณ เวลานั้น ๆ

    จากนั้นเมื่อกินอาหารที่ไม่สามารถย่อยได้บางส่วน อาหารที่มีสารพิษ... ไวรัส ยีสต์และแบคทีเรียก็มีโอกาสที่จะผ่านลำไส้และการเข้าไปยังกระแสเลือด..สิ่งนี้รู้จักกันว่าเป็นกลุ่มอาการของโรคลำไส้รั่วหรือ leaky gut syndrome (LGS)

    เมื่อเยื่อบุลำไส้ได้รับความเสียหายซ้ำแล้วซ้ำเล่า เซลล์ที่เสียหายเรียกกันว่า microvilli จะไม่สามารถทำงานของพวกเขาได้อย่างถูกต้อง พวกเขาไม่สามารถดำเนินการและใช้ประโยชน์จากสารอาหารและเอนไซม์ที่มีความสำคัญในการย่อยอาหารที่เหมาะสม ในท้ายที่สุดการย่อยอาหารและการดูดซึมของสารอาหารจะลดลง นี่คือผลกระทบในเชิงลบ เมื่อเยื่อบุลำไส้ของคุณสัมผัสกับสิ่งที่กล่าวมามากขึ้น..ร่างกายของคุณก็เริ่มต้นการถูกโจมตีจากผู้รุกรานเหล่านี้ และร่างกายจะตอบสนองด้วยการอักเสบที่ก่อให้เกิด ภูมิแพ้ แพ้ภูมิ และอาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคอีกมากมาย

    ดังนั้นคุณอาจจะถามว่า : การอักเสบเป็นอันตรายได้อย่างไรและเกิดอาการแพ้อย่างต่อเนื่องหรือไม่

    มันอาจฟังดูเหมือนว่าค่อนข้างจะไม่อันตรายสักเท่าไหร่..แต่สถานการณ์นี้สามารถนำไปสู่โรคร้ายแรงและบั่นทอนได้อีกมากมาย เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของคุณจะมีภาระมากเกินไป การอักเสบเหล่านี้จะเข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่องผ่านทางเลือดของคุณที่พวกเขาสามารถส่งผลกระทบต่อเส้นประสาท อวัยวะ เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ข้อต่อและกล้ามเนื้อ

    การอักเสบก่ออาการของโรคอื่นๆ

    การปรากฏตัวของการอักเสบเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดโรคส่วนใหญ่ มันมักจะเกิดขึ้นมานานหลายปีก่อนที่มันจะอยู่ในระดับที่เพียงพอต่อการแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนหรือมีนัยสำคัญทางคลินิก

    รายการต่อไปนี้มีความเกี่ยวข้องกับการอักเสบเสมอ

    โรคภูมิแพ้----ภูมิคุ้มกัน 4 ประเภท + ความไว..ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดการอักเสบ

    อัลไซม์เมอร์----การอักเสบเรื้อรังทำลายเซลล์สมอง

    โรคโลหิตจาง---- cytokinesที่กระตุ้นการอักเสบโจมตีการผลิต erythropoietin

    Ankylosing Spondylitis (โรคกระดูกสันหลังอักเสบยึดติด)----cytokines ที่กระตุ้นการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองในข้อต่างๆ

    หอบหืด---- cytokines ที่ก่อการอักเสบเหนี่ยวนำให้เกิดปฏิกิริยาของภูมิต้านทานให้ตอบสนองต่อเยื่อบุทางเดินหายใจ

    ออทิสติก---- cytokines ที่ก่อการอักเสบเหนี่ยวนำให้เกิดปฏิกิริยาของภูมิต้านทานที่ผิดปกติเข้าไปควบคุมการพัฒนาสมองซีกขวา

    โรคข้ออักเสบ---- cytokines ที่ก่อการอักเสบทำลายกระดูกอ่อนและของเหลว synovial

    Carpal Tunnel Syndrome (โรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ) เกิดจากการอักเสบเรื้อรังในความเครียดของกล้ามเนื้อที่มากเกินไปทำให้เส้นเอ็นแขนหดตัวและข้อมือบีบอัดเส้นประสาท

    Celiac Chronic (โรคแพ้กลูเตน)----ภูมิคุ้มกันจัดการกับความเสียหายและก่อให้เกิดการอักเสบที่เยื่อบุลำไส้

    โรค Crohn ----โรคเรื้อรังจากระบบภูมิคุ้มกันเกิดความเสียหายและเกิดการอักเสบเยื่อบุลำไส้

    หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน----การอักเสบเรื้อรังก่อให้เกิดการเสียหายต่อกล้ามเนื้อหัวใจ

    กลาก สิวเอ็กซิม่า----การอักเสบเรื้อรังของลำไส้และตับกำจัดสารพิษได้ไม่ดีและมักจะเกิดจากแอนติบอดีต่อสู้กับ Transglutaminase-3

    Fibromyalgia (ปวดทั่วสรรพางค์กาย)---- เนื้อเยื่อเกี่ยวพันอักเสบ เกิดจากความเป็นกรดของร่างกายที่ยินยอมให้จุลชีพฝั่งเลวเข้าเล่นงานเนื้อเยื่ออ่อนและมาจากความไม่สมดุลทางโภชนาการและระบบประสาทรอง

    โรคปอดอักเสบ---- cytokines ที่ก่อการอักเสบเข้าโจมตีเนื้อเยื่อที่บอบช้ำ

    โรคถุงน้ำดี----การอักเสบของท่อน้ำดีหรือคอเลสเตอรอลส่วนเกินที่เกิดขึ้นจากการตอบสนองต่อการอักเสบในลำไส้

    โรคกรดไหลย้อน----การอักเสบของหลอดอาหารและระบบทางเดินอาหารเกือบตลอดเวลา ความไวต่ออาหารและค่า pH เป็นตัวขับเคลื่อน

    โรคจีบีเอส โรคกิลแลงบาร์เร GBS Guillain-Barre syndrome ภูมิคุ้มกันอัตโนมัติเข้าโจมตีระบบประสาทมักจะเกิดโดยการตอบสนองของ autoimmune ต่อความเครียดภายนอกเช่นการฉีดวัคซีน

    Hashimoto's Thyroiditis (ต่อมไทรอยด์อักเสบ)----ภูมิคุ้มกันเกิดปฏิกิริยาในลำไส้โดยเรียกแอนติบอดีมาต่อต้านเอนไซม์และของต่อมไทรอยด์และโปรตีน

    หัวใจวาย----การอักเสบเรื้อรังก่อให้เกิดหลอดเลือดหัวใจตีบ

    ไตวาย----cytokines ที่ก่อการอักเสบจำกัด การไหลเวียนและก่อความเสียหายต่อ nephrons และท่อไต

    โรคลูปัส พุ่มพวง SLE---- cytokines ที่ก่ออักเสบเหนี่ยวนำให้ autoimmune เกิดการโจมตีต่อเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน

    โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง Multiple Sclerosis ----cytokinesที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองกับไมอีลิน myelin

    โรคระบบประสาท---- cytokines ที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองกับไมอีลินและหลอดเลือดและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันซึ่งทำให้ระคายเคืองเส้นประสาท

    ตับอ่อนอักเสบ---- cytokinesที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดการบาดเจ็บของเซลล์ตับอ่อน

    โรคสะเก็ดเงิน Psoriasis ----การอักเสบเรื้อรังของลำไส้และตับล้างพิษได้ไม่เต็มความสามารถ

    ปวดกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่ออ่อนเหตุอักเสบเรื้อรัง Polymyalgia rheumatic PMR ----cytokines ที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองกับกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน

    โรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์---- cytokines ที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองกับข้อต่อ

    โรคหนังแข็ง scleroderma---- cytokines ที่ก่อการอักเสบเหนี่ยวนำให้ autoimmune เกิดการโจมตีกับเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน

    โรคหลอดเลือดสมอง----การอักเสบเรื้อรังส่งเสริมให้เกิดลิ่มเลือดอุดตัน

    ทำไมการอักเสบจะต้องอยู่ที่รากเหง้าของปัญหา

    ความจริงที่ว่าระบบภูมิคุ้มกันของคุณขับเคลื่อนกระบวนการอักเสบในโรคต่างๆเป็นที่ยอมรับกันมานาน แต่น่าเสียดายที่การแพทย์ตะวันตกมีคำตอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในการจัดการหรือการเอาชนะกระบวนการของภูมิต้านทานน้อยเกินไป

    วิธีการโดยทั่วไปในการรักษาคือการปราบปรามการตอบสนองของภูมิคุ้มกันด้วยยาปราบภูมิคุ้มกันหรือบางครั้งก็สเตียรอยด์ วิธีการทั้งสองได้รับการออกแบบเพื่อลดการอักเสบ แต่ไม่ได้หยุดกระบวนการของโรคประจำตัวหรือช่วยให้เนื้อเยื่อที่เสียหายได้รับการกู้คืน

    ถ้าคุณปิดกั้นสาเหตุที่แท้จริงของการก่อโรค (การอักเสบ) ทั้งหมดที่คุณต้องทำคือการหยุดการทำลายเซลล์ทุกเซลล์ของร่างกายและปล่อยให้ร่างกายของคุณสร้างเซลล์ใหม่ที่ไม่ก่อการอักเสบ

    การเชื่อมโยงระหว่างการทำงานที่ผิดปกติของลำไส้และโรคทั้งหลายที่มาจากการอักเสบ

    คำว่าการอักเสบมักจะไม่ค่อยทำให้ใครหลายคนนึกเห็นภาพที่ถูกต้องอย่างแท้จริงในใจของพวกเขาจนกว่าพวกเขาจะประสบกับมันจริงๆ จากนั้นก็จะเริ่มทำให้รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดและความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ

    จะเห็นได้ว่าหลายโรคที่เกิดจากการอักเสบและสร้างความทุกข์ทรมาน มันมาจากลำไส้

    แต่การรักษาทั่วไปไม่นำเสนอประเด็นนี้.. Dr. Maios Hadjivassiliou แห่งอังกฤษ- ผู้ค้นพบกลูแตน-ได้รายงานใน The Lancet ว่า"ความไวต่อกลูแตนสามารถเป็นหลักในการวินิจฉัยเบื้องต้นและในบางครั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคทางระบบประสาท" ซึ่งหมายความว่าคนที่ไวต่อกลูแตนจะมีปัญหากับการทำงานของสมองแม้จะไม่มีปัญหาระบบทางเดินอาหารแต่อย่างใด ดร. Hadjivassiliou แสดงให้เห็นว่าแอนติบอดี้จะเกิดขึ้นในร่างกายเมื่อพวกเขามีความไวต่อกลูแตนและสามารถส่งความเป็นพิษเข้าสู่สมองได้โดยตรง สำหรับสิ่งนี้การทดสอบพิเศษจึงถูกพัฒนาขึ้น

    ผู้เขียนอีกคนที่ตีพิมพ์ในฉบับล่าสุดของ Pediatrics กล่าวว่า "การศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าความแปรปรวนของความผิดปกติทางระบบประสาทที่เกิดขึ้นในโรคแพ้กลูแตนขยายวงกว้างกว่ารายงานที่มีก่อนหน้านี้และรวมถึงความผิดปกติของระบบประสาทรวมทั้งอาการปวดหัวเรื้อรัง พัฒนาการล่าช้า hypotonia(ความตึงตัวของกล้ามเนื้อต่ำ) และความผิดปกติของการเรียนรู้หรือ ADHD " เห็นได้ชัดว่าเราควรจะขยายเกณฑ์การประเมินของเราและบางทีความหมายของโรคเมื่อผู้ป่วยมีอาการไม่เหมาะสมกับการวินิจฉัยตามกรอบทางคลินิกทั่วไป

    วิธีการประเมินโรคที่เกี่ยวกับการอักเสบ

    เนื่องจากการอักเสบโดยทั่วไปผ่านมาจากลำไส้ซึ่งมันควรจะเป็นจุดเริ่มต้นของตรรกะในขั้นตอนการประเมินผู้ป่วยใด ๆ

    มี 7 พื้นที่ที่ควรพิจารณาเพื่อมองไปที่ปัจจัยอันก่อให้เกิดความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารเพื่อประเมินสภาพแวดล้อมสำหรับการอักเสบเรื้อรัง รายการด้านล่างนี้เป็นส่วนสำคัญในหมวดหมู่ของของอาหารและการประเมินอื่น ๆ :

    อาหาร: เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กลูแตน เคซีน อาหารแปรรูป น้ำตาล นม เห็ด ผลไม้หวานไขมันโอเมก้า 6 ไขมันทรานส์ อาหารจานด่วน

    ยา: Corticosteroids ยาปฏิชีวนะ ยาลดกรด สารแปลกปลอม(ผงปรุสรส สารให้ความหวานเทียม และอื่น ๆ )

    การติดเชื้อ: เช่น H-Pylori ยีสต์ หรือแบคทีเรียมากเกินขนาด ไวรัสหรือการติดเชื้อปรสิต

    ความเครียด :เพิ่มฮอร์โมน Cortisol และ catecholamines
    ฮอร์โมน : ไทรอยด์ โพรเจสเตอโรน เอสโตรเจน เทสโทสเทอโรน

    ระบบประสาท : สมองบาดเจ็บ โรคหลอดเลือดสมอง ประสาทเสื่อม

    เมตาบอลิก: Glycosylated End Products (ผลิตภัณฑ์สุดท้ายที่ก่อการอักเสบจากการเผาผลาญน้ำตาล) ลำไส้อักเสบ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง

    โรคจากการอักเสบและโรคภูมิต้านทาน

    ความจริงของสถานการณ์นี้ล้วนมาจากอาหาร-การซึมผ่านในลำไส้ที่มากเกินไปโดยไม่คำนึงถึงว่าคุณจะสามารถจะรู้สึกได้หรือไม่มักจะเป็นสาเหตุสำคัญของการเติบโตของเงื่อนไขที่ก่อโรคต่าง ๆ รายการที่กล่าวมาด้านบน (อาหาร ยา การติดเชื้อ ความเครียดฮอร์โมน ระบบประสาทหรือการเผาผลาญ) สามารถทำลายการซึมผ่านของลำไส้ ก่อการอักเสบและสุดท้ายช่วยให้กลไกของลำไส้รั่วเริ่มต้น

    Autoimmunity (การไม่ตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต่อแอนติเจนของตนเอง) สามารถปรับเปลี่ยนได้และจะมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งรวมทั้งให้ชีวิตที่ดีขึ้นถ้าวิถีชีวิตเปลี่ยน

    มันเคยเชื่อกันว่า "รักษาไม่หาย" แต่มันไม่จริงด้วยความรู้ที่เปลี่ยนไป

    ดังนั้น ถ้าใครกำลังทนทุกข์ทรมานจากโรคที่กล่าวมาแล้ว แนะนำให้ระงับเหตุ ก่อนที่สารเคมีหรือยาใด ๆ ซึ่งไม่ใช่ส่วนประกอบของร่างกายตั้งแต่เริ่มต้นจะเล่นงานคุณ

    อาหารต้านการอักเสบที่ดี

    อาหาร เช่น ผลไม้ ผัก และเครื่องเทศ มีสารต้านการอักเสบและอาจช่วยลดการอักเสบได้ อาหารต้านการอักเสบที่ดีที่สุด ได้แก่:

    • เบอร์รี่

    • ปลาที่มีไขมันโอเมก้า3

    • บรอกโคลี

    • อะโวคาโด

    • ชาเขียว

    • พริก

    • ขมิ้น

    • น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ

    • ช็อกโกแลตดำและโกโก้

    • มะเขือเทศ

    • เชอร์รี่

    เบอร์รี่

    เบอร์รี่เป็นผลไม้ขนาดเล็กที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามิน และแร่ธาตุ

    มีมากมายหลายพันธุ์ โดยพันธุ์ที่พบมากที่สุด ได้แก่:

    • สตรอว์เบอร์รี่

    • บลูเบอร์รี่

    • ราสเบอร์รี

    • แบล็กเบอร์รี่

    เบอร์รี่

    มีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่าแอนโธไซยานิน สารเหล่านี้มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้

    บทวิจารณ์การวิจัยในปี 2018 แสดงให้เห็นว่าไฟโตเคมีคัลที่พบในผลเบอร์รี่อาจช่วยชะลอการพัฒนาและการลุกลามของมะเร็ง แม้ว่าจะต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม แต่ไฟโตเคมีคัลอาจเป็นประโยชน์ต่อภูมิคุ้มกันบำบัด

    ร่างกายของคุณสร้างเซลล์ NK ตามธรรมชาติ และช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างถูกต้อง

    ในการศึกษาวิจัยอีกกรณีหนึ่ง พบว่าผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกินซึ่งกิน
    สตรอเบอร์รี่มีระดับของเครื่องหมายการอักเสบเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจต่ำกว่าผู้ที่ไม่ได้กิน

    ปลาที่มีไขมันโอเมก้า3

    ปลาที่มีไขมันเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีและกรดไขมันโอเมก้า 3 สายยาว เช่น กรดไอโคซาเพนทาอีโนอิก (EPA) และกรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (DHA)
    แม้ว่าปลาทุกชนิดจะมีกรดไขมันโอเมก้า 3 อยู่บ้าง แต่ปลาที่มีไขมันเหล่านี้ก็เป็นแหล่งที่ดีที่สุด:

    • ปลาแซลมอน

    • ปลาซาร์ดีน

    • ปลาแมกเคอเรล

    • ปลาสวาย

    EPA และ DHA ช่วยลดการอักเสบ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา เช่น :

    • กลุ่มอาการเมตาบอลิก

    • โรคหัวใจ

    • โรคเบาหวาน

    • โรคไต

    ร่างกายของคุณเผาผลาญกรดไขมันเหล่านี้เป็นสารประกอบที่เรียกว่าเรโซลวินและโปรเทกติน ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ

    จากการศึกษาพบว่าผู้ที่รับประทานปลาแซลมอนหรืออาหารเสริม EPA และ DHA มีปริมาณโปรตีนซีรีแอคทีฟ (CRP) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้อาการอักเสบลดลง

    อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะซึ่งรับประทาน EPA และ DHA ทุกวันไม่พบความแตกต่างในตัวบ่งชี้การอักเสบเมื่อเทียบกับผู้ที่ได้รับยาหลอก

    บร็อคโคลี

    บร็อคโคลีมีคุณค่าทางโภชนาการสูง

    เป็นผักตระกูลกะหล่ำเช่นเดียวกับกะหล่ำดอก กะหล่ำบรัสเซลส์ และคะน้า

    การวิจัยแสดงให้เห็นว่าการรับประทานผักตระกูลกะหล่ำหลายชนิดมีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและมะเร็งที่ลดลง
    ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับผลต้านการอักเสบของสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในผักเหล่านั้น

    บร็อคโคลีอุดมไปด้วยซัลโฟราเฟน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ลดการอักเสบโดยลดระดับไซโตไคน์และแฟกเตอร์นิวเคลียร์แคปปาบี (NF-κB) ซึ่งเป็นโมเลกุลที่กระตุ้นการอักเสบในร่างกายของคุณ

    อะโวคาโด

    มีโพแทสเซียม แมกนีเซียม ไฟเบอร์ และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่มีประโยชน์ต่อหัวใจ ยังมีแคโรทีนอยด์และโทโคฟีรอล ซึ่งเชื่อมโยงกับความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งและโรคหัวใจที่ลดลง
    นอกจากนี้ สารประกอบชนิดหนึ่งในอะโวคาโดอาจช่วยลดการอักเสบในเซลล์ผิวหนังที่เพิ่งก่อตัวได้

    ในการศึกษาคุณภาพสูงครั้งหนึ่งซึ่งทำการศึกษากับผู้ใหญ่ 51 คนที่มีน้ำหนักเกิน พบว่าผู้ที่รับประทานอะโวคาโดเป็นเวลา 12 สัปดาห์มีระดับของสารบ่งชี้การอักเสบอย่างอินเตอร์ลิวคิน 1 เบตา (IL-1β) และซีอาร์พี ลดลง

    ชาเขียว

    งานวิจัยพบว่าการดื่มชาเขียวช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ มะเร็ง โรคอัลไซเมอร์ โรคอ้วน และโรคอื่นๆ

    ประโยชน์หลายประการของชาเขียวมาจากคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ โดยเฉพาะสารที่เรียกว่า epigallocatechin-3-gallate (EGCG)

    EGCG ยับยั้งการอักเสบโดยลดการผลิตไซโตไคน์ที่ก่อให้เกิดการอักเสบและความเสียหายต่อกรดไขมันในเซลล์ของคุณ

    พริก

    พริกหยวกและพริกชี้ฟ้าอุดมไปด้วยวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบอย่างทรงพลัง

    พริกหยวกยังมีสารต้านอนุมูลอิสระเคอร์ซิตินซึ่งอาจช่วยลดการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน

    พริกมีกรดซินาปิกและกรดเฟอรูลิกซึ่งอาจช่วยลดการอักเสบและช่วยให้มีอายุยืนยาวขึ้น

    ขมิ้น

    ขมิ้นเป็นเครื่องเทศที่มีรสชาติอบอุ่นและมีกลิ่นดิน มักใช้ในแกงและอาหารอื่นๆ

    ขมิ้นได้รับความสนใจมากเนื่องจากมีสารเคอร์คูมิน ซึ่งเป็นสารต้านการอักเสบที่มีประสิทธิภาพ

    การวิจัยแสดงให้เห็นว่าขมิ้นชันช่วยลดการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับโรคข้ออักเสบ เบาหวาน และโรคอื่นๆ

    จากการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ที่มีอาการเมตาบอลิกซินโดรมรับประทานเคอร์คูมิน 1 กรัมต่อวันร่วมกับไพเพอรีนจากพริกไทยดำ พบว่าระดับซีอาร์พี ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้อาการอักเสบลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

    การได้รับเคอร์คูมินจากขมิ้นเพียงอย่างเดียวอาจเป็นเรื่องยากที่จะเห็นผลชัดเจน การรับประทานอาหารเสริมที่มีเคอร์คูมินแยกเดี่ยวอาจมีประสิทธิภาพมากกว่ามาก

    อาหารเสริมเคอร์คูมินมักประกอบด้วยไพเพอรีน ซึ่งสามารถกระตุ้นการดูดซึมเคอร์คูมินได้ถึง 2,000%

    น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ

    น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษเป็นไขมันที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุดชนิดหนึ่งที่คุณสามารถรับประทานได้

    น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและเป็นอาหารหลักในอาหารเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย

    การศึกษาวิจัยแนะนำว่าน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ มะเร็งสมอง โรคอ้วน และปัญหาสุขภาพร้ายแรงอื่นๆ ได้

    การวิจัยแนะนำว่าการรับประทานอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนและการเสริมด้วยน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษสามารถลดตัวบ่งชี้การอักเสบได้อย่างมาก

    ผลของโอเลโอแคนธัล ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบในน้ำมันมะกอก ได้รับการเปรียบเทียบกับยาต้านการอักเสบ เช่น ไอบูโพรเฟน

    โปรดจำไว้ว่าน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษมีประโยชน์ในการต้านการอักเสบมากกว่าน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์

    ช็อกโกแลตดำและโกโก้

    ช็อกโกแลตดำมีรสชาติอร่อย เข้มข้น และน่าพอใจ

    นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคและนำไปสู่การมีอายุยืนยาวขึ้น

    ฟลาโวนอลเป็นสารที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบของช็อกโกแลต และช่วยให้เซลล์เยื่อบุผนังหลอดเลือดแดงแข็งแรง

    มะเขือเทศ

    มะเขือเทศเป็นแหล่งอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง

    มะเขือเทศมีวิตามินซี โพแทสเซียม และไลโคปีนสูง ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่น่าประทับใจ

    ไลโคปีนอาจมีประโยชน์อย่างยิ่งในการลดสารประกอบที่ก่อให้เกิดการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งหลายชนิด

    การปรุงมะเขือเทศในน้ำมันมะกอกสามารถช่วยให้คุณดูดซึมไลโคปีนได้มากขึ้น

    นั่นเป็นเพราะไลโคปีนเป็นแคโรทีนอยด์ ซึ่งเป็นสารอาหารที่ดูดซึมได้ดีกว่าในแหล่งของไขมันและโปรดควักไส้มะเขือเทศทิ้งเมื่อประกอบอาหาร

    เชอร์รี่

    เชอร์รี่มีรสชาติดีและอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น แอนโธไซยานินและคาเทชิน ซึ่งช่วยลดการอักเสบ

    แม้ว่าจะมีการศึกษาวิจัยคุณสมบัติในการส่งเสริมสุขภาพของเชอร์รี่เปรี้ยวมากกว่าพันธุ์อื่น แต่เชอร์รี่หวานก็อาจมีประโยชน์เช่นกัน

    การศึกษาวิจัยในปี 2019 ที่ทำการศึกษาผู้สูงอายุ 37 คน พบว่าผู้ที่ดื่มน้ำเชอร์รี่ทาร์ต 16 ออนซ์ (480 มล.) ทุกวันเป็นเวลา 12 สัปดาห์ มีระดับของสารบ่งชี้การอักเสบ CRP ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

    อย่างไรก็ตาม การศึกษาวิจัยอีกกรณีหนึ่งพบว่าน้ำเชอร์รี่ทาร์ตไม่มีผลต่อการอักเสบในผู้ใหญ่ที่อายุน้อยที่มีสุขภาพแข็งแรง หลังจากที่พวกเขาดื่มน้ำเชอร์รี่ทาร์ตทุกวันเป็นเวลา 30 วัน

    ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ

    ถ้าอักเสบจากน้ำตาลและผลไม้หรือแอลกอฮอล์: K cal
    ถ้าอักเสบในลำไส้จากการกินเห็ดและยีสต์: Paa vill,Synbc
    ถ้าอักเสบจากการกินของปิ้งย่างหรือน้ำมันโอเมก้า 6:Paa super h
    ถ้าเกิดการอักเสบจากการติดเชื้อ:Glube,Whole c
    ถ้าอักเสบจากการใช้งานร่างกายหรืออวัยวะมากเกินไป:ชาขิงขมิ้น
    ถ้าอักเสบในดวงตาและระบบสืบพันธุ์:Glap
    ถ้าอักเสบในหลอดเลือด: โกโก้ป๋า

    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง

    Cr. Santi Manadee
    #การอักเสบ ส่งผลกระทบต่อทุกแง่มุมด้านสุขภาพของคุณได้อย่างไร การอักเสบควบคุมชีวิตของเรา ถ้าคุณหรือคนที่คุณรักกำลังต่อสู้กับอาการปวด โรคอ้วน โรคสมาธิสั้น ปลายประสาทอักเสบ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ไมเกรน ปัญหาต่อมไทรอยด์ ปัญหาทางทันตกรรมหรือโรคมะเร็ง น่าเศร้าที่คนส่วนใหญ่กำลังทุกข์ทรมานจากหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งของความผิดปกติเหล่านี้ แต่ไม่มีแนวความคิดหรือวิธีการที่จะกำจัดการอักเสบ แพทย์ส่วนใหญ่ใช้ยาแทนการมุ่งเป้าไปที่ต้นตอของสาเหตุ มันมักจะดูเหมือนว่า..มันเป็นเรื่องแปลกเป็นอย่างยิ่งเมื่อตระหนักว่าสาเหตุส่วนใหญ่ของการอักเสบเริ่มต้นในลำไส้จากปฏิกิริยาของภูมิคุ้มกันซึ่งจะดำเนินการอักเสบไปยังระบบต่าง ๆ ของร่างกายเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการจัดการอย่างแท้จริงและหวังว่าจะเอาชนะโรค การมองให้ลึกถึงขั้นตอนแห่งการเริ่มต้นเป็นกุญแจที่สำคัญที่สุด ....การอักเสบเริ่มต้นที่ใด..... ลำไส้ของคุณประกอบขึ้นด้วยเยื่อบุกึ่งซึมผ่านที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อ พื้นที่ผิวของลำไส้ของคุณสามารถครอบคลุมพื้นที่เท่ากับสนามเทนนิส 2 สนามเมื่อแผ่ออกให้แบน ระดับของการซึมผ่านผันผวนตามการตอบสนองต่อความหลากหลายของสภาพสารเคมี... ตัวอย่างเช่นเมื่อฮอร์โมน cortisol สูงขึ้นเนื่องจากความเครียดจากการโต้แย้งหรือระดับฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ของคุณเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากการเผาผลาญน้ำมันในตอนเที่ยงคืน เยื่อบุลำไส้ของคุณจะซึมผ่านได้มากขึ้น ณ เวลานั้น ๆ จากนั้นเมื่อกินอาหารที่ไม่สามารถย่อยได้บางส่วน อาหารที่มีสารพิษ... ไวรัส ยีสต์และแบคทีเรียก็มีโอกาสที่จะผ่านลำไส้และการเข้าไปยังกระแสเลือด..สิ่งนี้รู้จักกันว่าเป็นกลุ่มอาการของโรคลำไส้รั่วหรือ leaky gut syndrome (LGS) เมื่อเยื่อบุลำไส้ได้รับความเสียหายซ้ำแล้วซ้ำเล่า เซลล์ที่เสียหายเรียกกันว่า microvilli จะไม่สามารถทำงานของพวกเขาได้อย่างถูกต้อง พวกเขาไม่สามารถดำเนินการและใช้ประโยชน์จากสารอาหารและเอนไซม์ที่มีความสำคัญในการย่อยอาหารที่เหมาะสม ในท้ายที่สุดการย่อยอาหารและการดูดซึมของสารอาหารจะลดลง นี่คือผลกระทบในเชิงลบ เมื่อเยื่อบุลำไส้ของคุณสัมผัสกับสิ่งที่กล่าวมามากขึ้น..ร่างกายของคุณก็เริ่มต้นการถูกโจมตีจากผู้รุกรานเหล่านี้ และร่างกายจะตอบสนองด้วยการอักเสบที่ก่อให้เกิด ภูมิแพ้ แพ้ภูมิ และอาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคอีกมากมาย ดังนั้นคุณอาจจะถามว่า : การอักเสบเป็นอันตรายได้อย่างไรและเกิดอาการแพ้อย่างต่อเนื่องหรือไม่ มันอาจฟังดูเหมือนว่าค่อนข้างจะไม่อันตรายสักเท่าไหร่..แต่สถานการณ์นี้สามารถนำไปสู่โรคร้ายแรงและบั่นทอนได้อีกมากมาย เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของคุณจะมีภาระมากเกินไป การอักเสบเหล่านี้จะเข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่องผ่านทางเลือดของคุณที่พวกเขาสามารถส่งผลกระทบต่อเส้นประสาท อวัยวะ เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ข้อต่อและกล้ามเนื้อ การอักเสบก่ออาการของโรคอื่นๆ การปรากฏตัวของการอักเสบเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดโรคส่วนใหญ่ มันมักจะเกิดขึ้นมานานหลายปีก่อนที่มันจะอยู่ในระดับที่เพียงพอต่อการแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนหรือมีนัยสำคัญทางคลินิก รายการต่อไปนี้มีความเกี่ยวข้องกับการอักเสบเสมอ โรคภูมิแพ้----ภูมิคุ้มกัน 4 ประเภท + ความไว..ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดการอักเสบ อัลไซม์เมอร์----การอักเสบเรื้อรังทำลายเซลล์สมอง โรคโลหิตจาง---- cytokinesที่กระตุ้นการอักเสบโจมตีการผลิต erythropoietin Ankylosing Spondylitis (โรคกระดูกสันหลังอักเสบยึดติด)----cytokines ที่กระตุ้นการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองในข้อต่างๆ หอบหืด---- cytokines ที่ก่อการอักเสบเหนี่ยวนำให้เกิดปฏิกิริยาของภูมิต้านทานให้ตอบสนองต่อเยื่อบุทางเดินหายใจ ออทิสติก---- cytokines ที่ก่อการอักเสบเหนี่ยวนำให้เกิดปฏิกิริยาของภูมิต้านทานที่ผิดปกติเข้าไปควบคุมการพัฒนาสมองซีกขวา โรคข้ออักเสบ---- cytokines ที่ก่อการอักเสบทำลายกระดูกอ่อนและของเหลว synovial Carpal Tunnel Syndrome (โรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ) เกิดจากการอักเสบเรื้อรังในความเครียดของกล้ามเนื้อที่มากเกินไปทำให้เส้นเอ็นแขนหดตัวและข้อมือบีบอัดเส้นประสาท Celiac Chronic (โรคแพ้กลูเตน)----ภูมิคุ้มกันจัดการกับความเสียหายและก่อให้เกิดการอักเสบที่เยื่อบุลำไส้ โรค Crohn ----โรคเรื้อรังจากระบบภูมิคุ้มกันเกิดความเสียหายและเกิดการอักเสบเยื่อบุลำไส้ หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน----การอักเสบเรื้อรังก่อให้เกิดการเสียหายต่อกล้ามเนื้อหัวใจ กลาก สิวเอ็กซิม่า----การอักเสบเรื้อรังของลำไส้และตับกำจัดสารพิษได้ไม่ดีและมักจะเกิดจากแอนติบอดีต่อสู้กับ Transglutaminase-3 Fibromyalgia (ปวดทั่วสรรพางค์กาย)---- เนื้อเยื่อเกี่ยวพันอักเสบ เกิดจากความเป็นกรดของร่างกายที่ยินยอมให้จุลชีพฝั่งเลวเข้าเล่นงานเนื้อเยื่ออ่อนและมาจากความไม่สมดุลทางโภชนาการและระบบประสาทรอง โรคปอดอักเสบ---- cytokines ที่ก่อการอักเสบเข้าโจมตีเนื้อเยื่อที่บอบช้ำ โรคถุงน้ำดี----การอักเสบของท่อน้ำดีหรือคอเลสเตอรอลส่วนเกินที่เกิดขึ้นจากการตอบสนองต่อการอักเสบในลำไส้ โรคกรดไหลย้อน----การอักเสบของหลอดอาหารและระบบทางเดินอาหารเกือบตลอดเวลา ความไวต่ออาหารและค่า pH เป็นตัวขับเคลื่อน โรคจีบีเอส โรคกิลแลงบาร์เร GBS Guillain-Barre syndrome ภูมิคุ้มกันอัตโนมัติเข้าโจมตีระบบประสาทมักจะเกิดโดยการตอบสนองของ autoimmune ต่อความเครียดภายนอกเช่นการฉีดวัคซีน Hashimoto's Thyroiditis (ต่อมไทรอยด์อักเสบ)----ภูมิคุ้มกันเกิดปฏิกิริยาในลำไส้โดยเรียกแอนติบอดีมาต่อต้านเอนไซม์และของต่อมไทรอยด์และโปรตีน หัวใจวาย----การอักเสบเรื้อรังก่อให้เกิดหลอดเลือดหัวใจตีบ ไตวาย----cytokines ที่ก่อการอักเสบจำกัด การไหลเวียนและก่อความเสียหายต่อ nephrons และท่อไต โรคลูปัส พุ่มพวง SLE---- cytokines ที่ก่ออักเสบเหนี่ยวนำให้ autoimmune เกิดการโจมตีต่อเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง Multiple Sclerosis ----cytokinesที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองกับไมอีลิน myelin โรคระบบประสาท---- cytokines ที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองกับไมอีลินและหลอดเลือดและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันซึ่งทำให้ระคายเคืองเส้นประสาท ตับอ่อนอักเสบ---- cytokinesที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดการบาดเจ็บของเซลล์ตับอ่อน โรคสะเก็ดเงิน Psoriasis ----การอักเสบเรื้อรังของลำไส้และตับล้างพิษได้ไม่เต็มความสามารถ ปวดกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่ออ่อนเหตุอักเสบเรื้อรัง Polymyalgia rheumatic PMR ----cytokines ที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองกับกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน โรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์---- cytokines ที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองกับข้อต่อ โรคหนังแข็ง scleroderma---- cytokines ที่ก่อการอักเสบเหนี่ยวนำให้ autoimmune เกิดการโจมตีกับเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน โรคหลอดเลือดสมอง----การอักเสบเรื้อรังส่งเสริมให้เกิดลิ่มเลือดอุดตัน ทำไมการอักเสบจะต้องอยู่ที่รากเหง้าของปัญหา ความจริงที่ว่าระบบภูมิคุ้มกันของคุณขับเคลื่อนกระบวนการอักเสบในโรคต่างๆเป็นที่ยอมรับกันมานาน แต่น่าเสียดายที่การแพทย์ตะวันตกมีคำตอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในการจัดการหรือการเอาชนะกระบวนการของภูมิต้านทานน้อยเกินไป วิธีการโดยทั่วไปในการรักษาคือการปราบปรามการตอบสนองของภูมิคุ้มกันด้วยยาปราบภูมิคุ้มกันหรือบางครั้งก็สเตียรอยด์ วิธีการทั้งสองได้รับการออกแบบเพื่อลดการอักเสบ แต่ไม่ได้หยุดกระบวนการของโรคประจำตัวหรือช่วยให้เนื้อเยื่อที่เสียหายได้รับการกู้คืน ถ้าคุณปิดกั้นสาเหตุที่แท้จริงของการก่อโรค (การอักเสบ) ทั้งหมดที่คุณต้องทำคือการหยุดการทำลายเซลล์ทุกเซลล์ของร่างกายและปล่อยให้ร่างกายของคุณสร้างเซลล์ใหม่ที่ไม่ก่อการอักเสบ การเชื่อมโยงระหว่างการทำงานที่ผิดปกติของลำไส้และโรคทั้งหลายที่มาจากการอักเสบ คำว่าการอักเสบมักจะไม่ค่อยทำให้ใครหลายคนนึกเห็นภาพที่ถูกต้องอย่างแท้จริงในใจของพวกเขาจนกว่าพวกเขาจะประสบกับมันจริงๆ จากนั้นก็จะเริ่มทำให้รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดและความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ จะเห็นได้ว่าหลายโรคที่เกิดจากการอักเสบและสร้างความทุกข์ทรมาน มันมาจากลำไส้ แต่การรักษาทั่วไปไม่นำเสนอประเด็นนี้.. Dr. Maios Hadjivassiliou แห่งอังกฤษ- ผู้ค้นพบกลูแตน-ได้รายงานใน The Lancet ว่า"ความไวต่อกลูแตนสามารถเป็นหลักในการวินิจฉัยเบื้องต้นและในบางครั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคทางระบบประสาท" ซึ่งหมายความว่าคนที่ไวต่อกลูแตนจะมีปัญหากับการทำงานของสมองแม้จะไม่มีปัญหาระบบทางเดินอาหารแต่อย่างใด ดร. Hadjivassiliou แสดงให้เห็นว่าแอนติบอดี้จะเกิดขึ้นในร่างกายเมื่อพวกเขามีความไวต่อกลูแตนและสามารถส่งความเป็นพิษเข้าสู่สมองได้โดยตรง สำหรับสิ่งนี้การทดสอบพิเศษจึงถูกพัฒนาขึ้น ผู้เขียนอีกคนที่ตีพิมพ์ในฉบับล่าสุดของ Pediatrics กล่าวว่า "การศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าความแปรปรวนของความผิดปกติทางระบบประสาทที่เกิดขึ้นในโรคแพ้กลูแตนขยายวงกว้างกว่ารายงานที่มีก่อนหน้านี้และรวมถึงความผิดปกติของระบบประสาทรวมทั้งอาการปวดหัวเรื้อรัง พัฒนาการล่าช้า hypotonia(ความตึงตัวของกล้ามเนื้อต่ำ) และความผิดปกติของการเรียนรู้หรือ ADHD " เห็นได้ชัดว่าเราควรจะขยายเกณฑ์การประเมินของเราและบางทีความหมายของโรคเมื่อผู้ป่วยมีอาการไม่เหมาะสมกับการวินิจฉัยตามกรอบทางคลินิกทั่วไป วิธีการประเมินโรคที่เกี่ยวกับการอักเสบ เนื่องจากการอักเสบโดยทั่วไปผ่านมาจากลำไส้ซึ่งมันควรจะเป็นจุดเริ่มต้นของตรรกะในขั้นตอนการประเมินผู้ป่วยใด ๆ มี 7 พื้นที่ที่ควรพิจารณาเพื่อมองไปที่ปัจจัยอันก่อให้เกิดความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารเพื่อประเมินสภาพแวดล้อมสำหรับการอักเสบเรื้อรัง รายการด้านล่างนี้เป็นส่วนสำคัญในหมวดหมู่ของของอาหารและการประเมินอื่น ๆ : อาหาร: เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กลูแตน เคซีน อาหารแปรรูป น้ำตาล นม เห็ด ผลไม้หวานไขมันโอเมก้า 6 ไขมันทรานส์ อาหารจานด่วน ยา: Corticosteroids ยาปฏิชีวนะ ยาลดกรด สารแปลกปลอม(ผงปรุสรส สารให้ความหวานเทียม และอื่น ๆ ) การติดเชื้อ: เช่น H-Pylori ยีสต์ หรือแบคทีเรียมากเกินขนาด ไวรัสหรือการติดเชื้อปรสิต ความเครียด :เพิ่มฮอร์โมน Cortisol และ catecholamines ฮอร์โมน : ไทรอยด์ โพรเจสเตอโรน เอสโตรเจน เทสโทสเทอโรน ระบบประสาท : สมองบาดเจ็บ โรคหลอดเลือดสมอง ประสาทเสื่อม เมตาบอลิก: Glycosylated End Products (ผลิตภัณฑ์สุดท้ายที่ก่อการอักเสบจากการเผาผลาญน้ำตาล) ลำไส้อักเสบ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคจากการอักเสบและโรคภูมิต้านทาน ความจริงของสถานการณ์นี้ล้วนมาจากอาหาร-การซึมผ่านในลำไส้ที่มากเกินไปโดยไม่คำนึงถึงว่าคุณจะสามารถจะรู้สึกได้หรือไม่มักจะเป็นสาเหตุสำคัญของการเติบโตของเงื่อนไขที่ก่อโรคต่าง ๆ รายการที่กล่าวมาด้านบน (อาหาร ยา การติดเชื้อ ความเครียดฮอร์โมน ระบบประสาทหรือการเผาผลาญ) สามารถทำลายการซึมผ่านของลำไส้ ก่อการอักเสบและสุดท้ายช่วยให้กลไกของลำไส้รั่วเริ่มต้น Autoimmunity (การไม่ตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต่อแอนติเจนของตนเอง) สามารถปรับเปลี่ยนได้และจะมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งรวมทั้งให้ชีวิตที่ดีขึ้นถ้าวิถีชีวิตเปลี่ยน มันเคยเชื่อกันว่า "รักษาไม่หาย" แต่มันไม่จริงด้วยความรู้ที่เปลี่ยนไป ดังนั้น ถ้าใครกำลังทนทุกข์ทรมานจากโรคที่กล่าวมาแล้ว แนะนำให้ระงับเหตุ ก่อนที่สารเคมีหรือยาใด ๆ ซึ่งไม่ใช่ส่วนประกอบของร่างกายตั้งแต่เริ่มต้นจะเล่นงานคุณ อาหารต้านการอักเสบที่ดี อาหาร เช่น ผลไม้ ผัก และเครื่องเทศ มีสารต้านการอักเสบและอาจช่วยลดการอักเสบได้ อาหารต้านการอักเสบที่ดีที่สุด ได้แก่: • เบอร์รี่ • ปลาที่มีไขมันโอเมก้า3 • บรอกโคลี • อะโวคาโด • ชาเขียว • พริก • ขมิ้น • น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ • ช็อกโกแลตดำและโกโก้ • มะเขือเทศ • เชอร์รี่ เบอร์รี่ เบอร์รี่เป็นผลไม้ขนาดเล็กที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามิน และแร่ธาตุ มีมากมายหลายพันธุ์ โดยพันธุ์ที่พบมากที่สุด ได้แก่: • สตรอว์เบอร์รี่ • บลูเบอร์รี่ • ราสเบอร์รี • แบล็กเบอร์รี่ เบอร์รี่ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่าแอนโธไซยานิน สารเหล่านี้มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ บทวิจารณ์การวิจัยในปี 2018 แสดงให้เห็นว่าไฟโตเคมีคัลที่พบในผลเบอร์รี่อาจช่วยชะลอการพัฒนาและการลุกลามของมะเร็ง แม้ว่าจะต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม แต่ไฟโตเคมีคัลอาจเป็นประโยชน์ต่อภูมิคุ้มกันบำบัด ร่างกายของคุณสร้างเซลล์ NK ตามธรรมชาติ และช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างถูกต้อง ในการศึกษาวิจัยอีกกรณีหนึ่ง พบว่าผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกินซึ่งกิน สตรอเบอร์รี่มีระดับของเครื่องหมายการอักเสบเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจต่ำกว่าผู้ที่ไม่ได้กิน ปลาที่มีไขมันโอเมก้า3 ปลาที่มีไขมันเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีและกรดไขมันโอเมก้า 3 สายยาว เช่น กรดไอโคซาเพนทาอีโนอิก (EPA) และกรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (DHA) แม้ว่าปลาทุกชนิดจะมีกรดไขมันโอเมก้า 3 อยู่บ้าง แต่ปลาที่มีไขมันเหล่านี้ก็เป็นแหล่งที่ดีที่สุด: • ปลาแซลมอน • ปลาซาร์ดีน • ปลาแมกเคอเรล • ปลาสวาย EPA และ DHA ช่วยลดการอักเสบ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา เช่น : • กลุ่มอาการเมตาบอลิก • โรคหัวใจ • โรคเบาหวาน • โรคไต ร่างกายของคุณเผาผลาญกรดไขมันเหล่านี้เป็นสารประกอบที่เรียกว่าเรโซลวินและโปรเทกติน ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ จากการศึกษาพบว่าผู้ที่รับประทานปลาแซลมอนหรืออาหารเสริม EPA และ DHA มีปริมาณโปรตีนซีรีแอคทีฟ (CRP) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้อาการอักเสบลดลง อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะซึ่งรับประทาน EPA และ DHA ทุกวันไม่พบความแตกต่างในตัวบ่งชี้การอักเสบเมื่อเทียบกับผู้ที่ได้รับยาหลอก บร็อคโคลี บร็อคโคลีมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เป็นผักตระกูลกะหล่ำเช่นเดียวกับกะหล่ำดอก กะหล่ำบรัสเซลส์ และคะน้า การวิจัยแสดงให้เห็นว่าการรับประทานผักตระกูลกะหล่ำหลายชนิดมีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและมะเร็งที่ลดลง ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับผลต้านการอักเสบของสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในผักเหล่านั้น บร็อคโคลีอุดมไปด้วยซัลโฟราเฟน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ลดการอักเสบโดยลดระดับไซโตไคน์และแฟกเตอร์นิวเคลียร์แคปปาบี (NF-κB) ซึ่งเป็นโมเลกุลที่กระตุ้นการอักเสบในร่างกายของคุณ อะโวคาโด มีโพแทสเซียม แมกนีเซียม ไฟเบอร์ และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่มีประโยชน์ต่อหัวใจ ยังมีแคโรทีนอยด์และโทโคฟีรอล ซึ่งเชื่อมโยงกับความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งและโรคหัวใจที่ลดลง นอกจากนี้ สารประกอบชนิดหนึ่งในอะโวคาโดอาจช่วยลดการอักเสบในเซลล์ผิวหนังที่เพิ่งก่อตัวได้ ในการศึกษาคุณภาพสูงครั้งหนึ่งซึ่งทำการศึกษากับผู้ใหญ่ 51 คนที่มีน้ำหนักเกิน พบว่าผู้ที่รับประทานอะโวคาโดเป็นเวลา 12 สัปดาห์มีระดับของสารบ่งชี้การอักเสบอย่างอินเตอร์ลิวคิน 1 เบตา (IL-1β) และซีอาร์พี ลดลง ชาเขียว งานวิจัยพบว่าการดื่มชาเขียวช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ มะเร็ง โรคอัลไซเมอร์ โรคอ้วน และโรคอื่นๆ ประโยชน์หลายประการของชาเขียวมาจากคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ โดยเฉพาะสารที่เรียกว่า epigallocatechin-3-gallate (EGCG) EGCG ยับยั้งการอักเสบโดยลดการผลิตไซโตไคน์ที่ก่อให้เกิดการอักเสบและความเสียหายต่อกรดไขมันในเซลล์ของคุณ พริก พริกหยวกและพริกชี้ฟ้าอุดมไปด้วยวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบอย่างทรงพลัง พริกหยวกยังมีสารต้านอนุมูลอิสระเคอร์ซิตินซึ่งอาจช่วยลดการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน พริกมีกรดซินาปิกและกรดเฟอรูลิกซึ่งอาจช่วยลดการอักเสบและช่วยให้มีอายุยืนยาวขึ้น ขมิ้น ขมิ้นเป็นเครื่องเทศที่มีรสชาติอบอุ่นและมีกลิ่นดิน มักใช้ในแกงและอาหารอื่นๆ ขมิ้นได้รับความสนใจมากเนื่องจากมีสารเคอร์คูมิน ซึ่งเป็นสารต้านการอักเสบที่มีประสิทธิภาพ การวิจัยแสดงให้เห็นว่าขมิ้นชันช่วยลดการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับโรคข้ออักเสบ เบาหวาน และโรคอื่นๆ จากการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ที่มีอาการเมตาบอลิกซินโดรมรับประทานเคอร์คูมิน 1 กรัมต่อวันร่วมกับไพเพอรีนจากพริกไทยดำ พบว่าระดับซีอาร์พี ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้อาการอักเสบลดลงอย่างมีนัยสำคัญ การได้รับเคอร์คูมินจากขมิ้นเพียงอย่างเดียวอาจเป็นเรื่องยากที่จะเห็นผลชัดเจน การรับประทานอาหารเสริมที่มีเคอร์คูมินแยกเดี่ยวอาจมีประสิทธิภาพมากกว่ามาก อาหารเสริมเคอร์คูมินมักประกอบด้วยไพเพอรีน ซึ่งสามารถกระตุ้นการดูดซึมเคอร์คูมินได้ถึง 2,000% น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษเป็นไขมันที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุดชนิดหนึ่งที่คุณสามารถรับประทานได้ น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและเป็นอาหารหลักในอาหารเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย การศึกษาวิจัยแนะนำว่าน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ มะเร็งสมอง โรคอ้วน และปัญหาสุขภาพร้ายแรงอื่นๆ ได้ การวิจัยแนะนำว่าการรับประทานอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนและการเสริมด้วยน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษสามารถลดตัวบ่งชี้การอักเสบได้อย่างมาก ผลของโอเลโอแคนธัล ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบในน้ำมันมะกอก ได้รับการเปรียบเทียบกับยาต้านการอักเสบ เช่น ไอบูโพรเฟน โปรดจำไว้ว่าน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษมีประโยชน์ในการต้านการอักเสบมากกว่าน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ ช็อกโกแลตดำและโกโก้ ช็อกโกแลตดำมีรสชาติอร่อย เข้มข้น และน่าพอใจ นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคและนำไปสู่การมีอายุยืนยาวขึ้น ฟลาโวนอลเป็นสารที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบของช็อกโกแลต และช่วยให้เซลล์เยื่อบุผนังหลอดเลือดแดงแข็งแรง มะเขือเทศ มะเขือเทศเป็นแหล่งอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มะเขือเทศมีวิตามินซี โพแทสเซียม และไลโคปีนสูง ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่น่าประทับใจ ไลโคปีนอาจมีประโยชน์อย่างยิ่งในการลดสารประกอบที่ก่อให้เกิดการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งหลายชนิด การปรุงมะเขือเทศในน้ำมันมะกอกสามารถช่วยให้คุณดูดซึมไลโคปีนได้มากขึ้น นั่นเป็นเพราะไลโคปีนเป็นแคโรทีนอยด์ ซึ่งเป็นสารอาหารที่ดูดซึมได้ดีกว่าในแหล่งของไขมันและโปรดควักไส้มะเขือเทศทิ้งเมื่อประกอบอาหาร เชอร์รี่ เชอร์รี่มีรสชาติดีและอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น แอนโธไซยานินและคาเทชิน ซึ่งช่วยลดการอักเสบ แม้ว่าจะมีการศึกษาวิจัยคุณสมบัติในการส่งเสริมสุขภาพของเชอร์รี่เปรี้ยวมากกว่าพันธุ์อื่น แต่เชอร์รี่หวานก็อาจมีประโยชน์เช่นกัน การศึกษาวิจัยในปี 2019 ที่ทำการศึกษาผู้สูงอายุ 37 คน พบว่าผู้ที่ดื่มน้ำเชอร์รี่ทาร์ต 16 ออนซ์ (480 มล.) ทุกวันเป็นเวลา 12 สัปดาห์ มีระดับของสารบ่งชี้การอักเสบ CRP ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม การศึกษาวิจัยอีกกรณีหนึ่งพบว่าน้ำเชอร์รี่ทาร์ตไม่มีผลต่อการอักเสบในผู้ใหญ่ที่อายุน้อยที่มีสุขภาพแข็งแรง หลังจากที่พวกเขาดื่มน้ำเชอร์รี่ทาร์ตทุกวันเป็นเวลา 30 วัน ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ ถ้าอักเสบจากน้ำตาลและผลไม้หรือแอลกอฮอล์: K cal ถ้าอักเสบในลำไส้จากการกินเห็ดและยีสต์: Paa vill,Synbc ถ้าอักเสบจากการกินของปิ้งย่างหรือน้ำมันโอเมก้า 6:Paa super h ถ้าเกิดการอักเสบจากการติดเชื้อ:Glube,Whole c ถ้าอักเสบจากการใช้งานร่างกายหรืออวัยวะมากเกินไป:ชาขิงขมิ้น ถ้าอักเสบในดวงตาและระบบสืบพันธุ์:Glap ถ้าอักเสบในหลอดเลือด: โกโก้ป๋า ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 335 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมัยที่ผมเป็นหนุ่ม
    "หมาโรเบิร์ต"

    เมื่อปี พศ.2541...
    ผมกลับมานครพนม บ้านเกิด

    ผมย้ายบ้านจากลานคนเมืองในปัจจุบันมาอยู่บ้านที่ทำการค้า....

    บ้านของผมเป็นตึกแถวริมถนน บำรุงเมือง ทุกๆวัน จะมีหมา แมว แม้กระทั่ง นกพิราบ แวะเวียนผ่านหน้าบ้านทุกวัน บางวันก็มากินนํ้าตรงอ่างบัวที่ผมเลี้ยงไว้ บางวันก็มานอนเล่น พอตื่นก็จากไป วนเวียนอยู่แบบนี้ไม่เคยว่างเว้น

    วันหนึ่ง....

    ผมสังเกตเห็นว่า มีหมาตัวหนึ่งชอบมานอน และมายืนมองเข้ามาในบ้านเหมือนจะหาใคร หรือขอของกิน

    หมาตัวนี้ ตัวใหญ่ มีอายุพอสมควร ขนฟูสีนํ้าตาลแดง ไม่มีปลอกคอ หูตั้ง ปลายหูซ้ายแหว่ง เหมือนมีใครเอาอะไรมาเจาะหูมัน ตาเศร้า ปากมอม หางตั้ง ขนหางเป็นพวง

    มันมายืนมอง และมานอนพักอยู่ ระยะหนึ่ง ด้วยความสงสาร เตี่ยของผมเริ่มเข้าไปผูกมิตรกับมัน ให้ข้าวให้นํ้ามัน จนมันเชื่องและยอมเล่นด้วย

    ผมเลยบอกเตี่ยว่า เอามันมาเลี้ยงเลยดีกว่า คงไม่มีเจ้าของหรอก เตี่ยก็เห็นดีเห็นงามด้วย
    เตี่ยพามันไปฉีดวัคซีน ซื้อปลอกคอให้ และตั้งชื่อมันว่า

    "โรเบิร์ต"

    โรเบิร์ต เป็นสมาชิกใหม่ของบ้าน แมวจรที่เคยวนเวียนมาหาของกินก็หายหมด
    โรเบิร์ต กลายเป็นเจ้าที่ไปเรียบร้อย

    แต่ละวันที่ผ่านไปของโรเบิร์ตนั้นแสนจะสบาย กิน นอน และ ลุกมาเห่ารถที่วิ่งผ่านไปมาสักครั้ง2ครั้ง ก็เป็นอันหมดหน้าที่

    โรเบิร์ต เป็นหมาที่จะว่าเลี้ยงง่ายก็ง่าย เลี้ยงยากก็ยาก

    แม่ผมจะรับหน้าที่ เป็นคนคลุกข้าวให้มัน บางวันมีกระดูกชิ้นใหญ่ๆ ที่ใช้ต้มนํ้าซุป แกก็จะโยนให้มันแทะ
    มันก็จะนอนแทะด้วยความเพลิดเพลิน บางครั้งก็หลับไปพร้อมกับกระดูกชิ้นโตในปาก

    วันหนึ่ง...

    แม่แกคลุกข้าวให้มันเสร็จแล้วก็เอาไปวางตรงที่มันมากินข้าว พร้อมกับส่งเสียงเรียก

    "โรเบิร์ต มากินข้าว..."

    ผมยืนมองดูมัน มันยันกายลุกจากที่ๆมันนอน เดินมาที่ชามข้าว

    มันมาถึงชามข้าว ดมๆไปพักนึง ก็ทำท่าถอนหายใจ แล้วก็เอาจมูกของมันค่อยดันก้นชามให้พลิก

    ชามข้าวของมันควํ่าแล้ว!!!
    ข้าวหกเรี่ยราด มันยืนมองอยู่พักนึง แล้วก็เดินจากไป

    ผมกับแม่ได้แต่ยืนมอง และขำในพฤติกรรมของไอ้โรเบิร์ต

    แม่ผมบ่นไล่หลังมันว่า

    "ต่อไป ไม่ต้องมาขอข้าวชั้นกินเลยนะ..."
    .
    .
    .
    อาจจะเพราะ ผมเลี้ยงมันที่บ้านในเมืองที่เป็นตึกแถว แม้จะมีบริเวณให้มันวิ่งเล่นพอสมควร แต่ก็ดูมันเนือยๆ
    วันหนึ่ง เตี่ยบอกว่าจะเอามันไปเล่น ที่โรงงานลองดู...เผื่อมันจะสดชื่น

    ปรากฎว่า พอไปถึงโรงงาน ที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ โรเบิร์ต กระโดดลงจากรถ และวิ่งไปทั่วด้วยความชอบใจ มันคงชอบที่จะวิ่งในที่โล่งๆแบบนี้...

    หลังจากนั้น ถ้าเตี่ยหรือผมไปโรงงาน ด้วยรถกระบะ มันจะ กระโดดขึ้นกระบะ นั่งโต้ลมไปด้วยทุกครั้ง

    อยู่มาวันหนึ่ง...
    โรเบิร์ต หายหน้าไป 2วันเต็ม
    ทั้งแม่ ทั้งเตี่ย และตัวผม ต่างเที่ยวสอบถาม ละแวกบ้านว่าเห็นโรเบิร์ตไหม เพราะอาจจะโดนรถชนแล้วหนีไป รึโชคร้ายก็ตายแล้ว...

    ไม่มีวี่แวว โรเบิร์ต เลย...
    .
    เย็นวันนั้น ผมมีธุระออกไปที่โรงงาน พอเสร็จงาน

    ในใจผมคิดอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ ผมไปเดินเรียกเจ้าโรเบิร์ต ตรงทุ่งที่มันชอบไปวิ่งเล่น ซึ่งตอนนี้มีหญ้าท่วมสูงพอสมควร

    ผมเรียกหามัน ตลอดทางที่เดินลุยดงหญ้า

    สักพัก...

    ผมได้ยินเสียง "งื้ดๆ " เหมือนเสียงหมาร้องคราง

    ผมเริ่มมองหาที่มาของเสียงพร้อมเรียกคนงานมาช่วยหา

    "โรเบิร์ต!!!!"

    ผมเจอมันแล้ว!!
    มันตกลงไปวงท่อซีเมนต์ ที่ขุดไว้ สำหรับดูดนํ้าซับใต้ดินมาใช้

    มันลึก2เมตรกว่า!

    แรกที่ผมเห็นมันนั้น เห็นจมูกมันโผล่พ้นนํ้า ขึ้นมา!!! พร้อมกับวงกระเพื่อมของคลื่นรอบตัวมันที่มันพยายามพยุงตัวมา2วันเต็ม

    คนงานผม ค่อยๆนำมันขึ้นมาจากบ่อนํ้านั้น

    เล็บที่นิ้วมัน เหี้ยนหมด คงเกิดจากที่มันพยายามตะกุยวงท่อซีเมนต์ เพื่อหาทางขึ้น

    ตัวมันสั่นเทาด้วยความหนาวที่แช่อยู่ในนํ้านั้น2วัน

    ผมเอาผ้าเช็ดตัวมาห่มให้มัน พร้อมกับป้อนอาหารให้มัน จนมันค่อยๆสงบลง...
    .
    .
    เตี่ยบอกว่า
    "มันคงกระโดดขึ้นกระบะตอนผมหรือเตี่ยออกมาโรงงาน แล้วไปวิ่งเล่นที่ดงหญ้านี้ จนตกลงไป ในบ่อนํ้า"

    โรเบิร์ตกลับเข้ามาบ้านในเมืองพร้อมผม มันนอนนิ่งๆ คงหลับไปเพราะความเหนื่อยอ่อน....
    .
    .
    .
    3-4ปีผ่านไป โรเบิร์ต เริ่มแก่ตัวลง ฟันเขี้ยว ค่อยๆหล่นไปทีละอัน ดวงตาเริ่มฝ้าฟาง แต่ยังแฝงด้วยแววตาเศร้าๆของมัน

    เตี่ย แม่ และผม ยังดูแลมันตลอด แม้ว่าหลังๆ มันจะไม่ไปโลดเต้นที่ไหนได้อีกแล้ว แต่เตี่ยก็ยังพามันไปโรงงานด้วยเสมอ

    วันหนึ่ง โรเบิร์ต หายไป

    เตี่ยพูดขึ้นมาลอยๆ ว่า...

    "โรเบิร์ต มันก็คงจะไป ในแบบที่คล้ายวันที่ มันมา...

    ไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากไหน แล้วก็ไม่มีใครรู้ว่า มันไปไหน.."

    โรเบิร์ต จากไปตลอดกาล...
    .
    .
    .
    ***น่าเสียดายที่ในยุคนั้นไม่มีกล้องมือถือ เลยไม่มี ภาพของโรเบิร์ตเก็บไว้ ผมเคยผ่านตาว่ามีภาพโรเบิร์ต หลุดมาเข้าเฟรมสักภาพ แต่ยังหาไม่พบ...
    สมัยที่ผมเป็นหนุ่ม "หมาโรเบิร์ต" เมื่อปี พศ.2541... ผมกลับมานครพนม บ้านเกิด ผมย้ายบ้านจากลานคนเมืองในปัจจุบันมาอยู่บ้านที่ทำการค้า.... บ้านของผมเป็นตึกแถวริมถนน บำรุงเมือง ทุกๆวัน จะมีหมา แมว แม้กระทั่ง นกพิราบ แวะเวียนผ่านหน้าบ้านทุกวัน บางวันก็มากินนํ้าตรงอ่างบัวที่ผมเลี้ยงไว้ บางวันก็มานอนเล่น พอตื่นก็จากไป วนเวียนอยู่แบบนี้ไม่เคยว่างเว้น วันหนึ่ง.... ผมสังเกตเห็นว่า มีหมาตัวหนึ่งชอบมานอน และมายืนมองเข้ามาในบ้านเหมือนจะหาใคร หรือขอของกิน หมาตัวนี้ ตัวใหญ่ มีอายุพอสมควร ขนฟูสีนํ้าตาลแดง ไม่มีปลอกคอ หูตั้ง ปลายหูซ้ายแหว่ง เหมือนมีใครเอาอะไรมาเจาะหูมัน ตาเศร้า ปากมอม หางตั้ง ขนหางเป็นพวง มันมายืนมอง และมานอนพักอยู่ ระยะหนึ่ง ด้วยความสงสาร เตี่ยของผมเริ่มเข้าไปผูกมิตรกับมัน ให้ข้าวให้นํ้ามัน จนมันเชื่องและยอมเล่นด้วย ผมเลยบอกเตี่ยว่า เอามันมาเลี้ยงเลยดีกว่า คงไม่มีเจ้าของหรอก เตี่ยก็เห็นดีเห็นงามด้วย เตี่ยพามันไปฉีดวัคซีน ซื้อปลอกคอให้ และตั้งชื่อมันว่า "โรเบิร์ต" โรเบิร์ต เป็นสมาชิกใหม่ของบ้าน แมวจรที่เคยวนเวียนมาหาของกินก็หายหมด โรเบิร์ต กลายเป็นเจ้าที่ไปเรียบร้อย แต่ละวันที่ผ่านไปของโรเบิร์ตนั้นแสนจะสบาย กิน นอน และ ลุกมาเห่ารถที่วิ่งผ่านไปมาสักครั้ง2ครั้ง ก็เป็นอันหมดหน้าที่ โรเบิร์ต เป็นหมาที่จะว่าเลี้ยงง่ายก็ง่าย เลี้ยงยากก็ยาก แม่ผมจะรับหน้าที่ เป็นคนคลุกข้าวให้มัน บางวันมีกระดูกชิ้นใหญ่ๆ ที่ใช้ต้มนํ้าซุป แกก็จะโยนให้มันแทะ มันก็จะนอนแทะด้วยความเพลิดเพลิน บางครั้งก็หลับไปพร้อมกับกระดูกชิ้นโตในปาก วันหนึ่ง... แม่แกคลุกข้าวให้มันเสร็จแล้วก็เอาไปวางตรงที่มันมากินข้าว พร้อมกับส่งเสียงเรียก "โรเบิร์ต มากินข้าว..." ผมยืนมองดูมัน มันยันกายลุกจากที่ๆมันนอน เดินมาที่ชามข้าว มันมาถึงชามข้าว ดมๆไปพักนึง ก็ทำท่าถอนหายใจ แล้วก็เอาจมูกของมันค่อยดันก้นชามให้พลิก ชามข้าวของมันควํ่าแล้ว!!! ข้าวหกเรี่ยราด มันยืนมองอยู่พักนึง แล้วก็เดินจากไป ผมกับแม่ได้แต่ยืนมอง และขำในพฤติกรรมของไอ้โรเบิร์ต แม่ผมบ่นไล่หลังมันว่า "ต่อไป ไม่ต้องมาขอข้าวชั้นกินเลยนะ..." . . . อาจจะเพราะ ผมเลี้ยงมันที่บ้านในเมืองที่เป็นตึกแถว แม้จะมีบริเวณให้มันวิ่งเล่นพอสมควร แต่ก็ดูมันเนือยๆ วันหนึ่ง เตี่ยบอกว่าจะเอามันไปเล่น ที่โรงงานลองดู...เผื่อมันจะสดชื่น ปรากฎว่า พอไปถึงโรงงาน ที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ โรเบิร์ต กระโดดลงจากรถ และวิ่งไปทั่วด้วยความชอบใจ มันคงชอบที่จะวิ่งในที่โล่งๆแบบนี้... หลังจากนั้น ถ้าเตี่ยหรือผมไปโรงงาน ด้วยรถกระบะ มันจะ กระโดดขึ้นกระบะ นั่งโต้ลมไปด้วยทุกครั้ง อยู่มาวันหนึ่ง... โรเบิร์ต หายหน้าไป 2วันเต็ม ทั้งแม่ ทั้งเตี่ย และตัวผม ต่างเที่ยวสอบถาม ละแวกบ้านว่าเห็นโรเบิร์ตไหม เพราะอาจจะโดนรถชนแล้วหนีไป รึโชคร้ายก็ตายแล้ว... ไม่มีวี่แวว โรเบิร์ต เลย... . เย็นวันนั้น ผมมีธุระออกไปที่โรงงาน พอเสร็จงาน ในใจผมคิดอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ ผมไปเดินเรียกเจ้าโรเบิร์ต ตรงทุ่งที่มันชอบไปวิ่งเล่น ซึ่งตอนนี้มีหญ้าท่วมสูงพอสมควร ผมเรียกหามัน ตลอดทางที่เดินลุยดงหญ้า สักพัก... ผมได้ยินเสียง "งื้ดๆ " เหมือนเสียงหมาร้องคราง ผมเริ่มมองหาที่มาของเสียงพร้อมเรียกคนงานมาช่วยหา "โรเบิร์ต!!!!" ผมเจอมันแล้ว!! มันตกลงไปวงท่อซีเมนต์ ที่ขุดไว้ สำหรับดูดนํ้าซับใต้ดินมาใช้ มันลึก2เมตรกว่า! แรกที่ผมเห็นมันนั้น เห็นจมูกมันโผล่พ้นนํ้า ขึ้นมา!!! พร้อมกับวงกระเพื่อมของคลื่นรอบตัวมันที่มันพยายามพยุงตัวมา2วันเต็ม คนงานผม ค่อยๆนำมันขึ้นมาจากบ่อนํ้านั้น เล็บที่นิ้วมัน เหี้ยนหมด คงเกิดจากที่มันพยายามตะกุยวงท่อซีเมนต์ เพื่อหาทางขึ้น ตัวมันสั่นเทาด้วยความหนาวที่แช่อยู่ในนํ้านั้น2วัน ผมเอาผ้าเช็ดตัวมาห่มให้มัน พร้อมกับป้อนอาหารให้มัน จนมันค่อยๆสงบลง... . . เตี่ยบอกว่า "มันคงกระโดดขึ้นกระบะตอนผมหรือเตี่ยออกมาโรงงาน แล้วไปวิ่งเล่นที่ดงหญ้านี้ จนตกลงไป ในบ่อนํ้า" โรเบิร์ตกลับเข้ามาบ้านในเมืองพร้อมผม มันนอนนิ่งๆ คงหลับไปเพราะความเหนื่อยอ่อน.... . . . 3-4ปีผ่านไป โรเบิร์ต เริ่มแก่ตัวลง ฟันเขี้ยว ค่อยๆหล่นไปทีละอัน ดวงตาเริ่มฝ้าฟาง แต่ยังแฝงด้วยแววตาเศร้าๆของมัน เตี่ย แม่ และผม ยังดูแลมันตลอด แม้ว่าหลังๆ มันจะไม่ไปโลดเต้นที่ไหนได้อีกแล้ว แต่เตี่ยก็ยังพามันไปโรงงานด้วยเสมอ วันหนึ่ง โรเบิร์ต หายไป เตี่ยพูดขึ้นมาลอยๆ ว่า... "โรเบิร์ต มันก็คงจะไป ในแบบที่คล้ายวันที่ มันมา... ไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากไหน แล้วก็ไม่มีใครรู้ว่า มันไปไหน.." โรเบิร์ต จากไปตลอดกาล... . . . ***น่าเสียดายที่ในยุคนั้นไม่มีกล้องมือถือ เลยไม่มี ภาพของโรเบิร์ตเก็บไว้ ผมเคยผ่านตาว่ามีภาพโรเบิร์ต หลุดมาเข้าเฟรมสักภาพ แต่ยังหาไม่พบ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีกระแสข่าวที่กำลังลือกันในวงการเทคโนโลยีว่าบริษัท AMD กำลังพัฒนากราฟิกการ์ด RDNA 4 รุ่นใหม่ที่มีหน่วยความจำ VRAM สูงถึง 32GB ซึ่งอาจเป็นคู่แข่งกับ Nvidia RTX 5090 ที่มีชื่อเสียง แม้ว่าข่าวนี้จะดูน่าสนใจสำหรับนักเล่นเกม แต่น่าเสียดายที่กราฟิกการ์ดนี้น่าจะถูกออกแบบมาสำหรับการใช้งานในศูนย์ข้อมูลและแอปพลิเคชันทางด้านมืออาชีพ

    มีการอัพเดทว่า กราฟิกการ์ดนี้จะมีชื่อรุ่น RX 9070 XT 32GB และคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงปลายไตรมาสที่สอง โดยมีราคาที่สูงกว่ารุ่นมาตรฐานมาก และถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานด้าน AI โดยเฉพาะ แต่ยังคงเป็นการ์ดที่ใช้สำหรับการเล่นเกมและไม่ใช่ Radeon Pro

    ข่าวลือนี้มาจาก Chiphell ฟอรัมที่เน้นเทคโนโลยีในจีน จึงต้องใช้วิจารณญาณในการรับฟัง แม้ว่า AMD จะยืนยันว่าในรุ่น RX 9000 ที่เปิดตัวก่อนหน้านี้จะไม่เน้นการแข่งขันกับ Nvidia แต่จะมุ่งเน้นการพัฒนาและการออกแบบผลิตภัณฑ์ระดับกลางและล่างมากกว่า เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของบริษัท

    ที่น่าสนใจคือ RX 9070 XT นี้คาดว่าจะมีราคาเริ่มต้นที่ $599 ซึ่งถูกกว่า RTX 5070 Ti ถึง $150 ส่วน RX 9070 คาดว่าจะมีราคาต่ำกว่า RTX 5070 ที่ $549

    https://www.techspot.com/news/106739-amd-could-developing-32gb-rdna-4-gpu-enterprise.html
    มีกระแสข่าวที่กำลังลือกันในวงการเทคโนโลยีว่าบริษัท AMD กำลังพัฒนากราฟิกการ์ด RDNA 4 รุ่นใหม่ที่มีหน่วยความจำ VRAM สูงถึง 32GB ซึ่งอาจเป็นคู่แข่งกับ Nvidia RTX 5090 ที่มีชื่อเสียง แม้ว่าข่าวนี้จะดูน่าสนใจสำหรับนักเล่นเกม แต่น่าเสียดายที่กราฟิกการ์ดนี้น่าจะถูกออกแบบมาสำหรับการใช้งานในศูนย์ข้อมูลและแอปพลิเคชันทางด้านมืออาชีพ มีการอัพเดทว่า กราฟิกการ์ดนี้จะมีชื่อรุ่น RX 9070 XT 32GB และคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงปลายไตรมาสที่สอง โดยมีราคาที่สูงกว่ารุ่นมาตรฐานมาก และถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานด้าน AI โดยเฉพาะ แต่ยังคงเป็นการ์ดที่ใช้สำหรับการเล่นเกมและไม่ใช่ Radeon Pro ข่าวลือนี้มาจาก Chiphell ฟอรัมที่เน้นเทคโนโลยีในจีน จึงต้องใช้วิจารณญาณในการรับฟัง แม้ว่า AMD จะยืนยันว่าในรุ่น RX 9000 ที่เปิดตัวก่อนหน้านี้จะไม่เน้นการแข่งขันกับ Nvidia แต่จะมุ่งเน้นการพัฒนาและการออกแบบผลิตภัณฑ์ระดับกลางและล่างมากกว่า เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของบริษัท ที่น่าสนใจคือ RX 9070 XT นี้คาดว่าจะมีราคาเริ่มต้นที่ $599 ซึ่งถูกกว่า RTX 5070 Ti ถึง $150 ส่วน RX 9070 คาดว่าจะมีราคาต่ำกว่า RTX 5070 ที่ $549 https://www.techspot.com/news/106739-amd-could-developing-32gb-rdna-4-gpu-enterprise.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    AMD could be developing a 32GB RDNA 4 GPU: possible RTX 5090 rival or enterprise only?
    Update: The leaker now claims the card will be the RX 9070 XT 32GB, priced much higher than the standard version, and will launch at the end...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผมถือคติว่าจะไม่เก็บไพ่ที่สร้างจาก Fandom ที่ตัวเองไม่คุ้นเคย เว้นแต่มันจะสวยตาแตกหรือมีอะไรสักอย่างที่ดึงดูดใจผม และ 'World of Warcraft Tarot' (2024) ก็สวยจนเข้าข่ายข้อยกเว้นในแบบแรก

    ไพ่ชุดนี้ผลิตและจัดจำหน่ายโดย สนพ. Titan Books โดยได้ลิขสิทธิ์ถูกต้องจาก Blizzard Entertainment หนึ่งในค่ายเกมยักษ์ใหญ่แห่งอเมริกาซึ่งเป็นผู้พัฒนาเกมในซีรีส์ World of Warcraft รวมถึงเกมชื่อดังอีกหลายเกม เช่น Overwatch, StarCraft และ Diablo (อันหลังนี่ถูก Titan Books นำไปสร้างเป็นไพ่ทาโรต์ด้วย)

    World of Warcraft เป็นเกม MMORPG (RPG แบบที่ต้องต่อเน็ตเล่นกับชาวบ้าน) ในแฟรนไชส์เกม Warcraft ต่อมาแตกแขนงออกไปเป็นเกมแนววางแผนการรบชื่อ DotA (อ่านว่า โดต้า แต่คนไทยชอบเรียก ด็อตเอ) ซึ่งเคยเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่วัยรุ่นชาย gen Y และ gen X ตอนปลาย นอกจากนั้นตัว Warcraft ที่เป็นเกมหลัก ยังเคยถูกนำไปสร้างดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ฉายในปี 2016 ซึ่งไม่ค่อยประสบผลสำเร็จเท่าไร

    ก่อนจะเข้าเรื่องไพ่ ผมขอเกริ่นถึงจักรวาล Warcraft ที่เป็นฉากท้องเรื่องเดียวกับไพ่ชุดที่กำลังรีวิวนี้คร่าว ๆ นะครับ Warcraft จัดว่าเป็นสื่อแนวแฟนตาซีประเภทเล่นใหญ่ มีเวทมนตร์และเผ่าพันธุ์อมนุษย์จำพวกที่พบเจอบ่อย ๆ ได้นิยายและหนังแฟนตาซี เช่น เอลฟ์ คนแคระ ออร์ก ฯลฯ แต่ความแตกต่างอย่างหนึ่งที่พอจะแยก Warcraft จากเรื่องแฟนตาซีอื่น ๆ อยู่บ้างก็คือ เผ่าพันธุ์ออร์กซึ่งรับบทตัวร้ายหลัก อพยพมาจากดาวเคราะห์บ้านเกิดชื่อ Draenor ซึ่งกำลังจะล่มสลาย ข้ามประตูเวทมายังดาว Azeroth ที่มีมนุษย์ เอลฟ์ คนแคระ และเผ่าพันธุ์อื่น ๆ อาศัยอยู่ และเนื้อเรื่องที่เกิดขึ้นตามมาจากนั้นก็กลายเป็นสงครามการรุกรานและแย่งชิงดินแดนโดยพวกออร์กอีกมากมายหลายครั้งในซีรีส์นี้ เอาละ รู้แค่นี้พอ กลับมาเรื่องไพ่

    ไพ่ World of Warcraft Tarot สร้างขึ้นโดยอ้างอิงเนื้อเรื่องในจักรวาล Warcraft แต่ถ้าถามว่าจำเป็นไหมที่จะต้องรู้เนื้อเรื่องของตัวละครหรือฉากบนหน้าไพ่ ตอบเลยว่าไม่จำเป็นครับ ไพ่ในสำรับ 78 ใบ เกือบทุกใบมีโครงสร้างหน้าไพ่ที่ใกล้เคียงกับชุดมาตรฐานอย่าง RWS โดยเฉพาะในไพ่ชุดรองทั้ง 4 ตระกูล

    ส่วนในไพ่ชุดหลัก 22 ใบ บางใบถ้าดูแค่หน้าไพ่อย่างเดียวก็จะงง ๆ หน่อย หาความเชื่อมโยงกับไพ่ในระบบมาตรฐานไม่ได้ เช่น ไพ่ The Fool และ Temperance มีรูปมังกรยืนจังก้าอยู่ ไพ่ Tower มีรูปดาบ ถ้าปิดชื่อปิดหมายเลขก็อาจทำให้หลงนึกว่าเป็นไพ่ 1 ดาบได้

    ยังดีที่ในคู่มือที่แถมมากับไพ่มีการอธิบาย Lore หรือเกร็ดเรื่องราวของสิ่งที่อยู่บนหน้าไพ่ชุดหลักทั้ง 22 ใบเอาไว้พอสังเขป อ่านแล้วจะพอเข้าใจว่าตัวละครหรือสิ่งของบนหน้าไพ่นั้นมีความเป็นมาหรือบทบาทที่เชื่อมโยงกับความหมายไพ่ใบนั้น ๆ อย่างไร น่าเสียดายที่ในส่วนของไพ่ชุดเล็กจะไม่มีการอธิบาย Lore แบบเดียวกันนี้อยู่ แค่บอกความหมายของไพ่ตามปกติ ขอเสริมเล็กน้อยว่าผู้เขียนคู่มือของไพ่ชุดนี้คือ Ian Flynn ซึ่งเป็นผู้แต่งเนื้อเรื่องในการ์ตูนคอมิกชื่อดังหลายเรื่องของอเมริกา

    ในแง่การผลิต ไพ่ชุดนี้ถือว่าเป็นไพ่ Fandom ที่ผลิตและจัดจำหน่ายโดย สนพ. เป็นทางการ (คือไม่ใช่ผู้ผลิตอิสระ) ที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเจอมา ภาพหน้าไพ่มีโทนสีหลักแค่ 1-2 สี ล้อมอยู่ในกรอบสีทองสะท้อนแสงบนพื้นหลังสีขาวนวล บรรจุในกล่องฝาครอบแข็งจั่วปังสีขาวลายหินอ่อนพร้อมริบบิ้นสีทองสำหรับใช้งัดไพ่ออกจากกล่อง

    ตัวไพ่พิมพ์ด้วยกระดาษอาร์ตเคลือบด้านที่น่าจะหนา 360 - 400 gsm หน้าไพ่ปั๊มทองสะท้อนแสงตรงกรอบไพ่ หลังไพ่เคลือบ UV เฉพาะจุดบนรูปวงพลังธาตุทั้ง 6 ในจักรวาล Warcraft ทุกอย่างกรีดร้องออกมาเป็นคำว่า เรียบหรู ขัดกับภาพลักษณ์ความเป็นเกมสำหรับวัยรุ่นเกรียนแตกแบบ DotA ในความทรงจำของผมอย่างไรชอบกล (ซึ่งถือเป็นเรื่องดี)

    สำหรับคนที่ไม่ได้รู้จักมักคุ้นกับ World of Warcraft แต่หลงใหลในความแฟนตาซีเรียบหรูของไพ่ชุดนี้ ส่วนตัวผมอยากฝากคำแนะนำว่า คุณไม่ต้องไปแคร์กับหน้าไพ่ แต่ใช้ไพ่ชุดนี้โดยยึดความหมายไพ่ตามขนบหรือตามแนวทางที่คุณเรียนมาไปเลย ไม่จำเป็นต้องอ่านเกร็ดเนื้อเรื่องในคู่มือหรือตามศึกษาเนื้อเรื่องจากจักรวาล Warcraft แต่ถ้ามีเวลาว่างทำ คุณก็อาจจะได้แง่มุมอะไรเพิ่มเติมจากเกร็ดเนื้อเรื่องไว้ไปใช้ประกอบการตีความไพ่ด้วยก็ได้ครับ การใช้ไพ่ Fandom ทุกชุดก็มีหลักไม่ต่างกันนี้

    ปัจจุบัน World of Warcraft Tarot มีวางจำหน่ายแล้วที่ร้าน Asia Books ทุกสาขาครับ
    ผมถือคติว่าจะไม่เก็บไพ่ที่สร้างจาก Fandom ที่ตัวเองไม่คุ้นเคย เว้นแต่มันจะสวยตาแตกหรือมีอะไรสักอย่างที่ดึงดูดใจผม และ 'World of Warcraft Tarot' (2024) ก็สวยจนเข้าข่ายข้อยกเว้นในแบบแรก ไพ่ชุดนี้ผลิตและจัดจำหน่ายโดย สนพ. Titan Books โดยได้ลิขสิทธิ์ถูกต้องจาก Blizzard Entertainment หนึ่งในค่ายเกมยักษ์ใหญ่แห่งอเมริกาซึ่งเป็นผู้พัฒนาเกมในซีรีส์ World of Warcraft รวมถึงเกมชื่อดังอีกหลายเกม เช่น Overwatch, StarCraft และ Diablo (อันหลังนี่ถูก Titan Books นำไปสร้างเป็นไพ่ทาโรต์ด้วย) World of Warcraft เป็นเกม MMORPG (RPG แบบที่ต้องต่อเน็ตเล่นกับชาวบ้าน) ในแฟรนไชส์เกม Warcraft ต่อมาแตกแขนงออกไปเป็นเกมแนววางแผนการรบชื่อ DotA (อ่านว่า โดต้า แต่คนไทยชอบเรียก ด็อตเอ) ซึ่งเคยเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่วัยรุ่นชาย gen Y และ gen X ตอนปลาย นอกจากนั้นตัว Warcraft ที่เป็นเกมหลัก ยังเคยถูกนำไปสร้างดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ฉายในปี 2016 ซึ่งไม่ค่อยประสบผลสำเร็จเท่าไร ก่อนจะเข้าเรื่องไพ่ ผมขอเกริ่นถึงจักรวาล Warcraft ที่เป็นฉากท้องเรื่องเดียวกับไพ่ชุดที่กำลังรีวิวนี้คร่าว ๆ นะครับ Warcraft จัดว่าเป็นสื่อแนวแฟนตาซีประเภทเล่นใหญ่ มีเวทมนตร์และเผ่าพันธุ์อมนุษย์จำพวกที่พบเจอบ่อย ๆ ได้นิยายและหนังแฟนตาซี เช่น เอลฟ์ คนแคระ ออร์ก ฯลฯ แต่ความแตกต่างอย่างหนึ่งที่พอจะแยก Warcraft จากเรื่องแฟนตาซีอื่น ๆ อยู่บ้างก็คือ เผ่าพันธุ์ออร์กซึ่งรับบทตัวร้ายหลัก อพยพมาจากดาวเคราะห์บ้านเกิดชื่อ Draenor ซึ่งกำลังจะล่มสลาย ข้ามประตูเวทมายังดาว Azeroth ที่มีมนุษย์ เอลฟ์ คนแคระ และเผ่าพันธุ์อื่น ๆ อาศัยอยู่ และเนื้อเรื่องที่เกิดขึ้นตามมาจากนั้นก็กลายเป็นสงครามการรุกรานและแย่งชิงดินแดนโดยพวกออร์กอีกมากมายหลายครั้งในซีรีส์นี้ เอาละ รู้แค่นี้พอ กลับมาเรื่องไพ่ ไพ่ World of Warcraft Tarot สร้างขึ้นโดยอ้างอิงเนื้อเรื่องในจักรวาล Warcraft แต่ถ้าถามว่าจำเป็นไหมที่จะต้องรู้เนื้อเรื่องของตัวละครหรือฉากบนหน้าไพ่ ตอบเลยว่าไม่จำเป็นครับ ไพ่ในสำรับ 78 ใบ เกือบทุกใบมีโครงสร้างหน้าไพ่ที่ใกล้เคียงกับชุดมาตรฐานอย่าง RWS โดยเฉพาะในไพ่ชุดรองทั้ง 4 ตระกูล ส่วนในไพ่ชุดหลัก 22 ใบ บางใบถ้าดูแค่หน้าไพ่อย่างเดียวก็จะงง ๆ หน่อย หาความเชื่อมโยงกับไพ่ในระบบมาตรฐานไม่ได้ เช่น ไพ่ The Fool และ Temperance มีรูปมังกรยืนจังก้าอยู่ ไพ่ Tower มีรูปดาบ ถ้าปิดชื่อปิดหมายเลขก็อาจทำให้หลงนึกว่าเป็นไพ่ 1 ดาบได้ ยังดีที่ในคู่มือที่แถมมากับไพ่มีการอธิบาย Lore หรือเกร็ดเรื่องราวของสิ่งที่อยู่บนหน้าไพ่ชุดหลักทั้ง 22 ใบเอาไว้พอสังเขป อ่านแล้วจะพอเข้าใจว่าตัวละครหรือสิ่งของบนหน้าไพ่นั้นมีความเป็นมาหรือบทบาทที่เชื่อมโยงกับความหมายไพ่ใบนั้น ๆ อย่างไร น่าเสียดายที่ในส่วนของไพ่ชุดเล็กจะไม่มีการอธิบาย Lore แบบเดียวกันนี้อยู่ แค่บอกความหมายของไพ่ตามปกติ ขอเสริมเล็กน้อยว่าผู้เขียนคู่มือของไพ่ชุดนี้คือ Ian Flynn ซึ่งเป็นผู้แต่งเนื้อเรื่องในการ์ตูนคอมิกชื่อดังหลายเรื่องของอเมริกา ในแง่การผลิต ไพ่ชุดนี้ถือว่าเป็นไพ่ Fandom ที่ผลิตและจัดจำหน่ายโดย สนพ. เป็นทางการ (คือไม่ใช่ผู้ผลิตอิสระ) ที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเจอมา ภาพหน้าไพ่มีโทนสีหลักแค่ 1-2 สี ล้อมอยู่ในกรอบสีทองสะท้อนแสงบนพื้นหลังสีขาวนวล บรรจุในกล่องฝาครอบแข็งจั่วปังสีขาวลายหินอ่อนพร้อมริบบิ้นสีทองสำหรับใช้งัดไพ่ออกจากกล่อง ตัวไพ่พิมพ์ด้วยกระดาษอาร์ตเคลือบด้านที่น่าจะหนา 360 - 400 gsm หน้าไพ่ปั๊มทองสะท้อนแสงตรงกรอบไพ่ หลังไพ่เคลือบ UV เฉพาะจุดบนรูปวงพลังธาตุทั้ง 6 ในจักรวาล Warcraft ทุกอย่างกรีดร้องออกมาเป็นคำว่า เรียบหรู ขัดกับภาพลักษณ์ความเป็นเกมสำหรับวัยรุ่นเกรียนแตกแบบ DotA ในความทรงจำของผมอย่างไรชอบกล (ซึ่งถือเป็นเรื่องดี) สำหรับคนที่ไม่ได้รู้จักมักคุ้นกับ World of Warcraft แต่หลงใหลในความแฟนตาซีเรียบหรูของไพ่ชุดนี้ ส่วนตัวผมอยากฝากคำแนะนำว่า คุณไม่ต้องไปแคร์กับหน้าไพ่ แต่ใช้ไพ่ชุดนี้โดยยึดความหมายไพ่ตามขนบหรือตามแนวทางที่คุณเรียนมาไปเลย ไม่จำเป็นต้องอ่านเกร็ดเนื้อเรื่องในคู่มือหรือตามศึกษาเนื้อเรื่องจากจักรวาล Warcraft แต่ถ้ามีเวลาว่างทำ คุณก็อาจจะได้แง่มุมอะไรเพิ่มเติมจากเกร็ดเนื้อเรื่องไว้ไปใช้ประกอบการตีความไพ่ด้วยก็ได้ครับ การใช้ไพ่ Fandom ทุกชุดก็มีหลักไม่ต่างกันนี้ ปัจจุบัน World of Warcraft Tarot มีวางจำหน่ายแล้วที่ร้าน Asia Books ทุกสาขาครับ
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 289 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวช็อกวงการบันเทิง "ต้าเอส" หนึ่งในนักแสดงหนังชุดไต้หวันสุดดัง #F4 "รักใสใส หัวใจสี่ดวง" เสียชีวิตในประเทศญี่ปุ่น ในวัย 48 ปี

    มีรายงานข่าวจากสื่อบันเทิงหลายหัวใน ฮ่องกง ไต้หวัน จีน และ ญี่ปุ่น
    โดยน้องสาว "เสี่ยวเอส" และครอบครัวของ "ต้าเอส" ได้แจ้งข่าวยืนยันการเสียชีวิต
    "ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง! ช่วงปีใหม่ ครอบครัวเรามาญี่ปุ่นกันทั้งครอบครัว พี่สาวที่รักและใจดีของฉันเธอตื่นเต้นมาก แต่น่าเสียดาย พี่สาวจากพวกเราไปเพราะไข้หวัดและปอดบวม ฉันรู้สึกขอบคุณที่ได้เกิดมาเป็นพี่น้องกันในชาตินี้ ได้ดูแลกันและกัน อยู่เคียงข้างกัน ฉันขอบคุณและจะคิดถึงพี่สาวของฉันเสมอ!

    ขอให้การเดินทางครั้งนี้ พบแต่ความสุขครับ
    RIP. ต้าเอส
    ข่าวช็อกวงการบันเทิง "ต้าเอส" หนึ่งในนักแสดงหนังชุดไต้หวันสุดดัง #F4 "รักใสใส หัวใจสี่ดวง" เสียชีวิตในประเทศญี่ปุ่น ในวัย 48 ปี มีรายงานข่าวจากสื่อบันเทิงหลายหัวใน ฮ่องกง ไต้หวัน จีน และ ญี่ปุ่น โดยน้องสาว "เสี่ยวเอส" และครอบครัวของ "ต้าเอส" ได้แจ้งข่าวยืนยันการเสียชีวิต "ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง! ช่วงปีใหม่ ครอบครัวเรามาญี่ปุ่นกันทั้งครอบครัว พี่สาวที่รักและใจดีของฉันเธอตื่นเต้นมาก แต่น่าเสียดาย พี่สาวจากพวกเราไปเพราะไข้หวัดและปอดบวม ฉันรู้สึกขอบคุณที่ได้เกิดมาเป็นพี่น้องกันในชาตินี้ ได้ดูแลกันและกัน อยู่เคียงข้างกัน ฉันขอบคุณและจะคิดถึงพี่สาวของฉันเสมอ! ขอให้การเดินทางครั้งนี้ พบแต่ความสุขครับ RIP. ต้าเอส
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 288 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่วงนี้อ่านเล่มไหนก็รู้สึกชอบและสนุกไปหมดเลยครับ อาจเพราะเป็นคนเลือกที่อยากอ่านเองจริง ๆ และก็มักไม่พบความผิดหวังกับเล่มที่เลือกนั้น ล่าสุดก็เรื่องนี้ที่สะดุดตาตั้งแต่ปกหน้า พอเจอในแอป hibrary ที่คนจองคิวไม่มาก และระบุว่าเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวน ระทึกขวัญกลางกรุงโตเกียว คิดว่าน่าสนใจจึงต่อคิวจอง และเมื่อวันก่อนครบกำหนดต้องคืน จึงรีบอ่านแบบติดเทอร์โบรวดเดียวจนจบทันก่อนเวลาเส้นตายแบบเฉียดฉิว เมื่ออ่านจบก็พบว่า

    "ดีจริงที่ตัดสินใจที่จะลองอ่าน ถ้าไม่งั้นคงน่าเสียดายยิ่ง"

    #silenttokyoandsothisisxmas
    สนพ.ไดฟุกุ (อ่านหนังสือของไดฟุกุติดกันหลายเล่ม เป็นสนพ.หนึ่งที่ผลิตหนังสือค่อนข้างคุณภาพทีเดียว แต่ผมอ่านแบบอีบุ๊ก)
    ฮาตะ ทาเคฮิโตะ เขียน
    เกวลิน ลิขิตวิทยาวุฒิ แปล
    248 หน้า 280 บาท
    พิมพ์ในญี่ปุ่นครั้งแรก 2559 ในไทยพิมพ์ครั้งแรกปี 2564

    คุณจะทำอย่างไร ถ้ารู้ว่าเมืองที่ตนอาศัยอยู่กำลังจะเกิดเหตุระเบิดครั้งใหญ่ใจกลางกรุง?

    เริ่มเรื่องก็ระทึกขวัญแต่ต้น ด้วยการที่แม่บ้านวัยสี่สิบกว่ารายหนึ่งตั้งใจจะออกไปซื้อของขวัญให้สามี เพราะใกล้จะถึงคริสต์มาส เธอจึงออกจากบ้านไปยังย่านกลางเมือง หลังซื้อของแล้วจึงมานั่งรับแดดกะจะกินแซนด์วิช บนม้านั่งตัวหนึ่งที่ลานสาธารณะหน้าสถานีรถไฟเอบิสุ ครู่หนึ่งชายที่ไหนไม่รู้ เข้ามาคุยกับเธอพูดจาแปลก ๆ บอกว่าใต้ม้านั่งมีระเบิด ห้ามเธอลุกขึ้นไม่งั้นระเบิดจะทำงาน เพราะเมื่อมีน้ำหนักมากกว่า30กิโลกรัมกดทับ วงจรจะเริ่มเตรียมพร้อม ทางเดียวที่จะรอด เธอต้องนั่งรอจนกว่าจะมีคนจากสถานทีโทรทัศน์แห่งหนึ่งมาที่นี่ แล้วให้เขานั่งลงข้าง ๆ จากนั้นเธอจึงลุกขึ้นได้ แต่ให้บอกสิ่งที่เธอได้ยินนี้กับเขาด้วยเพื่อจะได้ไม่ตายเพราะระเบิด และสุดท้ายให้บอกเขาว่า นี่คือสงคราม!

    🧨

    จากจุดเริ่มนั้นเอง ที่สถานีโทรทัศน์แห่งนั้น มีสายโทรแจ้งว่าจะมีการระเบิดขึ้นที่...หนุ่มทำงานพาร์ตไทม์ในสถานีที่ได้รับงานเป็นเบ๊ทั่วไป ถูกสั่งให้ไปยังจุดดังกล่าวพร้อมจนท.อีกคนที่ติดอุปกรณ์การถ่ายทำไปด้วย ทั้งสองจำใจไปแต่เชื่อว่าคงเป็นการล้อกันเล่น เมื่อไปถึงพบหญิงที่นั่งอยู่ข้างม้านั่งที่คนในสายแจ้ง ทั้งสองเข้าไปใกล้กะจะไปนั่งม้านั่งใกล้กันเพื่อสังเกต แต่เธอกลับเรียกให้ชายที่ถือกล้องนั่งลงถามว่ามาจากสถานีโทรทัศน์ใช่ไหม เขาแปลกใจจึงนั่งลงจะสอบถาม เธอรีบกระโดดขึ้นทันทีพลางบอกรายละเอียดทั้งหมด

    🧨

    ชายที่นั่งไม่เชื่อจะลุก เธอรีบกดไหล่และหว่านล้อมว่าวิธีเดียวที่จะรอดคือต้องทำตามคำบอกของชายคนที่แจ้งรายละเอียดกับเธอไว้ในตอนแรก นั่นคือให้เขาใช้กล้องบันทึกสิ่งที่ตัวเองประสบแล้วเผยแพร่ออกไป จากนั้นเธอเอาของที่คล้ายนาฬิกาข้อมือดิจิทัลมาคล้องกับข้อมือของหนุ่มพาร์ตไทม์โดยเขาไม่ทันตั้งตัว พลางเธอชูให้ดูว่าที่ข้อมือตัวเองก็มี บอกว่านี่เป็นระเบิดด้วยเช่นกัน ถ้าไม่ทำตามคำสั่งของชายแปลกหน้าที่เข้ามาคุยกับเธอ เขาจะสั่งงานระยะไกลให้นาฬิการะเบิด แล้วรีบบอกกับเด็กหนุ่มว่าต้องไปต่อที่แห่งหนึ่งตามคำสั่ง จากนั้นทิ้งชายที่น่าสงสารไว้ตามลำพัง ซึ่งเขาก็กลัวมากจึงรีบทำตามที่เธอบอก ในที่สุดเรื่องก็ทราบถึงตำรวจ จนแห่กันมากู้ระเบิดด้วยการใช้ไนโตรเจนเหลวกะให้หยุดการทำงานของระบบ ปรากฏว่าเกิดระเบิดเสียงดังสนั่น

    🧨

    ที่แท้เป็นการข่มขู่ แค่ระเบิดเสียงแต่ยังไม่มีอำนาจทำลายล้าง ทว่าด้วยเหตุนี้ทางตำรวจสืบสวนกลางจึงตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดูแลและสืบเรื่องนี้ขึ้น จากการวิเคราะห์ทำให้ตำรวจทราบว่า ระเบิดนั้นถูกติดตั้งตัวจับอุณหภูมิไว้ด้วย แสดงว่าคนที่ประกอบระเบิดเป็นระดับผู้เชี่ยวชาญ ที่มีความรู้ด้านนี้และคาดเดาได้ว่าตำรวจจะใช้ไนโตรเจนเหลว จึงดักทางด้วยการติดตั้งระบบให้ไม่อาจกู้ด้วยวิธีที่ตำรวจใช้ ในทีมสืบสวน มีการจับคู่ของนายตำรวจมากประสบการณ์วัยสี่สิบกว่ากับตำรวจหนุ่มไฟแรงคู่หนึ่ง ซึ่งมีบทบาทในการตามสืบข้อมูลเกี่ยวกับการระเบิดครั้งนี้อย่างกัดติด ด้วยตำรวจวัยกลางคนนั้นเคยแต่งงานกับลูกสาวของระดับสูงของหัวหน้าที่ตั้งทีมครั้งนี้ ทว่ามีเหตุการณ์ในอดีตที่ทำให้ต้องหย่ากันไป อย่างไรเขาคือผู้มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนเกี่ยวกับสถานการณ์อันตราย

    🧨

    ด้านหญิงกลางคนกับหนุ่มพาร์ตไทม์ เดินทางไปยังอาคารหลังหนึ่งเป็นห้องเช่า ที่ภายในมีทีวีและอุปกรณ์กล้อง พร้อมซองสีขาวที่เขียนรายละเอียดบอกไว้ให้เด็กหนุ่มต้องอ่านข้อความตามที่มีบทพูดไว้ให้ โดยให้ฝ่ายหญิงเป็นคนทำหน้าที่บันทึกภาพ จากนั้นให้นำโหลดเผยแพร่ให้คนอื่นในยูทูปเห็น เนื้อหาสรุปคือให้บอกว่าผมคือผู้ที่วางระเบิดนั้นเอง และยื่นข้อเสนอขอคุยกับนายกถ่ายทอดออกทางสถานีโทรทัศน์ ถ้าไม่ทำตาม จะมีการวางระเบิดในย่านใจกลางชิบูย่า หน้ารูปปั้นหมาฮาจิโกะ เส้นตายคือ18.30น. ปรากฏว่านายกฯออกข่าวตอบโต้ว่าไม่ต้องการเจรจาใดกับผู้ก่อการร้ายทั้งสิ้น และจะทำสงครามกับคนไม่หวังดีอย่างถึงที่สุด

    🧨

    ด้านหนุ่มพาร์ตไทม์ได้รับคำสั่งต่อไปให้ไปทำคนเดียว จึงต้องแยกกับหญิงกลางคนที่ถูกให้เฝ้ารอคำสั่งอยู่ในห้องแห่งนั้น ส่วนตำรวจก็วิ่งขาขวิด ล้อมรั้วด้วยแถบเหลืองรอบรูปปั้นฮาจิโกะด้วยรัศมีประมาณหนึ่ง และให้หน่วยกอบกู้ระเบิดพยายามเร่งค้นหาวัตถุระเบิดที่ถูกซุกซ่อนอยู่ แต่คนโตเกียวและชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่เข้าใจว่าคลิปที่เผยแพร่ น่าจะเป็นการหลอกลวงเหมือนเช่นระเบิดก่อนหน้าที่สถานีเอบิสุ จึงไม่รู้สึกกลัวแถมยังแห่มายังบริเวณลานอันเป็นสถานที่ถูกระบุ ด้วยต้องการมาเซลฟี่ตนเอง บ้างมาเป็นกลุ่ม เพื่ออัปโหลดเผยแพร่ให้คนอื่นเห็น

    🧨

    มีหญิงสาวพนักงานบริษัทธรรมดาสองคนที่เป็นเพื่อนสนิทกัน คนหนึ่งเป็นชู้กับสามีของคนอื่นและคะยั้นคะยอชวนเพื่อนไปนัดบอดก่อนหน้านี้ ซึ่งเพื่อนของเธอเพิ่งอกหักจากแฟนที่รักกันมากว่าสิบปี แล้วทิ้งไปอยู่กับกิ๊กที่ตั้งท้องไม่กี่เดือน เพื่อนสาวคนนี้กำลังคิดจะเริ่มต้นใหม่และรู้สึกดีกับหนุ่มคนหนึ่งในงานนัดบอด โดยเขาคนนั้นเป็นเจ้าของบริษัทที่สร้างแอปพลิเคชันที่เปิดตัวดีและมีคนใช้เยอะ ธุรกิจไปได้สวยทั้งที่ยังอายุไม่มาก แต่ค่อนข้างเย็นชาไม่สนใจคนรอบข้าง สองสาวตั้งใจจะมากินอาหารฉลองก่อนคริสต์มาส แล้วเห็นหนุ่มคนที่ตนสนใจเข้าพอดีในสถานที่ใกล้รูปปั้นฮาจิโกะ เพื่อนคนที่ใจกล้าจึงชวนอีกคนว่าให้ลองตามไปดูเขาว่าทำไมถึงมาอยู่แถวชิบูย่า ทั้งที่ก่อนหน้าตอนเธอชวนมากินข้าวด้วยกัน ปฏิเสธว่ามีนัดสำคัญที่อื่น เธอไม่อยากไปแต่สุดท้ายก็โดนเพื่อนลากไปจนได้

    🧨

    ด้านตำรวจยังคงพยายามตามหาว่าระเบิดถูกซ่อนตรงไหน เวลากระชั้นสั้นเข้าใกล้ถึงกำหนดที่ถูกประกาศว่าจะมีการระเบิด แต่ผู้คนยิ่งมาออกันอย่างเนืองแน่นด้วยความสนุกสนาน

    สุดท้ายจึงเกิดโศกนาฏกรรมใหญ่ เพราะมีการระเบิดขึ้นจริง ผู้คนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง แต่เรื่องราวไม่จบเท่านี้ เพราะหลังเหตุร้ายแรง นายกฯยังคงยืนยันคำพูดแข็งกร้าวเช่นเดิม ดังนั้นจึงมีข้อความต่อมาของคนร้ายที่แจ้งให้ทราบว่า ถ้านายกยังไม่ทำตามข้อเสนอ ระเบิดครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในคืนวันคริสต์มาสอีฟ คราวนี้บอกแค่เวลา แต่ไม่ระบุจุดที่จะระเบิด บอกเพียงว่าในกรุงโตเกียว

    🧨

    เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป..

    ตำรวจจะหาตัวคนร้ายเจอไหม ..

    สถานที่ใดจะเกิดระเบิดครั้งต่อไป..

    หญิงสาวสองคนที่อยู่ตรงบริเวณย่านชิบูย่าตายหรือไม่..

    ชายคนที่หญิงสาวรู้สึกสนใจ ทำไมโกหกเธอ แล้วเขามาทำอะไร รอดตายหรือไม่..

    หญิงวัยกลางคนที่ประสบเหตุคนแรกเล่า ที่ข้อมือยังมีนาฬิกาที่พร้อมระเบิดถ้าขัดคำสั่งคนร้าย เธอถูกให้ทำเรื่องใดต่อไป..

    หนุ่มพาร์ตไทม์ที่ได้รับมอบหมายงานไปทำตามลำพัง จะรอดหรือไม่ ใคร ๆ ต่างเข้าใจว่าเขาคือคนร้ายไปหมดแล้ว ...

    ยังมีอีกหลายตัวละครที่มีบทบาทต่อเนื้อเรื่อง ที่ผมเล่าได้ไม่หมด ต้องไปหาอ่านกันต่อแล้วล่ะ

    .......

    ภาควิเคราะห์✒️

    ตัวละครเยอะ และโผล่มาเรื่อย ๆ เฉพาะที่มีส่วนเกี่ยวข้องหลักก็เกือบสิบคน ยังมีประเภทโผล่มาประปรายเพราะมีความสัมพันธ์กับตัวละครที่เกี่ยวข้องอีกพอสมควร แต่เนื่องจากผมมีเวลาจำกัดที่ต้องอ่านให้จบทันก่อนหนังสือจะคืนเข้าระบบตามกำหนด จึงไม่สามารถค่อย ๆ เสพอ่านอย่างละเมียดบรรจง แต่ใช้วิธีอ่านแบบกวาดตาโดยไว ซึ่งปกติจะไม่อยากอ่านแบบนี้ถ้าไม่จำเป็น เนื่องจากจะจดจำชื่อตัวละคร หรือดื่มด่ำกับสำนวนและการบรรยายของผู้เขียนได้น้อย

    ✒️

    ดีที่เล่มนี้ไม่เน้นการบรรยายเยอะ แต่สนทนามากกว่า มีบรรยายบ้างแต่ไม่ยาวเป็นหน้า ค่อนข้างเดินเรื่องกระชับฉับไว ให้รายละเอียดเท่าที่จำเป็น ตัวละครคุยกันเยอะ ให้ความรู้สึกเหมือนดูหนังครับ ยิ่งอ่านประวัติคนเขียนด้วยจึงเข้าใจ เพราะเป็นทั้งนักเขียนหนังสือ นักเขียนบท โปรดิวเซอร์ ผู้กำกับ มิน่าล่ะจึงสะท้อนความเชี่ยวชาญและแนวคิดการทำงานในการผลิตหนัง มาใช้ในงานเขียนด้วย

    ✒️

    อ่านแล้วนึกถึงหนังเรื่อง pulp fiction เมื่อปี 2537 ครับ ลักษณะการเล่ามีความเดินเรื่องคล้ายอย่างในหนัง คือไม่ได้เล่าไปทีละลำดับ แต่สลับระหว่างตัวละครหลักกลับไปกลับมา ฉากโน้นฉากนี้ แล้วพอตัวละครเยอะ ก็จะเข้าใจยากหน่อย แต่พอนำมาร้อยเรียงกันเองในหัวแล้วจะเริ่มมองภาพใหญ่ออก เพียงแค่ผู้เขียนเลือกหยิบเล่าในบริเวณจำกัดของ jigsaw บางส่วนในภาพทั้งหมด แล้วกระโดดไปเล่ามุมอื่นของชีวิตตัวละครตัวอื่น วนไปวนมาแบบนี้ จนค่อย ๆ กลายเป็นภาพที่ต่อสำเร็จเป็นรูปร่างมากขึ้นเรื่อย ๆ

    ✒️

    อ่านไปเหมือนจะงง แล้วพาลทำให้ไม่เข้าใจและไม่ชอบ หมดสนุกได้หากเราไม่คุ้นเคยกับการเล่าแบบนี้ ผมนึกถึงตัวเองตอนได้ดู pulp fiction ในโรงหนังลิโด้ครั้งแรกสมัยก่อน ถึงกับอุทานในใจ

    แหม..หนังอะไรวะเนี่ย ดูไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจอะไรเลย ตัวละครต่าง ๆ ที่จู่ ๆ ก็โผล่มาแบบไม่มีต้น ไม่มีปลาย มาทำบ้าอะไรของมันเดี๋ยวเดียวก็ตัดไป กลายเป็นตัวอื่นโผล่มาแล้วก็ลักษณะเดียวกันคือไม่มีรายละเอียดให้รู้ งงไปจนแทบเลยกลางเรื่องไปพอสมควรแล้วนั่นแหละ แบบดูไปด่าไปในใจ แต่ก็ทนดูต่อไปเพราะอยากรู้ว่าตกลงเรื่องราวมันยังไงกันแน่

    ✒️

    พอดูจบถึงกับแทบโห่ร้องออกมาแบบไม่มีเสียง นี่มันหนังโคตรดี สุดยอดอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน คิดได้ยังไง ถ้าดำเนินเรื่องตามลำดับเวลาก่อนหลังที่ควรจะเป็น เราก็เข้าใจง่ายตั้งแต่ต้นละ แต่นี่ดันตัดเอาแค่บางช่วงสลับไปมาจนงงไปหมด ให้ไปต่อเอาเองในหัว

    หนังสือเล่มนี้ก็มีความคล้ายในการเล่าแบบหนังเรื่องนั้นเหมือนกัน แต่ไม่ได้มากเท่าและไม่ได้ชัดเจนเท่า ยังมีความเล่าตามลำดับในโครงสร้างใหญ่ไปตามวันที่เริ่มตั้งแต่ 22 ธันวาคม จนถึงก่อนวันคริสต์มาส แต่ทว่าจะมีช่วงที่เล่าให้ทราบถึงความเป็นไปในตัวละครบางตัวในอดีต เป็นเชิงภาคขยายจากในคราวแรกที่ไม่ได้ให้รายละเอียดตัวละครอะไรมากมาย

    ✒️

    กลางเล่มไปแล้วที่หลังเกิดเหตุระเบิดใหญ่อันน่าตกใจและมีการสูญเสียทำได้ดีทีเดียว ฉากกลางย่านชิบูย่าในภาพก่อนหน้าที่กำลังวุ่นวายและเต็มไปด้วยความเอะอะของเหล่าผู้คน ที่ไม่ตระหนักถึงอันตรายใดแล้วไม่สนใจคำเตือนตำรวจ กับภายหลังเหตุระเบิด รวมถึงความไต่ระดับของการเดินเรื่องที่บางตัวละครพยายามตามหาความจริง จิกกัดไม่ปล่อย ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ใช่ตำรวจและยังเป็นผู้หญิง มีฉากหนึ่งที่อ่านแล้วอดนึกไม่ได้ว่า

    "อยากตายนักหรือไง"

    เพราะเธอไปจี้ถาม คุ้ยแคะแกะแผลจะคาดคั้นเอาคำตอบกับคนที่น่าสงสัยให้ได้ ช่วงบทสนทนาตอนนั้นคือลุ้นมาก นางปากดีคนนี้จะถูกหมกตายไหมเนี่ย ช่างปากกล้า ปากเก่งในเวลาที่ไม่ควรจริง ๆ แล้วเหตุการณ์ต่อจากฉากนั้น ก็ทำเอาแทบกลั้นลมหายใจอ่านทีเดียว

    ✒️

    ผู้เขียนฉลาดในการหลอกล่อคนอ่านมาตั้งแต่ต้นเริ่มเรื่องทีเดียว เรียกว่าเอาอยู่ หัวปั่นเพราะเบาะแสที่ให้มาทีละนิด เราก็คิดว่าเออ คนนี้หรือคนนั้นมีแววนะว่าอาจจะใช่คนร้ายที่เจ้าแผนการทั้งหมด เพียงเพื่อสุดท้ายจะพบกับความพลิกเหมือนลูกรูบิกที่บิดที สีที่เหมือนจะเรียงกันได้ครบ แต่ทำเอาแทบสลบเพราะนอกจากไม่เรียงสำเร็จทุกสี ยังเหมือนวิ่งหนีออกไปไกลกว่าเก่า

    อ้าว..ที่แท้คนนี้เองเหรอ..เราหมุนไปผิดทางตั้งแต่แรกเลยเหรอเนี่ย

    พอย้อนไปเก็บรายละเอียดหลังอ่านจบ โดยทวนเนื้อหาใหม่ในบางช่วงบางบทสนทนา การบรรยายรายละเอียดที่ผู้เขียนใส่ไว้ใหม่ จึงเกิดความรู้สึกเหมือน อะไรที่มันขัดกันในหัว หมุนเคลื่อนตัวลงล็อกดัง "กริ๊ก" ในตำแหน่งที่ถูกต้องเป๊ะ

    ✒️

    เราอ่านไม่ดีเองตั้งแต่แรก ละเลยส่วนสำคัญไปเพราะไม่ละเอียดและไม่คิดตามมากพอ แท้จริงร่องรอยของความจริงได้วางไว้ให้เห็นอยู่แล้ว ช่างสุดยอดจริง ๆ สมกับที่เล่มนี้ขายดีในญี่ปุ่น รวมถึงตอนสร้างเป็นหนังก็มีผลตอบรับดีด้วย (ตามที่ในหนังสือระบุไว้ในช่วงคำนำสำนักพิมพ์ หรือความในใจของผู้แปลก็ไม่แน่ใจ)

    ชอบที่ตอนจบ บทสรุปที่ให้คนอ่านได้เก็บไปคิดทบทวนถึงสิ่งที่คนเขียนต้องการสื่อไปถึงชาวญี่ปุ่นทั้งประเทศ หรือที่จริงชาวโลกก็ว่าได้ เกี่ยวกับสงครามว่าคือสิ่งที่นักการเมือง ผู้มีอำนาจ และพลเมืองที่อยู่ในประเทศนั้น ๆ ควรจะปฏิบัติเช่นไร หรือไม่ควรปฏิบัติเช่นไร

    ✒️บทสรุปของคนร้ายจะตายหรือไม่

    ตอนที่เรื่องเฉลยโดยให้คนร้ายบอกเล่าความจริงในใจกับใครคนหนึ่งนั้น รู้สึกชอบวิธีเฉลยที่ผู้เขียนเลือกใช้ครับ รูปแบบเรียบง่ายแต่เข้ากับนิสัยของตัวละครตัวนี้ดี บ่งบอกตัวตนของคนคนนี้ได้ค่อนข้างชัดเจน

    คนอ่านหลายคนอาจไม่ชอบเหตุผลและแรงจูงใจของคนร้าย และไม่อาจทำใจให้เชื่อได้ แต่ผมคิดว่าพอจะเข้าใจนะ แต่ไม่ใช่เห็นด้วยกับสิ่งที่คนร้ายเลือกกระทำ คนเราเมื่อยึดติดในสิ่งใด สัตว์ใด คนใด ความเชื่อใดมากจนฝังแน่นไปถึงจิต

    ✒️

    มันยากเหลือเกินที่จะลบล้างเอาเจ้าความคิดนั้นให้หลุดออกไปได้ ในแง่นี้ผมจึงคิดว่าเข้าใจและเห็นใจสงสารคนร้ายพอสมควร ส่วนประชาชนคนที่ตายไปมากมายนั้น หากพูดกันอย่างไม่อคติ จะไปโทษคนร้ายทั้งหมดก็ไม่ได้ แท้จริงเหล่าคนที่ตายไป จะมากน้อยเพราะเขาทำตัวเอง พาตัวเองไปอยู่ในสถานที่ที่อันตราย ทั้งที่ทางตำรวจก็แจ้งเตือน ห้ามปราม แต่ก็ไม่สนใจ รวมถึงพวกสื่อต่าง ๆ ที่เอาแต่อยากทำข่าวโดยไม่สนใจว่าสิ่งที่ทำนั้นจะส่งผลให้สถานการณ์แย่กว่าเดิมหรือเป็นอันตรายต่อสังคม ประชาชนและประเทศชาติหรือไม่

    ผมว่าเล่มนี้สะท้อนมุมมองเรื่องเหล่านี้ได้ดี

    แต่เหนืออื่นใดคือฉากจบที่ตัวละครหนึ่งที่น่าสงสารและน่าเห็นใจมาก แต่กลับเป็นฝ่ายพูดและให้กำลังใจกับตัวละครอีกตัวที่บาดเจ็บทางใจอย่างร้ายแรงได้อย่างเข้าถึงจิตใจภายใน ราวกับคำพูดนั้นไปสัมผัสและลูบไล้ที่หัวใจด้วยความแผ่วเบาที่สุด

    ช่างอบอุ่นหัวใจดีเหลือเกิน หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่ประสบมา

    สำนวนแปลอ่านได้อย่างไม่รู้สึกสะดุด

    ..........

    อ่านจบ ไปลองค้นข้อมูลที่มีการสร้างเป็นหนังต่อ พอเห็นภาพโปสเตอร์ยิ่งอยากดูมาก เพราะมีนักแสดงคนโปรดเล่นด้วยนั่นคือ อิชิดะ ยูริโกะ และคนอื่น ๆ ก็ต่างเป็นนักแสดงคุณภาพทั้งนั้น สุดท้ายเจอที่มีคนทำซับบรรยายไทย จึงโหลดมาชม แต่ดูจบแล้วพบว่า ฉบับหนังสือดีกว่าพอสมควร คือหนังสร้างออกมาได้โอเคอยู่ นักแสดงก็ทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองได้ดี แต่มันมีอยู่หลายช่วงที่รู้สึกว่าน่าจะเล่าได้ดีกว่านี้ อาจเพราะเวลาจำกัด รายละเอียดมากมายจึงใส่มาได้ไม่หมด จึงทำให้ลดความสนุกลงไปจากฉบับหนังสือเยอะเลย

    แต่ฉากสำคัญที่เกิดระเบิดกลางย่านชิบูย่าทำออกมาได้ดี

    ใครสนใจลองไปหาชมดูครับ

    สุดท้ายขอจบด้วยประโยคที่ตัวละครสองตัวในเรื่องเอ่ยไว้ได้อย่างน่าประทับใจ โดยระบุว่าเป็นคำกล่าวของนักเขียนนิยายที่มีชื่อว่า Stephen King

    "ผู้ชนะในการแข่งขันปาขี้คือคนที่มือเปื้อนน้อยที่สุด คนมีคุณภาพคือคนที่ไม่ทำให้มือตัวเองเปื้อนจากอะไรไร้สาระอย่างการขว้างปาเจตนาร้ายใส่คนอื่น"

    #หนังญี่ปุ่น
    #หนังน่าดู
    #หนังสือน่าอ่าน
    #บทความ
    #รีววิหนังสือ
    #thaitimes
    #นิยายแปล
    #นิยายญี่ปุ่น
    #ระเบิดกลางกรุง
    #โตเกียว
    #สงคราม
    #แง่คิด
    #ระทึกขวัญ
    #สืบสวน
    #ก่อการร้าย
    ช่วงนี้อ่านเล่มไหนก็รู้สึกชอบและสนุกไปหมดเลยครับ อาจเพราะเป็นคนเลือกที่อยากอ่านเองจริง ๆ และก็มักไม่พบความผิดหวังกับเล่มที่เลือกนั้น ล่าสุดก็เรื่องนี้ที่สะดุดตาตั้งแต่ปกหน้า พอเจอในแอป hibrary ที่คนจองคิวไม่มาก และระบุว่าเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวน ระทึกขวัญกลางกรุงโตเกียว คิดว่าน่าสนใจจึงต่อคิวจอง และเมื่อวันก่อนครบกำหนดต้องคืน จึงรีบอ่านแบบติดเทอร์โบรวดเดียวจนจบทันก่อนเวลาเส้นตายแบบเฉียดฉิว เมื่ออ่านจบก็พบว่า "ดีจริงที่ตัดสินใจที่จะลองอ่าน ถ้าไม่งั้นคงน่าเสียดายยิ่ง" #silenttokyoandsothisisxmas สนพ.ไดฟุกุ (อ่านหนังสือของไดฟุกุติดกันหลายเล่ม เป็นสนพ.หนึ่งที่ผลิตหนังสือค่อนข้างคุณภาพทีเดียว แต่ผมอ่านแบบอีบุ๊ก) ฮาตะ ทาเคฮิโตะ เขียน เกวลิน ลิขิตวิทยาวุฒิ แปล 248 หน้า 280 บาท พิมพ์ในญี่ปุ่นครั้งแรก 2559 ในไทยพิมพ์ครั้งแรกปี 2564 คุณจะทำอย่างไร ถ้ารู้ว่าเมืองที่ตนอาศัยอยู่กำลังจะเกิดเหตุระเบิดครั้งใหญ่ใจกลางกรุง? เริ่มเรื่องก็ระทึกขวัญแต่ต้น ด้วยการที่แม่บ้านวัยสี่สิบกว่ารายหนึ่งตั้งใจจะออกไปซื้อของขวัญให้สามี เพราะใกล้จะถึงคริสต์มาส เธอจึงออกจากบ้านไปยังย่านกลางเมือง หลังซื้อของแล้วจึงมานั่งรับแดดกะจะกินแซนด์วิช บนม้านั่งตัวหนึ่งที่ลานสาธารณะหน้าสถานีรถไฟเอบิสุ ครู่หนึ่งชายที่ไหนไม่รู้ เข้ามาคุยกับเธอพูดจาแปลก ๆ บอกว่าใต้ม้านั่งมีระเบิด ห้ามเธอลุกขึ้นไม่งั้นระเบิดจะทำงาน เพราะเมื่อมีน้ำหนักมากกว่า30กิโลกรัมกดทับ วงจรจะเริ่มเตรียมพร้อม ทางเดียวที่จะรอด เธอต้องนั่งรอจนกว่าจะมีคนจากสถานทีโทรทัศน์แห่งหนึ่งมาที่นี่ แล้วให้เขานั่งลงข้าง ๆ จากนั้นเธอจึงลุกขึ้นได้ แต่ให้บอกสิ่งที่เธอได้ยินนี้กับเขาด้วยเพื่อจะได้ไม่ตายเพราะระเบิด และสุดท้ายให้บอกเขาว่า นี่คือสงคราม! 🧨 จากจุดเริ่มนั้นเอง ที่สถานีโทรทัศน์แห่งนั้น มีสายโทรแจ้งว่าจะมีการระเบิดขึ้นที่...หนุ่มทำงานพาร์ตไทม์ในสถานีที่ได้รับงานเป็นเบ๊ทั่วไป ถูกสั่งให้ไปยังจุดดังกล่าวพร้อมจนท.อีกคนที่ติดอุปกรณ์การถ่ายทำไปด้วย ทั้งสองจำใจไปแต่เชื่อว่าคงเป็นการล้อกันเล่น เมื่อไปถึงพบหญิงที่นั่งอยู่ข้างม้านั่งที่คนในสายแจ้ง ทั้งสองเข้าไปใกล้กะจะไปนั่งม้านั่งใกล้กันเพื่อสังเกต แต่เธอกลับเรียกให้ชายที่ถือกล้องนั่งลงถามว่ามาจากสถานีโทรทัศน์ใช่ไหม เขาแปลกใจจึงนั่งลงจะสอบถาม เธอรีบกระโดดขึ้นทันทีพลางบอกรายละเอียดทั้งหมด 🧨 ชายที่นั่งไม่เชื่อจะลุก เธอรีบกดไหล่และหว่านล้อมว่าวิธีเดียวที่จะรอดคือต้องทำตามคำบอกของชายคนที่แจ้งรายละเอียดกับเธอไว้ในตอนแรก นั่นคือให้เขาใช้กล้องบันทึกสิ่งที่ตัวเองประสบแล้วเผยแพร่ออกไป จากนั้นเธอเอาของที่คล้ายนาฬิกาข้อมือดิจิทัลมาคล้องกับข้อมือของหนุ่มพาร์ตไทม์โดยเขาไม่ทันตั้งตัว พลางเธอชูให้ดูว่าที่ข้อมือตัวเองก็มี บอกว่านี่เป็นระเบิดด้วยเช่นกัน ถ้าไม่ทำตามคำสั่งของชายแปลกหน้าที่เข้ามาคุยกับเธอ เขาจะสั่งงานระยะไกลให้นาฬิการะเบิด แล้วรีบบอกกับเด็กหนุ่มว่าต้องไปต่อที่แห่งหนึ่งตามคำสั่ง จากนั้นทิ้งชายที่น่าสงสารไว้ตามลำพัง ซึ่งเขาก็กลัวมากจึงรีบทำตามที่เธอบอก ในที่สุดเรื่องก็ทราบถึงตำรวจ จนแห่กันมากู้ระเบิดด้วยการใช้ไนโตรเจนเหลวกะให้หยุดการทำงานของระบบ ปรากฏว่าเกิดระเบิดเสียงดังสนั่น 🧨 ที่แท้เป็นการข่มขู่ แค่ระเบิดเสียงแต่ยังไม่มีอำนาจทำลายล้าง ทว่าด้วยเหตุนี้ทางตำรวจสืบสวนกลางจึงตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดูแลและสืบเรื่องนี้ขึ้น จากการวิเคราะห์ทำให้ตำรวจทราบว่า ระเบิดนั้นถูกติดตั้งตัวจับอุณหภูมิไว้ด้วย แสดงว่าคนที่ประกอบระเบิดเป็นระดับผู้เชี่ยวชาญ ที่มีความรู้ด้านนี้และคาดเดาได้ว่าตำรวจจะใช้ไนโตรเจนเหลว จึงดักทางด้วยการติดตั้งระบบให้ไม่อาจกู้ด้วยวิธีที่ตำรวจใช้ ในทีมสืบสวน มีการจับคู่ของนายตำรวจมากประสบการณ์วัยสี่สิบกว่ากับตำรวจหนุ่มไฟแรงคู่หนึ่ง ซึ่งมีบทบาทในการตามสืบข้อมูลเกี่ยวกับการระเบิดครั้งนี้อย่างกัดติด ด้วยตำรวจวัยกลางคนนั้นเคยแต่งงานกับลูกสาวของระดับสูงของหัวหน้าที่ตั้งทีมครั้งนี้ ทว่ามีเหตุการณ์ในอดีตที่ทำให้ต้องหย่ากันไป อย่างไรเขาคือผู้มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนเกี่ยวกับสถานการณ์อันตราย 🧨 ด้านหญิงกลางคนกับหนุ่มพาร์ตไทม์ เดินทางไปยังอาคารหลังหนึ่งเป็นห้องเช่า ที่ภายในมีทีวีและอุปกรณ์กล้อง พร้อมซองสีขาวที่เขียนรายละเอียดบอกไว้ให้เด็กหนุ่มต้องอ่านข้อความตามที่มีบทพูดไว้ให้ โดยให้ฝ่ายหญิงเป็นคนทำหน้าที่บันทึกภาพ จากนั้นให้นำโหลดเผยแพร่ให้คนอื่นในยูทูปเห็น เนื้อหาสรุปคือให้บอกว่าผมคือผู้ที่วางระเบิดนั้นเอง และยื่นข้อเสนอขอคุยกับนายกถ่ายทอดออกทางสถานีโทรทัศน์ ถ้าไม่ทำตาม จะมีการวางระเบิดในย่านใจกลางชิบูย่า หน้ารูปปั้นหมาฮาจิโกะ เส้นตายคือ18.30น. ปรากฏว่านายกฯออกข่าวตอบโต้ว่าไม่ต้องการเจรจาใดกับผู้ก่อการร้ายทั้งสิ้น และจะทำสงครามกับคนไม่หวังดีอย่างถึงที่สุด 🧨 ด้านหนุ่มพาร์ตไทม์ได้รับคำสั่งต่อไปให้ไปทำคนเดียว จึงต้องแยกกับหญิงกลางคนที่ถูกให้เฝ้ารอคำสั่งอยู่ในห้องแห่งนั้น ส่วนตำรวจก็วิ่งขาขวิด ล้อมรั้วด้วยแถบเหลืองรอบรูปปั้นฮาจิโกะด้วยรัศมีประมาณหนึ่ง และให้หน่วยกอบกู้ระเบิดพยายามเร่งค้นหาวัตถุระเบิดที่ถูกซุกซ่อนอยู่ แต่คนโตเกียวและชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่เข้าใจว่าคลิปที่เผยแพร่ น่าจะเป็นการหลอกลวงเหมือนเช่นระเบิดก่อนหน้าที่สถานีเอบิสุ จึงไม่รู้สึกกลัวแถมยังแห่มายังบริเวณลานอันเป็นสถานที่ถูกระบุ ด้วยต้องการมาเซลฟี่ตนเอง บ้างมาเป็นกลุ่ม เพื่ออัปโหลดเผยแพร่ให้คนอื่นเห็น 🧨 มีหญิงสาวพนักงานบริษัทธรรมดาสองคนที่เป็นเพื่อนสนิทกัน คนหนึ่งเป็นชู้กับสามีของคนอื่นและคะยั้นคะยอชวนเพื่อนไปนัดบอดก่อนหน้านี้ ซึ่งเพื่อนของเธอเพิ่งอกหักจากแฟนที่รักกันมากว่าสิบปี แล้วทิ้งไปอยู่กับกิ๊กที่ตั้งท้องไม่กี่เดือน เพื่อนสาวคนนี้กำลังคิดจะเริ่มต้นใหม่และรู้สึกดีกับหนุ่มคนหนึ่งในงานนัดบอด โดยเขาคนนั้นเป็นเจ้าของบริษัทที่สร้างแอปพลิเคชันที่เปิดตัวดีและมีคนใช้เยอะ ธุรกิจไปได้สวยทั้งที่ยังอายุไม่มาก แต่ค่อนข้างเย็นชาไม่สนใจคนรอบข้าง สองสาวตั้งใจจะมากินอาหารฉลองก่อนคริสต์มาส แล้วเห็นหนุ่มคนที่ตนสนใจเข้าพอดีในสถานที่ใกล้รูปปั้นฮาจิโกะ เพื่อนคนที่ใจกล้าจึงชวนอีกคนว่าให้ลองตามไปดูเขาว่าทำไมถึงมาอยู่แถวชิบูย่า ทั้งที่ก่อนหน้าตอนเธอชวนมากินข้าวด้วยกัน ปฏิเสธว่ามีนัดสำคัญที่อื่น เธอไม่อยากไปแต่สุดท้ายก็โดนเพื่อนลากไปจนได้ 🧨 ด้านตำรวจยังคงพยายามตามหาว่าระเบิดถูกซ่อนตรงไหน เวลากระชั้นสั้นเข้าใกล้ถึงกำหนดที่ถูกประกาศว่าจะมีการระเบิด แต่ผู้คนยิ่งมาออกันอย่างเนืองแน่นด้วยความสนุกสนาน สุดท้ายจึงเกิดโศกนาฏกรรมใหญ่ เพราะมีการระเบิดขึ้นจริง ผู้คนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง แต่เรื่องราวไม่จบเท่านี้ เพราะหลังเหตุร้ายแรง นายกฯยังคงยืนยันคำพูดแข็งกร้าวเช่นเดิม ดังนั้นจึงมีข้อความต่อมาของคนร้ายที่แจ้งให้ทราบว่า ถ้านายกยังไม่ทำตามข้อเสนอ ระเบิดครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในคืนวันคริสต์มาสอีฟ คราวนี้บอกแค่เวลา แต่ไม่ระบุจุดที่จะระเบิด บอกเพียงว่าในกรุงโตเกียว 🧨 เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป.. ตำรวจจะหาตัวคนร้ายเจอไหม .. สถานที่ใดจะเกิดระเบิดครั้งต่อไป.. หญิงสาวสองคนที่อยู่ตรงบริเวณย่านชิบูย่าตายหรือไม่.. ชายคนที่หญิงสาวรู้สึกสนใจ ทำไมโกหกเธอ แล้วเขามาทำอะไร รอดตายหรือไม่.. หญิงวัยกลางคนที่ประสบเหตุคนแรกเล่า ที่ข้อมือยังมีนาฬิกาที่พร้อมระเบิดถ้าขัดคำสั่งคนร้าย เธอถูกให้ทำเรื่องใดต่อไป.. หนุ่มพาร์ตไทม์ที่ได้รับมอบหมายงานไปทำตามลำพัง จะรอดหรือไม่ ใคร ๆ ต่างเข้าใจว่าเขาคือคนร้ายไปหมดแล้ว ... ยังมีอีกหลายตัวละครที่มีบทบาทต่อเนื้อเรื่อง ที่ผมเล่าได้ไม่หมด ต้องไปหาอ่านกันต่อแล้วล่ะ ....... ภาควิเคราะห์✒️ ตัวละครเยอะ และโผล่มาเรื่อย ๆ เฉพาะที่มีส่วนเกี่ยวข้องหลักก็เกือบสิบคน ยังมีประเภทโผล่มาประปรายเพราะมีความสัมพันธ์กับตัวละครที่เกี่ยวข้องอีกพอสมควร แต่เนื่องจากผมมีเวลาจำกัดที่ต้องอ่านให้จบทันก่อนหนังสือจะคืนเข้าระบบตามกำหนด จึงไม่สามารถค่อย ๆ เสพอ่านอย่างละเมียดบรรจง แต่ใช้วิธีอ่านแบบกวาดตาโดยไว ซึ่งปกติจะไม่อยากอ่านแบบนี้ถ้าไม่จำเป็น เนื่องจากจะจดจำชื่อตัวละคร หรือดื่มด่ำกับสำนวนและการบรรยายของผู้เขียนได้น้อย ✒️ ดีที่เล่มนี้ไม่เน้นการบรรยายเยอะ แต่สนทนามากกว่า มีบรรยายบ้างแต่ไม่ยาวเป็นหน้า ค่อนข้างเดินเรื่องกระชับฉับไว ให้รายละเอียดเท่าที่จำเป็น ตัวละครคุยกันเยอะ ให้ความรู้สึกเหมือนดูหนังครับ ยิ่งอ่านประวัติคนเขียนด้วยจึงเข้าใจ เพราะเป็นทั้งนักเขียนหนังสือ นักเขียนบท โปรดิวเซอร์ ผู้กำกับ มิน่าล่ะจึงสะท้อนความเชี่ยวชาญและแนวคิดการทำงานในการผลิตหนัง มาใช้ในงานเขียนด้วย ✒️ อ่านแล้วนึกถึงหนังเรื่อง pulp fiction เมื่อปี 2537 ครับ ลักษณะการเล่ามีความเดินเรื่องคล้ายอย่างในหนัง คือไม่ได้เล่าไปทีละลำดับ แต่สลับระหว่างตัวละครหลักกลับไปกลับมา ฉากโน้นฉากนี้ แล้วพอตัวละครเยอะ ก็จะเข้าใจยากหน่อย แต่พอนำมาร้อยเรียงกันเองในหัวแล้วจะเริ่มมองภาพใหญ่ออก เพียงแค่ผู้เขียนเลือกหยิบเล่าในบริเวณจำกัดของ jigsaw บางส่วนในภาพทั้งหมด แล้วกระโดดไปเล่ามุมอื่นของชีวิตตัวละครตัวอื่น วนไปวนมาแบบนี้ จนค่อย ๆ กลายเป็นภาพที่ต่อสำเร็จเป็นรูปร่างมากขึ้นเรื่อย ๆ ✒️ อ่านไปเหมือนจะงง แล้วพาลทำให้ไม่เข้าใจและไม่ชอบ หมดสนุกได้หากเราไม่คุ้นเคยกับการเล่าแบบนี้ ผมนึกถึงตัวเองตอนได้ดู pulp fiction ในโรงหนังลิโด้ครั้งแรกสมัยก่อน ถึงกับอุทานในใจ แหม..หนังอะไรวะเนี่ย ดูไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจอะไรเลย ตัวละครต่าง ๆ ที่จู่ ๆ ก็โผล่มาแบบไม่มีต้น ไม่มีปลาย มาทำบ้าอะไรของมันเดี๋ยวเดียวก็ตัดไป กลายเป็นตัวอื่นโผล่มาแล้วก็ลักษณะเดียวกันคือไม่มีรายละเอียดให้รู้ งงไปจนแทบเลยกลางเรื่องไปพอสมควรแล้วนั่นแหละ แบบดูไปด่าไปในใจ แต่ก็ทนดูต่อไปเพราะอยากรู้ว่าตกลงเรื่องราวมันยังไงกันแน่ ✒️ พอดูจบถึงกับแทบโห่ร้องออกมาแบบไม่มีเสียง นี่มันหนังโคตรดี สุดยอดอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน คิดได้ยังไง ถ้าดำเนินเรื่องตามลำดับเวลาก่อนหลังที่ควรจะเป็น เราก็เข้าใจง่ายตั้งแต่ต้นละ แต่นี่ดันตัดเอาแค่บางช่วงสลับไปมาจนงงไปหมด ให้ไปต่อเอาเองในหัว หนังสือเล่มนี้ก็มีความคล้ายในการเล่าแบบหนังเรื่องนั้นเหมือนกัน แต่ไม่ได้มากเท่าและไม่ได้ชัดเจนเท่า ยังมีความเล่าตามลำดับในโครงสร้างใหญ่ไปตามวันที่เริ่มตั้งแต่ 22 ธันวาคม จนถึงก่อนวันคริสต์มาส แต่ทว่าจะมีช่วงที่เล่าให้ทราบถึงความเป็นไปในตัวละครบางตัวในอดีต เป็นเชิงภาคขยายจากในคราวแรกที่ไม่ได้ให้รายละเอียดตัวละครอะไรมากมาย ✒️ กลางเล่มไปแล้วที่หลังเกิดเหตุระเบิดใหญ่อันน่าตกใจและมีการสูญเสียทำได้ดีทีเดียว ฉากกลางย่านชิบูย่าในภาพก่อนหน้าที่กำลังวุ่นวายและเต็มไปด้วยความเอะอะของเหล่าผู้คน ที่ไม่ตระหนักถึงอันตรายใดแล้วไม่สนใจคำเตือนตำรวจ กับภายหลังเหตุระเบิด รวมถึงความไต่ระดับของการเดินเรื่องที่บางตัวละครพยายามตามหาความจริง จิกกัดไม่ปล่อย ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ใช่ตำรวจและยังเป็นผู้หญิง มีฉากหนึ่งที่อ่านแล้วอดนึกไม่ได้ว่า "อยากตายนักหรือไง" เพราะเธอไปจี้ถาม คุ้ยแคะแกะแผลจะคาดคั้นเอาคำตอบกับคนที่น่าสงสัยให้ได้ ช่วงบทสนทนาตอนนั้นคือลุ้นมาก นางปากดีคนนี้จะถูกหมกตายไหมเนี่ย ช่างปากกล้า ปากเก่งในเวลาที่ไม่ควรจริง ๆ แล้วเหตุการณ์ต่อจากฉากนั้น ก็ทำเอาแทบกลั้นลมหายใจอ่านทีเดียว ✒️ ผู้เขียนฉลาดในการหลอกล่อคนอ่านมาตั้งแต่ต้นเริ่มเรื่องทีเดียว เรียกว่าเอาอยู่ หัวปั่นเพราะเบาะแสที่ให้มาทีละนิด เราก็คิดว่าเออ คนนี้หรือคนนั้นมีแววนะว่าอาจจะใช่คนร้ายที่เจ้าแผนการทั้งหมด เพียงเพื่อสุดท้ายจะพบกับความพลิกเหมือนลูกรูบิกที่บิดที สีที่เหมือนจะเรียงกันได้ครบ แต่ทำเอาแทบสลบเพราะนอกจากไม่เรียงสำเร็จทุกสี ยังเหมือนวิ่งหนีออกไปไกลกว่าเก่า อ้าว..ที่แท้คนนี้เองเหรอ..เราหมุนไปผิดทางตั้งแต่แรกเลยเหรอเนี่ย พอย้อนไปเก็บรายละเอียดหลังอ่านจบ โดยทวนเนื้อหาใหม่ในบางช่วงบางบทสนทนา การบรรยายรายละเอียดที่ผู้เขียนใส่ไว้ใหม่ จึงเกิดความรู้สึกเหมือน อะไรที่มันขัดกันในหัว หมุนเคลื่อนตัวลงล็อกดัง "กริ๊ก" ในตำแหน่งที่ถูกต้องเป๊ะ ✒️ เราอ่านไม่ดีเองตั้งแต่แรก ละเลยส่วนสำคัญไปเพราะไม่ละเอียดและไม่คิดตามมากพอ แท้จริงร่องรอยของความจริงได้วางไว้ให้เห็นอยู่แล้ว ช่างสุดยอดจริง ๆ สมกับที่เล่มนี้ขายดีในญี่ปุ่น รวมถึงตอนสร้างเป็นหนังก็มีผลตอบรับดีด้วย (ตามที่ในหนังสือระบุไว้ในช่วงคำนำสำนักพิมพ์ หรือความในใจของผู้แปลก็ไม่แน่ใจ) ชอบที่ตอนจบ บทสรุปที่ให้คนอ่านได้เก็บไปคิดทบทวนถึงสิ่งที่คนเขียนต้องการสื่อไปถึงชาวญี่ปุ่นทั้งประเทศ หรือที่จริงชาวโลกก็ว่าได้ เกี่ยวกับสงครามว่าคือสิ่งที่นักการเมือง ผู้มีอำนาจ และพลเมืองที่อยู่ในประเทศนั้น ๆ ควรจะปฏิบัติเช่นไร หรือไม่ควรปฏิบัติเช่นไร ✒️บทสรุปของคนร้ายจะตายหรือไม่ ตอนที่เรื่องเฉลยโดยให้คนร้ายบอกเล่าความจริงในใจกับใครคนหนึ่งนั้น รู้สึกชอบวิธีเฉลยที่ผู้เขียนเลือกใช้ครับ รูปแบบเรียบง่ายแต่เข้ากับนิสัยของตัวละครตัวนี้ดี บ่งบอกตัวตนของคนคนนี้ได้ค่อนข้างชัดเจน คนอ่านหลายคนอาจไม่ชอบเหตุผลและแรงจูงใจของคนร้าย และไม่อาจทำใจให้เชื่อได้ แต่ผมคิดว่าพอจะเข้าใจนะ แต่ไม่ใช่เห็นด้วยกับสิ่งที่คนร้ายเลือกกระทำ คนเราเมื่อยึดติดในสิ่งใด สัตว์ใด คนใด ความเชื่อใดมากจนฝังแน่นไปถึงจิต ✒️ มันยากเหลือเกินที่จะลบล้างเอาเจ้าความคิดนั้นให้หลุดออกไปได้ ในแง่นี้ผมจึงคิดว่าเข้าใจและเห็นใจสงสารคนร้ายพอสมควร ส่วนประชาชนคนที่ตายไปมากมายนั้น หากพูดกันอย่างไม่อคติ จะไปโทษคนร้ายทั้งหมดก็ไม่ได้ แท้จริงเหล่าคนที่ตายไป จะมากน้อยเพราะเขาทำตัวเอง พาตัวเองไปอยู่ในสถานที่ที่อันตราย ทั้งที่ทางตำรวจก็แจ้งเตือน ห้ามปราม แต่ก็ไม่สนใจ รวมถึงพวกสื่อต่าง ๆ ที่เอาแต่อยากทำข่าวโดยไม่สนใจว่าสิ่งที่ทำนั้นจะส่งผลให้สถานการณ์แย่กว่าเดิมหรือเป็นอันตรายต่อสังคม ประชาชนและประเทศชาติหรือไม่ ผมว่าเล่มนี้สะท้อนมุมมองเรื่องเหล่านี้ได้ดี แต่เหนืออื่นใดคือฉากจบที่ตัวละครหนึ่งที่น่าสงสารและน่าเห็นใจมาก แต่กลับเป็นฝ่ายพูดและให้กำลังใจกับตัวละครอีกตัวที่บาดเจ็บทางใจอย่างร้ายแรงได้อย่างเข้าถึงจิตใจภายใน ราวกับคำพูดนั้นไปสัมผัสและลูบไล้ที่หัวใจด้วยความแผ่วเบาที่สุด ช่างอบอุ่นหัวใจดีเหลือเกิน หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่ประสบมา สำนวนแปลอ่านได้อย่างไม่รู้สึกสะดุด .......... อ่านจบ ไปลองค้นข้อมูลที่มีการสร้างเป็นหนังต่อ พอเห็นภาพโปสเตอร์ยิ่งอยากดูมาก เพราะมีนักแสดงคนโปรดเล่นด้วยนั่นคือ อิชิดะ ยูริโกะ และคนอื่น ๆ ก็ต่างเป็นนักแสดงคุณภาพทั้งนั้น สุดท้ายเจอที่มีคนทำซับบรรยายไทย จึงโหลดมาชม แต่ดูจบแล้วพบว่า ฉบับหนังสือดีกว่าพอสมควร คือหนังสร้างออกมาได้โอเคอยู่ นักแสดงก็ทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองได้ดี แต่มันมีอยู่หลายช่วงที่รู้สึกว่าน่าจะเล่าได้ดีกว่านี้ อาจเพราะเวลาจำกัด รายละเอียดมากมายจึงใส่มาได้ไม่หมด จึงทำให้ลดความสนุกลงไปจากฉบับหนังสือเยอะเลย แต่ฉากสำคัญที่เกิดระเบิดกลางย่านชิบูย่าทำออกมาได้ดี ใครสนใจลองไปหาชมดูครับ สุดท้ายขอจบด้วยประโยคที่ตัวละครสองตัวในเรื่องเอ่ยไว้ได้อย่างน่าประทับใจ โดยระบุว่าเป็นคำกล่าวของนักเขียนนิยายที่มีชื่อว่า Stephen King "ผู้ชนะในการแข่งขันปาขี้คือคนที่มือเปื้อนน้อยที่สุด คนมีคุณภาพคือคนที่ไม่ทำให้มือตัวเองเปื้อนจากอะไรไร้สาระอย่างการขว้างปาเจตนาร้ายใส่คนอื่น" #หนังญี่ปุ่น #หนังน่าดู #หนังสือน่าอ่าน #บทความ #รีววิหนังสือ #thaitimes #นิยายแปล #นิยายญี่ปุ่น #ระเบิดกลางกรุง #โตเกียว #สงคราม #แง่คิด #ระทึกขวัญ #สืบสวน #ก่อการร้าย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 838 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศิลปินฟ้องแอร์เอเชีย ละเมิดสตรีทอาร์ตปีนัง

    งานเข้าอีกครั้งสำหรับโลว์คอสต์แอร์ไลน์สัญชาติมาเลเซีย อย่างสายการบินแอร์เอเชีย คราวนี้ไม่ใช่ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการ แต่เป็นการนำผลงานสตรีทอาร์ตบนเกาะปีนัง ประเทศมาเลเซียไปใช้ โดยที่เจ้าของผลงานตัวจริงเห็นว่าไม่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องและไม่ยุติธรรมสำหรับเขา

    อินสตาแกรม ernestzacharevic ของ เออร์เนสต์ ซาชาเรวิช (Ernest Zacharevic) ศิลปินชาวลิทัวเนีย เจ้าของผลงานสตรีทอาร์ต "Children On A Bicycle" ที่มีชื่อเสียงทั่วโลก โพสต์ข้อความในหัวข้อ "AIRASIA UPDATE: It’s Time to Talk" ระบุว่า เมื่อ 2 เดือนก่อนได้โพสต์วีดีโอคลิปเครื่องบินแอร์เอเชีย ที่มีภาพจิตรกรรมบนผนังของตน ซึ่งถูกนำไปใช้โดยไม่ได้รับความยินยอม

    "น่าเสียดายที่ไม่ใช่ครั้งแรก ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ภาพจิตรกรรมฝาผนังของผมปรากฎในแคมเปญผ่านอีเมล โฆษณา นิตยสารบนเที่ยวบิน และอื่นๆ ของแอร์เอเชีย โดยไม่ได้รับการให้เครดิต ความยินยอม หรือการชดเชยใดๆ ที่เหมาะสม พฤติกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถือเป็นบรรทัดฐานที่อันตราย นั่นหมายความว่าผลงานของศิลปินอาจถูกนำไปใช้ประโยชน์ได้โดยไม่ต้องรับผลที่ตามมา ไม่ใช่แค่เรื่องของผมเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อชุมชนศิลปินทั้งหมด"

    ที่ผ่านมาพยายามแก้ไขปัญหานี้อย่างยุติธรรมและเป็นมืออาชีพ แต่การตอบสนองของแอร์เอเชียมีแค่ออกแถลงการณ์ ปฏิเสธการละเมิดลิขสิทธิ์ในอดีต และยืดเยื้อการพูดคุย และเห็นว่าข้อเสนอสุดท้ายไม่สะท้อนถึงคุณค่าต่อผลงานของตน ทำให้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากดำเนินคดีทางกฎหมาย โดยเมื่อยื่นฟ้องแล้ว เขาจะไม่สามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมได้

    ศิลปินรายนี้ยังได้แนบภาพหลักฐานที่ผลงานของตน ถูกแอร์เอเชียนำไปใช้แคมเปญโฆษณาต่างๆ มีทั้งการเปิดเส้นทางบินใหม่ระหว่างปีนังไปยังย่างกุ้ง กรุงเทพฯ และเวียดนาม นำไปตัดต่อเป็นสื่อโฆษณาของบริษัทในเครือ เช่น บริการดีลิเวอรีแอร์เอเชียฟู้ด บริการขนส่งสินค้าเทเลพอร์ต และล่าสุดคือลวดลายบนเครื่องบินแอร์เอเชีย

    สำหรับผลงานสตรีทอาร์ต Children On A Bicycle ตั้งอยู่ที่ถนนอาร์เมเนียนในเมืองจอร์จทาวน์ ถูกวาดโดยซาชาเรวิชเมื่อปี 2555 เพื่อแสดงถึงวิถีชีวิตบนเกาะปีนัง โดยใช้เด็กสองคนที่ชื่อว่า ด.ญ.ตัน ยี (Tan Yi) เมื่ออายุ 5 ขวบ และ ด.ช.ตัน เคิร์น (Tan Kern) เมื่ออายุ 3 ขวบมาเป็นแบบ กลายเป็นสถานที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกมาเยือน กระทั่งเวลาผ่านไป 12 ปี เมื่อเดือน ต.ค.2567 ซาชาเรวิช ได้บูรณะภาพวาดสตรีทอาร์ตดังกล่าว พร้อมกับงานศิลปะอีก 3 ภาพ ได้แก่ Boy On a Bike, Little Boy with a Pet Dinosaur และ Boy on Chair.

    #Newskit
    -----
    ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes ร่วมสนุกได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568 คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    ศิลปินฟ้องแอร์เอเชีย ละเมิดสตรีทอาร์ตปีนัง งานเข้าอีกครั้งสำหรับโลว์คอสต์แอร์ไลน์สัญชาติมาเลเซีย อย่างสายการบินแอร์เอเชีย คราวนี้ไม่ใช่ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการ แต่เป็นการนำผลงานสตรีทอาร์ตบนเกาะปีนัง ประเทศมาเลเซียไปใช้ โดยที่เจ้าของผลงานตัวจริงเห็นว่าไม่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องและไม่ยุติธรรมสำหรับเขา อินสตาแกรม ernestzacharevic ของ เออร์เนสต์ ซาชาเรวิช (Ernest Zacharevic) ศิลปินชาวลิทัวเนีย เจ้าของผลงานสตรีทอาร์ต "Children On A Bicycle" ที่มีชื่อเสียงทั่วโลก โพสต์ข้อความในหัวข้อ "AIRASIA UPDATE: It’s Time to Talk" ระบุว่า เมื่อ 2 เดือนก่อนได้โพสต์วีดีโอคลิปเครื่องบินแอร์เอเชีย ที่มีภาพจิตรกรรมบนผนังของตน ซึ่งถูกนำไปใช้โดยไม่ได้รับความยินยอม "น่าเสียดายที่ไม่ใช่ครั้งแรก ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ภาพจิตรกรรมฝาผนังของผมปรากฎในแคมเปญผ่านอีเมล โฆษณา นิตยสารบนเที่ยวบิน และอื่นๆ ของแอร์เอเชีย โดยไม่ได้รับการให้เครดิต ความยินยอม หรือการชดเชยใดๆ ที่เหมาะสม พฤติกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถือเป็นบรรทัดฐานที่อันตราย นั่นหมายความว่าผลงานของศิลปินอาจถูกนำไปใช้ประโยชน์ได้โดยไม่ต้องรับผลที่ตามมา ไม่ใช่แค่เรื่องของผมเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อชุมชนศิลปินทั้งหมด" ที่ผ่านมาพยายามแก้ไขปัญหานี้อย่างยุติธรรมและเป็นมืออาชีพ แต่การตอบสนองของแอร์เอเชียมีแค่ออกแถลงการณ์ ปฏิเสธการละเมิดลิขสิทธิ์ในอดีต และยืดเยื้อการพูดคุย และเห็นว่าข้อเสนอสุดท้ายไม่สะท้อนถึงคุณค่าต่อผลงานของตน ทำให้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากดำเนินคดีทางกฎหมาย โดยเมื่อยื่นฟ้องแล้ว เขาจะไม่สามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมได้ ศิลปินรายนี้ยังได้แนบภาพหลักฐานที่ผลงานของตน ถูกแอร์เอเชียนำไปใช้แคมเปญโฆษณาต่างๆ มีทั้งการเปิดเส้นทางบินใหม่ระหว่างปีนังไปยังย่างกุ้ง กรุงเทพฯ และเวียดนาม นำไปตัดต่อเป็นสื่อโฆษณาของบริษัทในเครือ เช่น บริการดีลิเวอรีแอร์เอเชียฟู้ด บริการขนส่งสินค้าเทเลพอร์ต และล่าสุดคือลวดลายบนเครื่องบินแอร์เอเชีย สำหรับผลงานสตรีทอาร์ต Children On A Bicycle ตั้งอยู่ที่ถนนอาร์เมเนียนในเมืองจอร์จทาวน์ ถูกวาดโดยซาชาเรวิชเมื่อปี 2555 เพื่อแสดงถึงวิถีชีวิตบนเกาะปีนัง โดยใช้เด็กสองคนที่ชื่อว่า ด.ญ.ตัน ยี (Tan Yi) เมื่ออายุ 5 ขวบ และ ด.ช.ตัน เคิร์น (Tan Kern) เมื่ออายุ 3 ขวบมาเป็นแบบ กลายเป็นสถานที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกมาเยือน กระทั่งเวลาผ่านไป 12 ปี เมื่อเดือน ต.ค.2567 ซาชาเรวิช ได้บูรณะภาพวาดสตรีทอาร์ตดังกล่าว พร้อมกับงานศิลปะอีก 3 ภาพ ได้แก่ Boy On a Bike, Little Boy with a Pet Dinosaur และ Boy on Chair. #Newskit ----- ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes ร่วมสนุกได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568 คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    Like
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 520 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'ประชาชน' โวมีของเพียบ พร้อมเปิดศึกซักฟอก อัดรัฐบาลไม่ตรงปก
    .
    สถานการณ์ทางการเมืองหลังจากผ่านพ้นการเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่น คาดว่าสปอตไลท์น่าจะจับมาที่พรรคประชาชนในฐานะฝ่ายค้านที่เตรียมยื่นญัตติเพื่อขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร โดยนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาชน เปิดเผยว่า สำหรับการเตรียมความพร้อมการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่า ส่วนตัวมีข้อมูลเตรียมไว้ 3-4 เรื่อง กําลังปรึกษาทางพรรคว่าจะพูดเองในเรื่องใด หรือมอบหมายเรื่องใดให้คนอื่นพูด ซึ่งข้อมูลแต่ละด้าน เรารวบรวมจากข้าราชการภายในที่ส่งต่อมาให้ และจากประชาชนทั่วไป
    .
    นายณัฐชา กล่าวว่า ส่วนเนื้อหาจะเป็นเรื่องใดนั้น ภาพรวมจะมีครบทุกอย่าง เป็นการบริหารตั้งแต่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี จนถึงรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งทั้ง 2 รัฐบาลทําให้ประชาชนผิดหวัง ในส่วนรัฐมนตรีบางคน มีเรื่องเกี่ยวกับการทุจริต และการใช้อํานาจหน้าที่ในทางที่ผิด
    .
    ด้าน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุว่า นายพิธา กล่าวว่า รัฐบาลชุดปัจจุบัน ยังไม่ตรงปกเหมือนตอนที่เป็นฝ่ายค้านด้วยกัน ตอนนั้นที่อภิปรายรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดชัดเจนจนได้เป็นประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด แต่ตอนนี้ไม่ได้ตรงกับตอนนั้น หรือแม้กระทั่งการขึ้นเวทีดีเบตที่ช่อง 3 นางสาวแพทองธาร ก็มีการพูดเกี่ยวกับผู้นำอาเซียน ตอนนั้นก็ยังตอบได้ดี แต่พอมาบริหารจัดการเอง ก็น่าเสียดาย ที่ไม่ตรงกับการอภิปรายและหาเสียงไว้ หากทำตามที่เคยพูดไว้ก็น่าจะทุเลาลงได้
    ..............
    Sondhi X
    'ประชาชน' โวมีของเพียบ พร้อมเปิดศึกซักฟอก อัดรัฐบาลไม่ตรงปก . สถานการณ์ทางการเมืองหลังจากผ่านพ้นการเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่น คาดว่าสปอตไลท์น่าจะจับมาที่พรรคประชาชนในฐานะฝ่ายค้านที่เตรียมยื่นญัตติเพื่อขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร โดยนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาชน เปิดเผยว่า สำหรับการเตรียมความพร้อมการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่า ส่วนตัวมีข้อมูลเตรียมไว้ 3-4 เรื่อง กําลังปรึกษาทางพรรคว่าจะพูดเองในเรื่องใด หรือมอบหมายเรื่องใดให้คนอื่นพูด ซึ่งข้อมูลแต่ละด้าน เรารวบรวมจากข้าราชการภายในที่ส่งต่อมาให้ และจากประชาชนทั่วไป . นายณัฐชา กล่าวว่า ส่วนเนื้อหาจะเป็นเรื่องใดนั้น ภาพรวมจะมีครบทุกอย่าง เป็นการบริหารตั้งแต่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี จนถึงรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งทั้ง 2 รัฐบาลทําให้ประชาชนผิดหวัง ในส่วนรัฐมนตรีบางคน มีเรื่องเกี่ยวกับการทุจริต และการใช้อํานาจหน้าที่ในทางที่ผิด . ด้าน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุว่า นายพิธา กล่าวว่า รัฐบาลชุดปัจจุบัน ยังไม่ตรงปกเหมือนตอนที่เป็นฝ่ายค้านด้วยกัน ตอนนั้นที่อภิปรายรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดชัดเจนจนได้เป็นประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด แต่ตอนนี้ไม่ได้ตรงกับตอนนั้น หรือแม้กระทั่งการขึ้นเวทีดีเบตที่ช่อง 3 นางสาวแพทองธาร ก็มีการพูดเกี่ยวกับผู้นำอาเซียน ตอนนั้นก็ยังตอบได้ดี แต่พอมาบริหารจัดการเอง ก็น่าเสียดาย ที่ไม่ตรงกับการอภิปรายและหาเสียงไว้ หากทำตามที่เคยพูดไว้ก็น่าจะทุเลาลงได้ .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Sad
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1299 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยิ้มเปลี่ยนชีวิตได้ ในบางครั้งยังอาจสามารถเปลี่ยนโลก นี่ไม่ต้องลำบากเสาะหาจากที่ไหนให้วุ่นวาย เพราะมีอยู่ในกายทุกผู้คน

    #กระบี่อมตะ
    โก้วเล้ง เขียน / ว.ณ เมืองลุง แปล
    สนพ.สร้างสรรค์บุ๊กส์
    นวนิยายสั้นเล่มเดียวจบ หมวดกำลังภายใน
    เป็นเล่มแรกที่ถูกจัดเข้าในชุดอาวุธของโก้วเล้ง

    ไม่แน่ใจว่าที่แท้แล้ว ผลงานในชุดนี้มีทั้งหมดกี่เล่ม บางแหล่งระบุว่ามี 7 เล่ม บางแหล่งระบุว่ามี 8 เล่ม ซึ่งตามความจริง ล้วนเป็นเหล่า สนพ.ต่าง ๆ จากต้นทาง ที่รวบรวมจัดเข้าชุดกันเองเพื่อหวังในยอดขายเพิ่มขึ้น หาใช่สิ่งที่โก้วเล้งเป็นคนตั้งใจหรือวางแผนไว้แต่แรก มีบางข้อมูลถึงกับระบุว่า เล่มที่โก้วเล้งเป็นคนเขียนเองมีเพียง 2 เรื่องแรกเท่านั้น คือกระบี่อมตะ และเดชขนนกยูง หากข้อมูลดังกล่าวถูกต้อง แล้วเล่มอื่นในชุดใครที่เป็นมือปืนรับจ้างเขียนแทนโดยใช้ชื่อโก้วเล้งเล่า

    นี่คืออีกหนึ่งปริศนาในงานเขียนของปีศาจสุรา ที่ช่วงหลังก่อนเสียชีวิต แต่งเรื่องไว้หลายเรื่องแต่แต่งไม่จบ นับเป็นรอยด่างหรือความมัวหมองในชีวิตงานเขียนประการหนึ่งซึ่งน่าเสียดาย

    วกมาสู่เล่มนี้

    เพิ่งจบเมื่อเช้า ก่อนหน้าไม่เคยอ่านในชุดอาวุธมาเลยสักเล่มเดียว ผ่านตาพบเห็นมาหลายปกตั้งแต่เด็ก แต่ก็นิยมไปอ่านเรื่องยาว หรือเรื่องชุดอื่น ๆ ซะ บัดนี้ตั้งใจว่าจะลองมาลิ้มรสเล่มที่พลาดไป เริ่มต้นด้วยเล่มนี้เป็นเล่มแรกครับ

    เนื้อหากล่าวถึง กลุ่มชายฉกรรจ์ขบวนใหญ่ ต่างที่มาแต่มารวมตัวกันเฉพาะกิจ ด้วยเหตุผลคือตามล่าคนคนหนึ่งซึ่งมีสิ่งของที่ทั้งหมดต้องการแอบซ่อนไว้ เปิดเรื่องที่โรงเตี๊ยมในเมืองซึ่งมีตัวเอกของเรื่อง นามแปะเง็กเกียเดินทางผ่านมาแวะพักค้างอ้างแรม ในมือของมันผู้นี้มีศาสตราวุธสุดยอดเป็นกระบี่ดำเล่มหนึ่ง กระบี่โบราณดูไปไม่มีใดน่าสนใจ ทว่าผู้กล้าและชาวยุทธ์ทั่วหล้าต่างพากันทราบดี ถึงชื่อเสียงเกียรติภูมิที่ได้รับการกล่าวขานถึง นั่นเรียกว่ากระบี่อมตะ ผู้มาที่ไม่ทราบสำนักสังกัดชัด ต่างล้วนทราบดีแก่ใจว่าบุรุษเจ้าของกระบี่เล่มนี้ยากตอแย และมีฝีมือมิใช่ชั่ว ต่างคุมเชิงกันและกันไม่ว่าใครไม่กล้าลงไม้ลงมือก่อน

    มิคาดนอกจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้จะมีบุรุษหน้าตาเข้าทีฝีมือรวบรัดมาเยี่ยมเยือนและอุดหนุนแล้ว ยังมีวาสนาได้รับการต้อนรับโกวเนี้ยเยาว์วัยนางหนึ่ง ซึ่งมีบุคลิกที่เรียบร้อยราวคุณหนู และรูปโฉมโนมพรรณที่สามารถสร้างความลุ่มหลงแก่เหล่าบุรุษได้ นางมีชื่อว่าอ้วงจีเยี้ย ไม่แน่ใจเป็นนางที่ไล่ตามแปะเง็กเกียหรือไม่ เพราะเขาจำได้ว่าเคยพบหน้านางมาก่อนแล้วถึงสองครั้งที่โรงเตี๊ยมแห่งอื่น นี่ไม่อาจโทษว่าเขาเป็นชายเจ้าชู้ อย่างไรชายงามย่อมพึงตาต้องใจในสตรีสาวและยังสวยเป็นธรรมดา ที่สำคัญกลับเป็นนางที่เป็นฝ่ายเริ่มต้นเข้าหา เจรจาพาทีกับเขาก่อนด้วย เป็นเรื่องที่เขาเองก็คาดไม่ถึง อย่างน้อยทุกครั้งที่พบหน้า นางส่งรอยยิ้มที่พิมพ์ใจกระไรปานนั้นให้กับเขา

    ทว่าเรื่องราวกับซับซ้อนยอกย้อนยิ่ง ในขณะที่แปะเง็กเกียเข้าใจว่ากลุ่มชายแปลกหน้าท่าทางประหลาดทั้งหลาย ล้วนมีเป้าประสงค์ที่จะมาหาเรื่องกับตน พลันเกิดเหตุลอบฆ่าฟันกันขึ้น มีคนตายและอาวุธที่เข่นฆ่าก็แปลกประหลาด ขณะที่บรรยากาศโดยรอบภายในโรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยความตึงเครียด อ้วงจีเยี้ยพลันเอ่ยขอร้องแปะเง็กเกียให้ค้างอยู่ร่วมห้องเดียวกับนาง ให้เหตุผลว่าบัดนี้นางกลัวยิ่ง เช่นนี้ไยมิใช่การบอกใบ้ว่านางยินดีให้แปะเง็กเกีย ไม่ต้องทำตัวเรียบ ๆ ร้อย ๆ กับนางระหว่างคืนใช่หรือไม่ แต่แปะเง็กเกียกลับเรียบร้อยขึ้นมาจริง ๆ มันพานขึ้นไปนอนบนเตียงเรียงคู่กับนาง ทว่าเพียงแค่อ้าปากกล่าววาจาด้วยท่าทีสงวนคำพูดยิ่งนัก

    คืนนั้นเอง อ้วงจี่เยี้ยพลันกล้าเผยความในใจ ปรารถนาให้เมื่ออรุณขึ้น เขาพานางติดตามไปด้วยในทุกที่ หลีกลี้หนีจากวังวนความวุ่นวายทั้งหลาย แปะเง็กเกียกลับรับปากง่ายดาย ก่อนรุ่งสางได้สกัดจุดหลับนางแล้วออกจากห้อง ตั้งใจจะไปตกลงเจรจากับพวกคนเหล่านั้นให้เรียบร้อย ก่อนที่จะพานางที่ตนชมชอบปลีกกายจากไป ไหนเลยมีเรื่องง่ายดายปานนั้น หลังเอ่ยวาจาอ้อมค้อมลดเลี้ยวอยู่เนิ่นนาน แปะเง็กเกียที่เตรียมจะยกถุงผ้าที่บรรจุวัตถุหายากที่มีมูลค่ามหาศาลทั้งหมดให้กับคนประหลาดที่เหลือ หาคาดไม่ที่พวกมันกังวลสนใจกลับเป็นตัวของอ้วงจีเยี้ยเอง แต่ไม่ยอมบอกว่าเป็นสิ่งของใดในตัวนางที่พวกมันกล่าวหาว่าถูกขโมยมา เมื่อการค้าตกลงไม่สำเร็จแปะเง็กเกียจึงลุกเดินกลับห้อง แต่กลับพบเห็นมีเงาชายคนหนึ่งอยู่ในห้องคล้ายเจรจาบางอย่างกับหญิงที่ตนชอบ ด้วยความเสียใจ ขณะจะผละจากไปปรากฏเสียงร้องของนางดังขึ้นด้วยความตกใจ

    แปะเง็กเกียรีบพุ่งปราดเข้าไปจึงพบว่า เป็นคนร้ายที่เป็นตัวประหลาดคนหนึ่ง ทั้งสองต่อสู้กันชั่วครู่ก่อนที่มันจะชิงจังหวะโดดหลบหนีไป พอดีกับที่สหายคนหนึ่งของแปะเง็กเกียเข้าประตูมาเพราะได้ยินเสียง แปะเง็กเกียจึงขอร้องให้มันช่วยดูแลอ้วงจีเยี้ยแทน ก่อนจะโผออกจากห้อง พุ่งทะยานขึ้นหลังคาตามไป

    เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ให้เพื่อน ๆ ไปหาอ่านกันต่อ ขอบอกเพียงว่า เป็นนิยายกำลังภายในขนาดสั้นที่เขียนได้ดีมากเล่มหนึ่ง โดยเฉพาะในแง่ที่มีความเป็นงานแนวสืบสวนสอบสวน มีการพลิกไปพลิกมาของความสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละตัว ที่มีเบื้องหลังคือของมีค่าอันเป็นวัตถุชิ้นหนึ่ง ซึ่งวัตถุชิ้นนี้กล่าวโยงไปถึงของสำคัญอันจะมีส่วนสำคัญต่อไปในเล่มที่สองของชุดอาวุธของโก้วเล้ง

    ตลอดทั้งเรื่อง โดยเฉพาะครึ่งเรื่องไปแล้วนั้น ล้วนเต็มไปด้วยการชิงไหวชิงพริบ หักเหลี่ยมของเหล่าบรรดาโจรทั้งหลายที่ต่างหมายของสิ่งเดียวกัน ใครเป็นมิตรกับใคร ใครแฝงตัวหลอกล่อ เป้าจริงคือใคร เป้าลวงไฉนเยอะปานนั้น จะเชื่อใจใครได้บ้าง ศัตรูกลับกลายเป็นมิตร หรือสหายกลับทรยศ หญิงงามความจริงคือผู้ถูกกระทำ หรือคือต้นตอของเหตุเภทภัยทั้งหมดกันแน่ แต่ละบทที่ผ่านไปมีแต่ศพ ที่เพิ่มมากขึ้น คนมีชีวิตกลับยิ่งมายิ่งลดน้อยลง แปะเง็กเกียที่ถูกม้วนเข้าไปในวังวนของแหใหญ่ปากนี้ จะสามารถพาตัวรอดพ้นจากหายนะได้หรือไม่

    ฤาต้องจบชีวิตไปอย่างเลอะเลือนงมงาย ไม่ทราบกระทั่งความจริงว่าตนต้องตายด้วยสาเหตุใด

    สุดท้ายที่นึกว่าจะจบลงแล้ว กลับมีพลิกในพลิกอีกที... นี่มันอะไร

    ไปลองอ่านดูนะครับ

    #โก้วเล้ง
    #วณเมืองลุง
    #นิบายจีน
    #นิยายแปล
    #รีวิวหนังสือ
    #หนังสือน่าอ่าน
    #thaitimes]

    ยิ้มเปลี่ยนชีวิตได้ ในบางครั้งยังอาจสามารถเปลี่ยนโลก นี่ไม่ต้องลำบากเสาะหาจากที่ไหนให้วุ่นวาย เพราะมีอยู่ในกายทุกผู้คน #กระบี่อมตะ โก้วเล้ง เขียน / ว.ณ เมืองลุง แปล สนพ.สร้างสรรค์บุ๊กส์ นวนิยายสั้นเล่มเดียวจบ หมวดกำลังภายใน เป็นเล่มแรกที่ถูกจัดเข้าในชุดอาวุธของโก้วเล้ง ไม่แน่ใจว่าที่แท้แล้ว ผลงานในชุดนี้มีทั้งหมดกี่เล่ม บางแหล่งระบุว่ามี 7 เล่ม บางแหล่งระบุว่ามี 8 เล่ม ซึ่งตามความจริง ล้วนเป็นเหล่า สนพ.ต่าง ๆ จากต้นทาง ที่รวบรวมจัดเข้าชุดกันเองเพื่อหวังในยอดขายเพิ่มขึ้น หาใช่สิ่งที่โก้วเล้งเป็นคนตั้งใจหรือวางแผนไว้แต่แรก มีบางข้อมูลถึงกับระบุว่า เล่มที่โก้วเล้งเป็นคนเขียนเองมีเพียง 2 เรื่องแรกเท่านั้น คือกระบี่อมตะ และเดชขนนกยูง หากข้อมูลดังกล่าวถูกต้อง แล้วเล่มอื่นในชุดใครที่เป็นมือปืนรับจ้างเขียนแทนโดยใช้ชื่อโก้วเล้งเล่า นี่คืออีกหนึ่งปริศนาในงานเขียนของปีศาจสุรา ที่ช่วงหลังก่อนเสียชีวิต แต่งเรื่องไว้หลายเรื่องแต่แต่งไม่จบ นับเป็นรอยด่างหรือความมัวหมองในชีวิตงานเขียนประการหนึ่งซึ่งน่าเสียดาย วกมาสู่เล่มนี้ เพิ่งจบเมื่อเช้า ก่อนหน้าไม่เคยอ่านในชุดอาวุธมาเลยสักเล่มเดียว ผ่านตาพบเห็นมาหลายปกตั้งแต่เด็ก แต่ก็นิยมไปอ่านเรื่องยาว หรือเรื่องชุดอื่น ๆ ซะ บัดนี้ตั้งใจว่าจะลองมาลิ้มรสเล่มที่พลาดไป เริ่มต้นด้วยเล่มนี้เป็นเล่มแรกครับ เนื้อหากล่าวถึง กลุ่มชายฉกรรจ์ขบวนใหญ่ ต่างที่มาแต่มารวมตัวกันเฉพาะกิจ ด้วยเหตุผลคือตามล่าคนคนหนึ่งซึ่งมีสิ่งของที่ทั้งหมดต้องการแอบซ่อนไว้ เปิดเรื่องที่โรงเตี๊ยมในเมืองซึ่งมีตัวเอกของเรื่อง นามแปะเง็กเกียเดินทางผ่านมาแวะพักค้างอ้างแรม ในมือของมันผู้นี้มีศาสตราวุธสุดยอดเป็นกระบี่ดำเล่มหนึ่ง กระบี่โบราณดูไปไม่มีใดน่าสนใจ ทว่าผู้กล้าและชาวยุทธ์ทั่วหล้าต่างพากันทราบดี ถึงชื่อเสียงเกียรติภูมิที่ได้รับการกล่าวขานถึง นั่นเรียกว่ากระบี่อมตะ ผู้มาที่ไม่ทราบสำนักสังกัดชัด ต่างล้วนทราบดีแก่ใจว่าบุรุษเจ้าของกระบี่เล่มนี้ยากตอแย และมีฝีมือมิใช่ชั่ว ต่างคุมเชิงกันและกันไม่ว่าใครไม่กล้าลงไม้ลงมือก่อน มิคาดนอกจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้จะมีบุรุษหน้าตาเข้าทีฝีมือรวบรัดมาเยี่ยมเยือนและอุดหนุนแล้ว ยังมีวาสนาได้รับการต้อนรับโกวเนี้ยเยาว์วัยนางหนึ่ง ซึ่งมีบุคลิกที่เรียบร้อยราวคุณหนู และรูปโฉมโนมพรรณที่สามารถสร้างความลุ่มหลงแก่เหล่าบุรุษได้ นางมีชื่อว่าอ้วงจีเยี้ย ไม่แน่ใจเป็นนางที่ไล่ตามแปะเง็กเกียหรือไม่ เพราะเขาจำได้ว่าเคยพบหน้านางมาก่อนแล้วถึงสองครั้งที่โรงเตี๊ยมแห่งอื่น นี่ไม่อาจโทษว่าเขาเป็นชายเจ้าชู้ อย่างไรชายงามย่อมพึงตาต้องใจในสตรีสาวและยังสวยเป็นธรรมดา ที่สำคัญกลับเป็นนางที่เป็นฝ่ายเริ่มต้นเข้าหา เจรจาพาทีกับเขาก่อนด้วย เป็นเรื่องที่เขาเองก็คาดไม่ถึง อย่างน้อยทุกครั้งที่พบหน้า นางส่งรอยยิ้มที่พิมพ์ใจกระไรปานนั้นให้กับเขา ทว่าเรื่องราวกับซับซ้อนยอกย้อนยิ่ง ในขณะที่แปะเง็กเกียเข้าใจว่ากลุ่มชายแปลกหน้าท่าทางประหลาดทั้งหลาย ล้วนมีเป้าประสงค์ที่จะมาหาเรื่องกับตน พลันเกิดเหตุลอบฆ่าฟันกันขึ้น มีคนตายและอาวุธที่เข่นฆ่าก็แปลกประหลาด ขณะที่บรรยากาศโดยรอบภายในโรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยความตึงเครียด อ้วงจีเยี้ยพลันเอ่ยขอร้องแปะเง็กเกียให้ค้างอยู่ร่วมห้องเดียวกับนาง ให้เหตุผลว่าบัดนี้นางกลัวยิ่ง เช่นนี้ไยมิใช่การบอกใบ้ว่านางยินดีให้แปะเง็กเกีย ไม่ต้องทำตัวเรียบ ๆ ร้อย ๆ กับนางระหว่างคืนใช่หรือไม่ แต่แปะเง็กเกียกลับเรียบร้อยขึ้นมาจริง ๆ มันพานขึ้นไปนอนบนเตียงเรียงคู่กับนาง ทว่าเพียงแค่อ้าปากกล่าววาจาด้วยท่าทีสงวนคำพูดยิ่งนัก คืนนั้นเอง อ้วงจี่เยี้ยพลันกล้าเผยความในใจ ปรารถนาให้เมื่ออรุณขึ้น เขาพานางติดตามไปด้วยในทุกที่ หลีกลี้หนีจากวังวนความวุ่นวายทั้งหลาย แปะเง็กเกียกลับรับปากง่ายดาย ก่อนรุ่งสางได้สกัดจุดหลับนางแล้วออกจากห้อง ตั้งใจจะไปตกลงเจรจากับพวกคนเหล่านั้นให้เรียบร้อย ก่อนที่จะพานางที่ตนชมชอบปลีกกายจากไป ไหนเลยมีเรื่องง่ายดายปานนั้น หลังเอ่ยวาจาอ้อมค้อมลดเลี้ยวอยู่เนิ่นนาน แปะเง็กเกียที่เตรียมจะยกถุงผ้าที่บรรจุวัตถุหายากที่มีมูลค่ามหาศาลทั้งหมดให้กับคนประหลาดที่เหลือ หาคาดไม่ที่พวกมันกังวลสนใจกลับเป็นตัวของอ้วงจีเยี้ยเอง แต่ไม่ยอมบอกว่าเป็นสิ่งของใดในตัวนางที่พวกมันกล่าวหาว่าถูกขโมยมา เมื่อการค้าตกลงไม่สำเร็จแปะเง็กเกียจึงลุกเดินกลับห้อง แต่กลับพบเห็นมีเงาชายคนหนึ่งอยู่ในห้องคล้ายเจรจาบางอย่างกับหญิงที่ตนชอบ ด้วยความเสียใจ ขณะจะผละจากไปปรากฏเสียงร้องของนางดังขึ้นด้วยความตกใจ แปะเง็กเกียรีบพุ่งปราดเข้าไปจึงพบว่า เป็นคนร้ายที่เป็นตัวประหลาดคนหนึ่ง ทั้งสองต่อสู้กันชั่วครู่ก่อนที่มันจะชิงจังหวะโดดหลบหนีไป พอดีกับที่สหายคนหนึ่งของแปะเง็กเกียเข้าประตูมาเพราะได้ยินเสียง แปะเง็กเกียจึงขอร้องให้มันช่วยดูแลอ้วงจีเยี้ยแทน ก่อนจะโผออกจากห้อง พุ่งทะยานขึ้นหลังคาตามไป เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ให้เพื่อน ๆ ไปหาอ่านกันต่อ ขอบอกเพียงว่า เป็นนิยายกำลังภายในขนาดสั้นที่เขียนได้ดีมากเล่มหนึ่ง โดยเฉพาะในแง่ที่มีความเป็นงานแนวสืบสวนสอบสวน มีการพลิกไปพลิกมาของความสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละตัว ที่มีเบื้องหลังคือของมีค่าอันเป็นวัตถุชิ้นหนึ่ง ซึ่งวัตถุชิ้นนี้กล่าวโยงไปถึงของสำคัญอันจะมีส่วนสำคัญต่อไปในเล่มที่สองของชุดอาวุธของโก้วเล้ง ตลอดทั้งเรื่อง โดยเฉพาะครึ่งเรื่องไปแล้วนั้น ล้วนเต็มไปด้วยการชิงไหวชิงพริบ หักเหลี่ยมของเหล่าบรรดาโจรทั้งหลายที่ต่างหมายของสิ่งเดียวกัน ใครเป็นมิตรกับใคร ใครแฝงตัวหลอกล่อ เป้าจริงคือใคร เป้าลวงไฉนเยอะปานนั้น จะเชื่อใจใครได้บ้าง ศัตรูกลับกลายเป็นมิตร หรือสหายกลับทรยศ หญิงงามความจริงคือผู้ถูกกระทำ หรือคือต้นตอของเหตุเภทภัยทั้งหมดกันแน่ แต่ละบทที่ผ่านไปมีแต่ศพ ที่เพิ่มมากขึ้น คนมีชีวิตกลับยิ่งมายิ่งลดน้อยลง แปะเง็กเกียที่ถูกม้วนเข้าไปในวังวนของแหใหญ่ปากนี้ จะสามารถพาตัวรอดพ้นจากหายนะได้หรือไม่ ฤาต้องจบชีวิตไปอย่างเลอะเลือนงมงาย ไม่ทราบกระทั่งความจริงว่าตนต้องตายด้วยสาเหตุใด สุดท้ายที่นึกว่าจะจบลงแล้ว กลับมีพลิกในพลิกอีกที... นี่มันอะไร ไปลองอ่านดูนะครับ #โก้วเล้ง #วณเมืองลุง #นิบายจีน #นิยายแปล #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #thaitimes]
    Like
    Yay
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 471 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความในใจชีวิตบัดซบของฉัน
    ต่อไปนี้ฉันจะเล่าถึงความหลังในอดีตที่แสนขมขื่นและเจ็บปวดแสนสาหัสในชีวิตชาตินี้ของฉันให้กับทุกคนได้ฟังได้รับรู้กัน ประวัติศาสตร์ที่แสนเจ็บปวดของฉันในชาตินี้ว่ามันโคตรทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสมากมายแค่ไหนเพียงใด เอ้าเมาเริ่มกันเลยโดยไม่ต้องลีลาชักช้าเยื่อนเยื้อนะ
    ฉันเกิดมาก็มีกายใจจิตที่อ่อนแอบอบบางมาตั้งแต่เด็กๆในทุกๆด้าน ทั้งกายใจจิตทั้งหมดทุกอย่างเลย น่ารันทดชิบ
    ตั้งแต่เด็กๆมาฉันก็มักจะถูกกลั่นแกล้งมาโดยตลอดจากคนอื่นๆเสมอ เพราะว่าตัวเล็กและไม่แข็งแรง แต่เพราะอยากมีเพื่อนเลยทนเอา แต่พอเริ่มทนไม่ไหวเข้าก็ร้องไห้ วิ่งกลับบ้านไปหาแม่เพียงคนเดียวในโลกนี้เท่านั้นที่รักและเข้าใจฉันเสมอมา ถึงจะมีบ้างที่แม่ไม่เข้าใจในตัวฉันก็ตามที
    พอเริ่มโตมาหน่อยฉันก็เริ่มทำตัวแปลกแยกจากผู้คนทุกคนในโลกนี้ และไม่ยุ่งสุงสิงกับใครอีกต่อไป เพราะทนไม่ไหวกับการถูกกลั่นแกล้งชิงชังจากผู้อื่น และเริ่มมีประสบการณ์และเริ่มฝึกจิตมารสังหาร และเก็บกดกดดันตัวเองระงับความโกรธเกรี้ยวกราดในผู้คนที่ชั่วร้ายเหล่านั้นไว้เรื่อยๆและเรื่อยมารอวันที่จะประทุระเบิดออกมาไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่งเมื่อฉันพร้อมรบในสมรภูมิโลกเผ่าพันธุ์มนุษย์ชั่วร้ายที่แสนโสมมโสโครก เพื่อรอวันทำลายล้างโลกและเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้สิ้นซากไป และให้เหลือเอาไว้เฉพาะแต่ผู้คนที่เป็นคนที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น
    พอโตขึ้นมาอีกหน่อยพอเริ่มเป็นวัยรุ่น จิตมารเริ่มพลุ่งพล่านควบคุมไม่อยู่ก็เลยระเบิดพลังอาฆาตที่ชั่วร้ายออกมา มันเริ่มออกมามากขึ้นๆเรื่อยๆจนทำให้ตัวฉันเองเริ่มเป็นบ้าในสังคมผู้คนทั่วไป ฉันอาละวาดพาลไปทั่วกับทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องวุ่นวายกับฉัน พอทุกคนเห็นฉันทำอย่างนี้ก็ไม่เข้าใจในตัวฉันหาว่าฉันเป็นบ้าเป็นโรคจิตโรคประสาท ทั้งๆที่ฉันไม่ได้ตั้งใจทำลงไปแถมไม่ได้ไปหาเรื่องใครก่อนเลย เป็นเพราะพวกมันมนุษย์ที่ชอบหาเรื่องก่อกวนวุ่นวายกับฉันทำให้ฉันไม่พอใจนั่นเอง ฉันเริ่มเรียนแย่ลงๆทุกทีเรื่อยๆ เพราะไม่มีอารมณ์กะจิตกะใจเรียนเลย เพราะว่ามีแต่ผู้คนเข้ามาวุ่นวายก่อกวนฉันอยู่เรื่อยๆที่โรงเรียน แต่ก็ดีใจที่อย่างน้อยก็มีเพื่อนเพียงไม่กี่คนที่เข้าใจในตัวฉันและสงสารฉัน ซึ่งเพื่อนส่วนใหญ่นั้นเลิกเป็นเพื่อนกับฉันไปเพราะไม่เข้าใจในตัวฉันนั่นเอง แต่ก็มีอยู่อย่างหนึ่งที่ทำให้ฉันนั้นประทับใจมากๆคือ คุณครูหลายๆท่านเค้าเข้าใจในตัวฉันและช่วยผลักดันช่วยเหลือฉันอย่างเต็มที่สุดความสามารถเพื่อให้ฉันนั้นได้เรียนจบในที่สุดในมัธยมปลาย และหลังจากนั้นฉันก็ได้พยายามที่จะเรียนต่อในอุดมศึกษาในหลายๆที่ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่ฉันไม่สามารถเรียนจบได้เลย เป็นเพราะว่าฉันไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนๆผู้อื่นในชั้นเรียนได้เลย เพราะมีแต่คนที่ไม่รู้เรื่องราวของฉันและไม่เข้าใจเข้าถึงฉันได้เลย เป็นเพราะว่าฉันมันไม่เหมือนใครไม่เหมือนคนอื่นนั่นเอง และก็ไม่มีเพื่อนเก่าๆที่เข้าใจฉันเลย แถมฉันก็พึ่งจะมารู้ตัวรู้สึกในตัวเองว่าเรามันไม่เหมือนกับคนอื่น เราเป็นเด็กพิเศษ หรือเป็นคนไม่ปกติในสังคมนั่นเอง คือเป็นเด็กที่มีความผิดปกติทางสมองหรือเกี่ยวกับระบบประสาทในสมองนั่นเอง
    ฉันเริ่มไปหาหมอที่จะสามารถรักษาโรคของฉันได้ในหลายๆที่ แต่ก็ไม่มีใครที่จะสามารถรักษาฉันได้เลย เพราะพวกเค้าไม่เข้าใจในตัวฉันและไม่สามารถเข้าถึงใจของฉันได้เลย แต่ก็นับว่าเป็นโชคดีที่ฉันได้ไปพบหมอคนหนึ่งที่เป็นหมอที่มีความสามารถสูงมาก และเค้าก็เข้าใจในตัวของฉันและรักษาฉันให้ช่วยบรรเทาอาการลงได้ และเกือบจะหายเป็นปกติเหมือนกับคนผู้อื่นในสังคม ถึงแม้ว่ามันจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ก็ตามที แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ฉันนั้นมีสติอยู่กับเนื้อกับตัวของตัวเองได้ตลอดเวลา ถ้าไม่มีใครมาหาเรื่องฉันก่อน อาการก็ไม่กำเริบออกมาหรอก ซึ่งอาการของฉันมันก็มีอยู่สองอย่างคือ อาการที่หนึ่งคือ ไม่มีผู้คนเยอะแยะพลุกพล่านนั่นเอง ส่วนอาการที่สองคือ เสียงดังนั่นเอง โดยเฉพาะเสียงของผู้คนที่ชอบทำร้ายฉันโดยการนินทาว่าร้ายฉันต่างๆนาๆ ซึ่งฉันสามารถรับรู้และรู้สึกได้จากการที่มีวิชาจิตมารสังหารนั่นเอง เพราะฉันสามารถสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของพวกมัน
    ฉันเริ่มศึกษาในทางสายธรรมะหรือศึกษาศาสนามากขึ้นๆเรื่อยๆ ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกดีและอิ่มเอิบในรสธรรม ซึ่งมันสามารถทำให้อาการโรคของฉันหายขาดได้ เพราะว่ามันคือตัวของฉันเองที่สามารถที่จะรักษาตัวเองได้นั่นเอง สาเหตุมันอยู่ที่ฉัน เพราะฉะนั้นฉันก็ต้องแก้ด้วยตนเอง ซึ่งมันอยู่ที่พลัง ฉันปรารถนาพลัง พลังที่สามารถสร้างหรือทำลายได้ในทุกๆสิ่งนั่นเองมาตั้งแต่แรกเริ่ม ซึ่งฉันมีวิชาจิตมารสังหารอยู่กับตัว มันควบคุมไม่ได้ ฉันเลยเป็นบ้า มันเป็นพลังที่ชั่วร้าย มีแต่จะทำลายทั้งกับตนเองและผู้อื่น แต่ถ้าฉันควบคุมมันได้ มันก็จะเป็นพลังที่สามารถช่วยเหลือตัวของฉันเองได้อย่างยิ่งยวด ซึ่งตอนนี้ฉันฝึกฝนวิชาจิตมารสังหารสำเร็จแล้ว และสามารถควบคุมมันได้ด้วย และตอนนี้ฉันก็ค้นพบวิชาใหม่อีกหนึ่งวิชา มันตรงกันข้ามกับจิตมารสังหารนั่นเอง มันคือวิชาจิตเทพเมตตา ซึ่งฉันยังคงฝึกฝนอยู่ในขั้นต้น มันเป็นวิชาที่ระงับความโกรธเกรี้ยวอาฆาตพยาบาททำลายของจิตมารสังหาร เวลาที่ฉันควบคุมจิตของตนเองไม่ได้ก็จะพยายามใช้จิตในด้านบวกอีกวิชาหนึ่งช่วยบรรเทาผ่อนปรนพลังด้านลบให้ไม่ทำลายตัวเองและผู้อื่นอีกต่อไปในสถานการณ์ที่คับขันนั่นเอง
    สิ่งสุดท้ายที่ฉันจะบอกก่อนจบก็คือ มีผู้คนมากมายที่เกลียดชังไม่ชอบฉันและต้องการทำร้ายทำลายฉันในทุกๆด้าน เป็นเพราะพวกเค้าไม่เข้าใจเข้าถึงตัวฉันได้ พวกนี้มีอยู่ทุกที่ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าฉันจะไปที่ไหนก็เจอพวกมัน ฉันแค่อยากจะบอกว่า เวรกรรมมีจริง ใครคิดทำร้ายทำลายฉัน มันทุกผู้จักต้องได้รับคำสาปของฉันไป นั่นก็คือ ในชีวิตจะไม่มีวันมีความสุข เพราะเป็นบ้า จนกว่าจะตายไป ตายแล้วก็ยังไม่จบ จะต้องลงนรกหมกไหม้ไปด้วยกันทุกคน ฉันขอสาปแช่งพวกมัน ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น มันเป็นสัจธรรม
    ความในใจชีวิตบัดซบของฉัน ต่อไปนี้ฉันจะเล่าถึงความหลังในอดีตที่แสนขมขื่นและเจ็บปวดแสนสาหัสในชีวิตชาตินี้ของฉันให้กับทุกคนได้ฟังได้รับรู้กัน ประวัติศาสตร์ที่แสนเจ็บปวดของฉันในชาตินี้ว่ามันโคตรทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสมากมายแค่ไหนเพียงใด เอ้าเมาเริ่มกันเลยโดยไม่ต้องลีลาชักช้าเยื่อนเยื้อนะ ฉันเกิดมาก็มีกายใจจิตที่อ่อนแอบอบบางมาตั้งแต่เด็กๆในทุกๆด้าน ทั้งกายใจจิตทั้งหมดทุกอย่างเลย น่ารันทดชิบ ตั้งแต่เด็กๆมาฉันก็มักจะถูกกลั่นแกล้งมาโดยตลอดจากคนอื่นๆเสมอ เพราะว่าตัวเล็กและไม่แข็งแรง แต่เพราะอยากมีเพื่อนเลยทนเอา แต่พอเริ่มทนไม่ไหวเข้าก็ร้องไห้ วิ่งกลับบ้านไปหาแม่เพียงคนเดียวในโลกนี้เท่านั้นที่รักและเข้าใจฉันเสมอมา ถึงจะมีบ้างที่แม่ไม่เข้าใจในตัวฉันก็ตามที พอเริ่มโตมาหน่อยฉันก็เริ่มทำตัวแปลกแยกจากผู้คนทุกคนในโลกนี้ และไม่ยุ่งสุงสิงกับใครอีกต่อไป เพราะทนไม่ไหวกับการถูกกลั่นแกล้งชิงชังจากผู้อื่น และเริ่มมีประสบการณ์และเริ่มฝึกจิตมารสังหาร และเก็บกดกดดันตัวเองระงับความโกรธเกรี้ยวกราดในผู้คนที่ชั่วร้ายเหล่านั้นไว้เรื่อยๆและเรื่อยมารอวันที่จะประทุระเบิดออกมาไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่งเมื่อฉันพร้อมรบในสมรภูมิโลกเผ่าพันธุ์มนุษย์ชั่วร้ายที่แสนโสมมโสโครก เพื่อรอวันทำลายล้างโลกและเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้สิ้นซากไป และให้เหลือเอาไว้เฉพาะแต่ผู้คนที่เป็นคนที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น พอโตขึ้นมาอีกหน่อยพอเริ่มเป็นวัยรุ่น จิตมารเริ่มพลุ่งพล่านควบคุมไม่อยู่ก็เลยระเบิดพลังอาฆาตที่ชั่วร้ายออกมา มันเริ่มออกมามากขึ้นๆเรื่อยๆจนทำให้ตัวฉันเองเริ่มเป็นบ้าในสังคมผู้คนทั่วไป ฉันอาละวาดพาลไปทั่วกับทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องวุ่นวายกับฉัน พอทุกคนเห็นฉันทำอย่างนี้ก็ไม่เข้าใจในตัวฉันหาว่าฉันเป็นบ้าเป็นโรคจิตโรคประสาท ทั้งๆที่ฉันไม่ได้ตั้งใจทำลงไปแถมไม่ได้ไปหาเรื่องใครก่อนเลย เป็นเพราะพวกมันมนุษย์ที่ชอบหาเรื่องก่อกวนวุ่นวายกับฉันทำให้ฉันไม่พอใจนั่นเอง ฉันเริ่มเรียนแย่ลงๆทุกทีเรื่อยๆ เพราะไม่มีอารมณ์กะจิตกะใจเรียนเลย เพราะว่ามีแต่ผู้คนเข้ามาวุ่นวายก่อกวนฉันอยู่เรื่อยๆที่โรงเรียน แต่ก็ดีใจที่อย่างน้อยก็มีเพื่อนเพียงไม่กี่คนที่เข้าใจในตัวฉันและสงสารฉัน ซึ่งเพื่อนส่วนใหญ่นั้นเลิกเป็นเพื่อนกับฉันไปเพราะไม่เข้าใจในตัวฉันนั่นเอง แต่ก็มีอยู่อย่างหนึ่งที่ทำให้ฉันนั้นประทับใจมากๆคือ คุณครูหลายๆท่านเค้าเข้าใจในตัวฉันและช่วยผลักดันช่วยเหลือฉันอย่างเต็มที่สุดความสามารถเพื่อให้ฉันนั้นได้เรียนจบในที่สุดในมัธยมปลาย และหลังจากนั้นฉันก็ได้พยายามที่จะเรียนต่อในอุดมศึกษาในหลายๆที่ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่ฉันไม่สามารถเรียนจบได้เลย เป็นเพราะว่าฉันไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนๆผู้อื่นในชั้นเรียนได้เลย เพราะมีแต่คนที่ไม่รู้เรื่องราวของฉันและไม่เข้าใจเข้าถึงฉันได้เลย เป็นเพราะว่าฉันมันไม่เหมือนใครไม่เหมือนคนอื่นนั่นเอง และก็ไม่มีเพื่อนเก่าๆที่เข้าใจฉันเลย แถมฉันก็พึ่งจะมารู้ตัวรู้สึกในตัวเองว่าเรามันไม่เหมือนกับคนอื่น เราเป็นเด็กพิเศษ หรือเป็นคนไม่ปกติในสังคมนั่นเอง คือเป็นเด็กที่มีความผิดปกติทางสมองหรือเกี่ยวกับระบบประสาทในสมองนั่นเอง ฉันเริ่มไปหาหมอที่จะสามารถรักษาโรคของฉันได้ในหลายๆที่ แต่ก็ไม่มีใครที่จะสามารถรักษาฉันได้เลย เพราะพวกเค้าไม่เข้าใจในตัวฉันและไม่สามารถเข้าถึงใจของฉันได้เลย แต่ก็นับว่าเป็นโชคดีที่ฉันได้ไปพบหมอคนหนึ่งที่เป็นหมอที่มีความสามารถสูงมาก และเค้าก็เข้าใจในตัวของฉันและรักษาฉันให้ช่วยบรรเทาอาการลงได้ และเกือบจะหายเป็นปกติเหมือนกับคนผู้อื่นในสังคม ถึงแม้ว่ามันจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ก็ตามที แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ฉันนั้นมีสติอยู่กับเนื้อกับตัวของตัวเองได้ตลอดเวลา ถ้าไม่มีใครมาหาเรื่องฉันก่อน อาการก็ไม่กำเริบออกมาหรอก ซึ่งอาการของฉันมันก็มีอยู่สองอย่างคือ อาการที่หนึ่งคือ ไม่มีผู้คนเยอะแยะพลุกพล่านนั่นเอง ส่วนอาการที่สองคือ เสียงดังนั่นเอง โดยเฉพาะเสียงของผู้คนที่ชอบทำร้ายฉันโดยการนินทาว่าร้ายฉันต่างๆนาๆ ซึ่งฉันสามารถรับรู้และรู้สึกได้จากการที่มีวิชาจิตมารสังหารนั่นเอง เพราะฉันสามารถสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของพวกมัน ฉันเริ่มศึกษาในทางสายธรรมะหรือศึกษาศาสนามากขึ้นๆเรื่อยๆ ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกดีและอิ่มเอิบในรสธรรม ซึ่งมันสามารถทำให้อาการโรคของฉันหายขาดได้ เพราะว่ามันคือตัวของฉันเองที่สามารถที่จะรักษาตัวเองได้นั่นเอง สาเหตุมันอยู่ที่ฉัน เพราะฉะนั้นฉันก็ต้องแก้ด้วยตนเอง ซึ่งมันอยู่ที่พลัง ฉันปรารถนาพลัง พลังที่สามารถสร้างหรือทำลายได้ในทุกๆสิ่งนั่นเองมาตั้งแต่แรกเริ่ม ซึ่งฉันมีวิชาจิตมารสังหารอยู่กับตัว มันควบคุมไม่ได้ ฉันเลยเป็นบ้า มันเป็นพลังที่ชั่วร้าย มีแต่จะทำลายทั้งกับตนเองและผู้อื่น แต่ถ้าฉันควบคุมมันได้ มันก็จะเป็นพลังที่สามารถช่วยเหลือตัวของฉันเองได้อย่างยิ่งยวด ซึ่งตอนนี้ฉันฝึกฝนวิชาจิตมารสังหารสำเร็จแล้ว และสามารถควบคุมมันได้ด้วย และตอนนี้ฉันก็ค้นพบวิชาใหม่อีกหนึ่งวิชา มันตรงกันข้ามกับจิตมารสังหารนั่นเอง มันคือวิชาจิตเทพเมตตา ซึ่งฉันยังคงฝึกฝนอยู่ในขั้นต้น มันเป็นวิชาที่ระงับความโกรธเกรี้ยวอาฆาตพยาบาททำลายของจิตมารสังหาร เวลาที่ฉันควบคุมจิตของตนเองไม่ได้ก็จะพยายามใช้จิตในด้านบวกอีกวิชาหนึ่งช่วยบรรเทาผ่อนปรนพลังด้านลบให้ไม่ทำลายตัวเองและผู้อื่นอีกต่อไปในสถานการณ์ที่คับขันนั่นเอง สิ่งสุดท้ายที่ฉันจะบอกก่อนจบก็คือ มีผู้คนมากมายที่เกลียดชังไม่ชอบฉันและต้องการทำร้ายทำลายฉันในทุกๆด้าน เป็นเพราะพวกเค้าไม่เข้าใจเข้าถึงตัวฉันได้ พวกนี้มีอยู่ทุกที่ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าฉันจะไปที่ไหนก็เจอพวกมัน ฉันแค่อยากจะบอกว่า เวรกรรมมีจริง ใครคิดทำร้ายทำลายฉัน มันทุกผู้จักต้องได้รับคำสาปของฉันไป นั่นก็คือ ในชีวิตจะไม่มีวันมีความสุข เพราะเป็นบ้า จนกว่าจะตายไป ตายแล้วก็ยังไม่จบ จะต้องลงนรกหมกไหม้ไปด้วยกันทุกคน ฉันขอสาปแช่งพวกมัน ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น มันเป็นสัจธรรม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 308 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ซิร์สกี้" ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของยูเครน ยอมรับยูเครนไม่สามารถชนะสงครามได้ หากตั้งรับอย่างเดียว!

    “ไม่ว่าคุณจะป้องกันมากเพียงใด คุณก็ยังต้องล่าถอย เงื่อนไขสถานการณ์ตอนนี้บังคับให้เราทำได้แค่รวบรวมกำลังเพื่อรักษาตำแหน่งในการตั้งรับตามแนวหน้า” เขากล่าวในการสัมภาษณ์กับสื่อของยูเครน

    ซิร์สกี้ยังกล่าวอีกว่ายูเครนไม่มีวิธีการป้องกันตัวเองจากระบบขีปนาวุธ “Oreshnik” เลย

    “นี่คือภัยคุกคามที่แท้จริงในปัจจุบัน มีเพียงระบบป้องกันไม่กี่ระบบเท่านั้นที่จะสกัดกั้นได้” ซิร์สกี้กล่าว เมื่อถูกถามว่ากองทัพยูเครนมีระบบดังกล่าวหรือไม่ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดตอบว่า “น่าเสียดายที่เรายังไม่มีระบบดังกล่าว แต่เราต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา”
    "ซิร์สกี้" ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของยูเครน ยอมรับยูเครนไม่สามารถชนะสงครามได้ หากตั้งรับอย่างเดียว! “ไม่ว่าคุณจะป้องกันมากเพียงใด คุณก็ยังต้องล่าถอย เงื่อนไขสถานการณ์ตอนนี้บังคับให้เราทำได้แค่รวบรวมกำลังเพื่อรักษาตำแหน่งในการตั้งรับตามแนวหน้า” เขากล่าวในการสัมภาษณ์กับสื่อของยูเครน ซิร์สกี้ยังกล่าวอีกว่ายูเครนไม่มีวิธีการป้องกันตัวเองจากระบบขีปนาวุธ “Oreshnik” เลย “นี่คือภัยคุกคามที่แท้จริงในปัจจุบัน มีเพียงระบบป้องกันไม่กี่ระบบเท่านั้นที่จะสกัดกั้นได้” ซิร์สกี้กล่าว เมื่อถูกถามว่ากองทัพยูเครนมีระบบดังกล่าวหรือไม่ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดตอบว่า “น่าเสียดายที่เรายังไม่มีระบบดังกล่าว แต่เราต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา”
    Like
    Yay
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • River of Life ฟื้นชีวิตสายน้ำมาเลย์

    กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย นอกจากจะมีอาคารปิโตรนาส ทวิน ทาวเวอร์ หรือตึกแฝด ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวแล้ว อีกจุดเช็กอินหนึ่งซึ่งเป็นที่พูดถึง คือ ริเวอร์ ออฟ ไลฟ์ (River of Life) บริเวณสถานีรถไฟฟ้า LRT Masjid Jamek ซึ่งมีมัสยิดเก่าแก่อย่างมัสยิดจาเม็ก ที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เป็นที่บรรจบกันของแม่น้ำสองสาย ได้แก่ แม่น้ำแคลง (Klang River) กับแม่น้ำกอมบัค (Gombak River) ก่อนเข้าสู่รัฐสลังงอร์ ลงสู่ทะเลที่พอร์ตแคลง ท่าเรือน้ำลึกของประเทศ

    โครงการริเวอร์ออฟไลฟ์ ก่อสร้างขึ้นเมื่อปี 2555 โดยมีจุดมุ่งหมายเปลี่ยนพื้นที่สาธารณะในเมือง ให้มีภูมิทัศน์ที่สวยงาม จากเดิมเป็นเพียงแม่น้ำสายเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยน้ำเน่าเสีย ขยะ และสิ่งสกปรกต่างๆ ได้เปลี่ยนไป โดยการนำน้ำไปผ่านการบำบัดให้มีความสะอาด เพียงพอที่จะสัมผัสต่อร่างกายและการพักผ่อนหย่อนใจ พร้อมกับสร้างทางเดินเลียบแม่น้ำ ความยาว 8 กิโลเมตร ใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ ผ่านอาคารและสถานที่น่าสนใจหลายแห่งในเมือง

    แลนด์มาร์คที่สำคัญอยู่ที่เลโบห์ ปาซาร์ เบซาร์ (Leboh Pasar Besar) เชื่อมโยงระหว่างศูนย์กลางการบริหารของรัฐบาลอาณานิคมของอังกฤษที่ฝั่งตะวันตก กับชุมชนการค้าและการทำเหมืองของชาวเอเชียที่ฝั่งตะวันออก เดิมเคยเป็นสะพานไม้ ก่อนแทนที่ด้วยคานเหล็กและสะพานเหล็กหล่อ เป็นสัญลักษณ์ของยุคปฎิวัติอุตสาหกรรมในพื้นที่ ภายหลังได้รื้อลงมาในปี 2537 เพื่อก่อสร้างสะพานคอนกรีต เมื่อยืนจากสะพานจะมองเห็นแม่น้ำสองสายบรรจบกัน โดยมีมัสยิดจาเม็กอยู่เบื้องหลัง

    ลูกเล่นที่นำมาใช้ในโครงการนี้ ในยามกลางวันจะมีการพ่นละอองน้ำบริเวณริมสองฝั่งแม่น้ำและมัสยิดจาเม็ก ราวกับเมืองในหมอก ส่วนเวลากลางคืนจะฉายไฟแอลอีดีโทนสีฟ้า เพื่อให้สวยงามราวกับเมืองในเทพนิยาย นอกจากนี้ การเข้มงวดกฎระเบียบก็เป็นสิ่งสำคัญ จะเห็นได้ว่าไม่มีขยะในแม่น้ำ ตามทางเดินไม่มีเศษบุหรี่ ไม่มีคนไร้บ้านเข้ามาพักอาศัยหลับนอน ตากเสื้อผ้า ตั้งเพิงพักใต้สะพาน จะมีก็แต่เดินเข้ามาปะปนกับผู้คนที่สัญจรไปมาโดยทั่วไปเท่านั้น

    กลับมาที่กรุงเทพมหานคร ที่ผ่านมาสมัย พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เป็นผู้ว่าฯ กทม. มีการพัฒนาแหล่งน้ำให้เป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม ได้แก่ คลองโอ่งอ่าง คลองผดุงกรุงเกษม และคลองช่องนนทรี ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ แต่มาถึงสมัยนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ในปัจจุบันพบว่าแทบไม่ได้รับการสานต่อ ส่วนจุดที่เคยปรับภูมิทัศน์มีสภาพเสื่อมโทรม จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายเมื่อเปรียบเทียบกับเมืองหลวงประเทศเพื่อนบ้านที่พัฒนาก้าวหน้าแบบทิ้งห่างเช่นนี้

    #Newskit
    -----
    ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes ร่วมสนุกได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568 คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    River of Life ฟื้นชีวิตสายน้ำมาเลย์ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย นอกจากจะมีอาคารปิโตรนาส ทวิน ทาวเวอร์ หรือตึกแฝด ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวแล้ว อีกจุดเช็กอินหนึ่งซึ่งเป็นที่พูดถึง คือ ริเวอร์ ออฟ ไลฟ์ (River of Life) บริเวณสถานีรถไฟฟ้า LRT Masjid Jamek ซึ่งมีมัสยิดเก่าแก่อย่างมัสยิดจาเม็ก ที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เป็นที่บรรจบกันของแม่น้ำสองสาย ได้แก่ แม่น้ำแคลง (Klang River) กับแม่น้ำกอมบัค (Gombak River) ก่อนเข้าสู่รัฐสลังงอร์ ลงสู่ทะเลที่พอร์ตแคลง ท่าเรือน้ำลึกของประเทศ โครงการริเวอร์ออฟไลฟ์ ก่อสร้างขึ้นเมื่อปี 2555 โดยมีจุดมุ่งหมายเปลี่ยนพื้นที่สาธารณะในเมือง ให้มีภูมิทัศน์ที่สวยงาม จากเดิมเป็นเพียงแม่น้ำสายเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยน้ำเน่าเสีย ขยะ และสิ่งสกปรกต่างๆ ได้เปลี่ยนไป โดยการนำน้ำไปผ่านการบำบัดให้มีความสะอาด เพียงพอที่จะสัมผัสต่อร่างกายและการพักผ่อนหย่อนใจ พร้อมกับสร้างทางเดินเลียบแม่น้ำ ความยาว 8 กิโลเมตร ใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ ผ่านอาคารและสถานที่น่าสนใจหลายแห่งในเมือง แลนด์มาร์คที่สำคัญอยู่ที่เลโบห์ ปาซาร์ เบซาร์ (Leboh Pasar Besar) เชื่อมโยงระหว่างศูนย์กลางการบริหารของรัฐบาลอาณานิคมของอังกฤษที่ฝั่งตะวันตก กับชุมชนการค้าและการทำเหมืองของชาวเอเชียที่ฝั่งตะวันออก เดิมเคยเป็นสะพานไม้ ก่อนแทนที่ด้วยคานเหล็กและสะพานเหล็กหล่อ เป็นสัญลักษณ์ของยุคปฎิวัติอุตสาหกรรมในพื้นที่ ภายหลังได้รื้อลงมาในปี 2537 เพื่อก่อสร้างสะพานคอนกรีต เมื่อยืนจากสะพานจะมองเห็นแม่น้ำสองสายบรรจบกัน โดยมีมัสยิดจาเม็กอยู่เบื้องหลัง ลูกเล่นที่นำมาใช้ในโครงการนี้ ในยามกลางวันจะมีการพ่นละอองน้ำบริเวณริมสองฝั่งแม่น้ำและมัสยิดจาเม็ก ราวกับเมืองในหมอก ส่วนเวลากลางคืนจะฉายไฟแอลอีดีโทนสีฟ้า เพื่อให้สวยงามราวกับเมืองในเทพนิยาย นอกจากนี้ การเข้มงวดกฎระเบียบก็เป็นสิ่งสำคัญ จะเห็นได้ว่าไม่มีขยะในแม่น้ำ ตามทางเดินไม่มีเศษบุหรี่ ไม่มีคนไร้บ้านเข้ามาพักอาศัยหลับนอน ตากเสื้อผ้า ตั้งเพิงพักใต้สะพาน จะมีก็แต่เดินเข้ามาปะปนกับผู้คนที่สัญจรไปมาโดยทั่วไปเท่านั้น กลับมาที่กรุงเทพมหานคร ที่ผ่านมาสมัย พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เป็นผู้ว่าฯ กทม. มีการพัฒนาแหล่งน้ำให้เป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม ได้แก่ คลองโอ่งอ่าง คลองผดุงกรุงเกษม และคลองช่องนนทรี ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ แต่มาถึงสมัยนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ในปัจจุบันพบว่าแทบไม่ได้รับการสานต่อ ส่วนจุดที่เคยปรับภูมิทัศน์มีสภาพเสื่อมโทรม จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายเมื่อเปรียบเทียบกับเมืองหลวงประเทศเพื่อนบ้านที่พัฒนาก้าวหน้าแบบทิ้งห่างเช่นนี้ #Newskit ----- ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes ร่วมสนุกได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568 คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    Like
    Love
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 575 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ยาลดกรด

    ถ้าคุณใช้ยาลดกรดไม่ว่าจะตามคำสั่งแพทย์หรือฟังจากโฆษณาแล้วเชื่อตามนั้น ลองอ่านให้จบว่าอาการเหล่านี้ได้เกิดกับตัวคุณแล้วหรือยัง

    จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ (1) การใช้สาร proton pump inhibitors ในระยะยาวอย่างเช่น Prilosec, Prevacid และ Nexium (ยาเม็ดสีม่วง) - ยาที่ช่วยลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร - เกี่ยวข้องกับการขาดวิตามินบี 12

    ผู้เข้าร่วมที่กินยาลดกรดมานานกว่าสองปีมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นร้อยละ 65 ของการขาดวิตามินบี 12 ซึ่งอาจนำไปโรค :

    -โรคโลหิตจาง
    -ความเสียหายของเส้นประสาท
    -ปัญหาเกี่ยวกับจิต
    -สมองเสื่อม (Dementia)

    ยิ่งกินในปริมาณที่สูงกว่าก็มีความเสี่ยงที่สูงกว่า ตามที่อธิบายไว้โดยนักวิจัยอาวุโส Dr. Douglas Corley (2) Gastroenterologist ที่ Kaiser Permanente:

    "ยาลดกรดชนิดนี้อาจทำให้เกิดการขาดวิตามินบี 12 เนื่องจากเซลล์ที่สร้างกรดในกระเพาะอาหารยังสร้างโปรตีนที่ช่วยให้วิตามินบี 12 ถูกดูดซึมได้"

    การขาดวิตามินบี 12 จะทำให้สุขภาพของคุณแย่ลงได้อย่างไร

    เมื่อระดับวิตามินบี 12 ของคุณเริ่มลดลง ร่างกายจะส่งสัญญาณบางอย่างเริ่มให้เห็นรวมถึง การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อาทิเช่นการขาดแรงจูงใจหรือความรู้สึกไม่แยแสและถ้าระดับต่ำมาก ๆ ยังสามารถนำไปสู่ความหดหู่ ปัญหาเกี่ยวกับความจำ ความอ่อนแอของกล้ามเนื้อและ – สัญญาณที่เด่นชัดที่สุดคือ- ความเมื่อยล้า

    วิตามินบี 12 เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นวิตามินแห่งพลังงานและร่างกายของคุณต้องการสำหรับกิจกรรมที่สำคัญหลายชนิดรวมทั้งการผลิตพลังงานและ :

    การย่อยอาหารที่เหมาะสม การดูดซึมอาหาร การใช้ธาตุเหล็ก การเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมัน การทำงานของระบบประสาทที่ดี มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเส้นประสาทตามปกติ ช่วยในการควบคุมการสร้างเม็ดเลือดแดง การก่อตัวของเซลล์และอายุการใช้งานที่ยาวนาน

    การผลิตฮอร์โมน เพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง สนับสนุนความเป็นสตรีเพศและการตั้งครรภ์
    สร้างความรู้สึกให้พอใจกับความเป็นอยู่และการควบคุมอารมณ์ การมีสมาธิ ส่งเสริมความจำ เพิ่มความเข้มข้นในด้านสมรรถภาพทางกาย อารมณ์และจิตใจ

    การวิจัยล่าสุดยังชี้ให้เห็นว่าการมีวิตามินบี 12 ต่ำอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักในชายสูงวัย ความเสี่ยงนี้ยังคงอยู่แม้หลังจากคำนึงถึงปัจจัยที่สำคัญอื่น ๆ เช่นการสูบบุหรี่ สถานะของวิตามินดีและปริมาณแคลเซียม medicinenet.com: (3) กล่าวว่า :

    “ผู้ชายที่อยู่ในกลุ่มที่มีระดับ B-12 ต่ำสุดมีโอกาสเกิดการแตกหักของกระดูกมากกว่าร้อยละ 70 ในการศึกษานี้พบว่าความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากการแตกหักของกระดูกสันหลังส่วนเอวซึ่งมีโอกาสเกิดการแตกหักมากขึ้นถึงร้อยละ 120 เมื่อเทียบกับกระดูกส่วนอื่น "

    และถ้าหากขาดวิตามินบี 12 เรื้อรังในระยะยาวก็อาจทำให้เกิดภาวะร้ายแรงอื่น ๆ ได้แก่ :

    -โรคซึมเศร้า
    -ภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์
    -ความอุดมสมบูรณ์ของหญิงและปัญหาการคลอดบุตร
    -โรคหัวใจและมะเร็ง

    รูปแบบตามธรรมชาติของ B12 จะมีอยู่ในสัตว์และไม่จำเป็นต้องเป็นเนื้อ แต่อาจเป็นไข่และนมก็ได้ อาหารที่มี B12 สูงรวมถึง:

    -ไข่อินทรีย์
    -เนื้อวัวและตับวัวที่เลี้ยงดวยหญ้าอินทรีย์
    -ไก่อินทรีย์
    -ปลาแซลมอนอลาสก้าที่จับได้ในป่า
    -นมดิบของสัตว์ที่เลี้ยงแบบอินทรีย์และไม่ผ่านกระบวนการ

    ถ้าคุณมีอาการข้างต้นและไม่บริโภคสัตว์หรือสิ่งที่ได้จากสัตว์ ขอแนะนำให้หาวิตามินบี 12 มารับประทานตามความเหมาะสมของอายุและมวลกายรายการ หมอนอกกะลา

    ยาลดกรด 2

    ตอนที่ 1 ได้พูดถึงสองในสี่ผลกระทบหลักของยาลดกรด:
    คือแบคทีเรียเลว ๆ มากเกินไปและความบกพร่องในการดูดซึมสารอาหาร

    อีก 2 ผลกระทบที่เหลือ

    ลดความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งและโรคอื่น ๆ

    เบื้องแรกในการป้องกันร่างกายของเรา:

    ปาก หลอดอาหารและลำไส้เป็นบ้านของระหว่าง 400-1,000 สายพันธุ์ของเชื้อแบคทีเรีย แต่อย่างไรก็ตาม กระเพาะอาหารที่ดีจะมีการฆ่าเชื้ออยู่เสมอ ทำไมน่ะรึ !! เพราะกรดในกระเพาะอาหารฆ่าเชื้อแบคทีเรีย

    ในความเป็นจริง กรดคือบทบาทที่สำคัญที่สุดที่จะสร้างการขัดขวางสองทางที่ช่วยปกป้องกระเพาะอาหารจากเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรค ลำดับแรกแรก : กรดในกระเพาะอาหารจะป้องกันไม่ให้เชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายซึ่งอาจจะอยู่ในอาหารหรือเครื่องดื่มที่เรากินหรืออากาศที่เราหายใจเข้ามาในลำไส้และในเวลาเดียวกัน กรดในกระเพาะอาหารยังช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียตามปกติจากลำไส้ซึ่งจะย้ายเข้าสู่กระเพาะอาหารและหลอดอาหารซึ่งพวกมันอาจทำให้เกิดปัญหา

    สภาพแวดล้อมของกระเพาะอาหารค่า pH ต่ำ (กรดสูง) เป็นหนึ่งในกลไกการป้องกันที่ไม่เฉพาะเจาะจงที่สำคัญของร่างกาย เมื่อค่าความเป็นกรดของกระเพาะอาหารมีค่าที่ 3 หรือต่ำกว่าถือว่าเป็นปรกติของช่วงท้องว่างหรือ "พักผ่อน" แบคทีเรียจะอยู่ได้ไม่เกินสิบห้านาที แต่ในขณะที่pH เพิ่มขึ้นถึง 5 หรือมากกว่า สายพันธุ์ต่าง ๆ ของแบคทีเรียสามารถหลีกเลี่ยงการกำจัดของกรดและเริ่มที่จะเจริญเติบโต

    แต่น่าเสียดาย มันจะเกิดอะไรขึ้นหากคุณกินยาลดกรด ทั้ง Tagamet และ Zantac จะเพิ่มค่า pHของกระเพาะอาหารจากประมาณ 1-2 ก่อนการรักษาเป็น 5.5-6.5 อย่างมีนัยสำคัญ ตามลำดับ

    Prilosec และ PPIs และอื่น ๆ จะยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ เพียงหนึ่งเม็ดของยาเหล่านี้สามารถลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารได้ถึงร้อยละ90 ถึง 95เพื่อส่วนที่ดีกว่าของวัน การกิน PPIs ในปริมาณที่สูงขึ้นหรือบ่อยมากขึ้น ซึ่งมักจะถูกแนะนำ จะทำให้เกิดภาวะ achlorydia (แทบไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย) ในการศึกษาของผู้ชายที่มีสุขภาพดี10 คนอายุ 22-55 ปี การให้กิน Prilosec 20 หรือ 40 มิลลิกรัมลดระดับกรดในกระเพาะอาหารจนเกือบหมด

    กระเพาะอาหารที่เป็นกรดไม่มากพอเชื้อแบคทีเรียก่อโรคก็อุดมสมบูรณ์ สนุกสนาน เพราะมันมันทั้งมืดทั้งอบอุ่น ทั้งชื้นและเต็มไปด้วยสารอาหาร แบคทีเรียจะไม่ฆ่าเรา – อย่างน้อยก็ไม่ทันที- แต่บางส่วนของพวกมันสามารถ คนที่มีค่าความเป็นกรดด่างในกระเพาะอาหารสูงพอที่จะส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียจะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียร้ายแรงได้อย่างง่ายดาย

    การทบทวนที่ผ่านมาเกี่ยวกับยาลดกรดในกระเพาะอาหารชี้ให้เห็นว่าพวกมันเป็นต้นเหตุจริงของการเพิ่มความไวต่อการติดเชื้อ(PDF) ผู้เขียนพบหลักฐานยืนยันว่า การใช้ยาลดกรดสามารถเพิ่มโอกาสของการติดเชื้อต่อไปนี้:

    Salmonella
    Campylobacter
    อหิวาตกโรค
    Listeria
    Giardia
    C. difficile
    การศึกษาอื่น ๆ พบว่ายาลดกรดยังเพิ่มความเสี่ยงสำหรับ:
    โรคปอดบวม
    วัณโรค
    ไทฟอยด์
    บิด

    ยาลดกรดไม่เพียงแต่เพิ่มความไวต่อการติดเชื้อแต่มันยังไปลดลงความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันของเราในการต่อสู้กับการติดเชื้อเมื่อเราได้รับเชื้อ จากการศึกษาในหลอดทดลองได้แสดงให้เห็นว่า PPIs ทำให้การทำหน้าที่ของเม็ดเลือดขาว nuetrophil ทำงานผิดพลาด ลดการยึดเกาะกับเซลล์ endothelial ลดการฆ่าเชื้อแบคทีเรียของจุลินทรีย์และยับยั้งเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ทำลายอย่าง neutrophil และเพิ่มกรดใน phagolysosome

    ประตูสู่โรคร้ายแรงอื่น ๆ

    อย่างที่เราได้กล่าวถึงในบทความแรกไว้ว่า การลดลงของการหลั่งกรดตามอายุเป็นเรื่องที่มีเอกสารยืนยัน เมื่อเร็ว ๆ นี้ในปี 1996 แพทย์ชาวอังกฤษตั้งข้อสังเกตว่า กระเพาะอาหารเกี่ยวข้องกับการลดลงของกรดตามอายุเนื่องจากการเสียหายของเซลล์ผลิตกรด สภาพนี้เรียกว่าโรคกระเพาะอาหารอักเสบ(atrophic gastritis)

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเนื้อหาต่อไปนี้ กระเพาะอาหารอักเสบ (สภาพที่กรดในกระเพาะอาหารอยู่ในระดับที่ต่ำมาก) มีความเกี่ยวข้องกับความหลากหลายของความผิดปกติร้ายแรงที่ไปไกลเกินกระเพาะอาหารและหลอดอาหาร ซึ่งรวมถึง:

    มะเร็งกระเพาะอาหาร
    โรคภูมิแพ้
    โรคหอบหืด
    อาการซึมเศร้า วิตกกังวล ความผิดปกติของอารมณ์
    โลหิตจาง
    โรคผิวหนังรวมทั้งการเกิดสิว, โรคผิวหนังกลากและลมพิษ
    โรคนิ่วในถุงน้ำดี
    โรคแพ้ภูมิเช่นโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์และโรคเกรฟส์
    อาการลำไส้แปรปรวน (IBS) โรค Crohn (CD), ลำไส้ใหญ่ (UC)
    โรคไวรัสตับอักเสบ
    โรคกระดูกพรุน
    โรคเบาหวานประเภท 1
    และอย่าลืมนะว่ากรดในกระเพาะอาหารต่ำอาจทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนและแสบร้อนกลางอก!

    มะเร็งกระเพาะอาหาร

    โรคกระเพาะอาหารอักเสบเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญสำหรับโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร เชื้อ H. pylori เป็นสาเหตุหลักของโรคนี้ และยาลดกรดก็ยิ่งทำให้อาการเหล่านี้เลวลงและเพิ่มอัตราการติดเชื้อ

    ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่อะไรนักหรอกที่จะสงสัยว่ายาลดกรดเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารในผู้ที่ติดเชื้อ H.pylori ในบทความที่ผ่านมาของ Julie Parsonnet, M.D. of Standford University Medical School เขียนไว้ว่า :
    โดยหลักการแล้ว การรักษาด้วยยาลดกรดในปัจจุบันนี้ อาจเป็นตัวเร่งโรคมะเร็งโดยการแปลงการอักเสบเพียงเล็กน้อยของกระเพาะอาหารเป็นทำลายขั้นรุนแรงในกระบวนการก่อมะเร็ง

    แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น

    ประมาณ 90% ของลำไส้เล็กส่วนต้น (ลำไส้) และ 65% ของแผลในกระเพาะอาหารเกิดจากเชื้อ H. pylori
    ในการทดลองฉีดวัคซีนในมนุษย์ การติดเชื้อไม่สามารถเกิดขึ้นได้เว้นแต่ค่า pH ของกระเพาะอาหารสูงขึ้น(ลดความเป็นกรดลง) โดยการใช้สารต้านฮิสตามีนซึ่งไปลดกรดในกระเพาะอาหารและเพิ่มค่าความเป็นด่าง ยาลดกรดในกระเพาะอาหารจะไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ H. pylori และตามมาด้วยการพัฒนาไปเป็นแผลในลำไส้เล็กส่วนต้นหรือกระเพาะอาหาร

    อาการลำไส้แปรปรวน โรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ

    สารอะดีโนซีน(Adenosine)เป็นตัวกลางหลักของการอักเสบในระบบทางเดินอาหารและสารอะดีโนซีนในระดับสูงจะไปกดและแก้ไขปัญหาการอักเสบเรื้อรังของทั้งโรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ การใช้ PPIs อย่างต่อเนื่องได้รับการยืนยันว่าไปลดความเข้มข้นของสารอะดีโนซีน จึงส่งผลในการเพิ่มขึ้นของการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าการใช้งานยาลดกรดในระยะยาว อาจพัฒนาความผิดปกติของลำไส้ให้อักเสบอย่างรุนแรงได้

    ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวลและความผิดปกติทางอารมณ์

    ในขณะที่ยังไม่มีงานวิจัยที่ระบุ (เท่าที่ผมรู้) การเชื่อมโยงของยาลดกรดกับความผิดปกติทางอารมณ์หรือภาวะซึมเศร้า ความเข้าใจพื้นฐานในความสัมพันธ์ระหว่างการย่อยโปรตีนและสุขภาพจิตแสดงให้เห็นว่าอาจจะมีการเชื่อมกัน ในระหว่างการย่อยอาหาร การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารจะปล่อยน้ำย่อยซึ่งเรียกว่า เพพซิน (pepsin) น้ำย่อยนี้เป็นเอนไซม์ที่มีความรับผิดชอบต่อการสลายพันธะโปรตีนไปเป็นกรดอะมิโนและเปปไทด์ กรดอะมิโนที่เรียกว่า "จำเป็น" ก็เพราะเราไม่สามารถผลิตได้เองในร่างกายของเรา เราจะต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น

    หากขาดน้ำย่อยโปรตีน (Pepsin) โปรตีนที่เรากินเข้าไปจะไม่ถูกทำลายไปเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นและส่วนประกอบเปปไทด์ และเนื่องจากกรดอะมิโนจำเป็นเหล่านี้เช่น phenylalanine และ tryptophan มีบทบาทสำคัญในด้านสุขภาพจิตและพฤติกรรม กรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำอาจเป็นตัวชักนำต่อการพัฒนาความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้าหรือความผิดปกติทางอารมณ์

    โรคแพ้ภูมิ

    กรดในกระเพาะอาหารต่ำและต่อมาก็มีแบคทีเรียมากเกินไปทำให้เกิดลำไส้ที่ซึมผ่านได้ง่ายแล้วปล่อยให้โปรตีนที่ไม่ได้รับการย่อยเข้าสู่กระแสเลือด ภาวะนี้มักจะถูกเรียกว่า "กลุ่มอาการของโรคลำไส้รั่ว" Salzman และเพื่อนได้แสดงให้เห็นว่า
    การซึมผ่านได้ง่ายของเซลล์ลำไส้ ทั้งtranscellular และ paracellular เพิ่มขึ้นอย่างมากในผู้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบเมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ควบคุม

    เมื่อโปรตีนที่ไม่ผ่านการย่อยไปเข้าอยู่ในกระแสเลือดพวกมันจะถูกถือว่าเป็น "ผู้รุกราน" โดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นคล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายระดมการป้องกันของมัน (อาทิ T เซลล์ Bเซลล์และแอนติบอดี ) เพื่อที่จะกำจัดการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย

    ประเภทของการตอบสนองจากภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนที่เรากินนี้ก่อให้เกิดการแพ้อาหาร กลไกที่คล้ายกันนี้ที่ยังไม่เป็นที่เข้าใจในคนที่มีลำไส้รั่ว การพัฒนาโรคแพ้ภูมิรุนแรงมากขึ้นจนกลายไปเป็นอาทิ โรคลูปัส (พุ่มพวง เอสแอลอี), โรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์, โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (เบาหวานแห้ง)โรคเกรฟส์และความผิดปกติของลำไส้อักเสบเช่น Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ

    ความสัมพันธ์ระหว่างโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ (RA) และกรดในกระเพาะอาหารยังมีรายงานไว้ในงานเขียนและงานวิจัยมากมาย การตรวจสอบปริมาณกรดในกระเพาะอาหารของผู้ป่วยโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ RA 45 คน ของนักวิจัยชาวสวีเดนพบว่า 16 คน(36 เปอร์เซ็นต์) แทบจะไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย คนที่ได้รับความทรมานจาก RA ที่ยาวที่สุดมีกรดในกระเพาะอาหารน้อยที่สุด กลุ่มนักวิจัยอิตาลียังพบอีกว่าคนที่มี RA มีอัตราของโรคกระเพาะอาหารอักเสบที่สูงมากด้วยค่าความเป็นกรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลปกติ

    โรคหอบหืด

    ในรอบสิบปีที่ผ่านมา มากกว่าสี่ร้อยบทความทางวิทยาศาสตร์ให้กังวลเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างโรคหอบหืดและความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร หนึ่งในคุณสมบัติที่พบบ่อยที่สุดของโรคหอบหืดนอกเหนือไปจากการหายใจก็คือเป็นกรดไหลย้อน เป็นที่คาดการณ์กันว่าร้อยละ 80 ของผู้ที่มีโรคหอบหืดยังมีโรคกรดไหลย้อนพ่วงท้ายอีกต่างหาก เมื่อเทียบกับคนที่มีสุขภาพดี และมีการระคายเคืองจากกรดเกินมากขึ้นในเยื่อบุหลอดอาหารของพวกเขา

    เมื่อกรดเข้าไปในหลอดลม จะทำให้ความสามารถของปอดในการหายใจเข้าออกลดลงเป็นสิบเท่า แพทย์ที่มีความตระหนักถึงสิ่งนี้ก็เริ่มจ่ายยาลดกรดให้กับผู้ป่วยโรคหอบหืดที่ทุกข์ทรมานจากโรคกรดไหลย้อน ในขณะที่ยาลดกรดนี้อาจช่วยบรรเทาอาการชั่วคราว แต่มันไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุของความผิดปกติที่กรดไหลย้อนเข้าไปในหลอดอาหารในคราวแรก

    ในความเป็นจริง มีเหตุผลที่จะเชื่อได้ว่ายาลดกรดทำให้ทุกปัญหาพื้นฐานแย่ลง (กรดในกระเพาะอาหารน้อยเกินไปและเพิ่มแบคทีเรีย) ดังนั้นทำให้อาการยาวนานและรุนแรง

    สรุป

    อย่างที่เราได้อ่านจากบทความก่อนหน้านี้ในตอนที่ 1 แสบร้อนกลางอกและโรคกรดไหลย้อนมันเกิดจากการน้อยเกินไป - และไม่มากพอ – ของกรดในกระเพาะอาหาร แต่น่าเสียดายที่กรดในกระเพาะอาหารไม่เพียงพอนี้ยังไปเกี่ยวข้องกับการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียมากจนเกินไป การดูดซึมสารอาหารด้อยคุณภาพลง การลดลงของความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร, แผลในกระเพาะอาหาร,ลำไส้แปรปรวน และโรคทางเดินอาหารอื่น ๆ ภาวะซึมเศร้าและความผิดปกติทางอารมณ์และโรคแพ้ภูมิตัวเองและโรคหอบหืด

    การบรรเทาอาการชั่วคราวของยาลดกรดเหล่านี้ให้ความคุ้มค่าต่อความเสี่ยงหรือไม่ นั่นคือสิ่งเดียวที่คุณสามารถตัดสินใจได้เอง

    Cr. Santi Manadee
    #ยาลดกรด ถ้าคุณใช้ยาลดกรดไม่ว่าจะตามคำสั่งแพทย์หรือฟังจากโฆษณาแล้วเชื่อตามนั้น ลองอ่านให้จบว่าอาการเหล่านี้ได้เกิดกับตัวคุณแล้วหรือยัง จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ (1) การใช้สาร proton pump inhibitors ในระยะยาวอย่างเช่น Prilosec, Prevacid และ Nexium (ยาเม็ดสีม่วง) - ยาที่ช่วยลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร - เกี่ยวข้องกับการขาดวิตามินบี 12 ผู้เข้าร่วมที่กินยาลดกรดมานานกว่าสองปีมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นร้อยละ 65 ของการขาดวิตามินบี 12 ซึ่งอาจนำไปโรค : -โรคโลหิตจาง -ความเสียหายของเส้นประสาท -ปัญหาเกี่ยวกับจิต -สมองเสื่อม (Dementia) ยิ่งกินในปริมาณที่สูงกว่าก็มีความเสี่ยงที่สูงกว่า ตามที่อธิบายไว้โดยนักวิจัยอาวุโส Dr. Douglas Corley (2) Gastroenterologist ที่ Kaiser Permanente: "ยาลดกรดชนิดนี้อาจทำให้เกิดการขาดวิตามินบี 12 เนื่องจากเซลล์ที่สร้างกรดในกระเพาะอาหารยังสร้างโปรตีนที่ช่วยให้วิตามินบี 12 ถูกดูดซึมได้" การขาดวิตามินบี 12 จะทำให้สุขภาพของคุณแย่ลงได้อย่างไร เมื่อระดับวิตามินบี 12 ของคุณเริ่มลดลง ร่างกายจะส่งสัญญาณบางอย่างเริ่มให้เห็นรวมถึง การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อาทิเช่นการขาดแรงจูงใจหรือความรู้สึกไม่แยแสและถ้าระดับต่ำมาก ๆ ยังสามารถนำไปสู่ความหดหู่ ปัญหาเกี่ยวกับความจำ ความอ่อนแอของกล้ามเนื้อและ – สัญญาณที่เด่นชัดที่สุดคือ- ความเมื่อยล้า วิตามินบี 12 เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นวิตามินแห่งพลังงานและร่างกายของคุณต้องการสำหรับกิจกรรมที่สำคัญหลายชนิดรวมทั้งการผลิตพลังงานและ : การย่อยอาหารที่เหมาะสม การดูดซึมอาหาร การใช้ธาตุเหล็ก การเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมัน การทำงานของระบบประสาทที่ดี มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเส้นประสาทตามปกติ ช่วยในการควบคุมการสร้างเม็ดเลือดแดง การก่อตัวของเซลล์และอายุการใช้งานที่ยาวนาน การผลิตฮอร์โมน เพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง สนับสนุนความเป็นสตรีเพศและการตั้งครรภ์ สร้างความรู้สึกให้พอใจกับความเป็นอยู่และการควบคุมอารมณ์ การมีสมาธิ ส่งเสริมความจำ เพิ่มความเข้มข้นในด้านสมรรถภาพทางกาย อารมณ์และจิตใจ การวิจัยล่าสุดยังชี้ให้เห็นว่าการมีวิตามินบี 12 ต่ำอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักในชายสูงวัย ความเสี่ยงนี้ยังคงอยู่แม้หลังจากคำนึงถึงปัจจัยที่สำคัญอื่น ๆ เช่นการสูบบุหรี่ สถานะของวิตามินดีและปริมาณแคลเซียม medicinenet.com: (3) กล่าวว่า : “ผู้ชายที่อยู่ในกลุ่มที่มีระดับ B-12 ต่ำสุดมีโอกาสเกิดการแตกหักของกระดูกมากกว่าร้อยละ 70 ในการศึกษานี้พบว่าความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากการแตกหักของกระดูกสันหลังส่วนเอวซึ่งมีโอกาสเกิดการแตกหักมากขึ้นถึงร้อยละ 120 เมื่อเทียบกับกระดูกส่วนอื่น " และถ้าหากขาดวิตามินบี 12 เรื้อรังในระยะยาวก็อาจทำให้เกิดภาวะร้ายแรงอื่น ๆ ได้แก่ : -โรคซึมเศร้า -ภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์ -ความอุดมสมบูรณ์ของหญิงและปัญหาการคลอดบุตร -โรคหัวใจและมะเร็ง รูปแบบตามธรรมชาติของ B12 จะมีอยู่ในสัตว์และไม่จำเป็นต้องเป็นเนื้อ แต่อาจเป็นไข่และนมก็ได้ อาหารที่มี B12 สูงรวมถึง: -ไข่อินทรีย์ -เนื้อวัวและตับวัวที่เลี้ยงดวยหญ้าอินทรีย์ -ไก่อินทรีย์ -ปลาแซลมอนอลาสก้าที่จับได้ในป่า -นมดิบของสัตว์ที่เลี้ยงแบบอินทรีย์และไม่ผ่านกระบวนการ ถ้าคุณมีอาการข้างต้นและไม่บริโภคสัตว์หรือสิ่งที่ได้จากสัตว์ ขอแนะนำให้หาวิตามินบี 12 มารับประทานตามความเหมาะสมของอายุและมวลกายรายการ หมอนอกกะลา ยาลดกรด 2 ตอนที่ 1 ได้พูดถึงสองในสี่ผลกระทบหลักของยาลดกรด: คือแบคทีเรียเลว ๆ มากเกินไปและความบกพร่องในการดูดซึมสารอาหาร อีก 2 ผลกระทบที่เหลือ ลดความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งและโรคอื่น ๆ เบื้องแรกในการป้องกันร่างกายของเรา: ปาก หลอดอาหารและลำไส้เป็นบ้านของระหว่าง 400-1,000 สายพันธุ์ของเชื้อแบคทีเรีย แต่อย่างไรก็ตาม กระเพาะอาหารที่ดีจะมีการฆ่าเชื้ออยู่เสมอ ทำไมน่ะรึ !! เพราะกรดในกระเพาะอาหารฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ในความเป็นจริง กรดคือบทบาทที่สำคัญที่สุดที่จะสร้างการขัดขวางสองทางที่ช่วยปกป้องกระเพาะอาหารจากเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรค ลำดับแรกแรก : กรดในกระเพาะอาหารจะป้องกันไม่ให้เชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายซึ่งอาจจะอยู่ในอาหารหรือเครื่องดื่มที่เรากินหรืออากาศที่เราหายใจเข้ามาในลำไส้และในเวลาเดียวกัน กรดในกระเพาะอาหารยังช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียตามปกติจากลำไส้ซึ่งจะย้ายเข้าสู่กระเพาะอาหารและหลอดอาหารซึ่งพวกมันอาจทำให้เกิดปัญหา สภาพแวดล้อมของกระเพาะอาหารค่า pH ต่ำ (กรดสูง) เป็นหนึ่งในกลไกการป้องกันที่ไม่เฉพาะเจาะจงที่สำคัญของร่างกาย เมื่อค่าความเป็นกรดของกระเพาะอาหารมีค่าที่ 3 หรือต่ำกว่าถือว่าเป็นปรกติของช่วงท้องว่างหรือ "พักผ่อน" แบคทีเรียจะอยู่ได้ไม่เกินสิบห้านาที แต่ในขณะที่pH เพิ่มขึ้นถึง 5 หรือมากกว่า สายพันธุ์ต่าง ๆ ของแบคทีเรียสามารถหลีกเลี่ยงการกำจัดของกรดและเริ่มที่จะเจริญเติบโต แต่น่าเสียดาย มันจะเกิดอะไรขึ้นหากคุณกินยาลดกรด ทั้ง Tagamet และ Zantac จะเพิ่มค่า pHของกระเพาะอาหารจากประมาณ 1-2 ก่อนการรักษาเป็น 5.5-6.5 อย่างมีนัยสำคัญ ตามลำดับ Prilosec และ PPIs และอื่น ๆ จะยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ เพียงหนึ่งเม็ดของยาเหล่านี้สามารถลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารได้ถึงร้อยละ90 ถึง 95เพื่อส่วนที่ดีกว่าของวัน การกิน PPIs ในปริมาณที่สูงขึ้นหรือบ่อยมากขึ้น ซึ่งมักจะถูกแนะนำ จะทำให้เกิดภาวะ achlorydia (แทบไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย) ในการศึกษาของผู้ชายที่มีสุขภาพดี10 คนอายุ 22-55 ปี การให้กิน Prilosec 20 หรือ 40 มิลลิกรัมลดระดับกรดในกระเพาะอาหารจนเกือบหมด กระเพาะอาหารที่เป็นกรดไม่มากพอเชื้อแบคทีเรียก่อโรคก็อุดมสมบูรณ์ สนุกสนาน เพราะมันมันทั้งมืดทั้งอบอุ่น ทั้งชื้นและเต็มไปด้วยสารอาหาร แบคทีเรียจะไม่ฆ่าเรา – อย่างน้อยก็ไม่ทันที- แต่บางส่วนของพวกมันสามารถ คนที่มีค่าความเป็นกรดด่างในกระเพาะอาหารสูงพอที่จะส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียจะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียร้ายแรงได้อย่างง่ายดาย การทบทวนที่ผ่านมาเกี่ยวกับยาลดกรดในกระเพาะอาหารชี้ให้เห็นว่าพวกมันเป็นต้นเหตุจริงของการเพิ่มความไวต่อการติดเชื้อ(PDF) ผู้เขียนพบหลักฐานยืนยันว่า การใช้ยาลดกรดสามารถเพิ่มโอกาสของการติดเชื้อต่อไปนี้: Salmonella Campylobacter อหิวาตกโรค Listeria Giardia C. difficile การศึกษาอื่น ๆ พบว่ายาลดกรดยังเพิ่มความเสี่ยงสำหรับ: โรคปอดบวม วัณโรค ไทฟอยด์ บิด ยาลดกรดไม่เพียงแต่เพิ่มความไวต่อการติดเชื้อแต่มันยังไปลดลงความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันของเราในการต่อสู้กับการติดเชื้อเมื่อเราได้รับเชื้อ จากการศึกษาในหลอดทดลองได้แสดงให้เห็นว่า PPIs ทำให้การทำหน้าที่ของเม็ดเลือดขาว nuetrophil ทำงานผิดพลาด ลดการยึดเกาะกับเซลล์ endothelial ลดการฆ่าเชื้อแบคทีเรียของจุลินทรีย์และยับยั้งเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ทำลายอย่าง neutrophil และเพิ่มกรดใน phagolysosome ประตูสู่โรคร้ายแรงอื่น ๆ อย่างที่เราได้กล่าวถึงในบทความแรกไว้ว่า การลดลงของการหลั่งกรดตามอายุเป็นเรื่องที่มีเอกสารยืนยัน เมื่อเร็ว ๆ นี้ในปี 1996 แพทย์ชาวอังกฤษตั้งข้อสังเกตว่า กระเพาะอาหารเกี่ยวข้องกับการลดลงของกรดตามอายุเนื่องจากการเสียหายของเซลล์ผลิตกรด สภาพนี้เรียกว่าโรคกระเพาะอาหารอักเสบ(atrophic gastritis) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเนื้อหาต่อไปนี้ กระเพาะอาหารอักเสบ (สภาพที่กรดในกระเพาะอาหารอยู่ในระดับที่ต่ำมาก) มีความเกี่ยวข้องกับความหลากหลายของความผิดปกติร้ายแรงที่ไปไกลเกินกระเพาะอาหารและหลอดอาหาร ซึ่งรวมถึง: มะเร็งกระเพาะอาหาร โรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด อาการซึมเศร้า วิตกกังวล ความผิดปกติของอารมณ์ โลหิตจาง โรคผิวหนังรวมทั้งการเกิดสิว, โรคผิวหนังกลากและลมพิษ โรคนิ่วในถุงน้ำดี โรคแพ้ภูมิเช่นโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์และโรคเกรฟส์ อาการลำไส้แปรปรวน (IBS) โรค Crohn (CD), ลำไส้ใหญ่ (UC) โรคไวรัสตับอักเสบ โรคกระดูกพรุน โรคเบาหวานประเภท 1 และอย่าลืมนะว่ากรดในกระเพาะอาหารต่ำอาจทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนและแสบร้อนกลางอก! มะเร็งกระเพาะอาหาร โรคกระเพาะอาหารอักเสบเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญสำหรับโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร เชื้อ H. pylori เป็นสาเหตุหลักของโรคนี้ และยาลดกรดก็ยิ่งทำให้อาการเหล่านี้เลวลงและเพิ่มอัตราการติดเชื้อ ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่อะไรนักหรอกที่จะสงสัยว่ายาลดกรดเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารในผู้ที่ติดเชื้อ H.pylori ในบทความที่ผ่านมาของ Julie Parsonnet, M.D. of Standford University Medical School เขียนไว้ว่า : โดยหลักการแล้ว การรักษาด้วยยาลดกรดในปัจจุบันนี้ อาจเป็นตัวเร่งโรคมะเร็งโดยการแปลงการอักเสบเพียงเล็กน้อยของกระเพาะอาหารเป็นทำลายขั้นรุนแรงในกระบวนการก่อมะเร็ง แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น ประมาณ 90% ของลำไส้เล็กส่วนต้น (ลำไส้) และ 65% ของแผลในกระเพาะอาหารเกิดจากเชื้อ H. pylori ในการทดลองฉีดวัคซีนในมนุษย์ การติดเชื้อไม่สามารถเกิดขึ้นได้เว้นแต่ค่า pH ของกระเพาะอาหารสูงขึ้น(ลดความเป็นกรดลง) โดยการใช้สารต้านฮิสตามีนซึ่งไปลดกรดในกระเพาะอาหารและเพิ่มค่าความเป็นด่าง ยาลดกรดในกระเพาะอาหารจะไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ H. pylori และตามมาด้วยการพัฒนาไปเป็นแผลในลำไส้เล็กส่วนต้นหรือกระเพาะอาหาร อาการลำไส้แปรปรวน โรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ สารอะดีโนซีน(Adenosine)เป็นตัวกลางหลักของการอักเสบในระบบทางเดินอาหารและสารอะดีโนซีนในระดับสูงจะไปกดและแก้ไขปัญหาการอักเสบเรื้อรังของทั้งโรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ การใช้ PPIs อย่างต่อเนื่องได้รับการยืนยันว่าไปลดความเข้มข้นของสารอะดีโนซีน จึงส่งผลในการเพิ่มขึ้นของการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าการใช้งานยาลดกรดในระยะยาว อาจพัฒนาความผิดปกติของลำไส้ให้อักเสบอย่างรุนแรงได้ ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวลและความผิดปกติทางอารมณ์ ในขณะที่ยังไม่มีงานวิจัยที่ระบุ (เท่าที่ผมรู้) การเชื่อมโยงของยาลดกรดกับความผิดปกติทางอารมณ์หรือภาวะซึมเศร้า ความเข้าใจพื้นฐานในความสัมพันธ์ระหว่างการย่อยโปรตีนและสุขภาพจิตแสดงให้เห็นว่าอาจจะมีการเชื่อมกัน ในระหว่างการย่อยอาหาร การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารจะปล่อยน้ำย่อยซึ่งเรียกว่า เพพซิน (pepsin) น้ำย่อยนี้เป็นเอนไซม์ที่มีความรับผิดชอบต่อการสลายพันธะโปรตีนไปเป็นกรดอะมิโนและเปปไทด์ กรดอะมิโนที่เรียกว่า "จำเป็น" ก็เพราะเราไม่สามารถผลิตได้เองในร่างกายของเรา เราจะต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น หากขาดน้ำย่อยโปรตีน (Pepsin) โปรตีนที่เรากินเข้าไปจะไม่ถูกทำลายไปเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นและส่วนประกอบเปปไทด์ และเนื่องจากกรดอะมิโนจำเป็นเหล่านี้เช่น phenylalanine และ tryptophan มีบทบาทสำคัญในด้านสุขภาพจิตและพฤติกรรม กรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำอาจเป็นตัวชักนำต่อการพัฒนาความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้าหรือความผิดปกติทางอารมณ์ โรคแพ้ภูมิ กรดในกระเพาะอาหารต่ำและต่อมาก็มีแบคทีเรียมากเกินไปทำให้เกิดลำไส้ที่ซึมผ่านได้ง่ายแล้วปล่อยให้โปรตีนที่ไม่ได้รับการย่อยเข้าสู่กระแสเลือด ภาวะนี้มักจะถูกเรียกว่า "กลุ่มอาการของโรคลำไส้รั่ว" Salzman และเพื่อนได้แสดงให้เห็นว่า การซึมผ่านได้ง่ายของเซลล์ลำไส้ ทั้งtranscellular และ paracellular เพิ่มขึ้นอย่างมากในผู้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบเมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ควบคุม เมื่อโปรตีนที่ไม่ผ่านการย่อยไปเข้าอยู่ในกระแสเลือดพวกมันจะถูกถือว่าเป็น "ผู้รุกราน" โดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นคล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายระดมการป้องกันของมัน (อาทิ T เซลล์ Bเซลล์และแอนติบอดี ) เพื่อที่จะกำจัดการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ประเภทของการตอบสนองจากภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนที่เรากินนี้ก่อให้เกิดการแพ้อาหาร กลไกที่คล้ายกันนี้ที่ยังไม่เป็นที่เข้าใจในคนที่มีลำไส้รั่ว การพัฒนาโรคแพ้ภูมิรุนแรงมากขึ้นจนกลายไปเป็นอาทิ โรคลูปัส (พุ่มพวง เอสแอลอี), โรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์, โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (เบาหวานแห้ง)โรคเกรฟส์และความผิดปกติของลำไส้อักเสบเช่น Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ ความสัมพันธ์ระหว่างโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ (RA) และกรดในกระเพาะอาหารยังมีรายงานไว้ในงานเขียนและงานวิจัยมากมาย การตรวจสอบปริมาณกรดในกระเพาะอาหารของผู้ป่วยโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ RA 45 คน ของนักวิจัยชาวสวีเดนพบว่า 16 คน(36 เปอร์เซ็นต์) แทบจะไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย คนที่ได้รับความทรมานจาก RA ที่ยาวที่สุดมีกรดในกระเพาะอาหารน้อยที่สุด กลุ่มนักวิจัยอิตาลียังพบอีกว่าคนที่มี RA มีอัตราของโรคกระเพาะอาหารอักเสบที่สูงมากด้วยค่าความเป็นกรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลปกติ โรคหอบหืด ในรอบสิบปีที่ผ่านมา มากกว่าสี่ร้อยบทความทางวิทยาศาสตร์ให้กังวลเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างโรคหอบหืดและความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร หนึ่งในคุณสมบัติที่พบบ่อยที่สุดของโรคหอบหืดนอกเหนือไปจากการหายใจก็คือเป็นกรดไหลย้อน เป็นที่คาดการณ์กันว่าร้อยละ 80 ของผู้ที่มีโรคหอบหืดยังมีโรคกรดไหลย้อนพ่วงท้ายอีกต่างหาก เมื่อเทียบกับคนที่มีสุขภาพดี และมีการระคายเคืองจากกรดเกินมากขึ้นในเยื่อบุหลอดอาหารของพวกเขา เมื่อกรดเข้าไปในหลอดลม จะทำให้ความสามารถของปอดในการหายใจเข้าออกลดลงเป็นสิบเท่า แพทย์ที่มีความตระหนักถึงสิ่งนี้ก็เริ่มจ่ายยาลดกรดให้กับผู้ป่วยโรคหอบหืดที่ทุกข์ทรมานจากโรคกรดไหลย้อน ในขณะที่ยาลดกรดนี้อาจช่วยบรรเทาอาการชั่วคราว แต่มันไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุของความผิดปกติที่กรดไหลย้อนเข้าไปในหลอดอาหารในคราวแรก ในความเป็นจริง มีเหตุผลที่จะเชื่อได้ว่ายาลดกรดทำให้ทุกปัญหาพื้นฐานแย่ลง (กรดในกระเพาะอาหารน้อยเกินไปและเพิ่มแบคทีเรีย) ดังนั้นทำให้อาการยาวนานและรุนแรง สรุป อย่างที่เราได้อ่านจากบทความก่อนหน้านี้ในตอนที่ 1 แสบร้อนกลางอกและโรคกรดไหลย้อนมันเกิดจากการน้อยเกินไป - และไม่มากพอ – ของกรดในกระเพาะอาหาร แต่น่าเสียดายที่กรดในกระเพาะอาหารไม่เพียงพอนี้ยังไปเกี่ยวข้องกับการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียมากจนเกินไป การดูดซึมสารอาหารด้อยคุณภาพลง การลดลงของความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร, แผลในกระเพาะอาหาร,ลำไส้แปรปรวน และโรคทางเดินอาหารอื่น ๆ ภาวะซึมเศร้าและความผิดปกติทางอารมณ์และโรคแพ้ภูมิตัวเองและโรคหอบหืด การบรรเทาอาการชั่วคราวของยาลดกรดเหล่านี้ให้ความคุ้มค่าต่อความเสี่ยงหรือไม่ นั่นคือสิ่งเดียวที่คุณสามารถตัดสินใจได้เอง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 933 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิดีโอการสอบสวนนักโทษชาวเกาหลีเหนือที่ถูกจับกุมตัวได้ในทิศทางภูมิภาคเคิร์ส ตามคำกล่าวอ้างของเซเลนสกี

    น่าเสียดายที่นักโทษ "พูดน้อยไปหน่อย" ทำให้ไม่สามารถฟังสำเนียงการพูดภาษาเกาหลีเหนือได้อย่างชัดเจน
    วิดีโอการสอบสวนนักโทษชาวเกาหลีเหนือที่ถูกจับกุมตัวได้ในทิศทางภูมิภาคเคิร์ส ตามคำกล่าวอ้างของเซเลนสกี น่าเสียดายที่นักโทษ "พูดน้อยไปหน่อย" ทำให้ไม่สามารถฟังสำเนียงการพูดภาษาเกาหลีเหนือได้อย่างชัดเจน
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 407 มุมมอง 27 0 รีวิว
  • วิดีโอที่บันทึกโดยกลุ่มคนอาสาสมัครที่พยายามเข้าไปช่วยเหลือเพื่อนบ้านในลอสแองเจลิสให้ได้มากที่สุด

    น่าเสียดายที่ไฟป่าไม่อาจดับลงได้ เนื่องจากที่ผ่้านมาทางการโดยทีมบริหารจากพรรคเดโมแครตไม่ได้ให้ความสำคัญกับการทำอ่างเก็บน้ำมากนัก
    วิดีโอที่บันทึกโดยกลุ่มคนอาสาสมัครที่พยายามเข้าไปช่วยเหลือเพื่อนบ้านในลอสแองเจลิสให้ได้มากที่สุด น่าเสียดายที่ไฟป่าไม่อาจดับลงได้ เนื่องจากที่ผ่้านมาทางการโดยทีมบริหารจากพรรคเดโมแครตไม่ได้ให้ความสำคัญกับการทำอ่างเก็บน้ำมากนัก
    Sad
    Like
    Love
    11
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 659 มุมมอง 34 1 รีวิว
  • #ขออภัยกับทุยทุกตัวครับ
    ด้วยความที่พี่คิงส์และโอม มีความสงสัย
    จากการที่ได้อ่านส่วนประกอบ ปรากฏว่า ที่ว่าคอลาเจนนั้น
    ระบุไว้ข้างกล่องว่า มี 1% ก็เลยไปส่งตรวจที่แล็ปมาครับ
    เพราะเชื่อว่า ของจากเกาหลี ของแทร่ ต้องดีมีคุณภาพ
    และมีคอลลาเจนจากปลา มากกว่า 1% น่าจะพิมพ์ผิด
    เพราะของเมกา เค้ามาตรฐานส่วนใหญ่ที่ 10%
    และที่เหลือ อีก 99% ที่ว่ามาจากผลไม้ นานาชนิด
    พี่คิงส์ก็เชื่อว่า น่าจะมีผลไม้มากกว่าที่ระบุ
    ของราคาค่อนข้างแรง ต้องมีอะไรที่สุดยอด
    จะได้มาบอกข่าวดีกับทุยทุกตัว ให้ได้เฮกันครับ
    แต่น่าเสียดายอย่างยิ่ง
    ผลแลประบุว่า คอลลาเจนจากปลาที่ว่า 1%
    ขณะนี้ แล็ปยังหาให้ไม่ได้เลย ไม่เจออะ
    พอไปตรวจเรื่อง ผลไม้ ซึ่งโดยปกติ จะสามารถแยกชนิดได้
    เราก็ลุ้นว่า น่าจะมีมากกว่า 100 ชนิดแน่ๆ สมเรทที่ตั้งไว้
    ก็ปรากฏว่า ที่ส่งมา ไม่สามารถระบุได้เลย ว่าเป็นผลไม้อะไร
    แต่ที่ตรวจได้ มันคือน้ำตาล
    ทางโอมเอง ก็ไม่นิ่งเฉย เห็นว่าจะไป อย.
    ว่ามันเกิดอะไรผิดพลาดหรือเปล่ากับการนำเข้า
    บางที ผลไม้ อาจจะระเหยไประหว่างเดินทาง
    ส่วนคอลาเจนจากปลาที่ว่า มีตั้ง 1% นั้น บางที
    ปลาอาจจะกระโดดออกจากบรรจุภัณฑ์ในกลางทะเลก็เป็นได้
    เดี๋ยวพี่คิงส์และโอม จะร่วมกัน หาคำตอบมาให้ทุยทุกตัวนะครับ
    สู้ๆครับ
    จากใจพี่
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #ขออภัยกับทุยทุกตัวครับ ด้วยความที่พี่คิงส์และโอม มีความสงสัย จากการที่ได้อ่านส่วนประกอบ ปรากฏว่า ที่ว่าคอลาเจนนั้น ระบุไว้ข้างกล่องว่า มี 1% ก็เลยไปส่งตรวจที่แล็ปมาครับ เพราะเชื่อว่า ของจากเกาหลี ของแทร่ ต้องดีมีคุณภาพ และมีคอลลาเจนจากปลา มากกว่า 1% น่าจะพิมพ์ผิด เพราะของเมกา เค้ามาตรฐานส่วนใหญ่ที่ 10% และที่เหลือ อีก 99% ที่ว่ามาจากผลไม้ นานาชนิด พี่คิงส์ก็เชื่อว่า น่าจะมีผลไม้มากกว่าที่ระบุ ของราคาค่อนข้างแรง ต้องมีอะไรที่สุดยอด จะได้มาบอกข่าวดีกับทุยทุกตัว ให้ได้เฮกันครับ แต่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ผลแลประบุว่า คอลลาเจนจากปลาที่ว่า 1% ขณะนี้ แล็ปยังหาให้ไม่ได้เลย ไม่เจออะ พอไปตรวจเรื่อง ผลไม้ ซึ่งโดยปกติ จะสามารถแยกชนิดได้ เราก็ลุ้นว่า น่าจะมีมากกว่า 100 ชนิดแน่ๆ สมเรทที่ตั้งไว้ ก็ปรากฏว่า ที่ส่งมา ไม่สามารถระบุได้เลย ว่าเป็นผลไม้อะไร แต่ที่ตรวจได้ มันคือน้ำตาล ทางโอมเอง ก็ไม่นิ่งเฉย เห็นว่าจะไป อย. ว่ามันเกิดอะไรผิดพลาดหรือเปล่ากับการนำเข้า บางที ผลไม้ อาจจะระเหยไประหว่างเดินทาง ส่วนคอลาเจนจากปลาที่ว่า มีตั้ง 1% นั้น บางที ปลาอาจจะกระโดดออกจากบรรจุภัณฑ์ในกลางทะเลก็เป็นได้ เดี๋ยวพี่คิงส์และโอม จะร่วมกัน หาคำตอบมาให้ทุยทุกตัวนะครับ สู้ๆครับ จากใจพี่ #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 367 มุมมอง 0 รีวิว
  • เตือนข่าวสด อย่าตกเป็นเครื่องมือตะวันตก
    ปั่นกระแส“ว้าแดงรุกล้ำ ปลุกไทยสู้รบ”
    .
    ข่าวการรุกล้ำดินแดนไทยของทหารว้าเกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์ความขัดแย้งในภาคเหนือของรัฐฉานกำลังเริ่มจะคลี่คลาย มีสัญญาณบวกเกิดขึ้นหลายสัญญาณ หลังจากที่จีนออกหน้าเป็นตัวกลางให้มีการเจรจาสันติภาพกันระหว่างกองทัพพม่า กับกองทัพโกก้าง และกองทัพตะอาง ที่สู้รบกันดุเดือดมาตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน
    .
    การมีการสู้รบทางภาคเหนือของรัฐฉาน เชื่อกันว่ามีอเมริกาและประเทศตะวันตกอยู่เบื้องหลัง เพราะพื้นที่สู้รบอยู่บนเส้นทางคมนาคมหลักของระเบียงเศรษฐกิจจีน พม่า ที่จีนตั้งใจจะใช้เป็นทางออกทะเลสู่มหาสมุทรอินเดีย
    .
    กองทัพว้า เป็นกองทัพขนาดใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อกองทัพโกก้าง และกองทัพตะอาง เรียกว่าเป็นพี่ใหญ่ของกองทัพทั้งสองที่กำลังรบอยู่กับกองทัพพม่า
    .
    กองทัพว้า มีความใกล้ชิดกับทั้งจีนและกองทัพพม่า ในกระบวนการเจรจาสันติภาพในภาคเหนือของรัฐฉานที่มีจีนเป็นตัวกลาง กองทัพว้ามีบทบาทร่วมกดดันให้กองทัพโกก้าง และกองทัพตะอาง ยุติการสู้รบกับกองทัพพม่า โดยใช้วิธีตัดความช่วยเหลือทุกด้านที่กองทัพว้าเคยให้กับกองทัพทั้งสองตามคำร้องขอของจีน
    .
    เรื่องกองกำลังว้าแดงแถวแม่ฮ่องสอนรุกเข้ามาที่ไทย เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่าตกใจ เป็นเรื่องที่เราเคยล้ำเส้นเขา เขาล้ำเส้นเรา ว้าแดงคือคนพื้นที่ที่อยู่ตรงนั้นมานานแล้ว อาวุธยุทโธปกรณ์ก็ใช้เทคโนโลยีจีน มีรถถัง มีขีปนาวุธ เพราะจีนหนุนว้าแดงเพื่อให้ปราบชนกลุ่มน้อยที่ไปเข้ายืนข้างทางตะวันตก แล้วหนังสือพิมพ์ ข่าวสด ก็ตกเป็นเครื่องมือของทางตะวันตกอย่างเต็มตัว
    .
    ข่าวสด ครับ ฟังทางนี้นะครับ หรือกล่าวอย่างง่ายๆ ว่า วิทยุเอเชียเสรี เป็นสื่อโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) ของรัฐบาลสหรัฐฯ นี่เอง แท้จริงแล้วไม่ใช่สื่อเสรี แต่เป็นสื่อทำตามธงของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ นั่นเอง
    .
    ในภาพใหญ่ เหตุการณ์นี้เป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์ที่สหรัฐฯ และชาติตะวันตกใช้เพื่อดำเนินการกดดันและปิดล้อมการแผ่อิทธิพลของจีนอย่างแน่นอน โดยใช้ประเทศไทยเราเป็นหมากเบี้ย ปั่นให้เราทะเลาะกับว้านั่นเอง น่าเสียดายที่หนังสือพิมพ์ ข่าวสด ตกเป็นเครื่องมือของตะวันตกโดยไม่รู้ตัว
    เตือนข่าวสด อย่าตกเป็นเครื่องมือตะวันตก ปั่นกระแส“ว้าแดงรุกล้ำ ปลุกไทยสู้รบ” . ข่าวการรุกล้ำดินแดนไทยของทหารว้าเกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์ความขัดแย้งในภาคเหนือของรัฐฉานกำลังเริ่มจะคลี่คลาย มีสัญญาณบวกเกิดขึ้นหลายสัญญาณ หลังจากที่จีนออกหน้าเป็นตัวกลางให้มีการเจรจาสันติภาพกันระหว่างกองทัพพม่า กับกองทัพโกก้าง และกองทัพตะอาง ที่สู้รบกันดุเดือดมาตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน . การมีการสู้รบทางภาคเหนือของรัฐฉาน เชื่อกันว่ามีอเมริกาและประเทศตะวันตกอยู่เบื้องหลัง เพราะพื้นที่สู้รบอยู่บนเส้นทางคมนาคมหลักของระเบียงเศรษฐกิจจีน พม่า ที่จีนตั้งใจจะใช้เป็นทางออกทะเลสู่มหาสมุทรอินเดีย . กองทัพว้า เป็นกองทัพขนาดใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อกองทัพโกก้าง และกองทัพตะอาง เรียกว่าเป็นพี่ใหญ่ของกองทัพทั้งสองที่กำลังรบอยู่กับกองทัพพม่า . กองทัพว้า มีความใกล้ชิดกับทั้งจีนและกองทัพพม่า ในกระบวนการเจรจาสันติภาพในภาคเหนือของรัฐฉานที่มีจีนเป็นตัวกลาง กองทัพว้ามีบทบาทร่วมกดดันให้กองทัพโกก้าง และกองทัพตะอาง ยุติการสู้รบกับกองทัพพม่า โดยใช้วิธีตัดความช่วยเหลือทุกด้านที่กองทัพว้าเคยให้กับกองทัพทั้งสองตามคำร้องขอของจีน . เรื่องกองกำลังว้าแดงแถวแม่ฮ่องสอนรุกเข้ามาที่ไทย เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่าตกใจ เป็นเรื่องที่เราเคยล้ำเส้นเขา เขาล้ำเส้นเรา ว้าแดงคือคนพื้นที่ที่อยู่ตรงนั้นมานานแล้ว อาวุธยุทโธปกรณ์ก็ใช้เทคโนโลยีจีน มีรถถัง มีขีปนาวุธ เพราะจีนหนุนว้าแดงเพื่อให้ปราบชนกลุ่มน้อยที่ไปเข้ายืนข้างทางตะวันตก แล้วหนังสือพิมพ์ ข่าวสด ก็ตกเป็นเครื่องมือของทางตะวันตกอย่างเต็มตัว . ข่าวสด ครับ ฟังทางนี้นะครับ หรือกล่าวอย่างง่ายๆ ว่า วิทยุเอเชียเสรี เป็นสื่อโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) ของรัฐบาลสหรัฐฯ นี่เอง แท้จริงแล้วไม่ใช่สื่อเสรี แต่เป็นสื่อทำตามธงของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ นั่นเอง . ในภาพใหญ่ เหตุการณ์นี้เป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์ที่สหรัฐฯ และชาติตะวันตกใช้เพื่อดำเนินการกดดันและปิดล้อมการแผ่อิทธิพลของจีนอย่างแน่นอน โดยใช้ประเทศไทยเราเป็นหมากเบี้ย ปั่นให้เราทะเลาะกับว้านั่นเอง น่าเสียดายที่หนังสือพิมพ์ ข่าวสด ตกเป็นเครื่องมือของตะวันตกโดยไม่รู้ตัว
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 436 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฟันธงยุทธศาสตร์ Made in China 2025
    จุดเริ่มต้นทำให้จีนแซงหน้าสหรัฐฯแน่นอน
    .
    20 กว่าปีที่ผ่านมา จีนทุ่มเงินไปหลายล้านล้านหยวน เพื่อสร้างเทคโนโลยีของตัวเอง และลดการพึ่งพาต่างชาติ เพราะจีนชูนโยบาย Made in China 2025 ทำให้จีนไม่ต้องไปหวั่นไหวกับคำขู่ที่จะคว่ำบาตรและขึ้นภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ยังคงหลงตัวเองว่าประเทศต่างๆ ต้องมาพึ่งตัวเอง
    .
    แต่ความจริงก็คือ ทุกวันนี้สหรัฐฯ พึ่งจีนมากกว่าที่จีนพึ่งสหรัฐฯ นี่คือสัจจะวาจาที่ผมให้ก่อนสิ้นปีนี้ การที่จีนมีระบบเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มของตัวเอง ทำให้การปิดล้อมทางเทคโนโลยีของสหรัฐฯ แทบจะไม่ประสบผลสำเร็จเลย ซ้ำยังเป็นแรงผลักดันให้จีนต้องเร่งสร้างเทคโนโลยี และห่วงโซ่อุปทานของตัวเองให้เร็วยิ่งขึ้น
    .
    ภายใน 14 ปีที่ผ่านมานี้ อุตสาหกรรมที่จีนสร้างผลิตผลทางอุตสาหกรรมกลายเพิ่มขึ้นเป็น 34% ของโลก จาก 19% ของโลก
    เพราะในนโยบาย Made in China จีนได้กำหนด 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งขณะนี้มีความก้าวหน้าไปทุกด้าน คือ
    (1) เทคโนโลยีสารสนเทศ อีกสองปีข้างหน้า จีนจะผลิตเซมิคอนดักเตอร์ได้เองเกือบ 30% ของโลก
    (2) เครื่องจักรชั้นสูงและหุ่นยนต์ในภาคอุตสาหกรรม ทุกประเทศรวมกันในโลกสู้จีนไม่ได้เลย
    (3) การบินและอากาศยาน จีนผลิตเครื่องบิน C-919 คู่แข่งโบอิ้ง และแอร์บัส และบริษัท DJI (Dà Jiāng Chuàngxīn)ของจีนผลิตโดรนรายใหญ่ที่สุดของโลกโดย
    (4) วิศวกรรมทางการทะเลและการต่อเรือ ครองสัดส่วนมากกว่า 70% ของตลาดโลก
    (5) การขนส่งทางราง รถไฟความเร็วสูงในจีนใช้เทคโนโลยีและใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศเกือบทั้งหมด และจีนยังได้ส่งออกเทคโนโลยีรถไฟไปยังต่างประเทศอีกด้วย น่าเสียดายรถไฟความเร็วสูงของบ้านเรายังไม่ไปไหนเลยแม้แต่นิดเดียว
    (6) รถยนต์พลังงานใหม่ BYDเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของโลก และจีนกำลังแซงหน้าสหรัฐฯ เยอรมนี ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ขึ้นเป็นผู้ส่งออกรถยนต์พลังงานใหม่รายใหญ่ที่สุดของโลก
    (7) อุปกรณ์ผลิตไฟฟ้า จีนครองตลาดอุปกรณ์โซลาร์เซลล์มากกว่า 80% ของทั่วโลกที่มีมูลค่ามากกว่า 130,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่แล้ว
    (8) เครื่องมือเกษตรกรรม แม้จีนยังคงต้องพึ่งพาการนำเข้าอุปกรณ์ล้ำสมัย แต่ได้ผสมผสานเครื่องจักรพลังไฟฟ้าใช้พิกัดดาวเทียมทำการเกษตรแบบอัจฉริยะ
    (9) วัสดุใหม่ จีนได้ดุลการค้าในวัสดุทางเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาร์บอน ไฟเบอร์ ซึ่งเป็นวัสดุที่จะมาแทนโลหะ
    (10) อุปกรณ์การแพทย์และเทคโนโลยีเภสัชกรรม จีนมีความก้าวหน้าในการวิจัยวัคซีน ยารักษาโรค รวมถึงในเทคโนโลยีการผ่าตัดรักษาพยาบาลโดยใช้ระบบ AI (ปัญญาประดิษฐ์) และระบบ 5G เข้ามาช่วยในงานการแพทย์
    .
    หลังจากยุทธศาสตร์ Made in China 2025 แล้ว จีนยังมีเป้าหมายที่จะก้าวไปสู่ Made in China ซึ่งหมายความว่า สินค้าที่ใช้เทคโนโลยีของจีน ออกแบบโดยคนจีน แต่ว่าอาจจะไปผลิตที่ประเทศอื่นที่มีต้นทุนถูกกว่า เหมือนกับสินค้าแบรนด์ตะวันตกที่มาผลิตในประเทศต่างๆ นั่นเอง
    .
    สรุป ถ้านายโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 60- 100%จริงๆ ตามที่ขู่ไว้ ต้นทุนการผลิตในสหรัฐฯจะสูงขนาดไหน เพราะว่าวัตถุดิบ อุปกรณ์การผลิตหลายอย่างที่สหรัฐฯต้องใช้นั้น ต้องนำเข้าจากจีนที่นับวันมีแต่มากขึ้นๆ หรือถ้าสหรัฐฯ จะแยกตขั้วตัดขาดกับจีน คำถามมีอยู่ว่าแล้วโรงงานสหรัฐฯ จะเอาวัตถุดิบจากไหนล่ะ ไม่มีให้
    .
    นี่ยังไม่พูดถึงค่าแรงและต้นทุนต่างๆ ในสหรัฐฯ ที่แพงกว่าประเทศจีน ทักษะคนงานในสหรัฐฯบางสาขา เทียบไม่ได้กับความสามารถของคนจีน เช่นนี้แล้ว Made in China 2025 จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ในที่สุดทำให้จีนภายในไม่กี่ปีจากนี้ไป จะต้องแซงหน้าสหรัฐฯอย่างค่อนข้างแน่นอนที่สุด อันนี้ผมฟันธงได้เลย
    ฟันธงยุทธศาสตร์ Made in China 2025 จุดเริ่มต้นทำให้จีนแซงหน้าสหรัฐฯแน่นอน . 20 กว่าปีที่ผ่านมา จีนทุ่มเงินไปหลายล้านล้านหยวน เพื่อสร้างเทคโนโลยีของตัวเอง และลดการพึ่งพาต่างชาติ เพราะจีนชูนโยบาย Made in China 2025 ทำให้จีนไม่ต้องไปหวั่นไหวกับคำขู่ที่จะคว่ำบาตรและขึ้นภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ยังคงหลงตัวเองว่าประเทศต่างๆ ต้องมาพึ่งตัวเอง . แต่ความจริงก็คือ ทุกวันนี้สหรัฐฯ พึ่งจีนมากกว่าที่จีนพึ่งสหรัฐฯ นี่คือสัจจะวาจาที่ผมให้ก่อนสิ้นปีนี้ การที่จีนมีระบบเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มของตัวเอง ทำให้การปิดล้อมทางเทคโนโลยีของสหรัฐฯ แทบจะไม่ประสบผลสำเร็จเลย ซ้ำยังเป็นแรงผลักดันให้จีนต้องเร่งสร้างเทคโนโลยี และห่วงโซ่อุปทานของตัวเองให้เร็วยิ่งขึ้น . ภายใน 14 ปีที่ผ่านมานี้ อุตสาหกรรมที่จีนสร้างผลิตผลทางอุตสาหกรรมกลายเพิ่มขึ้นเป็น 34% ของโลก จาก 19% ของโลก เพราะในนโยบาย Made in China จีนได้กำหนด 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งขณะนี้มีความก้าวหน้าไปทุกด้าน คือ (1) เทคโนโลยีสารสนเทศ อีกสองปีข้างหน้า จีนจะผลิตเซมิคอนดักเตอร์ได้เองเกือบ 30% ของโลก (2) เครื่องจักรชั้นสูงและหุ่นยนต์ในภาคอุตสาหกรรม ทุกประเทศรวมกันในโลกสู้จีนไม่ได้เลย (3) การบินและอากาศยาน จีนผลิตเครื่องบิน C-919 คู่แข่งโบอิ้ง และแอร์บัส และบริษัท DJI (Dà Jiāng Chuàngxīn)ของจีนผลิตโดรนรายใหญ่ที่สุดของโลกโดย (4) วิศวกรรมทางการทะเลและการต่อเรือ ครองสัดส่วนมากกว่า 70% ของตลาดโลก (5) การขนส่งทางราง รถไฟความเร็วสูงในจีนใช้เทคโนโลยีและใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศเกือบทั้งหมด และจีนยังได้ส่งออกเทคโนโลยีรถไฟไปยังต่างประเทศอีกด้วย น่าเสียดายรถไฟความเร็วสูงของบ้านเรายังไม่ไปไหนเลยแม้แต่นิดเดียว (6) รถยนต์พลังงานใหม่ BYDเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของโลก และจีนกำลังแซงหน้าสหรัฐฯ เยอรมนี ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ขึ้นเป็นผู้ส่งออกรถยนต์พลังงานใหม่รายใหญ่ที่สุดของโลก (7) อุปกรณ์ผลิตไฟฟ้า จีนครองตลาดอุปกรณ์โซลาร์เซลล์มากกว่า 80% ของทั่วโลกที่มีมูลค่ามากกว่า 130,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่แล้ว (8) เครื่องมือเกษตรกรรม แม้จีนยังคงต้องพึ่งพาการนำเข้าอุปกรณ์ล้ำสมัย แต่ได้ผสมผสานเครื่องจักรพลังไฟฟ้าใช้พิกัดดาวเทียมทำการเกษตรแบบอัจฉริยะ (9) วัสดุใหม่ จีนได้ดุลการค้าในวัสดุทางเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาร์บอน ไฟเบอร์ ซึ่งเป็นวัสดุที่จะมาแทนโลหะ (10) อุปกรณ์การแพทย์และเทคโนโลยีเภสัชกรรม จีนมีความก้าวหน้าในการวิจัยวัคซีน ยารักษาโรค รวมถึงในเทคโนโลยีการผ่าตัดรักษาพยาบาลโดยใช้ระบบ AI (ปัญญาประดิษฐ์) และระบบ 5G เข้ามาช่วยในงานการแพทย์ . หลังจากยุทธศาสตร์ Made in China 2025 แล้ว จีนยังมีเป้าหมายที่จะก้าวไปสู่ Made in China ซึ่งหมายความว่า สินค้าที่ใช้เทคโนโลยีของจีน ออกแบบโดยคนจีน แต่ว่าอาจจะไปผลิตที่ประเทศอื่นที่มีต้นทุนถูกกว่า เหมือนกับสินค้าแบรนด์ตะวันตกที่มาผลิตในประเทศต่างๆ นั่นเอง . สรุป ถ้านายโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 60- 100%จริงๆ ตามที่ขู่ไว้ ต้นทุนการผลิตในสหรัฐฯจะสูงขนาดไหน เพราะว่าวัตถุดิบ อุปกรณ์การผลิตหลายอย่างที่สหรัฐฯต้องใช้นั้น ต้องนำเข้าจากจีนที่นับวันมีแต่มากขึ้นๆ หรือถ้าสหรัฐฯ จะแยกตขั้วตัดขาดกับจีน คำถามมีอยู่ว่าแล้วโรงงานสหรัฐฯ จะเอาวัตถุดิบจากไหนล่ะ ไม่มีให้ . นี่ยังไม่พูดถึงค่าแรงและต้นทุนต่างๆ ในสหรัฐฯ ที่แพงกว่าประเทศจีน ทักษะคนงานในสหรัฐฯบางสาขา เทียบไม่ได้กับความสามารถของคนจีน เช่นนี้แล้ว Made in China 2025 จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ในที่สุดทำให้จีนภายในไม่กี่ปีจากนี้ไป จะต้องแซงหน้าสหรัฐฯอย่างค่อนข้างแน่นอนที่สุด อันนี้ผมฟันธงได้เลย
    Like
    4
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 592 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถึงคราว Deep State
    "มาริยานา เบซุกลายา" (Maryana Bezuglaya) นักการเมืองยูเครน อดีตหัวหน้าคณะอนุกรรมการด้านการควบคุมพลเรือนตามระบอบประชาธิปไตยประจำรัฐสภายูเครน (ภายหลังถูกปลดออกจากตำแหน่ง เพราะวิจารณ์กองทัพมากเกินไป) กล่าวว่า ทีมงานของ Deep State สื่อออนไลน์ชื่อดังของยูเครน ถูกระดมพลเข้าสู่แนวหน้า

    บางรายงานระบุว่าพวกเขาหลบหนีไปโรมาเนียได้ทันเวลาก่อนถูกจับตัว

    ที่ผ่านมาช่องสื่อสาร Deep State ทำหน้าที่เหมือน Rybar ของฝ่ายรัสเซีย มีการเผยแพร่แผนที่ปฏิบัติการทางทหารที่ทันต่อเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลา ​​และยังเผยแพร่รายงานปัญหาต่างๆทีเกิดขึ้นในกองทัพยูเครนอยู่เสมอ

    มีข่าวลือมาตลอดว่า Syrsky ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของยูเครนไม่ค่อยพอใจการนำเสนอข่าวแง่ลบของ Deep State สักเท่าไหร่ (ยูเครนมีแต่พ่ายแพ้และถอยทัพ ใครก็คงรายงานด้านบวกไม่ได้!)

    ตามที่ เบซุกลายา กล่าว ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพยูเครนพยายามหาเหตุผลเพื่อจับกุมทีมงาน Deep State และส่งเข้าสู่แนวหน้า

    ทางด้านทีมงานของ Deep State ออกมายืนยันว่า พวกเขาตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากกองบัญชาการกองทัพยูเครนอย่างหนัก ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้:

    “เราทำงานและทุ่มเทอย่างเต็มที่เสมอเพื่อชัยชนะและช่วยเหลือผู้ต่อสู้และประเทศของเรา

    นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราจึงมีชื่อเสียงและเป็นที่ไว้วางใจมากที่สุดในสังคม และที่สำคัญที่สุดคือในกองทัพ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราจึงมีแผนที่สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่มีชื่อเสียงที่สุดในยูเครนและทั่วโลก

    แต่โชคไม่ดีที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดไม่ใช่ทุกคนจะชอบความจริง และนั่นเป็นเรื่องน่าเสียดาย

    เราขอขอบคุณทุกคนอย่างไม่มีที่สิ้นสุดสำหรับการสนับสนุนของพวกท่าน ผู้คนจำนวนมากเขียนและโทรหาเรา การสนับสนุนนี้ยอดเยี่ยมมาก และมันทำให้เรามีกำลังใจและแรงบันดาลใจ! พวกคุณทุกคนสุดยอดมาก! เราทำงานเพื่อชัยชนะ และเราจะไม่ยอมแพ้!

    คำโกหกจะทำลายเราทุกคน!”

    ถึงคราว Deep State "มาริยานา เบซุกลายา" (Maryana Bezuglaya) นักการเมืองยูเครน อดีตหัวหน้าคณะอนุกรรมการด้านการควบคุมพลเรือนตามระบอบประชาธิปไตยประจำรัฐสภายูเครน (ภายหลังถูกปลดออกจากตำแหน่ง เพราะวิจารณ์กองทัพมากเกินไป) กล่าวว่า ทีมงานของ Deep State สื่อออนไลน์ชื่อดังของยูเครน ถูกระดมพลเข้าสู่แนวหน้า บางรายงานระบุว่าพวกเขาหลบหนีไปโรมาเนียได้ทันเวลาก่อนถูกจับตัว ที่ผ่านมาช่องสื่อสาร Deep State ทำหน้าที่เหมือน Rybar ของฝ่ายรัสเซีย มีการเผยแพร่แผนที่ปฏิบัติการทางทหารที่ทันต่อเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลา ​​และยังเผยแพร่รายงานปัญหาต่างๆทีเกิดขึ้นในกองทัพยูเครนอยู่เสมอ มีข่าวลือมาตลอดว่า Syrsky ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของยูเครนไม่ค่อยพอใจการนำเสนอข่าวแง่ลบของ Deep State สักเท่าไหร่ (ยูเครนมีแต่พ่ายแพ้และถอยทัพ ใครก็คงรายงานด้านบวกไม่ได้!) ตามที่ เบซุกลายา กล่าว ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพยูเครนพยายามหาเหตุผลเพื่อจับกุมทีมงาน Deep State และส่งเข้าสู่แนวหน้า ทางด้านทีมงานของ Deep State ออกมายืนยันว่า พวกเขาตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากกองบัญชาการกองทัพยูเครนอย่างหนัก ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้: “เราทำงานและทุ่มเทอย่างเต็มที่เสมอเพื่อชัยชนะและช่วยเหลือผู้ต่อสู้และประเทศของเรา นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราจึงมีชื่อเสียงและเป็นที่ไว้วางใจมากที่สุดในสังคม และที่สำคัญที่สุดคือในกองทัพ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราจึงมีแผนที่สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่มีชื่อเสียงที่สุดในยูเครนและทั่วโลก แต่โชคไม่ดีที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดไม่ใช่ทุกคนจะชอบความจริง และนั่นเป็นเรื่องน่าเสียดาย เราขอขอบคุณทุกคนอย่างไม่มีที่สิ้นสุดสำหรับการสนับสนุนของพวกท่าน ผู้คนจำนวนมากเขียนและโทรหาเรา การสนับสนุนนี้ยอดเยี่ยมมาก และมันทำให้เรามีกำลังใจและแรงบันดาลใจ! พวกคุณทุกคนสุดยอดมาก! เราทำงานเพื่อชัยชนะ และเราจะไม่ยอมแพ้! คำโกหกจะทำลายเราทุกคน!”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 389 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เพื่อไทยปัดตั้งโอ๊ค
    บอกว่าไทยไม่ใช่เมืองหนาว ไม่เหมาะปั้นน้ำเป็นตัว
    แต่จริงๆก็น่าเสียดาย เรื่่องน้ำแข็ง
    โอ๊คอย่างเทพ หาใครเปรียบมิได้
    เอา เอา ไม่ตั้งก็ไม่ต้อง
    หรือเพิ่งมาเปลี่ยนใจกันทีหลังไม่รู้นะ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #เพื่อไทยปัดตั้งโอ๊ค บอกว่าไทยไม่ใช่เมืองหนาว ไม่เหมาะปั้นน้ำเป็นตัว แต่จริงๆก็น่าเสียดาย เรื่่องน้ำแข็ง โอ๊คอย่างเทพ หาใครเปรียบมิได้ เอา เอา ไม่ตั้งก็ไม่ต้อง หรือเพิ่งมาเปลี่ยนใจกันทีหลังไม่รู้นะ #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 251 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ไอซ์ รักชนก" แขวะแรง "เดียร์ ขัตติยา" เข้าใจ "นายกฯ อิ๊งค์" เป็นพิเศษ เพราะอาศัยบารมีบุพการีเหมือนกัน เผยประชาชนอยากเห็นแถลงผลงาน ไม่ได้หวังให้มาฝึกงาน หรือฝากงานรัฐมนตรี ที่คุยใน ครม.ก็ได้ แนะหากเวลาจำกัดจนแถลงรายละเอียดไม่ครบ ให้มาตอบกระทู้ในสภา พิสูจน์ว่าเป็นนายกฯ ตัวจริง

    วันที่ (13 ธ.ค.67) น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "รักชนก ศรีนอก - Rukchanok Srinork" ระบุว่า...ต้องถามก่อนว่าตกลงเป็น “แถลงนโยบาย” หรือ “สรุปผลงาน” เพราะสิ่งที่ประชาชนคาดหวังกับการแถลงสรุปผลงานวันนี้ คือ “ผลงาน” ทั้งนโยบายที่หาเสียงไว้กับประชาชนตอนเลือกตั้งและการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น ไม่ได้หวังจะเห็นนายกฯ มา “ฝึกงาน” และ “ฝากงาน” ให้รัฐมนตรีไปศึกษาและทำเรื่องต่างๆ

    ถ้าจะมอบหมายงานกัน ไม่ต้องเสียเวลา ไม่ต้องเสียงบประมาณ จัดแจงสถานที่ หอบสังขารกันมาถึงตรงนี้ คุยในที่ประชุม ครม. เอาก็คงได้ และไม่อยากให้ลืมว่า รัฐบาลของพรรคเพื่อไทยชุดนี้ รวมถึงรัฐมนตรีกว่าครึ่งอยู่ในตำแหน่งมา 1 ปี 4 เดือนแล้ว ไม่ใช่ 90 วันค่ะ

    น่าเสียดายที่มันกลายเป็นการ “เล่าสิ่งที่กะว่าจะทำปีหน้า” ซึ่งผิดฝาผิดตัวแบบนี้ ทั้งที่ข้างตัวนายกฯ ก็มีผู้มากประสบการณ์หลายคนคอยอนุบาลให้ แต่เพราะอะไรกัน เพราะรัฐบาลไม่มีผลงานหรือความคืบหน้าในการดำเนินนโยบายที่หาเสียงเอาไว้หรือไม่มีปัญญาหาวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น เช่น เรื่องรถนักเรียนไฟไหม้ นายกใช้เป็นคลิปเปิดงาน สรุปว่ามาตรการต่างๆ คืบหน้าไปถึงไหน ได้แก้ทั้งระบบหรือยัง? หรือว่าแค่มีรูปไปหน้างานก็พอแล้ว

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/politics/detail/9670000119742

    #MGROnline #ไอซ์รักชนก #เดียร์ขัตติยา #นายกฯ #อิ๊งค์
    "ไอซ์ รักชนก" แขวะแรง "เดียร์ ขัตติยา" เข้าใจ "นายกฯ อิ๊งค์" เป็นพิเศษ เพราะอาศัยบารมีบุพการีเหมือนกัน เผยประชาชนอยากเห็นแถลงผลงาน ไม่ได้หวังให้มาฝึกงาน หรือฝากงานรัฐมนตรี ที่คุยใน ครม.ก็ได้ แนะหากเวลาจำกัดจนแถลงรายละเอียดไม่ครบ ให้มาตอบกระทู้ในสภา พิสูจน์ว่าเป็นนายกฯ ตัวจริง • วันที่ (13 ธ.ค.67) น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "รักชนก ศรีนอก - Rukchanok Srinork" ระบุว่า...ต้องถามก่อนว่าตกลงเป็น “แถลงนโยบาย” หรือ “สรุปผลงาน” เพราะสิ่งที่ประชาชนคาดหวังกับการแถลงสรุปผลงานวันนี้ คือ “ผลงาน” ทั้งนโยบายที่หาเสียงไว้กับประชาชนตอนเลือกตั้งและการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น ไม่ได้หวังจะเห็นนายกฯ มา “ฝึกงาน” และ “ฝากงาน” ให้รัฐมนตรีไปศึกษาและทำเรื่องต่างๆ • ถ้าจะมอบหมายงานกัน ไม่ต้องเสียเวลา ไม่ต้องเสียงบประมาณ จัดแจงสถานที่ หอบสังขารกันมาถึงตรงนี้ คุยในที่ประชุม ครม. เอาก็คงได้ และไม่อยากให้ลืมว่า รัฐบาลของพรรคเพื่อไทยชุดนี้ รวมถึงรัฐมนตรีกว่าครึ่งอยู่ในตำแหน่งมา 1 ปี 4 เดือนแล้ว ไม่ใช่ 90 วันค่ะ • น่าเสียดายที่มันกลายเป็นการ “เล่าสิ่งที่กะว่าจะทำปีหน้า” ซึ่งผิดฝาผิดตัวแบบนี้ ทั้งที่ข้างตัวนายกฯ ก็มีผู้มากประสบการณ์หลายคนคอยอนุบาลให้ แต่เพราะอะไรกัน เพราะรัฐบาลไม่มีผลงานหรือความคืบหน้าในการดำเนินนโยบายที่หาเสียงเอาไว้หรือไม่มีปัญญาหาวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น เช่น เรื่องรถนักเรียนไฟไหม้ นายกใช้เป็นคลิปเปิดงาน สรุปว่ามาตรการต่างๆ คืบหน้าไปถึงไหน ได้แก้ทั้งระบบหรือยัง? หรือว่าแค่มีรูปไปหน้างานก็พอแล้ว • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/politics/detail/9670000119742 • #MGROnline #ไอซ์รักชนก #เดียร์ขัตติยา #นายกฯ #อิ๊งค์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 436 มุมมอง 0 รีวิว
  • ท่านทั้งหลายปฏิบัติธรรมมาตอนนี้เกิน ๓ วันแล้ว แต่ว่าหลายต่อหลายท่านกำลังใจยังฟุ้งซ่านเป็นปกติ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ใจไปต่อต้านแนวทางปฏิบัติที่ตนเองไม่คุ้นเคย พูดง่าย ๆ ว่าไม่สามารถที่จะปรับตัวให้เข้ากับกรรมฐานแบบใหม่ได้ และโดยเฉพาะความรู้สึกต่อต้านที่ว่า ไม่ใช่แบบที่ครูบาอาจารย์ของเราสอนมา..!ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายใฝ่รู้ใฝ่เรียนเสียอย่างเดียว ไม่ว่ากรรมฐานแนวไหนท่านก็จะรับได้ เพราะว่าไม่มีกรรมฐานสายโน้น ไม่มีกรรมฐานสายนี้ เนื่องเพราะว่ากรรมฐานทุกรูปแบบ มาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้น เพียงแต่ว่าครูบาอาจารย์ท่านถนัดแบบไหน ก็เอาแบบนั้นมาสอน แล้วคนที่ชอบก็ติดตามไปปฏิบัติ จนกระทั่งกลายเป็นกรรมฐานสายโน้นสายนี้ขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์สอนอยู่พระองค์เดียว..!หรือแม้กระทั่งบุคคลที่น่าจะเป็นรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่ไปจัดการกับวัด ๆ หนึ่ง ซึ่งได้รับบริจาคร่างกายของผู้ตายมาเพื่อให้ฝึกกรรมฐาน โดยที่ผู้ใหญ่ระดับนั้นไปฟันธงว่า "การใช้ซากศพฝึกกรรมฐานไม่มีผล" ถ้าแบบนี้ควรที่จะหาคนอื่นมาดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแทน เนื่องเพราะว่าไม่ได้ศึกษาอะไรมาเลย..!อย่าลืมว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงการพิจารณาซากศพ ๙ แบบด้วยกัน ถ้าสงสัยข้องใจสามารถไปดูได้ในมหาสติปัฏฐานสูตร ทีฆนิกาย พระสุตตันตปิฎก นวสีวถิกาปัพพะ ในเมื่อเราไม่เข้าใจแล้วอยู่ในฐานะผู้มีอำนาจในแผ่นดิน ไปกล่าวในลักษณะแบบนั้น บรรดาลูกน้องที่โง่กว่าหรือโง่พอกับเจ้านาย ก็อาจจะรีบสนองด้วยการไปเล่นงานพระเสียอีก..!ถ้าหากว่าลักษณะแบบนั้น จะทำให้พระพุทธศาสนาของเราโดนจำกัดแนวทางในการปฏิบัติไป ทั้ง ๆ ที่การกำหนดอสุภกรรมฐาน เป็นกรรมฐานสำคัญที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้พวกเราพิจารณาเพื่อตัดร่างกายของตนเอง และร่างกายของคนอื่น พูดง่าย ๆ ว่าเมื่อเห็นความจริงว่าร่างกายเมื่อตายลงแล้วมีสภาพน่าเกลียดน่าชังแบบนี้ ก็จะได้สติ ถอนความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของตนเองออกมา แล้วเมื่อถอนความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของตนเองออกไปได้ ก็สามารถถอนความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของคนอื่นได้ส่วนบรรดาผู้เข้าอบรมพัฒนาศักยภาพของพระวิปัสสนาจารย์ ส่วนหนึ่งนอกจากจะต่อต้านการปฏิบัติ ไม่น้อมใจตามไปแล้ว ยังทำตนเหมือนกับคนมีเวลาว่างมาก แทนที่ทุกเวลาจะอยู่กับการปฏิบัติธรรม เพราะว่ามีเวลาแค่ ๑๕ วันเท่านั้น แต่กลับทำตัวตามสบาย หลายท่านกระผม/อาตมภาพบรรยายจบแล้ว ยังมาไม่ถึงห้องกรรมฐานเลย แล้วท่านทั้งหลายคิดว่าบุคคลแบบนี้ ถ้าไปเป็นพระวิปัสสนาจารย์สอนผู้อื่นต่อ จะเอาดีได้หรือไม่ ?พูดง่าย ๆ ว่าผู้บังคับบัญชา ตลอดจนกระทั่งพระสังฆาธิการ ทุ่มเทงบประมาณจำนวนมากมายลงไป โดยเฉพาะการกิน การอยู่ ค่าน้ำ ค่าไฟของคนเป็นร้อย ๆ แต่ละวันมากมายมหาศาล แต่ผลที่หวังดูท่าจะไม่ได้อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ นอกจากจะรู้สึกต่อต้านเพราะว่าเป็นกรรมฐานที่ไม่ตรงกับสิ่งที่ตนเองศึกษาเรียนรู้มาแล้ว หลายท่านยังยอมสารภาพตรง ๆ ว่า "โดนผู้บังคับบัญชาบังคับให้มา" เป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านละโอกาสซึ่งหาได้ยากที่สุดในโลกเนื่องเพราะว่าในส่วนของบุญกุศลที่ทุกคนก็พึงหวัง สามารถที่จะมีได้ใน ๑๐ อย่างด้วยกัน แต่เน้นหนักที่ ทาน ศีล ภาวนา บุญจากการภาวนาถือว่าสูงที่สุด ถ้าใครตั้งหน้าตั้งตาทำ สามารถเปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดี หรือเรียกว่า "พลิกชีวิต" ได้เลย แต่กลับไม่คิดที่จะทำกันให้เต็มที่ภายในเวลาที่จำกัด ในเมื่อเป็นเช่นนั้น โอกาสที่ญาติโยมทั้งหลายจะได้ศึกษาหาความรู้ จะได้แบบอย่างที่ดีงามไปเพื่อปฏิบัติตาม ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าแม่ปูเดินคดเสียแล้ว จะให้ลูกปูเดินตรงทางก็ย่อมเป็นไปได้ยากเราท่านทั้งหลายต้องตระหนักว่าจุดมุ่งหมายในการอุปสมบท องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดเอาไว้แล้ว พระอุปัชฌาย์อาจารย์ท่านให้เราปฏิญาณว่า "นิพพานัสสะ สัจฉิกะระณัตถายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา - ข้าพเจ้าขอรับเอาผ้ากาสาวพัสตร์นี้มา เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน" แม้ว่างานคันถธุระ จะเรื่องของการศึกษาเล่าเรียน บูรณปฏิสังขรณ์ หรือว่าสาธารณสงเคราะห์อะไรจะสำคัญก็ตาม ท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมเป้าหมายตรงนี้เป็นอันขาดสมัยเป็นพระใหม่อยู่วัดท่าซุง กระผม/อาตมภาพทำงานทุกอย่าง งานตรงหน้าหมดก็เร่หางานอื่นต่อไป ปรากฏว่าไปช่วยงานรุ่นพี่ท่านหนึ่ง พอได้เวลา ๕ โมงเย็นก็ได้เรียนท่านว่า "ขอตัวก่อนนะครับ ผมต้องไปทำวัตรเย็น" ท่านชี้งานที่อยู่ตรงหน้า บอกว่า "นี่ก็ทำวัตรเหมือนกัน" กระผม/อาตมภาพก็เลยบอกว่า "นี่มันวัตรของหลวงพี่ ไม่ใช่วัตรของผม วัตรของผมอยู่ที่ตึกธัมมวิโมกข์โน่น" แล้วก็ไปสรงน้ำ แต่งตัว เดินไปเจริญพระกรรมฐาน แล้วทำวัตรที่ตึกธัมมวิโมกข์ ซึ่งมาภายหลังเมื่อมีวิหาร ๑๐๐ เมตร ก็ไปทำวัตรเจริญพระกรรมฐานกันที่พระวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตรแทนท่านลองคิดดูว่า ขนาดอยู่กับครูบาอาจารย์ที่เคร่งครัดขนาดหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ก็ยังมีประเภท "หลุดคิวซี" อย่างนี้อยู่เป็นประจำ ท่านทั้งหลายจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า พระภิกษุสมัยนั้นอยู่กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ๔๐ - ๕๐ รูปทุกปี พระอาคันตุกะอีก ๓๐๐ - ๔๐๐ รูป แล้วทำไมถึงมีบุคคลที่ออกไปเป็นหลักให้กับลูกศิษย์สายหลวงพ่อได้แค่ไม่กี่รูปโบราณเขาบอกว่า "อยากสูงต้องเขย่ง อยากเก่งต้องขยัน" บุคคลถ้าหากว่าปัญญาน้อย ความเพียรต้องมาก เพื่อเอาไปชดเชยกับปัญญาของเรา พูดง่าย ๆ ว่าลองผิดลองถูกไปเรื่อย จะต้องถูกเข้าสักครั้งหนึ่ง ไม่ใช่ปัญญามากความเพียรน้อย จะได้มีโอกาสรอดไปได้ แล้วถ้าหากว่าปัญญาน้อย ความเพียรน้อย โอกาสที่จะได้ดีย่อมเป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้น..เมื่อเห็นพระวิปัสสนาจารย์ในโครงการซึ่งมาถึงครึ่งทางแล้ว ยังปฏิบัติอยู่ในลักษณะถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง แถมยังรู้สึกว่าตัวเองทำดีแล้ว อุตส่าห์เสียสละมาตั้ง ๑๕ วัน กระผม/อาตมภาพรู้สึกเสียดายเวลาแทนเพราะว่าการปฏิบัติธรรมนั้นไม่ใช่ปฏิบัติ ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมงแล้วพัก แต่ต้องปฏิบัติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก เพราะว่ากิเลสกินเราไม่มีเวลาพัก แล้วเราไปพักรอให้กิเลสมากินเรา ก็เหมือนกับบุคคลรอให้ไฟไหม้มาถึงตัวแล้วค่อยขยับหนี เผลอเมื่อไรขยับไม่ทันก็โดนไหม้ทั้งตัว..!จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องตระหนักว่า โครงการนี้จะมีอยู่ทุกปี ถ้าใครได้ไปเข้าโครงการ ขอให้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ ไม่ใช่สักแต่ว่ารอให้ครบ ๑๕ วัน พูดง่าย ๆ ว่า เรียนให้รู้ ดูให้จำ ทำให้จริง ศึกษาแล้วต้องนำมาบอกต่อสอนต่อได้ จึงถือว่าประสบความสำเร็จตามโครงการอย่างแท้จริงพระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.เสียงธรรมจากวัดท่าขนุนวันเสาร์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
    ท่านทั้งหลายปฏิบัติธรรมมาตอนนี้เกิน ๓ วันแล้ว แต่ว่าหลายต่อหลายท่านกำลังใจยังฟุ้งซ่านเป็นปกติ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ใจไปต่อต้านแนวทางปฏิบัติที่ตนเองไม่คุ้นเคย พูดง่าย ๆ ว่าไม่สามารถที่จะปรับตัวให้เข้ากับกรรมฐานแบบใหม่ได้ และโดยเฉพาะความรู้สึกต่อต้านที่ว่า ไม่ใช่แบบที่ครูบาอาจารย์ของเราสอนมา..!ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายใฝ่รู้ใฝ่เรียนเสียอย่างเดียว ไม่ว่ากรรมฐานแนวไหนท่านก็จะรับได้ เพราะว่าไม่มีกรรมฐานสายโน้น ไม่มีกรรมฐานสายนี้ เนื่องเพราะว่ากรรมฐานทุกรูปแบบ มาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้น เพียงแต่ว่าครูบาอาจารย์ท่านถนัดแบบไหน ก็เอาแบบนั้นมาสอน แล้วคนที่ชอบก็ติดตามไปปฏิบัติ จนกระทั่งกลายเป็นกรรมฐานสายโน้นสายนี้ขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์สอนอยู่พระองค์เดียว..!หรือแม้กระทั่งบุคคลที่น่าจะเป็นรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่ไปจัดการกับวัด ๆ หนึ่ง ซึ่งได้รับบริจาคร่างกายของผู้ตายมาเพื่อให้ฝึกกรรมฐาน โดยที่ผู้ใหญ่ระดับนั้นไปฟันธงว่า "การใช้ซากศพฝึกกรรมฐานไม่มีผล" ถ้าแบบนี้ควรที่จะหาคนอื่นมาดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแทน เนื่องเพราะว่าไม่ได้ศึกษาอะไรมาเลย..!อย่าลืมว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงการพิจารณาซากศพ ๙ แบบด้วยกัน ถ้าสงสัยข้องใจสามารถไปดูได้ในมหาสติปัฏฐานสูตร ทีฆนิกาย พระสุตตันตปิฎก นวสีวถิกาปัพพะ ในเมื่อเราไม่เข้าใจแล้วอยู่ในฐานะผู้มีอำนาจในแผ่นดิน ไปกล่าวในลักษณะแบบนั้น บรรดาลูกน้องที่โง่กว่าหรือโง่พอกับเจ้านาย ก็อาจจะรีบสนองด้วยการไปเล่นงานพระเสียอีก..!ถ้าหากว่าลักษณะแบบนั้น จะทำให้พระพุทธศาสนาของเราโดนจำกัดแนวทางในการปฏิบัติไป ทั้ง ๆ ที่การกำหนดอสุภกรรมฐาน เป็นกรรมฐานสำคัญที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้พวกเราพิจารณาเพื่อตัดร่างกายของตนเอง และร่างกายของคนอื่น พูดง่าย ๆ ว่าเมื่อเห็นความจริงว่าร่างกายเมื่อตายลงแล้วมีสภาพน่าเกลียดน่าชังแบบนี้ ก็จะได้สติ ถอนความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของตนเองออกมา แล้วเมื่อถอนความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของตนเองออกไปได้ ก็สามารถถอนความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของคนอื่นได้ส่วนบรรดาผู้เข้าอบรมพัฒนาศักยภาพของพระวิปัสสนาจารย์ ส่วนหนึ่งนอกจากจะต่อต้านการปฏิบัติ ไม่น้อมใจตามไปแล้ว ยังทำตนเหมือนกับคนมีเวลาว่างมาก แทนที่ทุกเวลาจะอยู่กับการปฏิบัติธรรม เพราะว่ามีเวลาแค่ ๑๕ วันเท่านั้น แต่กลับทำตัวตามสบาย หลายท่านกระผม/อาตมภาพบรรยายจบแล้ว ยังมาไม่ถึงห้องกรรมฐานเลย แล้วท่านทั้งหลายคิดว่าบุคคลแบบนี้ ถ้าไปเป็นพระวิปัสสนาจารย์สอนผู้อื่นต่อ จะเอาดีได้หรือไม่ ?พูดง่าย ๆ ว่าผู้บังคับบัญชา ตลอดจนกระทั่งพระสังฆาธิการ ทุ่มเทงบประมาณจำนวนมากมายลงไป โดยเฉพาะการกิน การอยู่ ค่าน้ำ ค่าไฟของคนเป็นร้อย ๆ แต่ละวันมากมายมหาศาล แต่ผลที่หวังดูท่าจะไม่ได้อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ นอกจากจะรู้สึกต่อต้านเพราะว่าเป็นกรรมฐานที่ไม่ตรงกับสิ่งที่ตนเองศึกษาเรียนรู้มาแล้ว หลายท่านยังยอมสารภาพตรง ๆ ว่า "โดนผู้บังคับบัญชาบังคับให้มา" เป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านละโอกาสซึ่งหาได้ยากที่สุดในโลกเนื่องเพราะว่าในส่วนของบุญกุศลที่ทุกคนก็พึงหวัง สามารถที่จะมีได้ใน ๑๐ อย่างด้วยกัน แต่เน้นหนักที่ ทาน ศีล ภาวนา บุญจากการภาวนาถือว่าสูงที่สุด ถ้าใครตั้งหน้าตั้งตาทำ สามารถเปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดี หรือเรียกว่า "พลิกชีวิต" ได้เลย แต่กลับไม่คิดที่จะทำกันให้เต็มที่ภายในเวลาที่จำกัด ในเมื่อเป็นเช่นนั้น โอกาสที่ญาติโยมทั้งหลายจะได้ศึกษาหาความรู้ จะได้แบบอย่างที่ดีงามไปเพื่อปฏิบัติตาม ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าแม่ปูเดินคดเสียแล้ว จะให้ลูกปูเดินตรงทางก็ย่อมเป็นไปได้ยากเราท่านทั้งหลายต้องตระหนักว่าจุดมุ่งหมายในการอุปสมบท องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดเอาไว้แล้ว พระอุปัชฌาย์อาจารย์ท่านให้เราปฏิญาณว่า "นิพพานัสสะ สัจฉิกะระณัตถายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา - ข้าพเจ้าขอรับเอาผ้ากาสาวพัสตร์นี้มา เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน" แม้ว่างานคันถธุระ จะเรื่องของการศึกษาเล่าเรียน บูรณปฏิสังขรณ์ หรือว่าสาธารณสงเคราะห์อะไรจะสำคัญก็ตาม ท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมเป้าหมายตรงนี้เป็นอันขาดสมัยเป็นพระใหม่อยู่วัดท่าซุง กระผม/อาตมภาพทำงานทุกอย่าง งานตรงหน้าหมดก็เร่หางานอื่นต่อไป ปรากฏว่าไปช่วยงานรุ่นพี่ท่านหนึ่ง พอได้เวลา ๕ โมงเย็นก็ได้เรียนท่านว่า "ขอตัวก่อนนะครับ ผมต้องไปทำวัตรเย็น" ท่านชี้งานที่อยู่ตรงหน้า บอกว่า "นี่ก็ทำวัตรเหมือนกัน" กระผม/อาตมภาพก็เลยบอกว่า "นี่มันวัตรของหลวงพี่ ไม่ใช่วัตรของผม วัตรของผมอยู่ที่ตึกธัมมวิโมกข์โน่น" แล้วก็ไปสรงน้ำ แต่งตัว เดินไปเจริญพระกรรมฐาน แล้วทำวัตรที่ตึกธัมมวิโมกข์ ซึ่งมาภายหลังเมื่อมีวิหาร ๑๐๐ เมตร ก็ไปทำวัตรเจริญพระกรรมฐานกันที่พระวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตรแทนท่านลองคิดดูว่า ขนาดอยู่กับครูบาอาจารย์ที่เคร่งครัดขนาดหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ก็ยังมีประเภท "หลุดคิวซี" อย่างนี้อยู่เป็นประจำ ท่านทั้งหลายจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า พระภิกษุสมัยนั้นอยู่กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ๔๐ - ๕๐ รูปทุกปี พระอาคันตุกะอีก ๓๐๐ - ๔๐๐ รูป แล้วทำไมถึงมีบุคคลที่ออกไปเป็นหลักให้กับลูกศิษย์สายหลวงพ่อได้แค่ไม่กี่รูปโบราณเขาบอกว่า "อยากสูงต้องเขย่ง อยากเก่งต้องขยัน" บุคคลถ้าหากว่าปัญญาน้อย ความเพียรต้องมาก เพื่อเอาไปชดเชยกับปัญญาของเรา พูดง่าย ๆ ว่าลองผิดลองถูกไปเรื่อย จะต้องถูกเข้าสักครั้งหนึ่ง ไม่ใช่ปัญญามากความเพียรน้อย จะได้มีโอกาสรอดไปได้ แล้วถ้าหากว่าปัญญาน้อย ความเพียรน้อย โอกาสที่จะได้ดีย่อมเป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้น..เมื่อเห็นพระวิปัสสนาจารย์ในโครงการซึ่งมาถึงครึ่งทางแล้ว ยังปฏิบัติอยู่ในลักษณะถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง แถมยังรู้สึกว่าตัวเองทำดีแล้ว อุตส่าห์เสียสละมาตั้ง ๑๕ วัน กระผม/อาตมภาพรู้สึกเสียดายเวลาแทนเพราะว่าการปฏิบัติธรรมนั้นไม่ใช่ปฏิบัติ ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมงแล้วพัก แต่ต้องปฏิบัติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก เพราะว่ากิเลสกินเราไม่มีเวลาพัก แล้วเราไปพักรอให้กิเลสมากินเรา ก็เหมือนกับบุคคลรอให้ไฟไหม้มาถึงตัวแล้วค่อยขยับหนี เผลอเมื่อไรขยับไม่ทันก็โดนไหม้ทั้งตัว..!จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องตระหนักว่า โครงการนี้จะมีอยู่ทุกปี ถ้าใครได้ไปเข้าโครงการ ขอให้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ ไม่ใช่สักแต่ว่ารอให้ครบ ๑๕ วัน พูดง่าย ๆ ว่า เรียนให้รู้ ดูให้จำ ทำให้จริง ศึกษาแล้วต้องนำมาบอกต่อสอนต่อได้ จึงถือว่าประสบความสำเร็จตามโครงการอย่างแท้จริงพระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.เสียงธรรมจากวัดท่าขนุนวันเสาร์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 750 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts