• ## รู้จัก NCDs โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง...ก่อนสายเกินไป!

    รู้หรือไม่? โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) กำลังเป็นภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพของคนไทยและทั่วโลก! อย่ามองข้าม เพราะมันอาจใกล้ตัวคุณมากกว่าที่คิด

    **NCDs คืออะไร?** รวมโรคเรื้อรังที่เกิดจากหลายปัจจัย เช่น พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ดี ได้แก่

    * **โรคหัวใจและหลอดเลือด:** อันตรายถึงชีวิต! อาการเริ่มต้นอาจไม่ชัดเจน ต้องหมั่นตรวจเช็กสุขภาพเป็นประจำ
    * **โรคมะเร็ง:** ตัวร้ายที่คร่าชีวิตคนเป็นอันดับต้นๆ การป้องกันที่ดีที่สุดคือการตรวจสุขภาพและดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี
    * **โรคเบาหวาน:** ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ควบคุมได้ด้วยการรับประทานอาหารและออกกำลังกายอย่างเหมาะสม
    * **โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD):** หายใจลำบาก มักเกิดจากการสูบบุหรี่ เลิกบุหรี่เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า

    **ป้องกันได้นะ! ด้วยวิธีง่ายๆเหล่านี้**

    * **กินดีอยู่ดี:** เน้นผักผลไม้ ลดอาหารมัน เค็ม หวาน
    * **ออกกำลังกายสม่ำเสมอ:** อย่างน้อย 30 นาที ต่อวัน
    * **หลีกเลี่ยงอบายมุข:** เลิกบุหรี่ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    * **ตรวจสุขภาพประจำปี:** รู้เท่าทันสุขภาพตัวเอง

    **อย่าปล่อยให้ NCDs มาทำลายสุขภาพของคุณ!** เริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้ เพื่อชีวิตที่มีสุขภาพดีและยืนยาว

    #NCDs #โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง #สุขภาพดี #สุขภาพ #ดูแลตัวเอง

    #พลังZeeds
    ## รู้จัก NCDs โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง...ก่อนสายเกินไป! รู้หรือไม่? โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) กำลังเป็นภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพของคนไทยและทั่วโลก! อย่ามองข้าม เพราะมันอาจใกล้ตัวคุณมากกว่าที่คิด **NCDs คืออะไร?** รวมโรคเรื้อรังที่เกิดจากหลายปัจจัย เช่น พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ดี ได้แก่ * **โรคหัวใจและหลอดเลือด:** อันตรายถึงชีวิต! อาการเริ่มต้นอาจไม่ชัดเจน ต้องหมั่นตรวจเช็กสุขภาพเป็นประจำ * **โรคมะเร็ง:** ตัวร้ายที่คร่าชีวิตคนเป็นอันดับต้นๆ การป้องกันที่ดีที่สุดคือการตรวจสุขภาพและดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี * **โรคเบาหวาน:** ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ควบคุมได้ด้วยการรับประทานอาหารและออกกำลังกายอย่างเหมาะสม * **โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD):** หายใจลำบาก มักเกิดจากการสูบบุหรี่ เลิกบุหรี่เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า **ป้องกันได้นะ! ด้วยวิธีง่ายๆเหล่านี้** * **กินดีอยู่ดี:** เน้นผักผลไม้ ลดอาหารมัน เค็ม หวาน * **ออกกำลังกายสม่ำเสมอ:** อย่างน้อย 30 นาที ต่อวัน * **หลีกเลี่ยงอบายมุข:** เลิกบุหรี่ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ * **ตรวจสุขภาพประจำปี:** รู้เท่าทันสุขภาพตัวเอง **อย่าปล่อยให้ NCDs มาทำลายสุขภาพของคุณ!** เริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้ เพื่อชีวิตที่มีสุขภาพดีและยืนยาว #NCDs #โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง #สุขภาพดี #สุขภาพ #ดูแลตัวเอง #พลังZeeds
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 รีวิว
  • Trump แถลงผลการเจรจากับรัสเซียที่ซาอุดีอาระเบีย พร้อมกดดันให้ยูเครนจัดการเลือกตั้ง

    ประธานาธิบดีทรัมป์ ระบุว่ายูเครนจำเป็นต้องจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่ แม้ว่าเซเลนสกีจะมีคะแนนนิยมเหลือเพียง 4% พร้อมกับวิจารณ์ว่ายูเครนไม่ควรเริ่มสงครามตั้งแต่แรก และควรทำ “ข้อตกลง” กับรัสเซียให้เสร็จสิ้น ตั้งแต่ที่รัสเซียเริ่มการบุกเมื่อปี 2022 แล้ว

    นอกจากนี้ ทรัมป์ยังแสดงความ "ไม่พอใจอย่างมาก" ต่อการกระทำของไบเดน ที่สนบัสนุนยูเครน โดยยืนยันอีกครั้งว่าหากเขาเป็นประธานาธิบดีตอนนั้น สงครามจะ "ไม่เกิดขึ้น" และสามารถ "ช่วยชีวิตคนนับล้าน" และยังป้องกันสงครามโลกครั้งที่ 3 ไว้อีกด้วย

    ทรัมป์ยังวิจารณ์สหภาพยุโรปที่ไม่ทำอะไรเลยเพื่อยุติสงครามและทำข้อตกลงสันติภาพในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะช่วยรักษาดินแดนยูเครนและชีวิตผู้คนไว้ได้

    "ที่ผ่านมา 3 ปี พวกคุณอยู่ไหน? ไม่จำเป็นต้องเริ่มเรื่องนี้ เลยเวลาทำข้อตกลงมานานแล้ว" ทรัมป์ฝากคำถามไปถึงประเทศที่ไม่พอใจที่ไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมเจรจาที่ซาอุฯ

    ทรัมป์ยังทวงเงินความช่วยเหลือของสหรัฐต่อเซเลนสกี ว่าความช่วยเหลือจากอเมริกากว่า 350,000 ล้านดอลลาร์ตอนนี้มันไปอยู่ที่ไหน "เงินทั้งหมดอยู่ไหน ไม่มีใครรู้ ยูเครนจะต้องจ่ายหรือต้องหาให้เจอว่าเงินไปไหน"
    Trump แถลงผลการเจรจากับรัสเซียที่ซาอุดีอาระเบีย พร้อมกดดันให้ยูเครนจัดการเลือกตั้ง ประธานาธิบดีทรัมป์ ระบุว่ายูเครนจำเป็นต้องจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่ แม้ว่าเซเลนสกีจะมีคะแนนนิยมเหลือเพียง 4% พร้อมกับวิจารณ์ว่ายูเครนไม่ควรเริ่มสงครามตั้งแต่แรก และควรทำ “ข้อตกลง” กับรัสเซียให้เสร็จสิ้น ตั้งแต่ที่รัสเซียเริ่มการบุกเมื่อปี 2022 แล้ว นอกจากนี้ ทรัมป์ยังแสดงความ "ไม่พอใจอย่างมาก" ต่อการกระทำของไบเดน ที่สนบัสนุนยูเครน โดยยืนยันอีกครั้งว่าหากเขาเป็นประธานาธิบดีตอนนั้น สงครามจะ "ไม่เกิดขึ้น" และสามารถ "ช่วยชีวิตคนนับล้าน" และยังป้องกันสงครามโลกครั้งที่ 3 ไว้อีกด้วย ทรัมป์ยังวิจารณ์สหภาพยุโรปที่ไม่ทำอะไรเลยเพื่อยุติสงครามและทำข้อตกลงสันติภาพในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะช่วยรักษาดินแดนยูเครนและชีวิตผู้คนไว้ได้ "ที่ผ่านมา 3 ปี พวกคุณอยู่ไหน? ไม่จำเป็นต้องเริ่มเรื่องนี้ เลยเวลาทำข้อตกลงมานานแล้ว" ทรัมป์ฝากคำถามไปถึงประเทศที่ไม่พอใจที่ไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมเจรจาที่ซาอุฯ ทรัมป์ยังทวงเงินความช่วยเหลือของสหรัฐต่อเซเลนสกี ว่าความช่วยเหลือจากอเมริกากว่า 350,000 ล้านดอลลาร์ตอนนี้มันไปอยู่ที่ไหน "เงินทั้งหมดอยู่ไหน ไม่มีใครรู้ ยูเครนจะต้องจ่ายหรือต้องหาให้เจอว่าเงินไปไหน"
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 261 มุมมอง 16 0 รีวิว
  • 🚨 รู้หรือไม่? ผู้ชายวัย 40+ มีความเสี่ยงสูงกว่าผู้หญิงถึง 2 เท่า ที่จะเป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบหรือแตก! 🧠

    สวัสดีครับเพื่อนๆ ที่รักสุขภาพทุกคน 👋 วันนี้เรามาคุยกันเรื่องภัยเงียบที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับต้นๆ กันดีกว่า
    .
    เส้นเลือดในสมองตีบหรือแตกเป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้ชายวัย 40 ขึ้นไป สาเหตุหลักๆ มาจากไลฟ์สไตล์ที่เสี่ยง ทั้งดื่มเหล้า สูบบุหรี่ กินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ โดยเฉพาะพวกไขมันเลวที่สะสมในเส้นเลือด 😱
    .
    เปรียบให้เห็นภาพง่ายๆ ก็เหมือนท่อน้ำที่มีสิ่งอุดตัน ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ แต่ไม่ต้องกลัวไป! เรามีวิธีป้องกันง่ายๆ แค่:
    - ออกกำลังกายสม่ำเสมอ 💪
    - กินอาหารแบบพอดีๆ ไม่เผ็ด เค็ม หวาน มัน จนเกินไป
    - ทานกระเทียมเป็นตัวช่วยธรรมชาติ 🧄
    .
    เพื่อนๆ คิดว่าไง? มีใครเคยมีญาติหรือคนรู้จักเป็นโรคนี้บ้างไหม? แชร์ประสบการณ์กันหน่อย! 🤔
    .
    ถ้าชอบบทความนี้ อย่าลืมกดไลค์ แชร์ และติดตามเพจเราด้วยนะคะ จะได้ไม่พลาดสาระดีๆ แบบนี้ 🙏
    .
    #สุขภาพดี #โรคหลอดเลือดสมอง #ความรู้สุขภาพ #รักษาสุขภาพ #ป้องกันโรค
    🚨 รู้หรือไม่? ผู้ชายวัย 40+ มีความเสี่ยงสูงกว่าผู้หญิงถึง 2 เท่า ที่จะเป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบหรือแตก! 🧠 สวัสดีครับเพื่อนๆ ที่รักสุขภาพทุกคน 👋 วันนี้เรามาคุยกันเรื่องภัยเงียบที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับต้นๆ กันดีกว่า . เส้นเลือดในสมองตีบหรือแตกเป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้ชายวัย 40 ขึ้นไป สาเหตุหลักๆ มาจากไลฟ์สไตล์ที่เสี่ยง ทั้งดื่มเหล้า สูบบุหรี่ กินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ โดยเฉพาะพวกไขมันเลวที่สะสมในเส้นเลือด 😱 . เปรียบให้เห็นภาพง่ายๆ ก็เหมือนท่อน้ำที่มีสิ่งอุดตัน ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ แต่ไม่ต้องกลัวไป! เรามีวิธีป้องกันง่ายๆ แค่: - ออกกำลังกายสม่ำเสมอ 💪 - กินอาหารแบบพอดีๆ ไม่เผ็ด เค็ม หวาน มัน จนเกินไป - ทานกระเทียมเป็นตัวช่วยธรรมชาติ 🧄 . เพื่อนๆ คิดว่าไง? มีใครเคยมีญาติหรือคนรู้จักเป็นโรคนี้บ้างไหม? แชร์ประสบการณ์กันหน่อย! 🤔 . ถ้าชอบบทความนี้ อย่าลืมกดไลค์ แชร์ และติดตามเพจเราด้วยนะคะ จะได้ไม่พลาดสาระดีๆ แบบนี้ 🙏 . #สุขภาพดี #โรคหลอดเลือดสมอง #ความรู้สุขภาพ #รักษาสุขภาพ #ป้องกันโรค
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีดตัดหวาย..ลูกนิมิตร...วัดหนึ่งแห่ง..เผลอๆ มีการสร้างโบสถ์หรือ บูรณะโบสถ์ครั้งเดียว..ในข่วงชีวิตคนหนึ่งคน...มีดตัดหวาย จึงถูกผู้คนแสวงหากันจำนวนมาก...จึงมีการทำเพิ่มออกมาให้คนบูชา...มีดเล่มที่ออกบูชา...จะใช้ วาง..แล้วมีไม้มงคล รูปร่างคล้ายนกระบอง บางคนว่า สากกะเบือ . (เช่นไม้ขนุน ไม้พยุง หรืออื่นๆ ตอกลงบนสันมีดอีกที..มีด 1 เล่ม อาจจะตอกตัดหวาย เส้นเดียว...เพื่อไม่ให้มีด บิ่นมาก..และยังคงความสวยงามอยู่....ถ้าสับแบบ โช๊ะๆ ยับเยินแน่......ผู้ที่ได้รับไปอาจจะไม่ happy.....ความเชื่อ ว่า เป็นมหาอำนาจ ป้องกันภูติผีปีศาจ เสนียดจีนไร..ลมเพลมพัด...หลายคนเสาะแสวงหาไว้ติดบ้าน....ผู้เขียนเคยมี 2_3 ชิ้น แต่มอบให้ผู้ใหญ่ไปหมดแล้ว....คงเหลือแต่ ไม้มงคล ที่ใช้ ตอกตัด..ในพิธี .. .
    มีดตัดหวาย..ลูกนิมิตร...วัดหนึ่งแห่ง..เผลอๆ มีการสร้างโบสถ์หรือ บูรณะโบสถ์ครั้งเดียว..ในข่วงชีวิตคนหนึ่งคน...มีดตัดหวาย จึงถูกผู้คนแสวงหากันจำนวนมาก...จึงมีการทำเพิ่มออกมาให้คนบูชา...มีดเล่มที่ออกบูชา...จะใช้ วาง..แล้วมีไม้มงคล รูปร่างคล้ายนกระบอง บางคนว่า สากกะเบือ . (เช่นไม้ขนุน ไม้พยุง หรืออื่นๆ ตอกลงบนสันมีดอีกที..มีด 1 เล่ม อาจจะตอกตัดหวาย เส้นเดียว...เพื่อไม่ให้มีด บิ่นมาก..และยังคงความสวยงามอยู่....ถ้าสับแบบ โช๊ะๆ ยับเยินแน่......ผู้ที่ได้รับไปอาจจะไม่ happy.....ความเชื่อ ว่า เป็นมหาอำนาจ ป้องกันภูติผีปีศาจ เสนียดจีนไร..ลมเพลมพัด...หลายคนเสาะแสวงหาไว้ติดบ้าน....ผู้เขียนเคยมี 2_3 ชิ้น แต่มอบให้ผู้ใหญ่ไปหมดแล้ว....คงเหลือแต่ ไม้มงคล ที่ใช้ ตอกตัด..ในพิธี .. .
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความอยากรู้อยากเห็นเรื่องชาวบ้าน : กับดักที่ดึงจิตลงเหว

    การเสพติดข่าวสารเรื่องของคนอื่น เป็น "กับดักจิต" ที่ดูดพลังงานมหาศาลโดยไม่รู้ตัว

    🌀 ดูดความคิด → ทำให้สมองยุ่งเหยิง คิดไปเอง ตีความผิดเพี้ยน

    ⏳ ดูดเวลา → แทนที่จะใช้เวลาพัฒนาตัวเอง กลับหมดไปกับเรื่องไร้สาระ

    🔋 ดูดพลังจิต → จากที่จะใช้พลังงานกับสิ่งที่สร้างสรรค์ กลับไปจมอยู่กับเรื่องชาวบ้าน

    ---

    📌 3 กับดักใหญ่ของ "การเผือก" เรื่องชาวบ้าน

    1️⃣ หลงคิดว่าการรู้เรื่องชาวบ้าน = ฉลาดรอบตัว

    แท้จริงแล้วเป็นการ สะสมความเชื่อผิดๆ

    การรู้เยอะ แต่ไม่รู้จริง = เพิ่มอัตตา ลดปัญญา

    2️⃣ หลงคิดว่าการเผือก = ได้เปรียบ

    คิดว่ารู้เรื่องคนอื่นจะทำให้เรา มีอำนาจ

    สุดท้ายกลายเป็น ขี้เมาท์ ไร้สาระ คนไม่เชื่อถือ

    3️⃣ หลงคิดว่าความจริงต้องเป็นไปตามที่เราเชื่อ

    สร้าง "อุปาทาน" และ "มายาคติ" ขึ้นมาเอง

    ทำให้ ใจฟุ้งซ่าน กังวลไปกับเรื่องที่ไม่ใช่ของเรา

    ---

    📌 วิธีเลิกเสพติดเรื่องชาวบ้าน (หยุดเผือก = จิตเบิกบาน)

    ✔ 1. หันมาสังเกตใจตัวเองแทนที่จะสังเกตชีวิตคนอื่น

    ถามตัวเองว่า "เรื่องที่กำลังสนใจ มันมีผลอะไรกับชีวิตฉันไหม?"

    ถ้ารู้แล้วไม่ได้พัฒนาตัวเอง → ไม่ต้องรู้

    ✔ 2. ฝึกสติ → ทุกครั้งที่อยากรู้เรื่องชาวบ้าน ให้ย้อนถามตัวเอง

    "ฉันกำลังจะรู้อะไร?" → เป็นเรื่องจริง หรือ แค่ข่าวลือ?

    "ฉันได้อะไรจากการรู้?" → ได้บุญหรือได้บาป?

    ✔ 3. ฝึกใจให้มีความสุขกับ "เรื่องของตัวเอง"

    ชีวิตคุณมีอะไรต้องพัฒนาอีกมาก ทำไมต้องเสียเวลาไปกับเรื่องที่ไม่ใช่ของเรา?

    ใช้พลังไปกับ "การเรียนรู้" และ "การพัฒนาตัวเอง" ดีกว่า

    ---

    📌 สรุป : เลิกเผือก → ใจเบาสบาย → จิตเตรียมเบ่งบานเป็นพุทธแท้!

    เผือก = ฟุ้งซ่าน = เสียเวลา

    หยุดเผือก = มีสติ = ชีวิตดีขึ้น

    รู้เรื่องตัวเอง = พัฒนาได้

    รู้เรื่องชาวบ้าน = ได้อะไร?

    ✨ เลือกให้ดี ว่าจะเอาสติ หรือเอาอุปาทาน
    ✨ ถ้ารู้แล้วไม่มีประโยชน์ = ไม่ต้องรู้!
    ความอยากรู้อยากเห็นเรื่องชาวบ้าน : กับดักที่ดึงจิตลงเหว การเสพติดข่าวสารเรื่องของคนอื่น เป็น "กับดักจิต" ที่ดูดพลังงานมหาศาลโดยไม่รู้ตัว 🌀 ดูดความคิด → ทำให้สมองยุ่งเหยิง คิดไปเอง ตีความผิดเพี้ยน ⏳ ดูดเวลา → แทนที่จะใช้เวลาพัฒนาตัวเอง กลับหมดไปกับเรื่องไร้สาระ 🔋 ดูดพลังจิต → จากที่จะใช้พลังงานกับสิ่งที่สร้างสรรค์ กลับไปจมอยู่กับเรื่องชาวบ้าน --- 📌 3 กับดักใหญ่ของ "การเผือก" เรื่องชาวบ้าน 1️⃣ หลงคิดว่าการรู้เรื่องชาวบ้าน = ฉลาดรอบตัว แท้จริงแล้วเป็นการ สะสมความเชื่อผิดๆ การรู้เยอะ แต่ไม่รู้จริง = เพิ่มอัตตา ลดปัญญา 2️⃣ หลงคิดว่าการเผือก = ได้เปรียบ คิดว่ารู้เรื่องคนอื่นจะทำให้เรา มีอำนาจ สุดท้ายกลายเป็น ขี้เมาท์ ไร้สาระ คนไม่เชื่อถือ 3️⃣ หลงคิดว่าความจริงต้องเป็นไปตามที่เราเชื่อ สร้าง "อุปาทาน" และ "มายาคติ" ขึ้นมาเอง ทำให้ ใจฟุ้งซ่าน กังวลไปกับเรื่องที่ไม่ใช่ของเรา --- 📌 วิธีเลิกเสพติดเรื่องชาวบ้าน (หยุดเผือก = จิตเบิกบาน) ✔ 1. หันมาสังเกตใจตัวเองแทนที่จะสังเกตชีวิตคนอื่น ถามตัวเองว่า "เรื่องที่กำลังสนใจ มันมีผลอะไรกับชีวิตฉันไหม?" ถ้ารู้แล้วไม่ได้พัฒนาตัวเอง → ไม่ต้องรู้ ✔ 2. ฝึกสติ → ทุกครั้งที่อยากรู้เรื่องชาวบ้าน ให้ย้อนถามตัวเอง "ฉันกำลังจะรู้อะไร?" → เป็นเรื่องจริง หรือ แค่ข่าวลือ? "ฉันได้อะไรจากการรู้?" → ได้บุญหรือได้บาป? ✔ 3. ฝึกใจให้มีความสุขกับ "เรื่องของตัวเอง" ชีวิตคุณมีอะไรต้องพัฒนาอีกมาก ทำไมต้องเสียเวลาไปกับเรื่องที่ไม่ใช่ของเรา? ใช้พลังไปกับ "การเรียนรู้" และ "การพัฒนาตัวเอง" ดีกว่า --- 📌 สรุป : เลิกเผือก → ใจเบาสบาย → จิตเตรียมเบ่งบานเป็นพุทธแท้! เผือก = ฟุ้งซ่าน = เสียเวลา หยุดเผือก = มีสติ = ชีวิตดีขึ้น รู้เรื่องตัวเอง = พัฒนาได้ รู้เรื่องชาวบ้าน = ได้อะไร? ✨ เลือกให้ดี ว่าจะเอาสติ หรือเอาอุปาทาน ✨ ถ้ารู้แล้วไม่มีประโยชน์ = ไม่ต้องรู้!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 173 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขอบพระคุณเอฟซีทุกท่านสำหรับกำลังใจนะคะ ครูนัทไม่เป็นไรค่ะ จิตใจยังปกติดี เรื่องแค่นี้ธรรมดา ชีวิตคนเราก็แบบนี้ล่ะค่ะ อะไรที่สุดมือสอยก็ปล่อยมันไป คนอย่างครูนัท เมื่อหมดรัก เขาก็แค่อากาศธาตุกองหนึ่งแค่นั้น

    ส่วนเรื่องกฎหมาย ใครผิดว่ากันไปตามนั้น.ใครละเมิดเตรียมรับหมายศาล จากนี้ไป ไม่มีความปรานีใจดีให้แก่ใคร ไม่พูดมาก เจ็บคอ ใครคิดว่าพร้อม สะดวกไปศาล ก็เอา ลองดู ปล่อยให้วิพากษ์วิจารณ์กันจนเกินขอบเขตแห่งความพอดีไปมากแล้ว

    วันนี้บ่ายโมงเข้ามาฟังไลฟ์นะคะ เอฟซีคริสเตียนจะขึ้นไลฟ์แลกเปลี่ยนความรู้และครูนัทจะตอบข้อสงสัยในพระพุทธศาสนาอย่างเป็นมิตรต่อกัน 😊
    ขอบพระคุณเอฟซีทุกท่านสำหรับกำลังใจนะคะ ครูนัทไม่เป็นไรค่ะ จิตใจยังปกติดี เรื่องแค่นี้ธรรมดา ชีวิตคนเราก็แบบนี้ล่ะค่ะ อะไรที่สุดมือสอยก็ปล่อยมันไป คนอย่างครูนัท เมื่อหมดรัก เขาก็แค่อากาศธาตุกองหนึ่งแค่นั้น ส่วนเรื่องกฎหมาย ใครผิดว่ากันไปตามนั้น.ใครละเมิดเตรียมรับหมายศาล จากนี้ไป ไม่มีความปรานีใจดีให้แก่ใคร ไม่พูดมาก เจ็บคอ ใครคิดว่าพร้อม สะดวกไปศาล ก็เอา ลองดู ปล่อยให้วิพากษ์วิจารณ์กันจนเกินขอบเขตแห่งความพอดีไปมากแล้ว วันนี้บ่ายโมงเข้ามาฟังไลฟ์นะคะ เอฟซีคริสเตียนจะขึ้นไลฟ์แลกเปลี่ยนความรู้และครูนัทจะตอบข้อสงสัยในพระพุทธศาสนาอย่างเป็นมิตรต่อกัน 😊
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 150 มุมมอง 0 รีวิว
  • โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยืนยันเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สั่งระงับอย่างครอบคลุมเงินช่วยเหลือที่มอบแก่ต่างประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอกย้ำนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน"
    .
    "ผมระงับการจ้างงานรัฐบาลกลาง ระงับกฎเกณฑ์รัฐบาลกลาง และระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศ" ทรัมป์บอกกับฝูงชนผู้สนับสนุนลาสเวกัสเมื่อวันเสาร์(25ม.ค.) "และผมจัดตั้งกระทรวงฯใหม่ กระทรวงกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล และเรากำลังจะมีคนดีๆมากมาย"
    .
    ไม่นานหลังจากสาบานตนรับตำแหน่งในวันจันทร์ที่ 20 มกราคม ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งบริหารระงับโครงการช่วยเหลือพัฒนาต่างประเทศทั้งหมดเป็นเวลา 90 วัน โดยระหว่างนี้จะดำเนินการทบทวนเพื่อสรุปว่าโครงการช่วยเหลือเหล่านั้นสอดคล้องกับเป้าหมายต่างๆในนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" หรือไม่
    .
    ระหว่างการรณรงค์หาเสียง ทรัมป์ประกาศว่าจะปรับลดการใช้จ่ายที่ไม่ก่อประโยชน์ และปรับโฟกัสของรัฐบาลให้กันมาใส่ใจกับประเด็นภายในประเทศ อย่างเช่นตัวเลขหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ และต่อสู้จัดการกับพวกผู้อพยพผิดกฎหมาย
    .
    ในวันเสาร์(25ม.ค.) มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ออกบันทึกฉบับหนึ่ง ระงับการเบิกจ่ายเงินผ่านกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐฯ(USAID) แต่มีข้อยกเว้นให้บางส่วน ในนั้นรวมถึงความช่วยเหลือด้านการทหารที่ป้อนแก่อิสราเอลและอียิปต์
    .
    ก่อนหน้านี้ในถ้อยแถลงที่เผยแพร่เมื่อวันพุธ(22ม.ค.) รูบิโอ กล่าวว่า "ทุกๆดอลลาร์ที่เราใช้จ่าย ทุกๆโครงการที่เราให้เงินสนับสนุน และทุกๆนโยบายที่เราเสาะหา จำเป็นต้องมีความชอบธรรม ด้วยคำตอบใน 3 คำถามง่ายๆ นั่นคือ มันทำให้อเมริกาปลอดภัยขึ้นหรือไม่ มันทำให้อเมริกาเข้มแข็งขึ้นหรือเปล่า และมันทำให้อเมริกาเจริญรุ่งเรืองหรือไม่"
    .
    แม้รายงานข่าวก่อนหน้านี้ระบุกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ อ้างว่าการระงับเงินช่วยเหลือจะไม่ส่งผลกระทบต่อาวุธที่ส่งมอบแก่ยูเครน แต่สื่อมวลชนหลายแห่งรายงานว่าบันทึกของรูบิโอ ไม่ได้พาดพิงถึงข้อยกเว้นใดๆสำหรับเงินช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนและพันธมิตรหลักอื่นๆ อย่างเช่นไต้หวันและบรรดาชาติสมาชิกนาโต
    .
    ที่ผ่านมา ทรัมป์ วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน บ่อยครั้ง สำหรับการส่งมอบความช่วยเหลือหลายหมื่้นล้านดอลลาร์แก่ยูเครน พร้อมสัญญาว่าจะผลักดันให้หาทางออกทางการทูตแทน ในวิกฤตความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน
    .
    อดีตเจ้าหน้าที่อาวุโสของสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ เปิดเผยโดยไม่ขอระบุนามว่า คำสั่งของ ทรัมป์จะทำให้หลายองค์กรต้องหยุดกิจกรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นบริการด้านสุขภาพที่อาจช่วยชีวิตคน การรักษาเอชไอวี โภชนาการ สุขภาพแม่และเด็ก งานด้านการเกษตร การสนับสนุนองค์กรประชาสังคม และด้านการศึกษา
    .
    ตัวเลขจากรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่า อเมริกาคือผู้บริจาคเงินช่วยเหลือต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยพวกเขาบริจาคเงินกว่า 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.28 ล้านล้านบาท) ในปี 2023 โดยอิสราเอลได้รับเงินช่วยเหลือทางทหารปีละ 3.3 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่อียิปต์ได้รับ 1.3 พันล้านดอลลาร์
    .
    บรรดาประเทศและดินแดนที่จะได้รับเงินสนับสนุนในลักษณะเดียวกันในปี 2025 ได้แก่ ยูเครน จอร์เจีย เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย ไต้หวัน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย เวียดนาม จิบูติ โคลอมเบียมปานามา เอกวาดอร์ อิสราเอล อียิปต์ และจอร์แดน ตามคำขอของรัฐบาลไบเดนที่ยื่นต่อสภาคองเกรส
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008314
    ..............
    Sondhi X
    โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยืนยันเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สั่งระงับอย่างครอบคลุมเงินช่วยเหลือที่มอบแก่ต่างประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอกย้ำนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" . "ผมระงับการจ้างงานรัฐบาลกลาง ระงับกฎเกณฑ์รัฐบาลกลาง และระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศ" ทรัมป์บอกกับฝูงชนผู้สนับสนุนลาสเวกัสเมื่อวันเสาร์(25ม.ค.) "และผมจัดตั้งกระทรวงฯใหม่ กระทรวงกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล และเรากำลังจะมีคนดีๆมากมาย" . ไม่นานหลังจากสาบานตนรับตำแหน่งในวันจันทร์ที่ 20 มกราคม ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งบริหารระงับโครงการช่วยเหลือพัฒนาต่างประเทศทั้งหมดเป็นเวลา 90 วัน โดยระหว่างนี้จะดำเนินการทบทวนเพื่อสรุปว่าโครงการช่วยเหลือเหล่านั้นสอดคล้องกับเป้าหมายต่างๆในนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" หรือไม่ . ระหว่างการรณรงค์หาเสียง ทรัมป์ประกาศว่าจะปรับลดการใช้จ่ายที่ไม่ก่อประโยชน์ และปรับโฟกัสของรัฐบาลให้กันมาใส่ใจกับประเด็นภายในประเทศ อย่างเช่นตัวเลขหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ และต่อสู้จัดการกับพวกผู้อพยพผิดกฎหมาย . ในวันเสาร์(25ม.ค.) มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ออกบันทึกฉบับหนึ่ง ระงับการเบิกจ่ายเงินผ่านกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐฯ(USAID) แต่มีข้อยกเว้นให้บางส่วน ในนั้นรวมถึงความช่วยเหลือด้านการทหารที่ป้อนแก่อิสราเอลและอียิปต์ . ก่อนหน้านี้ในถ้อยแถลงที่เผยแพร่เมื่อวันพุธ(22ม.ค.) รูบิโอ กล่าวว่า "ทุกๆดอลลาร์ที่เราใช้จ่าย ทุกๆโครงการที่เราให้เงินสนับสนุน และทุกๆนโยบายที่เราเสาะหา จำเป็นต้องมีความชอบธรรม ด้วยคำตอบใน 3 คำถามง่ายๆ นั่นคือ มันทำให้อเมริกาปลอดภัยขึ้นหรือไม่ มันทำให้อเมริกาเข้มแข็งขึ้นหรือเปล่า และมันทำให้อเมริกาเจริญรุ่งเรืองหรือไม่" . แม้รายงานข่าวก่อนหน้านี้ระบุกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ อ้างว่าการระงับเงินช่วยเหลือจะไม่ส่งผลกระทบต่อาวุธที่ส่งมอบแก่ยูเครน แต่สื่อมวลชนหลายแห่งรายงานว่าบันทึกของรูบิโอ ไม่ได้พาดพิงถึงข้อยกเว้นใดๆสำหรับเงินช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนและพันธมิตรหลักอื่นๆ อย่างเช่นไต้หวันและบรรดาชาติสมาชิกนาโต . ที่ผ่านมา ทรัมป์ วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน บ่อยครั้ง สำหรับการส่งมอบความช่วยเหลือหลายหมื่้นล้านดอลลาร์แก่ยูเครน พร้อมสัญญาว่าจะผลักดันให้หาทางออกทางการทูตแทน ในวิกฤตความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน . อดีตเจ้าหน้าที่อาวุโสของสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ เปิดเผยโดยไม่ขอระบุนามว่า คำสั่งของ ทรัมป์จะทำให้หลายองค์กรต้องหยุดกิจกรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นบริการด้านสุขภาพที่อาจช่วยชีวิตคน การรักษาเอชไอวี โภชนาการ สุขภาพแม่และเด็ก งานด้านการเกษตร การสนับสนุนองค์กรประชาสังคม และด้านการศึกษา . ตัวเลขจากรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่า อเมริกาคือผู้บริจาคเงินช่วยเหลือต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยพวกเขาบริจาคเงินกว่า 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.28 ล้านล้านบาท) ในปี 2023 โดยอิสราเอลได้รับเงินช่วยเหลือทางทหารปีละ 3.3 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่อียิปต์ได้รับ 1.3 พันล้านดอลลาร์ . บรรดาประเทศและดินแดนที่จะได้รับเงินสนับสนุนในลักษณะเดียวกันในปี 2025 ได้แก่ ยูเครน จอร์เจีย เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย ไต้หวัน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย เวียดนาม จิบูติ โคลอมเบียมปานามา เอกวาดอร์ อิสราเอล อียิปต์ และจอร์แดน ตามคำขอของรัฐบาลไบเดนที่ยื่นต่อสภาคองเกรส . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008314 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Sad
    5
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1391 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตัวตาย ชื่ออยู่
    คำว่า "ตัวตาย ชื่ออยู่" นั้น มีความหมายที่ลึกซึ้งยิ่ง เพราะว่า น้อยคนนักที่จะยอมเสียสละตนเองเพื่อบางสิ่งบางอย่างที่มีค่ามากกว่าชีวิตของตนเองได้นั่นเอง คนที่ทำอย่างนี้ได้ส่วนใหญ่มักจะเป็นคนที่มีอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ ที่ยอมเสียสละชีวิตของตนเองเพื่อผู้อื่นและผลประโยชน์ของส่วนรวม เพื่อคนที่มีค่ามากกว่าชีวิตตนเอง เพื่อชาติบ้านเมืองประเทศชาติ เอกราชของผืนแผ่นดิน และคนจำพวกนี้นั้นก็เป็นคนดีที่น่ายกย่อง เพราะคนที่จะเสียสละชีวิตของตนเองได้นั้นมักจะเป็นคนที่ดีอยู่แล้ว หรือคนที่จงรักภักดีต่อเจ้านาย นายเหนือหัวของเค้า ถ้าหากเค้านั้นไม่ใช่คนที่ดีอะไรมากมายนัก และเจ้านายของเค้าก็จะต้องเป็นคนที่มีบุญคุณอันยิ่งใหญ่ต่อเค้านั่นเอง ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าการที่ตัวเค้าได้ตายไปแล้วนั้น แต่ชื่อของเค้าจะยังคงมีผู้กล่าวขานไปอีกนานแสนนาน นั่นก็หมายถึง ชีวิตคนเรานั้นมันไม่จีรังยั่งยืน อยู่ไปไม่นานเราก็ตายกันแล้ว เพราะฉะนั้นเราควรที่จะหันมาทำความดีกันให้มากๆเข้าไว้ เพื่อให้ชาติหน้าภพหน้านั้น เราจะได้ไม่ต้องเกิดมาอย่างเจ็บปวดยิ่งกว่าเก่า หรือซ้ำรอยเดิมนั่นเอง
    ตัวตาย ชื่ออยู่ คำว่า "ตัวตาย ชื่ออยู่" นั้น มีความหมายที่ลึกซึ้งยิ่ง เพราะว่า น้อยคนนักที่จะยอมเสียสละตนเองเพื่อบางสิ่งบางอย่างที่มีค่ามากกว่าชีวิตของตนเองได้นั่นเอง คนที่ทำอย่างนี้ได้ส่วนใหญ่มักจะเป็นคนที่มีอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ ที่ยอมเสียสละชีวิตของตนเองเพื่อผู้อื่นและผลประโยชน์ของส่วนรวม เพื่อคนที่มีค่ามากกว่าชีวิตตนเอง เพื่อชาติบ้านเมืองประเทศชาติ เอกราชของผืนแผ่นดิน และคนจำพวกนี้นั้นก็เป็นคนดีที่น่ายกย่อง เพราะคนที่จะเสียสละชีวิตของตนเองได้นั้นมักจะเป็นคนที่ดีอยู่แล้ว หรือคนที่จงรักภักดีต่อเจ้านาย นายเหนือหัวของเค้า ถ้าหากเค้านั้นไม่ใช่คนที่ดีอะไรมากมายนัก และเจ้านายของเค้าก็จะต้องเป็นคนที่มีบุญคุณอันยิ่งใหญ่ต่อเค้านั่นเอง ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าการที่ตัวเค้าได้ตายไปแล้วนั้น แต่ชื่อของเค้าจะยังคงมีผู้กล่าวขานไปอีกนานแสนนาน นั่นก็หมายถึง ชีวิตคนเรานั้นมันไม่จีรังยั่งยืน อยู่ไปไม่นานเราก็ตายกันแล้ว เพราะฉะนั้นเราควรที่จะหันมาทำความดีกันให้มากๆเข้าไว้ เพื่อให้ชาติหน้าภพหน้านั้น เราจะได้ไม่ต้องเกิดมาอย่างเจ็บปวดยิ่งกว่าเก่า หรือซ้ำรอยเดิมนั่นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • 17/1/68

    ‼️กลางปีนี้ บ้านไหนไม่แยกขยะ🏠กทม.จะ #ขึ้นค่าเก็บขยะ เป็น 60 บาทต่อเดือนแล้วนะ‼️

    🏠ใครอยากจ่ายเท่าเดิม 20 บาท 👉 รีบ Save คู่มือ "ฮาวทูทิ้ง" ฉบับกทม. 🚮 แล้วมาเริ่มแยกขยะง่าย ๆ

    ด้วยการระบุข้อความบนถุงขยะ เพื่อความสะดวกในการคัดแยก 🗑️✨

    ++++++++++++
    ประเภทขยะที่ควรรู้
    ++++++++++++

    👉🏼 ขยะทั่วไป เช่น

    ถุงพลาสติกเปื้อนอาหาร 🍟
    ซองบะหมี่ 🍜
    ถุงขนม 🍬
    กล่องโฟม 📦
    ผ้าอ้อมสำเร็จรูป 🍼

    .
    👉🏼 ขยะเศษอาหาร เช่น

    เศษผักผลไม้ 🍎
    เศษอาหาร 🍲
    เศษเนื้อสัตว์ 🍖

    .
    👉🏼 ขยะรีไซเคิล เช่น

    กระดาษ 📄
    พลาสติก ♻️
    แก้ว 🍶
    โลหะ ⚙️

    .
    👉🏼 ขยะอันตราย เช่น

    หลอดไฟ 💡
    แบตเตอรี่ 🔋
    ถ่านไฟฉาย 🔦
    ยาหมดอายุ 💊
    กระป๋องสเปรย์ 🧴
    ขวดน้ำยาล้างห้องน้ำ 🧼
    .
    +++++++++++++++
    คำถามยอดฮิต ❓
    แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าใครแยก/ไม่แยกขยะ ⁉️
    +++++++++++++++

    กทม.จะเปิดให้บ้านที่แยกขยะ ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ #บ้านนี้ไม่เทรวม เพื่อจ่ายค่าขยะลดเหลือ 20 บาทเท่าเดิม 💰

    โดยช่วงกลางเดือน ม.ค.นี้ จะเริ่มเปิดให้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน BKK Waste Pay 📲

    หรือเข้าไปติดต่อที่ฝ่ายรักษาความสะอาดและสวนสาธารณะ สำนักงานเขตที่มีทะเบียนบ้านอยู่ 📋 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ลงทะเบียนในระบบ

    🛠️ โดยกทม.จะมีการตรวจสอบเพื่อยืนยันว่ามีการคัดแยกขยะจริง ✅

    +++++++++++++++
    ทำไมต้องปรับค่าเก็บขยะเพิ่ม?
    +++++++++++++++

    🌿 การปรับค่าธรรมเนียมใหม่จะใช้เฉพาะบ้านที่ไม่คัดแยกขยะเท่านั้น
    เพื่อส่งเสริมการแยกขยะ ลดปริมาณขยะในกรุงเทพฯ และช่วยลดการสร้างก๊าซเรือนกระจก 🌏

    ปัจจุบัน กทม. ต้องรับภาระจัดการขยะในแต่ละวันะเฉลี่ยเกือบหมื่นตัน

    ซึ่งมีใช้ค่าใช้จ่ายในการจัดการขยะอยู่ที่ประมาณ 2,300 บาท/ตัน

    เมื่อปริมาณขยะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การแยกขยะจึงเป็นอีกแนวทางสำคัญที่จะช่วยลดภาระในด้านการจัดการขยะ

    โดยข้อบัญญัติฯ ค่าธรรมเนียมขยะฉบับใหม่ จะมีผลบังคับใช้ในอีก 180 วัน หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งคาดว่าประมาณเดือนมิ.ย. 2568

    .
    📌ค่าธรรมเนียมขยะใหม่ สำหรับบ้านพักอาศัยที่มีขยะไม่เกิน 20 ลิตร/วัน หรือไม่เกิน 4 กก./วัน

    1️⃣ บ้านที่ไม่คัดแยกขยะ
    ค่าธรรมเนียม 60 บาท/เดือน (ค่าเก็บขน 30 บาท + ค่ากำจัด 30 บาท)
    .
    2️⃣ บ้านที่คัดแยกขยะ
    ค่าธรรมเนียม 20 บาท/เดือน (ค่าเก็บขน 10 บาท + ค่ากำจัด 10 บาท)

    +++++++++++++++

    ประโยชน์ของการปรับอัตราค่าขยะ

    ✔️ ลดปริมาณขยะในพื้นที่กรุงเทพฯ
    ✔️ เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการขยะ
    ✔️ พัฒนาคุณภาพชีวิตคนกรุงเทพฯ
    ✔️ ลดการสร้างก๊าซเรือนกระจก

    เริ่มต้นแยกขยะวันนี้ นอกจากไม่ต้องค่าขยะเพิ่มแล้ว
    ยังช่วยโลก ช่วยสิ่งแวดล้อม ได้เยอะเลย ✨🌱
    17/1/68 ‼️กลางปีนี้ บ้านไหนไม่แยกขยะ🏠กทม.จะ #ขึ้นค่าเก็บขยะ เป็น 60 บาทต่อเดือนแล้วนะ‼️ 🏠ใครอยากจ่ายเท่าเดิม 20 บาท 👉 รีบ Save คู่มือ "ฮาวทูทิ้ง" ฉบับกทม. 🚮 แล้วมาเริ่มแยกขยะง่าย ๆ ด้วยการระบุข้อความบนถุงขยะ เพื่อความสะดวกในการคัดแยก 🗑️✨ ++++++++++++ ประเภทขยะที่ควรรู้ ++++++++++++ 👉🏼 ขยะทั่วไป เช่น ถุงพลาสติกเปื้อนอาหาร 🍟 ซองบะหมี่ 🍜 ถุงขนม 🍬 กล่องโฟม 📦 ผ้าอ้อมสำเร็จรูป 🍼 . 👉🏼 ขยะเศษอาหาร เช่น เศษผักผลไม้ 🍎 เศษอาหาร 🍲 เศษเนื้อสัตว์ 🍖 . 👉🏼 ขยะรีไซเคิล เช่น กระดาษ 📄 พลาสติก ♻️ แก้ว 🍶 โลหะ ⚙️ . 👉🏼 ขยะอันตราย เช่น หลอดไฟ 💡 แบตเตอรี่ 🔋 ถ่านไฟฉาย 🔦 ยาหมดอายุ 💊 กระป๋องสเปรย์ 🧴 ขวดน้ำยาล้างห้องน้ำ 🧼 . +++++++++++++++ คำถามยอดฮิต ❓ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าใครแยก/ไม่แยกขยะ ⁉️ +++++++++++++++ กทม.จะเปิดให้บ้านที่แยกขยะ ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ #บ้านนี้ไม่เทรวม เพื่อจ่ายค่าขยะลดเหลือ 20 บาทเท่าเดิม 💰 โดยช่วงกลางเดือน ม.ค.นี้ จะเริ่มเปิดให้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน BKK Waste Pay 📲 หรือเข้าไปติดต่อที่ฝ่ายรักษาความสะอาดและสวนสาธารณะ สำนักงานเขตที่มีทะเบียนบ้านอยู่ 📋 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ลงทะเบียนในระบบ 🛠️ โดยกทม.จะมีการตรวจสอบเพื่อยืนยันว่ามีการคัดแยกขยะจริง ✅ +++++++++++++++ ทำไมต้องปรับค่าเก็บขยะเพิ่ม? +++++++++++++++ 🌿 การปรับค่าธรรมเนียมใหม่จะใช้เฉพาะบ้านที่ไม่คัดแยกขยะเท่านั้น เพื่อส่งเสริมการแยกขยะ ลดปริมาณขยะในกรุงเทพฯ และช่วยลดการสร้างก๊าซเรือนกระจก 🌏 ปัจจุบัน กทม. ต้องรับภาระจัดการขยะในแต่ละวันะเฉลี่ยเกือบหมื่นตัน ซึ่งมีใช้ค่าใช้จ่ายในการจัดการขยะอยู่ที่ประมาณ 2,300 บาท/ตัน เมื่อปริมาณขยะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การแยกขยะจึงเป็นอีกแนวทางสำคัญที่จะช่วยลดภาระในด้านการจัดการขยะ โดยข้อบัญญัติฯ ค่าธรรมเนียมขยะฉบับใหม่ จะมีผลบังคับใช้ในอีก 180 วัน หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งคาดว่าประมาณเดือนมิ.ย. 2568 . 📌ค่าธรรมเนียมขยะใหม่ สำหรับบ้านพักอาศัยที่มีขยะไม่เกิน 20 ลิตร/วัน หรือไม่เกิน 4 กก./วัน 1️⃣ บ้านที่ไม่คัดแยกขยะ ค่าธรรมเนียม 60 บาท/เดือน (ค่าเก็บขน 30 บาท + ค่ากำจัด 30 บาท) . 2️⃣ บ้านที่คัดแยกขยะ ค่าธรรมเนียม 20 บาท/เดือน (ค่าเก็บขน 10 บาท + ค่ากำจัด 10 บาท) +++++++++++++++ ประโยชน์ของการปรับอัตราค่าขยะ ✔️ ลดปริมาณขยะในพื้นที่กรุงเทพฯ ✔️ เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการขยะ ✔️ พัฒนาคุณภาพชีวิตคนกรุงเทพฯ ✔️ ลดการสร้างก๊าซเรือนกระจก เริ่มต้นแยกขยะวันนี้ นอกจากไม่ต้องค่าขยะเพิ่มแล้ว ยังช่วยโลก ช่วยสิ่งแวดล้อม ได้เยอะเลย ✨🌱
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 407 มุมมอง 0 รีวิว
  • การมองดูชีวิตคนอื่น
    แล้วนำมาเปรียบเทียบ
    กับชีวิตของตัวเอง
    เป็นวิธีง่ายที่สุด
    ที่จะทำให้ตัวเราเป็นทุกข์

    จากหนังสือ |ฉันจะมีชีวิตในแบบของตัวเอง

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก
    #ฉันจะมีชีวิตในแบบของตัวเอง
    การมองดูชีวิตคนอื่น แล้วนำมาเปรียบเทียบ กับชีวิตของตัวเอง เป็นวิธีง่ายที่สุด ที่จะทำให้ตัวเราเป็นทุกข์ จากหนังสือ |ฉันจะมีชีวิตในแบบของตัวเอง #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก #ฉันจะมีชีวิตในแบบของตัวเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ วอน รมต.ขิง สืบให้สุดซอย ว่ามันขายให้ใครไปบ้าง ใครซื้อไปใช้ก่อสร้างที่ไหนบ้าง เพราะมันอาจเกิดอันตราย พังครืนก็ได้ ต้องเตือนภัย-ปกป้องชีวิตคน
    #7ดอกจิก
    ♣ วอน รมต.ขิง สืบให้สุดซอย ว่ามันขายให้ใครไปบ้าง ใครซื้อไปใช้ก่อสร้างที่ไหนบ้าง เพราะมันอาจเกิดอันตราย พังครืนก็ได้ ต้องเตือนภัย-ปกป้องชีวิตคน #7ดอกจิก
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 407 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฟ้าเดียวกันในหนึ่งวัน
    ยังมีหลายเฉดสี
    ชีวิตคนเราชีวิตหนึ่ง
    มีสุขบ้างทุกข์บ้างธรรมดา

    จากหนังสือ |ไม่เอาน่ะอย่าคิดมาก

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก
    #ไม่เอาน่ะอย่าคิดมาก
    ฟ้าเดียวกันในหนึ่งวัน ยังมีหลายเฉดสี ชีวิตคนเราชีวิตหนึ่ง มีสุขบ้างทุกข์บ้างธรรมดา จากหนังสือ |ไม่เอาน่ะอย่าคิดมาก #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก #ไม่เอาน่ะอย่าคิดมาก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 222 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนจะแก่จะป่วยอย่างไร สายตาก็มองไปข้างหน้า..ชีวิตคนไปข้างหน้าตรงไปตามหาเป้าหมาย ตามฝัน
    คนจะแก่จะป่วยอย่างไร สายตาก็มองไปข้างหน้า..ชีวิตคนไปข้างหน้าตรงไปตามหาเป้าหมาย ตามฝัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • 2/1/68

    ความเบิกบาย

    หมอสันต์พูดกับสมาชิกที่มาเข้าแค้มป์ Spiritual Retreat

    สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)หรือพูดอีกอย่างได้ว่าชีวิตนี้ถ้ามีสิ่งเดียวแล้วสิ่งอื่นไม่ต้องมีก็ได้ สิ่งนั้นก็คือความเบิกบาน (Joy) เพราะชีวิตเราทุกวันนี้เรามุ่งหน้าดั้นด้นค้นหาความสุข ซึ่งมันก็ตัวเดียวกับความเบิกบาน การได้ยิ้ม ได้หัวเราะ ได้พบความมหัศจรรย์ (wonder) กับชีวิตนั่นแหละ

    เราจะเบิกบานได้มันมีองค์ประกอบสามสี่อย่าง

    หนึ่ง ก็คือเราต้องยอมรับ (acceptance) ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวของเราให้ได้อย่างไม่มีเงื่อนไขก่อน หากเราไม่ยอมรับ เราก็จะเกร็ง จะสู้ หรือจะหนี นั่นก็คือภาวะเครียด ไม่ใช่เบิกบาน

    สอง ก็คือใจเราต้องสงบเย็น (peace) ให้ได้ก่อน ใจเราไม่สงบเพราะมันมีความคิด ดังนั้นเราต้องฝึกวางความคิดก่อน

    สาม ก็คือเราต้องผ่อนคลาย (relax) กล้ามเนื้อของเราก่อน เอาง่ายๆ ดูที่ใบหน้าของเราก็ได้ กล้ามเนื้ออื่นๆบนใบหน้า 42 มัดต้องผ่อนคลายก่อน กล้ามเนื้อ zygomaticus จึงจะหดตัวให้เรายิ้มที่มุมปากได้

    สี่ ก็คือความเบิกบานมันมีธรรมชาติเป็นความปลาบปลื้มตามหลังการได้แสดงความรักความเมตตา (love) มันตามกันมาโดยเราไม่รู้ตัว แค่เราโปรยข้าวให้ปลากิน หรือแค่เราปลูกต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ให้คนอื่นได้ชื่นชม เราก็ปลื้มแล้ว ความปลื้มนั้นแหละคือ Joy

    สี่อย่างนี้ คือ การยอมรับ ความสงบเย็น ความผ่อนคลาย ความเมตตา หรือถ้าพูดเป็นภาษาอังกฤษก็คือ acceptance, peace, relax, love มันนำมาสู่ความเบิกบาน หรือ joy ซึ่งได้ขาดหายไปจากชีวิตของเรามานานพอควร

    เราจะต้องปะติดปะต่อจิ๊กซอว์สี่ตัวนี้เข้าด้วยกันให้ได้ โดยในแค้มปื Spiritual Retreat นี้เราจะโฟกัสที่การฝึกวางความคิดให้เป็น ซึ่งจะเป็นเหตุนำให้เราสงบเย็น เราจะฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้วย แค่ทำสองอย่างนี้ให้เก่ง อีกสองอย่าง คือการยอมรับและเมตตาธรรม มันจะค่อยๆเกิดขึ้นในใจของเราเองอย่างง่ายๆ เพราะแท้จริงเมตตาธรรมมันเป็นแก่นแท้หรือส่วนลึกที่สุดของใจเราอยู่แล้ว ขอเพียงแต่อย่าให้ความคิดมาเบรคหรือบดบังมันแต่นั้นแหละ

    นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

    ที่มา: บทความสุขภาพ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ | 7 พ.ย. 67
    2/1/68 ความเบิกบาย หมอสันต์พูดกับสมาชิกที่มาเข้าแค้มป์ Spiritual Retreat สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)หรือพูดอีกอย่างได้ว่าชีวิตนี้ถ้ามีสิ่งเดียวแล้วสิ่งอื่นไม่ต้องมีก็ได้ สิ่งนั้นก็คือความเบิกบาน (Joy) เพราะชีวิตเราทุกวันนี้เรามุ่งหน้าดั้นด้นค้นหาความสุข ซึ่งมันก็ตัวเดียวกับความเบิกบาน การได้ยิ้ม ได้หัวเราะ ได้พบความมหัศจรรย์ (wonder) กับชีวิตนั่นแหละ เราจะเบิกบานได้มันมีองค์ประกอบสามสี่อย่าง หนึ่ง ก็คือเราต้องยอมรับ (acceptance) ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวของเราให้ได้อย่างไม่มีเงื่อนไขก่อน หากเราไม่ยอมรับ เราก็จะเกร็ง จะสู้ หรือจะหนี นั่นก็คือภาวะเครียด ไม่ใช่เบิกบาน สอง ก็คือใจเราต้องสงบเย็น (peace) ให้ได้ก่อน ใจเราไม่สงบเพราะมันมีความคิด ดังนั้นเราต้องฝึกวางความคิดก่อน สาม ก็คือเราต้องผ่อนคลาย (relax) กล้ามเนื้อของเราก่อน เอาง่ายๆ ดูที่ใบหน้าของเราก็ได้ กล้ามเนื้ออื่นๆบนใบหน้า 42 มัดต้องผ่อนคลายก่อน กล้ามเนื้อ zygomaticus จึงจะหดตัวให้เรายิ้มที่มุมปากได้ สี่ ก็คือความเบิกบานมันมีธรรมชาติเป็นความปลาบปลื้มตามหลังการได้แสดงความรักความเมตตา (love) มันตามกันมาโดยเราไม่รู้ตัว แค่เราโปรยข้าวให้ปลากิน หรือแค่เราปลูกต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ให้คนอื่นได้ชื่นชม เราก็ปลื้มแล้ว ความปลื้มนั้นแหละคือ Joy สี่อย่างนี้ คือ การยอมรับ ความสงบเย็น ความผ่อนคลาย ความเมตตา หรือถ้าพูดเป็นภาษาอังกฤษก็คือ acceptance, peace, relax, love มันนำมาสู่ความเบิกบาน หรือ joy ซึ่งได้ขาดหายไปจากชีวิตของเรามานานพอควร เราจะต้องปะติดปะต่อจิ๊กซอว์สี่ตัวนี้เข้าด้วยกันให้ได้ โดยในแค้มปื Spiritual Retreat นี้เราจะโฟกัสที่การฝึกวางความคิดให้เป็น ซึ่งจะเป็นเหตุนำให้เราสงบเย็น เราจะฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้วย แค่ทำสองอย่างนี้ให้เก่ง อีกสองอย่าง คือการยอมรับและเมตตาธรรม มันจะค่อยๆเกิดขึ้นในใจของเราเองอย่างง่ายๆ เพราะแท้จริงเมตตาธรรมมันเป็นแก่นแท้หรือส่วนลึกที่สุดของใจเราอยู่แล้ว ขอเพียงแต่อย่าให้ความคิดมาเบรคหรือบดบังมันแต่นั้นแหละ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ที่มา: บทความสุขภาพ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ | 7 พ.ย. 67
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 244 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไตรรงค์ นำตร.ไซเบอร์ ปราบคอนเทนต์ขยะ ดับซ่า แอล โอรส
    .
    การตายสุดดราม่าของ “แบงค์ เลสเตอร์” ที่ตกเป็นเหยื่อของ “คอนเทนต์ขยะ” จนต้องสังเวยชีวิต
    ไปๆ มาๆ บานปลาย มีคนที่ต้องโดนคดีต่อเนื่องเป็นลูกโซ่
    .
    ไม่ใช่แค่แก๊งอินฟลูฯ เจ้าของคอนเทนต์ขยะเท่านั้น แต่ลามไปถึงคนที่เข้ามาล้างแค้นให้ แบงค์ เลสเตอร์ ด้วย
    .
    คนๆ นั้น ก็คือ นักเลงดังนาม “แอล โอรส” เจ้าของฉายา “รถถังฝั่งธน” ซึ่งปรากฏตัวที่วัดออเงิน ในงานศพวันแรกของแบงค์ เลสเตอร์ พร้อมกับชาวแก๊งตัวลายพร้อย
    แอล โอรส ประกาศจองกฐิน “เบิร์ด วันว่างๆ” กลางวัด โทษฐานที่เบิร์ดเป็นตัวพ่อของคอนเทนต์ขยะ ชอบเอาแบงค์ เลสเตอร์ เป็นตัวชูโรง
    .
    แม้ “เบิร์ด วันว่างๆ” จะนกรู้ไม่ยอมย่างกรายไปวัด แต่สุดท้ายเขาก็ไม่รอดอยู่ดี โดนชาวแก๊ง ตามไปยำตีน ถ่ายคลิปเอามาแพร่
    .
    พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. หรือตำรวจไซเบอร์ เลยต้องออกโรง ใช้กฎหมายดำเนินคดีกับทุกคนที่เกี่ยวข้อง
    ไล่ตั้งแต่พวกทำคอนเทนต์ขยะ อย่าง “เบิร์ด วันว่างๆ” หรือนายธีระวัฒน์ ศรีรอง โดนข้อหานำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีลักษณะอันลามก
    .
    เพราะตำรวจเจอหลักฐาน เบิร์ดโพสต์ภาพแบงค์ เลสเตอร์ โดนกลั่นแกล้งให้เปลือยกายล่อนจ้อน
    และ บก.ปคม. ก็จะจัดการ “เบิร์ด วันว่างๆ” ข้อหาค้ามนุษย์ด้วย เนื่องจากเห็นว่าได้รับประโยชน์โดยมิชอบ จากการแพร่ภาพเปลือยของแบงค์ เลสเตอร์
    .
    ส่วน “เอ็ม เอกชาติ” หรือนายเอกชาติ มีพร้อม ที่จ้างแบงค์ เลสเตอร์ กินเหล้า จนเสียชีวิต โดนข้อหาประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
    พ่วงด้วยข้อหาโฆษณาเว็บพนัน เพราะมีพฤติกรรมแปะลิงค์เชิญชวนเล่นพนัน บนคอนเทนต์ขยะของตัว
    .
    ทั้งนี้ ประวัติของเอ็ม เอกชาติ เป็นคนสีเทาชัดเจน เคยถูก ป.ป.ง. ยึดทรัพย์รถซุเปอร์คาร์และอื่นๆ รวม 45 ล้านบาท
    จากพฤติกรรมเป็นเครือข่ายให้เว็บพนันของ “อั้ม” นายภูมิพัฒน์ ประเสริฐวิทย์ สามีของนางเอก “แยม” ธมลพรรณ ซึ่งตอนนี้ สองผัวเมียก็ยังติดคุกคดีเว็บพนันอยู่
    .
    ตำรวจไซเบอร์ ยังตามไปจัดการนักเลงอย่างแอล โอรส หรือนายศราวุธ ศรีกำเนิด เอาผิดข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากการปล่อยคลิปยำตีนเบิร์ด วันว่างๆ
    .
    ส่วนตำรวจนครบาลก็มุ่งขยายผล เอาผิดข้อหาทำร้ายร่างกายเบิร์ด วันว่างๆ เบื้องต้น เหยื่อตีนอ้างว่า จำได้ มีใครบ้างที่ทำร้ายเขา
    .
    นี่คือบทบาทที่น่าชื่นชมของ ผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์ผู้มาใหม่ อย่าง พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ที่รีบใช้กฎหมายออกมาปรามอย่างทันท่วงที เพื่อไม่ให้เหล่าคนสีเทา แสดงตัวครองเมือง จัดการกันเอง
    จนเป็น “คอนเทนต์ขยะ” ซ้อน “คอนเทนต์ขยะ” แบบว่า มึงรังแกคนอ่อนแอก่อนเหรอ กูก็จะมารังแกมึงมั่ง ถ่ายคลิปมั่ง ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง
    .
    ที่ผ่านมา พล.ต.ท.ไตรรงค์ ถือเป็นหน้าตาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้กล้าในการนำทีมบุกค้นบ้านของบิ๊กโจ๊ก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ซึ่งชื่อชั้นใหญ่กว่า พล.ต.ท.ไตรรงค์ อย่างเทียบกันไม่ได้
    .
    งานแบบนี้ ไม่กล้าหาญจริง ทำไม่ได้ และหากพยานหลักฐานไม่แน่นหนาเพียงพอจะมัดบิ๊กโจ๊ก พล.ต.ท.ไตรรงค์ ก็มีสิทธิ์ถูกเอาคืนถึงหมดอนาคต
    .
    แต่รู้ทั้งรู้ พล.ต.ท.ไตรรงค์ก็กล้าเดินเข้าบ้านบิ๊กโจ๊ก และเก็บหลักฐานสำคัญในคดีฟอกเงินและรับส่วยเว็บพนัน กลับออกมาเพียบ
    .
    ทั้งนี้ การตายของแบงค์ เลสเตอร์ อย่างน้อยก็มีคุณูปการต่อสังคมไทย ไม่ใช่การตายที่สูญเปล่า
    เพราะช่วยเปิดโปงให้เห็นถึงเครือข่ายคนสีเทา ที่มีวิธีการปั่นกระแสด้วยชีวิตคน เพื่อโกยเงินจากการพนันออนไลน์
    .
    เปิดโอกาสให้ตำรวจไซเบอร์เข้าไปกวาดล้างคนสีเทาพวกนี้ ไม่ให้ลอยหน้าลอยตา เป็นคนเด่นดัง ทั้งที่ก่อกรรมทำเข็ญกับชีวิตคน และหากินกับความฉิบหายของลูกหลานไทย
    ..............
    Sondhi X
    ไตรรงค์ นำตร.ไซเบอร์ ปราบคอนเทนต์ขยะ ดับซ่า แอล โอรส . การตายสุดดราม่าของ “แบงค์ เลสเตอร์” ที่ตกเป็นเหยื่อของ “คอนเทนต์ขยะ” จนต้องสังเวยชีวิต ไปๆ มาๆ บานปลาย มีคนที่ต้องโดนคดีต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ . ไม่ใช่แค่แก๊งอินฟลูฯ เจ้าของคอนเทนต์ขยะเท่านั้น แต่ลามไปถึงคนที่เข้ามาล้างแค้นให้ แบงค์ เลสเตอร์ ด้วย . คนๆ นั้น ก็คือ นักเลงดังนาม “แอล โอรส” เจ้าของฉายา “รถถังฝั่งธน” ซึ่งปรากฏตัวที่วัดออเงิน ในงานศพวันแรกของแบงค์ เลสเตอร์ พร้อมกับชาวแก๊งตัวลายพร้อย แอล โอรส ประกาศจองกฐิน “เบิร์ด วันว่างๆ” กลางวัด โทษฐานที่เบิร์ดเป็นตัวพ่อของคอนเทนต์ขยะ ชอบเอาแบงค์ เลสเตอร์ เป็นตัวชูโรง . แม้ “เบิร์ด วันว่างๆ” จะนกรู้ไม่ยอมย่างกรายไปวัด แต่สุดท้ายเขาก็ไม่รอดอยู่ดี โดนชาวแก๊ง ตามไปยำตีน ถ่ายคลิปเอามาแพร่ . พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. หรือตำรวจไซเบอร์ เลยต้องออกโรง ใช้กฎหมายดำเนินคดีกับทุกคนที่เกี่ยวข้อง ไล่ตั้งแต่พวกทำคอนเทนต์ขยะ อย่าง “เบิร์ด วันว่างๆ” หรือนายธีระวัฒน์ ศรีรอง โดนข้อหานำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีลักษณะอันลามก . เพราะตำรวจเจอหลักฐาน เบิร์ดโพสต์ภาพแบงค์ เลสเตอร์ โดนกลั่นแกล้งให้เปลือยกายล่อนจ้อน และ บก.ปคม. ก็จะจัดการ “เบิร์ด วันว่างๆ” ข้อหาค้ามนุษย์ด้วย เนื่องจากเห็นว่าได้รับประโยชน์โดยมิชอบ จากการแพร่ภาพเปลือยของแบงค์ เลสเตอร์ . ส่วน “เอ็ม เอกชาติ” หรือนายเอกชาติ มีพร้อม ที่จ้างแบงค์ เลสเตอร์ กินเหล้า จนเสียชีวิต โดนข้อหาประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย พ่วงด้วยข้อหาโฆษณาเว็บพนัน เพราะมีพฤติกรรมแปะลิงค์เชิญชวนเล่นพนัน บนคอนเทนต์ขยะของตัว . ทั้งนี้ ประวัติของเอ็ม เอกชาติ เป็นคนสีเทาชัดเจน เคยถูก ป.ป.ง. ยึดทรัพย์รถซุเปอร์คาร์และอื่นๆ รวม 45 ล้านบาท จากพฤติกรรมเป็นเครือข่ายให้เว็บพนันของ “อั้ม” นายภูมิพัฒน์ ประเสริฐวิทย์ สามีของนางเอก “แยม” ธมลพรรณ ซึ่งตอนนี้ สองผัวเมียก็ยังติดคุกคดีเว็บพนันอยู่ . ตำรวจไซเบอร์ ยังตามไปจัดการนักเลงอย่างแอล โอรส หรือนายศราวุธ ศรีกำเนิด เอาผิดข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากการปล่อยคลิปยำตีนเบิร์ด วันว่างๆ . ส่วนตำรวจนครบาลก็มุ่งขยายผล เอาผิดข้อหาทำร้ายร่างกายเบิร์ด วันว่างๆ เบื้องต้น เหยื่อตีนอ้างว่า จำได้ มีใครบ้างที่ทำร้ายเขา . นี่คือบทบาทที่น่าชื่นชมของ ผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์ผู้มาใหม่ อย่าง พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ที่รีบใช้กฎหมายออกมาปรามอย่างทันท่วงที เพื่อไม่ให้เหล่าคนสีเทา แสดงตัวครองเมือง จัดการกันเอง จนเป็น “คอนเทนต์ขยะ” ซ้อน “คอนเทนต์ขยะ” แบบว่า มึงรังแกคนอ่อนแอก่อนเหรอ กูก็จะมารังแกมึงมั่ง ถ่ายคลิปมั่ง ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง . ที่ผ่านมา พล.ต.ท.ไตรรงค์ ถือเป็นหน้าตาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้กล้าในการนำทีมบุกค้นบ้านของบิ๊กโจ๊ก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ซึ่งชื่อชั้นใหญ่กว่า พล.ต.ท.ไตรรงค์ อย่างเทียบกันไม่ได้ . งานแบบนี้ ไม่กล้าหาญจริง ทำไม่ได้ และหากพยานหลักฐานไม่แน่นหนาเพียงพอจะมัดบิ๊กโจ๊ก พล.ต.ท.ไตรรงค์ ก็มีสิทธิ์ถูกเอาคืนถึงหมดอนาคต . แต่รู้ทั้งรู้ พล.ต.ท.ไตรรงค์ก็กล้าเดินเข้าบ้านบิ๊กโจ๊ก และเก็บหลักฐานสำคัญในคดีฟอกเงินและรับส่วยเว็บพนัน กลับออกมาเพียบ . ทั้งนี้ การตายของแบงค์ เลสเตอร์ อย่างน้อยก็มีคุณูปการต่อสังคมไทย ไม่ใช่การตายที่สูญเปล่า เพราะช่วยเปิดโปงให้เห็นถึงเครือข่ายคนสีเทา ที่มีวิธีการปั่นกระแสด้วยชีวิตคน เพื่อโกยเงินจากการพนันออนไลน์ . เปิดโอกาสให้ตำรวจไซเบอร์เข้าไปกวาดล้างคนสีเทาพวกนี้ ไม่ให้ลอยหน้าลอยตา เป็นคนเด่นดัง ทั้งที่ก่อกรรมทำเข็ญกับชีวิตคน และหากินกับความฉิบหายของลูกหลานไทย .............. Sondhi X
    Like
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1720 มุมมอง 0 รีวิว
  • โลกออนไลน์กลับมาแชร์อีกครั้งคลิป “แบงค์ เลสเตอร์” เคยโพสต์ข้อความสุดเศร้าเมื่อปีที่แล้ว ระบุ “ชีวิตคนเราไม่สามารถเลือกเกิดได้ครับ ผมยอมโดนแกล้ง โดนดูถูก เพื่อแลกกับเงินมาจุนเจือครอบครัว”

    จากกรณี “แบงค์ เลสเตอร์” อินฟลูเอนเซอร์และคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่โด่งดังจากแร็ปขายพวงมาลัยเลี้ยงดูแลคุณยาย ที่ต้องมาจบชีวิตลงเพราะคาดว่ามาจากการถูกจ้างดื่มเหล้าให้หมดแบนจากกลุ่มอินฟลูฯ ตลาดล่าง ทำคอนเทนต์ขยะเพื่อแลกเงิน 3 หมื่น จนกลายเป็นประเด็นที่ถูกวิพากวิจารณ์ดังที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

    ล่าสุด วันนี้ (27 ธ.ค.) โลกออนไลน์ได้นำคลิปจาก TikTok ส่วนตัวของ “แบงค์ เลสเตอร์” กลับมาแชร์อีกครั้ง ซึ่งเป็นคลิปที่แบงค์ ถูกกลุ่มอินฟลูฯ ตลาดล่าง อย่าง “เบิร์ด วันว่างๆ” ทำคอนเทนต์แกล้งโดนการนำลูกแตงโมยีหัว พร้อมใส่เพลง ยิ้ม (Pretend) ศิลปิน โอ๊ต ปราโมทย์ - ป๊อบ ปองกูล กับเนื้อหาเพลงสุดเศร้า

    และนอกจากนี้ ระบุข้อความในแคปชันว่า “ชีวิตคนเราไม่สามารถเลือกเกิดได้ครับ .. ผมยอมโดนแกล้ง โดนดูถูก .. เพื่อแลกกับเงินมาจุนเจือครอบครัว ✌️✌️✌️”

    #MGROnline #แบงค์เลสเตอร์
    โลกออนไลน์กลับมาแชร์อีกครั้งคลิป “แบงค์ เลสเตอร์” เคยโพสต์ข้อความสุดเศร้าเมื่อปีที่แล้ว ระบุ “ชีวิตคนเราไม่สามารถเลือกเกิดได้ครับ ผมยอมโดนแกล้ง โดนดูถูก เพื่อแลกกับเงินมาจุนเจือครอบครัว” • จากกรณี “แบงค์ เลสเตอร์” อินฟลูเอนเซอร์และคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่โด่งดังจากแร็ปขายพวงมาลัยเลี้ยงดูแลคุณยาย ที่ต้องมาจบชีวิตลงเพราะคาดว่ามาจากการถูกจ้างดื่มเหล้าให้หมดแบนจากกลุ่มอินฟลูฯ ตลาดล่าง ทำคอนเทนต์ขยะเพื่อแลกเงิน 3 หมื่น จนกลายเป็นประเด็นที่ถูกวิพากวิจารณ์ดังที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น • ล่าสุด วันนี้ (27 ธ.ค.) โลกออนไลน์ได้นำคลิปจาก TikTok ส่วนตัวของ “แบงค์ เลสเตอร์” กลับมาแชร์อีกครั้ง ซึ่งเป็นคลิปที่แบงค์ ถูกกลุ่มอินฟลูฯ ตลาดล่าง อย่าง “เบิร์ด วันว่างๆ” ทำคอนเทนต์แกล้งโดนการนำลูกแตงโมยีหัว พร้อมใส่เพลง ยิ้ม (Pretend) ศิลปิน โอ๊ต ปราโมทย์ - ป๊อบ ปองกูล กับเนื้อหาเพลงสุดเศร้า • และนอกจากนี้ ระบุข้อความในแคปชันว่า “ชีวิตคนเราไม่สามารถเลือกเกิดได้ครับ .. ผมยอมโดนแกล้ง โดนดูถูก .. เพื่อแลกกับเงินมาจุนเจือครอบครัว ✌️✌️✌️” • #MGROnline #แบงค์เลสเตอร์
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 505 มุมมอง 0 รีวิว
  • โลกออนไลน์กลับมาแชร์อีกครั้งคลิป “แบงค์ เลสเตอร์” เคยโพสต์ข้อความสุดเศร้าเมื่อปีที่แล้ว ระบุ “ชีวิตคนเราไม่สามารถเลือกเกิดได้ครับ ผมยอมโดนแกล้ง โดนดูถูก เพื่อแลกกับเงินมาจุนเจือครอบครัว”

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000124481

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    โลกออนไลน์กลับมาแชร์อีกครั้งคลิป “แบงค์ เลสเตอร์” เคยโพสต์ข้อความสุดเศร้าเมื่อปีที่แล้ว ระบุ “ชีวิตคนเราไม่สามารถเลือกเกิดได้ครับ ผมยอมโดนแกล้ง โดนดูถูก เพื่อแลกกับเงินมาจุนเจือครอบครัว” อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000124481 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 391 มุมมอง 0 รีวิว
  • บุคคลเปราะบาง เหยื่อคอนเทนต์

    การเสียชีวิตของนายธนาคาร คันธี หรือแบงค์ เลสเตอร์ อินฟลูเอนเซอร์วัย 27 ปี เมื่อเวลา 03.40 น. วันที่ 26 ธ.ค. 2567 หลังรับคำท้าดื่มสุรา 350 มิลลิลิตรแบบรวดเดียวหมดแบน เพื่อแลกกับเงิน 30,000 บาท แล้วเกิดพิษแอลกอฮอล์เฉียบพลัน ภายในงานเลี้ยงร้านออมสินการเกษตร ของนายเอกชาติ มีพร้อม หรือเอ็ม เอกชาติ ตั้งอยู่ที่หมู่ 3 ต.ทุ่งเบญจา อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ซึ่งวันเกิดเหตุ แบงค์ เลสเตอร์ มากับนายธีระวัฒน์ ศรีรอด หรือเบิร์ด วันว่างๆ อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง

    ที่น่าเศร้าก็คือ ครั้งหนึ่งแบงค์ เลสเตอร์ เคยโพสต์ข้อความว่า "ชีวิตคนเราไม่สามารถเลือกเกิดได้ ผมยอมโดนแกล้ง ยอมโดนดูถูก เพื่อแลกกับเงินมาจุนเจือครอบครัว" พร้อมกับคลิปที่ตัวเองโดนแกล้งเอาแตงโมมาลูบหน้าบนช่องติ๊กต็อกเมื่อวันที่ 10 ต.ค. 2566 สังคมไทยเริ่มตื่นรู้กับพฤติกรรมที่เรียกว่าสวนสัตว์มนุษย์ (Human Zoo) ยุคนี้หมายถึงการนำบุคคลเปราะบางมากลั่นแกล้งแล้วผลิตคอนเทนต์เพื่อความบันเทิง แลกกับชื่อเสียงในวงการและรายได้ที่ตามมา

    ที่ผ่านมามีวีดีโอคลิปที่แบงค์ เลสเตอร์ ถูกอินฟลูเอนเซอร์บางคนกลั่นแกล้งเพื่อความสนุกในรูปแบบต่างๆ ทั้งการทำร้ายร่างกายหรือปะทะด้วยสิ่งของ การบังคับให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กินเจลหล่อลื่นที่ใช้ในการเพศสัมพันธ์ การนำปัสสาวะผสมเบียร์แล้วหลอกให้ดื่ม ต่างกรรมต่างวาระ แม้จะอ้างได้ว่าแบงค์ เลสเตอร์ ยินยอม แต่เป็นการยินยอมในลักษณะทำเพื่อเงิน ถูกบังคับทางอ้อมเพราะเป็นบุคคลเปราะบาง

    ที่น่าเศร้าก็คือ ยังมีคนที่เสพคอนเทนต์แบบนี้ เคยเหยียดบุคคลเปราะบาง เคยกดถูกใจ กดไลค์กดแชร์เพราะตลกขบขัน สะใจ ให้ความบันเทิงสนุกสนาน ไร้การกลั่นกรอง ปราศจากความรับผิดชอบ หนำซ้ำอัลกอริทึม (Algorithm) ของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ ทำให้อินฟลูเอนเซอร์ผู้กระทำมีชื่อเสียงขึ้นมา โซเชียลมีเดียตะวันตกแทบทุกค่าย ล้วนคัดเลือกคอนเทนต์เฉพาะสิ่งที่ผู้ใช้งานสนใจ หรืออยากรู้อยากเห็น แล้วระบบจะปรับจูนให้ ในขณะที่คอนเทนต์ดีๆ ถ้าไม่ใช้เงินซื้อจำนวนมากก็แทบถูกปิดกั้น

    เมื่อยอดไลค์ ยอดแชร์ ยอดวิว ทำให้อินฟลูเอนเซอร์บางคนหิวกระหาย ทำอะไรก็ได้เพื่อให้มีคนดู แต่ลืมความเป็นมนุษย์ จึงเกิดเหตุสลดขึ้นถึงขั้นพรากชีวิตไป แม้จะมีเสียงเรียกร้องให้เลิกสนับสนุนอินฟลูเอนเซอร์ที่ไร้ความรับผิดชอบต่อเยาวชนและสังคม หันมาสนับสนุนคนทำคอนเทนต์ดีๆ แต่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียไม่ดันให้ หนำซ้ำสังคมไทยเป็นพวกมือถือสากปากถือศีล ปากบอกว่าไม่แต่ใจถลำลึก วันเวลาผ่านไปเมื่อมีเหตุการณ์ใหม่เข้ามา สุดท้ายเรื่องนี้ก็ถูกลืมจากสังคม จางหายไปกับสายลมเช่นเคย

    #Newskit
    บุคคลเปราะบาง เหยื่อคอนเทนต์ การเสียชีวิตของนายธนาคาร คันธี หรือแบงค์ เลสเตอร์ อินฟลูเอนเซอร์วัย 27 ปี เมื่อเวลา 03.40 น. วันที่ 26 ธ.ค. 2567 หลังรับคำท้าดื่มสุรา 350 มิลลิลิตรแบบรวดเดียวหมดแบน เพื่อแลกกับเงิน 30,000 บาท แล้วเกิดพิษแอลกอฮอล์เฉียบพลัน ภายในงานเลี้ยงร้านออมสินการเกษตร ของนายเอกชาติ มีพร้อม หรือเอ็ม เอกชาติ ตั้งอยู่ที่หมู่ 3 ต.ทุ่งเบญจา อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ซึ่งวันเกิดเหตุ แบงค์ เลสเตอร์ มากับนายธีระวัฒน์ ศรีรอด หรือเบิร์ด วันว่างๆ อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง ที่น่าเศร้าก็คือ ครั้งหนึ่งแบงค์ เลสเตอร์ เคยโพสต์ข้อความว่า "ชีวิตคนเราไม่สามารถเลือกเกิดได้ ผมยอมโดนแกล้ง ยอมโดนดูถูก เพื่อแลกกับเงินมาจุนเจือครอบครัว" พร้อมกับคลิปที่ตัวเองโดนแกล้งเอาแตงโมมาลูบหน้าบนช่องติ๊กต็อกเมื่อวันที่ 10 ต.ค. 2566 สังคมไทยเริ่มตื่นรู้กับพฤติกรรมที่เรียกว่าสวนสัตว์มนุษย์ (Human Zoo) ยุคนี้หมายถึงการนำบุคคลเปราะบางมากลั่นแกล้งแล้วผลิตคอนเทนต์เพื่อความบันเทิง แลกกับชื่อเสียงในวงการและรายได้ที่ตามมา ที่ผ่านมามีวีดีโอคลิปที่แบงค์ เลสเตอร์ ถูกอินฟลูเอนเซอร์บางคนกลั่นแกล้งเพื่อความสนุกในรูปแบบต่างๆ ทั้งการทำร้ายร่างกายหรือปะทะด้วยสิ่งของ การบังคับให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กินเจลหล่อลื่นที่ใช้ในการเพศสัมพันธ์ การนำปัสสาวะผสมเบียร์แล้วหลอกให้ดื่ม ต่างกรรมต่างวาระ แม้จะอ้างได้ว่าแบงค์ เลสเตอร์ ยินยอม แต่เป็นการยินยอมในลักษณะทำเพื่อเงิน ถูกบังคับทางอ้อมเพราะเป็นบุคคลเปราะบาง ที่น่าเศร้าก็คือ ยังมีคนที่เสพคอนเทนต์แบบนี้ เคยเหยียดบุคคลเปราะบาง เคยกดถูกใจ กดไลค์กดแชร์เพราะตลกขบขัน สะใจ ให้ความบันเทิงสนุกสนาน ไร้การกลั่นกรอง ปราศจากความรับผิดชอบ หนำซ้ำอัลกอริทึม (Algorithm) ของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ ทำให้อินฟลูเอนเซอร์ผู้กระทำมีชื่อเสียงขึ้นมา โซเชียลมีเดียตะวันตกแทบทุกค่าย ล้วนคัดเลือกคอนเทนต์เฉพาะสิ่งที่ผู้ใช้งานสนใจ หรืออยากรู้อยากเห็น แล้วระบบจะปรับจูนให้ ในขณะที่คอนเทนต์ดีๆ ถ้าไม่ใช้เงินซื้อจำนวนมากก็แทบถูกปิดกั้น เมื่อยอดไลค์ ยอดแชร์ ยอดวิว ทำให้อินฟลูเอนเซอร์บางคนหิวกระหาย ทำอะไรก็ได้เพื่อให้มีคนดู แต่ลืมความเป็นมนุษย์ จึงเกิดเหตุสลดขึ้นถึงขั้นพรากชีวิตไป แม้จะมีเสียงเรียกร้องให้เลิกสนับสนุนอินฟลูเอนเซอร์ที่ไร้ความรับผิดชอบต่อเยาวชนและสังคม หันมาสนับสนุนคนทำคอนเทนต์ดีๆ แต่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียไม่ดันให้ หนำซ้ำสังคมไทยเป็นพวกมือถือสากปากถือศีล ปากบอกว่าไม่แต่ใจถลำลึก วันเวลาผ่านไปเมื่อมีเหตุการณ์ใหม่เข้ามา สุดท้ายเรื่องนี้ก็ถูกลืมจากสังคม จางหายไปกับสายลมเช่นเคย #Newskit
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 752 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ไอ่พวกเฮี้ย
    เล่นกับชีวิตคน
    ไอ่SUSกะหมา
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #ไอ่พวกเฮี้ย เล่นกับชีวิตคน ไอ่SUSกะหมา #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 195 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เอ็ม เอกชาติ” ลูกชายเจ้าของงานที่ "แบงค์ เลสเตอร์" ได้ไปร่วมงานก่อนเสียชีวิต โพสต์อาลัยการสูญเสียครั้ง พร้อมรับผิดชอบ ยันจะดูแลยาย-แม่ แทนน้องแบงค์

    จากกรณีข่าวการเสียชีวิตของ "แบงค์ เลสเตอร์" หนุ่มอินฟลูฯ และคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่โด่งดังจากแร็ปขายพวงมาลัยเลี้ยงคุณยาย ที่ต้องมาจบชีวิตลงเพราะคาดว่ามาจากการถูกจ้างดื่มเหล้าให้หมดแบน เพื่อแลกเงิน 3 หมื่น

    ล่าสุด วันนี้ (26 ธ.ค.) เฟซบุ๊ก “เอ็ม เอกชาติ” อินฟลูเอนเซอร์และคอนเทนต์ครีเอเตอร์สายแข่งรถชื่อดังจากจังหวัดจันทบุรี และเป็นลูกชายเจ้าของงานที่ "แบงค์ เลสเตอร์" ได้ไปร่วมงานในวันเกิดเหตุ ได้ออกมาโพสต์กรณีการสูญเสียที่เกิดขึ้น ระบุว่า “พี่มาส่งมึงได้แค่นี้นะน้องชาย ไปสบายนะไม่ต้องเหนื่อยไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว ถึงเราจะรู้จักกันได้ไม่นานแต่น้องนิสัยดีมากพี่รับรู้ได้ ไม่ต้องห่วงอะไรนะเดี๋ยวพวกพี่จะดูแลต่อให้ ชาติหน้าเรามาเป็นพี่น้องกันใหม่นะ ไปสู่สุขคตินะน้องชาย

    และโพสต์เพิ่มเติมว่า “ไม่มีไครอยากไห้เกิดเรื่องแบบนี้หลอกครับ ชีวิตคนทั้งคน ผมเองเสียใจมากกว่าพวกคุณอีก น้องมางานผม 2 ครั้ง ผมให้เงินน้องใช้ทุกครั้ง ไม่เคยด่อยค่าน้องเลย น้องนิสัยดีมาก ส่วนเรื่องรับผิดชอบผมเป็นเจ้าของงานผมต้องรับผิดชอบแน่นอนครับ ผมจะดูแลยาย ดูแลแม่ น้องต่อจากน้องเองครับ”

    #MGROnline #แบงค์เลสเตอร์
    “เอ็ม เอกชาติ” ลูกชายเจ้าของงานที่ "แบงค์ เลสเตอร์" ได้ไปร่วมงานก่อนเสียชีวิต โพสต์อาลัยการสูญเสียครั้ง พร้อมรับผิดชอบ ยันจะดูแลยาย-แม่ แทนน้องแบงค์ • จากกรณีข่าวการเสียชีวิตของ "แบงค์ เลสเตอร์" หนุ่มอินฟลูฯ และคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่โด่งดังจากแร็ปขายพวงมาลัยเลี้ยงคุณยาย ที่ต้องมาจบชีวิตลงเพราะคาดว่ามาจากการถูกจ้างดื่มเหล้าให้หมดแบน เพื่อแลกเงิน 3 หมื่น • ล่าสุด วันนี้ (26 ธ.ค.) เฟซบุ๊ก “เอ็ม เอกชาติ” อินฟลูเอนเซอร์และคอนเทนต์ครีเอเตอร์สายแข่งรถชื่อดังจากจังหวัดจันทบุรี และเป็นลูกชายเจ้าของงานที่ "แบงค์ เลสเตอร์" ได้ไปร่วมงานในวันเกิดเหตุ ได้ออกมาโพสต์กรณีการสูญเสียที่เกิดขึ้น ระบุว่า “พี่มาส่งมึงได้แค่นี้นะน้องชาย ไปสบายนะไม่ต้องเหนื่อยไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว ถึงเราจะรู้จักกันได้ไม่นานแต่น้องนิสัยดีมากพี่รับรู้ได้ ไม่ต้องห่วงอะไรนะเดี๋ยวพวกพี่จะดูแลต่อให้ ชาติหน้าเรามาเป็นพี่น้องกันใหม่นะ ไปสู่สุขคตินะน้องชาย • และโพสต์เพิ่มเติมว่า “ไม่มีไครอยากไห้เกิดเรื่องแบบนี้หลอกครับ ชีวิตคนทั้งคน ผมเองเสียใจมากกว่าพวกคุณอีก น้องมางานผม 2 ครั้ง ผมให้เงินน้องใช้ทุกครั้ง ไม่เคยด่อยค่าน้องเลย น้องนิสัยดีมาก ส่วนเรื่องรับผิดชอบผมเป็นเจ้าของงานผมต้องรับผิดชอบแน่นอนครับ ผมจะดูแลยาย ดูแลแม่ น้องต่อจากน้องเองครับ” • #MGROnline #แบงค์เลสเตอร์
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 352 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลายเป็นดรามาเดือดบนโลกออนไลน์ กรณีการเสียชีวิตของ “แบงค์ เลสเตอร์” หรือ “ธนาคาร คันธี” วัย 21 ปี อินฟลูเอนเซอร์ที่ดังจากการแรปขายพวงมาลัยเลี้ยงคุณยาย เสียชีวิตจากการช็อกดับ หลังถูกจ้างให้ดื่มเหล้าหมดแบน แลกเงิน 3 หมื่นบาท

    ด้านผกก.ชื่อดังอย่าง “พชร์ อานนท์” ที่เคยมีประเด็นกับแบงค์ เลสเตอร์ในปี 66 ได้โพสต์ข้อความอาลัย ยอมรับตกใจที่เห็นข่าวนี้ “RIP เห็นข่าวแล้วตกใจเหมือนกัน ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวอะไรกับน้องเลย แต่เห็นน้องใช้ชีวิตแล้วน่าเป็นห่วงมาก เห็นในตต(ติ๊กต๊อก) บ่อยๆ เสียใจกับการจากไป ขออโหสิกรรมน้องด้วยที่เคยเป็นข่าวตอนนั้น พี่ไม่ได้ว่าอะไรกับน้องเลยก็บอกไปตามตรงว่าไม่รู้ว่า ขึ้นสวรรค์เป็นเทวดาน้อยๆ นะน้องนะ น้องอยู่วัดไหนอยากส่งพวงหรีดไปให้ ใครรู้บอกหน่อยนะ!! อนิจจาชีวิตคนเราไม่แน่นอนจริงๆ”อย่างไรก็ตาม ในเดือนก.พ.ปี 66 พชร์ อานนท์ ได้ออกมาโพสต์ข้อความถึงรายการตีสิบ หลังได้เชิญ แบงค์ เลสเตอร์ ซึ่งอ้างว่าได้เสนอขายพวงมาลัยให้กับพชร์ อานนท์ และร้องแรปให้พชร์ฟัง จนพชร์สนใจ บอกให้มาร่วมแคสติ้งงานหนังด้วยกัน จนกระทั่งแคสงานผ่าน ได้เล่นหนังของพชร์ อานนท์ ซึ่งตอนนั้นเจ้าตัวยืนยันไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า แล้วจะชวนเข้าวงการได้อย่างไร พร้อมฉะตีสิบก่อนเสนอข่าวให้หาข้อมูลหน่อยได้ไหม และขอให้น้องหยุดเอาชื่อตนเองไปแอบอ้าง

    #MGROnline #แบงค์เลสเตอร์
    กลายเป็นดรามาเดือดบนโลกออนไลน์ กรณีการเสียชีวิตของ “แบงค์ เลสเตอร์” หรือ “ธนาคาร คันธี” วัย 21 ปี อินฟลูเอนเซอร์ที่ดังจากการแรปขายพวงมาลัยเลี้ยงคุณยาย เสียชีวิตจากการช็อกดับ หลังถูกจ้างให้ดื่มเหล้าหมดแบน แลกเงิน 3 หมื่นบาท • ด้านผกก.ชื่อดังอย่าง “พชร์ อานนท์” ที่เคยมีประเด็นกับแบงค์ เลสเตอร์ในปี 66 ได้โพสต์ข้อความอาลัย ยอมรับตกใจที่เห็นข่าวนี้ “RIP เห็นข่าวแล้วตกใจเหมือนกัน ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวอะไรกับน้องเลย แต่เห็นน้องใช้ชีวิตแล้วน่าเป็นห่วงมาก เห็นในตต(ติ๊กต๊อก) บ่อยๆ เสียใจกับการจากไป ขออโหสิกรรมน้องด้วยที่เคยเป็นข่าวตอนนั้น พี่ไม่ได้ว่าอะไรกับน้องเลยก็บอกไปตามตรงว่าไม่รู้ว่า ขึ้นสวรรค์เป็นเทวดาน้อยๆ นะน้องนะ น้องอยู่วัดไหนอยากส่งพวงหรีดไปให้ ใครรู้บอกหน่อยนะ!! อนิจจาชีวิตคนเราไม่แน่นอนจริงๆ”อย่างไรก็ตาม ในเดือนก.พ.ปี 66 พชร์ อานนท์ ได้ออกมาโพสต์ข้อความถึงรายการตีสิบ หลังได้เชิญ แบงค์ เลสเตอร์ ซึ่งอ้างว่าได้เสนอขายพวงมาลัยให้กับพชร์ อานนท์ และร้องแรปให้พชร์ฟัง จนพชร์สนใจ บอกให้มาร่วมแคสติ้งงานหนังด้วยกัน จนกระทั่งแคสงานผ่าน ได้เล่นหนังของพชร์ อานนท์ ซึ่งตอนนั้นเจ้าตัวยืนยันไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า แล้วจะชวนเข้าวงการได้อย่างไร พร้อมฉะตีสิบก่อนเสนอข่าวให้หาข้อมูลหน่อยได้ไหม และขอให้น้องหยุดเอาชื่อตนเองไปแอบอ้าง • #MGROnline #แบงค์เลสเตอร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 420 มุมมอง 0 รีวิว
  • ด้วยอัตราการเกิดที่ต่ำติดอันดับที่ 3 ของโลก ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอัตราการเกิดสูงขึ้นต่อเนื่อง จะส่งผลต่ออนาคตของประเทศไทยอย่างไร?

    เมื่อเร็วๆ นี้ ผมดูคลิปหนึ่งเรื่องความถดถอยของเกาหลีใต้ ตอนหนึ่งเอ่ยถึงอัตราการเกิดที่ต่ำมาก ซึ่งถ้าปล่อยไปแบบนี้เกาหลีใต้จะ "สิ้นชาติ" ภายในปี 2100 เพราะประชากร 70% จะหายไป

    แม้ว่าเกาหลีใต้จะทุ่มเงิน 2.7 แสนล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นอัตราการเกิด แต่ก็ไม่ได้ผล ซึ่งดูท่าว่าการใช้เงินจะไม่ได้ผลในประเทศอื่นด้วย เช่น ในญี่ปุ่น และสิงคโปร์

    เช่น การให้เงินอุดหนุนคนมีลูก หรือเพิ่มวันลาคลอดทั้งชายทั้งหญิงไปจนถึงรัฐบาลช่วยจับคู่ให้ประชากร ทั้งหมดดูจะล้มเหลว

    มีการเทียบสถานการณ์นี้กับสหภาพโซเวียตซึ่งในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษที่ 1960 จากอัตราการเกิดสูงถึง 24.9 คน/ประชากร 1,000 คน ในปี 1966 มาอยู่ที่ 17.4/ประชากร 1,000 คน

    ปัญหาเกิดจากอะไร? เกิดจากการพัฒนามากเกินไปแบบ "กระจุกตัว"

    จากเอกสารลับของ CIA (ตอนนี้ไม่ลับแล้ว) บอกว่า การที่อัตราการเกิดในโซเวียตต่ำเป็นเพราะการขยายตัวของเมือง (Urbanization) และการเปลี่ยนจากสังคมเกษตรเป็นอุตสาหกรรม

    ช่วงหนึ่งโซเวียตทำลายภาคเกษตรอย่างย่อยยับด้วยระบบคอมมูน ซึ่งทำให้การเกษตรล้มหลว จนเกษตรกรต้องอพยพเข้ามาอยูในเมืองและเป็นแรงงานโรงงาน ชีวิตคนเมืองแบบนี้ไม่เอื้อต่อการทำลูกมากๆ ต่างจากสังคมเกษตร

    ในเวลาเดียวกัน เมื่อคนแห่เข้ามาอยู่ในเมืองมากๆ ที่อาศัยในเมืองก็ไม่พอ ทำให้ยิ่งไม่เหมาะกับการมีลูกในแฟลตเล็กๆ ที่อยู่แออัดเหมือนรังหนู

    เมื่อคนมากขึ้นในเมือง แต่ภาคเกษตรล้ม ทำให้ของยิ่งแพง เศรษฐกิจแบบนี้คนจึงไม่อยากมีลูก

    ในเวลาเดียวกัน โซเวียตปลดปล่อยสิทธิสตรี ทำให้ผู้หญิงไม่ต้องผูกมัดกับการมีลูกเพื่อมีตัวตนในสังคม อีกทั้งยังให้สิทธิในการทำแท้งเสรี เมื่อผู้หญิงทำงานเท่าผู้ชาย ก็ไม่อยากจะมีลูกอีก

    ในกรณีของโซเวียต CIA วิเคราะห์ว่าอัตราการเกิดต่ำในปี 1960 ลงมาเพราะผู้หญิงออกมาทำงานและเรียนมากขึ้นถึง 90% แต่เมื่อดูจากสังคมญี่ปุ่นที่ผู้หญิงอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนมากกว่า แต่แล้วก็ยังมีอัตราเกิดต่ำที่สุดในโลก บางทีเรื่องนี้อาจไม่เกี่ยวกับผู้หญิงเลย

    และต่อมาอัตราเกิดของโซเวียตยิ่งต่ำกว่าสหรัฐฯ เสียอีก ซึ่งถือว่าเป็นปัญหามากในช่วงที่ทั้งสองประเทศทำสงครามเย็น หากแรงงานลดลง จะแข่งเรื่องการพัฒนาสร้างความก้าวหน้าไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทำสงครามจริงๆ

    อีกปัญหาก็คือ สหภาพโซเวียตประกอบด้วยสาธารณรัฐและชนชาติต่างๆ มากมาย ในขณะที่ประชากรชาวรัสเซียลดลงฮวบฮาบ ประชากรชนชาติอื่นยิ่งเพิ่มสูงขึ้น และในที่สุดทำนายกันว่าภายในทศวรรษ 2000 ชาวรัสเซียจะไม่ใช่ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ

    ถามว่ารัสเซียนจะกลืนชนชาติอื่นมาเป็นตน (Russification) ได้ไหม? ตอบว่าทำไม่สำเร็จ เพราะกลุ่มที่เกิดมากกว่าไม่ยอมถูกลืนเป็นรัสเซียนและถืออัตลักษณ์ของตนมากกว่า

    ในประเด็นนี้ ผมเคยเสนอว่าวิธีการแก้ปัญหาอัตราการเกิดต่ำของไทย อาจแก้ด้วยการเปิดรับผู้อพยพที่มีทักษะเข้ามามากๆ แล้ว ทำให้พวกเขาเป็นไทย (Thaification) ด้วยการสร้างชาตินิยมไทยให้เข้มแข็ง เพื่อให้ "คนนอก" รู้สึกสำนึกว่าเป็น "คนใน" เช่นที่ไทยเคยทำ Thaification กับประชากรเชื้อชาติจีนสำเร็จมาแล้ว

    แต่เมื่อเห็นปัญหาของโซเวียตผมชักไม่แน่ใจว่าการเอาคนนอกเข้ามาเป็น "คนไทยใหม่" แทน "คนไทยเดิม" ที่เกิดน้อยลงเป็นไอเดียที่จะเวิร์กหรือไม่? ส่วนหนึ่งการทำลาย "ความภูมิใจในความเป็นไทย" ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้คนไทยบางคนก็ไม่อยากเป็นไทย แล้วคนนอกจะยังอยากเป็นไทยหรือ?

    ตัวอย่างเช่น ที่สหรัฐฯ อัตราการเกิดนับตั้งแต่ 1970 เป็นต้นมา ส่วนใหญ่มากจากแม่ที่เป็นผู้อพยพ ส่วนคนท้องถิ่นมีลูกน้อยลง แต่ปัญหาผู้อพยพในสหรัฐ ตอนนี้กำลังทำให้ประเทศแตกแยกอย่างหนัก

    บางทีการแก้ปัญหาหาอาจต้องเน้นการสร้างเด็กเกิดใหม่โดยคนท้องถิ่นเพิ่มขึ้นเป็นหลัก หากปัญหาของการไม่มีลูกอยู่ที่การกระจุกตัวของสังคมเมือง รัฐบาลก็ต้องกระจายโอกาสให้เมืองชนบทมากขึ้น

    คนทำเกษตรควรจะมีสวัสดิภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะพวกเขาอาจเป็นความหวังของการมีลูกมากว่าคนเมือง ดังนั้น แทนที่จะหนุนคนหนุ่มสาวในเมืองให้มีลูก รัฐควรเน้นที่นอกเมืองแทน

    กรณีของสหภาพโซเวียต CIA วิเคราะห์ว่า "เพราะปัญหาเมืองใหญ่ แต่บ้านเล็ก" นั่นคือ แม้เมืองจะโตขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนบ้านนอกเข้ามาเยอะ แต่การมีบ้านในเมืองเป็นเรื่องยาก ในปี 1967 อัตราพื้นที่อยู่อาศัยต่อหัวของโซเวียตอยู่ที่แค่ 7 ตร.ม. เท่านั้น ขนาดคนเดียวยังไม่รอด แล้วจะไปมีลูกได้อย่างไร และในทศวรรษที่ 1950 มีการสำรวจพบว่า 14% ที่ไม่มีลูกในเมืองแล้วเลือกทำแท้ง เพราะบ้านไม่พออยู่

    นี่ขนาดโซเวียตเป็นรัฐสังคมนิยมที่บ้านไม่ใช่ของแพง (แต่สร้างยาก) แล้วยังมีพื้นที่ประเทศใหญ่ที่สุดในโลก

    ดูเหมือนที่อยู่แพงและหายากและเล็กจิ๋ว จะเป็นปัญหาของคนจีน เกาหลี สิงคโปร์ และญี่ปุ่นด้วย เพระาคนเยอะแต่ดินแดนมีจำกัด

    แต่สหรัฐฯ ในช่วง 1970 อัตรการเกิดสูงมาก เนื่องจากเป็นยุคเศรษฐกิจบูม บ้านราคาไม่แพง และภาคเกษตรไม่ตกต่ำและยืนเคียงข้างภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ดูเหมือนการพัฒนาจะไม่กระจุกในเมือง เพราะมีเขตรอบนอกเมือง และชนบทที่เข้าถึงการปัจจัยในการดำรงชีพได้พอๆ กัน

    ในกรณีของสหรัฐฯ ปี 1970 เป็นต้นมามีปัญหาหนึ่งคล้ายกับไทย คือ "ท้องนอกสมรสกันเยอะ" แต่เพราะทำแท้งยาก ลูกก็เลยเต็มเมือง แต่เมื่อลูกแบบนี้เยอะก็ไม่เป็นปัญหา เพราะเข้าถึงการศึกษาได้ถ้วนหน้า

    อัตราการเกิดของสหรัฐฯ จะคึกมาถึงทศวรรษที่ 1990 เลยด้วยซ้ำตามสภาวะเศรษฐกิจ หลังจากนั้นก็ลดลงเพราะ "จักรวรรดิเศรษฐกิจเริ่มพังทลาย" และสังคมแตกแยกสูง จนตั้งแง่กับผู้อพยพอย่างหนัก

    ดังนั้นเมื่อมองมาที่ไทย ถ้ารัฐบาลอยากให้มีลูก ไม่ควรจะแจกเงินเท่านั้นเพราจะตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ควรจะไปแก้ที่ปัจจัยสี่แห่งการมีลูก คือ บ้านต้องมีกันได้ง่ายๆ (บ้านไม่แพง) สาธารณสุขต้องครบครัน (มีลูกต้องไม่แพง) คนชนทบทต้องไม่หนีเข้ามาในเมือง (มีงานและโอกาสทั่วถึง) และควรให้สวัสดิการผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย (เช่นวันหยุดเพิ่มเติมสำหรับคนที่ตั้งใจหรือกำลังมีลูก)

    ถ้าปัจจัยครบ รัฐบาลไม่ต้องเสียเวลาบังคับให้ใครมีลูก เดี๋ยวเขาจะมีกันเอง

    หรือถ้ามีกระตุ้นให้มีลูกกันเองไม่ได้ บางทีอาจจะต้องอาศัยการรับผู้อพบพเข้ามาแล้วทำให้เป็นคนไทยโดยสมบูรณ์ อย่างในกรณีของสหรัฐมีผู้อพยพจากประเทศที่มีอัตราการเจริญพันธุ์สูงอย่างต่อเนื่อง เมื่อเข้ามาอยู่แล้วก็ถือเป็น "อเมริกัน" ไม่ใช่คนชาติเดิมอีก บางทีเราต้องดูตัวอย่างการกลืน (Assimilation) แบบสหรัฐฯ ด้วย

    ปัจจัยสี่แห่งการมีลูกนี้ผมนึกเอาเอง ผมคิดว่าหลายคนก็คงมีไอเดียอื่นๆ ด้วย และที่เล่ามานั้นไม่ใช่ถูกหรือผิด เพียงแค่อยากจะแบ่งปันวิธีแก้ปัญหาของชาติเท่านั้น ไม่ได้อยากจะอวดดีอวดเก่งอะไร



    Kornkit Disthan
    ด้วยอัตราการเกิดที่ต่ำติดอันดับที่ 3 ของโลก ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอัตราการเกิดสูงขึ้นต่อเนื่อง จะส่งผลต่ออนาคตของประเทศไทยอย่างไร? เมื่อเร็วๆ นี้ ผมดูคลิปหนึ่งเรื่องความถดถอยของเกาหลีใต้ ตอนหนึ่งเอ่ยถึงอัตราการเกิดที่ต่ำมาก ซึ่งถ้าปล่อยไปแบบนี้เกาหลีใต้จะ "สิ้นชาติ" ภายในปี 2100 เพราะประชากร 70% จะหายไป แม้ว่าเกาหลีใต้จะทุ่มเงิน 2.7 แสนล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นอัตราการเกิด แต่ก็ไม่ได้ผล ซึ่งดูท่าว่าการใช้เงินจะไม่ได้ผลในประเทศอื่นด้วย เช่น ในญี่ปุ่น และสิงคโปร์ เช่น การให้เงินอุดหนุนคนมีลูก หรือเพิ่มวันลาคลอดทั้งชายทั้งหญิงไปจนถึงรัฐบาลช่วยจับคู่ให้ประชากร ทั้งหมดดูจะล้มเหลว มีการเทียบสถานการณ์นี้กับสหภาพโซเวียตซึ่งในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษที่ 1960 จากอัตราการเกิดสูงถึง 24.9 คน/ประชากร 1,000 คน ในปี 1966 มาอยู่ที่ 17.4/ประชากร 1,000 คน ปัญหาเกิดจากอะไร? เกิดจากการพัฒนามากเกินไปแบบ "กระจุกตัว" จากเอกสารลับของ CIA (ตอนนี้ไม่ลับแล้ว) บอกว่า การที่อัตราการเกิดในโซเวียตต่ำเป็นเพราะการขยายตัวของเมือง (Urbanization) และการเปลี่ยนจากสังคมเกษตรเป็นอุตสาหกรรม ช่วงหนึ่งโซเวียตทำลายภาคเกษตรอย่างย่อยยับด้วยระบบคอมมูน ซึ่งทำให้การเกษตรล้มหลว จนเกษตรกรต้องอพยพเข้ามาอยูในเมืองและเป็นแรงงานโรงงาน ชีวิตคนเมืองแบบนี้ไม่เอื้อต่อการทำลูกมากๆ ต่างจากสังคมเกษตร ในเวลาเดียวกัน เมื่อคนแห่เข้ามาอยู่ในเมืองมากๆ ที่อาศัยในเมืองก็ไม่พอ ทำให้ยิ่งไม่เหมาะกับการมีลูกในแฟลตเล็กๆ ที่อยู่แออัดเหมือนรังหนู เมื่อคนมากขึ้นในเมือง แต่ภาคเกษตรล้ม ทำให้ของยิ่งแพง เศรษฐกิจแบบนี้คนจึงไม่อยากมีลูก ในเวลาเดียวกัน โซเวียตปลดปล่อยสิทธิสตรี ทำให้ผู้หญิงไม่ต้องผูกมัดกับการมีลูกเพื่อมีตัวตนในสังคม อีกทั้งยังให้สิทธิในการทำแท้งเสรี เมื่อผู้หญิงทำงานเท่าผู้ชาย ก็ไม่อยากจะมีลูกอีก ในกรณีของโซเวียต CIA วิเคราะห์ว่าอัตราการเกิดต่ำในปี 1960 ลงมาเพราะผู้หญิงออกมาทำงานและเรียนมากขึ้นถึง 90% แต่เมื่อดูจากสังคมญี่ปุ่นที่ผู้หญิงอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนมากกว่า แต่แล้วก็ยังมีอัตราเกิดต่ำที่สุดในโลก บางทีเรื่องนี้อาจไม่เกี่ยวกับผู้หญิงเลย และต่อมาอัตราเกิดของโซเวียตยิ่งต่ำกว่าสหรัฐฯ เสียอีก ซึ่งถือว่าเป็นปัญหามากในช่วงที่ทั้งสองประเทศทำสงครามเย็น หากแรงงานลดลง จะแข่งเรื่องการพัฒนาสร้างความก้าวหน้าไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทำสงครามจริงๆ อีกปัญหาก็คือ สหภาพโซเวียตประกอบด้วยสาธารณรัฐและชนชาติต่างๆ มากมาย ในขณะที่ประชากรชาวรัสเซียลดลงฮวบฮาบ ประชากรชนชาติอื่นยิ่งเพิ่มสูงขึ้น และในที่สุดทำนายกันว่าภายในทศวรรษ 2000 ชาวรัสเซียจะไม่ใช่ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ถามว่ารัสเซียนจะกลืนชนชาติอื่นมาเป็นตน (Russification) ได้ไหม? ตอบว่าทำไม่สำเร็จ เพราะกลุ่มที่เกิดมากกว่าไม่ยอมถูกลืนเป็นรัสเซียนและถืออัตลักษณ์ของตนมากกว่า ในประเด็นนี้ ผมเคยเสนอว่าวิธีการแก้ปัญหาอัตราการเกิดต่ำของไทย อาจแก้ด้วยการเปิดรับผู้อพยพที่มีทักษะเข้ามามากๆ แล้ว ทำให้พวกเขาเป็นไทย (Thaification) ด้วยการสร้างชาตินิยมไทยให้เข้มแข็ง เพื่อให้ "คนนอก" รู้สึกสำนึกว่าเป็น "คนใน" เช่นที่ไทยเคยทำ Thaification กับประชากรเชื้อชาติจีนสำเร็จมาแล้ว แต่เมื่อเห็นปัญหาของโซเวียตผมชักไม่แน่ใจว่าการเอาคนนอกเข้ามาเป็น "คนไทยใหม่" แทน "คนไทยเดิม" ที่เกิดน้อยลงเป็นไอเดียที่จะเวิร์กหรือไม่? ส่วนหนึ่งการทำลาย "ความภูมิใจในความเป็นไทย" ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้คนไทยบางคนก็ไม่อยากเป็นไทย แล้วคนนอกจะยังอยากเป็นไทยหรือ? ตัวอย่างเช่น ที่สหรัฐฯ อัตราการเกิดนับตั้งแต่ 1970 เป็นต้นมา ส่วนใหญ่มากจากแม่ที่เป็นผู้อพยพ ส่วนคนท้องถิ่นมีลูกน้อยลง แต่ปัญหาผู้อพยพในสหรัฐ ตอนนี้กำลังทำให้ประเทศแตกแยกอย่างหนัก บางทีการแก้ปัญหาหาอาจต้องเน้นการสร้างเด็กเกิดใหม่โดยคนท้องถิ่นเพิ่มขึ้นเป็นหลัก หากปัญหาของการไม่มีลูกอยู่ที่การกระจุกตัวของสังคมเมือง รัฐบาลก็ต้องกระจายโอกาสให้เมืองชนบทมากขึ้น คนทำเกษตรควรจะมีสวัสดิภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะพวกเขาอาจเป็นความหวังของการมีลูกมากว่าคนเมือง ดังนั้น แทนที่จะหนุนคนหนุ่มสาวในเมืองให้มีลูก รัฐควรเน้นที่นอกเมืองแทน กรณีของสหภาพโซเวียต CIA วิเคราะห์ว่า "เพราะปัญหาเมืองใหญ่ แต่บ้านเล็ก" นั่นคือ แม้เมืองจะโตขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนบ้านนอกเข้ามาเยอะ แต่การมีบ้านในเมืองเป็นเรื่องยาก ในปี 1967 อัตราพื้นที่อยู่อาศัยต่อหัวของโซเวียตอยู่ที่แค่ 7 ตร.ม. เท่านั้น ขนาดคนเดียวยังไม่รอด แล้วจะไปมีลูกได้อย่างไร และในทศวรรษที่ 1950 มีการสำรวจพบว่า 14% ที่ไม่มีลูกในเมืองแล้วเลือกทำแท้ง เพราะบ้านไม่พออยู่ นี่ขนาดโซเวียตเป็นรัฐสังคมนิยมที่บ้านไม่ใช่ของแพง (แต่สร้างยาก) แล้วยังมีพื้นที่ประเทศใหญ่ที่สุดในโลก ดูเหมือนที่อยู่แพงและหายากและเล็กจิ๋ว จะเป็นปัญหาของคนจีน เกาหลี สิงคโปร์ และญี่ปุ่นด้วย เพระาคนเยอะแต่ดินแดนมีจำกัด แต่สหรัฐฯ ในช่วง 1970 อัตรการเกิดสูงมาก เนื่องจากเป็นยุคเศรษฐกิจบูม บ้านราคาไม่แพง และภาคเกษตรไม่ตกต่ำและยืนเคียงข้างภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ดูเหมือนการพัฒนาจะไม่กระจุกในเมือง เพราะมีเขตรอบนอกเมือง และชนบทที่เข้าถึงการปัจจัยในการดำรงชีพได้พอๆ กัน ในกรณีของสหรัฐฯ ปี 1970 เป็นต้นมามีปัญหาหนึ่งคล้ายกับไทย คือ "ท้องนอกสมรสกันเยอะ" แต่เพราะทำแท้งยาก ลูกก็เลยเต็มเมือง แต่เมื่อลูกแบบนี้เยอะก็ไม่เป็นปัญหา เพราะเข้าถึงการศึกษาได้ถ้วนหน้า อัตราการเกิดของสหรัฐฯ จะคึกมาถึงทศวรรษที่ 1990 เลยด้วยซ้ำตามสภาวะเศรษฐกิจ หลังจากนั้นก็ลดลงเพราะ "จักรวรรดิเศรษฐกิจเริ่มพังทลาย" และสังคมแตกแยกสูง จนตั้งแง่กับผู้อพยพอย่างหนัก ดังนั้นเมื่อมองมาที่ไทย ถ้ารัฐบาลอยากให้มีลูก ไม่ควรจะแจกเงินเท่านั้นเพราจะตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ควรจะไปแก้ที่ปัจจัยสี่แห่งการมีลูก คือ บ้านต้องมีกันได้ง่ายๆ (บ้านไม่แพง) สาธารณสุขต้องครบครัน (มีลูกต้องไม่แพง) คนชนทบทต้องไม่หนีเข้ามาในเมือง (มีงานและโอกาสทั่วถึง) และควรให้สวัสดิการผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย (เช่นวันหยุดเพิ่มเติมสำหรับคนที่ตั้งใจหรือกำลังมีลูก) ถ้าปัจจัยครบ รัฐบาลไม่ต้องเสียเวลาบังคับให้ใครมีลูก เดี๋ยวเขาจะมีกันเอง หรือถ้ามีกระตุ้นให้มีลูกกันเองไม่ได้ บางทีอาจจะต้องอาศัยการรับผู้อพบพเข้ามาแล้วทำให้เป็นคนไทยโดยสมบูรณ์ อย่างในกรณีของสหรัฐมีผู้อพยพจากประเทศที่มีอัตราการเจริญพันธุ์สูงอย่างต่อเนื่อง เมื่อเข้ามาอยู่แล้วก็ถือเป็น "อเมริกัน" ไม่ใช่คนชาติเดิมอีก บางทีเราต้องดูตัวอย่างการกลืน (Assimilation) แบบสหรัฐฯ ด้วย ปัจจัยสี่แห่งการมีลูกนี้ผมนึกเอาเอง ผมคิดว่าหลายคนก็คงมีไอเดียอื่นๆ ด้วย และที่เล่ามานั้นไม่ใช่ถูกหรือผิด เพียงแค่อยากจะแบ่งปันวิธีแก้ปัญหาของชาติเท่านั้น ไม่ได้อยากจะอวดดีอวดเก่งอะไร Kornkit Disthan
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 484 มุมมอง 0 รีวิว
  • เกิดข่าวเศร้ากับวงการเพลงลูกทุ่งเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา จากการแจ้งข่าวทางเฟซบุ๊กของ “นายสิทธิคุณ บุญเกิดรัมย์” บุตรชายของ “แดน บุรีรัมย์” หรือ “นายบุญชื่น บุญเกิดรัมย์” ครูเพลงชื่อดัง โดยมีข้อความว่า "การเสียใจครั้งสุดท้ายของชีวิตคนเป็นลูก ด้วยรัก แดน บุรีรัมย์"

    ล่าสุดทางบุญชายได้มีการโพสต์แจ้งกำหนดการงานสวดพระอภิธรรม แดน บุรีรัมย์ โดยในวันที่ 14 ธันวาคม 2567 จะมีพิธีรดน้ำศพ เวลา 17.00น. ณ วัดไร่ขิง จ.นครปฐม สวดพระอภิธรรมวันที่ 14 - 21 ธันวาคม 2567 เวลา 19.00 น. และฌาปนกิจวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2567 เวลา 16.00 น.

    ทั้งนี้ แดน บุรีรัมย์ นักแต่งเพลง นักร้อง นักแสดง และ กรรมการสมาคมนักเพลงลูกทุ่งแห่งประเทศไทย ได้จากไปอย่างสงบ ในวัย 79 ปี ด้วยโรคประจำตัวที่โรงพยาบาลกาญจนา ศาลายา เมื่อวันศุกร์ที่ 13 ธันวาคมที่ผ่านมา

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/entertainment/detail/9670000120073

    #MGROnline #แดนบุรีรัมย์ #ครูเพลงชื่อดัง
    เกิดข่าวเศร้ากับวงการเพลงลูกทุ่งเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา จากการแจ้งข่าวทางเฟซบุ๊กของ “นายสิทธิคุณ บุญเกิดรัมย์” บุตรชายของ “แดน บุรีรัมย์” หรือ “นายบุญชื่น บุญเกิดรัมย์” ครูเพลงชื่อดัง โดยมีข้อความว่า "การเสียใจครั้งสุดท้ายของชีวิตคนเป็นลูก ด้วยรัก แดน บุรีรัมย์" • ล่าสุดทางบุญชายได้มีการโพสต์แจ้งกำหนดการงานสวดพระอภิธรรม แดน บุรีรัมย์ โดยในวันที่ 14 ธันวาคม 2567 จะมีพิธีรดน้ำศพ เวลา 17.00น. ณ วัดไร่ขิง จ.นครปฐม สวดพระอภิธรรมวันที่ 14 - 21 ธันวาคม 2567 เวลา 19.00 น. และฌาปนกิจวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2567 เวลา 16.00 น. • ทั้งนี้ แดน บุรีรัมย์ นักแต่งเพลง นักร้อง นักแสดง และ กรรมการสมาคมนักเพลงลูกทุ่งแห่งประเทศไทย ได้จากไปอย่างสงบ ในวัย 79 ปี ด้วยโรคประจำตัวที่โรงพยาบาลกาญจนา ศาลายา เมื่อวันศุกร์ที่ 13 ธันวาคมที่ผ่านมา • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/entertainment/detail/9670000120073 • #MGROnline #แดนบุรีรัมย์ #ครูเพลงชื่อดัง
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 404 มุมมอง 0 รีวิว
  • "เงาในกระจก และตัวตนที่แท้จริง"มองกระจกเพื่อรู้จักตัวเองการมองเงาสะท้อนในกระจก อาจช่วยให้คุณเห็นรูปลักษณ์ภายนอก เห็นว่า "คุณเป็นอย่างไร" เช่น สภาพหน้าตา ผิวพรรณ หรือการแต่งกาย แต่กระจกไม่สามารถสะท้อนตัวตนที่แท้จริงได้ว่า "คุณเป็นใคร" เพราะสิ่งนั้นต้องอาศัยมุมมองจากใจของคนอื่น---"ฉันเป็นใครสำหรับเขา?"ชีวิตเต็มไปด้วยการถามคำถามเกี่ยวกับคนอื่นใครเป็นเพื่อนเรา?ใครรักเรา?ใครทำอะไรให้เรา?แต่คำถามสำคัญที่ควรถามบ่อยๆ คือฉันทำอะไรให้คนอื่นบ้าง?ฉันเป็นอะไรสำหรับเขา?คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไม่ใช่เพียงเพื่อช่วยเติมเต็มความสุข แต่ยังช่วยสะท้อนตัวตนของคุณผ่านสิ่งที่พวกเขาได้รับจากคุณ---"นักเข้าข้างตัวเอง" และ "นักกอบโกย"ธรรมชาติของมนุษย์มักหลงใหลในการเข้าข้างตนเอง และมุ่งมั่นกอบโกยสิ่งต่างๆ เพื่อตนเองการเข้าข้างตัวเองมากเกินไป ทำให้หลงลืมความจริง และยิ่งไม่รู้จักตัวเองการกอบโกยมากเกินไป สร้าง "น้ำหนักส่วนเกิน" ให้กับจิตใจเมื่อถึงวันสุดท้ายของชีวิต หากคุณใช้ทั้งชีวิตเพื่อเข้าข้างและกอบโกย คุณอาจพบว่าตัวเองหนักอึ้งและไม่รู้จักตนเองเลย---ตัวตนที่แท้จริงไม่ได้อยู่ในกระจกเงาในกระจกสะท้อนรูปลักษณ์ชั่วคราว แต่มันไม่เคยสะท้อนตัวตนที่แท้จริงบางครั้งคุณมองกระจกแล้วรู้สึกเหมือนรู้จักตัวเองดีที่สุดแต่ในความเป็นจริง คนอื่นอาจรู้จักตัวคุณผ่านสิ่งที่คุณทำกับเขา มากกว่าที่คุณรู้จักตัวเอง---ความเปลี่ยนแปลงของตัวตนเงาในกระจกเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา เช่นเดียวกับตัวตนภายในวันหนึ่งคุณอาจมองกระจกแล้วตกใจว่า คุณไม่ใช่คนเดิมที่เคยคิดว่าเป็นหรืออาจพบความจริงว่า ตัวตนของคุณไม่มีวันคงที่ มันเปลี่ยนไปตามการกระทำ ความคิด และผลกระทบที่คุณสร้างไว้ในโลก---บทสรุปตัวตนที่แท้จริงไม่ใช่สิ่งที่กระจกสะท้อน แต่คือสิ่งที่คนรอบข้างสะท้อนกลับมาคุณเป็นใครสำหรับพวกเขา?คุณทำอะไรเพื่อสร้างคุณค่าให้ชีวิตคนอื่น?การค้นพบตัวตนที่แท้จริงเกิดขึ้นเมื่อคุณใส่ใจกับสิ่งที่คุณให้ มากกว่าสิ่งที่คุณได้รับ และเมื่อคุณเลิกมองเพียงเงาสะท้อนในกระจก แต่เริ่มมองผ่านสายตาของคนอื่นที่ได้รับผลกระทบจากคุณ!
    "เงาในกระจก และตัวตนที่แท้จริง"มองกระจกเพื่อรู้จักตัวเองการมองเงาสะท้อนในกระจก อาจช่วยให้คุณเห็นรูปลักษณ์ภายนอก เห็นว่า "คุณเป็นอย่างไร" เช่น สภาพหน้าตา ผิวพรรณ หรือการแต่งกาย แต่กระจกไม่สามารถสะท้อนตัวตนที่แท้จริงได้ว่า "คุณเป็นใคร" เพราะสิ่งนั้นต้องอาศัยมุมมองจากใจของคนอื่น---"ฉันเป็นใครสำหรับเขา?"ชีวิตเต็มไปด้วยการถามคำถามเกี่ยวกับคนอื่นใครเป็นเพื่อนเรา?ใครรักเรา?ใครทำอะไรให้เรา?แต่คำถามสำคัญที่ควรถามบ่อยๆ คือฉันทำอะไรให้คนอื่นบ้าง?ฉันเป็นอะไรสำหรับเขา?คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไม่ใช่เพียงเพื่อช่วยเติมเต็มความสุข แต่ยังช่วยสะท้อนตัวตนของคุณผ่านสิ่งที่พวกเขาได้รับจากคุณ---"นักเข้าข้างตัวเอง" และ "นักกอบโกย"ธรรมชาติของมนุษย์มักหลงใหลในการเข้าข้างตนเอง และมุ่งมั่นกอบโกยสิ่งต่างๆ เพื่อตนเองการเข้าข้างตัวเองมากเกินไป ทำให้หลงลืมความจริง และยิ่งไม่รู้จักตัวเองการกอบโกยมากเกินไป สร้าง "น้ำหนักส่วนเกิน" ให้กับจิตใจเมื่อถึงวันสุดท้ายของชีวิต หากคุณใช้ทั้งชีวิตเพื่อเข้าข้างและกอบโกย คุณอาจพบว่าตัวเองหนักอึ้งและไม่รู้จักตนเองเลย---ตัวตนที่แท้จริงไม่ได้อยู่ในกระจกเงาในกระจกสะท้อนรูปลักษณ์ชั่วคราว แต่มันไม่เคยสะท้อนตัวตนที่แท้จริงบางครั้งคุณมองกระจกแล้วรู้สึกเหมือนรู้จักตัวเองดีที่สุดแต่ในความเป็นจริง คนอื่นอาจรู้จักตัวคุณผ่านสิ่งที่คุณทำกับเขา มากกว่าที่คุณรู้จักตัวเอง---ความเปลี่ยนแปลงของตัวตนเงาในกระจกเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา เช่นเดียวกับตัวตนภายในวันหนึ่งคุณอาจมองกระจกแล้วตกใจว่า คุณไม่ใช่คนเดิมที่เคยคิดว่าเป็นหรืออาจพบความจริงว่า ตัวตนของคุณไม่มีวันคงที่ มันเปลี่ยนไปตามการกระทำ ความคิด และผลกระทบที่คุณสร้างไว้ในโลก---บทสรุปตัวตนที่แท้จริงไม่ใช่สิ่งที่กระจกสะท้อน แต่คือสิ่งที่คนรอบข้างสะท้อนกลับมาคุณเป็นใครสำหรับพวกเขา?คุณทำอะไรเพื่อสร้างคุณค่าให้ชีวิตคนอื่น?การค้นพบตัวตนที่แท้จริงเกิดขึ้นเมื่อคุณใส่ใจกับสิ่งที่คุณให้ มากกว่าสิ่งที่คุณได้รับ และเมื่อคุณเลิกมองเพียงเงาสะท้อนในกระจก แต่เริ่มมองผ่านสายตาของคนอื่นที่ได้รับผลกระทบจากคุณ!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชีวิตคนก็มีจุดมุ่งหมายไป ใครไปทางโลกไม่ได้ ก็ยังมีทางธรรมรออยู่
    ชีวิตคนก็มีจุดมุ่งหมายไป ใครไปทางโลกไม่ได้ ก็ยังมีทางธรรมรออยู่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts