• 17/1/68

    ‼️กลางปีนี้ บ้านไหนไม่แยกขยะ🏠กทม.จะ #ขึ้นค่าเก็บขยะ เป็น 60 บาทต่อเดือนแล้วนะ‼️

    🏠ใครอยากจ่ายเท่าเดิม 20 บาท 👉 รีบ Save คู่มือ "ฮาวทูทิ้ง" ฉบับกทม. 🚮 แล้วมาเริ่มแยกขยะง่าย ๆ

    ด้วยการระบุข้อความบนถุงขยะ เพื่อความสะดวกในการคัดแยก 🗑️✨

    ++++++++++++
    ประเภทขยะที่ควรรู้
    ++++++++++++

    👉🏼 ขยะทั่วไป เช่น

    ถุงพลาสติกเปื้อนอาหาร 🍟
    ซองบะหมี่ 🍜
    ถุงขนม 🍬
    กล่องโฟม 📦
    ผ้าอ้อมสำเร็จรูป 🍼

    .
    👉🏼 ขยะเศษอาหาร เช่น

    เศษผักผลไม้ 🍎
    เศษอาหาร 🍲
    เศษเนื้อสัตว์ 🍖

    .
    👉🏼 ขยะรีไซเคิล เช่น

    กระดาษ 📄
    พลาสติก ♻️
    แก้ว 🍶
    โลหะ ⚙️

    .
    👉🏼 ขยะอันตราย เช่น

    หลอดไฟ 💡
    แบตเตอรี่ 🔋
    ถ่านไฟฉาย 🔦
    ยาหมดอายุ 💊
    กระป๋องสเปรย์ 🧴
    ขวดน้ำยาล้างห้องน้ำ 🧼
    .
    +++++++++++++++
    คำถามยอดฮิต ❓
    แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าใครแยก/ไม่แยกขยะ ⁉️
    +++++++++++++++

    กทม.จะเปิดให้บ้านที่แยกขยะ ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ #บ้านนี้ไม่เทรวม เพื่อจ่ายค่าขยะลดเหลือ 20 บาทเท่าเดิม 💰

    โดยช่วงกลางเดือน ม.ค.นี้ จะเริ่มเปิดให้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน BKK Waste Pay 📲

    หรือเข้าไปติดต่อที่ฝ่ายรักษาความสะอาดและสวนสาธารณะ สำนักงานเขตที่มีทะเบียนบ้านอยู่ 📋 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ลงทะเบียนในระบบ

    🛠️ โดยกทม.จะมีการตรวจสอบเพื่อยืนยันว่ามีการคัดแยกขยะจริง ✅

    +++++++++++++++
    ทำไมต้องปรับค่าเก็บขยะเพิ่ม?
    +++++++++++++++

    🌿 การปรับค่าธรรมเนียมใหม่จะใช้เฉพาะบ้านที่ไม่คัดแยกขยะเท่านั้น
    เพื่อส่งเสริมการแยกขยะ ลดปริมาณขยะในกรุงเทพฯ และช่วยลดการสร้างก๊าซเรือนกระจก 🌏

    ปัจจุบัน กทม. ต้องรับภาระจัดการขยะในแต่ละวันะเฉลี่ยเกือบหมื่นตัน

    ซึ่งมีใช้ค่าใช้จ่ายในการจัดการขยะอยู่ที่ประมาณ 2,300 บาท/ตัน

    เมื่อปริมาณขยะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การแยกขยะจึงเป็นอีกแนวทางสำคัญที่จะช่วยลดภาระในด้านการจัดการขยะ

    โดยข้อบัญญัติฯ ค่าธรรมเนียมขยะฉบับใหม่ จะมีผลบังคับใช้ในอีก 180 วัน หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งคาดว่าประมาณเดือนมิ.ย. 2568

    .
    📌ค่าธรรมเนียมขยะใหม่ สำหรับบ้านพักอาศัยที่มีขยะไม่เกิน 20 ลิตร/วัน หรือไม่เกิน 4 กก./วัน

    1️⃣ บ้านที่ไม่คัดแยกขยะ
    ค่าธรรมเนียม 60 บาท/เดือน (ค่าเก็บขน 30 บาท + ค่ากำจัด 30 บาท)
    .
    2️⃣ บ้านที่คัดแยกขยะ
    ค่าธรรมเนียม 20 บาท/เดือน (ค่าเก็บขน 10 บาท + ค่ากำจัด 10 บาท)

    +++++++++++++++

    ประโยชน์ของการปรับอัตราค่าขยะ

    ✔️ ลดปริมาณขยะในพื้นที่กรุงเทพฯ
    ✔️ เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการขยะ
    ✔️ พัฒนาคุณภาพชีวิตคนกรุงเทพฯ
    ✔️ ลดการสร้างก๊าซเรือนกระจก

    เริ่มต้นแยกขยะวันนี้ นอกจากไม่ต้องค่าขยะเพิ่มแล้ว
    ยังช่วยโลก ช่วยสิ่งแวดล้อม ได้เยอะเลย ✨🌱
    17/1/68 ‼️กลางปีนี้ บ้านไหนไม่แยกขยะ🏠กทม.จะ #ขึ้นค่าเก็บขยะ เป็น 60 บาทต่อเดือนแล้วนะ‼️ 🏠ใครอยากจ่ายเท่าเดิม 20 บาท 👉 รีบ Save คู่มือ "ฮาวทูทิ้ง" ฉบับกทม. 🚮 แล้วมาเริ่มแยกขยะง่าย ๆ ด้วยการระบุข้อความบนถุงขยะ เพื่อความสะดวกในการคัดแยก 🗑️✨ ++++++++++++ ประเภทขยะที่ควรรู้ ++++++++++++ 👉🏼 ขยะทั่วไป เช่น ถุงพลาสติกเปื้อนอาหาร 🍟 ซองบะหมี่ 🍜 ถุงขนม 🍬 กล่องโฟม 📦 ผ้าอ้อมสำเร็จรูป 🍼 . 👉🏼 ขยะเศษอาหาร เช่น เศษผักผลไม้ 🍎 เศษอาหาร 🍲 เศษเนื้อสัตว์ 🍖 . 👉🏼 ขยะรีไซเคิล เช่น กระดาษ 📄 พลาสติก ♻️ แก้ว 🍶 โลหะ ⚙️ . 👉🏼 ขยะอันตราย เช่น หลอดไฟ 💡 แบตเตอรี่ 🔋 ถ่านไฟฉาย 🔦 ยาหมดอายุ 💊 กระป๋องสเปรย์ 🧴 ขวดน้ำยาล้างห้องน้ำ 🧼 . +++++++++++++++ คำถามยอดฮิต ❓ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าใครแยก/ไม่แยกขยะ ⁉️ +++++++++++++++ กทม.จะเปิดให้บ้านที่แยกขยะ ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ #บ้านนี้ไม่เทรวม เพื่อจ่ายค่าขยะลดเหลือ 20 บาทเท่าเดิม 💰 โดยช่วงกลางเดือน ม.ค.นี้ จะเริ่มเปิดให้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน BKK Waste Pay 📲 หรือเข้าไปติดต่อที่ฝ่ายรักษาความสะอาดและสวนสาธารณะ สำนักงานเขตที่มีทะเบียนบ้านอยู่ 📋 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ลงทะเบียนในระบบ 🛠️ โดยกทม.จะมีการตรวจสอบเพื่อยืนยันว่ามีการคัดแยกขยะจริง ✅ +++++++++++++++ ทำไมต้องปรับค่าเก็บขยะเพิ่ม? +++++++++++++++ 🌿 การปรับค่าธรรมเนียมใหม่จะใช้เฉพาะบ้านที่ไม่คัดแยกขยะเท่านั้น เพื่อส่งเสริมการแยกขยะ ลดปริมาณขยะในกรุงเทพฯ และช่วยลดการสร้างก๊าซเรือนกระจก 🌏 ปัจจุบัน กทม. ต้องรับภาระจัดการขยะในแต่ละวันะเฉลี่ยเกือบหมื่นตัน ซึ่งมีใช้ค่าใช้จ่ายในการจัดการขยะอยู่ที่ประมาณ 2,300 บาท/ตัน เมื่อปริมาณขยะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การแยกขยะจึงเป็นอีกแนวทางสำคัญที่จะช่วยลดภาระในด้านการจัดการขยะ โดยข้อบัญญัติฯ ค่าธรรมเนียมขยะฉบับใหม่ จะมีผลบังคับใช้ในอีก 180 วัน หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งคาดว่าประมาณเดือนมิ.ย. 2568 . 📌ค่าธรรมเนียมขยะใหม่ สำหรับบ้านพักอาศัยที่มีขยะไม่เกิน 20 ลิตร/วัน หรือไม่เกิน 4 กก./วัน 1️⃣ บ้านที่ไม่คัดแยกขยะ ค่าธรรมเนียม 60 บาท/เดือน (ค่าเก็บขน 30 บาท + ค่ากำจัด 30 บาท) . 2️⃣ บ้านที่คัดแยกขยะ ค่าธรรมเนียม 20 บาท/เดือน (ค่าเก็บขน 10 บาท + ค่ากำจัด 10 บาท) +++++++++++++++ ประโยชน์ของการปรับอัตราค่าขยะ ✔️ ลดปริมาณขยะในพื้นที่กรุงเทพฯ ✔️ เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการขยะ ✔️ พัฒนาคุณภาพชีวิตคนกรุงเทพฯ ✔️ ลดการสร้างก๊าซเรือนกระจก เริ่มต้นแยกขยะวันนี้ นอกจากไม่ต้องค่าขยะเพิ่มแล้ว ยังช่วยโลก ช่วยสิ่งแวดล้อม ได้เยอะเลย ✨🌱
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • การมองดูชีวิตคนอื่น
    แล้วนำมาเปรียบเทียบ
    กับชีวิตของตัวเอง
    เป็นวิธีง่ายที่สุด
    ที่จะทำให้ตัวเราเป็นทุกข์

    จากหนังสือ |ฉันจะมีชีวิตในแบบของตัวเอง

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก
    #ฉันจะมีชีวิตในแบบของตัวเอง
    การมองดูชีวิตคนอื่น แล้วนำมาเปรียบเทียบ กับชีวิตของตัวเอง เป็นวิธีง่ายที่สุด ที่จะทำให้ตัวเราเป็นทุกข์ จากหนังสือ |ฉันจะมีชีวิตในแบบของตัวเอง #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก #ฉันจะมีชีวิตในแบบของตัวเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 92 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ วอน รมต.ขิง สืบให้สุดซอย ว่ามันขายให้ใครไปบ้าง ใครซื้อไปใช้ก่อสร้างที่ไหนบ้าง เพราะมันอาจเกิดอันตราย พังครืนก็ได้ ต้องเตือนภัย-ปกป้องชีวิตคน
    #7ดอกจิก
    ♣ วอน รมต.ขิง สืบให้สุดซอย ว่ามันขายให้ใครไปบ้าง ใครซื้อไปใช้ก่อสร้างที่ไหนบ้าง เพราะมันอาจเกิดอันตราย พังครืนก็ได้ ต้องเตือนภัย-ปกป้องชีวิตคน #7ดอกจิก
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 310 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฟ้าเดียวกันในหนึ่งวัน
    ยังมีหลายเฉดสี
    ชีวิตคนเราชีวิตหนึ่ง
    มีสุขบ้างทุกข์บ้างธรรมดา

    จากหนังสือ |ไม่เอาน่ะอย่าคิดมาก

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก
    #ไม่เอาน่ะอย่าคิดมาก
    ฟ้าเดียวกันในหนึ่งวัน ยังมีหลายเฉดสี ชีวิตคนเราชีวิตหนึ่ง มีสุขบ้างทุกข์บ้างธรรมดา จากหนังสือ |ไม่เอาน่ะอย่าคิดมาก #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก #ไม่เอาน่ะอย่าคิดมาก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 139 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนจะแก่จะป่วยอย่างไร สายตาก็มองไปข้างหน้า..ชีวิตคนไปข้างหน้าตรงไปตามหาเป้าหมาย ตามฝัน
    คนจะแก่จะป่วยอย่างไร สายตาก็มองไปข้างหน้า..ชีวิตคนไปข้างหน้าตรงไปตามหาเป้าหมาย ตามฝัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • 2/1/68

    ความเบิกบาย

    หมอสันต์พูดกับสมาชิกที่มาเข้าแค้มป์ Spiritual Retreat

    สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)หรือพูดอีกอย่างได้ว่าชีวิตนี้ถ้ามีสิ่งเดียวแล้วสิ่งอื่นไม่ต้องมีก็ได้ สิ่งนั้นก็คือความเบิกบาน (Joy) เพราะชีวิตเราทุกวันนี้เรามุ่งหน้าดั้นด้นค้นหาความสุข ซึ่งมันก็ตัวเดียวกับความเบิกบาน การได้ยิ้ม ได้หัวเราะ ได้พบความมหัศจรรย์ (wonder) กับชีวิตนั่นแหละ

    เราจะเบิกบานได้มันมีองค์ประกอบสามสี่อย่าง

    หนึ่ง ก็คือเราต้องยอมรับ (acceptance) ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวของเราให้ได้อย่างไม่มีเงื่อนไขก่อน หากเราไม่ยอมรับ เราก็จะเกร็ง จะสู้ หรือจะหนี นั่นก็คือภาวะเครียด ไม่ใช่เบิกบาน

    สอง ก็คือใจเราต้องสงบเย็น (peace) ให้ได้ก่อน ใจเราไม่สงบเพราะมันมีความคิด ดังนั้นเราต้องฝึกวางความคิดก่อน

    สาม ก็คือเราต้องผ่อนคลาย (relax) กล้ามเนื้อของเราก่อน เอาง่ายๆ ดูที่ใบหน้าของเราก็ได้ กล้ามเนื้ออื่นๆบนใบหน้า 42 มัดต้องผ่อนคลายก่อน กล้ามเนื้อ zygomaticus จึงจะหดตัวให้เรายิ้มที่มุมปากได้

    สี่ ก็คือความเบิกบานมันมีธรรมชาติเป็นความปลาบปลื้มตามหลังการได้แสดงความรักความเมตตา (love) มันตามกันมาโดยเราไม่รู้ตัว แค่เราโปรยข้าวให้ปลากิน หรือแค่เราปลูกต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ให้คนอื่นได้ชื่นชม เราก็ปลื้มแล้ว ความปลื้มนั้นแหละคือ Joy

    สี่อย่างนี้ คือ การยอมรับ ความสงบเย็น ความผ่อนคลาย ความเมตตา หรือถ้าพูดเป็นภาษาอังกฤษก็คือ acceptance, peace, relax, love มันนำมาสู่ความเบิกบาน หรือ joy ซึ่งได้ขาดหายไปจากชีวิตของเรามานานพอควร

    เราจะต้องปะติดปะต่อจิ๊กซอว์สี่ตัวนี้เข้าด้วยกันให้ได้ โดยในแค้มปื Spiritual Retreat นี้เราจะโฟกัสที่การฝึกวางความคิดให้เป็น ซึ่งจะเป็นเหตุนำให้เราสงบเย็น เราจะฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้วย แค่ทำสองอย่างนี้ให้เก่ง อีกสองอย่าง คือการยอมรับและเมตตาธรรม มันจะค่อยๆเกิดขึ้นในใจของเราเองอย่างง่ายๆ เพราะแท้จริงเมตตาธรรมมันเป็นแก่นแท้หรือส่วนลึกที่สุดของใจเราอยู่แล้ว ขอเพียงแต่อย่าให้ความคิดมาเบรคหรือบดบังมันแต่นั้นแหละ

    นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

    ที่มา: บทความสุขภาพ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ | 7 พ.ย. 67
    2/1/68 ความเบิกบาย หมอสันต์พูดกับสมาชิกที่มาเข้าแค้มป์ Spiritual Retreat สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)หรือพูดอีกอย่างได้ว่าชีวิตนี้ถ้ามีสิ่งเดียวแล้วสิ่งอื่นไม่ต้องมีก็ได้ สิ่งนั้นก็คือความเบิกบาน (Joy) เพราะชีวิตเราทุกวันนี้เรามุ่งหน้าดั้นด้นค้นหาความสุข ซึ่งมันก็ตัวเดียวกับความเบิกบาน การได้ยิ้ม ได้หัวเราะ ได้พบความมหัศจรรย์ (wonder) กับชีวิตนั่นแหละ เราจะเบิกบานได้มันมีองค์ประกอบสามสี่อย่าง หนึ่ง ก็คือเราต้องยอมรับ (acceptance) ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวของเราให้ได้อย่างไม่มีเงื่อนไขก่อน หากเราไม่ยอมรับ เราก็จะเกร็ง จะสู้ หรือจะหนี นั่นก็คือภาวะเครียด ไม่ใช่เบิกบาน สอง ก็คือใจเราต้องสงบเย็น (peace) ให้ได้ก่อน ใจเราไม่สงบเพราะมันมีความคิด ดังนั้นเราต้องฝึกวางความคิดก่อน สาม ก็คือเราต้องผ่อนคลาย (relax) กล้ามเนื้อของเราก่อน เอาง่ายๆ ดูที่ใบหน้าของเราก็ได้ กล้ามเนื้ออื่นๆบนใบหน้า 42 มัดต้องผ่อนคลายก่อน กล้ามเนื้อ zygomaticus จึงจะหดตัวให้เรายิ้มที่มุมปากได้ สี่ ก็คือความเบิกบานมันมีธรรมชาติเป็นความปลาบปลื้มตามหลังการได้แสดงความรักความเมตตา (love) มันตามกันมาโดยเราไม่รู้ตัว แค่เราโปรยข้าวให้ปลากิน หรือแค่เราปลูกต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ให้คนอื่นได้ชื่นชม เราก็ปลื้มแล้ว ความปลื้มนั้นแหละคือ Joy สี่อย่างนี้ คือ การยอมรับ ความสงบเย็น ความผ่อนคลาย ความเมตตา หรือถ้าพูดเป็นภาษาอังกฤษก็คือ acceptance, peace, relax, love มันนำมาสู่ความเบิกบาน หรือ joy ซึ่งได้ขาดหายไปจากชีวิตของเรามานานพอควร เราจะต้องปะติดปะต่อจิ๊กซอว์สี่ตัวนี้เข้าด้วยกันให้ได้ โดยในแค้มปื Spiritual Retreat นี้เราจะโฟกัสที่การฝึกวางความคิดให้เป็น ซึ่งจะเป็นเหตุนำให้เราสงบเย็น เราจะฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้วย แค่ทำสองอย่างนี้ให้เก่ง อีกสองอย่าง คือการยอมรับและเมตตาธรรม มันจะค่อยๆเกิดขึ้นในใจของเราเองอย่างง่ายๆ เพราะแท้จริงเมตตาธรรมมันเป็นแก่นแท้หรือส่วนลึกที่สุดของใจเราอยู่แล้ว ขอเพียงแต่อย่าให้ความคิดมาเบรคหรือบดบังมันแต่นั้นแหละ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ที่มา: บทความสุขภาพ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ | 7 พ.ย. 67
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไตรรงค์ นำตร.ไซเบอร์ ปราบคอนเทนต์ขยะ ดับซ่า แอล โอรส
    .
    การตายสุดดราม่าของ “แบงค์ เลสเตอร์” ที่ตกเป็นเหยื่อของ “คอนเทนต์ขยะ” จนต้องสังเวยชีวิต
    ไปๆ มาๆ บานปลาย มีคนที่ต้องโดนคดีต่อเนื่องเป็นลูกโซ่
    .
    ไม่ใช่แค่แก๊งอินฟลูฯ เจ้าของคอนเทนต์ขยะเท่านั้น แต่ลามไปถึงคนที่เข้ามาล้างแค้นให้ แบงค์ เลสเตอร์ ด้วย
    .
    คนๆ นั้น ก็คือ นักเลงดังนาม “แอล โอรส” เจ้าของฉายา “รถถังฝั่งธน” ซึ่งปรากฏตัวที่วัดออเงิน ในงานศพวันแรกของแบงค์ เลสเตอร์ พร้อมกับชาวแก๊งตัวลายพร้อย
    แอล โอรส ประกาศจองกฐิน “เบิร์ด วันว่างๆ” กลางวัด โทษฐานที่เบิร์ดเป็นตัวพ่อของคอนเทนต์ขยะ ชอบเอาแบงค์ เลสเตอร์ เป็นตัวชูโรง
    .
    แม้ “เบิร์ด วันว่างๆ” จะนกรู้ไม่ยอมย่างกรายไปวัด แต่สุดท้ายเขาก็ไม่รอดอยู่ดี โดนชาวแก๊ง ตามไปยำตีน ถ่ายคลิปเอามาแพร่
    .
    พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. หรือตำรวจไซเบอร์ เลยต้องออกโรง ใช้กฎหมายดำเนินคดีกับทุกคนที่เกี่ยวข้อง
    ไล่ตั้งแต่พวกทำคอนเทนต์ขยะ อย่าง “เบิร์ด วันว่างๆ” หรือนายธีระวัฒน์ ศรีรอง โดนข้อหานำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีลักษณะอันลามก
    .
    เพราะตำรวจเจอหลักฐาน เบิร์ดโพสต์ภาพแบงค์ เลสเตอร์ โดนกลั่นแกล้งให้เปลือยกายล่อนจ้อน
    และ บก.ปคม. ก็จะจัดการ “เบิร์ด วันว่างๆ” ข้อหาค้ามนุษย์ด้วย เนื่องจากเห็นว่าได้รับประโยชน์โดยมิชอบ จากการแพร่ภาพเปลือยของแบงค์ เลสเตอร์
    .
    ส่วน “เอ็ม เอกชาติ” หรือนายเอกชาติ มีพร้อม ที่จ้างแบงค์ เลสเตอร์ กินเหล้า จนเสียชีวิต โดนข้อหาประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
    พ่วงด้วยข้อหาโฆษณาเว็บพนัน เพราะมีพฤติกรรมแปะลิงค์เชิญชวนเล่นพนัน บนคอนเทนต์ขยะของตัว
    .
    ทั้งนี้ ประวัติของเอ็ม เอกชาติ เป็นคนสีเทาชัดเจน เคยถูก ป.ป.ง. ยึดทรัพย์รถซุเปอร์คาร์และอื่นๆ รวม 45 ล้านบาท
    จากพฤติกรรมเป็นเครือข่ายให้เว็บพนันของ “อั้ม” นายภูมิพัฒน์ ประเสริฐวิทย์ สามีของนางเอก “แยม” ธมลพรรณ ซึ่งตอนนี้ สองผัวเมียก็ยังติดคุกคดีเว็บพนันอยู่
    .
    ตำรวจไซเบอร์ ยังตามไปจัดการนักเลงอย่างแอล โอรส หรือนายศราวุธ ศรีกำเนิด เอาผิดข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากการปล่อยคลิปยำตีนเบิร์ด วันว่างๆ
    .
    ส่วนตำรวจนครบาลก็มุ่งขยายผล เอาผิดข้อหาทำร้ายร่างกายเบิร์ด วันว่างๆ เบื้องต้น เหยื่อตีนอ้างว่า จำได้ มีใครบ้างที่ทำร้ายเขา
    .
    นี่คือบทบาทที่น่าชื่นชมของ ผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์ผู้มาใหม่ อย่าง พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ที่รีบใช้กฎหมายออกมาปรามอย่างทันท่วงที เพื่อไม่ให้เหล่าคนสีเทา แสดงตัวครองเมือง จัดการกันเอง
    จนเป็น “คอนเทนต์ขยะ” ซ้อน “คอนเทนต์ขยะ” แบบว่า มึงรังแกคนอ่อนแอก่อนเหรอ กูก็จะมารังแกมึงมั่ง ถ่ายคลิปมั่ง ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง
    .
    ที่ผ่านมา พล.ต.ท.ไตรรงค์ ถือเป็นหน้าตาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้กล้าในการนำทีมบุกค้นบ้านของบิ๊กโจ๊ก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ซึ่งชื่อชั้นใหญ่กว่า พล.ต.ท.ไตรรงค์ อย่างเทียบกันไม่ได้
    .
    งานแบบนี้ ไม่กล้าหาญจริง ทำไม่ได้ และหากพยานหลักฐานไม่แน่นหนาเพียงพอจะมัดบิ๊กโจ๊ก พล.ต.ท.ไตรรงค์ ก็มีสิทธิ์ถูกเอาคืนถึงหมดอนาคต
    .
    แต่รู้ทั้งรู้ พล.ต.ท.ไตรรงค์ก็กล้าเดินเข้าบ้านบิ๊กโจ๊ก และเก็บหลักฐานสำคัญในคดีฟอกเงินและรับส่วยเว็บพนัน กลับออกมาเพียบ
    .
    ทั้งนี้ การตายของแบงค์ เลสเตอร์ อย่างน้อยก็มีคุณูปการต่อสังคมไทย ไม่ใช่การตายที่สูญเปล่า
    เพราะช่วยเปิดโปงให้เห็นถึงเครือข่ายคนสีเทา ที่มีวิธีการปั่นกระแสด้วยชีวิตคน เพื่อโกยเงินจากการพนันออนไลน์
    .
    เปิดโอกาสให้ตำรวจไซเบอร์เข้าไปกวาดล้างคนสีเทาพวกนี้ ไม่ให้ลอยหน้าลอยตา เป็นคนเด่นดัง ทั้งที่ก่อกรรมทำเข็ญกับชีวิตคน และหากินกับความฉิบหายของลูกหลานไทย
    ..............
    Sondhi X
    ไตรรงค์ นำตร.ไซเบอร์ ปราบคอนเทนต์ขยะ ดับซ่า แอล โอรส . การตายสุดดราม่าของ “แบงค์ เลสเตอร์” ที่ตกเป็นเหยื่อของ “คอนเทนต์ขยะ” จนต้องสังเวยชีวิต ไปๆ มาๆ บานปลาย มีคนที่ต้องโดนคดีต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ . ไม่ใช่แค่แก๊งอินฟลูฯ เจ้าของคอนเทนต์ขยะเท่านั้น แต่ลามไปถึงคนที่เข้ามาล้างแค้นให้ แบงค์ เลสเตอร์ ด้วย . คนๆ นั้น ก็คือ นักเลงดังนาม “แอล โอรส” เจ้าของฉายา “รถถังฝั่งธน” ซึ่งปรากฏตัวที่วัดออเงิน ในงานศพวันแรกของแบงค์ เลสเตอร์ พร้อมกับชาวแก๊งตัวลายพร้อย แอล โอรส ประกาศจองกฐิน “เบิร์ด วันว่างๆ” กลางวัด โทษฐานที่เบิร์ดเป็นตัวพ่อของคอนเทนต์ขยะ ชอบเอาแบงค์ เลสเตอร์ เป็นตัวชูโรง . แม้ “เบิร์ด วันว่างๆ” จะนกรู้ไม่ยอมย่างกรายไปวัด แต่สุดท้ายเขาก็ไม่รอดอยู่ดี โดนชาวแก๊ง ตามไปยำตีน ถ่ายคลิปเอามาแพร่ . พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. หรือตำรวจไซเบอร์ เลยต้องออกโรง ใช้กฎหมายดำเนินคดีกับทุกคนที่เกี่ยวข้อง ไล่ตั้งแต่พวกทำคอนเทนต์ขยะ อย่าง “เบิร์ด วันว่างๆ” หรือนายธีระวัฒน์ ศรีรอง โดนข้อหานำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีลักษณะอันลามก . เพราะตำรวจเจอหลักฐาน เบิร์ดโพสต์ภาพแบงค์ เลสเตอร์ โดนกลั่นแกล้งให้เปลือยกายล่อนจ้อน และ บก.ปคม. ก็จะจัดการ “เบิร์ด วันว่างๆ” ข้อหาค้ามนุษย์ด้วย เนื่องจากเห็นว่าได้รับประโยชน์โดยมิชอบ จากการแพร่ภาพเปลือยของแบงค์ เลสเตอร์ . ส่วน “เอ็ม เอกชาติ” หรือนายเอกชาติ มีพร้อม ที่จ้างแบงค์ เลสเตอร์ กินเหล้า จนเสียชีวิต โดนข้อหาประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย พ่วงด้วยข้อหาโฆษณาเว็บพนัน เพราะมีพฤติกรรมแปะลิงค์เชิญชวนเล่นพนัน บนคอนเทนต์ขยะของตัว . ทั้งนี้ ประวัติของเอ็ม เอกชาติ เป็นคนสีเทาชัดเจน เคยถูก ป.ป.ง. ยึดทรัพย์รถซุเปอร์คาร์และอื่นๆ รวม 45 ล้านบาท จากพฤติกรรมเป็นเครือข่ายให้เว็บพนันของ “อั้ม” นายภูมิพัฒน์ ประเสริฐวิทย์ สามีของนางเอก “แยม” ธมลพรรณ ซึ่งตอนนี้ สองผัวเมียก็ยังติดคุกคดีเว็บพนันอยู่ . ตำรวจไซเบอร์ ยังตามไปจัดการนักเลงอย่างแอล โอรส หรือนายศราวุธ ศรีกำเนิด เอาผิดข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากการปล่อยคลิปยำตีนเบิร์ด วันว่างๆ . ส่วนตำรวจนครบาลก็มุ่งขยายผล เอาผิดข้อหาทำร้ายร่างกายเบิร์ด วันว่างๆ เบื้องต้น เหยื่อตีนอ้างว่า จำได้ มีใครบ้างที่ทำร้ายเขา . นี่คือบทบาทที่น่าชื่นชมของ ผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์ผู้มาใหม่ อย่าง พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ที่รีบใช้กฎหมายออกมาปรามอย่างทันท่วงที เพื่อไม่ให้เหล่าคนสีเทา แสดงตัวครองเมือง จัดการกันเอง จนเป็น “คอนเทนต์ขยะ” ซ้อน “คอนเทนต์ขยะ” แบบว่า มึงรังแกคนอ่อนแอก่อนเหรอ กูก็จะมารังแกมึงมั่ง ถ่ายคลิปมั่ง ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง . ที่ผ่านมา พล.ต.ท.ไตรรงค์ ถือเป็นหน้าตาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้กล้าในการนำทีมบุกค้นบ้านของบิ๊กโจ๊ก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ซึ่งชื่อชั้นใหญ่กว่า พล.ต.ท.ไตรรงค์ อย่างเทียบกันไม่ได้ . งานแบบนี้ ไม่กล้าหาญจริง ทำไม่ได้ และหากพยานหลักฐานไม่แน่นหนาเพียงพอจะมัดบิ๊กโจ๊ก พล.ต.ท.ไตรรงค์ ก็มีสิทธิ์ถูกเอาคืนถึงหมดอนาคต . แต่รู้ทั้งรู้ พล.ต.ท.ไตรรงค์ก็กล้าเดินเข้าบ้านบิ๊กโจ๊ก และเก็บหลักฐานสำคัญในคดีฟอกเงินและรับส่วยเว็บพนัน กลับออกมาเพียบ . ทั้งนี้ การตายของแบงค์ เลสเตอร์ อย่างน้อยก็มีคุณูปการต่อสังคมไทย ไม่ใช่การตายที่สูญเปล่า เพราะช่วยเปิดโปงให้เห็นถึงเครือข่ายคนสีเทา ที่มีวิธีการปั่นกระแสด้วยชีวิตคน เพื่อโกยเงินจากการพนันออนไลน์ . เปิดโอกาสให้ตำรวจไซเบอร์เข้าไปกวาดล้างคนสีเทาพวกนี้ ไม่ให้ลอยหน้าลอยตา เป็นคนเด่นดัง ทั้งที่ก่อกรรมทำเข็ญกับชีวิตคน และหากินกับความฉิบหายของลูกหลานไทย .............. Sondhi X
    Like
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1291 มุมมอง 0 รีวิว
  • โลกออนไลน์กลับมาแชร์อีกครั้งคลิป “แบงค์ เลสเตอร์” เคยโพสต์ข้อความสุดเศร้าเมื่อปีที่แล้ว ระบุ “ชีวิตคนเราไม่สามารถเลือกเกิดได้ครับ ผมยอมโดนแกล้ง โดนดูถูก เพื่อแลกกับเงินมาจุนเจือครอบครัว”

    จากกรณี “แบงค์ เลสเตอร์” อินฟลูเอนเซอร์และคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่โด่งดังจากแร็ปขายพวงมาลัยเลี้ยงดูแลคุณยาย ที่ต้องมาจบชีวิตลงเพราะคาดว่ามาจากการถูกจ้างดื่มเหล้าให้หมดแบนจากกลุ่มอินฟลูฯ ตลาดล่าง ทำคอนเทนต์ขยะเพื่อแลกเงิน 3 หมื่น จนกลายเป็นประเด็นที่ถูกวิพากวิจารณ์ดังที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

    ล่าสุด วันนี้ (27 ธ.ค.) โลกออนไลน์ได้นำคลิปจาก TikTok ส่วนตัวของ “แบงค์ เลสเตอร์” กลับมาแชร์อีกครั้ง ซึ่งเป็นคลิปที่แบงค์ ถูกกลุ่มอินฟลูฯ ตลาดล่าง อย่าง “เบิร์ด วันว่างๆ” ทำคอนเทนต์แกล้งโดนการนำลูกแตงโมยีหัว พร้อมใส่เพลง ยิ้ม (Pretend) ศิลปิน โอ๊ต ปราโมทย์ - ป๊อบ ปองกูล กับเนื้อหาเพลงสุดเศร้า

    และนอกจากนี้ ระบุข้อความในแคปชันว่า “ชีวิตคนเราไม่สามารถเลือกเกิดได้ครับ .. ผมยอมโดนแกล้ง โดนดูถูก .. เพื่อแลกกับเงินมาจุนเจือครอบครัว ✌️✌️✌️”

    #MGROnline #แบงค์เลสเตอร์
    โลกออนไลน์กลับมาแชร์อีกครั้งคลิป “แบงค์ เลสเตอร์” เคยโพสต์ข้อความสุดเศร้าเมื่อปีที่แล้ว ระบุ “ชีวิตคนเราไม่สามารถเลือกเกิดได้ครับ ผมยอมโดนแกล้ง โดนดูถูก เพื่อแลกกับเงินมาจุนเจือครอบครัว” • จากกรณี “แบงค์ เลสเตอร์” อินฟลูเอนเซอร์และคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่โด่งดังจากแร็ปขายพวงมาลัยเลี้ยงดูแลคุณยาย ที่ต้องมาจบชีวิตลงเพราะคาดว่ามาจากการถูกจ้างดื่มเหล้าให้หมดแบนจากกลุ่มอินฟลูฯ ตลาดล่าง ทำคอนเทนต์ขยะเพื่อแลกเงิน 3 หมื่น จนกลายเป็นประเด็นที่ถูกวิพากวิจารณ์ดังที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น • ล่าสุด วันนี้ (27 ธ.ค.) โลกออนไลน์ได้นำคลิปจาก TikTok ส่วนตัวของ “แบงค์ เลสเตอร์” กลับมาแชร์อีกครั้ง ซึ่งเป็นคลิปที่แบงค์ ถูกกลุ่มอินฟลูฯ ตลาดล่าง อย่าง “เบิร์ด วันว่างๆ” ทำคอนเทนต์แกล้งโดนการนำลูกแตงโมยีหัว พร้อมใส่เพลง ยิ้ม (Pretend) ศิลปิน โอ๊ต ปราโมทย์ - ป๊อบ ปองกูล กับเนื้อหาเพลงสุดเศร้า • และนอกจากนี้ ระบุข้อความในแคปชันว่า “ชีวิตคนเราไม่สามารถเลือกเกิดได้ครับ .. ผมยอมโดนแกล้ง โดนดูถูก .. เพื่อแลกกับเงินมาจุนเจือครอบครัว ✌️✌️✌️” • #MGROnline #แบงค์เลสเตอร์
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 314 มุมมอง 0 รีวิว
  • โลกออนไลน์กลับมาแชร์อีกครั้งคลิป “แบงค์ เลสเตอร์” เคยโพสต์ข้อความสุดเศร้าเมื่อปีที่แล้ว ระบุ “ชีวิตคนเราไม่สามารถเลือกเกิดได้ครับ ผมยอมโดนแกล้ง โดนดูถูก เพื่อแลกกับเงินมาจุนเจือครอบครัว”

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000124481

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    โลกออนไลน์กลับมาแชร์อีกครั้งคลิป “แบงค์ เลสเตอร์” เคยโพสต์ข้อความสุดเศร้าเมื่อปีที่แล้ว ระบุ “ชีวิตคนเราไม่สามารถเลือกเกิดได้ครับ ผมยอมโดนแกล้ง โดนดูถูก เพื่อแลกกับเงินมาจุนเจือครอบครัว” อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000124481 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 319 มุมมอง 0 รีวิว
  • บุคคลเปราะบาง เหยื่อคอนเทนต์

    การเสียชีวิตของนายธนาคาร คันธี หรือแบงค์ เลสเตอร์ อินฟลูเอนเซอร์วัย 27 ปี เมื่อเวลา 03.40 น. วันที่ 26 ธ.ค. 2567 หลังรับคำท้าดื่มสุรา 350 มิลลิลิตรแบบรวดเดียวหมดแบน เพื่อแลกกับเงิน 30,000 บาท แล้วเกิดพิษแอลกอฮอล์เฉียบพลัน ภายในงานเลี้ยงร้านออมสินการเกษตร ของนายเอกชาติ มีพร้อม หรือเอ็ม เอกชาติ ตั้งอยู่ที่หมู่ 3 ต.ทุ่งเบญจา อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ซึ่งวันเกิดเหตุ แบงค์ เลสเตอร์ มากับนายธีระวัฒน์ ศรีรอด หรือเบิร์ด วันว่างๆ อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง

    ที่น่าเศร้าก็คือ ครั้งหนึ่งแบงค์ เลสเตอร์ เคยโพสต์ข้อความว่า "ชีวิตคนเราไม่สามารถเลือกเกิดได้ ผมยอมโดนแกล้ง ยอมโดนดูถูก เพื่อแลกกับเงินมาจุนเจือครอบครัว" พร้อมกับคลิปที่ตัวเองโดนแกล้งเอาแตงโมมาลูบหน้าบนช่องติ๊กต็อกเมื่อวันที่ 10 ต.ค. 2566 สังคมไทยเริ่มตื่นรู้กับพฤติกรรมที่เรียกว่าสวนสัตว์มนุษย์ (Human Zoo) ยุคนี้หมายถึงการนำบุคคลเปราะบางมากลั่นแกล้งแล้วผลิตคอนเทนต์เพื่อความบันเทิง แลกกับชื่อเสียงในวงการและรายได้ที่ตามมา

    ที่ผ่านมามีวีดีโอคลิปที่แบงค์ เลสเตอร์ ถูกอินฟลูเอนเซอร์บางคนกลั่นแกล้งเพื่อความสนุกในรูปแบบต่างๆ ทั้งการทำร้ายร่างกายหรือปะทะด้วยสิ่งของ การบังคับให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กินเจลหล่อลื่นที่ใช้ในการเพศสัมพันธ์ การนำปัสสาวะผสมเบียร์แล้วหลอกให้ดื่ม ต่างกรรมต่างวาระ แม้จะอ้างได้ว่าแบงค์ เลสเตอร์ ยินยอม แต่เป็นการยินยอมในลักษณะทำเพื่อเงิน ถูกบังคับทางอ้อมเพราะเป็นบุคคลเปราะบาง

    ที่น่าเศร้าก็คือ ยังมีคนที่เสพคอนเทนต์แบบนี้ เคยเหยียดบุคคลเปราะบาง เคยกดถูกใจ กดไลค์กดแชร์เพราะตลกขบขัน สะใจ ให้ความบันเทิงสนุกสนาน ไร้การกลั่นกรอง ปราศจากความรับผิดชอบ หนำซ้ำอัลกอริทึม (Algorithm) ของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ ทำให้อินฟลูเอนเซอร์ผู้กระทำมีชื่อเสียงขึ้นมา โซเชียลมีเดียตะวันตกแทบทุกค่าย ล้วนคัดเลือกคอนเทนต์เฉพาะสิ่งที่ผู้ใช้งานสนใจ หรืออยากรู้อยากเห็น แล้วระบบจะปรับจูนให้ ในขณะที่คอนเทนต์ดีๆ ถ้าไม่ใช้เงินซื้อจำนวนมากก็แทบถูกปิดกั้น

    เมื่อยอดไลค์ ยอดแชร์ ยอดวิว ทำให้อินฟลูเอนเซอร์บางคนหิวกระหาย ทำอะไรก็ได้เพื่อให้มีคนดู แต่ลืมความเป็นมนุษย์ จึงเกิดเหตุสลดขึ้นถึงขั้นพรากชีวิตไป แม้จะมีเสียงเรียกร้องให้เลิกสนับสนุนอินฟลูเอนเซอร์ที่ไร้ความรับผิดชอบต่อเยาวชนและสังคม หันมาสนับสนุนคนทำคอนเทนต์ดีๆ แต่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียไม่ดันให้ หนำซ้ำสังคมไทยเป็นพวกมือถือสากปากถือศีล ปากบอกว่าไม่แต่ใจถลำลึก วันเวลาผ่านไปเมื่อมีเหตุการณ์ใหม่เข้ามา สุดท้ายเรื่องนี้ก็ถูกลืมจากสังคม จางหายไปกับสายลมเช่นเคย

    #Newskit
    บุคคลเปราะบาง เหยื่อคอนเทนต์ การเสียชีวิตของนายธนาคาร คันธี หรือแบงค์ เลสเตอร์ อินฟลูเอนเซอร์วัย 27 ปี เมื่อเวลา 03.40 น. วันที่ 26 ธ.ค. 2567 หลังรับคำท้าดื่มสุรา 350 มิลลิลิตรแบบรวดเดียวหมดแบน เพื่อแลกกับเงิน 30,000 บาท แล้วเกิดพิษแอลกอฮอล์เฉียบพลัน ภายในงานเลี้ยงร้านออมสินการเกษตร ของนายเอกชาติ มีพร้อม หรือเอ็ม เอกชาติ ตั้งอยู่ที่หมู่ 3 ต.ทุ่งเบญจา อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ซึ่งวันเกิดเหตุ แบงค์ เลสเตอร์ มากับนายธีระวัฒน์ ศรีรอด หรือเบิร์ด วันว่างๆ อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง ที่น่าเศร้าก็คือ ครั้งหนึ่งแบงค์ เลสเตอร์ เคยโพสต์ข้อความว่า "ชีวิตคนเราไม่สามารถเลือกเกิดได้ ผมยอมโดนแกล้ง ยอมโดนดูถูก เพื่อแลกกับเงินมาจุนเจือครอบครัว" พร้อมกับคลิปที่ตัวเองโดนแกล้งเอาแตงโมมาลูบหน้าบนช่องติ๊กต็อกเมื่อวันที่ 10 ต.ค. 2566 สังคมไทยเริ่มตื่นรู้กับพฤติกรรมที่เรียกว่าสวนสัตว์มนุษย์ (Human Zoo) ยุคนี้หมายถึงการนำบุคคลเปราะบางมากลั่นแกล้งแล้วผลิตคอนเทนต์เพื่อความบันเทิง แลกกับชื่อเสียงในวงการและรายได้ที่ตามมา ที่ผ่านมามีวีดีโอคลิปที่แบงค์ เลสเตอร์ ถูกอินฟลูเอนเซอร์บางคนกลั่นแกล้งเพื่อความสนุกในรูปแบบต่างๆ ทั้งการทำร้ายร่างกายหรือปะทะด้วยสิ่งของ การบังคับให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กินเจลหล่อลื่นที่ใช้ในการเพศสัมพันธ์ การนำปัสสาวะผสมเบียร์แล้วหลอกให้ดื่ม ต่างกรรมต่างวาระ แม้จะอ้างได้ว่าแบงค์ เลสเตอร์ ยินยอม แต่เป็นการยินยอมในลักษณะทำเพื่อเงิน ถูกบังคับทางอ้อมเพราะเป็นบุคคลเปราะบาง ที่น่าเศร้าก็คือ ยังมีคนที่เสพคอนเทนต์แบบนี้ เคยเหยียดบุคคลเปราะบาง เคยกดถูกใจ กดไลค์กดแชร์เพราะตลกขบขัน สะใจ ให้ความบันเทิงสนุกสนาน ไร้การกลั่นกรอง ปราศจากความรับผิดชอบ หนำซ้ำอัลกอริทึม (Algorithm) ของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ ทำให้อินฟลูเอนเซอร์ผู้กระทำมีชื่อเสียงขึ้นมา โซเชียลมีเดียตะวันตกแทบทุกค่าย ล้วนคัดเลือกคอนเทนต์เฉพาะสิ่งที่ผู้ใช้งานสนใจ หรืออยากรู้อยากเห็น แล้วระบบจะปรับจูนให้ ในขณะที่คอนเทนต์ดีๆ ถ้าไม่ใช้เงินซื้อจำนวนมากก็แทบถูกปิดกั้น เมื่อยอดไลค์ ยอดแชร์ ยอดวิว ทำให้อินฟลูเอนเซอร์บางคนหิวกระหาย ทำอะไรก็ได้เพื่อให้มีคนดู แต่ลืมความเป็นมนุษย์ จึงเกิดเหตุสลดขึ้นถึงขั้นพรากชีวิตไป แม้จะมีเสียงเรียกร้องให้เลิกสนับสนุนอินฟลูเอนเซอร์ที่ไร้ความรับผิดชอบต่อเยาวชนและสังคม หันมาสนับสนุนคนทำคอนเทนต์ดีๆ แต่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียไม่ดันให้ หนำซ้ำสังคมไทยเป็นพวกมือถือสากปากถือศีล ปากบอกว่าไม่แต่ใจถลำลึก วันเวลาผ่านไปเมื่อมีเหตุการณ์ใหม่เข้ามา สุดท้ายเรื่องนี้ก็ถูกลืมจากสังคม จางหายไปกับสายลมเช่นเคย #Newskit
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 492 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ไอ่พวกเฮี้ย
    เล่นกับชีวิตคน
    ไอ่SUSกะหมา
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #ไอ่พวกเฮี้ย เล่นกับชีวิตคน ไอ่SUSกะหมา #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เอ็ม เอกชาติ” ลูกชายเจ้าของงานที่ "แบงค์ เลสเตอร์" ได้ไปร่วมงานก่อนเสียชีวิต โพสต์อาลัยการสูญเสียครั้ง พร้อมรับผิดชอบ ยันจะดูแลยาย-แม่ แทนน้องแบงค์

    จากกรณีข่าวการเสียชีวิตของ "แบงค์ เลสเตอร์" หนุ่มอินฟลูฯ และคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่โด่งดังจากแร็ปขายพวงมาลัยเลี้ยงคุณยาย ที่ต้องมาจบชีวิตลงเพราะคาดว่ามาจากการถูกจ้างดื่มเหล้าให้หมดแบน เพื่อแลกเงิน 3 หมื่น

    ล่าสุด วันนี้ (26 ธ.ค.) เฟซบุ๊ก “เอ็ม เอกชาติ” อินฟลูเอนเซอร์และคอนเทนต์ครีเอเตอร์สายแข่งรถชื่อดังจากจังหวัดจันทบุรี และเป็นลูกชายเจ้าของงานที่ "แบงค์ เลสเตอร์" ได้ไปร่วมงานในวันเกิดเหตุ ได้ออกมาโพสต์กรณีการสูญเสียที่เกิดขึ้น ระบุว่า “พี่มาส่งมึงได้แค่นี้นะน้องชาย ไปสบายนะไม่ต้องเหนื่อยไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว ถึงเราจะรู้จักกันได้ไม่นานแต่น้องนิสัยดีมากพี่รับรู้ได้ ไม่ต้องห่วงอะไรนะเดี๋ยวพวกพี่จะดูแลต่อให้ ชาติหน้าเรามาเป็นพี่น้องกันใหม่นะ ไปสู่สุขคตินะน้องชาย

    และโพสต์เพิ่มเติมว่า “ไม่มีไครอยากไห้เกิดเรื่องแบบนี้หลอกครับ ชีวิตคนทั้งคน ผมเองเสียใจมากกว่าพวกคุณอีก น้องมางานผม 2 ครั้ง ผมให้เงินน้องใช้ทุกครั้ง ไม่เคยด่อยค่าน้องเลย น้องนิสัยดีมาก ส่วนเรื่องรับผิดชอบผมเป็นเจ้าของงานผมต้องรับผิดชอบแน่นอนครับ ผมจะดูแลยาย ดูแลแม่ น้องต่อจากน้องเองครับ”

    #MGROnline #แบงค์เลสเตอร์
    “เอ็ม เอกชาติ” ลูกชายเจ้าของงานที่ "แบงค์ เลสเตอร์" ได้ไปร่วมงานก่อนเสียชีวิต โพสต์อาลัยการสูญเสียครั้ง พร้อมรับผิดชอบ ยันจะดูแลยาย-แม่ แทนน้องแบงค์ • จากกรณีข่าวการเสียชีวิตของ "แบงค์ เลสเตอร์" หนุ่มอินฟลูฯ และคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่โด่งดังจากแร็ปขายพวงมาลัยเลี้ยงคุณยาย ที่ต้องมาจบชีวิตลงเพราะคาดว่ามาจากการถูกจ้างดื่มเหล้าให้หมดแบน เพื่อแลกเงิน 3 หมื่น • ล่าสุด วันนี้ (26 ธ.ค.) เฟซบุ๊ก “เอ็ม เอกชาติ” อินฟลูเอนเซอร์และคอนเทนต์ครีเอเตอร์สายแข่งรถชื่อดังจากจังหวัดจันทบุรี และเป็นลูกชายเจ้าของงานที่ "แบงค์ เลสเตอร์" ได้ไปร่วมงานในวันเกิดเหตุ ได้ออกมาโพสต์กรณีการสูญเสียที่เกิดขึ้น ระบุว่า “พี่มาส่งมึงได้แค่นี้นะน้องชาย ไปสบายนะไม่ต้องเหนื่อยไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว ถึงเราจะรู้จักกันได้ไม่นานแต่น้องนิสัยดีมากพี่รับรู้ได้ ไม่ต้องห่วงอะไรนะเดี๋ยวพวกพี่จะดูแลต่อให้ ชาติหน้าเรามาเป็นพี่น้องกันใหม่นะ ไปสู่สุขคตินะน้องชาย • และโพสต์เพิ่มเติมว่า “ไม่มีไครอยากไห้เกิดเรื่องแบบนี้หลอกครับ ชีวิตคนทั้งคน ผมเองเสียใจมากกว่าพวกคุณอีก น้องมางานผม 2 ครั้ง ผมให้เงินน้องใช้ทุกครั้ง ไม่เคยด่อยค่าน้องเลย น้องนิสัยดีมาก ส่วนเรื่องรับผิดชอบผมเป็นเจ้าของงานผมต้องรับผิดชอบแน่นอนครับ ผมจะดูแลยาย ดูแลแม่ น้องต่อจากน้องเองครับ” • #MGROnline #แบงค์เลสเตอร์
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 211 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลายเป็นดรามาเดือดบนโลกออนไลน์ กรณีการเสียชีวิตของ “แบงค์ เลสเตอร์” หรือ “ธนาคาร คันธี” วัย 21 ปี อินฟลูเอนเซอร์ที่ดังจากการแรปขายพวงมาลัยเลี้ยงคุณยาย เสียชีวิตจากการช็อกดับ หลังถูกจ้างให้ดื่มเหล้าหมดแบน แลกเงิน 3 หมื่นบาท

    ด้านผกก.ชื่อดังอย่าง “พชร์ อานนท์” ที่เคยมีประเด็นกับแบงค์ เลสเตอร์ในปี 66 ได้โพสต์ข้อความอาลัย ยอมรับตกใจที่เห็นข่าวนี้ “RIP เห็นข่าวแล้วตกใจเหมือนกัน ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวอะไรกับน้องเลย แต่เห็นน้องใช้ชีวิตแล้วน่าเป็นห่วงมาก เห็นในตต(ติ๊กต๊อก) บ่อยๆ เสียใจกับการจากไป ขออโหสิกรรมน้องด้วยที่เคยเป็นข่าวตอนนั้น พี่ไม่ได้ว่าอะไรกับน้องเลยก็บอกไปตามตรงว่าไม่รู้ว่า ขึ้นสวรรค์เป็นเทวดาน้อยๆ นะน้องนะ น้องอยู่วัดไหนอยากส่งพวงหรีดไปให้ ใครรู้บอกหน่อยนะ!! อนิจจาชีวิตคนเราไม่แน่นอนจริงๆ”อย่างไรก็ตาม ในเดือนก.พ.ปี 66 พชร์ อานนท์ ได้ออกมาโพสต์ข้อความถึงรายการตีสิบ หลังได้เชิญ แบงค์ เลสเตอร์ ซึ่งอ้างว่าได้เสนอขายพวงมาลัยให้กับพชร์ อานนท์ และร้องแรปให้พชร์ฟัง จนพชร์สนใจ บอกให้มาร่วมแคสติ้งงานหนังด้วยกัน จนกระทั่งแคสงานผ่าน ได้เล่นหนังของพชร์ อานนท์ ซึ่งตอนนั้นเจ้าตัวยืนยันไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า แล้วจะชวนเข้าวงการได้อย่างไร พร้อมฉะตีสิบก่อนเสนอข่าวให้หาข้อมูลหน่อยได้ไหม และขอให้น้องหยุดเอาชื่อตนเองไปแอบอ้าง

    #MGROnline #แบงค์เลสเตอร์
    กลายเป็นดรามาเดือดบนโลกออนไลน์ กรณีการเสียชีวิตของ “แบงค์ เลสเตอร์” หรือ “ธนาคาร คันธี” วัย 21 ปี อินฟลูเอนเซอร์ที่ดังจากการแรปขายพวงมาลัยเลี้ยงคุณยาย เสียชีวิตจากการช็อกดับ หลังถูกจ้างให้ดื่มเหล้าหมดแบน แลกเงิน 3 หมื่นบาท • ด้านผกก.ชื่อดังอย่าง “พชร์ อานนท์” ที่เคยมีประเด็นกับแบงค์ เลสเตอร์ในปี 66 ได้โพสต์ข้อความอาลัย ยอมรับตกใจที่เห็นข่าวนี้ “RIP เห็นข่าวแล้วตกใจเหมือนกัน ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวอะไรกับน้องเลย แต่เห็นน้องใช้ชีวิตแล้วน่าเป็นห่วงมาก เห็นในตต(ติ๊กต๊อก) บ่อยๆ เสียใจกับการจากไป ขออโหสิกรรมน้องด้วยที่เคยเป็นข่าวตอนนั้น พี่ไม่ได้ว่าอะไรกับน้องเลยก็บอกไปตามตรงว่าไม่รู้ว่า ขึ้นสวรรค์เป็นเทวดาน้อยๆ นะน้องนะ น้องอยู่วัดไหนอยากส่งพวงหรีดไปให้ ใครรู้บอกหน่อยนะ!! อนิจจาชีวิตคนเราไม่แน่นอนจริงๆ”อย่างไรก็ตาม ในเดือนก.พ.ปี 66 พชร์ อานนท์ ได้ออกมาโพสต์ข้อความถึงรายการตีสิบ หลังได้เชิญ แบงค์ เลสเตอร์ ซึ่งอ้างว่าได้เสนอขายพวงมาลัยให้กับพชร์ อานนท์ และร้องแรปให้พชร์ฟัง จนพชร์สนใจ บอกให้มาร่วมแคสติ้งงานหนังด้วยกัน จนกระทั่งแคสงานผ่าน ได้เล่นหนังของพชร์ อานนท์ ซึ่งตอนนั้นเจ้าตัวยืนยันไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า แล้วจะชวนเข้าวงการได้อย่างไร พร้อมฉะตีสิบก่อนเสนอข่าวให้หาข้อมูลหน่อยได้ไหม และขอให้น้องหยุดเอาชื่อตนเองไปแอบอ้าง • #MGROnline #แบงค์เลสเตอร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
  • ด้วยอัตราการเกิดที่ต่ำติดอันดับที่ 3 ของโลก ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอัตราการเกิดสูงขึ้นต่อเนื่อง จะส่งผลต่ออนาคตของประเทศไทยอย่างไร?

    เมื่อเร็วๆ นี้ ผมดูคลิปหนึ่งเรื่องความถดถอยของเกาหลีใต้ ตอนหนึ่งเอ่ยถึงอัตราการเกิดที่ต่ำมาก ซึ่งถ้าปล่อยไปแบบนี้เกาหลีใต้จะ "สิ้นชาติ" ภายในปี 2100 เพราะประชากร 70% จะหายไป

    แม้ว่าเกาหลีใต้จะทุ่มเงิน 2.7 แสนล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นอัตราการเกิด แต่ก็ไม่ได้ผล ซึ่งดูท่าว่าการใช้เงินจะไม่ได้ผลในประเทศอื่นด้วย เช่น ในญี่ปุ่น และสิงคโปร์

    เช่น การให้เงินอุดหนุนคนมีลูก หรือเพิ่มวันลาคลอดทั้งชายทั้งหญิงไปจนถึงรัฐบาลช่วยจับคู่ให้ประชากร ทั้งหมดดูจะล้มเหลว

    มีการเทียบสถานการณ์นี้กับสหภาพโซเวียตซึ่งในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษที่ 1960 จากอัตราการเกิดสูงถึง 24.9 คน/ประชากร 1,000 คน ในปี 1966 มาอยู่ที่ 17.4/ประชากร 1,000 คน

    ปัญหาเกิดจากอะไร? เกิดจากการพัฒนามากเกินไปแบบ "กระจุกตัว"

    จากเอกสารลับของ CIA (ตอนนี้ไม่ลับแล้ว) บอกว่า การที่อัตราการเกิดในโซเวียตต่ำเป็นเพราะการขยายตัวของเมือง (Urbanization) และการเปลี่ยนจากสังคมเกษตรเป็นอุตสาหกรรม

    ช่วงหนึ่งโซเวียตทำลายภาคเกษตรอย่างย่อยยับด้วยระบบคอมมูน ซึ่งทำให้การเกษตรล้มหลว จนเกษตรกรต้องอพยพเข้ามาอยูในเมืองและเป็นแรงงานโรงงาน ชีวิตคนเมืองแบบนี้ไม่เอื้อต่อการทำลูกมากๆ ต่างจากสังคมเกษตร

    ในเวลาเดียวกัน เมื่อคนแห่เข้ามาอยู่ในเมืองมากๆ ที่อาศัยในเมืองก็ไม่พอ ทำให้ยิ่งไม่เหมาะกับการมีลูกในแฟลตเล็กๆ ที่อยู่แออัดเหมือนรังหนู

    เมื่อคนมากขึ้นในเมือง แต่ภาคเกษตรล้ม ทำให้ของยิ่งแพง เศรษฐกิจแบบนี้คนจึงไม่อยากมีลูก

    ในเวลาเดียวกัน โซเวียตปลดปล่อยสิทธิสตรี ทำให้ผู้หญิงไม่ต้องผูกมัดกับการมีลูกเพื่อมีตัวตนในสังคม อีกทั้งยังให้สิทธิในการทำแท้งเสรี เมื่อผู้หญิงทำงานเท่าผู้ชาย ก็ไม่อยากจะมีลูกอีก

    ในกรณีของโซเวียต CIA วิเคราะห์ว่าอัตราการเกิดต่ำในปี 1960 ลงมาเพราะผู้หญิงออกมาทำงานและเรียนมากขึ้นถึง 90% แต่เมื่อดูจากสังคมญี่ปุ่นที่ผู้หญิงอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนมากกว่า แต่แล้วก็ยังมีอัตราเกิดต่ำที่สุดในโลก บางทีเรื่องนี้อาจไม่เกี่ยวกับผู้หญิงเลย

    และต่อมาอัตราเกิดของโซเวียตยิ่งต่ำกว่าสหรัฐฯ เสียอีก ซึ่งถือว่าเป็นปัญหามากในช่วงที่ทั้งสองประเทศทำสงครามเย็น หากแรงงานลดลง จะแข่งเรื่องการพัฒนาสร้างความก้าวหน้าไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทำสงครามจริงๆ

    อีกปัญหาก็คือ สหภาพโซเวียตประกอบด้วยสาธารณรัฐและชนชาติต่างๆ มากมาย ในขณะที่ประชากรชาวรัสเซียลดลงฮวบฮาบ ประชากรชนชาติอื่นยิ่งเพิ่มสูงขึ้น และในที่สุดทำนายกันว่าภายในทศวรรษ 2000 ชาวรัสเซียจะไม่ใช่ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ

    ถามว่ารัสเซียนจะกลืนชนชาติอื่นมาเป็นตน (Russification) ได้ไหม? ตอบว่าทำไม่สำเร็จ เพราะกลุ่มที่เกิดมากกว่าไม่ยอมถูกลืนเป็นรัสเซียนและถืออัตลักษณ์ของตนมากกว่า

    ในประเด็นนี้ ผมเคยเสนอว่าวิธีการแก้ปัญหาอัตราการเกิดต่ำของไทย อาจแก้ด้วยการเปิดรับผู้อพยพที่มีทักษะเข้ามามากๆ แล้ว ทำให้พวกเขาเป็นไทย (Thaification) ด้วยการสร้างชาตินิยมไทยให้เข้มแข็ง เพื่อให้ "คนนอก" รู้สึกสำนึกว่าเป็น "คนใน" เช่นที่ไทยเคยทำ Thaification กับประชากรเชื้อชาติจีนสำเร็จมาแล้ว

    แต่เมื่อเห็นปัญหาของโซเวียตผมชักไม่แน่ใจว่าการเอาคนนอกเข้ามาเป็น "คนไทยใหม่" แทน "คนไทยเดิม" ที่เกิดน้อยลงเป็นไอเดียที่จะเวิร์กหรือไม่? ส่วนหนึ่งการทำลาย "ความภูมิใจในความเป็นไทย" ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้คนไทยบางคนก็ไม่อยากเป็นไทย แล้วคนนอกจะยังอยากเป็นไทยหรือ?

    ตัวอย่างเช่น ที่สหรัฐฯ อัตราการเกิดนับตั้งแต่ 1970 เป็นต้นมา ส่วนใหญ่มากจากแม่ที่เป็นผู้อพยพ ส่วนคนท้องถิ่นมีลูกน้อยลง แต่ปัญหาผู้อพยพในสหรัฐ ตอนนี้กำลังทำให้ประเทศแตกแยกอย่างหนัก

    บางทีการแก้ปัญหาหาอาจต้องเน้นการสร้างเด็กเกิดใหม่โดยคนท้องถิ่นเพิ่มขึ้นเป็นหลัก หากปัญหาของการไม่มีลูกอยู่ที่การกระจุกตัวของสังคมเมือง รัฐบาลก็ต้องกระจายโอกาสให้เมืองชนบทมากขึ้น

    คนทำเกษตรควรจะมีสวัสดิภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะพวกเขาอาจเป็นความหวังของการมีลูกมากว่าคนเมือง ดังนั้น แทนที่จะหนุนคนหนุ่มสาวในเมืองให้มีลูก รัฐควรเน้นที่นอกเมืองแทน

    กรณีของสหภาพโซเวียต CIA วิเคราะห์ว่า "เพราะปัญหาเมืองใหญ่ แต่บ้านเล็ก" นั่นคือ แม้เมืองจะโตขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนบ้านนอกเข้ามาเยอะ แต่การมีบ้านในเมืองเป็นเรื่องยาก ในปี 1967 อัตราพื้นที่อยู่อาศัยต่อหัวของโซเวียตอยู่ที่แค่ 7 ตร.ม. เท่านั้น ขนาดคนเดียวยังไม่รอด แล้วจะไปมีลูกได้อย่างไร และในทศวรรษที่ 1950 มีการสำรวจพบว่า 14% ที่ไม่มีลูกในเมืองแล้วเลือกทำแท้ง เพราะบ้านไม่พออยู่

    นี่ขนาดโซเวียตเป็นรัฐสังคมนิยมที่บ้านไม่ใช่ของแพง (แต่สร้างยาก) แล้วยังมีพื้นที่ประเทศใหญ่ที่สุดในโลก

    ดูเหมือนที่อยู่แพงและหายากและเล็กจิ๋ว จะเป็นปัญหาของคนจีน เกาหลี สิงคโปร์ และญี่ปุ่นด้วย เพระาคนเยอะแต่ดินแดนมีจำกัด

    แต่สหรัฐฯ ในช่วง 1970 อัตรการเกิดสูงมาก เนื่องจากเป็นยุคเศรษฐกิจบูม บ้านราคาไม่แพง และภาคเกษตรไม่ตกต่ำและยืนเคียงข้างภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ดูเหมือนการพัฒนาจะไม่กระจุกในเมือง เพราะมีเขตรอบนอกเมือง และชนบทที่เข้าถึงการปัจจัยในการดำรงชีพได้พอๆ กัน

    ในกรณีของสหรัฐฯ ปี 1970 เป็นต้นมามีปัญหาหนึ่งคล้ายกับไทย คือ "ท้องนอกสมรสกันเยอะ" แต่เพราะทำแท้งยาก ลูกก็เลยเต็มเมือง แต่เมื่อลูกแบบนี้เยอะก็ไม่เป็นปัญหา เพราะเข้าถึงการศึกษาได้ถ้วนหน้า

    อัตราการเกิดของสหรัฐฯ จะคึกมาถึงทศวรรษที่ 1990 เลยด้วยซ้ำตามสภาวะเศรษฐกิจ หลังจากนั้นก็ลดลงเพราะ "จักรวรรดิเศรษฐกิจเริ่มพังทลาย" และสังคมแตกแยกสูง จนตั้งแง่กับผู้อพยพอย่างหนัก

    ดังนั้นเมื่อมองมาที่ไทย ถ้ารัฐบาลอยากให้มีลูก ไม่ควรจะแจกเงินเท่านั้นเพราจะตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ควรจะไปแก้ที่ปัจจัยสี่แห่งการมีลูก คือ บ้านต้องมีกันได้ง่ายๆ (บ้านไม่แพง) สาธารณสุขต้องครบครัน (มีลูกต้องไม่แพง) คนชนทบทต้องไม่หนีเข้ามาในเมือง (มีงานและโอกาสทั่วถึง) และควรให้สวัสดิการผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย (เช่นวันหยุดเพิ่มเติมสำหรับคนที่ตั้งใจหรือกำลังมีลูก)

    ถ้าปัจจัยครบ รัฐบาลไม่ต้องเสียเวลาบังคับให้ใครมีลูก เดี๋ยวเขาจะมีกันเอง

    หรือถ้ามีกระตุ้นให้มีลูกกันเองไม่ได้ บางทีอาจจะต้องอาศัยการรับผู้อพบพเข้ามาแล้วทำให้เป็นคนไทยโดยสมบูรณ์ อย่างในกรณีของสหรัฐมีผู้อพยพจากประเทศที่มีอัตราการเจริญพันธุ์สูงอย่างต่อเนื่อง เมื่อเข้ามาอยู่แล้วก็ถือเป็น "อเมริกัน" ไม่ใช่คนชาติเดิมอีก บางทีเราต้องดูตัวอย่างการกลืน (Assimilation) แบบสหรัฐฯ ด้วย

    ปัจจัยสี่แห่งการมีลูกนี้ผมนึกเอาเอง ผมคิดว่าหลายคนก็คงมีไอเดียอื่นๆ ด้วย และที่เล่ามานั้นไม่ใช่ถูกหรือผิด เพียงแค่อยากจะแบ่งปันวิธีแก้ปัญหาของชาติเท่านั้น ไม่ได้อยากจะอวดดีอวดเก่งอะไร



    Kornkit Disthan
    ด้วยอัตราการเกิดที่ต่ำติดอันดับที่ 3 ของโลก ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอัตราการเกิดสูงขึ้นต่อเนื่อง จะส่งผลต่ออนาคตของประเทศไทยอย่างไร? เมื่อเร็วๆ นี้ ผมดูคลิปหนึ่งเรื่องความถดถอยของเกาหลีใต้ ตอนหนึ่งเอ่ยถึงอัตราการเกิดที่ต่ำมาก ซึ่งถ้าปล่อยไปแบบนี้เกาหลีใต้จะ "สิ้นชาติ" ภายในปี 2100 เพราะประชากร 70% จะหายไป แม้ว่าเกาหลีใต้จะทุ่มเงิน 2.7 แสนล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นอัตราการเกิด แต่ก็ไม่ได้ผล ซึ่งดูท่าว่าการใช้เงินจะไม่ได้ผลในประเทศอื่นด้วย เช่น ในญี่ปุ่น และสิงคโปร์ เช่น การให้เงินอุดหนุนคนมีลูก หรือเพิ่มวันลาคลอดทั้งชายทั้งหญิงไปจนถึงรัฐบาลช่วยจับคู่ให้ประชากร ทั้งหมดดูจะล้มเหลว มีการเทียบสถานการณ์นี้กับสหภาพโซเวียตซึ่งในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษที่ 1960 จากอัตราการเกิดสูงถึง 24.9 คน/ประชากร 1,000 คน ในปี 1966 มาอยู่ที่ 17.4/ประชากร 1,000 คน ปัญหาเกิดจากอะไร? เกิดจากการพัฒนามากเกินไปแบบ "กระจุกตัว" จากเอกสารลับของ CIA (ตอนนี้ไม่ลับแล้ว) บอกว่า การที่อัตราการเกิดในโซเวียตต่ำเป็นเพราะการขยายตัวของเมือง (Urbanization) และการเปลี่ยนจากสังคมเกษตรเป็นอุตสาหกรรม ช่วงหนึ่งโซเวียตทำลายภาคเกษตรอย่างย่อยยับด้วยระบบคอมมูน ซึ่งทำให้การเกษตรล้มหลว จนเกษตรกรต้องอพยพเข้ามาอยูในเมืองและเป็นแรงงานโรงงาน ชีวิตคนเมืองแบบนี้ไม่เอื้อต่อการทำลูกมากๆ ต่างจากสังคมเกษตร ในเวลาเดียวกัน เมื่อคนแห่เข้ามาอยู่ในเมืองมากๆ ที่อาศัยในเมืองก็ไม่พอ ทำให้ยิ่งไม่เหมาะกับการมีลูกในแฟลตเล็กๆ ที่อยู่แออัดเหมือนรังหนู เมื่อคนมากขึ้นในเมือง แต่ภาคเกษตรล้ม ทำให้ของยิ่งแพง เศรษฐกิจแบบนี้คนจึงไม่อยากมีลูก ในเวลาเดียวกัน โซเวียตปลดปล่อยสิทธิสตรี ทำให้ผู้หญิงไม่ต้องผูกมัดกับการมีลูกเพื่อมีตัวตนในสังคม อีกทั้งยังให้สิทธิในการทำแท้งเสรี เมื่อผู้หญิงทำงานเท่าผู้ชาย ก็ไม่อยากจะมีลูกอีก ในกรณีของโซเวียต CIA วิเคราะห์ว่าอัตราการเกิดต่ำในปี 1960 ลงมาเพราะผู้หญิงออกมาทำงานและเรียนมากขึ้นถึง 90% แต่เมื่อดูจากสังคมญี่ปุ่นที่ผู้หญิงอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนมากกว่า แต่แล้วก็ยังมีอัตราเกิดต่ำที่สุดในโลก บางทีเรื่องนี้อาจไม่เกี่ยวกับผู้หญิงเลย และต่อมาอัตราเกิดของโซเวียตยิ่งต่ำกว่าสหรัฐฯ เสียอีก ซึ่งถือว่าเป็นปัญหามากในช่วงที่ทั้งสองประเทศทำสงครามเย็น หากแรงงานลดลง จะแข่งเรื่องการพัฒนาสร้างความก้าวหน้าไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทำสงครามจริงๆ อีกปัญหาก็คือ สหภาพโซเวียตประกอบด้วยสาธารณรัฐและชนชาติต่างๆ มากมาย ในขณะที่ประชากรชาวรัสเซียลดลงฮวบฮาบ ประชากรชนชาติอื่นยิ่งเพิ่มสูงขึ้น และในที่สุดทำนายกันว่าภายในทศวรรษ 2000 ชาวรัสเซียจะไม่ใช่ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ถามว่ารัสเซียนจะกลืนชนชาติอื่นมาเป็นตน (Russification) ได้ไหม? ตอบว่าทำไม่สำเร็จ เพราะกลุ่มที่เกิดมากกว่าไม่ยอมถูกลืนเป็นรัสเซียนและถืออัตลักษณ์ของตนมากกว่า ในประเด็นนี้ ผมเคยเสนอว่าวิธีการแก้ปัญหาอัตราการเกิดต่ำของไทย อาจแก้ด้วยการเปิดรับผู้อพยพที่มีทักษะเข้ามามากๆ แล้ว ทำให้พวกเขาเป็นไทย (Thaification) ด้วยการสร้างชาตินิยมไทยให้เข้มแข็ง เพื่อให้ "คนนอก" รู้สึกสำนึกว่าเป็น "คนใน" เช่นที่ไทยเคยทำ Thaification กับประชากรเชื้อชาติจีนสำเร็จมาแล้ว แต่เมื่อเห็นปัญหาของโซเวียตผมชักไม่แน่ใจว่าการเอาคนนอกเข้ามาเป็น "คนไทยใหม่" แทน "คนไทยเดิม" ที่เกิดน้อยลงเป็นไอเดียที่จะเวิร์กหรือไม่? ส่วนหนึ่งการทำลาย "ความภูมิใจในความเป็นไทย" ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้คนไทยบางคนก็ไม่อยากเป็นไทย แล้วคนนอกจะยังอยากเป็นไทยหรือ? ตัวอย่างเช่น ที่สหรัฐฯ อัตราการเกิดนับตั้งแต่ 1970 เป็นต้นมา ส่วนใหญ่มากจากแม่ที่เป็นผู้อพยพ ส่วนคนท้องถิ่นมีลูกน้อยลง แต่ปัญหาผู้อพยพในสหรัฐ ตอนนี้กำลังทำให้ประเทศแตกแยกอย่างหนัก บางทีการแก้ปัญหาหาอาจต้องเน้นการสร้างเด็กเกิดใหม่โดยคนท้องถิ่นเพิ่มขึ้นเป็นหลัก หากปัญหาของการไม่มีลูกอยู่ที่การกระจุกตัวของสังคมเมือง รัฐบาลก็ต้องกระจายโอกาสให้เมืองชนบทมากขึ้น คนทำเกษตรควรจะมีสวัสดิภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะพวกเขาอาจเป็นความหวังของการมีลูกมากว่าคนเมือง ดังนั้น แทนที่จะหนุนคนหนุ่มสาวในเมืองให้มีลูก รัฐควรเน้นที่นอกเมืองแทน กรณีของสหภาพโซเวียต CIA วิเคราะห์ว่า "เพราะปัญหาเมืองใหญ่ แต่บ้านเล็ก" นั่นคือ แม้เมืองจะโตขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนบ้านนอกเข้ามาเยอะ แต่การมีบ้านในเมืองเป็นเรื่องยาก ในปี 1967 อัตราพื้นที่อยู่อาศัยต่อหัวของโซเวียตอยู่ที่แค่ 7 ตร.ม. เท่านั้น ขนาดคนเดียวยังไม่รอด แล้วจะไปมีลูกได้อย่างไร และในทศวรรษที่ 1950 มีการสำรวจพบว่า 14% ที่ไม่มีลูกในเมืองแล้วเลือกทำแท้ง เพราะบ้านไม่พออยู่ นี่ขนาดโซเวียตเป็นรัฐสังคมนิยมที่บ้านไม่ใช่ของแพง (แต่สร้างยาก) แล้วยังมีพื้นที่ประเทศใหญ่ที่สุดในโลก ดูเหมือนที่อยู่แพงและหายากและเล็กจิ๋ว จะเป็นปัญหาของคนจีน เกาหลี สิงคโปร์ และญี่ปุ่นด้วย เพระาคนเยอะแต่ดินแดนมีจำกัด แต่สหรัฐฯ ในช่วง 1970 อัตรการเกิดสูงมาก เนื่องจากเป็นยุคเศรษฐกิจบูม บ้านราคาไม่แพง และภาคเกษตรไม่ตกต่ำและยืนเคียงข้างภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ดูเหมือนการพัฒนาจะไม่กระจุกในเมือง เพราะมีเขตรอบนอกเมือง และชนบทที่เข้าถึงการปัจจัยในการดำรงชีพได้พอๆ กัน ในกรณีของสหรัฐฯ ปี 1970 เป็นต้นมามีปัญหาหนึ่งคล้ายกับไทย คือ "ท้องนอกสมรสกันเยอะ" แต่เพราะทำแท้งยาก ลูกก็เลยเต็มเมือง แต่เมื่อลูกแบบนี้เยอะก็ไม่เป็นปัญหา เพราะเข้าถึงการศึกษาได้ถ้วนหน้า อัตราการเกิดของสหรัฐฯ จะคึกมาถึงทศวรรษที่ 1990 เลยด้วยซ้ำตามสภาวะเศรษฐกิจ หลังจากนั้นก็ลดลงเพราะ "จักรวรรดิเศรษฐกิจเริ่มพังทลาย" และสังคมแตกแยกสูง จนตั้งแง่กับผู้อพยพอย่างหนัก ดังนั้นเมื่อมองมาที่ไทย ถ้ารัฐบาลอยากให้มีลูก ไม่ควรจะแจกเงินเท่านั้นเพราจะตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ควรจะไปแก้ที่ปัจจัยสี่แห่งการมีลูก คือ บ้านต้องมีกันได้ง่ายๆ (บ้านไม่แพง) สาธารณสุขต้องครบครัน (มีลูกต้องไม่แพง) คนชนทบทต้องไม่หนีเข้ามาในเมือง (มีงานและโอกาสทั่วถึง) และควรให้สวัสดิการผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย (เช่นวันหยุดเพิ่มเติมสำหรับคนที่ตั้งใจหรือกำลังมีลูก) ถ้าปัจจัยครบ รัฐบาลไม่ต้องเสียเวลาบังคับให้ใครมีลูก เดี๋ยวเขาจะมีกันเอง หรือถ้ามีกระตุ้นให้มีลูกกันเองไม่ได้ บางทีอาจจะต้องอาศัยการรับผู้อพบพเข้ามาแล้วทำให้เป็นคนไทยโดยสมบูรณ์ อย่างในกรณีของสหรัฐมีผู้อพยพจากประเทศที่มีอัตราการเจริญพันธุ์สูงอย่างต่อเนื่อง เมื่อเข้ามาอยู่แล้วก็ถือเป็น "อเมริกัน" ไม่ใช่คนชาติเดิมอีก บางทีเราต้องดูตัวอย่างการกลืน (Assimilation) แบบสหรัฐฯ ด้วย ปัจจัยสี่แห่งการมีลูกนี้ผมนึกเอาเอง ผมคิดว่าหลายคนก็คงมีไอเดียอื่นๆ ด้วย และที่เล่ามานั้นไม่ใช่ถูกหรือผิด เพียงแค่อยากจะแบ่งปันวิธีแก้ปัญหาของชาติเท่านั้น ไม่ได้อยากจะอวดดีอวดเก่งอะไร Kornkit Disthan
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 317 มุมมอง 0 รีวิว
  • เกิดข่าวเศร้ากับวงการเพลงลูกทุ่งเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา จากการแจ้งข่าวทางเฟซบุ๊กของ “นายสิทธิคุณ บุญเกิดรัมย์” บุตรชายของ “แดน บุรีรัมย์” หรือ “นายบุญชื่น บุญเกิดรัมย์” ครูเพลงชื่อดัง โดยมีข้อความว่า "การเสียใจครั้งสุดท้ายของชีวิตคนเป็นลูก ด้วยรัก แดน บุรีรัมย์"

    ล่าสุดทางบุญชายได้มีการโพสต์แจ้งกำหนดการงานสวดพระอภิธรรม แดน บุรีรัมย์ โดยในวันที่ 14 ธันวาคม 2567 จะมีพิธีรดน้ำศพ เวลา 17.00น. ณ วัดไร่ขิง จ.นครปฐม สวดพระอภิธรรมวันที่ 14 - 21 ธันวาคม 2567 เวลา 19.00 น. และฌาปนกิจวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2567 เวลา 16.00 น.

    ทั้งนี้ แดน บุรีรัมย์ นักแต่งเพลง นักร้อง นักแสดง และ กรรมการสมาคมนักเพลงลูกทุ่งแห่งประเทศไทย ได้จากไปอย่างสงบ ในวัย 79 ปี ด้วยโรคประจำตัวที่โรงพยาบาลกาญจนา ศาลายา เมื่อวันศุกร์ที่ 13 ธันวาคมที่ผ่านมา

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/entertainment/detail/9670000120073

    #MGROnline #แดนบุรีรัมย์ #ครูเพลงชื่อดัง
    เกิดข่าวเศร้ากับวงการเพลงลูกทุ่งเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา จากการแจ้งข่าวทางเฟซบุ๊กของ “นายสิทธิคุณ บุญเกิดรัมย์” บุตรชายของ “แดน บุรีรัมย์” หรือ “นายบุญชื่น บุญเกิดรัมย์” ครูเพลงชื่อดัง โดยมีข้อความว่า "การเสียใจครั้งสุดท้ายของชีวิตคนเป็นลูก ด้วยรัก แดน บุรีรัมย์" • ล่าสุดทางบุญชายได้มีการโพสต์แจ้งกำหนดการงานสวดพระอภิธรรม แดน บุรีรัมย์ โดยในวันที่ 14 ธันวาคม 2567 จะมีพิธีรดน้ำศพ เวลา 17.00น. ณ วัดไร่ขิง จ.นครปฐม สวดพระอภิธรรมวันที่ 14 - 21 ธันวาคม 2567 เวลา 19.00 น. และฌาปนกิจวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2567 เวลา 16.00 น. • ทั้งนี้ แดน บุรีรัมย์ นักแต่งเพลง นักร้อง นักแสดง และ กรรมการสมาคมนักเพลงลูกทุ่งแห่งประเทศไทย ได้จากไปอย่างสงบ ในวัย 79 ปี ด้วยโรคประจำตัวที่โรงพยาบาลกาญจนา ศาลายา เมื่อวันศุกร์ที่ 13 ธันวาคมที่ผ่านมา • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/entertainment/detail/9670000120073 • #MGROnline #แดนบุรีรัมย์ #ครูเพลงชื่อดัง
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 261 มุมมอง 0 รีวิว
  • "เงาในกระจก และตัวตนที่แท้จริง"มองกระจกเพื่อรู้จักตัวเองการมองเงาสะท้อนในกระจก อาจช่วยให้คุณเห็นรูปลักษณ์ภายนอก เห็นว่า "คุณเป็นอย่างไร" เช่น สภาพหน้าตา ผิวพรรณ หรือการแต่งกาย แต่กระจกไม่สามารถสะท้อนตัวตนที่แท้จริงได้ว่า "คุณเป็นใคร" เพราะสิ่งนั้นต้องอาศัยมุมมองจากใจของคนอื่น---"ฉันเป็นใครสำหรับเขา?"ชีวิตเต็มไปด้วยการถามคำถามเกี่ยวกับคนอื่นใครเป็นเพื่อนเรา?ใครรักเรา?ใครทำอะไรให้เรา?แต่คำถามสำคัญที่ควรถามบ่อยๆ คือฉันทำอะไรให้คนอื่นบ้าง?ฉันเป็นอะไรสำหรับเขา?คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไม่ใช่เพียงเพื่อช่วยเติมเต็มความสุข แต่ยังช่วยสะท้อนตัวตนของคุณผ่านสิ่งที่พวกเขาได้รับจากคุณ---"นักเข้าข้างตัวเอง" และ "นักกอบโกย"ธรรมชาติของมนุษย์มักหลงใหลในการเข้าข้างตนเอง และมุ่งมั่นกอบโกยสิ่งต่างๆ เพื่อตนเองการเข้าข้างตัวเองมากเกินไป ทำให้หลงลืมความจริง และยิ่งไม่รู้จักตัวเองการกอบโกยมากเกินไป สร้าง "น้ำหนักส่วนเกิน" ให้กับจิตใจเมื่อถึงวันสุดท้ายของชีวิต หากคุณใช้ทั้งชีวิตเพื่อเข้าข้างและกอบโกย คุณอาจพบว่าตัวเองหนักอึ้งและไม่รู้จักตนเองเลย---ตัวตนที่แท้จริงไม่ได้อยู่ในกระจกเงาในกระจกสะท้อนรูปลักษณ์ชั่วคราว แต่มันไม่เคยสะท้อนตัวตนที่แท้จริงบางครั้งคุณมองกระจกแล้วรู้สึกเหมือนรู้จักตัวเองดีที่สุดแต่ในความเป็นจริง คนอื่นอาจรู้จักตัวคุณผ่านสิ่งที่คุณทำกับเขา มากกว่าที่คุณรู้จักตัวเอง---ความเปลี่ยนแปลงของตัวตนเงาในกระจกเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา เช่นเดียวกับตัวตนภายในวันหนึ่งคุณอาจมองกระจกแล้วตกใจว่า คุณไม่ใช่คนเดิมที่เคยคิดว่าเป็นหรืออาจพบความจริงว่า ตัวตนของคุณไม่มีวันคงที่ มันเปลี่ยนไปตามการกระทำ ความคิด และผลกระทบที่คุณสร้างไว้ในโลก---บทสรุปตัวตนที่แท้จริงไม่ใช่สิ่งที่กระจกสะท้อน แต่คือสิ่งที่คนรอบข้างสะท้อนกลับมาคุณเป็นใครสำหรับพวกเขา?คุณทำอะไรเพื่อสร้างคุณค่าให้ชีวิตคนอื่น?การค้นพบตัวตนที่แท้จริงเกิดขึ้นเมื่อคุณใส่ใจกับสิ่งที่คุณให้ มากกว่าสิ่งที่คุณได้รับ และเมื่อคุณเลิกมองเพียงเงาสะท้อนในกระจก แต่เริ่มมองผ่านสายตาของคนอื่นที่ได้รับผลกระทบจากคุณ!
    "เงาในกระจก และตัวตนที่แท้จริง"มองกระจกเพื่อรู้จักตัวเองการมองเงาสะท้อนในกระจก อาจช่วยให้คุณเห็นรูปลักษณ์ภายนอก เห็นว่า "คุณเป็นอย่างไร" เช่น สภาพหน้าตา ผิวพรรณ หรือการแต่งกาย แต่กระจกไม่สามารถสะท้อนตัวตนที่แท้จริงได้ว่า "คุณเป็นใคร" เพราะสิ่งนั้นต้องอาศัยมุมมองจากใจของคนอื่น---"ฉันเป็นใครสำหรับเขา?"ชีวิตเต็มไปด้วยการถามคำถามเกี่ยวกับคนอื่นใครเป็นเพื่อนเรา?ใครรักเรา?ใครทำอะไรให้เรา?แต่คำถามสำคัญที่ควรถามบ่อยๆ คือฉันทำอะไรให้คนอื่นบ้าง?ฉันเป็นอะไรสำหรับเขา?คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไม่ใช่เพียงเพื่อช่วยเติมเต็มความสุข แต่ยังช่วยสะท้อนตัวตนของคุณผ่านสิ่งที่พวกเขาได้รับจากคุณ---"นักเข้าข้างตัวเอง" และ "นักกอบโกย"ธรรมชาติของมนุษย์มักหลงใหลในการเข้าข้างตนเอง และมุ่งมั่นกอบโกยสิ่งต่างๆ เพื่อตนเองการเข้าข้างตัวเองมากเกินไป ทำให้หลงลืมความจริง และยิ่งไม่รู้จักตัวเองการกอบโกยมากเกินไป สร้าง "น้ำหนักส่วนเกิน" ให้กับจิตใจเมื่อถึงวันสุดท้ายของชีวิต หากคุณใช้ทั้งชีวิตเพื่อเข้าข้างและกอบโกย คุณอาจพบว่าตัวเองหนักอึ้งและไม่รู้จักตนเองเลย---ตัวตนที่แท้จริงไม่ได้อยู่ในกระจกเงาในกระจกสะท้อนรูปลักษณ์ชั่วคราว แต่มันไม่เคยสะท้อนตัวตนที่แท้จริงบางครั้งคุณมองกระจกแล้วรู้สึกเหมือนรู้จักตัวเองดีที่สุดแต่ในความเป็นจริง คนอื่นอาจรู้จักตัวคุณผ่านสิ่งที่คุณทำกับเขา มากกว่าที่คุณรู้จักตัวเอง---ความเปลี่ยนแปลงของตัวตนเงาในกระจกเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา เช่นเดียวกับตัวตนภายในวันหนึ่งคุณอาจมองกระจกแล้วตกใจว่า คุณไม่ใช่คนเดิมที่เคยคิดว่าเป็นหรืออาจพบความจริงว่า ตัวตนของคุณไม่มีวันคงที่ มันเปลี่ยนไปตามการกระทำ ความคิด และผลกระทบที่คุณสร้างไว้ในโลก---บทสรุปตัวตนที่แท้จริงไม่ใช่สิ่งที่กระจกสะท้อน แต่คือสิ่งที่คนรอบข้างสะท้อนกลับมาคุณเป็นใครสำหรับพวกเขา?คุณทำอะไรเพื่อสร้างคุณค่าให้ชีวิตคนอื่น?การค้นพบตัวตนที่แท้จริงเกิดขึ้นเมื่อคุณใส่ใจกับสิ่งที่คุณให้ มากกว่าสิ่งที่คุณได้รับ และเมื่อคุณเลิกมองเพียงเงาสะท้อนในกระจก แต่เริ่มมองผ่านสายตาของคนอื่นที่ได้รับผลกระทบจากคุณ!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชีวิตคนก็มีจุดมุ่งหมายไป ใครไปทางโลกไม่ได้ ก็ยังมีทางธรรมรออยู่
    ชีวิตคนก็มีจุดมุ่งหมายไป ใครไปทางโลกไม่ได้ ก็ยังมีทางธรรมรออยู่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • สุนัขเห่ากรรโชก วลีจาก <หาญท้าชะตาฟ้าฯ ภาค2> สวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดูซีรีส์ <หาญท้าชะตาฟ้า ปริศนายุทธจักร ภาค 2> คงจำได้ว่าเหล่าขุนนางจากสำนักผู้ตรวจการได้ร้องเรียนฟ่านเสียนว่ารับเงินสินบน และฟ่านเสียนมีปฏิกิริยาตอบกลับคือ ส่งภาพอักษรสี่ตัวให้กับสำนักผู้ตรวจการ ทำให้พวกเขายิ่งโกรธแค้นกระเหี้ยนกระหือรือจะเอาผิดฟ่านเสียนให้ได้ อักษรสี่ตัวนี้คือ ‘อิ๋นอิ๋นขวางเฟ่ย’ (狺狺狂吠) ในซีรีส์พากย์ไทยแปลว่า ‘สุนัขเห่าโฮ่งๆ’ วลีนี้แปลว่าสุนัขเห่า แต่เพราะมีคำว่า ‘ขวาง’ ซึ่งแปลว่าบ้าคลั่ง มันจึงไม่ใช่สุนัขเห่าธรรมดา แต่เป็นการเห่าแบบกรรโชกแบบบ้าคลั่ง แต่ที่ดูแปลกตาสำหรับ Storyฯ คืออักษร ‘อิ๋น’ จึงลองไปหาข้อมูลดูพบว่ามันเป็นคำที่แทบไม่ค่อยเห็นในปัจจุบัน ‘อิ๋น’ มีที่มาจากบทกวีจีนโบราณที่มีชื่อว่า ‘จิ่วเปี้ยน’ (九辩 แปลได้ประมาณว่า คำถก 9 หัวข้อ) ซึ่งเป็นผลงานของซ่งอวี้ (宋玉) นักประพันธ์และขุนนางจากแคว้นฉู่ในสมัยจ้านกั๋วหรือยุครณรัฐ (มีชีวิตอยู่ช่วงปี 298-222 ก่อนคริสตกาล) เป็นบทร้อยกรองยาวกว่าสองร้อยห้าสิบวรรค เขียนขึ้นเมื่อปีที่เขาถูกปลดออกจากราชการตอนอายุห้าสิบปี เป็นวัยที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน บทกวีนี้จึงสะท้อนความรู้สึกหลากหลายโดยมีหัวข้อหลักคือความโศกเศร้าในสารทฤดู ถูกยกย่องให้เป็นต้นแบบและเป็นหนึ่งในสุดยอดบทกวีภายใต้หัวข้อนี้เพราะสามารถชวนให้ผู้อ่านจินตนาการและมีอารมณ์ร่วมได้อย่างดีเลิศ(หมายเหตุ บทกวี ‘เติงเกา’ จากตู้ฝู่ซึ่งเป็นสุดยอดกลอนเจ็ดที่เอ่ยถึงในภาคแรกเป็นอีกหนึ่งในสุดยอดบทกวีภายใต้หัวข้อเดียวกันนี้ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/973244118137214)‘จิ่วเปี้ยน’ เปิดฉากมาด้วยการบรรยายความงามของฤดูใบไม้ร่วงที่ให้ความรู้สึกโศกเศร้า สะท้อนถึงความโดดเดี่ยวของคนที่ตกยากไร้ทรัพย์สินเงินทอง จากนั้นกล่าวถึงสตรีที่รักแล้วผิดหวังถูกทอดทิ้งสลับกับฉากเศร้าๆ ของสารทฤดูที่สะท้อนถึงอารมณ์ของนาง และวลีหมาเห่ากรรโชก ‘อิ๋นอิ๋นขวางเฟ่ย’ นี้มาจากฉากที่เล่าว่าสตรีผู้นี้พยายามจะเข้าไปหาคนรักแต่ถูกหมาเห่าขัดขวางไว้ไม่สามารถก้าวข้ามผ่านประตูไปได้ แต่จริงๆ แล้วฉากข้างต้นเป็นการอุปมาอุปไมยถึงคนที่พยายามเข้าหาแต่ไม่เป็นที่ต้องการ เพราะฉากถัดมากล่าวถึงคนที่พยายามทำตัวเป็นประโยชน์ ดุจขุนนางที่ต้องการรับใช้งานราชสำนัก แต่กลับไร้ซึ่งโอกาส ถูกกีดกันจากรอบด้าน ในขณะที่อำนาจตกไปอยู่ในมือที่ไม่สะอาดจนสร้างความเสียหายให้แก่บ้านเมือง เป็นความโศกเศร้าของคนที่รู้สึกว่าตัวตนหายไปพร้อมกับโอกาสในชีวิตที่หายไปแล้ว ดังนั้น บทร้อยกรองนี้จึงเป็นการพัฒนาเนื้อหาอย่างต่อเนื่องจากความสดใสของธรรมชาติที่สูญหาย (lost nature) ไปสู่รักที่สูญหาย (lost love) ไปสู่ความเป็นตัวตนที่สูญหาย (lost man)ผลงานของซ่งอวี้ได้รับอิทธิพลจากกวีรุ่นก่อนคือชวีหยวน (屈原) บ้างว่าเขาเป็นศิษย์ของชวีหยวน ผลงานของพวกเขาถูกยกย่องให้เป็นต้นแบบของสไตล์ที่เรียกว่าจินตนิยมในวรรณกรรมจีนโบราณ กล่าวคือ ใช้การบรรยายธรรมชาติหรือวิถีชีวิตคนธรรมดาเร้าอารมณ์ และในขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงหลักความคิดหรืออุดมคติบางอย่าง แต่ ‘อิ๋นอิ๋นขวางเฟ่ย’ เดิมเป็นเพียงการบรรยายถึงอาการเห่าอย่างบ้าคลั่งของสุนัข ไม่ได้มีความหมายอื่นแอบแฝง มันถูกใช้เปรียบเปรยถึงคนในเชิงดูแคลนตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ปรากฏแน่ชัด แต่การใช้วลีนี้ในลักษณะด่าคนนี้มีตัวอย่างให้เห็นในซีรีส์ ‘สามก๊ก’ เวอร์ชั่นปี 1994 ในตอนที่ขงเบ้งด่าหวางหลาง (อองลอง) จนกระอักเลือดตาย โดยคำด่าเต็มๆ กล่าวไว้ประมาณว่า อองลองทำตัวเป็นบ่าวสองนายไม่มีผลงานใดๆ ในชีวิต ยังจะมีหน้ามาว่ากล่าวตักเตือนคน ช่างทำตัวเป็นเสมือนสุนัขขี้เรื้อนเห่ากรรโชกได้อย่างไร้ยางอายปัจจุบัน ‘อิ๋นอิ๋นขวางเฟ่ย’ ใช้เปรียบเปรยถึงคนที่โวยวายเสียงดังแต่ไร้สาระ ประหนึ่งสุนัขที่สักแต่จะเห่าไปอย่างนั้น ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด จึงไม่แปลกที่ในเรื่อง <หาญท้าชะตาฟ้าฯ ภาค2> นี้ คนจากสำนักผู้ตรวจการจึงโกรธฟ่านเสียนมากมาย(ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://weibo.com/6356014463/OhILTDU5d Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:https://baike.baidu.com/item/九辩/2482251 https://baike.baidu.com/item/宋玉/72945 https://www.ruanyifeng.com/blog/2006/02/post_174.html https://chuci.5000yan.com/jiubian/ #หาญท้าชะตาฟ้า #สุนัขเห่า #ซ่งอวี้ #จิ่วเปี้ยน #ฉู่ฉือ
    สุนัขเห่ากรรโชก วลีจาก <หาญท้าชะตาฟ้าฯ ภาค2> สวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดูซีรีส์ <หาญท้าชะตาฟ้า ปริศนายุทธจักร ภาค 2> คงจำได้ว่าเหล่าขุนนางจากสำนักผู้ตรวจการได้ร้องเรียนฟ่านเสียนว่ารับเงินสินบน และฟ่านเสียนมีปฏิกิริยาตอบกลับคือ ส่งภาพอักษรสี่ตัวให้กับสำนักผู้ตรวจการ ทำให้พวกเขายิ่งโกรธแค้นกระเหี้ยนกระหือรือจะเอาผิดฟ่านเสียนให้ได้ อักษรสี่ตัวนี้คือ ‘อิ๋นอิ๋นขวางเฟ่ย’ (狺狺狂吠) ในซีรีส์พากย์ไทยแปลว่า ‘สุนัขเห่าโฮ่งๆ’ วลีนี้แปลว่าสุนัขเห่า แต่เพราะมีคำว่า ‘ขวาง’ ซึ่งแปลว่าบ้าคลั่ง มันจึงไม่ใช่สุนัขเห่าธรรมดา แต่เป็นการเห่าแบบกรรโชกแบบบ้าคลั่ง แต่ที่ดูแปลกตาสำหรับ Storyฯ คืออักษร ‘อิ๋น’ จึงลองไปหาข้อมูลดูพบว่ามันเป็นคำที่แทบไม่ค่อยเห็นในปัจจุบัน ‘อิ๋น’ มีที่มาจากบทกวีจีนโบราณที่มีชื่อว่า ‘จิ่วเปี้ยน’ (九辩 แปลได้ประมาณว่า คำถก 9 หัวข้อ) ซึ่งเป็นผลงานของซ่งอวี้ (宋玉) นักประพันธ์และขุนนางจากแคว้นฉู่ในสมัยจ้านกั๋วหรือยุครณรัฐ (มีชีวิตอยู่ช่วงปี 298-222 ก่อนคริสตกาล) เป็นบทร้อยกรองยาวกว่าสองร้อยห้าสิบวรรค เขียนขึ้นเมื่อปีที่เขาถูกปลดออกจากราชการตอนอายุห้าสิบปี เป็นวัยที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน บทกวีนี้จึงสะท้อนความรู้สึกหลากหลายโดยมีหัวข้อหลักคือความโศกเศร้าในสารทฤดู ถูกยกย่องให้เป็นต้นแบบและเป็นหนึ่งในสุดยอดบทกวีภายใต้หัวข้อนี้เพราะสามารถชวนให้ผู้อ่านจินตนาการและมีอารมณ์ร่วมได้อย่างดีเลิศ(หมายเหตุ บทกวี ‘เติงเกา’ จากตู้ฝู่ซึ่งเป็นสุดยอดกลอนเจ็ดที่เอ่ยถึงในภาคแรกเป็นอีกหนึ่งในสุดยอดบทกวีภายใต้หัวข้อเดียวกันนี้ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/973244118137214)‘จิ่วเปี้ยน’ เปิดฉากมาด้วยการบรรยายความงามของฤดูใบไม้ร่วงที่ให้ความรู้สึกโศกเศร้า สะท้อนถึงความโดดเดี่ยวของคนที่ตกยากไร้ทรัพย์สินเงินทอง จากนั้นกล่าวถึงสตรีที่รักแล้วผิดหวังถูกทอดทิ้งสลับกับฉากเศร้าๆ ของสารทฤดูที่สะท้อนถึงอารมณ์ของนาง และวลีหมาเห่ากรรโชก ‘อิ๋นอิ๋นขวางเฟ่ย’ นี้มาจากฉากที่เล่าว่าสตรีผู้นี้พยายามจะเข้าไปหาคนรักแต่ถูกหมาเห่าขัดขวางไว้ไม่สามารถก้าวข้ามผ่านประตูไปได้ แต่จริงๆ แล้วฉากข้างต้นเป็นการอุปมาอุปไมยถึงคนที่พยายามเข้าหาแต่ไม่เป็นที่ต้องการ เพราะฉากถัดมากล่าวถึงคนที่พยายามทำตัวเป็นประโยชน์ ดุจขุนนางที่ต้องการรับใช้งานราชสำนัก แต่กลับไร้ซึ่งโอกาส ถูกกีดกันจากรอบด้าน ในขณะที่อำนาจตกไปอยู่ในมือที่ไม่สะอาดจนสร้างความเสียหายให้แก่บ้านเมือง เป็นความโศกเศร้าของคนที่รู้สึกว่าตัวตนหายไปพร้อมกับโอกาสในชีวิตที่หายไปแล้ว ดังนั้น บทร้อยกรองนี้จึงเป็นการพัฒนาเนื้อหาอย่างต่อเนื่องจากความสดใสของธรรมชาติที่สูญหาย (lost nature) ไปสู่รักที่สูญหาย (lost love) ไปสู่ความเป็นตัวตนที่สูญหาย (lost man)ผลงานของซ่งอวี้ได้รับอิทธิพลจากกวีรุ่นก่อนคือชวีหยวน (屈原) บ้างว่าเขาเป็นศิษย์ของชวีหยวน ผลงานของพวกเขาถูกยกย่องให้เป็นต้นแบบของสไตล์ที่เรียกว่าจินตนิยมในวรรณกรรมจีนโบราณ กล่าวคือ ใช้การบรรยายธรรมชาติหรือวิถีชีวิตคนธรรมดาเร้าอารมณ์ และในขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงหลักความคิดหรืออุดมคติบางอย่าง แต่ ‘อิ๋นอิ๋นขวางเฟ่ย’ เดิมเป็นเพียงการบรรยายถึงอาการเห่าอย่างบ้าคลั่งของสุนัข ไม่ได้มีความหมายอื่นแอบแฝง มันถูกใช้เปรียบเปรยถึงคนในเชิงดูแคลนตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ปรากฏแน่ชัด แต่การใช้วลีนี้ในลักษณะด่าคนนี้มีตัวอย่างให้เห็นในซีรีส์ ‘สามก๊ก’ เวอร์ชั่นปี 1994 ในตอนที่ขงเบ้งด่าหวางหลาง (อองลอง) จนกระอักเลือดตาย โดยคำด่าเต็มๆ กล่าวไว้ประมาณว่า อองลองทำตัวเป็นบ่าวสองนายไม่มีผลงานใดๆ ในชีวิต ยังจะมีหน้ามาว่ากล่าวตักเตือนคน ช่างทำตัวเป็นเสมือนสุนัขขี้เรื้อนเห่ากรรโชกได้อย่างไร้ยางอายปัจจุบัน ‘อิ๋นอิ๋นขวางเฟ่ย’ ใช้เปรียบเปรยถึงคนที่โวยวายเสียงดังแต่ไร้สาระ ประหนึ่งสุนัขที่สักแต่จะเห่าไปอย่างนั้น ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด จึงไม่แปลกที่ในเรื่อง <หาญท้าชะตาฟ้าฯ ภาค2> นี้ คนจากสำนักผู้ตรวจการจึงโกรธฟ่านเสียนมากมาย(ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://weibo.com/6356014463/OhILTDU5d Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:https://baike.baidu.com/item/九辩/2482251 https://baike.baidu.com/item/宋玉/72945 https://www.ruanyifeng.com/blog/2006/02/post_174.html https://chuci.5000yan.com/jiubian/ #หาญท้าชะตาฟ้า #สุนัขเห่า #ซ่งอวี้ #จิ่วเปี้ยน #ฉู่ฉือ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 488 มุมมอง 0 รีวิว
  • อย่ารู้สึกผิดถ้าคุณไม่รักพ่อแม่ แต่จงรู้คุณและคิดตอบแทนในชีวิตคนเรา ความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก ซึ่งไม่สามารถบังคับกันได้โดยตรง เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก ความรักระหว่างกันอาจเกิดหรือไม่เกิดก็ได้ แต่สิ่งสำคัญที่เหนือกว่าความรักคือ "การตอบแทนบุญคุณ" ที่พ่อแม่มีต่อเราความรู้สึกต่อพ่อแม่: เข้าใจ ไม่ใช่ฝืนใจรัก1. ความรู้สึกเป็นสิ่งบังคับไม่ได้หากเราตัดสถานะพ่อแม่ออกไป แล้วมองพวกท่านในฐานะบุคคลทั่วไป อารมณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างกันก็อาจเป็นทั้งความขัดเคือง ความไม่พอใจ หรือแม้กระทั่งความโกรธ แต่สิ่งสำคัญคือ การยอมรับว่าอารมณ์เหล่านี้เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความสัมพันธ์กัน2. ไม่ต้องฝืนใจ แต่ให้ "เข้าใจ"แทนที่จะเค้นใจให้รักพ่อแม่ ให้เริ่มต้นด้วยความเข้าใจในความเป็นมนุษย์ของพวกท่าน พ่อแม่ก็เป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีข้อดีและข้อเสีย มีความยึดติดและอารมณ์เฉพาะตัว เช่นเดียวกับเรา หากมองเห็นความจริงนี้ได้ เราก็จะเริ่มปล่อยวาง และให้อภัยในสิ่งที่พวกท่านทำ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความสงบในใจเราเอง---การตอบแทนบุญคุณ: หาค่าของพ่อแม่ให้เจอ1. ค่าของชีวิตเริ่มต้นจากพ่อแม่ชีวิตของเรามีขึ้นมาได้เพราะพ่อแม่ หากไม่มีพวกท่าน เราก็ไม่มีโอกาสได้หาค่าของชีวิตหรือสร้างบุญสร้างกุศลในโลกนี้ การตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่จึงเริ่มต้นจากการ "เห็นคุณค่า" ของพวกท่านในฐานะผู้ให้ชีวิต2. ความกตัญญู: รู้คุณคนความกตัญญูคือการรับรู้และนึกถึงบุญคุณที่พ่อแม่ทำไว้ การเข้าใจว่าท่านมีส่วนช่วยให้เรามีชีวิตและโอกาสในวันนี้ แม้การตอบแทนบุญคุณในรูปแบบที่เป็นรูปธรรมอาจยังไม่ชัดเจน แต่ความกตัญญูคือจุดเริ่มต้นที่จะแปรเปลี่ยนเป็นการตอบแทนในภายหลัง3. กตเวที: การลงมือทำเมื่อมีความกตัญญูในใจแล้ว ความอยากตอบแทนจะเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องบังคับ เช่น การดูแลพ่อแม่ในยามเจ็บป่วย การแสดงความห่วงใย หรือการปฏิบัติตัวให้เป็นคนดี สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงเป็นการตอบแทนบุญคุณ แต่ยังเป็นการสร้างความสุขให้กับตัวเราเอง---วางใจต่อบาปบุญ และมุ่งสู่การหลุดพ้น1. ถือสาเฉพาะสิ่งที่ควรถือสาสิ่งที่เราควรใส่ใจที่สุดคือบาปบุญของตัวเอง หากมองว่าพ่อแม่มีบุญคุณล้นพ้นต่อเรา การกระทบกระทั่งหรือความทุกข์ใจใดๆ ที่เกิดขึ้นจากพวกท่านก็เป็นเรื่องเล็กน้อย2. ความทุกข์จากพ่อแม่คือบทเรียนทุกข์ที่เกิดจากความสัมพันธ์กับพ่อแม่อาจเป็นเครื่องมือที่ช่วยปลดปล่อยเราออกจากความยึดติดและอยากเกิดในอนาคต การยอมรับและให้อภัยในเรื่องเหล่านี้คือหนทางหนึ่งที่ช่วยนำเราเข้าใกล้นิพพาน---สรุปอย่ารู้สึกผิดหากคุณไม่สามารถรักพ่อแม่ได้ในทันที เพราะความรักเป็นเรื่องของความรู้สึกที่บังคับไม่ได้ แต่จงฝึก "ความเข้าใจ" และ "ความกตัญญู" ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการตอบแทนบุญคุณอย่างแท้จริง การตอบแทนไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ แต่เพียงการปฏิบัติต่อพวกท่านด้วยความเคารพและใส่ใจก็เพียงพอที่จะทำให้ชีวิตของเราและพ่อแม่มีความหมายมากขึ้น.
    อย่ารู้สึกผิดถ้าคุณไม่รักพ่อแม่ แต่จงรู้คุณและคิดตอบแทนในชีวิตคนเรา ความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก ซึ่งไม่สามารถบังคับกันได้โดยตรง เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก ความรักระหว่างกันอาจเกิดหรือไม่เกิดก็ได้ แต่สิ่งสำคัญที่เหนือกว่าความรักคือ "การตอบแทนบุญคุณ" ที่พ่อแม่มีต่อเราความรู้สึกต่อพ่อแม่: เข้าใจ ไม่ใช่ฝืนใจรัก1. ความรู้สึกเป็นสิ่งบังคับไม่ได้หากเราตัดสถานะพ่อแม่ออกไป แล้วมองพวกท่านในฐานะบุคคลทั่วไป อารมณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างกันก็อาจเป็นทั้งความขัดเคือง ความไม่พอใจ หรือแม้กระทั่งความโกรธ แต่สิ่งสำคัญคือ การยอมรับว่าอารมณ์เหล่านี้เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความสัมพันธ์กัน2. ไม่ต้องฝืนใจ แต่ให้ "เข้าใจ"แทนที่จะเค้นใจให้รักพ่อแม่ ให้เริ่มต้นด้วยความเข้าใจในความเป็นมนุษย์ของพวกท่าน พ่อแม่ก็เป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีข้อดีและข้อเสีย มีความยึดติดและอารมณ์เฉพาะตัว เช่นเดียวกับเรา หากมองเห็นความจริงนี้ได้ เราก็จะเริ่มปล่อยวาง และให้อภัยในสิ่งที่พวกท่านทำ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความสงบในใจเราเอง---การตอบแทนบุญคุณ: หาค่าของพ่อแม่ให้เจอ1. ค่าของชีวิตเริ่มต้นจากพ่อแม่ชีวิตของเรามีขึ้นมาได้เพราะพ่อแม่ หากไม่มีพวกท่าน เราก็ไม่มีโอกาสได้หาค่าของชีวิตหรือสร้างบุญสร้างกุศลในโลกนี้ การตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่จึงเริ่มต้นจากการ "เห็นคุณค่า" ของพวกท่านในฐานะผู้ให้ชีวิต2. ความกตัญญู: รู้คุณคนความกตัญญูคือการรับรู้และนึกถึงบุญคุณที่พ่อแม่ทำไว้ การเข้าใจว่าท่านมีส่วนช่วยให้เรามีชีวิตและโอกาสในวันนี้ แม้การตอบแทนบุญคุณในรูปแบบที่เป็นรูปธรรมอาจยังไม่ชัดเจน แต่ความกตัญญูคือจุดเริ่มต้นที่จะแปรเปลี่ยนเป็นการตอบแทนในภายหลัง3. กตเวที: การลงมือทำเมื่อมีความกตัญญูในใจแล้ว ความอยากตอบแทนจะเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องบังคับ เช่น การดูแลพ่อแม่ในยามเจ็บป่วย การแสดงความห่วงใย หรือการปฏิบัติตัวให้เป็นคนดี สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงเป็นการตอบแทนบุญคุณ แต่ยังเป็นการสร้างความสุขให้กับตัวเราเอง---วางใจต่อบาปบุญ และมุ่งสู่การหลุดพ้น1. ถือสาเฉพาะสิ่งที่ควรถือสาสิ่งที่เราควรใส่ใจที่สุดคือบาปบุญของตัวเอง หากมองว่าพ่อแม่มีบุญคุณล้นพ้นต่อเรา การกระทบกระทั่งหรือความทุกข์ใจใดๆ ที่เกิดขึ้นจากพวกท่านก็เป็นเรื่องเล็กน้อย2. ความทุกข์จากพ่อแม่คือบทเรียนทุกข์ที่เกิดจากความสัมพันธ์กับพ่อแม่อาจเป็นเครื่องมือที่ช่วยปลดปล่อยเราออกจากความยึดติดและอยากเกิดในอนาคต การยอมรับและให้อภัยในเรื่องเหล่านี้คือหนทางหนึ่งที่ช่วยนำเราเข้าใกล้นิพพาน---สรุปอย่ารู้สึกผิดหากคุณไม่สามารถรักพ่อแม่ได้ในทันที เพราะความรักเป็นเรื่องของความรู้สึกที่บังคับไม่ได้ แต่จงฝึก "ความเข้าใจ" และ "ความกตัญญู" ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการตอบแทนบุญคุณอย่างแท้จริง การตอบแทนไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ แต่เพียงการปฏิบัติต่อพวกท่านด้วยความเคารพและใส่ใจก็เพียงพอที่จะทำให้ชีวิตของเราและพ่อแม่มีความหมายมากขึ้น.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 339 มุมมอง 0 รีวิว
  • "แหกกรงความรู้สึก: วิธีปลดล็อกใจจากพันธนาการที่มองไม่เห็น"---ชีวิตคนเราอาจดูเหมือนมีอิสระ แต่หลายครั้งกลับถูกกักขังใน "กรง" ที่สร้างขึ้นโดยความรู้สึกและความคิดของตัวเอง กรงเหล่านี้อาจดูไร้ตัวตน แต่กลับส่งผลต่อจิตใจอย่างมหาศาล หากปล่อยไว้ อาจทำให้ชีวิตจมอยู่กับความเบื่อหน่าย ฟุ้งซ่าน หรือรู้สึกผิดจนไม่สามารถเดินหน้าต่อได้กรงแห่งความเหม่อลอย: "เมื่อชีวิตไม่มีเป้าหมาย"บางคนอาจรู้สึกเบื่อหน่ายตัวเองทั้งที่ชีวิตไม่ได้ย่ำแย่ อาจเป็นเพราะไม่มีแรงจูงใจ เช่น มีความมั่นคงทางการเงิน หรือมีคนคอยดูแลจนไม่ต้องดิ้นรน วิธีแหกกรงนี้ คือ หางานที่เป็นประโยชน์กับคนอื่น เมื่อเราได้ช่วยเหลือคนอื่น ความรู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่าจะค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา ความเบื่อหน่ายที่เคยกัดกินหัวใจจะถูกแทนที่ด้วยความอิ่มเอมใจจากการสร้างคุณค่าให้ผู้อื่น---กรงแห่งความฟุ้งซ่าน: "เมื่อใจจับจด ไม่รู้จะทำอะไร"การมีงานประจำเพื่อเลี้ยงตัว แต่ขาดงานที่เลี้ยงใจ อาจทำให้เกิดความฟุ้งซ่าน ขาดสมาธิ และรู้สึกไม่พอใจในสิ่งที่ทำ วิธีแหกกรงนี้ คือ หางานอดิเรกที่รักและสนุกกับมัน งานอดิเรกช่วยให้เกิดความใจจดใจจ่อ มีเป้าหมายที่จับต้องได้ และความคืบหน้าที่สร้างความภาคภูมิใจ เมื่อโฟกัสอยู่กับสิ่งที่รัก ความฟุ้งซ่านจะค่อยๆ จางหายไป---กรงแห่งความรู้สึกผิดบาป: "เมื่อใจคาอยู่กับอดีต"บางคนอาจตกอยู่ในกรงแห่งความทรมานจากการทำผิดในอดีต แม้พยายามหลอกตัวเองว่า "ไม่เป็นไร" แต่ลึกๆ ใจก็ยังรู้สึกผิดและคาใจ วิธีแหกกรงนี้ คือ ทำงานบุญหรือกุศลเพื่อหักล้างความผิด การช่วยเหลือและเยียวยาผู้อื่นในทางตรงข้ามกับสิ่งที่เคยทำผิด จะช่วยให้จิตใจสงบลงและตั้งหลักใหม่ได้อย่างมั่นคง---งาน: กุญแจไขกรงความรู้สึกงานในที่นี้ไม่ใช่แค่งานที่ต้องทำเพื่อเลี้ยงชีวิต แต่งานทุกประเภท—ไม่ว่าจะเป็นงานที่ช่วยเหลือผู้อื่น งานอดิเรกที่รัก หรือแม้แต่งานบุญ—ล้วนเป็นเครื่องมือที่ช่วยเราหลุดพ้นจากกรงความรู้สึกที่ฉุดรั้งชีวิตให้อยู่กับที่ หากเลือกงานให้เหมาะสมกับกรงที่ขังใจ คุณจะพบว่า ทุกงานช่วยให้ชีวิตมีความหมายและเคลื่อนไปข้างหน้าได้อีกครั้ง---บทสรุป:การติดอยู่ในกรงความรู้สึกอาจดูเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่หากปล่อยไว้ กรงเหล่านี้สามารถกัดกร่อนจิตใจและชีวิตได้ วิธีแหกกรงที่ดีที่สุด คือการหางานที่ใช่และเหมาะกับสถานการณ์ของตัวเอง ไม่ว่างานนั้นจะเป็นงานที่สร้างคุณค่าให้ผู้อื่น งานที่เลี้ยงจิตใจตัวเอง หรือเป็นงานที่ช่วยชำระล้างความผิดในอดีต การลุกขึ้นมาทำงาน คือก้าวแรกของการออกจากกรง และเดินหน้าไปสู่ชีวิตที่มีความสุขและความหมายอีกครั้ง!
    "แหกกรงความรู้สึก: วิธีปลดล็อกใจจากพันธนาการที่มองไม่เห็น"---ชีวิตคนเราอาจดูเหมือนมีอิสระ แต่หลายครั้งกลับถูกกักขังใน "กรง" ที่สร้างขึ้นโดยความรู้สึกและความคิดของตัวเอง กรงเหล่านี้อาจดูไร้ตัวตน แต่กลับส่งผลต่อจิตใจอย่างมหาศาล หากปล่อยไว้ อาจทำให้ชีวิตจมอยู่กับความเบื่อหน่าย ฟุ้งซ่าน หรือรู้สึกผิดจนไม่สามารถเดินหน้าต่อได้กรงแห่งความเหม่อลอย: "เมื่อชีวิตไม่มีเป้าหมาย"บางคนอาจรู้สึกเบื่อหน่ายตัวเองทั้งที่ชีวิตไม่ได้ย่ำแย่ อาจเป็นเพราะไม่มีแรงจูงใจ เช่น มีความมั่นคงทางการเงิน หรือมีคนคอยดูแลจนไม่ต้องดิ้นรน วิธีแหกกรงนี้ คือ หางานที่เป็นประโยชน์กับคนอื่น เมื่อเราได้ช่วยเหลือคนอื่น ความรู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่าจะค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา ความเบื่อหน่ายที่เคยกัดกินหัวใจจะถูกแทนที่ด้วยความอิ่มเอมใจจากการสร้างคุณค่าให้ผู้อื่น---กรงแห่งความฟุ้งซ่าน: "เมื่อใจจับจด ไม่รู้จะทำอะไร"การมีงานประจำเพื่อเลี้ยงตัว แต่ขาดงานที่เลี้ยงใจ อาจทำให้เกิดความฟุ้งซ่าน ขาดสมาธิ และรู้สึกไม่พอใจในสิ่งที่ทำ วิธีแหกกรงนี้ คือ หางานอดิเรกที่รักและสนุกกับมัน งานอดิเรกช่วยให้เกิดความใจจดใจจ่อ มีเป้าหมายที่จับต้องได้ และความคืบหน้าที่สร้างความภาคภูมิใจ เมื่อโฟกัสอยู่กับสิ่งที่รัก ความฟุ้งซ่านจะค่อยๆ จางหายไป---กรงแห่งความรู้สึกผิดบาป: "เมื่อใจคาอยู่กับอดีต"บางคนอาจตกอยู่ในกรงแห่งความทรมานจากการทำผิดในอดีต แม้พยายามหลอกตัวเองว่า "ไม่เป็นไร" แต่ลึกๆ ใจก็ยังรู้สึกผิดและคาใจ วิธีแหกกรงนี้ คือ ทำงานบุญหรือกุศลเพื่อหักล้างความผิด การช่วยเหลือและเยียวยาผู้อื่นในทางตรงข้ามกับสิ่งที่เคยทำผิด จะช่วยให้จิตใจสงบลงและตั้งหลักใหม่ได้อย่างมั่นคง---งาน: กุญแจไขกรงความรู้สึกงานในที่นี้ไม่ใช่แค่งานที่ต้องทำเพื่อเลี้ยงชีวิต แต่งานทุกประเภท—ไม่ว่าจะเป็นงานที่ช่วยเหลือผู้อื่น งานอดิเรกที่รัก หรือแม้แต่งานบุญ—ล้วนเป็นเครื่องมือที่ช่วยเราหลุดพ้นจากกรงความรู้สึกที่ฉุดรั้งชีวิตให้อยู่กับที่ หากเลือกงานให้เหมาะสมกับกรงที่ขังใจ คุณจะพบว่า ทุกงานช่วยให้ชีวิตมีความหมายและเคลื่อนไปข้างหน้าได้อีกครั้ง---บทสรุป:การติดอยู่ในกรงความรู้สึกอาจดูเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่หากปล่อยไว้ กรงเหล่านี้สามารถกัดกร่อนจิตใจและชีวิตได้ วิธีแหกกรงที่ดีที่สุด คือการหางานที่ใช่และเหมาะกับสถานการณ์ของตัวเอง ไม่ว่างานนั้นจะเป็นงานที่สร้างคุณค่าให้ผู้อื่น งานที่เลี้ยงจิตใจตัวเอง หรือเป็นงานที่ช่วยชำระล้างความผิดในอดีต การลุกขึ้นมาทำงาน คือก้าวแรกของการออกจากกรง และเดินหน้าไปสู่ชีวิตที่มีความสุขและความหมายอีกครั้ง!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 283 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดที่มาของเหตุการณ์ แอม ไซยาไนด์...
    เบื้องหลังคําสั่งประหารชีวิตแอมไซยาไนด์ ส่วนหนึ่งขอยกความดีความชอบให้ห้องแล็บที่ มัดแอมจนดิ้นไม่หลุด คนที่ทุ่มเททํางานในห้องแล็บนั้นก็คือ อาจารย์อ๊อด รศ.ดร.วีระชัย ประธานหลักสูตรนิติวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อาจารย์อ๊อดเล่าว่าต้องพิสูจน์หลักฐานกว่า 800ชิ้น ที่ทางตํารวจส่งมาให้ช่วยตรวจหาสารพิษไซยาไนด์ผ่านระบบเครื่องมือไฮเทค ของห้องแล็บเคมี บวกกับบุคลากรที่มีความชํานาญการซึ่งก็มี อ อ๊อด เป็นหัวหน้าทีม ผลก็คือการพบสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ ทั้งในรถในบ้านของแอมไซยาไนด์รวมถึงในยาของกลางที่แอมไซยาไนด์ แอบยัดไส้ให้เพื่อนกิน
    เป็นหลักฐานสําคัญนํามาสู่การฟ้องแอมไซยาไนด์คดีฆ่าคนตายถึง14 ศพและเกือบตายอีกหนึ่งคน ที่พีคกว่านั้นทีมอาจารย์อ๊อดยังตรวจพบยาถอนพิษไซยาไนด์ในบ้านของแอมด้วย สารตัวนี้มีชื่อว่าโซเดียมไพโอซัลเฟต พอฉีดสารนี้เข้าเส้นเลือดมันจะช่วยถอนพิษสุดโหดของไซยาไนด์ได้ทันท่วงที เรื่องนี้ทำให้รู้ว่า หมอพิษก็กลัวตายเพราะพิษ จึงต้องมียาแก้พิษติดไว้ใกล้มือเมื่อนําไปประกอบกับหลักฐานอื่นๆ ที่ตํารวจเสาะหามาได้ คดีของก้อยนางสาวศิริพร ขันธ์วงศ์ ซึ่งถือเป็นคดีนําร่องของซีรี่ย์แอมไซยาไนด์ จึงได้ผลออกมาเป็นคําสั่งประหารชีวิตสถานเดียว
    ความอันตรายอีกอย่างของ ไซยาไนด์ คือมันเป็นสารราคาถูกที่เคยซื้อได้ทั่วไปในอินเทอร์เน็ต เนื่องจากมันใช้แพร่หลายในอุตสาหกรรมอัญมณีทองรูปพรรณ แม้จะเป็นสารควบคุมแต่ดันมีข้อแม้ว่า ต้องซื้อเกิน1 ตันโน่นเลย จึงจะเข้าเกณฑ์ ต้องขออนุญาตจากทางราชการตรงนี้จึงเป็นช่องว่างให้โพแทสเซียมไซยาไนด์เป็นสารซื้อง่ายขายคล่องไปอยู่ในมืออาชญากรได้ง่าย ความที่ไม่มีสี ไม่มีรสไม่มีกลิ่นขนาดผสมลงในเครื่องดื่ม คนดื่มก็ไม่รู้ว่ามีพิษใช้ปริมาณน้อยนิดแค่100 มิลลิกรัม ก็ปลิดชีวิตคนได้แล้ว
    เหตุจูงใจก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของการพนันออนไลน์ ที่แพร่หลายมากในสังคมไทย แอมไซยาไนด์เป็นทาสการพนันออนไลน์ เที่ยวหยิบยืมเงินคนรู้จักไปทั่วจนมีหนี้สินล้นพ้นตัว จึงเกิดไอเดียใช้ยาพิษฆ่าล้างหนี้เหยื่อของเธอล้วนแต่เป็นเจ้าหนี้เป็นเพื่อน เป็นผัว เป็นคนที่ไว้ใจกันทั้งสิ้น อุทาหรณ์จากคดีนี้บอกว่าการคบเพื่อนต้องพยายามอยู่ให้ไกลจากพวกผีพนัน หรืออย่าให้คนร้อนเงิน มาเป็นลูกหนี้ ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ

    เปิดที่มาของเหตุการณ์ แอม ไซยาไนด์... เบื้องหลังคําสั่งประหารชีวิตแอมไซยาไนด์ ส่วนหนึ่งขอยกความดีความชอบให้ห้องแล็บที่ มัดแอมจนดิ้นไม่หลุด คนที่ทุ่มเททํางานในห้องแล็บนั้นก็คือ อาจารย์อ๊อด รศ.ดร.วีระชัย ประธานหลักสูตรนิติวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อาจารย์อ๊อดเล่าว่าต้องพิสูจน์หลักฐานกว่า 800ชิ้น ที่ทางตํารวจส่งมาให้ช่วยตรวจหาสารพิษไซยาไนด์ผ่านระบบเครื่องมือไฮเทค ของห้องแล็บเคมี บวกกับบุคลากรที่มีความชํานาญการซึ่งก็มี อ อ๊อด เป็นหัวหน้าทีม ผลก็คือการพบสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ ทั้งในรถในบ้านของแอมไซยาไนด์รวมถึงในยาของกลางที่แอมไซยาไนด์ แอบยัดไส้ให้เพื่อนกิน เป็นหลักฐานสําคัญนํามาสู่การฟ้องแอมไซยาไนด์คดีฆ่าคนตายถึง14 ศพและเกือบตายอีกหนึ่งคน ที่พีคกว่านั้นทีมอาจารย์อ๊อดยังตรวจพบยาถอนพิษไซยาไนด์ในบ้านของแอมด้วย สารตัวนี้มีชื่อว่าโซเดียมไพโอซัลเฟต พอฉีดสารนี้เข้าเส้นเลือดมันจะช่วยถอนพิษสุดโหดของไซยาไนด์ได้ทันท่วงที เรื่องนี้ทำให้รู้ว่า หมอพิษก็กลัวตายเพราะพิษ จึงต้องมียาแก้พิษติดไว้ใกล้มือเมื่อนําไปประกอบกับหลักฐานอื่นๆ ที่ตํารวจเสาะหามาได้ คดีของก้อยนางสาวศิริพร ขันธ์วงศ์ ซึ่งถือเป็นคดีนําร่องของซีรี่ย์แอมไซยาไนด์ จึงได้ผลออกมาเป็นคําสั่งประหารชีวิตสถานเดียว ความอันตรายอีกอย่างของ ไซยาไนด์ คือมันเป็นสารราคาถูกที่เคยซื้อได้ทั่วไปในอินเทอร์เน็ต เนื่องจากมันใช้แพร่หลายในอุตสาหกรรมอัญมณีทองรูปพรรณ แม้จะเป็นสารควบคุมแต่ดันมีข้อแม้ว่า ต้องซื้อเกิน1 ตันโน่นเลย จึงจะเข้าเกณฑ์ ต้องขออนุญาตจากทางราชการตรงนี้จึงเป็นช่องว่างให้โพแทสเซียมไซยาไนด์เป็นสารซื้อง่ายขายคล่องไปอยู่ในมืออาชญากรได้ง่าย ความที่ไม่มีสี ไม่มีรสไม่มีกลิ่นขนาดผสมลงในเครื่องดื่ม คนดื่มก็ไม่รู้ว่ามีพิษใช้ปริมาณน้อยนิดแค่100 มิลลิกรัม ก็ปลิดชีวิตคนได้แล้ว เหตุจูงใจก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของการพนันออนไลน์ ที่แพร่หลายมากในสังคมไทย แอมไซยาไนด์เป็นทาสการพนันออนไลน์ เที่ยวหยิบยืมเงินคนรู้จักไปทั่วจนมีหนี้สินล้นพ้นตัว จึงเกิดไอเดียใช้ยาพิษฆ่าล้างหนี้เหยื่อของเธอล้วนแต่เป็นเจ้าหนี้เป็นเพื่อน เป็นผัว เป็นคนที่ไว้ใจกันทั้งสิ้น อุทาหรณ์จากคดีนี้บอกว่าการคบเพื่อนต้องพยายามอยู่ให้ไกลจากพวกผีพนัน หรืออย่าให้คนร้อนเงิน มาเป็นลูกหนี้ ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 576 มุมมอง 0 รีวิว
  • "หมดสิ้นความหวัง!"

    เซเลนสกี ยอมรับกับสำนักข่าว "Fox News" ว่า การทวงคืนคาบสมุทรไครเมียซึ่งถูกรัสเซียยึดไปตั้งแต่ปี 2014 คงจะต้องใช้ “แนวทางการทูต” เท่านั้น หลังจากที่ผ่านมาประกาศใช้กำลังทหารทวงคืนมาตลอด

    ในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับ Fox News เซเลนสกี เปลี่ยนท่าทีอ่อนลงและพร้อมใช้ช่องทางการทูตโดยอ้างว่า ประเทศคงรับไม่ได้หากต้องสละชีวิตผู้คนจำนวนมากไปกับปฏิบัติการทางทหารเพื่อทวงแหลมไครเมียกลับคืนมา

    “เราไม่สามารถสูญเสียชีวิตคนเป็นพันเป็นหมื่นเพื่อทวงไครเมียกลับมา... และในความเป็นจริงเราก็ไม่สามารถนำมันกลับมาได้ด้วยอาวุธเท่าที่มีอยู่ในมือ เราเข้าใจดีว่าไครเมียจะต้องถูกนำกลับมาด้วยวิธีทางการทูต”

    แต่ยังยืนกรานเช่นเดิมว่า จะไม่มีวันยอมรับการเสียดินแดนไครเมียในครั้งนี้ โดยย้ำว่า “ยูเครนไม่มีวันยอมรับในทางกฎหมายว่าดินแดนของเราที่ถูกยึดไปได้กลายเป็นของรัสเซียแล้ว”

    "หมดสิ้นความหวัง!" เซเลนสกี ยอมรับกับสำนักข่าว "Fox News" ว่า การทวงคืนคาบสมุทรไครเมียซึ่งถูกรัสเซียยึดไปตั้งแต่ปี 2014 คงจะต้องใช้ “แนวทางการทูต” เท่านั้น หลังจากที่ผ่านมาประกาศใช้กำลังทหารทวงคืนมาตลอด ในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับ Fox News เซเลนสกี เปลี่ยนท่าทีอ่อนลงและพร้อมใช้ช่องทางการทูตโดยอ้างว่า ประเทศคงรับไม่ได้หากต้องสละชีวิตผู้คนจำนวนมากไปกับปฏิบัติการทางทหารเพื่อทวงแหลมไครเมียกลับคืนมา “เราไม่สามารถสูญเสียชีวิตคนเป็นพันเป็นหมื่นเพื่อทวงไครเมียกลับมา... และในความเป็นจริงเราก็ไม่สามารถนำมันกลับมาได้ด้วยอาวุธเท่าที่มีอยู่ในมือ เราเข้าใจดีว่าไครเมียจะต้องถูกนำกลับมาด้วยวิธีทางการทูต” แต่ยังยืนกรานเช่นเดิมว่า จะไม่มีวันยอมรับการเสียดินแดนไครเมียในครั้งนี้ โดยย้ำว่า “ยูเครนไม่มีวันยอมรับในทางกฎหมายว่าดินแดนของเราที่ถูกยึดไปได้กลายเป็นของรัสเซียแล้ว”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 229 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่มีอะไรสมบูรณ์ไปหมดนะชีวิตคน ปลงบ้าง
    ไม่มีอะไรสมบูรณ์ไปหมดนะชีวิตคน ปลงบ้าง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • 18-11-67/01 : หมี CNN / "เก๋า เก๋า" เมืองไทยยุค ไอ้บ้า ไอ้บี ไอ้โบ ไอ้เบ๊ ปลายกลียุคแล้วน่ะ! ยุคที่มรึงจะไม่มีวันได้เห็นอีก จนกว่าจะครบ 100 ปี ยุคที่จรรยาบรรณคือเรื่องโกหกตอแหล มีไว้เพื่อหาแดร๊ก ยุคที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่ทำหน้าที่ หิวเงิน หิวแสง ประชาชนตาดำดำ ต้องออกมาทำหน้าที่แทน ยุคที่โกหกตอแหลสุดโต่ง แถจนหมายังอายแทน? ยุคที่หมอรักษาชีวิตคน แต่หาแดร๊กบนความตายคนมากที่สุด ยุคที่ทูลเท็จได้รายวัน กล้าหมิ่นเบื้องบน เทียบชั้น อยากเป็น PRESIDENT แต่วาสนาเป็นได้แค่ที่รองตรีนเหี้ยวอชิงตัน ยุคที่ไม่ต้องถามหาความถูกผิด สิทธิมนุษยชนใหญ่กว่ากฎหมาย ยุคที่กฎหมามาเต็ม ใหญ่คับฟ้า ยุคที่หลอกควายไม่ได้ผุดได้เกิด ยุคที่ไร้ปัญญา ยุคที่หาเงินง่ายเพราะโกงเค้าแดร๊ก ยุคที่กระหรี่ยังสูงกว่าไฮโซ เพราะยังได้ค่าตัว ยุคที่มั่วกันเมามันส์ ไม่ต้องไปเช่าหนังโป๊ ซื้อหนังสือแนวเสือป่า เพราะมีให้ชมฟรี 24 ชม. แค่กด LIKE ยุคที่สัดเดรัจฉานเกลื่อนแผ่นดิน ยุคที่แยกไม่ออก ใครเหี้ย ใครคน? ยุคที่พ่อแม่ ต้องกราบตรีนลูก "ลูกเทวดา" ยุคที่คนดีดีต้องกลัวกฎหมายแทนคนชั่ว เพราะช่วยเค้า ตัวเองซวย เพราะไปเหยียบตรีนขาใหญ่ ยุคที่พระปลอมห่มผ้าเหลืองไม่ละอายต่อบาป อาชีพหลอกแดร๊ก พระดีเข้าป่ากันหมดแล้ว ยุคที่ทำเหี้ยอะไรก็ได้ เพราะกฎหมาเหนือกฎหมาย ไม่มียุคนี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง กลียุคมาเพื่อเปลี่ยน นี่คือ "คีย์" ต้นกลียุคคือปล่อยสัดเดรัจฉานเต็มที่ ปลายกลียุคคือกวาดอีเดรัจฉานกลับขุมนรก สคริปต์นี้ กูไม่ได้เขียน สวรรค์แต่งมา นรกรับงาน? ใครที่ผ่านกลียุคมาแล้ว ยังรักษาสภาพ รักษาศีลเอาไว้ได้ มรึงเตรียมขึ้นชั้นได้เลย ผ่านการทดสอบ บทพิสูจน์ รักแท้ จากสรวงสวรรค์ ภพภูมิที่สูงกว่ารอมรึงอยู่ กูจะไปตามหา E.T. เพื่อนเลิฟกู บทพิสูจน์ สวรรค์ นรก วัดกันยุคนี้แหละ? มรึงจงภูมิใจที่ได้มาเกิดในรัชสมัยพ่อร.9 พ่อร.10 ทั้งยุคพระคุณ และยุคพระเดช คน 2 แผ่นดิน อย่างมรึงและกู ได้เห็นในสิ่งที่ไม่ควรจะได้เห็นมาเยอะมาก ตั้งแต่สมัยเขียนจดหมายจีบกัน ยันมาถึง ส่งคลิปเปลือยให้กันแล้ว มันผ่านไปเร็วมาก ในช่วง 70 ปี ที่ผ่านมา สิ่งที่กูอยากจะบอกเช้านี้คือ ไทยเราจะผ่านทุกเรื่องราวได้หมดจรด สิ่งชั่วร้าย สะสม ที่ผ่านมา จะถูกขจัดออกด้วย HAITER สูตรเข้มข้น ภาพที่มรึงเห็นแล้วจะสงสารทันที น่าเวทนา กับสิ่งที่สัดนรกทั้งหลายจะได้รับเพื่อชดใช้ จงทำดี เพื่อตัวมรึงเอง แล้วผลดีนั่น จะส่งต่อถึงผู้อื่นเป็นโดมิโน่แอฟเฟคเอง เริ่มที่ตัวเราก่อน กูจะเปรียบเทียบของจริงในสิ่งที่ผ่านมา ที่กำลังจะเกิดขึ้น และที่เกิดไปแล้วให้มรึงเข้าใจ! ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ ทุกอย่างคือบททดสอบจากสวรรค์ทั้งนั้น?เข้าประเด็น ซัดตรง ตามได้ตาม : โลกรอขั้วใหม่เปลี่ยนแกนโลกใหม่ เหี้ยรอแตกร่างแยกย้าย อาเซียน แอฟริกา ลาติน รอเกิดเต็มตรีน โลกกลับตาลปัตร อเมริกา ยุโรป ล้าหลัง ชาติประเทศโลกที่ 3 ขึ้นมาโดดเด่น ทั้งหมดเป็นเพราะ BRICS จะยกระดับทั้งโลกให้เสมอภาคกัน แต่เหี้ยไม่เอา เพราะถนัดผูกขาดศาลเตี้ย เมื่อทางเดินมันแยกทางกันชัด โลกจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย เหมือนในหนัง STAR WARS นั่นแหละ เตรียมดาบไลท์เซเบอร์ เก็บเอาไว้ให้ดีดี ลูกหลานมรึงได้ใช้แน่ ในยุคบางระจัน 2124 ยุคนี้ กลียุคกำลังจะจากไป ทิ้งทวนไอ้อี สารพัดสัดเดรัจฉาน เปิดออกให้โลกประจักษ์ชัด! ยุคที่ไฮโซต่ำกว่ากระหรี่ ยุคที่ 18 มงกุฎ กลายเป็นเทพเจ้า ยุคที่ควายหลอกควายกว่าไม่ละอาย เพราะไร้ศีลธรรม คนยุคก่อนถึงยังมีบุญมากกว่าคนยุคนี้ เพราะสิ่งล่อลวงไม่เยอะเท่า แต่เช่นกัน หากใครผ่านด่านทดสอบนี้ไปได้ บุญมรึงจะ x100 มากกว่ายุคปกติ เพราะมรึงเจอบททดสอบที่ยากกว่าเยอะ จะมีซักกี่คน? ที่ผู้หญิงแก้ผ้าเดินมาให้เอา แล้วมรึงบอก "กูเป็นเกย์" ปฎิเสธแบบมีศิลปะ จะมีซักกี่คน? ที่ซาตานเอาเงินมาให้ 100 ล้าน แล้วมรึงบอกว่า "น้อยไปไอ้สัส กูนึกว่าได้ซัก 10000 ล้าน เสียเวลาทำมาหาแดร๊กวันละ 300" เงิบสิ ไอ้สัส! ทั้งหมดที่มรึงเห็นอยู่ตอนนี้ คือการผลัดใบใหม่โลก โลกกำลังสกรีน คัดสรร ผู้ที่ควรจะไปต่อ โลกก็มีหัวใจ ไม่ปล่อยให้ไอ้อีหน้าไหนมาทำลายดาวเคราะห์นี้เพื่อเหี้ยเพียงกลุ่มเดียวปล.มรึงเห็นยัง? อีทรัมปป์หางโผล่ ตีกิน 2 หน้า เพื่อรักษาบังลังก์ตัวเอง ทิ้งอีเสี้ยนยา ปล่อยให้รัสเซียเขมือบฉลุยตามขอ แต่แอบช่วยอียิวเหี้ย ยังปล่อยไม่ได้ ไม่งั้นอี DEEP STATE สั่งล่าหัวอีทรัมปป์ก่อนสาบานตนแน่ ฐานไม่ช่วยยิวเหี้ย อียูเครนมันตายห่าไปแล้ว กูไม่ได้ประโยชน์ อีทรัมปป์มองข้ามไปนานแล้ว แต่อีเยรูซาเล็ม ช่วยแค่เปลือก ลับหลังชงดาบให้ปูติน สีจิ้นผิง เผาอียิวเหี้ยให้เรียบวุธ ที่มาส่งเรือบรรทุกเครื่องบินไปก็เท่านั้น กระจอกไม่รู้จบสิ้น แค่ส่งไปเพื่อบอกนายใหญ่ กูช่วยแล้วน่ะ แต่มรึงวอนหาส้นตรีนเอง? ข้ามวิกแป๊บ มีเหรอ ครม.ยุคเหี้ยขายชาติจะไม่แดร๊ก รมต.น้ำว่าว เฮ้ย..น้ำเน่า จะไม่รู้ ไม่เห็น หัวไม่สั่ง หางไม่กระดิก มรึงคิดว่าอยากจะอ้างรมต.ใครก็ได้งั้นเหรอ เหี้ยไม่กล้ากร่างหากไม่มีแบ็คอัพ หมายังรู้? ถูกซัดทอดเป็นโดมิโน่แอฟเฟคแน่ อีพรรคขายชาติ ชะตากรรมมันตายโหงยกโคตรอยู่แล้ว ยังจะมีเพิ่มครม.ชั้นหมาเข้าไปอีก พรรคร่วม แม้แต่สมาชิกพรรคเหี้ย แตกคอกันเอง อีอุ้งอุ้ง หมดราคา ปาร์ตี้จบแล้ว ฮันนีมูนสั้นเกิน รอรับหมายศาลได้เลยจ๊ะ ทุกไอ้อี ทั้งครม.?หมี CNN(อย่ากระพริบตา ช่วงนี้แหละ ของดีกำลังจะมา เสียงกรีดร้องหิวโหยของเปรตขอส่วนบุญ จะดังก้องแผ่นดินทอง สวรรค์สั่งเชือดแล้ว ไอ้อีหน้าไหนที่คิดว่าจะรอดบ่วงกรรมได้ มรึงจะโดนหนักกว่าเพื่อน แสงทำงานเสมอภาค ไม่มีลำเอียง ความดีจะกลายเป็นเกราะคุ้มครองคนดี จน รวย ไม่ได้เป็นข้ออ้างบันไดสู่สวรรค์ ทุกคนล้วนมีกรรมในมือ วันที่ชั่งตาชั่งแห่งผลกรรม มรึงจะรู้เองว่า จะได้ไปต่อหรือไม่? อย่ากลัว คนจริง กล้าทำ กล้ารับ ผิดก็ชดใช้ กรรมดี สะสมไป เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม ใยก็ต้องกลัว มาเพื่อสิ่งนี้ แล้วไปก็เพื่อสิ่งนี้ สาวกหมี ตาสว่างกันหมดได้แล้ว มรึงต้องตกผลึกกันให้หมด ก่อนกูจะตายห่าไปซะ แล้วไปเจอกันในสวน "อีเดน" พระเจ้าสั่งไม่ให้แดร๊กแอปเปิ้ล กูเลยไปแดร๊กลิ้นจี่แทน ถึงได้ต้องกลับมาเกิดเจอพวกมรึงเนี่ยไง? ไอ้สัส เพราะลิ้นจี่ ตัวเดียว ตะกละแดร๊กเกิน!)18 พฤศจิกายน 6709.52 น.------------------------------------------------------------------------—เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnnหรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNThttps://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u**เพจหลักของหมี CNN คือ**https://www.minds.com/mheecnn2/เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnnwww.vk.com/id448335733**เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**https://twitter.com/CnnMhee**เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!**https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    18-11-67/01 : หมี CNN / "เก๋า เก๋า" เมืองไทยยุค ไอ้บ้า ไอ้บี ไอ้โบ ไอ้เบ๊ ปลายกลียุคแล้วน่ะ! ยุคที่มรึงจะไม่มีวันได้เห็นอีก จนกว่าจะครบ 100 ปี ยุคที่จรรยาบรรณคือเรื่องโกหกตอแหล มีไว้เพื่อหาแดร๊ก ยุคที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่ทำหน้าที่ หิวเงิน หิวแสง ประชาชนตาดำดำ ต้องออกมาทำหน้าที่แทน ยุคที่โกหกตอแหลสุดโต่ง แถจนหมายังอายแทน? ยุคที่หมอรักษาชีวิตคน แต่หาแดร๊กบนความตายคนมากที่สุด ยุคที่ทูลเท็จได้รายวัน กล้าหมิ่นเบื้องบน เทียบชั้น อยากเป็น PRESIDENT แต่วาสนาเป็นได้แค่ที่รองตรีนเหี้ยวอชิงตัน ยุคที่ไม่ต้องถามหาความถูกผิด สิทธิมนุษยชนใหญ่กว่ากฎหมาย ยุคที่กฎหมามาเต็ม ใหญ่คับฟ้า ยุคที่หลอกควายไม่ได้ผุดได้เกิด ยุคที่ไร้ปัญญา ยุคที่หาเงินง่ายเพราะโกงเค้าแดร๊ก ยุคที่กระหรี่ยังสูงกว่าไฮโซ เพราะยังได้ค่าตัว ยุคที่มั่วกันเมามันส์ ไม่ต้องไปเช่าหนังโป๊ ซื้อหนังสือแนวเสือป่า เพราะมีให้ชมฟรี 24 ชม. แค่กด LIKE ยุคที่สัดเดรัจฉานเกลื่อนแผ่นดิน ยุคที่แยกไม่ออก ใครเหี้ย ใครคน? ยุคที่พ่อแม่ ต้องกราบตรีนลูก "ลูกเทวดา" ยุคที่คนดีดีต้องกลัวกฎหมายแทนคนชั่ว เพราะช่วยเค้า ตัวเองซวย เพราะไปเหยียบตรีนขาใหญ่ ยุคที่พระปลอมห่มผ้าเหลืองไม่ละอายต่อบาป อาชีพหลอกแดร๊ก พระดีเข้าป่ากันหมดแล้ว ยุคที่ทำเหี้ยอะไรก็ได้ เพราะกฎหมาเหนือกฎหมาย ไม่มียุคนี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง กลียุคมาเพื่อเปลี่ยน นี่คือ "คีย์" ต้นกลียุคคือปล่อยสัดเดรัจฉานเต็มที่ ปลายกลียุคคือกวาดอีเดรัจฉานกลับขุมนรก สคริปต์นี้ กูไม่ได้เขียน สวรรค์แต่งมา นรกรับงาน? ใครที่ผ่านกลียุคมาแล้ว ยังรักษาสภาพ รักษาศีลเอาไว้ได้ มรึงเตรียมขึ้นชั้นได้เลย ผ่านการทดสอบ บทพิสูจน์ รักแท้ จากสรวงสวรรค์ ภพภูมิที่สูงกว่ารอมรึงอยู่ กูจะไปตามหา E.T. เพื่อนเลิฟกู บทพิสูจน์ สวรรค์ นรก วัดกันยุคนี้แหละ? มรึงจงภูมิใจที่ได้มาเกิดในรัชสมัยพ่อร.9 พ่อร.10 ทั้งยุคพระคุณ และยุคพระเดช คน 2 แผ่นดิน อย่างมรึงและกู ได้เห็นในสิ่งที่ไม่ควรจะได้เห็นมาเยอะมาก ตั้งแต่สมัยเขียนจดหมายจีบกัน ยันมาถึง ส่งคลิปเปลือยให้กันแล้ว มันผ่านไปเร็วมาก ในช่วง 70 ปี ที่ผ่านมา สิ่งที่กูอยากจะบอกเช้านี้คือ ไทยเราจะผ่านทุกเรื่องราวได้หมดจรด สิ่งชั่วร้าย สะสม ที่ผ่านมา จะถูกขจัดออกด้วย HAITER สูตรเข้มข้น ภาพที่มรึงเห็นแล้วจะสงสารทันที น่าเวทนา กับสิ่งที่สัดนรกทั้งหลายจะได้รับเพื่อชดใช้ จงทำดี เพื่อตัวมรึงเอง แล้วผลดีนั่น จะส่งต่อถึงผู้อื่นเป็นโดมิโน่แอฟเฟคเอง เริ่มที่ตัวเราก่อน กูจะเปรียบเทียบของจริงในสิ่งที่ผ่านมา ที่กำลังจะเกิดขึ้น และที่เกิดไปแล้วให้มรึงเข้าใจ! ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ ทุกอย่างคือบททดสอบจากสวรรค์ทั้งนั้น?เข้าประเด็น ซัดตรง ตามได้ตาม : โลกรอขั้วใหม่เปลี่ยนแกนโลกใหม่ เหี้ยรอแตกร่างแยกย้าย อาเซียน แอฟริกา ลาติน รอเกิดเต็มตรีน โลกกลับตาลปัตร อเมริกา ยุโรป ล้าหลัง ชาติประเทศโลกที่ 3 ขึ้นมาโดดเด่น ทั้งหมดเป็นเพราะ BRICS จะยกระดับทั้งโลกให้เสมอภาคกัน แต่เหี้ยไม่เอา เพราะถนัดผูกขาดศาลเตี้ย เมื่อทางเดินมันแยกทางกันชัด โลกจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย เหมือนในหนัง STAR WARS นั่นแหละ เตรียมดาบไลท์เซเบอร์ เก็บเอาไว้ให้ดีดี ลูกหลานมรึงได้ใช้แน่ ในยุคบางระจัน 2124 ยุคนี้ กลียุคกำลังจะจากไป ทิ้งทวนไอ้อี สารพัดสัดเดรัจฉาน เปิดออกให้โลกประจักษ์ชัด! ยุคที่ไฮโซต่ำกว่ากระหรี่ ยุคที่ 18 มงกุฎ กลายเป็นเทพเจ้า ยุคที่ควายหลอกควายกว่าไม่ละอาย เพราะไร้ศีลธรรม คนยุคก่อนถึงยังมีบุญมากกว่าคนยุคนี้ เพราะสิ่งล่อลวงไม่เยอะเท่า แต่เช่นกัน หากใครผ่านด่านทดสอบนี้ไปได้ บุญมรึงจะ x100 มากกว่ายุคปกติ เพราะมรึงเจอบททดสอบที่ยากกว่าเยอะ จะมีซักกี่คน? ที่ผู้หญิงแก้ผ้าเดินมาให้เอา แล้วมรึงบอก "กูเป็นเกย์" ปฎิเสธแบบมีศิลปะ จะมีซักกี่คน? ที่ซาตานเอาเงินมาให้ 100 ล้าน แล้วมรึงบอกว่า "น้อยไปไอ้สัส กูนึกว่าได้ซัก 10000 ล้าน เสียเวลาทำมาหาแดร๊กวันละ 300" เงิบสิ ไอ้สัส! ทั้งหมดที่มรึงเห็นอยู่ตอนนี้ คือการผลัดใบใหม่โลก โลกกำลังสกรีน คัดสรร ผู้ที่ควรจะไปต่อ โลกก็มีหัวใจ ไม่ปล่อยให้ไอ้อีหน้าไหนมาทำลายดาวเคราะห์นี้เพื่อเหี้ยเพียงกลุ่มเดียวปล.มรึงเห็นยัง? อีทรัมปป์หางโผล่ ตีกิน 2 หน้า เพื่อรักษาบังลังก์ตัวเอง ทิ้งอีเสี้ยนยา ปล่อยให้รัสเซียเขมือบฉลุยตามขอ แต่แอบช่วยอียิวเหี้ย ยังปล่อยไม่ได้ ไม่งั้นอี DEEP STATE สั่งล่าหัวอีทรัมปป์ก่อนสาบานตนแน่ ฐานไม่ช่วยยิวเหี้ย อียูเครนมันตายห่าไปแล้ว กูไม่ได้ประโยชน์ อีทรัมปป์มองข้ามไปนานแล้ว แต่อีเยรูซาเล็ม ช่วยแค่เปลือก ลับหลังชงดาบให้ปูติน สีจิ้นผิง เผาอียิวเหี้ยให้เรียบวุธ ที่มาส่งเรือบรรทุกเครื่องบินไปก็เท่านั้น กระจอกไม่รู้จบสิ้น แค่ส่งไปเพื่อบอกนายใหญ่ กูช่วยแล้วน่ะ แต่มรึงวอนหาส้นตรีนเอง? ข้ามวิกแป๊บ มีเหรอ ครม.ยุคเหี้ยขายชาติจะไม่แดร๊ก รมต.น้ำว่าว เฮ้ย..น้ำเน่า จะไม่รู้ ไม่เห็น หัวไม่สั่ง หางไม่กระดิก มรึงคิดว่าอยากจะอ้างรมต.ใครก็ได้งั้นเหรอ เหี้ยไม่กล้ากร่างหากไม่มีแบ็คอัพ หมายังรู้? ถูกซัดทอดเป็นโดมิโน่แอฟเฟคแน่ อีพรรคขายชาติ ชะตากรรมมันตายโหงยกโคตรอยู่แล้ว ยังจะมีเพิ่มครม.ชั้นหมาเข้าไปอีก พรรคร่วม แม้แต่สมาชิกพรรคเหี้ย แตกคอกันเอง อีอุ้งอุ้ง หมดราคา ปาร์ตี้จบแล้ว ฮันนีมูนสั้นเกิน รอรับหมายศาลได้เลยจ๊ะ ทุกไอ้อี ทั้งครม.?หมี CNN(อย่ากระพริบตา ช่วงนี้แหละ ของดีกำลังจะมา เสียงกรีดร้องหิวโหยของเปรตขอส่วนบุญ จะดังก้องแผ่นดินทอง สวรรค์สั่งเชือดแล้ว ไอ้อีหน้าไหนที่คิดว่าจะรอดบ่วงกรรมได้ มรึงจะโดนหนักกว่าเพื่อน แสงทำงานเสมอภาค ไม่มีลำเอียง ความดีจะกลายเป็นเกราะคุ้มครองคนดี จน รวย ไม่ได้เป็นข้ออ้างบันไดสู่สวรรค์ ทุกคนล้วนมีกรรมในมือ วันที่ชั่งตาชั่งแห่งผลกรรม มรึงจะรู้เองว่า จะได้ไปต่อหรือไม่? อย่ากลัว คนจริง กล้าทำ กล้ารับ ผิดก็ชดใช้ กรรมดี สะสมไป เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม ใยก็ต้องกลัว มาเพื่อสิ่งนี้ แล้วไปก็เพื่อสิ่งนี้ สาวกหมี ตาสว่างกันหมดได้แล้ว มรึงต้องตกผลึกกันให้หมด ก่อนกูจะตายห่าไปซะ แล้วไปเจอกันในสวน "อีเดน" พระเจ้าสั่งไม่ให้แดร๊กแอปเปิ้ล กูเลยไปแดร๊กลิ้นจี่แทน ถึงได้ต้องกลับมาเกิดเจอพวกมรึงเนี่ยไง? ไอ้สัส เพราะลิ้นจี่ ตัวเดียว ตะกละแดร๊กเกิน!)18 พฤศจิกายน 6709.52 น.------------------------------------------------------------------------—เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnnหรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNThttps://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u**เพจหลักของหมี CNN คือ**https://www.minds.com/mheecnn2/เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnnwww.vk.com/id448335733**เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**https://twitter.com/CnnMhee**เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!**https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 824 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต

    รัฐบาลใหม่สหรัฐ ประกาศแล้วว่าเรื่องวัคซีนมีผลกระทบข้างเคียงจะต้องยอมรับและนำไปสู่การเยียวยา

    นอกจากนั้นทหารที่ไม่ยอมฉีดวัคซีนและถูกปลดรัฐบาลใหม่ประกาศแล้วว่าจะรับกลับเข้ากองทัพและจำเป็นต้องจ่ายค่าชดเชย

    รัฐบาลใหม่ประกาศแล้วว่าจะทำการจัดการรื้อ องค์กรของรัฐทั้ง CDC และ FDA

    รัฐบาลใหม่ประกาศแล้วว่าจะจัดการเรื่องการสมคบคิดป้ายสี ผู้ที่ได้รับผลกระทบและผู้ที่ให้หลักฐานความเป็นจริงว่าเป็นผู้ให้ข้อมูลไม่จริง

    และจะมีการเช็คบิล และต่อจากนี้ถ้ามีการทำอีกคือไล่ออก และถ้ามีการสมคบคิดกับนักวิชาการมหาวิทยาลัยโรงเรียนแพทย์ จะจัดการยุติทุนสนับสนุนแก่นักวิจัยและมหาวิทยาลัยนั้น

    การที่สถาบันวัคซีนจะมีการประชุมและนำนักวิชาการมากล่าวว่ามีการบิดเบือนว่าวัคซีนมีผลแทรกซ้อนข้างเคียง แสดงว่ายืนข้างวัคซีนและปฏิเสธความเสียหายต่อชีวิตคนไทย
    เช่นนี้ ทางการ สถาบันวัคซีน คนที่อ้างตัวว่าเป็นนักวิชาการและจะมาพูดสมควรที่จะถูกดำเนินคดีและลงโทษหรือไม่?

    'หมอเดชา' ยืนข้าง 'หมอธีระวัฒน์' เชื่อมีข้อมูล​ผลกระทบจากการฉีดวัคซีน​โควิด https://thaipost.net/human-life-news/689671/

    https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid0PG782N6yBM2SWucuLViwALi4f1nmKCtmjs7cLw2H4hW7GvRNZq8W9PMoW3xwkp1Ql&id=100064749694453
    ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต รัฐบาลใหม่สหรัฐ ประกาศแล้วว่าเรื่องวัคซีนมีผลกระทบข้างเคียงจะต้องยอมรับและนำไปสู่การเยียวยา นอกจากนั้นทหารที่ไม่ยอมฉีดวัคซีนและถูกปลดรัฐบาลใหม่ประกาศแล้วว่าจะรับกลับเข้ากองทัพและจำเป็นต้องจ่ายค่าชดเชย รัฐบาลใหม่ประกาศแล้วว่าจะทำการจัดการรื้อ องค์กรของรัฐทั้ง CDC และ FDA  รัฐบาลใหม่ประกาศแล้วว่าจะจัดการเรื่องการสมคบคิดป้ายสี ผู้ที่ได้รับผลกระทบและผู้ที่ให้หลักฐานความเป็นจริงว่าเป็นผู้ให้ข้อมูลไม่จริง และจะมีการเช็คบิล และต่อจากนี้ถ้ามีการทำอีกคือไล่ออก และถ้ามีการสมคบคิดกับนักวิชาการมหาวิทยาลัยโรงเรียนแพทย์ จะจัดการยุติทุนสนับสนุนแก่นักวิจัยและมหาวิทยาลัยนั้น การที่สถาบันวัคซีนจะมีการประชุมและนำนักวิชาการมากล่าวว่ามีการบิดเบือนว่าวัคซีนมีผลแทรกซ้อนข้างเคียง แสดงว่ายืนข้างวัคซีนและปฏิเสธความเสียหายต่อชีวิตคนไทย เช่นนี้ ทางการ สถาบันวัคซีน คนที่อ้างตัวว่าเป็นนักวิชาการและจะมาพูดสมควรที่จะถูกดำเนินคดีและลงโทษหรือไม่? 'หมอเดชา' ยืนข้าง 'หมอธีระวัฒน์' เชื่อมีข้อมูล​ผลกระทบจากการฉีดวัคซีน​โควิด https://thaipost.net/human-life-news/689671/ https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid0PG782N6yBM2SWucuLViwALi4f1nmKCtmjs7cLw2H4hW7GvRNZq8W9PMoW3xwkp1Ql&id=100064749694453
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 585 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts