• “รมว.อว.” เดินหน้าปฏิรูปใน 4 เดือน สั่งเร่งสอบ-สางปัญหาทุจริตในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ เน้นความโปร่งใส ตรวจสอบได้ กำชับทุกกรณีต้องมีกรอบเวลาชัดเจน พร้อมลุยเอาผิดผู้แอบอ้างโครงการ อว. ยันไม่ปล่อยปัญหาทุจริตบั่นทอนความเชื่อมั่นการศึกษาไทย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000097493

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    “รมว.อว.” เดินหน้าปฏิรูปใน 4 เดือน สั่งเร่งสอบ-สางปัญหาทุจริตในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ เน้นความโปร่งใส ตรวจสอบได้ กำชับทุกกรณีต้องมีกรอบเวลาชัดเจน พร้อมลุยเอาผิดผู้แอบอ้างโครงการ อว. ยันไม่ปล่อยปัญหาทุจริตบั่นทอนความเชื่อมั่นการศึกษาไทย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000097493 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 295 มุมมอง 0 รีวิว
  • คณะ IOT-Thailand ชื่นชมความโปร่งใสไทย หลังสังเกตการณ์พื้นที่รุกล้ำ-เก็บกู้ทุ่นระเบิด บ้านหนองหญ้าแก้ว
    https://www.thai-tai.tv/news/21848/
    .
    #ไทยไท #IOTThailand #ชายแดนไทยกัมพูชา #กองทัพไทย #สระแก้ว #MOU43 #ปราบปรามสแกมเมอร์ #สันติภาพอาเซียน

    คณะ IOT-Thailand ชื่นชมความโปร่งใสไทย หลังสังเกตการณ์พื้นที่รุกล้ำ-เก็บกู้ทุ่นระเบิด บ้านหนองหญ้าแก้ว https://www.thai-tai.tv/news/21848/ . #ไทยไท #IOTThailand #ชายแดนไทยกัมพูชา #กองทัพไทย #สระแก้ว #MOU43 #ปราบปรามสแกมเมอร์ #สันติภาพอาเซียน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 151 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Mission:Libre จุดประกายเยาวชนสู่โลกซอฟต์แวร์เสรี — เวทีใหม่ที่เปิดให้เสียงวัยรุ่นกำหนดทิศทางเทคโนโลยี”

    ในโลกที่ซอฟต์แวร์เสรี (Free Software) เป็นรากฐานของความโปร่งใสและเสรีภาพทางดิจิทัล กลุ่มเยาวชนกลับยังมีบทบาทน้อยในการกำหนดทิศทางของการพัฒนา ล่าสุด Carmen-Lisandrette นักเคลื่อนไหวด้านซอฟต์แวร์เสรีจากนิวซีแลนด์ ได้เปิดตัวโครงการ “Mission:Libre” เพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้น

    Mission:Libre เป็นโครงการที่ไม่แสวงหากำไร ก่อตั้งขึ้นในเดือนสิงหาคม 2025 โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างพื้นที่ให้เยาวชนอายุ 13–17 ปี ได้เรียนรู้ พูดคุย และมีส่วนร่วมกับการเคลื่อนไหวด้านซอฟต์แวร์เสรี ผ่านกิจกรรมออนไลน์ เช่น การประชุมกลุ่มย่อย (roundtable discussions) ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 12 และ 14 พฤศจิกายนนี้ ผ่านแพลตฟอร์ม Jitsi

    องค์กรนี้มีโครงสร้างที่โปร่งใส โดยมีข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญที่ห้ามผู้ใดใช้ทรัพย์สินขององค์กรเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว และหากองค์กรต้องยุติการดำเนินงาน ทรัพย์สินทั้งหมดจะถูกส่งต่อไปยังองค์กรซอฟต์แวร์เสรีอื่น ๆ

    กิจกรรมของ Mission:Libre ไม่เพียงเปิดโอกาสให้เยาวชนได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับอนาคตของซอฟต์แวร์เสรี แต่ยังเป็นเวทีให้พวกเขาเสนอสิ่งที่ต้องการเห็นจากขบวนการนี้ เช่น การสนับสนุนการเรียนรู้ การเข้าถึงเครื่องมือโอเพ่นซอร์ส หรือการสร้างชุมชนที่ปลอดภัยสำหรับวัยรุ่น

    ผลจากการประชุมจะถูกสรุปและเผยแพร่ต่อสาธารณะ เพื่อให้เสียงของเยาวชนมีผลต่อทิศทางของการเคลื่อนไหวในอนาคต

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Mission:Libre เป็นโครงการสนับสนุนเยาวชนในขบวนการซอฟต์แวร์เสรี
    ก่อตั้งโดย Carmen-Lisandrette ในเดือนสิงหาคม 2025 ที่นิวซีแลนด์
    ดำเนินการผ่านบริษัท Mission:Libre Limited ที่ไม่แสวงหากำไร
    มีข้อกำหนดห้ามใช้ทรัพย์สินเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว และต้องส่งต่อให้กลุ่มซอฟต์แวร์เสรีหากยุติ
    กิจกรรมแรกคือ roundtable discussions วันที่ 12 และ 14 พฤศจิกายน 2025
    ใช้แพลตฟอร์ม Jitsi สำหรับการประชุมออนไลน์
    เปิดรับเยาวชนอายุ 13–17 ปี เพื่อร่วมแสดงความคิดเห็น
    ผลการประชุมจะถูกสรุปและเผยแพร่ต่อสาธารณะ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ซอฟต์แวร์เสรีเน้นเสรีภาพในการใช้ แก้ไข และแจกจ่ายซอฟต์แวร์
    โครงการอย่าง GNU, Linux และ Firefox เป็นตัวอย่างของซอฟต์แวร์เสรีที่ประสบความสำเร็จ
    Carmen เคยมีบทบาทในชุมชน GNOME และ LibrePlanet มาก่อน
    การมีส่วนร่วมของเยาวชนช่วยสร้างนักพัฒนาและนักเคลื่อนไหวรุ่นใหม่
    การใช้ Jitsi เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและไม่ผูกกับแพลตฟอร์มเชิงพาณิชย์

    https://news.itsfoss.com/mission-libre/
    🌱 “Mission:Libre จุดประกายเยาวชนสู่โลกซอฟต์แวร์เสรี — เวทีใหม่ที่เปิดให้เสียงวัยรุ่นกำหนดทิศทางเทคโนโลยี” ในโลกที่ซอฟต์แวร์เสรี (Free Software) เป็นรากฐานของความโปร่งใสและเสรีภาพทางดิจิทัล กลุ่มเยาวชนกลับยังมีบทบาทน้อยในการกำหนดทิศทางของการพัฒนา ล่าสุด Carmen-Lisandrette นักเคลื่อนไหวด้านซอฟต์แวร์เสรีจากนิวซีแลนด์ ได้เปิดตัวโครงการ “Mission:Libre” เพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้น Mission:Libre เป็นโครงการที่ไม่แสวงหากำไร ก่อตั้งขึ้นในเดือนสิงหาคม 2025 โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างพื้นที่ให้เยาวชนอายุ 13–17 ปี ได้เรียนรู้ พูดคุย และมีส่วนร่วมกับการเคลื่อนไหวด้านซอฟต์แวร์เสรี ผ่านกิจกรรมออนไลน์ เช่น การประชุมกลุ่มย่อย (roundtable discussions) ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 12 และ 14 พฤศจิกายนนี้ ผ่านแพลตฟอร์ม Jitsi องค์กรนี้มีโครงสร้างที่โปร่งใส โดยมีข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญที่ห้ามผู้ใดใช้ทรัพย์สินขององค์กรเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว และหากองค์กรต้องยุติการดำเนินงาน ทรัพย์สินทั้งหมดจะถูกส่งต่อไปยังองค์กรซอฟต์แวร์เสรีอื่น ๆ กิจกรรมของ Mission:Libre ไม่เพียงเปิดโอกาสให้เยาวชนได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับอนาคตของซอฟต์แวร์เสรี แต่ยังเป็นเวทีให้พวกเขาเสนอสิ่งที่ต้องการเห็นจากขบวนการนี้ เช่น การสนับสนุนการเรียนรู้ การเข้าถึงเครื่องมือโอเพ่นซอร์ส หรือการสร้างชุมชนที่ปลอดภัยสำหรับวัยรุ่น ผลจากการประชุมจะถูกสรุปและเผยแพร่ต่อสาธารณะ เพื่อให้เสียงของเยาวชนมีผลต่อทิศทางของการเคลื่อนไหวในอนาคต ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Mission:Libre เป็นโครงการสนับสนุนเยาวชนในขบวนการซอฟต์แวร์เสรี ➡️ ก่อตั้งโดย Carmen-Lisandrette ในเดือนสิงหาคม 2025 ที่นิวซีแลนด์ ➡️ ดำเนินการผ่านบริษัท Mission:Libre Limited ที่ไม่แสวงหากำไร ➡️ มีข้อกำหนดห้ามใช้ทรัพย์สินเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว และต้องส่งต่อให้กลุ่มซอฟต์แวร์เสรีหากยุติ ➡️ กิจกรรมแรกคือ roundtable discussions วันที่ 12 และ 14 พฤศจิกายน 2025 ➡️ ใช้แพลตฟอร์ม Jitsi สำหรับการประชุมออนไลน์ ➡️ เปิดรับเยาวชนอายุ 13–17 ปี เพื่อร่วมแสดงความคิดเห็น ➡️ ผลการประชุมจะถูกสรุปและเผยแพร่ต่อสาธารณะ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ซอฟต์แวร์เสรีเน้นเสรีภาพในการใช้ แก้ไข และแจกจ่ายซอฟต์แวร์ ➡️ โครงการอย่าง GNU, Linux และ Firefox เป็นตัวอย่างของซอฟต์แวร์เสรีที่ประสบความสำเร็จ ➡️ Carmen เคยมีบทบาทในชุมชน GNOME และ LibrePlanet มาก่อน ➡️ การมีส่วนร่วมของเยาวชนช่วยสร้างนักพัฒนาและนักเคลื่อนไหวรุ่นใหม่ ➡️ การใช้ Jitsi เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและไม่ผูกกับแพลตฟอร์มเชิงพาณิชย์ https://news.itsfoss.com/mission-libre/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Mission:Libre: A New Community Building Free Software's Teen Movement
    Teen-focused initiative seeks input on free software's future direction.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 139 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ความเชื่อมั่นในผู้นำองค์กรลดฮวบ — พนักงานหันพึ่ง AI เพื่อความยืดหยุ่นและความสุขในการทำงาน”

    ผลสำรวจจาก HP Work Relationship Index ปี 2025 เผยให้เห็นภาพชัดเจนว่าพนักงานในสหราชอาณาจักรกำลังสูญเสียความเชื่อมั่นในผู้นำองค์กรอย่างต่อเนื่อง โดยมีเพียง 14% เท่านั้นที่เชื่อมั่นว่าผู้นำจะตัดสินใจเพื่อผลประโยชน์ของพนักงาน ซึ่งลดลงถึง 12 จุดจากปีที่ผ่านมา

    สาเหตุหลักคือการขาดความเห็นอกเห็นใจ (86%) และการสื่อสารที่ไม่โปร่งใส (86%) โดย 41% ของผู้ตอบแบบสอบถามรู้สึกว่าบริษัทให้ความสำคัญกับผลกำไรมากกว่าคน

    ในทางกลับกัน เทคโนโลยีอย่าง AI กลับกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยเติมเต็มช่องว่างที่ผู้นำองค์กรทิ้งไว้ โดย 76% ของพนักงานใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เช่น การสร้างคอนเทนต์ การวิเคราะห์ข้อมูล และการจัดการงานซ้ำ ๆ ซึ่งช่วยให้มีเวลามากขึ้นและสมดุลชีวิตดีขึ้น

    นอกจากนี้ พนักงานรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z ยังแสดงความต้องการที่ชัดเจนต่อความยืดหยุ่น โดย 4 ใน 5 ยินดีลดเงินเดือนเพื่อแลกกับอิสระในการทำงานและการใช้ชีวิตที่สมดุลมากขึ้น

    HP แนะนำให้องค์กรปรับตัวโดยเน้น 3 ด้านหลัก ได้แก่ การนำด้วยความเห็นอกเห็นใจและความโปร่งใส, การลงทุนในเครื่องมือและทักษะที่จำเป็น และการเปิดโอกาสให้ทำงานแบบไฮบริดเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    HP Work Relationship Index 2025 พบว่าความเชื่อมั่นในผู้นำองค์กรลดลงเหลือ 14%
    86% ของพนักงานรู้สึกว่าผู้นำขาดความเห็นอกเห็นใจและการสื่อสารที่โปร่งใส
    41% เชื่อว่าบริษัทให้ความสำคัญกับกำไรมากกว่าคน
    76% ของพนักงานใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
    AI ช่วยให้พนักงานมีเวลามากขึ้นและสมดุลชีวิตดีขึ้น
    40% ของพนักงานที่มีความสุขใช้ AI ที่บริษัทจัดให้ทุกวัน
    4 ใน 5 ของ Gen Z ยินดีลดเงินเดือนเพื่อแลกกับความยืดหยุ่น
    HP แนะนำให้องค์กรเน้น empathy, เครื่องมือที่เหมาะสม และการทำงานแบบไฮบริด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gen Z และ Millennials เป็นกลุ่มแรงงานหลักที่ผลักดันการใช้ AI ในองค์กร
    พนักงานที่มีความสุขมีแนวโน้มสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงานมากขึ้น 3 เท่า
    AI ที่ฝังใน workflow ช่วยเพิ่มความจงรักภักดีและความพึงพอใจในองค์กร
    องค์กรที่ลงทุนในเครื่องมือและการฝึกอบรม AI เห็นผลลัพธ์ด้าน productivity และ retention
    ความสัมพันธ์ที่ดีในการทำงานขึ้นอยู่กับปัจจัยที่องค์กรสามารถควบคุมได้ถึง 85%

    https://www.techradar.com/pro/workers-are-losing-faith-in-their-leaders-and-not-just-because-ai-is-taking-over
    📉 “ความเชื่อมั่นในผู้นำองค์กรลดฮวบ — พนักงานหันพึ่ง AI เพื่อความยืดหยุ่นและความสุขในการทำงาน” ผลสำรวจจาก HP Work Relationship Index ปี 2025 เผยให้เห็นภาพชัดเจนว่าพนักงานในสหราชอาณาจักรกำลังสูญเสียความเชื่อมั่นในผู้นำองค์กรอย่างต่อเนื่อง โดยมีเพียง 14% เท่านั้นที่เชื่อมั่นว่าผู้นำจะตัดสินใจเพื่อผลประโยชน์ของพนักงาน ซึ่งลดลงถึง 12 จุดจากปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักคือการขาดความเห็นอกเห็นใจ (86%) และการสื่อสารที่ไม่โปร่งใส (86%) โดย 41% ของผู้ตอบแบบสอบถามรู้สึกว่าบริษัทให้ความสำคัญกับผลกำไรมากกว่าคน ในทางกลับกัน เทคโนโลยีอย่าง AI กลับกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยเติมเต็มช่องว่างที่ผู้นำองค์กรทิ้งไว้ โดย 76% ของพนักงานใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เช่น การสร้างคอนเทนต์ การวิเคราะห์ข้อมูล และการจัดการงานซ้ำ ๆ ซึ่งช่วยให้มีเวลามากขึ้นและสมดุลชีวิตดีขึ้น นอกจากนี้ พนักงานรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z ยังแสดงความต้องการที่ชัดเจนต่อความยืดหยุ่น โดย 4 ใน 5 ยินดีลดเงินเดือนเพื่อแลกกับอิสระในการทำงานและการใช้ชีวิตที่สมดุลมากขึ้น HP แนะนำให้องค์กรปรับตัวโดยเน้น 3 ด้านหลัก ได้แก่ การนำด้วยความเห็นอกเห็นใจและความโปร่งใส, การลงทุนในเครื่องมือและทักษะที่จำเป็น และการเปิดโอกาสให้ทำงานแบบไฮบริดเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ HP Work Relationship Index 2025 พบว่าความเชื่อมั่นในผู้นำองค์กรลดลงเหลือ 14% ➡️ 86% ของพนักงานรู้สึกว่าผู้นำขาดความเห็นอกเห็นใจและการสื่อสารที่โปร่งใส ➡️ 41% เชื่อว่าบริษัทให้ความสำคัญกับกำไรมากกว่าคน ➡️ 76% ของพนักงานใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ➡️ AI ช่วยให้พนักงานมีเวลามากขึ้นและสมดุลชีวิตดีขึ้น ➡️ 40% ของพนักงานที่มีความสุขใช้ AI ที่บริษัทจัดให้ทุกวัน ➡️ 4 ใน 5 ของ Gen Z ยินดีลดเงินเดือนเพื่อแลกกับความยืดหยุ่น ➡️ HP แนะนำให้องค์กรเน้น empathy, เครื่องมือที่เหมาะสม และการทำงานแบบไฮบริด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gen Z และ Millennials เป็นกลุ่มแรงงานหลักที่ผลักดันการใช้ AI ในองค์กร ➡️ พนักงานที่มีความสุขมีแนวโน้มสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงานมากขึ้น 3 เท่า ➡️ AI ที่ฝังใน workflow ช่วยเพิ่มความจงรักภักดีและความพึงพอใจในองค์กร ➡️ องค์กรที่ลงทุนในเครื่องมือและการฝึกอบรม AI เห็นผลลัพธ์ด้าน productivity และ retention ➡️ ความสัมพันธ์ที่ดีในการทำงานขึ้นอยู่กับปัจจัยที่องค์กรสามารถควบคุมได้ถึง 85% https://www.techradar.com/pro/workers-are-losing-faith-in-their-leaders-and-not-just-because-ai-is-taking-over
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เบื้องหลังอุตสาหกรรม VPN — ใครเป็นเจ้าของจริง และคุณควรระวังอะไรบ้าง”

    ในยุคที่ความเป็นส่วนตัวกลายเป็นสินค้าหายาก VPN จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก แต่เบื้องหลังความปลอดภัยที่ผู้ใช้คาดหวัง กลับมีโครงสร้างความเป็นเจ้าของที่ซับซ้อน และบางครั้งก็ขัดแย้งกับหลักการความเป็นส่วนตัวที่ VPN ควรยึดถือ

    ExpressVPN ซึ่งเคยเป็นแบรนด์อิสระ ถูกซื้อกิจการโดย Kape Technologies ในปี 2019 ด้วยมูลค่า $936 ล้าน ปัจจุบัน Kape ยังเป็นเจ้าของ CyberGhost, Private Internet Access, Zenmate และ Goose VPN โดยทั้งหมดอยู่ภายใต้เครือข่ายเดียวกัน และ Kape ยังเป็นเจ้าของเว็บไซต์รีวิว VPN อย่าง vpnMentor และ Safety Detectives ซึ่งสร้างคำถามถึงความโปร่งใสในการแนะนำผลิตภัณฑ์

    NordVPN และ Surfshark แม้จะยังคงแยกแบรนด์ แต่ก็อยู่ภายใต้ Nord Security หลังการควบรวมกิจการในปี 2022 โดย Nord ยังเคยซื้อ Atlas VPN มาก่อนหน้านั้น ทำให้ Nord Security กลายเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลสูงในตลาด VPN

    นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตว่า Surfshark บน Windows และ Linux มีการเขียนข้อมูลผู้ใช้ เช่น อีเมลและข้อมูลบัตรเครดิต ลงในไฟล์ local log แบบ plaintext ซึ่งสามารถถูกเข้าถึงได้ง่ายจากผู้ไม่หวังดี หากเครื่องไม่ได้ล็อกหรือถูกโจมตีจากระยะไกล

    ในด้านการตลาด VPN ยังใช้ระบบ affiliate อย่างหนัก โดยจ่ายค่าคอมมิชชั่นสูงถึง 50% ต่อการขาย และใช้ influencer บน YouTube และ TikTok เพื่อโฆษณาเกินจริง เช่น การอ้างว่า VPN ป้องกันการถูกแฮกหรือซ่อนตัวจากรัฐบาล ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดในขอบเขตการป้องกันของ VPN

    NordVPN ยังเผชิญกับการฟ้องร้องแบบ class-action จากบริษัทกฎหมาย WMP เนื่องจากกระบวนการยกเลิกบริการที่ซับซ้อนและการเรียกเก็บเงินซ้ำโดยไม่ได้รับความยินยอม

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ExpressVPN ถูกซื้อโดย Kape Technologies ในปี 2019
    Kape ยังเป็นเจ้าของ CyberGhost, PIA, Zenmate และ Goose VPN
    Kape เป็นเจ้าของเว็บไซต์รีวิว VPN เช่น vpnMentor และ Safety Detectives
    NordVPN และ Surfshark อยู่ภายใต้ Nord Security หลังควบรวมกิจการ
    Surfshark มีการเขียนข้อมูลผู้ใช้ลงในไฟล์ local log แบบ plaintext
    VPN จ่ายค่าคอมมิชชั่นสูงให้ affiliate สูงสุดถึง 50% ต่อการขาย
    Influencer ใช้ข้อความโฆษณาเกินจริงเกี่ยวกับความสามารถของ VPN
    NordVPN ถูกฟ้องร้องแบบ class-action จาก WMP เรื่องการยกเลิกบริการ
    อุตสาหกรรม VPN มีมูลค่ากว่า $44.6B และคาดว่าจะทะลุ $77B ภายใน 4 ปี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Kape Technologies เคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับ adware ในชื่อเดิม Crossrider
    VPN ที่มีฐานในประเทศสมาชิก “Nine Eyes” อาจถูกบังคับให้เปิดเผยข้อมูล
    VPN ที่มีนโยบาย no-log จริงจะไม่มีข้อมูลให้เจ้าของนำไปใช้
    การควบรวมกิจการทำให้ตลาด VPN ถูกควบคุมโดยบริษัทใหญ่เพียงไม่กี่ราย
    เว็บไซต์รีวิว VPN ที่เป็น affiliate มักไม่แนะนำบริการที่ไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่น

    https://windscribe.com/blog/the-vpn-relationship-map/
    🕵️ “เบื้องหลังอุตสาหกรรม VPN — ใครเป็นเจ้าของจริง และคุณควรระวังอะไรบ้าง” ในยุคที่ความเป็นส่วนตัวกลายเป็นสินค้าหายาก VPN จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก แต่เบื้องหลังความปลอดภัยที่ผู้ใช้คาดหวัง กลับมีโครงสร้างความเป็นเจ้าของที่ซับซ้อน และบางครั้งก็ขัดแย้งกับหลักการความเป็นส่วนตัวที่ VPN ควรยึดถือ ExpressVPN ซึ่งเคยเป็นแบรนด์อิสระ ถูกซื้อกิจการโดย Kape Technologies ในปี 2019 ด้วยมูลค่า $936 ล้าน ปัจจุบัน Kape ยังเป็นเจ้าของ CyberGhost, Private Internet Access, Zenmate และ Goose VPN โดยทั้งหมดอยู่ภายใต้เครือข่ายเดียวกัน และ Kape ยังเป็นเจ้าของเว็บไซต์รีวิว VPN อย่าง vpnMentor และ Safety Detectives ซึ่งสร้างคำถามถึงความโปร่งใสในการแนะนำผลิตภัณฑ์ NordVPN และ Surfshark แม้จะยังคงแยกแบรนด์ แต่ก็อยู่ภายใต้ Nord Security หลังการควบรวมกิจการในปี 2022 โดย Nord ยังเคยซื้อ Atlas VPN มาก่อนหน้านั้น ทำให้ Nord Security กลายเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลสูงในตลาด VPN นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตว่า Surfshark บน Windows และ Linux มีการเขียนข้อมูลผู้ใช้ เช่น อีเมลและข้อมูลบัตรเครดิต ลงในไฟล์ local log แบบ plaintext ซึ่งสามารถถูกเข้าถึงได้ง่ายจากผู้ไม่หวังดี หากเครื่องไม่ได้ล็อกหรือถูกโจมตีจากระยะไกล ในด้านการตลาด VPN ยังใช้ระบบ affiliate อย่างหนัก โดยจ่ายค่าคอมมิชชั่นสูงถึง 50% ต่อการขาย และใช้ influencer บน YouTube และ TikTok เพื่อโฆษณาเกินจริง เช่น การอ้างว่า VPN ป้องกันการถูกแฮกหรือซ่อนตัวจากรัฐบาล ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดในขอบเขตการป้องกันของ VPN NordVPN ยังเผชิญกับการฟ้องร้องแบบ class-action จากบริษัทกฎหมาย WMP เนื่องจากกระบวนการยกเลิกบริการที่ซับซ้อนและการเรียกเก็บเงินซ้ำโดยไม่ได้รับความยินยอม ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ExpressVPN ถูกซื้อโดย Kape Technologies ในปี 2019 ➡️ Kape ยังเป็นเจ้าของ CyberGhost, PIA, Zenmate และ Goose VPN ➡️ Kape เป็นเจ้าของเว็บไซต์รีวิว VPN เช่น vpnMentor และ Safety Detectives ➡️ NordVPN และ Surfshark อยู่ภายใต้ Nord Security หลังควบรวมกิจการ ➡️ Surfshark มีการเขียนข้อมูลผู้ใช้ลงในไฟล์ local log แบบ plaintext ➡️ VPN จ่ายค่าคอมมิชชั่นสูงให้ affiliate สูงสุดถึง 50% ต่อการขาย ➡️ Influencer ใช้ข้อความโฆษณาเกินจริงเกี่ยวกับความสามารถของ VPN ➡️ NordVPN ถูกฟ้องร้องแบบ class-action จาก WMP เรื่องการยกเลิกบริการ ➡️ อุตสาหกรรม VPN มีมูลค่ากว่า $44.6B และคาดว่าจะทะลุ $77B ภายใน 4 ปี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Kape Technologies เคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับ adware ในชื่อเดิม Crossrider ➡️ VPN ที่มีฐานในประเทศสมาชิก “Nine Eyes” อาจถูกบังคับให้เปิดเผยข้อมูล ➡️ VPN ที่มีนโยบาย no-log จริงจะไม่มีข้อมูลให้เจ้าของนำไปใช้ ➡️ การควบรวมกิจการทำให้ตลาด VPN ถูกควบคุมโดยบริษัทใหญ่เพียงไม่กี่ราย ➡️ เว็บไซต์รีวิว VPN ที่เป็น affiliate มักไม่แนะนำบริการที่ไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่น https://windscribe.com/blog/the-vpn-relationship-map/
    WINDSCRIBE.COM
    Who Owns Express VPN, Nord, Surfshark? VPN Relationships Explained
    Who owns the major VPN companies like Express, Nord, and Surfshark? We take you through an interactive map of the murky world of VPNs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เสียงสะท้อนจากสังคมอเมริกัน — การพนันกีฬาแบบถูกกฎหมายอาจไม่ใช่เรื่องดีอย่างที่คิด”

    แม้การพนันกีฬาจะถูกกฎหมายในสหรัฐฯ อย่างแพร่หลายตั้งแต่ปี 2018 หลังคำตัดสินของศาลสูง แต่ผลสำรวจล่าสุดจาก Pew Research Center ในปี 2025 กลับสะท้อนมุมมองที่เปลี่ยนไปของประชาชน โดยมีจำนวนผู้ใหญ่ชาวอเมริกันที่มองว่าการพนันกีฬาแบบถูกกฎหมาย “เป็นสิ่งไม่ดีต่อสังคม” เพิ่มขึ้นจาก 34% ในปี 2022 เป็น 43% ในปี 2025 และมองว่า “เป็นสิ่งไม่ดีต่อกีฬา” เพิ่มจาก 33% เป็น 40%

    แม้จะมีการเติบโตของตลาดการพนันกีฬา โดยเฉพาะในรูปแบบออนไลน์ แต่จำนวนผู้ที่ลงเดิมพันจริงกลับไม่เพิ่มขึ้นมากนัก โดย 22% ของผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ ระบุว่าเคยเดิมพันกีฬาในปีที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจาก 19% ในปี 2022 และที่น่าสนใจคือ การเพิ่มขึ้นทั้งหมดมาจาก “การเดิมพันออนไลน์” เท่านั้น

    กลุ่มที่มีแนวโน้มเดิมพันมากที่สุดคือคนอายุต่ำกว่า 30 ปี โดยเฉพาะชายหนุ่ม และกลุ่มคนผิวดำและฮิสแปนิก ซึ่งมีอัตราการเดิมพันสูงกว่ากลุ่มอื่นอย่างชัดเจน ขณะเดียวกัน กลุ่มคนหนุ่มสาวเหล่านี้ก็เป็นกลุ่มที่เปลี่ยนมุมมองต่อการพนันกีฬาไปในทางลบมากที่สุดเช่นกัน เช่น ชายอายุต่ำกว่า 30 ปีที่เคยมองว่าเป็นเรื่องไม่ดีมีสัดส่วนเพิ่มจาก 22% เป็น 47% ในเวลาเพียง 3 ปี

    แม้การพนันกีฬาจะสร้างรายได้ให้รัฐและผู้ประกอบการ แต่ก็มีข้อกังวลเรื่องการเสพติดการพนัน การละเมิดกฎในวงการกีฬา และผลกระทบต่อความโปร่งใสของการแข่งขัน ซึ่งในช่วงหลังมีกรณีที่นักกีฬาและเจ้าหน้าที่ทีมถูกลงโทษจากการละเมิดกฎการพนันมากขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    43% ของผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ มองว่าการพนันกีฬาแบบถูกกฎหมายเป็นสิ่งไม่ดีต่อสังคม
    40% มองว่าเป็นสิ่งไม่ดีต่อกีฬา เพิ่มขึ้นจาก 33% ในปี 2022
    22% ของผู้ใหญ่เคยเดิมพันกีฬาในปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นจาก 19% ในปี 2022
    การเพิ่มขึ้นทั้งหมดมาจากการเดิมพันออนไลน์ ซึ่งเพิ่มจาก 6% เป็น 10%
    กลุ่มคนอายุต่ำกว่า 30 ปี โดยเฉพาะชายหนุ่ม มีอัตราการเดิมพันสูงที่สุด
    คนผิวดำและฮิสแปนิกมีแนวโน้มเดิมพันสูงกว่ากลุ่มอื่น
    กลุ่มคนหนุ่มสาวเปลี่ยนมุมมองต่อการพนันกีฬาไปในทางลบมากที่สุด
    การพนันกีฬาถูกกฎหมายใน 38 รัฐ รวมถึง D.C. และเปอร์โตริโก
    การโฆษณาเกี่ยวกับการพนันกีฬาเพิ่มขึ้นในรายการถ่ายทอดสดกีฬา
    การพนันกีฬาสร้างรายได้ให้รัฐและผู้ประกอบการ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การพนันกีฬาในสหรัฐฯ เติบโตอย่างรวดเร็วหลังคำตัดสินของศาลสูงในปี 2018
    การเดิมพันออนไลน์มีความสะดวกและเข้าถึงง่าย ทำให้เป็นช่องทางหลักของผู้เล่น
    หลายรัฐใช้รายได้จากการพนันเพื่อสนับสนุนงบประมาณด้านการศึกษาและสาธารณสุข
    นักกีฬาหลายคนถูกลงโทษจากการละเมิดกฎการพนัน เช่น NFL และ NCAA
    การเสพติดการพนันเป็นปัญหาสุขภาพจิตที่เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นในสหรัฐฯ

    https://www.pewresearch.org/short-reads/2025/10/02/americans-increasingly-see-legal-sports-betting-as-a-bad-thing-for-society-and-sports/
    🎲 “เสียงสะท้อนจากสังคมอเมริกัน — การพนันกีฬาแบบถูกกฎหมายอาจไม่ใช่เรื่องดีอย่างที่คิด” แม้การพนันกีฬาจะถูกกฎหมายในสหรัฐฯ อย่างแพร่หลายตั้งแต่ปี 2018 หลังคำตัดสินของศาลสูง แต่ผลสำรวจล่าสุดจาก Pew Research Center ในปี 2025 กลับสะท้อนมุมมองที่เปลี่ยนไปของประชาชน โดยมีจำนวนผู้ใหญ่ชาวอเมริกันที่มองว่าการพนันกีฬาแบบถูกกฎหมาย “เป็นสิ่งไม่ดีต่อสังคม” เพิ่มขึ้นจาก 34% ในปี 2022 เป็น 43% ในปี 2025 และมองว่า “เป็นสิ่งไม่ดีต่อกีฬา” เพิ่มจาก 33% เป็น 40% แม้จะมีการเติบโตของตลาดการพนันกีฬา โดยเฉพาะในรูปแบบออนไลน์ แต่จำนวนผู้ที่ลงเดิมพันจริงกลับไม่เพิ่มขึ้นมากนัก โดย 22% ของผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ ระบุว่าเคยเดิมพันกีฬาในปีที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจาก 19% ในปี 2022 และที่น่าสนใจคือ การเพิ่มขึ้นทั้งหมดมาจาก “การเดิมพันออนไลน์” เท่านั้น กลุ่มที่มีแนวโน้มเดิมพันมากที่สุดคือคนอายุต่ำกว่า 30 ปี โดยเฉพาะชายหนุ่ม และกลุ่มคนผิวดำและฮิสแปนิก ซึ่งมีอัตราการเดิมพันสูงกว่ากลุ่มอื่นอย่างชัดเจน ขณะเดียวกัน กลุ่มคนหนุ่มสาวเหล่านี้ก็เป็นกลุ่มที่เปลี่ยนมุมมองต่อการพนันกีฬาไปในทางลบมากที่สุดเช่นกัน เช่น ชายอายุต่ำกว่า 30 ปีที่เคยมองว่าเป็นเรื่องไม่ดีมีสัดส่วนเพิ่มจาก 22% เป็น 47% ในเวลาเพียง 3 ปี แม้การพนันกีฬาจะสร้างรายได้ให้รัฐและผู้ประกอบการ แต่ก็มีข้อกังวลเรื่องการเสพติดการพนัน การละเมิดกฎในวงการกีฬา และผลกระทบต่อความโปร่งใสของการแข่งขัน ซึ่งในช่วงหลังมีกรณีที่นักกีฬาและเจ้าหน้าที่ทีมถูกลงโทษจากการละเมิดกฎการพนันมากขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ 43% ของผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ มองว่าการพนันกีฬาแบบถูกกฎหมายเป็นสิ่งไม่ดีต่อสังคม ➡️ 40% มองว่าเป็นสิ่งไม่ดีต่อกีฬา เพิ่มขึ้นจาก 33% ในปี 2022 ➡️ 22% ของผู้ใหญ่เคยเดิมพันกีฬาในปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นจาก 19% ในปี 2022 ➡️ การเพิ่มขึ้นทั้งหมดมาจากการเดิมพันออนไลน์ ซึ่งเพิ่มจาก 6% เป็น 10% ➡️ กลุ่มคนอายุต่ำกว่า 30 ปี โดยเฉพาะชายหนุ่ม มีอัตราการเดิมพันสูงที่สุด ➡️ คนผิวดำและฮิสแปนิกมีแนวโน้มเดิมพันสูงกว่ากลุ่มอื่น ➡️ กลุ่มคนหนุ่มสาวเปลี่ยนมุมมองต่อการพนันกีฬาไปในทางลบมากที่สุด ➡️ การพนันกีฬาถูกกฎหมายใน 38 รัฐ รวมถึง D.C. และเปอร์โตริโก ➡️ การโฆษณาเกี่ยวกับการพนันกีฬาเพิ่มขึ้นในรายการถ่ายทอดสดกีฬา ➡️ การพนันกีฬาสร้างรายได้ให้รัฐและผู้ประกอบการ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การพนันกีฬาในสหรัฐฯ เติบโตอย่างรวดเร็วหลังคำตัดสินของศาลสูงในปี 2018 ➡️ การเดิมพันออนไลน์มีความสะดวกและเข้าถึงง่าย ทำให้เป็นช่องทางหลักของผู้เล่น ➡️ หลายรัฐใช้รายได้จากการพนันเพื่อสนับสนุนงบประมาณด้านการศึกษาและสาธารณสุข ➡️ นักกีฬาหลายคนถูกลงโทษจากการละเมิดกฎการพนัน เช่น NFL และ NCAA ➡️ การเสพติดการพนันเป็นปัญหาสุขภาพจิตที่เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นในสหรัฐฯ https://www.pewresearch.org/short-reads/2025/10/02/americans-increasingly-see-legal-sports-betting-as-a-bad-thing-for-society-and-sports/
    WWW.PEWRESEARCH.ORG
    Americans increasingly see legal sports betting as a bad thing for society and sports
    Today, 43% of U.S. adults say the fact that sports betting is now legal in much of the country is a bad thing for society, up from 34% in 2022.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 214 มุมมอง 0 รีวิว
  • “IBM เปิดตัว Granite 4.0 — โมเดล AI ไฮบริดที่เล็กแต่แรง ท้าชนคู่แข่งที่ใหญ่กว่าถึง 12 เท่า”

    IBM เดินหน้าสร้างจุดยืนในโลก AI ด้วยการเปิดตัว Granite 4.0 โมเดลภาษาแบบโอเพ่นซอร์สที่ออกแบบมาเพื่อองค์กรโดยเฉพาะ จุดเด่นของ Granite 4.0 คือสถาปัตยกรรมแบบ “ไฮบริด” ที่ผสมผสานระหว่าง Mamba-2 และ Transformer ในอัตราส่วน 90:10 เพื่อให้ได้ทั้งความเร็วและความแม่นยำ โดยลดการใช้ RAM ได้มากกว่า 70% เมื่อเทียบกับโมเดลทั่วไป

    Mamba-2 เป็นโมเดลแบบ state-space ที่ประมวลผลข้อมูลแบบเชิงเส้น ทำให้เหมาะกับงานที่มีบริบทยาว เช่น เอกสารหรือโค้ดขนาดใหญ่ ขณะที่ Transformer ยังคงทำหน้าที่ในส่วนที่ต้องการความละเอียดของบริบท เช่น การตอบคำถามหรือการสื่อสารแบบละเอียด

    Granite 4.0 เปิดตัวพร้อมกันหลายขนาด ได้แก่ Micro, Tiny และ Small โดยรุ่น Small เหมาะกับงานระดับองค์กร เช่น ระบบตอบกลับอัตโนมัติหรือ multi-agent workflows ส่วนรุ่น Micro และ Tiny เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็ว เช่น edge computing และแอปพลิเคชันที่มี latency ต่ำ

    ผลการทดสอบบน IFEval พบว่า Granite 4.0-H-Small ได้คะแนน 0.89 ซึ่งสูงกว่าทุกโมเดลโอเพ่นเวต ยกเว้น Llama 4 Maverick ที่มีขนาดใหญ่กว่าถึง 12 เท่า IBM ยังร่วมมือกับ EY และ Lockheed Martin ในการทดสอบใช้งานจริง เพื่อปรับปรุงโมเดลให้เหมาะกับงานระดับองค์กร

    โมเดลทั้งหมดเปิดให้ใช้งานผ่านหลายแพลตฟอร์ม เช่น watsonx.ai, Hugging Face, Docker Hub, NVIDIA NIM, Replicate และ Dell Technologies โดยมีแผนจะขยายไปยัง Amazon SageMaker และ Microsoft Azure ในอนาคต

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    IBM เปิดตัว Granite 4.0 โมเดลภาษาแบบโอเพ่นซอร์สภายใต้ Apache 2.0 License
    ใช้สถาปัตยกรรมไฮบริดระหว่าง Mamba-2 และ Transformer ในอัตราส่วน 90:10
    ลดการใช้ RAM ได้มากกว่า 70% เมื่อเทียบกับโมเดลทั่วไป
    Granite 4.0-H-Small ได้คะแนน 0.89 บน IFEval สูงกว่าทุกโมเดลโอเพ่นเวต ยกเว้น Llama 4 Maverick
    เปิดตัวหลายขนาด ได้แก่ Micro, Tiny และ Small พร้อมรุ่น Instruct
    รุ่น Small เหมาะกับงานระดับองค์กร เช่น multi-tool agents และ customer support
    รุ่น Micro และ Tiny เหมาะกับ edge devices และงานที่ต้องการ latency ต่ำ
    เปิดให้ใช้งานผ่าน watsonx.ai, Hugging Face, Docker Hub, NVIDIA NIM ฯลฯ
    IBM ร่วมมือกับ EY และ Lockheed Martin ในการทดสอบใช้งานจริง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Mamba-2 เป็นโมเดลแบบ state-space ที่ใช้หน่วยความจำคงที่ ไม่เพิ่มตามความยาวบริบท
    Transformer มีจุดแข็งด้าน self-attention แต่ใช้ RAM สูงเมื่อบริบทยาว
    การผสม Mamba กับ Transformer ช่วยลดต้นทุนฮาร์ดแวร์และเพิ่มความเร็วในการ inference
    Granite 4.0 ได้รับการรับรอง ISO 42001 และมีการเซ็นดิจิทัลเพื่อความโปร่งใส
    โมเดลถูกฝึกด้วยข้อมูลกว่า 22 ล้านล้าน token และรองรับ sequence ยาวถึง 512K token

    https://news.itsfoss.com/ibm-unveils-granite-4/
    🧠 “IBM เปิดตัว Granite 4.0 — โมเดล AI ไฮบริดที่เล็กแต่แรง ท้าชนคู่แข่งที่ใหญ่กว่าถึง 12 เท่า” IBM เดินหน้าสร้างจุดยืนในโลก AI ด้วยการเปิดตัว Granite 4.0 โมเดลภาษาแบบโอเพ่นซอร์สที่ออกแบบมาเพื่อองค์กรโดยเฉพาะ จุดเด่นของ Granite 4.0 คือสถาปัตยกรรมแบบ “ไฮบริด” ที่ผสมผสานระหว่าง Mamba-2 และ Transformer ในอัตราส่วน 90:10 เพื่อให้ได้ทั้งความเร็วและความแม่นยำ โดยลดการใช้ RAM ได้มากกว่า 70% เมื่อเทียบกับโมเดลทั่วไป Mamba-2 เป็นโมเดลแบบ state-space ที่ประมวลผลข้อมูลแบบเชิงเส้น ทำให้เหมาะกับงานที่มีบริบทยาว เช่น เอกสารหรือโค้ดขนาดใหญ่ ขณะที่ Transformer ยังคงทำหน้าที่ในส่วนที่ต้องการความละเอียดของบริบท เช่น การตอบคำถามหรือการสื่อสารแบบละเอียด Granite 4.0 เปิดตัวพร้อมกันหลายขนาด ได้แก่ Micro, Tiny และ Small โดยรุ่น Small เหมาะกับงานระดับองค์กร เช่น ระบบตอบกลับอัตโนมัติหรือ multi-agent workflows ส่วนรุ่น Micro และ Tiny เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็ว เช่น edge computing และแอปพลิเคชันที่มี latency ต่ำ ผลการทดสอบบน IFEval พบว่า Granite 4.0-H-Small ได้คะแนน 0.89 ซึ่งสูงกว่าทุกโมเดลโอเพ่นเวต ยกเว้น Llama 4 Maverick ที่มีขนาดใหญ่กว่าถึง 12 เท่า IBM ยังร่วมมือกับ EY และ Lockheed Martin ในการทดสอบใช้งานจริง เพื่อปรับปรุงโมเดลให้เหมาะกับงานระดับองค์กร โมเดลทั้งหมดเปิดให้ใช้งานผ่านหลายแพลตฟอร์ม เช่น watsonx.ai, Hugging Face, Docker Hub, NVIDIA NIM, Replicate และ Dell Technologies โดยมีแผนจะขยายไปยัง Amazon SageMaker และ Microsoft Azure ในอนาคต ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ IBM เปิดตัว Granite 4.0 โมเดลภาษาแบบโอเพ่นซอร์สภายใต้ Apache 2.0 License ➡️ ใช้สถาปัตยกรรมไฮบริดระหว่าง Mamba-2 และ Transformer ในอัตราส่วน 90:10 ➡️ ลดการใช้ RAM ได้มากกว่า 70% เมื่อเทียบกับโมเดลทั่วไป ➡️ Granite 4.0-H-Small ได้คะแนน 0.89 บน IFEval สูงกว่าทุกโมเดลโอเพ่นเวต ยกเว้น Llama 4 Maverick ➡️ เปิดตัวหลายขนาด ได้แก่ Micro, Tiny และ Small พร้อมรุ่น Instruct ➡️ รุ่น Small เหมาะกับงานระดับองค์กร เช่น multi-tool agents และ customer support ➡️ รุ่น Micro และ Tiny เหมาะกับ edge devices และงานที่ต้องการ latency ต่ำ ➡️ เปิดให้ใช้งานผ่าน watsonx.ai, Hugging Face, Docker Hub, NVIDIA NIM ฯลฯ ➡️ IBM ร่วมมือกับ EY และ Lockheed Martin ในการทดสอบใช้งานจริง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Mamba-2 เป็นโมเดลแบบ state-space ที่ใช้หน่วยความจำคงที่ ไม่เพิ่มตามความยาวบริบท ➡️ Transformer มีจุดแข็งด้าน self-attention แต่ใช้ RAM สูงเมื่อบริบทยาว ➡️ การผสม Mamba กับ Transformer ช่วยลดต้นทุนฮาร์ดแวร์และเพิ่มความเร็วในการ inference ➡️ Granite 4.0 ได้รับการรับรอง ISO 42001 และมีการเซ็นดิจิทัลเพื่อความโปร่งใส ➡️ โมเดลถูกฝึกด้วยข้อมูลกว่า 22 ล้านล้าน token และรองรับ sequence ยาวถึง 512K token https://news.itsfoss.com/ibm-unveils-granite-4/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Aiode เปิดตัวแพลตฟอร์ม AI ดนตรีแบบจริยธรรม — สร้างเพลงร่วมกับนักดนตรีเสมือนที่ได้รับค่าตอบแทนจริง”

    ในยุคที่เพลงจาก AI กำลังท่วมแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง และปัญหาลิขสิทธิ์กลายเป็นประเด็นร้อน Aiode ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ที่พลิกแนวคิดการสร้างเพลงด้วย AI โดยเน้น “จริยธรรม” และ “ความร่วมมือกับมนุษย์” เป็นหัวใจหลัก

    Aiode เป็นแอปเดสก์ท็อปสำหรับนักดนตรีและโปรดิวเซอร์ ที่ให้ผู้ใช้สร้างเพลงร่วมกับ “นักดนตรีเสมือน” ซึ่งเป็นโมเดล AI ที่ถูกฝึกจากสไตล์ของนักดนตรีจริง โดยนักดนตรีเหล่านี้มีส่วนร่วมในการเลือกเครื่องดนตรี แนวเพลง และลักษณะการเล่นของโมเดล และที่สำคัญคือได้รับค่าตอบแทนทุกครั้งที่โมเดลของพวกเขาถูกใช้งาน

    ผู้ใช้สามารถเลือกนักดนตรีเสมือนที่ต้องการ แล้วให้พวกเขาเล่นท่อนโซโลหรือคอรัสใหม่ โดยไม่ต้องแก้ไขทั้งเพลง ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากการทดสอบแบบปิดก่อนเปิดตัวจริง นอกจากนี้ยังสามารถปรับแต่งสไตล์ การเล่น และโครงสร้างของเพลงได้อย่างละเอียด

    Aiode ยังเน้นความโปร่งใสในการฝึกโมเดล โดยใช้ข้อมูลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น และมีระบบ “clean room” ที่แยกข้อมูลฝึกออกจากระบบอื่น เพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ พร้อมระบบจ่ายค่าลิขสิทธิ์กลับไปยังศิลปินต้นฉบับผ่านกลไก royalty pool

    แม้จะใช้เวลามากกว่าการพิมพ์ prompt แล้วรอเพลงจากแพลตฟอร์มอย่าง Suno หรือ Udio แต่ Aiode ให้ความสำคัญกับการควบคุมและความแม่นยำในการสร้างเพลงมากกว่า โดยเปรียบเสมือนการทำงานร่วมกับนักดนตรีจริงในสตูดิโอ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Aiode เปิดตัวแพลตฟอร์ม AI ดนตรีแบบเดสก์ท็อปสำหรับนักดนตรีและโปรดิวเซอร์
    ใช้ “นักดนตรีเสมือน” ที่ถูกฝึกจากสไตล์ของนักดนตรีจริง
    นักดนตรีต้นฉบับมีส่วนร่วมในการเลือกเครื่องดนตรีและแนวเพลงของโมเดล
    ได้รับค่าตอบแทนทุกครั้งที่โมเดลของพวกเขาถูกใช้งาน
    ผู้ใช้สามารถปรับแต่งท่อนเพลงเฉพาะ เช่น คอรัสหรือโซโล โดยไม่ต้องแก้ทั้งเพลง
    ใช้ระบบ clean room และข้อมูลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นในการฝึกโมเดล
    มีระบบจ่ายค่าลิขสิทธิ์ผ่าน royalty pool กลับไปยังศิลปินต้นฉบับ
    เน้นการควบคุมและความแม่นยำมากกว่าการสร้างเพลงแบบ prompt-based
    เปิดตัวหลังจากทดสอบแบบปิดนานกว่า 1 ปี และได้รับเงินทุน $5.5M เพื่อขยายแพลตฟอร์ม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Suno และ Udio เป็นแพลตฟอร์ม AI ดนตรีที่เน้นการสร้างเพลงจากข้อความแบบรวดเร็ว
    ปัญหาลิขสิทธิ์ในวงการ AI ดนตรีกำลังทวีความรุนแรง โดยมีการฟ้องร้องหลายกรณี
    การฝึกโมเดลด้วยข้อมูลที่ได้รับอนุญาตช่วยลดความเสี่ยงด้านกฎหมาย
    นักดนตรีสามารถใช้ Aiode เพื่อเข้าใจสไตล์ของตัวเองผ่านโมเดลเสมือน
    การใช้ AI แบบจริยธรรมอาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในวงการสร้างสรรค์

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/musicians-meet-your-ethical-ai-bandmates
    🎼 “Aiode เปิดตัวแพลตฟอร์ม AI ดนตรีแบบจริยธรรม — สร้างเพลงร่วมกับนักดนตรีเสมือนที่ได้รับค่าตอบแทนจริง” ในยุคที่เพลงจาก AI กำลังท่วมแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง และปัญหาลิขสิทธิ์กลายเป็นประเด็นร้อน Aiode ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ที่พลิกแนวคิดการสร้างเพลงด้วย AI โดยเน้น “จริยธรรม” และ “ความร่วมมือกับมนุษย์” เป็นหัวใจหลัก Aiode เป็นแอปเดสก์ท็อปสำหรับนักดนตรีและโปรดิวเซอร์ ที่ให้ผู้ใช้สร้างเพลงร่วมกับ “นักดนตรีเสมือน” ซึ่งเป็นโมเดล AI ที่ถูกฝึกจากสไตล์ของนักดนตรีจริง โดยนักดนตรีเหล่านี้มีส่วนร่วมในการเลือกเครื่องดนตรี แนวเพลง และลักษณะการเล่นของโมเดล และที่สำคัญคือได้รับค่าตอบแทนทุกครั้งที่โมเดลของพวกเขาถูกใช้งาน ผู้ใช้สามารถเลือกนักดนตรีเสมือนที่ต้องการ แล้วให้พวกเขาเล่นท่อนโซโลหรือคอรัสใหม่ โดยไม่ต้องแก้ไขทั้งเพลง ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากการทดสอบแบบปิดก่อนเปิดตัวจริง นอกจากนี้ยังสามารถปรับแต่งสไตล์ การเล่น และโครงสร้างของเพลงได้อย่างละเอียด Aiode ยังเน้นความโปร่งใสในการฝึกโมเดล โดยใช้ข้อมูลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น และมีระบบ “clean room” ที่แยกข้อมูลฝึกออกจากระบบอื่น เพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ พร้อมระบบจ่ายค่าลิขสิทธิ์กลับไปยังศิลปินต้นฉบับผ่านกลไก royalty pool แม้จะใช้เวลามากกว่าการพิมพ์ prompt แล้วรอเพลงจากแพลตฟอร์มอย่าง Suno หรือ Udio แต่ Aiode ให้ความสำคัญกับการควบคุมและความแม่นยำในการสร้างเพลงมากกว่า โดยเปรียบเสมือนการทำงานร่วมกับนักดนตรีจริงในสตูดิโอ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Aiode เปิดตัวแพลตฟอร์ม AI ดนตรีแบบเดสก์ท็อปสำหรับนักดนตรีและโปรดิวเซอร์ ➡️ ใช้ “นักดนตรีเสมือน” ที่ถูกฝึกจากสไตล์ของนักดนตรีจริง ➡️ นักดนตรีต้นฉบับมีส่วนร่วมในการเลือกเครื่องดนตรีและแนวเพลงของโมเดล ➡️ ได้รับค่าตอบแทนทุกครั้งที่โมเดลของพวกเขาถูกใช้งาน ➡️ ผู้ใช้สามารถปรับแต่งท่อนเพลงเฉพาะ เช่น คอรัสหรือโซโล โดยไม่ต้องแก้ทั้งเพลง ➡️ ใช้ระบบ clean room และข้อมูลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นในการฝึกโมเดล ➡️ มีระบบจ่ายค่าลิขสิทธิ์ผ่าน royalty pool กลับไปยังศิลปินต้นฉบับ ➡️ เน้นการควบคุมและความแม่นยำมากกว่าการสร้างเพลงแบบ prompt-based ➡️ เปิดตัวหลังจากทดสอบแบบปิดนานกว่า 1 ปี และได้รับเงินทุน $5.5M เพื่อขยายแพลตฟอร์ม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Suno และ Udio เป็นแพลตฟอร์ม AI ดนตรีที่เน้นการสร้างเพลงจากข้อความแบบรวดเร็ว ➡️ ปัญหาลิขสิทธิ์ในวงการ AI ดนตรีกำลังทวีความรุนแรง โดยมีการฟ้องร้องหลายกรณี ➡️ การฝึกโมเดลด้วยข้อมูลที่ได้รับอนุญาตช่วยลดความเสี่ยงด้านกฎหมาย ➡️ นักดนตรีสามารถใช้ Aiode เพื่อเข้าใจสไตล์ของตัวเองผ่านโมเดลเสมือน ➡️ การใช้ AI แบบจริยธรรมอาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในวงการสร้างสรรค์ https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/musicians-meet-your-ethical-ai-bandmates
    WWW.TECHRADAR.COM
    New AI music platform Aiode pays artists for the digital clones collaborating on new songs.
    Aiode's AI-powered music studio pays the people inspiring its virtual session players
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 188 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI สหรัฐฯ ทิ้งห่างจีน — ผลทดสอบ 19 ด้านชี้ชัด DeepSeek ยังตามหลัง OpenAI และ Anthropic แบบไม่เห็นฝุ่น”

    สหรัฐฯ ประกาศชัยชนะในสนามแข่งขัน AI ระดับโลก หลังจากสถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติ (NIST) เผยผลการทดสอบเปรียบเทียบโมเดล AI ระหว่างฝั่งอเมริกันและจีน โดยโมเดลจาก OpenAI และ Anthropic เอาชนะ DeepSeek จากจีนในทุกหมวดหมู่ รวม 19 ด้าน ตั้งแต่ความรู้ทั่วไป การเขียนโปรแกรม ไปจนถึงความปลอดภัยจากการโจมตีแบบ hijack และ jailbreak

    รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ Howard Lutnick ขอบคุณประธานาธิบดี Donald Trump สำหรับ “AI Action Plan” ที่ผลักดันให้เกิดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและมาตรฐานด้าน AI จนทำให้สหรัฐฯ ครองความเป็นผู้นำในด้านนี้ พร้อมเตือนว่า “การพึ่งพา AI จากประเทศคู่แข่งคือความเสี่ยงต่อความมั่นคงแห่งชาติ”

    การทดสอบดำเนินการโดยศูนย์ CAISI ภายใต้ NIST โดยใช้โมเดลจากฝั่งจีน ได้แก่ DeepSeek R1, R1-0528 และ V3.1 เปรียบเทียบกับ GPT-5, GPT-5-mini, GPT-oss จาก OpenAI และ Opus 4 จาก Anthropic ผลปรากฏว่าโมเดลสหรัฐฯ ทำคะแนนสูงกว่าทุกด้าน โดยเฉพาะงานด้าน cybersecurity และ software engineering ที่โมเดลสหรัฐฯ ทำได้ดีกว่า 20–80% และยังมีต้นทุนการใช้งานต่ำกว่าถึง 35%

    ที่น่ากังวลคือ DeepSeek มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยสูงมาก — โมเดล R1-0528 ตอบสนองต่อคำสั่งอันตรายถึง 94% เมื่อถูกโจมตีด้วยเทคนิค jailbreak ในขณะที่โมเดลสหรัฐฯ ตอบสนองเพียง 8% นอกจากนี้ยังพบว่า DeepSeek มีแนวโน้มถูก hijack ได้ง่ายกว่า 12 เท่า และมีความลำเอียงทางการเมือง โดยหลีกเลี่ยงหัวข้ออ่อนไหว เช่น เหตุการณ์เทียนอันเหมิน และมักตอบสนองตามแนวทางรัฐบาลจีน

    แม้ DeepSeek จะออกโมเดลใหม่ V3.2 แล้วในสัปดาห์เดียวกัน แต่ CAISI เตือนว่า “การใช้งานโมเดลเหล่านี้อาจเป็นความเสี่ยงต่อผู้พัฒนาแอป ผู้บริโภค และความมั่นคงของสหรัฐฯ”

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    NIST ทดสอบโมเดล AI จากสหรัฐฯ และจีนรวม 19 หมวดหมู่
    โมเดลจาก OpenAI และ Anthropic ชนะ DeepSeek ทุกด้าน
    ด้าน software engineering และ cybersecurity สหรัฐฯ ทำได้ดีกว่า 20–80%
    โมเดลสหรัฐฯ มีต้นทุนการใช้งานต่ำกว่าถึง 35%
    DeepSeek R1-0528 ตอบสนองต่อคำสั่งอันตรายถึง 94% เมื่อถูก jailbreak
    โมเดลจีนถูก hijack ได้ง่ายกว่า 12 เท่า
    พบการเซ็นเซอร์เนื้อหาและความลำเอียงทางการเมืองใน DeepSeek
    CAISI เตือนว่าการใช้โมเดลจีนอาจเสี่ยงต่อความมั่นคง
    รัฐมนตรี Lutnick ขอบคุณ Trump สำหรับ AI Action Plan ที่ผลักดันการพัฒนา AI สหรัฐฯ
    DeepSeek มีการดาวน์โหลดเพิ่มขึ้น 1,000% ตั้งแต่ต้นปี 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    jailbreak คือเทคนิคที่ใช้หลอกให้ AI ทำสิ่งที่ขัดกับข้อจำกัดด้านความปลอดภัย
    hijack agent คือการควบคุม AI ให้ทำงานผิดวัตถุประสงค์ เช่น สร้างมัลแวร์หรือขโมยข้อมูล
    CAISI เป็นหน่วยงานใหม่ภายใต้ NIST ที่ดูแลมาตรฐานและความปลอดภัยของ AI
    GPT-5 และ Opus 4 เป็นโมเดลระดับสูงที่ใช้ในงานวิจัยและองค์กรขนาดใหญ่
    การเซ็นเซอร์ใน AI อาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสของระบบ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/u-s-commerce-sec-lutnick-says-american-ai-dominates-deepseek-thanks-trump-for-ai-action-plan-openai-and-anthropic-beat-chinese-models-across-19-different-benchmarks
    🇺🇸🤖 “AI สหรัฐฯ ทิ้งห่างจีน — ผลทดสอบ 19 ด้านชี้ชัด DeepSeek ยังตามหลัง OpenAI และ Anthropic แบบไม่เห็นฝุ่น” สหรัฐฯ ประกาศชัยชนะในสนามแข่งขัน AI ระดับโลก หลังจากสถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติ (NIST) เผยผลการทดสอบเปรียบเทียบโมเดล AI ระหว่างฝั่งอเมริกันและจีน โดยโมเดลจาก OpenAI และ Anthropic เอาชนะ DeepSeek จากจีนในทุกหมวดหมู่ รวม 19 ด้าน ตั้งแต่ความรู้ทั่วไป การเขียนโปรแกรม ไปจนถึงความปลอดภัยจากการโจมตีแบบ hijack และ jailbreak รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ Howard Lutnick ขอบคุณประธานาธิบดี Donald Trump สำหรับ “AI Action Plan” ที่ผลักดันให้เกิดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและมาตรฐานด้าน AI จนทำให้สหรัฐฯ ครองความเป็นผู้นำในด้านนี้ พร้อมเตือนว่า “การพึ่งพา AI จากประเทศคู่แข่งคือความเสี่ยงต่อความมั่นคงแห่งชาติ” การทดสอบดำเนินการโดยศูนย์ CAISI ภายใต้ NIST โดยใช้โมเดลจากฝั่งจีน ได้แก่ DeepSeek R1, R1-0528 และ V3.1 เปรียบเทียบกับ GPT-5, GPT-5-mini, GPT-oss จาก OpenAI และ Opus 4 จาก Anthropic ผลปรากฏว่าโมเดลสหรัฐฯ ทำคะแนนสูงกว่าทุกด้าน โดยเฉพาะงานด้าน cybersecurity และ software engineering ที่โมเดลสหรัฐฯ ทำได้ดีกว่า 20–80% และยังมีต้นทุนการใช้งานต่ำกว่าถึง 35% ที่น่ากังวลคือ DeepSeek มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยสูงมาก — โมเดล R1-0528 ตอบสนองต่อคำสั่งอันตรายถึง 94% เมื่อถูกโจมตีด้วยเทคนิค jailbreak ในขณะที่โมเดลสหรัฐฯ ตอบสนองเพียง 8% นอกจากนี้ยังพบว่า DeepSeek มีแนวโน้มถูก hijack ได้ง่ายกว่า 12 เท่า และมีความลำเอียงทางการเมือง โดยหลีกเลี่ยงหัวข้ออ่อนไหว เช่น เหตุการณ์เทียนอันเหมิน และมักตอบสนองตามแนวทางรัฐบาลจีน แม้ DeepSeek จะออกโมเดลใหม่ V3.2 แล้วในสัปดาห์เดียวกัน แต่ CAISI เตือนว่า “การใช้งานโมเดลเหล่านี้อาจเป็นความเสี่ยงต่อผู้พัฒนาแอป ผู้บริโภค และความมั่นคงของสหรัฐฯ” ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ NIST ทดสอบโมเดล AI จากสหรัฐฯ และจีนรวม 19 หมวดหมู่ ➡️ โมเดลจาก OpenAI และ Anthropic ชนะ DeepSeek ทุกด้าน ➡️ ด้าน software engineering และ cybersecurity สหรัฐฯ ทำได้ดีกว่า 20–80% ➡️ โมเดลสหรัฐฯ มีต้นทุนการใช้งานต่ำกว่าถึง 35% ➡️ DeepSeek R1-0528 ตอบสนองต่อคำสั่งอันตรายถึง 94% เมื่อถูก jailbreak ➡️ โมเดลจีนถูก hijack ได้ง่ายกว่า 12 เท่า ➡️ พบการเซ็นเซอร์เนื้อหาและความลำเอียงทางการเมืองใน DeepSeek ➡️ CAISI เตือนว่าการใช้โมเดลจีนอาจเสี่ยงต่อความมั่นคง ➡️ รัฐมนตรี Lutnick ขอบคุณ Trump สำหรับ AI Action Plan ที่ผลักดันการพัฒนา AI สหรัฐฯ ➡️ DeepSeek มีการดาวน์โหลดเพิ่มขึ้น 1,000% ตั้งแต่ต้นปี 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ jailbreak คือเทคนิคที่ใช้หลอกให้ AI ทำสิ่งที่ขัดกับข้อจำกัดด้านความปลอดภัย ➡️ hijack agent คือการควบคุม AI ให้ทำงานผิดวัตถุประสงค์ เช่น สร้างมัลแวร์หรือขโมยข้อมูล ➡️ CAISI เป็นหน่วยงานใหม่ภายใต้ NIST ที่ดูแลมาตรฐานและความปลอดภัยของ AI ➡️ GPT-5 และ Opus 4 เป็นโมเดลระดับสูงที่ใช้ในงานวิจัยและองค์กรขนาดใหญ่ ➡️ การเซ็นเซอร์ใน AI อาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสของระบบ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/u-s-commerce-sec-lutnick-says-american-ai-dominates-deepseek-thanks-trump-for-ai-action-plan-openai-and-anthropic-beat-chinese-models-across-19-different-benchmarks
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 272 มุมมอง 0 รีวิว
  • “PNG: ไฟล์ภาพที่เกิดจากความขัดแย้ง — เมื่อค่าลิขสิทธิ์ GIF จุดชนวนให้โลกต้องสร้างมาตรฐานใหม่”

    ย้อนกลับไปในปี 1994 โลกอินเทอร์เน็ตกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และ GIF ก็เป็นฟอร์แมตภาพยอดนิยมที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่แล้ว Unisys บริษัทเจ้าของสิทธิบัตรการบีบอัดข้อมูลแบบ LZW (Lempel–Ziv–Welch) ที่ใช้ใน GIF ก็ประกาศเรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์ย้อนหลังจากนักพัฒนาและผู้ใช้งานทั่วโลก จุดชนวนให้เกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรงในชุมชนโอเพ่นซอร์สและนักพัฒนาเว็บ

    ผลจากความขัดแย้งนั้นคือการรวมตัวของกลุ่มนักพัฒนาอิสระ นำโดย Thomas Boutell เพื่อสร้างฟอร์แมตภาพใหม่ที่ไม่มีข้อจำกัดด้านสิทธิบัตร และรองรับคุณสมบัติที่ GIF ขาด เช่น สีแบบ 24-bit และการบีบอัดแบบไม่สูญเสียข้อมูล (lossless compression) พวกเขาตั้งชื่อโปรเจกต์ว่า “PING” ย่อมาจาก “PING is not GIF” ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น PNG (Portable Network Graphics)

    ในปี 1996 PNG ได้รับการรับรองจาก W3C และกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับภาพบนเว็บ โดยมีจุดเด่นคือคุณภาพไม่ลดลงแม้จะบันทึกซ้ำหลายครั้ง และรองรับความโปร่งใสได้อย่างแม่นยำ ต่างจาก JPEG ที่ใช้การบีบอัดแบบ lossy ซึ่งลดคุณภาพเพื่อประหยัดพื้นที่

    แม้การใช้งาน PNG จะเริ่มต้นช้า เพราะ Internet Explorer ในยุคนั้นยังรองรับไม่เต็มที่ แต่ด้วยการสนับสนุนจากองค์กรอย่าง Free Software Foundation และแคมเปญ “Burn All GIFs” PNG ก็ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง และในปี 2025 ก็ยังคงเป็นหนึ่งในฟอร์แมตภาพที่ใช้มากที่สุดบนเว็บ

    https://www.techradar.com/pro/how-a-dispute-over-royalties-gave-birth-to-the-png-file-format
    🖼️ “PNG: ไฟล์ภาพที่เกิดจากความขัดแย้ง — เมื่อค่าลิขสิทธิ์ GIF จุดชนวนให้โลกต้องสร้างมาตรฐานใหม่” ย้อนกลับไปในปี 1994 โลกอินเทอร์เน็ตกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และ GIF ก็เป็นฟอร์แมตภาพยอดนิยมที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่แล้ว Unisys บริษัทเจ้าของสิทธิบัตรการบีบอัดข้อมูลแบบ LZW (Lempel–Ziv–Welch) ที่ใช้ใน GIF ก็ประกาศเรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์ย้อนหลังจากนักพัฒนาและผู้ใช้งานทั่วโลก จุดชนวนให้เกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรงในชุมชนโอเพ่นซอร์สและนักพัฒนาเว็บ ผลจากความขัดแย้งนั้นคือการรวมตัวของกลุ่มนักพัฒนาอิสระ นำโดย Thomas Boutell เพื่อสร้างฟอร์แมตภาพใหม่ที่ไม่มีข้อจำกัดด้านสิทธิบัตร และรองรับคุณสมบัติที่ GIF ขาด เช่น สีแบบ 24-bit และการบีบอัดแบบไม่สูญเสียข้อมูล (lossless compression) พวกเขาตั้งชื่อโปรเจกต์ว่า “PING” ย่อมาจาก “PING is not GIF” ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น PNG (Portable Network Graphics) ในปี 1996 PNG ได้รับการรับรองจาก W3C และกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับภาพบนเว็บ โดยมีจุดเด่นคือคุณภาพไม่ลดลงแม้จะบันทึกซ้ำหลายครั้ง และรองรับความโปร่งใสได้อย่างแม่นยำ ต่างจาก JPEG ที่ใช้การบีบอัดแบบ lossy ซึ่งลดคุณภาพเพื่อประหยัดพื้นที่ แม้การใช้งาน PNG จะเริ่มต้นช้า เพราะ Internet Explorer ในยุคนั้นยังรองรับไม่เต็มที่ แต่ด้วยการสนับสนุนจากองค์กรอย่าง Free Software Foundation และแคมเปญ “Burn All GIFs” PNG ก็ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง และในปี 2025 ก็ยังคงเป็นหนึ่งในฟอร์แมตภาพที่ใช้มากที่สุดบนเว็บ https://www.techradar.com/pro/how-a-dispute-over-royalties-gave-birth-to-the-png-file-format
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • “California ออกกฎหมาย SB 53 คุม Frontier AI — เมื่อรัฐกลายเป็นผู้วางกรอบความปลอดภัยให้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเกินจะปล่อยไว้เฉย ๆ”

    เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2025 ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย Gavin Newsom ได้ลงนามในกฎหมาย SB 53 หรือ Transparency in Frontier Artificial Intelligence Act (TFAIA) ซึ่งถือเป็นกฎหมายแรกของสหรัฐฯ ที่ควบคุมการพัฒนา AI ระดับ “frontier” หรือโมเดลขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพสูงและความเสี่ยงร้ายแรงหากใช้งานผิดวัตถุประสงค์

    กฎหมายนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้าง “ความโปร่งใส ความปลอดภัย และความรับผิดชอบ” โดยไม่ขัดขวางนวัตกรรม โดยเฉพาะในรัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งเป็นศูนย์กลางของบริษัท AI ชั้นนำ เช่น Google, Apple, Nvidia, Meta และ Anthropic ซึ่งล้วนมีส่วนร่วมในการผลักดันกฎหมายนี้

    SB 53 กำหนดให้บริษัทที่พัฒนาโมเดล AI ขนาดใหญ่ต้องเผยแพร่กรอบการทำงานด้านความปลอดภัยบนเว็บไซต์ของตน โดยต้องอธิบายว่าใช้มาตรฐานระดับชาติและนานาชาติอย่างไร รวมถึงวิธีประเมินความเสี่ยงร้ายแรง เช่น ความสามารถในการสร้างอาวุธชีวภาพหรือการโจมตีไซเบอร์ที่อาจทำให้เกิดความเสียหายมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ หรือคร่าชีวิตผู้คนมากกว่า 50 ราย

    นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้ง “CalCompute” ซึ่งเป็นกลุ่มความร่วมมือด้านการวิจัยและโครงสร้างพื้นฐาน AI ของรัฐ เพื่อสนับสนุนการพัฒนา AI ที่ปลอดภัยและยั่งยืน พร้อมเปิดช่องให้ประชาชนและบริษัทสามารถรายงานเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยต่อสำนักงานฉุกเฉินของรัฐได้โดยตรง

    กฎหมายยังให้ความคุ้มครองแก่ผู้แจ้งเบาะแส (whistleblower) ที่เปิดเผยความเสี่ยงด้านสุขภาพหรือความปลอดภัยจากโมเดล AI และให้อำนาจอัยการสูงสุดในการลงโทษบริษัทที่ไม่ปฏิบัติตาม

    แม้หลายฝ่ายชื่นชมว่า SB 53 เป็น “โมเดลต้นแบบ” สำหรับการออกกฎหมาย AI ในระดับประเทศ แต่ก็มีเสียงวิจารณ์จากบางกลุ่มในอุตสาหกรรมว่าอาจเป็นการเปิดเผยข้อมูลภายในมากเกินไป และเสี่ยงต่อการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    SB 53 เป็นกฎหมายแรกในสหรัฐฯ ที่ควบคุมการพัฒนา AI ระดับ frontier
    Frontier AI หมายถึงโมเดลขนาดใหญ่ที่ใช้พลังคำนวณมากกว่า 10²⁶ FLOPs และมีรายได้เกิน 100 ล้านดอลลาร์ต่อปี
    บริษัทต้องเผยแพร่กรอบความปลอดภัยที่ใช้มาตรฐานระดับชาติและนานาชาติ
    ต้องอธิบายวิธีประเมินความเสี่ยงร้ายแรง เช่น การสร้างอาวุธชีวภาพหรือการโจมตีไซเบอร์
    จัดตั้ง CalCompute เพื่อสนับสนุนการวิจัยและโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ปลอดภัย
    เปิดช่องให้รายงานเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยต่อสำนักงานฉุกเฉินของรัฐ
    ให้ความคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสที่เปิดเผยความเสี่ยงจากโมเดล AI
    อัยการสูงสุดสามารถลงโทษบริษัทที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
    กฎหมายนี้ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทใหญ่ เช่น Anthropic และ Meta

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SB 53 เป็นฉบับปรับปรุงจาก SB 1047 ที่ถูก veto ในปี 2024 เพราะเข้มงวดเกินไป
    กฎหมายนี้เน้น “trust but verify” คือให้บริษัทสร้างนวัตกรรมได้ แต่ต้องมีกรอบตรวจสอบ
    Frontier AI เช่น ChatGPT, Claude, Gemini เป็นโมเดลที่มีความสามารถกว้างและใช้ dataset ขนาดใหญ่
    FLOPs (Floating Point Operations) เป็นหน่วยวัดพลังคำนวณในการฝึกโมเดล
    กฎหมายนี้อาจเป็นต้นแบบให้รัฐอื่นในสหรัฐฯ และอาจผลักดันให้เกิดกฎหมายระดับชาติ

    https://www.gov.ca.gov/2025/09/29/governor-newsom-signs-sb-53-advancing-californias-world-leading-artificial-intelligence-industry/
    ⚖️ “California ออกกฎหมาย SB 53 คุม Frontier AI — เมื่อรัฐกลายเป็นผู้วางกรอบความปลอดภัยให้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเกินจะปล่อยไว้เฉย ๆ” เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2025 ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย Gavin Newsom ได้ลงนามในกฎหมาย SB 53 หรือ Transparency in Frontier Artificial Intelligence Act (TFAIA) ซึ่งถือเป็นกฎหมายแรกของสหรัฐฯ ที่ควบคุมการพัฒนา AI ระดับ “frontier” หรือโมเดลขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพสูงและความเสี่ยงร้ายแรงหากใช้งานผิดวัตถุประสงค์ กฎหมายนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้าง “ความโปร่งใส ความปลอดภัย และความรับผิดชอบ” โดยไม่ขัดขวางนวัตกรรม โดยเฉพาะในรัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งเป็นศูนย์กลางของบริษัท AI ชั้นนำ เช่น Google, Apple, Nvidia, Meta และ Anthropic ซึ่งล้วนมีส่วนร่วมในการผลักดันกฎหมายนี้ SB 53 กำหนดให้บริษัทที่พัฒนาโมเดล AI ขนาดใหญ่ต้องเผยแพร่กรอบการทำงานด้านความปลอดภัยบนเว็บไซต์ของตน โดยต้องอธิบายว่าใช้มาตรฐานระดับชาติและนานาชาติอย่างไร รวมถึงวิธีประเมินความเสี่ยงร้ายแรง เช่น ความสามารถในการสร้างอาวุธชีวภาพหรือการโจมตีไซเบอร์ที่อาจทำให้เกิดความเสียหายมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ หรือคร่าชีวิตผู้คนมากกว่า 50 ราย นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้ง “CalCompute” ซึ่งเป็นกลุ่มความร่วมมือด้านการวิจัยและโครงสร้างพื้นฐาน AI ของรัฐ เพื่อสนับสนุนการพัฒนา AI ที่ปลอดภัยและยั่งยืน พร้อมเปิดช่องให้ประชาชนและบริษัทสามารถรายงานเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยต่อสำนักงานฉุกเฉินของรัฐได้โดยตรง กฎหมายยังให้ความคุ้มครองแก่ผู้แจ้งเบาะแส (whistleblower) ที่เปิดเผยความเสี่ยงด้านสุขภาพหรือความปลอดภัยจากโมเดล AI และให้อำนาจอัยการสูงสุดในการลงโทษบริษัทที่ไม่ปฏิบัติตาม แม้หลายฝ่ายชื่นชมว่า SB 53 เป็น “โมเดลต้นแบบ” สำหรับการออกกฎหมาย AI ในระดับประเทศ แต่ก็มีเสียงวิจารณ์จากบางกลุ่มในอุตสาหกรรมว่าอาจเป็นการเปิดเผยข้อมูลภายในมากเกินไป และเสี่ยงต่อการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ SB 53 เป็นกฎหมายแรกในสหรัฐฯ ที่ควบคุมการพัฒนา AI ระดับ frontier ➡️ Frontier AI หมายถึงโมเดลขนาดใหญ่ที่ใช้พลังคำนวณมากกว่า 10²⁶ FLOPs และมีรายได้เกิน 100 ล้านดอลลาร์ต่อปี ➡️ บริษัทต้องเผยแพร่กรอบความปลอดภัยที่ใช้มาตรฐานระดับชาติและนานาชาติ ➡️ ต้องอธิบายวิธีประเมินความเสี่ยงร้ายแรง เช่น การสร้างอาวุธชีวภาพหรือการโจมตีไซเบอร์ ➡️ จัดตั้ง CalCompute เพื่อสนับสนุนการวิจัยและโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ปลอดภัย ➡️ เปิดช่องให้รายงานเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยต่อสำนักงานฉุกเฉินของรัฐ ➡️ ให้ความคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสที่เปิดเผยความเสี่ยงจากโมเดล AI ➡️ อัยการสูงสุดสามารถลงโทษบริษัทที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ➡️ กฎหมายนี้ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทใหญ่ เช่น Anthropic และ Meta ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SB 53 เป็นฉบับปรับปรุงจาก SB 1047 ที่ถูก veto ในปี 2024 เพราะเข้มงวดเกินไป ➡️ กฎหมายนี้เน้น “trust but verify” คือให้บริษัทสร้างนวัตกรรมได้ แต่ต้องมีกรอบตรวจสอบ ➡️ Frontier AI เช่น ChatGPT, Claude, Gemini เป็นโมเดลที่มีความสามารถกว้างและใช้ dataset ขนาดใหญ่ ➡️ FLOPs (Floating Point Operations) เป็นหน่วยวัดพลังคำนวณในการฝึกโมเดล ➡️ กฎหมายนี้อาจเป็นต้นแบบให้รัฐอื่นในสหรัฐฯ และอาจผลักดันให้เกิดกฎหมายระดับชาติ https://www.gov.ca.gov/2025/09/29/governor-newsom-signs-sb-53-advancing-californias-world-leading-artificial-intelligence-industry/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 260 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Imgur ปิดบริการในสหราชอาณาจักร หลังถูกสอบสวนเรื่องข้อมูลเด็ก — เมื่อความนิยมไม่อาจต้านกฎคุ้มครองเยาวชน”

    Imgur เว็บไซต์แชร์ภาพยอดนิยมที่มีผู้ใช้งานมากกว่า 130 ล้านคนทั่วโลก ได้ตัดสินใจ “ปิดบริการในสหราชอาณาจักร” อย่างกะทันหันในวันที่ 30 กันยายน 2025 หลังจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านข้อมูลของอังกฤษ หรือ Information Commissioner’s Office (ICO) ออก “หนังสือแจ้งเจตนา” เพื่อปรับเงินบริษัทแม่ MediaLab AI Inc. จากข้อสงสัยว่ามีการละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเด็ก

    การสอบสวนเริ่มต้นตั้งแต่ต้นปี 2025 ภายใต้กรอบ “Children’s Code” ซึ่งเป็นแนวทางที่กำหนดให้แพลตฟอร์มออนไลน์ต้องมีมาตรการปกป้องข้อมูลของเยาวชนอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะเรื่องการตรวจสอบอายุและการจำกัดการติดตามพฤติกรรมออนไลน์ของเด็ก

    ICO ระบุว่า แม้ Imgur จะเลือกถอนตัวออกจากตลาดอังกฤษ แต่ “การออกจากประเทศไม่ได้หมายความว่าจะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบต่อการละเมิดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น” และการสอบสวนยังคงดำเนินต่อไป โดยบริษัทมีสิทธิ์ยื่นคำชี้แจงก่อนที่ ICO จะตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะปรับเงินหรือไม่

    การตัดสินใจของ Imgur ถูกมองว่าเป็น “การตัดสินใจเชิงพาณิชย์” แต่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าเป็นผลโดยตรงจากแรงกดดันด้านกฎระเบียบ โดยเฉพาะเมื่อแพลตฟอร์มอื่นในเครือ MediaLab เช่น Kik Messenger ยังคงเปิดให้บริการในอังกฤษ เพราะมีการปรับตัวตามข้อกำหนดใหม่

    กรณีนี้สะท้อนถึงแนวโน้มที่เข้มงวดขึ้นของยุโรปในการคุ้มครองข้อมูลเด็ก โดยก่อนหน้านี้ TikTok ก็เคยถูกปรับกว่า 15.8 ล้านดอลลาร์จากการปล่อยให้เด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีใช้งานโดยไม่ตรวจสอบอายุอย่างเหมาะสม

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Imgur ปิดบริการในสหราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2025
    ICO ออกหนังสือแจ้งเจตนาปรับเงินบริษัทแม่ MediaLab AI Inc.
    การสอบสวนเกี่ยวข้องกับการละเมิด Children’s Code ซึ่งเน้นการคุ้มครองข้อมูลเด็ก
    ICO ระบุว่า Imgur ไม่ได้ตรวจสอบอายุผู้ใช้อย่างเหมาะสม
    การถอนตัวจากประเทศไม่ช่วยให้บริษัทหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบทางกฎหมาย
    MediaLab ยังสามารถยื่นคำชี้แจงก่อนที่ ICO จะตัดสินใจขั้นสุดท้าย
    Kik Messenger ซึ่งอยู่ในเครือเดียวกันยังคงเปิดให้บริการในอังกฤษ
    ICO ยืนยันว่าการคุ้มครองข้อมูลเด็กเป็น “ภารกิจหลัก” ขององค์กร

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Children’s Code หรือ Age-Appropriate Design Code มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2021
    กฎหมายนี้กำหนดให้แพลตฟอร์มต้องลดการติดตามพฤติกรรมเด็กและเพิ่มความโปร่งใส
    TikTok เคยถูกปรับในอังกฤษจากการละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลเด็ก
    Snapchat ก็เคยถูกสอบสวนเรื่อง AI chatbot ที่อาจละเมิดความเป็นส่วนตัวของเด็ก
    การใช้เทคโนโลยีตรวจสอบอายุ เช่น facial recognition หรือ document verification กำลังเป็นที่ถกเถียง

    https://www.express.co.uk/news/uk/2115228/image-site-imgur-pulls-out
    🚫 “Imgur ปิดบริการในสหราชอาณาจักร หลังถูกสอบสวนเรื่องข้อมูลเด็ก — เมื่อความนิยมไม่อาจต้านกฎคุ้มครองเยาวชน” Imgur เว็บไซต์แชร์ภาพยอดนิยมที่มีผู้ใช้งานมากกว่า 130 ล้านคนทั่วโลก ได้ตัดสินใจ “ปิดบริการในสหราชอาณาจักร” อย่างกะทันหันในวันที่ 30 กันยายน 2025 หลังจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านข้อมูลของอังกฤษ หรือ Information Commissioner’s Office (ICO) ออก “หนังสือแจ้งเจตนา” เพื่อปรับเงินบริษัทแม่ MediaLab AI Inc. จากข้อสงสัยว่ามีการละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเด็ก การสอบสวนเริ่มต้นตั้งแต่ต้นปี 2025 ภายใต้กรอบ “Children’s Code” ซึ่งเป็นแนวทางที่กำหนดให้แพลตฟอร์มออนไลน์ต้องมีมาตรการปกป้องข้อมูลของเยาวชนอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะเรื่องการตรวจสอบอายุและการจำกัดการติดตามพฤติกรรมออนไลน์ของเด็ก ICO ระบุว่า แม้ Imgur จะเลือกถอนตัวออกจากตลาดอังกฤษ แต่ “การออกจากประเทศไม่ได้หมายความว่าจะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบต่อการละเมิดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น” และการสอบสวนยังคงดำเนินต่อไป โดยบริษัทมีสิทธิ์ยื่นคำชี้แจงก่อนที่ ICO จะตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะปรับเงินหรือไม่ การตัดสินใจของ Imgur ถูกมองว่าเป็น “การตัดสินใจเชิงพาณิชย์” แต่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าเป็นผลโดยตรงจากแรงกดดันด้านกฎระเบียบ โดยเฉพาะเมื่อแพลตฟอร์มอื่นในเครือ MediaLab เช่น Kik Messenger ยังคงเปิดให้บริการในอังกฤษ เพราะมีการปรับตัวตามข้อกำหนดใหม่ กรณีนี้สะท้อนถึงแนวโน้มที่เข้มงวดขึ้นของยุโรปในการคุ้มครองข้อมูลเด็ก โดยก่อนหน้านี้ TikTok ก็เคยถูกปรับกว่า 15.8 ล้านดอลลาร์จากการปล่อยให้เด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีใช้งานโดยไม่ตรวจสอบอายุอย่างเหมาะสม ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Imgur ปิดบริการในสหราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2025 ➡️ ICO ออกหนังสือแจ้งเจตนาปรับเงินบริษัทแม่ MediaLab AI Inc. ➡️ การสอบสวนเกี่ยวข้องกับการละเมิด Children’s Code ซึ่งเน้นการคุ้มครองข้อมูลเด็ก ➡️ ICO ระบุว่า Imgur ไม่ได้ตรวจสอบอายุผู้ใช้อย่างเหมาะสม ➡️ การถอนตัวจากประเทศไม่ช่วยให้บริษัทหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบทางกฎหมาย ➡️ MediaLab ยังสามารถยื่นคำชี้แจงก่อนที่ ICO จะตัดสินใจขั้นสุดท้าย ➡️ Kik Messenger ซึ่งอยู่ในเครือเดียวกันยังคงเปิดให้บริการในอังกฤษ ➡️ ICO ยืนยันว่าการคุ้มครองข้อมูลเด็กเป็น “ภารกิจหลัก” ขององค์กร ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Children’s Code หรือ Age-Appropriate Design Code มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2021 ➡️ กฎหมายนี้กำหนดให้แพลตฟอร์มต้องลดการติดตามพฤติกรรมเด็กและเพิ่มความโปร่งใส ➡️ TikTok เคยถูกปรับในอังกฤษจากการละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลเด็ก ➡️ Snapchat ก็เคยถูกสอบสวนเรื่อง AI chatbot ที่อาจละเมิดความเป็นส่วนตัวของเด็ก ➡️ การใช้เทคโนโลยีตรวจสอบอายุ เช่น facial recognition หรือ document verification กำลังเป็นที่ถกเถียง https://www.express.co.uk/news/uk/2115228/image-site-imgur-pulls-out
    WWW.EXPRESS.CO.UK
    Image site Imgur pulls out of UK as data watchdog threatens fine
    A popular image hosting website has stopped its services in the UK after regulators threatened a fine.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 240 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Fedora เปิดร่างนโยบาย Vibe Coding — เมื่อ AI กลายเป็นผู้ช่วยในโอเพ่นซอร์ส แต่ไม่ใช่ผู้ตัดสิน”

    Fedora Project ซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักของโลกโอเพ่นซอร์ส ได้เปิดร่างนโยบายใหม่ว่าด้วยการใช้เครื่องมือ AI ในการพัฒนาโค้ด โดยเน้นแนวคิด “Vibe Coding” ที่ให้ AI เป็นผู้ช่วยในการสร้างสรรค์ แต่ยังคงให้มนุษย์เป็นผู้รับผิดชอบหลักในทุกขั้นตอนของการพัฒนา

    ร่างนโยบายนี้เป็นผลจากการปรึกษาหารือกับชุมชนตลอดหนึ่งปีเต็ม เริ่มจากการสำรวจความคิดเห็นในช่วงฤดูร้อนปี 2024 และนำมาสู่การกำหนดแนวทาง 4 ด้านหลัก ได้แก่ การใช้ AI ในการเขียนโค้ด, การรีวิว, การจัดการโครงการ และการใช้ข้อมูล

    สำหรับผู้พัฒนาโค้ดที่ใช้ AI ช่วยงาน Fedora ระบุชัดว่า “คุณต้องรับผิดชอบทุกบรรทัดที่ส่งเข้าไป” โดย AI ถือเป็นเพียงข้อเสนอ ไม่ใช่โค้ดสุดท้าย ผู้ใช้ต้องตรวจสอบ ทดสอบ และเข้าใจสิ่งที่ตนเองส่งเข้าไป และหาก AI มีส่วนช่วยอย่างมีนัยสำคัญ ควรระบุไว้ใน commit message เพื่อความโปร่งใส

    ในส่วนของผู้รีวิว แม้จะสามารถใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ได้ แต่ไม่สามารถใช้ AI ตัดสินใจแทนมนุษย์ได้ การอนุมัติสุดท้ายต้องมาจากคนจริงเท่านั้น

    ด้านการจัดการโครงการ Fedora ห้ามใช้ AI ในการตัดสินเรื่องจรรยาบรรณ การอนุมัติทุน การคัดเลือกหัวข้อสัมมนา หรือการแต่งตั้งผู้นำ และหากมีฟีเจอร์ AI ที่ส่งข้อมูลออกไปยังบริการภายนอก ต้องให้ผู้ใช้ opt-in เท่านั้น

    ในทางกลับกัน Fedora สนับสนุนการแพ็กเกจเครื่องมือ AI และเฟรมเวิร์กต่าง ๆ ให้ใช้งานได้ในระบบ Fedora ตราบใดที่ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านลิขสิทธิ์และการจัดการแพ็กเกจ

    ร่างนโยบายนี้เปิดให้ชุมชนแสดงความคิดเห็นเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ก่อนจะเข้าสู่การลงคะแนนอย่างเป็นทางการโดย Fedora Council ผ่านระบบ ticket voting

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Fedora เปิดร่างนโยบายการใช้ AI ในการพัฒนาโค้ดแบบ Vibe Coding
    ผู้ใช้ AI ต้องรับผิดชอบโค้ดทั้งหมดที่ส่งเข้าไป ไม่ใช่ปล่อยให้ AI ตัดสินใจแทน
    หาก AI มีส่วนช่วยอย่างมีนัยสำคัญ ควรระบุไว้ใน commit message
    ผู้รีวิวสามารถใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ได้ แต่ไม่สามารถใช้ AI ตัดสินใจแทนมนุษย์
    ห้ามใช้ AI ในการตัดสินเรื่องจรรยาบรรณ ทุน สัมมนา หรือการแต่งตั้งผู้นำ
    ฟีเจอร์ AI ที่ส่งข้อมูลออกไปต้องให้ผู้ใช้ opt-in เท่านั้น
    Fedora สนับสนุนการแพ็กเกจเครื่องมือ AI หากปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านลิขสิทธิ์
    ห้ามใช้การ scrape ข้อมูลจาก Fedora อย่างหนักจนกระทบโครงสร้างพื้นฐาน
    ร่างนโยบายเปิดให้ชุมชนแสดงความคิดเห็น 2 สัปดาห์ก่อนลงคะแนน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    “Vibe Coding” เป็นแนวคิดที่ให้ AI เป็นผู้ช่วยสร้างสรรค์ ไม่ใช่ผู้ควบคุม
    หลายโครงการโอเพ่นซอร์สเริ่มใช้ AI เช่น GitHub Copilot, Sourcery, Log Detective
    การระบุ Assisted-by: ใน commit message เป็นแนวทางใหม่ที่หลายโครงการเริ่มใช้
    การใช้ AI ในการรีวิวโค้ดยังมีข้อจำกัดด้านคุณภาพและความเข้าใจบริบท
    Fedora เป็น upstream ของ Red Hat และมีอิทธิพลต่อระบบ Linux ทั่วโลก

    https://news.itsfoss.com/fedora-ai-guidelines/
    🧠 “Fedora เปิดร่างนโยบาย Vibe Coding — เมื่อ AI กลายเป็นผู้ช่วยในโอเพ่นซอร์ส แต่ไม่ใช่ผู้ตัดสิน” Fedora Project ซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักของโลกโอเพ่นซอร์ส ได้เปิดร่างนโยบายใหม่ว่าด้วยการใช้เครื่องมือ AI ในการพัฒนาโค้ด โดยเน้นแนวคิด “Vibe Coding” ที่ให้ AI เป็นผู้ช่วยในการสร้างสรรค์ แต่ยังคงให้มนุษย์เป็นผู้รับผิดชอบหลักในทุกขั้นตอนของการพัฒนา ร่างนโยบายนี้เป็นผลจากการปรึกษาหารือกับชุมชนตลอดหนึ่งปีเต็ม เริ่มจากการสำรวจความคิดเห็นในช่วงฤดูร้อนปี 2024 และนำมาสู่การกำหนดแนวทาง 4 ด้านหลัก ได้แก่ การใช้ AI ในการเขียนโค้ด, การรีวิว, การจัดการโครงการ และการใช้ข้อมูล สำหรับผู้พัฒนาโค้ดที่ใช้ AI ช่วยงาน Fedora ระบุชัดว่า “คุณต้องรับผิดชอบทุกบรรทัดที่ส่งเข้าไป” โดย AI ถือเป็นเพียงข้อเสนอ ไม่ใช่โค้ดสุดท้าย ผู้ใช้ต้องตรวจสอบ ทดสอบ และเข้าใจสิ่งที่ตนเองส่งเข้าไป และหาก AI มีส่วนช่วยอย่างมีนัยสำคัญ ควรระบุไว้ใน commit message เพื่อความโปร่งใส ในส่วนของผู้รีวิว แม้จะสามารถใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ได้ แต่ไม่สามารถใช้ AI ตัดสินใจแทนมนุษย์ได้ การอนุมัติสุดท้ายต้องมาจากคนจริงเท่านั้น ด้านการจัดการโครงการ Fedora ห้ามใช้ AI ในการตัดสินเรื่องจรรยาบรรณ การอนุมัติทุน การคัดเลือกหัวข้อสัมมนา หรือการแต่งตั้งผู้นำ และหากมีฟีเจอร์ AI ที่ส่งข้อมูลออกไปยังบริการภายนอก ต้องให้ผู้ใช้ opt-in เท่านั้น ในทางกลับกัน Fedora สนับสนุนการแพ็กเกจเครื่องมือ AI และเฟรมเวิร์กต่าง ๆ ให้ใช้งานได้ในระบบ Fedora ตราบใดที่ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านลิขสิทธิ์และการจัดการแพ็กเกจ ร่างนโยบายนี้เปิดให้ชุมชนแสดงความคิดเห็นเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ก่อนจะเข้าสู่การลงคะแนนอย่างเป็นทางการโดย Fedora Council ผ่านระบบ ticket voting ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Fedora เปิดร่างนโยบายการใช้ AI ในการพัฒนาโค้ดแบบ Vibe Coding ➡️ ผู้ใช้ AI ต้องรับผิดชอบโค้ดทั้งหมดที่ส่งเข้าไป ไม่ใช่ปล่อยให้ AI ตัดสินใจแทน ➡️ หาก AI มีส่วนช่วยอย่างมีนัยสำคัญ ควรระบุไว้ใน commit message ➡️ ผู้รีวิวสามารถใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ได้ แต่ไม่สามารถใช้ AI ตัดสินใจแทนมนุษย์ ➡️ ห้ามใช้ AI ในการตัดสินเรื่องจรรยาบรรณ ทุน สัมมนา หรือการแต่งตั้งผู้นำ ➡️ ฟีเจอร์ AI ที่ส่งข้อมูลออกไปต้องให้ผู้ใช้ opt-in เท่านั้น ➡️ Fedora สนับสนุนการแพ็กเกจเครื่องมือ AI หากปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านลิขสิทธิ์ ➡️ ห้ามใช้การ scrape ข้อมูลจาก Fedora อย่างหนักจนกระทบโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ ร่างนโยบายเปิดให้ชุมชนแสดงความคิดเห็น 2 สัปดาห์ก่อนลงคะแนน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ “Vibe Coding” เป็นแนวคิดที่ให้ AI เป็นผู้ช่วยสร้างสรรค์ ไม่ใช่ผู้ควบคุม ➡️ หลายโครงการโอเพ่นซอร์สเริ่มใช้ AI เช่น GitHub Copilot, Sourcery, Log Detective ➡️ การระบุ Assisted-by: ใน commit message เป็นแนวทางใหม่ที่หลายโครงการเริ่มใช้ ➡️ การใช้ AI ในการรีวิวโค้ดยังมีข้อจำกัดด้านคุณภาพและความเข้าใจบริบท ➡️ Fedora เป็น upstream ของ Red Hat และมีอิทธิพลต่อระบบ Linux ทั่วโลก https://news.itsfoss.com/fedora-ai-guidelines/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
  • “อนุทิน” ลั่นไม่ใช่ “เป็ดง่อยแต่เป็นหนูครับ ” ยืนยัน 4 เดือน ยุบสภา-แก้ รธน. หวังวางรากฐานให้รัฐบาลหน้าบริหารด้วยความโปร่งใส แข่งขันกันทำความดีเพื่อประชาชน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000093568

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    “อนุทิน” ลั่นไม่ใช่ “เป็ดง่อยแต่เป็นหนูครับ ” ยืนยัน 4 เดือน ยุบสภา-แก้ รธน. หวังวางรากฐานให้รัฐบาลหน้าบริหารด้วยความโปร่งใส แข่งขันกันทำความดีเพื่อประชาชน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000093568 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 295 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Glass Substrate: วัสดุใหม่ที่ Apple และ Tesla กำลังจับตามอง — จุดเปลี่ยนของวงการชิปยุคถัดไป”

    หลังจากถูกพูดถึงในวงการเซมิคอนดักเตอร์มาหลายปี “Glass Substrate” หรือวัสดุแก้วสำหรับฐานชิป กำลังได้รับความสนใจอย่างจริงจังจากบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก ล่าสุดมีรายงานว่า Apple และ Tesla กำลังเจรจากับผู้ผลิตเพื่อเตรียมนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในผลิตภัณฑ์รุ่นถัดไป เช่น ชิป FSD ของ Tesla และชิป ASIC ที่ใช้ใน iPhone หรือ MacBook ของ Apple

    Glass Substrate คือวัสดุที่มาแทน “organic core” ในการแพ็กเกจชิปแบบ chiplet โดยมีข้อดีคือสามารถบรรจุชั้นสัญญาณ (RDL) ได้มากกว่าในพื้นที่เท่าเดิม ทำให้สามารถรวมชิปหลายตัวเข้าด้วยกันได้แน่นขึ้น และลดจำนวนชั้นที่ต้องใช้ ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและขนาดเล็กลง

    Apple ได้เริ่มเข้าเยี่ยมผู้ผลิตอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับ Glass Substrate เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการนำมาใช้จริง ขณะที่ Tesla กำลังพิจารณาใช้กับชิป FSD รุ่นถัดไป ซึ่งต้องการความหนาแน่นและความเสถียรสูงในการประมวลผลแบบเรียลไทม์

    แม้เทคโนโลยีนี้ยังไม่พร้อมสำหรับการผลิตจำนวนมาก เนื่องจากมีความซับซ้อนด้านการผลิต เช่น การเจาะรู TGV (Through-Glass Via) และการจัดการแผ่นแก้วที่เปราะบาง แต่การที่บริษัทใหญ่อย่าง Apple และ Tesla เริ่มสนใจ ก็เป็นสัญญาณว่า Glass Substrate อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Apple และ Tesla กำลังเจรจากับผู้ผลิตเพื่อใช้ Glass Substrate ในชิปรุ่นถัดไป
    Apple อาจใช้กับชิป ASIC สำหรับ iPhone และ MacBook ส่วน Tesla อาจใช้กับชิป FSD
    Glass Substrate มาแทน organic core ในการแพ็กเกจชิปแบบ chiplet
    มีความสามารถในการบรรจุสัญญาณมากขึ้นในพื้นที่เท่าเดิม และลดจำนวนชั้นที่ต้องใช้
    Intel เคยเป็นผู้นำด้าน Glass Substrate แต่ลดการลงทุนในปี 2023
    มีการทดสอบ Glass Substrate ที่โรงงานของ Intel ในรัฐแอริโซนาเมื่อปี 2023
    Samsung และ TSMC กำลังเร่งพัฒนาเทคโนโลยีนี้เพื่อผลิตจริงในปี 2026
    Glass Substrate ช่วยให้สามารถผลิตชิปแบบ multi-die ที่ใหญ่และหนาแน่นขึ้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Glass Substrate มีความแข็งแรงและเสถียรกว่า organic core ลดการบิดเบี้ยวของชิป
    สามารถใช้ร่วมกับเทคโนโลยี 3D stacking เช่น SoIC ที่ Apple เตรียมนำมาใช้ใน MacBook ปี 2025
    มีความโปร่งใส ทำให้สามารถรวม photonic และ electronic components ในชิปเดียวกันได้
    TSMC กำลังเปลี่ยนจาก wafer กลมเป็น substrate สี่เหลี่ยมเพื่อเพิ่มจำนวนชิปต่อแผ่น
    Glass Substrate เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น AI, รถยนต์อัตโนมัติ และอุปกรณ์สื่อสาร

    https://wccftech.com/glass-substrates-are-beginning-to-draw-big-tech-interest/
    🔬 “Glass Substrate: วัสดุใหม่ที่ Apple และ Tesla กำลังจับตามอง — จุดเปลี่ยนของวงการชิปยุคถัดไป” หลังจากถูกพูดถึงในวงการเซมิคอนดักเตอร์มาหลายปี “Glass Substrate” หรือวัสดุแก้วสำหรับฐานชิป กำลังได้รับความสนใจอย่างจริงจังจากบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก ล่าสุดมีรายงานว่า Apple และ Tesla กำลังเจรจากับผู้ผลิตเพื่อเตรียมนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในผลิตภัณฑ์รุ่นถัดไป เช่น ชิป FSD ของ Tesla และชิป ASIC ที่ใช้ใน iPhone หรือ MacBook ของ Apple Glass Substrate คือวัสดุที่มาแทน “organic core” ในการแพ็กเกจชิปแบบ chiplet โดยมีข้อดีคือสามารถบรรจุชั้นสัญญาณ (RDL) ได้มากกว่าในพื้นที่เท่าเดิม ทำให้สามารถรวมชิปหลายตัวเข้าด้วยกันได้แน่นขึ้น และลดจำนวนชั้นที่ต้องใช้ ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและขนาดเล็กลง Apple ได้เริ่มเข้าเยี่ยมผู้ผลิตอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับ Glass Substrate เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการนำมาใช้จริง ขณะที่ Tesla กำลังพิจารณาใช้กับชิป FSD รุ่นถัดไป ซึ่งต้องการความหนาแน่นและความเสถียรสูงในการประมวลผลแบบเรียลไทม์ แม้เทคโนโลยีนี้ยังไม่พร้อมสำหรับการผลิตจำนวนมาก เนื่องจากมีความซับซ้อนด้านการผลิต เช่น การเจาะรู TGV (Through-Glass Via) และการจัดการแผ่นแก้วที่เปราะบาง แต่การที่บริษัทใหญ่อย่าง Apple และ Tesla เริ่มสนใจ ก็เป็นสัญญาณว่า Glass Substrate อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Apple และ Tesla กำลังเจรจากับผู้ผลิตเพื่อใช้ Glass Substrate ในชิปรุ่นถัดไป ➡️ Apple อาจใช้กับชิป ASIC สำหรับ iPhone และ MacBook ส่วน Tesla อาจใช้กับชิป FSD ➡️ Glass Substrate มาแทน organic core ในการแพ็กเกจชิปแบบ chiplet ➡️ มีความสามารถในการบรรจุสัญญาณมากขึ้นในพื้นที่เท่าเดิม และลดจำนวนชั้นที่ต้องใช้ ➡️ Intel เคยเป็นผู้นำด้าน Glass Substrate แต่ลดการลงทุนในปี 2023 ➡️ มีการทดสอบ Glass Substrate ที่โรงงานของ Intel ในรัฐแอริโซนาเมื่อปี 2023 ➡️ Samsung และ TSMC กำลังเร่งพัฒนาเทคโนโลยีนี้เพื่อผลิตจริงในปี 2026 ➡️ Glass Substrate ช่วยให้สามารถผลิตชิปแบบ multi-die ที่ใหญ่และหนาแน่นขึ้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Glass Substrate มีความแข็งแรงและเสถียรกว่า organic core ลดการบิดเบี้ยวของชิป ➡️ สามารถใช้ร่วมกับเทคโนโลยี 3D stacking เช่น SoIC ที่ Apple เตรียมนำมาใช้ใน MacBook ปี 2025 ➡️ มีความโปร่งใส ทำให้สามารถรวม photonic และ electronic components ในชิปเดียวกันได้ ➡️ TSMC กำลังเปลี่ยนจาก wafer กลมเป็น substrate สี่เหลี่ยมเพื่อเพิ่มจำนวนชิปต่อแผ่น ➡️ Glass Substrate เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น AI, รถยนต์อัตโนมัติ และอุปกรณ์สื่อสาร https://wccftech.com/glass-substrates-are-beginning-to-draw-big-tech-interest/
    WCCFTECH.COM
    Glass Substrates Are Beginning to Draw Big Tech Interest, With Apple and Tesla Reportedly Lining Up for Adoption in Next-Gen Chips
    Glass substrates have started to be recognized, as a new report claims that both Apple and Tesla are looking to adopt the technology.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 212 มุมมอง 0 รีวิว
  • “RubyGems ถูกยึดครอง? เมื่อความมั่นคงของซัพพลายเชนกลายเป็นข้ออ้างในการล้มล้างชุมชนโอเพ่นซอร์ส”

    ในเดือนกันยายน 2025 โลกของ Ruby ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่เขย่ารากฐานของชุมชนโอเพ่นซอร์สอย่างรุนแรง เมื่อ Ruby Central ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรที่ดูแลโครงการสำคัญอย่าง RubyGems และ Bundler ได้ดำเนินการยึดอำนาจจากผู้ดูแลระบบเดิมโดยไม่แจ้งล่วงหน้า

    เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อ Hiroshi Shibata (HSBT) เปลี่ยนชื่อ GitHub enterprise จาก “RubyGems” เป็น “Ruby Central” และเพิ่ม Marty Haught เป็นเจ้าของใหม่ พร้อมถอดสิทธิ์ผู้ดูแลเดิมทั้งหมดโดยไม่ปรึกษาใครเลย2 ต่อมาในวันที่ 18 กันยายน Haught ได้ลบสิทธิ์แอดมินของทีม RubyGems และ Bundler ทั้งหมด รวมถึงปิดอีเมลและถอนสิทธิ์การเข้าถึง gem สำคัญจากผู้ดูแลที่เคยรับผิดชอบมานานหลายปี เช่น André Arko และ Ellen Dash

    Ruby Central อ้างว่าการยึดอำนาจครั้งนี้เป็นเรื่อง “จำเป็น” เพื่อความมั่นคงของซัพพลายเชน โดยอ้างถึงคำแนะนำจากที่ปรึกษากฎหมาย การตรวจสอบความปลอดภัย และแรงกดดันจากผู้สนับสนุนหลัก อย่าง Shopify ที่ขู่ว่าจะถอนเงินสนับสนุนหากไม่ดำเนินการตามแผน

    ในขณะที่ความไว้วางใจของชุมชนถูกสั่นคลอน กลุ่มผู้ดูแลเดิมได้รวมตัวกันตั้งองค์กรใหม่ชื่อว่า Spinel ซึ่งเป็นสหกรณ์แบบ worker-owned โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างเครื่องมือใหม่ชื่อ “rv” ที่รวมความสามารถของ rvm, rbenv, bundler, rubygems และอื่น ๆ เข้าไว้ในเครื่องมือเดียว เพื่อคืนอำนาจให้กับนักพัฒนา และหลีกเลี่ยงการพึ่งพาผู้สนับสนุนที่อาจเปลี่ยนใจได้ทุกเมื่อ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Ruby Central ยึดสิทธิ์การดูแล GitHub ของ RubyGems และ Bundler โดยไม่แจ้งล่วงหน้า
    Marty Haught ถูกแต่งตั้งเป็นเจ้าของใหม่โดยไม่มีการเห็นชอบจากผู้ดูแลเดิม
    ผู้ดูแลเดิมถูกลบสิทธิ์แอดมิน ปิดอีเมล และถอนสิทธิ์การเข้าถึง gem สำคัญ
    Ruby Central อ้างว่าการยึดอำนาจเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อความปลอดภัยของซัพพลายเชน
    Shopify ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยขู่ว่าจะถอนเงินสนับสนุน
    ผู้ดูแลเดิมรวมตัวกันตั้ง Spinel ซึ่งเป็นสหกรณ์แบบ worker-owned
    Spinel เปิดตัวเครื่องมือใหม่ชื่อ “rv” ที่รวมความสามารถของเครื่องมือ Ruby หลายตัว
    rv สามารถติดตั้ง Ruby และ gem ได้ในไม่กี่วินาที โดยไม่ต้องคอมไพล์
    Spinel ใช้โมเดล retainer กับบริษัท เพื่อความยั่งยืนโดยไม่พึ่งผู้สนับสนุนรายใหญ่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    RubyGems เป็นระบบจัดการแพ็กเกจที่สำคัญที่สุดในระบบนิเวศของ Ruby
    การโจมตีซัพพลายเชนใน npm และ PyPI เคยสร้างความเสียหายระดับโลกมาแล้ว
    การควบคุมโครงการโอเพ่นซอร์สโดยองค์กรเดียวอาจนำไปสู่การผูกขาดและลดความโปร่งใส
    Spinel มีผู้ร่วมก่อตั้งที่เคยดูแล Bundler, RubyGems และเป็นสมาชิกทีม Rails core
    rv ได้รับแรงบันดาลใจจาก uv, Homebrew, Cargo และ npm เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับนักพัฒนา

    https://news.itsfoss.com/corporate-takeover-of-ruby/
    💎 “RubyGems ถูกยึดครอง? เมื่อความมั่นคงของซัพพลายเชนกลายเป็นข้ออ้างในการล้มล้างชุมชนโอเพ่นซอร์ส” ในเดือนกันยายน 2025 โลกของ Ruby ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่เขย่ารากฐานของชุมชนโอเพ่นซอร์สอย่างรุนแรง เมื่อ Ruby Central ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรที่ดูแลโครงการสำคัญอย่าง RubyGems และ Bundler ได้ดำเนินการยึดอำนาจจากผู้ดูแลระบบเดิมโดยไม่แจ้งล่วงหน้า เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อ Hiroshi Shibata (HSBT) เปลี่ยนชื่อ GitHub enterprise จาก “RubyGems” เป็น “Ruby Central” และเพิ่ม Marty Haught เป็นเจ้าของใหม่ พร้อมถอดสิทธิ์ผู้ดูแลเดิมทั้งหมดโดยไม่ปรึกษาใครเลย2 ต่อมาในวันที่ 18 กันยายน Haught ได้ลบสิทธิ์แอดมินของทีม RubyGems และ Bundler ทั้งหมด รวมถึงปิดอีเมลและถอนสิทธิ์การเข้าถึง gem สำคัญจากผู้ดูแลที่เคยรับผิดชอบมานานหลายปี เช่น André Arko และ Ellen Dash Ruby Central อ้างว่าการยึดอำนาจครั้งนี้เป็นเรื่อง “จำเป็น” เพื่อความมั่นคงของซัพพลายเชน โดยอ้างถึงคำแนะนำจากที่ปรึกษากฎหมาย การตรวจสอบความปลอดภัย และแรงกดดันจากผู้สนับสนุนหลัก อย่าง Shopify ที่ขู่ว่าจะถอนเงินสนับสนุนหากไม่ดำเนินการตามแผน ในขณะที่ความไว้วางใจของชุมชนถูกสั่นคลอน กลุ่มผู้ดูแลเดิมได้รวมตัวกันตั้งองค์กรใหม่ชื่อว่า Spinel ซึ่งเป็นสหกรณ์แบบ worker-owned โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างเครื่องมือใหม่ชื่อ “rv” ที่รวมความสามารถของ rvm, rbenv, bundler, rubygems และอื่น ๆ เข้าไว้ในเครื่องมือเดียว เพื่อคืนอำนาจให้กับนักพัฒนา และหลีกเลี่ยงการพึ่งพาผู้สนับสนุนที่อาจเปลี่ยนใจได้ทุกเมื่อ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Ruby Central ยึดสิทธิ์การดูแล GitHub ของ RubyGems และ Bundler โดยไม่แจ้งล่วงหน้า ➡️ Marty Haught ถูกแต่งตั้งเป็นเจ้าของใหม่โดยไม่มีการเห็นชอบจากผู้ดูแลเดิม ➡️ ผู้ดูแลเดิมถูกลบสิทธิ์แอดมิน ปิดอีเมล และถอนสิทธิ์การเข้าถึง gem สำคัญ ➡️ Ruby Central อ้างว่าการยึดอำนาจเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อความปลอดภัยของซัพพลายเชน ➡️ Shopify ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยขู่ว่าจะถอนเงินสนับสนุน ➡️ ผู้ดูแลเดิมรวมตัวกันตั้ง Spinel ซึ่งเป็นสหกรณ์แบบ worker-owned ➡️ Spinel เปิดตัวเครื่องมือใหม่ชื่อ “rv” ที่รวมความสามารถของเครื่องมือ Ruby หลายตัว ➡️ rv สามารถติดตั้ง Ruby และ gem ได้ในไม่กี่วินาที โดยไม่ต้องคอมไพล์ ➡️ Spinel ใช้โมเดล retainer กับบริษัท เพื่อความยั่งยืนโดยไม่พึ่งผู้สนับสนุนรายใหญ่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ RubyGems เป็นระบบจัดการแพ็กเกจที่สำคัญที่สุดในระบบนิเวศของ Ruby ➡️ การโจมตีซัพพลายเชนใน npm และ PyPI เคยสร้างความเสียหายระดับโลกมาแล้ว ➡️ การควบคุมโครงการโอเพ่นซอร์สโดยองค์กรเดียวอาจนำไปสู่การผูกขาดและลดความโปร่งใส ➡️ Spinel มีผู้ร่วมก่อตั้งที่เคยดูแล Bundler, RubyGems และเป็นสมาชิกทีม Rails core ➡️ rv ได้รับแรงบันดาลใจจาก uv, Homebrew, Cargo และ npm เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับนักพัฒนา https://news.itsfoss.com/corporate-takeover-of-ruby/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 226 มุมมอง 0 รีวิว
  • เข้าคิวด่านสะเดา 3 ชั่วโมง ทำลายการท่องเที่ยวไทย

    ในช่วงวันหยุดยาวของประเทศมาเลเซีย เนื่องในวันรวมชาติมาเลเซีย และปิดภาคเรียนระยะสั้น ประเทศไทยได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียจำนวนมาก โดยเฉพาะด่านพรมแดนสะเดา จ.สงขลา แต่ก็ประสบปัญหาต่อคิวยาวนาน ขาไปต้องรอกว่า 3 ชั่วโมง ส่วนขากลับรถติดหน้าด่านยาวเหยียด มาไม่ทันเวลาด่านปิด 5 ทุ่ม ต้องค้างคืนจ่ายค่าโรงแรมเกือบ 3,000 บาท กลายเป็นไวรัลในสื่อมาเลเซีย

    ดร.สิทธิพงษ์ สิทธิภัทรประภา นายกสมาคมโรงแรมหาดใหญ่ สงขลา ถึงกับตั้งคำถามว่า "เราจะต้อนรับเพื่อนบ้านที่มาอุดหนุนพี่น้องคนไทย ด้วยการปล่อยให้เขาเข้าแถวรอข้ามแดน 3 ชั่วโมง โดยที่ส่วนกลางไม่คิดจะทำอะไรให้ดีขึ้นเลยเหรอ? โดยกล่าวว่า หลายปีแล้วที่ต้องเจอกับภาพนักท่องเที่ยวแออัดที่ด่านสะเดา คนยืนรอเข้าแถวนานหลายชั่วโมงเพื่อเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย สร้างรายได้ให้กับคนไทย ล่าสุดยังคงได้รับการร้องเรียนจากนักท่องเที่ยวว่า ต้องใช้เวลาข้ามด่านนานกว่า 3 ชั่วโมง ทั้งที่เรื่องนี้มีมานานแล้ว แต่ส่วนกลางไม่เคยแก้ไขใดๆ เลย ลำพังให้หน้างานแก้ไขอย่างเดียวคงไม่สามารถทำได้

    เรื่องนี้ต้องแก้ที่โครงสร้างของระบบ กรมศุลกากรควรให้ความสำคัญกับคนไม่น้อยไปกว่าสินค้า เพราะปัจจุบันรูปแบบการท่องเที่ยวเปลี่ยนไปมาก ควรปรับรูปแบบการยื่นเอกสารนำรถยนต์เข้ามาท่องเที่ยวให้เป็นรูปแบบออนไลน์ เพื่อลดการจราจรที่แออัด นอกจากอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวแล้ว ยังสร้างความโปร่งใส เท่าเทียมให้กับนักท่องเที่ยวทุกคนอีกด้วย ดังเช่นสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้ดำเนินการแก้ไขการยื่นเอกสาร ตม.6 เป็นออนไลน์แล้ว แก้ปัญหาได้มากเลยทีเดียว

    "ผมคิดว่าไม่ใช่เฉพาะผม มีอีกหลายๆ คนที่ทนกับเรื่องนี้ไม่ได้ ดังนั้นส่วนกลางไม่ควรมองนักท่องเที่ยวมาเลเซียเป็นของตาย อะไรที่เห็นปัญหาแล้วไม่แก้ไข แปลว่าอะไร เรื่องนี้ผมจะรอ รมว.คลังคนใหม่ ที่เป็นคนนอกวงการการเมือง หวังว่าท่านจะเข้าใจและจะให้ความสำคัญกับแก้ปัญหาให้กับการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งผมจะได้นำเสนอเรื่องนี้ต่อท่านและคาดหวังว่าการท่องเที่ยวไทยจะหลุดพ้นจากบ่วงปัญหานี้ที่หมักมานานเสียที"

    อีกด้านหนึ่ง เถกิง สมทรัพย์ อดีตสื่อมวลชนอาวุโส ที่ผันตัวทำบริษัททัวร์ Around the world แสดงความคิดเห็นในเฟซบุ๊กว่า "อวสานการท่องเที่ยวชายแดนไทย-มาเลเซีย ถ้ารัฐบาลไม่ลงไปกำกับดูแลให้เกิดความคล่องตัวจริงจัง อย่าคิดว่านักท่องเที่ยวมาเลเซียเป็นของตาย" โดยเห็นว่า เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ต้องลงไปดูแล เพราะเป็นรายได้ทั้งนั้น เชื่อว่าด้วยความสามารถของด่านไทยจะแก้ปัญหาดังกล่าวได้

    #Newskit
    เข้าคิวด่านสะเดา 3 ชั่วโมง ทำลายการท่องเที่ยวไทย ในช่วงวันหยุดยาวของประเทศมาเลเซีย เนื่องในวันรวมชาติมาเลเซีย และปิดภาคเรียนระยะสั้น ประเทศไทยได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียจำนวนมาก โดยเฉพาะด่านพรมแดนสะเดา จ.สงขลา แต่ก็ประสบปัญหาต่อคิวยาวนาน ขาไปต้องรอกว่า 3 ชั่วโมง ส่วนขากลับรถติดหน้าด่านยาวเหยียด มาไม่ทันเวลาด่านปิด 5 ทุ่ม ต้องค้างคืนจ่ายค่าโรงแรมเกือบ 3,000 บาท กลายเป็นไวรัลในสื่อมาเลเซีย ดร.สิทธิพงษ์ สิทธิภัทรประภา นายกสมาคมโรงแรมหาดใหญ่ สงขลา ถึงกับตั้งคำถามว่า "เราจะต้อนรับเพื่อนบ้านที่มาอุดหนุนพี่น้องคนไทย ด้วยการปล่อยให้เขาเข้าแถวรอข้ามแดน 3 ชั่วโมง โดยที่ส่วนกลางไม่คิดจะทำอะไรให้ดีขึ้นเลยเหรอ? โดยกล่าวว่า หลายปีแล้วที่ต้องเจอกับภาพนักท่องเที่ยวแออัดที่ด่านสะเดา คนยืนรอเข้าแถวนานหลายชั่วโมงเพื่อเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย สร้างรายได้ให้กับคนไทย ล่าสุดยังคงได้รับการร้องเรียนจากนักท่องเที่ยวว่า ต้องใช้เวลาข้ามด่านนานกว่า 3 ชั่วโมง ทั้งที่เรื่องนี้มีมานานแล้ว แต่ส่วนกลางไม่เคยแก้ไขใดๆ เลย ลำพังให้หน้างานแก้ไขอย่างเดียวคงไม่สามารถทำได้ เรื่องนี้ต้องแก้ที่โครงสร้างของระบบ กรมศุลกากรควรให้ความสำคัญกับคนไม่น้อยไปกว่าสินค้า เพราะปัจจุบันรูปแบบการท่องเที่ยวเปลี่ยนไปมาก ควรปรับรูปแบบการยื่นเอกสารนำรถยนต์เข้ามาท่องเที่ยวให้เป็นรูปแบบออนไลน์ เพื่อลดการจราจรที่แออัด นอกจากอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวแล้ว ยังสร้างความโปร่งใส เท่าเทียมให้กับนักท่องเที่ยวทุกคนอีกด้วย ดังเช่นสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้ดำเนินการแก้ไขการยื่นเอกสาร ตม.6 เป็นออนไลน์แล้ว แก้ปัญหาได้มากเลยทีเดียว "ผมคิดว่าไม่ใช่เฉพาะผม มีอีกหลายๆ คนที่ทนกับเรื่องนี้ไม่ได้ ดังนั้นส่วนกลางไม่ควรมองนักท่องเที่ยวมาเลเซียเป็นของตาย อะไรที่เห็นปัญหาแล้วไม่แก้ไข แปลว่าอะไร เรื่องนี้ผมจะรอ รมว.คลังคนใหม่ ที่เป็นคนนอกวงการการเมือง หวังว่าท่านจะเข้าใจและจะให้ความสำคัญกับแก้ปัญหาให้กับการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งผมจะได้นำเสนอเรื่องนี้ต่อท่านและคาดหวังว่าการท่องเที่ยวไทยจะหลุดพ้นจากบ่วงปัญหานี้ที่หมักมานานเสียที" อีกด้านหนึ่ง เถกิง สมทรัพย์ อดีตสื่อมวลชนอาวุโส ที่ผันตัวทำบริษัททัวร์ Around the world แสดงความคิดเห็นในเฟซบุ๊กว่า "อวสานการท่องเที่ยวชายแดนไทย-มาเลเซีย ถ้ารัฐบาลไม่ลงไปกำกับดูแลให้เกิดความคล่องตัวจริงจัง อย่าคิดว่านักท่องเที่ยวมาเลเซียเป็นของตาย" โดยเห็นว่า เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ต้องลงไปดูแล เพราะเป็นรายได้ทั้งนั้น เชื่อว่าด้วยความสามารถของด่านไทยจะแก้ปัญหาดังกล่าวได้ #Newskit
    Like
    Sad
    3
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 317 มุมมอง 0 รีวิว
  • WeAct Display FS — จอ USB ขนาดจิ๋วราคา $2 ที่อาจเปลี่ยนวิธีมองข้อมูลบนคอมพิวเตอร์

    WeAct Display FS คือจอแสดงผลขนาด 0.96 นิ้วที่เชื่อมต่อผ่าน USB โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นจอเสริมสำหรับแสดงข้อมูลระบบ หรือแม้แต่ใช้เป็นจอภาพที่สองแบบพกพา ด้วยราคาประมาณ $2 บน AliExpress อุปกรณ์นี้กลายเป็นที่สนใจในกลุ่มผู้ใช้สาย embedded และนักพัฒนา DIY อย่างรวดเร็ว2

    แม้จะมีขนาดเท่ากับแฟลชไดรฟ์ แต่จอนี้ให้ความละเอียด 160×80 พิกเซล รองรับสีแบบ RGB565 ถึง 65,536 สี และมีพอร์ต USB-A แบบ reversible ที่สามารถเสียบได้ทั้งสองด้านโดยไม่ต้องกังวลเรื่องทิศทางการใช้งาน

    WeAct มีซอฟต์แวร์สองตัวสำหรับใช้งานจอนี้ ได้แก่ WeAct Studio System Monitor ที่ใช้ Python และสามารถปรับแต่ง UI ได้ตามใจ เช่น แสดงอุณหภูมิ CPU, สภาพอากาศ หรือข้อความต่าง ๆ และ WeAct Studio Screen Projection ที่จำลองจอนี้เป็นจอภาพจริงบน Windows เพื่อย้ายหน้าต่างหรือแสดงภาพแบบเต็มจอ แม้จะมีข้อจำกัดด้านขนาดและความละเอียด

    แม้บริษัทจะระบุว่ารองรับเฉพาะ Windows แต่เนื่องจากซอฟต์แวร์ตัวแรกเป็นโอเพ่นซอร์ส จึงสามารถใช้งานบน macOS, Linux และ Raspberry Pi ได้ หากมี Python 3.9+ และความสามารถในการปรับแต่งโค้ด

    อย่างไรก็ตาม มีข้อกังวลด้านความปลอดภัยจากผู้ใช้บางรายที่ตั้งคำถามว่าอุปกรณ์ USB จากผู้ผลิตจีนอาจถูกใช้เป็นช่องทางแอบแฝง เช่น เปลี่ยนเป็นคีย์บอร์ดเพื่อส่งคำสั่งอัตโนมัติ หรือฝังมัลแวร์ผ่าน driver ที่ไม่ได้เปิดเผยซอร์สโค้ด

    WeAct Display FS เป็นจอ USB ขนาด 0.96 นิ้ว ราคาประหยัด
    ความละเอียด 160×80 พิกเซล / สี RGB565 65,536 สี
    ขนาดเท่าแฟลชไดรฟ์ (43 x 14.5 มม.) / พอร์ต USB-A แบบ reversible

    มีซอฟต์แวร์ให้เลือกใช้งาน 2 แบบ
    WeAct Studio System Monitor ใช้ Python / ปรับแต่ง UI ได้
    WeAct Studio Screen Projection จำลองเป็นจอภาพจริงบน Windows

    รองรับระบบปฏิบัติการหลากหลาย
    แม้จะระบุว่าใช้ได้เฉพาะ Windows แต่สามารถใช้บน Linux/macOS ได้
    ต้องมี Python 3.9+ และปรับแต่งโค้ดเอง

    ใช้งานได้กับ Raspberry Pi และ SBC อื่น ๆ
    เหมาะสำหรับแสดงสถานะระบบหรือข้อมูลเซ็นเซอร์
    มีรุ่น 3.5 นิ้ว 480×320 พิกเซล สำหรับผู้ต้องการจอใหญ่ขึ้น

    คำเตือนเกี่ยวกับความปลอดภัยของอุปกรณ์ USB
    อุปกรณ์ USB อาจเปลี่ยนโหมดเป็น HID เช่น คีย์บอร์ด เพื่อส่งคำสั่ง
    ซอฟต์แวร์บางตัวไม่มีซอร์สโค้ด อาจมีความเสี่ยงด้านความโปร่งใส
    การติดตั้ง driver โดยไม่ตรวจสอบ อาจเปิดช่องให้มัลแวร์แฝงตัว
    ผู้ใช้ควรระวังการให้สิทธิ์ระดับ admin กับอุปกรณ์ที่ไม่รู้แหล่งที่มา

    https://www.cnx-software.com/2025/09/18/2-weact-display-fs-adds-a-0-96-inch-usb-information-display-to-your-computer/
    📰 WeAct Display FS — จอ USB ขนาดจิ๋วราคา $2 ที่อาจเปลี่ยนวิธีมองข้อมูลบนคอมพิวเตอร์ WeAct Display FS คือจอแสดงผลขนาด 0.96 นิ้วที่เชื่อมต่อผ่าน USB โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นจอเสริมสำหรับแสดงข้อมูลระบบ หรือแม้แต่ใช้เป็นจอภาพที่สองแบบพกพา ด้วยราคาประมาณ $2 บน AliExpress อุปกรณ์นี้กลายเป็นที่สนใจในกลุ่มผู้ใช้สาย embedded และนักพัฒนา DIY อย่างรวดเร็ว2 แม้จะมีขนาดเท่ากับแฟลชไดรฟ์ แต่จอนี้ให้ความละเอียด 160×80 พิกเซล รองรับสีแบบ RGB565 ถึง 65,536 สี และมีพอร์ต USB-A แบบ reversible ที่สามารถเสียบได้ทั้งสองด้านโดยไม่ต้องกังวลเรื่องทิศทางการใช้งาน WeAct มีซอฟต์แวร์สองตัวสำหรับใช้งานจอนี้ ได้แก่ WeAct Studio System Monitor ที่ใช้ Python และสามารถปรับแต่ง UI ได้ตามใจ เช่น แสดงอุณหภูมิ CPU, สภาพอากาศ หรือข้อความต่าง ๆ และ WeAct Studio Screen Projection ที่จำลองจอนี้เป็นจอภาพจริงบน Windows เพื่อย้ายหน้าต่างหรือแสดงภาพแบบเต็มจอ แม้จะมีข้อจำกัดด้านขนาดและความละเอียด แม้บริษัทจะระบุว่ารองรับเฉพาะ Windows แต่เนื่องจากซอฟต์แวร์ตัวแรกเป็นโอเพ่นซอร์ส จึงสามารถใช้งานบน macOS, Linux และ Raspberry Pi ได้ หากมี Python 3.9+ และความสามารถในการปรับแต่งโค้ด อย่างไรก็ตาม มีข้อกังวลด้านความปลอดภัยจากผู้ใช้บางรายที่ตั้งคำถามว่าอุปกรณ์ USB จากผู้ผลิตจีนอาจถูกใช้เป็นช่องทางแอบแฝง เช่น เปลี่ยนเป็นคีย์บอร์ดเพื่อส่งคำสั่งอัตโนมัติ หรือฝังมัลแวร์ผ่าน driver ที่ไม่ได้เปิดเผยซอร์สโค้ด ✅ WeAct Display FS เป็นจอ USB ขนาด 0.96 นิ้ว ราคาประหยัด ➡️ ความละเอียด 160×80 พิกเซล / สี RGB565 65,536 สี ➡️ ขนาดเท่าแฟลชไดรฟ์ (43 x 14.5 มม.) / พอร์ต USB-A แบบ reversible ✅ มีซอฟต์แวร์ให้เลือกใช้งาน 2 แบบ ➡️ WeAct Studio System Monitor ใช้ Python / ปรับแต่ง UI ได้ ➡️ WeAct Studio Screen Projection จำลองเป็นจอภาพจริงบน Windows ✅ รองรับระบบปฏิบัติการหลากหลาย ➡️ แม้จะระบุว่าใช้ได้เฉพาะ Windows แต่สามารถใช้บน Linux/macOS ได้ ➡️ ต้องมี Python 3.9+ และปรับแต่งโค้ดเอง ✅ ใช้งานได้กับ Raspberry Pi และ SBC อื่น ๆ ➡️ เหมาะสำหรับแสดงสถานะระบบหรือข้อมูลเซ็นเซอร์ ➡️ มีรุ่น 3.5 นิ้ว 480×320 พิกเซล สำหรับผู้ต้องการจอใหญ่ขึ้น ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับความปลอดภัยของอุปกรณ์ USB ⛔ อุปกรณ์ USB อาจเปลี่ยนโหมดเป็น HID เช่น คีย์บอร์ด เพื่อส่งคำสั่ง ⛔ ซอฟต์แวร์บางตัวไม่มีซอร์สโค้ด อาจมีความเสี่ยงด้านความโปร่งใส ⛔ การติดตั้ง driver โดยไม่ตรวจสอบ อาจเปิดช่องให้มัลแวร์แฝงตัว ⛔ ผู้ใช้ควรระวังการให้สิทธิ์ระดับ admin กับอุปกรณ์ที่ไม่รู้แหล่งที่มา https://www.cnx-software.com/2025/09/18/2-weact-display-fs-adds-a-0-96-inch-usb-information-display-to-your-computer/
    WWW.CNX-SOFTWARE.COM
    $2 WeAct Display FS adds a 0.96-inch USB information display to your computer - CNX Software
    WeAct Display FS is an inexpensive 0.96-inch USB display dongle designed to add an information display or a tiny secondary display to your computer or
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Nostr: โปรโตคอลสื่อสารไร้ศูนย์กลางที่อาจเปลี่ยนโฉมอินเทอร์เน็ต — เมื่อทุกคนถือกุญแจของตัวเอง”

    ในยุคที่โซเชียลมีเดียถูกควบคุมโดยบริษัทใหญ่และรัฐบาลหลายแห่ง Nostr ได้ถือกำเนิดขึ้นเพื่อเสนอทางเลือกใหม่ที่ “ไม่มีใครควบคุม” โดยเป็นโปรโตคอลเปิดที่ให้ทุกคนสามารถสร้างแอปหรือใช้งานได้อย่างอิสระ ไม่ต้องพึ่งเซิร์ฟเวอร์กลาง ไม่ต้องลงทะเบียน และไม่มีโฆษณา

    Nostr ย่อมาจาก “Notes and Other Stuff Transmitted by Relays” ซึ่งหมายถึงการส่งข้อความผ่านเครือข่ายของรีเลย์ (relay) ที่ทำหน้าที่รับ ส่ง และเก็บข้อมูล โดยผู้ใช้สามารถเลือกรีเลย์ที่ต้องการได้เอง และหากรีเลย์หนึ่งล่ม ข้อมูลก็ยังอยู่ในรีเลย์อื่น ทำให้ระบบมีความทนทานสูง

    ผู้ใช้แต่ละคนจะมี public key เป็นตัวระบุ และใช้ private key ในการเซ็นข้อความเพื่อยืนยันว่าเป็นเจ้าของจริง ซึ่งช่วยป้องกันการปลอมแปลงและเพิ่มความโปร่งใสในการสื่อสาร ทุกข้อความที่ส่งออกไปจะถูกเซ็นดิจิทัล และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้

    ในปี 2025 Nostr ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีแอปที่รองรับมากมาย เช่น Damus, Primal และ Amethyst รวมถึงการเชื่อมต่อกับ Bitcoin เพื่อสร้างเศรษฐกิจแบบไร้ตัวกลาง เช่น การให้ทิปผ่าน Lightning Network หรือการขายคอนเทนต์โดยตรง

    อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ โดยเฉพาะเรื่องความเสถียรของรีเลย์ที่บางแห่งอาจล่มบ่อย หรือจำกัดการใช้งานเฉพาะสมาชิกที่จ่ายเงิน รวมถึงการจัดการเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ซึ่งไม่มีระบบกลางในการควบคุม

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Nostr เป็นโปรโตคอลเปิดสำหรับการสื่อสารแบบไร้ศูนย์กลาง
    ใช้ระบบรีเลย์ในการส่งและเก็บข้อความ ผู้ใช้เลือกรีเลย์ได้เอง
    ทุกข้อความถูกเซ็นด้วย private key เพื่อยืนยันตัวตน
    ไม่มีเซิร์ฟเวอร์กลาง ไม่มีโฆษณา และไม่ต้องลงทะเบียน

    การใช้งานและการเติบโต
    แอปยอดนิยมที่ใช้ Nostr ได้แก่ Damus, Primal, Amethyst
    เชื่อมต่อกับ Bitcoin เพื่อสร้างเศรษฐกิจแบบ peer-to-peer
    ผู้ใช้สามารถให้ทิปหรือขายคอนเทนต์โดยตรงผ่าน Lightning Network
    โปรโตคอลได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในปี 2025 และมีผู้ใช้หลายล้านคน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Nostr ถูกเปรียบเทียบกับ Bitcoin ในแง่ของการกระจายอำนาจและความโปร่งใส
    การเซ็นข้อความด้วย cryptographic key ช่วยป้องกันการปลอมแปลง
    นักพัฒนาใช้ nostr-tools library ในการสร้างแอปและจัดการ key
    การไม่มีระบบกลางช่วยให้ไอเดียใหม่ ๆ ถูกทดลองได้อย่างรวดเร็ว


    https://nostr.com/
    🌐 “Nostr: โปรโตคอลสื่อสารไร้ศูนย์กลางที่อาจเปลี่ยนโฉมอินเทอร์เน็ต — เมื่อทุกคนถือกุญแจของตัวเอง” ในยุคที่โซเชียลมีเดียถูกควบคุมโดยบริษัทใหญ่และรัฐบาลหลายแห่ง Nostr ได้ถือกำเนิดขึ้นเพื่อเสนอทางเลือกใหม่ที่ “ไม่มีใครควบคุม” โดยเป็นโปรโตคอลเปิดที่ให้ทุกคนสามารถสร้างแอปหรือใช้งานได้อย่างอิสระ ไม่ต้องพึ่งเซิร์ฟเวอร์กลาง ไม่ต้องลงทะเบียน และไม่มีโฆษณา Nostr ย่อมาจาก “Notes and Other Stuff Transmitted by Relays” ซึ่งหมายถึงการส่งข้อความผ่านเครือข่ายของรีเลย์ (relay) ที่ทำหน้าที่รับ ส่ง และเก็บข้อมูล โดยผู้ใช้สามารถเลือกรีเลย์ที่ต้องการได้เอง และหากรีเลย์หนึ่งล่ม ข้อมูลก็ยังอยู่ในรีเลย์อื่น ทำให้ระบบมีความทนทานสูง ผู้ใช้แต่ละคนจะมี public key เป็นตัวระบุ และใช้ private key ในการเซ็นข้อความเพื่อยืนยันว่าเป็นเจ้าของจริง ซึ่งช่วยป้องกันการปลอมแปลงและเพิ่มความโปร่งใสในการสื่อสาร ทุกข้อความที่ส่งออกไปจะถูกเซ็นดิจิทัล และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ในปี 2025 Nostr ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีแอปที่รองรับมากมาย เช่น Damus, Primal และ Amethyst รวมถึงการเชื่อมต่อกับ Bitcoin เพื่อสร้างเศรษฐกิจแบบไร้ตัวกลาง เช่น การให้ทิปผ่าน Lightning Network หรือการขายคอนเทนต์โดยตรง อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ โดยเฉพาะเรื่องความเสถียรของรีเลย์ที่บางแห่งอาจล่มบ่อย หรือจำกัดการใช้งานเฉพาะสมาชิกที่จ่ายเงิน รวมถึงการจัดการเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ซึ่งไม่มีระบบกลางในการควบคุม ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Nostr เป็นโปรโตคอลเปิดสำหรับการสื่อสารแบบไร้ศูนย์กลาง ➡️ ใช้ระบบรีเลย์ในการส่งและเก็บข้อความ ผู้ใช้เลือกรีเลย์ได้เอง ➡️ ทุกข้อความถูกเซ็นด้วย private key เพื่อยืนยันตัวตน ➡️ ไม่มีเซิร์ฟเวอร์กลาง ไม่มีโฆษณา และไม่ต้องลงทะเบียน ✅ การใช้งานและการเติบโต ➡️ แอปยอดนิยมที่ใช้ Nostr ได้แก่ Damus, Primal, Amethyst ➡️ เชื่อมต่อกับ Bitcoin เพื่อสร้างเศรษฐกิจแบบ peer-to-peer ➡️ ผู้ใช้สามารถให้ทิปหรือขายคอนเทนต์โดยตรงผ่าน Lightning Network ➡️ โปรโตคอลได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในปี 2025 และมีผู้ใช้หลายล้านคน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Nostr ถูกเปรียบเทียบกับ Bitcoin ในแง่ของการกระจายอำนาจและความโปร่งใส ➡️ การเซ็นข้อความด้วย cryptographic key ช่วยป้องกันการปลอมแปลง ➡️ นักพัฒนาใช้ nostr-tools library ในการสร้างแอปและจัดการ key ➡️ การไม่มีระบบกลางช่วยให้ไอเดียใหม่ ๆ ถูกทดลองได้อย่างรวดเร็ว https://nostr.com/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 212 มุมมอง 0 รีวิว
  • Anthropic เปิดเบื้องหลัง 3 บั๊กใหญ่ที่ทำให้ Claude ตอบผิดเพี้ยน — เมื่อ AI ไม่ได้ “เนิร์ฟ” แต่โครงสร้างพื้นฐานพัง

    ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงต้นกันยายน 2025 ผู้ใช้ Claude หลายคนเริ่มสังเกตว่าคุณภาพการตอบกลับของโมเดลลดลงอย่างผิดปกติ บางคนได้รับคำตอบที่แปลกประหลาด เช่นมีตัวอักษรไทยโผล่กลางข้อความภาษาอังกฤษ หรือโค้ดที่ผิดไวยากรณ์อย่างชัดเจน จนเกิดข้อสงสัยว่า Anthropic กำลัง “ลดคุณภาพ” ของโมเดลเพื่อจัดการกับโหลดหรือควบคุมต้นทุน

    แต่ล่าสุด Anthropic ได้ออกมาเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่า ปัญหาทั้งหมดเกิดจาก “บั๊กในโครงสร้างพื้นฐาน” ไม่ใช่การลดคุณภาพโดยเจตนา โดยมีทั้งหมด 3 บั๊กที่เกิดขึ้นพร้อมกันและส่งผลกระทบต่อโมเดล Claude หลายรุ่น ได้แก่ Sonnet 4, Opus 4.1, Haiku 3.5 และ Opus 3

    บั๊กแรกคือการ “ส่งคำขอผิดเซิร์ฟเวอร์” โดยคำขอที่ควรใช้ context window แบบสั้น กลับถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่เตรียมไว้สำหรับ context window ขนาด 1 ล้านโทเคน ซึ่งยังไม่พร้อมใช้งาน ทำให้การตอบกลับผิดเพี้ยนและช้า โดยเฉพาะในช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่มีการเปลี่ยนแปลงระบบ load balancing ทำให้คำขอผิดพลาดเพิ่มขึ้นถึง 16%

    บั๊กที่สองคือ “การสร้างโทเคนผิดพลาด” บนเซิร์ฟเวอร์ TPU ซึ่งเกิดจากการปรับแต่งประสิทธิภาพที่ทำให้โมเดลเลือกโทเคนที่ไม่ควรปรากฏ เช่น ตัวอักษรจีนหรือไทยในคำตอบภาษาอังกฤษ หรือโค้ดที่มี syntax ผิดอย่างชัดเจน

    บั๊กสุดท้ายคือ “การคอมไพล์ผิดพลาดใน XLA:TPU” ซึ่งเกิดจากการใช้การคำนวณแบบ approximate top-k ที่ควรช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่กลับทำให้โมเดลเลือกโทเคนผิด โดยเฉพาะเมื่อใช้ precision ที่ไม่ตรงกันระหว่าง bf16 และ fp32 ทำให้โทเคนที่ควรมีโอกาสสูงสุดถูกตัดออกไปโดยไม่ตั้งใจ

    Anthropic ได้แก้ไขบั๊กทั้งหมดแล้ว และประกาศแผนปรับปรุงระบบตรวจสอบคุณภาพให้ละเอียดขึ้น รวมถึงพัฒนาเครื่องมือ debug ที่ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ พร้อมขอความร่วมมือจากผู้ใช้ให้ส่ง feedback เมื่อพบปัญหา เพื่อช่วยให้ทีมงานตรวจสอบได้เร็วขึ้น

    Claude ตอบผิดเพี้ยนจาก 3 บั๊กในโครงสร้างพื้นฐาน
    ไม่ใช่การลดคุณภาพโดยเจตนา
    ส่งผลกระทบต่อหลายรุ่น เช่น Sonnet 4, Opus 4.1, Haiku 3.5

    บั๊กที่ 1: Context window routing error
    คำขอถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ context window 1M โดยผิดพลาด
    ส่งผลให้คำตอบผิดเพี้ยน โดยเฉพาะช่วงปลายเดือนสิงหาคม

    บั๊กที่ 2: Output corruption บน TPU
    โทเคนที่ไม่ควรปรากฏถูกเลือก เช่น “สวัสดี” ในคำตอบภาษาอังกฤษ
    เกิดจากการปรับแต่งประสิทธิภาพที่ผิดพลาด

    บั๊กที่ 3: XLA:TPU miscompilation
    การใช้ approximate top-k ทำให้โทเคนที่ควรมีโอกาสสูงสุดถูกตัดออก
    เกิดจาก precision mismatch ระหว่าง bf16 และ fp32

    Anthropic แก้ไขบั๊กทั้งหมดแล้ว
    ปรับ routing logic / rollback การเปลี่ยนแปลง / ใช้ exact top-k แทน
    เพิ่มการตรวจสอบคุณภาพและเครื่องมือ debug ใหม่

    ผู้ใช้สามารถช่วยแจ้งปัญหาได้โดยใช้ /bug หรือปุ่ม thumbs down
    Feedback จากผู้ใช้ช่วยให้ทีมงานตรวจสอบได้เร็วขึ้น
    Anthropic ยืนยันความโปร่งใสและขอบคุณชุมชนที่ช่วยเหลือ

    https://www.anthropic.com/engineering/a-postmortem-of-three-recent-issues
    📰 Anthropic เปิดเบื้องหลัง 3 บั๊กใหญ่ที่ทำให้ Claude ตอบผิดเพี้ยน — เมื่อ AI ไม่ได้ “เนิร์ฟ” แต่โครงสร้างพื้นฐานพัง ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงต้นกันยายน 2025 ผู้ใช้ Claude หลายคนเริ่มสังเกตว่าคุณภาพการตอบกลับของโมเดลลดลงอย่างผิดปกติ บางคนได้รับคำตอบที่แปลกประหลาด เช่นมีตัวอักษรไทยโผล่กลางข้อความภาษาอังกฤษ หรือโค้ดที่ผิดไวยากรณ์อย่างชัดเจน จนเกิดข้อสงสัยว่า Anthropic กำลัง “ลดคุณภาพ” ของโมเดลเพื่อจัดการกับโหลดหรือควบคุมต้นทุน แต่ล่าสุด Anthropic ได้ออกมาเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่า ปัญหาทั้งหมดเกิดจาก “บั๊กในโครงสร้างพื้นฐาน” ไม่ใช่การลดคุณภาพโดยเจตนา โดยมีทั้งหมด 3 บั๊กที่เกิดขึ้นพร้อมกันและส่งผลกระทบต่อโมเดล Claude หลายรุ่น ได้แก่ Sonnet 4, Opus 4.1, Haiku 3.5 และ Opus 3 บั๊กแรกคือการ “ส่งคำขอผิดเซิร์ฟเวอร์” โดยคำขอที่ควรใช้ context window แบบสั้น กลับถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่เตรียมไว้สำหรับ context window ขนาด 1 ล้านโทเคน ซึ่งยังไม่พร้อมใช้งาน ทำให้การตอบกลับผิดเพี้ยนและช้า โดยเฉพาะในช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่มีการเปลี่ยนแปลงระบบ load balancing ทำให้คำขอผิดพลาดเพิ่มขึ้นถึง 16% บั๊กที่สองคือ “การสร้างโทเคนผิดพลาด” บนเซิร์ฟเวอร์ TPU ซึ่งเกิดจากการปรับแต่งประสิทธิภาพที่ทำให้โมเดลเลือกโทเคนที่ไม่ควรปรากฏ เช่น ตัวอักษรจีนหรือไทยในคำตอบภาษาอังกฤษ หรือโค้ดที่มี syntax ผิดอย่างชัดเจน บั๊กสุดท้ายคือ “การคอมไพล์ผิดพลาดใน XLA:TPU” ซึ่งเกิดจากการใช้การคำนวณแบบ approximate top-k ที่ควรช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่กลับทำให้โมเดลเลือกโทเคนผิด โดยเฉพาะเมื่อใช้ precision ที่ไม่ตรงกันระหว่าง bf16 และ fp32 ทำให้โทเคนที่ควรมีโอกาสสูงสุดถูกตัดออกไปโดยไม่ตั้งใจ Anthropic ได้แก้ไขบั๊กทั้งหมดแล้ว และประกาศแผนปรับปรุงระบบตรวจสอบคุณภาพให้ละเอียดขึ้น รวมถึงพัฒนาเครื่องมือ debug ที่ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ พร้อมขอความร่วมมือจากผู้ใช้ให้ส่ง feedback เมื่อพบปัญหา เพื่อช่วยให้ทีมงานตรวจสอบได้เร็วขึ้น ✅ Claude ตอบผิดเพี้ยนจาก 3 บั๊กในโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ ไม่ใช่การลดคุณภาพโดยเจตนา ➡️ ส่งผลกระทบต่อหลายรุ่น เช่น Sonnet 4, Opus 4.1, Haiku 3.5 ✅ บั๊กที่ 1: Context window routing error ➡️ คำขอถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ context window 1M โดยผิดพลาด ➡️ ส่งผลให้คำตอบผิดเพี้ยน โดยเฉพาะช่วงปลายเดือนสิงหาคม ✅ บั๊กที่ 2: Output corruption บน TPU ➡️ โทเคนที่ไม่ควรปรากฏถูกเลือก เช่น “สวัสดี” ในคำตอบภาษาอังกฤษ ➡️ เกิดจากการปรับแต่งประสิทธิภาพที่ผิดพลาด ✅ บั๊กที่ 3: XLA:TPU miscompilation ➡️ การใช้ approximate top-k ทำให้โทเคนที่ควรมีโอกาสสูงสุดถูกตัดออก ➡️ เกิดจาก precision mismatch ระหว่าง bf16 และ fp32 ✅ Anthropic แก้ไขบั๊กทั้งหมดแล้ว ➡️ ปรับ routing logic / rollback การเปลี่ยนแปลง / ใช้ exact top-k แทน ➡️ เพิ่มการตรวจสอบคุณภาพและเครื่องมือ debug ใหม่ ✅ ผู้ใช้สามารถช่วยแจ้งปัญหาได้โดยใช้ /bug หรือปุ่ม thumbs down ➡️ Feedback จากผู้ใช้ช่วยให้ทีมงานตรวจสอบได้เร็วขึ้น ➡️ Anthropic ยืนยันความโปร่งใสและขอบคุณชุมชนที่ช่วยเหลือ https://www.anthropic.com/engineering/a-postmortem-of-three-recent-issues
    WWW.ANTHROPIC.COM
    A postmortem of three recent issues
    This is a technical report on three bugs that intermittently degraded responses from Claude. Below we explain what happened, why it took time to fix, and what we're changing.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 260 มุมมอง 0 รีวิว
  • Tor VPN เปิดตัวเวอร์ชันเบต้า Android — ขยายขอบเขตความเป็นส่วนตัวจากเบราว์เซอร์สู่ระบบเครือข่าย

    โครงการ Tor ที่รู้จักกันดีในฐานะผู้พัฒนาเบราว์เซอร์ที่เน้นความเป็นส่วนตัว ได้เปิดตัวแอป VPN เวอร์ชันเบต่าสำหรับ Android อย่างเงียบ ๆ บน Google Play Store โดยใช้ชื่อว่า “Tor VPN” ซึ่งเป็นความพยายามครั้งใหม่ในการปกป้องผู้ใช้งานจากการเซ็นเซอร์และการติดตามออนไลน์ในระดับเครือข่าย ไม่ใช่แค่ในเบราว์เซอร์อีกต่อไป

    Tor VPN ใช้โครงสร้างใหม่ที่เรียกว่า Arti ซึ่งเป็นการเขียนระบบ Tor ด้วยภาษา Rust แทน C เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความเสถียร ตัวแอปยังรองรับฟีเจอร์ split tunneling ที่ให้ผู้ใช้เลือกได้ว่าแอปใดจะส่งข้อมูลผ่านเครือข่าย Tor และแต่ละแอปจะได้รับ IP แยกกัน ทำให้ยากต่อการเชื่อมโยงพฤติกรรมออนไลน์ของผู้ใช้

    นอกจากนี้ยังมีการฝังระบบ “bridge” ป้องกันการเซ็นเซอร์ เช่น obfs4 ที่ทำให้ทราฟฟิกดูเหมือนข้อมูลสุ่ม และ Snowflake ที่ปลอมทราฟฟิกให้เหมือนวิดีโอคอลผ่าน WebRTC ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ในประเทศที่มีการควบคุมอินเทอร์เน็ตสามารถเข้าถึง Tor ได้ง่ายขึ้น

    อย่างไรก็ตาม Tor VPN ยังอยู่ในช่วงทดลอง และนักพัฒนาย้ำว่าไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น นักข่าวหรือผู้เคลื่อนไหวในประเทศที่มีการสอดแนมอย่างเข้มงวด เพราะอาจยังมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย

    Tor เปิดตัว VPN เบต้าสำหรับ Android
    ใช้ชื่อว่า Tor VPN และมีให้ดาวน์โหลดบน Google Play Store
    เป็นการขยายการปกป้องความเป็นส่วนตัวจากเบราว์เซอร์สู่ระดับเครือข่าย

    ใช้โครงสร้างใหม่ Arti ที่เขียนด้วยภาษา Rust
    ปลอดภัยและเสถียรกว่าระบบเดิมที่ใช้ภาษา C
    เป็นพื้นฐานใหม่สำหรับการพัฒนา Tor ในอนาคต

    รองรับฟีเจอร์ split tunneling
    ผู้ใช้สามารถเลือกแอปที่ต้องการให้ผ่านเครือข่าย Tor
    แต่ละแอปจะได้รับ IP แยกกัน ลดการเชื่อมโยงพฤติกรรม

    มีระบบ bridge ป้องกันการเซ็นเซอร์
    obfs4 ทำให้ทราฟฟิกดูเหมือนข้อมูลสุ่ม
    Snowflake ปลอมทราฟฟิกให้เหมือนวิดีโอคอลผ่าน WebRTC

    แอปเป็น open source และมีโค้ดอยู่บน GitHub
    เปิดให้ผู้ใช้และนักพัฒนาตรวจสอบและร่วมพัฒนา
    ช่วยเพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือ

    คำเตือนเกี่ยวกับการใช้งาน Tor VPN เบต้า
    ยังไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่มีความเสี่ยงสูง เช่น นักข่าวหรือผู้เคลื่อนไหว
    อาจมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยหรือการรั่วไหลของข้อมูล
    ยังไม่สามารถเทียบเท่ากับ VPN เชิงพาณิชย์ที่ผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวด
    การใช้งานในประเทศที่มีการควบคุมอินเทอร์เน็ตอาจยังไม่ปลอดภัยเต็มที่

    https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/the-tor-project-quietly-launches-a-beta-android-vpn-and-looks-for-testers
    📰 Tor VPN เปิดตัวเวอร์ชันเบต้า Android — ขยายขอบเขตความเป็นส่วนตัวจากเบราว์เซอร์สู่ระบบเครือข่าย โครงการ Tor ที่รู้จักกันดีในฐานะผู้พัฒนาเบราว์เซอร์ที่เน้นความเป็นส่วนตัว ได้เปิดตัวแอป VPN เวอร์ชันเบต่าสำหรับ Android อย่างเงียบ ๆ บน Google Play Store โดยใช้ชื่อว่า “Tor VPN” ซึ่งเป็นความพยายามครั้งใหม่ในการปกป้องผู้ใช้งานจากการเซ็นเซอร์และการติดตามออนไลน์ในระดับเครือข่าย ไม่ใช่แค่ในเบราว์เซอร์อีกต่อไป Tor VPN ใช้โครงสร้างใหม่ที่เรียกว่า Arti ซึ่งเป็นการเขียนระบบ Tor ด้วยภาษา Rust แทน C เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความเสถียร ตัวแอปยังรองรับฟีเจอร์ split tunneling ที่ให้ผู้ใช้เลือกได้ว่าแอปใดจะส่งข้อมูลผ่านเครือข่าย Tor และแต่ละแอปจะได้รับ IP แยกกัน ทำให้ยากต่อการเชื่อมโยงพฤติกรรมออนไลน์ของผู้ใช้ นอกจากนี้ยังมีการฝังระบบ “bridge” ป้องกันการเซ็นเซอร์ เช่น obfs4 ที่ทำให้ทราฟฟิกดูเหมือนข้อมูลสุ่ม และ Snowflake ที่ปลอมทราฟฟิกให้เหมือนวิดีโอคอลผ่าน WebRTC ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ในประเทศที่มีการควบคุมอินเทอร์เน็ตสามารถเข้าถึง Tor ได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม Tor VPN ยังอยู่ในช่วงทดลอง และนักพัฒนาย้ำว่าไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น นักข่าวหรือผู้เคลื่อนไหวในประเทศที่มีการสอดแนมอย่างเข้มงวด เพราะอาจยังมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ✅ Tor เปิดตัว VPN เบต้าสำหรับ Android ➡️ ใช้ชื่อว่า Tor VPN และมีให้ดาวน์โหลดบน Google Play Store ➡️ เป็นการขยายการปกป้องความเป็นส่วนตัวจากเบราว์เซอร์สู่ระดับเครือข่าย ✅ ใช้โครงสร้างใหม่ Arti ที่เขียนด้วยภาษา Rust ➡️ ปลอดภัยและเสถียรกว่าระบบเดิมที่ใช้ภาษา C ➡️ เป็นพื้นฐานใหม่สำหรับการพัฒนา Tor ในอนาคต ✅ รองรับฟีเจอร์ split tunneling ➡️ ผู้ใช้สามารถเลือกแอปที่ต้องการให้ผ่านเครือข่าย Tor ➡️ แต่ละแอปจะได้รับ IP แยกกัน ลดการเชื่อมโยงพฤติกรรม ✅ มีระบบ bridge ป้องกันการเซ็นเซอร์ ➡️ obfs4 ทำให้ทราฟฟิกดูเหมือนข้อมูลสุ่ม ➡️ Snowflake ปลอมทราฟฟิกให้เหมือนวิดีโอคอลผ่าน WebRTC ✅ แอปเป็น open source และมีโค้ดอยู่บน GitHub ➡️ เปิดให้ผู้ใช้และนักพัฒนาตรวจสอบและร่วมพัฒนา ➡️ ช่วยเพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือ ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการใช้งาน Tor VPN เบต้า ⛔ ยังไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่มีความเสี่ยงสูง เช่น นักข่าวหรือผู้เคลื่อนไหว ⛔ อาจมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยหรือการรั่วไหลของข้อมูล ⛔ ยังไม่สามารถเทียบเท่ากับ VPN เชิงพาณิชย์ที่ผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวด ⛔ การใช้งานในประเทศที่มีการควบคุมอินเทอร์เน็ตอาจยังไม่ปลอดภัยเต็มที่ https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/the-tor-project-quietly-launches-a-beta-android-vpn-and-looks-for-testers
    WWW.TECHRADAR.COM
    The Tor Project quietly launches a beta Android VPN – and looks for testers
    The Tor Project continues its fight for online privacy, this time with a VPN app
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 0 รีวิว
  • Comet: เบราว์เซอร์ AI ตัวแรกที่มาพร้อมระบบความปลอดภัยจาก 1Password — เมื่อผู้ช่วยส่วนตัวออนไลน์ต้องปลอดภัยตั้งแต่ต้นทาง

    ในยุคที่เบราว์เซอร์ไม่ใช่แค่เครื่องมือค้นหา แต่กลายเป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่ “คิด วิเคราะห์ และตัดสินใจ” ได้เอง Comet จาก Perplexity คือเบราว์เซอร์ AI ตัวใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนประสบการณ์ออนไลน์ให้ฉลาดขึ้น โดยใช้ AI ในการเข้าใจเจตนาและนำเสนอข้อมูลแบบตรงจุด แต่ความสามารถนี้ก็มาพร้อมความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่สูงขึ้น

    เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ Perplexity ได้จับมือกับ 1Password ผู้นำด้านการจัดการรหัสผ่าน เพื่อฝังระบบความปลอดภัยระดับสูงเข้าไปใน Comet ตั้งแต่ต้น โดยผู้ใช้สามารถติดตั้งส่วนขยายของ 1Password เพื่อจัดการรหัสผ่าน, passkeys, และข้อมูลล็อกอินต่าง ๆ ได้อย่างปลอดภัยผ่านระบบ end-to-end encryption และ zero-knowledge architecture

    Comet ยังเน้นการเก็บข้อมูลแบบ local storage โดยไม่ส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Perplexity ทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุมสิ่งที่ AI เข้าถึงได้อย่างชัดเจน และลดความเสี่ยงจากการรั่วไหลของข้อมูลส่วนตัว

    ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนแนวคิดใหม่ของการพัฒนา AI — ไม่ใช่แค่ “ฉลาด” แต่ต้อง “ปลอดภัยโดยออกแบบ” เพื่อให้ผู้ใช้สามารถไว้วางใจและใช้งานได้อย่างมั่นใจในโลกออนไลน์ที่เต็มไปด้วยภัยคุกคาม

    Comet คือเบราว์เซอร์ AI ที่ออกแบบมาเพื่อเป็นผู้ช่วยส่วนตัวออนไลน์
    ใช้ AI วิเคราะห์เจตนาและนำเสนอข้อมูลแบบตรงจุด
    เปลี่ยนเบราว์เซอร์จากเครื่องมือแบบ passive เป็นระบบที่ “คิดและตัดสินใจ” ได้

    ความร่วมมือระหว่าง Perplexity และ 1Password
    ฝังระบบ credential security เข้าไปใน Comet โดยตรง
    ใช้ end-to-end encryption และ zero-knowledge architecture

    ส่วนขยาย 1Password สำหรับ Comet
    รองรับการล็อกอิน, autofill, และจัดการรหัสผ่านแบบปลอดภัย
    ซิงค์ข้อมูลข้ามอุปกรณ์และเบราว์เซอร์ได้
    สร้าง passkeys และรหัสผ่านที่แข็งแรงได้ทันที

    Comet เน้นความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้
    เก็บข้อมูลการใช้งานไว้ในเครื่อง ไม่ส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์
    ผู้ใช้สามารถควบคุมว่า AI เข้าถึงข้อมูลใด เมื่อใด และทำไม

    แนวคิด “ปลอดภัยโดยออกแบบ” สำหรับ AI
    ไม่ให้ LLM เข้าถึงรหัสผ่านโดยตรง
    ใช้ระบบ authorization ที่มีการกำหนดสิทธิ์แบบ deterministic
    ทุกการเข้าถึงต้องมี audit trail เพื่อความโปร่งใส

    คำเตือนเกี่ยวกับการใช้เบราว์เซอร์ AI
    หากไม่มีระบบความปลอดภัยที่ดี AI อาจเข้าถึงข้อมูลสำคัญโดยไม่ได้ตั้งใจ
    การใช้ LLM โดยไม่มีการควบคุมสิทธิ์ อาจทำให้เกิดการรั่วไหลของ credentials
    ผู้ใช้ต้องเข้าใจว่า AI ไม่ควรได้รับ “raw secrets” ผ่าน prompt หรือ embedding
    หากไม่มี audit trail องค์กรจะไม่สามารถตรวจสอบการเข้าถึงย้อนหลังได้

    https://www.techradar.com/pro/security/1password-and-perplexity-partner-on-comet-ai-browser-a-full-time-personal-assistant-with-security-by-default
    📰 Comet: เบราว์เซอร์ AI ตัวแรกที่มาพร้อมระบบความปลอดภัยจาก 1Password — เมื่อผู้ช่วยส่วนตัวออนไลน์ต้องปลอดภัยตั้งแต่ต้นทาง ในยุคที่เบราว์เซอร์ไม่ใช่แค่เครื่องมือค้นหา แต่กลายเป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่ “คิด วิเคราะห์ และตัดสินใจ” ได้เอง Comet จาก Perplexity คือเบราว์เซอร์ AI ตัวใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนประสบการณ์ออนไลน์ให้ฉลาดขึ้น โดยใช้ AI ในการเข้าใจเจตนาและนำเสนอข้อมูลแบบตรงจุด แต่ความสามารถนี้ก็มาพร้อมความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่สูงขึ้น เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ Perplexity ได้จับมือกับ 1Password ผู้นำด้านการจัดการรหัสผ่าน เพื่อฝังระบบความปลอดภัยระดับสูงเข้าไปใน Comet ตั้งแต่ต้น โดยผู้ใช้สามารถติดตั้งส่วนขยายของ 1Password เพื่อจัดการรหัสผ่าน, passkeys, และข้อมูลล็อกอินต่าง ๆ ได้อย่างปลอดภัยผ่านระบบ end-to-end encryption และ zero-knowledge architecture Comet ยังเน้นการเก็บข้อมูลแบบ local storage โดยไม่ส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Perplexity ทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุมสิ่งที่ AI เข้าถึงได้อย่างชัดเจน และลดความเสี่ยงจากการรั่วไหลของข้อมูลส่วนตัว ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนแนวคิดใหม่ของการพัฒนา AI — ไม่ใช่แค่ “ฉลาด” แต่ต้อง “ปลอดภัยโดยออกแบบ” เพื่อให้ผู้ใช้สามารถไว้วางใจและใช้งานได้อย่างมั่นใจในโลกออนไลน์ที่เต็มไปด้วยภัยคุกคาม ✅ Comet คือเบราว์เซอร์ AI ที่ออกแบบมาเพื่อเป็นผู้ช่วยส่วนตัวออนไลน์ ➡️ ใช้ AI วิเคราะห์เจตนาและนำเสนอข้อมูลแบบตรงจุด ➡️ เปลี่ยนเบราว์เซอร์จากเครื่องมือแบบ passive เป็นระบบที่ “คิดและตัดสินใจ” ได้ ✅ ความร่วมมือระหว่าง Perplexity และ 1Password ➡️ ฝังระบบ credential security เข้าไปใน Comet โดยตรง ➡️ ใช้ end-to-end encryption และ zero-knowledge architecture ✅ ส่วนขยาย 1Password สำหรับ Comet ➡️ รองรับการล็อกอิน, autofill, และจัดการรหัสผ่านแบบปลอดภัย ➡️ ซิงค์ข้อมูลข้ามอุปกรณ์และเบราว์เซอร์ได้ ➡️ สร้าง passkeys และรหัสผ่านที่แข็งแรงได้ทันที ✅ Comet เน้นความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ➡️ เก็บข้อมูลการใช้งานไว้ในเครื่อง ไม่ส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ ➡️ ผู้ใช้สามารถควบคุมว่า AI เข้าถึงข้อมูลใด เมื่อใด และทำไม ✅ แนวคิด “ปลอดภัยโดยออกแบบ” สำหรับ AI ➡️ ไม่ให้ LLM เข้าถึงรหัสผ่านโดยตรง ➡️ ใช้ระบบ authorization ที่มีการกำหนดสิทธิ์แบบ deterministic ➡️ ทุกการเข้าถึงต้องมี audit trail เพื่อความโปร่งใส ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการใช้เบราว์เซอร์ AI ⛔ หากไม่มีระบบความปลอดภัยที่ดี AI อาจเข้าถึงข้อมูลสำคัญโดยไม่ได้ตั้งใจ ⛔ การใช้ LLM โดยไม่มีการควบคุมสิทธิ์ อาจทำให้เกิดการรั่วไหลของ credentials ⛔ ผู้ใช้ต้องเข้าใจว่า AI ไม่ควรได้รับ “raw secrets” ผ่าน prompt หรือ embedding ⛔ หากไม่มี audit trail องค์กรจะไม่สามารถตรวจสอบการเข้าถึงย้อนหลังได้ https://www.techradar.com/pro/security/1password-and-perplexity-partner-on-comet-ai-browser-a-full-time-personal-assistant-with-security-by-default
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 210 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Ant Group แฉกลยุทธ์ลับของยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ — เปิดซอร์สแค่เปลือก เพื่อกักนักพัฒนาไว้ในระบบปิดของ AI”

    ในงาน Inclusion Conference ที่เซี่ยงไฮ้เมื่อกลางเดือนกันยายน 2025 Ant Group บริษัทฟินเทคยักษ์ใหญ่ของจีนได้เปิดเผยรายงานที่วิจารณ์บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ เช่น Nvidia, OpenAI และ Google ว่าใช้กลยุทธ์ “เปิดซอร์สแบบหลอก” เพื่อดึงนักพัฒนาเข้าสู่ระบบ AI แบบปิดของตนเอง โดยอ้างว่าแม้จะมีการเปิดซอร์สเครื่องมือบางส่วน แต่แกนหลักของโมเดลและฮาร์ดแวร์ยังคงถูกควบคุมอย่างเข้มงวด

    ตัวอย่างที่ถูกยกขึ้นมาคือ “Dynamo” แพลตฟอร์ม inference ที่ Nvidia เปิดซอร์สในเดือนมีนาคม 2024 ซึ่งถูกโปรโมตว่าเป็น “ระบบปฏิบัติการของ AI” แต่จริง ๆ แล้วถูกออกแบบมาให้ทำงานได้ดีที่สุดกับ GPU ของ Nvidia เท่านั้น ทำให้ผู้พัฒนาแทบไม่มีทางเลือกอื่นหากต้องการประสิทธิภาพสูงสุด

    OpenAI และ Google ก็ถูกกล่าวหาว่าเปิดซอร์สเฟรมเวิร์กสำหรับสร้าง AI agent แต่เฟรมเวิร์กเหล่านั้นถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับโมเดลเฉพาะของบริษัทเท่านั้น เช่น GPT หรือ Gemini ซึ่งหมายความว่าผู้พัฒนาจะถูกผูกติดกับระบบของบริษัทเหล่านี้ในระยะยาว

    Ant Group เปรียบเทียบกับแนวทางของบริษัทจีน เช่น Alibaba Cloud และ ByteDance ที่เปิดซอร์สโมเดลหลักให้ดาวน์โหลดและนำไปพัฒนาต่อได้จริง ซึ่งทำให้เกิดการนำไปใช้อย่างแพร่หลาย แม้แต่ในสตาร์ทอัพของสหรัฐฯ เอง

    รายงานยังชี้ให้เห็นถึงการผูกขาดในตลาด โดย Microsoft ครองส่วนแบ่ง 39% ในด้านโมเดลพื้นฐานและแพลตฟอร์มจัดการโมเดล ขณะที่ Nvidia ครองตลาด GPU สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ถึง 92% ซึ่งทำให้การเข้าถึง AI อย่างแท้จริงกลายเป็นเรื่องยากสำหรับผู้เล่นรายเล็ก

    แม้สหรัฐฯ จะมีส่วนร่วมในระบบ open-source AI ถึง 37.4% ของโลก แต่ Ant Group เตือนว่าการเปิดซอร์สเฉพาะ “เครื่องมือรอบนอก” โดยไม่เปิดโมเดลหลัก อาจทำให้เกิดการควบคุมเชิงโครงสร้างที่ลึกกว่าที่เห็น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Ant Group วิจารณ์ Nvidia, OpenAI และ Google ว่าใช้ open-source แบบจำกัด
    Dynamo ของ Nvidia ถูกออกแบบให้ทำงานได้ดีที่สุดกับ GPU ของ Nvidia
    OpenAI และ Google เปิดซอร์สเฟรมเวิร์กที่ผูกติดกับโมเดลเฉพาะของตน
    Alibaba Cloud และ ByteDance เปิดซอร์สโมเดลหลักให้ดาวน์โหลดและพัฒนาต่อได้

    สถานการณ์ตลาดและผลกระทบ
    Microsoft ครองตลาดโมเดลพื้นฐานและแพลตฟอร์มจัดการโมเดล 39%
    Nvidia ครองตลาด GPU ดาต้าเซ็นเตอร์ถึง 92%
    สหรัฐฯ มีส่วนร่วมในระบบ open-source AI 37.4% ของโลก
    จีนมีส่วนร่วม 18.7% และเน้นการเปิดซอร์สโมเดลมากกว่าเครื่องมือ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    AI agent คือระบบที่ทำงานอัตโนมัติแทนผู้ใช้ โดยใช้โมเดลพื้นฐานเป็นแกน
    การเปิดซอร์สโมเดลช่วยให้เกิดความโปร่งใสและการทดลองในวงกว้าง
    การเปิดซอร์สเฉพาะเครื่องมืออาจทำให้เกิดการผูกขาดเชิงเทคโนโลยี
    สตาร์ทอัพในสหรัฐฯ เริ่มหันมาใช้โมเดลจีนที่เปิดซอร์สเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัด

    https://www.techradar.com/pro/top-us-tech-companies-are-holding-developers-in-closed-source-ai-ecosystems-ant-group-says
    🔒 “Ant Group แฉกลยุทธ์ลับของยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ — เปิดซอร์สแค่เปลือก เพื่อกักนักพัฒนาไว้ในระบบปิดของ AI” ในงาน Inclusion Conference ที่เซี่ยงไฮ้เมื่อกลางเดือนกันยายน 2025 Ant Group บริษัทฟินเทคยักษ์ใหญ่ของจีนได้เปิดเผยรายงานที่วิจารณ์บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ เช่น Nvidia, OpenAI และ Google ว่าใช้กลยุทธ์ “เปิดซอร์สแบบหลอก” เพื่อดึงนักพัฒนาเข้าสู่ระบบ AI แบบปิดของตนเอง โดยอ้างว่าแม้จะมีการเปิดซอร์สเครื่องมือบางส่วน แต่แกนหลักของโมเดลและฮาร์ดแวร์ยังคงถูกควบคุมอย่างเข้มงวด ตัวอย่างที่ถูกยกขึ้นมาคือ “Dynamo” แพลตฟอร์ม inference ที่ Nvidia เปิดซอร์สในเดือนมีนาคม 2024 ซึ่งถูกโปรโมตว่าเป็น “ระบบปฏิบัติการของ AI” แต่จริง ๆ แล้วถูกออกแบบมาให้ทำงานได้ดีที่สุดกับ GPU ของ Nvidia เท่านั้น ทำให้ผู้พัฒนาแทบไม่มีทางเลือกอื่นหากต้องการประสิทธิภาพสูงสุด OpenAI และ Google ก็ถูกกล่าวหาว่าเปิดซอร์สเฟรมเวิร์กสำหรับสร้าง AI agent แต่เฟรมเวิร์กเหล่านั้นถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับโมเดลเฉพาะของบริษัทเท่านั้น เช่น GPT หรือ Gemini ซึ่งหมายความว่าผู้พัฒนาจะถูกผูกติดกับระบบของบริษัทเหล่านี้ในระยะยาว Ant Group เปรียบเทียบกับแนวทางของบริษัทจีน เช่น Alibaba Cloud และ ByteDance ที่เปิดซอร์สโมเดลหลักให้ดาวน์โหลดและนำไปพัฒนาต่อได้จริง ซึ่งทำให้เกิดการนำไปใช้อย่างแพร่หลาย แม้แต่ในสตาร์ทอัพของสหรัฐฯ เอง รายงานยังชี้ให้เห็นถึงการผูกขาดในตลาด โดย Microsoft ครองส่วนแบ่ง 39% ในด้านโมเดลพื้นฐานและแพลตฟอร์มจัดการโมเดล ขณะที่ Nvidia ครองตลาด GPU สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ถึง 92% ซึ่งทำให้การเข้าถึง AI อย่างแท้จริงกลายเป็นเรื่องยากสำหรับผู้เล่นรายเล็ก แม้สหรัฐฯ จะมีส่วนร่วมในระบบ open-source AI ถึง 37.4% ของโลก แต่ Ant Group เตือนว่าการเปิดซอร์สเฉพาะ “เครื่องมือรอบนอก” โดยไม่เปิดโมเดลหลัก อาจทำให้เกิดการควบคุมเชิงโครงสร้างที่ลึกกว่าที่เห็น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Ant Group วิจารณ์ Nvidia, OpenAI และ Google ว่าใช้ open-source แบบจำกัด ➡️ Dynamo ของ Nvidia ถูกออกแบบให้ทำงานได้ดีที่สุดกับ GPU ของ Nvidia ➡️ OpenAI และ Google เปิดซอร์สเฟรมเวิร์กที่ผูกติดกับโมเดลเฉพาะของตน ➡️ Alibaba Cloud และ ByteDance เปิดซอร์สโมเดลหลักให้ดาวน์โหลดและพัฒนาต่อได้ ✅ สถานการณ์ตลาดและผลกระทบ ➡️ Microsoft ครองตลาดโมเดลพื้นฐานและแพลตฟอร์มจัดการโมเดล 39% ➡️ Nvidia ครองตลาด GPU ดาต้าเซ็นเตอร์ถึง 92% ➡️ สหรัฐฯ มีส่วนร่วมในระบบ open-source AI 37.4% ของโลก ➡️ จีนมีส่วนร่วม 18.7% และเน้นการเปิดซอร์สโมเดลมากกว่าเครื่องมือ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ AI agent คือระบบที่ทำงานอัตโนมัติแทนผู้ใช้ โดยใช้โมเดลพื้นฐานเป็นแกน ➡️ การเปิดซอร์สโมเดลช่วยให้เกิดความโปร่งใสและการทดลองในวงกว้าง ➡️ การเปิดซอร์สเฉพาะเครื่องมืออาจทำให้เกิดการผูกขาดเชิงเทคโนโลยี ➡️ สตาร์ทอัพในสหรัฐฯ เริ่มหันมาใช้โมเดลจีนที่เปิดซอร์สเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัด https://www.techradar.com/pro/top-us-tech-companies-are-holding-developers-in-closed-source-ai-ecosystems-ant-group-says
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 240 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จากเถาองุ่นสู่ฟิล์มชีวภาพ — นักวิจัย SDSU เปลี่ยนเศษไม้ไร้ค่าให้กลายเป็นวัสดุทดแทนพลาสติกที่ย่อยสลายได้ใน 17 วัน”

    ในยุคที่พลาสติกกลายเป็นปัญหาระดับโลก นักวิจัยจาก South Dakota State University (SDSU) ได้ค้นพบวิธีใหม่ในการเปลี่ยนเศษไม้จากเถาองุ่นที่ถูกตัดทิ้งทุกปีให้กลายเป็นฟิล์มชีวภาพที่โปร่งใส แข็งแรง และย่อยสลายได้ในเวลาเพียง 17 วันในดิน งานวิจัยนี้นำโดยศาสตราจารย์ Srinivas Janaswamy จากภาควิชาวิทยาศาสตร์นมและอาหาร ร่วมกับทีมวิจัยที่รวมถึงนักศึกษาระดับปริญญาเอกและผู้เชี่ยวชาญด้านองุ่นจาก SDSU

    หัวใจของนวัตกรรมนี้คือ “เซลลูโลส” — สารชีวโมเลกุลที่พบมากที่สุดในธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่ในผนังเซลล์ของพืชทุกชนิด โดยเฉพาะในเถาองุ่นที่มีความเข้มข้นของเซลลูโลสสูงและมีปริมาณน้ำต่ำ ทำให้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการผลิตฟิล์มชีวภาพ

    ทีมวิจัยใช้กระบวนการสกัดเซลลูโลสด้วยสารละลายด่างและสารฟอกขาว ก่อนนำไปละลายใน ZnCl₂ แล้วเติมแคลเซียมและกลีเซอรอลเพื่อสร้างฟิล์มที่มีความโปร่งใสถึง 84% และความแข็งแรงมากกว่าถุงพลาสติกทั่วไป โดยไม่ทิ้งสารตกค้างที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม

    ฟิล์มจากเถาองุ่นนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดปัญหาขยะพลาสติก แต่ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับเศษวัสดุทางการเกษตรที่มักถูกเผาหรือทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนและการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน

    ข้อมูลสำคัญจากงานวิจัย
    ฟิล์มชีวภาพผลิตจากเซลลูโลสในเถาองุ่นที่ถูกตัดทิ้งทุกปี
    ย่อยสลายได้ภายใน 17 วันในดิน โดยไม่ทิ้งสารตกค้าง
    โปร่งใสระดับ 83.7–84.3% และมีแรงดึงสูงถึง 18.2 MPa
    แข็งแรงกว่าถุงพลาสติกทั่วไป และเหมาะสำหรับบรรจุภัณฑ์อาหาร

    กระบวนการผลิตและทีมวิจัย
    สกัดเซลลูโลสด้วย KOH และ NaClO₂ ก่อนละลายใน ZnCl₂
    เติมแคลเซียมและกลีเซอรอลเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรง
    ทีมวิจัยประกอบด้วย Srinivas Janaswamy, Anne Fennell และนักศึกษาจาก SDSU และ Purdue
    ได้รับทุนสนับสนุนจาก USDA และ NSF เพื่อพัฒนาต่อยอด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เซลลูโลสเป็นองค์ประกอบหลักของฝ้ายและไม้ — ใช้ในสิ่งทอและกระดาษ
    ฟิล์มชีวภาพจากพืชสามารถลดการใช้พลาสติกจากน้ำมันดิบ
    เถาองุ่นมีเซลลูโลสสูงถึง 35% และมีน้ำต่ำ — เหมาะกับการแปรรูป
    การใช้เศษพืชในการผลิตวัสดุช่วยลดการเผาและการปล่อยคาร์บอน

    https://www.sdstate.edu/news/2025/08/can-grapevines-help-slow-plastic-waste-problem
    🍇 “จากเถาองุ่นสู่ฟิล์มชีวภาพ — นักวิจัย SDSU เปลี่ยนเศษไม้ไร้ค่าให้กลายเป็นวัสดุทดแทนพลาสติกที่ย่อยสลายได้ใน 17 วัน” ในยุคที่พลาสติกกลายเป็นปัญหาระดับโลก นักวิจัยจาก South Dakota State University (SDSU) ได้ค้นพบวิธีใหม่ในการเปลี่ยนเศษไม้จากเถาองุ่นที่ถูกตัดทิ้งทุกปีให้กลายเป็นฟิล์มชีวภาพที่โปร่งใส แข็งแรง และย่อยสลายได้ในเวลาเพียง 17 วันในดิน งานวิจัยนี้นำโดยศาสตราจารย์ Srinivas Janaswamy จากภาควิชาวิทยาศาสตร์นมและอาหาร ร่วมกับทีมวิจัยที่รวมถึงนักศึกษาระดับปริญญาเอกและผู้เชี่ยวชาญด้านองุ่นจาก SDSU หัวใจของนวัตกรรมนี้คือ “เซลลูโลส” — สารชีวโมเลกุลที่พบมากที่สุดในธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่ในผนังเซลล์ของพืชทุกชนิด โดยเฉพาะในเถาองุ่นที่มีความเข้มข้นของเซลลูโลสสูงและมีปริมาณน้ำต่ำ ทำให้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการผลิตฟิล์มชีวภาพ ทีมวิจัยใช้กระบวนการสกัดเซลลูโลสด้วยสารละลายด่างและสารฟอกขาว ก่อนนำไปละลายใน ZnCl₂ แล้วเติมแคลเซียมและกลีเซอรอลเพื่อสร้างฟิล์มที่มีความโปร่งใสถึง 84% และความแข็งแรงมากกว่าถุงพลาสติกทั่วไป โดยไม่ทิ้งสารตกค้างที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ฟิล์มจากเถาองุ่นนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดปัญหาขยะพลาสติก แต่ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับเศษวัสดุทางการเกษตรที่มักถูกเผาหรือทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนและการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ✅ ข้อมูลสำคัญจากงานวิจัย ➡️ ฟิล์มชีวภาพผลิตจากเซลลูโลสในเถาองุ่นที่ถูกตัดทิ้งทุกปี ➡️ ย่อยสลายได้ภายใน 17 วันในดิน โดยไม่ทิ้งสารตกค้าง ➡️ โปร่งใสระดับ 83.7–84.3% และมีแรงดึงสูงถึง 18.2 MPa ➡️ แข็งแรงกว่าถุงพลาสติกทั่วไป และเหมาะสำหรับบรรจุภัณฑ์อาหาร ✅ กระบวนการผลิตและทีมวิจัย ➡️ สกัดเซลลูโลสด้วย KOH และ NaClO₂ ก่อนละลายใน ZnCl₂ ➡️ เติมแคลเซียมและกลีเซอรอลเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรง ➡️ ทีมวิจัยประกอบด้วย Srinivas Janaswamy, Anne Fennell และนักศึกษาจาก SDSU และ Purdue ➡️ ได้รับทุนสนับสนุนจาก USDA และ NSF เพื่อพัฒนาต่อยอด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เซลลูโลสเป็นองค์ประกอบหลักของฝ้ายและไม้ — ใช้ในสิ่งทอและกระดาษ ➡️ ฟิล์มชีวภาพจากพืชสามารถลดการใช้พลาสติกจากน้ำมันดิบ ➡️ เถาองุ่นมีเซลลูโลสสูงถึง 35% และมีน้ำต่ำ — เหมาะกับการแปรรูป ➡️ การใช้เศษพืชในการผลิตวัสดุช่วยลดการเผาและการปล่อยคาร์บอน https://www.sdstate.edu/news/2025/08/can-grapevines-help-slow-plastic-waste-problem
    WWW.SDSTATE.EDU
    Can grapevines help slow the plastic waste problem?
    A new study from South Dakota State University reveals how grapevine canes can be converted into plastic-like material that is stronger than traditional plastic and will decompose in the environment in a relatively short amount of time.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 274 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก OCTOPUS ถึง SCUP-HPC: เมื่อซูเปอร์คอมพิวเตอร์กลายเป็นผู้บันทึกความจริงของงานวิจัย

    มหาวิทยาลัยโอซาก้า D3 Center ร่วมกับ NEC เปิดตัว OCTOPUS (Osaka University Compute and sTOrage Platform Urging open Science) ซึ่งเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีพลังการประมวลผล 2.293 petaflops โดยใช้ 140 โหนดของ NEC LX201Ein-1 ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานวิจัยแบบเปิด (Open Science)

    จุดเด่นของ OCTOPUS ไม่ใช่แค่ความเร็ว แต่คือระบบ “provenance management” ที่สามารถบันทึกและติดตามกระบวนการคำนวณทั้งหมด เช่น ข้อมูลใดถูกใช้ โปรแกรมใดเรียกใช้ และผลลัพธ์ใดถูกสร้างขึ้น โดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพของระบบ

    เทคโนโลยีนี้ชื่อว่า SCUP-HPC (Scientific Computing Unifying Provenance – High Performance Computing) ซึ่งพัฒนาโดยทีมของ Susumu Date จากห้องวิจัยร่วมระหว่าง NEC และมหาวิทยาลัยโอซาก้า โดยเริ่มต้นในปี 2021

    SCUP-HPC ช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาประวัติการคำนวณด้วย ID เฉพาะ และแสดงผลแบบ visualization ได้ ทำให้นักวิจัยสามารถใส่รหัสประวัติการคำนวณในบทความวิชาการ เพื่อยืนยันว่าใช้ OCTOPUS จริงในการสร้างผลลัพธ์

    ระบบนี้ยังช่วยแก้ปัญหาการบันทึกข้อมูลด้วยมือที่อาจผิดพลาดหรือไม่ครบถ้วน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในงานวิจัยที่ต้องการความโปร่งใสและตรวจสอบได้ โดยเฉพาะในยุคที่ AI และ Big Data กลายเป็นเครื่องมือหลักของนักวิทยาศาสตร์

    NEC ยังมีแผนจะนำ SCUP-HPC ไปใช้เชิงพาณิชย์ในอนาคต และจะขยายแพลตฟอร์มนี้ไปสู่การใช้งานในอุตสาหกรรมและงานวิจัยด้าน AI อย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้แนวคิด “NEC BluStellar” ที่เน้นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลเพื่อการวิจัย

    การเปิดตัว OCTOPUS โดยมหาวิทยาลัยโอซาก้าและ NEC
    เริ่มทดลองใช้งานในเดือนกันยายน และเปิดใช้งานเต็มรูปแบบในเดือนธันวาคม 2025
    ใช้ 140 โหนดของ NEC LX201Ein-1 มีพลังการประมวลผล 2.293 petaflops
    ประสิทธิภาพสูงกว่าระบบเดิมประมาณ 1.5 เท่า

    เทคโนโลยี SCUP-HPC สำหรับการจัดการ provenance
    บันทึกว่าโปรแกรมใดใช้ข้อมูลใด และสร้างผลลัพธ์อะไร
    แสดงผลแบบ visualization และค้นหาด้วย history ID
    ช่วยให้นักวิจัยใส่รหัสการคำนวณในบทความเพื่อยืนยันความถูกต้อง

    เป้าหมายของระบบนี้
    ส่งเสริม Open Science โดยให้ข้อมูลวิจัยสามารถตรวจสอบและแบ่งปันได้
    ลดความผิดพลาดจากการบันทึกด้วยมือ
    เพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของงานวิจัย

    แผนการขยายในอนาคต
    NEC เตรียมนำ SCUP-HPC ไปใช้เชิงพาณิชย์
    ขยายไปสู่การใช้งานในอุตสาหกรรมและงานวิจัยด้าน AI/Big Data
    อยู่ภายใต้แนวคิด NEC BluStellar เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลวิจัย

    https://www.techpowerup.com/340936/nec-provides-computing-power-for-octopus-supercomputer-at-osaka-university
    🎙️ เรื่องเล่าจาก OCTOPUS ถึง SCUP-HPC: เมื่อซูเปอร์คอมพิวเตอร์กลายเป็นผู้บันทึกความจริงของงานวิจัย มหาวิทยาลัยโอซาก้า D3 Center ร่วมกับ NEC เปิดตัว OCTOPUS (Osaka University Compute and sTOrage Platform Urging open Science) ซึ่งเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีพลังการประมวลผล 2.293 petaflops โดยใช้ 140 โหนดของ NEC LX201Ein-1 ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานวิจัยแบบเปิด (Open Science) จุดเด่นของ OCTOPUS ไม่ใช่แค่ความเร็ว แต่คือระบบ “provenance management” ที่สามารถบันทึกและติดตามกระบวนการคำนวณทั้งหมด เช่น ข้อมูลใดถูกใช้ โปรแกรมใดเรียกใช้ และผลลัพธ์ใดถูกสร้างขึ้น โดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพของระบบ เทคโนโลยีนี้ชื่อว่า SCUP-HPC (Scientific Computing Unifying Provenance – High Performance Computing) ซึ่งพัฒนาโดยทีมของ Susumu Date จากห้องวิจัยร่วมระหว่าง NEC และมหาวิทยาลัยโอซาก้า โดยเริ่มต้นในปี 2021 SCUP-HPC ช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาประวัติการคำนวณด้วย ID เฉพาะ และแสดงผลแบบ visualization ได้ ทำให้นักวิจัยสามารถใส่รหัสประวัติการคำนวณในบทความวิชาการ เพื่อยืนยันว่าใช้ OCTOPUS จริงในการสร้างผลลัพธ์ ระบบนี้ยังช่วยแก้ปัญหาการบันทึกข้อมูลด้วยมือที่อาจผิดพลาดหรือไม่ครบถ้วน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในงานวิจัยที่ต้องการความโปร่งใสและตรวจสอบได้ โดยเฉพาะในยุคที่ AI และ Big Data กลายเป็นเครื่องมือหลักของนักวิทยาศาสตร์ NEC ยังมีแผนจะนำ SCUP-HPC ไปใช้เชิงพาณิชย์ในอนาคต และจะขยายแพลตฟอร์มนี้ไปสู่การใช้งานในอุตสาหกรรมและงานวิจัยด้าน AI อย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้แนวคิด “NEC BluStellar” ที่เน้นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลเพื่อการวิจัย ✅ การเปิดตัว OCTOPUS โดยมหาวิทยาลัยโอซาก้าและ NEC ➡️ เริ่มทดลองใช้งานในเดือนกันยายน และเปิดใช้งานเต็มรูปแบบในเดือนธันวาคม 2025 ➡️ ใช้ 140 โหนดของ NEC LX201Ein-1 มีพลังการประมวลผล 2.293 petaflops ➡️ ประสิทธิภาพสูงกว่าระบบเดิมประมาณ 1.5 เท่า ✅ เทคโนโลยี SCUP-HPC สำหรับการจัดการ provenance ➡️ บันทึกว่าโปรแกรมใดใช้ข้อมูลใด และสร้างผลลัพธ์อะไร ➡️ แสดงผลแบบ visualization และค้นหาด้วย history ID ➡️ ช่วยให้นักวิจัยใส่รหัสการคำนวณในบทความเพื่อยืนยันความถูกต้อง ✅ เป้าหมายของระบบนี้ ➡️ ส่งเสริม Open Science โดยให้ข้อมูลวิจัยสามารถตรวจสอบและแบ่งปันได้ ➡️ ลดความผิดพลาดจากการบันทึกด้วยมือ ➡️ เพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของงานวิจัย ✅ แผนการขยายในอนาคต ➡️ NEC เตรียมนำ SCUP-HPC ไปใช้เชิงพาณิชย์ ➡️ ขยายไปสู่การใช้งานในอุตสาหกรรมและงานวิจัยด้าน AI/Big Data ➡️ อยู่ภายใต้แนวคิด NEC BluStellar เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลวิจัย https://www.techpowerup.com/340936/nec-provides-computing-power-for-octopus-supercomputer-at-osaka-university
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    NEC Provides Computing Power for OCTOPUS Supercomputer at Osaka University
    The University of Osaka D3 Center will begin trial operations of the "Osaka University Compute and sTOrage Platform Urging open Science" (OCTOPUS), a computational and data platform promoting open science built by NEC Corporation (NEC; TSE: 6701), starting this September, with full-scale operations ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 258 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts