• กรมอนามัย ลงพื้นที่เชียงใหม่มอบหน้ากาก N95 หน้ากากอนามัย และมุ้งสู้ฝุ่น

    วันนี้ (21 กุมภาพันธ์ 2568) แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย พร้อมด้วย
    แพทย์หญิงนงนุช ภัทรอนันตนพ รองอธิบดีกรมอนามัย นายแพทย์นิธิรัตน์ บุญตานนท์ ผู้อำนวยการ
    ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ และทีมงานกรมอนามัย ได้ลงพื้นที่มอบหน้ากาก N95 หน้ากากอนามัย
    และมุ้งสู้ฝุ่นให้แก่กลุ่มเปราะบาง กลุ่มเสี่ยง และพี่น้องประชาชน ณ องค์การบริหารส่วนตำบลกื้ดช้าง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
    แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ในภาคเหนือ ที่พบว่ามีค่าสูงเกินมาตรฐานในระดับสีแดง คือ มากกว่า 75.1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ต่อเนื่องติดกันหลายวัน และคาดว่าจะยาวนานจนถึงวันที่ 27กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในเขตสุขภาพที่ 1 ทั้ง 8 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา และแม่ฮ่องสอน ทั้งนี้ ในปี 2567 พบว่า มีผู้ป่วยเข้ารับบริการแผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 1 ด้วยโรคทางเดินหายใจ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) โรคอัมพาตฉับพลัน (Stroke) และโรคหืด (Asthma) ที่เกิดจากการได้รับฝุ่น PM 2.5 เพิ่มสูงขึ้น

    ด้าน แพทย์หญิงนงนุช รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อสั่งการในที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม รองรับภาวะฉุกเฉินกรมอนามัย (HPEHOC) ให้เตรียมรับมือในการดูแลสุขภาพประชาชน กรมอนามัยจึงได้จัดให้มีมาตรการเพื่อความปลอดภัยด้านสุขภาพ โดยส่งเสริมให้เกิดห้องปลอดฝุ่น และมุ้งสู้ฝุ่น ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ ตลอดจนส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพสำหรับประชาชนเพื่อป้องกันอันตรายจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ได้แก่การให้คำแนะนำการปฏิบัติตัวที่เหมาะสม อาทิ 1) การปิดประตูหน้าต่าง เพื่อป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็กเข้าสู่บ้านเรือน
    2) กลุ่มเปราะบาง กลุ่มเสี่ยง และประชาชนทั่วไป ควรหลีกเลี่ยงการสูดฝุ่นละอองขนาดเล็ก และหลีกเลี่ยงการออกนอกบ้านโดยไม่จำเป็นในช่วงวิกฤตฝุ่นควัน 3) หากจำเป็นต้องออกนอกบ้าน ให้สวมหน้ากากอนามัยที่สามารถป้องกัน PM 2.5 ได้ คือ หน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 4) งดออกกำลังกาย หรือทำงานหนักกลางแจ้ง ในช่วงที่ฝุ่นละอองขนาดเล็กมีผลกระทบต่อสุขภาพ 5) ลดแหล่งกำเนิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก โดยลดการเผาทุกชนิด 6) การทำความสะอาดบ้านเพื่อลดความเข้มข้นของฝุ่น โดยการใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ แทนการใช้ไม้กวาดที่จะทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจาย กรมอนามัยมีความห่วงใยประชาชน จึงลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่มอบ หน้ากาก N95 หน้ากากอนามัย ให้กับกลุ่มเปราะบาง กลุ่มเสี่ยง และประชาชนทั่วไปในพื้นที่ และ มอบมุ้งสู้ฝุ่นให้กับกลุ่มเปราะบางเพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัยจากฝุ่น PM 2.5
    @Say_May
    กรมอนามัย / 21 กุมภาพันธ์ 2568
    กรมอนามัย ลงพื้นที่เชียงใหม่มอบหน้ากาก N95 หน้ากากอนามัย และมุ้งสู้ฝุ่น วันนี้ (21 กุมภาพันธ์ 2568) แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย พร้อมด้วย แพทย์หญิงนงนุช ภัทรอนันตนพ รองอธิบดีกรมอนามัย นายแพทย์นิธิรัตน์ บุญตานนท์ ผู้อำนวยการ ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ และทีมงานกรมอนามัย ได้ลงพื้นที่มอบหน้ากาก N95 หน้ากากอนามัย และมุ้งสู้ฝุ่นให้แก่กลุ่มเปราะบาง กลุ่มเสี่ยง และพี่น้องประชาชน ณ องค์การบริหารส่วนตำบลกื้ดช้าง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ในภาคเหนือ ที่พบว่ามีค่าสูงเกินมาตรฐานในระดับสีแดง คือ มากกว่า 75.1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ต่อเนื่องติดกันหลายวัน และคาดว่าจะยาวนานจนถึงวันที่ 27กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในเขตสุขภาพที่ 1 ทั้ง 8 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา และแม่ฮ่องสอน ทั้งนี้ ในปี 2567 พบว่า มีผู้ป่วยเข้ารับบริการแผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 1 ด้วยโรคทางเดินหายใจ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) โรคอัมพาตฉับพลัน (Stroke) และโรคหืด (Asthma) ที่เกิดจากการได้รับฝุ่น PM 2.5 เพิ่มสูงขึ้น ด้าน แพทย์หญิงนงนุช รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อสั่งการในที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม รองรับภาวะฉุกเฉินกรมอนามัย (HPEHOC) ให้เตรียมรับมือในการดูแลสุขภาพประชาชน กรมอนามัยจึงได้จัดให้มีมาตรการเพื่อความปลอดภัยด้านสุขภาพ โดยส่งเสริมให้เกิดห้องปลอดฝุ่น และมุ้งสู้ฝุ่น ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ ตลอดจนส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพสำหรับประชาชนเพื่อป้องกันอันตรายจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ได้แก่การให้คำแนะนำการปฏิบัติตัวที่เหมาะสม อาทิ 1) การปิดประตูหน้าต่าง เพื่อป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็กเข้าสู่บ้านเรือน 2) กลุ่มเปราะบาง กลุ่มเสี่ยง และประชาชนทั่วไป ควรหลีกเลี่ยงการสูดฝุ่นละอองขนาดเล็ก และหลีกเลี่ยงการออกนอกบ้านโดยไม่จำเป็นในช่วงวิกฤตฝุ่นควัน 3) หากจำเป็นต้องออกนอกบ้าน ให้สวมหน้ากากอนามัยที่สามารถป้องกัน PM 2.5 ได้ คือ หน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 4) งดออกกำลังกาย หรือทำงานหนักกลางแจ้ง ในช่วงที่ฝุ่นละอองขนาดเล็กมีผลกระทบต่อสุขภาพ 5) ลดแหล่งกำเนิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก โดยลดการเผาทุกชนิด 6) การทำความสะอาดบ้านเพื่อลดความเข้มข้นของฝุ่น โดยการใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ แทนการใช้ไม้กวาดที่จะทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจาย กรมอนามัยมีความห่วงใยประชาชน จึงลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่มอบ หน้ากาก N95 หน้ากากอนามัย ให้กับกลุ่มเปราะบาง กลุ่มเสี่ยง และประชาชนทั่วไปในพื้นที่ และ มอบมุ้งสู้ฝุ่นให้กับกลุ่มเปราะบางเพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัยจากฝุ่น PM 2.5 @Say_May กรมอนามัย / 21 กุมภาพันธ์ 2568
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 208 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💖 น้องสาวแน่น ฟิตเปรี๊ยะ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ✨
    .
    คืนความมั่นใจและความกระชับให้น้องสาวของคุณ ด้วยเทคโนโลยีการดูแลเฉพาะ 💎 ผลลัพธ์ที่สัมผัสได้ตั้งแต่ครั้งแรก ทั้งฟิตกระชับ สุขภาพดี และเพิ่มความมั่นใจในทุกกิจกรรม 🩷 มั่นใจในมาตรฐานและความปลอดภัยที่พร้อมดูแลคุณทุกขั้นตอน อย่าปล่อยให้ความกังวลเป็นอุปสรรคในชีวิต !
    .
    สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสำรองคิวใน Comment
    .
    #ตรวจภายใน #ดูแลสุขภาพผู้หญิง #ฟื้นฟูความมั่นใจ #การดูแลสุขภาพ #ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ #สุขภาพผู้ #ตรวจเพื่อป้องกัน #ผู้หญิงยุคใหม่ #Ultrasound #VagiRejuCO2Laser #DrJim #VagiClinic
    💖 น้องสาวแน่น ฟิตเปรี๊ยะ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ✨ . คืนความมั่นใจและความกระชับให้น้องสาวของคุณ ด้วยเทคโนโลยีการดูแลเฉพาะ 💎 ผลลัพธ์ที่สัมผัสได้ตั้งแต่ครั้งแรก ทั้งฟิตกระชับ สุขภาพดี และเพิ่มความมั่นใจในทุกกิจกรรม 🩷 มั่นใจในมาตรฐานและความปลอดภัยที่พร้อมดูแลคุณทุกขั้นตอน อย่าปล่อยให้ความกังวลเป็นอุปสรรคในชีวิต ! . สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสำรองคิวใน Comment . #ตรวจภายใน #ดูแลสุขภาพผู้หญิง #ฟื้นฟูความมั่นใจ #การดูแลสุขภาพ #ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ #สุขภาพผู้ #ตรวจเพื่อป้องกัน #ผู้หญิงยุคใหม่ #Ultrasound #VagiRejuCO2Laser #DrJim #VagiClinic
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 328 มุมมอง 2 0 รีวิว
  • AI (ปัญญาประดิษฐ์) มีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติวงการการรักษาพยาบาลของมนุษย์โลกในหลายด้าน ตั้งแต่การช่วยวินิจฉัยโรคไปจนถึงการพัฒนายาใหม่ ๆ และการปรับปรุงการดูแลผู้ป่วย นี่คือบางส่วนของบทบาทที่ AI มีต่อการรักษาพยาบาล:

    ### 1. **การวินิจฉัยโรค**
    - AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ เช่น ภาพเอ็กซ์เรย์, CT scan, MRI และผลตรวจเลือด ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
    - ตัวอย่างเช่น AI ช่วยวินิจฉัยโรคมะเร็งเต้านมจากภาพแมมโมแกรมได้ดีกว่าแพทย์ในบางกรณี
    - AI ยังช่วยระบุโรคตา เช่น เบาหวานขึ้นจอตา จากภาพถ่ายจอประสาทตา

    ### 2. **การพัฒนายาและวัคซีน**
    - AI ช่วยเร่งกระบวนการค้นหายาใหม่ ๆ โดยการวิเคราะห์ข้อมูลทางเคมีและชีวภาพจำนวนมาก
    - ในช่วงการระบาดของ COVID-19 AI ช่วยนักวิจัยในการพัฒนาวัคซีนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

    ### 3. **การดูแลผู้ป่วย**
    - AI ช่วยติดตามอาการผู้ป่วยแบบเรียลไทม์ผ่านอุปกรณ์สวมใส่ (wearable devices) เช่น นาฬิกาอัจฉริยะ
    - ระบบ AI สามารถเตือนแพทย์หรือพยาบาลเมื่อผู้ป่วยมีอาการผิดปกติ

    ### 4. **การผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์**
    - หุ่นยนต์ผ่าตัดที่ใช้ AI ช่วยให้การผ่าตัดมีความแม่นยำสูง ลดความเสี่ยงและเวลาในการฟื้นตัวของผู้ป่วย
    - ตัวอย่างเช่น หุ่นยนต์ da Vinci ที่ใช้ในการผ่าตัดมะเร็ง

    ### 5. **การจัดการข้อมูลทางการแพทย์**
    - AI ช่วยจัดระเบียบและวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยจำนวนมาก ทำให้แพทย์สามารถตัดสินใจได้ดีขึ้น
    - ระบบ AI ยังช่วยลดข้อผิดพลาดในการบันทึกข้อมูลทางการแพทย์

    ### 6. **การให้คำปรึกษาและบริการสุขภาพทางไกล**
    - แชทบอทที่ใช้ AI สามารถให้คำแนะนำเบื้องต้นเกี่ยวกับอาการต่าง ๆ และแนะนำให้ผู้ป่วยไปพบแพทย์เมื่อจำเป็น
    - เทคโนโลยี Telemedicine ที่ใช้ AI ช่วยให้ผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้ง่ายขึ้น

    ### 7. **การพยากรณ์โรค**
    - AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อคาดการณ์การแพร่ระบาดของโรค เช่น ไข้หวัดใหญ่ หรือ COVID-19
    - ระบบ AI ยังช่วยคาดการณ์ความเสี่ยงในการเกิดโรคในผู้ป่วยแต่ละคน

    ### 8. **การปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงพยาบาล**
    - AI ช่วยจัดการทรัพยากรในโรงพยาบาล เช่น การจัดตารางการทำงานของแพทย์และพยาบาล
    - ระบบ AI ยังช่วยลดเวลารอคอยและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ

    ### 9. **การวิจัยทางการแพทย์**
    - AI ช่วยนักวิจัยในการวิเคราะห์ข้อมูลจากการทดลองทางคลินิกและงานวิจัยต่าง ๆ
    - เทคโนโลยี Machine Learning ช่วยค้นพบรูปแบบใหม่ ๆ ในข้อมูลทางการแพทย์ที่มนุษย์อาจมองไม่เห็น

    ### 10. **การดูแลสุขภาพส่วนบุคคล**
    - AI ช่วยให้การดูแลสุขภาพเป็นไปตามลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล (Personalized Medicine)
    - ระบบ AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางพันธุกรรมเพื่อแนะนำการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละคน

    ### ความท้าทายและข้อควรระวัง
    แม้ AI จะมีศักยภาพสูง แต่ก็มีข้อท้าทาย เช่น:
    - **ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล**: ข้อมูลสุขภาพเป็นข้อมูลที่ละเอียดอ่อน จึงต้องมีการปกป้องอย่างเคร่งครัด
    - **ความน่าเชื่อถือ**: AI ต้องได้รับการฝึกฝนด้วยข้อมูลที่มีคุณภาพเพื่อหลีกเลี่ยงการวินิจฉัยผิดพลาด
    - **จริยธรรม**: การใช้ AI ในการตัดสินใจทางการแพทย์ต้องคำนึงถึงจริยธรรมและความรับผิดชอบ

    AI กำลังเปลี่ยนแปลงการรักษาพยาบาลอย่างรวดเร็ว และในอนาคตคาดว่าจะมีบทบาทมากขึ้นในการช่วยชีวิตและยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์โลก
    AI (ปัญญาประดิษฐ์) มีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติวงการการรักษาพยาบาลของมนุษย์โลกในหลายด้าน ตั้งแต่การช่วยวินิจฉัยโรคไปจนถึงการพัฒนายาใหม่ ๆ และการปรับปรุงการดูแลผู้ป่วย นี่คือบางส่วนของบทบาทที่ AI มีต่อการรักษาพยาบาล: ### 1. **การวินิจฉัยโรค** - AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ เช่น ภาพเอ็กซ์เรย์, CT scan, MRI และผลตรวจเลือด ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ - ตัวอย่างเช่น AI ช่วยวินิจฉัยโรคมะเร็งเต้านมจากภาพแมมโมแกรมได้ดีกว่าแพทย์ในบางกรณี - AI ยังช่วยระบุโรคตา เช่น เบาหวานขึ้นจอตา จากภาพถ่ายจอประสาทตา ### 2. **การพัฒนายาและวัคซีน** - AI ช่วยเร่งกระบวนการค้นหายาใหม่ ๆ โดยการวิเคราะห์ข้อมูลทางเคมีและชีวภาพจำนวนมาก - ในช่วงการระบาดของ COVID-19 AI ช่วยนักวิจัยในการพัฒนาวัคซีนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ### 3. **การดูแลผู้ป่วย** - AI ช่วยติดตามอาการผู้ป่วยแบบเรียลไทม์ผ่านอุปกรณ์สวมใส่ (wearable devices) เช่น นาฬิกาอัจฉริยะ - ระบบ AI สามารถเตือนแพทย์หรือพยาบาลเมื่อผู้ป่วยมีอาการผิดปกติ ### 4. **การผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์** - หุ่นยนต์ผ่าตัดที่ใช้ AI ช่วยให้การผ่าตัดมีความแม่นยำสูง ลดความเสี่ยงและเวลาในการฟื้นตัวของผู้ป่วย - ตัวอย่างเช่น หุ่นยนต์ da Vinci ที่ใช้ในการผ่าตัดมะเร็ง ### 5. **การจัดการข้อมูลทางการแพทย์** - AI ช่วยจัดระเบียบและวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยจำนวนมาก ทำให้แพทย์สามารถตัดสินใจได้ดีขึ้น - ระบบ AI ยังช่วยลดข้อผิดพลาดในการบันทึกข้อมูลทางการแพทย์ ### 6. **การให้คำปรึกษาและบริการสุขภาพทางไกล** - แชทบอทที่ใช้ AI สามารถให้คำแนะนำเบื้องต้นเกี่ยวกับอาการต่าง ๆ และแนะนำให้ผู้ป่วยไปพบแพทย์เมื่อจำเป็น - เทคโนโลยี Telemedicine ที่ใช้ AI ช่วยให้ผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้ง่ายขึ้น ### 7. **การพยากรณ์โรค** - AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อคาดการณ์การแพร่ระบาดของโรค เช่น ไข้หวัดใหญ่ หรือ COVID-19 - ระบบ AI ยังช่วยคาดการณ์ความเสี่ยงในการเกิดโรคในผู้ป่วยแต่ละคน ### 8. **การปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงพยาบาล** - AI ช่วยจัดการทรัพยากรในโรงพยาบาล เช่น การจัดตารางการทำงานของแพทย์และพยาบาล - ระบบ AI ยังช่วยลดเวลารอคอยและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ ### 9. **การวิจัยทางการแพทย์** - AI ช่วยนักวิจัยในการวิเคราะห์ข้อมูลจากการทดลองทางคลินิกและงานวิจัยต่าง ๆ - เทคโนโลยี Machine Learning ช่วยค้นพบรูปแบบใหม่ ๆ ในข้อมูลทางการแพทย์ที่มนุษย์อาจมองไม่เห็น ### 10. **การดูแลสุขภาพส่วนบุคคล** - AI ช่วยให้การดูแลสุขภาพเป็นไปตามลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล (Personalized Medicine) - ระบบ AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางพันธุกรรมเพื่อแนะนำการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละคน ### ความท้าทายและข้อควรระวัง แม้ AI จะมีศักยภาพสูง แต่ก็มีข้อท้าทาย เช่น: - **ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล**: ข้อมูลสุขภาพเป็นข้อมูลที่ละเอียดอ่อน จึงต้องมีการปกป้องอย่างเคร่งครัด - **ความน่าเชื่อถือ**: AI ต้องได้รับการฝึกฝนด้วยข้อมูลที่มีคุณภาพเพื่อหลีกเลี่ยงการวินิจฉัยผิดพลาด - **จริยธรรม**: การใช้ AI ในการตัดสินใจทางการแพทย์ต้องคำนึงถึงจริยธรรมและความรับผิดชอบ AI กำลังเปลี่ยนแปลงการรักษาพยาบาลอย่างรวดเร็ว และในอนาคตคาดว่าจะมีบทบาทมากขึ้นในการช่วยชีวิตและยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์โลก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 209 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยุโรปก้าวเข้าสู่การแข่งขันด้านปัญญาประดิษฐ์ด้วยแผน InvestAI มูลค่า 207 พันล้านดอลลาร์ สหรัฐฯ เมื่อไม่นานมานี้รัฐบาลใหม่ของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดในการสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในขณะที่จีนก็ได้เปิดตัวบอทแชท DeepSeek ที่เป็นที่ฮือฮาในหมู่บริษัทที่ติดอันดับ Fortune 500 ตอนนี้ยุโรปก็เข้าร่วมแข่งขันด้วยแผน InvestAI ที่จะระเบิดฟองสบู่ AI

    ในงาน AI Action Summit ที่ปารีส ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป Ursula von der Leyen ได้ประกาศแผน InvestAI โดยคาดว่าทางการยุโรปจะจัดสรรหรือ "ระดมทุน" สูงสุดถึง 207 พันล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี AI และแบบจำลองการเรียนรู้ของเครื่องที่เน้นไปทางสหภาพยุโรป เธอยังเน้นว่าบริการที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลสุขภาพ เร่งความเร็วในการวิจัยและนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ และเสริมความแข็งแกร่งในการแข่งขันในระดับโลกของยุโรป

    แผนนี้จะใช้โมเดลความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่คล้ายกับที่สร้าง CERN ซึ่งเป็นสถานที่กำเนิดของ World Wide Web และการสร้าง "โรงงาน AI ขนาดใหญ่" ทั่วทวีปยุโรป ที่แต่ละแห่งจะมี AI accelerators ที่ล้ำสมัยถึง 100,000 ชิ้นซึ่งเกือบสี่เท่าของจำนวนชิป AI ที่ใช้ในโรงงาน AI ปัจจุบัน

    อีกทั้ง Brussels ยังสนับสนุนนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในหลายภาคส่วน เช่น หุ่นยนต์ การดูแลสุขภาพ เทคโนโลยีชีวภาพ และเทคโนโลยีด้านสภาพอากาศผ่านโครงการ GenAI4EU

    https://www.techspot.com/news/106756-europe-funding-200-billion-initiative-build-world-most.html
    ยุโรปก้าวเข้าสู่การแข่งขันด้านปัญญาประดิษฐ์ด้วยแผน InvestAI มูลค่า 207 พันล้านดอลลาร์ สหรัฐฯ เมื่อไม่นานมานี้รัฐบาลใหม่ของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดในการสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในขณะที่จีนก็ได้เปิดตัวบอทแชท DeepSeek ที่เป็นที่ฮือฮาในหมู่บริษัทที่ติดอันดับ Fortune 500 ตอนนี้ยุโรปก็เข้าร่วมแข่งขันด้วยแผน InvestAI ที่จะระเบิดฟองสบู่ AI ในงาน AI Action Summit ที่ปารีส ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป Ursula von der Leyen ได้ประกาศแผน InvestAI โดยคาดว่าทางการยุโรปจะจัดสรรหรือ "ระดมทุน" สูงสุดถึง 207 พันล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี AI และแบบจำลองการเรียนรู้ของเครื่องที่เน้นไปทางสหภาพยุโรป เธอยังเน้นว่าบริการที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลสุขภาพ เร่งความเร็วในการวิจัยและนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ และเสริมความแข็งแกร่งในการแข่งขันในระดับโลกของยุโรป แผนนี้จะใช้โมเดลความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่คล้ายกับที่สร้าง CERN ซึ่งเป็นสถานที่กำเนิดของ World Wide Web และการสร้าง "โรงงาน AI ขนาดใหญ่" ทั่วทวีปยุโรป ที่แต่ละแห่งจะมี AI accelerators ที่ล้ำสมัยถึง 100,000 ชิ้นซึ่งเกือบสี่เท่าของจำนวนชิป AI ที่ใช้ในโรงงาน AI ปัจจุบัน อีกทั้ง Brussels ยังสนับสนุนนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในหลายภาคส่วน เช่น หุ่นยนต์ การดูแลสุขภาพ เทคโนโลยีชีวภาพ และเทคโนโลยีด้านสภาพอากาศผ่านโครงการ GenAI4EU https://www.techspot.com/news/106756-europe-funding-200-billion-initiative-build-world-most.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Europe enters the AI race with $207 billion InvestAI initiative
    Europe has its own "Stargate" program aimed at developing significantly more powerful AI capabilities in the coming years. At the AI Action Summit in Paris, European Commission...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Death Clock" แอพที่กำลังเป็นที่พูดถึงอยู่ในขณะนี้ แอพนี้ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อคาดคะเนว่าผู้ใช้จะมีชีวิตอยู่อีกนานแค่ไหน และยังแนะนำวิธีการดูแลสุขภาพเพื่อยืดอายุขัยอีกด้วย

    แอพนี้มีให้ดาวน์โหลดทั้งบนระบบ iOS และ Android และจะมีการให้ทำแบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลสุขภาพต่าง ๆ เช่น การดื่มน้ำ การนอนหลับ ดัชนีมวลกาย (BMI) ความดันโลหิต และน้ำตาลในเลือด หลังจากนั้น แอพจะประมวลผลและบอกวันที่คาดว่าจะเสียชีวิต รวมถึงปัจจัยที่อาจมีผลต่อการคาดคะเนนั้น ๆ

    เนื้อหาที่น่าสนใจคือ แอพนี้ยังสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพอย่างเฉพาะบุคคล เช่น การตรวจเลือดอย่างละเอียด การตรวจคัดกรองมะเร็ง และการทานอาหารเสริม ซึ่งคำแนะนำเหล่านี้จะขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ผู้ใช้กรอกเข้ามา

    สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มอายุขัย แอพนี้เสนอแผนการดูแลสุขภาพอย่างเป็นระบบ โดยมีค่าบริการปีละ $39 แต่มีการให้ทดลองใช้ฟรี 7 วัน แอพนี้ได้รับความสนใจอย่างมากเพราะสามารถทำให้ผู้ใช้เห็นผลของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดูแลสุขภาพอย่างชัดเจน และยังมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ใช้มีอายุยืนยาวขึ้น

    ในที่สุด แม้ว่าการทราบวันที่คาดว่าจะเสียชีวิตอาจดูน่ากลัว แต่ก็เป็นประโยชน์เพราะทำให้ผู้ใช้ตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพและการทำตามคำแนะนำเพื่อมีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพ

    https://www.zdnet.com/article/this-viral-ai-death-clock-app-might-actually-help-you-live-longer-heres-how/
    "Death Clock" แอพที่กำลังเป็นที่พูดถึงอยู่ในขณะนี้ แอพนี้ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อคาดคะเนว่าผู้ใช้จะมีชีวิตอยู่อีกนานแค่ไหน และยังแนะนำวิธีการดูแลสุขภาพเพื่อยืดอายุขัยอีกด้วย แอพนี้มีให้ดาวน์โหลดทั้งบนระบบ iOS และ Android และจะมีการให้ทำแบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลสุขภาพต่าง ๆ เช่น การดื่มน้ำ การนอนหลับ ดัชนีมวลกาย (BMI) ความดันโลหิต และน้ำตาลในเลือด หลังจากนั้น แอพจะประมวลผลและบอกวันที่คาดว่าจะเสียชีวิต รวมถึงปัจจัยที่อาจมีผลต่อการคาดคะเนนั้น ๆ เนื้อหาที่น่าสนใจคือ แอพนี้ยังสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพอย่างเฉพาะบุคคล เช่น การตรวจเลือดอย่างละเอียด การตรวจคัดกรองมะเร็ง และการทานอาหารเสริม ซึ่งคำแนะนำเหล่านี้จะขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ผู้ใช้กรอกเข้ามา สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มอายุขัย แอพนี้เสนอแผนการดูแลสุขภาพอย่างเป็นระบบ โดยมีค่าบริการปีละ $39 แต่มีการให้ทดลองใช้ฟรี 7 วัน แอพนี้ได้รับความสนใจอย่างมากเพราะสามารถทำให้ผู้ใช้เห็นผลของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดูแลสุขภาพอย่างชัดเจน และยังมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ใช้มีอายุยืนยาวขึ้น ในที่สุด แม้ว่าการทราบวันที่คาดว่าจะเสียชีวิตอาจดูน่ากลัว แต่ก็เป็นประโยชน์เพราะทำให้ผู้ใช้ตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพและการทำตามคำแนะนำเพื่อมีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพ https://www.zdnet.com/article/this-viral-ai-death-clock-app-might-actually-help-you-live-longer-heres-how/
    WWW.ZDNET.COM
    This viral AI death clock app might actually help you live longer - here's how
    Want to know how much time you have left on Earth? This AI - available now for iOS and Android - takes a guess and tells you what you can do about it.
    Yay
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ไส้ติ่งอักเสบ(Appendicitis)

    ไส้ติ่งเป็นถุงขนาดเรียว ยาว 2-4 นิ้ว ตั้งอยู่ใกล้บริเวณหัวต่อของลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็ก

    ไส้ติ่งถูกดูหมิ่นมายาวนานว่าเป็นแค่ร่องรอยหรือไร้ประโยชน์ แต่เมื่อความรู้ทันสมัยขึ้น ดูเหมือนว่าไส้ติ่งจะเป็น "safe house-บ้านที่ปลอดภัย" สำหรับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ที่อาศัยอยู่ในลำไส้ของมนุษย์

    ในลำไส้ของมนุษย์มีจุลินทรีย์อาศัยอยู่นับล้านๆตัว และมีจุลินทรีย์ฝังดีต่อฝั่งที่ไม่ดีในอัตราส่วน 200 ต่อ 1

    จากข้อสังเกตและการทดลองต่างๆ นักวิจัยของศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัย Duke ตั้งสมมติฐานว่าจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในไส้ติ่งช่วยในการย่อยอาหารและรักษาระบบในลำไส้ให้สมดุล

    ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา Parker ได้ศึกษาการทำงานร่วมกันของจุลินทรีย์เหล่านี้ในลำไส้ และในกระบวนการนี้ได้บันทึกการมีอยู่ของสิ่งที่เรียกว่า biofilms(แผ่นชีวะในลำไส้)

    biofilms ชั้นที่บางและละเอียดอ่อนนี้เป็นการรวมตัวของจุลินทรีย์ เมือก และโมเลกุลของระบบภูมิคุ้มกันที่อาศัยอยู่รวมกันบนเยื่อบุลำไส้

    “การศึกษาของเราระบุว่าระบบภูมิคุ้มกันปกป้องและบำรุงที่อยู่อาศัย ของจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในแผ่นชีวะ” ปาร์กเกอร์อธิบาย

    ด้วยการปกป้องจุลินทรีย์ที่ดีเหล่านี้ จุลินทรีย์ที่เป็นอันตรายจึงไม่มีที่อยู่ นอกจากนี้ เรายังแสดงให้เห็นว่าแผ่นชีวะมีความเด่นชัดมากที่สุดในไส้ติ่ง และความชุกของพวกมันจะลดลงเมื่อเคลื่อนตัวออกมา

    โรคที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียอย่างรุนแรงงมักส่งผลให้สิ่งที่อยู่ในลำไส้รวมถึงแผ่นชีวะถูกขับออกจากร่างกาย

    เมื่อสิ่งที่อยู่ในลำไส้ออกจากร่างกาย จุลินทรีย์ที่ดี ที่ซ่อนอยู่ในไส้ติ่งสามารถเกิดขึ้นและสร้างใหม่ให้กับเยื่อบุลำไส้ ก่อนที่แบคทีเรียที่เป็นอันตรายจะอาศัยอยู่ต่อไป

    การรับประทานอาหารหรือยาปฏิชีวนะ ที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกัน อาจนำไปสู่การอักเสบที่เกี่ยวข้องกับไส้ติ่งอักเสบ และอาจนำไปสู่การอุดตันของลำไส้ที่ทำให้เกิดไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน

    ดังนั้น แนวทางปฏิบัติด้านการดูแลสุขภาพคือการลดการบริโภคอาหารที่ทำให้แบคทีเรียฝั่งที่ไม่ดีเจริญเติบโตได้ดี และรับประทานอาหารให้กับจุลินทรีย์ฝั่งดี

    เมื่อมีการอุดตันของโพรงในไส้ติ่งจนทำให้เกิดการบวม อักเสบ หรือทำให้ไส้ติ่งแตกและเกิดมีการติดเชื้อในช่องท้องหรือในกระแสเลือด อาจทำให้มีอันตรายถึงชีวิตได้

    อาการ

    • เมื่อเริ่มมีการอุดตัน คุณจะมีอาการปวดท้องตรงกลางๆ หน้าท้อง รอบๆ สะดือ ต่อมาเมื่อไส้ติ่งมีการอักเสบ จะทำให้ปวดท้องที่ตำแหน่งของไส้ติ่งคือ บริเวณท้องน้อยด้านขวา ที่อยู่ใต้ ซี่โครงซี่สุดท้าย

    • เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้

    • เมื่อมีการอักเสบและติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น อาจมีไข้สูง ปากแห้ง คอแห้ง อ่อนเพลียรุนแรง

    การเยียวยาด้วยตัวเองที่บ้าน

    รับประทานกรีกโยเกิร์ต หรือโยเกิร์ตที่ไม่มีน้ำตาล ในปริมาณ 4-5 ถ้วย ขนาดเท่ากับที่ขายในท้องตลาด

    รับประทาน synbc 5 ซองทันที

    วิธีการป้องกันไส้ติ่งอักเสบ

    รับประทานอาหารที่เป็นโปรไบโอติกและพรีไบโอติกเป็นประจำ

    สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง

    น้ำตาล ผลไม้หวาน เห็ดและขนมปัง เบียร์

    ยาปฏิชีวนะหรือยาแก้อักเสบ

    ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ

    Synbc

    Cr. Santi Manadee
    #ไส้ติ่งอักเสบ(Appendicitis) ไส้ติ่งเป็นถุงขนาดเรียว ยาว 2-4 นิ้ว ตั้งอยู่ใกล้บริเวณหัวต่อของลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็ก ไส้ติ่งถูกดูหมิ่นมายาวนานว่าเป็นแค่ร่องรอยหรือไร้ประโยชน์ แต่เมื่อความรู้ทันสมัยขึ้น ดูเหมือนว่าไส้ติ่งจะเป็น "safe house-บ้านที่ปลอดภัย" สำหรับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ที่อาศัยอยู่ในลำไส้ของมนุษย์ ในลำไส้ของมนุษย์มีจุลินทรีย์อาศัยอยู่นับล้านๆตัว และมีจุลินทรีย์ฝังดีต่อฝั่งที่ไม่ดีในอัตราส่วน 200 ต่อ 1 จากข้อสังเกตและการทดลองต่างๆ นักวิจัยของศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัย Duke ตั้งสมมติฐานว่าจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในไส้ติ่งช่วยในการย่อยอาหารและรักษาระบบในลำไส้ให้สมดุล ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา Parker ได้ศึกษาการทำงานร่วมกันของจุลินทรีย์เหล่านี้ในลำไส้ และในกระบวนการนี้ได้บันทึกการมีอยู่ของสิ่งที่เรียกว่า biofilms(แผ่นชีวะในลำไส้) biofilms ชั้นที่บางและละเอียดอ่อนนี้เป็นการรวมตัวของจุลินทรีย์ เมือก และโมเลกุลของระบบภูมิคุ้มกันที่อาศัยอยู่รวมกันบนเยื่อบุลำไส้ “การศึกษาของเราระบุว่าระบบภูมิคุ้มกันปกป้องและบำรุงที่อยู่อาศัย ของจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในแผ่นชีวะ” ปาร์กเกอร์อธิบาย ด้วยการปกป้องจุลินทรีย์ที่ดีเหล่านี้ จุลินทรีย์ที่เป็นอันตรายจึงไม่มีที่อยู่ นอกจากนี้ เรายังแสดงให้เห็นว่าแผ่นชีวะมีความเด่นชัดมากที่สุดในไส้ติ่ง และความชุกของพวกมันจะลดลงเมื่อเคลื่อนตัวออกมา โรคที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียอย่างรุนแรงงมักส่งผลให้สิ่งที่อยู่ในลำไส้รวมถึงแผ่นชีวะถูกขับออกจากร่างกาย เมื่อสิ่งที่อยู่ในลำไส้ออกจากร่างกาย จุลินทรีย์ที่ดี ที่ซ่อนอยู่ในไส้ติ่งสามารถเกิดขึ้นและสร้างใหม่ให้กับเยื่อบุลำไส้ ก่อนที่แบคทีเรียที่เป็นอันตรายจะอาศัยอยู่ต่อไป การรับประทานอาหารหรือยาปฏิชีวนะ ที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกัน อาจนำไปสู่การอักเสบที่เกี่ยวข้องกับไส้ติ่งอักเสบ และอาจนำไปสู่การอุดตันของลำไส้ที่ทำให้เกิดไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน ดังนั้น แนวทางปฏิบัติด้านการดูแลสุขภาพคือการลดการบริโภคอาหารที่ทำให้แบคทีเรียฝั่งที่ไม่ดีเจริญเติบโตได้ดี และรับประทานอาหารให้กับจุลินทรีย์ฝั่งดี เมื่อมีการอุดตันของโพรงในไส้ติ่งจนทำให้เกิดการบวม อักเสบ หรือทำให้ไส้ติ่งแตกและเกิดมีการติดเชื้อในช่องท้องหรือในกระแสเลือด อาจทำให้มีอันตรายถึงชีวิตได้ อาการ • เมื่อเริ่มมีการอุดตัน คุณจะมีอาการปวดท้องตรงกลางๆ หน้าท้อง รอบๆ สะดือ ต่อมาเมื่อไส้ติ่งมีการอักเสบ จะทำให้ปวดท้องที่ตำแหน่งของไส้ติ่งคือ บริเวณท้องน้อยด้านขวา ที่อยู่ใต้ ซี่โครงซี่สุดท้าย • เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้ • เมื่อมีการอักเสบและติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น อาจมีไข้สูง ปากแห้ง คอแห้ง อ่อนเพลียรุนแรง การเยียวยาด้วยตัวเองที่บ้าน รับประทานกรีกโยเกิร์ต หรือโยเกิร์ตที่ไม่มีน้ำตาล ในปริมาณ 4-5 ถ้วย ขนาดเท่ากับที่ขายในท้องตลาด รับประทาน synbc 5 ซองทันที วิธีการป้องกันไส้ติ่งอักเสบ รับประทานอาหารที่เป็นโปรไบโอติกและพรีไบโอติกเป็นประจำ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง น้ำตาล ผลไม้หวาน เห็ดและขนมปัง เบียร์ ยาปฏิชีวนะหรือยาแก้อักเสบ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ Synbc Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 246 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดูแลน้ำตาลในตัวคุณตั้งแต่วันนี้ ด้วย RPQ A+! 🌿✨
    📌 คุณกำลังเผชิญกับปัญหาระดับน้ำตาลสูงอยู่หรือไม่?
    📌 ต้องการดูแลสุขภาพอย่างปลอดภัยด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ?
    🔥 RPQ A+ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนวัตกรรมใหม่ ที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดความเสี่ยงจากโรคเบาหวาน และเสริมสร้างสุขภาพด้วยสมุนไพรเข้มข้น เช่น พลูคาว มะขามป้อม มะระขี้นก และเชียงดา!
    ✅ ช่วยลดน้ำตาลในเลือดอย่างเป็นธรรมชาติ
    ✅ ฟื้นฟูและปกป้องตับอ่อนจากการอักเสบ
    ✅ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน
    ✅ ผ่านการรับรองด้วยรางวัลระดับโลก มั่นใจ ปลอดภัย!

    💚 สุขภาพดี เริ่มต้นได้ที่ตัวคุณ
    ข้อมูลเพิ่มเติม 👉 https://rpq.t1team.com/
    #RPQAPlus #สมุนไพรลดน้ำตาล #ดูแลสุขภาพ #เบาหวาน #สุขภาพดีเริ่มที่ตัวคุณ 💊🌿
    ดูแลน้ำตาลในตัวคุณตั้งแต่วันนี้ ด้วย RPQ A+! 🌿✨ 📌 คุณกำลังเผชิญกับปัญหาระดับน้ำตาลสูงอยู่หรือไม่? 📌 ต้องการดูแลสุขภาพอย่างปลอดภัยด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ? 🔥 RPQ A+ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนวัตกรรมใหม่ ที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดความเสี่ยงจากโรคเบาหวาน และเสริมสร้างสุขภาพด้วยสมุนไพรเข้มข้น เช่น พลูคาว มะขามป้อม มะระขี้นก และเชียงดา! ✅ ช่วยลดน้ำตาลในเลือดอย่างเป็นธรรมชาติ ✅ ฟื้นฟูและปกป้องตับอ่อนจากการอักเสบ ✅ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน ✅ ผ่านการรับรองด้วยรางวัลระดับโลก มั่นใจ ปลอดภัย! 💚 สุขภาพดี เริ่มต้นได้ที่ตัวคุณ ข้อมูลเพิ่มเติม 👉 https://rpq.t1team.com/ #RPQAPlus #สมุนไพรลดน้ำตาล #ดูแลสุขภาพ #เบาหวาน #สุขภาพดีเริ่มที่ตัวคุณ 💊🌿
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 รีวิว
  • ### 📣ทำไมสูงวัยจึงต้องดูแลเกี่ยวกับสายตา❓️

    📌การดูแลสุขภาพสายตา มีความสำคัญอย่างยิ่งในวัยสูงอายุเนื่องจากการเสื่อมสภาพของสายตาเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย การมองเห็นที่ชัดเจนช่วยให้เราดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
    ✅️นี่คือเหตุผลสำคัญที่วัยสูงอายุต้องใส่ใจการดูแลสายตา:

    1. **การเสื่อมสภาพของจอประสาทตา (Age-related Macular Degeneration - AMD):** โรคนี้เป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียการมองเห็นในวัยสูงอายุ การดูแลและบำรุงสายตาช่วยลดความเสี่ยง
    2. **ต้อกระจก (Cataracts):** การขุ่นของเลนส์ตาเป็นปัญหาที่พบบ่อยในวัยสูงอายุ การดูแลสายตาและการผ่าตัดสามารถช่วยแก้ไขได้
    3. **ต้อหิน (Glaucoma):** เป็นโรคที่เกิดจากความดันในลูกตาเพิ่มขึ้น ทำลายประสาทตาและนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น
    4. **โรคเบาหวานขึ้นตา (Diabetic Retinopathy):** เป็นโรคแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานที่ทำลายเส้นเลือดในจอตา
    5. **ความเสี่ยงต่อการล้ม:** การมองเห็นที่ไม่ชัดเจนทำให้เสี่ยงต่อการล้มและเกิดอุบัติเหตุในบ้าน

    ### ผลิตภัณฑ์บำรุงสายตาที่นิยม

    1. **Blackmores Lutein-Vision Advanced**
    - **คุณสมบัติ:** มีส่วนผสมของลูทีนและซีแซนทีน ช่วยบำรุงสายตาและลดความเสี่ยงของการเกิดจอประสาทตาเสื่อม
    - **แหล่งผลิต:** ออสเตรเลีย

    2. **Vistra Vision**
    - **คุณสมบัติ:** มีส่วนผสมของสารสกัดจากบิลเบอร์รี่ ลูทีน และซีแซนทีน ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับจอตาและป้องกันการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม
    - **แหล่งผลิต:** ประเทศไทย

    3. **Nature’s Bounty Lutein**
    - **คุณสมบัติ:** ประกอบด้วยลูทีนเข้มข้น ช่วยกรองแสงสีฟ้าและลดความเสี่ยงของการเสื่อมสภาพของจอตา
    - **แหล่งผลิต:** สหรัฐอเมริกา

    4. **Mega We Care Nat C Yuzu**
    - **คุณสมบัติ:** มีวิตามินซีสูงจากผลยูกซู ช่วยเสริมสร้างสุขภาพตาและป้องกันโรคเบาหวานขึ้นตา
    - **แหล่งผลิต:** ประเทศไทย

    5. **VisiVite AREDS2 Formula**
    - **คุณสมบัติ:** เป็นสูตรที่ออกแบบตามการศึกษาของ AREDS2 ประกอบด้วยลูทีน ซีแซนทีน วิตามินซี วิตามินอี และสังกะสี ช่วยบำรุงและป้องกันจอประสาทตาเสื่อม
    - **แหล่งผลิต:** สหรัฐอเมริกา

    การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบำรุงสายตาควรทำภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายและปลอดภัยสำหรับคุณ
    ### 📣ทำไมสูงวัยจึงต้องดูแลเกี่ยวกับสายตา❓️ 📌การดูแลสุขภาพสายตา มีความสำคัญอย่างยิ่งในวัยสูงอายุเนื่องจากการเสื่อมสภาพของสายตาเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย การมองเห็นที่ชัดเจนช่วยให้เราดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ✅️นี่คือเหตุผลสำคัญที่วัยสูงอายุต้องใส่ใจการดูแลสายตา: 1. **การเสื่อมสภาพของจอประสาทตา (Age-related Macular Degeneration - AMD):** โรคนี้เป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียการมองเห็นในวัยสูงอายุ การดูแลและบำรุงสายตาช่วยลดความเสี่ยง 2. **ต้อกระจก (Cataracts):** การขุ่นของเลนส์ตาเป็นปัญหาที่พบบ่อยในวัยสูงอายุ การดูแลสายตาและการผ่าตัดสามารถช่วยแก้ไขได้ 3. **ต้อหิน (Glaucoma):** เป็นโรคที่เกิดจากความดันในลูกตาเพิ่มขึ้น ทำลายประสาทตาและนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น 4. **โรคเบาหวานขึ้นตา (Diabetic Retinopathy):** เป็นโรคแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานที่ทำลายเส้นเลือดในจอตา 5. **ความเสี่ยงต่อการล้ม:** การมองเห็นที่ไม่ชัดเจนทำให้เสี่ยงต่อการล้มและเกิดอุบัติเหตุในบ้าน ### ผลิตภัณฑ์บำรุงสายตาที่นิยม 1. **Blackmores Lutein-Vision Advanced** - **คุณสมบัติ:** มีส่วนผสมของลูทีนและซีแซนทีน ช่วยบำรุงสายตาและลดความเสี่ยงของการเกิดจอประสาทตาเสื่อม - **แหล่งผลิต:** ออสเตรเลีย 2. **Vistra Vision** - **คุณสมบัติ:** มีส่วนผสมของสารสกัดจากบิลเบอร์รี่ ลูทีน และซีแซนทีน ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับจอตาและป้องกันการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม - **แหล่งผลิต:** ประเทศไทย 3. **Nature’s Bounty Lutein** - **คุณสมบัติ:** ประกอบด้วยลูทีนเข้มข้น ช่วยกรองแสงสีฟ้าและลดความเสี่ยงของการเสื่อมสภาพของจอตา - **แหล่งผลิต:** สหรัฐอเมริกา 4. **Mega We Care Nat C Yuzu** - **คุณสมบัติ:** มีวิตามินซีสูงจากผลยูกซู ช่วยเสริมสร้างสุขภาพตาและป้องกันโรคเบาหวานขึ้นตา - **แหล่งผลิต:** ประเทศไทย 5. **VisiVite AREDS2 Formula** - **คุณสมบัติ:** เป็นสูตรที่ออกแบบตามการศึกษาของ AREDS2 ประกอบด้วยลูทีน ซีแซนทีน วิตามินซี วิตามินอี และสังกะสี ช่วยบำรุงและป้องกันจอประสาทตาเสื่อม - **แหล่งผลิต:** สหรัฐอเมริกา การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบำรุงสายตาควรทำภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายและปลอดภัยสำหรับคุณ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 314 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลู่วิ่งในร่มเปิดถึง 4 ทุ่ม ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ

    บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด ขยายเวลาเปิดให้บริการลู่วิ่ง Sky Running ที่ชั้น 4 อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ ออกไปอีก 2 ชั่วโมง เป็นตั้งแต่ 06.00 น. ถึง 22.00 น. ไม่เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ เพื่อต้องการดูแลสุขภาพให้แก่ประชาชน และผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกายในสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 โดยลู่วิ่งมีระยะทาง 412 เมตรต่อรอบ พร้อมระบบนับรอบวิ่ง ปัจจุบันมีผู้มาใช้บริการเฉลี่ยวันละ 200 คน ทั้งพนักงาน ข้าราชการ และประชาชนใกล้เคียง

    ดร.นาฬิกอติภัค แสงสนิท กรรมการผู้จัดการบริษัทฯ กล่าวว่า จุดประสงค์ของการพัฒนาลู่วิ่ง เพื่อต้องการให้ผู้ที่ทำงานในศูนย์ราชการฯ ได้มีพื้นที่ออกกำลังกายระหว่างรอกลับบ้านหลังเลิกจากงาน ช่วยลดความแออัดของการจราจรในช่วงเย็น และยังเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ นอกจากนี้ ยังมีบริการสันทนาการอื่นๆ สำหรับผู้ที่ทำงานในศูนย์ราชการฯ ได้ผ่อนคลายและออกกำลังกายในช่วงเย็น เช่น ห้องแดนซ์สตูดิโอ ห้องปิงปอง ห้องโยคะ ช่วยยกคุณภาพชีวิตของผู้ที่ทำงานได้เป็นอย่างดี

    อาคาร B ออกแบบเป็นอาคารประหยัดพลังงาน ติดตั้งเครื่องปรับอากาศและระบบกรองอากาศขนาดใหญ่ ตัวอาคารเป็นระบบปิดสนิททำให้อากาศภายในอาคารมีปริมาณฝุ่น PM 2.5 ที่น้อย จึงเหมาะแก่การออกกำลังกาย นอกจากนี้ ยังมีมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด และติดตั้งเครื่อง AED ไว้ให้บริการกรณีฉุกเฉิน ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถวิ่งออกกำลังกายในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ช่วยให้การออกกำลังกายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

    สำหรับลู่วิ่ง Sky Running เปิดเมื่อเดือน ก.ค. 2561 ตั้งอยู่ที่ชั้น 4 อาคาร B มีล็อกเกอร์สำหรับเก็บของที่ชั้น 5 รวม 96 ช่อง เครื่องออกกำลังกายแบบยืดเหยียด และห้องอาบน้ำบริเวณห้องน้ำ E3 ชั้น 4 และชั้น 5 แบ่งเป็นห้องอาบน้ำชาย 2 ห้อง ห้องอาบน้ำหญิง 2 ห้อง ส่วนบริเวณชั้น B ยังมีร้านสะดวกซื้อ ร้านค้า ศูนย์อาหาร สาขาธนาคาร และมีที่จอดรถสำหรับประชาชนผู้มาติดต่อราชการ ชั้น 1 รวม 150 คัน ชั้น 3 และ 4 รวม 1,500 คัน และชั้น 5 รวม 350 คัน

    การเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ ใช้รถไฟฟ้าสายสีชมพู ลงที่สถานีศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ทางออก 3 ต่อด้วย Skywalk ไปยังอาคารจอดรถ D ต่อด้วยรถ EV Shuttle Bus เส้นทางที่ 1 ไปยังอาคาร B ให้บริการตั้งแต่เวลา 05.30-19.00 น. หรือมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ส่วนรถประจำทางสายที่เข้าอาคาร B ได้แก่ ขสมก. สาย 66 (2-12) สาย 166 (ศูนย์ราชการ) สาย 2-36 ไทยสมายล์บัส สาย 126 (1-13) สาย 513E (3-23E) และสาย 1-31

    #Newskit
    ลู่วิ่งในร่มเปิดถึง 4 ทุ่ม ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด ขยายเวลาเปิดให้บริการลู่วิ่ง Sky Running ที่ชั้น 4 อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ ออกไปอีก 2 ชั่วโมง เป็นตั้งแต่ 06.00 น. ถึง 22.00 น. ไม่เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ เพื่อต้องการดูแลสุขภาพให้แก่ประชาชน และผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกายในสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 โดยลู่วิ่งมีระยะทาง 412 เมตรต่อรอบ พร้อมระบบนับรอบวิ่ง ปัจจุบันมีผู้มาใช้บริการเฉลี่ยวันละ 200 คน ทั้งพนักงาน ข้าราชการ และประชาชนใกล้เคียง ดร.นาฬิกอติภัค แสงสนิท กรรมการผู้จัดการบริษัทฯ กล่าวว่า จุดประสงค์ของการพัฒนาลู่วิ่ง เพื่อต้องการให้ผู้ที่ทำงานในศูนย์ราชการฯ ได้มีพื้นที่ออกกำลังกายระหว่างรอกลับบ้านหลังเลิกจากงาน ช่วยลดความแออัดของการจราจรในช่วงเย็น และยังเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ นอกจากนี้ ยังมีบริการสันทนาการอื่นๆ สำหรับผู้ที่ทำงานในศูนย์ราชการฯ ได้ผ่อนคลายและออกกำลังกายในช่วงเย็น เช่น ห้องแดนซ์สตูดิโอ ห้องปิงปอง ห้องโยคะ ช่วยยกคุณภาพชีวิตของผู้ที่ทำงานได้เป็นอย่างดี อาคาร B ออกแบบเป็นอาคารประหยัดพลังงาน ติดตั้งเครื่องปรับอากาศและระบบกรองอากาศขนาดใหญ่ ตัวอาคารเป็นระบบปิดสนิททำให้อากาศภายในอาคารมีปริมาณฝุ่น PM 2.5 ที่น้อย จึงเหมาะแก่การออกกำลังกาย นอกจากนี้ ยังมีมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด และติดตั้งเครื่อง AED ไว้ให้บริการกรณีฉุกเฉิน ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถวิ่งออกกำลังกายในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ช่วยให้การออกกำลังกายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สำหรับลู่วิ่ง Sky Running เปิดเมื่อเดือน ก.ค. 2561 ตั้งอยู่ที่ชั้น 4 อาคาร B มีล็อกเกอร์สำหรับเก็บของที่ชั้น 5 รวม 96 ช่อง เครื่องออกกำลังกายแบบยืดเหยียด และห้องอาบน้ำบริเวณห้องน้ำ E3 ชั้น 4 และชั้น 5 แบ่งเป็นห้องอาบน้ำชาย 2 ห้อง ห้องอาบน้ำหญิง 2 ห้อง ส่วนบริเวณชั้น B ยังมีร้านสะดวกซื้อ ร้านค้า ศูนย์อาหาร สาขาธนาคาร และมีที่จอดรถสำหรับประชาชนผู้มาติดต่อราชการ ชั้น 1 รวม 150 คัน ชั้น 3 และ 4 รวม 1,500 คัน และชั้น 5 รวม 350 คัน การเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ ใช้รถไฟฟ้าสายสีชมพู ลงที่สถานีศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ทางออก 3 ต่อด้วย Skywalk ไปยังอาคารจอดรถ D ต่อด้วยรถ EV Shuttle Bus เส้นทางที่ 1 ไปยังอาคาร B ให้บริการตั้งแต่เวลา 05.30-19.00 น. หรือมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ส่วนรถประจำทางสายที่เข้าอาคาร B ได้แก่ ขสมก. สาย 66 (2-12) สาย 166 (ศูนย์ราชการ) สาย 2-36 ไทยสมายล์บัส สาย 126 (1-13) สาย 513E (3-23E) และสาย 1-31 #Newskit
    Like
    Love
    4
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 453 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปัญญาประดิษฐ์และดิจิทัลเทคโนโลยีขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สถานบริการสุขภาพไทยได้อย่างไร?

    ณ ใจกลางเมืองที่วุ่นวาย ศักดิ์สิทธิ์ก้มหน้าก้มตากับกองเอกสารทางการแพทย์ที่สูงเป็นภูเขา เขาเป็นแพทย์ประจำบ้านที่โรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และวันนี้เขาต้องเผชิญกับความจริงอันโหดร้ายของระบบสาธารณสุขไทย นั่นคือความล่าช้าและซับซ้อนในการเข้าถึงข้อมูลผู้ป่วย
    "ทำไมมันยากขนาดนี้นะ" เขาพึมพำกับตัวเองขณะที่พยายามค้นหาประวัติการรักษาของผู้ป่วยรายหนึ่ง "ถ้าเรามีระบบที่เชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วยทั้งหมดเข้าด้วยกัน มันคงจะง่ายกว่านี้มาก"
    ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกแบบนี้ เพื่อนร่วมงานของเขาหลายคนก็ประสบปัญหาเดียวกัน พวกเขาต้องเสียเวลาอันมีค่าไปกับการค้นหาข้อมูลผู้ป่วย ซึ่งส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงานและการดูแลผู้ป่วย
    วันหนึ่ง ศักดิ์สิทธิ์ได้อ่านรายงานนักลงทุนด้านสุขภาพดิจิทัล หัวข้อ "ตลาดแพลตฟอร์มที่น่าสนใจที่สุดในอุตสาหกรรมสุขภาพ" ข้อความในรายงานสะกิดใจเขาอย่างจัง เมื่อเขาได้อ่านถึงศักยภาพของแพลตฟอร์มดิจิทัลที่สามารถปฏิวัติวงการสาธารณสุขได้
    "นี่แหละคือสิ่งที่เราต้องการ!" ศักดิ์สิทธิ์อุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น "แพลตฟอร์มดิจิทัลจะช่วยให้เราเข้าถึงข้อมูลผู้ป่วยได้ง่ายขึ้น ลดความซ้ำซ้อนในการทำงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วย"
    เขาเริ่มศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างจริงจัง และพบว่ามีหลายแพลตฟอร์มที่น่าสนใจ หนึ่งในนั้นคือแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงห่วงโซ่คุณค่าของร้านขายยา ทำให้การจัดการใบสั่งยาเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีแพลตฟอร์มที่ช่วยในการจัดการการทดลองทางคลินิก การรับสมัครผู้เข้าร่วมการทดลอง และการแลกเปลี่ยนภาพทางการแพทย์
    ศักดิ์สิทธิ์เชื่อว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้จะช่วยแก้ไขปัญหาที่เขาและเพื่อนร่วมงานกำลังเผชิญอยู่ เขาตัดสินใจนำเรื่องนี้ไปปรึกษาหัวหน้าแผนกและผู้บริหารโรงพยาบาล ซึ่งทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าการนำแพลตฟอร์มดิจิทัลมาใช้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
    หลังจากนั้นไม่นาน โรงพยาบาลได้เริ่มนำแพลตฟอร์มดิจิทัลมาใช้ในการทำงานจริง ผลลัพธ์ที่ได้น่าทึ่งมาก ศักดิ์สิทธิ์และเพื่อนร่วมงานสามารถเข้าถึงข้อมูลผู้ป่วยได้ง่ายขึ้น การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ที่สำคัญที่สุดคือพวกเขามีเวลามากขึ้นในการดูแลผู้ป่วย
    "ผมดีใจมากที่เราตัดสินใจนำแพลตฟอร์มดิจิทัลมาใช้" ศักดิ์สิทธิ์กล่าวด้วยรอยยิ้ม "มันช่วยให้เราทำงานได้ดีขึ้นและดูแลผู้ป่วยได้ดียิ่งขึ้น ผมหวังว่าในอนาคตเราจะสามารถพัฒนาแพลตฟอร์มให้ดียิ่งขึ้นไปอีก เพื่อให้การดูแลสุขภาพของคนไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเข้าถึงได้ง่าย"
    จากเรื่องราวของศักดิ์สิทธิ์ เราจะเห็นได้ว่าแพลตฟอร์มดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติวงการสาธารณสุข ช่วยให้การทำงานของบุคลากรทางการแพทย์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ

    แพลตฟอร์มที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมสุขภาพ
    ระบบนิเวศของทุกอย่างมีส่วนที่ส่งเสริมกัน นิเวศแพลตฟอร์มที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมสุขภาพก็เช่นกัน เรามาลงรายละเอียดในเรื่องนี้กัน

    แพลตฟอร์ม
    บริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในโลกส่วนใหญ่เป็นธุรกิจแพลตฟอร์ม ในระดับโลก บริษัทที่ใหญ่ที่สุด 6 ใน 10 แห่งคือแพลตฟอร์ม ในตลาดเอกชน บริษัทสตาร์ทอัพที่มีมูลค่าเกินพันล้านดอลลาร์ (ยูนิคอร์น) 60-70% เป็นธุรกิจแพลตฟอร์ม
    แพลตฟอร์มในอุตสาหกรรมสุขภาพดิจิทัล
    ในอุตสาหกรรมสุขภาพดิจิทัล แพลตฟอร์มมีผลการดำเนินงานที่เหนือกว่าบริษัทซอฟต์แวร์ทั่วไปอย่างมาก โดยได้รับเงินทุนสนับสนุนจำนวนมากขึ้น มีมูลค่าประเมินที่สูงกว่า ได้รับเงินทุนต่อเนื่องอย่างต่อเนื่อง และมีการเติบโตในอัตราที่สูงกว่า
    ตลาดแพลตฟอร์มด้านการดูแลสุขภาพ
    การวิเคราะห์ชี้ให้เห็นถึงโอกาสทางการตลาดมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สำหรับแพลตฟอร์มในการดูแลสุขภาพ เนื่องจากธุรกิจแพลตฟอร์มสามารถจัดการกับความท้าทายด้านการดูแลสุขภาพที่สำคัญที่สุดได้มากมาย ตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มสามารถช่วยลดต้นทุนการดูแลสุขภาพ ปรับปรุงการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ และเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งมอบการดูแลสุขภาพ

    แพลตฟอร์มที่มีอยู่ในปัจจุบัน
    1.ห่วงโซ่คุณค่าของร้านขายยา (ใบสั่งยา)
    แพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงร้านขายยา ผู้ให้บริการทางการแพทย์ และผู้ป่วย เพื่อให้การจัดการใบสั่งยาเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
    2.การจัดการการทดลองทางคลินิก
    แพลตฟอร์มที่ช่วยในการจัดการและติดตามการทดลองทางคลินิก ตั้งแต่การออกแบบ การรับสมัครผู้เข้าร่วม ไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูล
    3.การรับสมัครการทดลองทางคลินิก
    แพลตฟอร์มที่ช่วยในการค้นหาและคัดเลือกผู้เข้าร่วมการทดลองทางคลินิกที่เหมาะสม
    4.การแลกเปลี่ยนภาพทางการแพทย์
    แพลตฟอร์มที่ช่วยในการแบ่งปันและแลกเปลี่ยนภาพทางการแพทย์ระหว่างผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์
    5.การทำสัญญาและการรับรอง
    แพลตฟอร์มที่ช่วยในการจัดการสัญญาและการรับรองระหว่างผู้ให้บริการทางการแพทย์และผู้ชำระเงิน
    6.การอ้างอิงผู้เชี่ยวชาญ
    แพลตฟอร์มที่ช่วยในการอ้างอิงผู้ป่วยไปยังผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่เหมาะสม
    7.การเคลมทางการแพทย์
    แพลตฟอร์มที่ช่วยในการจัดการและดำเนินการเคลมทางการแพทย์
    8.ตลาดพนักงาน
    แพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงผู้ให้บริการทางการแพทย์กับผู้ที่กำลังมองหางานในอุตสาหกรรมสุขภาพ
    9.การอ้างอิงการจำหน่าย/LTPAC
    แพลตฟอร์มที่ช่วยในการอ้างอิงผู้ป่วยไปยังสถานพยาบาลหรือศูนย์ดูแลระยะยาว

    แพลตฟอร์มเกิดใหม่
    1.การเสริมสร้างศักยภาพผู้ให้บริการอิสระ
    แพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้ให้บริการทางการแพทย์อิสระสามารถเข้าถึงเครื่องมือและทรัพยากรที่จำเป็นในการให้บริการที่มีคุณภาพ
    2.การเปิดเผยข้อมูลด้านสุขภาพ
    แพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงและจัดการข้อมูลสุขภาพของตนเองได้อย่างปลอดภัย
    3.เครือข่ายที่ไม่ใช่ทางคลินิก
    แพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงผู้ป่วยกับชุมชนและกลุ่มสนับสนุนต่างๆ เพื่อให้ได้รับการดูแลที่ครอบคลุม
    4.ตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยผู้บริโภค
    แพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบและเลือกบริการทางการแพทย์ที่ตรงกับความต้องการของตนเอง
    5.ไดเรกทอรี/ข้อมูลรับรองที่ผู้ให้บริการควบคุม
    แพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้ให้บริการทางการแพทย์สามารถจัดการข้อมูลรับรองและข้อมูลส่วนตัวของตนเองได้

    แล้วปัญญาประดิษฐ์และดิจิทัลเทคโนโลยีขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สถานบริการสุขภาพไทยได้อย่างไร? อย่าลืมติดตามตอนต่อไปครับ

    ที่มาของรูปภาพ: https://cellworks.life/technology/pipeline
    #เมื่อมีของจงแบ่งปันสู่ผู้คน
    www.10-xconsulting
    www.lifealignmentor.com
    ปัญญาประดิษฐ์และดิจิทัลเทคโนโลยีขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สถานบริการสุขภาพไทยได้อย่างไร? ณ ใจกลางเมืองที่วุ่นวาย ศักดิ์สิทธิ์ก้มหน้าก้มตากับกองเอกสารทางการแพทย์ที่สูงเป็นภูเขา เขาเป็นแพทย์ประจำบ้านที่โรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และวันนี้เขาต้องเผชิญกับความจริงอันโหดร้ายของระบบสาธารณสุขไทย นั่นคือความล่าช้าและซับซ้อนในการเข้าถึงข้อมูลผู้ป่วย "ทำไมมันยากขนาดนี้นะ" เขาพึมพำกับตัวเองขณะที่พยายามค้นหาประวัติการรักษาของผู้ป่วยรายหนึ่ง "ถ้าเรามีระบบที่เชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วยทั้งหมดเข้าด้วยกัน มันคงจะง่ายกว่านี้มาก" ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกแบบนี้ เพื่อนร่วมงานของเขาหลายคนก็ประสบปัญหาเดียวกัน พวกเขาต้องเสียเวลาอันมีค่าไปกับการค้นหาข้อมูลผู้ป่วย ซึ่งส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงานและการดูแลผู้ป่วย วันหนึ่ง ศักดิ์สิทธิ์ได้อ่านรายงานนักลงทุนด้านสุขภาพดิจิทัล หัวข้อ "ตลาดแพลตฟอร์มที่น่าสนใจที่สุดในอุตสาหกรรมสุขภาพ" ข้อความในรายงานสะกิดใจเขาอย่างจัง เมื่อเขาได้อ่านถึงศักยภาพของแพลตฟอร์มดิจิทัลที่สามารถปฏิวัติวงการสาธารณสุขได้ "นี่แหละคือสิ่งที่เราต้องการ!" ศักดิ์สิทธิ์อุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น "แพลตฟอร์มดิจิทัลจะช่วยให้เราเข้าถึงข้อมูลผู้ป่วยได้ง่ายขึ้น ลดความซ้ำซ้อนในการทำงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วย" เขาเริ่มศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างจริงจัง และพบว่ามีหลายแพลตฟอร์มที่น่าสนใจ หนึ่งในนั้นคือแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงห่วงโซ่คุณค่าของร้านขายยา ทำให้การจัดการใบสั่งยาเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีแพลตฟอร์มที่ช่วยในการจัดการการทดลองทางคลินิก การรับสมัครผู้เข้าร่วมการทดลอง และการแลกเปลี่ยนภาพทางการแพทย์ ศักดิ์สิทธิ์เชื่อว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้จะช่วยแก้ไขปัญหาที่เขาและเพื่อนร่วมงานกำลังเผชิญอยู่ เขาตัดสินใจนำเรื่องนี้ไปปรึกษาหัวหน้าแผนกและผู้บริหารโรงพยาบาล ซึ่งทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าการนำแพลตฟอร์มดิจิทัลมาใช้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง หลังจากนั้นไม่นาน โรงพยาบาลได้เริ่มนำแพลตฟอร์มดิจิทัลมาใช้ในการทำงานจริง ผลลัพธ์ที่ได้น่าทึ่งมาก ศักดิ์สิทธิ์และเพื่อนร่วมงานสามารถเข้าถึงข้อมูลผู้ป่วยได้ง่ายขึ้น การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ที่สำคัญที่สุดคือพวกเขามีเวลามากขึ้นในการดูแลผู้ป่วย "ผมดีใจมากที่เราตัดสินใจนำแพลตฟอร์มดิจิทัลมาใช้" ศักดิ์สิทธิ์กล่าวด้วยรอยยิ้ม "มันช่วยให้เราทำงานได้ดีขึ้นและดูแลผู้ป่วยได้ดียิ่งขึ้น ผมหวังว่าในอนาคตเราจะสามารถพัฒนาแพลตฟอร์มให้ดียิ่งขึ้นไปอีก เพื่อให้การดูแลสุขภาพของคนไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเข้าถึงได้ง่าย" จากเรื่องราวของศักดิ์สิทธิ์ เราจะเห็นได้ว่าแพลตฟอร์มดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติวงการสาธารณสุข ช่วยให้การทำงานของบุคลากรทางการแพทย์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ แพลตฟอร์มที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมสุขภาพ ระบบนิเวศของทุกอย่างมีส่วนที่ส่งเสริมกัน นิเวศแพลตฟอร์มที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมสุขภาพก็เช่นกัน เรามาลงรายละเอียดในเรื่องนี้กัน แพลตฟอร์ม บริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในโลกส่วนใหญ่เป็นธุรกิจแพลตฟอร์ม ในระดับโลก บริษัทที่ใหญ่ที่สุด 6 ใน 10 แห่งคือแพลตฟอร์ม ในตลาดเอกชน บริษัทสตาร์ทอัพที่มีมูลค่าเกินพันล้านดอลลาร์ (ยูนิคอร์น) 60-70% เป็นธุรกิจแพลตฟอร์ม แพลตฟอร์มในอุตสาหกรรมสุขภาพดิจิทัล ในอุตสาหกรรมสุขภาพดิจิทัล แพลตฟอร์มมีผลการดำเนินงานที่เหนือกว่าบริษัทซอฟต์แวร์ทั่วไปอย่างมาก โดยได้รับเงินทุนสนับสนุนจำนวนมากขึ้น มีมูลค่าประเมินที่สูงกว่า ได้รับเงินทุนต่อเนื่องอย่างต่อเนื่อง และมีการเติบโตในอัตราที่สูงกว่า ตลาดแพลตฟอร์มด้านการดูแลสุขภาพ การวิเคราะห์ชี้ให้เห็นถึงโอกาสทางการตลาดมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สำหรับแพลตฟอร์มในการดูแลสุขภาพ เนื่องจากธุรกิจแพลตฟอร์มสามารถจัดการกับความท้าทายด้านการดูแลสุขภาพที่สำคัญที่สุดได้มากมาย ตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มสามารถช่วยลดต้นทุนการดูแลสุขภาพ ปรับปรุงการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ และเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งมอบการดูแลสุขภาพ แพลตฟอร์มที่มีอยู่ในปัจจุบัน 1.ห่วงโซ่คุณค่าของร้านขายยา (ใบสั่งยา) แพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงร้านขายยา ผู้ให้บริการทางการแพทย์ และผู้ป่วย เพื่อให้การจัดการใบสั่งยาเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ 2.การจัดการการทดลองทางคลินิก แพลตฟอร์มที่ช่วยในการจัดการและติดตามการทดลองทางคลินิก ตั้งแต่การออกแบบ การรับสมัครผู้เข้าร่วม ไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูล 3.การรับสมัครการทดลองทางคลินิก แพลตฟอร์มที่ช่วยในการค้นหาและคัดเลือกผู้เข้าร่วมการทดลองทางคลินิกที่เหมาะสม 4.การแลกเปลี่ยนภาพทางการแพทย์ แพลตฟอร์มที่ช่วยในการแบ่งปันและแลกเปลี่ยนภาพทางการแพทย์ระหว่างผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ 5.การทำสัญญาและการรับรอง แพลตฟอร์มที่ช่วยในการจัดการสัญญาและการรับรองระหว่างผู้ให้บริการทางการแพทย์และผู้ชำระเงิน 6.การอ้างอิงผู้เชี่ยวชาญ แพลตฟอร์มที่ช่วยในการอ้างอิงผู้ป่วยไปยังผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่เหมาะสม 7.การเคลมทางการแพทย์ แพลตฟอร์มที่ช่วยในการจัดการและดำเนินการเคลมทางการแพทย์ 8.ตลาดพนักงาน แพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงผู้ให้บริการทางการแพทย์กับผู้ที่กำลังมองหางานในอุตสาหกรรมสุขภาพ 9.การอ้างอิงการจำหน่าย/LTPAC แพลตฟอร์มที่ช่วยในการอ้างอิงผู้ป่วยไปยังสถานพยาบาลหรือศูนย์ดูแลระยะยาว แพลตฟอร์มเกิดใหม่ 1.การเสริมสร้างศักยภาพผู้ให้บริการอิสระ แพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้ให้บริการทางการแพทย์อิสระสามารถเข้าถึงเครื่องมือและทรัพยากรที่จำเป็นในการให้บริการที่มีคุณภาพ 2.การเปิดเผยข้อมูลด้านสุขภาพ แพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงและจัดการข้อมูลสุขภาพของตนเองได้อย่างปลอดภัย 3.เครือข่ายที่ไม่ใช่ทางคลินิก แพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงผู้ป่วยกับชุมชนและกลุ่มสนับสนุนต่างๆ เพื่อให้ได้รับการดูแลที่ครอบคลุม 4.ตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยผู้บริโภค แพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบและเลือกบริการทางการแพทย์ที่ตรงกับความต้องการของตนเอง 5.ไดเรกทอรี/ข้อมูลรับรองที่ผู้ให้บริการควบคุม แพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้ให้บริการทางการแพทย์สามารถจัดการข้อมูลรับรองและข้อมูลส่วนตัวของตนเองได้ แล้วปัญญาประดิษฐ์และดิจิทัลเทคโนโลยีขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สถานบริการสุขภาพไทยได้อย่างไร? อย่าลืมติดตามตอนต่อไปครับ ที่มาของรูปภาพ: https://cellworks.life/technology/pipeline #เมื่อมีของจงแบ่งปันสู่ผู้คน www.10-xconsulting www.lifealignmentor.com
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 312 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้พิพากษาสั่งระงับคำสั่งทรัมป์ในการพักการให้เงินกู้ เงินให้เปล่า และความช่วยเหลือทางการเงินอื่นๆ ของรัฐบาลกลางเป็นการชั่วคราว ตามการฟ้องร้องของกลุ่มที่เป็นตัวแทนองค์กรไม่หวังผลกำไร บุคลากรทางการแพทย์ และธุรกิจขนาดเล็กที่ระบุว่า คำสั่งของทำเนียบขาวอาจกระทบต่อโครงการที่ให้ความช่วยเหลือชาวอเมริกันหลายสิบล้านคน
    .
    ลอเรน อาลีข่าน ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯ สั่งให้คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระงับการขัดขวางการให้เงินช่วยเหลือโครงการต่างๆ จนถึงวันที่ 3 ก.พ. ซึ่งจะมีการให้การในศาลที่วอชิงตัน
    .
    คำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ในส่วนนี้เป็นขั้นตอนล่าสุดของความพยายามยกเครื่องรัฐบาลกลาง โดยก่อนหน้านี้เขาสั่งระงับการให้ความช่วยเหลือต่างชาติ ระงับการจ้างงาน และยกเลิกโครงการความหลากหลายในหน่วยงานรัฐบาลหลายสิบแห่ง
    .
    พรรคเดโมแครตโจมตีคำสั่งระงับเงินช่วยเหลือว่า เป็นการโจมตีอำนาจของคองเกรสในการกำกับดูแลการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางอย่างผิดกฎหมาย อีกทั้งทำให้การจ่ายเงินให้แพทย์และครูที่ดูแลเด็กก่อนวัยเรียนหยุดชะงัก ทว่า รีพับลิกันอ้างว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นการทำตามคำสัญญาระหว่างหาเสียงของทรัมป์ในการควบคุมงบประมาณที่มากผิดปกติของรัฐบาล
    .
    นอกจากนั้น คณะบริหารของทรัมป์ยังยืนยันว่า โปรแกรมที่มอบสิทธิพิเศษที่สำคัญให้แก่ประชาชนจะไม่ได้รับผลกระทบ
    .
    ทว่า วุฒิสมาชิกรอน ไวเดน จากพรรคเดโมแครต เผยว่า ได้รับการยืนยันจากแพทย์จากทั้ง 50 รัฐว่า ไม่ได้รับเงินจากโครงการเมดิแคร์ที่ให้การประกันสุขภาพชาวอเมริกันที่มีรายได้ต่ำ 70 ล้านคน
    .
    แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาวโพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า รัฐบาลกลางรับรู้ว่า พอร์ทัลเมดิเคดเกิดการขัดข้องและจะกลับมาออนไลน์ได้ตามปกติเร็วๆ นี้ พร้อมยืนยันว่า การจ่ายเงินไม่ได้รับผลกระทบ
    .
    คำสั่งดังกล่าวที่ปรากฏอยู่ในบันทึกของสำนักงานงบประมาณทำเนียบขาวระบุให้ระงับเงินให้เปล่าและเงินกู้ของรัฐบาลกลางนับจากเวลา 17.00 น. วันอังคาร (28 ม.ค.) โดยครอบคลุมถึงเงินช่วยเหลือต่างชาติ
    .
    และองค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) พร้อมสั่งการให้หน่วยงาน 55 แห่งตรวจสอบโครงการเงินให้เปล่ากว่า 2,600 โครงการ
    .
    ทำเนียบขาวยืนยันว่า การระงับเงินช่วยเหลือจะไม่กระทบต่อการจ่ายเงินของโครงการสวัสดิการสังคม หรือเมดิแคร์ที่ให้แก่ผู้สูงวัยหรือความช่วยเหลือโดยตรงแก่ประชาชน เช่น ความช่วยเหลือด้านอาหารและโครงการสวัสดิการสำหรับผู้ยากไร้
    .
    ทั้งนี้ เงินให้เปล่าและเงินกู้ของรัฐบาลมีความสำคัญต่อทุกแง่มุมชีวิตของคนอเมริกันอย่างแท้จริง โดยเงินนับล้านล้านดอลลาร์ถูกอัดฉีดให้โครงการด้านการศึกษา การดูแลสุขภาพ และการต่อสู้กับความยากจน ให้ความช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัย บรรเทาทุกข์ในเหตุการณ์ภัยพิบัติ สนับสนุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานและอื่นๆ อีกมากมาย
    .
    ในบันทึกฉบับที่สอง ทำเนียบขาวระบุว่า เงินสนับสนุนสำหรับโครงการเมดิเคด เกษตรกร ธุรกิจขนาดเล็ก ความช่วยเหลือสำหรับผู้จ่ายค่าเช่า และโครงการเฮดสตาร์ตสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนจะดำเนินต่อไปโดยไม่มีการหยุดชะงัก
    .
    ทว่า วุฒิสมาชิกคริส เมอร์ฟีย์ จากพรรคเดโมแครต ระบุว่า ระบบเบิกจ่ายของโครงการเฮดสตาร์ตในรัฐคอนเน็กติกัตของตนถูกปิด ทำให้ไม่สามารถจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ได้
    .
    ขณะเดียวกัน ซารา แรตเนอร์ จากบริษัทด้านการดูแลสุขภาพ โนมิ เฮลธ์ สำทับว่า หากรัฐบาลกลางระงับเงินช่วยเหลือแก่ผู้รับเหมาสัญญาเมดิเคด อาจทำให้บริษัทเหล่านั้นต้องปิดกิจการตามๆ กัน
    .
    บันทึกของทำเนียบขาวดูเหมือนไม่มีข้อยกเว้นในการตัดความช่วยเหลือสำหรับภัยพิบัติให้แก่พื้นที่อย่างลอสแองเจลิสและด้านตะวันตกของรัฐนอร์ธแคโรไลนาที่เสียหายหนักจากภัยธรรมชาติ แม้ทรัมป์ให้คำมั่นว่า รัฐบาลจะให้การสนับสนุนระหว่างเดินทางไปยังพื้นที่ประสบภัยทั้งสองแห่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ตาม
    .
    ทั้งนี้ หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพยายามทำความเข้าใจว่า จะดำเนินการตามคำสั่งใหม่ของคณะบริหารอย่างไร
    .
    พรรครีพับลิกันของทรัมป์พยายามผลักดันการลดการใช้จ่ายของรัฐบาลมาโดยตลอด แม้ทรัมป์ให้สัญญาว่า จะไม่แตะต้องโครงการสวัสดิการสังคมและเมดิแคร์ที่เป็นองค์ประกอบเกือบ 1 ใน 3 ของงบประมาณก็ตาม
    .
    ทว่า เดโมแครตวิจารณ์ว่า การระงับการใช้จ่ายดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและอันตราย เนื่องจากครอบครัวอเมริกันชนคือผู้ที่จะได้รับผลกระทบหนักที่สุด
    .
    อนึ่ง รัฐธรรมนูญของอเมริกาให้อำนาจคองเกรสในการควบคุมการใช้จ่ายของรัฐบาล ทว่า ทรัมป์ประกาศระหว่างหาเสียงว่า เขาเชื่อว่า ประธานาธิบดีมีอำนาจในการระงับการใช้จ่ายในโครงการที่ตนเองไม่ชอบ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009485
    ..............
    Sondhi X
    ผู้พิพากษาสั่งระงับคำสั่งทรัมป์ในการพักการให้เงินกู้ เงินให้เปล่า และความช่วยเหลือทางการเงินอื่นๆ ของรัฐบาลกลางเป็นการชั่วคราว ตามการฟ้องร้องของกลุ่มที่เป็นตัวแทนองค์กรไม่หวังผลกำไร บุคลากรทางการแพทย์ และธุรกิจขนาดเล็กที่ระบุว่า คำสั่งของทำเนียบขาวอาจกระทบต่อโครงการที่ให้ความช่วยเหลือชาวอเมริกันหลายสิบล้านคน . ลอเรน อาลีข่าน ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯ สั่งให้คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระงับการขัดขวางการให้เงินช่วยเหลือโครงการต่างๆ จนถึงวันที่ 3 ก.พ. ซึ่งจะมีการให้การในศาลที่วอชิงตัน . คำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ในส่วนนี้เป็นขั้นตอนล่าสุดของความพยายามยกเครื่องรัฐบาลกลาง โดยก่อนหน้านี้เขาสั่งระงับการให้ความช่วยเหลือต่างชาติ ระงับการจ้างงาน และยกเลิกโครงการความหลากหลายในหน่วยงานรัฐบาลหลายสิบแห่ง . พรรคเดโมแครตโจมตีคำสั่งระงับเงินช่วยเหลือว่า เป็นการโจมตีอำนาจของคองเกรสในการกำกับดูแลการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางอย่างผิดกฎหมาย อีกทั้งทำให้การจ่ายเงินให้แพทย์และครูที่ดูแลเด็กก่อนวัยเรียนหยุดชะงัก ทว่า รีพับลิกันอ้างว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นการทำตามคำสัญญาระหว่างหาเสียงของทรัมป์ในการควบคุมงบประมาณที่มากผิดปกติของรัฐบาล . นอกจากนั้น คณะบริหารของทรัมป์ยังยืนยันว่า โปรแกรมที่มอบสิทธิพิเศษที่สำคัญให้แก่ประชาชนจะไม่ได้รับผลกระทบ . ทว่า วุฒิสมาชิกรอน ไวเดน จากพรรคเดโมแครต เผยว่า ได้รับการยืนยันจากแพทย์จากทั้ง 50 รัฐว่า ไม่ได้รับเงินจากโครงการเมดิแคร์ที่ให้การประกันสุขภาพชาวอเมริกันที่มีรายได้ต่ำ 70 ล้านคน . แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาวโพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า รัฐบาลกลางรับรู้ว่า พอร์ทัลเมดิเคดเกิดการขัดข้องและจะกลับมาออนไลน์ได้ตามปกติเร็วๆ นี้ พร้อมยืนยันว่า การจ่ายเงินไม่ได้รับผลกระทบ . คำสั่งดังกล่าวที่ปรากฏอยู่ในบันทึกของสำนักงานงบประมาณทำเนียบขาวระบุให้ระงับเงินให้เปล่าและเงินกู้ของรัฐบาลกลางนับจากเวลา 17.00 น. วันอังคาร (28 ม.ค.) โดยครอบคลุมถึงเงินช่วยเหลือต่างชาติ . และองค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) พร้อมสั่งการให้หน่วยงาน 55 แห่งตรวจสอบโครงการเงินให้เปล่ากว่า 2,600 โครงการ . ทำเนียบขาวยืนยันว่า การระงับเงินช่วยเหลือจะไม่กระทบต่อการจ่ายเงินของโครงการสวัสดิการสังคม หรือเมดิแคร์ที่ให้แก่ผู้สูงวัยหรือความช่วยเหลือโดยตรงแก่ประชาชน เช่น ความช่วยเหลือด้านอาหารและโครงการสวัสดิการสำหรับผู้ยากไร้ . ทั้งนี้ เงินให้เปล่าและเงินกู้ของรัฐบาลมีความสำคัญต่อทุกแง่มุมชีวิตของคนอเมริกันอย่างแท้จริง โดยเงินนับล้านล้านดอลลาร์ถูกอัดฉีดให้โครงการด้านการศึกษา การดูแลสุขภาพ และการต่อสู้กับความยากจน ให้ความช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัย บรรเทาทุกข์ในเหตุการณ์ภัยพิบัติ สนับสนุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานและอื่นๆ อีกมากมาย . ในบันทึกฉบับที่สอง ทำเนียบขาวระบุว่า เงินสนับสนุนสำหรับโครงการเมดิเคด เกษตรกร ธุรกิจขนาดเล็ก ความช่วยเหลือสำหรับผู้จ่ายค่าเช่า และโครงการเฮดสตาร์ตสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนจะดำเนินต่อไปโดยไม่มีการหยุดชะงัก . ทว่า วุฒิสมาชิกคริส เมอร์ฟีย์ จากพรรคเดโมแครต ระบุว่า ระบบเบิกจ่ายของโครงการเฮดสตาร์ตในรัฐคอนเน็กติกัตของตนถูกปิด ทำให้ไม่สามารถจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ได้ . ขณะเดียวกัน ซารา แรตเนอร์ จากบริษัทด้านการดูแลสุขภาพ โนมิ เฮลธ์ สำทับว่า หากรัฐบาลกลางระงับเงินช่วยเหลือแก่ผู้รับเหมาสัญญาเมดิเคด อาจทำให้บริษัทเหล่านั้นต้องปิดกิจการตามๆ กัน . บันทึกของทำเนียบขาวดูเหมือนไม่มีข้อยกเว้นในการตัดความช่วยเหลือสำหรับภัยพิบัติให้แก่พื้นที่อย่างลอสแองเจลิสและด้านตะวันตกของรัฐนอร์ธแคโรไลนาที่เสียหายหนักจากภัยธรรมชาติ แม้ทรัมป์ให้คำมั่นว่า รัฐบาลจะให้การสนับสนุนระหว่างเดินทางไปยังพื้นที่ประสบภัยทั้งสองแห่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ตาม . ทั้งนี้ หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพยายามทำความเข้าใจว่า จะดำเนินการตามคำสั่งใหม่ของคณะบริหารอย่างไร . พรรครีพับลิกันของทรัมป์พยายามผลักดันการลดการใช้จ่ายของรัฐบาลมาโดยตลอด แม้ทรัมป์ให้สัญญาว่า จะไม่แตะต้องโครงการสวัสดิการสังคมและเมดิแคร์ที่เป็นองค์ประกอบเกือบ 1 ใน 3 ของงบประมาณก็ตาม . ทว่า เดโมแครตวิจารณ์ว่า การระงับการใช้จ่ายดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและอันตราย เนื่องจากครอบครัวอเมริกันชนคือผู้ที่จะได้รับผลกระทบหนักที่สุด . อนึ่ง รัฐธรรมนูญของอเมริกาให้อำนาจคองเกรสในการควบคุมการใช้จ่ายของรัฐบาล ทว่า ทรัมป์ประกาศระหว่างหาเสียงว่า เขาเชื่อว่า ประธานาธิบดีมีอำนาจในการระงับการใช้จ่ายในโครงการที่ตนเองไม่ชอบ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009485 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2147 มุมมอง 0 รีวิว
  • แชร์ข่าวนี้ให้ไปถึงหัวหน้าของทุกคนด้วยครับ ฮาาา

    จากรายงานล่าสุดของ ActivTrak Productivity Lab พบว่าพนักงานที่ทำงานจากระยะไกลมีประสิทธิภาพการทำงานสูงกว่าพนักงานที่ทำงานในสำนักงาน พนักงานที่ทำงานจากระยะไกลมีชั่วโมงการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าและมีการขัดจังหวะน้อยกว่า

    ในขณะที่พนักงานในอุตสาหกรรมการเงินมีเวลาทำงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าพนักงานในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ถึง 30 นาทีต่อวัน และมีอัตราการใช้งานที่ดีต่อสุขภาพสูงกว่า 9% พนักงานในอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพมีเวลาทำงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอื่น ๆ ถึง 36 นาทีต่อวัน แต่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการเบิร์นเอาท์หรือการไม่สนใจงาน

    นอกจากนี้ พนักงานที่ทำงานจากระยะไกลมีเวลาทำงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเนื่องจากมีการประชุมและการขัดจังหวะน้อยกว่า ในทางกลับกัน พนักงานที่ทำงานในสำนักงานมีรูปแบบการทำงานที่สมดุลที่สุด โดยใช้เวลาเกือบ 70% ของเวลาทำงานในสภาวะที่ดีต่อสุขภาพ

    การทำงานแบบไฮบริดกำลังได้รับความนิยมเนื่องจากความยืดหยุ่น แต่พนักงานที่ทำงานแบบไฮบริดมีเวลาพักที่สั้นกว่าเล็กน้อย ActivTrak เตือนว่าพนักงานที่ใช้เวลามากกว่า 75% ของเวลาทำงานในสภาวะที่ใช้งานมากเกินไปมีความเสี่ยงที่จะเกิดการเบิร์นเอาท์

    การเบิร์นเอาท์ (Burnout) เป็นภาวะที่เกิดจากความเครียดเรื้อรังในที่ทำงาน ซึ่งส่งผลให้เกิดความเหนื่อยล้าทางกายและจิตใจ สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่ทำงานหนักและมีความเครียดสูงเป็นเวลานาน การป้องกันการเบิร์นเอาท์สามารถทำได้โดยการจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม เช่น การพักผ่อนให้เพียงพอ การออกกำลังกาย การทำกิจกรรมที่ชอบ และการพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานหรือผู้บังคับบัญชาเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในที่ทำงาน

    การทำงานจากระยะไกลมีข้อดีหลายประการ เช่น การลดการขัดจังหวะและการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แต่ก็มีความเสี่ยงที่ต้องระวังเช่นกัน

    https://www.techradar.com/pro/Remote-workers-are-more-productive-and-face-less-interruptions-than-their-office-only-co-workers
    แชร์ข่าวนี้ให้ไปถึงหัวหน้าของทุกคนด้วยครับ ฮาาา จากรายงานล่าสุดของ ActivTrak Productivity Lab พบว่าพนักงานที่ทำงานจากระยะไกลมีประสิทธิภาพการทำงานสูงกว่าพนักงานที่ทำงานในสำนักงาน พนักงานที่ทำงานจากระยะไกลมีชั่วโมงการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าและมีการขัดจังหวะน้อยกว่า ในขณะที่พนักงานในอุตสาหกรรมการเงินมีเวลาทำงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าพนักงานในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ถึง 30 นาทีต่อวัน และมีอัตราการใช้งานที่ดีต่อสุขภาพสูงกว่า 9% พนักงานในอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพมีเวลาทำงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอื่น ๆ ถึง 36 นาทีต่อวัน แต่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการเบิร์นเอาท์หรือการไม่สนใจงาน นอกจากนี้ พนักงานที่ทำงานจากระยะไกลมีเวลาทำงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเนื่องจากมีการประชุมและการขัดจังหวะน้อยกว่า ในทางกลับกัน พนักงานที่ทำงานในสำนักงานมีรูปแบบการทำงานที่สมดุลที่สุด โดยใช้เวลาเกือบ 70% ของเวลาทำงานในสภาวะที่ดีต่อสุขภาพ การทำงานแบบไฮบริดกำลังได้รับความนิยมเนื่องจากความยืดหยุ่น แต่พนักงานที่ทำงานแบบไฮบริดมีเวลาพักที่สั้นกว่าเล็กน้อย ActivTrak เตือนว่าพนักงานที่ใช้เวลามากกว่า 75% ของเวลาทำงานในสภาวะที่ใช้งานมากเกินไปมีความเสี่ยงที่จะเกิดการเบิร์นเอาท์ การเบิร์นเอาท์ (Burnout) เป็นภาวะที่เกิดจากความเครียดเรื้อรังในที่ทำงาน ซึ่งส่งผลให้เกิดความเหนื่อยล้าทางกายและจิตใจ สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่ทำงานหนักและมีความเครียดสูงเป็นเวลานาน การป้องกันการเบิร์นเอาท์สามารถทำได้โดยการจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม เช่น การพักผ่อนให้เพียงพอ การออกกำลังกาย การทำกิจกรรมที่ชอบ และการพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานหรือผู้บังคับบัญชาเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในที่ทำงาน การทำงานจากระยะไกลมีข้อดีหลายประการ เช่น การลดการขัดจังหวะและการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แต่ก็มีความเสี่ยงที่ต้องระวังเช่นกัน https://www.techradar.com/pro/Remote-workers-are-more-productive-and-face-less-interruptions-than-their-office-only-co-workers
    WWW.TECHRADAR.COM
    Remote workers are more productive and face less interruptions than their office-only co-workers
    Remote-first is most productive while hybrid and office-first approaches offer healthier utilization of employee time
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ครรภ์เป็นพิษ (pre-eclampsia)

    โรคของการทางานที่ผิดปกติของเยื่อบุหลอดเลือด (endothelial malfunction) และการหดตัวของหลอดเลือด (vasospasm) ที่เกิดขึ้นภายหลังอายุครรภ์20 สัปดาห์และอาจแสดงอาการยาวไปจนถึง 4-6 สัปดาห์หลังคลอดได้ ในทางคลินิกภาวะครรภ์เป็นพิษ (pre-eclampsia) หมายถึงการที่มีความดันโลหิตสูงและมีโปรตีนรั่วในหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่เคยมีความดันโลหิตสูงมาก่อน แบ่งออกเป็นชนิดรุนแรงและไม่รุนแรง มีสาเหตุจากหลายปัจจัย ปัจจุบันเชื่อว่าเกิดจากการมีสารที่สร้างจากรกที่พัฒนาผิดปกติไปทำให้เกิดความผิดปกติของเซลล์เยื่อบุหลอดเลือดของมารดา อาการที่รุนแรงหลายอย่างเกิดจากการมีความเสียหายต่อเซลล์เยื่อบุของอวัยวะต่างๆ ของมารดา รวมถึงไตและตับ

    ครรภ์เป็นพิษเกิดจากความผิดปกติของการฝังตัวของรก ซึ่งโดยธรรมชาติรกจะฝังบริเวณเยื่อบุผนังมดลูก แต่ในกรณีที่แม่ครรภ์เป็นพิษรกจะฝังตัวได้ไม่แน่น ส่งผลให้รกบางส่วนเกิดการขาดออกซิเจน ขาดเลือด เมื่อเลือดไปเลี้ยงรกได้น้อยลงจะเกิดการหลั่งสารที่เป็นสารพิษเข้าสู่กระแสเลือดของแม่ทีละเล็กทีละน้อย เมื่อถึงจุดหนึ่งจะส่งผลให้เกิดภาวะนี้

    อาการ

    ความผิดปกติของร่างกายที่อาจบ่งบอกว่าครรภ์เป็นพิษได้แก่

    • บวม โดยเฉพาะบริเวณมือ เท้า หน้า

    • น้ำหนักเพิ่มเร็วขึ้นผิดปกติ โดยปกติน้ำหนักแม่จะเพิ่มที่เดือนละ 1.5 – 2 กิโลกรัม

    • ปวดศีรษะมาก

    • ทารกดิ้นน้อย ตัวเล็ก โตช้า

    • ความดันโลหิตสูง 140/90 มิลลิเมตรปรอท

    • ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ

    • ตาพร่ามัว

    • ปวดหรือจุกเสียดแน่นบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงขวา

    ระดับความรุนแรงของโรค

    ครรภ์เป็นพิษมีความรุนแรงหลายระดับ ได้แก่

    • ครรภ์เป็นพิษระดับที่ไม่รุนแรง (Non – Severe Pre – Eclampsia) แม่ตั้งครรภ์จะมีความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท แต่ไม่เกิน 160/110 มิลลิเมตรปรอท ยังไม่พบภาวะแทรกซ้อน

    • ครรภ์เป็นพิษระดับรุนแรง (Severe Pre – Eclampsia) แม่ตั้งครรภ์จะมีความดันโลหิตสูงกว่า 160/110 หรือตรวจพบความผิดปกติของอวัยวะต่าง ๆ เช่น ตับอักเสบ ไตทำงานลดลง เกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดแดงแตก ฯลฯ

    • ครรภ์เป็นพิษระดับรุนแรงและมีภาวะชัก (Eclampsia) แม่ตั้งครรภ์ชัก เกร็ง หมดสติ อาจมีเลือดออกในสมอง หากอยู่ในระยะนี้ต้องรักษาโดยเร็วที่สุด เพราะแม่และลูกมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

    งานวิจัยใหม่ ๆ ได้แสดงให้เห็นว่าน้ำมันโอเมก้า 3 มีประสิทธิภาพมากกว่าแอสไพรินในภาวะครรภ์เป็นพิษ (pre-eclampsia)

    pre-eclampsia มีผลประมาณ 3% ของหญิงตั้งครรภ์และคิดเป็น 25% ของทารกทั้งหมดที่มีน้ำหนักแรกเกิดน้อยมาก (<1500 กรัม)

    อย่างไรก็ตามพวกเขามักถูกนำเสนอยา (แอสไพรินขนาดต่ำ) เพื่อแก้ปัญหานี้ โดยชี้ให้เห็นว่าแอสไพรินลด pre-eclampsia ลง 15% แต่การวิจัยชี้ให้เห็นว่า การเพิ่มขึ้นเพียง 15% ในอัตราส่วนของกรดไขมันโอเมก้า 3 มีความสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงของการเกิด pre-eclampsia 46% นี่คือการปรับปรุงมากกว่า 300% เมื่อเทียบกับแอสไพริน

    นอกจากนี้งานวิจัยของ Olsen SF, Secher, NJ (2) ซึ่งเป็นการทดลองแบบสุ่มยืนยันว่าการบริโภคไขมันโอเมก้า 3 ในระหว่างการตั้งครรภ์สามารถเพิ่มน้ำหนักแรกเกิดและลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนดได้

    ...สิ่งที่น่ากังวล...

    นักวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ 1ใน 12 คนในสหรัฐอเมริกามีระดับปรอทที่เป็นอันตรายในเลือดของพวกเขาเนื่องจากการบริโภคปลาซึ่งมีปรอทและสารปนเปื้อน PCB ซึ่งมีผลกระทบร้ายแรงต่อการคลอดก่อนกำหนดและ pre-eclampsia

    แคลเซียม:

    การวิจัยสี่ทศวรรษแสดงให้เห็นว่าในผู้หญิงที่ได้รับแคลเซียมจากอาหารต่ำ การเสริมแคลเซียมสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษได้ครึ่งหนึ่ง แคลเซียมจากอาหารของแม่ช่วยให้กระดูกของทารกที่กำลังพัฒนาก่อตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งหลังของการตั้งครรภ์ มีการดึงแคลเซียมจากแม่มาใช้อย่างมากเพื่อช่วยให้ลูกเติบโต ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนพาราไธรอยด์ ซึ่งช่วยให้ร่างกายควบคุมระดับแคลเซียมได้

    ฮอร์โมนพาราไธรอยด์ที่มากขึ้นทำให้กระดูกปล่อยแคลเซียมเข้าสู่กระแสเลือดและเซลล์กล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือดมากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของผนังหลอดเลือดแดง ส่งผลให้หลอดเลือดตีบและความดันโลหิตสูง

    องค์การอนามัยโลกแนะนำอาหารเสริมแคลเซียมสำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่มีปริมาณแคลเซียมต่ำเพื่อช่วยลดความเสี่ยงของภาวะครรภ์เป็นพิษ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ การเสริมแคลเซียมไม่ได้รับการพิสูจน์สำหรับสตรีมีครรภ์ที่ได้รับแคลเซียมเพียงพอจากอาหารแล้ว

    วิตามินดี:

    วิตามินดีที่เพียงพอจากแสงแดดสามารถช่วยให้ผู้คนได้รับแคลเซียมเพียงพอ วิตามินดีช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้ นอกจากนี้ วิตามินดียังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนารกและควบคุมการอักเสบ ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาภาวะครรภ์เป็นพิษการขาดวิตามินดีของมารดาสัมพันธ์กับโอกาสที่จะเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษเป็นสองเท่า (OR 2.11, 95% ช่วงความเชื่อมั่น 1.52-2.94) ในขณะที่การเสริมวิตามินดีสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่ลดลง 38% ของการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ (RR 0.62, 95% ช่วงความเชื่อมั่น 0.43- 0.91)

    ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณอาจดูระดับวิตามินดีของคุณในระหว่างการเจาะเลือดก่อนคลอด ไม่ว่าคุณจะมีความเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษหรือไม่ก็ตาม พวกเขาอาจแนะนำอาหารเสริมหากระดับต่ำเพื่อปรับปรุงสุขภาพการตั้งครรภ์โดยรวม

    ธาต์เหล็ก (และบทบาทของโรคโลหิตจาง)

    แม้ว่าดูเหมือนว่าจะมีความเชื่อมโยงระหว่างระดับธาตุเหล็กและภาวะครรภ์เป็นพิษ แต่หลักฐานไม่ได้ตรงไปตรงมา นักวิจัยยังคงพยายามทำความเข้าใจความสัมพันธ์นี้ ธาตุเหล็กที่เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญในการตั้งครรภ์ แต่ธาตุเหล็กบางรูปแบบสามารถเป็นอันตรายต่อเซลล์ของร่างกายและเยื่อบุของหลอดเลือดได้ เหล็กเป็นส่วนหนึ่งของฮีโมโกลบินซึ่งจำเป็นสำหรับเซลล์เม็ดเลือดแดงในการนำออกซิเจน

    ระดับฮีโมโกลบินทั้งในระดับต่ำและระดับสูงสัมพันธ์กับอัตราภาวะครรภ์เป็นพิษที่สูงขึ้น ธาตุเหล็กอิสระในเลือดทำปฏิกิริยากับโมเลกุลที่ไม่เสถียรอื่นๆ ซึ่งมีออกซิเจนเพื่อเริ่มต้นความเสียหายของเซลล์ในเยื่อบุหลอดเลือด ซึ่งเรียกว่าความเสียหายของเยื่อบุผนังหลอดเลือด ผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์ที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษมีแนวโน้มที่จะแสดงความเสียหายของเยื่อบุผนังหลอดเลือดมากกว่าผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์ที่ไม่มีภาวะครรภ์เป็นพิษ ผู้ที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษมักมีระดับธาตุเหล็กในเลือดสูงกว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่มีภาวะครรภ์เป็นพิษ ไม่ชัดเจนว่าระดับสูงเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาภาวะครรภ์เป็นพิษ อันเป็นผลมาจากโรคหรือทั้งสองอย่าง

    สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าการได้รับธาตุเหล็กเพียงพอในระหว่างตั้งครรภ์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันโรคโลหิตจางเมื่อเร็ว ๆ นี้พบว่าภาวะโลหิตจางเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ

    ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ
    Paa super h
    K cal
    น้ำปั่นป๋า
    โกโก้ป๋า

    Cr. Santi Manadee
    #ครรภ์เป็นพิษ (pre-eclampsia) โรคของการทางานที่ผิดปกติของเยื่อบุหลอดเลือด (endothelial malfunction) และการหดตัวของหลอดเลือด (vasospasm) ที่เกิดขึ้นภายหลังอายุครรภ์20 สัปดาห์และอาจแสดงอาการยาวไปจนถึง 4-6 สัปดาห์หลังคลอดได้ ในทางคลินิกภาวะครรภ์เป็นพิษ (pre-eclampsia) หมายถึงการที่มีความดันโลหิตสูงและมีโปรตีนรั่วในหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่เคยมีความดันโลหิตสูงมาก่อน แบ่งออกเป็นชนิดรุนแรงและไม่รุนแรง มีสาเหตุจากหลายปัจจัย ปัจจุบันเชื่อว่าเกิดจากการมีสารที่สร้างจากรกที่พัฒนาผิดปกติไปทำให้เกิดความผิดปกติของเซลล์เยื่อบุหลอดเลือดของมารดา อาการที่รุนแรงหลายอย่างเกิดจากการมีความเสียหายต่อเซลล์เยื่อบุของอวัยวะต่างๆ ของมารดา รวมถึงไตและตับ ครรภ์เป็นพิษเกิดจากความผิดปกติของการฝังตัวของรก ซึ่งโดยธรรมชาติรกจะฝังบริเวณเยื่อบุผนังมดลูก แต่ในกรณีที่แม่ครรภ์เป็นพิษรกจะฝังตัวได้ไม่แน่น ส่งผลให้รกบางส่วนเกิดการขาดออกซิเจน ขาดเลือด เมื่อเลือดไปเลี้ยงรกได้น้อยลงจะเกิดการหลั่งสารที่เป็นสารพิษเข้าสู่กระแสเลือดของแม่ทีละเล็กทีละน้อย เมื่อถึงจุดหนึ่งจะส่งผลให้เกิดภาวะนี้ อาการ ความผิดปกติของร่างกายที่อาจบ่งบอกว่าครรภ์เป็นพิษได้แก่ • บวม โดยเฉพาะบริเวณมือ เท้า หน้า • น้ำหนักเพิ่มเร็วขึ้นผิดปกติ โดยปกติน้ำหนักแม่จะเพิ่มที่เดือนละ 1.5 – 2 กิโลกรัม • ปวดศีรษะมาก • ทารกดิ้นน้อย ตัวเล็ก โตช้า • ความดันโลหิตสูง 140/90 มิลลิเมตรปรอท • ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ • ตาพร่ามัว • ปวดหรือจุกเสียดแน่นบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงขวา ระดับความรุนแรงของโรค ครรภ์เป็นพิษมีความรุนแรงหลายระดับ ได้แก่ • ครรภ์เป็นพิษระดับที่ไม่รุนแรง (Non – Severe Pre – Eclampsia) แม่ตั้งครรภ์จะมีความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท แต่ไม่เกิน 160/110 มิลลิเมตรปรอท ยังไม่พบภาวะแทรกซ้อน • ครรภ์เป็นพิษระดับรุนแรง (Severe Pre – Eclampsia) แม่ตั้งครรภ์จะมีความดันโลหิตสูงกว่า 160/110 หรือตรวจพบความผิดปกติของอวัยวะต่าง ๆ เช่น ตับอักเสบ ไตทำงานลดลง เกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดแดงแตก ฯลฯ • ครรภ์เป็นพิษระดับรุนแรงและมีภาวะชัก (Eclampsia) แม่ตั้งครรภ์ชัก เกร็ง หมดสติ อาจมีเลือดออกในสมอง หากอยู่ในระยะนี้ต้องรักษาโดยเร็วที่สุด เพราะแม่และลูกมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ งานวิจัยใหม่ ๆ ได้แสดงให้เห็นว่าน้ำมันโอเมก้า 3 มีประสิทธิภาพมากกว่าแอสไพรินในภาวะครรภ์เป็นพิษ (pre-eclampsia) pre-eclampsia มีผลประมาณ 3% ของหญิงตั้งครรภ์และคิดเป็น 25% ของทารกทั้งหมดที่มีน้ำหนักแรกเกิดน้อยมาก (<1500 กรัม) อย่างไรก็ตามพวกเขามักถูกนำเสนอยา (แอสไพรินขนาดต่ำ) เพื่อแก้ปัญหานี้ โดยชี้ให้เห็นว่าแอสไพรินลด pre-eclampsia ลง 15% แต่การวิจัยชี้ให้เห็นว่า การเพิ่มขึ้นเพียง 15% ในอัตราส่วนของกรดไขมันโอเมก้า 3 มีความสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงของการเกิด pre-eclampsia 46% นี่คือการปรับปรุงมากกว่า 300% เมื่อเทียบกับแอสไพริน นอกจากนี้งานวิจัยของ Olsen SF, Secher, NJ (2) ซึ่งเป็นการทดลองแบบสุ่มยืนยันว่าการบริโภคไขมันโอเมก้า 3 ในระหว่างการตั้งครรภ์สามารถเพิ่มน้ำหนักแรกเกิดและลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนดได้ ...สิ่งที่น่ากังวล... นักวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ 1ใน 12 คนในสหรัฐอเมริกามีระดับปรอทที่เป็นอันตรายในเลือดของพวกเขาเนื่องจากการบริโภคปลาซึ่งมีปรอทและสารปนเปื้อน PCB ซึ่งมีผลกระทบร้ายแรงต่อการคลอดก่อนกำหนดและ pre-eclampsia แคลเซียม: การวิจัยสี่ทศวรรษแสดงให้เห็นว่าในผู้หญิงที่ได้รับแคลเซียมจากอาหารต่ำ การเสริมแคลเซียมสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษได้ครึ่งหนึ่ง แคลเซียมจากอาหารของแม่ช่วยให้กระดูกของทารกที่กำลังพัฒนาก่อตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งหลังของการตั้งครรภ์ มีการดึงแคลเซียมจากแม่มาใช้อย่างมากเพื่อช่วยให้ลูกเติบโต ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนพาราไธรอยด์ ซึ่งช่วยให้ร่างกายควบคุมระดับแคลเซียมได้ ฮอร์โมนพาราไธรอยด์ที่มากขึ้นทำให้กระดูกปล่อยแคลเซียมเข้าสู่กระแสเลือดและเซลล์กล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือดมากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของผนังหลอดเลือดแดง ส่งผลให้หลอดเลือดตีบและความดันโลหิตสูง องค์การอนามัยโลกแนะนำอาหารเสริมแคลเซียมสำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่มีปริมาณแคลเซียมต่ำเพื่อช่วยลดความเสี่ยงของภาวะครรภ์เป็นพิษ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ การเสริมแคลเซียมไม่ได้รับการพิสูจน์สำหรับสตรีมีครรภ์ที่ได้รับแคลเซียมเพียงพอจากอาหารแล้ว วิตามินดี: วิตามินดีที่เพียงพอจากแสงแดดสามารถช่วยให้ผู้คนได้รับแคลเซียมเพียงพอ วิตามินดีช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้ นอกจากนี้ วิตามินดียังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนารกและควบคุมการอักเสบ ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาภาวะครรภ์เป็นพิษการขาดวิตามินดีของมารดาสัมพันธ์กับโอกาสที่จะเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษเป็นสองเท่า (OR 2.11, 95% ช่วงความเชื่อมั่น 1.52-2.94) ในขณะที่การเสริมวิตามินดีสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่ลดลง 38% ของการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ (RR 0.62, 95% ช่วงความเชื่อมั่น 0.43- 0.91) ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณอาจดูระดับวิตามินดีของคุณในระหว่างการเจาะเลือดก่อนคลอด ไม่ว่าคุณจะมีความเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษหรือไม่ก็ตาม พวกเขาอาจแนะนำอาหารเสริมหากระดับต่ำเพื่อปรับปรุงสุขภาพการตั้งครรภ์โดยรวม ธาต์เหล็ก (และบทบาทของโรคโลหิตจาง) แม้ว่าดูเหมือนว่าจะมีความเชื่อมโยงระหว่างระดับธาตุเหล็กและภาวะครรภ์เป็นพิษ แต่หลักฐานไม่ได้ตรงไปตรงมา นักวิจัยยังคงพยายามทำความเข้าใจความสัมพันธ์นี้ ธาตุเหล็กที่เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญในการตั้งครรภ์ แต่ธาตุเหล็กบางรูปแบบสามารถเป็นอันตรายต่อเซลล์ของร่างกายและเยื่อบุของหลอดเลือดได้ เหล็กเป็นส่วนหนึ่งของฮีโมโกลบินซึ่งจำเป็นสำหรับเซลล์เม็ดเลือดแดงในการนำออกซิเจน ระดับฮีโมโกลบินทั้งในระดับต่ำและระดับสูงสัมพันธ์กับอัตราภาวะครรภ์เป็นพิษที่สูงขึ้น ธาตุเหล็กอิสระในเลือดทำปฏิกิริยากับโมเลกุลที่ไม่เสถียรอื่นๆ ซึ่งมีออกซิเจนเพื่อเริ่มต้นความเสียหายของเซลล์ในเยื่อบุหลอดเลือด ซึ่งเรียกว่าความเสียหายของเยื่อบุผนังหลอดเลือด ผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์ที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษมีแนวโน้มที่จะแสดงความเสียหายของเยื่อบุผนังหลอดเลือดมากกว่าผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์ที่ไม่มีภาวะครรภ์เป็นพิษ ผู้ที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษมักมีระดับธาตุเหล็กในเลือดสูงกว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่มีภาวะครรภ์เป็นพิษ ไม่ชัดเจนว่าระดับสูงเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาภาวะครรภ์เป็นพิษ อันเป็นผลมาจากโรคหรือทั้งสองอย่าง สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าการได้รับธาตุเหล็กเพียงพอในระหว่างตั้งครรภ์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันโรคโลหิตจางเมื่อเร็ว ๆ นี้พบว่าภาวะโลหิตจางเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ Paa super h K cal น้ำปั่นป๋า โกโก้ป๋า Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 410 มุมมอง 0 รีวิว
  • 17/1/68

    ความบังเอิญไม่มีอยู่จริง
    ไฟไหม้ยังไม่ยุติและมีเรื่องบังเอิญงอกแปลกขึ้นเรื่อยๆคือ

    1.บังเอิญผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียรายนี้กำลังแข่งขันเพื่อเป็นผู้นำพรรคเดโมแครตชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐวาระถัดไปในปี 2570 ก่อนเพลิงไหม้ไม่กี่วันเขาตัดงบประมาณสำหรับการดับไฟป่ามากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ ไม่ต่อสัญญาการป้องกันอัคคีภัยกับบริษัทการบินดับไฟป่าแล้วโยกเงิน 3,000 ล้านดอลลาร์ไปทำบริการดูแลสุขภาพฟรีสำหรับผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายที่จะได้รับการแปลงสัญชาติเป็นชาวอเมริกันและมีสิทธิ์เลือกตั้ง ส่วนชาวอเมริกันจริงๆต้องจ่ายเงินซื้อประกันสุขภาพเอาเอง

    2.บังเอิญนายกเทศมนตรีลอสแองเจลิสจากพรรคเดโมแครตตัดงบประมาณราว 17.6 ล้านดอลลาร์ของหน่วยดับเพลิงก่อนเกิดไฟไหม้พอดี พนักงานที่เคยมี 3,500 คนจึงถูกเลิกจ้างแทบทั้งหมด

    3.บังเอิญว่าอุปกรณ์ดับเพลิง ส่วนใหญ่ของเมืองถูกขนส่งไปให้ยูเครนตามนโยบายของรัฐบาลไบเดน ในวันเริ่มเพลิงไหม้ จึงเหลือคนงานดับเพลิงใหม่ที่ขาดประสบการณ์เพียง 109 คน รถดับเพลิง 65 คัน เฮลิคอปเตอร์ 7 ลำ และอุปกรณ์อีกเล็กน้อย หน่วยดับเพลิง 29 แห่งของนครลอสแองเจลิส จึงร้องขอนักดับเพลิงจากเทศบาลอื่นมาช่วยเหลือและกรมราชทัณฑ์รัฐแคลิฟอร์เนียส่งนักโทษที่ถูกคุมขัง 395 คนมาช่วยดับไฟ กลุ่มคนหนุ่มสาวใช้รถมอเตอร์ไซค์พยายามช่วยเหลือเพื่อนบ้านแต่พวกเขาหาน้ำดับไฟไม่ได้เพราะอ่างเก็บน้ำชำรุด จ้างซ่อม ปล่อย
    น้ำจนเกลี้ยงไม่มีเหลือแม้แต่หยดเดียวก่อนเกิดเพลิงไหม้พอดี

    4.บังเอิญในวันเริ่มไฟไหม้ เป็นวันที่มีแรงลมเร็วถึง 160 กมต่อชั่วโมง ประธานาธิบดีโจ ไบเดนผู้นำสหรัฐอยู่ที่นั่น มีกำหนดเปิดอนุสรณ์สถานแห่งชาติ 2 แห่ง แต่งานถูกยกเลิกเพราะต้นไม้ล้มเขาระบุว่าภัยคุกคามจากลมแรงที่ทำให้ไฟไหม้ อ้างว่าที่การดับเพลิงทำได้ล่าช้าเนื่องจากต้องตัดกระแสไฟเครื่องปั้มน้ำดับเพลิง จึงใช้งานไม่ได้ทั้งที่ปกติแล้วปั้มน้ำดับเพลิงติดตั้งรถส่วนใหญ่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง

    5.บังเอิญคฤหาสน์หรูคนดังเช่น ฮันเตอร์ ไบเดน บุตรชายผู้นำสหรัฐชื่อกระฉ่อนถูกไฟไหม้เหลือแต่ตอ ไฟลุกลามไปที่เมืองที่ตั้งบ้านของกมลา แฮริส รองประธานาธิบดี อาโนลด์ ชวาเซเนกเกอร์ ดารารุ่นเดอะ และคนดังอีกมากมาย แต่คฤหาสน์ของทอม แฮงค์ ดาราคนดังรอดมาได้อย่างเหลือเชื่อทั้งที่บ้านเกือบทุกหลังที่อยู่ติดกันถูกไฟไหม้ แม้แต่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงยังเกาหัว บ้านคนดังเหล่านั้นสะสมของมีค่าเช่นเครื่องประดับสินค้าสารพัดแบรนด์เนม limited ภาพวาดศิลปะ ประมูลภาพถ่ายต้นฉบับส่วนตัว และของที่สะสมมาทั้งชีวิตประเมินมูลค่าไม่ได้

    6.บังเอิญเมล กิ๊บสัน ดาราคนดังที่ไฟไหม้คฤหาสน์หรูวอดวายเป็นผู้วิพากษ์วิจารณ์การจัดการไฟป่าของรัฐแคลิฟอร์เนียอย่างเผ็ดร้อนมาหลายปี เรียกร้องให้ผู้นำรัฐออกมาชี้แจงว่านโยบายต่างๆที่ไม่สามารถปกป้องประชาชนจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะจากสถิติย้อนหลังแต่ละปีเกิดเหตุเพลิงไหม้ในรัฐนี้เฉลี่ยกว่า 8,000 ครั้ง หัวจะปวด

    7.บังเอิญว่าก่อนเพลิงไหม้ บริษัทประกันภัยต่างต่างพากันแจ้งยกเลิกกรมธรรม์ของเจ้าของคฤหาสน์หรูหลายพันหลังในพื้นที่เพลิงไหม้พอดี ทำให้ไม่ได้รับเงินชดเชยค่าสินใหมในการสร้างใหม่ คงต้องขายหรือให้เช่าที่ดินในราคาถูก

    8.บังเอิญในปี 2571 นคร ลอสแองเจลิสจะเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก มีนักลงทุนหัวใสทำโครงการชื่อสมารท์ LA 2028 มีเป้าหมายเปลี่ยนภูมิทัศน์ให้เป็นมหานครอัจฉริยะและยั่งยืน จะมีทีมนักกีฬาและผู้คนทั่วโลกมาเยือนจับจ่ายใช้สอย มีการระดมเงินทุนเครือข่ายผลประโยชน์จำนวนมากไปยังโครงการนี้ จัดการแบ่งเขตและแบ่งเค็ก การพัฒนาเมือง แม้แต่บริษัทประกันภัยต่างๆก็เอาด้วย

    9.บังเอิญกองทุน BlackRock ยักษ์ใหญ่ด้านการจัดการสินทรัพย์มูลค่า 11.5 ล้านล้านดอลลาร์หรือกว่า 391 ล้านล้านบาท ประกาศยกเลิกโครงการจัดการสินทรัพย์เท Zero ที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์เช่นการปลูกป่า การฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่ง การวัดปล่อยก๊าซคาร์บอนประเมินว่านักธุรกิจเงินหนา หันมาให้ความสำคัญกับผลกำไรตอบแทนจับต้องได้จากการลงทุนมากกว่า

    นามอธรรมสมมุติในจินตนาการไฟบรรลัยกันนี้คงไม่ใช่แค่ภัยธรรมชาติอย่างเดียว แต่ยังถูกกำหนดขึ้นอย่างมีกลยุทธ์เพื่อปูทางไปสู่สภาพแวดล้อมใหม่ที่พวกเขาควบคุมได้ซึ่งตรงกับช่วงไฮไลท์กีฬาโอลิมปิกจากทั่วโลกพอดีนั่นเอง

    โปรดกดไลค์กดแชร์พร้อมกดปุ่มติดตามไว้แจ้งเตือนตอนต่อไป

    World Update - ซุปเปอร์ไฟบรรลัยกัลป์ วายร้ายหักเหลี่ยมโหด
    https://youtu.be/XgX-zhUajsk?si=ZJFUMzWvCh7AmKxT

    Cr.fb.นบพ์ รตต์ฉัตร


    17/1/68 ความบังเอิญไม่มีอยู่จริง ไฟไหม้ยังไม่ยุติและมีเรื่องบังเอิญงอกแปลกขึ้นเรื่อยๆคือ 1.บังเอิญผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียรายนี้กำลังแข่งขันเพื่อเป็นผู้นำพรรคเดโมแครตชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐวาระถัดไปในปี 2570 ก่อนเพลิงไหม้ไม่กี่วันเขาตัดงบประมาณสำหรับการดับไฟป่ามากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ ไม่ต่อสัญญาการป้องกันอัคคีภัยกับบริษัทการบินดับไฟป่าแล้วโยกเงิน 3,000 ล้านดอลลาร์ไปทำบริการดูแลสุขภาพฟรีสำหรับผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายที่จะได้รับการแปลงสัญชาติเป็นชาวอเมริกันและมีสิทธิ์เลือกตั้ง ส่วนชาวอเมริกันจริงๆต้องจ่ายเงินซื้อประกันสุขภาพเอาเอง 2.บังเอิญนายกเทศมนตรีลอสแองเจลิสจากพรรคเดโมแครตตัดงบประมาณราว 17.6 ล้านดอลลาร์ของหน่วยดับเพลิงก่อนเกิดไฟไหม้พอดี พนักงานที่เคยมี 3,500 คนจึงถูกเลิกจ้างแทบทั้งหมด 3.บังเอิญว่าอุปกรณ์ดับเพลิง ส่วนใหญ่ของเมืองถูกขนส่งไปให้ยูเครนตามนโยบายของรัฐบาลไบเดน ในวันเริ่มเพลิงไหม้ จึงเหลือคนงานดับเพลิงใหม่ที่ขาดประสบการณ์เพียง 109 คน รถดับเพลิง 65 คัน เฮลิคอปเตอร์ 7 ลำ และอุปกรณ์อีกเล็กน้อย หน่วยดับเพลิง 29 แห่งของนครลอสแองเจลิส จึงร้องขอนักดับเพลิงจากเทศบาลอื่นมาช่วยเหลือและกรมราชทัณฑ์รัฐแคลิฟอร์เนียส่งนักโทษที่ถูกคุมขัง 395 คนมาช่วยดับไฟ กลุ่มคนหนุ่มสาวใช้รถมอเตอร์ไซค์พยายามช่วยเหลือเพื่อนบ้านแต่พวกเขาหาน้ำดับไฟไม่ได้เพราะอ่างเก็บน้ำชำรุด จ้างซ่อม ปล่อย น้ำจนเกลี้ยงไม่มีเหลือแม้แต่หยดเดียวก่อนเกิดเพลิงไหม้พอดี 4.บังเอิญในวันเริ่มไฟไหม้ เป็นวันที่มีแรงลมเร็วถึง 160 กมต่อชั่วโมง ประธานาธิบดีโจ ไบเดนผู้นำสหรัฐอยู่ที่นั่น มีกำหนดเปิดอนุสรณ์สถานแห่งชาติ 2 แห่ง แต่งานถูกยกเลิกเพราะต้นไม้ล้มเขาระบุว่าภัยคุกคามจากลมแรงที่ทำให้ไฟไหม้ อ้างว่าที่การดับเพลิงทำได้ล่าช้าเนื่องจากต้องตัดกระแสไฟเครื่องปั้มน้ำดับเพลิง จึงใช้งานไม่ได้ทั้งที่ปกติแล้วปั้มน้ำดับเพลิงติดตั้งรถส่วนใหญ่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง 5.บังเอิญคฤหาสน์หรูคนดังเช่น ฮันเตอร์ ไบเดน บุตรชายผู้นำสหรัฐชื่อกระฉ่อนถูกไฟไหม้เหลือแต่ตอ ไฟลุกลามไปที่เมืองที่ตั้งบ้านของกมลา แฮริส รองประธานาธิบดี อาโนลด์ ชวาเซเนกเกอร์ ดารารุ่นเดอะ และคนดังอีกมากมาย แต่คฤหาสน์ของทอม แฮงค์ ดาราคนดังรอดมาได้อย่างเหลือเชื่อทั้งที่บ้านเกือบทุกหลังที่อยู่ติดกันถูกไฟไหม้ แม้แต่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงยังเกาหัว บ้านคนดังเหล่านั้นสะสมของมีค่าเช่นเครื่องประดับสินค้าสารพัดแบรนด์เนม limited ภาพวาดศิลปะ ประมูลภาพถ่ายต้นฉบับส่วนตัว และของที่สะสมมาทั้งชีวิตประเมินมูลค่าไม่ได้ 6.บังเอิญเมล กิ๊บสัน ดาราคนดังที่ไฟไหม้คฤหาสน์หรูวอดวายเป็นผู้วิพากษ์วิจารณ์การจัดการไฟป่าของรัฐแคลิฟอร์เนียอย่างเผ็ดร้อนมาหลายปี เรียกร้องให้ผู้นำรัฐออกมาชี้แจงว่านโยบายต่างๆที่ไม่สามารถปกป้องประชาชนจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะจากสถิติย้อนหลังแต่ละปีเกิดเหตุเพลิงไหม้ในรัฐนี้เฉลี่ยกว่า 8,000 ครั้ง หัวจะปวด 7.บังเอิญว่าก่อนเพลิงไหม้ บริษัทประกันภัยต่างต่างพากันแจ้งยกเลิกกรมธรรม์ของเจ้าของคฤหาสน์หรูหลายพันหลังในพื้นที่เพลิงไหม้พอดี ทำให้ไม่ได้รับเงินชดเชยค่าสินใหมในการสร้างใหม่ คงต้องขายหรือให้เช่าที่ดินในราคาถูก 8.บังเอิญในปี 2571 นคร ลอสแองเจลิสจะเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก มีนักลงทุนหัวใสทำโครงการชื่อสมารท์ LA 2028 มีเป้าหมายเปลี่ยนภูมิทัศน์ให้เป็นมหานครอัจฉริยะและยั่งยืน จะมีทีมนักกีฬาและผู้คนทั่วโลกมาเยือนจับจ่ายใช้สอย มีการระดมเงินทุนเครือข่ายผลประโยชน์จำนวนมากไปยังโครงการนี้ จัดการแบ่งเขตและแบ่งเค็ก การพัฒนาเมือง แม้แต่บริษัทประกันภัยต่างๆก็เอาด้วย 9.บังเอิญกองทุน BlackRock ยักษ์ใหญ่ด้านการจัดการสินทรัพย์มูลค่า 11.5 ล้านล้านดอลลาร์หรือกว่า 391 ล้านล้านบาท ประกาศยกเลิกโครงการจัดการสินทรัพย์เท Zero ที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์เช่นการปลูกป่า การฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่ง การวัดปล่อยก๊าซคาร์บอนประเมินว่านักธุรกิจเงินหนา หันมาให้ความสำคัญกับผลกำไรตอบแทนจับต้องได้จากการลงทุนมากกว่า นามอธรรมสมมุติในจินตนาการไฟบรรลัยกันนี้คงไม่ใช่แค่ภัยธรรมชาติอย่างเดียว แต่ยังถูกกำหนดขึ้นอย่างมีกลยุทธ์เพื่อปูทางไปสู่สภาพแวดล้อมใหม่ที่พวกเขาควบคุมได้ซึ่งตรงกับช่วงไฮไลท์กีฬาโอลิมปิกจากทั่วโลกพอดีนั่นเอง โปรดกดไลค์กดแชร์พร้อมกดปุ่มติดตามไว้แจ้งเตือนตอนต่อไป World Update - ซุปเปอร์ไฟบรรลัยกัลป์ วายร้ายหักเหลี่ยมโหด https://youtu.be/XgX-zhUajsk?si=ZJFUMzWvCh7AmKxT Cr.fb.นบพ์ รตต์ฉัตร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 791 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เสมหะในลำคอมากเกินไป (excess mucus)

    เมื่อคุณหายใจ อาจจะมีสารก่อภูมิแพ้ ไวรัส ฝุ่นละอองและเศษต่างๆ เกาะติดอยู่ในโพรงจมูกของคุณ จากนั้นร่างกายจะสร้างเม็ดเลือดขาวออกมากำจัดและจะขับออกจากร่างกายไป บางครั้ง ร่างกายของคุณอาจสร้างเสมหะในลำคอมากเกินไป ทำให้ต้องกำจัดเสมหะออกบ่อยครั้ง

    เสมหะเกิดขึ้นในจมูกหรือทางเดินหายใจส่วนล่างเพื่อตอบสนองต่อการอักเสบ โดยเกิดจากเยื่อเมือกที่ไหลจากจมูกไปยังปอด

    การที่ร่างกายมีการกระทำแบบนี้ เขามีจุดประสงค์เพื่อปกป้องระบบทางเดินหายใจของคุณโดยการหล่อลื่นและกรองเสมหะ

    มีภาวะสุขภาพหลายอย่างที่สามารถกระตุ้นให้มีการผลิตเมือกในคอมากเกินไป เช่น:

    • กรดไหลย้อน

    • ภูมิแพ้

    • หอบหืด

    • การติดเชื้อ เช่น ไข้หวัดธรรมดา

    • โรคปอด เช่น หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ปอดบวม โรคซีสต์ฟิโบรซิส และโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)

    การผลิตเมือกในคอมากเกินไปอาจเกิดจากไลฟ์สไตล์และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมบางประการ เช่น:

    -สภาพแวดล้อมในร่มที่แห้ง

    -สภาวะแวดล้อมที่เต็มไปด้วยฝุ่นและควัน

    -การบริโภคน้ำและของเหลวอื่นๆ น้อยเกินไป

    -การบริโภคของเหลวมากเกินไปซึ่งอาจทำให้สูญเสียของเหลว เช่น กาแฟ ชา และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

    -ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิดบางชนิดและสารยับยั้ง ACE เช่น ลิซิโนพริล

    -การสูบบุหรี่

    จะกำจัดเมือกในคอได้อย่างไร

    หากการผลิตเมือกในคอมากเกินไปเกิดขึ้นเป็นประจำและไม่สบายตัว ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพเพื่อรับการวินิจฉัยและแผนการรักษาอย่างครบถ้วน

    วิธีการเยียวยาที่บ้านสำหรับเสมหะในลำคอ

    • กลั้วคอด้วยน้ำเกลืออุ่น: สามารถช่วยขจัดเสมหะจากด้านหลังลำคอและอาจช่วยฆ่าเชื้อโรคได้

    • ประคบร้อนบริเวณโพรงจมูกด้านนอกและบริเวณลำคอ: สามารถทำให้เสมหะเบาบางลงได้

    • สูดดมน้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ร้อน ยูคาลิปตัส เปเปอร์มินต์ เปลือกมะนาวหรือเปลือกส้ม หอมแดง

    •เพิ่มความชื้นในอากาศ: ความชื้นในอากาศสามารถช่วยให้เสมหะของคุณบางลงได้

    • ดื่มน้ำให้เพียงพอ โดยเฉพาะน้ำเปล่า สามารถช่วยคลายการคัดจมูกและช่วยให้เสมหะไหลได้ ของเหลวที่อุ่นอาจมีประสิทธิผล แต่ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน

    • ยกศีรษะขึ้น: การนอนราบอาจทำให้รู้สึกเหมือนมีเสมหะสะสมอยู่ด้านหลังลำคอ

    • หลีกเลี่ยงยาแก้คัดจมูก: แม้ว่ายาแก้คัดจมูกจะทำให้สารคัดหลั่งแห้ง แต่ก็อาจทำให้การขับเสมหะออกได้ยากขึ้น

    • หลีกเลี่ยงสารระคายเคือง น้ำหอม สารเคมี และมลพิษ: สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เยื่อเมือกเกิดการระคายเคือง ส่งผลให้ร่างกายผลิตเสมหะเพิ่มขึ้น

    • หากคุณสูบบุหรี่ ให้พยายามเลิกบุหรี่ การเลิกบุหรี่มีประโยชน์ โดยเฉพาะกับโรคปอดเรื้อรัง เช่น โรคหอบหืดหรือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง

    • ลองรับประทานอาหารบางชนิดที่มีฤทธิ์ร้อน: กระเทียม ข่า ขิง ขมิ้น ตะใคร้ พริกและผักที่มีกากใยสูง อาจช่วยลดเสมหะได้

    อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงหรือผลิตภัณฑ์จากนม ซึ่งอาจทำให้เสมหะแย่ลง

    ต้องกังวลเกี่ยวกับเสมหะในลำคอเมื่อใด

    การมีเสมหะไม่จำเป็นต้องหมายความว่าคุณมีบางอย่างผิดปกติ แต่เป็นวิธีที่ร่างกายขับสารระคายเคืองในลำคอและโพรงจมูก

    อย่างไรก็ตาม หากคุณไอออกมาแล้วอาการไม่ดีขึ้น อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อหรืออาการอื่น

    นัดพบแพทย์หากคุณมีอาการเหล่านี้:

    • เสมหะไม่หายไป

    • เสมหะเหนียวขึ้น

    • เสมหะมีปริมาตรเพิ่มขึ้นหรือเปลี่ยนสี

    • คุณมีไข้

    • คุณมีอาการเจ็บหน้าอก

    • คุณหายใจไม่ออก

    • คุณไอเป็นเลือด

    • คุณมีอาการหายใจมีเสียงหวีด

    สัญญาณเหล่านี้อาจบ่งบอกถึงอาการป่วยที่รุนแรงกว่า เช่น ปอดบวม โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ไข้หวัดใหญ่ หรือ COVID-19

    ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ

    Glube
    Whole c
    ชาขิงขมิ้น

    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
    Cr. Santi Manadee
    #เสมหะในลำคอมากเกินไป (excess mucus) เมื่อคุณหายใจ อาจจะมีสารก่อภูมิแพ้ ไวรัส ฝุ่นละอองและเศษต่างๆ เกาะติดอยู่ในโพรงจมูกของคุณ จากนั้นร่างกายจะสร้างเม็ดเลือดขาวออกมากำจัดและจะขับออกจากร่างกายไป บางครั้ง ร่างกายของคุณอาจสร้างเสมหะในลำคอมากเกินไป ทำให้ต้องกำจัดเสมหะออกบ่อยครั้ง เสมหะเกิดขึ้นในจมูกหรือทางเดินหายใจส่วนล่างเพื่อตอบสนองต่อการอักเสบ โดยเกิดจากเยื่อเมือกที่ไหลจากจมูกไปยังปอด การที่ร่างกายมีการกระทำแบบนี้ เขามีจุดประสงค์เพื่อปกป้องระบบทางเดินหายใจของคุณโดยการหล่อลื่นและกรองเสมหะ มีภาวะสุขภาพหลายอย่างที่สามารถกระตุ้นให้มีการผลิตเมือกในคอมากเกินไป เช่น: • กรดไหลย้อน • ภูมิแพ้ • หอบหืด • การติดเชื้อ เช่น ไข้หวัดธรรมดา • โรคปอด เช่น หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ปอดบวม โรคซีสต์ฟิโบรซิส และโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) การผลิตเมือกในคอมากเกินไปอาจเกิดจากไลฟ์สไตล์และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมบางประการ เช่น: -สภาพแวดล้อมในร่มที่แห้ง -สภาวะแวดล้อมที่เต็มไปด้วยฝุ่นและควัน -การบริโภคน้ำและของเหลวอื่นๆ น้อยเกินไป -การบริโภคของเหลวมากเกินไปซึ่งอาจทำให้สูญเสียของเหลว เช่น กาแฟ ชา และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ -ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิดบางชนิดและสารยับยั้ง ACE เช่น ลิซิโนพริล -การสูบบุหรี่ จะกำจัดเมือกในคอได้อย่างไร หากการผลิตเมือกในคอมากเกินไปเกิดขึ้นเป็นประจำและไม่สบายตัว ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพเพื่อรับการวินิจฉัยและแผนการรักษาอย่างครบถ้วน วิธีการเยียวยาที่บ้านสำหรับเสมหะในลำคอ • กลั้วคอด้วยน้ำเกลืออุ่น: สามารถช่วยขจัดเสมหะจากด้านหลังลำคอและอาจช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ • ประคบร้อนบริเวณโพรงจมูกด้านนอกและบริเวณลำคอ: สามารถทำให้เสมหะเบาบางลงได้ • สูดดมน้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ร้อน ยูคาลิปตัส เปเปอร์มินต์ เปลือกมะนาวหรือเปลือกส้ม หอมแดง •เพิ่มความชื้นในอากาศ: ความชื้นในอากาศสามารถช่วยให้เสมหะของคุณบางลงได้ • ดื่มน้ำให้เพียงพอ โดยเฉพาะน้ำเปล่า สามารถช่วยคลายการคัดจมูกและช่วยให้เสมหะไหลได้ ของเหลวที่อุ่นอาจมีประสิทธิผล แต่ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน • ยกศีรษะขึ้น: การนอนราบอาจทำให้รู้สึกเหมือนมีเสมหะสะสมอยู่ด้านหลังลำคอ • หลีกเลี่ยงยาแก้คัดจมูก: แม้ว่ายาแก้คัดจมูกจะทำให้สารคัดหลั่งแห้ง แต่ก็อาจทำให้การขับเสมหะออกได้ยากขึ้น • หลีกเลี่ยงสารระคายเคือง น้ำหอม สารเคมี และมลพิษ: สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เยื่อเมือกเกิดการระคายเคือง ส่งผลให้ร่างกายผลิตเสมหะเพิ่มขึ้น • หากคุณสูบบุหรี่ ให้พยายามเลิกบุหรี่ การเลิกบุหรี่มีประโยชน์ โดยเฉพาะกับโรคปอดเรื้อรัง เช่น โรคหอบหืดหรือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง • ลองรับประทานอาหารบางชนิดที่มีฤทธิ์ร้อน: กระเทียม ข่า ขิง ขมิ้น ตะใคร้ พริกและผักที่มีกากใยสูง อาจช่วยลดเสมหะได้ อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงหรือผลิตภัณฑ์จากนม ซึ่งอาจทำให้เสมหะแย่ลง ต้องกังวลเกี่ยวกับเสมหะในลำคอเมื่อใด การมีเสมหะไม่จำเป็นต้องหมายความว่าคุณมีบางอย่างผิดปกติ แต่เป็นวิธีที่ร่างกายขับสารระคายเคืองในลำคอและโพรงจมูก อย่างไรก็ตาม หากคุณไอออกมาแล้วอาการไม่ดีขึ้น อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อหรืออาการอื่น นัดพบแพทย์หากคุณมีอาการเหล่านี้: • เสมหะไม่หายไป • เสมหะเหนียวขึ้น • เสมหะมีปริมาตรเพิ่มขึ้นหรือเปลี่ยนสี • คุณมีไข้ • คุณมีอาการเจ็บหน้าอก • คุณหายใจไม่ออก • คุณไอเป็นเลือด • คุณมีอาการหายใจมีเสียงหวีด สัญญาณเหล่านี้อาจบ่งบอกถึงอาการป่วยที่รุนแรงกว่า เช่น ปอดบวม โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ไข้หวัดใหญ่ หรือ COVID-19 ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ Glube Whole c ชาขิงขมิ้น ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 538 มุมมอง 0 รีวิว
  • ที่งานประชุม J.P. Morgan Healthcare Conference เมื่อวานนี้ NVIDIA ได้ประกาศความร่วมมือใหม่เพื่อเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพและวิทยาศาสตร์ชีวภาพมูลค่า 10 ล้านล้านดอลลาร์ โดยการเร่งกระบวนการค้นคว้ายา การวิจัยจีโนม และการให้บริการด้านสุขภาพขั้นสูงด้วย AI ที่สามารถสร้างและดำเนินการได้เอง

    การรวมกันของ AI, การประมวลผลที่เร่งความเร็ว และข้อมูลชีวภาพกำลังเปลี่ยนแปลงการดูแลสุขภาพให้กลายเป็นอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุด ผู้นำด้านการดูแลสุขภาพ เช่น IQVIA, Illumina และ Mayo Clinic รวมถึง Arc Institute กำลังใช้เทคโนโลยีล่าสุดของ NVIDIA เพื่อพัฒนาวิธีการที่ช่วยปรับปรุงสุขภาพของมนุษย์

    โซลูชันเหล่านี้รวมถึง AI agents ที่สามารถเร่งกระบวนการทดลองทางคลินิกโดยลดภาระงานด้านการบริหาร, โมเดล AI ที่เรียนรู้จากเครื่องมือชีวภาพเพื่อพัฒนาการค้นคว้ายาและพยาธิวิทยาดิจิทัล และหุ่นยนต์ AI ที่ใช้ในการผ่าตัด การตรวจสอบผู้ป่วย และการดำเนินงาน

    Kimberly Powell รองประธานฝ่ายการดูแลสุขภาพของ NVIDIA กล่าวว่า "AI มอบโอกาสที่ยอดเยี่ยมในการพัฒนาการดูแลสุขภาพและวิทยาศาสตร์ชีวภาพด้วยเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ให้บริการตรวจพบโรคได้เร็วขึ้นและค้นพบการรักษาใหม่ ๆ ได้เร็วขึ้น"

    IQVIA กำลังใช้บริการ AI Foundry ของ NVIDIA เพื่อสร้างโมเดลพื้นฐานที่กำหนดเองบนข้อมูลมากกว่า 64 เพตาไบต์ และพัฒนาโซลูชัน AI ที่สามารถเร่งการวิจัยและการพัฒนาทางคลินิก

    Illumina กำลังร่วมมือกับ NVIDIA เพื่อปลดล็อกยุคใหม่ของจีโนมิกส์สำหรับการค้นคว้ายาและสุขภาพของมนุษย์ โดยใช้การประมวลผลที่เร่งความเร็วและเครื่องมือ AI ของ NVIDIA

    Mayo Clinic กำลังใช้แพลตฟอร์ม Digital Pathology ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของ NVIDIA เพื่อเร่งการพัฒนารูปแบบพื้นฐานทางพยาธิวิทยา

    Arc Institute กำลังร่วมมือกับ NVIDIA เพื่อพัฒนาและแบ่งปันโมเดล AI ที่ทรงพลังเพื่อพัฒนาการค้นคว้าทางชีวการแพทย์

    https://www.techpowerup.com/331102/nvidia-ai-expected-to-transform-usd-10-trillion-healthcare-life-sciences-industry
    ที่งานประชุม J.P. Morgan Healthcare Conference เมื่อวานนี้ NVIDIA ได้ประกาศความร่วมมือใหม่เพื่อเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพและวิทยาศาสตร์ชีวภาพมูลค่า 10 ล้านล้านดอลลาร์ โดยการเร่งกระบวนการค้นคว้ายา การวิจัยจีโนม และการให้บริการด้านสุขภาพขั้นสูงด้วย AI ที่สามารถสร้างและดำเนินการได้เอง การรวมกันของ AI, การประมวลผลที่เร่งความเร็ว และข้อมูลชีวภาพกำลังเปลี่ยนแปลงการดูแลสุขภาพให้กลายเป็นอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุด ผู้นำด้านการดูแลสุขภาพ เช่น IQVIA, Illumina และ Mayo Clinic รวมถึง Arc Institute กำลังใช้เทคโนโลยีล่าสุดของ NVIDIA เพื่อพัฒนาวิธีการที่ช่วยปรับปรุงสุขภาพของมนุษย์ โซลูชันเหล่านี้รวมถึง AI agents ที่สามารถเร่งกระบวนการทดลองทางคลินิกโดยลดภาระงานด้านการบริหาร, โมเดล AI ที่เรียนรู้จากเครื่องมือชีวภาพเพื่อพัฒนาการค้นคว้ายาและพยาธิวิทยาดิจิทัล และหุ่นยนต์ AI ที่ใช้ในการผ่าตัด การตรวจสอบผู้ป่วย และการดำเนินงาน Kimberly Powell รองประธานฝ่ายการดูแลสุขภาพของ NVIDIA กล่าวว่า "AI มอบโอกาสที่ยอดเยี่ยมในการพัฒนาการดูแลสุขภาพและวิทยาศาสตร์ชีวภาพด้วยเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ให้บริการตรวจพบโรคได้เร็วขึ้นและค้นพบการรักษาใหม่ ๆ ได้เร็วขึ้น" IQVIA กำลังใช้บริการ AI Foundry ของ NVIDIA เพื่อสร้างโมเดลพื้นฐานที่กำหนดเองบนข้อมูลมากกว่า 64 เพตาไบต์ และพัฒนาโซลูชัน AI ที่สามารถเร่งการวิจัยและการพัฒนาทางคลินิก Illumina กำลังร่วมมือกับ NVIDIA เพื่อปลดล็อกยุคใหม่ของจีโนมิกส์สำหรับการค้นคว้ายาและสุขภาพของมนุษย์ โดยใช้การประมวลผลที่เร่งความเร็วและเครื่องมือ AI ของ NVIDIA Mayo Clinic กำลังใช้แพลตฟอร์ม Digital Pathology ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของ NVIDIA เพื่อเร่งการพัฒนารูปแบบพื้นฐานทางพยาธิวิทยา Arc Institute กำลังร่วมมือกับ NVIDIA เพื่อพัฒนาและแบ่งปันโมเดล AI ที่ทรงพลังเพื่อพัฒนาการค้นคว้าทางชีวการแพทย์ https://www.techpowerup.com/331102/nvidia-ai-expected-to-transform-usd-10-trillion-healthcare-life-sciences-industry
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    NVIDIA AI Expected to Transform $10 Trillion Healthcare & Life Sciences Industry
    At yesterday's J.P. Morgan Healthcare Conference NVIDIA announced new partnerships to transform the $10 trillion healthcare and life sciences industry by accelerating drug discovery, enhancing genomic research and pioneering advanced healthcare services with agentic and generative AI. The convergenc...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 378 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ตับสัตว์

    ตับเป็นอาหารแคลอรี่ต่ำที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย อย่างไรก็ตาม อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสำหรับทุกคน

    ตับคืออะไร

    ตับเป็นอวัยวะที่สำคัญในมนุษย์และสัตว์ โดยทั่วไปแล้วตับเป็นอวัยวะภายในที่ใหญ่ที่สุดและมีหน้าที่สำคัญหลายประการ รวมถึง:

    • ผลิตน้ำดีซึ่งช่วยในการย่อยอาหาร

    • จัดเก็บไกลโคเจน ธาตุเหล็ก วิตามิน และสารอาหารที่จำเป็นอื่นๆ

    • กรองและกำจัดยาและสารพิษออกจากเลือด

    ในสัตว์ที่ไม่ป่วย ตับคืออวัยวะที่ทำความสะอาดตัวเองทุกวัน จึงสามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย

    แม้ว่าตับจะได้รับความนิยมน้อยลง แต่ตับก็เป็นอาหารที่มีสารอาหารหนาแน่นสูง

    ตับ 100 กรัม ให้ :

    • พลังงาน 189 แคลอรี่

    • โปรตีน 29 กรัม

    • ไขมัน 5 กรัม

    • คาร์โบไฮเดรต 5 กรัม

    ตับมีราคาถูกและหาซื้อได้ง่าย ตับของสัตว์ส่วนใหญ่สามารถรับประทานได้ แหล่งที่พบได้ทั่วไปคือ ตับวัว ไก่ เป็ด เนื้อแกะ และหมู

    ตับเป็นแหล่งของสารอาหารหลายชนิด

    ต่อไปนี้คือสารอาหารที่พบในตับวัว 100 กรัม

    • วิตามินบี 12: 2,917% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน (DV) วิตามินบี 12 ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงและ DNA และยังเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองที่แข็งแรงอีกด้วย

    • วิตามินเอ: 104% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน วิตามินเอมีความสำคัญต่อการมองเห็น การทำงานของภูมิคุ้มกัน และการสืบพันธุ์ นอกจากนี้ยังช่วยให้หัวใจทำงานได้อย่างถูกต้อง

    • ไรโบฟลาวิน (B2): 261% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ไรโบฟลาวินมีความสำคัญต่อการพัฒนาและการทำงานของเซลล์ นอกจากนี้ยังช่วยเปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังงานอีกด้วย

    • โฟเลต (B9): 63% ของ DV โฟเลตเป็นสารอาหารจำเป็นที่มีบทบาทในการเจริญเติบโตของเซลล์และการสร้าง DNA

    • ธาตุเหล็ก: 36% ของ DV ธาตุเหล็กเป็นสารอาหารจำเป็นอีกชนิดหนึ่งที่ช่วยนำออกซิเจนไปทั่วร่างกาย ธาตุเหล็กในตับคือธาตุเหล็กในกลุ่มฮีม ซึ่งเป็นธาตุเหล็กที่ร่างกายดูดซึมได้ง่ายที่สุด

    • ทองแดง: 1,578% ของ DV ทองแดงทำหน้าที่เป็นกุญแจสำคัญในการกระตุ้นเอนไซม์หลายชนิด ซึ่งจะช่วยควบคุมการผลิตพลังงาน การเผาผลาญธาตุเหล็ก และการทำงานของสมอง

    • โคลีน: ตับให้โคลีน 77% ของ DV โคลีนมีความสำคัญต่อการพัฒนาสมองและการทำงานของตับ

    ตับเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูง

    โปรตีนมีความสำคัญต่อชีวิตและพบได้ในทุกเซลล์ของร่างกายมนุษย์ โปรตีนจำเป็นต่อการซ่อมแซมและสร้างเซลล์ใหม่ในร่างกาย

    ตับวัวมากกว่าหนึ่งในสี่ประกอบด้วยโปรตีน เนื่องจากเป็นโปรตีนจากสัตว์ จึงมีกรดอะมิโนที่จำเป็นทั้งหมด

    กรดอะมิโนเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่ประกอบเป็นโปรตีน ร่างกายสามารถสร้างกรดอะมิโนบางชนิดได้ แต่กรดอะมิโนที่จำเป็นจะต้องมาจากอาหาร

    การรับประทานโปรตีนในปริมาณสูงได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดน้ำหนักได้ เนื่องจากช่วยลดความหิวและความอยากอาหาร นอกจากนี้ ยังพบว่าโปรตีนช่วยบรรเทาความหิวได้ดีกว่าไขมันหรือคาร์โบไฮเดรต

    ยิ่งไปกว่านั้น การรับประทานโปรตีนในปริมาณสูงยังช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญ หรือจำนวนแคลอรี่ที่ร่างกายใช้ในการทำงาน

    การที่มีอัตราการเผาผลาญที่สูงขึ้นหมายความว่าคุณใช้แคลอรี่มากขึ้น ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อการลดน้ำหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากรับประทานร่วมกับการลดปริมาณแคลอรี่

    สุดท้ายการรับประทานโปรตีนในปริมาณสูงสามารถช่วยสร้างกล้ามเนื้อและป้องกันการสูญเสียกล้ามเนื้อในขณะที่ลดน้ำหนักได้

    ในขณะเดียวกัน การศึกษาบางกรณีเตือนว่าการบริโภคโปรตีนในระยะยาวมากเกินไป โดยเฉพาะจากโปรตีนจากสัตว์ มีความเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของไต กระดูก หรือตับ และโรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้นจึงควรรับประทานให้เหมาะสมที่ร่างกายแต่ละคนต้องการ (อ่านตอนโปรตีนในหัวข้อ Fixx pro)

    ความกังวลทั่วไปเกี่ยวกับการรับประทานตับ

    หลายคนมีความกังวลเกี่ยวกับการรับประทานตับและสงสัยว่าตับไม่ดีต่อสุขภาพหรือไม่

    คำถามที่พบบ่อยที่สุดประการหนึ่งคือปริมาณคอเลสเตอรอลเป็นปัญหาหรือไม่

    แม้ว่าตับจะมีคอเลสเตอรอลสูง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนส่วนใหญ่

    ผู้คนเคยเชื่อว่าคอเลสเตอรอลในอาหารทำให้เกิดโรคหัวใจ อย่างไรก็ตาม การวิจัยล่าสุดแสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างคอเลสเตอรอลในอาหารและคอเลสเตอรอลในร่างกายนั้นไม่ตรงไปตรงมา

    คำแนะนำปัจจุบันยังคงแนะนำให้กินอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงในปริมาณที่พอเหมาะ โดยอยู่ในบริบทของการรับประทานอาหารที่สมดุลและมีคุณค่าทางโภชนาการ

    ประชากรประมาณหนึ่งในสี่ดูเหมือนจะไวต่อคอเลสเตอรอลในอาหารมากกว่า สำหรับคนเหล่านี้ การกินอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงอาจทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้นได้

    นอกจากความกังวลอื่นๆ แล้ว การศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ยังพบว่าการรับประทานอาหารที่มีเครื่องในสัตว์สูงมีความเสี่ยงเล็กน้อยที่จะเกิดโรคไขมันพอกตับที่ไม่ใช่แอลกอฮอล์ แต่การศึกษานี้ยังมีขอบเขตจำกัด และจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม
    ตับอาจไม่เหมาะกับทุกคน

    มีกลุ่มคนบางกลุ่มที่อาจต้องการหลีกเลี่ยงการรับประทานตับ

    หญิงตั้งครรภ์

    ความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของการรับประทานตับในระหว่างตั้งครรภ์ส่วนใหญ่มักเกิดจากปริมาณวิตามินเอ

    การรับประทานวิตามินเอที่ก่อตัวก่อนกำหนดในปริมาณมาก ซึ่งเป็นชนิดที่พบในตับ มีความเชื่อมโยงกับข้อบกพร่องแต่กำเนิดในการศึกษาวิจัยในปี 1995

    ปริมาณวิตามินเอสูงสุดที่ผู้ใหญ่สามารถรับประทานได้คือ 3,000 ไมโครกรัมของเรตินอลแอคทีฟเอควล (mcg RAE) ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรไม่ควรรับประทานวิตามินเอเสริมเกินปริมาณดังกล่าวต่อวัน

    อย่างไรก็ตาม ตับวัว 1 ออนซ์ (28.5 กรัม) มีวิตามินเอ 2,650 ไมโครกรัม ซึ่งใกล้เคียงกับระดับวิตามินเอสูงสุดที่ร่างกายสามารถรับประทานได้ในระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นปริมาณที่น้อยมาก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องติดตามปริมาณวิตามินเอ

    การปรึกษาหารือกับผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพเกี่ยวกับแผนการรับประทานอาหารที่ดีที่สุดสำหรับการตั้งครรภ์ของคุณเป็นสิ่งสำคัญ

    ผู้ที่เป็นโรคเกาต์

    โรคเกาต์เป็นโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่งที่เกิดจากกรดยูริกในเลือดมีปริมาณสูง อาการของโรคได้แก่ ปวด ข้อแข็ง และบวม

    ตับมีสารพิวรีนสูง ซึ่งก่อให้เกิดกรดยูริกในร่างกาย ดังนั้นการหลีกเลี่ยงตับ เครื่องในสัตว์ และปลาดุกจึงเป็นสิ่งสำคัญหากคุณเป็นโรคเกาต์

    วิธีรวมตับไว้ในอาหารของคุณ

    ตับมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งบางคนชอบและบางคนไม่ชอบ

    ต่อไปนี้คือคำแนะนำบางประการเกี่ยวกับวิธีรวมตับไว้ในอาหารของคุณ:

    • การทอดในกระทะ: ตับจะได้ผลดีเมื่อทอดในกระทะพร้อมกับหัวหอม

    • การแช่ตับในน้ำส้มสายชูหรือน้ำมะนาวก่อนปรุงอาหาร: การทำเช่นนี้จะลดรสชาติที่เข้มข้นของตับได้

    สภาวะของร่างกายที่ควรรับประทานตับ

    -กำลังเจริญเติบโตและใช้สมอง
    -เป็นไข้หรือติดเชื้อไวรัส เนื่องจากเชื้อโรคจะทำลายเม็ดเลือดแดง
    -สูญเสียเลือด ไม่ว่าจะเป็นจากการมีประจำเดือน การผ่าตัด หรือประสบอุบัติเหตุ
    -มีภาวะโลหิตจาง
    - ผู้ที่มีอาการโคลงเคลงเหมือนอยู่ในเรือหรือบ้านหมุน
    - ผู้ที่มีความรู้สึกว่าหนาวง่ายเกินไป

    ปริมาณที่แนะนำ
    ถ้าเป็นตับวัวหรือตับหมู รับประทานประมาณ 2 ช้อนโต๊ะต่อมื้อต่อวัน
    ถ้าเป็นตับไก่หรือตับเป็ด รับประทานประมาณ 1 ไม้เสียบย่าง
    และควรรับประทานสัปดาห์ละ 3 ครั้ง

    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง

    Cr.Santi Manadee
    #ตับสัตว์ ตับเป็นอาหารแคลอรี่ต่ำที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย อย่างไรก็ตาม อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสำหรับทุกคน ตับคืออะไร ตับเป็นอวัยวะที่สำคัญในมนุษย์และสัตว์ โดยทั่วไปแล้วตับเป็นอวัยวะภายในที่ใหญ่ที่สุดและมีหน้าที่สำคัญหลายประการ รวมถึง: • ผลิตน้ำดีซึ่งช่วยในการย่อยอาหาร • จัดเก็บไกลโคเจน ธาตุเหล็ก วิตามิน และสารอาหารที่จำเป็นอื่นๆ • กรองและกำจัดยาและสารพิษออกจากเลือด ในสัตว์ที่ไม่ป่วย ตับคืออวัยวะที่ทำความสะอาดตัวเองทุกวัน จึงสามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย แม้ว่าตับจะได้รับความนิยมน้อยลง แต่ตับก็เป็นอาหารที่มีสารอาหารหนาแน่นสูง ตับ 100 กรัม ให้ : • พลังงาน 189 แคลอรี่ • โปรตีน 29 กรัม • ไขมัน 5 กรัม • คาร์โบไฮเดรต 5 กรัม ตับมีราคาถูกและหาซื้อได้ง่าย ตับของสัตว์ส่วนใหญ่สามารถรับประทานได้ แหล่งที่พบได้ทั่วไปคือ ตับวัว ไก่ เป็ด เนื้อแกะ และหมู ตับเป็นแหล่งของสารอาหารหลายชนิด ต่อไปนี้คือสารอาหารที่พบในตับวัว 100 กรัม • วิตามินบี 12: 2,917% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน (DV) วิตามินบี 12 ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงและ DNA และยังเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองที่แข็งแรงอีกด้วย • วิตามินเอ: 104% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน วิตามินเอมีความสำคัญต่อการมองเห็น การทำงานของภูมิคุ้มกัน และการสืบพันธุ์ นอกจากนี้ยังช่วยให้หัวใจทำงานได้อย่างถูกต้อง • ไรโบฟลาวิน (B2): 261% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ไรโบฟลาวินมีความสำคัญต่อการพัฒนาและการทำงานของเซลล์ นอกจากนี้ยังช่วยเปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังงานอีกด้วย • โฟเลต (B9): 63% ของ DV โฟเลตเป็นสารอาหารจำเป็นที่มีบทบาทในการเจริญเติบโตของเซลล์และการสร้าง DNA • ธาตุเหล็ก: 36% ของ DV ธาตุเหล็กเป็นสารอาหารจำเป็นอีกชนิดหนึ่งที่ช่วยนำออกซิเจนไปทั่วร่างกาย ธาตุเหล็กในตับคือธาตุเหล็กในกลุ่มฮีม ซึ่งเป็นธาตุเหล็กที่ร่างกายดูดซึมได้ง่ายที่สุด • ทองแดง: 1,578% ของ DV ทองแดงทำหน้าที่เป็นกุญแจสำคัญในการกระตุ้นเอนไซม์หลายชนิด ซึ่งจะช่วยควบคุมการผลิตพลังงาน การเผาผลาญธาตุเหล็ก และการทำงานของสมอง • โคลีน: ตับให้โคลีน 77% ของ DV โคลีนมีความสำคัญต่อการพัฒนาสมองและการทำงานของตับ ตับเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูง โปรตีนมีความสำคัญต่อชีวิตและพบได้ในทุกเซลล์ของร่างกายมนุษย์ โปรตีนจำเป็นต่อการซ่อมแซมและสร้างเซลล์ใหม่ในร่างกาย ตับวัวมากกว่าหนึ่งในสี่ประกอบด้วยโปรตีน เนื่องจากเป็นโปรตีนจากสัตว์ จึงมีกรดอะมิโนที่จำเป็นทั้งหมด กรดอะมิโนเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่ประกอบเป็นโปรตีน ร่างกายสามารถสร้างกรดอะมิโนบางชนิดได้ แต่กรดอะมิโนที่จำเป็นจะต้องมาจากอาหาร การรับประทานโปรตีนในปริมาณสูงได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดน้ำหนักได้ เนื่องจากช่วยลดความหิวและความอยากอาหาร นอกจากนี้ ยังพบว่าโปรตีนช่วยบรรเทาความหิวได้ดีกว่าไขมันหรือคาร์โบไฮเดรต ยิ่งไปกว่านั้น การรับประทานโปรตีนในปริมาณสูงยังช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญ หรือจำนวนแคลอรี่ที่ร่างกายใช้ในการทำงาน การที่มีอัตราการเผาผลาญที่สูงขึ้นหมายความว่าคุณใช้แคลอรี่มากขึ้น ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อการลดน้ำหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากรับประทานร่วมกับการลดปริมาณแคลอรี่ สุดท้ายการรับประทานโปรตีนในปริมาณสูงสามารถช่วยสร้างกล้ามเนื้อและป้องกันการสูญเสียกล้ามเนื้อในขณะที่ลดน้ำหนักได้ ในขณะเดียวกัน การศึกษาบางกรณีเตือนว่าการบริโภคโปรตีนในระยะยาวมากเกินไป โดยเฉพาะจากโปรตีนจากสัตว์ มีความเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของไต กระดูก หรือตับ และโรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้นจึงควรรับประทานให้เหมาะสมที่ร่างกายแต่ละคนต้องการ (อ่านตอนโปรตีนในหัวข้อ Fixx pro) ความกังวลทั่วไปเกี่ยวกับการรับประทานตับ หลายคนมีความกังวลเกี่ยวกับการรับประทานตับและสงสัยว่าตับไม่ดีต่อสุขภาพหรือไม่ คำถามที่พบบ่อยที่สุดประการหนึ่งคือปริมาณคอเลสเตอรอลเป็นปัญหาหรือไม่ แม้ว่าตับจะมีคอเลสเตอรอลสูง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนส่วนใหญ่ ผู้คนเคยเชื่อว่าคอเลสเตอรอลในอาหารทำให้เกิดโรคหัวใจ อย่างไรก็ตาม การวิจัยล่าสุดแสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างคอเลสเตอรอลในอาหารและคอเลสเตอรอลในร่างกายนั้นไม่ตรงไปตรงมา คำแนะนำปัจจุบันยังคงแนะนำให้กินอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงในปริมาณที่พอเหมาะ โดยอยู่ในบริบทของการรับประทานอาหารที่สมดุลและมีคุณค่าทางโภชนาการ ประชากรประมาณหนึ่งในสี่ดูเหมือนจะไวต่อคอเลสเตอรอลในอาหารมากกว่า สำหรับคนเหล่านี้ การกินอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงอาจทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้นได้ นอกจากความกังวลอื่นๆ แล้ว การศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ยังพบว่าการรับประทานอาหารที่มีเครื่องในสัตว์สูงมีความเสี่ยงเล็กน้อยที่จะเกิดโรคไขมันพอกตับที่ไม่ใช่แอลกอฮอล์ แต่การศึกษานี้ยังมีขอบเขตจำกัด และจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม ตับอาจไม่เหมาะกับทุกคน มีกลุ่มคนบางกลุ่มที่อาจต้องการหลีกเลี่ยงการรับประทานตับ หญิงตั้งครรภ์ ความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของการรับประทานตับในระหว่างตั้งครรภ์ส่วนใหญ่มักเกิดจากปริมาณวิตามินเอ การรับประทานวิตามินเอที่ก่อตัวก่อนกำหนดในปริมาณมาก ซึ่งเป็นชนิดที่พบในตับ มีความเชื่อมโยงกับข้อบกพร่องแต่กำเนิดในการศึกษาวิจัยในปี 1995 ปริมาณวิตามินเอสูงสุดที่ผู้ใหญ่สามารถรับประทานได้คือ 3,000 ไมโครกรัมของเรตินอลแอคทีฟเอควล (mcg RAE) ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรไม่ควรรับประทานวิตามินเอเสริมเกินปริมาณดังกล่าวต่อวัน อย่างไรก็ตาม ตับวัว 1 ออนซ์ (28.5 กรัม) มีวิตามินเอ 2,650 ไมโครกรัม ซึ่งใกล้เคียงกับระดับวิตามินเอสูงสุดที่ร่างกายสามารถรับประทานได้ในระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นปริมาณที่น้อยมาก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องติดตามปริมาณวิตามินเอ การปรึกษาหารือกับผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพเกี่ยวกับแผนการรับประทานอาหารที่ดีที่สุดสำหรับการตั้งครรภ์ของคุณเป็นสิ่งสำคัญ ผู้ที่เป็นโรคเกาต์ โรคเกาต์เป็นโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่งที่เกิดจากกรดยูริกในเลือดมีปริมาณสูง อาการของโรคได้แก่ ปวด ข้อแข็ง และบวม ตับมีสารพิวรีนสูง ซึ่งก่อให้เกิดกรดยูริกในร่างกาย ดังนั้นการหลีกเลี่ยงตับ เครื่องในสัตว์ และปลาดุกจึงเป็นสิ่งสำคัญหากคุณเป็นโรคเกาต์ วิธีรวมตับไว้ในอาหารของคุณ ตับมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งบางคนชอบและบางคนไม่ชอบ ต่อไปนี้คือคำแนะนำบางประการเกี่ยวกับวิธีรวมตับไว้ในอาหารของคุณ: • การทอดในกระทะ: ตับจะได้ผลดีเมื่อทอดในกระทะพร้อมกับหัวหอม • การแช่ตับในน้ำส้มสายชูหรือน้ำมะนาวก่อนปรุงอาหาร: การทำเช่นนี้จะลดรสชาติที่เข้มข้นของตับได้ สภาวะของร่างกายที่ควรรับประทานตับ -กำลังเจริญเติบโตและใช้สมอง -เป็นไข้หรือติดเชื้อไวรัส เนื่องจากเชื้อโรคจะทำลายเม็ดเลือดแดง -สูญเสียเลือด ไม่ว่าจะเป็นจากการมีประจำเดือน การผ่าตัด หรือประสบอุบัติเหตุ -มีภาวะโลหิตจาง - ผู้ที่มีอาการโคลงเคลงเหมือนอยู่ในเรือหรือบ้านหมุน - ผู้ที่มีความรู้สึกว่าหนาวง่ายเกินไป ปริมาณที่แนะนำ ถ้าเป็นตับวัวหรือตับหมู รับประทานประมาณ 2 ช้อนโต๊ะต่อมื้อต่อวัน ถ้าเป็นตับไก่หรือตับเป็ด รับประทานประมาณ 1 ไม้เสียบย่าง และควรรับประทานสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr.Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 681 มุมมอง 0 รีวิว
  • #HPylori มันคือสาเหตุการเกิด “โรคกระเพาะอาหาร” ทั้งยังสามารถแพร่ระบาดจากคนสู่คนได้ เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) หรือ เอชไพโลไร (H.Pylori) เป็นแบคทีเรียประเภทที่พบได้บ่อยและใช่ มันเป็นโรคติดต่อที่ติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร โดยปกติแล้วแบคทีเรียจะเข้าสู่ปากและเข้าสู่ทางเดินอาหารเชื้อโรคอาจอาศัยอยู่ในน้ำลาย ซึ่งหมายความว่าผู้ที่ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อได้ผ่านการจูบ ออรัลเซ็กซ์ การพูดคุยขณะรับประทานอาหารร่วมกัน การพูดคุยกับแม่ค้าขณะตักอาหารให้ หรือแม้แต่การพูดคุยกับพนักงานเสิร์ฟถ้าพนักงานคนนั้นมีเชื้อนอกจากนี้ คุณสามารถติดเชื้อได้จากการปนเปื้อนอุจจาระในอาหารหรือน้ำดื่มแม้ว่าโดยทั่วไปแล้วการติดเชื้อ H. pylori จะไม่เป็นอันตราย แต่พวกมันมีส่วนทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารและทางเดินอาหารเป็นส่วนใหญ่ แผลเหล่านี้อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เช่น มะเร็งกระเพาะอาหารH. Pylori พบได้บ่อยแค่ไหนเชื้อ H. pylori มีอยู่ประมาณร้อยละ 60 ของประชากรโลก การศึกษาในปี 2014 ในวารสาร Central European Journal of Urology แนะนำว่าผู้ที่ติดเชื้อ H. pylori มากถึง 90 เปอร์เซ็นต์อาจมีแบคทีเรียอยู่ในปากและน้ำลาย และอาจเป็นสาเหตุของโรคท่อปัสสาวะอักเสบ การวิจัยยังพบว่า เชื้อ H. pylori อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรงหลายอย่าง รวมถึงมะเร็งกระเพาะอาหารและแผลในกระเพาะอาหารบางชนิด ในปี 2018 นักวิจัยรายงานว่า H. pylori อาจมีบทบาทในการพัฒนาโรคพาร์กินสันรายงานปี 2018 ในวารสาร Gastroenterology ระบุข้อกังวลอื่น: การดื้อต่อยาปฏิชีวนะของ H. pylori ทั่วโลกอาจเพิ่มขึ้นอย่างมากป้องกันการติดเชื้อ H. pyloriสุขอนามัยส่วนบุคคลที่ดีคือวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อ การล้างมืออย่างทั่วถึงและบ่อยครั้งเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่ายิ่ง การรับประทานอาหารสุกใหม่ ไม่รับประทานอาหารค้างคืนหรือแม้แต่อาหารที่ปรุงตั้งไว้เกิน 3 ชั่วโมง ไม่ดื่มน้ำที่ไม่มั่นใจว่าสะอาดเพียงพออาการของผู้ติดเชื้อ H.Pyloriโดยปกติแล้ว ผู้ที่ติดเชื้อ H.Pylori มักจะไม่แสดงอาการ แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการที่สังเกตได้ ดังนี้ปวดหรือแสบร้อนที่ท้องบริเวณเหนือสะดือปวดรุนแรงเมื่อท้องว่างหรือหลังจากรับประทานอาหารคลื่นไส้ อาเจียนจุกเสียดลิ้นปี่ท้องอืด เรอบ่อยเบื่ออาหารน้ำหนักลดผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่ในรายที่มีอาการอักเสบรุนแรง ควรรีบพบแพทย์เร่งด่วนซึ่งจะมีอาการ ดังนี้ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำคล้ายยางมะตอย หรือมีเลือดและกลิ่นรุนแรงปวดท้องรุนแรง เรื้อรังอาเจียนเป็นเลือดหรือมีสีน้ำตาลคล้ำ H.Pylori สามารถแฝงอยู่ในร่างกายนานเป็น 10 ปี โดยแทบไม่แสดงอาการ เสี่ยงเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารมากถึง 2-6 เท่าเมื่อเทียบกับคนปกติที่ไม่มีการติดเชื้อ ซึ่งทางองค์การอนามัยโลกจัดให้เชื้อ เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของมะเร็งกระเพาะอาหารดังนั้นการกำจัดเชื้อ Helicobacter Pylori จึงเป็นการลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร การตรวจหาเชื้อ H.Pylori เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ทราบต้นตอก่อนเกิดอาการรุนแรง ซึ่งปัจจุบันสามารถทำการตรวจได้หลายวิธี การตรวจวินิจฉัยเชื้อทางลมหายใจที่เรียกว่า “Urea Breath Test หรือ การเป่าลมหายใจและวัดหาระดับยูเรีย” เป็นวิธีที่ง่าย รวดเร็ว ความแม่นยำสูง ( ความไว 88-95% ) และไม่ก่อให้เกิดการเจ็บตัว ช่วยให้แพทย์วางแผนการรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดโอกาสการเกิดแผลในกระเพาะอาหารซ้ำ และการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหารโรคแผลในกระเพาะจากเชื้อเอชไพโลไร (H.Pylori) นับเป็นอีกหนึ่งภัยเงียบที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของใครหลายคน ในบางรายรักษาเท่าไหร่ก็ยังไม่หาย หรือบางรายก็ไม่ทราบว่าตัวเองได้รับเชื้อเอชไพโลไร (H. Pylori) ซึ่งความน่ากลัวของเชื้อเอชไพโลไร (H. Pylori) สามารถเกาะเกี่ยวตัวเองไว้กับเยื่อบุผิวกระเพาะอาหาร และสามารถอยู่ในกระเพาะอาหารนานนับ 10 ปี โดยไม่แสดงอาการใดๆสิ่งที่จะเสริมการรักษาโรคแผลในกระเพาะจากเชื้อเอชไพโลไร (H. Pylori) ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหารแนะนำ คือการเสริมโปรไบโอติกส์ (Probiotic) และพรีไบโอติกส์ (Prebiotic) ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหารแนะนำว่า การใช้พรีไบโอติกส์และโปรไบโอติกส์ร่วมกัน สามารถให้ผลทั้งในแง่ของการป้องกันและรักษาโรคในทางเดินอาหารได้ ทั้งยังมีความความปลอดภัยสูง และรับประทานได้ในระยะยาวโดยไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย ในข้อมูลทางการแพทย์จุลินทรีย์สายพันธุ์เฉพาะอย่างโปรไบโอติกส์ ถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการดูแลสุขภาพและบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคต่างๆ แบบเจาะจง โดยเฉพาะโรคแผลในกระเพาะอาหารจากแบคทีเรียโดยเฉพาะโปรไบโอติกส์สายพันธุ์เฉพาะอย่าง Lactobacillus acidophilus LA-5 และ Bifidobacterium lactis BB-12 สามารถช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไร (H.Pyroli) ซึ่งเป็นเชื้อก่อโรคในกระเพาะอาหารที่เป็นสาเหตุของโรคแผลในกระเพาะอาหารจากการติดเชื้อแบคทีเรีย และยังช่วยลดการอักเสบของกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ รวมทั้งช่วยปรับความถี่และความรุนแรงของการบีบตัวของลำไส้เล็ก ส่งผลดีต่อผู้ที่มีอาการปวดท้อง นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในระบบทางเดินอาหาร และลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำของโรคแผลในกระเพาะอาหารจากแบคทีเรียได้อีกด้วยอาหารที่ดีในการบำบัดแผลในกระเพาะอาหารกล้วยดิบว่านหางจระเข้ทั้งสดและสกัดผักบุ้งสดมะละกอดิบ หรืออะไรก็ได้ที่มีความเป็นเมือกสูง ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำPaa villSynbcPaa easeเกลือหิมาลัยด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr.Santi Manadee
    #HPylori มันคือสาเหตุการเกิด “โรคกระเพาะอาหาร” ทั้งยังสามารถแพร่ระบาดจากคนสู่คนได้ เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) หรือ เอชไพโลไร (H.Pylori) เป็นแบคทีเรียประเภทที่พบได้บ่อยและใช่ มันเป็นโรคติดต่อที่ติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร โดยปกติแล้วแบคทีเรียจะเข้าสู่ปากและเข้าสู่ทางเดินอาหารเชื้อโรคอาจอาศัยอยู่ในน้ำลาย ซึ่งหมายความว่าผู้ที่ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อได้ผ่านการจูบ ออรัลเซ็กซ์ การพูดคุยขณะรับประทานอาหารร่วมกัน การพูดคุยกับแม่ค้าขณะตักอาหารให้ หรือแม้แต่การพูดคุยกับพนักงานเสิร์ฟถ้าพนักงานคนนั้นมีเชื้อนอกจากนี้ คุณสามารถติดเชื้อได้จากการปนเปื้อนอุจจาระในอาหารหรือน้ำดื่มแม้ว่าโดยทั่วไปแล้วการติดเชื้อ H. pylori จะไม่เป็นอันตราย แต่พวกมันมีส่วนทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารและทางเดินอาหารเป็นส่วนใหญ่ แผลเหล่านี้อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เช่น มะเร็งกระเพาะอาหารH. Pylori พบได้บ่อยแค่ไหนเชื้อ H. pylori มีอยู่ประมาณร้อยละ 60 ของประชากรโลก การศึกษาในปี 2014 ในวารสาร Central European Journal of Urology แนะนำว่าผู้ที่ติดเชื้อ H. pylori มากถึง 90 เปอร์เซ็นต์อาจมีแบคทีเรียอยู่ในปากและน้ำลาย และอาจเป็นสาเหตุของโรคท่อปัสสาวะอักเสบ การวิจัยยังพบว่า เชื้อ H. pylori อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรงหลายอย่าง รวมถึงมะเร็งกระเพาะอาหารและแผลในกระเพาะอาหารบางชนิด ในปี 2018 นักวิจัยรายงานว่า H. pylori อาจมีบทบาทในการพัฒนาโรคพาร์กินสันรายงานปี 2018 ในวารสาร Gastroenterology ระบุข้อกังวลอื่น: การดื้อต่อยาปฏิชีวนะของ H. pylori ทั่วโลกอาจเพิ่มขึ้นอย่างมากป้องกันการติดเชื้อ H. pyloriสุขอนามัยส่วนบุคคลที่ดีคือวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อ การล้างมืออย่างทั่วถึงและบ่อยครั้งเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่ายิ่ง การรับประทานอาหารสุกใหม่ ไม่รับประทานอาหารค้างคืนหรือแม้แต่อาหารที่ปรุงตั้งไว้เกิน 3 ชั่วโมง ไม่ดื่มน้ำที่ไม่มั่นใจว่าสะอาดเพียงพออาการของผู้ติดเชื้อ H.Pyloriโดยปกติแล้ว ผู้ที่ติดเชื้อ H.Pylori มักจะไม่แสดงอาการ แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการที่สังเกตได้ ดังนี้ปวดหรือแสบร้อนที่ท้องบริเวณเหนือสะดือปวดรุนแรงเมื่อท้องว่างหรือหลังจากรับประทานอาหารคลื่นไส้ อาเจียนจุกเสียดลิ้นปี่ท้องอืด เรอบ่อยเบื่ออาหารน้ำหนักลดผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่ในรายที่มีอาการอักเสบรุนแรง ควรรีบพบแพทย์เร่งด่วนซึ่งจะมีอาการ ดังนี้ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำคล้ายยางมะตอย หรือมีเลือดและกลิ่นรุนแรงปวดท้องรุนแรง เรื้อรังอาเจียนเป็นเลือดหรือมีสีน้ำตาลคล้ำ H.Pylori สามารถแฝงอยู่ในร่างกายนานเป็น 10 ปี โดยแทบไม่แสดงอาการ เสี่ยงเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารมากถึง 2-6 เท่าเมื่อเทียบกับคนปกติที่ไม่มีการติดเชื้อ ซึ่งทางองค์การอนามัยโลกจัดให้เชื้อ เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของมะเร็งกระเพาะอาหารดังนั้นการกำจัดเชื้อ Helicobacter Pylori จึงเป็นการลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร การตรวจหาเชื้อ H.Pylori เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ทราบต้นตอก่อนเกิดอาการรุนแรง ซึ่งปัจจุบันสามารถทำการตรวจได้หลายวิธี การตรวจวินิจฉัยเชื้อทางลมหายใจที่เรียกว่า “Urea Breath Test หรือ การเป่าลมหายใจและวัดหาระดับยูเรีย” เป็นวิธีที่ง่าย รวดเร็ว ความแม่นยำสูง ( ความไว 88-95% ) และไม่ก่อให้เกิดการเจ็บตัว ช่วยให้แพทย์วางแผนการรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดโอกาสการเกิดแผลในกระเพาะอาหารซ้ำ และการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหารโรคแผลในกระเพาะจากเชื้อเอชไพโลไร (H.Pylori) นับเป็นอีกหนึ่งภัยเงียบที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของใครหลายคน ในบางรายรักษาเท่าไหร่ก็ยังไม่หาย หรือบางรายก็ไม่ทราบว่าตัวเองได้รับเชื้อเอชไพโลไร (H. Pylori) ซึ่งความน่ากลัวของเชื้อเอชไพโลไร (H. Pylori) สามารถเกาะเกี่ยวตัวเองไว้กับเยื่อบุผิวกระเพาะอาหาร และสามารถอยู่ในกระเพาะอาหารนานนับ 10 ปี โดยไม่แสดงอาการใดๆสิ่งที่จะเสริมการรักษาโรคแผลในกระเพาะจากเชื้อเอชไพโลไร (H. Pylori) ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหารแนะนำ คือการเสริมโปรไบโอติกส์ (Probiotic) และพรีไบโอติกส์ (Prebiotic) ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหารแนะนำว่า การใช้พรีไบโอติกส์และโปรไบโอติกส์ร่วมกัน สามารถให้ผลทั้งในแง่ของการป้องกันและรักษาโรคในทางเดินอาหารได้ ทั้งยังมีความความปลอดภัยสูง และรับประทานได้ในระยะยาวโดยไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย ในข้อมูลทางการแพทย์จุลินทรีย์สายพันธุ์เฉพาะอย่างโปรไบโอติกส์ ถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการดูแลสุขภาพและบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคต่างๆ แบบเจาะจง โดยเฉพาะโรคแผลในกระเพาะอาหารจากแบคทีเรียโดยเฉพาะโปรไบโอติกส์สายพันธุ์เฉพาะอย่าง Lactobacillus acidophilus LA-5 และ Bifidobacterium lactis BB-12 สามารถช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไร (H.Pyroli) ซึ่งเป็นเชื้อก่อโรคในกระเพาะอาหารที่เป็นสาเหตุของโรคแผลในกระเพาะอาหารจากการติดเชื้อแบคทีเรีย และยังช่วยลดการอักเสบของกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ รวมทั้งช่วยปรับความถี่และความรุนแรงของการบีบตัวของลำไส้เล็ก ส่งผลดีต่อผู้ที่มีอาการปวดท้อง นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในระบบทางเดินอาหาร และลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำของโรคแผลในกระเพาะอาหารจากแบคทีเรียได้อีกด้วยอาหารที่ดีในการบำบัดแผลในกระเพาะอาหารกล้วยดิบว่านหางจระเข้ทั้งสดและสกัดผักบุ้งสดมะละกอดิบ หรืออะไรก็ได้ที่มีความเป็นเมือกสูง ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำPaa villSynbcPaa easeเกลือหิมาลัยด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr.Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 553 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Verri Pineapple Vinegar: สุขภาพดีเริ่มต้นที่การย่อย ด้วยน้ำส้มสายชูหมักจากสับปะรดภูแล 100% 🍍"

    🔬 ทำความรู้จักกับ Verri: นวัตกรรมเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจากธรรมชาติ 100% 🍍

    ในยุคที่เราต้องการลดการพึ่งพายา การหันมาใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ Verri คือคำตอบสำหรับผู้ที่ต้องการลดการใช้ยาลดกรดโดยไม่ทิ้งประสิทธิภาพ

    🤔 ทำไมต้อง Verri?
    1️⃣ กระบวนการผลิตสุดพิเศษ:
    - ไร้สารเคมี หมักตามธรรมชาติ 100% ได้น้ำส้มสายชูสับปะรดที่สมบูรณ์
    - มีปริมาณกรดอะซิติคที่เป็นประโยชน์ 5% เหมาะสมที่สุดสำหรับร่างกาย
    - มีตะกอน "mother" ซึ่งเป็นเครื่องหมายรับรองความเป็นน้ำส้มสายชูหมักแท้ 💯

    2️⃣ รสชาติและกลิ่นที่น่าดื่ม:
    - กลิ่นหอมจากสับปะรดภูแลแท้
    - ดื่มง่าย ไม่แสบคอเหมือนน้ำส้มสายชูหมักทั่วไป

    3️⃣ ประโยชน์ที่คุณจะได้รับ:
    ✅ ลดอาการกรดไหลย้อนและลมในกระเพาะ ตั้งแต่แก้วแรก!
    ✅ ช่วยระบบขับถ่าย ล้างลำไส้ แก้ปัญหาท้องผูก
    ✅ ลดความเมื่อยล้า ตื่นมาสดชื่นทุกวัน
    ✅ ช่วยลดน้ำหนัก เพิ่มการเผาผลาญ
    ✅ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
    ✅ ปรับสมดุล pH ในร่างกาย

    🧪 กลไกการทำงาน:
    Verri อุดมไปด้วยเอนไซม์และสารอาหารจากสับปะรด ช่วยปรับสมดุลกรด-ด่างในกระเพาะอาหาร ส่งเสริมการย่อยอาหาร และลดอาการระคายเคืองของกระเพาะ

    วิธีดื่ม Verri:
    1️⃣ ผสม Verri 1 ช้อนโต๊ะในน้ำ 1 แก้ว
    2️⃣ ดื่มหลังอาหารเช้าหรือเย็น
    3️⃣ ทำต่อเนื่องเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

    🎉 โปรโมชั่นพิเศษ! 🎉
    🔹 1 ขวด (500 ml) ใช้ได้ 33 วัน: จาก 420 บาท เหลือเพียง 390 บาท!
    🔹🔹 2 ขวด สุดคุ้ม: จาก 840 บาท เหลือเพียง 690 บาท (345 บาท/ขวด)
    📦 ส่งฟรี! เก็บเงินปลายทางได้ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

    🚀 พร้อมเปลี่ยนวิถีการดูแลสุขภาพของคุณแล้วหรือยัง? สั่ง Verri วันนี้ เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีกว่า!!!

    📞 สั่งซื้อหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม:
    โทร: 064-9924168
    Line ID: 0649924168

    #VerriPineappleVinegar #สุขภาพกระเพาะ #ลดกรดธรรมชาติ #อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ #สับปะรดเชียงราย #ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค #น้ำส้มสายชูหมัก #ลดกรดไหลย้อน #ท้องอืดท้องเฟ้อ #สมุนไพรเพื่อสุขภาพ #ควบคุมน้ำหนัก #detox #ระบบย่อยอาหาร #healthylifestyle #naturalremedies
    "Verri Pineapple Vinegar: สุขภาพดีเริ่มต้นที่การย่อย ด้วยน้ำส้มสายชูหมักจากสับปะรดภูแล 100% 🍍" 🔬 ทำความรู้จักกับ Verri: นวัตกรรมเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจากธรรมชาติ 100% 🍍 ในยุคที่เราต้องการลดการพึ่งพายา การหันมาใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ Verri คือคำตอบสำหรับผู้ที่ต้องการลดการใช้ยาลดกรดโดยไม่ทิ้งประสิทธิภาพ 🤔 ทำไมต้อง Verri? 1️⃣ กระบวนการผลิตสุดพิเศษ: - ไร้สารเคมี หมักตามธรรมชาติ 100% ได้น้ำส้มสายชูสับปะรดที่สมบูรณ์ - มีปริมาณกรดอะซิติคที่เป็นประโยชน์ 5% เหมาะสมที่สุดสำหรับร่างกาย - มีตะกอน "mother" ซึ่งเป็นเครื่องหมายรับรองความเป็นน้ำส้มสายชูหมักแท้ 💯 2️⃣ รสชาติและกลิ่นที่น่าดื่ม: - กลิ่นหอมจากสับปะรดภูแลแท้ - ดื่มง่าย ไม่แสบคอเหมือนน้ำส้มสายชูหมักทั่วไป 3️⃣ ประโยชน์ที่คุณจะได้รับ: ✅ ลดอาการกรดไหลย้อนและลมในกระเพาะ ตั้งแต่แก้วแรก! ✅ ช่วยระบบขับถ่าย ล้างลำไส้ แก้ปัญหาท้องผูก ✅ ลดความเมื่อยล้า ตื่นมาสดชื่นทุกวัน ✅ ช่วยลดน้ำหนัก เพิ่มการเผาผลาญ ✅ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ✅ ปรับสมดุล pH ในร่างกาย 🧪 กลไกการทำงาน: Verri อุดมไปด้วยเอนไซม์และสารอาหารจากสับปะรด ช่วยปรับสมดุลกรด-ด่างในกระเพาะอาหาร ส่งเสริมการย่อยอาหาร และลดอาการระคายเคืองของกระเพาะ วิธีดื่ม Verri: 1️⃣ ผสม Verri 1 ช้อนโต๊ะในน้ำ 1 แก้ว 2️⃣ ดื่มหลังอาหารเช้าหรือเย็น 3️⃣ ทำต่อเนื่องเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด 🎉 โปรโมชั่นพิเศษ! 🎉 🔹 1 ขวด (500 ml) ใช้ได้ 33 วัน: จาก 420 บาท เหลือเพียง 390 บาท! 🔹🔹 2 ขวด สุดคุ้ม: จาก 840 บาท เหลือเพียง 690 บาท (345 บาท/ขวด) 📦 ส่งฟรี! เก็บเงินปลายทางได้ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม 🚀 พร้อมเปลี่ยนวิถีการดูแลสุขภาพของคุณแล้วหรือยัง? สั่ง Verri วันนี้ เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีกว่า!!! 📞 สั่งซื้อหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม: โทร: 064-9924168 Line ID: 0649924168 #VerriPineappleVinegar #สุขภาพกระเพาะ #ลดกรดธรรมชาติ #อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ #สับปะรดเชียงราย #ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค #น้ำส้มสายชูหมัก #ลดกรดไหลย้อน #ท้องอืดท้องเฟ้อ #สมุนไพรเพื่อสุขภาพ #ควบคุมน้ำหนัก #detox #ระบบย่อยอาหาร #healthylifestyle #naturalremedies
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 928 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Verri Pineapple Vinegar: สุขภาพดีเริ่มต้นที่การย่อย ด้วยน้ำส้มสายชูหมักจากสับปะรดภูแล 100% 🍍"

    🔬 ทำความรู้จักกับ Verri: นวัตกรรมเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจากธรรมชาติ 100% 🍍

    ในยุคที่เราต้องการลดการพึ่งพายา การหันมาใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ Verri คือคำตอบสำหรับผู้ที่ต้องการลดการใช้ยาลดกรดโดยไม่ทิ้งประสิทธิภาพ

    🤔 ทำไมต้อง Verri?
    1️⃣ กระบวนการผลิตสุดพิเศษ:
    - ไร้สารเคมี หมักตามธรรมชาติ 100% ได้น้ำส้มสายชูสับปะรดที่สมบูรณ์
    - มีปริมาณกรดอะซิติคที่เป็นประโยชน์ 5% เหมาะสมที่สุดสำหรับร่างกาย
    - มีตะกอน "mother" ซึ่งเป็นเครื่องหมายรับรองความเป็นน้ำส้มสายชูหมักแท้ 💯

    2️⃣ รสชาติและกลิ่นที่น่าดื่ม:
    - กลิ่นหอมจากสับปะรดภูแลแท้
    - ดื่มง่าย ไม่แสบคอเหมือนน้ำส้มสายชูหมักทั่วไป

    3️⃣ ประโยชน์ที่คุณจะได้รับ:
    ✅ ลดอาการกรดไหลย้อนและลมในกระเพาะ ตั้งแต่แก้วแรก!
    ✅ ช่วยระบบขับถ่าย ล้างลำไส้ แก้ปัญหาท้องผูก
    ✅ ลดความเมื่อยล้า ตื่นมาสดชื่นทุกวัน
    ✅ ช่วยลดน้ำหนัก เพิ่มการเผาผลาญ
    ✅ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
    ✅ ปรับสมดุล pH ในร่างกาย

    🧪 กลไกการทำงาน:
    Verri อุดมไปด้วยเอนไซม์และสารอาหารจากสับปะรด ช่วยปรับสมดุลกรด-ด่างในกระเพาะอาหาร ส่งเสริมการย่อยอาหาร และลดอาการระคายเคืองของกระเพาะ

    วิธีดื่ม Verri:
    1️⃣ ผสม Verri 1 ช้อนโต๊ะในน้ำ 1 แก้ว
    2️⃣ ดื่มหลังอาหารเช้าหรือเย็น
    3️⃣ ทำต่อเนื่องเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

    🎉 โปรโมชั่นพิเศษ! 🎉
    🔹 1 ขวด (500 ml) ใช้ได้ 33 วัน: จาก 420 บาท เหลือเพียง 390 บาท!
    🔹🔹 2 ขวด สุดคุ้ม: จาก 840 บาท เหลือเพียง 690 บาท (345 บาท/ขวด)
    📦 ส่งฟรี! เก็บเงินปลายทางได้ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

    🚀 พร้อมเปลี่ยนวิถีการดูแลสุขภาพของคุณแล้วหรือยัง? สั่ง Verri วันนี้ เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีกว่า!!!

    📞 สั่งซื้อหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม:
    โทร: 064-9924168
    Line ID: 0649924168

    #VerriPineappleVinegar #สุขภาพกระเพาะ #ลดกรดธรรมชาติ #อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ #สับปะรดเชียงราย #ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค #น้ำส้มสายชูหมัก #ลดกรดไหลย้อน #ท้องอืดท้องเฟ้อ #สมุนไพรเพื่อสุขภาพ #ควบคุมน้ำหนัก #detox #ระบบย่อยอาหาร #healthylifestyle #naturalremedies
    "Verri Pineapple Vinegar: สุขภาพดีเริ่มต้นที่การย่อย ด้วยน้ำส้มสายชูหมักจากสับปะรดภูแล 100% 🍍" 🔬 ทำความรู้จักกับ Verri: นวัตกรรมเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจากธรรมชาติ 100% 🍍 ในยุคที่เราต้องการลดการพึ่งพายา การหันมาใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ Verri คือคำตอบสำหรับผู้ที่ต้องการลดการใช้ยาลดกรดโดยไม่ทิ้งประสิทธิภาพ 🤔 ทำไมต้อง Verri? 1️⃣ กระบวนการผลิตสุดพิเศษ: - ไร้สารเคมี หมักตามธรรมชาติ 100% ได้น้ำส้มสายชูสับปะรดที่สมบูรณ์ - มีปริมาณกรดอะซิติคที่เป็นประโยชน์ 5% เหมาะสมที่สุดสำหรับร่างกาย - มีตะกอน "mother" ซึ่งเป็นเครื่องหมายรับรองความเป็นน้ำส้มสายชูหมักแท้ 💯 2️⃣ รสชาติและกลิ่นที่น่าดื่ม: - กลิ่นหอมจากสับปะรดภูแลแท้ - ดื่มง่าย ไม่แสบคอเหมือนน้ำส้มสายชูหมักทั่วไป 3️⃣ ประโยชน์ที่คุณจะได้รับ: ✅ ลดอาการกรดไหลย้อนและลมในกระเพาะ ตั้งแต่แก้วแรก! ✅ ช่วยระบบขับถ่าย ล้างลำไส้ แก้ปัญหาท้องผูก ✅ ลดความเมื่อยล้า ตื่นมาสดชื่นทุกวัน ✅ ช่วยลดน้ำหนัก เพิ่มการเผาผลาญ ✅ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ✅ ปรับสมดุล pH ในร่างกาย 🧪 กลไกการทำงาน: Verri อุดมไปด้วยเอนไซม์และสารอาหารจากสับปะรด ช่วยปรับสมดุลกรด-ด่างในกระเพาะอาหาร ส่งเสริมการย่อยอาหาร และลดอาการระคายเคืองของกระเพาะ วิธีดื่ม Verri: 1️⃣ ผสม Verri 1 ช้อนโต๊ะในน้ำ 1 แก้ว 2️⃣ ดื่มหลังอาหารเช้าหรือเย็น 3️⃣ ทำต่อเนื่องเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด 🎉 โปรโมชั่นพิเศษ! 🎉 🔹 1 ขวด (500 ml) ใช้ได้ 33 วัน: จาก 420 บาท เหลือเพียง 390 บาท! 🔹🔹 2 ขวด สุดคุ้ม: จาก 840 บาท เหลือเพียง 690 บาท (345 บาท/ขวด) 📦 ส่งฟรี! เก็บเงินปลายทางได้ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม 🚀 พร้อมเปลี่ยนวิถีการดูแลสุขภาพของคุณแล้วหรือยัง? สั่ง Verri วันนี้ เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีกว่า!!! 📞 สั่งซื้อหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม: โทร: 064-9924168 Line ID: 0649924168 #VerriPineappleVinegar #สุขภาพกระเพาะ #ลดกรดธรรมชาติ #อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ #สับปะรดเชียงราย #ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค #น้ำส้มสายชูหมัก #ลดกรดไหลย้อน #ท้องอืดท้องเฟ้อ #สมุนไพรเพื่อสุขภาพ #ควบคุมน้ำหนัก #detox #ระบบย่อยอาหาร #healthylifestyle #naturalremedies
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 908 มุมมอง 0 รีวิว
  • ที่น่าสนใจคือ ขณะที่คนอเมริกันถกเถียงกันถึงวิธีที่จะทำให้ยามีราคาถูกลง จีนกลับถกเถียงถึงปัญหาที่ตรงกันข้าม นั่นก็คือ บางคนกังวลว่ายาของตนจะมีราคาถูกเกินไป

    เนื่องจากจีนได้เปิดตัวระบบจัดซื้อแบบรวมศูนย์ที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า "การจัดซื้อแบบกลุ่มพร้อมปริมาณที่รับประกัน" (国家集中带量采购) เมื่อปี 2018 โดยแทนที่ปล่อยให้โรงพยาบาลแต่ละแห่งเจรจาราคา รัฐบาลจะรวบรวมความต้องการทั่วทั้งมณฑลหรือทั้งประเทศ กำหนดปริมาณทั้งหมดที่ต้องการ จากนั้นจึงดำเนินการจัดซื้อจำนวนมากจากผู้ผลิตโดยตรง

    ที่สำคัญ นโยบายนี้มุ่งเป้าไปที่ยาที่หมดสิทธิบัตรและยาสามัญเท่านั้น ยาใหม่จะไม่รวมอยู่ในโครงการและจะต้องผ่านช่องทางการเจรจาแยกกัน ซึ่งเรียกว่า "ระบบการเจรจารายการยาประกันสุขภาพแห่งชาติ" (医保目录谈判) แทนที่จะใช้การเสนอราคาแบบแข่งขัน ระบบคู่ขนานนี้เกี่ยวข้องกับการเจรจาแบบตัวต่อตัวระหว่างหน่วยงานประกันและบริษัทเภสัชกรรมสำหรับยาใหม่ที่เพิ่งได้รับการอนุมัติและมักผลิตโดยผู้ผลิตเพียงรายเดียว กระบวนการนี้รวมถึงการประเมินความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และคุณค่าของนวัตกรรมของยาอย่างละเอียดโดยผู้เชี่ยวชาญก่อนจะเริ่มการเจรจาราคา

    สิ่งนี้จะสร้างระบบสองทาง: ในขณะที่การซื้อจำนวนมากส่งผลให้ราคาของยาสามัญลดลงเนื่องจากการแข่งขัน ระบบการเจรจาแค็ตตาล็อกจะทำให้มั่นใจได้ว่ายาที่สร้างสรรค์ใหม่จะยังคงสามารถตั้งราคาได้ ซึ่งช่วยให้การวิจัยและพัฒนาด้านเภสัชกรรมยั่งยืน

    ผลลัพธ์ที่ได้ค่อนข้างน่าตกใจ ในรอบการซื้อจำนวนมากล่าสุดที่เพิ่งสิ้นสุดลง ซึ่งเป็นรอบที่ 10 นับตั้งแต่เริ่มโครงการนี้ มีการเจรจาราคายา 62 รายการ โดยบางรายการลดลงเหลือต่ำกว่า 10% ของต้นทุนเดิม ตัวอย่างเช่น ยาสำหรับมะเร็งเต้านม Palbociclib ซึ่งก่อนหน้านี้มีราคาเม็ดละ 200 หยวน (28 ดอลลาร์) ตอนนี้ขายเพียง 15 หยวน ($2) ในทำนองเดียวกัน ค่าใช้จ่ายประจำปีในการรักษาโรคตับอักเสบบีก็ลดลงจาก 4,000-5,000 หยวน เหลือ 100-200 หยวน (14-28 ดอลลาร์)

    ตั้งแต่ปี 2018 โปรแกรมดังกล่าวครอบคลุมยา 435 รายการ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพได้เกือบ 500,000 ล้านหยวน (70,000 ล้านดอลลาร์) โรงพยาบาลแห่งหนึ่งรายงานว่าประหยัดค่าใช้จ่ายด้านยาต้านมะเร็งได้ 30 ล้านหยวน ปัจจุบันยาบางชนิดมีราคาถูกกว่าน้ำเสียด้วยซ้ำ เช่น แอสไพรินเคลือบเอนเทอริก ซึ่งมักใช้เป็นยาสำหรับโรคหัวใจและหลอดเลือด ปัจจุบันมีราคาต่ำกว่า 0.04 หยวนต่อเม็ด ซึ่งหมายความว่าหากคุณรับประทาน 3 เม็ดต่อวัน คุณจะเสียเงินประมาณ 3.6 หยวนต่อเดือน (น้อยกว่า 0.5 ดอลลาร์)!

    การลดราคาสินค้ามีมากจนทำให้เกิดการถกเถียงในประเทศจีนในปัจจุบัน ไม่ใช่ว่ายาบางชนิดมีราคาแพงเกินไปหรือไม่ แต่เป็นเรื่องของยาบางชนิดที่ถูกเกินไปหรือไม่ โดยบางคนกังวลเกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพและการผลิตอย่างยั่งยืนด้วยราคาที่ต่ำเช่นนี้

    แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับระบบการดูแลสุขภาพของอเมริกา ซึ่งราคาของยาที่สูงเป็นปัญหาใหญ่ และโครงการจัดซื้อจำนวนมากในระดับประเทศยังคงไม่มีอยู่ (แม้ว่ารัฐบาลจะจัดซื้อให้กับทหารผ่านศึกและโครงการของรัฐบาลกลางในจำนวนจำกัด) ฉันลองเช็คดูแล้วพบว่าเม็ดยา Palbociclib สำหรับมะเร็งเต้านมที่ตกลงราคาไว้ที่ 2 ดอลลาร์ในจีนมีราคาขั้นต่ำอยู่ที่ 227 ดอลลาร์ต่อเม็ดในสหรัฐอเมริกา ( pharmacychecker.com/ibrance/ ) แพงกว่าถึง 100 เท่า!

    นี่เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจที่ขัดแย้งกับข้อโต้แย้งที่ว่าการแทรกแซงของรัฐบาลจะนำไปสู่การไม่มีประสิทธิภาพของตลาด รัฐบาลจีนได้สร้างตลาดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างมีประสิทธิผล โดยการรวมอำนาจซื้อและรับประกันปริมาณ โดยตลาดดังกล่าวจะขจัดต้นทุนการตลาด ลดความไม่แน่นอนของผู้ผลิต และผลักดันให้ราคาลดลงอย่างมาก ซึ่งจะไม่เกิดขึ้นได้หากไม่มีการแทรกแซงจากรัฐบาล

    นอกจากนี้ยังหักล้างความคิดที่ว่าการแทรกแซงของรัฐบาลจะทำให้การวิจัยและพัฒนาลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากสิ่งที่จีนได้นำมาใช้นั้นเป็นระบบ 2 ช่องทาง คือ ลดราคายาสามัญลงผ่านการซื้อจำนวนมาก ขณะที่รักษาการเจรจาแยกกันสำหรับยาที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่รับรองว่าต้นทุนการวิจัยและพัฒนาจะได้รับการตอบแทนอย่างเหมาะสม

    ไม่ได้หมายความว่าระบบของจีนจะสมบูรณ์แบบ ความกังวลเกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพและการผลิตอย่างยั่งยืนในราคาที่ต่ำเช่นนี้ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าด้วยการแทรกแซงอย่างชาญฉลาดของรัฐบาล ดูเหมือนว่าจะสามารถบรรลุทั้งความสามารถในการซื้อและนวัตกรรมได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ระบบการดูแลสุขภาพของสหรัฐฯ มองว่าไม่สามารถบรรลุร่วมกันได้
    ที่น่าสนใจคือ ขณะที่คนอเมริกันถกเถียงกันถึงวิธีที่จะทำให้ยามีราคาถูกลง จีนกลับถกเถียงถึงปัญหาที่ตรงกันข้าม นั่นก็คือ บางคนกังวลว่ายาของตนจะมีราคาถูกเกินไป เนื่องจากจีนได้เปิดตัวระบบจัดซื้อแบบรวมศูนย์ที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า "การจัดซื้อแบบกลุ่มพร้อมปริมาณที่รับประกัน" (国家集中带量采购) เมื่อปี 2018 โดยแทนที่ปล่อยให้โรงพยาบาลแต่ละแห่งเจรจาราคา รัฐบาลจะรวบรวมความต้องการทั่วทั้งมณฑลหรือทั้งประเทศ กำหนดปริมาณทั้งหมดที่ต้องการ จากนั้นจึงดำเนินการจัดซื้อจำนวนมากจากผู้ผลิตโดยตรง ที่สำคัญ นโยบายนี้มุ่งเป้าไปที่ยาที่หมดสิทธิบัตรและยาสามัญเท่านั้น ยาใหม่จะไม่รวมอยู่ในโครงการและจะต้องผ่านช่องทางการเจรจาแยกกัน ซึ่งเรียกว่า "ระบบการเจรจารายการยาประกันสุขภาพแห่งชาติ" (医保目录谈判) แทนที่จะใช้การเสนอราคาแบบแข่งขัน ระบบคู่ขนานนี้เกี่ยวข้องกับการเจรจาแบบตัวต่อตัวระหว่างหน่วยงานประกันและบริษัทเภสัชกรรมสำหรับยาใหม่ที่เพิ่งได้รับการอนุมัติและมักผลิตโดยผู้ผลิตเพียงรายเดียว กระบวนการนี้รวมถึงการประเมินความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และคุณค่าของนวัตกรรมของยาอย่างละเอียดโดยผู้เชี่ยวชาญก่อนจะเริ่มการเจรจาราคา สิ่งนี้จะสร้างระบบสองทาง: ในขณะที่การซื้อจำนวนมากส่งผลให้ราคาของยาสามัญลดลงเนื่องจากการแข่งขัน ระบบการเจรจาแค็ตตาล็อกจะทำให้มั่นใจได้ว่ายาที่สร้างสรรค์ใหม่จะยังคงสามารถตั้งราคาได้ ซึ่งช่วยให้การวิจัยและพัฒนาด้านเภสัชกรรมยั่งยืน ผลลัพธ์ที่ได้ค่อนข้างน่าตกใจ ในรอบการซื้อจำนวนมากล่าสุดที่เพิ่งสิ้นสุดลง ซึ่งเป็นรอบที่ 10 นับตั้งแต่เริ่มโครงการนี้ มีการเจรจาราคายา 62 รายการ โดยบางรายการลดลงเหลือต่ำกว่า 10% ของต้นทุนเดิม ตัวอย่างเช่น ยาสำหรับมะเร็งเต้านม Palbociclib ซึ่งก่อนหน้านี้มีราคาเม็ดละ 200 หยวน (28 ดอลลาร์) ตอนนี้ขายเพียง 15 หยวน ($2) ในทำนองเดียวกัน ค่าใช้จ่ายประจำปีในการรักษาโรคตับอักเสบบีก็ลดลงจาก 4,000-5,000 หยวน เหลือ 100-200 หยวน (14-28 ดอลลาร์) ตั้งแต่ปี 2018 โปรแกรมดังกล่าวครอบคลุมยา 435 รายการ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพได้เกือบ 500,000 ล้านหยวน (70,000 ล้านดอลลาร์) โรงพยาบาลแห่งหนึ่งรายงานว่าประหยัดค่าใช้จ่ายด้านยาต้านมะเร็งได้ 30 ล้านหยวน ปัจจุบันยาบางชนิดมีราคาถูกกว่าน้ำเสียด้วยซ้ำ เช่น แอสไพรินเคลือบเอนเทอริก ซึ่งมักใช้เป็นยาสำหรับโรคหัวใจและหลอดเลือด ปัจจุบันมีราคาต่ำกว่า 0.04 หยวนต่อเม็ด ซึ่งหมายความว่าหากคุณรับประทาน 3 เม็ดต่อวัน คุณจะเสียเงินประมาณ 3.6 หยวนต่อเดือน (น้อยกว่า 0.5 ดอลลาร์)! การลดราคาสินค้ามีมากจนทำให้เกิดการถกเถียงในประเทศจีนในปัจจุบัน ไม่ใช่ว่ายาบางชนิดมีราคาแพงเกินไปหรือไม่ แต่เป็นเรื่องของยาบางชนิดที่ถูกเกินไปหรือไม่ โดยบางคนกังวลเกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพและการผลิตอย่างยั่งยืนด้วยราคาที่ต่ำเช่นนี้ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับระบบการดูแลสุขภาพของอเมริกา ซึ่งราคาของยาที่สูงเป็นปัญหาใหญ่ และโครงการจัดซื้อจำนวนมากในระดับประเทศยังคงไม่มีอยู่ (แม้ว่ารัฐบาลจะจัดซื้อให้กับทหารผ่านศึกและโครงการของรัฐบาลกลางในจำนวนจำกัด) ฉันลองเช็คดูแล้วพบว่าเม็ดยา Palbociclib สำหรับมะเร็งเต้านมที่ตกลงราคาไว้ที่ 2 ดอลลาร์ในจีนมีราคาขั้นต่ำอยู่ที่ 227 ดอลลาร์ต่อเม็ดในสหรัฐอเมริกา ( pharmacychecker.com/ibrance/ ) แพงกว่าถึง 100 เท่า! นี่เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจที่ขัดแย้งกับข้อโต้แย้งที่ว่าการแทรกแซงของรัฐบาลจะนำไปสู่การไม่มีประสิทธิภาพของตลาด รัฐบาลจีนได้สร้างตลาดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างมีประสิทธิผล โดยการรวมอำนาจซื้อและรับประกันปริมาณ โดยตลาดดังกล่าวจะขจัดต้นทุนการตลาด ลดความไม่แน่นอนของผู้ผลิต และผลักดันให้ราคาลดลงอย่างมาก ซึ่งจะไม่เกิดขึ้นได้หากไม่มีการแทรกแซงจากรัฐบาล นอกจากนี้ยังหักล้างความคิดที่ว่าการแทรกแซงของรัฐบาลจะทำให้การวิจัยและพัฒนาลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากสิ่งที่จีนได้นำมาใช้นั้นเป็นระบบ 2 ช่องทาง คือ ลดราคายาสามัญลงผ่านการซื้อจำนวนมาก ขณะที่รักษาการเจรจาแยกกันสำหรับยาที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่รับรองว่าต้นทุนการวิจัยและพัฒนาจะได้รับการตอบแทนอย่างเหมาะสม ไม่ได้หมายความว่าระบบของจีนจะสมบูรณ์แบบ ความกังวลเกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพและการผลิตอย่างยั่งยืนในราคาที่ต่ำเช่นนี้ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าด้วยการแทรกแซงอย่างชาญฉลาดของรัฐบาล ดูเหมือนว่าจะสามารถบรรลุทั้งความสามารถในการซื้อและนวัตกรรมได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ระบบการดูแลสุขภาพของสหรัฐฯ มองว่าไม่สามารถบรรลุร่วมกันได้
    Like
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 497 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันปีใหม่สะท้อนบทบาทต่อสังคมไทยได้อย่างไรวันปีใหม่ถือเป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญที่คนไทยให้ความสำคัญอย่างมาก โดยไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของเวลา แต่ยังแสดงถึงบทบาทที่ลึกซึ้งในด้านวัฒนธรรม สังคม และเศรษฐกิจของประเทศไทย วันปีใหม่จึงเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความหมายและกิจกรรมที่ช่วยเชื่อมโยงผู้คนในสังคมไทยอย่างหลากหลายแง่มุม1. การเสริมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวและชุมชนวันปีใหม่เป็นโอกาสที่สมาชิกในครอบครัวกลับมารวมตัวกัน เพื่อเฉลิมฉลองและสร้างความอบอุ่นร่วมกัน กิจกรรมเช่นการไหว้ผู้ใหญ่ การรับพร หรือการเลี้ยงฉลองในครอบครัวสะท้อนถึงคุณค่าของความกตัญญูและความสามัคคี ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของสังคมไทยในระดับชุมชน การจัดงานเฉลิมฉลอง เช่น การสวดมนต์ข้ามปี การจัดงานวัด หรืองานปีใหม่ของหมู่บ้าน ช่วยสร้างความสามัคคีระหว่างเพื่อนบ้าน เสริมสร้างความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งในสังคม2. การส่งเสริมวัฒนธรรมและประเพณีไทยแม้ว่าเทศกาลปีใหม่จะมีต้นกำเนิดจากวัฒนธรรมตะวันตก แต่คนไทยได้ปรับประยุกต์ให้เข้ากับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิม เช่น การทำบุญตักบาตรในช่วงเช้า หรือการสวดมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล สะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างความทันสมัยและความศรัทธาในพุทธศาสนา3. การกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวช่วงวันปีใหม่เป็นช่วงเวลาที่มีการจับจ่ายใช้สอยสูงสุดแห่งปี ทั้งการซื้อของขวัญ การตกแต่งบ้าน หรือการเดินทางท่องเที่ยว การกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น เช่น ตลาดนัด สินค้า OTOP และแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนและส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว4. การส่งเสริมความหวังและแรงบันดาลใจวันปีใหม่เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่ๆ หลายคนตั้งเป้าหมายหรือปณิธานในชีวิต เช่น การทำงานให้ดีขึ้น การดูแลสุขภาพ หรือการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ กิจกรรมเหล่านี้ส่งผลให้เกิดทัศนคติในเชิงบวกที่ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมโดยรวม5. การสะท้อนความหลากหลายทางวัฒนธรรมในประเทศไทย เราเฉลิมฉลองปีใหม่ทั้งแบบไทย (สงกรานต์) และปีใหม่สากล (1 มกราคม) สิ่งนี้สะท้อนถึงความหลากหลายและการเปิดกว้างในวัฒนธรรมไทยที่พร้อมยอมรับและเคารพความแตกต่างบทสรุปวันปีใหม่ไม่ใช่เพียงแค่วันหยุดเทศกาล แต่เป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อมโยงและการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในระดับครอบครัว ชุมชน และสังคมโดยรวม นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงคุณค่าของความกตัญญู ความสามัคคี และความหวัง ซึ่งล้วนเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาสังคมไทยในทุกมิติ
    วันปีใหม่สะท้อนบทบาทต่อสังคมไทยได้อย่างไรวันปีใหม่ถือเป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญที่คนไทยให้ความสำคัญอย่างมาก โดยไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของเวลา แต่ยังแสดงถึงบทบาทที่ลึกซึ้งในด้านวัฒนธรรม สังคม และเศรษฐกิจของประเทศไทย วันปีใหม่จึงเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความหมายและกิจกรรมที่ช่วยเชื่อมโยงผู้คนในสังคมไทยอย่างหลากหลายแง่มุม1. การเสริมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวและชุมชนวันปีใหม่เป็นโอกาสที่สมาชิกในครอบครัวกลับมารวมตัวกัน เพื่อเฉลิมฉลองและสร้างความอบอุ่นร่วมกัน กิจกรรมเช่นการไหว้ผู้ใหญ่ การรับพร หรือการเลี้ยงฉลองในครอบครัวสะท้อนถึงคุณค่าของความกตัญญูและความสามัคคี ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของสังคมไทยในระดับชุมชน การจัดงานเฉลิมฉลอง เช่น การสวดมนต์ข้ามปี การจัดงานวัด หรืองานปีใหม่ของหมู่บ้าน ช่วยสร้างความสามัคคีระหว่างเพื่อนบ้าน เสริมสร้างความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งในสังคม2. การส่งเสริมวัฒนธรรมและประเพณีไทยแม้ว่าเทศกาลปีใหม่จะมีต้นกำเนิดจากวัฒนธรรมตะวันตก แต่คนไทยได้ปรับประยุกต์ให้เข้ากับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิม เช่น การทำบุญตักบาตรในช่วงเช้า หรือการสวดมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล สะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างความทันสมัยและความศรัทธาในพุทธศาสนา3. การกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวช่วงวันปีใหม่เป็นช่วงเวลาที่มีการจับจ่ายใช้สอยสูงสุดแห่งปี ทั้งการซื้อของขวัญ การตกแต่งบ้าน หรือการเดินทางท่องเที่ยว การกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น เช่น ตลาดนัด สินค้า OTOP และแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนและส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว4. การส่งเสริมความหวังและแรงบันดาลใจวันปีใหม่เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่ๆ หลายคนตั้งเป้าหมายหรือปณิธานในชีวิต เช่น การทำงานให้ดีขึ้น การดูแลสุขภาพ หรือการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ กิจกรรมเหล่านี้ส่งผลให้เกิดทัศนคติในเชิงบวกที่ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมโดยรวม5. การสะท้อนความหลากหลายทางวัฒนธรรมในประเทศไทย เราเฉลิมฉลองปีใหม่ทั้งแบบไทย (สงกรานต์) และปีใหม่สากล (1 มกราคม) สิ่งนี้สะท้อนถึงความหลากหลายและการเปิดกว้างในวัฒนธรรมไทยที่พร้อมยอมรับและเคารพความแตกต่างบทสรุปวันปีใหม่ไม่ใช่เพียงแค่วันหยุดเทศกาล แต่เป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อมโยงและการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในระดับครอบครัว ชุมชน และสังคมโดยรวม นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงคุณค่าของความกตัญญู ความสามัคคี และความหวัง ซึ่งล้วนเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาสังคมไทยในทุกมิติ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 714 มุมมอง 0 รีวิว
  • Dr.PONG VC120 #VitaminC 120 mg candy #วิตามินซี เม็ด Vit c SUGAR FREE 120 เม็ด

    ฿199 (ปกติ ฿800)

    ข้อมูลเพิ่มเติมและพิกัด 👉 https://s.shopee.co.th/AUd6H02pA7

    ----------

    Dr.PONG VC120 Vitamin C 120 mg candy
    ดอกเตอร์พงศ์วิซี120 ลูกอมวิตามินซี 120 มิลลิกรัม
    .
    ⭐️1 ขวด บรรจุ 120 เม็ด / 1 bottle contains 120 tablets
    📌1 เม็ด มีปริมาณ วิตามินซี 120 มิลลิกรัม / 1 tablet contains 120 mg of Vitamin C
    ⭐️หมายเลขใบอนุญาต/อย. : 13-1-00449-6-0006
    ⭐️หมายเลขใบอนุญาตโฆษณาอาหาร : ฆอ.1230/2566
    .
    🍊วิตามินซี เคี้ยวอร่อย! เสริมภูมิคุ้มกัน! สุดคุ้มม 💥
    อัดแน่นวิตามินซีสูงถึง 120 mg ต่อเม็ด
    เคี้ยวอร่อยได้ทั้งวัน ไม่มีน้ำตาล ไม่ทำให้ฟันผุ
    .
    👉🏻เสริมภูมิคุ้มกัน บรรเทาอาการหวัด
    👉🏻ชะลอริ้วรอย
    👉🏻ช่วยบำรุงผิวพรรณ
    #เหมาะกับใคร 👧🏻👦🏻
    ☑️ ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ เป็นหวัดบ่อย
    ☑️ ผู้ที่ต้องการบำรุงผิวพรรณ
    ☑️ ผู้ที่ติดขนม ชอบทานลูกอม
    ☑️ ผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพ เสริมภูมิคุ้มกัน
    ☑️ ทานได้ทุกเพศและวัย

    ----------

    #วิตามิน #สุขภาพ
    Dr.PONG VC120 #VitaminC 120 mg candy #วิตามินซี เม็ด Vit c SUGAR FREE 120 เม็ด ฿199 (ปกติ ฿800) ข้อมูลเพิ่มเติมและพิกัด 👉 https://s.shopee.co.th/AUd6H02pA7 ---------- Dr.PONG VC120 Vitamin C 120 mg candy ดอกเตอร์พงศ์วิซี120 ลูกอมวิตามินซี 120 มิลลิกรัม . ⭐️1 ขวด บรรจุ 120 เม็ด / 1 bottle contains 120 tablets 📌1 เม็ด มีปริมาณ วิตามินซี 120 มิลลิกรัม / 1 tablet contains 120 mg of Vitamin C ⭐️หมายเลขใบอนุญาต/อย. : 13-1-00449-6-0006 ⭐️หมายเลขใบอนุญาตโฆษณาอาหาร : ฆอ.1230/2566 . 🍊วิตามินซี เคี้ยวอร่อย! เสริมภูมิคุ้มกัน! สุดคุ้มม 💥 อัดแน่นวิตามินซีสูงถึง 120 mg ต่อเม็ด เคี้ยวอร่อยได้ทั้งวัน ไม่มีน้ำตาล ไม่ทำให้ฟันผุ . 👉🏻เสริมภูมิคุ้มกัน บรรเทาอาการหวัด 👉🏻ชะลอริ้วรอย 👉🏻ช่วยบำรุงผิวพรรณ #เหมาะกับใคร 👧🏻👦🏻 ☑️ ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ เป็นหวัดบ่อย ☑️ ผู้ที่ต้องการบำรุงผิวพรรณ ☑️ ผู้ที่ติดขนม ชอบทานลูกอม ☑️ ผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพ เสริมภูมิคุ้มกัน ☑️ ทานได้ทุกเพศและวัย ---------- #วิตามิน #สุขภาพ
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 492 มุมมอง 0 รีวิว
  • #นาฬิกาชีวิต จังหวะเวลาที่กำหนดสุขภาพ
    ทุกวัน..จะชอบเขียนเรื่องอาหารเพื่อสุขภาพ คือ ไม่กินเนื้อสัตว์ ละเว้นการเบียดเบียนตามหลักพุทธศาสนา คือ ถือศีลข้อที่๑(บริสุทธิ์) ทำให้เลือดในร่างกายไม่เป็นกรด ปัญหาเรื่องกระดูกพรุนไม่เกิด และมีสุขภาพที่ดี แข็งแรง ไม่ต้องเป็นภาระทางราชการ หรือ ต้องสูญเสียเงินทองมากมายเมื่อเข้าสู่วัยชรา.
    วันนี้..ที่บ้านมีพะโล้ฟองเต้าหู้ กับ ผักกาดจอ หม้อใหญ่ๆ เป็นอาหารหลัก ทำเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา คงกินได้หลายวัน
    วันนี้จึงไม่โม้เรื่องอาหาร เพราะเคยเขียนเผยแพร่แล้ว
    วันนี้พูดเรื่องสำคัญ..มากเท่ากับเรื่องอาหาร คือ
    วินัย ของ การทำงานในร่างกาย ปฏิบัติตัวอย่างไร ให้ ถูกที่ ถูกเวลา ตลอดเวลา ๒๔ชั่วโมง ก็ สำคัญมาก ซึ่งวันนี้ จะนำเสนอให้ทราบ ดังนี้
    เหตุผลตามธรรมชาติ
    #ทำไมต้องนอนสามทุ่มตื่นตีสาม?
    ต้องดื่มน้ำหลังตื่นนอน ขับถ่ายของเสีย กินอาหารให้ตรงเวลา
    #ทำไมเวลาเก้าโมงถึงสิบเอ็ดโมงเช้า(ห้ามนอน..เด็ดขาด)
    บ่ายโมงถึงบ่ายสามไม่ควรกินอาหาร
    #บ่ายสามถึงห้าโมงเย็นเป็นเวลาออกกำลังกาย
    --->สามทุ่ม(ต้อง)เข้านอน(ห่มผ้า)ให้อบอุ่น ไม่ควรอาบน้ำเย็น
    #สี่ทุ่มถึงตีสามคือเวลาของฮอร์โมนเมลาโทนิน(หลั่ง)
    --->ต้อง(ห่มผ้า)นอนหลับให้สนิท และ ปิดไฟให้มืด
    จึงจะมีสุขภาพที่ดี แข็งแรง มีอายุขัยที่ยืนยาว 120 ปี
    #นาฬิกาชีวิต คือ การดูแลรักษาสุขภาพแบบธรรมชาติบำบัด ให้มีสุขภาพที่ดีอายุยืนนาน ตามศาสตร์การแพทย์จีน อายุรเวทของอินเดีย และอียิปต์โบราณได้ค้นพบ และบันทึกตรงกันว่า
    #อวัยวะในร่างกายมนุษย์ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ #อวัยวะตัน --->หัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด ม้าม ตับ และไต #อวัยวะกลวง --->กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ และ ระบบความร้อนในร่างกาย
    ทั้งหมดรวมได้ 12 อวัยวะ ควบคุมการไหลเวียนด้วยพลังชีวิตที่เรียกว่า.. “ #ลมปราณ” หมุนเวียนเป็นวัฏจักรทุก 2 ชั่วโมง ตามลำดับ
    ดังนั้นใน 1วัน=12อวัยวะX2ชั่วโมง จึงเท่ากับ 24ชั่วโมง (พอดีเป๊ะ)
    นี่แหละ คือ วัฏจักรของการทำงาน(ตามปกติ)ของอวัยวะในร่างกายมนุษย์ ที่เรียกว่า #นาฬิกาชีวิต นั่นเอง ค่ะ
    #ตารางการเดินลมปราณในแต่ละวัน จึงเป็นการดูแลสุขภาพอย่างง่ายๆ เพียงแค่ปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับ..”นาฬิกาชีวิต” ได้ดังนี้...
    เวลา 01.00-03.00น. ควรเป็นเวลาของ #ตับ มีหน้าที่เป็นโรงงานกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย ดังนั้นในช่วงเวลานี้ร่างกาย #ควรนอนหลับให้สนิทเพื่อให้ตับได้ขจัดสารพิษออกจากร่างกายหากไม่หลับในช่วงนี้จะทำให้สะสมพิษทำให้เกิดอาการเพลีย เหนื่อยง่าย
    โรคต่างที่เกิดจากพิษสารเคมีสะสมจะทำให้ป่วยง่าย+เรื้อรัง-ตายอย่างเวทนาและทุกข์ทรมาน นะคะ(ขอ บอก)
    เวลา 03.00-05.00น. #ควรตื่นนอน ดื่มน้ำอุ่น ฝึกกำหนดลมหายใจเข้า-ออก..ลึกๆ ช้าๆ..สูดอากาศบริสุทธิ์ ออกกำลังกายยืดเส้น ยืดสาย ทำให้สุขภาพปอดและร่างกายโดยรวมจะดีไปด้วย
    #การดื่มน้ำอุ่นในช่วงนี้และการซิทอัป--->จะกระตุ้น(เร่ง)การทำงานของลำไส้ใหญ่ ซึ่งทำงานในช่วงต่อไป..
    เวลา 05.00-07.00น. เป็นช่วงเวลาของ #การทำงานลำไส้ใหญ่ บีบรัดตัวได้ดีที่สุด เป็นเวลาขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย การไม่ขับถ่ายในช่วงเวลานี้ทำให้ลำไส้ใหญ่ดูดซึมกลับไป สะสมสารพิษ สะสม ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพอย่างแน่นอน เวลา 05.45-06.00น.เป็นเวลาที่ดีที่สุด ของ #การฝึกสมาธิ เพราะในขณะที่ตื่นนอน ทำธุระส่วนตัว อาบน้ำ&แปรงฟัน..เสร็จ ปลอดโปร่ง..#โล่งทั้งกายและใจไม่มีเรื่องเครียด เรื่องงานมากวนใจ ฝึกนั่งสมาธิในช่วงนี้(ทุกวัน)สามารถเข้าถึงสมาธิได้สำเร็จ(ง่าย)มาก..ค่ะ
    เวลา 07.00-09.00น. คือช่วงเวลาของ #กระเพาะอาหาร ต้องกินอาหารเช้าเป็นมื้อหลักที่มีสารอาหารอย่างครบถ้วน หากไม่กินมื้อเช้า(มื้อสำคัญ)จะเป็นโรคกระเพาะอย่างรวดเร็ว และสะสมเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารได้ในระยะยาว
    เวลา 09.00-011.00น. เป็นเวลาของ #ม้าม ควบคุมเม็ดเลือดขาว กำจัดเม็ดเลือดแดงที่หมดอายุ ดังนั้นผู้ที่นอนในช่วงนี้จะส่งผลให้ม้ามอ่อนแอ มี #ภูมิคุ้มกันโรคต่ำ ติดเชื้อเป็นโรคต่างๆได้ง่าย
    เวลา 11.00-13.00น. ช่วงพักเที่ยง เป็นช่วงเวลาของ #หัวใจ ควรพักผ่อน..สบายๆ งดน้ำชา กาแฟ หลีกเลี่ยงความเครียดซึ่งทำให้หัวใจเต้นแรง ทำงานหนักเกิน ส่งผลให้หัวใจวายได้อย่างง่ายๆ ในช่วงเวลาเที่ยง จ๊ะ
    เวลา 13.00-15.00น. เป็นช่วงเวลาของ #ลำไส้เล็ก ในช่วงนี้ร่างกายส่งพลังงานทั้งหมดไปยังลำไส้เล็กเพื่อการดูดซึม #การกินอาหารในช่วงนี้จะไปขัดขวางโอกาสทองของระบบดูดซีมที่ต้องแบ่งพลังงานไปใช้ในการย่อยในกระเพาะอาหาร ช่วงนี้สมองในส่วนความจำจะทำงานได้ดีที่สุดในรอบวัน
    เวลา 15.00-17.00น. เวลาของ #กระเพาะปัสสาวะ และการขับเหงื่อ #จึงควรออกกำลังกายอย่างหนัก หรือ เหมาะกับการอบซาวน่าเพื่อให้เหงื่อออก สำหรับหนุ่มสาวที่ทำงานในช่วงนี้ ก็สามารถใช้ท่าการออกกำลังกายในสำนักงาน หรือเดินไป-มา ขึ้น-ลงบันได เพื่อส่งเสริมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะได้..เช่นกัน
    เวลา 17.00-19.00น. #ช่วงเวลาของไต มีหน้าที่รักษาสมดุลเกลือแร่ในร่างกาย โดยกำจัดส่วนเกินออกทางปัสสาวะและเหงื่อ #เวลาช่วงนี้จึงควรทำให้ร่างกายตื่นตัว ไม่ง่วง ไม่หลับ เป็นช่วงCool Down หรือผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ต่อจากการออกกำลังกายอย่างหนัก..ในช่วงเวลาที่ผ่านมา
    เวลา 19.00-21.00น. ช่วงนี้เป็นเวลาที่ #เยื่อหุ้มหัวใจ..บางที่สุด จึงควรระวังอารมณ์ตื่นเต้น ดีใจ ตกใจ โกรธ เสียใจ การที่ทำให้ตื่นตัวมากๆส่งผลให้เยื่อหุ้มหัวใจฉีกขาดได้ง่าย ดังนั้นในช่วงเวลานี้จึงควรปิดโทรศัพท์ สวดมนต์ นั่งสมาธิ ทำจิตใจให้สงบ
    เวลา 21.00-23.00น. เป็นช่วงเวลาของ #ระบบความร้อนในร่างกาย ซึ่งตามธรรมชาติ..ในช่วงเวลานี้อากาศเริ่มเย็น ร่างกายคนเราต้องสร้างความร้อนขึ้น จึงไม่ควรอาบน้ำหรือดื่มน้ำเย็น และควรเข้านอนในช่วงเวลานี้ ควรดื่มน้ำอุ่น 1 แก้วก่อนนอนเพื่อส่งเสริมการทำงานของถุงน้ำดีในเวลาถัดไป.
    เวลา 23.00-01.00น. เวลาของ #ถุงน้ำดี ซึ่งช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่หลับ ร่างกายจะอยู่ในสภาพที่ขาดน้ำ อวัยวะต่างๆจะดึงน้ำจากถุงน้ำดี..แล้วนำไปใช้ หากน้ำในถุงน้ำดีข้นเกินไปอาจส่งผลให้อวัยวะต่างๆทำงานผิดปกติได้ #หากไม่นอนในช่วงนี้จะเกิดถุงไขมันใต้ตา และไขมันพอกตับ
    .
    .
    เจริญธรรม สำนึกดี
    Pachäree Wõng
    November21, 2024
    Sausalito, California.
    #นาฬิกาชีวิต จังหวะเวลาที่กำหนดสุขภาพ ทุกวัน..จะชอบเขียนเรื่องอาหารเพื่อสุขภาพ คือ ไม่กินเนื้อสัตว์ ละเว้นการเบียดเบียนตามหลักพุทธศาสนา คือ ถือศีลข้อที่๑(บริสุทธิ์) ทำให้เลือดในร่างกายไม่เป็นกรด ปัญหาเรื่องกระดูกพรุนไม่เกิด และมีสุขภาพที่ดี แข็งแรง ไม่ต้องเป็นภาระทางราชการ หรือ ต้องสูญเสียเงินทองมากมายเมื่อเข้าสู่วัยชรา. วันนี้..ที่บ้านมีพะโล้ฟองเต้าหู้ กับ ผักกาดจอ หม้อใหญ่ๆ เป็นอาหารหลัก ทำเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา คงกินได้หลายวัน วันนี้จึงไม่โม้เรื่องอาหาร เพราะเคยเขียนเผยแพร่แล้ว วันนี้พูดเรื่องสำคัญ..มากเท่ากับเรื่องอาหาร คือ วินัย ของ การทำงานในร่างกาย ปฏิบัติตัวอย่างไร ให้ ถูกที่ ถูกเวลา ตลอดเวลา ๒๔ชั่วโมง ก็ สำคัญมาก ซึ่งวันนี้ จะนำเสนอให้ทราบ ดังนี้ เหตุผลตามธรรมชาติ #ทำไมต้องนอนสามทุ่มตื่นตีสาม? ต้องดื่มน้ำหลังตื่นนอน ขับถ่ายของเสีย กินอาหารให้ตรงเวลา #ทำไมเวลาเก้าโมงถึงสิบเอ็ดโมงเช้า(ห้ามนอน..เด็ดขาด) บ่ายโมงถึงบ่ายสามไม่ควรกินอาหาร #บ่ายสามถึงห้าโมงเย็นเป็นเวลาออกกำลังกาย --->สามทุ่ม(ต้อง)เข้านอน(ห่มผ้า)ให้อบอุ่น ไม่ควรอาบน้ำเย็น #สี่ทุ่มถึงตีสามคือเวลาของฮอร์โมนเมลาโทนิน(หลั่ง) --->ต้อง(ห่มผ้า)นอนหลับให้สนิท และ ปิดไฟให้มืด จึงจะมีสุขภาพที่ดี แข็งแรง มีอายุขัยที่ยืนยาว 120 ปี #นาฬิกาชีวิต คือ การดูแลรักษาสุขภาพแบบธรรมชาติบำบัด ให้มีสุขภาพที่ดีอายุยืนนาน ตามศาสตร์การแพทย์จีน อายุรเวทของอินเดีย และอียิปต์โบราณได้ค้นพบ และบันทึกตรงกันว่า #อวัยวะในร่างกายมนุษย์ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ #อวัยวะตัน --->หัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด ม้าม ตับ และไต #อวัยวะกลวง --->กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ และ ระบบความร้อนในร่างกาย ทั้งหมดรวมได้ 12 อวัยวะ ควบคุมการไหลเวียนด้วยพลังชีวิตที่เรียกว่า.. “ #ลมปราณ” หมุนเวียนเป็นวัฏจักรทุก 2 ชั่วโมง ตามลำดับ ดังนั้นใน 1วัน=12อวัยวะX2ชั่วโมง จึงเท่ากับ 24ชั่วโมง (พอดีเป๊ะ) นี่แหละ คือ วัฏจักรของการทำงาน(ตามปกติ)ของอวัยวะในร่างกายมนุษย์ ที่เรียกว่า #นาฬิกาชีวิต นั่นเอง ค่ะ #ตารางการเดินลมปราณในแต่ละวัน จึงเป็นการดูแลสุขภาพอย่างง่ายๆ เพียงแค่ปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับ..”นาฬิกาชีวิต” ได้ดังนี้... เวลา 01.00-03.00น. ควรเป็นเวลาของ #ตับ มีหน้าที่เป็นโรงงานกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย ดังนั้นในช่วงเวลานี้ร่างกาย #ควรนอนหลับให้สนิทเพื่อให้ตับได้ขจัดสารพิษออกจากร่างกายหากไม่หลับในช่วงนี้จะทำให้สะสมพิษทำให้เกิดอาการเพลีย เหนื่อยง่าย โรคต่างที่เกิดจากพิษสารเคมีสะสมจะทำให้ป่วยง่าย+เรื้อรัง-ตายอย่างเวทนาและทุกข์ทรมาน นะคะ(ขอ บอก) เวลา 03.00-05.00น. #ควรตื่นนอน ดื่มน้ำอุ่น ฝึกกำหนดลมหายใจเข้า-ออก..ลึกๆ ช้าๆ..สูดอากาศบริสุทธิ์ ออกกำลังกายยืดเส้น ยืดสาย ทำให้สุขภาพปอดและร่างกายโดยรวมจะดีไปด้วย #การดื่มน้ำอุ่นในช่วงนี้และการซิทอัป--->จะกระตุ้น(เร่ง)การทำงานของลำไส้ใหญ่ ซึ่งทำงานในช่วงต่อไป.. เวลา 05.00-07.00น. เป็นช่วงเวลาของ #การทำงานลำไส้ใหญ่ บีบรัดตัวได้ดีที่สุด เป็นเวลาขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย การไม่ขับถ่ายในช่วงเวลานี้ทำให้ลำไส้ใหญ่ดูดซึมกลับไป สะสมสารพิษ สะสม ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพอย่างแน่นอน เวลา 05.45-06.00น.เป็นเวลาที่ดีที่สุด ของ #การฝึกสมาธิ เพราะในขณะที่ตื่นนอน ทำธุระส่วนตัว อาบน้ำ&แปรงฟัน..เสร็จ ปลอดโปร่ง..#โล่งทั้งกายและใจไม่มีเรื่องเครียด เรื่องงานมากวนใจ ฝึกนั่งสมาธิในช่วงนี้(ทุกวัน)สามารถเข้าถึงสมาธิได้สำเร็จ(ง่าย)มาก..ค่ะ เวลา 07.00-09.00น. คือช่วงเวลาของ #กระเพาะอาหาร ต้องกินอาหารเช้าเป็นมื้อหลักที่มีสารอาหารอย่างครบถ้วน หากไม่กินมื้อเช้า(มื้อสำคัญ)จะเป็นโรคกระเพาะอย่างรวดเร็ว และสะสมเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารได้ในระยะยาว เวลา 09.00-011.00น. เป็นเวลาของ #ม้าม ควบคุมเม็ดเลือดขาว กำจัดเม็ดเลือดแดงที่หมดอายุ ดังนั้นผู้ที่นอนในช่วงนี้จะส่งผลให้ม้ามอ่อนแอ มี #ภูมิคุ้มกันโรคต่ำ ติดเชื้อเป็นโรคต่างๆได้ง่าย เวลา 11.00-13.00น. ช่วงพักเที่ยง เป็นช่วงเวลาของ #หัวใจ ควรพักผ่อน..สบายๆ งดน้ำชา กาแฟ หลีกเลี่ยงความเครียดซึ่งทำให้หัวใจเต้นแรง ทำงานหนักเกิน ส่งผลให้หัวใจวายได้อย่างง่ายๆ ในช่วงเวลาเที่ยง จ๊ะ เวลา 13.00-15.00น. เป็นช่วงเวลาของ #ลำไส้เล็ก ในช่วงนี้ร่างกายส่งพลังงานทั้งหมดไปยังลำไส้เล็กเพื่อการดูดซึม #การกินอาหารในช่วงนี้จะไปขัดขวางโอกาสทองของระบบดูดซีมที่ต้องแบ่งพลังงานไปใช้ในการย่อยในกระเพาะอาหาร ช่วงนี้สมองในส่วนความจำจะทำงานได้ดีที่สุดในรอบวัน เวลา 15.00-17.00น. เวลาของ #กระเพาะปัสสาวะ และการขับเหงื่อ #จึงควรออกกำลังกายอย่างหนัก หรือ เหมาะกับการอบซาวน่าเพื่อให้เหงื่อออก สำหรับหนุ่มสาวที่ทำงานในช่วงนี้ ก็สามารถใช้ท่าการออกกำลังกายในสำนักงาน หรือเดินไป-มา ขึ้น-ลงบันได เพื่อส่งเสริมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะได้..เช่นกัน เวลา 17.00-19.00น. #ช่วงเวลาของไต มีหน้าที่รักษาสมดุลเกลือแร่ในร่างกาย โดยกำจัดส่วนเกินออกทางปัสสาวะและเหงื่อ #เวลาช่วงนี้จึงควรทำให้ร่างกายตื่นตัว ไม่ง่วง ไม่หลับ เป็นช่วงCool Down หรือผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ต่อจากการออกกำลังกายอย่างหนัก..ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เวลา 19.00-21.00น. ช่วงนี้เป็นเวลาที่ #เยื่อหุ้มหัวใจ..บางที่สุด จึงควรระวังอารมณ์ตื่นเต้น ดีใจ ตกใจ โกรธ เสียใจ การที่ทำให้ตื่นตัวมากๆส่งผลให้เยื่อหุ้มหัวใจฉีกขาดได้ง่าย ดังนั้นในช่วงเวลานี้จึงควรปิดโทรศัพท์ สวดมนต์ นั่งสมาธิ ทำจิตใจให้สงบ เวลา 21.00-23.00น. เป็นช่วงเวลาของ #ระบบความร้อนในร่างกาย ซึ่งตามธรรมชาติ..ในช่วงเวลานี้อากาศเริ่มเย็น ร่างกายคนเราต้องสร้างความร้อนขึ้น จึงไม่ควรอาบน้ำหรือดื่มน้ำเย็น และควรเข้านอนในช่วงเวลานี้ ควรดื่มน้ำอุ่น 1 แก้วก่อนนอนเพื่อส่งเสริมการทำงานของถุงน้ำดีในเวลาถัดไป. เวลา 23.00-01.00น. เวลาของ #ถุงน้ำดี ซึ่งช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่หลับ ร่างกายจะอยู่ในสภาพที่ขาดน้ำ อวัยวะต่างๆจะดึงน้ำจากถุงน้ำดี..แล้วนำไปใช้ หากน้ำในถุงน้ำดีข้นเกินไปอาจส่งผลให้อวัยวะต่างๆทำงานผิดปกติได้ #หากไม่นอนในช่วงนี้จะเกิดถุงไขมันใต้ตา และไขมันพอกตับ . . เจริญธรรม สำนึกดี Pachäree Wõng November21, 2024 Sausalito, California.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1780 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥สูตรพอลลิตินสำหรับปรับสมดุลระบบลำไส้และระบบเลือดในผู้ป่วยมะเร็งการดูแลระบบลำไส้และระบบเลือดเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง เนื่องจากส่งผลโดยตรงต่อภูมิคุ้มกัน การฟื้นฟูร่างกาย และการตอบสนองต่อการรักษา สูตรนี้จึงออกแบบมาเพื่อช่วยฟื้นฟูและเสริมสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้:---💥ส่วนผสมสำคัญ ในสูตรปรับสมดุล1. วิทกราส (Wheatgrass)ล้างสารพิษในเลือดและระบบน้ำเหลืองเพิ่มการสร้างเม็ดเลือดแดงและออกซิเจนในร่างกายลดการอักเสบและสนับสนุนการฟื้นฟูระบบย่อยอาหาร2. พอลลิทรักซ์ (Pollitrix)ซินไบโอติกซ์ที่ช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ส่งเสริมการดูดซึมสารอาหารและสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในระบบลำไส้3. พอลลิทอล (Pollitol)อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสียหายของเซลล์ฟื้นฟูระบบเลือด และช่วยลดการอักเสบในร่างกายเสริมสร้างพลังงานและสนับสนุนกระบวนการฟื้นฟูร่างกาย4. พอลลิตัน (Pollitan)ช่วยฟื้นฟูและบำรุงเซลล์ในระดับลึกส่งเสริมการสร้างเนื้อเยื่อใหม่และซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหายเสริมระบบไหลเวียนเลือดและการขนส่งออกซิเจน5. พอลลิแทป (Pollitap)ช่วยปรับสมดุลระบบเลือด เพิ่มการไหลเวียนและออกซิเจนบำรุงระบบประสาทและเพิ่มพลังงานในเซลล์ช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างเนื้อเยื่อและภูมิคุ้มกัน---🌿คุณประโยชน์เด่นของสูตรนี้👉ปรับสมดุลระบบลำไส้: สนับสนุนสุขภาพจุลินทรีย์ในลำไส้ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น👉เสริมระบบเลือด: ช่วยเพิ่มออกซิเจนในเลือด เสริมการสร้างเม็ดเลือดแดง และลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงของการรักษามะเร็ง👉ลดการอักเสบ: ช่วยลดการอักเสบในลำไส้และระบบเลือด ฟื้นฟูเซลล์ที่เสียหายจากมะเร็ง👉เพิ่มพลังงานและการฟื้นฟู: เสริมสร้างพลังงานในระดับเซลล์เพื่อรองรับการรักษาและฟื้นฟูร่างกายคำแนะนำควรใช้ พอลลิติน ควบคู่กับการรักษาทางการแพทย์แบบหลัก และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประโยชน์สูงสุดในการดูแลสุขภาพและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็ง.📌สนใจสั่งซื้อ กดที่ลิงค์https://www.myhmpm.com/shopping/?sp_code=H00020333ปรึกษา อ.ธนกร ศูนย์สร้างภูมิบำบัด☎️. 090-465-6360ดูข้อมูลเพิ่ม กดที่ลิงค์https://lin.ee/pBbSqSD#ทางเลือกการรักษามะเร็ง #รักษามะเร็งแบบธรรมชาติ #สารอาหารต้านมะเร็ง #บำรุงสุขภาพต้านมะเร็ง #สมุนไพรบำบัดมะเร็ง #โภชนาการเพื่อสุขภาพ #บำบัดด้วยอาหาร #สุขภาพและโภชนาการ #โภชนเภสัชศาสตร์ #พอลลิตินเพื่อสุขภาพ
    🔥สูตรพอลลิตินสำหรับปรับสมดุลระบบลำไส้และระบบเลือดในผู้ป่วยมะเร็งการดูแลระบบลำไส้และระบบเลือดเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง เนื่องจากส่งผลโดยตรงต่อภูมิคุ้มกัน การฟื้นฟูร่างกาย และการตอบสนองต่อการรักษา สูตรนี้จึงออกแบบมาเพื่อช่วยฟื้นฟูและเสริมสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้:---💥ส่วนผสมสำคัญ ในสูตรปรับสมดุล1. วิทกราส (Wheatgrass)ล้างสารพิษในเลือดและระบบน้ำเหลืองเพิ่มการสร้างเม็ดเลือดแดงและออกซิเจนในร่างกายลดการอักเสบและสนับสนุนการฟื้นฟูระบบย่อยอาหาร2. พอลลิทรักซ์ (Pollitrix)ซินไบโอติกซ์ที่ช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ส่งเสริมการดูดซึมสารอาหารและสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในระบบลำไส้3. พอลลิทอล (Pollitol)อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสียหายของเซลล์ฟื้นฟูระบบเลือด และช่วยลดการอักเสบในร่างกายเสริมสร้างพลังงานและสนับสนุนกระบวนการฟื้นฟูร่างกาย4. พอลลิตัน (Pollitan)ช่วยฟื้นฟูและบำรุงเซลล์ในระดับลึกส่งเสริมการสร้างเนื้อเยื่อใหม่และซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหายเสริมระบบไหลเวียนเลือดและการขนส่งออกซิเจน5. พอลลิแทป (Pollitap)ช่วยปรับสมดุลระบบเลือด เพิ่มการไหลเวียนและออกซิเจนบำรุงระบบประสาทและเพิ่มพลังงานในเซลล์ช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างเนื้อเยื่อและภูมิคุ้มกัน---🌿คุณประโยชน์เด่นของสูตรนี้👉ปรับสมดุลระบบลำไส้: สนับสนุนสุขภาพจุลินทรีย์ในลำไส้ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น👉เสริมระบบเลือด: ช่วยเพิ่มออกซิเจนในเลือด เสริมการสร้างเม็ดเลือดแดง และลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงของการรักษามะเร็ง👉ลดการอักเสบ: ช่วยลดการอักเสบในลำไส้และระบบเลือด ฟื้นฟูเซลล์ที่เสียหายจากมะเร็ง👉เพิ่มพลังงานและการฟื้นฟู: เสริมสร้างพลังงานในระดับเซลล์เพื่อรองรับการรักษาและฟื้นฟูร่างกายคำแนะนำควรใช้ พอลลิติน ควบคู่กับการรักษาทางการแพทย์แบบหลัก และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประโยชน์สูงสุดในการดูแลสุขภาพและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็ง.📌สนใจสั่งซื้อ กดที่ลิงค์https://www.myhmpm.com/shopping/?sp_code=H00020333ปรึกษา อ.ธนกร ศูนย์สร้างภูมิบำบัด☎️. 090-465-6360ดูข้อมูลเพิ่ม กดที่ลิงค์https://lin.ee/pBbSqSD#ทางเลือกการรักษามะเร็ง #รักษามะเร็งแบบธรรมชาติ #สารอาหารต้านมะเร็ง #บำรุงสุขภาพต้านมะเร็ง #สมุนไพรบำบัดมะเร็ง #โภชนาการเพื่อสุขภาพ #บำบัดด้วยอาหาร #สุขภาพและโภชนาการ #โภชนเภสัชศาสตร์ #พอลลิตินเพื่อสุขภาพ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1054 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts