• ..คดี44 คน รวมสส.พรรคก้าวไกล ที่ย้ายมาพรรคประชาชน เจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องผิด ม.157บ้างมั้ยนะ ลงหน้างานทำงานช้าเกินไปมั้ยนะ

    ..ตลอด หลายคนมากที่ออกสื่อทั้งเชียร์ทั้งเห็นด้วยในการแก้ไข ม.112 พยามหลักฐานชัดเต็มคลิปโซเชียลต่างๆที่เรา..ประชาชนทั่วประเทศพากันนำเสนอช่วยให้อีกในแต่ละช่องกูรูต่างๆท่านที่กล้าหาญนั้น,พวกร่วมขบวนการแก้ ม.112นี้ทางรัฐฯทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดการเด็ดขาดจบหรือยัง.

    อาทิคนเหล่านี้ด้วยก็ว่าที่สื่อลงชี้ชัดให้แล้ว.

    กลุ่มที่หนึ่ง บุคคลที่ยังเป็นสส.ในสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบัน (พฤษภาคม 2568) จำนวน 25 คน
    1. ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (หัวหน้าพรรคประชาชน ในช่วงเกิดเหตุเป็น สส. กทม.)
    2. ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ (รองหัวหน้าพรรคประชาชน)
    3. ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ (รองหัวหน้าพรรคประชาชน)
    4. วาโย อัศวรุ่งเรือง สส.บัญชีรายชื่อ (รองหัวหน้าพรรคประชาชน)
    5. ณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ (นายทะเบียนสมาชิกพรรคประชาชน)
    6. วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ (รองหัวหน้าพรรคประชาชน)
    7. รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ (รองหัวหน้าพรรคประชาชน)
    8. วุฒินันท์ บุญชู สส.สมุทรปราการ
    9. ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม.
    10. เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร สส.กทม.
    11. นิติพล ผิวเหมาะ สส.บัญชีรายชื่อ
    12. นายธีรัจชัย พันธุมาศ สส.กทม. (ในช่วงเกิดเหตุเป็น สส. บัญชีรายชื่อ)
    13. ประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ สส.บัญชีรายชื่อ
    14. ญาณธิชา บัวเผื่อน สส.จันทบุรี
    15. วรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ
    16. คำพอง เทพาคำ สส.บัญชีรายชื่อ
    17. ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สส.บัญชีรายชื่อ
    18. องค์การ ชัยบุตร สส.บัญชีรายชื่อ
    19. มานพ คีรีภูวดล สส.บัญชีรายชื่อ
    20. จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา
    21. วรรณวิภา ไม้สน สส.บัญชีรายชื่อ
    22. จรัส คุ้มไข่น้ำ สส.ชลบุรี
    23. สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ
    24. ศักดินัย นุ่มหนู สส.ตราด
    25. สุรวาท ทองบุ สส.บัญชีรายชื่อ

    กลุ่มที่สอง บุคคลที่ไม่ได้เป็นสส.ในสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบัน (พฤษภาคม 2568) จำนวน 11 คน
    1. พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์
    2. กัญจน์พงศ์ จงสุทธนามณี
    3. สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา
    4. สมเกียรติ ถนอมสินธุ์
    5. ทองแดง เบ็ญจะปัก
    6. พ.ต.ต.ชวลิต เลาหอุดมพันธ์
    7. ปริญญา ช่วยเกตุ คีรีรัตน์
    8. พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ
    9. ณัฐพล สืบศักดิ์วงศ์
    10. ทวีศักดิ์ ทักษิณ
    11. สมเกียรติ ไชยวิสุทธิกุล

    กลุ่มที่สาม บุคคลที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปีจากการยุบพรรคก้าวไกล ซึ่งทั้งหมดเป็นคณะกรรมการบริหารพรรค จำนวน 8 คน
    1. พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
    2. เบญจา แสงจันทร์
    3. อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล
    4. ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์
    5. สุเทพ อู่อ้น
    6. อภิชาติ ศิริสุนทร
    7. ปดิพัทธ์ สันติภาดา
    8. สมชาย ฝั่งชลจิตร


    https://www.ilaw.or.th/articles/52795
    ..คดี44 คน รวมสส.พรรคก้าวไกล ที่ย้ายมาพรรคประชาชน เจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องผิด ม.157บ้างมั้ยนะ ลงหน้างานทำงานช้าเกินไปมั้ยนะ ..ตลอด หลายคนมากที่ออกสื่อทั้งเชียร์ทั้งเห็นด้วยในการแก้ไข ม.112 พยามหลักฐานชัดเต็มคลิปโซเชียลต่างๆที่เรา..ประชาชนทั่วประเทศพากันนำเสนอช่วยให้อีกในแต่ละช่องกูรูต่างๆท่านที่กล้าหาญนั้น,พวกร่วมขบวนการแก้ ม.112นี้ทางรัฐฯทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดการเด็ดขาดจบหรือยัง. อาทิคนเหล่านี้ด้วยก็ว่าที่สื่อลงชี้ชัดให้แล้ว. กลุ่มที่หนึ่ง บุคคลที่ยังเป็นสส.ในสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบัน (พฤษภาคม 2568) จำนวน 25 คน 1. ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (หัวหน้าพรรคประชาชน ในช่วงเกิดเหตุเป็น สส. กทม.) 2. ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ (รองหัวหน้าพรรคประชาชน) 3. ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ (รองหัวหน้าพรรคประชาชน) 4. วาโย อัศวรุ่งเรือง สส.บัญชีรายชื่อ (รองหัวหน้าพรรคประชาชน) 5. ณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ (นายทะเบียนสมาชิกพรรคประชาชน) 6. วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ (รองหัวหน้าพรรคประชาชน) 7. รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ (รองหัวหน้าพรรคประชาชน) 8. วุฒินันท์ บุญชู สส.สมุทรปราการ 9. ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม. 10. เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร สส.กทม. 11. นิติพล ผิวเหมาะ สส.บัญชีรายชื่อ 12. นายธีรัจชัย พันธุมาศ สส.กทม. (ในช่วงเกิดเหตุเป็น สส. บัญชีรายชื่อ) 13. ประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ สส.บัญชีรายชื่อ 14. ญาณธิชา บัวเผื่อน สส.จันทบุรี 15. วรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ 16. คำพอง เทพาคำ สส.บัญชีรายชื่อ 17. ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สส.บัญชีรายชื่อ 18. องค์การ ชัยบุตร สส.บัญชีรายชื่อ 19. มานพ คีรีภูวดล สส.บัญชีรายชื่อ 20. จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา 21. วรรณวิภา ไม้สน สส.บัญชีรายชื่อ 22. จรัส คุ้มไข่น้ำ สส.ชลบุรี 23. สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ 24. ศักดินัย นุ่มหนู สส.ตราด 25. สุรวาท ทองบุ สส.บัญชีรายชื่อ กลุ่มที่สอง บุคคลที่ไม่ได้เป็นสส.ในสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบัน (พฤษภาคม 2568) จำนวน 11 คน 1. พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ 2. กัญจน์พงศ์ จงสุทธนามณี 3. สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา 4. สมเกียรติ ถนอมสินธุ์ 5. ทองแดง เบ็ญจะปัก 6. พ.ต.ต.ชวลิต เลาหอุดมพันธ์ 7. ปริญญา ช่วยเกตุ คีรีรัตน์ 8. พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ 9. ณัฐพล สืบศักดิ์วงศ์ 10. ทวีศักดิ์ ทักษิณ 11. สมเกียรติ ไชยวิสุทธิกุล กลุ่มที่สาม บุคคลที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปีจากการยุบพรรคก้าวไกล ซึ่งทั้งหมดเป็นคณะกรรมการบริหารพรรค จำนวน 8 คน 1. พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ 2. เบญจา แสงจันทร์ 3. อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล 4. ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ 5. สุเทพ อู่อ้น 6. อภิชาติ ศิริสุนทร 7. ปดิพัทธ์ สันติภาดา 8. สมชาย ฝั่งชลจิตร https://www.ilaw.or.th/articles/52795
    WWW.ILAW.OR.TH
    สรุปข้อเท็จจริงคดี 44 สส.ก้าวไกล เสนอแก้ 112 ถูกสอบ 'มาตรฐานจริยธรรม' - iLaw
    ชวนทำความเข้าใจว่า ทำไม 44 สส. ถึงต้องโดนป.ป.ช. สอบสวนดูกรอบระยะเวลาอาจจะนำไปสู่วันตัดสินคดี และผลลัพธ์ที่ตามมาหากสส. จากอดีตพรรคก้าวไกลถูกตัดสินว่า "ผิด"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 35 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก CUDA ถึง ROCm: เมื่อ Elon Musk บอกว่า “AMD ก็ทำงานได้ดี”

    Elon Musk ได้โพสต์ข้อความบน X (Twitter เดิม) ว่า AMD Instinct ทำงาน “ค่อนข้างดี” สำหรับโมเดล AI ขนาดเล็กถึงกลาง เช่น inference, fine-tuning และ foundation model ที่ไม่ใหญ่มาก แม้ว่า NVIDIA จะยังคงเป็นตัวเลือกหลักสำหรับงาน training ขนาดใหญ่ แต่คำชมจาก Elon ก็ถือเป็นสัญญาณว่า AMD กำลังไล่ทัน

    ที่ผ่านมา NVIDIA ครองตลาดด้วย CUDA ซึ่งเป็น ecosystem แบบ lock-in ที่ทำให้ผู้พัฒนาไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้แพลตฟอร์มอื่นได้ง่าย ๆ แต่ AMD กำลังตอบโต้ด้วย ROCm ที่เปิดกว้างและพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในรุ่น MI300 และ MI355X ที่ xAI ของ Elon ก็ใช้งานอยู่

    แม้ AMD จะยังไม่ได้รับความนิยมจาก Big Tech เท่ากับ NVIDIA แต่ก็เริ่มมีการใช้งานใน hyperscaler และ cloud provider มากขึ้น เช่น Oracle Cloud และ Dell ที่เริ่มนำ MI350 Series ไปใช้ใน rack-scale AI infrastructure

    AMD ยังเตรียมเปิดตัว MI450 และ Helios rack ที่จะใช้ HBM4 และ EPYC Venice CPU เพื่อเร่งงาน training ขนาดใหญ่ โดยตั้งเป้าให้ลูกค้า “ไม่มีข้ออ้าง” ที่จะไม่เลือก AMD อีกต่อไป

    Elon Musk สนับสนุน AMD สำหรับโมเดล AI ขนาดเล็กถึงกลาง
    กล่าวว่า AMD ทำงานได้ดีสำหรับ inference และ fine-tuning
    xAI ของ Elon ใช้ AMD Instinct MI300/MI355X ในบาง workload
    Tesla ก็เคยร่วมมือกับ AMD ในด้าน hardware

    จุดแข็งของ AMD ในตลาด AI
    MI355X ใช้สถาปัตยกรรม CDNA 4 และ ROCm 7
    มี HBM3E สูงสุด 288 GB และ bandwidth สูงถึง 8 TB/s
    ประสิทธิภาพ inference สูงขึ้นถึง 35 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน

    การขยาย ecosystem ของ AMD
    ROCm รองรับโมเดลใหญ่ เช่น LLaMA และ DeepSeek ตั้งแต่วันแรก
    มี developer cloud สำหรับนักพัฒนา AI โดยเฉพาะ
    OEM อย่าง Dell, HPE, Supermicro เริ่มนำ MI350 Series ไปใช้ในระบบ on-prem และ hybrid

    แผนการเปิดตัว MI450 และ Helios rack
    ใช้ HBM4 และ EPYC Venice CPU พร้อม NIC Vulcano 800G
    รองรับ 72 GPU ต่อ rack และให้ bandwidth สูงถึง 1.4 PBps
    ตั้งเป้าให้ประสิทธิภาพสูงกว่า NVIDIA Vera Rubin ถึง 50% ในด้าน memory และ throughput

    https://wccftech.com/elon-musk-endorses-amd-for-small-to-medium-ai-models/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก CUDA ถึง ROCm: เมื่อ Elon Musk บอกว่า “AMD ก็ทำงานได้ดี” Elon Musk ได้โพสต์ข้อความบน X (Twitter เดิม) ว่า AMD Instinct ทำงาน “ค่อนข้างดี” สำหรับโมเดล AI ขนาดเล็กถึงกลาง เช่น inference, fine-tuning และ foundation model ที่ไม่ใหญ่มาก แม้ว่า NVIDIA จะยังคงเป็นตัวเลือกหลักสำหรับงาน training ขนาดใหญ่ แต่คำชมจาก Elon ก็ถือเป็นสัญญาณว่า AMD กำลังไล่ทัน ที่ผ่านมา NVIDIA ครองตลาดด้วย CUDA ซึ่งเป็น ecosystem แบบ lock-in ที่ทำให้ผู้พัฒนาไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้แพลตฟอร์มอื่นได้ง่าย ๆ แต่ AMD กำลังตอบโต้ด้วย ROCm ที่เปิดกว้างและพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในรุ่น MI300 และ MI355X ที่ xAI ของ Elon ก็ใช้งานอยู่ แม้ AMD จะยังไม่ได้รับความนิยมจาก Big Tech เท่ากับ NVIDIA แต่ก็เริ่มมีการใช้งานใน hyperscaler และ cloud provider มากขึ้น เช่น Oracle Cloud และ Dell ที่เริ่มนำ MI350 Series ไปใช้ใน rack-scale AI infrastructure AMD ยังเตรียมเปิดตัว MI450 และ Helios rack ที่จะใช้ HBM4 และ EPYC Venice CPU เพื่อเร่งงาน training ขนาดใหญ่ โดยตั้งเป้าให้ลูกค้า “ไม่มีข้ออ้าง” ที่จะไม่เลือก AMD อีกต่อไป ✅ Elon Musk สนับสนุน AMD สำหรับโมเดล AI ขนาดเล็กถึงกลาง ➡️ กล่าวว่า AMD ทำงานได้ดีสำหรับ inference และ fine-tuning ➡️ xAI ของ Elon ใช้ AMD Instinct MI300/MI355X ในบาง workload ➡️ Tesla ก็เคยร่วมมือกับ AMD ในด้าน hardware ✅ จุดแข็งของ AMD ในตลาด AI ➡️ MI355X ใช้สถาปัตยกรรม CDNA 4 และ ROCm 7 ➡️ มี HBM3E สูงสุด 288 GB และ bandwidth สูงถึง 8 TB/s ➡️ ประสิทธิภาพ inference สูงขึ้นถึง 35 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ✅ การขยาย ecosystem ของ AMD ➡️ ROCm รองรับโมเดลใหญ่ เช่น LLaMA และ DeepSeek ตั้งแต่วันแรก ➡️ มี developer cloud สำหรับนักพัฒนา AI โดยเฉพาะ ➡️ OEM อย่าง Dell, HPE, Supermicro เริ่มนำ MI350 Series ไปใช้ในระบบ on-prem และ hybrid ✅ แผนการเปิดตัว MI450 และ Helios rack ➡️ ใช้ HBM4 และ EPYC Venice CPU พร้อม NIC Vulcano 800G ➡️ รองรับ 72 GPU ต่อ rack และให้ bandwidth สูงถึง 1.4 PBps ➡️ ตั้งเป้าให้ประสิทธิภาพสูงกว่า NVIDIA Vera Rubin ถึง 50% ในด้าน memory และ throughput https://wccftech.com/elon-musk-endorses-amd-for-small-to-medium-ai-models/
    WCCFTECH.COM
    Elon Musk ‘Endorses’ AMD's AI Hardware for Small to Medium AI Models, Implying That There's Potential to Ease Reliance on NVIDIA
    Billionaire Elon Musk has tweeted on the performance of AMD's AI hardware, claiming that it is sufficient for small and medium AI models.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 33 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก MI355X สู่ MI450: เมื่อ AMD ประกาศว่า “ไม่มีข้ออ้าง” สำหรับการเลือกใช้ AI ของตน

    ในงาน Goldman Sachs Communacopia Technology Conference ปี 2025 Forrest Norrod รองประธานฝ่าย Data Center ของ AMD ได้ประกาศอย่างมั่นใจว่า Instinct MI450 จะเป็นจุดเปลี่ยนของ AMD ในตลาด AI โดยเปรียบเทียบว่าเป็น “Milan Moment” เหมือนที่ EPYC Milan เคยเปลี่ยนเกมในตลาดเซิร์ฟเวอร์

    ที่ผ่านมา AMD ทำได้ดีในด้าน inference ด้วย MI300, MI325 และ MI355 แต่ยังตามหลัง NVIDIA ในด้าน training เพราะเปิดตัวช้ากว่า แต่ MI450 จะเปลี่ยนสิ่งนั้น โดยมาพร้อมสถาปัตยกรรมใหม่, HBM4 สูงสุด 432 GB ต่อ GPU, และการเชื่อมต่อแบบ rack-scale ผ่าน Helios rack ที่ให้แบนด์วิดธ์สูงถึง 1.4 PBps

    Helios rack จะใช้ GPU MI400 จำนวน 72 ตัว พร้อม EPYC Venice CPU รุ่นใหม่ที่มีถึง 256 คอร์ และ NIC Vulcano 800G ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำงานร่วมกันผ่าน ROCm software stack ที่ AMD พัฒนาขึ้นเพื่อให้เทียบเท่ากับ CUDA ของ NVIDIA

    AMD ยังเน้นว่า Helios rack จะให้ประสิทธิภาพการฝึกโมเดล AI สูงกว่า Vera Rubin ของ NVIDIA ถึง 50% ในด้าน memory capacity และ bandwidth โดยใช้ดีไซน์แบบ double-wide rack เพื่อเพิ่มความหนาแน่นและประสิทธิภาพการระบายความร้อน

    การเปิดตัว Instinct MI450 และ Helios rack
    MI450 เป็น GPU สำหรับ AI training ที่ใช้ HBM4 สูงสุด 432 GB
    Helios rack ใช้ MI400 จำนวน 72 ตัว พร้อม EPYC Venice CPU และ Vulcano NIC
    ให้แบนด์วิดธ์รวม 1.4 PBps และ tensor performance สูงถึง 31 exaflops

    จุดเปลี่ยนของ AMD ในตลาด AI
    MI450 ถูกเปรียบเทียบว่าเป็น “Milan Moment” ของฝั่ง AI
    ROCm software stack ได้รับการปรับปรุงเพื่อเทียบเท่า CUDA
    AMD ตั้งเป้าให้ลูกค้าไม่มีข้ออ้างในการเลือก NVIDIA อีกต่อไป

    การออกแบบเพื่อ hyperscale และ rack-scale
    Helios rack ใช้ดีไซน์ double-wide เพื่อเพิ่มความหนาแน่น
    รองรับ memory capacity มากกว่า Vera Rubin ถึง 50%
    ใช้ระบบแบบ unified platform ที่รวม CPU, GPU, NIC และ software stack

    https://wccftech.com/with-the-mi450-amd-says-there-will-be-no-excuses-no-hesitation-in-choosing-team-red-over-nvidia/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก MI355X สู่ MI450: เมื่อ AMD ประกาศว่า “ไม่มีข้ออ้าง” สำหรับการเลือกใช้ AI ของตน ในงาน Goldman Sachs Communacopia Technology Conference ปี 2025 Forrest Norrod รองประธานฝ่าย Data Center ของ AMD ได้ประกาศอย่างมั่นใจว่า Instinct MI450 จะเป็นจุดเปลี่ยนของ AMD ในตลาด AI โดยเปรียบเทียบว่าเป็น “Milan Moment” เหมือนที่ EPYC Milan เคยเปลี่ยนเกมในตลาดเซิร์ฟเวอร์ ที่ผ่านมา AMD ทำได้ดีในด้าน inference ด้วย MI300, MI325 และ MI355 แต่ยังตามหลัง NVIDIA ในด้าน training เพราะเปิดตัวช้ากว่า แต่ MI450 จะเปลี่ยนสิ่งนั้น โดยมาพร้อมสถาปัตยกรรมใหม่, HBM4 สูงสุด 432 GB ต่อ GPU, และการเชื่อมต่อแบบ rack-scale ผ่าน Helios rack ที่ให้แบนด์วิดธ์สูงถึง 1.4 PBps Helios rack จะใช้ GPU MI400 จำนวน 72 ตัว พร้อม EPYC Venice CPU รุ่นใหม่ที่มีถึง 256 คอร์ และ NIC Vulcano 800G ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำงานร่วมกันผ่าน ROCm software stack ที่ AMD พัฒนาขึ้นเพื่อให้เทียบเท่ากับ CUDA ของ NVIDIA AMD ยังเน้นว่า Helios rack จะให้ประสิทธิภาพการฝึกโมเดล AI สูงกว่า Vera Rubin ของ NVIDIA ถึง 50% ในด้าน memory capacity และ bandwidth โดยใช้ดีไซน์แบบ double-wide rack เพื่อเพิ่มความหนาแน่นและประสิทธิภาพการระบายความร้อน ✅ การเปิดตัว Instinct MI450 และ Helios rack ➡️ MI450 เป็น GPU สำหรับ AI training ที่ใช้ HBM4 สูงสุด 432 GB ➡️ Helios rack ใช้ MI400 จำนวน 72 ตัว พร้อม EPYC Venice CPU และ Vulcano NIC ➡️ ให้แบนด์วิดธ์รวม 1.4 PBps และ tensor performance สูงถึง 31 exaflops ✅ จุดเปลี่ยนของ AMD ในตลาด AI ➡️ MI450 ถูกเปรียบเทียบว่าเป็น “Milan Moment” ของฝั่ง AI ➡️ ROCm software stack ได้รับการปรับปรุงเพื่อเทียบเท่า CUDA ➡️ AMD ตั้งเป้าให้ลูกค้าไม่มีข้ออ้างในการเลือก NVIDIA อีกต่อไป ✅ การออกแบบเพื่อ hyperscale และ rack-scale ➡️ Helios rack ใช้ดีไซน์ double-wide เพื่อเพิ่มความหนาแน่น ➡️ รองรับ memory capacity มากกว่า Vera Rubin ถึง 50% ➡️ ใช้ระบบแบบ unified platform ที่รวม CPU, GPU, NIC และ software stack https://wccftech.com/with-the-mi450-amd-says-there-will-be-no-excuses-no-hesitation-in-choosing-team-red-over-nvidia/
    WCCFTECH.COM
    With the Next-Gen MI450 AI Lineup, AMD Says There Will Be ‘No Excuses, No Hesitation’ in Choosing Team Red Over NVIDIA In AI Workloads
    AMD's Instinct MI450 will be a 'decisive' release, as according to the firm's executive, the AI playground would be leveled with NVIDIA.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 36 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก VM สู่ VMSCAPE: เมื่อแขกในระบบกลายเป็นขโมยข้อมูลของเจ้าบ้าน

    นักวิจัยจาก ETH Zurich ได้ค้นพบช่องโหว่ใหม่ในกลุ่มการโจมตีแบบ Spectre-BTI (Branch Target Injection) ที่ชื่อว่า VMSCAPE ซึ่งเปิดทางให้ virtual machine (VM) ที่เป็น guest สามารถขโมยข้อมูลจาก host ได้โดยไม่ต้องแก้ไขซอฟต์แวร์ของ host เลย

    ช่องโหว่นี้เกิดจากการที่ branch predictor ของ CPU ไม่ถูกแยกอย่างปลอดภัยระหว่าง guest กับ host ทำให้ VM สามารถใช้การคาดเดาเส้นทางการทำงานของ CPU เพื่อเข้าถึงข้อมูลลับ เช่น disk encryption keys หรือ session credentials ได้

    VMSCAPE ส่งผลกระทบต่อระบบคลาวด์ที่ใช้ KVM/QEMU บน CPU ของ AMD Zen 1–5 และ Intel Coffee Lake ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่ยังคงใช้ branch prediction แบบเดิม โดยช่องโหว่นี้ได้รับการลงทะเบียนเป็น CVE-2025-40300 แล้ว แต่ยังไม่มีคะแนนความรุนแรงอย่างเป็นทางการ

    นักวิจัยเสนอวิธีแก้ไขที่เรียบง่ายแต่ได้ผล คือการ “flush” branch predictor ทุกครั้งที่ VM ออกจากการทำงาน (VMEXIT) โดยใช้คำสั่ง IBPB ซึ่งสามารถป้องกันการโจมตีได้โดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพของระบบ

    แม้ Intel และ AMD จะเตรียมออกเอกสารและแพตช์เพื่อแก้ไข แต่ช่องโหว่นี้แสดงให้เห็นว่าการป้องกัน Spectre ที่มีอยู่ในปัจจุบันยังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในระบบที่มีการใช้งาน VM อย่างแพร่หลาย

    ช่องโหว่ VMSCAPE ที่ค้นพบโดย ETH Zurich
    เป็นการโจมตีแบบ Spectre-BTI ที่ใช้ branch predictor เพื่อขโมยข้อมูล
    ไม่ต้องแก้ไข host software ก็สามารถเจาะข้อมูลได้
    ส่งผลกระทบต่อระบบที่ใช้ KVM/QEMU บน AMD Zen 1–5 และ Intel Coffee Lake

    การลงทะเบียนและการตอบสนอง
    ช่องโหว่นี้ได้รับรหัส CVE-2025-40300
    AMD และ Intel เตรียมออกเอกสารและแพตช์เพื่อแก้ไข
    Linux community เตรียมออก mitigation พร้อมกับการเปิดเผยช่องโหว่

    วิธีแก้ไขที่เสนอโดยนักวิจัย
    ใช้ IBPB เพื่อ flush branch predictor ทุกครั้งที่ VMEXIT
    ทดสอบแล้วพบว่าไม่มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพ
    เป็นวิธีที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในระบบคลาวด์

    ความหมายต่อวงการคลาวด์และความปลอดภัย
    แสดงให้เห็นว่า VM isolation ยังไม่ปลอดภัยพอ
    การป้องกัน Spectre ที่มีอยู่ยังไม่ครอบคลุมทุกกรณี
    จำเป็นต้องมีการปรับปรุงระบบความปลอดภัยในระดับสถาปัตยกรรม

    https://www.techradar.com/pro/security/new-spectre-based-cpu-vulnerability-allows-guests-to-steal-sensitive-data-from-the-cloud
    🎙️ เรื่องเล่าจาก VM สู่ VMSCAPE: เมื่อแขกในระบบกลายเป็นขโมยข้อมูลของเจ้าบ้าน นักวิจัยจาก ETH Zurich ได้ค้นพบช่องโหว่ใหม่ในกลุ่มการโจมตีแบบ Spectre-BTI (Branch Target Injection) ที่ชื่อว่า VMSCAPE ซึ่งเปิดทางให้ virtual machine (VM) ที่เป็น guest สามารถขโมยข้อมูลจาก host ได้โดยไม่ต้องแก้ไขซอฟต์แวร์ของ host เลย ช่องโหว่นี้เกิดจากการที่ branch predictor ของ CPU ไม่ถูกแยกอย่างปลอดภัยระหว่าง guest กับ host ทำให้ VM สามารถใช้การคาดเดาเส้นทางการทำงานของ CPU เพื่อเข้าถึงข้อมูลลับ เช่น disk encryption keys หรือ session credentials ได้ VMSCAPE ส่งผลกระทบต่อระบบคลาวด์ที่ใช้ KVM/QEMU บน CPU ของ AMD Zen 1–5 และ Intel Coffee Lake ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่ยังคงใช้ branch prediction แบบเดิม โดยช่องโหว่นี้ได้รับการลงทะเบียนเป็น CVE-2025-40300 แล้ว แต่ยังไม่มีคะแนนความรุนแรงอย่างเป็นทางการ นักวิจัยเสนอวิธีแก้ไขที่เรียบง่ายแต่ได้ผล คือการ “flush” branch predictor ทุกครั้งที่ VM ออกจากการทำงาน (VMEXIT) โดยใช้คำสั่ง IBPB ซึ่งสามารถป้องกันการโจมตีได้โดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพของระบบ แม้ Intel และ AMD จะเตรียมออกเอกสารและแพตช์เพื่อแก้ไข แต่ช่องโหว่นี้แสดงให้เห็นว่าการป้องกัน Spectre ที่มีอยู่ในปัจจุบันยังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในระบบที่มีการใช้งาน VM อย่างแพร่หลาย ✅ ช่องโหว่ VMSCAPE ที่ค้นพบโดย ETH Zurich ➡️ เป็นการโจมตีแบบ Spectre-BTI ที่ใช้ branch predictor เพื่อขโมยข้อมูล ➡️ ไม่ต้องแก้ไข host software ก็สามารถเจาะข้อมูลได้ ➡️ ส่งผลกระทบต่อระบบที่ใช้ KVM/QEMU บน AMD Zen 1–5 และ Intel Coffee Lake ✅ การลงทะเบียนและการตอบสนอง ➡️ ช่องโหว่นี้ได้รับรหัส CVE-2025-40300 ➡️ AMD และ Intel เตรียมออกเอกสารและแพตช์เพื่อแก้ไข ➡️ Linux community เตรียมออก mitigation พร้อมกับการเปิดเผยช่องโหว่ ✅ วิธีแก้ไขที่เสนอโดยนักวิจัย ➡️ ใช้ IBPB เพื่อ flush branch predictor ทุกครั้งที่ VMEXIT ➡️ ทดสอบแล้วพบว่าไม่มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพ ➡️ เป็นวิธีที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในระบบคลาวด์ ✅ ความหมายต่อวงการคลาวด์และความปลอดภัย ➡️ แสดงให้เห็นว่า VM isolation ยังไม่ปลอดภัยพอ ➡️ การป้องกัน Spectre ที่มีอยู่ยังไม่ครอบคลุมทุกกรณี ➡️ จำเป็นต้องมีการปรับปรุงระบบความปลอดภัยในระดับสถาปัตยกรรม https://www.techradar.com/pro/security/new-spectre-based-cpu-vulnerability-allows-guests-to-steal-sensitive-data-from-the-cloud
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 44 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากกล่องเล็ก ๆ ที่ซ่อนพลังระดับเดสก์ท็อป: เมื่อ eGPU กลายเป็นศูนย์กลางของการเล่นเกมและทำงาน AI

    ในงาน Beyond Edge ล่าสุด GIGABYTE ได้เปิดตัว AORUS RTX 5060 Ti AI BOX ซึ่งเป็น eGPU ที่ใช้ GPU เดสก์ท็อปจริง ไม่ใช่ชิปโน้ตบุ๊กแบบที่ eGPU ส่วนใหญ่ใช้ โดยมาพร้อมกับ RTX 5060 Ti รุ่น 16 GB ที่ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell และ DLSS 4 ทำให้สามารถเร่งงานกราฟิกและ AI ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

    ตัวกล่องมีขนาดเล็กเพียง 117 x 243 x 45 mm แต่ใส่ระบบระบายความร้อน WINDFORCE มาเต็มรูปแบบ พร้อมพอร์ต Thunderbolt 5 ที่ให้แบนด์วิดธ์ PCIe 4.0 x4 ซึ่งช้ากว่า PCIe 4.0 x16 บนเดสก์ท็อปเพียง 5% เท่านั้น

    นอกจากการเร่งกราฟิกแล้ว กล่องนี้ยังทำหน้าที่เป็น docking station โดยมีพอร์ต USB 3.2 Gen 2 จำนวน 3 ช่อง รองรับ Power Delivery 3.0 สำหรับชาร์จเร็ว, พอร์ต Ethernet สำหรับเชื่อมต่อเครือข่าย และสามารถ daisy-chain ผ่าน Thunderbolt 5 ได้อีกด้วย

    ที่น่าสนใจคือการรองรับโหมด USB4 ซึ่งสามารถทำงานร่วมกับกราฟิกในตัวของโน้ตบุ๊กผ่าน Project G-Assist เพื่อแบ่งโหลดงานระหว่าง GPU ภายนอกและภายในได้อย่างชาญฉลาด

    แม้ยังไม่มีการประกาศราคาหรือวันวางจำหน่าย แต่คาดว่าราคาจะสูงกว่าการ์ดเดสก์ท็อป RTX 5060 Ti ที่อยู่ราว $460 เนื่องจากมีฟีเจอร์เสริมมากมายและการใช้ GPU เต็มตัว

    การเปิดตัว AORUS RTX 5060 Ti AI BOX
    ใช้ GPU เดสก์ท็อป RTX 5060 Ti 16 GB พร้อม DLSS 4 และ Blackwell architecture
    ขนาดกะทัดรัด 117 x 243 x 45 mm พร้อมระบบระบายความร้อน WINDFORCE
    เชื่อมต่อผ่าน Thunderbolt 5 ให้แบนด์วิดธ์ PCIe 4.0 x4

    ความสามารถในการทำงานแบบ docking station
    มีพอร์ต USB 3.2 Gen 2 จำนวน 3 ช่อง พร้อม Power Delivery 3.0
    มีพอร์ต Ethernet และรองรับ Thunderbolt 5 daisy-chain
    รองรับโหมด USB4 สำหรับการทำงานร่วมกับกราฟิกในตัวผ่าน Project G-Assist

    จุดเด่นด้านการใช้งานและประสิทธิภาพ
    ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับการ์ดเดสก์ท็อป แม้ใช้ PCIe 4.0 x4
    เพิ่ม VRAM เป็น 16 GB มากกว่ารุ่นโน้ตบุ๊กที่มีแค่ 8 GB
    รองรับงานกราฟิก, เกม, และ AI ได้ในระดับสูง

    https://www.techpowerup.com/340944/gigabyte-introduces-aorus-rtx-5060-ti-ai-box-egpu
    🎙️ เรื่องเล่าจากกล่องเล็ก ๆ ที่ซ่อนพลังระดับเดสก์ท็อป: เมื่อ eGPU กลายเป็นศูนย์กลางของการเล่นเกมและทำงาน AI ในงาน Beyond Edge ล่าสุด GIGABYTE ได้เปิดตัว AORUS RTX 5060 Ti AI BOX ซึ่งเป็น eGPU ที่ใช้ GPU เดสก์ท็อปจริง ไม่ใช่ชิปโน้ตบุ๊กแบบที่ eGPU ส่วนใหญ่ใช้ โดยมาพร้อมกับ RTX 5060 Ti รุ่น 16 GB ที่ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell และ DLSS 4 ทำให้สามารถเร่งงานกราฟิกและ AI ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ตัวกล่องมีขนาดเล็กเพียง 117 x 243 x 45 mm แต่ใส่ระบบระบายความร้อน WINDFORCE มาเต็มรูปแบบ พร้อมพอร์ต Thunderbolt 5 ที่ให้แบนด์วิดธ์ PCIe 4.0 x4 ซึ่งช้ากว่า PCIe 4.0 x16 บนเดสก์ท็อปเพียง 5% เท่านั้น นอกจากการเร่งกราฟิกแล้ว กล่องนี้ยังทำหน้าที่เป็น docking station โดยมีพอร์ต USB 3.2 Gen 2 จำนวน 3 ช่อง รองรับ Power Delivery 3.0 สำหรับชาร์จเร็ว, พอร์ต Ethernet สำหรับเชื่อมต่อเครือข่าย และสามารถ daisy-chain ผ่าน Thunderbolt 5 ได้อีกด้วย ที่น่าสนใจคือการรองรับโหมด USB4 ซึ่งสามารถทำงานร่วมกับกราฟิกในตัวของโน้ตบุ๊กผ่าน Project G-Assist เพื่อแบ่งโหลดงานระหว่าง GPU ภายนอกและภายในได้อย่างชาญฉลาด แม้ยังไม่มีการประกาศราคาหรือวันวางจำหน่าย แต่คาดว่าราคาจะสูงกว่าการ์ดเดสก์ท็อป RTX 5060 Ti ที่อยู่ราว $460 เนื่องจากมีฟีเจอร์เสริมมากมายและการใช้ GPU เต็มตัว ✅ การเปิดตัว AORUS RTX 5060 Ti AI BOX ➡️ ใช้ GPU เดสก์ท็อป RTX 5060 Ti 16 GB พร้อม DLSS 4 และ Blackwell architecture ➡️ ขนาดกะทัดรัด 117 x 243 x 45 mm พร้อมระบบระบายความร้อน WINDFORCE ➡️ เชื่อมต่อผ่าน Thunderbolt 5 ให้แบนด์วิดธ์ PCIe 4.0 x4 ✅ ความสามารถในการทำงานแบบ docking station ➡️ มีพอร์ต USB 3.2 Gen 2 จำนวน 3 ช่อง พร้อม Power Delivery 3.0 ➡️ มีพอร์ต Ethernet และรองรับ Thunderbolt 5 daisy-chain ➡️ รองรับโหมด USB4 สำหรับการทำงานร่วมกับกราฟิกในตัวผ่าน Project G-Assist ✅ จุดเด่นด้านการใช้งานและประสิทธิภาพ ➡️ ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับการ์ดเดสก์ท็อป แม้ใช้ PCIe 4.0 x4 ➡️ เพิ่ม VRAM เป็น 16 GB มากกว่ารุ่นโน้ตบุ๊กที่มีแค่ 8 GB ➡️ รองรับงานกราฟิก, เกม, และ AI ได้ในระดับสูง https://www.techpowerup.com/340944/gigabyte-introduces-aorus-rtx-5060-ti-ai-box-egpu
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    GIGABYTE Introduces AORUS RTX 5060 Ti AI BOX eGPU
    GIGABYTE has unveiled the AORUS RTX 5060 Ti AI BOX eGPU during today's Beyond Edge online event. This external graphics solution features NVIDIA's desktop-grade GeForce RTX 5060 Ti with 16 GB VRAM in a compact 117 x 243 x 45 mm form factor. Unlike most existing eGPUs that rely on mobile AMD Radeon R...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 35 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก OCTOPUS ถึง SCUP-HPC: เมื่อซูเปอร์คอมพิวเตอร์กลายเป็นผู้บันทึกความจริงของงานวิจัย

    มหาวิทยาลัยโอซาก้า D3 Center ร่วมกับ NEC เปิดตัว OCTOPUS (Osaka University Compute and sTOrage Platform Urging open Science) ซึ่งเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีพลังการประมวลผล 2.293 petaflops โดยใช้ 140 โหนดของ NEC LX201Ein-1 ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานวิจัยแบบเปิด (Open Science)

    จุดเด่นของ OCTOPUS ไม่ใช่แค่ความเร็ว แต่คือระบบ “provenance management” ที่สามารถบันทึกและติดตามกระบวนการคำนวณทั้งหมด เช่น ข้อมูลใดถูกใช้ โปรแกรมใดเรียกใช้ และผลลัพธ์ใดถูกสร้างขึ้น โดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพของระบบ

    เทคโนโลยีนี้ชื่อว่า SCUP-HPC (Scientific Computing Unifying Provenance – High Performance Computing) ซึ่งพัฒนาโดยทีมของ Susumu Date จากห้องวิจัยร่วมระหว่าง NEC และมหาวิทยาลัยโอซาก้า โดยเริ่มต้นในปี 2021

    SCUP-HPC ช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาประวัติการคำนวณด้วย ID เฉพาะ และแสดงผลแบบ visualization ได้ ทำให้นักวิจัยสามารถใส่รหัสประวัติการคำนวณในบทความวิชาการ เพื่อยืนยันว่าใช้ OCTOPUS จริงในการสร้างผลลัพธ์

    ระบบนี้ยังช่วยแก้ปัญหาการบันทึกข้อมูลด้วยมือที่อาจผิดพลาดหรือไม่ครบถ้วน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในงานวิจัยที่ต้องการความโปร่งใสและตรวจสอบได้ โดยเฉพาะในยุคที่ AI และ Big Data กลายเป็นเครื่องมือหลักของนักวิทยาศาสตร์

    NEC ยังมีแผนจะนำ SCUP-HPC ไปใช้เชิงพาณิชย์ในอนาคต และจะขยายแพลตฟอร์มนี้ไปสู่การใช้งานในอุตสาหกรรมและงานวิจัยด้าน AI อย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้แนวคิด “NEC BluStellar” ที่เน้นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลเพื่อการวิจัย

    การเปิดตัว OCTOPUS โดยมหาวิทยาลัยโอซาก้าและ NEC
    เริ่มทดลองใช้งานในเดือนกันยายน และเปิดใช้งานเต็มรูปแบบในเดือนธันวาคม 2025
    ใช้ 140 โหนดของ NEC LX201Ein-1 มีพลังการประมวลผล 2.293 petaflops
    ประสิทธิภาพสูงกว่าระบบเดิมประมาณ 1.5 เท่า

    เทคโนโลยี SCUP-HPC สำหรับการจัดการ provenance
    บันทึกว่าโปรแกรมใดใช้ข้อมูลใด และสร้างผลลัพธ์อะไร
    แสดงผลแบบ visualization และค้นหาด้วย history ID
    ช่วยให้นักวิจัยใส่รหัสการคำนวณในบทความเพื่อยืนยันความถูกต้อง

    เป้าหมายของระบบนี้
    ส่งเสริม Open Science โดยให้ข้อมูลวิจัยสามารถตรวจสอบและแบ่งปันได้
    ลดความผิดพลาดจากการบันทึกด้วยมือ
    เพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของงานวิจัย

    แผนการขยายในอนาคต
    NEC เตรียมนำ SCUP-HPC ไปใช้เชิงพาณิชย์
    ขยายไปสู่การใช้งานในอุตสาหกรรมและงานวิจัยด้าน AI/Big Data
    อยู่ภายใต้แนวคิด NEC BluStellar เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลวิจัย

    https://www.techpowerup.com/340936/nec-provides-computing-power-for-octopus-supercomputer-at-osaka-university
    🎙️ เรื่องเล่าจาก OCTOPUS ถึง SCUP-HPC: เมื่อซูเปอร์คอมพิวเตอร์กลายเป็นผู้บันทึกความจริงของงานวิจัย มหาวิทยาลัยโอซาก้า D3 Center ร่วมกับ NEC เปิดตัว OCTOPUS (Osaka University Compute and sTOrage Platform Urging open Science) ซึ่งเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีพลังการประมวลผล 2.293 petaflops โดยใช้ 140 โหนดของ NEC LX201Ein-1 ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานวิจัยแบบเปิด (Open Science) จุดเด่นของ OCTOPUS ไม่ใช่แค่ความเร็ว แต่คือระบบ “provenance management” ที่สามารถบันทึกและติดตามกระบวนการคำนวณทั้งหมด เช่น ข้อมูลใดถูกใช้ โปรแกรมใดเรียกใช้ และผลลัพธ์ใดถูกสร้างขึ้น โดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพของระบบ เทคโนโลยีนี้ชื่อว่า SCUP-HPC (Scientific Computing Unifying Provenance – High Performance Computing) ซึ่งพัฒนาโดยทีมของ Susumu Date จากห้องวิจัยร่วมระหว่าง NEC และมหาวิทยาลัยโอซาก้า โดยเริ่มต้นในปี 2021 SCUP-HPC ช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาประวัติการคำนวณด้วย ID เฉพาะ และแสดงผลแบบ visualization ได้ ทำให้นักวิจัยสามารถใส่รหัสประวัติการคำนวณในบทความวิชาการ เพื่อยืนยันว่าใช้ OCTOPUS จริงในการสร้างผลลัพธ์ ระบบนี้ยังช่วยแก้ปัญหาการบันทึกข้อมูลด้วยมือที่อาจผิดพลาดหรือไม่ครบถ้วน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในงานวิจัยที่ต้องการความโปร่งใสและตรวจสอบได้ โดยเฉพาะในยุคที่ AI และ Big Data กลายเป็นเครื่องมือหลักของนักวิทยาศาสตร์ NEC ยังมีแผนจะนำ SCUP-HPC ไปใช้เชิงพาณิชย์ในอนาคต และจะขยายแพลตฟอร์มนี้ไปสู่การใช้งานในอุตสาหกรรมและงานวิจัยด้าน AI อย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้แนวคิด “NEC BluStellar” ที่เน้นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลเพื่อการวิจัย ✅ การเปิดตัว OCTOPUS โดยมหาวิทยาลัยโอซาก้าและ NEC ➡️ เริ่มทดลองใช้งานในเดือนกันยายน และเปิดใช้งานเต็มรูปแบบในเดือนธันวาคม 2025 ➡️ ใช้ 140 โหนดของ NEC LX201Ein-1 มีพลังการประมวลผล 2.293 petaflops ➡️ ประสิทธิภาพสูงกว่าระบบเดิมประมาณ 1.5 เท่า ✅ เทคโนโลยี SCUP-HPC สำหรับการจัดการ provenance ➡️ บันทึกว่าโปรแกรมใดใช้ข้อมูลใด และสร้างผลลัพธ์อะไร ➡️ แสดงผลแบบ visualization และค้นหาด้วย history ID ➡️ ช่วยให้นักวิจัยใส่รหัสการคำนวณในบทความเพื่อยืนยันความถูกต้อง ✅ เป้าหมายของระบบนี้ ➡️ ส่งเสริม Open Science โดยให้ข้อมูลวิจัยสามารถตรวจสอบและแบ่งปันได้ ➡️ ลดความผิดพลาดจากการบันทึกด้วยมือ ➡️ เพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของงานวิจัย ✅ แผนการขยายในอนาคต ➡️ NEC เตรียมนำ SCUP-HPC ไปใช้เชิงพาณิชย์ ➡️ ขยายไปสู่การใช้งานในอุตสาหกรรมและงานวิจัยด้าน AI/Big Data ➡️ อยู่ภายใต้แนวคิด NEC BluStellar เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลวิจัย https://www.techpowerup.com/340936/nec-provides-computing-power-for-octopus-supercomputer-at-osaka-university
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    NEC Provides Computing Power for OCTOPUS Supercomputer at Osaka University
    The University of Osaka D3 Center will begin trial operations of the "Osaka University Compute and sTOrage Platform Urging open Science" (OCTOPUS), a computational and data platform promoting open science built by NEC Corporation (NEC; TSE: 6701), starting this September, with full-scale operations ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Nehalem ถึง Nova Lake: เมื่อผู้นำด้านสถาปัตยกรรมของ Xeon ตัดสินใจเดินออกจาก Intel

    Ronak Singhal ซึ่งอยู่กับ Intel มานานถึง 28 ปี และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการออกแบบ CPU ระดับตำนานอย่าง Nehalem, Haswell และ Broadwell ได้ลาออกจากตำแหน่ง Chief Architect ของ Xeon หลังจากรับตำแหน่งได้เพียง 8 เดือน โดยเขาเป็นคนที่สองที่รับตำแหน่งนี้ต่อจาก Sailesh Kottapalli ซึ่งก็ลาออกไปก่อนหน้านี้เพื่อร่วมทีมเซิร์ฟเวอร์ของ Qualcomm

    การลาออกของ Singhal เกิดขึ้นในช่วงที่ Intel กำลังปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ โดย CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan ได้แต่งตั้ง Kevork Kechichian อดีตผู้บริหารจาก Arm ให้เป็นหัวหน้ากลุ่ม Data Center Group (DCG) เพื่อเร่งการเปลี่ยนแปลงและเน้นการพัฒนา CPU เป็นแกนหลักของธุรกิจศูนย์ข้อมูล

    Singhal เคยดูแลทั้งแผนกลยุทธ์ Xeon, การออกแบบแพลตฟอร์ม, ระบบหน่วยความจำ, ความปลอดภัย และการเร่ง AI ซึ่งถือว่าเป็นบทบาทที่ครอบคลุมมากกว่าการออกแบบชิปทั่วไป และเขายังถือสิทธิบัตรกว่า 30 ฉบับเกี่ยวกับสถาปัตยกรรม CPU

    การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงแรงสั่นสะเทือนในทีม Data Center ของ Intel ที่มีการเปลี่ยนตัวผู้บริหารหลายคนในเวลาไม่ถึงปี เช่น Justin Hotard ที่ลาออกไปเป็น CEO ของ Nokia และ Sandra Rivera ที่ย้ายไปเป็น CEO ของ Altera ซึ่งถูกแยกออกจาก Intel ในปี 2024

    การลาออกของ Ronak Singhal
    ลาออกหลังรับตำแหน่ง Chief Architect ของ Xeon ได้เพียง 8 เดือน
    เป็นผู้นำด้านสถาปัตยกรรมที่อยู่กับ Intel มานาน 28 ปี
    เคยดูแล Nehalem, Haswell, Broadwell และระบบ AI acceleration

    การปรับโครงสร้างองค์กรของ Intel
    CEO Lip-Bu Tan เร่งปรับโครงสร้างเพื่อเน้น CPU เป็นแกนหลัก
    แต่งตั้ง Kevork Kechichian จาก Arm เป็นหัวหน้า DCG
    ย้ายทีม accelerator ไปอยู่ภายใต้การดูแลของ Sachin Katti

    การเปลี่ยนแปลงในทีม Data Center
    Sailesh Kottapalli ลาออกไปอยู่กับ Qualcomm
    Justin Hotard ลาออกไปเป็น CEO ของ Nokia
    Sandra Rivera ย้ายไปเป็น CEO ของ Altera ที่ถูก spin-off

    บทบาทของ Singhal ที่มีผลต่อ Intel
    ดูแลกลยุทธ์ Xeon และการออกแบบแพลตฟอร์มระดับองค์กร
    มีสิทธิบัตรกว่า 30 ฉบับเกี่ยวกับ CPU architecture
    เป็นสถาปนิกที่ครอบคลุมทั้งด้าน core, memory, security และ AI

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-xeon-chief-architect-leaves-just-8-months-after-appointment-ronak-singhal-latest-departure-in-ongoing-shakeup
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Nehalem ถึง Nova Lake: เมื่อผู้นำด้านสถาปัตยกรรมของ Xeon ตัดสินใจเดินออกจาก Intel Ronak Singhal ซึ่งอยู่กับ Intel มานานถึง 28 ปี และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการออกแบบ CPU ระดับตำนานอย่าง Nehalem, Haswell และ Broadwell ได้ลาออกจากตำแหน่ง Chief Architect ของ Xeon หลังจากรับตำแหน่งได้เพียง 8 เดือน โดยเขาเป็นคนที่สองที่รับตำแหน่งนี้ต่อจาก Sailesh Kottapalli ซึ่งก็ลาออกไปก่อนหน้านี้เพื่อร่วมทีมเซิร์ฟเวอร์ของ Qualcomm การลาออกของ Singhal เกิดขึ้นในช่วงที่ Intel กำลังปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ โดย CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan ได้แต่งตั้ง Kevork Kechichian อดีตผู้บริหารจาก Arm ให้เป็นหัวหน้ากลุ่ม Data Center Group (DCG) เพื่อเร่งการเปลี่ยนแปลงและเน้นการพัฒนา CPU เป็นแกนหลักของธุรกิจศูนย์ข้อมูล Singhal เคยดูแลทั้งแผนกลยุทธ์ Xeon, การออกแบบแพลตฟอร์ม, ระบบหน่วยความจำ, ความปลอดภัย และการเร่ง AI ซึ่งถือว่าเป็นบทบาทที่ครอบคลุมมากกว่าการออกแบบชิปทั่วไป และเขายังถือสิทธิบัตรกว่า 30 ฉบับเกี่ยวกับสถาปัตยกรรม CPU การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงแรงสั่นสะเทือนในทีม Data Center ของ Intel ที่มีการเปลี่ยนตัวผู้บริหารหลายคนในเวลาไม่ถึงปี เช่น Justin Hotard ที่ลาออกไปเป็น CEO ของ Nokia และ Sandra Rivera ที่ย้ายไปเป็น CEO ของ Altera ซึ่งถูกแยกออกจาก Intel ในปี 2024 ✅ การลาออกของ Ronak Singhal ➡️ ลาออกหลังรับตำแหน่ง Chief Architect ของ Xeon ได้เพียง 8 เดือน ➡️ เป็นผู้นำด้านสถาปัตยกรรมที่อยู่กับ Intel มานาน 28 ปี ➡️ เคยดูแล Nehalem, Haswell, Broadwell และระบบ AI acceleration ✅ การปรับโครงสร้างองค์กรของ Intel ➡️ CEO Lip-Bu Tan เร่งปรับโครงสร้างเพื่อเน้น CPU เป็นแกนหลัก ➡️ แต่งตั้ง Kevork Kechichian จาก Arm เป็นหัวหน้า DCG ➡️ ย้ายทีม accelerator ไปอยู่ภายใต้การดูแลของ Sachin Katti ✅ การเปลี่ยนแปลงในทีม Data Center ➡️ Sailesh Kottapalli ลาออกไปอยู่กับ Qualcomm ➡️ Justin Hotard ลาออกไปเป็น CEO ของ Nokia ➡️ Sandra Rivera ย้ายไปเป็น CEO ของ Altera ที่ถูก spin-off ✅ บทบาทของ Singhal ที่มีผลต่อ Intel ➡️ ดูแลกลยุทธ์ Xeon และการออกแบบแพลตฟอร์มระดับองค์กร ➡️ มีสิทธิบัตรกว่า 30 ฉบับเกี่ยวกับ CPU architecture ➡️ เป็นสถาปนิกที่ครอบคลุมทั้งด้าน core, memory, security และ AI https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-xeon-chief-architect-leaves-just-8-months-after-appointment-ronak-singhal-latest-departure-in-ongoing-shakeup
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 35 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Siri ถึง Symphony of AI: เมื่ออุปกรณ์รอบตัวกลายเป็นผู้ช่วยที่รู้ใจยิ่งกว่าสมาร์ตโฟน

    ในขณะที่ Apple เปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ที่บางลงเพียงเล็กน้อย โลกเทคโนโลยีกำลังมองไปไกลกว่านั้น—ไปยังยุคที่สมาร์ตโฟนอาจกลายเป็นอุปกรณ์รอง เพราะผู้ช่วย AI จะกลายเป็นศูนย์กลางของการคำนวณส่วนบุคคล

    ผู้บริหารจากบริษัทใหญ่ เช่น Meta, Google, Amazon, Qualcomm และ Nothing ต่างเห็นตรงกันว่าอุปกรณ์สวมใส่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะเข้ามาแทนที่การใช้งานแบบเดิม ไม่ว่าจะเป็นแว่นตาอัจฉริยะที่เข้าใจสิ่งที่เรามองเห็น, นาฬิกาที่จัดการชีวิตให้เรา, หรือจี้ติดเสื้อที่บันทึกบทสนทนาและให้คำแนะนำแบบเรียลไทม์

    Meta ได้พัฒนา Ray-Ban Meta ที่มีผู้ช่วย AI ในตัว และเตรียมเปิดตัว Orion แว่นตาที่มีหน้าจอในเฟรม ส่วน Google ก็มีต้นแบบแว่นตาที่ใช้ Gemini เป็นผู้ช่วย AI

    Amazon มองว่า “Ambient Computing” จะกลายเป็นสิ่งสำคัญ—อุปกรณ์ที่อยู่รอบตัว เช่น ลำโพงและจอภาพ จะทำงานร่วมกับ AI เพื่อให้เราทำสิ่งต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

    Carl Pei จาก Nothing เชื่อว่า “นาฬิกาอัจฉริยะยุคใหม่” จะกลายเป็นศูนย์กลางของ AI ที่รู้จักพฤติกรรมของผู้ใช้และจัดการชีวิตให้โดยอัตโนมัติ

    Limitless AI พัฒนา “AI Pendant” ที่บันทึกเสียงและให้คำแนะนำเพื่อช่วยให้เราจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น และแม้แต่ช่วยให้เป็นพ่อแม่ที่ดีขึ้น โดยอิงจากบทสนทนาในชีวิตจริง

    แนวโน้มการเปลี่ยนผ่านจากสมาร์ตโฟน
    ผู้ช่วย AI จะกลายเป็นระบบปฏิบัติการหลักของอุปกรณ์ส่วนบุคคล
    การใช้งานแอปและเมนูจะถูกแทนที่ด้วยการสั่งงานผ่านเสียงและบริบท

    อุปกรณ์ใหม่ที่กำลังมาแทนสมาร์ตโฟน
    แว่นตาอัจฉริยะ: Ray-Ban Meta, Orion, Google Gemini Glasses
    Ambient Computing: ลำโพงและจอภาพที่ทำงานร่วมกับ AI เช่น Alexa+
    นาฬิกาอัจฉริยะยุคใหม่: จัดการชีวิตและงานโดยอัตโนมัติ
    AI Recorder: Limitless Pendant ที่บันทึกเสียงและให้คำแนะนำ

    เทคโนโลยีเบื้องหลัง
    LongCat และ Gemini: โมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่ขับเคลื่อนผู้ช่วย AI
    Mixture-of-Experts (MoE): เปิดใช้งานเฉพาะส่วนที่จำเป็นเพื่อประหยัดพลังงาน
    การเชื่อมโยงอุปกรณ์หลายชิ้นเป็น “Symphony of AI” ที่ทำงานร่วมกัน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/13/ai-could-make-the-smartphone-passe-what-comes-next
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Siri ถึง Symphony of AI: เมื่ออุปกรณ์รอบตัวกลายเป็นผู้ช่วยที่รู้ใจยิ่งกว่าสมาร์ตโฟน ในขณะที่ Apple เปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ที่บางลงเพียงเล็กน้อย โลกเทคโนโลยีกำลังมองไปไกลกว่านั้น—ไปยังยุคที่สมาร์ตโฟนอาจกลายเป็นอุปกรณ์รอง เพราะผู้ช่วย AI จะกลายเป็นศูนย์กลางของการคำนวณส่วนบุคคล ผู้บริหารจากบริษัทใหญ่ เช่น Meta, Google, Amazon, Qualcomm และ Nothing ต่างเห็นตรงกันว่าอุปกรณ์สวมใส่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะเข้ามาแทนที่การใช้งานแบบเดิม ไม่ว่าจะเป็นแว่นตาอัจฉริยะที่เข้าใจสิ่งที่เรามองเห็น, นาฬิกาที่จัดการชีวิตให้เรา, หรือจี้ติดเสื้อที่บันทึกบทสนทนาและให้คำแนะนำแบบเรียลไทม์ Meta ได้พัฒนา Ray-Ban Meta ที่มีผู้ช่วย AI ในตัว และเตรียมเปิดตัว Orion แว่นตาที่มีหน้าจอในเฟรม ส่วน Google ก็มีต้นแบบแว่นตาที่ใช้ Gemini เป็นผู้ช่วย AI Amazon มองว่า “Ambient Computing” จะกลายเป็นสิ่งสำคัญ—อุปกรณ์ที่อยู่รอบตัว เช่น ลำโพงและจอภาพ จะทำงานร่วมกับ AI เพื่อให้เราทำสิ่งต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา Carl Pei จาก Nothing เชื่อว่า “นาฬิกาอัจฉริยะยุคใหม่” จะกลายเป็นศูนย์กลางของ AI ที่รู้จักพฤติกรรมของผู้ใช้และจัดการชีวิตให้โดยอัตโนมัติ Limitless AI พัฒนา “AI Pendant” ที่บันทึกเสียงและให้คำแนะนำเพื่อช่วยให้เราจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น และแม้แต่ช่วยให้เป็นพ่อแม่ที่ดีขึ้น โดยอิงจากบทสนทนาในชีวิตจริง ✅ แนวโน้มการเปลี่ยนผ่านจากสมาร์ตโฟน ➡️ ผู้ช่วย AI จะกลายเป็นระบบปฏิบัติการหลักของอุปกรณ์ส่วนบุคคล ➡️ การใช้งานแอปและเมนูจะถูกแทนที่ด้วยการสั่งงานผ่านเสียงและบริบท ✅ อุปกรณ์ใหม่ที่กำลังมาแทนสมาร์ตโฟน ➡️ แว่นตาอัจฉริยะ: Ray-Ban Meta, Orion, Google Gemini Glasses ➡️ Ambient Computing: ลำโพงและจอภาพที่ทำงานร่วมกับ AI เช่น Alexa+ ➡️ นาฬิกาอัจฉริยะยุคใหม่: จัดการชีวิตและงานโดยอัตโนมัติ ➡️ AI Recorder: Limitless Pendant ที่บันทึกเสียงและให้คำแนะนำ ✅ เทคโนโลยีเบื้องหลัง ➡️ LongCat และ Gemini: โมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่ขับเคลื่อนผู้ช่วย AI ➡️ Mixture-of-Experts (MoE): เปิดใช้งานเฉพาะส่วนที่จำเป็นเพื่อประหยัดพลังงาน ➡️ การเชื่อมโยงอุปกรณ์หลายชิ้นเป็น “Symphony of AI” ที่ทำงานร่วมกัน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/13/ai-could-make-the-smartphone-passe-what-comes-next
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI could make the smartphone passe. What comes next?
    Modern artificially intelligent assistants, which are far more capable and flexible than clunky voice helpers like Siri, are poised to become the central operating system of all our personal computing devices, superseding smartphone software in importance.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 33 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก LongCat ถึง Xiaomei: เมื่อ AI กลายเป็นพนักงานส่งอาหารที่พูดได้และคิดแทนคุณ

    Meituan ซึ่งเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มส่งอาหารและบริการท้องถิ่นที่ใหญ่ที่สุดในจีน ได้เปิดตัว “Xiaomei” แอปผู้ช่วย AI ที่ขับเคลื่อนด้วยโมเดลภาษาขนาดใหญ่ของตัวเองชื่อว่า LongCat โดย Xiaomei สามารถรับคำสั่งเสียงจากผู้ใช้เพื่อสั่งอาหาร จองร้านอาหาร และแนะนำเมนูที่เหมาะกับความชอบของแต่ละคนได้แบบเรียลไทม์2

    LongCat ไม่ใช่แค่โมเดลทั่วไป แต่เป็นโมเดลขนาดมหึมาที่มีพารามิเตอร์ถึง 560 พันล้านตัว และใช้สถาปัตยกรรม Mixture-of-Experts (MoE) ที่เปิดใช้งานเฉพาะส่วนที่จำเป็นในแต่ละบริบท ทำให้สามารถให้คำตอบได้เร็วและแม่นยำโดยใช้พลังงานน้อยลง

    การเปิดตัว Xiaomei เป็นการตอบโต้โดยตรงต่อการรุกคืบของ Alibaba ที่เพิ่งปรับปรุงระบบแผนที่และแนะนำร้านอาหารด้วย AI เช่นกัน รวมถึง JD.com ที่กำลังลงทุนหนักในบริการส่งอาหารแบบทันใจ

    แม้ Meituan จะได้เปรียบในด้านฐานผู้ใช้กว่า 770 ล้านคนต่อปี แต่การแข่งขันที่รุนแรงทำให้ทุกบริษัทต้องทุ่มงบมหาศาล เช่น Alibaba ที่เพิ่งประกาศงบส่งเสริมการขายกว่า 140 ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์เดียว เพื่อดึงดูดผู้ใช้ใหม่

    นักวิเคราะห์มองว่า Xiaomei เป็นตัวอย่างของการใช้ AI เพื่อเพิ่ม engagement และลดต้นทุนการบริการในระยะยาว แต่ก็เตือนว่าการแข่งขันที่รุนแรงอาจทำให้กำไรของทุกฝ่ายลดลง แม้ผู้ใช้จะได้ประโยชน์จากบริการที่ดีขึ้นก็ตาม

    การเปิดตัว Xiaomei โดย Meituan
    เป็น AI agent ที่ใช้สั่งอาหาร จองร้าน และแนะนำเมนูผ่านเสียง
    ขับเคลื่อนด้วยโมเดล LongCat ที่พัฒนาโดย Meituan เอง
    ใช้เทคโนโลยี MoE เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน

    ความสามารถของ LongCat
    มีพารามิเตอร์ 560 พันล้านตัว
    ใช้ dynamic computation เปิดใช้งานเฉพาะส่วนที่จำเป็น
    ออกแบบให้รองรับข้อความยาวและตอบสนองเร็ว

    การแข่งขันในตลาดส่งอาหารจีน
    Alibaba ปรับปรุงระบบแผนที่และแนะนำร้านด้วย AI
    JD.com ลงทุนหนักในบริการส่งอาหารทันใจ
    Meituan มีฐานผู้ใช้กว่า 770 ล้านคนต่อปี

    ผลกระทบต่อธุรกิจและผู้บริโภค
    ผู้ใช้ได้รับบริการที่ฉลาดขึ้นและสะดวกขึ้น
    บริษัทต้องลงทุนมหาศาลเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด
    การใช้ AI อาจช่วยลดต้นทุนในระยะยาว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/12/meituan-launches-ai-agent-to-boost-food-delivery-business
    🎙️ เรื่องเล่าจาก LongCat ถึง Xiaomei: เมื่อ AI กลายเป็นพนักงานส่งอาหารที่พูดได้และคิดแทนคุณ Meituan ซึ่งเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มส่งอาหารและบริการท้องถิ่นที่ใหญ่ที่สุดในจีน ได้เปิดตัว “Xiaomei” แอปผู้ช่วย AI ที่ขับเคลื่อนด้วยโมเดลภาษาขนาดใหญ่ของตัวเองชื่อว่า LongCat โดย Xiaomei สามารถรับคำสั่งเสียงจากผู้ใช้เพื่อสั่งอาหาร จองร้านอาหาร และแนะนำเมนูที่เหมาะกับความชอบของแต่ละคนได้แบบเรียลไทม์2 LongCat ไม่ใช่แค่โมเดลทั่วไป แต่เป็นโมเดลขนาดมหึมาที่มีพารามิเตอร์ถึง 560 พันล้านตัว และใช้สถาปัตยกรรม Mixture-of-Experts (MoE) ที่เปิดใช้งานเฉพาะส่วนที่จำเป็นในแต่ละบริบท ทำให้สามารถให้คำตอบได้เร็วและแม่นยำโดยใช้พลังงานน้อยลง การเปิดตัว Xiaomei เป็นการตอบโต้โดยตรงต่อการรุกคืบของ Alibaba ที่เพิ่งปรับปรุงระบบแผนที่และแนะนำร้านอาหารด้วย AI เช่นกัน รวมถึง JD.com ที่กำลังลงทุนหนักในบริการส่งอาหารแบบทันใจ แม้ Meituan จะได้เปรียบในด้านฐานผู้ใช้กว่า 770 ล้านคนต่อปี แต่การแข่งขันที่รุนแรงทำให้ทุกบริษัทต้องทุ่มงบมหาศาล เช่น Alibaba ที่เพิ่งประกาศงบส่งเสริมการขายกว่า 140 ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์เดียว เพื่อดึงดูดผู้ใช้ใหม่ นักวิเคราะห์มองว่า Xiaomei เป็นตัวอย่างของการใช้ AI เพื่อเพิ่ม engagement และลดต้นทุนการบริการในระยะยาว แต่ก็เตือนว่าการแข่งขันที่รุนแรงอาจทำให้กำไรของทุกฝ่ายลดลง แม้ผู้ใช้จะได้ประโยชน์จากบริการที่ดีขึ้นก็ตาม ✅ การเปิดตัว Xiaomei โดย Meituan ➡️ เป็น AI agent ที่ใช้สั่งอาหาร จองร้าน และแนะนำเมนูผ่านเสียง ➡️ ขับเคลื่อนด้วยโมเดล LongCat ที่พัฒนาโดย Meituan เอง ➡️ ใช้เทคโนโลยี MoE เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน ✅ ความสามารถของ LongCat ➡️ มีพารามิเตอร์ 560 พันล้านตัว ➡️ ใช้ dynamic computation เปิดใช้งานเฉพาะส่วนที่จำเป็น ➡️ ออกแบบให้รองรับข้อความยาวและตอบสนองเร็ว ✅ การแข่งขันในตลาดส่งอาหารจีน ➡️ Alibaba ปรับปรุงระบบแผนที่และแนะนำร้านด้วย AI ➡️ JD.com ลงทุนหนักในบริการส่งอาหารทันใจ ➡️ Meituan มีฐานผู้ใช้กว่า 770 ล้านคนต่อปี ✅ ผลกระทบต่อธุรกิจและผู้บริโภค ➡️ ผู้ใช้ได้รับบริการที่ฉลาดขึ้นและสะดวกขึ้น ➡️ บริษัทต้องลงทุนมหาศาลเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด ➡️ การใช้ AI อาจช่วยลดต้นทุนในระยะยาว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/12/meituan-launches-ai-agent-to-boost-food-delivery-business
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Meituan launches AI agent to boost food delivery business
    Meituan has launched a new AI agent app that aims to boost its food delivery and local services business, as its battle with Alibaba Group Holding Ltd for Chinese consumers heats up.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 36 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Qwen3 สู่ Qwen3-Next: เมื่อโมเดล 80B ทำงานได้เท่ากับ 235B โดยใช้พลังแค่ 3B

    ในเดือนกันยายน 2025 ทีม Qwen จาก Alibaba ได้เปิดตัวสถาปัตยกรรมใหม่ชื่อว่า Qwen3-Next ซึ่งเป็นการพัฒนาโมเดลขนาดใหญ่ที่เน้น “ประสิทธิภาพต่อพารามิเตอร์” และ “ความเร็วในการประมวลผลข้อความยาว” โดยใช้แนวคิดใหม่ทั้งในด้าน attention, sparsity และการพยากรณ์หลาย token พร้อมกัน

    Qwen3-Next มีพารามิเตอร์รวม 80 พันล้าน แต่เปิดใช้งานจริงเพียง 3 พันล้านระหว่างการ inference ซึ่งทำให้สามารถเทียบเคียงกับ Qwen3-235B ได้ในหลายงาน โดยใช้ต้นทุนการฝึกเพียง 9.3% ของ Qwen3-32B2

    หัวใจของ Qwen3-Next คือการผสมผสานระหว่าง Gated DeltaNet (linear attention ที่เร็วแต่แม่น) กับ standard attention (ที่แม่นแต่ช้า) ในอัตราส่วน 3:1 พร้อมเพิ่ม gating, rotary encoding แบบบางส่วน และการขยายขนาด head dimension เพื่อรองรับข้อความยาวถึง 256K tokens ได้อย่างเสถียร

    ในส่วนของ MoE (Mixture-of-Experts) Qwen3-Next ใช้โครงสร้าง ultra-sparse โดยมี 512 experts แต่เปิดใช้งานเพียง 10 + 1 shared expert ต่อ step ซึ่งทำให้ลดการใช้พลังงานและเพิ่ม throughput ได้มากกว่า 10 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน

    นอกจากนี้ยังมีการออกแบบเพื่อความเสถียร เช่น Zero-Centered RMSNorm, weight decay เฉพาะ norm weights และการ normalize router parameters ตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อให้การฝึกมีความนิ่งและไม่เกิดปัญหา activation ผิดปกติ

    Qwen3-Next ยังมาพร้อม Multi-Token Prediction (MTP) ที่ช่วยให้การ inference แบบ speculative decoding มีความแม่นยำและเร็วขึ้น โดยสามารถใช้งานผ่าน Hugging Face, ModelScope, SGLang และ vLLM ได้ทันที

    สถาปัตยกรรมใหม่ของ Qwen3-Next
    ใช้ hybrid attention: Gated DeltaNet + standard attention (อัตราส่วน 3:1)
    เพิ่ม gating, rotary encoding เฉพาะ 25% ของ position dimension
    ขยาย head dimension จาก 128 เป็น 256 เพื่อรองรับข้อความยาว

    โครงสร้าง MoE แบบ ultra-sparse
    มี 512 experts แต่เปิดใช้งานเพียง 10 + 1 shared expert ต่อ step
    ลดการใช้พลังงานและเพิ่ม throughput ได้มากกว่า 10 เท่า
    ใช้ global load balancing เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการฝึก

    การออกแบบเพื่อความเสถียรในการฝึก
    ใช้ Zero-Centered RMSNorm แทน QK-Norm
    เพิ่ม weight decay เฉพาะ norm weights เพื่อป้องกันการโตผิดปกติ
    normalize router parameters ตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อความนิ่ง

    ประสิทธิภาพของโมเดล
    Qwen3-Next-80B-A3B-Base เทียบเท่าหรือดีกว่า Qwen3-32B โดยใช้พลังแค่ 10%
    Qwen3-Next-Instruct เทียบเคียง Qwen3-235B-A22B-Instruct-2507 ในงาน context ยาว
    Qwen3-Next-Thinking ชนะ Gemini-2.5-Flash-Thinking ในหลาย benchmark

    การใช้งานและ deployment
    รองรับ context สูงสุด 256K tokens และสามารถขยายถึง 1M ด้วยเทคนิค YaRN
    ใช้งานผ่าน Hugging Face, ModelScope, SGLang, vLLM ได้ทันที
    รองรับ speculative decoding ผ่าน MTP module

    https://qwen.ai/blog?id=4074cca80393150c248e508aa62983f9cb7d27cd&from=research.latest-advancements-list
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Qwen3 สู่ Qwen3-Next: เมื่อโมเดล 80B ทำงานได้เท่ากับ 235B โดยใช้พลังแค่ 3B ในเดือนกันยายน 2025 ทีม Qwen จาก Alibaba ได้เปิดตัวสถาปัตยกรรมใหม่ชื่อว่า Qwen3-Next ซึ่งเป็นการพัฒนาโมเดลขนาดใหญ่ที่เน้น “ประสิทธิภาพต่อพารามิเตอร์” และ “ความเร็วในการประมวลผลข้อความยาว” โดยใช้แนวคิดใหม่ทั้งในด้าน attention, sparsity และการพยากรณ์หลาย token พร้อมกัน Qwen3-Next มีพารามิเตอร์รวม 80 พันล้าน แต่เปิดใช้งานจริงเพียง 3 พันล้านระหว่างการ inference ซึ่งทำให้สามารถเทียบเคียงกับ Qwen3-235B ได้ในหลายงาน โดยใช้ต้นทุนการฝึกเพียง 9.3% ของ Qwen3-32B2 หัวใจของ Qwen3-Next คือการผสมผสานระหว่าง Gated DeltaNet (linear attention ที่เร็วแต่แม่น) กับ standard attention (ที่แม่นแต่ช้า) ในอัตราส่วน 3:1 พร้อมเพิ่ม gating, rotary encoding แบบบางส่วน และการขยายขนาด head dimension เพื่อรองรับข้อความยาวถึง 256K tokens ได้อย่างเสถียร ในส่วนของ MoE (Mixture-of-Experts) Qwen3-Next ใช้โครงสร้าง ultra-sparse โดยมี 512 experts แต่เปิดใช้งานเพียง 10 + 1 shared expert ต่อ step ซึ่งทำให้ลดการใช้พลังงานและเพิ่ม throughput ได้มากกว่า 10 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน นอกจากนี้ยังมีการออกแบบเพื่อความเสถียร เช่น Zero-Centered RMSNorm, weight decay เฉพาะ norm weights และการ normalize router parameters ตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อให้การฝึกมีความนิ่งและไม่เกิดปัญหา activation ผิดปกติ Qwen3-Next ยังมาพร้อม Multi-Token Prediction (MTP) ที่ช่วยให้การ inference แบบ speculative decoding มีความแม่นยำและเร็วขึ้น โดยสามารถใช้งานผ่าน Hugging Face, ModelScope, SGLang และ vLLM ได้ทันที ✅ สถาปัตยกรรมใหม่ของ Qwen3-Next ➡️ ใช้ hybrid attention: Gated DeltaNet + standard attention (อัตราส่วน 3:1) ➡️ เพิ่ม gating, rotary encoding เฉพาะ 25% ของ position dimension ➡️ ขยาย head dimension จาก 128 เป็น 256 เพื่อรองรับข้อความยาว ✅ โครงสร้าง MoE แบบ ultra-sparse ➡️ มี 512 experts แต่เปิดใช้งานเพียง 10 + 1 shared expert ต่อ step ➡️ ลดการใช้พลังงานและเพิ่ม throughput ได้มากกว่า 10 เท่า ➡️ ใช้ global load balancing เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการฝึก ✅ การออกแบบเพื่อความเสถียรในการฝึก ➡️ ใช้ Zero-Centered RMSNorm แทน QK-Norm ➡️ เพิ่ม weight decay เฉพาะ norm weights เพื่อป้องกันการโตผิดปกติ ➡️ normalize router parameters ตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อความนิ่ง ✅ ประสิทธิภาพของโมเดล ➡️ Qwen3-Next-80B-A3B-Base เทียบเท่าหรือดีกว่า Qwen3-32B โดยใช้พลังแค่ 10% ➡️ Qwen3-Next-Instruct เทียบเคียง Qwen3-235B-A22B-Instruct-2507 ในงาน context ยาว ➡️ Qwen3-Next-Thinking ชนะ Gemini-2.5-Flash-Thinking ในหลาย benchmark ✅ การใช้งานและ deployment ➡️ รองรับ context สูงสุด 256K tokens และสามารถขยายถึง 1M ด้วยเทคนิค YaRN ➡️ ใช้งานผ่าน Hugging Face, ModelScope, SGLang, vLLM ได้ทันที ➡️ รองรับ speculative decoding ผ่าน MTP module https://qwen.ai/blog?id=4074cca80393150c248e508aa62983f9cb7d27cd&from=research.latest-advancements-list
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 34 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Tornado Cash ถึง FinCEN: เมื่อความเป็นส่วนตัวในคริปโตกลายเป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติ

    ในเดือนกันยายน 2025 สำนักงานเฝ้าระวังทางการเงินของสหรัฐฯ หรือ FinCEN ได้เสนอร่างกฎใหม่ที่ขยายอำนาจของกฎหมาย Patriot Act มาตรา 311 ไปยังเครื่องมือความเป็นส่วนตัวในคริปโต เช่น CoinJoin, Samourai Wallet และบริการ mixer อื่น ๆ โดยอ้างว่าเป็น “ภัยคุกคามด้านการฟอกเงินหลัก” ที่ต้องมีมาตรการพิเศษในการควบคุม

    ภายใต้ข้อเสนอใหม่นี้ ผู้ให้บริการเครื่องมือความเป็นส่วนตัวในคริปโตจะต้องเก็บข้อมูลผู้ใช้งาน, รายงานธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง และอาจต้องเปิดเผยรายชื่อผู้ใช้ทั้งหมดต่อ FinCEN ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากแนวคิด “self-custody” และ “permissionless” ที่เป็นหัวใจของคริปโต

    FinCEN อ้างว่าเครื่องมือเหล่านี้ถูกใช้โดยกลุ่มก่อการร้าย เช่น Hamas และ ISIS แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีการใช้จริงในระดับที่มีนัยสำคัญ โดยแม้แต่ Chainalysis ก็ออกมาเตือนว่าข้อมูลที่ใช้ประกอบการอ้างอิงนั้น “เกินจริง” และอาจเกิดจากการวิเคราะห์บล็อกเชนที่ผิดพลาด

    นอกจากนี้ FinCEN ยังเสนอให้ลดเกณฑ์การรายงานธุรกรรมจาก $3,000 ลงในอนาคต และบังคับให้ทุกแพลตฟอร์ม—รวมถึง DeFi ที่อ้างว่าเป็น non-custodial—ต้องใช้ระบบวิเคราะห์บล็อกเชนขั้นสูงเพื่อให้สอดคล้องกับกฎใหม่

    ผลกระทบที่ตามมาคือ ผู้ให้บริการขนาดเล็กและโปรเจกต์ที่เน้นความเป็นส่วนตัวอาจต้องปิดตัวหรือย้ายออกจากสหรัฐฯ ขณะที่ผู้ใช้งานทั่วไปอาจต้องยอมแลกความเป็นส่วนตัวเพื่อความปลอดภัยและการเข้าถึงบริการทางการเงิน

    ข้อเสนอใหม่ของ FinCEN
    ขยายมาตรา 311 ของ Patriot Act ไปยังเครื่องมือความเป็นส่วนตัวในคริปโต
    ระบุว่า CoinJoin และ mixer เป็น “ภัยคุกคามด้านการฟอกเงินหลัก”
    บังคับให้ผู้ให้บริการเก็บข้อมูลและรายงานธุรกรรมต่อ FinCEN

    ผลกระทบต่อผู้ให้บริการและผู้ใช้งาน
    ผู้ให้บริการต้องเปิดเผยรายชื่อผู้ใช้และข้อมูลธุรกรรม
    แพลตฟอร์ม DeFi อาจถูกจัดเป็น MSB (Money Service Business)
    ผู้ใช้งานทั่วไปอาจต้องยืนยันตัวตนก่อนทำธุรกรรมขนาดใหญ่

    การตอบโต้จากชุมชนคริปโต
    Samourai Wallet และผู้ใช้ CoinJoin แสดงความกังวล
    Chainalysis เตือนว่าข้อมูลที่ใช้ประกอบการอ้างอิงนั้น “เกินจริง”
    ผู้พัฒนาเครื่องมือความเป็นส่วนตัวอาจถูกดำเนินคดีในอนาคต

    https://www.tftc.io/treasury-iexpanding-patriot-act/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Tornado Cash ถึง FinCEN: เมื่อความเป็นส่วนตัวในคริปโตกลายเป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติ ในเดือนกันยายน 2025 สำนักงานเฝ้าระวังทางการเงินของสหรัฐฯ หรือ FinCEN ได้เสนอร่างกฎใหม่ที่ขยายอำนาจของกฎหมาย Patriot Act มาตรา 311 ไปยังเครื่องมือความเป็นส่วนตัวในคริปโต เช่น CoinJoin, Samourai Wallet และบริการ mixer อื่น ๆ โดยอ้างว่าเป็น “ภัยคุกคามด้านการฟอกเงินหลัก” ที่ต้องมีมาตรการพิเศษในการควบคุม ภายใต้ข้อเสนอใหม่นี้ ผู้ให้บริการเครื่องมือความเป็นส่วนตัวในคริปโตจะต้องเก็บข้อมูลผู้ใช้งาน, รายงานธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง และอาจต้องเปิดเผยรายชื่อผู้ใช้ทั้งหมดต่อ FinCEN ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากแนวคิด “self-custody” และ “permissionless” ที่เป็นหัวใจของคริปโต FinCEN อ้างว่าเครื่องมือเหล่านี้ถูกใช้โดยกลุ่มก่อการร้าย เช่น Hamas และ ISIS แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีการใช้จริงในระดับที่มีนัยสำคัญ โดยแม้แต่ Chainalysis ก็ออกมาเตือนว่าข้อมูลที่ใช้ประกอบการอ้างอิงนั้น “เกินจริง” และอาจเกิดจากการวิเคราะห์บล็อกเชนที่ผิดพลาด นอกจากนี้ FinCEN ยังเสนอให้ลดเกณฑ์การรายงานธุรกรรมจาก $3,000 ลงในอนาคต และบังคับให้ทุกแพลตฟอร์ม—รวมถึง DeFi ที่อ้างว่าเป็น non-custodial—ต้องใช้ระบบวิเคราะห์บล็อกเชนขั้นสูงเพื่อให้สอดคล้องกับกฎใหม่ ผลกระทบที่ตามมาคือ ผู้ให้บริการขนาดเล็กและโปรเจกต์ที่เน้นความเป็นส่วนตัวอาจต้องปิดตัวหรือย้ายออกจากสหรัฐฯ ขณะที่ผู้ใช้งานทั่วไปอาจต้องยอมแลกความเป็นส่วนตัวเพื่อความปลอดภัยและการเข้าถึงบริการทางการเงิน ✅ ข้อเสนอใหม่ของ FinCEN ➡️ ขยายมาตรา 311 ของ Patriot Act ไปยังเครื่องมือความเป็นส่วนตัวในคริปโต ➡️ ระบุว่า CoinJoin และ mixer เป็น “ภัยคุกคามด้านการฟอกเงินหลัก” ➡️ บังคับให้ผู้ให้บริการเก็บข้อมูลและรายงานธุรกรรมต่อ FinCEN ✅ ผลกระทบต่อผู้ให้บริการและผู้ใช้งาน ➡️ ผู้ให้บริการต้องเปิดเผยรายชื่อผู้ใช้และข้อมูลธุรกรรม ➡️ แพลตฟอร์ม DeFi อาจถูกจัดเป็น MSB (Money Service Business) ➡️ ผู้ใช้งานทั่วไปอาจต้องยืนยันตัวตนก่อนทำธุรกรรมขนาดใหญ่ ✅ การตอบโต้จากชุมชนคริปโต ➡️ Samourai Wallet และผู้ใช้ CoinJoin แสดงความกังวล ➡️ Chainalysis เตือนว่าข้อมูลที่ใช้ประกอบการอ้างอิงนั้น “เกินจริง” ➡️ ผู้พัฒนาเครื่องมือความเป็นส่วนตัวอาจถูกดำเนินคดีในอนาคต https://www.tftc.io/treasury-iexpanding-patriot-act/
    WWW.TFTC.IO
    The Treasury Is Expanding The Patriot Act To Attack Bitcoin Self Custody
    We shouldn't have to cater to the lowest common denominator.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 37 มุมมอง 0 รีวิว
  • กู้ศรัทธาประชาธิปัตย์ เหล้าเก่าในขวดเก่า

    เมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้ว สู่รัฐบาลพรรคภูมิใจไทย จึงไม่แปลกที่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน อดีต รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะยื่นใบลาออกจากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (12 ก.ย.) แม้อ้างว่ามีปัญหาเรื่องสุขภาพ แต่ที่ผ่านมา ปชป. ยุคนายเฉลิมชัยถูกวิจารณ์ว่า จุดยืนทางการเมืองเปลี่ยนไป นับตั้งแต่นายเฉลิมชัยนำ สส. 21 คนเข้าร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ทั้งที่สองพรรคนี้ไม่ถูกกันยาวนานกว่า 20 ปี โดยมีข่าวว่านายเดชอิศม์ ขาวทอง สส.สงขลา ไปดีลกับนายทักษิณ ชินวัตร ที่ฮ่องกงเอาไว้ นับจากนั้นเป็นต้นมาเกิดวิกฤตศรัทธาอย่างหนัก บรรดาสมาชิกพรรคเก่าแก่หลายคนลาออก

    เมื่อนายเฉลิมชัยลาออกแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการประชุมเพื่อเลือกหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค ปชป. ชุดใหม่ รายงานข่าวแจ้งว่ามีความพยายามในการดึงแกนนำพรรค ที่เว้นวรรคทางการเมือง หรือลาออกจากพรรคไปแล้ว มาร่วมกลับบ้านเก่า ฟื้นฟูพรรคกันใหม่ เพื่อกู้วิกฤตศรัทธา และเตรียมความพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้าที่กำลังจะมาถึง เพราะที่ผ่านมาฐานเสียง ปชป. ในภาคใต้ ถูกเจาะยางจากพรรคคู่แข่งในหลายพื้นที่ เช่น นายชัยชนะ เดชเดโช รองหัวหน้าพรรค และ สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ภาพคู่กับนายกรณ์ จาติกวณิช ที่โรงแรมอนันตรา พร้อมระบุว่า "คิดถึงเลยเจอกันครับ #ฟ้าวันใหม่สดใสเสมอ"

    หรือจะเป็นการจุดกระแสชูนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมานำพรรคอีกครั้ง หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ตัดสินใจเว้นวรรคทางการเมือง มาตั้งแต่หลังการเลือกตั้งปี 2562 เพราะได้ สส.ต่ำกว่า 100 ที่นั่ง อีกทั้งมติพรรค ปชป.ขณะนั้นสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ผันตัวไปเป็นผู้บริหารบริษัทเอกชน อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์เคยกล่าวบนเวทีผ่าทางตันประเทศไทย จัดโดยสื่อเครือเนชั่น เมื่อวันที่ 23 ก.ค. ที่ผ่านมา ระบุว่า “คุณไม่ต้องมาชวนผมกลับไปพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าคุณเอาอุดมการณ์กลับมาได้ ผมกลับไปแน่นอน”

    เมื่อวันก่อน ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล จัดรายการหัวข้อ "คืน ปชป. ให้นายกฯ อภิสิทธิ์เถอะ" คนดูส่วนใหญ่เห็นด้วยว่า ปชป. ควรให้นายอภิสิทธิ์กลับมาบริหารพรรค อดีตสมาชิกพรรคบางคน เริ่มคิดอยากฟื้นฟูอุดมการณ์ประชาธิปัตย์กลับคืนมา บางคนตั้งคำถามว่า ที่พรรคอยู่ในจุดตกต่ำเป็นเพราะคน ผู้นำพรรค หรือเป็นเพราะโครงสร้างและอุดมการณ์ของพรรคกันแน่ ถึงกระนั้น ก็มีอีกส่วนหนึ่งก็เห็นว่า หากพรรคยังคงชูแกนนำพรรคชุดเก่าซึ่งมีชนักติดหลัง พรรคก็คงไม่ไปถึงไหน จึงเสนอให้คนรุ่นใหม่ออกมานำพรรค แล้วให้นายอภิสิทธิ์ และแกนนำคนอื่น เป็นที่ปรึกษาก็พอ

    #Newskit

    (ลงวันที่ล่วงหน้า เพราะจะตีพิมพ์ใน Facebook และ Instagram วันจันทร์ที่ 15 ก.ย.2568)
    กู้ศรัทธาประชาธิปัตย์ เหล้าเก่าในขวดเก่า เมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้ว สู่รัฐบาลพรรคภูมิใจไทย จึงไม่แปลกที่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน อดีต รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะยื่นใบลาออกจากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (12 ก.ย.) แม้อ้างว่ามีปัญหาเรื่องสุขภาพ แต่ที่ผ่านมา ปชป. ยุคนายเฉลิมชัยถูกวิจารณ์ว่า จุดยืนทางการเมืองเปลี่ยนไป นับตั้งแต่นายเฉลิมชัยนำ สส. 21 คนเข้าร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ทั้งที่สองพรรคนี้ไม่ถูกกันยาวนานกว่า 20 ปี โดยมีข่าวว่านายเดชอิศม์ ขาวทอง สส.สงขลา ไปดีลกับนายทักษิณ ชินวัตร ที่ฮ่องกงเอาไว้ นับจากนั้นเป็นต้นมาเกิดวิกฤตศรัทธาอย่างหนัก บรรดาสมาชิกพรรคเก่าแก่หลายคนลาออก เมื่อนายเฉลิมชัยลาออกแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการประชุมเพื่อเลือกหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค ปชป. ชุดใหม่ รายงานข่าวแจ้งว่ามีความพยายามในการดึงแกนนำพรรค ที่เว้นวรรคทางการเมือง หรือลาออกจากพรรคไปแล้ว มาร่วมกลับบ้านเก่า ฟื้นฟูพรรคกันใหม่ เพื่อกู้วิกฤตศรัทธา และเตรียมความพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้าที่กำลังจะมาถึง เพราะที่ผ่านมาฐานเสียง ปชป. ในภาคใต้ ถูกเจาะยางจากพรรคคู่แข่งในหลายพื้นที่ เช่น นายชัยชนะ เดชเดโช รองหัวหน้าพรรค และ สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ภาพคู่กับนายกรณ์ จาติกวณิช ที่โรงแรมอนันตรา พร้อมระบุว่า "คิดถึงเลยเจอกันครับ #ฟ้าวันใหม่สดใสเสมอ" หรือจะเป็นการจุดกระแสชูนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมานำพรรคอีกครั้ง หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ตัดสินใจเว้นวรรคทางการเมือง มาตั้งแต่หลังการเลือกตั้งปี 2562 เพราะได้ สส.ต่ำกว่า 100 ที่นั่ง อีกทั้งมติพรรค ปชป.ขณะนั้นสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ผันตัวไปเป็นผู้บริหารบริษัทเอกชน อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์เคยกล่าวบนเวทีผ่าทางตันประเทศไทย จัดโดยสื่อเครือเนชั่น เมื่อวันที่ 23 ก.ค. ที่ผ่านมา ระบุว่า “คุณไม่ต้องมาชวนผมกลับไปพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าคุณเอาอุดมการณ์กลับมาได้ ผมกลับไปแน่นอน” เมื่อวันก่อน ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล จัดรายการหัวข้อ "คืน ปชป. ให้นายกฯ อภิสิทธิ์เถอะ" คนดูส่วนใหญ่เห็นด้วยว่า ปชป. ควรให้นายอภิสิทธิ์กลับมาบริหารพรรค อดีตสมาชิกพรรคบางคน เริ่มคิดอยากฟื้นฟูอุดมการณ์ประชาธิปัตย์กลับคืนมา บางคนตั้งคำถามว่า ที่พรรคอยู่ในจุดตกต่ำเป็นเพราะคน ผู้นำพรรค หรือเป็นเพราะโครงสร้างและอุดมการณ์ของพรรคกันแน่ ถึงกระนั้น ก็มีอีกส่วนหนึ่งก็เห็นว่า หากพรรคยังคงชูแกนนำพรรคชุดเก่าซึ่งมีชนักติดหลัง พรรคก็คงไม่ไปถึงไหน จึงเสนอให้คนรุ่นใหม่ออกมานำพรรค แล้วให้นายอภิสิทธิ์ และแกนนำคนอื่น เป็นที่ปรึกษาก็พอ #Newskit (ลงวันที่ล่วงหน้า เพราะจะตีพิมพ์ใน Facebook และ Instagram วันจันทร์ที่ 15 ก.ย.2568)
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดุสิตธานีลมสงบ ชนินทธ์ควบกรุ๊ปซีอีโอ

    การแถลงข่าวทิศทางการบริหารงานของบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (12 ก.ย.) พบว่านายชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการฯ ออกมากล่าวถึงความขัดแย้งในครอบครัวท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ผู้ก่อตั้งโรงแรมดุสิตธานี ผู้ล่วงลับ ตามรายงานของหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจว่า จบลงได้ดีไม่ต้องเป็นห่วง พูดคุยแก้ไขปัญหาทุกวัน เพราะทุกคนอยากจะให้ทุกอย่างออกมาดี ให้เชื่อมั่นประเด็นดุสิตธานีจะจบลงด้วยดี รวมทั้งยังทำงานร่วมกับกลุ่มเซ็นทรัลได้

    นอกจากนี้ คณะกรรมการ DUSIT ยังมีมติแต่งตั้งนายชนินทธ์ ควบตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม (กรุ๊ปซีอีโอ) หลังจากนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ได้รับการทาบทามจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ให้ไปดำรงตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ แต่ก็พร้อมเปิดทางกลับมา เปรียบได้กับคลื่นลมสงบ ก่อนการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 26 ก.ย.ที่จะถึงนี้ หนึ่งในวาระการประชุม คือการพิจารณาอนุมัติถอดถอนนายชนินทธ์ ออกจากตำแหน่งกรรมการบริษัทฯ ตามที่บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด เสนอวาระดังกล่าว

    ท่านผู้หญิงชนัตถ์มีบุตรธิดา 3 คน คือ นายชนินทธ์ โทณวณิก ลูกชายคนโต, นางสินี เธียรประสิทธิ์ ลูกสาวคนกลาง สมรสกับนายฐิตินันท์ เธียรประสิทธิ์ และนางสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค ลูกสาวคนเล็ก สมรสกับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อดีตรองนายกฯ และ รมว.พลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ

    ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 27 ส.ค. นายชนินทธ์แถลงข่าวว่า ถูกนางสินีและนางสุนงค์เปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการเดิม และปลดออกจากรรมการบริษัท ชนัตถ์และลูก ต่อด้วยไม่อนุมัติงบการเงิน DUSIT ล่าสุดพยายามถอดถอนตนออกจาก DUSIT แต่งตั้งคนนอกครอบครัว ยึดกิจการที่ครอบครัวสร้างมา พร้อมกับเสนอกรรมการใหม่ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มเซ็นทรัลพัฒนา (CPN) แม้จะเป็นพันธมิตรโครงการดุสิตเซ็นทรัลพาร์ค แต่ลับหลังซื้อหุ้น 22.5% โดยไม่แจ้งให้ทราบ ต้องเจรจาให้ขายหุ้นออกครึ่งหนึ่ง และขอไม่ให้ส่งคนมานั่งกรรมการ เพราะมีธุรกิจทับซ้อนกัน

    ต่อมานางสินีและนางสุนงค์ตอบโต้นายชนินทร์ ปฎิเสธข้อกล่าวหาและถามกลับว่าที่แถลงข่าวมีเจตนาอะไร อ้างว่าที่เสนอเปลี่ยนแปลงบอร์ดเพราะขาดทุนกว่า 1,254 ล้านบาท และไม่ได้จ่ายปันผลมาแล้ว 5 ปี จึงต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ DUSIT กลับมามีกำไร และเชื่อว่า CPN มีความเป็นมืออาชีพ ไม่คิดเทกโอเวอร์

    อนึ่ง บริษัท ชนัตถ์และลูก จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2533 ทุนจดทะเบียน 752 ล้านบาท เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของดุสิตธานี 49.74% ปัจจุบันพบว่ากรรมการบริษัทมี 4 คน คือ นางสินีและลูกสาว นางสุนงค์และลูกชาย

    #Newskit

    (ลงวันที่ล่วงหน้า เพราะจะตีพิมพ์ใน Facebook และ Instagram วันจันทร์ที่ 15 ก.ย.2568)
    ดุสิตธานีลมสงบ ชนินทธ์ควบกรุ๊ปซีอีโอ การแถลงข่าวทิศทางการบริหารงานของบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (12 ก.ย.) พบว่านายชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการฯ ออกมากล่าวถึงความขัดแย้งในครอบครัวท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ผู้ก่อตั้งโรงแรมดุสิตธานี ผู้ล่วงลับ ตามรายงานของหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจว่า จบลงได้ดีไม่ต้องเป็นห่วง พูดคุยแก้ไขปัญหาทุกวัน เพราะทุกคนอยากจะให้ทุกอย่างออกมาดี ให้เชื่อมั่นประเด็นดุสิตธานีจะจบลงด้วยดี รวมทั้งยังทำงานร่วมกับกลุ่มเซ็นทรัลได้ นอกจากนี้ คณะกรรมการ DUSIT ยังมีมติแต่งตั้งนายชนินทธ์ ควบตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม (กรุ๊ปซีอีโอ) หลังจากนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ได้รับการทาบทามจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ให้ไปดำรงตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ แต่ก็พร้อมเปิดทางกลับมา เปรียบได้กับคลื่นลมสงบ ก่อนการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 26 ก.ย.ที่จะถึงนี้ หนึ่งในวาระการประชุม คือการพิจารณาอนุมัติถอดถอนนายชนินทธ์ ออกจากตำแหน่งกรรมการบริษัทฯ ตามที่บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด เสนอวาระดังกล่าว ท่านผู้หญิงชนัตถ์มีบุตรธิดา 3 คน คือ นายชนินทธ์ โทณวณิก ลูกชายคนโต, นางสินี เธียรประสิทธิ์ ลูกสาวคนกลาง สมรสกับนายฐิตินันท์ เธียรประสิทธิ์ และนางสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค ลูกสาวคนเล็ก สมรสกับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อดีตรองนายกฯ และ รมว.พลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 27 ส.ค. นายชนินทธ์แถลงข่าวว่า ถูกนางสินีและนางสุนงค์เปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการเดิม และปลดออกจากรรมการบริษัท ชนัตถ์และลูก ต่อด้วยไม่อนุมัติงบการเงิน DUSIT ล่าสุดพยายามถอดถอนตนออกจาก DUSIT แต่งตั้งคนนอกครอบครัว ยึดกิจการที่ครอบครัวสร้างมา พร้อมกับเสนอกรรมการใหม่ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มเซ็นทรัลพัฒนา (CPN) แม้จะเป็นพันธมิตรโครงการดุสิตเซ็นทรัลพาร์ค แต่ลับหลังซื้อหุ้น 22.5% โดยไม่แจ้งให้ทราบ ต้องเจรจาให้ขายหุ้นออกครึ่งหนึ่ง และขอไม่ให้ส่งคนมานั่งกรรมการ เพราะมีธุรกิจทับซ้อนกัน ต่อมานางสินีและนางสุนงค์ตอบโต้นายชนินทร์ ปฎิเสธข้อกล่าวหาและถามกลับว่าที่แถลงข่าวมีเจตนาอะไร อ้างว่าที่เสนอเปลี่ยนแปลงบอร์ดเพราะขาดทุนกว่า 1,254 ล้านบาท และไม่ได้จ่ายปันผลมาแล้ว 5 ปี จึงต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ DUSIT กลับมามีกำไร และเชื่อว่า CPN มีความเป็นมืออาชีพ ไม่คิดเทกโอเวอร์ อนึ่ง บริษัท ชนัตถ์และลูก จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2533 ทุนจดทะเบียน 752 ล้านบาท เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของดุสิตธานี 49.74% ปัจจุบันพบว่ากรรมการบริษัทมี 4 คน คือ นางสินีและลูกสาว นางสุนงค์และลูกชาย #Newskit (ลงวันที่ล่วงหน้า เพราะจะตีพิมพ์ใน Facebook และ Instagram วันจันทร์ที่ 15 ก.ย.2568)
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 รีวิว
  • แหกคอก ตอนที่ 6 – พระเจ้าเงินตรา

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 6 : พระเจ้าเงินตรา
    ไม่นานเกินรอ ทางฝั่งอเมริกาในปี ค.ศ.1907 การเงินประเทศเกิดอาการสะอึก จากฝีมือที่มองไม่เห็น ทำให้วงการธนาคารเกิดอาการซวนเซ ข่าวลือว่าเป็นแผนการของ J.P Morgan นก 2 หัว พยายามกดดันให้รัฐบาลอเมริกัน สร้างระบบการธนาคารที่มั่นคง ปี ค.ศ.1910 ได้มีการประชุมกันที่ Jekyll Island ซึ่งมีการวางแผนที่จะตั้ง National Reserve Association มีสาขา 15 แห่ง ควบคุมโดยนายธนาคาร ซึ่งได้รับมอบอำนาจมาจากรัฐบาลกลาง เพื่อให้ทำหน้าที่เป็นธนาคารกลาง สามารถพิมพ์เงินเองได้ และให้เงินยืมแก่ธนาคารเอกชนได้ ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ยินยอมเดินตามแผนนี้เกือบทุกอ ย่าง ในที่สุด ปี ค.ศ.1913 Federal Reserve หรือ Fed ก็ก่อตั้งขึ้น สามารถหารายได้เองได้ กำหนดงบประมาณของตนเองได้ โดยไม่ต้องผ่านสภาสูง Fed มีสาขา 12 แห่ง แต่ละแห่งถือหุ้นโดยธนาคารพาณิชย์ (ผมได้เคยเล่านิทานตอนนี้ไว้อย่างละเอียด อยู่ในนิทานเรื่องมายากลยุทธ ท่านใดยังไม่เคยอ่าน ช่วยกลับไปอ่านหน่อยนะครับ จะได้ไม่ต้องเขียนซ้ำ)
    แล้วอำนาจที่แท้จริงในการครองโลก ก็อยู่ในกำมือของกลุ่มผู้ถือหุ้นเอกชน Anglo American Establishment ไม่กี่ตระกูล ซึ่งเป็นเจ้าของธนาคารระหว่างประเทศ ที่เข้าไปถือหุ้นในธนาคารกลางของโลกทั้งนั้นแหละ คือผู้มีอำนาจควบคุมโลกตัวจริง เป็นผู้สร้างผู้ปกครองผู้บริหารประเทศ เพื่อให้เป็นไปตามที่พวกเขาต้องการ ใครมันจะทำอะไรได้ถ้าไม่มีเงิน เงินเท่านั้น ที่มนุษย์ทั่วไปมองเห็นและให้ความเคารพนับถือ เชื่อ ใช้ บูชา ทุนคืออำนาจ อำนาจคือทุน จริงหรือไม่
    ที่ว่าไม่กี่ตระกูลที่ครองโลกอยู่ขณะนี้เป็นใครบ้างล่ะ มารู้จักชื่อแซ่พระเจ้าเงินตรากันหน่อย เขาว่ามี 8 ตระกูล หรือกลุ่ม หรือก๊วน แล้วแต่จะเรียก 4 ก๊วนอยู่ทางฝั่งอเมริกา อีก 4 อยู่ทางอังกฤษและยุโรป
    ฝั่งอเมริกา
    – Goldman Sachs
    – Rockefellers
    – Lehman of New York
    – Kuhn Loebs of New York
    ฝั่งอังกฤษและยุโรป
    – Rothschilds of Paris, London
    – Warburg of Hamburg
    – Lazards of Paris
    – Israel Moses Seifs of Rome
    กว่าจะมาเป็น 8 ก๊วนคนโคตรรวย เขาผ่านการหักหลัง หักคอ ควบรวม ไปจนถึงคลุมถุงให้แต่งงาน เพื่อจะรักษาความรวยและเลือดเนื้อ เชื้อไข คนรวย ให้อยู่แต่ในกลุ่มก้อนเดียวกัน ส่วน BIS ซึ่งเป็นธนาคารกลางตัวแม่ มีอิทธิพลสูงสุด ควบคุมธนาคารเกือบทั้งหมดในประเทศ แถบตะวันตก และประเทศที่กำลังพัฒนา (อย่างเราๆ ) ก็ถือหุ้นโดย Federal Reserve (ของอเมริกา), Bank of England, Bank of Italy, Bank of Canada, Swiss National Bank, Nederlandsche Bank, Bundesbank และ Bank of France โดยมี 8 ก๊วนคนโคตรรวย ต่างถือหุ้นใน 8 ธนาคารกลางดังกล่าวอีกต่อหนึ่ง
    ประธาน BIS คนแรกคือ นาย Gates McGarrah ซึ่งมาจาก Chase Manhatton Bank ของตระกูล Rockefeller และเป็นเจ้าหน้าที่ของ Federal Reserve ด้วย นาย McGarrah นี้ เป็นปู่ของนาย Richard McGarrah Helmes หัวหน้า CIA ตัวใหญ่ สมัย ค.ศ.1966-1973
    รัฐบาลอเมริกาเอง ในประวัติศาสตร์ก็ขยาด BIS และพยายามที่จะล้ม BIS มาแล้ว ในการประชุมที่ Bretton Woods เมื่อปี ค.ศ.1944 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ถูก 8 ก๊วนโคตรรวยจับมือกันป่วน นอกจากล้ม BIS ไม่ได้แล้ว 8 ก๊วน ยังท้าทายด้วยการตั้ง IMF และ World Bank ตามแผนของพวกเขา เพื่อสั่งสอนรัฐบาลอเมริกันอีก
    BIS ถือ 10% ของเงินสำรอง (Reserves) ในประมาณ 80 ธนาคารกลางทั่วโลก รวมทั้งใน IMF และสถาบันการเงินนานาชาติอีกหลายแห่ง BIS นอกจากเป็นแม่ใหญ่ของธนาคารกลางของ 8 ก๊วนแล้ว ยังแอบทำกิจกรรมสำคัญด้วยคือ เก็บข้อมูลเกี่ยวกับการเงินและเศรษฐกิจของทั้งโลก (รู้มากที่สุด ได้เปรียบมากที่สุด) และเป็นแหล่งเงินกู้ให้ธนาคารพาณิชย์กู้ ในเวลาวิกฤติเพื่อไม่ให้สถาบันการเงินโลกล้มระเนระนาดด้วย ยังมีข้อมูลน่าศึกษาเกี่ยวกับ BIS อีกแยะ วันนี้เอาแค่ให้เห็นภาพกว้างๆ ก่อน
    คนเล่านิทาน
    30 พค. 57
    แหกคอก ตอนที่ 6 – พระเจ้าเงินตรา นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 6 : พระเจ้าเงินตรา ไม่นานเกินรอ ทางฝั่งอเมริกาในปี ค.ศ.1907 การเงินประเทศเกิดอาการสะอึก จากฝีมือที่มองไม่เห็น ทำให้วงการธนาคารเกิดอาการซวนเซ ข่าวลือว่าเป็นแผนการของ J.P Morgan นก 2 หัว พยายามกดดันให้รัฐบาลอเมริกัน สร้างระบบการธนาคารที่มั่นคง ปี ค.ศ.1910 ได้มีการประชุมกันที่ Jekyll Island ซึ่งมีการวางแผนที่จะตั้ง National Reserve Association มีสาขา 15 แห่ง ควบคุมโดยนายธนาคาร ซึ่งได้รับมอบอำนาจมาจากรัฐบาลกลาง เพื่อให้ทำหน้าที่เป็นธนาคารกลาง สามารถพิมพ์เงินเองได้ และให้เงินยืมแก่ธนาคารเอกชนได้ ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ยินยอมเดินตามแผนนี้เกือบทุกอ ย่าง ในที่สุด ปี ค.ศ.1913 Federal Reserve หรือ Fed ก็ก่อตั้งขึ้น สามารถหารายได้เองได้ กำหนดงบประมาณของตนเองได้ โดยไม่ต้องผ่านสภาสูง Fed มีสาขา 12 แห่ง แต่ละแห่งถือหุ้นโดยธนาคารพาณิชย์ (ผมได้เคยเล่านิทานตอนนี้ไว้อย่างละเอียด อยู่ในนิทานเรื่องมายากลยุทธ ท่านใดยังไม่เคยอ่าน ช่วยกลับไปอ่านหน่อยนะครับ จะได้ไม่ต้องเขียนซ้ำ) แล้วอำนาจที่แท้จริงในการครองโลก ก็อยู่ในกำมือของกลุ่มผู้ถือหุ้นเอกชน Anglo American Establishment ไม่กี่ตระกูล ซึ่งเป็นเจ้าของธนาคารระหว่างประเทศ ที่เข้าไปถือหุ้นในธนาคารกลางของโลกทั้งนั้นแหละ คือผู้มีอำนาจควบคุมโลกตัวจริง เป็นผู้สร้างผู้ปกครองผู้บริหารประเทศ เพื่อให้เป็นไปตามที่พวกเขาต้องการ ใครมันจะทำอะไรได้ถ้าไม่มีเงิน เงินเท่านั้น ที่มนุษย์ทั่วไปมองเห็นและให้ความเคารพนับถือ เชื่อ ใช้ บูชา ทุนคืออำนาจ อำนาจคือทุน จริงหรือไม่ ที่ว่าไม่กี่ตระกูลที่ครองโลกอยู่ขณะนี้เป็นใครบ้างล่ะ มารู้จักชื่อแซ่พระเจ้าเงินตรากันหน่อย เขาว่ามี 8 ตระกูล หรือกลุ่ม หรือก๊วน แล้วแต่จะเรียก 4 ก๊วนอยู่ทางฝั่งอเมริกา อีก 4 อยู่ทางอังกฤษและยุโรป ฝั่งอเมริกา – Goldman Sachs – Rockefellers – Lehman of New York – Kuhn Loebs of New York ฝั่งอังกฤษและยุโรป – Rothschilds of Paris, London – Warburg of Hamburg – Lazards of Paris – Israel Moses Seifs of Rome กว่าจะมาเป็น 8 ก๊วนคนโคตรรวย เขาผ่านการหักหลัง หักคอ ควบรวม ไปจนถึงคลุมถุงให้แต่งงาน เพื่อจะรักษาความรวยและเลือดเนื้อ เชื้อไข คนรวย ให้อยู่แต่ในกลุ่มก้อนเดียวกัน ส่วน BIS ซึ่งเป็นธนาคารกลางตัวแม่ มีอิทธิพลสูงสุด ควบคุมธนาคารเกือบทั้งหมดในประเทศ แถบตะวันตก และประเทศที่กำลังพัฒนา (อย่างเราๆ ) ก็ถือหุ้นโดย Federal Reserve (ของอเมริกา), Bank of England, Bank of Italy, Bank of Canada, Swiss National Bank, Nederlandsche Bank, Bundesbank และ Bank of France โดยมี 8 ก๊วนคนโคตรรวย ต่างถือหุ้นใน 8 ธนาคารกลางดังกล่าวอีกต่อหนึ่ง ประธาน BIS คนแรกคือ นาย Gates McGarrah ซึ่งมาจาก Chase Manhatton Bank ของตระกูล Rockefeller และเป็นเจ้าหน้าที่ของ Federal Reserve ด้วย นาย McGarrah นี้ เป็นปู่ของนาย Richard McGarrah Helmes หัวหน้า CIA ตัวใหญ่ สมัย ค.ศ.1966-1973 รัฐบาลอเมริกาเอง ในประวัติศาสตร์ก็ขยาด BIS และพยายามที่จะล้ม BIS มาแล้ว ในการประชุมที่ Bretton Woods เมื่อปี ค.ศ.1944 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ถูก 8 ก๊วนโคตรรวยจับมือกันป่วน นอกจากล้ม BIS ไม่ได้แล้ว 8 ก๊วน ยังท้าทายด้วยการตั้ง IMF และ World Bank ตามแผนของพวกเขา เพื่อสั่งสอนรัฐบาลอเมริกันอีก BIS ถือ 10% ของเงินสำรอง (Reserves) ในประมาณ 80 ธนาคารกลางทั่วโลก รวมทั้งใน IMF และสถาบันการเงินนานาชาติอีกหลายแห่ง BIS นอกจากเป็นแม่ใหญ่ของธนาคารกลางของ 8 ก๊วนแล้ว ยังแอบทำกิจกรรมสำคัญด้วยคือ เก็บข้อมูลเกี่ยวกับการเงินและเศรษฐกิจของทั้งโลก (รู้มากที่สุด ได้เปรียบมากที่สุด) และเป็นแหล่งเงินกู้ให้ธนาคารพาณิชย์กู้ ในเวลาวิกฤติเพื่อไม่ให้สถาบันการเงินโลกล้มระเนระนาดด้วย ยังมีข้อมูลน่าศึกษาเกี่ยวกับ BIS อีกแยะ วันนี้เอาแค่ให้เห็นภาพกว้างๆ ก่อน คนเล่านิทาน 30 พค. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 166 มุมมอง 0 รีวิว
  • แหกคอก ตอนที่ 5 – สร้างพระเจ้าองค์ใหม่
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 5 : สร้างพระเจ้าองค์ใหม่
    หลัง Anglo American Establishment กอดคอจับมือกันชัดเจน เมื่อประมาณ ค.ศ.1890 ทั้ง 2 ฝ่าย ร่วมกันสร้างกลไก สร้างระบบด้านการเงินการธนาคารเป็นอันดับแรก เพื่อเอาตัวเองนำหน้าชักใยรัฐบาล และลดบทบาทของประเทศ
    ระบบธนาคารกลาง เกิดขึ้นครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ.1694 ที่อังกฤษ เป็นการรวมตัวกันของ เครือข่ายธนาคารกลางนานาชาติ ซึ่งไม่ได้เป็นของรัฐ แต่เป็นของเอกชน ! มีผู้ถือหุ้นเป็นเอกชนคนโคตรรวย ธนาคารกลางนี้เป็นผู้อนุญาตให้ รัฐบาล (จำกันให้ดี เงินเป็นใหญ่กว่ารัฐบาล มาตั้งแต่ ค.ศ.1694 แล้ว !) ในการพิมพ์ธนบัตร เงินสกุลต่างๆ ของแต่ละประเทศ โดยอนุญาตให้กำหนดอัตราดอกเบี้ย และทำกำไรจากดอกเบี้ยนั้น ธนาคารกลางเหล่านี้ เป็นผู้ให้เงินกู้แก่รัฐบาล และผู้ประกอบการอุตสาหกรรม เท่ากับควบคุมลูกค้าใหญ่ 2 กลุ่ม 2 ขาของประเทศไปพร้อมๆ กัน ต่อมาภายหลังประมาณ ปี ค.ศ.1930 ธนาคารกลางเหล่านี้ พร้อมใจกันอยู่ในระบบที่พวกตัว เองสร้างขึ้น เรียกว่า Bank for International Settlements (BIS) ตั้งอยู่ที่เมือง Basle ในสวิสเซอร์แลนด์ เป็นธนาคารของเอกชนเช่นเดียวกัน ทำหน้าที่เป็นธนาคารกลางของเหล่าสมาชิกซึ่งเป็นธนาคารกลางต่างๆ (เขียนแล้วมึนเอง คนอ่านก็คงมึน) เอาแบบง่ายๆ BIS ธนาคารกลางตัวแม่นี้ถือหุ้นโดย ธนาคารกลางตัว ลูกๆ ทั้งหลาย ธนาคารกลางตัวลูกก็ถือหุ้นโดยพวกเอกชนคนโคตรรวยอีกต่อหนึ่ง สรุปว่า พวกคนรวยลงทุนลงขันกันเอง เพื่อตั้งธนาคารกลาง และไม่ให้ใครมายุ่ง เขาดูแลเงินของเขากันเอง ตั้งกฎกติกาเอง โดยให้แม่ BIS คุม รัฐบาลได้แต่ทำตาปริบๆ ดู หน้าจ๋อย มือกุม ก้มหน้า รับคำสั่งรับอำนาจมาจากคนรวยอีกทีหนึ่ง เข้าใจไหม คนรวยใหญ่กว่ารัฐบาล ถึงพูดกันว่าเงินเป็นพระเจ้า
    ระบบธนาคารกลางนี้ หลังจากเกิดขึ้นครั้งแรกที่ London ไปได้สวย คนรวยติดใจ จึงขยายตัวข้ามมาในทวีปยุโรปตะวันตก และกระจายทั่วไปในทวีปยุโรป การปฏิวัติในฝรั่งเศส ทำให้นโปเลียนขึ้นมามีอำนาจ และยอมให้บรรดานายทุนที่รวมตัวกันให้เงินกู้นโปเลียนไปทำการปฏิวัตินั่นแหละ จับมือร่วมกันจัดตั้งธนาคารในฝรั่งเศสขึ้น เป็นธนาคารส่วนบุคคล ที่พวกนายทุนนี้ควบคุมกันเอง รัฐบาลไม่เกี่ยว ธนาคารนี้เป็นต้นกำเนิดของตระกูลโคตรรวยทางฝั่งยุโรป คือ ตระกูล Rothshilds ชาวยิวในยุโรป ซึ่งขยายธุรกิจการเงินของตระกูล โดยการตั้งธนาคารใน London, Paris, Frankfurt, Vienna และ Naples ทำให้ตระกูลนี้ยิ่งรวยเละขึ้นไปอีก และยิ่งรวยเพิ่มขึ้น จากการไปถือหางทุกฝ่ายในการรบทุกครั้งของนโปเลียน (ต้นกำเนิดของการถือไพ่ทุกใบในการต่อสู้ มีเงินซื้อไพ่ทุกใบ มีไพ่ให้เลือกเล่นแยะ เล่นยังไงก็ชนะ ยกเว้นโคตรโง่ หรือ โคตรเลว จนเทวดาบอกมีเงินมากมายมหาศาลแค่ไหนก็ช่วยอะไรพวกเจ้าไม่ได้ ตัวอย่างกำลังมีให้เห็นในบ้านเรา !)
    นาย Carroll Quigley นักประวัติศาสตร์ นักทฤษฎี เจ้าความคิดกำเนิดแห่งศิวิไลย์ของมนุษยชาติ แห่งมหาวิทยาลัย Georgetown เขียนไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งบรรดาสาวกทั้งหลายถือเป็นคัมภีร์ ชื่อ Tragedy and Hope บอกว่าในช่วง ค.ศ.18101850 พวกวาณิชธนกิจใน London ได้สร้าง ธนาคารแห่งอังกฤษ (Bank of England) ตลาดหุ้นและตลาดเงินแห่ง London และไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาก็ขยายธุรกิจ โดยการสร้างธนาคารย่อยในระดับเมือง ต่างๆ ดำเนินกิจการ ในรูปแบบของธนาคารพาณิชย์ และธนาคารออมสิน รวมทั้งทำธุรกิจประกันภัย ธุรกิจ 3 อย่างนี้ มันหมุนเงิน สร้างเงินในตัวของมันเองตามวงจร เขาจึงรวมธุรกิจพวกนี้ไว้ด้วยกัน ในระดับที่ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ จนเป็นระดับระหว่างประเทศ จากเมืองไปสู่ประเทศ และด้วยวิธีนี้พวกเขาสามารถชักใย ควบคุมการไหลเข้าออก ของเงินระหว่างประเทศ แน่นอนการดำเนินการแบบนี้ ถึงแม้ในบางครั้งอาจจะควบคุมไม่ได้เบ็ดเสร็จ แต่ก็เรียกว่ามีอิทธิพล เหนือทั้งรัฐบาลและธุรกิจอุตสาหกรรม เงินไม่มี กิจการต่างๆไม่ว่าทางการเมืองหรือธุรกิจก็เป็นง่อยเรียบร้อย ตรงไปตรงมา ไม่ต้องฉลาดมากก็คิดได้ ขอให้มีเงินไว้ก่อน !
    ในขณะเดียวกัน ทางอีกฟากหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติก ในอเมริกาก็มีการรวมตัวของกลุ่มธนาคารและธุรกิจอุตสาหกรรมในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน โดยพวก Morgans, Astors, Vanderbilts, Rockefellers และ Carnegies กลุ่มทุนพวกนี้ก็เริ่มครอบงำอุตสาหกรรมทั้งหมด ตลอดศตวรรษที่ 19 และต่อมาผลประโยชน์ของนายทุนทั้ง 2 ฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติคก็เชื่อมโยงกัน คนมีเงินก็ย่อมเลือกที่จะคบกับคนมีเงินด้วยกัน Anglo American Establishment ก็เกิดขึ้น
    คนรวยมีเงินแล้วก็อยากมีอำนาจ เป็นโรคเดียวกันทั้งนั้น ไม่มีใครต่างกัน กลับมาดูคนรวยที่อังกฤษ พวกคนรวยในอังกฤษเริ่มจับกลุ่มรวมตัวกัน เพื่อแสดงอิทธิพลของตนในระดับชาติ ช่วงนั้นนักล่าแถบนั้น กำลังรุมทิ้งเหยื่ออยู่แถวอาฟริกา ซึ่งเกือบทุกประเทศในอาฟริกา ยกเว้นเอธิโอเปีย ตกเป็นอาณานิคมของนักล่าผมทองจากอังกฤษและยุโรปทั้งสิ้น นักล่าที่มีชื่อเสียงโด่งดังในยุคนั้นคือ นาย Cecil Rhodes นักล่าชาวอังกฤษเป็นคนลงไม้ลงมือล่า แต่กระเป๋าที่อุดหนุนให้เขาปฏิบัติการล่า คือ ตระกูล Rothshilds ซึ่งในช่วงนั้น เป็นแหล่งเงินทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก นาย Cecil Rhodes เป็นคนสุดโต่งอีกคนหนึ่ง เขามองว่าอเมริกายังเป็นอาณานิ คมของจักรภพอังกฤษอยู่ จะปล่อยให้มาทำท่ารวยยะโส เดินหน้าเชิด เทียบชั้นกับอังกฤษ เจ้านายเก่าแบบนี้น่ะ มันจะมากไปหน่อยไหม นาย Rhodes มองตัวเองไม่ใช่แค่เป็นนักล่าเงินรางวัล แต่เขาเป็นนักสร้างอาณาจักร empire builder อย่าลืมเขาสร้างเมือง Rhodesia ในอาฟริกา ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Zimbabwe
    Carroll Quigley เล่าต่อไปว่า ค.ศ.1891 คนโคตรรวยอังกฤษ 3 หนุ่ม แอบพบกัน เพื่อสมคบกันสร้างสมาคมลับ 3 หนุ่มคือนาย Cecil Rhodes, William T. Stead พี่เบิ้มแห่งวงการหนังสือพิมพ์สมัยนั้น (น่าสังเกตว่า ถ้าจะทำอะไรให้ดังต้องมีสื่อยักษ์มาร่วม มิน่าเล่า มันถึงอยากเป็นสื่อใหญ่กันทั้งนั้น ถีบตัวเองขึ้นมา จนลืมจรรยาบรรณ ฐานันดรที่ 4) และนาย Reginald Baliol Brett ซึ่งเป็นพระสหายผู้ได้รับความไว้วางใจ จากพระราชินีวิกตอเรีย แห่งจักรภพอังกฤษ และต่อมาก็ได้เป็นที่ปรึกษาผู้ มีอิทธิพลต่อพระเจ้า Edward ที่ 7 และพระเจ้า George ที่ 5 ปู่ของพระราชินีElizabeth ที่ 2 ของอังกฤษคนปัจจุบัน สมาคมลับนี้มีนาย Rhodes เป็นหัวหน้า และพระอันดับอีก 3 คน คือ นาย Stead, นาย Brett และคนสุดท้ายแต่มาแรง คือ นาย Alfred Milner
    วัตถุประสงค์ของสมาคมลับนี้ ซึ่งต่อไปจะนำฝูงโดยนาย Alfred Milner คือจัดการให้อังกฤษปกครองไปทั่วโลก ด้วยระบบของอังกฤษ ไม่ว่าจะในด้านปกครองประชาชนหรือทำการค้า พูดให้ชัด เป้าหมายคือจัดการให้อเมริกากลับมาอยู่ในอาณานิคมของอังกฤษ ใช้ระบบอังกฤษดำเนินชีวิต และอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่ม Rothshilds และกลุ่มธนาคารต่างๆ เต็มที่อย่างลับๆ
    คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    แหกคอก ตอนที่ 5 – สร้างพระเจ้าองค์ใหม่ นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 5 : สร้างพระเจ้าองค์ใหม่ หลัง Anglo American Establishment กอดคอจับมือกันชัดเจน เมื่อประมาณ ค.ศ.1890 ทั้ง 2 ฝ่าย ร่วมกันสร้างกลไก สร้างระบบด้านการเงินการธนาคารเป็นอันดับแรก เพื่อเอาตัวเองนำหน้าชักใยรัฐบาล และลดบทบาทของประเทศ ระบบธนาคารกลาง เกิดขึ้นครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ.1694 ที่อังกฤษ เป็นการรวมตัวกันของ เครือข่ายธนาคารกลางนานาชาติ ซึ่งไม่ได้เป็นของรัฐ แต่เป็นของเอกชน ! มีผู้ถือหุ้นเป็นเอกชนคนโคตรรวย ธนาคารกลางนี้เป็นผู้อนุญาตให้ รัฐบาล (จำกันให้ดี เงินเป็นใหญ่กว่ารัฐบาล มาตั้งแต่ ค.ศ.1694 แล้ว !) ในการพิมพ์ธนบัตร เงินสกุลต่างๆ ของแต่ละประเทศ โดยอนุญาตให้กำหนดอัตราดอกเบี้ย และทำกำไรจากดอกเบี้ยนั้น ธนาคารกลางเหล่านี้ เป็นผู้ให้เงินกู้แก่รัฐบาล และผู้ประกอบการอุตสาหกรรม เท่ากับควบคุมลูกค้าใหญ่ 2 กลุ่ม 2 ขาของประเทศไปพร้อมๆ กัน ต่อมาภายหลังประมาณ ปี ค.ศ.1930 ธนาคารกลางเหล่านี้ พร้อมใจกันอยู่ในระบบที่พวกตัว เองสร้างขึ้น เรียกว่า Bank for International Settlements (BIS) ตั้งอยู่ที่เมือง Basle ในสวิสเซอร์แลนด์ เป็นธนาคารของเอกชนเช่นเดียวกัน ทำหน้าที่เป็นธนาคารกลางของเหล่าสมาชิกซึ่งเป็นธนาคารกลางต่างๆ (เขียนแล้วมึนเอง คนอ่านก็คงมึน) เอาแบบง่ายๆ BIS ธนาคารกลางตัวแม่นี้ถือหุ้นโดย ธนาคารกลางตัว ลูกๆ ทั้งหลาย ธนาคารกลางตัวลูกก็ถือหุ้นโดยพวกเอกชนคนโคตรรวยอีกต่อหนึ่ง สรุปว่า พวกคนรวยลงทุนลงขันกันเอง เพื่อตั้งธนาคารกลาง และไม่ให้ใครมายุ่ง เขาดูแลเงินของเขากันเอง ตั้งกฎกติกาเอง โดยให้แม่ BIS คุม รัฐบาลได้แต่ทำตาปริบๆ ดู หน้าจ๋อย มือกุม ก้มหน้า รับคำสั่งรับอำนาจมาจากคนรวยอีกทีหนึ่ง เข้าใจไหม คนรวยใหญ่กว่ารัฐบาล ถึงพูดกันว่าเงินเป็นพระเจ้า ระบบธนาคารกลางนี้ หลังจากเกิดขึ้นครั้งแรกที่ London ไปได้สวย คนรวยติดใจ จึงขยายตัวข้ามมาในทวีปยุโรปตะวันตก และกระจายทั่วไปในทวีปยุโรป การปฏิวัติในฝรั่งเศส ทำให้นโปเลียนขึ้นมามีอำนาจ และยอมให้บรรดานายทุนที่รวมตัวกันให้เงินกู้นโปเลียนไปทำการปฏิวัตินั่นแหละ จับมือร่วมกันจัดตั้งธนาคารในฝรั่งเศสขึ้น เป็นธนาคารส่วนบุคคล ที่พวกนายทุนนี้ควบคุมกันเอง รัฐบาลไม่เกี่ยว ธนาคารนี้เป็นต้นกำเนิดของตระกูลโคตรรวยทางฝั่งยุโรป คือ ตระกูล Rothshilds ชาวยิวในยุโรป ซึ่งขยายธุรกิจการเงินของตระกูล โดยการตั้งธนาคารใน London, Paris, Frankfurt, Vienna และ Naples ทำให้ตระกูลนี้ยิ่งรวยเละขึ้นไปอีก และยิ่งรวยเพิ่มขึ้น จากการไปถือหางทุกฝ่ายในการรบทุกครั้งของนโปเลียน (ต้นกำเนิดของการถือไพ่ทุกใบในการต่อสู้ มีเงินซื้อไพ่ทุกใบ มีไพ่ให้เลือกเล่นแยะ เล่นยังไงก็ชนะ ยกเว้นโคตรโง่ หรือ โคตรเลว จนเทวดาบอกมีเงินมากมายมหาศาลแค่ไหนก็ช่วยอะไรพวกเจ้าไม่ได้ ตัวอย่างกำลังมีให้เห็นในบ้านเรา !) นาย Carroll Quigley นักประวัติศาสตร์ นักทฤษฎี เจ้าความคิดกำเนิดแห่งศิวิไลย์ของมนุษยชาติ แห่งมหาวิทยาลัย Georgetown เขียนไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งบรรดาสาวกทั้งหลายถือเป็นคัมภีร์ ชื่อ Tragedy and Hope บอกว่าในช่วง ค.ศ.18101850 พวกวาณิชธนกิจใน London ได้สร้าง ธนาคารแห่งอังกฤษ (Bank of England) ตลาดหุ้นและตลาดเงินแห่ง London และไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาก็ขยายธุรกิจ โดยการสร้างธนาคารย่อยในระดับเมือง ต่างๆ ดำเนินกิจการ ในรูปแบบของธนาคารพาณิชย์ และธนาคารออมสิน รวมทั้งทำธุรกิจประกันภัย ธุรกิจ 3 อย่างนี้ มันหมุนเงิน สร้างเงินในตัวของมันเองตามวงจร เขาจึงรวมธุรกิจพวกนี้ไว้ด้วยกัน ในระดับที่ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ จนเป็นระดับระหว่างประเทศ จากเมืองไปสู่ประเทศ และด้วยวิธีนี้พวกเขาสามารถชักใย ควบคุมการไหลเข้าออก ของเงินระหว่างประเทศ แน่นอนการดำเนินการแบบนี้ ถึงแม้ในบางครั้งอาจจะควบคุมไม่ได้เบ็ดเสร็จ แต่ก็เรียกว่ามีอิทธิพล เหนือทั้งรัฐบาลและธุรกิจอุตสาหกรรม เงินไม่มี กิจการต่างๆไม่ว่าทางการเมืองหรือธุรกิจก็เป็นง่อยเรียบร้อย ตรงไปตรงมา ไม่ต้องฉลาดมากก็คิดได้ ขอให้มีเงินไว้ก่อน ! ในขณะเดียวกัน ทางอีกฟากหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติก ในอเมริกาก็มีการรวมตัวของกลุ่มธนาคารและธุรกิจอุตสาหกรรมในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน โดยพวก Morgans, Astors, Vanderbilts, Rockefellers และ Carnegies กลุ่มทุนพวกนี้ก็เริ่มครอบงำอุตสาหกรรมทั้งหมด ตลอดศตวรรษที่ 19 และต่อมาผลประโยชน์ของนายทุนทั้ง 2 ฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติคก็เชื่อมโยงกัน คนมีเงินก็ย่อมเลือกที่จะคบกับคนมีเงินด้วยกัน Anglo American Establishment ก็เกิดขึ้น คนรวยมีเงินแล้วก็อยากมีอำนาจ เป็นโรคเดียวกันทั้งนั้น ไม่มีใครต่างกัน กลับมาดูคนรวยที่อังกฤษ พวกคนรวยในอังกฤษเริ่มจับกลุ่มรวมตัวกัน เพื่อแสดงอิทธิพลของตนในระดับชาติ ช่วงนั้นนักล่าแถบนั้น กำลังรุมทิ้งเหยื่ออยู่แถวอาฟริกา ซึ่งเกือบทุกประเทศในอาฟริกา ยกเว้นเอธิโอเปีย ตกเป็นอาณานิคมของนักล่าผมทองจากอังกฤษและยุโรปทั้งสิ้น นักล่าที่มีชื่อเสียงโด่งดังในยุคนั้นคือ นาย Cecil Rhodes นักล่าชาวอังกฤษเป็นคนลงไม้ลงมือล่า แต่กระเป๋าที่อุดหนุนให้เขาปฏิบัติการล่า คือ ตระกูล Rothshilds ซึ่งในช่วงนั้น เป็นแหล่งเงินทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก นาย Cecil Rhodes เป็นคนสุดโต่งอีกคนหนึ่ง เขามองว่าอเมริกายังเป็นอาณานิ คมของจักรภพอังกฤษอยู่ จะปล่อยให้มาทำท่ารวยยะโส เดินหน้าเชิด เทียบชั้นกับอังกฤษ เจ้านายเก่าแบบนี้น่ะ มันจะมากไปหน่อยไหม นาย Rhodes มองตัวเองไม่ใช่แค่เป็นนักล่าเงินรางวัล แต่เขาเป็นนักสร้างอาณาจักร empire builder อย่าลืมเขาสร้างเมือง Rhodesia ในอาฟริกา ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Zimbabwe Carroll Quigley เล่าต่อไปว่า ค.ศ.1891 คนโคตรรวยอังกฤษ 3 หนุ่ม แอบพบกัน เพื่อสมคบกันสร้างสมาคมลับ 3 หนุ่มคือนาย Cecil Rhodes, William T. Stead พี่เบิ้มแห่งวงการหนังสือพิมพ์สมัยนั้น (น่าสังเกตว่า ถ้าจะทำอะไรให้ดังต้องมีสื่อยักษ์มาร่วม มิน่าเล่า มันถึงอยากเป็นสื่อใหญ่กันทั้งนั้น ถีบตัวเองขึ้นมา จนลืมจรรยาบรรณ ฐานันดรที่ 4) และนาย Reginald Baliol Brett ซึ่งเป็นพระสหายผู้ได้รับความไว้วางใจ จากพระราชินีวิกตอเรีย แห่งจักรภพอังกฤษ และต่อมาก็ได้เป็นที่ปรึกษาผู้ มีอิทธิพลต่อพระเจ้า Edward ที่ 7 และพระเจ้า George ที่ 5 ปู่ของพระราชินีElizabeth ที่ 2 ของอังกฤษคนปัจจุบัน สมาคมลับนี้มีนาย Rhodes เป็นหัวหน้า และพระอันดับอีก 3 คน คือ นาย Stead, นาย Brett และคนสุดท้ายแต่มาแรง คือ นาย Alfred Milner วัตถุประสงค์ของสมาคมลับนี้ ซึ่งต่อไปจะนำฝูงโดยนาย Alfred Milner คือจัดการให้อังกฤษปกครองไปทั่วโลก ด้วยระบบของอังกฤษ ไม่ว่าจะในด้านปกครองประชาชนหรือทำการค้า พูดให้ชัด เป้าหมายคือจัดการให้อเมริกากลับมาอยู่ในอาณานิคมของอังกฤษ ใช้ระบบอังกฤษดำเนินชีวิต และอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่ม Rothshilds และกลุ่มธนาคารต่างๆ เต็มที่อย่างลับๆ คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 153 มุมมอง 0 รีวิว
  • แหกคอก ตอนที่ 4 – ทองห่อผ้าขี้ริ้ว
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 4 : ทองห่อผ้าขี้ริ้ว
    อำนาจคือทุน ทุนคืออำนาจ คาถาง่ายๆ สั้นๆ ท่องให้ฟังอยู่ในนิทานเกือบทุกเรื่อง โลกใบนี้ไม่ได้ซับซ้อนเกินเข้าใจ ความซับซ้อนถูกสร้างขึ้นมา เพื่อให้เหยื่อสับสนมึนงง แล้วจะได้ถูกล่าง่ายขึ้นต่างหาก
    การจะสร้างนักล่าหมายเลขหนึ่งขึ้นมาครองโลก แบบไม่มีใครกล้ามาท้าทาย ไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ มันออกจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ และเพ้อฝันเสียด้วยซ้ำ แต่มันมีคนคิดจริง ขบวนการสร้างนักล่า ใช้เวลาทั้งหมดกว่า 100 ปี เริ่มตั้งแต่ประมาณ ปี ค.ศ.1890 คนคิดสร้างไม่ได้คิดเล่นๆ เขาคิดจริง ทำจริง อดทน วางแผน เป็นขั้นเป็นตอน และที่สำคัญคนคิดนอกจากมีทุนหนามหึมาแล้ว มันต้องมีความบ้าเต็มขั้น มีความอยากทะเยอทะยานเต็มร้อย บวกกับความเหี้ยมโหด อีกไม่รู้กี่พันเท่า มันถึงจะทำได้
    มันเป็นความคิดของพวกนายทุนที่เป็นเจ้าของ และมีอำนาจเหนือธนาคารกลาง และตลาดหุ้น ตลาดทุนที่ Wall Street และ London ไม่กี่ตระกูล ที่หวังจะจัดระเบียบโลกใหม่อย่างที่เขาต้องการ เป็นโลกที่ควบคุมด้วยเงิน ด้วยระบบการเงินที่พวกเขาวางแผนคิดสร้างมานั้น จะทำให้พวกเขาเป็นผู้ควบคุมชักใย รัฐบาล กองทัพ และประชาชนอีกต่อหนึ่งไม่ว่าเป็นชนชาติใด โดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือการครองโลก และจัดระเบียบโลกใหม่
    มันไม่ง่ายนักหรอก แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถของพวกเขา พวกเขาคิดว่าถ้าเราสามารถสร้างระบบที่ให้เราเป็นผู้ สร้าง เงินได้ การควบคุมปริมาณและกระแสเงินของโลกนี้ ก็อยู่ในมือพวกเรา ระบบนี้จะทำงานไม่ต่างกับการควบคุมด้วยอาวุธ แต่มันเป็นอาวุธทางการเงิน
    New World Order จัดระเบียบโลกใหม่ Globalization โลกาภิวัฒน์เป็นหน้าใหม่ของประวัติศาสตร์ประมาณ 500 ปี มาแล้ว (นานแล้วครับ แต่ใช้เวลานานมาก กว่าสมันน้อยจะรู้เรื่อง) เรื่องราวมันย้อนไปตั้งแต่สมัยอเมริกายังถูกนับเป็นอาณานิคม อยู่ในอำนาจของอังกฤษ ตั้งแต่ช่วง ค.ศ.1600 กว่าประมาณนั้น อิทธิพลของอังกฤษครอบงำอเมริกาจนถึงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้อเมริกาจะทำสงครามกลางเมืองเหนือใต้เมื่อ ค.ศ.1861 – 1865 โดยฝ่ายเหนือมีอังกฤษสนับสนุน ฝ่ายใต้มีฝรั่งเศสสนับสนุน และอ้างว่าอังกฤษไม่สามารถจะกระทืบอเมริกาซ้ำได้ ต้องถอยกองทัพกลับไปก็ตาม แต่คราบของอังกฤษก็ยังคงครอบอเมริกาอยู่อย่างที่อเมริกาไม่รู้ตัวหรือแกล้งไม่รู้ตัว
    อิทธิพลของอังกฤษ ระบบของอังกฤษในด้านการค้าครอบงำอเมริกามาตั้งแต่ช่วง ค.ศ.1700 แล้ว ก็พวกที่อพยพมาอยู่อเมริกาส่วนหนึ่ง (ไม่น้อย) ก็มาจากอังกฤษนั่นแหละ นอกจากพูดภาษาเดียวกันแล้ว อิทธิพลและวัฒนธรรม ผู้อพยพก็เก็บใส่กระเป๋าเอาติดมาด้วย
    ประมาณปี ค.ศ.1890 หลังอเมริกาปฏิวัติอุตสาหกรรม เกิดเศรษฐีใหม่ขึ้นมาหลายตระกูล ในอเมริกา เช่น Rockefeller, J.P Morgan, Astors, Vanderbits, Carnegies ฯลฯ
    อเมริกาจะเป็นคนรวยแบบไหนล่ะ แบบอินเดียนแดงเจ้าของถิ่นที่อเมริกาไล่ล่าเขา แล้วยึดเอาดินแดนเขามาหรือ ถ้างั้นก็ต้องเดินห้อยลูกปัด เอาขนนกติดหัว แน่นอนอเมริกาไม่เอาหรอกอเมริกาต้องเลือกเป็นคนรวยแบบที่ผู้ดีอังกฤษเขาเป็นกัน แบบที่อเมริกาแอบนับถือปนเกรงกลัวและอิจฉา เพราะรู้สึกด้อยกว่าเขา จึงต้องอพยพมาก่อร่างสร้างตัวในดินแดนใหม่นั่นแหละ ระบบอังกฤษจึงยังครอบงำอเมริกาในหลายๆ รูปแบบ ไม่มากก็น้อย จนถึงทุกวันนี้
    เมื่อคนอเมริกันเริ่มรวย รวยพอที่จะเดินเชิดหน้าในสังคมโลก ก็เริ่มทำการค้าแบบคนอังกฤษ ในระบบอังกฤษ โดยเฉพาะด้านการเงิน และการอุตสาหกรรม ประมาณปี ค.ศ.1890 การร่วมมือ รวมลงทุนระหว่างคนรวยฝั่งอเมริกากับฝั่งอังกฤษก็เริ่มเพิ่มขึ้น Anglo American Establishment ก็เกิดขึ้น แนวคิดที่จะครองโลกร่วมกัน จึงค่อยๆ ก่อตัวขึ้น
    อังกฤษรู้อยู่แก่ใจว่า วันหนึ่งดวงอาทิตย์ต้องตกดินในดินแดนที่ เคย เป็นอาณานิคมของตัว จะอุ้มจะแบกอาณานิคมไปตลอดกาล เป็นไปไม่ได้ อังกฤษเองไม่มีทรัพยากรของตัวเอง เกาะเล็กเท่าปลายนิ้วก้อย ที่แผ่ไพศาลมาได้ขนาดนี้ ก็ต้องชื่นชมในความตะกรามทยานอยากได้อย่างสุดขีด แล้วจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นประวัติศาสตร์ หลุดมือไปหมดกระนั้นหรือ อังกฤษเป็นนักล่ารุ่นเก๋า ย่อมมองเห็น ใครจะขึ้นมาเป็นนักล่ารุ่นใหม่ ดูท่วงทีลีลาของนักล่ารุ่นใหม่แล้ว แยกกันเดินคงเหนื่อย ร่วมกันเดินหลอกชาวบ้านน่าจะรุ่งกว่า ว่าแล้วคนรวย 2 ฝากฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกก็จับมือกัน แท้จริงแล้วใครนำใคร ใครหลอกใคร เป็นเรื่องที่ต้องติดตามดูไปอีกนาน น่าสนใจอย่างยิ่งจนถึงทุกวันนี้ ย้ำ จนถึงทุกวันนี้ !
    คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    แหกคอก ตอนที่ 4 – ทองห่อผ้าขี้ริ้ว นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 4 : ทองห่อผ้าขี้ริ้ว อำนาจคือทุน ทุนคืออำนาจ คาถาง่ายๆ สั้นๆ ท่องให้ฟังอยู่ในนิทานเกือบทุกเรื่อง โลกใบนี้ไม่ได้ซับซ้อนเกินเข้าใจ ความซับซ้อนถูกสร้างขึ้นมา เพื่อให้เหยื่อสับสนมึนงง แล้วจะได้ถูกล่าง่ายขึ้นต่างหาก การจะสร้างนักล่าหมายเลขหนึ่งขึ้นมาครองโลก แบบไม่มีใครกล้ามาท้าทาย ไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ มันออกจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ และเพ้อฝันเสียด้วยซ้ำ แต่มันมีคนคิดจริง ขบวนการสร้างนักล่า ใช้เวลาทั้งหมดกว่า 100 ปี เริ่มตั้งแต่ประมาณ ปี ค.ศ.1890 คนคิดสร้างไม่ได้คิดเล่นๆ เขาคิดจริง ทำจริง อดทน วางแผน เป็นขั้นเป็นตอน และที่สำคัญคนคิดนอกจากมีทุนหนามหึมาแล้ว มันต้องมีความบ้าเต็มขั้น มีความอยากทะเยอทะยานเต็มร้อย บวกกับความเหี้ยมโหด อีกไม่รู้กี่พันเท่า มันถึงจะทำได้ มันเป็นความคิดของพวกนายทุนที่เป็นเจ้าของ และมีอำนาจเหนือธนาคารกลาง และตลาดหุ้น ตลาดทุนที่ Wall Street และ London ไม่กี่ตระกูล ที่หวังจะจัดระเบียบโลกใหม่อย่างที่เขาต้องการ เป็นโลกที่ควบคุมด้วยเงิน ด้วยระบบการเงินที่พวกเขาวางแผนคิดสร้างมานั้น จะทำให้พวกเขาเป็นผู้ควบคุมชักใย รัฐบาล กองทัพ และประชาชนอีกต่อหนึ่งไม่ว่าเป็นชนชาติใด โดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือการครองโลก และจัดระเบียบโลกใหม่ มันไม่ง่ายนักหรอก แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถของพวกเขา พวกเขาคิดว่าถ้าเราสามารถสร้างระบบที่ให้เราเป็นผู้ สร้าง เงินได้ การควบคุมปริมาณและกระแสเงินของโลกนี้ ก็อยู่ในมือพวกเรา ระบบนี้จะทำงานไม่ต่างกับการควบคุมด้วยอาวุธ แต่มันเป็นอาวุธทางการเงิน New World Order จัดระเบียบโลกใหม่ Globalization โลกาภิวัฒน์เป็นหน้าใหม่ของประวัติศาสตร์ประมาณ 500 ปี มาแล้ว (นานแล้วครับ แต่ใช้เวลานานมาก กว่าสมันน้อยจะรู้เรื่อง) เรื่องราวมันย้อนไปตั้งแต่สมัยอเมริกายังถูกนับเป็นอาณานิคม อยู่ในอำนาจของอังกฤษ ตั้งแต่ช่วง ค.ศ.1600 กว่าประมาณนั้น อิทธิพลของอังกฤษครอบงำอเมริกาจนถึงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้อเมริกาจะทำสงครามกลางเมืองเหนือใต้เมื่อ ค.ศ.1861 – 1865 โดยฝ่ายเหนือมีอังกฤษสนับสนุน ฝ่ายใต้มีฝรั่งเศสสนับสนุน และอ้างว่าอังกฤษไม่สามารถจะกระทืบอเมริกาซ้ำได้ ต้องถอยกองทัพกลับไปก็ตาม แต่คราบของอังกฤษก็ยังคงครอบอเมริกาอยู่อย่างที่อเมริกาไม่รู้ตัวหรือแกล้งไม่รู้ตัว อิทธิพลของอังกฤษ ระบบของอังกฤษในด้านการค้าครอบงำอเมริกามาตั้งแต่ช่วง ค.ศ.1700 แล้ว ก็พวกที่อพยพมาอยู่อเมริกาส่วนหนึ่ง (ไม่น้อย) ก็มาจากอังกฤษนั่นแหละ นอกจากพูดภาษาเดียวกันแล้ว อิทธิพลและวัฒนธรรม ผู้อพยพก็เก็บใส่กระเป๋าเอาติดมาด้วย ประมาณปี ค.ศ.1890 หลังอเมริกาปฏิวัติอุตสาหกรรม เกิดเศรษฐีใหม่ขึ้นมาหลายตระกูล ในอเมริกา เช่น Rockefeller, J.P Morgan, Astors, Vanderbits, Carnegies ฯลฯ อเมริกาจะเป็นคนรวยแบบไหนล่ะ แบบอินเดียนแดงเจ้าของถิ่นที่อเมริกาไล่ล่าเขา แล้วยึดเอาดินแดนเขามาหรือ ถ้างั้นก็ต้องเดินห้อยลูกปัด เอาขนนกติดหัว แน่นอนอเมริกาไม่เอาหรอกอเมริกาต้องเลือกเป็นคนรวยแบบที่ผู้ดีอังกฤษเขาเป็นกัน แบบที่อเมริกาแอบนับถือปนเกรงกลัวและอิจฉา เพราะรู้สึกด้อยกว่าเขา จึงต้องอพยพมาก่อร่างสร้างตัวในดินแดนใหม่นั่นแหละ ระบบอังกฤษจึงยังครอบงำอเมริกาในหลายๆ รูปแบบ ไม่มากก็น้อย จนถึงทุกวันนี้ เมื่อคนอเมริกันเริ่มรวย รวยพอที่จะเดินเชิดหน้าในสังคมโลก ก็เริ่มทำการค้าแบบคนอังกฤษ ในระบบอังกฤษ โดยเฉพาะด้านการเงิน และการอุตสาหกรรม ประมาณปี ค.ศ.1890 การร่วมมือ รวมลงทุนระหว่างคนรวยฝั่งอเมริกากับฝั่งอังกฤษก็เริ่มเพิ่มขึ้น Anglo American Establishment ก็เกิดขึ้น แนวคิดที่จะครองโลกร่วมกัน จึงค่อยๆ ก่อตัวขึ้น อังกฤษรู้อยู่แก่ใจว่า วันหนึ่งดวงอาทิตย์ต้องตกดินในดินแดนที่ เคย เป็นอาณานิคมของตัว จะอุ้มจะแบกอาณานิคมไปตลอดกาล เป็นไปไม่ได้ อังกฤษเองไม่มีทรัพยากรของตัวเอง เกาะเล็กเท่าปลายนิ้วก้อย ที่แผ่ไพศาลมาได้ขนาดนี้ ก็ต้องชื่นชมในความตะกรามทยานอยากได้อย่างสุดขีด แล้วจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นประวัติศาสตร์ หลุดมือไปหมดกระนั้นหรือ อังกฤษเป็นนักล่ารุ่นเก๋า ย่อมมองเห็น ใครจะขึ้นมาเป็นนักล่ารุ่นใหม่ ดูท่วงทีลีลาของนักล่ารุ่นใหม่แล้ว แยกกันเดินคงเหนื่อย ร่วมกันเดินหลอกชาวบ้านน่าจะรุ่งกว่า ว่าแล้วคนรวย 2 ฝากฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกก็จับมือกัน แท้จริงแล้วใครนำใคร ใครหลอกใคร เป็นเรื่องที่ต้องติดตามดูไปอีกนาน น่าสนใจอย่างยิ่งจนถึงทุกวันนี้ ย้ำ จนถึงทุกวันนี้ ! คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ดารา เรียม" สาวเขมร แฉยับพฤติกรรม ​"เจ๊ลัด" โยงอิทธิพลท้องถิ่นจ่ายเงินเคลียร์ จนท.ปกครองระดับสูงและในพื้นที่เดือนละ 3 หมื่นแลกไม่ตรวจสอบธุรกิจ ตั้งข้อสงสัยชื่อผู้ครอบครองปืนลูกชายทับซ้อนชื่ออดีตนายอำเภอโคกสูง

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000087503

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    "ดารา เรียม" สาวเขมร แฉยับพฤติกรรม ​"เจ๊ลัด" โยงอิทธิพลท้องถิ่นจ่ายเงินเคลียร์ จนท.ปกครองระดับสูงและในพื้นที่เดือนละ 3 หมื่นแลกไม่ตรวจสอบธุรกิจ ตั้งข้อสงสัยชื่อผู้ครอบครองปืนลูกชายทับซ้อนชื่ออดีตนายอำเภอโคกสูง อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000087503 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 302 มุมมอง 0 รีวิว
  • เครื่องบดแห้ง BONNY (Pin Type) เครื่องเดียวจบทุกการบด!
    บดสมุนไพรแห้งให้เป็นผงละเอียด รวดเร็วทันใจ กำลังการผลิตสูง
    ตัวเครื่องสแตนเลสแท้ 100%
    บดได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรแห้ง พริก ข้าวสาร หรือธัญพืชต่างๆ
    ใช้งานง่าย ทำความสะอาดสะดวก
    เหมาะสำหรับธุรกิจอาหารและสมุนไพรทุกขนาด! สนใจเครื่องบดคุณภาพดี ทักเลย!
    สนใจสินค้า? แวะมาดูเครื่องจริงได้เลย! เรายินดีให้คำแนะนำและช่วยเหลือผู้ประกอบการทุกท่านค่ะ
    เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์: 8.00 - 17.00 น. | เสาร์: 8.00 - 16.00 น.
    แผนที่ร้าน: https://maps.app.goo.gl/4ppsHfy3NYb1uPPu6
    ช่องทางติดต่อสอบถาม:
    Facebook Messenger: m.me/yonghahheng
    LINE Official Account: @yonghahheng (มี @ ข้างหน้า) หรือคลิก https://lin.ee/HV4lSKp
    โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com
    อีเมล: sales@yoryonghahheng.com, yonghahheng@gmail.com
    #เครื่องบด #เครื่องบดสมุนไพร #เครื่องบดแห้ง #เครื่องบดผง #เครื่องบดอุตสาหกรรม #เครื่องบดอาหาร #เครื่องปั่นแห้ง #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #ธุรกิจสมุนไพร #ธุรกิจอาหาร #สมุนไพร #บดสมุนไพร #ผงสมุนไพร #เครื่องเทศ #ผงเครื่องเทศ #ขมิ้น #ขิง #พริกไทย #ใบชา #BonnyPulverizer #โรงงานสมุนไพร #โรงงานอาหาร #เครื่องจักร #เครื่องมือ #ผู้ประกอบการ #เกษตรแปรรูป #แปรรูปสมุนไพร #ครัวเรือน #ผงชงดื่ม #YongHahHeng
    เครื่องบดแห้ง BONNY (Pin Type) เครื่องเดียวจบทุกการบด! บดสมุนไพรแห้งให้เป็นผงละเอียด รวดเร็วทันใจ กำลังการผลิตสูง ✅ ตัวเครื่องสแตนเลสแท้ 100% ✅ บดได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรแห้ง พริก ข้าวสาร หรือธัญพืชต่างๆ ✅ ใช้งานง่าย ทำความสะอาดสะดวก เหมาะสำหรับธุรกิจอาหารและสมุนไพรทุกขนาด! สนใจเครื่องบดคุณภาพดี ทักเลย! สนใจสินค้า? แวะมาดูเครื่องจริงได้เลย! เรายินดีให้คำแนะนำและช่วยเหลือผู้ประกอบการทุกท่านค่ะ เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์: 8.00 - 17.00 น. | เสาร์: 8.00 - 16.00 น. แผนที่ร้าน: https://maps.app.goo.gl/4ppsHfy3NYb1uPPu6 ช่องทางติดต่อสอบถาม: Facebook Messenger: m.me/yonghahheng LINE Official Account: @yonghahheng (มี @ ข้างหน้า) หรือคลิก https://lin.ee/HV4lSKp โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com อีเมล: sales@yoryonghahheng.com, yonghahheng@gmail.com #เครื่องบด #เครื่องบดสมุนไพร #เครื่องบดแห้ง #เครื่องบดผง #เครื่องบดอุตสาหกรรม #เครื่องบดอาหาร #เครื่องปั่นแห้ง #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #ธุรกิจสมุนไพร #ธุรกิจอาหาร #สมุนไพร #บดสมุนไพร #ผงสมุนไพร #เครื่องเทศ #ผงเครื่องเทศ #ขมิ้น #ขิง #พริกไทย #ใบชา #BonnyPulverizer #โรงงานสมุนไพร #โรงงานอาหาร #เครื่องจักร #เครื่องมือ #ผู้ประกอบการ #เกษตรแปรรูป #แปรรูปสมุนไพร #ครัวเรือน #ผงชงดื่ม #YongHahHeng
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • คุณอนุทินและลูกชายคุณเนวิน ตอนเป็นฝ่ายค้านแป๊บนึง พูดว่าไทยต้องทำกำแพงล้อมรั้ว100%&อีกคนบอกต้องยกเลิก"MOU43-44..เพราะเป็นปัญหาให้ประเทศไทยเสียเปรียบกัมพูชาเป็นชนวนความขัดแย้งก่อให้เกิดความสูญเสียมากมายทั้งชีวิตและทรัพย์สินประเมินค่ามิได้"แต่พอเข้ามาเข้ามาเป็นรัฐบาลกับรีบเจรจาเปิดด่านอ้างปากท้องประชาชนแน่รึปากท้องนักการเมืองมากกว่า#ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาอีกทำไมให้เสียเวลา เหตุปัจจัยปัจจุบันที่เห็นอยู่ยังไม่พออีกหรือที่จะตัดสินใจยกเลิก ความสูญเสียที่เกิดขึ้นคราวนี้ถ้าไม่รีบจัดการยุติก็ต้องเป็นปัญหาให้ลูกหลานไทยในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน STOP..เจรจากับกัมพูชาควรหยุดเพราะพูดกันคนละภาษา มันพูดอย่างทำอย่างเราจะเชื่อถืออะไรได้ ให้เร่งเปิดด่านอ้างสารพัด บลาๆๆๆจะถอนกำลังหนักออกไปแต่มันเสริมกำลังเข้ามาตลอดแล้วกองกำลัง BHQ..มันเสริมเข้ามาพร้อมอาวุธหนักเข้ามาประชิดชายแดนไทยทำไม คนชาตินี้หาสัจจะในคำพูดไม่ได้ เช้านั่งกินข้าวด้วยกันเย็นวางระเบิดทหารไทยขาขาด พวกคุณรู้ทุกอย่างอยู่กับข้อมูล หรือมีอะไรตื้นลึกหนาบางที่ประชาชนยังไม่รู้อีก?#พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่๙ พระองค์มีพระบรมราชโองการออกมาแล้วและเขียนแผนที่ให้เห็นชัดเจนทั้งหมด ไม่มีพื้นที่ส่วนใดในประเทศไทยที่เป็นพื้นที่ทับซ้อนแต่อย่างใดเลย "สยามได้ทำแผนที่เสร็จสิ้นสมบูรณ์พร้อมมีหลักเขตแดน #ก่อนจะมีประเทศกัมพูชากำเนิดขึ้นมาด้วยซ้ำ"..แล้วจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาหรือทำประชามติอีกทำไมให้เสียเวลาแล้วปัญหานี้จะดึงเวลาไปอีกเท่าไหร่ชาตินี้ไหม๊หรือภพชาติหน้า♾&แล้วคำถามในประชามติจะระบุว่าอะไร"คำถามเชิงชี้นำ?&หรือเชิงวิเคราะห์.."แหมตอนไปทำไม่ถามประชาชนสักคำแต่พอจะยกเลิกกับจะมาเห็นหัวประชาชนขึ้นมาซะงั้นต้องถามประชาชนก่อนว่าเห็นด้วยกับการยกเลิกMOU43-44 ไหมหัวเราะไม่ออกจริงๆก็เห็นๆอยู่ว่ากัมพูชาไปยึดแผนที่1:200,000 "มันไม่ได้จะมาขีดเองตามใจไม่ได้การทำแผนที่ในปัจจุบันด้วยดาวเทียมมีความละเอียดสูงพิกัดชัดเจน1:50,000#🙏🏿พ่อหลวง ร.9 พระองค์ก็เขียนไว้ให้แล้ว❤#ตอนวุ้นเส้นบัญชาการรบก็ใช้แผนที่1:50,000เห็นกันทั่วโลก เพราะฉะนั้นจะมาอ้างว่าไม่มีเจตนายิงใส่บ้านพลเรือนจึงฟังไม่ขึ้น ไปหลอกเด็กไป่มันละเมิดสนธิสัญญาเจนีวาอย่างชัดเจนเจตนาฆ่าพลเรือน&ละเมิดสนธิสัญญาออตตาวาแอบวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทำให้ทหารไทยขาขาดพิการไปจำนวนมากทุกวันนี้ก็ยังวางอยู่ ไทยตรวจจับกู้มาได้ตลอดเวลา ความเจ็บปวดของเพื่อนร่วมชาติพวกคุณไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไม่ต้องเจรจาแล้วลิ้นสองแฉกคบไม่ได้#นักการเมืองพวกคุณไม่เปลี่ยนพฤติกรรม ระวังประชาชนจะเปลี่ยนคุณเองอย่าคิดนะว่าไทยจะไม่เป็นแบบเนปาลมันก็ไม่แน่หรอก..ไม่ได้เห็นด้วยกับความรุนแรงเผาบ้านเผาเมืองขนาดนั้นแต่ไม่ไปตัดสินเขาเพราะเราไม่ใช่เขาไม่รู้ว่าเขาเจออะไรมาบ้าง#ถ้ามันเกิดเป็น โดมิโน่ขึ้นมาล่ะ พวกคุณต้องรับผิดชอบนะ คุณมีโอกาสทำให้ดีแล้วไม่ทำก็จะไม่มีโอกาส"เห็นไหมภาคเหนือน้ำท่วมซ้ำซากบริหารจัดการกันอย่างไร ชาวบ้านทุกข์ยากลำบากไปมองเขาบ้างไหมบ้านหายไปทั้งหลัง ท่วมติดๆกันต่อเนื่องทุกปีเขาจะตั้งตัวยังไง งบประมาณบริหารจัดการน้ำไปทำอะไรได้บ้าง คนเราจะมีบ้านสักหลังอาจต้องทำงานทั้งชีวิตตายก็ยังผ่อนไม่หมดเลย ต่อให้ไทยพบแหล่งพลังงานจำนวนมากแค่ไหน คนไทยจะได้อะไร?เพราะทุกวันนี้คนไทยก็ใช้พลังงานในราคาแพงมากๆอยู่แล้วมันคือต้นทุนของค่าครองชีพทุกอย่างสูงไปตามกัน ไทยมีน้ำมันส่งออกไปขาย ตปท.ได้ ผลิตกระแสไฟฟ้าได้เกินความต้องการของคนในประเทศคือมันล้นแต่คนไทยก็ใช้ไฟแพงอยู่ดี เพราะฉะนั้นจะพบแหล่งพลังงานขุดหรือไม่ขุดขึ้นมาค่ามันต่างกันตรงไหนไม่ทราบ "ขนาดค่าอัตราไฟฟ้าผันแปร'FT(Fuel Adjustment Charge.ประชาชนต้องแบกรับอ้างเป็นต้นทุนการผลิตที่ควบคุมไม่ได้ "#แต่เวลากำไรกับรับไปเต็มๆมันผลิตเกินความต้องการของคนใช้ภายในประเทศมันควรจะถูกมากๆไม่ใช่แพงขนาดนี้#ชีวิตหรูหราของนักการเมืองใช้ของกินอยู่กันแบบไฮโซคิดว่าประชาชนเขาไม่เห็นหรือไงคะ...เข้ามาระยะสั้นๆทำอะไรฝากไว้เป็นเกียรติยศศักดิ์ศรีไม่ดีกว่าหรือคะ คนเราตายได้ทุกลมหายใจเข้าออกนะอย่าคิดว่ามีเวลาเยอะยังไงก็ไม่เกิน3หมื่นวัน.จะให้คนจดจำคุณแบบใดฯลฯ&‍‍If's up to you to do.(อยู่ที่คุณทำ)
    คุณอนุทินและลูกชายคุณเนวิน ตอนเป็นฝ่ายค้านแป๊บนึง พูดว่าไทยต้องทำกำแพงล้อมรั้ว100%&อีกคนบอกต้องยกเลิก"MOU43-44..เพราะเป็นปัญหาให้ประเทศไทยเสียเปรียบกัมพูชาเป็นชนวนความขัดแย้งก่อให้เกิดความสูญเสียมากมายทั้งชีวิตและทรัพย์สินประเมินค่ามิได้"แต่พอเข้ามาเข้ามาเป็นรัฐบาลกับรีบเจรจาเปิดด่านอ้างปากท้องประชาชนแน่รึ🙄🔊ปากท้องนักการเมืองมากกว่า#ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาอีกทำไมให้เสียเวลา เหตุปัจจัยปัจจุบันที่เห็นอยู่ยังไม่พออีกหรือที่จะตัดสินใจยกเลิก ความสูญเสียที่เกิดขึ้นคราวนี้ถ้าไม่รีบจัดการยุติก็ต้องเป็นปัญหาให้ลูกหลานไทยในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน 🤚STOP..เจรจากับกัมพูชาควรหยุดเพราะพูดกันคนละภาษา มันพูดอย่างทำอย่างเราจะเชื่อถืออะไรได้ ให้เร่งเปิดด่านอ้างสารพัด บลาๆๆๆจะถอนกำลังหนักออกไปแต่มันเสริมกำลังเข้ามาตลอดแล้วกองกำลัง BHQ..มันเสริมเข้ามาพร้อมอาวุธหนักเข้ามาประชิดชายแดนไทยทำไม คนชาตินี้หาสัจจะในคำพูดไม่ได้ เช้านั่งกินข้าวด้วยกันเย็นวางระเบิดทหารไทยขาขาด พวกคุณรู้ทุกอย่างอยู่กับข้อมูล หรือมีอะไรตื้นลึกหนาบางที่ประชาชนยังไม่รู้อีก?#พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่๙ พระองค์มีพระบรมราชโองการออกมาแล้วและเขียนแผนที่ให้เห็นชัดเจนทั้งหมด ไม่มีพื้นที่ส่วนใดในประเทศไทยที่เป็นพื้นที่ทับซ้อนแต่อย่างใดเลย "สยามได้ทำแผนที่เสร็จสิ้นสมบูรณ์พร้อมมีหลักเขตแดน #ก่อนจะมีประเทศกัมพูชากำเนิดขึ้นมาด้วยซ้ำ"..แล้วจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาหรือทำประชามติอีกทำไมให้เสียเวลาแล้วปัญหานี้จะดึงเวลาไปอีกเท่าไหร่ชาตินี้ไหม๊😔หรือภพชาติหน้า♾&แล้วคำถามในประชามติจะระบุว่าอะไร"คำถามเชิงชี้นำ?&หรือเชิงวิเคราะห์.."แหมตอนไปทำไม่ถามประชาชนสักคำแต่พอจะยกเลิกกับจะมาเห็นหัวประชาชนขึ้นมาซะงั้นต้องถามประชาชนก่อนว่าเห็นด้วยกับการยกเลิกMOU43-44 ไหมหัวเราะไม่ออกจริงๆก็เห็นๆอยู่ว่ากัมพูชาไปยึดแผนที่1:200,000 "มันไม่ได้จะมาขีดเองตามใจไม่ได้การทำแผนที่ในปัจจุบันด้วยดาวเทียมมีความละเอียดสูงพิกัดชัดเจน1:50,000#💛🙏🏿พ่อหลวง ร.9 พระองค์ก็เขียนไว้ให้แล้ว🔆❤🇹🇭❤#ตอนวุ้นเส้นบัญชาการรบก็ใช้แผนที่1:50,000เห็นกันทั่วโลก เพราะฉะนั้นจะมาอ้างว่าไม่มีเจตนายิงใส่บ้านพลเรือนจึงฟังไม่ขึ้น ไปหลอกเด็กไป่👉มันละเมิดสนธิสัญญาเจนีวาอย่างชัดเจนเจตนาฆ่าพลเรือน&ละเมิดสนธิสัญญาออตตาวาแอบวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทำให้ทหารไทยขาขาดพิการไปจำนวนมากทุกวันนี้ก็ยังวางอยู่ ไทยตรวจจับกู้มาได้ตลอดเวลา ความเจ็บปวดของเพื่อนร่วมชาติพวกคุณไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไม่ต้องเจรจาแล้วลิ้นสองแฉกคบไม่ได้#นักการเมืองพวกคุณไม่เปลี่ยนพฤติกรรม ระวังประชาชนจะเปลี่ยนคุณเองอย่าคิดนะว่าไทยจะไม่เป็นแบบเนปาลมันก็ไม่แน่หรอก..ไม่ได้เห็นด้วยกับความรุนแรงเผาบ้านเผาเมืองขนาดนั้นแต่ไม่ไปตัดสินเขาเพราะเราไม่ใช่เขาไม่รู้ว่าเขาเจออะไรมาบ้าง#ถ้ามันเกิดเป็น โดมิโน่ขึ้นมาล่ะ พวกคุณต้องรับผิดชอบนะ คุณมีโอกาสทำให้ดีแล้วไม่ทำก็จะไม่มีโอกาส"เห็นไหมภาคเหนือน้ำท่วมซ้ำซากบริหารจัดการกันอย่างไร ชาวบ้านทุกข์ยากลำบากไปมองเขาบ้างไหมบ้านหายไปทั้งหลัง ท่วมติดๆกันต่อเนื่องทุกปีเขาจะตั้งตัวยังไง งบประมาณบริหารจัดการน้ำไปทำอะไรได้บ้าง คนเราจะมีบ้านสักหลังอาจต้องทำงานทั้งชีวิตตายก็ยังผ่อนไม่หมดเลย ต่อให้ไทยพบแหล่งพลังงานจำนวนมากแค่ไหน คนไทยจะได้อะไร?เพราะทุกวันนี้คนไทยก็ใช้พลังงานในราคาแพงมากๆอยู่แล้วมันคือต้นทุนของค่าครองชีพทุกอย่างสูงไปตามกัน ไทยมีน้ำมันส่งออกไปขาย ตปท.ได้ ผลิตกระแสไฟฟ้าได้เกินความต้องการของคนในประเทศคือมันล้นแต่คนไทยก็ใช้ไฟแพงอยู่ดี เพราะฉะนั้นจะพบแหล่งพลังงานขุดหรือไม่ขุดขึ้นมาค่ามันต่างกันตรงไหนไม่ทราบ "ขนาดค่าอัตราไฟฟ้าผันแปร'FT(Fuel Adjustment Charge.ประชาชนต้องแบกรับอ้างเป็นต้นทุนการผลิตที่ควบคุมไม่ได้ "#แต่เวลากำไรกับรับไปเต็มๆมันผลิตเกินความต้องการของคนใช้ภายในประเทศมันควรจะถูกมากๆไม่ใช่แพงขนาดนี้#ชีวิตหรูหราของนักการเมืองใช้ของกินอยู่กันแบบไฮโซคิดว่าประชาชนเขาไม่เห็นหรือไงคะ...เข้ามาระยะสั้นๆทำอะไรฝากไว้เป็นเกียรติยศศักดิ์ศรีไม่ดีกว่าหรือคะ คนเราตายได้ทุกลมหายใจเข้าออกนะอย่าคิดว่ามีเวลาเยอะยังไงก็ไม่เกิน3หมื่นวัน.จะให้คนจดจำคุณแบบใดฯลฯ👹&🧚‍♀️🧚‍♂️If's up to you to do.(อยู่ที่คุณทำ)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Intel Panther Lake Xe3 เพิ่มเฟรมเกมสูงสุด 18% — แต่ต้องแลกกับเวลา compile shader ที่นานขึ้น”

    Intel กำลังเตรียมเปิดตัวแพลตฟอร์มกราฟิกใหม่ Panther Lake พร้อม GPU สถาปัตยกรรม Xe3 ซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่ใช้กระบวนการผลิตระดับ 18A node โดยล่าสุดทีมวิศวกรของ Intel ได้ปล่อยชุดแพตช์ 14 รายการสำหรับ Mesa 3D graphics driver บน Linux เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของ Xe3 โดยเฉพาะด้านการเล่นเกม

    ผลการทดสอบภายในพบว่าแพตช์เหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกมได้สูงสุดถึง 18% โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 4–9% ในหลายเกม เช่น Hogwarts Legacy และ Warhammer แม้ Cyberpunk 2077 จะถูกตัดออกจากการทดสอบเนื่องจากพบปัญหา GPU hang แต่ผลรวมถือว่าน่าประทับใจสำหรับแพลตฟอร์มที่ยังไม่เปิดตัว

    การปรับปรุงครั้งนี้เน้นไปที่การจัดการการทำงานแบบขนานของ thread และการวางตารางการทำงานของ compiler ซึ่งช่วยให้การประมวลผล shader มีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องแลกกับเวลาในการ compile shader ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 25% ซึ่ง Intel มองว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าเพื่อให้ได้เฟรมเรตที่สูงขึ้น

    แพตช์ทั้งหมดถูกรวมไว้ใน Mesa 25.3-devel และจะถูก backport ไปยัง Mesa 25.2 เพื่อให้ผู้ใช้ Linux ที่วางแผนจะใช้ Panther Lake ได้รับประโยชน์เต็มที่ โดย Intel ยังอยู่ระหว่างการปรับปรุงเสถียรภาพของ GPU ซึ่งยังพบปัญหา hang เป็นระยะในบางเกม

    จุดเด่นของการอัปเดต Panther Lake Xe3
    เพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเกมสูงสุด 18% จากการปรับ compiler บน Linux
    ปรับปรุงการจัดการ thread และการวางตารางการทำงานของ shader compiler
    แพตช์รวมอยู่ใน Mesa 25.3-devel และจะถูก backport ไปยัง Mesa 25.2
    ใช้สถาปัตยกรรม Xe3 และกระบวนการผลิต 18A node เป็นครั้งแรกของ Intel

    ผลการทดสอบและการใช้งานจริง
    เกมที่ได้ผลดี ได้แก่ Hogwarts Legacy และ Warhammer
    Cyberpunk 2077 ถูกตัดออกจากการทดสอบเนื่องจาก GPU hang
    การ compile shader ใช้เวลานานขึ้น ~25% แต่ได้เฟรมเรตที่สูงขึ้น
    เหมาะกับผู้ใช้ Linux ที่ต้องการประสิทธิภาพกราฟิกสูงในเกม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Panther Lake เป็น Core Ultra Series 3 รุ่นใหม่ที่เตรียมเปิดตัวปลายปีนี้
    Xe3 เป็นการต่อยอดจาก Xe-LP และ Xe-HPG โดยเน้นประสิทธิภาพแบบฝังตัว
    การใช้ 18A node เป็นก้าวสำคัญของ Intel ในการแข่งขันกับ TSMC และ Samsung
    Windows ยังไม่มีผลการทดสอบที่เปิดเผย เนื่องจาก driver เป็น proprietary

    https://wccftech.com/intel-panther-lake-xe3-graphics-platform-witnesses-up-to-18-better-higher-performance/
    🎮 “Intel Panther Lake Xe3 เพิ่มเฟรมเกมสูงสุด 18% — แต่ต้องแลกกับเวลา compile shader ที่นานขึ้น” Intel กำลังเตรียมเปิดตัวแพลตฟอร์มกราฟิกใหม่ Panther Lake พร้อม GPU สถาปัตยกรรม Xe3 ซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่ใช้กระบวนการผลิตระดับ 18A node โดยล่าสุดทีมวิศวกรของ Intel ได้ปล่อยชุดแพตช์ 14 รายการสำหรับ Mesa 3D graphics driver บน Linux เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของ Xe3 โดยเฉพาะด้านการเล่นเกม ผลการทดสอบภายในพบว่าแพตช์เหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกมได้สูงสุดถึง 18% โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 4–9% ในหลายเกม เช่น Hogwarts Legacy และ Warhammer แม้ Cyberpunk 2077 จะถูกตัดออกจากการทดสอบเนื่องจากพบปัญหา GPU hang แต่ผลรวมถือว่าน่าประทับใจสำหรับแพลตฟอร์มที่ยังไม่เปิดตัว การปรับปรุงครั้งนี้เน้นไปที่การจัดการการทำงานแบบขนานของ thread และการวางตารางการทำงานของ compiler ซึ่งช่วยให้การประมวลผล shader มีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องแลกกับเวลาในการ compile shader ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 25% ซึ่ง Intel มองว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าเพื่อให้ได้เฟรมเรตที่สูงขึ้น แพตช์ทั้งหมดถูกรวมไว้ใน Mesa 25.3-devel และจะถูก backport ไปยัง Mesa 25.2 เพื่อให้ผู้ใช้ Linux ที่วางแผนจะใช้ Panther Lake ได้รับประโยชน์เต็มที่ โดย Intel ยังอยู่ระหว่างการปรับปรุงเสถียรภาพของ GPU ซึ่งยังพบปัญหา hang เป็นระยะในบางเกม ✅ จุดเด่นของการอัปเดต Panther Lake Xe3 ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเกมสูงสุด 18% จากการปรับ compiler บน Linux ➡️ ปรับปรุงการจัดการ thread และการวางตารางการทำงานของ shader compiler ➡️ แพตช์รวมอยู่ใน Mesa 25.3-devel และจะถูก backport ไปยัง Mesa 25.2 ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Xe3 และกระบวนการผลิต 18A node เป็นครั้งแรกของ Intel ✅ ผลการทดสอบและการใช้งานจริง ➡️ เกมที่ได้ผลดี ได้แก่ Hogwarts Legacy และ Warhammer ➡️ Cyberpunk 2077 ถูกตัดออกจากการทดสอบเนื่องจาก GPU hang ➡️ การ compile shader ใช้เวลานานขึ้น ~25% แต่ได้เฟรมเรตที่สูงขึ้น ➡️ เหมาะกับผู้ใช้ Linux ที่ต้องการประสิทธิภาพกราฟิกสูงในเกม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Panther Lake เป็น Core Ultra Series 3 รุ่นใหม่ที่เตรียมเปิดตัวปลายปีนี้ ➡️ Xe3 เป็นการต่อยอดจาก Xe-LP และ Xe-HPG โดยเน้นประสิทธิภาพแบบฝังตัว ➡️ การใช้ 18A node เป็นก้าวสำคัญของ Intel ในการแข่งขันกับ TSMC และ Samsung ➡️ Windows ยังไม่มีผลการทดสอบที่เปิดเผย เนื่องจาก driver เป็น proprietary https://wccftech.com/intel-panther-lake-xe3-graphics-platform-witnesses-up-to-18-better-higher-performance/
    WCCFTECH.COM
    Intel's Panther Lake 'Xe3' Graphics Platform Witnesses Up To 18% Higher Gaming Performance, Courtesy of Few Optimizations
    Intel is preparing for Panther Lake launch and has released a new set of Linux-based optimizations that have boosted gaming performance.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 123 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Oboe เปิดตัวแพลตฟอร์มเรียนรู้ด้วย AI — สร้างคอร์สได้ทันทีจากแค่คำถามเดียว”

    Oboe คือแพลตฟอร์มการเรียนรู้ด้วย AI ที่เพิ่งเปิดตัวโดยผู้ร่วมก่อตั้ง Anchor ซึ่งเคยขายกิจการให้ Spotify ไปก่อนหน้านี้ โดยมีเป้าหมายในการเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ให้สนุก ยืดหยุ่น และเป็นส่วนตัวมากขึ้น ผู้ใช้สามารถสร้างคอร์สเรียนรู้ได้ทันทีจากแค่การพิมพ์คำถามหรือหัวข้อที่สนใจ เช่น “ประวัติของข้าว” หรือ “วิธีออกเสียง pain au chocolat” แล้วระบบจะสร้างบทเรียนที่ประกอบด้วยบทความ เสียงพอดแคสต์ เกม และแบบทดสอบให้ทันที

    Oboe ใช้สถาปัตยกรรม AI แบบ multi-agent ที่ซับซ้อน โดยแต่ละ agent ทำหน้าที่เฉพาะ เช่น สร้างโครงสร้างบทเรียน เขียนสคริปต์พอดแคสต์ ดึงภาพจริงจากอินเทอร์เน็ต และตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหา ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในไม่กี่วินาที ทำให้ผู้ใช้สามารถเริ่มเรียนรู้ได้ทันทีโดยไม่ต้องรอ

    แพลตฟอร์มนี้มีรูปแบบการเรียนรู้ให้เลือกถึง 9 แบบ เช่น บทความเชิงลึก พอดแคสต์แบบสนทนา เกม Word Quest ที่คล้าย Wordle และแบบทดสอบที่ออกแบบให้เบาสมองและเหมาะกับผู้เรียนแต่ละคน โดยไม่มีโฆษณาแทรก และมีระบบแนะนำคอร์สต่อเนื่องตามหัวข้อที่เรียนจบ

    Oboe เปิดให้สร้างคอร์สฟรีได้ 5 ครั้ง และมีแผนสมาชิกแบบเสียเงินสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างคอร์สเพิ่มถึง 30 หรือ 100 คอร์สต่อเดือน เหมาะกับทั้งผู้เรียนทั่วไปและผู้จัดการเรียนการสอนแบบโฮมสคูล

    จุดเด่นของแพลตฟอร์ม Oboe
    สร้างคอร์สเรียนรู้ได้ทันทีจากคำถามหรือหัวข้อใดก็ได้
    ใช้ AI แบบ multi-agent ที่ทำงานแบบขนานเพื่อสร้างเนื้อหาอย่างรวดเร็ว
    มีรูปแบบการเรียนรู้ให้เลือกถึง 9 แบบ เช่น บทความ เสียง เกม และแบบทดสอบ
    ไม่มีโฆษณา และมีระบบแนะนำคอร์สต่อเนื่องตามความสนใจ

    ความสามารถของระบบ AI
    agent แต่ละตัวรับผิดชอบด้านต่าง ๆ เช่น เขียนสคริปต์ ดึงภาพจริง ตรวจสอบเนื้อหา
    ใช้ภาพจริงจากอินเทอร์เน็ต ไม่ใช่ภาพที่สร้างจาก AI
    ตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาเพื่อป้องกันข้อผิดพลาด
    สร้างคอร์สได้ภายในไม่กี่วินาที — เหมาะกับการเรียนรู้แบบทันใจ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ผู้ก่อตั้งเคยมีบทบาทสำคัญในการพัฒนา Spotify audiobooks
    Oboe ได้รับเงินลงทุนกว่า $4 ล้านจาก Eniac Ventures
    มีระบบพอดแคสต์แบบสนทนา 2 คน คล้าย Google NotebookLM
    เหมาะกับผู้เรียนทั่วไป นักเรียน นักวิจัย หรือผู้จัดการเรียนการสอน

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/gemini/oboe-just-launched-its-an-ai-powered-platform-that-helps-you-learn-anything
    🎓 “Oboe เปิดตัวแพลตฟอร์มเรียนรู้ด้วย AI — สร้างคอร์สได้ทันทีจากแค่คำถามเดียว” Oboe คือแพลตฟอร์มการเรียนรู้ด้วย AI ที่เพิ่งเปิดตัวโดยผู้ร่วมก่อตั้ง Anchor ซึ่งเคยขายกิจการให้ Spotify ไปก่อนหน้านี้ โดยมีเป้าหมายในการเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ให้สนุก ยืดหยุ่น และเป็นส่วนตัวมากขึ้น ผู้ใช้สามารถสร้างคอร์สเรียนรู้ได้ทันทีจากแค่การพิมพ์คำถามหรือหัวข้อที่สนใจ เช่น “ประวัติของข้าว” หรือ “วิธีออกเสียง pain au chocolat” แล้วระบบจะสร้างบทเรียนที่ประกอบด้วยบทความ เสียงพอดแคสต์ เกม และแบบทดสอบให้ทันที Oboe ใช้สถาปัตยกรรม AI แบบ multi-agent ที่ซับซ้อน โดยแต่ละ agent ทำหน้าที่เฉพาะ เช่น สร้างโครงสร้างบทเรียน เขียนสคริปต์พอดแคสต์ ดึงภาพจริงจากอินเทอร์เน็ต และตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหา ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในไม่กี่วินาที ทำให้ผู้ใช้สามารถเริ่มเรียนรู้ได้ทันทีโดยไม่ต้องรอ แพลตฟอร์มนี้มีรูปแบบการเรียนรู้ให้เลือกถึง 9 แบบ เช่น บทความเชิงลึก พอดแคสต์แบบสนทนา เกม Word Quest ที่คล้าย Wordle และแบบทดสอบที่ออกแบบให้เบาสมองและเหมาะกับผู้เรียนแต่ละคน โดยไม่มีโฆษณาแทรก และมีระบบแนะนำคอร์สต่อเนื่องตามหัวข้อที่เรียนจบ Oboe เปิดให้สร้างคอร์สฟรีได้ 5 ครั้ง และมีแผนสมาชิกแบบเสียเงินสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างคอร์สเพิ่มถึง 30 หรือ 100 คอร์สต่อเดือน เหมาะกับทั้งผู้เรียนทั่วไปและผู้จัดการเรียนการสอนแบบโฮมสคูล ✅ จุดเด่นของแพลตฟอร์ม Oboe ➡️ สร้างคอร์สเรียนรู้ได้ทันทีจากคำถามหรือหัวข้อใดก็ได้ ➡️ ใช้ AI แบบ multi-agent ที่ทำงานแบบขนานเพื่อสร้างเนื้อหาอย่างรวดเร็ว ➡️ มีรูปแบบการเรียนรู้ให้เลือกถึง 9 แบบ เช่น บทความ เสียง เกม และแบบทดสอบ ➡️ ไม่มีโฆษณา และมีระบบแนะนำคอร์สต่อเนื่องตามความสนใจ ✅ ความสามารถของระบบ AI ➡️ agent แต่ละตัวรับผิดชอบด้านต่าง ๆ เช่น เขียนสคริปต์ ดึงภาพจริง ตรวจสอบเนื้อหา ➡️ ใช้ภาพจริงจากอินเทอร์เน็ต ไม่ใช่ภาพที่สร้างจาก AI ➡️ ตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาเพื่อป้องกันข้อผิดพลาด ➡️ สร้างคอร์สได้ภายในไม่กี่วินาที — เหมาะกับการเรียนรู้แบบทันใจ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ผู้ก่อตั้งเคยมีบทบาทสำคัญในการพัฒนา Spotify audiobooks ➡️ Oboe ได้รับเงินลงทุนกว่า $4 ล้านจาก Eniac Ventures ➡️ มีระบบพอดแคสต์แบบสนทนา 2 คน คล้าย Google NotebookLM ➡️ เหมาะกับผู้เรียนทั่วไป นักเรียน นักวิจัย หรือผู้จัดการเรียนการสอน https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/gemini/oboe-just-launched-its-an-ai-powered-platform-that-helps-you-learn-anything
    WWW.TECHRADAR.COM
    Oboe's AI makes everyday curiosity into interactive lessons.
    Choose how you learn using everything from games to podcasts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Seagate ทุ่มงบ 135 ล้านดอลลาร์ พัฒนาเทคโนโลยีฮาร์ดดิสก์ 100TB — ดันไอร์แลนด์เหนือสู่ศูนย์กลางการวิจัยระดับโลก”

    ในยุคที่ข้อมูลกลายเป็นเชื้อเพลิงของ AI และเศรษฐกิจดิจิทัล Seagate ได้ประกาศลงทุนครั้งใหญ่กว่า 135 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ £115 ล้าน) เพื่อขยายศูนย์วิจัยในเมือง Derry/Londonderry ประเทศไอร์แลนด์เหนือ โดยมีเป้าหมายพัฒนาเทคโนโลยีฮาร์ดดิสก์ที่สามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 100TB ภายในปี 2030

    โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจาก Invest Northern Ireland ด้วยเงินทุนร่วมอีก £15 ล้าน และจะเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี photonics และระบบบันทึกแบบ Mozaic ซึ่งใช้เลเซอร์ช่วยในการเขียนข้อมูลลงบนจานแม่เหล็ก — แนวทางที่ช่วยเพิ่มความจุได้อย่างมหาศาลโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดของฮาร์ดดิสก์

    ปัจจุบันศูนย์วิจัยของ Seagate ในไอร์แลนด์เหนือผลิตหัวอ่านข้อมูลมากกว่าหนึ่งในสี่ของโลก และเป็นศูนย์กลางการวิจัยด้านเลเซอร์ที่สำคัญสำหรับฮาร์ดดิสก์รุ่นถัดไป โดยโครงการใหม่นี้จะช่วยสร้างงานวิจัยและงานผลิตที่มีทักษะสูง พร้อมเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานในท้องถิ่น

    John Morris, CTO ของ Seagate กล่าวว่า “ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วย AI ปริมาณข้อมูลไม่เพียงแต่เพิ่มขึ้น — แต่คุณค่าของข้อมูลก็เปลี่ยนไป เราต้องการโซลูชันการจัดเก็บที่ไม่เพียงใหญ่ แต่ต้องเชื่อถือได้ ทนทาน และขยายได้”

    รายละเอียดการลงทุนของ Seagate
    ลงทุนรวม 135 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ £115 ล้าน) ในศูนย์วิจัยที่ไอร์แลนด์เหนือ
    ได้รับเงินสนับสนุนจาก Invest NI จำนวน £15 ล้าน
    เน้นการพัฒนาเทคโนโลยี Mozaic และ photonics สำหรับฮาร์ดดิสก์
    เป้าหมายคือฮาร์ดดิสก์ขนาด 100TB ภายในปี 2030

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและท้องถิ่น
    สร้างงานวิจัยและงานผลิตที่มีทักษะสูงในภูมิภาค
    เสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานผ่านการจัดซื้อวัสดุและบริการในท้องถิ่น
    เพิ่มความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยผ่านโครงการ Smart Nano NI Consortium
    ผลักดันไอร์แลนด์เหนือเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมด้านการจัดเก็บข้อมูล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่ยังคงมีบทบาทสำคัญในศูนย์ข้อมูลระดับ exabyte
    เทคโนโลยี Mozaic ใช้ plasmonic transducer และ waveguide เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการเขียนข้อมูล
    SSD แม้จะเร็วกว่า แต่ยังมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและความจุเมื่อเทียบกับ HDD
    ตลาดจัดเก็บข้อมูลเติบโตจากความต้องการของ AI, cloud และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่

    https://www.techradar.com/pro/seagate-invests-usd135-million-in-its-european-photonic-center-to-deliver-100tb-hard-drives-by-2030
    💽 “Seagate ทุ่มงบ 135 ล้านดอลลาร์ พัฒนาเทคโนโลยีฮาร์ดดิสก์ 100TB — ดันไอร์แลนด์เหนือสู่ศูนย์กลางการวิจัยระดับโลก” ในยุคที่ข้อมูลกลายเป็นเชื้อเพลิงของ AI และเศรษฐกิจดิจิทัล Seagate ได้ประกาศลงทุนครั้งใหญ่กว่า 135 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ £115 ล้าน) เพื่อขยายศูนย์วิจัยในเมือง Derry/Londonderry ประเทศไอร์แลนด์เหนือ โดยมีเป้าหมายพัฒนาเทคโนโลยีฮาร์ดดิสก์ที่สามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 100TB ภายในปี 2030 โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจาก Invest Northern Ireland ด้วยเงินทุนร่วมอีก £15 ล้าน และจะเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี photonics และระบบบันทึกแบบ Mozaic ซึ่งใช้เลเซอร์ช่วยในการเขียนข้อมูลลงบนจานแม่เหล็ก — แนวทางที่ช่วยเพิ่มความจุได้อย่างมหาศาลโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดของฮาร์ดดิสก์ ปัจจุบันศูนย์วิจัยของ Seagate ในไอร์แลนด์เหนือผลิตหัวอ่านข้อมูลมากกว่าหนึ่งในสี่ของโลก และเป็นศูนย์กลางการวิจัยด้านเลเซอร์ที่สำคัญสำหรับฮาร์ดดิสก์รุ่นถัดไป โดยโครงการใหม่นี้จะช่วยสร้างงานวิจัยและงานผลิตที่มีทักษะสูง พร้อมเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานในท้องถิ่น John Morris, CTO ของ Seagate กล่าวว่า “ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วย AI ปริมาณข้อมูลไม่เพียงแต่เพิ่มขึ้น — แต่คุณค่าของข้อมูลก็เปลี่ยนไป เราต้องการโซลูชันการจัดเก็บที่ไม่เพียงใหญ่ แต่ต้องเชื่อถือได้ ทนทาน และขยายได้” ✅ รายละเอียดการลงทุนของ Seagate ➡️ ลงทุนรวม 135 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ £115 ล้าน) ในศูนย์วิจัยที่ไอร์แลนด์เหนือ ➡️ ได้รับเงินสนับสนุนจาก Invest NI จำนวน £15 ล้าน ➡️ เน้นการพัฒนาเทคโนโลยี Mozaic และ photonics สำหรับฮาร์ดดิสก์ ➡️ เป้าหมายคือฮาร์ดดิสก์ขนาด 100TB ภายในปี 2030 ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและท้องถิ่น ➡️ สร้างงานวิจัยและงานผลิตที่มีทักษะสูงในภูมิภาค ➡️ เสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานผ่านการจัดซื้อวัสดุและบริการในท้องถิ่น ➡️ เพิ่มความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยผ่านโครงการ Smart Nano NI Consortium ➡️ ผลักดันไอร์แลนด์เหนือเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมด้านการจัดเก็บข้อมูล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่ยังคงมีบทบาทสำคัญในศูนย์ข้อมูลระดับ exabyte ➡️ เทคโนโลยี Mozaic ใช้ plasmonic transducer และ waveguide เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการเขียนข้อมูล ➡️ SSD แม้จะเร็วกว่า แต่ยังมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและความจุเมื่อเทียบกับ HDD ➡️ ตลาดจัดเก็บข้อมูลเติบโตจากความต้องการของ AI, cloud และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ https://www.techradar.com/pro/seagate-invests-usd135-million-in-its-european-photonic-center-to-deliver-100tb-hard-drives-by-2030
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 151 มุมมอง 0 รีวิว
  • “SK hynix เปิดตัว HBM4 พร้อมผลิตจริง — หน่วยความจำ AI ที่เร็วที่สุดในโลก พร้อมลดพลังงานศูนย์ข้อมูล”

    SK hynix ประกาศความสำเร็จในการพัฒนาและเตรียมการผลิตหน่วยความจำ HBM4 เป็นรายแรกของโลกเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2025 โดยชิปนี้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับงานประมวลผล AI ที่ต้องการความเร็วสูงและประสิทธิภาพด้านพลังงานอย่างเข้มข้น โดยถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยปลดล็อกข้อจำกัดของโครงสร้างพื้นฐาน AI ในปัจจุบัน

    HBM4 มีการปรับปรุงครั้งใหญ่จากรุ่นก่อนหน้า โดยเพิ่มจำนวนช่องสัญญาณ I/O เป็น 2,048 ช่อง — มากกว่ารุ่น HBM3E ถึงสองเท่า ส่งผลให้แบนด์วิดธ์เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และประสิทธิภาพด้านพลังงานดีขึ้นกว่าเดิมถึง 40% ซึ่งช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลได้อย่างมีนัยสำคัญ

    SK hynix ระบุว่า HBM4 สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของบริการ AI ได้สูงสุดถึง 69% และมีความเร็วในการทำงานเกินมาตรฐาน JEDEC ที่ 8 Gbps โดยสามารถทำงานได้มากกว่า 10 Gbps ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงที่สุดในอุตสาหกรรม ณ ขณะนี้

    นอกจากนี้ยังใช้กระบวนการผลิตขั้นสูง MR-MUF (Mass Reflow Molded Underfill) และเทคโนโลยี 1bnm ซึ่งเป็นเจเนอเรชันที่ 5 ของกระบวนการ 10 นาโนเมตร เพื่อเพิ่มความเสถียรในการผลิตและลดความเสี่ยงจากการบิดตัวของชิปที่ซ้อนกันหลายชั้น

    การเปิดตัว HBM4 ส่งผลให้หุ้นของ SK hynix พุ่งขึ้นทันทีเกือบ 6% และสร้างความเชื่อมั่นว่า SK hynix จะกลายเป็นผู้นำด้านหน่วยความจำสำหรับยุค AI อย่างแท้จริง

    จุดเด่นของ HBM4 จาก SK hynix
    เป็นหน่วยความจำรุ่นใหม่สำหรับงาน AI ที่มีแบนด์วิดธ์สูงและประหยัดพลังงาน
    เพิ่มจำนวนช่องสัญญาณ I/O เป็น 2,048 ช่อง — มากกว่ารุ่นก่อนหน้า 2 เท่า
    ประสิทธิภาพด้านพลังงานดีขึ้นกว่าเดิม 40%
    เพิ่มประสิทธิภาพของบริการ AI ได้สูงสุดถึง 69%

    เทคโนโลยีการผลิตและมาตรฐาน
    ใช้กระบวนการ MR-MUF เพื่อควบคุมการบิดตัวและระบายความร้อน
    ใช้เทคโนโลยี 1bnm (เจเนอเรชันที่ 5 ของ 10nm) เพื่อเพิ่มความเสถียรในการผลิต
    ความเร็วในการทำงานเกิน 10 Gbps — สูงกว่ามาตรฐาน JEDEC ที่ 8 Gbps
    พร้อมเข้าสู่การผลิตเชิงพาณิชย์แล้วในโรงงานที่อินชอน ประเทศเกาหลีใต้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    HBM4 เป็นรุ่นที่ 6 ต่อจาก HBM, HBM2, HBM2E, HBM3 และ HBM3E
    ใช้ใน GPU และ AI accelerator รุ่นใหม่จาก NVIDIA และ AMD
    ตลาดหน่วยความจำ AI เติบโตอย่างรวดเร็วจากความต้องการของศูนย์ข้อมูล
    SK hynix แซง Samsung ขึ้นเป็นผู้นำด้าน DRAM ในไตรมาสล่าสุด

    https://www.techpowerup.com/340924/sk-hynix-completes-worlds-first-hbm4-development-and-readies-mass-production
    🚀 “SK hynix เปิดตัว HBM4 พร้อมผลิตจริง — หน่วยความจำ AI ที่เร็วที่สุดในโลก พร้อมลดพลังงานศูนย์ข้อมูล” SK hynix ประกาศความสำเร็จในการพัฒนาและเตรียมการผลิตหน่วยความจำ HBM4 เป็นรายแรกของโลกเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2025 โดยชิปนี้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับงานประมวลผล AI ที่ต้องการความเร็วสูงและประสิทธิภาพด้านพลังงานอย่างเข้มข้น โดยถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยปลดล็อกข้อจำกัดของโครงสร้างพื้นฐาน AI ในปัจจุบัน HBM4 มีการปรับปรุงครั้งใหญ่จากรุ่นก่อนหน้า โดยเพิ่มจำนวนช่องสัญญาณ I/O เป็น 2,048 ช่อง — มากกว่ารุ่น HBM3E ถึงสองเท่า ส่งผลให้แบนด์วิดธ์เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และประสิทธิภาพด้านพลังงานดีขึ้นกว่าเดิมถึง 40% ซึ่งช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลได้อย่างมีนัยสำคัญ SK hynix ระบุว่า HBM4 สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของบริการ AI ได้สูงสุดถึง 69% และมีความเร็วในการทำงานเกินมาตรฐาน JEDEC ที่ 8 Gbps โดยสามารถทำงานได้มากกว่า 10 Gbps ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงที่สุดในอุตสาหกรรม ณ ขณะนี้ นอกจากนี้ยังใช้กระบวนการผลิตขั้นสูง MR-MUF (Mass Reflow Molded Underfill) และเทคโนโลยี 1bnm ซึ่งเป็นเจเนอเรชันที่ 5 ของกระบวนการ 10 นาโนเมตร เพื่อเพิ่มความเสถียรในการผลิตและลดความเสี่ยงจากการบิดตัวของชิปที่ซ้อนกันหลายชั้น การเปิดตัว HBM4 ส่งผลให้หุ้นของ SK hynix พุ่งขึ้นทันทีเกือบ 6% และสร้างความเชื่อมั่นว่า SK hynix จะกลายเป็นผู้นำด้านหน่วยความจำสำหรับยุค AI อย่างแท้จริง ✅ จุดเด่นของ HBM4 จาก SK hynix ➡️ เป็นหน่วยความจำรุ่นใหม่สำหรับงาน AI ที่มีแบนด์วิดธ์สูงและประหยัดพลังงาน ➡️ เพิ่มจำนวนช่องสัญญาณ I/O เป็น 2,048 ช่อง — มากกว่ารุ่นก่อนหน้า 2 เท่า ➡️ ประสิทธิภาพด้านพลังงานดีขึ้นกว่าเดิม 40% ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพของบริการ AI ได้สูงสุดถึง 69% ✅ เทคโนโลยีการผลิตและมาตรฐาน ➡️ ใช้กระบวนการ MR-MUF เพื่อควบคุมการบิดตัวและระบายความร้อน ➡️ ใช้เทคโนโลยี 1bnm (เจเนอเรชันที่ 5 ของ 10nm) เพื่อเพิ่มความเสถียรในการผลิต ➡️ ความเร็วในการทำงานเกิน 10 Gbps — สูงกว่ามาตรฐาน JEDEC ที่ 8 Gbps ➡️ พร้อมเข้าสู่การผลิตเชิงพาณิชย์แล้วในโรงงานที่อินชอน ประเทศเกาหลีใต้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ HBM4 เป็นรุ่นที่ 6 ต่อจาก HBM, HBM2, HBM2E, HBM3 และ HBM3E ➡️ ใช้ใน GPU และ AI accelerator รุ่นใหม่จาก NVIDIA และ AMD ➡️ ตลาดหน่วยความจำ AI เติบโตอย่างรวดเร็วจากความต้องการของศูนย์ข้อมูล ➡️ SK hynix แซง Samsung ขึ้นเป็นผู้นำด้าน DRAM ในไตรมาสล่าสุด https://www.techpowerup.com/340924/sk-hynix-completes-worlds-first-hbm4-development-and-readies-mass-production
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    SK Hynix Completes World's First HBM4 Development and Readies Mass Production
    SK hynix Inc. announced today that it has completed development and finished preparation of HBM4, a next generation memory product for ultra-high performance AI, mass production for the world's first time. SK hynix said that the company has successfully completed development and based on this tec...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • “TCS เปิดตัวบริการออกแบบระบบด้วยชิปเลต — อินเดียเร่งเครื่องสู่ศูนย์กลางเซมิคอนดักเตอร์โลก”

    Tata Consultancy Services (TCS) บริษัทไอทีระดับโลกจากอินเดีย ประกาศเปิดตัวบริการใหม่ “Chiplet-Based System Engineering Services” เพื่อช่วยผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ออกแบบชิปยุคใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ต้นทุนต่ำลง และพร้อมตอบโจทย์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยใช้แนวคิด “ชิปเลต” ซึ่งเป็นวงจรขนาดเล็กที่สามารถประกอบรวมกันเป็นชิปขนาดใหญ่ได้ตามความต้องการ

    การเปิดตัวครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่อินเดียกำลังเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อย่างจริงจัง โดยมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 45–50 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024–2025 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 100–110 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ภายใต้การสนับสนุนจากรัฐบาลผ่านโครงการ India Semiconductor Mission มูลค่า ₹76,000 crore

    TCS ให้บริการออกแบบและตรวจสอบตามมาตรฐานอุตสาหกรรม เช่น UCIe (Universal Chiplet Interconnect Express) และ HBM (High Bandwidth Memory) รวมถึงการออกแบบแพ็กเกจขั้นสูงแบบ 2.5D และ 3D interposer ซึ่งช่วยให้สามารถรวมชิปหลายตัวเข้าด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านความเร็ว ความเสถียร และขนาดที่กะทัดรัด

    บริการใหม่นี้ยังช่วยให้บริษัทสามารถเร่ง tape-out หรือการส่งแบบชิปเข้าสู่กระบวนการผลิตได้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขันในตลาดที่ขับเคลื่อนด้วย AI, คลาวด์, สมาร์ตโฟน, รถยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์เชื่อมต่อ

    จุดเด่นของบริการ Chiplet-Based System Engineering จาก TCS
    ใช้แนวคิด “ชิปเลต” เพื่อออกแบบชิปที่ยืดหยุ่นและปรับแต่งได้ตามความต้องการ
    ช่วยเร่ง tape-out และลดต้นทุนการผลิตชิป
    รองรับมาตรฐาน UCIe และ HBM สำหรับการเชื่อมต่อและหน่วยความจำความเร็วสูง
    ให้บริการออกแบบแพ็กเกจขั้นสูง เช่น 2.5D และ 3D interposer

    บริบทของตลาดเซมิคอนดักเตอร์อินเดีย
    มูลค่าตลาดปี 2024–2025 อยู่ที่ $45–50 พันล้าน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น $100–110 พันล้านในปี 2030
    รัฐบาลสนับสนุนผ่านโครงการ India Semiconductor Mission มูลค่า ₹76,000 crore
    อินเดียมีวิศวกรออกแบบชิปคิดเป็น 20% ของโลก
    บริษัทต่างชาติเริ่มลงทุนตั้งโรงงานประกอบและออกแบบในอินเดีย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    แนวคิด chiplet-based design กำลังแทนที่การลดขนาดทรานซิสเตอร์แบบเดิม
    UCIe เป็นมาตรฐานเปิดที่ช่วยให้ชิปหลายตัวสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    HBM เป็นหน่วยความจำที่ใช้ใน GPU และ AI accelerator ที่ต้องการความเร็วสูง
    TCS เคยร่วมมือกับบริษัทในอเมริกาเหนือเพื่อเร่งการผลิต AI processor ด้วยแนวทางนี้

    คำเตือนและข้อจำกัด
    การออกแบบด้วยชิปเลตยังมีความซับซ้อนด้านการจัดการสัญญาณและความร้อน
    การรวมชิปต่างชนิดอาจเกิดปัญหาเรื่อง latency และความเข้ากันได้
    มาตรฐาน UCIe ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา — อาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
    บริษัทที่ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านแพ็กเกจขั้นสูงอาจไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มที่
    การแข่งขันในตลาดเซมิคอนดักเตอร์ยังสูงมาก — ต้องมีนวัตกรรมต่อเนื่องเพื่ออยู่รอด

    https://www.techpowerup.com/340896/tcs-unveils-chiplet-based-system-engineering-services-to-accelerate-semiconductor-innovation
    🔧 “TCS เปิดตัวบริการออกแบบระบบด้วยชิปเลต — อินเดียเร่งเครื่องสู่ศูนย์กลางเซมิคอนดักเตอร์โลก” Tata Consultancy Services (TCS) บริษัทไอทีระดับโลกจากอินเดีย ประกาศเปิดตัวบริการใหม่ “Chiplet-Based System Engineering Services” เพื่อช่วยผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ออกแบบชิปยุคใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ต้นทุนต่ำลง และพร้อมตอบโจทย์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยใช้แนวคิด “ชิปเลต” ซึ่งเป็นวงจรขนาดเล็กที่สามารถประกอบรวมกันเป็นชิปขนาดใหญ่ได้ตามความต้องการ การเปิดตัวครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่อินเดียกำลังเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อย่างจริงจัง โดยมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 45–50 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024–2025 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 100–110 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ภายใต้การสนับสนุนจากรัฐบาลผ่านโครงการ India Semiconductor Mission มูลค่า ₹76,000 crore TCS ให้บริการออกแบบและตรวจสอบตามมาตรฐานอุตสาหกรรม เช่น UCIe (Universal Chiplet Interconnect Express) และ HBM (High Bandwidth Memory) รวมถึงการออกแบบแพ็กเกจขั้นสูงแบบ 2.5D และ 3D interposer ซึ่งช่วยให้สามารถรวมชิปหลายตัวเข้าด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านความเร็ว ความเสถียร และขนาดที่กะทัดรัด บริการใหม่นี้ยังช่วยให้บริษัทสามารถเร่ง tape-out หรือการส่งแบบชิปเข้าสู่กระบวนการผลิตได้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขันในตลาดที่ขับเคลื่อนด้วย AI, คลาวด์, สมาร์ตโฟน, รถยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์เชื่อมต่อ ✅ จุดเด่นของบริการ Chiplet-Based System Engineering จาก TCS ➡️ ใช้แนวคิด “ชิปเลต” เพื่อออกแบบชิปที่ยืดหยุ่นและปรับแต่งได้ตามความต้องการ ➡️ ช่วยเร่ง tape-out และลดต้นทุนการผลิตชิป ➡️ รองรับมาตรฐาน UCIe และ HBM สำหรับการเชื่อมต่อและหน่วยความจำความเร็วสูง ➡️ ให้บริการออกแบบแพ็กเกจขั้นสูง เช่น 2.5D และ 3D interposer ✅ บริบทของตลาดเซมิคอนดักเตอร์อินเดีย ➡️ มูลค่าตลาดปี 2024–2025 อยู่ที่ $45–50 พันล้าน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น $100–110 พันล้านในปี 2030 ➡️ รัฐบาลสนับสนุนผ่านโครงการ India Semiconductor Mission มูลค่า ₹76,000 crore ➡️ อินเดียมีวิศวกรออกแบบชิปคิดเป็น 20% ของโลก ➡️ บริษัทต่างชาติเริ่มลงทุนตั้งโรงงานประกอบและออกแบบในอินเดีย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ แนวคิด chiplet-based design กำลังแทนที่การลดขนาดทรานซิสเตอร์แบบเดิม ➡️ UCIe เป็นมาตรฐานเปิดที่ช่วยให้ชิปหลายตัวสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ HBM เป็นหน่วยความจำที่ใช้ใน GPU และ AI accelerator ที่ต้องการความเร็วสูง ➡️ TCS เคยร่วมมือกับบริษัทในอเมริกาเหนือเพื่อเร่งการผลิต AI processor ด้วยแนวทางนี้ ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ การออกแบบด้วยชิปเลตยังมีความซับซ้อนด้านการจัดการสัญญาณและความร้อน ⛔ การรวมชิปต่างชนิดอาจเกิดปัญหาเรื่อง latency และความเข้ากันได้ ⛔ มาตรฐาน UCIe ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา — อาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ⛔ บริษัทที่ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านแพ็กเกจขั้นสูงอาจไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ ⛔ การแข่งขันในตลาดเซมิคอนดักเตอร์ยังสูงมาก — ต้องมีนวัตกรรมต่อเนื่องเพื่ออยู่รอด https://www.techpowerup.com/340896/tcs-unveils-chiplet-based-system-engineering-services-to-accelerate-semiconductor-innovation
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    TCS Unveils Chiplet-Based System Engineering Services to Accelerate Semiconductor Innovation
    Tata Consultancy Services a global leader in IT services, consulting, and business solutions, announced the launch of its Chiplet-based System Engineering Services, designed to help semiconductor companies push the boundaries of traditional chip design. By using chiplets (which are small integrated ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Intel ปลุกชีพ Comet Lake อีกครั้งในปี 2025 — เปิดตัว Core i5-110 บนสถาปัตยกรรม 14nm+++ ที่ไม่มีอะไรใหม่เลย”

    ในยุคที่โลกกำลังมุ่งหน้าสู่ชิปขนาดเล็กระดับ 3 นาโนเมตร Intel กลับสร้างความประหลาดใจด้วยการเปิดตัว Core i5-110 ซึ่งเป็นการนำชิป Comet Lake จากปี 2020 กลับมารีแบรนด์ใหม่ในชื่อ Core Series 1 โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทั้งด้านสเปกหรือเทคโนโลยีการผลิต

    Core i5-110 ใช้สถาปัตยกรรม Skylake บนกระบวนการผลิต 14nm+++ มี 6 คอร์ 12 เธรด ความเร็วพื้นฐาน 2.9 GHz และบูสต์สูงสุด 4.3 GHz พร้อมแคช L3 ขนาด 12MB และ TDP 65W ซึ่งเหมือนกับ Core i5-10400 ทุกประการ แม้แต่กราฟิกในตัวก็ยังเป็น Intel UHD 630 ตัวเดิม

    Intel เปิดตัวชิปนี้ในไตรมาส 3 ปี 2025 โดยวางราคาไว้ที่ $200 เท่ากับราคาตอนเปิดตัว Core i5-10400 เมื่อ 5 ปีก่อน ซึ่งสร้างคำถามว่า “นี่คือการรีแบรนด์เพื่ออะไร?” เพราะ LGA1200 ซึ่งเป็นซ็อกเก็ตที่รองรับชิปนี้ก็ถูกแทนที่ไปแล้วถึงสองรุ่น

    แม้ Intel จะพยายามรวมชิปนี้ไว้ใน Core Series 1 ซึ่งเดิมใช้กับ Raptor Lake แบบฝังตัวและโน้ตบุ๊ก แต่การนำชิปเก่ากลับมาโดยไม่มีการปรับปรุงใด ๆ ทำให้หลายฝ่ายมองว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่ไร้เหตุผล และอาจสร้างความสับสนให้กับผู้บริโภค

    รายละเอียดของ Core i5-110
    เปิดตัวในไตรมาส 3 ปี 2025 บนสถาปัตยกรรม Comet Lake (Skylake)
    ใช้กระบวนการผลิต 14nm+++ แบบเดิมจากปี 2020
    สเปกเหมือนกับ Core i5-10400 ทุกประการ: 6 คอร์ 12 เธรด, 2.9–4.3 GHz, 12MB L3 cache
    รองรับ LGA1200 และเมนบอร์ดซีรีส์ 400/500

    การรีแบรนด์และการตลาด
    Intel รวมชิปนี้ไว้ใน Core Series 1 ซึ่งเดิมใช้กับ Raptor Lake แบบฝังตัว
    เปิดตัวพร้อมกับ Core 5 120 ซึ่งก็เป็นการรีแบรนด์เช่นกัน
    ไม่มีการปรับปรุงด้านประสิทธิภาพหรือฟีเจอร์ใหม่
    ราคาเปิดตัว $200 เท่ากับ Core i5-10400 เมื่อ 5 ปีก่อน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Comet Lake เป็นรุ่นที่ใช้สถาปัตยกรรม Skylake ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 2015
    ชิป 14nm+++ ควรมีต้นทุนการผลิตต่ำมากในปี 2025
    LGA1200 ถูกแทนที่ด้วย LGA1700 และ LGA1851 แล้ว
    ชิปใหม่อย่าง Arrow Lake และ Nova Lake ใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่าหลายเท่า

    คำเตือนและข้อจำกัด
    Core i5-110 เป็นการรีแบรนด์แบบไม่มีการปรับปรุงใด ๆ — ไม่ใช่ชิปรุ่นใหม่จริง
    LGA1200 เป็นซ็อกเก็ตที่เลิกใช้แล้ว — ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่มีเมนบอร์ดที่รองรับ
    ราคา $200 ถือว่าแพงเกินไปสำหรับชิปที่ไม่มีอะไรใหม่
    ไม่มีฟีเจอร์ใหม่ เช่น PCIe 5.0, DDR5 หรือ AI acceleration
    การรวมชิปเก่าไว้ในซีรีส์ใหม่อาจทำให้ผู้บริโภคสับสนเรื่องรุ่นและความสามารถ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intels-14nm-desktop-cpus-are-making-a-comeback-chipmaker-inexplicably-resurrects-comet-lake-from-five-years-ago-with-new-core-i5-110
    🧊 “Intel ปลุกชีพ Comet Lake อีกครั้งในปี 2025 — เปิดตัว Core i5-110 บนสถาปัตยกรรม 14nm+++ ที่ไม่มีอะไรใหม่เลย” ในยุคที่โลกกำลังมุ่งหน้าสู่ชิปขนาดเล็กระดับ 3 นาโนเมตร Intel กลับสร้างความประหลาดใจด้วยการเปิดตัว Core i5-110 ซึ่งเป็นการนำชิป Comet Lake จากปี 2020 กลับมารีแบรนด์ใหม่ในชื่อ Core Series 1 โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทั้งด้านสเปกหรือเทคโนโลยีการผลิต Core i5-110 ใช้สถาปัตยกรรม Skylake บนกระบวนการผลิต 14nm+++ มี 6 คอร์ 12 เธรด ความเร็วพื้นฐาน 2.9 GHz และบูสต์สูงสุด 4.3 GHz พร้อมแคช L3 ขนาด 12MB และ TDP 65W ซึ่งเหมือนกับ Core i5-10400 ทุกประการ แม้แต่กราฟิกในตัวก็ยังเป็น Intel UHD 630 ตัวเดิม Intel เปิดตัวชิปนี้ในไตรมาส 3 ปี 2025 โดยวางราคาไว้ที่ $200 เท่ากับราคาตอนเปิดตัว Core i5-10400 เมื่อ 5 ปีก่อน ซึ่งสร้างคำถามว่า “นี่คือการรีแบรนด์เพื่ออะไร?” เพราะ LGA1200 ซึ่งเป็นซ็อกเก็ตที่รองรับชิปนี้ก็ถูกแทนที่ไปแล้วถึงสองรุ่น แม้ Intel จะพยายามรวมชิปนี้ไว้ใน Core Series 1 ซึ่งเดิมใช้กับ Raptor Lake แบบฝังตัวและโน้ตบุ๊ก แต่การนำชิปเก่ากลับมาโดยไม่มีการปรับปรุงใด ๆ ทำให้หลายฝ่ายมองว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่ไร้เหตุผล และอาจสร้างความสับสนให้กับผู้บริโภค ✅ รายละเอียดของ Core i5-110 ➡️ เปิดตัวในไตรมาส 3 ปี 2025 บนสถาปัตยกรรม Comet Lake (Skylake) ➡️ ใช้กระบวนการผลิต 14nm+++ แบบเดิมจากปี 2020 ➡️ สเปกเหมือนกับ Core i5-10400 ทุกประการ: 6 คอร์ 12 เธรด, 2.9–4.3 GHz, 12MB L3 cache ➡️ รองรับ LGA1200 และเมนบอร์ดซีรีส์ 400/500 ✅ การรีแบรนด์และการตลาด ➡️ Intel รวมชิปนี้ไว้ใน Core Series 1 ซึ่งเดิมใช้กับ Raptor Lake แบบฝังตัว ➡️ เปิดตัวพร้อมกับ Core 5 120 ซึ่งก็เป็นการรีแบรนด์เช่นกัน ➡️ ไม่มีการปรับปรุงด้านประสิทธิภาพหรือฟีเจอร์ใหม่ ➡️ ราคาเปิดตัว $200 เท่ากับ Core i5-10400 เมื่อ 5 ปีก่อน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Comet Lake เป็นรุ่นที่ใช้สถาปัตยกรรม Skylake ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 2015 ➡️ ชิป 14nm+++ ควรมีต้นทุนการผลิตต่ำมากในปี 2025 ➡️ LGA1200 ถูกแทนที่ด้วย LGA1700 และ LGA1851 แล้ว ➡️ ชิปใหม่อย่าง Arrow Lake และ Nova Lake ใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่าหลายเท่า ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ Core i5-110 เป็นการรีแบรนด์แบบไม่มีการปรับปรุงใด ๆ — ไม่ใช่ชิปรุ่นใหม่จริง ⛔ LGA1200 เป็นซ็อกเก็ตที่เลิกใช้แล้ว — ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่มีเมนบอร์ดที่รองรับ ⛔ ราคา $200 ถือว่าแพงเกินไปสำหรับชิปที่ไม่มีอะไรใหม่ ⛔ ไม่มีฟีเจอร์ใหม่ เช่น PCIe 5.0, DDR5 หรือ AI acceleration ⛔ การรวมชิปเก่าไว้ในซีรีส์ใหม่อาจทำให้ผู้บริโภคสับสนเรื่องรุ่นและความสามารถ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intels-14nm-desktop-cpus-are-making-a-comeback-chipmaker-inexplicably-resurrects-comet-lake-from-five-years-ago-with-new-core-i5-110
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 117 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts