• เรื่อง เตียงหัก
    ” เตียงหัก !”

    (1)

    หลังจากที่กษัตริย์อับดุลลาแห่งซาอุดิอารเบีย สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 23 มกราคม ค.ศ.2015
    มงกุฏราชกุมาร เจ้าชายซาลมาน ซึ่งเป็นน้องชายก็ขึ้นครองบัลลังก์ต่อ เป็นช่วงที่ตะวันออกกลางกำลังแดดร้อน ลมพัดแรง จะถึงกับมีพายุทะเลทรายหรือไม่ น่าเป็นห่วง

    เยเมน ที่อยู่ทางใต้ของซาอุดิ กำลังวุ่นวายเกิดศึกชิงเก้าอี้กัน ทางเหนือหน่อไอซิสยังไม่หยุดงอกทั้งพันธุ์แท้ พันธุ์เทียม และกลายพันธุ์ ทั้งที่อิรัคและที่ซีเรีย ส่วนความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านชื่ออิสราเอล ก็ยังบูดเหมือนเดิม ไม่มีทีท่าว่าจะมองหน้าและยิ้มให้กันได้ แต่ที่น่าเป็นห่วงกว่าเพื่อน น่าจะเป็นเรื่องอิหร่าน ซึ่งถึงจะอยู่ห่างกันคนละฟาก แต่ซาอุดิก็เห็นอิหร่านเป็นคู่แข่งรัศมี ชิงความเป็นพี่ใหญ่ในตะวันออกกลางกันมาตลอด

    อิหร่านกำลังก้มหน้าก้มตาพัฒนาระบบนิวเคลียร์ ที่อ้างว่าไม่ไช่เป็นอาวุธนะ อย่าเข้าใจผิด แต่ถึงอย่างนั้น ซาอุดิก็หงุดหงิด ไม่พอใจ จะพอใจได้ยังไง ก็ตัวเองยังไม่มีนิวเคลียร์กับ เขาสักลูก แถมอาวุธที่มีอยู่ ยังต้องกัดฟันซื้อ โดยเฉพาะจากอเมริกา นึกว่าเขาให้ฟรีๆหรือ เปล่าหรอก แค่ลดราคาให้เท่านั้นเอง เค็มชะมัด แบบนี้ไม่หงุดหงิดได้ไง

    แต่ที่ไม่พอใจมากที่สุด คือไม่พอใจในอากัปกริยา ท่าทีของอเมริกา มากกว่า

    ซาอุดิอารเบียกับอเมริกา มีความสัมพันธ์ยาวนาน และแข็งแรงอย่างเป็นทางการมาประมาณ 70 ปีแล้ว ตั้งแต่ประธานาธิบดี Franklin D Roosevelt กับกษัตริย์ Abd al-Aziz ibn Sa’ud ผู้ก่อตั้งราชอาณาจักรซาอุดิอารเบีย นั่งจับมือกันบนเรือรบ USS Quincy เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1945

    แต่ในความเป็นจริง ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ จะแข็งแรงมากน้อยขนาดไหนไม่มีใครรู้ดี มีนักวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของ ทั้ง 2 ประเทศ อุปมาไว้น่าฟังว่า มันเหมือนการแต่งงาน เพื่อความเหมาะสม a marriage for convenience ไม่ใช่มาจากรักแรกพบ หรือรักแบบดูดดื่มฝังใจ เพาะบ่มรอกันมา 20 ปี

    เมื่อเป็นการแต่งงาน เพื่อความเหมาะสม จะให้หวือหวา หวานชื่นกันตลอด คงเป็นไปไม่ได้ มันคงจะเป็นประเภท ต่างก็ยี่ต๊อกใส่กันว่า ฉันได้มากกว่าเสีย หรือเธอได้มากกว่าฉันหรือเปล่า ทำนองนั้น เรื่องอะไรที่ไม่พอใจ ตราบใดที่บัญชีของทั้ง 2 ฝ่าย ยังไม่เป็นตัวแดง ก็ยังคงกล้อมแกล้ม กัดฟันอยู่กันต่อไป

    ตลอดการอยู่ร่วมกันของคู่แต่งงาน ซาอุดิฉุนจัดครั้งแรก ก็เมื่ออเมริกามีทีท่าว่าจะมีใจให้กับอิสราเอล สาวข้างบ้าน ที่อเมริกาให้การรับรองเมื่อปี ค.ศ.1948 แต่มันเป็นช่วงระหว่างการก่อร่างสร้างเมืองของซาอุดิ กษัตริย์ Abd al-Aziz จึงต้องกัดฟันมองไปทางอื่นแทน ขณะที่รอบข้างกดดันให้ยกเลิกสัมปทาน ที่ซาอุดิให้แก่ Aramco ของอเมริกาตั้งแต่ ค.ศ.1933
    หลังจากนั้น ก็มีเรื่องการสั่งห้ามซื้อขายน้ำมัน Oil Embargo ระหว่างกลุ่มค้าน้ำมันชาติอาหรับ กับกลุ่มตะวันตกในปี ค.ศ.1973-74 ซึ่งเป็นการเล่นกล หลอกต้มทั้งคนขายน้ำมันและคนใช้ น้ำมัน โดยพวกนักการเงินวอลสตรีท ที่จัดฉากโดยนาย Henry Kissinger ตัวแสบ ภายใต้การชักใยของ พวกโคตรรวย Rockefeller แต่เรื่องนี้มันก็ลงความเห็นยากว่า ฝ่ายไหนเสียมากกว่า ดูเหมือนจะเป็นมวยล้มต้มคนดู พวกที่เสียหายจริงๆ น่าจะเป็นพวกซื้อน้ำมัน จนแล้วยังทำซ่า อยากเป็นเสือตัวที่ห้ามากกว่า ไปอ่านรายละเอียดได้ จากนิทานเรื่องมายากลยุทธนะครับ

    ซาอุดิ เริ่มขัดใจจริงๆ น่าจะเป็นเรื่องการบุกเข้าไปขยี้อิรัคของอเมริกา ไม่ใช่เพราะซาอุดิใจอ่อนสงสารอิรัคหรอก อย่าเข้าใจผิด แต่ซาอุดิเห็นว่า เป็นการทำให้ดุลยอำนาจในภูมิภาคเอียง ไปเข้าทางอิหร่านมากกว่า เพราะเป็นการเปิดทางให้อิหร่าน เข้าไปสนับสนุนกลุ่ม Nouri al-Maliki ขึ้นมามีอำนาจในอิรัค หลังจากซัดดัมถูกโค่น และทำให้อิรัคกับอิหร่าน ก็ใกล้เคียงกับการเป็นคอหอยกับลูกกระเดือกกันตั้งแต่บัดนั้น มันเป็นการเสริมบารมี เสริมกำลัง ให้กับอิหร่านมากขึ้น เกินกว่าที่ซาอุดิ จะไม่สนใจ

    แต่ที่เป็นหนามตำใจมาตลอด คือเรื่องสาวข้างบ้าน อิสราเอลนั่นแหละ ที่ทำให้ซาอุดิเห็นว่า อเมริกา ตาชั่งเอียงจนน่าเกลียด เรื่องนี้ไม่มีทางแก้แน่นอน ซาอุดิรู้ดีอยู่แก่ใจ มีแต่ทางเดินออก ซาอุดิจะกล้าเดินออกไหมเท่านั้น

    พอไปรวมกับเรื่องอียิปต์ ซึ่งซาอุดิเห็นว่า ขนาด Hosni Mubarak ผู้ซึ่งเป็นลูกหาบที่ซื่อสัตย์มาให้อเมริกา 30 กว่าปี อเมริกายังโยนทิ้งเฉย ปล่อยให้ Muslim Brotherhood มุสลิมหัวรุนแรงที่ไม่เอาพวกตะวัน ตก ขึ้นมาปกครองอียิปต์แทน แน่นอน ซาอุดิต้องหงุดหงิด กลุ้มใจ จนหน้าคล้ำหนักไปกว่าเดิม แบบนี้แปลว่าอะไร อเมริกาไม่สนใจหรือว่า มันจะยิ่งสร้างความไม่มั่นคงในตะวันออกกลางมากขึ้น เผลอๆ เรื่องแบบนี้อาจจะเกิดที่ซาอุดิก็ได้ อเมริกาปล่อยให้เป็นอย่านี้ได้อย่างไร

    เรื่องอิสราเอลยังแก้ไม่ออก เรื่องอียิปต์ดันมาเกิดขึ้นต่อ บวกกับเรื่องนิวเคลียร์ของอิหร่านที่ยังค้างคา นี่ยังมามีเรื่องซีเรียอีก เรื่องซีเรียที่ซาอุดิก็ไม่รัก เอะ เสี่ยซาอุรักใครมั่งนะ ชักสงสัย สู้กันมา3 ปีกว่าแล้ว เรื่องยังไม่จบเสียที ไอ้เจ้า Assad นี่มันทนทายาด แล้วอเมริกาก็ดันประกาศ (ในปี ค.ศ. 2013) ว่าจะไม่ใช้กองกำลังจัดการเรื่องซีเรีย โอ้ย กลุ้มใจโว้ย ยังถอนใจไม่หายเหนื่อย หน่อไอซิสก็ทะลี่งได้ปุ๋ยดี บานเต็มท้องทุ่งซีเรีย อิรัค นี่ถ้ามันดันชอบอากาศแถวซาอุดิ มางอกต่อแถวนี้ พวกซาอุดิจะเอาอยู่ไหม

    หงุดหงิดแล้ว ก็เลยพาลน้อยใจต่อ ซาอุดิน้อยใจ คิดหนัก คิดจริงจังคือ เรื่องอิหร่าน (อีกแล้ว) การเจรจา ระหว่างพวกตะวันตกกับอิหร่าน เรื่องการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน ซาอุดิมองว่า ถ้าการเจรจาเข้าทางอิหร่าน ตะวันออกกลาง โดยเฉพาะฝ่ายของซาอุดิจะเสียเปรียบ และอาจจะถึงเสียหายเลยทีเดียว ฝ่ายที่มีนิวเคลียร์ในตะวันออกกลาง คือฝ่ายที่มีอำนาจควบคุมอ่าวเปอร์เซีย รวมไปทั้งตะวันออกกลาง ที่สำคัญ ซาอุดิมองว่า การใช้วิธีเจรจากับอิหร่าน ดูเหมือนเป็นการเริ่มกลับมาสานสัมพันธ์ใหม่ระหว่างอเมริกากับอิหร่าน อย่าลืมว่าคู่นี้ เขาเคยเป็นคู่รัก คู่แค้นกันมาก่อน หรือถ่านไฟเก่ามันจะคุขึ้นมาใหม่ ?!?!

    (2)
    ตกลงอเมริกากำลัง “shifting away” หันเหไปจากสัมพันธ์พิเศษกับซาอุดิหรือ มันดูเหมือนมีอาการของการนอกใจ ที่มองเห็นได้จากทั้งฝ่ายซาอุดิและฝ่ายอเมริกาเอง

    ทางฝ่ายซาอุดินั้น อดีตหัวหน้าหน่วยงานข่าวกรอง และอดีตฑูตซาอุดิประจำอเมริกา Prince Bandar bin Sultan พูดตั้งแต่ปลายปี 2013 แล้วว่า ทางซาอุดิอาจจะมีการเปลี่ยนแนวทางของความสัมพันธ์ ระหว่างซาอุดิกับอเมริกา เป็นการประท้วงอเมริกาที่ไม่ขยับอะไรเลย เกี่ยวกับเรื่องการรบในซีเรีย รวมทั้งการที่อเมริกามีท่าที เหมือนจะไปสานสัมพันธ์ใหม่กับอิหร่าน อ้อ เรื่องนี้เอง ที่มันคาใจคนนอนเตียงเดียวกัน

    คำพูดของ Prince Bandar คนเดียวคงไม่พอ Prince Turki al-Faisal อดีตหัวหน้าสายลับ และฑูตซาอุดิประจำสหประชาชาติ ออกมาทำเสียงเข้มว่า นโยบายเกี่ยวกับซีเรีย ของนายโอบามา ฟังแล้วน่าเศร้าใจ พร้อมกับบอกว่า ข้อตกลงระหว่างรัสเซียกับอเมริกา เรื่องการห้ามมิให้ Assad ใช้อาวุธเคมี เป็นหลุมพรางล่อให้อเมริกาตกพลั่ก เขวไปจากการใช้กำลังทหารจัดการในซีเรีย

    เขาต่อว่ากันแรงดีนะครับ ไม่เหมือนสมันน้อย คำน้อยคำ ก็ไม่ค่อยจะกล้าออกมาพาดพิงถึงลูกพี่ เชื่องดีจัง ( ช ช้างสะกดนะครับ ไม่ใช่ ข ไข่ เดี๋ยวจะเข้าใจกันผิด ฮา)

    นักจัดรายการทีวีชาวอเมริกัน Fred Kaplan วิจารณ์ว่า คำพูดของฝ่ายซาอุดิในเรื่องนี้ เหมือน “game of high-way chicken” เขาเตือนนายโอบามาว่า ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไก่อาจหลุดมือ วิ่งหายไปได้ หรือโอบามาไม่สนใจ เพราะอเมริกากำลังตื่นเต้นกับการค้นพบพลังงานใหม่ ที่จะไม่ต้องพึ่งจมูกคนอื่นหายใจแล้ว หรือปล่อยให้ไก่วิ่งจนเหนื่อยก่อน

    หลังจากนั้น ขบวนการกดดันอเมริกาโดยกลุ่ม Gulf Cooperation Council (GCC) ลูกน้องคุณพี่ซาอุก็เกิดขึ้น นำโดยอาหรับอามิเรต และกาต้าร์เศรษฐีใหญ่ทั้งคู่ ออกโรงเดินสายคุยกับพวกถังความคิด Think Tank ของอเมริกา พร้อมเอาเงินบริจาคกล่องใหญ่ไปฝาก การลงทุนได้ผล ถังความคิดรีบออกรายงานทันที อเมริกาจะปล่อยให้พรรคพวกในตะวันออกกลาง แก้ไขปัญหาเรื่องซีเรียกับไอซิส โดยลำพังหรือ มันดูเหมือนอเมริกากำลังทิ้งเพื่อนที่มีความสัมพันธ์พิเศษนะ เพราะถ้าพวกเขาจัดการไม่ได้ คนที่จะตกที่นั่งลำบากคืออเมริกา แหม! นึกว่าถังความคิดชั้นนำระดับโลกจะสั่งไม่ได้ มีเงินจ่ายก็ใช้ได้ทั้งนั่นแหละครับ

    อเมริกา ถึงยังทิ้งกระบองยอดเพชร ที่อยู่ด้วยกันมานานถึง 70 ปี ไม่ลง

    นายโอบามา ทำหน้าชื่นไปหากษัตริย์ Abdullah เมื่อประมาณเดือนมีนาคมปีที่แล้ว หลังจากนั่งปรับความไม่เข้าใจกัน การแถลงข่าวภายหลังการปรับคลื่น สรุปว่าทั้ง 2 ฝ่าย มีการหารือกัน เรื่องซีเรีย เรื่องการป้องกันไม่ให้อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ การร่วมกันต่อต้านการก่อการร้าย และสนับสนุนการเจรจา เพื่อให้มีสันติภาพเกิดขึ้นในตะวันออกกลาง (จากการแถลงข่าวของ ทำเนียบขาว เมื่อ 28 มีนาคม 2014)
    เอกสารที่แจกในการแถลงข่าว บอกด้วยว่าซาอุดิอารเบีย เป็นลูกค้าต่างประเทศรายใหญ่ที่สุด ที่ซื้ออาวุธของอเมริกา U S Foreign Military Sales (FMS) คือประมาณ 97 พันล้านเหรียญ และอเมริกา ส่งสินค้าออกไปยังซาอุดิอารเบียในปี 2013 จำนวน 35 พันล้านเหรียญ และขณะนี้มีชาวซาอุดิ ประมาณ 8 หมื่นคน เรียนหนังสืออยู่ในอเมริกา

    อืม ดูเหมือนจะเป็นรายงาน ที่แปลงความสัมพันธ์เป็นตัวเงิน (รายได้) ของอเมริกา มากกว่าจะเป็นการให้ข้อมูล ที่ทำให้เกิดความเข้าใจกันมากขึ้น

    นอกจากนี้ การรายงานข่าวของสื่อในช่วงนั้น ยังสรุปไปทิศทางเดียวกันว่า แม้จะมีความเห็นไม่สอดคล้องกันทุกเรื่อง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับซาอุดิอารเบีย ก็ยังไม่ถึงขั้นแตกหัก not broken เตียงยังไม่หัก ไม่ชำรุดขาเตียงยังอยู่ครบดี ไม่ว่าจะเป็น การร่วมมือทางการต่อต้านผู้ก่อการร้าย การทหาร การธุรกิจและด้านยุทธศาสตร์ อู้ย พูดกันรู้เรื่องดีคร้าบ

    แต่ก็คงจะเร็วไป ที่จะสรุปว่าคู่นี่เขาจะยังมั่นคงกันดีตลอดไป เพราะมันก็ยังเห็นรอยร้าวค้างอยู่ และแม้จะยังไม่ถึงกับทำให้ซาอุดิอารเบีย แยกทางกับอเมริกา แต่ซาอุดิอารเบียก็บอกว่า ไม่ปิดทางตัวเองที่จะมองหาหุ้นส่วนรายใหม่เช่นเดียวกัน นโยบายไม่แทงม้าตัวเดียว ไม่ใช่มีแต่อเมริกาเท่านั้นที่เล่นเป็น เอะ แล้วใครนะที่ซาอุดิอารเบีย เริ่มเจรจาต้าอวยไว้

    (3)

    ถังความคิดตัวแสบ CSIS Think Tank ได้ออกรายงานการวิเคราะห์ The True Nature of the Saudi Succession “Crisis” วิกฤติตามธรรมชาติของการสืบสันตติวงศ์ของ Saudi เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2015 นี้ก่อนการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์ Abdullah ไม่นานนัก

    รายงานสรุปว่า กษัตริย์ Abdullah ได้เตรียมการล่วงหน้ามานานแล้วอย่างเรียบร้อยดี ทั้งเรื่องในพระราชวงศ์ เรื่องในประเทศ ทั้งด้านศาสนา และรัฐบาล รวมทั้งเรื่องการต่างประเทศ เท่าที่จะทำได้ แน่นอนหลายปัจจัย ยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตามดูความเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะต้องมีตามสภาพ….รายงานแจงค่อนข้างละเอียดว่า เตรียมการอะไร ใครเป็นใคร ตามประสา นิสัยเสือกทุกเรื่องของอเมริกา

    แต่ที่น่าจะสนใจคือ บางส่วนที่รายงานการวิคราะห์ดังกล่าวระบุถึง ซึ่งไม่ได้เกี่ยว หรือมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนกษัตริย์ผู้ปกครอง แต่เป็นเรื่องที่รายงานการวิเคราะห์ ระบุถึงสภาพสังคมของซาอุดิอารเบีย
    เป็นส่วนของรายงานที่บอกว่า ปี 2015 ซาอุดิจะมีประชากรประมาณ 27.8 ล้านคน ปี 2025 จะมี 31.9 ล้านคน และปี 2050 จะมีประชากร 40.3 ล้านคน ปัจจุบัน ซาอุดิอารเบียเป็นสังคมที่มีวัยรุ่นเป็นส่วนใหญ่ และอยู่ในวัยที่ต้องทำงานแต่ไม่ทำงาน โดยอยู่ด้วยสวัสดิการของรัฐ มีตลาดแรงงานประมาณ 8.4 ล้านคน แต่เป็นชาวซาอุดิเพียง 1.7 ล้านคน ที่ผ่านมา ซาอุดิรับมือกับวัยรุ่นจำนวนมากที่ไม่ทำงานได้พอสมควร เพราะที่ผ่านมา ราคาน้ำมันอยู่ในระดับที่สูงกว่าปัจจุบันมากมาย

    ขณะที่อัตราประชากรเพิ่ม และมีคนไม่ยอมทำงาน แต่รายรับของประเทศ ซึ่งมาจากน้ำมันอย่างเดียว ลดลง ตามราคาน้ำมันโลก (หรือจากการร่วมมือกันกดราคาน้ำมันก็ตาม) ขณะเดียวกัน ซาอุดิก็มีรายจ่ายเกี่ยวกับความ มั่นคงของรัฐ สูงที่สุดในโลก ซาอุดิ มีสตรูมากหน้า ทั้งที่เป็นรัฐ และไม่ใช่รัฐ รวมทั้งมีก่อการร้ายเสมอ จากการที่เป็นผู้ดูแลสถานที่
    เรื่อง เตียงหัก ” เตียงหัก !” (1) หลังจากที่กษัตริย์อับดุลลาแห่งซาอุดิอารเบีย สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 23 มกราคม ค.ศ.2015 มงกุฏราชกุมาร เจ้าชายซาลมาน ซึ่งเป็นน้องชายก็ขึ้นครองบัลลังก์ต่อ เป็นช่วงที่ตะวันออกกลางกำลังแดดร้อน ลมพัดแรง จะถึงกับมีพายุทะเลทรายหรือไม่ น่าเป็นห่วง เยเมน ที่อยู่ทางใต้ของซาอุดิ กำลังวุ่นวายเกิดศึกชิงเก้าอี้กัน ทางเหนือหน่อไอซิสยังไม่หยุดงอกทั้งพันธุ์แท้ พันธุ์เทียม และกลายพันธุ์ ทั้งที่อิรัคและที่ซีเรีย ส่วนความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านชื่ออิสราเอล ก็ยังบูดเหมือนเดิม ไม่มีทีท่าว่าจะมองหน้าและยิ้มให้กันได้ แต่ที่น่าเป็นห่วงกว่าเพื่อน น่าจะเป็นเรื่องอิหร่าน ซึ่งถึงจะอยู่ห่างกันคนละฟาก แต่ซาอุดิก็เห็นอิหร่านเป็นคู่แข่งรัศมี ชิงความเป็นพี่ใหญ่ในตะวันออกกลางกันมาตลอด อิหร่านกำลังก้มหน้าก้มตาพัฒนาระบบนิวเคลียร์ ที่อ้างว่าไม่ไช่เป็นอาวุธนะ อย่าเข้าใจผิด แต่ถึงอย่างนั้น ซาอุดิก็หงุดหงิด ไม่พอใจ จะพอใจได้ยังไง ก็ตัวเองยังไม่มีนิวเคลียร์กับ เขาสักลูก แถมอาวุธที่มีอยู่ ยังต้องกัดฟันซื้อ โดยเฉพาะจากอเมริกา นึกว่าเขาให้ฟรีๆหรือ เปล่าหรอก แค่ลดราคาให้เท่านั้นเอง เค็มชะมัด แบบนี้ไม่หงุดหงิดได้ไง แต่ที่ไม่พอใจมากที่สุด คือไม่พอใจในอากัปกริยา ท่าทีของอเมริกา มากกว่า ซาอุดิอารเบียกับอเมริกา มีความสัมพันธ์ยาวนาน และแข็งแรงอย่างเป็นทางการมาประมาณ 70 ปีแล้ว ตั้งแต่ประธานาธิบดี Franklin D Roosevelt กับกษัตริย์ Abd al-Aziz ibn Sa’ud ผู้ก่อตั้งราชอาณาจักรซาอุดิอารเบีย นั่งจับมือกันบนเรือรบ USS Quincy เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1945 แต่ในความเป็นจริง ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ จะแข็งแรงมากน้อยขนาดไหนไม่มีใครรู้ดี มีนักวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของ ทั้ง 2 ประเทศ อุปมาไว้น่าฟังว่า มันเหมือนการแต่งงาน เพื่อความเหมาะสม a marriage for convenience ไม่ใช่มาจากรักแรกพบ หรือรักแบบดูดดื่มฝังใจ เพาะบ่มรอกันมา 20 ปี เมื่อเป็นการแต่งงาน เพื่อความเหมาะสม จะให้หวือหวา หวานชื่นกันตลอด คงเป็นไปไม่ได้ มันคงจะเป็นประเภท ต่างก็ยี่ต๊อกใส่กันว่า ฉันได้มากกว่าเสีย หรือเธอได้มากกว่าฉันหรือเปล่า ทำนองนั้น เรื่องอะไรที่ไม่พอใจ ตราบใดที่บัญชีของทั้ง 2 ฝ่าย ยังไม่เป็นตัวแดง ก็ยังคงกล้อมแกล้ม กัดฟันอยู่กันต่อไป ตลอดการอยู่ร่วมกันของคู่แต่งงาน ซาอุดิฉุนจัดครั้งแรก ก็เมื่ออเมริกามีทีท่าว่าจะมีใจให้กับอิสราเอล สาวข้างบ้าน ที่อเมริกาให้การรับรองเมื่อปี ค.ศ.1948 แต่มันเป็นช่วงระหว่างการก่อร่างสร้างเมืองของซาอุดิ กษัตริย์ Abd al-Aziz จึงต้องกัดฟันมองไปทางอื่นแทน ขณะที่รอบข้างกดดันให้ยกเลิกสัมปทาน ที่ซาอุดิให้แก่ Aramco ของอเมริกาตั้งแต่ ค.ศ.1933 หลังจากนั้น ก็มีเรื่องการสั่งห้ามซื้อขายน้ำมัน Oil Embargo ระหว่างกลุ่มค้าน้ำมันชาติอาหรับ กับกลุ่มตะวันตกในปี ค.ศ.1973-74 ซึ่งเป็นการเล่นกล หลอกต้มทั้งคนขายน้ำมันและคนใช้ น้ำมัน โดยพวกนักการเงินวอลสตรีท ที่จัดฉากโดยนาย Henry Kissinger ตัวแสบ ภายใต้การชักใยของ พวกโคตรรวย Rockefeller แต่เรื่องนี้มันก็ลงความเห็นยากว่า ฝ่ายไหนเสียมากกว่า ดูเหมือนจะเป็นมวยล้มต้มคนดู พวกที่เสียหายจริงๆ น่าจะเป็นพวกซื้อน้ำมัน จนแล้วยังทำซ่า อยากเป็นเสือตัวที่ห้ามากกว่า ไปอ่านรายละเอียดได้ จากนิทานเรื่องมายากลยุทธนะครับ ซาอุดิ เริ่มขัดใจจริงๆ น่าจะเป็นเรื่องการบุกเข้าไปขยี้อิรัคของอเมริกา ไม่ใช่เพราะซาอุดิใจอ่อนสงสารอิรัคหรอก อย่าเข้าใจผิด แต่ซาอุดิเห็นว่า เป็นการทำให้ดุลยอำนาจในภูมิภาคเอียง ไปเข้าทางอิหร่านมากกว่า เพราะเป็นการเปิดทางให้อิหร่าน เข้าไปสนับสนุนกลุ่ม Nouri al-Maliki ขึ้นมามีอำนาจในอิรัค หลังจากซัดดัมถูกโค่น และทำให้อิรัคกับอิหร่าน ก็ใกล้เคียงกับการเป็นคอหอยกับลูกกระเดือกกันตั้งแต่บัดนั้น มันเป็นการเสริมบารมี เสริมกำลัง ให้กับอิหร่านมากขึ้น เกินกว่าที่ซาอุดิ จะไม่สนใจ แต่ที่เป็นหนามตำใจมาตลอด คือเรื่องสาวข้างบ้าน อิสราเอลนั่นแหละ ที่ทำให้ซาอุดิเห็นว่า อเมริกา ตาชั่งเอียงจนน่าเกลียด เรื่องนี้ไม่มีทางแก้แน่นอน ซาอุดิรู้ดีอยู่แก่ใจ มีแต่ทางเดินออก ซาอุดิจะกล้าเดินออกไหมเท่านั้น พอไปรวมกับเรื่องอียิปต์ ซึ่งซาอุดิเห็นว่า ขนาด Hosni Mubarak ผู้ซึ่งเป็นลูกหาบที่ซื่อสัตย์มาให้อเมริกา 30 กว่าปี อเมริกายังโยนทิ้งเฉย ปล่อยให้ Muslim Brotherhood มุสลิมหัวรุนแรงที่ไม่เอาพวกตะวัน ตก ขึ้นมาปกครองอียิปต์แทน แน่นอน ซาอุดิต้องหงุดหงิด กลุ้มใจ จนหน้าคล้ำหนักไปกว่าเดิม แบบนี้แปลว่าอะไร อเมริกาไม่สนใจหรือว่า มันจะยิ่งสร้างความไม่มั่นคงในตะวันออกกลางมากขึ้น เผลอๆ เรื่องแบบนี้อาจจะเกิดที่ซาอุดิก็ได้ อเมริกาปล่อยให้เป็นอย่านี้ได้อย่างไร เรื่องอิสราเอลยังแก้ไม่ออก เรื่องอียิปต์ดันมาเกิดขึ้นต่อ บวกกับเรื่องนิวเคลียร์ของอิหร่านที่ยังค้างคา นี่ยังมามีเรื่องซีเรียอีก เรื่องซีเรียที่ซาอุดิก็ไม่รัก เอะ เสี่ยซาอุรักใครมั่งนะ ชักสงสัย สู้กันมา3 ปีกว่าแล้ว เรื่องยังไม่จบเสียที ไอ้เจ้า Assad นี่มันทนทายาด แล้วอเมริกาก็ดันประกาศ (ในปี ค.ศ. 2013) ว่าจะไม่ใช้กองกำลังจัดการเรื่องซีเรีย โอ้ย กลุ้มใจโว้ย ยังถอนใจไม่หายเหนื่อย หน่อไอซิสก็ทะลี่งได้ปุ๋ยดี บานเต็มท้องทุ่งซีเรีย อิรัค นี่ถ้ามันดันชอบอากาศแถวซาอุดิ มางอกต่อแถวนี้ พวกซาอุดิจะเอาอยู่ไหม หงุดหงิดแล้ว ก็เลยพาลน้อยใจต่อ ซาอุดิน้อยใจ คิดหนัก คิดจริงจังคือ เรื่องอิหร่าน (อีกแล้ว) การเจรจา ระหว่างพวกตะวันตกกับอิหร่าน เรื่องการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน ซาอุดิมองว่า ถ้าการเจรจาเข้าทางอิหร่าน ตะวันออกกลาง โดยเฉพาะฝ่ายของซาอุดิจะเสียเปรียบ และอาจจะถึงเสียหายเลยทีเดียว ฝ่ายที่มีนิวเคลียร์ในตะวันออกกลาง คือฝ่ายที่มีอำนาจควบคุมอ่าวเปอร์เซีย รวมไปทั้งตะวันออกกลาง ที่สำคัญ ซาอุดิมองว่า การใช้วิธีเจรจากับอิหร่าน ดูเหมือนเป็นการเริ่มกลับมาสานสัมพันธ์ใหม่ระหว่างอเมริกากับอิหร่าน อย่าลืมว่าคู่นี้ เขาเคยเป็นคู่รัก คู่แค้นกันมาก่อน หรือถ่านไฟเก่ามันจะคุขึ้นมาใหม่ ?!?! (2) ตกลงอเมริกากำลัง “shifting away” หันเหไปจากสัมพันธ์พิเศษกับซาอุดิหรือ มันดูเหมือนมีอาการของการนอกใจ ที่มองเห็นได้จากทั้งฝ่ายซาอุดิและฝ่ายอเมริกาเอง ทางฝ่ายซาอุดินั้น อดีตหัวหน้าหน่วยงานข่าวกรอง และอดีตฑูตซาอุดิประจำอเมริกา Prince Bandar bin Sultan พูดตั้งแต่ปลายปี 2013 แล้วว่า ทางซาอุดิอาจจะมีการเปลี่ยนแนวทางของความสัมพันธ์ ระหว่างซาอุดิกับอเมริกา เป็นการประท้วงอเมริกาที่ไม่ขยับอะไรเลย เกี่ยวกับเรื่องการรบในซีเรีย รวมทั้งการที่อเมริกามีท่าที เหมือนจะไปสานสัมพันธ์ใหม่กับอิหร่าน อ้อ เรื่องนี้เอง ที่มันคาใจคนนอนเตียงเดียวกัน คำพูดของ Prince Bandar คนเดียวคงไม่พอ Prince Turki al-Faisal อดีตหัวหน้าสายลับ และฑูตซาอุดิประจำสหประชาชาติ ออกมาทำเสียงเข้มว่า นโยบายเกี่ยวกับซีเรีย ของนายโอบามา ฟังแล้วน่าเศร้าใจ พร้อมกับบอกว่า ข้อตกลงระหว่างรัสเซียกับอเมริกา เรื่องการห้ามมิให้ Assad ใช้อาวุธเคมี เป็นหลุมพรางล่อให้อเมริกาตกพลั่ก เขวไปจากการใช้กำลังทหารจัดการในซีเรีย เขาต่อว่ากันแรงดีนะครับ ไม่เหมือนสมันน้อย คำน้อยคำ ก็ไม่ค่อยจะกล้าออกมาพาดพิงถึงลูกพี่ เชื่องดีจัง ( ช ช้างสะกดนะครับ ไม่ใช่ ข ไข่ เดี๋ยวจะเข้าใจกันผิด ฮา) นักจัดรายการทีวีชาวอเมริกัน Fred Kaplan วิจารณ์ว่า คำพูดของฝ่ายซาอุดิในเรื่องนี้ เหมือน “game of high-way chicken” เขาเตือนนายโอบามาว่า ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไก่อาจหลุดมือ วิ่งหายไปได้ หรือโอบามาไม่สนใจ เพราะอเมริกากำลังตื่นเต้นกับการค้นพบพลังงานใหม่ ที่จะไม่ต้องพึ่งจมูกคนอื่นหายใจแล้ว หรือปล่อยให้ไก่วิ่งจนเหนื่อยก่อน หลังจากนั้น ขบวนการกดดันอเมริกาโดยกลุ่ม Gulf Cooperation Council (GCC) ลูกน้องคุณพี่ซาอุก็เกิดขึ้น นำโดยอาหรับอามิเรต และกาต้าร์เศรษฐีใหญ่ทั้งคู่ ออกโรงเดินสายคุยกับพวกถังความคิด Think Tank ของอเมริกา พร้อมเอาเงินบริจาคกล่องใหญ่ไปฝาก การลงทุนได้ผล ถังความคิดรีบออกรายงานทันที อเมริกาจะปล่อยให้พรรคพวกในตะวันออกกลาง แก้ไขปัญหาเรื่องซีเรียกับไอซิส โดยลำพังหรือ มันดูเหมือนอเมริกากำลังทิ้งเพื่อนที่มีความสัมพันธ์พิเศษนะ เพราะถ้าพวกเขาจัดการไม่ได้ คนที่จะตกที่นั่งลำบากคืออเมริกา แหม! นึกว่าถังความคิดชั้นนำระดับโลกจะสั่งไม่ได้ มีเงินจ่ายก็ใช้ได้ทั้งนั่นแหละครับ อเมริกา ถึงยังทิ้งกระบองยอดเพชร ที่อยู่ด้วยกันมานานถึง 70 ปี ไม่ลง นายโอบามา ทำหน้าชื่นไปหากษัตริย์ Abdullah เมื่อประมาณเดือนมีนาคมปีที่แล้ว หลังจากนั่งปรับความไม่เข้าใจกัน การแถลงข่าวภายหลังการปรับคลื่น สรุปว่าทั้ง 2 ฝ่าย มีการหารือกัน เรื่องซีเรีย เรื่องการป้องกันไม่ให้อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ การร่วมกันต่อต้านการก่อการร้าย และสนับสนุนการเจรจา เพื่อให้มีสันติภาพเกิดขึ้นในตะวันออกกลาง (จากการแถลงข่าวของ ทำเนียบขาว เมื่อ 28 มีนาคม 2014) เอกสารที่แจกในการแถลงข่าว บอกด้วยว่าซาอุดิอารเบีย เป็นลูกค้าต่างประเทศรายใหญ่ที่สุด ที่ซื้ออาวุธของอเมริกา U S Foreign Military Sales (FMS) คือประมาณ 97 พันล้านเหรียญ และอเมริกา ส่งสินค้าออกไปยังซาอุดิอารเบียในปี 2013 จำนวน 35 พันล้านเหรียญ และขณะนี้มีชาวซาอุดิ ประมาณ 8 หมื่นคน เรียนหนังสืออยู่ในอเมริกา อืม ดูเหมือนจะเป็นรายงาน ที่แปลงความสัมพันธ์เป็นตัวเงิน (รายได้) ของอเมริกา มากกว่าจะเป็นการให้ข้อมูล ที่ทำให้เกิดความเข้าใจกันมากขึ้น นอกจากนี้ การรายงานข่าวของสื่อในช่วงนั้น ยังสรุปไปทิศทางเดียวกันว่า แม้จะมีความเห็นไม่สอดคล้องกันทุกเรื่อง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับซาอุดิอารเบีย ก็ยังไม่ถึงขั้นแตกหัก not broken เตียงยังไม่หัก ไม่ชำรุดขาเตียงยังอยู่ครบดี ไม่ว่าจะเป็น การร่วมมือทางการต่อต้านผู้ก่อการร้าย การทหาร การธุรกิจและด้านยุทธศาสตร์ อู้ย พูดกันรู้เรื่องดีคร้าบ แต่ก็คงจะเร็วไป ที่จะสรุปว่าคู่นี่เขาจะยังมั่นคงกันดีตลอดไป เพราะมันก็ยังเห็นรอยร้าวค้างอยู่ และแม้จะยังไม่ถึงกับทำให้ซาอุดิอารเบีย แยกทางกับอเมริกา แต่ซาอุดิอารเบียก็บอกว่า ไม่ปิดทางตัวเองที่จะมองหาหุ้นส่วนรายใหม่เช่นเดียวกัน นโยบายไม่แทงม้าตัวเดียว ไม่ใช่มีแต่อเมริกาเท่านั้นที่เล่นเป็น เอะ แล้วใครนะที่ซาอุดิอารเบีย เริ่มเจรจาต้าอวยไว้ (3) ถังความคิดตัวแสบ CSIS Think Tank ได้ออกรายงานการวิเคราะห์ The True Nature of the Saudi Succession “Crisis” วิกฤติตามธรรมชาติของการสืบสันตติวงศ์ของ Saudi เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2015 นี้ก่อนการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์ Abdullah ไม่นานนัก รายงานสรุปว่า กษัตริย์ Abdullah ได้เตรียมการล่วงหน้ามานานแล้วอย่างเรียบร้อยดี ทั้งเรื่องในพระราชวงศ์ เรื่องในประเทศ ทั้งด้านศาสนา และรัฐบาล รวมทั้งเรื่องการต่างประเทศ เท่าที่จะทำได้ แน่นอนหลายปัจจัย ยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตามดูความเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะต้องมีตามสภาพ….รายงานแจงค่อนข้างละเอียดว่า เตรียมการอะไร ใครเป็นใคร ตามประสา นิสัยเสือกทุกเรื่องของอเมริกา แต่ที่น่าจะสนใจคือ บางส่วนที่รายงานการวิคราะห์ดังกล่าวระบุถึง ซึ่งไม่ได้เกี่ยว หรือมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนกษัตริย์ผู้ปกครอง แต่เป็นเรื่องที่รายงานการวิเคราะห์ ระบุถึงสภาพสังคมของซาอุดิอารเบีย เป็นส่วนของรายงานที่บอกว่า ปี 2015 ซาอุดิจะมีประชากรประมาณ 27.8 ล้านคน ปี 2025 จะมี 31.9 ล้านคน และปี 2050 จะมีประชากร 40.3 ล้านคน ปัจจุบัน ซาอุดิอารเบียเป็นสังคมที่มีวัยรุ่นเป็นส่วนใหญ่ และอยู่ในวัยที่ต้องทำงานแต่ไม่ทำงาน โดยอยู่ด้วยสวัสดิการของรัฐ มีตลาดแรงงานประมาณ 8.4 ล้านคน แต่เป็นชาวซาอุดิเพียง 1.7 ล้านคน ที่ผ่านมา ซาอุดิรับมือกับวัยรุ่นจำนวนมากที่ไม่ทำงานได้พอสมควร เพราะที่ผ่านมา ราคาน้ำมันอยู่ในระดับที่สูงกว่าปัจจุบันมากมาย ขณะที่อัตราประชากรเพิ่ม และมีคนไม่ยอมทำงาน แต่รายรับของประเทศ ซึ่งมาจากน้ำมันอย่างเดียว ลดลง ตามราคาน้ำมันโลก (หรือจากการร่วมมือกันกดราคาน้ำมันก็ตาม) ขณะเดียวกัน ซาอุดิก็มีรายจ่ายเกี่ยวกับความ มั่นคงของรัฐ สูงที่สุดในโลก ซาอุดิ มีสตรูมากหน้า ทั้งที่เป็นรัฐ และไม่ใช่รัฐ รวมทั้งมีก่อการร้ายเสมอ จากการที่เป็นผู้ดูแลสถานที่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • “อดีตซีอีโอ Intel เตือนฟองสบู่ AI” — แต่ยังไม่แตกเร็ว ๆ นี้ พร้อมชี้ AI กำลังเปลี่ยนโฉมอินเทอร์เน็ตทั้งระบบ

    Pat Gelsinger อดีตซีอีโอของ Intel และผู้บริหารระดับสูงในวงการเทคโนโลยี ได้ออกมาแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่า “อุตสาหกรรม AI อยู่ในภาวะฟองสบู่” แต่เขาเชื่อว่าการแตกของฟองสบู่นี้อาจยังไม่เกิดขึ้นในอีกหลายปีข้างหน้า

    Gelsinger เปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันกับยุคดอทคอม โดยชี้ว่าแม้จะมีการลงทุนอย่างมหาศาลและความคาดหวังสูงเกินจริง แต่ก็มีเทคโนโลยีจริงที่กำลังเปลี่ยนโลกอยู่เบื้องหลัง เขาเน้นว่า AI ไม่ได้แค่เปลี่ยนแปลงบางอุตสาหกรรม แต่กำลัง “แทนที่อินเทอร์เน็ตและอุตสาหกรรมผู้ให้บริการทั้งหมดในแบบที่เรารู้จัก”

    เขายังกล่าวว่า การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI เช่น ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่และระบบประมวลผลขั้นสูง กำลังสร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วทั้งอุตสาหกรรมเทคโนโลยี และจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระยะยาว

    แม้จะมีความเสี่ยงจากการเก็งกำไรและการประเมินมูลค่าที่สูงเกินจริง แต่ Gelsinger มองว่าเทคโนโลยี AI ยังอยู่ในช่วง “สร้างรากฐาน” และจะยังคงเติบโตต่อไปก่อนที่จะถึงจุดอิ่มตัวหรือฟองสบู่แตก

    ข้อมูลในข่าว
    Pat Gelsinger ยืนยันว่าอุตสาหกรรม AI อยู่ในภาวะฟองสบู่
    ฟองสบู่ AI อาจยังไม่แตกในอีกหลายปีข้างหน้า
    AI กำลังเปลี่ยนโฉมอินเทอร์เน็ตและอุตสาหกรรมผู้ให้บริการทั้งหมด
    การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI กำลังสร้างแรงกระเพื่อมในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
    เทคโนโลยี AI ยังอยู่ในช่วงสร้างรากฐานและมีแนวโน้มเติบโตต่อ

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    การลงทุนเก็งกำไรใน AI อาจนำไปสู่การประเมินมูลค่าที่สูงเกินจริง
    หากฟองสบู่แตก อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีและนักลงทุนจำนวนมาก
    ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตและโครงสร้างเดิมอาจถูกแทนที่ หากไม่ปรับตัวทัน
    การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอาจสร้างความปั่นป่วนในตลาดแรงงานและระบบเศรษฐกิจ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/former-intel-ceo-pat-gelsinger-confirms-the-industry-is-in-an-ai-bubble-but-that-a-pop-could-be-several-years-away-were-displacing-all-of-the-internet-and-the-service-provider-industry-as-we-think-about-it-today
    💥 “อดีตซีอีโอ Intel เตือนฟองสบู่ AI” — แต่ยังไม่แตกเร็ว ๆ นี้ พร้อมชี้ AI กำลังเปลี่ยนโฉมอินเทอร์เน็ตทั้งระบบ Pat Gelsinger อดีตซีอีโอของ Intel และผู้บริหารระดับสูงในวงการเทคโนโลยี ได้ออกมาแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่า “อุตสาหกรรม AI อยู่ในภาวะฟองสบู่” แต่เขาเชื่อว่าการแตกของฟองสบู่นี้อาจยังไม่เกิดขึ้นในอีกหลายปีข้างหน้า Gelsinger เปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันกับยุคดอทคอม โดยชี้ว่าแม้จะมีการลงทุนอย่างมหาศาลและความคาดหวังสูงเกินจริง แต่ก็มีเทคโนโลยีจริงที่กำลังเปลี่ยนโลกอยู่เบื้องหลัง เขาเน้นว่า AI ไม่ได้แค่เปลี่ยนแปลงบางอุตสาหกรรม แต่กำลัง “แทนที่อินเทอร์เน็ตและอุตสาหกรรมผู้ให้บริการทั้งหมดในแบบที่เรารู้จัก” เขายังกล่าวว่า การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI เช่น ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่และระบบประมวลผลขั้นสูง กำลังสร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วทั้งอุตสาหกรรมเทคโนโลยี และจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระยะยาว แม้จะมีความเสี่ยงจากการเก็งกำไรและการประเมินมูลค่าที่สูงเกินจริง แต่ Gelsinger มองว่าเทคโนโลยี AI ยังอยู่ในช่วง “สร้างรากฐาน” และจะยังคงเติบโตต่อไปก่อนที่จะถึงจุดอิ่มตัวหรือฟองสบู่แตก ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Pat Gelsinger ยืนยันว่าอุตสาหกรรม AI อยู่ในภาวะฟองสบู่ ➡️ ฟองสบู่ AI อาจยังไม่แตกในอีกหลายปีข้างหน้า ➡️ AI กำลังเปลี่ยนโฉมอินเทอร์เน็ตและอุตสาหกรรมผู้ให้บริการทั้งหมด ➡️ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI กำลังสร้างแรงกระเพื่อมในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ➡️ เทคโนโลยี AI ยังอยู่ในช่วงสร้างรากฐานและมีแนวโน้มเติบโตต่อ ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ การลงทุนเก็งกำไรใน AI อาจนำไปสู่การประเมินมูลค่าที่สูงเกินจริง ⛔ หากฟองสบู่แตก อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีและนักลงทุนจำนวนมาก ⛔ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตและโครงสร้างเดิมอาจถูกแทนที่ หากไม่ปรับตัวทัน ⛔ การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอาจสร้างความปั่นป่วนในตลาดแรงงานและระบบเศรษฐกิจ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/former-intel-ceo-pat-gelsinger-confirms-the-industry-is-in-an-ai-bubble-but-that-a-pop-could-be-several-years-away-were-displacing-all-of-the-internet-and-the-service-provider-industry-as-we-think-about-it-today
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • Wand At The Ready! These Magic Words Will Cast A Spell On You

    Hocus pocus, abracadabra, alakazam! These are the words we invoke when magic is at work—even if it might just be a card trick at home. While a few of these words and phrases have wholly crossed over into entertainment magic or originated there from the start (e.g., presto change-o), some of these words are rooted in older commands that called upon higher powers to influence the material world.

    Whether called hexes, hymns, prayers, or simply spells, the words we invoke to communicate with a greater power to work our will all require an intangible force that can be universally described as magic. Take a look and decide for yourself if magic is real or if it’s just a bunch of hocus-pocus.

    abracadabra
    Perhaps one of the oldest and most recognized magical phrases, abracadabra has been around since the second century BCE and has famously appeared in the Harry Potter series. Its origins are contested as scholars posit that abracadabra emerged from Late Latin or Late Greek, reflecting the recitation of the initial letters of the alphabet (abecedary); others hypothesize that it could related to the Hebrew Ha brakha dabra, which translates as, “The blessing has spoken.” We do understand it as a word generally meant to invoke magical power. Abracadabra is classified as a reductive spell, which means it would have been written out as a complete word on the first line, then with one letter missing on the next, then another letter removed on the following line, and so forth. The idea behind reductive spells is that by making the word shorter so would a pain or illness gradually diminish.

    Recorded in English in the late 1600s, abracadabra is used in incantations, particularly as a magical means of warding off misfortune, harm, or illness, and for some, is used as a nonsense word, implying gibberish in place of supposedly magical words.

    alakazam
    Often used as the finale word in the presentation of a grand stage illusion, alakazam is intoned as a powerful command.

    While the origins of the word are unknown, according to Magic Words: A Dictionary, alakazam may have ties to a similar-sounding Arabic phrase, Al Qasam, which means “oath.” Therefore, a conjuror invoking alakazam may be calling back to a promise made by a superior being to help complete the miraculous feat they are presenting.

    One of the earliest printings of alakazam in an English text is the poem “Among the White Tents,” first published in the Chicago Herald Tribune in 1888. While the poem uses alakazam in the context of entertainment and as an excited expression (“We’re goin’ to de cirkis! / Alakazam!”) there is oddly no connection to magic.

    hocus-pocus
    Immortalized in a ’90s cult classic family film, hocus pocus may be both invoked as an incantation and might also be used to refer to an act of trickery. For instance, one who is dismissive of fortunetelling might call the act of reading tarot cards “a bunch of hocus pocus.”

    First recorded in the 1660s, hocus pocus is likely a corruption of the Latin phrase used in Catholic mass, Hoc est corpus meum (“here is my body”).

    voilà
    Maybe you’ve seen a magician conclude an amazing feat with this little phrase. She’ll flourish a sheet over a table and voilà, where there was no one a second ago, her whole assistant will appear!

    First recorded in English between 1825–35, voilà is used as an expression of success or satisfaction, typically to give the impression that the achievement happened quickly or easily. Combined from the French words voi (“see”) and là (“there”), voilà is used to direct attention during performance magic.

    open sesame
    First recorded in English in the late 1700s, open sesame comes from Antoine Galland’s translation of One Thousand and One Nights. These are the magic words Ali Baba speaks to open the door of the den of the 40 thieves.

    Perhaps one of the greatest magical commands to survive from folklore, open sesame today may be used as a noun to refer to a very successful means of achieving a result. For instance, you might say an MBA is the open sesame to landing a competitive job in finance.

    sim sala bim
    These magic words were made popular by the famous professional magician Harry August Jansen (1883–1955), also known as The Great Jansen or Dante, who used sim sala bim as the name of his touring magic show. Jansen was born in Denmark and immigrated to Minnesota with his family at age 6. Jansen used sim sala bim at the end in his show, saying the words meant, “A thousand thanks.” (They are actually nonsense syllables from a Danish nursery rhyme.) He would tell the crowd that the larger the applause, the bigger the bow, and the more thanks that the sim sala bim symbolized.

    mojo
    While mojo can apply to the magic influence of a charm or amulet (usually positive), the term can also refer to the influence or charm an individual can have on the people around them. A popular Muddy Waters song, “Got My Mojo Workin’,” alludes to the degree to which the singer is able to charm the women he encounters. Mojo is less of a spell and more specifically an aura of power. An Americanism first recorded between 1925–30, it is believed to draw from the West African Gullah word moco, which means, “witchcraft.” It is probably connected to Fulani moco’o, or “medicine man.”

    calamaris
    Similar to abracadabra in popularity and structure, calamaris is the word that Scandinavians would invoke to heal a fever. Also like abracadabra, this word was a reductive spell, meaning the full word would be written down on one line, then each successive line would have one letter removed.

    miertr
    In ye olden times, having a decent hunt to provide for one’s family was critical. The incantation of miertr was spoken aloud as one walked backward and then left the house. After reaching the forest to hunt, the spellcaster was advised to take three clumps of dirt from beneath the left foot and throw them overhead without looking. This will allow an individual to advance without making any noise and capture birds and animals. Definitely a process, but hopefully it led to some successful hunting.

    micrato, raepy sathonich
    One of the most iconic scenes in the Bible’s Old Testament is Exodus 7:8-13, which tells of Moses and his brother Aaron as they go before Pharaoh and are challenged to perform a miracle as a sign of their god. When Aaron throws down his staff, it transforms into a snake that consumes the snakes conjured by Pharaoh’s own advisors and sorcerers. According to the Semiphoras and Schemhamphorash, an occult text published in German by Andreas Luppius in 1686, micrato, raepy sathonich were the opening words Moses spoke before changing his staff into a serpent.

    daimon
    A variant of the word daemon, daimon [ dahy-mohn ] appears in some Greek charms and holds the meaning of a “god, deity, soul of a dead person, or genie.” In this context, it does not necessarily correspond with the Christian interpretation of a demon—it is more akin to a spirit. This word might be used in a spell to summon a daimon attendant, who would then assist the conjurer in executing a specific task. Though new practitioners should be forewarned, summoning daimons are for more experienced magic practitioners and should always be handled with care. Daimon comes from Middle English and can ultimately be traced to the Greek daimónion, meaning “thing of divine nature.”

    INRI
    Those who can recall their days in Catholic school know INRI are the initials typically depicted on the crucifix and represent Jesus’ title (Iēsūs Nazarēnus, Rēx Iūdaeōrum). But long ago, INRI was also written on amulets and paper to offer cures to afflictions. For instance, to stop a fever, a person might eat a piece of paper with the initials written on it, or, to stop blood loss, INRI would be written in blood on a piece of paper that was then pressed to the forehead. It’s even been stamped on stable doors to ward off the evil eye.

    grimoire
    We’ve got two more interesting terms for good measure. Unlike the others on this list, a grimoire is not a magical spell. Described as a “textbook of sorcery and magic,” a grimoire [ greem-wahr ] is a must-have for any would-be spellcaster. First recorded in the 1800s, this word likely arose from the French grammaire (“grammar”). Essentially, this origin word refers to a textbook and/or a set of rules to be applied to the text. For a book that has the potential to summon other beings (for better or worse) and carry out supernatural feats, any student of that book had best be willing to follow those rules to the letter!

    caracteres
    The unique word caracteres refers to symbols written on bits of parchment or amulets. They were used as a way of encoding powerful spells to keep them from being repeated by someone who may not be aware of their potency or seek to abuse their power. Because of this general barrier to entry, caracteres also demanded the potential conjurors devote time to studying and learning how to correctly interpret the encrypted incantations.

    สงวนลิขสิทธิ์ © 2025 AAKKHRA & Co.
    Wand At The Ready! These Magic Words Will Cast A Spell On You Hocus pocus, abracadabra, alakazam! These are the words we invoke when magic is at work—even if it might just be a card trick at home. While a few of these words and phrases have wholly crossed over into entertainment magic or originated there from the start (e.g., presto change-o), some of these words are rooted in older commands that called upon higher powers to influence the material world. Whether called hexes, hymns, prayers, or simply spells, the words we invoke to communicate with a greater power to work our will all require an intangible force that can be universally described as magic. Take a look and decide for yourself if magic is real or if it’s just a bunch of hocus-pocus. abracadabra Perhaps one of the oldest and most recognized magical phrases, abracadabra has been around since the second century BCE and has famously appeared in the Harry Potter series. Its origins are contested as scholars posit that abracadabra emerged from Late Latin or Late Greek, reflecting the recitation of the initial letters of the alphabet (abecedary); others hypothesize that it could related to the Hebrew Ha brakha dabra, which translates as, “The blessing has spoken.” We do understand it as a word generally meant to invoke magical power. Abracadabra is classified as a reductive spell, which means it would have been written out as a complete word on the first line, then with one letter missing on the next, then another letter removed on the following line, and so forth. The idea behind reductive spells is that by making the word shorter so would a pain or illness gradually diminish. Recorded in English in the late 1600s, abracadabra is used in incantations, particularly as a magical means of warding off misfortune, harm, or illness, and for some, is used as a nonsense word, implying gibberish in place of supposedly magical words. alakazam Often used as the finale word in the presentation of a grand stage illusion, alakazam is intoned as a powerful command. While the origins of the word are unknown, according to Magic Words: A Dictionary, alakazam may have ties to a similar-sounding Arabic phrase, Al Qasam, which means “oath.” Therefore, a conjuror invoking alakazam may be calling back to a promise made by a superior being to help complete the miraculous feat they are presenting. One of the earliest printings of alakazam in an English text is the poem “Among the White Tents,” first published in the Chicago Herald Tribune in 1888. While the poem uses alakazam in the context of entertainment and as an excited expression (“We’re goin’ to de cirkis! / Alakazam!”) there is oddly no connection to magic. hocus-pocus Immortalized in a ’90s cult classic family film, hocus pocus may be both invoked as an incantation and might also be used to refer to an act of trickery. For instance, one who is dismissive of fortunetelling might call the act of reading tarot cards “a bunch of hocus pocus.” First recorded in the 1660s, hocus pocus is likely a corruption of the Latin phrase used in Catholic mass, Hoc est corpus meum (“here is my body”). voilà Maybe you’ve seen a magician conclude an amazing feat with this little phrase. She’ll flourish a sheet over a table and voilà, where there was no one a second ago, her whole assistant will appear! First recorded in English between 1825–35, voilà is used as an expression of success or satisfaction, typically to give the impression that the achievement happened quickly or easily. Combined from the French words voi (“see”) and là (“there”), voilà is used to direct attention during performance magic. open sesame First recorded in English in the late 1700s, open sesame comes from Antoine Galland’s translation of One Thousand and One Nights. These are the magic words Ali Baba speaks to open the door of the den of the 40 thieves. Perhaps one of the greatest magical commands to survive from folklore, open sesame today may be used as a noun to refer to a very successful means of achieving a result. For instance, you might say an MBA is the open sesame to landing a competitive job in finance. sim sala bim These magic words were made popular by the famous professional magician Harry August Jansen (1883–1955), also known as The Great Jansen or Dante, who used sim sala bim as the name of his touring magic show. Jansen was born in Denmark and immigrated to Minnesota with his family at age 6. Jansen used sim sala bim at the end in his show, saying the words meant, “A thousand thanks.” (They are actually nonsense syllables from a Danish nursery rhyme.) He would tell the crowd that the larger the applause, the bigger the bow, and the more thanks that the sim sala bim symbolized. mojo While mojo can apply to the magic influence of a charm or amulet (usually positive), the term can also refer to the influence or charm an individual can have on the people around them. A popular Muddy Waters song, “Got My Mojo Workin’,” alludes to the degree to which the singer is able to charm the women he encounters. Mojo is less of a spell and more specifically an aura of power. An Americanism first recorded between 1925–30, it is believed to draw from the West African Gullah word moco, which means, “witchcraft.” It is probably connected to Fulani moco’o, or “medicine man.” calamaris Similar to abracadabra in popularity and structure, calamaris is the word that Scandinavians would invoke to heal a fever. Also like abracadabra, this word was a reductive spell, meaning the full word would be written down on one line, then each successive line would have one letter removed. miertr In ye olden times, having a decent hunt to provide for one’s family was critical. The incantation of miertr was spoken aloud as one walked backward and then left the house. After reaching the forest to hunt, the spellcaster was advised to take three clumps of dirt from beneath the left foot and throw them overhead without looking. This will allow an individual to advance without making any noise and capture birds and animals. Definitely a process, but hopefully it led to some successful hunting. micrato, raepy sathonich One of the most iconic scenes in the Bible’s Old Testament is Exodus 7:8-13, which tells of Moses and his brother Aaron as they go before Pharaoh and are challenged to perform a miracle as a sign of their god. When Aaron throws down his staff, it transforms into a snake that consumes the snakes conjured by Pharaoh’s own advisors and sorcerers. According to the Semiphoras and Schemhamphorash, an occult text published in German by Andreas Luppius in 1686, micrato, raepy sathonich were the opening words Moses spoke before changing his staff into a serpent. daimon A variant of the word daemon, daimon [ dahy-mohn ] appears in some Greek charms and holds the meaning of a “god, deity, soul of a dead person, or genie.” In this context, it does not necessarily correspond with the Christian interpretation of a demon—it is more akin to a spirit. This word might be used in a spell to summon a daimon attendant, who would then assist the conjurer in executing a specific task. Though new practitioners should be forewarned, summoning daimons are for more experienced magic practitioners and should always be handled with care. Daimon comes from Middle English and can ultimately be traced to the Greek daimónion, meaning “thing of divine nature.” INRI Those who can recall their days in Catholic school know INRI are the initials typically depicted on the crucifix and represent Jesus’ title (Iēsūs Nazarēnus, Rēx Iūdaeōrum). But long ago, INRI was also written on amulets and paper to offer cures to afflictions. For instance, to stop a fever, a person might eat a piece of paper with the initials written on it, or, to stop blood loss, INRI would be written in blood on a piece of paper that was then pressed to the forehead. It’s even been stamped on stable doors to ward off the evil eye. grimoire We’ve got two more interesting terms for good measure. Unlike the others on this list, a grimoire is not a magical spell. Described as a “textbook of sorcery and magic,” a grimoire [ greem-wahr ] is a must-have for any would-be spellcaster. First recorded in the 1800s, this word likely arose from the French grammaire (“grammar”). Essentially, this origin word refers to a textbook and/or a set of rules to be applied to the text. For a book that has the potential to summon other beings (for better or worse) and carry out supernatural feats, any student of that book had best be willing to follow those rules to the letter! caracteres The unique word caracteres refers to symbols written on bits of parchment or amulets. They were used as a way of encoding powerful spells to keep them from being repeated by someone who may not be aware of their potency or seek to abuse their power. Because of this general barrier to entry, caracteres also demanded the potential conjurors devote time to studying and learning how to correctly interpret the encrypted incantations. สงวนลิขสิทธิ์ © 2025 AAKKHRA & Co.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 438 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดอกไม้ป่า—ร่องรอยแห่งชนบทในสำเนียงเมือง

    คณะดอกไม้ป่า ก้าวเข้ามาสู่ฉากดนตรีไทยในช่วงต้นทศวรรษ 2520 (ค.ศ. 1980s) ซึ่งถือเป็น ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของรสนิยมและการผลิตดนตรีในประเทศไทย พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงกลุ่มนักร้องที่รวมตัวกันตามธรรมชาติ แต่เป็นโครงการทางดนตรีที่ถูกกำหนดและออกแบบอย่างพิถีพิถันจากผู้บุกเบิกในอุตสาหกรรมเพลงมืออาชีพ เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองต่อตลาดชนชั้นกลางในเมืองที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว

    สิ่งที่ทำให้วงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งคือความสามารถในการนำ "แก่นเรื่องแบบลูกทุ่ง" มาผสมผสานกับการเรียบเรียงและคุณภาพการผลิตแบบ "ดนตรีสตริงหรือป๊อป" อันนำไปสู่การก่อกำเนิดของแนวทางใหม่ที่เรียกว่า "ลูกทุ่งประยุกต์" ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานให้กับรูปแบบดนตรีป๊อปที่ครองตลาดในทศวรรษต่อมา

    ดอกไม้ป่าประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในช่วงปี พ.ศ. 2525–2526 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมหลังเหตุการณ์ทางการเมืองในทศวรรษก่อนหน้า วงนี้ถูกวางตำแหน่งทางการตลาดให้เป็นนักร้องคู่ดูโอหญิงที่เน้นทักษะการประสานเสียง (Harmonizing Duo) พวกเขาสามารถดึงดูดผู้ฟังได้อย่างกว้างขวางด้วยการรักษาความรู้สึกและแก่นเรื่องของความเป็นไทยไว้ ในขณะที่นำเสนอผ่านสำเนียงป๊อปสมัยใหม่

    ในเชิงสังคมวิทยา ความสำเร็จของวงมีความสัมพันธ์กับการถอยห่างจากเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเมืองที่รุนแรงของยุค 1970s ดนตรีป๊อปที่ได้รับความนิยมในช่วงนี้มักหลีกเลี่ยงสารทางการเมือง และหันไปให้ความสำคัญกับเรื่องราวส่วนตัว ความรัก และการมอบความบันเทิง ดอกไม้ป่าได้ปรับใช้แก่นเรื่องลูกทุ่งให้มีความอ่อนโยนและโรแมนติกในรูปแบบป๊อป ซึ่งทำให้บทเพลงของพวกเขากลายเป็นผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมที่ผู้บริโภคในเมืองสามารถยอมรับและเพลิดเพลินได้

    คณะดอกไม้ป่าถือกำเนิดขึ้นจากแนวคิดทางธุรกิจที่ชัดเจน โดยไม่ได้เกิดจากการรวมตัวกันของนักดนตรีตามธรรมชาติ การก่อตั้งมีรากฐานมาจากความต้องการขยายตลาดและรูปแบบความสำเร็จที่เคยมีมาก่อน โดยผู้ริเริ่มแนวคิดต้องการที่จะสรรหานักร้องหญิงคู่ประสานเสียงเป็นคู่ที่สอง เพื่อต่อยอดความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับวง The Hot Pepper Singers การตัดสินใจนี้สะท้อนให้เห็นว่า รูปแบบของ "นักร้องคู่ประสานเสียง" ที่มีภาพลักษณ์สุภาพและเน้นทักษะการร้องถือเป็นกลยุทธ์เชิงพาณิชย์ที่มีศักยภาพสูง

    การเน้นที่ "นักร้องคู่ประสานเสียง" แสดงให้เห็นว่าคุณภาพเสียงและการจัดวางเสียงประสานถูกกำหนดให้เป็นหัวใจหลักของแบรนด์ตั้งแต่เริ่มต้น แนวคิดนี้เป็นความพยายามที่จะยกระดับรูปแบบการร้องเพลงให้แตกต่างจากดนตรีลูกทุ่งทั่วไป การประสานเสียงที่ซับซ้อนนี้ถูกมองว่าเป็นคุณสมบัติของดนตรีแนวลูกกรุงและป๊อปที่มีความประณีตและมีรสนิยมสูง ซึ่งสามารถดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคในเมืองได้

    วงดอกไม้ป่าประกอบด้วยนักร้องดูโอหญิงสองคน: โชติมา ช่วงวิทย์ (ตุ้ม) และ ปัทมา มนต์รังสี (อ้อม) คุณโชติมาถือเป็นสมาชิกหลักที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเธอเป็นบุตรสาวของ ชวลีย์ ช่วงวิทย์ นักร้องชื่อดังของวงสุนทราภรณ์ สายเลือดจากสุนทราภรณ์นี้มอบความน่าเชื่อถือทางวัฒนธรรมและ "ความเป็นลูกกรุง" ให้กับวงโดยอัตโนมัติ ทำให้ดอกไม้ป่าสามารถวางตำแหน่งตัวเองอยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นลูกทุ่งและความเป็นลูกกรุง/คลาสสิก

    ในช่วงเวลาที่ดนตรีลูกทุ่งกำลังถูกกลุ่มรสนิยมใหม่ของคนเมืองมองว่าเป็น "ดนตรีบ้านนอก" การมีโชติมาได้ทำหน้าที่เป็น "การสร้างแบรนด์ทางวัฒนธรรม" ที่สำคัญยิ่ง การเชื่อมโยงนี้รับประกันว่าเพลงของดอกไม้ป่า แม้จะมีกลิ่นอายของลูกทุ่ง แต่ก็มีความสุภาพและมีคุณค่าในเชิงศิลปะแบบลูกกรุงสูง

    "ดอกไม้ป่าซาวด์" คือการผสมผสานทางดนตรี ที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจในการนำองค์ประกอบทางทำนองเพลงพื้นบ้านหรือลูกทุ่ง มารวมเข้ากับการเรียบเรียงดนตรีและเครื่องดนตรีสมัยใหม่ตามแบบฉบับดนตรีสตริง/ป๊อปในยุค 80s

    แก่นเรื่องแบบลูกทุ่งยังคงเป็นหัวใจหลักในการเล่าเรื่อง ตัวอย่างเช่น เพลง "ทุยใจดำ" ที่สื่อถึงคนรักที่ไม่ซื่อสัตย์ และเพลง "สาวชนบท" ที่หยิบยกเรื่องราวความรักและชีวิตในท้องถิ่นมานำเสนอ แต่สิ่งที่ทำให้ดนตรีมีความแตกต่างคือการเรียบเรียงแบบป๊อปสมัยใหม่ การใช้เครื่องดนตรีที่ซับซ้อน เช่น เปียโน กีตาร์ไฟฟ้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เครื่องเป่า (Brass Section) ที่สร้างความหนาแน่นและพลังเสียงที่ทันสมัย นอกจากนี้ยังมีการนำจังหวะที่ได้รับอิทธิพลจากดนตรีตะวันตกมาใช้ เช่น จังหวะช่าช่าช่า หรือฟังก์กี้ดิสโก้ในเพลงสนุกสนานอย่าง "ระบำยอดหญ้า" ทั้งหมดนี้ถูกขับร้องด้วยการประสานเสียงที่ไพเราะและสะอาดตา ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของดนตรีป๊อปในช่วงนั้น

    การวิเคราะห์เนื้อหาและแก่นหลักของบทเพลง
    1️⃣ ความรักที่ถูกทรยศในบริบทกึ่งชนบท: เพลงอย่าง "ทุยใจดำ" และ "ช้ำ" นำเสนอความผิดหวังในความรักจากมุมมองของผู้หญิง เมื่อเนื้อหาเหล่านี้ถูกขับร้องด้วยคุณภาพเสียงที่สะอาดและการเรียบเรียงแบบป๊อปสมัยใหม่ ความดิบหรือความรู้สึกที่เชื่อมโยงกับความยากจนในเพลงลูกทุ่งแบบดั้งเดิมก็ถูกลดทอนลง เนื้อหาจึงถูก "ทำให้สะอาด" ให้เหลือเพียงความเศร้าแบบโรแมนติกที่เข้ากับมาตรฐานของเพลงป๊อปในเมือง

    2️⃣ ความปรารถนาในชีวิตชนบทและความหวนคิดถึง: เพลง "สาวชนบท" และ "ระบำยอดหญ้า" นำเสนอภาพความสดใสและรื่นเริงของชีวิตในท้องถิ่น ผู้ฟังในเขตเมืองหลายคนซึ่งส่วนใหญ่อพยพมาจากชนบท ต่างให้การตอบรับต่อเพลงเหล่านี้อย่างดีเยี่ยม ดอกไม้ป่าจึงทำหน้าที่เป็นตัวแทนของ "การหวนคิดถึงอย่างมีรสนิยม" (Aesthetic Nostalgia)

    ความสำเร็จอย่างสูงในตลาดเพลงสตริง/ป๊อป แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการ "เชื่อมรอยแยกทางวัฒนธรรม" ระหว่างรสนิยมของคนเมือง (ที่แสวงหาความทันสมัย) กับความผูกพันของกลุ่มผู้ฟังต่อชนบท

    ปี พ.ศ. 2525 เป็นปีแห่งความรุ่งโรจน์ของคณะดอกไม้ป่าจากการเปิดตัวอัลบั้ม ทุยใจดำ ซึ่งได้กำหนดทิศทางและลักษณะเฉพาะของวงอย่างชัดเจน เพลงเอก "ทุยใจดำ" เป็นตัวอย่างชั้นยอดของการผสมผสานระหว่าง Luk Thung และ Pop ผนวกกับการเรียบเรียงที่ใช้เครื่องดนตรีครบวงและจังหวะที่เร้าใจ ทำให้เพลงนี้กลายเป็นเพลงเต้นรำที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง

    วงยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วในปี พ.ศ. 2526 โดยมีผลงานเพลงจากชุดต่อมา เช่น "สาวชนบท," "หนาวลมขมรัก," และ "รักทรมาน" การออกผลงานหลายชุดภายในเวลาอันสั้น เป็นเครื่องยืนยันถึงความเชื่อมั่นของค่ายเพลงในศักยภาพเชิงพาณิชย์และกระแสความนิยมที่แข็งแกร่งในช่วงเวลานั้น การที่เพลงของพวกเขาถูกรวมอยู่ในอัลบั้มรวมเพลงฮิตเงินล้าน ร่วมกับศิลปินใหญ่แห่งยุค แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นวงชั้นนำในตลาดเพลงเทปคาสเซ็ตต์อย่างแท้จริง

    นอกจากคุณภาพทางดนตรีแล้ว ภาพลักษณ์ของคณะดอกไม้ป่ามีความสำคัญต่อการตลาดไม่น้อยไปกว่ากัน ภาพลักษณ์ที่ถูกนำเสนอมีความเป็นมืออาชีพสูงและสอดคล้องกับแฟชั่นยุค 80s การปรากฏตัวทั้งในสตูดิโอและภาพคอนเสิร์ต แสดงให้เห็นถึงการลงทุนในการผลิต และการแต่งกายที่ดูทันสมัยและสะอาดตา ซึ่งแตกต่างอย่างชัดเจนจากภาพลักษณ์ลูกทุ่งแบบดั้งเดิม

    คณะดอกไม้ป่าทำหน้าที่เป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่สำคัญสองประการในต้นทศวรรษ 1980s นั่นคือพลวัตของการอพยพย้ายถิ่นฐาน และการเปลี่ยนแปลงของบทบาททางเพศ

    ในช่วงหลังปี 2520 สังคมไทยเข้าสู่ยุคของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการขยายตัวของชนชั้นกลางในเขตเมืองอย่างชัดเจน ผู้คนจำนวนมากอพยพจากชนบทเข้าสู่กรุงเทพฯ ทำให้เกิดความตึงเครียดทางวัฒนธรรมระหว่างวิถีชีวิตแบบเมืองกับรากเหง้าที่ยังคงผูกพันกับชนบท

    กลุ่มผู้ฟังที่ย้ายถิ่นฐานเหล่านี้ยังคงมีความผูกพันทางอารมณ์กับเนื้อหาและทำนองแบบลูกทุ่ง แต่รสนิยมทางเสียงของพวกเขาได้ถูกหล่อหลอมด้วยดนตรีป๊อปและสตริงที่ทันสมัย ดอกไม้ป่าจึงเข้ามาตอบโจทย์นี้ด้วยการนำเสนอ "ลูกทุ่งในแพ็คเกจป๊อป" เพลงที่มีธีมเกี่ยวกับ "สาวชนบท" ซึ่งถูกถ่ายทอดโดยนักร้องที่ดูทันสมัยในบริบทเมือง จึงสามารถสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับผู้ฟังกลุ่มย้ายถิ่นฐานได้อย่างลึกซึ้ง บทเพลงของดอกไม้ป่าเปรียบเสมือน "ซาวด์แทร็กของการปรับตัว" ของคนชนบทเข้าสู่สังคมเมือง

    การที่คณะดอกไม้ป่าเป็นนักร้องดูโอหญิงในแนว Pop/Fusion แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงบทบาททางเพศในสื่อและสังคมในช่วงเวลานั้น ภาพลักษณ์ของ โชติมา และ ปัทมา เป็นตัวแทนของ ผู้หญิงในยุคสมัยใหม่ ที่สามารถเป็นทั้งผู้รักษามรดกทางวัฒนธรรมและเป็นผู้หญิงที่มีความทันสมัย (ผ่านสไตล์การแต่งกายและการนำเสนอแบบป๊อป)

    นอกจากนี้ เพลงที่กล้าแสดงออกถึงความผิดหวังในความรักและความช้ำ เป็นการเปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกส่วนตัวในที่สาธารณะได้มากขึ้น โดยที่ยังคงรักษาภาพลักษณ์ที่ดูดีและไม่ฉีกกรอบทางสังคมมากนัก ซึ่งสอดคล้องกับยุคสมัยที่บทบาทของผู้หญิงเริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น

    ในช่วงปี พ.ศ. 2525 ซึ่งเป็นช่วงที่สังคมกำลังฟื้นตัวหลังความขัดแย้งทางการเมืองครั้งใหญ่ ดนตรีที่ได้รับความนิยมสูงมักจะไม่มีวาระทางการเมืองที่ชัดเจน คณะดอกไม้ป่าเองก็เน้นที่ความบันเทิงและเรื่องราวส่วนตัว การหลีกเลี่ยงข้อความที่อาจสร้างความขัดแย้งทางการเมืองในบทเพลง ส่งผลให้ดอกไม้ป่าสามารถเข้าถึงผู้ชมหลักได้อย่างง่ายดาย

    ดอกไม้ป่าประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์อย่างสูงในช่วงยุครุ่งเรือง ดังที่ปรากฏหลักฐานจากการออกอัลบั้ม Longplay เต็มรูปแบบหลายชุด และการมีอัลบั้มรวมเพลงฮิต การที่เพลงของวงถูกนำไปรวมอยู่ในอัลบั้มที่ทำยอดขายสูงร่วมกับศิลปินสำคัญแห่งยุค ตอกย้ำสถานะของพวกเขาในฐานะวงชั้นนำของตลาดเทปคาสเซ็ตต์ ซึ่งเป็นรูปแบบการบริโภคหลักในยุคนั้น

    ดอกไม้ป่าไม่ได้เป็นเพียงวงดนตรีที่ขายดี แต่ยังได้สร้างต้นแบบ ให้กับแนวเพลงผสมผสานที่ทรงอิทธิพล พวกเขาเป็นตัวอย่างสำคัญที่พิสูจน์ให้เห็นว่าดนตรีที่มีรากฐานลูกทุ่งสามารถนำเสนอในรูปแบบป๊อปสตริงที่มีคุณภาพสูงและประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ การเปิดทางนี้มีอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นหลังจำนวนมากที่พยายามนำเสนอ "ลูกทุ่งสมัยใหม่" ซึ่งช่วยยืดอายุและปรับโฉมให้ดนตรีลูกทุ่งยังคงอยู่รอดในยุคที่ดนตรี String ครองตลาด

    การที่ดอกไม้ป่าสามารถนำเอาองค์ประกอบของลูกทุ่งและป๊อปมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัวและได้รับความนิยมอย่างสูง ทำให้ผู้ผลิตเพลงเห็นว่า "สูตรผสม" นี้เป็นช่องทางที่มั่นคงในการขยายตลาดไปยังผู้ฟังที่มีรสนิยมหลากหลาย ถือเป็นการเร่งกระบวนการที่ทำให้ดนตรีสตริงได้ครอบครองความโดดเด่นในที่สุด

    มรดกทางดนตรีของดอกไม้ป่ายังคงยืนยง เพลงของพวกเขายังคงถูกค้นหาและรับฟังในปัจจุบันผ่านช่องทางดิจิทัล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความทนทานของทำนองและเนื้อหาที่เข้าถึงง่าย การปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลยังเห็นได้จากการที่สมาชิกหลักของวงยังคงมีความเคลื่อนไหวในการกลับมาทำเพลงใหม่ในนามดอกไม้ป่า ("พลังรัก") และมีการสร้างช่องทาง YouTube เฉพาะ การเคลื่อนไหวนี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าศิลปินยุคบุกเบิกสามารถใช้แพลตฟอร์มสมัยใหม่เพื่อรักษาและขยายฐานแฟนคลับให้เข้าถึงผู้ฟังรุ่นใหม่ได้

    สรุป: มรดกของดอกไม้ป่า
    คณะดอกไม้ป่าจัดเป็นปรากฏการณ์ทางดนตรีและวัฒนธรรมที่มีความซับซ้อนในช่วงรอยต่อของสังคมไทย พวกเขาประสบความสำเร็จในการสร้างความสมดุลระหว่างมรดกทางดนตรีคลาสสิก (ผ่านสายเลือดสุนทราภรณ์) กับความต้องการของตลาดป๊อปที่เน้นความทันสมัยและคุณภาพการผลิตสูง

    บทเพลงของดอกไม้ป่าทำหน้าที่เป็นกลไกทางวัฒนธรรมที่ช่วยบรรเทาความตึงเครียดทางสังคมภายหลังวิกฤตการณ์ทางการเมือง ด้วยการนำเสนอความบันเทิงที่ปลอดภัยและเป็นทางออกทางวัฒนธรรมสำหรับกลุ่มผู้ย้ายถิ่นฐานที่ต้องการรักษาความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับชนบท ในขณะที่ปรับตัวเข้าสู่ความเป็นเมืองอย่างเต็มตัว

    มรดกที่สำคัญที่สุดของคณะดอกไม้ป่าคือการเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกที่แข็งแกร่งที่สุดของ "ดนตรีลูกทุ่งประยุกต์" พวกเขาพิสูจน์ให้เห็นว่าความทันสมัยทางดนตรีไม่จำเป็นต้องตัดขาดจากรากฐานทางวัฒนธรรมดั้งเดิม และเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมเพลงป๊อปไทยในทศวรรษต่อมาให้ยอมรับและผสมผสานแนวเพลงที่มีรากฐานมาจาก Luk Thung เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเพลงกระแสหลักได้อย่างลงตัว

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://youtu.be/NnrS7BYpRRc
    🌼 ดอกไม้ป่า—ร่องรอยแห่งชนบทในสำเนียงเมือง คณะดอกไม้ป่า 🌸 ก้าวเข้ามาสู่ฉากดนตรีไทยในช่วงต้นทศวรรษ 2520 (ค.ศ. 1980s) ซึ่งถือเป็น 🔄 ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของรสนิยมและการผลิตดนตรีในประเทศไทย พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงกลุ่มนักร้องที่รวมตัวกันตามธรรมชาติ แต่เป็นโครงการทางดนตรีที่ถูกกำหนดและออกแบบอย่างพิถีพิถันจากผู้บุกเบิกในอุตสาหกรรมเพลงมืออาชีพ เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองต่อตลาดชนชั้นกลางในเมืองที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ทำให้วงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งคือความสามารถในการนำ "แก่นเรื่องแบบลูกทุ่ง" 🧬🌾 มาผสมผสานกับการเรียบเรียงและคุณภาพการผลิตแบบ "ดนตรีสตริงหรือป๊อป" 🎧 อันนำไปสู่การก่อกำเนิดของแนวทางใหม่ที่เรียกว่า "ลูกทุ่งประยุกต์" ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานให้กับรูปแบบดนตรีป๊อปที่ครองตลาดในทศวรรษต่อมา ดอกไม้ป่าประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในช่วงปี พ.ศ. 2525–2526 🌟 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมหลังเหตุการณ์ทางการเมืองในทศวรรษก่อนหน้า วงนี้ถูกวางตำแหน่งทางการตลาดให้เป็นนักร้องคู่ดูโอหญิงที่เน้นทักษะการประสานเสียง (Harmonizing Duo) พวกเขาสามารถดึงดูดผู้ฟังได้อย่างกว้างขวางด้วยการรักษาความรู้สึกและแก่นเรื่องของความเป็นไทยไว้ ในขณะที่นำเสนอผ่านสำเนียงป๊อปสมัยใหม่ ในเชิงสังคมวิทยา ความสำเร็จของวงมีความสัมพันธ์กับการถอยห่างจากเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเมืองที่รุนแรงของยุค 1970s ดนตรีป๊อปที่ได้รับความนิยมในช่วงนี้มักหลีกเลี่ยงสารทางการเมือง และหันไปให้ความสำคัญกับเรื่องราวส่วนตัว ความรัก ❤️ และการมอบความบันเทิง ดอกไม้ป่าได้ปรับใช้แก่นเรื่องลูกทุ่งให้มีความอ่อนโยนและโรแมนติกในรูปแบบป๊อป ซึ่งทำให้บทเพลงของพวกเขากลายเป็นผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมที่ผู้บริโภคในเมืองสามารถยอมรับและเพลิดเพลินได้ คณะดอกไม้ป่าถือกำเนิดขึ้นจากแนวคิดทางธุรกิจที่ชัดเจน 💡 โดยไม่ได้เกิดจากการรวมตัวกันของนักดนตรีตามธรรมชาติ การก่อตั้งมีรากฐานมาจากความต้องการขยายตลาดและรูปแบบความสำเร็จที่เคยมีมาก่อน โดยผู้ริเริ่มแนวคิดต้องการที่จะสรรหานักร้องหญิงคู่ประสานเสียงเป็นคู่ที่สอง เพื่อต่อยอดความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับวง The Hot Pepper Singers การตัดสินใจนี้สะท้อนให้เห็นว่า รูปแบบของ "นักร้องคู่ประสานเสียง" 🎤🤝 ที่มีภาพลักษณ์สุภาพและเน้นทักษะการร้องถือเป็นกลยุทธ์เชิงพาณิชย์ที่มีศักยภาพสูง การเน้นที่ "นักร้องคู่ประสานเสียง" แสดงให้เห็นว่าคุณภาพเสียงและการจัดวางเสียงประสานถูกกำหนดให้เป็นหัวใจหลักของแบรนด์ตั้งแต่เริ่มต้น แนวคิดนี้เป็นความพยายามที่จะยกระดับรูปแบบการร้องเพลงให้แตกต่างจากดนตรีลูกทุ่งทั่วไป การประสานเสียงที่ซับซ้อนนี้ถูกมองว่าเป็นคุณสมบัติของดนตรีแนวลูกกรุงและป๊อปที่มีความประณีตและมีรสนิยมสูง ซึ่งสามารถดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคในเมืองได้ วงดอกไม้ป่าประกอบด้วยนักร้องดูโอหญิงสองคน: โชติมา ช่วงวิทย์ (ตุ้ม) และ ปัทมา มนต์รังสี (อ้อม) คุณโชติมาถือเป็นสมาชิกหลักที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเธอเป็นบุตรสาวของ ชวลีย์ ช่วงวิทย์ นักร้องชื่อดังของวงสุนทราภรณ์ 👑 สายเลือดจากสุนทราภรณ์นี้มอบความน่าเชื่อถือทางวัฒนธรรมและ "ความเป็นลูกกรุง" ให้กับวงโดยอัตโนมัติ ทำให้ดอกไม้ป่าสามารถวางตำแหน่งตัวเองอยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นลูกทุ่งและความเป็นลูกกรุง/คลาสสิก ในช่วงเวลาที่ดนตรีลูกทุ่งกำลังถูกกลุ่มรสนิยมใหม่ของคนเมืองมองว่าเป็น "ดนตรีบ้านนอก" การมีโชติมาได้ทำหน้าที่เป็น "การสร้างแบรนด์ทางวัฒนธรรม" ที่สำคัญยิ่ง การเชื่อมโยงนี้รับประกันว่าเพลงของดอกไม้ป่า แม้จะมีกลิ่นอายของลูกทุ่ง แต่ก็มีความสุภาพและมีคุณค่าในเชิงศิลปะแบบลูกกรุงสูง "ดอกไม้ป่าซาวด์" คือการผสมผสานทางดนตรี 🔥 ที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจในการนำองค์ประกอบทางทำนองเพลงพื้นบ้านหรือลูกทุ่ง มารวมเข้ากับการเรียบเรียงดนตรีและเครื่องดนตรีสมัยใหม่ตามแบบฉบับดนตรีสตริง/ป๊อปในยุค 80s แก่นเรื่องแบบลูกทุ่งยังคงเป็นหัวใจหลักในการเล่าเรื่อง ตัวอย่างเช่น เพลง "ทุยใจดำ" 💔 ที่สื่อถึงคนรักที่ไม่ซื่อสัตย์ และเพลง "สาวชนบท" 🏡 ที่หยิบยกเรื่องราวความรักและชีวิตในท้องถิ่นมานำเสนอ แต่สิ่งที่ทำให้ดนตรีมีความแตกต่างคือการเรียบเรียงแบบป๊อปสมัยใหม่ การใช้เครื่องดนตรีที่ซับซ้อน เช่น เปียโน กีตาร์ไฟฟ้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เครื่องเป่า (Brass Section) 🎺🎷 ที่สร้างความหนาแน่นและพลังเสียงที่ทันสมัย นอกจากนี้ยังมีการนำจังหวะที่ได้รับอิทธิพลจากดนตรีตะวันตกมาใช้ เช่น จังหวะช่าช่าช่า หรือฟังก์กี้ดิสโก้ในเพลงสนุกสนานอย่าง "ระบำยอดหญ้า" 💃 ทั้งหมดนี้ถูกขับร้องด้วยการประสานเสียงที่ไพเราะและสะอาดตา ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของดนตรีป๊อปในช่วงนั้น การวิเคราะห์เนื้อหาและแก่นหลักของบทเพลง 1️⃣ ความรักที่ถูกทรยศในบริบทกึ่งชนบท: เพลงอย่าง "ทุยใจดำ" และ "ช้ำ" นำเสนอความผิดหวังในความรักจากมุมมองของผู้หญิง เมื่อเนื้อหาเหล่านี้ถูกขับร้องด้วยคุณภาพเสียงที่สะอาดและการเรียบเรียงแบบป๊อปสมัยใหม่ ความดิบหรือความรู้สึกที่เชื่อมโยงกับความยากจนในเพลงลูกทุ่งแบบดั้งเดิมก็ถูกลดทอนลง เนื้อหาจึงถูก "ทำให้สะอาด" ให้เหลือเพียงความเศร้าแบบโรแมนติกที่เข้ากับมาตรฐานของเพลงป๊อปในเมือง 2️⃣ ความปรารถนาในชีวิตชนบทและความหวนคิดถึง: เพลง "สาวชนบท" และ "ระบำยอดหญ้า" นำเสนอภาพความสดใสและรื่นเริงของชีวิตในท้องถิ่น ผู้ฟังในเขตเมืองหลายคนซึ่งส่วนใหญ่อพยพมาจากชนบท ต่างให้การตอบรับต่อเพลงเหล่านี้อย่างดีเยี่ยม ดอกไม้ป่าจึงทำหน้าที่เป็นตัวแทนของ "การหวนคิดถึงอย่างมีรสนิยม" (Aesthetic Nostalgia) 💖 ความสำเร็จอย่างสูงในตลาดเพลงสตริง/ป๊อป แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการ "เชื่อมรอยแยกทางวัฒนธรรม" 🔗 ระหว่างรสนิยมของคนเมือง (ที่แสวงหาความทันสมัย) กับความผูกพันของกลุ่มผู้ฟังต่อชนบท ปี พ.ศ. 2525 เป็นปีแห่งความรุ่งโรจน์ของคณะดอกไม้ป่าจากการเปิดตัวอัลบั้ม ทุยใจดำ 💿 ซึ่งได้กำหนดทิศทางและลักษณะเฉพาะของวงอย่างชัดเจน เพลงเอก "ทุยใจดำ" เป็นตัวอย่างชั้นยอดของการผสมผสานระหว่าง Luk Thung และ Pop ผนวกกับการเรียบเรียงที่ใช้เครื่องดนตรีครบวงและจังหวะที่เร้าใจ ทำให้เพลงนี้กลายเป็นเพลงเต้นรำที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง วงยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วในปี พ.ศ. 2526 โดยมีผลงานเพลงจากชุดต่อมา เช่น "สาวชนบท," "หนาวลมขมรัก," และ "รักทรมาน" การออกผลงานหลายชุดภายในเวลาอันสั้น เป็นเครื่องยืนยันถึงความเชื่อมั่นของค่ายเพลงในศักยภาพเชิงพาณิชย์และกระแสความนิยมที่แข็งแกร่งในช่วงเวลานั้น การที่เพลงของพวกเขาถูกรวมอยู่ในอัลบั้มรวมเพลงฮิตเงินล้าน 💰 ร่วมกับศิลปินใหญ่แห่งยุค แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นวงชั้นนำในตลาดเพลงเทปคาสเซ็ตต์อย่างแท้จริง นอกจากคุณภาพทางดนตรีแล้ว ภาพลักษณ์ของคณะดอกไม้ป่ามีความสำคัญต่อการตลาดไม่น้อยไปกว่ากัน ภาพลักษณ์ที่ถูกนำเสนอมีความเป็นมืออาชีพสูงและสอดคล้องกับแฟชั่นยุค 80s การปรากฏตัวทั้งในสตูดิโอและภาพคอนเสิร์ต 🎙️ แสดงให้เห็นถึงการลงทุนในการผลิต และการแต่งกายที่ดูทันสมัยและสะอาดตา ซึ่งแตกต่างอย่างชัดเจนจากภาพลักษณ์ลูกทุ่งแบบดั้งเดิม คณะดอกไม้ป่าทำหน้าที่เป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่สำคัญสองประการในต้นทศวรรษ 1980s นั่นคือพลวัตของการอพยพย้ายถิ่นฐาน 🚚 และการเปลี่ยนแปลงของบทบาททางเพศ ในช่วงหลังปี 2520 สังคมไทยเข้าสู่ยุคของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการขยายตัวของชนชั้นกลางในเขตเมืองอย่างชัดเจน ผู้คนจำนวนมากอพยพจากชนบทเข้าสู่กรุงเทพฯ 🏙️ ทำให้เกิดความตึงเครียดทางวัฒนธรรมระหว่างวิถีชีวิตแบบเมืองกับรากเหง้าที่ยังคงผูกพันกับชนบท กลุ่มผู้ฟังที่ย้ายถิ่นฐานเหล่านี้ยังคงมีความผูกพันทางอารมณ์กับเนื้อหาและทำนองแบบลูกทุ่ง แต่รสนิยมทางเสียงของพวกเขาได้ถูกหล่อหลอมด้วยดนตรีป๊อปและสตริงที่ทันสมัย ดอกไม้ป่าจึงเข้ามาตอบโจทย์นี้ด้วยการนำเสนอ "ลูกทุ่งในแพ็คเกจป๊อป" เพลงที่มีธีมเกี่ยวกับ "สาวชนบท" ซึ่งถูกถ่ายทอดโดยนักร้องที่ดูทันสมัยในบริบทเมือง จึงสามารถสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับผู้ฟังกลุ่มย้ายถิ่นฐานได้อย่างลึกซึ้ง บทเพลงของดอกไม้ป่าเปรียบเสมือน "ซาวด์แทร็กของการปรับตัว" ของคนชนบทเข้าสู่สังคมเมือง การที่คณะดอกไม้ป่าเป็นนักร้องดูโอหญิงในแนว Pop/Fusion แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงบทบาททางเพศในสื่อและสังคมในช่วงเวลานั้น ภาพลักษณ์ของ โชติมา และ ปัทมา เป็นตัวแทนของ ผู้หญิงในยุคสมัยใหม่ 👩‍🎤 ที่สามารถเป็นทั้งผู้รักษามรดกทางวัฒนธรรมและเป็นผู้หญิงที่มีความทันสมัย (ผ่านสไตล์การแต่งกายและการนำเสนอแบบป๊อป) นอกจากนี้ เพลงที่กล้าแสดงออกถึงความผิดหวังในความรักและความช้ำ 💔 เป็นการเปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกส่วนตัวในที่สาธารณะได้มากขึ้น โดยที่ยังคงรักษาภาพลักษณ์ที่ดูดีและไม่ฉีกกรอบทางสังคมมากนัก ซึ่งสอดคล้องกับยุคสมัยที่บทบาทของผู้หญิงเริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น ในช่วงปี พ.ศ. 2525 ซึ่งเป็นช่วงที่สังคมกำลังฟื้นตัวหลังความขัดแย้งทางการเมืองครั้งใหญ่ ดนตรีที่ได้รับความนิยมสูงมักจะไม่มีวาระทางการเมืองที่ชัดเจน คณะดอกไม้ป่าเองก็เน้นที่ความบันเทิงและเรื่องราวส่วนตัว การหลีกเลี่ยงข้อความที่อาจสร้างความขัดแย้งทางการเมืองในบทเพลง ส่งผลให้ดอกไม้ป่าสามารถเข้าถึงผู้ชมหลักได้อย่างง่ายดาย ดอกไม้ป่าประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์อย่างสูงในช่วงยุครุ่งเรือง 💵💶💷 ดังที่ปรากฏหลักฐานจากการออกอัลบั้ม Longplay เต็มรูปแบบหลายชุด และการมีอัลบั้มรวมเพลงฮิต การที่เพลงของวงถูกนำไปรวมอยู่ในอัลบั้มที่ทำยอดขายสูงร่วมกับศิลปินสำคัญแห่งยุค ตอกย้ำสถานะของพวกเขาในฐานะวงชั้นนำของตลาดเทปคาสเซ็ตต์ 📼 ซึ่งเป็นรูปแบบการบริโภคหลักในยุคนั้น ดอกไม้ป่าไม่ได้เป็นเพียงวงดนตรีที่ขายดี แต่ยังได้สร้างต้นแบบ 🏗️ ให้กับแนวเพลงผสมผสานที่ทรงอิทธิพล พวกเขาเป็นตัวอย่างสำคัญที่พิสูจน์ให้เห็นว่าดนตรีที่มีรากฐานลูกทุ่งสามารถนำเสนอในรูปแบบป๊อปสตริงที่มีคุณภาพสูงและประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ การเปิดทางนี้มีอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นหลังจำนวนมากที่พยายามนำเสนอ "ลูกทุ่งสมัยใหม่" ซึ่งช่วยยืดอายุและปรับโฉมให้ดนตรีลูกทุ่งยังคงอยู่รอดในยุคที่ดนตรี String ครองตลาด การที่ดอกไม้ป่าสามารถนำเอาองค์ประกอบของลูกทุ่งและป๊อปมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัวและได้รับความนิยมอย่างสูง ทำให้ผู้ผลิตเพลงเห็นว่า "สูตรผสม" นี้เป็นช่องทางที่มั่นคงในการขยายตลาดไปยังผู้ฟังที่มีรสนิยมหลากหลาย ถือเป็นการเร่งกระบวนการที่ทำให้ดนตรีสตริงได้ครอบครองความโดดเด่นในที่สุด มรดกทางดนตรีของดอกไม้ป่ายังคงยืนยง ⏳ เพลงของพวกเขายังคงถูกค้นหาและรับฟังในปัจจุบันผ่านช่องทางดิจิทัล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความทนทานของทำนองและเนื้อหาที่เข้าถึงง่าย การปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลยังเห็นได้จากการที่สมาชิกหลักของวงยังคงมีความเคลื่อนไหวในการกลับมาทำเพลงใหม่ในนามดอกไม้ป่า ("พลังรัก") และมีการสร้างช่องทาง YouTube เฉพาะ 🎥 การเคลื่อนไหวนี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าศิลปินยุคบุกเบิกสามารถใช้แพลตฟอร์มสมัยใหม่เพื่อรักษาและขยายฐานแฟนคลับให้เข้าถึงผู้ฟังรุ่นใหม่ได้ ✨ ✅✅ สรุป: มรดกของดอกไม้ป่า ✅✅ คณะดอกไม้ป่าจัดเป็นปรากฏการณ์ทางดนตรีและวัฒนธรรมที่มีความซับซ้อนในช่วงรอยต่อของสังคมไทย พวกเขาประสบความสำเร็จในการสร้างความสมดุลระหว่างมรดกทางดนตรีคลาสสิก (ผ่านสายเลือดสุนทราภรณ์) กับความต้องการของตลาดป๊อปที่เน้นความทันสมัยและคุณภาพการผลิตสูง บทเพลงของดอกไม้ป่าทำหน้าที่เป็นกลไกทางวัฒนธรรมที่ช่วยบรรเทาความตึงเครียดทางสังคมภายหลังวิกฤตการณ์ทางการเมือง ด้วยการนำเสนอความบันเทิงที่ปลอดภัยและเป็นทางออกทางวัฒนธรรมสำหรับกลุ่มผู้ย้ายถิ่นฐานที่ต้องการรักษาความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับชนบท ในขณะที่ปรับตัวเข้าสู่ความเป็นเมืองอย่างเต็มตัว มรดกที่สำคัญที่สุดของคณะดอกไม้ป่าคือการเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกที่แข็งแกร่งที่สุดของ "ดนตรีลูกทุ่งประยุกต์" 🎶 พวกเขาพิสูจน์ให้เห็นว่าความทันสมัยทางดนตรีไม่จำเป็นต้องตัดขาดจากรากฐานทางวัฒนธรรมดั้งเดิม และเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมเพลงป๊อปไทยในทศวรรษต่อมาให้ยอมรับและผสมผสานแนวเพลงที่มีรากฐานมาจาก Luk Thung เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเพลงกระแสหลักได้อย่างลงตัว 💯 #ลุงเล่าหลานฟัง https://youtu.be/NnrS7BYpRRc
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 477 มุมมอง 0 รีวิว
  • Highlight Words In Action : September 2025

    acrimony noun: sharpness, harshness, or bitterness of nature, speech, disposition, etc.

    From the headlines: European trade ministers gathered on July 14 to discuss the new U.S. tariffs, aiming to ease the acrimony between the EU and the Trump administration. While they planned potential countermeasures against the 30 percent tariffs, which they deemed “unacceptable,” they were united in favor of pursuing a negotiated agreement with the U.S. to maintain stable trade ties.

    adamant
    adjective: utterly unyielding in attitude or opinion in spite of all appeals, urgings, etc.

    From the headlines: Mars, the maker of M&M’s, Skittles, and other popular candies, remains adamant that it will only stop using synthetic dyes in its candy if legally required. While other food companies have announced plans to phase out artificial colors in items like Lucky Charms, Jell-O, and Kool-Aid, some candy manufacturers are holding firm. They argue that natural alternatives cost more and don’t deliver the same vibrant colors.

    aerial
    adjective: existing, living, growing, or operating in the air

    From the headlines: On June 29, Russia launched its largest aerial assault of the war in Ukraine, firing more missiles than in any previous attack since the beginning of the war in 2022. The strikes hit multiple Ukrainian cities, injuring at least a dozen people and damaging key infrastructure.

    autonomous
    adjective: existing as an independent entity

    From the headlines: Robots competed in a fully autonomous soccer tournament in Beijing, with four teams of three humanoid robots each operating solely under AI control. Although the idea was innovative, the robots had trouble with basic actions like kicking and staying balanced. Tsinghua University’s THU Robotics team clinched the championship by scoring five goals in the final round.

    bioluminescent
    adjective: pertaining to the production of light by living organisms

    From the headlines: A new research project will try to interpret the meaning of fireflies’ blinking. Scientists in Colorado enlisted the help of citizen observers to record videos of the bioluminescent insects at dusk. Researchers will eventually make a 3D map of where the glowing lights flash over time. While they know firefly blinks follow a deliberate pattern and are used to attract a mate, experts believe there is more to learn.

    bodega
    noun: a small, independent or family-owned grocery store, usually located in a densely populated urban environment

    From the headlines: A recent crime spree in New York City has targeted bodega ATMs. Thefts of cash machines have increased over the past five years, and New York’s small corner stores have been hit particularly hard. Three people are suspected of stealing almost $600,000 over six months by breaking into independent convenience stores, removing their ATMs, and driving away with them in stolen cars.

    contretemps
    noun: an inopportune occurrence; an embarrassing mischance

    From the headlines: After a contretemps between the Quebec Board of the French Language and Montreal’s transit agency, new rules grudgingly allow the use of the word “go” when cheering sports teams. The Board had objected to a Montreal Canadiens ad campaign that read “Go! Canadiens Go!” Tasked with preserving the province’s French heritage, the Board had been insisting on replacing the signs with “Allez! Canadiens Allez!”

    decorum
    noun: dignified propriety of behavior, speech, dress, etc.

    From the headlines: La Scala has introduced a new dress code requiring attendees to “choose clothing in keeping with the decorum of the theatre.” The renowned Milan opera house is codifying its long-standing policy discouraging attire like flip-flops, shorts, and tank tops. Guests are now expected to dress with elegance, honoring both the opera house’s refined ambiance and its storied cultural legacy.

    driftwood
    noun: pieces of trees that are floating on a body of water or have been washed ashore

    From the headlines: In rural Alaska, residents of some villages and small towns are continuing a long tradition by using driftwood for fuel and as energy-efficient siding for their homes. The pieces of wood, worn smooth by ocean waves or currents in rivers and streams, have been used this way by Indigenous Alaskans for thousands of years. Communities save money and protect the environment by reusing old trees or boards found floating in the water instead of buying lumber and logs.

    eavesdrop
    verb: to listen secretly to a private conversation

    From the headlines: Ecologists have found that long-billed curlews and other grassland nesters routinely eavesdrop on prairie dogs to dodge predators. Sharing a habitat where hawks, eagles, foxes, and other Great Plains animals lurk, the birds capitalize on the rodents’ warning calls. After eavesdropping on these distinctive calls, the curlews and other birds crouch or camouflage themselves until the threat has passed.

    emulate
    verb: to imitate with effort to equal or surpass

    From the headlines: Inspired by Paris’s recent success, cities across the globe are preparing to emulate its efforts to restore polluted urban rivers for public use. After a hundred-year swimming ban, Parisians can now take a dip in the once-contaminated Seine, thanks to more than a billion dollars spent on upgrades like sewer improvements and rainwater storage. Cities such as Berlin, Boston, New York, and London are developing similar plans to clean their waterways and make them safe for swimming once again.

    estuary
    noun: the part of the mouth or lower course of a river in which the river’s current meets the sea’s tide

    From the headlines: Florida Governor Ron DeSantis signed a bill that will ban oil drilling on the Apalachicola River. The river’s estuary is home to many endangered plants and animals, including the world’s largest stand of tupelo trees. The inlet is also the most important site in the state’s oyster industry. Environmentalists and fishermen supported the bill and pushed DeSantis to sign it.

    Fun fact: A Latin word meaning “boiling of the sea” is the root of estuary.

    gentrification
    noun: the buying and renovation of property in urban neighborhoods in a way that often displaces low-income families and small businesses

    From the headlines: Protesters in Mexico City say they’re angry about gentrification caused by large numbers of foreigners moving there since 2020. Locals say they have seen formerly affordable housing prices skyrocket as the numbers of short-term rentals and expats increase. Airbnb listings in the city have exploded to over 20,000, and Americans have arrived in particularly large numbers to buy and renovate houses. In the process, they say these factors have driven up costs for everyone, including local residents.

    hedonism
    noun: the doctrine that pleasure or happiness is the highest good

    From the headlines: Researchers say there are six traits that make someone seem “cool” to others, including extroversion, power, and embracing hedonism. An American Psychological Association study surveyed 6,000 people in 12 countries and found a sharp division between people seen as “good” versus “cool.” Being hedonistic, for example, didn’t make someone seem “good,” but focusing on one’s own happiness and pleasure was strongly associated with appearing “cool.”

    kayak
    verb: to travel by a traditional Inuit or Yupik canoe with a skin cover on a light framework, or by a small boat resembling this

    From the headlines: Several dozen Native American teens who spent a month kayaking the length of the Klamath River reached their destination. The group paddled their long, narrow boats about 300 miles, from Oregon to California, to celebrate the removal of four dams. The waterway holds a deep significance to Native American tribes, and many of the teens learned to kayak specifically to participate in the long paddle.

    larceny
    noun: the wrongful taking of someone’s property or goods

    From the headlines: Atlanta police have identified a suspect in the theft of hard drives holding unreleased Beyoncé songs. Setlists and plans for concert footage were also stolen when the alleged thief broke into a vehicle rented by the singer’s team. The larceny occurred during a stop on her Cowboy Carter tour.

    linchpin
    noun: something that holds the various elements of a complicated structure together

    From the headlines: The Department of Defense will stop supplying meteorologists with satellite data, which experts describe as a linchpin of storm modeling. Forecasts for hurricanes rely heavily on this military satellite feed to track storm paths and determine when people should evacuate.

    matcha
    noun: finely ground tea leaf powder used to make tea or as a flavoring, or the tea made from it

    From the headlines: The worldwide demand for matcha is causing severe shortages and higher prices. The bright green, grassy-flavored, powdered tea has a long history in Japan, but its popularity in other countries has exploded in recent years. Drinks and baked goods made with matcha have become wildly popular, causing Japanese tea growers to struggle to keep up with the demand.

    meteorite
    noun: a mass of stone or metal that has reached the earth from outer space

    From the headlines: On July 16, a bidder paid $4.3 million to own a chunk of Mars. The rare Martian meteorite, which weighs about 54 pounds, is the largest meteor fragment ever found on Earth that’s known to come from the red planet. Out of approximately 77,000 confirmed meteorites, only 400 were originally part of Mars. This one, named NWA 16788, was found in the Sahara Desert after its 140-million-mile journey through space.

    monastery
    noun: a residence occupied by a community of persons, especially monks, living in seclusion under religious vows

    From the headlines: Tens of thousands of books are being removed from a medieval Hungarian monastery to save them from a beetle infestation. The Pannonhalma Archabbey contains Hungary’s oldest library and some of the country’s most ancient and valuable books and written records. The monastery was founded 1,000 years ago by Benedictines, and about fifty monks live there today, practicing religious contemplation and solitude.

    nuptials
    noun: a marriage ceremony, or a social event accompanying one

    From the headlines: Protesters took to the streets in Venice as Amazon founder Jeff Bezos and Lauren Sanchez held their nuptials on a Venetian island, complete with 200 guests and three days of extravagant celebrations. Locals expressed outrage, saying the event placed additional strain on a city already struggling with overtourism and environmental fragility.

    offering
    noun: something presented to a deity as a symbol of devotion

    From the headlines: Archaeologists discovered about 2,000 pottery offerings on the Greek island of Kythnos. Historians said the clay figures, which represent children, women, and animals, had been left by devoted worshippers over the centuries. Two ancient temples once stood on the site, as well as a pit where the objects given as gifts to the gods were eventually thrown away to make room for new offerings.

    parody
    noun: a humorous or satirical imitation of a serious piece of writing or art

    From the headlines: Weird Al Yankovic, famed for his clever musical parodies, performed to a sold-out crowd at Madison Square Garden in New York, marking his first show at the iconic 20,000-seat venue. Over his forty-year career, Yankovic has become the most recognizable figure in the parody genre, with hits such as “Like a Surgeon,” a spoof of Madonna’s “Like a Virgin,” and “I Love Rocky Road,” a playful take on “I Love Rock ‘n Roll.”

    perennial
    adjective: arising repeatedly or always existing

    From the headlines: Joey Chestnut, the perennial champion of the Nathan’s Famous Hot Dog Eating Contest, reclaimed his crown this year after missing last year’s competition. He was sidelined in 2024 due to a sponsorship deal with a vegan meat brand, but prior to that, Chestnut had claimed victory in 16 of the past 17 contests. He still holds the world record for devouring 76 hot dogs and buns in just 10 minutes in 2021.

    philanthropist
    noun: someone who makes charitable donations

    From the headlines: Warren Buffett said he would donate $6 billion to five charitable foundations. The businessman and philanthropist, whose net worth is approximately $145 billion, has previously given more than $50 billion to the aforementioned foundations. While Buffet’s children will decide how to give away the rest of his fortune after his death, he said that more than 99 percent of it will have to be used philanthropically.

    plunder
    verb: to take wrongfully, as by pillage, robbery, or fraud

    From the headlines: Experts assumed that a Stradivarius violin plundered after World War II had been lost or destroyed; now it appears to have resurfaced. The 316-year-old instrument was stolen from a Berlin bank safe during the chaos at the end of the war, and the family who owned it searched for decades before giving up. An image of the looted violin, which is valued at millions of dollars, was discovered among photos of Stradivarius instruments from a 2018 Tokyo exhibition.

    risotto
    noun: a dish of rice cooked with broth and flavored with grated cheese and other ingredients

    From the headlines: The short-grain Italian rice that’s used to make risotto is under threat from an unusual culprit: flamingos. Flocks of the birds are settling into northern Italian rice paddies instead of their usual nesting grounds. By stirring the shallow water and rooting for mollusks, the flamingos are destroying many valuable rice crops.

    skittish
    adjective: easily frightened or extremely cautious

    From the headlines: Economists report that despite a low unemployment rate, employers are increasingly skittish about hiring, leaving many recent college graduates struggling to find jobs. Numerous tech companies, consulting firms, and federal agencies are cutting back or freezing hiring, while other industries are hesitant to increase payroll expenses. Furthermore, fewer workers are quitting, limiting job openings even more.

    synthetic
    adjective: pertaining to compounds formed through a chemical process by human agency, as opposed to those of natural origin

    From the headlines: The J.M. Smucker Company has announced it will phase out synthetic dyes from its jams and other offerings. While many of its products are already made without artificial colors, some, including sugar-free jams and Hostess snacks like Twinkies and Snoballs, still rely on them. The company intends to use naturally sourced dyes by 2027.

    tandem
    adverb: one following or behind the other

    From the headlines: Researchers were surprised by video evidence of animals that are normally at odds traveling in tandem. A night-vision camera recorded an ocelot traveling peacefully behind an opossum — a surprise, since ocelots usually prey on opossums. Later footage showed the opossum trailing the ocelot as it prowled. Other researchers have since reported at least three additional examples of such behavior.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    Highlight Words In Action : September 2025 acrimony noun: sharpness, harshness, or bitterness of nature, speech, disposition, etc. From the headlines: European trade ministers gathered on July 14 to discuss the new U.S. tariffs, aiming to ease the acrimony between the EU and the Trump administration. While they planned potential countermeasures against the 30 percent tariffs, which they deemed “unacceptable,” they were united in favor of pursuing a negotiated agreement with the U.S. to maintain stable trade ties. adamant adjective: utterly unyielding in attitude or opinion in spite of all appeals, urgings, etc. From the headlines: Mars, the maker of M&M’s, Skittles, and other popular candies, remains adamant that it will only stop using synthetic dyes in its candy if legally required. While other food companies have announced plans to phase out artificial colors in items like Lucky Charms, Jell-O, and Kool-Aid, some candy manufacturers are holding firm. They argue that natural alternatives cost more and don’t deliver the same vibrant colors. aerial adjective: existing, living, growing, or operating in the air From the headlines: On June 29, Russia launched its largest aerial assault of the war in Ukraine, firing more missiles than in any previous attack since the beginning of the war in 2022. The strikes hit multiple Ukrainian cities, injuring at least a dozen people and damaging key infrastructure. autonomous adjective: existing as an independent entity From the headlines: Robots competed in a fully autonomous soccer tournament in Beijing, with four teams of three humanoid robots each operating solely under AI control. Although the idea was innovative, the robots had trouble with basic actions like kicking and staying balanced. Tsinghua University’s THU Robotics team clinched the championship by scoring five goals in the final round. bioluminescent adjective: pertaining to the production of light by living organisms From the headlines: A new research project will try to interpret the meaning of fireflies’ blinking. Scientists in Colorado enlisted the help of citizen observers to record videos of the bioluminescent insects at dusk. Researchers will eventually make a 3D map of where the glowing lights flash over time. While they know firefly blinks follow a deliberate pattern and are used to attract a mate, experts believe there is more to learn. bodega noun: a small, independent or family-owned grocery store, usually located in a densely populated urban environment From the headlines: A recent crime spree in New York City has targeted bodega ATMs. Thefts of cash machines have increased over the past five years, and New York’s small corner stores have been hit particularly hard. Three people are suspected of stealing almost $600,000 over six months by breaking into independent convenience stores, removing their ATMs, and driving away with them in stolen cars. contretemps noun: an inopportune occurrence; an embarrassing mischance From the headlines: After a contretemps between the Quebec Board of the French Language and Montreal’s transit agency, new rules grudgingly allow the use of the word “go” when cheering sports teams. The Board had objected to a Montreal Canadiens ad campaign that read “Go! Canadiens Go!” Tasked with preserving the province’s French heritage, the Board had been insisting on replacing the signs with “Allez! Canadiens Allez!” decorum noun: dignified propriety of behavior, speech, dress, etc. From the headlines: La Scala has introduced a new dress code requiring attendees to “choose clothing in keeping with the decorum of the theatre.” The renowned Milan opera house is codifying its long-standing policy discouraging attire like flip-flops, shorts, and tank tops. Guests are now expected to dress with elegance, honoring both the opera house’s refined ambiance and its storied cultural legacy. driftwood noun: pieces of trees that are floating on a body of water or have been washed ashore From the headlines: In rural Alaska, residents of some villages and small towns are continuing a long tradition by using driftwood for fuel and as energy-efficient siding for their homes. The pieces of wood, worn smooth by ocean waves or currents in rivers and streams, have been used this way by Indigenous Alaskans for thousands of years. Communities save money and protect the environment by reusing old trees or boards found floating in the water instead of buying lumber and logs. eavesdrop verb: to listen secretly to a private conversation From the headlines: Ecologists have found that long-billed curlews and other grassland nesters routinely eavesdrop on prairie dogs to dodge predators. Sharing a habitat where hawks, eagles, foxes, and other Great Plains animals lurk, the birds capitalize on the rodents’ warning calls. After eavesdropping on these distinctive calls, the curlews and other birds crouch or camouflage themselves until the threat has passed. emulate verb: to imitate with effort to equal or surpass From the headlines: Inspired by Paris’s recent success, cities across the globe are preparing to emulate its efforts to restore polluted urban rivers for public use. After a hundred-year swimming ban, Parisians can now take a dip in the once-contaminated Seine, thanks to more than a billion dollars spent on upgrades like sewer improvements and rainwater storage. Cities such as Berlin, Boston, New York, and London are developing similar plans to clean their waterways and make them safe for swimming once again. estuary noun: the part of the mouth or lower course of a river in which the river’s current meets the sea’s tide From the headlines: Florida Governor Ron DeSantis signed a bill that will ban oil drilling on the Apalachicola River. The river’s estuary is home to many endangered plants and animals, including the world’s largest stand of tupelo trees. The inlet is also the most important site in the state’s oyster industry. Environmentalists and fishermen supported the bill and pushed DeSantis to sign it. Fun fact: A Latin word meaning “boiling of the sea” is the root of estuary. gentrification noun: the buying and renovation of property in urban neighborhoods in a way that often displaces low-income families and small businesses From the headlines: Protesters in Mexico City say they’re angry about gentrification caused by large numbers of foreigners moving there since 2020. Locals say they have seen formerly affordable housing prices skyrocket as the numbers of short-term rentals and expats increase. Airbnb listings in the city have exploded to over 20,000, and Americans have arrived in particularly large numbers to buy and renovate houses. In the process, they say these factors have driven up costs for everyone, including local residents. hedonism noun: the doctrine that pleasure or happiness is the highest good From the headlines: Researchers say there are six traits that make someone seem “cool” to others, including extroversion, power, and embracing hedonism. An American Psychological Association study surveyed 6,000 people in 12 countries and found a sharp division between people seen as “good” versus “cool.” Being hedonistic, for example, didn’t make someone seem “good,” but focusing on one’s own happiness and pleasure was strongly associated with appearing “cool.” kayak verb: to travel by a traditional Inuit or Yupik canoe with a skin cover on a light framework, or by a small boat resembling this From the headlines: Several dozen Native American teens who spent a month kayaking the length of the Klamath River reached their destination. The group paddled their long, narrow boats about 300 miles, from Oregon to California, to celebrate the removal of four dams. The waterway holds a deep significance to Native American tribes, and many of the teens learned to kayak specifically to participate in the long paddle. larceny noun: the wrongful taking of someone’s property or goods From the headlines: Atlanta police have identified a suspect in the theft of hard drives holding unreleased Beyoncé songs. Setlists and plans for concert footage were also stolen when the alleged thief broke into a vehicle rented by the singer’s team. The larceny occurred during a stop on her Cowboy Carter tour. linchpin noun: something that holds the various elements of a complicated structure together From the headlines: The Department of Defense will stop supplying meteorologists with satellite data, which experts describe as a linchpin of storm modeling. Forecasts for hurricanes rely heavily on this military satellite feed to track storm paths and determine when people should evacuate. matcha noun: finely ground tea leaf powder used to make tea or as a flavoring, or the tea made from it From the headlines: The worldwide demand for matcha is causing severe shortages and higher prices. The bright green, grassy-flavored, powdered tea has a long history in Japan, but its popularity in other countries has exploded in recent years. Drinks and baked goods made with matcha have become wildly popular, causing Japanese tea growers to struggle to keep up with the demand. meteorite noun: a mass of stone or metal that has reached the earth from outer space From the headlines: On July 16, a bidder paid $4.3 million to own a chunk of Mars. The rare Martian meteorite, which weighs about 54 pounds, is the largest meteor fragment ever found on Earth that’s known to come from the red planet. Out of approximately 77,000 confirmed meteorites, only 400 were originally part of Mars. This one, named NWA 16788, was found in the Sahara Desert after its 140-million-mile journey through space. monastery noun: a residence occupied by a community of persons, especially monks, living in seclusion under religious vows From the headlines: Tens of thousands of books are being removed from a medieval Hungarian monastery to save them from a beetle infestation. The Pannonhalma Archabbey contains Hungary’s oldest library and some of the country’s most ancient and valuable books and written records. The monastery was founded 1,000 years ago by Benedictines, and about fifty monks live there today, practicing religious contemplation and solitude. nuptials noun: a marriage ceremony, or a social event accompanying one From the headlines: Protesters took to the streets in Venice as Amazon founder Jeff Bezos and Lauren Sanchez held their nuptials on a Venetian island, complete with 200 guests and three days of extravagant celebrations. Locals expressed outrage, saying the event placed additional strain on a city already struggling with overtourism and environmental fragility. offering noun: something presented to a deity as a symbol of devotion From the headlines: Archaeologists discovered about 2,000 pottery offerings on the Greek island of Kythnos. Historians said the clay figures, which represent children, women, and animals, had been left by devoted worshippers over the centuries. Two ancient temples once stood on the site, as well as a pit where the objects given as gifts to the gods were eventually thrown away to make room for new offerings. parody noun: a humorous or satirical imitation of a serious piece of writing or art From the headlines: Weird Al Yankovic, famed for his clever musical parodies, performed to a sold-out crowd at Madison Square Garden in New York, marking his first show at the iconic 20,000-seat venue. Over his forty-year career, Yankovic has become the most recognizable figure in the parody genre, with hits such as “Like a Surgeon,” a spoof of Madonna’s “Like a Virgin,” and “I Love Rocky Road,” a playful take on “I Love Rock ‘n Roll.” perennial adjective: arising repeatedly or always existing From the headlines: Joey Chestnut, the perennial champion of the Nathan’s Famous Hot Dog Eating Contest, reclaimed his crown this year after missing last year’s competition. He was sidelined in 2024 due to a sponsorship deal with a vegan meat brand, but prior to that, Chestnut had claimed victory in 16 of the past 17 contests. He still holds the world record for devouring 76 hot dogs and buns in just 10 minutes in 2021. philanthropist noun: someone who makes charitable donations From the headlines: Warren Buffett said he would donate $6 billion to five charitable foundations. The businessman and philanthropist, whose net worth is approximately $145 billion, has previously given more than $50 billion to the aforementioned foundations. While Buffet’s children will decide how to give away the rest of his fortune after his death, he said that more than 99 percent of it will have to be used philanthropically. plunder verb: to take wrongfully, as by pillage, robbery, or fraud From the headlines: Experts assumed that a Stradivarius violin plundered after World War II had been lost or destroyed; now it appears to have resurfaced. The 316-year-old instrument was stolen from a Berlin bank safe during the chaos at the end of the war, and the family who owned it searched for decades before giving up. An image of the looted violin, which is valued at millions of dollars, was discovered among photos of Stradivarius instruments from a 2018 Tokyo exhibition. risotto noun: a dish of rice cooked with broth and flavored with grated cheese and other ingredients From the headlines: The short-grain Italian rice that’s used to make risotto is under threat from an unusual culprit: flamingos. Flocks of the birds are settling into northern Italian rice paddies instead of their usual nesting grounds. By stirring the shallow water and rooting for mollusks, the flamingos are destroying many valuable rice crops. skittish adjective: easily frightened or extremely cautious From the headlines: Economists report that despite a low unemployment rate, employers are increasingly skittish about hiring, leaving many recent college graduates struggling to find jobs. Numerous tech companies, consulting firms, and federal agencies are cutting back or freezing hiring, while other industries are hesitant to increase payroll expenses. Furthermore, fewer workers are quitting, limiting job openings even more. synthetic adjective: pertaining to compounds formed through a chemical process by human agency, as opposed to those of natural origin From the headlines: The J.M. Smucker Company has announced it will phase out synthetic dyes from its jams and other offerings. While many of its products are already made without artificial colors, some, including sugar-free jams and Hostess snacks like Twinkies and Snoballs, still rely on them. The company intends to use naturally sourced dyes by 2027. tandem adverb: one following or behind the other From the headlines: Researchers were surprised by video evidence of animals that are normally at odds traveling in tandem. A night-vision camera recorded an ocelot traveling peacefully behind an opossum — a surprise, since ocelots usually prey on opossums. Later footage showed the opossum trailing the ocelot as it prowled. Other researchers have since reported at least three additional examples of such behavior. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 689 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AMD อาจผลิตชิปที่โรงงาน Intel — คู่แข่งเก่ากำลังกลายเป็นพันธมิตรใหม่ในยุคแห่งความมั่นคงด้านเทคโนโลยี”

    ในความเคลื่อนไหวที่อาจเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ Intel และ AMD กำลังอยู่ในช่วงเจรจาเบื้องต้นเพื่อให้ AMD กลายเป็นลูกค้าของ Intel Foundry ซึ่งเป็นธุรกิจผลิตชิปตามสั่งของ Intel ที่กำลังพยายามฟื้นตัวจากการตามหลัง TSMC มาหลายปี

    แม้ AMD จะยังพึ่งพา TSMC เป็นหลักในการผลิตชิปประสิทธิภาพสูง เช่น Ryzen และ EPYC แต่การเจรจากับ Intel ครั้งนี้สะท้อนถึงแรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ต้องการให้บริษัทอเมริกันผลิตชิปภายในประเทศมากขึ้น โดยมีเป้าหมายให้ 50% ของชิปที่ใช้ในสหรัฐฯ ถูกผลิตในประเทศ เพื่อความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานและลดการพึ่งพาไต้หวัน

    Intel ได้รับแรงสนับสนุนจากหลายฝ่ายในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทั้งการลงทุนจาก SoftBank มูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ การเข้าถือหุ้น 9.9% โดยรัฐบาลสหรัฐฯ และการร่วมมือกับ Nvidia ในการพัฒนาชิป x86 ที่ใช้ GPU ของ Nvidia ซึ่งรวมถึงการลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์จาก Nvidia ด้วย

    หาก AMD ตกลงร่วมมือกับ Intel จริง จะถือเป็นการยืนยันวิสัยทัศน์ของอดีต CEO Pat Gelsinger ที่เคยประกาศว่า Intel ต้องการผลิตชิปให้กับทุกบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ แม้จะเป็นคู่แข่งโดยตรงก็ตาม

    อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายละเอียดว่าชิปประเภทใดของ AMD จะถูกผลิตที่ Intel และ Intel เองก็ยังไม่มีเทคโนโลยีที่สามารถผลิตชิประดับสูงสุดของ AMD ได้ในตอนนี้ เช่น ชิปที่ใช้กระบวนการผลิตระดับ 3nm หรือ 4nm ของ TSMC

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel และ AMD กำลังเจรจาเบื้องต้นเพื่อให้ AMD เป็นลูกค้า Intel Foundry
    AMD ปัจจุบันผลิตชิปที่ TSMC แต่กำลังพิจารณาทางเลือกในสหรัฐฯ
    รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการให้ 50% ของชิปที่ใช้ในประเทศถูกผลิตในประเทศ
    Intel ได้รับการลงทุนจาก SoftBank, Nvidia และรัฐบาลสหรัฐฯ
    Nvidia ลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์ใน Intel และร่วมพัฒนาชิป x86 ร่วมกัน
    หาก AMD ตกลง จะเป็นการยืนยันวิสัยทัศน์ของอดีต CEO Pat Gelsinger
    Intel กำลังมองหาลูกค้ารายใหญ่เพื่อสนับสนุนเทคโนโลยี 14A และ 18A
    การร่วมมืออาจช่วยให้ AMD ลดความเสี่ยงจากข้อจำกัดการส่งออกไปจีน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Intel Foundry ยังตามหลัง TSMC ในด้านเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง
    AMD เคยได้รับผลกระทบจากข้อจำกัดการส่งออก GPU ไปจีนในปี 2025
    การผลิตชิปในสหรัฐฯ อาจช่วยให้ AMD ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล
    Nvidia และ Apple ก็อยู่ระหว่างเจรจาเพื่อใช้ Intel Foundry เช่นกัน
    การผลิตชิประดับกลางในสหรัฐฯ อาจเป็นจุดเริ่มต้นก่อนขยายไปสู่ชิประดับสูง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-in-early-talks-to-make-chips-at-intel-foundry-report-says
    🤝 “AMD อาจผลิตชิปที่โรงงาน Intel — คู่แข่งเก่ากำลังกลายเป็นพันธมิตรใหม่ในยุคแห่งความมั่นคงด้านเทคโนโลยี” ในความเคลื่อนไหวที่อาจเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ Intel และ AMD กำลังอยู่ในช่วงเจรจาเบื้องต้นเพื่อให้ AMD กลายเป็นลูกค้าของ Intel Foundry ซึ่งเป็นธุรกิจผลิตชิปตามสั่งของ Intel ที่กำลังพยายามฟื้นตัวจากการตามหลัง TSMC มาหลายปี แม้ AMD จะยังพึ่งพา TSMC เป็นหลักในการผลิตชิปประสิทธิภาพสูง เช่น Ryzen และ EPYC แต่การเจรจากับ Intel ครั้งนี้สะท้อนถึงแรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ต้องการให้บริษัทอเมริกันผลิตชิปภายในประเทศมากขึ้น โดยมีเป้าหมายให้ 50% ของชิปที่ใช้ในสหรัฐฯ ถูกผลิตในประเทศ เพื่อความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานและลดการพึ่งพาไต้หวัน Intel ได้รับแรงสนับสนุนจากหลายฝ่ายในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทั้งการลงทุนจาก SoftBank มูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ การเข้าถือหุ้น 9.9% โดยรัฐบาลสหรัฐฯ และการร่วมมือกับ Nvidia ในการพัฒนาชิป x86 ที่ใช้ GPU ของ Nvidia ซึ่งรวมถึงการลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์จาก Nvidia ด้วย หาก AMD ตกลงร่วมมือกับ Intel จริง จะถือเป็นการยืนยันวิสัยทัศน์ของอดีต CEO Pat Gelsinger ที่เคยประกาศว่า Intel ต้องการผลิตชิปให้กับทุกบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ แม้จะเป็นคู่แข่งโดยตรงก็ตาม อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายละเอียดว่าชิปประเภทใดของ AMD จะถูกผลิตที่ Intel และ Intel เองก็ยังไม่มีเทคโนโลยีที่สามารถผลิตชิประดับสูงสุดของ AMD ได้ในตอนนี้ เช่น ชิปที่ใช้กระบวนการผลิตระดับ 3nm หรือ 4nm ของ TSMC ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel และ AMD กำลังเจรจาเบื้องต้นเพื่อให้ AMD เป็นลูกค้า Intel Foundry ➡️ AMD ปัจจุบันผลิตชิปที่ TSMC แต่กำลังพิจารณาทางเลือกในสหรัฐฯ ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการให้ 50% ของชิปที่ใช้ในประเทศถูกผลิตในประเทศ ➡️ Intel ได้รับการลงทุนจาก SoftBank, Nvidia และรัฐบาลสหรัฐฯ ➡️ Nvidia ลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์ใน Intel และร่วมพัฒนาชิป x86 ร่วมกัน ➡️ หาก AMD ตกลง จะเป็นการยืนยันวิสัยทัศน์ของอดีต CEO Pat Gelsinger ➡️ Intel กำลังมองหาลูกค้ารายใหญ่เพื่อสนับสนุนเทคโนโลยี 14A และ 18A ➡️ การร่วมมืออาจช่วยให้ AMD ลดความเสี่ยงจากข้อจำกัดการส่งออกไปจีน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Intel Foundry ยังตามหลัง TSMC ในด้านเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง ➡️ AMD เคยได้รับผลกระทบจากข้อจำกัดการส่งออก GPU ไปจีนในปี 2025 ➡️ การผลิตชิปในสหรัฐฯ อาจช่วยให้ AMD ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ➡️ Nvidia และ Apple ก็อยู่ระหว่างเจรจาเพื่อใช้ Intel Foundry เช่นกัน ➡️ การผลิตชิประดับกลางในสหรัฐฯ อาจเป็นจุดเริ่มต้นก่อนขยายไปสู่ชิประดับสูง https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-in-early-talks-to-make-chips-at-intel-foundry-report-says
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    AMD in early talks to make chips at Intel Foundry, report says
    It could be their biggest partnership since Kaby Lake-G.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 265 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หักหน้า หักหลัง”

    ตอนที่ 4 กล่องดวงใจ ของครู Mac

    สงครามเย็น เริ่มขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1940 กว่าปลาย ๆ พร้อม ๆ กัน ก็เป็นการเกิดของ North Atlantic Treaty Organization (NATO) แต่ถึงแม้สหภาพโซเวียตจะล่มไปตั้งแต่ ค.ศ. 1989 – 1990 แต่ NATO ยังไม่ได้ยุบตามไปด้วย กลับยังอยู่อย่างเหนียวแน่นจนทุกวันนี้ คำพูดของพี่ปู จึงทำให้ผู้คนแถวยุโรปตะวันตกเกิดอาการสำลัก ปูตินพยายามบอกให้โลกรู้ว่า อเมริกากำลังใช้พฤติกรรมเดิม ๆ หลังสงครามเย็นจบไปแล้ว แต่ก็ยังใช้วิธีการ “ปิดล้อม” รัสเซีย เหมือนสมัยเป็นสหภาพโซเวียต เพียงแต่ใช้ลูกกระเป๋ง คือ NATO เป็นผู้ออกหน้า เพราะวอชิงตันคือผู้ชักใย NATO อีกต่อหนึ่ง

    ผู้ที่ออกแบบการปิดล้อม Containment สมัยสงครามเย็นคือ George F. Kennan หัวหน้า Policy Planning ของกระทรวงต่างประเทศอเมริกา ในปี ค.ศ. 1948 Kennan บอกว่า 50% ของทรัพย์สินของโลกน่ะ อยู่ที่เราอเมริกานะ แต่พลเมืองเรามีแค่ 6.3 % เท่านั้น ดังนั้นมันช่วยไม่ได้ที่จะมีคนอิจฉาและหมั่นไส้เรา (ท่านผู้อ่านต้องการยาแก้คลื่นไส้ไหมครับ ? )

    แผนของอเมริกาที่จะขึ้นมาเป็น พี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งครองโลก เริ่มมาตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1939 ในการทำ War and Peace Project ของ Council on Foreign Relations (หลวงพ่อ CFR โคตรแสบของผม !) เขามีแผนที่จะทำให้อเมริกาเป็นจักรวรรดิอเมริกา แต่ให้ทำแบบปิดบังพรางตัว เอาเสื้อคลุมยี่ห้อประชาธิปไตยและการค้าเสรีมาคลุมตัว ไม่ให้เหยื่อรู้ตัว ตกใจ เลยได้เหยื่ออยู่ในกำมือเกือบทั่วโลก ที่หลุดมือไม่ได้กิน ก็มีโลกฝ่ายสังคมนิยม ตาม Warsaw Pact หลัง ค.ศ. 1948 , จีนของอาเฮียและยูโกสลาเวีย ของท่านนายพลติโตเท่านั้น กับอีกบริเวณที่มีความสำคัญยิ่ง คือ Eurasia ที่อเมริกายังมือยาวยื่นมาไม่ถึง
    Eurasia เริ่มตั้งแต่ แม่น้ำ Elbe ในเยอรมัน ยาวลงมาถึงทะเล Adriatic ผ่าน Sofia, Bulgaria ข้ามมา Black Sea และ Caspian Sea มาจนถึงเอเซียกลางและจีน บริเวณที่กว้างใหญ่ นี่จึงยังรอดพ้นจากการเคี้ยวของจักรวรรดิอเมริกา แต่จะรอดไปได้นานเท่าใด

    สิ่งที่คนส่วนใหญ่ในโลกไม่รู้คือ มันเป็นความฝันทั้งกลางคืนกลางวัน ของอเมริกามาเป็นเวลานานแล้ว ที่จะควบคุมรัสเซียอย่างเบ็ดเสร็จ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการทหาร ความฝันนี้อเมริกาพยายามทำให้เป็นจริงผ่านหน่วยงานสาระพัด ทั้งที่เป็นองค์กรของรัฐ และเอกชน ทั้งในและนอกระบบ ตั้งแต่บรรษัทค้าน้ำมันข้ามชาติ สภาความมั่นคง Pentagon, CIA, หน่วยงานความมั่นคงทั้งด้านการทหารและการเมือง และหน่วยสืบราชการลับพิเศษอีกสาระพัด ทั้งหมดเพื่อให้ได้ตามเป้าหมายสำคัญที่สุดของอเมริกาที่แอบซ่อนมาตลอดเหนือเป้าหมายอื่นใด คือ ควบคุมรัสเซียอย่างเบ็ดเสร็จ หมดจดไม่ให้หลุดมือ

    แม้ขณะที่อเมริกาและสหภาพโซเวียตยังเป็นพันธมิตร ร่วมจับมือกันเพื่อถล่มเยอรมัน อเมริกาก็แอบเริ่มเตรียมการที่จะขจัดสหภาพโซเวียตไปด้วยพร้อมกัน หน้าร้อนของปี ค.ศ. 1945 อเมริกาคิดนโยบาย Striking the first blow ปล่อยหมัดแรกก่อนในสงครามนิวเคลียร์ แผนแรกที่คิดจะทดรองคือใช้กับสหภาพโซเวียต ตามแผน Totality ซึ่งนายพล Eisenhower เป็นผู้ร่างแผนตามคำสั่งของประธานาธิบดี Truman อะไรมันเข้าสิง อเมริกาถึงได้ชั่วขนาดนั้น ร่วมรบกันอยู่ดี ๆ อ้าว ! ดันจะขยี้เพื่อนพร้อมศัตรู มันคิดได้อย่างไร!?

    Sir Halford Mackinder ครูใหญ่ชาวอังกฤษด้านภูมิศาสตร์การเมือง บอกไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1904 ในการสัมมนาของ Royal Geographic Society ที่ London ว่า ใครก็ตามที่มีอำนาจควบคุมเหนือรัสเซีย ผู้นั้นก็จะเป็นผู้ตัดสิน หรือผู้ควบคุมบริเวณ Eurasia อันกว้างใหญ่ และนั่นหมายถึงจะเป็นผู้มีอิทธิพลควบคุมโลกใบนี้อย่างสมบูรณ์ เริ่มเห็นกันหรือยังว่าอะไรมาเข้าสิงอเมริกา
    หนึ่งศตวรรษมาแล้ว ที่ครู Mac บอกเอาไว้ว่า ในขณะที่ยุโรปขยายอิทธิพลของตนไปทางอินเดีย อาฟริกา และอาณานิคมต่าง ๆของพวกเขา รัสเซีย ซึ่งมีบริเวณกว้างคลุมยุโรปตะวันออกและเอเซียกลาง จะขยายอิทธิพลไปลงใต้และไปตะวันออก จะทำให้ครอบคลุมบริเวณที่มีประชากรและทรัพยากรมากที่สุด. ครู Mac คาดการณ์ว่าในที่สุดบริเวณที่กว้างใหญนี้ จะเชื่อมต่อกันด้วยเครือข่ายทางรถไฟ ทำให้เป็นศูนย์อำนาจและจุดยุทธศาสตร์ที่เพียบพร้อม อย่างที่ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ พูดเท่านี้บรรดาผู้ฟังครู Mac ต่างล้วงผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำลายกันเป็นแถว นี่มันอาหารจานใหญ่แบบชามอ่างเชียวนะ จะปล่อยให้ค้างเติ่งอยู่ยังงั้นได้อย่างไร จำเป็นต้องคิดแผนกินรวบมาให้หมด ด่วน

    Mckinder เรียกใจกลาง Eurasia ว่า heartland หรือกล่องดวงใจของศูนย์อำนาจโลก จุดยุทธศาสตร์อันสำคัญ โดยมีเยอรมัน, ออสเตรีย, ตุรกี, อินเดีย และจีน อยู่ติดขอบรอบกล่องดวงใจของศูนย์อำนาจโลก Mackinder มองว่าคู่หูที่จะคว้าดวงใจไปครอบ ครองนี่ได้ มี 2 คู่ คือ คู่รัสเซียกับเยอรมัน หรือ คู่จีนกับญี่ปุ่น นโยบายต่างประเทศของอังกฤษ หนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา ไม่ว่าสงครามระหว่างรัสเซียกับญี่ปุ่น ในปี 1904 – 05 จนถึงการก่อตั้ง NATO ในปี ค.ศ. 1949 ทั้งหมดเป็นการดำเนินตามการวิเคราะห์ของ ครู Mac ทั้งสิ้น

    ทั้งหมดเพื่อเป็นการเตะตัดขาทุกวิถีทาง ที่จะไม่ให้รัสเซียได้เป็นผู้ครอบครองกล่องดวงใจที่ Eurasia และจะกลายเป็นผู้ท้าทายจักรภพอังกฤษ ที่อ้างว่าเป็นเจ้าของอาณานิคมที่ตะวันจะไม่วันตกดิน อังกฤษจะยอมได้อย่างไร

    ขณะเดียวกัน อีกฝั่งของมหาสมุทร Atlantic อเมริกาก็มีความฝันของตนเอง America’s Manifest Destiny ที่จะเป็นหมายเลขหนึ่งคุมโลกเหมือนกัน อเมริกาเริ่มเก็บกินทางมหาสมุทรแปซิฟิกก่อน เริ่มตั้งแต่โซ้ยกับสเปญ เมื่อ ค.ศ. 1818 แล้วก็ตามมาคว้าเอาฟิลิปปินส์ใส่กระเป๋า อืม ! อเมริกาเพิ่งรู้รสชาดของการเป็นเจ้าของอาณานิคม อร่อยจับใจ เข้าใจแล้วครับนายท่าน

    ในขณะนี้ที่ครู Mac เพ้อเรื่องกล่องดวงใจใน Eurasia ในปี ค.ศ. 1904 อเมริกาก็มีนาย Brook Adams สื่อผู้มีอิทธิพลสูงในอเมริกา ซึ่งมองว่าอเมริกาเองก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส ที่จะเป็นเจ้าของกล่องดวงใจ ในฐานะทายาทผู้สืบเชื้อสายของครอบครัวในสังคมชั้นสูงมาหลายชั่วคน นาย Adams ไม่ใช่คนประเภทยื่นบนลังสบู่พูดปาวๆ อยู่กลางสนามไม่มีใครฟัง คนฟังเขาทั้งอเมริกา ที่สำคัญคนที่ฟังอย่างตั้งใจ คือ ประธานาธิบดี Theodor Roosevelt และประธานาธิบดี Woodlow Wilson ซึ่งดันเป็นเพื่อนสนิทของนาย Adams ทั้งคู่

    นาย Adams บอกว่าเราต้องรุก รุกเข้าไปอย่าใด้ถอย เข้าไปในทาง Pacific และเอาเอเซียมาเป็นอาณานิคมของอเมริกา จะทำให้อเมริกามีเขตแดนที่กว้างใหญ่ขึ้นไปอีก นอกเหนือจากฝันของนาย Adams แล้ว ผู้ที่คิดแผนที่เตรียมให้อเมริกาเดินทางหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ก็คือ Council on Foreign Relations (CFR) และ Rockefeller Foundation
    และสมุนที่ Rockefeller ส่งเข้าไปอยู่ในตำแหน่งต่าง ๆ ในด้านการเมืองและเศรษฐกิจของอ เมริกา คนพวกนี้ท่องความฝันของครู Mac จนขึ้นใจ โดยเฉพาะ Henry Kissinger และ Zbigniew Brzezinski ซึ่งถือเอาทฤษฎีของ ครู Mac เป็นตำรา

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    28 มิย. 2557
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หักหน้า หักหลัง” ตอนที่ 4 กล่องดวงใจ ของครู Mac สงครามเย็น เริ่มขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1940 กว่าปลาย ๆ พร้อม ๆ กัน ก็เป็นการเกิดของ North Atlantic Treaty Organization (NATO) แต่ถึงแม้สหภาพโซเวียตจะล่มไปตั้งแต่ ค.ศ. 1989 – 1990 แต่ NATO ยังไม่ได้ยุบตามไปด้วย กลับยังอยู่อย่างเหนียวแน่นจนทุกวันนี้ คำพูดของพี่ปู จึงทำให้ผู้คนแถวยุโรปตะวันตกเกิดอาการสำลัก ปูตินพยายามบอกให้โลกรู้ว่า อเมริกากำลังใช้พฤติกรรมเดิม ๆ หลังสงครามเย็นจบไปแล้ว แต่ก็ยังใช้วิธีการ “ปิดล้อม” รัสเซีย เหมือนสมัยเป็นสหภาพโซเวียต เพียงแต่ใช้ลูกกระเป๋ง คือ NATO เป็นผู้ออกหน้า เพราะวอชิงตันคือผู้ชักใย NATO อีกต่อหนึ่ง ผู้ที่ออกแบบการปิดล้อม Containment สมัยสงครามเย็นคือ George F. Kennan หัวหน้า Policy Planning ของกระทรวงต่างประเทศอเมริกา ในปี ค.ศ. 1948 Kennan บอกว่า 50% ของทรัพย์สินของโลกน่ะ อยู่ที่เราอเมริกานะ แต่พลเมืองเรามีแค่ 6.3 % เท่านั้น ดังนั้นมันช่วยไม่ได้ที่จะมีคนอิจฉาและหมั่นไส้เรา (ท่านผู้อ่านต้องการยาแก้คลื่นไส้ไหมครับ ? ) แผนของอเมริกาที่จะขึ้นมาเป็น พี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งครองโลก เริ่มมาตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1939 ในการทำ War and Peace Project ของ Council on Foreign Relations (หลวงพ่อ CFR โคตรแสบของผม !) เขามีแผนที่จะทำให้อเมริกาเป็นจักรวรรดิอเมริกา แต่ให้ทำแบบปิดบังพรางตัว เอาเสื้อคลุมยี่ห้อประชาธิปไตยและการค้าเสรีมาคลุมตัว ไม่ให้เหยื่อรู้ตัว ตกใจ เลยได้เหยื่ออยู่ในกำมือเกือบทั่วโลก ที่หลุดมือไม่ได้กิน ก็มีโลกฝ่ายสังคมนิยม ตาม Warsaw Pact หลัง ค.ศ. 1948 , จีนของอาเฮียและยูโกสลาเวีย ของท่านนายพลติโตเท่านั้น กับอีกบริเวณที่มีความสำคัญยิ่ง คือ Eurasia ที่อเมริกายังมือยาวยื่นมาไม่ถึง Eurasia เริ่มตั้งแต่ แม่น้ำ Elbe ในเยอรมัน ยาวลงมาถึงทะเล Adriatic ผ่าน Sofia, Bulgaria ข้ามมา Black Sea และ Caspian Sea มาจนถึงเอเซียกลางและจีน บริเวณที่กว้างใหญ่ นี่จึงยังรอดพ้นจากการเคี้ยวของจักรวรรดิอเมริกา แต่จะรอดไปได้นานเท่าใด สิ่งที่คนส่วนใหญ่ในโลกไม่รู้คือ มันเป็นความฝันทั้งกลางคืนกลางวัน ของอเมริกามาเป็นเวลานานแล้ว ที่จะควบคุมรัสเซียอย่างเบ็ดเสร็จ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการทหาร ความฝันนี้อเมริกาพยายามทำให้เป็นจริงผ่านหน่วยงานสาระพัด ทั้งที่เป็นองค์กรของรัฐ และเอกชน ทั้งในและนอกระบบ ตั้งแต่บรรษัทค้าน้ำมันข้ามชาติ สภาความมั่นคง Pentagon, CIA, หน่วยงานความมั่นคงทั้งด้านการทหารและการเมือง และหน่วยสืบราชการลับพิเศษอีกสาระพัด ทั้งหมดเพื่อให้ได้ตามเป้าหมายสำคัญที่สุดของอเมริกาที่แอบซ่อนมาตลอดเหนือเป้าหมายอื่นใด คือ ควบคุมรัสเซียอย่างเบ็ดเสร็จ หมดจดไม่ให้หลุดมือ แม้ขณะที่อเมริกาและสหภาพโซเวียตยังเป็นพันธมิตร ร่วมจับมือกันเพื่อถล่มเยอรมัน อเมริกาก็แอบเริ่มเตรียมการที่จะขจัดสหภาพโซเวียตไปด้วยพร้อมกัน หน้าร้อนของปี ค.ศ. 1945 อเมริกาคิดนโยบาย Striking the first blow ปล่อยหมัดแรกก่อนในสงครามนิวเคลียร์ แผนแรกที่คิดจะทดรองคือใช้กับสหภาพโซเวียต ตามแผน Totality ซึ่งนายพล Eisenhower เป็นผู้ร่างแผนตามคำสั่งของประธานาธิบดี Truman อะไรมันเข้าสิง อเมริกาถึงได้ชั่วขนาดนั้น ร่วมรบกันอยู่ดี ๆ อ้าว ! ดันจะขยี้เพื่อนพร้อมศัตรู มันคิดได้อย่างไร!? Sir Halford Mackinder ครูใหญ่ชาวอังกฤษด้านภูมิศาสตร์การเมือง บอกไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1904 ในการสัมมนาของ Royal Geographic Society ที่ London ว่า ใครก็ตามที่มีอำนาจควบคุมเหนือรัสเซีย ผู้นั้นก็จะเป็นผู้ตัดสิน หรือผู้ควบคุมบริเวณ Eurasia อันกว้างใหญ่ และนั่นหมายถึงจะเป็นผู้มีอิทธิพลควบคุมโลกใบนี้อย่างสมบูรณ์ เริ่มเห็นกันหรือยังว่าอะไรมาเข้าสิงอเมริกา หนึ่งศตวรรษมาแล้ว ที่ครู Mac บอกเอาไว้ว่า ในขณะที่ยุโรปขยายอิทธิพลของตนไปทางอินเดีย อาฟริกา และอาณานิคมต่าง ๆของพวกเขา รัสเซีย ซึ่งมีบริเวณกว้างคลุมยุโรปตะวันออกและเอเซียกลาง จะขยายอิทธิพลไปลงใต้และไปตะวันออก จะทำให้ครอบคลุมบริเวณที่มีประชากรและทรัพยากรมากที่สุด. ครู Mac คาดการณ์ว่าในที่สุดบริเวณที่กว้างใหญนี้ จะเชื่อมต่อกันด้วยเครือข่ายทางรถไฟ ทำให้เป็นศูนย์อำนาจและจุดยุทธศาสตร์ที่เพียบพร้อม อย่างที่ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ พูดเท่านี้บรรดาผู้ฟังครู Mac ต่างล้วงผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำลายกันเป็นแถว นี่มันอาหารจานใหญ่แบบชามอ่างเชียวนะ จะปล่อยให้ค้างเติ่งอยู่ยังงั้นได้อย่างไร จำเป็นต้องคิดแผนกินรวบมาให้หมด ด่วน Mckinder เรียกใจกลาง Eurasia ว่า heartland หรือกล่องดวงใจของศูนย์อำนาจโลก จุดยุทธศาสตร์อันสำคัญ โดยมีเยอรมัน, ออสเตรีย, ตุรกี, อินเดีย และจีน อยู่ติดขอบรอบกล่องดวงใจของศูนย์อำนาจโลก Mackinder มองว่าคู่หูที่จะคว้าดวงใจไปครอบ ครองนี่ได้ มี 2 คู่ คือ คู่รัสเซียกับเยอรมัน หรือ คู่จีนกับญี่ปุ่น นโยบายต่างประเทศของอังกฤษ หนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา ไม่ว่าสงครามระหว่างรัสเซียกับญี่ปุ่น ในปี 1904 – 05 จนถึงการก่อตั้ง NATO ในปี ค.ศ. 1949 ทั้งหมดเป็นการดำเนินตามการวิเคราะห์ของ ครู Mac ทั้งสิ้น ทั้งหมดเพื่อเป็นการเตะตัดขาทุกวิถีทาง ที่จะไม่ให้รัสเซียได้เป็นผู้ครอบครองกล่องดวงใจที่ Eurasia และจะกลายเป็นผู้ท้าทายจักรภพอังกฤษ ที่อ้างว่าเป็นเจ้าของอาณานิคมที่ตะวันจะไม่วันตกดิน อังกฤษจะยอมได้อย่างไร ขณะเดียวกัน อีกฝั่งของมหาสมุทร Atlantic อเมริกาก็มีความฝันของตนเอง America’s Manifest Destiny ที่จะเป็นหมายเลขหนึ่งคุมโลกเหมือนกัน อเมริกาเริ่มเก็บกินทางมหาสมุทรแปซิฟิกก่อน เริ่มตั้งแต่โซ้ยกับสเปญ เมื่อ ค.ศ. 1818 แล้วก็ตามมาคว้าเอาฟิลิปปินส์ใส่กระเป๋า อืม ! อเมริกาเพิ่งรู้รสชาดของการเป็นเจ้าของอาณานิคม อร่อยจับใจ เข้าใจแล้วครับนายท่าน ในขณะนี้ที่ครู Mac เพ้อเรื่องกล่องดวงใจใน Eurasia ในปี ค.ศ. 1904 อเมริกาก็มีนาย Brook Adams สื่อผู้มีอิทธิพลสูงในอเมริกา ซึ่งมองว่าอเมริกาเองก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส ที่จะเป็นเจ้าของกล่องดวงใจ ในฐานะทายาทผู้สืบเชื้อสายของครอบครัวในสังคมชั้นสูงมาหลายชั่วคน นาย Adams ไม่ใช่คนประเภทยื่นบนลังสบู่พูดปาวๆ อยู่กลางสนามไม่มีใครฟัง คนฟังเขาทั้งอเมริกา ที่สำคัญคนที่ฟังอย่างตั้งใจ คือ ประธานาธิบดี Theodor Roosevelt และประธานาธิบดี Woodlow Wilson ซึ่งดันเป็นเพื่อนสนิทของนาย Adams ทั้งคู่ นาย Adams บอกว่าเราต้องรุก รุกเข้าไปอย่าใด้ถอย เข้าไปในทาง Pacific และเอาเอเซียมาเป็นอาณานิคมของอเมริกา จะทำให้อเมริกามีเขตแดนที่กว้างใหญ่ขึ้นไปอีก นอกเหนือจากฝันของนาย Adams แล้ว ผู้ที่คิดแผนที่เตรียมให้อเมริกาเดินทางหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ก็คือ Council on Foreign Relations (CFR) และ Rockefeller Foundation และสมุนที่ Rockefeller ส่งเข้าไปอยู่ในตำแหน่งต่าง ๆ ในด้านการเมืองและเศรษฐกิจของอ เมริกา คนพวกนี้ท่องความฝันของครู Mac จนขึ้นใจ โดยเฉพาะ Henry Kissinger และ Zbigniew Brzezinski ซึ่งถือเอาทฤษฎีของ ครู Mac เป็นตำรา สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 28 มิย. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 427 มุมมอง 0 รีวิว



  • รัฐอิสราเอลก่อตั้งขึ้นในปี 1947 โดย "ไซออนิสต์" = ซาตานิสต์คาซาเรียน

    ตัวการยุแหย่สร้างความแตกแยกโกลาหลหรือทำลาย ไทยพุทธ - ไทยมุสลิม ตัวจริงคือ ไซออนิสต์.




    #อิสราเอลสงครามครั้งสุดท้าย

    สงครามระหว่างความมืดและแสงสว่างคือสงครามระหว่างซาตานและพระเจ้า

    ระหว่างสายเลือดสัตว์เลื้อยคลานของซาตานและสายเลือดมนุษย์ของพระเยซู

    อิสราเอลเป็นประเทศสุดท้ายเพราะโควิดเปิดเผยการทุจริตในระบบการดูแลสุขภาพและการเมืองของเรา

    อิสราเอลจะเปิดเผยต้นตอของการทุจริตและความชั่วร้ายทั้งหมดในระบบศาสนาของเรา
    การเปิดเผยการจี้พระคัมภีร์โดยซาตานเมื่อหลายศตวรรษก่อน

    แสงสว่างบนโลกใบนี้ถูกแสงเทียมแห่งความมืดทำให้มืดลง

    งูเข้าไปในสวนเอเดนและแอบเข้าไปในหลุมงู

    หัวของงูในวาติกัน ส่วนลำตัวของงูสร้างเส้นทางสายไหมที่นำไปสู่อู่ฮั่นซึ่งมันแพร่กระจายพิษของมัน
    ซ่อนตัวอยู่ในหลุมงูในอิสราเอล ซึ่งลัทธิซาตานจี้พระคัมภีร์บางส่วนและกลายเป็นแสงเทียมที่หลอกล่อมนุษยชาติด้วยความถี่แห่งความชั่วร้ายของความกลัว ความอับอาย และความรู้สึกผิด

    แยกจากพระเจ้าและความรักที่เราทุกคนเป็น แบ่งแยกศาสนา เชื้อชาติ การเมือง ทำให้เกิดความมืดมนมาหลายศตวรรษ
    แยกจากกันโดยกลุ่มเล็กๆ ที่ได้ประโยชน์จากการควบคุมพลังงานและผู้คน

    กลุ่มเล็กๆ นี้ คือ ชนชั้นสูงซาตาน อิลูมินาติ คณะปกครอง

    ราชวงศ์ทั้งหมดในยุโรป ประเทศบอลติก และรัสเซีย อ้างว่าบรรพบุรุษของตนคือโวตันหรือโอดิน
    โวตันหรือโอดินเป็นเพนดรากอน - งู - งู - สัตว์เลื้อยคลาน

    ราชวงศ์ 13 ราชวงศ์เป็นลูกผสมของสัตว์เลื้อยคลานที่สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ โดยแสร้งทำเป็นมนุษย์

    สัญลักษณ์ของงูมีอยู่ทั่วไปในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิก ในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในนครวาติกัน พระสันตปาปาประทับนั่งในปากงูเหมือนลิ้นและเทศนาหลอกลวง
    สายเลือดดรูซของพระเยซูสืบเชื้อสายมาจาก “เจโธร” นักบวชแห่งมีเดียนในพระคัมภีร์ และ “โตราห์” (อพยพ 2:18)
    ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา “อับราฮัม ลินคอล์น” สืบเชื้อสายมาจากตระกูลคาห์ลูนี

    ในปี 1855 ISIS ก่อตั้งขึ้นโดยกษัตริย์แห่งโมร็อกโกและลิเบีย [ตระกูลฮัสซัน] ร่วมกับตระกูลโรทัลอังกฤษ
    พวกเขาลงนามในกฎหมายโมฮัมเหม็ดดีซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสังหารสายเลือดของพระเยซูคริสต์ [DRUZE]
    6 ปีต่อมา พวกเขาได้รวมเข้ากับ Skull n Bones:
    Rothschilds, Schiff, Rockefellers, Scherff หรือที่รู้จักในชื่อ Bush, Kissingers เป็นต้น
    Skull n Bones_ISIS สังหาร JFK

    1855 - ISIS ก่อตั้งโดยตระกูลซานุสซีซึ่งมีความเชื่อมโยงกับราชวงศ์อังกฤษ (คาซาเรียน)
    1861 - รวมเข้ากับกะโหลกและกระดูก 322 ชิ้น (คาซาเรียน)
    1870 - 1930 บริษัทเภสัชยักษ์ใหญ่ (คาซาเรียน)
    1871 พระราชบัญญัติอังกฤษ (รัฐธรรมนูญลับที่จัดทำโดยสมาคมลับ) คาซาเรียน
    1912 เรือไททานิค/โอลิมปิกจม
    (ใครอยู่บนเรือ เกิดอะไรขึ้นกันแน่)
    1913 ธนาคารกลางสหรัฐ
    1917 - 1923 การปฏิวัติบอลเชวิค
    1945 - 1959 ปฏิบัติการกระดาษคลิป/ม็อกกิ้งเบิร์ด 1948 - อิสราเอลก่อตั้งขึ้น (รัฐบาลคาซาเรียน/บอลเชวิค)
    1949 - มอสสาด = ก่อตั้งซีไอเอ

    พลเอกฟลินน์ ผู้แจ้งเบาะแสเปิดโปงเครือข่ายก่อการร้ายของกูเลน:

    • ฟลินน์ค้นพบว่ารัฐบาลโอบามากำลังจัดหาเงินทุนและอาวุธให้กับนักรบญิฮาดที่โบกธงไอเอสในเวลาต่อมา

    • การกระทำของนักรบญิฮาดเหล่านี้เกิดขึ้นในฉนวนกาซา

    • โอบามาด้วยความช่วยเหลือของซีไอเอ นาโต้ และพวกพ้องนักรบญิฮาดของเขา กำลังพยายามเอาชนะอัสซาดในซีเรีย

    • รัฐบาลที่ทรยศเหล่านี้จัดหาเงินทุนให้ไอเอส

    • สหรัฐฯ/นักรบญิฮาดกลายเป็นอาหรับสปริง ทำลายเสถียรภาพในตะวันออกกลาง และสร้างวิกฤตการอพยพระหว่างประเทศ

    • ฮิลลารีมีส่วนร่วมในการเปิดตัวอาหรับสปริงในฐานะรัฐมนตรีต่างประเทศภายใต้รัฐบาลโอบามา
    • ฟลินน์เปิดโปงการมีส่วนเกี่ยวข้องในเครือข่ายผู้ก่อการร้ายกูเลนของรัฐบาลโอบามาและโดยปริยายของเอช. ดับเบิลยู. บุช, จี. บุช, คลินตัน, กระทรวงการต่างประเทศ, เอฟบีไอ, ซีไอเอ และหน่วยข่าวกรองอเมริกัน

    ตอนนี้ กลับมาที่อิสราเอลในวันนี้

    อย่าหลงกล/
    อาคารที่ถล่มลงมาในฉนวนกาซาจากขีปนาวุธลูกหนึ่งนั้นถูกรื้อถอนโดยการควบคุม
    ผู้ปฏิบัติการของดีพสเตตทั้งในค่ายอิสราเอลและปาเลสไตน์
    ถูกแทรกซึมมานานแล้ว (Mossad/CIA)//

    ผู้ควบคุมอิสราเอลก็คือ MOSSAD >>MI6 ของสหราชอาณาจักร>>ROTHSCHILDs>>CIA

    เซิร์ฟเวอร์ Dominion มีอะไรให้ปกปิดมากมาย
    ตั้งแต่การค้ามนุษย์ไปจนถึงการก่อตั้ง Epstein ไปจนถึงธนาคารในวาติกัน
    กลุ่มมาเฟีย Mossad/Kazarian ที่ควบคุมยูเครน
    ความเชื่อมโยงจากหลุมพรางแห่งการทุจริตของชนชั้นนำอิสราเอลนั้นลึกล้ำเข้าไปในการควบคุมของ MSM สมยศ จิราวณิชานันท์ ของสหรัฐอเมริกา

    https://rumble.com/v4bzuzo-khazarian-mafia-ผู้กินเทพ-ภาค2-ของ2.html


    รัฐอิสราเอลก่อตั้งขึ้นในปี 1947 โดย "ไซออนิสต์" = ซาตานิสต์คาซาเรียน ตัวการยุแหย่สร้างความแตกแยกโกลาหลหรือทำลาย ไทยพุทธ - ไทยมุสลิม ตัวจริงคือ ไซออนิสต์. #อิสราเอลสงครามครั้งสุดท้าย สงครามระหว่างความมืดและแสงสว่างคือสงครามระหว่างซาตานและพระเจ้า ระหว่างสายเลือดสัตว์เลื้อยคลานของซาตานและสายเลือดมนุษย์ของพระเยซู อิสราเอลเป็นประเทศสุดท้ายเพราะโควิดเปิดเผยการทุจริตในระบบการดูแลสุขภาพและการเมืองของเรา อิสราเอลจะเปิดเผยต้นตอของการทุจริตและความชั่วร้ายทั้งหมดในระบบศาสนาของเรา การเปิดเผยการจี้พระคัมภีร์โดยซาตานเมื่อหลายศตวรรษก่อน แสงสว่างบนโลกใบนี้ถูกแสงเทียมแห่งความมืดทำให้มืดลง งูเข้าไปในสวนเอเดนและแอบเข้าไปในหลุมงู หัวของงูในวาติกัน ส่วนลำตัวของงูสร้างเส้นทางสายไหมที่นำไปสู่อู่ฮั่นซึ่งมันแพร่กระจายพิษของมัน ซ่อนตัวอยู่ในหลุมงูในอิสราเอล ซึ่งลัทธิซาตานจี้พระคัมภีร์บางส่วนและกลายเป็นแสงเทียมที่หลอกล่อมนุษยชาติด้วยความถี่แห่งความชั่วร้ายของความกลัว ความอับอาย และความรู้สึกผิด แยกจากพระเจ้าและความรักที่เราทุกคนเป็น แบ่งแยกศาสนา เชื้อชาติ การเมือง ทำให้เกิดความมืดมนมาหลายศตวรรษ แยกจากกันโดยกลุ่มเล็กๆ ที่ได้ประโยชน์จากการควบคุมพลังงานและผู้คน กลุ่มเล็กๆ นี้ คือ ชนชั้นสูงซาตาน อิลูมินาติ คณะปกครอง ราชวงศ์ทั้งหมดในยุโรป ประเทศบอลติก และรัสเซีย อ้างว่าบรรพบุรุษของตนคือโวตันหรือโอดิน โวตันหรือโอดินเป็นเพนดรากอน - งู - งู - สัตว์เลื้อยคลาน ราชวงศ์ 13 ราชวงศ์เป็นลูกผสมของสัตว์เลื้อยคลานที่สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ โดยแสร้งทำเป็นมนุษย์ สัญลักษณ์ของงูมีอยู่ทั่วไปในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิก ในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในนครวาติกัน พระสันตปาปาประทับนั่งในปากงูเหมือนลิ้นและเทศนาหลอกลวง สายเลือดดรูซของพระเยซูสืบเชื้อสายมาจาก “เจโธร” นักบวชแห่งมีเดียนในพระคัมภีร์ และ “โตราห์” (อพยพ 2:18) ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา “อับราฮัม ลินคอล์น” สืบเชื้อสายมาจากตระกูลคาห์ลูนี ในปี 1855 ISIS ก่อตั้งขึ้นโดยกษัตริย์แห่งโมร็อกโกและลิเบีย [ตระกูลฮัสซัน] ร่วมกับตระกูลโรทัลอังกฤษ พวกเขาลงนามในกฎหมายโมฮัมเหม็ดดีซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสังหารสายเลือดของพระเยซูคริสต์ [DRUZE] 6 ปีต่อมา พวกเขาได้รวมเข้ากับ Skull n Bones: Rothschilds, Schiff, Rockefellers, Scherff หรือที่รู้จักในชื่อ Bush, Kissingers เป็นต้น Skull n Bones_ISIS สังหาร JFK 1855 - ISIS ก่อตั้งโดยตระกูลซานุสซีซึ่งมีความเชื่อมโยงกับราชวงศ์อังกฤษ (คาซาเรียน) 1861 - รวมเข้ากับกะโหลกและกระดูก 322 ชิ้น (คาซาเรียน) 1870 - 1930 บริษัทเภสัชยักษ์ใหญ่ (คาซาเรียน) 1871 พระราชบัญญัติอังกฤษ (รัฐธรรมนูญลับที่จัดทำโดยสมาคมลับ) คาซาเรียน 1912 เรือไททานิค/โอลิมปิกจม (ใครอยู่บนเรือ เกิดอะไรขึ้นกันแน่) 1913 ธนาคารกลางสหรัฐ 1917 - 1923 การปฏิวัติบอลเชวิค 1945 - 1959 ปฏิบัติการกระดาษคลิป/ม็อกกิ้งเบิร์ด 1948 - อิสราเอลก่อตั้งขึ้น (รัฐบาลคาซาเรียน/บอลเชวิค) 1949 - มอสสาด = ก่อตั้งซีไอเอ พลเอกฟลินน์ ผู้แจ้งเบาะแสเปิดโปงเครือข่ายก่อการร้ายของกูเลน: • ฟลินน์ค้นพบว่ารัฐบาลโอบามากำลังจัดหาเงินทุนและอาวุธให้กับนักรบญิฮาดที่โบกธงไอเอสในเวลาต่อมา • การกระทำของนักรบญิฮาดเหล่านี้เกิดขึ้นในฉนวนกาซา • โอบามาด้วยความช่วยเหลือของซีไอเอ นาโต้ และพวกพ้องนักรบญิฮาดของเขา กำลังพยายามเอาชนะอัสซาดในซีเรีย • รัฐบาลที่ทรยศเหล่านี้จัดหาเงินทุนให้ไอเอส • สหรัฐฯ/นักรบญิฮาดกลายเป็นอาหรับสปริง ทำลายเสถียรภาพในตะวันออกกลาง และสร้างวิกฤตการอพยพระหว่างประเทศ • ฮิลลารีมีส่วนร่วมในการเปิดตัวอาหรับสปริงในฐานะรัฐมนตรีต่างประเทศภายใต้รัฐบาลโอบามา • ฟลินน์เปิดโปงการมีส่วนเกี่ยวข้องในเครือข่ายผู้ก่อการร้ายกูเลนของรัฐบาลโอบามาและโดยปริยายของเอช. ดับเบิลยู. บุช, จี. บุช, คลินตัน, กระทรวงการต่างประเทศ, เอฟบีไอ, ซีไอเอ และหน่วยข่าวกรองอเมริกัน ตอนนี้ กลับมาที่อิสราเอลในวันนี้ อย่าหลงกล/ อาคารที่ถล่มลงมาในฉนวนกาซาจากขีปนาวุธลูกหนึ่งนั้นถูกรื้อถอนโดยการควบคุม ผู้ปฏิบัติการของดีพสเตตทั้งในค่ายอิสราเอลและปาเลสไตน์ ถูกแทรกซึมมานานแล้ว (Mossad/CIA)// ผู้ควบคุมอิสราเอลก็คือ MOSSAD >>MI6 ของสหราชอาณาจักร>>ROTHSCHILDs>>CIA เซิร์ฟเวอร์ Dominion มีอะไรให้ปกปิดมากมาย ตั้งแต่การค้ามนุษย์ไปจนถึงการก่อตั้ง Epstein ไปจนถึงธนาคารในวาติกัน กลุ่มมาเฟีย Mossad/Kazarian ที่ควบคุมยูเครน ความเชื่อมโยงจากหลุมพรางแห่งการทุจริตของชนชั้นนำอิสราเอลนั้นลึกล้ำเข้าไปในการควบคุมของ MSM [CIA] ของสหรัฐอเมริกา https://rumble.com/v4bzuzo-khazarian-mafia-ผู้กินเทพ-ภาค2-ของ2.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 474 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หักหน้า หักหลัง”

    ตอนที่ 4 กล่องดวงใจ ของครู Mac

    สงครามเย็น เริ่มขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1940 กว่าปลาย ๆ พร้อม ๆ กัน ก็เป็นการเกิดของ North Atlantic Treaty Organization (NATO) แต่ถึงแม้สหภาพโซเวียตจะล่มไปตั้งแต่ ค.ศ. 1989 – 1990 แต่ NATO ยังไม่ได้ยุบตามไปด้วย กลับยังอยู่อย่างเหนียวแน่นจนทุกวันนี้ คำพูดของพี่ปู จึงทำให้ผู้คนแถวยุโรปตะวันตกเกิดอาการสำลัก ปูตินพยายามบอกให้โลกรู้ว่า อเมริกากำลังใช้พฤติกรรมเดิม ๆ หลังสงครามเย็นจบไปแล้ว แต่ก็ยังใช้วิธีการ “ปิดล้อม” รัสเซีย เหมือนสมัยเป็นสหภาพโซเวียต เพียงแต่ใช้ลูกกระเป๋ง คือ NATO เป็นผู้ออกหน้า เพราะวอชิงตันคือผู้ชักใย NATO อีกต่อหนึ่ง

    ผู้ที่ออกแบบการปิดล้อม Containment สมัยสงครามเย็นคือ George F. Kennan หัวหน้า Policy Planning ของกระทรวงต่างประเทศอเมริกา ในปี ค.ศ. 1948 Kennan บอกว่า 50% ของทรัพย์สินของโลกน่ะ อยู่ที่เราอเมริกานะ แต่พลเมืองเรามีแค่ 6.3 % เท่านั้น ดังนั้นมันช่วยไม่ได้ที่จะมีคนอิจฉาและหมั่นไส้เรา (ท่านผู้อ่านต้องการยาแก้คลื่นไส้ไหมครับ ? )

    แผนของอเมริกาที่จะขึ้นมาเป็น พี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งครองโลก เริ่มมาตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1939 ในการทำ War and Peace Project ของ Council on Foreign Relations (หลวงพ่อ CFR โคตรแสบของผม !) เขามีแผนที่จะทำให้อเมริกาเป็นจักรวรรดิอเมริกา แต่ให้ทำแบบปิดบังพรางตัว เอาเสื้อคลุมยี่ห้อประชาธิปไตยและการค้าเสรีมาคลุมตัว ไม่ให้เหยื่อรู้ตัว ตกใจ เลยได้เหยื่ออยู่ในกำมือเกือบทั่วโลก ที่หลุดมือไม่ได้กิน ก็มีโลกฝ่ายสังคมนิยม ตาม Warsaw Pact หลัง ค.ศ. 1948 , จีนของอาเฮียและยูโกสลาเวีย ของท่านนายพลติโตเท่านั้น กับอีกบริเวณที่มีความสำคัญยิ่ง คือ Eurasia ที่อเมริกายังมือยาวยื่นมาไม่ถึง
    Eurasia เริ่มตั้งแต่ แม่น้ำ Elbe ในเยอรมัน ยาวลงมาถึงทะเล Adriatic ผ่าน Sofia, Bulgaria ข้ามมา Black Sea และ Caspian Sea มาจนถึงเอเซียกลางและจีน บริเวณที่กว้างใหญ่ นี่จึงยังรอดพ้นจากการเคี้ยวของจักรวรรดิอเมริกา แต่จะรอดไปได้นานเท่าใด

    สิ่งที่คนส่วนใหญ่ในโลกไม่รู้คือ มันเป็นความฝันทั้งกลางคืนกลางวัน ของอเมริกามาเป็นเวลานานแล้ว ที่จะควบคุมรัสเซียอย่างเบ็ดเสร็จ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการทหาร ความฝันนี้อเมริกาพยายามทำให้เป็นจริงผ่านหน่วยงานสาระพัด ทั้งที่เป็นองค์กรของรัฐ และเอกชน ทั้งในและนอกระบบ ตั้งแต่บรรษัทค้าน้ำมันข้ามชาติ สภาความมั่นคง Pentagon, CIA, หน่วยงานความมั่นคงทั้งด้านการทหารและการเมือง และหน่วยสืบราชการลับพิเศษอีกสาระพัด ทั้งหมดเพื่อให้ได้ตามเป้าหมายสำคัญที่สุดของอเมริกาที่แอบซ่อนมาตลอดเหนือเป้าหมายอื่นใด คือ ควบคุมรัสเซียอย่างเบ็ดเสร็จ หมดจดไม่ให้หลุดมือ

    แม้ขณะที่อเมริกาและสหภาพโซเวียตยังเป็นพันธมิตร ร่วมจับมือกันเพื่อถล่มเยอรมัน อเมริกาก็แอบเริ่มเตรียมการที่จะขจัดสหภาพโซเวียตไปด้วยพร้อมกัน หน้าร้อนของปี ค.ศ. 1945 อเมริกาคิดนโยบาย Striking the first blow ปล่อยหมัดแรกก่อนในสงครามนิวเคลียร์ แผนแรกที่คิดจะทดรองคือใช้กับสหภาพโซเวียต ตามแผน Totality ซึ่งนายพล Eisenhower เป็นผู้ร่างแผนตามคำสั่งของประธานาธิบดี Truman อะไรมันเข้าสิง อเมริกาถึงได้ชั่วขนาดนั้น ร่วมรบกันอยู่ดี ๆ อ้าว ! ดันจะขยี้เพื่อนพร้อมศัตรู มันคิดได้อย่างไร!?

    Sir Halford Mackinder ครูใหญ่ชาวอังกฤษด้านภูมิศาสตร์การเมือง บอกไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1904 ในการสัมมนาของ Royal Geographic Society ที่ London ว่า ใครก็ตามที่มีอำนาจควบคุมเหนือรัสเซีย ผู้นั้นก็จะเป็นผู้ตัดสิน หรือผู้ควบคุมบริเวณ Eurasia อันกว้างใหญ่ และนั่นหมายถึงจะเป็นผู้มีอิทธิพลควบคุมโลกใบนี้อย่างสมบูรณ์ เริ่มเห็นกันหรือยังว่าอะไรมาเข้าสิงอเมริกา
    หนึ่งศตวรรษมาแล้ว ที่ครู Mac บอกเอาไว้ว่า ในขณะที่ยุโรปขยายอิทธิพลของตนไปทางอินเดีย อาฟริกา และอาณานิคมต่าง ๆของพวกเขา รัสเซีย ซึ่งมีบริเวณกว้างคลุมยุโรปตะวันออกและเอเซียกลาง จะขยายอิทธิพลไปลงใต้และไปตะวันออก จะทำให้ครอบคลุมบริเวณที่มีประชากรและทรัพยากรมากที่สุด. ครู Mac คาดการณ์ว่าในที่สุดบริเวณที่กว้างใหญนี้ จะเชื่อมต่อกันด้วยเครือข่ายทางรถไฟ ทำให้เป็นศูนย์อำนาจและจุดยุทธศาสตร์ที่เพียบพร้อม อย่างที่ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ พูดเท่านี้บรรดาผู้ฟังครู Mac ต่างล้วงผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำลายกันเป็นแถว นี่มันอาหารจานใหญ่แบบชามอ่างเชียวนะ จะปล่อยให้ค้างเติ่งอยู่ยังงั้นได้อย่างไร จำเป็นต้องคิดแผนกินรวบมาให้หมด ด่วน

    Mckinder เรียกใจกลาง Eurasia ว่า heartland หรือกล่องดวงใจของศูนย์อำนาจโลก จุดยุทธศาสตร์อันสำคัญ โดยมีเยอรมัน, ออสเตรีย, ตุรกี, อินเดีย และจีน อยู่ติดขอบรอบกล่องดวงใจของศูนย์อำนาจโลก Mackinder มองว่าคู่หูที่จะคว้าดวงใจไปครอบ ครองนี่ได้ มี 2 คู่ คือ คู่รัสเซียกับเยอรมัน หรือ คู่จีนกับญี่ปุ่น นโยบายต่างประเทศของอังกฤษ หนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา ไม่ว่าสงครามระหว่างรัสเซียกับญี่ปุ่น ในปี 1904 – 05 จนถึงการก่อตั้ง NATO ในปี ค.ศ. 1949 ทั้งหมดเป็นการดำเนินตามการวิเคราะห์ของ ครู Mac ทั้งสิ้น

    ทั้งหมดเพื่อเป็นการเตะตัดขาทุกวิถีทาง ที่จะไม่ให้รัสเซียได้เป็นผู้ครอบครองกล่องดวงใจที่ Eurasia และจะกลายเป็นผู้ท้าทายจักรภพอังกฤษ ที่อ้างว่าเป็นเจ้าของอาณานิคมที่ตะวันจะไม่วันตกดิน อังกฤษจะยอมได้อย่างไร

    ขณะเดียวกัน อีกฝั่งของมหาสมุทร Atlantic อเมริกาก็มีความฝันของตนเอง America’s Manifest Destiny ที่จะเป็นหมายเลขหนึ่งคุมโลกเหมือนกัน อเมริกาเริ่มเก็บกินทางมหาสมุทรแปซิฟิกก่อน เริ่มตั้งแต่โซ้ยกับสเปญ เมื่อ ค.ศ. 1818 แล้วก็ตามมาคว้าเอาฟิลิปปินส์ใส่กระเป๋า อืม ! อเมริกาเพิ่งรู้รสชาดของการเป็นเจ้าของอาณานิคม อร่อยจับใจ เข้าใจแล้วครับนายท่าน

    ในขณะนี้ที่ครู Mac เพ้อเรื่องกล่องดวงใจใน Eurasia ในปี ค.ศ. 1904 อเมริกาก็มีนาย Brook Adams สื่อผู้มีอิทธิพลสูงในอเมริกา ซึ่งมองว่าอเมริกาเองก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส ที่จะเป็นเจ้าของกล่องดวงใจ ในฐานะทายาทผู้สืบเชื้อสายของครอบครัวในสังคมชั้นสูงมาหลายชั่วคน นาย Adams ไม่ใช่คนประเภทยื่นบนลังสบู่พูดปาวๆ อยู่กลางสนามไม่มีใครฟัง คนฟังเขาทั้งอเมริกา ที่สำคัญคนที่ฟังอย่างตั้งใจ คือ ประธานาธิบดี Theodor Roosevelt และประธานาธิบดี Woodlow Wilson ซึ่งดันเป็นเพื่อนสนิทของนาย Adams ทั้งคู่

    นาย Adams บอกว่าเราต้องรุก รุกเข้าไปอย่าใด้ถอย เข้าไปในทาง Pacific และเอาเอเซียมาเป็นอาณานิคมของอเมริกา จะทำให้อเมริกามีเขตแดนที่กว้างใหญ่ขึ้นไปอีก นอกเหนือจากฝันของนาย Adams แล้ว ผู้ที่คิดแผนที่เตรียมให้อเมริกาเดินทางหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ก็คือ Council on Foreign Relations (CFR) และ Rockefeller Foundation
    และสมุนที่ Rockefeller ส่งเข้าไปอยู่ในตำแหน่งต่าง ๆ ในด้านการเมืองและเศรษฐกิจของอ เมริกา คนพวกนี้ท่องความฝันของครู Mac จนขึ้นใจ โดยเฉพาะ Henry Kissinger และ Zbigniew Brzezinski ซึ่งถือเอาทฤษฎีของ ครู Mac เป็นตำรา

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    28 มิย. 2557
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หักหน้า หักหลัง” ตอนที่ 4 กล่องดวงใจ ของครู Mac สงครามเย็น เริ่มขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1940 กว่าปลาย ๆ พร้อม ๆ กัน ก็เป็นการเกิดของ North Atlantic Treaty Organization (NATO) แต่ถึงแม้สหภาพโซเวียตจะล่มไปตั้งแต่ ค.ศ. 1989 – 1990 แต่ NATO ยังไม่ได้ยุบตามไปด้วย กลับยังอยู่อย่างเหนียวแน่นจนทุกวันนี้ คำพูดของพี่ปู จึงทำให้ผู้คนแถวยุโรปตะวันตกเกิดอาการสำลัก ปูตินพยายามบอกให้โลกรู้ว่า อเมริกากำลังใช้พฤติกรรมเดิม ๆ หลังสงครามเย็นจบไปแล้ว แต่ก็ยังใช้วิธีการ “ปิดล้อม” รัสเซีย เหมือนสมัยเป็นสหภาพโซเวียต เพียงแต่ใช้ลูกกระเป๋ง คือ NATO เป็นผู้ออกหน้า เพราะวอชิงตันคือผู้ชักใย NATO อีกต่อหนึ่ง ผู้ที่ออกแบบการปิดล้อม Containment สมัยสงครามเย็นคือ George F. Kennan หัวหน้า Policy Planning ของกระทรวงต่างประเทศอเมริกา ในปี ค.ศ. 1948 Kennan บอกว่า 50% ของทรัพย์สินของโลกน่ะ อยู่ที่เราอเมริกานะ แต่พลเมืองเรามีแค่ 6.3 % เท่านั้น ดังนั้นมันช่วยไม่ได้ที่จะมีคนอิจฉาและหมั่นไส้เรา (ท่านผู้อ่านต้องการยาแก้คลื่นไส้ไหมครับ ? ) แผนของอเมริกาที่จะขึ้นมาเป็น พี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งครองโลก เริ่มมาตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1939 ในการทำ War and Peace Project ของ Council on Foreign Relations (หลวงพ่อ CFR โคตรแสบของผม !) เขามีแผนที่จะทำให้อเมริกาเป็นจักรวรรดิอเมริกา แต่ให้ทำแบบปิดบังพรางตัว เอาเสื้อคลุมยี่ห้อประชาธิปไตยและการค้าเสรีมาคลุมตัว ไม่ให้เหยื่อรู้ตัว ตกใจ เลยได้เหยื่ออยู่ในกำมือเกือบทั่วโลก ที่หลุดมือไม่ได้กิน ก็มีโลกฝ่ายสังคมนิยม ตาม Warsaw Pact หลัง ค.ศ. 1948 , จีนของอาเฮียและยูโกสลาเวีย ของท่านนายพลติโตเท่านั้น กับอีกบริเวณที่มีความสำคัญยิ่ง คือ Eurasia ที่อเมริกายังมือยาวยื่นมาไม่ถึง Eurasia เริ่มตั้งแต่ แม่น้ำ Elbe ในเยอรมัน ยาวลงมาถึงทะเล Adriatic ผ่าน Sofia, Bulgaria ข้ามมา Black Sea และ Caspian Sea มาจนถึงเอเซียกลางและจีน บริเวณที่กว้างใหญ่ นี่จึงยังรอดพ้นจากการเคี้ยวของจักรวรรดิอเมริกา แต่จะรอดไปได้นานเท่าใด สิ่งที่คนส่วนใหญ่ในโลกไม่รู้คือ มันเป็นความฝันทั้งกลางคืนกลางวัน ของอเมริกามาเป็นเวลานานแล้ว ที่จะควบคุมรัสเซียอย่างเบ็ดเสร็จ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการทหาร ความฝันนี้อเมริกาพยายามทำให้เป็นจริงผ่านหน่วยงานสาระพัด ทั้งที่เป็นองค์กรของรัฐ และเอกชน ทั้งในและนอกระบบ ตั้งแต่บรรษัทค้าน้ำมันข้ามชาติ สภาความมั่นคง Pentagon, CIA, หน่วยงานความมั่นคงทั้งด้านการทหารและการเมือง และหน่วยสืบราชการลับพิเศษอีกสาระพัด ทั้งหมดเพื่อให้ได้ตามเป้าหมายสำคัญที่สุดของอเมริกาที่แอบซ่อนมาตลอดเหนือเป้าหมายอื่นใด คือ ควบคุมรัสเซียอย่างเบ็ดเสร็จ หมดจดไม่ให้หลุดมือ แม้ขณะที่อเมริกาและสหภาพโซเวียตยังเป็นพันธมิตร ร่วมจับมือกันเพื่อถล่มเยอรมัน อเมริกาก็แอบเริ่มเตรียมการที่จะขจัดสหภาพโซเวียตไปด้วยพร้อมกัน หน้าร้อนของปี ค.ศ. 1945 อเมริกาคิดนโยบาย Striking the first blow ปล่อยหมัดแรกก่อนในสงครามนิวเคลียร์ แผนแรกที่คิดจะทดรองคือใช้กับสหภาพโซเวียต ตามแผน Totality ซึ่งนายพล Eisenhower เป็นผู้ร่างแผนตามคำสั่งของประธานาธิบดี Truman อะไรมันเข้าสิง อเมริกาถึงได้ชั่วขนาดนั้น ร่วมรบกันอยู่ดี ๆ อ้าว ! ดันจะขยี้เพื่อนพร้อมศัตรู มันคิดได้อย่างไร!? Sir Halford Mackinder ครูใหญ่ชาวอังกฤษด้านภูมิศาสตร์การเมือง บอกไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1904 ในการสัมมนาของ Royal Geographic Society ที่ London ว่า ใครก็ตามที่มีอำนาจควบคุมเหนือรัสเซีย ผู้นั้นก็จะเป็นผู้ตัดสิน หรือผู้ควบคุมบริเวณ Eurasia อันกว้างใหญ่ และนั่นหมายถึงจะเป็นผู้มีอิทธิพลควบคุมโลกใบนี้อย่างสมบูรณ์ เริ่มเห็นกันหรือยังว่าอะไรมาเข้าสิงอเมริกา หนึ่งศตวรรษมาแล้ว ที่ครู Mac บอกเอาไว้ว่า ในขณะที่ยุโรปขยายอิทธิพลของตนไปทางอินเดีย อาฟริกา และอาณานิคมต่าง ๆของพวกเขา รัสเซีย ซึ่งมีบริเวณกว้างคลุมยุโรปตะวันออกและเอเซียกลาง จะขยายอิทธิพลไปลงใต้และไปตะวันออก จะทำให้ครอบคลุมบริเวณที่มีประชากรและทรัพยากรมากที่สุด. ครู Mac คาดการณ์ว่าในที่สุดบริเวณที่กว้างใหญนี้ จะเชื่อมต่อกันด้วยเครือข่ายทางรถไฟ ทำให้เป็นศูนย์อำนาจและจุดยุทธศาสตร์ที่เพียบพร้อม อย่างที่ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ พูดเท่านี้บรรดาผู้ฟังครู Mac ต่างล้วงผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำลายกันเป็นแถว นี่มันอาหารจานใหญ่แบบชามอ่างเชียวนะ จะปล่อยให้ค้างเติ่งอยู่ยังงั้นได้อย่างไร จำเป็นต้องคิดแผนกินรวบมาให้หมด ด่วน Mckinder เรียกใจกลาง Eurasia ว่า heartland หรือกล่องดวงใจของศูนย์อำนาจโลก จุดยุทธศาสตร์อันสำคัญ โดยมีเยอรมัน, ออสเตรีย, ตุรกี, อินเดีย และจีน อยู่ติดขอบรอบกล่องดวงใจของศูนย์อำนาจโลก Mackinder มองว่าคู่หูที่จะคว้าดวงใจไปครอบ ครองนี่ได้ มี 2 คู่ คือ คู่รัสเซียกับเยอรมัน หรือ คู่จีนกับญี่ปุ่น นโยบายต่างประเทศของอังกฤษ หนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา ไม่ว่าสงครามระหว่างรัสเซียกับญี่ปุ่น ในปี 1904 – 05 จนถึงการก่อตั้ง NATO ในปี ค.ศ. 1949 ทั้งหมดเป็นการดำเนินตามการวิเคราะห์ของ ครู Mac ทั้งสิ้น ทั้งหมดเพื่อเป็นการเตะตัดขาทุกวิถีทาง ที่จะไม่ให้รัสเซียได้เป็นผู้ครอบครองกล่องดวงใจที่ Eurasia และจะกลายเป็นผู้ท้าทายจักรภพอังกฤษ ที่อ้างว่าเป็นเจ้าของอาณานิคมที่ตะวันจะไม่วันตกดิน อังกฤษจะยอมได้อย่างไร ขณะเดียวกัน อีกฝั่งของมหาสมุทร Atlantic อเมริกาก็มีความฝันของตนเอง America’s Manifest Destiny ที่จะเป็นหมายเลขหนึ่งคุมโลกเหมือนกัน อเมริกาเริ่มเก็บกินทางมหาสมุทรแปซิฟิกก่อน เริ่มตั้งแต่โซ้ยกับสเปญ เมื่อ ค.ศ. 1818 แล้วก็ตามมาคว้าเอาฟิลิปปินส์ใส่กระเป๋า อืม ! อเมริกาเพิ่งรู้รสชาดของการเป็นเจ้าของอาณานิคม อร่อยจับใจ เข้าใจแล้วครับนายท่าน ในขณะนี้ที่ครู Mac เพ้อเรื่องกล่องดวงใจใน Eurasia ในปี ค.ศ. 1904 อเมริกาก็มีนาย Brook Adams สื่อผู้มีอิทธิพลสูงในอเมริกา ซึ่งมองว่าอเมริกาเองก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส ที่จะเป็นเจ้าของกล่องดวงใจ ในฐานะทายาทผู้สืบเชื้อสายของครอบครัวในสังคมชั้นสูงมาหลายชั่วคน นาย Adams ไม่ใช่คนประเภทยื่นบนลังสบู่พูดปาวๆ อยู่กลางสนามไม่มีใครฟัง คนฟังเขาทั้งอเมริกา ที่สำคัญคนที่ฟังอย่างตั้งใจ คือ ประธานาธิบดี Theodor Roosevelt และประธานาธิบดี Woodlow Wilson ซึ่งดันเป็นเพื่อนสนิทของนาย Adams ทั้งคู่ นาย Adams บอกว่าเราต้องรุก รุกเข้าไปอย่าใด้ถอย เข้าไปในทาง Pacific และเอาเอเซียมาเป็นอาณานิคมของอเมริกา จะทำให้อเมริกามีเขตแดนที่กว้างใหญ่ขึ้นไปอีก นอกเหนือจากฝันของนาย Adams แล้ว ผู้ที่คิดแผนที่เตรียมให้อเมริกาเดินทางหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ก็คือ Council on Foreign Relations (CFR) และ Rockefeller Foundation และสมุนที่ Rockefeller ส่งเข้าไปอยู่ในตำแหน่งต่าง ๆ ในด้านการเมืองและเศรษฐกิจของอ เมริกา คนพวกนี้ท่องความฝันของครู Mac จนขึ้นใจ โดยเฉพาะ Henry Kissinger และ Zbigniew Brzezinski ซึ่งถือเอาทฤษฎีของ ครู Mac เป็นตำรา สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 28 มิย. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 435 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Intel ปรับโครงสร้างผู้บริหารครั้งใหญ่! Michelle Holthaus อำลาหลังรับใช้บริษัทกว่า 30 ปี”

    ลองจินตนาการว่าคุณเป็นหนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเทคโนโลยีที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกอย่าง Intel แล้ววันหนึ่งคุณต้องตัดสินใจอำลาตำแหน่ง หลังจากร่วมสร้างและขับเคลื่อนองค์กรมากว่า 30 ปี — นั่นคือเรื่องราวของ Michelle Johnston Holthaus ผู้บริหารฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Intel ที่เพิ่งประกาศลาออกท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโครงสร้างผู้บริหารของบริษัท

    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan พยายามพลิกฟื้น Intel จากภาวะตกต่ำ โดยมีเป้าหมายชัดเจนคือ “ลดชั้นการบริหาร” และ “เร่งการตัดสินใจ” เพื่อให้ทีมพัฒนาชิปสามารถรายงานตรงถึงตัวเขาได้ทันที

    Michelle Holthaus เคยดำรงตำแหน่ง interim co-CEO หลังจาก Pat Gelsinger ถูกปลด และยังเคยเป็นหัวหน้าฝ่าย Client Computing Group และ Chief Revenue Officer มาก่อน เธอจะยังคงอยู่ในบทบาทที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้

    นอกจากการอำลาของ Holthaus ยังมีการแต่งตั้งผู้บริหารใหม่หลายตำแหน่ง เช่น Kevork Kechichian จาก Arm มารับตำแหน่งหัวหน้ากลุ่ม Data Center, Srinivasan Iyengar รับหน้าที่สร้างกลุ่ม Central Engineering ใหม่ และ Jim Johnson ขึ้นเป็นหัวหน้ากลุ่ม Client Computing อย่างเป็นทางการ

    การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดี Donald Trump ประกาศแผนเข้าถือหุ้น 10% ใน Intel และเรียกร้องให้ Tan ลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากข้อขัดแย้งทางผลประโยชน์ — ทำให้สถานการณ์ของ Intel ยิ่งตึงเครียดมากขึ้น

    การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูงของ Intel
    Michelle Holthaus อำลาหลังทำงานกับ Intel มากกว่า 30 ปี
    เคยดำรงตำแหน่ง interim co-CEO และหัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์
    จะยังคงอยู่ในบทบาทที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ในช่วงเปลี่ยนผ่าน
    CEO Lip-Bu Tan ปรับโครงสร้างให้ทีมชิปรายงานตรงถึงตัวเอง

    การแต่งตั้งผู้บริหารใหม่
    Kevork Kechichian จาก Arm รับตำแหน่งหัวหน้ากลุ่ม Data Center
    Srinivasan Iyengar นำทีม Central Engineering และธุรกิจ custom silicon
    Jim Johnson ขึ้นเป็นหัวหน้ากลุ่ม Client Computing อย่างเป็นทางการ
    Naga Chandrasekaran ขยายบทบาทใน Intel Foundry ให้ครอบคลุม Foundry Services

    บริบททางการเมืองและเศรษฐกิจ
    รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศถือหุ้น 10% ใน Intel เพื่อควบคุมเชิงยุทธศาสตร์
    ประธานาธิบดี Trump เรียกร้องให้ CEO Tan ลาออกจากตำแหน่ง
    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากตลาดและภาครัฐ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/09/intel-product-chief-michelle-holthaus-to-leave-company
    🔄 “Intel ปรับโครงสร้างผู้บริหารครั้งใหญ่! Michelle Holthaus อำลาหลังรับใช้บริษัทกว่า 30 ปี” ลองจินตนาการว่าคุณเป็นหนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเทคโนโลยีที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกอย่าง Intel แล้ววันหนึ่งคุณต้องตัดสินใจอำลาตำแหน่ง หลังจากร่วมสร้างและขับเคลื่อนองค์กรมากว่า 30 ปี — นั่นคือเรื่องราวของ Michelle Johnston Holthaus ผู้บริหารฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Intel ที่เพิ่งประกาศลาออกท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโครงสร้างผู้บริหารของบริษัท การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan พยายามพลิกฟื้น Intel จากภาวะตกต่ำ โดยมีเป้าหมายชัดเจนคือ “ลดชั้นการบริหาร” และ “เร่งการตัดสินใจ” เพื่อให้ทีมพัฒนาชิปสามารถรายงานตรงถึงตัวเขาได้ทันที Michelle Holthaus เคยดำรงตำแหน่ง interim co-CEO หลังจาก Pat Gelsinger ถูกปลด และยังเคยเป็นหัวหน้าฝ่าย Client Computing Group และ Chief Revenue Officer มาก่อน เธอจะยังคงอยู่ในบทบาทที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ นอกจากการอำลาของ Holthaus ยังมีการแต่งตั้งผู้บริหารใหม่หลายตำแหน่ง เช่น Kevork Kechichian จาก Arm มารับตำแหน่งหัวหน้ากลุ่ม Data Center, Srinivasan Iyengar รับหน้าที่สร้างกลุ่ม Central Engineering ใหม่ และ Jim Johnson ขึ้นเป็นหัวหน้ากลุ่ม Client Computing อย่างเป็นทางการ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดี Donald Trump ประกาศแผนเข้าถือหุ้น 10% ใน Intel และเรียกร้องให้ Tan ลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากข้อขัดแย้งทางผลประโยชน์ — ทำให้สถานการณ์ของ Intel ยิ่งตึงเครียดมากขึ้น ✅ การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูงของ Intel ➡️ Michelle Holthaus อำลาหลังทำงานกับ Intel มากกว่า 30 ปี ➡️ เคยดำรงตำแหน่ง interim co-CEO และหัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ ➡️ จะยังคงอยู่ในบทบาทที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ➡️ CEO Lip-Bu Tan ปรับโครงสร้างให้ทีมชิปรายงานตรงถึงตัวเอง ✅ การแต่งตั้งผู้บริหารใหม่ ➡️ Kevork Kechichian จาก Arm รับตำแหน่งหัวหน้ากลุ่ม Data Center ➡️ Srinivasan Iyengar นำทีม Central Engineering และธุรกิจ custom silicon ➡️ Jim Johnson ขึ้นเป็นหัวหน้ากลุ่ม Client Computing อย่างเป็นทางการ ➡️ Naga Chandrasekaran ขยายบทบาทใน Intel Foundry ให้ครอบคลุม Foundry Services ✅ บริบททางการเมืองและเศรษฐกิจ ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศถือหุ้น 10% ใน Intel เพื่อควบคุมเชิงยุทธศาสตร์ ➡️ ประธานาธิบดี Trump เรียกร้องให้ CEO Tan ลาออกจากตำแหน่ง ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากตลาดและภาครัฐ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/09/intel-product-chief-michelle-holthaus-to-leave-company
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Intel announces key executive shake-up, says products chief Holthaus will exit
    (Reuters) - Intel announced a series of top executive changes on Monday, including the departure of products chief Michelle Johnston Holthaus, at a time when CEO Lip-Bu Tan intensifies efforts to turn around the struggling U.S. chipmaker.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 297 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยนักล่า ตอนที่ 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยนักล่า” (1)
    อเมริกานักล่า ทำงานอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่ทำวันนี้คิดพรุ่งนี้ หรือทำวันนี้แล้วค่อย ไปทบทวนแก้ไขกันใหม่เอาปีหน้าอย่างที่เรา ๆ ทำกัน เขาวางแผนล่วงหน้าทุกเรื่องทั้งระยะใกล้ เช่น แผนงานเฉพาะกิจ หรือระยะไกล 5 ปี 10 ปี 15 ปี จนถึง 25 ปี ฯลฯ เอกสารที่เขาออกมา คำพูดของฝ่ายรัฐบาลที่พูดออกมา มีความหมาย มีความนัยทั้งสิ้น
    เราควรมาทำความรู้จักวิธีคิด วิธีวางแผนของนักล่ากันหน่อย มันอาจจะไม่ทำให้เราเข้าใจ หรือรู้จักนักล่าเต็มร้อย แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่รู้เลย เมื่อมีข่าวเกี่ยวกับนักล่า โดยเฉพาะที่จะกระทบกับบ้านเราหรือไม่ เรายังพอติดตามวิเคราะห์เองได้ ดีกว่าจะแค่ฟัง อ่าน ดูเอาจากสื่อที่ถูกฟ้อกย้อมมา เช่น CNN BBC หรือข่าวใส่สีตีไข่ หรือข่าวประเภทเรื่องเล่าประจำวันของบ้านเรานั้น ซึ่งถ้างดดูได้ก็ดี เพราะยิ่งดูยิ่งทำให้เราบื้อ ครับ ถ้าเราขยัน ขวนขวาย ติดตาม ค้นคว้า ต่อไปเรื่อย ๆ เราอาจจะเห็นและเข้าใจวิธีการของนักล่าชัดเจนขึ้น และอาจสามารถช่วยให้บ้านเมืองเราพ้นจากการเป็นเหยื่อของนักล่าได้บ้าง บ้านเมืองเรากำลังมาถึงจุดสำคัญ เรากำลังพยายามให้มีการปฎิรูปประเทศ จะมีจริงหรือไม่และจะปฎิรูปได้มากน้อยแค่ไหน ปัจจัยภายนอกก็มีส่วนสำคัญ ช่วยกันดูแลบ้านเมืองของเรา คนละไม้คนละมือ
    การทำงานของนักล่า ในเรื่องการล่าเหยื่อ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประธานาธิบดีคนเดียว แต่มีหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นมันสมอง วางแผนให้นักล่าอีกเพียบ คือ
    – The National Security Council (NSC)
    ซึ่งจะมีที่ปรึกษา เรียกว่า National Security Advisor (NSA) เป็นผู้กำกับคัดท้ายที่สำคัญ และเหตุการณ์ในโลกนี้ ที่เกิดขึ้นทั้งเลวทั้งร้าย ส่วนใหญ่เป็นผลงานของไอ้ตัวร้ายที่ทำหน้าที่เป็น NSA เกือบทั้งสิ้น ตัวอย่าง (ทั้งที่เคยเล่านิทานให้ฟังแล้ว และยังไม่ได้เล่า) NSA ที่มีชื่อติดอันดับความแสบหมายเลขต้น ๆ เช่น นาย McGeorge Bundy, นาย Walt W. Restow, นาย Henry Kissinger, นาย Zbigniew Brzezinski, นาย Brent Scowcroft ฯลฯ
    นอกจากนี้ NSC จะมีหน่วยงานที่สำคัญ ที่ทำหน้าที่วางยุทธศาสตร์ คือ National Security Strategy (NSS) ถ้าอยากจะติดตามความเคลื่อนไหว และความคิดทิศทางของนักล่า ลองเริ่มต้นด้วยการอ่านรายงานของ NSS ซึ่งจะมีออกมาเป็นรายปี และบางทีก็ออกเป็นระยะ แล้วแต่ความจำเป็น รายงานนี้จะบอกอะไรเราได้พอสมควร อย่างน้อยก็เห็นทิศทางของนักล่า ซึ่งจะไปทางไหนตะวันออกหรือตะวันตกทำนองนั้น
    – เมื่อมีการวางยุทธศาสตร์ออกมาแล้ว หน่วยงานของรัฐที่ต้องทำงานประสานกัน เพื่อให้ยุทธศาสตร์นั้น เป็นความจริงประสพผลสำเร็จ ซึ่งก็จะมีทีมงานตัวเก่งตัวแสบอีกเป็นร้อยเป็นพันจัดการตามแผนการ คือ
– State Department(กระทรวงต่างประเทศ)
– Defense Department(กระทรวงกลาโหม)
– Pentagon(หน่วยงานความมั่นคงของประเทศ)
– CIA(หน่วยงานข่าวกรองของประเทศ)
    – หน่วยงานดังกล่าวข้างต้น จะรายงานต่อประธานาธิบดีและสภาสูง โดยประธานาธิบดีจะมีผู้ช่วย (ซึ่งในบางกรณี อาจจะสำคัญกว่ารองประธานาธิบดีเสียด้วยซ้ำ !) คือ Chief of Staff และ Joint Chiefs of Staff ซึ่งทำหน้าที่เลือก/กรองนโยบายต่าง ๆ เสนอต่อประธานาธิบดี
    ส่วนสภาสูง จะมีหน่วยงานที่เรียกว่า Congressional Research Service ทำหน้าที่วิเคราะห์ทุกเรื่องที่จะส่งไปให้ สภาสูงพิจารณา โดยทำเป็นรายงานการวิเคราะห์อย่างละเอียด ส่งให้ก่อนการประชุมและเป็นเอกสารเปิดเผย (ที่ปิดผมยังหาไม่ได้ครับ) ไม่ใช่ส่งแต่กระดาษหน้าเดียวเขียนไม่กี่บันทัด หรือเขียนมัน 100 หน้า มีแต่น้ำ หรือใช้วิธีเข้าไปคุกเข่ายื่นโน๊ตสั้น ๆ ระหว่างประชุมสภาแบบบ้านเราทำ
    – นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานหรือสถาบันระดับสูงของเอกชนที่มีอิทธิพล ต่อแนวทางการล่าเหยื่อของนักล่า คือ พวกที่เรียกตัวเองว่า Think Tank (ถังความคิด) แต่ส่วนใหญ่ ถังพวกนี้ไม่ได้ มีแต่ความคิด แต่เป็นตัวการชักใยสร้างบท แต่งเรื่องรวมกำกับการแสดงและจัดหาตัวผู้มีหน้าที่บริหารประเทศด้วย แม้ตำแหน่งประธานาธิบดี ก็ไม่พ้นการจัดส่งและชักใยของ Think Tank ที่มีอิทธิพลสูง เช่น
    – Council on Foreign Relations (CFR)
– The Bilderberg Group
– The Trilateral Commission
– The Centre for Strategic and International Studies (CSIS)
– The Brookings Institution
– The Rand Corporation
– The Carnegie Endowment for International Peace
– Atlantic Council
– The Asia Society
– The Group of Thirty
ฯลฯ
    พวกถังความคิดเหล่านี้ บางพวกได้รับเงินสนับสนุนจาก Washington บางพวกได้จากมูลนิธิ Rockefeller มูลนิธิ Ford มูลนิธิ Carnegie รวมทั้งบรรดาบรรษัทข้ามชาติ ที่เป็นเครือข่ายของนักล่าและพวก NSA ที่มีอิทธิพล
    think tank ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ประมาณ ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา ส่วนใหญ่ เป็นเครือข่าย ที่เหล่านักยุทธศาสตร์ด้านนโย บายต่างประเทศ ที่ปรึกษาความมั่นคง (NSA) เช่น นาย Henry Kissinger, นาย Zbigniew Brzezinski, นาย Brent Scowcroft, นาย Josef Nye … เป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมา หรือให้เด็กของตัวตั้งขึ้นมาแทบทั้งสิ้น กล่าวได้ว่า คนไม่กี่คนนี้เอง เป็นผู้มีอิทธิพลครอบงำ อเมริกามาตั้งแต่บัดนั้นถึงบัดนี้ ไม่ว่าอเมริกาจะเปลี่ยนประธานาธิบดีเป็นใคร และมาจากพรรคใด และคงไม่เป็นการเกินไปนัก ถ้าจะบอกว่าคนไม่กี่คนนี่แหละ มีอิทธิพลต่อโลกใบนี้มากเหลือเกิน !

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยนักล่า ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยนักล่า” (1) อเมริกานักล่า ทำงานอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่ทำวันนี้คิดพรุ่งนี้ หรือทำวันนี้แล้วค่อย ไปทบทวนแก้ไขกันใหม่เอาปีหน้าอย่างที่เรา ๆ ทำกัน เขาวางแผนล่วงหน้าทุกเรื่องทั้งระยะใกล้ เช่น แผนงานเฉพาะกิจ หรือระยะไกล 5 ปี 10 ปี 15 ปี จนถึง 25 ปี ฯลฯ เอกสารที่เขาออกมา คำพูดของฝ่ายรัฐบาลที่พูดออกมา มีความหมาย มีความนัยทั้งสิ้น เราควรมาทำความรู้จักวิธีคิด วิธีวางแผนของนักล่ากันหน่อย มันอาจจะไม่ทำให้เราเข้าใจ หรือรู้จักนักล่าเต็มร้อย แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่รู้เลย เมื่อมีข่าวเกี่ยวกับนักล่า โดยเฉพาะที่จะกระทบกับบ้านเราหรือไม่ เรายังพอติดตามวิเคราะห์เองได้ ดีกว่าจะแค่ฟัง อ่าน ดูเอาจากสื่อที่ถูกฟ้อกย้อมมา เช่น CNN BBC หรือข่าวใส่สีตีไข่ หรือข่าวประเภทเรื่องเล่าประจำวันของบ้านเรานั้น ซึ่งถ้างดดูได้ก็ดี เพราะยิ่งดูยิ่งทำให้เราบื้อ ครับ ถ้าเราขยัน ขวนขวาย ติดตาม ค้นคว้า ต่อไปเรื่อย ๆ เราอาจจะเห็นและเข้าใจวิธีการของนักล่าชัดเจนขึ้น และอาจสามารถช่วยให้บ้านเมืองเราพ้นจากการเป็นเหยื่อของนักล่าได้บ้าง บ้านเมืองเรากำลังมาถึงจุดสำคัญ เรากำลังพยายามให้มีการปฎิรูปประเทศ จะมีจริงหรือไม่และจะปฎิรูปได้มากน้อยแค่ไหน ปัจจัยภายนอกก็มีส่วนสำคัญ ช่วยกันดูแลบ้านเมืองของเรา คนละไม้คนละมือ การทำงานของนักล่า ในเรื่องการล่าเหยื่อ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประธานาธิบดีคนเดียว แต่มีหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นมันสมอง วางแผนให้นักล่าอีกเพียบ คือ – The National Security Council (NSC) ซึ่งจะมีที่ปรึกษา เรียกว่า National Security Advisor (NSA) เป็นผู้กำกับคัดท้ายที่สำคัญ และเหตุการณ์ในโลกนี้ ที่เกิดขึ้นทั้งเลวทั้งร้าย ส่วนใหญ่เป็นผลงานของไอ้ตัวร้ายที่ทำหน้าที่เป็น NSA เกือบทั้งสิ้น ตัวอย่าง (ทั้งที่เคยเล่านิทานให้ฟังแล้ว และยังไม่ได้เล่า) NSA ที่มีชื่อติดอันดับความแสบหมายเลขต้น ๆ เช่น นาย McGeorge Bundy, นาย Walt W. Restow, นาย Henry Kissinger, นาย Zbigniew Brzezinski, นาย Brent Scowcroft ฯลฯ นอกจากนี้ NSC จะมีหน่วยงานที่สำคัญ ที่ทำหน้าที่วางยุทธศาสตร์ คือ National Security Strategy (NSS) ถ้าอยากจะติดตามความเคลื่อนไหว และความคิดทิศทางของนักล่า ลองเริ่มต้นด้วยการอ่านรายงานของ NSS ซึ่งจะมีออกมาเป็นรายปี และบางทีก็ออกเป็นระยะ แล้วแต่ความจำเป็น รายงานนี้จะบอกอะไรเราได้พอสมควร อย่างน้อยก็เห็นทิศทางของนักล่า ซึ่งจะไปทางไหนตะวันออกหรือตะวันตกทำนองนั้น – เมื่อมีการวางยุทธศาสตร์ออกมาแล้ว หน่วยงานของรัฐที่ต้องทำงานประสานกัน เพื่อให้ยุทธศาสตร์นั้น เป็นความจริงประสพผลสำเร็จ ซึ่งก็จะมีทีมงานตัวเก่งตัวแสบอีกเป็นร้อยเป็นพันจัดการตามแผนการ คือ
– State Department(กระทรวงต่างประเทศ)
– Defense Department(กระทรวงกลาโหม)
– Pentagon(หน่วยงานความมั่นคงของประเทศ)
– CIA(หน่วยงานข่าวกรองของประเทศ) – หน่วยงานดังกล่าวข้างต้น จะรายงานต่อประธานาธิบดีและสภาสูง โดยประธานาธิบดีจะมีผู้ช่วย (ซึ่งในบางกรณี อาจจะสำคัญกว่ารองประธานาธิบดีเสียด้วยซ้ำ !) คือ Chief of Staff และ Joint Chiefs of Staff ซึ่งทำหน้าที่เลือก/กรองนโยบายต่าง ๆ เสนอต่อประธานาธิบดี ส่วนสภาสูง จะมีหน่วยงานที่เรียกว่า Congressional Research Service ทำหน้าที่วิเคราะห์ทุกเรื่องที่จะส่งไปให้ สภาสูงพิจารณา โดยทำเป็นรายงานการวิเคราะห์อย่างละเอียด ส่งให้ก่อนการประชุมและเป็นเอกสารเปิดเผย (ที่ปิดผมยังหาไม่ได้ครับ) ไม่ใช่ส่งแต่กระดาษหน้าเดียวเขียนไม่กี่บันทัด หรือเขียนมัน 100 หน้า มีแต่น้ำ หรือใช้วิธีเข้าไปคุกเข่ายื่นโน๊ตสั้น ๆ ระหว่างประชุมสภาแบบบ้านเราทำ – นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานหรือสถาบันระดับสูงของเอกชนที่มีอิทธิพล ต่อแนวทางการล่าเหยื่อของนักล่า คือ พวกที่เรียกตัวเองว่า Think Tank (ถังความคิด) แต่ส่วนใหญ่ ถังพวกนี้ไม่ได้ มีแต่ความคิด แต่เป็นตัวการชักใยสร้างบท แต่งเรื่องรวมกำกับการแสดงและจัดหาตัวผู้มีหน้าที่บริหารประเทศด้วย แม้ตำแหน่งประธานาธิบดี ก็ไม่พ้นการจัดส่งและชักใยของ Think Tank ที่มีอิทธิพลสูง เช่น – Council on Foreign Relations (CFR)
– The Bilderberg Group
– The Trilateral Commission
– The Centre for Strategic and International Studies (CSIS)
– The Brookings Institution
– The Rand Corporation
– The Carnegie Endowment for International Peace
– Atlantic Council
– The Asia Society
– The Group of Thirty
ฯลฯ พวกถังความคิดเหล่านี้ บางพวกได้รับเงินสนับสนุนจาก Washington บางพวกได้จากมูลนิธิ Rockefeller มูลนิธิ Ford มูลนิธิ Carnegie รวมทั้งบรรดาบรรษัทข้ามชาติ ที่เป็นเครือข่ายของนักล่าและพวก NSA ที่มีอิทธิพล think tank ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ประมาณ ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา ส่วนใหญ่ เป็นเครือข่าย ที่เหล่านักยุทธศาสตร์ด้านนโย บายต่างประเทศ ที่ปรึกษาความมั่นคง (NSA) เช่น นาย Henry Kissinger, นาย Zbigniew Brzezinski, นาย Brent Scowcroft, นาย Josef Nye … เป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมา หรือให้เด็กของตัวตั้งขึ้นมาแทบทั้งสิ้น กล่าวได้ว่า คนไม่กี่คนนี้เอง เป็นผู้มีอิทธิพลครอบงำ อเมริกามาตั้งแต่บัดนั้นถึงบัดนี้ ไม่ว่าอเมริกาจะเปลี่ยนประธานาธิบดีเป็นใคร และมาจากพรรคใด และคงไม่เป็นการเกินไปนัก ถ้าจะบอกว่าคนไม่กี่คนนี่แหละ มีอิทธิพลต่อโลกใบนี้มากเหลือเกิน ! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 371 มุมมอง 0 รีวิว
  • มายากลยุทธ ภาค 2 ตอน บทส่งท้าย

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    บทส่งท้าย
    ไม่นานหลังจาก George Bush ได้ประกาศว่าเราจะจัดระเบียบโลกใหม่ ในปี ค.ศ. 1991 ยุทธศาสตร์ของอเมริกาที่ทยอยออกมา ก็แสดงให้เห็นถึงทิศทางเดินของอเมริกาชัดเจนขึ้น ใบประกาศหมายเลข 1 ออกมาเมื่อ ค.ศ. 1992 Defense Planning Guidance เกี่ยวกับการวางแผนด้านกองกำลังของอเมริกา เพื่อให้แน่ใจ (กับใครบ้าง?) ว่า จะไม่มีใครกล้าถลามาเป็นคู่แข่งกับอเมริกาในยุโรปตะวันตก เอเซีย หรือ บริเวณที่เคยเป็นสหภาพโซเวียตเดิม เอกสารนี้ระบุชัดเจนว่า โลกใบนี้ไม่มีใครจะมามีอำนาจเหนืออเมริกาอีกแล้ว
    ผู้ที่เป็นมันสมองในการจัดทำเอกสารนี้คือ นาย Paul Wolfowitz ซึ่งขณะนั้นรับตำแหน่งเลขาธิการด้านความมั่นคงอยู่ที่ Pentagon และต่อมาเขาได้เลื่อนเป็นผู้ช่วยรมว.กลาโหม ในสมัยรัฐบาล Bush ตัวพ่อนั่นแหละ หลังจากนั้นก็มารับตำแหน่งประธานธนาคารโลก World Bank นาย Wolf นี้เป็นสมาชิกของ Bilderberg Group, Trilateral Commission และ Council on Foreign Relations (ครบชุด 3 สถาบันผู้ทรงอิทธิพล) ปัจจุบันประจำการอยู่ที่ American Enterprise Institute ซึ่งเป็น think tank สำคัญสำหรับผู้ไม่ประสงค์จะเปิดเผยตัว
    ส่วนสำคัญของเอกสารดังกล่าว เน้นว่าการจัดระเบียบโลกใหม่ ในด้านของกองกำลังของอเมริกา จะต้องปฏิบัติการได้ เมื่อจำเป็น โดยไม่ต้องพึ่งพาหรือเล่นเป็นวงกับใคร พูดง่าย ๆ เป็นพระเอกแสดงเดี่ยว ก็ต้องเอาโลกนี้อยู่ในมือได้
    ในประดานักเลงคนละค่าย ที่จะทำให้อเมริกาคันไม้คันมือ นอกเหนือจากอิรัคและเกาหลีเหนือเจ้าประจำแล้ว ผู้ที่อเมริกาจะต้องจับตาแบบมองแบบไม่กระพริบ คือ จีนและรัสเซีย
    เมื่อ Bill Clinton เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ต่อจาก Bush ตัวพ่อในปี ค.ศ. 1993 สายเหยี่ยวของอเมริกาไม่ได้หุบปีก แต่กลับสยายมากขึ้น ถึงกับคิด Project for New American Century หรือ PNAC อันโด่งดัง ในปี ค.ศ. 2000 เขาได้เสนอรายงาน ชื่อ Rebuilding America’s Defenses : Strategy For Us and Resources for a New Century เป็นการวางแผนสำหรับการขยับขยาย เปลี่ยนรูปแบบของกองกำลังของอเมริกา เพื่อเตรียมตัวสำหรับการเข้าสู่ทรัพยากร และการสงครามในทุกสมรภูมิ ไม่ว่าใหญ่ระดับโลก หรือเล็กระดับประเทศ
    แต่ที่น่าสนใจคือนาย Zbigniew Brzezinski (หวังว่าคงจำชื่อนี้กันได้) ผู้ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของ Trilatleral Commission ให้กับนายโคตรรวย David Rockefeller รวมทั้งเป็นสมาชิก Bilderberg Group และอยู่ในคณะกรรมการของ Amnesty International และ National Endowment for Democracy (ถ้าไม่รู้จักสถาบันหลังนี้ ลองไปถามอาจารย์แถวท่าพระจันทร์ดูได้นะครับ) รวมทั้งเป็น trustee และที่ปรึกษาของ Center for Strategic and International Studies (CSIS) ที่โด่งดังในการเป็นมันสมอง ในการวางนโยบายด้านความมั่นคงระดับสูงให้แก่อเมริกา นาย Brzenzinski นี้ ถือว่าเป็น 1 ให้ผู้กุมชะตาโลก เพราะเขามีอิทธิพลต่อความคิดของพวกนักเล่นกล ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยของอเมริกาอย่างยิ่ง ในหนังสือของเขาชื่อ The Grand Chessboard ที่ออกมาเมื่อ ปี ค.ศ. 1997 บอกว่าสำหรับอเมริกาในอนาคต จงมองไปที่ Eurasia สำหรับอีก 50 ปีข้างหน้า ความเป็นไปของโลก มันจะเริ่มหรือเกี่ยวกับพื้นที่บริเวณ Eurasia นี้แหละ ใครที่ควบคุม Eurasia ได้ ก็เหมือนกับจะควบคุมชะตาโลกได้ปริยาย และนับตั้งแต่นั้นมา นโยบายของอเมริกาก็ดูเหมือนจะไปในทิศทาง ตามที่เข็มทิศยี่ห้อนาย Bzenzinski ชี้ทางเอาไว้ทั้งสิ้น เช่นเดียวกัน กับคำพูดของนาย Kissinger เมื่อเกือบ 50 ปีก่อน


    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 2 ตอน บทส่งท้าย นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” บทส่งท้าย ไม่นานหลังจาก George Bush ได้ประกาศว่าเราจะจัดระเบียบโลกใหม่ ในปี ค.ศ. 1991 ยุทธศาสตร์ของอเมริกาที่ทยอยออกมา ก็แสดงให้เห็นถึงทิศทางเดินของอเมริกาชัดเจนขึ้น ใบประกาศหมายเลข 1 ออกมาเมื่อ ค.ศ. 1992 Defense Planning Guidance เกี่ยวกับการวางแผนด้านกองกำลังของอเมริกา เพื่อให้แน่ใจ (กับใครบ้าง?) ว่า จะไม่มีใครกล้าถลามาเป็นคู่แข่งกับอเมริกาในยุโรปตะวันตก เอเซีย หรือ บริเวณที่เคยเป็นสหภาพโซเวียตเดิม เอกสารนี้ระบุชัดเจนว่า โลกใบนี้ไม่มีใครจะมามีอำนาจเหนืออเมริกาอีกแล้ว ผู้ที่เป็นมันสมองในการจัดทำเอกสารนี้คือ นาย Paul Wolfowitz ซึ่งขณะนั้นรับตำแหน่งเลขาธิการด้านความมั่นคงอยู่ที่ Pentagon และต่อมาเขาได้เลื่อนเป็นผู้ช่วยรมว.กลาโหม ในสมัยรัฐบาล Bush ตัวพ่อนั่นแหละ หลังจากนั้นก็มารับตำแหน่งประธานธนาคารโลก World Bank นาย Wolf นี้เป็นสมาชิกของ Bilderberg Group, Trilateral Commission และ Council on Foreign Relations (ครบชุด 3 สถาบันผู้ทรงอิทธิพล) ปัจจุบันประจำการอยู่ที่ American Enterprise Institute ซึ่งเป็น think tank สำคัญสำหรับผู้ไม่ประสงค์จะเปิดเผยตัว ส่วนสำคัญของเอกสารดังกล่าว เน้นว่าการจัดระเบียบโลกใหม่ ในด้านของกองกำลังของอเมริกา จะต้องปฏิบัติการได้ เมื่อจำเป็น โดยไม่ต้องพึ่งพาหรือเล่นเป็นวงกับใคร พูดง่าย ๆ เป็นพระเอกแสดงเดี่ยว ก็ต้องเอาโลกนี้อยู่ในมือได้ ในประดานักเลงคนละค่าย ที่จะทำให้อเมริกาคันไม้คันมือ นอกเหนือจากอิรัคและเกาหลีเหนือเจ้าประจำแล้ว ผู้ที่อเมริกาจะต้องจับตาแบบมองแบบไม่กระพริบ คือ จีนและรัสเซีย เมื่อ Bill Clinton เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ต่อจาก Bush ตัวพ่อในปี ค.ศ. 1993 สายเหยี่ยวของอเมริกาไม่ได้หุบปีก แต่กลับสยายมากขึ้น ถึงกับคิด Project for New American Century หรือ PNAC อันโด่งดัง ในปี ค.ศ. 2000 เขาได้เสนอรายงาน ชื่อ Rebuilding America’s Defenses : Strategy For Us and Resources for a New Century เป็นการวางแผนสำหรับการขยับขยาย เปลี่ยนรูปแบบของกองกำลังของอเมริกา เพื่อเตรียมตัวสำหรับการเข้าสู่ทรัพยากร และการสงครามในทุกสมรภูมิ ไม่ว่าใหญ่ระดับโลก หรือเล็กระดับประเทศ แต่ที่น่าสนใจคือนาย Zbigniew Brzezinski (หวังว่าคงจำชื่อนี้กันได้) ผู้ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของ Trilatleral Commission ให้กับนายโคตรรวย David Rockefeller รวมทั้งเป็นสมาชิก Bilderberg Group และอยู่ในคณะกรรมการของ Amnesty International และ National Endowment for Democracy (ถ้าไม่รู้จักสถาบันหลังนี้ ลองไปถามอาจารย์แถวท่าพระจันทร์ดูได้นะครับ) รวมทั้งเป็น trustee และที่ปรึกษาของ Center for Strategic and International Studies (CSIS) ที่โด่งดังในการเป็นมันสมอง ในการวางนโยบายด้านความมั่นคงระดับสูงให้แก่อเมริกา นาย Brzenzinski นี้ ถือว่าเป็น 1 ให้ผู้กุมชะตาโลก เพราะเขามีอิทธิพลต่อความคิดของพวกนักเล่นกล ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยของอเมริกาอย่างยิ่ง ในหนังสือของเขาชื่อ The Grand Chessboard ที่ออกมาเมื่อ ปี ค.ศ. 1997 บอกว่าสำหรับอเมริกาในอนาคต จงมองไปที่ Eurasia สำหรับอีก 50 ปีข้างหน้า ความเป็นไปของโลก มันจะเริ่มหรือเกี่ยวกับพื้นที่บริเวณ Eurasia นี้แหละ ใครที่ควบคุม Eurasia ได้ ก็เหมือนกับจะควบคุมชะตาโลกได้ปริยาย และนับตั้งแต่นั้นมา นโยบายของอเมริกาก็ดูเหมือนจะไปในทิศทาง ตามที่เข็มทิศยี่ห้อนาย Bzenzinski ชี้ทางเอาไว้ทั้งสิ้น เช่นเดียวกัน กับคำพูดของนาย Kissinger เมื่อเกือบ 50 ปีก่อน คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 395 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอน เสกกระดาษแลกน้ำมัน
    ตอนที่ 22 : ปั่นน้ำมัน (2)
    ข่าวสำคัญที่รั่วออกมาจากที่ประชุม เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1973 คือ มีการหารือกันในที่ประชุมว่า “หากว่า” น้ำมันเกิดขึ้นราคาไป 400% เรามีแผนที่จัดการกับเงินดอลล่าร์ที่จะไหลมาท่วมหัวเรา จากที่น้ำมันขึ้นราคาอย่างบ้าเลือดนั้น อย่างไรดี สมาชิก (ลับ) ที่เข้าประชุม (ลับ) วันนั้นก็มี CEO จาก Royal Dutch Shell, British Petroleum (BP), Total S.A, ENI, Exxon รวมทั้งบรรดานายธนาคารใหญ่ และบุคคลที่น่าสนใจ เช่น Baron Edmond de Rothschild และนาย David Rockefeller และที่น่าสนใจที่สุด คือนาย Henry Kissinger รมว.ตปท. ของอเมริกาขณะนั้น
    หลังจากนั้น ก็มีคนแอบทำข่าวหล่นให้สื่อลือกันว่า เดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1973 ประเทศในกลุ่มอาหรับ มีแผนที่จะบุกอิสราเอล ในวันสำคัญทางศาสนาของอิสราเอล (Yom Kippur) ข่าวนี้ทำให้เกิดความตื่นตระหนกในตลาด น้ำมันราคาพุ่งกระฉูด โลกตะวันตกที่ต้องใช้น้ำมันต่างไม่พอใจ แต่แล้วก็มีเสียงคล้าย ๆ กับ Shah ของอิหร่าน ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า “…ก็ไม่แปลกนะ ที่ราคาน้ำมันจะขึ้นสูง ในเมื่อพวกยู (โลกตะวันตก) ก็ขึ้นราคาข้าวสาลีที่ขายให้พวกไอ ตั้ง 300% รวมทั้งน้ำตาลและปูนซีเมนต์ พวกยูซื้อน้ำมันดิบจากประเทศไอไป แล้วยูก็ไปกลั่นเป็นปิโตรเคมี แล้วไปขายได้ราคาแพง 100 กว่าเท่าของราคาที่จ่ายให้พวกไอ มันก็ยุติธรรมแล้วนี่นะ ต่อไปนี้พวกยูก็จ่ายค่าน้ำมันดิบสูงขึ้นอีก 10 เท่าก็แล้วกันนะ”
    แล้ววันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ. 1973 อียิปต์และซีเรียก็บุกอิสราเอลจริง ๆ วันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 1973 ประธานาธิบดี Nixon สั่งการให้ส่งอาวุธไปช่วยอิสราเอล ในขณะที่สหภาพโซเวียตส่งอาวุธให้อียิปต์และซีเรีย วันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ 1973 UN ออกมาเป็นกรรมการห้ามมวย สั่งให้ทั้ง 2 ฝ่ายยุติการหยุดยิง
    ประเทศกลุ่ม OPEC ตอบโต้ ด้วยการประกาศงดส่งน้ำมันให้แก่อเมริกา ในฐานะเป็นประเทศที่ไม่ปราถนาดีต่อกลุ่มประเทศ OPEC การประกาศงดส่งน้ำมันนี้ ลามไปถึงประเทศในยุโรป และญี่ปุ่นด้วย แต่ 5 เดือนต่อมา 17 มีนาคม ค.ศ. 1974 กลุ่ม OPEC ก็ยกเลิกการห้ามส่งน้ำมันให้อเมริกา เอะ ! ตอนแรกก็ขึงขังดีนะ ประเทศในกลุ่ม OPEC ทำเป็นจะบุกอิสราเอล แล้วก็ขึ้นราคาน้ำมันไป 400% และก็ประกาศจะงดส่งน้ำมันให้พวกเขา (อเมริกาแอนด์โก) น่ะ แล้วไง ! ไม่ทันนกกระจอกกินน้ำ 5 เดือน กลับลำเกือบไม่ทัน
    ทั้งหมดเป็นแผนที่ร่วมมือกันอย่างดี ของกลุ่มนักเล่นกล 2 คาบสมุทร เริ่มต้นตั้งแต่เล่นกลตัดเชือกผูกเงินดอลล่าห์กับทองเอาเมื่อปี ค.ศ. 1969 ตอนอเมริกาเกิดเศรษฐกิจชักกระตุก เดินถอยหลัง เงินดอลล่าห์อ่อนเหมือนแป้งเปียก จะให้มันกลับมาแข็งปั้ง พร้อมกับสร้างอำนาจให้อเมริกาน่ะ มันต้องวางแผนให้เนียนหน่อย
    นาย Kissinger นักการฑูตฝีปากดี แถมมีฐานะเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคง การที่จะยุให้พวกกลุ่มอาหรับลุกขึ้นฮึด มาเอาดินแดนศักดิ์สิทธิ์คืนจากอิสราเอล คงไม่เกินฝีปากนาย Kissinger ขณะเดียวกันก็บอกกับอิสราเอลว่า ถ้าอาหรับทำท่าจะกรีฑาทัพเข้ามาบี้ยู ไม่ต้องกลัวนะเพื่อน อเมริกาจะยืนบังลูกปืนให้ เขายุซ้ายทีขวาทีจนได้ที่ แล้วเขาก็จับหมากตัวสำคัญ คือ ซาอุดิอาระเบียกับอิหร่านให้เดินต่อ ซาอุนั้น เป็นประเทศที่มีน้ำมันมากและเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของอเมริกา อเมริกาซื้อน้ำมันจากซาอุเป็นอันดับ 1 และซาอุก็ลงทุนกับอเมริกาเป็นอันดับ 1 เหมือนกัน ส่วนอิหร่าน มีน้ำมันอันดับ 2 ก็จริง แต่อย่าลืมว่าคุณซาห์มานั่งครองบัลลังก์นกยูงได้อย่างไร ให้มาเล่นเป็นตัวประกอบ เดินไปเดินมา 2 รอบแค่นี้ เล่นไม่ได้หรือไง
    แล้วสงคราม Yom Kippur มันก็เกิดขึ้นมาเพราะแบบนี้แหละ ถ้ามันของจริงน่ะ มันจะเลิกรบกันภายใไม่กี่วันเหรอ แล้วไอ้ Embargo ห้ามส่งน้ำมันน่ะ ถามจริง ๆ เถอะ อาหรับมีทรัพย์สมบัติติดตัวอยู่อย่างเดียว คือ น้ำมัน ถ้าไม่ขายน้ำมันจะอยู่อย่างไร แล้วลูกค้ารายใหญ่นะใคร อเมริกาบวกยุโรปตะวันตก บวกญี่ปุ่นน่ะ มันกินน้ำมันเข้าไป 60% ของผู้ใช้น้ำมันทั้งโลกในตอนนั้น ถ้าคิดไม่ขายลูกค้ารายใหญ่ 60% แล้วจะไปขายใครประเทศจน ๆ ให้มันเป็นหนี้หรือไง ! ?


    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอน เสกกระดาษแลกน้ำมัน ตอนที่ 22 : ปั่นน้ำมัน (2) ข่าวสำคัญที่รั่วออกมาจากที่ประชุม เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1973 คือ มีการหารือกันในที่ประชุมว่า “หากว่า” น้ำมันเกิดขึ้นราคาไป 400% เรามีแผนที่จัดการกับเงินดอลล่าร์ที่จะไหลมาท่วมหัวเรา จากที่น้ำมันขึ้นราคาอย่างบ้าเลือดนั้น อย่างไรดี สมาชิก (ลับ) ที่เข้าประชุม (ลับ) วันนั้นก็มี CEO จาก Royal Dutch Shell, British Petroleum (BP), Total S.A, ENI, Exxon รวมทั้งบรรดานายธนาคารใหญ่ และบุคคลที่น่าสนใจ เช่น Baron Edmond de Rothschild และนาย David Rockefeller และที่น่าสนใจที่สุด คือนาย Henry Kissinger รมว.ตปท. ของอเมริกาขณะนั้น หลังจากนั้น ก็มีคนแอบทำข่าวหล่นให้สื่อลือกันว่า เดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1973 ประเทศในกลุ่มอาหรับ มีแผนที่จะบุกอิสราเอล ในวันสำคัญทางศาสนาของอิสราเอล (Yom Kippur) ข่าวนี้ทำให้เกิดความตื่นตระหนกในตลาด น้ำมันราคาพุ่งกระฉูด โลกตะวันตกที่ต้องใช้น้ำมันต่างไม่พอใจ แต่แล้วก็มีเสียงคล้าย ๆ กับ Shah ของอิหร่าน ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า “…ก็ไม่แปลกนะ ที่ราคาน้ำมันจะขึ้นสูง ในเมื่อพวกยู (โลกตะวันตก) ก็ขึ้นราคาข้าวสาลีที่ขายให้พวกไอ ตั้ง 300% รวมทั้งน้ำตาลและปูนซีเมนต์ พวกยูซื้อน้ำมันดิบจากประเทศไอไป แล้วยูก็ไปกลั่นเป็นปิโตรเคมี แล้วไปขายได้ราคาแพง 100 กว่าเท่าของราคาที่จ่ายให้พวกไอ มันก็ยุติธรรมแล้วนี่นะ ต่อไปนี้พวกยูก็จ่ายค่าน้ำมันดิบสูงขึ้นอีก 10 เท่าก็แล้วกันนะ” แล้ววันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ. 1973 อียิปต์และซีเรียก็บุกอิสราเอลจริง ๆ วันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 1973 ประธานาธิบดี Nixon สั่งการให้ส่งอาวุธไปช่วยอิสราเอล ในขณะที่สหภาพโซเวียตส่งอาวุธให้อียิปต์และซีเรีย วันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ 1973 UN ออกมาเป็นกรรมการห้ามมวย สั่งให้ทั้ง 2 ฝ่ายยุติการหยุดยิง ประเทศกลุ่ม OPEC ตอบโต้ ด้วยการประกาศงดส่งน้ำมันให้แก่อเมริกา ในฐานะเป็นประเทศที่ไม่ปราถนาดีต่อกลุ่มประเทศ OPEC การประกาศงดส่งน้ำมันนี้ ลามไปถึงประเทศในยุโรป และญี่ปุ่นด้วย แต่ 5 เดือนต่อมา 17 มีนาคม ค.ศ. 1974 กลุ่ม OPEC ก็ยกเลิกการห้ามส่งน้ำมันให้อเมริกา เอะ ! ตอนแรกก็ขึงขังดีนะ ประเทศในกลุ่ม OPEC ทำเป็นจะบุกอิสราเอล แล้วก็ขึ้นราคาน้ำมันไป 400% และก็ประกาศจะงดส่งน้ำมันให้พวกเขา (อเมริกาแอนด์โก) น่ะ แล้วไง ! ไม่ทันนกกระจอกกินน้ำ 5 เดือน กลับลำเกือบไม่ทัน ทั้งหมดเป็นแผนที่ร่วมมือกันอย่างดี ของกลุ่มนักเล่นกล 2 คาบสมุทร เริ่มต้นตั้งแต่เล่นกลตัดเชือกผูกเงินดอลล่าห์กับทองเอาเมื่อปี ค.ศ. 1969 ตอนอเมริกาเกิดเศรษฐกิจชักกระตุก เดินถอยหลัง เงินดอลล่าห์อ่อนเหมือนแป้งเปียก จะให้มันกลับมาแข็งปั้ง พร้อมกับสร้างอำนาจให้อเมริกาน่ะ มันต้องวางแผนให้เนียนหน่อย นาย Kissinger นักการฑูตฝีปากดี แถมมีฐานะเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคง การที่จะยุให้พวกกลุ่มอาหรับลุกขึ้นฮึด มาเอาดินแดนศักดิ์สิทธิ์คืนจากอิสราเอล คงไม่เกินฝีปากนาย Kissinger ขณะเดียวกันก็บอกกับอิสราเอลว่า ถ้าอาหรับทำท่าจะกรีฑาทัพเข้ามาบี้ยู ไม่ต้องกลัวนะเพื่อน อเมริกาจะยืนบังลูกปืนให้ เขายุซ้ายทีขวาทีจนได้ที่ แล้วเขาก็จับหมากตัวสำคัญ คือ ซาอุดิอาระเบียกับอิหร่านให้เดินต่อ ซาอุนั้น เป็นประเทศที่มีน้ำมันมากและเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของอเมริกา อเมริกาซื้อน้ำมันจากซาอุเป็นอันดับ 1 และซาอุก็ลงทุนกับอเมริกาเป็นอันดับ 1 เหมือนกัน ส่วนอิหร่าน มีน้ำมันอันดับ 2 ก็จริง แต่อย่าลืมว่าคุณซาห์มานั่งครองบัลลังก์นกยูงได้อย่างไร ให้มาเล่นเป็นตัวประกอบ เดินไปเดินมา 2 รอบแค่นี้ เล่นไม่ได้หรือไง แล้วสงคราม Yom Kippur มันก็เกิดขึ้นมาเพราะแบบนี้แหละ ถ้ามันของจริงน่ะ มันจะเลิกรบกันภายใไม่กี่วันเหรอ แล้วไอ้ Embargo ห้ามส่งน้ำมันน่ะ ถามจริง ๆ เถอะ อาหรับมีทรัพย์สมบัติติดตัวอยู่อย่างเดียว คือ น้ำมัน ถ้าไม่ขายน้ำมันจะอยู่อย่างไร แล้วลูกค้ารายใหญ่นะใคร อเมริกาบวกยุโรปตะวันตก บวกญี่ปุ่นน่ะ มันกินน้ำมันเข้าไป 60% ของผู้ใช้น้ำมันทั้งโลกในตอนนั้น ถ้าคิดไม่ขายลูกค้ารายใหญ่ 60% แล้วจะไปขายใครประเทศจน ๆ ให้มันเป็นหนี้หรือไง ! ? คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 378 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง”มายากลยุทธ”
    ภาดสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 22 : ปั่นน้ำมัน (1)
    ปี ค.ศ. 1969 อเมริกาเกิดอาการเศรษฐกิจชักกระตุก ทำท่าจะเดินถอยหลังอีก ในขณะที่เศรษฐกิจของยุโรป โดยเฉพาะเยอรมันและญี่ปุ่น พัฒนาและเดินหน้าอย่างรวดเร็ว ทำให้ค่าเงินสกุลของ 2 ประเทศ สูงกว่าค่าเงินดอลล่าร์ ซึ่งผูกไว้กับราคาทองคำ ไอ้ที่แย่ อเมริกาเริ่มเสียดุลย์การค้า ทำให้มีการเททิ้งดอลล่าร์ ทองสำรองก็เหลือเพียง 1 ใน 4 ของจำนวนหนี้ของประเทศ แล้วประธานาธิบดี Nixon ก็ตัดสินใจแบบหักดิบ ในปี ค.ศ. 1971 ยกเลิกการผูกดอลล่าร์ไว้กับทอง ยกเลิกการเปลี่ยนเงินกระดาษมาเป็นทองคำ ปิดหน้าต่างลงกลอนการแลกเปลี่ยนอย่างถาวร
    โลกช็อคกับมาตรการของคุณพี่นิกสัน คุณพี่เครียด หรือคุณพี่เมา !? คุณพี่นิกสันตอนนั้น ก็คงเหมือนคนพระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก โดนบี้รอบข้างจากผลของการเข้าไปทำสงครามเวียตนาม ยังมาเจอเศรษฐกิจเดินถอยหลัง และที่เห็นกำลังมาไว ๆ ก็คือคดีวอเตอร์เกตอันลือชื่อของคุณพี่ เล่นเอาคุณพี่ไปไม่เป็น แล้วจะให้คุณพี่ทำยังไง แกก็ส่งใบลาไปนอนซมระทมทุกข์ ปล่อยให้นาย Kissinger ทำหน้าที่เหมือนเป็นประธานาธิบดีแทน มันเขาล่ะ ! แล้วโลกจะรู้ไหมว่า การตัดเชือกผูกดอลล่าร์ไว้กับทองนะ มันเป็นแผนมายากลแบบสุดยอดของนักเล่นกลเลย แผนนี้เขาวางกันเป็นขั้นตอนแบบบันได 7 ขั้น (3 ขั้น มันน้อยไป) ผู้แต่งเรื่องประกอบและผู้นำการแสดง มือระดับรางวัล Nobel ไม่ใช่รางวัลออสการ์
    ค.ศ. 1969 ภาคอุตสาหกรรมของโลกกำลังบูม อุตสาหกรรมต้องดื่มน้ำมัน ผู้ที่บูมไปด้วย คือ ชาติผู้ผลิตน้ำมัน แน่นอนกลุ่มผู้ค้าน้ำมัน OPEC ก็อู้ฟู้ไปด้วย เขามีข้อตกลงกันตั้งแต่ตอนตั้ง OPEC ว่า การซื้อน้ำมันจะต้องใช้เงินสกุลดอลล่าร์เท่านั้น ชาติไหนจะซื้อน้ำมัน ต้องไปซื้อดอลล่าร์มาก่อน เพื่อเอาไปจ่ายน้ำมัน (ใครนะมันช่างคิดสูตรนี้ !)
    ประเทศผู้ค้าน้ำมัน เช่น ซาอุดิอารเบีย อิหร่าน ฯลฯ เมื่อได้เงินค่าน้ำมัน ก็แน่นอนเอาไปฝากธนาคาร ธนาคารที่รับฝากก็แน่นอนอีกแหละ เป็นพวก Anglo American ธนาคารไหนต้องให้บอกชื่อกันไหม
    ปี ค.ศ. 1973 เดือนพฤษภาคม สมาชิกสมาคมลับ Bilderberg นัดประชุมกัน มีข่าวสำคัญรั่วออกมาจากที่ประชุม แมลงวันวิ่งไล่ตอมข่าว สมาคมนี้น่ะ มันลับอย่างไร สำคัญอย่างไรมา รู้จักกันหน่อย
    Bilderberg Group เป็นสมาคมลับสุดยอด ของบุคคลลับสุดยอด มีสมาชิกโดยการเชิญ ประมาณ 100 กว่าคน จากอเมริกาและยุโรป เรียกว่าเป็นสมาคมผมทองของแท้ ไม่มีด่างดำน้ำตาลเหลืองมาปนเลย ผู้ที่จะได้รับเชิญเป็นสมาชิก หรือมาประชุมก็เป็นพวกอยู่ในระดับสูงสุดของประเทศ เป็นขนมเค็กก็เรียกว่าเป็นพวก cream นั่นแหละ ตั้งขึ้นมาเมื่อปี ค.ศ. 1959 เพื่อจะประสานงานทางความคิด นโยบาย และวัฒนธรรม ระหว่างอเมริกากับยุโรป เพื่อสร้างรวมมือกัน เกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคงระหว่างประเทศ ฟังดูหรูและน่าทึ่งดีนะ
    คนที่เสนอความคิดตั้งสมาคมนี้ คือนาย Jozef Retinger ซึ่งไปคุยกับ Prince Bernhard สวามีของพระราชินี Julianna แห่ง Netherland คุณเจ้าชาย B เห็นด้วยอย่างยิ่ง ถึงกับลงมือไปคุยกับนายกรัฐมนตรี เบลเยี่ยมด้วยตนเอง รวมทั้งคุยกับหัวหน้า CIA ของอเมริกาขณะนั้น ว่าเราต้องร่วมมือกัน เพื่ออนาคตอันก้าวหน้าของพวกผมทอง
    การประชุมครั้งแรกของสมาคมลับ ที่มีเจ้าชาย B เป็นโต้โผ มีผู้เข้าประชุม 50 คน จาก 11 ประเทศในยุโรป และอีก 11 คนจากอเมริกา
    สมาคมลับนี้ยังมีอยู่จนถึงทุกวันนี้ ชื่อเด่น ๆ ที่เข้าร่วมประชุมกับสมาคมอันนี้ มีตั้งแต่ กษัตริย์ Juan Carlos และ Queen Sofia แห่งสเปน Queen Beatrix แห่งเนเทอร์แลนด์ บริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น IBM, Xerox, Royal Dutch Shell, Nokia และ Daimler และระดับผู้บริหารประเทศ เช่น นายกรัฐมนตรีกรีก นาย Kostas Karamanlis นายกรัฐมนตรีฟินแลนด์ นาย Matti Vanhanen รวมถึงนาย Timothy Geithner ของอเมริกา (และ cream ขนมเค้กอีกหลายอันเขียนไม่หวัดไม่ไหว)
    ในปี ค.ศ. 2013 มีการประชุมที่ Watford ประเทศอังกฤษ รายงานแจ้งว่ามีผู้เข้าประชุม แต่ไม่ประสงค์จะออกนาม อาจโผล่มาหลายคน (ลับจริง ๆ !) สำหรับโต้โผใหญ่ คือ เจ้าชาย B นั้น เป็นประธานสมาคมอยู่จนถึงปี ค.ศ. 1976 เป็นปีที่เขาโดนกล่าวหาเป็นข่าวไปทั่วโลก เกี่ยวกับเรื่องรับสินบนจากบริษัท Lockheed ซึ่งเป็นบริษัทขายอาวุธของอเมริกา Bilderberg ถูกวิจารณ์ว่าเป็นสมาคมระดับสูง ที่ใช้บุคคลระดับสูงทำหน้าที่เหมือน Lobbyist ในเรื่องระดับสำคัญอย่างสูง (หลายสูงเลยล่ะ) คงพอมองเห็นภาพ งานหลักของสมาคมนี้กันแล้ว

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง”มายากลยุทธ” ภาดสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 22 : ปั่นน้ำมัน (1) ปี ค.ศ. 1969 อเมริกาเกิดอาการเศรษฐกิจชักกระตุก ทำท่าจะเดินถอยหลังอีก ในขณะที่เศรษฐกิจของยุโรป โดยเฉพาะเยอรมันและญี่ปุ่น พัฒนาและเดินหน้าอย่างรวดเร็ว ทำให้ค่าเงินสกุลของ 2 ประเทศ สูงกว่าค่าเงินดอลล่าร์ ซึ่งผูกไว้กับราคาทองคำ ไอ้ที่แย่ อเมริกาเริ่มเสียดุลย์การค้า ทำให้มีการเททิ้งดอลล่าร์ ทองสำรองก็เหลือเพียง 1 ใน 4 ของจำนวนหนี้ของประเทศ แล้วประธานาธิบดี Nixon ก็ตัดสินใจแบบหักดิบ ในปี ค.ศ. 1971 ยกเลิกการผูกดอลล่าร์ไว้กับทอง ยกเลิกการเปลี่ยนเงินกระดาษมาเป็นทองคำ ปิดหน้าต่างลงกลอนการแลกเปลี่ยนอย่างถาวร โลกช็อคกับมาตรการของคุณพี่นิกสัน คุณพี่เครียด หรือคุณพี่เมา !? คุณพี่นิกสันตอนนั้น ก็คงเหมือนคนพระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก โดนบี้รอบข้างจากผลของการเข้าไปทำสงครามเวียตนาม ยังมาเจอเศรษฐกิจเดินถอยหลัง และที่เห็นกำลังมาไว ๆ ก็คือคดีวอเตอร์เกตอันลือชื่อของคุณพี่ เล่นเอาคุณพี่ไปไม่เป็น แล้วจะให้คุณพี่ทำยังไง แกก็ส่งใบลาไปนอนซมระทมทุกข์ ปล่อยให้นาย Kissinger ทำหน้าที่เหมือนเป็นประธานาธิบดีแทน มันเขาล่ะ ! แล้วโลกจะรู้ไหมว่า การตัดเชือกผูกดอลล่าร์ไว้กับทองนะ มันเป็นแผนมายากลแบบสุดยอดของนักเล่นกลเลย แผนนี้เขาวางกันเป็นขั้นตอนแบบบันได 7 ขั้น (3 ขั้น มันน้อยไป) ผู้แต่งเรื่องประกอบและผู้นำการแสดง มือระดับรางวัล Nobel ไม่ใช่รางวัลออสการ์ ค.ศ. 1969 ภาคอุตสาหกรรมของโลกกำลังบูม อุตสาหกรรมต้องดื่มน้ำมัน ผู้ที่บูมไปด้วย คือ ชาติผู้ผลิตน้ำมัน แน่นอนกลุ่มผู้ค้าน้ำมัน OPEC ก็อู้ฟู้ไปด้วย เขามีข้อตกลงกันตั้งแต่ตอนตั้ง OPEC ว่า การซื้อน้ำมันจะต้องใช้เงินสกุลดอลล่าร์เท่านั้น ชาติไหนจะซื้อน้ำมัน ต้องไปซื้อดอลล่าร์มาก่อน เพื่อเอาไปจ่ายน้ำมัน (ใครนะมันช่างคิดสูตรนี้ !) ประเทศผู้ค้าน้ำมัน เช่น ซาอุดิอารเบีย อิหร่าน ฯลฯ เมื่อได้เงินค่าน้ำมัน ก็แน่นอนเอาไปฝากธนาคาร ธนาคารที่รับฝากก็แน่นอนอีกแหละ เป็นพวก Anglo American ธนาคารไหนต้องให้บอกชื่อกันไหม ปี ค.ศ. 1973 เดือนพฤษภาคม สมาชิกสมาคมลับ Bilderberg นัดประชุมกัน มีข่าวสำคัญรั่วออกมาจากที่ประชุม แมลงวันวิ่งไล่ตอมข่าว สมาคมนี้น่ะ มันลับอย่างไร สำคัญอย่างไรมา รู้จักกันหน่อย Bilderberg Group เป็นสมาคมลับสุดยอด ของบุคคลลับสุดยอด มีสมาชิกโดยการเชิญ ประมาณ 100 กว่าคน จากอเมริกาและยุโรป เรียกว่าเป็นสมาคมผมทองของแท้ ไม่มีด่างดำน้ำตาลเหลืองมาปนเลย ผู้ที่จะได้รับเชิญเป็นสมาชิก หรือมาประชุมก็เป็นพวกอยู่ในระดับสูงสุดของประเทศ เป็นขนมเค็กก็เรียกว่าเป็นพวก cream นั่นแหละ ตั้งขึ้นมาเมื่อปี ค.ศ. 1959 เพื่อจะประสานงานทางความคิด นโยบาย และวัฒนธรรม ระหว่างอเมริกากับยุโรป เพื่อสร้างรวมมือกัน เกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคงระหว่างประเทศ ฟังดูหรูและน่าทึ่งดีนะ คนที่เสนอความคิดตั้งสมาคมนี้ คือนาย Jozef Retinger ซึ่งไปคุยกับ Prince Bernhard สวามีของพระราชินี Julianna แห่ง Netherland คุณเจ้าชาย B เห็นด้วยอย่างยิ่ง ถึงกับลงมือไปคุยกับนายกรัฐมนตรี เบลเยี่ยมด้วยตนเอง รวมทั้งคุยกับหัวหน้า CIA ของอเมริกาขณะนั้น ว่าเราต้องร่วมมือกัน เพื่ออนาคตอันก้าวหน้าของพวกผมทอง การประชุมครั้งแรกของสมาคมลับ ที่มีเจ้าชาย B เป็นโต้โผ มีผู้เข้าประชุม 50 คน จาก 11 ประเทศในยุโรป และอีก 11 คนจากอเมริกา สมาคมลับนี้ยังมีอยู่จนถึงทุกวันนี้ ชื่อเด่น ๆ ที่เข้าร่วมประชุมกับสมาคมอันนี้ มีตั้งแต่ กษัตริย์ Juan Carlos และ Queen Sofia แห่งสเปน Queen Beatrix แห่งเนเทอร์แลนด์ บริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น IBM, Xerox, Royal Dutch Shell, Nokia และ Daimler และระดับผู้บริหารประเทศ เช่น นายกรัฐมนตรีกรีก นาย Kostas Karamanlis นายกรัฐมนตรีฟินแลนด์ นาย Matti Vanhanen รวมถึงนาย Timothy Geithner ของอเมริกา (และ cream ขนมเค้กอีกหลายอันเขียนไม่หวัดไม่ไหว) ในปี ค.ศ. 2013 มีการประชุมที่ Watford ประเทศอังกฤษ รายงานแจ้งว่ามีผู้เข้าประชุม แต่ไม่ประสงค์จะออกนาม อาจโผล่มาหลายคน (ลับจริง ๆ !) สำหรับโต้โผใหญ่ คือ เจ้าชาย B นั้น เป็นประธานสมาคมอยู่จนถึงปี ค.ศ. 1976 เป็นปีที่เขาโดนกล่าวหาเป็นข่าวไปทั่วโลก เกี่ยวกับเรื่องรับสินบนจากบริษัท Lockheed ซึ่งเป็นบริษัทขายอาวุธของอเมริกา Bilderberg ถูกวิจารณ์ว่าเป็นสมาคมระดับสูง ที่ใช้บุคคลระดับสูงทำหน้าที่เหมือน Lobbyist ในเรื่องระดับสำคัญอย่างสูง (หลายสูงเลยล่ะ) คงพอมองเห็นภาพ งานหลักของสมาคมนี้กันแล้ว คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 448 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ”
    ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 13 : สิ่งมหัศจรรย์
    ตกลงนาย Kissinger ไม่ได้โม้ แต่พูดเรื่องจริงและไม่ใช่จริงธรรมดา แต่มันเป็นประกาศ บอกทิศทางการเมืองโลก ที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ เป็นอยู่ในปัจจุบันและที่กำลังจะเป็นต่อไปในอนาคต
    คนแรกที่มองเห็นว่าน้ำมันคืออาวุธที่สำคัญ สำหรับผู้ที่จะครองโลก ไม่ใช่นาย Kissinger แต่เป็นนาย Winston Churchill นายกรัฐมนตรีจอมอึดของอังกฤษ ซึ่งได้แถลงต่อรัฐสภาอังกฤษ ตั้งแต่ยังมีตำแหน่งเป็นนายพลเรือ เมื่อ ปี ค.ศ. 1919 ว่า “เราจะต้องพยายามเป็นเจ้าของ หรืออย่างน้อยต้องควบคุมแหล่งน้ำมันให้ได้ ตามจำนวนที่เราต้องการใช้ ไม่ว่าจากแหล่งน้ำมันที่เรามีเอง หรือมีอิทธิพลเหนือ” เรียกว่าเป็นคนมองไกลกว่ามือเอื้อมจริง ๆ
    แล้วเชื่อหรือไม่ว่า สงคราม การรุกราน การขัดแย้ง การอ้างเป็นผู้พิทักษ์ การอ้างเป็นผู้คุ้มครอง ฯลฯ ที่เกิดขึ้นในโลกในศตวรรษที่ผ่านมา และที่เป็นอยู่ขณะนี้ ล้วนเกี่ยวกับเรื่องการแย่งชิงน้ำมันเกือบทั้งสิ้น เพราะน้ำมันเป็นเครื่องมือสำคัญในการครองโลก
    ก่อนที่น้ำมันจะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ที่ทุกชาติแสวงหาและต้องการเป็นเจ้าของ สิ่งมหัศจรรย์รุ่นเก่า คือ “ถ่านหิน” จะทำอุตสาหกรรมได้ ต้องมีถ่านหิน ปลายศตวรรษที่ 19 อุตสาหกรรมเยอรมันพุ่งแซงหน้าอังกฤษ ที่กำลังเริ่มเดินลงเขา การผลิตเหล็กของเยอรมันแซงหน้าอังกฤษ การผลิตยา ปุ๋ยการเกษตร ทุกอย่างแซงหน้าอังกฤษ เพราะเยอรมันมีแหล่งถ่านหิน และเหล็กมหาศาลอยู่ในแคว้น Ruhr ที่สำคัญเยอรมันกำลังคิดการใหญ่วางแผน สร้างทางรถไฟ ยาวเข้าไปในอาณาจักร Ottoman ของตุรกี ปี ค.ศ. 1899 แผนของเยอรมันทำท่าจะเป็นจริง เยอรมันได้ทำข้อตกลงกับตุรกี เพื่อสร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad เป็นการขยายตลาดการค้าของตนไปทางตะวันออก กะจะไปให้ถึง Kuwait มันเป็นเส้นทางที่เร็วที่สุด และถูกที่สุดในการเข้าไปสู่แหล่งน้ำมันมหาศาลในภูมิภาคนั้นอังกฤษไม่ได้ฉลาด เป็นชาติเดียวนะ !
    ข่าวนี้ทำให้อังกฤษเปลี่ยนจากมาดผู้ดี ทำท่าจะตั้งโรงงิ้วแทน จะยอมได้อย่างไร มันหักหน้ากันชัด ๆ อังกฤษถือว่า กองกำลังทางเรือของตนนั้นสุดแข็งแกร่ง เป็นหน้าเป็นตา และที่สำคัญเป็นกลไกที่อังกฤษ ใช้ในการแสดงแสนยานุภาพ ในการเข้าไปยึดประเทศต่างๆ มาเป็นอาณานิคมของตนมาตลอดเวลา แต่เรือจะแล่นได้ นอกจากใช้กำลังคนแล้ว ในสมัยต่อมาต้องใช้เครื่องจักรกล เครื่องจักรกลสมัยก่อน ใช้ถ่านหินจำนวนมหาศาล ซึ่งแน่นอนมันกินน้ำหนักเรือมาก
    ย้อนไปประมาณปี ค.ศ. 1882 เกิดมีนายพลเรือของอังกฤษคนหนึ่ง ซึ่งคิดนอกหัวสี่เหลี่ยม ผิดธรรมเนียมทหาร (เอะ ! หรือทหารหัวสี่เหลี่ยมนี้จะมีเฉพาะบางประเทศ?) ชื่อท่าน Lord Fisher เห็นว่าน้ำมันน่าจะมีคุณสมบัติดีกว่าถ่านหิน เนื่องจากมีน้ำหนักเบากว่า ถ้าอังกฤษจะพัฒนาเปลี่ยนเครื่องจักรกลของกองทัพเรือ จากการใช้ถ่านหินเป็นน้ำมัน จะทำให้อังกฤษสามารถขยายกองทัพเรือได้ถึง 4 เท่า
    นักการเมืองผู้ดีตาถลนออกมานอกเบ้า นี่มันบ้าหรือกินยาผิดวะ เรามีถ่านหินอยู่เต็มประเทศ คนของเราก็ขุดถ่านหินกันจนหน้าดำมะเมี่ยมอย่างนี้ มันจะไปเลิกไปเปลี่ยนได้ยังไง เหมืองถ่านหินเราก็เจ็งหมดซิวุ้ย
    คำทักท้วงแบบนี้เราจะได้ยินเสมอ เวลาที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรจากรูปแบบเดิม ๆ ที่เคยชินกัน ใช้ได้เหรอ ใช่เหรอ ทำได้เหรอ แบบนี้มันต้องน้อยลงบ้างนะ ทุกอย่างมันจะก้าวหน้า ต้องมีคนเริ่มฝันก่อน และที่สำคัญ ทำฝันนั้นให้เป็นความจริง กองทัพเรืออังกฤษไม่สนใจคำทักท้วงของนักการ เมือง กองทัพเขาไม่ได้เชื่อนักการเมืองจนแยกแยะไม่ออก แบบบางประเทศ แต่กลับก้มหน้าก้มตา ออกแบบเปลี่ยนเครื่องจักรกล เพื่อใช้น้ำมันแทนถ่านหิน ใช้เวลาดำเนินการไป 20 ปี กว่าจะสำเร็จ อังกฤษเหมือนวาสนาดี แต่กรรมยังบัง เกิดปัญหาคาดไม่ถึง อังกฤษไม่มีน้ำมันของตัวเองพอ ! อ้าว ! แล้วกัน และจำเป็นต้องรีบหาแหล่งน้ำมันเป็นการด่วน ! ฝันเกือบเป็นจริง แต่ยังไม่สลาย ไม่เป็นไร ท่าน Lord Winston จึงออกมาตั้งเข็มทิศใหม่ให้อังกฤษ เราไปหาน้ำมันกันเร็ว รีบด่วน ทำยังไงก็ได้
    แล้วการล่าอาณานิคมของอังกฤษ เพื่อเข้าไปถึงแหล่งน้ำมันก็ทยอยเกิดขึ้น

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ” ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 13 : สิ่งมหัศจรรย์ ตกลงนาย Kissinger ไม่ได้โม้ แต่พูดเรื่องจริงและไม่ใช่จริงธรรมดา แต่มันเป็นประกาศ บอกทิศทางการเมืองโลก ที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ เป็นอยู่ในปัจจุบันและที่กำลังจะเป็นต่อไปในอนาคต คนแรกที่มองเห็นว่าน้ำมันคืออาวุธที่สำคัญ สำหรับผู้ที่จะครองโลก ไม่ใช่นาย Kissinger แต่เป็นนาย Winston Churchill นายกรัฐมนตรีจอมอึดของอังกฤษ ซึ่งได้แถลงต่อรัฐสภาอังกฤษ ตั้งแต่ยังมีตำแหน่งเป็นนายพลเรือ เมื่อ ปี ค.ศ. 1919 ว่า “เราจะต้องพยายามเป็นเจ้าของ หรืออย่างน้อยต้องควบคุมแหล่งน้ำมันให้ได้ ตามจำนวนที่เราต้องการใช้ ไม่ว่าจากแหล่งน้ำมันที่เรามีเอง หรือมีอิทธิพลเหนือ” เรียกว่าเป็นคนมองไกลกว่ามือเอื้อมจริง ๆ แล้วเชื่อหรือไม่ว่า สงคราม การรุกราน การขัดแย้ง การอ้างเป็นผู้พิทักษ์ การอ้างเป็นผู้คุ้มครอง ฯลฯ ที่เกิดขึ้นในโลกในศตวรรษที่ผ่านมา และที่เป็นอยู่ขณะนี้ ล้วนเกี่ยวกับเรื่องการแย่งชิงน้ำมันเกือบทั้งสิ้น เพราะน้ำมันเป็นเครื่องมือสำคัญในการครองโลก ก่อนที่น้ำมันจะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ที่ทุกชาติแสวงหาและต้องการเป็นเจ้าของ สิ่งมหัศจรรย์รุ่นเก่า คือ “ถ่านหิน” จะทำอุตสาหกรรมได้ ต้องมีถ่านหิน ปลายศตวรรษที่ 19 อุตสาหกรรมเยอรมันพุ่งแซงหน้าอังกฤษ ที่กำลังเริ่มเดินลงเขา การผลิตเหล็กของเยอรมันแซงหน้าอังกฤษ การผลิตยา ปุ๋ยการเกษตร ทุกอย่างแซงหน้าอังกฤษ เพราะเยอรมันมีแหล่งถ่านหิน และเหล็กมหาศาลอยู่ในแคว้น Ruhr ที่สำคัญเยอรมันกำลังคิดการใหญ่วางแผน สร้างทางรถไฟ ยาวเข้าไปในอาณาจักร Ottoman ของตุรกี ปี ค.ศ. 1899 แผนของเยอรมันทำท่าจะเป็นจริง เยอรมันได้ทำข้อตกลงกับตุรกี เพื่อสร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad เป็นการขยายตลาดการค้าของตนไปทางตะวันออก กะจะไปให้ถึง Kuwait มันเป็นเส้นทางที่เร็วที่สุด และถูกที่สุดในการเข้าไปสู่แหล่งน้ำมันมหาศาลในภูมิภาคนั้นอังกฤษไม่ได้ฉลาด เป็นชาติเดียวนะ ! ข่าวนี้ทำให้อังกฤษเปลี่ยนจากมาดผู้ดี ทำท่าจะตั้งโรงงิ้วแทน จะยอมได้อย่างไร มันหักหน้ากันชัด ๆ อังกฤษถือว่า กองกำลังทางเรือของตนนั้นสุดแข็งแกร่ง เป็นหน้าเป็นตา และที่สำคัญเป็นกลไกที่อังกฤษ ใช้ในการแสดงแสนยานุภาพ ในการเข้าไปยึดประเทศต่างๆ มาเป็นอาณานิคมของตนมาตลอดเวลา แต่เรือจะแล่นได้ นอกจากใช้กำลังคนแล้ว ในสมัยต่อมาต้องใช้เครื่องจักรกล เครื่องจักรกลสมัยก่อน ใช้ถ่านหินจำนวนมหาศาล ซึ่งแน่นอนมันกินน้ำหนักเรือมาก ย้อนไปประมาณปี ค.ศ. 1882 เกิดมีนายพลเรือของอังกฤษคนหนึ่ง ซึ่งคิดนอกหัวสี่เหลี่ยม ผิดธรรมเนียมทหาร (เอะ ! หรือทหารหัวสี่เหลี่ยมนี้จะมีเฉพาะบางประเทศ?) ชื่อท่าน Lord Fisher เห็นว่าน้ำมันน่าจะมีคุณสมบัติดีกว่าถ่านหิน เนื่องจากมีน้ำหนักเบากว่า ถ้าอังกฤษจะพัฒนาเปลี่ยนเครื่องจักรกลของกองทัพเรือ จากการใช้ถ่านหินเป็นน้ำมัน จะทำให้อังกฤษสามารถขยายกองทัพเรือได้ถึง 4 เท่า นักการเมืองผู้ดีตาถลนออกมานอกเบ้า นี่มันบ้าหรือกินยาผิดวะ เรามีถ่านหินอยู่เต็มประเทศ คนของเราก็ขุดถ่านหินกันจนหน้าดำมะเมี่ยมอย่างนี้ มันจะไปเลิกไปเปลี่ยนได้ยังไง เหมืองถ่านหินเราก็เจ็งหมดซิวุ้ย คำทักท้วงแบบนี้เราจะได้ยินเสมอ เวลาที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรจากรูปแบบเดิม ๆ ที่เคยชินกัน ใช้ได้เหรอ ใช่เหรอ ทำได้เหรอ แบบนี้มันต้องน้อยลงบ้างนะ ทุกอย่างมันจะก้าวหน้า ต้องมีคนเริ่มฝันก่อน และที่สำคัญ ทำฝันนั้นให้เป็นความจริง กองทัพเรืออังกฤษไม่สนใจคำทักท้วงของนักการ เมือง กองทัพเขาไม่ได้เชื่อนักการเมืองจนแยกแยะไม่ออก แบบบางประเทศ แต่กลับก้มหน้าก้มตา ออกแบบเปลี่ยนเครื่องจักรกล เพื่อใช้น้ำมันแทนถ่านหิน ใช้เวลาดำเนินการไป 20 ปี กว่าจะสำเร็จ อังกฤษเหมือนวาสนาดี แต่กรรมยังบัง เกิดปัญหาคาดไม่ถึง อังกฤษไม่มีน้ำมันของตัวเองพอ ! อ้าว ! แล้วกัน และจำเป็นต้องรีบหาแหล่งน้ำมันเป็นการด่วน ! ฝันเกือบเป็นจริง แต่ยังไม่สลาย ไม่เป็นไร ท่าน Lord Winston จึงออกมาตั้งเข็มทิศใหม่ให้อังกฤษ เราไปหาน้ำมันกันเร็ว รีบด่วน ทำยังไงก็ได้ แล้วการล่าอาณานิคมของอังกฤษ เพื่อเข้าไปถึงแหล่งน้ำมันก็ทยอยเกิดขึ้น คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 375 มุมมอง 0 รีวิว
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน นักมายากลชั้นเซียน (2)

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 12 : นักมายากลชั้นเซียน (2)
    ลาตินอเมริกา มี 19 เสียง เทียบกับยุโรปที่มี 9 เสียง จากปฏิบัติการในลาติน
    อเมริกาอยู่ 20 ปี ผลคือทำให้อิทธิพลของนักมายากล สามารถทำให้อเมริกา เป็นผู้คุมเสียงข้างมาก ในสหประชาชาติ และแน่นอนเป็นเสียงชี้ขาดใน World Bank และ IMF ด้วย ที่ดินที่สร้างสำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติ ในนครนิวยอร์คจึงเป็นอภินันทนาการจากนักมายากล
    NSSM 200 เป็นตัวอย่างของมายากลยุทธ ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ที่สามารถนำเรื่องการลดการเจริญเติบโตของประชากรในประเทศด้อยพัฒนา (หรือที่เขาพากันดัดจริต เลี่ยงไปเรียกว่าประเทศที่กำลังพัฒนา) มาเป็นนโยบายด้านความมั่นคงของประเทศ ที่มีความสำคัญระดับเร่งด่วนของอเมริกา มันเหลือเชื่อเหมือนเราดูการเล่นกลเลย ที่สามารถทำการวิจัย เรื่อง การสนับสนุนการทำหมันของมนุษย์หรือวางแผนครอบครัว ให้โยงกับประเทศเป้าหมาย ที่มีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ ได้อย่างมหัศจรรย์เกินจะคิด
    แต่เมื่อดูจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนและหลังของช่วงเวลาปฏิบัติการ ตามแผน NSSM 200 แล้ว สิ่งที่เห็นชัด การเล่นกลทำได้แนบเนียนและได้ผล ทั้งหมดมาจากเงินและอิทธิพลของตระกูลโคตรรวย ที่พัฒนามาเป็นสถาบันผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของอเมริกา Trilateral Commission นาย Kissinger และบรรดาผู้มีตำแหน่งสูง ๆ ในรัฐบาลอเมริกาตั้งแต่ระดับประธานาธิบดี รมว.กลาโหม รมว.ตปท. สมัยต่าง ๆ แท้จริงแล้ว แม้จะกินเงินเดือนของประเทศ แต่จริง ๆ แล้ว ดูเสมือนเขาเป็น
    ขี้ข้ารับใช้ Trilateral Commission ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยนั่นเอง
    แล้วอำนาจ Trilateral Commission ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย ก็ขยายครอบคลุมรัฐบาลอเมริกา รวมทั้งขยายไปควบคุม ประเทศส่วนใหญ่ในโลกนี้ ตามนโยบาย New World Order ตั้งแต่บัดนั้น จนถึงปัจจุบันนี้
    สมันน้อยมองออกบ้างหรือยัง ว่าเป้าหมายแท้จริงของ NSSM 200 คืออะไรและการกำหนด 13 ประเทศเพราะอะไร การเข้าไปในลาตินอเมริกา สมาคมวางแผนครอบครัวของพี่สายรุ้ง นายอานันท์ มรว.เกษมสโมสร ทั้ง 2 มีตำแหน่งอะไร ในหน่วยงานประเทศไทยบ้าง มีความสำคัญอย่างไร และอย่าลืมการวิจัยแผนพัฒนาของนายณรงค์ชัย เกี่ยวกันไหม และนายสารสิน วีระผล แห่ง CP เครือเจริญโภคภัณฑ์ ค้าเมล็ดพันธ์ุพืชมากว่า 50 ปี ใช้เมล็ดพันธ์ GMO หรือไม่ ชาวไร่ ชาวนา เราเจ๊งป่นปี่
    ขายที่ ขายไร่ กันไปเท่าไหร่ ปัจจุบันการกว้านซื้อที่ดินของในประเทศเราโดยนายทุน นักธุรกิจใหญ่ ทั้งในและต่างประเทศเกี่ยวโยงกันไหม จำได้หรือเปล่า เล่าไปแล้วว่าปัจจุบันที่ดินในประเทศไทยจำนวน 1 ใน 3 อยู่ในมือคนต่างชาติไปแล้ว ลองไปคิดเป็นการบ้านดู
    เวลาดูเขาเล่นกล อย่าแค่ตบมือชอบใจ

    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน นักมายากลชั้นเซียน (2) นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 12 : นักมายากลชั้นเซียน (2) ลาตินอเมริกา มี 19 เสียง เทียบกับยุโรปที่มี 9 เสียง จากปฏิบัติการในลาติน อเมริกาอยู่ 20 ปี ผลคือทำให้อิทธิพลของนักมายากล สามารถทำให้อเมริกา เป็นผู้คุมเสียงข้างมาก ในสหประชาชาติ และแน่นอนเป็นเสียงชี้ขาดใน World Bank และ IMF ด้วย ที่ดินที่สร้างสำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติ ในนครนิวยอร์คจึงเป็นอภินันทนาการจากนักมายากล NSSM 200 เป็นตัวอย่างของมายากลยุทธ ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ที่สามารถนำเรื่องการลดการเจริญเติบโตของประชากรในประเทศด้อยพัฒนา (หรือที่เขาพากันดัดจริต เลี่ยงไปเรียกว่าประเทศที่กำลังพัฒนา) มาเป็นนโยบายด้านความมั่นคงของประเทศ ที่มีความสำคัญระดับเร่งด่วนของอเมริกา มันเหลือเชื่อเหมือนเราดูการเล่นกลเลย ที่สามารถทำการวิจัย เรื่อง การสนับสนุนการทำหมันของมนุษย์หรือวางแผนครอบครัว ให้โยงกับประเทศเป้าหมาย ที่มีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ ได้อย่างมหัศจรรย์เกินจะคิด แต่เมื่อดูจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนและหลังของช่วงเวลาปฏิบัติการ ตามแผน NSSM 200 แล้ว สิ่งที่เห็นชัด การเล่นกลทำได้แนบเนียนและได้ผล ทั้งหมดมาจากเงินและอิทธิพลของตระกูลโคตรรวย ที่พัฒนามาเป็นสถาบันผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของอเมริกา Trilateral Commission นาย Kissinger และบรรดาผู้มีตำแหน่งสูง ๆ ในรัฐบาลอเมริกาตั้งแต่ระดับประธานาธิบดี รมว.กลาโหม รมว.ตปท. สมัยต่าง ๆ แท้จริงแล้ว แม้จะกินเงินเดือนของประเทศ แต่จริง ๆ แล้ว ดูเสมือนเขาเป็น ขี้ข้ารับใช้ Trilateral Commission ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยนั่นเอง แล้วอำนาจ Trilateral Commission ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย ก็ขยายครอบคลุมรัฐบาลอเมริกา รวมทั้งขยายไปควบคุม ประเทศส่วนใหญ่ในโลกนี้ ตามนโยบาย New World Order ตั้งแต่บัดนั้น จนถึงปัจจุบันนี้ สมันน้อยมองออกบ้างหรือยัง ว่าเป้าหมายแท้จริงของ NSSM 200 คืออะไรและการกำหนด 13 ประเทศเพราะอะไร การเข้าไปในลาตินอเมริกา สมาคมวางแผนครอบครัวของพี่สายรุ้ง นายอานันท์ มรว.เกษมสโมสร ทั้ง 2 มีตำแหน่งอะไร ในหน่วยงานประเทศไทยบ้าง มีความสำคัญอย่างไร และอย่าลืมการวิจัยแผนพัฒนาของนายณรงค์ชัย เกี่ยวกันไหม และนายสารสิน วีระผล แห่ง CP เครือเจริญโภคภัณฑ์ ค้าเมล็ดพันธ์ุพืชมากว่า 50 ปี ใช้เมล็ดพันธ์ GMO หรือไม่ ชาวไร่ ชาวนา เราเจ๊งป่นปี่ ขายที่ ขายไร่ กันไปเท่าไหร่ ปัจจุบันการกว้านซื้อที่ดินของในประเทศเราโดยนายทุน นักธุรกิจใหญ่ ทั้งในและต่างประเทศเกี่ยวโยงกันไหม จำได้หรือเปล่า เล่าไปแล้วว่าปัจจุบันที่ดินในประเทศไทยจำนวน 1 ใน 3 อยู่ในมือคนต่างชาติไปแล้ว ลองไปคิดเป็นการบ้านดู เวลาดูเขาเล่นกล อย่าแค่ตบมือชอบใจ คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 317 มุมมอง 0 รีวิว
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน สมยอมหรือขืนใจ

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 10 : สมยอมหรือขืนใจ
    ย้อนไปในปี 1950 นาย John D. Rockefeller ได้ใช้เปอริโตริโก้ เป็นแหล่งทดลองการลดจำนวนพลเมืองลง ผลปรากฎว่าในปี ค.ศ.1965 ประมาณร้อยละ 35 ของหญิงชาวเปอริโตริกัน ที่อยู่ในวัยเจริญพันธ์ได้ถูกทำหมัน
    หญิงยากจนเหล่านั้นถูกแนะนำให้ไปคลอดบุตรที่รพ.สร้างใหม่ของอเมริกา โดยหมอที่ทำการคลอดจะได้รับคำสั่งให้ทำหมันให้บรรดาคุณแม่เหล่านั้น โดยการผูกท่อรังไข่ โดยที่พวกคุณแม่เหล่านั้นไม่รู้เรื่องและไม่ได้ให้ความยินยอม
    ในปี ค.ศ.1965 เปอริโตริโก้ได้ตำแหน่งที่ 1 ในการมีผู้หญิงทำหมันสูงสุดในโลก
    นาย David Rockefeller กล่าวสุนทรพจน์ เมื่อปี ค.ศ.1961 ที่ UN Food and Agriculture Organization ว่า
    “ในความเห็นของข้าพเจ้า การที่อัตราประชากรโลกเพิ่มขึ้นสูง เป็นปัญหาที่น่ากลัว รองลงมาจากการควบคุมระเบิด Atomic ”
    เป็นประโยคเดียวกับที่นาย Robert Mcnamara นำมาพูด เมื่อนาย Kissinger เสนอนโยบายตามแผน NSSM 200 ในปี ค.ศ.1975 แต่คงไม่แปลกใจเท่าไหร่ ถ้ารู้กันว่านาย Robert Mcnamara ก็เป็นสมาชิก สมาคม Trilateral Commission รุ่นก่อตั้ง
    แล้วของไทยล่ะ เรามีสมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย (สวท) ที่คุณมีชัย สายรุ้ง ตั้งขึ้น เมื่อ พ.ศ.2517 (ค.ศ.1974)
    สวท เป็นองค์กรที่เป็นสมาชิกของสหพันธ์วางแผนครอบครัวระหว่างประเทศ (The International Planned Parenthood Federation) หรือ IPPF
    ซึ่งแต่ละปี IPPF จะเป็นผู้ให้การสนับสนุนงบประมาณและอุปกรณ์ในการดำเนินงานของ สวท. สายรุ้งจะรู้ไหมหนอ ว่าถูกเขาหลอกให้ทำอะไร
    13 ประเทศเป้าหมายตาม NSSM 200 เช่น อินเดีย ฟิลิปปินส์ บราซิล และประเทศไทย ต่างได้รับของขวัญ แบบต่างๆ จากนักมายากล เราคิดว่าของขวัญมีเท่านี้หรือ กลับไปดู หนังสือของนาย Kissinger ลงวันที่ 24 เมษายน ค.ศ.1974 (ที่เล่าไว้ในตอนที่ 2) อีกที นักมายากลยังมีวิธีการใหม่ๆ มาเล่นกลหลอกเราอีก มันเล่นกันหลายชั้น กำไรหลายเด้ง !


    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน สมยอมหรือขืนใจ นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 10 : สมยอมหรือขืนใจ ย้อนไปในปี 1950 นาย John D. Rockefeller ได้ใช้เปอริโตริโก้ เป็นแหล่งทดลองการลดจำนวนพลเมืองลง ผลปรากฎว่าในปี ค.ศ.1965 ประมาณร้อยละ 35 ของหญิงชาวเปอริโตริกัน ที่อยู่ในวัยเจริญพันธ์ได้ถูกทำหมัน หญิงยากจนเหล่านั้นถูกแนะนำให้ไปคลอดบุตรที่รพ.สร้างใหม่ของอเมริกา โดยหมอที่ทำการคลอดจะได้รับคำสั่งให้ทำหมันให้บรรดาคุณแม่เหล่านั้น โดยการผูกท่อรังไข่ โดยที่พวกคุณแม่เหล่านั้นไม่รู้เรื่องและไม่ได้ให้ความยินยอม ในปี ค.ศ.1965 เปอริโตริโก้ได้ตำแหน่งที่ 1 ในการมีผู้หญิงทำหมันสูงสุดในโลก นาย David Rockefeller กล่าวสุนทรพจน์ เมื่อปี ค.ศ.1961 ที่ UN Food and Agriculture Organization ว่า “ในความเห็นของข้าพเจ้า การที่อัตราประชากรโลกเพิ่มขึ้นสูง เป็นปัญหาที่น่ากลัว รองลงมาจากการควบคุมระเบิด Atomic ” เป็นประโยคเดียวกับที่นาย Robert Mcnamara นำมาพูด เมื่อนาย Kissinger เสนอนโยบายตามแผน NSSM 200 ในปี ค.ศ.1975 แต่คงไม่แปลกใจเท่าไหร่ ถ้ารู้กันว่านาย Robert Mcnamara ก็เป็นสมาชิก สมาคม Trilateral Commission รุ่นก่อตั้ง แล้วของไทยล่ะ เรามีสมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย (สวท) ที่คุณมีชัย สายรุ้ง ตั้งขึ้น เมื่อ พ.ศ.2517 (ค.ศ.1974) สวท เป็นองค์กรที่เป็นสมาชิกของสหพันธ์วางแผนครอบครัวระหว่างประเทศ (The International Planned Parenthood Federation) หรือ IPPF ซึ่งแต่ละปี IPPF จะเป็นผู้ให้การสนับสนุนงบประมาณและอุปกรณ์ในการดำเนินงานของ สวท. สายรุ้งจะรู้ไหมหนอ ว่าถูกเขาหลอกให้ทำอะไร 13 ประเทศเป้าหมายตาม NSSM 200 เช่น อินเดีย ฟิลิปปินส์ บราซิล และประเทศไทย ต่างได้รับของขวัญ แบบต่างๆ จากนักมายากล เราคิดว่าของขวัญมีเท่านี้หรือ กลับไปดู หนังสือของนาย Kissinger ลงวันที่ 24 เมษายน ค.ศ.1974 (ที่เล่าไว้ในตอนที่ 2) อีกที นักมายากลยังมีวิธีการใหม่ๆ มาเล่นกลหลอกเราอีก มันเล่นกันหลายชั้น กำไรหลายเด้ง ! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 355 มุมมอง 0 รีวิว
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน ขจัดพันธ์ด้อย

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 9 : ขจัดพันธ์ด้อย
    หลังจากที่รัฐบาล Nixon เริ่มขบวนการทำลายเกษตรในครอบครัว ในประเทศที่กำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา ด้วยการส่งเมล็ดพันธ์พืช GMO มาให้แล้ว รัฐบาล Nixon ยังให้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการขยายตัวของประชากรโลกอีกด้วย ว่าจะมีผลกระทบต่อความมั่งคง และผลประโยชน์ของอเมริกาในต่างประเทศหรือไม่ โดยถือว่าเป็นนโยบายที่มีความสำคัญสูงสุด ทั้งนี้ก็เป็นการเดินตามแผนลับของตระกูล Rockefeller นั่นเอง
    ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยบอกว่าเรา (คืออเมริกา) เราต้องกำหนดเป็นเงื่อนไข ของการได้รับเงินช่วยเหลือประเทศด้อยพัฒนาว่า การคุมกำเนิดควรเป็นเงื่อนไข อย่างหนึ่งของการได้รับเงินช่วยเหลือ
    ขนาดเราอัดมันด้วยพืช GMO ไอ้พวกพันธ์ด้อย มันยังอยู่ดี มีลูกหัวปีท้ายปี ดังนั้นเราก็ควรหาทางกำจัด การเจริญเติบโตพวกมันเสียด้วย การออกนโยบาย National Security Study Memorandum 200 หรือ NSSM 200 ซะให้หมดเรื่อง ไม่งั้นเราจะครอบครองวัตถุดิบ ทรัพยากรธรรมชาติของพวกมันในราคาถูกได้ยังไง ถ้ามันยังอยู่กันล้นโลกอย่างงี้!
    นาย Kissinger จึงต้องใช้ลิ้นนักการฑูต ตอแหลเพื่อชาติ จนทำให้ UN รับเป็นโครงการของ UN ช่วยประชาชน
    เป็นครั้งแรก ที่การจำกัดการเจริญเติบโตของจำนวนพลเมือง ในประเทศที่กำลังพัฒนา หรือด้อยพัฒนา เป็นยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของอเมริกา และเป็นยุทธศาสตร์ที่ต้องทำเป็นการด่วนและลับสุดยอด
    แต่ที่ซ่อนไว้ลึกอีกชั้นหนึ่ง จนคนดูมองไม่ออกคือ NSSM 200 นี้ ได้แอบสอดไส้แผนการกำจัดสายพันธ์ุด้อย เพื่อรักษาสายพันธ์ุเด่น โดยใช้การวางแผนครอบครัวบังหน้า เชื่อว่า 13 ประเทศ เป้าหมายจนถึงบัดนี้ ก็อาจยังไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับประเทศตน แผนการมันแสนจะทุเรศ ตามแบบของผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย จริง ๆ นะ
    บราซิลเป็นตัวอย่างที่เห็นชัด หลังจากที่ได้มีการปฏิบัติการ NSSM 200 กับบราซิล มา 14 ปี กระทรวงสาธารณะสุขของบราซิล เพิ่งตื่นขึ้นมาทำการสำรวจถึงจำนวนผู้หญิงบราซิลที่เป็นหมัน
    รัฐบาลบราซิล ถึงกับช็อครับประทาน เมื่อรายงานบอกว่า 44% ของผู้หญิงบราซิลทั้งหมดที่อายุ ระหว่าง 14 ถึง 55 ปี เป็นหมันอย่างถาวร ปรากฎข้อเท็จจริงว่าพวกที่มีอายุมากกว่านั้น ได้เข้าไปทำหมันด้วยการความสมัครใจ ตามโครงการที่เริ่มเมื่อ ค.ศ.1970 กว่าๆ
    ที่น่าสนใจกว่านั้น คือ ร้อยละ 90 ของผู้หญิงบราซิลที่มีเชื้อสายอาฟริกัน ถูกทำหมัน (อันนี้รายงานไม่ได้บอกว่าสมัครใจหรือไม่) แต่น่าสนใจนะ! และการทำหมันดังกล่าว ทำโดยองค์กรต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งเป็นสัญชาติบราซิล และองค์การ International Planned Parenthood Federation (IPPF), US Pathfinder Fund, Family Health International
    ทั้งหมดอยู่ภายใต้การแนะนำของ US Agency for International Development (USAID) ยิ่งน่าสนใจใหญ่! ที่มันทำในบ้านเขาแบบนี้ มันพัฒนาตรงไหนนะ!?

    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน ขจัดพันธ์ด้อย นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 9 : ขจัดพันธ์ด้อย หลังจากที่รัฐบาล Nixon เริ่มขบวนการทำลายเกษตรในครอบครัว ในประเทศที่กำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา ด้วยการส่งเมล็ดพันธ์พืช GMO มาให้แล้ว รัฐบาล Nixon ยังให้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการขยายตัวของประชากรโลกอีกด้วย ว่าจะมีผลกระทบต่อความมั่งคง และผลประโยชน์ของอเมริกาในต่างประเทศหรือไม่ โดยถือว่าเป็นนโยบายที่มีความสำคัญสูงสุด ทั้งนี้ก็เป็นการเดินตามแผนลับของตระกูล Rockefeller นั่นเอง ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยบอกว่าเรา (คืออเมริกา) เราต้องกำหนดเป็นเงื่อนไข ของการได้รับเงินช่วยเหลือประเทศด้อยพัฒนาว่า การคุมกำเนิดควรเป็นเงื่อนไข อย่างหนึ่งของการได้รับเงินช่วยเหลือ ขนาดเราอัดมันด้วยพืช GMO ไอ้พวกพันธ์ด้อย มันยังอยู่ดี มีลูกหัวปีท้ายปี ดังนั้นเราก็ควรหาทางกำจัด การเจริญเติบโตพวกมันเสียด้วย การออกนโยบาย National Security Study Memorandum 200 หรือ NSSM 200 ซะให้หมดเรื่อง ไม่งั้นเราจะครอบครองวัตถุดิบ ทรัพยากรธรรมชาติของพวกมันในราคาถูกได้ยังไง ถ้ามันยังอยู่กันล้นโลกอย่างงี้! นาย Kissinger จึงต้องใช้ลิ้นนักการฑูต ตอแหลเพื่อชาติ จนทำให้ UN รับเป็นโครงการของ UN ช่วยประชาชน เป็นครั้งแรก ที่การจำกัดการเจริญเติบโตของจำนวนพลเมือง ในประเทศที่กำลังพัฒนา หรือด้อยพัฒนา เป็นยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของอเมริกา และเป็นยุทธศาสตร์ที่ต้องทำเป็นการด่วนและลับสุดยอด แต่ที่ซ่อนไว้ลึกอีกชั้นหนึ่ง จนคนดูมองไม่ออกคือ NSSM 200 นี้ ได้แอบสอดไส้แผนการกำจัดสายพันธ์ุด้อย เพื่อรักษาสายพันธ์ุเด่น โดยใช้การวางแผนครอบครัวบังหน้า เชื่อว่า 13 ประเทศ เป้าหมายจนถึงบัดนี้ ก็อาจยังไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับประเทศตน แผนการมันแสนจะทุเรศ ตามแบบของผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย จริง ๆ นะ บราซิลเป็นตัวอย่างที่เห็นชัด หลังจากที่ได้มีการปฏิบัติการ NSSM 200 กับบราซิล มา 14 ปี กระทรวงสาธารณะสุขของบราซิล เพิ่งตื่นขึ้นมาทำการสำรวจถึงจำนวนผู้หญิงบราซิลที่เป็นหมัน รัฐบาลบราซิล ถึงกับช็อครับประทาน เมื่อรายงานบอกว่า 44% ของผู้หญิงบราซิลทั้งหมดที่อายุ ระหว่าง 14 ถึง 55 ปี เป็นหมันอย่างถาวร ปรากฎข้อเท็จจริงว่าพวกที่มีอายุมากกว่านั้น ได้เข้าไปทำหมันด้วยการความสมัครใจ ตามโครงการที่เริ่มเมื่อ ค.ศ.1970 กว่าๆ ที่น่าสนใจกว่านั้น คือ ร้อยละ 90 ของผู้หญิงบราซิลที่มีเชื้อสายอาฟริกัน ถูกทำหมัน (อันนี้รายงานไม่ได้บอกว่าสมัครใจหรือไม่) แต่น่าสนใจนะ! และการทำหมันดังกล่าว ทำโดยองค์กรต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งเป็นสัญชาติบราซิล และองค์การ International Planned Parenthood Federation (IPPF), US Pathfinder Fund, Family Health International ทั้งหมดอยู่ภายใต้การแนะนำของ US Agency for International Development (USAID) ยิ่งน่าสนใจใหญ่! ที่มันทำในบ้านเขาแบบนี้ มันพัฒนาตรงไหนนะ!? คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 393 มุมมอง 0 รีวิว
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เมล็ดพันธ์พิฆาต (1)

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 8 : เมล็ดพันธ์พิฆาต (1)
    พวกเศรษฐีนักมายากล เล่นกลกันเป็นระบบ เมื่อเขากว้านซื้อไร่ ซื้อนา ในแถบละตินอเมริกาแล้ว อีกด้านหนึ่ง ก็ทุ่มทุนผ่านมูลนิธิ Rockefeller ให้แก่นักวิทยาศาสตร์ ตามห้องทดลองเกือบ 50 แห่ง
    ในช่วงปี ค.ศ.1950 – 1960 ตระกูล Rockefeller ได้ทดลองการผสมพันธ์พืชใหม่ (hybrid) เมื่อเริ่มเห็นผลพอใช้ได้ก็จับมือ Cargill บริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านธุรกิจเกษตร และพันธ์พืช ให้มาเป็นพันธมิตรแล้ว เริ่มทดลองเพาะข้าวโพดพันธ์ hybrid และนำมาทดลองปลูกในลาตินอเมริกา และต่อมาก็ทดลองกับพันธ์พืชต่างๆ ที่เรียกว่า GMO (genetic engineering food crops) โดยเฉพาะข้าว
    ซึ่งเศรษฐีนักมายากล ได้ดำเนินการให้แพร่หลายอยู่ในลาตินอเมริกา เม็กซิโก รวมทั้งเอเซีย เช่น อินเดีย และฟิลิปปินส์
    ทั้งหมดอยู่ภายใต้เป้าหมายที่แท้จริงของนักมายากล ที่จะควบคุมอาหาร สำหรับประชากรโลก (ที่สาม) ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ความมั่นคงของอเมริกา โดยปฏิบัติการไปพร้อมกับ เรื่องน้ำมันและอำนาจของกองทัพอเมริกา
    มันเป็นยุทธศาสตร์ของอเมริกาได้อย่างไร
    ไม่ยากสำหรับ นาย Nelson Rockefeller ซึ่งเป็นนักเล่นกลฉากนี้ เพราะรมว.ต่างประเทศของอเมริกา ตั้งแต่ ค.ศ.1952 จนถึง ค.ศ.1979 ล้วนแต่เป็นคนที่ตระกูล Rockefeller สร้างมาทั้งนั้น เช่น นาย John Foster Dulles นาย Dean Rusk นาย Henry Kissinger และนาย Cyrus Vance
    ในปี ค.ศ. 1970 ร้อยละ 95 ของจำนวนธัญญพืชอยู่ในมือของ 6 บรรษัทข้ามชาติ Cargill Grain Company, Continental Grain Company, Cook Industries Inc., Dreyfus, Bunge Company และ Archer Daniel Midland ทั้งหมดเป็นบริษัทที่มีฐานอยู่ที่อเมริกา
    Cargill ใช้เวลาอยู่กว่า 2 ทศวรรษ ในการเปลี่ยนนโยบายการค้าของอเมริกา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้อเมริกาสามารถครองตลาดโลกได้ ในธุรกิจการขายเมล็ดพันธ์เกษตร GMO ยาฆ่าแมลงและปุ๋ย และทำให้ชาวไร่ ชาวนา ทั่วโลก เปลี่ยนจากการทำเกษตรในครัวเรือน เป็นเกษตรอุตสาหกรรม และเป็นการเปลี่ยนเมล็ดพันธ์พืชที่ใช่ต่อเนื่องหมุนเวียนไปทุกฤดูกาล เป็น GMO เมล็ดพันธ์ุพืชที่ใช้ได้เพียงฤดูกาลเดียว ทั้งหมดนี้ เริ่มต้นตั้งแต่สมัยรัฐบาล Nixon
    บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Cargill อัดตลาดเกษตรด้วยพืช GMO ขยายตัวเกษตรอุตสาหกรรมด้วยการส่งเมล็ดพันธ์พืชเช่นนี้ไปทั่วโลก โดยเฉพาะโลกที่สาม ขณะเดียวกันก็บอกกับชาวไร่ชาวนาในประเทศโลกที่สามว่า ถ้าขืนทำการปลูกข้าว ธัญญพืช อื่นๆ รวมทั้งเลี้ยงสัตว์ด้วยพืชจากการเกษตรในครอบครัว ยูจะล่มจม เพราะไอจะอัดยูด้วย GMO เข้าใจมั้ย เพราะฉะนั้น ถ้ายูไม่ใช้เมล็ดพันธ์ุGMO พวกยูก็ไปทำไร่ผักสวนครัว ปลูกพริก หอม กระเทียม หรือ ปลูกกล้วย ปลูกอ้อย แทนแล้วกัน
    สำหรับโลกที่ 3 เมื่ออเมริกาส่งเมล็ดพันธ์พืช GMO เข้าไปให้ มีแต่คนปรบมือ พวกเขาเรียก วิวัฒนาการดังกล่าวว่า Green Revolution มันควรจะได้รับการปรบมือแน่จริงหรือ มาทำความรู้จัก Green Revolution กันหน่อย

    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เมล็ดพันธ์พิฆาต (1) นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 8 : เมล็ดพันธ์พิฆาต (1) พวกเศรษฐีนักมายากล เล่นกลกันเป็นระบบ เมื่อเขากว้านซื้อไร่ ซื้อนา ในแถบละตินอเมริกาแล้ว อีกด้านหนึ่ง ก็ทุ่มทุนผ่านมูลนิธิ Rockefeller ให้แก่นักวิทยาศาสตร์ ตามห้องทดลองเกือบ 50 แห่ง ในช่วงปี ค.ศ.1950 – 1960 ตระกูล Rockefeller ได้ทดลองการผสมพันธ์พืชใหม่ (hybrid) เมื่อเริ่มเห็นผลพอใช้ได้ก็จับมือ Cargill บริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านธุรกิจเกษตร และพันธ์พืช ให้มาเป็นพันธมิตรแล้ว เริ่มทดลองเพาะข้าวโพดพันธ์ hybrid และนำมาทดลองปลูกในลาตินอเมริกา และต่อมาก็ทดลองกับพันธ์พืชต่างๆ ที่เรียกว่า GMO (genetic engineering food crops) โดยเฉพาะข้าว ซึ่งเศรษฐีนักมายากล ได้ดำเนินการให้แพร่หลายอยู่ในลาตินอเมริกา เม็กซิโก รวมทั้งเอเซีย เช่น อินเดีย และฟิลิปปินส์ ทั้งหมดอยู่ภายใต้เป้าหมายที่แท้จริงของนักมายากล ที่จะควบคุมอาหาร สำหรับประชากรโลก (ที่สาม) ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ความมั่นคงของอเมริกา โดยปฏิบัติการไปพร้อมกับ เรื่องน้ำมันและอำนาจของกองทัพอเมริกา มันเป็นยุทธศาสตร์ของอเมริกาได้อย่างไร ไม่ยากสำหรับ นาย Nelson Rockefeller ซึ่งเป็นนักเล่นกลฉากนี้ เพราะรมว.ต่างประเทศของอเมริกา ตั้งแต่ ค.ศ.1952 จนถึง ค.ศ.1979 ล้วนแต่เป็นคนที่ตระกูล Rockefeller สร้างมาทั้งนั้น เช่น นาย John Foster Dulles นาย Dean Rusk นาย Henry Kissinger และนาย Cyrus Vance ในปี ค.ศ. 1970 ร้อยละ 95 ของจำนวนธัญญพืชอยู่ในมือของ 6 บรรษัทข้ามชาติ Cargill Grain Company, Continental Grain Company, Cook Industries Inc., Dreyfus, Bunge Company และ Archer Daniel Midland ทั้งหมดเป็นบริษัทที่มีฐานอยู่ที่อเมริกา Cargill ใช้เวลาอยู่กว่า 2 ทศวรรษ ในการเปลี่ยนนโยบายการค้าของอเมริกา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้อเมริกาสามารถครองตลาดโลกได้ ในธุรกิจการขายเมล็ดพันธ์เกษตร GMO ยาฆ่าแมลงและปุ๋ย และทำให้ชาวไร่ ชาวนา ทั่วโลก เปลี่ยนจากการทำเกษตรในครัวเรือน เป็นเกษตรอุตสาหกรรม และเป็นการเปลี่ยนเมล็ดพันธ์พืชที่ใช่ต่อเนื่องหมุนเวียนไปทุกฤดูกาล เป็น GMO เมล็ดพันธ์ุพืชที่ใช้ได้เพียงฤดูกาลเดียว ทั้งหมดนี้ เริ่มต้นตั้งแต่สมัยรัฐบาล Nixon บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Cargill อัดตลาดเกษตรด้วยพืช GMO ขยายตัวเกษตรอุตสาหกรรมด้วยการส่งเมล็ดพันธ์พืชเช่นนี้ไปทั่วโลก โดยเฉพาะโลกที่สาม ขณะเดียวกันก็บอกกับชาวไร่ชาวนาในประเทศโลกที่สามว่า ถ้าขืนทำการปลูกข้าว ธัญญพืช อื่นๆ รวมทั้งเลี้ยงสัตว์ด้วยพืชจากการเกษตรในครอบครัว ยูจะล่มจม เพราะไอจะอัดยูด้วย GMO เข้าใจมั้ย เพราะฉะนั้น ถ้ายูไม่ใช้เมล็ดพันธ์ุGMO พวกยูก็ไปทำไร่ผักสวนครัว ปลูกพริก หอม กระเทียม หรือ ปลูกกล้วย ปลูกอ้อย แทนแล้วกัน สำหรับโลกที่ 3 เมื่ออเมริกาส่งเมล็ดพันธ์พืช GMO เข้าไปให้ มีแต่คนปรบมือ พวกเขาเรียก วิวัฒนาการดังกล่าวว่า Green Revolution มันควรจะได้รับการปรบมือแน่จริงหรือ มาทำความรู้จัก Green Revolution กันหน่อย คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 364 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel กำลังหายใจ – เมื่อยักษ์ใหญ่ต้องลดราคาหุ้นเพื่อความอยู่รอด

    ในเดือนสิงหาคม 2025 Intel กำลังเจรจากับนักลงทุนรายใหญ่เพื่อขอเงินทุนเพิ่มผ่านการขายหุ้นในราคาส่วนลด หลังจากเพิ่งได้รับเงินลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์จาก SoftBank ที่ซื้อหุ้นในราคา $23 ต่อหุ้น ซึ่งต่ำกว่าราคาปิดเล็กน้อย

    การระดมทุนนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความพยายามของ Intel ที่จะฟื้นฟูธุรกิจผลิตชิปในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในตลาด AI ที่ถูกครอบครองโดย Nvidia และ TSMC มานานหลายปี เนื่องจากความผิดพลาดในการบริหารและการพัฒนาเทคโนโลยีที่ล่าช้า

    รัฐบาลสหรัฐฯ โดยรัฐมนตรีพาณิชย์ Howard Lutnick เสนอให้เปลี่ยนเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act เป็นหุ้นของ Intel ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลถือหุ้นถึง 10% และกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด

    Intel ต้องการเงินทุนมหาศาลถึง $40 พันล้านเพื่อแข่งขันในตลาดชิประดับสูง โดยเฉพาะโครงการโรงงานผลิตชิปในรัฐโอไฮโอที่ล่าช้ามาหลายปี และการยกเลิกโครงการในเยอรมนีและโปแลนด์

    แม้ SoftBank จะไม่ขอที่นั่งในบอร์ด แต่การลงทุนครั้งนี้ถือเป็น “เดิมพัน” ว่า Intel จะสามารถพลิกสถานการณ์ได้ และกลับมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมชิปอีกครั้ง

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Intel กำลังเจรจากับนักลงทุนรายใหญ่เพื่อระดมทุนผ่านการขายหุ้นราคาส่วนลด
    SoftBank ลงทุน $2 พันล้าน ซื้อหุ้นที่ $23 ต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 2%
    หุ้น Intel ร่วง 7% หลังข่าวการระดมทุนเพิ่มเติม
    รัฐบาลสหรัฐฯ เสนอเปลี่ยนเงินสนับสนุน CHIPS Act เป็นหุ้นของ Intel
    หากเปลี่ยนทั้งหมด รัฐบาลจะถือหุ้นถึง 10%
    Intel ต้องการเงินทุนรวมประมาณ $40 พันล้านเพื่อแข่งขันในตลาดชิป
    โครงการโรงงานในโอไฮโอล่าช้า และโครงการในเยอรมนี-โปแลนด์ถูกยกเลิก
    SoftBank ไม่ขอที่นั่งในบอร์ด และไม่มีข้อผูกพันในการซื้อชิปจาก Intel
    CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan เข้ามาแทน Pat Gelsinger ตั้งแต่มีนาคม 2025
    Intel เคยขาดทุน $18.8 พันล้านในปี 2024 ซึ่งเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1986

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SoftBank มีแผนลงทุน $30 พันล้านใน OpenAI และโครงการ Stargate ร่วมกับ Oracle
    Foxconn จะผลิตอุปกรณ์ดาต้าเซ็นเตอร์ในโรงงานเดิมที่โอไฮโอให้ SoftBank
    BlackRock และ Vanguard เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Intel อยู่แล้ว
    การถือหุ้นโดยรัฐบาลสหรัฐฯ อาจเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารของ Intel
    ตลาดชิป AI มีมูลค่ามากกว่า $500 พันล้าน และเติบโตอย่างรวดเร็ว
    Intel ยังไม่มีลูกค้าหลักในธุรกิจผลิตชิปตามสั่ง (foundry)

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/20/intel-in-talks-with-large-investors-for-equity-boost-at-discount-cnbc-reports
    💬 Intel กำลังหายใจ – เมื่อยักษ์ใหญ่ต้องลดราคาหุ้นเพื่อความอยู่รอด ในเดือนสิงหาคม 2025 Intel กำลังเจรจากับนักลงทุนรายใหญ่เพื่อขอเงินทุนเพิ่มผ่านการขายหุ้นในราคาส่วนลด หลังจากเพิ่งได้รับเงินลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์จาก SoftBank ที่ซื้อหุ้นในราคา $23 ต่อหุ้น ซึ่งต่ำกว่าราคาปิดเล็กน้อย การระดมทุนนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความพยายามของ Intel ที่จะฟื้นฟูธุรกิจผลิตชิปในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในตลาด AI ที่ถูกครอบครองโดย Nvidia และ TSMC มานานหลายปี เนื่องจากความผิดพลาดในการบริหารและการพัฒนาเทคโนโลยีที่ล่าช้า รัฐบาลสหรัฐฯ โดยรัฐมนตรีพาณิชย์ Howard Lutnick เสนอให้เปลี่ยนเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act เป็นหุ้นของ Intel ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลถือหุ้นถึง 10% และกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด Intel ต้องการเงินทุนมหาศาลถึง $40 พันล้านเพื่อแข่งขันในตลาดชิประดับสูง โดยเฉพาะโครงการโรงงานผลิตชิปในรัฐโอไฮโอที่ล่าช้ามาหลายปี และการยกเลิกโครงการในเยอรมนีและโปแลนด์ แม้ SoftBank จะไม่ขอที่นั่งในบอร์ด แต่การลงทุนครั้งนี้ถือเป็น “เดิมพัน” ว่า Intel จะสามารถพลิกสถานการณ์ได้ และกลับมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมชิปอีกครั้ง 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Intel กำลังเจรจากับนักลงทุนรายใหญ่เพื่อระดมทุนผ่านการขายหุ้นราคาส่วนลด ➡️ SoftBank ลงทุน $2 พันล้าน ซื้อหุ้นที่ $23 ต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 2% ➡️ หุ้น Intel ร่วง 7% หลังข่าวการระดมทุนเพิ่มเติม ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ เสนอเปลี่ยนเงินสนับสนุน CHIPS Act เป็นหุ้นของ Intel ➡️ หากเปลี่ยนทั้งหมด รัฐบาลจะถือหุ้นถึง 10% ➡️ Intel ต้องการเงินทุนรวมประมาณ $40 พันล้านเพื่อแข่งขันในตลาดชิป ➡️ โครงการโรงงานในโอไฮโอล่าช้า และโครงการในเยอรมนี-โปแลนด์ถูกยกเลิก ➡️ SoftBank ไม่ขอที่นั่งในบอร์ด และไม่มีข้อผูกพันในการซื้อชิปจาก Intel ➡️ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan เข้ามาแทน Pat Gelsinger ตั้งแต่มีนาคม 2025 ➡️ Intel เคยขาดทุน $18.8 พันล้านในปี 2024 ซึ่งเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1986 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SoftBank มีแผนลงทุน $30 พันล้านใน OpenAI และโครงการ Stargate ร่วมกับ Oracle ➡️ Foxconn จะผลิตอุปกรณ์ดาต้าเซ็นเตอร์ในโรงงานเดิมที่โอไฮโอให้ SoftBank ➡️ BlackRock และ Vanguard เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Intel อยู่แล้ว ➡️ การถือหุ้นโดยรัฐบาลสหรัฐฯ อาจเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารของ Intel ➡️ ตลาดชิป AI มีมูลค่ามากกว่า $500 พันล้าน และเติบโตอย่างรวดเร็ว ➡️ Intel ยังไม่มีลูกค้าหลักในธุรกิจผลิตชิปตามสั่ง (foundry) https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/20/intel-in-talks-with-large-investors-for-equity-boost-at-discount-cnbc-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Intel in talks with large investors for equity boost at discount, CNBC reports
    (Reuters) -Intel is in talks with other large investors to receive an equity infusion at a discounted price, CNBC reported on Wednesday, just days after the chipmaker got a $2 billion capital injection from SoftBank Group.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 305 มุมมอง 0 รีวิว
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย
    นิทานเรื่ิองจริง เรื่อง” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 6 : ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย
    Trilateral Commission เป็นองค์กรส่วนบุคคล เป็นการร่วมตัวของกลุ่มบุคคลในหลาย ๆ วงการ ซึ่งเป็นที่ยอมรับในสังคมระดับสูง (Elites) มีวัตถุประสงค์ที่จะกำหนดยุทธศาสตร์โลก ผ่านเครือข่ายนานาชาติที่เชื่อมโยงกัน ในฐานะคู่ค้าหรือหุ้นส่วนทางการค้า โดยมีตระกูล Rockefeller เป็นผู้นำกลุ่ม ซึ่งเมื่อรวมทรัพย์สิน และอิทธิพลทางการเมือง และเศรษฐกิจของพวกเขาแล้ว ไม่มีใครจะมีรัศมีและบารมี (เหนือประชาธิปไตย) มาทาบได้
    ความปรารถนาของพวกเขาคือ ต้องการจะสถาปนา สิ่งซึ่ง George H. W Bush เรียกภายหลังว่า การจัดระเบียบโลกใหม่หรือ New World Order ซึ่งมุ่งเน้นที่จะสร้างและขยายความมั่งคั่ง ภายใต้นโยบายเดียวกัน ทิศทางเดียวกัน หลักเกณฑ์เดียวกัน เสมือนมีรัฐบาลเดียว คือ Global government โดยมี Trilateral Commission เป็นผู้ปูทาง วางรูปแบบกฎระเบียบต่าง ๆ ซึ่งต่อมาในยุค ค.ศ.1990 เป็นที่รู้จักกันในนาม “Globalization” หรือ “โลกาภิวัฒน์”
    พวกเขาบอกว่า ปัจจัยที่จะทำให้อเมริกาจะเป็นมหาอำนาจครองโลกนั้น จะต้องพร้อมด้วย แก้ว 3 ประการ
    – กองทัพอันเกรียงไกร ที่ไม่มีผู้ใดจะกล้ามาท้าทาย
    – เงินสกุลดอลล่าร์ จะต้องเป็นสกุลเงินที่ใช้เป็นทุนสำรอง
    – การมีอำนาจควบคุมน้ำมันและอาหาร
    ปี ค.ศ.1973 ขณะที่บางซีกของโลกกำลังขาดแคลนอาหาร อเมริกามีอาหารเหลือกิน ประธานาธิบดี Nixon ก็กำลังยืนหน้าเขียวพิงเชือก ถูกกรรมการนับ จากสงครามเวียตนาม ทำท่าจะหลุดจากเชือกลงมากองกับพื้นเสียด้วยซ้ำ
พอดีผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยจัดส่งนาย Henry Kissinger มาให้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศและที่ปรึกษาด้านความมั่นคง
    นาย Kissinger ไม่รอช้า เสนอความเห็นกับนาย Nixon ว่า เราควรจะใช้อาหารเป็นพระเอกในด้านการฑูตนะ ควบคู่กับการแสวงหาน้ำมันไปกับภูมิศาสตร์การเมือง
    อืม! เด็กเรามันใช้ได้จริงๆ นะ ไม่เสียเวลาเลย นาย David รำพึง
    ลืมบอกไปว่าในปี ค.ศ.1950 นาย David Rockefeller เป็นคนไปคัดเลือกตัว นาย Kissinger ตั้งแต่นาย Kissinger ยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย Harvard เพื่อให้มาทำงานในโครงการสำคัญของมูลนิธิ Rockefeller
    เริ่มเห็นภาพกันหรือยังท่านผู้อ่านนิทาน นาย Kissinger ตกลงไม่ใช่คนขี้โม้ และไม่ใช่หมอดู แต่เป็นอะไรนะ คนอ่านนิทานตอบได้น่า
    แค่นั้นยังไม่พอ เพื่อเป็นการสนองนโยบาย (ใครไม่รู้) นาย Kissinger เห็นว่า นโยบายเกี่ยวกับการเกษตรนั้นสำคัญยิ่ง ไม่ควรทิ้งให้อยู่ในความดูแลของกระทรวงการเกษตรเลย เขาเลยนำมากำกับดูแลเอง โดยบอกว่าเป็นเรื่องความมั่นคงของประเทศ
    เราต้องใช้อาหารเป็นเครื่องมือสำหรับให้รางวัลเพื่อน และลงโทษศัตรู นโยบายแบบนี้วอชิงตันก็ชอบ นาย David Rockefeller ก็พอใจ มันสมกับเป็นนักการฑูตผู้ยิ่งใหญ่จริง ๆ ไอ้คนนี้มีเสน่ห์เพราะอำนาจ ! ? !

    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย นิทานเรื่ิองจริง เรื่อง” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 6 : ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย Trilateral Commission เป็นองค์กรส่วนบุคคล เป็นการร่วมตัวของกลุ่มบุคคลในหลาย ๆ วงการ ซึ่งเป็นที่ยอมรับในสังคมระดับสูง (Elites) มีวัตถุประสงค์ที่จะกำหนดยุทธศาสตร์โลก ผ่านเครือข่ายนานาชาติที่เชื่อมโยงกัน ในฐานะคู่ค้าหรือหุ้นส่วนทางการค้า โดยมีตระกูล Rockefeller เป็นผู้นำกลุ่ม ซึ่งเมื่อรวมทรัพย์สิน และอิทธิพลทางการเมือง และเศรษฐกิจของพวกเขาแล้ว ไม่มีใครจะมีรัศมีและบารมี (เหนือประชาธิปไตย) มาทาบได้ ความปรารถนาของพวกเขาคือ ต้องการจะสถาปนา สิ่งซึ่ง George H. W Bush เรียกภายหลังว่า การจัดระเบียบโลกใหม่หรือ New World Order ซึ่งมุ่งเน้นที่จะสร้างและขยายความมั่งคั่ง ภายใต้นโยบายเดียวกัน ทิศทางเดียวกัน หลักเกณฑ์เดียวกัน เสมือนมีรัฐบาลเดียว คือ Global government โดยมี Trilateral Commission เป็นผู้ปูทาง วางรูปแบบกฎระเบียบต่าง ๆ ซึ่งต่อมาในยุค ค.ศ.1990 เป็นที่รู้จักกันในนาม “Globalization” หรือ “โลกาภิวัฒน์” พวกเขาบอกว่า ปัจจัยที่จะทำให้อเมริกาจะเป็นมหาอำนาจครองโลกนั้น จะต้องพร้อมด้วย แก้ว 3 ประการ – กองทัพอันเกรียงไกร ที่ไม่มีผู้ใดจะกล้ามาท้าทาย – เงินสกุลดอลล่าร์ จะต้องเป็นสกุลเงินที่ใช้เป็นทุนสำรอง – การมีอำนาจควบคุมน้ำมันและอาหาร ปี ค.ศ.1973 ขณะที่บางซีกของโลกกำลังขาดแคลนอาหาร อเมริกามีอาหารเหลือกิน ประธานาธิบดี Nixon ก็กำลังยืนหน้าเขียวพิงเชือก ถูกกรรมการนับ จากสงครามเวียตนาม ทำท่าจะหลุดจากเชือกลงมากองกับพื้นเสียด้วยซ้ำ
พอดีผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยจัดส่งนาย Henry Kissinger มาให้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศและที่ปรึกษาด้านความมั่นคง นาย Kissinger ไม่รอช้า เสนอความเห็นกับนาย Nixon ว่า เราควรจะใช้อาหารเป็นพระเอกในด้านการฑูตนะ ควบคู่กับการแสวงหาน้ำมันไปกับภูมิศาสตร์การเมือง อืม! เด็กเรามันใช้ได้จริงๆ นะ ไม่เสียเวลาเลย นาย David รำพึง ลืมบอกไปว่าในปี ค.ศ.1950 นาย David Rockefeller เป็นคนไปคัดเลือกตัว นาย Kissinger ตั้งแต่นาย Kissinger ยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย Harvard เพื่อให้มาทำงานในโครงการสำคัญของมูลนิธิ Rockefeller เริ่มเห็นภาพกันหรือยังท่านผู้อ่านนิทาน นาย Kissinger ตกลงไม่ใช่คนขี้โม้ และไม่ใช่หมอดู แต่เป็นอะไรนะ คนอ่านนิทานตอบได้น่า แค่นั้นยังไม่พอ เพื่อเป็นการสนองนโยบาย (ใครไม่รู้) นาย Kissinger เห็นว่า นโยบายเกี่ยวกับการเกษตรนั้นสำคัญยิ่ง ไม่ควรทิ้งให้อยู่ในความดูแลของกระทรวงการเกษตรเลย เขาเลยนำมากำกับดูแลเอง โดยบอกว่าเป็นเรื่องความมั่นคงของประเทศ เราต้องใช้อาหารเป็นเครื่องมือสำหรับให้รางวัลเพื่อน และลงโทษศัตรู นโยบายแบบนี้วอชิงตันก็ชอบ นาย David Rockefeller ก็พอใจ มันสมกับเป็นนักการฑูตผู้ยิ่งใหญ่จริง ๆ ไอ้คนนี้มีเสน่ห์เพราะอำนาจ ! ? ! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 370 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง ” เรื่องมายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 3 : ถุงยางแลกอาหาร
    นาย Kissinger เสนอต่อที่ประชุมที่ดูแลนโยบาย ด้านความมั่นคงของชาติว่าการชลอการเจริญเติบโตของประชากร จะต้องเป็นนโยบายด้านความมั่นคง ในระดับจำเป็นสูงสุดของอเมริกา ที่จะใช้กับหลายประเทศในโลกที่สาม เพราะเศรษฐกิจของอเมริกา จำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าทรัพยากรจากประเทศดังกล่าวเป็นจำนวนมาก และเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี ถ้าปล่อยให้ประเทศเหล่านั้น มีประชากรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็จะกระทบกับความมั่นคงของอเมริกา
    ข้อเสนอของนาย Kissinger ได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวาง จากผู้มีอิทธิพลในการกำหนดนโยบายความมั่นคงของประเทศ เช่น นายพล Alexander Haig นาย Cyrus Vance และนาย Ed Muskie นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับความคิดของอดีตประธาน World Bank คือ นาย Robert Mcnamara ซึ่งบอกว่า ปัญหาเรื่องประชากรล้นโลกนี้ กระทบต่อความมั่นคงของอเมริกา มากกว่าเรื่องระเบิดนิวเคลียร์เสียอีก
    เมื่อได้ไฟเขียวอย่างนั้น นาย Kissinger ก็เดินแผนต่อ แต่ความที่มันเหลี่ยมจัด ถ้าอเมริกาจะทำเรื่องนี้เองอาจตกเป็นเป้า ว่าอเมริกามีความคิดที่จะจำกัดพลเมืองโลก (Depopulation) เป็นพี่เบิ้ม เล่นบทนี้คงไม่สวยแน่ การตอแหลเพื่อชาติ จึงเกิดขึ้น
    อเมริกาในฐานะพี่เบิ้ม จึงได้ยื่นข้อเสนอต่อสหประชาชาติว่า การที่ประเทศยากจน ขาดแคลนอาหาร และไม่สามารถช่วยตัวเองได้ แต่มีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นในอัตราสูง จำเป็นที่โลกจะต้องให้ความสนใจ และสิ่งที่ประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี จะสามารถและควรช่วยได้คือ การให้ความช่วยเหลือทางด้านอาหาร (Food Aids) แต่ประเทศเหล่านั้น ก็ควรที่จะรับรู้ปัญหาของตนเอง และให้ความร่วมมือเป็นการแลกเปลี่ยนกับการช่วยเหลือ ด้วยการดำเนินการชลอการเจริญเติบโตประชากรของตน ด้วยการวางแผนครอบครัว (Family Planning) ฟังแล้วนุ่มหู เหลือเกินนะ
    แต่ถ้าพูดภาษาจิกโก๋ ก็หมายความว่า ไม่อยากอดอยาก ก็อย่ามีลูกมาก ลูกมากจะยากจน อะไรทำนองนี้ คนจนไม่มีทางเลือกมาก จำไว้ แล้วในที่สุด UN ก็รับข้อเสนอของพี่เบิ้ม มาอยู่ในความสนับสนุนเป็นโครงการของ UN โดยมีองค์กรของ UN และประเทศสมาชิกต่าง ๆ ให้ความช่วยเหลืออย่างดี
    แต่ที่อเมริกาไม่ได้แจงต่อ UN คือ ชื่อประเทศเป้าหมาย 13 ประเทศของอเมริกา และประเทศใดอยู่ในกลุ่มใด และที่ยิ่งกว่าแน่ อเมริกาไม่มีวันบอกว่า มีความเกี่ยวโยงกับความต้องการของอเมริกา ต่อทรัพยากรของประเทศเหล่านั้นอย่างไร เอกสารนี้จึงต้องเก็บเป็นเอกสารประเภทลับสุดยอด อยู่ถึง 15 ปี
    แล้วท่านผู้อ่านนิทาน คิดว่าไทยแลนด์ สมันน้อยของเรา อยู่ในประเภทไหน?

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง ” เรื่องมายากลยุทธ ” ตอนที่ 3 : ถุงยางแลกอาหาร นาย Kissinger เสนอต่อที่ประชุมที่ดูแลนโยบาย ด้านความมั่นคงของชาติว่าการชลอการเจริญเติบโตของประชากร จะต้องเป็นนโยบายด้านความมั่นคง ในระดับจำเป็นสูงสุดของอเมริกา ที่จะใช้กับหลายประเทศในโลกที่สาม เพราะเศรษฐกิจของอเมริกา จำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าทรัพยากรจากประเทศดังกล่าวเป็นจำนวนมาก และเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี ถ้าปล่อยให้ประเทศเหล่านั้น มีประชากรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็จะกระทบกับความมั่นคงของอเมริกา ข้อเสนอของนาย Kissinger ได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวาง จากผู้มีอิทธิพลในการกำหนดนโยบายความมั่นคงของประเทศ เช่น นายพล Alexander Haig นาย Cyrus Vance และนาย Ed Muskie นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับความคิดของอดีตประธาน World Bank คือ นาย Robert Mcnamara ซึ่งบอกว่า ปัญหาเรื่องประชากรล้นโลกนี้ กระทบต่อความมั่นคงของอเมริกา มากกว่าเรื่องระเบิดนิวเคลียร์เสียอีก เมื่อได้ไฟเขียวอย่างนั้น นาย Kissinger ก็เดินแผนต่อ แต่ความที่มันเหลี่ยมจัด ถ้าอเมริกาจะทำเรื่องนี้เองอาจตกเป็นเป้า ว่าอเมริกามีความคิดที่จะจำกัดพลเมืองโลก (Depopulation) เป็นพี่เบิ้ม เล่นบทนี้คงไม่สวยแน่ การตอแหลเพื่อชาติ จึงเกิดขึ้น อเมริกาในฐานะพี่เบิ้ม จึงได้ยื่นข้อเสนอต่อสหประชาชาติว่า การที่ประเทศยากจน ขาดแคลนอาหาร และไม่สามารถช่วยตัวเองได้ แต่มีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นในอัตราสูง จำเป็นที่โลกจะต้องให้ความสนใจ และสิ่งที่ประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี จะสามารถและควรช่วยได้คือ การให้ความช่วยเหลือทางด้านอาหาร (Food Aids) แต่ประเทศเหล่านั้น ก็ควรที่จะรับรู้ปัญหาของตนเอง และให้ความร่วมมือเป็นการแลกเปลี่ยนกับการช่วยเหลือ ด้วยการดำเนินการชลอการเจริญเติบโตประชากรของตน ด้วยการวางแผนครอบครัว (Family Planning) ฟังแล้วนุ่มหู เหลือเกินนะ แต่ถ้าพูดภาษาจิกโก๋ ก็หมายความว่า ไม่อยากอดอยาก ก็อย่ามีลูกมาก ลูกมากจะยากจน อะไรทำนองนี้ คนจนไม่มีทางเลือกมาก จำไว้ แล้วในที่สุด UN ก็รับข้อเสนอของพี่เบิ้ม มาอยู่ในความสนับสนุนเป็นโครงการของ UN โดยมีองค์กรของ UN และประเทศสมาชิกต่าง ๆ ให้ความช่วยเหลืออย่างดี แต่ที่อเมริกาไม่ได้แจงต่อ UN คือ ชื่อประเทศเป้าหมาย 13 ประเทศของอเมริกา และประเทศใดอยู่ในกลุ่มใด และที่ยิ่งกว่าแน่ อเมริกาไม่มีวันบอกว่า มีความเกี่ยวโยงกับความต้องการของอเมริกา ต่อทรัพยากรของประเทศเหล่านั้นอย่างไร เอกสารนี้จึงต้องเก็บเป็นเอกสารประเภทลับสุดยอด อยู่ถึง 15 ปี แล้วท่านผู้อ่านนิทาน คิดว่าไทยแลนด์ สมันน้อยของเรา อยู่ในประเภทไหน? คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 318 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่ิองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 2 : NSSM 200 เอกสารลับซุกลึก (1)
    เมื่อวันที่ 24 เมษายน ค.ศ.1974 นาย Henry Kissinger ได้มีหนังสือแจ้งไปยัง รมว.กลาโหม รมว. การเกษตร ผอ. สำนักงานข่าวกรอง (CIA) ผช.รมว. กลาโหม และผู้บริหารหน่วยงานพัฒนาด้านต่างประเทศ (AID) เกี่ยวกับผลกระทบต่อความมั่นคง และผลประโยชน์ของอเมริกาในต่างประเทศ เนื่องมาจากการเจริญเติบโตของประชากรโลก
    หนังสือดังกล่าวแจ้งว่า ประธานาธิบดี Nixon สั่งให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ ทำการศึกษาเรื่องดังกล่าว โดยใช้วิธีการประมาณการหลายๆ แบบ ในแต่ละแบบจะต้องมีการประเมินถึงอัตราการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะของประเทศที่ยากจน ความต้องการของอเมริกาเกี่ยวกับ การส่งออกสินค้าประเภทอาหาร ปัญหาเกี่ยวกับการค้า ที่อเมริกาอาจจะต้องเผชิญ เนื่องจากการแข่งขันด้านทรัพยากร และความเป็นไปได้ที่การเจริญเติบโตของประชากรดังกล่าวจะเป็นอุปสรรคกับ นโยบายต่างประเทศ และความไม่มั่นคงระหว่างประเทศ
    การศึกษาดังกล่าวจะต้องเสนอวิธีดำเนินการที่เป็นไปได้ สำหรับอเมริกาในการจัดการปัญหาเรื่องการเจริญเติบโตของประชากรโลก โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนา โดยต้องให้ความสำคัญ ในประเด็นต่อไปนี้ด้วย
    – อเมริกาจำเป็นต้องคิดวิธีการใหม่ ๆ หรือไม่ ในการจัดการกับปัญหาดังกล่าว
    – เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่คิดขึ้นมา เพื่อลดการเจริญเติบโต จะต้องได้ผลดีกว่าสภาพที่เป็นอยู่
    – อเมริกาจะให้ความช่วยเหลือในด้านนี้ ผ่านหน่วยงานใด และควรจะเป็นสนธิสัญญาแบบใด คู่สัญญา 2 ฝ่าย หลายฝ่าย หรือแบบลับเฉพาะ
    เขียนมาซะยาว สรุปสั้น ๆ ว่า อเมริกาเป็นห่วงว่า การที่ประเทศจนๆ จะมีอัตราการขยายตัวของพลเมืองเพิ่มสูงเกินไป จะมีผลกระทบกับทรัพยากรของประเทศนั้น และทำให้เป็นปัญหากับความไม่มั่นคงของอเมริกา
    เอะ! เรื่องมันก็ดูธรรมดาๆ ไม่เห็นมีอะไรน่าตื่นเต้นเลย แล้วจะมาเล่าให้เมื่อยมือคนเขียน เมื่อยตาคนอ่านทำไม
    เมื่อได้รับคำสั่งจากนาย Kissinger สภาความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกา (United States National Security) ก็รีบทำการศึกษาวิจัย กว่าจะเสร็จก็เป็นเวลาที่ประธานาธิบดี Nixon หลุดจากตำแหน่ง เพราะคดี Watergate ไปเสียแล้ว นาย Gerald Ford ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแทน มาถึงก็รีบรับไม้ต่อ เอาข้อเสนอตาม บันทึกลับ NSSM 200 ไปประกาศใช้เป็นนโยบายความมั่นคงของประเทศในปี ค.ศ. 1975 และให้อยู่ใต้การกำกับดูแลของนาย Kissinger ซึ่งก็ยังทำหน้าที่เป็น ครมว.ตปท. อยู่เหมือนเดิมร่วมกับนาย Brent Scowcroft (ซึ่งภายหลังได้มาเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประเทศแทนนาย Kissinger) และมี ผอ. CIA ชื่อ นาย George Bush (ตัวพ่อ) เป็นผู้ร่วมทีมกำกับการแสดงกับ รมว.การคลังรมว.กลาโหม และ รมว.การเกษตร
    ประเทศเป้าหมาย ที่อยู่ภายใต้การดำเนินการของ NSSM 200 มี 13 ประเทศ คือ อินเดีย บังคลาเทศ ปากีสถาน อินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ ตุรกี ไนจีเรีย อียิปต์ เอธิโอเปีย เมกซิโก โคลัมเบีย และบราซิล (ไง! เริ่มตาลุกขึ้นมาหน่อยละซี พอเห็นชื่อไทยแลนด์ สมันน้อยตื่นเร็ว!)
    อะไรทำให้นาย Kissinger คิดเรื่องนี้ เสนอนโยบายนี้ และในภายหลังได้กลายเป็นนโยบายระดับประเทศด้านความมั่นคงของอเมริกา อย่างปิดลับถึง 15 ปี และทำไมสมันน้อยถึงได้เข้ารอบไปอยู่ใน 13 ประเทศ กับเขาด้วย อ่านต่อไปน่าพี่น้อง ขืนบอกกันง่ายๆ เดี๋ยวคนอ่านหายหมด เดี๋ยวนี้กว่าจะได้คนอ่านนิทานไม่ง่ายนะ เขาไปร่วมไล่โจรกับลุงกำนันกันหมดแล้ว

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่ิองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 2 : NSSM 200 เอกสารลับซุกลึก (1) เมื่อวันที่ 24 เมษายน ค.ศ.1974 นาย Henry Kissinger ได้มีหนังสือแจ้งไปยัง รมว.กลาโหม รมว. การเกษตร ผอ. สำนักงานข่าวกรอง (CIA) ผช.รมว. กลาโหม และผู้บริหารหน่วยงานพัฒนาด้านต่างประเทศ (AID) เกี่ยวกับผลกระทบต่อความมั่นคง และผลประโยชน์ของอเมริกาในต่างประเทศ เนื่องมาจากการเจริญเติบโตของประชากรโลก หนังสือดังกล่าวแจ้งว่า ประธานาธิบดี Nixon สั่งให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ ทำการศึกษาเรื่องดังกล่าว โดยใช้วิธีการประมาณการหลายๆ แบบ ในแต่ละแบบจะต้องมีการประเมินถึงอัตราการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะของประเทศที่ยากจน ความต้องการของอเมริกาเกี่ยวกับ การส่งออกสินค้าประเภทอาหาร ปัญหาเกี่ยวกับการค้า ที่อเมริกาอาจจะต้องเผชิญ เนื่องจากการแข่งขันด้านทรัพยากร และความเป็นไปได้ที่การเจริญเติบโตของประชากรดังกล่าวจะเป็นอุปสรรคกับ นโยบายต่างประเทศ และความไม่มั่นคงระหว่างประเทศ การศึกษาดังกล่าวจะต้องเสนอวิธีดำเนินการที่เป็นไปได้ สำหรับอเมริกาในการจัดการปัญหาเรื่องการเจริญเติบโตของประชากรโลก โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนา โดยต้องให้ความสำคัญ ในประเด็นต่อไปนี้ด้วย – อเมริกาจำเป็นต้องคิดวิธีการใหม่ ๆ หรือไม่ ในการจัดการกับปัญหาดังกล่าว – เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่คิดขึ้นมา เพื่อลดการเจริญเติบโต จะต้องได้ผลดีกว่าสภาพที่เป็นอยู่ – อเมริกาจะให้ความช่วยเหลือในด้านนี้ ผ่านหน่วยงานใด และควรจะเป็นสนธิสัญญาแบบใด คู่สัญญา 2 ฝ่าย หลายฝ่าย หรือแบบลับเฉพาะ เขียนมาซะยาว สรุปสั้น ๆ ว่า อเมริกาเป็นห่วงว่า การที่ประเทศจนๆ จะมีอัตราการขยายตัวของพลเมืองเพิ่มสูงเกินไป จะมีผลกระทบกับทรัพยากรของประเทศนั้น และทำให้เป็นปัญหากับความไม่มั่นคงของอเมริกา เอะ! เรื่องมันก็ดูธรรมดาๆ ไม่เห็นมีอะไรน่าตื่นเต้นเลย แล้วจะมาเล่าให้เมื่อยมือคนเขียน เมื่อยตาคนอ่านทำไม เมื่อได้รับคำสั่งจากนาย Kissinger สภาความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกา (United States National Security) ก็รีบทำการศึกษาวิจัย กว่าจะเสร็จก็เป็นเวลาที่ประธานาธิบดี Nixon หลุดจากตำแหน่ง เพราะคดี Watergate ไปเสียแล้ว นาย Gerald Ford ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแทน มาถึงก็รีบรับไม้ต่อ เอาข้อเสนอตาม บันทึกลับ NSSM 200 ไปประกาศใช้เป็นนโยบายความมั่นคงของประเทศในปี ค.ศ. 1975 และให้อยู่ใต้การกำกับดูแลของนาย Kissinger ซึ่งก็ยังทำหน้าที่เป็น ครมว.ตปท. อยู่เหมือนเดิมร่วมกับนาย Brent Scowcroft (ซึ่งภายหลังได้มาเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประเทศแทนนาย Kissinger) และมี ผอ. CIA ชื่อ นาย George Bush (ตัวพ่อ) เป็นผู้ร่วมทีมกำกับการแสดงกับ รมว.การคลังรมว.กลาโหม และ รมว.การเกษตร ประเทศเป้าหมาย ที่อยู่ภายใต้การดำเนินการของ NSSM 200 มี 13 ประเทศ คือ อินเดีย บังคลาเทศ ปากีสถาน อินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ ตุรกี ไนจีเรีย อียิปต์ เอธิโอเปีย เมกซิโก โคลัมเบีย และบราซิล (ไง! เริ่มตาลุกขึ้นมาหน่อยละซี พอเห็นชื่อไทยแลนด์ สมันน้อยตื่นเร็ว!) อะไรทำให้นาย Kissinger คิดเรื่องนี้ เสนอนโยบายนี้ และในภายหลังได้กลายเป็นนโยบายระดับประเทศด้านความมั่นคงของอเมริกา อย่างปิดลับถึง 15 ปี และทำไมสมันน้อยถึงได้เข้ารอบไปอยู่ใน 13 ประเทศ กับเขาด้วย อ่านต่อไปน่าพี่น้อง ขืนบอกกันง่ายๆ เดี๋ยวคนอ่านหายหมด เดี๋ยวนี้กว่าจะได้คนอ่านนิทานไม่ง่ายนะ เขาไปร่วมไล่โจรกับลุงกำนันกันหมดแล้ว คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 505 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 1 : อำนาจทำให้คนมีเสน่ห์ ! ? !
    “Control Oil and you control nations;
control food and you control the people”
    “ควบคุมน้ำมันได้ คุณก็ควบคุมชาติต่าง ๆ ได้
ควบคุมอาหารได้ คุณก็ควบคุมประชาชนได้”
    เป็นคำพูดของนาย Henry Kissinger เมื่อช่วง ค.ศ. 1970 พูดมาเกือบ 50 ปีแล้ว แต่ดูเหมือนทิศทางการเมืองระหว่างประเทศจะเป็นไปตามที่นาย Kissinger พูด
    เรื่องบังเอิญหรือล็อกเป้า!
    งั้นมาทำความรู้จักนาย Kissinger กันหน่อย จะได้รู้ว่าเป็นคนขี้โม้ หมอดู หรือคนในรู้จริง
    นาย Kissinger มีชื่อเต็มว่า Henry Alfred Kissinger ตอนเกิดใช้ชื่อว่า Heinz Alfred Kissinger เป็นคนเยอรมัน อเมริกัน เกิดเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1923 ตอนนี้ก็อายุปาเข้าไป 90 ปี นอกจากยังไม่ตายและยังปากเปราะเหมือนเดิม นาย Kissinger เป็นคนตัวเตี้ย และห่างไกลกับคำว่าเป็นคนหน้าตาดี เขาแต่งงานแล้ว 2 ครั้ง ครั้งที่ 2 แต่งกับนาง Nancy ผู้หญิงซึ่งตัวสูงกว่าเขาประมาณเกือบ 1 ฟุต เมื่อสมัยที่นาย Kissinger เรืองอำนาจ นาง Nancy เองซึ่งก็ไม่ใช่คนสวยอะไร จะมีรูปปรากฎอยู่ในนิตยสาร Vogue นานาชาติอยู่เสมอ นิตยสารนี้ นอกจากจะมีแต่รูปนางแบบระดับโลกแล้ว ผู้ที่จะได้มีภาพลงในหนังสือนี้ ก็จะต้องเป็นบุคคลที่สมัยนี้เรียกว่า Celeb คนดังว่างั้นเถอะ ตัวผัวก็ไม่หล่อ คนเป็นเมียก็ไม่สวย แต่ทั้งคู่ดังระเบิด แถมตัวผัวยังมีข่าวเสมอทางด้านส่วนตัวว่าเป็นชายเจ้าชู้ ไม่เร่ขายชาติ แต่ชอบทำลายชาติคนอื่นมากกว่า !
    เมื่อนักข่าวถามว่า ได้ข่าวว่าท่านเจ้าชู้ มีสาวควงเปลี่ยนหน้าบ่อยๆ ท่านทำได้อย่างไรนะ ในเมื่อ ขอโทษ ท่านก็ไม่ใช่คนหล่อ นาย Kissinger ตอบว่า “อำนาจก็ทำให้คนมีเสน่ห์ได้นะ” ฮา
    นาย Kissinger มีอำนาจอย่างไร ถึงทำให้สาวๆ ยอมให้ควงบ่อยๆ แต่จะถึงขนาดจัดส่งขึ้นเครื่องบินไปร่วมร้องเพลงแก้เหงา หรือเปล่ารายงานข่าวไม่ได้บอก
    นาย Kissinger เริ่มทำงานในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประเทศ และต่อมาดำรงตำแหน่ง รมว.กระทรวงต่างประเทศ ในสมัยประธานาธิบดี Richard Nixon และเป็นต่อมาจนถึงสมัยประธานาธิบดี Gerald Ford พูดง่ายๆ เป็นคนสำคัญ ในการกำหนดทิศทางการเมืองของอเมริกาและแน่นอนของโลกด้วยในช่วงปี ค.ศ.1969 ถึง ค.ศ.1977
    ผลงานของนาย Kissinger ที่เด่นๆ ที่ประกาศอย่างเปิดเผยลงใน Google คือ การคลี่คลาย (detente) สงครามเย็นกับสหภาพโซเวียต การเริ่มสร้างสัมพันธ์กับจีน และเริ่มขบวนการเจรจาสันติภาพที่ปารีส ซึ่งเป็นผลให้ยุติสงครามเวียตนาม (ที่อเมริกาเป็นผู้ริเริ่มนั่นแหละ !) ผลงานนี้ ทำให้เขาได้รับรางวัล Nobel สาขาสันติภาพในปี ค.ศ.1973 คู่กับคู่กัด คือ นาย Le Duc Tho จากเวียตนามเหนือ แต่นาย Le Duc Tho ปฏิเสธที่จะรับรางวัล เขาเป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์ ที่ปฏิเสธรางวัล Nobel (เยี่ยม !)
    เป็นการให้รางวัล Nobel สาขาสันติภาพ ที่ติดอันดับ 1 ใน 5 แห่งความอื้อฉาว และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ เนื่องจากสัญญาสันติภาพของจริงกว่าจะได้ลงนาม ในปี ค.ศ. 1975 แต่ผู้เจรจาได้รับรางวัลล่วงหน้า เหมือนล็อตเตอรี่ยังไม่ออก แต่ประกาศแล้วว่าใครถูกรางวัลที่ 1 (เอ้า ตบมือให้ลูกน้องนักเล่นกลกันหน่อย)
    แต่ผลงานของนาย Kissinger ที่ไม่ได้เปิดเผย แต่อยากเล่าให้ฟังคือ “National Security Study Memorandum 200” หรือที่เรียกชื่อย่อว่า NSSM 200 ซึ่งได้จัดทำขึ้น ภายใต้การกำกับและอำนวยการสร้างโดยนาย Kissinger เอง สำเร็จเป็นเอกสารหนาเกือบ 200 หน้า เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1974
    เอกสารนี้เกี่ยวกับอะไรลึกลับซับซ้อนอะไรหนักหนา ถึงขนาดตีตราครั่งว่าจะเปิดเผยได้ โดยคำสั่งของ White House เท่านั้น เก็บแอบซ่อนไว้ 15 ปี สภาความมั่นคงของอเมริกาก็เพิ่งเอามาเปิดให้อ่านกัน เมื่อ ปี ค.ศ. 1989

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ” ตอนที่ 1 : อำนาจทำให้คนมีเสน่ห์ ! ? ! “Control Oil and you control nations;
control food and you control the people” “ควบคุมน้ำมันได้ คุณก็ควบคุมชาติต่าง ๆ ได้
ควบคุมอาหารได้ คุณก็ควบคุมประชาชนได้” เป็นคำพูดของนาย Henry Kissinger เมื่อช่วง ค.ศ. 1970 พูดมาเกือบ 50 ปีแล้ว แต่ดูเหมือนทิศทางการเมืองระหว่างประเทศจะเป็นไปตามที่นาย Kissinger พูด เรื่องบังเอิญหรือล็อกเป้า! งั้นมาทำความรู้จักนาย Kissinger กันหน่อย จะได้รู้ว่าเป็นคนขี้โม้ หมอดู หรือคนในรู้จริง นาย Kissinger มีชื่อเต็มว่า Henry Alfred Kissinger ตอนเกิดใช้ชื่อว่า Heinz Alfred Kissinger เป็นคนเยอรมัน อเมริกัน เกิดเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1923 ตอนนี้ก็อายุปาเข้าไป 90 ปี นอกจากยังไม่ตายและยังปากเปราะเหมือนเดิม นาย Kissinger เป็นคนตัวเตี้ย และห่างไกลกับคำว่าเป็นคนหน้าตาดี เขาแต่งงานแล้ว 2 ครั้ง ครั้งที่ 2 แต่งกับนาง Nancy ผู้หญิงซึ่งตัวสูงกว่าเขาประมาณเกือบ 1 ฟุต เมื่อสมัยที่นาย Kissinger เรืองอำนาจ นาง Nancy เองซึ่งก็ไม่ใช่คนสวยอะไร จะมีรูปปรากฎอยู่ในนิตยสาร Vogue นานาชาติอยู่เสมอ นิตยสารนี้ นอกจากจะมีแต่รูปนางแบบระดับโลกแล้ว ผู้ที่จะได้มีภาพลงในหนังสือนี้ ก็จะต้องเป็นบุคคลที่สมัยนี้เรียกว่า Celeb คนดังว่างั้นเถอะ ตัวผัวก็ไม่หล่อ คนเป็นเมียก็ไม่สวย แต่ทั้งคู่ดังระเบิด แถมตัวผัวยังมีข่าวเสมอทางด้านส่วนตัวว่าเป็นชายเจ้าชู้ ไม่เร่ขายชาติ แต่ชอบทำลายชาติคนอื่นมากกว่า ! เมื่อนักข่าวถามว่า ได้ข่าวว่าท่านเจ้าชู้ มีสาวควงเปลี่ยนหน้าบ่อยๆ ท่านทำได้อย่างไรนะ ในเมื่อ ขอโทษ ท่านก็ไม่ใช่คนหล่อ นาย Kissinger ตอบว่า “อำนาจก็ทำให้คนมีเสน่ห์ได้นะ” ฮา นาย Kissinger มีอำนาจอย่างไร ถึงทำให้สาวๆ ยอมให้ควงบ่อยๆ แต่จะถึงขนาดจัดส่งขึ้นเครื่องบินไปร่วมร้องเพลงแก้เหงา หรือเปล่ารายงานข่าวไม่ได้บอก นาย Kissinger เริ่มทำงานในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประเทศ และต่อมาดำรงตำแหน่ง รมว.กระทรวงต่างประเทศ ในสมัยประธานาธิบดี Richard Nixon และเป็นต่อมาจนถึงสมัยประธานาธิบดี Gerald Ford พูดง่ายๆ เป็นคนสำคัญ ในการกำหนดทิศทางการเมืองของอเมริกาและแน่นอนของโลกด้วยในช่วงปี ค.ศ.1969 ถึง ค.ศ.1977 ผลงานของนาย Kissinger ที่เด่นๆ ที่ประกาศอย่างเปิดเผยลงใน Google คือ การคลี่คลาย (detente) สงครามเย็นกับสหภาพโซเวียต การเริ่มสร้างสัมพันธ์กับจีน และเริ่มขบวนการเจรจาสันติภาพที่ปารีส ซึ่งเป็นผลให้ยุติสงครามเวียตนาม (ที่อเมริกาเป็นผู้ริเริ่มนั่นแหละ !) ผลงานนี้ ทำให้เขาได้รับรางวัล Nobel สาขาสันติภาพในปี ค.ศ.1973 คู่กับคู่กัด คือ นาย Le Duc Tho จากเวียตนามเหนือ แต่นาย Le Duc Tho ปฏิเสธที่จะรับรางวัล เขาเป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์ ที่ปฏิเสธรางวัล Nobel (เยี่ยม !) เป็นการให้รางวัล Nobel สาขาสันติภาพ ที่ติดอันดับ 1 ใน 5 แห่งความอื้อฉาว และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ เนื่องจากสัญญาสันติภาพของจริงกว่าจะได้ลงนาม ในปี ค.ศ. 1975 แต่ผู้เจรจาได้รับรางวัลล่วงหน้า เหมือนล็อตเตอรี่ยังไม่ออก แต่ประกาศแล้วว่าใครถูกรางวัลที่ 1 (เอ้า ตบมือให้ลูกน้องนักเล่นกลกันหน่อย) แต่ผลงานของนาย Kissinger ที่ไม่ได้เปิดเผย แต่อยากเล่าให้ฟังคือ “National Security Study Memorandum 200” หรือที่เรียกชื่อย่อว่า NSSM 200 ซึ่งได้จัดทำขึ้น ภายใต้การกำกับและอำนวยการสร้างโดยนาย Kissinger เอง สำเร็จเป็นเอกสารหนาเกือบ 200 หน้า เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1974 เอกสารนี้เกี่ยวกับอะไรลึกลับซับซ้อนอะไรหนักหนา ถึงขนาดตีตราครั่งว่าจะเปิดเผยได้ โดยคำสั่งของ White House เท่านั้น เก็บแอบซ่อนไว้ 15 ปี สภาความมั่นคงของอเมริกาก็เพิ่งเอามาเปิดให้อ่านกัน เมื่อ ปี ค.ศ. 1989 คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 511 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโรงงาน Intel: เมื่อยักษ์ใหญ่ต้องสู้เพื่อความอยู่รอด

    Intel เคยเป็นผู้นำในโลกของชิปคอมพิวเตอร์ แต่วันนี้กลับต้องเผชิญกับแรงกดดันรอบด้าน ทั้งจากคู่แข่งอย่าง TSMC และ AMD, ปัญหาด้านเทคโนโลยีการผลิต, ความล้มเหลวในการออกแบบชิปใหม่, และแรงกดดันทางการเมืองและการเงิน

    หนึ่งในความหวังของ Intel คือเทคโนโลยีการผลิตใหม่ที่เรียกว่า “18A” ซึ่งเป็นกระบวนการระดับ 1.8 นาโนเมตร ที่มาพร้อมนวัตกรรม RibbonFET และ PowerVia เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน แต่การผลิตจริงกลับเต็มไปด้วยปัญหา “yield” หรืออัตราชิปที่ใช้งานได้ต่ำมาก บางช่วงอยู่ที่เพียง 5–10% เท่านั้น ซึ่งห่างไกลจากเป้าหมาย 70–80% ที่จำเป็นต่อการทำกำไร

    Intel จึงต้องชะลอการเปิดตัวชิป Panther Lake ที่ใช้ 18A ไปเป็นปี 2026 และอาจต้องหันไปพัฒนาเทคโนโลยีใหม่อย่าง “14A” แทน หากไม่สามารถดึงลูกค้าภายนอกมาใช้บริการ foundry ได้

    ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายใต้ยุทธศาสตร์ IDM 2.0 ที่เปิดตัวในปี 2021 โดยอดีต CEO Pat Gelsinger ซึ่งตั้งเป้าให้ Intel กลับมาเป็นผู้นำด้านการผลิตชิปอีกครั้ง ทั้งในสหรัฐฯ และยุโรป แต่การเปลี่ยนแปลงนี้กลับนำไปสู่การปลดพนักงานกว่า 25,000 คน และการยกเลิกโครงการโรงงานหลายแห่งในเยอรมนีและโปแลนด์

    CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan จึงต้องนำพา Intel ผ่านช่วงเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลง ด้วยปรัชญา “ไม่มีเช็คเปล่า” และการเน้นผลลัพธ์มากกว่าการตลาด

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/all-the-pains-of-intel-from-cpu-design-and-process-technologies-to-internal-clashes-and-political-pressure
    🧠⚙️ เรื่องเล่าจากโรงงาน Intel: เมื่อยักษ์ใหญ่ต้องสู้เพื่อความอยู่รอด Intel เคยเป็นผู้นำในโลกของชิปคอมพิวเตอร์ แต่วันนี้กลับต้องเผชิญกับแรงกดดันรอบด้าน ทั้งจากคู่แข่งอย่าง TSMC และ AMD, ปัญหาด้านเทคโนโลยีการผลิต, ความล้มเหลวในการออกแบบชิปใหม่, และแรงกดดันทางการเมืองและการเงิน หนึ่งในความหวังของ Intel คือเทคโนโลยีการผลิตใหม่ที่เรียกว่า “18A” ซึ่งเป็นกระบวนการระดับ 1.8 นาโนเมตร ที่มาพร้อมนวัตกรรม RibbonFET และ PowerVia เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน แต่การผลิตจริงกลับเต็มไปด้วยปัญหา “yield” หรืออัตราชิปที่ใช้งานได้ต่ำมาก บางช่วงอยู่ที่เพียง 5–10% เท่านั้น ซึ่งห่างไกลจากเป้าหมาย 70–80% ที่จำเป็นต่อการทำกำไร Intel จึงต้องชะลอการเปิดตัวชิป Panther Lake ที่ใช้ 18A ไปเป็นปี 2026 และอาจต้องหันไปพัฒนาเทคโนโลยีใหม่อย่าง “14A” แทน หากไม่สามารถดึงลูกค้าภายนอกมาใช้บริการ foundry ได้ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายใต้ยุทธศาสตร์ IDM 2.0 ที่เปิดตัวในปี 2021 โดยอดีต CEO Pat Gelsinger ซึ่งตั้งเป้าให้ Intel กลับมาเป็นผู้นำด้านการผลิตชิปอีกครั้ง ทั้งในสหรัฐฯ และยุโรป แต่การเปลี่ยนแปลงนี้กลับนำไปสู่การปลดพนักงานกว่า 25,000 คน และการยกเลิกโครงการโรงงานหลายแห่งในเยอรมนีและโปแลนด์ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan จึงต้องนำพา Intel ผ่านช่วงเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลง ด้วยปรัชญา “ไม่มีเช็คเปล่า” และการเน้นผลลัพธ์มากกว่าการตลาด https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/all-the-pains-of-intel-from-cpu-design-and-process-technologies-to-internal-clashes-and-political-pressure
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 383 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts