• Single : 29 ขอบคุณนะ
    https://youtu.be/7bYISZzKyyI?si=9z9JXvsKcUzLl3Gx
    Artist : กบ บ้ากลอนอ้อนบาทา
    Lyric : กบ บ้ากลอนอ้อนบาทา
    Compose&Melody : ชอว์ เชอร์รี่ดั๊ก, Ai
    Arrange&Mixed : เจษฎา สุขะตุงคะ
    Mastering : Shaw Sherry Duck
    Editor Mv.&Clip : เฮียชอว์

    ฝากผลงานด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
    #29ขอบคุณนะ
    #newsingle #newsongs #เพลงใหม่ #กบบ้ากลอนอ้อนบาทา @ไฮไลท์
    Single : 29 ขอบคุณนะ https://youtu.be/7bYISZzKyyI?si=9z9JXvsKcUzLl3Gx Artist : กบ บ้ากลอนอ้อนบาทา Lyric : กบ บ้ากลอนอ้อนบาทา Compose&Melody : ชอว์ เชอร์รี่ดั๊ก, Ai Arrange&Mixed : เจษฎา สุขะตุงคะ Mastering : Shaw Sherry Duck Editor Mv.&Clip : เฮียชอว์ ฝากผลงานด้วยนะครับ ขอบคุณครับ #29ขอบคุณนะ #newsingle #newsongs #เพลงใหม่ #กบบ้ากลอนอ้อนบาทา @ไฮไลท์
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI เปลี่ยนเกมการจ้างงานสายไซเบอร์ระดับเริ่มต้น — เมื่อ “ทักษะมนุษย์” กลายเป็นสิ่งที่ AI แทนไม่ได้

    ในปี 2025 โลกไซเบอร์กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในด้านการจ้างงาน โดยเฉพาะตำแหน่งระดับเริ่มต้น (entry-level) ที่เคยเน้นทักษะเทคนิค เช่น cloud security หรือ data protection กลับถูกแทนที่ด้วยความสำคัญของ “ทักษะมนุษย์” เช่น การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการสื่อสารข้ามทีม

    รายงานจาก ISC2 ที่สำรวจผู้จัดการฝ่ายจ้างงานกว่า 900 คนทั่วโลก พบว่า AI เข้ามารับหน้าที่ตรวจจับภัยคุกคามและวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ทำให้บริษัทต่าง ๆ หันมาให้ความสำคัญกับทักษะที่ AI ไม่สามารถเลียนแบบได้ เช่น ความคิดสร้างสรรค์ การทำงานร่วมกับทีมกฎหมาย การตลาด และ HR

    ผู้เชี่ยวชาญยังชี้ว่า การพึ่งพาใบประกาศนียบัตรหรือวุฒิการศึกษามากเกินไป กลายเป็นอุปสรรคต่อการจ้างงาน เพราะผู้มีประสบการณ์จริงกลับถูกมองข้าม หากไม่มี “ใบรับรองที่ถูกต้อง” ขณะที่ผู้มีความสามารถจากสายอาชีพอื่น เช่น เกมเมอร์ นักสร้างสรรค์ หรือผู้มีความคิดลึกซึ้งในชุมชนออนไลน์ กลับมีศักยภาพสูงในการเป็นนักไซเบอร์

    AI ยังส่งผลให้บทบาทของ SOC Analyst ระดับ 1 ถูกลดความสำคัญลง เพราะระบบสามารถจัดการงานตรวจสอบเบื้องต้นได้เอง ทำให้ตำแหน่งใหม่ต้องเน้นการให้คำปรึกษา การวางกลยุทธ์ และการสื่อสารกับผู้บริหารมากขึ้น

    องค์กรที่ปรับตัวได้ดี เช่น e2e-assure และ Bridewell เริ่มเปิดรับบุคลากรจากกลุ่ม neurodiverse และผู้เปลี่ยนอาชีพ โดยเน้นการฝึกอบรมผ่านเวิร์กช็อปและความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย รวมถึงกลุ่มสนับสนุนทหารผ่านศึกและผู้หญิงในสายไซเบอร์

    AI เปลี่ยนแนวทางการจ้างงานในสายไซเบอร์ระดับเริ่มต้น
    ทักษะมนุษย์ เช่น การแก้ปัญหาและการสื่อสาร มีความสำคัญมากขึ้น
    ทักษะเทคนิคพื้นฐานถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ

    รายงานจาก ISC2 ยืนยันแนวโน้มนี้
    สำรวจผู้จัดการจ้างงานจาก 6 ประเทศ
    พบว่าทักษะวิเคราะห์และ teamwork สำคัญกว่าใบประกาศ

    องค์กรเริ่มเปิดรับบุคลากรจากสายอาชีพหลากหลาย
    เช่น neurodiverse, ทหารผ่านศึก, ผู้เปลี่ยนอาชีพ
    ใช้เวิร์กช็อปและความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในการฝึกอบรม

    SOC Analyst ระดับ 1 อาจถูกแทนที่โดย AI
    งานตรวจสอบเบื้องต้นถูกจัดการโดยระบบอัตโนมัติ
    บทบาทใหม่เน้นการให้คำปรึกษาและการสื่อสารกับผู้บริหาร

    การพึ่งพาใบประกาศมากเกินไปเป็นอุปสรรค
    ผู้มีประสบการณ์จริงถูกมองข้ามหากไม่มี “ใบรับรองที่ถูกต้อง”
    อุตสาหกรรมควรเปิดรับผู้มีความสามารถจากชุมชนออนไลน์

    คำเตือนเกี่ยวกับการปรับตัวขององค์กร
    หากยังเน้นวุฒิการศึกษาและใบประกาศ อาจพลาดคนเก่ง
    การลดตำแหน่งระดับเริ่มต้นอาจทำให้ขาดแคลนบุคลากรในระยะยาว
    การใช้ AI โดยไม่มีการฝึกอบรมพนักงาน อาจสร้างช่องโหว่ด้านความปลอดภัย
    การไม่เปิดรับความหลากหลาย อาจทำให้องค์กรขาดมุมมองใหม่ ๆ

    https://www.csoonline.com/article/4058190/ai-is-altering-entry-level-cyber-hiring-and-the-nature-of-the-skills-gap.html
    📰 AI เปลี่ยนเกมการจ้างงานสายไซเบอร์ระดับเริ่มต้น — เมื่อ “ทักษะมนุษย์” กลายเป็นสิ่งที่ AI แทนไม่ได้ ในปี 2025 โลกไซเบอร์กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในด้านการจ้างงาน โดยเฉพาะตำแหน่งระดับเริ่มต้น (entry-level) ที่เคยเน้นทักษะเทคนิค เช่น cloud security หรือ data protection กลับถูกแทนที่ด้วยความสำคัญของ “ทักษะมนุษย์” เช่น การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการสื่อสารข้ามทีม รายงานจาก ISC2 ที่สำรวจผู้จัดการฝ่ายจ้างงานกว่า 900 คนทั่วโลก พบว่า AI เข้ามารับหน้าที่ตรวจจับภัยคุกคามและวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ทำให้บริษัทต่าง ๆ หันมาให้ความสำคัญกับทักษะที่ AI ไม่สามารถเลียนแบบได้ เช่น ความคิดสร้างสรรค์ การทำงานร่วมกับทีมกฎหมาย การตลาด และ HR ผู้เชี่ยวชาญยังชี้ว่า การพึ่งพาใบประกาศนียบัตรหรือวุฒิการศึกษามากเกินไป กลายเป็นอุปสรรคต่อการจ้างงาน เพราะผู้มีประสบการณ์จริงกลับถูกมองข้าม หากไม่มี “ใบรับรองที่ถูกต้อง” ขณะที่ผู้มีความสามารถจากสายอาชีพอื่น เช่น เกมเมอร์ นักสร้างสรรค์ หรือผู้มีความคิดลึกซึ้งในชุมชนออนไลน์ กลับมีศักยภาพสูงในการเป็นนักไซเบอร์ AI ยังส่งผลให้บทบาทของ SOC Analyst ระดับ 1 ถูกลดความสำคัญลง เพราะระบบสามารถจัดการงานตรวจสอบเบื้องต้นได้เอง ทำให้ตำแหน่งใหม่ต้องเน้นการให้คำปรึกษา การวางกลยุทธ์ และการสื่อสารกับผู้บริหารมากขึ้น องค์กรที่ปรับตัวได้ดี เช่น e2e-assure และ Bridewell เริ่มเปิดรับบุคลากรจากกลุ่ม neurodiverse และผู้เปลี่ยนอาชีพ โดยเน้นการฝึกอบรมผ่านเวิร์กช็อปและความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย รวมถึงกลุ่มสนับสนุนทหารผ่านศึกและผู้หญิงในสายไซเบอร์ ✅ AI เปลี่ยนแนวทางการจ้างงานในสายไซเบอร์ระดับเริ่มต้น ➡️ ทักษะมนุษย์ เช่น การแก้ปัญหาและการสื่อสาร มีความสำคัญมากขึ้น ➡️ ทักษะเทคนิคพื้นฐานถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ ✅ รายงานจาก ISC2 ยืนยันแนวโน้มนี้ ➡️ สำรวจผู้จัดการจ้างงานจาก 6 ประเทศ ➡️ พบว่าทักษะวิเคราะห์และ teamwork สำคัญกว่าใบประกาศ ✅ องค์กรเริ่มเปิดรับบุคลากรจากสายอาชีพหลากหลาย ➡️ เช่น neurodiverse, ทหารผ่านศึก, ผู้เปลี่ยนอาชีพ ➡️ ใช้เวิร์กช็อปและความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในการฝึกอบรม ✅ SOC Analyst ระดับ 1 อาจถูกแทนที่โดย AI ➡️ งานตรวจสอบเบื้องต้นถูกจัดการโดยระบบอัตโนมัติ ➡️ บทบาทใหม่เน้นการให้คำปรึกษาและการสื่อสารกับผู้บริหาร ✅ การพึ่งพาใบประกาศมากเกินไปเป็นอุปสรรค ➡️ ผู้มีประสบการณ์จริงถูกมองข้ามหากไม่มี “ใบรับรองที่ถูกต้อง” ➡️ อุตสาหกรรมควรเปิดรับผู้มีความสามารถจากชุมชนออนไลน์ ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการปรับตัวขององค์กร ⛔ หากยังเน้นวุฒิการศึกษาและใบประกาศ อาจพลาดคนเก่ง ⛔ การลดตำแหน่งระดับเริ่มต้นอาจทำให้ขาดแคลนบุคลากรในระยะยาว ⛔ การใช้ AI โดยไม่มีการฝึกอบรมพนักงาน อาจสร้างช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ⛔ การไม่เปิดรับความหลากหลาย อาจทำให้องค์กรขาดมุมมองใหม่ ๆ https://www.csoonline.com/article/4058190/ai-is-altering-entry-level-cyber-hiring-and-the-nature-of-the-skills-gap.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    AI is altering entry-level cyber hiring — and the nature of the skills gap
    To build a stronger future workforce, CISOs need to prioritize problem-solving over existing technical knowledge, while broadening their search for talent beyond traditional pipelines.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 44 มุมมอง 0 รีวิว
  • สองวัยรุ่นอังกฤษถูกตั้งข้อหาแฮกระบบขนส่ง TfL — เครือข่าย Scattered Spider เบื้องหลังการโจมตีระดับชาติ

    ในเดือนกันยายน 2025 สองวัยรุ่นชาวอังกฤษถูกตั้งข้อหาเกี่ยวกับการโจมตีทางไซเบอร์ที่สร้างความเสียหายให้กับระบบขนส่งของกรุงลอนดอน (TfL) เมื่อปี 2024 โดยมีการเชื่อมโยงกับกลุ่มแฮกเกอร์ชื่อฉาว “Scattered Spider” ซึ่งเคยก่อเหตุโจมตีองค์กรใหญ่ทั้งในสหรัฐฯ และยุโรป

    ผู้ต้องหาคือ Thalha Jubair อายุ 19 ปี จาก East London และ Owen Flowers อายุ 18 ปี จาก Walsall ถูกจับกุมโดยหน่วยงาน National Crime Agency (NCA) และถูกนำตัวขึ้นศาล Westminster Magistrates’ Court โดยถูกกล่าวหาว่าร่วมกันละเมิดพระราชบัญญัติ Computer Misuse Act และสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติของสหราชอาณาจักร

    การโจมตีดังกล่าวไม่ได้หยุดการเดินรถไฟใต้ดิน แต่ส่งผลกระทบต่อระบบบริการต่าง ๆ เช่น การเข้าสู่ระบบบัตร Oyster, การชำระเงินแบบ contactless และแอปพลิเคชันของบุคคลที่สามที่เชื่อมต่อกับ API ของ TfL โดยมีข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้กว่า 5,000 รายรั่วไหล รวมถึงรายละเอียดบัญชีธนาคาร

    นอกจากนี้ Jubair ยังถูกตั้งข้อหาในสหรัฐฯ จากการมีส่วนร่วมในแผนการแฮกและเรียกค่าไถ่กว่า 120 ครั้งต่อองค์กรในสหรัฐฯ รวมถึงการฟอกเงินและปฏิเสธการให้รหัสผ่านกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งละเมิดกฎหมาย Regulation of Investigatory Powers Act ของอังกฤษ

    Flowers ก็ถูกเชื่อมโยงกับการโจมตีเครือข่ายของ SSM Health และ Sutter Health ในสหรัฐฯ เช่นกัน โดยทั้งสองคนถูกมองว่าเป็นสมาชิกของ Scattered Spider ซึ่งเป็นกลุ่มแฮกเกอร์วัยรุ่นที่ใช้เทคนิค social engineering เช่น phishing และการโทรหลอกลวงเจ้าหน้าที่ IT เพื่อเข้าถึงระบบภายในองค์กร

    การจับกุมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการสืบสวนที่ยาวนานและซับซ้อน โดย NCA ยืนยันว่าการดำเนินคดีเป็น “ผลประโยชน์สาธารณะ” และเป็นก้าวสำคัญในการจัดการกับภัยไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มเยาวชนอังกฤษ ซึ่งจากรายงานพบว่า 1 ใน 5 เด็กอายุ 10–16 ปีเคยมีพฤติกรรมละเมิดกฎหมายไซเบอร์มาแล้ว

    https://hackread.com/two-uk-teenagers-charged-tfl-hack-scattered-spider/
    📰 สองวัยรุ่นอังกฤษถูกตั้งข้อหาแฮกระบบขนส่ง TfL — เครือข่าย Scattered Spider เบื้องหลังการโจมตีระดับชาติ ในเดือนกันยายน 2025 สองวัยรุ่นชาวอังกฤษถูกตั้งข้อหาเกี่ยวกับการโจมตีทางไซเบอร์ที่สร้างความเสียหายให้กับระบบขนส่งของกรุงลอนดอน (TfL) เมื่อปี 2024 โดยมีการเชื่อมโยงกับกลุ่มแฮกเกอร์ชื่อฉาว “Scattered Spider” ซึ่งเคยก่อเหตุโจมตีองค์กรใหญ่ทั้งในสหรัฐฯ และยุโรป ผู้ต้องหาคือ Thalha Jubair อายุ 19 ปี จาก East London และ Owen Flowers อายุ 18 ปี จาก Walsall ถูกจับกุมโดยหน่วยงาน National Crime Agency (NCA) และถูกนำตัวขึ้นศาล Westminster Magistrates’ Court โดยถูกกล่าวหาว่าร่วมกันละเมิดพระราชบัญญัติ Computer Misuse Act และสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติของสหราชอาณาจักร การโจมตีดังกล่าวไม่ได้หยุดการเดินรถไฟใต้ดิน แต่ส่งผลกระทบต่อระบบบริการต่าง ๆ เช่น การเข้าสู่ระบบบัตร Oyster, การชำระเงินแบบ contactless และแอปพลิเคชันของบุคคลที่สามที่เชื่อมต่อกับ API ของ TfL โดยมีข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้กว่า 5,000 รายรั่วไหล รวมถึงรายละเอียดบัญชีธนาคาร นอกจากนี้ Jubair ยังถูกตั้งข้อหาในสหรัฐฯ จากการมีส่วนร่วมในแผนการแฮกและเรียกค่าไถ่กว่า 120 ครั้งต่อองค์กรในสหรัฐฯ รวมถึงการฟอกเงินและปฏิเสธการให้รหัสผ่านกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งละเมิดกฎหมาย Regulation of Investigatory Powers Act ของอังกฤษ Flowers ก็ถูกเชื่อมโยงกับการโจมตีเครือข่ายของ SSM Health และ Sutter Health ในสหรัฐฯ เช่นกัน โดยทั้งสองคนถูกมองว่าเป็นสมาชิกของ Scattered Spider ซึ่งเป็นกลุ่มแฮกเกอร์วัยรุ่นที่ใช้เทคนิค social engineering เช่น phishing และการโทรหลอกลวงเจ้าหน้าที่ IT เพื่อเข้าถึงระบบภายในองค์กร การจับกุมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการสืบสวนที่ยาวนานและซับซ้อน โดย NCA ยืนยันว่าการดำเนินคดีเป็น “ผลประโยชน์สาธารณะ” และเป็นก้าวสำคัญในการจัดการกับภัยไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มเยาวชนอังกฤษ ซึ่งจากรายงานพบว่า 1 ใน 5 เด็กอายุ 10–16 ปีเคยมีพฤติกรรมละเมิดกฎหมายไซเบอร์มาแล้ว https://hackread.com/two-uk-teenagers-charged-tfl-hack-scattered-spider/
    HACKREAD.COM
    Two UK Teenagers Charged Over TfL Hack Linked to Scattered Spider
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • Anthropic เปิดเบื้องหลัง 3 บั๊กใหญ่ที่ทำให้ Claude ตอบผิดเพี้ยน — เมื่อ AI ไม่ได้ “เนิร์ฟ” แต่โครงสร้างพื้นฐานพัง

    ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงต้นกันยายน 2025 ผู้ใช้ Claude หลายคนเริ่มสังเกตว่าคุณภาพการตอบกลับของโมเดลลดลงอย่างผิดปกติ บางคนได้รับคำตอบที่แปลกประหลาด เช่นมีตัวอักษรไทยโผล่กลางข้อความภาษาอังกฤษ หรือโค้ดที่ผิดไวยากรณ์อย่างชัดเจน จนเกิดข้อสงสัยว่า Anthropic กำลัง “ลดคุณภาพ” ของโมเดลเพื่อจัดการกับโหลดหรือควบคุมต้นทุน

    แต่ล่าสุด Anthropic ได้ออกมาเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่า ปัญหาทั้งหมดเกิดจาก “บั๊กในโครงสร้างพื้นฐาน” ไม่ใช่การลดคุณภาพโดยเจตนา โดยมีทั้งหมด 3 บั๊กที่เกิดขึ้นพร้อมกันและส่งผลกระทบต่อโมเดล Claude หลายรุ่น ได้แก่ Sonnet 4, Opus 4.1, Haiku 3.5 และ Opus 3

    บั๊กแรกคือการ “ส่งคำขอผิดเซิร์ฟเวอร์” โดยคำขอที่ควรใช้ context window แบบสั้น กลับถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่เตรียมไว้สำหรับ context window ขนาด 1 ล้านโทเคน ซึ่งยังไม่พร้อมใช้งาน ทำให้การตอบกลับผิดเพี้ยนและช้า โดยเฉพาะในช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่มีการเปลี่ยนแปลงระบบ load balancing ทำให้คำขอผิดพลาดเพิ่มขึ้นถึง 16%

    บั๊กที่สองคือ “การสร้างโทเคนผิดพลาด” บนเซิร์ฟเวอร์ TPU ซึ่งเกิดจากการปรับแต่งประสิทธิภาพที่ทำให้โมเดลเลือกโทเคนที่ไม่ควรปรากฏ เช่น ตัวอักษรจีนหรือไทยในคำตอบภาษาอังกฤษ หรือโค้ดที่มี syntax ผิดอย่างชัดเจน

    บั๊กสุดท้ายคือ “การคอมไพล์ผิดพลาดใน XLA:TPU” ซึ่งเกิดจากการใช้การคำนวณแบบ approximate top-k ที่ควรช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่กลับทำให้โมเดลเลือกโทเคนผิด โดยเฉพาะเมื่อใช้ precision ที่ไม่ตรงกันระหว่าง bf16 และ fp32 ทำให้โทเคนที่ควรมีโอกาสสูงสุดถูกตัดออกไปโดยไม่ตั้งใจ

    Anthropic ได้แก้ไขบั๊กทั้งหมดแล้ว และประกาศแผนปรับปรุงระบบตรวจสอบคุณภาพให้ละเอียดขึ้น รวมถึงพัฒนาเครื่องมือ debug ที่ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ พร้อมขอความร่วมมือจากผู้ใช้ให้ส่ง feedback เมื่อพบปัญหา เพื่อช่วยให้ทีมงานตรวจสอบได้เร็วขึ้น

    Claude ตอบผิดเพี้ยนจาก 3 บั๊กในโครงสร้างพื้นฐาน
    ไม่ใช่การลดคุณภาพโดยเจตนา
    ส่งผลกระทบต่อหลายรุ่น เช่น Sonnet 4, Opus 4.1, Haiku 3.5

    บั๊กที่ 1: Context window routing error
    คำขอถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ context window 1M โดยผิดพลาด
    ส่งผลให้คำตอบผิดเพี้ยน โดยเฉพาะช่วงปลายเดือนสิงหาคม

    บั๊กที่ 2: Output corruption บน TPU
    โทเคนที่ไม่ควรปรากฏถูกเลือก เช่น “สวัสดี” ในคำตอบภาษาอังกฤษ
    เกิดจากการปรับแต่งประสิทธิภาพที่ผิดพลาด

    บั๊กที่ 3: XLA:TPU miscompilation
    การใช้ approximate top-k ทำให้โทเคนที่ควรมีโอกาสสูงสุดถูกตัดออก
    เกิดจาก precision mismatch ระหว่าง bf16 และ fp32

    Anthropic แก้ไขบั๊กทั้งหมดแล้ว
    ปรับ routing logic / rollback การเปลี่ยนแปลง / ใช้ exact top-k แทน
    เพิ่มการตรวจสอบคุณภาพและเครื่องมือ debug ใหม่

    ผู้ใช้สามารถช่วยแจ้งปัญหาได้โดยใช้ /bug หรือปุ่ม thumbs down
    Feedback จากผู้ใช้ช่วยให้ทีมงานตรวจสอบได้เร็วขึ้น
    Anthropic ยืนยันความโปร่งใสและขอบคุณชุมชนที่ช่วยเหลือ

    https://www.anthropic.com/engineering/a-postmortem-of-three-recent-issues
    📰 Anthropic เปิดเบื้องหลัง 3 บั๊กใหญ่ที่ทำให้ Claude ตอบผิดเพี้ยน — เมื่อ AI ไม่ได้ “เนิร์ฟ” แต่โครงสร้างพื้นฐานพัง ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงต้นกันยายน 2025 ผู้ใช้ Claude หลายคนเริ่มสังเกตว่าคุณภาพการตอบกลับของโมเดลลดลงอย่างผิดปกติ บางคนได้รับคำตอบที่แปลกประหลาด เช่นมีตัวอักษรไทยโผล่กลางข้อความภาษาอังกฤษ หรือโค้ดที่ผิดไวยากรณ์อย่างชัดเจน จนเกิดข้อสงสัยว่า Anthropic กำลัง “ลดคุณภาพ” ของโมเดลเพื่อจัดการกับโหลดหรือควบคุมต้นทุน แต่ล่าสุด Anthropic ได้ออกมาเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่า ปัญหาทั้งหมดเกิดจาก “บั๊กในโครงสร้างพื้นฐาน” ไม่ใช่การลดคุณภาพโดยเจตนา โดยมีทั้งหมด 3 บั๊กที่เกิดขึ้นพร้อมกันและส่งผลกระทบต่อโมเดล Claude หลายรุ่น ได้แก่ Sonnet 4, Opus 4.1, Haiku 3.5 และ Opus 3 บั๊กแรกคือการ “ส่งคำขอผิดเซิร์ฟเวอร์” โดยคำขอที่ควรใช้ context window แบบสั้น กลับถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่เตรียมไว้สำหรับ context window ขนาด 1 ล้านโทเคน ซึ่งยังไม่พร้อมใช้งาน ทำให้การตอบกลับผิดเพี้ยนและช้า โดยเฉพาะในช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่มีการเปลี่ยนแปลงระบบ load balancing ทำให้คำขอผิดพลาดเพิ่มขึ้นถึง 16% บั๊กที่สองคือ “การสร้างโทเคนผิดพลาด” บนเซิร์ฟเวอร์ TPU ซึ่งเกิดจากการปรับแต่งประสิทธิภาพที่ทำให้โมเดลเลือกโทเคนที่ไม่ควรปรากฏ เช่น ตัวอักษรจีนหรือไทยในคำตอบภาษาอังกฤษ หรือโค้ดที่มี syntax ผิดอย่างชัดเจน บั๊กสุดท้ายคือ “การคอมไพล์ผิดพลาดใน XLA:TPU” ซึ่งเกิดจากการใช้การคำนวณแบบ approximate top-k ที่ควรช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่กลับทำให้โมเดลเลือกโทเคนผิด โดยเฉพาะเมื่อใช้ precision ที่ไม่ตรงกันระหว่าง bf16 และ fp32 ทำให้โทเคนที่ควรมีโอกาสสูงสุดถูกตัดออกไปโดยไม่ตั้งใจ Anthropic ได้แก้ไขบั๊กทั้งหมดแล้ว และประกาศแผนปรับปรุงระบบตรวจสอบคุณภาพให้ละเอียดขึ้น รวมถึงพัฒนาเครื่องมือ debug ที่ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ พร้อมขอความร่วมมือจากผู้ใช้ให้ส่ง feedback เมื่อพบปัญหา เพื่อช่วยให้ทีมงานตรวจสอบได้เร็วขึ้น ✅ Claude ตอบผิดเพี้ยนจาก 3 บั๊กในโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ ไม่ใช่การลดคุณภาพโดยเจตนา ➡️ ส่งผลกระทบต่อหลายรุ่น เช่น Sonnet 4, Opus 4.1, Haiku 3.5 ✅ บั๊กที่ 1: Context window routing error ➡️ คำขอถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ context window 1M โดยผิดพลาด ➡️ ส่งผลให้คำตอบผิดเพี้ยน โดยเฉพาะช่วงปลายเดือนสิงหาคม ✅ บั๊กที่ 2: Output corruption บน TPU ➡️ โทเคนที่ไม่ควรปรากฏถูกเลือก เช่น “สวัสดี” ในคำตอบภาษาอังกฤษ ➡️ เกิดจากการปรับแต่งประสิทธิภาพที่ผิดพลาด ✅ บั๊กที่ 3: XLA:TPU miscompilation ➡️ การใช้ approximate top-k ทำให้โทเคนที่ควรมีโอกาสสูงสุดถูกตัดออก ➡️ เกิดจาก precision mismatch ระหว่าง bf16 และ fp32 ✅ Anthropic แก้ไขบั๊กทั้งหมดแล้ว ➡️ ปรับ routing logic / rollback การเปลี่ยนแปลง / ใช้ exact top-k แทน ➡️ เพิ่มการตรวจสอบคุณภาพและเครื่องมือ debug ใหม่ ✅ ผู้ใช้สามารถช่วยแจ้งปัญหาได้โดยใช้ /bug หรือปุ่ม thumbs down ➡️ Feedback จากผู้ใช้ช่วยให้ทีมงานตรวจสอบได้เร็วขึ้น ➡️ Anthropic ยืนยันความโปร่งใสและขอบคุณชุมชนที่ช่วยเหลือ https://www.anthropic.com/engineering/a-postmortem-of-three-recent-issues
    WWW.ANTHROPIC.COM
    A postmortem of three recent issues
    This is a technical report on three bugs that intermittently degraded responses from Claude. Below we explain what happened, why it took time to fix, and what we're changing.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 39 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel จับมือ NVIDIA สร้างชิป x86 พร้อม GPU RTX — แต่ยืนยันจะไม่ทิ้ง GPU ของตัวเอง

    หลังจาก Intel และ NVIDIA ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่ในการพัฒนาชิป x86 รุ่นใหม่ที่รวม CPU ของ Intel เข้ากับ GPU RTX ของ NVIDIA หลายคนตั้งคำถามว่า Intel จะยังเดินหน้าพัฒนา GPU ของตัวเองอยู่หรือไม่ ล่าสุด Intel ได้ออกมายืนยันอย่างชัดเจนว่า “จะยังคงมีผลิตภัณฑ์ GPU ของตัวเองต่อไป” และข้อตกลงกับ NVIDIA เป็นเพียงการเสริมแผนงานเดิม ไม่ใช่การแทนที่

    ในงานแถลงข่าวร่วมระหว่าง Jensen Huang (CEO ของ NVIDIA) และ Lip-Bu Tan (CEO ของ Intel) ทั้งสองฝ่ายเปิดเผยว่าชิปใหม่จะใช้สำหรับพีซีลูกค้าและงาน AI/HPC โดยมีการใช้เทคโนโลยี NVLink เพื่อเชื่อมต่อระหว่าง CPU และ GPU อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจเริ่มเห็นในชิป Nova Lake รุ่นถัดไปของ Intel ที่จะเปิดตัวในปี 2026

    อย่างไรก็ตาม Intel ยืนยันว่าจะยังคงพัฒนา GPU สาย Arc สำหรับผู้ใช้ทั่วไป และ GPU สาย Gaudi กับ Shores สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ ซึ่งแม้จะเริ่มต้นได้ยาก แต่ก็เริ่มมีจุดแข็งในด้านความคุ้มค่า และยังมีแผนเปิดตัว Xe3 “Celestial” และ Xe4 “Druid” ในชิป Panther Lake และ Nova Lake ที่จะเปิดตัวในปี 2025–2026

    นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Intel เตรียมเปิดตัว Arc Battlemage รุ่นใหม่สำหรับเดสก์ท็อปและโน้ตบุ๊ก ซึ่งจะเป็นการต่อยอดจาก Arc B-Series ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน และอาจเป็นการตอบโต้การครองตลาด GPU แบบแยกของ NVIDIA ที่มีส่วนแบ่งสูงถึง 94%

    Intel ยืนยันจะยังคงมีผลิตภัณฑ์ GPU ของตัวเอง
    ข้อตกลงกับ NVIDIA เป็นการเสริม ไม่ใช่การแทนที่
    ยังคงพัฒนา GPU สาย Arc, Gaudi และ Shores

    ชิป Panther Lake และ Nova Lake จะใช้ Xe3 และ Xe4
    Xe3 “Celestial” สำหรับกราฟิกหลัก
    Xe4 “Druid” สำหรับงานแสดงผลและการเข้ารหัส/ถอดรหัสสื่อ

    มีข่าวลือว่า Intel เตรียมเปิดตัว Arc Battlemage รุ่นใหม่
    รหัส BMG-G31 สำหรับเดสก์ท็อปและโน้ตบุ๊ก
    อาจเป็นการตอบโต้การครองตลาดของ NVIDIA ที่มีส่วนแบ่ง 94%

    Intel ใช้เทคโนโลยี Foveros ในการออกแบบชิปแบบหลายชิปเล็ต
    คล้ายกับ Kaby Lake-G ที่เคยใช้ GPU ของ AMD
    แต่ครั้งนี้จะใช้ GPU ของ NVIDIA ในบางรุ่นเท่านั้น

    https://wccftech.com/intel-assures-will-continue-to-have-gpu-product-offerings-in-future-nvidia-deal-complimentary/
    📰 Intel จับมือ NVIDIA สร้างชิป x86 พร้อม GPU RTX — แต่ยืนยันจะไม่ทิ้ง GPU ของตัวเอง หลังจาก Intel และ NVIDIA ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่ในการพัฒนาชิป x86 รุ่นใหม่ที่รวม CPU ของ Intel เข้ากับ GPU RTX ของ NVIDIA หลายคนตั้งคำถามว่า Intel จะยังเดินหน้าพัฒนา GPU ของตัวเองอยู่หรือไม่ ล่าสุด Intel ได้ออกมายืนยันอย่างชัดเจนว่า “จะยังคงมีผลิตภัณฑ์ GPU ของตัวเองต่อไป” และข้อตกลงกับ NVIDIA เป็นเพียงการเสริมแผนงานเดิม ไม่ใช่การแทนที่ ในงานแถลงข่าวร่วมระหว่าง Jensen Huang (CEO ของ NVIDIA) และ Lip-Bu Tan (CEO ของ Intel) ทั้งสองฝ่ายเปิดเผยว่าชิปใหม่จะใช้สำหรับพีซีลูกค้าและงาน AI/HPC โดยมีการใช้เทคโนโลยี NVLink เพื่อเชื่อมต่อระหว่าง CPU และ GPU อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจเริ่มเห็นในชิป Nova Lake รุ่นถัดไปของ Intel ที่จะเปิดตัวในปี 2026 อย่างไรก็ตาม Intel ยืนยันว่าจะยังคงพัฒนา GPU สาย Arc สำหรับผู้ใช้ทั่วไป และ GPU สาย Gaudi กับ Shores สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ ซึ่งแม้จะเริ่มต้นได้ยาก แต่ก็เริ่มมีจุดแข็งในด้านความคุ้มค่า และยังมีแผนเปิดตัว Xe3 “Celestial” และ Xe4 “Druid” ในชิป Panther Lake และ Nova Lake ที่จะเปิดตัวในปี 2025–2026 นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Intel เตรียมเปิดตัว Arc Battlemage รุ่นใหม่สำหรับเดสก์ท็อปและโน้ตบุ๊ก ซึ่งจะเป็นการต่อยอดจาก Arc B-Series ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน และอาจเป็นการตอบโต้การครองตลาด GPU แบบแยกของ NVIDIA ที่มีส่วนแบ่งสูงถึง 94% ✅ Intel ยืนยันจะยังคงมีผลิตภัณฑ์ GPU ของตัวเอง ➡️ ข้อตกลงกับ NVIDIA เป็นการเสริม ไม่ใช่การแทนที่ ➡️ ยังคงพัฒนา GPU สาย Arc, Gaudi และ Shores ✅ ชิป Panther Lake และ Nova Lake จะใช้ Xe3 และ Xe4 ➡️ Xe3 “Celestial” สำหรับกราฟิกหลัก ➡️ Xe4 “Druid” สำหรับงานแสดงผลและการเข้ารหัส/ถอดรหัสสื่อ ✅ มีข่าวลือว่า Intel เตรียมเปิดตัว Arc Battlemage รุ่นใหม่ ➡️ รหัส BMG-G31 สำหรับเดสก์ท็อปและโน้ตบุ๊ก ➡️ อาจเป็นการตอบโต้การครองตลาดของ NVIDIA ที่มีส่วนแบ่ง 94% ✅ Intel ใช้เทคโนโลยี Foveros ในการออกแบบชิปแบบหลายชิปเล็ต ➡️ คล้ายกับ Kaby Lake-G ที่เคยใช้ GPU ของ AMD ➡️ แต่ครั้งนี้จะใช้ GPU ของ NVIDIA ในบางรุ่นเท่านั้น https://wccftech.com/intel-assures-will-continue-to-have-gpu-product-offerings-in-future-nvidia-deal-complimentary/
    WCCFTECH.COM
    Intel Assures They Will Continue To Have GPU Product Offerings In The Future, NVIDIA Deal Complimentary To Product Roadmap
    Intel has reassured that it will continue to have GPU products in the future despite the new NVIDIA deal, which was announced today.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 23 มุมมอง 0 รีวิว
  • Wasm 3.0 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — ยกระดับ WebAssembly สู่ยุคใหม่ของการพัฒนาแอปพลิเคชันข้ามแพลตฟอร์ม

    หลังจากใช้เวลาพัฒนานานกว่า 6 ปี ในที่สุด WebAssembly หรือ Wasm ก็เปิดตัวเวอร์ชัน 3.0 อย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 โดยถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่เริ่มมีมาตรฐานนี้ จุดเด่นของ Wasm 3.0 คือการเพิ่มฟีเจอร์ที่ทำให้สามารถรองรับแอปพลิเคชันขนาดใหญ่ขึ้น มีความปลอดภัยมากขึ้น และสามารถเขียนโปรแกรมในระดับสูงได้ง่ายขึ้น โดยยังคงรักษาแนวคิด “low-level but portable” ไว้อย่างเหนียวแน่น

    หนึ่งในฟีเจอร์ที่โดดเด่นคือการรองรับหน่วยความจำแบบ 64 บิต ซึ่งขยายขีดจำกัดจากเดิม 4GB เป็นสูงสุด 16 exabytes (ในทางทฤษฎี) แม้ว่าเบราว์เซอร์จะยังจำกัดไว้ที่ 16GB แต่ในระบบนอกเว็บ เช่น edge computing หรือ serverless ก็สามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ขนาดมหาศาลนี้ได้เต็มที่

    นอกจากนี้ Wasm 3.0 ยังเพิ่มการรองรับ garbage collection แบบ low-level, การจัดการ memory หลายชุดในโมดูลเดียว, การเรียกฟังก์ชันแบบ tail call, การจัดการ exception แบบ native, และการใช้ reference types ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการกำหนดพฤติกรรมแบบ deterministic เพื่อรองรับระบบที่ต้องการผลลัพธ์ซ้ำได้ เช่น blockchain

    จากการทดสอบประสิทธิภาพล่าสุด พบว่า Rust สามารถคอมไพล์เป็น Wasm 3.0 ได้เร็วกว่า C++ และให้ขนาดไฟล์เล็กกว่า โดย Rust ใช้เวลาเพียง 4.2 วินาทีและได้ไฟล์ขนาด 76KB ขณะที่ C++ ใช้เวลา 6.8 วินาทีและได้ไฟล์ขนาด 92KB

    Wasm 3.0 เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025
    เป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ WebAssembly
    พัฒนาโดย W3C Community Group และ Working Group

    รองรับหน่วยความจำแบบ 64 บิต
    ขยายขีดจำกัดจาก 4GB เป็นสูงสุด 16 exabytes
    บนเว็บยังจำกัดไว้ที่ 16GB แต่ระบบนอกเว็บสามารถใช้ได้เต็มที่

    รองรับ multiple memories ในโมดูลเดียว
    สามารถประกาศและเข้าถึง memory หลายชุดได้โดยตรง
    รองรับการคัดลอกข้อมูลระหว่าง memory ได้ทันที

    เพิ่มระบบ garbage collection แบบ low-level
    ใช้ struct และ array types เพื่อจัดการหน่วยความจำ
    ไม่มี object system หรือ closure ฝังในตัว เพื่อไม่ให้เอนเอียงกับภาษาใด

    รองรับ typed references และ call_ref
    ป้องกันการเรียกฟังก์ชันผิดประเภท
    ลดการตรวจสอบ runtime และเพิ่มความปลอดภัย

    รองรับ tail calls และ exception handling แบบ native
    tail call ช่วยลดการใช้ stack
    exception สามารถ throw และ catch ได้ภายใน Wasm โดยไม่ต้องพึ่ง JavaScript

    เพิ่ม relaxed vector instructions และ deterministic profile
    relaxed SIMD ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพบนฮาร์ดแวร์ต่างกัน
    deterministic profile ทำให้ผลลัพธ์ซ้ำได้ในระบบที่ต้องการความแม่นยำ

    รองรับ custom annotation syntax และ JS string builtins
    เพิ่มความสามารถในการสื่อสารระหว่าง Wasm กับ JavaScript
    รองรับการจัดการ string จาก JS โดยตรงใน Wasm

    ประสิทธิภาพของ Wasm 3.0 ดีขึ้นอย่างชัดเจน
    Rust คอมไพล์เร็วกว่า C++ และได้ไฟล์ขนาดเล็กกว่า
    รองรับการเข้าถึง DOM โดยตรงจาก Wasm โดยไม่ต้องผ่าน JS

    https://webassembly.org/news/2025-09-17-wasm-3.0/
    📰 Wasm 3.0 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — ยกระดับ WebAssembly สู่ยุคใหม่ของการพัฒนาแอปพลิเคชันข้ามแพลตฟอร์ม หลังจากใช้เวลาพัฒนานานกว่า 6 ปี ในที่สุด WebAssembly หรือ Wasm ก็เปิดตัวเวอร์ชัน 3.0 อย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 โดยถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่เริ่มมีมาตรฐานนี้ จุดเด่นของ Wasm 3.0 คือการเพิ่มฟีเจอร์ที่ทำให้สามารถรองรับแอปพลิเคชันขนาดใหญ่ขึ้น มีความปลอดภัยมากขึ้น และสามารถเขียนโปรแกรมในระดับสูงได้ง่ายขึ้น โดยยังคงรักษาแนวคิด “low-level but portable” ไว้อย่างเหนียวแน่น หนึ่งในฟีเจอร์ที่โดดเด่นคือการรองรับหน่วยความจำแบบ 64 บิต ซึ่งขยายขีดจำกัดจากเดิม 4GB เป็นสูงสุด 16 exabytes (ในทางทฤษฎี) แม้ว่าเบราว์เซอร์จะยังจำกัดไว้ที่ 16GB แต่ในระบบนอกเว็บ เช่น edge computing หรือ serverless ก็สามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ขนาดมหาศาลนี้ได้เต็มที่ นอกจากนี้ Wasm 3.0 ยังเพิ่มการรองรับ garbage collection แบบ low-level, การจัดการ memory หลายชุดในโมดูลเดียว, การเรียกฟังก์ชันแบบ tail call, การจัดการ exception แบบ native, และการใช้ reference types ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการกำหนดพฤติกรรมแบบ deterministic เพื่อรองรับระบบที่ต้องการผลลัพธ์ซ้ำได้ เช่น blockchain จากการทดสอบประสิทธิภาพล่าสุด พบว่า Rust สามารถคอมไพล์เป็น Wasm 3.0 ได้เร็วกว่า C++ และให้ขนาดไฟล์เล็กกว่า โดย Rust ใช้เวลาเพียง 4.2 วินาทีและได้ไฟล์ขนาด 76KB ขณะที่ C++ ใช้เวลา 6.8 วินาทีและได้ไฟล์ขนาด 92KB ✅ Wasm 3.0 เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 ➡️ เป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ WebAssembly ➡️ พัฒนาโดย W3C Community Group และ Working Group ✅ รองรับหน่วยความจำแบบ 64 บิต ➡️ ขยายขีดจำกัดจาก 4GB เป็นสูงสุด 16 exabytes ➡️ บนเว็บยังจำกัดไว้ที่ 16GB แต่ระบบนอกเว็บสามารถใช้ได้เต็มที่ ✅ รองรับ multiple memories ในโมดูลเดียว ➡️ สามารถประกาศและเข้าถึง memory หลายชุดได้โดยตรง ➡️ รองรับการคัดลอกข้อมูลระหว่าง memory ได้ทันที ✅ เพิ่มระบบ garbage collection แบบ low-level ➡️ ใช้ struct และ array types เพื่อจัดการหน่วยความจำ ➡️ ไม่มี object system หรือ closure ฝังในตัว เพื่อไม่ให้เอนเอียงกับภาษาใด ✅ รองรับ typed references และ call_ref ➡️ ป้องกันการเรียกฟังก์ชันผิดประเภท ➡️ ลดการตรวจสอบ runtime และเพิ่มความปลอดภัย ✅ รองรับ tail calls และ exception handling แบบ native ➡️ tail call ช่วยลดการใช้ stack ➡️ exception สามารถ throw และ catch ได้ภายใน Wasm โดยไม่ต้องพึ่ง JavaScript ✅ เพิ่ม relaxed vector instructions และ deterministic profile ➡️ relaxed SIMD ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพบนฮาร์ดแวร์ต่างกัน ➡️ deterministic profile ทำให้ผลลัพธ์ซ้ำได้ในระบบที่ต้องการความแม่นยำ ✅ รองรับ custom annotation syntax และ JS string builtins ➡️ เพิ่มความสามารถในการสื่อสารระหว่าง Wasm กับ JavaScript ➡️ รองรับการจัดการ string จาก JS โดยตรงใน Wasm ✅ ประสิทธิภาพของ Wasm 3.0 ดีขึ้นอย่างชัดเจน ➡️ Rust คอมไพล์เร็วกว่า C++ และได้ไฟล์ขนาดเล็กกว่า ➡️ รองรับการเข้าถึง DOM โดยตรงจาก Wasm โดยไม่ต้องผ่าน JS https://webassembly.org/news/2025-09-17-wasm-3.0/
    WEBASSEMBLY.ORG
    Wasm 3.0 Completed - WebAssembly
    WebAssembly (abbreviated Wasm) is a binary instruction format for a stack-based virtual machine. Wasm is designed as a portable compilation target for programming languages, enabling deployment on the web for client and server applications.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD เปิดตัว Ryzen 9000 PRO — ชิปองค์กร Zen 5 ที่เน้นความปลอดภัยและประสิทธิภาพ พร้อมลดพลังงานลงเหลือ 65W

    ในขณะที่ตลาดซีพียูสำหรับผู้ใช้ทั่วไปกำลังแข่งขันกันด้วยจำนวนคอร์และความเร็ว AMD ก็ไม่ลืมกลุ่มองค์กร ล่าสุดได้เปิดตัวซีรีส์ใหม่ Ryzen PRO 9000 ที่พัฒนาบนสถาปัตยกรรม Zen 5 “Granite Ridge” เช่นเดียวกับ Ryzen 9000 รุ่นทั่วไป แต่มีการปรับแต่งให้เหมาะกับการใช้งานในระดับองค์กร โดยเน้นฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย การจัดการระบบ และประสิทธิภาพที่เสถียร

    ซีรีส์นี้ประกอบด้วย 3 รุ่น ได้แก่ Ryzen 5 PRO 9645 (6 คอร์), Ryzen 7 PRO 9745 (8 คอร์) และ Ryzen 9 PRO 9945 (12 คอร์) โดยทั้งหมดมี TDP เพียง 65W ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับ Ryzen 9 9900X รุ่นทั่วไปที่มี TDP สูงถึง 120W แม้จะมีคอร์มากกว่า แต่ PRO 9945 ก็ยังสามารถทำงานได้ใกล้เคียงในหลายแง่มุม

    แม้จะไม่เน้นตัวเลขดิบ แต่ AMD ก็เผยว่า Ryzen 9 PRO 9945 มีประสิทธิภาพสูงกว่า Intel Core i7-14700 ถึง 44% ในงาน Blender และเร็วขึ้น 22% ในงาน productivity อื่น ๆ ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับองค์กรที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ประหยัดพลังงาน

    ที่น่าสนใจคือซีพียูเหล่านี้จะมาพร้อมพัดลม Wraith Stealth ในกล่อง แม้จะเป็นรุ่นองค์กรก็ตาม และจะถูกจำหน่ายผ่าน OEM เท่านั้น ไม่เปิดขายทั่วไป

    AMD เปิดตัว Ryzen PRO 9000 สำหรับองค์กร
    ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 “Granite Ridge”
    เน้นฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยและการจัดการระบบ
    จำหน่ายผ่าน OEM เท่านั้น ไม่วางขายทั่วไป

    มีทั้งหมด 3 รุ่นในซีรีส์ PRO 9000
    Ryzen 5 PRO 9645: 6 คอร์ / 12 เธรด / 3.9–5.4 GHz / 38MB cache
    Ryzen 7 PRO 9745: 8 คอร์ / 16 เธรด / 3.8–5.4 GHz / 40MB cache
    Ryzen 9 PRO 9945: 12 คอร์ / 24 เธรด / 3.4–5.4 GHz / 76MB cache

    ทุกตัวมี TDP เพียง 65W
    ลดลงจากรุ่นทั่วไปที่มี TDP สูงถึง 120W–170W
    เหมาะกับองค์กรที่ต้องการประหยัดพลังงานและลดความร้อน

    ประสิทธิภาพเทียบกับ Intel
    Ryzen 9 PRO 9945 เร็วกว่า Core i7-14700 ถึง 44% ใน Blender
    เร็วขึ้น 22% ในงาน productivity อื่น ๆ

    มาพร้อมพัดลม Wraith Stealth ในกล่อง
    แม้จะเป็นรุ่นองค์กร แต่ยังให้ชุดระบายความร้อนมาให้
    ช่วยลดต้นทุนในการติดตั้งระบบ

    คำเตือนเกี่ยวกับข้อจำกัดของซีรีส์ PRO
    ไม่เปิดขายทั่วไป ต้องซื้อผ่าน OEM เท่านั้น
    Ryzen 9 PRO 9945 มีคอร์น้อยกว่ารุ่น 9900X (12 vs 16)
    ความเร็ว base clock ลดลงจากรุ่นก่อนหน้า (3.4 GHz vs 3.7 GHz)
    Ryzen PRO ยังไม่ครบเครื่องเท่า Intel vPro ในบางด้านของการจัดการระบบ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-launches-ryzen-9000-pro-series-flagship-model-tops-out-at-12-cores-new-enterprise-lineup-includes-3-cpus-for-oems-featuring-added-business-and-security-features
    📰 AMD เปิดตัว Ryzen 9000 PRO — ชิปองค์กร Zen 5 ที่เน้นความปลอดภัยและประสิทธิภาพ พร้อมลดพลังงานลงเหลือ 65W ในขณะที่ตลาดซีพียูสำหรับผู้ใช้ทั่วไปกำลังแข่งขันกันด้วยจำนวนคอร์และความเร็ว AMD ก็ไม่ลืมกลุ่มองค์กร ล่าสุดได้เปิดตัวซีรีส์ใหม่ Ryzen PRO 9000 ที่พัฒนาบนสถาปัตยกรรม Zen 5 “Granite Ridge” เช่นเดียวกับ Ryzen 9000 รุ่นทั่วไป แต่มีการปรับแต่งให้เหมาะกับการใช้งานในระดับองค์กร โดยเน้นฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย การจัดการระบบ และประสิทธิภาพที่เสถียร ซีรีส์นี้ประกอบด้วย 3 รุ่น ได้แก่ Ryzen 5 PRO 9645 (6 คอร์), Ryzen 7 PRO 9745 (8 คอร์) และ Ryzen 9 PRO 9945 (12 คอร์) โดยทั้งหมดมี TDP เพียง 65W ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับ Ryzen 9 9900X รุ่นทั่วไปที่มี TDP สูงถึง 120W แม้จะมีคอร์มากกว่า แต่ PRO 9945 ก็ยังสามารถทำงานได้ใกล้เคียงในหลายแง่มุม แม้จะไม่เน้นตัวเลขดิบ แต่ AMD ก็เผยว่า Ryzen 9 PRO 9945 มีประสิทธิภาพสูงกว่า Intel Core i7-14700 ถึง 44% ในงาน Blender และเร็วขึ้น 22% ในงาน productivity อื่น ๆ ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับองค์กรที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ประหยัดพลังงาน ที่น่าสนใจคือซีพียูเหล่านี้จะมาพร้อมพัดลม Wraith Stealth ในกล่อง แม้จะเป็นรุ่นองค์กรก็ตาม และจะถูกจำหน่ายผ่าน OEM เท่านั้น ไม่เปิดขายทั่วไป ✅ AMD เปิดตัว Ryzen PRO 9000 สำหรับองค์กร ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 “Granite Ridge” ➡️ เน้นฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยและการจัดการระบบ ➡️ จำหน่ายผ่าน OEM เท่านั้น ไม่วางขายทั่วไป ✅ มีทั้งหมด 3 รุ่นในซีรีส์ PRO 9000 ➡️ Ryzen 5 PRO 9645: 6 คอร์ / 12 เธรด / 3.9–5.4 GHz / 38MB cache ➡️ Ryzen 7 PRO 9745: 8 คอร์ / 16 เธรด / 3.8–5.4 GHz / 40MB cache ➡️ Ryzen 9 PRO 9945: 12 คอร์ / 24 เธรด / 3.4–5.4 GHz / 76MB cache ✅ ทุกตัวมี TDP เพียง 65W ➡️ ลดลงจากรุ่นทั่วไปที่มี TDP สูงถึง 120W–170W ➡️ เหมาะกับองค์กรที่ต้องการประหยัดพลังงานและลดความร้อน ✅ ประสิทธิภาพเทียบกับ Intel ➡️ Ryzen 9 PRO 9945 เร็วกว่า Core i7-14700 ถึง 44% ใน Blender ➡️ เร็วขึ้น 22% ในงาน productivity อื่น ๆ ✅ มาพร้อมพัดลม Wraith Stealth ในกล่อง ➡️ แม้จะเป็นรุ่นองค์กร แต่ยังให้ชุดระบายความร้อนมาให้ ➡️ ช่วยลดต้นทุนในการติดตั้งระบบ ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับข้อจำกัดของซีรีส์ PRO ⛔ ไม่เปิดขายทั่วไป ต้องซื้อผ่าน OEM เท่านั้น ⛔ Ryzen 9 PRO 9945 มีคอร์น้อยกว่ารุ่น 9900X (12 vs 16) ⛔ ความเร็ว base clock ลดลงจากรุ่นก่อนหน้า (3.4 GHz vs 3.7 GHz) ⛔ Ryzen PRO ยังไม่ครบเครื่องเท่า Intel vPro ในบางด้านของการจัดการระบบ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-launches-ryzen-9000-pro-series-flagship-model-tops-out-at-12-cores-new-enterprise-lineup-includes-3-cpus-for-oems-featuring-added-business-and-security-features
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
  • Ryzen AI Max+ 395: ชิป AI ที่อาจเป็นหมัดเด็ดของ AMD พลิกเกมตลาดมินิพีซีและแล็ปท็อปทั่วโลก

    ในปี 2025 AMD ได้เปิดตัวชิป Ryzen AI Max+ 395 ซึ่งเป็นหัวใจของแพลตฟอร์ม Strix Halo ที่รวม CPU, GPU และ NPU ไว้ในตัวเดียวกัน โดยมีจุดเด่นคือการรองรับงาน AI ที่ขอบเครือข่าย (Edge AI) ด้วยพลังประมวลผลสูงถึง 50 TOPS และหน่วยความจำ UMA ที่สามารถใช้ RAM สูงสุดถึง 96GB เป็นหน่วยความจำกราฟิกโดยตรง

    ชิปนี้ถูกนำไปใช้ในมินิพีซีและแล็ปท็อปกว่า 30 รุ่นภายในเวลาเพียง 8 เดือน โดยมีแบรนด์อย่าง Asus, HP, Beelink และ GMKtec ร่วมวงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ตั้งแต่ดีไซน์ทรงลูกบาศก์สุดล้ำ ไปจนถึงเครื่องแบบ tower ขนาดเล็กที่เน้นประสิทธิภาพระดับมืออาชีพ

    หนึ่งในรุ่นที่โดดเด่นคือ GMKtec EVO-X2 ซึ่งมาพร้อม RAM 64–128GB และ Radeon RX 8060S ที่ให้ประสิทธิภาพสูงในการเล่นเกม การเรนเดอร์ 3D และงาน AI แบบ local โดยมีการทดสอบแล้วว่าให้คะแนน multi-core สูงถึง 15,526.6 คะแนนใน CPU-Z

    แม้ AMD จะเคลมว่ากราฟิกในตัวสามารถเทียบชั้นกับ RTX รุ่นพกพา แต่ยังไม่มีการทดสอบในวงกว้างเพื่อยืนยันข้อกล่าวอ้างนี้ และอุปกรณ์ที่ใช้ชิปนี้ยังมีจำกัดในตลาดจริง

    AMD เปิดตัว Ryzen AI Max+ 395 ในแพลตฟอร์ม Strix Halo
    รวม CPU 16 คอร์ Zen 5, GPU RDNA 3.5 40 หน่วย และ NPU XDNA 2
    รองรับหน่วยความจำ UMA สูงสุด 96GB สำหรับงานกราฟิก
    พลังประมวลผล AI สูงถึง 50 TOPS

    มีการเปิดตัวมินิพีซีและแล็ปท็อปกว่า 30 รุ่น
    แบรนด์ที่เข้าร่วม ได้แก่ Asus, HP, Beelink, GMKtec
    ดีไซน์หลากหลาย ตั้งแต่ทรงลูกบาศก์ไปจนถึง tower ขนาดเล็ก
    รุ่นเด่น GMKtec EVO-X2 มาพร้อม Radeon RX 8060S และ RAM สูงสุด 128GB

    ประสิทธิภาพในการใช้งานจริงเริ่มมีการทดสอบ
    CPU-Z ให้คะแนน multi-core สูงถึง 15,526.6
    รองรับงาน AI, เกม และการเรนเดอร์ 3D ได้ดี
    ระบบระบายความร้อนมีประสิทธิภาพและเสียงเงียบ

    ราคาถูกกว่าระบบ AI server แบบเดิม
    มินิพีซี Strix Halo มีราคาประมาณ $1,800–$2,800
    ใช้พลังงานต่ำกว่า 300W และวางบนโต๊ะได้สะดวก

    คำเตือนเกี่ยวกับข้อจำกัดของชิป Ryzen AI Max+ 395
    อุปกรณ์ที่ใช้ชิปนี้ยังมีจำกัดในตลาดจริง
    การเคลมว่า iGPU เทียบชั้น RTX ยังไม่มีการพิสูจน์ในวงกว้าง
    รุ่น Engineering Sample ยังพบปัญหา BIOS และการจัดการพลังงาน
    การบำรุงรักษาอุปกรณ์บางรุ่นยังทำได้ยากเนื่องจากดีไซน์ซับซ้อน

    https://www.techradar.com/pro/ryzen-ai-max-395-cpu-could-be-amds-sleeper-hit-against-nvidias-ai-dominance-as-nearly-30-strix-halo-mini-ai-workstation-models-hit-the-market-including-some-rather-funky-ones
    📰 Ryzen AI Max+ 395: ชิป AI ที่อาจเป็นหมัดเด็ดของ AMD พลิกเกมตลาดมินิพีซีและแล็ปท็อปทั่วโลก ในปี 2025 AMD ได้เปิดตัวชิป Ryzen AI Max+ 395 ซึ่งเป็นหัวใจของแพลตฟอร์ม Strix Halo ที่รวม CPU, GPU และ NPU ไว้ในตัวเดียวกัน โดยมีจุดเด่นคือการรองรับงาน AI ที่ขอบเครือข่าย (Edge AI) ด้วยพลังประมวลผลสูงถึง 50 TOPS และหน่วยความจำ UMA ที่สามารถใช้ RAM สูงสุดถึง 96GB เป็นหน่วยความจำกราฟิกโดยตรง ชิปนี้ถูกนำไปใช้ในมินิพีซีและแล็ปท็อปกว่า 30 รุ่นภายในเวลาเพียง 8 เดือน โดยมีแบรนด์อย่าง Asus, HP, Beelink และ GMKtec ร่วมวงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ตั้งแต่ดีไซน์ทรงลูกบาศก์สุดล้ำ ไปจนถึงเครื่องแบบ tower ขนาดเล็กที่เน้นประสิทธิภาพระดับมืออาชีพ หนึ่งในรุ่นที่โดดเด่นคือ GMKtec EVO-X2 ซึ่งมาพร้อม RAM 64–128GB และ Radeon RX 8060S ที่ให้ประสิทธิภาพสูงในการเล่นเกม การเรนเดอร์ 3D และงาน AI แบบ local โดยมีการทดสอบแล้วว่าให้คะแนน multi-core สูงถึง 15,526.6 คะแนนใน CPU-Z แม้ AMD จะเคลมว่ากราฟิกในตัวสามารถเทียบชั้นกับ RTX รุ่นพกพา แต่ยังไม่มีการทดสอบในวงกว้างเพื่อยืนยันข้อกล่าวอ้างนี้ และอุปกรณ์ที่ใช้ชิปนี้ยังมีจำกัดในตลาดจริง ✅ AMD เปิดตัว Ryzen AI Max+ 395 ในแพลตฟอร์ม Strix Halo ➡️ รวม CPU 16 คอร์ Zen 5, GPU RDNA 3.5 40 หน่วย และ NPU XDNA 2 ➡️ รองรับหน่วยความจำ UMA สูงสุด 96GB สำหรับงานกราฟิก ➡️ พลังประมวลผล AI สูงถึง 50 TOPS ✅ มีการเปิดตัวมินิพีซีและแล็ปท็อปกว่า 30 รุ่น ➡️ แบรนด์ที่เข้าร่วม ได้แก่ Asus, HP, Beelink, GMKtec ➡️ ดีไซน์หลากหลาย ตั้งแต่ทรงลูกบาศก์ไปจนถึง tower ขนาดเล็ก ➡️ รุ่นเด่น GMKtec EVO-X2 มาพร้อม Radeon RX 8060S และ RAM สูงสุด 128GB ✅ ประสิทธิภาพในการใช้งานจริงเริ่มมีการทดสอบ ➡️ CPU-Z ให้คะแนน multi-core สูงถึง 15,526.6 ➡️ รองรับงาน AI, เกม และการเรนเดอร์ 3D ได้ดี ➡️ ระบบระบายความร้อนมีประสิทธิภาพและเสียงเงียบ ✅ ราคาถูกกว่าระบบ AI server แบบเดิม ➡️ มินิพีซี Strix Halo มีราคาประมาณ $1,800–$2,800 ➡️ ใช้พลังงานต่ำกว่า 300W และวางบนโต๊ะได้สะดวก ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับข้อจำกัดของชิป Ryzen AI Max+ 395 ⛔ อุปกรณ์ที่ใช้ชิปนี้ยังมีจำกัดในตลาดจริง ⛔ การเคลมว่า iGPU เทียบชั้น RTX ยังไม่มีการพิสูจน์ในวงกว้าง ⛔ รุ่น Engineering Sample ยังพบปัญหา BIOS และการจัดการพลังงาน ⛔ การบำรุงรักษาอุปกรณ์บางรุ่นยังทำได้ยากเนื่องจากดีไซน์ซับซ้อน https://www.techradar.com/pro/ryzen-ai-max-395-cpu-could-be-amds-sleeper-hit-against-nvidias-ai-dominance-as-nearly-30-strix-halo-mini-ai-workstation-models-hit-the-market-including-some-rather-funky-ones
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 80 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนสั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ซื้อชิป AI จาก Nvidia — ผลักดันใช้โปรเซสเซอร์ในประเทศแทน

    ในความเคลื่อนไหวที่สะท้อนถึงความตึงเครียดด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน ล่าสุดมีรายงานว่า รัฐบาลจีนได้สั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของประเทศ เช่น Alibaba, ByteDance, Baidu และ Tencent ทำการจัดซื้อชิป AI จาก Nvidia แม้จะเป็นรุ่นที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีนอย่าง H800 และ A800 ก็ตาม

    คำสั่งนี้มีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้บริษัทจีนหันมาใช้โปรเซสเซอร์ที่ผลิตภายในประเทศ เช่น Huawei Ascend 910B และ Moore Threads ซึ่งทางการจีนอ้างว่ามีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับชิปรุ่น H20 และ RTX 6000 Pro ของ Nvidia

    การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯ ออกมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ไปยังจีน โดยเฉพาะชิปรุ่นใหม่ที่มีความสามารถสูง ซึ่งอาจนำไปใช้ในงานด้านการทหารหรือการพัฒนาเทคโนโลยีที่อ่อนไหว

    แม้บริษัทจีนจะยังสามารถเข้าถึงชิปรุ่นเก่าของ Nvidia ได้ แต่การห้ามซื้อชิปรุ่นใหม่อาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนา AI และการประมวลผลขั้นสูงในระยะยาว

    จีนสั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ซื้อชิป AI จาก Nvidia
    รวมถึงชิปรุ่น H800 และ A800 ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน
    บริษัทที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ Alibaba, ByteDance, Baidu และ Tencent

    ผลักดันให้ใช้โปรเซสเซอร์ที่ผลิตในประเทศ
    เช่น Huawei Ascend 910B และ Moore Threads
    ทางการจีนอ้างว่ามีประสิทธิภาพเทียบเท่าชิปรุ่น H20 และ RTX 6000 Pro

    สหรัฐฯ มีมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ไปยังจีน
    โดยเฉพาะชิปรุ่นใหม่ที่มีความสามารถสูง
    หวั่นว่าจะถูกนำไปใช้ในงานด้านการทหารหรือเทคโนโลยีอ่อนไหว

    บริษัทจีนยังสามารถเข้าถึงชิปรุ่นเก่าของ Nvidia ได้
    แต่การห้ามซื้อชิปรุ่นใหม่อาจส่งผลต่อการพัฒนา AI ในระยะยาว

    คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI ในจีน
    การจำกัดการเข้าถึงชิปอาจทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีล่าช้า
    อาจกระทบต่อการแข่งขันระดับโลกในด้าน AI และการประมวลผลขั้นสูง
    บริษัทจีนอาจต้องลงทุนเพิ่มในการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-bans-its-biggest-tech-companies-from-acquiring-nvidia-chips-says-report-beijing-claims-its-homegrown-ai-processors-now-match-h20-and-rtx-pro-6000d
    📰 จีนสั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ซื้อชิป AI จาก Nvidia — ผลักดันใช้โปรเซสเซอร์ในประเทศแทน ในความเคลื่อนไหวที่สะท้อนถึงความตึงเครียดด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน ล่าสุดมีรายงานว่า รัฐบาลจีนได้สั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของประเทศ เช่น Alibaba, ByteDance, Baidu และ Tencent ทำการจัดซื้อชิป AI จาก Nvidia แม้จะเป็นรุ่นที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีนอย่าง H800 และ A800 ก็ตาม คำสั่งนี้มีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้บริษัทจีนหันมาใช้โปรเซสเซอร์ที่ผลิตภายในประเทศ เช่น Huawei Ascend 910B และ Moore Threads ซึ่งทางการจีนอ้างว่ามีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับชิปรุ่น H20 และ RTX 6000 Pro ของ Nvidia การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯ ออกมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ไปยังจีน โดยเฉพาะชิปรุ่นใหม่ที่มีความสามารถสูง ซึ่งอาจนำไปใช้ในงานด้านการทหารหรือการพัฒนาเทคโนโลยีที่อ่อนไหว แม้บริษัทจีนจะยังสามารถเข้าถึงชิปรุ่นเก่าของ Nvidia ได้ แต่การห้ามซื้อชิปรุ่นใหม่อาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนา AI และการประมวลผลขั้นสูงในระยะยาว ✅ จีนสั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ซื้อชิป AI จาก Nvidia ➡️ รวมถึงชิปรุ่น H800 และ A800 ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน ➡️ บริษัทที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ Alibaba, ByteDance, Baidu และ Tencent ✅ ผลักดันให้ใช้โปรเซสเซอร์ที่ผลิตในประเทศ ➡️ เช่น Huawei Ascend 910B และ Moore Threads ➡️ ทางการจีนอ้างว่ามีประสิทธิภาพเทียบเท่าชิปรุ่น H20 และ RTX 6000 Pro ✅ สหรัฐฯ มีมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ไปยังจีน ➡️ โดยเฉพาะชิปรุ่นใหม่ที่มีความสามารถสูง ➡️ หวั่นว่าจะถูกนำไปใช้ในงานด้านการทหารหรือเทคโนโลยีอ่อนไหว ✅ บริษัทจีนยังสามารถเข้าถึงชิปรุ่นเก่าของ Nvidia ได้ ➡️ แต่การห้ามซื้อชิปรุ่นใหม่อาจส่งผลต่อการพัฒนา AI ในระยะยาว ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI ในจีน ⛔ การจำกัดการเข้าถึงชิปอาจทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีล่าช้า ⛔ อาจกระทบต่อการแข่งขันระดับโลกในด้าน AI และการประมวลผลขั้นสูง ⛔ บริษัทจีนอาจต้องลงทุนเพิ่มในการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-bans-its-biggest-tech-companies-from-acquiring-nvidia-chips-says-report-beijing-claims-its-homegrown-ai-processors-now-match-h20-and-rtx-pro-6000d
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
  • “SMIC ทดสอบเครื่อง DUV ฝีมือจีนครั้งแรก — ความหวังใหม่สู่การผลิตชิป 5nm โดยไม่ต้องพึ่ง ASML”

    ในช่วงกลางเดือนกันยายน 2025 มีรายงานจาก Financial Times ว่า SMIC (Semiconductor Manufacturing International Corporation) ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของจีน กำลังทดสอบเครื่อง lithography แบบ DUV (Deep Ultraviolet) ที่ผลิตโดยบริษัทสตาร์ทอัพในประเทศชื่อ Yuliangsheng ซึ่งตั้งอยู่ในเซี่ยงไฮ้ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่จีนสามารถผลิตเครื่อง DUV ได้เอง และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการพึ่งพาตนเองด้านอุปกรณ์ผลิตชิปขั้นสูง

    เดิมที SMIC ต้องพึ่งพาเครื่องจักรจาก ASML บริษัทเนเธอร์แลนด์ที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี lithography แต่เนื่องจากข้อจำกัดด้านการส่งออกจากสหรัฐฯ ทำให้จีนไม่สามารถเข้าถึงเครื่อง EUV (Extreme Ultraviolet) ได้ ซึ่งจำเป็นสำหรับการผลิตชิประดับ 5nm และต่ำกว่า

    แม้เครื่อง DUV ของ Yuliangsheng จะยังไม่สามารถเทียบเท่า EUV ได้ แต่มีการระบุว่าสามารถ “scale” การผลิตได้ถึงระดับ 5nm ด้วยเทคนิคการทำ pattern ซ้ำหลายชั้น (multi-patterning) อย่างไรก็ตาม วิธีนี้มีความเสี่ยงด้าน yield หรืออัตราการผลิตชิปที่ใช้งานได้จริง เนื่องจากการจัดตำแหน่งหลายชั้นอาจเกิดข้อผิดพลาดสะสม

    SMIC เคยใช้วิธีนี้ในการผลิตชิป 7nm มาก่อน และยอมรับ yield ที่ต่ำเพื่อให้สามารถผลิตได้ในปริมาณมาก ซึ่งอาจเป็นแนวทางเดียวกันสำหรับการผลิต 5nm ด้วยเครื่อง DUV ภายในประเทศ โดยเฉพาะเมื่อความต้องการชิป AI ในจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

    การพัฒนาเครื่อง DUV นี้ยังมีความท้าทาย เพราะแม้ส่วนใหญ่ของชิ้นส่วนจะผลิตในประเทศ แต่บางส่วนยังต้องนำเข้าจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม Yuliangsheng กำลังพยายามพัฒนาให้ทุกชิ้นส่วนสามารถผลิตในจีนได้ในอนาคต

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    SMIC กำลังทดสอบเครื่อง DUV ที่ผลิตโดยบริษัทจีน Yuliangsheng
    เป็นครั้งแรกที่จีนสามารถผลิตเครื่อง lithography แบบ DUV ได้เอง
    เครื่องนี้อาจสามารถ scale การผลิตชิปได้ถึงระดับ 5nm ด้วยเทคนิค multi-patterning
    SMIC เคยใช้วิธีนี้ในการผลิตชิป 7nm โดยยอมรับ yield ต่ำเพื่อให้ผลิตได้

    ความเคลื่อนไหวในอุตสาหกรรม
    ความต้องการชิป AI ในจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องเร่งพัฒนาอุปกรณ์ภายในประเทศ
    SMIC ไม่สามารถเข้าถึงเครื่อง EUV จาก ASML เนื่องจากข้อจำกัดด้านการส่งออก
    เครื่อง DUV ของ Yuliangsheng ใช้เทคโนโลยี immersion คล้ายกับของ ASML
    ส่วนประกอบบางส่วนยังนำเข้าจากต่างประเทศ แต่มีแผนพัฒนาให้ผลิตในจีนทั้งหมด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SMIC เคยผลิตชิป 5nm โดยใช้เทคนิค SAQP (Self-Aligned Quadruple Patterning) บนเครื่อง DUV
    Huawei ใช้ชิปจาก SMIC ใน Ascend 920 ที่ผลิตบนกระบวนการ 6nm และให้ประสิทธิภาพสูงถึง 900 TFLOPS1
    บริษัทจีนอย่าง AMEC และ NAURA เริ่มแข่งขันกับ Lam Research และ TEL ในด้านอุปกรณ์ประกอบการผลิตชิป
    จีนตั้งเป้าเป็นผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลกภายในปี 2030 โดยเน้นการพึ่งพาตนเองในทุกขั้นตอน

    https://wccftech.com/china-smic-reportedly-testing-nations-first-self-built-duv-machine/
    🔬 “SMIC ทดสอบเครื่อง DUV ฝีมือจีนครั้งแรก — ความหวังใหม่สู่การผลิตชิป 5nm โดยไม่ต้องพึ่ง ASML” ในช่วงกลางเดือนกันยายน 2025 มีรายงานจาก Financial Times ว่า SMIC (Semiconductor Manufacturing International Corporation) ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของจีน กำลังทดสอบเครื่อง lithography แบบ DUV (Deep Ultraviolet) ที่ผลิตโดยบริษัทสตาร์ทอัพในประเทศชื่อ Yuliangsheng ซึ่งตั้งอยู่ในเซี่ยงไฮ้ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่จีนสามารถผลิตเครื่อง DUV ได้เอง และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการพึ่งพาตนเองด้านอุปกรณ์ผลิตชิปขั้นสูง เดิมที SMIC ต้องพึ่งพาเครื่องจักรจาก ASML บริษัทเนเธอร์แลนด์ที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี lithography แต่เนื่องจากข้อจำกัดด้านการส่งออกจากสหรัฐฯ ทำให้จีนไม่สามารถเข้าถึงเครื่อง EUV (Extreme Ultraviolet) ได้ ซึ่งจำเป็นสำหรับการผลิตชิประดับ 5nm และต่ำกว่า แม้เครื่อง DUV ของ Yuliangsheng จะยังไม่สามารถเทียบเท่า EUV ได้ แต่มีการระบุว่าสามารถ “scale” การผลิตได้ถึงระดับ 5nm ด้วยเทคนิคการทำ pattern ซ้ำหลายชั้น (multi-patterning) อย่างไรก็ตาม วิธีนี้มีความเสี่ยงด้าน yield หรืออัตราการผลิตชิปที่ใช้งานได้จริง เนื่องจากการจัดตำแหน่งหลายชั้นอาจเกิดข้อผิดพลาดสะสม SMIC เคยใช้วิธีนี้ในการผลิตชิป 7nm มาก่อน และยอมรับ yield ที่ต่ำเพื่อให้สามารถผลิตได้ในปริมาณมาก ซึ่งอาจเป็นแนวทางเดียวกันสำหรับการผลิต 5nm ด้วยเครื่อง DUV ภายในประเทศ โดยเฉพาะเมื่อความต้องการชิป AI ในจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การพัฒนาเครื่อง DUV นี้ยังมีความท้าทาย เพราะแม้ส่วนใหญ่ของชิ้นส่วนจะผลิตในประเทศ แต่บางส่วนยังต้องนำเข้าจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม Yuliangsheng กำลังพยายามพัฒนาให้ทุกชิ้นส่วนสามารถผลิตในจีนได้ในอนาคต ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ SMIC กำลังทดสอบเครื่อง DUV ที่ผลิตโดยบริษัทจีน Yuliangsheng ➡️ เป็นครั้งแรกที่จีนสามารถผลิตเครื่อง lithography แบบ DUV ได้เอง ➡️ เครื่องนี้อาจสามารถ scale การผลิตชิปได้ถึงระดับ 5nm ด้วยเทคนิค multi-patterning ➡️ SMIC เคยใช้วิธีนี้ในการผลิตชิป 7nm โดยยอมรับ yield ต่ำเพื่อให้ผลิตได้ ✅ ความเคลื่อนไหวในอุตสาหกรรม ➡️ ความต้องการชิป AI ในจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องเร่งพัฒนาอุปกรณ์ภายในประเทศ ➡️ SMIC ไม่สามารถเข้าถึงเครื่อง EUV จาก ASML เนื่องจากข้อจำกัดด้านการส่งออก ➡️ เครื่อง DUV ของ Yuliangsheng ใช้เทคโนโลยี immersion คล้ายกับของ ASML ➡️ ส่วนประกอบบางส่วนยังนำเข้าจากต่างประเทศ แต่มีแผนพัฒนาให้ผลิตในจีนทั้งหมด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SMIC เคยผลิตชิป 5nm โดยใช้เทคนิค SAQP (Self-Aligned Quadruple Patterning) บนเครื่อง DUV ➡️ Huawei ใช้ชิปจาก SMIC ใน Ascend 920 ที่ผลิตบนกระบวนการ 6nm และให้ประสิทธิภาพสูงถึง 900 TFLOPS1 ➡️ บริษัทจีนอย่าง AMEC และ NAURA เริ่มแข่งขันกับ Lam Research และ TEL ในด้านอุปกรณ์ประกอบการผลิตชิป ➡️ จีนตั้งเป้าเป็นผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลกภายในปี 2030 โดยเน้นการพึ่งพาตนเองในทุกขั้นตอน https://wccftech.com/china-smic-reportedly-testing-nations-first-self-built-duv-machine/
    WCCFTECH.COM
    China's SMIC Reportedly Testing Nation's First Self-Built DUV Machine in a Major Breakthrough That Could Scale Production to 5nm
    China's chip segment might have witnessed another breakthrough, as a new report claims that SMIC is trialing the first in-house DUV machine.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Phoenix RowHammer โจมตีทะลุ DDR5 ภายใน 109 วินาที — ECC ก็เอาไม่อยู่ นักวิจัยเตือน DRAM ทั่วโลกยังเสี่ยง”

    ช่องโหว่ RowHammer กลับมาอีกครั้งในรูปแบบใหม่ชื่อว่า “Phoenix” (CVE-2025-6202) ซึ่งถูกค้นพบโดยทีมนักวิจัยจาก ETH Zürich และ Google โดยสามารถโจมตีหน่วยความจำ DDR5 ของ SK Hynix ได้สำเร็จภายในเวลาเพียง 109 วินาที บนเครื่องเดสก์ท็อปทั่วไปที่ใช้การตั้งค่ามาตรฐาน

    RowHammer คือเทคนิคที่ใช้การ “เคาะ” แถวหน่วยความจำซ้ำ ๆ เพื่อสร้างการรบกวนทางไฟฟ้าในแถวข้างเคียง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบิตโดยไม่ได้เข้าถึงโดยตรง ซึ่งสามารถนำไปสู่การยกระดับสิทธิ์, ขโมยข้อมูล, หรือแม้แต่การเจาะระบบ VM ที่อยู่ใกล้กัน

    Phoenix ใช้การ reverse engineering เพื่อเจาะระบบป้องกัน TRR (Target Row Refresh) ที่มีอยู่ใน DRAM โดยพบว่าการรีเฟรชมีช่วง sampling ที่ซ้ำทุก 128 tREFI และมีจุดอ่อนในช่วงต้นของแต่ละรอบ นักวิจัยจึงออกแบบ pattern ใหม่ที่เรียกว่า 128-tREFI และ 2608-tREFI พร้อมระบบ “self-correcting refresh synchronization” ที่ช่วยให้การโจมตีแม่นยำแม้เกิดการรีเฟรชผิดพลาด

    จากการทดสอบบนโมดูล DDR5 ของ SK Hynix จำนวน 15 รุ่น พบว่าทุกตัวสามารถถูกโจมตีได้ และสามารถใช้เพื่อขโมยคีย์ RSA-2048 จาก VM ที่อยู่ใกล้กัน หรือยกระดับสิทธิ์ผ่านไฟล์ sudo ได้จริง

    นักวิจัยแนะนำให้เพิ่มอัตราการรีเฟรช DRAM เป็น 3 เท่า ซึ่งช่วยลดการโจมตีได้ แต่แลกกับประสิทธิภาพที่ลดลงถึง 8.4% บน SPEC CPU2017 และเตือนว่า DRAM ที่ใช้งานอยู่ไม่สามารถอัปเดตได้ ทำให้ช่องโหว่นี้จะยังคงอยู่ไปอีกหลายปี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ช่องโหว่ “Phoenix” (CVE-2025-6202) เป็น RowHammer รุ่นใหม่ที่โจมตี DDR5 ได้
    ใช้เวลาโจมตีเพียง 109 วินาทีบนเครื่องเดสก์ท็อปทั่วไป
    ใช้ pattern 128-tREFI และ 2608-tREFI พร้อมระบบ sync อัตโนมัติ
    ทดสอบบน DDR5 ของ SK Hynix 15 รุ่น พบว่าทุกตัวมี bit flip

    ผลกระทบและการโจมตี
    สามารถขโมยคีย์ RSA-2048 จาก VM ที่อยู่ใกล้กัน
    ใช้ไฟล์ sudo เพื่อยกระดับสิทธิ์เป็น root ได้
    ECC แบบฝังในชิปไม่สามารถป้องกันการโจมตีได้
    TRR ที่ใช้ใน DRAM มีช่องโหว่ด้าน sampling ที่ถูกเจาะ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    RowHammer ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 2014 และยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
    ช่องโหว่คล้ายกันในอดีต ได้แก่ TRRespass, SMASH, Half-Double และ Blacksmith
    การเพิ่ม refresh rate เป็นวิธีแก้ชั่วคราวที่มีต้นทุนด้านประสิทธิภาพ
    โค้ดทดสอบ Phoenix ถูกเผยแพร่บน GitHub เพื่อใช้ตรวจสอบ DIMM

    https://www.techradar.com/pro/security/new-phoenix-rowhammer-attack-cracks-open-ddr5-memory-defenses-in-minutes
    ⚠️ “Phoenix RowHammer โจมตีทะลุ DDR5 ภายใน 109 วินาที — ECC ก็เอาไม่อยู่ นักวิจัยเตือน DRAM ทั่วโลกยังเสี่ยง” ช่องโหว่ RowHammer กลับมาอีกครั้งในรูปแบบใหม่ชื่อว่า “Phoenix” (CVE-2025-6202) ซึ่งถูกค้นพบโดยทีมนักวิจัยจาก ETH Zürich และ Google โดยสามารถโจมตีหน่วยความจำ DDR5 ของ SK Hynix ได้สำเร็จภายในเวลาเพียง 109 วินาที บนเครื่องเดสก์ท็อปทั่วไปที่ใช้การตั้งค่ามาตรฐาน RowHammer คือเทคนิคที่ใช้การ “เคาะ” แถวหน่วยความจำซ้ำ ๆ เพื่อสร้างการรบกวนทางไฟฟ้าในแถวข้างเคียง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบิตโดยไม่ได้เข้าถึงโดยตรง ซึ่งสามารถนำไปสู่การยกระดับสิทธิ์, ขโมยข้อมูล, หรือแม้แต่การเจาะระบบ VM ที่อยู่ใกล้กัน Phoenix ใช้การ reverse engineering เพื่อเจาะระบบป้องกัน TRR (Target Row Refresh) ที่มีอยู่ใน DRAM โดยพบว่าการรีเฟรชมีช่วง sampling ที่ซ้ำทุก 128 tREFI และมีจุดอ่อนในช่วงต้นของแต่ละรอบ นักวิจัยจึงออกแบบ pattern ใหม่ที่เรียกว่า 128-tREFI และ 2608-tREFI พร้อมระบบ “self-correcting refresh synchronization” ที่ช่วยให้การโจมตีแม่นยำแม้เกิดการรีเฟรชผิดพลาด จากการทดสอบบนโมดูล DDR5 ของ SK Hynix จำนวน 15 รุ่น พบว่าทุกตัวสามารถถูกโจมตีได้ และสามารถใช้เพื่อขโมยคีย์ RSA-2048 จาก VM ที่อยู่ใกล้กัน หรือยกระดับสิทธิ์ผ่านไฟล์ sudo ได้จริง นักวิจัยแนะนำให้เพิ่มอัตราการรีเฟรช DRAM เป็น 3 เท่า ซึ่งช่วยลดการโจมตีได้ แต่แลกกับประสิทธิภาพที่ลดลงถึง 8.4% บน SPEC CPU2017 และเตือนว่า DRAM ที่ใช้งานอยู่ไม่สามารถอัปเดตได้ ทำให้ช่องโหว่นี้จะยังคงอยู่ไปอีกหลายปี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ช่องโหว่ “Phoenix” (CVE-2025-6202) เป็น RowHammer รุ่นใหม่ที่โจมตี DDR5 ได้ ➡️ ใช้เวลาโจมตีเพียง 109 วินาทีบนเครื่องเดสก์ท็อปทั่วไป ➡️ ใช้ pattern 128-tREFI และ 2608-tREFI พร้อมระบบ sync อัตโนมัติ ➡️ ทดสอบบน DDR5 ของ SK Hynix 15 รุ่น พบว่าทุกตัวมี bit flip ✅ ผลกระทบและการโจมตี ➡️ สามารถขโมยคีย์ RSA-2048 จาก VM ที่อยู่ใกล้กัน ➡️ ใช้ไฟล์ sudo เพื่อยกระดับสิทธิ์เป็น root ได้ ➡️ ECC แบบฝังในชิปไม่สามารถป้องกันการโจมตีได้ ➡️ TRR ที่ใช้ใน DRAM มีช่องโหว่ด้าน sampling ที่ถูกเจาะ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ RowHammer ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 2014 และยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ➡️ ช่องโหว่คล้ายกันในอดีต ได้แก่ TRRespass, SMASH, Half-Double และ Blacksmith ➡️ การเพิ่ม refresh rate เป็นวิธีแก้ชั่วคราวที่มีต้นทุนด้านประสิทธิภาพ ➡️ โค้ดทดสอบ Phoenix ถูกเผยแพร่บน GitHub เพื่อใช้ตรวจสอบ DIMM https://www.techradar.com/pro/security/new-phoenix-rowhammer-attack-cracks-open-ddr5-memory-defenses-in-minutes
    WWW.TECHRADAR.COM
    New Phoenix RowHammer Threat Exposes DDR5 Memory to Rapid Attacks
    It took researchers less than two minutes to crack open a computer
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Phoenix Rowhammer โจมตีทะลุ ECC — ช่องโหว่ใหม่ใน DDR5 จาก SK Hynix ที่ใช้เวลาแค่ 109 วินาที!”

    ทีมนักวิจัยจาก ETH Zurich และ Google ได้เปิดเผยช่องโหว่ใหม่ในหน่วยความจำ DDR5 ของ SK Hynix ที่สามารถถูกโจมตีด้วยเทคนิค Rowhammer รุ่นใหม่ชื่อว่า “Phoenix” (CVE-2025-6202) ซึ่งสามารถทะลุการป้องกันแบบ ECC ที่ฝังอยู่ในชิปได้ภายในเวลาเพียง 109 วินาที ถือเป็นการโจมตีระดับ privilege escalation ที่เกิดขึ้นได้จริงบนเครื่องเดสก์ท็อปทั่วไป

    Phoenix ใช้เทคนิค reverse engineering เพื่อเจาะระบบป้องกัน TRR (Target Row Refresh) ที่มีอยู่ใน DRAM โดยพบว่าการรีเฟรชแถวหน่วยความจำมีช่วง sampling ที่ซ้ำทุก 128 tREFI และในช่วงต้นของแต่ละรอบมีการสุ่มตรวจสอบน้อย ทำให้สามารถออกแบบรูปแบบการโจมตีแบบใหม่ที่เรียกว่า 128-tREFI และ 2608-tREFI ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นก่อนถึง 2.6 เท่า

    นักวิจัยยังพัฒนาเทคนิค “self-correcting refresh synchronization” ที่ช่วยให้การโจมตีสามารถปรับตัวได้เมื่อเกิดการรีเฟรชผิดพลาด ทำให้สามารถรักษาความแม่นยำในการโจมตีได้แม้จะผ่านหลายพันรอบการรีเฟรช

    จากการทดสอบบนโมดูล DDR5 ของ SK Hynix จำนวน 15 รุ่นที่ผลิตระหว่างปี 2021–2024 พบว่าทุกตัวสามารถถูกโจมตีได้ โดยเกิดการเปลี่ยนแปลงบิตจำนวนมาก ซึ่งสามารถนำไปใช้สร้าง primitive สำหรับการอ่าน/เขียนข้อมูลโดยพลการ, ขโมยคีย์ RSA-2048 จาก VM ที่อยู่ใกล้กัน และยกระดับสิทธิ์โดยการแก้ไขไฟล์ sudo

    เพื่อเพิ่มโอกาสในการโจมตี นักวิจัยใช้เทคนิคการรัน pattern แบบเลื่อนตำแหน่งในแต่ละ bank พร้อมกัน ทำให้โอกาสโจมตีสำเร็จเพิ่มขึ้นจาก 1.56% เป็น 25% และเสนอวิธีแก้เบื้องต้นด้วยการเพิ่มอัตราการรีเฟรช DRAM 3 เท่า ซึ่งช่วยลดการโจมตีได้ แต่แลกกับประสิทธิภาพที่ลดลงถึง 8.4% บน SPEC CPU2017

    ข่าวดีคือทีมงานได้แจ้งช่องโหว่นี้อย่างเป็นทางการกับ SK Hynix, ผู้ผลิต CPU และผู้ให้บริการคลาวด์ ทำให้มีการออก BIOS patch สำหรับเครื่อง AMD บางรุ่นแล้ว และมีโค้ดทดสอบบน GitHub เพื่อให้ผู้ดูแลระบบสามารถตรวจสอบ DIMM ของตนเองได้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ช่องโหว่ “Phoenix” (CVE-2025-6202) เป็น Rowhammer รุ่นใหม่ที่ทะลุ ECC ได้
    ใช้เวลาโจมตีเพียง 109 วินาทีบนเครื่องเดสก์ท็อปทั่วไป
    เทคนิคใหม่ใช้ pattern 128-tREFI และ 2608-tREFI พร้อมระบบ sync อัตโนมัติ
    ทดสอบบน DDR5 ของ SK Hynix 15 รุ่น พบว่าทุกตัวมี bit flip

    ผลกระทบและการโจมตี
    เกิดการเปลี่ยนบิตจำนวนมากในหน่วยความจำ
    สร้าง primitive สำหรับการอ่าน/เขียนข้อมูล, ขโมยคีย์ RSA, และยกระดับสิทธิ์
    เพิ่มโอกาสโจมตีจาก 1.56% เป็น 25% ด้วยการรัน pattern แบบเลื่อนตำแหน่ง
    BIOS patch สำหรับ AMD ถูกปล่อยออกมาแล้วในช่วง embargo

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Rowhammer เป็นช่องโหว่ที่พบครั้งแรกในปี 2014 และยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
    ECC แบบ on-die ไม่สามารถป้องกัน Rowhammer ได้เท่ากับ ECC แบบ side-band
    การเพิ่ม refresh rate เป็นวิธีแก้ชั่วคราวที่มีต้นทุนด้านประสิทธิภาพ
    โค้ดทดสอบ Phoenix ถูกเผยแพร่บน GitHub เพื่อใช้ตรวจสอบ DIMM

    คำเตือนและข้อจำกัด
    ECC แบบฝังในชิป (on-die ECC) ไม่สามารถป้องกัน Phoenix ได้
    การเพิ่ม refresh rate 3 เท่าทำให้ประสิทธิภาพลดลงถึง 8.4%
    BIOS patch ยังไม่ครอบคลุมทุกระบบ และต้องอัปเดตด้วยตนเอง
    DIMM ที่ผลิตระหว่างปี 2021–2024 มีความเสี่ยงสูง
    โค้ดบน GitHub ใช้สำหรับการตรวจสอบเท่านั้น ไม่ใช่การป้องกันหรือโจมตี

    https://www.techpowerup.com/341059/sk-hynix-ddr5-dimms-vulnerable-to-phoenix-rowhammer-attack-ecc-dimms-exposed-too
    💥 “Phoenix Rowhammer โจมตีทะลุ ECC — ช่องโหว่ใหม่ใน DDR5 จาก SK Hynix ที่ใช้เวลาแค่ 109 วินาที!” ทีมนักวิจัยจาก ETH Zurich และ Google ได้เปิดเผยช่องโหว่ใหม่ในหน่วยความจำ DDR5 ของ SK Hynix ที่สามารถถูกโจมตีด้วยเทคนิค Rowhammer รุ่นใหม่ชื่อว่า “Phoenix” (CVE-2025-6202) ซึ่งสามารถทะลุการป้องกันแบบ ECC ที่ฝังอยู่ในชิปได้ภายในเวลาเพียง 109 วินาที ถือเป็นการโจมตีระดับ privilege escalation ที่เกิดขึ้นได้จริงบนเครื่องเดสก์ท็อปทั่วไป Phoenix ใช้เทคนิค reverse engineering เพื่อเจาะระบบป้องกัน TRR (Target Row Refresh) ที่มีอยู่ใน DRAM โดยพบว่าการรีเฟรชแถวหน่วยความจำมีช่วง sampling ที่ซ้ำทุก 128 tREFI และในช่วงต้นของแต่ละรอบมีการสุ่มตรวจสอบน้อย ทำให้สามารถออกแบบรูปแบบการโจมตีแบบใหม่ที่เรียกว่า 128-tREFI และ 2608-tREFI ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นก่อนถึง 2.6 เท่า นักวิจัยยังพัฒนาเทคนิค “self-correcting refresh synchronization” ที่ช่วยให้การโจมตีสามารถปรับตัวได้เมื่อเกิดการรีเฟรชผิดพลาด ทำให้สามารถรักษาความแม่นยำในการโจมตีได้แม้จะผ่านหลายพันรอบการรีเฟรช จากการทดสอบบนโมดูล DDR5 ของ SK Hynix จำนวน 15 รุ่นที่ผลิตระหว่างปี 2021–2024 พบว่าทุกตัวสามารถถูกโจมตีได้ โดยเกิดการเปลี่ยนแปลงบิตจำนวนมาก ซึ่งสามารถนำไปใช้สร้าง primitive สำหรับการอ่าน/เขียนข้อมูลโดยพลการ, ขโมยคีย์ RSA-2048 จาก VM ที่อยู่ใกล้กัน และยกระดับสิทธิ์โดยการแก้ไขไฟล์ sudo เพื่อเพิ่มโอกาสในการโจมตี นักวิจัยใช้เทคนิคการรัน pattern แบบเลื่อนตำแหน่งในแต่ละ bank พร้อมกัน ทำให้โอกาสโจมตีสำเร็จเพิ่มขึ้นจาก 1.56% เป็น 25% และเสนอวิธีแก้เบื้องต้นด้วยการเพิ่มอัตราการรีเฟรช DRAM 3 เท่า ซึ่งช่วยลดการโจมตีได้ แต่แลกกับประสิทธิภาพที่ลดลงถึง 8.4% บน SPEC CPU2017 ข่าวดีคือทีมงานได้แจ้งช่องโหว่นี้อย่างเป็นทางการกับ SK Hynix, ผู้ผลิต CPU และผู้ให้บริการคลาวด์ ทำให้มีการออก BIOS patch สำหรับเครื่อง AMD บางรุ่นแล้ว และมีโค้ดทดสอบบน GitHub เพื่อให้ผู้ดูแลระบบสามารถตรวจสอบ DIMM ของตนเองได้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ช่องโหว่ “Phoenix” (CVE-2025-6202) เป็น Rowhammer รุ่นใหม่ที่ทะลุ ECC ได้ ➡️ ใช้เวลาโจมตีเพียง 109 วินาทีบนเครื่องเดสก์ท็อปทั่วไป ➡️ เทคนิคใหม่ใช้ pattern 128-tREFI และ 2608-tREFI พร้อมระบบ sync อัตโนมัติ ➡️ ทดสอบบน DDR5 ของ SK Hynix 15 รุ่น พบว่าทุกตัวมี bit flip ✅ ผลกระทบและการโจมตี ➡️ เกิดการเปลี่ยนบิตจำนวนมากในหน่วยความจำ ➡️ สร้าง primitive สำหรับการอ่าน/เขียนข้อมูล, ขโมยคีย์ RSA, และยกระดับสิทธิ์ ➡️ เพิ่มโอกาสโจมตีจาก 1.56% เป็น 25% ด้วยการรัน pattern แบบเลื่อนตำแหน่ง ➡️ BIOS patch สำหรับ AMD ถูกปล่อยออกมาแล้วในช่วง embargo ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Rowhammer เป็นช่องโหว่ที่พบครั้งแรกในปี 2014 และยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ➡️ ECC แบบ on-die ไม่สามารถป้องกัน Rowhammer ได้เท่ากับ ECC แบบ side-band ➡️ การเพิ่ม refresh rate เป็นวิธีแก้ชั่วคราวที่มีต้นทุนด้านประสิทธิภาพ ➡️ โค้ดทดสอบ Phoenix ถูกเผยแพร่บน GitHub เพื่อใช้ตรวจสอบ DIMM ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ ECC แบบฝังในชิป (on-die ECC) ไม่สามารถป้องกัน Phoenix ได้ ⛔ การเพิ่ม refresh rate 3 เท่าทำให้ประสิทธิภาพลดลงถึง 8.4% ⛔ BIOS patch ยังไม่ครอบคลุมทุกระบบ และต้องอัปเดตด้วยตนเอง ⛔ DIMM ที่ผลิตระหว่างปี 2021–2024 มีความเสี่ยงสูง ⛔ โค้ดบน GitHub ใช้สำหรับการตรวจสอบเท่านั้น ไม่ใช่การป้องกันหรือโจมตี https://www.techpowerup.com/341059/sk-hynix-ddr5-dimms-vulnerable-to-phoenix-rowhammer-attack-ecc-dimms-exposed-too
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    SK Hynix DDR5 DIMMs Vulnerable to "Phoenix" Rowhammer Attack, ECC DIMMs Exposed Too
    Researchers from ETH Zurich and Google have shown that SK Hynix DDR5 modules remain vulnerable to a new Rowhammer variant they call Phoenix (CVE-2025-6202), even with on-die ECC memory modules. The attack can be executed in only 109 seconds, making it a very realistic threat. By reverse engineering ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือเรื่องสุขภาพประชาชน ด้วยศาสตร์ต่างๆ ดังนี้
    1.ศาสตร์แพทย์แผนไทย (Traditional Thai Medicine)
    ยาเบญจโลกวิเชียร(ห้าราก),ยาขาว,ยาใบมะขาม,ยาตรีผลา,ยาจันทลีลา,ยาเขียวหอม,ยาแสงหมึก,ยาประสะจันทน์แดง,ยามหานิลแท่งทอง,ยาสิงฆาณิกา,ยาธาตุบรรจบ,ยาเหลืองปิดสมุทร,ยาธาตุอบเชย,ยาปราบชมพูทวีป,ยาประสะมะแว้ง,ยาอัมฤควาที,ยาบำรุงโลหิต,ยาเลือดงาม,ยาถ่าย,ยาชุมเห็ดเทศ,ยาธรณีสัณฑฆาต,ยาตรีหอม,ยาลม300จำพวก,ยาหอม,ยาดองมะกรูด,ยาประสะกะเพรา,ยาประสะกานพลู,ยาวิสัมพยาใหญ่,ยามันทธาตุ,ยามหาจักรใหญ่,ยาประสะเจตพังคี,ยามะฮอกกานี,ยาแก้ไอมะขามป้อม,ยาพญายอ,สมุนไพรถ่ายพยาธิต่างๆ เช่น เมล็ดฟักทอง,เมล็ดมะขาม,เมล็ดเล็บมือนาง,เมล็ดสแก,ผงปวกหาด(มะหาด),ผลมะเกลือ,ยาเปลือกมังคุด,รางจืด,ฟ้าทลายโจร,โกฐจุฬาลัมพา,พลูคาว,ใบหนุมานประสานกาย,กระชาย,กัญชา,ขมิ้นชัน,อ้อยดำ,ฝาง,ผักบุ้งแดง,ดอกเกลือ,สมุนไพร ลมปราณ,ปัตจัตตัง เป็นต้น
    2.ศาสตร์แพทย์แผนจีน (Traditional Chinese Medicine)
    ยกตัวอย่าง สมุนไพรฉั่งฉิก ยาเขียวธรรมดา ยาเขียวพิเศษชิงเฟ่ยซองสีส้ม ยาชะลอวัย ยาวาสคิวล่าร์
    ถ้าเกี่ยวกับลิ่มเลือดอุดตันใช้ยา 脑心通胶囊 เหน่า ซิน ทง
    ถ้าก้อนเนื้องอกกำเริบ ใช้温胆汤加减 เวิน ต่าน ทัง เจีย เจี่ยน และศาสตร์การฝังเข็ม เป็นต้น
    3.ศาสตร์โฮมิโอพาธีร์ (Homeophathy) ยาสกัดพลังธรมชาติ จาก พืช สัตว์ แร่ธาตุ ได้แก่ ตำรับโฮมิโอพาธีร์ต่างๆ ตำรับยาหมออมร ดังนี้ Isopathy ของวัคซีน AstraZeneca และ Sinopharm ตำรับ Benjalo แก้แพ้วัคซีนและลองโควิด,TotalTox ล้างพิษที่ตกค้างในอาหาร,RJHT ล้างพิษฟอร์มาลีนและสารเคมีการเกษตร,CKDMHT ขจัดพิษตกค้างจากสารเคมีปรุงรส,CBZA ช่วยล้างพิษสารเคมีกันบูดในอาหาร
    4.การครอบแก้ว,กรอกเลือด (Wet Cupping) เพื่อให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น เอาเลือดที่
    คั่งค้างออก ซึ่งส่งผลทำให้ลดอาการปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อและสามารถบรรเทาได้หลายโรค
    5.ศาสตร์ผสมผสาน (Integrative Medicine)
    การเหยียบดิน/หญ้า(Grounding),การอบตัว,อดอาหารเป็นระยะ(Intermittent Fasting),ศาสตร์ยา9เม็ดหมอเขียว,สวนล้างลำไส้(Enema),ล้างลำไส้แบบลึก(Colonics),Vitamin C Flush,เสียงบำบัด(Sound Therapy),ความถี่บำบัด(Frequency Therapy),ใช้แสงแดงFar Infrared,Reiki,แช่เท้า(Herbal Foot Bath),ล้างพิษตับ(Liver Compression,Castor Oil Pack,การใช้ทองแดง(Copper Tensor Rings),Crystals,การเขียนบันทึก (Journaling),Art Therapy,ภูษาบำบัด(Twisting Tourniquet Technique),การทำสมาธิ Pasitive Affirmations,ฝึกการหายใจ(Breathing Exercises),การตากแดด,เข้าใกล้มังสวิรัติ,คลอรีนไดออกไซด์โซลูชัน(CDS),ไฮดรอกซีคลอโรควีน(HCQ),เมทาลีนบลู(Methylene Blue),ดินภูเขาไฟเบนโทไนท์(Bentonite Clay),ซีโอไลท์(Zeolite),ซิลเวอร์คอลลอยด์(ColloidalSilver),DMSO,ไอโอดีน(Iodine),ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์(Hydrogen Peroxide),ไอเวอร์เมคติน(Ivermectin),เฟนเบนดาโซล (Fenbendazole),แอสไพลิน(Aspirin),น้ำเสริมไฮโดรเจน(hydrogen-rich water),บอแรกซ์(Borax),นัตโตะไคเนส(Nattokinase),โบรมิเลน(Bromelain),Magnesium Antisense(แมกนีเซียมแอนไทเซนส์),เพนท็อกซิฟิลลีน(Pentoxifylline),แมกนีเซียม(Magnesium),กลูตาไธโอน(Glutathione),สังกะสี(Zinc),แอสตาแซนธิน(Astaxanthin),ซิลิมาริน(Sillymarin),กรดอัลฟาไลโปอิก(Alpha Lipoic Acid),เมลาโทนิน(Melatonin),วิตามินดี(Vitamin D),NACหรือN-Acetylcysteine,CoQ10,ซิลิเนียม(Selenium),กรดฟูลวิค(Fulvic Acid),ผักชี(coriander),มะระขี้นก(Bitter gourd),สาหร่ายเกลียวทอง (Spirulina),มิลค์ทิสเซิล(Milk Thistle-Silymarin),พริกคาเยน(Chayenne Peper),ชาเขียว(Green Tea),เห็ดถั่งเช่า(Cordyceps Mushrooms),อาติโช๊ค(Artichoke),คลอเรลลา(Chlorella),สาหร่าย Dulse,Shilajit และอุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆที่โลกมี เป็นต้น

    โอเพนแชท "ล้างพิษ ยาฉีด"
    https://line.me/ti/g2/wTvY1gxHGpGKCt15sQN1jMHw02XoSC1uXsjUsQ?utm_source=invitation&utm_medium=link_copy&utm_campaign=default
    กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์
    ✅กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือเรื่องสุขภาพประชาชน ด้วยศาสตร์ต่างๆ ดังนี้ 🧐1.ศาสตร์แพทย์แผนไทย (Traditional Thai Medicine) ยาเบญจโลกวิเชียร(ห้าราก),ยาขาว,ยาใบมะขาม,ยาตรีผลา,ยาจันทลีลา,ยาเขียวหอม,ยาแสงหมึก,ยาประสะจันทน์แดง,ยามหานิลแท่งทอง,ยาสิงฆาณิกา,ยาธาตุบรรจบ,ยาเหลืองปิดสมุทร,ยาธาตุอบเชย,ยาปราบชมพูทวีป,ยาประสะมะแว้ง,ยาอัมฤควาที,ยาบำรุงโลหิต,ยาเลือดงาม,ยาถ่าย,ยาชุมเห็ดเทศ,ยาธรณีสัณฑฆาต,ยาตรีหอม,ยาลม300จำพวก,ยาหอม,ยาดองมะกรูด,ยาประสะกะเพรา,ยาประสะกานพลู,ยาวิสัมพยาใหญ่,ยามันทธาตุ,ยามหาจักรใหญ่,ยาประสะเจตพังคี,ยามะฮอกกานี,ยาแก้ไอมะขามป้อม,ยาพญายอ,สมุนไพรถ่ายพยาธิต่างๆ เช่น เมล็ดฟักทอง,เมล็ดมะขาม,เมล็ดเล็บมือนาง,เมล็ดสแก,ผงปวกหาด(มะหาด),ผลมะเกลือ,ยาเปลือกมังคุด,รางจืด,ฟ้าทลายโจร,โกฐจุฬาลัมพา,พลูคาว,ใบหนุมานประสานกาย,กระชาย,กัญชา,ขมิ้นชัน,อ้อยดำ,ฝาง,ผักบุ้งแดง,ดอกเกลือ,สมุนไพร ลมปราณ,ปัตจัตตัง เป็นต้น 🧐2.ศาสตร์แพทย์แผนจีน (Traditional Chinese Medicine) ยกตัวอย่าง สมุนไพรฉั่งฉิก ยาเขียวธรรมดา ยาเขียวพิเศษชิงเฟ่ยซองสีส้ม ยาชะลอวัย ยาวาสคิวล่าร์ ถ้าเกี่ยวกับลิ่มเลือดอุดตันใช้ยา 脑心通胶囊 เหน่า ซิน ทง ถ้าก้อนเนื้องอกกำเริบ ใช้温胆汤加减 เวิน ต่าน ทัง เจีย เจี่ยน และศาสตร์การฝังเข็ม เป็นต้น 🧐3.ศาสตร์โฮมิโอพาธีร์ (Homeophathy) ยาสกัดพลังธรมชาติ จาก พืช สัตว์ แร่ธาตุ ได้แก่ ตำรับโฮมิโอพาธีร์ต่างๆ ตำรับยาหมออมร ดังนี้ Isopathy ของวัคซีน AstraZeneca และ Sinopharm ตำรับ Benjalo แก้แพ้วัคซีนและลองโควิด,TotalTox ล้างพิษที่ตกค้างในอาหาร,RJHT ล้างพิษฟอร์มาลีนและสารเคมีการเกษตร,CKDMHT ขจัดพิษตกค้างจากสารเคมีปรุงรส,CBZA ช่วยล้างพิษสารเคมีกันบูดในอาหาร 🧐4.การครอบแก้ว,กรอกเลือด (Wet Cupping) เพื่อให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น เอาเลือดที่ คั่งค้างออก ซึ่งส่งผลทำให้ลดอาการปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อและสามารถบรรเทาได้หลายโรค 🧐5.ศาสตร์ผสมผสาน (Integrative Medicine) การเหยียบดิน/หญ้า(Grounding),การอบตัว,อดอาหารเป็นระยะ(Intermittent Fasting),ศาสตร์ยา9เม็ดหมอเขียว,สวนล้างลำไส้(Enema),ล้างลำไส้แบบลึก(Colonics),Vitamin C Flush,เสียงบำบัด(Sound Therapy),ความถี่บำบัด(Frequency Therapy),ใช้แสงแดงFar Infrared,Reiki,แช่เท้า(Herbal Foot Bath),ล้างพิษตับ(Liver Compression,Castor Oil Pack,การใช้ทองแดง(Copper Tensor Rings),Crystals,การเขียนบันทึก (Journaling),Art Therapy,ภูษาบำบัด(Twisting Tourniquet Technique),การทำสมาธิ Pasitive Affirmations,ฝึกการหายใจ(Breathing Exercises),การตากแดด,เข้าใกล้มังสวิรัติ,คลอรีนไดออกไซด์โซลูชัน(CDS),ไฮดรอกซีคลอโรควีน(HCQ),เมทาลีนบลู(Methylene Blue),ดินภูเขาไฟเบนโทไนท์(Bentonite Clay),ซีโอไลท์(Zeolite),ซิลเวอร์คอลลอยด์(ColloidalSilver),DMSO,ไอโอดีน(Iodine),ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์(Hydrogen Peroxide),ไอเวอร์เมคติน(Ivermectin),เฟนเบนดาโซล (Fenbendazole),แอสไพลิน(Aspirin),น้ำเสริมไฮโดรเจน(hydrogen-rich water),บอแรกซ์(Borax),นัตโตะไคเนส(Nattokinase),โบรมิเลน(Bromelain),Magnesium Antisense(แมกนีเซียมแอนไทเซนส์),เพนท็อกซิฟิลลีน(Pentoxifylline),แมกนีเซียม(Magnesium),กลูตาไธโอน(Glutathione),สังกะสี(Zinc),แอสตาแซนธิน(Astaxanthin),ซิลิมาริน(Sillymarin),กรดอัลฟาไลโปอิก(Alpha Lipoic Acid),เมลาโทนิน(Melatonin),วิตามินดี(Vitamin D),NACหรือN-Acetylcysteine,CoQ10,ซิลิเนียม(Selenium),กรดฟูลวิค(Fulvic Acid),ผักชี(coriander),มะระขี้นก(Bitter gourd),สาหร่ายเกลียวทอง (Spirulina),มิลค์ทิสเซิล(Milk Thistle-Silymarin),พริกคาเยน(Chayenne Peper),ชาเขียว(Green Tea),เห็ดถั่งเช่า(Cordyceps Mushrooms),อาติโช๊ค(Artichoke),คลอเรลลา(Chlorella),สาหร่าย Dulse,Shilajit และอุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆที่โลกมี เป็นต้น โอเพนแชท "ล้างพิษ ยาฉีด" https://line.me/ti/g2/wTvY1gxHGpGKCt15sQN1jMHw02XoSC1uXsjUsQ?utm_source=invitation&utm_medium=link_copy&utm_campaign=default กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Intel Arc A750 รุ่นต้นแบบโผล่พร้อมแรม 16GB และบัส 512-bit — การทดลองที่ไม่เคยเปิดตัว แต่สะท้อนความทะเยอทะยานของ Intel”

    แม้ Intel Arc A750 จะเปิดตัวไปตั้งแต่ปี 2022 พร้อมสเปกมาตรฐานคือแรม GDDR6 ขนาด 8GB และบัส 256-bit แต่ล่าสุดมีภาพหลุดของรุ่นต้นแบบจากแบรนด์ Gunnir ที่มาพร้อมแรม 16GB และระบุว่ามีบัส 512-bit ซึ่งสร้างความตื่นเต้นให้กับวงการฮาร์ดแวร์ เพราะนี่คือสเปกที่ไม่เคยถูกเปิดเผยหรือวางขายจริง

    ตัวการ์ดถูกพบโดยผู้ใช้ X (Twitter) ชื่อ @komenezumi1006 ซึ่งระบุว่าเป็นตัวอย่างทางวิศวกรรม (engineering sample) ที่ใช้งานได้จริง โดยสามารถแสดงแรม 16GB ใน Task Manager และมีสติ๊กเกอร์ “Intel Arc Sample” ติดอยู่บนตัวการ์ด

    สิ่งที่น่าสนใจคือการ์ดนี้มีเพียงหนึ่ง GPU core เท่านั้น ซึ่งหักล้างข้อสงสัยว่าอาจเป็นรุ่น dual-GPU ที่รวมแรมจากสองตัวเข้าด้วยกัน อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีคำอธิบายชัดเจนว่าทำไมถึงมีการระบุบัส 512-bit ซึ่งอาจเป็นการเข้าใจผิดจากการเพิ่มแรมเป็นสองเท่าแล้วคิดว่าบัสต้องเพิ่มตาม

    นอกจากนี้ ตัวการ์ดยังใช้พลังงานผ่าน 2x 8-pin PCIe connectors ซึ่งต่างจากรุ่นขายจริงที่ใช้ 1x 8-pin และ 1x 6-pin และมีดีไซน์แบบ blower-style cooler ที่ดูพร้อมใช้งานจริง แม้จะไม่มีการทดสอบ benchmark แต่ก็ถือเป็นหลักฐานว่าครั้งหนึ่ง Intel เคยพิจารณาทำ A750 รุ่น 16GB ก่อนจะตัดสินใจไม่เปิดตัว

    ในสายผลิตภัณฑ์จริง Intel มี Arc A770 ที่มีแรม 16GB และ Arc B750 รุ่นใหม่ที่มีแรม 10GB ส่วน B770 ที่กำลังจะเปิดตัวก็มีข่าวลือว่าจะมาพร้อมแรม 16GB เช่นกัน ทำให้ A750 รุ่นต้นแบบนี้กลายเป็น “รุ่นกลาง” เพียงตัวเดียวที่มีแรมระดับสูงในสาย Alchemist

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/intel-arc-a750-prototype-spotted-with-16gb-vram-engineering-sample-made-by-gunnir-sports-sticker-claiming-a-512-bit-memory-bus
    🧩 “Intel Arc A750 รุ่นต้นแบบโผล่พร้อมแรม 16GB และบัส 512-bit — การทดลองที่ไม่เคยเปิดตัว แต่สะท้อนความทะเยอทะยานของ Intel” แม้ Intel Arc A750 จะเปิดตัวไปตั้งแต่ปี 2022 พร้อมสเปกมาตรฐานคือแรม GDDR6 ขนาด 8GB และบัส 256-bit แต่ล่าสุดมีภาพหลุดของรุ่นต้นแบบจากแบรนด์ Gunnir ที่มาพร้อมแรม 16GB และระบุว่ามีบัส 512-bit ซึ่งสร้างความตื่นเต้นให้กับวงการฮาร์ดแวร์ เพราะนี่คือสเปกที่ไม่เคยถูกเปิดเผยหรือวางขายจริง ตัวการ์ดถูกพบโดยผู้ใช้ X (Twitter) ชื่อ @komenezumi1006 ซึ่งระบุว่าเป็นตัวอย่างทางวิศวกรรม (engineering sample) ที่ใช้งานได้จริง โดยสามารถแสดงแรม 16GB ใน Task Manager และมีสติ๊กเกอร์ “Intel Arc Sample” ติดอยู่บนตัวการ์ด สิ่งที่น่าสนใจคือการ์ดนี้มีเพียงหนึ่ง GPU core เท่านั้น ซึ่งหักล้างข้อสงสัยว่าอาจเป็นรุ่น dual-GPU ที่รวมแรมจากสองตัวเข้าด้วยกัน อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีคำอธิบายชัดเจนว่าทำไมถึงมีการระบุบัส 512-bit ซึ่งอาจเป็นการเข้าใจผิดจากการเพิ่มแรมเป็นสองเท่าแล้วคิดว่าบัสต้องเพิ่มตาม นอกจากนี้ ตัวการ์ดยังใช้พลังงานผ่าน 2x 8-pin PCIe connectors ซึ่งต่างจากรุ่นขายจริงที่ใช้ 1x 8-pin และ 1x 6-pin และมีดีไซน์แบบ blower-style cooler ที่ดูพร้อมใช้งานจริง แม้จะไม่มีการทดสอบ benchmark แต่ก็ถือเป็นหลักฐานว่าครั้งหนึ่ง Intel เคยพิจารณาทำ A750 รุ่น 16GB ก่อนจะตัดสินใจไม่เปิดตัว ในสายผลิตภัณฑ์จริง Intel มี Arc A770 ที่มีแรม 16GB และ Arc B750 รุ่นใหม่ที่มีแรม 10GB ส่วน B770 ที่กำลังจะเปิดตัวก็มีข่าวลือว่าจะมาพร้อมแรม 16GB เช่นกัน ทำให้ A750 รุ่นต้นแบบนี้กลายเป็น “รุ่นกลาง” เพียงตัวเดียวที่มีแรมระดับสูงในสาย Alchemist https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/intel-arc-a750-prototype-spotted-with-16gb-vram-engineering-sample-made-by-gunnir-sports-sticker-claiming-a-512-bit-memory-bus
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 86 มุมมอง 0 รีวิว
  • “SOC ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่คือร่มชูชีพ — ถ้าไม่ออกแบบดีพอ วันตกอาจไม่มีโอกาสแก้ตัว”

    Dan Haagman ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ได้เขียนบทความที่สะท้อนความจริงอันเจ็บปวดของ Security Operations Center (SOC) ในองค์กรยุคใหม่ว่า “เราเชื่อว่า SOC จะช่วยป้องกันทุกอย่างได้ — แต่ความจริงคือมันพังบ่อย และพังเงียบ ๆ”

    เขาเปรียบ SOC กับร่มชูชีพที่องค์กรหวังพึ่งในยามเกิดเหตุ แต่ปัญหาคือ SOC ส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาให้ “ตอบสนอง” มากกว่าคาดการณ์ล่วงหน้า เต็มไปด้วยเครื่องมือที่ซับซ้อน แดชบอร์ดที่ล้น และการแจ้งเตือนที่มากเกินไปจนเกิด “alert fatigue” ซึ่งทำให้ทีมงานมองข้ามสัญญาณสำคัญไปโดยไม่รู้ตัว

    Haagman เสนอว่า SOC ต้องเปลี่ยนจากการ “โยนเครื่องมือใส่ปัญหา” มาเป็นการ “ออกแบบระบบให้เรียบง่ายแต่แข็งแรง” เหมือนระบบรถไฟของสวิตเซอร์แลนด์ที่ไม่ใช่แค่ดูดี แต่ผ่านการทดสอบและฝึกซ้อมอย่างหนัก เขาเน้นว่า “ความซับซ้อนคือศัตรูของความยืดหยุ่น” และการพึ่งพา AI โดยไม่เข้าใจบริบทของระบบก็เป็นความเสี่ยงเช่นกัน

    เขายังเตือนว่า “คุณไม่สามารถเอาความคิดไปจ้างคนอื่นได้” — หมายถึงองค์กรต้องเข้าใจระบบของตัวเองอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่หวังให้ vendor หรือ AI มาช่วยคิดแทน เพราะการตอบสนองต่อเหตุการณ์ต้องอาศัยความเข้าใจบริบท ความรู้ภายใน และการฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่อง

    สุดท้าย Haagman เสนอว่า SOC ที่ดีต้องมี “muscle memory” เหมือนนักบินที่ฝึกซ้อมการรับมือเหตุฉุกเฉินจนกลายเป็นสัญชาตญาณ ไม่ใช่รอเปิดคู่มือเมื่อเครื่องยนต์ดับกลางอากาศ

    ปัญหาและข้อเสนอจากบทความ
    SOC ส่วนใหญ่ยังเน้นการตอบสนองมากกว่าการคาดการณ์ล่วงหน้า
    Alert fatigue ทำให้ทีมงานมองข้ามสัญญาณสำคัญ
    การออกแบบระบบที่ซับซ้อนเกินไปทำให้ความยืดหยุ่นลดลง
    SOC ต้องเปลี่ยนจากการใช้เครื่องมือมากมาย มาเป็นการออกแบบที่เรียบง่ายแต่แข็งแรง

    แนวคิด “Swiss Engineering” และการฝึกซ้อม
    ระบบที่ดีไม่ใช่แค่มีเครื่องมือเยอะ แต่ต้องผ่านการทดสอบและฝึกซ้อม
    SOC ควรมี “muscle memory” เหมือนนักบิน — ฝึกซ้อมจนตอบสนองได้ทันที
    การตอบสนองต้องมี flow ที่ชัดเจน เช่น “aviate, navigate, communicate”
    การฝึกซ้อมช่วยให้ทีมงานตอบสนองได้แม่นยำในสถานการณ์จริง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Generative AI เริ่มถูกใช้เพื่อช่วยลด alert fatigue โดยคัดกรองข้อมูลก่อนส่งถึงมนุษย์
    SOC ที่ใช้ AI อย่างมีโครงสร้างสามารถลดเวลาในการตรวจจับจาก 1 วันเหลือเพียง 10 วินาที
    การออกแบบระบบที่เน้น context-aware detection ช่วยให้มองเห็นภัยคุกคามที่ซ่อนอยู่ในข้อมูลเล็ก ๆ
    การฝึกซ้อมแบบ live-fire exercise ช่วยให้ทีม SOC เข้าใจช่องโหว่ของตัวเองและปรับปรุงได้จริง



    https://www.csoonline.com/article/4056178/your-soc-is-the-parachute-will-it-open.html
    🪂 “SOC ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่คือร่มชูชีพ — ถ้าไม่ออกแบบดีพอ วันตกอาจไม่มีโอกาสแก้ตัว” Dan Haagman ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ได้เขียนบทความที่สะท้อนความจริงอันเจ็บปวดของ Security Operations Center (SOC) ในองค์กรยุคใหม่ว่า “เราเชื่อว่า SOC จะช่วยป้องกันทุกอย่างได้ — แต่ความจริงคือมันพังบ่อย และพังเงียบ ๆ” เขาเปรียบ SOC กับร่มชูชีพที่องค์กรหวังพึ่งในยามเกิดเหตุ แต่ปัญหาคือ SOC ส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาให้ “ตอบสนอง” มากกว่าคาดการณ์ล่วงหน้า เต็มไปด้วยเครื่องมือที่ซับซ้อน แดชบอร์ดที่ล้น และการแจ้งเตือนที่มากเกินไปจนเกิด “alert fatigue” ซึ่งทำให้ทีมงานมองข้ามสัญญาณสำคัญไปโดยไม่รู้ตัว Haagman เสนอว่า SOC ต้องเปลี่ยนจากการ “โยนเครื่องมือใส่ปัญหา” มาเป็นการ “ออกแบบระบบให้เรียบง่ายแต่แข็งแรง” เหมือนระบบรถไฟของสวิตเซอร์แลนด์ที่ไม่ใช่แค่ดูดี แต่ผ่านการทดสอบและฝึกซ้อมอย่างหนัก เขาเน้นว่า “ความซับซ้อนคือศัตรูของความยืดหยุ่น” และการพึ่งพา AI โดยไม่เข้าใจบริบทของระบบก็เป็นความเสี่ยงเช่นกัน เขายังเตือนว่า “คุณไม่สามารถเอาความคิดไปจ้างคนอื่นได้” — หมายถึงองค์กรต้องเข้าใจระบบของตัวเองอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่หวังให้ vendor หรือ AI มาช่วยคิดแทน เพราะการตอบสนองต่อเหตุการณ์ต้องอาศัยความเข้าใจบริบท ความรู้ภายใน และการฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่อง สุดท้าย Haagman เสนอว่า SOC ที่ดีต้องมี “muscle memory” เหมือนนักบินที่ฝึกซ้อมการรับมือเหตุฉุกเฉินจนกลายเป็นสัญชาตญาณ ไม่ใช่รอเปิดคู่มือเมื่อเครื่องยนต์ดับกลางอากาศ ✅ ปัญหาและข้อเสนอจากบทความ ➡️ SOC ส่วนใหญ่ยังเน้นการตอบสนองมากกว่าการคาดการณ์ล่วงหน้า ➡️ Alert fatigue ทำให้ทีมงานมองข้ามสัญญาณสำคัญ ➡️ การออกแบบระบบที่ซับซ้อนเกินไปทำให้ความยืดหยุ่นลดลง ➡️ SOC ต้องเปลี่ยนจากการใช้เครื่องมือมากมาย มาเป็นการออกแบบที่เรียบง่ายแต่แข็งแรง ✅ แนวคิด “Swiss Engineering” และการฝึกซ้อม ➡️ ระบบที่ดีไม่ใช่แค่มีเครื่องมือเยอะ แต่ต้องผ่านการทดสอบและฝึกซ้อม ➡️ SOC ควรมี “muscle memory” เหมือนนักบิน — ฝึกซ้อมจนตอบสนองได้ทันที ➡️ การตอบสนองต้องมี flow ที่ชัดเจน เช่น “aviate, navigate, communicate” ➡️ การฝึกซ้อมช่วยให้ทีมงานตอบสนองได้แม่นยำในสถานการณ์จริง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Generative AI เริ่มถูกใช้เพื่อช่วยลด alert fatigue โดยคัดกรองข้อมูลก่อนส่งถึงมนุษย์ ➡️ SOC ที่ใช้ AI อย่างมีโครงสร้างสามารถลดเวลาในการตรวจจับจาก 1 วันเหลือเพียง 10 วินาที ➡️ การออกแบบระบบที่เน้น context-aware detection ช่วยให้มองเห็นภัยคุกคามที่ซ่อนอยู่ในข้อมูลเล็ก ๆ ➡️ การฝึกซ้อมแบบ live-fire exercise ช่วยให้ทีม SOC เข้าใจช่องโหว่ของตัวเองและปรับปรุงได้จริง https://www.csoonline.com/article/4056178/your-soc-is-the-parachute-will-it-open.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Your SOC is the parachute — Will it open?
    From alert fatigue to not relying on AI to know your systems, how to ensure your SOC is ready for current threats.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แฮกเกอร์ปลอมอัปเดต Chrome และคำเชิญประชุม Teams — แฝงเครื่องมือควบคุมระยะไกลเพื่อเจาะระบบองค์กร”

    งานวิจัยล่าสุดจาก Red Canary และ Zscaler เผยให้เห็นเทคนิคฟิชชิ่งยุคใหม่ที่ซับซ้อนและแนบเนียนกว่าที่เคย โดยแฮกเกอร์ไม่ใช้มัลแวร์ทั่วไป แต่หันมาใช้เครื่องมือควบคุมระยะไกล (Remote Monitoring and Management: RMM) เช่น ITarian, Atera, PDQ และ SimpleHelp ซึ่งปกติใช้โดยผู้ดูแลระบบ IT เพื่อดูแลเครื่องในองค์กร แต่เมื่ออยู่ในมือของผู้ไม่หวังดี เครื่องมือเหล่านี้กลับกลายเป็นช่องทางเข้าถึงระดับแอดมินที่เปิดทางให้ติดตั้งมัลแวร์หรือเรียกค่าไถ่ได้ทันที

    แคมเปญฟิชชิ่งเหล่านี้ใช้ “เหยื่อ” ที่ดูน่าเชื่อถือ เช่น:

    หน้าอัปเดต Chrome ปลอมที่ฝัง JavaScript บนเว็บไซต์ที่ถูกแฮก เมื่อผู้ใช้คลิก “Update” จะดาวน์โหลดตัวติดตั้ง ITarian ที่ถูกเซ็นรับรองอย่างถูกต้อง

    คำเชิญประชุมปลอมจาก Microsoft Teams หรือ Zoom ที่แนบไฟล์ติดตั้ง Atera หรือ PDQ โดยใช้ชื่อไฟล์เหมือนของจริง เช่น “MicrosoftTeams.msi”

    การ์ดเชิญงานเลี้ยงหรือเอกสารภาษีปลอม เช่น W9 หรือแบบฟอร์ม IRS ที่แฝงตัวติดตั้ง RMM ผ่าน Cloudflare R2 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ดูน่าเชื่อถือ

    ในบางกรณี แฮกเกอร์ติดตั้ง RMM สองตัวพร้อมกันเพื่อสร้างช่องทางสำรองหากช่องทางแรกถูกปิดกั้น ทำให้การตรวจจับและป้องกันยิ่งยากขึ้น

    ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า การฟิชชิ่งในยุคนี้ไม่ใช่แค่เรื่องอีเมลที่พิมพ์ผิดหรือดูแปลกตาอีกต่อไป แต่เป็นการใช้ “ล่อ” ที่ดูเหมือนจริงทุกประการ และแม้การให้ความรู้กับพนักงานจะช่วยได้บ้าง แต่สิ่งสำคัญคือการมีระบบป้องกันหลายชั้น เช่น การตรวจจับที่ปลายทาง (EDR), การควบคุมเครื่องมือที่อนุญาตให้ใช้ และการตรวจสอบโดเมนใหม่ที่น่าสงสัย

    https://hackread.com/hackers-rmm-installs-fake-chrome-updates-teams-invite/
    🎭 “แฮกเกอร์ปลอมอัปเดต Chrome และคำเชิญประชุม Teams — แฝงเครื่องมือควบคุมระยะไกลเพื่อเจาะระบบองค์กร” งานวิจัยล่าสุดจาก Red Canary และ Zscaler เผยให้เห็นเทคนิคฟิชชิ่งยุคใหม่ที่ซับซ้อนและแนบเนียนกว่าที่เคย โดยแฮกเกอร์ไม่ใช้มัลแวร์ทั่วไป แต่หันมาใช้เครื่องมือควบคุมระยะไกล (Remote Monitoring and Management: RMM) เช่น ITarian, Atera, PDQ และ SimpleHelp ซึ่งปกติใช้โดยผู้ดูแลระบบ IT เพื่อดูแลเครื่องในองค์กร แต่เมื่ออยู่ในมือของผู้ไม่หวังดี เครื่องมือเหล่านี้กลับกลายเป็นช่องทางเข้าถึงระดับแอดมินที่เปิดทางให้ติดตั้งมัลแวร์หรือเรียกค่าไถ่ได้ทันที แคมเปญฟิชชิ่งเหล่านี้ใช้ “เหยื่อ” ที่ดูน่าเชื่อถือ เช่น: หน้าอัปเดต Chrome ปลอมที่ฝัง JavaScript บนเว็บไซต์ที่ถูกแฮก เมื่อผู้ใช้คลิก “Update” จะดาวน์โหลดตัวติดตั้ง ITarian ที่ถูกเซ็นรับรองอย่างถูกต้อง คำเชิญประชุมปลอมจาก Microsoft Teams หรือ Zoom ที่แนบไฟล์ติดตั้ง Atera หรือ PDQ โดยใช้ชื่อไฟล์เหมือนของจริง เช่น “MicrosoftTeams.msi” การ์ดเชิญงานเลี้ยงหรือเอกสารภาษีปลอม เช่น W9 หรือแบบฟอร์ม IRS ที่แฝงตัวติดตั้ง RMM ผ่าน Cloudflare R2 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ดูน่าเชื่อถือ ในบางกรณี แฮกเกอร์ติดตั้ง RMM สองตัวพร้อมกันเพื่อสร้างช่องทางสำรองหากช่องทางแรกถูกปิดกั้น ทำให้การตรวจจับและป้องกันยิ่งยากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า การฟิชชิ่งในยุคนี้ไม่ใช่แค่เรื่องอีเมลที่พิมพ์ผิดหรือดูแปลกตาอีกต่อไป แต่เป็นการใช้ “ล่อ” ที่ดูเหมือนจริงทุกประการ และแม้การให้ความรู้กับพนักงานจะช่วยได้บ้าง แต่สิ่งสำคัญคือการมีระบบป้องกันหลายชั้น เช่น การตรวจจับที่ปลายทาง (EDR), การควบคุมเครื่องมือที่อนุญาตให้ใช้ และการตรวจสอบโดเมนใหม่ที่น่าสงสัย https://hackread.com/hackers-rmm-installs-fake-chrome-updates-teams-invite/
    HACKREAD.COM
    Hackers Hide RMM Installs as Fake Chrome Updates and Teams Invites
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Canonical ผนึกกำลัง NVIDIA — ติดตั้ง CUDA บน Ubuntu ง่ายแค่คำสั่งเดียว เตรียมเปิดทางนักพัฒนา AI สู่ยุคใหม่”

    Canonical ผู้พัฒนา Ubuntu ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ NVIDIA ในวันที่ 15 กันยายน 2025 โดยจะนำชุดเครื่องมือ CUDA (Compute Unified Device Architecture) เข้ามาอยู่ใน repository ของ Ubuntu โดยตรง ซึ่งหมายความว่า นักพัฒนาไม่ต้องดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ NVIDIA อีกต่อไป แต่สามารถติดตั้ง CUDA ได้ด้วยคำสั่งเดียวผ่านระบบจัดการแพ็กเกจของ Ubuntu

    CUDA เป็นแพลตฟอร์มการประมวลผลแบบขนานที่ใช้ GPU ของ NVIDIA เพื่อเร่งความเร็วในการคำนวณ โดยเฉพาะในงานด้าน AI, machine learning, การจำลองเชิงฟิสิกส์ และการประมวลผลภาพขนาดใหญ่ ซึ่งเดิมทีการติดตั้ง CUDA บน Ubuntu ต้องผ่านหลายขั้นตอนที่ซับซ้อน เช่น การเลือกเวอร์ชันที่เข้ากันได้กับไดรเวอร์ GPU และการตั้งค่า runtime ด้วยตนเอง

    ด้วยการเปลี่ยนแปลงนี้ Canonical จะดูแลการติดตั้งและความเข้ากันได้ของ CUDA กับฮาร์ดแวร์ NVIDIA ที่รองรับทั้งหมด ทำให้ผู้ใช้สามารถประกาศการใช้งาน CUDA runtime ได้โดยไม่ต้องจัดการรายละเอียดเอง ซึ่งจะช่วยลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความเร็วในการพัฒนาแอปพลิเคชัน

    แม้ยังไม่มีการระบุวันที่แน่ชัดว่า CUDA จะพร้อมใช้งานใน repository ของ Ubuntu แต่ Canonical ยืนยันว่าจะรองรับทั้งเวอร์ชัน LTS และ interim releases ซึ่งครอบคลุมผู้ใช้ Ubuntu ส่วนใหญ่ทั่วโลก

    ความร่วมมือระหว่าง Canonical และ NVIDIA
    Canonical เตรียมนำ CUDA toolkit เข้า repository ของ Ubuntu โดยตรง
    นักพัฒนาสามารถติดตั้ง CUDA ด้วยคำสั่งเดียวผ่าน APT package manager
    ลดขั้นตอนการติดตั้งที่เคยซับซ้อนจากเว็บไซต์ NVIDIA
    รองรับ GPU-accelerated libraries, debugging tools, C/C++ compiler และ runtime library

    ผลกระทบต่อวงการพัฒนา AI
    CUDA เป็นหัวใจของการประมวลผลแบบขนานในงาน AI และ machine learning
    การติดตั้งแบบ native ช่วยให้การพัฒนาแอปบน Ubuntu เป็นไปอย่างลื่นไหล
    Ubuntu จะจัดการความเข้ากันได้ของ CUDA กับฮาร์ดแวร์ NVIDIA โดยอัตโนมัติ
    รองรับการใช้งานใน data center, edge computing และ cloud infrastructure

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    CUDA เปิดให้ควบคุม thread, memory hierarchy และ kernel ได้อย่างละเอียด
    Ubuntu ใช้ระบบ APT ที่ปลอดภัยและมีการตรวจสอบซัพพลายเชนอย่างเข้มงวด
    NVIDIA GPU ตั้งแต่รุ่น Turing รองรับไดรเวอร์แบบ open-source บน Linux
    AMD ก็มีแนวทางคล้ายกันผ่าน ROCm stack สำหรับการประมวลผลแบบขนาน

    https://9to5linux.com/canonical-to-package-and-distribute-nvidia-cuda-within-ubuntus-repositories
    🚀 “Canonical ผนึกกำลัง NVIDIA — ติดตั้ง CUDA บน Ubuntu ง่ายแค่คำสั่งเดียว เตรียมเปิดทางนักพัฒนา AI สู่ยุคใหม่” Canonical ผู้พัฒนา Ubuntu ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ NVIDIA ในวันที่ 15 กันยายน 2025 โดยจะนำชุดเครื่องมือ CUDA (Compute Unified Device Architecture) เข้ามาอยู่ใน repository ของ Ubuntu โดยตรง ซึ่งหมายความว่า นักพัฒนาไม่ต้องดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ NVIDIA อีกต่อไป แต่สามารถติดตั้ง CUDA ได้ด้วยคำสั่งเดียวผ่านระบบจัดการแพ็กเกจของ Ubuntu CUDA เป็นแพลตฟอร์มการประมวลผลแบบขนานที่ใช้ GPU ของ NVIDIA เพื่อเร่งความเร็วในการคำนวณ โดยเฉพาะในงานด้าน AI, machine learning, การจำลองเชิงฟิสิกส์ และการประมวลผลภาพขนาดใหญ่ ซึ่งเดิมทีการติดตั้ง CUDA บน Ubuntu ต้องผ่านหลายขั้นตอนที่ซับซ้อน เช่น การเลือกเวอร์ชันที่เข้ากันได้กับไดรเวอร์ GPU และการตั้งค่า runtime ด้วยตนเอง ด้วยการเปลี่ยนแปลงนี้ Canonical จะดูแลการติดตั้งและความเข้ากันได้ของ CUDA กับฮาร์ดแวร์ NVIDIA ที่รองรับทั้งหมด ทำให้ผู้ใช้สามารถประกาศการใช้งาน CUDA runtime ได้โดยไม่ต้องจัดการรายละเอียดเอง ซึ่งจะช่วยลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความเร็วในการพัฒนาแอปพลิเคชัน แม้ยังไม่มีการระบุวันที่แน่ชัดว่า CUDA จะพร้อมใช้งานใน repository ของ Ubuntu แต่ Canonical ยืนยันว่าจะรองรับทั้งเวอร์ชัน LTS และ interim releases ซึ่งครอบคลุมผู้ใช้ Ubuntu ส่วนใหญ่ทั่วโลก ✅ ความร่วมมือระหว่าง Canonical และ NVIDIA ➡️ Canonical เตรียมนำ CUDA toolkit เข้า repository ของ Ubuntu โดยตรง ➡️ นักพัฒนาสามารถติดตั้ง CUDA ด้วยคำสั่งเดียวผ่าน APT package manager ➡️ ลดขั้นตอนการติดตั้งที่เคยซับซ้อนจากเว็บไซต์ NVIDIA ➡️ รองรับ GPU-accelerated libraries, debugging tools, C/C++ compiler และ runtime library ✅ ผลกระทบต่อวงการพัฒนา AI ➡️ CUDA เป็นหัวใจของการประมวลผลแบบขนานในงาน AI และ machine learning ➡️ การติดตั้งแบบ native ช่วยให้การพัฒนาแอปบน Ubuntu เป็นไปอย่างลื่นไหล ➡️ Ubuntu จะจัดการความเข้ากันได้ของ CUDA กับฮาร์ดแวร์ NVIDIA โดยอัตโนมัติ ➡️ รองรับการใช้งานใน data center, edge computing และ cloud infrastructure ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ CUDA เปิดให้ควบคุม thread, memory hierarchy และ kernel ได้อย่างละเอียด ➡️ Ubuntu ใช้ระบบ APT ที่ปลอดภัยและมีการตรวจสอบซัพพลายเชนอย่างเข้มงวด ➡️ NVIDIA GPU ตั้งแต่รุ่น Turing รองรับไดรเวอร์แบบ open-source บน Linux ➡️ AMD ก็มีแนวทางคล้ายกันผ่าน ROCm stack สำหรับการประมวลผลแบบขนาน https://9to5linux.com/canonical-to-package-and-distribute-nvidia-cuda-within-ubuntus-repositories
    9TO5LINUX.COM
    Canonical to Package and Distribute NVIDIA CUDA within Ubuntu's Repositories - 9to5Linux
    Ubuntu maker Canonical announced that it will package and distribute the NVIDIA CUDA toolkit within Ubuntu’s repositories.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แฮกเกอร์สายฮาเปลี่ยนบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเว็บเซิร์ฟเวอร์ — เมื่อของทิ้งกลายเป็นเครื่องมือออนไลน์สุดมินิมอล”

    Bogdan Ionescu วิศวกรและนักทดลองสาย embedded ได้สร้างปรากฏการณ์สุดแปลกในวงการอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อเขานำบุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้ง (disposable vape) มาดัดแปลงให้กลายเป็นเว็บเซิร์ฟเวอร์ขนาดจิ๋ว โดยใช้ชิปไมโครคอนโทรลเลอร์ ARM Cortex-M0+ จากแบรนด์ PUYA ที่ซ่อนอยู่ภายในอุปกรณ์เหล่านี้

    ชิปที่ใช้คือ PY32F002B ซึ่งมีหน่วยความจำเพียง 24KB flash และ 3KB RAM — เล็กกว่าหน่วยความจำในนาฬิกาดิจิทัลบางรุ่นเสียอีก แต่ Bogdan ใช้เทคนิค semihosting ร่วมกับโปรโตคอล SLIP (Serial Line Internet Protocol) เพื่อให้ Linux มองว่า vape นี้คือโมเด็มแบบ dial-up และสามารถส่งข้อมูล IP ได้จริง

    เขาเลือกใช้ uIP ซึ่งเป็น TCP/IP stack ขนาดเล็กที่ไม่ต้องใช้ RTOS และสามารถรันเว็บเซิร์ฟเวอร์แบบ HTTP ได้ โดยในช่วงแรกประสิทธิภาพแย่มาก: ping ช้า 1.5 วินาที, packet loss 50%, และโหลดหน้าเว็บใช้เวลากว่า 20 วินาที แต่หลังจากปรับปรุงการจัดการข้อมูลให้ใช้ ring buffer และ batch write ประสิทธิภาพก็พุ่งขึ้นอย่างน่าทึ่ง — ping เหลือเพียง 20ms และโหลดหน้าเว็บใน 160ms

    Bogdan ยังเพิ่ม API แบบ JSON เพื่อแสดงจำนวนการเข้าชมและ ID ของไมโครคอนโทรลเลอร์ ทำให้เว็บเซิร์ฟเวอร์นี้ไม่ใช่แค่ static page แต่สามารถตอบสนองแบบ dynamic ได้ด้วย แม้จะมีพื้นที่เก็บข้อมูลเหลือเพียง ~20KB ก็ตาม

    ข้อมูลสำคัญจากโปรเจกต์
    ใช้ชิป PUYA PY32F002B จากบุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้ง
    สเปก: ARM Cortex-M0+ @ 24MHz, 24KB flash, 3KB RAM
    ใช้ semihosting + SLIP เพื่อให้ Linux ส่ง IP packet ผ่าน serial
    ใช้ uIP stack เพื่อรันเว็บเซิร์ฟเวอร์ HTTP แบบเบา

    การปรับปรุงประสิทธิภาพ
    เพิ่ม ring buffer เพื่อจัดการข้อมูลแบบ batch ลด overhead
    ปรับโครงสร้าง filesystem ให้เหมาะกับ alignment บน ARM
    ลดเวลา ping จาก 1.5s เหลือ 20ms และโหลดหน้าเว็บใน 160ms
    ใช้ RAM เพียง 1.4KB และ flash 5KB — เหลือพื้นที่สำหรับโค้ดอื่น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SLIP เป็นโปรโตคอลที่ใช้ในยุคโมเด็ม dial-up ก่อนยุค Wi-Fi
    uIP ถูกออกแบบมาเพื่ออุปกรณ์ 8/16-bit ที่มีหน่วยความจำจำกัด
    semihosting เป็นฟีเจอร์ debug ที่สามารถใช้ส่งข้อมูลแบบ bidirectional
    โปรเจกต์นี้แสดงให้เห็นว่า embedded device ขนาดเล็กสามารถรันเว็บเซิร์ฟเวอร์ได้จริง

    https://bogdanthegeek.github.io/blog/projects/vapeserver/
    🛠️ “แฮกเกอร์สายฮาเปลี่ยนบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเว็บเซิร์ฟเวอร์ — เมื่อของทิ้งกลายเป็นเครื่องมือออนไลน์สุดมินิมอล” Bogdan Ionescu วิศวกรและนักทดลองสาย embedded ได้สร้างปรากฏการณ์สุดแปลกในวงการอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อเขานำบุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้ง (disposable vape) มาดัดแปลงให้กลายเป็นเว็บเซิร์ฟเวอร์ขนาดจิ๋ว โดยใช้ชิปไมโครคอนโทรลเลอร์ ARM Cortex-M0+ จากแบรนด์ PUYA ที่ซ่อนอยู่ภายในอุปกรณ์เหล่านี้ ชิปที่ใช้คือ PY32F002B ซึ่งมีหน่วยความจำเพียง 24KB flash และ 3KB RAM — เล็กกว่าหน่วยความจำในนาฬิกาดิจิทัลบางรุ่นเสียอีก แต่ Bogdan ใช้เทคนิค semihosting ร่วมกับโปรโตคอล SLIP (Serial Line Internet Protocol) เพื่อให้ Linux มองว่า vape นี้คือโมเด็มแบบ dial-up และสามารถส่งข้อมูล IP ได้จริง เขาเลือกใช้ uIP ซึ่งเป็น TCP/IP stack ขนาดเล็กที่ไม่ต้องใช้ RTOS และสามารถรันเว็บเซิร์ฟเวอร์แบบ HTTP ได้ โดยในช่วงแรกประสิทธิภาพแย่มาก: ping ช้า 1.5 วินาที, packet loss 50%, และโหลดหน้าเว็บใช้เวลากว่า 20 วินาที แต่หลังจากปรับปรุงการจัดการข้อมูลให้ใช้ ring buffer และ batch write ประสิทธิภาพก็พุ่งขึ้นอย่างน่าทึ่ง — ping เหลือเพียง 20ms และโหลดหน้าเว็บใน 160ms Bogdan ยังเพิ่ม API แบบ JSON เพื่อแสดงจำนวนการเข้าชมและ ID ของไมโครคอนโทรลเลอร์ ทำให้เว็บเซิร์ฟเวอร์นี้ไม่ใช่แค่ static page แต่สามารถตอบสนองแบบ dynamic ได้ด้วย แม้จะมีพื้นที่เก็บข้อมูลเหลือเพียง ~20KB ก็ตาม ✅ ข้อมูลสำคัญจากโปรเจกต์ ➡️ ใช้ชิป PUYA PY32F002B จากบุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้ง ➡️ สเปก: ARM Cortex-M0+ @ 24MHz, 24KB flash, 3KB RAM ➡️ ใช้ semihosting + SLIP เพื่อให้ Linux ส่ง IP packet ผ่าน serial ➡️ ใช้ uIP stack เพื่อรันเว็บเซิร์ฟเวอร์ HTTP แบบเบา ✅ การปรับปรุงประสิทธิภาพ ➡️ เพิ่ม ring buffer เพื่อจัดการข้อมูลแบบ batch ลด overhead ➡️ ปรับโครงสร้าง filesystem ให้เหมาะกับ alignment บน ARM ➡️ ลดเวลา ping จาก 1.5s เหลือ 20ms และโหลดหน้าเว็บใน 160ms ➡️ ใช้ RAM เพียง 1.4KB และ flash 5KB — เหลือพื้นที่สำหรับโค้ดอื่น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SLIP เป็นโปรโตคอลที่ใช้ในยุคโมเด็ม dial-up ก่อนยุค Wi-Fi ➡️ uIP ถูกออกแบบมาเพื่ออุปกรณ์ 8/16-bit ที่มีหน่วยความจำจำกัด ➡️ semihosting เป็นฟีเจอร์ debug ที่สามารถใช้ส่งข้อมูลแบบ bidirectional ➡️ โปรเจกต์นี้แสดงให้เห็นว่า embedded device ขนาดเล็กสามารถรันเว็บเซิร์ฟเวอร์ได้จริง https://bogdanthegeek.github.io/blog/projects/vapeserver/
    BOGDANTHEGEEK.GITHUB.IO
    Hosting a WebSite on a Disposable Vape
    Someone's trash is another person's web server.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 97 มุมมอง 0 รีวิว
  • แหกคอก ตอนที่ 12 – ชีวิตในคอก (ตอนจบ)
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 12 : ชีวิตในคอก (ตอนจบ)
    แล้วเขาสร้าง engineering consent นี้กันอย่างไร จะสร้างคอกล้อมคนยาวไปทั่วโลก มันต้องเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ให้พร้อม คอกมันจะได้มั่นคง เดี๋ยวจะแหกกันง่ายๆ
    ประมาณปี ค.ศ.1889 ตระกูล Rockefeller ได้ตั้งมหาวิทยาลัย Chicago ขึ้น โดยเจรจาให้นาย Federic T. Gates ซึ่งเป็นนักวิชาการ และเป็นสาธุคุณของ Baptist Church มาเป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัย และคิดโครงการที่จะนำวิธีสร้างความเชื่อความศรัทธาที่ใช้ในการเผยแพร่ศาสนา มาปรับใช้ในการเผยแพร่กิจกรรมทางสังคม เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ พูดง่ายๆก็คือใช้วิธีที่หมอสอนศาสนาใช้ในการเผยแพร่ศาสนา เปลี่ยนเป็นเผยแพร่ลัทธิใหม่ของนักล่า ( CFR !?) การจัดระเบียบสังคมใหม่นั่นแหละ เฉียบแหลมจริงๆความคิดของพวกเขา
    ปี ค.ศ.1892 มหาวิทยาลัย Chicago ก็ตั้งแผนก Sociology Department สังคมวิทยาขึ้นเป็นแห่งแรกในโลก แผนกสังคมวิทยานี้ ได้สร้างนักส้งคมวิทยาที่มีชื่อเสียง และเป็นที่ยอมรับรุ่นแรกๆคือ George Horbert Mead และ W.I. Thomas ทั้งสองคนนี้เป็นบรมครูในการศึกษา วิธี ควบคุมสังคม Social Control นอกจากนี้มหาวิทยาลัย Chicago ยังออกวารสาร The American Journal of Sociology ในช่วงปี ค.ศ.1915-1940 แผนกสังคมวิทยาของมหาวิทยาลัยนี้โดดเด่นมาก ได้ผลิตหลักสูตร แนวความคิดเกี่ยวกับการศึกษาและควบคุมพฤติกรรมสังคมอย่างต่อเนื่อง เป็นที่ยอมรับและใช้แพร่หลายในมหาวิทยาลัยต่างๆ ถือเป็นตัวจักรสำคัญที่สุดในการสร้างคอกล้อมความคิดและพฤติกรรมสังคม
    ระหว่างที่มหาวิทยาลัย Chicago เดินหน้าขยายหลักสูตรในแผนกสังคมวิทยา มูลนิธิ Rockefeller ก็ให้เงินทุนสนับสนุนแก่มหาวิทยาลัย Yale เพื่อตั้ง Yale Institute of Human Relations (HR) ประมาณปี ค.ศ.1929 เพื่อสร้างหลักสูตรต่อเนื่องในการดูแลสังคม เพื่อให้สังคมเข้าใจในสิ่งใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในสังคม ( การจัดระเบียบโลกใหม่ การเปลี่ยนตัวเองจากสังคมแบบสันโดษของอเมริกา เป็นสังคมโลก ) ว่ามันเป็นอย่างไร นำความเจริญก้าวหน้ามาสู่ประเทศและคนอเมริกันและประชาคมโลกขนาดไหน
    แม้จะคิดหลักสูตรการศึกษาใหม่ๆ สร้างตำรา พิมพ์หนังสือ แจกสิ่งพิมพ์ แต่สิ่งเหล่านี้ไปไม่ได้เร็ว ถ้าไม่มีเครื่องมือสำคัญอีกอย่างมาช่วย มันต้องมีสื่อมีกระบอกเสียง ค.ศ.1930 Princeton Radio Project ก็เกิดขึ้นภายใต้การสนับสนุนของมูลนิธิ Rockefeller (อย่างเคย !) เขาไปเอานาย Frank Stanton ซึ่งเดิมทำงานอยู่ในวงการโฆษณา มาทำการวิเคราะห์รายการวิทยุว่า คนชอบฟังวิทยุรายการใด เพราะอะไร และจะทำให้คนชอบรายการใด ได้อย่างไร (ทำให้นึกถึงการทำข่าวบ้านเราประเภทเล่าข่าว ที่ชาวโลกสวยติดใจนั่งฟังกันอ้าปากหวอ เชื่อฟังแบบต้องมนต์ ทำเอาหัวกลวงกันเป็นแถวๆ)
    หลังจากควบคุมสื่อทางวิทยุแล้ว พวกพี่เลี้ยงนักล่าก็เข้าไป ซื้อบริษัทสร้างหนังใหญ่ ในหนังสือ Money Behind the Screen ระบุว่า ประมาณปี ค.ศ.1930 บริษัทสร้างหนังใหญ่ๆสมัยนั้นเช่น Paramount, Warner, 20th Century Fox, MGM, United Artist, Universal, Columbia, และ R.K.O. ถูกถือหุ้นหรืออยู่ในอิทธิพลของกลุ่มทุนใหญ่เช่น Rockefeller, Morgan รวมทั้ง Lehman Brother จากนั้นกลุ่มทุนใหญ่ๆ ก็เข้าไปครอบงำสื่อทางด้านสิ่งพิมพ์ และโทรทัศน์ต่อไป ประมาณปี ค.ศ.1990 เป็นต้นมา สื่อยักษ์ไม่ว่าจะเป็น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ล้วนตกอยู่ในมือกลุ่มทุนใหญ่นี้เกือบทั้งหมด
    ด้วยการวางแผนทางด้านระบบการศึกษา การใช้กระบวนการย้อมความคิดของสังคม ผ่านมูลนิธิที่อ้างว่าทำเพื่อมนุษยชาติ การโฆษณาชวนเชื่อ การประชาสัมพันธ์ การโฆษณา การตลาด และใช้สื่อทุกรูปแบบ เพื่อสร้างให้เป็นจักรวรรดิอเมริกา นักล่าผู้ครองโลกรุ่นใหม่ เพื่อสร้างระเบียบโลกใหม่โดยการ สร้างวงล้อมอุบาทว์ที่ใช้ระบบ และรูปแบบที่ดูเหมือนซับซ้อน หลอกให้เราเป็นเหยื่อ โดยการฟอกย้อมความคิดเรา ให้เราเห็นดีเห็นงามกับระบบและรูปแบบใหม่นั้น จนทำให้ทัศนคติของเราที่มีต่อ ความเชื่อในคุณธรรม คุณค่าของสังคม ความผูกพันต่อแผ่นดินเกิด ความภูมิใจในประเทศชาติและประวัติศาสตร์ชาติของตน การเห็นคุณค่าของสถาบันและศาสนา ฯลฯ หลายๆอย่างถูกบิดเบือนไปจนเกือบหมดสิ้น นี่ยังไม่นับรสนิยมความชอบด้านวัฒนธรรม และระดับของศีลธรรม ที่เปลี่ยนไปเพราะถูกฟอกย้อมความคิดนั้น มันเป็นเรื่องน่าเศร้า น่าสลดใจอย่างยิ่ง
    อ่านนิทานมาถึงตรงนี้ คงตัดสินใจกันได้เอง ตกลงอเมริกาเป็นพี่เบิ้มผู้พิทักษ์โลกสวยที่เราจำเป็นต้องคอยจูบมือ ให้เขาตบหัวลูบหลัง สั่งให้ยิ้มให้กลิ้งตามใจเขา หรือเห็นเขาเป็นนักล่าโคตรเหี้ยมที่เราต้องทำความรู้จักกันให้ดี และระวังตัวรักษาบ้านรักษาเมืองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อเขา หากยังตัดสินใจไม่ได้ ยังไม่อยากเชื่อ ไม่เชื่อเอาเลย ก็อย่าพึ่งโยนนิทานนี้ทิ้งไปจากสมอง ไปลองคิดต่อ ศึกษาต่อกันเองบ้าง บ้านเมืองนี้ก็ของเราทุกคน คนเล่านิทานทำหน้าที่พลเมืองอาสา ค้นคว้าหาเอกสารข้อมูลมาเล่าสู่กันฟัง เพียงหวังให้นำไปคิด ทำความเข้าใจ ช่วยให้บ้านเมืองเราหลุดพ้นจากการเป็นเหยื่อ หลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ มาช่วยกันแหกคอกเถอะครับ
    คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    แหกคอก ตอนที่ 12 – ชีวิตในคอก (ตอนจบ) นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 12 : ชีวิตในคอก (ตอนจบ) แล้วเขาสร้าง engineering consent นี้กันอย่างไร จะสร้างคอกล้อมคนยาวไปทั่วโลก มันต้องเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ให้พร้อม คอกมันจะได้มั่นคง เดี๋ยวจะแหกกันง่ายๆ ประมาณปี ค.ศ.1889 ตระกูล Rockefeller ได้ตั้งมหาวิทยาลัย Chicago ขึ้น โดยเจรจาให้นาย Federic T. Gates ซึ่งเป็นนักวิชาการ และเป็นสาธุคุณของ Baptist Church มาเป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัย และคิดโครงการที่จะนำวิธีสร้างความเชื่อความศรัทธาที่ใช้ในการเผยแพร่ศาสนา มาปรับใช้ในการเผยแพร่กิจกรรมทางสังคม เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ พูดง่ายๆก็คือใช้วิธีที่หมอสอนศาสนาใช้ในการเผยแพร่ศาสนา เปลี่ยนเป็นเผยแพร่ลัทธิใหม่ของนักล่า ( CFR !?) การจัดระเบียบสังคมใหม่นั่นแหละ เฉียบแหลมจริงๆความคิดของพวกเขา ปี ค.ศ.1892 มหาวิทยาลัย Chicago ก็ตั้งแผนก Sociology Department สังคมวิทยาขึ้นเป็นแห่งแรกในโลก แผนกสังคมวิทยานี้ ได้สร้างนักส้งคมวิทยาที่มีชื่อเสียง และเป็นที่ยอมรับรุ่นแรกๆคือ George Horbert Mead และ W.I. Thomas ทั้งสองคนนี้เป็นบรมครูในการศึกษา วิธี ควบคุมสังคม Social Control นอกจากนี้มหาวิทยาลัย Chicago ยังออกวารสาร The American Journal of Sociology ในช่วงปี ค.ศ.1915-1940 แผนกสังคมวิทยาของมหาวิทยาลัยนี้โดดเด่นมาก ได้ผลิตหลักสูตร แนวความคิดเกี่ยวกับการศึกษาและควบคุมพฤติกรรมสังคมอย่างต่อเนื่อง เป็นที่ยอมรับและใช้แพร่หลายในมหาวิทยาลัยต่างๆ ถือเป็นตัวจักรสำคัญที่สุดในการสร้างคอกล้อมความคิดและพฤติกรรมสังคม ระหว่างที่มหาวิทยาลัย Chicago เดินหน้าขยายหลักสูตรในแผนกสังคมวิทยา มูลนิธิ Rockefeller ก็ให้เงินทุนสนับสนุนแก่มหาวิทยาลัย Yale เพื่อตั้ง Yale Institute of Human Relations (HR) ประมาณปี ค.ศ.1929 เพื่อสร้างหลักสูตรต่อเนื่องในการดูแลสังคม เพื่อให้สังคมเข้าใจในสิ่งใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในสังคม ( การจัดระเบียบโลกใหม่ การเปลี่ยนตัวเองจากสังคมแบบสันโดษของอเมริกา เป็นสังคมโลก ) ว่ามันเป็นอย่างไร นำความเจริญก้าวหน้ามาสู่ประเทศและคนอเมริกันและประชาคมโลกขนาดไหน แม้จะคิดหลักสูตรการศึกษาใหม่ๆ สร้างตำรา พิมพ์หนังสือ แจกสิ่งพิมพ์ แต่สิ่งเหล่านี้ไปไม่ได้เร็ว ถ้าไม่มีเครื่องมือสำคัญอีกอย่างมาช่วย มันต้องมีสื่อมีกระบอกเสียง ค.ศ.1930 Princeton Radio Project ก็เกิดขึ้นภายใต้การสนับสนุนของมูลนิธิ Rockefeller (อย่างเคย !) เขาไปเอานาย Frank Stanton ซึ่งเดิมทำงานอยู่ในวงการโฆษณา มาทำการวิเคราะห์รายการวิทยุว่า คนชอบฟังวิทยุรายการใด เพราะอะไร และจะทำให้คนชอบรายการใด ได้อย่างไร (ทำให้นึกถึงการทำข่าวบ้านเราประเภทเล่าข่าว ที่ชาวโลกสวยติดใจนั่งฟังกันอ้าปากหวอ เชื่อฟังแบบต้องมนต์ ทำเอาหัวกลวงกันเป็นแถวๆ) หลังจากควบคุมสื่อทางวิทยุแล้ว พวกพี่เลี้ยงนักล่าก็เข้าไป ซื้อบริษัทสร้างหนังใหญ่ ในหนังสือ Money Behind the Screen ระบุว่า ประมาณปี ค.ศ.1930 บริษัทสร้างหนังใหญ่ๆสมัยนั้นเช่น Paramount, Warner, 20th Century Fox, MGM, United Artist, Universal, Columbia, และ R.K.O. ถูกถือหุ้นหรืออยู่ในอิทธิพลของกลุ่มทุนใหญ่เช่น Rockefeller, Morgan รวมทั้ง Lehman Brother จากนั้นกลุ่มทุนใหญ่ๆ ก็เข้าไปครอบงำสื่อทางด้านสิ่งพิมพ์ และโทรทัศน์ต่อไป ประมาณปี ค.ศ.1990 เป็นต้นมา สื่อยักษ์ไม่ว่าจะเป็น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ล้วนตกอยู่ในมือกลุ่มทุนใหญ่นี้เกือบทั้งหมด ด้วยการวางแผนทางด้านระบบการศึกษา การใช้กระบวนการย้อมความคิดของสังคม ผ่านมูลนิธิที่อ้างว่าทำเพื่อมนุษยชาติ การโฆษณาชวนเชื่อ การประชาสัมพันธ์ การโฆษณา การตลาด และใช้สื่อทุกรูปแบบ เพื่อสร้างให้เป็นจักรวรรดิอเมริกา นักล่าผู้ครองโลกรุ่นใหม่ เพื่อสร้างระเบียบโลกใหม่โดยการ สร้างวงล้อมอุบาทว์ที่ใช้ระบบ และรูปแบบที่ดูเหมือนซับซ้อน หลอกให้เราเป็นเหยื่อ โดยการฟอกย้อมความคิดเรา ให้เราเห็นดีเห็นงามกับระบบและรูปแบบใหม่นั้น จนทำให้ทัศนคติของเราที่มีต่อ ความเชื่อในคุณธรรม คุณค่าของสังคม ความผูกพันต่อแผ่นดินเกิด ความภูมิใจในประเทศชาติและประวัติศาสตร์ชาติของตน การเห็นคุณค่าของสถาบันและศาสนา ฯลฯ หลายๆอย่างถูกบิดเบือนไปจนเกือบหมดสิ้น นี่ยังไม่นับรสนิยมความชอบด้านวัฒนธรรม และระดับของศีลธรรม ที่เปลี่ยนไปเพราะถูกฟอกย้อมความคิดนั้น มันเป็นเรื่องน่าเศร้า น่าสลดใจอย่างยิ่ง อ่านนิทานมาถึงตรงนี้ คงตัดสินใจกันได้เอง ตกลงอเมริกาเป็นพี่เบิ้มผู้พิทักษ์โลกสวยที่เราจำเป็นต้องคอยจูบมือ ให้เขาตบหัวลูบหลัง สั่งให้ยิ้มให้กลิ้งตามใจเขา หรือเห็นเขาเป็นนักล่าโคตรเหี้ยมที่เราต้องทำความรู้จักกันให้ดี และระวังตัวรักษาบ้านรักษาเมืองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อเขา หากยังตัดสินใจไม่ได้ ยังไม่อยากเชื่อ ไม่เชื่อเอาเลย ก็อย่าพึ่งโยนนิทานนี้ทิ้งไปจากสมอง ไปลองคิดต่อ ศึกษาต่อกันเองบ้าง บ้านเมืองนี้ก็ของเราทุกคน คนเล่านิทานทำหน้าที่พลเมืองอาสา ค้นคว้าหาเอกสารข้อมูลมาเล่าสู่กันฟัง เพียงหวังให้นำไปคิด ทำความเข้าใจ ช่วยให้บ้านเมืองเราหลุดพ้นจากการเป็นเหยื่อ หลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ มาช่วยกันแหกคอกเถอะครับ คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 188 มุมมอง 0 รีวิว
  • แหกคอก ตอนที่ 11 – ปฏิบัติการฟอกย้อม
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 11 : ปฏิบัติการฟอกย้อม
    ปี ค.ศ.1913 เกิดเหตุการณ์ที่เหมืองถ่านหินในรัฐ Colorado รู้จักกันในชื่อเหตุการณ์ฆ่าโหด Ludlow (Ludlow Massacre) กรรมกรในเหมืองถ่านหินประมาณหมื่นกว่าคน พร้อมใจกันประท้วงนายจ้าง เนื่องจากหัวหน้ากรรมกรถูกฆาตกรรม กรรมกรพวกนี้เป็นคนต่างชาติ เช่น พวกกรีก อิตาเลียน และเซิร์บ ที่อพยพมาอยู่ในอเมริกาในช่วงอุตสาหกรรมบูม การประท้วงลามไปถึง Colorado Fuel & Iron Corporation ซึ่งเป็นของตระกูล Rockefeller กรรมกรขอขึ้นค่าแรง เนื่องจากสภาพความเป็นอยู่สุดห่วย แถมยังมีการกดขี่จากนายจ้าง และฝ่ายรัฐซึ่งเป็นเสมือนขี้ข้าของนายทุน (เพราะรับเงินส่วย !) ที่เป็นเจ้าของเหมือง นายทุนบอกโง่มาก คิดว่าเอากำลังคนมาขู่กำลังเงินจะสำเร็จหรือ ว่าแล้วก็ไล่กรรมกรและครอบครัวกระเจิงออกไปจากเหมือง กรรมกรคอตกไม่มีที่ไป จัดการกางเต็นท์ตั้งมันอยู่ที่นอกเมืองนั่นแหละ นายทุน Rockefeller บอกว่าเมื่อพูดด้วยปากไม่รู้เรื่อง ก็เอาปืนมาพูดแทนแล้วกัน แล้วเขาก็ไปจ้างพวกมือปืนรับจ้าง ซึ่งมีทั้งปืนกลและปืนไรเฟิล มายิ่งถล่มใส่เต้นท์กรรมกร
    ผู้ว่าการรัฐ Colorado รู้เรื่องเข้าก็บอก นายท่านจัดการเองแบบนี้ไม่ได้ เป็นหน้าที่ของกระผม แล้วขี้ข้าก็ไปรวบรวมเจ้าหน้าที่ ของรัฐ ซึ่งแน่นอน กินเงินเดือนของนายทุน Rockefeller มากวาดเต้นท์จนราบ ในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ.1914 ประวัติศาสตร์ได้ บันทึกไว้ว่า กรรมกรที่รวมกลุ่มกันตั้งเต้นท์กลุ่มใหญ่ที่สุด มีคนรวมกันประมาณพันคน มีทั้งผู้หญิงผู้ชายและเด็ก ถูกปืนกลของเจ้าหน้าที่รัฐรัวใส่บาดเจ็บล้มตายระเนระนาดไปหมด และเมื่อกรรมกรยกธงขาวเดินเข้ามาขอเจรจาสงบศึก เขาก็ถูกปืนกลรัวใส่ตายคาที่เรียบร้อยอยู่บนพื้นถนน หลังจากนั้นปืนกลก็รัวต่อจนถึงค่ำ ตามต่อด้วยเจ้าหน้าที่จุดไฟเผาเต้นท์จนไม่เหลือ กรรมกรตายเรียบ ในจำนวนผู้ที่ถูกไฟเผามีทั้งผู้หญิงและเด็ก ชื่อของฆ่าโหด Ludlow ก็เป็นที่รู้จักดังไปทั่วตั้งแต่นั้นมา หนังสือพิมพ์ลงข่าวทุกวัน พร้อมคำด่ามาจากทุกสารทิศ
    นายทุน Rockefeller บอกว่าเรื่องแบบนี้จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก ขอโทษอย่าเข้าใจผิดว่า เรื่องสาดปืนกลและเอาไฟเผาจะไม่เกิดขึ้นอีก เขาหมายความว่าการที่สื่อประโคมข่าวด่าแบบไม่เลิกนี้ จะต้องไม่เกิดขึ้นอีกต่างหาก ดังนั้น Rockefeller Foundation จึงได้รับมอบหมายให้ทำการวิจัย เกี่ยวกับการโฆษณาชวนเชื่อ propaganda เพื่อหาวิธีปิดปากสังคมเกี่ยวกับความไม่สงบทางสังคม และการเมือง ไหนๆ จะวิเคราะห์วิจัยเกี่ยวกับเรื่องการบิดเบือนข้อเท็จจริงแล้ว มันก็ควรจะทำกันให้ครบถ้วนไปเลย โดยหาวิธีคิดหลักสูตรเพิ่มคือ เอาให้ถึงวิธีชี้นำสังคม ว่าความจริง truth เป็นอย่างไรไม่สำคัญ สำคัญว่าจะทำให้สังคมคิดอย่างไรกับความจริงนั้นต่างหาก หาวิธีใส่ความคิดเข้าในหัวเรา !
    วิธีการนี้มาจากการโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งได้มีการทดลองใช้ในช่วงสงคราม โลกครั้งที่ 1 มาแล้ว โดยประธานาธิบดี Woodrow Wilson ได้ตั้งหน่วยงาน US Committee on Public Information (CPI) เพื่อให้ประชาชนสนับสนุนการทำสงคราม ก่อนทำสงครามประชาชนทั่วไป
    โดยเฉพาะชนชั้นกรรมกร ไม่มีใครอยากให้ทำสงคราม เพราะมีแต่ความอดอยาก ชาวบ้านบอกว่าสงครามเป็นเรื่อง ของคนรวย แต่นาย Walter Lippman นักคิด นักเขียน จากมหาวิทยาลัย Harvard ผู้ซึ่งประธานาธิบดี Roosevelt ปลื้มมาก บอกว่าเป็นคนหนุ่มที่ฉลาดที่สุดในพวกวัยเดียวกับเขา (ตอนนั้นเขาอายุ 25 ปี) นาย Lippman บอกว่าที่ทำสงครามเพื่อทำให้ประชาธิปไตยเราปลอดภัย เป็นการพูดที่ฟังแล้วดูสวยหรู แต่เป็นตรรกะที่ห่วยมาก แต่คนก็พากันเชื่อ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไอ้หนุ่มน้อยนี้เป็นที่ชื่นชมของประธานาธิบดีหรือเปล่า ฝรั่งก็สอพลอเป็น
    นาย Lippman ยังมีความเห็นอีกว่า คนส่วนใหญ่จะมีความเห็นชอบหรือไม่ชอบ ขึ้นอยู่กับอารมณ์ ว่างั้นเถอะ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเหตุผล (ด้วยเหตุว่า) คนพวกนี้ไม่ค่อยมีความเฉลียวฉลาดมากนัก และไม่มีความคิดที่มั่นคง แถมเป็นพวกที่ไม่ชอบใช้ความคิด หรือไม่ใช้เวลามานั่งคิดว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกนี้บ้าง คนพวกนี้คือคนส่วนใหญ่ของสังคม (พวกโลกสวย?!) เป็นมวลชน เป็นกลุ่มชน ที่ควรจะต้องมีการชี้นำ กำกับ โดยผู้นำ ซึ่งก็อาจจะชี้นำถูกหรือผิดก็ได้ ดังนั้นในความเห็นของนาย Lippman คือ ควรจะมีผู้เชี่ยวชาญ ที่จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการแนะนำ ให้แก่ผู้มีหน้าที่ตัดสินใจ
    ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ เป็นผู้ที่มีความคิดเฉลียวฉลาด มีปัญญามองอะไรทะลุปรุโปร่ง ซึ่งส่วนมากจะเป็นผู้บริหารชั้นสูง คนระดับสูงของประเทศ หรือผู้นำกลุ่มวิชาชีพ ซึ่งเขาเหล่านี้มักจะอยู่ในระดับสูงสุดของสังคม (นี่มันไม่ใช่ แค่แบ่งชนชั้นทางสังคมนะ เป็นการแบ่งชนชั้นทางปัญญาอีกด้วย !)
    นาย Rockefeller ถูกใจมาก เขาเห็นด้วยอย่างยิ่ง บอกใช่แล้วพ่อหนุ่ม เราควรนำมาใช้ในทุกเรื่องเลย โดยเฉพาะใช้ในการครองโลก รวมทั้งด้านธุรกิจสังคมและการเมือง เพื่อชี้นำประชาชน (ฟ้อกย้อมความคิดแบบสมบูรณ์) และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของการคิดสร้างถังความคิด (Think Tank) CFR ซึ่งแน่นอนภายหลัง นาย Lippmann เป็นหนึ่งในนักคิดคนสำคัญของ CFR ด้วย
    วิธีการโฆษณาชวนเชื่อ Propaganda พัฒนามาจนถึงปี ค.ศ.1928 Edward Bernays ซึ่งเป็นหลานของ Sigmund Freud และเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้วางแผนโฆษณาชวนเชื่อให้กับประธานาธิบดี Woodrow Wilson ในสำนักงาน CPI เขียนหนังสือชื่อ Propaganda การโฆษณาชวนเชื่อ ถือเป็นตำราที่ผู้นำทั้งหลายนำไปใช้ ในการต้อนประชาชนเข้าคอก เขาบอกว่า ประชาชนสามารถถูกชี้นำได้โดยคนไม่กี่คน ที่เข้าใจขบวนการนึกคิดและรูปแบบของมวลชน คนไม่กี่คนนี้สามารถทำหน้าที่เป็นคนกระตุกเชือกในการคุมและชี้นำความคิดของมหาชน เหมือนเวลาจะต้อนสัตว์เข้าคอกนั่นแหละ
    วิธีการเช่นนี้ ปรากฎว่าได้ผลไปในทุกวงการและทั่วโลกและยังใช้อยู่จนทุกวันนี้ เพียงแต่เขาเรียกเป็นภาษาสมัยใหม่ว่า engineering consent หรือ constructing consent กระบวนการจัดการให้ได้รับความยินยอมความเห็นชอบ ที่นักล่าเอาไว้ใช้ในการล่าเหยื่อ โดยไม่ต้องออกแรงใช้อาวุธ เพียงแค่หาวิธีย้อมความคิดเหยื่อ จนเหยื่อหลงเชื่อคล้อยตาม และเต็มใจเดินเข้าปากนักล่าให้เคี้ยวแบบสบายๆ 60 ปีมานี้สมันน้อยเต็มใจเดินเข้าปากนักล่าให้เคี้ยวอย่างสบายใจกันเกือบหมดแล้ว
    คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    แหกคอก ตอนที่ 11 – ปฏิบัติการฟอกย้อม นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 11 : ปฏิบัติการฟอกย้อม ปี ค.ศ.1913 เกิดเหตุการณ์ที่เหมืองถ่านหินในรัฐ Colorado รู้จักกันในชื่อเหตุการณ์ฆ่าโหด Ludlow (Ludlow Massacre) กรรมกรในเหมืองถ่านหินประมาณหมื่นกว่าคน พร้อมใจกันประท้วงนายจ้าง เนื่องจากหัวหน้ากรรมกรถูกฆาตกรรม กรรมกรพวกนี้เป็นคนต่างชาติ เช่น พวกกรีก อิตาเลียน และเซิร์บ ที่อพยพมาอยู่ในอเมริกาในช่วงอุตสาหกรรมบูม การประท้วงลามไปถึง Colorado Fuel & Iron Corporation ซึ่งเป็นของตระกูล Rockefeller กรรมกรขอขึ้นค่าแรง เนื่องจากสภาพความเป็นอยู่สุดห่วย แถมยังมีการกดขี่จากนายจ้าง และฝ่ายรัฐซึ่งเป็นเสมือนขี้ข้าของนายทุน (เพราะรับเงินส่วย !) ที่เป็นเจ้าของเหมือง นายทุนบอกโง่มาก คิดว่าเอากำลังคนมาขู่กำลังเงินจะสำเร็จหรือ ว่าแล้วก็ไล่กรรมกรและครอบครัวกระเจิงออกไปจากเหมือง กรรมกรคอตกไม่มีที่ไป จัดการกางเต็นท์ตั้งมันอยู่ที่นอกเมืองนั่นแหละ นายทุน Rockefeller บอกว่าเมื่อพูดด้วยปากไม่รู้เรื่อง ก็เอาปืนมาพูดแทนแล้วกัน แล้วเขาก็ไปจ้างพวกมือปืนรับจ้าง ซึ่งมีทั้งปืนกลและปืนไรเฟิล มายิ่งถล่มใส่เต้นท์กรรมกร ผู้ว่าการรัฐ Colorado รู้เรื่องเข้าก็บอก นายท่านจัดการเองแบบนี้ไม่ได้ เป็นหน้าที่ของกระผม แล้วขี้ข้าก็ไปรวบรวมเจ้าหน้าที่ ของรัฐ ซึ่งแน่นอน กินเงินเดือนของนายทุน Rockefeller มากวาดเต้นท์จนราบ ในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ.1914 ประวัติศาสตร์ได้ บันทึกไว้ว่า กรรมกรที่รวมกลุ่มกันตั้งเต้นท์กลุ่มใหญ่ที่สุด มีคนรวมกันประมาณพันคน มีทั้งผู้หญิงผู้ชายและเด็ก ถูกปืนกลของเจ้าหน้าที่รัฐรัวใส่บาดเจ็บล้มตายระเนระนาดไปหมด และเมื่อกรรมกรยกธงขาวเดินเข้ามาขอเจรจาสงบศึก เขาก็ถูกปืนกลรัวใส่ตายคาที่เรียบร้อยอยู่บนพื้นถนน หลังจากนั้นปืนกลก็รัวต่อจนถึงค่ำ ตามต่อด้วยเจ้าหน้าที่จุดไฟเผาเต้นท์จนไม่เหลือ กรรมกรตายเรียบ ในจำนวนผู้ที่ถูกไฟเผามีทั้งผู้หญิงและเด็ก ชื่อของฆ่าโหด Ludlow ก็เป็นที่รู้จักดังไปทั่วตั้งแต่นั้นมา หนังสือพิมพ์ลงข่าวทุกวัน พร้อมคำด่ามาจากทุกสารทิศ นายทุน Rockefeller บอกว่าเรื่องแบบนี้จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก ขอโทษอย่าเข้าใจผิดว่า เรื่องสาดปืนกลและเอาไฟเผาจะไม่เกิดขึ้นอีก เขาหมายความว่าการที่สื่อประโคมข่าวด่าแบบไม่เลิกนี้ จะต้องไม่เกิดขึ้นอีกต่างหาก ดังนั้น Rockefeller Foundation จึงได้รับมอบหมายให้ทำการวิจัย เกี่ยวกับการโฆษณาชวนเชื่อ propaganda เพื่อหาวิธีปิดปากสังคมเกี่ยวกับความไม่สงบทางสังคม และการเมือง ไหนๆ จะวิเคราะห์วิจัยเกี่ยวกับเรื่องการบิดเบือนข้อเท็จจริงแล้ว มันก็ควรจะทำกันให้ครบถ้วนไปเลย โดยหาวิธีคิดหลักสูตรเพิ่มคือ เอาให้ถึงวิธีชี้นำสังคม ว่าความจริง truth เป็นอย่างไรไม่สำคัญ สำคัญว่าจะทำให้สังคมคิดอย่างไรกับความจริงนั้นต่างหาก หาวิธีใส่ความคิดเข้าในหัวเรา ! วิธีการนี้มาจากการโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งได้มีการทดลองใช้ในช่วงสงคราม โลกครั้งที่ 1 มาแล้ว โดยประธานาธิบดี Woodrow Wilson ได้ตั้งหน่วยงาน US Committee on Public Information (CPI) เพื่อให้ประชาชนสนับสนุนการทำสงคราม ก่อนทำสงครามประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะชนชั้นกรรมกร ไม่มีใครอยากให้ทำสงคราม เพราะมีแต่ความอดอยาก ชาวบ้านบอกว่าสงครามเป็นเรื่อง ของคนรวย แต่นาย Walter Lippman นักคิด นักเขียน จากมหาวิทยาลัย Harvard ผู้ซึ่งประธานาธิบดี Roosevelt ปลื้มมาก บอกว่าเป็นคนหนุ่มที่ฉลาดที่สุดในพวกวัยเดียวกับเขา (ตอนนั้นเขาอายุ 25 ปี) นาย Lippman บอกว่าที่ทำสงครามเพื่อทำให้ประชาธิปไตยเราปลอดภัย เป็นการพูดที่ฟังแล้วดูสวยหรู แต่เป็นตรรกะที่ห่วยมาก แต่คนก็พากันเชื่อ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไอ้หนุ่มน้อยนี้เป็นที่ชื่นชมของประธานาธิบดีหรือเปล่า ฝรั่งก็สอพลอเป็น นาย Lippman ยังมีความเห็นอีกว่า คนส่วนใหญ่จะมีความเห็นชอบหรือไม่ชอบ ขึ้นอยู่กับอารมณ์ ว่างั้นเถอะ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเหตุผล (ด้วยเหตุว่า) คนพวกนี้ไม่ค่อยมีความเฉลียวฉลาดมากนัก และไม่มีความคิดที่มั่นคง แถมเป็นพวกที่ไม่ชอบใช้ความคิด หรือไม่ใช้เวลามานั่งคิดว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกนี้บ้าง คนพวกนี้คือคนส่วนใหญ่ของสังคม (พวกโลกสวย?!) เป็นมวลชน เป็นกลุ่มชน ที่ควรจะต้องมีการชี้นำ กำกับ โดยผู้นำ ซึ่งก็อาจจะชี้นำถูกหรือผิดก็ได้ ดังนั้นในความเห็นของนาย Lippman คือ ควรจะมีผู้เชี่ยวชาญ ที่จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการแนะนำ ให้แก่ผู้มีหน้าที่ตัดสินใจ ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ เป็นผู้ที่มีความคิดเฉลียวฉลาด มีปัญญามองอะไรทะลุปรุโปร่ง ซึ่งส่วนมากจะเป็นผู้บริหารชั้นสูง คนระดับสูงของประเทศ หรือผู้นำกลุ่มวิชาชีพ ซึ่งเขาเหล่านี้มักจะอยู่ในระดับสูงสุดของสังคม (นี่มันไม่ใช่ แค่แบ่งชนชั้นทางสังคมนะ เป็นการแบ่งชนชั้นทางปัญญาอีกด้วย !) นาย Rockefeller ถูกใจมาก เขาเห็นด้วยอย่างยิ่ง บอกใช่แล้วพ่อหนุ่ม เราควรนำมาใช้ในทุกเรื่องเลย โดยเฉพาะใช้ในการครองโลก รวมทั้งด้านธุรกิจสังคมและการเมือง เพื่อชี้นำประชาชน (ฟ้อกย้อมความคิดแบบสมบูรณ์) และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของการคิดสร้างถังความคิด (Think Tank) CFR ซึ่งแน่นอนภายหลัง นาย Lippmann เป็นหนึ่งในนักคิดคนสำคัญของ CFR ด้วย วิธีการโฆษณาชวนเชื่อ Propaganda พัฒนามาจนถึงปี ค.ศ.1928 Edward Bernays ซึ่งเป็นหลานของ Sigmund Freud และเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้วางแผนโฆษณาชวนเชื่อให้กับประธานาธิบดี Woodrow Wilson ในสำนักงาน CPI เขียนหนังสือชื่อ Propaganda การโฆษณาชวนเชื่อ ถือเป็นตำราที่ผู้นำทั้งหลายนำไปใช้ ในการต้อนประชาชนเข้าคอก เขาบอกว่า ประชาชนสามารถถูกชี้นำได้โดยคนไม่กี่คน ที่เข้าใจขบวนการนึกคิดและรูปแบบของมวลชน คนไม่กี่คนนี้สามารถทำหน้าที่เป็นคนกระตุกเชือกในการคุมและชี้นำความคิดของมหาชน เหมือนเวลาจะต้อนสัตว์เข้าคอกนั่นแหละ วิธีการเช่นนี้ ปรากฎว่าได้ผลไปในทุกวงการและทั่วโลกและยังใช้อยู่จนทุกวันนี้ เพียงแต่เขาเรียกเป็นภาษาสมัยใหม่ว่า engineering consent หรือ constructing consent กระบวนการจัดการให้ได้รับความยินยอมความเห็นชอบ ที่นักล่าเอาไว้ใช้ในการล่าเหยื่อ โดยไม่ต้องออกแรงใช้อาวุธ เพียงแค่หาวิธีย้อมความคิดเหยื่อ จนเหยื่อหลงเชื่อคล้อยตาม และเต็มใจเดินเข้าปากนักล่าให้เคี้ยวแบบสบายๆ 60 ปีมานี้สมันน้อยเต็มใจเดินเข้าปากนักล่าให้เคี้ยวอย่างสบายใจกันเกือบหมดแล้ว คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 206 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากกระดาษแผ่นเดียวถึงเครื่องบินสอดแนม: เมื่อ papercraft กลายเป็นวิชาออกแบบเชิงวิศวกรรม

    ผู้เขียนใช้เวลากว่า 6 ปีในการพัฒนาเทคนิคการสร้างโมเดลจากกระดาษ โดยเริ่มจากการสร้างโมเดลที่คนอื่นออกแบบ ไปจนถึงการออกแบบเองทั้งหมด โดยใช้หลักการของ engineering เช่น การกำหนด constraints, การจัดการ topology, และการ optimize ทรัพยากร

    โมเดล SR-71 ที่เขาสร้างขึ้นนั้นใช้กระดาษทั้งหมด ไม่มีพื้นผิวโค้ง ไม่มีลวดลายพิมพ์ และทุกชิ้นส่วนเป็น polyhedron ที่มีสีเดียว เพื่อให้การประกอบง่าย แข็งแรง และสามารถทำซ้ำได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องมือพิเศษ

    กระบวนการออกแบบเริ่มจากการสร้าง mesh ใน Blender โดยใช้เทคนิค low-poly และ mirror modifier เพื่อให้โมเดล symmetrical จากนั้นจึงนำ mesh ไป unfold ด้วย Pepakura Designer เพื่อสร้าง template แบบ 2D ที่สามารถพิมพ์และตัดประกอบได้

    การจัดเรียงชิ้นส่วนบนหน้ากระดาษถูกออกแบบอย่างมีตรรกะ ไม่ใช่แค่ประหยัดพื้นที่ แต่ต้องทำให้การประกอบ intuitive และลดความผิดพลาด ส่วนการจัดการ flap (แถบกาว) ก็ใช้เทคนิค interlaced เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของโครงสร้าง

    สุดท้ายคือการประกอบ ซึ่งใช้กระดาษ 65lb, กาวแบบ tacky glue, และเครื่องมือพื้นฐาน เช่น กรรไกร, ไม้บรรทัด, ที่กรีดรอยพับ และไม้จิ้มฟันสำหรับเกลี่ยกาว โดยใช้เวลา 6–8 ชั่วโมงในการประกอบทั้งหมด

    https://www.arvinpoddar.com/blog/3d-modeling-with-paper
    🎙️ เรื่องเล่าจากกระดาษแผ่นเดียวถึงเครื่องบินสอดแนม: เมื่อ papercraft กลายเป็นวิชาออกแบบเชิงวิศวกรรม ผู้เขียนใช้เวลากว่า 6 ปีในการพัฒนาเทคนิคการสร้างโมเดลจากกระดาษ โดยเริ่มจากการสร้างโมเดลที่คนอื่นออกแบบ ไปจนถึงการออกแบบเองทั้งหมด โดยใช้หลักการของ engineering เช่น การกำหนด constraints, การจัดการ topology, และการ optimize ทรัพยากร โมเดล SR-71 ที่เขาสร้างขึ้นนั้นใช้กระดาษทั้งหมด ไม่มีพื้นผิวโค้ง ไม่มีลวดลายพิมพ์ และทุกชิ้นส่วนเป็น polyhedron ที่มีสีเดียว เพื่อให้การประกอบง่าย แข็งแรง และสามารถทำซ้ำได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องมือพิเศษ กระบวนการออกแบบเริ่มจากการสร้าง mesh ใน Blender โดยใช้เทคนิค low-poly และ mirror modifier เพื่อให้โมเดล symmetrical จากนั้นจึงนำ mesh ไป unfold ด้วย Pepakura Designer เพื่อสร้าง template แบบ 2D ที่สามารถพิมพ์และตัดประกอบได้ การจัดเรียงชิ้นส่วนบนหน้ากระดาษถูกออกแบบอย่างมีตรรกะ ไม่ใช่แค่ประหยัดพื้นที่ แต่ต้องทำให้การประกอบ intuitive และลดความผิดพลาด ส่วนการจัดการ flap (แถบกาว) ก็ใช้เทคนิค interlaced เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของโครงสร้าง สุดท้ายคือการประกอบ ซึ่งใช้กระดาษ 65lb, กาวแบบ tacky glue, และเครื่องมือพื้นฐาน เช่น กรรไกร, ไม้บรรทัด, ที่กรีดรอยพับ และไม้จิ้มฟันสำหรับเกลี่ยกาว โดยใช้เวลา 6–8 ชั่วโมงในการประกอบทั้งหมด https://www.arvinpoddar.com/blog/3d-modeling-with-paper
    WWW.ARVINPODDAR.COM
    3D Modeling with Paper
    Exploring the process of designing and assembling 3D models from paper.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 รีวิว
  • Kolkata Fatafat is one of the most well-known lottery-style games in West Bengal, enjoyed by a huge number of people who eagerly participate every day. The game is exciting because it offers quick results and the chance to win with just a little bit of luck. Many players follow the results regularly, checking updates to see if their predictions match. https://ffkolkata.net/ Over the years, it has grown into more than just a lottery—it has become a part of daily conversation for many people across Kolkata and beyond. The thrill of guessing numbers and waiting for the outcome adds to its popularity. However, it is also important to remember that Kolkata Fatafat is a game of chance. While it can bring moments of joy and winnings, players should approach it responsibly, without over-dependence. Treating it as a form of entertainment ensures the experience remains enjoyable and balanced.
    Kolkata Fatafat is one of the most well-known lottery-style games in West Bengal, enjoyed by a huge number of people who eagerly participate every day. The game is exciting because it offers quick results and the chance to win with just a little bit of luck. Many players follow the results regularly, checking updates to see if their predictions match. https://ffkolkata.net/ Over the years, it has grown into more than just a lottery—it has become a part of daily conversation for many people across Kolkata and beyond. The thrill of guessing numbers and waiting for the outcome adds to its popularity. However, it is also important to remember that Kolkata Fatafat is a game of chance. While it can bring moments of joy and winnings, players should approach it responsibly, without over-dependence. Treating it as a form of entertainment ensures the experience remains enjoyable and balanced.
    FFKOLKATA.NET
    Kolkata Fatafat
    See LIVE Kolkata Fatafat (কলকাতা ফটাফট) today result and कोलकाता फटाफट Ghosh Babu Free Tips with Kolkata FF 220 Patti list chart
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 150 มุมมอง 0 รีวิว
  • “TCS เปิดตัวบริการออกแบบระบบด้วยชิปเลต — อินเดียเร่งเครื่องสู่ศูนย์กลางเซมิคอนดักเตอร์โลก”

    Tata Consultancy Services (TCS) บริษัทไอทีระดับโลกจากอินเดีย ประกาศเปิดตัวบริการใหม่ “Chiplet-Based System Engineering Services” เพื่อช่วยผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ออกแบบชิปยุคใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ต้นทุนต่ำลง และพร้อมตอบโจทย์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยใช้แนวคิด “ชิปเลต” ซึ่งเป็นวงจรขนาดเล็กที่สามารถประกอบรวมกันเป็นชิปขนาดใหญ่ได้ตามความต้องการ

    การเปิดตัวครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่อินเดียกำลังเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อย่างจริงจัง โดยมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 45–50 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024–2025 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 100–110 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ภายใต้การสนับสนุนจากรัฐบาลผ่านโครงการ India Semiconductor Mission มูลค่า ₹76,000 crore

    TCS ให้บริการออกแบบและตรวจสอบตามมาตรฐานอุตสาหกรรม เช่น UCIe (Universal Chiplet Interconnect Express) และ HBM (High Bandwidth Memory) รวมถึงการออกแบบแพ็กเกจขั้นสูงแบบ 2.5D และ 3D interposer ซึ่งช่วยให้สามารถรวมชิปหลายตัวเข้าด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านความเร็ว ความเสถียร และขนาดที่กะทัดรัด

    บริการใหม่นี้ยังช่วยให้บริษัทสามารถเร่ง tape-out หรือการส่งแบบชิปเข้าสู่กระบวนการผลิตได้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขันในตลาดที่ขับเคลื่อนด้วย AI, คลาวด์, สมาร์ตโฟน, รถยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์เชื่อมต่อ

    จุดเด่นของบริการ Chiplet-Based System Engineering จาก TCS
    ใช้แนวคิด “ชิปเลต” เพื่อออกแบบชิปที่ยืดหยุ่นและปรับแต่งได้ตามความต้องการ
    ช่วยเร่ง tape-out และลดต้นทุนการผลิตชิป
    รองรับมาตรฐาน UCIe และ HBM สำหรับการเชื่อมต่อและหน่วยความจำความเร็วสูง
    ให้บริการออกแบบแพ็กเกจขั้นสูง เช่น 2.5D และ 3D interposer

    บริบทของตลาดเซมิคอนดักเตอร์อินเดีย
    มูลค่าตลาดปี 2024–2025 อยู่ที่ $45–50 พันล้าน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น $100–110 พันล้านในปี 2030
    รัฐบาลสนับสนุนผ่านโครงการ India Semiconductor Mission มูลค่า ₹76,000 crore
    อินเดียมีวิศวกรออกแบบชิปคิดเป็น 20% ของโลก
    บริษัทต่างชาติเริ่มลงทุนตั้งโรงงานประกอบและออกแบบในอินเดีย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    แนวคิด chiplet-based design กำลังแทนที่การลดขนาดทรานซิสเตอร์แบบเดิม
    UCIe เป็นมาตรฐานเปิดที่ช่วยให้ชิปหลายตัวสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    HBM เป็นหน่วยความจำที่ใช้ใน GPU และ AI accelerator ที่ต้องการความเร็วสูง
    TCS เคยร่วมมือกับบริษัทในอเมริกาเหนือเพื่อเร่งการผลิต AI processor ด้วยแนวทางนี้

    คำเตือนและข้อจำกัด
    การออกแบบด้วยชิปเลตยังมีความซับซ้อนด้านการจัดการสัญญาณและความร้อน
    การรวมชิปต่างชนิดอาจเกิดปัญหาเรื่อง latency และความเข้ากันได้
    มาตรฐาน UCIe ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา — อาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
    บริษัทที่ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านแพ็กเกจขั้นสูงอาจไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มที่
    การแข่งขันในตลาดเซมิคอนดักเตอร์ยังสูงมาก — ต้องมีนวัตกรรมต่อเนื่องเพื่ออยู่รอด

    https://www.techpowerup.com/340896/tcs-unveils-chiplet-based-system-engineering-services-to-accelerate-semiconductor-innovation
    🔧 “TCS เปิดตัวบริการออกแบบระบบด้วยชิปเลต — อินเดียเร่งเครื่องสู่ศูนย์กลางเซมิคอนดักเตอร์โลก” Tata Consultancy Services (TCS) บริษัทไอทีระดับโลกจากอินเดีย ประกาศเปิดตัวบริการใหม่ “Chiplet-Based System Engineering Services” เพื่อช่วยผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ออกแบบชิปยุคใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ต้นทุนต่ำลง และพร้อมตอบโจทย์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยใช้แนวคิด “ชิปเลต” ซึ่งเป็นวงจรขนาดเล็กที่สามารถประกอบรวมกันเป็นชิปขนาดใหญ่ได้ตามความต้องการ การเปิดตัวครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่อินเดียกำลังเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อย่างจริงจัง โดยมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 45–50 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024–2025 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 100–110 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ภายใต้การสนับสนุนจากรัฐบาลผ่านโครงการ India Semiconductor Mission มูลค่า ₹76,000 crore TCS ให้บริการออกแบบและตรวจสอบตามมาตรฐานอุตสาหกรรม เช่น UCIe (Universal Chiplet Interconnect Express) และ HBM (High Bandwidth Memory) รวมถึงการออกแบบแพ็กเกจขั้นสูงแบบ 2.5D และ 3D interposer ซึ่งช่วยให้สามารถรวมชิปหลายตัวเข้าด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านความเร็ว ความเสถียร และขนาดที่กะทัดรัด บริการใหม่นี้ยังช่วยให้บริษัทสามารถเร่ง tape-out หรือการส่งแบบชิปเข้าสู่กระบวนการผลิตได้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขันในตลาดที่ขับเคลื่อนด้วย AI, คลาวด์, สมาร์ตโฟน, รถยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์เชื่อมต่อ ✅ จุดเด่นของบริการ Chiplet-Based System Engineering จาก TCS ➡️ ใช้แนวคิด “ชิปเลต” เพื่อออกแบบชิปที่ยืดหยุ่นและปรับแต่งได้ตามความต้องการ ➡️ ช่วยเร่ง tape-out และลดต้นทุนการผลิตชิป ➡️ รองรับมาตรฐาน UCIe และ HBM สำหรับการเชื่อมต่อและหน่วยความจำความเร็วสูง ➡️ ให้บริการออกแบบแพ็กเกจขั้นสูง เช่น 2.5D และ 3D interposer ✅ บริบทของตลาดเซมิคอนดักเตอร์อินเดีย ➡️ มูลค่าตลาดปี 2024–2025 อยู่ที่ $45–50 พันล้าน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น $100–110 พันล้านในปี 2030 ➡️ รัฐบาลสนับสนุนผ่านโครงการ India Semiconductor Mission มูลค่า ₹76,000 crore ➡️ อินเดียมีวิศวกรออกแบบชิปคิดเป็น 20% ของโลก ➡️ บริษัทต่างชาติเริ่มลงทุนตั้งโรงงานประกอบและออกแบบในอินเดีย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ แนวคิด chiplet-based design กำลังแทนที่การลดขนาดทรานซิสเตอร์แบบเดิม ➡️ UCIe เป็นมาตรฐานเปิดที่ช่วยให้ชิปหลายตัวสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ HBM เป็นหน่วยความจำที่ใช้ใน GPU และ AI accelerator ที่ต้องการความเร็วสูง ➡️ TCS เคยร่วมมือกับบริษัทในอเมริกาเหนือเพื่อเร่งการผลิต AI processor ด้วยแนวทางนี้ ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ การออกแบบด้วยชิปเลตยังมีความซับซ้อนด้านการจัดการสัญญาณและความร้อน ⛔ การรวมชิปต่างชนิดอาจเกิดปัญหาเรื่อง latency และความเข้ากันได้ ⛔ มาตรฐาน UCIe ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา — อาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ⛔ บริษัทที่ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านแพ็กเกจขั้นสูงอาจไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ ⛔ การแข่งขันในตลาดเซมิคอนดักเตอร์ยังสูงมาก — ต้องมีนวัตกรรมต่อเนื่องเพื่ออยู่รอด https://www.techpowerup.com/340896/tcs-unveils-chiplet-based-system-engineering-services-to-accelerate-semiconductor-innovation
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    TCS Unveils Chiplet-Based System Engineering Services to Accelerate Semiconductor Innovation
    Tata Consultancy Services a global leader in IT services, consulting, and business solutions, announced the launch of its Chiplet-based System Engineering Services, designed to help semiconductor companies push the boundaries of traditional chip design. By using chiplets (which are small integrated ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 219 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ใต้ทะเลไม่เงียบอีกต่อไป — ไต้หวันเพิ่มการลาดตระเวนสายเคเบิลใต้น้ำ 24 จุด รับมือยุทธวิธี ‘สงครามสีเทา’ จากจีน”

    ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ไต้หวันเผชิญกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่ไม่ใช่การยิงขีปนาวุธหรือการส่งเรือรบ แต่เป็นการโจมตีสายเคเบิลใต้น้ำที่เชื่อมต่อเกาะกับโลกภายนอก ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการสื่อสารระดับประเทศ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การทหาร และการบริหารภาครัฐ

    ล่าสุด รัฐบาลไต้หวันได้เพิ่มการลาดตระเวนรอบสายเคเบิลใต้น้ำทั้ง 24 จุดทั่วเกาะ โดยเน้นพื้นที่ TP3 ซึ่งเคยถูกเรือจีนชื่อ Hong Tai 58 ตัดสายเคเบิลในเดือนกุมภาพันธ์ และศาลไต้หวันได้ตัดสินว่ากัปตันจีนมีความผิดฐานเจตนาโจมตีโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ

    การลาดตระเวนดำเนินการตลอด 24 ชั่วโมง โดยใช้เรือตรวจการณ์ PP-10079 พร้อมระบบแจ้งเตือนเมื่อมีเรือเข้าใกล้สายเคเบิลในระยะ 1 กิโลเมตรด้วยความเร็วต่ำ รวมถึงการใช้เรดาร์และสถานีตรวจจับหลายสิบแห่งทั่วเกาะเพื่อสแกนหาความเคลื่อนไหวที่น่าสงสัย

    เจ้าหน้าที่ความมั่นคงของไต้หวันระบุว่า มีเรือที่เชื่อมโยงกับจีนกว่า 96 ลำที่ถูกขึ้นบัญชีดำ และอีกกว่า 400 ลำที่สามารถดัดแปลงเป็นเรือสงครามได้ ซึ่งสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อทรัพยากรของหน่วยยามชายฝั่ง

    เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงยุทธวิธี “สงครามสีเทา” ที่จีนใช้เพื่อบั่นทอนเสถียรภาพของไต้หวันโดยไม่ต้องเปิดฉากสงครามอย่างเป็นทางการ เช่นเดียวกับที่รัสเซียเคยใช้ในทะเลบอลติกหลังการรุกรานยูเครน

    มาตรการป้องกันสายเคเบิลใต้น้ำของไต้หวัน
    เพิ่มการลาดตระเวน 24 ชั่วโมงรอบสายเคเบิล TP3 และอีก 23 จุดทั่วเกาะ
    ใช้เรือตรวจการณ์ PP-10079 พร้อมระบบแจ้งเตือนเมื่อมีเรือเข้าใกล้
    มีสถานีเรดาร์หลายสิบแห่งช่วยตรวจจับเรือที่เคลื่อนที่ผิดปกติ
    ออกคำเตือนทางวิทยุก่อนส่งเรือเข้าตรวจสอบ

    เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการโจมตีสายเคเบิล
    เรือ Hong Tai 58 ถูกตัดสินว่าตั้งใจตัดสายเคเบิล TP3 ในเดือนกุมภาพันธ์
    ศาลไต้หวันตัดสินจำคุกกัปตันจีนเป็นเวลา 3 ปี
    มีเหตุการณ์คล้ายกันในภาคเหนือของไต้หวันที่เชื่อมโยงกับเรือจีน
    จีนปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยระบุว่าไต้หวัน “สร้างเรื่อง” ก่อนมีข้อเท็จจริง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    สายเคเบิลใต้น้ำเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของการสื่อสารระดับโลก
    การตัดสายเคเบิลสามารถทำให้ประเทศหนึ่ง “ตัดขาดจากโลกภายนอก” ได้ทันที
    ยุทธวิธีสงครามสีเทาเน้นการบั่นทอนทรัพยากรโดยไม่เปิดสงคราม
    รัสเซียเคยใช้วิธีคล้ายกันในทะเลบอลติกหลังรุกรานยูเครน

    https://www.tomshardware.com/networking/taiwan-increases-undersea-cable-protection-patrols-closely-monitoring-96-blacklisted-china-linked-boats
    🌊 “ใต้ทะเลไม่เงียบอีกต่อไป — ไต้หวันเพิ่มการลาดตระเวนสายเคเบิลใต้น้ำ 24 จุด รับมือยุทธวิธี ‘สงครามสีเทา’ จากจีน” ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ไต้หวันเผชิญกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่ไม่ใช่การยิงขีปนาวุธหรือการส่งเรือรบ แต่เป็นการโจมตีสายเคเบิลใต้น้ำที่เชื่อมต่อเกาะกับโลกภายนอก ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการสื่อสารระดับประเทศ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การทหาร และการบริหารภาครัฐ ล่าสุด รัฐบาลไต้หวันได้เพิ่มการลาดตระเวนรอบสายเคเบิลใต้น้ำทั้ง 24 จุดทั่วเกาะ โดยเน้นพื้นที่ TP3 ซึ่งเคยถูกเรือจีนชื่อ Hong Tai 58 ตัดสายเคเบิลในเดือนกุมภาพันธ์ และศาลไต้หวันได้ตัดสินว่ากัปตันจีนมีความผิดฐานเจตนาโจมตีโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ การลาดตระเวนดำเนินการตลอด 24 ชั่วโมง โดยใช้เรือตรวจการณ์ PP-10079 พร้อมระบบแจ้งเตือนเมื่อมีเรือเข้าใกล้สายเคเบิลในระยะ 1 กิโลเมตรด้วยความเร็วต่ำ รวมถึงการใช้เรดาร์และสถานีตรวจจับหลายสิบแห่งทั่วเกาะเพื่อสแกนหาความเคลื่อนไหวที่น่าสงสัย เจ้าหน้าที่ความมั่นคงของไต้หวันระบุว่า มีเรือที่เชื่อมโยงกับจีนกว่า 96 ลำที่ถูกขึ้นบัญชีดำ และอีกกว่า 400 ลำที่สามารถดัดแปลงเป็นเรือสงครามได้ ซึ่งสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อทรัพยากรของหน่วยยามชายฝั่ง เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงยุทธวิธี “สงครามสีเทา” ที่จีนใช้เพื่อบั่นทอนเสถียรภาพของไต้หวันโดยไม่ต้องเปิดฉากสงครามอย่างเป็นทางการ เช่นเดียวกับที่รัสเซียเคยใช้ในทะเลบอลติกหลังการรุกรานยูเครน ✅ มาตรการป้องกันสายเคเบิลใต้น้ำของไต้หวัน ➡️ เพิ่มการลาดตระเวน 24 ชั่วโมงรอบสายเคเบิล TP3 และอีก 23 จุดทั่วเกาะ ➡️ ใช้เรือตรวจการณ์ PP-10079 พร้อมระบบแจ้งเตือนเมื่อมีเรือเข้าใกล้ ➡️ มีสถานีเรดาร์หลายสิบแห่งช่วยตรวจจับเรือที่เคลื่อนที่ผิดปกติ ➡️ ออกคำเตือนทางวิทยุก่อนส่งเรือเข้าตรวจสอบ ✅ เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการโจมตีสายเคเบิล ➡️ เรือ Hong Tai 58 ถูกตัดสินว่าตั้งใจตัดสายเคเบิล TP3 ในเดือนกุมภาพันธ์ ➡️ ศาลไต้หวันตัดสินจำคุกกัปตันจีนเป็นเวลา 3 ปี ➡️ มีเหตุการณ์คล้ายกันในภาคเหนือของไต้หวันที่เชื่อมโยงกับเรือจีน ➡️ จีนปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยระบุว่าไต้หวัน “สร้างเรื่อง” ก่อนมีข้อเท็จจริง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ สายเคเบิลใต้น้ำเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของการสื่อสารระดับโลก ➡️ การตัดสายเคเบิลสามารถทำให้ประเทศหนึ่ง “ตัดขาดจากโลกภายนอก” ได้ทันที ➡️ ยุทธวิธีสงครามสีเทาเน้นการบั่นทอนทรัพยากรโดยไม่เปิดสงคราม ➡️ รัสเซียเคยใช้วิธีคล้ายกันในทะเลบอลติกหลังรุกรานยูเครน https://www.tomshardware.com/networking/taiwan-increases-undersea-cable-protection-patrols-closely-monitoring-96-blacklisted-china-linked-boats
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 198 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ปืนกาวพิมพ์กระดูก — นวัตกรรมใหม่จากเกาหลีใต้ เปลี่ยนการผ่าตัดกระดูกให้แม่นยำและปลอดภัยยิ่งขึ้น”

    ใครจะคิดว่า “ปืนกาว” ที่เราใช้ในงานประดิษฐ์จะกลายเป็นเครื่องมือช่วยชีวิตในห้องผ่าตัด ล่าสุดทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Sungkyunkwan (SKKU) ประเทศเกาหลีใต้ ได้พัฒนาอุปกรณ์พิมพ์สามมิติแบบมือถือที่สามารถ “พิมพ์กระดูกเทียม” ลงบนเนื้อเยื่อของผู้ป่วยได้โดยตรงระหว่างการผ่าตัด

    อุปกรณ์นี้มีลักษณะคล้ายปืนกาวทั่วไป แต่ใช้วัสดุแท่งที่ประกอบด้วย polycaprolactone (PCL) ซึ่งเป็นพอลิเมอร์ชีวภาพ และ hydroxyapatite (HA) ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่พบในกระดูกตามธรรมชาติ เมื่อหลอมละลายแล้วจะกลายเป็นโครงสร้างรองรับการเจริญเติบโตของกระดูกใหม่ โดยสามารถปรับทิศทาง ความลึก และมุมการพิมพ์ได้แบบเรียลไทม์ ทำให้เหมาะกับการซ่อมแซมรอยแตกหรือช่องว่างที่มีรูปร่างไม่แน่นอน

    นอกจากความสามารถในการพิมพ์โครงสร้างกระดูกแล้ว ทีมวิจัยยังสามารถผสมยาปฏิชีวนะ เช่น vancomycin และ gentamycin ลงในวัสดุพิมพ์ได้โดยตรง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อหลังผ่าตัด และลดการใช้ยาปฏิชีวนะแบบกินที่อาจนำไปสู่การดื้อยา

    การทดลองในสัตว์แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างที่พิมพ์ด้วยอุปกรณ์นี้มีความแข็งแรงสูง กระตุ้นการสร้างกระดูกใหม่ได้ดี และไม่ก่อให้เกิดการอักเสบหรือความเสียหายต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง โดยวัสดุจะค่อย ๆ สลายตัวและถูกแทนที่ด้วยกระดูกจริงในระยะเวลา 12 สัปดาห์

    แม้เทคโนโลยีนี้จะยังไม่พร้อมใช้งานในโรงพยาบาลทั่วไป แต่ถือเป็นก้าวสำคัญของการผ่าตัดแบบ “พิมพ์สด” ที่อาจเปลี่ยนวิธีการรักษากระดูกในอนาคต

    จุดเด่นของเทคโนโลยีปืนกาวพิมพ์กระดูก
    พัฒนาโดยมหาวิทยาลัย Sungkyunkwan (SKKU) ประเทศเกาหลีใต้
    ใช้วัสดุ PCL และ hydroxyapatite ซึ่งปลอดภัยและกระตุ้นการสร้างกระดูก
    พิมพ์ได้โดยตรงบนเนื้อเยื่อของผู้ป่วยระหว่างการผ่าตัด
    ปรับทิศทาง มุม และความลึกของการพิมพ์ได้แบบเรียลไทม์

    ความสามารถเพิ่มเติม
    ผสมยาปฏิชีวนะลงในวัสดุพิมพ์เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อ
    ไม่ต้องใช้สารละลายที่เป็นพิษ — ปลอดภัยต่อเนื้อเยื่อ
    วัสดุพิมพ์สามารถสลายตัวและถูกแทนที่ด้วยกระดูกจริง
    ใช้เวลาพิมพ์เพียงไม่กี่นาที — ลดเวลาในการผ่าตัด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การทดลองในสัตว์แสดงผลลัพธ์ที่ดีในด้านความแข็งแรงและการฟื้นฟู
    การปรับสัดส่วน HA/PCL สามารถควบคุมความแข็งและอัตราการสลายตัวได้
    อุปกรณ์นี้ได้รับความร่วมมือจากหลายสถาบัน เช่น MIT, KAIST, SNU
    เทคโนโลยีนี้อาจแทนที่ bone cement และการปลูกถ่ายโลหะในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/3d-printing/researchers-develop-modified-glue-gun-that-can-print-bone-device-3d-prints-synthetic-grafts-directly-onto-patients-living-tissue-during-surgery
    🦴 “ปืนกาวพิมพ์กระดูก — นวัตกรรมใหม่จากเกาหลีใต้ เปลี่ยนการผ่าตัดกระดูกให้แม่นยำและปลอดภัยยิ่งขึ้น” ใครจะคิดว่า “ปืนกาว” ที่เราใช้ในงานประดิษฐ์จะกลายเป็นเครื่องมือช่วยชีวิตในห้องผ่าตัด ล่าสุดทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Sungkyunkwan (SKKU) ประเทศเกาหลีใต้ ได้พัฒนาอุปกรณ์พิมพ์สามมิติแบบมือถือที่สามารถ “พิมพ์กระดูกเทียม” ลงบนเนื้อเยื่อของผู้ป่วยได้โดยตรงระหว่างการผ่าตัด อุปกรณ์นี้มีลักษณะคล้ายปืนกาวทั่วไป แต่ใช้วัสดุแท่งที่ประกอบด้วย polycaprolactone (PCL) ซึ่งเป็นพอลิเมอร์ชีวภาพ และ hydroxyapatite (HA) ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่พบในกระดูกตามธรรมชาติ เมื่อหลอมละลายแล้วจะกลายเป็นโครงสร้างรองรับการเจริญเติบโตของกระดูกใหม่ โดยสามารถปรับทิศทาง ความลึก และมุมการพิมพ์ได้แบบเรียลไทม์ ทำให้เหมาะกับการซ่อมแซมรอยแตกหรือช่องว่างที่มีรูปร่างไม่แน่นอน นอกจากความสามารถในการพิมพ์โครงสร้างกระดูกแล้ว ทีมวิจัยยังสามารถผสมยาปฏิชีวนะ เช่น vancomycin และ gentamycin ลงในวัสดุพิมพ์ได้โดยตรง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อหลังผ่าตัด และลดการใช้ยาปฏิชีวนะแบบกินที่อาจนำไปสู่การดื้อยา การทดลองในสัตว์แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างที่พิมพ์ด้วยอุปกรณ์นี้มีความแข็งแรงสูง กระตุ้นการสร้างกระดูกใหม่ได้ดี และไม่ก่อให้เกิดการอักเสบหรือความเสียหายต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง โดยวัสดุจะค่อย ๆ สลายตัวและถูกแทนที่ด้วยกระดูกจริงในระยะเวลา 12 สัปดาห์ แม้เทคโนโลยีนี้จะยังไม่พร้อมใช้งานในโรงพยาบาลทั่วไป แต่ถือเป็นก้าวสำคัญของการผ่าตัดแบบ “พิมพ์สด” ที่อาจเปลี่ยนวิธีการรักษากระดูกในอนาคต ✅ จุดเด่นของเทคโนโลยีปืนกาวพิมพ์กระดูก ➡️ พัฒนาโดยมหาวิทยาลัย Sungkyunkwan (SKKU) ประเทศเกาหลีใต้ ➡️ ใช้วัสดุ PCL และ hydroxyapatite ซึ่งปลอดภัยและกระตุ้นการสร้างกระดูก ➡️ พิมพ์ได้โดยตรงบนเนื้อเยื่อของผู้ป่วยระหว่างการผ่าตัด ➡️ ปรับทิศทาง มุม และความลึกของการพิมพ์ได้แบบเรียลไทม์ ✅ ความสามารถเพิ่มเติม ➡️ ผสมยาปฏิชีวนะลงในวัสดุพิมพ์เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อ ➡️ ไม่ต้องใช้สารละลายที่เป็นพิษ — ปลอดภัยต่อเนื้อเยื่อ ➡️ วัสดุพิมพ์สามารถสลายตัวและถูกแทนที่ด้วยกระดูกจริง ➡️ ใช้เวลาพิมพ์เพียงไม่กี่นาที — ลดเวลาในการผ่าตัด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การทดลองในสัตว์แสดงผลลัพธ์ที่ดีในด้านความแข็งแรงและการฟื้นฟู ➡️ การปรับสัดส่วน HA/PCL สามารถควบคุมความแข็งและอัตราการสลายตัวได้ ➡️ อุปกรณ์นี้ได้รับความร่วมมือจากหลายสถาบัน เช่น MIT, KAIST, SNU ➡️ เทคโนโลยีนี้อาจแทนที่ bone cement และการปลูกถ่ายโลหะในอนาคต https://www.tomshardware.com/3d-printing/researchers-develop-modified-glue-gun-that-can-print-bone-device-3d-prints-synthetic-grafts-directly-onto-patients-living-tissue-during-surgery
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts