• Jack Dorsey ใช้เวลาวันหยุดสุดสัปดาห์นั่งสร้างแอปแชตที่เรียกว่า “IRC vibes” แบบยุคก่อนอินเทอร์เน็ตครองโลก — ชื่อว่า Bitchat → ใช้ Bluetooth mesh network ในการส่งข้อความแบบ hop–by–hop จากเครื่องหนึ่งไปอีกเครื่องหนึ่ง → ไม่ต้องมีเบอร์โทร, อีเมล, เซิร์ฟเวอร์ หรือบัญชีใด ๆ → ความเป็นส่วนตัวสุดขีด และเหมาะมากในสถานการณ์ที่ “เน็ตถูกตัด หรือถูกเซ็นเซอร์”

    แล้วมันทำงานยังไง?
    - เครื่องแต่ละเครื่องจะเป็น node ในเครือข่าย mesh
    - ข้อความจะเดินทางแบบ “relay” จาก node สู่ node
    - ถ้ามีเครื่องอื่นอยู่ในระยะ ~300 เมตร ก็สามารถขยายเครือข่ายได้เรื่อย ๆ ผ่าน “สะพาน” (bridge)
    - ข้อความจะถูกลบอัตโนมัติ และเก็บเฉพาะในเครื่องคุณ

    มีระบบ group chat แบบใช้ hashtag → เช่น #rescue, #party2025 → สามารถตั้งรหัสผ่านเข้าแต่ละ room ได้

    ตัวแอปตอนนี้ยังอยู่ในเวอร์ชัน TestFlight (iOS Beta) และมีเอกสาร whitepaper บน GitHub → เตรียมเปิดฟีเจอร์ WiFi Direct เร็ว ๆ นี้ เพื่อเพิ่มระยะส่งอีกหลายเท่า

    Bitchat คือแอปแชตแบบ peer-to-peer ผ่าน Bluetooth mesh network  
    • ไม่ต้องใช้ WiFi, อินเทอร์เน็ต, หรือเซิร์ฟเวอร์กลาง  
    • ไม่เก็บข้อมูลผู้ใช้ — ไม่มีบัญชี, เบอร์, อีเมล

    สามารถสื่อสารได้ระยะ ~300 เมตร ผ่านการส่งข้อความแบบ relay ระหว่างอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้กัน  
    • แต่ละเครื่องช่วยกระจายเครือข่ายคล้าย walkie-talkie อัจฉริยะ

    ข้อความไม่เก็บบน server — เก็บแค่ในเครื่องและหายเองตามค่า default

    รองรับ group chat แบบ hashtag rooms + ใส่รหัสผ่านเพื่อความปลอดภัย

    สร้างโดย Jack Dorsey คนเดียวในช่วงสุดสัปดาห์ → เป็นโครงการทดลองด้าน mesh networking + ความเป็นส่วนตัว

    กำลังอยู่ในขั้นทดสอบ (TestFlight เต็มแล้ว 10,000 คน) → เตรียมเปิดเวอร์ชันเต็มเร็ว ๆ นี้

    https://www.techspot.com/news/108585-jack-dorsey-launches-bitchat-messaging-app-works-without.html
    Jack Dorsey ใช้เวลาวันหยุดสุดสัปดาห์นั่งสร้างแอปแชตที่เรียกว่า “IRC vibes” แบบยุคก่อนอินเทอร์เน็ตครองโลก — ชื่อว่า Bitchat → ใช้ Bluetooth mesh network ในการส่งข้อความแบบ hop–by–hop จากเครื่องหนึ่งไปอีกเครื่องหนึ่ง → ไม่ต้องมีเบอร์โทร, อีเมล, เซิร์ฟเวอร์ หรือบัญชีใด ๆ → ความเป็นส่วนตัวสุดขีด และเหมาะมากในสถานการณ์ที่ “เน็ตถูกตัด หรือถูกเซ็นเซอร์” แล้วมันทำงานยังไง? - เครื่องแต่ละเครื่องจะเป็น node ในเครือข่าย mesh - ข้อความจะเดินทางแบบ “relay” จาก node สู่ node - ถ้ามีเครื่องอื่นอยู่ในระยะ ~300 เมตร ก็สามารถขยายเครือข่ายได้เรื่อย ๆ ผ่าน “สะพาน” (bridge) - ข้อความจะถูกลบอัตโนมัติ และเก็บเฉพาะในเครื่องคุณ มีระบบ group chat แบบใช้ hashtag → เช่น #rescue, #party2025 → สามารถตั้งรหัสผ่านเข้าแต่ละ room ได้ ตัวแอปตอนนี้ยังอยู่ในเวอร์ชัน TestFlight (iOS Beta) และมีเอกสาร whitepaper บน GitHub → เตรียมเปิดฟีเจอร์ WiFi Direct เร็ว ๆ นี้ เพื่อเพิ่มระยะส่งอีกหลายเท่า ✅ Bitchat คือแอปแชตแบบ peer-to-peer ผ่าน Bluetooth mesh network   • ไม่ต้องใช้ WiFi, อินเทอร์เน็ต, หรือเซิร์ฟเวอร์กลาง   • ไม่เก็บข้อมูลผู้ใช้ — ไม่มีบัญชี, เบอร์, อีเมล ✅ สามารถสื่อสารได้ระยะ ~300 เมตร ผ่านการส่งข้อความแบบ relay ระหว่างอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้กัน   • แต่ละเครื่องช่วยกระจายเครือข่ายคล้าย walkie-talkie อัจฉริยะ ✅ ข้อความไม่เก็บบน server — เก็บแค่ในเครื่องและหายเองตามค่า default ✅ รองรับ group chat แบบ hashtag rooms + ใส่รหัสผ่านเพื่อความปลอดภัย ✅ สร้างโดย Jack Dorsey คนเดียวในช่วงสุดสัปดาห์ → เป็นโครงการทดลองด้าน mesh networking + ความเป็นส่วนตัว ✅ กำลังอยู่ในขั้นทดสอบ (TestFlight เต็มแล้ว 10,000 คน) → เตรียมเปิดเวอร์ชันเต็มเร็ว ๆ นี้ https://www.techspot.com/news/108585-jack-dorsey-launches-bitchat-messaging-app-works-without.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Jack Dorsey launches Bitchat, a messaging app that works without internet, servers, or accounts
    The app, now available in beta for Apple's TestFlight users, was announced by Dorsey on Sunday. He described the project as a personal experiment with mesh networking,...
    0 Comments 0 Shares 127 Views 0 Reviews
  • 2 นายพล หน่วยอารักขา “ฮุน เซน” ถูกศาลฝรั่งเศสฟ้อง ฐานอยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่กลางกรุงพนมเปญ12 มีนาคม 2568ศาลฝรั่งเศสเปิดคดี “ฆ่าหมู่ 1997” กลางกรุงพนมเปญ — 2 นายพลเขมร อดีตบอดี้การ์ดของ “ฮุน เซน” ถูกไต่สวน!ฆ่าหมู่กลางกรุงพนมเปญ 1997 — ไม่มีใครถูกจับแม้แต่คนเดียว!30 มีนาคม 1997 — ผู้ประท้วงรวมตัวที่สวนสาธารณะฝั่งตรงข้ามรัฐสภากัมพูชา เพื่อเรียกร้องให้ยุติ “ตุลาการใต้ตีน” ของระบอบฮุน เซนจู่ ๆ เกิดระเบิดหลายลูกปะทุใส่ฝูงชนเสียชีวิตอย่างน้อย 16 ราย บาดเจ็บอีกกว่า 150 ราย — เลือดสาดทั่วสวนพยานหลายคนเล่าว่า “มือระเบิดวิ่งเข้าไปหาหน่วยอารักขาฮุน เซน” ที่ใส่ชุดปราบจลาจลครบมือ — แต่กลับปล่อยให้พวกเขาหลบหนี!รอน แอบนีย์ พลเมืองสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในผู้บาดเจ็บสาหัส ทำให้ FBI ส่งทีมสอบสวนทันทีรายงาน FBI ถูกเปิดเผยในปี 2009แต่…ไม่มีใครถูกจับแม้แต่คนเดียว!จนกระทั่งปี 2021 ศาลฝรั่งเศสออกหมายจับ:• ฮิง บุน เหียง — รองผู้บัญชาการกองทัพ และหัวหน้าหน่วยอารักขาครอบครัวฮุน เซน• ฮุย พิเซธ — รัฐมนตรีช่วยกลาโหม และรองหัวหน้าคณะที่ปรึกษาของ “ฮุน มาเนต” ลูกชายฮุน เซนคดีนี้เริ่มจากคำร้องของ “แซม เรนซี” และภรรยาในฝรั่งเศสศาลฝรั่งเศสเคยออกหมายเรียกตัว “ฮุน เซน” ด้วยแต่รัฐบาลฝรั่งเศสกลับบล็อก โดยอ้างว่า “ผู้นำรัฐบาลมีเอกสิทธิ์คุ้มกันตามกฎหมาย”Brad Adams อดีตเจ้าหน้าที่สิทธิมนุษยชนแห่ง UN เล่าว่า“ผมไปถึงสวนหลังเหตุระเบิดแค่ 10 นาที…ศพเกลื่อนพื้นทหารยังขัดขวางไม่ให้ช่วยคนเจ็บตำรวจมาถึงทีหลังก็ยืนดูเฉย ๆ…สุดท้าย คนธรรมดานั่นแหละที่ช่วยกันหามคนเจ็บ”ฮิง บุน เหียง ยืนยันกับ RFA ว่า “จะไม่ไปศาล และไม่ส่งทนาย”พร้อมท้าทายว่า: “ไม่มีรูปผมโยนระเบิด แล้วคุณจะจับผมได้ยังไง?”ปี 2018 สหรัฐฯ คว่ำบาตร “ฮิง บุน เหียง” จากเหตุการณ์นี้ รวมถึงอีกหลายคดีทำร้ายประชาชนมือเปล่าขณะที่ฮุย พิเซธ ยอมรับกับ FBI ว่าเขาคือคนสั่งส่งกำลังทหารจากกองพลที่ 70 มาล้อมสวนในวันเกิดเหตุ⸻ฆ่าหมู่ต่อหน้าประชาชน — แต่ไม่มีใครต้องรับผิดรัฐบาลฮุน เซนไม่เคยสอบสวนใคร — มีแต่ปิดปากแต่โลกไม่ลืม — และความจริงจะไม่ตาย#CSI_LA #ฆ่าหมู่1997 #ฝรั่งเศสลากขึ้นศาล #ฮุนเซน #หน่วยฆ่าประชาชน #CambodiaMassacre #GrenadeAttack2 Generals from Hun Sen’s Bodyguard Unit Indicted by French Court for Role in Phnom Penh MassacreMarch 12, 2025A French court has officially opened a case over the 1997 Phnom Penh massacre — putting two Cambodian generals, both former bodyguards of Hun Sen, on trial in absentia.Phnom Penh Massacre, 1997 — Not a Single Person Has Ever Been ArrestedMarch 30, 1997 — Protesters gathered at a park across from the Cambodian National Assembly to denounce Hun Sen’s authoritarian judiciary.Suddenly, several grenades were hurled into the crowd.At least 16 people were killed and more than 150 were injured — blood stained the ground.Eyewitnesses say the grenade-throwers ran toward Hun Sen’s fully equipped bodyguards, who allowed them to escape without pursuit.Ron Abney, a U.S. citizen, was among those seriously injured — prompting the FBI to send investigators to Cambodia.The FBI report was declassified in 2009.But no one was ever arrested.It wasn’t until 2021 that France issued arrest warrants for:• Hing Bun Hieng — Now Deputy Commander-in-Chief of the Armed Forces and head of Hun Sen’s family bodyguard unit• Huy Piseth — Secretary of State at the Ministry of Defense and Deputy Chief of Staff to Hun Manet, Hun Sen’s son→ The case was launched after a legal complaint by Sam Rainsy and his wife, both living in exile in France.The French court initially summoned Hun Sen himself — but the French government blocked the warrant, citing diplomatic immunity laws protecting heads of government.Brad Adams, a former U.N. human rights officer, recalled:“I arrived at the park about 10 minutes after the blast — bodies were everywhere.Soldiers interfered with rescue efforts.Police arrived later but just stood around.It was civilians who carried the injured to safety.”Hing Bun Hieng told RFA he will not appear in court or send a lawyer, saying:“Sam Rainsy has accused me for over 30 years with no real evidence.Are there any photos of me ordering the grenade attack?”In 2018, the U.S. government sanctioned Hing Bun Hieng over this attack and other incidents involving violence against unarmed civilians.Meanwhile, Huy Piseth admitted to the FBI that he had ordered the 70th Brigade to be deployed to the park on the day of the attack.⸻A massacre in broad daylight — and no one has been held accountable.The Hun Sen regime never investigated — only silenced.But the world has not forgotten — and the truth will not die.#CSI_LA #PhnomPenhMassacre1997 #FranceOpensTrial #HunSen #Impunity #Cambodia #GrenadeAttack #JusticeDelayed
    2 นายพล หน่วยอารักขา “ฮุน เซน” ถูกศาลฝรั่งเศสฟ้อง ฐานอยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่กลางกรุงพนมเปญ12 มีนาคม 2568ศาลฝรั่งเศสเปิดคดี “ฆ่าหมู่ 1997” กลางกรุงพนมเปญ — 2 นายพลเขมร อดีตบอดี้การ์ดของ “ฮุน เซน” ถูกไต่สวน!ฆ่าหมู่กลางกรุงพนมเปญ 1997 — ไม่มีใครถูกจับแม้แต่คนเดียว!30 มีนาคม 1997 — ผู้ประท้วงรวมตัวที่สวนสาธารณะฝั่งตรงข้ามรัฐสภากัมพูชา เพื่อเรียกร้องให้ยุติ “ตุลาการใต้ตีน” ของระบอบฮุน เซนจู่ ๆ เกิดระเบิดหลายลูกปะทุใส่ฝูงชนเสียชีวิตอย่างน้อย 16 ราย บาดเจ็บอีกกว่า 150 ราย — เลือดสาดทั่วสวนพยานหลายคนเล่าว่า “มือระเบิดวิ่งเข้าไปหาหน่วยอารักขาฮุน เซน” ที่ใส่ชุดปราบจลาจลครบมือ — แต่กลับปล่อยให้พวกเขาหลบหนี!รอน แอบนีย์ พลเมืองสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในผู้บาดเจ็บสาหัส ทำให้ FBI ส่งทีมสอบสวนทันทีรายงาน FBI ถูกเปิดเผยในปี 2009แต่…ไม่มีใครถูกจับแม้แต่คนเดียว!จนกระทั่งปี 2021 ศาลฝรั่งเศสออกหมายจับ:• ฮิง บุน เหียง — รองผู้บัญชาการกองทัพ และหัวหน้าหน่วยอารักขาครอบครัวฮุน เซน• ฮุย พิเซธ — รัฐมนตรีช่วยกลาโหม และรองหัวหน้าคณะที่ปรึกษาของ “ฮุน มาเนต” ลูกชายฮุน เซนคดีนี้เริ่มจากคำร้องของ “แซม เรนซี” และภรรยาในฝรั่งเศสศาลฝรั่งเศสเคยออกหมายเรียกตัว “ฮุน เซน” ด้วยแต่รัฐบาลฝรั่งเศสกลับบล็อก โดยอ้างว่า “ผู้นำรัฐบาลมีเอกสิทธิ์คุ้มกันตามกฎหมาย”Brad Adams อดีตเจ้าหน้าที่สิทธิมนุษยชนแห่ง UN เล่าว่า“ผมไปถึงสวนหลังเหตุระเบิดแค่ 10 นาที…ศพเกลื่อนพื้นทหารยังขัดขวางไม่ให้ช่วยคนเจ็บตำรวจมาถึงทีหลังก็ยืนดูเฉย ๆ…สุดท้าย คนธรรมดานั่นแหละที่ช่วยกันหามคนเจ็บ”ฮิง บุน เหียง ยืนยันกับ RFA ว่า “จะไม่ไปศาล และไม่ส่งทนาย”พร้อมท้าทายว่า: “ไม่มีรูปผมโยนระเบิด แล้วคุณจะจับผมได้ยังไง?”ปี 2018 สหรัฐฯ คว่ำบาตร “ฮิง บุน เหียง” จากเหตุการณ์นี้ รวมถึงอีกหลายคดีทำร้ายประชาชนมือเปล่าขณะที่ฮุย พิเซธ ยอมรับกับ FBI ว่าเขาคือคนสั่งส่งกำลังทหารจากกองพลที่ 70 มาล้อมสวนในวันเกิดเหตุ⸻ฆ่าหมู่ต่อหน้าประชาชน — แต่ไม่มีใครต้องรับผิดรัฐบาลฮุน เซนไม่เคยสอบสวนใคร — มีแต่ปิดปากแต่โลกไม่ลืม — และความจริงจะไม่ตาย#CSI_LA #ฆ่าหมู่1997 #ฝรั่งเศสลากขึ้นศาล #ฮุนเซน #หน่วยฆ่าประชาชน #CambodiaMassacre #GrenadeAttack2 Generals from Hun Sen’s Bodyguard Unit Indicted by French Court for Role in Phnom Penh MassacreMarch 12, 2025A French court has officially opened a case over the 1997 Phnom Penh massacre — putting two Cambodian generals, both former bodyguards of Hun Sen, on trial in absentia.Phnom Penh Massacre, 1997 — Not a Single Person Has Ever Been ArrestedMarch 30, 1997 — Protesters gathered at a park across from the Cambodian National Assembly to denounce Hun Sen’s authoritarian judiciary.Suddenly, several grenades were hurled into the crowd.At least 16 people were killed and more than 150 were injured — blood stained the ground.Eyewitnesses say the grenade-throwers ran toward Hun Sen’s fully equipped bodyguards, who allowed them to escape without pursuit.Ron Abney, a U.S. citizen, was among those seriously injured — prompting the FBI to send investigators to Cambodia.The FBI report was declassified in 2009.But no one was ever arrested.It wasn’t until 2021 that France issued arrest warrants for:• Hing Bun Hieng — Now Deputy Commander-in-Chief of the Armed Forces and head of Hun Sen’s family bodyguard unit• Huy Piseth — Secretary of State at the Ministry of Defense and Deputy Chief of Staff to Hun Manet, Hun Sen’s son→ The case was launched after a legal complaint by Sam Rainsy and his wife, both living in exile in France.The French court initially summoned Hun Sen himself — but the French government blocked the warrant, citing diplomatic immunity laws protecting heads of government.Brad Adams, a former U.N. human rights officer, recalled:“I arrived at the park about 10 minutes after the blast — bodies were everywhere.Soldiers interfered with rescue efforts.Police arrived later but just stood around.It was civilians who carried the injured to safety.”Hing Bun Hieng told RFA he will not appear in court or send a lawyer, saying:“Sam Rainsy has accused me for over 30 years with no real evidence.Are there any photos of me ordering the grenade attack?”In 2018, the U.S. government sanctioned Hing Bun Hieng over this attack and other incidents involving violence against unarmed civilians.Meanwhile, Huy Piseth admitted to the FBI that he had ordered the 70th Brigade to be deployed to the park on the day of the attack.⸻A massacre in broad daylight — and no one has been held accountable.The Hun Sen regime never investigated — only silenced.But the world has not forgotten — and the truth will not die.#CSI_LA #PhnomPenhMassacre1997 #FranceOpensTrial #HunSen #Impunity #Cambodia #GrenadeAttack #JusticeDelayed
    0 Comments 0 Shares 439 Views 0 Reviews
  • มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จับมือ ปภ. จัดอบรมหลักสูตร "การค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง (Urban Search And Rescue)" แก่ทีมบรรเทาสาธารณภัยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เสริมศักยภาพ เพิ่มขีดความสามารถ พร้อมรับมือภัยพิบัติ เพื่อช่วยเหลือประชาชนในระดับมาตรฐานสากล ณ ศูนย์ฝึกอบรมอาสาสมัครป้องกันฝ่ายพลเรือน จังหวัดชัยนาท
    .
    วันนี้ (วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2568) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ พร้อมด้วย นายสุรพงศ์ เสรฐภักดี กรรมการและรองเหรัญญิก
    เป็นประธานมอบใบวุฒิบัตรให้แก่ทีมบรรเทาสาธารณภัย ที่สำเร็จการฝึกอบรมหลักสูตร "การค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง (Urban Search And Rescue) หรือ “USAR" เป็นโครงการฝึกอบรมที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ร่วมกับ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ซึ่งกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 มิถุนายน - 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 เพื่อฝึกทักษะ เพิ่มพูนความรู้ความสามารถ และทบทวนการปฏิบัติภารกิจการค้นหาและกู้ภัยฯ ตามหลักมาตรฐานสากล พร้อมทบทวนข้อมูลและเรียนรู้เกี่ยวกับการตรวจสอบโครงสร้างต่างๆ การพิจารณาสาเหตุรอยร้าว การตรวจสอบอาคารวิบัติ การเข้าแก้ไขเบื้องต้น ฯลฯ โดยแบ่งกลุ่มฝึกปฏิบัติเรียนรู้วิธีลดการพังทลายของโครงสร้างอาคาร การกำหนดสัญลักษณ์การค้นหา ฯลฯ รวมถึงเรียนรู้เกี่ยวกับภารกิจของสุนัขกู้ภัย (K9) โดยมี นายเกริกเสกข์สัณห์ วาสะสิริ ผู้อำนวยการส่วนปฏิบัติการพิเศษค้นหาและกู้ภัย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผศ.ดร.ธเนศ วีระศิริ นายกสภาวิศวกร พร้อมทีมผู้เชี่ยวชาญฯ ร่วมเป็นวิทยากรในการฝึกอบรม พร้อมด้วยนายอรัณย์ โตทวด ผู้จัดการใหญ่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นางสาวณัฐกานต์ ขำคม ผู้จัดการฝ่ายบุคคลและฝึกอบรม และนางสาวพิมพ์ณภัท สุนทรฐิติวงษ์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร ร่วมสังเกตการณ์ ณ ศูนย์ฝึกอบรมอาสาสมัครป้องกันฝ่ายพลเรือน จังหวัดชัยนาท
    .
    สำหรับการพัฒนาบุคลากรด้านบรรเทาสาธารณภัย มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาศักยภาพในระดับมาตรฐานสากล จึงได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ Mou Onpimon ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผนึกกำลังทั้งทางด้านวิชาการ และการปฏิบัติการ เพื่อการบูรณาการการจัดการเพื่อเสริมสร้างศักยภาพ ขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่และ/หรืออาสาสมัครมูลนิธิฯ และเตรียมความพร้อมรับมือสาธารณภัยให้สามารถบริหารจัดการและปฏิบัติตอบโต้เหตุฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมูลนิธิฯ ได้จัดทีมบรรเทาเข้าโครงการอบรมหลักสูตร "การค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง (Urban Search And Rescue)" มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ในรุ่นแรกเมื่อปี พ.ศ. 2566 และได้นำองค์ความรู้ดังกล่าวช่วยเหลือประชาชนได้อย่างมีประสิทธิผล โดยเฉพาะเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา
    .
    ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาบุคลากรควบคู่กับพัฒนาโครงการ เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
    .
    ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung
    .
    ## ป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ##
    #แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418 #ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน
    มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จับมือ ปภ. จัดอบรมหลักสูตร "การค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง (Urban Search And Rescue)" แก่ทีมบรรเทาสาธารณภัยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เสริมศักยภาพ เพิ่มขีดความสามารถ พร้อมรับมือภัยพิบัติ เพื่อช่วยเหลือประชาชนในระดับมาตรฐานสากล ณ ศูนย์ฝึกอบรมอาสาสมัครป้องกันฝ่ายพลเรือน จังหวัดชัยนาท . วันนี้ (วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2568) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ พร้อมด้วย นายสุรพงศ์ เสรฐภักดี กรรมการและรองเหรัญญิก เป็นประธานมอบใบวุฒิบัตรให้แก่ทีมบรรเทาสาธารณภัย ที่สำเร็จการฝึกอบรมหลักสูตร "การค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง (Urban Search And Rescue) หรือ “USAR" เป็นโครงการฝึกอบรมที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ร่วมกับ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ซึ่งกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 มิถุนายน - 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 เพื่อฝึกทักษะ เพิ่มพูนความรู้ความสามารถ และทบทวนการปฏิบัติภารกิจการค้นหาและกู้ภัยฯ ตามหลักมาตรฐานสากล พร้อมทบทวนข้อมูลและเรียนรู้เกี่ยวกับการตรวจสอบโครงสร้างต่างๆ การพิจารณาสาเหตุรอยร้าว การตรวจสอบอาคารวิบัติ การเข้าแก้ไขเบื้องต้น ฯลฯ โดยแบ่งกลุ่มฝึกปฏิบัติเรียนรู้วิธีลดการพังทลายของโครงสร้างอาคาร การกำหนดสัญลักษณ์การค้นหา ฯลฯ รวมถึงเรียนรู้เกี่ยวกับภารกิจของสุนัขกู้ภัย (K9) โดยมี นายเกริกเสกข์สัณห์ วาสะสิริ ผู้อำนวยการส่วนปฏิบัติการพิเศษค้นหาและกู้ภัย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผศ.ดร.ธเนศ วีระศิริ นายกสภาวิศวกร พร้อมทีมผู้เชี่ยวชาญฯ ร่วมเป็นวิทยากรในการฝึกอบรม พร้อมด้วยนายอรัณย์ โตทวด ผู้จัดการใหญ่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นางสาวณัฐกานต์ ขำคม ผู้จัดการฝ่ายบุคคลและฝึกอบรม และนางสาวพิมพ์ณภัท สุนทรฐิติวงษ์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร ร่วมสังเกตการณ์ ณ ศูนย์ฝึกอบรมอาสาสมัครป้องกันฝ่ายพลเรือน จังหวัดชัยนาท . สำหรับการพัฒนาบุคลากรด้านบรรเทาสาธารณภัย มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาศักยภาพในระดับมาตรฐานสากล จึงได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ [MOU] ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผนึกกำลังทั้งทางด้านวิชาการ และการปฏิบัติการ เพื่อการบูรณาการการจัดการเพื่อเสริมสร้างศักยภาพ ขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่และ/หรืออาสาสมัครมูลนิธิฯ และเตรียมความพร้อมรับมือสาธารณภัยให้สามารถบริหารจัดการและปฏิบัติตอบโต้เหตุฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมูลนิธิฯ ได้จัดทีมบรรเทาเข้าโครงการอบรมหลักสูตร "การค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง (Urban Search And Rescue)" มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ในรุ่นแรกเมื่อปี พ.ศ. 2566 และได้นำองค์ความรู้ดังกล่าวช่วยเหลือประชาชนได้อย่างมีประสิทธิผล โดยเฉพาะเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา . ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาบุคลากรควบคู่กับพัฒนาโครงการ เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต” . ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung . ## ป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ## #แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418 #ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน
    0 Comments 0 Shares 305 Views 0 Reviews
  • สำนักข่าว Al Jazeera แฉคลิปเสียงหลุด!ฮุนเซน สั่ง “นายฮวด” ไล่ล่าคนเห็นต่างในไทย — ไม่สนว่าจับได้จะ “เป็นหรือตาย”!นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาภายในกัมพูชา —แต่คือคำสั่งจากผู้นำต่างชาติ ที่ล้ำเส้นเข้ามายัง “แผ่นดินไทย”!ในคลิปเสียงดังกล่าว ฮุนเซนได้สั่งตรงถึง “นายเคลียง ฮวด”ให้ดำเนินการ “ตามล่าคนที่วิพากษ์วิจารณ์ตน แม้จะอยู่ในประเทศไทย”พร้อมกำชับชัดเจนว่า“ไม่ต้องสนใจว่าจับมาได้จะ ‘เป็นหรือตาย’”การลอบสังหารนักการเมืองระดับสูงในกัมพูชา ในปี 2016 นายเขม ไลย์ นักวิจารณ์การเมืองซึ่งเป็นผู้วิพากษ์วิจารณ์ฮุน เซน ชื่อดัง ถูกยิงเสียชีวิตในกรุงพนมเปญ และในปี 2012 นายจุ๊ต วุตติ นักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมก็ถูกสังหารด้วยเช่นกันล่าสุดเมื่อเดือนมกราคมปีนี้ กรณีสังหารนายลิม กิมยา อดีตสมาชิกรัฐสภาวัย 73 ปี ของพรรคแกนนำฝ่ายค้านของกัมพูชาที่ชื่อว่าพรรคกู้ชาติกัมพูชา หรือ ซีเอ็นอาร์พี (Cambodia National Rescue Party - CNRP) ซึ่งพรรคนี้ถูกแบนไปเมื่อปี 2017 จากรายงานของตำรวจไทย เขาถูกยิงด้วยกระสุน 2 นัดบริเวณหน้าอก ทั้งที่เพิ่งเดินทางมาถึงกรุงเทพฯ ด้วยรถบัสจากกัมพูชา พร้อมกับภรรยาที่บริเวณหน้าวัดบวรนิเวศ บางลำพู เขตพระนคร กรุงเทพนายเอกลักษณ์ แพน้อย ผู้ต้องหาก่อเหตุยิงนายลิม กิมยา อดีต สส. ฝ่ายค้านกัมพูชา ถูกจับตัวได้ที่ จ.พระตะบอง ประเทศกัมพูชา หลังหลบหนีออกจากไทย และถูกส่งตัวกลับมาดำเนินคดีที่ไทยแล้วเมื่อวันที่ 11 ม.ค.2568ที่ผ่านมาแล้วเรื่องก็เงียบhttps://youtu.be/FR39vs42N9I
    สำนักข่าว Al Jazeera แฉคลิปเสียงหลุด!ฮุนเซน สั่ง “นายฮวด” ไล่ล่าคนเห็นต่างในไทย — ไม่สนว่าจับได้จะ “เป็นหรือตาย”!นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาภายในกัมพูชา —แต่คือคำสั่งจากผู้นำต่างชาติ ที่ล้ำเส้นเข้ามายัง “แผ่นดินไทย”!ในคลิปเสียงดังกล่าว ฮุนเซนได้สั่งตรงถึง “นายเคลียง ฮวด”ให้ดำเนินการ “ตามล่าคนที่วิพากษ์วิจารณ์ตน แม้จะอยู่ในประเทศไทย”พร้อมกำชับชัดเจนว่า“ไม่ต้องสนใจว่าจับมาได้จะ ‘เป็นหรือตาย’”การลอบสังหารนักการเมืองระดับสูงในกัมพูชา ในปี 2016 นายเขม ไลย์ นักวิจารณ์การเมืองซึ่งเป็นผู้วิพากษ์วิจารณ์ฮุน เซน ชื่อดัง ถูกยิงเสียชีวิตในกรุงพนมเปญ และในปี 2012 นายจุ๊ต วุตติ นักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมก็ถูกสังหารด้วยเช่นกันล่าสุดเมื่อเดือนมกราคมปีนี้ กรณีสังหารนายลิม กิมยา อดีตสมาชิกรัฐสภาวัย 73 ปี ของพรรคแกนนำฝ่ายค้านของกัมพูชาที่ชื่อว่าพรรคกู้ชาติกัมพูชา หรือ ซีเอ็นอาร์พี (Cambodia National Rescue Party - CNRP) ซึ่งพรรคนี้ถูกแบนไปเมื่อปี 2017 จากรายงานของตำรวจไทย เขาถูกยิงด้วยกระสุน 2 นัดบริเวณหน้าอก ทั้งที่เพิ่งเดินทางมาถึงกรุงเทพฯ ด้วยรถบัสจากกัมพูชา พร้อมกับภรรยาที่บริเวณหน้าวัดบวรนิเวศ บางลำพู เขตพระนคร กรุงเทพนายเอกลักษณ์ แพน้อย ผู้ต้องหาก่อเหตุยิงนายลิม กิมยา อดีต สส. ฝ่ายค้านกัมพูชา ถูกจับตัวได้ที่ จ.พระตะบอง ประเทศกัมพูชา หลังหลบหนีออกจากไทย และถูกส่งตัวกลับมาดำเนินคดีที่ไทยแล้วเมื่อวันที่ 11 ม.ค.2568ที่ผ่านมาแล้วเรื่องก็เงียบhttps://youtu.be/FR39vs42N9I
    Like
    1
    0 Comments 1 Shares 332 Views 0 Reviews
  • รถบัสพม่า ข้ามน้ำ ไม่รอด ผู้โดยสาร รอด

    In Myanmar’s Mandalay Region, a passenger bus carrying over 40 people was swept away by strong currents while crossing the flooded Sintewa Creek near Nat Saunt Village on May 26.

    Thankfully, local villagers quickly stepped in and rescued everyone on board, including children and elderly passengers, with no injuries reported.
    รถบัสพม่า ข้ามน้ำ ไม่รอด ผู้โดยสาร รอด In Myanmar’s Mandalay Region, a passenger bus carrying over 40 people was swept away by strong currents while crossing the flooded Sintewa Creek near Nat Saunt Village on May 26. Thankfully, local villagers quickly stepped in and rescued everyone on board, including children and elderly passengers, with no injuries reported.
    Sad
    1
    0 Comments 0 Shares 288 Views 1 0 Reviews
  • ข่าวนี้เล่าถึงการพัฒนาเทคโนโลยี Broadcast Positioning System (BPS) ซึ่งเป็นระบบที่ใช้สัญญาณโทรทัศน์ดิจิทัล ATSC 3.0 แทนดาวเทียม GPS เพื่อเป็นระบบสำรองในกรณีที่ GPS ถูกโจมตีหรือขัดข้อง

    Broadcast Positioning System (BPS) ถูกออกแบบมาเพื่อใช้สัญญาณโทรทัศน์ดิจิทัลในการให้ข้อมูลตำแหน่งและเวลา โดยมีความแม่นยำในระดับ 100 นาโนวินาที ซึ่งแม้จะน้อยกว่า GPS ที่มีความแม่นยำ 10 นาโนวินาที แต่ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานในบางกรณี อย่างไรก็ตาม การใช้งาน BPS ต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีสัญญาณจากสถานีส่งอย่างน้อย 4 แห่ง และมีความแม่นยำในรัศมีประมาณ 100 เมตร

    เทคโนโลยีนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา โดยคาดว่าจะพร้อมใช้งานในปี 2027 และจะมีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ในปี 2029 นอกจากนี้ BPS ยังสามารถใช้เป็นระบบยืนยันข้อมูลของ GPS ได้ ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในกรณีที่ GPS ถูกโจมตี

    การพัฒนา Broadcast Positioning System (BPS)
    - ใช้สัญญาณโทรทัศน์ดิจิทัล ATSC 3.0 แทนดาวเทียม GPS
    - มีความแม่นยำในระดับ 100 นาโนวินาที

    การใช้งานและความพร้อม
    - ต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีสัญญาณจากสถานีส่งอย่างน้อย 4 แห่ง
    - คาดว่าจะพร้อมใช้งานในปี 2027 และเพิ่มฟีเจอร์ในปี 2029

    การยืนยันข้อมูล GPS
    - BPS สามารถใช้เป็นระบบยืนยันข้อมูลของ GPS
    - ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในกรณีที่ GPS ถูกโจมตี

    ข้อจำกัดของ BPS
    - ความแม่นยำต่ำกว่า GPS และต้องการสถานีส่งสัญญาณหลายแห่ง
    - การใช้งานอาจจำกัดในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณ ATSC 3.0

    ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    - หากระบบ BPS ถูกโจมตี อาจส่งผลกระทบต่อการใช้งานที่พึ่งพาเทคโนโลยีนี้
    - การพัฒนาระบบสำรองที่มีความปลอดภัยสูงเป็นสิ่งสำคัญ

    https://www.tomshardware.com/service-providers/tv-signal-based-bps-tested-as-fallback-for-gps-digital-tv-infrastructure-could-come-to-the-rescue-if-satellites-are-compromised
    ข่าวนี้เล่าถึงการพัฒนาเทคโนโลยี Broadcast Positioning System (BPS) ซึ่งเป็นระบบที่ใช้สัญญาณโทรทัศน์ดิจิทัล ATSC 3.0 แทนดาวเทียม GPS เพื่อเป็นระบบสำรองในกรณีที่ GPS ถูกโจมตีหรือขัดข้อง Broadcast Positioning System (BPS) ถูกออกแบบมาเพื่อใช้สัญญาณโทรทัศน์ดิจิทัลในการให้ข้อมูลตำแหน่งและเวลา โดยมีความแม่นยำในระดับ 100 นาโนวินาที ซึ่งแม้จะน้อยกว่า GPS ที่มีความแม่นยำ 10 นาโนวินาที แต่ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานในบางกรณี อย่างไรก็ตาม การใช้งาน BPS ต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีสัญญาณจากสถานีส่งอย่างน้อย 4 แห่ง และมีความแม่นยำในรัศมีประมาณ 100 เมตร เทคโนโลยีนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา โดยคาดว่าจะพร้อมใช้งานในปี 2027 และจะมีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ในปี 2029 นอกจากนี้ BPS ยังสามารถใช้เป็นระบบยืนยันข้อมูลของ GPS ได้ ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในกรณีที่ GPS ถูกโจมตี ✅ การพัฒนา Broadcast Positioning System (BPS) - ใช้สัญญาณโทรทัศน์ดิจิทัล ATSC 3.0 แทนดาวเทียม GPS - มีความแม่นยำในระดับ 100 นาโนวินาที ✅ การใช้งานและความพร้อม - ต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีสัญญาณจากสถานีส่งอย่างน้อย 4 แห่ง - คาดว่าจะพร้อมใช้งานในปี 2027 และเพิ่มฟีเจอร์ในปี 2029 ✅ การยืนยันข้อมูล GPS - BPS สามารถใช้เป็นระบบยืนยันข้อมูลของ GPS - ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในกรณีที่ GPS ถูกโจมตี ℹ️ ข้อจำกัดของ BPS - ความแม่นยำต่ำกว่า GPS และต้องการสถานีส่งสัญญาณหลายแห่ง - การใช้งานอาจจำกัดในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณ ATSC 3.0 ℹ️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย - หากระบบ BPS ถูกโจมตี อาจส่งผลกระทบต่อการใช้งานที่พึ่งพาเทคโนโลยีนี้ - การพัฒนาระบบสำรองที่มีความปลอดภัยสูงเป็นสิ่งสำคัญ https://www.tomshardware.com/service-providers/tv-signal-based-bps-tested-as-fallback-for-gps-digital-tv-infrastructure-could-come-to-the-rescue-if-satellites-are-compromised
    0 Comments 0 Shares 256 Views 0 Reviews
  • มีการเจรจาระหว่าง Oracle และ Microsoft เพื่อเข้าซื้อกิจการ TikTok โดย ByteDance ซึ่งเป็นเจ้าของ TikTok ในประเทศจีน จะยังคงถือหุ้นส่วนน้อยในบริษัท การเจรจานี้เกิดขึ้นเนื่องจากความกังวลด้านความมั่นคงของชาติและการรักษาการดำเนินงานของ TikTok ในสหรัฐอเมริกา

    ภายใต้ข้อตกลงที่เสนอ Oracle จะดูแลการทำงานของแอปพลิเคชัน TikTok รวมถึงการเก็บข้อมูลและการอัปเดตซอฟต์แวร์ นอกจากนี้ Oracle ยังเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานเว็บของ TikTok อยู่แล้ว การเปลี่ยนแปลงนี้อาจได้รับการยอมรับจากหน่วยงานกำกับดูแลในประเทศจีน ซึ่งเคยคัดค้านการขาย TikTok มาก่อน

    การเจรจายังมีความท้าทายอื่นๆ เช่น การทำให้สภาคองเกรสพอใจและการแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคงของชาติ หนึ่งในแนวทางที่กำลังพิจารณาคือการทำข้อตกลงทางกฎหมายที่ผูกพันเพื่อให้แน่ใจว่า ByteDance จะไม่สามารถควบคุมการทำงานของแอปพลิเคชันได้

    นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงการที่ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวถึงการที่สหรัฐฯ ควรถือหุ้น 50% ของ TikTok ซึ่งทำให้เกิดความสับสนในหมู่ผู้เจรจา การเจรจานี้เกิดขึ้นหลังจากแผนความมั่นคงแห่งชาติที่เกี่ยวข้องกับ Oracle ล้มเหลวในการรับประกันความเป็นอิสระของ TikTok จาก ByteDance

    https://www.techspot.com/news/106506-white-house-negotiating-tiktok-rescue-plan-oracle-us.html
    มีการเจรจาระหว่าง Oracle และ Microsoft เพื่อเข้าซื้อกิจการ TikTok โดย ByteDance ซึ่งเป็นเจ้าของ TikTok ในประเทศจีน จะยังคงถือหุ้นส่วนน้อยในบริษัท การเจรจานี้เกิดขึ้นเนื่องจากความกังวลด้านความมั่นคงของชาติและการรักษาการดำเนินงานของ TikTok ในสหรัฐอเมริกา ภายใต้ข้อตกลงที่เสนอ Oracle จะดูแลการทำงานของแอปพลิเคชัน TikTok รวมถึงการเก็บข้อมูลและการอัปเดตซอฟต์แวร์ นอกจากนี้ Oracle ยังเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานเว็บของ TikTok อยู่แล้ว การเปลี่ยนแปลงนี้อาจได้รับการยอมรับจากหน่วยงานกำกับดูแลในประเทศจีน ซึ่งเคยคัดค้านการขาย TikTok มาก่อน การเจรจายังมีความท้าทายอื่นๆ เช่น การทำให้สภาคองเกรสพอใจและการแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคงของชาติ หนึ่งในแนวทางที่กำลังพิจารณาคือการทำข้อตกลงทางกฎหมายที่ผูกพันเพื่อให้แน่ใจว่า ByteDance จะไม่สามารถควบคุมการทำงานของแอปพลิเคชันได้ นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงการที่ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวถึงการที่สหรัฐฯ ควรถือหุ้น 50% ของ TikTok ซึ่งทำให้เกิดความสับสนในหมู่ผู้เจรจา การเจรจานี้เกิดขึ้นหลังจากแผนความมั่นคงแห่งชาติที่เกี่ยวข้องกับ Oracle ล้มเหลวในการรับประกันความเป็นอิสระของ TikTok จาก ByteDance https://www.techspot.com/news/106506-white-house-negotiating-tiktok-rescue-plan-oracle-us.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Oracle and Microsoft are negotiating a TikTok takeover, ByteDance could retain a minority stake
    The plan to save TikTok involves software company Oracle and a group of outside investors effectively taking control of the app's global operations, two sources with direct...
    0 Comments 0 Shares 276 Views 0 Reviews
  • 11 มกราคม 2568-รายงานพิเศษของเว็บไซต์ The Structure เกี่ยวกับประเด็นเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย โดยรศ. ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ได้สะท้อนภาพจากเหตุการณ์ลอบสังหาร “ลิม กิมยา”กลางกรุงเทพมหานครว่า เกิดอะไรขึ้น กับประเทศไทย? ‘รศ.ดร.ปณิธาน’ สะท้อนภาพที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ ลอบสังหาร ‘ลิม กินยา’ กลางกรุงเทพมหานคร
    On 2025-01-10
    สืบเนื่องจากกรณีการลอบสังหาร ลิม กิมยา อดีต สส. พรรคสงเคราะห์ชาติกัมพูชา (Cambodia National Rescue Party) และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ถูกลอบยิงที่บริเวณเกาะกลางถนน วงเวียนสิบสามห้าง ตรงข้ามวัดบวรนิเวศวิหาร ในช่วงค่ำของวันที่ 7 ม.ค. 2568

    ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจของไทย สามารถระบุตัวคนร้ายจนพบว่าเป็นจ่าเอ็ม-เอกลักษณ์ แพน้อย อดีตทหารนาวิกโยธินของไทย ซึ่งถูกให้ออกจากราชการไปตั้งแต่ปี 2566 แล้ว และสามารถตามจับตัวจ่าเอ็มได้ที่จังหวัดพระตะบอง ประเทศกัมพูชา ในช่วงค่ำวันที่ 8 ม.ค. 2568

    และในเวลานี้ จ่าเอ็มยังอยู่ในระหว่างการควบคุมตัวเพื่อสอบสวนของทางการกัมพูชา เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาจะมีการดำเนินคดีกับจ่าเอ็มในข้อหาลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายก่อน

    รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง ได้กล่าวว่ากรณีนี้นั้น สะท้อนให้เห็นว่าได้เกิดช่องว่าง หรืออุปสรรค์ในการรักษาความปลอดภัยของฝ่ายความมั่นคงของไทย ทั้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, ตำรวจสันติบาล, ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ, สำนักข่าวกรอง หรือแม้แต่สภาความมั่นคงเอง

    ที่อาจจะต้องทำงานให้สอดประสานกันเพื่อการกำหนดแนวทางการคุ้มกันบุคคลสำคัญ ซึ่งจริง ๆ แล้วมีการกำหนดหลักปฎิบัติ หรือระเบียบปฎิบัติประจำ (รปจ.) อยู่แล้ว

    แต่สำหรับกรณีนี้ ถึงแม้ว่าตัวผู้ถูกลอบสังหารจะไม่ได้ทำการร้องขอการคุ้มกันจากฝ่ายไทย จึงทำให้การจัดชุดรักษาความปลอดภัยนั้นอาจจะทำได้ไม่เต็มที่ แต่ในเมื่อพิจารณาดูแล้วว่า ลิม กินยานั้นเป็นเป้าหมายสำคัญที่อาจจะถูกคุกคาม จนมีความไม่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน อีกทั้งยังมีผลกระทบต่อความมั่นคง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทย

    หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็สามารถใช้ดุลยพินิจในการตัดสินใจส่งชุดรักษาความปลอดภัยไปดูแลลิม กินยา ตั้งแต่เข้าเมือง หรืออาจจะปฎิเสธการให้เข้าเมืองตั้งแต่แรกเลยก็ทำได้ ถ้าพิจารณาแล้วว่าอาจจะคุ้มครองเขาไม่ได้ ซึ่งกรณีนี้จะต้องมีการพิจารณาในรายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น

    ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ทางการไทยนั้นมีประสบการณ์ในการให้ความคุ้มครองบุคคลสำคัญจากประเทศเพื่อนบ้านมามากพอสมควร ไม่ว่าจะจากลาว, กัมพูชา, มาเลเซีย และเมียนมา ไทยก็เคยให้การดูแลคุ้มกันมาแล้ว

    ทางการไทยจะต้องมีการดำเนินการเพื่อการป้องกันเหตุการณ์ที่จะสร้างผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทย ว่าเป็นพื้นที่สังหารบุคคลสำคัญ, ไม่มีความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยว หรือมีการซ่องสุมกองกำลังติดอาวุธต่าง ๆ โดยมีการใช้คนไทยเข้ามาเป็นเครือข่ายในการปฏิบัติการหลายอย่าง ซึ่งเรื่องนี้มีความสำคัญที่จะต้องดูแลกันให้ดี

    สำหรับแนวทางในการนำตัวจ่าเอ็ม ผู้ก่อเหตุกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยนั้น มีอยู่ 2 แนวทาง ได้แก่

    1 การดำเนินการตามช่องทางปกติ โดยจะต้องมีการดำเนินคดีในฝั่งกัมพูชาก่อนสักระยะหนึ่ง ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร โดยจะมีการพิจารณาลงโทษ-ลดโทษ-อภัยโทษ แล้วส่งคืนมายังไทยตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน

    ทั้งนี้ได้มีการตั้งข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายแล้ว แต่อาจจะมีการกล่าวโทษในคดีอื่นเพิ่มเช่น พกพาอาวุธ และความมีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายอาชญากรรมข้ามแดน ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลานานและสร้างความคลุมเครือ

    2 การดำเนินการในช่องทางพิเศษ ด้วยวิธีต่างตอบแทน โดยการแลกตัว หรือร้องขอให้ทางกัมพูชาส่งตัวผู้ก่อเหตุให้มาถูกดำเนินคดีในไทยได้อย่างรวดเร็ว แต่กรณีนี้จะต้องระมัดระวังว่าจะกระทบต่อสิทธิมนุษยชน และต้องพิจารณาความตั้งใจจริงของฝ่ายกัมพูชาด้วย เพราะว่าเรื่องนี้นั้นจะเป็นการสะท้อนถึงระดับความสัมพันธ์ หรือเรื่องราวมีความซับซ้อนมากน้อยเพียงใด

    แต่ทั้งนี้นั้น ควรจะต้องมีการดำเนินการผ่านกลไกของอาเซียน และตำรวจสากล ที่มีข้อตกลงที่ค่อนข้างชัดเจน และเป็นทางการ แทนการใช้ระบบต่างตอบแทน เพื่อป้องกันข้อครหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดหรือห่างเหินระหว่างผู้นำทั้ง 2 ประเทศในบางสมัย ซึ่งจะต้องมีการเปิดเผยข้อเท็จจริงในเรื่องเหล่านี้ผ่านทางอาเซียน

    สำหรับคำถามที่ว่า ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการคุ้มครองผู้เห็นต่างทางการเมืองจากประเทศอื่นที่เข้ามาลี้ภัยในประเทศไทยหรือไม่ รศ.ดร. ปณิธานกล่าวว่า ในบางช่วงประเทศไทยก็มีขีดความสามารถในการดำเนินการในเรื่องนี้ได้ดี

    ไทยเคยสามารถจับกุมตัวผู้ก่อการร้ายระหว่างประเทศได้หลายครั้ง อย่างกรณี “ฮัม บาลี” ผู้ก่อเหตุวางระเบิดในอินโดนีเซีย หรือกรณีของ วิกเตอร์ บุช ผู้ค้าอาวุธสงครามชาวรัสเซีย และมีการส่งตัวกลับไปยังประเทศต้นทางได้ และได้รับความชื่นชมจากนานาชาติเป็นอย่างมาก

    อีกทั้งยังเคยสามารถสกัดกั้นไม่ให้กลุ่มบุคคลต้องสงสัยเข้าประเทศ อย่างเช่นกลุ่มจากประเทศเกาหลีเหนือ และกลุ่มอื่น ๆ ที่อยู่ในบัญชีรายชื่อกว่า 30 กลุ่ม ซึ่งบางครั้งเราก็ทำได้ดี แต่บางครั้งเราก็มีปัญหา ซึ่งในภาพรวมแล้วเราควรจะปรับปรุงให้ดีขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดกรณีเช่นนี้อีก และกรณีนี้ได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยเป็นอย่างมาก

    สำหรับกรณีที่พรรคฝ่ายค้านของกัมพูชากล่าวหาฮุน เซน อดีตนายกฯ กัมพูชาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารในครั้งนี้นั้น รศ.ดร. ปณิธานกล่าวว่าเรื่องนี้นั้นถือเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน ที่จะต้องมีการพิสูจน์ทราบกันให้ชัดเจน ก่อนที่จะมีการกระทบในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

    แต่ทั้งนี้การที่ฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายค้านกล่าวหาพุ่งเป้าใส่กัน โดยมีการดึงประเทศไทยเข้าไปเกี่ยวข้องนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่เลย อีกทั้งตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ทางการกัมพูชาได้ทำเรื่องร้องขอให้มีการส่งตัวนักเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลกัมพูชา เช่น สม รังสี อดีตผู้นำพรรคฝ่ายค้านกัมพูชากลับ ซึ่งก็มีทั้งกรณีที่ทางการไทยส่งตัวกลับ และไม่ส่งตัวกลับ

    ดังนั้นเรื่องนี้นั้น ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหม่ และหน่วยงานราชการไทย และฝ่ายความมั่นคงนั้นมีความคุ้นเคยเป็นอย่างดี

    แต่ทั้งนี้ไทยต้องดำเนินการป้องกันให้มากกว่านี้ เพื่อการป้องกันไม่ให้ไทยถูกดึงเข้าไปอยู่ในวงความขัดแย้ง ซึ่งกรณีนี้ไม่ได้มีเฉพาะกับกัมพูชาเท่านั้น แต่เกิดขึ้นกับลาว, เมียนมา และมาเลเซียด้วย

    นอกจากนี้ ทางการไทยเองก็มีการดำเนินการขอตัวแกนนำสั่งการต่าง ๆ ที่อยู่ในมาเลเซีย มาดำเนินคดีในประเทศไทย ซึ่งได้บ้าง ไม่ได้บ้าง บางกรณีมีการเสียชีวิตในระหว่างทาง ซึ่งเรื่องนี้มีความจำเป็นที่จะต้องมีการจัดระเบียบกันอย่างจริงจัง ก่อนที่จะเกิดความเสียหายกับประเทศไทยไปมากกว่านี้

    สำหรับการสืบสาวหาต้นตอ/ขบวนการ/ผู้จ้างวาน ให้มีการลอบสังหารในครั้งนี้นั้น ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ยากนัก เพราะทราบมาว่าฝ่ายนั้นมีการดำเนินการสื่อสารผ่านระบบสมัยใหม่ ซึ่งทางเราสามารถดักจับ และบันทึกอยู่ในฐานข้อมูลของเรา

    ดังนั้นการดำเนินการสืบค้นเพื่อเอาหลักฐานเหล่านั้นมาพิสูจน์ในทางนิติวิทยาศาสตร์นั้นก็คงไม่ยากเท่าไรนัก แต่ทั้งนี้จะต้องได้รับความร่วมมือจากทางกัมพูชาด้วย

    อย่างไรก็ดี การที่ลิม กินยานั้น เป็นผู้ถือสัญชาติฝรั่งเศสด้วยนั้น ทำให้ฝรั่งเศส, สหภาพยุโรป และนานาชาติต่างก็จับตาดูกรณีนี้เป็นพิเศษ และก็คงจะมีการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภรรยาของลิม กินยา ซึ่งถือสัญชาติฝรั่งเศสด้วย และอาจจะเข้ามาร่วมประสานงานกับประเทศไทย ซึ่งจะทำให้เรื่องราวมีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น

    (ทางการฝรั่งเศสได้ประกาศว่าจะมีการติดตามการสืบสวนของฝ่ายไทยอย่างใกล้ชิด เมื่อวานนี้)

    ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงต่างประเทศจะต้องมีการตั้งชุดทำงานขึ้นมา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบมากไปกว่านี้ และในขณะนี้เกิดความแปรปรวนขึ้นพอสมควร เนื่องจากเกิดความเชื่อหลายอย่างขึ้นในโลกออนไลน์ ซึ่งก็อาจจะไม่ใช่ข้อเท็จจริง
    11 มกราคม 2568-รายงานพิเศษของเว็บไซต์ The Structure เกี่ยวกับประเด็นเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย โดยรศ. ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ได้สะท้อนภาพจากเหตุการณ์ลอบสังหาร “ลิม กิมยา”กลางกรุงเทพมหานครว่า เกิดอะไรขึ้น กับประเทศไทย? ‘รศ.ดร.ปณิธาน’ สะท้อนภาพที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ ลอบสังหาร ‘ลิม กินยา’ กลางกรุงเทพมหานคร On 2025-01-10 สืบเนื่องจากกรณีการลอบสังหาร ลิม กิมยา อดีต สส. พรรคสงเคราะห์ชาติกัมพูชา (Cambodia National Rescue Party) และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ถูกลอบยิงที่บริเวณเกาะกลางถนน วงเวียนสิบสามห้าง ตรงข้ามวัดบวรนิเวศวิหาร ในช่วงค่ำของวันที่ 7 ม.ค. 2568 ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจของไทย สามารถระบุตัวคนร้ายจนพบว่าเป็นจ่าเอ็ม-เอกลักษณ์ แพน้อย อดีตทหารนาวิกโยธินของไทย ซึ่งถูกให้ออกจากราชการไปตั้งแต่ปี 2566 แล้ว และสามารถตามจับตัวจ่าเอ็มได้ที่จังหวัดพระตะบอง ประเทศกัมพูชา ในช่วงค่ำวันที่ 8 ม.ค. 2568 และในเวลานี้ จ่าเอ็มยังอยู่ในระหว่างการควบคุมตัวเพื่อสอบสวนของทางการกัมพูชา เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาจะมีการดำเนินคดีกับจ่าเอ็มในข้อหาลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายก่อน รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง ได้กล่าวว่ากรณีนี้นั้น สะท้อนให้เห็นว่าได้เกิดช่องว่าง หรืออุปสรรค์ในการรักษาความปลอดภัยของฝ่ายความมั่นคงของไทย ทั้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, ตำรวจสันติบาล, ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ, สำนักข่าวกรอง หรือแม้แต่สภาความมั่นคงเอง ที่อาจจะต้องทำงานให้สอดประสานกันเพื่อการกำหนดแนวทางการคุ้มกันบุคคลสำคัญ ซึ่งจริง ๆ แล้วมีการกำหนดหลักปฎิบัติ หรือระเบียบปฎิบัติประจำ (รปจ.) อยู่แล้ว แต่สำหรับกรณีนี้ ถึงแม้ว่าตัวผู้ถูกลอบสังหารจะไม่ได้ทำการร้องขอการคุ้มกันจากฝ่ายไทย จึงทำให้การจัดชุดรักษาความปลอดภัยนั้นอาจจะทำได้ไม่เต็มที่ แต่ในเมื่อพิจารณาดูแล้วว่า ลิม กินยานั้นเป็นเป้าหมายสำคัญที่อาจจะถูกคุกคาม จนมีความไม่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน อีกทั้งยังมีผลกระทบต่อความมั่นคง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็สามารถใช้ดุลยพินิจในการตัดสินใจส่งชุดรักษาความปลอดภัยไปดูแลลิม กินยา ตั้งแต่เข้าเมือง หรืออาจจะปฎิเสธการให้เข้าเมืองตั้งแต่แรกเลยก็ทำได้ ถ้าพิจารณาแล้วว่าอาจจะคุ้มครองเขาไม่ได้ ซึ่งกรณีนี้จะต้องมีการพิจารณาในรายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ทางการไทยนั้นมีประสบการณ์ในการให้ความคุ้มครองบุคคลสำคัญจากประเทศเพื่อนบ้านมามากพอสมควร ไม่ว่าจะจากลาว, กัมพูชา, มาเลเซีย และเมียนมา ไทยก็เคยให้การดูแลคุ้มกันมาแล้ว ทางการไทยจะต้องมีการดำเนินการเพื่อการป้องกันเหตุการณ์ที่จะสร้างผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทย ว่าเป็นพื้นที่สังหารบุคคลสำคัญ, ไม่มีความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยว หรือมีการซ่องสุมกองกำลังติดอาวุธต่าง ๆ โดยมีการใช้คนไทยเข้ามาเป็นเครือข่ายในการปฏิบัติการหลายอย่าง ซึ่งเรื่องนี้มีความสำคัญที่จะต้องดูแลกันให้ดี สำหรับแนวทางในการนำตัวจ่าเอ็ม ผู้ก่อเหตุกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยนั้น มีอยู่ 2 แนวทาง ได้แก่ 1 การดำเนินการตามช่องทางปกติ โดยจะต้องมีการดำเนินคดีในฝั่งกัมพูชาก่อนสักระยะหนึ่ง ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร โดยจะมีการพิจารณาลงโทษ-ลดโทษ-อภัยโทษ แล้วส่งคืนมายังไทยตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ทั้งนี้ได้มีการตั้งข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายแล้ว แต่อาจจะมีการกล่าวโทษในคดีอื่นเพิ่มเช่น พกพาอาวุธ และความมีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายอาชญากรรมข้ามแดน ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลานานและสร้างความคลุมเครือ 2 การดำเนินการในช่องทางพิเศษ ด้วยวิธีต่างตอบแทน โดยการแลกตัว หรือร้องขอให้ทางกัมพูชาส่งตัวผู้ก่อเหตุให้มาถูกดำเนินคดีในไทยได้อย่างรวดเร็ว แต่กรณีนี้จะต้องระมัดระวังว่าจะกระทบต่อสิทธิมนุษยชน และต้องพิจารณาความตั้งใจจริงของฝ่ายกัมพูชาด้วย เพราะว่าเรื่องนี้นั้นจะเป็นการสะท้อนถึงระดับความสัมพันธ์ หรือเรื่องราวมีความซับซ้อนมากน้อยเพียงใด แต่ทั้งนี้นั้น ควรจะต้องมีการดำเนินการผ่านกลไกของอาเซียน และตำรวจสากล ที่มีข้อตกลงที่ค่อนข้างชัดเจน และเป็นทางการ แทนการใช้ระบบต่างตอบแทน เพื่อป้องกันข้อครหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดหรือห่างเหินระหว่างผู้นำทั้ง 2 ประเทศในบางสมัย ซึ่งจะต้องมีการเปิดเผยข้อเท็จจริงในเรื่องเหล่านี้ผ่านทางอาเซียน สำหรับคำถามที่ว่า ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการคุ้มครองผู้เห็นต่างทางการเมืองจากประเทศอื่นที่เข้ามาลี้ภัยในประเทศไทยหรือไม่ รศ.ดร. ปณิธานกล่าวว่า ในบางช่วงประเทศไทยก็มีขีดความสามารถในการดำเนินการในเรื่องนี้ได้ดี ไทยเคยสามารถจับกุมตัวผู้ก่อการร้ายระหว่างประเทศได้หลายครั้ง อย่างกรณี “ฮัม บาลี” ผู้ก่อเหตุวางระเบิดในอินโดนีเซีย หรือกรณีของ วิกเตอร์ บุช ผู้ค้าอาวุธสงครามชาวรัสเซีย และมีการส่งตัวกลับไปยังประเทศต้นทางได้ และได้รับความชื่นชมจากนานาชาติเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเคยสามารถสกัดกั้นไม่ให้กลุ่มบุคคลต้องสงสัยเข้าประเทศ อย่างเช่นกลุ่มจากประเทศเกาหลีเหนือ และกลุ่มอื่น ๆ ที่อยู่ในบัญชีรายชื่อกว่า 30 กลุ่ม ซึ่งบางครั้งเราก็ทำได้ดี แต่บางครั้งเราก็มีปัญหา ซึ่งในภาพรวมแล้วเราควรจะปรับปรุงให้ดีขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดกรณีเช่นนี้อีก และกรณีนี้ได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยเป็นอย่างมาก สำหรับกรณีที่พรรคฝ่ายค้านของกัมพูชากล่าวหาฮุน เซน อดีตนายกฯ กัมพูชาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารในครั้งนี้นั้น รศ.ดร. ปณิธานกล่าวว่าเรื่องนี้นั้นถือเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน ที่จะต้องมีการพิสูจน์ทราบกันให้ชัดเจน ก่อนที่จะมีการกระทบในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ทั้งนี้การที่ฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายค้านกล่าวหาพุ่งเป้าใส่กัน โดยมีการดึงประเทศไทยเข้าไปเกี่ยวข้องนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่เลย อีกทั้งตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ทางการกัมพูชาได้ทำเรื่องร้องขอให้มีการส่งตัวนักเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลกัมพูชา เช่น สม รังสี อดีตผู้นำพรรคฝ่ายค้านกัมพูชากลับ ซึ่งก็มีทั้งกรณีที่ทางการไทยส่งตัวกลับ และไม่ส่งตัวกลับ ดังนั้นเรื่องนี้นั้น ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหม่ และหน่วยงานราชการไทย และฝ่ายความมั่นคงนั้นมีความคุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่ทั้งนี้ไทยต้องดำเนินการป้องกันให้มากกว่านี้ เพื่อการป้องกันไม่ให้ไทยถูกดึงเข้าไปอยู่ในวงความขัดแย้ง ซึ่งกรณีนี้ไม่ได้มีเฉพาะกับกัมพูชาเท่านั้น แต่เกิดขึ้นกับลาว, เมียนมา และมาเลเซียด้วย นอกจากนี้ ทางการไทยเองก็มีการดำเนินการขอตัวแกนนำสั่งการต่าง ๆ ที่อยู่ในมาเลเซีย มาดำเนินคดีในประเทศไทย ซึ่งได้บ้าง ไม่ได้บ้าง บางกรณีมีการเสียชีวิตในระหว่างทาง ซึ่งเรื่องนี้มีความจำเป็นที่จะต้องมีการจัดระเบียบกันอย่างจริงจัง ก่อนที่จะเกิดความเสียหายกับประเทศไทยไปมากกว่านี้ สำหรับการสืบสาวหาต้นตอ/ขบวนการ/ผู้จ้างวาน ให้มีการลอบสังหารในครั้งนี้นั้น ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ยากนัก เพราะทราบมาว่าฝ่ายนั้นมีการดำเนินการสื่อสารผ่านระบบสมัยใหม่ ซึ่งทางเราสามารถดักจับ และบันทึกอยู่ในฐานข้อมูลของเรา ดังนั้นการดำเนินการสืบค้นเพื่อเอาหลักฐานเหล่านั้นมาพิสูจน์ในทางนิติวิทยาศาสตร์นั้นก็คงไม่ยากเท่าไรนัก แต่ทั้งนี้จะต้องได้รับความร่วมมือจากทางกัมพูชาด้วย อย่างไรก็ดี การที่ลิม กินยานั้น เป็นผู้ถือสัญชาติฝรั่งเศสด้วยนั้น ทำให้ฝรั่งเศส, สหภาพยุโรป และนานาชาติต่างก็จับตาดูกรณีนี้เป็นพิเศษ และก็คงจะมีการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภรรยาของลิม กินยา ซึ่งถือสัญชาติฝรั่งเศสด้วย และอาจจะเข้ามาร่วมประสานงานกับประเทศไทย ซึ่งจะทำให้เรื่องราวมีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น (ทางการฝรั่งเศสได้ประกาศว่าจะมีการติดตามการสืบสวนของฝ่ายไทยอย่างใกล้ชิด เมื่อวานนี้) ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงต่างประเทศจะต้องมีการตั้งชุดทำงานขึ้นมา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบมากไปกว่านี้ และในขณะนี้เกิดความแปรปรวนขึ้นพอสมควร เนื่องจากเกิดความเชื่อหลายอย่างขึ้นในโลกออนไลน์ ซึ่งก็อาจจะไม่ใช่ข้อเท็จจริง
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 1257 Views 0 Reviews
  • 7 มกราคม 2568-รายงานข่าวเนชั่นทีวีระบุว่า มีรายงานว่า นายลิม กิมยา เดินทางมาจาก เสียมราฐ ประเทศกัมพูชา โดยรถบัส มาพร้อมกับภรรยาชาวฝรั่งเศส และลุงชาวกัมพูชา ได้มาลงตรงบริเวณที่เกิดเหตุ และมีคนร้ายขับรถ จยย. ไม่ทราบทะเบียน มาจอด และยิง ก่อนหลบหนีไปเบื้องต้นฝ่ายสืบสวน สน.ชนะสงคราม พาภรรยาไปสอบปากคำที่ สน.ชนะสงคราม เพื่อหาสาเหตุปมสังหาร อดีต สส.ฝ่ายค้านกัมพูชา อย่างอุกอาจกลางกรุงสำหรับนายลิม กิมยา ผู้เสียชีวิต เป็นนักการเมืองกัมพูชา ขั้วตรงข้ามกับ สมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ประธานพฤฒสภาของกัมพูชา เป็นอดีต สส.ฝ่ายค้าน จากพรรค Cambodia National Rescue ที่มีผลงานโดดเด่น โดยเมื่อปี 2018 เขาได้อภิปรายเรื่องงบประมาณรัฐบาลอย่างหนัก โดยปัจจุบัน นายลิม กิมยา ถือสัญชาติ ฝรั่งเศส-กัมพูชารายงานข่าวว่า พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 พ.ต.อ.สนอง แสงมณี ผกก.สน.ชนะสงคราม ชุดสืบสวนนครบาลและ ชุดสืบสวนนครบาล 1 เร่งล่าตัวมือปืนผู้ก่อเหตุ ซึ่งหลบหนีไป มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไปที่มา https://www.nationtv.tv/news/crime/378954029?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR3Mc9xWHt0sCgNYdnBU24IoEr-Y-8_XuMg04Tc43GgZy7zWog0qmGrM3ME_aem_VsFP1guRTCe58IWSYccN8Q#m5ml6y27yfwju4yta39
    7 มกราคม 2568-รายงานข่าวเนชั่นทีวีระบุว่า มีรายงานว่า นายลิม กิมยา เดินทางมาจาก เสียมราฐ ประเทศกัมพูชา โดยรถบัส มาพร้อมกับภรรยาชาวฝรั่งเศส และลุงชาวกัมพูชา ได้มาลงตรงบริเวณที่เกิดเหตุ และมีคนร้ายขับรถ จยย. ไม่ทราบทะเบียน มาจอด และยิง ก่อนหลบหนีไปเบื้องต้นฝ่ายสืบสวน สน.ชนะสงคราม พาภรรยาไปสอบปากคำที่ สน.ชนะสงคราม เพื่อหาสาเหตุปมสังหาร อดีต สส.ฝ่ายค้านกัมพูชา อย่างอุกอาจกลางกรุงสำหรับนายลิม กิมยา ผู้เสียชีวิต เป็นนักการเมืองกัมพูชา ขั้วตรงข้ามกับ สมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ประธานพฤฒสภาของกัมพูชา เป็นอดีต สส.ฝ่ายค้าน จากพรรค Cambodia National Rescue ที่มีผลงานโดดเด่น โดยเมื่อปี 2018 เขาได้อภิปรายเรื่องงบประมาณรัฐบาลอย่างหนัก โดยปัจจุบัน นายลิม กิมยา ถือสัญชาติ ฝรั่งเศส-กัมพูชารายงานข่าวว่า พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 พ.ต.อ.สนอง แสงมณี ผกก.สน.ชนะสงคราม ชุดสืบสวนนครบาลและ ชุดสืบสวนนครบาล 1 เร่งล่าตัวมือปืนผู้ก่อเหตุ ซึ่งหลบหนีไป มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไปที่มา https://www.nationtv.tv/news/crime/378954029?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR3Mc9xWHt0sCgNYdnBU24IoEr-Y-8_XuMg04Tc43GgZy7zWog0qmGrM3ME_aem_VsFP1guRTCe58IWSYccN8Q#m5ml6y27yfwju4yta39
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 704 Views 0 Reviews
  • When Do You Use “Who” vs. “Whom”?

    Over the last 200 years, the pronoun whom has been on a steady decline. Despite its waning use in speech and ongoing speculation about its imminent extinction, whom still holds a spot in the English language, particularly in formal writing. Understanding when and how to use this pronoun can set your writing apart.

    If whom is on the decline, then who must be growing in popularity. The two—as you’ll recall from English class—are related and may seem interchangeable. But are they really?

    Who vs. whom, what’s the difference?

    Whom is often confused with who. Who is a subjective-case pronoun, meaning it functions as a subject in a sentence, and whom is an objective-case pronoun, meaning it functions as an object in a sentence.

    When to use who

    Who, like I, he, she, we, and they, is used as the subject of a sentence. That means it performs actions.

    Examples of who in a sentence

    See how who is used as a subject in different ways:

    Who rescued the dog?
    I’m not sure who called my name.
    Do you know who baked this cake?

    Who is doing the rescuing in the first sentence. Similarly, who called and who baked in the other examples.

    When to use whom

    Whom is a little trickier. Like me, him, her, us, and them, whom is the object of a verb or preposition. That means whom is acted on.

    Take your grammar game to the next level with your own personal Grammar Coach™! Get started now for free!

    Examples of whom in a sentence

    See how whom acts as an object in each of these instances:

    Whom did you see?
    His grandchildren, whom he loves so much, are in town for a visit.
    The cook, whom we just hired, failed to show up to work today.

    In the first sentence, whom is being seen here, not doing the seeing. In the other examples, whom is being loved and hired. Whom is the direct object in all three sentences.

    Take a look at these sentences:

    She gave whom the package?
    Whom should I call first?
    My brother doesn’t remember whom he e-mailed the questions.

    In these sentences, whom functions as an indirect object. That is the person on the receiving end of the action. For example, the package was given to someone. It was given to whom.

    Whom also commonly appears when it follows a preposition, as in the salutation “To whom it may concern.” Does it concern he? No. Does it concern him? Yes.

    When in doubt, substitute him (sometimes you’ll have to rephrase the sentence) and see if that sounds right. If him is OK, then whom is OK. If the more natural substitute is he, then go with who. For example: You talked to who/whom? It would be incorrect to say, “You talked to he?”, but saying, “You talked to him?” makes grammatical sense. So you would ask, “You talked to whom?”

    All of that said, in informal speech and writing, speakers will often opt for who where whom has traditionally been used. This choice sounds more natural and less formal to most native English speakers.

    Copyright 2024, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    When Do You Use “Who” vs. “Whom”? Over the last 200 years, the pronoun whom has been on a steady decline. Despite its waning use in speech and ongoing speculation about its imminent extinction, whom still holds a spot in the English language, particularly in formal writing. Understanding when and how to use this pronoun can set your writing apart. If whom is on the decline, then who must be growing in popularity. The two—as you’ll recall from English class—are related and may seem interchangeable. But are they really? Who vs. whom, what’s the difference? Whom is often confused with who. Who is a subjective-case pronoun, meaning it functions as a subject in a sentence, and whom is an objective-case pronoun, meaning it functions as an object in a sentence. When to use who Who, like I, he, she, we, and they, is used as the subject of a sentence. That means it performs actions. Examples of who in a sentence See how who is used as a subject in different ways: Who rescued the dog? I’m not sure who called my name. Do you know who baked this cake? Who is doing the rescuing in the first sentence. Similarly, who called and who baked in the other examples. When to use whom Whom is a little trickier. Like me, him, her, us, and them, whom is the object of a verb or preposition. That means whom is acted on. Take your grammar game to the next level with your own personal Grammar Coach™! Get started now for free! Examples of whom in a sentence See how whom acts as an object in each of these instances: Whom did you see? His grandchildren, whom he loves so much, are in town for a visit. The cook, whom we just hired, failed to show up to work today. In the first sentence, whom is being seen here, not doing the seeing. In the other examples, whom is being loved and hired. Whom is the direct object in all three sentences. Take a look at these sentences: She gave whom the package? Whom should I call first? My brother doesn’t remember whom he e-mailed the questions. In these sentences, whom functions as an indirect object. That is the person on the receiving end of the action. For example, the package was given to someone. It was given to whom. Whom also commonly appears when it follows a preposition, as in the salutation “To whom it may concern.” Does it concern he? No. Does it concern him? Yes. When in doubt, substitute him (sometimes you’ll have to rephrase the sentence) and see if that sounds right. If him is OK, then whom is OK. If the more natural substitute is he, then go with who. For example: You talked to who/whom? It would be incorrect to say, “You talked to he?”, but saying, “You talked to him?” makes grammatical sense. So you would ask, “You talked to whom?” All of that said, in informal speech and writing, speakers will often opt for who where whom has traditionally been used. This choice sounds more natural and less formal to most native English speakers. Copyright 2024, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    0 Comments 0 Shares 803 Views 0 Reviews
  • การฝึกซ้อมร่วมของรัสเซีย-จีน Pacific Patrol -๒๐๒๔ ประสบความสำเร็จเกินความคาดหมาย และจะกลายเป็นกิจกรรมประจำปี

    การฝึกซ้อมร่วม Pacific Patrol-๒๐๒๔ โดยเรือรัสเซียและจีนในอ่าวปีเตอร์มหาราชในภูมิภาคปรีมอร์สกีของรัสเซีย เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน

    ในระหว่างการฝึกซ้อม, เจ้าหน้าที่รักษาชายฝั่งของรัสเซียและจีนได้ฝึกซ้อมร่วมกันในการค้นหาและกักขังเรือที่ละเมิดกฎจากทะเลและอากาศ

    ผู้เข้าร่วมยังได้ยิงปืนใหญ่ร่วมกันและทดสอบความพร้อมของลูกเรือในการปฏิบัติการกู้ภัยสำหรับเรือที่ประสบภัย

    ความสำเร็จของการฝึกซ้อมทำให้ทั้งสองฝ่ายตัดสินใจจัดการฝึกซ้อมดังกล่าวเป็นประจำทุกปี, ซึ่งเพิ่มความซับซ้อนและความเข้มข้น

    "ปีหนึ่ง [หน่วยรักษาชายฝั่งของจีน] มาหาเรา [รัสเซีย], ปีหน้า เราจะไปที่ท่าเรือแห่งหนึ่งของสาธารณรัฐประชาชนจีนตามคำเชิญของพวกเขา และพบปะเพื่อนและเพื่อนร่วมงานของเราที่นั่น, พลเรือเอกโรมัน โทล็อก หัวหน้าแผนกหน่วยรักษาชายฝั่งของหน่วยงานป้องกันชายแดนของรัสเซียกล่าว การฝึกซ้อมเป็นอย่างไรบ้าง?

    หน่วยยามชายฝั่งของจีนได้รับข้อมูลว่าเรือที่ชักธงประเทศโอเชียเนียได้เข้าสู่ทะเลญี่ปุ่นผ่านช่องแคบเกาหลีและกำลังเข้าใกล้เมืองวลาดิวอสต็อก;

    ตามข้อมูลปฏิบัติการจำลอง, ลูกเรือเคยลักลอบขนอาวุธ, กระสุน และอุปกรณ์ทางการทหารมาก่อน นอกจากนี้ยังมี “หลักฐาน” ว่าเรือลำดังกล่าวเป็นเรือที่ไม่มีคนโดยสาร;

    รัสเซียและจีนตัดสินใจร่วมกันค้นหาเรือลำดังกล่าวโดยเครื่องบินและเรือ

    จากนั้นเรือหน่วยยามชายฝั่งของรัสเซีย ๓ ลำ และของจีน ๒ ลำ ได้จัดตั้งทีมปฏิบัติการเพื่อหยุดยั้ง “อาชญากร” จากโอเชียเนีย
    .
    Russian-Chinese Pacific Patrol-2024 drills beat expectations and will become annual event

    The active phase of the Pacific Patrol-2024 joint drills by Russian and Chinese ships in the Peter the Great Gulf in Russia’s Primorsky region started on September 18.

    During the exercises, Russian and Chinese coast guards practiced joint the search and detention of a rogue vessel from sea and air.

    The participants also performed joint artillery firing and tested their crew’ readiness to carry out rescue operations for vessels in distress.

    The drills’ success prompted both sides to decide to hold such exercises on an annual basis, increasing their complexity and intensity.

    “One year they [Chinese coast guard] come to us [Russia], next year we go to one of the ports of the People's Republic of China at their invitation and meet our friends and colleagues there,” said Admiral Roman Tolok, head of the Coast Guard Department of Russia’s Border Guard Service. How did the drills go?

    China’s coast guard received information that a vessel under a made-up country of Oceania flag had entered the Sea of Japan through the Korean Strait and was approaching Vladivostok;

    According to mock operational data, its crew members had been previously involved in smuggling weapons, ammunition and military equipment. There was also “evidence” that the vessel had uncrewed boats;

    Russia and China decided to conduct a joint air and ship search for the vessel suspected of illicit activity;

    Three Russian and two Chinese coast guard ships then formed an operational team to stop the “criminals” from Oceania.
    .
    3:29 AM · Sep 19, 2024 · 1,995 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1836502794850775462
    การฝึกซ้อมร่วมของรัสเซีย-จีน Pacific Patrol -๒๐๒๔ ประสบความสำเร็จเกินความคาดหมาย และจะกลายเป็นกิจกรรมประจำปี การฝึกซ้อมร่วม Pacific Patrol-๒๐๒๔ โดยเรือรัสเซียและจีนในอ่าวปีเตอร์มหาราชในภูมิภาคปรีมอร์สกีของรัสเซีย เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ในระหว่างการฝึกซ้อม, เจ้าหน้าที่รักษาชายฝั่งของรัสเซียและจีนได้ฝึกซ้อมร่วมกันในการค้นหาและกักขังเรือที่ละเมิดกฎจากทะเลและอากาศ ผู้เข้าร่วมยังได้ยิงปืนใหญ่ร่วมกันและทดสอบความพร้อมของลูกเรือในการปฏิบัติการกู้ภัยสำหรับเรือที่ประสบภัย ความสำเร็จของการฝึกซ้อมทำให้ทั้งสองฝ่ายตัดสินใจจัดการฝึกซ้อมดังกล่าวเป็นประจำทุกปี, ซึ่งเพิ่มความซับซ้อนและความเข้มข้น "ปีหนึ่ง [หน่วยรักษาชายฝั่งของจีน] มาหาเรา [รัสเซีย], ปีหน้า เราจะไปที่ท่าเรือแห่งหนึ่งของสาธารณรัฐประชาชนจีนตามคำเชิญของพวกเขา และพบปะเพื่อนและเพื่อนร่วมงานของเราที่นั่น, พลเรือเอกโรมัน โทล็อก หัวหน้าแผนกหน่วยรักษาชายฝั่งของหน่วยงานป้องกันชายแดนของรัสเซียกล่าว การฝึกซ้อมเป็นอย่างไรบ้าง? 🔸หน่วยยามชายฝั่งของจีนได้รับข้อมูลว่าเรือที่ชักธงประเทศโอเชียเนียได้เข้าสู่ทะเลญี่ปุ่นผ่านช่องแคบเกาหลีและกำลังเข้าใกล้เมืองวลาดิวอสต็อก; 🔸ตามข้อมูลปฏิบัติการจำลอง, ลูกเรือเคยลักลอบขนอาวุธ, กระสุน และอุปกรณ์ทางการทหารมาก่อน นอกจากนี้ยังมี “หลักฐาน” ว่าเรือลำดังกล่าวเป็นเรือที่ไม่มีคนโดยสาร; 🔸รัสเซียและจีนตัดสินใจร่วมกันค้นหาเรือลำดังกล่าวโดยเครื่องบินและเรือ 🔸จากนั้นเรือหน่วยยามชายฝั่งของรัสเซีย ๓ ลำ และของจีน ๒ ลำ ได้จัดตั้งทีมปฏิบัติการเพื่อหยุดยั้ง “อาชญากร” จากโอเชียเนีย . Russian-Chinese Pacific Patrol-2024 drills beat expectations and will become annual event The active phase of the Pacific Patrol-2024 joint drills by Russian and Chinese ships in the Peter the Great Gulf in Russia’s Primorsky region started on September 18. During the exercises, Russian and Chinese coast guards practiced joint the search and detention of a rogue vessel from sea and air. The participants also performed joint artillery firing and tested their crew’ readiness to carry out rescue operations for vessels in distress. The drills’ success prompted both sides to decide to hold such exercises on an annual basis, increasing their complexity and intensity. “One year they [Chinese coast guard] come to us [Russia], next year we go to one of the ports of the People's Republic of China at their invitation and meet our friends and colleagues there,” said Admiral Roman Tolok, head of the Coast Guard Department of Russia’s Border Guard Service. How did the drills go? 🔸China’s coast guard received information that a vessel under a made-up country of Oceania flag had entered the Sea of Japan through the Korean Strait and was approaching Vladivostok; 🔸According to mock operational data, its crew members had been previously involved in smuggling weapons, ammunition and military equipment. There was also “evidence” that the vessel had uncrewed boats; 🔸Russia and China decided to conduct a joint air and ship search for the vessel suspected of illicit activity; 🔸Three Russian and two Chinese coast guard ships then formed an operational team to stop the “criminals” from Oceania. . 3:29 AM · Sep 19, 2024 · 1,995 Views https://x.com/SputnikInt/status/1836502794850775462
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 913 Views 77 0 Reviews