• “CodeMender จาก DeepMind — AI ผู้พิทักษ์โค้ดที่ตรวจจับและซ่อมช่องโหว่ก่อนถูกโจมตี”

    Google DeepMind เปิดตัว CodeMender เครื่องมือ AI ใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อค้นหาและแก้ไขช่องโหว่ในซอฟต์แวร์แบบอัตโนมัติ โดยเฉพาะในโครงการโอเพ่นซอร์สที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อน จุดเด่นของ CodeMender คือความสามารถในการทำงานเชิงรุกและเชิงรับ — ทั้งการแก้ไขช่องโหว่ที่พบ และการเขียนโค้ดใหม่เพื่อป้องกันช่องโหว่ในอนาคต

    CodeMender ใช้โมเดล Gemini Deep Think ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์โค้ดหลายประเภท เช่น static analysis, dynamic analysis, fuzzing, differential testing และ SMT solvers เพื่อระบุสาเหตุของช่องโหว่และสร้าง patch ที่ผ่านการตรวจสอบหลายขั้นตอน ก่อนจะส่งให้มนุษย์ตรวจสอบอีกครั้ง

    ในช่วง 6 เดือนแรกของการใช้งาน CodeMender ได้ส่ง patch ความปลอดภัยจำนวน 72 รายการไปยังโครงการโอเพ่นซอร์ส รวมถึงโค้ดที่มีมากกว่า 4.5 ล้านบรรทัด หนึ่งในตัวอย่างคือการเพิ่ม annotation “-fbounds-safety” ให้กับไลบรารี libwebp ซึ่งเคยถูกใช้โจมตีแบบ zero-click บน iOS ในปี 2023

    DeepMind ย้ำว่า CodeMender ไม่ได้มาแทนที่นักพัฒนา แต่เป็นผู้ช่วยที่สามารถลดภาระงานด้านความปลอดภัย โดยระบบจะตรวจสอบ patch ด้วยตัวเองก่อนส่งให้มนุษย์ และสามารถแก้ไขตัวเองได้หากพบข้อผิดพลาดระหว่างการตรวจสอบ

    การเปิดตัว CodeMender ยังมาพร้อมกับการอัปเดต Secure AI Framework เป็นเวอร์ชัน 2.0 และการเปิดตัว AI Vulnerability Reward Program เพื่อส่งเสริมการรายงานช่องโหว่ในระบบ AI โดยมีการจ่ายเงินรางวัลรวมแล้วกว่า $430,000

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    DeepMind เปิดตัว CodeMender เครื่องมือ AI สำหรับตรวจจับและแก้ไขช่องโหว่ในซอฟต์แวร์
    ใช้ Gemini Deep Think ร่วมกับ static/dynamic analysis, fuzzing และ SMT solvers
    ทำงานแบบ proactive และ reactive — ทั้งแก้ไขและป้องกันช่องโหว่
    ส่ง patch แล้ว 72 รายการในช่วง 6 เดือนแรก รวมถึงโค้ดขนาด 4.5 ล้านบรรทัด
    ตัวอย่างการใช้งานคือการเพิ่ม “-fbounds-safety” ใน libwebp เพื่อป้องกัน buffer overflow
    ระบบตรวจสอบ patch ด้วยตัวเองก่อนส่งให้มนุษย์ตรวจสอบ
    สามารถแก้ไขตัวเองได้หากพบข้อผิดพลาดระหว่างการตรวจสอบ
    เปิดตัวควบคู่กับ Secure AI Framework 2.0 และ AI Vulnerability Reward Program
    มีการจ่ายเงินรางวัลรวมกว่า $430,000 สำหรับการรายงานช่องโหว่ AI
    DeepMind ย้ำว่า CodeMender เป็นผู้ช่วย ไม่ใช่ตัวแทนของนักพัฒนา

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gemini Deep Think เป็นโมเดลที่เน้นการวางแผนและการให้เหตุผลเชิงลึก
    SMT solvers ใช้ในการตรวจสอบความถูกต้องเชิงตรรกะของโค้ด
    libwebp เคยถูกใช้โจมตีใน CVE-2023-4863 ซึ่งเป็นช่องโหว่ zero-click บน iOS
    differential testing ช่วยเปรียบเทียบผลลัพธ์ก่อนและหลังการแก้ไขเพื่อหาข้อผิดพลาด
    Secure AI Framework 2.0 เน้นการควบคุม agentic systems ให้ปลอดภัยและตรวจสอบได้

    https://www.techradar.com/pro/security/deepminds-latest-ai-tool-wants-to-detect-and-repair-software-vulnerabilities-before-they-get-attacked
    🛡️ “CodeMender จาก DeepMind — AI ผู้พิทักษ์โค้ดที่ตรวจจับและซ่อมช่องโหว่ก่อนถูกโจมตี” Google DeepMind เปิดตัว CodeMender เครื่องมือ AI ใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อค้นหาและแก้ไขช่องโหว่ในซอฟต์แวร์แบบอัตโนมัติ โดยเฉพาะในโครงการโอเพ่นซอร์สที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อน จุดเด่นของ CodeMender คือความสามารถในการทำงานเชิงรุกและเชิงรับ — ทั้งการแก้ไขช่องโหว่ที่พบ และการเขียนโค้ดใหม่เพื่อป้องกันช่องโหว่ในอนาคต CodeMender ใช้โมเดล Gemini Deep Think ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์โค้ดหลายประเภท เช่น static analysis, dynamic analysis, fuzzing, differential testing และ SMT solvers เพื่อระบุสาเหตุของช่องโหว่และสร้าง patch ที่ผ่านการตรวจสอบหลายขั้นตอน ก่อนจะส่งให้มนุษย์ตรวจสอบอีกครั้ง ในช่วง 6 เดือนแรกของการใช้งาน CodeMender ได้ส่ง patch ความปลอดภัยจำนวน 72 รายการไปยังโครงการโอเพ่นซอร์ส รวมถึงโค้ดที่มีมากกว่า 4.5 ล้านบรรทัด หนึ่งในตัวอย่างคือการเพิ่ม annotation “-fbounds-safety” ให้กับไลบรารี libwebp ซึ่งเคยถูกใช้โจมตีแบบ zero-click บน iOS ในปี 2023 DeepMind ย้ำว่า CodeMender ไม่ได้มาแทนที่นักพัฒนา แต่เป็นผู้ช่วยที่สามารถลดภาระงานด้านความปลอดภัย โดยระบบจะตรวจสอบ patch ด้วยตัวเองก่อนส่งให้มนุษย์ และสามารถแก้ไขตัวเองได้หากพบข้อผิดพลาดระหว่างการตรวจสอบ การเปิดตัว CodeMender ยังมาพร้อมกับการอัปเดต Secure AI Framework เป็นเวอร์ชัน 2.0 และการเปิดตัว AI Vulnerability Reward Program เพื่อส่งเสริมการรายงานช่องโหว่ในระบบ AI โดยมีการจ่ายเงินรางวัลรวมแล้วกว่า $430,000 ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ DeepMind เปิดตัว CodeMender เครื่องมือ AI สำหรับตรวจจับและแก้ไขช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ ➡️ ใช้ Gemini Deep Think ร่วมกับ static/dynamic analysis, fuzzing และ SMT solvers ➡️ ทำงานแบบ proactive และ reactive — ทั้งแก้ไขและป้องกันช่องโหว่ ➡️ ส่ง patch แล้ว 72 รายการในช่วง 6 เดือนแรก รวมถึงโค้ดขนาด 4.5 ล้านบรรทัด ➡️ ตัวอย่างการใช้งานคือการเพิ่ม “-fbounds-safety” ใน libwebp เพื่อป้องกัน buffer overflow ➡️ ระบบตรวจสอบ patch ด้วยตัวเองก่อนส่งให้มนุษย์ตรวจสอบ ➡️ สามารถแก้ไขตัวเองได้หากพบข้อผิดพลาดระหว่างการตรวจสอบ ➡️ เปิดตัวควบคู่กับ Secure AI Framework 2.0 และ AI Vulnerability Reward Program ➡️ มีการจ่ายเงินรางวัลรวมกว่า $430,000 สำหรับการรายงานช่องโหว่ AI ➡️ DeepMind ย้ำว่า CodeMender เป็นผู้ช่วย ไม่ใช่ตัวแทนของนักพัฒนา ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gemini Deep Think เป็นโมเดลที่เน้นการวางแผนและการให้เหตุผลเชิงลึก ➡️ SMT solvers ใช้ในการตรวจสอบความถูกต้องเชิงตรรกะของโค้ด ➡️ libwebp เคยถูกใช้โจมตีใน CVE-2023-4863 ซึ่งเป็นช่องโหว่ zero-click บน iOS ➡️ differential testing ช่วยเปรียบเทียบผลลัพธ์ก่อนและหลังการแก้ไขเพื่อหาข้อผิดพลาด ➡️ Secure AI Framework 2.0 เน้นการควบคุม agentic systems ให้ปลอดภัยและตรวจสอบได้ https://www.techradar.com/pro/security/deepminds-latest-ai-tool-wants-to-detect-and-repair-software-vulnerabilities-before-they-get-attacked
    WWW.TECHRADAR.COM
    DeepMind’s CodeMender uses AI to fix software flaws
    CodeMender can even loop in humans to check its work
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Free Software Foundation ครบรอบ 40 ปี เปิดตัว ‘LibrePhone’ — มือถือเสรีที่ให้คุณควบคุมทุกบิตของระบบ”

    ในงานฉลองครบรอบ 40 ปีของ Free Software Foundation (FSF) ที่จัดขึ้นในเมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา องค์กรผู้ผลักดันซอฟต์แวร์เสรีได้เปิดตัวโครงการใหม่สุดทะเยอทะยานชื่อว่า “LibrePhone” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบมือถือที่เปิดเสรีอย่างแท้จริง ตั้งแต่เฟิร์มแวร์ไปจนถึงระบบปฏิบัติการ โดยไม่พึ่งพาซอฟต์แวร์ปิดหรือบริการคลาวด์ที่ควบคุมโดยบริษัทใหญ่

    โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง FSF กับ Rob Savoye นักพัฒนาระดับตำนานที่มีบทบาทในโครงการ GNU มาตั้งแต่ยุค 1980 โดยเขาเชื่อว่า “มือถือคือคอมพิวเตอร์ที่ทุกคนใช้ทุกวัน และควรมีสิทธิ์ควบคุมมันได้เต็มที่” LibrePhone จึงถูกออกแบบให้เป็นแพลตฟอร์มมือถือที่ใช้ซอฟต์แวร์เสรีทั้งหมด เพื่อให้ผู้ใช้สามารถศึกษา แก้ไข และแจกจ่ายซอฟต์แวร์ได้อย่างอิสระ

    ในงาน FSF40 ยังมีการแต่งตั้ง Ian Kelling เป็นประธานคนใหม่ของ FSF โดยเขาให้คำมั่นว่าจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับองค์กรในการรับมือกับภัยคุกคามใหม่ ๆ และเปิดรับผู้สนับสนุนซอฟต์แวร์เสรีให้มากขึ้นกว่าเดิม

    นอกจาก LibrePhone แล้ว FSF ยังประกาศแผนจัดกิจกรรมระดับท้องถิ่นทั่วโลกผ่านเครือข่าย “LibreLocal” เพื่อส่งเสริมความรู้ด้านเทคโนโลยีเสรีในชุมชน พร้อมทั้งพัฒนาเกณฑ์ใหม่สำหรับประเมินความเสรีของระบบ AI ที่กำลังแพร่หลาย โดยเน้นว่าการใช้โมเดลปิดและข้อมูลที่ไม่เปิดเผยขัดกับหลักการของซอฟต์แวร์เสรี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    FSF ฉลองครบรอบ 40 ปีด้วยการเปิดตัวโครงการ LibrePhone
    LibrePhone เป็นมือถือที่ใช้ซอฟต์แวร์เสรีทั้งหมด ตั้งแต่เฟิร์มแวร์ถึง OS
    พัฒนาโดย Rob Savoye ผู้มีบทบาทใน GNU toolchain ตั้งแต่ยุค 1980
    เป้าหมายคือให้ผู้ใช้ควบคุมมือถือได้เต็มที่ และไม่พึ่งพาซอฟต์แวร์ปิด
    Ian Kelling ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคนใหม่ของ FSF
    FSF เตรียมจัดกิจกรรมท้องถิ่นผ่านเครือข่าย LibreLocal เพื่อส่งเสริมความรู้
    มีการพัฒนาเกณฑ์ใหม่สำหรับประเมินความเสรีของระบบ AI
    งาน FSF40 มีผู้ร่วมอภิปรายจาก EFF, F-Droid, Sugar Labs และนักพัฒนา GNU
    เน้นความสำคัญของซอฟต์แวร์เสรีในด้านการศึกษา ความเป็นส่วนตัว และสิทธิผู้ใช้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    FSF ก่อตั้งในปี 1985 โดย Richard Stallman เพื่อส่งเสริม “Four Freedoms” ของผู้ใช้
    มือถือในปัจจุบันมักใช้ระบบปิด เช่น Android และ iOS ที่ควบคุมโดยบริษัทใหญ่
    โครงการมือถือเสรีเคยมีมาก่อน เช่น Librem 5 และ PinePhone แต่ยังไม่แพร่หลาย
    Rob Savoye เคยพัฒนา Gnash (Flash player แบบเสรี) และมีบทบาทใน GDB
    การประเมิน AI แบบเสรีจะช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจและควบคุมระบบที่ใช้ machine learning ได้ดีขึ้น

    https://news.itsfoss.com/fsf-librephone-initiative/
    📱 “Free Software Foundation ครบรอบ 40 ปี เปิดตัว ‘LibrePhone’ — มือถือเสรีที่ให้คุณควบคุมทุกบิตของระบบ” ในงานฉลองครบรอบ 40 ปีของ Free Software Foundation (FSF) ที่จัดขึ้นในเมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา องค์กรผู้ผลักดันซอฟต์แวร์เสรีได้เปิดตัวโครงการใหม่สุดทะเยอทะยานชื่อว่า “LibrePhone” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบมือถือที่เปิดเสรีอย่างแท้จริง ตั้งแต่เฟิร์มแวร์ไปจนถึงระบบปฏิบัติการ โดยไม่พึ่งพาซอฟต์แวร์ปิดหรือบริการคลาวด์ที่ควบคุมโดยบริษัทใหญ่ โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง FSF กับ Rob Savoye นักพัฒนาระดับตำนานที่มีบทบาทในโครงการ GNU มาตั้งแต่ยุค 1980 โดยเขาเชื่อว่า “มือถือคือคอมพิวเตอร์ที่ทุกคนใช้ทุกวัน และควรมีสิทธิ์ควบคุมมันได้เต็มที่” LibrePhone จึงถูกออกแบบให้เป็นแพลตฟอร์มมือถือที่ใช้ซอฟต์แวร์เสรีทั้งหมด เพื่อให้ผู้ใช้สามารถศึกษา แก้ไข และแจกจ่ายซอฟต์แวร์ได้อย่างอิสระ ในงาน FSF40 ยังมีการแต่งตั้ง Ian Kelling เป็นประธานคนใหม่ของ FSF โดยเขาให้คำมั่นว่าจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับองค์กรในการรับมือกับภัยคุกคามใหม่ ๆ และเปิดรับผู้สนับสนุนซอฟต์แวร์เสรีให้มากขึ้นกว่าเดิม นอกจาก LibrePhone แล้ว FSF ยังประกาศแผนจัดกิจกรรมระดับท้องถิ่นทั่วโลกผ่านเครือข่าย “LibreLocal” เพื่อส่งเสริมความรู้ด้านเทคโนโลยีเสรีในชุมชน พร้อมทั้งพัฒนาเกณฑ์ใหม่สำหรับประเมินความเสรีของระบบ AI ที่กำลังแพร่หลาย โดยเน้นว่าการใช้โมเดลปิดและข้อมูลที่ไม่เปิดเผยขัดกับหลักการของซอฟต์แวร์เสรี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ FSF ฉลองครบรอบ 40 ปีด้วยการเปิดตัวโครงการ LibrePhone ➡️ LibrePhone เป็นมือถือที่ใช้ซอฟต์แวร์เสรีทั้งหมด ตั้งแต่เฟิร์มแวร์ถึง OS ➡️ พัฒนาโดย Rob Savoye ผู้มีบทบาทใน GNU toolchain ตั้งแต่ยุค 1980 ➡️ เป้าหมายคือให้ผู้ใช้ควบคุมมือถือได้เต็มที่ และไม่พึ่งพาซอฟต์แวร์ปิด ➡️ Ian Kelling ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคนใหม่ของ FSF ➡️ FSF เตรียมจัดกิจกรรมท้องถิ่นผ่านเครือข่าย LibreLocal เพื่อส่งเสริมความรู้ ➡️ มีการพัฒนาเกณฑ์ใหม่สำหรับประเมินความเสรีของระบบ AI ➡️ งาน FSF40 มีผู้ร่วมอภิปรายจาก EFF, F-Droid, Sugar Labs และนักพัฒนา GNU ➡️ เน้นความสำคัญของซอฟต์แวร์เสรีในด้านการศึกษา ความเป็นส่วนตัว และสิทธิผู้ใช้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ FSF ก่อตั้งในปี 1985 โดย Richard Stallman เพื่อส่งเสริม “Four Freedoms” ของผู้ใช้ ➡️ มือถือในปัจจุบันมักใช้ระบบปิด เช่น Android และ iOS ที่ควบคุมโดยบริษัทใหญ่ ➡️ โครงการมือถือเสรีเคยมีมาก่อน เช่น Librem 5 และ PinePhone แต่ยังไม่แพร่หลาย ➡️ Rob Savoye เคยพัฒนา Gnash (Flash player แบบเสรี) และมีบทบาทใน GDB ➡️ การประเมิน AI แบบเสรีจะช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจและควบคุมระบบที่ใช้ machine learning ได้ดีขึ้น https://news.itsfoss.com/fsf-librephone-initiative/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    At 40 Years, Free Software Foundation Now Wants to 'Free Your Phone'
    The FSF looks to bring computing freedom to mobile with LibrePlanet and they also have a new president.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ช่องโหว่ร้ายแรงใน Nagios Log Server (CVE-2025-44823) — API Key หลุดแบบ plaintext เสี่ยงถูกยึดระบบทั้งองค์กร”

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้เปิดเผยช่องโหว่ระดับวิกฤตใน Nagios Log Server ซึ่งเป็นระบบจัดการล็อกที่นิยมใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ โดยช่องโหว่นี้มีรหัส CVE-2025-44823 และได้รับคะแนนความรุนแรง CVSS สูงถึง 9.9 เต็ม 10 ซึ่งถือว่า “Critical” เพราะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ที่มี API token แม้จะเป็นระดับต่ำ ก็สามารถดึงข้อมูลผู้ใช้ทั้งหมดรวมถึง API key ของผู้ดูแลระบบในรูปแบบ plaintext ได้ทันที

    ช่องโหว่นี้อยู่ใน endpoint /nagioslogserver/index.php/api/system/get_users ซึ่งเมื่อเรียกใช้งานด้วย token ที่ถูกต้อง ระบบจะตอบกลับเป็น JSON ที่มีข้อมูลผู้ใช้ทั้งหมด รวมถึงชื่อ อีเมล และ API key แบบไม่เข้ารหัส เช่น "apikey": "dcaa1693a79d651ebc29d45c879b3fbbc730d2de" ซึ่งสามารถนำไปใช้แอบอ้างเป็นผู้ดูแลระบบได้ทันที

    ผลกระทบคือผู้โจมตีสามารถเข้าควบคุมระบบ Nagios Log Server ได้เต็มรูปแบบ เช่น เปลี่ยนการตั้งค่า เข้าถึงข้อมูลล็อกที่ละเอียดอ่อน หรือแม้แต่ลบข้อมูลเพื่อปกปิดร่องรอยการโจมตีอื่น ๆ

    นอกจากนี้ยังมีช่องโหว่ CVE-2025-44824 ซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์แค่ read-only สามารถหยุดบริการ Elasticsearch ได้ผ่าน endpoint /api/system/stop?subsystem=elasticsearch โดยระบบจะตอบกลับว่า “error” ทั้งที่จริงแล้ว Elasticsearch ถูกหยุดไปแล้ว ทำให้ผู้ดูแลเข้าใจผิด และอาจถูกใช้โจมตีแบบ DoS เพื่อปิดระบบตรวจสอบแบบเรียลไทม์

    Nagios ได้ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 2024R1.3.2 ซึ่งแก้ไขทั้งสองช่องโหว่ โดยจำกัดการเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ และเพิ่มการตรวจสอบสิทธิ์ก่อนอนุญาตให้ควบคุมบริการ พร้อมปรับข้อความตอบกลับให้ตรงกับสถานะจริง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ช่องโหว่ CVE-2025-44823 เปิดเผย API key ของผู้ดูแลระบบในรูปแบบ plaintext
    อยู่ใน endpoint /api/system/get_users ของ Nagios Log Server
    ผู้ใช้ที่มี API token แม้จะเป็นระดับต่ำก็สามารถดึงข้อมูลได้
    JSON ที่ตอบกลับมีชื่อผู้ใช้ อีเมล และ API key แบบไม่เข้ารหัส
    ช่องโหว่ CVE-2025-44824 อนุญาตให้หยุดบริการ Elasticsearch ด้วยสิทธิ์ read-only
    ระบบตอบกลับว่า “error” ทั้งที่บริการถูกหยุดจริง
    ส่งผลให้ระบบตรวจสอบแบบเรียลไทม์ถูกปิด และข้อมูลล็อกไม่ถูกบันทึก
    Nagios ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 2024R1.3.2 เพื่อแก้ไขช่องโหว่ทั้งสอง
    แพตช์เพิ่มการตรวจสอบสิทธิ์และปรับข้อความตอบกลับให้ถูกต้อง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Nagios Log Server ใช้ในการตรวจสอบระบบและความปลอดภัยในองค์กรขนาดใหญ่
    API key แบบ plaintext สามารถใช้เข้าระบบโดยไม่ต้องผ่านการยืนยันตัวตน
    Elasticsearch เป็นระบบจัดเก็บและค้นหาข้อมูลล็อกแบบเรียลไทม์
    การหยุด Elasticsearch อาจทำให้ทีมรักษาความปลอดภัย “ตาบอด”
    ช่องโหว่แบบนี้สามารถใช้ร่วมกับการโจมตีอื่นเพื่อปกปิดร่องรอย

    https://securityonline.info/critical-nagios-flaw-cve-2025-44823-cvss-9-9-leaks-plaintext-admin-api-keys-poc-available/
    🔓 “ช่องโหว่ร้ายแรงใน Nagios Log Server (CVE-2025-44823) — API Key หลุดแบบ plaintext เสี่ยงถูกยึดระบบทั้งองค์กร” นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้เปิดเผยช่องโหว่ระดับวิกฤตใน Nagios Log Server ซึ่งเป็นระบบจัดการล็อกที่นิยมใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ โดยช่องโหว่นี้มีรหัส CVE-2025-44823 และได้รับคะแนนความรุนแรง CVSS สูงถึง 9.9 เต็ม 10 ซึ่งถือว่า “Critical” เพราะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ที่มี API token แม้จะเป็นระดับต่ำ ก็สามารถดึงข้อมูลผู้ใช้ทั้งหมดรวมถึง API key ของผู้ดูแลระบบในรูปแบบ plaintext ได้ทันที ช่องโหว่นี้อยู่ใน endpoint /nagioslogserver/index.php/api/system/get_users ซึ่งเมื่อเรียกใช้งานด้วย token ที่ถูกต้อง ระบบจะตอบกลับเป็น JSON ที่มีข้อมูลผู้ใช้ทั้งหมด รวมถึงชื่อ อีเมล และ API key แบบไม่เข้ารหัส เช่น "apikey": "dcaa1693a79d651ebc29d45c879b3fbbc730d2de" ซึ่งสามารถนำไปใช้แอบอ้างเป็นผู้ดูแลระบบได้ทันที ผลกระทบคือผู้โจมตีสามารถเข้าควบคุมระบบ Nagios Log Server ได้เต็มรูปแบบ เช่น เปลี่ยนการตั้งค่า เข้าถึงข้อมูลล็อกที่ละเอียดอ่อน หรือแม้แต่ลบข้อมูลเพื่อปกปิดร่องรอยการโจมตีอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีช่องโหว่ CVE-2025-44824 ซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์แค่ read-only สามารถหยุดบริการ Elasticsearch ได้ผ่าน endpoint /api/system/stop?subsystem=elasticsearch โดยระบบจะตอบกลับว่า “error” ทั้งที่จริงแล้ว Elasticsearch ถูกหยุดไปแล้ว ทำให้ผู้ดูแลเข้าใจผิด และอาจถูกใช้โจมตีแบบ DoS เพื่อปิดระบบตรวจสอบแบบเรียลไทม์ Nagios ได้ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 2024R1.3.2 ซึ่งแก้ไขทั้งสองช่องโหว่ โดยจำกัดการเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ และเพิ่มการตรวจสอบสิทธิ์ก่อนอนุญาตให้ควบคุมบริการ พร้อมปรับข้อความตอบกลับให้ตรงกับสถานะจริง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-44823 เปิดเผย API key ของผู้ดูแลระบบในรูปแบบ plaintext ➡️ อยู่ใน endpoint /api/system/get_users ของ Nagios Log Server ➡️ ผู้ใช้ที่มี API token แม้จะเป็นระดับต่ำก็สามารถดึงข้อมูลได้ ➡️ JSON ที่ตอบกลับมีชื่อผู้ใช้ อีเมล และ API key แบบไม่เข้ารหัส ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-44824 อนุญาตให้หยุดบริการ Elasticsearch ด้วยสิทธิ์ read-only ➡️ ระบบตอบกลับว่า “error” ทั้งที่บริการถูกหยุดจริง ➡️ ส่งผลให้ระบบตรวจสอบแบบเรียลไทม์ถูกปิด และข้อมูลล็อกไม่ถูกบันทึก ➡️ Nagios ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 2024R1.3.2 เพื่อแก้ไขช่องโหว่ทั้งสอง ➡️ แพตช์เพิ่มการตรวจสอบสิทธิ์และปรับข้อความตอบกลับให้ถูกต้อง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Nagios Log Server ใช้ในการตรวจสอบระบบและความปลอดภัยในองค์กรขนาดใหญ่ ➡️ API key แบบ plaintext สามารถใช้เข้าระบบโดยไม่ต้องผ่านการยืนยันตัวตน ➡️ Elasticsearch เป็นระบบจัดเก็บและค้นหาข้อมูลล็อกแบบเรียลไทม์ ➡️ การหยุด Elasticsearch อาจทำให้ทีมรักษาความปลอดภัย “ตาบอด” ➡️ ช่องโหว่แบบนี้สามารถใช้ร่วมกับการโจมตีอื่นเพื่อปกปิดร่องรอย https://securityonline.info/critical-nagios-flaw-cve-2025-44823-cvss-9-9-leaks-plaintext-admin-api-keys-poc-available/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical Nagios Flaw CVE-2025-44823 (CVSS 9.9) Leaks Plaintext Admin API Keys, PoC Available
    A Critical (CVSS 9.9) flaw (CVE-2025-44823) in Nagios Log Server allows any authenticated user to retrieve plaintext administrative API keys, leading to full system compromise. Update now.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Surfshark ยุติการรองรับ iOS และ macOS รุ่นเก่า — เน้นอุปกรณ์ใหม่เพื่อความปลอดภัยสูงสุด”

    Surfshark ผู้ให้บริการ VPN อันดับต้น ๆ ได้ประกาศยุติการรองรับระบบปฏิบัติการ iOS และ macOS รุ่นเก่าอย่างเป็นทางการ โดยจะสนับสนุนเฉพาะ 4 เวอร์ชันล่าสุดของแต่ละระบบเท่านั้น เช่น iOS 15 ขึ้นไป และ macOS 12 (Monterey) ขึ้นไป ซึ่งหมายความว่าอุปกรณ์รุ่นเก่าที่ไม่สามารถอัปเดตระบบได้จะไม่ได้รับการอัปเดตแอปอีกต่อไป

    การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับการปกป้องจากภัยคุกคามล่าสุดอย่างเต็มที่ เนื่องจากระบบรุ่นเก่ามักไม่ได้รับแพตช์ความปลอดภัย ทำให้เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากช่องโหว่ที่รู้จักแล้ว Surfshark ระบุว่าการยุติการรองรับจะช่วยให้ทีมสามารถมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ และปรับปรุงประสิทธิภาพของแอปบนอุปกรณ์ที่ยังได้รับการอัปเดตจาก Apple

    สำหรับผู้ใช้ที่ยังใช้อุปกรณ์รุ่นเก่า Surfshark ได้เสนอทางเลือก เช่น การติดตั้งแอปเวอร์ชันเก่าที่รองรับ macOS 10.12 (Sierra) หรือการเชื่อมต่อแบบ manual ผ่านโปรโตคอล WireGuard, OpenVPN หรือ IKEv2 โดยมีคู่มือการตั้งค่าให้ใช้งานได้ต่อเนื่องแม้ไม่มีแอปเวอร์ชันใหม่

    Surfshark ยังให้บริการช่วยเหลือผู้ใช้ตลอด 24 ชั่วโมงผ่านแชตสดและอีเมล เพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนสามารถใช้งาน VPN ได้อย่างปลอดภัย แม้จะใช้อุปกรณ์ที่ไม่สามารถอัปเดตระบบได้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Surfshark ยุติการรองรับ iOS และ macOS รุ่นเก่า
    สนับสนุนเฉพาะ 4 เวอร์ชันล่าสุดของแต่ละระบบ
    iOS ที่รองรับคือ iOS 15 ขึ้นไป
    macOS ที่รองรับคือ macOS 12 (Monterey) ขึ้นไป
    อุปกรณ์รุ่นเก่าจะไม่ได้รับการอัปเดตแอปอีกต่อไป
    Surfshark เน้นให้ผู้ใช้ใช้อุปกรณ์ที่ปลอดภัยและทันสมัย
    การยุติการรองรับช่วยให้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ได้เร็วขึ้น
    ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อแบบ manual ผ่าน WireGuard, OpenVPN หรือ IKEv2
    มีคู่มือการติดตั้งสำหรับ macOS ตั้งแต่เวอร์ชัน 10.12 (Sierra)
    ให้บริการช่วยเหลือผู้ใช้ตลอด 24 ชั่วโมงผ่านแชตและอีเมล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Apple มีแนวโน้มออกระบบใหม่ทุกปี ทำให้ผู้ใช้รุ่นเก่าลดลง
    การอัปเดตระบบช่วยลดความเสี่ยงจากช่องโหว่ที่รู้จักแล้ว
    WireGuard เป็นโปรโตคอล VPN ที่เร็วและปลอดภัยที่สุดในปัจจุบัน
    OpenVPN ยังเป็นมาตรฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย แม้จะช้ากว่า WireGuard
    IKEv2 เหมาะสำหรับการเชื่อมต่อแบบ manual บนอุปกรณ์ Apple

    https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/surfshark-drops-legacy-ios-and-macos-support-shifts-focus-to-latest-apple-releases
    🔒 “Surfshark ยุติการรองรับ iOS และ macOS รุ่นเก่า — เน้นอุปกรณ์ใหม่เพื่อความปลอดภัยสูงสุด” Surfshark ผู้ให้บริการ VPN อันดับต้น ๆ ได้ประกาศยุติการรองรับระบบปฏิบัติการ iOS และ macOS รุ่นเก่าอย่างเป็นทางการ โดยจะสนับสนุนเฉพาะ 4 เวอร์ชันล่าสุดของแต่ละระบบเท่านั้น เช่น iOS 15 ขึ้นไป และ macOS 12 (Monterey) ขึ้นไป ซึ่งหมายความว่าอุปกรณ์รุ่นเก่าที่ไม่สามารถอัปเดตระบบได้จะไม่ได้รับการอัปเดตแอปอีกต่อไป การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับการปกป้องจากภัยคุกคามล่าสุดอย่างเต็มที่ เนื่องจากระบบรุ่นเก่ามักไม่ได้รับแพตช์ความปลอดภัย ทำให้เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากช่องโหว่ที่รู้จักแล้ว Surfshark ระบุว่าการยุติการรองรับจะช่วยให้ทีมสามารถมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ และปรับปรุงประสิทธิภาพของแอปบนอุปกรณ์ที่ยังได้รับการอัปเดตจาก Apple สำหรับผู้ใช้ที่ยังใช้อุปกรณ์รุ่นเก่า Surfshark ได้เสนอทางเลือก เช่น การติดตั้งแอปเวอร์ชันเก่าที่รองรับ macOS 10.12 (Sierra) หรือการเชื่อมต่อแบบ manual ผ่านโปรโตคอล WireGuard, OpenVPN หรือ IKEv2 โดยมีคู่มือการตั้งค่าให้ใช้งานได้ต่อเนื่องแม้ไม่มีแอปเวอร์ชันใหม่ Surfshark ยังให้บริการช่วยเหลือผู้ใช้ตลอด 24 ชั่วโมงผ่านแชตสดและอีเมล เพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนสามารถใช้งาน VPN ได้อย่างปลอดภัย แม้จะใช้อุปกรณ์ที่ไม่สามารถอัปเดตระบบได้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Surfshark ยุติการรองรับ iOS และ macOS รุ่นเก่า ➡️ สนับสนุนเฉพาะ 4 เวอร์ชันล่าสุดของแต่ละระบบ ➡️ iOS ที่รองรับคือ iOS 15 ขึ้นไป ➡️ macOS ที่รองรับคือ macOS 12 (Monterey) ขึ้นไป ➡️ อุปกรณ์รุ่นเก่าจะไม่ได้รับการอัปเดตแอปอีกต่อไป ➡️ Surfshark เน้นให้ผู้ใช้ใช้อุปกรณ์ที่ปลอดภัยและทันสมัย ➡️ การยุติการรองรับช่วยให้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ได้เร็วขึ้น ➡️ ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อแบบ manual ผ่าน WireGuard, OpenVPN หรือ IKEv2 ➡️ มีคู่มือการติดตั้งสำหรับ macOS ตั้งแต่เวอร์ชัน 10.12 (Sierra) ➡️ ให้บริการช่วยเหลือผู้ใช้ตลอด 24 ชั่วโมงผ่านแชตและอีเมล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Apple มีแนวโน้มออกระบบใหม่ทุกปี ทำให้ผู้ใช้รุ่นเก่าลดลง ➡️ การอัปเดตระบบช่วยลดความเสี่ยงจากช่องโหว่ที่รู้จักแล้ว ➡️ WireGuard เป็นโปรโตคอล VPN ที่เร็วและปลอดภัยที่สุดในปัจจุบัน ➡️ OpenVPN ยังเป็นมาตรฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย แม้จะช้ากว่า WireGuard ➡️ IKEv2 เหมาะสำหรับการเชื่อมต่อแบบ manual บนอุปกรณ์ Apple https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/surfshark-drops-legacy-ios-and-macos-support-shifts-focus-to-latest-apple-releases
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Meta ทุ่มซื้อ Rivos เสริมทัพชิป AI — ลดพึ่งพา Nvidia พร้อมเร่งพัฒนา MTIA ให้ทันยุค Superintelligence”

    Meta กำลังเดินเกมครั้งใหญ่ในสนาม AI ด้วยการเข้าซื้อกิจการของ Rivos สตาร์ทอัพด้านชิปจากแคลิฟอร์เนียที่เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรม RISC-V ซึ่งเป็นระบบเปิดที่ไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์เหมือนกับ Arm หรือ x86 โดยดีลนี้มีมูลค่าประเมินราว 2 พันล้านดอลลาร์ แม้จะไม่มีการเปิดเผยตัวเลขอย่างเป็นทางการ

    เป้าหมายของ Meta คือการเร่งพัฒนา Meta Training and Inference Accelerator (MTIA) ซึ่งเป็นชิป AI ที่บริษัทออกแบบเอง เพื่อใช้แทน GPU จาก Nvidia ที่มีต้นทุนสูงและเป็น bottleneck ในการขยายโครงสร้างพื้นฐาน AI ทั่วโลก โดย MTIA v2 ที่เปิดตัวในปี 2024 ยังรองรับได้เฉพาะงาน inference และยังไม่สามารถฝึกโมเดล (training) ได้เต็มรูปแบบ

    Rivos นั้นไม่ใช่แค่ผู้ผลิตชิป แต่มีความเชี่ยวชาญในการออกแบบระบบ AI แบบครบวงจร โดยใช้ชิป RISC-V รุ่น RVA23 ที่มี vector extension สำหรับงาน AI และ data analytics พร้อม GPU แบบ Data Parallel Accelerator ที่ออกแบบเอง ซึ่งสามารถรวมกับ CPU เพื่อสร้างระบบประมวลผลแบบ heterogeneous

    ดีลนี้ยังสะท้อนถึงความไม่พอใจของ Mark Zuckerberg ต่อความล่าช้าในการพัฒนาชิปภายในของ Meta โดยก่อนหน้านี้บริษัทเคยพยายามซื้อ FuriosaAI จากเกาหลีใต้ด้วยเงิน 800 ล้านดอลลาร์ แต่ดีลล่มเพราะไม่ลงตัวเรื่องทิศทางหลังการควบรวม

    การซื้อ Rivos จึงเป็นการเร่งเครื่องให้ Meta สามารถควบคุมซัพพลายเชนด้าน AI ได้มากขึ้น ลดการพึ่งพาบริษัทภายนอก และเตรียมพร้อมสำหรับการขยายระบบ AI ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและความยืดหยุ่นในการออกแบบ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Meta เข้าซื้อกิจการ Rivos เพื่อเสริมทัพการพัฒนาชิป AI ภายใน
    Rivos เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรม RISC-V ซึ่งเป็นระบบเปิด
    MTIA v2 ของ Meta ยังรองรับเฉพาะ inference ไม่สามารถ training ได้
    Rivos ออกแบบชิป RVA23 ที่มี vector extension สำหรับงาน AI
    มี GPU แบบ Data Parallel Accelerator ที่รวมกับ CPU ได้
    Meta เคยพยายามซื้อ FuriosaAI แต่ดีลล่มในปี 2024
    Mark Zuckerberg ไม่พอใจกับความล่าช้าในการพัฒนาชิปภายใน
    Meta ใช้ MTIA เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia และควบคุมต้นทุน
    ดีลนี้ช่วยให้ Meta เข้าถึงทีมวิศวกรจาก Google, Intel, AMD และ Arm
    Meta ตั้งเป้าพัฒนา AI infrastructure ด้วยงบลงทุนกว่า $600B ภายใน 3 ปี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    RISC-V เป็นสถาปัตยกรรมที่กำลังได้รับความนิยมในวงการ AI เพราะไม่มีค่าลิขสิทธิ์
    Rivos เคยถูก Apple ฟ้องเรื่องการละเมิดข้อมูลลับจากอดีตพนักงาน แต่เคลียร์คดีแล้วในปี 2024
    MTIA v1 เปิดตัวในปี 2023 แต่ยังไม่สามารถฝึกโมเดลได้
    MTIA v2 ใช้ RISC-V core แบบคู่ โดยมี scalar และ vector engine
    Meta มีผู้ใช้งานกว่า 3.5 พันล้านคนใน Facebook, Instagram, WhatsApp และ Threads

    https://www.techradar.com/pro/meta-may-spend-billions-to-acquire-promising-ai-accelerator-startup-to-loosen-reliance-on-nvidia-by-supercharging-its-own-mtia-ai-chip-but-what-will-jensen-say
    🔌 “Meta ทุ่มซื้อ Rivos เสริมทัพชิป AI — ลดพึ่งพา Nvidia พร้อมเร่งพัฒนา MTIA ให้ทันยุค Superintelligence” Meta กำลังเดินเกมครั้งใหญ่ในสนาม AI ด้วยการเข้าซื้อกิจการของ Rivos สตาร์ทอัพด้านชิปจากแคลิฟอร์เนียที่เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรม RISC-V ซึ่งเป็นระบบเปิดที่ไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์เหมือนกับ Arm หรือ x86 โดยดีลนี้มีมูลค่าประเมินราว 2 พันล้านดอลลาร์ แม้จะไม่มีการเปิดเผยตัวเลขอย่างเป็นทางการ เป้าหมายของ Meta คือการเร่งพัฒนา Meta Training and Inference Accelerator (MTIA) ซึ่งเป็นชิป AI ที่บริษัทออกแบบเอง เพื่อใช้แทน GPU จาก Nvidia ที่มีต้นทุนสูงและเป็น bottleneck ในการขยายโครงสร้างพื้นฐาน AI ทั่วโลก โดย MTIA v2 ที่เปิดตัวในปี 2024 ยังรองรับได้เฉพาะงาน inference และยังไม่สามารถฝึกโมเดล (training) ได้เต็มรูปแบบ Rivos นั้นไม่ใช่แค่ผู้ผลิตชิป แต่มีความเชี่ยวชาญในการออกแบบระบบ AI แบบครบวงจร โดยใช้ชิป RISC-V รุ่น RVA23 ที่มี vector extension สำหรับงาน AI และ data analytics พร้อม GPU แบบ Data Parallel Accelerator ที่ออกแบบเอง ซึ่งสามารถรวมกับ CPU เพื่อสร้างระบบประมวลผลแบบ heterogeneous ดีลนี้ยังสะท้อนถึงความไม่พอใจของ Mark Zuckerberg ต่อความล่าช้าในการพัฒนาชิปภายในของ Meta โดยก่อนหน้านี้บริษัทเคยพยายามซื้อ FuriosaAI จากเกาหลีใต้ด้วยเงิน 800 ล้านดอลลาร์ แต่ดีลล่มเพราะไม่ลงตัวเรื่องทิศทางหลังการควบรวม การซื้อ Rivos จึงเป็นการเร่งเครื่องให้ Meta สามารถควบคุมซัพพลายเชนด้าน AI ได้มากขึ้น ลดการพึ่งพาบริษัทภายนอก และเตรียมพร้อมสำหรับการขยายระบบ AI ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและความยืดหยุ่นในการออกแบบ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Meta เข้าซื้อกิจการ Rivos เพื่อเสริมทัพการพัฒนาชิป AI ภายใน ➡️ Rivos เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรม RISC-V ซึ่งเป็นระบบเปิด ➡️ MTIA v2 ของ Meta ยังรองรับเฉพาะ inference ไม่สามารถ training ได้ ➡️ Rivos ออกแบบชิป RVA23 ที่มี vector extension สำหรับงาน AI ➡️ มี GPU แบบ Data Parallel Accelerator ที่รวมกับ CPU ได้ ➡️ Meta เคยพยายามซื้อ FuriosaAI แต่ดีลล่มในปี 2024 ➡️ Mark Zuckerberg ไม่พอใจกับความล่าช้าในการพัฒนาชิปภายใน ➡️ Meta ใช้ MTIA เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia และควบคุมต้นทุน ➡️ ดีลนี้ช่วยให้ Meta เข้าถึงทีมวิศวกรจาก Google, Intel, AMD และ Arm ➡️ Meta ตั้งเป้าพัฒนา AI infrastructure ด้วยงบลงทุนกว่า $600B ภายใน 3 ปี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ RISC-V เป็นสถาปัตยกรรมที่กำลังได้รับความนิยมในวงการ AI เพราะไม่มีค่าลิขสิทธิ์ ➡️ Rivos เคยถูก Apple ฟ้องเรื่องการละเมิดข้อมูลลับจากอดีตพนักงาน แต่เคลียร์คดีแล้วในปี 2024 ➡️ MTIA v1 เปิดตัวในปี 2023 แต่ยังไม่สามารถฝึกโมเดลได้ ➡️ MTIA v2 ใช้ RISC-V core แบบคู่ โดยมี scalar และ vector engine ➡️ Meta มีผู้ใช้งานกว่า 3.5 พันล้านคนใน Facebook, Instagram, WhatsApp และ Threads https://www.techradar.com/pro/meta-may-spend-billions-to-acquire-promising-ai-accelerator-startup-to-loosen-reliance-on-nvidia-by-supercharging-its-own-mtia-ai-chip-but-what-will-jensen-say
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • “อัปเดต iOS ใหม่ทำ iPhone ช้าลงจริงหรือ? — คำตอบที่ไม่ง่าย และไม่ใช่แค่เรื่องสมมุติ”

    ทุกครั้งที่ Apple ปล่อยอัปเดต iOS ใหม่ คำถามที่วนกลับมาเสมอคือ “เครื่องจะช้าลงไหม?” โดยเฉพาะผู้ใช้ iPhone รุ่นเก่าที่รู้สึกว่าเครื่องอืดลงหลังอัปเดต ล่าสุด iOS 26 ก็ไม่พ้นข้อสงสัยนี้ และ Apple เองก็ออกเอกสารสนับสนุนเพื่ออธิบายอย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น

    Apple ยืนยันว่าไม่ได้ตั้งใจทำให้ iPhone ช้าลงเพื่อบังคับให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครื่องใหม่ แต่ก็ยอมรับว่าการอัปเดตอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพและแบตเตอรี่ โดยเฉพาะในช่วงแรกหลังติดตั้ง เพราะระบบต้องทำงานเบื้องหลังจำนวนมาก เช่น การจัดทำดัชนีข้อมูล การอัปเดตแอป และการดาวน์โหลดไฟล์ใหม่ ซึ่งอาจทำให้เครื่องร้อนขึ้นและแบตเตอรี่หมดเร็วขึ้นชั่วคราว

    นอกจากนี้ ฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่เพิ่มเข้ามาใน iOS 26 เช่น Apple Intelligence หรือ Live Translation ก็ใช้ทรัพยากรเครื่องมากขึ้น โดยเฉพาะในรุ่นเก่าที่ฮาร์ดแวร์ไม่ทันสมัย ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเครื่องช้าลง แม้ประสิทธิภาพของ CPU และ GPU จะยังคงเดิมก็ตาม

    Apple ยังเปิดให้ผู้ใช้ตรวจสอบสุขภาพแบตเตอรี่ และเลือกปิดระบบจัดการประสิทธิภาพได้เอง แต่ก็เตือนว่าอาจทำให้เครื่องดับโดยไม่คาดคิดหากแบตเตอรี่เสื่อมมาก

    สำหรับผู้ใช้ที่ไม่ต้องการฟีเจอร์ใหม่แต่ยังต้องการความปลอดภัย Apple ก็มีทางเลือกให้อัปเดตเวอร์ชันย่อย เช่น iOS 18.7 ที่ยังได้รับแพตช์ความปลอดภัยโดยไม่ต้องแบกรับฟีเจอร์หนัก ๆ ของเวอร์ชันล่าสุด

    สุดท้ายแล้ว การอัปเดตหรือไม่อัปเดตขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้ — ถ้าเน้นฟีเจอร์ใหม่ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงเรื่องประสิทธิภาพ แต่ถ้าเน้นความเสถียร ก็อาจเลือกเวอร์ชันที่เบากว่า หรือเปลี่ยนแบตเตอรี่เพื่อยืดอายุเครื่อง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Apple ยืนยันว่าไม่ได้ตั้งใจทำให้ iPhone ช้าลงเพื่อบังคับให้เปลี่ยนเครื่อง
    การอัปเดต iOS อาจทำให้เครื่องช้าลงและแบตหมดเร็วในช่วงแรก
    ระบบต้องทำงานเบื้องหลัง เช่น indexing, อัปเดตแอป, ดาวน์โหลดไฟล์
    ฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26 ใช้ทรัพยากรเครื่องมากขึ้น โดยเฉพาะในรุ่นเก่า
    Apple เปิดให้ผู้ใช้ตรวจสอบสุขภาพแบตเตอรี่และปิดระบบจัดการประสิทธิภาพได้
    มีทางเลือกให้อัปเดตเวอร์ชันย่อย เช่น iOS 18.7 เพื่อความเสถียร
    การเปลี่ยนแบตเตอรี่ช่วยยืดอายุเครื่องและคืนประสิทธิภาพ
    Benchmark พบว่า CPU และ GPU ยังทำงานใกล้เคียงเดิมในหลายรุ่น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Apple ระบุว่าอาการเครื่องช้าหลังอัปเดตเป็นเรื่องปกติและจะดีขึ้นภายใน 2–3 วัน
    iOS 26.1 อยู่ระหว่างการทดสอบ และจะเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน AirPods และ Safari
    แอปโซเชียลในปี 2025 ใช้ทรัพยากรมากกว่าเดิม แม้เครื่องจะมีประสิทธิภาพเท่าเดิม
    การอัปเดตช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความเข้ากันได้กับแอปใหม่
    การไม่อัปเดตอาจทำให้เครื่องเสี่ยงต่อช่องโหว่ความปลอดภัย

    https://www.slashgear.com/1985799/do-apple-updates-make-your-iphone-slower/
    📱 “อัปเดต iOS ใหม่ทำ iPhone ช้าลงจริงหรือ? — คำตอบที่ไม่ง่าย และไม่ใช่แค่เรื่องสมมุติ” ทุกครั้งที่ Apple ปล่อยอัปเดต iOS ใหม่ คำถามที่วนกลับมาเสมอคือ “เครื่องจะช้าลงไหม?” โดยเฉพาะผู้ใช้ iPhone รุ่นเก่าที่รู้สึกว่าเครื่องอืดลงหลังอัปเดต ล่าสุด iOS 26 ก็ไม่พ้นข้อสงสัยนี้ และ Apple เองก็ออกเอกสารสนับสนุนเพื่ออธิบายอย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น Apple ยืนยันว่าไม่ได้ตั้งใจทำให้ iPhone ช้าลงเพื่อบังคับให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครื่องใหม่ แต่ก็ยอมรับว่าการอัปเดตอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพและแบตเตอรี่ โดยเฉพาะในช่วงแรกหลังติดตั้ง เพราะระบบต้องทำงานเบื้องหลังจำนวนมาก เช่น การจัดทำดัชนีข้อมูล การอัปเดตแอป และการดาวน์โหลดไฟล์ใหม่ ซึ่งอาจทำให้เครื่องร้อนขึ้นและแบตเตอรี่หมดเร็วขึ้นชั่วคราว นอกจากนี้ ฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่เพิ่มเข้ามาใน iOS 26 เช่น Apple Intelligence หรือ Live Translation ก็ใช้ทรัพยากรเครื่องมากขึ้น โดยเฉพาะในรุ่นเก่าที่ฮาร์ดแวร์ไม่ทันสมัย ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเครื่องช้าลง แม้ประสิทธิภาพของ CPU และ GPU จะยังคงเดิมก็ตาม Apple ยังเปิดให้ผู้ใช้ตรวจสอบสุขภาพแบตเตอรี่ และเลือกปิดระบบจัดการประสิทธิภาพได้เอง แต่ก็เตือนว่าอาจทำให้เครื่องดับโดยไม่คาดคิดหากแบตเตอรี่เสื่อมมาก สำหรับผู้ใช้ที่ไม่ต้องการฟีเจอร์ใหม่แต่ยังต้องการความปลอดภัย Apple ก็มีทางเลือกให้อัปเดตเวอร์ชันย่อย เช่น iOS 18.7 ที่ยังได้รับแพตช์ความปลอดภัยโดยไม่ต้องแบกรับฟีเจอร์หนัก ๆ ของเวอร์ชันล่าสุด สุดท้ายแล้ว การอัปเดตหรือไม่อัปเดตขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้ — ถ้าเน้นฟีเจอร์ใหม่ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงเรื่องประสิทธิภาพ แต่ถ้าเน้นความเสถียร ก็อาจเลือกเวอร์ชันที่เบากว่า หรือเปลี่ยนแบตเตอรี่เพื่อยืดอายุเครื่อง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Apple ยืนยันว่าไม่ได้ตั้งใจทำให้ iPhone ช้าลงเพื่อบังคับให้เปลี่ยนเครื่อง ➡️ การอัปเดต iOS อาจทำให้เครื่องช้าลงและแบตหมดเร็วในช่วงแรก ➡️ ระบบต้องทำงานเบื้องหลัง เช่น indexing, อัปเดตแอป, ดาวน์โหลดไฟล์ ➡️ ฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26 ใช้ทรัพยากรเครื่องมากขึ้น โดยเฉพาะในรุ่นเก่า ➡️ Apple เปิดให้ผู้ใช้ตรวจสอบสุขภาพแบตเตอรี่และปิดระบบจัดการประสิทธิภาพได้ ➡️ มีทางเลือกให้อัปเดตเวอร์ชันย่อย เช่น iOS 18.7 เพื่อความเสถียร ➡️ การเปลี่ยนแบตเตอรี่ช่วยยืดอายุเครื่องและคืนประสิทธิภาพ ➡️ Benchmark พบว่า CPU และ GPU ยังทำงานใกล้เคียงเดิมในหลายรุ่น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Apple ระบุว่าอาการเครื่องช้าหลังอัปเดตเป็นเรื่องปกติและจะดีขึ้นภายใน 2–3 วัน ➡️ iOS 26.1 อยู่ระหว่างการทดสอบ และจะเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน AirPods และ Safari ➡️ แอปโซเชียลในปี 2025 ใช้ทรัพยากรมากกว่าเดิม แม้เครื่องจะมีประสิทธิภาพเท่าเดิม ➡️ การอัปเดตช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความเข้ากันได้กับแอปใหม่ ➡️ การไม่อัปเดตอาจทำให้เครื่องเสี่ยงต่อช่องโหว่ความปลอดภัย https://www.slashgear.com/1985799/do-apple-updates-make-your-iphone-slower/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Do Apple Updates Really Make Your iPhone Slower? - SlashGear
    It's a recurring myth that the latest Apple update will make your iPhone slower, but does that turn out to be the case? Here's what the data says.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Zaxxon กลับมาอีกครั้งในรูปแบบสุดล้ำ — เล่นเกมอาร์เคดผ่าน BIOS โดยไม่ต้องใช้ระบบปฏิบัติการ”

    Inkbox Software ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการเกมและการเขียนโปรแกรม ด้วยการนำเกมอาร์เคดคลาสสิก “Zaxxon” จากปี 1982 กลับมาในรูปแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน — เกมที่สามารถบูตได้โดยตรงจากระบบ UEFI firmware โดยไม่ต้องใช้ระบบปฏิบัติการใด ๆ ทั้งสิ้น

    เกมนี้ถูกเขียนขึ้นใหม่ทั้งหมดด้วยภาษา Assembly สำหรับสถาปัตยกรรม x86-64 และเปิดให้ใช้งานแบบโอเพ่นซอร์สภายใต้สัญญาอนุญาต GPLv3 ซึ่งหมายความว่าใครก็สามารถดาวน์โหลด แก้ไข และทดลองได้ฟรี

    ต่างจากเกม UEFI ที่เคยมีมาก่อนซึ่งมักเป็นเดโมหรือ payload ที่ต้องเรียกผ่านระบบอื่น เกม Zaxxon เวอร์ชันนี้สามารถบูตตรงจาก BIOS ได้ทันที โดยผู้พัฒนาอธิบายว่า “นี่คืออิสรภาพจาก Big Tech อย่างแท้จริง” เพราะไม่ต้องพึ่งพาระบบปฏิบัติการใด ๆ เลย

    แน่นอนว่าการเขียนเกมในระดับ low-level แบบนี้ไม่ง่ายเลย Inkbox ต้องแก้ปัญหาหลายอย่าง เช่น การจัดการ input จากคีย์บอร์ดที่มีดีเลย์สูงใน UEFI, การสร้างระบบกราฟิกที่จำลอง Picture Processing Unit (PPU) แบบเครื่องเกมยุคเก่า และการทำให้เกมรันได้ลื่นไหลถึง 128FPS

    แม้จะไม่มีเสียงในเกม แต่ภาพกราฟิกแบบ isometric และการควบคุมผ่านเมาส์หรือจอยสติ๊กทำให้ประสบการณ์การเล่นยังคงน่าประทับใจ และสามารถรันได้บนเครื่อง x86_64 ทุกเครื่องที่รองรับ UEFI โดยต้องปิด secure boot และตั้งค่าให้บูตจากไฟล์ BOOTX64.EFI

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Inkbox Software สร้างเกม Zaxxon เวอร์ชันใหม่ที่รันจาก UEFI โดยตรง
    เขียนด้วยภาษา Assembly สำหรับ x86-64 โดยไม่ใช้ระบบปฏิบัติการ
    เปิดให้ใช้งานแบบโอเพ่นซอร์สภายใต้ GPLv3
    เกมสามารถบูตตรงจาก BIOS โดยใช้ไฟล์ BOOTX64.EFI
    ต้องปิด secure boot และตั้งค่าบูตจาก EFI partition
    เกมรันได้ลื่นไหลถึง 128FPS แม้ไม่มีระบบเสียง
    ใช้เมาส์หรือจอยสติ๊กแทนคีย์บอร์ดที่มีดีเลย์สูงใน UEFI
    สร้างระบบกราฟิกจำลอง PPU แบบเครื่องเกมยุคเก่า
    รองรับการแสดงผลแบบ 256x256 หรือ upscale เป็น 1024x1024
    เปิดให้ดาวน์โหลดและทดลองผ่าน GitHub: spacegamex64

    https://www.tomshardware.com/software/programming/developer-recreates-classic-shoot-em-up-zaxxon-as-a-uefi-firmware-isometric-arcade-game-coded-in-x86-assembly-for-no-os-represents-total-freedom-from-big-tech
    🕹️ “Zaxxon กลับมาอีกครั้งในรูปแบบสุดล้ำ — เล่นเกมอาร์เคดผ่าน BIOS โดยไม่ต้องใช้ระบบปฏิบัติการ” Inkbox Software ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการเกมและการเขียนโปรแกรม ด้วยการนำเกมอาร์เคดคลาสสิก “Zaxxon” จากปี 1982 กลับมาในรูปแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน — เกมที่สามารถบูตได้โดยตรงจากระบบ UEFI firmware โดยไม่ต้องใช้ระบบปฏิบัติการใด ๆ ทั้งสิ้น เกมนี้ถูกเขียนขึ้นใหม่ทั้งหมดด้วยภาษา Assembly สำหรับสถาปัตยกรรม x86-64 และเปิดให้ใช้งานแบบโอเพ่นซอร์สภายใต้สัญญาอนุญาต GPLv3 ซึ่งหมายความว่าใครก็สามารถดาวน์โหลด แก้ไข และทดลองได้ฟรี ต่างจากเกม UEFI ที่เคยมีมาก่อนซึ่งมักเป็นเดโมหรือ payload ที่ต้องเรียกผ่านระบบอื่น เกม Zaxxon เวอร์ชันนี้สามารถบูตตรงจาก BIOS ได้ทันที โดยผู้พัฒนาอธิบายว่า “นี่คืออิสรภาพจาก Big Tech อย่างแท้จริง” เพราะไม่ต้องพึ่งพาระบบปฏิบัติการใด ๆ เลย แน่นอนว่าการเขียนเกมในระดับ low-level แบบนี้ไม่ง่ายเลย Inkbox ต้องแก้ปัญหาหลายอย่าง เช่น การจัดการ input จากคีย์บอร์ดที่มีดีเลย์สูงใน UEFI, การสร้างระบบกราฟิกที่จำลอง Picture Processing Unit (PPU) แบบเครื่องเกมยุคเก่า และการทำให้เกมรันได้ลื่นไหลถึง 128FPS แม้จะไม่มีเสียงในเกม แต่ภาพกราฟิกแบบ isometric และการควบคุมผ่านเมาส์หรือจอยสติ๊กทำให้ประสบการณ์การเล่นยังคงน่าประทับใจ และสามารถรันได้บนเครื่อง x86_64 ทุกเครื่องที่รองรับ UEFI โดยต้องปิด secure boot และตั้งค่าให้บูตจากไฟล์ BOOTX64.EFI ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Inkbox Software สร้างเกม Zaxxon เวอร์ชันใหม่ที่รันจาก UEFI โดยตรง ➡️ เขียนด้วยภาษา Assembly สำหรับ x86-64 โดยไม่ใช้ระบบปฏิบัติการ ➡️ เปิดให้ใช้งานแบบโอเพ่นซอร์สภายใต้ GPLv3 ➡️ เกมสามารถบูตตรงจาก BIOS โดยใช้ไฟล์ BOOTX64.EFI ➡️ ต้องปิด secure boot และตั้งค่าบูตจาก EFI partition ➡️ เกมรันได้ลื่นไหลถึง 128FPS แม้ไม่มีระบบเสียง ➡️ ใช้เมาส์หรือจอยสติ๊กแทนคีย์บอร์ดที่มีดีเลย์สูงใน UEFI ➡️ สร้างระบบกราฟิกจำลอง PPU แบบเครื่องเกมยุคเก่า ➡️ รองรับการแสดงผลแบบ 256x256 หรือ upscale เป็น 1024x1024 ➡️ เปิดให้ดาวน์โหลดและทดลองผ่าน GitHub: spacegamex64 https://www.tomshardware.com/software/programming/developer-recreates-classic-shoot-em-up-zaxxon-as-a-uefi-firmware-isometric-arcade-game-coded-in-x86-assembly-for-no-os-represents-total-freedom-from-big-tech
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • “อัปเดต iPhone ไม่ผ่าน? วิธีแก้แบบไม่เสียข้อมูล พร้อมเทคนิคป้องกันล่วงหน้า”

    หลายคนเคยเจอเหตุการณ์กดอัปเดต iOS แล้วเครื่องค้างขึ้นข้อความ “Update Failed” หรือ “Unable to Install Update” ซึ่งสร้างความหงุดหงิดไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อกลัวว่าจะสูญเสียภาพถ่าย แชต หรือข้อมูลงานสำคัญ บทความนี้จึงรวบรวมวิธีแก้ปัญหา “iPhone Software Update Failed” แบบไม่ต้องล้างเครื่อง พร้อมคำแนะนำป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ

    สาเหตุหลักของการอัปเดตไม่ผ่านมักมาจากพื้นที่เก็บข้อมูลไม่พอ, อินเทอร์เน็ตไม่เสถียร, แบตเตอรี่ต่ำ, ไฟล์เฟิร์มแวร์เสีย, เครื่องเจลเบรก หรือแม้แต่ปัญหาฮาร์ดแวร์บางกรณี เช่น หน่วยความจำเสียหาย

    ก่อนเริ่มแก้ไข ควรสำรองข้อมูลผ่าน iCloud หรือ Finder/iTunes เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหายหากต้องใช้วิธีที่เสี่ยง เช่น Recovery Mode

    วิธีแก้เบื้องต้น ได้แก่:
    รีสตาร์ทหรือ Force Restart เครื่อง
    ลบไฟล์อัปเดตที่เสียจาก Settings > General > iPhone Storage
    รีเซ็ตการตั้งค่าเครือข่าย
    เชื่อมต่อกับ Mac หรือ PC แล้วอัปเดตผ่าน Finder หรือ iTunes โดยไม่ล้างข้อมูล

    หากยังไม่สำเร็จ สามารถใช้เครื่องมือซ่อมระบบ iOS เช่น Wondershare Dr.Fone – System Repair ซึ่งสามารถแก้ปัญหาได้กว่า 150 รูปแบบ เช่น ค้างโลโก้ Apple, หน้าจอขาว, boot loop โดยใช้ “Standard Mode” ที่ไม่ลบข้อมูล

    นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำป้องกันล่วงหน้า เช่น:
    เคลียร์พื้นที่ให้ว่าง 5–6 GB ก่อนอัปเดต
    หลีกเลี่ยง Wi-Fi ที่ไม่เสถียร
    ชาร์จแบตให้เกิน 50%
    หลีกเลี่ยงการเจลเบรก
    ล้างแคชและลบแอปที่ไม่จำเป็น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ปัญหา “iPhone Software Update Failed” เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น พื้นที่ไม่พอ, อินเทอร์เน็ตไม่เสถียร, แบตต่ำ
    ข้อความที่พบบ่อย ได้แก่ “Update Failed”, “Unable to Install Update”, “Error 4013/4014”
    การสำรองข้อมูลก่อนแก้ไขเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการสูญหาย
    วิธีแก้เบื้องต้น ได้แก่ รีสตาร์ท, ลบไฟล์อัปเดต, รีเซ็ตเครือข่าย
    การอัปเดตผ่าน Finder/iTunes ช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาบนเครื่อง
    Wondershare Dr.Fone – System Repair สามารถแก้ปัญหาโดยไม่ลบข้อมูล
    รองรับ iOS 26 และ iPhone 17 series
    ใช้ “Standard Mode” เพื่อรักษาข้อมูลไว้
    สามารถดาวน์เกรด iOS, เข้า/ออก Recovery/DFU Mode และแก้ปัญหา iTunes ได้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การอัปเดตผ่านคอมพิวเตอร์มักเสถียรกว่า OTA เพราะไม่ขึ้นกับ Wi-Fi
    iOS ต้องใช้พื้นที่มากกว่าขนาดไฟล์อัปเดตจริงเพื่อการแตกไฟล์และตรวจสอบ
    Recovery Mode สามารถใช้ “Update” แทน “Restore” เพื่อรักษาข้อมูล
    เครื่องมืออย่าง iToolab FixGo ก็สามารถแก้ปัญหาได้โดยไม่ลบข้อมูล
    การใช้ VPN หรือ DNS ที่บล็อกเซิร์ฟเวอร์ของ Apple อาจทำให้การอัปเดตล้มเหลว

    https://hackread.com/iphone-software-update-failed-fix-without-data-loss/
    📱 “อัปเดต iPhone ไม่ผ่าน? วิธีแก้แบบไม่เสียข้อมูล พร้อมเทคนิคป้องกันล่วงหน้า” หลายคนเคยเจอเหตุการณ์กดอัปเดต iOS แล้วเครื่องค้างขึ้นข้อความ “Update Failed” หรือ “Unable to Install Update” ซึ่งสร้างความหงุดหงิดไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อกลัวว่าจะสูญเสียภาพถ่าย แชต หรือข้อมูลงานสำคัญ บทความนี้จึงรวบรวมวิธีแก้ปัญหา “iPhone Software Update Failed” แบบไม่ต้องล้างเครื่อง พร้อมคำแนะนำป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ สาเหตุหลักของการอัปเดตไม่ผ่านมักมาจากพื้นที่เก็บข้อมูลไม่พอ, อินเทอร์เน็ตไม่เสถียร, แบตเตอรี่ต่ำ, ไฟล์เฟิร์มแวร์เสีย, เครื่องเจลเบรก หรือแม้แต่ปัญหาฮาร์ดแวร์บางกรณี เช่น หน่วยความจำเสียหาย ก่อนเริ่มแก้ไข ควรสำรองข้อมูลผ่าน iCloud หรือ Finder/iTunes เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหายหากต้องใช้วิธีที่เสี่ยง เช่น Recovery Mode วิธีแก้เบื้องต้น ได้แก่: 🔰 รีสตาร์ทหรือ Force Restart เครื่อง 🔰 ลบไฟล์อัปเดตที่เสียจาก Settings > General > iPhone Storage 🔰 รีเซ็ตการตั้งค่าเครือข่าย 🔰 เชื่อมต่อกับ Mac หรือ PC แล้วอัปเดตผ่าน Finder หรือ iTunes โดยไม่ล้างข้อมูล หากยังไม่สำเร็จ สามารถใช้เครื่องมือซ่อมระบบ iOS เช่น Wondershare Dr.Fone – System Repair ซึ่งสามารถแก้ปัญหาได้กว่า 150 รูปแบบ เช่น ค้างโลโก้ Apple, หน้าจอขาว, boot loop โดยใช้ “Standard Mode” ที่ไม่ลบข้อมูล นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำป้องกันล่วงหน้า เช่น: 🔰 เคลียร์พื้นที่ให้ว่าง 5–6 GB ก่อนอัปเดต 🔰 หลีกเลี่ยง Wi-Fi ที่ไม่เสถียร 🔰 ชาร์จแบตให้เกิน 50% 🔰 หลีกเลี่ยงการเจลเบรก 🔰 ล้างแคชและลบแอปที่ไม่จำเป็น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ปัญหา “iPhone Software Update Failed” เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น พื้นที่ไม่พอ, อินเทอร์เน็ตไม่เสถียร, แบตต่ำ ➡️ ข้อความที่พบบ่อย ได้แก่ “Update Failed”, “Unable to Install Update”, “Error 4013/4014” ➡️ การสำรองข้อมูลก่อนแก้ไขเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการสูญหาย ➡️ วิธีแก้เบื้องต้น ได้แก่ รีสตาร์ท, ลบไฟล์อัปเดต, รีเซ็ตเครือข่าย ➡️ การอัปเดตผ่าน Finder/iTunes ช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาบนเครื่อง ➡️ Wondershare Dr.Fone – System Repair สามารถแก้ปัญหาโดยไม่ลบข้อมูล ➡️ รองรับ iOS 26 และ iPhone 17 series ➡️ ใช้ “Standard Mode” เพื่อรักษาข้อมูลไว้ ➡️ สามารถดาวน์เกรด iOS, เข้า/ออก Recovery/DFU Mode และแก้ปัญหา iTunes ได้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การอัปเดตผ่านคอมพิวเตอร์มักเสถียรกว่า OTA เพราะไม่ขึ้นกับ Wi-Fi ➡️ iOS ต้องใช้พื้นที่มากกว่าขนาดไฟล์อัปเดตจริงเพื่อการแตกไฟล์และตรวจสอบ ➡️ Recovery Mode สามารถใช้ “Update” แทน “Restore” เพื่อรักษาข้อมูล ➡️ เครื่องมืออย่าง iToolab FixGo ก็สามารถแก้ปัญหาได้โดยไม่ลบข้อมูล ➡️ การใช้ VPN หรือ DNS ที่บล็อกเซิร์ฟเวอร์ของ Apple อาจทำให้การอัปเดตล้มเหลว https://hackread.com/iphone-software-update-failed-fix-without-data-loss/
    HACKREAD.COM
    iPhone Software Update Failed? Here’s How to Fix It Without Data Loss
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Ivanpah: โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มูลค่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ในแคลิฟอร์เนีย เตรียมปิดตัวในปี 2026 — บทเรียนจากเทคโนโลยีที่ล้าสมัยเร็วเกินไป”

    หากคุณเคยขับรถผ่าน Interstate 15 ระหว่างลอสแอนเจลิสกับลาสเวกัส คุณอาจเคยเห็นแสงสะท้อนจากหอคอยสูง 459 ฟุต 3 ต้นกลางทะเลทรายโมฮาวี นั่นคือ Ivanpah Solar Electric Generating System — โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดมหึมาที่เคยเป็นความหวังของวงการพลังงานสะอาดในสหรัฐฯ

    เปิดใช้งานในปี 2014 ด้วยงบประมาณกว่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับการสนับสนุนเงินกู้จากกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ถึง 1.6 พันล้านดอลลาร์ Ivanpah ใช้เทคโนโลยี “solar thermal” ที่แตกต่างจากแผงโซลาร์เซลล์ทั่วไป โดยใช้กระจกกว่า 173,500 แผ่นสะท้อนแสงอาทิตย์ไปยังหอคอยเพื่อสร้างไอน้ำหมุนกังหันผลิตไฟฟ้า

    แม้จะเคยเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่เทคโนโลยีนี้กลับกลายเป็น “ล้าสมัย” อย่างรวดเร็ว เมื่อแผงโซลาร์เซลล์แบบ photovoltaic มีราคาถูกลงและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้ PG&E ซึ่งเป็นผู้ซื้อไฟฟ้าหลัก ประกาศยกเลิกสัญญาซื้อไฟฟ้าก่อนกำหนดในปี 2025 ทั้งที่เดิมจะซื้อถึงปี 2039

    นอกจากปัญหาด้านต้นทุนและประสิทธิภาพ Ivanpah ยังเผชิญกับข้อวิจารณ์ด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การฆ่านกกว่า 6,000 ตัวต่อปีจากความร้อนของแสงสะท้อน และการรบกวนสายตาผู้ขับขี่บนทางหลวงจากแสงสะท้อนของกระจก

    แม้ยังไม่มีแผนการใช้พื้นที่หลังการปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่เจ้าของโครงการ NRG Energy เสนอว่าอาจเปลี่ยนมาใช้ระบบแผงโซลาร์เซลล์แทน ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ในปัจจุบัน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Ivanpah Solar Plant ตั้งอยู่ในทะเลทรายโมฮาวี เปิดใช้งานในปี 2014
    ใช้เทคโนโลยี solar thermal โดยสะท้อนแสงไปยังหอคอยเพื่อผลิตไอน้ำ
    มีงบประมาณก่อสร้าง 2.2 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับเงินกู้จากรัฐบาล 1.6 พันล้าน
    ใช้กระจกสะท้อนแสงกว่า 173,500 แผ่น เรียกว่า heliostats
    PG&E ประกาศยกเลิกสัญญาซื้อไฟฟ้าในปี 2025 เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
    Ivanpah เคยเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
    มีข้อเสนอให้เปลี่ยนมาใช้ระบบ photovoltaic ที่มีประสิทธิภาพและราคาถูกกว่า
    คาดว่าจะปิดตัวในปี 2026 ก่อนกำหนดเดิมถึง 13 ปี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เทคโนโลยี solar thermal มีข้อดีด้านการผลิตพลังงานต่อเนื่อง แต่ต้นทุนสูง
    photovoltaic panels มีราคาลดลงกว่า 80% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
    ระบบ solar thermal ต้องพึ่งพาแก๊สธรรมชาติเพื่อเริ่มต้นการทำงานในบางช่วง
    โครงการ Project Nexus ในแคลิฟอร์เนียทดลองติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองชลประทาน
    Ivanpah เป็นตัวอย่างของความเสี่ยงในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนเร็ว

    https://www.slashgear.com/1986261/california-ivanpah-solar-plant-shut-down-reason/
    ☀️ “Ivanpah: โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มูลค่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ในแคลิฟอร์เนีย เตรียมปิดตัวในปี 2026 — บทเรียนจากเทคโนโลยีที่ล้าสมัยเร็วเกินไป” หากคุณเคยขับรถผ่าน Interstate 15 ระหว่างลอสแอนเจลิสกับลาสเวกัส คุณอาจเคยเห็นแสงสะท้อนจากหอคอยสูง 459 ฟุต 3 ต้นกลางทะเลทรายโมฮาวี นั่นคือ Ivanpah Solar Electric Generating System — โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดมหึมาที่เคยเป็นความหวังของวงการพลังงานสะอาดในสหรัฐฯ เปิดใช้งานในปี 2014 ด้วยงบประมาณกว่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับการสนับสนุนเงินกู้จากกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ถึง 1.6 พันล้านดอลลาร์ Ivanpah ใช้เทคโนโลยี “solar thermal” ที่แตกต่างจากแผงโซลาร์เซลล์ทั่วไป โดยใช้กระจกกว่า 173,500 แผ่นสะท้อนแสงอาทิตย์ไปยังหอคอยเพื่อสร้างไอน้ำหมุนกังหันผลิตไฟฟ้า แม้จะเคยเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่เทคโนโลยีนี้กลับกลายเป็น “ล้าสมัย” อย่างรวดเร็ว เมื่อแผงโซลาร์เซลล์แบบ photovoltaic มีราคาถูกลงและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้ PG&E ซึ่งเป็นผู้ซื้อไฟฟ้าหลัก ประกาศยกเลิกสัญญาซื้อไฟฟ้าก่อนกำหนดในปี 2025 ทั้งที่เดิมจะซื้อถึงปี 2039 นอกจากปัญหาด้านต้นทุนและประสิทธิภาพ Ivanpah ยังเผชิญกับข้อวิจารณ์ด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การฆ่านกกว่า 6,000 ตัวต่อปีจากความร้อนของแสงสะท้อน และการรบกวนสายตาผู้ขับขี่บนทางหลวงจากแสงสะท้อนของกระจก แม้ยังไม่มีแผนการใช้พื้นที่หลังการปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่เจ้าของโครงการ NRG Energy เสนอว่าอาจเปลี่ยนมาใช้ระบบแผงโซลาร์เซลล์แทน ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ในปัจจุบัน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Ivanpah Solar Plant ตั้งอยู่ในทะเลทรายโมฮาวี เปิดใช้งานในปี 2014 ➡️ ใช้เทคโนโลยี solar thermal โดยสะท้อนแสงไปยังหอคอยเพื่อผลิตไอน้ำ ➡️ มีงบประมาณก่อสร้าง 2.2 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับเงินกู้จากรัฐบาล 1.6 พันล้าน ➡️ ใช้กระจกสะท้อนแสงกว่า 173,500 แผ่น เรียกว่า heliostats ➡️ PG&E ประกาศยกเลิกสัญญาซื้อไฟฟ้าในปี 2025 เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ➡️ Ivanpah เคยเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ➡️ มีข้อเสนอให้เปลี่ยนมาใช้ระบบ photovoltaic ที่มีประสิทธิภาพและราคาถูกกว่า ➡️ คาดว่าจะปิดตัวในปี 2026 ก่อนกำหนดเดิมถึง 13 ปี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เทคโนโลยี solar thermal มีข้อดีด้านการผลิตพลังงานต่อเนื่อง แต่ต้นทุนสูง ➡️ photovoltaic panels มีราคาลดลงกว่า 80% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ➡️ ระบบ solar thermal ต้องพึ่งพาแก๊สธรรมชาติเพื่อเริ่มต้นการทำงานในบางช่วง ➡️ โครงการ Project Nexus ในแคลิฟอร์เนียทดลองติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองชลประทาน ➡️ Ivanpah เป็นตัวอย่างของความเสี่ยงในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนเร็ว https://www.slashgear.com/1986261/california-ivanpah-solar-plant-shut-down-reason/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    $2B California Solar Plant To Shut Down After A Decade For The Most Frustrating Reason - SlashGear
    The Ivanpah facility's decommissioning comes from its use of a now-obsolete solar technology that's both more expensive and less efficient in generating energy.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
  • “TrashBench แปลง RTX 5050 เป็น ‘5050 Ti’ ด้วยมือ — ทำลายสถิติโลก 3DMark หลายรายการ แต่แลกมาด้วยการหมดประกัน”

    ในโลกของนักโมดิฟายฮาร์ดแวร์ มีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ยอมรับข้อจำกัดจากโรงงาน ล่าสุด TrashBench ยูทูบเบอร์สายฮาร์ดคอร์ ได้โชว์การอัปเกรด GeForce RTX 5050 ให้กลายเป็น “RTX 5050 Ti” ด้วยวิธีที่ไม่ธรรมดา — ทั้งการเปลี่ยนฮีตซิงก์, ติดตั้งพัดลมใหม่, และแฟลช BIOS เพื่อปลดล็อกพลังที่ซ่อนอยู่

    เขาเริ่มจากการถอดฮีตซิงก์เดิมของ RTX 5050 แล้วนำของ RTX 5060 ที่ใหญ่กว่าอย่างชัดเจนมาใส่แทน โดยต้องเจาะและปรับแต่งให้พอดีกับ PCB เดิม จากนั้นติดตั้งพัดลม GAMDIAS เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน ก่อนจะใช้โปรแกรม NVFLASH แฟลช BIOS ใหม่ ซึ่งทำให้ GPU ทำงานได้แรงขึ้นถึง 3.3GHz — สูงกว่าค่ามาตรฐานเดิมถึง 500MHz

    ผลลัพธ์คือประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับ RTX 5050 เดิม และลดช่องว่างกับ RTX 5060 ที่เคยแรงกว่าถึง 33% เหลือเพียงราว 17% เท่านั้น ที่สำคัญ TrashBench ยังทำลายสถิติโลกในหลายการทดสอบ เช่น Time Spy (11,715 คะแนน), Steel Nomad (2,703 คะแนน), และ Port Royal (7,001 คะแนน — เป็นคนแรกที่ทะลุ 7,000)

    แม้จะดูน่าทึ่ง แต่การโมดิฟายเช่นนี้ย่อมมีข้อแลกเปลี่ยน — การหมดประกัน, ความเสี่ยงด้านความร้อน, และความไม่แน่นอนของระบบในระยะยาว ซึ่ง TrashBench ก็ยอมรับว่า “ไม่ใช่ทุกคนควรทำแบบนี้” และแนะนำให้คนทั่วไปเพิ่มงบอีก $50 เพื่อซื้อ RTX 5060 ไปเลยจะคุ้มกว่า

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    TrashBench โมดิฟาย RTX 5050 ด้วยฮีตซิงก์ของ RTX 5060 และพัดลม GAMDIAS
    ใช้โปรแกรม NVFLASH แฟลช BIOS เพื่อปลดล็อกประสิทธิภาพ
    GPU ทำงานได้ที่ 3.3GHz สูงกว่าค่ามาตรฐานเดิม 500MHz
    ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับ RTX 5050 เดิม
    ลดช่องว่างกับ RTX 5060 จาก 33% เหลือประมาณ 17%
    ทำลายสถิติโลกใน 3DMark หลายรายการ เช่น Time Spy, Steel Nomad, Port Royal
    TrashBench เป็นยูทูบเบอร์สายฮาร์ดแวร์ที่มีชื่อเสียงด้านการโอเวอร์คล็อก
    แนะนำให้คนทั่วไปซื้อ RTX 5060 โดยไม่ต้องโมดิฟาย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    NVFLASH เป็นเครื่องมือแฟลช BIOS สำหรับการ์ดจอ NVIDIA โดยเฉพาะ
    การเปลี่ยนฮีตซิงก์ช่วยให้ GPU ทำงานที่ความถี่สูงขึ้นโดยไม่ร้อนเกินไป
    Port Royal เป็นการทดสอบ ray tracing ที่ใช้วัดประสิทธิภาพการ์ดจอรุ่นใหม่
    Steel Nomad เป็น benchmark ใหม่ที่เน้นการทดสอบการเรนเดอร์แบบหนัก
    การ์ดจอที่โอเวอร์คล็อกได้ดีมักต้องมีระบบระบายความร้อนที่เหนือกว่ามาตรฐาน

    https://wccftech.com/user-upgrades-geforce-rtx-5050-to-rtx-5050-ti-breaks-multiple-world-records/
    ⚙️ “TrashBench แปลง RTX 5050 เป็น ‘5050 Ti’ ด้วยมือ — ทำลายสถิติโลก 3DMark หลายรายการ แต่แลกมาด้วยการหมดประกัน” ในโลกของนักโมดิฟายฮาร์ดแวร์ มีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ยอมรับข้อจำกัดจากโรงงาน ล่าสุด TrashBench ยูทูบเบอร์สายฮาร์ดคอร์ ได้โชว์การอัปเกรด GeForce RTX 5050 ให้กลายเป็น “RTX 5050 Ti” ด้วยวิธีที่ไม่ธรรมดา — ทั้งการเปลี่ยนฮีตซิงก์, ติดตั้งพัดลมใหม่, และแฟลช BIOS เพื่อปลดล็อกพลังที่ซ่อนอยู่ เขาเริ่มจากการถอดฮีตซิงก์เดิมของ RTX 5050 แล้วนำของ RTX 5060 ที่ใหญ่กว่าอย่างชัดเจนมาใส่แทน โดยต้องเจาะและปรับแต่งให้พอดีกับ PCB เดิม จากนั้นติดตั้งพัดลม GAMDIAS เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน ก่อนจะใช้โปรแกรม NVFLASH แฟลช BIOS ใหม่ ซึ่งทำให้ GPU ทำงานได้แรงขึ้นถึง 3.3GHz — สูงกว่าค่ามาตรฐานเดิมถึง 500MHz ผลลัพธ์คือประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับ RTX 5050 เดิม และลดช่องว่างกับ RTX 5060 ที่เคยแรงกว่าถึง 33% เหลือเพียงราว 17% เท่านั้น ที่สำคัญ TrashBench ยังทำลายสถิติโลกในหลายการทดสอบ เช่น Time Spy (11,715 คะแนน), Steel Nomad (2,703 คะแนน), และ Port Royal (7,001 คะแนน — เป็นคนแรกที่ทะลุ 7,000) แม้จะดูน่าทึ่ง แต่การโมดิฟายเช่นนี้ย่อมมีข้อแลกเปลี่ยน — การหมดประกัน, ความเสี่ยงด้านความร้อน, และความไม่แน่นอนของระบบในระยะยาว ซึ่ง TrashBench ก็ยอมรับว่า “ไม่ใช่ทุกคนควรทำแบบนี้” และแนะนำให้คนทั่วไปเพิ่มงบอีก $50 เพื่อซื้อ RTX 5060 ไปเลยจะคุ้มกว่า ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ TrashBench โมดิฟาย RTX 5050 ด้วยฮีตซิงก์ของ RTX 5060 และพัดลม GAMDIAS ➡️ ใช้โปรแกรม NVFLASH แฟลช BIOS เพื่อปลดล็อกประสิทธิภาพ ➡️ GPU ทำงานได้ที่ 3.3GHz สูงกว่าค่ามาตรฐานเดิม 500MHz ➡️ ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับ RTX 5050 เดิม ➡️ ลดช่องว่างกับ RTX 5060 จาก 33% เหลือประมาณ 17% ➡️ ทำลายสถิติโลกใน 3DMark หลายรายการ เช่น Time Spy, Steel Nomad, Port Royal ➡️ TrashBench เป็นยูทูบเบอร์สายฮาร์ดแวร์ที่มีชื่อเสียงด้านการโอเวอร์คล็อก ➡️ แนะนำให้คนทั่วไปซื้อ RTX 5060 โดยไม่ต้องโมดิฟาย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ NVFLASH เป็นเครื่องมือแฟลช BIOS สำหรับการ์ดจอ NVIDIA โดยเฉพาะ ➡️ การเปลี่ยนฮีตซิงก์ช่วยให้ GPU ทำงานที่ความถี่สูงขึ้นโดยไม่ร้อนเกินไป ➡️ Port Royal เป็นการทดสอบ ray tracing ที่ใช้วัดประสิทธิภาพการ์ดจอรุ่นใหม่ ➡️ Steel Nomad เป็น benchmark ใหม่ที่เน้นการทดสอบการเรนเดอร์แบบหนัก ➡️ การ์ดจอที่โอเวอร์คล็อกได้ดีมักต้องมีระบบระบายความร้อนที่เหนือกว่ามาตรฐาน https://wccftech.com/user-upgrades-geforce-rtx-5050-to-rtx-5050-ti-breaks-multiple-world-records/
    WCCFTECH.COM
    User Upgrades GeForce RTX 5050 To RTX 5050 "Ti"; Breaks Multiple World Records
    A user modded his GeForce RTX 5050 by replacing its cooler and flashing its BIOS, closing the gap between RTX 5050 and RTX 5060.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 223 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Microsoft Defender for Endpoint แจ้งเตือนผิดพลาดเรื่อง BIOS บนเครื่อง Dell — ผู้ดูแลระบบทั่วโลกปวดหัวกับการอัปเดตที่ไม่จำเป็น”

    ในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2025 ผู้ดูแลระบบหลายองค์กรทั่วโลกเริ่มพบปัญหาแปลกจาก Microsoft Defender for Endpoint ซึ่งแจ้งเตือนว่า BIOS บนอุปกรณ์ Dell นั้นล้าสมัยและต้องอัปเดต ทั้งที่จริงแล้วเครื่องเหล่านั้นใช้เวอร์ชันล่าสุดอยู่แล้ว

    Microsoft ยืนยันว่าเป็น “บั๊กในตรรกะของโค้ด” ที่ใช้ตรวจสอบช่องโหว่บนอุปกรณ์ Dell โดยระบบดึงข้อมูล BIOS มาประเมินผิดพลาด ทำให้เกิดการแจ้งเตือนแบบ false positive ซึ่งสร้างความสับสนและภาระงานให้กับทีม IT ที่ต้องตรวจสอบทีละเครื่อง

    ปัญหานี้ถูกติดตามภายใต้รหัส DZ1163521 และแม้ว่า Microsoft จะพัฒนาแพตช์แก้ไขเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้ปล่อยออกมาในระบบจริง ทำให้ผู้ใช้ต้องรอการอัปเดตในรอบถัดไป โดยในระหว่างนี้ ผู้ดูแลระบบต้องตรวจสอบสถานะ BIOS ด้วยตนเองเพื่อแยกแยะว่าเป็นการแจ้งเตือนผิดหรือไม่

    ความผิดพลาดนี้ไม่ได้เกิดจาก BIOS ของ Dell เอง แต่เป็นข้อผิดพลาดในการประมวลผลของ Defender ซึ่งส่งผลกระทบต่อองค์กรที่ใช้ระบบ Microsoft 365 และมีการใช้งาน Defender for Endpoint ในการตรวจสอบความปลอดภัยของอุปกรณ์

    นักวิเคราะห์เตือนว่า false alert แบบนี้อาจนำไปสู่ “alert fatigue” หรือภาวะที่ผู้ดูแลระบบเริ่มละเลยการแจ้งเตือนจริง เพราะถูกกระตุ้นด้วยข้อมูลผิดพลาดบ่อยครั้ง ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อการปล่อยให้ภัยคุกคามจริงหลุดรอดไปได้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Microsoft Defender for Endpoint แจ้งเตือนผิดพลาดว่า BIOS บนอุปกรณ์ Dell ล้าสมัย
    สาเหตุเกิดจากบั๊กในตรรกะของโค้ดที่ใช้ประเมินช่องโหว่
    ปัญหานี้ถูกติดตามภายใต้รหัส DZ1163521
    Microsoft พัฒนาแพตช์แก้ไขแล้ว แต่ยังไม่ได้ปล่อยใช้งานจริง
    ผู้ดูแลระบบต้องตรวจสอบ BIOS ด้วยตนเองเพื่อแยกแยะ false alert
    ปัญหานี้เกิดเฉพาะกับอุปกรณ์ Dell ที่ใช้ Defender for Endpoint
    ไม่ใช่ช่องโหว่ใน BIOS ของ Dell แต่เป็นข้อผิดพลาดในระบบของ Microsoft
    ส่งผลให้เกิดภาระงานและความสับสนในทีม IT
    Microsoft Defender for Endpoint เป็นระบบ XDR ที่ใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ทั่วโลก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    BIOS คือระบบพื้นฐานที่ควบคุมการทำงานของฮาร์ดแวร์ก่อนเข้าสู่ระบบปฏิบัติการ
    การอัปเดต BIOS มีความสำคัญต่อความปลอดภัยระดับล่างของระบบ
    Alert fatigue เป็นภาวะที่ผู้ดูแลระบบเริ่มละเลยการแจ้งเตือนเพราะเจอ false alert บ่อย
    Defender for Endpoint ใช้ในองค์กรภาครัฐ การเงิน และสาธารณสุขอย่างแพร่หลาย
    การตรวจสอบ BIOS ควรทำผ่านช่องทางของ Dell โดยตรงเพื่อความแม่นยำ

    https://www.techradar.com/pro/security/microsoft-scrambles-to-fix-annoying-defender-issue-that-demands-users-update-their-devices
    🛠️ “Microsoft Defender for Endpoint แจ้งเตือนผิดพลาดเรื่อง BIOS บนเครื่อง Dell — ผู้ดูแลระบบทั่วโลกปวดหัวกับการอัปเดตที่ไม่จำเป็น” ในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2025 ผู้ดูแลระบบหลายองค์กรทั่วโลกเริ่มพบปัญหาแปลกจาก Microsoft Defender for Endpoint ซึ่งแจ้งเตือนว่า BIOS บนอุปกรณ์ Dell นั้นล้าสมัยและต้องอัปเดต ทั้งที่จริงแล้วเครื่องเหล่านั้นใช้เวอร์ชันล่าสุดอยู่แล้ว Microsoft ยืนยันว่าเป็น “บั๊กในตรรกะของโค้ด” ที่ใช้ตรวจสอบช่องโหว่บนอุปกรณ์ Dell โดยระบบดึงข้อมูล BIOS มาประเมินผิดพลาด ทำให้เกิดการแจ้งเตือนแบบ false positive ซึ่งสร้างความสับสนและภาระงานให้กับทีม IT ที่ต้องตรวจสอบทีละเครื่อง ปัญหานี้ถูกติดตามภายใต้รหัส DZ1163521 และแม้ว่า Microsoft จะพัฒนาแพตช์แก้ไขเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้ปล่อยออกมาในระบบจริง ทำให้ผู้ใช้ต้องรอการอัปเดตในรอบถัดไป โดยในระหว่างนี้ ผู้ดูแลระบบต้องตรวจสอบสถานะ BIOS ด้วยตนเองเพื่อแยกแยะว่าเป็นการแจ้งเตือนผิดหรือไม่ ความผิดพลาดนี้ไม่ได้เกิดจาก BIOS ของ Dell เอง แต่เป็นข้อผิดพลาดในการประมวลผลของ Defender ซึ่งส่งผลกระทบต่อองค์กรที่ใช้ระบบ Microsoft 365 และมีการใช้งาน Defender for Endpoint ในการตรวจสอบความปลอดภัยของอุปกรณ์ นักวิเคราะห์เตือนว่า false alert แบบนี้อาจนำไปสู่ “alert fatigue” หรือภาวะที่ผู้ดูแลระบบเริ่มละเลยการแจ้งเตือนจริง เพราะถูกกระตุ้นด้วยข้อมูลผิดพลาดบ่อยครั้ง ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อการปล่อยให้ภัยคุกคามจริงหลุดรอดไปได้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Microsoft Defender for Endpoint แจ้งเตือนผิดพลาดว่า BIOS บนอุปกรณ์ Dell ล้าสมัย ➡️ สาเหตุเกิดจากบั๊กในตรรกะของโค้ดที่ใช้ประเมินช่องโหว่ ➡️ ปัญหานี้ถูกติดตามภายใต้รหัส DZ1163521 ➡️ Microsoft พัฒนาแพตช์แก้ไขแล้ว แต่ยังไม่ได้ปล่อยใช้งานจริง ➡️ ผู้ดูแลระบบต้องตรวจสอบ BIOS ด้วยตนเองเพื่อแยกแยะ false alert ➡️ ปัญหานี้เกิดเฉพาะกับอุปกรณ์ Dell ที่ใช้ Defender for Endpoint ➡️ ไม่ใช่ช่องโหว่ใน BIOS ของ Dell แต่เป็นข้อผิดพลาดในระบบของ Microsoft ➡️ ส่งผลให้เกิดภาระงานและความสับสนในทีม IT ➡️ Microsoft Defender for Endpoint เป็นระบบ XDR ที่ใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ทั่วโลก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ BIOS คือระบบพื้นฐานที่ควบคุมการทำงานของฮาร์ดแวร์ก่อนเข้าสู่ระบบปฏิบัติการ ➡️ การอัปเดต BIOS มีความสำคัญต่อความปลอดภัยระดับล่างของระบบ ➡️ Alert fatigue เป็นภาวะที่ผู้ดูแลระบบเริ่มละเลยการแจ้งเตือนเพราะเจอ false alert บ่อย ➡️ Defender for Endpoint ใช้ในองค์กรภาครัฐ การเงิน และสาธารณสุขอย่างแพร่หลาย ➡️ การตรวจสอบ BIOS ควรทำผ่านช่องทางของ Dell โดยตรงเพื่อความแม่นยำ https://www.techradar.com/pro/security/microsoft-scrambles-to-fix-annoying-defender-issue-that-demands-users-update-their-devices
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 195 มุมมอง 0 รีวิว
  • “วิวัฒนาการของ iPhone Unlockers — จาก Jailbreak สู่เครื่องมือปลดล็อกแบบปลอดภัยด้วย Dr.Fone”

    ตั้งแต่ iPhone รุ่นแรกเปิดตัวในปี 2007 ผู้ใช้จำนวนมากต่างพยายามหาวิธี “ปลดล็อก” อุปกรณ์เพื่อให้ใช้งานได้อิสระมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งแอปนอก App Store หรือเปลี่ยนเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ แต่ในยุคแรก การปลดล็อกมักต้องพึ่งพา “Jailbreak” ซึ่งแม้จะให้เสรีภาพ แต่ก็เต็มไปด้วยความเสี่ยง เช่น เครื่องไม่เสถียร แบตหมดเร็ว หรือแม้แต่การโดนมัลแวร์

    ต่อมาเกิดการปลดล็อกแบบ SIM Unlock เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนเครือข่ายได้ โดยมีทั้งวิธีขอปลดล็อกจากผู้ให้บริการอย่างถูกต้องตามสัญญา และวิธีใช้ชิปปลอมที่แอบเปลี่ยนการทำงานของ SIM ซึ่งแม้จะสะดวก แต่ก็เสี่ยงต่อการใช้งานไม่เสถียร หรือถูกนำไปใช้ในตลาดมืด

    Apple เองก็เริ่มเปิดทางให้ผู้ใช้สามารถปลดล็อกได้อย่างถูกต้อง เช่น การใช้ iCloud ลบข้อมูลผ่าน “Find My iPhone”, การ Restore ผ่าน iTunes หรือ Finder และการเข้า Recovery Mode เพื่อรีเซ็ตเครื่อง ซึ่งแม้จะปลอดภัย แต่ก็ต้องใช้ Apple ID เดิม และมักทำให้ข้อมูลหายทั้งหมด

    เมื่อระบบรักษาความปลอดภัยของ Apple แข็งแกร่งขึ้น ผู้ใช้ที่ลืมรหัสผ่าน หรือซื้อเครื่องมือสองที่ล็อกอยู่ ก็เริ่มหันไปใช้เครื่องมือจากผู้พัฒนาภายนอก เช่น Dr.Fone – Screen Unlock (iOS) ซึ่งออกแบบมาให้ปลดล็อกได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องพึ่งพาแฮกเกอร์ และรองรับการปลดล็อกหลายรูปแบบ เช่น Face ID, Touch ID, รหัสผ่าน, Apple ID, MDM และแม้แต่ SIM Lock

    Dr.Fone ยังรองรับ iOS ตั้งแต่เวอร์ชัน 7 ถึง 26 รวมถึง iPhone 17 series และสามารถทำงานผ่าน Recovery Mode หรือ DFU Mode โดยมีขั้นตอนที่ชัดเจนและปลอดภัย พร้อมคำแนะนำให้ผู้ใช้สำรองข้อมูลก่อนเริ่มกระบวนการ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    การปลดล็อก iPhone เริ่มจาก Jailbreak ซึ่งเสี่ยงต่อความไม่เสถียรและมัลแวร์
    SIM Unlock มีทั้งแบบขอจากผู้ให้บริการและใช้ชิปปลอม ซึ่งมีข้อจำกัด
    Apple มีวิธีปลดล็อกอย่างเป็นทางการ เช่น iCloud, iTunes/Finder และ Recovery Mode
    เครื่องมือจากภายนอก เช่น Dr.Fone – Screen Unlock (iOS) ช่วยปลดล็อกได้หลายรูปแบบ
    Dr.Fone รองรับ iOS 7–26 และ iPhone 17 series
    สามารถปลดล็อก Face ID, Touch ID, รหัสผ่าน, Apple ID, MDM และ SIM Lock
    ใช้ Recovery Mode หรือ DFU Mode เพื่อเริ่มกระบวนการปลดล็อก
    มีคำแนะนำให้สำรองข้อมูลก่อนเริ่มใช้งานเพื่อความปลอดภัย
    การปลดล็อกผ่าน Dr.Fone เป็นวิธีที่ถูกกฎหมายและไม่ต้องพึ่งพาแฮกเกอร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Jailbreaking คือการปรับแต่งระบบ iOS เพื่อให้เข้าถึงฟีเจอร์ที่ถูกจำกัด
    SIM Unlock ช่วยให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครือข่ายได้โดยไม่ต้องซื้อเครื่องใหม่
    Recovery Mode และ DFU Mode เป็นโหมดพิเศษที่ใช้ในการแก้ไขปัญหา iOS
    Dr.Fone เป็นผลิตภัณฑ์จาก Wondershare ที่มีเครื่องมือจัดการข้อมูล iOS ครบวงจร
    การปลดล็อกที่ถูกต้องตามกฎหมายต้องไม่เกี่ยวข้องกับเครื่องที่ถูกขโมยหรือ IMEI ที่ถูกบล็อก

    https://securityonline.info/the-evolution-of-iphone-unlockers-from-jailbreaks-to-secure-recovery-tools/
    📱 “วิวัฒนาการของ iPhone Unlockers — จาก Jailbreak สู่เครื่องมือปลดล็อกแบบปลอดภัยด้วย Dr.Fone” ตั้งแต่ iPhone รุ่นแรกเปิดตัวในปี 2007 ผู้ใช้จำนวนมากต่างพยายามหาวิธี “ปลดล็อก” อุปกรณ์เพื่อให้ใช้งานได้อิสระมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งแอปนอก App Store หรือเปลี่ยนเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ แต่ในยุคแรก การปลดล็อกมักต้องพึ่งพา “Jailbreak” ซึ่งแม้จะให้เสรีภาพ แต่ก็เต็มไปด้วยความเสี่ยง เช่น เครื่องไม่เสถียร แบตหมดเร็ว หรือแม้แต่การโดนมัลแวร์ ต่อมาเกิดการปลดล็อกแบบ SIM Unlock เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนเครือข่ายได้ โดยมีทั้งวิธีขอปลดล็อกจากผู้ให้บริการอย่างถูกต้องตามสัญญา และวิธีใช้ชิปปลอมที่แอบเปลี่ยนการทำงานของ SIM ซึ่งแม้จะสะดวก แต่ก็เสี่ยงต่อการใช้งานไม่เสถียร หรือถูกนำไปใช้ในตลาดมืด Apple เองก็เริ่มเปิดทางให้ผู้ใช้สามารถปลดล็อกได้อย่างถูกต้อง เช่น การใช้ iCloud ลบข้อมูลผ่าน “Find My iPhone”, การ Restore ผ่าน iTunes หรือ Finder และการเข้า Recovery Mode เพื่อรีเซ็ตเครื่อง ซึ่งแม้จะปลอดภัย แต่ก็ต้องใช้ Apple ID เดิม และมักทำให้ข้อมูลหายทั้งหมด เมื่อระบบรักษาความปลอดภัยของ Apple แข็งแกร่งขึ้น ผู้ใช้ที่ลืมรหัสผ่าน หรือซื้อเครื่องมือสองที่ล็อกอยู่ ก็เริ่มหันไปใช้เครื่องมือจากผู้พัฒนาภายนอก เช่น Dr.Fone – Screen Unlock (iOS) ซึ่งออกแบบมาให้ปลดล็อกได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องพึ่งพาแฮกเกอร์ และรองรับการปลดล็อกหลายรูปแบบ เช่น Face ID, Touch ID, รหัสผ่าน, Apple ID, MDM และแม้แต่ SIM Lock Dr.Fone ยังรองรับ iOS ตั้งแต่เวอร์ชัน 7 ถึง 26 รวมถึง iPhone 17 series และสามารถทำงานผ่าน Recovery Mode หรือ DFU Mode โดยมีขั้นตอนที่ชัดเจนและปลอดภัย พร้อมคำแนะนำให้ผู้ใช้สำรองข้อมูลก่อนเริ่มกระบวนการ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ การปลดล็อก iPhone เริ่มจาก Jailbreak ซึ่งเสี่ยงต่อความไม่เสถียรและมัลแวร์ ➡️ SIM Unlock มีทั้งแบบขอจากผู้ให้บริการและใช้ชิปปลอม ซึ่งมีข้อจำกัด ➡️ Apple มีวิธีปลดล็อกอย่างเป็นทางการ เช่น iCloud, iTunes/Finder และ Recovery Mode ➡️ เครื่องมือจากภายนอก เช่น Dr.Fone – Screen Unlock (iOS) ช่วยปลดล็อกได้หลายรูปแบบ ➡️ Dr.Fone รองรับ iOS 7–26 และ iPhone 17 series ➡️ สามารถปลดล็อก Face ID, Touch ID, รหัสผ่าน, Apple ID, MDM และ SIM Lock ➡️ ใช้ Recovery Mode หรือ DFU Mode เพื่อเริ่มกระบวนการปลดล็อก ➡️ มีคำแนะนำให้สำรองข้อมูลก่อนเริ่มใช้งานเพื่อความปลอดภัย ➡️ การปลดล็อกผ่าน Dr.Fone เป็นวิธีที่ถูกกฎหมายและไม่ต้องพึ่งพาแฮกเกอร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Jailbreaking คือการปรับแต่งระบบ iOS เพื่อให้เข้าถึงฟีเจอร์ที่ถูกจำกัด ➡️ SIM Unlock ช่วยให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครือข่ายได้โดยไม่ต้องซื้อเครื่องใหม่ ➡️ Recovery Mode และ DFU Mode เป็นโหมดพิเศษที่ใช้ในการแก้ไขปัญหา iOS ➡️ Dr.Fone เป็นผลิตภัณฑ์จาก Wondershare ที่มีเครื่องมือจัดการข้อมูล iOS ครบวงจร ➡️ การปลดล็อกที่ถูกต้องตามกฎหมายต้องไม่เกี่ยวข้องกับเครื่องที่ถูกขโมยหรือ IMEI ที่ถูกบล็อก https://securityonline.info/the-evolution-of-iphone-unlockers-from-jailbreaks-to-secure-recovery-tools/
    SECURITYONLINE.INFO
    The Evolution of iPhone Unlockers: From Jailbreaks to Secure Recovery Tools
    Looking for the best iPhone unlocker? Learn how iPhone unlocking evolved from jailbreak hacks to secure recovery tools like Dr.Fone. Read this guide for a safe and easy unlocking process.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • “MSI ยืนยันเมนบอร์ด AM5 ซีรีส์ 800 รองรับ Ryzen Zen 6 — อัปเกรดได้ยาวถึงปี 2027 โดยไม่ต้องเปลี่ยนบอร์ด”

    MSI ประกาศอย่างเป็นทางการว่าเมนบอร์ด AM5 ซีรีส์ 800 ที่วางจำหน่ายในปัจจุบันจะรองรับซีพียู AMD Ryzen รุ่นถัดไปที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 6 ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 นี่ถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ใช้สาย DIY ที่ลงทุนกับแพลตฟอร์ม AM5 เพราะหมายความว่าเมนบอร์ดที่มีอยู่จะยังใช้งานได้กับซีพียูรุ่นใหม่โดยไม่ต้องเปลี่ยนใหม่

    AM5 เปิดตัวครั้งแรกพร้อม Ryzen 7000 (Zen 4) และปัจจุบันรองรับ Ryzen 9000 (Zen 5) รวมถึง Ryzen 8000G APU ซึ่งหมายความว่าแพลตฟอร์มนี้รองรับซีพียูถึง 3 เจเนอเรชันแล้ว และจะขยายไปถึง Zen 6 ในอนาคต

    MSI ยังเตรียมเปิดตัวเมนบอร์ดรุ่น “MAX” ที่มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ เช่น external BCLK generator และ BIOS ขนาด 64MB เพื่อรองรับเฟิร์มแวร์รุ่นใหม่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีการเพิ่มการรองรับ Zen 6 และไมโครโค้ดใหม่ ๆ

    นอกจากนี้ยังมีการพบดีไซน์ใหม่ในเมนบอร์ดรุ่น B850I EDGE TI EVO WIFI ที่แสดงให้เห็นว่า MSI กำลังเตรียมความพร้อมสำหรับ Zen 6 อย่างจริงจัง และมีรายงานว่า AMD ได้ส่งตัวอย่างซีพียู Zen 6 ให้กับผู้ผลิตเมนบอร์ดเพื่อทดสอบความเข้ากันได้แล้ว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    MSI ยืนยันว่าเมนบอร์ด AM5 ซีรีส์ 800 รองรับซีพียู Ryzen Zen 6
    Zen 6 คาดว่าจะเปิดตัวช่วงครึ่งหลังของปี 2026
    AM5 รองรับ Ryzen 7000 (Zen 4), Ryzen 9000 (Zen 5) และ Ryzen 8000G
    เมนบอร์ดรุ่น “MAX” จะมี BCLK generator และ BIOS ขนาด 64MB
    MSI เตรียมเปิดตัวเมนบอร์ด B850I EDGE TI EVO WIFI ที่รองรับ Zen 6
    AMD ได้ส่งตัวอย่าง Zen 6 ให้ผู้ผลิตเมนบอร์ดเพื่อทดสอบแล้ว
    การรองรับ Zen 6 สะท้อนความมุ่งมั่นของ AMD ต่อแพลตฟอร์ม AM5
    ผู้ใช้สามารถอัปเกรดซีพียูในอนาคตโดยไม่ต้องเปลี่ยนเมนบอร์ด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Zen 6 ใช้โค้ดเนม “Morpheus” และผลิตบนเทคโนโลยี 2nm ของ TSMC
    Zen 6 เพิ่มจำนวนคอร์ต่อ CCD จาก 8 เป็น 12 คอร์ และมี L3 cache สูงสุด 48MB
    AMD ยืนยันว่าจะสนับสนุน AM5 ไปจนถึงปี 2027 และอาจต่อเนื่องกว่านั้น
    การมี BIOS ขนาดใหญ่ช่วยให้รองรับเฟิร์มแวร์ใหม่ได้โดยไม่ต้องลดฟีเจอร์
    การใช้ BCLK generator ช่วยให้โอเวอร์คล็อกได้แม่นยำและเสถียรมากขึ้น

    https://wccftech.com/msi-confirms-future-amd-ryzen-zen-6-cpu-support-on-am5-800-motherboards/
    🧩 “MSI ยืนยันเมนบอร์ด AM5 ซีรีส์ 800 รองรับ Ryzen Zen 6 — อัปเกรดได้ยาวถึงปี 2027 โดยไม่ต้องเปลี่ยนบอร์ด” MSI ประกาศอย่างเป็นทางการว่าเมนบอร์ด AM5 ซีรีส์ 800 ที่วางจำหน่ายในปัจจุบันจะรองรับซีพียู AMD Ryzen รุ่นถัดไปที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 6 ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 นี่ถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ใช้สาย DIY ที่ลงทุนกับแพลตฟอร์ม AM5 เพราะหมายความว่าเมนบอร์ดที่มีอยู่จะยังใช้งานได้กับซีพียูรุ่นใหม่โดยไม่ต้องเปลี่ยนใหม่ AM5 เปิดตัวครั้งแรกพร้อม Ryzen 7000 (Zen 4) และปัจจุบันรองรับ Ryzen 9000 (Zen 5) รวมถึง Ryzen 8000G APU ซึ่งหมายความว่าแพลตฟอร์มนี้รองรับซีพียูถึง 3 เจเนอเรชันแล้ว และจะขยายไปถึง Zen 6 ในอนาคต MSI ยังเตรียมเปิดตัวเมนบอร์ดรุ่น “MAX” ที่มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ เช่น external BCLK generator และ BIOS ขนาด 64MB เพื่อรองรับเฟิร์มแวร์รุ่นใหม่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีการเพิ่มการรองรับ Zen 6 และไมโครโค้ดใหม่ ๆ นอกจากนี้ยังมีการพบดีไซน์ใหม่ในเมนบอร์ดรุ่น B850I EDGE TI EVO WIFI ที่แสดงให้เห็นว่า MSI กำลังเตรียมความพร้อมสำหรับ Zen 6 อย่างจริงจัง และมีรายงานว่า AMD ได้ส่งตัวอย่างซีพียู Zen 6 ให้กับผู้ผลิตเมนบอร์ดเพื่อทดสอบความเข้ากันได้แล้ว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ MSI ยืนยันว่าเมนบอร์ด AM5 ซีรีส์ 800 รองรับซีพียู Ryzen Zen 6 ➡️ Zen 6 คาดว่าจะเปิดตัวช่วงครึ่งหลังของปี 2026 ➡️ AM5 รองรับ Ryzen 7000 (Zen 4), Ryzen 9000 (Zen 5) และ Ryzen 8000G ➡️ เมนบอร์ดรุ่น “MAX” จะมี BCLK generator และ BIOS ขนาด 64MB ➡️ MSI เตรียมเปิดตัวเมนบอร์ด B850I EDGE TI EVO WIFI ที่รองรับ Zen 6 ➡️ AMD ได้ส่งตัวอย่าง Zen 6 ให้ผู้ผลิตเมนบอร์ดเพื่อทดสอบแล้ว ➡️ การรองรับ Zen 6 สะท้อนความมุ่งมั่นของ AMD ต่อแพลตฟอร์ม AM5 ➡️ ผู้ใช้สามารถอัปเกรดซีพียูในอนาคตโดยไม่ต้องเปลี่ยนเมนบอร์ด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Zen 6 ใช้โค้ดเนม “Morpheus” และผลิตบนเทคโนโลยี 2nm ของ TSMC ➡️ Zen 6 เพิ่มจำนวนคอร์ต่อ CCD จาก 8 เป็น 12 คอร์ และมี L3 cache สูงสุด 48MB ➡️ AMD ยืนยันว่าจะสนับสนุน AM5 ไปจนถึงปี 2027 และอาจต่อเนื่องกว่านั้น ➡️ การมี BIOS ขนาดใหญ่ช่วยให้รองรับเฟิร์มแวร์ใหม่ได้โดยไม่ต้องลดฟีเจอร์ ➡️ การใช้ BCLK generator ช่วยให้โอเวอร์คล็อกได้แม่นยำและเสถียรมากขึ้น https://wccftech.com/msi-confirms-future-amd-ryzen-zen-6-cpu-support-on-am5-800-motherboards/
    WCCFTECH.COM
    MSI Confirms "Future CPU" Support On Its AM5 800-Series Motherboards, Pointing Towards Zen 6 Ryzen
    MSI has confirmed that its current AM5 800-series motherboards will support AMD's next-gen Ryzen CPUs based on Zen 6 architecture.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Google เปลี่ยนโลโก้ ‘G’ เป็นแบบไล่เฉดสี — สัญลักษณ์ใหม่ของยุค AI ที่ไม่ใช่แค่เรื่องดีไซน์”

    หลังจากใช้โลโก้ตัวอักษร “G” แบบสี่สีแยกกันมาตั้งแต่ปี 2015 Google ได้ประกาศรีเฟรชโลโก้ครั้งใหญ่ในเดือนกันยายน 2025 โดยเปลี่ยนเป็นเวอร์ชันใหม่ที่ใช้การไล่เฉดสี (gradient) ระหว่างสีแดง เหลือง เขียว และน้ำเงิน ซึ่งยังคงเป็นสีประจำแบรนด์ แต่ถูกนำเสนอในรูปแบบที่ทันสมัยและมีชีวิตชีวามากขึ้น

    การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงาม — Google ระบุว่าโลโก้ใหม่นี้เป็น “สัญลักษณ์ของยุค AI” ที่บริษัทกำลังเข้าสู่เต็มตัว โดยเฉพาะหลังจากเปิดตัว Gemini AI ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์หลักของ Google ที่ถูกฝังอยู่ในบริการต่าง ๆ เช่น Search, Workspace, Chrome และ Android

    โลโก้แบบไล่เฉดสีนี้เริ่มปรากฏใน Google Search ตั้งแต่ต้นปี และขยายไปยังแอปอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึง favicon บนเว็บไซต์และไอคอนในมือถือ โดย Google ยืนยันว่าโลโก้ใหม่นี้จะกลายเป็นสัญลักษณ์หลักของทั้งแบรนด์และองค์กร

    นอกจากความสดใสของสีที่ไหลลื่นต่อกัน โลโก้ใหม่นี้ยังถูกออกแบบให้ดูดีในขนาดเล็ก เช่น บนแอปมือถือหรือ favicon ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้จดจำได้ง่ายขึ้น และสื่อถึงความลื่นไหลของประสบการณ์ใช้งานที่ขับเคลื่อนด้วย AI

    แม้โลโก้ “G” จะถูกเปลี่ยน แต่โลโก้คำว่า “Google” แบบเต็มยังคงเดิม เพื่อรักษาความคุ้นเคยของผู้ใช้ทั่วโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Google เปลี่ยนโลโก้ “G” จากแบบสี่สีแยกเป็นแบบไล่เฉดสี (gradient)
    โลโก้ใหม่ใช้สีแดง เหลือง เขียว น้ำเงิน แบบไหลลื่นต่อกัน
    เป็นการรีเฟรชครั้งใหญ่ในรอบ 10 ปี นับจากการออกแบบโลโก้ปี 2015
    โลโก้ใหม่นี้เป็นสัญลักษณ์ของยุค AI ที่ Google กำลังเข้าสู่
    เริ่มใช้ใน Google Search และขยายไปยัง Android, Chrome, Gemini และ Workspace
    โลโก้แบบใหม่ดูดีในขนาดเล็ก เช่น favicon และไอคอนมือถือ
    โลโก้คำว่า “Google” แบบเต็มยังคงเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง
    การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้แบรนด์มีความสอดคล้องและทันสมัยมากขึ้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    โลโก้ใหม่ปรากฏครั้งแรกใน Google Search บน iOS และ Pixel ก่อนขยายไป Android
    Gemini AI ใช้ดีไซน์แบบ “Gemini spark” ที่สอดคล้องกับโลโก้ G แบบใหม่
    การใช้ gradient ช่วยลดขอบแข็งของสี ทำให้โลโก้กลมกลืนกับแอปอื่น ๆ
    การออกแบบโลโก้ให้เหมาะกับขนาดเล็กช่วยเพิ่มการจดจำแบรนด์ในยุคมือถือ
    การเปลี่ยนโลโก้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ “AI-first” ของ Google

    https://securityonline.info/google-refreshes-its-g-logo-with-a-gradient-signaling-a-new-era-focused-on-ai/
    🎨 “Google เปลี่ยนโลโก้ ‘G’ เป็นแบบไล่เฉดสี — สัญลักษณ์ใหม่ของยุค AI ที่ไม่ใช่แค่เรื่องดีไซน์” หลังจากใช้โลโก้ตัวอักษร “G” แบบสี่สีแยกกันมาตั้งแต่ปี 2015 Google ได้ประกาศรีเฟรชโลโก้ครั้งใหญ่ในเดือนกันยายน 2025 โดยเปลี่ยนเป็นเวอร์ชันใหม่ที่ใช้การไล่เฉดสี (gradient) ระหว่างสีแดง เหลือง เขียว และน้ำเงิน ซึ่งยังคงเป็นสีประจำแบรนด์ แต่ถูกนำเสนอในรูปแบบที่ทันสมัยและมีชีวิตชีวามากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงาม — Google ระบุว่าโลโก้ใหม่นี้เป็น “สัญลักษณ์ของยุค AI” ที่บริษัทกำลังเข้าสู่เต็มตัว โดยเฉพาะหลังจากเปิดตัว Gemini AI ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์หลักของ Google ที่ถูกฝังอยู่ในบริการต่าง ๆ เช่น Search, Workspace, Chrome และ Android โลโก้แบบไล่เฉดสีนี้เริ่มปรากฏใน Google Search ตั้งแต่ต้นปี และขยายไปยังแอปอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึง favicon บนเว็บไซต์และไอคอนในมือถือ โดย Google ยืนยันว่าโลโก้ใหม่นี้จะกลายเป็นสัญลักษณ์หลักของทั้งแบรนด์และองค์กร นอกจากความสดใสของสีที่ไหลลื่นต่อกัน โลโก้ใหม่นี้ยังถูกออกแบบให้ดูดีในขนาดเล็ก เช่น บนแอปมือถือหรือ favicon ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้จดจำได้ง่ายขึ้น และสื่อถึงความลื่นไหลของประสบการณ์ใช้งานที่ขับเคลื่อนด้วย AI แม้โลโก้ “G” จะถูกเปลี่ยน แต่โลโก้คำว่า “Google” แบบเต็มยังคงเดิม เพื่อรักษาความคุ้นเคยของผู้ใช้ทั่วโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Google เปลี่ยนโลโก้ “G” จากแบบสี่สีแยกเป็นแบบไล่เฉดสี (gradient) ➡️ โลโก้ใหม่ใช้สีแดง เหลือง เขียว น้ำเงิน แบบไหลลื่นต่อกัน ➡️ เป็นการรีเฟรชครั้งใหญ่ในรอบ 10 ปี นับจากการออกแบบโลโก้ปี 2015 ➡️ โลโก้ใหม่นี้เป็นสัญลักษณ์ของยุค AI ที่ Google กำลังเข้าสู่ ➡️ เริ่มใช้ใน Google Search และขยายไปยัง Android, Chrome, Gemini และ Workspace ➡️ โลโก้แบบใหม่ดูดีในขนาดเล็ก เช่น favicon และไอคอนมือถือ ➡️ โลโก้คำว่า “Google” แบบเต็มยังคงเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้แบรนด์มีความสอดคล้องและทันสมัยมากขึ้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ โลโก้ใหม่ปรากฏครั้งแรกใน Google Search บน iOS และ Pixel ก่อนขยายไป Android ➡️ Gemini AI ใช้ดีไซน์แบบ “Gemini spark” ที่สอดคล้องกับโลโก้ G แบบใหม่ ➡️ การใช้ gradient ช่วยลดขอบแข็งของสี ทำให้โลโก้กลมกลืนกับแอปอื่น ๆ ➡️ การออกแบบโลโก้ให้เหมาะกับขนาดเล็กช่วยเพิ่มการจดจำแบรนด์ในยุคมือถือ ➡️ การเปลี่ยนโลโก้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ “AI-first” ของ Google https://securityonline.info/google-refreshes-its-g-logo-with-a-gradient-signaling-a-new-era-focused-on-ai/
    SECURITYONLINE.INFO
    Google Refreshes its "G" Logo with a Gradient, Signaling a New Era Focused on AI
    Google is updating its iconic 'G' logo with a brighter, gradient-enhanced design. The change is a subtle but powerful signal of the company's transition to an AI-first future.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Google เตรียมบังคับลงทะเบียนนักพัฒนา Android — F-Droid เตือนอาจเป็นจุดจบของแอปโอเพ่นซอร์ส”

    ในเดือนกันยายน 2025 Google ได้ประกาศนโยบายใหม่ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการนักพัฒนา Android ทั่วโลก โดยจะบังคับให้นักพัฒนาแอปทุกคนต้องลงทะเบียนกับ Google เพื่อแจกจ่ายแอปบนอุปกรณ์ Android ที่ได้รับการรับรอง แม้จะเป็นการติดตั้งแบบ sideload ก็ตาม ซึ่งหมายความว่าแม้คุณจะไม่ใช้ Google Play ก็ยังต้องผ่านการตรวจสอบจาก Google อยู่ดี

    การลงทะเบียนนี้ไม่ใช่แค่กรอกชื่อและอีเมล แต่ต้องส่งเอกสารยืนยันตัวตน เช่น บัตรประชาชนหรือหนังสือเดินทาง, จ่ายค่าธรรมเนียม และระบุ “application identifiers” ของทุกแอปที่ต้องการแจกจ่าย ซึ่งสร้างภาระให้กับนักพัฒนาอิสระและโครงการโอเพ่นซอร์สอย่างมาก

    F-Droid ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแจกจ่ายแอปโอเพ่นซอร์สที่ไม่ใช้โฆษณา ไม่ติดตามผู้ใช้ และไม่บังคับให้มีบัญชีผู้ใช้ ออกมาเตือนว่า หากนโยบายนี้ถูกบังคับใช้จริง จะทำให้โครงการ F-Droid ไม่สามารถดำเนินต่อได้ เพราะไม่สามารถ “ยึดสิทธิ์” ของนักพัฒนาในการลงทะเบียนแทนได้ และไม่สามารถบังคับให้นักพัฒนาโอเพ่นซอร์สต้องเปิดเผยตัวตนหรือจ่ายเงินเพื่อแจกจ่ายแอปฟรี

    Google อ้างว่านโยบายนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันมัลแวร์และสร้างความรับผิดชอบ แต่ F-Droid โต้แย้งว่า Google Play เองก็เคยมีมัลแวร์ที่ถูกดาวน์โหลดไปกว่า 19 ล้านครั้ง และระบบ Play Protect ก็สามารถลบแอปที่เป็นอันตรายได้อยู่แล้วโดยไม่ต้องบังคับลงทะเบียน

    F-Droid จึงเรียกร้องให้หน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐฯ และยุโรปเข้ามาตรวจสอบนโยบายนี้ เพราะอาจเป็นการรวมศูนย์อำนาจและทำลายเสรีภาพของผู้ใช้ในการเลือกซอฟต์แวร์ที่ต้องการใช้งานบนอุปกรณ์ของตนเอง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Google ประกาศนโยบายบังคับให้นักพัฒนา Android ต้องลงทะเบียนเพื่อแจกจ่ายแอป
    รวมถึงการติดตั้งแบบ sideload บนอุปกรณ์ Android ที่ได้รับการรับรอง
    ต้องส่งเอกสารยืนยันตัวตน, จ่ายค่าธรรมเนียม และระบุ application identifiers
    F-Droid เตือนว่าโครงการอาจต้องยุติ หากนโยบายนี้ถูกบังคับใช้
    F-Droid ไม่สามารถลงทะเบียนแทนนักพัฒนา หรือยึดสิทธิ์การแจกจ่ายแอปได้
    Google อ้างว่าเป็นมาตรการป้องกันมัลแวร์และสร้างความรับผิดชอบ
    F-Droid โต้แย้งว่า Google Play เองก็เคยมีมัลแวร์จำนวนมาก
    ระบบ Play Protect สามารถลบแอปอันตรายได้โดยไม่ต้องบังคับลงทะเบียน
    F-Droid เรียกร้องให้หน่วยงานกำกับดูแลเข้ามาตรวจสอบนโยบายนี้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    F-Droid เป็นแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์สที่ก่อตั้งในปี 2010 โดยไม่มีโฆษณาและไม่ติดตามผู้ใช้
    แอปใน F-Droid ถูกตรวจสอบโค้ด, คอมไพล์ใหม่ และเซ็นด้วยคีย์ที่ปลอดภัย
    การบังคับลงทะเบียนอาจทำให้ Android กลายเป็นระบบปิดคล้าย iOS
    นักพัฒนาอิสระจำนวนมากไม่สามารถจ่ายค่าธรรมเนียมหรือเปิดเผยตัวตนได้
    การรวมศูนย์การแจกจ่ายแอปอาจลดความหลากหลายและนวัตกรรมในระบบ Android

    https://f-droid.org/2025/09/29/google-developer-registration-decree.html
    📱 “Google เตรียมบังคับลงทะเบียนนักพัฒนา Android — F-Droid เตือนอาจเป็นจุดจบของแอปโอเพ่นซอร์ส” ในเดือนกันยายน 2025 Google ได้ประกาศนโยบายใหม่ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการนักพัฒนา Android ทั่วโลก โดยจะบังคับให้นักพัฒนาแอปทุกคนต้องลงทะเบียนกับ Google เพื่อแจกจ่ายแอปบนอุปกรณ์ Android ที่ได้รับการรับรอง แม้จะเป็นการติดตั้งแบบ sideload ก็ตาม ซึ่งหมายความว่าแม้คุณจะไม่ใช้ Google Play ก็ยังต้องผ่านการตรวจสอบจาก Google อยู่ดี การลงทะเบียนนี้ไม่ใช่แค่กรอกชื่อและอีเมล แต่ต้องส่งเอกสารยืนยันตัวตน เช่น บัตรประชาชนหรือหนังสือเดินทาง, จ่ายค่าธรรมเนียม และระบุ “application identifiers” ของทุกแอปที่ต้องการแจกจ่าย ซึ่งสร้างภาระให้กับนักพัฒนาอิสระและโครงการโอเพ่นซอร์สอย่างมาก F-Droid ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแจกจ่ายแอปโอเพ่นซอร์สที่ไม่ใช้โฆษณา ไม่ติดตามผู้ใช้ และไม่บังคับให้มีบัญชีผู้ใช้ ออกมาเตือนว่า หากนโยบายนี้ถูกบังคับใช้จริง จะทำให้โครงการ F-Droid ไม่สามารถดำเนินต่อได้ เพราะไม่สามารถ “ยึดสิทธิ์” ของนักพัฒนาในการลงทะเบียนแทนได้ และไม่สามารถบังคับให้นักพัฒนาโอเพ่นซอร์สต้องเปิดเผยตัวตนหรือจ่ายเงินเพื่อแจกจ่ายแอปฟรี Google อ้างว่านโยบายนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันมัลแวร์และสร้างความรับผิดชอบ แต่ F-Droid โต้แย้งว่า Google Play เองก็เคยมีมัลแวร์ที่ถูกดาวน์โหลดไปกว่า 19 ล้านครั้ง และระบบ Play Protect ก็สามารถลบแอปที่เป็นอันตรายได้อยู่แล้วโดยไม่ต้องบังคับลงทะเบียน F-Droid จึงเรียกร้องให้หน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐฯ และยุโรปเข้ามาตรวจสอบนโยบายนี้ เพราะอาจเป็นการรวมศูนย์อำนาจและทำลายเสรีภาพของผู้ใช้ในการเลือกซอฟต์แวร์ที่ต้องการใช้งานบนอุปกรณ์ของตนเอง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Google ประกาศนโยบายบังคับให้นักพัฒนา Android ต้องลงทะเบียนเพื่อแจกจ่ายแอป ➡️ รวมถึงการติดตั้งแบบ sideload บนอุปกรณ์ Android ที่ได้รับการรับรอง ➡️ ต้องส่งเอกสารยืนยันตัวตน, จ่ายค่าธรรมเนียม และระบุ application identifiers ➡️ F-Droid เตือนว่าโครงการอาจต้องยุติ หากนโยบายนี้ถูกบังคับใช้ ➡️ F-Droid ไม่สามารถลงทะเบียนแทนนักพัฒนา หรือยึดสิทธิ์การแจกจ่ายแอปได้ ➡️ Google อ้างว่าเป็นมาตรการป้องกันมัลแวร์และสร้างความรับผิดชอบ ➡️ F-Droid โต้แย้งว่า Google Play เองก็เคยมีมัลแวร์จำนวนมาก ➡️ ระบบ Play Protect สามารถลบแอปอันตรายได้โดยไม่ต้องบังคับลงทะเบียน ➡️ F-Droid เรียกร้องให้หน่วยงานกำกับดูแลเข้ามาตรวจสอบนโยบายนี้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ F-Droid เป็นแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์สที่ก่อตั้งในปี 2010 โดยไม่มีโฆษณาและไม่ติดตามผู้ใช้ ➡️ แอปใน F-Droid ถูกตรวจสอบโค้ด, คอมไพล์ใหม่ และเซ็นด้วยคีย์ที่ปลอดภัย ➡️ การบังคับลงทะเบียนอาจทำให้ Android กลายเป็นระบบปิดคล้าย iOS ➡️ นักพัฒนาอิสระจำนวนมากไม่สามารถจ่ายค่าธรรมเนียมหรือเปิดเผยตัวตนได้ ➡️ การรวมศูนย์การแจกจ่ายแอปอาจลดความหลากหลายและนวัตกรรมในระบบ Android https://f-droid.org/2025/09/29/google-developer-registration-decree.html
    F-DROID.ORG
    F-Droid and Google's Developer Registration Decree | F-Droid - Free and Open Source Android App Repository
    For the past 15 years, F-Droidhas provided a safe and secure haven for Android users around the world tofind and install free and open source apps. When cont...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Intel Granite Rapids-WS โผล่พร้อม 86 คอร์ 172 เธรด — ยุคใหม่ของเวิร์กสเตชันระดับ HEDT กำลังจะเริ่มต้น”

    Intel กำลังเตรียมกลับเข้าสู่ตลาดเวิร์กสเตชันระดับสูง (HEDT) อย่างจริงจัง ด้วยการเปิดตัว Granite Rapids-WS ซึ่งเป็นซีพียูรุ่นใหม่ที่มีจำนวนคอร์สูงถึง 86 คอร์ และ 172 เธรด โดยใช้โครงสร้างจากชิปเซิร์ฟเวอร์ XCC ที่ประกอบด้วย 2 compute tiles และ 2 I/O tiles สำหรับจัดการ PCIe และหน่วยความจำ

    ข้อมูลนี้ปรากฏจากฐานข้อมูล OpenBenchmark.org ซึ่งแสดงตัวอย่างชิปที่มีความเร็วสูงสุดใกล้เคียง 4.8 GHz (คาดว่าเป็น turbo boost เฉพาะบางคอร์) แม้จะยังไม่มีข้อมูลด้านพลังงานหรือความถี่พื้นฐาน แต่ก็สะท้อนถึงศักยภาพของแพลตฟอร์มใหม่ที่ Intel กำลังพัฒนา

    Granite Rapids-WS จะใช้แพลตฟอร์ม W890 พร้อมซ็อกเก็ตใหม่ LGA 4710 และมีการแบ่งออกเป็นสองระดับ: รุ่น mainstream รองรับ DDR5 แบบ 4-channel และ PCIe Gen5 จำนวน 80 เลน ส่วนรุ่น expert รองรับ DDR5 แบบ 8-channel และ PCIe Gen5 ถึง 128 เลน ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับ AMD Threadripper 9000 ที่มี 96 คอร์ และแคชสูงถึง 384MB

    แม้ Intel จะยังตามหลัง AMD เล็กน้อยในด้านจำนวนคอร์ แต่ Granite Rapids-WS มีข้อได้เปรียบด้านสถาปัตยกรรมใหม่, ความเร็วหน่วยความจำที่สูงถึง DDR5-8000 และการออกแบบแพลตฟอร์มที่ทันสมัย ซึ่งอาจช่วยให้ Intel กลับมาแข่งขันในตลาดเวิร์กสเตชันได้อีกครั้ง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Granite Rapids-WS มี 86 คอร์ 172 เธรด ใช้โครงสร้างจากชิปเซิร์ฟเวอร์ XCC
    ความเร็วสูงสุดที่พบคือ 4.8 GHz (คาดว่าเป็น turbo boost เฉพาะบางคอร์)
    ใช้แพลตฟอร์ม W890 และซ็อกเก็ตใหม่ LGA 4710
    รุ่น mainstream รองรับ DDR5 แบบ 4-channel และ PCIe Gen5 80 เลน
    รุ่น expert รองรับ DDR5 แบบ 8-channel และ PCIe Gen5 128 เลน
    รองรับแคชสูงสุด 336MB และ TDP สูงสุดประมาณ 350W
    มีการทดสอบบนระบบที่ใช้ RAM DDR5 512GB และ GPU RTX 3090
    Granite Rapids-WS อาจเป็นทางเลือกใหม่แทน Threadripper สำหรับผู้ใช้ระดับมืออาชีพ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    AMD Threadripper 9000 มีสูงสุด 96 คอร์ และแคช 384MB
    Threadripper ใช้ซ็อกเก็ต sTR5 ซึ่งสามารถอัปเกรดผ่าน BIOS ได้ง่าย
    Intel เคยลดบทบาทในตลาด HEDT แต่กำลังกลับมาแข่งขันอีกครั้ง
    Xeon 6700P เป็นรุ่นที่ใกล้เคียงกับ Granite Rapids-WS ในด้านโครงสร้าง
    DDR5-8000 เป็นความเร็วที่สูงมากสำหรับงานเวิร์กสเตชันและ AI

    https://www.techpowerup.com/341448/intel-granite-rapids-ws-appears-with-86-cores-and-172-threads-built-for-hedt
    🧠 “Intel Granite Rapids-WS โผล่พร้อม 86 คอร์ 172 เธรด — ยุคใหม่ของเวิร์กสเตชันระดับ HEDT กำลังจะเริ่มต้น” Intel กำลังเตรียมกลับเข้าสู่ตลาดเวิร์กสเตชันระดับสูง (HEDT) อย่างจริงจัง ด้วยการเปิดตัว Granite Rapids-WS ซึ่งเป็นซีพียูรุ่นใหม่ที่มีจำนวนคอร์สูงถึง 86 คอร์ และ 172 เธรด โดยใช้โครงสร้างจากชิปเซิร์ฟเวอร์ XCC ที่ประกอบด้วย 2 compute tiles และ 2 I/O tiles สำหรับจัดการ PCIe และหน่วยความจำ ข้อมูลนี้ปรากฏจากฐานข้อมูล OpenBenchmark.org ซึ่งแสดงตัวอย่างชิปที่มีความเร็วสูงสุดใกล้เคียง 4.8 GHz (คาดว่าเป็น turbo boost เฉพาะบางคอร์) แม้จะยังไม่มีข้อมูลด้านพลังงานหรือความถี่พื้นฐาน แต่ก็สะท้อนถึงศักยภาพของแพลตฟอร์มใหม่ที่ Intel กำลังพัฒนา Granite Rapids-WS จะใช้แพลตฟอร์ม W890 พร้อมซ็อกเก็ตใหม่ LGA 4710 และมีการแบ่งออกเป็นสองระดับ: รุ่น mainstream รองรับ DDR5 แบบ 4-channel และ PCIe Gen5 จำนวน 80 เลน ส่วนรุ่น expert รองรับ DDR5 แบบ 8-channel และ PCIe Gen5 ถึง 128 เลน ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับ AMD Threadripper 9000 ที่มี 96 คอร์ และแคชสูงถึง 384MB แม้ Intel จะยังตามหลัง AMD เล็กน้อยในด้านจำนวนคอร์ แต่ Granite Rapids-WS มีข้อได้เปรียบด้านสถาปัตยกรรมใหม่, ความเร็วหน่วยความจำที่สูงถึง DDR5-8000 และการออกแบบแพลตฟอร์มที่ทันสมัย ซึ่งอาจช่วยให้ Intel กลับมาแข่งขันในตลาดเวิร์กสเตชันได้อีกครั้ง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Granite Rapids-WS มี 86 คอร์ 172 เธรด ใช้โครงสร้างจากชิปเซิร์ฟเวอร์ XCC ➡️ ความเร็วสูงสุดที่พบคือ 4.8 GHz (คาดว่าเป็น turbo boost เฉพาะบางคอร์) ➡️ ใช้แพลตฟอร์ม W890 และซ็อกเก็ตใหม่ LGA 4710 ➡️ รุ่น mainstream รองรับ DDR5 แบบ 4-channel และ PCIe Gen5 80 เลน ➡️ รุ่น expert รองรับ DDR5 แบบ 8-channel และ PCIe Gen5 128 เลน ➡️ รองรับแคชสูงสุด 336MB และ TDP สูงสุดประมาณ 350W ➡️ มีการทดสอบบนระบบที่ใช้ RAM DDR5 512GB และ GPU RTX 3090 ➡️ Granite Rapids-WS อาจเป็นทางเลือกใหม่แทน Threadripper สำหรับผู้ใช้ระดับมืออาชีพ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ AMD Threadripper 9000 มีสูงสุด 96 คอร์ และแคช 384MB ➡️ Threadripper ใช้ซ็อกเก็ต sTR5 ซึ่งสามารถอัปเกรดผ่าน BIOS ได้ง่าย ➡️ Intel เคยลดบทบาทในตลาด HEDT แต่กำลังกลับมาแข่งขันอีกครั้ง ➡️ Xeon 6700P เป็นรุ่นที่ใกล้เคียงกับ Granite Rapids-WS ในด้านโครงสร้าง ➡️ DDR5-8000 เป็นความเร็วที่สูงมากสำหรับงานเวิร์กสเตชันและ AI https://www.techpowerup.com/341448/intel-granite-rapids-ws-appears-with-86-cores-and-172-threads-built-for-hedt
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Intel "Granite Rapids-WS" Appears with 86 Cores and 172 Threads Built for HEDT
    According to listing on OpenBenchmark.org, spotted by @momomo_us on X, appears to show a "Granite Rapids-WS" engineering sample running with 86 cores and 172 threads. The entry lists peak core speeds near 4.8 GHz, which likely reflects a turboboost on a few cores rather than a sustained all-core clo...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 150 มุมมอง 0 รีวิว
  • “RidePods: เกมแข่งมอเตอร์ไซค์ที่ควบคุมด้วย AirPods — เมื่อศีรษะกลายเป็นจอยสติ๊กแห่งอนาคต”

    โลกของเกมมือถือกำลังเปลี่ยนไป เมื่อ RidePods – Race with Head กลายเป็นเกมแรกที่ใช้ AirPods เป็นอุปกรณ์ควบคุมการเล่นผ่านการเคลื่อนไหวของศีรษะ โดยผู้เล่นสามารถบังคับมอเตอร์ไซค์ในเกมด้วยการเอียงหัวซ้ายขวาเพื่อเลี้ยว และก้มเงยเพื่อเร่งหรือเบรก เรียกได้ว่า “หัวของคุณคือ Wiimote” ที่แท้จริง

    เกมนี้พัฒนาโดย Ali Tanis ซึ่งค้นพบว่าเซ็นเซอร์ที่ใช้ในฟีเจอร์ spatial audio ของ AirPods สามารถนำมาใช้เป็น motion controller ได้ หลังจาก reverse-engineer ระบบดังกล่าว เขาก็สร้างเกมแข่งรถที่ควบคุมด้วยศีรษะขึ้นมา และ Apple ก็อนุมัติให้ลง App Store อย่างเป็นทางการ

    RidePods รองรับเฉพาะ AirPods Pro และ AirPods รุ่นที่ 3 ซึ่งมีเซ็นเซอร์ spatial audio ที่จำเป็นต่อการควบคุมเกม หากใช้หูฟังรุ่นอื่น เกมอาจไม่ทำงานตามที่ตั้งใจไว้ โดยตัวเกมมีระบบการเล่นแบบ arcade ที่เน้นความเร็ว การหลบหลีก และการทำคะแนนสูงสุดในแต่ละรอบ

    นอกจากความแปลกใหม่ในการควบคุมแล้ว RidePods ยังเปิดประตูให้กับนักพัฒนาในการใช้ API ที่ไม่เปิดเผยของ Apple เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ เช่นเดียวกับกรณีที่นักพัฒนาเคยใช้เซ็นเซอร์ LidAngleSensor ใน MacBook เพื่อสร้างแอปจำลองเสียงประตูเปิด

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    RidePods เป็นเกมแรกที่ใช้ AirPods เป็น motion controller ผ่านการเคลื่อนไหวของศีรษะ
    พัฒนาโดย Ali Tanis ด้วยการ reverse-engineer ระบบ spatial audio ของ Apple
    ผู้เล่นควบคุมมอเตอร์ไซค์ด้วยการเอียงหัวเพื่อเลี้ยว และก้มเงยเพื่อเร่งหรือเบรก
    รองรับเฉพาะ AirPods Pro และ AirPods รุ่นที่ 3 ที่มีเซ็นเซอร์ spatial audio
    เกมได้รับการอนุมัติให้ลง App Store อย่างเป็นทางการ
    ระบบการเล่นเน้นความเร็ว การหลบหลีก และการทำคะแนนสูงสุด
    เปิดโอกาสให้นักพัฒนาใช้ API ที่ไม่เปิดเผยของ Apple เพื่อสร้างแอปใหม่
    RidePods มีการออกแบบให้เล่นได้รวดเร็ว เหมาะกับการเล่นแบบ casual หรือแข่งขัน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Apple เตรียมเพิ่ม gesture control และ sleep detection ให้กับ AirPods รุ่นใหม่ใน iOS 26
    การควบคุมด้วยศีรษะเริ่มถูกนำมาใช้ในฟีเจอร์อื่น เช่น การรับ/ปฏิเสธสายโทรศัพท์
    Motion control ผ่านหูฟังอาจนำไปใช้ในแอปอื่น เช่น เกม VR หรือแอปออกกำลังกาย
    การใช้เซ็นเซอร์ spatial audio ช่วยให้การควบคุมแม่นยำและตอบสนองเร็ว
    RidePods อาจเป็นต้นแบบของเกมที่ใช้ wearable เป็นอุปกรณ์ควบคุมหลักในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/worlds-first-airpods-controlled-game-uses-reverse-engineered-spatial-audio-hardware-for-motion-control-undocumented-apple-sensor-enables-ridepods-race-with-head-motorbike-racing-game
    🎮 “RidePods: เกมแข่งมอเตอร์ไซค์ที่ควบคุมด้วย AirPods — เมื่อศีรษะกลายเป็นจอยสติ๊กแห่งอนาคต” โลกของเกมมือถือกำลังเปลี่ยนไป เมื่อ RidePods – Race with Head กลายเป็นเกมแรกที่ใช้ AirPods เป็นอุปกรณ์ควบคุมการเล่นผ่านการเคลื่อนไหวของศีรษะ โดยผู้เล่นสามารถบังคับมอเตอร์ไซค์ในเกมด้วยการเอียงหัวซ้ายขวาเพื่อเลี้ยว และก้มเงยเพื่อเร่งหรือเบรก เรียกได้ว่า “หัวของคุณคือ Wiimote” ที่แท้จริง เกมนี้พัฒนาโดย Ali Tanis ซึ่งค้นพบว่าเซ็นเซอร์ที่ใช้ในฟีเจอร์ spatial audio ของ AirPods สามารถนำมาใช้เป็น motion controller ได้ หลังจาก reverse-engineer ระบบดังกล่าว เขาก็สร้างเกมแข่งรถที่ควบคุมด้วยศีรษะขึ้นมา และ Apple ก็อนุมัติให้ลง App Store อย่างเป็นทางการ RidePods รองรับเฉพาะ AirPods Pro และ AirPods รุ่นที่ 3 ซึ่งมีเซ็นเซอร์ spatial audio ที่จำเป็นต่อการควบคุมเกม หากใช้หูฟังรุ่นอื่น เกมอาจไม่ทำงานตามที่ตั้งใจไว้ โดยตัวเกมมีระบบการเล่นแบบ arcade ที่เน้นความเร็ว การหลบหลีก และการทำคะแนนสูงสุดในแต่ละรอบ นอกจากความแปลกใหม่ในการควบคุมแล้ว RidePods ยังเปิดประตูให้กับนักพัฒนาในการใช้ API ที่ไม่เปิดเผยของ Apple เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ เช่นเดียวกับกรณีที่นักพัฒนาเคยใช้เซ็นเซอร์ LidAngleSensor ใน MacBook เพื่อสร้างแอปจำลองเสียงประตูเปิด ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ RidePods เป็นเกมแรกที่ใช้ AirPods เป็น motion controller ผ่านการเคลื่อนไหวของศีรษะ ➡️ พัฒนาโดย Ali Tanis ด้วยการ reverse-engineer ระบบ spatial audio ของ Apple ➡️ ผู้เล่นควบคุมมอเตอร์ไซค์ด้วยการเอียงหัวเพื่อเลี้ยว และก้มเงยเพื่อเร่งหรือเบรก ➡️ รองรับเฉพาะ AirPods Pro และ AirPods รุ่นที่ 3 ที่มีเซ็นเซอร์ spatial audio ➡️ เกมได้รับการอนุมัติให้ลง App Store อย่างเป็นทางการ ➡️ ระบบการเล่นเน้นความเร็ว การหลบหลีก และการทำคะแนนสูงสุด ➡️ เปิดโอกาสให้นักพัฒนาใช้ API ที่ไม่เปิดเผยของ Apple เพื่อสร้างแอปใหม่ ➡️ RidePods มีการออกแบบให้เล่นได้รวดเร็ว เหมาะกับการเล่นแบบ casual หรือแข่งขัน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Apple เตรียมเพิ่ม gesture control และ sleep detection ให้กับ AirPods รุ่นใหม่ใน iOS 26 ➡️ การควบคุมด้วยศีรษะเริ่มถูกนำมาใช้ในฟีเจอร์อื่น เช่น การรับ/ปฏิเสธสายโทรศัพท์ ➡️ Motion control ผ่านหูฟังอาจนำไปใช้ในแอปอื่น เช่น เกม VR หรือแอปออกกำลังกาย ➡️ การใช้เซ็นเซอร์ spatial audio ช่วยให้การควบคุมแม่นยำและตอบสนองเร็ว ➡️ RidePods อาจเป็นต้นแบบของเกมที่ใช้ wearable เป็นอุปกรณ์ควบคุมหลักในอนาคต https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/worlds-first-airpods-controlled-game-uses-reverse-engineered-spatial-audio-hardware-for-motion-control-undocumented-apple-sensor-enables-ridepods-race-with-head-motorbike-racing-game
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Asus ปล่อย BIOS แก้ปัญหาเครื่องกระตุกใน ROG Laptop — สัญญาอัปเดตเต็มรูปแบบตุลาคมนี้”

    หลังจากเสียงบ่นจากผู้ใช้ ROG Laptop ของ Asus ที่พบปัญหาเครื่องกระตุก เสียงแตก และการตอบสนองช้าเป็นระยะ ๆ โดยเฉพาะในรุ่นปี 2023 อย่าง Strix Scar 15 และ Zephyrus M16 ล่าสุด Asus ได้ออกมาชี้แจงว่า “พบสาเหตุของปัญหาแล้ว” และเริ่มปล่อย BIOS เวอร์ชันเบต้าเพื่อแก้ไขให้กับรุ่นที่ได้รับผลกระทบ

    ปัญหานี้เกิดจากการทำงานผิดพลาดของระบบ ACPI ใน BIOS ซึ่งส่งผลให้เกิด “interrupt storm” หรือการเรียกใช้งาน CPU อย่างหนักจาก ACPI.sys ทุก ๆ 30–60 วินาที แม้จะอยู่ในสถานะ idle ก็ตาม ส่งผลให้เกิด latency สูงและกระตุกทั่วทั้งระบบ2

    Asus ยืนยันว่า BIOS เบต้าที่ปล่อยออกมาจะไม่กระทบต่อการรับประกัน และแนะนำให้ผู้ใช้ตรวจสอบหน้า support ของรุ่นตนเองในสัปดาห์นี้ เพราะไฟล์อัปเดตจะทยอยปล่อยออกมาเรื่อย ๆ ก่อนจะมีเวอร์ชันเต็มในช่วงต้นเดือนตุลาคม

    การแก้ไขนี้ถือเป็นการตอบสนองที่รวดเร็ว หลังจากผู้ใช้บน Reddit และ GitHub ได้ทำการวิเคราะห์อย่างละเอียด และพบว่าปัญหานี้เกิดจากการออกแบบ firmware ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งส่งผลกระทบต่อหลายรุ่นตั้งแต่ปี 2021 ถึง 2024

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Asus พบสาเหตุของปัญหาเครื่องกระตุกใน ROG Laptop แล้ว
    ปัญหาเกิดจาก ACPI interrupt storm และการจัดการพลังงานของ dGPU ที่ผิดพลาด
    BIOS เบต้าถูกปล่อยให้กับรุ่น Strix Scar 15 (G533ZW) และ Zephyrus M16 (GU604VI)
    Asus ยืนยันว่า BIOS เบต้าจะไม่กระทบต่อการรับประกัน
    เวอร์ชันเต็มของ BIOS จะแจกจ่ายในช่วงต้นเดือนตุลาคม
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบหน้า support ของ Asus เพื่อดาวน์โหลดไฟล์อัปเดต
    ปัญหานี้ส่งผลต่อหลายรุ่นตั้งแต่ปี 2021 ถึง 2024
    การวิเคราะห์จากผู้ใช้บน GitHub พบว่า DPC latency สูงผิดปกติจาก ACPI.sys
    Asus ยอมรับว่ามีรุ่นอื่นที่ได้รับผลกระทบ และจะทยอยปล่อย BIOS ให้ในลำดับถัดไป

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ACPI (Advanced Configuration and Power Interface) เป็นระบบควบคุมพลังงานที่ทำงานร่วมกับ BIOS และ OS
    DPC latency สูงอาจส่งผลให้เสียงแตกและระบบตอบสนองช้าลง
    Interrupt storm คือการที่ระบบเรียกใช้งาน CPU ซ้ำ ๆ โดยไม่จำเป็น
    การแก้ไขผ่าน BIOS เป็นวิธีที่ตรงจุดที่สุดเมื่อปัญหาอยู่ในระดับ firmware
    การปล่อย BIOS เบต้าช่วยให้ผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบสามารถทดสอบก่อนเวอร์ชันเต็ม

    https://www.tomshardware.com/laptops/asus-ships-beta-bios-to-fix-stuttering-rog-laptops
    ⚙️ “Asus ปล่อย BIOS แก้ปัญหาเครื่องกระตุกใน ROG Laptop — สัญญาอัปเดตเต็มรูปแบบตุลาคมนี้” หลังจากเสียงบ่นจากผู้ใช้ ROG Laptop ของ Asus ที่พบปัญหาเครื่องกระตุก เสียงแตก และการตอบสนองช้าเป็นระยะ ๆ โดยเฉพาะในรุ่นปี 2023 อย่าง Strix Scar 15 และ Zephyrus M16 ล่าสุด Asus ได้ออกมาชี้แจงว่า “พบสาเหตุของปัญหาแล้ว” และเริ่มปล่อย BIOS เวอร์ชันเบต้าเพื่อแก้ไขให้กับรุ่นที่ได้รับผลกระทบ ปัญหานี้เกิดจากการทำงานผิดพลาดของระบบ ACPI ใน BIOS ซึ่งส่งผลให้เกิด “interrupt storm” หรือการเรียกใช้งาน CPU อย่างหนักจาก ACPI.sys ทุก ๆ 30–60 วินาที แม้จะอยู่ในสถานะ idle ก็ตาม ส่งผลให้เกิด latency สูงและกระตุกทั่วทั้งระบบ2 Asus ยืนยันว่า BIOS เบต้าที่ปล่อยออกมาจะไม่กระทบต่อการรับประกัน และแนะนำให้ผู้ใช้ตรวจสอบหน้า support ของรุ่นตนเองในสัปดาห์นี้ เพราะไฟล์อัปเดตจะทยอยปล่อยออกมาเรื่อย ๆ ก่อนจะมีเวอร์ชันเต็มในช่วงต้นเดือนตุลาคม การแก้ไขนี้ถือเป็นการตอบสนองที่รวดเร็ว หลังจากผู้ใช้บน Reddit และ GitHub ได้ทำการวิเคราะห์อย่างละเอียด และพบว่าปัญหานี้เกิดจากการออกแบบ firmware ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งส่งผลกระทบต่อหลายรุ่นตั้งแต่ปี 2021 ถึง 2024 ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Asus พบสาเหตุของปัญหาเครื่องกระตุกใน ROG Laptop แล้ว ➡️ ปัญหาเกิดจาก ACPI interrupt storm และการจัดการพลังงานของ dGPU ที่ผิดพลาด ➡️ BIOS เบต้าถูกปล่อยให้กับรุ่น Strix Scar 15 (G533ZW) และ Zephyrus M16 (GU604VI) ➡️ Asus ยืนยันว่า BIOS เบต้าจะไม่กระทบต่อการรับประกัน ➡️ เวอร์ชันเต็มของ BIOS จะแจกจ่ายในช่วงต้นเดือนตุลาคม ➡️ ผู้ใช้ควรตรวจสอบหน้า support ของ Asus เพื่อดาวน์โหลดไฟล์อัปเดต ➡️ ปัญหานี้ส่งผลต่อหลายรุ่นตั้งแต่ปี 2021 ถึง 2024 ➡️ การวิเคราะห์จากผู้ใช้บน GitHub พบว่า DPC latency สูงผิดปกติจาก ACPI.sys ➡️ Asus ยอมรับว่ามีรุ่นอื่นที่ได้รับผลกระทบ และจะทยอยปล่อย BIOS ให้ในลำดับถัดไป ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ACPI (Advanced Configuration and Power Interface) เป็นระบบควบคุมพลังงานที่ทำงานร่วมกับ BIOS และ OS ➡️ DPC latency สูงอาจส่งผลให้เสียงแตกและระบบตอบสนองช้าลง ➡️ Interrupt storm คือการที่ระบบเรียกใช้งาน CPU ซ้ำ ๆ โดยไม่จำเป็น ➡️ การแก้ไขผ่าน BIOS เป็นวิธีที่ตรงจุดที่สุดเมื่อปัญหาอยู่ในระดับ firmware ➡️ การปล่อย BIOS เบต้าช่วยให้ผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบสามารถทดสอบก่อนเวอร์ชันเต็ม https://www.tomshardware.com/laptops/asus-ships-beta-bios-to-fix-stuttering-rog-laptops
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Proton Mail ปรับโฉมแอปมือถือใหม่หมด — เร็วขึ้น ลื่นขึ้น และปลอดภัยกว่าเดิม พร้อมโหมดออฟไลน์เต็มรูปแบบ”

    Proton Mail ผู้ให้บริการอีเมลที่เน้นความเป็นส่วนตัวจากสวิตเซอร์แลนด์ ได้เปิดตัวแอปมือถือเวอร์ชันใหม่ทั้งบน Android และ iOS โดยปรับปรุงตั้งแต่โครงสร้างภายในจนถึงหน้าตา เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่เร็วขึ้น ลื่นไหลขึ้น และปลอดภัยยิ่งกว่าเดิม

    สิ่งแรกที่ผู้ใช้จะสัมผัสได้คือ “ความเร็ว” — การเปิดข้อความ การเลื่อนดูอีเมล และการจัดการกล่องจดหมายเร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 2 เท่า การออกแบบใหม่ยังเน้นความเรียบง่าย โดยย้ายปุ่มสำคัญอย่าง “เขียนอีเมล” ไปไว้ในตำแหน่งที่ใช้งานสะดวกขึ้น เช่น ด้านล่างของหน้าจอ เพื่อรองรับการใช้งานมือเดียว

    อีกหนึ่งฟีเจอร์เด่นคือ “โหมดออฟไลน์” ที่ให้ผู้ใช้สามารถอ่าน เขียน และจัดการอีเมลได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต โดยระบบจะซิงก์ข้อมูลให้อัตโนมัติเมื่อกลับมาออนไลน์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับผู้ใช้ที่ต้องเดินทางหรืออยู่ในพื้นที่สัญญาณอ่อน

    เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้คือการรวมโค้ดของแอปทั้งสองแพลตฟอร์มให้เหมือนกันถึง 80% ทำให้การพัฒนาเร็วขึ้น ลดบั๊ก และสามารถปล่อยฟีเจอร์ใหม่พร้อมกันทั้ง Android และ iOS ได้ในอนาคต

    แม้ในขณะที่ iOS ได้รับอัปเดตแล้วทันที แต่ฝั่ง Android ยังอยู่ระหว่างการทยอยปล่อยผ่าน Play Store ซึ่ง Proton ยืนยันว่าจะตามมาในเร็ว ๆ นี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Proton Mail เปิดตัวแอปมือถือเวอร์ชันใหม่ทั้ง Android และ iOS
    ความเร็วในการใช้งานเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า เช่น การเปิดข้อความและเลื่อนดูอีเมล
    ปรับดีไซน์ใหม่ให้เรียบง่ายและใช้งานสะดวกขึ้น โดยเฉพาะปุ่มเขียนอีเมล
    เพิ่มฟีเจอร์ “โหมดออฟไลน์” สำหรับอ่าน เขียน และจัดการอีเมลโดยไม่ต้องต่อเน็ต
    แอปทั้งสองแพลตฟอร์มมีโค้ดร่วมกันถึง 80% เพื่อการพัฒนาและอัปเดตที่รวดเร็ว
    ฟีเจอร์ใหม่จะปล่อยพร้อมกันทั้ง Android และ iOS ในอนาคต
    iOS ได้รับอัปเดตแล้ว ส่วน Android จะทยอยปล่อยเร็ว ๆ นี้
    Proton ยืนยันว่าไม่ใช้โมเดลโฆษณา และเน้นความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้เป็นหลัก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Proton Mail ใช้การเข้ารหัสแบบ end-to-end และไม่มีการติดตามผู้ใช้
    แอปเวอร์ชันใหม่ช่วยลดการพึ่งพา Gmail หรือ Outlook สำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว
    โหมดออฟไลน์เป็นฟีเจอร์ที่หาได้ยากในแอปอีเมลที่เน้นความปลอดภัย
    การรวมโค้ดช่วยให้ทีมพัฒนาไม่ต้องดูแลแยกสองระบบ ลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความเสถียร
    Proton ยังมีบริการอื่น เช่น Proton Calendar และ Proton Drive ที่กำลังพัฒนาให้มี UX ใกล้เคียงกัน

    https://news.itsfoss.com/proton-mail-android-ios-app-revamp/
    📬 “Proton Mail ปรับโฉมแอปมือถือใหม่หมด — เร็วขึ้น ลื่นขึ้น และปลอดภัยกว่าเดิม พร้อมโหมดออฟไลน์เต็มรูปแบบ” Proton Mail ผู้ให้บริการอีเมลที่เน้นความเป็นส่วนตัวจากสวิตเซอร์แลนด์ ได้เปิดตัวแอปมือถือเวอร์ชันใหม่ทั้งบน Android และ iOS โดยปรับปรุงตั้งแต่โครงสร้างภายในจนถึงหน้าตา เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่เร็วขึ้น ลื่นไหลขึ้น และปลอดภัยยิ่งกว่าเดิม สิ่งแรกที่ผู้ใช้จะสัมผัสได้คือ “ความเร็ว” — การเปิดข้อความ การเลื่อนดูอีเมล และการจัดการกล่องจดหมายเร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 2 เท่า การออกแบบใหม่ยังเน้นความเรียบง่าย โดยย้ายปุ่มสำคัญอย่าง “เขียนอีเมล” ไปไว้ในตำแหน่งที่ใช้งานสะดวกขึ้น เช่น ด้านล่างของหน้าจอ เพื่อรองรับการใช้งานมือเดียว อีกหนึ่งฟีเจอร์เด่นคือ “โหมดออฟไลน์” ที่ให้ผู้ใช้สามารถอ่าน เขียน และจัดการอีเมลได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต โดยระบบจะซิงก์ข้อมูลให้อัตโนมัติเมื่อกลับมาออนไลน์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับผู้ใช้ที่ต้องเดินทางหรืออยู่ในพื้นที่สัญญาณอ่อน เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้คือการรวมโค้ดของแอปทั้งสองแพลตฟอร์มให้เหมือนกันถึง 80% ทำให้การพัฒนาเร็วขึ้น ลดบั๊ก และสามารถปล่อยฟีเจอร์ใหม่พร้อมกันทั้ง Android และ iOS ได้ในอนาคต แม้ในขณะที่ iOS ได้รับอัปเดตแล้วทันที แต่ฝั่ง Android ยังอยู่ระหว่างการทยอยปล่อยผ่าน Play Store ซึ่ง Proton ยืนยันว่าจะตามมาในเร็ว ๆ นี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Proton Mail เปิดตัวแอปมือถือเวอร์ชันใหม่ทั้ง Android และ iOS ➡️ ความเร็วในการใช้งานเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า เช่น การเปิดข้อความและเลื่อนดูอีเมล ➡️ ปรับดีไซน์ใหม่ให้เรียบง่ายและใช้งานสะดวกขึ้น โดยเฉพาะปุ่มเขียนอีเมล ➡️ เพิ่มฟีเจอร์ “โหมดออฟไลน์” สำหรับอ่าน เขียน และจัดการอีเมลโดยไม่ต้องต่อเน็ต ➡️ แอปทั้งสองแพลตฟอร์มมีโค้ดร่วมกันถึง 80% เพื่อการพัฒนาและอัปเดตที่รวดเร็ว ➡️ ฟีเจอร์ใหม่จะปล่อยพร้อมกันทั้ง Android และ iOS ในอนาคต ➡️ iOS ได้รับอัปเดตแล้ว ส่วน Android จะทยอยปล่อยเร็ว ๆ นี้ ➡️ Proton ยืนยันว่าไม่ใช้โมเดลโฆษณา และเน้นความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้เป็นหลัก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Proton Mail ใช้การเข้ารหัสแบบ end-to-end และไม่มีการติดตามผู้ใช้ ➡️ แอปเวอร์ชันใหม่ช่วยลดการพึ่งพา Gmail หรือ Outlook สำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ➡️ โหมดออฟไลน์เป็นฟีเจอร์ที่หาได้ยากในแอปอีเมลที่เน้นความปลอดภัย ➡️ การรวมโค้ดช่วยให้ทีมพัฒนาไม่ต้องดูแลแยกสองระบบ ลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความเสถียร ➡️ Proton ยังมีบริการอื่น เช่น Proton Calendar และ Proton Drive ที่กำลังพัฒนาให้มี UX ใกล้เคียงกัน https://news.itsfoss.com/proton-mail-android-ios-app-revamp/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Proton Mail on Android and iOS is Now Faster and More Beautiful
    Proton has revamped the Android and iOS apps for Proton Mail.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 175 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ZimaOS 1.5 เปิดตัวรุ่น Plus แบบจ่ายครั้งเดียว — เพิ่มฟีเจอร์เต็มสูบแต่ยังรักษาหัวใจโอเพ่นซอร์สไว้ครบ”

    ZimaOS ซึ่งพัฒนาต่อยอดจาก CasaOS โดยทีม IceWhale ได้เปิดตัวเวอร์ชัน 1.5 พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ตอบโจทย์สาย NAS และ homelab อย่างเต็มรูปแบบ โดยยังคงรักษาแนวทางโอเพ่นซอร์สและการใช้งานฟรีไว้ในรุ่น Community Edition (CE) แต่เพิ่มทางเลือกใหม่สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการฟีเจอร์ขั้นสูงผ่านรุ่น Plus Edition แบบจ่ายครั้งเดียว $29

    ZimaOS 1.5 มาพร้อมการรองรับอุปกรณ์ที่หลากหลายมากขึ้น รวมถึงการเข้าถึงผ่านมือถือทั้ง iOS, Android และ Windows ทำให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสถานะระบบ สำรองข้อมูล และเข้าถึงไฟล์ได้ทุกที่ทุกเวลา นอกจากนี้ยังมีการนำแนวคิด 3-2-1 backup มาใช้ โดยผสานการสำรองข้อมูลในเครื่องกับคลาวด์อย่างลงตัว ลดความยุ่งยากในการตั้งค่าและจัดการข้อมูล

    ด้านความเป็นส่วนตัว ZimaOS ยืนยันว่าไม่ต้องใช้อีเมลหรือเบอร์โทรในการสร้างบัญชี ทำให้ข้อมูลของผู้ใช้ไม่ถูกส่งออกไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอก และยังสามารถใช้งานร่วมกับระบบสมาร์ทโฮมหรือโปรเจกต์สร้างสรรค์ได้อย่างปลอดภัย

    สำหรับรุ่น Plus Edition ผู้ใช้จะได้รับสิทธิ์ในการใช้งานแบบไม่จำกัดจำนวนแอป ดิสก์ และผู้ใช้ ขณะที่รุ่น CE จะจำกัดไว้ที่ 10 แอป 4 ดิสก์ และ 3 ผู้ใช้ โดยผู้ใช้เดิมก่อนเวอร์ชัน 1.5 จะได้รับการอัปเกรดเป็น Plus ฟรีจนถึง 30 มิถุนายน 2026 และผู้ที่ใช้ฮาร์ดแวร์ของ Zima เช่น ZimaBoard, ZimaBlade หรือ ZimaCube จะได้รับสิทธิ์ Plus ทันทีโดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ZimaOS 1.5 เปิดตัวรุ่น Plus Edition แบบจ่ายครั้งเดียว $29
    รุ่น Community Edition (CE) ยังใช้งานฟรี พร้อมฟีเจอร์หลักครบ
    รองรับการเข้าถึงผ่านมือถือทั้ง iOS, Android และ Windows
    ใช้แนวคิด 3-2-1 backup ผสาน NAS และคลาวด์อย่างลงตัว
    ไม่ต้องใช้อีเมลหรือเบอร์โทรในการสร้างบัญชี
    รองรับ RAID แบบใหม่ เช่น Btrfs เพื่อการจัดการดิสก์ที่ยืดหยุ่น
    รุ่น CE จำกัดไว้ที่ 10 แอป 4 ดิสก์ และ 3 ผู้ใช้
    ผู้ใช้เดิมก่อนเวอร์ชัน 1.5 ได้อัปเกรดเป็น Plus ฟรีจนถึง 30 มิ.ย. 2026
    ผู้ใช้ฮาร์ดแวร์ Zima ได้สิทธิ์ Plus ทันทีโดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม
    รายได้จากรุ่น Plus ใช้สนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาโครงการ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ZimaOS รองรับอุปกรณ์ x86-64 ทุกประเภท และทำงานได้แม้บนฮาร์ดแวร์พลังงานต่ำ
    สามารถติดตั้งแอปยอดนิยมเช่น Jellyfin, Plex, Immich และระบบจัดเก็บเอกสารผ่าน Docker
    การออกแบบ UI เน้นความเรียบง่ายและใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องตั้งค่าซับซ้อน
    รองรับการเชื่อมต่อผ่าน SMB, Thunderbolt (เฉพาะ ZimaCube Pro) และ LAN/WAN
    ZimaOS ได้รับการยกย่องว่าเป็น “Raspberry Pi สำหรับ x86” ในแง่ของความง่ายและประสิทธิภาพ

    https://news.itsfoss.com/zimaos-1-5-release/
    🧊 “ZimaOS 1.5 เปิดตัวรุ่น Plus แบบจ่ายครั้งเดียว — เพิ่มฟีเจอร์เต็มสูบแต่ยังรักษาหัวใจโอเพ่นซอร์สไว้ครบ” ZimaOS ซึ่งพัฒนาต่อยอดจาก CasaOS โดยทีม IceWhale ได้เปิดตัวเวอร์ชัน 1.5 พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ตอบโจทย์สาย NAS และ homelab อย่างเต็มรูปแบบ โดยยังคงรักษาแนวทางโอเพ่นซอร์สและการใช้งานฟรีไว้ในรุ่น Community Edition (CE) แต่เพิ่มทางเลือกใหม่สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการฟีเจอร์ขั้นสูงผ่านรุ่น Plus Edition แบบจ่ายครั้งเดียว $29 ZimaOS 1.5 มาพร้อมการรองรับอุปกรณ์ที่หลากหลายมากขึ้น รวมถึงการเข้าถึงผ่านมือถือทั้ง iOS, Android และ Windows ทำให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสถานะระบบ สำรองข้อมูล และเข้าถึงไฟล์ได้ทุกที่ทุกเวลา นอกจากนี้ยังมีการนำแนวคิด 3-2-1 backup มาใช้ โดยผสานการสำรองข้อมูลในเครื่องกับคลาวด์อย่างลงตัว ลดความยุ่งยากในการตั้งค่าและจัดการข้อมูล ด้านความเป็นส่วนตัว ZimaOS ยืนยันว่าไม่ต้องใช้อีเมลหรือเบอร์โทรในการสร้างบัญชี ทำให้ข้อมูลของผู้ใช้ไม่ถูกส่งออกไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอก และยังสามารถใช้งานร่วมกับระบบสมาร์ทโฮมหรือโปรเจกต์สร้างสรรค์ได้อย่างปลอดภัย สำหรับรุ่น Plus Edition ผู้ใช้จะได้รับสิทธิ์ในการใช้งานแบบไม่จำกัดจำนวนแอป ดิสก์ และผู้ใช้ ขณะที่รุ่น CE จะจำกัดไว้ที่ 10 แอป 4 ดิสก์ และ 3 ผู้ใช้ โดยผู้ใช้เดิมก่อนเวอร์ชัน 1.5 จะได้รับการอัปเกรดเป็น Plus ฟรีจนถึง 30 มิถุนายน 2026 และผู้ที่ใช้ฮาร์ดแวร์ของ Zima เช่น ZimaBoard, ZimaBlade หรือ ZimaCube จะได้รับสิทธิ์ Plus ทันทีโดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ZimaOS 1.5 เปิดตัวรุ่น Plus Edition แบบจ่ายครั้งเดียว $29 ➡️ รุ่น Community Edition (CE) ยังใช้งานฟรี พร้อมฟีเจอร์หลักครบ ➡️ รองรับการเข้าถึงผ่านมือถือทั้ง iOS, Android และ Windows ➡️ ใช้แนวคิด 3-2-1 backup ผสาน NAS และคลาวด์อย่างลงตัว ➡️ ไม่ต้องใช้อีเมลหรือเบอร์โทรในการสร้างบัญชี ➡️ รองรับ RAID แบบใหม่ เช่น Btrfs เพื่อการจัดการดิสก์ที่ยืดหยุ่น ➡️ รุ่น CE จำกัดไว้ที่ 10 แอป 4 ดิสก์ และ 3 ผู้ใช้ ➡️ ผู้ใช้เดิมก่อนเวอร์ชัน 1.5 ได้อัปเกรดเป็น Plus ฟรีจนถึง 30 มิ.ย. 2026 ➡️ ผู้ใช้ฮาร์ดแวร์ Zima ได้สิทธิ์ Plus ทันทีโดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ➡️ รายได้จากรุ่น Plus ใช้สนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาโครงการ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ZimaOS รองรับอุปกรณ์ x86-64 ทุกประเภท และทำงานได้แม้บนฮาร์ดแวร์พลังงานต่ำ ➡️ สามารถติดตั้งแอปยอดนิยมเช่น Jellyfin, Plex, Immich และระบบจัดเก็บเอกสารผ่าน Docker ➡️ การออกแบบ UI เน้นความเรียบง่ายและใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องตั้งค่าซับซ้อน ➡️ รองรับการเชื่อมต่อผ่าน SMB, Thunderbolt (เฉพาะ ZimaCube Pro) และ LAN/WAN ➡️ ZimaOS ได้รับการยกย่องว่าเป็น “Raspberry Pi สำหรับ x86” ในแง่ของความง่ายและประสิทธิภาพ https://news.itsfoss.com/zimaos-1-5-release/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    ZimaOS 1.5 Adds Paid Plus Edition While Keeping Core Features Free
    An exciting release with an optional $29 lifetime upgrade.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • เซเลนสกีส่งคำเตือนไปถึงเจ้าหน้าที่รัสเซียผ่านรายการ The Axios Show ของ Barak Ravid นักข่าชาวอิสราเอล

    เซเลนสกี กล่าวว่า กลุ่มผู้นำรัสเซียมีทางเลือก 2 ทาง คือ ยุติศึกรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อมากว่า 3 ปี หรือตกเป็นเป้าหมายการโจมตีทางอากาศของยูเครน เนื่องจากขณะนี้พันธมิตรตะวันตกรวมทั้งสหรัฐฯ ได้อนุญาตให้ยูเครนสามารถโจมตีเป้าหมายในรัสเซียด้วยขีปนาวุธ และโดรน หรืออากาศยานไร้คนขับ โดยไม่จำกัดพิสัยการยิงไว้แค่แนวหน้าอีกต่อไปแล้ว

    กลุ่มผู้นำรัสเซียควรต้องคิดถึงหลุมหลบภัยไว้บ้างในตอนนี้ ว่ามันอยู่ที่ใดบ้างกรณีถ้าถูกโจมตีทางอากาศ เนื่องจากยูเครนมีฝูงโดรนโจมตีประจำการอยู่ ซึ่งมีพิสัยการยิงโจมตีไกลถึง 3,000 กิโลเมตร

    เซเลนสกีส่งคำเตือนไปถึงเจ้าหน้าที่รัสเซียผ่านรายการ The Axios Show ของ Barak Ravid นักข่าชาวอิสราเอล เซเลนสกี กล่าวว่า กลุ่มผู้นำรัสเซียมีทางเลือก 2 ทาง คือ ยุติศึกรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อมากว่า 3 ปี หรือตกเป็นเป้าหมายการโจมตีทางอากาศของยูเครน เนื่องจากขณะนี้พันธมิตรตะวันตกรวมทั้งสหรัฐฯ ได้อนุญาตให้ยูเครนสามารถโจมตีเป้าหมายในรัสเซียด้วยขีปนาวุธ และโดรน หรืออากาศยานไร้คนขับ โดยไม่จำกัดพิสัยการยิงไว้แค่แนวหน้าอีกต่อไปแล้ว กลุ่มผู้นำรัสเซียควรต้องคิดถึงหลุมหลบภัยไว้บ้างในตอนนี้ ว่ามันอยู่ที่ใดบ้างกรณีถ้าถูกโจมตีทางอากาศ เนื่องจากยูเครนมีฝูงโดรนโจมตีประจำการอยู่ ซึ่งมีพิสัยการยิงโจมตีไกลถึง 3,000 กิโลเมตร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 321 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • “แบต iPhone 16 Pro Max ยังสดใหม่ 98% หลังใช้งาน 1 ปี — เคล็ดลับง่าย ๆ ที่ใครก็ทำได้”

    ผู้ใช้ iPhone 16 Pro Max รายหนึ่งเผยประสบการณ์ตรงหลังใช้งานมือถือรุ่นเรือธงของ Apple มาเป็นเวลา 12 เดือนเต็ม โดยสามารถรักษาสุขภาพแบตเตอรี่ไว้ได้ถึง 98% ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับการใช้งานทุกวัน ทั้งทำงาน ดูสื่อ และเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์

    เขาไม่ได้ใช้วิธีซับซ้อนหรืออุปกรณ์พิเศษใด ๆ แต่เน้น “วินัยในการชาร์จ” และ “การจัดการพลังงาน” ที่สม่ำเสมอ เช่น เปิดฟีเจอร์ Optimized Battery Charging เพื่อให้เครื่องชาร์จถึง 80% แล้วหยุดไว้ก่อนจะเติมเต็มในช่วงใกล้ตื่นนอน ลดความเครียดของเซลล์แบตเตอรี่ในช่วงกลางคืน

    นอกจากนี้ยังหลีกเลี่ยงการชาร์จในที่ร้อน เช่น กลางแดดหรือขณะรันแอปหนัก ๆ และเลือกชาร์จในช่วง 20–90% โดยไม่ปล่อยให้แบตหมดหรือค้างไว้ที่ 100% นานเกินไป อีกหนึ่งเคล็ดลับคือใช้เฉพาะอุปกรณ์ชาร์จของ Apple เพื่อความเสถียรของกระแสไฟ

    เขายังจัดการการใช้งานรายวันอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ปิดการทำงานเบื้องหลังของแอปที่ไม่จำเป็น ใช้ Low Power Mode ในวันที่ยุ่ง และอัปเดต iOS อย่างสม่ำเสมอเพื่อรับการปรับปรุงด้านพลังงานล่าสุด รวมถึงฟีเจอร์ใหม่อย่าง Adaptive Power Mode ที่ใช้ AI ช่วยปรับการใช้พลังงานตามพฤติกรรมของผู้ใช้

    เมื่อรวมทุกปัจจัยเข้าด้วยกัน เขาสามารถรักษา cycle count ไว้ที่ 219 ครั้ง จาก 360 วัน ซึ่งถือว่าต่ำมากสำหรับการใช้งานจริง และเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้แบตยังคงสุขภาพดี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    iPhone 16 Pro Max มีแบตเตอรี่สุขภาพ 98% หลังใช้งาน 12 เดือน
    ใช้ฟีเจอร์ Optimized Battery Charging เพื่อชาร์จอย่างมีประสิทธิภาพ
    หลีกเลี่ยงการชาร์จในที่ร้อนหรือขณะใช้งานหนัก
    ชาร์จในช่วง 20–90% และไม่ปล่อยให้แบตหมดหรือเต็มนานเกินไป
    ใช้อุปกรณ์ชาร์จของ Apple เท่านั้นเพื่อความปลอดภัย
    ปิดการทำงานเบื้องหลังของแอปที่ไม่จำเป็น
    ใช้ Low Power Mode ในวันที่ต้องการประหยัดพลังงาน
    อัปเดต iOS และแอปอย่างสม่ำเสมอเพื่อรับการปรับปรุงด้านพลังงาน
    ฟีเจอร์ Adaptive Power Mode ใช้ AI ปรับการใช้พลังงานตามพฤติกรรม
    cycle count อยู่ที่ 219 ครั้ง จาก 360 วัน ถือว่าต่ำมากสำหรับการใช้งานจริง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    iPhone 16 Pro ใช้ชิป A18 Pro ที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงขึ้น
    Apple ใช้เทคนิค “capacity buffer” เพื่อยืดอายุแบตเตอรี่
    iOS 19 มีระบบจัดการพลังงานที่แม่นยำขึ้น เช่น การปรับ refresh rate และการควบคุม background activity
    การปิด Live Activities และ Background App Refresh ช่วยลดการใช้พลังงาน
    การเก็บเครื่องที่ไม่ได้ใช้งานไว้ที่แบต 50% ช่วยรักษาสุขภาพแบตในระยะยาว

    https://wccftech.com/iphone-16-pro-max-98-percent-battery-health-after-12-months/
    🔋 “แบต iPhone 16 Pro Max ยังสดใหม่ 98% หลังใช้งาน 1 ปี — เคล็ดลับง่าย ๆ ที่ใครก็ทำได้” ผู้ใช้ iPhone 16 Pro Max รายหนึ่งเผยประสบการณ์ตรงหลังใช้งานมือถือรุ่นเรือธงของ Apple มาเป็นเวลา 12 เดือนเต็ม โดยสามารถรักษาสุขภาพแบตเตอรี่ไว้ได้ถึง 98% ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับการใช้งานทุกวัน ทั้งทำงาน ดูสื่อ และเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ เขาไม่ได้ใช้วิธีซับซ้อนหรืออุปกรณ์พิเศษใด ๆ แต่เน้น “วินัยในการชาร์จ” และ “การจัดการพลังงาน” ที่สม่ำเสมอ เช่น เปิดฟีเจอร์ Optimized Battery Charging เพื่อให้เครื่องชาร์จถึง 80% แล้วหยุดไว้ก่อนจะเติมเต็มในช่วงใกล้ตื่นนอน ลดความเครียดของเซลล์แบตเตอรี่ในช่วงกลางคืน นอกจากนี้ยังหลีกเลี่ยงการชาร์จในที่ร้อน เช่น กลางแดดหรือขณะรันแอปหนัก ๆ และเลือกชาร์จในช่วง 20–90% โดยไม่ปล่อยให้แบตหมดหรือค้างไว้ที่ 100% นานเกินไป อีกหนึ่งเคล็ดลับคือใช้เฉพาะอุปกรณ์ชาร์จของ Apple เพื่อความเสถียรของกระแสไฟ เขายังจัดการการใช้งานรายวันอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ปิดการทำงานเบื้องหลังของแอปที่ไม่จำเป็น ใช้ Low Power Mode ในวันที่ยุ่ง และอัปเดต iOS อย่างสม่ำเสมอเพื่อรับการปรับปรุงด้านพลังงานล่าสุด รวมถึงฟีเจอร์ใหม่อย่าง Adaptive Power Mode ที่ใช้ AI ช่วยปรับการใช้พลังงานตามพฤติกรรมของผู้ใช้ เมื่อรวมทุกปัจจัยเข้าด้วยกัน เขาสามารถรักษา cycle count ไว้ที่ 219 ครั้ง จาก 360 วัน ซึ่งถือว่าต่ำมากสำหรับการใช้งานจริง และเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้แบตยังคงสุขภาพดี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ iPhone 16 Pro Max มีแบตเตอรี่สุขภาพ 98% หลังใช้งาน 12 เดือน ➡️ ใช้ฟีเจอร์ Optimized Battery Charging เพื่อชาร์จอย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ หลีกเลี่ยงการชาร์จในที่ร้อนหรือขณะใช้งานหนัก ➡️ ชาร์จในช่วง 20–90% และไม่ปล่อยให้แบตหมดหรือเต็มนานเกินไป ➡️ ใช้อุปกรณ์ชาร์จของ Apple เท่านั้นเพื่อความปลอดภัย ➡️ ปิดการทำงานเบื้องหลังของแอปที่ไม่จำเป็น ➡️ ใช้ Low Power Mode ในวันที่ต้องการประหยัดพลังงาน ➡️ อัปเดต iOS และแอปอย่างสม่ำเสมอเพื่อรับการปรับปรุงด้านพลังงาน ➡️ ฟีเจอร์ Adaptive Power Mode ใช้ AI ปรับการใช้พลังงานตามพฤติกรรม ➡️ cycle count อยู่ที่ 219 ครั้ง จาก 360 วัน ถือว่าต่ำมากสำหรับการใช้งานจริง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ iPhone 16 Pro ใช้ชิป A18 Pro ที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงขึ้น ➡️ Apple ใช้เทคนิค “capacity buffer” เพื่อยืดอายุแบตเตอรี่ ➡️ iOS 19 มีระบบจัดการพลังงานที่แม่นยำขึ้น เช่น การปรับ refresh rate และการควบคุม background activity ➡️ การปิด Live Activities และ Background App Refresh ช่วยลดการใช้พลังงาน ➡️ การเก็บเครื่องที่ไม่ได้ใช้งานไว้ที่แบต 50% ช่วยรักษาสุขภาพแบตในระยะยาว https://wccftech.com/iphone-16-pro-max-98-percent-battery-health-after-12-months/
    WCCFTECH.COM
    How I Managed To Retain 98 Percent Battery Health On My iPhone 16 Pro Max After 12 Months Of Use
    Learn the charging habits and smart practices that helped me keep my iPhone 16 Pro Max battery health at 98 percent.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 175 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Phone Farm Box: ฟาร์ม iPhone 420 เครื่องในตู้เดียว — เครื่องมือทดสอบแอปหรืออาวุธลับโกงโฆษณา?”

    ในยุคที่มือถือกลายเป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง ตั้งแต่การสื่อสารไปจนถึงการทำเงิน มีเทคโนโลยีหนึ่งที่กำลังถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นคือ “Phone Farm Box” — กล่องที่สามารถจัดการ iPhone ได้ทีละ 20 เครื่อง และเมื่อวางเรียงในตู้เซิร์ฟเวอร์ขนาด 42U ก็สามารถควบคุม iPhone ได้ถึง 420 เครื่องพร้อมกัน

    ระบบนี้ไม่ใช่แค่การเสียบมือถือหลายเครื่องไว้เฉย ๆ แต่มีซอฟต์แวร์ควบคุมจาก PC ที่สามารถสั่งงานผ่าน API ได้หลากหลาย เช่น HTTP, WebSocket, Python, OCR, การคลิก, การเลื่อนหน้าจอ และแม้แต่การจำลองคีย์บอร์ดและเมาส์แบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถควบคุมมือถือทั้งหมดได้พร้อมกันแบบอัตโนมัติ

    Phone Farm Box ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในงานที่ต้องการทดสอบแอปจำนวนมาก เช่น QA, การเก็บข้อมูลประสิทธิภาพ หรือการจำลองการใช้งานจริงในหลายอุปกรณ์พร้อมกัน แต่ในอีกด้านหนึ่ง เทคโนโลยีนี้ก็สามารถถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การโกงระบบโฆษณา (ad fraud) ด้วยการสร้างคลิกปลอม, การติดตั้งแอปซ้ำ ๆ หรือการสร้าง engagement ปลอมในโซเชียลมีเดีย

    ตัวเครื่องรองรับ iPhone ตั้งแต่รุ่น 6s ขึ้นไป โดยไม่มีกล้อง, ไม่มี SIM, ไม่สามารถล้างเครื่อง และไม่สามารถใช้บริการ iCloud ได้ ซึ่งทำให้เหมาะกับการใช้งานแบบเฉพาะทางมากกว่าการใช้งานทั่วไป

    ราคาของกล่องเปล่าอยู่ที่ประมาณ $700 และหากรวม iPhone ทั้ง 20 เครื่องจะอยู่ที่ $1,900 โดยจัดส่งเฉพาะในสหรัฐฯ และไม่สามารถคืนสินค้าได้หากเป็นแบบสั่งผลิตพิเศษ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Phone Farm Box สามารถควบคุม iPhone ได้ถึง 420 เครื่องในตู้ 42U
    ใช้ซอฟต์แวร์ PC ควบคุมผ่าน API เช่น HTTP, Python, OCR และอื่น ๆ
    รองรับการควบคุมแบบ batch เช่น คลิก, เลื่อน, พิมพ์, โอนไฟล์ และ copy-paste
    รองรับ iPhone ตั้งแต่รุ่น 6s ขึ้นไป ที่ใช้ iOS 13.4 หรือใหม่กว่า
    iPhone ที่ใช้ไม่มีกล้อง, ไม่มี SIM, ไม่สามารถล้างเครื่อง และไม่ใช้ iCloud
    ใช้สายไฟจาก chassis แทนแบตเตอรี่เพื่อความปลอดภัยและเสถียร
    เหมาะสำหรับงาน QA, ทดสอบแอป, เก็บข้อมูล และการจำลองการใช้งาน
    ราคากล่องเปล่า $700 และแบบรวมเครื่อง $1,900 จัดส่งเฉพาะในสหรัฐฯ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Phone farm เป็นเทคนิคที่ใช้มือถือหลายเครื่องเพื่อสร้างรายได้จากแอป, โฆษณา, หรือคลิกปลอม
    การควบคุมแบบอัตโนมัติช่วยลดแรงงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานซ้ำ ๆ
    มีการใช้ phone farm เพื่อโกงระบบติดตั้งแอป, เพิ่มยอดวิว, หรือสร้าง engagement ปลอม
    การใช้ SDK ที่แอบส่งข้อมูลจากแอปสามารถรวมเข้ากับระบบนี้ได้ง่าย
    การจัดการความร้อนและพลังงานเป็นสิ่งสำคัญในการใช้งาน phone farm ระยะยาว

    https://www.techradar.com/pro/you-can-run-420-apple-iphone-smartphones-using-a-42u-rack-full-of-these-phone-farm-boxes-who-needs-power-pcs-when-you-can-recycle-old-mobiles
    📦 “Phone Farm Box: ฟาร์ม iPhone 420 เครื่องในตู้เดียว — เครื่องมือทดสอบแอปหรืออาวุธลับโกงโฆษณา?” ในยุคที่มือถือกลายเป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง ตั้งแต่การสื่อสารไปจนถึงการทำเงิน มีเทคโนโลยีหนึ่งที่กำลังถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นคือ “Phone Farm Box” — กล่องที่สามารถจัดการ iPhone ได้ทีละ 20 เครื่อง และเมื่อวางเรียงในตู้เซิร์ฟเวอร์ขนาด 42U ก็สามารถควบคุม iPhone ได้ถึง 420 เครื่องพร้อมกัน ระบบนี้ไม่ใช่แค่การเสียบมือถือหลายเครื่องไว้เฉย ๆ แต่มีซอฟต์แวร์ควบคุมจาก PC ที่สามารถสั่งงานผ่าน API ได้หลากหลาย เช่น HTTP, WebSocket, Python, OCR, การคลิก, การเลื่อนหน้าจอ และแม้แต่การจำลองคีย์บอร์ดและเมาส์แบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถควบคุมมือถือทั้งหมดได้พร้อมกันแบบอัตโนมัติ Phone Farm Box ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในงานที่ต้องการทดสอบแอปจำนวนมาก เช่น QA, การเก็บข้อมูลประสิทธิภาพ หรือการจำลองการใช้งานจริงในหลายอุปกรณ์พร้อมกัน แต่ในอีกด้านหนึ่ง เทคโนโลยีนี้ก็สามารถถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การโกงระบบโฆษณา (ad fraud) ด้วยการสร้างคลิกปลอม, การติดตั้งแอปซ้ำ ๆ หรือการสร้าง engagement ปลอมในโซเชียลมีเดีย ตัวเครื่องรองรับ iPhone ตั้งแต่รุ่น 6s ขึ้นไป โดยไม่มีกล้อง, ไม่มี SIM, ไม่สามารถล้างเครื่อง และไม่สามารถใช้บริการ iCloud ได้ ซึ่งทำให้เหมาะกับการใช้งานแบบเฉพาะทางมากกว่าการใช้งานทั่วไป ราคาของกล่องเปล่าอยู่ที่ประมาณ $700 และหากรวม iPhone ทั้ง 20 เครื่องจะอยู่ที่ $1,900 โดยจัดส่งเฉพาะในสหรัฐฯ และไม่สามารถคืนสินค้าได้หากเป็นแบบสั่งผลิตพิเศษ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Phone Farm Box สามารถควบคุม iPhone ได้ถึง 420 เครื่องในตู้ 42U ➡️ ใช้ซอฟต์แวร์ PC ควบคุมผ่าน API เช่น HTTP, Python, OCR และอื่น ๆ ➡️ รองรับการควบคุมแบบ batch เช่น คลิก, เลื่อน, พิมพ์, โอนไฟล์ และ copy-paste ➡️ รองรับ iPhone ตั้งแต่รุ่น 6s ขึ้นไป ที่ใช้ iOS 13.4 หรือใหม่กว่า ➡️ iPhone ที่ใช้ไม่มีกล้อง, ไม่มี SIM, ไม่สามารถล้างเครื่อง และไม่ใช้ iCloud ➡️ ใช้สายไฟจาก chassis แทนแบตเตอรี่เพื่อความปลอดภัยและเสถียร ➡️ เหมาะสำหรับงาน QA, ทดสอบแอป, เก็บข้อมูล และการจำลองการใช้งาน ➡️ ราคากล่องเปล่า $700 และแบบรวมเครื่อง $1,900 จัดส่งเฉพาะในสหรัฐฯ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Phone farm เป็นเทคนิคที่ใช้มือถือหลายเครื่องเพื่อสร้างรายได้จากแอป, โฆษณา, หรือคลิกปลอม ➡️ การควบคุมแบบอัตโนมัติช่วยลดแรงงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานซ้ำ ๆ ➡️ มีการใช้ phone farm เพื่อโกงระบบติดตั้งแอป, เพิ่มยอดวิว, หรือสร้าง engagement ปลอม ➡️ การใช้ SDK ที่แอบส่งข้อมูลจากแอปสามารถรวมเข้ากับระบบนี้ได้ง่าย ➡️ การจัดการความร้อนและพลังงานเป็นสิ่งสำคัญในการใช้งาน phone farm ระยะยาว https://www.techradar.com/pro/you-can-run-420-apple-iphone-smartphones-using-a-42u-rack-full-of-these-phone-farm-boxes-who-needs-power-pcs-when-you-can-recycle-old-mobiles
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แอปมือถือรั่วข้อมูลหนัก — iOS แย่กว่า Android และ API กลายเป็นช่องโหว่หลักขององค์กร”

    รายงานล่าสุดจาก Zimperium เผยให้เห็นภาพที่น่าตกใจของความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในแอปมือถือ โดยเฉพาะในระบบ iOS และ Android ซึ่งกลายเป็นสนามรบใหม่ของการโจมตีผ่าน API โดยตรง รายงานระบุว่า “มากกว่าครึ่ง” ของแอป iOS และ “หนึ่งในสาม” ของแอป Android มีการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ เช่น ข้อมูลส่วนตัว (PII), token, และข้อมูลระบบที่สามารถนำไปใช้โจมตีต่อได้ทันที

    สิ่งที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้นคือการที่แฮกเกอร์สามารถดัดแปลงแอปจากฝั่ง client ได้โดยตรง เช่น การ reverse-engineer โค้ด, การปลอม API call ให้ดูเหมือนถูกต้อง, หรือแม้แต่การฝัง SDK ที่แอบส่งข้อมูลออกไปโดยผู้ใช้ไม่รู้ตัว แม้จะมีการใช้ SSL pinning หรือ API key validation ก็ยังไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด เพราะการโจมตีเกิด “ภายในแอป” ไม่ใช่แค่ที่ขอบระบบอีกต่อไป

    นอกจากนี้ยังพบว่า 6% ของแอป Android ชั้นนำเขียนข้อมูลส่วนตัวลงใน console log และ 4% เขียนลง external storage ที่แอปอื่นสามารถเข้าถึงได้ ซึ่งถือเป็นการเปิดช่องให้มัลแวร์หรือแอปไม่พึงประสงค์เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น อีกทั้ง 37% ของแอปยอดนิยมยังส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอกโดยไม่มีการเข้ารหัสที่เพียงพอ

    Zimperium แนะนำให้เปลี่ยนแนวทางการป้องกันจาก “ขอบระบบ” มาเป็น “ภายในแอป” โดยใช้เทคนิคเช่น code obfuscation, runtime protection, และการตรวจสอบว่า API call มาจากแอปที่ไม่ถูกดัดแปลงเท่านั้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    มากกว่าครึ่งของแอป iOS และหนึ่งในสามของแอป Android มีการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ
    API กลายเป็นช่องโหว่หลักที่แฮกเกอร์ใช้โจมตีผ่านแอปมือถือ
    การโจมตีเกิดจากฝั่ง client เช่น reverse-engineering และการปลอม API call
    SSL pinning และ API key validation ไม่สามารถป้องกันการโจมตีภายในแอปได้
    6% ของแอป Android ชั้นนำเขียนข้อมูลลง console log และ 4% เขียนลง external storage
    37% ของแอปยอดนิยมส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอกโดยไม่มีการเข้ารหัส
    SDK บางตัวสามารถแอบส่งข้อมูล, บันทึกตำแหน่ง GPS และพฤติกรรมผู้ใช้
    Zimperium แนะนำให้ใช้ in-app defense เช่น code obfuscation และ runtime protection

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    API เป็นหัวใจของแอปยุคใหม่ แต่ก็เป็นจุดที่ถูกโจมตีมากที่สุด
    อุปกรณ์ที่ถูก root หรือ jailbreak สามารถเปิดช่องให้แฮกเกอร์ควบคุมได้เต็มรูปแบบ
    การป้องกันแบบ perimeter เช่น firewall และ gateway ไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องของแอปที่ส่ง request ได้
    การใช้ Bring-Your-Own-Device (BYOD) ในองค์กรเพิ่มความเสี่ยงจากแอปที่ไม่ปลอดภัย
    การตรวจสอบพฤติกรรมแอปและการตั้งค่าความปลอดภัยพื้นฐาน เช่น screen lock และ OS update เป็นสิ่งจำเป็น

    https://www.techradar.com/pro/security/apple-ios-apps-are-worse-at-leaking-sensitive-data-than-android-apps-finds-worrying-research-heres-what-you-need-to-know
    📱 “แอปมือถือรั่วข้อมูลหนัก — iOS แย่กว่า Android และ API กลายเป็นช่องโหว่หลักขององค์กร” รายงานล่าสุดจาก Zimperium เผยให้เห็นภาพที่น่าตกใจของความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในแอปมือถือ โดยเฉพาะในระบบ iOS และ Android ซึ่งกลายเป็นสนามรบใหม่ของการโจมตีผ่าน API โดยตรง รายงานระบุว่า “มากกว่าครึ่ง” ของแอป iOS และ “หนึ่งในสาม” ของแอป Android มีการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ เช่น ข้อมูลส่วนตัว (PII), token, และข้อมูลระบบที่สามารถนำไปใช้โจมตีต่อได้ทันที สิ่งที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้นคือการที่แฮกเกอร์สามารถดัดแปลงแอปจากฝั่ง client ได้โดยตรง เช่น การ reverse-engineer โค้ด, การปลอม API call ให้ดูเหมือนถูกต้อง, หรือแม้แต่การฝัง SDK ที่แอบส่งข้อมูลออกไปโดยผู้ใช้ไม่รู้ตัว แม้จะมีการใช้ SSL pinning หรือ API key validation ก็ยังไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด เพราะการโจมตีเกิด “ภายในแอป” ไม่ใช่แค่ที่ขอบระบบอีกต่อไป นอกจากนี้ยังพบว่า 6% ของแอป Android ชั้นนำเขียนข้อมูลส่วนตัวลงใน console log และ 4% เขียนลง external storage ที่แอปอื่นสามารถเข้าถึงได้ ซึ่งถือเป็นการเปิดช่องให้มัลแวร์หรือแอปไม่พึงประสงค์เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น อีกทั้ง 37% ของแอปยอดนิยมยังส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอกโดยไม่มีการเข้ารหัสที่เพียงพอ Zimperium แนะนำให้เปลี่ยนแนวทางการป้องกันจาก “ขอบระบบ” มาเป็น “ภายในแอป” โดยใช้เทคนิคเช่น code obfuscation, runtime protection, และการตรวจสอบว่า API call มาจากแอปที่ไม่ถูกดัดแปลงเท่านั้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ มากกว่าครึ่งของแอป iOS และหนึ่งในสามของแอป Android มีการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ ➡️ API กลายเป็นช่องโหว่หลักที่แฮกเกอร์ใช้โจมตีผ่านแอปมือถือ ➡️ การโจมตีเกิดจากฝั่ง client เช่น reverse-engineering และการปลอม API call ➡️ SSL pinning และ API key validation ไม่สามารถป้องกันการโจมตีภายในแอปได้ ➡️ 6% ของแอป Android ชั้นนำเขียนข้อมูลลง console log และ 4% เขียนลง external storage ➡️ 37% ของแอปยอดนิยมส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอกโดยไม่มีการเข้ารหัส ➡️ SDK บางตัวสามารถแอบส่งข้อมูล, บันทึกตำแหน่ง GPS และพฤติกรรมผู้ใช้ ➡️ Zimperium แนะนำให้ใช้ in-app defense เช่น code obfuscation และ runtime protection ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ API เป็นหัวใจของแอปยุคใหม่ แต่ก็เป็นจุดที่ถูกโจมตีมากที่สุด ➡️ อุปกรณ์ที่ถูก root หรือ jailbreak สามารถเปิดช่องให้แฮกเกอร์ควบคุมได้เต็มรูปแบบ ➡️ การป้องกันแบบ perimeter เช่น firewall และ gateway ไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องของแอปที่ส่ง request ได้ ➡️ การใช้ Bring-Your-Own-Device (BYOD) ในองค์กรเพิ่มความเสี่ยงจากแอปที่ไม่ปลอดภัย ➡️ การตรวจสอบพฤติกรรมแอปและการตั้งค่าความปลอดภัยพื้นฐาน เช่น screen lock และ OS update เป็นสิ่งจำเป็น https://www.techradar.com/pro/security/apple-ios-apps-are-worse-at-leaking-sensitive-data-than-android-apps-finds-worrying-research-heres-what-you-need-to-know
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 221 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Instagram แจงปัญหา ‘Disabled Accounts Can’t Be Contacted’ — ไม่ใช่แค่บัญชีถูกปิด แต่เกิดจากบั๊กและการตั้งค่าที่ซับซ้อน”

    หลายคนที่ใช้ Instagram อาจเคยเจอข้อความแจ้งเตือนว่า “Disabled Accounts Can’t Be Contacted” เมื่อพยายามส่งโพสต์หรือข้อความไปยังเพื่อนหรือกลุ่ม ซึ่งสร้างความสับสนไม่น้อย เพราะบางครั้งบัญชีที่เราติดต่อก็ยังดูเหมือนใช้งานได้ตามปกติ

    โดยทั่วไป ข้อความนี้จะปรากฏเมื่อคุณพยายามส่ง DM ไปยังบัญชีที่ถูกปิดใช้งาน (deactivated) หรือถูก Instagram ลบออกจากระบบเนื่องจากละเมิดนโยบาย แต่ในบางกรณี ข้อความนี้อาจเกิดจากบั๊กของแอป หรือการตั้งค่าที่ไม่อัปเดต เช่น การบล็อกหรือจำกัดบัญชีไว้ก่อนหน้านี้แล้วปลดออก แต่ระบบยังไม่รีเฟรชสถานะ

    Instagram ยังไม่ได้ออกแพตช์เฉพาะสำหรับปัญหานี้ แต่มีวิธีแก้ไขเบื้องต้นที่ผู้ใช้สามารถลองทำได้ เช่น การล็อกเอาต์แล้วล็อกอินใหม่, ลบแชทเดิมแล้วเริ่มใหม่, ใช้บัญชีอื่นในการส่งข้อความ, หรือแม้แต่บล็อกแล้วปลดบล็อกอีกครั้งเพื่อรีเฟรชสถานะของบัญชี

    นอกจากนี้ ยังมีคำแนะนำให้ลองใช้ Instagram ผ่านเว็บเบราว์เซอร์หรือบน iPad แทนแอปมือถือ หากสงสัยว่าแอปมีบั๊กเฉพาะเวอร์ชัน รวมถึงการเคลียร์ cache หรือ offload แอปเพื่อรีเซ็ตข้อมูลภายใน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ข้อความ “Disabled Accounts Can’t Be Contacted” เกิดจากบัญชีที่ถูกปิดหรือบล็อก
    บางครั้งเกิดจากบั๊กของแอปที่ไม่รีเฟรชสถานะบัญชีหลังปลดบล็อก
    วิธีแก้เบื้องต้น ได้แก่ ล็อกเอาต์/ล็อกอินใหม่, ลบแชทเดิม, ใช้บัญชีอื่นส่งข้อความ
    การบล็อกแล้วปลดบล็อกใหม่ช่วยรีเฟรชสถานะบัญชีในระบบ
    ลองใช้ Instagram ผ่านเว็บเบราว์เซอร์หรือ iPad หากแอปมือถือมีปัญหา
    เคลียร์ cache (Android) หรือ offload แอป (iOS) เพื่อรีเซ็ตข้อมูลภายใน
    หากยังไม่หาย อาจต้องรอการอัปเดตจาก Meta หรือแจ้งผ่าน Help Center

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    บัญชีที่ถูกปิดโดยผู้ใช้จะหายไปจากการค้นหา และชื่อจะกลายเป็น “Instagram User”
    บัญชีที่ถูก Instagram ปิดมักเกิดจากการละเมิด เช่น สแปม, คำพูดแสดงความเกลียดชัง, หรือการใช้บอต
    การจำกัด (Restrict) บัญชีจะทำให้ไม่สามารถส่งข้อความได้เช่นกัน
    Meta มีระบบ Account Center ที่เชื่อมโยงบัญชี Facebook และ Instagram ซึ่งอาจช่วยในการกู้คืน
    การส่งข้อความผ่านช่องทางอื่น เช่น Messenger หรืออีเมล อาจเป็นทางเลือกหากบัญชีถูกปิด

    https://www.slashgear.com/1975538/ways-to-solve-disabled-accounts-cant-be-contacted-error-instagram/
    📱 “Instagram แจงปัญหา ‘Disabled Accounts Can’t Be Contacted’ — ไม่ใช่แค่บัญชีถูกปิด แต่เกิดจากบั๊กและการตั้งค่าที่ซับซ้อน” หลายคนที่ใช้ Instagram อาจเคยเจอข้อความแจ้งเตือนว่า “Disabled Accounts Can’t Be Contacted” เมื่อพยายามส่งโพสต์หรือข้อความไปยังเพื่อนหรือกลุ่ม ซึ่งสร้างความสับสนไม่น้อย เพราะบางครั้งบัญชีที่เราติดต่อก็ยังดูเหมือนใช้งานได้ตามปกติ โดยทั่วไป ข้อความนี้จะปรากฏเมื่อคุณพยายามส่ง DM ไปยังบัญชีที่ถูกปิดใช้งาน (deactivated) หรือถูก Instagram ลบออกจากระบบเนื่องจากละเมิดนโยบาย แต่ในบางกรณี ข้อความนี้อาจเกิดจากบั๊กของแอป หรือการตั้งค่าที่ไม่อัปเดต เช่น การบล็อกหรือจำกัดบัญชีไว้ก่อนหน้านี้แล้วปลดออก แต่ระบบยังไม่รีเฟรชสถานะ Instagram ยังไม่ได้ออกแพตช์เฉพาะสำหรับปัญหานี้ แต่มีวิธีแก้ไขเบื้องต้นที่ผู้ใช้สามารถลองทำได้ เช่น การล็อกเอาต์แล้วล็อกอินใหม่, ลบแชทเดิมแล้วเริ่มใหม่, ใช้บัญชีอื่นในการส่งข้อความ, หรือแม้แต่บล็อกแล้วปลดบล็อกอีกครั้งเพื่อรีเฟรชสถานะของบัญชี นอกจากนี้ ยังมีคำแนะนำให้ลองใช้ Instagram ผ่านเว็บเบราว์เซอร์หรือบน iPad แทนแอปมือถือ หากสงสัยว่าแอปมีบั๊กเฉพาะเวอร์ชัน รวมถึงการเคลียร์ cache หรือ offload แอปเพื่อรีเซ็ตข้อมูลภายใน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ข้อความ “Disabled Accounts Can’t Be Contacted” เกิดจากบัญชีที่ถูกปิดหรือบล็อก ➡️ บางครั้งเกิดจากบั๊กของแอปที่ไม่รีเฟรชสถานะบัญชีหลังปลดบล็อก ➡️ วิธีแก้เบื้องต้น ได้แก่ ล็อกเอาต์/ล็อกอินใหม่, ลบแชทเดิม, ใช้บัญชีอื่นส่งข้อความ ➡️ การบล็อกแล้วปลดบล็อกใหม่ช่วยรีเฟรชสถานะบัญชีในระบบ ➡️ ลองใช้ Instagram ผ่านเว็บเบราว์เซอร์หรือ iPad หากแอปมือถือมีปัญหา ➡️ เคลียร์ cache (Android) หรือ offload แอป (iOS) เพื่อรีเซ็ตข้อมูลภายใน ➡️ หากยังไม่หาย อาจต้องรอการอัปเดตจาก Meta หรือแจ้งผ่าน Help Center ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ บัญชีที่ถูกปิดโดยผู้ใช้จะหายไปจากการค้นหา และชื่อจะกลายเป็น “Instagram User” ➡️ บัญชีที่ถูก Instagram ปิดมักเกิดจากการละเมิด เช่น สแปม, คำพูดแสดงความเกลียดชัง, หรือการใช้บอต ➡️ การจำกัด (Restrict) บัญชีจะทำให้ไม่สามารถส่งข้อความได้เช่นกัน ➡️ Meta มีระบบ Account Center ที่เชื่อมโยงบัญชี Facebook และ Instagram ซึ่งอาจช่วยในการกู้คืน ➡️ การส่งข้อความผ่านช่องทางอื่น เช่น Messenger หรืออีเมล อาจเป็นทางเลือกหากบัญชีถูกปิด https://www.slashgear.com/1975538/ways-to-solve-disabled-accounts-cant-be-contacted-error-instagram/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Ways To Solve The 'Disabled Accounts Can't Be Contacted' Error On Instagram - SlashGear
    Here is how to solve the "Disabled Accounts Can't Be Contacted" error on Instagram, assuming the account hasn't blocked your or been disabled.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts