• “AI ช่วยชาวไร่เล็กในมาลาวีฟื้นฟูหลังพายุ — เมื่อแชตบอตกลายเป็นผู้แนะนำการเพาะปลูกที่เปลี่ยนชีวิต”

    หลังจากพายุไซโคลน Freddy ถล่มพื้นที่ตอนใต้ของมาลาวีในปี 2023 ชาวไร่เล็กอย่าง Alex Maere สูญเสียไร่ข้าวโพดที่เคยผลิตได้ถึง 850 กิโลกรัมต่อฤดูกาล เหลือเพียง 8 กิโลกรัมจากดินที่ถูกน้ำพัดหายไป เหตุการณ์นี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาหันมาใช้เทคโนโลยีเพื่อความอยู่รอด

    Maere เป็นหนึ่งในชาวไร่หลายพันคนที่เริ่มใช้แชตบอต AI ชื่อ “Ulangizi” ซึ่งพัฒนาโดยองค์กรไม่แสวงกำไร Opportunity International โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลมาลาวี แชตบอตนี้ทำงานผ่าน WhatsApp และรองรับทั้งภาษาอังกฤษและ Chichewa ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นของประเทศ

    Ulangizi ไม่เพียงให้คำแนะนำทั่วไป แต่สามารถวิเคราะห์สภาพดินและเสนอพืชที่เหมาะสม เช่น แนะนำให้ Maere ปลูกมันฝรั่งร่วมกับข้าวโพดและมันสำปะหลัง ซึ่งทำให้เขาสามารถขายผลผลิตได้มากกว่า 800 ดอลลาร์ และนำเงินไปจ่ายค่าเรียนให้ลูก ๆ ได้อย่างไม่ต้องกังวล

    ในระดับประเทศ มาลาวีกำลังเผชิญกับวิกฤตอาหารจากภัยธรรมชาติและผลกระทบของเอลนีโญ ซึ่งส่งผลต่อการเลือกตั้งระดับชาติที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยกว่า 80% ของประชากร 21 ล้านคนพึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลัก และมีอัตราความยากจนสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

    แม้ AI จะช่วยยกระดับการเกษตรในแอฟริกาได้อย่างมีนัยสำคัญ เช่น การวินิจฉัยโรคพืช การพยากรณ์ภัยแล้ง และการออกแบบปุ๋ย แต่ก็ยังมีอุปสรรค เช่น ความหลากหลายทางภาษา การรู้หนังสือที่ต่ำ และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่ยังไม่ทั่วถึงในพื้นที่ชนบท

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Alex Maere สูญเสียไร่จากพายุไซโคลน Freddy และหันมาใช้แชตบอต AI เพื่อฟื้นฟู
    แชตบอต “Ulangizi” พัฒนาโดย Opportunity International และทำงานผ่าน WhatsApp
    รองรับภาษาอังกฤษและ Chichewa — ใช้ได้แม้ผู้ใช้ไม่รู้หนังสือ
    แนะนำให้ปลูกมันฝรั่งร่วมกับพืชเดิม — ทำรายได้กว่า $800

    ผลกระทบในระดับประเทศ
    รัฐบาลมาลาวีสนับสนุนโครงการนี้เพื่อรับมือกับวิกฤตอาหาร
    กว่า 80% ของประชากรพึ่งพาเกษตรกรรม — เป็นประเด็นสำคัญในการเลือกตั้ง
    มาลาวีมีอัตราความยากจนสูง และได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติหลายครั้ง
    โครงการนี้ช่วยให้ชาวไร่เล็กเข้าถึงข้อมูลการเกษตรที่เคยเป็นเรื่องไกลตัว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    แอฟริกามีฟาร์มขนาดเล็กกว่า 33–50 ล้านแห่ง ผลิตอาหารถึง 70–80% ของภูมิภาค
    การลงทุนในเทคโนโลยีเกษตรในแอฟริกาเพิ่มจาก $10 ล้าน ในปี 2014 เป็น $600 ล้าน ในปี 2022
    AI ช่วยวินิจฉัยโรคพืช ออกแบบปุ๋ย และค้นหาเครื่องมือเกษตรราคาถูก
    การใช้เสียงและภาพในแชตบอตช่วยให้ผู้ใช้ที่ไม่รู้หนังสือสามารถเข้าถึงข้อมูลได้

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/15/how-ai-is-helping-some-small-scale-farmers-weather-a-changing-climate
    🌾 “AI ช่วยชาวไร่เล็กในมาลาวีฟื้นฟูหลังพายุ — เมื่อแชตบอตกลายเป็นผู้แนะนำการเพาะปลูกที่เปลี่ยนชีวิต” หลังจากพายุไซโคลน Freddy ถล่มพื้นที่ตอนใต้ของมาลาวีในปี 2023 ชาวไร่เล็กอย่าง Alex Maere สูญเสียไร่ข้าวโพดที่เคยผลิตได้ถึง 850 กิโลกรัมต่อฤดูกาล เหลือเพียง 8 กิโลกรัมจากดินที่ถูกน้ำพัดหายไป เหตุการณ์นี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาหันมาใช้เทคโนโลยีเพื่อความอยู่รอด Maere เป็นหนึ่งในชาวไร่หลายพันคนที่เริ่มใช้แชตบอต AI ชื่อ “Ulangizi” ซึ่งพัฒนาโดยองค์กรไม่แสวงกำไร Opportunity International โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลมาลาวี แชตบอตนี้ทำงานผ่าน WhatsApp และรองรับทั้งภาษาอังกฤษและ Chichewa ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นของประเทศ Ulangizi ไม่เพียงให้คำแนะนำทั่วไป แต่สามารถวิเคราะห์สภาพดินและเสนอพืชที่เหมาะสม เช่น แนะนำให้ Maere ปลูกมันฝรั่งร่วมกับข้าวโพดและมันสำปะหลัง ซึ่งทำให้เขาสามารถขายผลผลิตได้มากกว่า 800 ดอลลาร์ และนำเงินไปจ่ายค่าเรียนให้ลูก ๆ ได้อย่างไม่ต้องกังวล ในระดับประเทศ มาลาวีกำลังเผชิญกับวิกฤตอาหารจากภัยธรรมชาติและผลกระทบของเอลนีโญ ซึ่งส่งผลต่อการเลือกตั้งระดับชาติที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยกว่า 80% ของประชากร 21 ล้านคนพึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลัก และมีอัตราความยากจนสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก แม้ AI จะช่วยยกระดับการเกษตรในแอฟริกาได้อย่างมีนัยสำคัญ เช่น การวินิจฉัยโรคพืช การพยากรณ์ภัยแล้ง และการออกแบบปุ๋ย แต่ก็ยังมีอุปสรรค เช่น ความหลากหลายทางภาษา การรู้หนังสือที่ต่ำ และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่ยังไม่ทั่วถึงในพื้นที่ชนบท ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Alex Maere สูญเสียไร่จากพายุไซโคลน Freddy และหันมาใช้แชตบอต AI เพื่อฟื้นฟู ➡️ แชตบอต “Ulangizi” พัฒนาโดย Opportunity International และทำงานผ่าน WhatsApp ➡️ รองรับภาษาอังกฤษและ Chichewa — ใช้ได้แม้ผู้ใช้ไม่รู้หนังสือ ➡️ แนะนำให้ปลูกมันฝรั่งร่วมกับพืชเดิม — ทำรายได้กว่า $800 ✅ ผลกระทบในระดับประเทศ ➡️ รัฐบาลมาลาวีสนับสนุนโครงการนี้เพื่อรับมือกับวิกฤตอาหาร ➡️ กว่า 80% ของประชากรพึ่งพาเกษตรกรรม — เป็นประเด็นสำคัญในการเลือกตั้ง ➡️ มาลาวีมีอัตราความยากจนสูง และได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติหลายครั้ง ➡️ โครงการนี้ช่วยให้ชาวไร่เล็กเข้าถึงข้อมูลการเกษตรที่เคยเป็นเรื่องไกลตัว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ แอฟริกามีฟาร์มขนาดเล็กกว่า 33–50 ล้านแห่ง ผลิตอาหารถึง 70–80% ของภูมิภาค ➡️ การลงทุนในเทคโนโลยีเกษตรในแอฟริกาเพิ่มจาก $10 ล้าน ในปี 2014 เป็น $600 ล้าน ในปี 2022 ➡️ AI ช่วยวินิจฉัยโรคพืช ออกแบบปุ๋ย และค้นหาเครื่องมือเกษตรราคาถูก ➡️ การใช้เสียงและภาพในแชตบอตช่วยให้ผู้ใช้ที่ไม่รู้หนังสือสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/15/how-ai-is-helping-some-small-scale-farmers-weather-a-changing-climate
    WWW.THESTAR.COM.MY
    How AI is helping some small-scale farmers weather a changing climate
    Alex Maere survived the destruction of Cyclone Freddy when it tore through southern Malawi in 2023. His farm didn't.
    0 Comments 0 Shares 57 Views 0 Reviews
  • “Apple เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ปกป้องเด็กและวัยรุ่นออนไลน์ — ควบคุมง่ายขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น บนทุกอุปกรณ์”

    ในยุคที่โลกออนไลน์เต็มไปด้วยความเสี่ยงสำหรับเด็กและวัยรุ่น Apple ได้เปิดตัวชุดฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26 และระบบปฏิบัติการอื่น ๆ เช่น iPadOS, macOS, watchOS, visionOS และ tvOS เพื่อช่วยให้ผู้ปกครองสามารถดูแลความปลอดภัยของลูกหลานได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัว

    หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือการตั้งค่า Child Account ที่ง่ายขึ้น ผู้ปกครองสามารถสร้างบัญชีสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีได้โดยตรง พร้อมระบบตรวจสอบวันเกิดและการตั้งค่าความปลอดภัยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังมีการขยายการป้องกันไปยังวัยรุ่นอายุ 13–17 ปี เช่น การกรองเนื้อหาเว็บ และฟีเจอร์ Communication Safety ที่จะเบลอภาพไม่เหมาะสมในแอป Messages, FaceTime และ Photos

    Apple ยังเปิดตัว API ใหม่ชื่อ Declared Age Range ที่ให้ผู้ปกครองเลือกแชร์ช่วงอายุของเด็กกับแอปต่าง ๆ แทนการให้วันเกิดจริง เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว ขณะเดียวกัน PermissionKit ก็ถูกปรับปรุงให้เด็กต้องขออนุญาตก่อนติดต่อกับบุคคลที่ไม่รู้จักในแอปของ Apple และแอปอื่น ๆ

    App Store ก็ได้รับการปรับปรุง โดยเพิ่มหมวดอายุใหม่ 13+, 16+, และ 18+ พร้อมการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับโฆษณาและเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างเอง เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถตั้งค่าการมองเห็นแอปตามอายุของลูกได้อย่างแม่นยำ

    แม้เทคโนโลยีจะช่วยได้มาก แต่ Apple ก็เน้นย้ำว่า “การมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง” คือหัวใจของการปกป้องเด็กออนไลน์อย่างแท้จริง — ไม่ใช่แค่การตั้งค่าบนอุปกรณ์ แต่คือการพูดคุย สร้างความไว้ใจ และสอนให้เด็กเข้าใจโลกดิจิทัลอย่างมีวิจารณญาณ

    ฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26 และระบบอื่น ๆ
    ตั้งค่า Child Account ได้ง่ายขึ้น พร้อมตรวจสอบวันเกิดและตั้งค่าความปลอดภัยอัตโนมัติ
    ขยายการป้องกันไปยังวัยรุ่น 13–17 ปี เช่น การกรองเว็บและเบลอภาพไม่เหมาะสม
    ใช้ Declared Age Range API เพื่อแชร์ช่วงอายุแทนวันเกิดจริง — รักษาความเป็นส่วนตัว
    PermissionKit บังคับให้เด็กต้องขออนุญาตก่อนติดต่อกับบุคคลที่ไม่รู้จัก

    การปรับปรุง App Store และระบบโดยรวม
    เพิ่มหมวดอายุใหม่ใน App Store: 13+, 16+, 18+ เพื่อกรองแอปตามวัย
    เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับโฆษณาและเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างเองในแอป
    ฟีเจอร์ใหม่ทำงานร่วมกับ Screen Time และ Ask to Buy ได้อย่างแม่นยำ
    รองรับทุกอุปกรณ์ Apple รวมถึง Vision Pro และ Apple TV

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Communication Safety ใช้ AI ตรวจจับภาพเปลือยและเบลออัตโนมัติ — ป้องกันการล่วงละเมิด
    การแชร์ช่วงอายุช่วยให้แอปปรับเนื้อหาได้โดยไม่ละเมิดข้อมูลส่วนตัว
    ระบบใหม่สอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลเด็กที่เริ่มบังคับใช้ในหลายประเทศ
    Apple ยืนยันว่าฟีเจอร์ทั้งหมดออกแบบโดยคำนึงถึงความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวเป็นหลัก

    https://www.slashgear.com/1968944/how-protect-teens-children-online-with-new-apple-features-ios-ipados-watchos-macos-tv/
    🛡️ “Apple เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ปกป้องเด็กและวัยรุ่นออนไลน์ — ควบคุมง่ายขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น บนทุกอุปกรณ์” ในยุคที่โลกออนไลน์เต็มไปด้วยความเสี่ยงสำหรับเด็กและวัยรุ่น Apple ได้เปิดตัวชุดฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26 และระบบปฏิบัติการอื่น ๆ เช่น iPadOS, macOS, watchOS, visionOS และ tvOS เพื่อช่วยให้ผู้ปกครองสามารถดูแลความปลอดภัยของลูกหลานได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัว หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือการตั้งค่า Child Account ที่ง่ายขึ้น ผู้ปกครองสามารถสร้างบัญชีสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีได้โดยตรง พร้อมระบบตรวจสอบวันเกิดและการตั้งค่าความปลอดภัยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังมีการขยายการป้องกันไปยังวัยรุ่นอายุ 13–17 ปี เช่น การกรองเนื้อหาเว็บ และฟีเจอร์ Communication Safety ที่จะเบลอภาพไม่เหมาะสมในแอป Messages, FaceTime และ Photos Apple ยังเปิดตัว API ใหม่ชื่อ Declared Age Range ที่ให้ผู้ปกครองเลือกแชร์ช่วงอายุของเด็กกับแอปต่าง ๆ แทนการให้วันเกิดจริง เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว ขณะเดียวกัน PermissionKit ก็ถูกปรับปรุงให้เด็กต้องขออนุญาตก่อนติดต่อกับบุคคลที่ไม่รู้จักในแอปของ Apple และแอปอื่น ๆ App Store ก็ได้รับการปรับปรุง โดยเพิ่มหมวดอายุใหม่ 13+, 16+, และ 18+ พร้อมการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับโฆษณาและเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างเอง เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถตั้งค่าการมองเห็นแอปตามอายุของลูกได้อย่างแม่นยำ แม้เทคโนโลยีจะช่วยได้มาก แต่ Apple ก็เน้นย้ำว่า “การมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง” คือหัวใจของการปกป้องเด็กออนไลน์อย่างแท้จริง — ไม่ใช่แค่การตั้งค่าบนอุปกรณ์ แต่คือการพูดคุย สร้างความไว้ใจ และสอนให้เด็กเข้าใจโลกดิจิทัลอย่างมีวิจารณญาณ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26 และระบบอื่น ๆ ➡️ ตั้งค่า Child Account ได้ง่ายขึ้น พร้อมตรวจสอบวันเกิดและตั้งค่าความปลอดภัยอัตโนมัติ ➡️ ขยายการป้องกันไปยังวัยรุ่น 13–17 ปี เช่น การกรองเว็บและเบลอภาพไม่เหมาะสม ➡️ ใช้ Declared Age Range API เพื่อแชร์ช่วงอายุแทนวันเกิดจริง — รักษาความเป็นส่วนตัว ➡️ PermissionKit บังคับให้เด็กต้องขออนุญาตก่อนติดต่อกับบุคคลที่ไม่รู้จัก ✅ การปรับปรุง App Store และระบบโดยรวม ➡️ เพิ่มหมวดอายุใหม่ใน App Store: 13+, 16+, 18+ เพื่อกรองแอปตามวัย ➡️ เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับโฆษณาและเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างเองในแอป ➡️ ฟีเจอร์ใหม่ทำงานร่วมกับ Screen Time และ Ask to Buy ได้อย่างแม่นยำ ➡️ รองรับทุกอุปกรณ์ Apple รวมถึง Vision Pro และ Apple TV ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Communication Safety ใช้ AI ตรวจจับภาพเปลือยและเบลออัตโนมัติ — ป้องกันการล่วงละเมิด ➡️ การแชร์ช่วงอายุช่วยให้แอปปรับเนื้อหาได้โดยไม่ละเมิดข้อมูลส่วนตัว ➡️ ระบบใหม่สอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลเด็กที่เริ่มบังคับใช้ในหลายประเทศ ➡️ Apple ยืนยันว่าฟีเจอร์ทั้งหมดออกแบบโดยคำนึงถึงความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวเป็นหลัก https://www.slashgear.com/1968944/how-protect-teens-children-online-with-new-apple-features-ios-ipados-watchos-macos-tv/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Protecting Your Teens & Kids Online Just Got Much Easier If They Use Apple Devices - SlashGear
    Protecting kids online is something Apple takes seriously, so its newest options in the latest versions of its operating systems are a welcome change.
    0 Comments 0 Shares 48 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากคำถามธรรมดา “วันนี้มีนัดอะไรบ้าง?” สู่การรั่วไหลของอีเมลส่วนตัว

    เมื่อ OpenAI เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน ChatGPT ที่สามารถเชื่อมต่อกับ Gmail, Google Calendar และ Google Contacts ได้โดยตรง ผู้ใช้สามารถถามคำถามอย่าง “วันนี้มีอะไรในปฏิทิน?” แล้ว ChatGPT จะดึงข้อมูลจากบัญชี Google มาแสดงให้ทันทีโดยไม่ต้องเลือกแหล่งข้อมูลทุกครั้ง

    แต่ Eito Miyamura นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้แสดงให้เห็นว่า หากมีผู้ไม่หวังดีส่งคำเชิญใน Google Calendar ที่ฝังคำสั่งลับไว้ เช่น “ค้นหาอีเมลเกี่ยวกับบัญชีธนาคาร” แล้วผู้ใช้ถาม ChatGPT เกี่ยวกับปฏิทินของตน ระบบจะอ่านคำเชิญนั้นและอาจทำตามคำสั่งโดยไม่รู้ตัว—นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “indirect prompt injection”

    การโจมตีนี้ไม่ต้องใช้การแฮกบัญชีเลย เพียงแค่รู้ที่อยู่อีเมลของเหยื่อก็สามารถส่งคำเชิญที่มีคำสั่งแฝงไปยังปฏิทินของเหยื่อได้ และเมื่อ ChatGPT ได้รับอนุญาตให้เข้าถึง Google Calendar แล้ว มันก็จะอ่านคำเชิญนั้นและอาจทำตามคำสั่งที่ฝังไว้

    แม้ OpenAI จะมีเอกสารช่วยเหลือที่ระบุว่าผู้ใช้สามารถปิดการเชื่อมต่ออัตโนมัติได้ แต่ฟีเจอร์นี้เปิดใช้งานโดยค่าเริ่มต้นหลังการอนุญาต และผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่รู้ว่าคำเชิญในปฏิทินสามารถเป็นช่องทางโจมตีได้

    ฟีเจอร์เชื่อมต่อ Google ใน ChatGPT
    เปิดให้ผู้ใช้ Plus และ Pro เชื่อมต่อ Gmail, Calendar, Contacts
    สามารถดึงข้อมูลจาก Google โดยอัตโนมัติหลังการอนุญาต
    ใช้ Model Context Protocol (MCP) เพื่ออ่านข้อมูลจากแหล่งภายนอก

    รูปแบบการโจมตีแบบ prompt injection
    ใช้คำเชิญใน Google Calendar ที่ฝังคำสั่งไว้
    เมื่อผู้ใช้ถาม ChatGPT ระบบจะอ่านคำเชิญและทำตามคำสั่ง
    ไม่ต้องแฮกบัญชี เพียงแค่รู้ที่อยู่อีเมลของเหยื่อ

    การป้องกันเบื้องต้น
    ผู้ใช้สามารถปิดการเชื่อมต่ออัตโนมัติใน Settings
    Google Calendar มีตัวเลือกให้แสดงเฉพาะคำเชิญจากผู้ส่งที่รู้จัก
    ผู้ดูแลระบบ Google Workspace สามารถตั้งค่าความปลอดภัยระดับองค์กร

    ตัวอย่างการโจมตีในระบบอื่น
    นักวิจัยเคยแสดงให้เห็นว่า Google Gemini สามารถถูกควบคุมผ่านคำเชิญ
    เอกสาร “Invitation Is All You Need” อธิบายการโจมตีแบบเดียวกัน
    การโจมตีแบบนี้สามารถใช้ควบคุมอุปกรณ์ smart-home หรือขโมยข้อมูล

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/researcher-shows-how-comprimised-calendar-invite-can-hijack-chatgpt
    🎙️ เรื่องเล่าจากคำถามธรรมดา “วันนี้มีนัดอะไรบ้าง?” สู่การรั่วไหลของอีเมลส่วนตัว เมื่อ OpenAI เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน ChatGPT ที่สามารถเชื่อมต่อกับ Gmail, Google Calendar และ Google Contacts ได้โดยตรง ผู้ใช้สามารถถามคำถามอย่าง “วันนี้มีอะไรในปฏิทิน?” แล้ว ChatGPT จะดึงข้อมูลจากบัญชี Google มาแสดงให้ทันทีโดยไม่ต้องเลือกแหล่งข้อมูลทุกครั้ง แต่ Eito Miyamura นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้แสดงให้เห็นว่า หากมีผู้ไม่หวังดีส่งคำเชิญใน Google Calendar ที่ฝังคำสั่งลับไว้ เช่น “ค้นหาอีเมลเกี่ยวกับบัญชีธนาคาร” แล้วผู้ใช้ถาม ChatGPT เกี่ยวกับปฏิทินของตน ระบบจะอ่านคำเชิญนั้นและอาจทำตามคำสั่งโดยไม่รู้ตัว—นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “indirect prompt injection” การโจมตีนี้ไม่ต้องใช้การแฮกบัญชีเลย เพียงแค่รู้ที่อยู่อีเมลของเหยื่อก็สามารถส่งคำเชิญที่มีคำสั่งแฝงไปยังปฏิทินของเหยื่อได้ และเมื่อ ChatGPT ได้รับอนุญาตให้เข้าถึง Google Calendar แล้ว มันก็จะอ่านคำเชิญนั้นและอาจทำตามคำสั่งที่ฝังไว้ แม้ OpenAI จะมีเอกสารช่วยเหลือที่ระบุว่าผู้ใช้สามารถปิดการเชื่อมต่ออัตโนมัติได้ แต่ฟีเจอร์นี้เปิดใช้งานโดยค่าเริ่มต้นหลังการอนุญาต และผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่รู้ว่าคำเชิญในปฏิทินสามารถเป็นช่องทางโจมตีได้ ✅ ฟีเจอร์เชื่อมต่อ Google ใน ChatGPT ➡️ เปิดให้ผู้ใช้ Plus และ Pro เชื่อมต่อ Gmail, Calendar, Contacts ➡️ สามารถดึงข้อมูลจาก Google โดยอัตโนมัติหลังการอนุญาต ➡️ ใช้ Model Context Protocol (MCP) เพื่ออ่านข้อมูลจากแหล่งภายนอก ✅ รูปแบบการโจมตีแบบ prompt injection ➡️ ใช้คำเชิญใน Google Calendar ที่ฝังคำสั่งไว้ ➡️ เมื่อผู้ใช้ถาม ChatGPT ระบบจะอ่านคำเชิญและทำตามคำสั่ง ➡️ ไม่ต้องแฮกบัญชี เพียงแค่รู้ที่อยู่อีเมลของเหยื่อ ✅ การป้องกันเบื้องต้น ➡️ ผู้ใช้สามารถปิดการเชื่อมต่ออัตโนมัติใน Settings ➡️ Google Calendar มีตัวเลือกให้แสดงเฉพาะคำเชิญจากผู้ส่งที่รู้จัก ➡️ ผู้ดูแลระบบ Google Workspace สามารถตั้งค่าความปลอดภัยระดับองค์กร ✅ ตัวอย่างการโจมตีในระบบอื่น ➡️ นักวิจัยเคยแสดงให้เห็นว่า Google Gemini สามารถถูกควบคุมผ่านคำเชิญ ➡️ เอกสาร “Invitation Is All You Need” อธิบายการโจมตีแบบเดียวกัน ➡️ การโจมตีแบบนี้สามารถใช้ควบคุมอุปกรณ์ smart-home หรือขโมยข้อมูล https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/researcher-shows-how-comprimised-calendar-invite-can-hijack-chatgpt
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Compromised Google Calendar invites can hijack ChatGPT’s Gmail connector and leak emails
    X user highlights how malicious calendar events could exploit ChatGPT’s new Google integrations.
    0 Comments 0 Shares 110 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Marketplace ถึง Meta Pay: เมื่อการซื้อของออนไลน์กลายเป็นช่องทางเก็บข้อมูลการเงินโดยไม่รู้ตัว

    หลายคนอาจเคยซื้อของผ่าน Facebook Marketplace, ลงโฆษณา, หรือบริจาคเงินผ่านแพลตฟอร์มของ Meta โดยไม่ทันสังเกตว่า Facebook ได้เก็บข้อมูลบัตรเครดิตหรือบัญชี PayPal ไว้ในระบบโดยอัตโนมัติ ซึ่งอาจเกิดจากการคลิก “Save card for later” หรือการใช้ Meta Pay โดยไม่ตั้งใจ

    แม้จะสะดวกในแง่การใช้งานซ้ำ แต่การเก็บข้อมูลการเงินไว้ในระบบที่มีประวัติปัญหาด้านความปลอดภัยอย่าง Meta ก็อาจนำไปสู่ความเสี่ยง เช่น การถูกเรียกเก็บเงินจากโฆษณาที่ลืมปิด หรือการซื้อของโดยบุคคลอื่นที่เข้าถึงบัญชีของคุณ

    โชคดีที่ผู้ใช้สามารถลบข้อมูลการชำระเงินออกจาก Facebook ได้ทั้งบนเดสก์ท็อปและมือถือ โดยใช้ขั้นตอนง่าย ๆ ผ่านเมนู Settings ซึ่งจะแตกต่างกันเล็กน้อยตามประเภทการใช้งาน เช่น Meta Pay หรือ Ad Payments

    นอกจากนี้ยังมีข้อมูลเสริมจากภายนอกว่า Meta เคยถูกฟ้องและยอมจ่ายเงินชดเชยกว่า $725 ล้านจากกรณีละเมิดข้อมูลผู้ใช้ในคดี Cambridge Analytica ซึ่งสะท้อนถึงความเปราะบางของระบบจัดการข้อมูลส่วนตัวในอดีตของบริษัทนี้

    วิธีลบข้อมูลการชำระเงินจาก Facebook
    บนเดสก์ท็อป: ไปที่ Menu > Orders and payments > เลือกบัตร > Remove
    สำหรับโฆษณา: ไปที่ Ad Center > Payment Settings > Remove จากรายการ
    บนมือถือ: ไปที่ Settings & Privacy > Orders and payments > Credit and debit cards > Remove

    ประเภทข้อมูลที่ถูกเก็บไว้
    บัตรเครดิต/เดบิต, บัญชี PayPal, หรือบัญชีธนาคาร
    ข้อมูลเหล่านี้อาจถูกใช้เป็น default สำหรับการชำระเงินในอนาคต
    การลบข้อมูลไม่ลบประวัติการซื้อ แต่ปิดช่องทางการเรียกเก็บเงิน

    ความสะดวกของ Meta Pay และระบบโฆษณา
    Meta Pay ใช้สำหรับการซื้อสินค้า, บริจาค, หรือชำระเงินในแอป
    ระบบโฆษณาเก็บข้อมูลการชำระเงินเพื่อใช้ในการเรียกเก็บเงินอัตโนมัติ
    ผู้ใช้บางคนอาจไม่รู้ว่ามีการเก็บข้อมูลไว้หลังการใช้งานครั้งเดียว

    ประวัติการละเมิดข้อมูลของ Meta
    Meta เคยถูกฟ้องจากกรณี Cambridge Analytica และยอมจ่าย $725 ล้าน
    ผู้ใช้ Facebook ระหว่างปี 2007–2022 มีสิทธิ์ได้รับเงินชดเชย
    การละเมิดข้อมูลส่วนตัวทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจในระบบของ Meta

    https://www.slashgear.com/1965008/how-to-remove-payment-details-from-facebook-meta/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Marketplace ถึง Meta Pay: เมื่อการซื้อของออนไลน์กลายเป็นช่องทางเก็บข้อมูลการเงินโดยไม่รู้ตัว หลายคนอาจเคยซื้อของผ่าน Facebook Marketplace, ลงโฆษณา, หรือบริจาคเงินผ่านแพลตฟอร์มของ Meta โดยไม่ทันสังเกตว่า Facebook ได้เก็บข้อมูลบัตรเครดิตหรือบัญชี PayPal ไว้ในระบบโดยอัตโนมัติ ซึ่งอาจเกิดจากการคลิก “Save card for later” หรือการใช้ Meta Pay โดยไม่ตั้งใจ แม้จะสะดวกในแง่การใช้งานซ้ำ แต่การเก็บข้อมูลการเงินไว้ในระบบที่มีประวัติปัญหาด้านความปลอดภัยอย่าง Meta ก็อาจนำไปสู่ความเสี่ยง เช่น การถูกเรียกเก็บเงินจากโฆษณาที่ลืมปิด หรือการซื้อของโดยบุคคลอื่นที่เข้าถึงบัญชีของคุณ โชคดีที่ผู้ใช้สามารถลบข้อมูลการชำระเงินออกจาก Facebook ได้ทั้งบนเดสก์ท็อปและมือถือ โดยใช้ขั้นตอนง่าย ๆ ผ่านเมนู Settings ซึ่งจะแตกต่างกันเล็กน้อยตามประเภทการใช้งาน เช่น Meta Pay หรือ Ad Payments นอกจากนี้ยังมีข้อมูลเสริมจากภายนอกว่า Meta เคยถูกฟ้องและยอมจ่ายเงินชดเชยกว่า $725 ล้านจากกรณีละเมิดข้อมูลผู้ใช้ในคดี Cambridge Analytica ซึ่งสะท้อนถึงความเปราะบางของระบบจัดการข้อมูลส่วนตัวในอดีตของบริษัทนี้ ✅ วิธีลบข้อมูลการชำระเงินจาก Facebook ➡️ บนเดสก์ท็อป: ไปที่ Menu > Orders and payments > เลือกบัตร > Remove ➡️ สำหรับโฆษณา: ไปที่ Ad Center > Payment Settings > Remove จากรายการ ➡️ บนมือถือ: ไปที่ Settings & Privacy > Orders and payments > Credit and debit cards > Remove ✅ ประเภทข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ ➡️ บัตรเครดิต/เดบิต, บัญชี PayPal, หรือบัญชีธนาคาร ➡️ ข้อมูลเหล่านี้อาจถูกใช้เป็น default สำหรับการชำระเงินในอนาคต ➡️ การลบข้อมูลไม่ลบประวัติการซื้อ แต่ปิดช่องทางการเรียกเก็บเงิน ✅ ความสะดวกของ Meta Pay และระบบโฆษณา ➡️ Meta Pay ใช้สำหรับการซื้อสินค้า, บริจาค, หรือชำระเงินในแอป ➡️ ระบบโฆษณาเก็บข้อมูลการชำระเงินเพื่อใช้ในการเรียกเก็บเงินอัตโนมัติ ➡️ ผู้ใช้บางคนอาจไม่รู้ว่ามีการเก็บข้อมูลไว้หลังการใช้งานครั้งเดียว ✅ ประวัติการละเมิดข้อมูลของ Meta ➡️ Meta เคยถูกฟ้องจากกรณี Cambridge Analytica และยอมจ่าย $725 ล้าน ➡️ ผู้ใช้ Facebook ระหว่างปี 2007–2022 มีสิทธิ์ได้รับเงินชดเชย ➡️ การละเมิดข้อมูลส่วนตัวทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจในระบบของ Meta https://www.slashgear.com/1965008/how-to-remove-payment-details-from-facebook-meta/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    How To Remove Your Payment Details From Facebook (And Why You May Want To) - SlashGear
    Removing payment details from Facebook, be it for security or to avoid recurring charges, is a straightforward process and can be done via a browser or the app.
    0 Comments 0 Shares 85 Views 0 Reviews
  • Kolkata Fatafat is one of the most well-known lottery-style games in West Bengal, enjoyed by a huge number of people who eagerly participate every day. The game is exciting because it offers quick results and the chance to win with just a little bit of luck. Many players follow the results regularly, checking updates to see if their predictions match. https://ffkolkata.net/ Over the years, it has grown into more than just a lottery—it has become a part of daily conversation for many people across Kolkata and beyond. The thrill of guessing numbers and waiting for the outcome adds to its popularity. However, it is also important to remember that Kolkata Fatafat is a game of chance. While it can bring moments of joy and winnings, players should approach it responsibly, without over-dependence. Treating it as a form of entertainment ensures the experience remains enjoyable and balanced.
    Kolkata Fatafat is one of the most well-known lottery-style games in West Bengal, enjoyed by a huge number of people who eagerly participate every day. The game is exciting because it offers quick results and the chance to win with just a little bit of luck. Many players follow the results regularly, checking updates to see if their predictions match. https://ffkolkata.net/ Over the years, it has grown into more than just a lottery—it has become a part of daily conversation for many people across Kolkata and beyond. The thrill of guessing numbers and waiting for the outcome adds to its popularity. However, it is also important to remember that Kolkata Fatafat is a game of chance. While it can bring moments of joy and winnings, players should approach it responsibly, without over-dependence. Treating it as a form of entertainment ensures the experience remains enjoyable and balanced.
    FFKOLKATA.NET
    Kolkata Fatafat
    See LIVE Kolkata Fatafat (কলকাতা ফটাফট) today result and कोलकाता फटाफट Ghosh Babu Free Tips with Kolkata FF 220 Patti list chart
    0 Comments 0 Shares 116 Views 0 Reviews
  • ทัวร์ปีใหม่มาแล้ว!! เกาหลีใต้ โซล หิมะ Winter ❄ เริ่ม 7,999

    🗓 จำนวนวัน 4วัน 2คืน
    ✈ BX แอร์ปูซาน / LJ จินแอร์ / 7Cเจจูแอร์
    พักโรงแรม

    AURORA MEDIA SHOW
    เที่ยวกรุงโซลแบบอิสระด้วยตัวเอง

    รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี ">https://eTravelWay.com
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8

    LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f
    Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663
    Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626
    Tiktok : https://78s.me/903597
    : 021166395

    #ทัวร์เกาหลี #ทัวร์โซล #korea #seoul #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้
    #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1
    #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    ทัวร์ปีใหม่มาแล้ว!! เกาหลีใต้ โซล หิมะ Winter ❄ เริ่ม 7,999 🔥🔥 🗓 จำนวนวัน 4วัน 2คืน ✈ BX แอร์ปูซาน / LJ จินแอร์ / 7Cเจจูแอร์ 🏨 พักโรงแรม ⭐⭐⭐ 📍 AURORA MEDIA SHOW 📍 เที่ยวกรุงโซลแบบอิสระด้วยตัวเอง รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี https://eTravelWay.com🔥 ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8 LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663 Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626 Tiktok : https://78s.me/903597 ☎️: 021166395 #ทัวร์เกาหลี #ทัวร์โซล #korea #seoul #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้ #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 Comments 0 Shares 263 Views 0 0 Reviews
  • “เปลี่ยน RTX 4090 เป็นการ์ด AI 48GB ด้วยชุดอัปเกรด $142 — เมื่อโรงงานจีนสร้าง GPU ระดับดาต้าเซ็นเตอร์จากเกมมิ่งแฟลกชิป”

    ในยุคที่การประมวลผล AI ต้องการหน่วยความจำมหาศาล การ์ดจอเกมมิ่งระดับสูงอย่าง RTX 4090 ก็ถูกนำมาดัดแปลงให้กลายเป็น GPU สำหรับงาน AI โดยเฉพาะในจีนที่มีข้อจำกัดด้านการนำเข้าอุปกรณ์ AI จากสหรัฐฯ โรงงานหลายแห่งจึงเริ่ม “แปลงร่าง” RTX 4090 ให้กลายเป็นการ์ด 48GB ที่สามารถรันโมเดลขนาดใหญ่ได้อย่างลื่นไหล

    เทคนิคนี้เริ่มจากการใช้ชุดอัปเกรดที่ขายในจีนในราคาเพียง $142 ซึ่งประกอบด้วย PCB แบบ clamshell ที่รองรับการติดตั้งชิปหน่วยความจำทั้งสองด้าน (เหมือนกับ RTX 3090) และระบบระบายความร้อนแบบ blower-style ที่เหมาะกับเซิร์ฟเวอร์ GPU หลายตัว

    ช่างเทคนิคชื่อ VIK-on ได้สาธิตการถอดชิป AD102 และ GDDR6X ขนาด 2GB จำนวน 12 ตัวจากการ์ด MSI RTX 4090 Suprim แล้วนำไปติดตั้งบน PCB ใหม่ พร้อมอัปโหลดเฟิร์มแวร์ที่ถูกดัดแปลงให้รองรับหน่วยความจำ 48GB โดยใช้เครื่องมือภายในของ NVIDIA ที่หลุดออกมา เช่น MATS และ Mods

    แม้จะต้องใช้ทักษะการบัดกรีระดับสูงและอุปกรณ์เฉพาะทาง แต่ผลลัพธ์คือการ์ด RTX 4090 ที่สามารถรันโมเดล LLM ขนาด 70B ได้อย่างเสถียร โดยไม่ต้องพึ่งการ์ดระดับดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีราคาหลายพันดอลลาร์

    การ์ดที่ถูกดัดแปลงนี้ยังสามารถใช้งานกับไดรเวอร์ NVIDIA ได้ตามปกติ และมีการทดสอบความร้อนและประสิทธิภาพผ่าน Furmark, 3DMark และแอปพลิเคชัน AI เพื่อยืนยันว่าใช้งานได้จริง

    วิธีการอัปเกรด RTX 4090 เป็น 48GB
    ใช้ชุดอัปเกรด $142 ที่มี PCB แบบ clamshell และระบบระบายความร้อน blower-style
    ถอดชิป AD102 และ GDDR6X จากการ์ดเดิมแล้วติดตั้งบน PCB ใหม่
    ใช้เฟิร์มแวร์ดัดแปลงเพื่อให้ระบบรู้จักหน่วยความจำ 48GB
    ใช้ชิปหน่วยความจำจากการ์ดเสียเพื่อลดต้นทุน

    ประสิทธิภาพและการใช้งาน
    สามารถรันโมเดล LLM ขนาด 70B ได้อย่างลื่นไหล
    ใช้งานกับไดรเวอร์ NVIDIA ได้โดยไม่ต้องแก้ไขเพิ่มเติม
    ระบบระบายความร้อน blower-style เหมาะกับเซิร์ฟเวอร์หลาย GPU
    ทดสอบผ่าน Furmark, 3DMark และแอป AI เพื่อยืนยันความเสถียร

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การ์ด RTX 4090 48GB ขายในจีนราว $3,320 — ถูกกว่าดาต้าเซ็นเตอร์ GPU ถึง 39%
    GPU AD102 มีประสิทธิภาพสูงในงาน AI และ deep learning
    PCB แบบ clamshell เคยใช้ใน RTX 3090 เพื่อรองรับหน่วยความจำสองด้าน
    เฟิร์มแวร์ NVIDIA มีระบบตรวจสอบ device ID เพื่อป้องกันการดัดแปลง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/usd142-upgrade-kit-and-spare-modules-turn-nvidia-rtx-4090-24gb-to-48gb-ai-card-technician-explains-how-chinese-factories-turn-gaming-flagships-into-highly-desirable-ai-gpus
    🧠 “เปลี่ยน RTX 4090 เป็นการ์ด AI 48GB ด้วยชุดอัปเกรด $142 — เมื่อโรงงานจีนสร้าง GPU ระดับดาต้าเซ็นเตอร์จากเกมมิ่งแฟลกชิป” ในยุคที่การประมวลผล AI ต้องการหน่วยความจำมหาศาล การ์ดจอเกมมิ่งระดับสูงอย่าง RTX 4090 ก็ถูกนำมาดัดแปลงให้กลายเป็น GPU สำหรับงาน AI โดยเฉพาะในจีนที่มีข้อจำกัดด้านการนำเข้าอุปกรณ์ AI จากสหรัฐฯ โรงงานหลายแห่งจึงเริ่ม “แปลงร่าง” RTX 4090 ให้กลายเป็นการ์ด 48GB ที่สามารถรันโมเดลขนาดใหญ่ได้อย่างลื่นไหล เทคนิคนี้เริ่มจากการใช้ชุดอัปเกรดที่ขายในจีนในราคาเพียง $142 ซึ่งประกอบด้วย PCB แบบ clamshell ที่รองรับการติดตั้งชิปหน่วยความจำทั้งสองด้าน (เหมือนกับ RTX 3090) และระบบระบายความร้อนแบบ blower-style ที่เหมาะกับเซิร์ฟเวอร์ GPU หลายตัว ช่างเทคนิคชื่อ VIK-on ได้สาธิตการถอดชิป AD102 และ GDDR6X ขนาด 2GB จำนวน 12 ตัวจากการ์ด MSI RTX 4090 Suprim แล้วนำไปติดตั้งบน PCB ใหม่ พร้อมอัปโหลดเฟิร์มแวร์ที่ถูกดัดแปลงให้รองรับหน่วยความจำ 48GB โดยใช้เครื่องมือภายในของ NVIDIA ที่หลุดออกมา เช่น MATS และ Mods แม้จะต้องใช้ทักษะการบัดกรีระดับสูงและอุปกรณ์เฉพาะทาง แต่ผลลัพธ์คือการ์ด RTX 4090 ที่สามารถรันโมเดล LLM ขนาด 70B ได้อย่างเสถียร โดยไม่ต้องพึ่งการ์ดระดับดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีราคาหลายพันดอลลาร์ การ์ดที่ถูกดัดแปลงนี้ยังสามารถใช้งานกับไดรเวอร์ NVIDIA ได้ตามปกติ และมีการทดสอบความร้อนและประสิทธิภาพผ่าน Furmark, 3DMark และแอปพลิเคชัน AI เพื่อยืนยันว่าใช้งานได้จริง ✅ วิธีการอัปเกรด RTX 4090 เป็น 48GB ➡️ ใช้ชุดอัปเกรด $142 ที่มี PCB แบบ clamshell และระบบระบายความร้อน blower-style ➡️ ถอดชิป AD102 และ GDDR6X จากการ์ดเดิมแล้วติดตั้งบน PCB ใหม่ ➡️ ใช้เฟิร์มแวร์ดัดแปลงเพื่อให้ระบบรู้จักหน่วยความจำ 48GB ➡️ ใช้ชิปหน่วยความจำจากการ์ดเสียเพื่อลดต้นทุน ✅ ประสิทธิภาพและการใช้งาน ➡️ สามารถรันโมเดล LLM ขนาด 70B ได้อย่างลื่นไหล ➡️ ใช้งานกับไดรเวอร์ NVIDIA ได้โดยไม่ต้องแก้ไขเพิ่มเติม ➡️ ระบบระบายความร้อน blower-style เหมาะกับเซิร์ฟเวอร์หลาย GPU ➡️ ทดสอบผ่าน Furmark, 3DMark และแอป AI เพื่อยืนยันความเสถียร ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การ์ด RTX 4090 48GB ขายในจีนราว $3,320 — ถูกกว่าดาต้าเซ็นเตอร์ GPU ถึง 39% ➡️ GPU AD102 มีประสิทธิภาพสูงในงาน AI และ deep learning ➡️ PCB แบบ clamshell เคยใช้ใน RTX 3090 เพื่อรองรับหน่วยความจำสองด้าน ➡️ เฟิร์มแวร์ NVIDIA มีระบบตรวจสอบ device ID เพื่อป้องกันการดัดแปลง https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/usd142-upgrade-kit-and-spare-modules-turn-nvidia-rtx-4090-24gb-to-48gb-ai-card-technician-explains-how-chinese-factories-turn-gaming-flagships-into-highly-desirable-ai-gpus
    0 Comments 0 Shares 163 Views 0 Reviews
  • “พาลูกไปพิพิธภัณฑ์ ไม่ใช่เพื่อดูจอ! เสียงสะท้อนจากพ่อคนหนึ่งถึง Franklin Institute — เมื่อจอสัมผัสกลายเป็นศูนย์กลางแทนของจริง”

    Seth Purcell พาลูกชายวัย 6 ขวบไปเยี่ยมชม The Franklin Institute (TFI) ในฟิลาเดลเฟีย ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ที่เขาเคยหลงรักในวัยเด็ก แต่สิ่งที่เขาพบกลับไม่ใช่ความมหัศจรรย์แบบเดิม — เพราะจอสัมผัสและเกมดิจิทัลได้เข้ามาแทนที่นิทรรศการแบบจับต้องได้ที่เคยเป็นหัวใจของพิพิธภัณฑ์

    เขาเล่าว่าในอดีต TFI คือสถานที่ที่เด็กๆ ได้เล่นกับแรงโน้มถ่วง, ทราย, เสียง, และกลไกจริงๆ เช่น การนั่งบนเก้าอี้ที่แขวนจากรอกแล้วดึงตัวเองขึ้น หรือการดูทรายสร้างลวดลายจากการสั่นของลูกตุ้ม แต่ในการเยี่ยมชมครั้งล่าสุด เขากลับพบว่าหลายพื้นที่ถูกแทนที่ด้วยจอสัมผัสที่จำลองประสบการณ์แบบวิดีโอเกม — เช่น “ออกแบบจรวดของคุณเอง” ที่กลายเป็นการกดปุ่มบนหน้าจอแทนการทดลองจริง

    แม้จะมีนิทรรศการที่ยังคงความเป็น “ของจริง” เช่น ลูกตุ้ม Foucault, ห้อง Air Show และ Sir Isaac’s Loft ที่ยังมีเด็กๆ เล่นกันอย่างสนุกสนาน แต่พื้นที่เหล่านี้กลับถูกซ่อนอยู่ในมุมห่างไกล และบางส่วนก็ชำรุดหรือใช้งานไม่ได้ เช่น เก้าอี้หมุนที่ใช้แสดงแรงโมเมนตัมซึ่งมีแรงเสียดทานมากเกินไปจนไม่ทำงาน

    Purcell ตั้งคำถามว่า ทำไมพิพิธภัณฑ์ถึงเลือกลงทุนกับจอสัมผัสมากกว่าการบำรุงรักษานิทรรศการแบบจับต้องได้ เขาเสนอว่าพิพิธภัณฑ์ควรเป็นสถานที่ที่เด็กๆ ได้สัมผัสของจริง ไม่ใช่จำลองผ่านหน้าจอ — เพราะการเรียนรู้ที่แท้จริงเกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กับโลก ไม่ใช่กับซอฟต์แวร์

    https://sethpurcell.com/writing/screens-in-museums/
    🏛️ “พาลูกไปพิพิธภัณฑ์ ไม่ใช่เพื่อดูจอ! เสียงสะท้อนจากพ่อคนหนึ่งถึง Franklin Institute — เมื่อจอสัมผัสกลายเป็นศูนย์กลางแทนของจริง” Seth Purcell พาลูกชายวัย 6 ขวบไปเยี่ยมชม The Franklin Institute (TFI) ในฟิลาเดลเฟีย ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ที่เขาเคยหลงรักในวัยเด็ก แต่สิ่งที่เขาพบกลับไม่ใช่ความมหัศจรรย์แบบเดิม — เพราะจอสัมผัสและเกมดิจิทัลได้เข้ามาแทนที่นิทรรศการแบบจับต้องได้ที่เคยเป็นหัวใจของพิพิธภัณฑ์ เขาเล่าว่าในอดีต TFI คือสถานที่ที่เด็กๆ ได้เล่นกับแรงโน้มถ่วง, ทราย, เสียง, และกลไกจริงๆ เช่น การนั่งบนเก้าอี้ที่แขวนจากรอกแล้วดึงตัวเองขึ้น หรือการดูทรายสร้างลวดลายจากการสั่นของลูกตุ้ม แต่ในการเยี่ยมชมครั้งล่าสุด เขากลับพบว่าหลายพื้นที่ถูกแทนที่ด้วยจอสัมผัสที่จำลองประสบการณ์แบบวิดีโอเกม — เช่น “ออกแบบจรวดของคุณเอง” ที่กลายเป็นการกดปุ่มบนหน้าจอแทนการทดลองจริง แม้จะมีนิทรรศการที่ยังคงความเป็น “ของจริง” เช่น ลูกตุ้ม Foucault, ห้อง Air Show และ Sir Isaac’s Loft ที่ยังมีเด็กๆ เล่นกันอย่างสนุกสนาน แต่พื้นที่เหล่านี้กลับถูกซ่อนอยู่ในมุมห่างไกล และบางส่วนก็ชำรุดหรือใช้งานไม่ได้ เช่น เก้าอี้หมุนที่ใช้แสดงแรงโมเมนตัมซึ่งมีแรงเสียดทานมากเกินไปจนไม่ทำงาน Purcell ตั้งคำถามว่า ทำไมพิพิธภัณฑ์ถึงเลือกลงทุนกับจอสัมผัสมากกว่าการบำรุงรักษานิทรรศการแบบจับต้องได้ เขาเสนอว่าพิพิธภัณฑ์ควรเป็นสถานที่ที่เด็กๆ ได้สัมผัสของจริง ไม่ใช่จำลองผ่านหน้าจอ — เพราะการเรียนรู้ที่แท้จริงเกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กับโลก ไม่ใช่กับซอฟต์แวร์ https://sethpurcell.com/writing/screens-in-museums/
    0 Comments 0 Shares 96 Views 0 Reviews
  • DongPleng On Air
    www.dongpleng.com
    ศิลปะ ดนตรี กวี ธรรมชาติ
    เจตนารมณ์ ของเรา
    1. เพื่อให้ความบันเทิงและผ่อนคลายด้านเสียงเพลงรวมถึงสาระที่น่าสนใจในแนวทาง ศิลปะ ดนตรี กวี ธรรมชาติ
    2. รณรงค์ให้ทุกคนรู้คุณค่าของแหล่งธรรมชาติต่างๆ การอณุรักษ์แหล่งท่องเที่ยว การรักษาสิ่งแวดล้อม
    3. เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร สาระบันเทิง เช่น กิจกรรม ประเพณี วัฒนธรรมและเทศกาลต่างๆ ของไทย และให้พื้นที่นำเสนอผลงานของศิลปินนักร้องได้อย่างอิสระ
    4. รณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวสนใจเที่ยวในเมืองไทยรวมถึงนำเสนอเอกลักษณ์ไทย เช่น ศิลปะไทย อาหารไทย
    5. สร้างสัมพันธภาพที่ดีของคนในสังคมให้รู้รักสามัคคี ภูมิใจและรักในความเป็นไทย
    6. สร้างภาพลักษณ์ที่ดีสำหรับองค์กร ผลิตภัณฑ์สินค้า และบริการ ต่างๆ
    7. ส่งเสริมการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์ในทางที่สร้างสรรค์
    ขอบพระคุณครับ
    #ศิลปะดนตรีกวีธรรมชาติ #indie #onair #dongplengonair #radioonline #อัลเตอร์90 #djดีเจชอว์ #shawsherryduck #วิทยุออนไลน์ #สถานีวิทยุ #ชอว์พิชิต #ชอว์เชอร์รี่ดั๊ก #radioshow #live #สาระบันเทิง #เพลงไทย #เสียงเพลงสร้างสรรค์ #เพื่อชีวิต #ลูกทุ่ง #วิทยุอารมณ์ดี #ป็อปร็อค #ยุคเทป #เพลงใหม่ #เพลงเก่า #คิดบวก #ความสุข #ความรัก #เพลงรัก #เพลงดี #เพลงสากล
    DongPleng On Air www.dongpleng.com ศิลปะ ดนตรี กวี ธรรมชาติ เจตนารมณ์ ของเรา 1. เพื่อให้ความบันเทิงและผ่อนคลายด้านเสียงเพลงรวมถึงสาระที่น่าสนใจในแนวทาง ศิลปะ ดนตรี กวี ธรรมชาติ 2. รณรงค์ให้ทุกคนรู้คุณค่าของแหล่งธรรมชาติต่างๆ การอณุรักษ์แหล่งท่องเที่ยว การรักษาสิ่งแวดล้อม 3. เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร สาระบันเทิง เช่น กิจกรรม ประเพณี วัฒนธรรมและเทศกาลต่างๆ ของไทย และให้พื้นที่นำเสนอผลงานของศิลปินนักร้องได้อย่างอิสระ 4. รณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวสนใจเที่ยวในเมืองไทยรวมถึงนำเสนอเอกลักษณ์ไทย เช่น ศิลปะไทย อาหารไทย 5. สร้างสัมพันธภาพที่ดีของคนในสังคมให้รู้รักสามัคคี ภูมิใจและรักในความเป็นไทย 6. สร้างภาพลักษณ์ที่ดีสำหรับองค์กร ผลิตภัณฑ์สินค้า และบริการ ต่างๆ 7. ส่งเสริมการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์ในทางที่สร้างสรรค์ ขอบพระคุณครับ #ศิลปะดนตรีกวีธรรมชาติ #indie #onair #dongplengonair #radioonline #อัลเตอร์90 #djดีเจชอว์ #shawsherryduck #วิทยุออนไลน์ #สถานีวิทยุ #ชอว์พิชิต #ชอว์เชอร์รี่ดั๊ก #radioshow #live #สาระบันเทิง #เพลงไทย #เสียงเพลงสร้างสรรค์ #เพื่อชีวิต #ลูกทุ่ง #วิทยุอารมณ์ดี #ป็อปร็อค #ยุคเทป #เพลงใหม่ #เพลงเก่า #คิดบวก #ความสุข #ความรัก #เพลงรัก #เพลงดี #เพลงสากล
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 241 Views 0 0 Reviews
  • “ศึกชิป AI ระดับโลก! NVIDIA Blackwell Ultra GB300 ปะทะ AMD Instinct MI355X ใน MLPerf v5.1 — เร็วขึ้น ฉลาดขึ้น และร้อนแรงกว่าเดิม”

    ในโลกของ AI ที่แข่งขันกันด้วยความเร็วและประสิทธิภาพ ชิปประมวลผลคือหัวใจของทุกระบบ และในรอบล่าสุดของการทดสอบ MLPerf v5.1 ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับโลกสำหรับการวัดประสิทธิภาพการประมวลผล AI — NVIDIA และ AMD ต่างก็ส่งชิปเรือธงของตนเข้าประลองกันแบบไม่มีใครยอมใคร

    NVIDIA เปิดตัว Blackwell Ultra GB300 ซึ่งเป็นรุ่นอัปเกรดจาก GB200 โดยสามารถทำความเร็วได้สูงขึ้นถึง 45% ในงาน DeepSeek R1 (Offline) เมื่อใช้ 72 GPU และ 44% เมื่อใช้ 8 GPU ส่วนในโหมด Server ก็ยังเร็วขึ้นถึง 25% และ 21% ตามลำดับ1 ถือเป็นการทำตามสัญญาที่เคยประกาศไว้ว่า Blackwell Ultra จะเร็วขึ้นประมาณ 50%

    ฝั่ง AMD ก็ไม่น้อยหน้า ส่ง Instinct MI355X เข้าร่วมการทดสอบ โดยในงาน Llama 3.1 405B (Offline) พบว่าทำความเร็วได้สูงกว่า GB200 ถึง 27% และในงาน Llama 2 70B (Offline) MI355X สามารถสร้าง token ได้ถึง 648,248 ต่อวินาทีในระบบ 64 ชิป และ 93,045 ในระบบ 8 ชิป — เร็วกว่า GB200 ถึง 2 เท่า

    NVIDIA ยังโชว์พลังของ GB300 ด้วยการทำลายสถิติในหลายหมวด เช่น Stable Diffusion XL, Whisper, Mixtral และ DLRMv2 โดยใช้เทคนิคใหม่อย่าง NVFP4 ซึ่งเป็นฟอร์แมต 4-bit floating point ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับงาน AI reasoning พร้อมระบบเสิร์ฟแบบแยก context และ generation เพื่อเพิ่ม throughput สูงสุด

    การทดสอบครั้งนี้ยังมี Intel Arc Pro B60 เข้าร่วมด้วย แม้จะไม่เร็วเท่าชิประดับ datacenter แต่ก็มีจุดเด่นด้านความคุ้มค่าและการใช้งานในระบบขนาดเล็ก — สะท้อนว่าการแข่งขันไม่ได้มีแค่เรื่องความเร็ว แต่ยังรวมถึงการออกแบบที่ตอบโจทย์การใช้งานจริง

    ผลการทดสอบ MLPerf v5.1
    GB300 เร็วกว่า GB200 ถึง 45% ใน DeepSeek R1 (Offline) และ 25% ใน Server
    MI355X เร็วกว่า GB200 ถึง 27% ใน Llama 3.1 405B และ 2.09x ใน Llama 2 70B
    GB300 ทำลายสถิติในหลายหมวด เช่น Whisper, Mixtral, DLRMv2 และ Stable Diffusion XL
    ใช้เทคนิค NVFP4 และระบบเสิร์ฟแบบแยก context/generation เพื่อเพิ่ม throughput

    จุดเด่นของ Blackwell Ultra GB300
    มี 1.5x NVFP4 compute และ 2x attention-layer acceleration เมื่อเทียบกับ Blackwell รุ่นก่อน
    ใช้ HBM3e สูงสุด 288GB ต่อ GPU
    ทำความเร็ว reasoning ได้สูงกว่า Hopper ถึง 4.7x ใน Offline และ 5.2x ใน Server1
    ถือครองสถิติ per-GPU ในทุกหมวดของ MLPerf datacenter benchmark

    จุดเด่นของ AMD Instinct MI355X
    ทำ token generation ได้สูงสุด 648,248 ต่อวินาทีในระบบ 64 ชิป
    เร็วกว่า GB200 ถึง 2 เท่าในระบบ 8 ชิป
    เหมาะกับงาน LLM ขนาดใหญ่ เช่น Llama 2 และ Llama 3.1
    มีการปรับปรุงด้าน memory bandwidth และการจัดการพลังงาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    MLPerf v5.1 มีผู้เข้าร่วมมากถึง 27 ราย และเพิ่ม benchmark ใหม่ 3 รายการ ได้แก่ DeepSeek-R1, Llama 3.1 8B และ Whisper Large V3
    NVIDIA ใช้ TensorRT-LLM และ Model Optimizer เพื่อปรับแต่งโมเดลให้ทำงานกับ NVFP4 ได้อย่างแม่นยำ2 การเสิร์ฟแบบแยก context/generation ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในงาน LLM แบบ interactive
    Intel Arc Pro B60 แม้จะช้ากว่า แต่มีจุดเด่นด้านความคุ้มค่าและการใช้งานในระบบขนาดเล็ก

    https://wccftech.com/mlperf-v5-1-ai-inference-benchmark-showdown-nvidia-blackwell-ultra-gb300-amd-instinct-mi355x/
    ⚙️ “ศึกชิป AI ระดับโลก! NVIDIA Blackwell Ultra GB300 ปะทะ AMD Instinct MI355X ใน MLPerf v5.1 — เร็วขึ้น ฉลาดขึ้น และร้อนแรงกว่าเดิม” ในโลกของ AI ที่แข่งขันกันด้วยความเร็วและประสิทธิภาพ ชิปประมวลผลคือหัวใจของทุกระบบ และในรอบล่าสุดของการทดสอบ MLPerf v5.1 ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับโลกสำหรับการวัดประสิทธิภาพการประมวลผล AI — NVIDIA และ AMD ต่างก็ส่งชิปเรือธงของตนเข้าประลองกันแบบไม่มีใครยอมใคร NVIDIA เปิดตัว Blackwell Ultra GB300 ซึ่งเป็นรุ่นอัปเกรดจาก GB200 โดยสามารถทำความเร็วได้สูงขึ้นถึง 45% ในงาน DeepSeek R1 (Offline) เมื่อใช้ 72 GPU และ 44% เมื่อใช้ 8 GPU ส่วนในโหมด Server ก็ยังเร็วขึ้นถึง 25% และ 21% ตามลำดับ1 ถือเป็นการทำตามสัญญาที่เคยประกาศไว้ว่า Blackwell Ultra จะเร็วขึ้นประมาณ 50% ฝั่ง AMD ก็ไม่น้อยหน้า ส่ง Instinct MI355X เข้าร่วมการทดสอบ โดยในงาน Llama 3.1 405B (Offline) พบว่าทำความเร็วได้สูงกว่า GB200 ถึง 27% และในงาน Llama 2 70B (Offline) MI355X สามารถสร้าง token ได้ถึง 648,248 ต่อวินาทีในระบบ 64 ชิป และ 93,045 ในระบบ 8 ชิป — เร็วกว่า GB200 ถึง 2 เท่า NVIDIA ยังโชว์พลังของ GB300 ด้วยการทำลายสถิติในหลายหมวด เช่น Stable Diffusion XL, Whisper, Mixtral และ DLRMv2 โดยใช้เทคนิคใหม่อย่าง NVFP4 ซึ่งเป็นฟอร์แมต 4-bit floating point ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับงาน AI reasoning พร้อมระบบเสิร์ฟแบบแยก context และ generation เพื่อเพิ่ม throughput สูงสุด การทดสอบครั้งนี้ยังมี Intel Arc Pro B60 เข้าร่วมด้วย แม้จะไม่เร็วเท่าชิประดับ datacenter แต่ก็มีจุดเด่นด้านความคุ้มค่าและการใช้งานในระบบขนาดเล็ก — สะท้อนว่าการแข่งขันไม่ได้มีแค่เรื่องความเร็ว แต่ยังรวมถึงการออกแบบที่ตอบโจทย์การใช้งานจริง ✅ ผลการทดสอบ MLPerf v5.1 ➡️ GB300 เร็วกว่า GB200 ถึง 45% ใน DeepSeek R1 (Offline) และ 25% ใน Server ➡️ MI355X เร็วกว่า GB200 ถึง 27% ใน Llama 3.1 405B และ 2.09x ใน Llama 2 70B ➡️ GB300 ทำลายสถิติในหลายหมวด เช่น Whisper, Mixtral, DLRMv2 และ Stable Diffusion XL ➡️ ใช้เทคนิค NVFP4 และระบบเสิร์ฟแบบแยก context/generation เพื่อเพิ่ม throughput ✅ จุดเด่นของ Blackwell Ultra GB300 ➡️ มี 1.5x NVFP4 compute และ 2x attention-layer acceleration เมื่อเทียบกับ Blackwell รุ่นก่อน ➡️ ใช้ HBM3e สูงสุด 288GB ต่อ GPU ➡️ ทำความเร็ว reasoning ได้สูงกว่า Hopper ถึง 4.7x ใน Offline และ 5.2x ใน Server1 ➡️ ถือครองสถิติ per-GPU ในทุกหมวดของ MLPerf datacenter benchmark ✅ จุดเด่นของ AMD Instinct MI355X ➡️ ทำ token generation ได้สูงสุด 648,248 ต่อวินาทีในระบบ 64 ชิป ➡️ เร็วกว่า GB200 ถึง 2 เท่าในระบบ 8 ชิป ➡️ เหมาะกับงาน LLM ขนาดใหญ่ เช่น Llama 2 และ Llama 3.1 ➡️ มีการปรับปรุงด้าน memory bandwidth และการจัดการพลังงาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ MLPerf v5.1 มีผู้เข้าร่วมมากถึง 27 ราย และเพิ่ม benchmark ใหม่ 3 รายการ ได้แก่ DeepSeek-R1, Llama 3.1 8B และ Whisper Large V3 ➡️ NVIDIA ใช้ TensorRT-LLM และ Model Optimizer เพื่อปรับแต่งโมเดลให้ทำงานกับ NVFP4 ได้อย่างแม่นยำ2 ➡️ การเสิร์ฟแบบแยก context/generation ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในงาน LLM แบบ interactive ➡️ Intel Arc Pro B60 แม้จะช้ากว่า แต่มีจุดเด่นด้านความคุ้มค่าและการใช้งานในระบบขนาดเล็ก https://wccftech.com/mlperf-v5-1-ai-inference-benchmark-showdown-nvidia-blackwell-ultra-gb300-amd-instinct-mi355x/
    WCCFTECH.COM
    MLPerf v5.1 AI Inference Benchmark Showdown: NVIDIA Blackwell Ultra GB300 & AMD Instinct MI355X In The Spotlight
    NVIDIA's Blackwell Ultra GB300 & AMD's Instinct MI355X have finally appeared in the latest MLPerf v3.1 AI inference benchmarks.
    0 Comments 0 Shares 139 Views 0 Reviews
  • “ดาวเทียมล้นวงโคจร! สหรัฐฯ ครองแชมป์ด้วย 9,203 ดวง ขณะที่โลกเพิ่มขึ้นวันละ 7 ตัน — จาก Sputnik สู่ยุค Starlink และสงครามอวกาศ”

    ย้อนกลับไปปี 1957 เมื่อ Sputnik 1 กลายเป็นดาวเทียมดวงแรกของโลกที่โคจรรอบโลกอย่างโดดเดี่ยว — วันนี้มันคงรู้สึกเหงาไม่ออก เพราะมีวัตถุมนุษย์สร้างกว่า 45,000 ชิ้นลอยอยู่ในอวกาศ และในจำนวนนี้มีดาวเทียมที่ยังทำงานอยู่ถึง 13,727 ดวงจาก 82 ประเทศทั่วโลก

    สหรัฐอเมริกาครองตำแหน่งผู้นำแบบทิ้งห่าง ด้วยจำนวนดาวเทียมถึง 9,203 ดวง มากกว่ารัสเซียที่ตามมาเป็นอันดับสองถึง 6 เท่า ส่วนจีนมี 1,121 ดวง และสหราชอาณาจักรมี 722 ดวง โดยในปี 2024 เพียงปีเดียว มีดาวเทียมใหม่ถูกส่งขึ้นไปถึง 2,695 ดวง — เทียบกับปี 2020 ที่มีเพียง 3,371 ดวงเท่านั้น1

    ดาวเทียมเหล่านี้ไม่ได้มีไว้แค่ส่งสัญญาณทีวีหรือพยากรณ์อากาศ แต่ยังใช้ในงานที่หลากหลายอย่างไม่น่าเชื่อ เช่น การทำธุรกรรมทางการเงิน, การติดตามกระแสน้ำในมหาสมุทร, การควบคุมโครงข่ายพลังงาน, การสื่อสารทางทหาร, และแม้แต่การพาเถ้ากระดูกมนุษย์ไปโคจรรอบโลก

    ในด้านการทหาร สหรัฐฯ ก็ยังนำโด่งด้วยดาวเทียมทางทหารถึง 247 ดวง ตามด้วยจีน 157 ดวง และรัสเซีย 110 ดวง3 ดาวเทียมเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการสอดแนม, แจ้งเตือนการยิงขีปนาวุธ, สื่อสารภาคสนาม, และแม้แต่การป้องกันไซเบอร์

    แม้จะมีประโยชน์มหาศาล แต่การเพิ่มขึ้นของดาวเทียมก็ทำให้เกิดปัญหา “ขยะอวกาศ” ที่กำลังทวีความรุนแรง โดยมีวัตถุที่ถูกติดตามแล้วกว่า 32,750 ชิ้น และมีฮาร์ดแวร์ใหม่ถูกส่งขึ้นไปถึง 7 ตันต่อวัน — ทำให้วงโคจรของโลกกลายเป็นพื้นที่แออัดที่อาจเกิดอุบัติเหตุได้ทุกเมื่อ

    สถานการณ์ดาวเทียมในปัจจุบัน
    มีดาวเทียมที่ยังทำงานอยู่ 13,727 ดวง จาก 82 ประเทศและองค์กร
    สหรัฐฯ มีมากที่สุดที่ 9,203 ดวง ตามด้วยรัสเซีย 1,471 ดวง และจีน 1,121 ดวง1
    ปี 2024 มีดาวเทียมใหม่เพิ่มขึ้น 2,695 ดวง เทียบกับ 3,371 ดวงในปี 2020

    การใช้งานดาวเทียม
    ใช้ในระบบนำทาง, อินเทอร์เน็ต, การพยากรณ์อากาศ, การสื่อสาร
    ใช้ในธุรกรรมการเงิน เช่น การส่งข้อมูลบัตรเครดิตผ่านดาวเทียม
    ใช้ในงานวิจัย เช่น กล้องโทรทรรศน์อวกาศ Hubble และการติดตามมหาสมุทร
    ใช้ในพิธีกรรม เช่น การนำเถ้ากระดูกมนุษย์ไปโคจรรอบโลก

    ดาวเทียมทางทหาร
    สหรัฐฯ มีดาวเทียมทางทหาร 247 ดวง มากที่สุดในโลก3
    จีนมี 157 ดวง, รัสเซีย 110 ดวง, ฝรั่งเศส 17 ดวง, อิสราเอล 12 ดวง
    ใช้ในการสอดแนม, แจ้งเตือนภัย, GPS, และการสื่อสารภาคสนาม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ดาวเทียมของสหรัฐฯ มีทั้งเชิงพาณิชย์, วิจัย, และทหาร รวมกว่า 11,655 ดวง
    ระบบดาวเทียมเช่น Starlink ของ Elon Musk มีบทบาทสำคัญในการให้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วโลก
    ระบบ SATCOM ถูกใช้ในสงคราม เช่น Operation Desert Storm ปี 19912
    ประเทศอื่นที่มีดาวเทียมจำนวนมาก ได้แก่ รัสเซีย (7,187 ดวง), จีน (5,330 ดวง), สหราชอาณาจักร (735 ดวง), ฝรั่งเศส (604 ดวง)

    คำเตือนจากการเพิ่มขึ้นของดาวเทียม
    ขยะอวกาศมีมากกว่า 32,750 ชิ้นที่ถูกติดตามแล้ว — เสี่ยงต่อการชนกันในวงโคจร
    มีฮาร์ดแวร์ใหม่ถูกส่งขึ้นไปถึง 7 ตันต่อวัน — เพิ่มความแออัดในอวกาศ
    การควบคุมการปล่อยดาวเทียมยังไม่มีมาตรฐานสากลที่ชัดเจน
    ดาวเทียมทางทหารอาจถูกใช้ในสงครามไซเบอร์หรือการสอดแนมประชาชน
    หากไม่มีการจัดการขยะอวกาศอย่างจริงจัง อาจเกิด “Kessler Syndrome” ที่ทำให้วงโคจรใช้งานไม่ได้

    https://www.slashgear.com/1961880/how-many-satellites-are-in-space-which-country-has-the-most/
    🛰️ “ดาวเทียมล้นวงโคจร! สหรัฐฯ ครองแชมป์ด้วย 9,203 ดวง ขณะที่โลกเพิ่มขึ้นวันละ 7 ตัน — จาก Sputnik สู่ยุค Starlink และสงครามอวกาศ” ย้อนกลับไปปี 1957 เมื่อ Sputnik 1 กลายเป็นดาวเทียมดวงแรกของโลกที่โคจรรอบโลกอย่างโดดเดี่ยว — วันนี้มันคงรู้สึกเหงาไม่ออก เพราะมีวัตถุมนุษย์สร้างกว่า 45,000 ชิ้นลอยอยู่ในอวกาศ และในจำนวนนี้มีดาวเทียมที่ยังทำงานอยู่ถึง 13,727 ดวงจาก 82 ประเทศทั่วโลก สหรัฐอเมริกาครองตำแหน่งผู้นำแบบทิ้งห่าง ด้วยจำนวนดาวเทียมถึง 9,203 ดวง มากกว่ารัสเซียที่ตามมาเป็นอันดับสองถึง 6 เท่า ส่วนจีนมี 1,121 ดวง และสหราชอาณาจักรมี 722 ดวง โดยในปี 2024 เพียงปีเดียว มีดาวเทียมใหม่ถูกส่งขึ้นไปถึง 2,695 ดวง — เทียบกับปี 2020 ที่มีเพียง 3,371 ดวงเท่านั้น1 ดาวเทียมเหล่านี้ไม่ได้มีไว้แค่ส่งสัญญาณทีวีหรือพยากรณ์อากาศ แต่ยังใช้ในงานที่หลากหลายอย่างไม่น่าเชื่อ เช่น การทำธุรกรรมทางการเงิน, การติดตามกระแสน้ำในมหาสมุทร, การควบคุมโครงข่ายพลังงาน, การสื่อสารทางทหาร, และแม้แต่การพาเถ้ากระดูกมนุษย์ไปโคจรรอบโลก ในด้านการทหาร สหรัฐฯ ก็ยังนำโด่งด้วยดาวเทียมทางทหารถึง 247 ดวง ตามด้วยจีน 157 ดวง และรัสเซีย 110 ดวง3 ดาวเทียมเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการสอดแนม, แจ้งเตือนการยิงขีปนาวุธ, สื่อสารภาคสนาม, และแม้แต่การป้องกันไซเบอร์ แม้จะมีประโยชน์มหาศาล แต่การเพิ่มขึ้นของดาวเทียมก็ทำให้เกิดปัญหา “ขยะอวกาศ” ที่กำลังทวีความรุนแรง โดยมีวัตถุที่ถูกติดตามแล้วกว่า 32,750 ชิ้น และมีฮาร์ดแวร์ใหม่ถูกส่งขึ้นไปถึง 7 ตันต่อวัน — ทำให้วงโคจรของโลกกลายเป็นพื้นที่แออัดที่อาจเกิดอุบัติเหตุได้ทุกเมื่อ ✅ สถานการณ์ดาวเทียมในปัจจุบัน ➡️ มีดาวเทียมที่ยังทำงานอยู่ 13,727 ดวง จาก 82 ประเทศและองค์กร ➡️ สหรัฐฯ มีมากที่สุดที่ 9,203 ดวง ตามด้วยรัสเซีย 1,471 ดวง และจีน 1,121 ดวง1 ➡️ ปี 2024 มีดาวเทียมใหม่เพิ่มขึ้น 2,695 ดวง เทียบกับ 3,371 ดวงในปี 2020 ✅ การใช้งานดาวเทียม ➡️ ใช้ในระบบนำทาง, อินเทอร์เน็ต, การพยากรณ์อากาศ, การสื่อสาร ➡️ ใช้ในธุรกรรมการเงิน เช่น การส่งข้อมูลบัตรเครดิตผ่านดาวเทียม ➡️ ใช้ในงานวิจัย เช่น กล้องโทรทรรศน์อวกาศ Hubble และการติดตามมหาสมุทร ➡️ ใช้ในพิธีกรรม เช่น การนำเถ้ากระดูกมนุษย์ไปโคจรรอบโลก ✅ ดาวเทียมทางทหาร ➡️ สหรัฐฯ มีดาวเทียมทางทหาร 247 ดวง มากที่สุดในโลก3 ➡️ จีนมี 157 ดวง, รัสเซีย 110 ดวง, ฝรั่งเศส 17 ดวง, อิสราเอล 12 ดวง ➡️ ใช้ในการสอดแนม, แจ้งเตือนภัย, GPS, และการสื่อสารภาคสนาม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ดาวเทียมของสหรัฐฯ มีทั้งเชิงพาณิชย์, วิจัย, และทหาร รวมกว่า 11,655 ดวง ➡️ ระบบดาวเทียมเช่น Starlink ของ Elon Musk มีบทบาทสำคัญในการให้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วโลก ➡️ ระบบ SATCOM ถูกใช้ในสงคราม เช่น Operation Desert Storm ปี 19912 ➡️ ประเทศอื่นที่มีดาวเทียมจำนวนมาก ได้แก่ รัสเซีย (7,187 ดวง), จีน (5,330 ดวง), สหราชอาณาจักร (735 ดวง), ฝรั่งเศส (604 ดวง) ‼️ คำเตือนจากการเพิ่มขึ้นของดาวเทียม ⛔ ขยะอวกาศมีมากกว่า 32,750 ชิ้นที่ถูกติดตามแล้ว — เสี่ยงต่อการชนกันในวงโคจร ⛔ มีฮาร์ดแวร์ใหม่ถูกส่งขึ้นไปถึง 7 ตันต่อวัน — เพิ่มความแออัดในอวกาศ ⛔ การควบคุมการปล่อยดาวเทียมยังไม่มีมาตรฐานสากลที่ชัดเจน ⛔ ดาวเทียมทางทหารอาจถูกใช้ในสงครามไซเบอร์หรือการสอดแนมประชาชน ⛔ หากไม่มีการจัดการขยะอวกาศอย่างจริงจัง อาจเกิด “Kessler Syndrome” ที่ทำให้วงโคจรใช้งานไม่ได้ https://www.slashgear.com/1961880/how-many-satellites-are-in-space-which-country-has-the-most/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    How Many Satellites Are In Space And Which Country Has The Most? - SlashGear
    Around 13,700 satellites orbit Earth, and with over 9,000, the U.S. owns the most. It's way ahead of any other nation, including Russia, China, and the U.K.
    0 Comments 0 Shares 195 Views 0 Reviews
  • “ICE ใช้ ‘Stingray’ ดักสัญญาณมือถือกลางเมือง! เครื่องมือลับที่ตามหาผู้ต้องสงสัย แต่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของประชาชนรอบข้าง”

    ลองจินตนาการว่าคุณกำลังเดินอยู่ในเมือง แล้วมือถือของคุณเชื่อมต่อกับเครือข่ายที่ดูเหมือนเป็นของผู้ให้บริการ…แต่จริงๆ แล้วมันคือเครื่องดักสัญญาณที่รัฐบาลใช้ติดตามผู้ต้องสงสัย — นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสหรัฐฯ เมื่อ ICE (สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร) กลับมาใช้เทคโนโลยี “Stingray” หรือ cell-site simulator อีกครั้งในการตามหาผู้หลบหนีจากการเนรเทศ

    Stingray คืออุปกรณ์ที่ปลอมตัวเป็นเสาสัญญาณมือถือ เพื่อหลอกให้โทรศัพท์ของเป้าหมายเชื่อมต่อเข้ามา เมื่อเชื่อมต่อแล้ว เจ้าหน้าที่สามารถระบุตำแหน่งของอุปกรณ์นั้นได้อย่างแม่นยำ แต่ปัญหาคือ…โทรศัพท์ของคนทั่วไปที่อยู่ในบริเวณเดียวกันก็อาจถูกดักข้อมูลไปด้วยโดยไม่รู้ตัว

    ในกรณีล่าสุด ICE ได้ขอหมายค้นเพื่อใช้ Stingray ติดตามผู้ต้องสงสัยในเมือง Orem รัฐ Utah ซึ่งเคยถูกสั่งเนรเทศในปี 2023 แต่ยังคงอยู่ในประเทศ และมีประวัติหลบหนีจากเรือนจำในเวเนซุเอลา รวมถึงพัวพันกับแก๊งอาชญากรรม

    แม้จะมีการขอหมายค้นเพื่อระบุตำแหน่งเบื้องต้นจากผู้ให้บริการมือถือ แต่ข้อมูลที่ได้ครอบคลุมพื้นที่ถึง 30 บล็อก ทำให้ต้องใช้ Stingray เพื่อระบุตำแหน่งที่แม่นยำยิ่งขึ้น โดยยังไม่แน่ชัดว่าผู้ต้องสงสัยถูกจับได้หรือไม่

    ที่น่าจับตามองคือ ICE ได้ซื้อ “รถดักสัญญาณมือถือ” มูลค่ากว่า 1 ล้านดอลลาร์ในเดือนพฤษภาคม และยังมีสัญญากับบริษัทผู้ผลิต Stingray อย่าง Harris Corporation มูลค่าสูงถึง 4.4 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงรัฐบาลปัจจุบัน

    การใช้งาน Stingray โดย ICE
    Stingray เป็นอุปกรณ์ที่ปลอมตัวเป็นเสาสัญญาณมือถือ
    เมื่อโทรศัพท์เชื่อมต่อ เจ้าหน้าที่สามารถระบุตำแหน่งได้
    ใช้ในการติดตามผู้ต้องสงสัยที่หลบหนีจากการเนรเทศ
    ล่าสุดใช้ในเมือง Orem, Utah เพื่อตามหาผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรม

    ข้อมูลจากหมายค้นและการติดตาม
    ผู้ต้องสงสัยเคยหลบหนีจากเรือนจำในเวเนซุเอลา
    มีประวัติเกี่ยวข้องกับแก๊งอาชญากรรม
    การติดตามเบื้องต้นครอบคลุมพื้นที่ 30 บล็อก
    ต้องใช้ Stingray เพื่อระบุตำแหน่งที่แม่นยำ

    การลงทุนด้านเทคโนโลยีของ ICE
    ซื้อรถดักสัญญาณมือถือมูลค่า $1 ล้านในเดือนพฤษภาคม
    มีสัญญากับ Harris Corporation มูลค่า $4.4 ล้าน
    สัญญาเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงปี 2024–2025
    แสดงถึงการผลักดันการใช้เทคโนโลยีติดตามแบบเคลื่อนที่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Stingray เคยถูกวิจารณ์อย่างหนักในยุครัฐบาลก่อนหน้า
    อุปกรณ์นี้สามารถดักข้อมูลจากโทรศัพท์ใกล้เคียงโดยไม่เลือกเป้าหมาย
    ใช้เทคนิค IMSI-catcher เพื่อดึงข้อมูลหมายเลขอุปกรณ์
    สามารถบังคับให้โทรศัพท์ลดระดับความปลอดภัยของการเชื่อมต่อ

    https://www.forbes.com/sites/the-wiretap/2025/09/09/how-ice-is-using-fake-cell-towers-to-spy-on-peoples-phones/
    📡 “ICE ใช้ ‘Stingray’ ดักสัญญาณมือถือกลางเมือง! เครื่องมือลับที่ตามหาผู้ต้องสงสัย แต่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของประชาชนรอบข้าง” ลองจินตนาการว่าคุณกำลังเดินอยู่ในเมือง แล้วมือถือของคุณเชื่อมต่อกับเครือข่ายที่ดูเหมือนเป็นของผู้ให้บริการ…แต่จริงๆ แล้วมันคือเครื่องดักสัญญาณที่รัฐบาลใช้ติดตามผู้ต้องสงสัย — นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสหรัฐฯ เมื่อ ICE (สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร) กลับมาใช้เทคโนโลยี “Stingray” หรือ cell-site simulator อีกครั้งในการตามหาผู้หลบหนีจากการเนรเทศ Stingray คืออุปกรณ์ที่ปลอมตัวเป็นเสาสัญญาณมือถือ เพื่อหลอกให้โทรศัพท์ของเป้าหมายเชื่อมต่อเข้ามา เมื่อเชื่อมต่อแล้ว เจ้าหน้าที่สามารถระบุตำแหน่งของอุปกรณ์นั้นได้อย่างแม่นยำ แต่ปัญหาคือ…โทรศัพท์ของคนทั่วไปที่อยู่ในบริเวณเดียวกันก็อาจถูกดักข้อมูลไปด้วยโดยไม่รู้ตัว ในกรณีล่าสุด ICE ได้ขอหมายค้นเพื่อใช้ Stingray ติดตามผู้ต้องสงสัยในเมือง Orem รัฐ Utah ซึ่งเคยถูกสั่งเนรเทศในปี 2023 แต่ยังคงอยู่ในประเทศ และมีประวัติหลบหนีจากเรือนจำในเวเนซุเอลา รวมถึงพัวพันกับแก๊งอาชญากรรม แม้จะมีการขอหมายค้นเพื่อระบุตำแหน่งเบื้องต้นจากผู้ให้บริการมือถือ แต่ข้อมูลที่ได้ครอบคลุมพื้นที่ถึง 30 บล็อก ทำให้ต้องใช้ Stingray เพื่อระบุตำแหน่งที่แม่นยำยิ่งขึ้น โดยยังไม่แน่ชัดว่าผู้ต้องสงสัยถูกจับได้หรือไม่ ที่น่าจับตามองคือ ICE ได้ซื้อ “รถดักสัญญาณมือถือ” มูลค่ากว่า 1 ล้านดอลลาร์ในเดือนพฤษภาคม และยังมีสัญญากับบริษัทผู้ผลิต Stingray อย่าง Harris Corporation มูลค่าสูงถึง 4.4 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงรัฐบาลปัจจุบัน ✅ การใช้งาน Stingray โดย ICE ➡️ Stingray เป็นอุปกรณ์ที่ปลอมตัวเป็นเสาสัญญาณมือถือ ➡️ เมื่อโทรศัพท์เชื่อมต่อ เจ้าหน้าที่สามารถระบุตำแหน่งได้ ➡️ ใช้ในการติดตามผู้ต้องสงสัยที่หลบหนีจากการเนรเทศ ➡️ ล่าสุดใช้ในเมือง Orem, Utah เพื่อตามหาผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรม ✅ ข้อมูลจากหมายค้นและการติดตาม ➡️ ผู้ต้องสงสัยเคยหลบหนีจากเรือนจำในเวเนซุเอลา ➡️ มีประวัติเกี่ยวข้องกับแก๊งอาชญากรรม ➡️ การติดตามเบื้องต้นครอบคลุมพื้นที่ 30 บล็อก ➡️ ต้องใช้ Stingray เพื่อระบุตำแหน่งที่แม่นยำ ✅ การลงทุนด้านเทคโนโลยีของ ICE ➡️ ซื้อรถดักสัญญาณมือถือมูลค่า $1 ล้านในเดือนพฤษภาคม ➡️ มีสัญญากับ Harris Corporation มูลค่า $4.4 ล้าน ➡️ สัญญาเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงปี 2024–2025 ➡️ แสดงถึงการผลักดันการใช้เทคโนโลยีติดตามแบบเคลื่อนที่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Stingray เคยถูกวิจารณ์อย่างหนักในยุครัฐบาลก่อนหน้า ➡️ อุปกรณ์นี้สามารถดักข้อมูลจากโทรศัพท์ใกล้เคียงโดยไม่เลือกเป้าหมาย ➡️ ใช้เทคนิค IMSI-catcher เพื่อดึงข้อมูลหมายเลขอุปกรณ์ ➡️ สามารถบังคับให้โทรศัพท์ลดระดับความปลอดภัยของการเชื่อมต่อ https://www.forbes.com/sites/the-wiretap/2025/09/09/how-ice-is-using-fake-cell-towers-to-spy-on-peoples-phones/
    WWW.FORBES.COM
    How ICE Is Using Fake Cell Towers To Spy On People’s Phones
    ICE is using a controversial spy tool to locate smartphones, court records show.
    0 Comments 0 Shares 169 Views 0 Reviews
  • Highlight Words In Action : August 2025

    bipartisan
    adjective: representing, characterized by, or including members from two parties or factions

    From the headlines: The Trump administration’s decision to cut funding for the Open Technology Fund (OTF) has raised concerns among lawmakers, who see it as a vital tool against internet censorship in authoritarian regimes. Trump’s executive order effectively terminated the OTF’s budget, prompting bipartisan efforts to save the program. Advocates warn that without OTF-backed tools, many citizens and activists could lose secure communication channels, increasing their risk of surveillance and persecution.

    bounty
    noun: a premium or reward, especially one offered by a government

    From the headlines: The United States has lifted bounties on three senior Taliban figures. The three members of the Haqqani militant network in Afghanistan were allegedly involved in planning deadly attacks during the war with the U.S., some of which killed American citizens. Until this week, the State Department had offered rewards of up to $10 million for the death or capture of the militant leaders. The move follows last week’s release of a U.S. hostage who had been held by the Taliban since 2022.

    breach
    noun: an infraction or violation, such as of a law, contract, trust, or promise

    Jeffrey Goldberg, editor-in-chief of The Atlantic, disclosed that he was inadvertently added to a private Signal group chat used by U.S. national security officials. This unexpected breach exposed sensitive information, including details about military strikes in Yemen. The incident underscored a serious protocol violation, as national security deliberations are typically confined to secure, classified settings rather than informal messaging platforms.

    cartography
    noun: the production of maps, including construction of projections, design, compilation, drafting, and reproduction

    From the headlines: After more than a decade of unraveling the mysteries of the universe, the space telescope Gaia has officially powered down. In its ten years of operation, Gaia meticulously mapped nearly 2 billion stars, 150,000 asteroids, and countless other celestial wonders. This cartography resulted in a precise, three-dimensional map of our solar system, which has transformed our understanding of the Milky Way.

    civil liberty
    noun: the freedom of a citizen to exercise customary rights, as of speech or assembly, without unwarranted or arbitrary interference by the government

    From the headlines: Legal experts say surveillance methods being used by colleges and universities on their students may violate their civil liberties. When investigating vandalism connected to political protests, campus police have been using new tactics, including seizing students’ phones and laptops. They have also issued warrants based on social media posts or participation in campus protests. Civil liberties experts say these actions amount to stifling university students’ right to free speech.

    confiscate
    verb: to seize as forfeited to the public domain; appropriate, by way of penalty, for public use

    From the headlines: A kite was briefly confiscated after it came into contact with a United Airlines plane near Washington, D.C. The aircraft landed safely at Ronald Reagan National Airport following reports of a kite hitting it. Police seized the kite from a family at nearby Gravelly Point park, but returned it later. Despite the fact that kite flying is banned there because the sky overhead is “restricted airspace,” about a dozen people had reportedly been flying kites at the park that day.

    defraud
    verb: to deprive of a right, money, or property by fraud

    From the headlines: Hollywood writer-director Carl Erik Rinsch was arrested for defrauding Netflix of $11 million, meant for his unfinished sci-fi show White Horse. Prosecutors say he spent around $10 million on luxury purchases, including Rolls-Royces, a Ferrari, and antiques. Prosecutors also claim that he used the money to pay legal fees to sue Netflix for additional money. Rinsch has been charged with wire fraud and money laundering, while Netflix has declined to comment.

    embezzlement
    noun: the stealing of money entrusted to one’s care

    From the headlines: French politician Marine Le Pen was convicted of embezzlement and barred from public office for five years. Le Pen, who leads the far-right National Rally party, had planned to run for president in 2027. She was also sentenced to four years in prison for spending $4.3 million in European Parliament funds on her own party expenses.

    Fun fact: Embezzlement is from the Anglo-French enbesiler, “cause to disappear,” and an Old French root meaning “to destroy or gouge.”

    fairway
    noun: Golf. the part of the course where the grass is cut short between the tees and the putting greens

    From the headlines: When golf courses close, research shows the surrounding environment improves. With declining interest in golf, nearby neighborhoods report benefits like less flooding and reduced pesticide runoff. Across the U.S., many former courses have been repurposed as nature reserves, where manicured fairways have been replaced by thriving wildflower meadows.

    forage
    verb: to wander or go in search of provisions

    From the headlines: A new online map shows where 1.6 million edible plants grow in cities around the world. The guide, called Falling Fruit, is meant to help urban dwellers and visitors forage for food. Its open source design means people can add locations, mapping additional fruit trees, berry bushes, beehives, and plants that might otherwise go unnoticed.

    franchise
    noun: Sports. a professional sports team

    From the headlines: A group led by Bill Chisholm has agreed to buy the Boston Celtics for $6.1 billion, making it the most expensive franchise sale in North American sports history. The Celtics, fresh off their 18th NBA title, are facing significant financial challenges under the new collective bargaining agreement, but remain favorites to repeat as champions.

    geriatric
    adjective: noting or relating to aged people or animals

    From the headlines: The New England Aquarium in Boston has introduced a new “retirement home” for geriatric aquarium penguins, relocating six elderly birds to a designated island. While wild penguins typically live about ten years, the new aquarium houses twenty penguins in their twenties and thirties. This specialized haven ensures these aging animals receive monitoring for conditions such as arthritis and cataracts.

    Fun fact: The Greek gērōs, “old,” is the root of geriatric.

    iguana
    noun: a large, arboreal lizard, native to Central and South America, having stout legs and a crest of spines from neck to tail

    From the headlines: A recent study sheds light on how North American iguanas may have reached a remote island in Fiji. Genetic analysis suggests that these large reptiles likely traversed thousands of miles across the Pacific Ocean by drifting on makeshift rafts of fallen trees. If confirmed, this would represent the longest documented oceanic migration by any terrestrial vertebrate, apart from humans.

    inaccessible
    adjective: not accessible; unapproachable

    From the headlines: Researchers investigating why we can’t remember being babies found evidence that those memories still exist in our brains, but are inaccessible. Scientists have long suspected that infants don’t create memories at all. A new study using MRI imaging to observe babies’ brains found that around 12 months old, they do begin storing memories of specific images. Neuroscientists are now focused on learning why these early recollections become locked away and out of reach as we grow older.

    magnitude
    noun: greatness of size or amount

    From the headlines: A devastating 7.7 magnitude earthquake struck Myanmar, killing over 3,000 people and leaving hundreds missing. The tremors were so intense they reached 600 miles to Bangkok, where skyscrapers swayed. In response, China, India, and Russia sent rescue teams, while countries like Thailand, Malaysia, and Vietnam offered aid.

    manipulate
    verb: to adapt or change (accounts, figures, etc.) to suit one’s purpose or advantage

    From the headlines: A cheating scandal shook the world of professional ski jumping this week. Several members of Team Norway were suspended after officials found evidence that their ski suits had been manipulated to make the athletes more aerodynamic. The team’s manager admitted to illegally adding an extra seam where the legs are sewn together; more material there was hoped to give the jumpers extra lift and allow air to flow around them more efficiently.

    mush
    verb: to drive or spur on (sled dogs or a sled drawn by dogs)

    From the headlines: Greenland’s annual dog sledding race attracted unusual international attention when the White House said the vice president’s wife, Usha Vance, would attend. Vance canceled her trip after Greenlanders planned to protest her presence at the event. Competitors in the Avannaata Qimussersua, or “Great Race of the North,” mushed their dogs over 26 snowy miles. Henrik Jensen, a musher from northern Greenland, crossed the finish line in first place, pulled by his team of Greenlandic sled dogs.

    ovine
    adjective: pertaining to, of the nature of, or like sheep

    From the headlines: The world’s first known case of bird flu in sheep was diagnosed in Yorkshire, England. After the H5N1 virus was found among birds on a farm, health officials also tested its flock of sheep; only one ovine case was detected. The infected sheep was euthanized to prevent the disease from spreading, and officials said “the risk to livestock remains low.”

    pontiff
    noun: Ecclesiastical. the Roman Catholic pope, the Bishop of Rome

    From the headlines: Following the release of Pope Francis from the hospital on March 23, his lead physician said the pontiff had faced such grave danger that his medical team considered halting treatment. During his hospitalization, the pope endured two critical health crises, prompting intense deliberations over whether aggressive interventions should continue, given the potential risks to his internal organs. Ultimately, the doctors opted to pursue “all available medicines and treatments,” a decision that proved pivotal to his recovery.

    populism
    noun: grass-roots democracy; working-class activism; egalitarianism

    From the headlines: Bernie Sanders is drawing unprecedented crowds on his “Fighting Oligarchy” tour, fueled by a message rooted in economic populism. His rhetoric resonates with disillusioned voters seeking an alternative to both President Trump and the Democratic Party. The independent senator from Vermont frequently denounces what he terms a “government of the billionaires, by the billionaires, and for the billionaires,” while chastising Democrats for failing to adequately champion the interests of the working class.

    prescription
    noun: a direction, usually written, by the physician to the pharmacist for the preparation and use of a medicine or remedy

    From the headlines: A new trend is emerging in healthcare — doctors are now prescribing museum visits. Backed by research showing that time spent in cultural spots can boost mental health and ease loneliness, more physicians are encouraging patients to explore art galleries, theaters, concert halls, and libraries. These cultural outings are said to reduce stress, alleviate mild anxiety and depression, and even improve conditions like high blood pressure. It’s the prescription you didn’t know you needed.

    pristine
    adjective: having its original purity; uncorrupted or unsullied

    From the headlines: Many countries are looking to Switzerland as a model, hoping to replicate its transformation of once heavily polluted rivers and lakes into some of the most pristine in Europe. In the 1960s, Swiss waterways were choked with algae and dead fish due to sewage and industrial pollution. However, over the following decades, the country made significant investments in advanced water treatment facilities. Today, nearly all of its lakes and rivers are once again pristine and safe for swimming.

    prolong
    verb: to lengthen out in time; extend the duration of; cause to continue longer

    From the headlines: After their quick trip to the International Space Station turned out to have an unexpectedly long duration, two NASA astronauts have been safely returned to Earth. What began as an eight-day mission for Butch Wilmore and Suni Williams had to be prolonged after their Starliner spacecraft experienced helium leaks and thruster problems. The two ended up staying on the ISS for more than nine months, until two seats were available on a returning space capsule.

    recruit
    verb: to attempt to acquire the services of (a person) for an employer

    From the headlines: As the White House cuts funding for scientific research, European countries are stepping up to recruit top U.S. scientists. Experts in climate change and vaccine safety are now eyeing job offers across the Atlantic, with France and the Netherlands boosting their budgets to hire talent for their universities.

    reinstate
    verb: to put back or establish again, as in a former position or state

    From the headlines: On March 24, a South Korean court reinstated impeached Prime Minister Han Duck-soo. Han was returned to the government and named acting leader once his impeachment was overturned. President Yoon Suk Yeol, who was also removed from office, is still awaiting a verdict. Han and Yoon were both suspended by South Korea’s National Assembly in December.

    repatriation
    noun: the act or process of returning a person or thing to the country of origin

    From the headlines: After several weeks of refusal, Venezuela agreed to accept repatriation flights from the United States, and the first plane carrying Venezuelan migrants back to their home country landed on March 24. About 200 people who had been deported from the U.S. were on the initial flight. Conflicts between the two countries had previously put the returns on hold.

    serenade
    verb: to entertain with or perform with vocal or instrumental music

    From the headlines: After an incredible 70-year career, Johnny Mathis, the legendary crooner with the famously smooth “velvet voice,” has announced his retirement at the age of 89. Known for his romantic ballads, jazz classics, and soft rock hits, Mathis has been serenading audiences since his teenage years. With more albums sold than any pop artist except Frank Sinatra, his voice has been the soundtrack to countless memories.

    tuition
    noun: the charge or fee for instruction, as at a private school or a college or university

    From the headlines: Starting this fall, attending Harvard University will cost nothing for most students. The school announced that tuition will be free for people whose families earn less than $200,000 per year. The average household income in the U.S. is $80,000. Food, housing, health insurance, and travel will also be free for less wealthy students. The University of Pennsylvania and the Massachusetts Institute of Technology have adopted the same financial aid policy.

    unredacted
    adjective: (of a document) with confidential or sensitive information included or visible

    From the headlines: The Trump administration released over 2,000 documents on JFK’s assassination, leading to a search for new insights. While the unredacted files do not dispute that Lee Harvey Oswald acted alone, they reveal long-hidden details about CIA agents and operations. Attorney Larry Schnapf, who has pushed for their release, argues the disclosures highlight excessive government secrecy. He believes the unredacted documents demonstrate how overclassification has been misused by national security officials.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    Highlight Words In Action : August 2025 bipartisan adjective: representing, characterized by, or including members from two parties or factions From the headlines: The Trump administration’s decision to cut funding for the Open Technology Fund (OTF) has raised concerns among lawmakers, who see it as a vital tool against internet censorship in authoritarian regimes. Trump’s executive order effectively terminated the OTF’s budget, prompting bipartisan efforts to save the program. Advocates warn that without OTF-backed tools, many citizens and activists could lose secure communication channels, increasing their risk of surveillance and persecution. bounty noun: a premium or reward, especially one offered by a government From the headlines: The United States has lifted bounties on three senior Taliban figures. The three members of the Haqqani militant network in Afghanistan were allegedly involved in planning deadly attacks during the war with the U.S., some of which killed American citizens. Until this week, the State Department had offered rewards of up to $10 million for the death or capture of the militant leaders. The move follows last week’s release of a U.S. hostage who had been held by the Taliban since 2022. breach noun: an infraction or violation, such as of a law, contract, trust, or promise Jeffrey Goldberg, editor-in-chief of The Atlantic, disclosed that he was inadvertently added to a private Signal group chat used by U.S. national security officials. This unexpected breach exposed sensitive information, including details about military strikes in Yemen. The incident underscored a serious protocol violation, as national security deliberations are typically confined to secure, classified settings rather than informal messaging platforms. cartography noun: the production of maps, including construction of projections, design, compilation, drafting, and reproduction From the headlines: After more than a decade of unraveling the mysteries of the universe, the space telescope Gaia has officially powered down. In its ten years of operation, Gaia meticulously mapped nearly 2 billion stars, 150,000 asteroids, and countless other celestial wonders. This cartography resulted in a precise, three-dimensional map of our solar system, which has transformed our understanding of the Milky Way. civil liberty noun: the freedom of a citizen to exercise customary rights, as of speech or assembly, without unwarranted or arbitrary interference by the government From the headlines: Legal experts say surveillance methods being used by colleges and universities on their students may violate their civil liberties. When investigating vandalism connected to political protests, campus police have been using new tactics, including seizing students’ phones and laptops. They have also issued warrants based on social media posts or participation in campus protests. Civil liberties experts say these actions amount to stifling university students’ right to free speech. confiscate verb: to seize as forfeited to the public domain; appropriate, by way of penalty, for public use From the headlines: A kite was briefly confiscated after it came into contact with a United Airlines plane near Washington, D.C. The aircraft landed safely at Ronald Reagan National Airport following reports of a kite hitting it. Police seized the kite from a family at nearby Gravelly Point park, but returned it later. Despite the fact that kite flying is banned there because the sky overhead is “restricted airspace,” about a dozen people had reportedly been flying kites at the park that day. defraud verb: to deprive of a right, money, or property by fraud From the headlines: Hollywood writer-director Carl Erik Rinsch was arrested for defrauding Netflix of $11 million, meant for his unfinished sci-fi show White Horse. Prosecutors say he spent around $10 million on luxury purchases, including Rolls-Royces, a Ferrari, and antiques. Prosecutors also claim that he used the money to pay legal fees to sue Netflix for additional money. Rinsch has been charged with wire fraud and money laundering, while Netflix has declined to comment. embezzlement noun: the stealing of money entrusted to one’s care From the headlines: French politician Marine Le Pen was convicted of embezzlement and barred from public office for five years. Le Pen, who leads the far-right National Rally party, had planned to run for president in 2027. She was also sentenced to four years in prison for spending $4.3 million in European Parliament funds on her own party expenses. Fun fact: Embezzlement is from the Anglo-French enbesiler, “cause to disappear,” and an Old French root meaning “to destroy or gouge.” fairway noun: Golf. the part of the course where the grass is cut short between the tees and the putting greens From the headlines: When golf courses close, research shows the surrounding environment improves. With declining interest in golf, nearby neighborhoods report benefits like less flooding and reduced pesticide runoff. Across the U.S., many former courses have been repurposed as nature reserves, where manicured fairways have been replaced by thriving wildflower meadows. forage verb: to wander or go in search of provisions From the headlines: A new online map shows where 1.6 million edible plants grow in cities around the world. The guide, called Falling Fruit, is meant to help urban dwellers and visitors forage for food. Its open source design means people can add locations, mapping additional fruit trees, berry bushes, beehives, and plants that might otherwise go unnoticed. franchise noun: Sports. a professional sports team From the headlines: A group led by Bill Chisholm has agreed to buy the Boston Celtics for $6.1 billion, making it the most expensive franchise sale in North American sports history. The Celtics, fresh off their 18th NBA title, are facing significant financial challenges under the new collective bargaining agreement, but remain favorites to repeat as champions. geriatric adjective: noting or relating to aged people or animals From the headlines: The New England Aquarium in Boston has introduced a new “retirement home” for geriatric aquarium penguins, relocating six elderly birds to a designated island. While wild penguins typically live about ten years, the new aquarium houses twenty penguins in their twenties and thirties. This specialized haven ensures these aging animals receive monitoring for conditions such as arthritis and cataracts. Fun fact: The Greek gērōs, “old,” is the root of geriatric. iguana noun: a large, arboreal lizard, native to Central and South America, having stout legs and a crest of spines from neck to tail From the headlines: A recent study sheds light on how North American iguanas may have reached a remote island in Fiji. Genetic analysis suggests that these large reptiles likely traversed thousands of miles across the Pacific Ocean by drifting on makeshift rafts of fallen trees. If confirmed, this would represent the longest documented oceanic migration by any terrestrial vertebrate, apart from humans. inaccessible adjective: not accessible; unapproachable From the headlines: Researchers investigating why we can’t remember being babies found evidence that those memories still exist in our brains, but are inaccessible. Scientists have long suspected that infants don’t create memories at all. A new study using MRI imaging to observe babies’ brains found that around 12 months old, they do begin storing memories of specific images. Neuroscientists are now focused on learning why these early recollections become locked away and out of reach as we grow older. magnitude noun: greatness of size or amount From the headlines: A devastating 7.7 magnitude earthquake struck Myanmar, killing over 3,000 people and leaving hundreds missing. The tremors were so intense they reached 600 miles to Bangkok, where skyscrapers swayed. In response, China, India, and Russia sent rescue teams, while countries like Thailand, Malaysia, and Vietnam offered aid. manipulate verb: to adapt or change (accounts, figures, etc.) to suit one’s purpose or advantage From the headlines: A cheating scandal shook the world of professional ski jumping this week. Several members of Team Norway were suspended after officials found evidence that their ski suits had been manipulated to make the athletes more aerodynamic. The team’s manager admitted to illegally adding an extra seam where the legs are sewn together; more material there was hoped to give the jumpers extra lift and allow air to flow around them more efficiently. mush verb: to drive or spur on (sled dogs or a sled drawn by dogs) From the headlines: Greenland’s annual dog sledding race attracted unusual international attention when the White House said the vice president’s wife, Usha Vance, would attend. Vance canceled her trip after Greenlanders planned to protest her presence at the event. Competitors in the Avannaata Qimussersua, or “Great Race of the North,” mushed their dogs over 26 snowy miles. Henrik Jensen, a musher from northern Greenland, crossed the finish line in first place, pulled by his team of Greenlandic sled dogs. ovine adjective: pertaining to, of the nature of, or like sheep From the headlines: The world’s first known case of bird flu in sheep was diagnosed in Yorkshire, England. After the H5N1 virus was found among birds on a farm, health officials also tested its flock of sheep; only one ovine case was detected. The infected sheep was euthanized to prevent the disease from spreading, and officials said “the risk to livestock remains low.” pontiff noun: Ecclesiastical. the Roman Catholic pope, the Bishop of Rome From the headlines: Following the release of Pope Francis from the hospital on March 23, his lead physician said the pontiff had faced such grave danger that his medical team considered halting treatment. During his hospitalization, the pope endured two critical health crises, prompting intense deliberations over whether aggressive interventions should continue, given the potential risks to his internal organs. Ultimately, the doctors opted to pursue “all available medicines and treatments,” a decision that proved pivotal to his recovery. populism noun: grass-roots democracy; working-class activism; egalitarianism From the headlines: Bernie Sanders is drawing unprecedented crowds on his “Fighting Oligarchy” tour, fueled by a message rooted in economic populism. His rhetoric resonates with disillusioned voters seeking an alternative to both President Trump and the Democratic Party. The independent senator from Vermont frequently denounces what he terms a “government of the billionaires, by the billionaires, and for the billionaires,” while chastising Democrats for failing to adequately champion the interests of the working class. prescription noun: a direction, usually written, by the physician to the pharmacist for the preparation and use of a medicine or remedy From the headlines: A new trend is emerging in healthcare — doctors are now prescribing museum visits. Backed by research showing that time spent in cultural spots can boost mental health and ease loneliness, more physicians are encouraging patients to explore art galleries, theaters, concert halls, and libraries. These cultural outings are said to reduce stress, alleviate mild anxiety and depression, and even improve conditions like high blood pressure. It’s the prescription you didn’t know you needed. pristine adjective: having its original purity; uncorrupted or unsullied From the headlines: Many countries are looking to Switzerland as a model, hoping to replicate its transformation of once heavily polluted rivers and lakes into some of the most pristine in Europe. In the 1960s, Swiss waterways were choked with algae and dead fish due to sewage and industrial pollution. However, over the following decades, the country made significant investments in advanced water treatment facilities. Today, nearly all of its lakes and rivers are once again pristine and safe for swimming. prolong verb: to lengthen out in time; extend the duration of; cause to continue longer From the headlines: After their quick trip to the International Space Station turned out to have an unexpectedly long duration, two NASA astronauts have been safely returned to Earth. What began as an eight-day mission for Butch Wilmore and Suni Williams had to be prolonged after their Starliner spacecraft experienced helium leaks and thruster problems. The two ended up staying on the ISS for more than nine months, until two seats were available on a returning space capsule. recruit verb: to attempt to acquire the services of (a person) for an employer From the headlines: As the White House cuts funding for scientific research, European countries are stepping up to recruit top U.S. scientists. Experts in climate change and vaccine safety are now eyeing job offers across the Atlantic, with France and the Netherlands boosting their budgets to hire talent for their universities. reinstate verb: to put back or establish again, as in a former position or state From the headlines: On March 24, a South Korean court reinstated impeached Prime Minister Han Duck-soo. Han was returned to the government and named acting leader once his impeachment was overturned. President Yoon Suk Yeol, who was also removed from office, is still awaiting a verdict. Han and Yoon were both suspended by South Korea’s National Assembly in December. repatriation noun: the act or process of returning a person or thing to the country of origin From the headlines: After several weeks of refusal, Venezuela agreed to accept repatriation flights from the United States, and the first plane carrying Venezuelan migrants back to their home country landed on March 24. About 200 people who had been deported from the U.S. were on the initial flight. Conflicts between the two countries had previously put the returns on hold. serenade verb: to entertain with or perform with vocal or instrumental music From the headlines: After an incredible 70-year career, Johnny Mathis, the legendary crooner with the famously smooth “velvet voice,” has announced his retirement at the age of 89. Known for his romantic ballads, jazz classics, and soft rock hits, Mathis has been serenading audiences since his teenage years. With more albums sold than any pop artist except Frank Sinatra, his voice has been the soundtrack to countless memories. tuition noun: the charge or fee for instruction, as at a private school or a college or university From the headlines: Starting this fall, attending Harvard University will cost nothing for most students. The school announced that tuition will be free for people whose families earn less than $200,000 per year. The average household income in the U.S. is $80,000. Food, housing, health insurance, and travel will also be free for less wealthy students. The University of Pennsylvania and the Massachusetts Institute of Technology have adopted the same financial aid policy. unredacted adjective: (of a document) with confidential or sensitive information included or visible From the headlines: The Trump administration released over 2,000 documents on JFK’s assassination, leading to a search for new insights. While the unredacted files do not dispute that Lee Harvey Oswald acted alone, they reveal long-hidden details about CIA agents and operations. Attorney Larry Schnapf, who has pushed for their release, argues the disclosures highlight excessive government secrecy. He believes the unredacted documents demonstrate how overclassification has been misused by national security officials. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 Comments 0 Shares 429 Views 0 Reviews
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 12
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 12
    ประมาณปี พ.ศ.1960 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของรัฐบาลEisenhower นาย Kenneth ขออนุญาตกระทรวงต่างประเทศอเม ริกา เดินทางมาสำรวจเมืองไทย และแถบอินโดจีนอีกรอบ (!!!) ตอนนั้น นาย Alexis Johnson เป็นฑูต และ นาย Leonard Unger เป็นผู้ช่วยฑูต ทั้ง 2 คนเป็นคนฉลาดรู้จักเมืองไทยอย่างดี เข้ ากับทหารไทยได้แบบคอหอยกับลูกกระเดือก โดยเฉพาะนาย Unger เมื่อมาถึงปรากฏว่าจอมพลสฤษดิ์ส่งนายทหารคนสนิทมารับนาย Kenneth ถึงสนามบิน จอมพลสฤษดิ์ถามเขาว่า มาทำไม นาย Kenneth บอกจะมาดูสถานการณ์ในลาวสักหน่อย หลังจากนั้นจะไปกัมพูชา ไซ่ง่อนและพม่า นาย Kenneth บอกว่า จริงๆจะมาตรวจการบ้านด้วยว่าเงินช่วยเหลือทางทหาร Military Assistance Program (MAP) ที่อเมริกาให้แต่ละประเทศ ได้ผลมากน้อยแค่ไหน จอมพลสฤษดิ์บอกว่ากลับมาแล้ว มาเล่าให้ฟังกันด้วย ปรากฎว่าส่วนใหญ่ได้ผล ยกเว้นแต่ลาว ซึ่งอเมริกาให้เงินช่วยเหลือมากกว่าไทยเสียอีก แต่อเมริกาทำท่าจะเสียลาวให้แก่คอมมิวนิสต์ (และในที่สุดก็เสียจริงๆ ! ) โดยอาจจะมีการปฏิวัติโดยลาวแดงเร็วๆนี้ ขากลับ นาย Kenneth ก็รายงานเรื่องลาวอาจมีการปฏิวัติให้จอมพลสฤษดิ์ทราบ แล้วก็เดินทางต่อลงมาที่สิงค์โปร์
    ที่สิงคโปร์ เขาได้พบกับเศรษฐีสิงคโปร์คนหนึ่งชื่อ Ko Geng Hsui ซึ่งเป็นกระเป๋าใหญ่ให้แก่นาย Lee Kwan Yew และภายหลังได้เป็นรัฐมนตรีกลาโหม นาย Ko ต้องการให้นาย Kenneth ช่วยตั้งสถาบันเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ในมหาวิทยาลัยสิงคโปร์ให้ ภายหลังนาย Kenneth ได้ลางานจากรัฐบาลอเมริกัน 1 ปี เพื่อมาจัดตั้งสถาบันนี้ให้สิงคโปร์ โดยเอาชาวยิวชื่อ Harry Benda จากมหาวิทยาลัย Yale มาช่วย สิงคโปร์จึงเป็นประเทศแรกในแถบนี้ ที่มีสถาบันการศึกษาลงลึกอย่างจริงจังเกี่ยวกับเอเซียอาคเณย์ ตกลงสิงคโปร์ไม่ได้ลอกเลียนแค่งานสงกรานต์ไปจากบ้านเรา แต่ลอกหลายอย่างรวมทั้งวิชาความรู้เกี่ยวกับภูมิภาคนี้ สิงคโปร์ประเทศที่ไม่มีรากไม่มีเหง้า ไม่มีวัฒนธรรม ประเพณีของตนเอง แต่มีคนไทยหลายคนปลาบปลื้มกับความเจริญของสิงคโปร์ จนถึงขนาดอยากให้เมืองไทยเป็นเหมือนสิงคโปร์ เศร้าครับ!
    เมื่อนาย Kenneth กลับมาถึงวอซิงตัน การเลือกตั้งประธานาธิบดีกำลังเข้มข้น แล้วนาย Kennedy ก็ชนะการเลือกตั้ง ขณะเดียวกันลาวก็อาการทรุดตามที่นาย Kenneth คาด รัฐบาล Kennedy เข้ามารับตำแหน่งใหม่ๆ ยังจับต้นไม่ชนปลาย นาย Mc Geroge Bundy จอมแสบที่ปรึกษาด้านความมั่นคง ของประธานาธิบดี Kennedy ถึงจะแสนรู้อย่างไร มาใหม่ๆก็มึนรับประทาน แนะนำสั่งการอะไรไม่ถูก ได้แต่เรียกให้นาย Kenneth ให้มาสรุปสถานการณ์ในลาวให้รัฐบาลฟังก่อนตัดสินใจ ทุกอย่างอลเวงไปหมด และนี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ ประธานธิบดี Kennedy ฉุนขาด ประกาศว่าหน่วยงาน National Security Council ทำงานไม่ได้ผล (คงไม่ให้ราคานาย Kenneth สักเท่าไหร่) ถ้าเขายุบหน่วยงานนี้ได้เขาจะยุบแล้ว เพียงแต่ต้องไปขออนุมัติจากสภาสูง ต้องออกกฏหมาย ฯลฯ ดังนั้นเขาจึงสั่ง “แขวน” พนักงานทุกคนในหน่วยงานรวมทั้งนาย Kenneth ด้วย และได้ยกเครื่องการทำงานสภาความมั่นคงเสียใหม่
    หลังจากโดนแขวนอยู่หลายเดือน นาย Kenneth ก็เดินแกว่งไปตามหน่วยงานต่างๆ เพื่อหาที่ลง เพราะแม้จะมีเงินเดือนกิน แต่ไม่มีเก้าอี้นั่งชูคอ แบบรัฐบาลก่อนๆ มันก็ทำให้เขาเสียรังวัดไปพอสมควร จะโม้อะไร โอ้อวดอะไร อย่างเมื่อก่อนก็ไม่ถนัดปาก ก็คนโดนแขวนอยู่มันจะให้โม้อะไร ไหว จนวันหนึ่ง นาย Walt Rostow ซึ่งเป็นผู้ช่วยของนาย McGeorge Bundy และรู้จักกับนาย Kenneth ตั้งแต่สมัยทำงานอยู่ OSS เป็นลูกน้องนาย Donovan มาด้วยกัน ก็ติดต่อนาย Kenneth บอกว่ามีงานให้ทำแล้ว ประธานาธิบดี Kennedy เห็นว่าเจ้าหน้าที่ของอเมริกาไม่ว่าทหาร หรือพลเรือน เมื่อจะต้องไปปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่เมืองใด ควรรู้เรื่องเมืองนั้นอย่างดี ไม่ใช่ไปแบบยืนหน้าเซ่อ ร้องเพลงรำวงวันคริสตมาสให้ชาวบ้านฟัง (สงสัยคุณนายเคนนี่ฑูตอเมริกาคนปัจจุบัน คงไม่เคยได้รับการอบรมอะไรเลยก่อนมาประจำเมืองไทย คุณนายถึงได้ทำตัวทุเรศปานนั้น) จึงมอบหมายให้นาย Kenneth เป็นผู้จัดการหลักสูตรอบรม เกี่ยวกับการต่อต้านเหตุการณ์ไม่สงบ (Counter Insurgency) ชื่อเต็มก็คือการต่อต้านความไม่สงบ อันเกิดจากภัยคอมมิวนิสต์ในโลกที่ 3 นั่นแหละ เป็นหลักสูตรที่จัดรวมให้สมุนนักล่าไม่ว่าจะอยู่ในเครื่องแบบใด นาย Kenneth บอกไม่มีปัญหาขอให้จัดงบแบบไม่อั้นมาแล้วกัน นักล่ากำลังฟิต เพราะฉะนั้น เท่าไรเท่ากัน จัดไปเลยย
    นาย Kenneth สารภาพว่า แรกๆ เขาก็ยังงงว่าจะทำได้อย่างไร เขาไม่ใช่ทหาร ไม่รู้เรื่องการรบ แต่เขารู้จักประเทศต่างๆ ที่คอมมิวนิสต์กำลังคุกคาม เขาจึงนำประสพการณ์ ข้อมูลที่เขาได้จากการที่เขาเคยอยู่ในเมืองไทยและการเดินทางไปสถานที่ต่างๆ และเจอผู้คนในประเทศเหล่านั้น ไม่ว่าจะระดับรัฐบาล ผู้นำประเทศ หรือชาวบ้านทั่วไป บวกกับข้อมูลจากหนังสืออีกเกือบ 2,000 เล่ม ที่เขาสะสมไว้ เอามาผสมปนเปแบบตอแหล ทำเป็นหลักสูตรสำหรับการอบรมประมาณ 2 เดือน เป็นการติวเข้มสมุนนักล่า
    ปรากฎว่าการตอแหลได้ผลดีเกินคาด เจ้านายสั่งให้เพิ่มบริเวณพื้นที่การอบรม จากครอบคลุมเฉพาะแถบเอเซีย เพิ่มลาตินอเมริกา อาฟริกา และตะวันออกกลางเข้าไปด้วย นี่มันกำลังทำสนามนักล่าขนาดใหญ่ครอบคลุมโลกนี่หว่า นักล่าหน้าใหม่มาแรงจริงๆ แต่นาย Kenneth มีภูมิมีพื้นแค่แถบอินโดจีน แต่คนพันธ์นาย Kenneth ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เสียเหลี่ยมมิชชันนารีจากเมืองตรังหมด โม้เอาไว้เยอะ เขาบอกไม่มีปัญหา เขาไปกว้านเอาอาจารย์ตามมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ ที่มีผู้เชี่ยวชาญตามที่เจ้านายต้องการ มาช่วยกันสร้างหลักสูตรปรับพื้น สนามนักล่าจนสำเร็จ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกไม่ถึง 15 ปี อเมริกานักล่าหน้าใหม่ ก็พร้อมที่ลงสนามล่า ที่ได้ส่งสมุนไปปรับพื้นทำสนาม เตรียมไว้ตามแผน โดยการอนุเคราะห์ของผู้ถูกล่าเองเสียหลายส่วน! น่าเศร้าใจจนต้องหยุดพักเขียนไปหลายวัน

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 12 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 12 ประมาณปี พ.ศ.1960 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของรัฐบาลEisenhower นาย Kenneth ขออนุญาตกระทรวงต่างประเทศอเม ริกา เดินทางมาสำรวจเมืองไทย และแถบอินโดจีนอีกรอบ (!!!) ตอนนั้น นาย Alexis Johnson เป็นฑูต และ นาย Leonard Unger เป็นผู้ช่วยฑูต ทั้ง 2 คนเป็นคนฉลาดรู้จักเมืองไทยอย่างดี เข้ ากับทหารไทยได้แบบคอหอยกับลูกกระเดือก โดยเฉพาะนาย Unger เมื่อมาถึงปรากฏว่าจอมพลสฤษดิ์ส่งนายทหารคนสนิทมารับนาย Kenneth ถึงสนามบิน จอมพลสฤษดิ์ถามเขาว่า มาทำไม นาย Kenneth บอกจะมาดูสถานการณ์ในลาวสักหน่อย หลังจากนั้นจะไปกัมพูชา ไซ่ง่อนและพม่า นาย Kenneth บอกว่า จริงๆจะมาตรวจการบ้านด้วยว่าเงินช่วยเหลือทางทหาร Military Assistance Program (MAP) ที่อเมริกาให้แต่ละประเทศ ได้ผลมากน้อยแค่ไหน จอมพลสฤษดิ์บอกว่ากลับมาแล้ว มาเล่าให้ฟังกันด้วย ปรากฎว่าส่วนใหญ่ได้ผล ยกเว้นแต่ลาว ซึ่งอเมริกาให้เงินช่วยเหลือมากกว่าไทยเสียอีก แต่อเมริกาทำท่าจะเสียลาวให้แก่คอมมิวนิสต์ (และในที่สุดก็เสียจริงๆ ! ) โดยอาจจะมีการปฏิวัติโดยลาวแดงเร็วๆนี้ ขากลับ นาย Kenneth ก็รายงานเรื่องลาวอาจมีการปฏิวัติให้จอมพลสฤษดิ์ทราบ แล้วก็เดินทางต่อลงมาที่สิงค์โปร์ ที่สิงคโปร์ เขาได้พบกับเศรษฐีสิงคโปร์คนหนึ่งชื่อ Ko Geng Hsui ซึ่งเป็นกระเป๋าใหญ่ให้แก่นาย Lee Kwan Yew และภายหลังได้เป็นรัฐมนตรีกลาโหม นาย Ko ต้องการให้นาย Kenneth ช่วยตั้งสถาบันเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ในมหาวิทยาลัยสิงคโปร์ให้ ภายหลังนาย Kenneth ได้ลางานจากรัฐบาลอเมริกัน 1 ปี เพื่อมาจัดตั้งสถาบันนี้ให้สิงคโปร์ โดยเอาชาวยิวชื่อ Harry Benda จากมหาวิทยาลัย Yale มาช่วย สิงคโปร์จึงเป็นประเทศแรกในแถบนี้ ที่มีสถาบันการศึกษาลงลึกอย่างจริงจังเกี่ยวกับเอเซียอาคเณย์ ตกลงสิงคโปร์ไม่ได้ลอกเลียนแค่งานสงกรานต์ไปจากบ้านเรา แต่ลอกหลายอย่างรวมทั้งวิชาความรู้เกี่ยวกับภูมิภาคนี้ สิงคโปร์ประเทศที่ไม่มีรากไม่มีเหง้า ไม่มีวัฒนธรรม ประเพณีของตนเอง แต่มีคนไทยหลายคนปลาบปลื้มกับความเจริญของสิงคโปร์ จนถึงขนาดอยากให้เมืองไทยเป็นเหมือนสิงคโปร์ เศร้าครับ! เมื่อนาย Kenneth กลับมาถึงวอซิงตัน การเลือกตั้งประธานาธิบดีกำลังเข้มข้น แล้วนาย Kennedy ก็ชนะการเลือกตั้ง ขณะเดียวกันลาวก็อาการทรุดตามที่นาย Kenneth คาด รัฐบาล Kennedy เข้ามารับตำแหน่งใหม่ๆ ยังจับต้นไม่ชนปลาย นาย Mc Geroge Bundy จอมแสบที่ปรึกษาด้านความมั่นคง ของประธานาธิบดี Kennedy ถึงจะแสนรู้อย่างไร มาใหม่ๆก็มึนรับประทาน แนะนำสั่งการอะไรไม่ถูก ได้แต่เรียกให้นาย Kenneth ให้มาสรุปสถานการณ์ในลาวให้รัฐบาลฟังก่อนตัดสินใจ ทุกอย่างอลเวงไปหมด และนี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ ประธานธิบดี Kennedy ฉุนขาด ประกาศว่าหน่วยงาน National Security Council ทำงานไม่ได้ผล (คงไม่ให้ราคานาย Kenneth สักเท่าไหร่) ถ้าเขายุบหน่วยงานนี้ได้เขาจะยุบแล้ว เพียงแต่ต้องไปขออนุมัติจากสภาสูง ต้องออกกฏหมาย ฯลฯ ดังนั้นเขาจึงสั่ง “แขวน” พนักงานทุกคนในหน่วยงานรวมทั้งนาย Kenneth ด้วย และได้ยกเครื่องการทำงานสภาความมั่นคงเสียใหม่ หลังจากโดนแขวนอยู่หลายเดือน นาย Kenneth ก็เดินแกว่งไปตามหน่วยงานต่างๆ เพื่อหาที่ลง เพราะแม้จะมีเงินเดือนกิน แต่ไม่มีเก้าอี้นั่งชูคอ แบบรัฐบาลก่อนๆ มันก็ทำให้เขาเสียรังวัดไปพอสมควร จะโม้อะไร โอ้อวดอะไร อย่างเมื่อก่อนก็ไม่ถนัดปาก ก็คนโดนแขวนอยู่มันจะให้โม้อะไร ไหว จนวันหนึ่ง นาย Walt Rostow ซึ่งเป็นผู้ช่วยของนาย McGeorge Bundy และรู้จักกับนาย Kenneth ตั้งแต่สมัยทำงานอยู่ OSS เป็นลูกน้องนาย Donovan มาด้วยกัน ก็ติดต่อนาย Kenneth บอกว่ามีงานให้ทำแล้ว ประธานาธิบดี Kennedy เห็นว่าเจ้าหน้าที่ของอเมริกาไม่ว่าทหาร หรือพลเรือน เมื่อจะต้องไปปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่เมืองใด ควรรู้เรื่องเมืองนั้นอย่างดี ไม่ใช่ไปแบบยืนหน้าเซ่อ ร้องเพลงรำวงวันคริสตมาสให้ชาวบ้านฟัง (สงสัยคุณนายเคนนี่ฑูตอเมริกาคนปัจจุบัน คงไม่เคยได้รับการอบรมอะไรเลยก่อนมาประจำเมืองไทย คุณนายถึงได้ทำตัวทุเรศปานนั้น) จึงมอบหมายให้นาย Kenneth เป็นผู้จัดการหลักสูตรอบรม เกี่ยวกับการต่อต้านเหตุการณ์ไม่สงบ (Counter Insurgency) ชื่อเต็มก็คือการต่อต้านความไม่สงบ อันเกิดจากภัยคอมมิวนิสต์ในโลกที่ 3 นั่นแหละ เป็นหลักสูตรที่จัดรวมให้สมุนนักล่าไม่ว่าจะอยู่ในเครื่องแบบใด นาย Kenneth บอกไม่มีปัญหาขอให้จัดงบแบบไม่อั้นมาแล้วกัน นักล่ากำลังฟิต เพราะฉะนั้น เท่าไรเท่ากัน จัดไปเลยย นาย Kenneth สารภาพว่า แรกๆ เขาก็ยังงงว่าจะทำได้อย่างไร เขาไม่ใช่ทหาร ไม่รู้เรื่องการรบ แต่เขารู้จักประเทศต่างๆ ที่คอมมิวนิสต์กำลังคุกคาม เขาจึงนำประสพการณ์ ข้อมูลที่เขาได้จากการที่เขาเคยอยู่ในเมืองไทยและการเดินทางไปสถานที่ต่างๆ และเจอผู้คนในประเทศเหล่านั้น ไม่ว่าจะระดับรัฐบาล ผู้นำประเทศ หรือชาวบ้านทั่วไป บวกกับข้อมูลจากหนังสืออีกเกือบ 2,000 เล่ม ที่เขาสะสมไว้ เอามาผสมปนเปแบบตอแหล ทำเป็นหลักสูตรสำหรับการอบรมประมาณ 2 เดือน เป็นการติวเข้มสมุนนักล่า ปรากฎว่าการตอแหลได้ผลดีเกินคาด เจ้านายสั่งให้เพิ่มบริเวณพื้นที่การอบรม จากครอบคลุมเฉพาะแถบเอเซีย เพิ่มลาตินอเมริกา อาฟริกา และตะวันออกกลางเข้าไปด้วย นี่มันกำลังทำสนามนักล่าขนาดใหญ่ครอบคลุมโลกนี่หว่า นักล่าหน้าใหม่มาแรงจริงๆ แต่นาย Kenneth มีภูมิมีพื้นแค่แถบอินโดจีน แต่คนพันธ์นาย Kenneth ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เสียเหลี่ยมมิชชันนารีจากเมืองตรังหมด โม้เอาไว้เยอะ เขาบอกไม่มีปัญหา เขาไปกว้านเอาอาจารย์ตามมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ ที่มีผู้เชี่ยวชาญตามที่เจ้านายต้องการ มาช่วยกันสร้างหลักสูตรปรับพื้น สนามนักล่าจนสำเร็จ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกไม่ถึง 15 ปี อเมริกานักล่าหน้าใหม่ ก็พร้อมที่ลงสนามล่า ที่ได้ส่งสมุนไปปรับพื้นทำสนาม เตรียมไว้ตามแผน โดยการอนุเคราะห์ของผู้ถูกล่าเองเสียหลายส่วน! น่าเศร้าใจจนต้องหยุดพักเขียนไปหลายวัน คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 298 Views 0 Reviews
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 11
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 11
    ค.ศ. 1953 นาย Donovan ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเอกอัครราชฑูตอเมริกาประจำเมืองไทย นาย Kenneth บอกว่าที่นาย Donovan ต้องมาเป็นฑูตที่เมืองไทย มันเป็นการแลกเปลี่ยนที่นาย Donovan ไม่พอใจนัก เนื่องมาจากเมื่อสงครามโลกครั้ง ที่ 2 สิ้นสุด ประธานาธิบดี Truman ก็สั่งยกเลิกหน่วยงาน OSS ของนาย Donovan เมื่อนาย Eisenhower ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี เขาสั่งให้มีการจัดตั้งหน่วยงานข่าวกรองรูปแบบใหม่ คือ Central Intelligence Agency (CIA) หน่วยงานนี้ให้ขึ้นตรงต่อประธานาธิบดี นาย Donovan ก็ดำเนินการตามสั่งจนเสร็จ และคิดว่าตนจะได้เป็นหัวหน้า CIA คนแรก แต่พอตั้งเสร็จ ประธานาธิบดี Eisenhower ซึ่งเลือกนาย John Foster Dulles มาเป็น รมว.ต่างประเทศ นาย John บอกว่าถ้าจะให้ดี ทำงานเข้าขากัน เขาแนะนำให้ประธานาธิบดีตั้งนาย Allen น้องชายเขามาเป็นหัวหน้าหน่วยงาน CIA จะดีกว่า ประธานาธิบดีก็ยอม และเพื่อไม่ให้นาย Donovan กินแห้ว เลยส่งมาเป็นฑูตที่เมืองไทย ซึ่งนาย Kenneth ว่า ก็เป็นตำแหน่งที่สำคัญไม่น้อยกว่าเป็นหัวหน้า CIA หรอกนะ และตอนนั้นนาย Donovan ก็อายุ 70 ปีแล้ว
    (หมายเหตุคนเล่านิทาน : นาย Kenneth น่าจะวิเคราะห์เรื่องนาย Donovan ไม่พอใจที่ต้องมาเป็นฑูตที่เมืองไทยไม่ถูกต้อง มันน่าจะตรงกันข้าม นาย Donovan น่าจะถูกเลือกมาโดยเฉพาะให้มาเป็นฑูตในตอนนั้น เพราะเป็นช่วงที่อเมริกากำลังจะเริ่มรบกับเวียตนาม จำเป็นต้องทำการเข้าใจทั้งการรบ และเข้าใจทั้งเมืองไทยและอินโดจีนอย่างดี และอาจจะมีภาระกิจอื่นแถม! นาย Donovan รู้จักคนไทยสำคัญๆหลายคน สมัยทำงาน OSS น่าจะได้รับความร่วมมือมากกว่า จะเอาหน้าใหม่มา หมายเหตุเพิ่มเติม ทั้งประธานาธิบดี Eisenhower นาย John Foster Dulles และนาย Donovan ล้วนเกี่ยวกับ CFR ทั้งสิ้นครับ)
    เมื่อนาย Donovan ได้เป็นฑูตประจำไทย นาย Kenneth เป็นเจ้าหน้าที่ของกระทรวงต่างประเทศอเมริกา ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลประเทศ ไทย ทั้ง 2 คน จึงได้กลับมาร่วมงานกันอีก นาย Kenneth ถือโอกาสติดตามนาย Donovan มาเมืองไทย อ้างว่าจะมาติวเข้มให้ ว่าใครเป็นใครในเมืองไทย เรื่องนี้ ต้องยอมรับว่านาย Kenneth “รู้งาน” เพราะสมัยนายDonovan คุมหน่วย OSS ตอนสงครามโลก แม้เขาจะรู้จักกับคนไทยที่ร่วมงาน OSS เป็นอย่างดี โดยเฉพาะนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งตอนหลังหมดอำนาจ แถม ยืนอยู่คนละค่ายกับ จอมพล ป ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีขณะนั้นอีกด้วย การเมืองไทยซึ่งช่วงน้ันแบ่งเป็นหลายก๊ก หลายแก๊งค์ ถ้าไม่ติวกันให้ดี อาจจะมีการเหยียบตาปลาเสียเรื่องกันซะเปล่าๆ
    นาย Kenneth โม้ต่อไปว่า เดิมอเมริกาให้การสนับสนุนแก่เผ่า (อตร.สมัยนั้น โดยเฉพาะด้านตำรวจตระเวนชายแดน) แต่เป็นเพราะฝีมือเขานะ ที่หว่านล้อมให้นาย Donovan ทำเรื่องไปทางวอชิงตันว่าควรสนับสนุนสฤษดิ์ด้วย เพราะสฤษดิ์น่าจะเป็นผู้นำที่ดีกว่าเผ่า วอชิงตันเห็นด้วย และเริ่มให้การสนับสนุนทางการทหารและการเงินแก่กองทัพไทย และด้วยเงินสนับสนุนของอเมริกานี้ ทำให้สฤษดิ์เริ่มมีรัศมีอำนาจฉายแสงสู้กับเผ่าได้ ทั้ง 2 คน แข่งกันสร้างอำนาจและสร้างพรรคพวก อย่างสูสีกัน ถ้าเป็นม้าแข่งก็ต้องตัดสินด้วยรูปถ่าย
    ยังไม่รู้ว่าใครจะเข้าวิน สฤษดิ์ก็ดันล้มป่วย อเมริการีบประคองส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล Water Reed (แสดงว่าคุณป๋าถ้าจะเข้าวิน) แน่นอนคนที่ไปนั่งกุมมือคุณป๋ายามป่วย นอกจากนายพล Erskine (ที่ประจำอยู่หน่วยปฏิบัติการพิเศษของ Pentagon ที่รัฐบาลอเมริกาส่งมาประกบสฤษดิ์เป็นพิเศษ และภายหลัง กลายเป็นเพื่อนซี้ ขนาดคุณป๋ายกลูกชายคนโต ให้เป็นลูกบุญธรรมของท่านนายพล) แน่นอนย่อมต้องมีนาย Kenneth นี่อีกคน ที่ไปนั่งคุยเป็นภาษาไทย ไม่ให้คุณป๋าเหงาหู อย่าลืมคุณป๋าไม่ชอบพูดภาษาอังกฤษ เมื่อไปนอนอยู่ต่างบ้านต่างเมือง มีตลกหัวทองมานั่งพูดไทยด้วย มันก็หายเมื่อยมือเวลาพูดไปแยะ บางวันคุณป๋าก็ออกไปนั่งเล่น กินข้าวอยู่ที่บ้านนาย Kenneth ซึ่งถือโอกาสผูกมิตรชิดใกล้เข้าไปเรื่อยๆ แบบนี้ มันก็น่าจะสร้างความอบอุ่นหัวใจของคุณป๋าไม่น้อย เป็นธรรมดาของคนอยู่ไกลบ้าน
    คุณป๋าสฤษดิ์หายป่วยกลับมาเมืองไทยไม่นาน คุณป๋าก็ทำการรัฐประหารดีดจอมพล ป. ออกไปนุ่งกิโมโนอยู่ญี่ปุ่น ส่วนนายเผ่า Sea Supply คู่ปรับเก่าก็ถูกส่งตัวไปนั่งนับเนยแข็งอยู่ที่สวิส หลังจากตั้งหุ่นชื่อ พจน์ สารสิน เป็นนายกรัฐมนตรีขัดตาทัพอยู่แป๊บ หนึ่ง คุณป๋าก็รัฐประหารใหม่ คราวนี้เลิกเหนียม ตัดใจเป็นนายกรัฐมนตรีเอง ระหว่างคุณป๋าเป็นนายกฯ ก็ทำงานใกล้ชิดกับอเมริกา คุณป๋าทหารหาญคิดว่าอเมริกานักล่า เป็นเพื่อนรักยามยาก มาช่วยเหลือไม่ให้คอมมี่บุกไทยแลนด์ อยากได้อะไร เปรยปั๊บ ได้ปุ๊บ คุณป๋าก็เลยทั้งทุ่มทั้งเทตอบ ใครจะนึกว่าเพื่อนรักแอบเล่นบ ทตามสุภาษิต ช้างสาร งูเห่า ข้าเก่า มิตรรัก จดจำกันไว้ อย่าได้เชื่อจนหมดใจ เหลือที่ไว้ เผื่อขาด เผื่อเหลือบ้าง จะได้ไม่ต้องนั่งชีช้ำ นึกถึงประเทศอิหร่าน ฟิลิปปินส์ ลิเบีย อียิปต์ อาฟกานิสถาน อิรัก ฯลฯ ไว้บ้างก็แล้วกัน
    ส่วนนาย Kenneth เอง น่าจะได้ความดีความชอบไม่น้อย จากการแทงม้าถูกตัว เมื่อคุณป๋าเป็นนายกไทยแลนด์ สัมพันธ์ไทยอเมริกาลื่นเหมือนทาด้วยน้ำมันของ Standard Oil นาย Kenneth จึงได้ย้ายไปนั่งคอยืดอยู่สภาความมั่นคงของอเมริกา National Security Council (NSC) เรียกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ระดับ “วงในสุด” ของอเมริกา เขาอยู่หน่วยงานที่รับผิดชอบวางแผนเกี่ยวกับ ความมั่นคงของประเทศ และติดตามผลงาน แม่เจ้าโว้ย ! มันใหญ่จริงๆ สำหรับอดีตมิชชั่นนารีจากเมืองตรัง เขาทำงานกับหน่วยงานและบุคคลระดับใหญ่ และลับเฉพาะสูงสุดของประเทศ เช่น รัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรีต่างประเทศ หัวหน้างานข่าวกรอง (CIA) อะไรทำนองนั้น หน้าที่ของเขาคือร่างแผนปฏิบัติการณ์ในภูมิภาคเอเซียใต้ และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เขาทำงานนี้จนถึงสมัยรัฐบาล Kennedy เป็นมิชชั่นนารี พันธ์พิเศษจริงๆ เก่งขนาดร่างแผนการล่าได้ หรือว่าเป็นภาระกิจถนัดของมิชชั่นนารีพันธ์พิเศษ ?!

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 11 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 11 ค.ศ. 1953 นาย Donovan ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเอกอัครราชฑูตอเมริกาประจำเมืองไทย นาย Kenneth บอกว่าที่นาย Donovan ต้องมาเป็นฑูตที่เมืองไทย มันเป็นการแลกเปลี่ยนที่นาย Donovan ไม่พอใจนัก เนื่องมาจากเมื่อสงครามโลกครั้ง ที่ 2 สิ้นสุด ประธานาธิบดี Truman ก็สั่งยกเลิกหน่วยงาน OSS ของนาย Donovan เมื่อนาย Eisenhower ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี เขาสั่งให้มีการจัดตั้งหน่วยงานข่าวกรองรูปแบบใหม่ คือ Central Intelligence Agency (CIA) หน่วยงานนี้ให้ขึ้นตรงต่อประธานาธิบดี นาย Donovan ก็ดำเนินการตามสั่งจนเสร็จ และคิดว่าตนจะได้เป็นหัวหน้า CIA คนแรก แต่พอตั้งเสร็จ ประธานาธิบดี Eisenhower ซึ่งเลือกนาย John Foster Dulles มาเป็น รมว.ต่างประเทศ นาย John บอกว่าถ้าจะให้ดี ทำงานเข้าขากัน เขาแนะนำให้ประธานาธิบดีตั้งนาย Allen น้องชายเขามาเป็นหัวหน้าหน่วยงาน CIA จะดีกว่า ประธานาธิบดีก็ยอม และเพื่อไม่ให้นาย Donovan กินแห้ว เลยส่งมาเป็นฑูตที่เมืองไทย ซึ่งนาย Kenneth ว่า ก็เป็นตำแหน่งที่สำคัญไม่น้อยกว่าเป็นหัวหน้า CIA หรอกนะ และตอนนั้นนาย Donovan ก็อายุ 70 ปีแล้ว (หมายเหตุคนเล่านิทาน : นาย Kenneth น่าจะวิเคราะห์เรื่องนาย Donovan ไม่พอใจที่ต้องมาเป็นฑูตที่เมืองไทยไม่ถูกต้อง มันน่าจะตรงกันข้าม นาย Donovan น่าจะถูกเลือกมาโดยเฉพาะให้มาเป็นฑูตในตอนนั้น เพราะเป็นช่วงที่อเมริกากำลังจะเริ่มรบกับเวียตนาม จำเป็นต้องทำการเข้าใจทั้งการรบ และเข้าใจทั้งเมืองไทยและอินโดจีนอย่างดี และอาจจะมีภาระกิจอื่นแถม! นาย Donovan รู้จักคนไทยสำคัญๆหลายคน สมัยทำงาน OSS น่าจะได้รับความร่วมมือมากกว่า จะเอาหน้าใหม่มา หมายเหตุเพิ่มเติม ทั้งประธานาธิบดี Eisenhower นาย John Foster Dulles และนาย Donovan ล้วนเกี่ยวกับ CFR ทั้งสิ้นครับ) เมื่อนาย Donovan ได้เป็นฑูตประจำไทย นาย Kenneth เป็นเจ้าหน้าที่ของกระทรวงต่างประเทศอเมริกา ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลประเทศ ไทย ทั้ง 2 คน จึงได้กลับมาร่วมงานกันอีก นาย Kenneth ถือโอกาสติดตามนาย Donovan มาเมืองไทย อ้างว่าจะมาติวเข้มให้ ว่าใครเป็นใครในเมืองไทย เรื่องนี้ ต้องยอมรับว่านาย Kenneth “รู้งาน” เพราะสมัยนายDonovan คุมหน่วย OSS ตอนสงครามโลก แม้เขาจะรู้จักกับคนไทยที่ร่วมงาน OSS เป็นอย่างดี โดยเฉพาะนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งตอนหลังหมดอำนาจ แถม ยืนอยู่คนละค่ายกับ จอมพล ป ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีขณะนั้นอีกด้วย การเมืองไทยซึ่งช่วงน้ันแบ่งเป็นหลายก๊ก หลายแก๊งค์ ถ้าไม่ติวกันให้ดี อาจจะมีการเหยียบตาปลาเสียเรื่องกันซะเปล่าๆ นาย Kenneth โม้ต่อไปว่า เดิมอเมริกาให้การสนับสนุนแก่เผ่า (อตร.สมัยนั้น โดยเฉพาะด้านตำรวจตระเวนชายแดน) แต่เป็นเพราะฝีมือเขานะ ที่หว่านล้อมให้นาย Donovan ทำเรื่องไปทางวอชิงตันว่าควรสนับสนุนสฤษดิ์ด้วย เพราะสฤษดิ์น่าจะเป็นผู้นำที่ดีกว่าเผ่า วอชิงตันเห็นด้วย และเริ่มให้การสนับสนุนทางการทหารและการเงินแก่กองทัพไทย และด้วยเงินสนับสนุนของอเมริกานี้ ทำให้สฤษดิ์เริ่มมีรัศมีอำนาจฉายแสงสู้กับเผ่าได้ ทั้ง 2 คน แข่งกันสร้างอำนาจและสร้างพรรคพวก อย่างสูสีกัน ถ้าเป็นม้าแข่งก็ต้องตัดสินด้วยรูปถ่าย ยังไม่รู้ว่าใครจะเข้าวิน สฤษดิ์ก็ดันล้มป่วย อเมริการีบประคองส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล Water Reed (แสดงว่าคุณป๋าถ้าจะเข้าวิน) แน่นอนคนที่ไปนั่งกุมมือคุณป๋ายามป่วย นอกจากนายพล Erskine (ที่ประจำอยู่หน่วยปฏิบัติการพิเศษของ Pentagon ที่รัฐบาลอเมริกาส่งมาประกบสฤษดิ์เป็นพิเศษ และภายหลัง กลายเป็นเพื่อนซี้ ขนาดคุณป๋ายกลูกชายคนโต ให้เป็นลูกบุญธรรมของท่านนายพล) แน่นอนย่อมต้องมีนาย Kenneth นี่อีกคน ที่ไปนั่งคุยเป็นภาษาไทย ไม่ให้คุณป๋าเหงาหู อย่าลืมคุณป๋าไม่ชอบพูดภาษาอังกฤษ เมื่อไปนอนอยู่ต่างบ้านต่างเมือง มีตลกหัวทองมานั่งพูดไทยด้วย มันก็หายเมื่อยมือเวลาพูดไปแยะ บางวันคุณป๋าก็ออกไปนั่งเล่น กินข้าวอยู่ที่บ้านนาย Kenneth ซึ่งถือโอกาสผูกมิตรชิดใกล้เข้าไปเรื่อยๆ แบบนี้ มันก็น่าจะสร้างความอบอุ่นหัวใจของคุณป๋าไม่น้อย เป็นธรรมดาของคนอยู่ไกลบ้าน คุณป๋าสฤษดิ์หายป่วยกลับมาเมืองไทยไม่นาน คุณป๋าก็ทำการรัฐประหารดีดจอมพล ป. ออกไปนุ่งกิโมโนอยู่ญี่ปุ่น ส่วนนายเผ่า Sea Supply คู่ปรับเก่าก็ถูกส่งตัวไปนั่งนับเนยแข็งอยู่ที่สวิส หลังจากตั้งหุ่นชื่อ พจน์ สารสิน เป็นนายกรัฐมนตรีขัดตาทัพอยู่แป๊บ หนึ่ง คุณป๋าก็รัฐประหารใหม่ คราวนี้เลิกเหนียม ตัดใจเป็นนายกรัฐมนตรีเอง ระหว่างคุณป๋าเป็นนายกฯ ก็ทำงานใกล้ชิดกับอเมริกา คุณป๋าทหารหาญคิดว่าอเมริกานักล่า เป็นเพื่อนรักยามยาก มาช่วยเหลือไม่ให้คอมมี่บุกไทยแลนด์ อยากได้อะไร เปรยปั๊บ ได้ปุ๊บ คุณป๋าก็เลยทั้งทุ่มทั้งเทตอบ ใครจะนึกว่าเพื่อนรักแอบเล่นบ ทตามสุภาษิต ช้างสาร งูเห่า ข้าเก่า มิตรรัก จดจำกันไว้ อย่าได้เชื่อจนหมดใจ เหลือที่ไว้ เผื่อขาด เผื่อเหลือบ้าง จะได้ไม่ต้องนั่งชีช้ำ นึกถึงประเทศอิหร่าน ฟิลิปปินส์ ลิเบีย อียิปต์ อาฟกานิสถาน อิรัก ฯลฯ ไว้บ้างก็แล้วกัน ส่วนนาย Kenneth เอง น่าจะได้ความดีความชอบไม่น้อย จากการแทงม้าถูกตัว เมื่อคุณป๋าเป็นนายกไทยแลนด์ สัมพันธ์ไทยอเมริกาลื่นเหมือนทาด้วยน้ำมันของ Standard Oil นาย Kenneth จึงได้ย้ายไปนั่งคอยืดอยู่สภาความมั่นคงของอเมริกา National Security Council (NSC) เรียกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ระดับ “วงในสุด” ของอเมริกา เขาอยู่หน่วยงานที่รับผิดชอบวางแผนเกี่ยวกับ ความมั่นคงของประเทศ และติดตามผลงาน แม่เจ้าโว้ย ! มันใหญ่จริงๆ สำหรับอดีตมิชชั่นนารีจากเมืองตรัง เขาทำงานกับหน่วยงานและบุคคลระดับใหญ่ และลับเฉพาะสูงสุดของประเทศ เช่น รัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรีต่างประเทศ หัวหน้างานข่าวกรอง (CIA) อะไรทำนองนั้น หน้าที่ของเขาคือร่างแผนปฏิบัติการณ์ในภูมิภาคเอเซียใต้ และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เขาทำงานนี้จนถึงสมัยรัฐบาล Kennedy เป็นมิชชั่นนารี พันธ์พิเศษจริงๆ เก่งขนาดร่างแผนการล่าได้ หรือว่าเป็นภาระกิจถนัดของมิชชั่นนารีพันธ์พิเศษ ?! คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 276 Views 0 Reviews
  • “ควอนตัมคอมพิวติ้งอาจปลดล็อก Bitcoin มูลค่า 879 พันล้านดอลลาร์! กระเป๋าเงินที่ถูกลืมอาจกลายเป็นขุมทรัพย์แห่งอนาคต”

    ลองจินตนาการว่า Bitcoin ที่คุณเคยได้ยินว่าหายไปแล้ว — เพราะเจ้าของลืมรหัส หรือเสียชีวิตโดยไม่มีใครเข้าถึงได้ — วันหนึ่งกลับถูกปลดล็อกขึ้นมาอีกครั้งด้วยเทคโนโลยีควอนตัมคอมพิวติ้งที่ทรงพลังพอจะเจาะระบบเข้ารหัส AES ได้สำเร็จ…นั่นคือสิ่งที่นักวิเคราะห์หลายคนเริ่มพูดถึงในปี 2025

    จุดเริ่มต้นของความกังวลนี้มาจากความก้าวหน้าของชิปควอนตัม “Willow” จาก Google ที่สามารถทำงานบางอย่างได้ในเวลาไม่ถึง 5 นาที — เทียบกับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ปัจจุบันที่ต้องใช้เวลาถึง 10^25 ปีในการทำงานเดียวกัน แม้ Willow จะมีเพียง 105 qubits แต่ก็แสดงให้เห็นว่าการพัฒนาเทคโนโลยีนี้กำลังเร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

    ตามการวิเคราะห์ของ Ronan Manly จาก Sound Money Report มี Bitcoin จำนวนมหาศาลระหว่าง 2.3 ถึง 7.8 ล้าน BTC ที่ถูกเก็บไว้ในกระเป๋าเงินที่ไม่มีการเคลื่อนไหวเลย — คิดเป็น 11% ถึง 37% ของจำนวน Bitcoin ทั้งหมดในระบบ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการลืมรหัส หรือเจ้าของเสียชีวิตโดยไม่มีการถ่ายทอดข้อมูล

    หากควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถเจาะระบบ AES ได้จริงในอนาคต กระเป๋าเงินเหล่านี้อาจถูกปลดล็อก และ Bitcoin มูลค่ารวมกว่า 879 พันล้านดอลลาร์ (ตามราคาปัจจุบันที่ ~$112,000 ต่อเหรียญ) อาจถูกนำออกมาใช้ — ซึ่งอาจทำให้ตลาดเกิดการเทขายครั้งใหญ่ และเข้าสู่ภาวะขาลงโดยไม่ต้องมีปัจจัยอื่นใดเลย

    แม้ผู้ใช้ Bitcoin ส่วนใหญ่จะเปลี่ยนไปใช้กระเป๋าเงินที่ปลอดภัยต่อควอนตัมแล้ว แต่กระเป๋าเงินที่ถูกลืมและไม่มีเจ้าของจะยังคงเสี่ยงต่อการถูกเจาะในอนาคต หากไม่มีการอัปเกรดหรือเปลี่ยนระบบเข้ารหัส

    ความก้าวหน้าของควอนตัมคอมพิวติ้ง
    Google Willow chip ทำงานบางอย่างได้ใน 5 นาที เทียบกับ 10^25 ปีของซูเปอร์คอมพิวเตอร์
    Willow มี 105 qubits และสามารถลดข้อผิดพลาดเมื่อเพิ่มจำนวน qubits
    เทคโนโลยีนี้ได้รับความสนใจจาก Elon Musk และ Sam Altman

    ความเสี่ยงต่อ Bitcoin
    Bitcoin ใช้การเข้ารหัส AES และ elliptic curve cryptography (ECC)
    หากควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถเจาะ AES ได้ จะสามารถเข้าถึงกระเป๋าเงินที่ถูกลืม
    คาดว่ามี Bitcoin ระหว่าง 2.3 ถึง 7.8 ล้าน BTC ที่อยู่ในกระเป๋าเงินนิ่ง
    มูลค่ารวมของ Bitcoin ที่อาจถูกปลดล็อกสูงถึง $879 พันล้าน

    กระเป๋าเงินนิ่ง (Dormant Wallets)
    เกิดจากการลืมรหัส, การเสียชีวิต, หรือการเก็บไว้โดยไม่มีการเคลื่อนไหว
    ส่วนใหญ่ไม่สามารถอัปเกรดระบบเข้ารหัสได้
    อาจกลายเป็นเป้าหมายหลักของการเจาะระบบในอนาคต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ECC และ SHA-256 ยังปลอดภัยกว่า RSA แต่ก็เริ่มถูกตั้งคำถามจากนักวิจัยควอนตัม
    Quantum-safe wallets กำลังถูกพัฒนา เช่น lattice-based cryptography
    นักพัฒนา Bitcoin เริ่มเตรียมแผนรับมือ “Q-Day” หรือวันที่ควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถเจาะระบบได้จริง

    https://wccftech.com/quantum-computing-could-leave-a-shocking-879-billion-of-bitcoin-up-for-grabs-heres-how/
    💥 “ควอนตัมคอมพิวติ้งอาจปลดล็อก Bitcoin มูลค่า 879 พันล้านดอลลาร์! กระเป๋าเงินที่ถูกลืมอาจกลายเป็นขุมทรัพย์แห่งอนาคต” ลองจินตนาการว่า Bitcoin ที่คุณเคยได้ยินว่าหายไปแล้ว — เพราะเจ้าของลืมรหัส หรือเสียชีวิตโดยไม่มีใครเข้าถึงได้ — วันหนึ่งกลับถูกปลดล็อกขึ้นมาอีกครั้งด้วยเทคโนโลยีควอนตัมคอมพิวติ้งที่ทรงพลังพอจะเจาะระบบเข้ารหัส AES ได้สำเร็จ…นั่นคือสิ่งที่นักวิเคราะห์หลายคนเริ่มพูดถึงในปี 2025 จุดเริ่มต้นของความกังวลนี้มาจากความก้าวหน้าของชิปควอนตัม “Willow” จาก Google ที่สามารถทำงานบางอย่างได้ในเวลาไม่ถึง 5 นาที — เทียบกับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ปัจจุบันที่ต้องใช้เวลาถึง 10^25 ปีในการทำงานเดียวกัน แม้ Willow จะมีเพียง 105 qubits แต่ก็แสดงให้เห็นว่าการพัฒนาเทคโนโลยีนี้กำลังเร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามการวิเคราะห์ของ Ronan Manly จาก Sound Money Report มี Bitcoin จำนวนมหาศาลระหว่าง 2.3 ถึง 7.8 ล้าน BTC ที่ถูกเก็บไว้ในกระเป๋าเงินที่ไม่มีการเคลื่อนไหวเลย — คิดเป็น 11% ถึง 37% ของจำนวน Bitcoin ทั้งหมดในระบบ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการลืมรหัส หรือเจ้าของเสียชีวิตโดยไม่มีการถ่ายทอดข้อมูล หากควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถเจาะระบบ AES ได้จริงในอนาคต กระเป๋าเงินเหล่านี้อาจถูกปลดล็อก และ Bitcoin มูลค่ารวมกว่า 879 พันล้านดอลลาร์ (ตามราคาปัจจุบันที่ ~$112,000 ต่อเหรียญ) อาจถูกนำออกมาใช้ — ซึ่งอาจทำให้ตลาดเกิดการเทขายครั้งใหญ่ และเข้าสู่ภาวะขาลงโดยไม่ต้องมีปัจจัยอื่นใดเลย แม้ผู้ใช้ Bitcoin ส่วนใหญ่จะเปลี่ยนไปใช้กระเป๋าเงินที่ปลอดภัยต่อควอนตัมแล้ว แต่กระเป๋าเงินที่ถูกลืมและไม่มีเจ้าของจะยังคงเสี่ยงต่อการถูกเจาะในอนาคต หากไม่มีการอัปเกรดหรือเปลี่ยนระบบเข้ารหัส ✅ ความก้าวหน้าของควอนตัมคอมพิวติ้ง ➡️ Google Willow chip ทำงานบางอย่างได้ใน 5 นาที เทียบกับ 10^25 ปีของซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ➡️ Willow มี 105 qubits และสามารถลดข้อผิดพลาดเมื่อเพิ่มจำนวน qubits ➡️ เทคโนโลยีนี้ได้รับความสนใจจาก Elon Musk และ Sam Altman ✅ ความเสี่ยงต่อ Bitcoin ➡️ Bitcoin ใช้การเข้ารหัส AES และ elliptic curve cryptography (ECC) ➡️ หากควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถเจาะ AES ได้ จะสามารถเข้าถึงกระเป๋าเงินที่ถูกลืม ➡️ คาดว่ามี Bitcoin ระหว่าง 2.3 ถึง 7.8 ล้าน BTC ที่อยู่ในกระเป๋าเงินนิ่ง ➡️ มูลค่ารวมของ Bitcoin ที่อาจถูกปลดล็อกสูงถึง $879 พันล้าน ✅ กระเป๋าเงินนิ่ง (Dormant Wallets) ➡️ เกิดจากการลืมรหัส, การเสียชีวิต, หรือการเก็บไว้โดยไม่มีการเคลื่อนไหว ➡️ ส่วนใหญ่ไม่สามารถอัปเกรดระบบเข้ารหัสได้ ➡️ อาจกลายเป็นเป้าหมายหลักของการเจาะระบบในอนาคต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ECC และ SHA-256 ยังปลอดภัยกว่า RSA แต่ก็เริ่มถูกตั้งคำถามจากนักวิจัยควอนตัม ➡️ Quantum-safe wallets กำลังถูกพัฒนา เช่น lattice-based cryptography ➡️ นักพัฒนา Bitcoin เริ่มเตรียมแผนรับมือ “Q-Day” หรือวันที่ควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถเจาะระบบได้จริง https://wccftech.com/quantum-computing-could-leave-a-shocking-879-billion-of-bitcoin-up-for-grabs-heres-how/
    WCCFTECH.COM
    Quantum Computing Could Leave A Shocking $879 Billion Of Bitcoin Up For Grabs - Here's How!
    A large proportion of Bitcoin's circulating supply is currently sitting in dormant wallets that are susceptible to quantum computing hacks.
    0 Comments 0 Shares 185 Views 0 Reviews
  • “10 พฤติกรรมที่ทำลายอาชีพผู้นำด้านความปลอดภัยไซเบอร์ โดยไม่รู้ตัว!”

    ลองจินตนาการว่าคุณเป็น CISO หรือหัวหน้าฝ่ายความปลอดภัยขององค์กรใหญ่ ทุกอย่างดูไปได้สวย…จนกระทั่งคุณเริ่มถูกมองว่าเป็น “ตัวขัดขวางธุรกิจ” หรือ “คนที่พูดแต่เรื่องเทคนิค” แล้วเส้นทางอาชีพที่เคยมั่นคงก็เริ่มสั่นคลอน

    บทความนี้จาก CSO Online ได้รวบรวม 10 พฤติกรรมที่อาจทำลายอาชีพของผู้นำด้านความปลอดภัยไซเบอร์ แม้จะไม่ได้ผิดกฎหมายหรือผิดจรรยาบรรณ แต่ก็สามารถทำให้คุณถูกมองข้าม ถูกลดบทบาท หรือแม้แต่ถูกปลดออกจากตำแหน่งได้ หากไม่รู้จักปรับตัว

    สิ่งที่น่าสนใจคือ หลายข้อไม่ใช่เรื่องเทคนิคเลย แต่เป็นเรื่องของ “ทัศนคติ” และ “วิธีคิด” เช่น การไม่เข้าใจธุรกิจ, การไม่ยืดหยุ่น, การไม่สื่อสาร หรือแม้แต่การไม่เข้าใจ AI ว่ามันเปลี่ยนภูมิทัศน์ภัยคุกคามไปอย่างไร

    1. ไม่เชื่อมโยงกลยุทธ์ความปลอดภัยกับเป้าหมายธุรกิจ
    ผู้นำที่ยังมองความปลอดภัยเป็น “ต้นทุน” จะถูกมองว่าไม่สนับสนุนการเติบโต
    ต้องเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้เฝ้าประตู” เป็น “ผู้สนับสนุนความก้าวหน้า”

    2. เป็นแค่คนเทคนิค ไม่ใช่ผู้นำธุรกิจ
    ขาดทักษะในการวัดผลกระทบด้านความปลอดภัยต่อรายได้
    ควรหาที่ปรึกษานอกสายงาน IT เพื่อพัฒนาทักษะธุรกิจ

    3. ไม่สามารถพูดคำว่า “ใช่” ได้
    ต้องเข้าใจระดับความเสี่ยงที่องค์กรยอมรับได้
    คำว่า “ใช่ แต่ขอให้ปลอดภัย” จะสร้างความร่วมมือมากกว่า “ไม่”

    4. ขีดเส้นแดงกับธุรกิจ
    การปฏิเสธแบบแข็งกร้าวจะทำให้ธุรกิจหาทางเลี่ยงคุณ
    ควรหาทางออกที่ปลอดภัยแทนการปิดประตูใส่กัน

    5. ยึดติดกับกฎเกินไป
    การยืดหยุ่นในบางกรณี เช่น การอนุญาตแอปชั่วคราว พร้อมควบคุมความเสี่ยง
    แสดงให้เห็นว่าทีมความปลอดภัยเป็น “พันธมิตร” ไม่ใช่ “อุปสรรค”

    6. เข้าใจ AI ผิด
    AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็น “ภูมิประเทศใหม่” ที่เปลี่ยนรูปแบบภัยคุกคาม
    ผู้นำที่ยังใช้ตรรกะเก่า จะตอบสนองต่อภัยที่ไม่มีอยู่จริง

    7. มองไม่เห็นระบบที่ต้องปกป้อง
    ต้องเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างระบบต่างๆ ทั้งเทคนิค เศรษฐกิจ วัฒนธรรม
    การขาด “การรับรู้แบบสังเคราะห์” จะทำให้การควบคุมล้มเหลว

    8. ทำงานคนเดียว ไม่สร้างเครือข่าย
    การสร้างความสัมพันธ์ในองค์กรคือกุญแจสู่ความสำเร็จ
    ควรเปิดใจ เรียนรู้จากผู้อื่น และแสดงความสนใจในงานของคนอื่น

    9. ไม่ให้เวลาและความสนใจ
    การปฏิเสธคำถามหรือข้อกังวลเล็กๆ อาจทำให้คนไม่กล้ารายงานปัญหาอีก
    การรับฟังอย่างจริงใจอาจเปิดเผยช่องโหว่สำคัญที่ซ่อนอยู่

    10. รับมือเหตุการณ์ละเมิดข้อมูลผิดพลาด
    การมีแผนรับมือที่ซ้อมมาแล้วจะช่วยลดผลกระทบ
    การสื่อสารอย่างชัดเจนและควบคุมสถานการณ์คือสิ่งที่องค์กรต้องการ

    https://www.csoonline.com/article/4051656/10-security-leadership-career-killers-and-how-to-avoid-them.html
    🧨 “10 พฤติกรรมที่ทำลายอาชีพผู้นำด้านความปลอดภัยไซเบอร์ โดยไม่รู้ตัว!” ลองจินตนาการว่าคุณเป็น CISO หรือหัวหน้าฝ่ายความปลอดภัยขององค์กรใหญ่ ทุกอย่างดูไปได้สวย…จนกระทั่งคุณเริ่มถูกมองว่าเป็น “ตัวขัดขวางธุรกิจ” หรือ “คนที่พูดแต่เรื่องเทคนิค” แล้วเส้นทางอาชีพที่เคยมั่นคงก็เริ่มสั่นคลอน บทความนี้จาก CSO Online ได้รวบรวม 10 พฤติกรรมที่อาจทำลายอาชีพของผู้นำด้านความปลอดภัยไซเบอร์ แม้จะไม่ได้ผิดกฎหมายหรือผิดจรรยาบรรณ แต่ก็สามารถทำให้คุณถูกมองข้าม ถูกลดบทบาท หรือแม้แต่ถูกปลดออกจากตำแหน่งได้ หากไม่รู้จักปรับตัว สิ่งที่น่าสนใจคือ หลายข้อไม่ใช่เรื่องเทคนิคเลย แต่เป็นเรื่องของ “ทัศนคติ” และ “วิธีคิด” เช่น การไม่เข้าใจธุรกิจ, การไม่ยืดหยุ่น, การไม่สื่อสาร หรือแม้แต่การไม่เข้าใจ AI ว่ามันเปลี่ยนภูมิทัศน์ภัยคุกคามไปอย่างไร ✅ 1. ไม่เชื่อมโยงกลยุทธ์ความปลอดภัยกับเป้าหมายธุรกิจ ➡️ ผู้นำที่ยังมองความปลอดภัยเป็น “ต้นทุน” จะถูกมองว่าไม่สนับสนุนการเติบโต ➡️ ต้องเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้เฝ้าประตู” เป็น “ผู้สนับสนุนความก้าวหน้า” ✅ 2. เป็นแค่คนเทคนิค ไม่ใช่ผู้นำธุรกิจ ➡️ ขาดทักษะในการวัดผลกระทบด้านความปลอดภัยต่อรายได้ ➡️ ควรหาที่ปรึกษานอกสายงาน IT เพื่อพัฒนาทักษะธุรกิจ ✅ 3. ไม่สามารถพูดคำว่า “ใช่” ได้ ➡️ ต้องเข้าใจระดับความเสี่ยงที่องค์กรยอมรับได้ ➡️ คำว่า “ใช่ แต่ขอให้ปลอดภัย” จะสร้างความร่วมมือมากกว่า “ไม่” ✅ 4. ขีดเส้นแดงกับธุรกิจ ➡️ การปฏิเสธแบบแข็งกร้าวจะทำให้ธุรกิจหาทางเลี่ยงคุณ ➡️ ควรหาทางออกที่ปลอดภัยแทนการปิดประตูใส่กัน ✅ 5. ยึดติดกับกฎเกินไป ➡️ การยืดหยุ่นในบางกรณี เช่น การอนุญาตแอปชั่วคราว พร้อมควบคุมความเสี่ยง ➡️ แสดงให้เห็นว่าทีมความปลอดภัยเป็น “พันธมิตร” ไม่ใช่ “อุปสรรค” ✅ 6. เข้าใจ AI ผิด ➡️ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็น “ภูมิประเทศใหม่” ที่เปลี่ยนรูปแบบภัยคุกคาม ➡️ ผู้นำที่ยังใช้ตรรกะเก่า จะตอบสนองต่อภัยที่ไม่มีอยู่จริง ✅ 7. มองไม่เห็นระบบที่ต้องปกป้อง ➡️ ต้องเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างระบบต่างๆ ทั้งเทคนิค เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ➡️ การขาด “การรับรู้แบบสังเคราะห์” จะทำให้การควบคุมล้มเหลว ✅ 8. ทำงานคนเดียว ไม่สร้างเครือข่าย ➡️ การสร้างความสัมพันธ์ในองค์กรคือกุญแจสู่ความสำเร็จ ➡️ ควรเปิดใจ เรียนรู้จากผู้อื่น และแสดงความสนใจในงานของคนอื่น ✅ 9. ไม่ให้เวลาและความสนใจ ➡️ การปฏิเสธคำถามหรือข้อกังวลเล็กๆ อาจทำให้คนไม่กล้ารายงานปัญหาอีก ➡️ การรับฟังอย่างจริงใจอาจเปิดเผยช่องโหว่สำคัญที่ซ่อนอยู่ ✅ 10. รับมือเหตุการณ์ละเมิดข้อมูลผิดพลาด ➡️ การมีแผนรับมือที่ซ้อมมาแล้วจะช่วยลดผลกระทบ ➡️ การสื่อสารอย่างชัดเจนและควบคุมสถานการณ์คือสิ่งที่องค์กรต้องการ https://www.csoonline.com/article/4051656/10-security-leadership-career-killers-and-how-to-avoid-them.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    10 security leadership career-killers — and how to avoid them
    From failing to align security strategy to business priorities, to fumbling a breach, CISOs and aspiring security leaders can hamper their professional ambitions through a range of preventable missteps.
    0 Comments 0 Shares 170 Views 0 Reviews
  • “USB ไม่พอ? เพิ่มพอร์ตให้ PS5 ง่ายๆ ด้วยฮับที่เหมาะกับการเล่นเกมยุคใหม่!”

    ลองนึกภาพว่าคุณกำลังจะเริ่มเล่นเกมบน PS5 ที่คุณรัก แต่พบว่า...พอร์ต USB ทั้ง 4 ช่องถูกใช้หมดแล้ว — ชาร์จจอย, ต่อกล้อง, เสียบหูฟังไร้สาย และเชื่อมต่อ PS VR2 แล้วจะเสียบฮาร์ดดิสก์เสริมตรงไหน?

    นั่นคือปัญหาที่ผู้ใช้ PS5 หลายคนเจอ และข่าวนี้มีคำตอบ: ใช้ “USB Hub” เพื่อเพิ่มจำนวนพอร์ตให้กับเครื่องของคุณ โดยไม่ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์หรือเสียบสลับอุปกรณ์ไปมาให้ยุ่งยาก

    PS5 มีพอร์ต USB ทั้งหมด 4 ช่อง (2 ด้านหน้า, 2 ด้านหลัง) ซึ่งรองรับความเร็วสูงสุดถึง 10Gbps แต่เมื่อใช้งานพร้อมกันหลายอุปกรณ์ เช่น ฮาร์ดดิสก์ภายนอก, จอยหลายตัว, กล้อง หรือ VR — พื้นที่ก็ไม่พอ

    ทางออกคือการเลือก USB Hub ที่เหมาะกับการใช้งานของคุณ เช่น:
    - ถ้าใช้กับอุปกรณ์เบาๆ อย่างคีย์บอร์ดหรือหูฟังไร้สาย: ฮับธรรมดา USB 2.0 ก็เพียงพอ
    - ถ้าใช้กับอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานสูง เช่น ฮาร์ดดิสก์หรือ PS VR2: ต้องใช้ฮับแบบมีไฟเลี้ยง (Powered USB Hub)
    - ถ้าอยากให้ฮับกลมกลืนกับดีไซน์เครื่อง: มีฮับที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับ PS5 เช่น Megadream หรือ IQIKU

    นอกจากนี้ยังมีฮับที่รองรับ USB 3.0 หรือ 3.2 ซึ่งให้ความเร็วในการส่งข้อมูลสูงขึ้น เหมาะกับการเล่นเกมหรือโหลดไฟล์ขนาดใหญ่

    พอร์ต USB บน PS5
    มีทั้งหมด 4 ช่อง: ด้านหน้า 2 (Type-C และ Type-A), ด้านหลัง 2 (Type-A)
    รองรับความเร็ว Hi-Speed และ SuperSpeed (สูงสุด 10Gbps)
    ใช้สำหรับชาร์จจอย, ต่อกล้อง, หูฟัง, PS VR2 และฮาร์ดดิสก์ภายนอก

    การเพิ่มพอร์ตด้วย USB Hub
    USB Hub คืออุปกรณ์ที่แปลง 1 พอร์ตให้กลายเป็นหลายพอร์ต
    ช่วยให้เชื่อมต่ออุปกรณ์หลายตัวพร้อมกันได้
    ไม่จำเป็นต้องใช้ฮับที่ออกแบบเฉพาะสำหรับ PS5 — ฮับทั่วไปก็ใช้ได้
    ตัวอย่างฮับยอดนิยม:   
    - Ugreen USB 3.0 Hub (4.7 ดาว, $9.99)   
    - Megadream 6-Port Hub (USB 2.0, $16.99)   
    - PowerA 4-Port Powered Hub (USB 3.0, $29.99)
    ฮับแบบมีไฟเลี้ยงเหมาะกับอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานสูง เช่น ฮาร์ดดิสก์

    ข้อมูลเพิ่มเติมจากภายนอก
    Anker Ultra Slim 4-Port USB 3.0 Hub เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับ PS5
    IQIKU PS5 USB Hub รองรับการชาร์จและเชื่อมต่ออุปกรณ์เบาๆ
    StarTech และ UGREEN มีฮับที่รองรับ USB-C ความเร็วสูงถึง 10Gbps
    ฮับบางรุ่นออกแบบให้เข้ากับดีไซน์ PS5 โดยเฉพาะ

    คำเตือนในการเลือกใช้งาน USB Hub
    ฮับ USB 2.0 ไม่สามารถใช้กับฮาร์ดดิสก์หรือ PS VR2 ได้
    ฮับแบบไม่มีไฟเลี้ยงอาจไม่รองรับอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานสูง
    การใช้ฮับที่ไม่รองรับความเร็วสูง อาจทำให้การโหลดเกมหรือส่งข้อมูลช้าลง
    ฮับบางรุ่นอาจมีดีไซน์ไม่เข้ากับเครื่อง PS5 และเกะกะพื้นที่ใช้งาน

    https://www.slashgear.com/1959486/how-to-add-more-usb-ports-to-ps5/
    🎮 “USB ไม่พอ? เพิ่มพอร์ตให้ PS5 ง่ายๆ ด้วยฮับที่เหมาะกับการเล่นเกมยุคใหม่!” ลองนึกภาพว่าคุณกำลังจะเริ่มเล่นเกมบน PS5 ที่คุณรัก แต่พบว่า...พอร์ต USB ทั้ง 4 ช่องถูกใช้หมดแล้ว — ชาร์จจอย, ต่อกล้อง, เสียบหูฟังไร้สาย และเชื่อมต่อ PS VR2 แล้วจะเสียบฮาร์ดดิสก์เสริมตรงไหน? นั่นคือปัญหาที่ผู้ใช้ PS5 หลายคนเจอ และข่าวนี้มีคำตอบ: ใช้ “USB Hub” เพื่อเพิ่มจำนวนพอร์ตให้กับเครื่องของคุณ โดยไม่ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์หรือเสียบสลับอุปกรณ์ไปมาให้ยุ่งยาก PS5 มีพอร์ต USB ทั้งหมด 4 ช่อง (2 ด้านหน้า, 2 ด้านหลัง) ซึ่งรองรับความเร็วสูงสุดถึง 10Gbps แต่เมื่อใช้งานพร้อมกันหลายอุปกรณ์ เช่น ฮาร์ดดิสก์ภายนอก, จอยหลายตัว, กล้อง หรือ VR — พื้นที่ก็ไม่พอ ทางออกคือการเลือก USB Hub ที่เหมาะกับการใช้งานของคุณ เช่น: - ถ้าใช้กับอุปกรณ์เบาๆ อย่างคีย์บอร์ดหรือหูฟังไร้สาย: ฮับธรรมดา USB 2.0 ก็เพียงพอ - ถ้าใช้กับอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานสูง เช่น ฮาร์ดดิสก์หรือ PS VR2: ต้องใช้ฮับแบบมีไฟเลี้ยง (Powered USB Hub) - ถ้าอยากให้ฮับกลมกลืนกับดีไซน์เครื่อง: มีฮับที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับ PS5 เช่น Megadream หรือ IQIKU นอกจากนี้ยังมีฮับที่รองรับ USB 3.0 หรือ 3.2 ซึ่งให้ความเร็วในการส่งข้อมูลสูงขึ้น เหมาะกับการเล่นเกมหรือโหลดไฟล์ขนาดใหญ่ ✅ พอร์ต USB บน PS5 ➡️ มีทั้งหมด 4 ช่อง: ด้านหน้า 2 (Type-C และ Type-A), ด้านหลัง 2 (Type-A) ➡️ รองรับความเร็ว Hi-Speed และ SuperSpeed (สูงสุด 10Gbps) ➡️ ใช้สำหรับชาร์จจอย, ต่อกล้อง, หูฟัง, PS VR2 และฮาร์ดดิสก์ภายนอก ✅ การเพิ่มพอร์ตด้วย USB Hub ➡️ USB Hub คืออุปกรณ์ที่แปลง 1 พอร์ตให้กลายเป็นหลายพอร์ต ➡️ ช่วยให้เชื่อมต่ออุปกรณ์หลายตัวพร้อมกันได้ ➡️ ไม่จำเป็นต้องใช้ฮับที่ออกแบบเฉพาะสำหรับ PS5 — ฮับทั่วไปก็ใช้ได้ ➡️ ตัวอย่างฮับยอดนิยม:    - Ugreen USB 3.0 Hub (4.7 ดาว, $9.99)    - Megadream 6-Port Hub (USB 2.0, $16.99)    - PowerA 4-Port Powered Hub (USB 3.0, $29.99) ➡️ ฮับแบบมีไฟเลี้ยงเหมาะกับอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานสูง เช่น ฮาร์ดดิสก์ ✅ ข้อมูลเพิ่มเติมจากภายนอก ➡️ Anker Ultra Slim 4-Port USB 3.0 Hub เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับ PS5 ➡️ IQIKU PS5 USB Hub รองรับการชาร์จและเชื่อมต่ออุปกรณ์เบาๆ ➡️ StarTech และ UGREEN มีฮับที่รองรับ USB-C ความเร็วสูงถึง 10Gbps ➡️ ฮับบางรุ่นออกแบบให้เข้ากับดีไซน์ PS5 โดยเฉพาะ ‼️ คำเตือนในการเลือกใช้งาน USB Hub ⛔ ฮับ USB 2.0 ไม่สามารถใช้กับฮาร์ดดิสก์หรือ PS VR2 ได้ ⛔ ฮับแบบไม่มีไฟเลี้ยงอาจไม่รองรับอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานสูง ⛔ การใช้ฮับที่ไม่รองรับความเร็วสูง อาจทำให้การโหลดเกมหรือส่งข้อมูลช้าลง ⛔ ฮับบางรุ่นอาจมีดีไซน์ไม่เข้ากับเครื่อง PS5 และเกะกะพื้นที่ใช้งาน https://www.slashgear.com/1959486/how-to-add-more-usb-ports-to-ps5/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    How To Add More USB Ports To Your PS5 - SlashGear
    You can add more USB ports to your PS5 using a USB hub. Choose between basic splitters for low-power devices or powered hubs for external drives.
    0 Comments 0 Shares 95 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก rootkit ถึง OCR: เมื่อการขโมยรหัสผ่านกลายเป็นการปลอมตัวระดับรัฐ

    การรั่วไหลของข้อมูลที่เรียกว่า “Kim dump” เปิดเผยการทำงานภายในของกลุ่ม Kimsuky ซึ่งเป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลเกาหลีเหนือ โดยมีเป้าหมายหลักคือการขโมยข้อมูลรับรอง (credentials) จากระบบของรัฐบาลเกาหลีใต้และไต้หวัน

    ในข้อมูลที่รั่วออกมา มีทั้งประวัติการใช้คำสั่งในเทอร์มินัล, rootkit สำหรับ Linux, โดเมนฟิชชิ่งที่เลียนแบบเว็บไซต์ราชการ, และไฟล์ .key ที่ใช้ในระบบ GPKI (Government Public Key Infrastructure) ของเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นระบบที่ใช้ยืนยันตัวตนของเจ้าหน้าที่รัฐ

    แฮกเกอร์ใช้ OCR (Optical Character Recognition) เพื่อแปลงเอกสาร PDF ภาษาเกาหลีที่เกี่ยวข้องกับระบบ PKI และ VPN ให้กลายเป็นข้อมูลที่นำไปใช้สร้างเครื่องมือปลอมตัวได้ เช่น การปลอมลายเซ็นดิจิทัล หรือการสร้างระบบยืนยันตัวตนปลอม

    นอกจากนี้ยังพบการใช้ rootkit ที่สามารถซ่อนตัวในระดับ kernel ของ Linux โดยใช้เทคนิค syscall hooking และการสร้าง reverse shell ที่มีการเข้ารหัส ซึ่งทำให้สามารถควบคุมเครื่องเป้าหมายได้โดยไม่ถูกตรวจจับ

    ในฝั่งไต้หวัน แฮกเกอร์พยายามเข้าถึงระบบของสถาบันวิจัยและผู้ให้บริการคลาวด์ โดยเจาะเข้าไปในโฟลเดอร์ .git เพื่อค้นหาคีย์ API และข้อมูลการ deploy ที่อาจหลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจ

    สิ่งที่น่าจับตามองคือการใช้โครงสร้างพื้นฐานของจีน เช่น Gitee, Baidu และ Zhihu รวมถึงการตั้งค่าเครื่องในเขตเวลา UTC+9 (เวลาเปียงยาง) ซึ่งบ่งชี้ว่าแฮกเกอร์อาจเป็นคนเกาหลีเหนือที่ทำงานจากในจีน หรือได้รับการสนับสนุนจากโครงสร้างพื้นฐานของจีน

    เป้าหมายหลักของ Kimsuky
    ขโมย credentials และไฟล์ .key จากระบบ GPKI ของเกาหลีใต้
    ใช้ OCR เพื่อวิเคราะห์เอกสารเทคนิคของระบบ PKI และ VPN
    เจาะระบบของไต้หวันผ่านโฟลเดอร์ .git และระบบคลาวด์

    เครื่องมือและเทคนิคที่ใช้
    ใช้ NASM ในการเขียน shellcode สำหรับ Windows
    ใช้ rootkit แบบ vmmisc.ko ที่ซ่อนตัวในระดับ kernel
    ใช้ phishing domain เช่น nid-security[.]com และ spoofed portals เช่น spo.go.kr

    โครงสร้างพื้นฐานและพฤติกรรม
    ใช้เครื่องมือจาก GitHub และ Gitee เช่น TitanLdr, Blacklotus
    ตั้งค่าเครื่องในเขตเวลา UTC+9 และใช้ภาษาเกาหลีในคำสั่ง
    ใช้ภาพและเนื้อหาจากแพลตฟอร์มจีนเพื่อกลมกลืนกับผู้ใช้ใน PRC

    การเจาะระบบของไต้หวัน
    เข้าถึงโดเมนเช่น caa.org[.]tw/.git และ tw.systexcloud[.]com
    ใช้ IP ที่เชื่อมโยงกับสถาบันวิจัยและรัฐบาล เช่น 163.29.3[.]119
    พฤติกรรมบ่งชี้การเตรียมการเจาะระบบ supply chain

    https://dti.domaintools.com/inside-the-kimsuky-leak-how-the-kim-dump-exposed-north-koreas-credential-theft-playbook/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก rootkit ถึง OCR: เมื่อการขโมยรหัสผ่านกลายเป็นการปลอมตัวระดับรัฐ การรั่วไหลของข้อมูลที่เรียกว่า “Kim dump” เปิดเผยการทำงานภายในของกลุ่ม Kimsuky ซึ่งเป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลเกาหลีเหนือ โดยมีเป้าหมายหลักคือการขโมยข้อมูลรับรอง (credentials) จากระบบของรัฐบาลเกาหลีใต้และไต้หวัน ในข้อมูลที่รั่วออกมา มีทั้งประวัติการใช้คำสั่งในเทอร์มินัล, rootkit สำหรับ Linux, โดเมนฟิชชิ่งที่เลียนแบบเว็บไซต์ราชการ, และไฟล์ .key ที่ใช้ในระบบ GPKI (Government Public Key Infrastructure) ของเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นระบบที่ใช้ยืนยันตัวตนของเจ้าหน้าที่รัฐ แฮกเกอร์ใช้ OCR (Optical Character Recognition) เพื่อแปลงเอกสาร PDF ภาษาเกาหลีที่เกี่ยวข้องกับระบบ PKI และ VPN ให้กลายเป็นข้อมูลที่นำไปใช้สร้างเครื่องมือปลอมตัวได้ เช่น การปลอมลายเซ็นดิจิทัล หรือการสร้างระบบยืนยันตัวตนปลอม นอกจากนี้ยังพบการใช้ rootkit ที่สามารถซ่อนตัวในระดับ kernel ของ Linux โดยใช้เทคนิค syscall hooking และการสร้าง reverse shell ที่มีการเข้ารหัส ซึ่งทำให้สามารถควบคุมเครื่องเป้าหมายได้โดยไม่ถูกตรวจจับ ในฝั่งไต้หวัน แฮกเกอร์พยายามเข้าถึงระบบของสถาบันวิจัยและผู้ให้บริการคลาวด์ โดยเจาะเข้าไปในโฟลเดอร์ .git เพื่อค้นหาคีย์ API และข้อมูลการ deploy ที่อาจหลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจ สิ่งที่น่าจับตามองคือการใช้โครงสร้างพื้นฐานของจีน เช่น Gitee, Baidu และ Zhihu รวมถึงการตั้งค่าเครื่องในเขตเวลา UTC+9 (เวลาเปียงยาง) ซึ่งบ่งชี้ว่าแฮกเกอร์อาจเป็นคนเกาหลีเหนือที่ทำงานจากในจีน หรือได้รับการสนับสนุนจากโครงสร้างพื้นฐานของจีน ✅ เป้าหมายหลักของ Kimsuky ➡️ ขโมย credentials และไฟล์ .key จากระบบ GPKI ของเกาหลีใต้ ➡️ ใช้ OCR เพื่อวิเคราะห์เอกสารเทคนิคของระบบ PKI และ VPN ➡️ เจาะระบบของไต้หวันผ่านโฟลเดอร์ .git และระบบคลาวด์ ✅ เครื่องมือและเทคนิคที่ใช้ ➡️ ใช้ NASM ในการเขียน shellcode สำหรับ Windows ➡️ ใช้ rootkit แบบ vmmisc.ko ที่ซ่อนตัวในระดับ kernel ➡️ ใช้ phishing domain เช่น nid-security[.]com และ spoofed portals เช่น spo.go.kr ✅ โครงสร้างพื้นฐานและพฤติกรรม ➡️ ใช้เครื่องมือจาก GitHub และ Gitee เช่น TitanLdr, Blacklotus ➡️ ตั้งค่าเครื่องในเขตเวลา UTC+9 และใช้ภาษาเกาหลีในคำสั่ง ➡️ ใช้ภาพและเนื้อหาจากแพลตฟอร์มจีนเพื่อกลมกลืนกับผู้ใช้ใน PRC ✅ การเจาะระบบของไต้หวัน ➡️ เข้าถึงโดเมนเช่น caa.org[.]tw/.git และ tw.systexcloud[.]com ➡️ ใช้ IP ที่เชื่อมโยงกับสถาบันวิจัยและรัฐบาล เช่น 163.29.3[.]119 ➡️ พฤติกรรมบ่งชี้การเตรียมการเจาะระบบ supply chain https://dti.domaintools.com/inside-the-kimsuky-leak-how-the-kim-dump-exposed-north-koreas-credential-theft-playbook/
    DTI.DOMAINTOOLS.COM
    Inside the Kimsuky Leak: How the “Kim” Dump Exposed North Korea’s Credential Theft Playbook - DomainTools Investigations | DTI
    A rare and revealing breach attributed to a North Korean-affiliated actor, known only as “Kim” as named by the hackers who dumped the data, has delivered a new insight into Kimsuky (APT43) tactics, techniques, and infrastructure. This actor's operational profile showcases credential-focused intrusions targeting South Korean and Taiwanese networks, with a blending of Chinese-language tooling, infrastructure, and possible logistical support. The “Kim” dump, which includes bash histories, phishing domains, OCR workflows, compiled stagers, and rootkit evidence, reflects a hybrid operation situated between DPRK attribution and Chinese resource utilization.
    0 Comments 0 Shares 195 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากหน้าจอเล็กถึงเครือข่ายใหญ่: เมื่ออุปกรณ์สมาร์ทในบ้านกลายเป็นผู้ใช้ข้อมูลเงียบ ๆ ที่ไม่มีใครคาดคิด

    Dave Plummer อดีตวิศวกรของ Microsoft ผู้พัฒนา Task Manager และพอร์ตเกม Space Cadet Pinball ได้โพสต์บน X ว่าอุปกรณ์ Amazon Echo Show สองเครื่องในบ้านของเขา ซึ่งเขา “แทบไม่ได้ใช้งานเลย” กลับใช้ข้อมูลอินเทอร์เน็ตมากกว่า 4GB ภายในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง

    Echo Show เป็นสมาร์ทดีไวซ์ที่มีหน้าจอสัมผัส ใช้แสดงข่าว ภาพถ่าย การแจ้งเตือน และข้อมูลจากคลาวด์ แม้จะไม่ได้สั่งงานด้วยเสียง แต่ก็ยังเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลาเพื่ออัปเดตเนื้อหาและติดตั้งเฟิร์มแวร์ใหม่

    Plummer ไม่เชื่อว่าอุปกรณ์กำลัง “แอบฟัง” เขา แต่คาดว่าอาจเกิดจาก (a) bug, (b) การอัปเดตขนาดใหญ่, หรือ (c) การดาวน์โหลดวิดีโอหรือภาพจากคลาวด์ เช่น เทรลเลอร์ภาพยนตร์หรือภาพถ่ายที่ซิงก์ไว้

    ผู้ใช้คนอื่นใน Reddit และ Amazon Forum ก็รายงานพฤติกรรมคล้ายกัน โดยบางคนพบว่า Echo Spot ใช้ข้อมูลมากกว่า 100GB ต่อเดือน แม้จะไม่ได้ใช้งานฟีเจอร์สตรีมมิ่งเลย3

    มีการตั้งข้อสงสัยว่า Amazon Sidewalk ซึ่งเป็นระบบ mesh network ที่ให้ Echo เชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นในบริเวณใกล้เคียง อาจเป็นสาเหตุของการใช้ข้อมูลเกินปกติ แม้ Amazon จะระบุว่า Sidewalk ใช้ข้อมูลไม่เกิน 500MB ต่อเดือนต่อบัญชี แต่ผู้ใช้หลายคนแนะนำให้ปิดฟีเจอร์นี้เพื่อความปลอดภัย

    พฤติกรรมการใช้ข้อมูลของ Echo Show
    ใช้ข้อมูลมากกว่า 4GB ภายใน 24 ชั่วโมง แม้ไม่ได้ใช้งาน
    อาจเกิดจากการอัปเดตเฟิร์มแวร์, bug, หรือการดาวน์โหลด cached content
    แสดงภาพข่าว, ภาพถ่าย, และข้อมูลจากคลาวด์อย่างต่อเนื่อง

    ความเห็นจากผู้ใช้และนักพัฒนา
    Dave Plummer ไม่เชื่อว่า Echo กำลังแอบฟัง แต่สงสัยว่าเป็น bug หรือการอัปเดต
    ผู้ใช้ใน Reddit รายงานว่า Echo Spot ใช้ข้อมูลมากกว่า 100GB ต่อเดือน
    บางคนพบว่า Echo ใช้ข้อมูลแม้จะไม่ได้สั่งงานด้วยเสียงเลย

    ปัจจัยที่อาจเป็นสาเหตุ
    Amazon Sidewalk อาจทำให้อุปกรณ์เชื่อมต่อกันและใช้ข้อมูลมากขึ้น
    การอัปเดตเฟิร์มแวร์อัตโนมัติอาจเกิด loop หรือใช้ข้อมูลมากกว่าปกติ
    การดาวน์โหลดภาพหรือวิดีโอจากคลาวด์อาจไม่ถูกควบคุม

    แนวทางการตรวจสอบและป้องกัน
    ตรวจสอบการใช้ข้อมูลผ่าน router หรือแอป Alexa
    ปิด Amazon Sidewalk และ Flash Briefing เพื่อจำกัดการเชื่อมต่อ
    หากไม่มั่นใจ ให้ถอดปลั๊กเพื่อหยุดการเชื่อมต่อทั้งหมด

    https://www.tomshardware.com/speakers/amazon-echo-uses-gigabytes-of-data-despite-not-being-used-its-owner-doesnt-think-hes-being-spied-on
    🎙️ เรื่องเล่าจากหน้าจอเล็กถึงเครือข่ายใหญ่: เมื่ออุปกรณ์สมาร์ทในบ้านกลายเป็นผู้ใช้ข้อมูลเงียบ ๆ ที่ไม่มีใครคาดคิด Dave Plummer อดีตวิศวกรของ Microsoft ผู้พัฒนา Task Manager และพอร์ตเกม Space Cadet Pinball ได้โพสต์บน X ว่าอุปกรณ์ Amazon Echo Show สองเครื่องในบ้านของเขา ซึ่งเขา “แทบไม่ได้ใช้งานเลย” กลับใช้ข้อมูลอินเทอร์เน็ตมากกว่า 4GB ภายในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง Echo Show เป็นสมาร์ทดีไวซ์ที่มีหน้าจอสัมผัส ใช้แสดงข่าว ภาพถ่าย การแจ้งเตือน และข้อมูลจากคลาวด์ แม้จะไม่ได้สั่งงานด้วยเสียง แต่ก็ยังเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลาเพื่ออัปเดตเนื้อหาและติดตั้งเฟิร์มแวร์ใหม่ Plummer ไม่เชื่อว่าอุปกรณ์กำลัง “แอบฟัง” เขา แต่คาดว่าอาจเกิดจาก (a) bug, (b) การอัปเดตขนาดใหญ่, หรือ (c) การดาวน์โหลดวิดีโอหรือภาพจากคลาวด์ เช่น เทรลเลอร์ภาพยนตร์หรือภาพถ่ายที่ซิงก์ไว้ ผู้ใช้คนอื่นใน Reddit และ Amazon Forum ก็รายงานพฤติกรรมคล้ายกัน โดยบางคนพบว่า Echo Spot ใช้ข้อมูลมากกว่า 100GB ต่อเดือน แม้จะไม่ได้ใช้งานฟีเจอร์สตรีมมิ่งเลย3 มีการตั้งข้อสงสัยว่า Amazon Sidewalk ซึ่งเป็นระบบ mesh network ที่ให้ Echo เชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นในบริเวณใกล้เคียง อาจเป็นสาเหตุของการใช้ข้อมูลเกินปกติ แม้ Amazon จะระบุว่า Sidewalk ใช้ข้อมูลไม่เกิน 500MB ต่อเดือนต่อบัญชี แต่ผู้ใช้หลายคนแนะนำให้ปิดฟีเจอร์นี้เพื่อความปลอดภัย ✅ พฤติกรรมการใช้ข้อมูลของ Echo Show ➡️ ใช้ข้อมูลมากกว่า 4GB ภายใน 24 ชั่วโมง แม้ไม่ได้ใช้งาน ➡️ อาจเกิดจากการอัปเดตเฟิร์มแวร์, bug, หรือการดาวน์โหลด cached content ➡️ แสดงภาพข่าว, ภาพถ่าย, และข้อมูลจากคลาวด์อย่างต่อเนื่อง ✅ ความเห็นจากผู้ใช้และนักพัฒนา ➡️ Dave Plummer ไม่เชื่อว่า Echo กำลังแอบฟัง แต่สงสัยว่าเป็น bug หรือการอัปเดต ➡️ ผู้ใช้ใน Reddit รายงานว่า Echo Spot ใช้ข้อมูลมากกว่า 100GB ต่อเดือน ➡️ บางคนพบว่า Echo ใช้ข้อมูลแม้จะไม่ได้สั่งงานด้วยเสียงเลย ✅ ปัจจัยที่อาจเป็นสาเหตุ ➡️ Amazon Sidewalk อาจทำให้อุปกรณ์เชื่อมต่อกันและใช้ข้อมูลมากขึ้น ➡️ การอัปเดตเฟิร์มแวร์อัตโนมัติอาจเกิด loop หรือใช้ข้อมูลมากกว่าปกติ ➡️ การดาวน์โหลดภาพหรือวิดีโอจากคลาวด์อาจไม่ถูกควบคุม ✅ แนวทางการตรวจสอบและป้องกัน ➡️ ตรวจสอบการใช้ข้อมูลผ่าน router หรือแอป Alexa ➡️ ปิด Amazon Sidewalk และ Flash Briefing เพื่อจำกัดการเชื่อมต่อ ➡️ หากไม่มั่นใจ ให้ถอดปลั๊กเพื่อหยุดการเชื่อมต่อทั้งหมด https://www.tomshardware.com/speakers/amazon-echo-uses-gigabytes-of-data-despite-not-being-used-its-owner-doesnt-think-hes-being-spied-on
    0 Comments 0 Shares 248 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก VLF ถึง OKM: เมื่อการตรวจจับโลหะกลายเป็นศาสตร์ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

    ถ้าคุณเคยดูรายการล่าสมบัติแล้วสงสัยว่า “เครื่องตรวจจับโลหะของฉันจะเจออะไรลึกแค่ไหน?” คำตอบคือ—ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยมากกว่าที่คิด

    เครื่องตรวจจับโลหะทั่วไปแบบ VLF (Very Low Frequency) สามารถตรวจจับเหรียญหรือเครื่องประดับที่ฝังอยู่ลึกประมาณ 10–16 นิ้วได้สบาย ๆ โดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่ต่ำในการส่งและรับสัญญาณจากวัตถุที่มีคุณสมบัติเป็นโลหะ

    แต่ถ้าเป้าหมายคือกล่องโลหะขนาดใหญ่หรือท่อใต้ดิน คุณต้องใช้เครื่องแบบ PI (Pulse Induction) ซึ่งสามารถทะลุผ่านดินที่มีแร่ธาตุสูงได้ และตรวจจับวัตถุขนาดใหญ่ที่ลึกหลายฟุต

    ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีเครื่องระดับมืออาชีพ เช่น Fisher Gemini 3 ที่ใช้ระบบ “two-box” แยก transmitter และ receiver เพื่อเพิ่มความลึกในการตรวจจับได้ถึง 20 ฟุต หรือ Garrett GTI 2500 ที่มี Depth Multiplier สำหรับค้นหาวัตถุขนาดใหญ่โดยไม่สนใจเศษโลหะเล็ก ๆ

    และถ้าคุณจริงจังกับการค้นหาสมบัติหรือโบราณวัตถุ OKM eXp 6000 จากเยอรมนีคือสุดยอดของวงการ—เป็นเครื่องสแกนพื้นแบบ 3D ที่สามารถตรวจจับวัตถุได้ลึกถึง 82 ฟุต และเคยถูกใช้ในรายการ The Curse of Oak Island

    ปัจจัยที่ส่งผลต่อความลึกของการตรวจจับ ได้แก่ ขนาดของขดลวด (coil), ความถี่ของคลื่น, วัสดุของวัตถุ (ทองแดงและเงินให้สัญญาณแรงกว่าทองคำ), ทิศทางของวัตถุในดิน (แนวราบตรวจจับง่ายกว่าแนวตั้ง), และสภาพของดิน (ดินที่มีแร่เหล็กหรือเกลือจะรบกวนสัญญาณ)

    https://www.slashgear.com/1956784/how-deep-can-a-metal-detector-detect-tutorial/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก VLF ถึง OKM: เมื่อการตรวจจับโลหะกลายเป็นศาสตร์ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ถ้าคุณเคยดูรายการล่าสมบัติแล้วสงสัยว่า “เครื่องตรวจจับโลหะของฉันจะเจออะไรลึกแค่ไหน?” คำตอบคือ—ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยมากกว่าที่คิด เครื่องตรวจจับโลหะทั่วไปแบบ VLF (Very Low Frequency) สามารถตรวจจับเหรียญหรือเครื่องประดับที่ฝังอยู่ลึกประมาณ 10–16 นิ้วได้สบาย ๆ โดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่ต่ำในการส่งและรับสัญญาณจากวัตถุที่มีคุณสมบัติเป็นโลหะ แต่ถ้าเป้าหมายคือกล่องโลหะขนาดใหญ่หรือท่อใต้ดิน คุณต้องใช้เครื่องแบบ PI (Pulse Induction) ซึ่งสามารถทะลุผ่านดินที่มีแร่ธาตุสูงได้ และตรวจจับวัตถุขนาดใหญ่ที่ลึกหลายฟุต ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีเครื่องระดับมืออาชีพ เช่น Fisher Gemini 3 ที่ใช้ระบบ “two-box” แยก transmitter และ receiver เพื่อเพิ่มความลึกในการตรวจจับได้ถึง 20 ฟุต หรือ Garrett GTI 2500 ที่มี Depth Multiplier สำหรับค้นหาวัตถุขนาดใหญ่โดยไม่สนใจเศษโลหะเล็ก ๆ และถ้าคุณจริงจังกับการค้นหาสมบัติหรือโบราณวัตถุ OKM eXp 6000 จากเยอรมนีคือสุดยอดของวงการ—เป็นเครื่องสแกนพื้นแบบ 3D ที่สามารถตรวจจับวัตถุได้ลึกถึง 82 ฟุต และเคยถูกใช้ในรายการ The Curse of Oak Island ปัจจัยที่ส่งผลต่อความลึกของการตรวจจับ ได้แก่ ขนาดของขดลวด (coil), ความถี่ของคลื่น, วัสดุของวัตถุ (ทองแดงและเงินให้สัญญาณแรงกว่าทองคำ), ทิศทางของวัตถุในดิน (แนวราบตรวจจับง่ายกว่าแนวตั้ง), และสภาพของดิน (ดินที่มีแร่เหล็กหรือเกลือจะรบกวนสัญญาณ) https://www.slashgear.com/1956784/how-deep-can-a-metal-detector-detect-tutorial/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    How Deep Can A Metal Detector Typically Detect? - SlashGear
    Most consumer metal detectors find coin-sized objects 8–16 inches deep, but pro models can find items several feet down. In some cases, as much as 80 feet.
    0 Comments 0 Shares 202 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากเบื้องหลังความไม่พอใจของ CISO: เมื่อคนที่ต้องรับผิดชอบมากที่สุด กลับไม่มีที่นั่งในห้องที่สำคัญที่สุด

    จากรายงานปี 2025 โดย IANS และ Artico Search พบว่าเกือบ 40% ของ CISO ในองค์กรขนาดกลางและเล็กไม่มีสิทธิ์เข้าถึงบอร์ดบริหารเลย และในกลุ่มนี้ ครึ่งหนึ่งรายงานว่ารู้สึกไม่พอใจในงานที่ทำอยู่

    CISO หลายคนถูกจ้างในระดับ “ผู้จัดการอาวุโส” หรือ “ผู้อำนวยการ” แต่ถูกเรียกว่า CISO โดยไม่มีอำนาจหรือขอบเขตงานที่แท้จริง พวกเขามักต้องรายงานต่อ CIO หรือ CTO ซึ่งมีเป้าหมายด้านเทคโนโลยี ไม่ใช่ความปลอดภัย—และเมื่อมีความเสี่ยงที่ไม่ถูกจัดการ ก็กลายเป็นว่า CISO ต้องรับผิดชอบโดยไม่มีโอกาสสื่อสารกับบอร์ดเลย

    George Gerchow จาก Bedrock Security เล่าว่าเขาเคยอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถพูดคุยกับหัวหน้าหรือบอร์ดได้โดยตรง จนทีมของเขาเริ่มลาออก และสุดท้ายเขาต้องออกจากตำแหน่งนั้นเอง เขาจึงระบุในสัญญางานใหม่ว่า “ต้องรายงานตรงต่อ CEO หรือบอร์ดเท่านั้น”

    แม้บางองค์กรจะให้ CISO เข้าถึงบอร์ดได้ แต่คำถามคือ “ใช้โอกาสนั้นได้ดีแค่ไหน” เพราะการพูดถึง CVE หรือ ransomware gang อาจทำให้บอร์ดเบื่อและมองว่า CISO ไม่เข้าใจธุรกิจ การสื่อสารที่ดีต้องเชื่อมโยงความเสี่ยงกับผลกระทบทางธุรกิจ เช่น รายได้ที่หายไป หรือความเชื่อมั่นของลูกค้าที่ลดลง

    Andy Land จาก CISO Executive Network แนะนำว่า CISO ต้องสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริหารระดับ C ก่อน เพื่อเข้าใจเป้าหมายของแต่ละฝ่าย และใช้สิ่งนั้นเป็นสะพานไปสู่การสื่อสารกับบอร์ดอย่างมีประสิทธิภาพ

    สถานการณ์การเข้าถึงบอร์ดของ CISO
    40% ของ CISO ในองค์กรขนาดกลางและเล็กไม่มีสิทธิ์เข้าถึงบอร์ด
    50% ของกลุ่มนี้รายงานว่ารู้สึกไม่พอใจในงาน
    CISO ที่มีสิทธิ์เข้าบอร์ดรายไตรมาส มีความพึงพอใจเพียง 8%

    ปัญหาโครงสร้างการรายงาน
    CISO มักรายงานต่อ CIO หรือ CTO ซึ่งมีเป้าหมายต่างกัน
    ความเสี่ยงที่ไม่ถูกจัดการอาจถูกกดไว้ ไม่ถูกนำเสนอถึงบอร์ด
    CISO กลายเป็นผู้รับผิดชอบเมื่อเกิดเหตุการณ์ แม้ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ

    ผลกระทบต่อความมั่นคงและความผูกพันในงาน
    CISO หลายคนลาออกหรือเปลี่ยนสายงานเพราะรู้สึกไม่มีอำนาจ
    อายุเฉลี่ยของตำแหน่ง CISO อยู่ที่ 18–26 เดือน
    การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กรอาจทำให้ช่องทางสื่อสารถูกตัดขาด

    แนวทางการสร้างความสัมพันธ์กับบอร์ด
    ต้องเริ่มจากการเข้าใจเป้าหมายของผู้บริหารระดับ C
    สื่อสารความเสี่ยงในรูปแบบที่เชื่อมโยงกับรายได้, pipeline, และ churn
    หลีกเลี่ยงการพูดเชิงเทคนิคที่ไม่เชื่อมโยงกับผลกระทบทางธุรกิจ

    https://www.csoonline.com/article/4049347/lack-of-board-access-the-no-1-ciso-dissatisfaction.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากเบื้องหลังความไม่พอใจของ CISO: เมื่อคนที่ต้องรับผิดชอบมากที่สุด กลับไม่มีที่นั่งในห้องที่สำคัญที่สุด จากรายงานปี 2025 โดย IANS และ Artico Search พบว่าเกือบ 40% ของ CISO ในองค์กรขนาดกลางและเล็กไม่มีสิทธิ์เข้าถึงบอร์ดบริหารเลย และในกลุ่มนี้ ครึ่งหนึ่งรายงานว่ารู้สึกไม่พอใจในงานที่ทำอยู่ CISO หลายคนถูกจ้างในระดับ “ผู้จัดการอาวุโส” หรือ “ผู้อำนวยการ” แต่ถูกเรียกว่า CISO โดยไม่มีอำนาจหรือขอบเขตงานที่แท้จริง พวกเขามักต้องรายงานต่อ CIO หรือ CTO ซึ่งมีเป้าหมายด้านเทคโนโลยี ไม่ใช่ความปลอดภัย—และเมื่อมีความเสี่ยงที่ไม่ถูกจัดการ ก็กลายเป็นว่า CISO ต้องรับผิดชอบโดยไม่มีโอกาสสื่อสารกับบอร์ดเลย George Gerchow จาก Bedrock Security เล่าว่าเขาเคยอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถพูดคุยกับหัวหน้าหรือบอร์ดได้โดยตรง จนทีมของเขาเริ่มลาออก และสุดท้ายเขาต้องออกจากตำแหน่งนั้นเอง เขาจึงระบุในสัญญางานใหม่ว่า “ต้องรายงานตรงต่อ CEO หรือบอร์ดเท่านั้น” แม้บางองค์กรจะให้ CISO เข้าถึงบอร์ดได้ แต่คำถามคือ “ใช้โอกาสนั้นได้ดีแค่ไหน” เพราะการพูดถึง CVE หรือ ransomware gang อาจทำให้บอร์ดเบื่อและมองว่า CISO ไม่เข้าใจธุรกิจ การสื่อสารที่ดีต้องเชื่อมโยงความเสี่ยงกับผลกระทบทางธุรกิจ เช่น รายได้ที่หายไป หรือความเชื่อมั่นของลูกค้าที่ลดลง Andy Land จาก CISO Executive Network แนะนำว่า CISO ต้องสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริหารระดับ C ก่อน เพื่อเข้าใจเป้าหมายของแต่ละฝ่าย และใช้สิ่งนั้นเป็นสะพานไปสู่การสื่อสารกับบอร์ดอย่างมีประสิทธิภาพ ✅ สถานการณ์การเข้าถึงบอร์ดของ CISO ➡️ 40% ของ CISO ในองค์กรขนาดกลางและเล็กไม่มีสิทธิ์เข้าถึงบอร์ด ➡️ 50% ของกลุ่มนี้รายงานว่ารู้สึกไม่พอใจในงาน ➡️ CISO ที่มีสิทธิ์เข้าบอร์ดรายไตรมาส มีความพึงพอใจเพียง 8% ✅ ปัญหาโครงสร้างการรายงาน ➡️ CISO มักรายงานต่อ CIO หรือ CTO ซึ่งมีเป้าหมายต่างกัน ➡️ ความเสี่ยงที่ไม่ถูกจัดการอาจถูกกดไว้ ไม่ถูกนำเสนอถึงบอร์ด ➡️ CISO กลายเป็นผู้รับผิดชอบเมื่อเกิดเหตุการณ์ แม้ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ ✅ ผลกระทบต่อความมั่นคงและความผูกพันในงาน ➡️ CISO หลายคนลาออกหรือเปลี่ยนสายงานเพราะรู้สึกไม่มีอำนาจ ➡️ อายุเฉลี่ยของตำแหน่ง CISO อยู่ที่ 18–26 เดือน ➡️ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กรอาจทำให้ช่องทางสื่อสารถูกตัดขาด ✅ แนวทางการสร้างความสัมพันธ์กับบอร์ด ➡️ ต้องเริ่มจากการเข้าใจเป้าหมายของผู้บริหารระดับ C ➡️ สื่อสารความเสี่ยงในรูปแบบที่เชื่อมโยงกับรายได้, pipeline, และ churn ➡️ หลีกเลี่ยงการพูดเชิงเทคนิคที่ไม่เชื่อมโยงกับผลกระทบทางธุรกิจ https://www.csoonline.com/article/4049347/lack-of-board-access-the-no-1-ciso-dissatisfaction.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Lack of board access: The No. 1 factor for CISO dissatisfaction
    As C-level executives, CISOs are accountable for anything that goes wrong but are not given the same C-level treatment and access that would help them execute their functions with authority.
    0 Comments 0 Shares 203 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากแสงสีเขียวถึง AFib: เมื่อ Apple Watch กลายเป็นเครื่องมือวัดหัวใจที่แม่นยำเกินคาด

    Apple เปิดตัว Apple Watch รุ่นแรกพร้อมคำสัญญาว่าจะช่วยให้ผู้คนมีสุขภาพดีขึ้น โดยเฉพาะด้วยเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจที่ใช้เทคนิค photoplethysmography (PPG) ซึ่งอาศัยการวัดการดูดซับแสงจากเลือดผ่านผิวหนัง โดยใช้ LED สีเขียวและอินฟราเรดร่วมกับ photodiode ที่ไวต่อแสง

    แม้ Apple Watch จะไม่ใช่อุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่การพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้ความแม่นยำของเซ็นเซอร์สูงขึ้นมาก โดยเฉพาะตั้งแต่รุ่น Series 6 เป็นต้นมา ซึ่งเพิ่ม LED สีแดงสำหรับวัดระดับออกซิเจนในเลือด และปรับปรุงอัลกอริธึม machine learning เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลชีพจรได้แม่นยำขึ้น

    จากการศึกษาภายในของ Apple ในปี 2024 พบว่า Apple Watch มีความแม่นยำในการวัดอัตราการเต้นของหัวใจขณะพักถึง 98% (±5 bpm) และสูงถึง 99.7% หากยอมรับค่าคลาดเคลื่อน ±10 bpm ส่วนในการออกกำลังกาย ความแม่นยำลดลงเล็กน้อย เช่น 96% สำหรับการปั่นจักรยานกลางแจ้ง, 88% สำหรับการวิ่ง, และ 91% สำหรับการออกกำลังกายหนัก

    การตรวจสอบแบบ passive (พื้นหลัง) ก็มีความแม่นยำถึง 89% ในรุ่นใหม่ แต่ลดลงเหลือ 72% ในรุ่นก่อน Series 6 ซึ่งสะท้อนถึงการพัฒนา hardware และ software อย่างมีนัยสำคัญ

    นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอิสระที่เปรียบเทียบ Apple Watch กับอุปกรณ์วัดชีพจรแบบสายคาดอก เช่น Polar พบว่า Apple Watch มีค่าคลาดเคลื่อนเฉลี่ยเพียง -0.12 bpm ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้ และมีความสัมพันธ์สูงกับอุปกรณ์มาตรฐานในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานและความดันโลหิตสูง

    อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น AFib ควรใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ร่วมด้วย เพราะ Apple Watch อาจไม่สามารถตรวจจับความผิดปกติได้ครบถ้วนในทุกสถานการณ์

    เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ของ Apple Watch
    ใช้ photoplethysmography (PPG) ร่วมกับ LED สีเขียว, อินฟราเรด และ photodiode
    Series 6 เพิ่ม LED สีแดงสำหรับวัดออกซิเจนในเลือด
    ใช้ machine learning วิเคราะห์ข้อมูลชีพจรแบบต่อเนื่อง

    ความแม่นยำจากการศึกษาภายใน Apple
    ขณะพัก: แม่นยำ 98% (±5 bpm), สูงสุด 99.7% (±10 bpm)
    ขณะออกกำลังกาย: 96% (ปั่นจักรยาน), 88% (วิ่ง), 91% (ออกกำลังกายหนัก)
    การตรวจสอบพื้นหลัง: 89% ในรุ่นใหม่, 72% ในรุ่นเก่า

    ผลการทดสอบจากงานวิจัยอิสระ
    ค่าคลาดเคลื่อนเฉลี่ย -0.12 bpm เทียบกับอุปกรณ์สายคาดอก
    มีความสัมพันธ์สูงในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานและความดัน
    สนับสนุนการใช้ในคลินิกเพื่อคัดกรองเบื้องต้น

    การใช้งานในชีวิตประจำวัน
    ตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจ, การฟื้นตัว, ความฟิต, และจังหวะผิดปกติ
    มีฟีเจอร์แจ้งเตือน AFib, ความดันสูง/ต่ำ, และประวัติการเต้นของหัวใจ
    เหมาะสำหรับการติดตามสุขภาพแบบต่อเนื่องโดยไม่รบกวนชีวิตประจำวัน

    https://www.slashgear.com/1956322/apple-watch-heart-rate-monitor-how-accurate-explained/
    🎙️ เรื่องเล่าจากแสงสีเขียวถึง AFib: เมื่อ Apple Watch กลายเป็นเครื่องมือวัดหัวใจที่แม่นยำเกินคาด Apple เปิดตัว Apple Watch รุ่นแรกพร้อมคำสัญญาว่าจะช่วยให้ผู้คนมีสุขภาพดีขึ้น โดยเฉพาะด้วยเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจที่ใช้เทคนิค photoplethysmography (PPG) ซึ่งอาศัยการวัดการดูดซับแสงจากเลือดผ่านผิวหนัง โดยใช้ LED สีเขียวและอินฟราเรดร่วมกับ photodiode ที่ไวต่อแสง แม้ Apple Watch จะไม่ใช่อุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่การพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้ความแม่นยำของเซ็นเซอร์สูงขึ้นมาก โดยเฉพาะตั้งแต่รุ่น Series 6 เป็นต้นมา ซึ่งเพิ่ม LED สีแดงสำหรับวัดระดับออกซิเจนในเลือด และปรับปรุงอัลกอริธึม machine learning เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลชีพจรได้แม่นยำขึ้น จากการศึกษาภายในของ Apple ในปี 2024 พบว่า Apple Watch มีความแม่นยำในการวัดอัตราการเต้นของหัวใจขณะพักถึง 98% (±5 bpm) และสูงถึง 99.7% หากยอมรับค่าคลาดเคลื่อน ±10 bpm ส่วนในการออกกำลังกาย ความแม่นยำลดลงเล็กน้อย เช่น 96% สำหรับการปั่นจักรยานกลางแจ้ง, 88% สำหรับการวิ่ง, และ 91% สำหรับการออกกำลังกายหนัก การตรวจสอบแบบ passive (พื้นหลัง) ก็มีความแม่นยำถึง 89% ในรุ่นใหม่ แต่ลดลงเหลือ 72% ในรุ่นก่อน Series 6 ซึ่งสะท้อนถึงการพัฒนา hardware และ software อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอิสระที่เปรียบเทียบ Apple Watch กับอุปกรณ์วัดชีพจรแบบสายคาดอก เช่น Polar พบว่า Apple Watch มีค่าคลาดเคลื่อนเฉลี่ยเพียง -0.12 bpm ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้ และมีความสัมพันธ์สูงกับอุปกรณ์มาตรฐานในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานและความดันโลหิตสูง อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น AFib ควรใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ร่วมด้วย เพราะ Apple Watch อาจไม่สามารถตรวจจับความผิดปกติได้ครบถ้วนในทุกสถานการณ์ ✅ เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ของ Apple Watch ➡️ ใช้ photoplethysmography (PPG) ร่วมกับ LED สีเขียว, อินฟราเรด และ photodiode ➡️ Series 6 เพิ่ม LED สีแดงสำหรับวัดออกซิเจนในเลือด ➡️ ใช้ machine learning วิเคราะห์ข้อมูลชีพจรแบบต่อเนื่อง ✅ ความแม่นยำจากการศึกษาภายใน Apple ➡️ ขณะพัก: แม่นยำ 98% (±5 bpm), สูงสุด 99.7% (±10 bpm) ➡️ ขณะออกกำลังกาย: 96% (ปั่นจักรยาน), 88% (วิ่ง), 91% (ออกกำลังกายหนัก) ➡️ การตรวจสอบพื้นหลัง: 89% ในรุ่นใหม่, 72% ในรุ่นเก่า ✅ ผลการทดสอบจากงานวิจัยอิสระ ➡️ ค่าคลาดเคลื่อนเฉลี่ย -0.12 bpm เทียบกับอุปกรณ์สายคาดอก ➡️ มีความสัมพันธ์สูงในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานและความดัน ➡️ สนับสนุนการใช้ในคลินิกเพื่อคัดกรองเบื้องต้น ✅ การใช้งานในชีวิตประจำวัน ➡️ ตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจ, การฟื้นตัว, ความฟิต, และจังหวะผิดปกติ ➡️ มีฟีเจอร์แจ้งเตือน AFib, ความดันสูง/ต่ำ, และประวัติการเต้นของหัวใจ ➡️ เหมาะสำหรับการติดตามสุขภาพแบบต่อเนื่องโดยไม่รบกวนชีวิตประจำวัน https://www.slashgear.com/1956322/apple-watch-heart-rate-monitor-how-accurate-explained/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Just How Accurate Is The Heart Rate Monitor In The Apple Watch? - SlashGear
    Apple Watch uses optical sensors to track heart rate with strong accuracy during rest and workouts, though it’s not a medical-grade device.
    0 Comments 0 Shares 201 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากซิมการ์ดถึง eSIM: เมื่อการปลดล็อกมือถือกลายเป็นเรื่องจำเป็นมากกว่าทางเลือก

    หลายคนอาจเคยซื้อสมาร์ทโฟน Android ผ่านผู้ให้บริการเครือข่าย เช่น Verizon, AT&T หรือ T-Mobile โดยจ่ายราคาถูกลงผ่านสัญญาผ่อนรายเดือน ซึ่งสะดวกและน่าดึงดูด แต่สิ่งที่หลายคนไม่รู้คือ โทรศัพท์เหล่านี้มักจะ “ล็อกเครือข่าย” ทำให้ไม่สามารถใช้ซิมจากเครือข่ายอื่นได้ทันที

    ในทางกลับกัน โทรศัพท์ที่ “ปลดล็อก” แล้วจะสามารถใช้กับซิมใดก็ได้ทั่วโลก ซึ่งเหมาะมากสำหรับนักเดินทางหรือผู้ที่ไม่ต้องการผูกมัดกับสัญญาระยะยาว โดย FCC (คณะกรรมการการสื่อสารแห่งสหรัฐฯ) ยังออกข้อบังคับให้ผู้ให้บริการต้องช่วยปลดล็อกเครื่องเมื่อสัญญาสิ้นสุด

    วิธีเช็กว่าเครื่องของคุณปลดล็อกหรือยังนั้นง่ายมาก—ถ้ายังใช้ซิมการ์ดแบบดั้งเดิม คุณสามารถยืมซิมจากเพื่อนหรือครอบครัวแล้วใส่เข้าไปในเครื่อง หากสามารถโทรออกได้โดยไม่มี error แสดงว่าเครื่องปลดล็อกแล้ว

    อีกวิธีคือเข้าไปที่ Settings > Network > SIMs แล้วลองปิด “Automatically select network” หากเครื่องแสดงเครือข่ายมากกว่าหนึ่ง แสดงว่าเครื่องน่าจะปลดล็อกแล้ว

    ในยุคที่ eSIM กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ การปลดล็อกเครื่องยิ่งสำคัญ เพราะ eSIM สามารถเปิดใช้งานผ่านแอปหรือ QR code ได้ทันที โดยไม่ต้องเปลี่ยนซิมการ์ดจริง และในปี 2025 สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่จาก Apple, Samsung, Google และ Huawei ต่างรองรับ eSIM อย่างแพร่หลาย

    ความหมายของการปลดล็อกเครื่อง
    โทรศัพท์ที่ปลดล็อกสามารถใช้กับซิมจากทุกเครือข่าย
    เหมาะสำหรับนักเดินทางหรือผู้ที่ไม่ต้องการผูกสัญญาระยะยาว
    FCC บังคับให้ผู้ให้บริการต้องช่วยปลดล็อกเมื่อสัญญาหมด

    วิธีเช็กสถานะการปลดล็อก
    ใส่ซิมจากเครือข่ายอื่นแล้วลองโทรออก หากใช้งานได้แสดงว่าเครื่องปลดล็อก
    เข้า Settings > Network > SIMs แล้วปิด “Automatically select network”
    หากเห็นหลายเครือข่าย แสดงว่าเครื่องน่าจะปลดล็อก

    บริบทของ eSIM ในปี 2025
    eSIM คือซิมแบบฝังในเครื่องที่เปิดใช้งานผ่านแอปหรือ QR code
    สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่จาก Apple, Samsung, Google, Huawei รองรับ eSIM อย่างแพร่หลาย
    eSIM ช่วยให้เปลี่ยนเครือข่ายได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องเปลี่ยนซิมการ์ดจริง

    เครื่องมือเสริมในการตรวจสอบ
    เว็บไซต์เช่น IMEI.info สามารถตรวจสอบสถานะการปลดล็อกได้
    ผู้ใช้สามารถติดต่อผู้ให้บริการโดยตรงพร้อม IMEI เพื่อขอข้อมูล
    IMEI สามารถดูได้จาก Settings > About Phone > IMEI

    https://www.slashgear.com/1956283/how-tell-android-phone-carrier-unlocked/
    🎙️ เรื่องเล่าจากซิมการ์ดถึง eSIM: เมื่อการปลดล็อกมือถือกลายเป็นเรื่องจำเป็นมากกว่าทางเลือก หลายคนอาจเคยซื้อสมาร์ทโฟน Android ผ่านผู้ให้บริการเครือข่าย เช่น Verizon, AT&T หรือ T-Mobile โดยจ่ายราคาถูกลงผ่านสัญญาผ่อนรายเดือน ซึ่งสะดวกและน่าดึงดูด แต่สิ่งที่หลายคนไม่รู้คือ โทรศัพท์เหล่านี้มักจะ “ล็อกเครือข่าย” ทำให้ไม่สามารถใช้ซิมจากเครือข่ายอื่นได้ทันที ในทางกลับกัน โทรศัพท์ที่ “ปลดล็อก” แล้วจะสามารถใช้กับซิมใดก็ได้ทั่วโลก ซึ่งเหมาะมากสำหรับนักเดินทางหรือผู้ที่ไม่ต้องการผูกมัดกับสัญญาระยะยาว โดย FCC (คณะกรรมการการสื่อสารแห่งสหรัฐฯ) ยังออกข้อบังคับให้ผู้ให้บริการต้องช่วยปลดล็อกเครื่องเมื่อสัญญาสิ้นสุด วิธีเช็กว่าเครื่องของคุณปลดล็อกหรือยังนั้นง่ายมาก—ถ้ายังใช้ซิมการ์ดแบบดั้งเดิม คุณสามารถยืมซิมจากเพื่อนหรือครอบครัวแล้วใส่เข้าไปในเครื่อง หากสามารถโทรออกได้โดยไม่มี error แสดงว่าเครื่องปลดล็อกแล้ว อีกวิธีคือเข้าไปที่ Settings > Network > SIMs แล้วลองปิด “Automatically select network” หากเครื่องแสดงเครือข่ายมากกว่าหนึ่ง แสดงว่าเครื่องน่าจะปลดล็อกแล้ว ในยุคที่ eSIM กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ การปลดล็อกเครื่องยิ่งสำคัญ เพราะ eSIM สามารถเปิดใช้งานผ่านแอปหรือ QR code ได้ทันที โดยไม่ต้องเปลี่ยนซิมการ์ดจริง และในปี 2025 สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่จาก Apple, Samsung, Google และ Huawei ต่างรองรับ eSIM อย่างแพร่หลาย ✅ ความหมายของการปลดล็อกเครื่อง ➡️ โทรศัพท์ที่ปลดล็อกสามารถใช้กับซิมจากทุกเครือข่าย ➡️ เหมาะสำหรับนักเดินทางหรือผู้ที่ไม่ต้องการผูกสัญญาระยะยาว ➡️ FCC บังคับให้ผู้ให้บริการต้องช่วยปลดล็อกเมื่อสัญญาหมด ✅ วิธีเช็กสถานะการปลดล็อก ➡️ ใส่ซิมจากเครือข่ายอื่นแล้วลองโทรออก หากใช้งานได้แสดงว่าเครื่องปลดล็อก ➡️ เข้า Settings > Network > SIMs แล้วปิด “Automatically select network” ➡️ หากเห็นหลายเครือข่าย แสดงว่าเครื่องน่าจะปลดล็อก ✅ บริบทของ eSIM ในปี 2025 ➡️ eSIM คือซิมแบบฝังในเครื่องที่เปิดใช้งานผ่านแอปหรือ QR code ➡️ สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่จาก Apple, Samsung, Google, Huawei รองรับ eSIM อย่างแพร่หลาย ➡️ eSIM ช่วยให้เปลี่ยนเครือข่ายได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องเปลี่ยนซิมการ์ดจริง ✅ เครื่องมือเสริมในการตรวจสอบ ➡️ เว็บไซต์เช่น IMEI.info สามารถตรวจสอบสถานะการปลดล็อกได้ ➡️ ผู้ใช้สามารถติดต่อผู้ให้บริการโดยตรงพร้อม IMEI เพื่อขอข้อมูล ➡️ IMEI สามารถดูได้จาก Settings > About Phone > IMEI https://www.slashgear.com/1956283/how-tell-android-phone-carrier-unlocked/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Is Your Android Phone Carrier Unlocked? Here's How To Tell - SlashGear
    To check if your Android phone is unlocked, try swapping in another SIM card or test your network settings. If calls work, your device is unlocked.
    0 Comments 0 Shares 192 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากดาวเทียมที่ยังหมุนอยู่: เมื่อการหยุดใช้งานอินเทอร์เน็ตต้องจ่ายเงินเพื่อไม่ให้หลุดจากระบบ

    ก่อนหน้านี้ ผู้ใช้ Starlink สามารถ “พักบริการ” ได้ฟรี โดยไม่ต้องจ่ายรายเดือนในช่วงที่ไม่ได้ใช้งาน เช่น ฤดูหนาวที่ไม่มีคนอยู่บ้าน หรือช่วงที่ไม่ได้เดินทางไปใช้ Starlink Roam แต่ในเดือนกันยายน 2025 Starlink ได้เปลี่ยนเงื่อนไขใหม่: หากต้องการพักบริการแบบไม่ใช้งานเต็มสปีด จะต้องจ่าย $5 ต่อเดือนเพื่อเข้าสู่สิ่งที่เรียกว่า “Standby Mode”

    Standby Mode จะลดความเร็วอินเทอร์เน็ตลงเหลือ 500 Kbps ซึ่งเพียงพอสำหรับการส่งข้อความ, โทรศัพท์ผ่าน Wi-Fi, หรือการสื่อสารฉุกเฉินในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณมือถือ นอกจากนี้ยังคงได้รับการอัปเดตซอฟต์แวร์เพื่อให้จานดาวเทียมทำงานได้อย่างราบรื่น

    ผู้ใช้ที่เคยใช้ฟีเจอร์ pause จะได้รับอีเมลแจ้งให้เลือกว่าจะเข้าสู่ Standby Mode หรือไม่ โดยต้องตอบรับภายในวันที่ 13 กันยายน 2025 มิฉะนั้น Starlink จะ “ยกเลิกสายบริการที่พักไว้” ซึ่งหมายความว่าอาจต้องสมัครใหม่และเสียค่าธรรมเนียมในการเปิดใช้งานอีกครั้ง

    ฟีเจอร์นี้ใช้ได้เฉพาะกับแผน Residential, Roam และ Priority เท่านั้น ส่วนแผน Business, Enterprise และบัญชีที่ได้จากโปรโมชันจะไม่สามารถใช้ Standby Mode ได้

    https://www.slashgear.com/1956244/starlink-standby-mode-how-works-explained/
    🎙️ เรื่องเล่าจากดาวเทียมที่ยังหมุนอยู่: เมื่อการหยุดใช้งานอินเทอร์เน็ตต้องจ่ายเงินเพื่อไม่ให้หลุดจากระบบ ก่อนหน้านี้ ผู้ใช้ Starlink สามารถ “พักบริการ” ได้ฟรี โดยไม่ต้องจ่ายรายเดือนในช่วงที่ไม่ได้ใช้งาน เช่น ฤดูหนาวที่ไม่มีคนอยู่บ้าน หรือช่วงที่ไม่ได้เดินทางไปใช้ Starlink Roam แต่ในเดือนกันยายน 2025 Starlink ได้เปลี่ยนเงื่อนไขใหม่: หากต้องการพักบริการแบบไม่ใช้งานเต็มสปีด จะต้องจ่าย $5 ต่อเดือนเพื่อเข้าสู่สิ่งที่เรียกว่า “Standby Mode” Standby Mode จะลดความเร็วอินเทอร์เน็ตลงเหลือ 500 Kbps ซึ่งเพียงพอสำหรับการส่งข้อความ, โทรศัพท์ผ่าน Wi-Fi, หรือการสื่อสารฉุกเฉินในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณมือถือ นอกจากนี้ยังคงได้รับการอัปเดตซอฟต์แวร์เพื่อให้จานดาวเทียมทำงานได้อย่างราบรื่น ผู้ใช้ที่เคยใช้ฟีเจอร์ pause จะได้รับอีเมลแจ้งให้เลือกว่าจะเข้าสู่ Standby Mode หรือไม่ โดยต้องตอบรับภายในวันที่ 13 กันยายน 2025 มิฉะนั้น Starlink จะ “ยกเลิกสายบริการที่พักไว้” ซึ่งหมายความว่าอาจต้องสมัครใหม่และเสียค่าธรรมเนียมในการเปิดใช้งานอีกครั้ง ฟีเจอร์นี้ใช้ได้เฉพาะกับแผน Residential, Roam และ Priority เท่านั้น ส่วนแผน Business, Enterprise และบัญชีที่ได้จากโปรโมชันจะไม่สามารถใช้ Standby Mode ได้ https://www.slashgear.com/1956244/starlink-standby-mode-how-works-explained/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    How Does Starlink's Standby Mode Work? - SlashGear
    Starlink's new Standby Mode replaces the old Pause feature; it costs $5 monthly and adds an unlimited low-speed data connection.
    0 Comments 0 Shares 154 Views 0 Reviews
More Results