• มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เมล็ดพันธ์พิฆาต (3)

    นิทานเรื่ิองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 8 : เมล็ดพันธ์พิฆาต (3)
    ตัวอย่างเช่นที่กล่าวมาแล้ว มีอีกมากมาย ที่พูดถึงแต่ผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งแท้ที่จริงผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่เป็นการถาวร มันเป็นเฉพาะช่วงแรกๆ เท่านั้น แต่คนขายเมล็ดพันธ์ GMO ย่อมไม่บอกผู้ซื้อ
    นอกจากนี้ที่น่าเป็นห่วง คือผลกระทบต่อการเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจ กับ ชาวไร่ ชาวนา รายย่อย อย่างที่พวกเขาไม่รู้ตัว พวกเขาเคยทำไร่ทำนา จากเมล็ดพันธ์พืชที่ไม่มีต้นทุน ใช้ปุ๋ยธรรมชาติ และไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง ต่อมาต้องซื้อทั้งเมล็ดพันธ์ ยาฆ่าแมลงและปุ๋ยเคมี พวกเขาขายผลผลิตได้ราคาสูงก็จริง แต่ต้นทุนก็สูงตามไปด้วย ท้ายที่สุดก็เป็นหนี้ และส่วนใหญ่ก็ไม่มีเงินใช้หนี้ ทำให้ต้องเสียที่ดินไร่นาไป แล้วก็มีบริษัทที่ทำธุรกิจเกษตร มาไล่ซื้อที่ดิน ไปทำต่อ หรือซื้อที่ไปทำอย่างอื่น แล้วชาวไร่ชาวนาเหล่านี้ ก็ไม่มีทางเลือก ต้องอพยพเข้าเมือง ขายแรงงานแทน เป็นปัญหาของบ้านเมืองอีกแบบหนึ่ง
    สิ่งเหล่านี้มักจะไม่อยู่ในรายงานของหน่วยงานที่ทำการวิจัย หรือคิดค้นพันธ์พืช เขามักจะพูดถึงแต่ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น เพราะเป้าหมายที่แท้จริง ของการให้ใช้เมล็ดพืช GMO มันคือการปล้น เอาไร่ เอานา เขามาในราคาถูก
    นอกจากปัญหาเรื่องการเสียไร่นาแล้ว ปัญหาที่สำคัญอีกประการคือการใช้ยาฆ่าแมลง ซึ่งในหลายๆ กรณีเป็นอันตราย ต่อสุขภาพของชาวไร่ชาวนา อย่างถึงขนาดหลายๆ หมู่บ้านมีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งกันทั้งหมู่บ้าน
    ความจนกับความไม่รู้ ทำให้พวกเขาไม่รู้จักหรือไม่สามารถแสวงหาหน้ากาก ป้องกันยาฉีดฆ่าแมลง
    ในปี ค.ศ.1989 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประมาณว่ามีคนได้รับสารพิษของยาฆ่าแมลงสูงถึง 1 ล้านคนต่อปี และประมาณ 20,000 คน เสียชีวิต ทั้งหมดนี้ส่วนมากเกิดขึ้นกับประชาชนในประเทศที่กำลังพัฒนา!
    ขบวนการนี้ เกิดขึ้นจากสิ่งที่เราเรียกว่าโลกาภิวัฒน์ ที่ชาวเราภาคภูมิใจอยากให้มี อยากให้เป็น เพราะเรามองแต่ ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างลวงตา
    โลกาภิวัฒน์ย่นระยะเวลา ในการสร้างกลไก สร้างระบบเกษตรอุตสาหกรรมระหว่างประเทศขึ้นมา ทำให้เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย บวกกับการให้เงินสนับสนุนจากต่างชาติ เช่น มูลนิธิ Rockefeller มูลนิธิ Ford และหน่วยงานของ USAID โดยเราไม่รู้เป้าหมายที่แท้จริง หรือผลลัพธ์ ปลายทางที่เกิดขึ้นกับเรา
    นี่แหละ ผลของการมองแต่ผลได้ อย่างผิวเผิน ไม่นึกถึงผลเสีย หรือผลข้างเคียง ทั้งระยะใกล้ ระยะไกล เขียนแล้วเศร้า ตลกไม่ออกเลย!


    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เมล็ดพันธ์พิฆาต (3) นิทานเรื่ิองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 8 : เมล็ดพันธ์พิฆาต (3) ตัวอย่างเช่นที่กล่าวมาแล้ว มีอีกมากมาย ที่พูดถึงแต่ผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งแท้ที่จริงผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่เป็นการถาวร มันเป็นเฉพาะช่วงแรกๆ เท่านั้น แต่คนขายเมล็ดพันธ์ GMO ย่อมไม่บอกผู้ซื้อ นอกจากนี้ที่น่าเป็นห่วง คือผลกระทบต่อการเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจ กับ ชาวไร่ ชาวนา รายย่อย อย่างที่พวกเขาไม่รู้ตัว พวกเขาเคยทำไร่ทำนา จากเมล็ดพันธ์พืชที่ไม่มีต้นทุน ใช้ปุ๋ยธรรมชาติ และไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง ต่อมาต้องซื้อทั้งเมล็ดพันธ์ ยาฆ่าแมลงและปุ๋ยเคมี พวกเขาขายผลผลิตได้ราคาสูงก็จริง แต่ต้นทุนก็สูงตามไปด้วย ท้ายที่สุดก็เป็นหนี้ และส่วนใหญ่ก็ไม่มีเงินใช้หนี้ ทำให้ต้องเสียที่ดินไร่นาไป แล้วก็มีบริษัทที่ทำธุรกิจเกษตร มาไล่ซื้อที่ดิน ไปทำต่อ หรือซื้อที่ไปทำอย่างอื่น แล้วชาวไร่ชาวนาเหล่านี้ ก็ไม่มีทางเลือก ต้องอพยพเข้าเมือง ขายแรงงานแทน เป็นปัญหาของบ้านเมืองอีกแบบหนึ่ง สิ่งเหล่านี้มักจะไม่อยู่ในรายงานของหน่วยงานที่ทำการวิจัย หรือคิดค้นพันธ์พืช เขามักจะพูดถึงแต่ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น เพราะเป้าหมายที่แท้จริง ของการให้ใช้เมล็ดพืช GMO มันคือการปล้น เอาไร่ เอานา เขามาในราคาถูก นอกจากปัญหาเรื่องการเสียไร่นาแล้ว ปัญหาที่สำคัญอีกประการคือการใช้ยาฆ่าแมลง ซึ่งในหลายๆ กรณีเป็นอันตราย ต่อสุขภาพของชาวไร่ชาวนา อย่างถึงขนาดหลายๆ หมู่บ้านมีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งกันทั้งหมู่บ้าน ความจนกับความไม่รู้ ทำให้พวกเขาไม่รู้จักหรือไม่สามารถแสวงหาหน้ากาก ป้องกันยาฉีดฆ่าแมลง ในปี ค.ศ.1989 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประมาณว่ามีคนได้รับสารพิษของยาฆ่าแมลงสูงถึง 1 ล้านคนต่อปี และประมาณ 20,000 คน เสียชีวิต ทั้งหมดนี้ส่วนมากเกิดขึ้นกับประชาชนในประเทศที่กำลังพัฒนา! ขบวนการนี้ เกิดขึ้นจากสิ่งที่เราเรียกว่าโลกาภิวัฒน์ ที่ชาวเราภาคภูมิใจอยากให้มี อยากให้เป็น เพราะเรามองแต่ ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างลวงตา โลกาภิวัฒน์ย่นระยะเวลา ในการสร้างกลไก สร้างระบบเกษตรอุตสาหกรรมระหว่างประเทศขึ้นมา ทำให้เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย บวกกับการให้เงินสนับสนุนจากต่างชาติ เช่น มูลนิธิ Rockefeller มูลนิธิ Ford และหน่วยงานของ USAID โดยเราไม่รู้เป้าหมายที่แท้จริง หรือผลลัพธ์ ปลายทางที่เกิดขึ้นกับเรา นี่แหละ ผลของการมองแต่ผลได้ อย่างผิวเผิน ไม่นึกถึงผลเสีย หรือผลข้างเคียง ทั้งระยะใกล้ ระยะไกล เขียนแล้วเศร้า ตลกไม่ออกเลย! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 87 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD ปิดตำนาน B650 – เปิดทางสู่ B850 ที่แรงกว่าแต่แพงขึ้น

    ในโลกของฮาร์ดแวร์ที่เปลี่ยนแปลงเร็วเหมือนกระแสไฟ AMD ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะยุติการผลิตชิปเซ็ต B650 ซึ่งเคยเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ใช้งานระดับกลางที่ต้องการเข้าสู่แพลตฟอร์ม AM5 โดยราคาที่เคยเริ่มต้นราว $125 และลดลงต่ำกว่า $100 ทำให้ B650 เป็นขวัญใจสายประกอบคอมงบจำกัด

    แต่เมื่อเทคโนโลยีก้าวไปข้างหน้า AMD ก็ต้องปรับตัว โดยเปิดตัวชิปเซ็ต B850 และ B840 ซึ่งเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่ต้นปี 2025 โดย B850 มาพร้อมกับการรองรับ PCIe 5.0 ที่กว้างขึ้น ทั้งในช่องเสียบ GPU และ M.2 NVMe ซึ่งใน B650 นั้นยังเป็นตัวเลือกเสริม ไม่ได้บังคับให้มี

    AMD ระบุว่าการเปลี่ยนผ่านนี้จะช่วยให้แพลตฟอร์ม AM5 พร้อมสำหรับอนาคต ทั้งในด้านการเชื่อมต่อ ความเร็วในการจัดเก็บข้อมูล และการขยายระบบ โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้งาน Ryzen 9000 และรุ่นใหม่ ๆ ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด

    แม้จะมีข่าวดีเรื่องฟีเจอร์ใหม่ แต่ก็มีผลกระทบตามมา เพราะ B850 มีราคาสูงกว่า B650 และผู้ผลิตเมนบอร์ดไม่สามารถสั่งซื้อ B650 เพิ่มได้อีกแล้ว ทำให้ผู้ใช้งานที่ต้องการประกอบคอมราคาประหยัดต้องรีบคว้า B650 ที่ยังเหลืออยู่ในตลาดก่อนหมด

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    AMD ประกาศยุติการผลิตชิปเซ็ต B650 อย่างเป็นทางการ
    ผู้ผลิตเมนบอร์ดไม่สามารถสั่งซื้อ B650 เพิ่มได้อีก
    AMD แนะนำให้เปลี่ยนผ่านไปใช้ B850 และ B840 แทน
    B850 รองรับ PCIe 5.0 สำหรับ M.2 NVMe แบบบังคับ และ GPU แบบเลือกได้
    B650 รองรับ PCIe 5.0 เฉพาะบางรุ่น และไม่บังคับในช่อง GPU
    B850 ใช้ชิป Promontory 21 เหมือนกับ B650 แต่มีฟีเจอร์ที่ปรับปรุง
    B650 เปิดตัวในปี 2022 และได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานระดับกลาง
    B850 เปิดตัวต้นปี 2025 พร้อมฟีเจอร์ใหม่และรองรับ Ryzen 9000
    AMD ยืนยันว่าเมนบอร์ด B650 ที่มีอยู่ยังสามารถใช้งานกับ CPU รุ่นใหม่ได้
    ผู้ผลิตเมนบอร์ดกำลังทยอยขายสต็อก B650 ให้หมดภายในไตรมาส 3–4 ปี 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ราคาของ B650 เคยลดลงต่ำกว่า $100 ทำให้เป็นตัวเลือกยอดนิยม
    B850 มีแนวโน้มราคาสูงขึ้น โดยเฉพาะรุ่นที่รองรับ PCIe 5.0 เต็มรูปแบบ
    ผู้ใช้งานที่ต้องการประกอบคอมขนาดเล็กควรรีบซื้อ B650 ก่อนหมดตลาด
    B850 ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถใช้ GPU และ SSD รุ่นใหม่ได้เต็มประสิทธิภาพ
    การเปลี่ยนผ่านนี้เป็นส่วนหนึ่งของการรีเฟรชแพลตฟอร์ม AM5 ในปี 2024–2025

    https://www.tomshardware.com/pc-components/chipsets/amd-discontinues-b650-chipset-to-transition-to-the-newer-b850-chipset-affordable-am5-motherboards-just-got-a-bit-pricier
    🎙️ AMD ปิดตำนาน B650 – เปิดทางสู่ B850 ที่แรงกว่าแต่แพงขึ้น ในโลกของฮาร์ดแวร์ที่เปลี่ยนแปลงเร็วเหมือนกระแสไฟ AMD ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะยุติการผลิตชิปเซ็ต B650 ซึ่งเคยเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ใช้งานระดับกลางที่ต้องการเข้าสู่แพลตฟอร์ม AM5 โดยราคาที่เคยเริ่มต้นราว $125 และลดลงต่ำกว่า $100 ทำให้ B650 เป็นขวัญใจสายประกอบคอมงบจำกัด แต่เมื่อเทคโนโลยีก้าวไปข้างหน้า AMD ก็ต้องปรับตัว โดยเปิดตัวชิปเซ็ต B850 และ B840 ซึ่งเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่ต้นปี 2025 โดย B850 มาพร้อมกับการรองรับ PCIe 5.0 ที่กว้างขึ้น ทั้งในช่องเสียบ GPU และ M.2 NVMe ซึ่งใน B650 นั้นยังเป็นตัวเลือกเสริม ไม่ได้บังคับให้มี AMD ระบุว่าการเปลี่ยนผ่านนี้จะช่วยให้แพลตฟอร์ม AM5 พร้อมสำหรับอนาคต ทั้งในด้านการเชื่อมต่อ ความเร็วในการจัดเก็บข้อมูล และการขยายระบบ โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้งาน Ryzen 9000 และรุ่นใหม่ ๆ ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด แม้จะมีข่าวดีเรื่องฟีเจอร์ใหม่ แต่ก็มีผลกระทบตามมา เพราะ B850 มีราคาสูงกว่า B650 และผู้ผลิตเมนบอร์ดไม่สามารถสั่งซื้อ B650 เพิ่มได้อีกแล้ว ทำให้ผู้ใช้งานที่ต้องการประกอบคอมราคาประหยัดต้องรีบคว้า B650 ที่ยังเหลืออยู่ในตลาดก่อนหมด 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ AMD ประกาศยุติการผลิตชิปเซ็ต B650 อย่างเป็นทางการ ➡️ ผู้ผลิตเมนบอร์ดไม่สามารถสั่งซื้อ B650 เพิ่มได้อีก ➡️ AMD แนะนำให้เปลี่ยนผ่านไปใช้ B850 และ B840 แทน ➡️ B850 รองรับ PCIe 5.0 สำหรับ M.2 NVMe แบบบังคับ และ GPU แบบเลือกได้ ➡️ B650 รองรับ PCIe 5.0 เฉพาะบางรุ่น และไม่บังคับในช่อง GPU ➡️ B850 ใช้ชิป Promontory 21 เหมือนกับ B650 แต่มีฟีเจอร์ที่ปรับปรุง ➡️ B650 เปิดตัวในปี 2022 และได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานระดับกลาง ➡️ B850 เปิดตัวต้นปี 2025 พร้อมฟีเจอร์ใหม่และรองรับ Ryzen 9000 ➡️ AMD ยืนยันว่าเมนบอร์ด B650 ที่มีอยู่ยังสามารถใช้งานกับ CPU รุ่นใหม่ได้ ➡️ ผู้ผลิตเมนบอร์ดกำลังทยอยขายสต็อก B650 ให้หมดภายในไตรมาส 3–4 ปี 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ราคาของ B650 เคยลดลงต่ำกว่า $100 ทำให้เป็นตัวเลือกยอดนิยม ➡️ B850 มีแนวโน้มราคาสูงขึ้น โดยเฉพาะรุ่นที่รองรับ PCIe 5.0 เต็มรูปแบบ ➡️ ผู้ใช้งานที่ต้องการประกอบคอมขนาดเล็กควรรีบซื้อ B650 ก่อนหมดตลาด ➡️ B850 ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถใช้ GPU และ SSD รุ่นใหม่ได้เต็มประสิทธิภาพ ➡️ การเปลี่ยนผ่านนี้เป็นส่วนหนึ่งของการรีเฟรชแพลตฟอร์ม AM5 ในปี 2024–2025 https://www.tomshardware.com/pc-components/chipsets/amd-discontinues-b650-chipset-to-transition-to-the-newer-b850-chipset-affordable-am5-motherboards-just-got-a-bit-pricier
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เมล็ดพันธ์พิฆาต (2)

    นิทานเร่ืองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 8 : เมล็ดพันธ์พิฆาต (2)
    Green Revolution เป็นศัพท์เทคนิคที่อดีต ผอ. USAID คิดขึ้น เขาบอกว่าเป็นการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ดัดแปลงพันธุกรรมเมล็ดพันธ์พืช เพื่อให้โตไว เขานำไปใช้ทดลองกับการปลูกข้าวในอินเดีย เมื่อประมาณปี ค.ศ.1961 ซึ่งเป็นช่วงที่อินเดียกำลังประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร ข้าวพันธ์ุดังกล่าว ให้ผลผลิตเป็น 10 เท่า ของข้าวพันธ์ุธรรมดา แต่ต้องใช้ร่วมกับปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง
    คนอินเดียตาโตเห็นแต่ผลผลิต 10 เท่า อินเดียกลายเป็นประเทศส่งข้าวออกสูงอันดับต้นๆ คนขายพันธ์ุข้าวนับเงินเพลิน เพราะพันธ์ุข้าวนี้ต้องซื้อทุกครั้งที่ปลูก อย่าลืมบวกค่าปุ๋ยเคมี ค่ายาฆ่าแมลงด้วย แถมต้องทำระบบชลประทานด้วย ใครเป็นคนมาช่วยคิดช่วยทำ ใครขายเครื่องจักร คงพอนึกกันออก
    ฟิลิปปินส์ได้รับเกียรติเป็นหนูตะเภาตัวต่อมา โดยความอนุเคราะห์ของมูลนิธิ Ford และมูลนิธิ Rockefeller ได้จัดตั้งสถาบัน International Rice Research Institute (IRRI) ดัดแปลงข้าวข้ามสายพันธ์ุ เรียกว่า M 8
    M 8 นี่ก็เหมือนกัน ต้องใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงมากมาย แต่ให้ผลผลิตสูงกว่าพันธ์ุธรรมชาติ การใช้ข้าวพันธ์ M 8 ทำให้ฟิลิปปินส์กระโดดเป็นผู้ส่งออกข้าวเป็นครั้งแรก ในประมาณปี ค.ศ.1966 แต่การใช้ยาฆ่าแมลงอย่างแรง ทำให้ปลาและกบหลายพันธ์ุในนาข้าวตายเกลี้ยง
    Argentina เป็นอีกกรณีที่น่าสนใจ ได้รับเลือกเป็นหนูตะเภา แบบครบวงจร ในปี ค.ศ.1980 การทดลองพืช GMO ถึงขั้นเกือบสมบูรณ์ และนาย Carlos Menem ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี นาย Menem แน่นอน เป็นเด็กสร้างของตระกูล Rockefeller เขาเห็นพ้องทุกอย่างที่ ทางวอชิงตันและตระกูล Rockefeller เสนอ ถึงขนาดยอมให้เพื่อนของนาย David Rockefeller ที่อยู่แถววอชิงตัน ร่างแผนเศรษฐกิจประเทศให้ เป็นแผนเศรษฐกิจตามทฤษฎีที่ศึกษากันอยู่ในมหาวิทยาลัย Chicago เช่น การยกเลิกรัฐวิสาหกิจ การยกเลิกกฎระเบียบ ที่เป็นอุปสรรคต่อทุนเสรี เปิดประตูให้การค้าเสรีเข้าสะดวก
    เอ๊ะ! นี่มันแผนพัฒนาเศรษฐกิจ แผนเปิดเสรี แบบที่สมันน้อยทำเลยนะ คนที่อ่านนิทานจิกโก๋ปากซอยมาแล้ว คงพอจำได้
    Argentina เข้าสู่การปลูกพืช GMO อย่างจริงจัง ภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลของตน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1996 ถึง ค.ศ.2004 หลังจากเปลี่ยนเป็นใช้พืช GMO ไปไม่กี่ปี ชาวไร่ ชาวนา ของ Argentina ก็เริ่มเป็นหนี้ ไม่มีปัญญาใช้หนี้เขาต้องขายหรือถูกยึดไร่นา แล้วต่างชาติก็เข้าไปกว้านซื้อไร่ ซื้อนา ในราคาถูก แสนถูก
    ทั้งหมดเกิดขึ้น ภายใน 10 ปี อ่านนิทานตอนนี้แล้ว ลองนึกถึงเรื่อง ปรส. กันบ้างไหม แม้ไม่ใช่เป็นอุปกรณ์เล่นกลเดียวกัน แต่ฉากเล่นกล มันไม่ต่างกันเท่าไหร่

    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เมล็ดพันธ์พิฆาต (2) นิทานเร่ืองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 8 : เมล็ดพันธ์พิฆาต (2) Green Revolution เป็นศัพท์เทคนิคที่อดีต ผอ. USAID คิดขึ้น เขาบอกว่าเป็นการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ดัดแปลงพันธุกรรมเมล็ดพันธ์พืช เพื่อให้โตไว เขานำไปใช้ทดลองกับการปลูกข้าวในอินเดีย เมื่อประมาณปี ค.ศ.1961 ซึ่งเป็นช่วงที่อินเดียกำลังประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร ข้าวพันธ์ุดังกล่าว ให้ผลผลิตเป็น 10 เท่า ของข้าวพันธ์ุธรรมดา แต่ต้องใช้ร่วมกับปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง คนอินเดียตาโตเห็นแต่ผลผลิต 10 เท่า อินเดียกลายเป็นประเทศส่งข้าวออกสูงอันดับต้นๆ คนขายพันธ์ุข้าวนับเงินเพลิน เพราะพันธ์ุข้าวนี้ต้องซื้อทุกครั้งที่ปลูก อย่าลืมบวกค่าปุ๋ยเคมี ค่ายาฆ่าแมลงด้วย แถมต้องทำระบบชลประทานด้วย ใครเป็นคนมาช่วยคิดช่วยทำ ใครขายเครื่องจักร คงพอนึกกันออก ฟิลิปปินส์ได้รับเกียรติเป็นหนูตะเภาตัวต่อมา โดยความอนุเคราะห์ของมูลนิธิ Ford และมูลนิธิ Rockefeller ได้จัดตั้งสถาบัน International Rice Research Institute (IRRI) ดัดแปลงข้าวข้ามสายพันธ์ุ เรียกว่า M 8 M 8 นี่ก็เหมือนกัน ต้องใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงมากมาย แต่ให้ผลผลิตสูงกว่าพันธ์ุธรรมชาติ การใช้ข้าวพันธ์ M 8 ทำให้ฟิลิปปินส์กระโดดเป็นผู้ส่งออกข้าวเป็นครั้งแรก ในประมาณปี ค.ศ.1966 แต่การใช้ยาฆ่าแมลงอย่างแรง ทำให้ปลาและกบหลายพันธ์ุในนาข้าวตายเกลี้ยง Argentina เป็นอีกกรณีที่น่าสนใจ ได้รับเลือกเป็นหนูตะเภา แบบครบวงจร ในปี ค.ศ.1980 การทดลองพืช GMO ถึงขั้นเกือบสมบูรณ์ และนาย Carlos Menem ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี นาย Menem แน่นอน เป็นเด็กสร้างของตระกูล Rockefeller เขาเห็นพ้องทุกอย่างที่ ทางวอชิงตันและตระกูล Rockefeller เสนอ ถึงขนาดยอมให้เพื่อนของนาย David Rockefeller ที่อยู่แถววอชิงตัน ร่างแผนเศรษฐกิจประเทศให้ เป็นแผนเศรษฐกิจตามทฤษฎีที่ศึกษากันอยู่ในมหาวิทยาลัย Chicago เช่น การยกเลิกรัฐวิสาหกิจ การยกเลิกกฎระเบียบ ที่เป็นอุปสรรคต่อทุนเสรี เปิดประตูให้การค้าเสรีเข้าสะดวก เอ๊ะ! นี่มันแผนพัฒนาเศรษฐกิจ แผนเปิดเสรี แบบที่สมันน้อยทำเลยนะ คนที่อ่านนิทานจิกโก๋ปากซอยมาแล้ว คงพอจำได้ Argentina เข้าสู่การปลูกพืช GMO อย่างจริงจัง ภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลของตน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1996 ถึง ค.ศ.2004 หลังจากเปลี่ยนเป็นใช้พืช GMO ไปไม่กี่ปี ชาวไร่ ชาวนา ของ Argentina ก็เริ่มเป็นหนี้ ไม่มีปัญญาใช้หนี้เขาต้องขายหรือถูกยึดไร่นา แล้วต่างชาติก็เข้าไปกว้านซื้อไร่ ซื้อนา ในราคาถูก แสนถูก ทั้งหมดเกิดขึ้น ภายใน 10 ปี อ่านนิทานตอนนี้แล้ว ลองนึกถึงเรื่อง ปรส. กันบ้างไหม แม้ไม่ใช่เป็นอุปกรณ์เล่นกลเดียวกัน แต่ฉากเล่นกล มันไม่ต่างกันเท่าไหร่ คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 112 มุมมอง 0 รีวิว
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เรื่องของคนโคตรรวย (2)
    นิทานเรื่ิองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 4 : เรื่องของคนโคตรรวย (2)
    เอ้า ! มารู้จักครอบครัวตัวอย่าง (คนโคตรรวย) กันหน่อย ใครเป็นใคร อ่านตอนหลังจะได้ไม่งง ตระกูล Rockefeller เป็นคนอเมริกัน เชื้อสายเยอรมัน ผู้นำครอบครัว ที่ทำให้ตระกูลเขามีอิทธิพล มีสายตายาวไกลมาก (นักมายากลตัวพ่อ) คือ นาย John Davison Rockefeller Senior สมาชิกตระกูลที่สืบทอด DNA ของคุณป๋าจอห์น ที่สำคัญมี
    – John Davison Rockefeller, Junior
    – David Rockefeller
    – Nelson A. Rockefeller
    – Laurence Rockefeller
    – John Davison Rockefeller III
    เมื่อรวยล้นฟ้าและมีอิทธิพลขนาดนี้ กลุ่มตระกูล Rockefeller จะอยู่เฉยได้ยังไง คนรวยมีเงิน ก็อยากมีอำนาจ สูตรสำเร็จเดิม ๆ จึงมีแนวคิดที่จะควบคุมนโยบายเศรษฐกิจการเมือง ของอเมริกาและแน่นอนถ้าคุมอเมริกาได้ก็คุมโลกได้ เพื่อให้รวยขึ้นและมีอำนาจอยู่ในมือมากขึ้นอย่างประมาณมิได้
    แล้วจะทำกันเฉพาะในครอบครัวมันคงไม่ใหญ่พอมั้ง มันก็ต้องโชว์พาว ว่าแล้วพี่น้องตระกูล Rockefeller ก็ทำการคัดเลือก เฉพาะคนรวยและชนชั้นนำในสังคม จำนวน 300 คน จากเพื่อนและพวกของตนที่มีอิทธิพลสูงในวงการต่างๆ ที่อยู่ในอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น และก่อตั้งองค์กรที่เรียกว่า Trilateral Commission ขึ้น เมื่อปี ค.ศ. 1973 เพื่อจะกำหนดทิศทางเดินของโลกเสียใหม่ ตามที่พวกตนต้องการ (ปัจจุบันนี้สมาคมผู้ทรงอิทธิพลมีสมาชิก จากประเทศแถบเอเซียเพิ่มขึ้นด้วย)
    ในจำนวนรายชื่อสมาชิกผู้ก่อตั้ง Trilateral Commission ของ David Rockefeller มีบุคคล เช่น Zbigniew Brzezinski (รายนี้สำคัญ จำกันไว้ให้ดี) และผู้ว่าการรัฐ Georgia คนทำไร่ถั่ว ชื่อ นาย James Earl “Jimmy” Carter (ผู้ซึ่งนาย David Rockefeller สนับสนุนให้เป็นประธานาธิบดี สมัย ค.ศ.1976 แทนนาย Gerald Ford) นาย George H. W Bush (ซึ่งก็ได้เป็นประธานาธิบดี โดยการสนับสนุนของกลุ่มคนรวย แถมยังมีบทบาทที่สำคัญมาก ๆ ต่อมาภายหลังอีกด้วย) Paul Volcker ผู้ซึ่งในสมัยประธานาธิบดี Jimmy Carter ได้แต่งตั้งให้เป็นประธาน Federal Reserve นาย Alan Greenspan ซึ่งแม้ตอนนั้นจะเป็นเพียง นักวาณิชย์ธนกิจอยู่แถว Wall Street แต่มีแววโดดเด่นเข้าตากรรมการ รวมทั้งนายพล Alexander Haig, นาย Cyrus Vance และ นาย Ed Muskie (ทั้ง 3 คน ต่อมาได้รับตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ นายพล Haig ได้เป็นสมัย นาย Ronald Reagan ส่วน 2 คนหลัง เป็นในสมัยประธานาธิบดี Jimmy Carter คนหนึ่งเป็นช่วง ค.ศ. 1977 – 1980 อีกคนเป็นต่อ ค.ศ. 1980 – 1981) อืม! เข้าใจเล่นนะ พวกคนรวย
    ตอนนั้นนาย Brzezinski เพิ่งเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งไม่เป็นที่แพร่หลาย แต่โดนใจพวก Rockefeller อย่างยิ่ง ชื่อ “Between Two Ages: America’s Role in the Technotronic Era พิมพ์ในปี ค.ศ. 1970
    เขาบอกว่า “สังคมควรจะต้องครอบงำ หรือปกครองโดยบุคคล ซึ่งเป็นที่ยอมรับในสังคมระดับสูง (Elites) ซึ่งคนพวกนี้ ต้องไม่ลังเล ที่จะทำให้ได้มา ซึ่งอำนาจทางการเมือง โดยใช้เทคนิคใหม่ ๆ ให้มีอิทธิพลเหนือพฤติกรรมสังคม รวมทั้งการจัดระเบียบสังคม ย้อมพฤติกรรมสังคม ซึ่งจะเป็นการกำหนดและควบคุมสังคมด้วย”
แม่เจ้าโว้ย ยังกะนั่งเขียนอยู่ในใจของนาย David Rockefeller เลยนะ
    นอกจากนี้ในหนังสือดังกล่าว นาย Brzezinski ยังได้เสนอความคิดว่า น่าจะได้มีการจับมือกันระหว่างบรรษัทและธนาคารที่มีอิทธิพลและเครือข่ายข้าม ชาติ ระหว่างนักธุรกิจชั้นนำของยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น เพื่อกำหนดนโยบายการทำธุรกิจร่วมกัน โดยการดำเนินการอย่างเป็นความลับ
    โอ้ย ไอ้หมอนี่ถ้าไม่เอามาใช้เป็นมือขวาก็ต้องมาเป็นมือซ้ายแน่นอน นาย David รำพึง
    แล้วนาย Bazezinski ก็ได้รับเลือกจากนาย David Rockefeller ให้เป็นกรรมการบริหารคนแรกของ Trilateral Commission

    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เรื่องของคนโคตรรวย (2) นิทานเรื่ิองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 4 : เรื่องของคนโคตรรวย (2) เอ้า ! มารู้จักครอบครัวตัวอย่าง (คนโคตรรวย) กันหน่อย ใครเป็นใคร อ่านตอนหลังจะได้ไม่งง ตระกูล Rockefeller เป็นคนอเมริกัน เชื้อสายเยอรมัน ผู้นำครอบครัว ที่ทำให้ตระกูลเขามีอิทธิพล มีสายตายาวไกลมาก (นักมายากลตัวพ่อ) คือ นาย John Davison Rockefeller Senior สมาชิกตระกูลที่สืบทอด DNA ของคุณป๋าจอห์น ที่สำคัญมี – John Davison Rockefeller, Junior – David Rockefeller – Nelson A. Rockefeller – Laurence Rockefeller – John Davison Rockefeller III เมื่อรวยล้นฟ้าและมีอิทธิพลขนาดนี้ กลุ่มตระกูล Rockefeller จะอยู่เฉยได้ยังไง คนรวยมีเงิน ก็อยากมีอำนาจ สูตรสำเร็จเดิม ๆ จึงมีแนวคิดที่จะควบคุมนโยบายเศรษฐกิจการเมือง ของอเมริกาและแน่นอนถ้าคุมอเมริกาได้ก็คุมโลกได้ เพื่อให้รวยขึ้นและมีอำนาจอยู่ในมือมากขึ้นอย่างประมาณมิได้ แล้วจะทำกันเฉพาะในครอบครัวมันคงไม่ใหญ่พอมั้ง มันก็ต้องโชว์พาว ว่าแล้วพี่น้องตระกูล Rockefeller ก็ทำการคัดเลือก เฉพาะคนรวยและชนชั้นนำในสังคม จำนวน 300 คน จากเพื่อนและพวกของตนที่มีอิทธิพลสูงในวงการต่างๆ ที่อยู่ในอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น และก่อตั้งองค์กรที่เรียกว่า Trilateral Commission ขึ้น เมื่อปี ค.ศ. 1973 เพื่อจะกำหนดทิศทางเดินของโลกเสียใหม่ ตามที่พวกตนต้องการ (ปัจจุบันนี้สมาคมผู้ทรงอิทธิพลมีสมาชิก จากประเทศแถบเอเซียเพิ่มขึ้นด้วย) ในจำนวนรายชื่อสมาชิกผู้ก่อตั้ง Trilateral Commission ของ David Rockefeller มีบุคคล เช่น Zbigniew Brzezinski (รายนี้สำคัญ จำกันไว้ให้ดี) และผู้ว่าการรัฐ Georgia คนทำไร่ถั่ว ชื่อ นาย James Earl “Jimmy” Carter (ผู้ซึ่งนาย David Rockefeller สนับสนุนให้เป็นประธานาธิบดี สมัย ค.ศ.1976 แทนนาย Gerald Ford) นาย George H. W Bush (ซึ่งก็ได้เป็นประธานาธิบดี โดยการสนับสนุนของกลุ่มคนรวย แถมยังมีบทบาทที่สำคัญมาก ๆ ต่อมาภายหลังอีกด้วย) Paul Volcker ผู้ซึ่งในสมัยประธานาธิบดี Jimmy Carter ได้แต่งตั้งให้เป็นประธาน Federal Reserve นาย Alan Greenspan ซึ่งแม้ตอนนั้นจะเป็นเพียง นักวาณิชย์ธนกิจอยู่แถว Wall Street แต่มีแววโดดเด่นเข้าตากรรมการ รวมทั้งนายพล Alexander Haig, นาย Cyrus Vance และ นาย Ed Muskie (ทั้ง 3 คน ต่อมาได้รับตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ นายพล Haig ได้เป็นสมัย นาย Ronald Reagan ส่วน 2 คนหลัง เป็นในสมัยประธานาธิบดี Jimmy Carter คนหนึ่งเป็นช่วง ค.ศ. 1977 – 1980 อีกคนเป็นต่อ ค.ศ. 1980 – 1981) อืม! เข้าใจเล่นนะ พวกคนรวย ตอนนั้นนาย Brzezinski เพิ่งเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งไม่เป็นที่แพร่หลาย แต่โดนใจพวก Rockefeller อย่างยิ่ง ชื่อ “Between Two Ages: America’s Role in the Technotronic Era พิมพ์ในปี ค.ศ. 1970 เขาบอกว่า “สังคมควรจะต้องครอบงำ หรือปกครองโดยบุคคล ซึ่งเป็นที่ยอมรับในสังคมระดับสูง (Elites) ซึ่งคนพวกนี้ ต้องไม่ลังเล ที่จะทำให้ได้มา ซึ่งอำนาจทางการเมือง โดยใช้เทคนิคใหม่ ๆ ให้มีอิทธิพลเหนือพฤติกรรมสังคม รวมทั้งการจัดระเบียบสังคม ย้อมพฤติกรรมสังคม ซึ่งจะเป็นการกำหนดและควบคุมสังคมด้วย”
แม่เจ้าโว้ย ยังกะนั่งเขียนอยู่ในใจของนาย David Rockefeller เลยนะ นอกจากนี้ในหนังสือดังกล่าว นาย Brzezinski ยังได้เสนอความคิดว่า น่าจะได้มีการจับมือกันระหว่างบรรษัทและธนาคารที่มีอิทธิพลและเครือข่ายข้าม ชาติ ระหว่างนักธุรกิจชั้นนำของยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น เพื่อกำหนดนโยบายการทำธุรกิจร่วมกัน โดยการดำเนินการอย่างเป็นความลับ โอ้ย ไอ้หมอนี่ถ้าไม่เอามาใช้เป็นมือขวาก็ต้องมาเป็นมือซ้ายแน่นอน นาย David รำพึง แล้วนาย Bazezinski ก็ได้รับเลือกจากนาย David Rockefeller ให้เป็นกรรมการบริหารคนแรกของ Trilateral Commission คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • Bigme B13: จอ ePaper สีแบบพกพารุ่นแรกของโลกเพื่อสายตาและงานเอกสาร

    Bigme B13 คือจอมอนิเตอร์ขนาด 13.3 นิ้วที่ใช้เทคโนโลยี ePaper สี ซึ่งต่างจากจอ LCD หรือ OLED ตรงที่ให้ภาพเหมือนกระดาษจริง ลดแสงสะท้อนและความเมื่อยล้าของสายตา เหมาะสำหรับการอ่านเอกสาร, แก้ไขข้อความ และท่องเว็บ

    จอนี้มีความละเอียดสูงถึง 3200x2400 พิกเซล อัตราส่วนภาพ 4:3 และรองรับการเชื่อมต่อทั้งแบบสาย (USB-C, HDMI) และไร้สาย (AirPlay, Miracast, DLNA) พร้อมโหมดการใช้งานหลายแบบ เช่น โหมดข้อความ, โหมดภาพ, โหมดวิดีโอ และโหมดเว็บ ที่ปรับ refresh rate และความคมชัดตามลักษณะงาน

    Bigme B13 ยังมีฟีเจอร์เสริม เช่น ระบบปรับแสงหน้าจอได้ทั้งความสว่างและอุณหภูมิสี, ลำโพงคู่ในตัว, ช่องเสียบหูฟัง และขาตั้งแม่เหล็กที่สามารถติดกับแล็ปท็อปเพื่อใช้งานแบบสองจอได้อย่างสะดวก

    แม้จะมีจุดเด่นเรื่องการถนอมสายตาและความพกพาสะดวก แต่จอนี้ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำของสี เช่น การออกแบบกราฟิกหรือการตัดต่อภาพ และราคาก็ยังค่อนข้างสูงที่ $699–$729

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ใช้หน้าจอ Kaleido 3 ซึ่งให้ความละเอียด 300PPI สำหรับขาวดำ และ 150PPI สำหรับสี
    รองรับการเล่นวิดีโอที่ 30Hz ด้วยเทคโนโลยี refresh เฉพาะของ Bigme
    ใช้งานได้กับ Windows, macOS, Android และ iOS รวมถึง Linux บางรุ่น
    มีรีโมตและเคสแถมมาในกล่อง พร้อมบอดี้อลูมิเนียมที่แข็งแรง
    Bigme ยังมีรุ่นจอใหญ่ 25.3 นิ้ว (B251) สำหรับงานระดับมืออาชีพ
    คู่แข่งในตลาด ePaper monitor ได้แก่ Dasung และ Onyx ซึ่งมีรุ่นจำกัด

    https://www.techradar.com/pro/the-worlds-first-portable-color-epaper-monitor-has-gone-on-sale-but-dont-expect-it-to-be-affordable-just-yet
    🧠 Bigme B13: จอ ePaper สีแบบพกพารุ่นแรกของโลกเพื่อสายตาและงานเอกสาร Bigme B13 คือจอมอนิเตอร์ขนาด 13.3 นิ้วที่ใช้เทคโนโลยี ePaper สี ซึ่งต่างจากจอ LCD หรือ OLED ตรงที่ให้ภาพเหมือนกระดาษจริง ลดแสงสะท้อนและความเมื่อยล้าของสายตา เหมาะสำหรับการอ่านเอกสาร, แก้ไขข้อความ และท่องเว็บ จอนี้มีความละเอียดสูงถึง 3200x2400 พิกเซล อัตราส่วนภาพ 4:3 และรองรับการเชื่อมต่อทั้งแบบสาย (USB-C, HDMI) และไร้สาย (AirPlay, Miracast, DLNA) พร้อมโหมดการใช้งานหลายแบบ เช่น โหมดข้อความ, โหมดภาพ, โหมดวิดีโอ และโหมดเว็บ ที่ปรับ refresh rate และความคมชัดตามลักษณะงาน Bigme B13 ยังมีฟีเจอร์เสริม เช่น ระบบปรับแสงหน้าจอได้ทั้งความสว่างและอุณหภูมิสี, ลำโพงคู่ในตัว, ช่องเสียบหูฟัง และขาตั้งแม่เหล็กที่สามารถติดกับแล็ปท็อปเพื่อใช้งานแบบสองจอได้อย่างสะดวก แม้จะมีจุดเด่นเรื่องการถนอมสายตาและความพกพาสะดวก แต่จอนี้ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำของสี เช่น การออกแบบกราฟิกหรือการตัดต่อภาพ และราคาก็ยังค่อนข้างสูงที่ $699–$729 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ใช้หน้าจอ Kaleido 3 ซึ่งให้ความละเอียด 300PPI สำหรับขาวดำ และ 150PPI สำหรับสี ➡️ รองรับการเล่นวิดีโอที่ 30Hz ด้วยเทคโนโลยี refresh เฉพาะของ Bigme ➡️ ใช้งานได้กับ Windows, macOS, Android และ iOS รวมถึง Linux บางรุ่น ➡️ มีรีโมตและเคสแถมมาในกล่อง พร้อมบอดี้อลูมิเนียมที่แข็งแรง ➡️ Bigme ยังมีรุ่นจอใหญ่ 25.3 นิ้ว (B251) สำหรับงานระดับมืออาชีพ ➡️ คู่แข่งในตลาด ePaper monitor ได้แก่ Dasung และ Onyx ซึ่งมีรุ่นจำกัด https://www.techradar.com/pro/the-worlds-first-portable-color-epaper-monitor-has-gone-on-sale-but-dont-expect-it-to-be-affordable-just-yet
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เรื่องของคนโคตรรวย (1)
    นิทานเรื่ิิองจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 4 : เรื่องของคนโคตรรวย (1)
    ช่วงปี ค.ศ. 1960 ศูนย์อำนาจของอเมริกาไม่ได้อยู่ที่รัฐบาลเท่านั้น แต่ยังถูกกำกับโดยกลุ่มบุคคลซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าเป็นชนชั้นนำของอเมริกา (Elites) พูดง่ายๆ ว่าเป็นพวกคนรวยผู้มีอิทธิพลในสังคมชั้นสูงนั่นแหละ บุคคลเหล่านี้เป็นผู้ควบคุมแนวความคิดของบรรดานักวิชาการ นักการเมือง นักธุรกิจ นักการเงินและสื่อ
    ผู้นำกลุ่มศูนย์อำนาจนี้ คือ ครอบครัว Rockefeller
    อิทธิพลของตระกูล Rockefeller มีสูงและครอบคลุมไปทั่วอย่างที่ในประวัติศาสตร์อเมริกา ยังไม่เคยมีตระกูลใดทำได้ถึงขนาดนี้ เขาใช้อะไรครอบอะไรคลุมล่ะ คนรวยเข้าใช้อะไรครอบขี้ข้า เงินไงล่ะ พี่น้อง แบบนี้เขาเรียกผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย หรือเปล่านะ (ฮา)
    ตระกูล Rockefeller ร่ำรวยมาจากธุรกิจน้ำมัน (ไม่ใช่ธุระกิจมือถือ ดาวเทียม นั่นมันเศรษฐีปลายแถว อย่ามาตีเสมอ) ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 จากบริษัท Standard Oil (ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น Exxon Mobil เมื่อประมาณ ปี ค.ศ. 1999) ของตระกูล ต่อมาก็ทำธุรกิจธนาคาร โดยเป็นเจ้าของธนาคาร Chase Manhattan ซึ่งเป็น 1 ในธนาคารใหญ่ระดับโลก และด้วยเงินมหาศาลของครอบครัว ตระกูลนี้ก็เริ่มเข้าไปทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อุตสาหกรรมการเกษตร และที่สำคัญได้เข้าไปมีอิทธิพลต่อนักการเมือง (ถึงว่าซิ มันต้องรวยจากน้ำมัน ถึงจะเจ๋งจริง)
    บริษัท Standard Oil ถือเป็น ผู้ครอบครองอาณาจักรธุรกิจน้ำมัน ระดับยักษ์ใหญ่จริง ๆ เป็นอาณาจักรที่ครอบครอง บ่อน้ำมันในประเทศ 20,000 แห่ง มีท่อส่งน้ำมันยาวถึง 4,000 ไมล์ รถขนส่งน้ำมัน 5,000 คัน และมีพนักงานมากกว่า 100,000 คน เป็นบริษัทที่ทำการกลั่นน้ำมัน จำนวน 80 – 90 % ของน้ำมันโลก ตลอดศตวรรษดังกล่าว
    ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตระกูล Rockefeller เกือบจะเป็นเจ้าของตึกส่วนใหญ่ใน New York City ซึ่งรวมถึง ตึก World Trade Centre Tower, Lincoln Centre, One Chase Manhattan Plaza และ Nelson A. Rockefeller Empire State Plaza
    นอกจากในวงการธุรกิจแล้ว ตระกูล Rockefeller ยังเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัย Chicago และมหาวิทยาลัย Philippines และเป็นผู้อุปถัมภ์ใหญ่ ให้แก่มหาวิทยาลัยชั้นนำในอเมริกา ที่เรียกว่า Ivy League ได้แก่
    – Harvard University
    – Dartmouth College
    – Princeton University
    – Standford University
    – Yale University
    – Massachusetts Institute of Technology (MIT)
    – Brown University
    – Columbia University
    – Cornell University
    etc.

    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เรื่องของคนโคตรรวย (1) นิทานเรื่ิิองจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ” ตอนที่ 4 : เรื่องของคนโคตรรวย (1) ช่วงปี ค.ศ. 1960 ศูนย์อำนาจของอเมริกาไม่ได้อยู่ที่รัฐบาลเท่านั้น แต่ยังถูกกำกับโดยกลุ่มบุคคลซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าเป็นชนชั้นนำของอเมริกา (Elites) พูดง่ายๆ ว่าเป็นพวกคนรวยผู้มีอิทธิพลในสังคมชั้นสูงนั่นแหละ บุคคลเหล่านี้เป็นผู้ควบคุมแนวความคิดของบรรดานักวิชาการ นักการเมือง นักธุรกิจ นักการเงินและสื่อ ผู้นำกลุ่มศูนย์อำนาจนี้ คือ ครอบครัว Rockefeller อิทธิพลของตระกูล Rockefeller มีสูงและครอบคลุมไปทั่วอย่างที่ในประวัติศาสตร์อเมริกา ยังไม่เคยมีตระกูลใดทำได้ถึงขนาดนี้ เขาใช้อะไรครอบอะไรคลุมล่ะ คนรวยเข้าใช้อะไรครอบขี้ข้า เงินไงล่ะ พี่น้อง แบบนี้เขาเรียกผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย หรือเปล่านะ (ฮา) ตระกูล Rockefeller ร่ำรวยมาจากธุรกิจน้ำมัน (ไม่ใช่ธุระกิจมือถือ ดาวเทียม นั่นมันเศรษฐีปลายแถว อย่ามาตีเสมอ) ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 จากบริษัท Standard Oil (ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น Exxon Mobil เมื่อประมาณ ปี ค.ศ. 1999) ของตระกูล ต่อมาก็ทำธุรกิจธนาคาร โดยเป็นเจ้าของธนาคาร Chase Manhattan ซึ่งเป็น 1 ในธนาคารใหญ่ระดับโลก และด้วยเงินมหาศาลของครอบครัว ตระกูลนี้ก็เริ่มเข้าไปทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อุตสาหกรรมการเกษตร และที่สำคัญได้เข้าไปมีอิทธิพลต่อนักการเมือง (ถึงว่าซิ มันต้องรวยจากน้ำมัน ถึงจะเจ๋งจริง) บริษัท Standard Oil ถือเป็น ผู้ครอบครองอาณาจักรธุรกิจน้ำมัน ระดับยักษ์ใหญ่จริง ๆ เป็นอาณาจักรที่ครอบครอง บ่อน้ำมันในประเทศ 20,000 แห่ง มีท่อส่งน้ำมันยาวถึง 4,000 ไมล์ รถขนส่งน้ำมัน 5,000 คัน และมีพนักงานมากกว่า 100,000 คน เป็นบริษัทที่ทำการกลั่นน้ำมัน จำนวน 80 – 90 % ของน้ำมันโลก ตลอดศตวรรษดังกล่าว ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตระกูล Rockefeller เกือบจะเป็นเจ้าของตึกส่วนใหญ่ใน New York City ซึ่งรวมถึง ตึก World Trade Centre Tower, Lincoln Centre, One Chase Manhattan Plaza และ Nelson A. Rockefeller Empire State Plaza นอกจากในวงการธุรกิจแล้ว ตระกูล Rockefeller ยังเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัย Chicago และมหาวิทยาลัย Philippines และเป็นผู้อุปถัมภ์ใหญ่ ให้แก่มหาวิทยาลัยชั้นนำในอเมริกา ที่เรียกว่า Ivy League ได้แก่ – Harvard University – Dartmouth College – Princeton University – Standford University – Yale University – Massachusetts Institute of Technology (MIT) – Brown University – Columbia University – Cornell University etc. คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่ิองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 2 : NSSM 200 เอกสารลับซุกลึก (1)
    เมื่อวันที่ 24 เมษายน ค.ศ.1974 นาย Henry Kissinger ได้มีหนังสือแจ้งไปยัง รมว.กลาโหม รมว. การเกษตร ผอ. สำนักงานข่าวกรอง (CIA) ผช.รมว. กลาโหม และผู้บริหารหน่วยงานพัฒนาด้านต่างประเทศ (AID) เกี่ยวกับผลกระทบต่อความมั่นคง และผลประโยชน์ของอเมริกาในต่างประเทศ เนื่องมาจากการเจริญเติบโตของประชากรโลก
    หนังสือดังกล่าวแจ้งว่า ประธานาธิบดี Nixon สั่งให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ ทำการศึกษาเรื่องดังกล่าว โดยใช้วิธีการประมาณการหลายๆ แบบ ในแต่ละแบบจะต้องมีการประเมินถึงอัตราการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะของประเทศที่ยากจน ความต้องการของอเมริกาเกี่ยวกับ การส่งออกสินค้าประเภทอาหาร ปัญหาเกี่ยวกับการค้า ที่อเมริกาอาจจะต้องเผชิญ เนื่องจากการแข่งขันด้านทรัพยากร และความเป็นไปได้ที่การเจริญเติบโตของประชากรดังกล่าวจะเป็นอุปสรรคกับ นโยบายต่างประเทศ และความไม่มั่นคงระหว่างประเทศ
    การศึกษาดังกล่าวจะต้องเสนอวิธีดำเนินการที่เป็นไปได้ สำหรับอเมริกาในการจัดการปัญหาเรื่องการเจริญเติบโตของประชากรโลก โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนา โดยต้องให้ความสำคัญ ในประเด็นต่อไปนี้ด้วย
    – อเมริกาจำเป็นต้องคิดวิธีการใหม่ ๆ หรือไม่ ในการจัดการกับปัญหาดังกล่าว
    – เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่คิดขึ้นมา เพื่อลดการเจริญเติบโต จะต้องได้ผลดีกว่าสภาพที่เป็นอยู่
    – อเมริกาจะให้ความช่วยเหลือในด้านนี้ ผ่านหน่วยงานใด และควรจะเป็นสนธิสัญญาแบบใด คู่สัญญา 2 ฝ่าย หลายฝ่าย หรือแบบลับเฉพาะ
    เขียนมาซะยาว สรุปสั้น ๆ ว่า อเมริกาเป็นห่วงว่า การที่ประเทศจนๆ จะมีอัตราการขยายตัวของพลเมืองเพิ่มสูงเกินไป จะมีผลกระทบกับทรัพยากรของประเทศนั้น และทำให้เป็นปัญหากับความไม่มั่นคงของอเมริกา
    เอะ! เรื่องมันก็ดูธรรมดาๆ ไม่เห็นมีอะไรน่าตื่นเต้นเลย แล้วจะมาเล่าให้เมื่อยมือคนเขียน เมื่อยตาคนอ่านทำไม
    เมื่อได้รับคำสั่งจากนาย Kissinger สภาความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกา (United States National Security) ก็รีบทำการศึกษาวิจัย กว่าจะเสร็จก็เป็นเวลาที่ประธานาธิบดี Nixon หลุดจากตำแหน่ง เพราะคดี Watergate ไปเสียแล้ว นาย Gerald Ford ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแทน มาถึงก็รีบรับไม้ต่อ เอาข้อเสนอตาม บันทึกลับ NSSM 200 ไปประกาศใช้เป็นนโยบายความมั่นคงของประเทศในปี ค.ศ. 1975 และให้อยู่ใต้การกำกับดูแลของนาย Kissinger ซึ่งก็ยังทำหน้าที่เป็น ครมว.ตปท. อยู่เหมือนเดิมร่วมกับนาย Brent Scowcroft (ซึ่งภายหลังได้มาเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประเทศแทนนาย Kissinger) และมี ผอ. CIA ชื่อ นาย George Bush (ตัวพ่อ) เป็นผู้ร่วมทีมกำกับการแสดงกับ รมว.การคลังรมว.กลาโหม และ รมว.การเกษตร
    ประเทศเป้าหมาย ที่อยู่ภายใต้การดำเนินการของ NSSM 200 มี 13 ประเทศ คือ อินเดีย บังคลาเทศ ปากีสถาน อินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ ตุรกี ไนจีเรีย อียิปต์ เอธิโอเปีย เมกซิโก โคลัมเบีย และบราซิล (ไง! เริ่มตาลุกขึ้นมาหน่อยละซี พอเห็นชื่อไทยแลนด์ สมันน้อยตื่นเร็ว!)
    อะไรทำให้นาย Kissinger คิดเรื่องนี้ เสนอนโยบายนี้ และในภายหลังได้กลายเป็นนโยบายระดับประเทศด้านความมั่นคงของอเมริกา อย่างปิดลับถึง 15 ปี และทำไมสมันน้อยถึงได้เข้ารอบไปอยู่ใน 13 ประเทศ กับเขาด้วย อ่านต่อไปน่าพี่น้อง ขืนบอกกันง่ายๆ เดี๋ยวคนอ่านหายหมด เดี๋ยวนี้กว่าจะได้คนอ่านนิทานไม่ง่ายนะ เขาไปร่วมไล่โจรกับลุงกำนันกันหมดแล้ว

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่ิองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 2 : NSSM 200 เอกสารลับซุกลึก (1) เมื่อวันที่ 24 เมษายน ค.ศ.1974 นาย Henry Kissinger ได้มีหนังสือแจ้งไปยัง รมว.กลาโหม รมว. การเกษตร ผอ. สำนักงานข่าวกรอง (CIA) ผช.รมว. กลาโหม และผู้บริหารหน่วยงานพัฒนาด้านต่างประเทศ (AID) เกี่ยวกับผลกระทบต่อความมั่นคง และผลประโยชน์ของอเมริกาในต่างประเทศ เนื่องมาจากการเจริญเติบโตของประชากรโลก หนังสือดังกล่าวแจ้งว่า ประธานาธิบดี Nixon สั่งให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ ทำการศึกษาเรื่องดังกล่าว โดยใช้วิธีการประมาณการหลายๆ แบบ ในแต่ละแบบจะต้องมีการประเมินถึงอัตราการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะของประเทศที่ยากจน ความต้องการของอเมริกาเกี่ยวกับ การส่งออกสินค้าประเภทอาหาร ปัญหาเกี่ยวกับการค้า ที่อเมริกาอาจจะต้องเผชิญ เนื่องจากการแข่งขันด้านทรัพยากร และความเป็นไปได้ที่การเจริญเติบโตของประชากรดังกล่าวจะเป็นอุปสรรคกับ นโยบายต่างประเทศ และความไม่มั่นคงระหว่างประเทศ การศึกษาดังกล่าวจะต้องเสนอวิธีดำเนินการที่เป็นไปได้ สำหรับอเมริกาในการจัดการปัญหาเรื่องการเจริญเติบโตของประชากรโลก โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนา โดยต้องให้ความสำคัญ ในประเด็นต่อไปนี้ด้วย – อเมริกาจำเป็นต้องคิดวิธีการใหม่ ๆ หรือไม่ ในการจัดการกับปัญหาดังกล่าว – เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่คิดขึ้นมา เพื่อลดการเจริญเติบโต จะต้องได้ผลดีกว่าสภาพที่เป็นอยู่ – อเมริกาจะให้ความช่วยเหลือในด้านนี้ ผ่านหน่วยงานใด และควรจะเป็นสนธิสัญญาแบบใด คู่สัญญา 2 ฝ่าย หลายฝ่าย หรือแบบลับเฉพาะ เขียนมาซะยาว สรุปสั้น ๆ ว่า อเมริกาเป็นห่วงว่า การที่ประเทศจนๆ จะมีอัตราการขยายตัวของพลเมืองเพิ่มสูงเกินไป จะมีผลกระทบกับทรัพยากรของประเทศนั้น และทำให้เป็นปัญหากับความไม่มั่นคงของอเมริกา เอะ! เรื่องมันก็ดูธรรมดาๆ ไม่เห็นมีอะไรน่าตื่นเต้นเลย แล้วจะมาเล่าให้เมื่อยมือคนเขียน เมื่อยตาคนอ่านทำไม เมื่อได้รับคำสั่งจากนาย Kissinger สภาความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกา (United States National Security) ก็รีบทำการศึกษาวิจัย กว่าจะเสร็จก็เป็นเวลาที่ประธานาธิบดี Nixon หลุดจากตำแหน่ง เพราะคดี Watergate ไปเสียแล้ว นาย Gerald Ford ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแทน มาถึงก็รีบรับไม้ต่อ เอาข้อเสนอตาม บันทึกลับ NSSM 200 ไปประกาศใช้เป็นนโยบายความมั่นคงของประเทศในปี ค.ศ. 1975 และให้อยู่ใต้การกำกับดูแลของนาย Kissinger ซึ่งก็ยังทำหน้าที่เป็น ครมว.ตปท. อยู่เหมือนเดิมร่วมกับนาย Brent Scowcroft (ซึ่งภายหลังได้มาเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประเทศแทนนาย Kissinger) และมี ผอ. CIA ชื่อ นาย George Bush (ตัวพ่อ) เป็นผู้ร่วมทีมกำกับการแสดงกับ รมว.การคลังรมว.กลาโหม และ รมว.การเกษตร ประเทศเป้าหมาย ที่อยู่ภายใต้การดำเนินการของ NSSM 200 มี 13 ประเทศ คือ อินเดีย บังคลาเทศ ปากีสถาน อินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ ตุรกี ไนจีเรีย อียิปต์ เอธิโอเปีย เมกซิโก โคลัมเบีย และบราซิล (ไง! เริ่มตาลุกขึ้นมาหน่อยละซี พอเห็นชื่อไทยแลนด์ สมันน้อยตื่นเร็ว!) อะไรทำให้นาย Kissinger คิดเรื่องนี้ เสนอนโยบายนี้ และในภายหลังได้กลายเป็นนโยบายระดับประเทศด้านความมั่นคงของอเมริกา อย่างปิดลับถึง 15 ปี และทำไมสมันน้อยถึงได้เข้ารอบไปอยู่ใน 13 ประเทศ กับเขาด้วย อ่านต่อไปน่าพี่น้อง ขืนบอกกันง่ายๆ เดี๋ยวคนอ่านหายหมด เดี๋ยวนี้กว่าจะได้คนอ่านนิทานไม่ง่ายนะ เขาไปร่วมไล่โจรกับลุงกำนันกันหมดแล้ว คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 1 : อำนาจทำให้คนมีเสน่ห์ ! ? !
    “Control Oil and you control nations;
control food and you control the people”
    “ควบคุมน้ำมันได้ คุณก็ควบคุมชาติต่าง ๆ ได้
ควบคุมอาหารได้ คุณก็ควบคุมประชาชนได้”
    เป็นคำพูดของนาย Henry Kissinger เมื่อช่วง ค.ศ. 1970 พูดมาเกือบ 50 ปีแล้ว แต่ดูเหมือนทิศทางการเมืองระหว่างประเทศจะเป็นไปตามที่นาย Kissinger พูด
    เรื่องบังเอิญหรือล็อกเป้า!
    งั้นมาทำความรู้จักนาย Kissinger กันหน่อย จะได้รู้ว่าเป็นคนขี้โม้ หมอดู หรือคนในรู้จริง
    นาย Kissinger มีชื่อเต็มว่า Henry Alfred Kissinger ตอนเกิดใช้ชื่อว่า Heinz Alfred Kissinger เป็นคนเยอรมัน อเมริกัน เกิดเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1923 ตอนนี้ก็อายุปาเข้าไป 90 ปี นอกจากยังไม่ตายและยังปากเปราะเหมือนเดิม นาย Kissinger เป็นคนตัวเตี้ย และห่างไกลกับคำว่าเป็นคนหน้าตาดี เขาแต่งงานแล้ว 2 ครั้ง ครั้งที่ 2 แต่งกับนาง Nancy ผู้หญิงซึ่งตัวสูงกว่าเขาประมาณเกือบ 1 ฟุต เมื่อสมัยที่นาย Kissinger เรืองอำนาจ นาง Nancy เองซึ่งก็ไม่ใช่คนสวยอะไร จะมีรูปปรากฎอยู่ในนิตยสาร Vogue นานาชาติอยู่เสมอ นิตยสารนี้ นอกจากจะมีแต่รูปนางแบบระดับโลกแล้ว ผู้ที่จะได้มีภาพลงในหนังสือนี้ ก็จะต้องเป็นบุคคลที่สมัยนี้เรียกว่า Celeb คนดังว่างั้นเถอะ ตัวผัวก็ไม่หล่อ คนเป็นเมียก็ไม่สวย แต่ทั้งคู่ดังระเบิด แถมตัวผัวยังมีข่าวเสมอทางด้านส่วนตัวว่าเป็นชายเจ้าชู้ ไม่เร่ขายชาติ แต่ชอบทำลายชาติคนอื่นมากกว่า !
    เมื่อนักข่าวถามว่า ได้ข่าวว่าท่านเจ้าชู้ มีสาวควงเปลี่ยนหน้าบ่อยๆ ท่านทำได้อย่างไรนะ ในเมื่อ ขอโทษ ท่านก็ไม่ใช่คนหล่อ นาย Kissinger ตอบว่า “อำนาจก็ทำให้คนมีเสน่ห์ได้นะ” ฮา
    นาย Kissinger มีอำนาจอย่างไร ถึงทำให้สาวๆ ยอมให้ควงบ่อยๆ แต่จะถึงขนาดจัดส่งขึ้นเครื่องบินไปร่วมร้องเพลงแก้เหงา หรือเปล่ารายงานข่าวไม่ได้บอก
    นาย Kissinger เริ่มทำงานในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประเทศ และต่อมาดำรงตำแหน่ง รมว.กระทรวงต่างประเทศ ในสมัยประธานาธิบดี Richard Nixon และเป็นต่อมาจนถึงสมัยประธานาธิบดี Gerald Ford พูดง่ายๆ เป็นคนสำคัญ ในการกำหนดทิศทางการเมืองของอเมริกาและแน่นอนของโลกด้วยในช่วงปี ค.ศ.1969 ถึง ค.ศ.1977
    ผลงานของนาย Kissinger ที่เด่นๆ ที่ประกาศอย่างเปิดเผยลงใน Google คือ การคลี่คลาย (detente) สงครามเย็นกับสหภาพโซเวียต การเริ่มสร้างสัมพันธ์กับจีน และเริ่มขบวนการเจรจาสันติภาพที่ปารีส ซึ่งเป็นผลให้ยุติสงครามเวียตนาม (ที่อเมริกาเป็นผู้ริเริ่มนั่นแหละ !) ผลงานนี้ ทำให้เขาได้รับรางวัล Nobel สาขาสันติภาพในปี ค.ศ.1973 คู่กับคู่กัด คือ นาย Le Duc Tho จากเวียตนามเหนือ แต่นาย Le Duc Tho ปฏิเสธที่จะรับรางวัล เขาเป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์ ที่ปฏิเสธรางวัล Nobel (เยี่ยม !)
    เป็นการให้รางวัล Nobel สาขาสันติภาพ ที่ติดอันดับ 1 ใน 5 แห่งความอื้อฉาว และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ เนื่องจากสัญญาสันติภาพของจริงกว่าจะได้ลงนาม ในปี ค.ศ. 1975 แต่ผู้เจรจาได้รับรางวัลล่วงหน้า เหมือนล็อตเตอรี่ยังไม่ออก แต่ประกาศแล้วว่าใครถูกรางวัลที่ 1 (เอ้า ตบมือให้ลูกน้องนักเล่นกลกันหน่อย)
    แต่ผลงานของนาย Kissinger ที่ไม่ได้เปิดเผย แต่อยากเล่าให้ฟังคือ “National Security Study Memorandum 200” หรือที่เรียกชื่อย่อว่า NSSM 200 ซึ่งได้จัดทำขึ้น ภายใต้การกำกับและอำนวยการสร้างโดยนาย Kissinger เอง สำเร็จเป็นเอกสารหนาเกือบ 200 หน้า เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1974
    เอกสารนี้เกี่ยวกับอะไรลึกลับซับซ้อนอะไรหนักหนา ถึงขนาดตีตราครั่งว่าจะเปิดเผยได้ โดยคำสั่งของ White House เท่านั้น เก็บแอบซ่อนไว้ 15 ปี สภาความมั่นคงของอเมริกาก็เพิ่งเอามาเปิดให้อ่านกัน เมื่อ ปี ค.ศ. 1989

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ” ตอนที่ 1 : อำนาจทำให้คนมีเสน่ห์ ! ? ! “Control Oil and you control nations;
control food and you control the people” “ควบคุมน้ำมันได้ คุณก็ควบคุมชาติต่าง ๆ ได้
ควบคุมอาหารได้ คุณก็ควบคุมประชาชนได้” เป็นคำพูดของนาย Henry Kissinger เมื่อช่วง ค.ศ. 1970 พูดมาเกือบ 50 ปีแล้ว แต่ดูเหมือนทิศทางการเมืองระหว่างประเทศจะเป็นไปตามที่นาย Kissinger พูด เรื่องบังเอิญหรือล็อกเป้า! งั้นมาทำความรู้จักนาย Kissinger กันหน่อย จะได้รู้ว่าเป็นคนขี้โม้ หมอดู หรือคนในรู้จริง นาย Kissinger มีชื่อเต็มว่า Henry Alfred Kissinger ตอนเกิดใช้ชื่อว่า Heinz Alfred Kissinger เป็นคนเยอรมัน อเมริกัน เกิดเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1923 ตอนนี้ก็อายุปาเข้าไป 90 ปี นอกจากยังไม่ตายและยังปากเปราะเหมือนเดิม นาย Kissinger เป็นคนตัวเตี้ย และห่างไกลกับคำว่าเป็นคนหน้าตาดี เขาแต่งงานแล้ว 2 ครั้ง ครั้งที่ 2 แต่งกับนาง Nancy ผู้หญิงซึ่งตัวสูงกว่าเขาประมาณเกือบ 1 ฟุต เมื่อสมัยที่นาย Kissinger เรืองอำนาจ นาง Nancy เองซึ่งก็ไม่ใช่คนสวยอะไร จะมีรูปปรากฎอยู่ในนิตยสาร Vogue นานาชาติอยู่เสมอ นิตยสารนี้ นอกจากจะมีแต่รูปนางแบบระดับโลกแล้ว ผู้ที่จะได้มีภาพลงในหนังสือนี้ ก็จะต้องเป็นบุคคลที่สมัยนี้เรียกว่า Celeb คนดังว่างั้นเถอะ ตัวผัวก็ไม่หล่อ คนเป็นเมียก็ไม่สวย แต่ทั้งคู่ดังระเบิด แถมตัวผัวยังมีข่าวเสมอทางด้านส่วนตัวว่าเป็นชายเจ้าชู้ ไม่เร่ขายชาติ แต่ชอบทำลายชาติคนอื่นมากกว่า ! เมื่อนักข่าวถามว่า ได้ข่าวว่าท่านเจ้าชู้ มีสาวควงเปลี่ยนหน้าบ่อยๆ ท่านทำได้อย่างไรนะ ในเมื่อ ขอโทษ ท่านก็ไม่ใช่คนหล่อ นาย Kissinger ตอบว่า “อำนาจก็ทำให้คนมีเสน่ห์ได้นะ” ฮา นาย Kissinger มีอำนาจอย่างไร ถึงทำให้สาวๆ ยอมให้ควงบ่อยๆ แต่จะถึงขนาดจัดส่งขึ้นเครื่องบินไปร่วมร้องเพลงแก้เหงา หรือเปล่ารายงานข่าวไม่ได้บอก นาย Kissinger เริ่มทำงานในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประเทศ และต่อมาดำรงตำแหน่ง รมว.กระทรวงต่างประเทศ ในสมัยประธานาธิบดี Richard Nixon และเป็นต่อมาจนถึงสมัยประธานาธิบดี Gerald Ford พูดง่ายๆ เป็นคนสำคัญ ในการกำหนดทิศทางการเมืองของอเมริกาและแน่นอนของโลกด้วยในช่วงปี ค.ศ.1969 ถึง ค.ศ.1977 ผลงานของนาย Kissinger ที่เด่นๆ ที่ประกาศอย่างเปิดเผยลงใน Google คือ การคลี่คลาย (detente) สงครามเย็นกับสหภาพโซเวียต การเริ่มสร้างสัมพันธ์กับจีน และเริ่มขบวนการเจรจาสันติภาพที่ปารีส ซึ่งเป็นผลให้ยุติสงครามเวียตนาม (ที่อเมริกาเป็นผู้ริเริ่มนั่นแหละ !) ผลงานนี้ ทำให้เขาได้รับรางวัล Nobel สาขาสันติภาพในปี ค.ศ.1973 คู่กับคู่กัด คือ นาย Le Duc Tho จากเวียตนามเหนือ แต่นาย Le Duc Tho ปฏิเสธที่จะรับรางวัล เขาเป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์ ที่ปฏิเสธรางวัล Nobel (เยี่ยม !) เป็นการให้รางวัล Nobel สาขาสันติภาพ ที่ติดอันดับ 1 ใน 5 แห่งความอื้อฉาว และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ เนื่องจากสัญญาสันติภาพของจริงกว่าจะได้ลงนาม ในปี ค.ศ. 1975 แต่ผู้เจรจาได้รับรางวัลล่วงหน้า เหมือนล็อตเตอรี่ยังไม่ออก แต่ประกาศแล้วว่าใครถูกรางวัลที่ 1 (เอ้า ตบมือให้ลูกน้องนักเล่นกลกันหน่อย) แต่ผลงานของนาย Kissinger ที่ไม่ได้เปิดเผย แต่อยากเล่าให้ฟังคือ “National Security Study Memorandum 200” หรือที่เรียกชื่อย่อว่า NSSM 200 ซึ่งได้จัดทำขึ้น ภายใต้การกำกับและอำนวยการสร้างโดยนาย Kissinger เอง สำเร็จเป็นเอกสารหนาเกือบ 200 หน้า เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1974 เอกสารนี้เกี่ยวกับอะไรลึกลับซับซ้อนอะไรหนักหนา ถึงขนาดตีตราครั่งว่าจะเปิดเผยได้ โดยคำสั่งของ White House เท่านั้น เก็บแอบซ่อนไว้ 15 ปี สภาความมั่นคงของอเมริกาก็เพิ่งเอามาเปิดให้อ่านกัน เมื่อ ปี ค.ศ. 1989 คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 239 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากสนาม AI: ลงทุนเป็นพันล้าน แต่ผลลัพธ์ยังไม่มา

    ลองนึกภาพบริษัททั่วโลกกำลังเทเงินมหาศาลลงในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้วยความหวังว่าจะได้ผลลัพธ์ที่เปลี่ยนเกม ทั้งลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับคล้ายกับ “Productivity Paradox” ที่เคยเกิดขึ้นในยุคคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเมื่อ 40 ปีก่อน—ลงทุนเยอะ แต่ผลผลิตไม่เพิ่มตามที่คาดไว้

    บริษัทต่าง ๆ ใช้ AI เพื่อช่วยงานหลังบ้าน เช่น การเงิน ทรัพยากรบุคคล และบริการลูกค้า แต่หลายโครงการกลับล้มเหลวเพราะปัญหาทางเทคนิคและ “ปัจจัยมนุษย์” เช่น พนักงานต่อต้าน ขาดทักษะ หรือไม่เข้าใจการใช้งาน

    แม้จะมีความคาดหวังสูงจากเทคโนโลยีอย่าง ChatGPT หรือระบบอัตโนมัติ แต่ผลตอบแทนที่แท้จริงยังไม่ปรากฏชัดในตัวเลขกำไรของบริษัทนอกวงการเทคโนโลยี บางบริษัทถึงกับยกเลิกโครงการนำร่องไปเกือบครึ่ง

    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า AI อาจเป็น “เทคโนโลยีทั่วไป” (General Purpose Technology) เหมือนกับไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ต ที่ต้องใช้เวลาหลายปีในการปรับตัวก่อนจะเห็นผลลัพธ์ที่แท้จริง

    การลงทุนใน AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
    บริษัททั่วโลกเทเงินกว่า 61.9 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 เพื่อพัฒนา AI
    อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ธนาคาร และค้าปลีกเป็นกลุ่มที่ลงทุนมากที่สุด
    บริษัทเทคโนโลยีอย่าง Microsoft, Google, Amazon และ Nvidia เป็นผู้ได้ประโยชน์หลักในตอนนี้

    ปรากฏการณ์ Productivity Paradox กลับมาอีกครั้ง
    แม้จะมีการใช้ AI อย่างแพร่หลาย แต่ผลผลิตทางเศรษฐกิจยังไม่เพิ่มขึ้น
    ปัญหาหลักคือการนำ AI ไปใช้งานจริงยังไม่แพร่หลาย และต้องการการปรับตัวในองค์กร

    ตัวอย่างบริษัทที่เริ่มใช้ AI อย่างจริงจัง
    USAA ใช้ AI ช่วยพนักงานบริการลูกค้า 16,000 คนในการตอบคำถาม
    แม้ยังไม่มีตัวเลขผลตอบแทนที่ชัดเจน แต่พนักงานตอบรับในทางบวก

    ความล้มเหลวของโครงการ AI นำร่อง
    42% ของบริษัทที่เริ่มโครงการ AI ต้องยกเลิกภายในปี 2024
    ปัญหาหลักมาจาก “ปัจจัยมนุษย์” เช่น ขาดทักษะหรือความเข้าใจ

    ความคาดหวังที่อาจเกินจริง
    Gartner คาดว่า AI กำลังเข้าสู่ “ช่วงแห่งความผิดหวัง” ก่อนจะฟื้นตัว
    CEO ของ Ford คาดว่า AI จะมาแทนที่พนักงานออฟฟิศครึ่งหนึ่งในสหรัฐฯ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/14/companies-are-pouring-billions-into-ai-it-has-yet-to-pay-off
    🎙️เรื่องเล่าจากสนาม AI: ลงทุนเป็นพันล้าน แต่ผลลัพธ์ยังไม่มา ลองนึกภาพบริษัททั่วโลกกำลังเทเงินมหาศาลลงในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้วยความหวังว่าจะได้ผลลัพธ์ที่เปลี่ยนเกม ทั้งลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับคล้ายกับ “Productivity Paradox” ที่เคยเกิดขึ้นในยุคคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเมื่อ 40 ปีก่อน—ลงทุนเยอะ แต่ผลผลิตไม่เพิ่มตามที่คาดไว้ บริษัทต่าง ๆ ใช้ AI เพื่อช่วยงานหลังบ้าน เช่น การเงิน ทรัพยากรบุคคล และบริการลูกค้า แต่หลายโครงการกลับล้มเหลวเพราะปัญหาทางเทคนิคและ “ปัจจัยมนุษย์” เช่น พนักงานต่อต้าน ขาดทักษะ หรือไม่เข้าใจการใช้งาน แม้จะมีความคาดหวังสูงจากเทคโนโลยีอย่าง ChatGPT หรือระบบอัตโนมัติ แต่ผลตอบแทนที่แท้จริงยังไม่ปรากฏชัดในตัวเลขกำไรของบริษัทนอกวงการเทคโนโลยี บางบริษัทถึงกับยกเลิกโครงการนำร่องไปเกือบครึ่ง อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า AI อาจเป็น “เทคโนโลยีทั่วไป” (General Purpose Technology) เหมือนกับไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ต ที่ต้องใช้เวลาหลายปีในการปรับตัวก่อนจะเห็นผลลัพธ์ที่แท้จริง ✅ การลงทุนใน AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ➡️ บริษัททั่วโลกเทเงินกว่า 61.9 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 เพื่อพัฒนา AI ➡️ อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ธนาคาร และค้าปลีกเป็นกลุ่มที่ลงทุนมากที่สุด ➡️ บริษัทเทคโนโลยีอย่าง Microsoft, Google, Amazon และ Nvidia เป็นผู้ได้ประโยชน์หลักในตอนนี้ ✅ ปรากฏการณ์ Productivity Paradox กลับมาอีกครั้ง ➡️ แม้จะมีการใช้ AI อย่างแพร่หลาย แต่ผลผลิตทางเศรษฐกิจยังไม่เพิ่มขึ้น ➡️ ปัญหาหลักคือการนำ AI ไปใช้งานจริงยังไม่แพร่หลาย และต้องการการปรับตัวในองค์กร ✅ ตัวอย่างบริษัทที่เริ่มใช้ AI อย่างจริงจัง ➡️ USAA ใช้ AI ช่วยพนักงานบริการลูกค้า 16,000 คนในการตอบคำถาม ➡️ แม้ยังไม่มีตัวเลขผลตอบแทนที่ชัดเจน แต่พนักงานตอบรับในทางบวก ‼️ ความล้มเหลวของโครงการ AI นำร่อง ⛔ 42% ของบริษัทที่เริ่มโครงการ AI ต้องยกเลิกภายในปี 2024 ⛔ ปัญหาหลักมาจาก “ปัจจัยมนุษย์” เช่น ขาดทักษะหรือความเข้าใจ ‼️ ความคาดหวังที่อาจเกินจริง ⛔ Gartner คาดว่า AI กำลังเข้าสู่ “ช่วงแห่งความผิดหวัง” ก่อนจะฟื้นตัว ⛔ CEO ของ Ford คาดว่า AI จะมาแทนที่พนักงานออฟฟิศครึ่งหนึ่งในสหรัฐฯ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/14/companies-are-pouring-billions-into-ai-it-has-yet-to-pay-off
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Companies are pouring billions into AI. It has yet to pay off.
    Corporate spending on artificial intelligence is surging as executives bank on major efficiency gains. So far, they report little effect to the bottom line.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 277 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Bolt กลับมาแล้ว—EV ราคาประหยัดที่อเมริกาต้องการ ในวันที่ตลาดกำลังชะลอตัว

    Chevrolet ประกาศรีดีไซน์ Bolt EV สำหรับปี 2027 โดยใช้พอร์ตชาร์จแบบ NACS (North American Charging Standard) ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกับ Tesla ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเครือข่าย Supercharger ได้โดยไม่ต้องใช้อะแดปเตอร์

    นอกจากดีไซน์ใหม่ที่ดูสปอร์ตขึ้นและไฟท้ายที่ปรับปรุงจากเสียงบ่นของผู้ใช้เดิม Bolt รุ่นใหม่ยังใช้แบตเตอรี่แบบ LFP (ลิเธียม-เหล็ก-ฟอสเฟต) ที่มีต้นทุนต่ำและอายุการใช้งานยาวนานกว่าเดิม

    ในขณะที่ Bolt กลับมาอย่างมั่นใจ Mercedes-Benz และ Porsche กลับต้องลดราคาหรือชะลอการส่งมอบ EV บางรุ่น เพราะยอดขายในอเมริกาชะลอตัว และผู้บริโภคยังมองว่า EV ส่วนใหญ่ “แพงเกินไป” โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับรายได้เฉลี่ย

    Chevrolet Bolt EV รุ่นใหม่จะเปิดตัวในปี 2027 พร้อมพอร์ตชาร์จแบบ NACS
    เป็น EV รุ่นแรกของ Chevy ที่ใช้พอร์ต Tesla โดยตรง
    เข้าถึงเครือข่าย Supercharger ได้ทันที

    ใช้แบตเตอรี่ LFP ที่มีต้นทุนต่ำและอายุการใช้งานยาวนาน
    ช่วยให้ราคาขายต่ำกว่า $30,000 ได้
    ยังไม่มีตัวเลขระยะทางวิ่งที่แน่นอน

    ดีไซน์ใหม่มีไฟหน้า LED แบบบาง, ล้ออัลลอยใหม่ และไฟท้ายที่ปรับปรุงจากเสียงผู้ใช้เดิม
    ดูสปอร์ตและทันสมัยขึ้น
    ยังใช้แพลตฟอร์ม BEV2 เดิมแต่ปรับปรุงภายใน

    Mercedes-Benz ลดราคาหลายรุ่นในกลุ่ม EQ และชะลอการส่งมอบบางรุ่นเพื่อควบคุมสต็อก
    สะท้อนความต้องการ EV ที่ลดลงในอเมริกา
    Porsche ก็ลดเป้าหมายรายได้จากผลกระทบของภาษีการค้า

    ตลาด EV ในอเมริกายังต้องการรถราคาประหยัดเพื่อกระตุ้นการใช้งานในวงกว้าง
    Nissan Leaf และ Hyundai Kona Electric ยังเป็นตัวเลือกที่เข้าถึงได้
    แต่หลายรุ่นยังมีราคาสูงกว่า $40,000

    NACS กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอเมริกา โดยผู้ผลิตหลายรายเริ่มเปลี่ยนมาใช้แทน CCS
    เช่น Ford, Hyundai, GM และ Rivian
    ช่วยให้เครือข่ายชาร์จมีความเป็นหนึ่งเดียว

    แบตเตอรี่ LFP มีข้อดีคือราคาถูกและปลอดภัย แต่มีพลังงานต่อหน่วยต่ำกว่า NMC
    เหมาะกับรถราคาประหยัดและใช้งานในเมือง
    ไม่เหมาะกับรถที่ต้องการระยะทางวิ่งไกลมาก

    ตลาด EV ในจีนมีรถราคาต่ำกว่า $10,000 ที่ขายดีมาก เช่น BYD Seagull
    สหรัฐฯ ยังไม่มีรถระดับนี้ในตลาด
    Bolt อาจเป็นตัวแทนของ EV ราคาประหยัดในอเมริกา

    Bolt รุ่นใหม่ยังไม่มีข้อมูลระยะทางวิ่งที่แน่นอนจากแบตเตอรี่ LFP
    อาจต่ำกว่าคู่แข่งที่ใช้แบตเตอรี่ NMC
    ต้องรอการทดสอบจริงก่อนตัดสินใจซื้อ

    การใช้แพลตฟอร์ม BEV2 เดิมอาจจำกัดการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ในระยะยาว
    ไม่รองรับระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับสูง
    อาจไม่ทันกับคู่แข่งที่ใช้แพลตฟอร์มใหม่ทั้งหมด

    การพึ่งพาพอร์ต NACS อาจทำให้ผู้ใช้ต้องปรับพฤติกรรมการชาร์จ หากเคยใช้ CCS มาก่อน
    ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์หรือพฤติกรรมการใช้งาน
    อาจเกิดความสับสนในช่วงเปลี่ยนผ่าน

    ตลาด EV ยังไม่แน่นอน โดยเฉพาะหากสิทธิ์ลดหย่อนภาษีหมดอายุในเดือนกันยายน
    อาจทำให้ราคาสุทธิของ Bolt สูงขึ้น
    ส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค

    https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/americas-cheapest-ev-is-making-a-comeback-with-a-new-chevrolet-bolt-as-mercedes-cuts-its-electric-car-prices
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Bolt กลับมาแล้ว—EV ราคาประหยัดที่อเมริกาต้องการ ในวันที่ตลาดกำลังชะลอตัว Chevrolet ประกาศรีดีไซน์ Bolt EV สำหรับปี 2027 โดยใช้พอร์ตชาร์จแบบ NACS (North American Charging Standard) ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกับ Tesla ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเครือข่าย Supercharger ได้โดยไม่ต้องใช้อะแดปเตอร์ นอกจากดีไซน์ใหม่ที่ดูสปอร์ตขึ้นและไฟท้ายที่ปรับปรุงจากเสียงบ่นของผู้ใช้เดิม Bolt รุ่นใหม่ยังใช้แบตเตอรี่แบบ LFP (ลิเธียม-เหล็ก-ฟอสเฟต) ที่มีต้นทุนต่ำและอายุการใช้งานยาวนานกว่าเดิม ในขณะที่ Bolt กลับมาอย่างมั่นใจ Mercedes-Benz และ Porsche กลับต้องลดราคาหรือชะลอการส่งมอบ EV บางรุ่น เพราะยอดขายในอเมริกาชะลอตัว และผู้บริโภคยังมองว่า EV ส่วนใหญ่ “แพงเกินไป” โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับรายได้เฉลี่ย ✅ Chevrolet Bolt EV รุ่นใหม่จะเปิดตัวในปี 2027 พร้อมพอร์ตชาร์จแบบ NACS ➡️ เป็น EV รุ่นแรกของ Chevy ที่ใช้พอร์ต Tesla โดยตรง ➡️ เข้าถึงเครือข่าย Supercharger ได้ทันที ✅ ใช้แบตเตอรี่ LFP ที่มีต้นทุนต่ำและอายุการใช้งานยาวนาน ➡️ ช่วยให้ราคาขายต่ำกว่า $30,000 ได้ ➡️ ยังไม่มีตัวเลขระยะทางวิ่งที่แน่นอน ✅ ดีไซน์ใหม่มีไฟหน้า LED แบบบาง, ล้ออัลลอยใหม่ และไฟท้ายที่ปรับปรุงจากเสียงผู้ใช้เดิม ➡️ ดูสปอร์ตและทันสมัยขึ้น ➡️ ยังใช้แพลตฟอร์ม BEV2 เดิมแต่ปรับปรุงภายใน ✅ Mercedes-Benz ลดราคาหลายรุ่นในกลุ่ม EQ และชะลอการส่งมอบบางรุ่นเพื่อควบคุมสต็อก ➡️ สะท้อนความต้องการ EV ที่ลดลงในอเมริกา ➡️ Porsche ก็ลดเป้าหมายรายได้จากผลกระทบของภาษีการค้า ✅ ตลาด EV ในอเมริกายังต้องการรถราคาประหยัดเพื่อกระตุ้นการใช้งานในวงกว้าง ➡️ Nissan Leaf และ Hyundai Kona Electric ยังเป็นตัวเลือกที่เข้าถึงได้ ➡️ แต่หลายรุ่นยังมีราคาสูงกว่า $40,000 ✅ NACS กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอเมริกา โดยผู้ผลิตหลายรายเริ่มเปลี่ยนมาใช้แทน CCS ➡️ เช่น Ford, Hyundai, GM และ Rivian ➡️ ช่วยให้เครือข่ายชาร์จมีความเป็นหนึ่งเดียว ✅ แบตเตอรี่ LFP มีข้อดีคือราคาถูกและปลอดภัย แต่มีพลังงานต่อหน่วยต่ำกว่า NMC ➡️ เหมาะกับรถราคาประหยัดและใช้งานในเมือง ➡️ ไม่เหมาะกับรถที่ต้องการระยะทางวิ่งไกลมาก ✅ ตลาด EV ในจีนมีรถราคาต่ำกว่า $10,000 ที่ขายดีมาก เช่น BYD Seagull ➡️ สหรัฐฯ ยังไม่มีรถระดับนี้ในตลาด ➡️ Bolt อาจเป็นตัวแทนของ EV ราคาประหยัดในอเมริกา ‼️ Bolt รุ่นใหม่ยังไม่มีข้อมูลระยะทางวิ่งที่แน่นอนจากแบตเตอรี่ LFP ⛔ อาจต่ำกว่าคู่แข่งที่ใช้แบตเตอรี่ NMC ⛔ ต้องรอการทดสอบจริงก่อนตัดสินใจซื้อ ‼️ การใช้แพลตฟอร์ม BEV2 เดิมอาจจำกัดการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ในระยะยาว ⛔ ไม่รองรับระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับสูง ⛔ อาจไม่ทันกับคู่แข่งที่ใช้แพลตฟอร์มใหม่ทั้งหมด ‼️ การพึ่งพาพอร์ต NACS อาจทำให้ผู้ใช้ต้องปรับพฤติกรรมการชาร์จ หากเคยใช้ CCS มาก่อน ⛔ ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์หรือพฤติกรรมการใช้งาน ⛔ อาจเกิดความสับสนในช่วงเปลี่ยนผ่าน ‼️ ตลาด EV ยังไม่แน่นอน โดยเฉพาะหากสิทธิ์ลดหย่อนภาษีหมดอายุในเดือนกันยายน ⛔ อาจทำให้ราคาสุทธิของ Bolt สูงขึ้น ⛔ ส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/americas-cheapest-ev-is-making-a-comeback-with-a-new-chevrolet-bolt-as-mercedes-cuts-its-electric-car-prices
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 271 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากงานแต่งที่ไม่ใช่แค่เรื่องรัก: เมื่อลูกสาว Steve Jobs จัดงานแต่งที่สะท้อนทั้ง Silicon Valley และความหรูหราแบบอังกฤษ

    Eve Jobs วัย 27 ปี แม้จะเป็นทายาทของบุคคลที่เปลี่ยนโลกเทคโนโลยี แต่เธอเลือกเดินเส้นทางของตัวเองในวงการแฟชั่น และหลีกเลี่ยงการใช้ชื่อเสียงของพ่อเพื่อเข้าสู่วงการไอที

    งานแต่งของเธอกับ Harry Charles นักกีฬาขี่ม้าทีมชาติอังกฤษ จะจัดขึ้นใน Oxfordshire ประเทศอังกฤษ โดยมี:
    - งบประมาณกว่า $6.7 ล้าน
    - ผู้จัดงานคือ Stanlee Gatti นักออกแบบงานอีเวนต์ชื่อดังจากแคลิฟอร์เนีย
    - คาดว่าจะมีการตกแต่งด้วยดอกไม้ immersive, สวนเทียน, และบรรยากาศแบบเทพนิยาย

    แขกที่ได้รับเชิญ ได้แก่:
    - Elton John (แสดงสด)
    - Kamala Harris (อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ)
    - เจ้าหญิง Beatrice
    - Jessica Springsteen
    - Jennifer และ Phoebe Gates
    - Matt Helders (Arctic Monkeys)

    แม้หลายคนจะคิดว่า Eve ใช้เงินจากมรดกของ Steve Jobs แต่ Laurene Powell Jobs แม่ของเธอเคยประกาศชัดว่าไม่เชื่อใน “การส่งต่อความมั่งคั่ง” และจะใช้ทรัพย์สินเพื่อสนับสนุนงานการกุศลแทน

    งานแต่งนี้จึงสะท้อนว่า Eve กำลัง “นิยามใหม่” ของการสืบทอดชื่อ Jobs — ไม่ใช่ด้วยเทคโนโลยี แต่ด้วยความคิดสร้างสรรค์และความสง่างามในแบบของเธอเอง

    https://wccftech.com/steve-jobs-daughter-to-host-6-7m-high-profile-tech-wedding-elton-john-performing-kamala-harris-attending-and-oxfordshire-bracing-for-a-star-studded-affair/
    🎙️ เรื่องเล่าจากงานแต่งที่ไม่ใช่แค่เรื่องรัก: เมื่อลูกสาว Steve Jobs จัดงานแต่งที่สะท้อนทั้ง Silicon Valley และความหรูหราแบบอังกฤษ Eve Jobs วัย 27 ปี แม้จะเป็นทายาทของบุคคลที่เปลี่ยนโลกเทคโนโลยี แต่เธอเลือกเดินเส้นทางของตัวเองในวงการแฟชั่น และหลีกเลี่ยงการใช้ชื่อเสียงของพ่อเพื่อเข้าสู่วงการไอที งานแต่งของเธอกับ Harry Charles นักกีฬาขี่ม้าทีมชาติอังกฤษ จะจัดขึ้นใน Oxfordshire ประเทศอังกฤษ โดยมี: - งบประมาณกว่า $6.7 ล้าน - ผู้จัดงานคือ Stanlee Gatti นักออกแบบงานอีเวนต์ชื่อดังจากแคลิฟอร์เนีย - คาดว่าจะมีการตกแต่งด้วยดอกไม้ immersive, สวนเทียน, และบรรยากาศแบบเทพนิยาย แขกที่ได้รับเชิญ ได้แก่: - Elton John (แสดงสด) - Kamala Harris (อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ) - เจ้าหญิง Beatrice - Jessica Springsteen - Jennifer และ Phoebe Gates - Matt Helders (Arctic Monkeys) แม้หลายคนจะคิดว่า Eve ใช้เงินจากมรดกของ Steve Jobs แต่ Laurene Powell Jobs แม่ของเธอเคยประกาศชัดว่าไม่เชื่อใน “การส่งต่อความมั่งคั่ง” และจะใช้ทรัพย์สินเพื่อสนับสนุนงานการกุศลแทน งานแต่งนี้จึงสะท้อนว่า Eve กำลัง “นิยามใหม่” ของการสืบทอดชื่อ Jobs — ไม่ใช่ด้วยเทคโนโลยี แต่ด้วยความคิดสร้างสรรค์และความสง่างามในแบบของเธอเอง https://wccftech.com/steve-jobs-daughter-to-host-6-7m-high-profile-tech-wedding-elton-john-performing-kamala-harris-attending-and-oxfordshire-bracing-for-a-star-studded-affair/
    WCCFTECH.COM
    Steve Jobs’ Daughter To Host $6.7M High-Profile Tech Wedding - Elton John Performing, Kamala Harris Attending, And Oxfordshire Bracing For A Star-Studded Affair
    Eve Jobs, daughter of Apple's co-founder Steve Jobs is grabbing headlines for tying the knot in rather lavish wedding affair
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 265 มุมมอง 0 รีวิว
  • Every day, millions of people across India eagerly await the results of Lottery Sambad, hoping for a lucky break that could change their lives. Especially popular in states like Nagaland, West Bengal, and Sikkim, this government-authorized lottery has become more than just a game — it’s a symbol of hope for many.

    With three daily draws at 1 PM, 6 PM, and 8 PM, Lottery Sambad offers multiple chances to win. Tickets are affordable, often priced at just a few rupees, making it accessible to people from all walks of life. For many, buying a ticket is a small gesture of belief — a chance to dream big.
    https://sambadlottery.co/
    Winners can take home anything from a few hundred rupees to a life-changing sum of ₹1 crore. The results are published online and in newspapers, and for some, checking them becomes a daily ritual.

    While the thrill of winning is exciting, it's important to play responsibly. After all, the heart of Lottery Sambad lies in the joy of dreaming — and the hope that tomorrow might just be your lucky day.
    Every day, millions of people across India eagerly await the results of Lottery Sambad, hoping for a lucky break that could change their lives. Especially popular in states like Nagaland, West Bengal, and Sikkim, this government-authorized lottery has become more than just a game — it’s a symbol of hope for many. With three daily draws at 1 PM, 6 PM, and 8 PM, Lottery Sambad offers multiple chances to win. Tickets are affordable, often priced at just a few rupees, making it accessible to people from all walks of life. For many, buying a ticket is a small gesture of belief — a chance to dream big. https://sambadlottery.co/ Winners can take home anything from a few hundred rupees to a life-changing sum of ₹1 crore. The results are published online and in newspapers, and for some, checking them becomes a daily ritual. While the thrill of winning is exciting, it's important to play responsibly. After all, the heart of Lottery Sambad lies in the joy of dreaming — and the hope that tomorrow might just be your lucky day.
    SAMBADLOTTERY.CO
    Lottery Sambad Today Result
    Welcome to sambadLottery.co, the best place to see and download Lottery Sambad today result in various formats including PDF and Image. We provide fastest
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 338 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยจาก Oxford และ Lisbon ได้ใช้ซอฟต์แวร์ OSIRIS รันการจำลอง 3D แบบเรียลไทม์ เพื่อศึกษาว่าเลเซอร์พลังสูงมีผลต่อ “สุญญากาศควอนตัม” อย่างไร ซึ่งจริง ๆ แล้วสุญญากาศไม่ได้ว่างเปล่า แต่เต็มไปด้วยอนุภาคเสมือน เช่น อิเล็กตรอน-โพซิตรอน ที่เกิดและดับในช่วงเวลาสั้น ๆ

    เมื่อยิงเลเซอร์สามชุดเข้าไปในสุญญากาศ จะเกิดปรากฏการณ์ “vacuum four-wave mixing” ซึ่งทำให้โฟตอนกระเด้งใส่กันและสร้างลำแสงที่สี่ขึ้นมา—เหมือนแสงเกิดจากความว่างเปล่า

    นี่ไม่ใช่แค่การจำลองเพื่อความรู้ แต่เป็นก้าวสำคัญในการยืนยันปรากฏการณ์ควอนตัมที่เคยเป็นแค่ทฤษฎี โดยใช้เลเซอร์ระดับ Petawatt ที่กำลังถูกติดตั้งทั่วโลก เช่น Vulcan 20-20 (UK), ELI (EU), SHINE และ SEL (จีน), OPAL (สหรัฐฯ)

    ทีมงานยังใช้ตัวแก้สมการแบบกึ่งคลาสสิกจาก Heisenberg-Euler Lagrangian เพื่อจำลองผลกระทบของสุญญากาศต่อแสง เช่น vacuum birefringence (การแยกแสงในสนามแม่เหล็กแรงสูง)

    ผลการจำลองตรงกับทฤษฎีเดิม และยังเผยรายละเอียดใหม่ เช่น รูปร่างของลำแสงที่เบี้ยวเล็กน้อย (astigmatism) และระยะเวลาการเกิดปฏิกิริยา

    นอกจากยืนยันทฤษฎีควอนตัมแล้ว เครื่องมือนี้ยังอาจช่วยค้นหาอนุภาคใหม่ เช่น axions และ millicharged particles ซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยว่าอาจเป็น “สสารมืด” ที่ยังไม่มีใครเห็น

    ข้อมูลจากข่าว
    - นักวิจัย Oxford และ Lisbon สร้างแสงจากสุญญากาศโดยใช้เลเซอร์พลังสูง
    - ใช้ปรากฏการณ์ vacuum four-wave mixing ที่โฟตอนกระเด้งใส่กัน
    - สุญญากาศควอนตัมเต็มไปด้วยอนุภาคเสมือนที่เกิดและดับตลอดเวลา
    - ใช้ซอฟต์แวร์ OSIRIS และตัวแก้สมการ Heisenberg-Euler Lagrangian
    - ผลการจำลองตรงกับทฤษฎี vacuum birefringence และเผยรายละเอียดใหม่
    - เลเซอร์ระดับ Petawatt เช่น Vulcan, ELI, SHINE, OPAL จะช่วยทดสอบทฤษฎีนี้ในโลกจริง
    - อาจช่วยค้นหาอนุภาคใหม่ เช่น axions และ millicharged particles ที่เกี่ยวข้องกับสสารมืด

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - ปรากฏการณ์นี้ยังอยู่ในขั้นจำลอง ต้องรอการทดลองจริงจากเลเซอร์ระดับ Petawatt
    - การสร้างแสงจากสุญญากาศต้องใช้พลังงานมหาศาลและเทคโนโลยีขั้นสูง
    - การค้นหาอนุภาคใหม่ยังไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ ต้องใช้เวลาและการตรวจสอบซ้ำ
    - การเข้าใจสุญญากาศควอนตัมต้องใช้ฟิสิกส์ระดับสูง ซึ่งอาจยังไม่เข้าถึงได้สำหรับผู้ทั่วไป
    - หากทฤษฎีนี้ถูกยืนยัน อาจต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของแสงและสุญญากาศ

    https://www.neowin.net/news/oxford-scientists-create-light-from-darkness-and-no-its-not-magic/
    นักวิจัยจาก Oxford และ Lisbon ได้ใช้ซอฟต์แวร์ OSIRIS รันการจำลอง 3D แบบเรียลไทม์ เพื่อศึกษาว่าเลเซอร์พลังสูงมีผลต่อ “สุญญากาศควอนตัม” อย่างไร ซึ่งจริง ๆ แล้วสุญญากาศไม่ได้ว่างเปล่า แต่เต็มไปด้วยอนุภาคเสมือน เช่น อิเล็กตรอน-โพซิตรอน ที่เกิดและดับในช่วงเวลาสั้น ๆ เมื่อยิงเลเซอร์สามชุดเข้าไปในสุญญากาศ จะเกิดปรากฏการณ์ “vacuum four-wave mixing” ซึ่งทำให้โฟตอนกระเด้งใส่กันและสร้างลำแสงที่สี่ขึ้นมา—เหมือนแสงเกิดจากความว่างเปล่า นี่ไม่ใช่แค่การจำลองเพื่อความรู้ แต่เป็นก้าวสำคัญในการยืนยันปรากฏการณ์ควอนตัมที่เคยเป็นแค่ทฤษฎี โดยใช้เลเซอร์ระดับ Petawatt ที่กำลังถูกติดตั้งทั่วโลก เช่น Vulcan 20-20 (UK), ELI (EU), SHINE และ SEL (จีน), OPAL (สหรัฐฯ) ทีมงานยังใช้ตัวแก้สมการแบบกึ่งคลาสสิกจาก Heisenberg-Euler Lagrangian เพื่อจำลองผลกระทบของสุญญากาศต่อแสง เช่น vacuum birefringence (การแยกแสงในสนามแม่เหล็กแรงสูง) ผลการจำลองตรงกับทฤษฎีเดิม และยังเผยรายละเอียดใหม่ เช่น รูปร่างของลำแสงที่เบี้ยวเล็กน้อย (astigmatism) และระยะเวลาการเกิดปฏิกิริยา นอกจากยืนยันทฤษฎีควอนตัมแล้ว เครื่องมือนี้ยังอาจช่วยค้นหาอนุภาคใหม่ เช่น axions และ millicharged particles ซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยว่าอาจเป็น “สสารมืด” ที่ยังไม่มีใครเห็น ✅ ข้อมูลจากข่าว - นักวิจัย Oxford และ Lisbon สร้างแสงจากสุญญากาศโดยใช้เลเซอร์พลังสูง - ใช้ปรากฏการณ์ vacuum four-wave mixing ที่โฟตอนกระเด้งใส่กัน - สุญญากาศควอนตัมเต็มไปด้วยอนุภาคเสมือนที่เกิดและดับตลอดเวลา - ใช้ซอฟต์แวร์ OSIRIS และตัวแก้สมการ Heisenberg-Euler Lagrangian - ผลการจำลองตรงกับทฤษฎี vacuum birefringence และเผยรายละเอียดใหม่ - เลเซอร์ระดับ Petawatt เช่น Vulcan, ELI, SHINE, OPAL จะช่วยทดสอบทฤษฎีนี้ในโลกจริง - อาจช่วยค้นหาอนุภาคใหม่ เช่น axions และ millicharged particles ที่เกี่ยวข้องกับสสารมืด ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - ปรากฏการณ์นี้ยังอยู่ในขั้นจำลอง ต้องรอการทดลองจริงจากเลเซอร์ระดับ Petawatt - การสร้างแสงจากสุญญากาศต้องใช้พลังงานมหาศาลและเทคโนโลยีขั้นสูง - การค้นหาอนุภาคใหม่ยังไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ ต้องใช้เวลาและการตรวจสอบซ้ำ - การเข้าใจสุญญากาศควอนตัมต้องใช้ฟิสิกส์ระดับสูง ซึ่งอาจยังไม่เข้าถึงได้สำหรับผู้ทั่วไป - หากทฤษฎีนี้ถูกยืนยัน อาจต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของแสงและสุญญากาศ https://www.neowin.net/news/oxford-scientists-create-light-from-darkness-and-no-its-not-magic/
    WWW.NEOWIN.NET
    Oxford scientists create light from "darkness" and no it's not magic
    Scientists over at the University of Oxford have managed to generate light out of "darkness" and there is no magic involved here, just pure science.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 268 มุมมอง 0 รีวิว
  • MIPS จากตำนาน RISC สู่การเริ่มต้นใหม่ในอ้อมแขนของ GlobalFoundries

    ย้อนกลับไปในยุค 1980s MIPS คือหนึ่งในผู้บุกเบิกสถาปัตยกรรม RISC (Reduced Instruction Set Computing) โดยมี John Hennessy จาก Stanford เป็นผู้ร่วมออกแบบ และเปิดตัว CPU รุ่นแรกคือ R2000 ซึ่งมีเพียง 110,000 ทรานซิสเตอร์ แต่สามารถทำงานได้เร็วถึง 15MHz

    MIPS เคยเป็นคู่แข่งของ Intel และ Arm และมีบทบาทสำคัญในอุปกรณ์ระดับสูง เช่น:
    - Workstation ของ Silicon Graphics
    - เครื่องเล่นเกม Sony PlayStation รุ่นแรก
    - ยานสำรวจอวกาศ New Horizons ของ NASA

    แต่หลังจากนั้น MIPS ก็เปลี่ยนมือหลายครั้ง—ผ่าน Silicon Graphics, Imagination Technologies, Tallwood Ventures และ Wave Computing ก่อนจะล้มละลายและกลับมาอีกครั้งในปี 2020 โดยหันไปใช้สถาปัตยกรรม RISC-V แบบโอเพนซอร์ส

    แม้จะเปิดตัวซีรีส์ eVocore และ Atlas Explorer เพื่อเจาะตลาด AI และ edge computing แต่ก็ไม่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมได้มากนัก จนล่าสุด GlobalFoundries เข้าซื้อกิจการ และจะให้ MIPS ดำเนินงานเป็นหน่วยธุรกิจอิสระที่เน้น AI, อุตสาหกรรม และระบบอัตโนมัติ

    ข้อมูลจากข่าว
    - MIPS เคยเป็นผู้นำด้าน RISC และอยู่เบื้องหลัง PlayStation รุ่นแรกและภารกิจของ NASA
    - เปิดตัว CPU รุ่นแรก R2000 ในปี 1986 และ R3000 ในปี 1988
    - ถูกซื้อโดย GlobalFoundries ซึ่งเคยเป็นโรงงานผลิตชิปของ AMD
    - MIPS จะดำเนินงานเป็นหน่วยธุรกิจอิสระภายใต้ GlobalFoundries
    - เป้าหมายใหม่คือ AI, ระบบอัตโนมัติ และ edge computing
    - เคยเปลี่ยนมาใช้ RISC-V architecture เพื่อกลับเข้าสู่ตลาด
    - CEO ของ MIPS มองว่าการเข้าร่วม GlobalFoundries คือ “การเริ่มต้นบทใหม่ที่กล้าหาญ”

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - แม้จะมีประวัติยิ่งใหญ่ แต่ MIPS ยังไม่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมในตลาด AI ได้จริง
    - การเปลี่ยนมือบ่อยครั้งสะท้อนถึงความไม่มั่นคงของโมเดลธุรกิจ
    - RISC-V แม้จะเป็นมาตรฐานเปิด แต่ยังมีความไม่แน่นอนในด้าน ecosystem และการสนับสนุนเชิงพาณิชย์
    - การพึ่งพา GlobalFoundries อาจทำให้ MIPS ต้องปรับตัวตามกลยุทธ์ของบริษัทแม่
    - ผู้พัฒนาและองค์กรที่ใช้ IP ของ MIPS ควรติดตามการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินผลกระทบในระยะยาว

    https://www.techradar.com/pro/arms-legendary-rival-was-in-the-original-playstation-now-in-a-twist-of-fate-mips-has-been-sold-to-amds-former-foundry
    MIPS จากตำนาน RISC สู่การเริ่มต้นใหม่ในอ้อมแขนของ GlobalFoundries ย้อนกลับไปในยุค 1980s MIPS คือหนึ่งในผู้บุกเบิกสถาปัตยกรรม RISC (Reduced Instruction Set Computing) โดยมี John Hennessy จาก Stanford เป็นผู้ร่วมออกแบบ และเปิดตัว CPU รุ่นแรกคือ R2000 ซึ่งมีเพียง 110,000 ทรานซิสเตอร์ แต่สามารถทำงานได้เร็วถึง 15MHz MIPS เคยเป็นคู่แข่งของ Intel และ Arm และมีบทบาทสำคัญในอุปกรณ์ระดับสูง เช่น: - Workstation ของ Silicon Graphics - เครื่องเล่นเกม Sony PlayStation รุ่นแรก - ยานสำรวจอวกาศ New Horizons ของ NASA แต่หลังจากนั้น MIPS ก็เปลี่ยนมือหลายครั้ง—ผ่าน Silicon Graphics, Imagination Technologies, Tallwood Ventures และ Wave Computing ก่อนจะล้มละลายและกลับมาอีกครั้งในปี 2020 โดยหันไปใช้สถาปัตยกรรม RISC-V แบบโอเพนซอร์ส แม้จะเปิดตัวซีรีส์ eVocore และ Atlas Explorer เพื่อเจาะตลาด AI และ edge computing แต่ก็ไม่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมได้มากนัก จนล่าสุด GlobalFoundries เข้าซื้อกิจการ และจะให้ MIPS ดำเนินงานเป็นหน่วยธุรกิจอิสระที่เน้น AI, อุตสาหกรรม และระบบอัตโนมัติ ✅ ข้อมูลจากข่าว - MIPS เคยเป็นผู้นำด้าน RISC และอยู่เบื้องหลัง PlayStation รุ่นแรกและภารกิจของ NASA - เปิดตัว CPU รุ่นแรก R2000 ในปี 1986 และ R3000 ในปี 1988 - ถูกซื้อโดย GlobalFoundries ซึ่งเคยเป็นโรงงานผลิตชิปของ AMD - MIPS จะดำเนินงานเป็นหน่วยธุรกิจอิสระภายใต้ GlobalFoundries - เป้าหมายใหม่คือ AI, ระบบอัตโนมัติ และ edge computing - เคยเปลี่ยนมาใช้ RISC-V architecture เพื่อกลับเข้าสู่ตลาด - CEO ของ MIPS มองว่าการเข้าร่วม GlobalFoundries คือ “การเริ่มต้นบทใหม่ที่กล้าหาญ” ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - แม้จะมีประวัติยิ่งใหญ่ แต่ MIPS ยังไม่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมในตลาด AI ได้จริง - การเปลี่ยนมือบ่อยครั้งสะท้อนถึงความไม่มั่นคงของโมเดลธุรกิจ - RISC-V แม้จะเป็นมาตรฐานเปิด แต่ยังมีความไม่แน่นอนในด้าน ecosystem และการสนับสนุนเชิงพาณิชย์ - การพึ่งพา GlobalFoundries อาจทำให้ MIPS ต้องปรับตัวตามกลยุทธ์ของบริษัทแม่ - ผู้พัฒนาและองค์กรที่ใช้ IP ของ MIPS ควรติดตามการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินผลกระทบในระยะยาว https://www.techradar.com/pro/arms-legendary-rival-was-in-the-original-playstation-now-in-a-twist-of-fate-mips-has-been-sold-to-amds-former-foundry
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 407 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลองจินตนาการว่า...ทั่วโลกมีคลื่นแผ่นดินไหวขนาดเบา ๆ เด้งทุก 90 วินาที แบบนาฬิกาเดินตรงนานหลายวัน → มันเกิดขึ้นจริงในเดือนกันยายน 2023 และเกิดซ้ำอีกครั้งในอีก 1 เดือนต่อมา → โดยไม่มีแผ่นดินไหว, ไม่มีระเบิด, ไม่มีภูเขาไฟ — แต่เกิด “สัญญาณแผ่นดินไหว” (seismic wave) ทุก ๆ 90 วินาที บนความถี่ 10.88 mHz

    นักวิทยาศาสตร์งงอยู่นาน จนทีมจากอ็อกซ์ฟอร์ดนำข้อมูลจากดาวเทียม SWOT ซึ่งใช้เลเซอร์ราดาร์สแกนความสูงของผิวน้ำแบบละเอียด → พบว่ามี “คลื่นสะท้อน” (seiche) ขนาดใหญ่ใน Dickson Fjord ที่อยู่ฝั่งตะวันออกของกรีนแลนด์ → คลื่นนี้เกิดจาก “ดินถล่มขนาดยักษ์ในฟยอร์ด” ที่ทำให้เกิด “คลื่นสึนามิสองระลอก” ติดกัน → เมื่อคลื่นติดอยู่ในพื้นที่แคบแบบฟยอร์ด มันสะท้อนกลับไป–มา สร้างแรงกดบนเปลือกโลกจนเป็นคลื่นแผ่นดินไหวเบา ๆ ไปทั่วโลก!

    ทีมงานใช้เทคนิค Machine Learning แบบเบย์ (Bayesian ML) ผนวกกับข้อมูลแรงสั่นสะเทือนทั่วโลก → คำนวณได้ว่าคลื่นสึนามิต้นทางน่าจะสูงถึง 7.9 เมตร → นี่คือครั้งแรกที่มนุษย์สามารถ “จับภาพ–วิเคราะห์–ยืนยัน” ปรากฏการณ์ seiche ระดับสั่นสะเทือนโลกได้สำเร็จ → และยังแสดงให้เห็นว่า “ภาวะโลกร้อน” ทำให้เกิดสิ่งแปลกใหม่ในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งการวัดแบบดั้งเดิมเข้าไม่ถึง

    โลกเกิดแรงสั่นสะเทือนซ้ำ ๆ ทุก 90 วินาที นาน 9 วันใน ก.ย. 2023 และอีกครั้งใน ต.ค.  
    • เกิดแรงแผ่นดินไหวเบา ๆ ความถี่ 10.88 mHz ทั่วโลก  
    • สัญญาณตรวจพบทั่วทั้งโครงข่ายเซนเซอร์โลก

    ทีมมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดพบว่าเกิดจาก “seiche” คลื่นน้ำสะท้อนใน Dickson Fjord, Greenland  
    • สาเหตุคือดินถล่มขนาดยักษ์ ทำให้เกิดสึนามิ 2 ลูก  
    • คลื่นวิ่งไปมาภายในฟยอร์ด → สร้างแรงกดจนเกิดคลื่นแผ่นดินไหว

    ใช้ดาวเทียม SWOT ที่มีระบบ KaRIn radar วัดระดับน้ำแบบละเอียดในพื้นที่กว้างถึง 50 กม.  
    • พบว่าพื้นน้ำในฟยอร์ดมีความเอียงเปลี่ยนทิศอย่างชัดเจน (สูงสุด 2 เมตร)  
    • พิสูจน์ว่าคลื่นสะท้อนแบบ seiche เกิดขึ้นจริง

    ยืนยันด้วยข้อมูลลม–น้ำขึ้นน้ำลง และการเคลื่อนไหวเปลือกโลกขนาดเล็กจากจุดไกลหลายพันกิโลเมตร

    ทีมวิจัยใช้ Bayesian ML ช่วยประเมินขนาดคลื่นต้นเหตุ ~7.9 เมตร

    ถือเป็นการใช้เทคโนโลยีดาวเทียมรุ่นใหม่ + เทคนิคข้อมูลขั้นสูงเพื่อไขปริศนาธรณีวิทยา

    https://www.neowin.net/news/oxford-explains-what-made-earth-shake-every-90-seconds-over-nine-days-in-2023/
    ลองจินตนาการว่า...ทั่วโลกมีคลื่นแผ่นดินไหวขนาดเบา ๆ เด้งทุก 90 วินาที แบบนาฬิกาเดินตรงนานหลายวัน → มันเกิดขึ้นจริงในเดือนกันยายน 2023 และเกิดซ้ำอีกครั้งในอีก 1 เดือนต่อมา → โดยไม่มีแผ่นดินไหว, ไม่มีระเบิด, ไม่มีภูเขาไฟ — แต่เกิด “สัญญาณแผ่นดินไหว” (seismic wave) ทุก ๆ 90 วินาที บนความถี่ 10.88 mHz นักวิทยาศาสตร์งงอยู่นาน จนทีมจากอ็อกซ์ฟอร์ดนำข้อมูลจากดาวเทียม SWOT ซึ่งใช้เลเซอร์ราดาร์สแกนความสูงของผิวน้ำแบบละเอียด → พบว่ามี “คลื่นสะท้อน” (seiche) ขนาดใหญ่ใน Dickson Fjord ที่อยู่ฝั่งตะวันออกของกรีนแลนด์ → คลื่นนี้เกิดจาก “ดินถล่มขนาดยักษ์ในฟยอร์ด” ที่ทำให้เกิด “คลื่นสึนามิสองระลอก” ติดกัน → เมื่อคลื่นติดอยู่ในพื้นที่แคบแบบฟยอร์ด มันสะท้อนกลับไป–มา สร้างแรงกดบนเปลือกโลกจนเป็นคลื่นแผ่นดินไหวเบา ๆ ไปทั่วโลก! ทีมงานใช้เทคนิค Machine Learning แบบเบย์ (Bayesian ML) ผนวกกับข้อมูลแรงสั่นสะเทือนทั่วโลก → คำนวณได้ว่าคลื่นสึนามิต้นทางน่าจะสูงถึง 7.9 เมตร → นี่คือครั้งแรกที่มนุษย์สามารถ “จับภาพ–วิเคราะห์–ยืนยัน” ปรากฏการณ์ seiche ระดับสั่นสะเทือนโลกได้สำเร็จ → และยังแสดงให้เห็นว่า “ภาวะโลกร้อน” ทำให้เกิดสิ่งแปลกใหม่ในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งการวัดแบบดั้งเดิมเข้าไม่ถึง ✅ โลกเกิดแรงสั่นสะเทือนซ้ำ ๆ ทุก 90 วินาที นาน 9 วันใน ก.ย. 2023 และอีกครั้งใน ต.ค.   • เกิดแรงแผ่นดินไหวเบา ๆ ความถี่ 10.88 mHz ทั่วโลก   • สัญญาณตรวจพบทั่วทั้งโครงข่ายเซนเซอร์โลก ✅ ทีมมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดพบว่าเกิดจาก “seiche” คลื่นน้ำสะท้อนใน Dickson Fjord, Greenland   • สาเหตุคือดินถล่มขนาดยักษ์ ทำให้เกิดสึนามิ 2 ลูก   • คลื่นวิ่งไปมาภายในฟยอร์ด → สร้างแรงกดจนเกิดคลื่นแผ่นดินไหว ✅ ใช้ดาวเทียม SWOT ที่มีระบบ KaRIn radar วัดระดับน้ำแบบละเอียดในพื้นที่กว้างถึง 50 กม.   • พบว่าพื้นน้ำในฟยอร์ดมีความเอียงเปลี่ยนทิศอย่างชัดเจน (สูงสุด 2 เมตร)   • พิสูจน์ว่าคลื่นสะท้อนแบบ seiche เกิดขึ้นจริง ✅ ยืนยันด้วยข้อมูลลม–น้ำขึ้นน้ำลง และการเคลื่อนไหวเปลือกโลกขนาดเล็กจากจุดไกลหลายพันกิโลเมตร ✅ ทีมวิจัยใช้ Bayesian ML ช่วยประเมินขนาดคลื่นต้นเหตุ ~7.9 เมตร ✅ ถือเป็นการใช้เทคโนโลยีดาวเทียมรุ่นใหม่ + เทคนิคข้อมูลขั้นสูงเพื่อไขปริศนาธรณีวิทยา https://www.neowin.net/news/oxford-explains-what-made-earth-shake-every-90-seconds-over-nine-days-in-2023/
    WWW.NEOWIN.NET
    Oxford explains what made Earth shake "every 90 seconds over nine days" in 2023
    Back in September of 2023, the Earth shook for "every 90 seconds over nine days" and now in 2025, Oxford scientists have solved what caused it.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 333 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เป็นเคสที่สะท้อนความ “ไม่รู้เวล่ำเวลา” ของ AI และความรู้สึกไวของสังคมต่อปัญหาการเลิกจ้าง — เมื่อ Matt Turnbull ผู้บริหารจาก Xbox Games Studio ออกมาโพสต์แนะนำว่า คนที่เพิ่งถูกไล่ออกจาก Microsoft ควรใช้ AI ช่วยบรรเทาความรู้สึก พร้อมแนบ prompt ตัวอย่างให้ใช้ Copilot สร้างความมั่นใจตนเอง

    แม้เจตนาอาจดี แต่โพสต์นี้โดนถล่มยับว่า “ไร้เซนส์ขั้นสุด” โดยเฉพาะในช่วงที่ Microsoft เพิ่งปลดพนักงานรอบที่ 4 และทุ่มงบ $80,000 ล้านให้โครงสร้างพื้นฐาน AI จนหลายคนรู้สึกว่า "ถูกแทนที่โดย AI แล้วถูกบอกให้ใช้งาน AI เพื่อเยียวยาตัวเองอีก..."

    Matt Turnbull ผู้บริหาร Xbox แนะผู้ถูกเลิกจ้างให้ใช้ AI (เช่น Copilot) ช่วยลดภาระอารมณ์-ความคิดหลังตกงาน  
    • แนะนำ prompt เช่น “ช่วยฉันคิดใหม่ว่าฉันเก่งเรื่องอะไร หลังรู้สึกหมดความมั่นใจจากการถูกปลด”
    • ชี้ว่าคนที่ตกงาน “ไม่ได้อยู่ลำพัง” และ AI จะช่วยให้ “หลุดจากอารมณ์ลบได้เร็วขึ้น”

    โพสต์ต้นทางถูกลบหลังเกิดกระแสตีกลับ  
    • โดยเฉพาะในช่วงที่ Microsoft เพิ่งปลดพนักงานราว 9,000 คน ในรอบที่ 4 ภายใน 18 เดือน

    Microsoft มีแผนลงทุนใน AI infrastructure มูลค่า $80 พันล้านภายในปีการเงินถัดไป  
    • เป็นการลงทุนที่ตรงข้ามกับภาพคนตกงานจากผลของ AI อย่างเห็นได้ชัด

    หลายบริษัทยักษ์ออกมายอมรับว่า AI จะลดแรงงานสายออฟฟิศจำนวนมากใน 3–5 ปี  
    • ซีอีโอจาก Ford, Amazon, Anthropic, Shopify, JPMorgan ต่างพูดคล้ายกัน

    https://www.techspot.com/news/108562-xbox-exec-suggests-people-use-ai-lessen-pain.html
    ข่าวนี้เป็นเคสที่สะท้อนความ “ไม่รู้เวล่ำเวลา” ของ AI และความรู้สึกไวของสังคมต่อปัญหาการเลิกจ้าง — เมื่อ Matt Turnbull ผู้บริหารจาก Xbox Games Studio ออกมาโพสต์แนะนำว่า คนที่เพิ่งถูกไล่ออกจาก Microsoft ควรใช้ AI ช่วยบรรเทาความรู้สึก พร้อมแนบ prompt ตัวอย่างให้ใช้ Copilot สร้างความมั่นใจตนเอง 🧑‍💼🤖 แม้เจตนาอาจดี แต่โพสต์นี้โดนถล่มยับว่า “ไร้เซนส์ขั้นสุด” โดยเฉพาะในช่วงที่ Microsoft เพิ่งปลดพนักงานรอบที่ 4 และทุ่มงบ $80,000 ล้านให้โครงสร้างพื้นฐาน AI จนหลายคนรู้สึกว่า "ถูกแทนที่โดย AI แล้วถูกบอกให้ใช้งาน AI เพื่อเยียวยาตัวเองอีก..." ✅ Matt Turnbull ผู้บริหาร Xbox แนะผู้ถูกเลิกจ้างให้ใช้ AI (เช่น Copilot) ช่วยลดภาระอารมณ์-ความคิดหลังตกงาน   • แนะนำ prompt เช่น “ช่วยฉันคิดใหม่ว่าฉันเก่งเรื่องอะไร หลังรู้สึกหมดความมั่นใจจากการถูกปลด” • ชี้ว่าคนที่ตกงาน “ไม่ได้อยู่ลำพัง” และ AI จะช่วยให้ “หลุดจากอารมณ์ลบได้เร็วขึ้น” ✅ โพสต์ต้นทางถูกลบหลังเกิดกระแสตีกลับ   • โดยเฉพาะในช่วงที่ Microsoft เพิ่งปลดพนักงานราว 9,000 คน ในรอบที่ 4 ภายใน 18 เดือน ✅ Microsoft มีแผนลงทุนใน AI infrastructure มูลค่า $80 พันล้านภายในปีการเงินถัดไป   • เป็นการลงทุนที่ตรงข้ามกับภาพคนตกงานจากผลของ AI อย่างเห็นได้ชัด ✅ หลายบริษัทยักษ์ออกมายอมรับว่า AI จะลดแรงงานสายออฟฟิศจำนวนมากใน 3–5 ปี   • ซีอีโอจาก Ford, Amazon, Anthropic, Shopify, JPMorgan ต่างพูดคล้ายกัน https://www.techspot.com/news/108562-xbox-exec-suggests-people-use-ai-lessen-pain.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Xbox exec suggests people use AI to lessen the pain of being laid off
    Turnbull has very wisely removed his post, but it was captured by Necrosoft's Brandon Sheffield. The exec started by mentioning these are challenging times – particularly for...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 259 มุมมอง 0 รีวิว
  • Jim Farley ซีอีโอของ Ford กล่าวในงาน Aspen Ideas Festival ว่า “ในอีกไม่กี่ปี AI อาจแทนที่งานของพนักงานสาย white-collar ได้ถึงครึ่งหนึ่งทั่วสหรัฐฯ” — โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับเอกสาร, การวิเคราะห์, การเขียนรายงาน, งานธุรการ หรือแม้แต่งานด้านกฎหมายและการเงิน

    เขาไม่ได้พูดคนเดียวครับ — บิ๊กเทคอย่าง Amazon, Spotify, Fiverr, Moderna, Anthropic และแม้แต่ JPMorgan Chase ต่างก็เตือนในทางเดียวกัน:
    - CEO ของ Amazon บอกว่า “หลายตำแหน่งจะหายไป” แต่จะมีโอกาสใหม่เกิดในสายงาน STEM และ Robotics
    - CEO ของ Anthropic ถึงขั้นคาดว่า "AI จะลบงานระดับเริ่มต้น (entry-level white-collar) ไปครึ่งหนึ่งใน 5 ปี" และอาจเพิ่มอัตราการว่างงาน 10-20%
    - CPO ของ Anthropic ยังบอกว่า “ลังเลที่จะจ้างเด็กจบใหม่” เพราะไม่แน่ใจว่างานที่พวกเขาทำจะยังอยู่ไหม
    - CEO ของ Fiverr, Spotify, Moderna ต่างก็พูดในทำนองเดียวกันว่า “แม้แต่งานสายเทคที่ดูรอด ก็ไม่รอด”

    ฝั่งคนทำงานเองก็เริ่มหวั่น — รายงานจาก PYMNTs (พฤษภาคม 2025) พบว่า คนอเมริกัน 54% มองว่า AI กำลังคุกคามงานของพวกเขา และยิ่งเรียนสูง–เก่งเทค ยิ่งกลัวหนัก

    ในขณะที่ฝั่งตรงข้ามอย่าง Jensen Huang (CEO ของ Nvidia) กลับบอกว่า “การมองว่า AI จะลบงานเป็นเรื่องเว่อร์เกินจริง” และสนับสนุนให้พัฒนาร่วมกันอย่างโปร่งใส

    Ford CEO เตือนว่า AI อาจแทนงาน white-collar ครึ่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาในไม่กี่ปี  
    • โดยเฉพาะสายงานวิเคราะห์, เอกสาร, บริหาร ฯลฯ

    Amazon, Anthropic, Fiverr, Spotify, JPMorgan, และ Moderna แสดงความกังวลเช่นกัน  
    • Anthropic คาดการว่างงานอาจเพิ่ม 10-20% ภายใน 5 ปี  
    • CEO ของบางบริษัทเริ่ม “หยุดจ้างเด็กจบใหม่” เพราะไม่แน่ใจอนาคตตำแหน่งงาน

    งานที่ AI อาจแทนที่ได้ รวมถึง:  
    • โปรแกรมเมอร์, นักออกแบบ, ผู้จัดการผลิตภัณฑ์  
    • นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล, ทนายความ, ฝ่ายซัพพอร์ต, ฝ่ายขาย, นักวิเคราะห์การเงิน

    Moderna ตั้งเป้า “ไม่ต้องการพนักงานมากกว่าหลักพันคน” เพราะใช้ AI  
    • จากเดิมที่บริษัทในระดับเดียวกันอาจมีคนเป็นหมื่น

    ผลสำรวจในสหรัฐฯ พ.ค. 2025 พบว่า 54% ของพนักงานเชื่อว่า AI กำลังคุกคามงานของตน  
    • โดยกลุ่มที่เรียนสูงและทำงานสายเทคมีความกังวลมากที่สุด

    มีเพียง Jensen Huang (CEO ของ Nvidia) ที่ออกมาบอกว่า “มองโลกในแง่ร้ายเกินไป”

    https://www.techspot.com/news/108552-ford-ceo-warns-generative-ai-could-eliminate-half.html
    Jim Farley ซีอีโอของ Ford กล่าวในงาน Aspen Ideas Festival ว่า “ในอีกไม่กี่ปี AI อาจแทนที่งานของพนักงานสาย white-collar ได้ถึงครึ่งหนึ่งทั่วสหรัฐฯ” — โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับเอกสาร, การวิเคราะห์, การเขียนรายงาน, งานธุรการ หรือแม้แต่งานด้านกฎหมายและการเงิน เขาไม่ได้พูดคนเดียวครับ — บิ๊กเทคอย่าง Amazon, Spotify, Fiverr, Moderna, Anthropic และแม้แต่ JPMorgan Chase ต่างก็เตือนในทางเดียวกัน: - CEO ของ Amazon บอกว่า “หลายตำแหน่งจะหายไป” แต่จะมีโอกาสใหม่เกิดในสายงาน STEM และ Robotics - CEO ของ Anthropic ถึงขั้นคาดว่า "AI จะลบงานระดับเริ่มต้น (entry-level white-collar) ไปครึ่งหนึ่งใน 5 ปี" และอาจเพิ่มอัตราการว่างงาน 10-20% - CPO ของ Anthropic ยังบอกว่า “ลังเลที่จะจ้างเด็กจบใหม่” เพราะไม่แน่ใจว่างานที่พวกเขาทำจะยังอยู่ไหม - CEO ของ Fiverr, Spotify, Moderna ต่างก็พูดในทำนองเดียวกันว่า “แม้แต่งานสายเทคที่ดูรอด ก็ไม่รอด” ฝั่งคนทำงานเองก็เริ่มหวั่น — รายงานจาก PYMNTs (พฤษภาคม 2025) พบว่า คนอเมริกัน 54% มองว่า AI กำลังคุกคามงานของพวกเขา และยิ่งเรียนสูง–เก่งเทค ยิ่งกลัวหนัก ในขณะที่ฝั่งตรงข้ามอย่าง Jensen Huang (CEO ของ Nvidia) กลับบอกว่า “การมองว่า AI จะลบงานเป็นเรื่องเว่อร์เกินจริง” และสนับสนุนให้พัฒนาร่วมกันอย่างโปร่งใส ✅ Ford CEO เตือนว่า AI อาจแทนงาน white-collar ครึ่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาในไม่กี่ปี   • โดยเฉพาะสายงานวิเคราะห์, เอกสาร, บริหาร ฯลฯ ✅ Amazon, Anthropic, Fiverr, Spotify, JPMorgan, และ Moderna แสดงความกังวลเช่นกัน   • Anthropic คาดการว่างงานอาจเพิ่ม 10-20% ภายใน 5 ปี   • CEO ของบางบริษัทเริ่ม “หยุดจ้างเด็กจบใหม่” เพราะไม่แน่ใจอนาคตตำแหน่งงาน ✅ งานที่ AI อาจแทนที่ได้ รวมถึง:   • โปรแกรมเมอร์, นักออกแบบ, ผู้จัดการผลิตภัณฑ์   • นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล, ทนายความ, ฝ่ายซัพพอร์ต, ฝ่ายขาย, นักวิเคราะห์การเงิน ✅ Moderna ตั้งเป้า “ไม่ต้องการพนักงานมากกว่าหลักพันคน” เพราะใช้ AI   • จากเดิมที่บริษัทในระดับเดียวกันอาจมีคนเป็นหมื่น ✅ ผลสำรวจในสหรัฐฯ พ.ค. 2025 พบว่า 54% ของพนักงานเชื่อว่า AI กำลังคุกคามงานของตน   • โดยกลุ่มที่เรียนสูงและทำงานสายเทคมีความกังวลมากที่สุด ✅ มีเพียง Jensen Huang (CEO ของ Nvidia) ที่ออกมาบอกว่า “มองโลกในแง่ร้ายเกินไป” https://www.techspot.com/news/108552-ford-ceo-warns-generative-ai-could-eliminate-half.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Ford CEO joins list of execs warning AI could eliminate millions of white-collar jobs
    Farley did not elaborate on his views, but he is hardly the only Fortune 500 CEO who believes AI could spell trouble for educated white-collar workers. Leaders...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 322 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฉลองปีใหม่ 2026 ที่ “นิวซีแลนด์ เกาะใต้”
    ทริปแห่งความทรงจำ พร้อมกิจกรรมสุดฟินตลอด 9 วัน 7 คืน

    เดินทาง 25 ธ.ค. 68 - 2 ม.ค. 69
    บินหรู! สายการบิน Singapore Airlines (SQ)
    รวมค่าธรรมเนียมวีซ่าแล้ว
    ไฮไลต์ฉลองปีใหม่สุดพิเศษ

    โปรแกรมสุด FANTASTIC
    เที่ยวทะเลสาบเทคาโป – สวยจนต้องหยุดหายใจ
    แวะสวนผลไม้ Jackson Fruit Orchard
    ชิมไวน์ที่ Kinross Winery
    ล่องเรือชม “Milford Sound” สุดอลังการ
    นั่งเรือกลไฟโบราณ & เยือน Walter Peak Farm
    ชมโชว์ตัดขนแกะจากฟาร์มแท้ ๆ
    ขึ้นกระเช้า Gondola สู่ยอดเขา Bob’s Peak
    มันส์กับลูจ 2 รอบเต็ม!
    ตะลุยโลกหลอนที่ Puzzling World
    เที่ยวธารน้ำแข็ง Fox Glacier
    สัมผัสรถไฟสายธรรมชาติ TransAlpine
    ใกล้ชิดน้องอัลปาก้าที่ Alpaca Farm

    ปีใหม่นี้ให้ธรรมชาตินิวซีแลนด์เติมเต็มความสุข

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/eae45f

    ดูทัวร์นิวซีแลนด์ทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/f7b04d

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #ทัวร์นิวซีแลนด์ #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #NewZealandTrip #ฉลองปีใหม่2026 #เที่ยวปีใหม่ #นิวซีแลนด์เกาะใต้ #MilfordSound #BobPeak #AlpacaFarm #FoxGlacier #SingaporeAirlines #ทัวร์นิวซีแลนด์ปีใหม่
    🎉 ฉลองปีใหม่ 2026 ที่ “นิวซีแลนด์ เกาะใต้” 🇳🇿✨ ทริปแห่งความทรงจำ พร้อมกิจกรรมสุดฟินตลอด 9 วัน 7 คืน 📆 เดินทาง 25 ธ.ค. 68 - 2 ม.ค. 69 ✈️ บินหรู! สายการบิน Singapore Airlines (SQ) 📄 รวมค่าธรรมเนียมวีซ่าแล้ว 💥 ไฮไลต์ฉลองปีใหม่สุดพิเศษ 🌟 โปรแกรมสุด FANTASTIC 🏞️ เที่ยวทะเลสาบเทคาโป – สวยจนต้องหยุดหายใจ 🍓 แวะสวนผลไม้ Jackson Fruit Orchard 🍷 ชิมไวน์ที่ Kinross Winery ⛰️ ล่องเรือชม “Milford Sound” สุดอลังการ 🚂 นั่งเรือกลไฟโบราณ & เยือน Walter Peak Farm 🐑 ชมโชว์ตัดขนแกะจากฟาร์มแท้ ๆ 🚡 ขึ้นกระเช้า Gondola สู่ยอดเขา Bob’s Peak 🛷 มันส์กับลูจ 2 รอบเต็ม! 🌀 ตะลุยโลกหลอนที่ Puzzling World ❄️ เที่ยวธารน้ำแข็ง Fox Glacier 🚆 สัมผัสรถไฟสายธรรมชาติ TransAlpine 🦙 ใกล้ชิดน้องอัลปาก้าที่ Alpaca Farm 🎆 ปีใหม่นี้ให้ธรรมชาตินิวซีแลนด์เติมเต็มความสุข ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/eae45f ดูทัวร์นิวซีแลนด์ทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/f7b04d LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์นิวซีแลนด์ #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #NewZealandTrip #ฉลองปีใหม่2026 #เที่ยวปีใหม่ #นิวซีแลนด์เกาะใต้ #MilfordSound #BobPeak #AlpacaFarm #FoxGlacier #SingaporeAirlines #ทัวร์นิวซีแลนด์ปีใหม่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 563 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลังหายไปจากตลาดตั้งแต่ RTX 3050 รุ่น desktop ในปี 2022 (เพราะ RTX 40 ซีรีส์ไม่มีตัว 4050 แบบ desktop) Nvidia ก็ประกาศกลับมาทำ GPU รุ่นราคาถูกอย่างเป็นทางการอีกครั้ง กับการเปิดตัว RTX 5050 ในเดือนกรกฎาคม 2025

    จุดน่าสนใจคือ แม้จะราคาแค่ $249 แต่ RTX 5050:
    - ใช้ CUDA core 2,560 หน่วย (เท่ากับ RTX 3050 เดิม)
    - มี VRAM ขนาด 8GB GDDR6 แบบ 128-bit
    - แต่ได้ core เทคโนโลยีใหม่ทั้ง DLSS 4 multi-frame gen, 9th-gen NVENC, 6th-gen NVDEC, และรองรับ PCIe Gen5

    แม้จะใช้ GDDR6 (ไม่ใช่ GDDR7 แบบรุ่นใหญ่ใน RTX 50 ซีรีส์) แต่ได้ Tensor cores ที่รองรับ AI TOPS ระดับสูง (421 TOPS) และ RT core แรงระดับ 40 TFLOPS — มากพอจะใช้ฟีเจอร์ยุคใหม่บนความละเอียด 1080p ได้อย่างลื่น ๆ

    พลังงานอยู่ที่ 130W ใช้แค่ 8-pin ปกติ และแนะนำ PSU 550W เท่านั้น — ประหยัด ไซซ์เล็ก ใส่เคสได้ง่าย

    คาดว่า Nvidia เปิดตัวรุ่นนี้มาเพื่อตอบโต้งานหนักจาก AMD ที่เปิดตัวซีรีส์ RX 9000 XT ในช่วงเดียวกัน

    RTX 5050 เปิดตัวด้วยราคา $249 พร้อมวางจำหน่ายกรกฎาคม 2025  
    • ถูกกว่า RTX 5060 อยู่ $50

    ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell พร้อมฟีเจอร์ใหม่ระดับเดียวกับรุ่นท็อป  
    • DLSS 4 Multi-frame Generation  
    • NVENC Gen9, NVDEC Gen6  
    • PCIe Gen5 รองรับการ์ด/เมนบอร์ดรุ่นใหม่

    สเปก RTX 5050  
    • CUDA: 2,560 cores (เท่ากับ RTX 3050)  
    • VRAM: 8GB GDDR6 (128-bit)  
    • Clock: 2.57GHz  
    • TGP: 130W / PSU 550W / 1x 8-pin

    ยังคงพอร์ตแสดงผลคลาสสิก  
    • 3x DisplayPort, 1x HDMI

    สามารถใช้ DLSS4 ได้ แม้จะเป็นรุ่น GDDR6 ไม่ใช่ GDDR7

    ถือเป็นรุ่นซีรีส์ "50" ตัวแรกตั้งแต่ RTX 3050 เมื่อ 3 ปีก่อน

    https://www.neowin.net/news/nvidia-announces-rtx-5050-desktop-graphics-card-for-more-affordable-next-gen-gaming/
    หลังหายไปจากตลาดตั้งแต่ RTX 3050 รุ่น desktop ในปี 2022 (เพราะ RTX 40 ซีรีส์ไม่มีตัว 4050 แบบ desktop) Nvidia ก็ประกาศกลับมาทำ GPU รุ่นราคาถูกอย่างเป็นทางการอีกครั้ง กับการเปิดตัว RTX 5050 ในเดือนกรกฎาคม 2025 จุดน่าสนใจคือ แม้จะราคาแค่ $249 แต่ RTX 5050: - ใช้ CUDA core 2,560 หน่วย (เท่ากับ RTX 3050 เดิม) - มี VRAM ขนาด 8GB GDDR6 แบบ 128-bit - แต่ได้ core เทคโนโลยีใหม่ทั้ง DLSS 4 multi-frame gen, 9th-gen NVENC, 6th-gen NVDEC, และรองรับ PCIe Gen5 แม้จะใช้ GDDR6 (ไม่ใช่ GDDR7 แบบรุ่นใหญ่ใน RTX 50 ซีรีส์) แต่ได้ Tensor cores ที่รองรับ AI TOPS ระดับสูง (421 TOPS) และ RT core แรงระดับ 40 TFLOPS — มากพอจะใช้ฟีเจอร์ยุคใหม่บนความละเอียด 1080p ได้อย่างลื่น ๆ พลังงานอยู่ที่ 130W ใช้แค่ 8-pin ปกติ และแนะนำ PSU 550W เท่านั้น — ประหยัด ไซซ์เล็ก ใส่เคสได้ง่าย คาดว่า Nvidia เปิดตัวรุ่นนี้มาเพื่อตอบโต้งานหนักจาก AMD ที่เปิดตัวซีรีส์ RX 9000 XT ในช่วงเดียวกัน ✅ RTX 5050 เปิดตัวด้วยราคา $249 พร้อมวางจำหน่ายกรกฎาคม 2025   • ถูกกว่า RTX 5060 อยู่ $50 ✅ ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell พร้อมฟีเจอร์ใหม่ระดับเดียวกับรุ่นท็อป   • DLSS 4 Multi-frame Generation   • NVENC Gen9, NVDEC Gen6   • PCIe Gen5 รองรับการ์ด/เมนบอร์ดรุ่นใหม่ ✅ สเปก RTX 5050   • CUDA: 2,560 cores (เท่ากับ RTX 3050)   • VRAM: 8GB GDDR6 (128-bit)   • Clock: 2.57GHz   • TGP: 130W / PSU 550W / 1x 8-pin ✅ ยังคงพอร์ตแสดงผลคลาสสิก   • 3x DisplayPort, 1x HDMI ✅ สามารถใช้ DLSS4 ได้ แม้จะเป็นรุ่น GDDR6 ไม่ใช่ GDDR7 ✅ ถือเป็นรุ่นซีรีส์ "50" ตัวแรกตั้งแต่ RTX 3050 เมื่อ 3 ปีก่อน https://www.neowin.net/news/nvidia-announces-rtx-5050-desktop-graphics-card-for-more-affordable-next-gen-gaming/
    WWW.NEOWIN.NET
    Nvidia announces RTX 5050 desktop graphics card for more affordable next-gen gaming
    Nvidia has a new budget-friendly graphics card for those who cannot afford an expensive GPU but still want to taste those sweet next-gen frames that the RTX 50 series offers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 232 มุมมอง 0 รีวิว
  • 4/4 รวมลิงค์คลิปดีๆจากโค๊ชนาตาลี
    วิธีดูนิสัยเพื่อปรับพลังงานจักระ
    https://www.youtube.com/watch?v=59IvOIZzLSk
    12 วิธีบาลานซ์จักระราก พื้นฐานสำคัญของชีวิต
    https://www.youtube.com/watch?v=HHIviG2eS1s
    15 วิธีกำจัดสิ่งอุดตันจักระที่ 2 Sacral Chakra
    https://www.youtube.com/watch?v=dMFv_3GVGW0
    12 วิธีกลับมารักและเห็นคุณค่าในตัวเอง เยียวยาจักระที่ 3 Solar Plexus
    https://www.youtube.com/watch?v=lCny-83ctuY&t=1509s
    14 วิธีกลับมารักตัวเอง บาลานซ์จักระที่ 4 Heart Chakra
    การไม่กล้าพูดกับโรคไทรอยด์">https://www.youtube.com/watch?v=XXdbi8cXpwU&t=799sการไม่กล้าพูดกับโรคไทรอยด์ ต้องแก้ที่จักระ 5 Throat Chakra
    https://www.youtube.com/watch?v=gYaFOO0aIqk&t=168s
    อยากมีญาณทิพย์ และความจำดี ต้องปรับที่จักระที่ 6 Third Eye Chakra
    https://www.youtube.com/watch?v=H12ZKu_L21Y
    อยากอยากสื่อกับพลังจักรวาลได้ ต้องเปิดจักระที่ 7 Crown Chakra
    https://www.youtube.com/watch?v=o7laeVgU-yk


    เพิ่งรู้ว่าเป็นมะเร็ง! ต้องทำยังไง? ดูคลิปนี้
    https://youtu.be/peJhQGXnw_0
    มะเร็งกลับมารอบ 2 ทำยังไง!? ประสบการณ์ตรงของโค้ชนาตาลี
    https://youtu.be/m36XYSpuuMc
    ผลข้างเคียงยาต้านฮอร์โมน ที่หมออาจไม่เคยบอกคุณ!
    https://youtu.be/q95ryAqsnJs
    ไม่ทานยาต้านฮอร์โมนได้ไหม?
    https://youtu.be/t_YUAmJt1G8
    ทำไมบางคนดีท็อกซ์แล้วอาการแย่ลง?
    https://youtu.be/uZCfJ91R-0c
    Brain Tumors เนื้องอกสมองทำให้ยุบได้ไหม?
    https://youtu.be/bwe49infoyc
    รับคีโม-พุ่งเป้ามา ร่างกายไม่มีแรง ฟื้นฟูอย่างไร?
    https://youtu.be/EZaAgRUNamQ
    หลังรับ วซ มา ประจำเดือนขาด-มาไม่ปกติ ทำอย่างไร?
    https://youtu.be/soUK8PmWX8E?si=oMwYhTvl7M1YkxK-
    3 สิ่งที่สำคัญที่สุด! ที่ทำให้พิชิตมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ใน 2 เดือน!
    https://youtu.be/bIU-LwShS5g
    การรักษาโรคด้วยเทคโนโลยีในยุคสมัยใหม่
    https://www.youtube.com/live/SZQiJ0FXkss
    คุณคือพลาซีโบ By ดร.โจ ดิสเพนซา ตอน: ความคิดเปลี่ยนแปลงสมอง & ร่างกายได้อย่างไร?
    https://www.youtube.com/watch?v=qPd1frafNWE&t=847s
    ผลข้างเคียงของยาต้านฮอร์โมน และประสบการณ์ตรงของโค้ชนาตาลี
    https://www.youtube.com/watch?v=scUdQxqKFH8
    ผลข้างเคียงของยาคีโมที่หมอไม่บอกคุณ !! แชร์ประสบการณ์ตรง
    https://www.youtube.com/watch?v=81Wiox18Y_A
    3 ขั้นตอนปรับจิตและสมองที่มีประสิทธิภาพที่สุด ที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณ
    https://www.youtube.com/watch?v=5r-Lnoqz4Cg
    Ep.1 ความสัมพันธ์ของโรคต่างๆกับสมอง - Neocortex
    https://www.youtube.com/watch?v=XnPFoRDT6aE&t=46s
    Ep.2 ความสัมพันธ์ของความกลัวและโรคต่างๆกับสมองส่วนกลาง Limbic System
    https://www.youtube.com/watch?v=IDtKHRcAlLo
    Ep.3 6 วิธีเพิ่มประสิทธิภาพ Reptilian Brain
    https://www.youtube.com/watch?v=2aTl-g3SCbI
    Ep.4 การทำงานของต่อมไพเนียล และต่อมใต้สมอง กับฮอร์โมนแห่งความสุข
    https://www.youtube.com/watch?v=Er49qcZiZ5U
    Ep.5 วิธีเปลี่ยนคลื่นสมองกำจัดโรค และเปลี่ยนยีนได้ภายใน 4 วัน
    https://www.youtube.com/watch?v=f7RwEmOmdtQ
    4/4 รวมลิงค์คลิปดีๆจากโค๊ชนาตาลี ✍️วิธีดูนิสัยเพื่อปรับพลังงานจักระ https://www.youtube.com/watch?v=59IvOIZzLSk ✍️12 วิธีบาลานซ์จักระราก พื้นฐานสำคัญของชีวิต https://www.youtube.com/watch?v=HHIviG2eS1s ✍️15 วิธีกำจัดสิ่งอุดตันจักระที่ 2 Sacral Chakra https://www.youtube.com/watch?v=dMFv_3GVGW0 ✍️12 วิธีกลับมารักและเห็นคุณค่าในตัวเอง เยียวยาจักระที่ 3 Solar Plexus https://www.youtube.com/watch?v=lCny-83ctuY&t=1509s ✍️14 วิธีกลับมารักตัวเอง บาลานซ์จักระที่ 4 Heart Chakra https://www.youtube.com/watch?v=XXdbi8cXpwU&t=799s✍️การไม่กล้าพูดกับโรคไทรอยด์ ต้องแก้ที่จักระ 5 Throat Chakra https://www.youtube.com/watch?v=gYaFOO0aIqk&t=168s ✍️อยากมีญาณทิพย์ และความจำดี ต้องปรับที่จักระที่ 6 Third Eye Chakra https://www.youtube.com/watch?v=H12ZKu_L21Y ✍️อยากอยากสื่อกับพลังจักรวาลได้ ต้องเปิดจักระที่ 7 Crown Chakra https://www.youtube.com/watch?v=o7laeVgU-yk ✍️เพิ่งรู้ว่าเป็นมะเร็ง! ต้องทำยังไง? ดูคลิปนี้ https://youtu.be/peJhQGXnw_0 ✍️มะเร็งกลับมารอบ 2 ทำยังไง!? ประสบการณ์ตรงของโค้ชนาตาลี https://youtu.be/m36XYSpuuMc ✍️ผลข้างเคียงยาต้านฮอร์โมน ที่หมออาจไม่เคยบอกคุณ! https://youtu.be/q95ryAqsnJs ✍️ไม่ทานยาต้านฮอร์โมนได้ไหม? https://youtu.be/t_YUAmJt1G8 ✍️ทำไมบางคนดีท็อกซ์แล้วอาการแย่ลง? https://youtu.be/uZCfJ91R-0c ✍️Brain Tumors เนื้องอกสมองทำให้ยุบได้ไหม? https://youtu.be/bwe49infoyc ✍️รับคีโม-พุ่งเป้ามา ร่างกายไม่มีแรง ฟื้นฟูอย่างไร? https://youtu.be/EZaAgRUNamQ ✍️หลังรับ วซ มา ประจำเดือนขาด-มาไม่ปกติ ทำอย่างไร? https://youtu.be/soUK8PmWX8E?si=oMwYhTvl7M1YkxK- ✍️3 สิ่งที่สำคัญที่สุด! ที่ทำให้พิชิตมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ใน 2 เดือน! https://youtu.be/bIU-LwShS5g ✍️การรักษาโรคด้วยเทคโนโลยีในยุคสมัยใหม่ https://www.youtube.com/live/SZQiJ0FXkss ✍️คุณคือพลาซีโบ By ดร.โจ ดิสเพนซา ตอน: ความคิดเปลี่ยนแปลงสมอง & ร่างกายได้อย่างไร? https://www.youtube.com/watch?v=qPd1frafNWE&t=847s ✍️ผลข้างเคียงของยาต้านฮอร์โมน และประสบการณ์ตรงของโค้ชนาตาลี https://www.youtube.com/watch?v=scUdQxqKFH8 ✍️ผลข้างเคียงของยาคีโมที่หมอไม่บอกคุณ !! แชร์ประสบการณ์ตรง https://www.youtube.com/watch?v=81Wiox18Y_A ✍️3 ขั้นตอนปรับจิตและสมองที่มีประสิทธิภาพที่สุด ที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณ https://www.youtube.com/watch?v=5r-Lnoqz4Cg ✍️Ep.1 ความสัมพันธ์ของโรคต่างๆกับสมอง - Neocortex https://www.youtube.com/watch?v=XnPFoRDT6aE&t=46s ✍️Ep.2 ความสัมพันธ์ของความกลัวและโรคต่างๆกับสมองส่วนกลาง Limbic System https://www.youtube.com/watch?v=IDtKHRcAlLo ✍️Ep.3 6 วิธีเพิ่มประสิทธิภาพ Reptilian Brain https://www.youtube.com/watch?v=2aTl-g3SCbI ✍️Ep.4 การทำงานของต่อมไพเนียล และต่อมใต้สมอง กับฮอร์โมนแห่งความสุข https://www.youtube.com/watch?v=Er49qcZiZ5U ✍️Ep.5 วิธีเปลี่ยนคลื่นสมองกำจัดโรค และเปลี่ยนยีนได้ภายใน 4 วัน https://www.youtube.com/watch?v=f7RwEmOmdtQ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 459 มุมมอง 0 รีวิว
  • โรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียมฟอร์โดว์ (Fordow Fuel Enrichment Plant - FFEP) เป็นสถานที่ที่ได้รับการปกป้องมากที่สุดของอิหร่าน

    ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2549 (2006) ใช้เวลาก่อสร้าง 6 ปี จึงแล้วเสร็จและเริ่มเปิดใช้งานในปี 2555 (2012) มีค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง 1,700 ล้านดอลลาร์

    โรงงานแห่งนี้คาดว่าอยู่ลึกลงไปในชั้นหินที่แข็งแกร่งของภูเขา 90 เมตร ใกล้กับเมืองกอม ถูกออกแบบมาให้ทนต่อการโจมตีทางอากาศและระเบิดทำลายบังเกอร์ รวมถึงสงครามนิวเคลียร์
    โรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียมฟอร์โดว์ (Fordow Fuel Enrichment Plant - FFEP) เป็นสถานที่ที่ได้รับการปกป้องมากที่สุดของอิหร่าน ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2549 (2006) ใช้เวลาก่อสร้าง 6 ปี จึงแล้วเสร็จและเริ่มเปิดใช้งานในปี 2555 (2012) มีค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง 1,700 ล้านดอลลาร์ โรงงานแห่งนี้คาดว่าอยู่ลึกลงไปในชั้นหินที่แข็งแกร่งของภูเขา 90 เมตร ใกล้กับเมืองกอม ถูกออกแบบมาให้ทนต่อการโจมตีทางอากาศและระเบิดทำลายบังเกอร์ รวมถึงสงครามนิวเคลียร์
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 207 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐจะ"โจมตีทิพย์" หรือเปล่าเดี๋ยวก็รู้!?!
    ดูเหมือนว่าทรัมป์โจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านแบบขอไปที เพราะทนกับแรงกดดันรอบด้านไม่ไหว สังเกตได้จากการโจมตีทำในวงจำกัด และประกาศจะไม่ดำเนินการต่อ "อย่างน้อยในขณะนี้" โดยไม่ต้องการทำลายอิหร่านทั้งประเทศ ล้มระบอบของอิหร่านอย่างที่อิสราเอลต้องการ โจมตีแล้วถอยแล้วประกาศชัยชนะ แล้วบอกว่า "สันติภาพกลับมาแล้ว"
    .

    สื่ออิหร่านรายงานยืนยันสหรัฐโจมตีโรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียมฟอร์โดว์ของอิหร่าน (Fordow Fuel Enrichment Plant - FFEP) โดยระบุว่า "บางส่วนของโรงงาน" ถูกศัตรูโจมตี ขณะนี้ยังไม่มีคำชี้แจงใดๆ เกี่ยวกับความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ

    สื่อยังรายงานอีกว่าอิหร่านได้เคลื่อนย้ายอุปกรณ์ที่จำเป็นและคนงานออกจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั้งสามแห่งไปก่อนหน้านั้นแล้วเมื่อไม่นานนี้

    แหล่งข่าวอิหร่านยืนยันว่าหลังการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ฟอร์โดว์ยังคงสภาพดี มีอาวุธเพียง 2 ลูกที่โจมตีจุดเข้าถึงผิวดิน ไม่มีการเจาะทะลุ ไม่มีการระเบิดแบบลูกโซ่ และไม่มีการทำลายเครื่องปฏิกรณ์

    โรงงานนิวเคลียร์ฟอร์โดว์ถูกสร้างขึ้นภายใต้พื้นฐานเพื่อต้านทานสงครามนิวเคลียร์ การบินผ่านเพียงครั้งเดียวของสหรัฐไม่สามารถทำลายบังเกอร์ที่แข็งซึ่งฝังอยู่ลึกกว่า 90 เมตรที่อยู่ใต้หินที่แข็งแกร่งของภูเขาได้

    สื่ออิหร่านยังกล่าวอีกว่า ดูท่าการโจมตีครั้งนี้ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตจริง แต่อาจสำเร็จบนหน้าสื่อ ซึ่งพวกเขาคงบรรยายเหตุการณ์กันอย่างสนุกสนาน แพร่กระจายข้อมูล โดยมุ่งเป้าไปที่การตลาด ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
    สหรัฐจะ"โจมตีทิพย์" หรือเปล่าเดี๋ยวก็รู้!?! ดูเหมือนว่าทรัมป์โจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านแบบขอไปที เพราะทนกับแรงกดดันรอบด้านไม่ไหว สังเกตได้จากการโจมตีทำในวงจำกัด และประกาศจะไม่ดำเนินการต่อ "อย่างน้อยในขณะนี้" โดยไม่ต้องการทำลายอิหร่านทั้งประเทศ ล้มระบอบของอิหร่านอย่างที่อิสราเอลต้องการ โจมตีแล้วถอยแล้วประกาศชัยชนะ แล้วบอกว่า "สันติภาพกลับมาแล้ว" . สื่ออิหร่านรายงานยืนยันสหรัฐโจมตีโรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียมฟอร์โดว์ของอิหร่าน (Fordow Fuel Enrichment Plant - FFEP) โดยระบุว่า "บางส่วนของโรงงาน" ถูกศัตรูโจมตี ขณะนี้ยังไม่มีคำชี้แจงใดๆ เกี่ยวกับความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ สื่อยังรายงานอีกว่าอิหร่านได้เคลื่อนย้ายอุปกรณ์ที่จำเป็นและคนงานออกจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั้งสามแห่งไปก่อนหน้านั้นแล้วเมื่อไม่นานนี้ แหล่งข่าวอิหร่านยืนยันว่าหลังการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ฟอร์โดว์ยังคงสภาพดี มีอาวุธเพียง 2 ลูกที่โจมตีจุดเข้าถึงผิวดิน ไม่มีการเจาะทะลุ ไม่มีการระเบิดแบบลูกโซ่ และไม่มีการทำลายเครื่องปฏิกรณ์ โรงงานนิวเคลียร์ฟอร์โดว์ถูกสร้างขึ้นภายใต้พื้นฐานเพื่อต้านทานสงครามนิวเคลียร์ การบินผ่านเพียงครั้งเดียวของสหรัฐไม่สามารถทำลายบังเกอร์ที่แข็งซึ่งฝังอยู่ลึกกว่า 90 เมตรที่อยู่ใต้หินที่แข็งแกร่งของภูเขาได้ สื่ออิหร่านยังกล่าวอีกว่า ดูท่าการโจมตีครั้งนี้ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตจริง แต่อาจสำเร็จบนหน้าสื่อ ซึ่งพวกเขาคงบรรยายเหตุการณ์กันอย่างสนุกสนาน แพร่กระจายข้อมูล โดยมุ่งเป้าไปที่การตลาด ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 264 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิดีโอนี้เป็นวิดีโอเก่า และไม่ได้มาจากการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ Fordow ของสหรัฐฯ ในคืนนี้ หรือการโจมตีอิหร่านในคืนนี้แต่อย่างใด
    วิดีโอนี้เป็นวิดีโอเก่า และไม่ได้มาจากการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ Fordow ของสหรัฐฯ ในคืนนี้ หรือการโจมตีอิหร่านในคืนนี้แต่อย่างใด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • ด่วน!!

    ทรัมป์เปิดฉากถล่มอิหร่านแล้วที่โรงงานริวเคลียร์สามแห่ง
    Fordow, Natanz และ Esfahan

    “เราได้ดำเนินการโจมตีอย่างประสบความสำเร็จอย่างมากต่อสถานที่นิวเคลียร์ทั้งสามแห่งในอิหร่าน ได้แก่ ฟอร์โดว์ นาทานซ์ และอิศฟาฮาน ขณะนี้เครื่องบินทั้งหมดได้ออกจากน่านฟ้าอิหร่านแล้ว ระเบิดเต็มพิกัดถูกทิ้งใส่เป้าหมายหลักคือฟอร์โดว์ เครื่องบินทั้งหมดกำลังเดินทางกลับอย่างปลอดภัย ขอแสดงความยินดีกับนักรบอเมริกันผู้กล้าหาญของเรา ไม่มีทหารชาติใดในโลกที่สามารถทำเช่นนี้ได้ ตอนนี้ถึงเวลาของสันติภาพแล้ว! ขอบคุณสำหรับความสนใจในเรื่องนี้”
    – ประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์
    ด่วน!! ทรัมป์เปิดฉากถล่มอิหร่านแล้วที่โรงงานริวเคลียร์สามแห่ง Fordow, Natanz และ Esfahan “เราได้ดำเนินการโจมตีอย่างประสบความสำเร็จอย่างมากต่อสถานที่นิวเคลียร์ทั้งสามแห่งในอิหร่าน ได้แก่ ฟอร์โดว์ นาทานซ์ และอิศฟาฮาน ขณะนี้เครื่องบินทั้งหมดได้ออกจากน่านฟ้าอิหร่านแล้ว ระเบิดเต็มพิกัดถูกทิ้งใส่เป้าหมายหลักคือฟอร์โดว์ เครื่องบินทั้งหมดกำลังเดินทางกลับอย่างปลอดภัย ขอแสดงความยินดีกับนักรบอเมริกันผู้กล้าหาญของเรา ไม่มีทหารชาติใดในโลกที่สามารถทำเช่นนี้ได้ ตอนนี้ถึงเวลาของสันติภาพแล้ว! ขอบคุณสำหรับความสนใจในเรื่องนี้” – ประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์
    Angry
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 268 มุมมอง 0 รีวิว
  • IMCT News:ทรัมป์เลื่อนการโจมตีอิหร่านเพราะเกรงผลกระทบต่อตลาดการเงิน แต่แผนทำลายอิหร่านยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
    ในบทความล่าสุดบน Substack ซีมัวร์ เฮิร์ช ซึ่งเป็นนักข่าวอวุโสที่มีชื่อเสียงรายงานว่า มีความเป็นไปได้สูงที่สหรัฐฯ จะเริ่มปฏิบัติการโจมตีทางอากาศขนาดใหญ่ต่ออิหร่านภายในสุดสัปดาห์นี้ ตามข้อมูลจากแหล่งข่าวอิสราเอลและอเมริกันที่เขาเชื่อถือได้
    การโจมตีซึ่งได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์ จะมุ่งเป้าไปที่โครงสร้างพื้นฐานทางทหารและโครงการนิวเคลียร์ที่สำคัญของอิหร่าน รวมถึงศูนย์ฟอร์โดว์ (Fordow) ที่ได้รับการเสริมความแข็งแกร่งอย่างแน่นหนา ซึ่งเป็นสถานที่เก็บเครื่องหมุนเหวี่ยงรุ่นล่าสุดของอิหร่านไว้ใต้ดินลึก
    เฮิร์ชรายงานว่า เหตุผลของการชะลอการโจมตี มาจากความต้องการของทรัมป์ที่จะหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อตลาดการเงินของสหรัฐฯ เมื่อตลาดเปิดทำการในวันจันทร์
    แต่ แผนปฏิบัติการครั้งนี้มีเป้าหมายมากกว่าการทำลายขีดความสามารถด้านนิวเคลียร์ของอิหร่าน – มันมุ่งหวังจะสร้างความไม่มั่นคงให้กับรัฐบาลของประเทศด้วย ผู้วางแผนชาวอเมริกันและอิสราเอลต่างคาดหวังว่าจะเกิดความไม่สงบภายใน โดยการโจมตีฐานทัพ สถานีตำรวจ และศูนย์ราชการจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดกระแสต่อต้านรัฐบาลที่กว้างขึ้น
    เฮิร์ชระบุว่า มีรายงาน (ยังไม่ได้รับการยืนยัน) ว่า อายะตุลลอฮ์ คาเมเนอี อาจได้เดินทางออกจากกรุงเตหะรานแล้ว
    ในขณะที่บางฝ่ายในกรุงวอชิงตันเสนอแนวคิดว่าจะ ตั้งผู้นำทางศาสนาในสายกลางขึ้นเป็นผู้นำชั่วคราวของประเทศ เจ้าหน้าที่อิสราเอลกลับไม่เห็นด้วย และต้องการให้มีการควบคุมทางการเมืองอย่างเต็มรูปแบบโดยผ่านบุคคลที่ภักดีต่ออิสราเอล ความเห็นที่แตกต่างนี้สะท้อนถึงความขัดแย้งในเชิงลึกเกี่ยวกับอนาคตของอิหร่านหลังจากการโจมตี
    นอกจากนี้ หน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ ยังพิจารณาใช้ชนกลุ่มน้อยในอิหร่าน เช่น ชาวอาเซอรี ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับ CIA เป็นเครื่องมือในการกระตุ้นการลุกฮือครั้งใหญ่
    เฮิร์ชเตือนว่า แผนการนี้มีลักษณะคล้ายกับ การแทรกแซงของชาติตะวันตกในลิเบียและซีเรีย ซึ่งนำไปสู่ความไม่มั่นคงและความทุกข์ทรมานในระยะยาว เขาชี้ว่า การโจมตีอิหร่านอาจส่งผลคล้ายคลึงกัน เสี่ยงที่จะทำให้ประเทศแตกแยกและจุดชนวนความรุนแรงทั่วทั้งภูมิภาค ทั้งหมดนี้ถูกผลักดันโดย เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของเนทันยาฮู และความปรารถนาของทรัมป์ที่จะสร้างชัยชนะในเวทีภูมิรัฐศาสตร์
    https://seymourhersh.substack.com/p/what-i-have-been-told-is-coming-in
    20/6/2025
    IMCT News:ทรัมป์เลื่อนการโจมตีอิหร่านเพราะเกรงผลกระทบต่อตลาดการเงิน แต่แผนทำลายอิหร่านยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ในบทความล่าสุดบน Substack ซีมัวร์ เฮิร์ช ซึ่งเป็นนักข่าวอวุโสที่มีชื่อเสียงรายงานว่า มีความเป็นไปได้สูงที่สหรัฐฯ จะเริ่มปฏิบัติการโจมตีทางอากาศขนาดใหญ่ต่ออิหร่านภายในสุดสัปดาห์นี้ ตามข้อมูลจากแหล่งข่าวอิสราเอลและอเมริกันที่เขาเชื่อถือได้ การโจมตีซึ่งได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์ จะมุ่งเป้าไปที่โครงสร้างพื้นฐานทางทหารและโครงการนิวเคลียร์ที่สำคัญของอิหร่าน รวมถึงศูนย์ฟอร์โดว์ (Fordow) ที่ได้รับการเสริมความแข็งแกร่งอย่างแน่นหนา ซึ่งเป็นสถานที่เก็บเครื่องหมุนเหวี่ยงรุ่นล่าสุดของอิหร่านไว้ใต้ดินลึก เฮิร์ชรายงานว่า เหตุผลของการชะลอการโจมตี มาจากความต้องการของทรัมป์ที่จะหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อตลาดการเงินของสหรัฐฯ เมื่อตลาดเปิดทำการในวันจันทร์ แต่ แผนปฏิบัติการครั้งนี้มีเป้าหมายมากกว่าการทำลายขีดความสามารถด้านนิวเคลียร์ของอิหร่าน – มันมุ่งหวังจะสร้างความไม่มั่นคงให้กับรัฐบาลของประเทศด้วย ผู้วางแผนชาวอเมริกันและอิสราเอลต่างคาดหวังว่าจะเกิดความไม่สงบภายใน โดยการโจมตีฐานทัพ สถานีตำรวจ และศูนย์ราชการจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดกระแสต่อต้านรัฐบาลที่กว้างขึ้น เฮิร์ชระบุว่า มีรายงาน (ยังไม่ได้รับการยืนยัน) ว่า อายะตุลลอฮ์ คาเมเนอี อาจได้เดินทางออกจากกรุงเตหะรานแล้ว ในขณะที่บางฝ่ายในกรุงวอชิงตันเสนอแนวคิดว่าจะ ตั้งผู้นำทางศาสนาในสายกลางขึ้นเป็นผู้นำชั่วคราวของประเทศ เจ้าหน้าที่อิสราเอลกลับไม่เห็นด้วย และต้องการให้มีการควบคุมทางการเมืองอย่างเต็มรูปแบบโดยผ่านบุคคลที่ภักดีต่ออิสราเอล ความเห็นที่แตกต่างนี้สะท้อนถึงความขัดแย้งในเชิงลึกเกี่ยวกับอนาคตของอิหร่านหลังจากการโจมตี นอกจากนี้ หน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ ยังพิจารณาใช้ชนกลุ่มน้อยในอิหร่าน เช่น ชาวอาเซอรี ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับ CIA เป็นเครื่องมือในการกระตุ้นการลุกฮือครั้งใหญ่ เฮิร์ชเตือนว่า แผนการนี้มีลักษณะคล้ายกับ การแทรกแซงของชาติตะวันตกในลิเบียและซีเรีย ซึ่งนำไปสู่ความไม่มั่นคงและความทุกข์ทรมานในระยะยาว เขาชี้ว่า การโจมตีอิหร่านอาจส่งผลคล้ายคลึงกัน เสี่ยงที่จะทำให้ประเทศแตกแยกและจุดชนวนความรุนแรงทั่วทั้งภูมิภาค ทั้งหมดนี้ถูกผลักดันโดย เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของเนทันยาฮู และความปรารถนาของทรัมป์ที่จะสร้างชัยชนะในเวทีภูมิรัฐศาสตร์ https://seymourhersh.substack.com/p/what-i-have-been-told-is-coming-in 20/6/2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 434 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts