• เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ Intel ลดพนักงาน ส่งผลสะเทือนถึงโลกของ Linux

    ในปี 2025 Intel ได้ประกาศลดจำนวนพนักงานครั้งใหญ่ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการพัฒนาไดรเวอร์ใน Linux kernel โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับฮาร์ดแวร์ของ Intel เช่น GPU, Ethernet, และ CPU microcode ที่เคยมีทีมงานเฉพาะดูแลอย่างใกล้ชิด

    การลดทีมงานทำให้เกิดความล่าช้าในการแก้บั๊ก การทดสอบฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ และการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ของ Intel ที่จะรองรับใน Linux kernel รุ่นถัดไป นอกจากนี้ยังมีไดรเวอร์บางตัวที่ถูกประกาศว่า “orphaned” หรือไม่มีผู้ดูแลแล้ว เช่น Slim Bootloader firmware update driver ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการอัปเดตเฟิร์มแวร์ของแพลตฟอร์ม Intel x86

    แม้จะมีความกังวล แต่ชุมชน Linux ก็ยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยมีนักพัฒนาอิสระและบริษัทอื่น ๆ เช่น Red Hat, SUSE, Canonical เข้ามาช่วยดูแลไดรเวอร์ที่ขาดผู้ดูแล พร้อมทั้งใช้โครงสร้างแบบ modular และ framework ที่ช่วยลดการพึ่งพาไดรเวอร์เฉพาะจากผู้ผลิต

    Intel ลดจำนวนพนักงานในปี 2025 ส่งผลต่อการพัฒนา Linux kernel driver
    ส่งผลให้การแก้บั๊กและการรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ล่าช้า
    กระทบต่อการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ของ Intel ใน Linux

    ไดรเวอร์บางตัวถูกประกาศว่า orphaned เช่น Slim Bootloader firmware update driver
    ไม่มีผู้ดูแลที่มีความเชี่ยวชาญเหลืออยู่ในทีม
    อาจส่งผลต่อการอัปเดตเฟิร์มแวร์ของแพลตฟอร์ม Intel x86

    ชุมชน Linux และบริษัทอื่น ๆ เข้ามาช่วยดูแลไดรเวอร์ที่ขาดผู้ดูแล
    ใช้กระบวนการ maintainer transition เพื่อเปลี่ยนผู้ดูแล
    บริษัทเช่น Red Hat, SUSE, Canonical มีทีม kernel ของตัวเอง

    Linux kernel มีโครงสร้างแบบ modular ที่ช่วยให้การพัฒนาไม่หยุดชะงัก
    สามารถเปลี่ยนผู้ดูแลหรือปรับโครงสร้างได้ตามสถานการณ์
    มี framework ที่ช่วยลดการพึ่งพาไดรเวอร์เฉพาะจากผู้ผลิต

    ผู้ใช้ควรติดตามการเปลี่ยนแปลงใน MAINTAINERS file และ kernel mailing list
    เพื่อรู้ว่าไดรเวอร์ใดเปลี่ยนผู้ดูแล
    ควรทดสอบฮาร์ดแวร์ของตนเองเมื่ออัปเดต kernel

    การลดทีมงานของ Intel อาจทำให้การรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ล่าช้า
    ผู้ใช้ที่ใช้ฮาร์ดแวร์ Intel รุ่นใหม่อาจต้องรอนานกว่าจะมีไดรเวอร์ใน kernel
    อาจต้องใช้ kernel รุ่นพิเศษหรือ patch เองในบางกรณี

    ไดรเวอร์ที่ไม่มีผู้ดูแลอาจมีช่องโหว่หรือไม่รองรับ kernel รุ่นใหม่
    เสี่ยงต่อความไม่เสถียรหรือปัญหาด้านความปลอดภัย
    ต้องพึ่งพาชุมชนหรือบริษัทอื่นในการดูแล

    การถอนตัวจากโครงการ Clear Linux แสดงถึงการลดบทบาทของ Intel ในโลก open-source
    อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักพัฒนาและผู้ใช้
    ลดโอกาสในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เน้น Linux โดยเฉพาะ

    องค์กรที่ใช้ฮาร์ดแวร์ Intel ควรพิจารณาการ compile kernel เองเพื่อควบคุมไดรเวอร์
    โดยเฉพาะในระบบ enterprise ที่ต้องการความเสถียรสูง
    ต้องมีทีมเทคนิคที่เข้าใจการจัดการ kernel และ driver

    https://linuxconfig.org/intel-layoffs-impact-linux-kernel-driver-development-what-you-need-to-know
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ Intel ลดพนักงาน ส่งผลสะเทือนถึงโลกของ Linux ในปี 2025 Intel ได้ประกาศลดจำนวนพนักงานครั้งใหญ่ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการพัฒนาไดรเวอร์ใน Linux kernel โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับฮาร์ดแวร์ของ Intel เช่น GPU, Ethernet, และ CPU microcode ที่เคยมีทีมงานเฉพาะดูแลอย่างใกล้ชิด การลดทีมงานทำให้เกิดความล่าช้าในการแก้บั๊ก การทดสอบฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ และการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ของ Intel ที่จะรองรับใน Linux kernel รุ่นถัดไป นอกจากนี้ยังมีไดรเวอร์บางตัวที่ถูกประกาศว่า “orphaned” หรือไม่มีผู้ดูแลแล้ว เช่น Slim Bootloader firmware update driver ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการอัปเดตเฟิร์มแวร์ของแพลตฟอร์ม Intel x86 แม้จะมีความกังวล แต่ชุมชน Linux ก็ยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยมีนักพัฒนาอิสระและบริษัทอื่น ๆ เช่น Red Hat, SUSE, Canonical เข้ามาช่วยดูแลไดรเวอร์ที่ขาดผู้ดูแล พร้อมทั้งใช้โครงสร้างแบบ modular และ framework ที่ช่วยลดการพึ่งพาไดรเวอร์เฉพาะจากผู้ผลิต ✅ Intel ลดจำนวนพนักงานในปี 2025 ส่งผลต่อการพัฒนา Linux kernel driver ➡️ ส่งผลให้การแก้บั๊กและการรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ล่าช้า ➡️ กระทบต่อการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ของ Intel ใน Linux ✅ ไดรเวอร์บางตัวถูกประกาศว่า orphaned เช่น Slim Bootloader firmware update driver ➡️ ไม่มีผู้ดูแลที่มีความเชี่ยวชาญเหลืออยู่ในทีม ➡️ อาจส่งผลต่อการอัปเดตเฟิร์มแวร์ของแพลตฟอร์ม Intel x86 ✅ ชุมชน Linux และบริษัทอื่น ๆ เข้ามาช่วยดูแลไดรเวอร์ที่ขาดผู้ดูแล ➡️ ใช้กระบวนการ maintainer transition เพื่อเปลี่ยนผู้ดูแล ➡️ บริษัทเช่น Red Hat, SUSE, Canonical มีทีม kernel ของตัวเอง ✅ Linux kernel มีโครงสร้างแบบ modular ที่ช่วยให้การพัฒนาไม่หยุดชะงัก ➡️ สามารถเปลี่ยนผู้ดูแลหรือปรับโครงสร้างได้ตามสถานการณ์ ➡️ มี framework ที่ช่วยลดการพึ่งพาไดรเวอร์เฉพาะจากผู้ผลิต ✅ ผู้ใช้ควรติดตามการเปลี่ยนแปลงใน MAINTAINERS file และ kernel mailing list ➡️ เพื่อรู้ว่าไดรเวอร์ใดเปลี่ยนผู้ดูแล ➡️ ควรทดสอบฮาร์ดแวร์ของตนเองเมื่ออัปเดต kernel ‼️ การลดทีมงานของ Intel อาจทำให้การรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ล่าช้า ⛔ ผู้ใช้ที่ใช้ฮาร์ดแวร์ Intel รุ่นใหม่อาจต้องรอนานกว่าจะมีไดรเวอร์ใน kernel ⛔ อาจต้องใช้ kernel รุ่นพิเศษหรือ patch เองในบางกรณี ‼️ ไดรเวอร์ที่ไม่มีผู้ดูแลอาจมีช่องโหว่หรือไม่รองรับ kernel รุ่นใหม่ ⛔ เสี่ยงต่อความไม่เสถียรหรือปัญหาด้านความปลอดภัย ⛔ ต้องพึ่งพาชุมชนหรือบริษัทอื่นในการดูแล ‼️ การถอนตัวจากโครงการ Clear Linux แสดงถึงการลดบทบาทของ Intel ในโลก open-source ⛔ อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักพัฒนาและผู้ใช้ ⛔ ลดโอกาสในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เน้น Linux โดยเฉพาะ ‼️ องค์กรที่ใช้ฮาร์ดแวร์ Intel ควรพิจารณาการ compile kernel เองเพื่อควบคุมไดรเวอร์ ⛔ โดยเฉพาะในระบบ enterprise ที่ต้องการความเสถียรสูง ⛔ ต้องมีทีมเทคนิคที่เข้าใจการจัดการ kernel และ driver https://linuxconfig.org/intel-layoffs-impact-linux-kernel-driver-development-what-you-need-to-know
    LINUXCONFIG.ORG
    Intel Layoffs Impact Linux Kernel Driver Development: What You Need to Know
    Intel's workforce reductions may affect Linux kernel drivers, raising concerns over hardware support and compatibility. Discover what this means for development and communities.
    0 Comments 0 Shares 1 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Stallman ยังคงต่อสู้เพื่อเสรีภาพซอฟต์แวร์ แม้ต้องต่อสู้กับโรคร้าย

    ในปี 2025 Stallman ยังคงอยู่ในภาวะ “remission” หรือระยะที่โรคสงบลง และมีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดี เขายังคงเข้าร่วมกิจกรรมของชุมชนซอฟต์แวร์เสรี เช่น งานครบรอบ 40 ปีของโครงการ GNU และการบรรยายในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ โดยเน้นประเด็นเรื่อง “อธิปไตยทางคอมพิวเตอร์” และการต่อต้านซอฟต์แวร์ที่ไม่เปิดเผยโค้ด

    แม้การรักษาด้วยเคมีบำบัดจะส่งผลต่อรูปลักษณ์ภายนอก เช่น การสูญเสียเคราอันเป็นเอกลักษณ์ แต่เขายังคงปรากฏตัวในงานสาธารณะ พร้อมแสดงความหวังว่าจะยังมีบทบาทในขบวนการซอฟต์แวร์เสรีไปอีกหลายปี

    ชุมชนผู้ใช้และนักพัฒนาซอฟต์แวร์เสรีให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับคำพูดและพฤติกรรมในอดีตของเขา ซึ่งกลายเป็นประเด็นถกเถียงว่า “ควรแยกผลงานออกจากตัวบุคคลหรือไม่”

    Stallman อยู่ในภาวะ remission จากโรค follicular lymphoma และมีแนวโน้มฟื้นตัวดี
    เป็นมะเร็งชนิดไม่รุนแรงและตอบสนองต่อการรักษา
    เขาระมัดระวังเรื่องการสัมผัส COVID-19 เป็นพิเศษ

    ยังคงเข้าร่วมกิจกรรมของชุมชนซอฟต์แวร์เสรี เช่น งานครบรอบ GNU และการบรรยายในมหาวิทยาลัย
    ล่าสุดบรรยายที่ Politecnico di Milano เรื่องอธิปไตยทางคอมพิวเตอร์
    เน้นการต่อต้านซอฟต์แวร์ที่ควบคุมโดยบริษัทเอกชน

    ยังคงแสดงจุดยืนทางการเมืองและปรัชญา แม้จะอยู่ระหว่างการฟื้นตัว
    เช่น การวิจารณ์ Microsoft และ Apple เรื่องความปลอดภัย
    ย้ำว่ารัฐไม่ควรใช้ซอฟต์แวร์ proprietary ในงานราชการ

    ชุมชนผู้ใช้ซอฟต์แวร์เสรีให้กำลังใจและสนับสนุนการฟื้นตัวของเขา
    มีการพูดถึงในฟอรัมและโพสต์แสดงความห่วงใย
    ยกย่องความมุ่งมั่นในการทำงานแม้มีข้อจำกัดด้านสุขภาพ

    Stallman ยังคงมีบทบาทในโครงการ GNU และ Free Software Foundation
    มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเชิงปรัชญาและเทคนิค
    ยังแก้ไขบทความและเอกสารในเว็บไซต์ GNU อย่างต่อเนื่อง

    https://linuxconfig.org/richard-stallman-ongoing-recovery-and-continued-advocacy-in-2025
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Stallman ยังคงต่อสู้เพื่อเสรีภาพซอฟต์แวร์ แม้ต้องต่อสู้กับโรคร้าย ในปี 2025 Stallman ยังคงอยู่ในภาวะ “remission” หรือระยะที่โรคสงบลง และมีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดี เขายังคงเข้าร่วมกิจกรรมของชุมชนซอฟต์แวร์เสรี เช่น งานครบรอบ 40 ปีของโครงการ GNU และการบรรยายในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ โดยเน้นประเด็นเรื่อง “อธิปไตยทางคอมพิวเตอร์” และการต่อต้านซอฟต์แวร์ที่ไม่เปิดเผยโค้ด แม้การรักษาด้วยเคมีบำบัดจะส่งผลต่อรูปลักษณ์ภายนอก เช่น การสูญเสียเคราอันเป็นเอกลักษณ์ แต่เขายังคงปรากฏตัวในงานสาธารณะ พร้อมแสดงความหวังว่าจะยังมีบทบาทในขบวนการซอฟต์แวร์เสรีไปอีกหลายปี ชุมชนผู้ใช้และนักพัฒนาซอฟต์แวร์เสรีให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับคำพูดและพฤติกรรมในอดีตของเขา ซึ่งกลายเป็นประเด็นถกเถียงว่า “ควรแยกผลงานออกจากตัวบุคคลหรือไม่” ✅ Stallman อยู่ในภาวะ remission จากโรค follicular lymphoma และมีแนวโน้มฟื้นตัวดี ➡️ เป็นมะเร็งชนิดไม่รุนแรงและตอบสนองต่อการรักษา ➡️ เขาระมัดระวังเรื่องการสัมผัส COVID-19 เป็นพิเศษ ✅ ยังคงเข้าร่วมกิจกรรมของชุมชนซอฟต์แวร์เสรี เช่น งานครบรอบ GNU และการบรรยายในมหาวิทยาลัย ➡️ ล่าสุดบรรยายที่ Politecnico di Milano เรื่องอธิปไตยทางคอมพิวเตอร์ ➡️ เน้นการต่อต้านซอฟต์แวร์ที่ควบคุมโดยบริษัทเอกชน ✅ ยังคงแสดงจุดยืนทางการเมืองและปรัชญา แม้จะอยู่ระหว่างการฟื้นตัว ➡️ เช่น การวิจารณ์ Microsoft และ Apple เรื่องความปลอดภัย ➡️ ย้ำว่ารัฐไม่ควรใช้ซอฟต์แวร์ proprietary ในงานราชการ ✅ ชุมชนผู้ใช้ซอฟต์แวร์เสรีให้กำลังใจและสนับสนุนการฟื้นตัวของเขา ➡️ มีการพูดถึงในฟอรัมและโพสต์แสดงความห่วงใย ➡️ ยกย่องความมุ่งมั่นในการทำงานแม้มีข้อจำกัดด้านสุขภาพ ✅ Stallman ยังคงมีบทบาทในโครงการ GNU และ Free Software Foundation ➡️ มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเชิงปรัชญาและเทคนิค ➡️ ยังแก้ไขบทความและเอกสารในเว็บไซต์ GNU อย่างต่อเนื่อง https://linuxconfig.org/richard-stallman-ongoing-recovery-and-continued-advocacy-in-2025
    LINUXCONFIG.ORG
    Richard Stallman: Ongoing Recovery and Continued Advocacy in 2025
    Richard Stallman, founder of the GNU Project, remains in remission from follicular lymphoma as of July 2025. Despite health challenges, he continues his advocacy for free software, managing his condition while influencing community discussions.
    0 Comments 0 Shares 1 Views 0 Reviews
  • สาวเขมรไม่ทน แฉความระยำฮุน ฮุนเซนวีนแตกถึงกับตาม “ล่า”ตัว (3/8/68)
    Cambodian woman fights back, exposing Hun’s vile deeds — Hun Sen lashes out, launching a manhunt.

    #TruthFromThailand
    #CambodiaNoCeasefire
    #Hunsenfiredfirst
    #กัมพูชายิงก่อน
    #เสียงจากเขมร
    #CambodianDeception
    #News1 #Shorts
    สาวเขมรไม่ทน แฉความระยำฮุน ฮุนเซนวีนแตกถึงกับตาม “ล่า”ตัว (3/8/68) Cambodian woman fights back, exposing Hun’s vile deeds — Hun Sen lashes out, launching a manhunt. #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #กัมพูชายิงก่อน #เสียงจากเขมร #CambodianDeception #News1 #Shorts
    0 Comments 0 Shares 82 Views 0 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: MLPerf Client 1.0 — เครื่องมือทดสอบ AI บนเครื่องส่วนตัวที่ใช้ง่ายขึ้นและครอบคลุมมากขึ้น

    ในยุคที่ AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน แต่หลายคนยังใช้โมเดลผ่านระบบคลาวด์ เช่น ChatGPT หรือ Gemini ซึ่งแม้จะสะดวก แต่ก็มีข้อจำกัดด้านความเป็นส่วนตัวและการควบคุม

    MLPerf Client 1.0 จึงถูกพัฒนาโดย MLCommons เพื่อให้ผู้ใช้สามารถทดสอบประสิทธิภาพของโมเดล AI บนเครื่องของตัวเอง—ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุ๊ก, เดสก์ท็อป หรือเวิร์กสเตชัน โดยเวอร์ชันใหม่นี้มาพร้อม GUI ที่ใช้งานง่าย และรองรับโมเดลใหม่ ๆ เช่น Llama 3.1, Phi 3.5 และ Phi 4 Reasoning

    นอกจากนี้ยังรองรับการเร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์จากหลายค่าย เช่น AMD, Intel, NVIDIA, Apple และ Qualcomm ผ่าน SDK และ execution path ที่หลากหลาย รวมถึงสามารถทดสอบงานที่ซับซ้อน เช่น การสรุปเนื้อหาด้วย context window ขนาด 8000 tokens

    MLPerf Client 1.0 เปิดตัวพร้อม GUI ใช้งานง่ายสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    ไม่ต้องใช้ command line เหมือนเวอร์ชันก่อน
    มีระบบมอนิเตอร์ทรัพยากรแบบเรียลไทม์

    รองรับโมเดลใหม่หลายตัว เช่น Llama 2, Llama 3.1, Phi 3.5 และ Phi 4 Reasoning
    ครอบคลุมทั้งโมเดลขนาดเล็กและใหญ่
    ทดสอบได้ทั้งการสนทนา, การเขียนโค้ด และการสรุปเนื้อหา

    สามารถทดสอบงานที่ใช้ context window ขนาดใหญ่ เช่น 4000 และ 8000 tokens
    เหมาะกับการวัดประสิทธิภาพในงานสรุปเนื้อหายาว
    ต้องใช้ GPU ที่มี VRAM อย่างน้อย 16GB

    รองรับการเร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์จากหลายค่ายผ่าน execution path ต่าง ๆ
    เช่น ONNX Runtime, OpenVINO, MLX, Llama.cpp
    ครอบคลุมทั้ง GPU, NPU และ CPU hybrid

    สามารถดาวน์โหลดและใช้งานฟรีผ่าน GitHub
    รองรับ Windows และ macOS
    เหมาะกับนักพัฒนา, นักวิจัย และผู้ใช้ทั่วไป

    การทดสอบบาง workload ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ระดับสูง เช่น GPU 16GB VRAM ขึ้นไป
    ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่สามารถรันได้ครบทุกชุดทดสอบ
    ต้องตรวจสอบสเปกก่อนใช้งาน

    การเปรียบเทียบผลลัพธ์ระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ อาจไม่แม่นยำหากไม่ได้ตั้งค่าระบบให้เหมือนกัน
    ต้องใช้ configuration ที่เทียบเคียงได้
    ไม่ควรใช้ผลลัพธ์เพื่อสรุปคุณภาพของฮาร์ดแวร์โดยตรง

    การใช้ execution path ที่ไม่เหมาะกับอุปกรณ์อาจทำให้ผลลัพธ์ผิดเพี้ยน
    เช่น ใช้ path สำหรับ GPU บนระบบที่ไม่มี GPU
    ต้องเลือก path ให้ตรงกับฮาร์ดแวร์ที่ใช้งานจริง

    การทดสอบโมเดลขนาดใหญ่อาจใช้เวลานานและกินทรัพยากรสูง
    อาจทำให้เครื่องร้อนหรือหน่วง
    ควรใช้ในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้

    https://www.tomshardware.com/software/mlperf-client-1-0-ai-benchmark-released-new-testing-toolkit-sports-a-gui-covers-more-models-and-tasks-and-supports-more-hardware-acceleration-paths
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: MLPerf Client 1.0 — เครื่องมือทดสอบ AI บนเครื่องส่วนตัวที่ใช้ง่ายขึ้นและครอบคลุมมากขึ้น ในยุคที่ AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน แต่หลายคนยังใช้โมเดลผ่านระบบคลาวด์ เช่น ChatGPT หรือ Gemini ซึ่งแม้จะสะดวก แต่ก็มีข้อจำกัดด้านความเป็นส่วนตัวและการควบคุม MLPerf Client 1.0 จึงถูกพัฒนาโดย MLCommons เพื่อให้ผู้ใช้สามารถทดสอบประสิทธิภาพของโมเดล AI บนเครื่องของตัวเอง—ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุ๊ก, เดสก์ท็อป หรือเวิร์กสเตชัน โดยเวอร์ชันใหม่นี้มาพร้อม GUI ที่ใช้งานง่าย และรองรับโมเดลใหม่ ๆ เช่น Llama 3.1, Phi 3.5 และ Phi 4 Reasoning นอกจากนี้ยังรองรับการเร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์จากหลายค่าย เช่น AMD, Intel, NVIDIA, Apple และ Qualcomm ผ่าน SDK และ execution path ที่หลากหลาย รวมถึงสามารถทดสอบงานที่ซับซ้อน เช่น การสรุปเนื้อหาด้วย context window ขนาด 8000 tokens ✅ MLPerf Client 1.0 เปิดตัวพร้อม GUI ใช้งานง่ายสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ➡️ ไม่ต้องใช้ command line เหมือนเวอร์ชันก่อน ➡️ มีระบบมอนิเตอร์ทรัพยากรแบบเรียลไทม์ ✅ รองรับโมเดลใหม่หลายตัว เช่น Llama 2, Llama 3.1, Phi 3.5 และ Phi 4 Reasoning ➡️ ครอบคลุมทั้งโมเดลขนาดเล็กและใหญ่ ➡️ ทดสอบได้ทั้งการสนทนา, การเขียนโค้ด และการสรุปเนื้อหา ✅ สามารถทดสอบงานที่ใช้ context window ขนาดใหญ่ เช่น 4000 และ 8000 tokens ➡️ เหมาะกับการวัดประสิทธิภาพในงานสรุปเนื้อหายาว ➡️ ต้องใช้ GPU ที่มี VRAM อย่างน้อย 16GB ✅ รองรับการเร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์จากหลายค่ายผ่าน execution path ต่าง ๆ ➡️ เช่น ONNX Runtime, OpenVINO, MLX, Llama.cpp ➡️ ครอบคลุมทั้ง GPU, NPU และ CPU hybrid ✅ สามารถดาวน์โหลดและใช้งานฟรีผ่าน GitHub ➡️ รองรับ Windows และ macOS ➡️ เหมาะกับนักพัฒนา, นักวิจัย และผู้ใช้ทั่วไป ‼️ การทดสอบบาง workload ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ระดับสูง เช่น GPU 16GB VRAM ขึ้นไป ⛔ ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่สามารถรันได้ครบทุกชุดทดสอบ ⛔ ต้องตรวจสอบสเปกก่อนใช้งาน ‼️ การเปรียบเทียบผลลัพธ์ระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ อาจไม่แม่นยำหากไม่ได้ตั้งค่าระบบให้เหมือนกัน ⛔ ต้องใช้ configuration ที่เทียบเคียงได้ ⛔ ไม่ควรใช้ผลลัพธ์เพื่อสรุปคุณภาพของฮาร์ดแวร์โดยตรง ‼️ การใช้ execution path ที่ไม่เหมาะกับอุปกรณ์อาจทำให้ผลลัพธ์ผิดเพี้ยน ⛔ เช่น ใช้ path สำหรับ GPU บนระบบที่ไม่มี GPU ⛔ ต้องเลือก path ให้ตรงกับฮาร์ดแวร์ที่ใช้งานจริง ‼️ การทดสอบโมเดลขนาดใหญ่อาจใช้เวลานานและกินทรัพยากรสูง ⛔ อาจทำให้เครื่องร้อนหรือหน่วง ⛔ ควรใช้ในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้ https://www.tomshardware.com/software/mlperf-client-1-0-ai-benchmark-released-new-testing-toolkit-sports-a-gui-covers-more-models-and-tasks-and-supports-more-hardware-acceleration-paths
    0 Comments 0 Shares 85 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากเคอร์เนล: เมื่อ Linux กลายเป็นแพลตฟอร์มที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับงานลับสุดยอด

    ในเดือนกรกฎาคม 2025 Linux Kernel 6.16 ได้เพิ่มการรองรับ AMD SEV vTPM อย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นการรวมเทคโนโลยี Secure Encrypted Virtualization (SEV) และ Virtual Trusted Platform Module (vTPM) เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและแยกออกจากระบบโฮสต์โดยสิ้นเชิง

    vTPM คือ TPM แบบเสมือนที่ทำงานภายใน VM โดยถูกเข้ารหัสและแยกออกจาก hypervisor ด้วยเทคโนโลยี SEV-SNP ของ AMD ทำให้สามารถใช้ฟีเจอร์อย่าง Secure Boot, Measured Boot และ Remote Attestation ได้อย่างปลอดภัยในระบบคลาวด์หรือองค์กรที่ต้องการความมั่นคงสูง

    ฟีเจอร์นี้เหมาะกับองค์กรในภาคการเงิน, สาธารณสุข, และภาครัฐ ที่ต้องการความมั่นใจว่าข้อมูลสำคัญจะไม่ถูกเข้าถึงโดยผู้ให้บริการคลาวด์หรือระบบโฮสต์ที่ไม่ไว้วางใจ

    Linux Kernel 6.16 เพิ่มการรองรับ AMD SEV vTPM อย่างสมบูรณ์
    รองรับการสร้าง vTPM ภายใน VM ที่ถูกเข้ารหัสด้วย SEV-SNP
    ใช้โปรโตคอลจาก AMD SVSM spec เพื่อให้ guest OS ติดต่อกับ vTPM ได้

    vTPM ทำงานในหน่วยความจำที่ถูกแยกและเข้ารหัสโดยฮาร์ดแวร์
    ป้องกันการเข้าถึงจาก hypervisor และ guest OS
    รองรับ TPM 2.0 เต็มรูปแบบ เช่น PCRs และการเข้ารหัสคีย์

    รองรับการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของระบบ (attestation) และ Secure Boot
    เหมาะกับการใช้งานใน Zero Trust Architecture
    ช่วยให้มั่นใจว่า VM ทำงานในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยจริง

    เหมาะกับองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง เช่น การเงิน, สาธารณสุข, และภาครัฐ
    รองรับการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและการเข้ารหัส
    ลดการพึ่งพาเฟิร์มแวร์หรือ TPM แบบ proprietary

    สามารถใช้งานร่วมกับ hypervisor อย่าง KVM และเครื่องมือจัดการ VM บน Linux
    รองรับการตั้งค่า kernel เช่น CONFIG_TCG_SVSM=y
    มีเครื่องมือสำหรับตรวจสอบสถานะการเข้ารหัสและการทำงานของ vTPM

    การใช้งาน vTPM ต้องมีการตั้งค่าฮาร์ดแวร์และ BIOS ที่รองรับ SEV-SNP
    หาก CPU หรือ BIOS ไม่รองรับ จะไม่สามารถเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ได้
    ต้องตรวจสอบว่าเปิดใช้งาน Secure Memory Encryption แล้ว

    การเข้ารหัสและการตรวจสอบแบบฮาร์ดแวร์อาจเพิ่มภาระการประมวลผล
    มี overhead ด้านประสิทธิภาพ โดยเฉพาะใน workload ที่ใช้ vTPM หนัก
    ต้องวางแผนการจัดสรรทรัพยากรอย่างรอบคอบ

    การตั้งค่า kernel และการคอมไพล์ต้องแม่นยำเพื่อให้ vTPM ทำงานได้สมบูรณ์
    ต้องเปิดใช้งานโมดูลที่เกี่ยวข้อง เช่น CONFIG_KVM_AMD_SEV
    หากตั้งค่าผิด อาจทำให้ VM ไม่สามารถบูตหรือใช้งาน vTPM ได้

    การตรวจสอบความน่าเชื่อถือ (attestation) ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะและการทดสอบอย่างละเอียด
    ต้องใช้ AMD SEV tools และ kernel boot parameters เช่น amd_sev.debug=1
    หากไม่ตรวจสอบอย่างถูกต้อง อาจเกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย

    https://linuxconfig.org/comprehensive-amd-sev-vtpm-support-in-linux-kernel-6-16-enhances-confidential-computing
    🔐 เรื่องเล่าจากเคอร์เนล: เมื่อ Linux กลายเป็นแพลตฟอร์มที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับงานลับสุดยอด ในเดือนกรกฎาคม 2025 Linux Kernel 6.16 ได้เพิ่มการรองรับ AMD SEV vTPM อย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นการรวมเทคโนโลยี Secure Encrypted Virtualization (SEV) และ Virtual Trusted Platform Module (vTPM) เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและแยกออกจากระบบโฮสต์โดยสิ้นเชิง vTPM คือ TPM แบบเสมือนที่ทำงานภายใน VM โดยถูกเข้ารหัสและแยกออกจาก hypervisor ด้วยเทคโนโลยี SEV-SNP ของ AMD ทำให้สามารถใช้ฟีเจอร์อย่าง Secure Boot, Measured Boot และ Remote Attestation ได้อย่างปลอดภัยในระบบคลาวด์หรือองค์กรที่ต้องการความมั่นคงสูง ฟีเจอร์นี้เหมาะกับองค์กรในภาคการเงิน, สาธารณสุข, และภาครัฐ ที่ต้องการความมั่นใจว่าข้อมูลสำคัญจะไม่ถูกเข้าถึงโดยผู้ให้บริการคลาวด์หรือระบบโฮสต์ที่ไม่ไว้วางใจ ✅ Linux Kernel 6.16 เพิ่มการรองรับ AMD SEV vTPM อย่างสมบูรณ์ ➡️ รองรับการสร้าง vTPM ภายใน VM ที่ถูกเข้ารหัสด้วย SEV-SNP ➡️ ใช้โปรโตคอลจาก AMD SVSM spec เพื่อให้ guest OS ติดต่อกับ vTPM ได้ ✅ vTPM ทำงานในหน่วยความจำที่ถูกแยกและเข้ารหัสโดยฮาร์ดแวร์ ➡️ ป้องกันการเข้าถึงจาก hypervisor และ guest OS ➡️ รองรับ TPM 2.0 เต็มรูปแบบ เช่น PCRs และการเข้ารหัสคีย์ ✅ รองรับการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของระบบ (attestation) และ Secure Boot ➡️ เหมาะกับการใช้งานใน Zero Trust Architecture ➡️ ช่วยให้มั่นใจว่า VM ทำงานในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยจริง ✅ เหมาะกับองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง เช่น การเงิน, สาธารณสุข, และภาครัฐ ➡️ รองรับการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและการเข้ารหัส ➡️ ลดการพึ่งพาเฟิร์มแวร์หรือ TPM แบบ proprietary ✅ สามารถใช้งานร่วมกับ hypervisor อย่าง KVM และเครื่องมือจัดการ VM บน Linux ➡️ รองรับการตั้งค่า kernel เช่น CONFIG_TCG_SVSM=y ➡️ มีเครื่องมือสำหรับตรวจสอบสถานะการเข้ารหัสและการทำงานของ vTPM ‼️ การใช้งาน vTPM ต้องมีการตั้งค่าฮาร์ดแวร์และ BIOS ที่รองรับ SEV-SNP ⛔ หาก CPU หรือ BIOS ไม่รองรับ จะไม่สามารถเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ได้ ⛔ ต้องตรวจสอบว่าเปิดใช้งาน Secure Memory Encryption แล้ว ‼️ การเข้ารหัสและการตรวจสอบแบบฮาร์ดแวร์อาจเพิ่มภาระการประมวลผล ⛔ มี overhead ด้านประสิทธิภาพ โดยเฉพาะใน workload ที่ใช้ vTPM หนัก ⛔ ต้องวางแผนการจัดสรรทรัพยากรอย่างรอบคอบ ‼️ การตั้งค่า kernel และการคอมไพล์ต้องแม่นยำเพื่อให้ vTPM ทำงานได้สมบูรณ์ ⛔ ต้องเปิดใช้งานโมดูลที่เกี่ยวข้อง เช่น CONFIG_KVM_AMD_SEV ⛔ หากตั้งค่าผิด อาจทำให้ VM ไม่สามารถบูตหรือใช้งาน vTPM ได้ ‼️ การตรวจสอบความน่าเชื่อถือ (attestation) ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะและการทดสอบอย่างละเอียด ⛔ ต้องใช้ AMD SEV tools และ kernel boot parameters เช่น amd_sev.debug=1 ⛔ หากไม่ตรวจสอบอย่างถูกต้อง อาจเกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย https://linuxconfig.org/comprehensive-amd-sev-vtpm-support-in-linux-kernel-6-16-enhances-confidential-computing
    LINUXCONFIG.ORG
    Comprehensive AMD SEV vTPM Support in Linux Kernel 6.16 Enhances Confidential Computing
    Linux kernel 6.16 introduces comprehensive AMD SEV vTPM support, enhancing virtual machine security and confidential computing capabilities with hardware-backed attestation and secure boot verification.
    0 Comments 0 Shares 133 Views 0 Reviews
  • Statement from the Thai People to the International Community
    (แถลงการณ์ประชาชนไทยสู่ประชาคมโลก แปล 4 ภาษา) [28/7/68]

    #แถลงการณ์ประชาชนไทย #สู่ประชาคมโลก #StatementFromThailand #เสียงคนไทยต้องได้ยิน #Savethailand #ThailandSpeaksToTheWorld #แปล4ภาษา #CallForTruth #FightForJustice
    #ข่าวดัง #ข่าวต่างประเทศ #ศึกไทยเขมร
    #กัมพูชายิงก่อน #柬埔寨先开火 #カンボジアが先に発砲 #캄보디아가먼저발포 #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #CambodiaOpensFireFirst #thaitimes #news1 #shorts
    Statement from the Thai People to the International Community (แถลงการณ์ประชาชนไทยสู่ประชาคมโลก แปล 4 ภาษา) [28/7/68] #แถลงการณ์ประชาชนไทย #สู่ประชาคมโลก #StatementFromThailand #เสียงคนไทยต้องได้ยิน #Savethailand #ThailandSpeaksToTheWorld #แปล4ภาษา #CallForTruth #FightForJustice #ข่าวดัง #ข่าวต่างประเทศ #ศึกไทยเขมร #กัมพูชายิงก่อน #柬埔寨先开火 #カンボジアが先に発砲 #캄보디아가먼저발포 #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #CambodiaOpensFireFirst #thaitimes #news1 #shorts
    1 Comments 0 Shares 167 Views 0 0 Reviews
  • ** Apna Khata Bhulekh A Step Towards Digital Land Records **

    In the ultramodern digital age, governance systems across India have been witnessing rapid-fire metamorphosis. One significant action in this direction is ** “ Apna Khata Bhulekh ” **, a government- driven platform aimed at digitizing land records and furnishing easy access to citizens. Particularly active in countries like Rajasthan, Bihar, and Uttar Pradesh, this system enables coproprietors and growers to pierce important land- related documents online, reducing the need for physical visits to government services.

    What's Apna Khata Bhulekh?

    “ Apna Khata Bhulekh ” is a digital portal launched by colorful state governments to allow druggies to view and download land records online. The term" Bhulekh" translates to ** land records ** or ** land description **, and “ Apna Khata ” means ** your account **, pertaining to a person's land power account. The system provides translucency in land dealings and reduces the chances of land fraud and manipulation.

    These online platforms are state-specific but operate under the common thing of ** profit department digitization **. Citizens can pierce Jamabandi Nakal( Record of Rights), Khasra figures, Khata figures, and charts of their lands from anywhere with an internet connection.

    ---

    crucial Features of Apna Khata Bhulekh

    1. ** Ease of Access **
    druggies can log in to the separate state gate using introductory details like quarter, tehsil, vill name, and Khata or Khasra number to pierce their land details.

    2. ** translucency **
    With all land records available online, the compass of corruption, illegal land occupation, and fraudulent deals is significantly reduced.

    3. ** Time- Saving **
    before, carrying land records meant long ranges at profit services. With Apna Khata Bhulekh, it can now be done within twinkles.

    4. ** Legal mileage **
    These digital land documents are fairly valid and can be used for colorful purposes similar as loan operations, land deals, and court cases.

    5. ** Map Access **
    druggies can view or download ** Bhu- Naksha **( land chart) and get visual representations of plots.

    ---

    How to Access Apna Khata Bhulekh Online

    Although the exact interface varies slightly from state to state, the general process remains the same

    1. Visit the sanctioned Bhulekh or Apna Khata website of your separate state.
    2. Choose your ** quarter **, ** tehsil **, and ** vill **.
    3. Enter details like ** Khata number **, ** Khasra number **, or ** squatter name **.
    4. Click on “ Submit ” or “ View Report ” to get the land record.

    For illustration, in ** Rajasthan **, druggies can go to( apnakhata.raj.nic.in)( http// apnakhata.raj.nic.in) to pierce the gate. also, in ** Uttar Pradesh **, the point is( upbhulekh.gov.in)( http// upbhulekh.gov.in), while ** Bihar ** residers can use( biharbhumi.bihar.gov.in)( http// biharbhumi.bihar.gov.in).

    ---

    Benefits to Farmers and Coproprietors

    * ** Loan blessing ** growers frequently need land records to get crop loans from banks. Digital Bhulekh ensures timely access to vindicated documents.
    * ** disagreement Resolution ** Land controversies can now be resolved briskly with sanctioned digital substantiation available at the click of a button.
    * ** Land Deals and Purchases ** Buyers can corroborate land power and history before making purchases, leading to safer deals.

    ---

    Challenges and the Way Forward

    While the action is estimable, certain challenges remain. In pastoral areas, numerous people are still ignorant of how to use these doors. Internet connectivity and digital knowledge also pose walls. also, some old land records are yet to be digitized, leading to gaps in data vacuity.

    To overcome these issues, state governments need to conduct mindfulness juggernauts, offer backing at ** Common Service Centers( CSCs) **, and insure that all old records are digitized and vindicated.

    ---

    Conclusion

    “ Apna Khata Bhulekh ” is a transformative step in making governance further citizen-friendly. It empowers coproprietors by giving them direct access to pivotal information and promotes translucency in land dealings. As further people embrace digital platforms, Apna Khata Bhulekh will play an indeed more critical part in icing land security and effective land operation across India. https://apnakhataonline.com

    ** Apna Khata Bhulekh A Step Towards Digital Land Records ** In the ultramodern digital age, governance systems across India have been witnessing rapid-fire metamorphosis. One significant action in this direction is ** “ Apna Khata Bhulekh ” **, a government- driven platform aimed at digitizing land records and furnishing easy access to citizens. Particularly active in countries like Rajasthan, Bihar, and Uttar Pradesh, this system enables coproprietors and growers to pierce important land- related documents online, reducing the need for physical visits to government services. What's Apna Khata Bhulekh? “ Apna Khata Bhulekh ” is a digital portal launched by colorful state governments to allow druggies to view and download land records online. The term" Bhulekh" translates to ** land records ** or ** land description **, and “ Apna Khata ” means ** your account **, pertaining to a person's land power account. The system provides translucency in land dealings and reduces the chances of land fraud and manipulation. These online platforms are state-specific but operate under the common thing of ** profit department digitization **. Citizens can pierce Jamabandi Nakal( Record of Rights), Khasra figures, Khata figures, and charts of their lands from anywhere with an internet connection. --- crucial Features of Apna Khata Bhulekh 1. ** Ease of Access ** druggies can log in to the separate state gate using introductory details like quarter, tehsil, vill name, and Khata or Khasra number to pierce their land details. 2. ** translucency ** With all land records available online, the compass of corruption, illegal land occupation, and fraudulent deals is significantly reduced. 3. ** Time- Saving ** before, carrying land records meant long ranges at profit services. With Apna Khata Bhulekh, it can now be done within twinkles. 4. ** Legal mileage ** These digital land documents are fairly valid and can be used for colorful purposes similar as loan operations, land deals, and court cases. 5. ** Map Access ** druggies can view or download ** Bhu- Naksha **( land chart) and get visual representations of plots. --- How to Access Apna Khata Bhulekh Online Although the exact interface varies slightly from state to state, the general process remains the same 1. Visit the sanctioned Bhulekh or Apna Khata website of your separate state. 2. Choose your ** quarter **, ** tehsil **, and ** vill **. 3. Enter details like ** Khata number **, ** Khasra number **, or ** squatter name **. 4. Click on “ Submit ” or “ View Report ” to get the land record. For illustration, in ** Rajasthan **, druggies can go to( apnakhata.raj.nic.in)( http// apnakhata.raj.nic.in) to pierce the gate. also, in ** Uttar Pradesh **, the point is( upbhulekh.gov.in)( http// upbhulekh.gov.in), while ** Bihar ** residers can use( biharbhumi.bihar.gov.in)( http// biharbhumi.bihar.gov.in). --- Benefits to Farmers and Coproprietors * ** Loan blessing ** growers frequently need land records to get crop loans from banks. Digital Bhulekh ensures timely access to vindicated documents. * ** disagreement Resolution ** Land controversies can now be resolved briskly with sanctioned digital substantiation available at the click of a button. * ** Land Deals and Purchases ** Buyers can corroborate land power and history before making purchases, leading to safer deals. --- Challenges and the Way Forward While the action is estimable, certain challenges remain. In pastoral areas, numerous people are still ignorant of how to use these doors. Internet connectivity and digital knowledge also pose walls. also, some old land records are yet to be digitized, leading to gaps in data vacuity. To overcome these issues, state governments need to conduct mindfulness juggernauts, offer backing at ** Common Service Centers( CSCs) **, and insure that all old records are digitized and vindicated. --- Conclusion “ Apna Khata Bhulekh ” is a transformative step in making governance further citizen-friendly. It empowers coproprietors by giving them direct access to pivotal information and promotes translucency in land dealings. As further people embrace digital platforms, Apna Khata Bhulekh will play an indeed more critical part in icing land security and effective land operation across India. https://apnakhataonline.com
    0 Comments 0 Shares 194 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากเมาส์ที่ไม่ควรมีพิษ: เมื่อไฟล์จากเว็บทางการกลายเป็นช่องทางแพร่มัลแวร์

    เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อผู้ใช้ Reddit ดาวน์โหลดเครื่องมือปรับแต่งเมาส์ OP1w 4K V2 จากเว็บไซต์ของ Endgame Gear เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2025 แล้วพบพฤติกรรมผิดปกติในระบบ

    หลังตรวจสอบ พบว่าไฟล์นั้นถูกฝังมัลแวร์ XRed ซึ่งเป็น backdoor trojan ที่มีความสามารถขั้นสูง:
    - ขโมยข้อมูลระบบและส่งออกผ่าน SMTP
    - สร้างโฟลเดอร์ซ่อนที่ C:\ProgramData\Synaptics\
    - แก้ไข Windows Registry เพื่อให้มัลแวร์อยู่รอดหลังรีสตาร์ต
    - แพร่กระจายผ่าน USB เหมือนหนอน (worm)

    ผู้ใช้พบว่า Endgame เปลี่ยนลิงก์ดาวน์โหลดระหว่างวันที่ 2–17 กรกฎาคม โดยไม่แจ้งเตือนใด ๆ และลบไฟล์ติดมัลแวร์ออกอย่างเงียบ ๆ

    แม้บริษัทจะออกแถลงการณ์ยอมรับว่ามีการติดมัลแวร์จริง และให้คำแนะนำในการตรวจสอบและลบออกจากระบบ แต่ผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบกำลังเตรียมยื่นเรื่องต่อ ICO (Information Commissioner’s Office) ในสหราชอาณาจักร โดยอ้างว่าเป็นการละเมิด GDPR เพราะบริษัทไม่แจ้งเหตุการณ์ต่อสาธารณะทันที

    Endgame Gear แจกจ่ายไฟล์ปรับแต่งเมาส์ OP1w 4K V2 ที่มีมัลแวร์ XRed ฝังอยู่
    ไฟล์ถูกดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ทางการ ไม่ใช่ mirror หรือ third-party

    XRed เป็น backdoor trojan ที่สามารถขโมยข้อมูลและอยู่รอดในระบบ
    ใช้โฟลเดอร์ซ่อน, แก้ Registry, และแพร่ผ่าน USB

    ผู้ใช้พบไฟล์ Synaptics.exe ที่ติดมัลแวร์ใน C:\ProgramData\Synaptics\
    เป็นตำแหน่งที่มัลแวร์ใช้ซ่อนตัว

    Endgame เปลี่ยนลิงก์ดาวน์โหลดระหว่างวันที่ 2–17 กรกฎาคม โดยไม่แจ้งเตือน
    ผู้ใช้พบว่าไฟล์ก่อนวันที่ 17 เป็นเวอร์ชันที่ติดมัลแวร์

    บริษัทออกแถลงการณ์ยอมรับว่ามีการติดมัลแวร์ และให้คำแนะนำในการลบออก
    ระบุว่าเป็นเหตุการณ์เฉพาะไฟล์นั้น และไฟล์อื่นปลอดภัย

    ผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบเตรียมยื่นเรื่องต่อ ICO โดยอ้างว่าเป็นการละเมิด GDPR
    เพราะบริษัทไม่แจ้งเหตุการณ์ต่อสาธารณะทันที

    ไฟล์ติดมัลแวร์มาจากเว็บไซต์ทางการของ Endgame Gear
    แสดงถึงความเสี่ยงจาก supply chain compromise หรือการจัดการไฟล์ที่ประมาท

    บริษัทเปลี่ยนไฟล์โดยไม่แจ้งเตือนหรือออกประกาศต่อสาธารณะ
    อาจเข้าข่ายละเมิด GDPR ซึ่งกำหนดให้ต้องแจ้งเหตุการณ์ที่กระทบต่อข้อมูลส่วนตัว

    XRed มีความสามารถในการอยู่รอดหลังรีสตาร์ตและแพร่ผ่าน USB
    อาจทำให้มัลแวร์กระจายไปยังอุปกรณ์อื่นโดยไม่รู้ตัว

    การไม่ตรวจสอบไฟล์ก่อนปล่อยให้ดาวน์โหลดจาก CDN เป็นความเสี่ยงร้ายแรง
    อาจเปิดช่องให้เกิดการโจมตีแบบ supply chain ในอนาคต

    ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่รู้ว่าระบบติดมัลแวร์ เพราะไม่มีการแจ้งเตือนจากบริษัท
    ควรตรวจสอบไฟล์ที่ดาวน์โหลดระหว่างวันที่ 2–17 กรกฎาคม และลบออกทันที

    https://www.techspot.com/news/108773-malware-found-endgame-gear-official-mouse-configuration-utility.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากเมาส์ที่ไม่ควรมีพิษ: เมื่อไฟล์จากเว็บทางการกลายเป็นช่องทางแพร่มัลแวร์ เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อผู้ใช้ Reddit ดาวน์โหลดเครื่องมือปรับแต่งเมาส์ OP1w 4K V2 จากเว็บไซต์ของ Endgame Gear เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2025 แล้วพบพฤติกรรมผิดปกติในระบบ หลังตรวจสอบ พบว่าไฟล์นั้นถูกฝังมัลแวร์ XRed ซึ่งเป็น backdoor trojan ที่มีความสามารถขั้นสูง: - ขโมยข้อมูลระบบและส่งออกผ่าน SMTP - สร้างโฟลเดอร์ซ่อนที่ C:\ProgramData\Synaptics\ - แก้ไข Windows Registry เพื่อให้มัลแวร์อยู่รอดหลังรีสตาร์ต - แพร่กระจายผ่าน USB เหมือนหนอน (worm) ผู้ใช้พบว่า Endgame เปลี่ยนลิงก์ดาวน์โหลดระหว่างวันที่ 2–17 กรกฎาคม โดยไม่แจ้งเตือนใด ๆ และลบไฟล์ติดมัลแวร์ออกอย่างเงียบ ๆ แม้บริษัทจะออกแถลงการณ์ยอมรับว่ามีการติดมัลแวร์จริง และให้คำแนะนำในการตรวจสอบและลบออกจากระบบ แต่ผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบกำลังเตรียมยื่นเรื่องต่อ ICO (Information Commissioner’s Office) ในสหราชอาณาจักร โดยอ้างว่าเป็นการละเมิด GDPR เพราะบริษัทไม่แจ้งเหตุการณ์ต่อสาธารณะทันที ✅ Endgame Gear แจกจ่ายไฟล์ปรับแต่งเมาส์ OP1w 4K V2 ที่มีมัลแวร์ XRed ฝังอยู่ ➡️ ไฟล์ถูกดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ทางการ ไม่ใช่ mirror หรือ third-party ✅ XRed เป็น backdoor trojan ที่สามารถขโมยข้อมูลและอยู่รอดในระบบ ➡️ ใช้โฟลเดอร์ซ่อน, แก้ Registry, และแพร่ผ่าน USB ✅ ผู้ใช้พบไฟล์ Synaptics.exe ที่ติดมัลแวร์ใน C:\ProgramData\Synaptics\ ➡️ เป็นตำแหน่งที่มัลแวร์ใช้ซ่อนตัว ✅ Endgame เปลี่ยนลิงก์ดาวน์โหลดระหว่างวันที่ 2–17 กรกฎาคม โดยไม่แจ้งเตือน ➡️ ผู้ใช้พบว่าไฟล์ก่อนวันที่ 17 เป็นเวอร์ชันที่ติดมัลแวร์ ✅ บริษัทออกแถลงการณ์ยอมรับว่ามีการติดมัลแวร์ และให้คำแนะนำในการลบออก ➡️ ระบุว่าเป็นเหตุการณ์เฉพาะไฟล์นั้น และไฟล์อื่นปลอดภัย ✅ ผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบเตรียมยื่นเรื่องต่อ ICO โดยอ้างว่าเป็นการละเมิด GDPR ➡️ เพราะบริษัทไม่แจ้งเหตุการณ์ต่อสาธารณะทันที ‼️ ไฟล์ติดมัลแวร์มาจากเว็บไซต์ทางการของ Endgame Gear ⛔ แสดงถึงความเสี่ยงจาก supply chain compromise หรือการจัดการไฟล์ที่ประมาท ‼️ บริษัทเปลี่ยนไฟล์โดยไม่แจ้งเตือนหรือออกประกาศต่อสาธารณะ ⛔ อาจเข้าข่ายละเมิด GDPR ซึ่งกำหนดให้ต้องแจ้งเหตุการณ์ที่กระทบต่อข้อมูลส่วนตัว ‼️ XRed มีความสามารถในการอยู่รอดหลังรีสตาร์ตและแพร่ผ่าน USB ⛔ อาจทำให้มัลแวร์กระจายไปยังอุปกรณ์อื่นโดยไม่รู้ตัว ‼️ การไม่ตรวจสอบไฟล์ก่อนปล่อยให้ดาวน์โหลดจาก CDN เป็นความเสี่ยงร้ายแรง ⛔ อาจเปิดช่องให้เกิดการโจมตีแบบ supply chain ในอนาคต ‼️ ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่รู้ว่าระบบติดมัลแวร์ เพราะไม่มีการแจ้งเตือนจากบริษัท ⛔ ควรตรวจสอบไฟล์ที่ดาวน์โหลดระหว่างวันที่ 2–17 กรกฎาคม และลบออกทันที https://www.techspot.com/news/108773-malware-found-endgame-gear-official-mouse-configuration-utility.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Malware found in Endgame's mouse config utility
    Endgame Gear recently distributed a malicious software package bundled with the official configuration tool for its OP1w 4K V2 wireless gaming mouse. Customers discovered the issue the...
    0 Comments 0 Shares 170 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากเบื้องหลังของ AI ที่เชื่อมต่อทุกอย่าง: เมื่อ MCP กลายเป็นช่องโหว่ใหม่ของโลก agentic AI

    MCP ทำหน้าที่คล้าย API โดยเป็นตัวกลางระหว่าง AI agent กับแหล่งข้อมูล เช่น PayPal, Zapier, Shopify หรือระบบภายในองค์กร เพื่อให้ AI ดึงข้อมูลหรือสั่งงานได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ดเชื่อมต่อเอง

    แต่การเปิด MCP server โดยไม่ระวัง อาจทำให้เกิดช่องโหว่ร้ายแรง เช่น:
    - การเข้าถึงข้อมูลข้าม tenant
    - การโจมตีแบบ prompt injection ที่แฝงมากับคำขอจากผู้ใช้
    - การใช้ MCP server ปลอมที่มีคำสั่งอันตรายฝังอยู่
    - การขโมย token และ takeover บัญชี
    - การใช้ MCP server ที่เชื่อมต่อกันแบบ “composability chaining” เพื่อหลบการตรวจจับ

    นักวิจัยจากหลายองค์กร เช่น UpGuard, Invariant Labs, CyberArk และ Palo Alto Networks ได้แสดงตัวอย่างการโจมตีจริงที่เกิดขึ้นแล้ว และเตือนว่าองค์กรต้องมีมาตรการป้องกัน เช่น:
    - ตรวจสอบ source ของ MCP server
    - ใช้ least privilege และ human-in-the-loop
    - ตรวจสอบข้อความที่ส่งไปยัง LLM อย่างละเอียด
    - ไม่เปิด MCP server ให้ใช้งานภายนอกโดยไม่มีการยืนยันตัวตน

    10 อันดับช่องโหว่ของ MCP ที่องค์กรต้องระวัง
    1. Cross-tenant data exposure
    ผู้ใช้จาก tenant หนึ่งสามารถเข้าถึงข้อมูลของ tenant อื่นได้ หากไม่มีการแยกสิทธิ์อย่างชัดเจน
    ข้อมูลภายในองค์กรอาจรั่วไปยังลูกค้า หรือพันธมิตรโดยไม่ตั้งใจ
    ต้องใช้การแยก tenant และ least privilege อย่างเข้มงวด

    2. Living off AI attacks
    แฮกเกอร์แฝง prompt injection ในคำขอที่ดู harmless แล้วส่งผ่านมนุษย์ไปยัง AI agent
    AI อาจรันคำสั่งอันตรายโดยไม่รู้ตัว
    ต้องมีการตรวจสอบข้อความก่อนส่งไปยัง LLM และใช้ human-in-the-loop

    3. Tool poisoning
    MCP server ปลอมอาจมีคำสั่งอันตรายฝังใน metadata เช่น function name หรือ error message
    การติดตั้ง server โดยไม่ตรวจสอบแหล่งที่มาเสี่ยงต่อการโดน “rug pull”
    ต้องตรวจสอบ source, permissions และ source code ก่อนใช้งาน

    4. Toxic agent flows via trusted platforms
    ใช้แพลตฟอร์มที่ดูปลอดภัย เช่น GitHub เป็นช่องทางแฝง prompt injection
    AI agent อาจรันคำสั่งจาก public repo โดยไม่รู้ว่ามีคำสั่งอันตราย
    ต้องมีการยืนยัน tool call และตรวจสอบข้อความจากแหล่งภายนอก

    5. Token theft and account takeover
    หาก token ถูกเก็บแบบไม่เข้ารหัสใน config file อาจถูกขโมยและใช้สร้าง MCP server ปลอม
    การเข้าถึง Gmail หรือระบบอื่นผ่าน token จะไม่ถูกตรวจจับว่าเป็นการ login ผิดปกติ
    ต้องเข้ารหัส token และตรวจสอบการใช้งาน API อย่างสม่ำเสมอ

    6. Composability chaining
    MCP server ปลอมอาจเชื่อมต่อกับ server อื่นที่มีคำสั่งอันตราย แล้วรวมผลลัพธ์ส่งให้ AI
    แม้จะไม่ได้เชื่อมต่อกับ server ปลอมโดยตรง ก็ยังถูกโจมตีได้
    ต้องตรวจสอบแหล่งข้อมูลที่ MCP server ใช้ และจำกัดการเชื่อมต่อแบบ chain

    7. User consent fatigue
    ผู้ใช้ถูกขออนุมัติหลายครั้งจนเริ่มกด “อนุมัติ” โดยไม่อ่าน
    คำขออันตรายอาจแฝงมากับคำขอ harmless
    ต้องออกแบบระบบอนุมัติให้มี context และจำกัดคำขอซ้ำซ้อน

    8. Admin bypass
    MCP server ไม่ตรวจสอบสิทธิ์ของผู้ใช้ ทำให้ AI agent เข้าถึงข้อมูลเกินสิทธิ์
    อาจเกิดจาก insider หรือผู้ใช้ภายนอกที่เข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต
    ต้องมีการตรวจสอบสิทธิ์ทุกคำขอ และจำกัดการเข้าถึงตาม role

    9. Command injection
    MCP server ส่ง input ไปยังระบบอื่นโดยไม่ตรวจสอบ ทำให้เกิดการ inject คำสั่ง
    คล้าย SQL injection แต่เกิดในระบบ AI agent
    ต้องใช้ input validation และ parameterized commands

    10. Tool shadowing
    MCP server ปลอม redirect ข้อมูลจาก server จริงไปยังผู้โจมตี
    การโจมตีอาจไม่ปรากฏใน audit log และตรวจจับได้ยาก
    ต้องตรวจสอบการใช้งานของ AI agent และจำกัดการเข้าถึง MCP หลายตัวพร้อมกัน

    https://www.csoonline.com/article/4023795/top-10-mcp-vulnerabilities.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากเบื้องหลังของ AI ที่เชื่อมต่อทุกอย่าง: เมื่อ MCP กลายเป็นช่องโหว่ใหม่ของโลก agentic AI MCP ทำหน้าที่คล้าย API โดยเป็นตัวกลางระหว่าง AI agent กับแหล่งข้อมูล เช่น PayPal, Zapier, Shopify หรือระบบภายในองค์กร เพื่อให้ AI ดึงข้อมูลหรือสั่งงานได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ดเชื่อมต่อเอง แต่การเปิด MCP server โดยไม่ระวัง อาจทำให้เกิดช่องโหว่ร้ายแรง เช่น: - การเข้าถึงข้อมูลข้าม tenant - การโจมตีแบบ prompt injection ที่แฝงมากับคำขอจากผู้ใช้ - การใช้ MCP server ปลอมที่มีคำสั่งอันตรายฝังอยู่ - การขโมย token และ takeover บัญชี - การใช้ MCP server ที่เชื่อมต่อกันแบบ “composability chaining” เพื่อหลบการตรวจจับ นักวิจัยจากหลายองค์กร เช่น UpGuard, Invariant Labs, CyberArk และ Palo Alto Networks ได้แสดงตัวอย่างการโจมตีจริงที่เกิดขึ้นแล้ว และเตือนว่าองค์กรต้องมีมาตรการป้องกัน เช่น: - ตรวจสอบ source ของ MCP server - ใช้ least privilege และ human-in-the-loop - ตรวจสอบข้อความที่ส่งไปยัง LLM อย่างละเอียด - ไม่เปิด MCP server ให้ใช้งานภายนอกโดยไม่มีการยืนยันตัวตน 🧠 10 อันดับช่องโหว่ของ MCP ที่องค์กรต้องระวัง 1. ✅ Cross-tenant data exposure ➡️ ผู้ใช้จาก tenant หนึ่งสามารถเข้าถึงข้อมูลของ tenant อื่นได้ หากไม่มีการแยกสิทธิ์อย่างชัดเจน ‼️ ข้อมูลภายในองค์กรอาจรั่วไปยังลูกค้า หรือพันธมิตรโดยไม่ตั้งใจ ⛔ ต้องใช้การแยก tenant และ least privilege อย่างเข้มงวด 2. ✅ Living off AI attacks ➡️ แฮกเกอร์แฝง prompt injection ในคำขอที่ดู harmless แล้วส่งผ่านมนุษย์ไปยัง AI agent ‼️ AI อาจรันคำสั่งอันตรายโดยไม่รู้ตัว ⛔ ต้องมีการตรวจสอบข้อความก่อนส่งไปยัง LLM และใช้ human-in-the-loop 3. ✅ Tool poisoning ➡️ MCP server ปลอมอาจมีคำสั่งอันตรายฝังใน metadata เช่น function name หรือ error message ‼️ การติดตั้ง server โดยไม่ตรวจสอบแหล่งที่มาเสี่ยงต่อการโดน “rug pull” ⛔ ต้องตรวจสอบ source, permissions และ source code ก่อนใช้งาน 4. ✅ Toxic agent flows via trusted platforms ➡️ ใช้แพลตฟอร์มที่ดูปลอดภัย เช่น GitHub เป็นช่องทางแฝง prompt injection ‼️ AI agent อาจรันคำสั่งจาก public repo โดยไม่รู้ว่ามีคำสั่งอันตราย ⛔ ต้องมีการยืนยัน tool call และตรวจสอบข้อความจากแหล่งภายนอก 5. ✅ Token theft and account takeover ➡️ หาก token ถูกเก็บแบบไม่เข้ารหัสใน config file อาจถูกขโมยและใช้สร้าง MCP server ปลอม ‼️ การเข้าถึง Gmail หรือระบบอื่นผ่าน token จะไม่ถูกตรวจจับว่าเป็นการ login ผิดปกติ ⛔ ต้องเข้ารหัส token และตรวจสอบการใช้งาน API อย่างสม่ำเสมอ 6. ✅ Composability chaining ➡️ MCP server ปลอมอาจเชื่อมต่อกับ server อื่นที่มีคำสั่งอันตราย แล้วรวมผลลัพธ์ส่งให้ AI ‼️ แม้จะไม่ได้เชื่อมต่อกับ server ปลอมโดยตรง ก็ยังถูกโจมตีได้ ⛔ ต้องตรวจสอบแหล่งข้อมูลที่ MCP server ใช้ และจำกัดการเชื่อมต่อแบบ chain 7. ✅ User consent fatigue ➡️ ผู้ใช้ถูกขออนุมัติหลายครั้งจนเริ่มกด “อนุมัติ” โดยไม่อ่าน ‼️ คำขออันตรายอาจแฝงมากับคำขอ harmless ⛔ ต้องออกแบบระบบอนุมัติให้มี context และจำกัดคำขอซ้ำซ้อน 8. ✅ Admin bypass ➡️ MCP server ไม่ตรวจสอบสิทธิ์ของผู้ใช้ ทำให้ AI agent เข้าถึงข้อมูลเกินสิทธิ์ ‼️ อาจเกิดจาก insider หรือผู้ใช้ภายนอกที่เข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต ⛔ ต้องมีการตรวจสอบสิทธิ์ทุกคำขอ และจำกัดการเข้าถึงตาม role 9. ✅ Command injection ➡️ MCP server ส่ง input ไปยังระบบอื่นโดยไม่ตรวจสอบ ทำให้เกิดการ inject คำสั่ง ‼️ คล้าย SQL injection แต่เกิดในระบบ AI agent ⛔ ต้องใช้ input validation และ parameterized commands 10. ✅ Tool shadowing ➡️ MCP server ปลอม redirect ข้อมูลจาก server จริงไปยังผู้โจมตี ‼️ การโจมตีอาจไม่ปรากฏใน audit log และตรวจจับได้ยาก ⛔ ต้องตรวจสอบการใช้งานของ AI agent และจำกัดการเข้าถึง MCP หลายตัวพร้อมกัน https://www.csoonline.com/article/4023795/top-10-mcp-vulnerabilities.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Top 10 MCP vulnerabilities: The hidden risks of AI integrations
    Model Context Protocol (MCP) use is increasing in popularity for connecting AI agents to data sources, and other services. But so too are vulnerabilities that bring unique risks to agentic systems.
    0 Comments 0 Shares 193 Views 0 Reviews
  • Elegant Siamese fighting fish sculpture.
    Elegant Siamese fighting fish sculpture.
    0 Comments 0 Shares 54 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากม็อดเกม: FSR 4 ไม่ต้องรอ AMD แล้ว ใช้ได้เลยด้วย OptiScaler

    ก่อนหน้านี้ FSR 4 ของ AMD ยังถูกจำกัดมาก:
    - มีเกมรองรับโดยตรงเพียง ~65 เกม และส่วนใหญ่เป็นเกมเล็ก ๆ
    - ใช้ได้เฉพาะบน GPU RX 9000 ที่มี AI accelerator เฉพาะ
    - ไม่รองรับ Vulkan API หรือเกมที่มีระบบ anti-cheat เข้มงวด

    แต่ OptiScaler (ชื่อเดิม CyberXeSS) ซึ่งเป็นเครื่องมือของชุมชน ได้พัฒนาให้:
    - รองรับการ "อัปเกรด" จาก FSR 2 หรือ DLSS มาเป็น FSR 4
    - แถมยังปรับใช้ระบบ frame generation และ anti-lag เหมือน Nvidia Reflex ได้
    - ใช้ได้กับ DLSS 2, XeSS, หรือ FSR รุ่นเก่า เพียงมีการติดตั้ง config เพิ่มเติม

    ระบบนี้จะไม่เปลี่ยนตัวเกมโดยตรง แต่จะวาง FSR 4 เข้ากับไฟล์อัปสเกลที่มีอยู่ แล้วทำการปรับจูนผ่าน DLL และการตั้งค่าระบบกราฟิก — ต้องอาศัยการจัดการไฟล์ด้วยตัวเองในแต่ละเกม

    OptiScaler รองรับการแปลงอัปสเกลเก่ามาใช้กับ FSR 4 ได้
    เช่น FSR 2 หรือ DLSS 2 ในเกมสามารถเปลี่ยนมาใช้ FSR 4 โดยไม่แก้ไขโค้ดของเกม

    สามารถใช้ FSR 4 ได้ในเกมที่ไม่มีการรองรับแบบ native
    แม้ AMD ยังไม่โปรโมตเต็มตัว แต่เครื่องมือชุมชนเปิดให้ใช้งานได้แล้ว

    OptiScaler รองรับฟีเจอร์เสริม เช่น frame-gen และ anti-lag
    ให้ความรู้สึกคล้าย Nvidia Reflex หรือ DLSS Frame Generation

    ต้องใช้การติดตั้งแบบ manual โดยการวางไฟล์ FSR 4 ลงใน directory ของเกม
    ไม่ใช่การเปิด toggle แบบ GUI ต้องเข้าไปแก้ไฟล์ config ด้วยตัวเอง

    GPU ที่ต้องใช้คือ RX 9000-series ซึ่งมีตัวเร่ง AI (AI accelerator) สำหรับ FSR 4
    การใช้งานขึ้นกับ hardware ด้วย ไม่ใช่แค่ software

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amds-fsr-4-gets-a-big-boost-in-compatibility-as-optiscaler-now-supports-upconverting-any-modern-upscaler-to-fsr-4-with-frame-gen-as-long-as-the-game-isnt-vulkan-based-or-has-anti-cheat
    🎙️ เรื่องเล่าจากม็อดเกม: FSR 4 ไม่ต้องรอ AMD แล้ว ใช้ได้เลยด้วย OptiScaler ก่อนหน้านี้ FSR 4 ของ AMD ยังถูกจำกัดมาก: - มีเกมรองรับโดยตรงเพียง ~65 เกม และส่วนใหญ่เป็นเกมเล็ก ๆ - ใช้ได้เฉพาะบน GPU RX 9000 ที่มี AI accelerator เฉพาะ - ไม่รองรับ Vulkan API หรือเกมที่มีระบบ anti-cheat เข้มงวด แต่ OptiScaler (ชื่อเดิม CyberXeSS) ซึ่งเป็นเครื่องมือของชุมชน ได้พัฒนาให้: - รองรับการ "อัปเกรด" จาก FSR 2 หรือ DLSS มาเป็น FSR 4 - แถมยังปรับใช้ระบบ frame generation และ anti-lag เหมือน Nvidia Reflex ได้ - ใช้ได้กับ DLSS 2, XeSS, หรือ FSR รุ่นเก่า เพียงมีการติดตั้ง config เพิ่มเติม ระบบนี้จะไม่เปลี่ยนตัวเกมโดยตรง แต่จะวาง FSR 4 เข้ากับไฟล์อัปสเกลที่มีอยู่ แล้วทำการปรับจูนผ่าน DLL และการตั้งค่าระบบกราฟิก — ต้องอาศัยการจัดการไฟล์ด้วยตัวเองในแต่ละเกม ✅ OptiScaler รองรับการแปลงอัปสเกลเก่ามาใช้กับ FSR 4 ได้ ➡️ เช่น FSR 2 หรือ DLSS 2 ในเกมสามารถเปลี่ยนมาใช้ FSR 4 โดยไม่แก้ไขโค้ดของเกม ✅ สามารถใช้ FSR 4 ได้ในเกมที่ไม่มีการรองรับแบบ native ➡️ แม้ AMD ยังไม่โปรโมตเต็มตัว แต่เครื่องมือชุมชนเปิดให้ใช้งานได้แล้ว ✅ OptiScaler รองรับฟีเจอร์เสริม เช่น frame-gen และ anti-lag ➡️ ให้ความรู้สึกคล้าย Nvidia Reflex หรือ DLSS Frame Generation ✅ ต้องใช้การติดตั้งแบบ manual โดยการวางไฟล์ FSR 4 ลงใน directory ของเกม ➡️ ไม่ใช่การเปิด toggle แบบ GUI ต้องเข้าไปแก้ไฟล์ config ด้วยตัวเอง ✅ GPU ที่ต้องใช้คือ RX 9000-series ซึ่งมีตัวเร่ง AI (AI accelerator) สำหรับ FSR 4 ➡️ การใช้งานขึ้นกับ hardware ด้วย ไม่ใช่แค่ software https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amds-fsr-4-gets-a-big-boost-in-compatibility-as-optiscaler-now-supports-upconverting-any-modern-upscaler-to-fsr-4-with-frame-gen-as-long-as-the-game-isnt-vulkan-based-or-has-anti-cheat
    0 Comments 0 Shares 193 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลก Open Source: เมื่อ Linux เวอร์ชันแรงสุดจาก Intel ถูกปลดจากสายพาน

    Clear Linux เป็นระบบปฏิบัติการที่ Intel ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อเร่ง performance แบบ out-of-the-box โดยมีฟีเจอร์ระดับสูงที่ระบบอื่นไม่กล้าใช้ เช่น:
    - ใช้ compiler flags แบบ aggressive (ทั้ง GCC และ Clang)
    - ทำ PGO (Profile-Guided Optimization) และ LTO (Link-Time Optimization) ทั่วทั้งระบบ
    - kernel ถูกปรับแต่งเพื่อใช้ CPU แบบ multi-threading เต็มที่
    - ปรับใช้งาน AVX2, AVX-512 และเทคโนโลยีอย่าง Optane ตั้งแต่วันแรก
    - มี clr-boot-manager สำหรับอัปเดต kernel แบบเร็ว

    ผลลัพธ์คือ Clear Linux มักจะชนะ benchmark ด้านประสิทธิภาพทั้งในงาน build, render และ scientific computing — แม้ใช้บน AMD ก็ตาม!

    แต่ด้วยนโยบายลดต้นทุนของ Intel บริษัทเริ่มตัดคนและทีม software ออกจำนวนมาก — ส่งผลให้ Clear Linux ถูก “พักถาวร” โดยไม่มีแพตช์ความปลอดภัยหรืออัปเดตใหม่อีก

    นักพัฒนา Linux หลายคนแสดงความเสียดาย เพราะฟีเจอร์และแนวคิดของ Clear Linux เริ่มถูกนำไปใช้ใน distro อื่น ๆ แล้ว เช่น CachyOS และบางส่วนใน Arch-based รุ่นใหม่

    Intel ประกาศหยุดพัฒนา Clear Linux อย่างเป็นทางการ
    ไม่มีแพตช์ ไม่มีอัปเดตความปลอดภัย และ archive repo บน GitHub เป็นแบบ read-only

    Clear Linux มีจุดเด่นคือเร่ง performance ตั้งแต่แกนระบบ
    ใช้ toolchain ใหม่สุด, flags รุนแรง, และ optimization เชิงลึก เช่น PGO/LTO

    ทำงานดีทั้งบน Intel และ AMD แม้จะออกแบบมาเพื่อ Intel โดยตรง
    เป็น distro เดียวที่ “แรงสุด” ในหลาย benchmark แบบไม่ต้องปรับแต่งเอง

    ฟีเจอร์เด่นคือ clr-boot-manager และระบบจัดการ kernel ที่เร็วมาก
    เหมาะกับ developer และงาน HPC ที่ต้องใช้ kernel ใหม่อยู่ตลอด

    ระบบใช้ได้ดีใน workload ที่เน้น CPU, I/O, memory และ multithreading
    เป็นที่นิยมในกลุ่มนักพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI และการ render แบบหนัก ๆ

    Intel จะยังคงสนับสนุน Linux ผ่าน upstream และ distro หลักอื่น ๆ
    เช่น Fedora, Ubuntu หรือโครงการ kernel โดยตรง

    CachyOS และ distro อื่น ๆ เริ่มนำ optimization ของ Clear Linux ไปใช้งาน
    แสดงว่าเทคโนโลยียังมีชีวิตอยู่ใน ecosystem แม้ต้นฉบับจะเลิกทำแล้ว

    ผู้ใช้ Clear Linux ควรวางแผนย้ายออกทันที
    หากไม่ย้ายจะมีความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัย เพราะไม่มีแพตช์ใหม่

    ระบบที่ยัง deploy ด้วย Clear Linux อาจเจอปัญหาความเข้ากันในอนาคต
    library หรือ driver ใหม่อาจไม่รองรับ โดยไม่มีทีมดูแลให้

    ฟีเจอร์ที่ใช้เทคโนโลยี Intel โดยตรง เช่น AVX-512 อาจใช้งานยากขึ้นใน distro อื่น
    ต้องปรับแต่งเองหรือเขียน config เพื่อให้ทำงานแบบที่ Clear Linux เคยทำ

    การหยุดพัฒนาอาจเป็นสัญญาณว่า Intel ลดบทบาทในด้าน software ecosystem
    ส่งผลต่อความเร็วของ innovation ด้าน HPC และ AI บน Linux

    https://www.tomshardware.com/software/linux/intel-axes-clear-linux-the-fastest-distribution-on-the-market-company-ends-support-effective-immediately
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลก Open Source: เมื่อ Linux เวอร์ชันแรงสุดจาก Intel ถูกปลดจากสายพาน Clear Linux เป็นระบบปฏิบัติการที่ Intel ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อเร่ง performance แบบ out-of-the-box โดยมีฟีเจอร์ระดับสูงที่ระบบอื่นไม่กล้าใช้ เช่น: - ใช้ compiler flags แบบ aggressive (ทั้ง GCC และ Clang) - ทำ PGO (Profile-Guided Optimization) และ LTO (Link-Time Optimization) ทั่วทั้งระบบ - kernel ถูกปรับแต่งเพื่อใช้ CPU แบบ multi-threading เต็มที่ - ปรับใช้งาน AVX2, AVX-512 และเทคโนโลยีอย่าง Optane ตั้งแต่วันแรก - มี clr-boot-manager สำหรับอัปเดต kernel แบบเร็ว ผลลัพธ์คือ Clear Linux มักจะชนะ benchmark ด้านประสิทธิภาพทั้งในงาน build, render และ scientific computing — แม้ใช้บน AMD ก็ตาม! แต่ด้วยนโยบายลดต้นทุนของ Intel บริษัทเริ่มตัดคนและทีม software ออกจำนวนมาก — ส่งผลให้ Clear Linux ถูก “พักถาวร” โดยไม่มีแพตช์ความปลอดภัยหรืออัปเดตใหม่อีก นักพัฒนา Linux หลายคนแสดงความเสียดาย เพราะฟีเจอร์และแนวคิดของ Clear Linux เริ่มถูกนำไปใช้ใน distro อื่น ๆ แล้ว เช่น CachyOS และบางส่วนใน Arch-based รุ่นใหม่ ✅ Intel ประกาศหยุดพัฒนา Clear Linux อย่างเป็นทางการ ➡️ ไม่มีแพตช์ ไม่มีอัปเดตความปลอดภัย และ archive repo บน GitHub เป็นแบบ read-only ✅ Clear Linux มีจุดเด่นคือเร่ง performance ตั้งแต่แกนระบบ ➡️ ใช้ toolchain ใหม่สุด, flags รุนแรง, และ optimization เชิงลึก เช่น PGO/LTO ✅ ทำงานดีทั้งบน Intel และ AMD แม้จะออกแบบมาเพื่อ Intel โดยตรง ➡️ เป็น distro เดียวที่ “แรงสุด” ในหลาย benchmark แบบไม่ต้องปรับแต่งเอง ✅ ฟีเจอร์เด่นคือ clr-boot-manager และระบบจัดการ kernel ที่เร็วมาก ➡️ เหมาะกับ developer และงาน HPC ที่ต้องใช้ kernel ใหม่อยู่ตลอด ✅ ระบบใช้ได้ดีใน workload ที่เน้น CPU, I/O, memory และ multithreading ➡️ เป็นที่นิยมในกลุ่มนักพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI และการ render แบบหนัก ๆ ✅ Intel จะยังคงสนับสนุน Linux ผ่าน upstream และ distro หลักอื่น ๆ ➡️ เช่น Fedora, Ubuntu หรือโครงการ kernel โดยตรง ✅ CachyOS และ distro อื่น ๆ เริ่มนำ optimization ของ Clear Linux ไปใช้งาน ➡️ แสดงว่าเทคโนโลยียังมีชีวิตอยู่ใน ecosystem แม้ต้นฉบับจะเลิกทำแล้ว ‼️ ผู้ใช้ Clear Linux ควรวางแผนย้ายออกทันที ⛔ หากไม่ย้ายจะมีความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัย เพราะไม่มีแพตช์ใหม่ ‼️ ระบบที่ยัง deploy ด้วย Clear Linux อาจเจอปัญหาความเข้ากันในอนาคต ⛔ library หรือ driver ใหม่อาจไม่รองรับ โดยไม่มีทีมดูแลให้ ‼️ ฟีเจอร์ที่ใช้เทคโนโลยี Intel โดยตรง เช่น AVX-512 อาจใช้งานยากขึ้นใน distro อื่น ⛔ ต้องปรับแต่งเองหรือเขียน config เพื่อให้ทำงานแบบที่ Clear Linux เคยทำ ‼️ การหยุดพัฒนาอาจเป็นสัญญาณว่า Intel ลดบทบาทในด้าน software ecosystem ⛔ ส่งผลต่อความเร็วของ innovation ด้าน HPC และ AI บน Linux https://www.tomshardware.com/software/linux/intel-axes-clear-linux-the-fastest-distribution-on-the-market-company-ends-support-effective-immediately
    0 Comments 0 Shares 211 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลก Virtualization: VMware อัปเดตครั้งใหญ่ แก้บั๊ก snapshot และอุดช่องโหว่ร้ายแรง

    VMware ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้ Broadcom ได้ปล่อยอัปเดตใหม่สำหรับ Workstation Pro (Windows/Linux) และ Fusion (macOS) โดยเวอร์ชันล่าสุดคือ 17.6.4 และ 13.6.4 ตามลำดับ

    การอัปเดตนี้เน้นการแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัยระดับ “critical” ถึง 4 รายการ (CVE-2025-41236 ถึง CVE-2025-41239) และอีก 1 รายการระดับ “moderate” (CVE-2025-2884) ซึ่งอาจส่งผลต่อการเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต

    นอกจากนี้ยังมีการแก้บั๊ก snapshot ที่ทำให้เกิด access violation ขณะปิด VM หากผู้ใช้เลือก “Ask me” ในการตั้งค่า snapshot ซึ่งเคยทำให้เกิด error ร้ายแรงในระบบ

    Fusion ยังได้รับการแก้ไขปัญหา NAT network และการอัปโหลด VM ไปยัง ESXi host ที่เคยล้มเหลว

    อย่างไรก็ตาม VMware เตือนว่าการอัปเดตนี้ยังมีบั๊กที่รู้จักอยู่ 3 รายการใน Workstation Pro เช่น ปัญหา network ขณะติดตั้ง Windows 11, การทำงานของ multi-monitor ที่ผิดปกติ และการเร่งฮาร์ดแวร์บน Intel GPU ใน Linux

    VMware Workstation Pro อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 17.6.4
    รองรับ Windows และ Linux พร้อมแก้ช่องโหว่ความปลอดภัย 5 รายการ

    VMware Fusion อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 13.6.4
    รองรับ macOS พร้อมแก้ปัญหา NAT และการอัปโหลด VM ไปยัง ESXi

    แก้บั๊ก snapshot ที่ทำให้เกิด access violation ขณะปิด VM
    ปัญหาเกิดจาก pointer ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบก่อนเรียกฟังก์ชัน

    ช่องโหว่ที่แก้ไขมีระดับ critical และ moderate
    ป้องกันการเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต

    การเร่งฮาร์ดแวร์บน Intel GPU ใน Linux สามารถแก้ได้ด้วย config
    เพิ่มบรรทัด mks.vk.gpuHeapSizeMB = "0" ในไฟล์ config

    ผู้ใช้ต้องดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้งจาก Broadcom โดยตรง
    เนื่องจากระบบอัปเดตอัตโนมัติของ VMware ยังไม่ทำงาน

    VMware Workstation Pro และ Fusion ใช้ฟรีสำหรับการใช้งานส่วนตัว
    ไม่ต้องซื้อไลเซนส์หากไม่ใช้เชิงพาณิชย์

    ระบบอัปเดตอัตโนมัติของ VMware ยังไม่สามารถใช้งานได้
    ผู้ใช้ต้องล็อกอิน Broadcom และดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้งเอง

    มีบั๊กที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขใน Workstation Pro เวอร์ชัน 17.6.4
    เช่น network ขาดหายขณะติดตั้ง Windows 11 (ต้องเปลี่ยน NAT เป็น Bridged)

    ฟีเจอร์ multi-monitor ยังทำงานผิดปกติในบางสถานการณ์
    ไม่มีวิธีแก้ไขหรือ workaround ในตอนนี้

    การเร่งฮาร์ดแวร์บน Intel GPU ใน Linux อาจล้มเหลว
    ต้องแก้ด้วยการเพิ่ม config ด้วยตนเอง

    https://www.neowin.net/news/vmware-workstation-pro-and-fusion-get-snapshot-and-security-fixes/
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลก Virtualization: VMware อัปเดตครั้งใหญ่ แก้บั๊ก snapshot และอุดช่องโหว่ร้ายแรง VMware ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้ Broadcom ได้ปล่อยอัปเดตใหม่สำหรับ Workstation Pro (Windows/Linux) และ Fusion (macOS) โดยเวอร์ชันล่าสุดคือ 17.6.4 และ 13.6.4 ตามลำดับ การอัปเดตนี้เน้นการแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัยระดับ “critical” ถึง 4 รายการ (CVE-2025-41236 ถึง CVE-2025-41239) และอีก 1 รายการระดับ “moderate” (CVE-2025-2884) ซึ่งอาจส่งผลต่อการเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้ยังมีการแก้บั๊ก snapshot ที่ทำให้เกิด access violation ขณะปิด VM หากผู้ใช้เลือก “Ask me” ในการตั้งค่า snapshot ซึ่งเคยทำให้เกิด error ร้ายแรงในระบบ Fusion ยังได้รับการแก้ไขปัญหา NAT network และการอัปโหลด VM ไปยัง ESXi host ที่เคยล้มเหลว อย่างไรก็ตาม VMware เตือนว่าการอัปเดตนี้ยังมีบั๊กที่รู้จักอยู่ 3 รายการใน Workstation Pro เช่น ปัญหา network ขณะติดตั้ง Windows 11, การทำงานของ multi-monitor ที่ผิดปกติ และการเร่งฮาร์ดแวร์บน Intel GPU ใน Linux ✅ VMware Workstation Pro อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 17.6.4 ➡️ รองรับ Windows และ Linux พร้อมแก้ช่องโหว่ความปลอดภัย 5 รายการ ✅ VMware Fusion อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 13.6.4 ➡️ รองรับ macOS พร้อมแก้ปัญหา NAT และการอัปโหลด VM ไปยัง ESXi ✅ แก้บั๊ก snapshot ที่ทำให้เกิด access violation ขณะปิด VM ➡️ ปัญหาเกิดจาก pointer ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบก่อนเรียกฟังก์ชัน ✅ ช่องโหว่ที่แก้ไขมีระดับ critical และ moderate ➡️ ป้องกันการเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต ✅ การเร่งฮาร์ดแวร์บน Intel GPU ใน Linux สามารถแก้ได้ด้วย config ➡️ เพิ่มบรรทัด mks.vk.gpuHeapSizeMB = "0" ในไฟล์ config ✅ ผู้ใช้ต้องดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้งจาก Broadcom โดยตรง ➡️ เนื่องจากระบบอัปเดตอัตโนมัติของ VMware ยังไม่ทำงาน ✅ VMware Workstation Pro และ Fusion ใช้ฟรีสำหรับการใช้งานส่วนตัว ➡️ ไม่ต้องซื้อไลเซนส์หากไม่ใช้เชิงพาณิชย์ ‼️ ระบบอัปเดตอัตโนมัติของ VMware ยังไม่สามารถใช้งานได้ ⛔ ผู้ใช้ต้องล็อกอิน Broadcom และดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้งเอง ‼️ มีบั๊กที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขใน Workstation Pro เวอร์ชัน 17.6.4 ⛔ เช่น network ขาดหายขณะติดตั้ง Windows 11 (ต้องเปลี่ยน NAT เป็น Bridged) ‼️ ฟีเจอร์ multi-monitor ยังทำงานผิดปกติในบางสถานการณ์ ⛔ ไม่มีวิธีแก้ไขหรือ workaround ในตอนนี้ ‼️ การเร่งฮาร์ดแวร์บน Intel GPU ใน Linux อาจล้มเหลว ⛔ ต้องแก้ด้วยการเพิ่ม config ด้วยตนเอง https://www.neowin.net/news/vmware-workstation-pro-and-fusion-get-snapshot-and-security-fixes/
    WWW.NEOWIN.NET
    VMware Workstation Pro and Fusion get snapshot and security fixes
    VMware has released new versions of Workstation Pro and Fusion to address security issues and fix snapshot bugs.
    0 Comments 0 Shares 234 Views 0 Reviews
  • ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2025 นี้ Microsoft เจอปัญหาหนักอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้ Intune ทำให้การตั้งค่าความปลอดภัยหายไประหว่างอัปเดต ล่าสุด WSUS ซึ่งเป็นระบบสำคัญในการกระจายอัปเดต Windows ภายในองค์กร ก็เกิดปัญหาใหญ่

    WSUS มีหน้าที่ซิงก์กับ Microsoft Update อย่างน้อยวันละครั้ง แต่ตอนนี้ผู้ดูแลระบบหลายคนพบว่า WSUS ไม่สามารถซิงก์ได้เลย—ระบบแสดงว่า “connection timed out” และไม่สามารถดึงอัปเดตมาได้ ทำให้ไม่สามารถแจกจ่ายอัปเดตผ่าน WSUS หรือ Configuration Manager ได้เลย

    Microsoft ยอมรับว่าปัญหานี้เกิดจาก “การแก้ไขอัปเดตที่ผิดพลาดในชั้นเก็บข้อมูล (storage layer)” และกำลังเร่งแก้ไขอยู่ แม้จะสามารถอัปเดตแบบ manual ได้ แต่ในองค์กรขนาดใหญ่ที่มีเครื่องจำนวนมาก วิธีนี้ไม่ใช่ทางออกที่ใช้ได้จริง

    ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ Microsoft เคยประกาศเมื่อกันยายน 2024 ว่าจะไม่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้กับ WSUS อีกต่อไป ซึ่งเป็นสัญญาณว่า WSUS กำลังจะถูกเลิกใช้ในอนาคต และแนะนำให้ย้ายไปใช้เครื่องมือใหม่อย่าง Intune, Azure Update Manager และ Windows Autopatch แทน

    ปัญหาที่เกิดขึ้นในข่าว
    - WSUS ไม่สามารถซิงก์กับ Microsoft Update ได้ (connection timed out)
    - ส่งผลให้ไม่สามารถแจกจ่ายอัปเดตผ่าน WSUS และ Configuration Manager
    - Microsoft ยืนยันว่าปัญหาเกิดจากการแก้ไขอัปเดตที่ผิดพลาดใน storage layer
    - ยังไม่มีวิธีแก้ไขชั่วคราวที่ใช้ได้จริงในระดับองค์กร
    - Microsoft กำลังเร่งแก้ไขปัญหาอยู่
    - WSUS เคยถูกประกาศว่าจะไม่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่อีกแล้วตั้งแต่ปี 2024

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - องค์กรที่ยังใช้ WSUS ควรเตรียมแผนย้ายไปใช้เครื่องมือใหม่ เช่น Intune หรือ Azure Update Manager
    - การอัปเดตแบบ manual ไม่เหมาะกับองค์กรที่มีเครื่องจำนวนมาก
    - การพึ่งพา WSUS ต่อไปอาจเสี่ยงต่อความปลอดภัยและความเสถียรในอนาคต
    - ควรติดตามสถานะการแก้ไขจาก Microsoft อย่างใกล้ชิด

    https://www.neowin.net/news/windows-server-update-services-wsus-is-broken-and-there-is-no-workaround/
    ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2025 นี้ Microsoft เจอปัญหาหนักอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้ Intune ทำให้การตั้งค่าความปลอดภัยหายไประหว่างอัปเดต ล่าสุด WSUS ซึ่งเป็นระบบสำคัญในการกระจายอัปเดต Windows ภายในองค์กร ก็เกิดปัญหาใหญ่ WSUS มีหน้าที่ซิงก์กับ Microsoft Update อย่างน้อยวันละครั้ง แต่ตอนนี้ผู้ดูแลระบบหลายคนพบว่า WSUS ไม่สามารถซิงก์ได้เลย—ระบบแสดงว่า “connection timed out” และไม่สามารถดึงอัปเดตมาได้ ทำให้ไม่สามารถแจกจ่ายอัปเดตผ่าน WSUS หรือ Configuration Manager ได้เลย Microsoft ยอมรับว่าปัญหานี้เกิดจาก “การแก้ไขอัปเดตที่ผิดพลาดในชั้นเก็บข้อมูล (storage layer)” และกำลังเร่งแก้ไขอยู่ แม้จะสามารถอัปเดตแบบ manual ได้ แต่ในองค์กรขนาดใหญ่ที่มีเครื่องจำนวนมาก วิธีนี้ไม่ใช่ทางออกที่ใช้ได้จริง ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ Microsoft เคยประกาศเมื่อกันยายน 2024 ว่าจะไม่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้กับ WSUS อีกต่อไป ซึ่งเป็นสัญญาณว่า WSUS กำลังจะถูกเลิกใช้ในอนาคต และแนะนำให้ย้ายไปใช้เครื่องมือใหม่อย่าง Intune, Azure Update Manager และ Windows Autopatch แทน ✅ ปัญหาที่เกิดขึ้นในข่าว - WSUS ไม่สามารถซิงก์กับ Microsoft Update ได้ (connection timed out) - ส่งผลให้ไม่สามารถแจกจ่ายอัปเดตผ่าน WSUS และ Configuration Manager - Microsoft ยืนยันว่าปัญหาเกิดจากการแก้ไขอัปเดตที่ผิดพลาดใน storage layer - ยังไม่มีวิธีแก้ไขชั่วคราวที่ใช้ได้จริงในระดับองค์กร - Microsoft กำลังเร่งแก้ไขปัญหาอยู่ - WSUS เคยถูกประกาศว่าจะไม่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่อีกแล้วตั้งแต่ปี 2024 ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - องค์กรที่ยังใช้ WSUS ควรเตรียมแผนย้ายไปใช้เครื่องมือใหม่ เช่น Intune หรือ Azure Update Manager - การอัปเดตแบบ manual ไม่เหมาะกับองค์กรที่มีเครื่องจำนวนมาก - การพึ่งพา WSUS ต่อไปอาจเสี่ยงต่อความปลอดภัยและความเสถียรในอนาคต - ควรติดตามสถานะการแก้ไขจาก Microsoft อย่างใกล้ชิด https://www.neowin.net/news/windows-server-update-services-wsus-is-broken-and-there-is-no-workaround/
    WWW.NEOWIN.NET
    Windows Server Update Services (WSUS) is broken, and there is no workaround
    Microsoft has acknowledged a problem in Windows Server Update Services (WSUS) that is causing headaches for IT admins.
    0 Comments 0 Shares 185 Views 0 Reviews
  • เคยไหมที่เปิด Windows ใหม่ แล้วต้องมานั่งลบ Xbox, Notepad, Camera, Media Player, Terminal, Sound Recorder ที่ตัวเองไม่ได้ใช้ — แต่บางอันก็กดยกเลิกไม่ได้? → ตอนนี้ Microsoft ใส่ทางลัด “ถอดได้แบบมีศักดิ์ศรี” มาให้แล้วใน Windows 11 เวอร์ชัน 25H2 → โดยเพิ่มนโยบายชื่อว่า Remove Default Microsoft Store Packages ใน Group Policy

    ผู้ใช้ระดับองค์กร (โดยเฉพาะสาย Admin) สามารถเข้าไปที่ Computer Configuration > Administrative Templates > Windows Components > App Package Deployment → แล้วเลือกแอปที่ต้องการลบทิ้ง เช่น Xbox, Notepad, Terminal, Media Player ฯลฯ ได้ทันที

    ก่อนหน้านี้ถ้าจะทำแบบนี้ ต้องพึ่ง PowerShell, script พิเศษ หรือ image modify ซึ่งเสี่ยงผิดพลาดและยุ่งยากมาก → ตอนนี้ใช้ policy ของจริง → เสถียร + ได้ผลจริง + มี GUI

    Windows 11 25H2 เพิ่มฟีเจอร์ “Remove Default Microsoft Store Packages” สำหรับถอนแอป Microsoft ที่ติดมากับระบบ  
    • ใช้งานได้ผ่าน Group Policy  
    • เมนูอยู่ใน: App Package Deployment

    สามารถถอนแอปเหล่านี้ได้:  
    • Xbox App  
    • Windows Media Player  
    • Notepad  
    • Camera  
    • Sound Recorder  
    • Windows Terminal  
    • และอื่น ๆ ที่ติดมากับ Store โดยไม่ใช่แอป third-party

    เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการ UI สะอาด หรือสาย user ที่ไม่อยากเจอแอปซ้ำซ้อน

    เป็น native feature ครั้งแรกที่ไม่ต้องใช้ PowerShell หรือ script ภายนอก

    Microsoft ยืนยันว่าแม้ใน Windows 11 24H2 ก็จะมีฟีเจอร์นี้ด้วย แต่ต้องเปิดใช้งานเอง

    ผู้ใช้งานต้องกำหนดนโยบายก่อนการ login ของ user รายใหม่ → เพื่อให้หน้าจอสะอาดตั้งแต่ต้น

    https://www.techspot.com/news/108600-windows-11-25h2-adds-tool-debloat-os-remove.html
    เคยไหมที่เปิด Windows ใหม่ แล้วต้องมานั่งลบ Xbox, Notepad, Camera, Media Player, Terminal, Sound Recorder ที่ตัวเองไม่ได้ใช้ — แต่บางอันก็กดยกเลิกไม่ได้? → ตอนนี้ Microsoft ใส่ทางลัด “ถอดได้แบบมีศักดิ์ศรี” มาให้แล้วใน Windows 11 เวอร์ชัน 25H2 → โดยเพิ่มนโยบายชื่อว่า Remove Default Microsoft Store Packages ใน Group Policy ผู้ใช้ระดับองค์กร (โดยเฉพาะสาย Admin) สามารถเข้าไปที่ Computer Configuration > Administrative Templates > Windows Components > App Package Deployment → แล้วเลือกแอปที่ต้องการลบทิ้ง เช่น Xbox, Notepad, Terminal, Media Player ฯลฯ ได้ทันที ก่อนหน้านี้ถ้าจะทำแบบนี้ ต้องพึ่ง PowerShell, script พิเศษ หรือ image modify ซึ่งเสี่ยงผิดพลาดและยุ่งยากมาก → ตอนนี้ใช้ policy ของจริง → เสถียร + ได้ผลจริง + มี GUI ✅ Windows 11 25H2 เพิ่มฟีเจอร์ “Remove Default Microsoft Store Packages” สำหรับถอนแอป Microsoft ที่ติดมากับระบบ   • ใช้งานได้ผ่าน Group Policy   • เมนูอยู่ใน: App Package Deployment ✅ สามารถถอนแอปเหล่านี้ได้:   • Xbox App   • Windows Media Player   • Notepad   • Camera   • Sound Recorder   • Windows Terminal   • และอื่น ๆ ที่ติดมากับ Store โดยไม่ใช่แอป third-party ✅ เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการ UI สะอาด หรือสาย user ที่ไม่อยากเจอแอปซ้ำซ้อน ✅ เป็น native feature ครั้งแรกที่ไม่ต้องใช้ PowerShell หรือ script ภายนอก ✅ Microsoft ยืนยันว่าแม้ใน Windows 11 24H2 ก็จะมีฟีเจอร์นี้ด้วย แต่ต้องเปิดใช้งานเอง ✅ ผู้ใช้งานต้องกำหนดนโยบายก่อนการ login ของ user รายใหม่ → เพื่อให้หน้าจอสะอาดตั้งแต่ต้น https://www.techspot.com/news/108600-windows-11-25h2-adds-tool-debloat-os-remove.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Windows 11 25H2 adds tool to debloat the OS and remove built-in apps
    Windows Insiders recently discovered a setting in a preview version of Windows 11 version 25H2 that allows users to remove preinstalled apps. This new feature should help...
    0 Comments 0 Shares 256 Views 0 Reviews
  • Microsoft ปล่อยแพตช์ประจำเดือนกรกฎาคม 2025 สำหรับ Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 (KB5062553), 23H2 และ 22H2 (KB5062552) → แก้ปัญหาความปลอดภัยเป็นหลัก แต่อัปเดตนี้ยังรวมการแก้บั๊กจากเดือนก่อนที่หลายคนบ่นกันไว้แล้วด้วย! → เช่น ปัญหาเวลาเล่นเกม “เต็มจอ” แล้วกด ALT+Tab ไปโปรแกรมอื่น แล้วกลับมาเกมจะหลุดตำแหน่งเมาส์ → หรือเสียงพวก Volume Change, Sign-in, Notification ไม่ดัง → แถมยังมีบั๊กเล็ก ๆ ในระบบ Firewall ที่ Event Viewer แจ้ง “Config Read Failed” อยู่เป็นระยะ ก็ถูกแก้แล้วเหมือนกัน

    ที่พิเศษคือ Microsoft ยังอัปเดต ส่วน AI เบื้องหลัง เช่น Image Search, Content Extraction, Semantic Analysis → นี่คือส่วนที่ทำให้ Copilot ใช้ข้อมูลภาพและข้อความได้ฉลาดขึ้น → ถึงจะไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ประสิทธิภาพโดยรวมจะดีขึ้น (เหมือนเปลี่ยนสมองให้ Windows แบบเงียบ ๆ เลยล่ะ)

    อัปเดตสำคัญจาก Patch Tuesday กรกฎาคม 2025:
    อัปเดต KB5062553 สำหรับ Windows 11 24H2 → Build 26100.4652  
    • แก้บั๊กเกม full screen สลับ ALT+Tab แล้วเมาส์หลุดตำแหน่ง  
    • แก้บั๊กเสียง Notification และเสียงระบบ  
    • แก้บั๊ก Event 2042 “Config Read Failed” ของ Firewall ใน Event Viewer  
    • อัปเดตส่วน AI:
      – Image Search: v1.2506.707.0
      – Content Extraction: v1.2506.707.0
      – Semantic Analysis: v1.2506.707.0

    อัปเดต KB5062552 สำหรับ Windows 11 23H2/22H2 → Build 22631.5624 / 22621.5624  
    • แก้ปัญหาจอดำตอนเสียบ/ถอดจอ (เฉพาะผู้ใช้บางรายจาก KB5060826)  
    • แก้ไขและปรับปรุงคุณภาพโดยรวม  
    • ใช้ EKB KB5027397 หากต้องการอัปเดตจาก 22H2 → 23H2

    อัปเดต Servicing Stack (SSU) เพื่อให้ระบบอัปเดตได้ลื่นไหล:  
    • 24H2: SSU KB5063666 (build 26100.4651)  
    • 23H2/22H2: SSU KB5063707 (build 22631.5619)

    ไม่มี Known issues ที่ประกาศในตอนนี้ — คาดว่าเสถียรมากขึ้นจากรอบก่อน

    https://www.neowin.net/news/windows-11-kb5062553-kb5062552-july-2025-patch-tuesday-out/
    Microsoft ปล่อยแพตช์ประจำเดือนกรกฎาคม 2025 สำหรับ Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 (KB5062553), 23H2 และ 22H2 (KB5062552) → แก้ปัญหาความปลอดภัยเป็นหลัก แต่อัปเดตนี้ยังรวมการแก้บั๊กจากเดือนก่อนที่หลายคนบ่นกันไว้แล้วด้วย! → เช่น ปัญหาเวลาเล่นเกม “เต็มจอ” แล้วกด ALT+Tab ไปโปรแกรมอื่น แล้วกลับมาเกมจะหลุดตำแหน่งเมาส์ → หรือเสียงพวก Volume Change, Sign-in, Notification ไม่ดัง → แถมยังมีบั๊กเล็ก ๆ ในระบบ Firewall ที่ Event Viewer แจ้ง “Config Read Failed” อยู่เป็นระยะ ก็ถูกแก้แล้วเหมือนกัน ที่พิเศษคือ Microsoft ยังอัปเดต ส่วน AI เบื้องหลัง เช่น Image Search, Content Extraction, Semantic Analysis → นี่คือส่วนที่ทำให้ Copilot ใช้ข้อมูลภาพและข้อความได้ฉลาดขึ้น → ถึงจะไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ประสิทธิภาพโดยรวมจะดีขึ้น (เหมือนเปลี่ยนสมองให้ Windows แบบเงียบ ๆ เลยล่ะ) ☸️ อัปเดตสำคัญจาก Patch Tuesday กรกฎาคม 2025: ✅ อัปเดต KB5062553 สำหรับ Windows 11 24H2 → Build 26100.4652   • แก้บั๊กเกม full screen สลับ ALT+Tab แล้วเมาส์หลุดตำแหน่ง   • แก้บั๊กเสียง Notification และเสียงระบบ   • แก้บั๊ก Event 2042 “Config Read Failed” ของ Firewall ใน Event Viewer   • อัปเดตส่วน AI:   – Image Search: v1.2506.707.0   – Content Extraction: v1.2506.707.0   – Semantic Analysis: v1.2506.707.0 ✅ อัปเดต KB5062552 สำหรับ Windows 11 23H2/22H2 → Build 22631.5624 / 22621.5624   • แก้ปัญหาจอดำตอนเสียบ/ถอดจอ (เฉพาะผู้ใช้บางรายจาก KB5060826)   • แก้ไขและปรับปรุงคุณภาพโดยรวม   • ใช้ EKB KB5027397 หากต้องการอัปเดตจาก 22H2 → 23H2 ✅ อัปเดต Servicing Stack (SSU) เพื่อให้ระบบอัปเดตได้ลื่นไหล:   • 24H2: SSU KB5063666 (build 26100.4651)   • 23H2/22H2: SSU KB5063707 (build 22631.5619) ✅ ไม่มี Known issues ที่ประกาศในตอนนี้ — คาดว่าเสถียรมากขึ้นจากรอบก่อน https://www.neowin.net/news/windows-11-kb5062553-kb5062552-july-2025-patch-tuesday-out/
    WWW.NEOWIN.NET
    Windows 11 (KB5062553, KB5062552) July 2025 Patch Tuesday out
    Microsoft has released Patch Tuesday updates for Windows 11 (KB5062553, KB5062552) for July 2025. Here's what's included.
    0 Comments 0 Shares 298 Views 0 Reviews
  • ถ้าใครใช้ Parrot OS อยู่ — หรืออยากเปลี่ยนจาก Kali มาเล่นของสดใหม่ — นี่คือรุ่นที่น่าโดนมากๆ เพราะอัปเดต Kernel เป็น Linux 6.12 LTS ซึ่งหมายถึงรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ ๆ และมี patch ความปลอดภัยล่าสุด → พร้อมทั้งอัปเดตเครื่องมือแฮ็กและวิเคราะห์ระบบเพียบ เช่น → Metasploit 6.4.71, PowerShell Empire 6.1.2, และ Caido 0.48.1

    Firefox ESR ก็ถูกปรับแต่งเรื่องความเป็นส่วนตัวแบบ “ฮาร์ดคอร์” โดยทีม Parrot เอง → ถึงแม้ Firefox จะเปลี่ยนวิธีโหลด config ก็ตาม ทีม Parrot ก็ใส่สคริปต์ให้ “ดึงกลับมา” ให้เสร็จหลังอัปเดต → เรียกว่ายังใช้งานแบบไม่มี telemetry ได้สบายใจ

    ฝั่ง .NET ก็น่าสนใจ — เพราะตอนนี้สามารถติดตั้ง PowerShell 7.5 และ .NET SDKs ได้ตรงจาก repo ของ Parrot เลย → เหมาะมากกับสายที่ทำงาน penetration แบบ DevOps, ทำ payload หรือสร้าง tool เอง

    นอกจากนั้นยังมีการเพิ่ม Launcher ใหม่ในเมนู และใส่แพลตฟอร์ม chat ที่ชื่อ Rocket เข้าไปใน repo อย่างเป็นทางการ → ใครอยากลอง แค่

    sudo apt install rocket

    ก็ใช้ได้แล้ว

    https://www.neowin.net/news/parrot-os-64-ships-with-linux-612-lts-new-tools-and-updated-system-packages/
    ถ้าใครใช้ Parrot OS อยู่ — หรืออยากเปลี่ยนจาก Kali มาเล่นของสดใหม่ — นี่คือรุ่นที่น่าโดนมากๆ เพราะอัปเดต Kernel เป็น Linux 6.12 LTS ซึ่งหมายถึงรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ ๆ และมี patch ความปลอดภัยล่าสุด → พร้อมทั้งอัปเดตเครื่องมือแฮ็กและวิเคราะห์ระบบเพียบ เช่น → Metasploit 6.4.71, PowerShell Empire 6.1.2, และ Caido 0.48.1 Firefox ESR ก็ถูกปรับแต่งเรื่องความเป็นส่วนตัวแบบ “ฮาร์ดคอร์” โดยทีม Parrot เอง → ถึงแม้ Firefox จะเปลี่ยนวิธีโหลด config ก็ตาม ทีม Parrot ก็ใส่สคริปต์ให้ “ดึงกลับมา” ให้เสร็จหลังอัปเดต → เรียกว่ายังใช้งานแบบไม่มี telemetry ได้สบายใจ ฝั่ง .NET ก็น่าสนใจ — เพราะตอนนี้สามารถติดตั้ง PowerShell 7.5 และ .NET SDKs ได้ตรงจาก repo ของ Parrot เลย → เหมาะมากกับสายที่ทำงาน penetration แบบ DevOps, ทำ payload หรือสร้าง tool เอง นอกจากนั้นยังมีการเพิ่ม Launcher ใหม่ในเมนู และใส่แพลตฟอร์ม chat ที่ชื่อ Rocket เข้าไปใน repo อย่างเป็นทางการ → ใครอยากลอง แค่ sudo apt install rocket ก็ใช้ได้แล้ว https://www.neowin.net/news/parrot-os-64-ships-with-linux-612-lts-new-tools-and-updated-system-packages/
    WWW.NEOWIN.NET
    Parrot OS 6.4 ships with Linux 6.12 LTS, new tools and updated system packages
    Parrot OS has received what may be its final 6.x series update, version 6.4, featuring the latest Linux LTS release and more.
    0 Comments 0 Shares 173 Views 0 Reviews
  • ลองนึกภาพว่าบริษัทของเราวางระบบบางส่วนไว้ที่ AWS เพราะคุ้นมือ บางแอปก็ใช้อยู่บน Azure หรือ Google Cloud เพราะลูกค้าหรือแผนกอื่นต้องการ → ถ้าเราไม่มีระบบมองภาพรวมที่ดีพอ...ความเสี่ยงก็ตามมาแบบเงียบ ๆ เลยครับ เช่น

    - เห็น Logs ฝั่งนึงชัด แต่อีกฝั่งกลับไม่รู้ว่าเกิดอะไร
    - Security policy ไม่เสมอกัน → สุดท้ายเกิด “ช่องโหว่จุดเดียวทำลายทั้งองค์กร” ได้
    - แอดมินที่เก่ง AWS อาจทำอะไรไม่ถูกใน Azure (เพราะ CLI, API, IAM ต่างกันหมด)
    - มี API ฝังไว้หลายตัวแต่ไม่มีใครจำได้ว่าเคยให้สิทธิ์อะไรไป

    บทความนี้สรุป 5 ปัจจัยหลักที่ CISO (Chief Information Security Officer) ต้องรับมือให้ได้ พร้อมเสนอแนวทางคร่าว ๆ ที่นำไปปรับใช้ได้เลยครับ

    สรุป 5 ความท้าทายหลักในการจัดการ Multicloud Security:
    1️⃣. ขาดมุมมองภาพรวม (Visibility) ที่ครอบคลุมทุกคลาวด์  
    • องค์กรมักเริ่มจากคลาวด์เดียวที่คุ้นเคย → มี Visibility ดี  
    • แต่พอขยายไปหลายผู้ให้บริการ → เริ่มมองไม่เห็นภาพรวม
    • ข้อมูลกระจัดกระจายตาม Tool ของแต่ละคลาวด์  
    • แนะนำ: ใช้ Cloud-Native Application Protection Platform (CNAPP) เพื่อรวมภาพรวมการเฝ้าระวัง

    2️⃣. จะใช้ Security Program แบบรวมศูนย์หรือแยกตามคลาวด์ดี?  
    • แบบรวมศูนย์: สะดวกแต่อาจไม่ได้ใช้ความสามารถเฉพาะของคลาวด์นั้น ๆ  
    • แบบแยกตามคลาวด์: ได้ประสิทธิภาพแต่ต้องจัดการหลายทีม หลายกระบวนการ  
    • แนะนำ: เลือกกลยุทธ์ตาม tradeoff ที่เหมาะกับโครงสร้างคน + ความเสี่ยงขององค์กร

    3️⃣. ขาดทักษะหลากหลายให้ครอบคลุมทุกคลาวด์  
    • ทีมที่เก่ง AWS อาจไม่คุ้น Azure/GCP  
    • Logs, API, IAM ในแต่ละคลาวด์มีโครงสร้างต่างกัน  
    • แนะนำ: ลงทุนอบรมทีมให้เชี่ยวชาญหลากหลาย หรือใช้ทีมเฉพาะทางแยกตามคลาวด์

    4️⃣. การตั้งค่าผิดพลาด (Misconfigurations)  
    • คลาวด์แต่ละรายมี API, ระบบ, ชื่อเรียก และ Policy ไม่เหมือนกัน  
    • บ่อยครั้งเกิดจากการเข้าใจผิด หรือใช้ default setting  
    • เคยมีรายงานว่า 23% ของ Incident บนคลาวด์เกิดจาก “misconfiguration”  
    • แนะนำ: ใช้เครื่องมือ automation ที่ตรวจสอบ config ได้แบบ cross-cloud เช่น CSPM

    5️⃣. การจัดการ “ตัวตน” และสิทธิ์เข้าถึง (Identity & Access Management – IAM)  
    • IAM บนแต่ละคลาวด์ไม่เหมือนกัน → สร้าง Policy รวมยาก  
    • ต้องดูแลทั้ง User, Role, Token, API, Service Account  
    • แนะนำ: สร้างระบบ IAM แบบรวมศูนย์ พร้อมกำหนดผู้รับผิดชอบชัดเจน → เน้น privileged access ก่อน

    https://www.csoonline.com/article/4009247/5-multicloud-security-challenges-and-how-to-address-them.html
    ลองนึกภาพว่าบริษัทของเราวางระบบบางส่วนไว้ที่ AWS เพราะคุ้นมือ บางแอปก็ใช้อยู่บน Azure หรือ Google Cloud เพราะลูกค้าหรือแผนกอื่นต้องการ → ถ้าเราไม่มีระบบมองภาพรวมที่ดีพอ...ความเสี่ยงก็ตามมาแบบเงียบ ๆ เลยครับ เช่น - เห็น Logs ฝั่งนึงชัด แต่อีกฝั่งกลับไม่รู้ว่าเกิดอะไร - Security policy ไม่เสมอกัน → สุดท้ายเกิด “ช่องโหว่จุดเดียวทำลายทั้งองค์กร” ได้ - แอดมินที่เก่ง AWS อาจทำอะไรไม่ถูกใน Azure (เพราะ CLI, API, IAM ต่างกันหมด) - มี API ฝังไว้หลายตัวแต่ไม่มีใครจำได้ว่าเคยให้สิทธิ์อะไรไป บทความนี้สรุป 5 ปัจจัยหลักที่ CISO (Chief Information Security Officer) ต้องรับมือให้ได้ พร้อมเสนอแนวทางคร่าว ๆ ที่นำไปปรับใช้ได้เลยครับ ✅ สรุป 5 ความท้าทายหลักในการจัดการ Multicloud Security: 1️⃣. ขาดมุมมองภาพรวม (Visibility) ที่ครอบคลุมทุกคลาวด์   • องค์กรมักเริ่มจากคลาวด์เดียวที่คุ้นเคย → มี Visibility ดี   • แต่พอขยายไปหลายผู้ให้บริการ → เริ่มมองไม่เห็นภาพรวม • ข้อมูลกระจัดกระจายตาม Tool ของแต่ละคลาวด์   • แนะนำ: ใช้ Cloud-Native Application Protection Platform (CNAPP) เพื่อรวมภาพรวมการเฝ้าระวัง 2️⃣. จะใช้ Security Program แบบรวมศูนย์หรือแยกตามคลาวด์ดี?   • แบบรวมศูนย์: สะดวกแต่อาจไม่ได้ใช้ความสามารถเฉพาะของคลาวด์นั้น ๆ   • แบบแยกตามคลาวด์: ได้ประสิทธิภาพแต่ต้องจัดการหลายทีม หลายกระบวนการ   • แนะนำ: เลือกกลยุทธ์ตาม tradeoff ที่เหมาะกับโครงสร้างคน + ความเสี่ยงขององค์กร 3️⃣. ขาดทักษะหลากหลายให้ครอบคลุมทุกคลาวด์   • ทีมที่เก่ง AWS อาจไม่คุ้น Azure/GCP   • Logs, API, IAM ในแต่ละคลาวด์มีโครงสร้างต่างกัน   • แนะนำ: ลงทุนอบรมทีมให้เชี่ยวชาญหลากหลาย หรือใช้ทีมเฉพาะทางแยกตามคลาวด์ 4️⃣. การตั้งค่าผิดพลาด (Misconfigurations)   • คลาวด์แต่ละรายมี API, ระบบ, ชื่อเรียก และ Policy ไม่เหมือนกัน   • บ่อยครั้งเกิดจากการเข้าใจผิด หรือใช้ default setting   • เคยมีรายงานว่า 23% ของ Incident บนคลาวด์เกิดจาก “misconfiguration”   • แนะนำ: ใช้เครื่องมือ automation ที่ตรวจสอบ config ได้แบบ cross-cloud เช่น CSPM 5️⃣. การจัดการ “ตัวตน” และสิทธิ์เข้าถึง (Identity & Access Management – IAM)   • IAM บนแต่ละคลาวด์ไม่เหมือนกัน → สร้าง Policy รวมยาก   • ต้องดูแลทั้ง User, Role, Token, API, Service Account   • แนะนำ: สร้างระบบ IAM แบบรวมศูนย์ พร้อมกำหนดผู้รับผิดชอบชัดเจน → เน้น privileged access ก่อน https://www.csoonline.com/article/4009247/5-multicloud-security-challenges-and-how-to-address-them.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    5 multicloud security challenges — and how to address them
    From inadequate visibility to access management complexity, multicloud environments take baseline cloud security issues to another level.
    0 Comments 0 Shares 342 Views 0 Reviews
  • ช่วงเดือนมิถุนายน 2025 หลายคนที่ใช้ OneDrive อาจงงว่า “ทำไมค้นหาไฟล์แล้วขึ้นว่าง ทั้งที่รู้แน่ว่าไฟล์มีอยู่?” → ไม่ว่าจะอยู่บน Windows, Mac, Android หรือเว็บ OneDrive — ปัญหาเกิดกับทุกแพลตฟอร์ม → Microsoft บอกว่า “ผลลัพธ์การค้นหาอาจแสดงว่าง หรือไม่แสดงไฟล์ที่มีอยู่จริง”

    และที่แย่กว่าคือ…ตอนนั้นยัง ไม่มีวิธี workaround ชั่วคราว ให้เลย → ถ้าคุณต้องรีบหาไฟล์ ก็มีโอกาสต้องไถหาเอง

    ผ่านไปประมาณสัปดาห์ครึ่ง Microsoft จึงออกมายืนยันว่า "ตอนนี้แก้แล้ว" แต่ก็ยอมรับว่าอาจยังมีผู้ใช้บางส่วนที่ยังเจอปัญหานี้อยู่ → จึงแนะนำวิธีแบบ classic support: “ให้รีเฟรชเบราว์เซอร์ หรือปิด–เปิดอุปกรณ์ใหม่ (power cycle)”

    ฟังดูอาจง่ายไปหน่อย แต่เบื้องหลังคือการบู๊ตระบบใหม่ → เคลียร์ memory leak, โหลด configuration ใหม่ → ซึ่งช่วยเคลียร์ปัญหาชั่วคราวที่ฝังอยู่ใน session ได้จริงครับ

    ที่น่าสังเกตคือ…Microsoft ยังไม่ได้ออกหมายเลขเวอร์ชัน OneDrive ที่แก้แล้ว อย่างเป็นทางการบนหน้า Release Notes ด้วย

    OneDrive เคยพบปัญหา Search ไม่สามารถค้นหาไฟล์ที่มีอยู่จริงได้  
    • เกิดกับทุกแพลตฟอร์ม: Windows, macOS, Android, Web  
    • ค้นหาแล้วเจอผลลัพธ์ว่าง หรือไม่เจอไฟล์เลย

    Microsoft แก้ไขปัญหาแล้วเมื่อประมาณต้นกรกฎาคม 2025  
    • แต่ระบุว่าบางคนอาจยังเจออาการหลงเหลือ

    Microsoft แนะนำวิธีแก้เบื้องต้น:  
    • บนเว็บ: ให้รีเฟรชเบราว์เซอร์  
    • บนอุปกรณ์มือถือ: ปิด–เปิดเครื่องใหม่ (restart)  
    • เป็นการ power cycle เพื่อเคลียร์ค่าค้าง/โหลด system ใหม่

    ยังไม่มีข้อมูลหมายเลขเวอร์ชัน OneDrive ที่แก้ปัญหาอย่างชัดเจน  
    • หน้า Release Notes ล่าสุดอยู่แค่วันที่ 23 มิ.ย. 2025

    https://www.neowin.net/news/microsoft-tells-windows-mac-android-users-to-turn-it-off--on-if-onedrive-search-breaks/
    ช่วงเดือนมิถุนายน 2025 หลายคนที่ใช้ OneDrive อาจงงว่า “ทำไมค้นหาไฟล์แล้วขึ้นว่าง ทั้งที่รู้แน่ว่าไฟล์มีอยู่?” → ไม่ว่าจะอยู่บน Windows, Mac, Android หรือเว็บ OneDrive — ปัญหาเกิดกับทุกแพลตฟอร์ม → Microsoft บอกว่า “ผลลัพธ์การค้นหาอาจแสดงว่าง หรือไม่แสดงไฟล์ที่มีอยู่จริง” และที่แย่กว่าคือ…ตอนนั้นยัง ไม่มีวิธี workaround ชั่วคราว ให้เลย → ถ้าคุณต้องรีบหาไฟล์ ก็มีโอกาสต้องไถหาเอง ผ่านไปประมาณสัปดาห์ครึ่ง Microsoft จึงออกมายืนยันว่า "ตอนนี้แก้แล้ว" แต่ก็ยอมรับว่าอาจยังมีผู้ใช้บางส่วนที่ยังเจอปัญหานี้อยู่ → จึงแนะนำวิธีแบบ classic support: “ให้รีเฟรชเบราว์เซอร์ หรือปิด–เปิดอุปกรณ์ใหม่ (power cycle)” ฟังดูอาจง่ายไปหน่อย แต่เบื้องหลังคือการบู๊ตระบบใหม่ → เคลียร์ memory leak, โหลด configuration ใหม่ → ซึ่งช่วยเคลียร์ปัญหาชั่วคราวที่ฝังอยู่ใน session ได้จริงครับ ที่น่าสังเกตคือ…Microsoft ยังไม่ได้ออกหมายเลขเวอร์ชัน OneDrive ที่แก้แล้ว อย่างเป็นทางการบนหน้า Release Notes ด้วย ✅ OneDrive เคยพบปัญหา Search ไม่สามารถค้นหาไฟล์ที่มีอยู่จริงได้   • เกิดกับทุกแพลตฟอร์ม: Windows, macOS, Android, Web   • ค้นหาแล้วเจอผลลัพธ์ว่าง หรือไม่เจอไฟล์เลย ✅ Microsoft แก้ไขปัญหาแล้วเมื่อประมาณต้นกรกฎาคม 2025   • แต่ระบุว่าบางคนอาจยังเจออาการหลงเหลือ ✅ Microsoft แนะนำวิธีแก้เบื้องต้น:   • บนเว็บ: ให้รีเฟรชเบราว์เซอร์   • บนอุปกรณ์มือถือ: ปิด–เปิดเครื่องใหม่ (restart)   • เป็นการ power cycle เพื่อเคลียร์ค่าค้าง/โหลด system ใหม่ ✅ ยังไม่มีข้อมูลหมายเลขเวอร์ชัน OneDrive ที่แก้ปัญหาอย่างชัดเจน   • หน้า Release Notes ล่าสุดอยู่แค่วันที่ 23 มิ.ย. 2025 https://www.neowin.net/news/microsoft-tells-windows-mac-android-users-to-turn-it-off--on-if-onedrive-search-breaks/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft tells Windows, Mac, Android users to turn it "off & on" if OneDrive Search breaks
    Microsoft last month confirmed that OneDrive Search was not working properly for many users. Today, the company has shared a workaround if the function still does not work.
    0 Comments 0 Shares 257 Views 0 Reviews
  • สมัยก่อนเวลาเราพูดถึงอินเทอร์เน็ตในหมู่เกาะห่างไกล เช่น ตูวาลู (Tuvalu) — ประเทศเล็ก ๆ กลางมหาสมุทรแปซิฟิก — ก็คงคิดถึงเน็ตช้าหรือไม่มีอินเทอร์เน็ตเลย แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะ Starlink เข้ามาให้บริการในประเทศนี้ และเปิดให้ใช้งานบน IPv6 “เต็มรูปแบบ”

    แค่ไม่กี่เดือนหลัง Starlink เข้ามา ส่วนแบ่ง IPv6 ของตูวาลูพุ่งจาก 0% เป็น 59% — กลายเป็นหนึ่งใน 21 ประเทศที่ “ใช้ IPv6 มากกว่า 50% ของการเชื่อมต่อทั้งหมด” ทันที!

    ประเทศอื่นที่เพิ่งเข้าสู่ “Majority IPv6 Club” ในปีที่ผ่านมา ได้แก่ บราซิล, เม็กซิโก, กัวเตมาลา, ศรีลังกา, ฮังการี, ญี่ปุ่น, เปอร์โตริโก ฯลฯ

    จำนวนประเทศที่มีการใช้งาน IPv6 เกิน 50% เพิ่มจาก 13 → 21 ประเทศในรอบ 1 ปี  
    • ข้อมูลจาก Akamai, APNIC, Google และ Meta

    ประเทศที่ใช้งาน IPv6 มากที่สุดในโลกขณะนี้ ได้แก่:  
    • อินเดีย (73%)  
    • ฝรั่งเศส (73%)

    Starlink ของ SpaceX เป็นผู้เล่นหลักที่เร่งการเปลี่ยนผ่านไปใช้ IPv6  
    • เครือข่ายของ Starlink “ออกแบบให้รองรับ IPv6 ตั้งแต่ต้น”  
    • ช่วยให้ประเทศขนาดเล็กหรือห่างไกล “ข้ามขั้น” โครงสร้างเก่าไปใช้ระบบใหม่ทันที

    IPv6 แก้ข้อจำกัดของ IPv4 ที่มีแค่ 4.3 พันล้านหมายเลข IP  
    • IPv6 มีหมายเลขได้ถึง 340 undecillion (340 ล้านล้านล้านล้าน)  
    • เพียงพอต่อยุคอุปกรณ์ IoT, รถยนต์อัจฉริยะ, บ้านอัจฉริยะ

    ข้อดีอื่นของ IPv6 เช่น:  
    • ไม่ต้อง NAT → เชื่อมอุปกรณ์ได้แบบ end-to-end  
    • ปรับ routing ให้เร็วขึ้น  • รองรับการเข้ารหัส IPsec เป็นมาตรฐาน

    ประเทศอื่นที่กำลังเข้าใกล้ 50% เช่น ไทย, อังกฤษ และเอสโตเนีย

    บางประเทศที่เคยใช้ IPv6 เกิน 50% มีอัตราการลดลงชั่วคราว  
    • เช่น ญี่ปุ่นและเปอร์โตริโก เคยหลุดจากกลุ่มนี้ก่อนจะกลับเข้ามาใหม่  
    • อาจเกิดจากการขยายเครือข่ายเดิมที่ยังใช้ IPv4 อยู่

    องค์กรหรือผู้ให้บริการที่ยังไม่อัปเกรดระบบ → เสี่ยงถูกตัดขาดจากเครือข่ายที่ใช้ IPv6-only  
    • โดยเฉพาะระบบ IoT, cloud หรือ edge computing

    การใช้ IPv6 ยังต้องอาศัยการอัปเดต DNS, firewall, VPN และระบบความปลอดภัยให้รองรับ format ใหม่
    • ไม่ใช่แค่เปลี่ยน router อย่างเดียว

    การก้าวเข้าสู่ยุค IPv6 ไม่ได้แปลว่าปลอดภัยเสมอไป  
    • เพราะการเข้ารหัสและ config ก็ต้องทำอย่างถูกต้อง มิฉะนั้นอาจเกิดช่องโหว่ใหม่ได้

    https://www.techspot.com/news/108490-ipv6-reaches-majority-use-21-countries-starlink-other.html
    สมัยก่อนเวลาเราพูดถึงอินเทอร์เน็ตในหมู่เกาะห่างไกล เช่น ตูวาลู (Tuvalu) — ประเทศเล็ก ๆ กลางมหาสมุทรแปซิฟิก — ก็คงคิดถึงเน็ตช้าหรือไม่มีอินเทอร์เน็ตเลย แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะ Starlink เข้ามาให้บริการในประเทศนี้ และเปิดให้ใช้งานบน IPv6 “เต็มรูปแบบ” แค่ไม่กี่เดือนหลัง Starlink เข้ามา ส่วนแบ่ง IPv6 ของตูวาลูพุ่งจาก 0% เป็น 59% — กลายเป็นหนึ่งใน 21 ประเทศที่ “ใช้ IPv6 มากกว่า 50% ของการเชื่อมต่อทั้งหมด” ทันที! ประเทศอื่นที่เพิ่งเข้าสู่ “Majority IPv6 Club” ในปีที่ผ่านมา ได้แก่ บราซิล, เม็กซิโก, กัวเตมาลา, ศรีลังกา, ฮังการี, ญี่ปุ่น, เปอร์โตริโก ฯลฯ ✅ จำนวนประเทศที่มีการใช้งาน IPv6 เกิน 50% เพิ่มจาก 13 → 21 ประเทศในรอบ 1 ปี   • ข้อมูลจาก Akamai, APNIC, Google และ Meta ✅ ประเทศที่ใช้งาน IPv6 มากที่สุดในโลกขณะนี้ ได้แก่:   • อินเดีย (73%)   • ฝรั่งเศส (73%) ✅ Starlink ของ SpaceX เป็นผู้เล่นหลักที่เร่งการเปลี่ยนผ่านไปใช้ IPv6   • เครือข่ายของ Starlink “ออกแบบให้รองรับ IPv6 ตั้งแต่ต้น”   • ช่วยให้ประเทศขนาดเล็กหรือห่างไกล “ข้ามขั้น” โครงสร้างเก่าไปใช้ระบบใหม่ทันที ✅ IPv6 แก้ข้อจำกัดของ IPv4 ที่มีแค่ 4.3 พันล้านหมายเลข IP   • IPv6 มีหมายเลขได้ถึง 340 undecillion (340 ล้านล้านล้านล้าน)   • เพียงพอต่อยุคอุปกรณ์ IoT, รถยนต์อัจฉริยะ, บ้านอัจฉริยะ ✅ ข้อดีอื่นของ IPv6 เช่น:   • ไม่ต้อง NAT → เชื่อมอุปกรณ์ได้แบบ end-to-end   • ปรับ routing ให้เร็วขึ้น  • รองรับการเข้ารหัส IPsec เป็นมาตรฐาน ✅ ประเทศอื่นที่กำลังเข้าใกล้ 50% เช่น ไทย, อังกฤษ และเอสโตเนีย ‼️ บางประเทศที่เคยใช้ IPv6 เกิน 50% มีอัตราการลดลงชั่วคราว   • เช่น ญี่ปุ่นและเปอร์โตริโก เคยหลุดจากกลุ่มนี้ก่อนจะกลับเข้ามาใหม่   • อาจเกิดจากการขยายเครือข่ายเดิมที่ยังใช้ IPv4 อยู่ ‼️ องค์กรหรือผู้ให้บริการที่ยังไม่อัปเกรดระบบ → เสี่ยงถูกตัดขาดจากเครือข่ายที่ใช้ IPv6-only   • โดยเฉพาะระบบ IoT, cloud หรือ edge computing ‼️ การใช้ IPv6 ยังต้องอาศัยการอัปเดต DNS, firewall, VPN และระบบความปลอดภัยให้รองรับ format ใหม่ • ไม่ใช่แค่เปลี่ยน router อย่างเดียว ‼️ การก้าวเข้าสู่ยุค IPv6 ไม่ได้แปลว่าปลอดภัยเสมอไป   • เพราะการเข้ารหัสและ config ก็ต้องทำอย่างถูกต้อง มิฉะนั้นอาจเกิดช่องโหว่ใหม่ได้ https://www.techspot.com/news/108490-ipv6-reaches-majority-use-21-countries-starlink-other.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    IPv6 reaches majority use in 21 countries as Starlink and other providers modernize global connectivity
    The most dramatic transformation has occurred in Tuvalu, a Pacific island nation with a population under 10,000. Until early 2025, Tuvalu had virtually no IPv6 presence. That...
    0 Comments 0 Shares 274 Views 0 Reviews
  • “Their” vs. “There” vs. “They’re”: Do You Know The Difference?

    The trio of their, there, and they’re can flummox writers of all levels. It’s confusing; they are homophones, meaning they have the same pronunciation (sound) but differ in meaning and derivation (origin).

    Even though they sound the same, they aren’t spelled the same … cue the noticeable errors! Let’s explore the correct usages of the three.

    How do you use their, there, and they’re?

    These three words serve many functions.

    When to use their

    Their is the possessive case of the pronoun they, meaning belonging to them. As in:

    • They left their cell phones at home.

    Their is generally plural, but it is increasingly accepted in place of the singular his or her after words such as someone:

    • Someone left their book on the table.

    When to use there

    There is an adverb that means in or at that place. In this sense, there is essentially the opposite of here. This is what’s known as an adverb of place, which answers the question where an action is taking place. Many common adverbs end in -ly, like quickly, usually, and completely, but not all adverbs do.

    • She is there now.

    There is also used as a pronoun introducing the subject of a sentence or clause:

    • There is still hope.

    When to use they’re

    They’re is a contraction of the words they and are.

    •They’re mastering the differences between three homophones!

    Take a hint from the spelling!

    If you find yourself coming up blank when trying to determine which one to use, take a hint from the spelling of each:

    • There has the word heir in it, which can act as a reminder that the term indicates possession.
    • There has the word here in it. There is the choice when talking about places, whether figurative or literal.
    • They’re has an apostrophe, which means it’s the product of two words: they are. If you can substitute they are into your sentence and retain the meaning, then they’re is the correct homophone to use.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    “Their” vs. “There” vs. “They’re”: Do You Know The Difference? The trio of their, there, and they’re can flummox writers of all levels. It’s confusing; they are homophones, meaning they have the same pronunciation (sound) but differ in meaning and derivation (origin). Even though they sound the same, they aren’t spelled the same … cue the noticeable errors! Let’s explore the correct usages of the three. How do you use their, there, and they’re? These three words serve many functions. When to use their Their is the possessive case of the pronoun they, meaning belonging to them. As in: • They left their cell phones at home. Their is generally plural, but it is increasingly accepted in place of the singular his or her after words such as someone: • Someone left their book on the table. When to use there There is an adverb that means in or at that place. In this sense, there is essentially the opposite of here. This is what’s known as an adverb of place, which answers the question where an action is taking place. Many common adverbs end in -ly, like quickly, usually, and completely, but not all adverbs do. • She is there now. There is also used as a pronoun introducing the subject of a sentence or clause: • There is still hope. When to use they’re They’re is a contraction of the words they and are. •They’re mastering the differences between three homophones! Take a hint from the spelling! If you find yourself coming up blank when trying to determine which one to use, take a hint from the spelling of each: • There has the word heir in it, which can act as a reminder that the term indicates possession. • There has the word here in it. There is the choice when talking about places, whether figurative or literal. • They’re has an apostrophe, which means it’s the product of two words: they are. If you can substitute they are into your sentence and retain the meaning, then they’re is the correct homophone to use. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 Comments 0 Shares 383 Views 0 Reviews
  • ถ้าคุณใช้ VPN เพื่อทำงานจากที่บ้านหรือเข้าระบบภายในบริษัท มีโอกาสสูงที่คุณจะเคยใช้หรือเคยได้ยินชื่อ NetExtender ของ SonicWall — แต่ตอนนี้แฮกเกอร์กำลังปลอมตัวแอปนี้ แล้วแจกผ่าน “เว็บปลอมที่หน้าตาเหมือนของจริงเป๊ะ”

    แฮกเกอร์ใช้วิธี SEO poisoning และโฆษณา (malvertising) เพื่อดันเว็บปลอมให้ขึ้นอันดับบน Google จนคนทั่วไปเผลอกดเข้าไป — และเมื่อคุณดาวน์โหลดแอป VPN ปลอมนี้มา ก็เท่ากับมอบ ชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน, โดเมน, และค่าการตั้งค่าภายในระบบองค์กร ให้แฮกเกอร์ไปครบชุดเลย

    ตัวแอปนี้ยัง “ลงลายเซ็นดิจิทัล” จากบริษัทปลอมชื่อ “CITYLIGHT MEDIA PRIVATE LIMITED” เพื่อหลอกระบบความปลอดภัยเบื้องต้นอีกด้วย

    ข่าวดีคือ SonicWall กับ Microsoft สามารถตรวจจับมัลแวร์ตัวนี้ได้แล้ว แต่ถ้าคุณหรือทีมไอทีใช้อุปกรณ์ป้องกันจากค่ายอื่น อาจยังไม่มีการอัปเดต signature นั้น — ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือ “อย่าดาวน์โหลดแอป VPN จากที่อื่นนอกจากเว็บทางการ!”

    แฮกเกอร์ปลอมแอป SonicWall NetExtender แล้วแจกผ่านเว็บเลียนแบบของจริง  
    • เว็บปลอมถูกดันขึ้นอันดับบน Google ด้วยเทคนิค SEO poisoning และ malvertising  
    • ผู้ใช้ทั่วไปมีโอกาสหลงเชื่อสูง

    ไฟล์ติดมัลแวร์มีการเซ็นดิจิทัลหลอก โดยบริษัทปลอม “CITYLIGHT MEDIA PRIVATE LIMITED”  
    • หลอกระบบความปลอดภัยพื้นฐาน เช่น antivirus หรือ firewall

    แอปที่ถูกดัดแปลงประกอบด้วย:  • NetExtender.exe: ดัดแปลงให้ขโมยชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน, โดเมน และ config  
    • NEService.exe: ถูกแก้ให้ข้ามการตรวจสอบ digital certificate

    ข้อมูลของผู้ใช้จะถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่แฮกเกอร์ควบคุมเมื่อกด “เชื่อมต่อ VPN”  
    • ทำให้แฮกเกอร์สามารถใช้รหัสเพื่อเข้าระบบองค์กรได้โดยตรง

    SonicWall และ Microsoft ออกคำเตือนและปรับ signature เพื่อจับมัลแวร์ตัวนี้แล้ว  
    • แต่ผลิตภัณฑ์จากแบรนด์อื่นอาจยังไม่สามารถตรวจจับได้

    SonicWall แนะนำให้ดาวน์โหลดแอป VPN แค่จากเว็บทางการเท่านั้น:  
    • sonicwall.com  
    • mysonicwall.com

    https://www.techradar.com/pro/security/sonicwall-warns-of-fake-vpn-apps-stealing-user-logins-and-putting-businesses-at-risk-heres-what-we-know
    ถ้าคุณใช้ VPN เพื่อทำงานจากที่บ้านหรือเข้าระบบภายในบริษัท มีโอกาสสูงที่คุณจะเคยใช้หรือเคยได้ยินชื่อ NetExtender ของ SonicWall — แต่ตอนนี้แฮกเกอร์กำลังปลอมตัวแอปนี้ แล้วแจกผ่าน “เว็บปลอมที่หน้าตาเหมือนของจริงเป๊ะ” แฮกเกอร์ใช้วิธี SEO poisoning และโฆษณา (malvertising) เพื่อดันเว็บปลอมให้ขึ้นอันดับบน Google จนคนทั่วไปเผลอกดเข้าไป — และเมื่อคุณดาวน์โหลดแอป VPN ปลอมนี้มา ก็เท่ากับมอบ ชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน, โดเมน, และค่าการตั้งค่าภายในระบบองค์กร ให้แฮกเกอร์ไปครบชุดเลย ตัวแอปนี้ยัง “ลงลายเซ็นดิจิทัล” จากบริษัทปลอมชื่อ “CITYLIGHT MEDIA PRIVATE LIMITED” เพื่อหลอกระบบความปลอดภัยเบื้องต้นอีกด้วย ข่าวดีคือ SonicWall กับ Microsoft สามารถตรวจจับมัลแวร์ตัวนี้ได้แล้ว แต่ถ้าคุณหรือทีมไอทีใช้อุปกรณ์ป้องกันจากค่ายอื่น อาจยังไม่มีการอัปเดต signature นั้น — ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือ “อย่าดาวน์โหลดแอป VPN จากที่อื่นนอกจากเว็บทางการ!” ✅ แฮกเกอร์ปลอมแอป SonicWall NetExtender แล้วแจกผ่านเว็บเลียนแบบของจริง   • เว็บปลอมถูกดันขึ้นอันดับบน Google ด้วยเทคนิค SEO poisoning และ malvertising   • ผู้ใช้ทั่วไปมีโอกาสหลงเชื่อสูง ✅ ไฟล์ติดมัลแวร์มีการเซ็นดิจิทัลหลอก โดยบริษัทปลอม “CITYLIGHT MEDIA PRIVATE LIMITED”   • หลอกระบบความปลอดภัยพื้นฐาน เช่น antivirus หรือ firewall ✅ แอปที่ถูกดัดแปลงประกอบด้วย:  • NetExtender.exe: ดัดแปลงให้ขโมยชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน, โดเมน และ config   • NEService.exe: ถูกแก้ให้ข้ามการตรวจสอบ digital certificate ✅ ข้อมูลของผู้ใช้จะถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่แฮกเกอร์ควบคุมเมื่อกด “เชื่อมต่อ VPN”   • ทำให้แฮกเกอร์สามารถใช้รหัสเพื่อเข้าระบบองค์กรได้โดยตรง ✅ SonicWall และ Microsoft ออกคำเตือนและปรับ signature เพื่อจับมัลแวร์ตัวนี้แล้ว   • แต่ผลิตภัณฑ์จากแบรนด์อื่นอาจยังไม่สามารถตรวจจับได้ ✅ SonicWall แนะนำให้ดาวน์โหลดแอป VPN แค่จากเว็บทางการเท่านั้น:   • sonicwall.com   • mysonicwall.com https://www.techradar.com/pro/security/sonicwall-warns-of-fake-vpn-apps-stealing-user-logins-and-putting-businesses-at-risk-heres-what-we-know
    0 Comments 0 Shares 322 Views 0 Reviews
  • ลองนึกภาพดูว่าในศูนย์ข้อมูลหนึ่ง มีงานมากมายที่ IT ต้องจัดการทุกวัน เช่น แก้ไข network, config storage, เช็ก log, ปรับโหลด cloud — ทั้งหมดนี้ใช้เวลาและต้องการผู้เชี่ยวชาญหลายคน

    แต่ HPE กำลังจะเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นให้กลายเป็น “การสนทนากับ agent” — คุณแค่ถามในสไตล์แชต แล้ว AI จะประมวลผลข้อมูล, หา insight, เสนอทางแก้ หรือ บางทียังทำแทนให้เองเลยด้วยซ้ำ (แต่ยังให้คุณกดยืนยันก่อนเสมอ)

    หัวใจอยู่ที่ GreenLake Intelligence ซึ่งมี multi-agent system ที่ทำหน้าที่เฉพาะ เช่น จัดการ storage, monitor network, สร้าง dashboard, หรือคุยกับระบบ cloud อื่นได้ — และมี “GreenLake Copilot” เป็นอินเทอร์เฟซแบบแชต ช่วยให้คนไอทีใช้งานง่ายแบบไม่ต้องพิมพ์โค้ด

    นอกจากนี้ HPE ยังพัฒนา hardware และ software เสริมชุดใหญ่ เช่น AI Factory รุ่นใหม่ที่ใช้ Nvidia Blackwell GPU, ระบบ CloudOps, และหน่วยเก็บข้อมูล Alletra X10000 ที่รองรับการวิเคราะห์ context ระดับระบบ (ผ่านโปรโตคอล MCP)

    HPE เปิดตัว GreenLake Intelligence พร้อมแนวคิด AgenticOps  
    • ใช้ AI agents ทำงานซ้ำซ้อนในระบบ IT แทนคนได้ (แต่มี human-in-the-loop)  
    • ครอบคลุมงาน config, observability, storage, network และ more

    GreenLake Copilot คืออินเทอร์เฟซแบบแชตที่ให้คุยกับ AI ได้ทันที  
    • ใช้ภาษาธรรมดาถามเรื่อง log, ปัญหา network, ความเสถียรระบบ ฯลฯ  
    • ทำงานร่วมกับ LLM และ ML ที่เทรนจากข้อมูลองค์กร

    ตัวอย่างการใช้งานที่น่าสนใจ:  
    • Aruba Central ใช้ GreenLake Copilot ในการจัดการเครือข่ายแบบ real-time  
    • สร้าง visual dashboard จาก log อัตโนมัติ  
    • เสนอวิธีแก้ปัญหาแบบทีละขั้น หรือลงมือทำแทนได้

    HPE เสริมด้วย CloudOps (รวม OpsRamp, Morpheus, Zerto)  
    • ใช้ GenAI ช่วยจัดการ observability, virtualization, และความปลอดภัยของ data

    เปิดตัว AI Factory Gen 2 ที่ใช้ Nvidia Blackwell RTX Pro 6000  
    • รองรับการประมวลผล AI model สำหรับองค์กรโดยเฉพาะ  
    • ใช้งานร่วมกับระบบของคู่แข่งได้ (เช่น OpsRamp ใช้กับ AI Factory ทุกแบรนด์)

    ระบบเก็บข้อมูล Alletra X10000 รองรับ MCP (Media Context Protocol)  
    • เชื่อมโยงกับ AI/LLM ได้โดยตรง  
    • ส่งข้อมูลระหว่าง server, storage, observability tools ได้รวดเร็ว

    ลุงจะตกงานแล้วววววว !!!

    https://www.techspot.com/news/108437-hpe-greenlake-intelligence-brings-agentic-ai-operations.html
    ลองนึกภาพดูว่าในศูนย์ข้อมูลหนึ่ง มีงานมากมายที่ IT ต้องจัดการทุกวัน เช่น แก้ไข network, config storage, เช็ก log, ปรับโหลด cloud — ทั้งหมดนี้ใช้เวลาและต้องการผู้เชี่ยวชาญหลายคน แต่ HPE กำลังจะเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นให้กลายเป็น “การสนทนากับ agent” — คุณแค่ถามในสไตล์แชต แล้ว AI จะประมวลผลข้อมูล, หา insight, เสนอทางแก้ หรือ บางทียังทำแทนให้เองเลยด้วยซ้ำ (แต่ยังให้คุณกดยืนยันก่อนเสมอ) หัวใจอยู่ที่ GreenLake Intelligence ซึ่งมี multi-agent system ที่ทำหน้าที่เฉพาะ เช่น จัดการ storage, monitor network, สร้าง dashboard, หรือคุยกับระบบ cloud อื่นได้ — และมี “GreenLake Copilot” เป็นอินเทอร์เฟซแบบแชต ช่วยให้คนไอทีใช้งานง่ายแบบไม่ต้องพิมพ์โค้ด นอกจากนี้ HPE ยังพัฒนา hardware และ software เสริมชุดใหญ่ เช่น AI Factory รุ่นใหม่ที่ใช้ Nvidia Blackwell GPU, ระบบ CloudOps, และหน่วยเก็บข้อมูล Alletra X10000 ที่รองรับการวิเคราะห์ context ระดับระบบ (ผ่านโปรโตคอล MCP) ✅ HPE เปิดตัว GreenLake Intelligence พร้อมแนวคิด AgenticOps   • ใช้ AI agents ทำงานซ้ำซ้อนในระบบ IT แทนคนได้ (แต่มี human-in-the-loop)   • ครอบคลุมงาน config, observability, storage, network และ more ✅ GreenLake Copilot คืออินเทอร์เฟซแบบแชตที่ให้คุยกับ AI ได้ทันที   • ใช้ภาษาธรรมดาถามเรื่อง log, ปัญหา network, ความเสถียรระบบ ฯลฯ   • ทำงานร่วมกับ LLM และ ML ที่เทรนจากข้อมูลองค์กร ✅ ตัวอย่างการใช้งานที่น่าสนใจ:   • Aruba Central ใช้ GreenLake Copilot ในการจัดการเครือข่ายแบบ real-time   • สร้าง visual dashboard จาก log อัตโนมัติ   • เสนอวิธีแก้ปัญหาแบบทีละขั้น หรือลงมือทำแทนได้ ✅ HPE เสริมด้วย CloudOps (รวม OpsRamp, Morpheus, Zerto)   • ใช้ GenAI ช่วยจัดการ observability, virtualization, และความปลอดภัยของ data ✅ เปิดตัว AI Factory Gen 2 ที่ใช้ Nvidia Blackwell RTX Pro 6000   • รองรับการประมวลผล AI model สำหรับองค์กรโดยเฉพาะ   • ใช้งานร่วมกับระบบของคู่แข่งได้ (เช่น OpsRamp ใช้กับ AI Factory ทุกแบรนด์) ✅ ระบบเก็บข้อมูล Alletra X10000 รองรับ MCP (Media Context Protocol)   • เชื่อมโยงกับ AI/LLM ได้โดยตรง   • ส่งข้อมูลระหว่าง server, storage, observability tools ได้รวดเร็ว ลุงจะตกงานแล้วววววว !!! 😭😭 https://www.techspot.com/news/108437-hpe-greenlake-intelligence-brings-agentic-ai-operations.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    HPE's GreenLake intelligence brings agentic AI to IT operations
    In case you haven't heard, GenAI is old news. Now, it's all about agentic AI. At least, that certainly seems to be the theme based on the...
    0 Comments 0 Shares 327 Views 0 Reviews
  • เปิดเหตุผล ทำไมคนไทยต้องแสดงพลังขับไล่คนทรยศ ส่งเสียงให้ทหารไทย YOU WILL NEVER FIGHT ALONE
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #แสดงพลังคนไทย
    เปิดเหตุผล ทำไมคนไทยต้องแสดงพลังขับไล่คนทรยศ ส่งเสียงให้ทหารไทย YOU WILL NEVER FIGHT ALONE #คิงส์โพธิ์แดง #แสดงพลังคนไทย
    0 Comments 0 Shares 303 Views 18 0 Reviews
  • นักวิจัยจาก Check Point เจอแคมเปญมัลแวร์ที่ซับซ้อนมาก ใช้ GitHub เป็นที่ปล่อย mod ปลอมของ Minecraft โดยแต่ละ repo เหมือนของจริง (เพราะมีชื่อ mod น่าสนใจ, ใช้ fake stars มากกว่า 70 บัญชีช่วยกดดาว) พอคนโหลดไปใช้…ไฟล์ JAR (ซึ่งเป็น Minecraft Forge mod) จะทำงานเฉพาะตอนเปิดเกม และเริ่มเช็กว่าเครื่องนั้นมีระบบป้องกันหรือเครื่องมือวิเคราะห์มั้ย ถ้ามี → จะปิดตัวเองเพื่อไม่ให้ถูกจับได้

    ถ้ารอดด่านนั้นได้ มันจะโหลด Java stealer ตัวที่ 2 เพื่อ ขโมย token ของ Minecraft, Discord, Telegram จากเครื่อง แล้วส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ควบคุมโดยแฮกเกอร์

    ขั้นสุดท้ายคือโหลด “44 CALIBER” — มัลแวร์ .NET ที่ดูดทุกอย่างแบบจัดเต็ม ทั้ง:
    - รหัสผ่าน browser
    - ข้อมูลกระเป๋าเงินคริปโต
    - VPN config
    - ไฟล์ในโฟลเดอร์ Desktop และ Documents
    - รูปหน้าจอ, clipboard, และข้อมูลเครื่อง

    เหยื่อทั้งหมดกว่า 1,500 รายในเวลา 3 เดือนเท่านั้น โดยแฮกเกอร์คาดว่าได้เงินจากขายบัญชีหรือเหรียญที่ขโมยไปแล้วไม่ต่ำกว่า $100,000

    https://www.techspot.com/news/108405-cybercriminals-use-fake-github-minecraft-mods-target-young.html
    นักวิจัยจาก Check Point เจอแคมเปญมัลแวร์ที่ซับซ้อนมาก ใช้ GitHub เป็นที่ปล่อย mod ปลอมของ Minecraft โดยแต่ละ repo เหมือนของจริง (เพราะมีชื่อ mod น่าสนใจ, ใช้ fake stars มากกว่า 70 บัญชีช่วยกดดาว) พอคนโหลดไปใช้…ไฟล์ JAR (ซึ่งเป็น Minecraft Forge mod) จะทำงานเฉพาะตอนเปิดเกม และเริ่มเช็กว่าเครื่องนั้นมีระบบป้องกันหรือเครื่องมือวิเคราะห์มั้ย ถ้ามี → จะปิดตัวเองเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ ถ้ารอดด่านนั้นได้ มันจะโหลด Java stealer ตัวที่ 2 เพื่อ ขโมย token ของ Minecraft, Discord, Telegram จากเครื่อง แล้วส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ควบคุมโดยแฮกเกอร์ ขั้นสุดท้ายคือโหลด “44 CALIBER” — มัลแวร์ .NET ที่ดูดทุกอย่างแบบจัดเต็ม ทั้ง: - รหัสผ่าน browser - ข้อมูลกระเป๋าเงินคริปโต - VPN config - ไฟล์ในโฟลเดอร์ Desktop และ Documents - รูปหน้าจอ, clipboard, และข้อมูลเครื่อง เหยื่อทั้งหมดกว่า 1,500 รายในเวลา 3 เดือนเท่านั้น โดยแฮกเกอร์คาดว่าได้เงินจากขายบัญชีหรือเหรียญที่ขโมยไปแล้วไม่ต่ำกว่า $100,000 https://www.techspot.com/news/108405-cybercriminals-use-fake-github-minecraft-mods-target-young.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Cybercriminals use fake GitHub Minecraft mods to target young players
    Unlike typical malware campaigns, Stargazers Ghost Network is a distribution-as-a-service operation that leverages thousands of fake GitHub accounts to spread malicious software disguised as legitimate mods and...
    0 Comments 0 Shares 288 Views 0 Reviews
More Results