• ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2025 นี้ Microsoft เจอปัญหาหนักอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้ Intune ทำให้การตั้งค่าความปลอดภัยหายไประหว่างอัปเดต ล่าสุด WSUS ซึ่งเป็นระบบสำคัญในการกระจายอัปเดต Windows ภายในองค์กร ก็เกิดปัญหาใหญ่

    WSUS มีหน้าที่ซิงก์กับ Microsoft Update อย่างน้อยวันละครั้ง แต่ตอนนี้ผู้ดูแลระบบหลายคนพบว่า WSUS ไม่สามารถซิงก์ได้เลย—ระบบแสดงว่า “connection timed out” และไม่สามารถดึงอัปเดตมาได้ ทำให้ไม่สามารถแจกจ่ายอัปเดตผ่าน WSUS หรือ Configuration Manager ได้เลย

    Microsoft ยอมรับว่าปัญหานี้เกิดจาก “การแก้ไขอัปเดตที่ผิดพลาดในชั้นเก็บข้อมูล (storage layer)” และกำลังเร่งแก้ไขอยู่ แม้จะสามารถอัปเดตแบบ manual ได้ แต่ในองค์กรขนาดใหญ่ที่มีเครื่องจำนวนมาก วิธีนี้ไม่ใช่ทางออกที่ใช้ได้จริง

    ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ Microsoft เคยประกาศเมื่อกันยายน 2024 ว่าจะไม่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้กับ WSUS อีกต่อไป ซึ่งเป็นสัญญาณว่า WSUS กำลังจะถูกเลิกใช้ในอนาคต และแนะนำให้ย้ายไปใช้เครื่องมือใหม่อย่าง Intune, Azure Update Manager และ Windows Autopatch แทน

    ปัญหาที่เกิดขึ้นในข่าว
    - WSUS ไม่สามารถซิงก์กับ Microsoft Update ได้ (connection timed out)
    - ส่งผลให้ไม่สามารถแจกจ่ายอัปเดตผ่าน WSUS และ Configuration Manager
    - Microsoft ยืนยันว่าปัญหาเกิดจากการแก้ไขอัปเดตที่ผิดพลาดใน storage layer
    - ยังไม่มีวิธีแก้ไขชั่วคราวที่ใช้ได้จริงในระดับองค์กร
    - Microsoft กำลังเร่งแก้ไขปัญหาอยู่
    - WSUS เคยถูกประกาศว่าจะไม่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่อีกแล้วตั้งแต่ปี 2024

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - องค์กรที่ยังใช้ WSUS ควรเตรียมแผนย้ายไปใช้เครื่องมือใหม่ เช่น Intune หรือ Azure Update Manager
    - การอัปเดตแบบ manual ไม่เหมาะกับองค์กรที่มีเครื่องจำนวนมาก
    - การพึ่งพา WSUS ต่อไปอาจเสี่ยงต่อความปลอดภัยและความเสถียรในอนาคต
    - ควรติดตามสถานะการแก้ไขจาก Microsoft อย่างใกล้ชิด

    https://www.neowin.net/news/windows-server-update-services-wsus-is-broken-and-there-is-no-workaround/
    ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2025 นี้ Microsoft เจอปัญหาหนักอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้ Intune ทำให้การตั้งค่าความปลอดภัยหายไประหว่างอัปเดต ล่าสุด WSUS ซึ่งเป็นระบบสำคัญในการกระจายอัปเดต Windows ภายในองค์กร ก็เกิดปัญหาใหญ่ WSUS มีหน้าที่ซิงก์กับ Microsoft Update อย่างน้อยวันละครั้ง แต่ตอนนี้ผู้ดูแลระบบหลายคนพบว่า WSUS ไม่สามารถซิงก์ได้เลย—ระบบแสดงว่า “connection timed out” และไม่สามารถดึงอัปเดตมาได้ ทำให้ไม่สามารถแจกจ่ายอัปเดตผ่าน WSUS หรือ Configuration Manager ได้เลย Microsoft ยอมรับว่าปัญหานี้เกิดจาก “การแก้ไขอัปเดตที่ผิดพลาดในชั้นเก็บข้อมูล (storage layer)” และกำลังเร่งแก้ไขอยู่ แม้จะสามารถอัปเดตแบบ manual ได้ แต่ในองค์กรขนาดใหญ่ที่มีเครื่องจำนวนมาก วิธีนี้ไม่ใช่ทางออกที่ใช้ได้จริง ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ Microsoft เคยประกาศเมื่อกันยายน 2024 ว่าจะไม่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้กับ WSUS อีกต่อไป ซึ่งเป็นสัญญาณว่า WSUS กำลังจะถูกเลิกใช้ในอนาคต และแนะนำให้ย้ายไปใช้เครื่องมือใหม่อย่าง Intune, Azure Update Manager และ Windows Autopatch แทน ✅ ปัญหาที่เกิดขึ้นในข่าว - WSUS ไม่สามารถซิงก์กับ Microsoft Update ได้ (connection timed out) - ส่งผลให้ไม่สามารถแจกจ่ายอัปเดตผ่าน WSUS และ Configuration Manager - Microsoft ยืนยันว่าปัญหาเกิดจากการแก้ไขอัปเดตที่ผิดพลาดใน storage layer - ยังไม่มีวิธีแก้ไขชั่วคราวที่ใช้ได้จริงในระดับองค์กร - Microsoft กำลังเร่งแก้ไขปัญหาอยู่ - WSUS เคยถูกประกาศว่าจะไม่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่อีกแล้วตั้งแต่ปี 2024 ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - องค์กรที่ยังใช้ WSUS ควรเตรียมแผนย้ายไปใช้เครื่องมือใหม่ เช่น Intune หรือ Azure Update Manager - การอัปเดตแบบ manual ไม่เหมาะกับองค์กรที่มีเครื่องจำนวนมาก - การพึ่งพา WSUS ต่อไปอาจเสี่ยงต่อความปลอดภัยและความเสถียรในอนาคต - ควรติดตามสถานะการแก้ไขจาก Microsoft อย่างใกล้ชิด https://www.neowin.net/news/windows-server-update-services-wsus-is-broken-and-there-is-no-workaround/
    WWW.NEOWIN.NET
    Windows Server Update Services (WSUS) is broken, and there is no workaround
    Microsoft has acknowledged a problem in Windows Server Update Services (WSUS) that is causing headaches for IT admins.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว
  • เคยไหมที่เปิด Windows ใหม่ แล้วต้องมานั่งลบ Xbox, Notepad, Camera, Media Player, Terminal, Sound Recorder ที่ตัวเองไม่ได้ใช้ — แต่บางอันก็กดยกเลิกไม่ได้? → ตอนนี้ Microsoft ใส่ทางลัด “ถอดได้แบบมีศักดิ์ศรี” มาให้แล้วใน Windows 11 เวอร์ชัน 25H2 → โดยเพิ่มนโยบายชื่อว่า Remove Default Microsoft Store Packages ใน Group Policy

    ผู้ใช้ระดับองค์กร (โดยเฉพาะสาย Admin) สามารถเข้าไปที่ Computer Configuration > Administrative Templates > Windows Components > App Package Deployment → แล้วเลือกแอปที่ต้องการลบทิ้ง เช่น Xbox, Notepad, Terminal, Media Player ฯลฯ ได้ทันที

    ก่อนหน้านี้ถ้าจะทำแบบนี้ ต้องพึ่ง PowerShell, script พิเศษ หรือ image modify ซึ่งเสี่ยงผิดพลาดและยุ่งยากมาก → ตอนนี้ใช้ policy ของจริง → เสถียร + ได้ผลจริง + มี GUI

    Windows 11 25H2 เพิ่มฟีเจอร์ “Remove Default Microsoft Store Packages” สำหรับถอนแอป Microsoft ที่ติดมากับระบบ  
    • ใช้งานได้ผ่าน Group Policy  
    • เมนูอยู่ใน: App Package Deployment

    สามารถถอนแอปเหล่านี้ได้:  
    • Xbox App  
    • Windows Media Player  
    • Notepad  
    • Camera  
    • Sound Recorder  
    • Windows Terminal  
    • และอื่น ๆ ที่ติดมากับ Store โดยไม่ใช่แอป third-party

    เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการ UI สะอาด หรือสาย user ที่ไม่อยากเจอแอปซ้ำซ้อน

    เป็น native feature ครั้งแรกที่ไม่ต้องใช้ PowerShell หรือ script ภายนอก

    Microsoft ยืนยันว่าแม้ใน Windows 11 24H2 ก็จะมีฟีเจอร์นี้ด้วย แต่ต้องเปิดใช้งานเอง

    ผู้ใช้งานต้องกำหนดนโยบายก่อนการ login ของ user รายใหม่ → เพื่อให้หน้าจอสะอาดตั้งแต่ต้น

    https://www.techspot.com/news/108600-windows-11-25h2-adds-tool-debloat-os-remove.html
    เคยไหมที่เปิด Windows ใหม่ แล้วต้องมานั่งลบ Xbox, Notepad, Camera, Media Player, Terminal, Sound Recorder ที่ตัวเองไม่ได้ใช้ — แต่บางอันก็กดยกเลิกไม่ได้? → ตอนนี้ Microsoft ใส่ทางลัด “ถอดได้แบบมีศักดิ์ศรี” มาให้แล้วใน Windows 11 เวอร์ชัน 25H2 → โดยเพิ่มนโยบายชื่อว่า Remove Default Microsoft Store Packages ใน Group Policy ผู้ใช้ระดับองค์กร (โดยเฉพาะสาย Admin) สามารถเข้าไปที่ Computer Configuration > Administrative Templates > Windows Components > App Package Deployment → แล้วเลือกแอปที่ต้องการลบทิ้ง เช่น Xbox, Notepad, Terminal, Media Player ฯลฯ ได้ทันที ก่อนหน้านี้ถ้าจะทำแบบนี้ ต้องพึ่ง PowerShell, script พิเศษ หรือ image modify ซึ่งเสี่ยงผิดพลาดและยุ่งยากมาก → ตอนนี้ใช้ policy ของจริง → เสถียร + ได้ผลจริง + มี GUI ✅ Windows 11 25H2 เพิ่มฟีเจอร์ “Remove Default Microsoft Store Packages” สำหรับถอนแอป Microsoft ที่ติดมากับระบบ   • ใช้งานได้ผ่าน Group Policy   • เมนูอยู่ใน: App Package Deployment ✅ สามารถถอนแอปเหล่านี้ได้:   • Xbox App   • Windows Media Player   • Notepad   • Camera   • Sound Recorder   • Windows Terminal   • และอื่น ๆ ที่ติดมากับ Store โดยไม่ใช่แอป third-party ✅ เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการ UI สะอาด หรือสาย user ที่ไม่อยากเจอแอปซ้ำซ้อน ✅ เป็น native feature ครั้งแรกที่ไม่ต้องใช้ PowerShell หรือ script ภายนอก ✅ Microsoft ยืนยันว่าแม้ใน Windows 11 24H2 ก็จะมีฟีเจอร์นี้ด้วย แต่ต้องเปิดใช้งานเอง ✅ ผู้ใช้งานต้องกำหนดนโยบายก่อนการ login ของ user รายใหม่ → เพื่อให้หน้าจอสะอาดตั้งแต่ต้น https://www.techspot.com/news/108600-windows-11-25h2-adds-tool-debloat-os-remove.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Windows 11 25H2 adds tool to debloat the OS and remove built-in apps
    Windows Insiders recently discovered a setting in a preview version of Windows 11 version 25H2 that allows users to remove preinstalled apps. This new feature should help...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ปล่อยแพตช์ประจำเดือนกรกฎาคม 2025 สำหรับ Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 (KB5062553), 23H2 และ 22H2 (KB5062552) → แก้ปัญหาความปลอดภัยเป็นหลัก แต่อัปเดตนี้ยังรวมการแก้บั๊กจากเดือนก่อนที่หลายคนบ่นกันไว้แล้วด้วย! → เช่น ปัญหาเวลาเล่นเกม “เต็มจอ” แล้วกด ALT+Tab ไปโปรแกรมอื่น แล้วกลับมาเกมจะหลุดตำแหน่งเมาส์ → หรือเสียงพวก Volume Change, Sign-in, Notification ไม่ดัง → แถมยังมีบั๊กเล็ก ๆ ในระบบ Firewall ที่ Event Viewer แจ้ง “Config Read Failed” อยู่เป็นระยะ ก็ถูกแก้แล้วเหมือนกัน

    ที่พิเศษคือ Microsoft ยังอัปเดต ส่วน AI เบื้องหลัง เช่น Image Search, Content Extraction, Semantic Analysis → นี่คือส่วนที่ทำให้ Copilot ใช้ข้อมูลภาพและข้อความได้ฉลาดขึ้น → ถึงจะไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ประสิทธิภาพโดยรวมจะดีขึ้น (เหมือนเปลี่ยนสมองให้ Windows แบบเงียบ ๆ เลยล่ะ)

    อัปเดตสำคัญจาก Patch Tuesday กรกฎาคม 2025:
    อัปเดต KB5062553 สำหรับ Windows 11 24H2 → Build 26100.4652  
    • แก้บั๊กเกม full screen สลับ ALT+Tab แล้วเมาส์หลุดตำแหน่ง  
    • แก้บั๊กเสียง Notification และเสียงระบบ  
    • แก้บั๊ก Event 2042 “Config Read Failed” ของ Firewall ใน Event Viewer  
    • อัปเดตส่วน AI:
      – Image Search: v1.2506.707.0
      – Content Extraction: v1.2506.707.0
      – Semantic Analysis: v1.2506.707.0

    อัปเดต KB5062552 สำหรับ Windows 11 23H2/22H2 → Build 22631.5624 / 22621.5624  
    • แก้ปัญหาจอดำตอนเสียบ/ถอดจอ (เฉพาะผู้ใช้บางรายจาก KB5060826)  
    • แก้ไขและปรับปรุงคุณภาพโดยรวม  
    • ใช้ EKB KB5027397 หากต้องการอัปเดตจาก 22H2 → 23H2

    อัปเดต Servicing Stack (SSU) เพื่อให้ระบบอัปเดตได้ลื่นไหล:  
    • 24H2: SSU KB5063666 (build 26100.4651)  
    • 23H2/22H2: SSU KB5063707 (build 22631.5619)

    ไม่มี Known issues ที่ประกาศในตอนนี้ — คาดว่าเสถียรมากขึ้นจากรอบก่อน

    https://www.neowin.net/news/windows-11-kb5062553-kb5062552-july-2025-patch-tuesday-out/
    Microsoft ปล่อยแพตช์ประจำเดือนกรกฎาคม 2025 สำหรับ Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 (KB5062553), 23H2 และ 22H2 (KB5062552) → แก้ปัญหาความปลอดภัยเป็นหลัก แต่อัปเดตนี้ยังรวมการแก้บั๊กจากเดือนก่อนที่หลายคนบ่นกันไว้แล้วด้วย! → เช่น ปัญหาเวลาเล่นเกม “เต็มจอ” แล้วกด ALT+Tab ไปโปรแกรมอื่น แล้วกลับมาเกมจะหลุดตำแหน่งเมาส์ → หรือเสียงพวก Volume Change, Sign-in, Notification ไม่ดัง → แถมยังมีบั๊กเล็ก ๆ ในระบบ Firewall ที่ Event Viewer แจ้ง “Config Read Failed” อยู่เป็นระยะ ก็ถูกแก้แล้วเหมือนกัน ที่พิเศษคือ Microsoft ยังอัปเดต ส่วน AI เบื้องหลัง เช่น Image Search, Content Extraction, Semantic Analysis → นี่คือส่วนที่ทำให้ Copilot ใช้ข้อมูลภาพและข้อความได้ฉลาดขึ้น → ถึงจะไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ประสิทธิภาพโดยรวมจะดีขึ้น (เหมือนเปลี่ยนสมองให้ Windows แบบเงียบ ๆ เลยล่ะ) ☸️ อัปเดตสำคัญจาก Patch Tuesday กรกฎาคม 2025: ✅ อัปเดต KB5062553 สำหรับ Windows 11 24H2 → Build 26100.4652   • แก้บั๊กเกม full screen สลับ ALT+Tab แล้วเมาส์หลุดตำแหน่ง   • แก้บั๊กเสียง Notification และเสียงระบบ   • แก้บั๊ก Event 2042 “Config Read Failed” ของ Firewall ใน Event Viewer   • อัปเดตส่วน AI:   – Image Search: v1.2506.707.0   – Content Extraction: v1.2506.707.0   – Semantic Analysis: v1.2506.707.0 ✅ อัปเดต KB5062552 สำหรับ Windows 11 23H2/22H2 → Build 22631.5624 / 22621.5624   • แก้ปัญหาจอดำตอนเสียบ/ถอดจอ (เฉพาะผู้ใช้บางรายจาก KB5060826)   • แก้ไขและปรับปรุงคุณภาพโดยรวม   • ใช้ EKB KB5027397 หากต้องการอัปเดตจาก 22H2 → 23H2 ✅ อัปเดต Servicing Stack (SSU) เพื่อให้ระบบอัปเดตได้ลื่นไหล:   • 24H2: SSU KB5063666 (build 26100.4651)   • 23H2/22H2: SSU KB5063707 (build 22631.5619) ✅ ไม่มี Known issues ที่ประกาศในตอนนี้ — คาดว่าเสถียรมากขึ้นจากรอบก่อน https://www.neowin.net/news/windows-11-kb5062553-kb5062552-july-2025-patch-tuesday-out/
    WWW.NEOWIN.NET
    Windows 11 (KB5062553, KB5062552) July 2025 Patch Tuesday out
    Microsoft has released Patch Tuesday updates for Windows 11 (KB5062553, KB5062552) for July 2025. Here's what's included.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าใครใช้ Parrot OS อยู่ — หรืออยากเปลี่ยนจาก Kali มาเล่นของสดใหม่ — นี่คือรุ่นที่น่าโดนมากๆ เพราะอัปเดต Kernel เป็น Linux 6.12 LTS ซึ่งหมายถึงรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ ๆ และมี patch ความปลอดภัยล่าสุด → พร้อมทั้งอัปเดตเครื่องมือแฮ็กและวิเคราะห์ระบบเพียบ เช่น → Metasploit 6.4.71, PowerShell Empire 6.1.2, และ Caido 0.48.1

    Firefox ESR ก็ถูกปรับแต่งเรื่องความเป็นส่วนตัวแบบ “ฮาร์ดคอร์” โดยทีม Parrot เอง → ถึงแม้ Firefox จะเปลี่ยนวิธีโหลด config ก็ตาม ทีม Parrot ก็ใส่สคริปต์ให้ “ดึงกลับมา” ให้เสร็จหลังอัปเดต → เรียกว่ายังใช้งานแบบไม่มี telemetry ได้สบายใจ

    ฝั่ง .NET ก็น่าสนใจ — เพราะตอนนี้สามารถติดตั้ง PowerShell 7.5 และ .NET SDKs ได้ตรงจาก repo ของ Parrot เลย → เหมาะมากกับสายที่ทำงาน penetration แบบ DevOps, ทำ payload หรือสร้าง tool เอง

    นอกจากนั้นยังมีการเพิ่ม Launcher ใหม่ในเมนู และใส่แพลตฟอร์ม chat ที่ชื่อ Rocket เข้าไปใน repo อย่างเป็นทางการ → ใครอยากลอง แค่

    sudo apt install rocket

    ก็ใช้ได้แล้ว

    https://www.neowin.net/news/parrot-os-64-ships-with-linux-612-lts-new-tools-and-updated-system-packages/
    ถ้าใครใช้ Parrot OS อยู่ — หรืออยากเปลี่ยนจาก Kali มาเล่นของสดใหม่ — นี่คือรุ่นที่น่าโดนมากๆ เพราะอัปเดต Kernel เป็น Linux 6.12 LTS ซึ่งหมายถึงรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ ๆ และมี patch ความปลอดภัยล่าสุด → พร้อมทั้งอัปเดตเครื่องมือแฮ็กและวิเคราะห์ระบบเพียบ เช่น → Metasploit 6.4.71, PowerShell Empire 6.1.2, และ Caido 0.48.1 Firefox ESR ก็ถูกปรับแต่งเรื่องความเป็นส่วนตัวแบบ “ฮาร์ดคอร์” โดยทีม Parrot เอง → ถึงแม้ Firefox จะเปลี่ยนวิธีโหลด config ก็ตาม ทีม Parrot ก็ใส่สคริปต์ให้ “ดึงกลับมา” ให้เสร็จหลังอัปเดต → เรียกว่ายังใช้งานแบบไม่มี telemetry ได้สบายใจ ฝั่ง .NET ก็น่าสนใจ — เพราะตอนนี้สามารถติดตั้ง PowerShell 7.5 และ .NET SDKs ได้ตรงจาก repo ของ Parrot เลย → เหมาะมากกับสายที่ทำงาน penetration แบบ DevOps, ทำ payload หรือสร้าง tool เอง นอกจากนั้นยังมีการเพิ่ม Launcher ใหม่ในเมนู และใส่แพลตฟอร์ม chat ที่ชื่อ Rocket เข้าไปใน repo อย่างเป็นทางการ → ใครอยากลอง แค่ sudo apt install rocket ก็ใช้ได้แล้ว https://www.neowin.net/news/parrot-os-64-ships-with-linux-612-lts-new-tools-and-updated-system-packages/
    WWW.NEOWIN.NET
    Parrot OS 6.4 ships with Linux 6.12 LTS, new tools and updated system packages
    Parrot OS has received what may be its final 6.x series update, version 6.4, featuring the latest Linux LTS release and more.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลองนึกภาพว่าบริษัทของเราวางระบบบางส่วนไว้ที่ AWS เพราะคุ้นมือ บางแอปก็ใช้อยู่บน Azure หรือ Google Cloud เพราะลูกค้าหรือแผนกอื่นต้องการ → ถ้าเราไม่มีระบบมองภาพรวมที่ดีพอ...ความเสี่ยงก็ตามมาแบบเงียบ ๆ เลยครับ เช่น

    - เห็น Logs ฝั่งนึงชัด แต่อีกฝั่งกลับไม่รู้ว่าเกิดอะไร
    - Security policy ไม่เสมอกัน → สุดท้ายเกิด “ช่องโหว่จุดเดียวทำลายทั้งองค์กร” ได้
    - แอดมินที่เก่ง AWS อาจทำอะไรไม่ถูกใน Azure (เพราะ CLI, API, IAM ต่างกันหมด)
    - มี API ฝังไว้หลายตัวแต่ไม่มีใครจำได้ว่าเคยให้สิทธิ์อะไรไป

    บทความนี้สรุป 5 ปัจจัยหลักที่ CISO (Chief Information Security Officer) ต้องรับมือให้ได้ พร้อมเสนอแนวทางคร่าว ๆ ที่นำไปปรับใช้ได้เลยครับ

    สรุป 5 ความท้าทายหลักในการจัดการ Multicloud Security:
    1️⃣. ขาดมุมมองภาพรวม (Visibility) ที่ครอบคลุมทุกคลาวด์  
    • องค์กรมักเริ่มจากคลาวด์เดียวที่คุ้นเคย → มี Visibility ดี  
    • แต่พอขยายไปหลายผู้ให้บริการ → เริ่มมองไม่เห็นภาพรวม
    • ข้อมูลกระจัดกระจายตาม Tool ของแต่ละคลาวด์  
    • แนะนำ: ใช้ Cloud-Native Application Protection Platform (CNAPP) เพื่อรวมภาพรวมการเฝ้าระวัง

    2️⃣. จะใช้ Security Program แบบรวมศูนย์หรือแยกตามคลาวด์ดี?  
    • แบบรวมศูนย์: สะดวกแต่อาจไม่ได้ใช้ความสามารถเฉพาะของคลาวด์นั้น ๆ  
    • แบบแยกตามคลาวด์: ได้ประสิทธิภาพแต่ต้องจัดการหลายทีม หลายกระบวนการ  
    • แนะนำ: เลือกกลยุทธ์ตาม tradeoff ที่เหมาะกับโครงสร้างคน + ความเสี่ยงขององค์กร

    3️⃣. ขาดทักษะหลากหลายให้ครอบคลุมทุกคลาวด์  
    • ทีมที่เก่ง AWS อาจไม่คุ้น Azure/GCP  
    • Logs, API, IAM ในแต่ละคลาวด์มีโครงสร้างต่างกัน  
    • แนะนำ: ลงทุนอบรมทีมให้เชี่ยวชาญหลากหลาย หรือใช้ทีมเฉพาะทางแยกตามคลาวด์

    4️⃣. การตั้งค่าผิดพลาด (Misconfigurations)  
    • คลาวด์แต่ละรายมี API, ระบบ, ชื่อเรียก และ Policy ไม่เหมือนกัน  
    • บ่อยครั้งเกิดจากการเข้าใจผิด หรือใช้ default setting  
    • เคยมีรายงานว่า 23% ของ Incident บนคลาวด์เกิดจาก “misconfiguration”  
    • แนะนำ: ใช้เครื่องมือ automation ที่ตรวจสอบ config ได้แบบ cross-cloud เช่น CSPM

    5️⃣. การจัดการ “ตัวตน” และสิทธิ์เข้าถึง (Identity & Access Management – IAM)  
    • IAM บนแต่ละคลาวด์ไม่เหมือนกัน → สร้าง Policy รวมยาก  
    • ต้องดูแลทั้ง User, Role, Token, API, Service Account  
    • แนะนำ: สร้างระบบ IAM แบบรวมศูนย์ พร้อมกำหนดผู้รับผิดชอบชัดเจน → เน้น privileged access ก่อน

    https://www.csoonline.com/article/4009247/5-multicloud-security-challenges-and-how-to-address-them.html
    ลองนึกภาพว่าบริษัทของเราวางระบบบางส่วนไว้ที่ AWS เพราะคุ้นมือ บางแอปก็ใช้อยู่บน Azure หรือ Google Cloud เพราะลูกค้าหรือแผนกอื่นต้องการ → ถ้าเราไม่มีระบบมองภาพรวมที่ดีพอ...ความเสี่ยงก็ตามมาแบบเงียบ ๆ เลยครับ เช่น - เห็น Logs ฝั่งนึงชัด แต่อีกฝั่งกลับไม่รู้ว่าเกิดอะไร - Security policy ไม่เสมอกัน → สุดท้ายเกิด “ช่องโหว่จุดเดียวทำลายทั้งองค์กร” ได้ - แอดมินที่เก่ง AWS อาจทำอะไรไม่ถูกใน Azure (เพราะ CLI, API, IAM ต่างกันหมด) - มี API ฝังไว้หลายตัวแต่ไม่มีใครจำได้ว่าเคยให้สิทธิ์อะไรไป บทความนี้สรุป 5 ปัจจัยหลักที่ CISO (Chief Information Security Officer) ต้องรับมือให้ได้ พร้อมเสนอแนวทางคร่าว ๆ ที่นำไปปรับใช้ได้เลยครับ ✅ สรุป 5 ความท้าทายหลักในการจัดการ Multicloud Security: 1️⃣. ขาดมุมมองภาพรวม (Visibility) ที่ครอบคลุมทุกคลาวด์   • องค์กรมักเริ่มจากคลาวด์เดียวที่คุ้นเคย → มี Visibility ดี   • แต่พอขยายไปหลายผู้ให้บริการ → เริ่มมองไม่เห็นภาพรวม • ข้อมูลกระจัดกระจายตาม Tool ของแต่ละคลาวด์   • แนะนำ: ใช้ Cloud-Native Application Protection Platform (CNAPP) เพื่อรวมภาพรวมการเฝ้าระวัง 2️⃣. จะใช้ Security Program แบบรวมศูนย์หรือแยกตามคลาวด์ดี?   • แบบรวมศูนย์: สะดวกแต่อาจไม่ได้ใช้ความสามารถเฉพาะของคลาวด์นั้น ๆ   • แบบแยกตามคลาวด์: ได้ประสิทธิภาพแต่ต้องจัดการหลายทีม หลายกระบวนการ   • แนะนำ: เลือกกลยุทธ์ตาม tradeoff ที่เหมาะกับโครงสร้างคน + ความเสี่ยงขององค์กร 3️⃣. ขาดทักษะหลากหลายให้ครอบคลุมทุกคลาวด์   • ทีมที่เก่ง AWS อาจไม่คุ้น Azure/GCP   • Logs, API, IAM ในแต่ละคลาวด์มีโครงสร้างต่างกัน   • แนะนำ: ลงทุนอบรมทีมให้เชี่ยวชาญหลากหลาย หรือใช้ทีมเฉพาะทางแยกตามคลาวด์ 4️⃣. การตั้งค่าผิดพลาด (Misconfigurations)   • คลาวด์แต่ละรายมี API, ระบบ, ชื่อเรียก และ Policy ไม่เหมือนกัน   • บ่อยครั้งเกิดจากการเข้าใจผิด หรือใช้ default setting   • เคยมีรายงานว่า 23% ของ Incident บนคลาวด์เกิดจาก “misconfiguration”   • แนะนำ: ใช้เครื่องมือ automation ที่ตรวจสอบ config ได้แบบ cross-cloud เช่น CSPM 5️⃣. การจัดการ “ตัวตน” และสิทธิ์เข้าถึง (Identity & Access Management – IAM)   • IAM บนแต่ละคลาวด์ไม่เหมือนกัน → สร้าง Policy รวมยาก   • ต้องดูแลทั้ง User, Role, Token, API, Service Account   • แนะนำ: สร้างระบบ IAM แบบรวมศูนย์ พร้อมกำหนดผู้รับผิดชอบชัดเจน → เน้น privileged access ก่อน https://www.csoonline.com/article/4009247/5-multicloud-security-challenges-and-how-to-address-them.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    5 multicloud security challenges — and how to address them
    From inadequate visibility to access management complexity, multicloud environments take baseline cloud security issues to another level.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่วงเดือนมิถุนายน 2025 หลายคนที่ใช้ OneDrive อาจงงว่า “ทำไมค้นหาไฟล์แล้วขึ้นว่าง ทั้งที่รู้แน่ว่าไฟล์มีอยู่?” → ไม่ว่าจะอยู่บน Windows, Mac, Android หรือเว็บ OneDrive — ปัญหาเกิดกับทุกแพลตฟอร์ม → Microsoft บอกว่า “ผลลัพธ์การค้นหาอาจแสดงว่าง หรือไม่แสดงไฟล์ที่มีอยู่จริง”

    และที่แย่กว่าคือ…ตอนนั้นยัง ไม่มีวิธี workaround ชั่วคราว ให้เลย → ถ้าคุณต้องรีบหาไฟล์ ก็มีโอกาสต้องไถหาเอง

    ผ่านไปประมาณสัปดาห์ครึ่ง Microsoft จึงออกมายืนยันว่า "ตอนนี้แก้แล้ว" แต่ก็ยอมรับว่าอาจยังมีผู้ใช้บางส่วนที่ยังเจอปัญหานี้อยู่ → จึงแนะนำวิธีแบบ classic support: “ให้รีเฟรชเบราว์เซอร์ หรือปิด–เปิดอุปกรณ์ใหม่ (power cycle)”

    ฟังดูอาจง่ายไปหน่อย แต่เบื้องหลังคือการบู๊ตระบบใหม่ → เคลียร์ memory leak, โหลด configuration ใหม่ → ซึ่งช่วยเคลียร์ปัญหาชั่วคราวที่ฝังอยู่ใน session ได้จริงครับ

    ที่น่าสังเกตคือ…Microsoft ยังไม่ได้ออกหมายเลขเวอร์ชัน OneDrive ที่แก้แล้ว อย่างเป็นทางการบนหน้า Release Notes ด้วย

    OneDrive เคยพบปัญหา Search ไม่สามารถค้นหาไฟล์ที่มีอยู่จริงได้  
    • เกิดกับทุกแพลตฟอร์ม: Windows, macOS, Android, Web  
    • ค้นหาแล้วเจอผลลัพธ์ว่าง หรือไม่เจอไฟล์เลย

    Microsoft แก้ไขปัญหาแล้วเมื่อประมาณต้นกรกฎาคม 2025  
    • แต่ระบุว่าบางคนอาจยังเจออาการหลงเหลือ

    Microsoft แนะนำวิธีแก้เบื้องต้น:  
    • บนเว็บ: ให้รีเฟรชเบราว์เซอร์  
    • บนอุปกรณ์มือถือ: ปิด–เปิดเครื่องใหม่ (restart)  
    • เป็นการ power cycle เพื่อเคลียร์ค่าค้าง/โหลด system ใหม่

    ยังไม่มีข้อมูลหมายเลขเวอร์ชัน OneDrive ที่แก้ปัญหาอย่างชัดเจน  
    • หน้า Release Notes ล่าสุดอยู่แค่วันที่ 23 มิ.ย. 2025

    https://www.neowin.net/news/microsoft-tells-windows-mac-android-users-to-turn-it-off--on-if-onedrive-search-breaks/
    ช่วงเดือนมิถุนายน 2025 หลายคนที่ใช้ OneDrive อาจงงว่า “ทำไมค้นหาไฟล์แล้วขึ้นว่าง ทั้งที่รู้แน่ว่าไฟล์มีอยู่?” → ไม่ว่าจะอยู่บน Windows, Mac, Android หรือเว็บ OneDrive — ปัญหาเกิดกับทุกแพลตฟอร์ม → Microsoft บอกว่า “ผลลัพธ์การค้นหาอาจแสดงว่าง หรือไม่แสดงไฟล์ที่มีอยู่จริง” และที่แย่กว่าคือ…ตอนนั้นยัง ไม่มีวิธี workaround ชั่วคราว ให้เลย → ถ้าคุณต้องรีบหาไฟล์ ก็มีโอกาสต้องไถหาเอง ผ่านไปประมาณสัปดาห์ครึ่ง Microsoft จึงออกมายืนยันว่า "ตอนนี้แก้แล้ว" แต่ก็ยอมรับว่าอาจยังมีผู้ใช้บางส่วนที่ยังเจอปัญหานี้อยู่ → จึงแนะนำวิธีแบบ classic support: “ให้รีเฟรชเบราว์เซอร์ หรือปิด–เปิดอุปกรณ์ใหม่ (power cycle)” ฟังดูอาจง่ายไปหน่อย แต่เบื้องหลังคือการบู๊ตระบบใหม่ → เคลียร์ memory leak, โหลด configuration ใหม่ → ซึ่งช่วยเคลียร์ปัญหาชั่วคราวที่ฝังอยู่ใน session ได้จริงครับ ที่น่าสังเกตคือ…Microsoft ยังไม่ได้ออกหมายเลขเวอร์ชัน OneDrive ที่แก้แล้ว อย่างเป็นทางการบนหน้า Release Notes ด้วย ✅ OneDrive เคยพบปัญหา Search ไม่สามารถค้นหาไฟล์ที่มีอยู่จริงได้   • เกิดกับทุกแพลตฟอร์ม: Windows, macOS, Android, Web   • ค้นหาแล้วเจอผลลัพธ์ว่าง หรือไม่เจอไฟล์เลย ✅ Microsoft แก้ไขปัญหาแล้วเมื่อประมาณต้นกรกฎาคม 2025   • แต่ระบุว่าบางคนอาจยังเจออาการหลงเหลือ ✅ Microsoft แนะนำวิธีแก้เบื้องต้น:   • บนเว็บ: ให้รีเฟรชเบราว์เซอร์   • บนอุปกรณ์มือถือ: ปิด–เปิดเครื่องใหม่ (restart)   • เป็นการ power cycle เพื่อเคลียร์ค่าค้าง/โหลด system ใหม่ ✅ ยังไม่มีข้อมูลหมายเลขเวอร์ชัน OneDrive ที่แก้ปัญหาอย่างชัดเจน   • หน้า Release Notes ล่าสุดอยู่แค่วันที่ 23 มิ.ย. 2025 https://www.neowin.net/news/microsoft-tells-windows-mac-android-users-to-turn-it-off--on-if-onedrive-search-breaks/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft tells Windows, Mac, Android users to turn it "off & on" if OneDrive Search breaks
    Microsoft last month confirmed that OneDrive Search was not working properly for many users. Today, the company has shared a workaround if the function still does not work.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 151 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมัยก่อนเวลาเราพูดถึงอินเทอร์เน็ตในหมู่เกาะห่างไกล เช่น ตูวาลู (Tuvalu) — ประเทศเล็ก ๆ กลางมหาสมุทรแปซิฟิก — ก็คงคิดถึงเน็ตช้าหรือไม่มีอินเทอร์เน็ตเลย แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะ Starlink เข้ามาให้บริการในประเทศนี้ และเปิดให้ใช้งานบน IPv6 “เต็มรูปแบบ”

    แค่ไม่กี่เดือนหลัง Starlink เข้ามา ส่วนแบ่ง IPv6 ของตูวาลูพุ่งจาก 0% เป็น 59% — กลายเป็นหนึ่งใน 21 ประเทศที่ “ใช้ IPv6 มากกว่า 50% ของการเชื่อมต่อทั้งหมด” ทันที!

    ประเทศอื่นที่เพิ่งเข้าสู่ “Majority IPv6 Club” ในปีที่ผ่านมา ได้แก่ บราซิล, เม็กซิโก, กัวเตมาลา, ศรีลังกา, ฮังการี, ญี่ปุ่น, เปอร์โตริโก ฯลฯ

    จำนวนประเทศที่มีการใช้งาน IPv6 เกิน 50% เพิ่มจาก 13 → 21 ประเทศในรอบ 1 ปี  
    • ข้อมูลจาก Akamai, APNIC, Google และ Meta

    ประเทศที่ใช้งาน IPv6 มากที่สุดในโลกขณะนี้ ได้แก่:  
    • อินเดีย (73%)  
    • ฝรั่งเศส (73%)

    Starlink ของ SpaceX เป็นผู้เล่นหลักที่เร่งการเปลี่ยนผ่านไปใช้ IPv6  
    • เครือข่ายของ Starlink “ออกแบบให้รองรับ IPv6 ตั้งแต่ต้น”  
    • ช่วยให้ประเทศขนาดเล็กหรือห่างไกล “ข้ามขั้น” โครงสร้างเก่าไปใช้ระบบใหม่ทันที

    IPv6 แก้ข้อจำกัดของ IPv4 ที่มีแค่ 4.3 พันล้านหมายเลข IP  
    • IPv6 มีหมายเลขได้ถึง 340 undecillion (340 ล้านล้านล้านล้าน)  
    • เพียงพอต่อยุคอุปกรณ์ IoT, รถยนต์อัจฉริยะ, บ้านอัจฉริยะ

    ข้อดีอื่นของ IPv6 เช่น:  
    • ไม่ต้อง NAT → เชื่อมอุปกรณ์ได้แบบ end-to-end  
    • ปรับ routing ให้เร็วขึ้น  • รองรับการเข้ารหัส IPsec เป็นมาตรฐาน

    ประเทศอื่นที่กำลังเข้าใกล้ 50% เช่น ไทย, อังกฤษ และเอสโตเนีย

    บางประเทศที่เคยใช้ IPv6 เกิน 50% มีอัตราการลดลงชั่วคราว  
    • เช่น ญี่ปุ่นและเปอร์โตริโก เคยหลุดจากกลุ่มนี้ก่อนจะกลับเข้ามาใหม่  
    • อาจเกิดจากการขยายเครือข่ายเดิมที่ยังใช้ IPv4 อยู่

    องค์กรหรือผู้ให้บริการที่ยังไม่อัปเกรดระบบ → เสี่ยงถูกตัดขาดจากเครือข่ายที่ใช้ IPv6-only  
    • โดยเฉพาะระบบ IoT, cloud หรือ edge computing

    การใช้ IPv6 ยังต้องอาศัยการอัปเดต DNS, firewall, VPN และระบบความปลอดภัยให้รองรับ format ใหม่
    • ไม่ใช่แค่เปลี่ยน router อย่างเดียว

    การก้าวเข้าสู่ยุค IPv6 ไม่ได้แปลว่าปลอดภัยเสมอไป  
    • เพราะการเข้ารหัสและ config ก็ต้องทำอย่างถูกต้อง มิฉะนั้นอาจเกิดช่องโหว่ใหม่ได้

    https://www.techspot.com/news/108490-ipv6-reaches-majority-use-21-countries-starlink-other.html
    สมัยก่อนเวลาเราพูดถึงอินเทอร์เน็ตในหมู่เกาะห่างไกล เช่น ตูวาลู (Tuvalu) — ประเทศเล็ก ๆ กลางมหาสมุทรแปซิฟิก — ก็คงคิดถึงเน็ตช้าหรือไม่มีอินเทอร์เน็ตเลย แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะ Starlink เข้ามาให้บริการในประเทศนี้ และเปิดให้ใช้งานบน IPv6 “เต็มรูปแบบ” แค่ไม่กี่เดือนหลัง Starlink เข้ามา ส่วนแบ่ง IPv6 ของตูวาลูพุ่งจาก 0% เป็น 59% — กลายเป็นหนึ่งใน 21 ประเทศที่ “ใช้ IPv6 มากกว่า 50% ของการเชื่อมต่อทั้งหมด” ทันที! ประเทศอื่นที่เพิ่งเข้าสู่ “Majority IPv6 Club” ในปีที่ผ่านมา ได้แก่ บราซิล, เม็กซิโก, กัวเตมาลา, ศรีลังกา, ฮังการี, ญี่ปุ่น, เปอร์โตริโก ฯลฯ ✅ จำนวนประเทศที่มีการใช้งาน IPv6 เกิน 50% เพิ่มจาก 13 → 21 ประเทศในรอบ 1 ปี   • ข้อมูลจาก Akamai, APNIC, Google และ Meta ✅ ประเทศที่ใช้งาน IPv6 มากที่สุดในโลกขณะนี้ ได้แก่:   • อินเดีย (73%)   • ฝรั่งเศส (73%) ✅ Starlink ของ SpaceX เป็นผู้เล่นหลักที่เร่งการเปลี่ยนผ่านไปใช้ IPv6   • เครือข่ายของ Starlink “ออกแบบให้รองรับ IPv6 ตั้งแต่ต้น”   • ช่วยให้ประเทศขนาดเล็กหรือห่างไกล “ข้ามขั้น” โครงสร้างเก่าไปใช้ระบบใหม่ทันที ✅ IPv6 แก้ข้อจำกัดของ IPv4 ที่มีแค่ 4.3 พันล้านหมายเลข IP   • IPv6 มีหมายเลขได้ถึง 340 undecillion (340 ล้านล้านล้านล้าน)   • เพียงพอต่อยุคอุปกรณ์ IoT, รถยนต์อัจฉริยะ, บ้านอัจฉริยะ ✅ ข้อดีอื่นของ IPv6 เช่น:   • ไม่ต้อง NAT → เชื่อมอุปกรณ์ได้แบบ end-to-end   • ปรับ routing ให้เร็วขึ้น  • รองรับการเข้ารหัส IPsec เป็นมาตรฐาน ✅ ประเทศอื่นที่กำลังเข้าใกล้ 50% เช่น ไทย, อังกฤษ และเอสโตเนีย ‼️ บางประเทศที่เคยใช้ IPv6 เกิน 50% มีอัตราการลดลงชั่วคราว   • เช่น ญี่ปุ่นและเปอร์โตริโก เคยหลุดจากกลุ่มนี้ก่อนจะกลับเข้ามาใหม่   • อาจเกิดจากการขยายเครือข่ายเดิมที่ยังใช้ IPv4 อยู่ ‼️ องค์กรหรือผู้ให้บริการที่ยังไม่อัปเกรดระบบ → เสี่ยงถูกตัดขาดจากเครือข่ายที่ใช้ IPv6-only   • โดยเฉพาะระบบ IoT, cloud หรือ edge computing ‼️ การใช้ IPv6 ยังต้องอาศัยการอัปเดต DNS, firewall, VPN และระบบความปลอดภัยให้รองรับ format ใหม่ • ไม่ใช่แค่เปลี่ยน router อย่างเดียว ‼️ การก้าวเข้าสู่ยุค IPv6 ไม่ได้แปลว่าปลอดภัยเสมอไป   • เพราะการเข้ารหัสและ config ก็ต้องทำอย่างถูกต้อง มิฉะนั้นอาจเกิดช่องโหว่ใหม่ได้ https://www.techspot.com/news/108490-ipv6-reaches-majority-use-21-countries-starlink-other.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    IPv6 reaches majority use in 21 countries as Starlink and other providers modernize global connectivity
    The most dramatic transformation has occurred in Tuvalu, a Pacific island nation with a population under 10,000. Until early 2025, Tuvalu had virtually no IPv6 presence. That...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Their” vs. “There” vs. “They’re”: Do You Know The Difference?

    The trio of their, there, and they’re can flummox writers of all levels. It’s confusing; they are homophones, meaning they have the same pronunciation (sound) but differ in meaning and derivation (origin).

    Even though they sound the same, they aren’t spelled the same … cue the noticeable errors! Let’s explore the correct usages of the three.

    How do you use their, there, and they’re?

    These three words serve many functions.

    When to use their

    Their is the possessive case of the pronoun they, meaning belonging to them. As in:

    • They left their cell phones at home.

    Their is generally plural, but it is increasingly accepted in place of the singular his or her after words such as someone:

    • Someone left their book on the table.

    When to use there

    There is an adverb that means in or at that place. In this sense, there is essentially the opposite of here. This is what’s known as an adverb of place, which answers the question where an action is taking place. Many common adverbs end in -ly, like quickly, usually, and completely, but not all adverbs do.

    • She is there now.

    There is also used as a pronoun introducing the subject of a sentence or clause:

    • There is still hope.

    When to use they’re

    They’re is a contraction of the words they and are.

    •They’re mastering the differences between three homophones!

    Take a hint from the spelling!

    If you find yourself coming up blank when trying to determine which one to use, take a hint from the spelling of each:

    • There has the word heir in it, which can act as a reminder that the term indicates possession.
    • There has the word here in it. There is the choice when talking about places, whether figurative or literal.
    • They’re has an apostrophe, which means it’s the product of two words: they are. If you can substitute they are into your sentence and retain the meaning, then they’re is the correct homophone to use.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    “Their” vs. “There” vs. “They’re”: Do You Know The Difference? The trio of their, there, and they’re can flummox writers of all levels. It’s confusing; they are homophones, meaning they have the same pronunciation (sound) but differ in meaning and derivation (origin). Even though they sound the same, they aren’t spelled the same … cue the noticeable errors! Let’s explore the correct usages of the three. How do you use their, there, and they’re? These three words serve many functions. When to use their Their is the possessive case of the pronoun they, meaning belonging to them. As in: • They left their cell phones at home. Their is generally plural, but it is increasingly accepted in place of the singular his or her after words such as someone: • Someone left their book on the table. When to use there There is an adverb that means in or at that place. In this sense, there is essentially the opposite of here. This is what’s known as an adverb of place, which answers the question where an action is taking place. Many common adverbs end in -ly, like quickly, usually, and completely, but not all adverbs do. • She is there now. There is also used as a pronoun introducing the subject of a sentence or clause: • There is still hope. When to use they’re They’re is a contraction of the words they and are. •They’re mastering the differences between three homophones! Take a hint from the spelling! If you find yourself coming up blank when trying to determine which one to use, take a hint from the spelling of each: • There has the word heir in it, which can act as a reminder that the term indicates possession. • There has the word here in it. There is the choice when talking about places, whether figurative or literal. • They’re has an apostrophe, which means it’s the product of two words: they are. If you can substitute they are into your sentence and retain the meaning, then they’re is the correct homophone to use. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 256 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าคุณใช้ VPN เพื่อทำงานจากที่บ้านหรือเข้าระบบภายในบริษัท มีโอกาสสูงที่คุณจะเคยใช้หรือเคยได้ยินชื่อ NetExtender ของ SonicWall — แต่ตอนนี้แฮกเกอร์กำลังปลอมตัวแอปนี้ แล้วแจกผ่าน “เว็บปลอมที่หน้าตาเหมือนของจริงเป๊ะ”

    แฮกเกอร์ใช้วิธี SEO poisoning และโฆษณา (malvertising) เพื่อดันเว็บปลอมให้ขึ้นอันดับบน Google จนคนทั่วไปเผลอกดเข้าไป — และเมื่อคุณดาวน์โหลดแอป VPN ปลอมนี้มา ก็เท่ากับมอบ ชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน, โดเมน, และค่าการตั้งค่าภายในระบบองค์กร ให้แฮกเกอร์ไปครบชุดเลย

    ตัวแอปนี้ยัง “ลงลายเซ็นดิจิทัล” จากบริษัทปลอมชื่อ “CITYLIGHT MEDIA PRIVATE LIMITED” เพื่อหลอกระบบความปลอดภัยเบื้องต้นอีกด้วย

    ข่าวดีคือ SonicWall กับ Microsoft สามารถตรวจจับมัลแวร์ตัวนี้ได้แล้ว แต่ถ้าคุณหรือทีมไอทีใช้อุปกรณ์ป้องกันจากค่ายอื่น อาจยังไม่มีการอัปเดต signature นั้น — ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือ “อย่าดาวน์โหลดแอป VPN จากที่อื่นนอกจากเว็บทางการ!”

    แฮกเกอร์ปลอมแอป SonicWall NetExtender แล้วแจกผ่านเว็บเลียนแบบของจริง  
    • เว็บปลอมถูกดันขึ้นอันดับบน Google ด้วยเทคนิค SEO poisoning และ malvertising  
    • ผู้ใช้ทั่วไปมีโอกาสหลงเชื่อสูง

    ไฟล์ติดมัลแวร์มีการเซ็นดิจิทัลหลอก โดยบริษัทปลอม “CITYLIGHT MEDIA PRIVATE LIMITED”  
    • หลอกระบบความปลอดภัยพื้นฐาน เช่น antivirus หรือ firewall

    แอปที่ถูกดัดแปลงประกอบด้วย:  • NetExtender.exe: ดัดแปลงให้ขโมยชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน, โดเมน และ config  
    • NEService.exe: ถูกแก้ให้ข้ามการตรวจสอบ digital certificate

    ข้อมูลของผู้ใช้จะถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่แฮกเกอร์ควบคุมเมื่อกด “เชื่อมต่อ VPN”  
    • ทำให้แฮกเกอร์สามารถใช้รหัสเพื่อเข้าระบบองค์กรได้โดยตรง

    SonicWall และ Microsoft ออกคำเตือนและปรับ signature เพื่อจับมัลแวร์ตัวนี้แล้ว  
    • แต่ผลิตภัณฑ์จากแบรนด์อื่นอาจยังไม่สามารถตรวจจับได้

    SonicWall แนะนำให้ดาวน์โหลดแอป VPN แค่จากเว็บทางการเท่านั้น:  
    • sonicwall.com  
    • mysonicwall.com

    https://www.techradar.com/pro/security/sonicwall-warns-of-fake-vpn-apps-stealing-user-logins-and-putting-businesses-at-risk-heres-what-we-know
    ถ้าคุณใช้ VPN เพื่อทำงานจากที่บ้านหรือเข้าระบบภายในบริษัท มีโอกาสสูงที่คุณจะเคยใช้หรือเคยได้ยินชื่อ NetExtender ของ SonicWall — แต่ตอนนี้แฮกเกอร์กำลังปลอมตัวแอปนี้ แล้วแจกผ่าน “เว็บปลอมที่หน้าตาเหมือนของจริงเป๊ะ” แฮกเกอร์ใช้วิธี SEO poisoning และโฆษณา (malvertising) เพื่อดันเว็บปลอมให้ขึ้นอันดับบน Google จนคนทั่วไปเผลอกดเข้าไป — และเมื่อคุณดาวน์โหลดแอป VPN ปลอมนี้มา ก็เท่ากับมอบ ชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน, โดเมน, และค่าการตั้งค่าภายในระบบองค์กร ให้แฮกเกอร์ไปครบชุดเลย ตัวแอปนี้ยัง “ลงลายเซ็นดิจิทัล” จากบริษัทปลอมชื่อ “CITYLIGHT MEDIA PRIVATE LIMITED” เพื่อหลอกระบบความปลอดภัยเบื้องต้นอีกด้วย ข่าวดีคือ SonicWall กับ Microsoft สามารถตรวจจับมัลแวร์ตัวนี้ได้แล้ว แต่ถ้าคุณหรือทีมไอทีใช้อุปกรณ์ป้องกันจากค่ายอื่น อาจยังไม่มีการอัปเดต signature นั้น — ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือ “อย่าดาวน์โหลดแอป VPN จากที่อื่นนอกจากเว็บทางการ!” ✅ แฮกเกอร์ปลอมแอป SonicWall NetExtender แล้วแจกผ่านเว็บเลียนแบบของจริง   • เว็บปลอมถูกดันขึ้นอันดับบน Google ด้วยเทคนิค SEO poisoning และ malvertising   • ผู้ใช้ทั่วไปมีโอกาสหลงเชื่อสูง ✅ ไฟล์ติดมัลแวร์มีการเซ็นดิจิทัลหลอก โดยบริษัทปลอม “CITYLIGHT MEDIA PRIVATE LIMITED”   • หลอกระบบความปลอดภัยพื้นฐาน เช่น antivirus หรือ firewall ✅ แอปที่ถูกดัดแปลงประกอบด้วย:  • NetExtender.exe: ดัดแปลงให้ขโมยชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน, โดเมน และ config   • NEService.exe: ถูกแก้ให้ข้ามการตรวจสอบ digital certificate ✅ ข้อมูลของผู้ใช้จะถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่แฮกเกอร์ควบคุมเมื่อกด “เชื่อมต่อ VPN”   • ทำให้แฮกเกอร์สามารถใช้รหัสเพื่อเข้าระบบองค์กรได้โดยตรง ✅ SonicWall และ Microsoft ออกคำเตือนและปรับ signature เพื่อจับมัลแวร์ตัวนี้แล้ว   • แต่ผลิตภัณฑ์จากแบรนด์อื่นอาจยังไม่สามารถตรวจจับได้ ✅ SonicWall แนะนำให้ดาวน์โหลดแอป VPN แค่จากเว็บทางการเท่านั้น:   • sonicwall.com   • mysonicwall.com https://www.techradar.com/pro/security/sonicwall-warns-of-fake-vpn-apps-stealing-user-logins-and-putting-businesses-at-risk-heres-what-we-know
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 222 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลองนึกภาพดูว่าในศูนย์ข้อมูลหนึ่ง มีงานมากมายที่ IT ต้องจัดการทุกวัน เช่น แก้ไข network, config storage, เช็ก log, ปรับโหลด cloud — ทั้งหมดนี้ใช้เวลาและต้องการผู้เชี่ยวชาญหลายคน

    แต่ HPE กำลังจะเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นให้กลายเป็น “การสนทนากับ agent” — คุณแค่ถามในสไตล์แชต แล้ว AI จะประมวลผลข้อมูล, หา insight, เสนอทางแก้ หรือ บางทียังทำแทนให้เองเลยด้วยซ้ำ (แต่ยังให้คุณกดยืนยันก่อนเสมอ)

    หัวใจอยู่ที่ GreenLake Intelligence ซึ่งมี multi-agent system ที่ทำหน้าที่เฉพาะ เช่น จัดการ storage, monitor network, สร้าง dashboard, หรือคุยกับระบบ cloud อื่นได้ — และมี “GreenLake Copilot” เป็นอินเทอร์เฟซแบบแชต ช่วยให้คนไอทีใช้งานง่ายแบบไม่ต้องพิมพ์โค้ด

    นอกจากนี้ HPE ยังพัฒนา hardware และ software เสริมชุดใหญ่ เช่น AI Factory รุ่นใหม่ที่ใช้ Nvidia Blackwell GPU, ระบบ CloudOps, และหน่วยเก็บข้อมูล Alletra X10000 ที่รองรับการวิเคราะห์ context ระดับระบบ (ผ่านโปรโตคอล MCP)

    HPE เปิดตัว GreenLake Intelligence พร้อมแนวคิด AgenticOps  
    • ใช้ AI agents ทำงานซ้ำซ้อนในระบบ IT แทนคนได้ (แต่มี human-in-the-loop)  
    • ครอบคลุมงาน config, observability, storage, network และ more

    GreenLake Copilot คืออินเทอร์เฟซแบบแชตที่ให้คุยกับ AI ได้ทันที  
    • ใช้ภาษาธรรมดาถามเรื่อง log, ปัญหา network, ความเสถียรระบบ ฯลฯ  
    • ทำงานร่วมกับ LLM และ ML ที่เทรนจากข้อมูลองค์กร

    ตัวอย่างการใช้งานที่น่าสนใจ:  
    • Aruba Central ใช้ GreenLake Copilot ในการจัดการเครือข่ายแบบ real-time  
    • สร้าง visual dashboard จาก log อัตโนมัติ  
    • เสนอวิธีแก้ปัญหาแบบทีละขั้น หรือลงมือทำแทนได้

    HPE เสริมด้วย CloudOps (รวม OpsRamp, Morpheus, Zerto)  
    • ใช้ GenAI ช่วยจัดการ observability, virtualization, และความปลอดภัยของ data

    เปิดตัว AI Factory Gen 2 ที่ใช้ Nvidia Blackwell RTX Pro 6000  
    • รองรับการประมวลผล AI model สำหรับองค์กรโดยเฉพาะ  
    • ใช้งานร่วมกับระบบของคู่แข่งได้ (เช่น OpsRamp ใช้กับ AI Factory ทุกแบรนด์)

    ระบบเก็บข้อมูล Alletra X10000 รองรับ MCP (Media Context Protocol)  
    • เชื่อมโยงกับ AI/LLM ได้โดยตรง  
    • ส่งข้อมูลระหว่าง server, storage, observability tools ได้รวดเร็ว

    ลุงจะตกงานแล้วววววว !!!

    https://www.techspot.com/news/108437-hpe-greenlake-intelligence-brings-agentic-ai-operations.html
    ลองนึกภาพดูว่าในศูนย์ข้อมูลหนึ่ง มีงานมากมายที่ IT ต้องจัดการทุกวัน เช่น แก้ไข network, config storage, เช็ก log, ปรับโหลด cloud — ทั้งหมดนี้ใช้เวลาและต้องการผู้เชี่ยวชาญหลายคน แต่ HPE กำลังจะเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นให้กลายเป็น “การสนทนากับ agent” — คุณแค่ถามในสไตล์แชต แล้ว AI จะประมวลผลข้อมูล, หา insight, เสนอทางแก้ หรือ บางทียังทำแทนให้เองเลยด้วยซ้ำ (แต่ยังให้คุณกดยืนยันก่อนเสมอ) หัวใจอยู่ที่ GreenLake Intelligence ซึ่งมี multi-agent system ที่ทำหน้าที่เฉพาะ เช่น จัดการ storage, monitor network, สร้าง dashboard, หรือคุยกับระบบ cloud อื่นได้ — และมี “GreenLake Copilot” เป็นอินเทอร์เฟซแบบแชต ช่วยให้คนไอทีใช้งานง่ายแบบไม่ต้องพิมพ์โค้ด นอกจากนี้ HPE ยังพัฒนา hardware และ software เสริมชุดใหญ่ เช่น AI Factory รุ่นใหม่ที่ใช้ Nvidia Blackwell GPU, ระบบ CloudOps, และหน่วยเก็บข้อมูล Alletra X10000 ที่รองรับการวิเคราะห์ context ระดับระบบ (ผ่านโปรโตคอล MCP) ✅ HPE เปิดตัว GreenLake Intelligence พร้อมแนวคิด AgenticOps   • ใช้ AI agents ทำงานซ้ำซ้อนในระบบ IT แทนคนได้ (แต่มี human-in-the-loop)   • ครอบคลุมงาน config, observability, storage, network และ more ✅ GreenLake Copilot คืออินเทอร์เฟซแบบแชตที่ให้คุยกับ AI ได้ทันที   • ใช้ภาษาธรรมดาถามเรื่อง log, ปัญหา network, ความเสถียรระบบ ฯลฯ   • ทำงานร่วมกับ LLM และ ML ที่เทรนจากข้อมูลองค์กร ✅ ตัวอย่างการใช้งานที่น่าสนใจ:   • Aruba Central ใช้ GreenLake Copilot ในการจัดการเครือข่ายแบบ real-time   • สร้าง visual dashboard จาก log อัตโนมัติ   • เสนอวิธีแก้ปัญหาแบบทีละขั้น หรือลงมือทำแทนได้ ✅ HPE เสริมด้วย CloudOps (รวม OpsRamp, Morpheus, Zerto)   • ใช้ GenAI ช่วยจัดการ observability, virtualization, และความปลอดภัยของ data ✅ เปิดตัว AI Factory Gen 2 ที่ใช้ Nvidia Blackwell RTX Pro 6000   • รองรับการประมวลผล AI model สำหรับองค์กรโดยเฉพาะ   • ใช้งานร่วมกับระบบของคู่แข่งได้ (เช่น OpsRamp ใช้กับ AI Factory ทุกแบรนด์) ✅ ระบบเก็บข้อมูล Alletra X10000 รองรับ MCP (Media Context Protocol)   • เชื่อมโยงกับ AI/LLM ได้โดยตรง   • ส่งข้อมูลระหว่าง server, storage, observability tools ได้รวดเร็ว ลุงจะตกงานแล้วววววว !!! 😭😭 https://www.techspot.com/news/108437-hpe-greenlake-intelligence-brings-agentic-ai-operations.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    HPE's GreenLake intelligence brings agentic AI to IT operations
    In case you haven't heard, GenAI is old news. Now, it's all about agentic AI. At least, that certainly seems to be the theme based on the...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 259 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดเหตุผล ทำไมคนไทยต้องแสดงพลังขับไล่คนทรยศ ส่งเสียงให้ทหารไทย YOU WILL NEVER FIGHT ALONE
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #แสดงพลังคนไทย
    เปิดเหตุผล ทำไมคนไทยต้องแสดงพลังขับไล่คนทรยศ ส่งเสียงให้ทหารไทย YOU WILL NEVER FIGHT ALONE #คิงส์โพธิ์แดง #แสดงพลังคนไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 251 มุมมอง 18 0 รีวิว
  • นักวิจัยจาก Check Point เจอแคมเปญมัลแวร์ที่ซับซ้อนมาก ใช้ GitHub เป็นที่ปล่อย mod ปลอมของ Minecraft โดยแต่ละ repo เหมือนของจริง (เพราะมีชื่อ mod น่าสนใจ, ใช้ fake stars มากกว่า 70 บัญชีช่วยกดดาว) พอคนโหลดไปใช้…ไฟล์ JAR (ซึ่งเป็น Minecraft Forge mod) จะทำงานเฉพาะตอนเปิดเกม และเริ่มเช็กว่าเครื่องนั้นมีระบบป้องกันหรือเครื่องมือวิเคราะห์มั้ย ถ้ามี → จะปิดตัวเองเพื่อไม่ให้ถูกจับได้

    ถ้ารอดด่านนั้นได้ มันจะโหลด Java stealer ตัวที่ 2 เพื่อ ขโมย token ของ Minecraft, Discord, Telegram จากเครื่อง แล้วส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ควบคุมโดยแฮกเกอร์

    ขั้นสุดท้ายคือโหลด “44 CALIBER” — มัลแวร์ .NET ที่ดูดทุกอย่างแบบจัดเต็ม ทั้ง:
    - รหัสผ่าน browser
    - ข้อมูลกระเป๋าเงินคริปโต
    - VPN config
    - ไฟล์ในโฟลเดอร์ Desktop และ Documents
    - รูปหน้าจอ, clipboard, และข้อมูลเครื่อง

    เหยื่อทั้งหมดกว่า 1,500 รายในเวลา 3 เดือนเท่านั้น โดยแฮกเกอร์คาดว่าได้เงินจากขายบัญชีหรือเหรียญที่ขโมยไปแล้วไม่ต่ำกว่า $100,000

    https://www.techspot.com/news/108405-cybercriminals-use-fake-github-minecraft-mods-target-young.html
    นักวิจัยจาก Check Point เจอแคมเปญมัลแวร์ที่ซับซ้อนมาก ใช้ GitHub เป็นที่ปล่อย mod ปลอมของ Minecraft โดยแต่ละ repo เหมือนของจริง (เพราะมีชื่อ mod น่าสนใจ, ใช้ fake stars มากกว่า 70 บัญชีช่วยกดดาว) พอคนโหลดไปใช้…ไฟล์ JAR (ซึ่งเป็น Minecraft Forge mod) จะทำงานเฉพาะตอนเปิดเกม และเริ่มเช็กว่าเครื่องนั้นมีระบบป้องกันหรือเครื่องมือวิเคราะห์มั้ย ถ้ามี → จะปิดตัวเองเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ ถ้ารอดด่านนั้นได้ มันจะโหลด Java stealer ตัวที่ 2 เพื่อ ขโมย token ของ Minecraft, Discord, Telegram จากเครื่อง แล้วส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ควบคุมโดยแฮกเกอร์ ขั้นสุดท้ายคือโหลด “44 CALIBER” — มัลแวร์ .NET ที่ดูดทุกอย่างแบบจัดเต็ม ทั้ง: - รหัสผ่าน browser - ข้อมูลกระเป๋าเงินคริปโต - VPN config - ไฟล์ในโฟลเดอร์ Desktop และ Documents - รูปหน้าจอ, clipboard, และข้อมูลเครื่อง เหยื่อทั้งหมดกว่า 1,500 รายในเวลา 3 เดือนเท่านั้น โดยแฮกเกอร์คาดว่าได้เงินจากขายบัญชีหรือเหรียญที่ขโมยไปแล้วไม่ต่ำกว่า $100,000 https://www.techspot.com/news/108405-cybercriminals-use-fake-github-minecraft-mods-target-young.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Cybercriminals use fake GitHub Minecraft mods to target young players
    Unlike typical malware campaigns, Stargazers Ghost Network is a distribution-as-a-service operation that leverages thousands of fake GitHub accounts to spread malicious software disguised as legitimate mods and...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 173 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลายองค์กรยังมอง CISO เป็น “ฝ่าย IT” ที่คอยกันภัยอยู่ท้ายขบวน แต่วันนี้ CISO ต้องเปลี่ยนบทบาทเป็น พาร์ตเนอร์ธุรกิจ ที่ตอบคำถาม CEO ได้ว่า “เราปลอดภัยพอจะเดินหน้าต่อหรือยัง?”

    ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิคอีกต่อไป — คำถามสำคัญกลายเป็นเรื่องแบบนี้:
    - ทีมเราทำให้ธุรกิจคล่องตัวขึ้น หรือแค่เป็นตัวถ่วง?
    - ดาต้าอยู่ตรงไหนจริง ๆ กันแน่ (รวม shadow IT ด้วยไหม)?
    - สิ่งที่เราทำ ถูกมองว่า "ช่วย" หรือ "ขวาง" คนอื่น?
    - เราเล่าเรื่องความเสี่ยงให้ผู้บริหารเข้าใจได้ หรือยังพูดแบบเทคนิคจ๋าจนไม่มีใครฟัง?

    และที่น่าสนใจคือ… AI เองก็เปลี่ยนบทบาททีม Cyber แล้ว — จากคนทำ log analysis → กลายเป็นผู้ช่วยหาช่องโหว่แบบอัตโนมัติ ดังนั้นคำถามที่เพิ่มขึ้นคือ “เราจะใช้ AI เสริมทีม หรือโดนแทนที่?”

    คำถามสำคัญ:

    CISO ควรถามตัวเองว่าเป็น “ผู้ขับเคลื่อนธุรกิจ” หรือ “ตัวถ่วง”  
    • ถ้าทีมอื่นไม่อยากชวนเราเข้าประชุมช่วงวางแผน อาจมีปัญหาเรื่อง perception  
    • ควรเปลี่ยนบทบาทจาก “ตำรวจ” เป็น “ที่ปรึกษา”

    กลยุทธ์รักษาความปลอดภัยต้องสมดุลกับระดับความเสี่ยงที่ธุรกิจยอมรับได้  
    • ปิดทุกอย่างไม่ได้ = ธุรกิจหยุด  
    • เปิดหมด = เสี่ยงเกินไป  
    • ต้อง “รู้จังหวะว่าเสี่ยงแค่ไหนถึงพอเหมาะ”

    ข้อมูลประเภทไหนอยู่ที่ไหน = หัวใจของแผน Cyber  
    • หลายองค์กรมี “ข้อมูลลับ” ที่หลุดอยู่นอกระบบหลัก เช่น shared drive, shadow IT  
    • รวมถึงดาต้าจากบริษัทที่ควบรวมมา

    วัดผลแบบไหนถึงจะสื่อสารกับบอร์ดได้ดี?  
    • อย่าวัดแค่ patch กี่เครื่อง หรือ alert เยอะแค่ไหน  
    • ควรวัดว่า “สิ่งที่ทำ” ส่งผลยังไงกับ KPI ธุรกิจ เช่น revenue loss prevented

    พูดแบบ technical จ๋าเกินไป = ผู้บริหารไม่เข้าใจความเสี่ยงจริง  
    • ต้องฝึกเล่าเรื่อง “ความเสี่ยงทางธุรกิจ” ไม่ใช่แค่ “config ผิด”

    วัฒนธรรมทีมก็สำคัญ: ทีมเรากล้าท้าทายความเห็น CISO ไหม?  
    • ถ้าไม่มี dissent = ผู้นำอาจมองไม่เห็น blind spot ตัวเอง

    ลูกค้าต้องการให้เราทำอะไรด้านความปลอดภัยบ้าง?  
    • วิเคราะห์จาก security questionnaire ที่ลูกค้าส่ง  
    • ใช้เป็น data สร้าง business case ได้ว่า “ถ้าไม่ทำ = เสียรายได้กลุ่มนี้”

    AI จะเปลี่ยนวิธีจัดทีม Cyber อย่างไร?  
    • ลดความต้องการคน entry-level (SOC Tier 1)  
    • ต้องเน้นฝึก analyst ที่เก่งขึ้น (Tier 2+) ที่รู้จัก “ทำงานร่วมกับ AI”

    ความเสี่ยงใหม่ไม่ได้มาจาก Zero-day เสมอไป — แต่มาจาก “สิ่งที่เราไม่รู้ว่ามีอยู่”  
    • เช่น ระบบเก่า, S3 bucket ที่ลืมปิด, API ใหม่ที่ไม่มีคนดู

    CISO ควรถามว่า: “ศัตรูเราเป็นใคร และเขาจะมาโจมตีช่องไหน?”  
    • วางแผนจาก threat model และจัด stack ให้พร้อมต่ออนาคต เช่น Quantum-resistant crypto

    https://www.csoonline.com/article/4009212/10-tough-cybersecurity-questions-every-ciso-must-answer.html
    หลายองค์กรยังมอง CISO เป็น “ฝ่าย IT” ที่คอยกันภัยอยู่ท้ายขบวน แต่วันนี้ CISO ต้องเปลี่ยนบทบาทเป็น พาร์ตเนอร์ธุรกิจ ที่ตอบคำถาม CEO ได้ว่า “เราปลอดภัยพอจะเดินหน้าต่อหรือยัง?” ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิคอีกต่อไป — คำถามสำคัญกลายเป็นเรื่องแบบนี้: - ทีมเราทำให้ธุรกิจคล่องตัวขึ้น หรือแค่เป็นตัวถ่วง? - ดาต้าอยู่ตรงไหนจริง ๆ กันแน่ (รวม shadow IT ด้วยไหม)? - สิ่งที่เราทำ ถูกมองว่า "ช่วย" หรือ "ขวาง" คนอื่น? - เราเล่าเรื่องความเสี่ยงให้ผู้บริหารเข้าใจได้ หรือยังพูดแบบเทคนิคจ๋าจนไม่มีใครฟัง? และที่น่าสนใจคือ… AI เองก็เปลี่ยนบทบาททีม Cyber แล้ว — จากคนทำ log analysis → กลายเป็นผู้ช่วยหาช่องโหว่แบบอัตโนมัติ ดังนั้นคำถามที่เพิ่มขึ้นคือ “เราจะใช้ AI เสริมทีม หรือโดนแทนที่?” คำถามสำคัญ: ✅ CISO ควรถามตัวเองว่าเป็น “ผู้ขับเคลื่อนธุรกิจ” หรือ “ตัวถ่วง”   • ถ้าทีมอื่นไม่อยากชวนเราเข้าประชุมช่วงวางแผน อาจมีปัญหาเรื่อง perception   • ควรเปลี่ยนบทบาทจาก “ตำรวจ” เป็น “ที่ปรึกษา” ✅ กลยุทธ์รักษาความปลอดภัยต้องสมดุลกับระดับความเสี่ยงที่ธุรกิจยอมรับได้   • ปิดทุกอย่างไม่ได้ = ธุรกิจหยุด   • เปิดหมด = เสี่ยงเกินไป   • ต้อง “รู้จังหวะว่าเสี่ยงแค่ไหนถึงพอเหมาะ” ✅ ข้อมูลประเภทไหนอยู่ที่ไหน = หัวใจของแผน Cyber   • หลายองค์กรมี “ข้อมูลลับ” ที่หลุดอยู่นอกระบบหลัก เช่น shared drive, shadow IT   • รวมถึงดาต้าจากบริษัทที่ควบรวมมา ✅ วัดผลแบบไหนถึงจะสื่อสารกับบอร์ดได้ดี?   • อย่าวัดแค่ patch กี่เครื่อง หรือ alert เยอะแค่ไหน   • ควรวัดว่า “สิ่งที่ทำ” ส่งผลยังไงกับ KPI ธุรกิจ เช่น revenue loss prevented ✅ พูดแบบ technical จ๋าเกินไป = ผู้บริหารไม่เข้าใจความเสี่ยงจริง   • ต้องฝึกเล่าเรื่อง “ความเสี่ยงทางธุรกิจ” ไม่ใช่แค่ “config ผิด” ✅ วัฒนธรรมทีมก็สำคัญ: ทีมเรากล้าท้าทายความเห็น CISO ไหม?   • ถ้าไม่มี dissent = ผู้นำอาจมองไม่เห็น blind spot ตัวเอง ✅ ลูกค้าต้องการให้เราทำอะไรด้านความปลอดภัยบ้าง?   • วิเคราะห์จาก security questionnaire ที่ลูกค้าส่ง   • ใช้เป็น data สร้าง business case ได้ว่า “ถ้าไม่ทำ = เสียรายได้กลุ่มนี้” ✅ AI จะเปลี่ยนวิธีจัดทีม Cyber อย่างไร?   • ลดความต้องการคน entry-level (SOC Tier 1)   • ต้องเน้นฝึก analyst ที่เก่งขึ้น (Tier 2+) ที่รู้จัก “ทำงานร่วมกับ AI” ✅ ความเสี่ยงใหม่ไม่ได้มาจาก Zero-day เสมอไป — แต่มาจาก “สิ่งที่เราไม่รู้ว่ามีอยู่”   • เช่น ระบบเก่า, S3 bucket ที่ลืมปิด, API ใหม่ที่ไม่มีคนดู ✅ CISO ควรถามว่า: “ศัตรูเราเป็นใคร และเขาจะมาโจมตีช่องไหน?”   • วางแผนจาก threat model และจัด stack ให้พร้อมต่ออนาคต เช่น Quantum-resistant crypto https://www.csoonline.com/article/4009212/10-tough-cybersecurity-questions-every-ciso-must-answer.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    10 tough cybersecurity questions every CISO must answer
    From anticipating new threats to balancing risk management and business enablement, CISOs face a range of complex challenges that require continual reflection and strategic execution.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 210 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/2nkuIeTsJO0?si=XsFiGNR8A4kuPj7e
    https://youtu.be/2nkuIeTsJO0?si=XsFiGNR8A4kuPj7e
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
  • Common Grammar Mistakes You May Be Making

    It’s no secret that English is a tough and pretty weird language to learn. There are so many grammar rules and exceptions that even the best of us make mistakes every now and then. However, some grammar mistakes are more common than others. In fact, you might be making some simple grammar mistakes without even knowing it. To do our part in helping everybody become a grammar great, we’ve put together a list that will help solve some of the most common grammar mistakes out there. Keep this list handy before you turn in your next paper or hit send on that important email to be the boss!

    Mistake 1: who or whom?
    Let’s start with a biggie: who and whom are a pair of commonly confused pronouns that are often used to ask questions or refer to unknown people. In short, who is a subject pronoun while whom is an object pronoun. This means that you would use who as you would use I, he, she, and they, and you would use whom in the same places as me, him, them, and us. For example:

    Who (subject) ate my lunch?
    You went to the beach with whom (object)?
    But interrogative sentences often jumble word order around, and many writers hesitate to place the object whom at the beginning of the sentence. Although correct, it just seems odd. For example:

    Whom (object) did you (subject) ask questions to?
    All of that said, in informal speech and writing, speakers will often opt for who where whom has traditionally been used. To learn much more about the differences between who and whom, check out our guide When Do You Use “Who” vs. “Whom”?

    Mistake 2: who or that?
    Who is back again to confuse us. Who and that are another pair of pronouns that can be easily mixed up. Generally speaking, who is used to refer to people (and possibly named animals) and that is used to refer to non-living things (and possibly unnamed animals). For example:

    Who lives here? (refers to a person or people)
    I never want to see that again. (refers to a thing or unnamed animal)
    Both who and that can also be used as relative pronouns to introduce relative clauses that describe nouns. As before, who is typically used to refer to people while that is used to refer to objects.

    I sat by the girl (person) who was wearing a hat.
    Kelly bought a car (object) that has good gas mileage.
    That being said, that is often used to describe people in informal writing. For example:

    He just met the girl that moved in next door.
    Most style guides recommend avoiding using that in this way in formal writing.

    Mistake 3: commas—all the commas
    We move from the apostrophe to possibly the most dreaded punctuation mark of all: the comma. It is hard to know where to even begin with commas, as they are the source of many, many grammar errors. To really master commas, you are best off checking out our amazing guide to proper comma usage. For now, we’ll just look at a couple of common comma mistakes to avoid:

    Common comma mistake: the splice
    This mistake occurs when a comma appears where it shouldn’t. When joining two independent clauses, a comma needs to be followed by a conjunction. But using a comma by itself (as in the first sentence below) is considered an error.

    Mistake: I like strawberry ice cream, my sister doesn’t.
    Fixed: I like strawberry ice cream, but my sister doesn’t.

    Common comma mistake: tricky subordinate clauses
    Subordinate clauses do not require a comma, and it is considered a mistake to use one.

    Mistake: Luke avoids cats, because he is allergic to them.
    Fixed: Luke avoids cats because he is allergic to them.

    Subordinate clauses begin with subordinating conjunctions, such as because, after, before, since, or although.

    Mistake 4: its or it’s?
    Only a single apostrophe separates the frustrating duo if its and it’s. The word its is a possessive pronoun that is used like the words my, his, her, and our. The word it’s is a contraction for the phrase “it is” or “it has.” Despite how similar they look, its and it’s have completely different meanings and usage. For example:

    The door fell off its (possessive) hinges.
    The idea is really bad but it’s (“it is”) the only one we have.
    This common mistake likely has to do with the fact that an apostrophe is used to form the possessive of nouns such as Dave’s or Canada’s. As weird as it looks, its is in fact a possessive despite not using an apostrophe.

    If you are still a little lost, our thorough guide to its and it’s can provide more assistance in separating these two very similar words.

    Mistake 5: their, there, and they’re? (And what about your or you’re?)
    Their, there, and they’re are a trio of homophones that frequently get mistaken for one another. However, they all have different, unique meanings. Let’s look at each one.

    Their is the possessive form of they, and it can be used in place of either the singular or plural they to express ownership or possession. For example:

    The scientists put on their lab coats.
    They’re is a contraction of they are and fills in for it to shorten sentences. For example:

    Becky and Jayden were supposed to be here already, but they’re (“they are”) late.
    There is a word that usually means “that place” as in Tokyo looks so exciting; I wish I could go there. It has a few other meanings, but it isn’t a synonym of either their or they’re.

    Your and you’re are another pair of homophones that commonly get mixed up. Like their, your is the possessive form of the singular and plural you. Like they’re, you’re is a contraction that stands for “you are.” Here are examples of how we use these two similar words:

    I like your jacket. (possession)
    You’re (“you are”) smarter than you think.

    Mistake 6: me or I?
    At first glance, me and I seem simple enough: I is a subject pronoun and me is an object pronoun. We use I as the subject of sentences/clauses and me as the object. For example:

    I (subject) went to sleep.
    Erica likes me (object).
    However, it can be easy to forget these rules when sentences get more complicated, and it gets harder to figure out if something is a subject or object.

    Chris, Daniela, and I (compound subject) played soccer.
    Dad sent birthday presents to my sister and me (compound object).
    The main source of this confusion might be the word than, which can be used as either a conjunction or a preposition. Because of this, both of the following sentences are correct:

    Nobody sings karaoke better than I.
    Nobody sings karaoke better than me.

    Mistake 7: dangling modifiers
    When we use modifiers such as adverbial or participial phrases, we typically want to place them as close to the word they modify as possible. Otherwise, a sentence may end up with a type of mistake called a “dangling modifier.” A dangling modifier is a phrase or clause that either appears to modify the wrong things or seems to modify nothing at all. This common grammar mistake can result in confusing or unintentionally funny sentences. To fix these misplaced modifiers, you’ll want to place them close to the word they modify and make it clear which word or part of the sentence they modify. For example:

    Mistake: While driving, a bear walked in front of my car. (Is a bear driving something?)
    Fixed: While I was driving my car, a bear walked in front of me.

    Mistake: Rubbing their hands together, the winter weather was harsh and cold. (Whoever is rubbing their hands is missing.)
    Fixed: Rubbing their hands together, the explorers tried to stay warm in the harsh and cold winter weather.

    Mistake: Yesterday, I found a stray dog in my underpants. (Was the dog hiding inside your underpants?)
    Fixed: While wearing just my underpants, I found a stray dog yesterday.

    Mistake 8: pronoun antecedents
    When we use pronouns, they must agree in number with their antecedents. The antecedent is the noun that a pronoun is filling in for. It is a mistake to use a plural pronoun with a singular antecedent and a singular pronoun with a plural antecedent. For example:

    Mistake: The bees hid in its hive.
    Fixed: The bees hid in their hive.

    Additionally, we wouldn’t use its to refer to a person, nor would we use personal pronouns to refer to non-living things.

    Mistake: The zoo that Amanda owns is having her grand opening tomorrow.
    Fixed: The zoo that Amanda owns is having its grand opening tomorrow.

    At the same time, it should be clear in a sentence what a pronoun’s antecedent actually is. Avoid making the mistake of having missing or unclear antecedents.

    Missing antecedent: I looked everywhere but couldn’t find her. (Who is her?)
    Unclear antecedent: The toaster was next to the sink when it broke. (What broke? Does “it” refer to the toaster or the sink?)

    To learn a lot more about pronouns and how to use them, check out our great guide to pronouns here.

    Mistake 9: semicolons
    For many, the semicolon is not a punctuation mark that sees a lot of use, which may explain why people make mistakes when trying to use it. As it turns out, semicolons are fairly simple to use. The main thing to remember when using a semicolon is that the sentence following the semicolon doesn’t begin with a capital letter unless it begins with a proper noun. For example:

    I love cats; they are cute and smart.
    Jack and Jill went up a hill; Jill made it up first.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    Common Grammar Mistakes You May Be Making It’s no secret that English is a tough and pretty weird language to learn. There are so many grammar rules and exceptions that even the best of us make mistakes every now and then. However, some grammar mistakes are more common than others. In fact, you might be making some simple grammar mistakes without even knowing it. To do our part in helping everybody become a grammar great, we’ve put together a list that will help solve some of the most common grammar mistakes out there. Keep this list handy before you turn in your next paper or hit send on that important email to be the boss! Mistake 1: who or whom? Let’s start with a biggie: who and whom are a pair of commonly confused pronouns that are often used to ask questions or refer to unknown people. In short, who is a subject pronoun while whom is an object pronoun. This means that you would use who as you would use I, he, she, and they, and you would use whom in the same places as me, him, them, and us. For example: Who (subject) ate my lunch? You went to the beach with whom (object)? But interrogative sentences often jumble word order around, and many writers hesitate to place the object whom at the beginning of the sentence. Although correct, it just seems odd. For example: Whom (object) did you (subject) ask questions to? All of that said, in informal speech and writing, speakers will often opt for who where whom has traditionally been used. To learn much more about the differences between who and whom, check out our guide When Do You Use “Who” vs. “Whom”? Mistake 2: who or that? Who is back again to confuse us. Who and that are another pair of pronouns that can be easily mixed up. Generally speaking, who is used to refer to people (and possibly named animals) and that is used to refer to non-living things (and possibly unnamed animals). For example: Who lives here? (refers to a person or people) I never want to see that again. (refers to a thing or unnamed animal) Both who and that can also be used as relative pronouns to introduce relative clauses that describe nouns. As before, who is typically used to refer to people while that is used to refer to objects. I sat by the girl (person) who was wearing a hat. Kelly bought a car (object) that has good gas mileage. That being said, that is often used to describe people in informal writing. For example: He just met the girl that moved in next door. Most style guides recommend avoiding using that in this way in formal writing. Mistake 3: commas—all the commas We move from the apostrophe to possibly the most dreaded punctuation mark of all: the comma. It is hard to know where to even begin with commas, as they are the source of many, many grammar errors. To really master commas, you are best off checking out our amazing guide to proper comma usage. For now, we’ll just look at a couple of common comma mistakes to avoid: Common comma mistake: the splice This mistake occurs when a comma appears where it shouldn’t. When joining two independent clauses, a comma needs to be followed by a conjunction. But using a comma by itself (as in the first sentence below) is considered an error. ❌ Mistake: I like strawberry ice cream, my sister doesn’t. ✅ Fixed: I like strawberry ice cream, but my sister doesn’t. Common comma mistake: tricky subordinate clauses Subordinate clauses do not require a comma, and it is considered a mistake to use one. ❌ Mistake: Luke avoids cats, because he is allergic to them. ✅ Fixed: Luke avoids cats because he is allergic to them. Subordinate clauses begin with subordinating conjunctions, such as because, after, before, since, or although. Mistake 4: its or it’s? Only a single apostrophe separates the frustrating duo if its and it’s. The word its is a possessive pronoun that is used like the words my, his, her, and our. The word it’s is a contraction for the phrase “it is” or “it has.” Despite how similar they look, its and it’s have completely different meanings and usage. For example: The door fell off its (possessive) hinges. The idea is really bad but it’s (“it is”) the only one we have. This common mistake likely has to do with the fact that an apostrophe is used to form the possessive of nouns such as Dave’s or Canada’s. As weird as it looks, its is in fact a possessive despite not using an apostrophe. If you are still a little lost, our thorough guide to its and it’s can provide more assistance in separating these two very similar words. Mistake 5: their, there, and they’re? (And what about your or you’re?) Their, there, and they’re are a trio of homophones that frequently get mistaken for one another. However, they all have different, unique meanings. Let’s look at each one. Their is the possessive form of they, and it can be used in place of either the singular or plural they to express ownership or possession. For example: The scientists put on their lab coats. They’re is a contraction of they are and fills in for it to shorten sentences. For example: Becky and Jayden were supposed to be here already, but they’re (“they are”) late. There is a word that usually means “that place” as in Tokyo looks so exciting; I wish I could go there. It has a few other meanings, but it isn’t a synonym of either their or they’re. Your and you’re are another pair of homophones that commonly get mixed up. Like their, your is the possessive form of the singular and plural you. Like they’re, you’re is a contraction that stands for “you are.” Here are examples of how we use these two similar words: I like your jacket. (possession) You’re (“you are”) smarter than you think. Mistake 6: me or I? At first glance, me and I seem simple enough: I is a subject pronoun and me is an object pronoun. We use I as the subject of sentences/clauses and me as the object. For example: I (subject) went to sleep. Erica likes me (object). However, it can be easy to forget these rules when sentences get more complicated, and it gets harder to figure out if something is a subject or object. Chris, Daniela, and I (compound subject) played soccer. Dad sent birthday presents to my sister and me (compound object). The main source of this confusion might be the word than, which can be used as either a conjunction or a preposition. Because of this, both of the following sentences are correct: Nobody sings karaoke better than I. Nobody sings karaoke better than me. Mistake 7: dangling modifiers When we use modifiers such as adverbial or participial phrases, we typically want to place them as close to the word they modify as possible. Otherwise, a sentence may end up with a type of mistake called a “dangling modifier.” A dangling modifier is a phrase or clause that either appears to modify the wrong things or seems to modify nothing at all. This common grammar mistake can result in confusing or unintentionally funny sentences. To fix these misplaced modifiers, you’ll want to place them close to the word they modify and make it clear which word or part of the sentence they modify. For example: ❌ Mistake: While driving, a bear walked in front of my car. (Is a bear driving something?) ✅ Fixed: While I was driving my car, a bear walked in front of me. ❌ Mistake: Rubbing their hands together, the winter weather was harsh and cold. (Whoever is rubbing their hands is missing.) ✅ Fixed: Rubbing their hands together, the explorers tried to stay warm in the harsh and cold winter weather. ❌ Mistake: Yesterday, I found a stray dog in my underpants. (Was the dog hiding inside your underpants?) ✅ Fixed: While wearing just my underpants, I found a stray dog yesterday. Mistake 8: pronoun antecedents When we use pronouns, they must agree in number with their antecedents. The antecedent is the noun that a pronoun is filling in for. It is a mistake to use a plural pronoun with a singular antecedent and a singular pronoun with a plural antecedent. For example: ❌ Mistake: The bees hid in its hive. ✅ Fixed: The bees hid in their hive. Additionally, we wouldn’t use its to refer to a person, nor would we use personal pronouns to refer to non-living things. ❌ Mistake: The zoo that Amanda owns is having her grand opening tomorrow. ✅ Fixed: The zoo that Amanda owns is having its grand opening tomorrow. At the same time, it should be clear in a sentence what a pronoun’s antecedent actually is. Avoid making the mistake of having missing or unclear antecedents. Missing antecedent: I looked everywhere but couldn’t find her. (Who is her?) Unclear antecedent: The toaster was next to the sink when it broke. (What broke? Does “it” refer to the toaster or the sink?) To learn a lot more about pronouns and how to use them, check out our great guide to pronouns here. Mistake 9: semicolons For many, the semicolon is not a punctuation mark that sees a lot of use, which may explain why people make mistakes when trying to use it. As it turns out, semicolons are fairly simple to use. The main thing to remember when using a semicolon is that the sentence following the semicolon doesn’t begin with a capital letter unless it begins with a proper noun. For example: I love cats; they are cute and smart. Jack and Jill went up a hill; Jill made it up first. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 450 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ตอนนี้นักเรียนแทบทั้งหมดใช้ AI ช่วยทำงาน” หนึ่งในคุณครูที่ออกมาแชร์คือ Gary Ward จากโรงเรียน Brookes Westshore High School ในแคนาดา เขาบอกว่ามีเด็กบางคน “ที่ถ้าไม่มี AI ก็คงนั่งเหม่อลอยไม่รู้จะเริ่มทำยังไง” และตอนนี้เขาเชื่อว่า “เกือบทุกคนในห้องใช้ AI” แล้วจริง ๆ

    เพื่อรับมือกับปัญหานี้ ครูหลายคนเริ่ม “หัน AI มาสู้ AI” โดยใช้เครื่องมืออย่าง ChatGPT ช่วยออกแบบคำถามหรือการบ้านให้มีความ “เฉพาะตัว” และ “ต่อต้านการลอกแบบอัตโนมัติ” เช่น ทำให้โจทย์ซับซ้อนขึ้น ต้องอิงจากประสบการณ์ส่วนตัว หรือให้วิเคราะห์เชิงวิจารณ์มากขึ้น

    ที่อังกฤษ Richard Griffin จากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ก็ใช้ระบบ AI ของทางมหาวิทยาลัยตรวจสอบว่า “การบ้านแบบนี้ถูก AI ทำแทนได้ง่ายไหม” พร้อมคำแนะนำว่าควรทำให้ยากขึ้นตรงไหน เช่น เพิ่มโจทย์แบบอัตนัย หรือให้เชื่อมโยงกับเนื้อหาที่ไม่ได้อยู่ในเน็ต

    อีกเทคนิคคือ “หวนคืนสู่กระดาษ” — การให้ส่งการบ้านแบบเขียนมือ หรือจัดสอบแบบ discussion ตัวต่อตัวมากขึ้น แม้จะใช้เวลาให้ครูตรวจมากขึ้น แต่ช่วยมั่นใจว่าเป็นงานนักเรียนจริง ๆ

    ครูพบว่านักเรียนใช้ AI อย่างแพร่หลายในงานเขียน–การบ้าน  
    • มีนักเรียนบางกลุ่ม “พึ่งพา AI ตลอดเวลา”  
    • ครูเริ่มสังเกตได้จากเนื้อหาที่ดูสมบูรณ์ผิดปกติ

    บางโรงเรียนและมหาวิทยาลัยใช้ AI มาช่วยตรวจสอบระดับ “ความง่ายต่อการโกงด้วย AI”  
    • เช่น ระบบของมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์  
    • ให้คำแนะนำว่าโจทย์ควร “ส่วนตัวขึ้น/ลึกขึ้น” ตรงไหน

    เทคนิคการประเมินใหม่ เช่น การเขียนด้วยมือและการสอบปากเปล่าถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง  
    • บางที่ให้น้ำหนักการสอบแบบเขียนมือมากขึ้นในระบบเกรด  
    • ใช้การพูดคุยแทนรายงาน เพื่อลดโอกาสใช้ AI แทน

    บางหลักสูตร เช่น ธุรกิจ เริ่มเน้น “การประเมินแบบมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า” มากขึ้น  
    • เพื่อลดโอกาสใช้ AI ทำงานแทนในการประเมิน

    การพึ่งพา AI ตั้งแต่อายุยังน้อยอาจทำลายความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของเด็ก  
    • เสี่ยงทำให้จินตนาการ–ตรรกะ–การเขียนถดถอย

    หากไม่มีระบบวัดผลที่ดี อาจเกิด “คนรุ่นใหม่ที่ไม่สามารถทำงานได้จริงโดยไม่ใช้ AI”  
    • เป็นผลสะสมจากการฝึกคิดที่ถูกแทนด้วยระบบอัตโนมัติ

    การปิดกั้น AI โดยไม่สอนการใช้ “อย่างมีวิจารณญาณ” อาจสร้างผลตรงข้าม  
    • เด็กบางคนจะใช้ AI ซ่อน ๆ โดยไม่มีความเข้าใจเรื่องจริยธรรมหรือคุณภาพเนื้อหา

    การประเมินเฉพาะด้วย “การเขียนด้วยมือ” หรือ “การพูด” อาจทำให้นักเรียนบางกลุ่มเสียเปรียบ  
    • โดยเฉพาะผู้ที่มีความแตกต่างด้านการเรียนรู้ (learning differences)

    https://www.techspot.com/news/108379-how-teachers-fighting-ai-cheating-handwritten-work-oral.html
    “ตอนนี้นักเรียนแทบทั้งหมดใช้ AI ช่วยทำงาน” หนึ่งในคุณครูที่ออกมาแชร์คือ Gary Ward จากโรงเรียน Brookes Westshore High School ในแคนาดา เขาบอกว่ามีเด็กบางคน “ที่ถ้าไม่มี AI ก็คงนั่งเหม่อลอยไม่รู้จะเริ่มทำยังไง” และตอนนี้เขาเชื่อว่า “เกือบทุกคนในห้องใช้ AI” แล้วจริง ๆ เพื่อรับมือกับปัญหานี้ ครูหลายคนเริ่ม “หัน AI มาสู้ AI” โดยใช้เครื่องมืออย่าง ChatGPT ช่วยออกแบบคำถามหรือการบ้านให้มีความ “เฉพาะตัว” และ “ต่อต้านการลอกแบบอัตโนมัติ” เช่น ทำให้โจทย์ซับซ้อนขึ้น ต้องอิงจากประสบการณ์ส่วนตัว หรือให้วิเคราะห์เชิงวิจารณ์มากขึ้น ที่อังกฤษ Richard Griffin จากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ก็ใช้ระบบ AI ของทางมหาวิทยาลัยตรวจสอบว่า “การบ้านแบบนี้ถูก AI ทำแทนได้ง่ายไหม” พร้อมคำแนะนำว่าควรทำให้ยากขึ้นตรงไหน เช่น เพิ่มโจทย์แบบอัตนัย หรือให้เชื่อมโยงกับเนื้อหาที่ไม่ได้อยู่ในเน็ต อีกเทคนิคคือ “หวนคืนสู่กระดาษ” — การให้ส่งการบ้านแบบเขียนมือ หรือจัดสอบแบบ discussion ตัวต่อตัวมากขึ้น แม้จะใช้เวลาให้ครูตรวจมากขึ้น แต่ช่วยมั่นใจว่าเป็นงานนักเรียนจริง ๆ ✅ ครูพบว่านักเรียนใช้ AI อย่างแพร่หลายในงานเขียน–การบ้าน   • มีนักเรียนบางกลุ่ม “พึ่งพา AI ตลอดเวลา”   • ครูเริ่มสังเกตได้จากเนื้อหาที่ดูสมบูรณ์ผิดปกติ ✅ บางโรงเรียนและมหาวิทยาลัยใช้ AI มาช่วยตรวจสอบระดับ “ความง่ายต่อการโกงด้วย AI”   • เช่น ระบบของมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์   • ให้คำแนะนำว่าโจทย์ควร “ส่วนตัวขึ้น/ลึกขึ้น” ตรงไหน ✅ เทคนิคการประเมินใหม่ เช่น การเขียนด้วยมือและการสอบปากเปล่าถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง   • บางที่ให้น้ำหนักการสอบแบบเขียนมือมากขึ้นในระบบเกรด   • ใช้การพูดคุยแทนรายงาน เพื่อลดโอกาสใช้ AI แทน ✅ บางหลักสูตร เช่น ธุรกิจ เริ่มเน้น “การประเมินแบบมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า” มากขึ้น   • เพื่อลดโอกาสใช้ AI ทำงานแทนในการประเมิน ‼️ การพึ่งพา AI ตั้งแต่อายุยังน้อยอาจทำลายความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของเด็ก   • เสี่ยงทำให้จินตนาการ–ตรรกะ–การเขียนถดถอย ‼️ หากไม่มีระบบวัดผลที่ดี อาจเกิด “คนรุ่นใหม่ที่ไม่สามารถทำงานได้จริงโดยไม่ใช้ AI”   • เป็นผลสะสมจากการฝึกคิดที่ถูกแทนด้วยระบบอัตโนมัติ ‼️ การปิดกั้น AI โดยไม่สอนการใช้ “อย่างมีวิจารณญาณ” อาจสร้างผลตรงข้าม   • เด็กบางคนจะใช้ AI ซ่อน ๆ โดยไม่มีความเข้าใจเรื่องจริยธรรมหรือคุณภาพเนื้อหา ‼️ การประเมินเฉพาะด้วย “การเขียนด้วยมือ” หรือ “การพูด” อาจทำให้นักเรียนบางกลุ่มเสียเปรียบ   • โดยเฉพาะผู้ที่มีความแตกต่างด้านการเรียนรู้ (learning differences) https://www.techspot.com/news/108379-how-teachers-fighting-ai-cheating-handwritten-work-oral.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    How teachers are fighting AI cheating with handwritten work, oral tests, and AI
    Speaking about AI-cheat students, Gary Ward, a teacher at Brookes Westshore High School in Victoria, British Columbia, told Business Insider, "Some of the ones that I see...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 223 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความขัดแย้งเรื่องกฎหมายเฝ้าระวังในสวิตเซอร์แลนด์: Infomaniak vs. Proton
    บริษัท Infomaniak และ Proton กำลังเผชิญหน้ากันเกี่ยวกับ การแก้ไขกฎหมายเฝ้าระวังของสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ VPN, แอปส่งข้อความ และโซเชียลมีเดีย โดยกำหนดให้ ต้องระบุตัวตนและเก็บข้อมูลผู้ใช้

    จุดยืนของแต่ละฝ่าย
    Proton และ NymVPN คัดค้านกฎหมายนี้อย่างหนัก โดยระบุว่า หากกฎหมายผ่าน พวกเขาจะย้ายออกจากสวิตเซอร์แลนด์ เนื่องจาก กฎหมายใหม่อาจทำให้บริการ VPN แบบไม่เก็บล็อกข้อมูลต้องยุติลง

    Infomaniak ซึ่งเป็น ผู้ให้บริการคลาวด์และอีเมลเข้ารหัส ได้วิจารณ์ Proton โดยกล่าวว่า การสนับสนุนความเป็นนิรนามออนไลน์อาจขัดขวางกระบวนการยุติธรรม อย่างไรก็ตาม Infomaniak ยืนยันว่าพวกเขาเองก็ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายนี้ในรูปแบบปัจจุบัน

    ข้อมูลจากข่าว
    - กฎหมายใหม่ของสวิตเซอร์แลนด์จะบังคับให้ VPN และแอปส่งข้อความต้องระบุตัวตนและเก็บข้อมูลผู้ใช้
    - Proton และ NymVPN เตรียมย้ายออกจากสวิตเซอร์แลนด์หากกฎหมายผ่าน
    - Infomaniak วิจารณ์ Proton ว่าการสนับสนุนความเป็นนิรนามออนไลน์อาจขัดขวางกระบวนการยุติธรรม
    - Infomaniak ยืนยันว่าพวกเขาเองก็ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายนี้ในรูปแบบปัจจุบัน
    - นักวิจัยด้านความปลอดภัยเตือนว่าการเก็บข้อมูลเมตาดาตาอาจละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - กฎหมายนี้อาจทำให้บริการ VPN แบบไม่เก็บล็อกข้อมูลต้องยุติลง
    - การเก็บข้อมูลเมตาดาตาอาจทำให้รัฐบาลสามารถติดตามพฤติกรรมของประชาชนได้
    - การบังคับให้เก็บข้อมูลล่วงหน้าอาจเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน
    - ต้องติดตามว่ากฎหมายนี้จะถูกแก้ไขหรือถูกยกเลิกในรัฐสภาสวิตเซอร์แลนด์หรือไม่

    หากกฎหมายนี้ผ่าน อาจส่งผลกระทบต่อบริการ VPN และแอปส่งข้อความที่เน้นความเป็นส่วนตัว และ อาจทำให้บริษัทเทคโนโลยีต้องย้ายออกจากสวิตเซอร์แลนด์ อย่างไรก็ตาม ยังมีแรงต้านจากภาคธุรกิจและนักการเมืองที่อาจทำให้กฎหมายนี้ถูกแก้ไขหรือยกเลิก

    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/cloud-service-infomaniak-steps-up-fight-with-proton-over-controversial-swiss-surveillance-law
    🔍 ความขัดแย้งเรื่องกฎหมายเฝ้าระวังในสวิตเซอร์แลนด์: Infomaniak vs. Proton บริษัท Infomaniak และ Proton กำลังเผชิญหน้ากันเกี่ยวกับ การแก้ไขกฎหมายเฝ้าระวังของสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ VPN, แอปส่งข้อความ และโซเชียลมีเดีย โดยกำหนดให้ ต้องระบุตัวตนและเก็บข้อมูลผู้ใช้ 🔥 จุดยืนของแต่ละฝ่าย Proton และ NymVPN คัดค้านกฎหมายนี้อย่างหนัก โดยระบุว่า หากกฎหมายผ่าน พวกเขาจะย้ายออกจากสวิตเซอร์แลนด์ เนื่องจาก กฎหมายใหม่อาจทำให้บริการ VPN แบบไม่เก็บล็อกข้อมูลต้องยุติลง Infomaniak ซึ่งเป็น ผู้ให้บริการคลาวด์และอีเมลเข้ารหัส ได้วิจารณ์ Proton โดยกล่าวว่า การสนับสนุนความเป็นนิรนามออนไลน์อาจขัดขวางกระบวนการยุติธรรม อย่างไรก็ตาม Infomaniak ยืนยันว่าพวกเขาเองก็ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายนี้ในรูปแบบปัจจุบัน ✅ ข้อมูลจากข่าว - กฎหมายใหม่ของสวิตเซอร์แลนด์จะบังคับให้ VPN และแอปส่งข้อความต้องระบุตัวตนและเก็บข้อมูลผู้ใช้ - Proton และ NymVPN เตรียมย้ายออกจากสวิตเซอร์แลนด์หากกฎหมายผ่าน - Infomaniak วิจารณ์ Proton ว่าการสนับสนุนความเป็นนิรนามออนไลน์อาจขัดขวางกระบวนการยุติธรรม - Infomaniak ยืนยันว่าพวกเขาเองก็ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายนี้ในรูปแบบปัจจุบัน - นักวิจัยด้านความปลอดภัยเตือนว่าการเก็บข้อมูลเมตาดาตาอาจละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - กฎหมายนี้อาจทำให้บริการ VPN แบบไม่เก็บล็อกข้อมูลต้องยุติลง - การเก็บข้อมูลเมตาดาตาอาจทำให้รัฐบาลสามารถติดตามพฤติกรรมของประชาชนได้ - การบังคับให้เก็บข้อมูลล่วงหน้าอาจเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน - ต้องติดตามว่ากฎหมายนี้จะถูกแก้ไขหรือถูกยกเลิกในรัฐสภาสวิตเซอร์แลนด์หรือไม่ หากกฎหมายนี้ผ่าน อาจส่งผลกระทบต่อบริการ VPN และแอปส่งข้อความที่เน้นความเป็นส่วนตัว และ อาจทำให้บริษัทเทคโนโลยีต้องย้ายออกจากสวิตเซอร์แลนด์ อย่างไรก็ตาม ยังมีแรงต้านจากภาคธุรกิจและนักการเมืองที่อาจทำให้กฎหมายนี้ถูกแก้ไขหรือยกเลิก https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/cloud-service-infomaniak-steps-up-fight-with-proton-over-controversial-swiss-surveillance-law
    WWW.TECHRADAR.COM
    Cloud service Infomaniak steps up fight with Proton over controversial Swiss surveillance law
    Infomaniak's comments have caused a stir across the Swiss privacy tech sector
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 204 มุมมอง 0 รีวิว
  • คีร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษประกาศ ขณะนี้สหราชอาณาจักรกำลังเตรียมพร้อมเข้าสู่สถานะ ​​“ความพร้อมรบ” (war fighting readiness)
    คีร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษประกาศ ขณะนี้สหราชอาณาจักรกำลังเตรียมพร้อมเข้าสู่สถานะ ​​“ความพร้อมรบ” (war fighting readiness)
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 192 มุมมอง 13 0 รีวิว
  • Intel ชนะคดีสำคัญกับ VLSI ในข้อพิพาทด้านสิทธิบัตร
    Intel ได้รับชัยชนะในคดีความกับ VLSI Technology LLC ซึ่งเป็นบริษัทที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น "Patent Troll" หรือบริษัทที่ใช้สิทธิบัตรเพื่อเรียกร้องค่าชดเชยโดยไม่ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีจริง

    VLSI เป็นบริษัทที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ Fortress Investment Group ซึ่งเคยฟ้องร้อง Intel ในข้อหาละเมิดสิทธิบัตรที่ได้มาจาก NXP Semiconductors NV โดยอ้างว่าเทคโนโลยีดังกล่าวเกี่ยวข้องกับกระบวนการออกแบบชิป

    ในปี 2022 Intel ถูกสั่งให้จ่ายค่าชดเชยเกือบ 1 พันล้านดอลลาร์ จากการละเมิดสิทธิบัตรของ VLSI อย่างไรก็ตาม Intel โต้แย้งว่าข้อตกลงด้านสิทธิบัตรที่ทำไว้กับ Finjan Inc. ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ Fortress เช่นเดียวกัน ครอบคลุมสิทธิบัตรที่เป็นข้อพิพาท

    ข้อมูลจากข่าว
    - Intel ชนะคดีความกับ VLSI Technology LLC ซึ่งอาจทำให้คำตัดสินก่อนหน้านี้ถูกยกเลิก
    - VLSI อยู่ภายใต้การควบคุมของ Fortress Investment Group ซึ่งเคยฟ้องร้อง Intel ในข้อหาละเมิดสิทธิบัตร
    - Intel ถูกสั่งให้จ่ายค่าชดเชยเกือบ 1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2022 แต่โต้แย้งว่าข้อตกลงกับ Finjan Inc. ครอบคลุมสิทธิบัตรที่เป็นข้อพิพาท
    - คดีนี้อาจส่งผลให้คำตัดสินก่อนหน้านี้ที่มีมูลค่ารวมกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ถูกยกเลิก
    - Fortress เคยใช้กลยุทธ์ฟ้องร้องบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง เช่น Apple และ HTC

    สิทธิบัตรและบทบาทของ Patent Troll
    Patent Troll คือบริษัทที่ไม่ได้พัฒนาเทคโนโลยีเอง แต่ซื้อสิทธิบัตรมาเพื่อฟ้องร้องบริษัทอื่น ๆ เพื่อเรียกร้องค่าชดเชย โดยมักใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเพื่อสร้างรายได้จากการฟ้องร้อง

    Fortress Investment Group ถูกวิจารณ์ว่าใช้กลยุทธ์นี้เพื่อเรียกร้องเงินจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Intel, Apple และ HTC อย่างไรก็ตาม คำตัดสินล่าสุดอาจทำให้กลยุทธ์นี้ต้องถูกปรับเปลี่ยน

    https://www.techspot.com/news/108123-intel-wins-crucial-verdict-legal-fight-against-patent.html
    ⚖️ Intel ชนะคดีสำคัญกับ VLSI ในข้อพิพาทด้านสิทธิบัตร Intel ได้รับชัยชนะในคดีความกับ VLSI Technology LLC ซึ่งเป็นบริษัทที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น "Patent Troll" หรือบริษัทที่ใช้สิทธิบัตรเพื่อเรียกร้องค่าชดเชยโดยไม่ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีจริง VLSI เป็นบริษัทที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ Fortress Investment Group ซึ่งเคยฟ้องร้อง Intel ในข้อหาละเมิดสิทธิบัตรที่ได้มาจาก NXP Semiconductors NV โดยอ้างว่าเทคโนโลยีดังกล่าวเกี่ยวข้องกับกระบวนการออกแบบชิป ในปี 2022 Intel ถูกสั่งให้จ่ายค่าชดเชยเกือบ 1 พันล้านดอลลาร์ จากการละเมิดสิทธิบัตรของ VLSI อย่างไรก็ตาม Intel โต้แย้งว่าข้อตกลงด้านสิทธิบัตรที่ทำไว้กับ Finjan Inc. ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ Fortress เช่นเดียวกัน ครอบคลุมสิทธิบัตรที่เป็นข้อพิพาท ✅ ข้อมูลจากข่าว - Intel ชนะคดีความกับ VLSI Technology LLC ซึ่งอาจทำให้คำตัดสินก่อนหน้านี้ถูกยกเลิก - VLSI อยู่ภายใต้การควบคุมของ Fortress Investment Group ซึ่งเคยฟ้องร้อง Intel ในข้อหาละเมิดสิทธิบัตร - Intel ถูกสั่งให้จ่ายค่าชดเชยเกือบ 1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2022 แต่โต้แย้งว่าข้อตกลงกับ Finjan Inc. ครอบคลุมสิทธิบัตรที่เป็นข้อพิพาท - คดีนี้อาจส่งผลให้คำตัดสินก่อนหน้านี้ที่มีมูลค่ารวมกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ถูกยกเลิก - Fortress เคยใช้กลยุทธ์ฟ้องร้องบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง เช่น Apple และ HTC 🏛️ สิทธิบัตรและบทบาทของ Patent Troll Patent Troll คือบริษัทที่ไม่ได้พัฒนาเทคโนโลยีเอง แต่ซื้อสิทธิบัตรมาเพื่อฟ้องร้องบริษัทอื่น ๆ เพื่อเรียกร้องค่าชดเชย โดยมักใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเพื่อสร้างรายได้จากการฟ้องร้อง Fortress Investment Group ถูกวิจารณ์ว่าใช้กลยุทธ์นี้เพื่อเรียกร้องเงินจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Intel, Apple และ HTC อย่างไรก็ตาม คำตัดสินล่าสุดอาจทำให้กลยุทธ์นี้ต้องถูกปรับเปลี่ยน https://www.techspot.com/news/108123-intel-wins-crucial-verdict-legal-fight-against-patent.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Intel wins crucial verdict in legal fight against patent troll VLSI
    After a three-day jury trial, the U.S. District Court for the Western District of Texas ruled that VLSI Technology LLC and Finjan Inc. are both under the...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 270 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel กำลังเตรียมเปิดตัว Nova Lake-S ซึ่งเป็น CPU รุ่นใหม่ ที่ใช้ LGA-1954 socket โดยมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสถาปัตยกรรมและการจัดการพลังงาน

    Nova Lake-S จะเป็น การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุด ในสถาปัตยกรรมของ Intel ในรอบหลายปี โดยใช้ 14A (1.4nm-class) node สำหรับ compute tiles และอาจใช้ TSMC 2nm สำหรับบางส่วนของชิป

    นอกจากนี้ Intel ยังเน้น AI acceleration โดยเพิ่ม Neural Processing Units (NPUs) เพื่อรองรับงานด้าน AI-based photo editing, real-time video effects และ generative AI tools

    ข้อมูลจากข่าว
    - Nova Lake-S ใช้ LGA-1954 socket ซึ่งมี 1,954 contact pads
    - Core configuration ประกอบด้วย 16 P-cores (Coyote Cove), 32 E-cores (Arctic Wolf) และ 4 low-power E-cores
    - ใช้ 14A (1.4nm-class) node สำหรับ compute tiles และอาจใช้ TSMC 2nm สำหรับบางส่วนของชิป
    - 900-series chipsets เช่น Z990 และ H970 จะรองรับ DDR5-6400+, Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4 และ Thunderbolt 5
    - AI acceleration จะเป็นจุดเด่น โดยมี NPUs ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพงานด้าน AI

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ต้องใช้เมนบอร์ดใหม่ เนื่องจาก LGA-1954 ไม่รองรับ CPU รุ่นเก่า
    - แม้จะใช้ขนาด socket เดิม แต่การออกแบบ heat spreader อาจต้องใช้ mounting kits ใหม่
    - การแข่งขันกับ AMD Zen 6 อาจทำให้ตลาด CPU มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
    - ต้องรอติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม เกี่ยวกับประสิทธิภาพและการใช้พลังงาน

    Nova Lake-S และ LGA-1954 เป็นก้าวสำคัญของ Intel ในการพัฒนา CPU ที่รองรับ AI และ multi-threaded workloads อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ยังต้องจับตาดูว่าผู้ใช้จะตอบรับอย่างไร

    https://computercity.com/hardware/processors/intels-lga-1954-socket-and-nova-lake-s-cpus
    Intel กำลังเตรียมเปิดตัว Nova Lake-S ซึ่งเป็น CPU รุ่นใหม่ ที่ใช้ LGA-1954 socket โดยมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสถาปัตยกรรมและการจัดการพลังงาน Nova Lake-S จะเป็น การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุด ในสถาปัตยกรรมของ Intel ในรอบหลายปี โดยใช้ 14A (1.4nm-class) node สำหรับ compute tiles และอาจใช้ TSMC 2nm สำหรับบางส่วนของชิป นอกจากนี้ Intel ยังเน้น AI acceleration โดยเพิ่ม Neural Processing Units (NPUs) เพื่อรองรับงานด้าน AI-based photo editing, real-time video effects และ generative AI tools ✅ ข้อมูลจากข่าว - Nova Lake-S ใช้ LGA-1954 socket ซึ่งมี 1,954 contact pads - Core configuration ประกอบด้วย 16 P-cores (Coyote Cove), 32 E-cores (Arctic Wolf) และ 4 low-power E-cores - ใช้ 14A (1.4nm-class) node สำหรับ compute tiles และอาจใช้ TSMC 2nm สำหรับบางส่วนของชิป - 900-series chipsets เช่น Z990 และ H970 จะรองรับ DDR5-6400+, Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4 และ Thunderbolt 5 - AI acceleration จะเป็นจุดเด่น โดยมี NPUs ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพงานด้าน AI ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ต้องใช้เมนบอร์ดใหม่ เนื่องจาก LGA-1954 ไม่รองรับ CPU รุ่นเก่า - แม้จะใช้ขนาด socket เดิม แต่การออกแบบ heat spreader อาจต้องใช้ mounting kits ใหม่ - การแข่งขันกับ AMD Zen 6 อาจทำให้ตลาด CPU มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ - ต้องรอติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม เกี่ยวกับประสิทธิภาพและการใช้พลังงาน Nova Lake-S และ LGA-1954 เป็นก้าวสำคัญของ Intel ในการพัฒนา CPU ที่รองรับ AI และ multi-threaded workloads อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ยังต้องจับตาดูว่าผู้ใช้จะตอบรับอย่างไร https://computercity.com/hardware/processors/intels-lga-1954-socket-and-nova-lake-s-cpus
    COMPUTERCITY.COM
    Intel’s LGA-1954 Socket and Nova Lake-S CPUs
    Intel is preparing for another leap in desktop computing with the upcoming Nova Lake-S processors and a brand-new socket: LGA-1954. Despite just launching the
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 287 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยด้านความปลอดภัยพบว่ามีการโจมตี Docker instances ที่ตั้งค่าผิดพลาด โดยแฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่ของ Docker API ที่เปิดให้เข้าถึงจากอินเทอร์เน็ตเพื่อสร้าง botnet สำหรับขุดเหรียญ Dero cryptocurrency

    Docker เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถรันแอปพลิเคชันใน containers ซึ่งช่วยให้การจัดการซอฟต์แวร์มีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากตั้งค่า API ผิดพลาด อาจทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงและควบคุมระบบได้

    Dero เป็น privacy-focused blockchain ที่คล้ายกับ Monero โดยเน้นการทำธุรกรรมที่ไม่สามารถติดตามได้ ซึ่งทำให้เป็นที่นิยมในหมู่แฮกเกอร์ที่ต้องการขุดเหรียญโดยไม่ถูกตรวจสอบ

    ข้อมูลจากข่าว
    - Docker instances ที่ตั้งค่าผิดพลาด ถูกใช้เป็น botnet ขุดเหรียญ Dero
    - แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่ของ Docker API ที่เปิดให้เข้าถึงจากอินเทอร์เน็ต
    - มัลแวร์ที่ใช้มีสองส่วน ได้แก่ ตัวแพร่กระจาย (nginx) และ ตัวขุดเหรียญ
    - มัลแวร์ถูกเขียนด้วย Golang ทำให้ตรวจจับได้ยาก
    - แคมเปญนี้ไม่ใช้ command & control (C2) server แต่แพร่กระจายแบบ worm

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ผู้ใช้ Docker ควรตรวจสอบการตั้งค่า API และปิดการเข้าถึงจากอินเทอร์เน็ต
    - ควรใช้รหัสผ่านที่แข็งแกร่ง และเปิดใช้งานการตรวจสอบสิทธิ์แบบหลายขั้นตอน
    - ควรทำการตรวจสอบความปลอดภัยของระบบอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยง
    - แฮกเกอร์อาจใช้เทคนิคใหม่ในการโจมตี ดังนั้นผู้ดูแลระบบควรติดตามข่าวสารด้านความปลอดภัย

    การโจมตีครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการตั้งค่าความปลอดภัยใน Docker instances และการป้องกันช่องโหว่ที่อาจถูกใช้โดยแฮกเกอร์

    https://www.techradar.com/pro/security/misconfigured-docker-instances-are-being-hacked-to-mine-cryptocurrency
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยพบว่ามีการโจมตี Docker instances ที่ตั้งค่าผิดพลาด โดยแฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่ของ Docker API ที่เปิดให้เข้าถึงจากอินเทอร์เน็ตเพื่อสร้าง botnet สำหรับขุดเหรียญ Dero cryptocurrency Docker เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถรันแอปพลิเคชันใน containers ซึ่งช่วยให้การจัดการซอฟต์แวร์มีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากตั้งค่า API ผิดพลาด อาจทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงและควบคุมระบบได้ Dero เป็น privacy-focused blockchain ที่คล้ายกับ Monero โดยเน้นการทำธุรกรรมที่ไม่สามารถติดตามได้ ซึ่งทำให้เป็นที่นิยมในหมู่แฮกเกอร์ที่ต้องการขุดเหรียญโดยไม่ถูกตรวจสอบ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Docker instances ที่ตั้งค่าผิดพลาด ถูกใช้เป็น botnet ขุดเหรียญ Dero - แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่ของ Docker API ที่เปิดให้เข้าถึงจากอินเทอร์เน็ต - มัลแวร์ที่ใช้มีสองส่วน ได้แก่ ตัวแพร่กระจาย (nginx) และ ตัวขุดเหรียญ - มัลแวร์ถูกเขียนด้วย Golang ทำให้ตรวจจับได้ยาก - แคมเปญนี้ไม่ใช้ command & control (C2) server แต่แพร่กระจายแบบ worm ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ผู้ใช้ Docker ควรตรวจสอบการตั้งค่า API และปิดการเข้าถึงจากอินเทอร์เน็ต - ควรใช้รหัสผ่านที่แข็งแกร่ง และเปิดใช้งานการตรวจสอบสิทธิ์แบบหลายขั้นตอน - ควรทำการตรวจสอบความปลอดภัยของระบบอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยง - แฮกเกอร์อาจใช้เทคนิคใหม่ในการโจมตี ดังนั้นผู้ดูแลระบบควรติดตามข่าวสารด้านความปลอดภัย การโจมตีครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการตั้งค่าความปลอดภัยใน Docker instances และการป้องกันช่องโหว่ที่อาจถูกใช้โดยแฮกเกอร์ https://www.techradar.com/pro/security/misconfigured-docker-instances-are-being-hacked-to-mine-cryptocurrency
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 275 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนจัดการแข่งขันศิลปะการต่อสู้แบบผสมสำหรับหุ่นยนต์เป็นครั้งแรกของโลก

    จีน เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันศิลปะการต่อสู้แบบผสมสำหรับหุ่นยนต์ครั้งแรกของโลก โดยมีหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์จาก Unitree Robotics ลงแข่งในรายการ China Media Group World Robot Competition – Mecha Fighting Series ซึ่งจัดขึ้นที่เมือง หางโจว มณฑลเจ้อเจียง

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการแข่งขันหุ่นยนต์ต่อสู้
    การแข่งขันจัดขึ้นเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2025 และออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ CCTV ของจีน
    - เป็น การนำศิลปะการต่อสู้แบบผสม (MMMA) มาสู่โลกของหุ่นยนต์

    หุ่นยนต์ที่ใช้แข่งขันคือ Unitree G1 ซึ่งมีน้ำหนัก 35 กิโลกรัมและสูง 132 เซนติเมตร
    - มี ขนาดใกล้เคียงกับมนุษย์ตัวเล็ก

    การแข่งขันแบ่งออกเป็นสองส่วน ได้แก่ การแสดงทักษะ และการต่อสู้จริง 3 ยก ยกละ 2 นาที
    - หุ่นยนต์ สามารถทำคะแนนได้โดยการชก (1 คะแนน) และเตะ (3 คะแนน)

    หากหุ่นยนต์ล้ม จะถูกหัก 5 คะแนน และหากไม่สามารถลุกขึ้นได้ภายใน 8 วินาที จะถูกหัก 10 คะแนนทันที
    - ทำให้ การรักษาสมดุลเป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขัน

    Unitree ใช้ AI เพื่อฝึกหุ่นยนต์ โดยเก็บข้อมูลจากนักมวยอาชีพและให้หุ่นยนต์เรียนรู้ผ่านโลกเสมือนจริง
    - เป็น การพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยให้หุ่นยนต์เคลื่อนไหวได้เหมือนมนุษย์มากขึ้น

    ผู้เชี่ยวชาญมองว่าการแข่งขันนี้เป็นก้าวสำคัญของเทคโนโลยีหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ในจีน
    - บางคนเชื่อว่า Unitree อาจแซงหน้า Boston Dynamics ในด้านการพัฒนาหุ่นยนต์ต่อสู้

    https://www.techspot.com/news/108079-china-hosts-world-first-mechanical-mixed-martial-arts.html
    จีนจัดการแข่งขันศิลปะการต่อสู้แบบผสมสำหรับหุ่นยนต์เป็นครั้งแรกของโลก จีน เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันศิลปะการต่อสู้แบบผสมสำหรับหุ่นยนต์ครั้งแรกของโลก โดยมีหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์จาก Unitree Robotics ลงแข่งในรายการ China Media Group World Robot Competition – Mecha Fighting Series ซึ่งจัดขึ้นที่เมือง หางโจว มณฑลเจ้อเจียง 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการแข่งขันหุ่นยนต์ต่อสู้ ✅ การแข่งขันจัดขึ้นเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2025 และออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ CCTV ของจีน - เป็น การนำศิลปะการต่อสู้แบบผสม (MMMA) มาสู่โลกของหุ่นยนต์ ✅ หุ่นยนต์ที่ใช้แข่งขันคือ Unitree G1 ซึ่งมีน้ำหนัก 35 กิโลกรัมและสูง 132 เซนติเมตร - มี ขนาดใกล้เคียงกับมนุษย์ตัวเล็ก ✅ การแข่งขันแบ่งออกเป็นสองส่วน ได้แก่ การแสดงทักษะ และการต่อสู้จริง 3 ยก ยกละ 2 นาที - หุ่นยนต์ สามารถทำคะแนนได้โดยการชก (1 คะแนน) และเตะ (3 คะแนน) ✅ หากหุ่นยนต์ล้ม จะถูกหัก 5 คะแนน และหากไม่สามารถลุกขึ้นได้ภายใน 8 วินาที จะถูกหัก 10 คะแนนทันที - ทำให้ การรักษาสมดุลเป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขัน ✅ Unitree ใช้ AI เพื่อฝึกหุ่นยนต์ โดยเก็บข้อมูลจากนักมวยอาชีพและให้หุ่นยนต์เรียนรู้ผ่านโลกเสมือนจริง - เป็น การพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยให้หุ่นยนต์เคลื่อนไหวได้เหมือนมนุษย์มากขึ้น ✅ ผู้เชี่ยวชาญมองว่าการแข่งขันนี้เป็นก้าวสำคัญของเทคโนโลยีหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ในจีน - บางคนเชื่อว่า Unitree อาจแซงหน้า Boston Dynamics ในด้านการพัฒนาหุ่นยนต์ต่อสู้ https://www.techspot.com/news/108079-china-hosts-world-first-mechanical-mixed-martial-arts.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    China hosts world's first mechanical mixed martial arts tournament
    It was an event reminiscent of the old Robot Wars show in the late 90s but slightly less violent. Four Unitree G1 robots, each roughly the size...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 263 มุมมอง 0 รีวิว
  • เขียนเล่าเรื่องพันธุกรรมมนุษย์มาหลายต่อหลายครั้ง ทั้งที่ความรู้นี้โลกเขารับรู้มาตั้งแต่ปี 2004 แล้ว ปัจจุบันนักวิชาการไทยหลายคนก็ทำวิจัยเรื่องนี้ตีพิมพ์ออกมาพอสมควร แต่ก็ยังมีบางพวกบางกลุ่มที่ยังตะแบงติดกับดักวังวนของสำนักคิดเก่าๆ อยู่อย่างนั้น ไอ้ที่แย่กว่าคือ จำต้องยอมรับวิทยาศาสตร์นี้โดยปริยายทั้งที่ไปกันไม่ได้กับเรื่องที่ตนเขียน แต่ความที่เคยพูดเคยเขียนหนังสือขายหาเงินรับประทานมาไม่น้อยกับความรู้ผิดๆ ครึ่งๆกลางๆ งูๆปลาๆ ก็เลยยังต้องยืนยันความคิดเดิมตะแบงต่อไป ถ้าไอ้ส่วนที่ความรู้ใหม่มันไปกันได้กับที่เคยเขียนก็จะหยิบมาอ้าง แต่ส่วนที่มันฟ้องว่าเอ็งเข้าใจผิดแล้วก็จะเลี่ยงเสีย เช่นกรณีเฒ่าเจ๊กปนลาวชังชาตินั่น
    .
    ความแบ่งแยกอันเป็นความคิดของปีศาจ นำมาซึ่งชื่อสมมุติ ที่โดยมากมักอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อปฏิเสธความเกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างอัตลักษณ์ใหม่ เพื่อให้ดูแตกต่างกับผู้คนหรือบรรพบุรุษที่เคยเกี่ยวข้อง ไม่ว่าเครื่องแต่งกายก็ตาม ความเชื่อ ภาษาพูดก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เครื่องพิสูจน์องค์ประกอบของตัวมนุษย์แต่ละผู้ว่าเป็นใครหรือเผ่าพันธุ์ไหน เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าความเป็นเจ๊กปนลาวที่พูดไทยหากินกับภาษาไทยของเฒ่าผู้นั้น อาจเป็นเรื่องเลื่อนลอยไปได้ ลาวที่เขาคิดว่าเป็นพ่ออาจเป็นกัมมุ และเจ๊กที่เขาคิดว่าเป็นแม่อาจเป็นชนเผ่าฮักกา ที่ซึ่งไม่ใช่เจ๊ก แต่เป็นเยว่ ก็เป็นได้... อยากจะแน่ใจก็ไปตรวจซะ
    .
    อย่างที่ทราบ (เอ๊ะ หรือใครยังไม่ทราบ?) มนุษย์ที่เป็นชนชาติต่างๆในโลกนี้ อพยพออกมาจากแอฟริกาเมื่อแสนกว่าปีก่อน เป็นหน่อเนื้อลูกหลานของบรรพบุรุษที่อาศัยในบริเวณที่ปัจจุบันเรียกว่าซาฮาร่า ดังนั้นนักวิชาการเลย "นิยามชื่อ" พวกเขาว่าพวก "ซาฮารันโบราณ" ผู้ชายทุกคนในโลกนี้ไม่ว่าคนออสตราอะบอริจิ้น คนเอเชีย คนตะวันออกกลาง คนยุโรป คนเมโสอเมริกา ล้วนมียีนของอาดัมทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าวายโครโมโซม M168 นี้ทุกคน ยกเว้นพวกแอฟริกาบางเผ่าที่บรรพบุรุษไม่ได้อพยพออกมาและยังคงอยู่รอดในแอฟริกาจนถึงปัจจุบันนี้
    .
    ด้วยภาพใหญ่นี้ สาแหรกพันธุกรรมแสดงให้เห็น "DEEP ANCESTOR" โคตรเหง้าที่ลึกที่สุดของมนุษย์โลก "การที่พวกอาหรับพูดภาษาสกุลเซมิติคส่วนคนไทยอย่างเราพูดภาษาสกุลจ้วง-ไท ความแตกต่างนี้ไม่อาจลบล้างข้อเท็จจริงทางพันธุกรรมที่ทั้งคู่มี Deep Ancestor ร่วมกันไปได้". ทุกวันนี้มนุษย์ที่มียีนของ M168 เก่าแก่กว่าใครในโลกคือพวก San Bushman พวกเขาพูดภาษาสกุลกอยซานที่ในทาง Linguistic ถือว่าเป็นภาษาลูกของภาษาซาฮารันโบราณที่ยอมรับกันว่าคือ Global Early Language * หมายถึงภาษาแรกของโลก เมื่อพิจารณาจากวิทยาศาสตร์ข้อนี้ มนุษย์ทุกชนชาติที่มีชื่อสมมุติกันไปต่างๆ จะว่าไปก็ถือเป็นคนกอยซานทั้งสิ้น ดังนั้นคุณจงอย่าได้ยึดติดว่าภาษาพูดของชาติพันธ์หนึ่ง จะบ่งบอกว่าเขาคือชาติพันธ์นั้นเสมอไป... คนจีนอพยพตั้งแต่รุ่นที่สองที่อยู่ในเมืองไทยพูดภาษาไทยชัดทุกคน คนอเมริกันที่เกิดที่นี่ คนอินเดียที่เกิดที่นี่พูดไทยสำเนียงไทยชัดทุกคน และเป็นไปได้ว่าวันหนึ่งเขาอาจย้ายไปอยู่ที่ภูฏานเป็นการถาวรจนลูกหลานเขาเกิดที่นั่น แล้วพูดภาษาภูฏานชัดเจน
    .
    [* ภาษากอยซาน : นักภาษาศาสตร์ลงความเห็นว่าคือภาษาที่เก่าที่สุดในโลก มีลักษณะพิเศษคือมีเสียงคลิ๊กอยู่ในคำ ซึ่งได้หายไปจากภาษาอื่นๆ ที่เกิดภายหลัง นักวิชาการเชื่อว่า เมื่อบรรพบุรุษของเราอพยพออกจากแอฟริกาเมื่อแสนปีก่อน พวกเขามีภาษาพูดแล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่สามารถล่าสัตว์ใหญ่อย่างแมมมอธได้ เพราะการล่าเช่นนี้ต้องทำงานเป็นทีม ไม่มีภาษาก็ทำงานเป็นทีมไม่ได้]
    .
    เมื่อมนุษย์มาจากแอฟริกาและเรามีเชื้อสายซาฮารันมาก่อน ทำไมเราจึงพูดกันไม่รู้เรื่อง พูดกันคนละภาษา ผมเคยเขียนบทความหนึ่งชื่อ บาเบล สืบเนื่องจากคัมภีร์ปฐมกาลบทที่ชื่อบาเบล เล่าว่า “พระเจ้าทรงเห็นว่ามนุษย์สร้างหอคอยใหญ่เทียมฟ้าขึ้นมาได้ พวกเขาอยากจะทำอะไรก็จะสำเร็จได้ อย่ากระนั้นเลย เราจะบันดาลให้เขาพูดกันไม่รู้เรื่อง ผู้คนก็แยกย้ายกันไป เป็นชนชาติต่างๆ ภาษาต่างๆ” นี่...ใครสักคนป้ายสีพระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นมูลเหตุให้มนุษย์พูดกันไม่รู้เรื่อง. ใครสักคนในที่นี้มีอย่างน้อยสามคน นักภาษาศาสตร์ยุคใหม่วิเคราะห์ลักษณะการเขียน สำนวน คำศัพท์ที่ใช้ซึ่งบ่งบอกรากฐานและยุคสมัยได้ ทำการวิเคราะห์พระคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับคิงเจมส์ พวกเขาลงความเห็นว่า คัมภีร์ไบเบิ้ลมีผู้เขียนราวสามคน มีลักษณะการเขียนที่แตกต่างกันสามสำนวน คละเคล้ากันไปในแต่ละบท บางบทมีการปนกันมากกว่าหนึ่งสำนวน และยังลงความเห็นว่ารูปแบบการเขียนของบทปฐมกาล (genesis) เขียนทีหลังบทอพยพ (exodus)
    .
    นอกจากนี้นักภาษาศาสตร์ยุคหลังมานี่เชื่อว่าภาษาอินโดยูโรเปี้ยนนี้ คือผลของการทุบทำลายภาษาแม่ครั้งสำคัญในโลก เมื่อคุณพิจารณาพันธุกรรม คุณจะต้องทราบว่าผู้ชายชาวยุโรปและตะวันออกกลางแชร์สาแหรกพันธุกรรมในเครือเดียวกันคือ R / J / E อย่างที่ผมเขียนเรื่องยิวและปาเลสไตน์ไปก่อนนี้.. พวกคนยุโรป เปอร์เซีย อารยัน (ที่ภายหลังไปบุกอินเดียโบราณ) ล้วนเป็นสาแหรกเดียวกัน อย่าว่าแต่ยิวซึ่งเป็น semitic speaker ฆ่าปาเลสไตน์ที่เป็นพี่น้องใกล้ชิดเลย หากคนกรีก คนโรมัน ไปฆ่าคนเปอร์เซียหรือกลับกัน ก็คือพี่น้องฆ่ากันอยู่ดีนั่นแหละ อยู่มาวันหนึ่ง ไม่แน่ชัดว่าอะไรเป็นเหตุ หลังสงครามเทวีที่เกิดการต่อต้านปฏิเสธความเชื่อที่นับถือแม่เป็นใหญ่ เทวรูปของเทพีมากมาย เช่น Artemis เทวีผู้มอบความอุดมสมบูรณ์ ต่างพากันถูกทุบจมูกทุบใบหน้าทิ้งให้ดูน่าเกลียด ชนชาติที่เคยเกี่ยวดองกัน พลันแยกออกจากกันเป็นชนชาติใหม่ พูดภาษาใหม่ เด็กที่เกิดใหม่นับแต่นั้นจะถูกฝึกให้พูดภาษาที่สร้างขึ้นมา จากนั้นก็ตามมาด้วยชื่อสมมุติอย่างเช่น อัสซีเรีย อัคเคเดียน ฮิตไทท์... จากนั้นก็ตามมาด้วยสงครามพี่น้องฆ่ากัน ทั้งที่ชีววิทยาพันธุกรรมบอกว่าพวกเขาคือพี่น้องคลานตามกันมาทั้งนั้น และถ้าอ้างไบเบิ้ล อย่างเช่นกรณีของบุตรหลานของ Sam ลูกหลานของโนอาห์ ก็อย่างที่เคยเล่าไปแล้ว ความแบ่งแยกทำให้พวกเขาปฏิเสธสายใยที่มี
    .
    อย่างที่ชี้ให้เห็นนี่ ดีเอ็นเอบอกเราถึงความเป็นพี่น้องร่วมสาแหรก แต่พวกเขาปฏิเสธกันเองแล้วแบ่งแยก ทุบทำลายภาษาแม่ทิ้งไปพร้อมๆ กันในเวลาไล่เลี่ยกัน ไม่ใช่เพราะฝีมือพระเจ้าหรอก มนุษย์นี่แหละ นักภาษาศาสตร์โบราณคดีทำการค้นคว้าเรื่องนี้แล้วทำการโยงภาษาในสกุลอินโดยูโรเปี้ยนทั้งหมด ย้อนกลับไปสู่ภาษาซาฮารันโบราณ ด้วยพจนานุกรมคำศัพท์ของพวก Basque (กลุ่มคนที่ isolated อยู่ในสเปนซึ่งเชื่อว่าเป็นภาษาลูกที่เหลืออยู่ของภาษาซาฮารัน).. เรื่องนี้ยาวนะ ผมเคยเล่าไว้ในบทความชื่อบาเบลที่ผมเกริ่นไปข้างบน ใครอยากลงลึกให้ไปอ่าน Linguistic Archaeology เขียนโดย Edo Nyland
    .
    เวลาเจอบทความอะไรจากเฒ่าเจ๊กปนลาวผู้นี้ รวมทั้งจากพวกสาวกกระดูกอ่อนของเขาก็เลยออกจะรำคาญ ด้วยการอ้างชื่อต่างๆ พวกเขาเชื่อมโยงยกแม่น้ำเป็นตุเป็นตะ ไอ้นั่นมาจากไหน ไอ้นี่มาจากไหน โดยไม่มีหลักฐานอะไรที่หนักแน่นพอมารองรับ… ยกตัวอย่างเช่นใช้กลองสำริดบ้าง ใช้ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณบ้าง มาอ้างอิงทั้งที่ไม่เข้าใจว่าดูอะไรอยู่
    .
    ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณแต่ละแห่งที่พบในโลกที่รังสรรค์โดยบรรพบุรุษยุคแรก ถ้าคุณทาบข้อมูลทางโบราณคดีของมันกับข้อมูลอื่น เช่น พันธุกรรมและการอพยพย้ายถิ่น ธรณีวิทยา ภาษาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ มานุษยวิทยา วิทยาศาสตร์.. ก็จะรู้อะไรที่ต่างไปจากที่เคยมีคนสันนิษฐานกันออกมาก่อนหน้านี้ได้ เช่น ภูมิศาสตร์บอกว่าลักษณะภูมิประเทศแบบใดที่มนุษย์โบราณในยุคนั้นชอบใช้เป็นที่อาศัยและหลบภัย ลักษณะทางภูมิศาสตร์แบบไหนที่พบภาพเขียนสี ทำไมมันจึงถูกเลือกเป็นที่จัดทำนิทรรศการ.. ธรณีวิทยาบอกว่า พบดินแบบเดียวกันถูกใช้เป็นสีเขียนผนังถ้ำทุกแห่ง.. วิทยาศาสตร์บอกองค์ประกอบธาตุของสีที่ใช้เขียนว่าเป็นแบบเดียวกัน ซึ่งแปลได้ว่าพวกเขาเรียนหนังสือมาจากที่เดียวกัน คือเรียนรู้เทคนิคในการทำแบบนี้ซ้ำต่อๆ กันมาเหมือนๆ กัน.. มานุษยวิทยาเห็นการสะท้อนธรรมเนียมนิยมทางวัฒนธรรมบรรพกาลของพวกเขา เช่น เอาสีใส่ปากพ่นผ่านมือให้เป็นรูปมือ เขียนรูปคนและสัตว์ที่มีลักษณะทาง figure ที่คล้ายคลึงกัน มีจินตนาการในการสร้างลักษณะของบุคคลที่พิเศษออกไปจากคนปกติเพื่อแสดงว่าเป็นผีสางเทวดาที่เขานับถือ... มีการวิเคราะห์คุณสมบัติทางวิทยาศาสตร์ของสภาวะแวดล้อมของพื้นที่ศักดิ์สิทธ์ที่พวกเขาไปเขียนรูปไว้ เช่น คุณสมบัติการก้องสะท้อนเสียงของสถานที่
    .
    และเมื่อทาบพันธุกรรมลงไปดูความสอดคล้องกัน เริ่มจากพวกเผ่า San Bushman ที่มียีนของอดัมที่เก่าที่สุดในโลก พบว่าพวกเขาทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันทุกด้านดังที่ได้กล่าวไปนั่น พวกอัสเลียนโบราณก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันกับที่กล่าวไปเช่นกัน เอาภาพเขียนสีเช่นที่ถ้ำเขาจันทร์งาม สีคิ้ว ไปเปรียบกับภาพเขียนสีในแอฟริกาที่พวกกอยซานทำ ทุกองค์ประกอบที่ว่านั่นก็จะเห็นว่าเหมือนกัน... พวกปาปัว-ออสตราอะบอริจิ้น ก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกับที่กล่าวไป นี่เป็นนวัตกรรมที่เป็นมรดกโคตรยาวนานของมนุษย์ จากแอฟริกาไปสู่จุดต่างๆในโลก ในวันนี้ พวกเขาเหล่านี้พูดกันคนละภาษา มันดูไม่มีความกี่ยวข้องกันใช่ไหมล่ะ? แต่วิทยาศาสตร์ไม่ได้บอกเช่นนั้น ในพันธุกรรมมี mutation ในวัฒนธรรมมี cultural transmission ถ้าเราขยับไปดูสิ่งที่คุ้นเคยกว่านั้นอีกสักอย่าง เช่น "กลอง".. มนุษย์ทุกแห่ง ตั้งแต่พวกที่อยู่ในแอฟริกา แม้แต่พวกชนเผ่าที่ไม่ได้อพยพไปไหนเลยจนกระทั่งยุคล่าอาณานิคม กับมนุษย์ทุกชนชาติที่กระจายอยู่ในทุกมุมโลก พวกเขาต่างทำกลองเหมือนกัน วิธีการคือ ด้วยการขึงหนังสัตว์ (membrane) ลงบนปากทรงกลมของวัตถุทรงกระบอก (cylinder) ขึงให้ตึงและตีให้สั่น นี่คือนวัตกรรมที่เรียก Membranophones คนทั้งโลกไม่ได้ต่างคนต่างทำเหมือนกันโดยบังเอิญ มันคือมรดกที่ส่งต่อกันมาตั้งแต่ก่อนอพยพเมื่อแสนปีที่แล้วและเก่าพอๆ กับภาษาแรก
    .
    ซากบรรพชีวินที่นักวิชาการไทยอย่างที่อาจารย์รัศมีท่านสำรวจและค้นคว้าอยู่ กรอบเวลาเท่าไหร่? โนนนกทา? บ้านเชียง? พวกนั้นเป็นใคร? โฮโมเซเปี้ยนส์แน่นอน ชีววิทยาบอกชัดว่าเซเปี้ยนส์ เราไม่ได้วิวัฒน์มาจากโฮโมอีเร็คตัส พวกนั้นสูญพันธ์ไปแล้วก็จบ ยีนพ่อไม่เคยหายไปจากมนุษย์และเราไม่มียีนของอีเร็คตัสอยู่ในตัวเรา เมื่อราวเจ็ดหมื่นปีก่อน เกิด super eruption ขึ้นที่ภูเขาโทบาในสุมาตราโบราณ [https://geographical.co.uk/.../explainer-the-toba...] ทิ้งบาดแผลไว้เป็นทะเลสาปโทบาให้ดูในทุกวันนี้ ภัยพิบัตินี้รุนแรง มันตามมาด้วยฤดูหนาวนิวเคลียร์ (นักวิชาการว่าเช่นนี้) เถ้าภูเขาไฟปกคลุมโลกนานหลายปีและลอยไปไกลถึงกรีนแลนด์ โฮโมอีเร็คตัสในเอเชียถ้ายังมีชีวิตอยู่จะต้องตายหมด ดังนั้นไม่ว่าจะมนุษย์ปักกิ่ง มนุษย์ชวาอะไร ไม่เกี่ยวกับเราทั้งนั้น กรอบเวลาของบรรพบุรุษเราที่มาถึงที่นี่คือห้าหมื่นและสามหมื่นปีมาแล้ว มากันสองระลอก และคนพื้นเมืองที่บุกเบิกดินแดนนี้ไม่ได้แปะยี่ห้ออะไรเมื่อมาถึง นอกจากเรียกตัวเองว่า กอย หมายถึง คน… (ข่า ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย.. ลาว ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย)
    .
    ในความเป็นจริง มนุษย์โบราณที่เป็นบรรพบุรุษของชายชาวเอเชียราว 75 เปอร์เซ็นต์ล้วนเป็น Y DNA Hg O คือครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก พวกเขามิวเททมาจากสาแหรกของพ่อ Y DNA Hg K ซึ่งมาถึงเอเชียกลางเมื่อราวสี่หมื่นปีและกระจายออกไป ทั้งที่ข้ามโกบีและไซบีเรีย ข้ามเบริงเจียไปอเมริกา (Hg Q) กลายเป็นพวกนาวาโฮ... ทั้งที่ย้อนกลับเข้าไปในยุโรปเผชิญความทารุณของยุคน้ำแข็งกลายเป็นพวกยุโรป (Hg R)… บรรพบุรุษพวกนี้ เมื่อตั้งถิ่นฐานตรงจุดใด ก็มักอยู่ตรงนั้น ลองนึกถึงความเป็นจริงว่า การย้ายถิ่นฐานใช้เวลายาวนานหลายชั่วคน เมื่อผู้อาวุโสหรือพ่อของเขาแก่เฒ่าไร้เรี่ยวแรงที่จะเดินทางบุกเบิกต่อไป บางส่วนของพวกเขาจะหยุดการเดินทางและตั้งหลักแหล่งโดยเฉพาะเมื่อพบสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์พอจะดำรงชีพ คนหนุ่มจะเดินทางผจญภัยต่อไปเพื่อหาที่ของตนที่จะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำ ได้มองโลกด้วยทัศนะของพวกเขาเอง พวกเขาจะพบปัญหาใหม่ จะได้หาทางแก้ไขสถานะการณ์ที่ไม่เคยพบ ดังนั้นพวกเขาจะมีเทคโนโลยีที่ดีขึ้นไปเองโดยธรรมชาติ จนเมื่อพวกเขาพบว่าได้เจอสถานที่ที่พึงพอใจหรือไปต่อไม่ได้แล้ว การเดินทางก็จะหยุด
    .
    คุณคิดว่ามีมนุษย์จำนวนเท่าไหร่ เมื่อพวกเขามาถึงแผ่นดินซุนดาเมื่อสามหมื่นปีก่อน?
    .
    บรรพบุรุษของเรา เดินทางมาตามซุปเปอร์ไฮเวย์โบราณสายเอเชียกลางที่เป็นทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ อุดมด้วยกวางแอนทีโลฟและช้างแมมมอธ ท้องอิ่ม อบอุ่น และอันตรายน้อย เมื่อมาถึงซุนดา คุณคิดว่าพวกเขาจะอยู่อาศัยกันที่ไหน? บนภูเขา ในป่า หรือที่ราบลุ่มปากแม่น้ำ? ไปคิดดูเป็นการบ้าน
    .
    หากพิจารณาดูปัจจัยต่างๆ เราจะรู้ได้ว่าชุมชนบรรพกาล มักจะตั้งอยู่บนที่ที่เหมาะสมในการผดุงชีพ อ.สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา ให้ความเห็นว่า เนื่องเพราะบรรพบุรุษพวกนี้ต้องเผชิญกับน้ำท่วมซุนดาถึงสามครั้ง พวกเขานิยมสร้างบ้านที่มีเสาสูงและมีไต้ถุนสูง ทำแพและมีทักษะในการเดินทางด้วยแพ ซึ่งพร้อมที่จะอพยพหนีโดยล่องด้วยแพขึ้นไปเรื่อยๆ สู่ทิศทางต้นน้ำ ไม่เดินเท้าเพราะไม่รู้ว่าน้ำจะมาทางไหน เมื่อเห็นและแน่ใจว่าน้ำหยุดท่วมแล้วก็ปักหลักตั้งถิ่นฐานใหม่ เพราะพวกเขารู้ดีว่าไม่มีจุดไหนที่มีทรัพยากรอุดมไปกว่าริมแม่น้ำ ทั้งสัตว์น้ำและดินที่เหมาะแก่การเพาะปลูก ในป่านั้นมีโรคมากมายและสัตว์ร้าย พวกเขาจะเข้าไปต่อเมื่อต้องการล่าหรือหาของป่า
    .
    ชุมชนบรรพกาลเหล่านี้ เมื่อพบพื้นที่ที่พวกเขาพึงพอใจแล้วก็มักจะปักหลักอยู่เช่นนั้น สืบต่อกันไปหลายชั่วคน หลักฐานทางโบราณคดีก็ชี้ชัดเช่นนั้น ทำให้เกิดชุมชนโบราณขึ้นตรงนั้นตรงนี้มากมายและขยายตัวออกไป เกษตรกรรมเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เลิกเร่ร่อนแล้วหยุดตั้งหลักแหล่ง ผลที่เก็บเกี่ยวแน่นอนตามฤดูกาลทำให้ปัจจัยทางอาหารมั่นคง ดังนั้นพวกเขาจะไม่ย้ายไปไหนโดยง่ายถ้าไม่ใช่เพราะภัยธรรมชาติ โรคระบาด หรือสงครามจากคนกลุ่มอื่นมาบีบบังคับให้ย้ายไปที่อื่น ชุมชนบรรพกาลซึ่งประชากรมีอยู่น้อย ย่อมต้องการปริมาณแรงงานไว้เพื่อสร้างชุมชนของตนให้เติบโตรุ่งเรืองขึ้น ถ้าไม่เกิดปัญหาที่ว่านี้ พวกเขาก็จะไม่ย้ายไปไหน พวกเขาจำฤดูกาลประจำถิ่น ทิศทางลม เวลาน้ำขึ้นลง ยาอยู่ที่ไหน อะไรเป็นยา จำต้นไม้ได้ทุกต้นและรู้ว่าอะไรใช้ทำอะไรได้บ้าง สัตว์อยู่ที่ไหน หาเจอยังไง จับยังไง... ความรู้ในภูมิลำเนาพวกนี้ใช้เวลาสั่งสมยาวนาน
    .
    เราต่างได้เรียนรู้กันมามากพอสมควรเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แต่บางครั้งนิยามหรือความสมมุติในความเป็นชนชาติบ้านเมืองต่างๆ มักพาให้ไขว้เขว บางถิ่นฐาน ผู้ปกครองเป็นผู้มีศักดิ์ฐานะ มีทรัพยากรมาก แต่เป็นคนต่างถิ่นมาจากที่อื่น ไม่ต่างกับทุกวันนี้ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหัวเมืองเช่นเชียงราย อาจเป็นลูกเศรษฐีตระกูลใหญ่จากกรุงเทพ สมัยโบราณก็เช่นกัน ประชากรเป็นคนพื้นเมืองท้องถิ่น อาจอยู่ที่นั่นมาแปดชั่วคนแล้ว เขาไม่ย้ายไปที่อื่นเพียงเพราะผู้ปกครองไม่ใช่คนพื้นเมืองเหมือนตน ถ้าปกครองดี ทุกคนยังกินอิ่ม ไม่รีดภาษี ไม่ก่อกรรมทำเข็ญ ข่มเหงรังแก พวกเขาก็จะอยู่อย่างนั้นต่อไปในรุ่นลูกรุ่นหลาน จักรวรรดิจีนโบราณดินแดนกว้างใหญ่ ประชากรไม่ได้มีแต่จีนฮั่นเท่านั้น ยังมีประชากรที่เป็นชนเผ่าอื่นๆในปกครองหลายสิบเผ่า แล้วก็มีผู้ปกครองที่มาจากถิ่นอื่นมาปกครอง เคยมีกษัตริย์ที่เป็นมองโกล กษัตริย์ที่เป็นแมนจูมานั่งบัลลังก์ฮ่องเต้ ยิ่งรูปงามผิวพรรณผุดผ่องมาพร้อมโปรโมชั่นว่าเป็นเทพลงมาเกิดก็จะทำให้รู้สึกนับถืออยากพึ่งพาบารมี ดังนั้นผู้ปกครองก็อาจเป็นชาติพันธุ์หนึ่งขณะที่ประชากรในดินแดนเป็นอีกชาติพันธุ์หนึ่งได้ เช่น ผู้ปกครองมีชื่อสมมุติว่าเป็นชาติพันธุ์ลาว ผู้ใต้ปกครองอาจเป็นชาวพื้นเมืองมีชื่อสมมุติว่าชาติพันธุ์ข่า เป็นต้น.. ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่พูดนี่ เป็นคนละเรื่องกับแนวความคิดเรื่องชาติ ประเทศ รัฐ ชนชาติและสัญชาติ ซึ่งเป็นความคิดใหม่ที่เกิดขึ้นภายหลังตามคติของอาณานิคมตะวันตก
    .
    สำหรับผมมันเป็นเรื่องตลก ที่พูดว่าคนโคราชไม่ใช่คนอีสาน
    ความยึดมั่นของผู้พูดผูกโยงกับภูมิลำเนา ผูกกับสำเนียงภาษาที่ใช้ แล้วเอามามัดให้ประชากรนั้นเป็นเผ่าพันธ์ตามที่ตนผูกไว้
    .
    คนอีสานคือใครในทัศนะวิทยาศาสตร์ คนอีสานอาจประกอบด้วยพลเมืองจากทางเหนือที่มาไกลจากจีน มาจากหยุนหนาน หรืออาจมาจากเวียตนาม ได้มากพอกับมีพลเมืองที่มีชื่อสมมุติว่า "ลาว" ที่เฒ่างี่เง่านี้นิยามให้สาวกเชื่อว่าเป็นคนท้องถิ่นโดยแท้แล้วก็ปฏิเสธในเชิงที่รู้สึกได้ว่าพยายามจะบอกใครๆ ว่าคนโคราชเป็น "สิ่งแปลกปลอมในท่ามกลางคนอีสาน" ผมรู้สึกอย่างนั้น แล้วเขาก็โยงเรื่องโยงชื่อ ทั้งคนทั้งสถานที่ มั่วไปหมดชนแพะชนแกะชนควาย อนุมานเอาตามความเชื่อตน ทั้งที่ความเป็นจริงทุกมนุษย์ที่อ้างอิงมานั่นไม่ว่าจะด้วยคำ สยาม ทวารวดี มอญ อยุธยา สุพรรณ โคราช ศรีโคตรบูรณ์ เวียงจันทร์ ชัยวรมัน.... บลาๆๆ... ล้วนคือ Y Chromosome DNA Haplogroup O (O2 เป็นจำนวนเปอร์เซ็นต์สูงสุด) ทั้งนั้น ต่อให้หมู่บ้านนึงมันดันพูดได้สามภาษา ทั้งลาวทั้งอังกฤษทั้งเกาหลีสำเนียงเป๊ะทั้งหมู่บ้านก็ตามที
    .
    เขย่าไว้ไม่ให้นอนก้น
    ข้าว่าพวกเอ็งมันนอนก้นถอยหลังไปสองร้อยปี
    ฟังวนอยู่ห้าคำสิบคำ เต็มไปด้วยคำว่า “สันนิษฐานว่า…“
    แปลเป็นไทยคือ คาดว่า เดาว่า... คือเอ็งไม่รู้ไง เชื่อเองเออเองแล้วมาชวนคนอื่นให้เชื่อตาม
    .
    นี่รู้ไหม...
    มีไม่น้อยนะที่สันนิษฐานว่ามนุษย์เซเปี้ยนส์นี่น่ะ มาจากเชื้อพันธุ์มนุษย์ต่างดาวชื่อ อนูนากิ แกเชื่อไหมเล่า?
    .
    - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา [2568] -
    .
    เขียนเล่าเรื่องพันธุกรรมมนุษย์มาหลายต่อหลายครั้ง ทั้งที่ความรู้นี้โลกเขารับรู้มาตั้งแต่ปี 2004 แล้ว ปัจจุบันนักวิชาการไทยหลายคนก็ทำวิจัยเรื่องนี้ตีพิมพ์ออกมาพอสมควร แต่ก็ยังมีบางพวกบางกลุ่มที่ยังตะแบงติดกับดักวังวนของสำนักคิดเก่าๆ อยู่อย่างนั้น ไอ้ที่แย่กว่าคือ จำต้องยอมรับวิทยาศาสตร์นี้โดยปริยายทั้งที่ไปกันไม่ได้กับเรื่องที่ตนเขียน แต่ความที่เคยพูดเคยเขียนหนังสือขายหาเงินรับประทานมาไม่น้อยกับความรู้ผิดๆ ครึ่งๆกลางๆ งูๆปลาๆ ก็เลยยังต้องยืนยันความคิดเดิมตะแบงต่อไป ถ้าไอ้ส่วนที่ความรู้ใหม่มันไปกันได้กับที่เคยเขียนก็จะหยิบมาอ้าง แต่ส่วนที่มันฟ้องว่าเอ็งเข้าใจผิดแล้วก็จะเลี่ยงเสีย เช่นกรณีเฒ่าเจ๊กปนลาวชังชาตินั่น . ความแบ่งแยกอันเป็นความคิดของปีศาจ นำมาซึ่งชื่อสมมุติ ที่โดยมากมักอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อปฏิเสธความเกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างอัตลักษณ์ใหม่ เพื่อให้ดูแตกต่างกับผู้คนหรือบรรพบุรุษที่เคยเกี่ยวข้อง ไม่ว่าเครื่องแต่งกายก็ตาม ความเชื่อ ภาษาพูดก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เครื่องพิสูจน์องค์ประกอบของตัวมนุษย์แต่ละผู้ว่าเป็นใครหรือเผ่าพันธุ์ไหน เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าความเป็นเจ๊กปนลาวที่พูดไทยหากินกับภาษาไทยของเฒ่าผู้นั้น อาจเป็นเรื่องเลื่อนลอยไปได้ ลาวที่เขาคิดว่าเป็นพ่ออาจเป็นกัมมุ และเจ๊กที่เขาคิดว่าเป็นแม่อาจเป็นชนเผ่าฮักกา ที่ซึ่งไม่ใช่เจ๊ก แต่เป็นเยว่ ก็เป็นได้... อยากจะแน่ใจก็ไปตรวจซะ . อย่างที่ทราบ (เอ๊ะ หรือใครยังไม่ทราบ?) มนุษย์ที่เป็นชนชาติต่างๆในโลกนี้ อพยพออกมาจากแอฟริกาเมื่อแสนกว่าปีก่อน เป็นหน่อเนื้อลูกหลานของบรรพบุรุษที่อาศัยในบริเวณที่ปัจจุบันเรียกว่าซาฮาร่า ดังนั้นนักวิชาการเลย "นิยามชื่อ" พวกเขาว่าพวก "ซาฮารันโบราณ" ผู้ชายทุกคนในโลกนี้ไม่ว่าคนออสตราอะบอริจิ้น คนเอเชีย คนตะวันออกกลาง คนยุโรป คนเมโสอเมริกา ล้วนมียีนของอาดัมทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าวายโครโมโซม M168 นี้ทุกคน ยกเว้นพวกแอฟริกาบางเผ่าที่บรรพบุรุษไม่ได้อพยพออกมาและยังคงอยู่รอดในแอฟริกาจนถึงปัจจุบันนี้ . ด้วยภาพใหญ่นี้ สาแหรกพันธุกรรมแสดงให้เห็น "DEEP ANCESTOR" โคตรเหง้าที่ลึกที่สุดของมนุษย์โลก "การที่พวกอาหรับพูดภาษาสกุลเซมิติคส่วนคนไทยอย่างเราพูดภาษาสกุลจ้วง-ไท ความแตกต่างนี้ไม่อาจลบล้างข้อเท็จจริงทางพันธุกรรมที่ทั้งคู่มี Deep Ancestor ร่วมกันไปได้". ทุกวันนี้มนุษย์ที่มียีนของ M168 เก่าแก่กว่าใครในโลกคือพวก San Bushman พวกเขาพูดภาษาสกุลกอยซานที่ในทาง Linguistic ถือว่าเป็นภาษาลูกของภาษาซาฮารันโบราณที่ยอมรับกันว่าคือ Global Early Language * หมายถึงภาษาแรกของโลก เมื่อพิจารณาจากวิทยาศาสตร์ข้อนี้ มนุษย์ทุกชนชาติที่มีชื่อสมมุติกันไปต่างๆ จะว่าไปก็ถือเป็นคนกอยซานทั้งสิ้น ดังนั้นคุณจงอย่าได้ยึดติดว่าภาษาพูดของชาติพันธ์หนึ่ง จะบ่งบอกว่าเขาคือชาติพันธ์นั้นเสมอไป... คนจีนอพยพตั้งแต่รุ่นที่สองที่อยู่ในเมืองไทยพูดภาษาไทยชัดทุกคน คนอเมริกันที่เกิดที่นี่ คนอินเดียที่เกิดที่นี่พูดไทยสำเนียงไทยชัดทุกคน และเป็นไปได้ว่าวันหนึ่งเขาอาจย้ายไปอยู่ที่ภูฏานเป็นการถาวรจนลูกหลานเขาเกิดที่นั่น แล้วพูดภาษาภูฏานชัดเจน . [* ภาษากอยซาน : นักภาษาศาสตร์ลงความเห็นว่าคือภาษาที่เก่าที่สุดในโลก มีลักษณะพิเศษคือมีเสียงคลิ๊กอยู่ในคำ ซึ่งได้หายไปจากภาษาอื่นๆ ที่เกิดภายหลัง นักวิชาการเชื่อว่า เมื่อบรรพบุรุษของเราอพยพออกจากแอฟริกาเมื่อแสนปีก่อน พวกเขามีภาษาพูดแล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่สามารถล่าสัตว์ใหญ่อย่างแมมมอธได้ เพราะการล่าเช่นนี้ต้องทำงานเป็นทีม ไม่มีภาษาก็ทำงานเป็นทีมไม่ได้] . เมื่อมนุษย์มาจากแอฟริกาและเรามีเชื้อสายซาฮารันมาก่อน ทำไมเราจึงพูดกันไม่รู้เรื่อง พูดกันคนละภาษา ผมเคยเขียนบทความหนึ่งชื่อ บาเบล สืบเนื่องจากคัมภีร์ปฐมกาลบทที่ชื่อบาเบล เล่าว่า “พระเจ้าทรงเห็นว่ามนุษย์สร้างหอคอยใหญ่เทียมฟ้าขึ้นมาได้ พวกเขาอยากจะทำอะไรก็จะสำเร็จได้ อย่ากระนั้นเลย เราจะบันดาลให้เขาพูดกันไม่รู้เรื่อง ผู้คนก็แยกย้ายกันไป เป็นชนชาติต่างๆ ภาษาต่างๆ” นี่...ใครสักคนป้ายสีพระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นมูลเหตุให้มนุษย์พูดกันไม่รู้เรื่อง. ใครสักคนในที่นี้มีอย่างน้อยสามคน นักภาษาศาสตร์ยุคใหม่วิเคราะห์ลักษณะการเขียน สำนวน คำศัพท์ที่ใช้ซึ่งบ่งบอกรากฐานและยุคสมัยได้ ทำการวิเคราะห์พระคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับคิงเจมส์ พวกเขาลงความเห็นว่า คัมภีร์ไบเบิ้ลมีผู้เขียนราวสามคน มีลักษณะการเขียนที่แตกต่างกันสามสำนวน คละเคล้ากันไปในแต่ละบท บางบทมีการปนกันมากกว่าหนึ่งสำนวน และยังลงความเห็นว่ารูปแบบการเขียนของบทปฐมกาล (genesis) เขียนทีหลังบทอพยพ (exodus) . นอกจากนี้นักภาษาศาสตร์ยุคหลังมานี่เชื่อว่าภาษาอินโดยูโรเปี้ยนนี้ คือผลของการทุบทำลายภาษาแม่ครั้งสำคัญในโลก เมื่อคุณพิจารณาพันธุกรรม คุณจะต้องทราบว่าผู้ชายชาวยุโรปและตะวันออกกลางแชร์สาแหรกพันธุกรรมในเครือเดียวกันคือ R / J / E อย่างที่ผมเขียนเรื่องยิวและปาเลสไตน์ไปก่อนนี้.. พวกคนยุโรป เปอร์เซีย อารยัน (ที่ภายหลังไปบุกอินเดียโบราณ) ล้วนเป็นสาแหรกเดียวกัน อย่าว่าแต่ยิวซึ่งเป็น semitic speaker ฆ่าปาเลสไตน์ที่เป็นพี่น้องใกล้ชิดเลย หากคนกรีก คนโรมัน ไปฆ่าคนเปอร์เซียหรือกลับกัน ก็คือพี่น้องฆ่ากันอยู่ดีนั่นแหละ อยู่มาวันหนึ่ง ไม่แน่ชัดว่าอะไรเป็นเหตุ หลังสงครามเทวีที่เกิดการต่อต้านปฏิเสธความเชื่อที่นับถือแม่เป็นใหญ่ เทวรูปของเทพีมากมาย เช่น Artemis เทวีผู้มอบความอุดมสมบูรณ์ ต่างพากันถูกทุบจมูกทุบใบหน้าทิ้งให้ดูน่าเกลียด ชนชาติที่เคยเกี่ยวดองกัน พลันแยกออกจากกันเป็นชนชาติใหม่ พูดภาษาใหม่ เด็กที่เกิดใหม่นับแต่นั้นจะถูกฝึกให้พูดภาษาที่สร้างขึ้นมา จากนั้นก็ตามมาด้วยชื่อสมมุติอย่างเช่น อัสซีเรีย อัคเคเดียน ฮิตไทท์... จากนั้นก็ตามมาด้วยสงครามพี่น้องฆ่ากัน ทั้งที่ชีววิทยาพันธุกรรมบอกว่าพวกเขาคือพี่น้องคลานตามกันมาทั้งนั้น และถ้าอ้างไบเบิ้ล อย่างเช่นกรณีของบุตรหลานของ Sam ลูกหลานของโนอาห์ ก็อย่างที่เคยเล่าไปแล้ว ความแบ่งแยกทำให้พวกเขาปฏิเสธสายใยที่มี . อย่างที่ชี้ให้เห็นนี่ ดีเอ็นเอบอกเราถึงความเป็นพี่น้องร่วมสาแหรก แต่พวกเขาปฏิเสธกันเองแล้วแบ่งแยก ทุบทำลายภาษาแม่ทิ้งไปพร้อมๆ กันในเวลาไล่เลี่ยกัน ไม่ใช่เพราะฝีมือพระเจ้าหรอก มนุษย์นี่แหละ นักภาษาศาสตร์โบราณคดีทำการค้นคว้าเรื่องนี้แล้วทำการโยงภาษาในสกุลอินโดยูโรเปี้ยนทั้งหมด ย้อนกลับไปสู่ภาษาซาฮารันโบราณ ด้วยพจนานุกรมคำศัพท์ของพวก Basque (กลุ่มคนที่ isolated อยู่ในสเปนซึ่งเชื่อว่าเป็นภาษาลูกที่เหลืออยู่ของภาษาซาฮารัน).. เรื่องนี้ยาวนะ ผมเคยเล่าไว้ในบทความชื่อบาเบลที่ผมเกริ่นไปข้างบน ใครอยากลงลึกให้ไปอ่าน Linguistic Archaeology เขียนโดย Edo Nyland . เวลาเจอบทความอะไรจากเฒ่าเจ๊กปนลาวผู้นี้ รวมทั้งจากพวกสาวกกระดูกอ่อนของเขาก็เลยออกจะรำคาญ ด้วยการอ้างชื่อต่างๆ พวกเขาเชื่อมโยงยกแม่น้ำเป็นตุเป็นตะ ไอ้นั่นมาจากไหน ไอ้นี่มาจากไหน โดยไม่มีหลักฐานอะไรที่หนักแน่นพอมารองรับ… ยกตัวอย่างเช่นใช้กลองสำริดบ้าง ใช้ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณบ้าง มาอ้างอิงทั้งที่ไม่เข้าใจว่าดูอะไรอยู่ . ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณแต่ละแห่งที่พบในโลกที่รังสรรค์โดยบรรพบุรุษยุคแรก ถ้าคุณทาบข้อมูลทางโบราณคดีของมันกับข้อมูลอื่น เช่น พันธุกรรมและการอพยพย้ายถิ่น ธรณีวิทยา ภาษาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ มานุษยวิทยา วิทยาศาสตร์.. ก็จะรู้อะไรที่ต่างไปจากที่เคยมีคนสันนิษฐานกันออกมาก่อนหน้านี้ได้ เช่น ภูมิศาสตร์บอกว่าลักษณะภูมิประเทศแบบใดที่มนุษย์โบราณในยุคนั้นชอบใช้เป็นที่อาศัยและหลบภัย ลักษณะทางภูมิศาสตร์แบบไหนที่พบภาพเขียนสี ทำไมมันจึงถูกเลือกเป็นที่จัดทำนิทรรศการ.. ธรณีวิทยาบอกว่า พบดินแบบเดียวกันถูกใช้เป็นสีเขียนผนังถ้ำทุกแห่ง.. วิทยาศาสตร์บอกองค์ประกอบธาตุของสีที่ใช้เขียนว่าเป็นแบบเดียวกัน ซึ่งแปลได้ว่าพวกเขาเรียนหนังสือมาจากที่เดียวกัน คือเรียนรู้เทคนิคในการทำแบบนี้ซ้ำต่อๆ กันมาเหมือนๆ กัน.. มานุษยวิทยาเห็นการสะท้อนธรรมเนียมนิยมทางวัฒนธรรมบรรพกาลของพวกเขา เช่น เอาสีใส่ปากพ่นผ่านมือให้เป็นรูปมือ เขียนรูปคนและสัตว์ที่มีลักษณะทาง figure ที่คล้ายคลึงกัน มีจินตนาการในการสร้างลักษณะของบุคคลที่พิเศษออกไปจากคนปกติเพื่อแสดงว่าเป็นผีสางเทวดาที่เขานับถือ... มีการวิเคราะห์คุณสมบัติทางวิทยาศาสตร์ของสภาวะแวดล้อมของพื้นที่ศักดิ์สิทธ์ที่พวกเขาไปเขียนรูปไว้ เช่น คุณสมบัติการก้องสะท้อนเสียงของสถานที่ . และเมื่อทาบพันธุกรรมลงไปดูความสอดคล้องกัน เริ่มจากพวกเผ่า San Bushman ที่มียีนของอดัมที่เก่าที่สุดในโลก พบว่าพวกเขาทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันทุกด้านดังที่ได้กล่าวไปนั่น พวกอัสเลียนโบราณก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันกับที่กล่าวไปเช่นกัน เอาภาพเขียนสีเช่นที่ถ้ำเขาจันทร์งาม สีคิ้ว ไปเปรียบกับภาพเขียนสีในแอฟริกาที่พวกกอยซานทำ ทุกองค์ประกอบที่ว่านั่นก็จะเห็นว่าเหมือนกัน... พวกปาปัว-ออสตราอะบอริจิ้น ก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกับที่กล่าวไป นี่เป็นนวัตกรรมที่เป็นมรดกโคตรยาวนานของมนุษย์ จากแอฟริกาไปสู่จุดต่างๆในโลก ในวันนี้ พวกเขาเหล่านี้พูดกันคนละภาษา มันดูไม่มีความกี่ยวข้องกันใช่ไหมล่ะ? แต่วิทยาศาสตร์ไม่ได้บอกเช่นนั้น ในพันธุกรรมมี mutation ในวัฒนธรรมมี cultural transmission ถ้าเราขยับไปดูสิ่งที่คุ้นเคยกว่านั้นอีกสักอย่าง เช่น "กลอง".. มนุษย์ทุกแห่ง ตั้งแต่พวกที่อยู่ในแอฟริกา แม้แต่พวกชนเผ่าที่ไม่ได้อพยพไปไหนเลยจนกระทั่งยุคล่าอาณานิคม กับมนุษย์ทุกชนชาติที่กระจายอยู่ในทุกมุมโลก พวกเขาต่างทำกลองเหมือนกัน วิธีการคือ ด้วยการขึงหนังสัตว์ (membrane) ลงบนปากทรงกลมของวัตถุทรงกระบอก (cylinder) ขึงให้ตึงและตีให้สั่น นี่คือนวัตกรรมที่เรียก Membranophones คนทั้งโลกไม่ได้ต่างคนต่างทำเหมือนกันโดยบังเอิญ มันคือมรดกที่ส่งต่อกันมาตั้งแต่ก่อนอพยพเมื่อแสนปีที่แล้วและเก่าพอๆ กับภาษาแรก . ซากบรรพชีวินที่นักวิชาการไทยอย่างที่อาจารย์รัศมีท่านสำรวจและค้นคว้าอยู่ กรอบเวลาเท่าไหร่? โนนนกทา? บ้านเชียง? พวกนั้นเป็นใคร? โฮโมเซเปี้ยนส์แน่นอน ชีววิทยาบอกชัดว่าเซเปี้ยนส์ เราไม่ได้วิวัฒน์มาจากโฮโมอีเร็คตัส พวกนั้นสูญพันธ์ไปแล้วก็จบ ยีนพ่อไม่เคยหายไปจากมนุษย์และเราไม่มียีนของอีเร็คตัสอยู่ในตัวเรา เมื่อราวเจ็ดหมื่นปีก่อน เกิด super eruption ขึ้นที่ภูเขาโทบาในสุมาตราโบราณ [https://geographical.co.uk/.../explainer-the-toba...] ทิ้งบาดแผลไว้เป็นทะเลสาปโทบาให้ดูในทุกวันนี้ ภัยพิบัตินี้รุนแรง มันตามมาด้วยฤดูหนาวนิวเคลียร์ (นักวิชาการว่าเช่นนี้) เถ้าภูเขาไฟปกคลุมโลกนานหลายปีและลอยไปไกลถึงกรีนแลนด์ โฮโมอีเร็คตัสในเอเชียถ้ายังมีชีวิตอยู่จะต้องตายหมด ดังนั้นไม่ว่าจะมนุษย์ปักกิ่ง มนุษย์ชวาอะไร ไม่เกี่ยวกับเราทั้งนั้น กรอบเวลาของบรรพบุรุษเราที่มาถึงที่นี่คือห้าหมื่นและสามหมื่นปีมาแล้ว มากันสองระลอก และคนพื้นเมืองที่บุกเบิกดินแดนนี้ไม่ได้แปะยี่ห้ออะไรเมื่อมาถึง นอกจากเรียกตัวเองว่า กอย หมายถึง คน… (ข่า ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย.. ลาว ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย) . ในความเป็นจริง มนุษย์โบราณที่เป็นบรรพบุรุษของชายชาวเอเชียราว 75 เปอร์เซ็นต์ล้วนเป็น Y DNA Hg O คือครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก พวกเขามิวเททมาจากสาแหรกของพ่อ Y DNA Hg K ซึ่งมาถึงเอเชียกลางเมื่อราวสี่หมื่นปีและกระจายออกไป ทั้งที่ข้ามโกบีและไซบีเรีย ข้ามเบริงเจียไปอเมริกา (Hg Q) กลายเป็นพวกนาวาโฮ... ทั้งที่ย้อนกลับเข้าไปในยุโรปเผชิญความทารุณของยุคน้ำแข็งกลายเป็นพวกยุโรป (Hg R)… บรรพบุรุษพวกนี้ เมื่อตั้งถิ่นฐานตรงจุดใด ก็มักอยู่ตรงนั้น ลองนึกถึงความเป็นจริงว่า การย้ายถิ่นฐานใช้เวลายาวนานหลายชั่วคน เมื่อผู้อาวุโสหรือพ่อของเขาแก่เฒ่าไร้เรี่ยวแรงที่จะเดินทางบุกเบิกต่อไป บางส่วนของพวกเขาจะหยุดการเดินทางและตั้งหลักแหล่งโดยเฉพาะเมื่อพบสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์พอจะดำรงชีพ คนหนุ่มจะเดินทางผจญภัยต่อไปเพื่อหาที่ของตนที่จะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำ ได้มองโลกด้วยทัศนะของพวกเขาเอง พวกเขาจะพบปัญหาใหม่ จะได้หาทางแก้ไขสถานะการณ์ที่ไม่เคยพบ ดังนั้นพวกเขาจะมีเทคโนโลยีที่ดีขึ้นไปเองโดยธรรมชาติ จนเมื่อพวกเขาพบว่าได้เจอสถานที่ที่พึงพอใจหรือไปต่อไม่ได้แล้ว การเดินทางก็จะหยุด . คุณคิดว่ามีมนุษย์จำนวนเท่าไหร่ เมื่อพวกเขามาถึงแผ่นดินซุนดาเมื่อสามหมื่นปีก่อน? . บรรพบุรุษของเรา เดินทางมาตามซุปเปอร์ไฮเวย์โบราณสายเอเชียกลางที่เป็นทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ อุดมด้วยกวางแอนทีโลฟและช้างแมมมอธ ท้องอิ่ม อบอุ่น และอันตรายน้อย เมื่อมาถึงซุนดา คุณคิดว่าพวกเขาจะอยู่อาศัยกันที่ไหน? บนภูเขา ในป่า หรือที่ราบลุ่มปากแม่น้ำ? ไปคิดดูเป็นการบ้าน . หากพิจารณาดูปัจจัยต่างๆ เราจะรู้ได้ว่าชุมชนบรรพกาล มักจะตั้งอยู่บนที่ที่เหมาะสมในการผดุงชีพ อ.สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา ให้ความเห็นว่า เนื่องเพราะบรรพบุรุษพวกนี้ต้องเผชิญกับน้ำท่วมซุนดาถึงสามครั้ง พวกเขานิยมสร้างบ้านที่มีเสาสูงและมีไต้ถุนสูง ทำแพและมีทักษะในการเดินทางด้วยแพ ซึ่งพร้อมที่จะอพยพหนีโดยล่องด้วยแพขึ้นไปเรื่อยๆ สู่ทิศทางต้นน้ำ ไม่เดินเท้าเพราะไม่รู้ว่าน้ำจะมาทางไหน เมื่อเห็นและแน่ใจว่าน้ำหยุดท่วมแล้วก็ปักหลักตั้งถิ่นฐานใหม่ เพราะพวกเขารู้ดีว่าไม่มีจุดไหนที่มีทรัพยากรอุดมไปกว่าริมแม่น้ำ ทั้งสัตว์น้ำและดินที่เหมาะแก่การเพาะปลูก ในป่านั้นมีโรคมากมายและสัตว์ร้าย พวกเขาจะเข้าไปต่อเมื่อต้องการล่าหรือหาของป่า . ชุมชนบรรพกาลเหล่านี้ เมื่อพบพื้นที่ที่พวกเขาพึงพอใจแล้วก็มักจะปักหลักอยู่เช่นนั้น สืบต่อกันไปหลายชั่วคน หลักฐานทางโบราณคดีก็ชี้ชัดเช่นนั้น ทำให้เกิดชุมชนโบราณขึ้นตรงนั้นตรงนี้มากมายและขยายตัวออกไป เกษตรกรรมเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เลิกเร่ร่อนแล้วหยุดตั้งหลักแหล่ง ผลที่เก็บเกี่ยวแน่นอนตามฤดูกาลทำให้ปัจจัยทางอาหารมั่นคง ดังนั้นพวกเขาจะไม่ย้ายไปไหนโดยง่ายถ้าไม่ใช่เพราะภัยธรรมชาติ โรคระบาด หรือสงครามจากคนกลุ่มอื่นมาบีบบังคับให้ย้ายไปที่อื่น ชุมชนบรรพกาลซึ่งประชากรมีอยู่น้อย ย่อมต้องการปริมาณแรงงานไว้เพื่อสร้างชุมชนของตนให้เติบโตรุ่งเรืองขึ้น ถ้าไม่เกิดปัญหาที่ว่านี้ พวกเขาก็จะไม่ย้ายไปไหน พวกเขาจำฤดูกาลประจำถิ่น ทิศทางลม เวลาน้ำขึ้นลง ยาอยู่ที่ไหน อะไรเป็นยา จำต้นไม้ได้ทุกต้นและรู้ว่าอะไรใช้ทำอะไรได้บ้าง สัตว์อยู่ที่ไหน หาเจอยังไง จับยังไง... ความรู้ในภูมิลำเนาพวกนี้ใช้เวลาสั่งสมยาวนาน . เราต่างได้เรียนรู้กันมามากพอสมควรเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แต่บางครั้งนิยามหรือความสมมุติในความเป็นชนชาติบ้านเมืองต่างๆ มักพาให้ไขว้เขว บางถิ่นฐาน ผู้ปกครองเป็นผู้มีศักดิ์ฐานะ มีทรัพยากรมาก แต่เป็นคนต่างถิ่นมาจากที่อื่น ไม่ต่างกับทุกวันนี้ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหัวเมืองเช่นเชียงราย อาจเป็นลูกเศรษฐีตระกูลใหญ่จากกรุงเทพ สมัยโบราณก็เช่นกัน ประชากรเป็นคนพื้นเมืองท้องถิ่น อาจอยู่ที่นั่นมาแปดชั่วคนแล้ว เขาไม่ย้ายไปที่อื่นเพียงเพราะผู้ปกครองไม่ใช่คนพื้นเมืองเหมือนตน ถ้าปกครองดี ทุกคนยังกินอิ่ม ไม่รีดภาษี ไม่ก่อกรรมทำเข็ญ ข่มเหงรังแก พวกเขาก็จะอยู่อย่างนั้นต่อไปในรุ่นลูกรุ่นหลาน จักรวรรดิจีนโบราณดินแดนกว้างใหญ่ ประชากรไม่ได้มีแต่จีนฮั่นเท่านั้น ยังมีประชากรที่เป็นชนเผ่าอื่นๆในปกครองหลายสิบเผ่า แล้วก็มีผู้ปกครองที่มาจากถิ่นอื่นมาปกครอง เคยมีกษัตริย์ที่เป็นมองโกล กษัตริย์ที่เป็นแมนจูมานั่งบัลลังก์ฮ่องเต้ ยิ่งรูปงามผิวพรรณผุดผ่องมาพร้อมโปรโมชั่นว่าเป็นเทพลงมาเกิดก็จะทำให้รู้สึกนับถืออยากพึ่งพาบารมี ดังนั้นผู้ปกครองก็อาจเป็นชาติพันธุ์หนึ่งขณะที่ประชากรในดินแดนเป็นอีกชาติพันธุ์หนึ่งได้ เช่น ผู้ปกครองมีชื่อสมมุติว่าเป็นชาติพันธุ์ลาว ผู้ใต้ปกครองอาจเป็นชาวพื้นเมืองมีชื่อสมมุติว่าชาติพันธุ์ข่า เป็นต้น.. ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่พูดนี่ เป็นคนละเรื่องกับแนวความคิดเรื่องชาติ ประเทศ รัฐ ชนชาติและสัญชาติ ซึ่งเป็นความคิดใหม่ที่เกิดขึ้นภายหลังตามคติของอาณานิคมตะวันตก . สำหรับผมมันเป็นเรื่องตลก ที่พูดว่าคนโคราชไม่ใช่คนอีสาน ความยึดมั่นของผู้พูดผูกโยงกับภูมิลำเนา ผูกกับสำเนียงภาษาที่ใช้ แล้วเอามามัดให้ประชากรนั้นเป็นเผ่าพันธ์ตามที่ตนผูกไว้ . คนอีสานคือใครในทัศนะวิทยาศาสตร์ คนอีสานอาจประกอบด้วยพลเมืองจากทางเหนือที่มาไกลจากจีน มาจากหยุนหนาน หรืออาจมาจากเวียตนาม ได้มากพอกับมีพลเมืองที่มีชื่อสมมุติว่า "ลาว" ที่เฒ่างี่เง่านี้นิยามให้สาวกเชื่อว่าเป็นคนท้องถิ่นโดยแท้แล้วก็ปฏิเสธในเชิงที่รู้สึกได้ว่าพยายามจะบอกใครๆ ว่าคนโคราชเป็น "สิ่งแปลกปลอมในท่ามกลางคนอีสาน" ผมรู้สึกอย่างนั้น แล้วเขาก็โยงเรื่องโยงชื่อ ทั้งคนทั้งสถานที่ มั่วไปหมดชนแพะชนแกะชนควาย อนุมานเอาตามความเชื่อตน ทั้งที่ความเป็นจริงทุกมนุษย์ที่อ้างอิงมานั่นไม่ว่าจะด้วยคำ สยาม ทวารวดี มอญ อยุธยา สุพรรณ โคราช ศรีโคตรบูรณ์ เวียงจันทร์ ชัยวรมัน.... บลาๆๆ... ล้วนคือ Y Chromosome DNA Haplogroup O (O2 เป็นจำนวนเปอร์เซ็นต์สูงสุด) ทั้งนั้น ต่อให้หมู่บ้านนึงมันดันพูดได้สามภาษา ทั้งลาวทั้งอังกฤษทั้งเกาหลีสำเนียงเป๊ะทั้งหมู่บ้านก็ตามที . เขย่าไว้ไม่ให้นอนก้น ข้าว่าพวกเอ็งมันนอนก้นถอยหลังไปสองร้อยปี ฟังวนอยู่ห้าคำสิบคำ เต็มไปด้วยคำว่า “สันนิษฐานว่า…“ แปลเป็นไทยคือ คาดว่า เดาว่า... คือเอ็งไม่รู้ไง เชื่อเองเออเองแล้วมาชวนคนอื่นให้เชื่อตาม . นี่รู้ไหม... มีไม่น้อยนะที่สันนิษฐานว่ามนุษย์เซเปี้ยนส์นี่น่ะ มาจากเชื้อพันธุ์มนุษย์ต่างดาวชื่อ อนูนากิ แกเชื่อไหมเล่า? . - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา [2568] - .
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 792 มุมมอง 0 รีวิว
  • Windows 11 เพิ่มเครื่องมือใหม่สำหรับนักพัฒนา พร้อมฟีเจอร์ปรับแต่งขั้นสูง

    Microsoft ประกาศการปรับปรุงเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาใน Windows 11 ที่งาน Build 2025 โดยเน้นไปที่ WinGet, PowerToys และ Terminal เพื่อช่วยให้การพัฒนาแอปพลิเคชันมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัว Advanced Windows Settings และเครื่องมือแก้ไขข้อความแบบ command-line ใหม่ชื่อ "Edit"

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับเครื่องมือใหม่ใน Windows 11
    WinGet Configuration ช่วยให้สามารถตั้งค่าและจำลองสภาพแวดล้อมนักพัฒนาได้ง่ายขึ้น
    - สามารถ บันทึกสถานะปัจจุบันของระบบ รวมถึงแอปและแพ็กเกจทั้งหมด

    Advanced Windows Settings แทนที่หน้า "For Developers" และ Dev Home ที่ถูกยกเลิก
    - ช่วยให้ นักพัฒนาสามารถเข้าถึงการตั้งค่าที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาได้เร็วขึ้น

    Command Palette จาก PowerToys ช่วยให้เข้าถึงคำสั่งและแอปได้ง่ายขึ้น
    - เป็น เครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับทั้งนักพัฒนาและผู้ใช้ทั่วไป

    Microsoft เปิดตัว "Edit" ซึ่งเป็นเครื่องมือแก้ไขข้อความแบบ command-line ใหม่
    - ช่วยให้ นักพัฒนาสามารถแก้ไขไฟล์โดยตรงใน command-line ได้

    Microsoft Store ได้รับการปรับปรุงเพื่อให้ติดตามสุขภาพของแอปและโปรโมตแอปได้ง่ายขึ้น
    - นักพัฒนา สามารถสร้างบัญชีและจัดการแอปได้สะดวกกว่าเดิม

    https://www.neowin.net/news/windows-11-is-getting-a-new-command-line-text-editor-advanced-settings-and-more/
    Windows 11 เพิ่มเครื่องมือใหม่สำหรับนักพัฒนา พร้อมฟีเจอร์ปรับแต่งขั้นสูง Microsoft ประกาศการปรับปรุงเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาใน Windows 11 ที่งาน Build 2025 โดยเน้นไปที่ WinGet, PowerToys และ Terminal เพื่อช่วยให้การพัฒนาแอปพลิเคชันมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัว Advanced Windows Settings และเครื่องมือแก้ไขข้อความแบบ command-line ใหม่ชื่อ "Edit" 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับเครื่องมือใหม่ใน Windows 11 ✅ WinGet Configuration ช่วยให้สามารถตั้งค่าและจำลองสภาพแวดล้อมนักพัฒนาได้ง่ายขึ้น - สามารถ บันทึกสถานะปัจจุบันของระบบ รวมถึงแอปและแพ็กเกจทั้งหมด ✅ Advanced Windows Settings แทนที่หน้า "For Developers" และ Dev Home ที่ถูกยกเลิก - ช่วยให้ นักพัฒนาสามารถเข้าถึงการตั้งค่าที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาได้เร็วขึ้น ✅ Command Palette จาก PowerToys ช่วยให้เข้าถึงคำสั่งและแอปได้ง่ายขึ้น - เป็น เครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับทั้งนักพัฒนาและผู้ใช้ทั่วไป ✅ Microsoft เปิดตัว "Edit" ซึ่งเป็นเครื่องมือแก้ไขข้อความแบบ command-line ใหม่ - ช่วยให้ นักพัฒนาสามารถแก้ไขไฟล์โดยตรงใน command-line ได้ ✅ Microsoft Store ได้รับการปรับปรุงเพื่อให้ติดตามสุขภาพของแอปและโปรโมตแอปได้ง่ายขึ้น - นักพัฒนา สามารถสร้างบัญชีและจัดการแอปได้สะดวกกว่าเดิม https://www.neowin.net/news/windows-11-is-getting-a-new-command-line-text-editor-advanced-settings-and-more/
    WWW.NEOWIN.NET
    Windows 11 is getting a new command-line text editor, advanced settings, and more
    Microsoft announced a set of new Windows 11 features for developers and enthusiasts, including a new command-line text editor, a reworked "Advanced Settings" section, and more.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 300 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel ARCade Machine: ตู้เกมที่ใช้ NUC Extreme และ Arc A770 GPU

    Intel เคยเปิดตัว ARCade Machine ซึ่งเป็นตู้เกมที่ใช้ฮาร์ดแวร์ของ Intel โดยมี NUC 12 Extreme และการ์ดจอ Arc A770 อย่างไรก็ตาม ตู้เกมนี้ถูกพบว่าไม่ได้ใช้งานและมีข้อความ "Out of order" ติดอยู่

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ Intel ARCade Machine
    ARCade Machine เป็นตู้เกมที่ใช้ฮาร์ดแวร์ของ Intel
    - มักถูกใช้เป็น สื่อประชาสัมพันธ์ในงานอีสปอร์ต เช่น DreamHack

    ใช้ Intel NUC 12 Extreme และการ์ดจอ Arc A770
    - คาดว่า เป็นรุ่น Limited Edition จากซีรีส์ Alchemist

    ออกแบบมาเพื่อรองรับเกมต่อสู้ เช่น Street Fighter และ Tekken
    - มี คอนโทรลเลอร์แบบสองผู้เล่น

    Intel เคยโปรโมต Arc A7 Series อย่างหนักก่อนเปิดตัว
    - รวมถึง การใช้รถบรรทุกเกมขนาด 60 ฟุตที่มีเครื่องปรับอากาศ

    Intel อาจปรับปรุง ARCade Machine ให้ใช้ Battlemage GPU ในอนาคต
    - หรือ อาจขายให้กับนักสะสมที่สนใจ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/intel-arcade-machine-showcases-a-nuc-extreme-with-arc-a770-gpu
    Intel ARCade Machine: ตู้เกมที่ใช้ NUC Extreme และ Arc A770 GPU Intel เคยเปิดตัว ARCade Machine ซึ่งเป็นตู้เกมที่ใช้ฮาร์ดแวร์ของ Intel โดยมี NUC 12 Extreme และการ์ดจอ Arc A770 อย่างไรก็ตาม ตู้เกมนี้ถูกพบว่าไม่ได้ใช้งานและมีข้อความ "Out of order" ติดอยู่ 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ Intel ARCade Machine ✅ ARCade Machine เป็นตู้เกมที่ใช้ฮาร์ดแวร์ของ Intel - มักถูกใช้เป็น สื่อประชาสัมพันธ์ในงานอีสปอร์ต เช่น DreamHack ✅ ใช้ Intel NUC 12 Extreme และการ์ดจอ Arc A770 - คาดว่า เป็นรุ่น Limited Edition จากซีรีส์ Alchemist ✅ ออกแบบมาเพื่อรองรับเกมต่อสู้ เช่น Street Fighter และ Tekken - มี คอนโทรลเลอร์แบบสองผู้เล่น ✅ Intel เคยโปรโมต Arc A7 Series อย่างหนักก่อนเปิดตัว - รวมถึง การใช้รถบรรทุกเกมขนาด 60 ฟุตที่มีเครื่องปรับอากาศ ✅ Intel อาจปรับปรุง ARCade Machine ให้ใช้ Battlemage GPU ในอนาคต - หรือ อาจขายให้กับนักสะสมที่สนใจ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/intel-arcade-machine-showcases-a-nuc-extreme-with-arc-a770-gpu
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Intel ARCade machine showcases a NUC Extreme with Arc A770 GPU
    Sadly, the system is out of commission; who knows for how long?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 285 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts