• MediaTek ร่วมพัฒนา Google TPU v7 เพื่อยกระดับ Dimensity 9600

    MediaTek ได้เข้าร่วมในโครงการพัฒนา Google TPU v7 Ironwood ซึ่งถูกมองว่าเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ NVIDIA Blackwell GPUs โดย MediaTek มีบทบาทสำคัญในการออกแบบ I/O modules ของ TPU รุ่นนี้ เพื่อให้การสื่อสารระหว่างโปรเซสเซอร์และอุปกรณ์รอบข้างมีประสิทธิภาพสูงขึ้น การมีส่วนร่วมครั้งนี้ไม่เพียงสร้างรายได้มหาศาลให้กับ MediaTek แต่ยังเปิดโอกาสให้บริษัทนำประสบการณ์ไปปรับใช้กับชิปสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่อย่าง Dimensity 9600

    สถาปัตยกรรมของ TPU v7 ใช้ dual-chiplet design ที่ประกอบด้วย TensorCore, Vector Processing Unit (VPU), Matrix Multiply Unit (MXU) และ SparseCores พร้อมหน่วยความจำ HBM ขนาด 96GB เชื่อมต่อกันด้วย die-to-die interconnect ที่เร็วกว่าเดิมถึง 6 เท่า และสามารถขยายเป็นระบบ superpod ที่มีมากกว่า 9,000 ชิปเพื่อรองรับงาน AI ขนาดใหญ่

    สำหรับ Dimensity 9600 แม้จะเป็น Application Processor (AP) ที่แตกต่างจาก ASIC อย่าง TPU แต่ MediaTek สามารถนำแนวคิดจากการทำงานร่วมกับ Google มาปรับใช้ เช่น กลยุทธ์ power gating ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น, การปรับปรุง voltage scaling และ การจัดการ clock-gating เพื่อยืดอายุแบตเตอรี่และลดการใช้พลังงาน ซึ่งถือเป็นการยกระดับชิปมือถือให้แข่งขันได้ในตลาดที่เน้น AI และประสิทธิภาพพลังงาน

    การร่วมมือครั้งนี้ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในตลาดเซมิคอนดักเตอร์ ที่บริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนเริ่มมีบทบาทในโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่ ซึ่งอาจทำให้ MediaTek ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาด AI chips ในอนาคต

    สรุปประเด็นสำคัญ
    MediaTek มีบทบาทใน Google TPU v7 Ironwood
    ออกแบบ I/O modules เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสาร
    คาดว่าจะสร้างรายได้กว่า 4 พันล้านดอลลาร์

    สถาปัตยกรรม TPU v7 ที่ล้ำสมัย
    Dual-chiplet design พร้อม TensorCore, VPU, MXU และ SparseCores
    ใช้ HBM 96GB และ interconnect ที่เร็วกว่าเดิม 6 เท่า

    ผลต่อ Dimensity 9600
    ปรับปรุง power gating และ voltage scaling
    clock-gating ที่ดีขึ้นเพื่อยืดอายุแบตเตอรี่

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    ASIC และ AP มีโครงสร้างต่างกัน ทำให้ไม่สามารถนำประสบการณ์มาใช้ได้ทั้งหมด
    การแข่งขันกับ NVIDIA และ Qualcomm ในตลาด AI chips ยังเข้มข้น
    การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่อาจเพิ่มต้นทุนการผลิตและความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน

    https://wccftech.com/mediateks-work-on-the-google-tpu-v7-to-boost-dimensity-9600s-efficiency/
    ⚙️ MediaTek ร่วมพัฒนา Google TPU v7 เพื่อยกระดับ Dimensity 9600 MediaTek ได้เข้าร่วมในโครงการพัฒนา Google TPU v7 Ironwood ซึ่งถูกมองว่าเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ NVIDIA Blackwell GPUs โดย MediaTek มีบทบาทสำคัญในการออกแบบ I/O modules ของ TPU รุ่นนี้ เพื่อให้การสื่อสารระหว่างโปรเซสเซอร์และอุปกรณ์รอบข้างมีประสิทธิภาพสูงขึ้น การมีส่วนร่วมครั้งนี้ไม่เพียงสร้างรายได้มหาศาลให้กับ MediaTek แต่ยังเปิดโอกาสให้บริษัทนำประสบการณ์ไปปรับใช้กับชิปสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่อย่าง Dimensity 9600 สถาปัตยกรรมของ TPU v7 ใช้ dual-chiplet design ที่ประกอบด้วย TensorCore, Vector Processing Unit (VPU), Matrix Multiply Unit (MXU) และ SparseCores พร้อมหน่วยความจำ HBM ขนาด 96GB เชื่อมต่อกันด้วย die-to-die interconnect ที่เร็วกว่าเดิมถึง 6 เท่า และสามารถขยายเป็นระบบ superpod ที่มีมากกว่า 9,000 ชิปเพื่อรองรับงาน AI ขนาดใหญ่ สำหรับ Dimensity 9600 แม้จะเป็น Application Processor (AP) ที่แตกต่างจาก ASIC อย่าง TPU แต่ MediaTek สามารถนำแนวคิดจากการทำงานร่วมกับ Google มาปรับใช้ เช่น กลยุทธ์ power gating ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น, การปรับปรุง voltage scaling และ การจัดการ clock-gating เพื่อยืดอายุแบตเตอรี่และลดการใช้พลังงาน ซึ่งถือเป็นการยกระดับชิปมือถือให้แข่งขันได้ในตลาดที่เน้น AI และประสิทธิภาพพลังงาน การร่วมมือครั้งนี้ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในตลาดเซมิคอนดักเตอร์ ที่บริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนเริ่มมีบทบาทในโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่ ซึ่งอาจทำให้ MediaTek ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาด AI chips ในอนาคต 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ MediaTek มีบทบาทใน Google TPU v7 Ironwood ➡️ ออกแบบ I/O modules เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสาร ➡️ คาดว่าจะสร้างรายได้กว่า 4 พันล้านดอลลาร์ ✅ สถาปัตยกรรม TPU v7 ที่ล้ำสมัย ➡️ Dual-chiplet design พร้อม TensorCore, VPU, MXU และ SparseCores ➡️ ใช้ HBM 96GB และ interconnect ที่เร็วกว่าเดิม 6 เท่า ✅ ผลต่อ Dimensity 9600 ➡️ ปรับปรุง power gating และ voltage scaling ➡️ clock-gating ที่ดีขึ้นเพื่อยืดอายุแบตเตอรี่ ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ ASIC และ AP มีโครงสร้างต่างกัน ทำให้ไม่สามารถนำประสบการณ์มาใช้ได้ทั้งหมด ⛔ การแข่งขันกับ NVIDIA และ Qualcomm ในตลาด AI chips ยังเข้มข้น ⛔ การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่อาจเพิ่มต้นทุนการผลิตและความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน https://wccftech.com/mediateks-work-on-the-google-tpu-v7-to-boost-dimensity-9600s-efficiency/
    WCCFTECH.COM
    MediaTek Dimensity 9600: Google's TPU v7 Partnership Unlocks Next-Gen Efficiency
    MediaTek won't be able to use all of its TPU v7 Ironwood experience on the Dimensity 9600, but can still use the know-how to make a difference.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Google TPU – ชิปที่เกิดมาเพื่อยุค AI Inference”

    บทความนี้เจาะลึกการพัฒนา Google TPU (Tensor Processing Unit) ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาการประมวลผล AI โดยเฉพาะ และกำลังกลายเป็นข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ของ Google Cloud ในยุค AI inference

    จุดเริ่มต้นของ TPU
    Google เริ่มพัฒนา TPU ตั้งแต่ปี 2013 หลังจากคำนวณว่าหากผู้ใช้ Android ใช้ voice search เพียงไม่กี่นาทีต่อวัน บริษัทจะต้อง เพิ่มขนาดศูนย์ข้อมูลเป็นสองเท่า ซึ่งเป็นภาระมหาศาล ทั้งด้านการเงินและโลจิสติกส์ จึงเกิดแนวคิดสร้าง ASIC (Application-Specific Integrated Circuit) ที่ออกแบบมาเพื่อรัน TensorFlow โดยเฉพาะ

    ความแตกต่างระหว่าง TPU และ GPU
    GPU ถูกออกแบบมาเพื่อกราฟิกและงานทั่วไป แต่ TPU ใช้สถาปัตยกรรม Systolic Array ที่ลดการอ่าน/เขียนข้อมูลจากหน่วยความจำ ทำให้ประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงกว่า และเหมาะกับงาน inference ที่ต้องการ throughput สูงและ latency ต่ำ

    ตัวเลขประสิทธิภาพ
    รุ่นใหม่ล่าสุด TPUv7 (Ironwood) มีประสิทธิภาพ 4,614 TFLOPS (BF16) เทียบกับเพียง 459 TFLOPS ของ TPUv5p พร้อมแบนด์วิดท์หน่วยความจำสูงถึง 7,370 GB/s ซึ่งเหนือกว่ารุ่นก่อนหลายเท่า นักพัฒนาและลูกค้าหลายรายยืนยันว่า TPU ให้ performance per dollar และ per watt ดีกว่า GPU ในงานที่เหมาะสม

    ปัญหาและโอกาสในการใช้งาน
    แม้ TPU จะทรงพลัง แต่การใช้งานยังจำกัดเพราะ ecosystem ของ Nvidia CUDA ครองตลาดมานาน ขณะที่ TPU ใช้ TensorFlow/JAX และเพิ่งเริ่มรองรับ PyTorch อย่างจริงจัง อีกทั้ง TPU ยังมีให้บริการเฉพาะบน Google Cloud เท่านั้น ทำให้หลายองค์กรลังเลที่จะพึ่งพาเพียงแพลตฟอร์มเดียว

    สรุปสาระสำคัญ
    เหตุผลที่สร้าง TPU
    ลดภาระศูนย์ข้อมูลจากการใช้งาน AI ที่เพิ่มขึ้น
    ASIC ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับ TensorFlow

    จุดเด่นของ TPU
    ใช้สถาปัตยกรรม Systolic Array ลด bottleneck หน่วยความจำ
    ประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงกว่า GPU

    ตัวเลขสำคัญ
    TPUv7: 4,614 TFLOPS (BF16), 192GB memory, 7,370 GB/s bandwidth
    ดีกว่า TPUv5p หลายเท่า

    ข้อจำกัดและความเสี่ยง
    Ecosystem ยังไม่แข็งแรงเท่า CUDA
    ใช้งานได้เฉพาะบน Google Cloud ทำให้เสี่ยงต่อ vendor lock-in

    https://www.uncoveralpha.com/p/the-chip-made-for-the-ai-inference
    ⚙️ “Google TPU – ชิปที่เกิดมาเพื่อยุค AI Inference” บทความนี้เจาะลึกการพัฒนา Google TPU (Tensor Processing Unit) ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาการประมวลผล AI โดยเฉพาะ และกำลังกลายเป็นข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ของ Google Cloud ในยุค AI inference 🏛️ จุดเริ่มต้นของ TPU Google เริ่มพัฒนา TPU ตั้งแต่ปี 2013 หลังจากคำนวณว่าหากผู้ใช้ Android ใช้ voice search เพียงไม่กี่นาทีต่อวัน บริษัทจะต้อง เพิ่มขนาดศูนย์ข้อมูลเป็นสองเท่า ซึ่งเป็นภาระมหาศาล ทั้งด้านการเงินและโลจิสติกส์ จึงเกิดแนวคิดสร้าง ASIC (Application-Specific Integrated Circuit) ที่ออกแบบมาเพื่อรัน TensorFlow โดยเฉพาะ 🔄 ความแตกต่างระหว่าง TPU และ GPU GPU ถูกออกแบบมาเพื่อกราฟิกและงานทั่วไป แต่ TPU ใช้สถาปัตยกรรม Systolic Array ที่ลดการอ่าน/เขียนข้อมูลจากหน่วยความจำ ทำให้ประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงกว่า และเหมาะกับงาน inference ที่ต้องการ throughput สูงและ latency ต่ำ 📊 ตัวเลขประสิทธิภาพ รุ่นใหม่ล่าสุด TPUv7 (Ironwood) มีประสิทธิภาพ 4,614 TFLOPS (BF16) เทียบกับเพียง 459 TFLOPS ของ TPUv5p พร้อมแบนด์วิดท์หน่วยความจำสูงถึง 7,370 GB/s ซึ่งเหนือกว่ารุ่นก่อนหลายเท่า นักพัฒนาและลูกค้าหลายรายยืนยันว่า TPU ให้ performance per dollar และ per watt ดีกว่า GPU ในงานที่เหมาะสม 🌐 ปัญหาและโอกาสในการใช้งาน แม้ TPU จะทรงพลัง แต่การใช้งานยังจำกัดเพราะ ecosystem ของ Nvidia CUDA ครองตลาดมานาน ขณะที่ TPU ใช้ TensorFlow/JAX และเพิ่งเริ่มรองรับ PyTorch อย่างจริงจัง อีกทั้ง TPU ยังมีให้บริการเฉพาะบน Google Cloud เท่านั้น ทำให้หลายองค์กรลังเลที่จะพึ่งพาเพียงแพลตฟอร์มเดียว 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ เหตุผลที่สร้าง TPU ➡️ ลดภาระศูนย์ข้อมูลจากการใช้งาน AI ที่เพิ่มขึ้น ➡️ ASIC ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับ TensorFlow ✅ จุดเด่นของ TPU ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Systolic Array ลด bottleneck หน่วยความจำ ➡️ ประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงกว่า GPU ✅ ตัวเลขสำคัญ ➡️ TPUv7: 4,614 TFLOPS (BF16), 192GB memory, 7,370 GB/s bandwidth ➡️ ดีกว่า TPUv5p หลายเท่า ‼️ ข้อจำกัดและความเสี่ยง ⛔ Ecosystem ยังไม่แข็งแรงเท่า CUDA ⛔ ใช้งานได้เฉพาะบน Google Cloud ทำให้เสี่ยงต่อ vendor lock-in https://www.uncoveralpha.com/p/the-chip-made-for-the-ai-inference
    WWW.UNCOVERALPHA.COM
    The chip made for the AI inference era – the Google TPU
    I am publishing a comprehensive deep dive, not just a technical overview, but also strategic and financial coverage of the Google TPU.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • การพัฒนา GPTPU ของ Zhonghao Xinying

    สตาร์ทอัพจีนชื่อ Zhonghao Xinying ที่ก่อตั้งโดยอดีตวิศวกร Google อ้างว่าพัฒนา General Purpose TPU (GPTPU) ได้เอง โดยมีประสิทธิภาพสูงกว่า Nvidia A100 ถึง 1.5 เท่า และใช้พลังงานน้อยลง 42% ถือเป็นก้าวสำคัญของจีนในการสร้างชิป AI โดยไม่พึ่งพาเทคโนโลยีตะวันตก

    บริษัท Zhonghao Xinying เปิดตัวชิป “Ghana” GPTPU ที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในการเทรนและประมวลผลโมเดล AI โดยอ้างว่าใช้ Intellectual Property ที่พัฒนาเองทั้งหมด ไม่พึ่งพาเทคโนโลยีตะวันตก ทั้งด้านสถาปัตยกรรม ซอฟต์แวร์ และการผลิต จุดเด่นคือการออกแบบแบบ ASIC (Application-Specific Integrated Circuit) ที่ตัดส่วนการประมวลผลที่ไม่จำเป็นออกไป ทำให้ได้ประสิทธิภาพสูงขึ้น

    ประสิทธิภาพเทียบกับ Nvidia A100
    เร็วกว่า 1.5 เท่า เมื่อเทียบกับ Nvidia A100 (เปิดตัวปี 2020)
    ใช้พลังงานน้อยลง 42% โดยลดการใช้พลังงานลงเหลือ 75% ของ A100
    แม้ยังตามหลังสถาปัตยกรรมใหม่อย่าง Hopper (2022) และ Blackwell Ultra (2025) แต่ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับตลาดภายในจีนที่ยังต้องพึ่งพา GPU รุ่นเก่า

    ความหมายเชิงยุทธศาสตร์
    การพัฒนาชิปนี้สะท้อนถึงความพยายามของจีนในการสร้าง ความเป็นอิสระด้านซิลิคอน เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia และบริษัทตะวันตก โดยเฉพาะในช่วงที่มีข้อจำกัดด้านการส่งออกชิปขั้นสูง การมีทางเลือกภายในประเทศช่วยให้จีนสามารถเดินหน้าพัฒนา AI ได้ต่อเนื่อง

    อนาคตของตลาด AI Hardware
    แม้ GPU จาก Nvidia และ AMD จะยังครองตลาดด้วยความยืดหยุ่นสูง แต่การมาของ ASICs อย่าง GPTPU อาจเป็นทางเลือกใหม่สำหรับบริษัทที่ต้องการลดต้นทุนพลังงานและหลีกเลี่ยงข้อจำกัดการเข้าถึงฮาร์ดแวร์ตะวันตก หากชิปนี้พิสูจน์ได้จริง อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันใหม่ในตลาด AI

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเปิดตัวชิป GPTPU “Ghana” โดย Zhonghao Xinying
    พัฒนาเองทั้งหมด ไม่พึ่งพาเทคโนโลยีตะวันตก

    ประสิทธิภาพเทียบกับ Nvidia A100
    เร็วกว่า 1.5 เท่า และใช้พลังงานน้อยลง 42%

    ความหมายเชิงยุทธศาสตร์
    ลดการพึ่งพา GPU ต่างชาติและสร้างความมั่นคงทางเทคโนโลยี

    ศักยภาพของ ASICs ในตลาด AI
    อาจเป็นทางเลือกใหม่แทน GPU สำหรับงานเฉพาะด้าน

    ข้อจำกัดเมื่อเทียบกับ GPU รุ่นใหม่
    ยังตามหลัง Hopper และ Blackwell Ultra ในด้านประสิทธิภาพรวม

    ความเสี่ยงด้านความน่าเชื่อถือ
    หากไม่สามารถพิสูจน์ผลลัพธ์จริง อาจถูกมองว่าเป็นการโฆษณาเกินจริง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/chinese-startup-founded-by-google-engineer-claims-to-have-developed-its-own-tpu-reportedly-1-5-times-faster-than-nvidias-a100-gpu-from-2020-42-percent-more-efficient
    🚀 การพัฒนา GPTPU ของ Zhonghao Xinying สตาร์ทอัพจีนชื่อ Zhonghao Xinying ที่ก่อตั้งโดยอดีตวิศวกร Google อ้างว่าพัฒนา General Purpose TPU (GPTPU) ได้เอง โดยมีประสิทธิภาพสูงกว่า Nvidia A100 ถึง 1.5 เท่า และใช้พลังงานน้อยลง 42% ถือเป็นก้าวสำคัญของจีนในการสร้างชิป AI โดยไม่พึ่งพาเทคโนโลยีตะวันตก บริษัท Zhonghao Xinying เปิดตัวชิป “Ghana” GPTPU ที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในการเทรนและประมวลผลโมเดล AI โดยอ้างว่าใช้ Intellectual Property ที่พัฒนาเองทั้งหมด ไม่พึ่งพาเทคโนโลยีตะวันตก ทั้งด้านสถาปัตยกรรม ซอฟต์แวร์ และการผลิต จุดเด่นคือการออกแบบแบบ ASIC (Application-Specific Integrated Circuit) ที่ตัดส่วนการประมวลผลที่ไม่จำเป็นออกไป ทำให้ได้ประสิทธิภาพสูงขึ้น ⚡ ประสิทธิภาพเทียบกับ Nvidia A100 🔷 เร็วกว่า 1.5 เท่า เมื่อเทียบกับ Nvidia A100 (เปิดตัวปี 2020) 🔷 ใช้พลังงานน้อยลง 42% โดยลดการใช้พลังงานลงเหลือ 75% ของ A100 🔷 แม้ยังตามหลังสถาปัตยกรรมใหม่อย่าง Hopper (2022) และ Blackwell Ultra (2025) แต่ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับตลาดภายในจีนที่ยังต้องพึ่งพา GPU รุ่นเก่า 🌍 ความหมายเชิงยุทธศาสตร์ การพัฒนาชิปนี้สะท้อนถึงความพยายามของจีนในการสร้าง ความเป็นอิสระด้านซิลิคอน เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia และบริษัทตะวันตก โดยเฉพาะในช่วงที่มีข้อจำกัดด้านการส่งออกชิปขั้นสูง การมีทางเลือกภายในประเทศช่วยให้จีนสามารถเดินหน้าพัฒนา AI ได้ต่อเนื่อง 🔮 อนาคตของตลาด AI Hardware แม้ GPU จาก Nvidia และ AMD จะยังครองตลาดด้วยความยืดหยุ่นสูง แต่การมาของ ASICs อย่าง GPTPU อาจเป็นทางเลือกใหม่สำหรับบริษัทที่ต้องการลดต้นทุนพลังงานและหลีกเลี่ยงข้อจำกัดการเข้าถึงฮาร์ดแวร์ตะวันตก หากชิปนี้พิสูจน์ได้จริง อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันใหม่ในตลาด AI 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเปิดตัวชิป GPTPU “Ghana” โดย Zhonghao Xinying ➡️ พัฒนาเองทั้งหมด ไม่พึ่งพาเทคโนโลยีตะวันตก ✅ ประสิทธิภาพเทียบกับ Nvidia A100 ➡️ เร็วกว่า 1.5 เท่า และใช้พลังงานน้อยลง 42% ✅ ความหมายเชิงยุทธศาสตร์ ➡️ ลดการพึ่งพา GPU ต่างชาติและสร้างความมั่นคงทางเทคโนโลยี ✅ ศักยภาพของ ASICs ในตลาด AI ➡️ อาจเป็นทางเลือกใหม่แทน GPU สำหรับงานเฉพาะด้าน ‼️ ข้อจำกัดเมื่อเทียบกับ GPU รุ่นใหม่ ⛔ ยังตามหลัง Hopper และ Blackwell Ultra ในด้านประสิทธิภาพรวม ‼️ ความเสี่ยงด้านความน่าเชื่อถือ ⛔ หากไม่สามารถพิสูจน์ผลลัพธ์จริง อาจถูกมองว่าเป็นการโฆษณาเกินจริง https://www.tomshardware.com/tech-industry/chinese-startup-founded-by-google-engineer-claims-to-have-developed-its-own-tpu-reportedly-1-5-times-faster-than-nvidias-a100-gpu-from-2020-42-percent-more-efficient
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • คู่มือเลือก Cloud Security Posture Management (CSPM) Tools

    ในยุคที่องค์กรใช้ Hybrid Multicloud กันมากขึ้น การจัดการความปลอดภัยบนคลาวด์จึงเป็นเรื่องสำคัญ บทความจาก CSO Online อธิบายว่า CSPM (Cloud Security Posture Management) คือเครื่องมือที่ช่วยตรวจสอบและแก้ไขการตั้งค่าที่ผิดพลาดในคลาวด์ เพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลและการโจมตีทางไซเบอร์ โดย CSPM จะทำงานร่วมกับมาตรฐานความปลอดภัย เช่น PCI, SOC2 และช่วยให้องค์กรมั่นใจว่าการตั้งค่าคลาวด์สอดคล้องกับข้อกำหนด.

    สิ่งที่ควรมองหาใน CSPM Tools
    องค์กรควรเลือกเครื่องมือที่สามารถทำงานได้กับทุกแพลตฟอร์มคลาวด์ที่ใช้งาน เช่น AWS, Azure และ Google Cloud รวมถึงต้องมีความสามารถในการ normalize risks เพื่อให้ทีมเข้าใจความเสี่ยงได้ชัดเจน ฟีเจอร์สำคัญที่ควรมี ได้แก่:
    การตรวจจับภัยคุกคามจากหลายแหล่ง
    การป้องกันข้อมูลเชิงลึก (Data Security Integration)
    ระบบแจ้งเตือนและแก้ไขอัตโนมัติ (Automated Remediation)
    การทำงานร่วมกับ DevOps เพื่อฝังความปลอดภัยตั้งแต่ขั้นตอนพัฒนา.

    ประโยชน์และข้อควรระวัง
    CSPM ช่วยให้องค์กรสามารถ ระบุและแก้ไขความเสี่ยงเชิงรุก ก่อนที่แฮกเกอร์จะโจมตี ลดค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหา และทำให้การตรวจสอบตามมาตรฐานเป็นไปโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม หากทีมไม่มีความรู้ด้านคลาวด์เพียงพอ การใช้งาน CSPM อาจไม่เต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งการเลือกเครื่องมือที่รองรับเพียงคลาวด์เดียวอาจทำให้ขาดมุมมองรวมของระบบทั้งหมด.

    ผู้เล่นหลักในตลาด CSPM
    ปัจจุบัน CSPM ไม่ได้เป็นเครื่องมือแยกเดี่ยวอีกต่อไป แต่มักถูกรวมเข้ากับ CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) หรือ SSE (Secure Service Edge) โดยผู้ให้บริการรายใหญ่ เช่น CrowdStrike, Palo Alto Networks, Wiz, Zscaler และ Tenable ซึ่งช่วยให้การจัดการความปลอดภัยครอบคลุมทั้งแอปพลิเคชัน ข้อมูล และเครือข่าย.

    สรุปสาระสำคัญ
    CSPM คือเครื่องมือจัดการความปลอดภัยบนคลาวด์
    ตรวจสอบและแก้ไขการตั้งค่าที่ผิดพลาด

    ควรเลือกเครื่องมือที่รองรับหลายแพลตฟอร์มคลาวด์
    AWS, Azure, Google Cloud

    ฟีเจอร์สำคัญ: Threat Detection, Data Security, Automated Remediation, DevOps Integration
    ช่วยให้ทีมเข้าใจและแก้ไขความเสี่ยงได้รวดเร็ว

    ประโยชน์: ลดความเสี่ยงเชิงรุก, ลดค่าใช้จ่าย, ตรวจสอบตามมาตรฐานอัตโนมัติ
    เพิ่มความมั่นใจด้าน Compliance

    ผู้เล่นหลัก: CrowdStrike, Palo Alto Networks, Wiz, Zscaler, Tenable
    มักรวม CSPM เข้ากับ CNAPP หรือ SSE

    หากทีมไม่มีความรู้ด้านคลาวด์เพียงพอ CSPM อาจไม่เต็มประสิทธิภาพ
    ต้องมีการฝึกอบรมและความเข้าใจร่วมกันระหว่าง Dev และ Sec

    การเลือกเครื่องมือที่รองรับเพียงคลาวด์เดียวเป็นความเสี่ยง
    อาจขาดการมองภาพรวมของระบบทั้งหมด

    https://www.csoonline.com/article/657138/how-to-choose-the-best-cloud-security-posture-management-tools.html
    ☁️ คู่มือเลือก Cloud Security Posture Management (CSPM) Tools ในยุคที่องค์กรใช้ Hybrid Multicloud กันมากขึ้น การจัดการความปลอดภัยบนคลาวด์จึงเป็นเรื่องสำคัญ บทความจาก CSO Online อธิบายว่า CSPM (Cloud Security Posture Management) คือเครื่องมือที่ช่วยตรวจสอบและแก้ไขการตั้งค่าที่ผิดพลาดในคลาวด์ เพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลและการโจมตีทางไซเบอร์ โดย CSPM จะทำงานร่วมกับมาตรฐานความปลอดภัย เช่น PCI, SOC2 และช่วยให้องค์กรมั่นใจว่าการตั้งค่าคลาวด์สอดคล้องกับข้อกำหนด. 🔎 สิ่งที่ควรมองหาใน CSPM Tools องค์กรควรเลือกเครื่องมือที่สามารถทำงานได้กับทุกแพลตฟอร์มคลาวด์ที่ใช้งาน เช่น AWS, Azure และ Google Cloud รวมถึงต้องมีความสามารถในการ normalize risks เพื่อให้ทีมเข้าใจความเสี่ยงได้ชัดเจน ฟีเจอร์สำคัญที่ควรมี ได้แก่: 🎗️ การตรวจจับภัยคุกคามจากหลายแหล่ง 🎗️ การป้องกันข้อมูลเชิงลึก (Data Security Integration) 🎗️ ระบบแจ้งเตือนและแก้ไขอัตโนมัติ (Automated Remediation) 🎗️ การทำงานร่วมกับ DevOps เพื่อฝังความปลอดภัยตั้งแต่ขั้นตอนพัฒนา. 🛡️ ประโยชน์และข้อควรระวัง CSPM ช่วยให้องค์กรสามารถ ระบุและแก้ไขความเสี่ยงเชิงรุก ก่อนที่แฮกเกอร์จะโจมตี ลดค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหา และทำให้การตรวจสอบตามมาตรฐานเป็นไปโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม หากทีมไม่มีความรู้ด้านคลาวด์เพียงพอ การใช้งาน CSPM อาจไม่เต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งการเลือกเครื่องมือที่รองรับเพียงคลาวด์เดียวอาจทำให้ขาดมุมมองรวมของระบบทั้งหมด. 🏢 ผู้เล่นหลักในตลาด CSPM ปัจจุบัน CSPM ไม่ได้เป็นเครื่องมือแยกเดี่ยวอีกต่อไป แต่มักถูกรวมเข้ากับ CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) หรือ SSE (Secure Service Edge) โดยผู้ให้บริการรายใหญ่ เช่น CrowdStrike, Palo Alto Networks, Wiz, Zscaler และ Tenable ซึ่งช่วยให้การจัดการความปลอดภัยครอบคลุมทั้งแอปพลิเคชัน ข้อมูล และเครือข่าย. 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ CSPM คือเครื่องมือจัดการความปลอดภัยบนคลาวด์ ➡️ ตรวจสอบและแก้ไขการตั้งค่าที่ผิดพลาด ✅ ควรเลือกเครื่องมือที่รองรับหลายแพลตฟอร์มคลาวด์ ➡️ AWS, Azure, Google Cloud ✅ ฟีเจอร์สำคัญ: Threat Detection, Data Security, Automated Remediation, DevOps Integration ➡️ ช่วยให้ทีมเข้าใจและแก้ไขความเสี่ยงได้รวดเร็ว ✅ ประโยชน์: ลดความเสี่ยงเชิงรุก, ลดค่าใช้จ่าย, ตรวจสอบตามมาตรฐานอัตโนมัติ ➡️ เพิ่มความมั่นใจด้าน Compliance ✅ ผู้เล่นหลัก: CrowdStrike, Palo Alto Networks, Wiz, Zscaler, Tenable ➡️ มักรวม CSPM เข้ากับ CNAPP หรือ SSE ‼️ หากทีมไม่มีความรู้ด้านคลาวด์เพียงพอ CSPM อาจไม่เต็มประสิทธิภาพ ⛔ ต้องมีการฝึกอบรมและความเข้าใจร่วมกันระหว่าง Dev และ Sec ‼️ การเลือกเครื่องมือที่รองรับเพียงคลาวด์เดียวเป็นความเสี่ยง ⛔ อาจขาดการมองภาพรวมของระบบทั้งหมด https://www.csoonline.com/article/657138/how-to-choose-the-best-cloud-security-posture-management-tools.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    CSPM buyer’s guide: How to choose the best cloud security posture management tools
    With hybrid multicloud environments becoming prevalent across all industries, it pays to invest in the right CSPM tools to minimize risk, protect cloud assets, and manage compliance.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • Cronos เปิดตัว Hackathon มูลค่า $42,000 ขับเคลื่อนการชำระเงินบนบล็อกเชนด้วย AI

    เครือข่าย Cronos ได้ประกาศจัดงาน x402 PayTech Hackathon โดยมีเงินรางวัลรวมกว่า 42,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อผลักดันการพัฒนาเครื่องมือและแอปพลิเคชันที่ใช้เทคโนโลยี AI ในการทำธุรกรรมบนบล็อกเชน งานนี้เปิดให้เหล่านักพัฒนาทั่วโลกเข้าร่วม โดยใช้ Crypto.com AI Agent SDK และโครงสร้างพื้นฐานล่าสุดของ Cronos และ Crypto.com..

    การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและศักยภาพของ Cronos
    ในช่วงที่ผ่านมา Cronos ได้ปรับปรุงระบบครั้งใหญ่ เช่น ลดค่า gas ลงถึง 10 เท่า, เพิ่มปริมาณธุรกรรมรายวันกว่า 400%, และลดเวลาในการสร้างบล็อกเหลือไม่ถึง 1 วินาที สิ่งเหล่านี้ทำให้ Cronos กลายเป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะสมสำหรับการสร้างแอปพลิเคชันที่ต้องการความเร็วสูงและรองรับ AI-native ได้อย่างเต็มรูปแบบ.

    สิ่งที่นักพัฒนาจะได้ทดลอง
    ผู้เข้าร่วม Hackathon จะได้ทดลองสร้างโซลูชันที่หลากหลาย เช่น การทำธุรกรรมอัตโนมัติ, smart wallet ที่ขับเคลื่อนด้วย AI, การเชื่อมโยงสินทรัพย์จริงเข้ากับบล็อกเชน, และเครื่องมือสำหรับนักพัฒนา โดยมีการสนับสนุนเต็มรูปแบบจาก Cronos และ Crypto.com ทั้ง workshop, office hours, และเอกสารทางเทคนิค.

    เป้าหมายระยะยาวและโอกาสต่อยอด
    Hackathon ครั้งนี้ไม่ใช่แค่การแข่งขัน แต่ยังเป็นการทดสอบว่า AI agents สามารถจัดการและเคลื่อนย้ายมูลค่าได้จริง ทีมที่โดดเด่นอาจได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติม เช่น เงินทุน, การบ่มเพาะโครงการ และการร่วมมือกับระบบนิเวศของ Cronos ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้งานกว่า 150 ล้านคน และมีสินทรัพย์รวมกว่า 6 พันล้านดอลลาร์.

    สรุปสาระสำคัญ
    Cronos จัด x402 PayTech Hackathon มูลค่า $42,000
    เปิดให้นักพัฒนาทั่วโลกเข้าร่วม

    ใช้ Crypto.com AI Agent SDK และโครงสร้างพื้นฐานใหม่
    รองรับการสร้าง AI-native applications

    Cronos ปรับปรุงระบบครั้งใหญ่
    ลดค่า gas 10 เท่า, เพิ่มธุรกรรม 400%, block time < 1 วินาที

    ผู้เข้าร่วมจะได้ทดลองสร้าง smart wallet, automated flows และ asset integration
    มี workshop และ office hours สนับสนุน

    การแข่งขันเน้นการทดสอบความสามารถของ AI agents
    ทีมที่ไม่สามารถสร้างโซลูชันที่ใช้งานจริงอาจไม่ผ่านการคัดเลือก

    การพัฒนา AI-native บนบล็อกเชนยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น
    อาจมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการปรับใช้ในตลาดจริง

    https://hackread.com/cronos-hackathon-ai-powered-chain-payments/
    🌍 Cronos เปิดตัว Hackathon มูลค่า $42,000 ขับเคลื่อนการชำระเงินบนบล็อกเชนด้วย AI เครือข่าย Cronos ได้ประกาศจัดงาน x402 PayTech Hackathon โดยมีเงินรางวัลรวมกว่า 42,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อผลักดันการพัฒนาเครื่องมือและแอปพลิเคชันที่ใช้เทคโนโลยี AI ในการทำธุรกรรมบนบล็อกเชน งานนี้เปิดให้เหล่านักพัฒนาทั่วโลกเข้าร่วม โดยใช้ Crypto.com AI Agent SDK และโครงสร้างพื้นฐานล่าสุดของ Cronos และ Crypto.com.. ⚡ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและศักยภาพของ Cronos ในช่วงที่ผ่านมา Cronos ได้ปรับปรุงระบบครั้งใหญ่ เช่น ลดค่า gas ลงถึง 10 เท่า, เพิ่มปริมาณธุรกรรมรายวันกว่า 400%, และลดเวลาในการสร้างบล็อกเหลือไม่ถึง 1 วินาที สิ่งเหล่านี้ทำให้ Cronos กลายเป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะสมสำหรับการสร้างแอปพลิเคชันที่ต้องการความเร็วสูงและรองรับ AI-native ได้อย่างเต็มรูปแบบ. 🛠️ สิ่งที่นักพัฒนาจะได้ทดลอง ผู้เข้าร่วม Hackathon จะได้ทดลองสร้างโซลูชันที่หลากหลาย เช่น การทำธุรกรรมอัตโนมัติ, smart wallet ที่ขับเคลื่อนด้วย AI, การเชื่อมโยงสินทรัพย์จริงเข้ากับบล็อกเชน, และเครื่องมือสำหรับนักพัฒนา โดยมีการสนับสนุนเต็มรูปแบบจาก Cronos และ Crypto.com ทั้ง workshop, office hours, และเอกสารทางเทคนิค. 🚀 เป้าหมายระยะยาวและโอกาสต่อยอด Hackathon ครั้งนี้ไม่ใช่แค่การแข่งขัน แต่ยังเป็นการทดสอบว่า AI agents สามารถจัดการและเคลื่อนย้ายมูลค่าได้จริง ทีมที่โดดเด่นอาจได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติม เช่น เงินทุน, การบ่มเพาะโครงการ และการร่วมมือกับระบบนิเวศของ Cronos ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้งานกว่า 150 ล้านคน และมีสินทรัพย์รวมกว่า 6 พันล้านดอลลาร์. 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Cronos จัด x402 PayTech Hackathon มูลค่า $42,000 ➡️ เปิดให้นักพัฒนาทั่วโลกเข้าร่วม ✅ ใช้ Crypto.com AI Agent SDK และโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ➡️ รองรับการสร้าง AI-native applications ✅ Cronos ปรับปรุงระบบครั้งใหญ่ ➡️ ลดค่า gas 10 เท่า, เพิ่มธุรกรรม 400%, block time < 1 วินาที ✅ ผู้เข้าร่วมจะได้ทดลองสร้าง smart wallet, automated flows และ asset integration ➡️ มี workshop และ office hours สนับสนุน ‼️ การแข่งขันเน้นการทดสอบความสามารถของ AI agents ⛔ ทีมที่ไม่สามารถสร้างโซลูชันที่ใช้งานจริงอาจไม่ผ่านการคัดเลือก ‼️ การพัฒนา AI-native บนบล็อกเชนยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ⛔ อาจมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการปรับใช้ในตลาดจริง https://hackread.com/cronos-hackathon-ai-powered-chain-payments/
    HACKREAD.COM
    Cronos Kicks Off $42K Global Hackathon Focused on AI-Powered On-Chain Payments
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia ออกแถลงการณ์ชื่นชม Google ที่ประสบความสำเร็จด้าน AI

    Nvidia กล่าวผ่านบัญชีทางการว่า “เรายินดีต่อความสำเร็จของ Google” แต่ก็ย้ำว่า แพลตฟอร์มของ Nvidia เป็นเจเนอเรชันที่นำหน้าอุตสาหกรรม และเป็นเพียงแพลตฟอร์มเดียวที่สามารถรันทุกโมเดล AI ได้ทุกที่ พร้อมชี้ว่าชิป GPU ของตนมีความยืดหยุ่นมากกว่า ASIC อย่าง TPUs ที่ออกแบบมาเฉพาะงาน AI

    Google Cloud TPU vs Nvidia GPU
    Google Cloud TPU เป็น ASIC (Application-Specific Integrated Circuit) ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับงาน AI โดยเน้นการคำนวณแบบ matrix multiplication ทำให้มีประสิทธิภาพสูงในงาน AI แต่ไม่สามารถนำไปใช้กับงานอื่น ๆ ได้ง่าย ขณะที่ GPU ของ Nvidia เช่น Blackwell GPUs มีความหลากหลาย ใช้ได้ทั้ง AI, HPC, Data Analytics, Visualization และอื่น ๆ

    ผลกระทบจากดีล Meta–Google
    ข่าวว่า Meta กำลังเจรจาเพื่อเช่า TPUs ในปี 2026 และซื้อในปี 2027 ทำให้ตลาดมองว่าเป็นการเปิดทางเลือกใหม่แทนการพึ่งพา Nvidia เพียงรายเดียว ส่งผลให้หุ้น Nvidia ร่วงลงกว่า 3% แม้จะยังครองตลาดด้วย CUDA ecosystem ที่แข็งแกร่ง แต่ดีลนี้สะท้อนว่าลูกค้ารายใหญ่เริ่มมองหาทางเลือกอื่น

    ความหมายเชิงกลยุทธ์
    การที่ Nvidia ออกแถลงการณ์เชิง “ชมแต่แฝงแข็ง” เป็นการป้องกันภาพลักษณ์และย้ำความเหนือกว่าของ GPU ต่อ TPU แต่ก็สะท้อนถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากคู่แข่งในตลาด AI ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและมีมูลค่ามหาศาล

    สรุปสาระสำคัญ
    คำแถลงของ Nvidia
    ชื่นชม Google แต่ย้ำว่า Nvidia เป็นแพลตฟอร์มเดียวที่รันทุกโมเดล AI
    GPU มีความยืดหยุ่นมากกว่า ASIC อย่าง TPU

    Google Cloud TPU
    ออกแบบเฉพาะงาน AI ด้วย matrix multiplication
    มีประสิทธิภาพสูงแต่ไม่หลากหลายเหมือน GPU

    ดีล Meta–Google
    Meta เจรจาเช่า TPUs ปี 2026 และซื้อในปี 2027
    หุ้น Nvidia ร่วงลงกว่า 3% จากข่าวนี้

    กลยุทธ์ของ Nvidia
    ใช้คำแถลงเพื่อย้ำความเหนือกว่าของ GPU
    สะท้อนแรงกดดันจากคู่แข่งในตลาด AI

    คำเตือนต่ออุตสาหกรรม AI
    การพึ่งพา Nvidia เพียงรายเดียวอาจเสี่ยงต่อการผูกขาด
    การแข่งขันจาก TPU และผู้ผลิตรายใหม่อาจเปลี่ยนโครงสร้างตลาด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/nvidia-says-its-delighted-with-googles-success-but-backhanded-compliment-says-it-is-the-only-platform-that-runs-every-ai-model-statement-comes-soon-after-meta-announces-proposed-deal-to-acquire-google-cloud-tpus
    📢 Nvidia ออกแถลงการณ์ชื่นชม Google ที่ประสบความสำเร็จด้าน AI Nvidia กล่าวผ่านบัญชีทางการว่า “เรายินดีต่อความสำเร็จของ Google” แต่ก็ย้ำว่า แพลตฟอร์มของ Nvidia เป็นเจเนอเรชันที่นำหน้าอุตสาหกรรม และเป็นเพียงแพลตฟอร์มเดียวที่สามารถรันทุกโมเดล AI ได้ทุกที่ พร้อมชี้ว่าชิป GPU ของตนมีความยืดหยุ่นมากกว่า ASIC อย่าง TPUs ที่ออกแบบมาเฉพาะงาน AI 🏭 Google Cloud TPU vs Nvidia GPU Google Cloud TPU เป็น ASIC (Application-Specific Integrated Circuit) ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับงาน AI โดยเน้นการคำนวณแบบ matrix multiplication ทำให้มีประสิทธิภาพสูงในงาน AI แต่ไม่สามารถนำไปใช้กับงานอื่น ๆ ได้ง่าย ขณะที่ GPU ของ Nvidia เช่น Blackwell GPUs มีความหลากหลาย ใช้ได้ทั้ง AI, HPC, Data Analytics, Visualization และอื่น ๆ 🌍 ผลกระทบจากดีล Meta–Google ข่าวว่า Meta กำลังเจรจาเพื่อเช่า TPUs ในปี 2026 และซื้อในปี 2027 ทำให้ตลาดมองว่าเป็นการเปิดทางเลือกใหม่แทนการพึ่งพา Nvidia เพียงรายเดียว ส่งผลให้หุ้น Nvidia ร่วงลงกว่า 3% แม้จะยังครองตลาดด้วย CUDA ecosystem ที่แข็งแกร่ง แต่ดีลนี้สะท้อนว่าลูกค้ารายใหญ่เริ่มมองหาทางเลือกอื่น 🔒 ความหมายเชิงกลยุทธ์ การที่ Nvidia ออกแถลงการณ์เชิง “ชมแต่แฝงแข็ง” เป็นการป้องกันภาพลักษณ์และย้ำความเหนือกว่าของ GPU ต่อ TPU แต่ก็สะท้อนถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากคู่แข่งในตลาด AI ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและมีมูลค่ามหาศาล 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ คำแถลงของ Nvidia ➡️ ชื่นชม Google แต่ย้ำว่า Nvidia เป็นแพลตฟอร์มเดียวที่รันทุกโมเดล AI ➡️ GPU มีความยืดหยุ่นมากกว่า ASIC อย่าง TPU ✅ Google Cloud TPU ➡️ ออกแบบเฉพาะงาน AI ด้วย matrix multiplication ➡️ มีประสิทธิภาพสูงแต่ไม่หลากหลายเหมือน GPU ✅ ดีล Meta–Google ➡️ Meta เจรจาเช่า TPUs ปี 2026 และซื้อในปี 2027 ➡️ หุ้น Nvidia ร่วงลงกว่า 3% จากข่าวนี้ ✅ กลยุทธ์ของ Nvidia ➡️ ใช้คำแถลงเพื่อย้ำความเหนือกว่าของ GPU ➡️ สะท้อนแรงกดดันจากคู่แข่งในตลาด AI ‼️ คำเตือนต่ออุตสาหกรรม AI ⛔ การพึ่งพา Nvidia เพียงรายเดียวอาจเสี่ยงต่อการผูกขาด ⛔ การแข่งขันจาก TPU และผู้ผลิตรายใหม่อาจเปลี่ยนโครงสร้างตลาด https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/nvidia-says-its-delighted-with-googles-success-but-backhanded-compliment-says-it-is-the-only-platform-that-runs-every-ai-model-statement-comes-soon-after-meta-announces-proposed-deal-to-acquire-google-cloud-tpus
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 228 มุมมอง 0 รีวิว
  • X เปิดตลาดชื่อผู้ใช้ Premium+

    X (Twitter เดิม) เปิดตลาดซื้อขายชื่อผู้ใช้ (username marketplace) ให้กับสมาชิก Premium+ โดยแบ่งชื่อออกเป็นสองประเภทคือ Priority และ Rare ซึ่งชื่อ Rare เช่น @memelord, @phone หรือ @AIchat มีมูลค่าสูงถึงหลักล้านดอลลาร์ และมีเงื่อนไขการใช้งานเข้มงวดมาก

    X ประกาศเปิดตลาดซื้อขายชื่อผู้ใช้สำหรับสมาชิก Premium+ ที่จ่าย $40/เดือน หรือ $395/ปี โดยสามารถขอชื่อที่เคยถูกใช้งานแต่ปัจจุบันไม่ active แล้ว ระบบแบ่งชื่อออกเป็นสองกลุ่มคือ Priority และ Rare ซึ่งมีวิธีการเข้าถึงแตกต่างกัน

    ความแตกต่างระหว่าง Priority และ Rare
    Priority usernames: ชื่อที่ใกล้เคียงกับชื่อจริง เช่น @kbell หรือ @karissa สามารถขอได้ทันที แต่มีข้อจำกัดว่าผู้ใช้จะมีสิทธิ์ขอเพียงครั้งเดียวตลอดอายุบัญชี

    Rare usernames: ชื่อสั้น ๆ หรือคำเดี่ยว เช่น @memelord, @phone, @AIchat ถูกจัดเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีค่ามากที่สุด ต้องผ่านกระบวนการพิเศษ เช่น public drops, merit-based application หรือการซื้อแบบเชิญเท่านั้น โดยราคามีตั้งแต่ $2,500 จนถึงหลายล้านดอลลาร์

    เงื่อนไขการใช้งานเข้มงวด
    ผู้ที่ได้ชื่อผู้ใช้ใหม่ต้องรักษาสถานะ Premium+, โพสต์เนื้อหาสม่ำเสมอ และห้ามปล่อยบัญชีให้ dormant หากละเมิดเงื่อนไข X มีสิทธิ์ยึดชื่อคืนได้ทันที ทั้งนี้ X ย้ำว่าชื่อผู้ใช้ทั้งหมดถือเป็นทรัพย์สินของแพลตฟอร์ม ไม่ใช่ของผู้ใช้

    ผลกระทบและข้อถกเถียง
    การเปิดตลาดนี้อาจสร้างรายได้ใหม่ให้ X แต่ก็มีข้อถกเถียงเรื่องความโปร่งใสและความเสี่ยงในการเก็งกำไรชื่อผู้ใช้ โดยเฉพาะเมื่อราคาสูงถึงหลักล้านดอลลาร์ และมีเงื่อนไขที่เข้มงวดซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้ลังเลที่จะลงทุน

    สรุปสาระสำคัญ
    ตลาดชื่อผู้ใช้ Premium+
    ค่าสมัคร $40/เดือน หรือ $395/ปี
    เปิดให้ขอชื่อที่ inactive ได้

    ประเภทชื่อผู้ใช้
    Priority: ชื่อใกล้เคียงชื่อจริง ขอได้ทันที
    Rare: ชื่อสั้น/คำเดี่ยว ราคาสูงถึงหลักล้าน

    เงื่อนไขการใช้งาน
    ต้องรักษาสถานะ Premium+ และโพสต์สม่ำเสมอ
    X มีสิทธิ์ยึดชื่อคืนได้ทุกเมื่อ

    ผลกระทบ
    สร้างรายได้ใหม่ให้แพลตฟอร์ม
    อาจเกิดการเก็งกำไรและข้อถกเถียงเรื่องความโปร่งใส

    คำเตือนด้านข้อมูล
    การลงทุนซื้อชื่อ Rare มีความเสี่ยงสูงและอาจถูกยึดคืน
    ราคาที่สูงเกินจริงอาจทำให้เกิดการเก็งกำไรและตลาดที่ไม่ยั่งยืน

    https://securityonline.info/x-opens-username-marketplace-to-premium-users-rare-handles-cost-millions/
    📰 X เปิดตลาดชื่อผู้ใช้ Premium+ X (Twitter เดิม) เปิดตลาดซื้อขายชื่อผู้ใช้ (username marketplace) ให้กับสมาชิก Premium+ โดยแบ่งชื่อออกเป็นสองประเภทคือ Priority และ Rare ซึ่งชื่อ Rare เช่น @memelord, @phone หรือ @AIchat มีมูลค่าสูงถึงหลักล้านดอลลาร์ และมีเงื่อนไขการใช้งานเข้มงวดมาก X ประกาศเปิดตลาดซื้อขายชื่อผู้ใช้สำหรับสมาชิก Premium+ ที่จ่าย $40/เดือน หรือ $395/ปี โดยสามารถขอชื่อที่เคยถูกใช้งานแต่ปัจจุบันไม่ active แล้ว ระบบแบ่งชื่อออกเป็นสองกลุ่มคือ Priority และ Rare ซึ่งมีวิธีการเข้าถึงแตกต่างกัน 🎯 ความแตกต่างระหว่าง Priority และ Rare Priority usernames: ชื่อที่ใกล้เคียงกับชื่อจริง เช่น @kbell หรือ @karissa สามารถขอได้ทันที แต่มีข้อจำกัดว่าผู้ใช้จะมีสิทธิ์ขอเพียงครั้งเดียวตลอดอายุบัญชี Rare usernames: ชื่อสั้น ๆ หรือคำเดี่ยว เช่น @memelord, @phone, @AIchat ถูกจัดเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีค่ามากที่สุด ต้องผ่านกระบวนการพิเศษ เช่น public drops, merit-based application หรือการซื้อแบบเชิญเท่านั้น โดยราคามีตั้งแต่ $2,500 จนถึงหลายล้านดอลลาร์ ⚠️ เงื่อนไขการใช้งานเข้มงวด ผู้ที่ได้ชื่อผู้ใช้ใหม่ต้องรักษาสถานะ Premium+, โพสต์เนื้อหาสม่ำเสมอ และห้ามปล่อยบัญชีให้ dormant หากละเมิดเงื่อนไข X มีสิทธิ์ยึดชื่อคืนได้ทันที ทั้งนี้ X ย้ำว่าชื่อผู้ใช้ทั้งหมดถือเป็นทรัพย์สินของแพลตฟอร์ม ไม่ใช่ของผู้ใช้ 🌍 ผลกระทบและข้อถกเถียง การเปิดตลาดนี้อาจสร้างรายได้ใหม่ให้ X แต่ก็มีข้อถกเถียงเรื่องความโปร่งใสและความเสี่ยงในการเก็งกำไรชื่อผู้ใช้ โดยเฉพาะเมื่อราคาสูงถึงหลักล้านดอลลาร์ และมีเงื่อนไขที่เข้มงวดซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้ลังเลที่จะลงทุน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ตลาดชื่อผู้ใช้ Premium+ ➡️ ค่าสมัคร $40/เดือน หรือ $395/ปี ➡️ เปิดให้ขอชื่อที่ inactive ได้ ✅ ประเภทชื่อผู้ใช้ ➡️ Priority: ชื่อใกล้เคียงชื่อจริง ขอได้ทันที ➡️ Rare: ชื่อสั้น/คำเดี่ยว ราคาสูงถึงหลักล้าน ✅ เงื่อนไขการใช้งาน ➡️ ต้องรักษาสถานะ Premium+ และโพสต์สม่ำเสมอ ➡️ X มีสิทธิ์ยึดชื่อคืนได้ทุกเมื่อ ✅ ผลกระทบ ➡️ สร้างรายได้ใหม่ให้แพลตฟอร์ม ➡️ อาจเกิดการเก็งกำไรและข้อถกเถียงเรื่องความโปร่งใส ‼️ คำเตือนด้านข้อมูล ⛔ การลงทุนซื้อชื่อ Rare มีความเสี่ยงสูงและอาจถูกยึดคืน ⛔ ราคาที่สูงเกินจริงอาจทำให้เกิดการเก็งกำไรและตลาดที่ไม่ยั่งยืน https://securityonline.info/x-opens-username-marketplace-to-premium-users-rare-handles-cost-millions/
    SECURITYONLINE.INFO
    X Opens Username Marketplace to Premium+ Users: Rare Handles Cost Millions?
    X is now letting Premium+ subscribers request dormant usernames, dividing them into 'Priority' and 'Rare' categories with ambiguous rules and rumored costs up to millions.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline

    #รวมข่าวIT #20251120 #securityonline

    Lazarus Group เปิดตัว RAT ใหม่ชื่อ ScoringMathTea
    กลุ่มแฮกเกอร์ Lazarus จากเกาหลีเหนือถูกเปิดโปงว่าได้พัฒนาเครื่องมือสอดแนมใหม่ชื่อ ScoringMathTea RAT ซึ่งมีความสามารถซับซ้อนมาก ใช้เทคนิคการโหลดปลั๊กอินแบบสะท้อน (Reflective Plugin Loader) และเข้ารหัสด้วยวิธีเฉพาะที่ยากต่อการตรวจจับ เครื่องมือนี้สามารถควบคุมเครื่องเป้าหมายจากระยะไกลได้เต็มรูปแบบ ทั้งการรันคำสั่งและโหลดปลั๊กอินในหน่วยความจำ จุดเด่นคือการซ่อนร่องรอยการสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) ทำให้ยากต่อการตรวจสอบ นักวิจัยพบว่า RAT นี้ถูกใช้ในปฏิบัติการโจมตีบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี UAV ของยูเครน

    https://securityonline.info/lazarus-groups-new-scoringmathtea-rat-uses-reflective-plugin-loader-and-custom-polyalphabetic-crypto-for-espionage

    Akira Ransomware ใช้ CAPTCHA หลอกลวงจนบริษัทใหญ่ล่มใน 42 วัน
    มีรายงานว่าเพียงการคลิก CAPTCHA ปลอมครั้งเดียวของพนักงานบริษัทด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้เกิดการโจมตีที่ยืดเยื้อถึง 42 วัน กลุ่มแฮกเกอร์ Howling Scorpius ใช้เทคนิคนี้เพื่อติดตั้ง SectopRAT และค่อย ๆ ยึดระบบทีละขั้น จนสามารถลบข้อมูลสำรองบนคลาวด์และปล่อย Akira ransomware ทำให้บริษัทหยุดทำงานเกือบทั้งหมด แม้บริษัทจะมีระบบ EDR แต่กลับไม่สามารถตรวจจับได้ทันเวลา

    https://securityonline.info/one-click-42-days-akira-ransomware-used-captcha-decoy-to-destroy-cloud-backups-and-cripple-storage-firm

    “The Gentlemen” Ransomware RaaS โผล่ใหม่ โจมตี 48 เหยื่อใน 3 เดือน
    กลุ่มใหม่ชื่อ The Gentlemen เปิดตัวแพลตฟอร์ม Ransomware-as-a-Service (RaaS) ที่มีความซับซ้อนสูง ใช้การเข้ารหัสแบบ XChaCha20 และกลยุทธ์ “สองชั้น” คือทั้งเข้ารหัสไฟล์และขู่เปิดเผยข้อมูลที่ขโมยมา ภายในเวลาเพียง 3 เดือน พวกเขามีเหยื่อถึง 48 ราย จุดเด่นคือการพัฒนาอย่างรวดเร็ว รองรับทั้ง Windows, Linux และ ESXi พร้อมเทคนิคการแพร่กระจายที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ถูกจับตามองว่าอาจกลายเป็นภัยคุกคามระดับท็อปในวงการ https://securityonline.info/sophisticated-the-gentlemen-ransomware-raas-emerges-with-xchacha20-encryption-and-48-victims-in-3-months

    มัลแวร์ยุคใหม่ซ่อนการสื่อสารเป็น API ของ LLM บน Tencent Cloud
    นักวิจัยจาก Akamai พบมัลแวร์ที่มีวิธีพรางตัวแปลกใหม่ โดยมันซ่อนการสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) ให้ดูเหมือนการเรียกใช้งาน API ของ Large Language Model (LLM) บน Tencent Cloud ทำให้การตรวจจับยากขึ้นมาก เพราะทราฟฟิกดูเหมือนการใช้งาน AI ปกติจริง ๆ เมื่อถอดรหัสแล้วพบว่าเป็นคำสั่งควบคุมเครื่องแบบ RAT เต็มรูปแบบ พร้อมเครื่องมือ Proxy ที่ช่วยให้แฮกเกอร์ใช้เครื่องเหยื่อเป็นจุดผ่านในการโจมตีต่อ

    https://securityonline.info/next-gen-stealth-malware-hides-c2-traffic-as-fake-llm-api-requests-on-tencent-cloud

    Ransomware เจาะ AWS S3 ผ่านการตั้งค่าผิดพลาด ทำลบข้อมูลถาวร
    รายงานจาก Trend Research เตือนว่ามีการพัฒนา ransomware รุ่นใหม่ที่มุ่งเป้าไปยัง Amazon S3 โดยอาศัยการตั้งค่าที่ผิดพลาด เช่น ไม่มีการเปิด versioning หรือ object lock ทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้ารหัสหรือลบข้อมูลได้แบบถาวรโดยไม่สามารถกู้คืนได้ มีการระบุถึง 5 วิธีการโจมตีที่อันตราย เช่น การลบ KMS key ที่ใช้เข้ารหัสไฟล์ ซึ่งจะทำให้ข้อมูลสูญหายไปตลอดกาล

    https://securityonline.info/next-gen-ransomware-targets-aws-s3-five-cloud-native-variants-exploit-misconfigurations-for-irreversible-data-destruction

    Windows 11 เตรียมซ่อนหน้าจอ BSOD บนจอสาธารณะ

    Microsoft ประกาศว่าจะปรับปรุง Windows 11 โดย ซ่อนหน้าจอ Blue Screen of Death (BSOD) บนจอที่ใช้ในที่สาธารณะ เช่นสนามบินหรือห้างสรรพสินค้า เพื่อไม่ให้ผู้ใช้ทั่วไปเห็นภาพระบบล่มที่อาจสร้างความตื่นตระหนก การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ประสบการณ์ใช้งานดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น โดยยังคงบันทึกข้อมูลการ crash ไว้ให้ผู้ดูแลระบบตรวจสอบได้ตามปกติ

    https://securityonline.info/no-more-public-bsods-windows-11-will-hide-crash-screens-on-public-displays

    Microsoft เตรียมยกเลิกสิทธิ์ OEM Driver ระดับ Kernel
    หลังเหตุการณ์ CrowdStrike ที่ทำให้ระบบล่มทั่วโลก Microsoft วางแผนจะ ยกเลิกสิทธิ์พิเศษของ OEM driver ที่ทำงานในระดับ Kernel เพื่อลดความเสี่ยงจากการที่ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ใช้สิทธิ์สูงเกินไป การเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยของระบบ Windows โดยบังคับให้ผู้ผลิตใช้วิธีที่ปลอดภัยกว่าในการเชื่อมต่อกับระบบปฏิบัติการ

    https://securityonline.info/post-crowdstrike-microsoft-to-phase-out-oem-kernel-level-driver-privileges

    Seraphic เปิดตัว Browser Security สำหรับแอป Electron
    บริษัท Seraphic เปิดตัวโซลูชันใหม่ที่เป็น Secure Enterprise Browser ตัวแรกที่สามารถปกป้องแอปพลิเคชันที่สร้างบน Electron ได้ จุดเด่นคือการเพิ่มชั้นความปลอดภัยให้กับแอปที่มักถูกใช้ในองค์กร เช่น Slack หรือ Teams ซึ่งเดิมที Electron มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยอยู่บ่อยครั้ง การแก้ปัญหานี้ช่วยให้องค์กรมั่นใจมากขึ้นในการใช้งานแอป Electron

    https://securityonline.info/seraphic-becomes-the-first-and-only-secure-enterprise-browser-solution-to-protect-electron-based-applications

    Comet Browser ถูกวิจารณ์หนัก หลังพบ API ลับ MCP
    มีการค้นพบว่า Comet Browser มี API ที่ชื่อ MCP ซึ่งเปิดช่องให้ผู้พัฒนา AI browser สามารถเข้าถึงและควบคุมอุปกรณ์ของผู้ใช้ได้เต็มรูปแบบโดยไม่แจ้งเตือน ทำให้เกิดการละเมิดความเชื่อมั่นของผู้ใช้ นักวิจัยเตือนว่าช่องโหว่นี้อาจถูกใช้เพื่อควบคุมเครื่องจากระยะไกลโดยไม่ได้รับอนุญาต

    https://securityonline.info/obscure-mcp-api-in-comet-browser-breaches-user-trust-enabling-full-device-control-via-ai-browsers

    CredShields จับมือ Checkmarx เสริมความปลอดภัย Smart Contract
    บริษัท CredShields ประกาศความร่วมมือกับ Checkmarx เพื่อนำเทคโนโลยีตรวจสอบความปลอดภัยของ Smart Contract เข้าสู่โปรแกรม AppSec ขององค์กร จุดมุ่งหมายคือช่วยให้องค์กรที่ใช้ blockchain และ smart contract สามารถตรวจสอบช่องโหว่ได้อย่างเป็นระบบ ลดความเสี่ยงจากการโจมตีที่อาจทำให้สูญเสียทรัพย์สินดิจิทัล

    https://securityonline.info/credshields-joins-forces-with-checkmarx-to-bring-smart-contract-security-to-enterprise-appsec-programs

    Windows 11 เพิ่มเครื่องมือใหม่ Point-in-Time Restore

    Microsoft เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 ได้แก่ Point-in-Time Restore และ Network-Enabled Recovery Environment เพื่อช่วยผู้ใช้กู้คืนระบบได้ง่ายขึ้น ฟีเจอร์นี้ทำให้สามารถย้อนกลับไปยังสถานะก่อนหน้าที่กำหนดไว้ได้ทันที และยังรองรับการกู้คืนผ่านเครือข่าย ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถซ่อมแซมเครื่องจากระยะไกลได้สะดวกขึ้น

    https://securityonline.info/new-windows-11-tools-point-in-time-restore-network-enabled-recovery-environment

    ความกังวลฟองสบู่ AI: Microsoft & NVIDIA ลงทุนหนักใน Anthropic
    มีรายงานว่าทั้ง Microsoft และ NVIDIA ลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในบริษัท AI อย่าง Anthropic จนเกิดความกังวลว่าการลงทุนแบบหมุนเวียนระหว่างบริษัทใหญ่ ๆ อาจสร้าง “ฟองสบู่ AI” ที่ไม่ยั่งยืน การทุ่มเงินจำนวนมหาศาลนี้ถูกมองว่าอาจทำให้ตลาด AI เติบโตเกินจริงและเสี่ยงต่อการแตกในอนาคต

    https://securityonline.info/ai-bubble-fear-microsoft-nvidia-pour-billions-into-anthropic-fueling-circular-investment

    Google ทุ่ม 78 พันล้านดอลลาร์สร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ในสหรัฐฯ
    Google ประกาศโครงการ Investing in America 2025 ด้วยงบประมาณมหาศาลถึง 78 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล AI และโครงสร้างพื้นฐานทั่วสหรัฐฯ รวมถึงการลงทุนในพลังงานแสงอาทิตย์ 600 MW ที่ Arkansas โครงการนี้สะท้อนถึงการเร่งขยายกำลังการผลิต AI และการสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศ https://securityonline.info/google-pledges-78-billion-for-investing-in-america-2025-ai-infrastructure

    Grok 4.1 แซง Google Gemini 2.5 Pro บน LMArena
    แพลตฟอร์มทดสอบ AI LMArena รายงานว่า Grok 4.1 Thinking ได้คะแนนสูงสุด แซงหน้า Google Gemini 2.5 Pro ในการจัดอันดับล่าสุด จุดเด่นของ Grok คือความสามารถในการใช้เหตุผลเชิงลึกและการตอบสนองที่แม่นยำ ทำให้มันถูกจับตามองว่าอาจเป็นคู่แข่งสำคัญในตลาดโมเดล AI ระดับสูง

    https://securityonline.info/grok-4-1-thinking-steals-1-spot-on-lmarena-surpassing-google-gemini-2-5-pro

    Google เปิดตัว Canvas และ Agentic Booking ใน AI Mode
    Google อัปเกรด AI Mode โดยเพิ่มฟีเจอร์ Canvas สำหรับการวางแผน และ Agentic Booking สำหรับการจองที่พักหรือร้านอาหารแบบอัตโนมัติ ฟีเจอร์เหล่านี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้ AI ในการจัดการงานประจำวันได้สะดวกขึ้น เช่น วางแผนทริปหรือจองโต๊ะอาหารโดยไม่ต้องทำเอง

    https://securityonline.info/ai-mode-upgraded-google-launches-canvas-for-planning-and-agentic-booking-for-reservations

    เราเตอร์ D-Link DIR-878 หมดอายุการสนับสนุน พร้อมช่องโหว่ RCE ร้ายแรง

    D-Link ประกาศว่าเราเตอร์รุ่น DIR-878 เข้าสู่สถานะ End-of-Life (EOL) และจะไม่ได้รับการอัปเดตอีกต่อไป ทั้งที่ยังมีช่องโหว่ร้ายแรงถึง 3 จุดซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถรันคำสั่งจากระยะไกลได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ทำให้ผู้ใช้ที่ยังใช้อุปกรณ์รุ่นนี้เสี่ยงต่อการถูกยึดระบบอย่างมาก

    https://securityonline.info/d-link-dir-878-reaches-eol-3-unpatched-rce-flaws-allow-unauthenticated-remote-command-execution

    ช่องโหว่ร้ายแรงใน METZ CONNECT Controller เปิดทาง RCE และยึดระบบ
    มีการค้นพบช่องโหว่ในอุปกรณ์ควบคุมอุตสาหกรรมของ METZ CONNECT ที่มีคะแนน CVSS สูงถึง 9.8 ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถรันคำสั่งจากระยะไกลและเข้ายึดสิทธิ์ผู้ดูแลระบบได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ถือเป็นภัยคุกคามต่อระบบควบคุมอุตสาหกรรมที่ใช้กันในโรงงานและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ

    https://securityonline.info/critical-metz-connect-flaws-cvss-9-8-allow-unauthenticated-rce-and-admin-takeover-on-industrial-controllers

    SolarWinds Serv-U พบช่องโหว่ใหม่ เปิดทาง RCE และ Path Bypass
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยรายงานช่องโหว่ร้ายแรงใน SolarWinds Serv-U ที่ทำให้ผู้โจมตีที่มีสิทธิ์ผู้ดูแลระบบสามารถรันคำสั่งจากระยะไกลและเลี่ยงการตรวจสอบเส้นทางไฟล์ได้ ช่องโหว่นี้มีคะแนน CVSS 9.1 และถูกจัดว่าเป็นภัยคุกคามระดับสูงต่อองค์กรที่ใช้ Serv-U ในการจัดการไฟล์และระบบเครือข่าย

    https://securityonline.info/critical-solarwinds-serv-u-flaws-cvss-9-1-allow-authenticated-admin-rce-and-path-bypass

    การโจมตีซัพพลายเชน npm ด้วย CAPTCHA ปลอมและ Adspect Cloaking
    มีการตรวจพบการโจมตีซัพพลายเชนใน npm โดยแฮกเกอร์ใช้เทคนิค Adspect Cloaking และ CAPTCHA ปลอมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเพื่อหลอกนักพัฒนาและผู้ใช้ให้ดาวน์โหลดแพ็กเกจอันตราย การโจมตีนี้ทำให้ทั้งผู้ใช้ทั่วไปและนักวิจัยด้านความปลอดภัยถูกหลอกได้ง่ายขึ้น และเป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงในระบบซัพพลายเชนโอเพนซอร์ส

    https://securityonline.info/npm-supply-chain-attack-hackers-use-adspect-cloaking-and-fake-crypto-captcha-to-deceive-victims-and-researchers

    ASUSTOR พบช่องโหว่ DLL Hijacking ร้ายแรง (CVE-2025-13051)
    ASUSTOR ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ DLL hijacking ในซอฟต์แวร์ Backup Plan (ABP) และ EZSync (AES) บน Windows ที่เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีในเครื่องสามารถแทนที่ DLL และรันโค้ดด้วยสิทธิ์ SYSTEM ได้ ช่องโหว่นี้มีคะแนน CVSS 9.3 และถูกจัดว่าเป็นภัยร้ายแรงต่อทั้งผู้ใช้บ้านและองค์กร โดยมีการออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชันใหม่

    https://securityonline.info/critical-asustor-flaw-cve-2025-13051-allows-local-dll-hijacking-for-system-privilege-escalation

    ช่องโหว่ joserfc (CVE-2025-65015) ทำให้เซิร์ฟเวอร์ล่มด้วย JWT ขนาดใหญ่

    มีการค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงในไลบรารี joserfc ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการ JSON Web Token (JWT) โดยหากผู้โจมตีส่ง JWT ที่มีขนาดใหญ่ผิดปกติ จะทำให้เซิร์ฟเวอร์ใช้ทรัพยากรมากเกินไปจนล่มได้ ช่องโหว่นี้ถูกจัดว่าเป็นการโจมตีแบบ Denial of Service (DoS) และมีผลกระทบต่อระบบที่ใช้ joserfc ในการตรวจสอบสิทธิ์หรือการเข้ารหัสข้อมูล

    https://securityonline.info/critical-cve-2025-65015-vulnerability-in-joserfc-could-let-attackers-exhaust-server-resources-via-oversized-jwt-tokens

    หน่วยงาน CISA/FBI/NSA ร่วมกันจัดการโครงสร้าง Bulletproof Hosting
    สามหน่วยงานด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ได้แก่ CISA, FBI และ NSA ได้ร่วมมือกันออกคู่มือใหม่เพื่อจัดการกับโครงสร้าง Bulletproof Hosting ที่ถูกใช้โดยอาชญากรไซเบอร์ทั่วโลก Bulletproof Hosting คือบริการโฮสติ้งที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องผู้โจมตีจากการถูกปิดกั้นหรือสืบสวน การร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างแนวทางป้องกันภัยไซเบอร์ระดับโลก

    https://securityonline.info/cisa-fbi-nsa-unite-to-dismantle-bulletproof-hosting-ecosystem-with-new-global-defense-guide

    📌📰🟠 รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline 🟠📰📌 #รวมข่าวIT #20251120 #securityonline 🕵️‍♂️ Lazarus Group เปิดตัว RAT ใหม่ชื่อ ScoringMathTea กลุ่มแฮกเกอร์ Lazarus จากเกาหลีเหนือถูกเปิดโปงว่าได้พัฒนาเครื่องมือสอดแนมใหม่ชื่อ ScoringMathTea RAT ซึ่งมีความสามารถซับซ้อนมาก ใช้เทคนิคการโหลดปลั๊กอินแบบสะท้อน (Reflective Plugin Loader) และเข้ารหัสด้วยวิธีเฉพาะที่ยากต่อการตรวจจับ เครื่องมือนี้สามารถควบคุมเครื่องเป้าหมายจากระยะไกลได้เต็มรูปแบบ ทั้งการรันคำสั่งและโหลดปลั๊กอินในหน่วยความจำ จุดเด่นคือการซ่อนร่องรอยการสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) ทำให้ยากต่อการตรวจสอบ นักวิจัยพบว่า RAT นี้ถูกใช้ในปฏิบัติการโจมตีบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี UAV ของยูเครน 🔗 https://securityonline.info/lazarus-groups-new-scoringmathtea-rat-uses-reflective-plugin-loader-and-custom-polyalphabetic-crypto-for-espionage 💻 Akira Ransomware ใช้ CAPTCHA หลอกลวงจนบริษัทใหญ่ล่มใน 42 วัน มีรายงานว่าเพียงการคลิก CAPTCHA ปลอมครั้งเดียวของพนักงานบริษัทด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้เกิดการโจมตีที่ยืดเยื้อถึง 42 วัน กลุ่มแฮกเกอร์ Howling Scorpius ใช้เทคนิคนี้เพื่อติดตั้ง SectopRAT และค่อย ๆ ยึดระบบทีละขั้น จนสามารถลบข้อมูลสำรองบนคลาวด์และปล่อย Akira ransomware ทำให้บริษัทหยุดทำงานเกือบทั้งหมด แม้บริษัทจะมีระบบ EDR แต่กลับไม่สามารถตรวจจับได้ทันเวลา 🔗 https://securityonline.info/one-click-42-days-akira-ransomware-used-captcha-decoy-to-destroy-cloud-backups-and-cripple-storage-firm 🎩 “The Gentlemen” Ransomware RaaS โผล่ใหม่ โจมตี 48 เหยื่อใน 3 เดือน กลุ่มใหม่ชื่อ The Gentlemen เปิดตัวแพลตฟอร์ม Ransomware-as-a-Service (RaaS) ที่มีความซับซ้อนสูง ใช้การเข้ารหัสแบบ XChaCha20 และกลยุทธ์ “สองชั้น” คือทั้งเข้ารหัสไฟล์และขู่เปิดเผยข้อมูลที่ขโมยมา ภายในเวลาเพียง 3 เดือน พวกเขามีเหยื่อถึง 48 ราย จุดเด่นคือการพัฒนาอย่างรวดเร็ว รองรับทั้ง Windows, Linux และ ESXi พร้อมเทคนิคการแพร่กระจายที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ถูกจับตามองว่าอาจกลายเป็นภัยคุกคามระดับท็อปในวงการ 🔗 https://securityonline.info/sophisticated-the-gentlemen-ransomware-raas-emerges-with-xchacha20-encryption-and-48-victims-in-3-months ☁️ มัลแวร์ยุคใหม่ซ่อนการสื่อสารเป็น API ของ LLM บน Tencent Cloud นักวิจัยจาก Akamai พบมัลแวร์ที่มีวิธีพรางตัวแปลกใหม่ โดยมันซ่อนการสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) ให้ดูเหมือนการเรียกใช้งาน API ของ Large Language Model (LLM) บน Tencent Cloud ทำให้การตรวจจับยากขึ้นมาก เพราะทราฟฟิกดูเหมือนการใช้งาน AI ปกติจริง ๆ เมื่อถอดรหัสแล้วพบว่าเป็นคำสั่งควบคุมเครื่องแบบ RAT เต็มรูปแบบ พร้อมเครื่องมือ Proxy ที่ช่วยให้แฮกเกอร์ใช้เครื่องเหยื่อเป็นจุดผ่านในการโจมตีต่อ 🔗 https://securityonline.info/next-gen-stealth-malware-hides-c2-traffic-as-fake-llm-api-requests-on-tencent-cloud 🗄️ Ransomware เจาะ AWS S3 ผ่านการตั้งค่าผิดพลาด ทำลบข้อมูลถาวร รายงานจาก Trend Research เตือนว่ามีการพัฒนา ransomware รุ่นใหม่ที่มุ่งเป้าไปยัง Amazon S3 โดยอาศัยการตั้งค่าที่ผิดพลาด เช่น ไม่มีการเปิด versioning หรือ object lock ทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้ารหัสหรือลบข้อมูลได้แบบถาวรโดยไม่สามารถกู้คืนได้ มีการระบุถึง 5 วิธีการโจมตีที่อันตราย เช่น การลบ KMS key ที่ใช้เข้ารหัสไฟล์ ซึ่งจะทำให้ข้อมูลสูญหายไปตลอดกาล 🔗 https://securityonline.info/next-gen-ransomware-targets-aws-s3-five-cloud-native-variants-exploit-misconfigurations-for-irreversible-data-destruction 💻 Windows 11 เตรียมซ่อนหน้าจอ BSOD บนจอสาธารณะ Microsoft ประกาศว่าจะปรับปรุง Windows 11 โดย ซ่อนหน้าจอ Blue Screen of Death (BSOD) บนจอที่ใช้ในที่สาธารณะ เช่นสนามบินหรือห้างสรรพสินค้า เพื่อไม่ให้ผู้ใช้ทั่วไปเห็นภาพระบบล่มที่อาจสร้างความตื่นตระหนก การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ประสบการณ์ใช้งานดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น โดยยังคงบันทึกข้อมูลการ crash ไว้ให้ผู้ดูแลระบบตรวจสอบได้ตามปกติ 🔗 https://securityonline.info/no-more-public-bsods-windows-11-will-hide-crash-screens-on-public-displays 🛡️ Microsoft เตรียมยกเลิกสิทธิ์ OEM Driver ระดับ Kernel หลังเหตุการณ์ CrowdStrike ที่ทำให้ระบบล่มทั่วโลก Microsoft วางแผนจะ ยกเลิกสิทธิ์พิเศษของ OEM driver ที่ทำงานในระดับ Kernel เพื่อลดความเสี่ยงจากการที่ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ใช้สิทธิ์สูงเกินไป การเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยของระบบ Windows โดยบังคับให้ผู้ผลิตใช้วิธีที่ปลอดภัยกว่าในการเชื่อมต่อกับระบบปฏิบัติการ 🔗 https://securityonline.info/post-crowdstrike-microsoft-to-phase-out-oem-kernel-level-driver-privileges 🌐 Seraphic เปิดตัว Browser Security สำหรับแอป Electron บริษัท Seraphic เปิดตัวโซลูชันใหม่ที่เป็น Secure Enterprise Browser ตัวแรกที่สามารถปกป้องแอปพลิเคชันที่สร้างบน Electron ได้ จุดเด่นคือการเพิ่มชั้นความปลอดภัยให้กับแอปที่มักถูกใช้ในองค์กร เช่น Slack หรือ Teams ซึ่งเดิมที Electron มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยอยู่บ่อยครั้ง การแก้ปัญหานี้ช่วยให้องค์กรมั่นใจมากขึ้นในการใช้งานแอป Electron 🔗 https://securityonline.info/seraphic-becomes-the-first-and-only-secure-enterprise-browser-solution-to-protect-electron-based-applications 🔒 Comet Browser ถูกวิจารณ์หนัก หลังพบ API ลับ MCP มีการค้นพบว่า Comet Browser มี API ที่ชื่อ MCP ซึ่งเปิดช่องให้ผู้พัฒนา AI browser สามารถเข้าถึงและควบคุมอุปกรณ์ของผู้ใช้ได้เต็มรูปแบบโดยไม่แจ้งเตือน ทำให้เกิดการละเมิดความเชื่อมั่นของผู้ใช้ นักวิจัยเตือนว่าช่องโหว่นี้อาจถูกใช้เพื่อควบคุมเครื่องจากระยะไกลโดยไม่ได้รับอนุญาต 🔗 https://securityonline.info/obscure-mcp-api-in-comet-browser-breaches-user-trust-enabling-full-device-control-via-ai-browsers 📜 CredShields จับมือ Checkmarx เสริมความปลอดภัย Smart Contract บริษัท CredShields ประกาศความร่วมมือกับ Checkmarx เพื่อนำเทคโนโลยีตรวจสอบความปลอดภัยของ Smart Contract เข้าสู่โปรแกรม AppSec ขององค์กร จุดมุ่งหมายคือช่วยให้องค์กรที่ใช้ blockchain และ smart contract สามารถตรวจสอบช่องโหว่ได้อย่างเป็นระบบ ลดความเสี่ยงจากการโจมตีที่อาจทำให้สูญเสียทรัพย์สินดิจิทัล 🔗 https://securityonline.info/credshields-joins-forces-with-checkmarx-to-bring-smart-contract-security-to-enterprise-appsec-programs 🛠️ Windows 11 เพิ่มเครื่องมือใหม่ Point-in-Time Restore Microsoft เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 ได้แก่ Point-in-Time Restore และ Network-Enabled Recovery Environment เพื่อช่วยผู้ใช้กู้คืนระบบได้ง่ายขึ้น ฟีเจอร์นี้ทำให้สามารถย้อนกลับไปยังสถานะก่อนหน้าที่กำหนดไว้ได้ทันที และยังรองรับการกู้คืนผ่านเครือข่าย ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถซ่อมแซมเครื่องจากระยะไกลได้สะดวกขึ้น 🔗 https://securityonline.info/new-windows-11-tools-point-in-time-restore-network-enabled-recovery-environment 💰 ความกังวลฟองสบู่ AI: Microsoft & NVIDIA ลงทุนหนักใน Anthropic มีรายงานว่าทั้ง Microsoft และ NVIDIA ลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในบริษัท AI อย่าง Anthropic จนเกิดความกังวลว่าการลงทุนแบบหมุนเวียนระหว่างบริษัทใหญ่ ๆ อาจสร้าง “ฟองสบู่ AI” ที่ไม่ยั่งยืน การทุ่มเงินจำนวนมหาศาลนี้ถูกมองว่าอาจทำให้ตลาด AI เติบโตเกินจริงและเสี่ยงต่อการแตกในอนาคต 🔗 https://securityonline.info/ai-bubble-fear-microsoft-nvidia-pour-billions-into-anthropic-fueling-circular-investment 🇺🇸 Google ทุ่ม 78 พันล้านดอลลาร์สร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ในสหรัฐฯ Google ประกาศโครงการ Investing in America 2025 ด้วยงบประมาณมหาศาลถึง 78 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล AI และโครงสร้างพื้นฐานทั่วสหรัฐฯ รวมถึงการลงทุนในพลังงานแสงอาทิตย์ 600 MW ที่ Arkansas โครงการนี้สะท้อนถึงการเร่งขยายกำลังการผลิต AI และการสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศ 🔗 https://securityonline.info/google-pledges-78-billion-for-investing-in-america-2025-ai-infrastructure 🧠 Grok 4.1 แซง Google Gemini 2.5 Pro บน LMArena แพลตฟอร์มทดสอบ AI LMArena รายงานว่า Grok 4.1 Thinking ได้คะแนนสูงสุด แซงหน้า Google Gemini 2.5 Pro ในการจัดอันดับล่าสุด จุดเด่นของ Grok คือความสามารถในการใช้เหตุผลเชิงลึกและการตอบสนองที่แม่นยำ ทำให้มันถูกจับตามองว่าอาจเป็นคู่แข่งสำคัญในตลาดโมเดล AI ระดับสูง 🔗 https://securityonline.info/grok-4-1-thinking-steals-1-spot-on-lmarena-surpassing-google-gemini-2-5-pro 🎨 Google เปิดตัว Canvas และ Agentic Booking ใน AI Mode Google อัปเกรด AI Mode โดยเพิ่มฟีเจอร์ Canvas สำหรับการวางแผน และ Agentic Booking สำหรับการจองที่พักหรือร้านอาหารแบบอัตโนมัติ ฟีเจอร์เหล่านี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้ AI ในการจัดการงานประจำวันได้สะดวกขึ้น เช่น วางแผนทริปหรือจองโต๊ะอาหารโดยไม่ต้องทำเอง 🔗 https://securityonline.info/ai-mode-upgraded-google-launches-canvas-for-planning-and-agentic-booking-for-reservations 📡 เราเตอร์ D-Link DIR-878 หมดอายุการสนับสนุน พร้อมช่องโหว่ RCE ร้ายแรง D-Link ประกาศว่าเราเตอร์รุ่น DIR-878 เข้าสู่สถานะ End-of-Life (EOL) และจะไม่ได้รับการอัปเดตอีกต่อไป ทั้งที่ยังมีช่องโหว่ร้ายแรงถึง 3 จุดซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถรันคำสั่งจากระยะไกลได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ทำให้ผู้ใช้ที่ยังใช้อุปกรณ์รุ่นนี้เสี่ยงต่อการถูกยึดระบบอย่างมาก 🔗 https://securityonline.info/d-link-dir-878-reaches-eol-3-unpatched-rce-flaws-allow-unauthenticated-remote-command-execution ⚙️ ช่องโหว่ร้ายแรงใน METZ CONNECT Controller เปิดทาง RCE และยึดระบบ มีการค้นพบช่องโหว่ในอุปกรณ์ควบคุมอุตสาหกรรมของ METZ CONNECT ที่มีคะแนน CVSS สูงถึง 9.8 ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถรันคำสั่งจากระยะไกลและเข้ายึดสิทธิ์ผู้ดูแลระบบได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ถือเป็นภัยคุกคามต่อระบบควบคุมอุตสาหกรรมที่ใช้กันในโรงงานและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ 🔗 https://securityonline.info/critical-metz-connect-flaws-cvss-9-8-allow-unauthenticated-rce-and-admin-takeover-on-industrial-controllers 🖥️ SolarWinds Serv-U พบช่องโหว่ใหม่ เปิดทาง RCE และ Path Bypass นักวิจัยด้านความปลอดภัยรายงานช่องโหว่ร้ายแรงใน SolarWinds Serv-U ที่ทำให้ผู้โจมตีที่มีสิทธิ์ผู้ดูแลระบบสามารถรันคำสั่งจากระยะไกลและเลี่ยงการตรวจสอบเส้นทางไฟล์ได้ ช่องโหว่นี้มีคะแนน CVSS 9.1 และถูกจัดว่าเป็นภัยคุกคามระดับสูงต่อองค์กรที่ใช้ Serv-U ในการจัดการไฟล์และระบบเครือข่าย 🔗 https://securityonline.info/critical-solarwinds-serv-u-flaws-cvss-9-1-allow-authenticated-admin-rce-and-path-bypass 🪙 การโจมตีซัพพลายเชน npm ด้วย CAPTCHA ปลอมและ Adspect Cloaking มีการตรวจพบการโจมตีซัพพลายเชนใน npm โดยแฮกเกอร์ใช้เทคนิค Adspect Cloaking และ CAPTCHA ปลอมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเพื่อหลอกนักพัฒนาและผู้ใช้ให้ดาวน์โหลดแพ็กเกจอันตราย การโจมตีนี้ทำให้ทั้งผู้ใช้ทั่วไปและนักวิจัยด้านความปลอดภัยถูกหลอกได้ง่ายขึ้น และเป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงในระบบซัพพลายเชนโอเพนซอร์ส 🔗 https://securityonline.info/npm-supply-chain-attack-hackers-use-adspect-cloaking-and-fake-crypto-captcha-to-deceive-victims-and-researchers 🖥️ ASUSTOR พบช่องโหว่ DLL Hijacking ร้ายแรง (CVE-2025-13051) ASUSTOR ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ DLL hijacking ในซอฟต์แวร์ Backup Plan (ABP) และ EZSync (AES) บน Windows ที่เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีในเครื่องสามารถแทนที่ DLL และรันโค้ดด้วยสิทธิ์ SYSTEM ได้ ช่องโหว่นี้มีคะแนน CVSS 9.3 และถูกจัดว่าเป็นภัยร้ายแรงต่อทั้งผู้ใช้บ้านและองค์กร โดยมีการออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชันใหม่ 🔗 https://securityonline.info/critical-asustor-flaw-cve-2025-13051-allows-local-dll-hijacking-for-system-privilege-escalation ⚠️ ช่องโหว่ joserfc (CVE-2025-65015) ทำให้เซิร์ฟเวอร์ล่มด้วย JWT ขนาดใหญ่ มีการค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงในไลบรารี joserfc ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการ JSON Web Token (JWT) โดยหากผู้โจมตีส่ง JWT ที่มีขนาดใหญ่ผิดปกติ จะทำให้เซิร์ฟเวอร์ใช้ทรัพยากรมากเกินไปจนล่มได้ ช่องโหว่นี้ถูกจัดว่าเป็นการโจมตีแบบ Denial of Service (DoS) และมีผลกระทบต่อระบบที่ใช้ joserfc ในการตรวจสอบสิทธิ์หรือการเข้ารหัสข้อมูล 🔗 https://securityonline.info/critical-cve-2025-65015-vulnerability-in-joserfc-could-let-attackers-exhaust-server-resources-via-oversized-jwt-tokens 🌍 หน่วยงาน CISA/FBI/NSA ร่วมกันจัดการโครงสร้าง Bulletproof Hosting สามหน่วยงานด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ได้แก่ CISA, FBI และ NSA ได้ร่วมมือกันออกคู่มือใหม่เพื่อจัดการกับโครงสร้าง Bulletproof Hosting ที่ถูกใช้โดยอาชญากรไซเบอร์ทั่วโลก Bulletproof Hosting คือบริการโฮสติ้งที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องผู้โจมตีจากการถูกปิดกั้นหรือสืบสวน การร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างแนวทางป้องกันภัยไซเบอร์ระดับโลก 🔗 https://securityonline.info/cisa-fbi-nsa-unite-to-dismantle-bulletproof-hosting-ecosystem-with-new-global-defense-guide
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 739 มุมมอง 0 รีวิว
  • Frentree จับมือ AccuKnox ขยาย Zero Trust CNAPP ในเกาหลีใต้

    Frentree บริษัทโซลูชันด้านความปลอดภัยไซเบอร์จากเกาหลีใต้ ได้ประกาศความร่วมมือกับ AccuKnox ผู้เชี่ยวชาญด้าน Zero Trust CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) เพื่อเสริมความปลอดภัยให้กับองค์กรในภูมิภาค โดยความร่วมมือนี้มีเป้าหมายเพื่อยกระดับการป้องกันภัยคุกคามในระบบคลาวด์ คอนเทนเนอร์ และ AI workloads ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดเกาหลีใต้

    การจับมือครั้งนี้เกิดขึ้นจากความต้องการขององค์กรในเกาหลีใต้ที่ต้องการระบบ Visibility ครอบคลุม, Runtime Protection ที่ปรับขยายได้ และ Compliance อัตโนมัติ เพื่อรับมือกับการโจมตีไซเบอร์ที่ซับซ้อนมากขึ้น โดย Frentree เลือก AccuKnox เพราะมีความเชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรม Zero Trust และเป็นผู้ร่วมพัฒนาโครงการโอเพนซอร์ส CNCF เช่น KubeArmor และ ModelArmor ซึ่งช่วยให้แพลตฟอร์มมีความยืดหยุ่นและน่าเชื่อถือ

    ในเชิงกลยุทธ์ ความร่วมมือนี้สะท้อนถึงการที่ตลาดเกาหลีใต้กำลังเร่งการนำระบบคลาวด์มาใช้ในภาคการเงินและองค์กรขนาดใหญ่ การมีโซลูชันที่สามารถตรวจสอบและป้องกันภัยคุกคามได้ตั้งแต่ระดับโค้ดจนถึงการทำงานจริง จึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าและผู้ลงทุน อีกทั้งยังช่วยให้บริษัทสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวที่เข้มงวดในภูมิภาค

    นอกจากนี้ แนวโน้มระดับโลกยังชี้ให้เห็นว่า Zero Trust และ CNAPP กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ ในการป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียที่มีการลงทุนด้าน AI และคลาวด์สูง การที่ Frentree และ AccuKnox ร่วมมือกันจึงไม่เพียงแต่เป็นการเสริมความปลอดภัย แต่ยังเป็นการสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

    สรุปสาระสำคัญ
    ความร่วมมือ Frentree – AccuKnox
    เสริมความปลอดภัยไซเบอร์ในเกาหลีใต้
    เน้นระบบ Zero Trust CNAPP ครอบคลุมคลาวด์ คอนเทนเนอร์ และ AI workloads

    จุดเด่นของ AccuKnox
    มีความเชี่ยวชาญด้าน Zero Trust Architecture
    เป็นผู้ร่วมพัฒนาโครงการโอเพนซอร์ส CNCF เช่น KubeArmor และ ModelArmor

    ผลลัพธ์ที่คาดหวัง
    เพิ่ม Visibility และ Runtime Protection ที่ปรับขยายได้
    Compliance อัตโนมัติ รองรับข้อกำหนดเข้มงวดในเกาหลีใต้

    ความท้าทายและคำเตือน
    ภัยคุกคามไซเบอร์ในภูมิภาคมีความซับซ้อนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
    การเร่งนำระบบคลาวด์และ AI มาใช้ อาจเพิ่มช่องโหว่ใหม่ที่ต้องจัดการอย่างจริงจัง

    https://securityonline.info/frentree-partners-with-accuknox-to-expand-zero-trust-cnapp-security-in-south-korea/
    🌐 Frentree จับมือ AccuKnox ขยาย Zero Trust CNAPP ในเกาหลีใต้ Frentree บริษัทโซลูชันด้านความปลอดภัยไซเบอร์จากเกาหลีใต้ ได้ประกาศความร่วมมือกับ AccuKnox ผู้เชี่ยวชาญด้าน Zero Trust CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) เพื่อเสริมความปลอดภัยให้กับองค์กรในภูมิภาค โดยความร่วมมือนี้มีเป้าหมายเพื่อยกระดับการป้องกันภัยคุกคามในระบบคลาวด์ คอนเทนเนอร์ และ AI workloads ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดเกาหลีใต้ การจับมือครั้งนี้เกิดขึ้นจากความต้องการขององค์กรในเกาหลีใต้ที่ต้องการระบบ Visibility ครอบคลุม, Runtime Protection ที่ปรับขยายได้ และ Compliance อัตโนมัติ เพื่อรับมือกับการโจมตีไซเบอร์ที่ซับซ้อนมากขึ้น โดย Frentree เลือก AccuKnox เพราะมีความเชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรม Zero Trust และเป็นผู้ร่วมพัฒนาโครงการโอเพนซอร์ส CNCF เช่น KubeArmor และ ModelArmor ซึ่งช่วยให้แพลตฟอร์มมีความยืดหยุ่นและน่าเชื่อถือ ในเชิงกลยุทธ์ ความร่วมมือนี้สะท้อนถึงการที่ตลาดเกาหลีใต้กำลังเร่งการนำระบบคลาวด์มาใช้ในภาคการเงินและองค์กรขนาดใหญ่ การมีโซลูชันที่สามารถตรวจสอบและป้องกันภัยคุกคามได้ตั้งแต่ระดับโค้ดจนถึงการทำงานจริง จึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าและผู้ลงทุน อีกทั้งยังช่วยให้บริษัทสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวที่เข้มงวดในภูมิภาค นอกจากนี้ แนวโน้มระดับโลกยังชี้ให้เห็นว่า Zero Trust และ CNAPP กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ ในการป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียที่มีการลงทุนด้าน AI และคลาวด์สูง การที่ Frentree และ AccuKnox ร่วมมือกันจึงไม่เพียงแต่เป็นการเสริมความปลอดภัย แต่ยังเป็นการสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ความร่วมมือ Frentree – AccuKnox ➡️ เสริมความปลอดภัยไซเบอร์ในเกาหลีใต้ ➡️ เน้นระบบ Zero Trust CNAPP ครอบคลุมคลาวด์ คอนเทนเนอร์ และ AI workloads ✅ จุดเด่นของ AccuKnox ➡️ มีความเชี่ยวชาญด้าน Zero Trust Architecture ➡️ เป็นผู้ร่วมพัฒนาโครงการโอเพนซอร์ส CNCF เช่น KubeArmor และ ModelArmor ✅ ผลลัพธ์ที่คาดหวัง ➡️ เพิ่ม Visibility และ Runtime Protection ที่ปรับขยายได้ ➡️ Compliance อัตโนมัติ รองรับข้อกำหนดเข้มงวดในเกาหลีใต้ ‼️ ความท้าทายและคำเตือน ⛔ ภัยคุกคามไซเบอร์ในภูมิภาคมีความซับซ้อนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ⛔ การเร่งนำระบบคลาวด์และ AI มาใช้ อาจเพิ่มช่องโหว่ใหม่ที่ต้องจัดการอย่างจริงจัง https://securityonline.info/frentree-partners-with-accuknox-to-expand-zero-trust-cnapp-security-in-south-korea/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 0 รีวิว
  • Alice Blue จับมือ AccuKnox เสริมความปลอดภัยและการกำกับดูแล

    Alice Blue บริษัทด้านการเงินและโบรกเกอร์ชั้นนำของอินเดีย ได้ประกาศความร่วมมือกับ AccuKnox ผู้เชี่ยวชาญด้าน Zero Trust CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) เพื่อยกระดับมาตรการความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกฎหมายการเงิน โดยความร่วมมือนี้ดำเนินการผ่านพันธมิตร Airowire ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการผลักดันโซลูชันด้านความปลอดภัยสู่ตลาดที่มีการกำกับดูแลเข้มงวด

    การตัดสินใจเลือก AccuKnox เกิดขึ้นหลังจาก Alice Blue ได้ทำการประเมินผู้ให้บริการหลายราย โดยพบว่าแพลตฟอร์ม Zero Trust CNAPP ของ AccuKnox มีความโดดเด่นในด้านการทำงานแบบ Agentless ลดภาระการดูแลระบบ และสามารถปรับใช้ได้รวดเร็ว พร้อมทั้งสอดคล้องกับมาตรฐานสำคัญ เช่น RBI, SEBI, PCI-DSS, ISO และ SOC 2 ซึ่งเป็นข้อกำหนดหลักในอุตสาหกรรมการเงินของอินเดีย

    นอกจากการเสริมความปลอดภัยแล้ว ความร่วมมือนี้ยังช่วยให้ Alice Blue สามารถสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ด้วยระบบที่มีการตรวจสอบและป้องกันภัยคุกคามแบบต่อเนื่อง ตั้งแต่ระดับโค้ดไปจนถึงการทำงานจริงในระบบคลาวด์และ AI workloads อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินงาน ซึ่งถือเป็นการยกระดับมาตรฐานการให้บริการในตลาดการเงินที่แข่งขันสูง

    ในมุมมองที่กว้างขึ้น ความร่วมมือเช่นนี้สะท้อนถึงแนวโน้มที่สถาบันการเงินทั่วโลกกำลังหันมาใช้แนวคิด Zero Trust และ CNAPP เพื่อรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่ซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่การทำงานบนระบบคลาวด์และ AI มีบทบาทสำคัญต่อธุรกิจ การลงทุนในโครงสร้างความปลอดภัยที่แข็งแกร่งจึงไม่ใช่เพียงการปฏิบัติตามกฎระเบียบ แต่ยังเป็นการสร้างความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์อีกด้วย

    สรุปสาระสำคัญ
    ความร่วมมือ Alice Blue – AccuKnox
    เสริมความปลอดภัยและการกำกับดูแลในระบบการเงินอินเดีย
    ใช้ Zero Trust CNAPP แบบ Agentless ลดภาระการจัดการ

    มาตรฐานการกำกับดูแลที่รองรับ
    สอดคล้องกับ RBI, SEBI, PCI-DSS, ISO และ SOC 2
    เพิ่มความมั่นใจให้ลูกค้าและผู้ลงทุน

    ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากความร่วมมือ
    การตรวจสอบและป้องกันภัยคุกคามแบบต่อเนื่อง
    ลดความเสี่ยงและเพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินงาน

    ความท้าทายและคำเตือน
    ภัยคุกคามไซเบอร์มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อาจต้องปรับปรุงระบบตลอดเวลา
    การพึ่งพาโครงสร้างคลาวด์และ AI ทำให้ต้องเผชิญความเสี่ยงใหม่ที่ซับซ้อนมากขึ้น

    https://securityonline.info/alice-blue-partners-with-accuknox-for-regulatory-compliance/
    🛡️ Alice Blue จับมือ AccuKnox เสริมความปลอดภัยและการกำกับดูแล Alice Blue บริษัทด้านการเงินและโบรกเกอร์ชั้นนำของอินเดีย ได้ประกาศความร่วมมือกับ AccuKnox ผู้เชี่ยวชาญด้าน Zero Trust CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) เพื่อยกระดับมาตรการความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกฎหมายการเงิน โดยความร่วมมือนี้ดำเนินการผ่านพันธมิตร Airowire ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการผลักดันโซลูชันด้านความปลอดภัยสู่ตลาดที่มีการกำกับดูแลเข้มงวด การตัดสินใจเลือก AccuKnox เกิดขึ้นหลังจาก Alice Blue ได้ทำการประเมินผู้ให้บริการหลายราย โดยพบว่าแพลตฟอร์ม Zero Trust CNAPP ของ AccuKnox มีความโดดเด่นในด้านการทำงานแบบ Agentless ลดภาระการดูแลระบบ และสามารถปรับใช้ได้รวดเร็ว พร้อมทั้งสอดคล้องกับมาตรฐานสำคัญ เช่น RBI, SEBI, PCI-DSS, ISO และ SOC 2 ซึ่งเป็นข้อกำหนดหลักในอุตสาหกรรมการเงินของอินเดีย นอกจากการเสริมความปลอดภัยแล้ว ความร่วมมือนี้ยังช่วยให้ Alice Blue สามารถสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ด้วยระบบที่มีการตรวจสอบและป้องกันภัยคุกคามแบบต่อเนื่อง ตั้งแต่ระดับโค้ดไปจนถึงการทำงานจริงในระบบคลาวด์และ AI workloads อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินงาน ซึ่งถือเป็นการยกระดับมาตรฐานการให้บริการในตลาดการเงินที่แข่งขันสูง ในมุมมองที่กว้างขึ้น ความร่วมมือเช่นนี้สะท้อนถึงแนวโน้มที่สถาบันการเงินทั่วโลกกำลังหันมาใช้แนวคิด Zero Trust และ CNAPP เพื่อรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่ซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่การทำงานบนระบบคลาวด์และ AI มีบทบาทสำคัญต่อธุรกิจ การลงทุนในโครงสร้างความปลอดภัยที่แข็งแกร่งจึงไม่ใช่เพียงการปฏิบัติตามกฎระเบียบ แต่ยังเป็นการสร้างความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์อีกด้วย 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ความร่วมมือ Alice Blue – AccuKnox ➡️ เสริมความปลอดภัยและการกำกับดูแลในระบบการเงินอินเดีย ➡️ ใช้ Zero Trust CNAPP แบบ Agentless ลดภาระการจัดการ ✅ มาตรฐานการกำกับดูแลที่รองรับ ➡️ สอดคล้องกับ RBI, SEBI, PCI-DSS, ISO และ SOC 2 ➡️ เพิ่มความมั่นใจให้ลูกค้าและผู้ลงทุน ✅ ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากความร่วมมือ ➡️ การตรวจสอบและป้องกันภัยคุกคามแบบต่อเนื่อง ➡️ ลดความเสี่ยงและเพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินงาน ‼️ ความท้าทายและคำเตือน ⛔ ภัยคุกคามไซเบอร์มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อาจต้องปรับปรุงระบบตลอดเวลา ⛔ การพึ่งพาโครงสร้างคลาวด์และ AI ทำให้ต้องเผชิญความเสี่ยงใหม่ที่ซับซ้อนมากขึ้น https://securityonline.info/alice-blue-partners-with-accuknox-for-regulatory-compliance/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 235 มุมมอง 0 รีวิว
  • ครบรอบ 16 ปีของ Go

    เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2025 ทีม Go ได้ฉลองครบรอบ 16 ปีของการเปิดซอร์ส Go โดยในปีนี้มีการออกเวอร์ชัน Go 1.24 และ Go 1.25 ซึ่งยังคงรักษาจังหวะการออกเวอร์ชันที่สม่ำเสมอ จุดเด่นคือการเพิ่ม API ใหม่เพื่อช่วยให้นักพัฒนาสร้างระบบที่มีความน่าเชื่อถือและปลอดภัยมากขึ้น รวมถึงการปรับปรุงเบื้องหลังที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น.

    ฟีเจอร์ใหม่ด้านการทดสอบและคอนเทนเนอร์
    หนึ่งในฟีเจอร์สำคัญคือ testing/synctest package ที่ช่วยให้การทดสอบโค้ด asynchronous และ concurrent ง่ายขึ้น โดยสามารถ “virtualize time” ทำให้การทดสอบที่เคยช้าและไม่เสถียร กลายเป็นรวดเร็วและเชื่อถือได้ นอกจากนี้ Go 1.25 ยังเปิดตัว container-aware scheduling ที่ปรับการทำงานของ workload ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมคอนเทนเนอร์โดยอัตโนมัติ ลดปัญหา CPU throttling และเพิ่มความพร้อมใช้งานในระดับ production.

    ความปลอดภัยและมาตรฐานใหม่
    Go ได้รับการตรวจสอบความปลอดภัยจากบริษัท Trail of Bits โดยพบเพียงข้อบกพร่องเล็กน้อย และยังได้รับการรับรอง CAVP ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่การรับรอง FIPS 140-3 ที่จำเป็นในสภาพแวดล้อมที่มีการกำกับดูแลเข้มงวด อีกทั้งยังมี API ใหม่อย่าง os.Root ที่ช่วยป้องกันการเข้าถึงไฟล์ที่ไม่ควรเข้าถึง ทำให้ระบบมีความปลอดภัยโดยการออกแบบตั้งแต่ต้น.

    Green Tea Garbage Collector และอนาคต
    Go 1.25 เปิดตัว Green Tea garbage collector ที่ลด overhead ได้ 10–40% และใน Go 1.26 จะเปิดใช้งานเป็นค่าเริ่มต้น พร้อมรองรับ AVX-512 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอีก 10% นอกจากนี้ยังมีการพัฒนา gopls language server และ automatic code modernizers ที่ช่วยให้นักพัฒนาปรับโค้ดให้ทันสมัยโดยอัตโนมัติ รวมถึงการร่วมมือกับ Anthropic และ Google เพื่อสร้าง Go MCP SDK และ ADK Go สำหรับการพัฒนา multi-agent applications.

    สรุปสาระสำคัญ
    ครบรอบ 16 ปีของ Go
    เปิดตัว Go 1.24 และ Go 1.25 พร้อมฟีเจอร์ใหม่
    เน้นความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพ

    ฟีเจอร์ด้านการทดสอบและคอนเทนเนอร์
    synctest package ทำให้การทดสอบ concurrent ง่ายขึ้น
    container-aware scheduling ลด CPU throttling

    ความปลอดภัยและมาตรฐาน
    ผ่านการตรวจสอบจาก Trail of Bits
    เตรียมรับรอง FIPS 140-3 และเพิ่ม os.Root API

    Green Tea Garbage Collector
    ลด overhead ได้สูงสุด 40%
    จะเปิดใช้งานเป็นค่าเริ่มต้นใน Go 1.26

    Ecosystem และอนาคต
    gopls language server พัฒนาอย่างต่อเนื่อง
    มี automatic code modernizers และ Go MCP SDK

    ความท้าทาย
    ต้องรักษาความเข้ากันได้กับโค้ดเก่าและ idioms เดิม
    ต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของ AI และ hardware รุ่นใหม่

    https://go.dev/blog/16years
    🎉 ครบรอบ 16 ปีของ Go เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2025 ทีม Go ได้ฉลองครบรอบ 16 ปีของการเปิดซอร์ส Go โดยในปีนี้มีการออกเวอร์ชัน Go 1.24 และ Go 1.25 ซึ่งยังคงรักษาจังหวะการออกเวอร์ชันที่สม่ำเสมอ จุดเด่นคือการเพิ่ม API ใหม่เพื่อช่วยให้นักพัฒนาสร้างระบบที่มีความน่าเชื่อถือและปลอดภัยมากขึ้น รวมถึงการปรับปรุงเบื้องหลังที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น. 🧪 ฟีเจอร์ใหม่ด้านการทดสอบและคอนเทนเนอร์ หนึ่งในฟีเจอร์สำคัญคือ testing/synctest package ที่ช่วยให้การทดสอบโค้ด asynchronous และ concurrent ง่ายขึ้น โดยสามารถ “virtualize time” ทำให้การทดสอบที่เคยช้าและไม่เสถียร กลายเป็นรวดเร็วและเชื่อถือได้ นอกจากนี้ Go 1.25 ยังเปิดตัว container-aware scheduling ที่ปรับการทำงานของ workload ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมคอนเทนเนอร์โดยอัตโนมัติ ลดปัญหา CPU throttling และเพิ่มความพร้อมใช้งานในระดับ production. 🔐 ความปลอดภัยและมาตรฐานใหม่ Go ได้รับการตรวจสอบความปลอดภัยจากบริษัท Trail of Bits โดยพบเพียงข้อบกพร่องเล็กน้อย และยังได้รับการรับรอง CAVP ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่การรับรอง FIPS 140-3 ที่จำเป็นในสภาพแวดล้อมที่มีการกำกับดูแลเข้มงวด อีกทั้งยังมี API ใหม่อย่าง os.Root ที่ช่วยป้องกันการเข้าถึงไฟล์ที่ไม่ควรเข้าถึง ทำให้ระบบมีความปลอดภัยโดยการออกแบบตั้งแต่ต้น. 🍵 Green Tea Garbage Collector และอนาคต Go 1.25 เปิดตัว Green Tea garbage collector ที่ลด overhead ได้ 10–40% และใน Go 1.26 จะเปิดใช้งานเป็นค่าเริ่มต้น พร้อมรองรับ AVX-512 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอีก 10% นอกจากนี้ยังมีการพัฒนา gopls language server และ automatic code modernizers ที่ช่วยให้นักพัฒนาปรับโค้ดให้ทันสมัยโดยอัตโนมัติ รวมถึงการร่วมมือกับ Anthropic และ Google เพื่อสร้าง Go MCP SDK และ ADK Go สำหรับการพัฒนา multi-agent applications. 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ครบรอบ 16 ปีของ Go ➡️ เปิดตัว Go 1.24 และ Go 1.25 พร้อมฟีเจอร์ใหม่ ➡️ เน้นความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพ ✅ ฟีเจอร์ด้านการทดสอบและคอนเทนเนอร์ ➡️ synctest package ทำให้การทดสอบ concurrent ง่ายขึ้น ➡️ container-aware scheduling ลด CPU throttling ✅ ความปลอดภัยและมาตรฐาน ➡️ ผ่านการตรวจสอบจาก Trail of Bits ➡️ เตรียมรับรอง FIPS 140-3 และเพิ่ม os.Root API ✅ Green Tea Garbage Collector ➡️ ลด overhead ได้สูงสุด 40% ➡️ จะเปิดใช้งานเป็นค่าเริ่มต้นใน Go 1.26 ✅ Ecosystem และอนาคต ➡️ gopls language server พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ➡️ มี automatic code modernizers และ Go MCP SDK ‼️ ความท้าทาย ⛔ ต้องรักษาความเข้ากันได้กับโค้ดเก่าและ idioms เดิม ⛔ ต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของ AI และ hardware รุ่นใหม่ https://go.dev/blog/16years
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 241 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ร้ายแรงใน Fortinet FortiWeb: เสี่ยงถูกยึดสิทธิ์แอดมินโดยไม่ต้องล็อกอิน

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่ Zero-Day ในผลิตภัณฑ์ Fortinet FortiWeb ซึ่งเป็น Web Application Firewall (WAF) ที่ถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย โดยช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงสิทธิ์ระดับผู้ดูแลระบบได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องมีบัญชีผู้ใช้เดิม ช่องโหว่ถูกพบว่ามีการโจมตีจริงแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม 2025 และมีโค้ด PoC (Proof-of-Concept) เผยแพร่สู่สาธารณะ ทำให้ความเสี่ยงในการถูกโจมตีเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก

    การโจมตีเริ่มต้นจากการส่ง HTTP POST request ที่ถูกปรับแต่งไปยัง FortiWeb Manager ซึ่งทำให้ระบบสร้างบัญชีผู้ดูแลใหม่โดยอัตโนมัติ นักวิจัยจาก Rapid7 ยืนยันว่าโค้ด PoC สามารถทำงานได้กับ FortiWeb เวอร์ชัน 8.0.1 แต่ไม่สามารถใช้ได้กับเวอร์ชัน 8.0.2 ซึ่งอาจบ่งชี้ว่า Fortinet ได้แก้ไขช่องโหว่โดยไม่ประกาศอย่างเป็นทางการในตอนแรก

    สิ่งที่น่ากังวลคือมีการพบการซื้อขายช่องโหว่นี้ในฟอรั่มใต้ดิน ทำให้ผู้โจมตีทั่วไปสามารถเข้าถึงเครื่องมือโจมตีได้ง่ายขึ้น องค์กรที่ยังใช้เวอร์ชันเก่าจึงตกอยู่ในความเสี่ยงสูง หากไม่รีบอัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุด ช่องโหว่นี้อาจถูกใช้เพื่อสร้างบัญชีแอดมินปลอม ยึดระบบ และเข้าถึงข้อมูลสำคัญโดยไม่ถูกตรวจจับ

    Fortinet ได้ออกประกาศอย่างเป็นทางการในภายหลัง โดยกำหนดรหัสช่องโหว่เป็น CVE-2025-64446 และให้คะแนนความรุนแรง CVSS 9.1 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับวิกฤติ พร้อมแนะนำให้องค์กรที่ใช้ FortiWeb รุ่น 7.0 ถึง 8.0.1 รีบอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 8.0.2 ทันที เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นต่อเนื่องในวงกว้าง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ Zero-Day ใน Fortinet FortiWeb
    เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีเข้าถึงสิทธิ์แอดมินโดยไม่ต้องมีบัญชีผู้ใช้

    Proof-of-Concept (PoC) ถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ
    ใช้งานได้กับ FortiWeb 8.0.1 แต่ไม่ทำงานกับ 8.0.2

    Fortinet ออกประกาศอย่างเป็นทางการ
    กำหนดรหัส CVE-2025-64446 และให้คะแนน CVSS 9.1

    แนวทางแก้ไข
    อัปเดตเป็น FortiWeb เวอร์ชัน 8.0.2 เพื่อปิดช่องโหว่

    ความเสี่ยงจากการโจมตี
    มีการพบการซื้อขายช่องโหว่ในฟอรั่มใต้ดิน เพิ่มโอกาสการโจมตีวงกว้าง

    องค์กรที่ยังใช้เวอร์ชันเก่า
    เสี่ยงถูกยึดระบบและสร้างบัญชีแอดมินปลอมโดยไม่ถูกตรวจจับ

    https://securityonline.info/zero-day-attack-warning-fortinet-fortiweb-exploit-grants-unauthenticated-admin-access/
    🛡️ ช่องโหว่ร้ายแรงใน Fortinet FortiWeb: เสี่ยงถูกยึดสิทธิ์แอดมินโดยไม่ต้องล็อกอิน นักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่ Zero-Day ในผลิตภัณฑ์ Fortinet FortiWeb ซึ่งเป็น Web Application Firewall (WAF) ที่ถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย โดยช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงสิทธิ์ระดับผู้ดูแลระบบได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องมีบัญชีผู้ใช้เดิม ช่องโหว่ถูกพบว่ามีการโจมตีจริงแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม 2025 และมีโค้ด PoC (Proof-of-Concept) เผยแพร่สู่สาธารณะ ทำให้ความเสี่ยงในการถูกโจมตีเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก การโจมตีเริ่มต้นจากการส่ง HTTP POST request ที่ถูกปรับแต่งไปยัง FortiWeb Manager ซึ่งทำให้ระบบสร้างบัญชีผู้ดูแลใหม่โดยอัตโนมัติ นักวิจัยจาก Rapid7 ยืนยันว่าโค้ด PoC สามารถทำงานได้กับ FortiWeb เวอร์ชัน 8.0.1 แต่ไม่สามารถใช้ได้กับเวอร์ชัน 8.0.2 ซึ่งอาจบ่งชี้ว่า Fortinet ได้แก้ไขช่องโหว่โดยไม่ประกาศอย่างเป็นทางการในตอนแรก สิ่งที่น่ากังวลคือมีการพบการซื้อขายช่องโหว่นี้ในฟอรั่มใต้ดิน ทำให้ผู้โจมตีทั่วไปสามารถเข้าถึงเครื่องมือโจมตีได้ง่ายขึ้น องค์กรที่ยังใช้เวอร์ชันเก่าจึงตกอยู่ในความเสี่ยงสูง หากไม่รีบอัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุด ช่องโหว่นี้อาจถูกใช้เพื่อสร้างบัญชีแอดมินปลอม ยึดระบบ และเข้าถึงข้อมูลสำคัญโดยไม่ถูกตรวจจับ Fortinet ได้ออกประกาศอย่างเป็นทางการในภายหลัง โดยกำหนดรหัสช่องโหว่เป็น CVE-2025-64446 และให้คะแนนความรุนแรง CVSS 9.1 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับวิกฤติ พร้อมแนะนำให้องค์กรที่ใช้ FortiWeb รุ่น 7.0 ถึง 8.0.1 รีบอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 8.0.2 ทันที เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นต่อเนื่องในวงกว้าง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ Zero-Day ใน Fortinet FortiWeb ➡️ เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีเข้าถึงสิทธิ์แอดมินโดยไม่ต้องมีบัญชีผู้ใช้ ✅ Proof-of-Concept (PoC) ถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ ➡️ ใช้งานได้กับ FortiWeb 8.0.1 แต่ไม่ทำงานกับ 8.0.2 ✅ Fortinet ออกประกาศอย่างเป็นทางการ ➡️ กำหนดรหัส CVE-2025-64446 และให้คะแนน CVSS 9.1 ✅ แนวทางแก้ไข ➡️ อัปเดตเป็น FortiWeb เวอร์ชัน 8.0.2 เพื่อปิดช่องโหว่ ‼️ ความเสี่ยงจากการโจมตี ⛔ มีการพบการซื้อขายช่องโหว่ในฟอรั่มใต้ดิน เพิ่มโอกาสการโจมตีวงกว้าง ‼️ องค์กรที่ยังใช้เวอร์ชันเก่า ⛔ เสี่ยงถูกยึดระบบและสร้างบัญชีแอดมินปลอมโดยไม่ถูกตรวจจับ https://securityonline.info/zero-day-attack-warning-fortinet-fortiweb-exploit-grants-unauthenticated-admin-access/
    SECURITYONLINE.INFO
    ZERO-DAY ATTACK WARNING: Fortinet FortiWeb Exploit Grants Unauthenticated Admin Access!
    Cybersecurity firms warn of a Critical, actively exploited FortiWeb flaw that allows unauthenticated attackers to create a new administrator account on the FortiWeb Manager panel. Update to v8.0.2 immediately.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวด่วน: พบช่องโหว่ Authentication Bypass ร้ายแรงใน Milvus Proxy

    ทีมพัฒนา Milvus ซึ่งเป็นฐานข้อมูลเวกเตอร์โอเพนซอร์สที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการทำงานด้าน AI, Recommendation Systems และ Semantic Search ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-64513 ในส่วน Proxy Component โดยมีคะแนนความร้ายแรง CVSS 9.3

    รายละเอียดช่องโหว่
    ช่องโหว่นี้เกิดจาก การตรวจสอบสิทธิ์ที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ผู้โจมตีสามารถ ข้ามขั้นตอนการยืนยันตัวตนทั้งหมด ได้
    เมื่อถูกโจมตีสำเร็จ แฮกเกอร์สามารถ:
    อ่าน, แก้ไข, หรือลบข้อมูลเวกเตอร์และเมตาดาต้า
    ทำการจัดการฐานข้อมูล เช่น สร้างหรือลบ collections และ databases
    ส่งผลกระทบต่อความถูกต้องของโมเดล AI ที่ใช้ Milvus ในการทำ inference หรือ retrieval

    การแก้ไขและการป้องกัน
    ทีม Milvus ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน:
    2.4.24 สำหรับ branch 2.4.x
    2.5.21 สำหรับ branch 2.5.x
    2.6.5 สำหรับ branch 2.6.x

    สำหรับผู้ที่ไม่สามารถอัปเดตได้ทันที มี วิธีแก้ชั่วคราว โดยการ กรองหรือเอา header sourceID ออกจากทุก request ก่อนถึง Milvus Proxy

    ความสำคัญต่อโลกไซเบอร์
    เนื่องจาก Milvus มักถูกใช้งานในระบบ AI-driven applications หากถูกโจมตี อาจนำไปสู่:
    Data Poisoning (การบิดเบือนข้อมูลเพื่อทำให้โมเดล AI ให้ผลลัพธ์ผิดพลาด)
    Model Manipulation (การควบคุมหรือเปลี่ยนพฤติกรรมของโมเดล)
    Service Disruption (หยุดการทำงานของระบบ AI หรือ Search Engine ที่ใช้ Milvus)

    รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-64513
    Authentication Bypass ใน Milvus Proxy
    ระดับความร้ายแรง CVSS 9.3
    เปิดทางให้ทำการควบคุมระบบเต็มรูปแบบ

    การแก้ไขจาก Milvus
    ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 2.4.24, 2.5.21 และ 2.6.5
    มีวิธีแก้ชั่วคราวโดยการลบ header sourceID

    ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
    Data Poisoning
    Model Manipulation
    Service Disruption

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Milvus
    หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีและสูญเสียการควบคุมระบบ
    เสี่ยงต่อการรั่วไหลหรือบิดเบือนข้อมูล AI
    อาจถูกใช้เป็นฐานโจมตีเครือข่ายองค์กร

    https://securityonline.info/critical-authentication-bypass-vulnerability-found-in-milvus-proxy-cve-2025-64513-cvss-9-3/
    🔐 ข่าวด่วน: พบช่องโหว่ Authentication Bypass ร้ายแรงใน Milvus Proxy ทีมพัฒนา Milvus ซึ่งเป็นฐานข้อมูลเวกเตอร์โอเพนซอร์สที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการทำงานด้าน AI, Recommendation Systems และ Semantic Search ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-64513 ในส่วน Proxy Component โดยมีคะแนนความร้ายแรง CVSS 9.3 📌 รายละเอียดช่องโหว่ 🪲 ช่องโหว่นี้เกิดจาก การตรวจสอบสิทธิ์ที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ผู้โจมตีสามารถ ข้ามขั้นตอนการยืนยันตัวตนทั้งหมด ได้ 🪲 เมื่อถูกโจมตีสำเร็จ แฮกเกอร์สามารถ: ➡️ อ่าน, แก้ไข, หรือลบข้อมูลเวกเตอร์และเมตาดาต้า ➡️ ทำการจัดการฐานข้อมูล เช่น สร้างหรือลบ collections และ databases ➡️ ส่งผลกระทบต่อความถูกต้องของโมเดล AI ที่ใช้ Milvus ในการทำ inference หรือ retrieval 🛠️ การแก้ไขและการป้องกัน ทีม Milvus ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน: 🪛 2.4.24 สำหรับ branch 2.4.x 🪛 2.5.21 สำหรับ branch 2.5.x 🪛 2.6.5 สำหรับ branch 2.6.x สำหรับผู้ที่ไม่สามารถอัปเดตได้ทันที มี วิธีแก้ชั่วคราว โดยการ กรองหรือเอา header sourceID ออกจากทุก request ก่อนถึง Milvus Proxy 🌍 ความสำคัญต่อโลกไซเบอร์ เนื่องจาก Milvus มักถูกใช้งานในระบบ AI-driven applications หากถูกโจมตี อาจนำไปสู่: ➡️ Data Poisoning (การบิดเบือนข้อมูลเพื่อทำให้โมเดล AI ให้ผลลัพธ์ผิดพลาด) ➡️ Model Manipulation (การควบคุมหรือเปลี่ยนพฤติกรรมของโมเดล) ➡️ Service Disruption (หยุดการทำงานของระบบ AI หรือ Search Engine ที่ใช้ Milvus) ✅ รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-64513 ➡️ Authentication Bypass ใน Milvus Proxy ➡️ ระดับความร้ายแรง CVSS 9.3 ➡️ เปิดทางให้ทำการควบคุมระบบเต็มรูปแบบ ✅ การแก้ไขจาก Milvus ➡️ ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 2.4.24, 2.5.21 และ 2.6.5 ➡️ มีวิธีแก้ชั่วคราวโดยการลบ header sourceID ✅ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ➡️ Data Poisoning ➡️ Model Manipulation ➡️ Service Disruption ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Milvus ⛔ หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีและสูญเสียการควบคุมระบบ ⛔ เสี่ยงต่อการรั่วไหลหรือบิดเบือนข้อมูล AI ⛔ อาจถูกใช้เป็นฐานโจมตีเครือข่ายองค์กร https://securityonline.info/critical-authentication-bypass-vulnerability-found-in-milvus-proxy-cve-2025-64513-cvss-9-3/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical Authentication Bypass Vulnerability Found in Milvus Proxy (CVE-2025-64513, CVSS 9.3)
    A Critical (CVSS 9.3) Auth Bypass flaw (CVE-2025-64513) in Milvus Proxy allows unauthenticated attackers to gain full administrative control over the vector database cluster. Update to v2.6.5.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 208 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ShieldForce จับมือ AccuKnox ปักธง Zero Trust CNAPP ในละตินอเมริกา”

    ในโลกไซเบอร์ที่ภัยคุกคามซับซ้อนขึ้นทุกวัน การป้องกันเชิงรุกและแนวคิด “Zero Trust” กลายเป็นหัวใจสำคัญของการรักษาความปลอดภัย ล่าสุดบริษัทด้านความมั่นคงไซเบอร์จากเม็กซิโก “ShieldForce” ได้ประกาศความร่วมมือกับ AccuKnox และ DeepRoot Technologies เพื่อผลักดันโซลูชัน Zero Trust CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) และ AI Security สู่ตลาดละตินอเมริกา

    ShieldForce หรือชื่อเต็มว่า Incident Response Team SA DE CV เป็นบริษัทที่ก่อตั้งโดย Francisco Villegas ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการใช้ AI ในการจัดการความปลอดภัยไซเบอร์ในภูมิภาคเม็กซิโกและละตินอเมริกา โดยเฉพาะบริการอย่าง Managed SOC, การตอบสนองเหตุการณ์ (Incident Response), การป้องกัน Ransomware และการจัดการการปฏิบัติตามกฎระเบียบ

    ความร่วมมือครั้งนี้ยังรวมถึง DeepRoot Technologies ซึ่งเชี่ยวชาญด้าน data engineering และการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI โดยทั้งหมดจะใช้เทคโนโลยีของ AccuKnox ซึ่งเป็นผู้นำด้าน Zero Trust CNAPP และเป็นผู้ร่วมพัฒนาโครงการโอเพ่นซอร์สชื่อดังอย่าง KubeArmor และ ModelArmor

    ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง 3 บริษัท
    ShieldForce (เม็กซิโก) ให้บริการด้านความปลอดภัยไซเบอร์แบบครบวงจร
    AccuKnox (สหรัฐฯ) พัฒนาแพลตฟอร์ม Zero Trust CNAPP และ AI Security
    DeepRoot Technologies เชี่ยวชาญด้าน data pipeline และ AI analytics

    เป้าหมายของความร่วมมือ
    ขยายการใช้งาน Zero Trust CNAPP ในเม็กซิโกและละตินอเมริกา
    ส่งเสริมการป้องกันภัยไซเบอร์ด้วย AI และระบบอัตโนมัติ
    เพิ่มความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคามแบบเรียลไทม์

    จุดเด่นของเทคโนโลยี AccuKnox
    ปกป้อง workload ทั้งใน cloud และ on-premise
    ครอบคลุมวงจรชีวิตของ AI/ML/LLM ตั้งแต่ข้อมูลจนถึงโครงสร้างพื้นฐาน
    สนับสนุน open-source ผ่านโครงการ KubeArmor และ ModelArmor

    บทบาทของ ShieldForce ในภูมิภาค
    นำเสนอแนวคิด Zero Trust CNAPP ในงานสัมมนาใหญ่ของเม็กซิโก
    ได้รับเสียงตอบรับดีเยี่ยมจากผู้เข้าร่วม
    มุ่งเน้นการสร้างความตระหนักรู้และการป้องกันเชิงรุก

    https://securityonline.info/incident-response-team-shieldforce-partners-with-accuknox-for-zero-trust-cnapp-in-latin-america/
    🛡️ “ShieldForce จับมือ AccuKnox ปักธง Zero Trust CNAPP ในละตินอเมริกา” ในโลกไซเบอร์ที่ภัยคุกคามซับซ้อนขึ้นทุกวัน การป้องกันเชิงรุกและแนวคิด “Zero Trust” กลายเป็นหัวใจสำคัญของการรักษาความปลอดภัย ล่าสุดบริษัทด้านความมั่นคงไซเบอร์จากเม็กซิโก “ShieldForce” ได้ประกาศความร่วมมือกับ AccuKnox และ DeepRoot Technologies เพื่อผลักดันโซลูชัน Zero Trust CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) และ AI Security สู่ตลาดละตินอเมริกา ShieldForce หรือชื่อเต็มว่า Incident Response Team SA DE CV เป็นบริษัทที่ก่อตั้งโดย Francisco Villegas ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการใช้ AI ในการจัดการความปลอดภัยไซเบอร์ในภูมิภาคเม็กซิโกและละตินอเมริกา โดยเฉพาะบริการอย่าง Managed SOC, การตอบสนองเหตุการณ์ (Incident Response), การป้องกัน Ransomware และการจัดการการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ความร่วมมือครั้งนี้ยังรวมถึง DeepRoot Technologies ซึ่งเชี่ยวชาญด้าน data engineering และการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI โดยทั้งหมดจะใช้เทคโนโลยีของ AccuKnox ซึ่งเป็นผู้นำด้าน Zero Trust CNAPP และเป็นผู้ร่วมพัฒนาโครงการโอเพ่นซอร์สชื่อดังอย่าง KubeArmor และ ModelArmor ✅ ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง 3 บริษัท ➡️ ShieldForce (เม็กซิโก) ให้บริการด้านความปลอดภัยไซเบอร์แบบครบวงจร ➡️ AccuKnox (สหรัฐฯ) พัฒนาแพลตฟอร์ม Zero Trust CNAPP และ AI Security ➡️ DeepRoot Technologies เชี่ยวชาญด้าน data pipeline และ AI analytics ✅ เป้าหมายของความร่วมมือ ➡️ ขยายการใช้งาน Zero Trust CNAPP ในเม็กซิโกและละตินอเมริกา ➡️ ส่งเสริมการป้องกันภัยไซเบอร์ด้วย AI และระบบอัตโนมัติ ➡️ เพิ่มความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ ✅ จุดเด่นของเทคโนโลยี AccuKnox ➡️ ปกป้อง workload ทั้งใน cloud และ on-premise ➡️ ครอบคลุมวงจรชีวิตของ AI/ML/LLM ตั้งแต่ข้อมูลจนถึงโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ สนับสนุน open-source ผ่านโครงการ KubeArmor และ ModelArmor ✅ บทบาทของ ShieldForce ในภูมิภาค ➡️ นำเสนอแนวคิด Zero Trust CNAPP ในงานสัมมนาใหญ่ของเม็กซิโก ➡️ ได้รับเสียงตอบรับดีเยี่ยมจากผู้เข้าร่วม ➡️ มุ่งเน้นการสร้างความตระหนักรู้และการป้องกันเชิงรุก https://securityonline.info/incident-response-team-shieldforce-partners-with-accuknox-for-zero-trust-cnapp-in-latin-america/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 283 มุมมอง 0 รีวิว
  • “The Case Against pgvector” – เมื่อเวกเตอร์ใน Postgres ไม่ง่ายอย่างที่คิด

    Alex Jacobs เล่าประสบการณ์ตรงจากการพยายามใช้ pgvector ในระบบโปรดักชันจริง เพื่อสร้างระบบค้นหาเอกสารด้วยเวกเตอร์ แต่กลับพบว่าแม้ pgvector จะดูดีในเดโม แต่เมื่อใช้งานจริงกลับเต็มไปด้วยปัญหาทางเทคนิคและการจัดการที่ซับซ้อน

    เขาไม่ได้บอกว่า pgvector “แย่” แต่ชี้ให้เห็นว่า blog ส่วนใหญ่พูดถึงแค่การติดตั้งและ query เบื้องต้น โดยไม่พูดถึงปัญหาเรื่อง index, memory, query planner, และการจัดการข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

    ความเข้าใจผิดจากบล็อกทั่วไป
    ส่วนใหญ่ทดสอบแค่ 10,000 vectors บนเครื่อง local
    ไม่พูดถึงปัญหา memory, index rebuild, หรือ query planner

    ปัญหาเรื่อง Index
    pgvector มี 2 แบบ: IVFFlat และ HNSW
    IVFFlat สร้างเร็วแต่คุณภาพลดลงเมื่อข้อมูลเพิ่ม
    HNSW แม่นยำแต่ใช้ RAM สูงมากและสร้างช้า

    การจัดการข้อมูลใหม่
    การ insert vector ใหม่ทำให้ index เสียสมดุล
    ต้อง rebuild index เป็นระยะ ซึ่งใช้เวลาหลายชั่วโมง
    การ update HNSW graph ทำให้เกิด lock contention

    ปัญหา query planner
    Postgres ไม่เข้าใจ vector search ดีพอ
    การ filter ก่อนหรือหลัง vector search ส่งผลต่อคุณภาพและความเร็ว
    การใช้ LIMIT อาจทำให้ผลลัพธ์ไม่ตรงกับความต้องการ

    การจัดการ metadata
    ต้อง sync vector กับข้อมูลอื่น เช่น title, user_id
    การ rebuild index ทำให้ข้อมูลอาจไม่ตรงกัน

    การทำ hybrid search
    ต้องเขียนเองทั้งหมด เช่น การรวม full-text กับ vector
    ต้อง normalize score และจัดการ ranking ด้วยตัวเอง

    ทางเลือกใหม่: pgvectorscale
    เพิ่ม StreamingDiskANN และ incremental index
    ยังไม่รองรับบน AWS RDS
    เป็นหลักฐานว่า pgvector เดิมยังไม่พร้อมสำหรับโปรดักชัน

    ข้อเสนอจากผู้เขียน
    ใช้ vector database โดยตรง เช่น Pinecone, Weaviate
    ได้ query planner ที่ฉลาดกว่า
    มี hybrid search และ real-time indexing ในตัว
    ราคาถูกกว่าการ over-provision Postgres และจ้างทีม optimize

    อย่าหลงเชื่อ “แค่ใช้ Postgres ก็พอ”
    pgvector ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับ high-velocity ingestion
    ต้องจัดการ memory, index, และ query เองทั้งหมด

    การใช้ HNSW ในโปรดักชัน
    สร้าง index ใช้ RAM มากกว่า 10 GB
    อาจทำให้ database ล่มระหว่างการสร้าง

    การ filter หลัง vector search
    อาจได้ผลลัพธ์ไม่ตรงกับความต้องการ
    ต้อง oversample และ filter เองใน application

    การใช้ pgvector บน RDS
    ไม่สามารถใช้ pgvectorscale ได้
    ต้องจัดการ Postgres เองทั้งหมด

    นี่คือเสียงเตือนจากคนที่เคยเชื่อว่า “รวมทุกอย่างไว้ใน Postgres จะง่ายกว่า” แต่พบว่าในโลกของ vector search—ความง่ายนั้นอาจซ่อนต้นทุนที่สูงกว่าที่คิดไว้มาก.

    https://alex-jacobs.com/posts/the-case-against-pgvector/
    📰 “The Case Against pgvector” – เมื่อเวกเตอร์ใน Postgres ไม่ง่ายอย่างที่คิด Alex Jacobs เล่าประสบการณ์ตรงจากการพยายามใช้ pgvector ในระบบโปรดักชันจริง เพื่อสร้างระบบค้นหาเอกสารด้วยเวกเตอร์ แต่กลับพบว่าแม้ pgvector จะดูดีในเดโม แต่เมื่อใช้งานจริงกลับเต็มไปด้วยปัญหาทางเทคนิคและการจัดการที่ซับซ้อน เขาไม่ได้บอกว่า pgvector “แย่” แต่ชี้ให้เห็นว่า blog ส่วนใหญ่พูดถึงแค่การติดตั้งและ query เบื้องต้น โดยไม่พูดถึงปัญหาเรื่อง index, memory, query planner, และการจัดการข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ✅ ความเข้าใจผิดจากบล็อกทั่วไป ➡️ ส่วนใหญ่ทดสอบแค่ 10,000 vectors บนเครื่อง local ➡️ ไม่พูดถึงปัญหา memory, index rebuild, หรือ query planner ✅ ปัญหาเรื่อง Index ➡️ pgvector มี 2 แบบ: IVFFlat และ HNSW ➡️ IVFFlat สร้างเร็วแต่คุณภาพลดลงเมื่อข้อมูลเพิ่ม ➡️ HNSW แม่นยำแต่ใช้ RAM สูงมากและสร้างช้า ✅ การจัดการข้อมูลใหม่ ➡️ การ insert vector ใหม่ทำให้ index เสียสมดุล ➡️ ต้อง rebuild index เป็นระยะ ซึ่งใช้เวลาหลายชั่วโมง ➡️ การ update HNSW graph ทำให้เกิด lock contention ✅ ปัญหา query planner ➡️ Postgres ไม่เข้าใจ vector search ดีพอ ➡️ การ filter ก่อนหรือหลัง vector search ส่งผลต่อคุณภาพและความเร็ว ➡️ การใช้ LIMIT อาจทำให้ผลลัพธ์ไม่ตรงกับความต้องการ ✅ การจัดการ metadata ➡️ ต้อง sync vector กับข้อมูลอื่น เช่น title, user_id ➡️ การ rebuild index ทำให้ข้อมูลอาจไม่ตรงกัน ✅ การทำ hybrid search ➡️ ต้องเขียนเองทั้งหมด เช่น การรวม full-text กับ vector ➡️ ต้อง normalize score และจัดการ ranking ด้วยตัวเอง ✅ ทางเลือกใหม่: pgvectorscale ➡️ เพิ่ม StreamingDiskANN และ incremental index ➡️ ยังไม่รองรับบน AWS RDS ➡️ เป็นหลักฐานว่า pgvector เดิมยังไม่พร้อมสำหรับโปรดักชัน ✅ ข้อเสนอจากผู้เขียน ➡️ ใช้ vector database โดยตรง เช่น Pinecone, Weaviate ➡️ ได้ query planner ที่ฉลาดกว่า ➡️ มี hybrid search และ real-time indexing ในตัว ➡️ ราคาถูกกว่าการ over-provision Postgres และจ้างทีม optimize ‼️ อย่าหลงเชื่อ “แค่ใช้ Postgres ก็พอ” ⛔ pgvector ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับ high-velocity ingestion ⛔ ต้องจัดการ memory, index, และ query เองทั้งหมด ‼️ การใช้ HNSW ในโปรดักชัน ⛔ สร้าง index ใช้ RAM มากกว่า 10 GB ⛔ อาจทำให้ database ล่มระหว่างการสร้าง ‼️ การ filter หลัง vector search ⛔ อาจได้ผลลัพธ์ไม่ตรงกับความต้องการ ⛔ ต้อง oversample และ filter เองใน application ‼️ การใช้ pgvector บน RDS ⛔ ไม่สามารถใช้ pgvectorscale ได้ ⛔ ต้องจัดการ Postgres เองทั้งหมด นี่คือเสียงเตือนจากคนที่เคยเชื่อว่า “รวมทุกอย่างไว้ใน Postgres จะง่ายกว่า” แต่พบว่าในโลกของ vector search—ความง่ายนั้นอาจซ่อนต้นทุนที่สูงกว่าที่คิดไว้มาก. https://alex-jacobs.com/posts/the-case-against-pgvector/
    ALEX-JACOBS.COM
    The Case Against pgvector | Alex Jacobs
    What happens when you try to run pgvector in production and discover all the things the blog posts conveniently forgot to mention
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปี 2026 กับ 8 เครื่องมือรักษาความปลอดภัยแอปพลิเคชันที่องค์กรไม่ควรมองข้าม

    ในยุคที่แอปพลิเคชันกลายเป็นหัวใจของธุรกิจทุกประเภท ความปลอดภัยจึงไม่ใช่แค่ “ตัวเลือก” แต่เป็น “ข้อบังคับ” Hackread ได้รวบรวม 8 เครื่องมือรักษาความปลอดภัยแอปพลิเคชันที่โดดเด่นที่สุดในปี 2026 ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การสแกนช่องโหว่ไปจนถึงการจัดการความเสี่ยงเชิงธุรกิจและการปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างครบวงจร

    Apiiro – เครื่องมือที่เน้นการเชื่อมโยงช่องโหว่กับความเสี่ยงทางธุรกิจ
    มี Dynamic Risk Mapping, Shift-Left Security และ Compliance Dashboard อัตโนมัติ

    Acunetix – สแกนเว็บแอปแบบลึกและแม่นยำ
    รองรับ SPAs, GraphQL, WebSockets และมีระบบลด false positives

    Detectify – ใช้ข้อมูลจากนักเจาะระบบทั่วโลก
    มี Attack Surface Mapping และการสแกนแบบอัตโนมัติที่อัปเดตตามภัยคุกคามใหม่

    Burp Suite – เครื่องมือยอดนิยมของนักเจาะระบบ
    มี Proxy, Repeater, Intruder และระบบปลั๊กอินที่ปรับแต่งได้

    Veracode – แพลตฟอร์มรวม SAST, DAST, SCA และการฝึกอบรมนักพัฒนา
    มีระบบคะแนนความเสี่ยงและการบังคับใช้นโยบายอัตโนมัติ

    Nikto – เครื่องมือโอเพ่นซอร์สสำหรับตรวจสอบเว็บเซิร์ฟเวอร์
    ตรวจพบไฟล์ต้องสงสัย, การตั้งค่าที่ไม่ปลอดภัย และมีฐานข้อมูลช่องโหว่ขนาดใหญ่

    Strobes – ระบบจัดการช่องโหว่แบบรวมศูนย์
    รวมผลจากหลายแหล่ง, จัดลำดับความเสี่ยง และเชื่อมต่อกับ Jira, Slack, ServiceNow

    Invicti (Netsparker) – สแกนช่องโหว่แบบ “พิสูจน์ได้”
    ลด false positives โดยการทดลองเจาะจริงในสภาพแวดล้อมควบคุม

    เกณฑ์การเลือกเครื่องมือที่ดี
    ตรวจพบช่องโหว่ได้ลึกและหลากหลาย
    รวมถึงช่องโหว่เชิงตรรกะและการตั้งค่าคลาวด์ผิดพลาด

    ครอบคลุมทุกส่วนของระบบ
    ตั้งแต่ API, serverless, mobile backend ไปจนถึง container

    เชื่อมต่อกับ DevOps ได้ดี
    รองรับ pipeline, IDE และระบบ version control

    ให้คำแนะนำที่นักพัฒนานำไปใช้ได้จริง
    ลดการพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย

    ขยายได้ตามขนาดองค์กร
    ใช้ได้ทั้งกับแอปขนาดเล็กและระบบขนาดใหญ่

    เครื่องมือที่มี false positives มากเกินไปจะลดประสิทธิภาพทีม
    ทำให้ทีมพัฒนาไม่เชื่อถือผลลัพธ์และละเลยช่องโหว่จริง

    เครื่องมือที่ไม่รองรับการอัปเดตภัยคุกคามใหม่อาจล้าสมัยเร็ว
    เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากช่องโหว่ล่าสุดที่ยังไม่ถูกตรวจพบ

    https://hackread.com/top-application-security-tools-2026/
    🛡️ ปี 2026 กับ 8 เครื่องมือรักษาความปลอดภัยแอปพลิเคชันที่องค์กรไม่ควรมองข้าม ในยุคที่แอปพลิเคชันกลายเป็นหัวใจของธุรกิจทุกประเภท ความปลอดภัยจึงไม่ใช่แค่ “ตัวเลือก” แต่เป็น “ข้อบังคับ” Hackread ได้รวบรวม 8 เครื่องมือรักษาความปลอดภัยแอปพลิเคชันที่โดดเด่นที่สุดในปี 2026 ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การสแกนช่องโหว่ไปจนถึงการจัดการความเสี่ยงเชิงธุรกิจและการปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างครบวงจร ✅ Apiiro – เครื่องมือที่เน้นการเชื่อมโยงช่องโหว่กับความเสี่ยงทางธุรกิจ ➡️ มี Dynamic Risk Mapping, Shift-Left Security และ Compliance Dashboard อัตโนมัติ ✅ Acunetix – สแกนเว็บแอปแบบลึกและแม่นยำ ➡️ รองรับ SPAs, GraphQL, WebSockets และมีระบบลด false positives ✅ Detectify – ใช้ข้อมูลจากนักเจาะระบบทั่วโลก ➡️ มี Attack Surface Mapping และการสแกนแบบอัตโนมัติที่อัปเดตตามภัยคุกคามใหม่ ✅ Burp Suite – เครื่องมือยอดนิยมของนักเจาะระบบ ➡️ มี Proxy, Repeater, Intruder และระบบปลั๊กอินที่ปรับแต่งได้ ✅ Veracode – แพลตฟอร์มรวม SAST, DAST, SCA และการฝึกอบรมนักพัฒนา ➡️ มีระบบคะแนนความเสี่ยงและการบังคับใช้นโยบายอัตโนมัติ ✅ Nikto – เครื่องมือโอเพ่นซอร์สสำหรับตรวจสอบเว็บเซิร์ฟเวอร์ ➡️ ตรวจพบไฟล์ต้องสงสัย, การตั้งค่าที่ไม่ปลอดภัย และมีฐานข้อมูลช่องโหว่ขนาดใหญ่ ✅ Strobes – ระบบจัดการช่องโหว่แบบรวมศูนย์ ➡️ รวมผลจากหลายแหล่ง, จัดลำดับความเสี่ยง และเชื่อมต่อกับ Jira, Slack, ServiceNow ✅ Invicti (Netsparker) – สแกนช่องโหว่แบบ “พิสูจน์ได้” ➡️ ลด false positives โดยการทดลองเจาะจริงในสภาพแวดล้อมควบคุม 📌 เกณฑ์การเลือกเครื่องมือที่ดี ✅ ตรวจพบช่องโหว่ได้ลึกและหลากหลาย ➡️ รวมถึงช่องโหว่เชิงตรรกะและการตั้งค่าคลาวด์ผิดพลาด ✅ ครอบคลุมทุกส่วนของระบบ ➡️ ตั้งแต่ API, serverless, mobile backend ไปจนถึง container ✅ เชื่อมต่อกับ DevOps ได้ดี ➡️ รองรับ pipeline, IDE และระบบ version control ✅ ให้คำแนะนำที่นักพัฒนานำไปใช้ได้จริง ➡️ ลดการพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย ✅ ขยายได้ตามขนาดองค์กร ➡️ ใช้ได้ทั้งกับแอปขนาดเล็กและระบบขนาดใหญ่ ‼️ เครื่องมือที่มี false positives มากเกินไปจะลดประสิทธิภาพทีม ⛔ ทำให้ทีมพัฒนาไม่เชื่อถือผลลัพธ์และละเลยช่องโหว่จริง ‼️ เครื่องมือที่ไม่รองรับการอัปเดตภัยคุกคามใหม่อาจล้าสมัยเร็ว ⛔ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากช่องโหว่ล่าสุดที่ยังไม่ถูกตรวจพบ https://hackread.com/top-application-security-tools-2026/
    HACKREAD.COM
    8 Top Application Security Tools (2026 Edition)
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 0 รีวิว
  • WP Freeio CVE-2025-11533: เมื่อการสมัครสมาชิกกลายเป็นช่องทางยึดเว็บ

    Wordfence เตือนภัยด่วน: ช่องโหว่ WP Freeio เปิดทางให้แฮกเกอร์ยึดเว็บไซต์ WordPress ได้ทันที ปลั๊กอิน WP Freeio ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-11533 ที่เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสร้างบัญชีผู้ดูแลระบบโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ส่งผลกระทบต่อเว็บไซต์ WordPress จำนวนมากทั่วโลก
    Wordfence Threat Intelligence รายงานช่องโหว่ระดับวิกฤต (CVSS 9.8) ในปลั๊กอิน WP Freeio ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธีม Freeio ที่ขายบน ThemeForest โดยช่องโหว่นี้อยู่ในฟังก์ชัน process_register() ของคลาส WP_Freeio_User ที่ใช้จัดการการสมัครสมาชิก

    ปัญหาเกิดจากการที่ฟังก์ชันนี้อนุญาตให้ผู้ใช้กำหนด role ได้เองผ่านฟิลด์ $_POST['role'] โดยไม่มีการตรวจสอบ ทำให้ผู้โจมตีสามารถระบุ role เป็น “administrator” และสร้างบัญชีผู้ดูแลระบบได้ทันที

    Wordfence ตรวจพบการโจมตีทันทีหลังการเปิดเผยช่องโหว่เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2025 และบล็อกการโจมตีไปแล้วกว่า 33,200 ครั้ง

    ตัวอย่างคำขอที่ใช้โจมตี:
    POST /?wpfi-ajax=wp_freeio_ajax_register&action=wp_freeio_ajax_register
    Content-Type: application/x-www-form-urlencoded
    role=administrator&email=attacker@gmail.com&password=xxx&confirmpassword=xxx

    เมื่อได้สิทธิ์ผู้ดูแลระบบแล้ว ผู้โจมตีสามารถ:
    อัปโหลดปลั๊กอินหรือธีมที่มี backdoor
    แก้ไขโพสต์หรือหน้าเว็บเพื่อ redirect ไปยังเว็บไซต์อันตราย
    ฝังสแปมหรือมัลแวร์ในเนื้อหา

    IP ที่พบว่ามีการโจมตีจำนวนมาก เช่น:
    35.178.249.28
    13.239.253.194
    3.25.204.16
    18.220.143.136

    Wordfence แนะนำให้ผู้ดูแลระบบอัปเดต WP Freeio เป็นเวอร์ชัน 1.2.22 หรือใหม่กว่าโดยด่วน


    https://securityonline.info/wordfence-warns-of-active-exploits-targeting-critical-privilege-escalation-flaw-in-wp-freeio-cve-2025-11533/
    🔓 WP Freeio CVE-2025-11533: เมื่อการสมัครสมาชิกกลายเป็นช่องทางยึดเว็บ Wordfence เตือนภัยด่วน: ช่องโหว่ WP Freeio เปิดทางให้แฮกเกอร์ยึดเว็บไซต์ WordPress ได้ทันที ปลั๊กอิน WP Freeio ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-11533 ที่เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสร้างบัญชีผู้ดูแลระบบโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ส่งผลกระทบต่อเว็บไซต์ WordPress จำนวนมากทั่วโลก Wordfence Threat Intelligence รายงานช่องโหว่ระดับวิกฤต (CVSS 9.8) ในปลั๊กอิน WP Freeio ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธีม Freeio ที่ขายบน ThemeForest โดยช่องโหว่นี้อยู่ในฟังก์ชัน process_register() ของคลาส WP_Freeio_User ที่ใช้จัดการการสมัครสมาชิก ปัญหาเกิดจากการที่ฟังก์ชันนี้อนุญาตให้ผู้ใช้กำหนด role ได้เองผ่านฟิลด์ $_POST['role'] โดยไม่มีการตรวจสอบ ทำให้ผู้โจมตีสามารถระบุ role เป็น “administrator” และสร้างบัญชีผู้ดูแลระบบได้ทันที Wordfence ตรวจพบการโจมตีทันทีหลังการเปิดเผยช่องโหว่เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2025 และบล็อกการโจมตีไปแล้วกว่า 33,200 ครั้ง 🔖 ตัวอย่างคำขอที่ใช้โจมตี: POST /?wpfi-ajax=wp_freeio_ajax_register&action=wp_freeio_ajax_register Content-Type: application/x-www-form-urlencoded role=administrator&email=attacker@gmail.com&password=xxx&confirmpassword=xxx เมื่อได้สิทธิ์ผู้ดูแลระบบแล้ว ผู้โจมตีสามารถ: 💠 อัปโหลดปลั๊กอินหรือธีมที่มี backdoor 💠 แก้ไขโพสต์หรือหน้าเว็บเพื่อ redirect ไปยังเว็บไซต์อันตราย 💠 ฝังสแปมหรือมัลแวร์ในเนื้อหา IP ที่พบว่ามีการโจมตีจำนวนมาก เช่น: 💠 35.178.249.28 💠 13.239.253.194 💠 3.25.204.16 💠 18.220.143.136 Wordfence แนะนำให้ผู้ดูแลระบบอัปเดต WP Freeio เป็นเวอร์ชัน 1.2.22 หรือใหม่กว่าโดยด่วน https://securityonline.info/wordfence-warns-of-active-exploits-targeting-critical-privilege-escalation-flaw-in-wp-freeio-cve-2025-11533/
    SECURITYONLINE.INFO
    Wordfence Warns of Active Exploits Targeting Critical Privilege Escalation Flaw in WP Freeio (CVE-2025-11533)
    Urgent patch for WP Freeio plugin (v.< 1.2.22). Unauthenticated attackers can gain admin control instantly via a registration flaw. Update immediately to v.1.2.22.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวใหญ่แห่งวงการคลาวด์: Sweet Security เปิดตัว Runtime CNAPP สำหรับ Windows

    วันนี้มีข่าวดีสำหรับสายไอทีและผู้ดูแลระบบคลาวด์ทั่วโลก เมื่อ Sweet Security ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยคลาวด์และ AI ได้เปิดตัว Runtime CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) สำหรับระบบปฏิบัติการ Windows ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเติมเต็มช่องว่างด้านการป้องกันภัยคุกคามในคลาวด์ที่ใช้ Windows ซึ่งก่อนหน้านี้ถือเป็นจุดอ่อนของหลายองค์กร

    ลองนึกภาพว่าองค์กรของคุณมีระบบ Windows รันอยู่บนคลาวด์เต็มไปหมด แต่เครื่องมือป้องกันภัยส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาเพื่อระบบแบบเดิม หรือ Linux เท่านั้น ตอนนี้ Sweet Security ได้พัฒนาเซนเซอร์ใหม่ที่เขียนด้วยภาษา Rust ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงและใช้ทรัพยากรต่ำ พร้อมความสามารถในการตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติแบบเรียลไทม์ ไม่ใช่แค่การจับลายเซ็นไวรัสแบบเก่า แต่สามารถตรวจจับการใช้เครื่องมือปกติในทางที่ผิด เช่น PowerShell, DLL injection, การแก้ไข registry และอื่น ๆ

    ที่น่าทึ่งคือ ในการทดสอบจริง เซนเซอร์ของ Sweet สามารถตรวจจับการพยายามขโมยข้อมูล credential ได้ภายในไม่กี่วินาที และใช้เวลาไม่ถึง 2 นาทีในการสืบสวนจนเสร็จสิ้น นี่คือการเปลี่ยนเกมของการรักษาความปลอดภัยในคลาวด์อย่างแท้จริง

    นอกจากนี้ Sweet ยังรวมความสามารถของ AI และ LLM (Large Language Model) เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น audit logs และ cloud identities เพื่อให้เห็นภาพรวมของภัยคุกคามได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

    สรุปประเด็นสำคัญจากข่าว
    Sweet Security เปิดตัว Runtime CNAPP สำหรับ Windows
    รองรับการตรวจจับแบบเรียลไทม์และการสืบสวนอัตโนมัติ
    ใช้ภาษา Rust เพื่อประสิทธิภาพสูงและ footprint ต่ำ
    ครอบคลุมพฤติกรรมผิดปกติ เช่น DLL injection, PowerShell, registry manipulation
    ใช้เทคโนโลยี behavioral baselining และ AI เพื่อจับการใช้เครื่องมือปกติในทางผิด
    ตรวจจับ credential dumping ได้ภายในไม่กี่วินาที
    ใช้เวลาไม่ถึง 2 นาทีในการสืบสวนภัยคุกคาม
    รวมความสามารถของ CADR, CSPM, KSPM, CIEM, ITDR และอื่น ๆ ในแพลตฟอร์มเดียว

    ความเสี่ยงของระบบ Windows บนคลาวด์ที่ยังไม่มีการป้องกันแบบ runtime
    ระบบ EDR แบบเดิมอาจไม่ครอบคลุมภัยคุกคามเฉพาะของคลาวด์
    การใช้เครื่องมือปกติในทางผิดอาจไม่ถูกตรวจจับโดยระบบทั่วไป
    การขาดการเชื่อมโยงข้อมูลจากหลายแหล่งทำให้การสืบสวนล่าช้า

    https://securityonline.info/sweet-security-brings-runtime-cnapp-power-to-windows/
    🛡️ ข่าวใหญ่แห่งวงการคลาวด์: Sweet Security เปิดตัว Runtime CNAPP สำหรับ Windows วันนี้มีข่าวดีสำหรับสายไอทีและผู้ดูแลระบบคลาวด์ทั่วโลก เมื่อ Sweet Security ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยคลาวด์และ AI ได้เปิดตัว Runtime CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) สำหรับระบบปฏิบัติการ Windows ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเติมเต็มช่องว่างด้านการป้องกันภัยคุกคามในคลาวด์ที่ใช้ Windows ซึ่งก่อนหน้านี้ถือเป็นจุดอ่อนของหลายองค์กร ลองนึกภาพว่าองค์กรของคุณมีระบบ Windows รันอยู่บนคลาวด์เต็มไปหมด แต่เครื่องมือป้องกันภัยส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาเพื่อระบบแบบเดิม หรือ Linux เท่านั้น ตอนนี้ Sweet Security ได้พัฒนาเซนเซอร์ใหม่ที่เขียนด้วยภาษา Rust ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงและใช้ทรัพยากรต่ำ พร้อมความสามารถในการตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติแบบเรียลไทม์ ไม่ใช่แค่การจับลายเซ็นไวรัสแบบเก่า แต่สามารถตรวจจับการใช้เครื่องมือปกติในทางที่ผิด เช่น PowerShell, DLL injection, การแก้ไข registry และอื่น ๆ ที่น่าทึ่งคือ ในการทดสอบจริง เซนเซอร์ของ Sweet สามารถตรวจจับการพยายามขโมยข้อมูล credential ได้ภายในไม่กี่วินาที และใช้เวลาไม่ถึง 2 นาทีในการสืบสวนจนเสร็จสิ้น นี่คือการเปลี่ยนเกมของการรักษาความปลอดภัยในคลาวด์อย่างแท้จริง นอกจากนี้ Sweet ยังรวมความสามารถของ AI และ LLM (Large Language Model) เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น audit logs และ cloud identities เพื่อให้เห็นภาพรวมของภัยคุกคามได้ชัดเจนยิ่งขึ้น 🔍 สรุปประเด็นสำคัญจากข่าว ✅ Sweet Security เปิดตัว Runtime CNAPP สำหรับ Windows ➡️ รองรับการตรวจจับแบบเรียลไทม์และการสืบสวนอัตโนมัติ ➡️ ใช้ภาษา Rust เพื่อประสิทธิภาพสูงและ footprint ต่ำ ➡️ ครอบคลุมพฤติกรรมผิดปกติ เช่น DLL injection, PowerShell, registry manipulation ➡️ ใช้เทคโนโลยี behavioral baselining และ AI เพื่อจับการใช้เครื่องมือปกติในทางผิด ➡️ ตรวจจับ credential dumping ได้ภายในไม่กี่วินาที ➡️ ใช้เวลาไม่ถึง 2 นาทีในการสืบสวนภัยคุกคาม ➡️ รวมความสามารถของ CADR, CSPM, KSPM, CIEM, ITDR และอื่น ๆ ในแพลตฟอร์มเดียว ‼️ ความเสี่ยงของระบบ Windows บนคลาวด์ที่ยังไม่มีการป้องกันแบบ runtime ⛔ ระบบ EDR แบบเดิมอาจไม่ครอบคลุมภัยคุกคามเฉพาะของคลาวด์ ⛔ การใช้เครื่องมือปกติในทางผิดอาจไม่ถูกตรวจจับโดยระบบทั่วไป ⛔ การขาดการเชื่อมโยงข้อมูลจากหลายแหล่งทำให้การสืบสวนล่าช้า https://securityonline.info/sweet-security-brings-runtime-cnapp-power-to-windows/
    SECURITYONLINE.INFO
    Sweet Security Brings Runtime-CNAPP Power to Windows
    Tel Aviv, Israel, 29th October 2025, CyberNewsWire
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 317 มุมมอง 0 รีวิว
  • “OpenAI ซื้อกิจการ Sky – แอปอัตโนมัติบน Mac เพื่อยกระดับ ChatGPT สู่การควบคุมระบบ”

    ลองนึกภาพว่า ChatGPT ไม่ได้เป็นแค่ผู้ช่วยตอบคำถาม แต่สามารถควบคุมแอปต่าง ๆ บนเครื่อง Mac ของคุณได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดไฟล์ จัดการงาน หรือแม้แต่สั่งการข้ามแอปแบบอัตโนมัติ… นี่คือวิสัยทัศน์ใหม่ของ OpenAI หลังจากเข้าซื้อกิจการบริษัท Software Applications ผู้พัฒนาแอป Sky

    Sky เป็นแอปอัตโนมัติบน macOS ที่เปิดตัวเมื่อต้นปี 2025 โดยทีมผู้สร้าง Workflow ซึ่งเคยถูก Apple ซื้อไปในปี 2017 และกลายเป็นฟีเจอร์ Shortcuts ที่เราคุ้นเคยกันดีใน iOS และ macOS การกลับมาครั้งนี้ในรูปแบบ Sky ได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะสามารถ “เข้าใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอ” และ “ใช้แอปเพื่อดำเนินการแทนผู้ใช้” ได้อย่างชาญฉลาด

    OpenAI วางแผนจะนำเทคโนโลยีของ Sky มาผนวกเข้ากับ ChatGPT เพื่อให้สามารถควบคุมระบบ macOS ได้ในระดับลึก เช่น การสั่งงานข้ามแอป การจัดการไฟล์ หรือแม้แต่การวางแผนงานแบบอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้ ChatGPT กลายเป็นผู้ช่วยที่ทำงานแทนคุณได้จริง ไม่ใช่แค่ให้คำแนะนำ

    การเข้าซื้อกิจการนี้ยังสะท้อนถึงแนวโน้มของ “Agentic AI” หรือ AI ที่สามารถลงมือทำแทนมนุษย์ได้ โดยไม่ต้องรอคำสั่งทีละขั้น ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับที่ Apple กำลังพัฒนา Siri รุ่นใหม่ ที่จะสามารถควบคุมแอปของบุคคลที่สามได้ในปี 2026

    นอกจากนี้ OpenAI ยังเพิ่งเปิดตัว ChatGPT Atlas เว็บเบราว์เซอร์ตัวแรกของบริษัท และซื้อกิจการ Roi แอปลงทุนอัตโนมัติไปก่อนหน้านี้ไม่นาน แสดงให้เห็นถึงการขยายตัวอย่างรวดเร็วของ OpenAI ในการสร้างระบบ AI ที่ทำงานแทนมนุษย์ได้อย่างแท้จริง

    การเข้าซื้อกิจการ Software Applications โดย OpenAI
    บริษัทผู้พัฒนาแอป Sky สำหรับระบบอัตโนมัติบน macOS
    ทีมผู้สร้างเคยพัฒนา Workflow ที่ Apple ซื้อไปในปี 2017

    แอป Sky มีความสามารถโดดเด่น
    เข้าใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอ
    ใช้แอปต่าง ๆ เพื่อดำเนินการแทนผู้ใช้
    รองรับการทำงานข้ามแอปแบบอัตโนมัติ

    แผนของ OpenAI กับ ChatGPT
    ผนวกความสามารถของ Sky เข้ากับ ChatGPT
    เพิ่มความสามารถในการควบคุมระบบ macOS ระดับลึก
    เปลี่ยน ChatGPT ให้เป็นผู้ช่วยที่ “ลงมือทำ” ได้จริง

    แนวโน้ม Agentic AI
    AI ที่สามารถดำเนินการแทนมนุษย์โดยอัตโนมัติ
    เป็นทิศทางเดียวกับ Siri รุ่นใหม่ของ Apple ที่จะเปิดตัวในปี 2026

    การขยายตัวของ OpenAI
    เปิดตัว ChatGPT Atlas เว็บเบราว์เซอร์ตัวแรก
    ซื้อกิจการ Roi แอปลงทุนอัตโนมัติ

    https://securityonline.info/openai-buys-mac-automation-app-to-give-chatgpt-system-level-control/
    📰 “OpenAI ซื้อกิจการ Sky – แอปอัตโนมัติบน Mac เพื่อยกระดับ ChatGPT สู่การควบคุมระบบ” ลองนึกภาพว่า ChatGPT ไม่ได้เป็นแค่ผู้ช่วยตอบคำถาม แต่สามารถควบคุมแอปต่าง ๆ บนเครื่อง Mac ของคุณได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดไฟล์ จัดการงาน หรือแม้แต่สั่งการข้ามแอปแบบอัตโนมัติ… นี่คือวิสัยทัศน์ใหม่ของ OpenAI หลังจากเข้าซื้อกิจการบริษัท Software Applications ผู้พัฒนาแอป Sky Sky เป็นแอปอัตโนมัติบน macOS ที่เปิดตัวเมื่อต้นปี 2025 โดยทีมผู้สร้าง Workflow ซึ่งเคยถูก Apple ซื้อไปในปี 2017 และกลายเป็นฟีเจอร์ Shortcuts ที่เราคุ้นเคยกันดีใน iOS และ macOS การกลับมาครั้งนี้ในรูปแบบ Sky ได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะสามารถ “เข้าใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอ” และ “ใช้แอปเพื่อดำเนินการแทนผู้ใช้” ได้อย่างชาญฉลาด OpenAI วางแผนจะนำเทคโนโลยีของ Sky มาผนวกเข้ากับ ChatGPT เพื่อให้สามารถควบคุมระบบ macOS ได้ในระดับลึก เช่น การสั่งงานข้ามแอป การจัดการไฟล์ หรือแม้แต่การวางแผนงานแบบอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้ ChatGPT กลายเป็นผู้ช่วยที่ทำงานแทนคุณได้จริง ไม่ใช่แค่ให้คำแนะนำ การเข้าซื้อกิจการนี้ยังสะท้อนถึงแนวโน้มของ “Agentic AI” หรือ AI ที่สามารถลงมือทำแทนมนุษย์ได้ โดยไม่ต้องรอคำสั่งทีละขั้น ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับที่ Apple กำลังพัฒนา Siri รุ่นใหม่ ที่จะสามารถควบคุมแอปของบุคคลที่สามได้ในปี 2026 นอกจากนี้ OpenAI ยังเพิ่งเปิดตัว ChatGPT Atlas เว็บเบราว์เซอร์ตัวแรกของบริษัท และซื้อกิจการ Roi แอปลงทุนอัตโนมัติไปก่อนหน้านี้ไม่นาน แสดงให้เห็นถึงการขยายตัวอย่างรวดเร็วของ OpenAI ในการสร้างระบบ AI ที่ทำงานแทนมนุษย์ได้อย่างแท้จริง ✅ การเข้าซื้อกิจการ Software Applications โดย OpenAI ➡️ บริษัทผู้พัฒนาแอป Sky สำหรับระบบอัตโนมัติบน macOS ➡️ ทีมผู้สร้างเคยพัฒนา Workflow ที่ Apple ซื้อไปในปี 2017 ✅ แอป Sky มีความสามารถโดดเด่น ➡️ เข้าใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอ ➡️ ใช้แอปต่าง ๆ เพื่อดำเนินการแทนผู้ใช้ ➡️ รองรับการทำงานข้ามแอปแบบอัตโนมัติ ✅ แผนของ OpenAI กับ ChatGPT ➡️ ผนวกความสามารถของ Sky เข้ากับ ChatGPT ➡️ เพิ่มความสามารถในการควบคุมระบบ macOS ระดับลึก ➡️ เปลี่ยน ChatGPT ให้เป็นผู้ช่วยที่ “ลงมือทำ” ได้จริง ✅ แนวโน้ม Agentic AI ➡️ AI ที่สามารถดำเนินการแทนมนุษย์โดยอัตโนมัติ ➡️ เป็นทิศทางเดียวกับ Siri รุ่นใหม่ของ Apple ที่จะเปิดตัวในปี 2026 ✅ การขยายตัวของ OpenAI ➡️ เปิดตัว ChatGPT Atlas เว็บเบราว์เซอร์ตัวแรก ➡️ ซื้อกิจการ Roi แอปลงทุนอัตโนมัติ https://securityonline.info/openai-buys-mac-automation-app-to-give-chatgpt-system-level-control/
    SECURITYONLINE.INFO
    OpenAI Buys Mac Automation App to Give ChatGPT System-Level Control
    OpenAI acquired Software Applications, the team behind the Mac app Sky, to integrate system-level automation and agentic AI capabilities into ChatGPT.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
  • OpenAI เข้าซื้อบริษัทผู้สร้างแอป Sky บน macOS – เตรียมผสาน AI เข้ากับระบบของ Apple อย่างลึกซึ้ง

    OpenAI ประกาศเข้าซื้อ Software Applications Incorporated ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแอป Sky บน macOS แอปนี้เป็นผู้ช่วย AI ที่สามารถเข้าใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอของผู้ใช้ และดำเนินการตามคำสั่งได้โดยตรง เช่น สรุปเนื้อหาเว็บไซต์แล้วส่งให้เพื่อนผ่านแอป Messages หรือสร้างสคริปต์อัตโนมัติที่เชื่อมโยงหลายแอปเข้าด้วยกัน

    Sky ทำงานในหน้าต่างลอยขนาดเล็กที่อยู่เหนือแอปอื่น ๆ และมีจุดเด่นคือการผสานเข้ากับระบบ macOS อย่างลึกซึ้ง ซึ่ง OpenAI มองว่าเป็นโอกาสในการนำความสามารถนี้มาเสริมให้กับ ChatGPT โดยทีมงานทั้งหมดของ Sky จะเข้าร่วมกับ OpenAI เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกัน

    น่าสนใจว่า ทีมที่สร้าง Sky เคยเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแอป Workflow ซึ่ง Apple เคยซื้อไปในปี 2017 และเปลี่ยนชื่อเป็น Shortcuts ดังนั้น Sky จึงถือเป็นวิวัฒนาการต่อยอดที่ก้าวข้ามความสามารถของ Siri และ Apple Intelligence ในปัจจุบัน

    การเข้าซื้อครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ Apple กำลังเผชิญกับความท้าทายภายใน เช่น การลาออกของหัวหน้าทีม AKI (Answers, Knowledge and Information) ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งไม่นาน และความกังวลของวิศวกรบางส่วนต่อประสิทธิภาพของ Siri รุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวใน iOS 26.4

    การเข้าซื้อบริษัท Software Applications Incorporated
    เป็นผู้พัฒนาแอป Sky บน macOS
    แอป Sky เป็นผู้ช่วย AI ที่เข้าใจหน้าจอและดำเนินการตามคำสั่ง
    ทีมงานทั้งหมดจะเข้าร่วมกับ OpenAI เพื่อพัฒนา ChatGPT
    Sky ทำงานในหน้าต่างลอยและเชื่อมโยงหลายแอปได้

    ความสามารถของ Sky
    สรุปเนื้อหาเว็บไซต์แล้วส่งผ่าน Messages
    สร้างสคริปต์อัตโนมัติและคำสั่งเฉพาะสำหรับแต่ละแอป
    เข้าใจบริบทบนหน้าจอและดำเนินการแบบเรียลไทม์
    พัฒนาโดยทีมเดียวกับ Workflow ซึ่งกลายเป็น Shortcuts ของ Apple

    ความเคลื่อนไหวของ Apple
    Siri รุ่นใหม่จะเปิดตัวพร้อม iOS 26.4 ในปี 2026
    มีความกังวลเรื่องประสิทธิภาพของ Siri จากวิศวกรภายใน
    หัวหน้าทีม AKI ลาออกไปเข้าร่วมกับ Meta
    Apple Intelligence ยังตามหลังความสามารถของ Sky ในบางด้าน

    https://wccftech.com/openai-acquires-the-company-behind-the-new-apple-mac-app-sky/
    🧠 OpenAI เข้าซื้อบริษัทผู้สร้างแอป Sky บน macOS – เตรียมผสาน AI เข้ากับระบบของ Apple อย่างลึกซึ้ง OpenAI ประกาศเข้าซื้อ Software Applications Incorporated ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแอป Sky บน macOS แอปนี้เป็นผู้ช่วย AI ที่สามารถเข้าใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอของผู้ใช้ และดำเนินการตามคำสั่งได้โดยตรง เช่น สรุปเนื้อหาเว็บไซต์แล้วส่งให้เพื่อนผ่านแอป Messages หรือสร้างสคริปต์อัตโนมัติที่เชื่อมโยงหลายแอปเข้าด้วยกัน Sky ทำงานในหน้าต่างลอยขนาดเล็กที่อยู่เหนือแอปอื่น ๆ และมีจุดเด่นคือการผสานเข้ากับระบบ macOS อย่างลึกซึ้ง ซึ่ง OpenAI มองว่าเป็นโอกาสในการนำความสามารถนี้มาเสริมให้กับ ChatGPT โดยทีมงานทั้งหมดของ Sky จะเข้าร่วมกับ OpenAI เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกัน น่าสนใจว่า ทีมที่สร้าง Sky เคยเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแอป Workflow ซึ่ง Apple เคยซื้อไปในปี 2017 และเปลี่ยนชื่อเป็น Shortcuts ดังนั้น Sky จึงถือเป็นวิวัฒนาการต่อยอดที่ก้าวข้ามความสามารถของ Siri และ Apple Intelligence ในปัจจุบัน การเข้าซื้อครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ Apple กำลังเผชิญกับความท้าทายภายใน เช่น การลาออกของหัวหน้าทีม AKI (Answers, Knowledge and Information) ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งไม่นาน และความกังวลของวิศวกรบางส่วนต่อประสิทธิภาพของ Siri รุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวใน iOS 26.4 ✅ การเข้าซื้อบริษัท Software Applications Incorporated ➡️ เป็นผู้พัฒนาแอป Sky บน macOS ➡️ แอป Sky เป็นผู้ช่วย AI ที่เข้าใจหน้าจอและดำเนินการตามคำสั่ง ➡️ ทีมงานทั้งหมดจะเข้าร่วมกับ OpenAI เพื่อพัฒนา ChatGPT ➡️ Sky ทำงานในหน้าต่างลอยและเชื่อมโยงหลายแอปได้ ✅ ความสามารถของ Sky ➡️ สรุปเนื้อหาเว็บไซต์แล้วส่งผ่าน Messages ➡️ สร้างสคริปต์อัตโนมัติและคำสั่งเฉพาะสำหรับแต่ละแอป ➡️ เข้าใจบริบทบนหน้าจอและดำเนินการแบบเรียลไทม์ ➡️ พัฒนาโดยทีมเดียวกับ Workflow ซึ่งกลายเป็น Shortcuts ของ Apple ✅ ความเคลื่อนไหวของ Apple ➡️ Siri รุ่นใหม่จะเปิดตัวพร้อม iOS 26.4 ในปี 2026 ➡️ มีความกังวลเรื่องประสิทธิภาพของ Siri จากวิศวกรภายใน ➡️ หัวหน้าทีม AKI ลาออกไปเข้าร่วมกับ Meta ➡️ Apple Intelligence ยังตามหลังความสามารถของ Sky ในบางด้าน https://wccftech.com/openai-acquires-the-company-behind-the-new-apple-mac-app-sky/
    WCCFTECH.COM
    OpenAI Acquires The Company Behind The New Apple Mac App Sky
    OpenAI is trying to encroach into Apple's sprawling ecosystem by acquiring a company that is championing enhanced automation on the Mac.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 256 มุมมอง 0 รีวิว
  • KDE Plasma 6.5 มาแล้ว! อัปเกรดครั้งใหญ่เพื่อประสบการณ์ที่ลื่นไหลและฉลาดขึ้น

    หลังจากหลายสัปดาห์ของการพัฒนา KDE Plasma 6.5 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่เน้นความลื่นไหล ความสามารถในการปรับแต่ง และการเข้าถึงที่ดีขึ้นสำหรับผู้ใช้ทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ทั่วไปหรือสาย power user

    การอัปเดตครั้งนี้มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน ตั้งแต่การปรับปรุงหน้าตา UI ไปจนถึงการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้การใช้งานสะดวกขึ้น เช่น การสลับธีมอัตโนมัติตามเวลา การปักหมุดข้อความใน clipboard และการค้นหาแบบ fuzzy ใน KRunner ที่ช่วยให้ค้นหาแอปได้แม้พิมพ์ผิด

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงระบบ widget ให้ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น sticky notes ที่ปรับขนาดได้และเปลี่ยนสีพื้นหลังได้ทันที รวมถึงการเพิ่มโหมด “โปร่งใส” สำหรับผู้ชอบความเรียบง่าย

    ด้านเสียงก็มีการปรับปรุงเช่นกัน เช่น การเตือนเมื่อเปิดเสียงสูงสุดนานเกินไป และการ mute ไมโครโฟนแบบรวมทุกตัวในระบบ

    สำหรับผู้ที่อยากลอง KDE Plasma 6.5 สามารถติดตั้งผ่าน KDE Neon หรือคอมไพล์จากซอร์สได้โดยตรง

    ฟีเจอร์ใหม่ใน KDE Plasma 6.5
    สลับธีมอัตโนมัติตามเวลา
    ปักหมุดข้อความใน clipboard
    ค้นหาแบบ fuzzy ใน KRunner
    รองรับการตั้งค่าปากกาและแท็บเล็ตแบบ rotary dial และ touch ring
    เพิ่ม grayscale filter และปรับปรุง screen reader สำหรับผู้พิการ

    การปรับปรุง UI
    หน้าต่าง Breeze มีมุมโค้งทั้ง 4 ด้าน
    หน้า Wi-Fi & Networking แสดงเครือข่ายทันที
    แชร์ Wi-Fi ผ่าน QR code พร้อมรหัสผ่าน
    หน้า Flatpak Permissions เปลี่ยนเป็น Application Permissions

    การปรับปรุง widget
    Sticky notes ปรับขนาดได้และเปลี่ยนสีพื้นหลังได้
    เพิ่มโหมด “โปร่งใส” สำหรับ widget
    KRunner แสดงผลตั้งแต่พิมพ์ตัวแรก พร้อมเรียงลำดับใหม่

    การปรับปรุงระบบเสียง
    เตือนเมื่อเปิด “Raise maximum volume” นานเกินไป
    ปรับพฤติกรรม mute ไมโครโฟนให้รวมทุกตัว
    ปรับระดับเสียงขณะ mute จะ unmute อัตโนมัติ

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้เวอร์ชันเก่า
    หากยังใช้ Plasma 5 อาจไม่รองรับฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้
    การอัปเดตจากซอร์สต้องมีความรู้ด้านการคอมไพล์
    การเปลี่ยนธีมอัตโนมัติอาจไม่ทำงานหากตั้งค่าผิด

    คำแนะนำเพิ่มเติม
    ใช้ KDE Neon เพื่อทดลอง Plasma 6.5 ได้ง่ายที่สุด
    ตรวจสอบการตั้งค่าธีมและ wallpaper ให้ตรงกับช่วงเวลาที่ต้องการ
    ลองใช้ฟีเจอร์ clipboard ปักหมุดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

    https://news.itsfoss.com/kde-plasma-6-5-release/
    🖥️ KDE Plasma 6.5 มาแล้ว! อัปเกรดครั้งใหญ่เพื่อประสบการณ์ที่ลื่นไหลและฉลาดขึ้น หลังจากหลายสัปดาห์ของการพัฒนา KDE Plasma 6.5 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่เน้นความลื่นไหล ความสามารถในการปรับแต่ง และการเข้าถึงที่ดีขึ้นสำหรับผู้ใช้ทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ทั่วไปหรือสาย power user การอัปเดตครั้งนี้มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน ตั้งแต่การปรับปรุงหน้าตา UI ไปจนถึงการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้การใช้งานสะดวกขึ้น เช่น การสลับธีมอัตโนมัติตามเวลา การปักหมุดข้อความใน clipboard และการค้นหาแบบ fuzzy ใน KRunner ที่ช่วยให้ค้นหาแอปได้แม้พิมพ์ผิด นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงระบบ widget ให้ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น sticky notes ที่ปรับขนาดได้และเปลี่ยนสีพื้นหลังได้ทันที รวมถึงการเพิ่มโหมด “โปร่งใส” สำหรับผู้ชอบความเรียบง่าย ด้านเสียงก็มีการปรับปรุงเช่นกัน เช่น การเตือนเมื่อเปิดเสียงสูงสุดนานเกินไป และการ mute ไมโครโฟนแบบรวมทุกตัวในระบบ สำหรับผู้ที่อยากลอง KDE Plasma 6.5 สามารถติดตั้งผ่าน KDE Neon หรือคอมไพล์จากซอร์สได้โดยตรง ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน KDE Plasma 6.5 ➡️ สลับธีมอัตโนมัติตามเวลา ➡️ ปักหมุดข้อความใน clipboard ➡️ ค้นหาแบบ fuzzy ใน KRunner ➡️ รองรับการตั้งค่าปากกาและแท็บเล็ตแบบ rotary dial และ touch ring ➡️ เพิ่ม grayscale filter และปรับปรุง screen reader สำหรับผู้พิการ ✅ การปรับปรุง UI ➡️ หน้าต่าง Breeze มีมุมโค้งทั้ง 4 ด้าน ➡️ หน้า Wi-Fi & Networking แสดงเครือข่ายทันที ➡️ แชร์ Wi-Fi ผ่าน QR code พร้อมรหัสผ่าน ➡️ หน้า Flatpak Permissions เปลี่ยนเป็น Application Permissions ✅ การปรับปรุง widget ➡️ Sticky notes ปรับขนาดได้และเปลี่ยนสีพื้นหลังได้ ➡️ เพิ่มโหมด “โปร่งใส” สำหรับ widget ➡️ KRunner แสดงผลตั้งแต่พิมพ์ตัวแรก พร้อมเรียงลำดับใหม่ ✅ การปรับปรุงระบบเสียง ➡️ เตือนเมื่อเปิด “Raise maximum volume” นานเกินไป ➡️ ปรับพฤติกรรม mute ไมโครโฟนให้รวมทุกตัว ➡️ ปรับระดับเสียงขณะ mute จะ unmute อัตโนมัติ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้เวอร์ชันเก่า ⛔ หากยังใช้ Plasma 5 อาจไม่รองรับฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้ ⛔ การอัปเดตจากซอร์สต้องมีความรู้ด้านการคอมไพล์ ⛔ การเปลี่ยนธีมอัตโนมัติอาจไม่ทำงานหากตั้งค่าผิด ‼️ คำแนะนำเพิ่มเติม ⛔ ใช้ KDE Neon เพื่อทดลอง Plasma 6.5 ได้ง่ายที่สุด ⛔ ตรวจสอบการตั้งค่าธีมและ wallpaper ให้ตรงกับช่วงเวลาที่ต้องการ ⛔ ลองใช้ฟีเจอร์ clipboard ปักหมุดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน https://news.itsfoss.com/kde-plasma-6-5-release/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    KDE Plasma 6.5 Released: Let Me Walk You Through What's New
    Rounded corners, auto dark mode, pinned clipboard, and a whole lot more in this update!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 194 มุมมอง 0 รีวิว
  • “9 เครื่องมือจัดการ Attack Surface ที่องค์กรควรรู้ – ป้องกันภัยไซเบอร์ก่อนถูกเจาะ!”

    ในยุคที่ระบบ IT เชื่อมต่อกับโลกภายนอกตลอดเวลา การรู้ว่า “อะไรเปิดเผยอยู่บ้าง” คือกุญแจสำคัญในการป้องกันการโจมตี เครื่องมือประเภท CAASM (Cyber Asset Attack Surface Management) และ EASM (External Attack Surface Management) จึงกลายเป็นหัวใจของการรักษาความปลอดภัยระดับองค์กร

    บทความจาก CSO Online ได้รวบรวม 9 เครื่องมือเด่นที่ช่วยค้นหาและจัดการช่องโหว่ในระบบขององค์กร โดยแต่ละตัวมีจุดเด่นต่างกัน เช่น การมองจากมุมของแฮกเกอร์, การเชื่อมต่อกับระบบภายใน, หรือการวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงธุรกิจ

    เป้าหมายของเครื่องมือเหล่านี้คือการลด “ข้อมูลที่แฮกเกอร์มองเห็น” ให้เหลือน้อยที่สุด โดยยังคงให้บริการธุรกิจได้ตามปกติ และสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงแบบเรียลไทม์ เช่น การเพิ่ม asset ใหม่ หรือการเปลี่ยน config ที่อาจเกิดจาก human error หรือการโจมตี

    ความเข้าใจพื้นฐานของ Attack Surface
    หมายถึงทรัพยากรทั้งหมดที่เข้าถึงได้จากอินเทอร์เน็ต เช่น IP, domain, application
    รวมถึง open ports, SSL, server platform และ protocol ที่ใช้งาน
    ช่องโหว่เกิดจาก config ผิดพลาดหรือ software ที่ยังไม่ได้ patch
    แม้ asset จะอยู่ใน data center ก็ยังเสี่ยง หากไม่มีการ monitor ที่ดี

    ความสามารถของเครื่องมือ CAASM/EASM
    ตรวจจับ asset ใหม่และ config drift แบบเรียลไทม์
    วิเคราะห์ความเสี่ยงจากทั้งมุมเทคนิคและมุมธุรกิจ
    เชื่อมต่อกับระบบภายใน เช่น Jira, ServiceNow, Slack
    บางตัวสามารถทำ remediation อัตโนมัติหรือผ่าน playbook

    เครื่องมือเด่นที่แนะนำ
    Axonius – เน้น asset inventory และ policy compliance เช่น PCI/HIPAA
    CrowdStrike Falcon Surface – มองจากมุมแฮกเกอร์ พร้อม remediation ผ่าน integration
    CyCognito – วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง asset และจัดลำดับความเสี่ยง
    Informer – ค้นหา asset บน web/API พร้อม pen testing เสริม
    JupiterOne – แสดง asset แบบ visual map พร้อม query ขั้นสูง
    Microsoft Defender EASM – ค้นหา shadow IT และ probe ทุก layer ของ tech stack
    Rapid7 InsightVM – มีสิทธิ์ออก CVE ใหม่ พร้อม dashboard วิเคราะห์แบบเจาะลึก
    SOCRadar AttackMapper – ตรวจ SSL, DNS, defacement และ correlate กับวิธีโจมตี
    Tenable.asm – วิเคราะห์ asset ด้วย metadata กว่า 200 field พร้อม context เชิงธุรกิจ

    ข้อควรระวังและคำเตือน
    การ scan แบบ periodic ไม่เพียงพอ ต้องใช้ monitoring แบบต่อเนื่อง
    การไม่จัดการ config drift อาจเปิดช่องให้โจมตีโดยไม่รู้ตัว
    หากไม่เชื่อมโยง asset กับ context ธุรกิจ อาจจัดลำดับความเสี่ยงผิด
    การใช้หลายเครื่องมือโดยไม่มีการบูรณาการ อาจทำให้ข้อมูลกระจัดกระจาย
    การไม่ฝึกซ้อม incident response ทำให้ 57% ของเหตุการณ์จริงไม่เคยถูกจำลองมาก่อน

    https://www.csoonline.com/article/574797/9-attack-surface-discovery-and-management-tools.html
    🛡️ “9 เครื่องมือจัดการ Attack Surface ที่องค์กรควรรู้ – ป้องกันภัยไซเบอร์ก่อนถูกเจาะ!” ในยุคที่ระบบ IT เชื่อมต่อกับโลกภายนอกตลอดเวลา การรู้ว่า “อะไรเปิดเผยอยู่บ้าง” คือกุญแจสำคัญในการป้องกันการโจมตี เครื่องมือประเภท CAASM (Cyber Asset Attack Surface Management) และ EASM (External Attack Surface Management) จึงกลายเป็นหัวใจของการรักษาความปลอดภัยระดับองค์กร บทความจาก CSO Online ได้รวบรวม 9 เครื่องมือเด่นที่ช่วยค้นหาและจัดการช่องโหว่ในระบบขององค์กร โดยแต่ละตัวมีจุดเด่นต่างกัน เช่น การมองจากมุมของแฮกเกอร์, การเชื่อมต่อกับระบบภายใน, หรือการวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงธุรกิจ เป้าหมายของเครื่องมือเหล่านี้คือการลด “ข้อมูลที่แฮกเกอร์มองเห็น” ให้เหลือน้อยที่สุด โดยยังคงให้บริการธุรกิจได้ตามปกติ และสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงแบบเรียลไทม์ เช่น การเพิ่ม asset ใหม่ หรือการเปลี่ยน config ที่อาจเกิดจาก human error หรือการโจมตี ✅ ความเข้าใจพื้นฐานของ Attack Surface ➡️ หมายถึงทรัพยากรทั้งหมดที่เข้าถึงได้จากอินเทอร์เน็ต เช่น IP, domain, application ➡️ รวมถึง open ports, SSL, server platform และ protocol ที่ใช้งาน ➡️ ช่องโหว่เกิดจาก config ผิดพลาดหรือ software ที่ยังไม่ได้ patch ➡️ แม้ asset จะอยู่ใน data center ก็ยังเสี่ยง หากไม่มีการ monitor ที่ดี ✅ ความสามารถของเครื่องมือ CAASM/EASM ➡️ ตรวจจับ asset ใหม่และ config drift แบบเรียลไทม์ ➡️ วิเคราะห์ความเสี่ยงจากทั้งมุมเทคนิคและมุมธุรกิจ ➡️ เชื่อมต่อกับระบบภายใน เช่น Jira, ServiceNow, Slack ➡️ บางตัวสามารถทำ remediation อัตโนมัติหรือผ่าน playbook ✅ เครื่องมือเด่นที่แนะนำ ➡️ Axonius – เน้น asset inventory และ policy compliance เช่น PCI/HIPAA ➡️ CrowdStrike Falcon Surface – มองจากมุมแฮกเกอร์ พร้อม remediation ผ่าน integration ➡️ CyCognito – วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง asset และจัดลำดับความเสี่ยง ➡️ Informer – ค้นหา asset บน web/API พร้อม pen testing เสริม ➡️ JupiterOne – แสดง asset แบบ visual map พร้อม query ขั้นสูง ➡️ Microsoft Defender EASM – ค้นหา shadow IT และ probe ทุก layer ของ tech stack ➡️ Rapid7 InsightVM – มีสิทธิ์ออก CVE ใหม่ พร้อม dashboard วิเคราะห์แบบเจาะลึก ➡️ SOCRadar AttackMapper – ตรวจ SSL, DNS, defacement และ correlate กับวิธีโจมตี ➡️ Tenable.asm – วิเคราะห์ asset ด้วย metadata กว่า 200 field พร้อม context เชิงธุรกิจ ‼️ ข้อควรระวังและคำเตือน ⛔ การ scan แบบ periodic ไม่เพียงพอ ต้องใช้ monitoring แบบต่อเนื่อง ⛔ การไม่จัดการ config drift อาจเปิดช่องให้โจมตีโดยไม่รู้ตัว ⛔ หากไม่เชื่อมโยง asset กับ context ธุรกิจ อาจจัดลำดับความเสี่ยงผิด ⛔ การใช้หลายเครื่องมือโดยไม่มีการบูรณาการ อาจทำให้ข้อมูลกระจัดกระจาย ⛔ การไม่ฝึกซ้อม incident response ทำให้ 57% ของเหตุการณ์จริงไม่เคยถูกจำลองมาก่อน https://www.csoonline.com/article/574797/9-attack-surface-discovery-and-management-tools.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    CAASM and EASM: Top 12 attack surface discovery and management tools
    The main goal of cyber asset attack surface management (CAASM) and external attack surface management (EASM) tools is to protect information about a company’s security measures from attackers. Here are 9 tools to consider when deciding what is best for the business.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 373 มุมมอง 0 รีวิว
  • ibank e-Savings ธนาคารอิสลามบนแอปฯ เป๋าตัง

    แอปพลิเคชันเป๋าตัง (PaoTang) ซึ่งพัฒนาโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ที่มีผู้ใช้งานกว่า 40 ล้านราย ถูกวางตำแหน่งให้เป็น Thailand Open Digital Platform ให้บริการทางการเงินและบริการดิจิทัลที่หลากหลายแก่ประชาชน เช่น G-Wallet กระเป๋าอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ ที่กำลังใช้ดำเนินโครงการคนละครึ่งพลัส, วอลเล็ต สบม. ที่ใช้ซื้อขายพันธบัตรรัฐบาล, บริการซื้อขายหุ้นกู้, Gold Wallet บริการลงทุนทองคำออนไลน์ หนึ่งในนั้นมีบริการ ibank Application ของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย

    ล่าสุดเปิดตัวผลิตภัณฑ์ ibank e-savings บัญชีเงินรับฝากออมทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ ให้บริการแก่ลูกค้าทุกศาสนา มีจุดเด่นคือรับอัตราผลตอบแทนสูง 2.2% ต่อปี ตั้งแต่บาทแรกถึง 20,000 บาท สามารถโอนเงิน เติมเงิน จ่ายบิล ถอนเงิน ผ่านบริการ ibank Application บนแอปฯ เป๋าตัง ตลอด 24 ชั่วโมง ผู้สนใจสามารถเปิดบัญชีออนไลน์ผ่านแอปฯ เป๋าตัง ได้ทุกที่โดยไม่ต้องไปสาขา ตั้งแต่เวลา 07.00-22.00 น. โดยสแกนใบหน้า กรอกข้อมูล เลือกสาขาที่ต้องการ ไม่จำกัดจำนวนขั้นต่ำในการเปิดบัญชี

    นุจรี ภักดีเจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารกลุ่มงานธุรกิจรายย่อย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ไอแบงก์ยกระดับการให้บริการเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกค้ามากยิ่งขึ้น บัญชี ibank e-savings นอกจากจะเป็นก้าวสำคัญต่อช่องทางดิจิทัลของธนาคารแล้ว ยังส่งมอบความเชื่อมั่นในคุณค่าที่ผสานความทันสมัยของเทคโนโลยีเข้ากับคุณค่าของความศรัทธาและคุณธรรมตามหลักการเงินอิสลาม (Islamic Finance) และทำธุรกรรมทางการเงินได้ทุกที่ ทุกเวลา เหมือนมีสาขาธนาคารอยู่ในมือ

    นอกจากนี้ ยังมีโปรโมชันพิเศษสำหรับลูกค้าที่เปิดบัญชี ibank e-Savings ระหว่างวันที่ 9 ต.ค. ถึง 15 พ.ย. 2568 และมียอดเงินฝากในบัญชีขั้นต่ำ 10,000 บาท ตลอดระยะเวลาโปรโมชัน ถึงวันที่ 30 พ.ย. 2568 สำหรับลูกค้าที่มียอดเงินฝากสูงสุด 1,000 รายแรก จะได้รับเงินคืน 100 บาท โอนเงินเข้าบัญชี e-Savings ของลูกค้า ภายในวันที่ 31 ธ.ค. 2568

    สำหรับธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จัดตั้งตาม พ.ร.บ.ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ปี 2545 ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง ให้บริการทางการเงินแบบปราศจากดอกเบี้ย เริ่มดำเนินกิจการครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2546 โดยมีสำนักงานใหญ่และสาขาแห่งแรกอยู่ที่ย่านคลองตัน กรุงเทพฯ จากนั้นเริ่มทยอยเปิดสาขาในกรุงเทพฯ พื้นที่ภาคใต้ และทุกภาคทั่วประเทศ ปัจจุบันมีสาขาให้บริการในกรุงเทพฯ 15 แห่ง สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ 20 แห่ง และสาขาอื่นๆ รวมทั่วประเทศมากกว่า 80 แห่ง

    #Newskit
    ibank e-Savings ธนาคารอิสลามบนแอปฯ เป๋าตัง แอปพลิเคชันเป๋าตัง (PaoTang) ซึ่งพัฒนาโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ที่มีผู้ใช้งานกว่า 40 ล้านราย ถูกวางตำแหน่งให้เป็น Thailand Open Digital Platform ให้บริการทางการเงินและบริการดิจิทัลที่หลากหลายแก่ประชาชน เช่น G-Wallet กระเป๋าอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ ที่กำลังใช้ดำเนินโครงการคนละครึ่งพลัส, วอลเล็ต สบม. ที่ใช้ซื้อขายพันธบัตรรัฐบาล, บริการซื้อขายหุ้นกู้, Gold Wallet บริการลงทุนทองคำออนไลน์ หนึ่งในนั้นมีบริการ ibank Application ของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ล่าสุดเปิดตัวผลิตภัณฑ์ ibank e-savings บัญชีเงินรับฝากออมทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ ให้บริการแก่ลูกค้าทุกศาสนา มีจุดเด่นคือรับอัตราผลตอบแทนสูง 2.2% ต่อปี ตั้งแต่บาทแรกถึง 20,000 บาท สามารถโอนเงิน เติมเงิน จ่ายบิล ถอนเงิน ผ่านบริการ ibank Application บนแอปฯ เป๋าตัง ตลอด 24 ชั่วโมง ผู้สนใจสามารถเปิดบัญชีออนไลน์ผ่านแอปฯ เป๋าตัง ได้ทุกที่โดยไม่ต้องไปสาขา ตั้งแต่เวลา 07.00-22.00 น. โดยสแกนใบหน้า กรอกข้อมูล เลือกสาขาที่ต้องการ ไม่จำกัดจำนวนขั้นต่ำในการเปิดบัญชี นุจรี ภักดีเจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารกลุ่มงานธุรกิจรายย่อย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ไอแบงก์ยกระดับการให้บริการเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกค้ามากยิ่งขึ้น บัญชี ibank e-savings นอกจากจะเป็นก้าวสำคัญต่อช่องทางดิจิทัลของธนาคารแล้ว ยังส่งมอบความเชื่อมั่นในคุณค่าที่ผสานความทันสมัยของเทคโนโลยีเข้ากับคุณค่าของความศรัทธาและคุณธรรมตามหลักการเงินอิสลาม (Islamic Finance) และทำธุรกรรมทางการเงินได้ทุกที่ ทุกเวลา เหมือนมีสาขาธนาคารอยู่ในมือ นอกจากนี้ ยังมีโปรโมชันพิเศษสำหรับลูกค้าที่เปิดบัญชี ibank e-Savings ระหว่างวันที่ 9 ต.ค. ถึง 15 พ.ย. 2568 และมียอดเงินฝากในบัญชีขั้นต่ำ 10,000 บาท ตลอดระยะเวลาโปรโมชัน ถึงวันที่ 30 พ.ย. 2568 สำหรับลูกค้าที่มียอดเงินฝากสูงสุด 1,000 รายแรก จะได้รับเงินคืน 100 บาท โอนเงินเข้าบัญชี e-Savings ของลูกค้า ภายในวันที่ 31 ธ.ค. 2568 สำหรับธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จัดตั้งตาม พ.ร.บ.ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ปี 2545 ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง ให้บริการทางการเงินแบบปราศจากดอกเบี้ย เริ่มดำเนินกิจการครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2546 โดยมีสำนักงานใหญ่และสาขาแห่งแรกอยู่ที่ย่านคลองตัน กรุงเทพฯ จากนั้นเริ่มทยอยเปิดสาขาในกรุงเทพฯ พื้นที่ภาคใต้ และทุกภาคทั่วประเทศ ปัจจุบันมีสาขาให้บริการในกรุงเทพฯ 15 แห่ง สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ 20 แห่ง และสาขาอื่นๆ รวมทั่วประเทศมากกว่า 80 แห่ง #Newskit
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 596 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Unkey ลาออกจาก Serverless” — เมื่อความเร็วและความเรียบง่ายสำคัญกว่าแนวคิดไร้เซิร์ฟเวอร์

    หลังจากใช้ Cloudflare Workers มานานกว่า 2 ปี Unkey ตัดสินใจย้ายระบบ API authentication ทั้งหมดไปใช้ Go servers แบบ stateful โดยให้เหตุผลว่า serverless แม้จะดูดีในแง่การกระจายโหลดและต้นทุน แต่กลับสร้าง “ภาษีความซับซ้อน” ที่ทำให้ทีมต้องสร้าง workaround มากมายเพื่อให้ระบบทำงานได้เร็วและเสถียร

    ปัญหาหลักคือ latency ที่ไม่สามารถลดต่ำกว่า 30ms ได้ แม้จะใช้ cache หลายชั้น รวมถึงการต้องพึ่งพา SaaS หลายตัวเพื่อแก้ปัญหาที่ serverless สร้างขึ้น เช่น Redis, Queues, Durable Objects และ Logstreams ซึ่งเพิ่มทั้งความซับซ้อนและจุดล้มเหลว

    เมื่อย้ายมาใช้ Go servers ทีมสามารถลด latency ได้ถึง 6 เท่า และตัดทิ้งระบบ pipeline ที่ซับซ้อน เช่น chproxy และ logdrain workers โดยใช้การ batch ข้อมูลใน memory แบบง่าย ๆ แทน

    นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์ด้าน self-hosting, การพัฒนาในเครื่อง, และการหลุดพ้นจากข้อจำกัดของ Cloudflare runtime โดยยังคงใช้ AWS Global Accelerator และ Fargate เพื่อรักษาความสามารถในการกระจายโหลดและ autoscaling

    ข้อมูลในข่าว
    Unkey ย้ายจาก Cloudflare Workers ไปใช้ Go servers แบบ stateful
    ลด latency ได้ถึง 6 เท่า จากเดิมที่ติดอยู่ที่ 30ms+
    ปัญหาหลักคือการ cache ที่ต้องพึ่ง network request เสมอ
    ใช้ cache แบบ SWR หลายชั้นแต่ยังไม่เร็วพอ
    ต้องใช้ SaaS หลายตัวเพื่อแก้ปัญหา serverless เช่น Redis, Queues, Durable Objects
    pipeline สำหรับ analytics และ logs มีความซับซ้อนสูง
    ใช้ chproxy เพื่อ buffer event ก่อนส่งเข้า ClickHouse
    ใช้ logdrain worker เพื่อจัดการ metrics และ logs ก่อนส่งเข้า Axiom
    เมื่อย้ายมา Go servers สามารถ batch ข้อมูลใน memory ได้โดยตรง
    ลดความซับซ้อนของระบบจาก distributed system เหลือแค่ application เดียว
    รองรับ self-hosting ด้วยคำสั่งง่าย ๆ เช่น docker run -p 8080:8080 unkey/api
    พัฒนาและ debug ในเครื่องได้ง่ายขึ้น
    หลุดพ้นจากข้อจำกัดของ Cloudflare runtime
    ใช้ AWS Global Accelerator และ Fargate เพื่อรักษาความสามารถในการกระจายโหลด
    เตรียมเปิดตัว “Unkey Deploy” แพลตฟอร์มสำหรับรัน Unkey ได้ทุกที่

    https://www.unkey.com/blog/serverless-exit
    🚪 “Unkey ลาออกจาก Serverless” — เมื่อความเร็วและความเรียบง่ายสำคัญกว่าแนวคิดไร้เซิร์ฟเวอร์ หลังจากใช้ Cloudflare Workers มานานกว่า 2 ปี Unkey ตัดสินใจย้ายระบบ API authentication ทั้งหมดไปใช้ Go servers แบบ stateful โดยให้เหตุผลว่า serverless แม้จะดูดีในแง่การกระจายโหลดและต้นทุน แต่กลับสร้าง “ภาษีความซับซ้อน” ที่ทำให้ทีมต้องสร้าง workaround มากมายเพื่อให้ระบบทำงานได้เร็วและเสถียร ปัญหาหลักคือ latency ที่ไม่สามารถลดต่ำกว่า 30ms ได้ แม้จะใช้ cache หลายชั้น รวมถึงการต้องพึ่งพา SaaS หลายตัวเพื่อแก้ปัญหาที่ serverless สร้างขึ้น เช่น Redis, Queues, Durable Objects และ Logstreams ซึ่งเพิ่มทั้งความซับซ้อนและจุดล้มเหลว เมื่อย้ายมาใช้ Go servers ทีมสามารถลด latency ได้ถึง 6 เท่า และตัดทิ้งระบบ pipeline ที่ซับซ้อน เช่น chproxy และ logdrain workers โดยใช้การ batch ข้อมูลใน memory แบบง่าย ๆ แทน นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์ด้าน self-hosting, การพัฒนาในเครื่อง, และการหลุดพ้นจากข้อจำกัดของ Cloudflare runtime โดยยังคงใช้ AWS Global Accelerator และ Fargate เพื่อรักษาความสามารถในการกระจายโหลดและ autoscaling ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Unkey ย้ายจาก Cloudflare Workers ไปใช้ Go servers แบบ stateful ➡️ ลด latency ได้ถึง 6 เท่า จากเดิมที่ติดอยู่ที่ 30ms+ ➡️ ปัญหาหลักคือการ cache ที่ต้องพึ่ง network request เสมอ ➡️ ใช้ cache แบบ SWR หลายชั้นแต่ยังไม่เร็วพอ ➡️ ต้องใช้ SaaS หลายตัวเพื่อแก้ปัญหา serverless เช่น Redis, Queues, Durable Objects ➡️ pipeline สำหรับ analytics และ logs มีความซับซ้อนสูง ➡️ ใช้ chproxy เพื่อ buffer event ก่อนส่งเข้า ClickHouse ➡️ ใช้ logdrain worker เพื่อจัดการ metrics และ logs ก่อนส่งเข้า Axiom ➡️ เมื่อย้ายมา Go servers สามารถ batch ข้อมูลใน memory ได้โดยตรง ➡️ ลดความซับซ้อนของระบบจาก distributed system เหลือแค่ application เดียว ➡️ รองรับ self-hosting ด้วยคำสั่งง่าย ๆ เช่น docker run -p 8080:8080 unkey/api ➡️ พัฒนาและ debug ในเครื่องได้ง่ายขึ้น ➡️ หลุดพ้นจากข้อจำกัดของ Cloudflare runtime ➡️ ใช้ AWS Global Accelerator และ Fargate เพื่อรักษาความสามารถในการกระจายโหลด ➡️ เตรียมเปิดตัว “Unkey Deploy” แพลตฟอร์มสำหรับรัน Unkey ได้ทุกที่ https://www.unkey.com/blog/serverless-exit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 187 มุมมอง 0 รีวิว
  • “SAP อุดช่องโหว่ CVSS 10.0 ใน NetWeaver — เสี่ยง RCE โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน”

    SAP ได้ออกแพตช์ความปลอดภัยเพื่อแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงในระบบ NetWeaver Application Server ABAP ซึ่งเป็นหัวใจของระบบ ERP ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก โดยช่องโหว่นี้ได้รับรหัส CVE-2023-40311 และมีคะแนนความรุนแรง CVSS เต็ม 10.0 ซึ่งหมายถึงระดับ “วิกฤต” ที่สามารถถูกโจมตีจากระยะไกลโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน

    ช่องโหว่นี้เกิดจากการจัดการอินพุตที่ไม่ปลอดภัยในฟีเจอร์ Remote Code Management (RCM) ซึ่งเปิดให้ผู้โจมตีสามารถส่งคำสั่งที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อรันโค้ดบนเซิร์ฟเวอร์ SAP ได้ทันที โดยไม่ต้องมีสิทธิ์เข้าระบบก่อน

    SAP ระบุว่าช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อระบบที่เปิดใช้งานฟีเจอร์ RCM และไม่ได้มีการกำหนดสิทธิ์อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะระบบที่เปิดให้เข้าถึงผ่านอินเทอร์เน็ตหรือเชื่อมต่อกับระบบภายนอก

    นักวิจัยจาก Onapsis ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านความปลอดภัยของ SAP เป็นผู้ค้นพบช่องโหว่นี้ และได้แจ้งให้ SAP ทราบก่อนการเปิดเผยต่อสาธารณะ โดย SAP ได้ออกแพตช์ใน Security Patch Day เดือนตุลาคม 2025 พร้อมคำแนะนำให้ผู้ดูแลระบบอัปเดตทันที

    ช่องโหว่ CVE-2023-40311 ใน SAP NetWeaver Application Server ABAP
    ได้คะแนน CVSS เต็ม 10.0 ถือเป็นระดับ “วิกฤต”

    ช่องโหว่เกิดจากการจัดการอินพุตในฟีเจอร์ Remote Code Management (RCM)
    เปิดทางให้รันโค้ดจากระยะไกลโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน

    ส่งผลกระทบต่อระบบที่เปิดใช้งาน RCM และไม่มีการกำหนดสิทธิ์ที่เหมาะสม
    โดยเฉพาะระบบที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตหรือระบบภายนอก

    นักวิจัยจาก Onapsis เป็นผู้ค้นพบช่องโหว่
    แจ้ง SAP ก่อนการเปิดเผยต่อสาธารณะ

    SAP ออกแพตช์ใน Security Patch Day เดือนตุลาคม 2025
    พร้อมคำแนะนำให้ผู้ดูแลระบบอัปเดตทันที

    ช่องโหว่นี้สามารถถูกโจมตีจากระยะไกลโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน
    เสี่ยงต่อการถูกควบคุมระบบ SAP ทั้งระบบ

    ระบบที่เปิดใช้งาน RCM โดยไม่มีการกำหนดสิทธิ์อย่างเหมาะสม
    อาจถูกโจมตีได้ทันทีหากเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต

    การไม่อัปเดตแพตช์ทันทีอาจทำให้ระบบถูกเจาะโดย botnet หรือ ransomware
    โดยเฉพาะในองค์กรที่ใช้ SAP เป็นระบบหลักในการจัดการข้อมูล

    การตรวจสอบสิทธิ์และการตั้งค่า access control เป็นสิ่งจำเป็น
    หากละเลยอาจเปิดช่องให้เกิดการโจมตีแบบ lateral movement

    https://securityonline.info/sap-patches-critical-10-0-flaw-in-netweaver-unauthenticated-rce-risk/
    🚨 “SAP อุดช่องโหว่ CVSS 10.0 ใน NetWeaver — เสี่ยง RCE โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน” SAP ได้ออกแพตช์ความปลอดภัยเพื่อแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงในระบบ NetWeaver Application Server ABAP ซึ่งเป็นหัวใจของระบบ ERP ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก โดยช่องโหว่นี้ได้รับรหัส CVE-2023-40311 และมีคะแนนความรุนแรง CVSS เต็ม 10.0 ซึ่งหมายถึงระดับ “วิกฤต” ที่สามารถถูกโจมตีจากระยะไกลโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ช่องโหว่นี้เกิดจากการจัดการอินพุตที่ไม่ปลอดภัยในฟีเจอร์ Remote Code Management (RCM) ซึ่งเปิดให้ผู้โจมตีสามารถส่งคำสั่งที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อรันโค้ดบนเซิร์ฟเวอร์ SAP ได้ทันที โดยไม่ต้องมีสิทธิ์เข้าระบบก่อน SAP ระบุว่าช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อระบบที่เปิดใช้งานฟีเจอร์ RCM และไม่ได้มีการกำหนดสิทธิ์อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะระบบที่เปิดให้เข้าถึงผ่านอินเทอร์เน็ตหรือเชื่อมต่อกับระบบภายนอก นักวิจัยจาก Onapsis ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านความปลอดภัยของ SAP เป็นผู้ค้นพบช่องโหว่นี้ และได้แจ้งให้ SAP ทราบก่อนการเปิดเผยต่อสาธารณะ โดย SAP ได้ออกแพตช์ใน Security Patch Day เดือนตุลาคม 2025 พร้อมคำแนะนำให้ผู้ดูแลระบบอัปเดตทันที ✅ ช่องโหว่ CVE-2023-40311 ใน SAP NetWeaver Application Server ABAP ➡️ ได้คะแนน CVSS เต็ม 10.0 ถือเป็นระดับ “วิกฤต” ✅ ช่องโหว่เกิดจากการจัดการอินพุตในฟีเจอร์ Remote Code Management (RCM) ➡️ เปิดทางให้รันโค้ดจากระยะไกลโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ✅ ส่งผลกระทบต่อระบบที่เปิดใช้งาน RCM และไม่มีการกำหนดสิทธิ์ที่เหมาะสม ➡️ โดยเฉพาะระบบที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตหรือระบบภายนอก ✅ นักวิจัยจาก Onapsis เป็นผู้ค้นพบช่องโหว่ ➡️ แจ้ง SAP ก่อนการเปิดเผยต่อสาธารณะ ✅ SAP ออกแพตช์ใน Security Patch Day เดือนตุลาคม 2025 ➡️ พร้อมคำแนะนำให้ผู้ดูแลระบบอัปเดตทันที ‼️ ช่องโหว่นี้สามารถถูกโจมตีจากระยะไกลโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ⛔ เสี่ยงต่อการถูกควบคุมระบบ SAP ทั้งระบบ ‼️ ระบบที่เปิดใช้งาน RCM โดยไม่มีการกำหนดสิทธิ์อย่างเหมาะสม ⛔ อาจถูกโจมตีได้ทันทีหากเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ‼️ การไม่อัปเดตแพตช์ทันทีอาจทำให้ระบบถูกเจาะโดย botnet หรือ ransomware ⛔ โดยเฉพาะในองค์กรที่ใช้ SAP เป็นระบบหลักในการจัดการข้อมูล ‼️ การตรวจสอบสิทธิ์และการตั้งค่า access control เป็นสิ่งจำเป็น ⛔ หากละเลยอาจเปิดช่องให้เกิดการโจมตีแบบ lateral movement https://securityonline.info/sap-patches-critical-10-0-flaw-in-netweaver-unauthenticated-rce-risk/
    SECURITYONLINE.INFO
    SAP Patches Critical 10.0 Flaw in NetWeaver: Unauthenticated RCE Risk
    SAP's October 2025 Security Patch Day addressed 13 new notes, including two critical 10.0 flaws in NetWeaver AS Java and Print Service, posing an RCE threat.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts