• เรื่องเล่าจาก SGLang: เมื่อ DeepSeek ถูกเสิร์ฟด้วยศิลปะของการแยกงานและแบ่งผู้เชี่ยวชาญ

    DeepSeek เป็นโมเดล LLM ที่ทรงพลังและซับซ้อน ด้วยสถาปัตยกรรมที่ใช้ Multi-head Latent Attention (MLA) และ Mixture of Experts (MoE) ซึ่งทำให้การรัน inference แบบ real-time กลายเป็นความท้าทายระดับสูง แต่ทีม SGLang ได้โชว์ว่า ถ้าออกแบบระบบดีพอ ก็สามารถรัน DeepSeek-V3 บน 96 H100 GPUs ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

    หัวใจของความสำเร็จนี้คือการใช้เทคนิค PD Disaggregation (แยกงานระหว่าง prefill และ decode) ร่วมกับ Expert Parallelism (EP) ที่ปรับแต่งอย่างละเอียดผ่าน DeepEP, DeepGEMM และ EPLB เพื่อให้การจัดการ memory, communication และ workload balance เป็นไปอย่างไร้รอยต่อ

    ผลลัพธ์คือ throughput สูงถึง 52.3k input tokens/sec และ 22.3k output tokens/sec ต่อ node ซึ่งใกล้เคียงกับระบบ production ของ DeepSeek เอง แต่ใช้ต้นทุนเพียง 20% ของ API ทางการ

    สถาปัตยกรรมการรัน DeepSeek บน SGLang
    ใช้ 12 nodes × 8 H100 GPUs รวม 96 GPUs
    throughput สูงถึง 52.3k input และ 22.3k output tokens/sec ต่อ node
    ต้นทุน inference อยู่ที่ ~$0.20 ต่อ 1M output tokens

    เทคนิค Prefill-Decode Disaggregation (PD)
    แยกการรัน prefill และ decode ออกจากกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    ลดปัญหา prefill interrupt และ latency จากการจัด batch แบบรวม
    รองรับ dispatch mode ที่ต่างกันสำหรับแต่ละ phase

    Expert Parallelism (EP) ด้วย DeepEP
    ใช้ normal dispatch สำหรับ prefill และ low-latency dispatch สำหรับ decode
    รองรับ auto mode ที่เลือก dispatch ตาม workload
    ลด latency และเพิ่ม throughput โดยใช้ expert routing ที่ปรับแต่งได้

    DeepGEMM สำหรับ MoE computation
    ใช้ Grouped GEMMs แบบ contiguous และ masked layout
    รองรับ CUDA Graph สำหรับ decode phase
    ใช้ Triton kernel เพื่อจัดเรียงข้อมูลให้เหมาะกับ GEMM kernel

    Two-Batch Overlap (TBO)
    แบ่ง batch เป็นสองส่วนเพื่อให้ computation และ communication overlap
    เพิ่ม throughput ได้ถึง 35% และลด peak memory usage
    ใช้ abstraction layer เพื่อจัดการ micro-batch อย่างสะอาดและ maintainable

    Expert Parallelism Load Balancer (EPLB)
    ใช้ expert redundancy เพื่อจัดวาง expert ให้สมดุล
    รองรับ parallelism size ที่ไม่จำกัดแค่ power-of-two เช่น 12 หรือ 72
    เพิ่ม utilization rate และลดการรอ GPU ที่ช้า

    Toolkits เสริมใน SGLang
    DisposableTensor สำหรับจัดการ memory ใน PyTorch โดยตรง
    Expert workload simulator เพื่อประเมิน performance ก่อน deploy จริง
    รองรับการ rebalancing แบบ staged เพื่อไม่ให้รบกวนระบบขณะทำงาน

    https://lmsys.org/blog/2025-05-05-large-scale-ep/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก SGLang: เมื่อ DeepSeek ถูกเสิร์ฟด้วยศิลปะของการแยกงานและแบ่งผู้เชี่ยวชาญ DeepSeek เป็นโมเดล LLM ที่ทรงพลังและซับซ้อน ด้วยสถาปัตยกรรมที่ใช้ Multi-head Latent Attention (MLA) และ Mixture of Experts (MoE) ซึ่งทำให้การรัน inference แบบ real-time กลายเป็นความท้าทายระดับสูง แต่ทีม SGLang ได้โชว์ว่า ถ้าออกแบบระบบดีพอ ก็สามารถรัน DeepSeek-V3 บน 96 H100 GPUs ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด หัวใจของความสำเร็จนี้คือการใช้เทคนิค PD Disaggregation (แยกงานระหว่าง prefill และ decode) ร่วมกับ Expert Parallelism (EP) ที่ปรับแต่งอย่างละเอียดผ่าน DeepEP, DeepGEMM และ EPLB เพื่อให้การจัดการ memory, communication และ workload balance เป็นไปอย่างไร้รอยต่อ ผลลัพธ์คือ throughput สูงถึง 52.3k input tokens/sec และ 22.3k output tokens/sec ต่อ node ซึ่งใกล้เคียงกับระบบ production ของ DeepSeek เอง แต่ใช้ต้นทุนเพียง 20% ของ API ทางการ ✅ สถาปัตยกรรมการรัน DeepSeek บน SGLang ➡️ ใช้ 12 nodes × 8 H100 GPUs รวม 96 GPUs ➡️ throughput สูงถึง 52.3k input และ 22.3k output tokens/sec ต่อ node ➡️ ต้นทุน inference อยู่ที่ ~$0.20 ต่อ 1M output tokens ✅ เทคนิค Prefill-Decode Disaggregation (PD) ➡️ แยกการรัน prefill และ decode ออกจากกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ ลดปัญหา prefill interrupt และ latency จากการจัด batch แบบรวม ➡️ รองรับ dispatch mode ที่ต่างกันสำหรับแต่ละ phase ✅ Expert Parallelism (EP) ด้วย DeepEP ➡️ ใช้ normal dispatch สำหรับ prefill และ low-latency dispatch สำหรับ decode ➡️ รองรับ auto mode ที่เลือก dispatch ตาม workload ➡️ ลด latency และเพิ่ม throughput โดยใช้ expert routing ที่ปรับแต่งได้ ✅ DeepGEMM สำหรับ MoE computation ➡️ ใช้ Grouped GEMMs แบบ contiguous และ masked layout ➡️ รองรับ CUDA Graph สำหรับ decode phase ➡️ ใช้ Triton kernel เพื่อจัดเรียงข้อมูลให้เหมาะกับ GEMM kernel ✅ Two-Batch Overlap (TBO) ➡️ แบ่ง batch เป็นสองส่วนเพื่อให้ computation และ communication overlap ➡️ เพิ่ม throughput ได้ถึง 35% และลด peak memory usage ➡️ ใช้ abstraction layer เพื่อจัดการ micro-batch อย่างสะอาดและ maintainable ✅ Expert Parallelism Load Balancer (EPLB) ➡️ ใช้ expert redundancy เพื่อจัดวาง expert ให้สมดุล ➡️ รองรับ parallelism size ที่ไม่จำกัดแค่ power-of-two เช่น 12 หรือ 72 ➡️ เพิ่ม utilization rate และลดการรอ GPU ที่ช้า ✅ Toolkits เสริมใน SGLang ➡️ DisposableTensor สำหรับจัดการ memory ใน PyTorch โดยตรง ➡️ Expert workload simulator เพื่อประเมิน performance ก่อน deploy จริง ➡️ รองรับการ rebalancing แบบ staged เพื่อไม่ให้รบกวนระบบขณะทำงาน https://lmsys.org/blog/2025-05-05-large-scale-ep/
    LMSYS.ORG
    Deploying DeepSeek with PD Disaggregation and Large-Scale Expert Parallelism on 96 H100 GPUs | LMSYS Org
    DeepSeek is a popular open-source large language model (LLM) praised for its strong performance. However, its large size and unique architecture, which us...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากสแตนฟอร์ด: เมื่อ AI กลายเป็นตัวกรองคนเข้าสู่โลกการทำงาน

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Generative AI อย่าง ChatGPT, Claude และเครื่องมืออัตโนมัติอื่น ๆ ได้เข้ามาเปลี่ยนวิธีทำงานในหลายอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว แต่ผลกระทบที่หลายคนยังไม่ทันตั้งตัว คือการ “ลดโอกาส” ของคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นอาชีพ

    งานวิจัยจาก Stanford Digital Economy Lab วิเคราะห์ข้อมูลจาก ADP ซึ่งเป็นผู้ให้บริการระบบเงินเดือนรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ พบว่า ตั้งแต่ปลายปี 2022 ถึงกลางปี 2025 การจ้างงานของคนอายุ 22–25 ปีในสายงานที่ “เสี่ยงต่อการถูกแทนที่ด้วย AI” เช่น customer service, accounting และ software development ลดลงถึง 13% ขณะที่คนอายุ 35 ปีขึ้นไปในสายงานเดียวกันกลับมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น

    เหตุผลหลักคือ AI สามารถแทนที่ “ความรู้แบบท่องจำ” หรือ codified knowledge ที่คนรุ่นใหม่เพิ่งเรียนจบมาได้ง่าย แต่ยังไม่สามารถแทนที่ “ความรู้จากประสบการณ์” หรือ tacit knowledge ที่คนทำงานมานานสะสมไว้ได้

    นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบว่าในสายงานที่ AI “เสริม” การทำงาน เช่น การช่วยตรวจสอบโค้ดหรือจัดการข้อมูล การจ้างงานกลับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีทักษะผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและการตัดสินใจ

    ผลกระทบของ AI ต่อแรงงานอายุน้อย
    คนอายุ 22–25 ปีในสายงานที่เสี่ยงต่อการถูกแทนที่ด้วย AI มีการจ้างงานลดลง 13%
    สายงานที่ได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ customer service, accounting, software development
    ในขณะที่คนอายุ 35 ปีขึ้นไปในสายงานเดียวกันมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น

    ความแตกต่างระหว่าง codified กับ tacit knowledge
    AI สามารถแทนที่ความรู้แบบท่องจำจากการศึกษาได้ง่าย
    แต่ยังไม่สามารถแทนที่ความรู้จากประสบการณ์ที่ไม่ได้เขียนไว้ในตำรา

    สายงานที่ AI เสริมมากกว่าทดแทน
    ในงานที่ AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลหรือช่วยเขียนโค้ด
    การจ้างงานยังคงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีทักษะผสม

    ความพยายามควบคุมตัวแปรอื่น
    งานวิจัยพยายามตัดปัจจัยแทรก เช่น remote work, การจ้างงานภายนอก, หรือภาวะเศรษฐกิจ
    ผลลัพธ์ยังคงชี้ชัดว่า AI เป็นตัวแปรหลักที่ส่งผลต่อการจ้างงานของคนรุ่นใหม่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การใช้ AI ในองค์กรยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น หมายความว่าผลกระทบอาจเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต
    นักเศรษฐศาสตร์จาก Goldman Sachs ยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงเริ่มปรากฏในข้อมูลแรงงานแล้ว


    https://www.cnbc.com/2025/08/28/generative-ai-reshapes-us-job-market-stanford-study-shows-entry-level-young-workers.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากสแตนฟอร์ด: เมื่อ AI กลายเป็นตัวกรองคนเข้าสู่โลกการทำงาน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Generative AI อย่าง ChatGPT, Claude และเครื่องมืออัตโนมัติอื่น ๆ ได้เข้ามาเปลี่ยนวิธีทำงานในหลายอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว แต่ผลกระทบที่หลายคนยังไม่ทันตั้งตัว คือการ “ลดโอกาส” ของคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นอาชีพ งานวิจัยจาก Stanford Digital Economy Lab วิเคราะห์ข้อมูลจาก ADP ซึ่งเป็นผู้ให้บริการระบบเงินเดือนรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ พบว่า ตั้งแต่ปลายปี 2022 ถึงกลางปี 2025 การจ้างงานของคนอายุ 22–25 ปีในสายงานที่ “เสี่ยงต่อการถูกแทนที่ด้วย AI” เช่น customer service, accounting และ software development ลดลงถึง 13% ขณะที่คนอายุ 35 ปีขึ้นไปในสายงานเดียวกันกลับมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น เหตุผลหลักคือ AI สามารถแทนที่ “ความรู้แบบท่องจำ” หรือ codified knowledge ที่คนรุ่นใหม่เพิ่งเรียนจบมาได้ง่าย แต่ยังไม่สามารถแทนที่ “ความรู้จากประสบการณ์” หรือ tacit knowledge ที่คนทำงานมานานสะสมไว้ได้ นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบว่าในสายงานที่ AI “เสริม” การทำงาน เช่น การช่วยตรวจสอบโค้ดหรือจัดการข้อมูล การจ้างงานกลับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีทักษะผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและการตัดสินใจ ✅ ผลกระทบของ AI ต่อแรงงานอายุน้อย ➡️ คนอายุ 22–25 ปีในสายงานที่เสี่ยงต่อการถูกแทนที่ด้วย AI มีการจ้างงานลดลง 13% ➡️ สายงานที่ได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ customer service, accounting, software development ➡️ ในขณะที่คนอายุ 35 ปีขึ้นไปในสายงานเดียวกันมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ✅ ความแตกต่างระหว่าง codified กับ tacit knowledge ➡️ AI สามารถแทนที่ความรู้แบบท่องจำจากการศึกษาได้ง่าย ➡️ แต่ยังไม่สามารถแทนที่ความรู้จากประสบการณ์ที่ไม่ได้เขียนไว้ในตำรา ✅ สายงานที่ AI เสริมมากกว่าทดแทน ➡️ ในงานที่ AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลหรือช่วยเขียนโค้ด ➡️ การจ้างงานยังคงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีทักษะผสม ✅ ความพยายามควบคุมตัวแปรอื่น ➡️ งานวิจัยพยายามตัดปัจจัยแทรก เช่น remote work, การจ้างงานภายนอก, หรือภาวะเศรษฐกิจ ➡️ ผลลัพธ์ยังคงชี้ชัดว่า AI เป็นตัวแปรหลักที่ส่งผลต่อการจ้างงานของคนรุ่นใหม่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การใช้ AI ในองค์กรยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น หมายความว่าผลกระทบอาจเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ➡️ นักเศรษฐศาสตร์จาก Goldman Sachs ยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงเริ่มปรากฏในข้อมูลแรงงานแล้ว https://www.cnbc.com/2025/08/28/generative-ai-reshapes-us-job-market-stanford-study-shows-entry-level-young-workers.html
    WWW.CNBC.COM
    AI adoption linked to 13% decline in jobs for young U.S. workers, Stanford study reveals
    A Standford study has found evidence that the widespread adoption of generative AI is impacting the job prospects of early career workers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก NSHipster: เมื่อความไม่แน่นอนกลายเป็นชนิดข้อมูล

    ในโลกของการเขียนโปรแกรม เรามักชินกับการตัดสินใจแบบ “จริงหรือเท็จ” ผ่าน Boolean แต่ในชีวิตจริง เช่น GPS หรือเซนเซอร์ต่าง ๆ ข้อมูลที่เราได้มักจะมี “ความไม่แน่นอน” ปะปนอยู่เสมอ แล้วทำไมโค้ดเราถึงไม่สะท้อนสิ่งนั้น?

    บทความจาก NSHipster ได้หยิบแนวคิดจากงานวิจัยของ Microsoft Research และ University of Washington ที่เสนอชนิดข้อมูลใหม่ชื่อว่า Uncertain<T> ซึ่งเป็นการนำความน่าจะเป็นมาใส่ใน type system โดยตรง เช่น แทนที่จะบอกว่า “คุณถึงที่หมายแล้ว” ด้วย if statement ธรรมดา เราอาจพูดว่า “คุณถึงที่หมายแล้ว ด้วยความมั่นใจ 95%” ซึ่งสะท้อนความจริงได้มากกว่า

    แนวคิดนี้ถูกนำมาเขียนใหม่ใน Swift โดยใช้ distribution ต่าง ๆ เช่น Rayleigh, Normal, Bernoulli, Exponential และ Mixture เพื่อจำลองความไม่แน่นอนในข้อมูลจริง ตั้งแต่ GPS, ความเร็ว, ความหนาแน่นของอากาศ ไปจนถึงพฤติกรรมผู้ใช้และ latency ของ API

    นอกจากนี้ยังมีการใช้ Monte Carlo sampling เพื่อประเมินผลลัพธ์จากการสุ่มหลายพันครั้ง และใช้ Sequential Probability Ratio Testing (SPRT) เพื่อปรับจำนวน sample อัตโนมัติตามความซับซ้อนของเงื่อนไข

    แนวคิดของ Uncertain<T>
    เป็นชนิดข้อมูลที่รวมความน่าจะเป็นเข้าไปใน type system
    ใช้แทนค่าที่มีความไม่แน่นอน เช่น GPS, sensor, user behavior
    เปลี่ยนจาก true/false เป็น Uncertain<Bool> ที่มีค่า probability

    การใช้งานใน Swift
    มีการ port จาก C# มาเป็น Swift library พร้อมตัวอย่างการใช้งาน
    รองรับ distribution หลายแบบ เช่น normal, exponential, kumaraswamy
    ใช้ SPRT เพื่อปรับจำนวน sample ตามความซับซ้อนของเงื่อนไข

    ตัวอย่างการใช้งานจริง
    GPS ที่มี horizontal accuracy ถูกแปลงเป็น Uncertain<CLLocation>
    การคำนวณความเร็ว, ความต้านทานอากาศ, หรือ comfort index ใช้ค่าที่มี standard deviation
    การประเมินว่า “สามารถวิ่ง 5K ได้” ถูกคำนวณจากหลายเงื่อนไขรวมกัน

    การใช้ Monte Carlo sampling
    ใช้สุ่มหลายพันครั้งเพื่อประเมิน expected value หรือ confidence
    ตัวอย่างเช่น slot machine ที่คำนวณ expected payout จากการ spin 10,000 ครั้ง

    การวิเคราะห์สถิติ
    รองรับการคำนวณ mean, standard deviation, confidence interval
    วิเคราะห์ shape ของ distribution เช่น skewness และ kurtosis
    รองรับ entropy และ mode สำหรับข้อมูลแบบ discrete

    https://nshipster.com/uncertainty/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก NSHipster: เมื่อความไม่แน่นอนกลายเป็นชนิดข้อมูล ในโลกของการเขียนโปรแกรม เรามักชินกับการตัดสินใจแบบ “จริงหรือเท็จ” ผ่าน Boolean แต่ในชีวิตจริง เช่น GPS หรือเซนเซอร์ต่าง ๆ ข้อมูลที่เราได้มักจะมี “ความไม่แน่นอน” ปะปนอยู่เสมอ แล้วทำไมโค้ดเราถึงไม่สะท้อนสิ่งนั้น? บทความจาก NSHipster ได้หยิบแนวคิดจากงานวิจัยของ Microsoft Research และ University of Washington ที่เสนอชนิดข้อมูลใหม่ชื่อว่า Uncertain<T> ซึ่งเป็นการนำความน่าจะเป็นมาใส่ใน type system โดยตรง เช่น แทนที่จะบอกว่า “คุณถึงที่หมายแล้ว” ด้วย if statement ธรรมดา เราอาจพูดว่า “คุณถึงที่หมายแล้ว ด้วยความมั่นใจ 95%” ซึ่งสะท้อนความจริงได้มากกว่า แนวคิดนี้ถูกนำมาเขียนใหม่ใน Swift โดยใช้ distribution ต่าง ๆ เช่น Rayleigh, Normal, Bernoulli, Exponential และ Mixture เพื่อจำลองความไม่แน่นอนในข้อมูลจริง ตั้งแต่ GPS, ความเร็ว, ความหนาแน่นของอากาศ ไปจนถึงพฤติกรรมผู้ใช้และ latency ของ API นอกจากนี้ยังมีการใช้ Monte Carlo sampling เพื่อประเมินผลลัพธ์จากการสุ่มหลายพันครั้ง และใช้ Sequential Probability Ratio Testing (SPRT) เพื่อปรับจำนวน sample อัตโนมัติตามความซับซ้อนของเงื่อนไข ✅ แนวคิดของ Uncertain<T> ➡️ เป็นชนิดข้อมูลที่รวมความน่าจะเป็นเข้าไปใน type system ➡️ ใช้แทนค่าที่มีความไม่แน่นอน เช่น GPS, sensor, user behavior ➡️ เปลี่ยนจาก true/false เป็น Uncertain<Bool> ที่มีค่า probability ✅ การใช้งานใน Swift ➡️ มีการ port จาก C# มาเป็น Swift library พร้อมตัวอย่างการใช้งาน ➡️ รองรับ distribution หลายแบบ เช่น normal, exponential, kumaraswamy ➡️ ใช้ SPRT เพื่อปรับจำนวน sample ตามความซับซ้อนของเงื่อนไข ✅ ตัวอย่างการใช้งานจริง ➡️ GPS ที่มี horizontal accuracy ถูกแปลงเป็น Uncertain<CLLocation> ➡️ การคำนวณความเร็ว, ความต้านทานอากาศ, หรือ comfort index ใช้ค่าที่มี standard deviation ➡️ การประเมินว่า “สามารถวิ่ง 5K ได้” ถูกคำนวณจากหลายเงื่อนไขรวมกัน ✅ การใช้ Monte Carlo sampling ➡️ ใช้สุ่มหลายพันครั้งเพื่อประเมิน expected value หรือ confidence ➡️ ตัวอย่างเช่น slot machine ที่คำนวณ expected payout จากการ spin 10,000 ครั้ง ✅ การวิเคราะห์สถิติ ➡️ รองรับการคำนวณ mean, standard deviation, confidence interval ➡️ วิเคราะห์ shape ของ distribution เช่น skewness และ kurtosis ➡️ รองรับ entropy และ mode สำหรับข้อมูลแบบ discrete https://nshipster.com/uncertainty/
    NSHIPSTER.COM
    Uncertain⟨T⟩
    GPS coordinates aren’t exact. Sensor readings have noise. User behavior is probabilistic. Yet we write code that pretends uncertainty doesn’t exist, forcing messy real-world data through clean Boolean logic.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลุงเองก็ไม่เข้าใจว่าเขาคิดอะไรกันอยู่ !!

    เรื่องเล่าจาก Synology: จาก NAS ที่เคยรัก สู่ระบบที่บังคับให้รักแบบมีเงื่อนไข

    ผู้ใช้ Synology หลายคน รวมถึงนักเขียนจาก LowEndBox ที่เคยหลงรักความเงียบ ประหยัดพลังงาน และความเสถียรของ NAS รุ่น DS920, DS418 และ DS1522 กำลังรู้สึกผิดหวังอย่างหนัก เพราะ Synology ได้เปลี่ยนนโยบายหลายอย่างที่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่า “ถูกบังคับ” มากกว่าการได้รับอิสระ

    เริ่มจากข้อจำกัดด้าน Samba ที่หลายคนคิดว่าเป็นแค่การตั้งค่าใน smb.conf แต่จริง ๆ แล้ว Synology ใช้ wrapper พิเศษที่จำกัดจำนวนการเชื่อมต่อแบบ concurrent โดยไม่เปิดให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้เอง

    ที่หนักกว่านั้นคือการเปลี่ยนนโยบายด้านฮาร์ดดิสก์: Synology ประกาศว่า NAS รุ่นใหม่ในปี 2025 จะ “ไม่ยอมรับ” ฮาร์ดดิสก์ที่ไม่ใช่ของ Synology หรือไม่ได้รับการรับรอง แม้จะเป็น WD Black ที่มีคุณภาพสูงและรับประกัน 5 ปี ก็อาจถูกปฏิเสธไม่ให้ใช้งานเลย

    นโยบายนี้เริ่มจากรุ่น enterprise และ rack-mounted แต่ตอนนี้ขยายมาถึงรุ่น Plus ที่เป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปและธุรกิจขนาดเล็ก ทำให้หลายคนเริ่มหันไปมองทางเลือกอื่น เช่น TrueNAS, Unraid, Buffalo หรือแม้แต่ Raspberry Pi ที่ให้ความยืดหยุ่นมากกว่า

    การจำกัดการเชื่อมต่อ Samba
    Synology ใช้ wrapper พิเศษรอบ daemon เพื่อจำกัด concurrent connections
    ไม่สามารถปรับแต่งจำนวน connection ได้จาก smb.conf โดยตรง

    นโยบายฮาร์ดดิสก์แบบผูกขาด
    NAS รุ่นใหม่ในปี 2025 จะรองรับเฉพาะฮาร์ดดิสก์ของ Synology หรือที่ได้รับการรับรอง
    ฮาร์ดดิสก์ที่ไม่ผ่านการรับรองจะไม่สามารถสร้าง storage pool ได้
    ฟีเจอร์บางอย่างจะถูกปิด เช่น deduplication, lifespan analysis, และ firmware update อัตโนมัติ
    รุ่น Plus ที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ DS925+, DS1825+ และรุ่นใหม่อื่น ๆ
    รุ่นก่อนปี 2025 เช่น DS1522+ ยังไม่ถูกบังคับใช้

    เหตุผลที่ Synology ให้ไว้
    เพื่อความเสถียรและประสิทธิภาพในการใช้งานระยะยาว
    ลดปัญหาการสนับสนุนจากการใช้ฮาร์ดดิสก์ที่ไม่เข้ากัน
    เพิ่มความปลอดภัยและลดต้นทุนการดูแลระบบ

    ทางเลือกอื่นที่ผู้ใช้กำลังพิจารณา
    TrueNAS และ Unraid ที่ให้ความยืดหยุ่นในการเลือกฮาร์ดแวร์
    UGREEN DXP 6800 Pro ที่รองรับ Unraid/Proxmox และมีสเปกแรงในราคาคุ้มค่า
    Raspberry Pi + USB HDD สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการระบบเล็ก ประหยัดพลังงาน

    https://lowendbox.com/blog/they-used-to-be-good-but-now-theyve-turned-to-evil-the-synology-end-game/
    ลุงเองก็ไม่เข้าใจว่าเขาคิดอะไรกันอยู่ !! 🎙️ เรื่องเล่าจาก Synology: จาก NAS ที่เคยรัก สู่ระบบที่บังคับให้รักแบบมีเงื่อนไข ผู้ใช้ Synology หลายคน รวมถึงนักเขียนจาก LowEndBox ที่เคยหลงรักความเงียบ ประหยัดพลังงาน และความเสถียรของ NAS รุ่น DS920, DS418 และ DS1522 กำลังรู้สึกผิดหวังอย่างหนัก เพราะ Synology ได้เปลี่ยนนโยบายหลายอย่างที่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่า “ถูกบังคับ” มากกว่าการได้รับอิสระ เริ่มจากข้อจำกัดด้าน Samba ที่หลายคนคิดว่าเป็นแค่การตั้งค่าใน smb.conf แต่จริง ๆ แล้ว Synology ใช้ wrapper พิเศษที่จำกัดจำนวนการเชื่อมต่อแบบ concurrent โดยไม่เปิดให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้เอง ที่หนักกว่านั้นคือการเปลี่ยนนโยบายด้านฮาร์ดดิสก์: Synology ประกาศว่า NAS รุ่นใหม่ในปี 2025 จะ “ไม่ยอมรับ” ฮาร์ดดิสก์ที่ไม่ใช่ของ Synology หรือไม่ได้รับการรับรอง แม้จะเป็น WD Black ที่มีคุณภาพสูงและรับประกัน 5 ปี ก็อาจถูกปฏิเสธไม่ให้ใช้งานเลย นโยบายนี้เริ่มจากรุ่น enterprise และ rack-mounted แต่ตอนนี้ขยายมาถึงรุ่น Plus ที่เป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปและธุรกิจขนาดเล็ก ทำให้หลายคนเริ่มหันไปมองทางเลือกอื่น เช่น TrueNAS, Unraid, Buffalo หรือแม้แต่ Raspberry Pi ที่ให้ความยืดหยุ่นมากกว่า ✅ การจำกัดการเชื่อมต่อ Samba ➡️ Synology ใช้ wrapper พิเศษรอบ daemon เพื่อจำกัด concurrent connections ➡️ ไม่สามารถปรับแต่งจำนวน connection ได้จาก smb.conf โดยตรง ✅ นโยบายฮาร์ดดิสก์แบบผูกขาด ➡️ NAS รุ่นใหม่ในปี 2025 จะรองรับเฉพาะฮาร์ดดิสก์ของ Synology หรือที่ได้รับการรับรอง ➡️ ฮาร์ดดิสก์ที่ไม่ผ่านการรับรองจะไม่สามารถสร้าง storage pool ได้ ➡️ ฟีเจอร์บางอย่างจะถูกปิด เช่น deduplication, lifespan analysis, และ firmware update อัตโนมัติ ➡️ รุ่น Plus ที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ DS925+, DS1825+ และรุ่นใหม่อื่น ๆ ➡️ รุ่นก่อนปี 2025 เช่น DS1522+ ยังไม่ถูกบังคับใช้ ✅ เหตุผลที่ Synology ให้ไว้ ➡️ เพื่อความเสถียรและประสิทธิภาพในการใช้งานระยะยาว ➡️ ลดปัญหาการสนับสนุนจากการใช้ฮาร์ดดิสก์ที่ไม่เข้ากัน ➡️ เพิ่มความปลอดภัยและลดต้นทุนการดูแลระบบ ✅ ทางเลือกอื่นที่ผู้ใช้กำลังพิจารณา ➡️ TrueNAS และ Unraid ที่ให้ความยืดหยุ่นในการเลือกฮาร์ดแวร์ ➡️ UGREEN DXP 6800 Pro ที่รองรับ Unraid/Proxmox และมีสเปกแรงในราคาคุ้มค่า ➡️ Raspberry Pi + USB HDD สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการระบบเล็ก ประหยัดพลังงาน https://lowendbox.com/blog/they-used-to-be-good-but-now-theyve-turned-to-evil-the-synology-end-game/
    LOWENDBOX.COM
    They Used to Be Good, But Now They've Turned to Evil: The Synology End Game
    Find the best cheap server hosting and the best cheap vps hosting, where you only pay a few dollars a month, exclusively on LowEndBox
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 4 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากสนามโค้ด: Rust กับพลังที่ซ่อนอยู่ของความมั่นใจ

    Bernard Kolobara ผู้พัฒนาเบื้องหลัง Lubeno ได้แชร์ประสบการณ์ตรงว่า Rust ไม่ได้แค่ปลอดภัย แต่ยังช่วยให้เขาทำงานได้เร็วขึ้นในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อโค้ดเบสเติบโตจนไม่สามารถจำทุกส่วนได้หมด การ refactor โค้ดในภาษาทั่วไปมักทำให้เกิดความลังเล แต่ Rust กลับให้ความมั่นใจว่า “ถ้ามันคอมไพล์ผ่าน ก็ปลอดภัยแล้ว”

    เขาเล่าถึงเหตุการณ์ที่เจอ bug จากการใช้ mutex ร่วมกับ async await ซึ่งดูเหมือนจะไม่เกี่ยวกันเลย แต่ Rust กลับตรวจจับได้ว่า mutex guard ถูกถือข้าม await point ซึ่งอาจทำให้เกิด undefined behavior เพราะ scheduler อาจย้าย thread ไปปลดล็อก mutex บน thread ที่ไม่ใช่ตัวเดิม ซึ่ง Rust ไม่ยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด

    ในขณะที่ TypeScript กลับปล่อยให้ bug แบบ race condition หลุดไปถึง production โดยไม่เตือนอะไรเลย เช่น การ redirect ด้วย window.location.href ที่ไม่ได้หยุดการทำงานทันที ทำให้คำสั่ง redirect ถัดไปเขียนทับคำสั่งแรกโดยไม่รู้ตัว

    Rust เพิ่ม productivity ผ่านความมั่นใจ
    เมื่อโค้ดเบสใหญ่ขึ้น Rust ช่วยให้กล้า refactor โดยไม่กลัวผลกระทบ
    ความปลอดภัยของ type system และ borrow checker ทำให้มั่นใจว่าโค้ดไม่พัง
    Productivity เพิ่มขึ้นแม้โค้ดจะซับซ้อนขึ้น

    ปัญหา mutex guard กับ async await
    Rust ไม่อนุญาตให้ถือ mutex guard ข้าม await point
    Scheduler อาจย้าย thread ทำให้ unlock เกิดบน thread ที่ไม่ใช่ตัวเดิม
    การแก้ไขคือปลดล็อกก่อน await เพื่อหลีกเลี่ยง undefined behavior

    ความสามารถของ Rust compiler
    ตรวจจับ bug ที่เกิดจากการจัดการ thread และ lifetime ได้แม่นยำ
    บังคับให้เขียนโค้ดที่ปลอดภัยแม้ในสถานการณ์ที่ซับซ้อน
    ระบบ type และ lifetime ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ

    ตัวอย่าง bug ใน TypeScript
    การใช้ window.location.href ไม่หยุดการทำงานทันที
    เกิด race condition ที่ redirect ถูกเขียนทับ
    การแก้ไขคือใช้ return เพื่อหยุดการทำงานหลัง redirect

    มุมมองเรื่องการทดสอบ
    Rust ลดความจำเป็นในการเขียน test เพื่อป้องกัน regression
    Compiler ทำหน้าที่เป็น safety net ที่แข็งแกร่ง
    แต่ในบางกรณีที่ type system ไม่ครอบคลุม การเขียน test ก็ยังจำเป็น

    https://lubeno.dev/blog/rusts-productivity-curve
    🎙️ เรื่องเล่าจากสนามโค้ด: Rust กับพลังที่ซ่อนอยู่ของความมั่นใจ Bernard Kolobara ผู้พัฒนาเบื้องหลัง Lubeno ได้แชร์ประสบการณ์ตรงว่า Rust ไม่ได้แค่ปลอดภัย แต่ยังช่วยให้เขาทำงานได้เร็วขึ้นในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อโค้ดเบสเติบโตจนไม่สามารถจำทุกส่วนได้หมด การ refactor โค้ดในภาษาทั่วไปมักทำให้เกิดความลังเล แต่ Rust กลับให้ความมั่นใจว่า “ถ้ามันคอมไพล์ผ่าน ก็ปลอดภัยแล้ว” เขาเล่าถึงเหตุการณ์ที่เจอ bug จากการใช้ mutex ร่วมกับ async await ซึ่งดูเหมือนจะไม่เกี่ยวกันเลย แต่ Rust กลับตรวจจับได้ว่า mutex guard ถูกถือข้าม await point ซึ่งอาจทำให้เกิด undefined behavior เพราะ scheduler อาจย้าย thread ไปปลดล็อก mutex บน thread ที่ไม่ใช่ตัวเดิม ซึ่ง Rust ไม่ยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด ในขณะที่ TypeScript กลับปล่อยให้ bug แบบ race condition หลุดไปถึง production โดยไม่เตือนอะไรเลย เช่น การ redirect ด้วย window.location.href ที่ไม่ได้หยุดการทำงานทันที ทำให้คำสั่ง redirect ถัดไปเขียนทับคำสั่งแรกโดยไม่รู้ตัว ✅ Rust เพิ่ม productivity ผ่านความมั่นใจ ➡️ เมื่อโค้ดเบสใหญ่ขึ้น Rust ช่วยให้กล้า refactor โดยไม่กลัวผลกระทบ ➡️ ความปลอดภัยของ type system และ borrow checker ทำให้มั่นใจว่าโค้ดไม่พัง ➡️ Productivity เพิ่มขึ้นแม้โค้ดจะซับซ้อนขึ้น ✅ ปัญหา mutex guard กับ async await ➡️ Rust ไม่อนุญาตให้ถือ mutex guard ข้าม await point ➡️ Scheduler อาจย้าย thread ทำให้ unlock เกิดบน thread ที่ไม่ใช่ตัวเดิม ➡️ การแก้ไขคือปลดล็อกก่อน await เพื่อหลีกเลี่ยง undefined behavior ✅ ความสามารถของ Rust compiler ➡️ ตรวจจับ bug ที่เกิดจากการจัดการ thread และ lifetime ได้แม่นยำ ➡️ บังคับให้เขียนโค้ดที่ปลอดภัยแม้ในสถานการณ์ที่ซับซ้อน ➡️ ระบบ type และ lifetime ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ ✅ ตัวอย่าง bug ใน TypeScript ➡️ การใช้ window.location.href ไม่หยุดการทำงานทันที ➡️ เกิด race condition ที่ redirect ถูกเขียนทับ ➡️ การแก้ไขคือใช้ return เพื่อหยุดการทำงานหลัง redirect ✅ มุมมองเรื่องการทดสอบ ➡️ Rust ลดความจำเป็นในการเขียน test เพื่อป้องกัน regression ➡️ Compiler ทำหน้าที่เป็น safety net ที่แข็งแกร่ง ➡️ แต่ในบางกรณีที่ type system ไม่ครอบคลุม การเขียน test ก็ยังจำเป็น https://lubeno.dev/blog/rusts-productivity-curve
    LUBENO.DEV
    The unexpected productivity boost of Rust
    Rust is known for having a steep learning curve, but in this post we will be looking at another curve, the one showing developer productivity in relation to the project size.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากลมหายใจ: เมื่อการหายใจลึกกลายเป็นประตูสู่จิตวิญญาณ

    ในยุคที่ผู้คนแสวงหาวิธีเยียวยาจิตใจโดยไม่พึ่งยา งานวิจัยล่าสุดจาก Brighton and Sussex Medical School ได้เปิดเผยว่า “การหายใจแบบแรงและเร็ว” หรือ High Ventilation Breathwork (HVB) เมื่อทำร่วมกับดนตรี สามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะเปลี่ยนแปลงของจิตสำนึก (Altered States of Consciousness – ASC) ที่คล้ายกับผลของสารไซคีเดลิก เช่น psilocybin หรือ LSD

    ผู้เข้าร่วมทดลองหายใจแบบ HVB เป็นเวลา 20–30 นาที พร้อมฟังดนตรีที่เร้าอารมณ์ แล้วตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับความรู้สึกภายใน 30 นาทีหลังจบกิจกรรม ผลลัพธ์น่าทึ่ง: ผู้เข้าร่วมรายงานว่ารู้สึกถึง “Oceanic Boundlessness” หรือความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล ความสุขล้น และการปลดปล่อยทางอารมณ์

    สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ HVB จะลดการไหลเวียนเลือดทั่วสมอง แต่กลับเพิ่มการไหลเวียนในบริเวณที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และความทรงจำ เช่น amygdala และ hippocampus ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญของผลการบำบัด

    ผลกระทบทางสมองจาก HVB
    ลดการไหลเวียนเลือดทั่วสมองโดยเฉลี่ย 30–40%
    เพิ่มการไหลเวียนเลือดเฉพาะจุดใน amygdala และ anterior hippocampus
    ลดการไหลเวียนใน posterior insula และ parietal operculum ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรับรู้ภายในร่างกาย

    ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจาก HVB
    ผู้เข้าร่วมรายงานความรู้สึก “Oceanic Boundlessness” (OBN) ซึ่งรวมถึงความสุข ความเป็นหนึ่งเดียว และการปลดปล่อย
    คะแนน OBN สูงสุดเกิดในห้องทดลอง (LAB) รองลงมาคือ MRI และต่ำสุดในแบบออนไลน์
    HVB ลดความรู้สึกด้านลบ เช่น ความกลัวและอารมณ์ลบ โดยไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง

    กลไกทางชีวภาพที่เกี่ยวข้อง
    HVB ทำให้เกิด respiratory alkalosis จากการลด CO₂ ในเลือด
    ส่งผลให้เกิด vasoconstriction และเปลี่ยนแปลงการไหลเวียนเลือดในสมอง
    ลด HRV (Heart Rate Variability) ซึ่งสะท้อนถึงการกระตุ้นระบบประสาท sympathetic

    ความเชื่อมโยงกับการบำบัดแบบไซคีเดลิก
    ประสบการณ์ OBN มีความคล้ายคลึงกับผลของ psilocybin และ LSD
    การเปลี่ยนแปลงใน insula และ amygdala คล้ายกับผลของยาไซคีเดลิกในการบำบัดภาวะซึมเศร้า
    HVB อาจช่วยให้ผู้เข้าร่วมเผชิญและประมวลผลความทรงจำทางอารมณ์ได้ดีขึ้น

    ความเสี่ยงจากการลด CO₂ มากเกินไป
    อาจทำให้เกิดอาการเวียนหัวหรือหมดสติในผู้ที่ไม่เคยฝึกมาก่อน
    การลด CO₂ มากเกินไปอาจกระทบสมดุลกรด-ด่างในเลือด

    ข้อจำกัดของงานวิจัย
    ขนาดกลุ่มตัวอย่างยังเล็ก และไม่มีกลุ่มควบคุมที่ฟังเพลงอย่างเดียว
    ผลลัพธ์อาจไม่สามารถสรุปกับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ HVB มาก่อน

    ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ HRV
    แม้ HRV ลดลงจะสะท้อนถึงความเครียด แต่ในบริบท HVB อาจหมายถึงการเปิดรับประสบการณ์เชิงบวก
    ต้องระวังไม่ตีความ HRV ต่ำว่าเป็นผลเสียเสมอไป

    https://journals.plos.org/plosone/article?id=10.1371/journal.pone.0329411
    🎙️ เรื่องเล่าจากลมหายใจ: เมื่อการหายใจลึกกลายเป็นประตูสู่จิตวิญญาณ ในยุคที่ผู้คนแสวงหาวิธีเยียวยาจิตใจโดยไม่พึ่งยา งานวิจัยล่าสุดจาก Brighton and Sussex Medical School ได้เปิดเผยว่า “การหายใจแบบแรงและเร็ว” หรือ High Ventilation Breathwork (HVB) เมื่อทำร่วมกับดนตรี สามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะเปลี่ยนแปลงของจิตสำนึก (Altered States of Consciousness – ASC) ที่คล้ายกับผลของสารไซคีเดลิก เช่น psilocybin หรือ LSD ผู้เข้าร่วมทดลองหายใจแบบ HVB เป็นเวลา 20–30 นาที พร้อมฟังดนตรีที่เร้าอารมณ์ แล้วตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับความรู้สึกภายใน 30 นาทีหลังจบกิจกรรม ผลลัพธ์น่าทึ่ง: ผู้เข้าร่วมรายงานว่ารู้สึกถึง “Oceanic Boundlessness” หรือความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล ความสุขล้น และการปลดปล่อยทางอารมณ์ สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ HVB จะลดการไหลเวียนเลือดทั่วสมอง แต่กลับเพิ่มการไหลเวียนในบริเวณที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และความทรงจำ เช่น amygdala และ hippocampus ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญของผลการบำบัด ✅ ผลกระทบทางสมองจาก HVB ➡️ ลดการไหลเวียนเลือดทั่วสมองโดยเฉลี่ย 30–40% ➡️ เพิ่มการไหลเวียนเลือดเฉพาะจุดใน amygdala และ anterior hippocampus ➡️ ลดการไหลเวียนใน posterior insula และ parietal operculum ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรับรู้ภายในร่างกาย ✅ ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจาก HVB ➡️ ผู้เข้าร่วมรายงานความรู้สึก “Oceanic Boundlessness” (OBN) ซึ่งรวมถึงความสุข ความเป็นหนึ่งเดียว และการปลดปล่อย ➡️ คะแนน OBN สูงสุดเกิดในห้องทดลอง (LAB) รองลงมาคือ MRI และต่ำสุดในแบบออนไลน์ ➡️ HVB ลดความรู้สึกด้านลบ เช่น ความกลัวและอารมณ์ลบ โดยไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง ✅ กลไกทางชีวภาพที่เกี่ยวข้อง ➡️ HVB ทำให้เกิด respiratory alkalosis จากการลด CO₂ ในเลือด ➡️ ส่งผลให้เกิด vasoconstriction และเปลี่ยนแปลงการไหลเวียนเลือดในสมอง ➡️ ลด HRV (Heart Rate Variability) ซึ่งสะท้อนถึงการกระตุ้นระบบประสาท sympathetic ✅ ความเชื่อมโยงกับการบำบัดแบบไซคีเดลิก ➡️ ประสบการณ์ OBN มีความคล้ายคลึงกับผลของ psilocybin และ LSD ➡️ การเปลี่ยนแปลงใน insula และ amygdala คล้ายกับผลของยาไซคีเดลิกในการบำบัดภาวะซึมเศร้า ➡️ HVB อาจช่วยให้ผู้เข้าร่วมเผชิญและประมวลผลความทรงจำทางอารมณ์ได้ดีขึ้น ‼️ ความเสี่ยงจากการลด CO₂ มากเกินไป ⛔ อาจทำให้เกิดอาการเวียนหัวหรือหมดสติในผู้ที่ไม่เคยฝึกมาก่อน ⛔ การลด CO₂ มากเกินไปอาจกระทบสมดุลกรด-ด่างในเลือด ‼️ ข้อจำกัดของงานวิจัย ⛔ ขนาดกลุ่มตัวอย่างยังเล็ก และไม่มีกลุ่มควบคุมที่ฟังเพลงอย่างเดียว ⛔ ผลลัพธ์อาจไม่สามารถสรุปกับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ HVB มาก่อน ‼️ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ HRV ⛔ แม้ HRV ลดลงจะสะท้อนถึงความเครียด แต่ในบริบท HVB อาจหมายถึงการเปิดรับประสบการณ์เชิงบวก ⛔ ต้องระวังไม่ตีความ HRV ต่ำว่าเป็นผลเสียเสมอไป https://journals.plos.org/plosone/article?id=10.1371/journal.pone.0329411
    JOURNALS.PLOS.ORG
    Neurobiological substrates of altered states of consciousness induced by high ventilation breathwork accompanied by music
    The popularity of breathwork as a therapeutic tool for psychological distress is rapidly expanding. Breathwork practices that increase ventilatory rate or depth, facilitated by music, can evoke subjective experiential states analogous to altered states of consciousness (ASCs) evoked by psychedelic substances. These states include components such as euphoria, bliss, and perceptual differences. However, the neurobiological mechanisms underlying the profound subjective effects of high ventilation breathwork (HVB) remain largely unknown and unexplored. In this study, we investigated the neurobiological substrates of ASCs induced by HVB in experienced practitioners. We demonstrate that the intensity of ASCs evoked by HVB was proportional to cardiovascular sympathetic activation and to haemodynamic alterations in cerebral perfusion within clusters spanning the left operculum/posterior insula and right amygdala/anterior hippocampus; regions implicated in respiratory interoceptive representation and the processing of emotional memories, respectively. These observed regional cerebral effects may underlie pivotal mental experiences that mediate positive therapeutic outcomes of HVB.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเบื้องหลัง AI: ต้นทุนจริงของการรันโมเดลใหญ่

    ช่วงนี้มีเสียงลือกันหนาหูว่า AI โดยเฉพาะการ “รัน inference” คือเครื่องเผาเงินชั้นดี หลายคนเชื่อว่าบริษัทอย่าง OpenAI และ Anthropic กำลังขาดทุนยับเยินจากการให้บริการโมเดลขนาดใหญ่ แต่บทความนี้พาเราไปเจาะลึกแบบ “napkin math” หรือคำนวณคร่าว ๆ จากหลักการพื้นฐาน เพื่อหาคำตอบว่าเรื่องนี้จริงแค่ไหน

    ผู้เขียนใช้ DeepSeek R1 เป็นโมเดลตัวอย่าง ซึ่งมี 671 พารามิเตอร์ทั้งหมด แต่ใช้แค่ 37B ผ่านเทคนิค mixture of experts (MoE) ที่ช่วยลดต้นทุนได้มาก โดยใช้ GPU H100 จำนวน 72 ตัว คิดราคาที่ $2 ต่อชั่วโมงต่อ GPU ซึ่งสูงกว่าราคาจริงในตลาดเสียอีก

    สิ่งที่น่าสนใจคือ “ต้นทุนของ input tokens” กับ “output tokens” ต่างกันมหาศาล! การประมวลผล input tokens สามารถทำได้แบบขนานและเร็วมาก ในขณะที่การสร้าง output tokens ต้องทำแบบลำดับทีละตัว ทำให้ต้นทุนสูงกว่าเป็นพันเท่า

    ยิ่งไปกว่านั้น การใช้งานจริงของผู้ใช้ เช่น นักพัฒนา หรือ power users กลับอยู่ในรูปแบบที่ใช้ input เยอะมาก แต่ output น้อย เช่น การส่งโค้ดทั้งไฟล์เพื่อให้ AI วิเคราะห์ แล้วให้มันตอบกลับแค่ไม่กี่บรรทัด ซึ่งเป็นรูปแบบที่ “คุ้มค่ามาก” สำหรับผู้ให้บริการ

    ต้นทุนการรัน inference ของโมเดล AI
    ใช้ GPU H100 จำนวน 72 ตัว คิดต้นทุน $144/ชั่วโมง
    input tokens ประมวลผลได้เร็วมากถึง ~46.8 พันล้าน tokens/ชั่วโมง
    output tokens สร้างได้เพียง ~46.7 ล้าน tokens/ชั่วโมง
    ต้นทุนต่อ input token อยู่ที่ ~$0.003 ต่อ 1 ล้าน tokens
    ต้นทุนต่อ output token สูงถึง ~$3 ต่อ 1 ล้าน tokens

    ความแตกต่างระหว่าง input และ output
    input สามารถประมวลผลแบบขนานได้
    output ต้องสร้างทีละ token ทำให้ช้ากว่าและแพงกว่า
    ความไม่สมมาตรนี้ทำให้บาง use case คุ้มค่ามาก เช่น coding assistant

    ตัวอย่างการใช้งานจริง
    ผู้ใช้ระดับนักพัฒนาใช้ input เยอะมาก เช่น โค้ดหลายไฟล์
    แต่ต้องการ output น้อย เช่น คำอธิบายหรือโค้ดสั้น ๆ
    ทำให้ต้นทุนจริงต่ำมากเมื่อเทียบกับราคาที่เรียกเก็บ

    โมเดลธุรกิจของ API
    ราคาขายต่อ 1 ล้าน tokens อยู่ที่ ~$3 สำหรับ output
    แต่ต้นทุนจริงอยู่ที่ ~$0.01 สำหรับ input และ ~$3 สำหรับ output
    ทำให้มี margin สูงถึง 80–95%

    ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับต้นทุน AI
    หลายคนเชื่อว่า inference ขาดทุนเสมอ ซึ่งไม่จริงในหลายกรณี
    การพูดถึงต้นทุนสูงอาจเป็นกลยุทธ์ของผู้เล่นรายใหญ่เพื่อกันคู่แข่ง

    ความเสี่ยงจาก context ยาว
    เมื่อ context ยาวเกิน 128k tokens จะเปลี่ยนจาก memory-bound เป็น compute-bound
    ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น 2–10 เท่า
    บางโมเดลจึงจำกัด context window เพื่อควบคุมต้นทุน

    การตั้งราคาที่ไม่สอดคล้องกับมูลค่าจริง
    การคิดราคาตาม input อาจทำให้ผู้ใช้ลดรายละเอียดใน prompt
    การคิดราคาตาม output อาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าไม่คุ้มถ้าได้คำตอบสั้น

    https://martinalderson.com/posts/are-openai-and-anthropic-really-losing-money-on-inference/
    🎙️ เรื่องเล่าจากเบื้องหลัง AI: ต้นทุนจริงของการรันโมเดลใหญ่ ช่วงนี้มีเสียงลือกันหนาหูว่า AI โดยเฉพาะการ “รัน inference” คือเครื่องเผาเงินชั้นดี หลายคนเชื่อว่าบริษัทอย่าง OpenAI และ Anthropic กำลังขาดทุนยับเยินจากการให้บริการโมเดลขนาดใหญ่ แต่บทความนี้พาเราไปเจาะลึกแบบ “napkin math” หรือคำนวณคร่าว ๆ จากหลักการพื้นฐาน เพื่อหาคำตอบว่าเรื่องนี้จริงแค่ไหน ผู้เขียนใช้ DeepSeek R1 เป็นโมเดลตัวอย่าง ซึ่งมี 671 พารามิเตอร์ทั้งหมด แต่ใช้แค่ 37B ผ่านเทคนิค mixture of experts (MoE) ที่ช่วยลดต้นทุนได้มาก โดยใช้ GPU H100 จำนวน 72 ตัว คิดราคาที่ $2 ต่อชั่วโมงต่อ GPU ซึ่งสูงกว่าราคาจริงในตลาดเสียอีก สิ่งที่น่าสนใจคือ “ต้นทุนของ input tokens” กับ “output tokens” ต่างกันมหาศาล! การประมวลผล input tokens สามารถทำได้แบบขนานและเร็วมาก ในขณะที่การสร้าง output tokens ต้องทำแบบลำดับทีละตัว ทำให้ต้นทุนสูงกว่าเป็นพันเท่า ยิ่งไปกว่านั้น การใช้งานจริงของผู้ใช้ เช่น นักพัฒนา หรือ power users กลับอยู่ในรูปแบบที่ใช้ input เยอะมาก แต่ output น้อย เช่น การส่งโค้ดทั้งไฟล์เพื่อให้ AI วิเคราะห์ แล้วให้มันตอบกลับแค่ไม่กี่บรรทัด ซึ่งเป็นรูปแบบที่ “คุ้มค่ามาก” สำหรับผู้ให้บริการ ✅ ต้นทุนการรัน inference ของโมเดล AI ➡️ ใช้ GPU H100 จำนวน 72 ตัว คิดต้นทุน $144/ชั่วโมง ➡️ input tokens ประมวลผลได้เร็วมากถึง ~46.8 พันล้าน tokens/ชั่วโมง ➡️ output tokens สร้างได้เพียง ~46.7 ล้าน tokens/ชั่วโมง ➡️ ต้นทุนต่อ input token อยู่ที่ ~$0.003 ต่อ 1 ล้าน tokens ➡️ ต้นทุนต่อ output token สูงถึง ~$3 ต่อ 1 ล้าน tokens ✅ ความแตกต่างระหว่าง input และ output ➡️ input สามารถประมวลผลแบบขนานได้ ➡️ output ต้องสร้างทีละ token ทำให้ช้ากว่าและแพงกว่า ➡️ ความไม่สมมาตรนี้ทำให้บาง use case คุ้มค่ามาก เช่น coding assistant ✅ ตัวอย่างการใช้งานจริง ➡️ ผู้ใช้ระดับนักพัฒนาใช้ input เยอะมาก เช่น โค้ดหลายไฟล์ ➡️ แต่ต้องการ output น้อย เช่น คำอธิบายหรือโค้ดสั้น ๆ ➡️ ทำให้ต้นทุนจริงต่ำมากเมื่อเทียบกับราคาที่เรียกเก็บ ✅ โมเดลธุรกิจของ API ➡️ ราคาขายต่อ 1 ล้าน tokens อยู่ที่ ~$3 สำหรับ output ➡️ แต่ต้นทุนจริงอยู่ที่ ~$0.01 สำหรับ input และ ~$3 สำหรับ output ➡️ ทำให้มี margin สูงถึง 80–95% ‼️ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับต้นทุน AI ⛔ หลายคนเชื่อว่า inference ขาดทุนเสมอ ซึ่งไม่จริงในหลายกรณี ⛔ การพูดถึงต้นทุนสูงอาจเป็นกลยุทธ์ของผู้เล่นรายใหญ่เพื่อกันคู่แข่ง ‼️ ความเสี่ยงจาก context ยาว ⛔ เมื่อ context ยาวเกิน 128k tokens จะเปลี่ยนจาก memory-bound เป็น compute-bound ⛔ ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น 2–10 เท่า ⛔ บางโมเดลจึงจำกัด context window เพื่อควบคุมต้นทุน ‼️ การตั้งราคาที่ไม่สอดคล้องกับมูลค่าจริง ⛔ การคิดราคาตาม input อาจทำให้ผู้ใช้ลดรายละเอียดใน prompt ⛔ การคิดราคาตาม output อาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าไม่คุ้มถ้าได้คำตอบสั้น https://martinalderson.com/posts/are-openai-and-anthropic-really-losing-money-on-inference/
    MARTINALDERSON.COM
    Are OpenAI and Anthropic Really Losing Money on Inference?
    Deconstructing the real costs of running AI inference at scale. My napkin math suggests the economics might be far more profitable than commonly claimed.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปธน.ทรัมป์ #สหรัฐฯ เรียกร้องให้บริษัทผู้ผลิตยา รวมถึง #Pfizer เปิดเผยข้อมูลยา #โควิด19 ฉบับสมบูรณ์ เพื่อพิสูจน์ว่า Operation Warp Speed ​​มีประสิทธิภาพจริงตามที่อ้างหรือไม่

    หมายเหตุ : Operation Warp Speed (OWS) เป็นโครงการของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่เริ่มในปี 2020 เพื่อเร่งพัฒนา ผลิต และแจกจ่ายวัคซีนป้องกันโควิด-19 รวมถึงยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานเอกชน โดยมีเป้าหมายหลักคือการทำให้มีวัคซีนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพพร้อมใช้ภายในเวลาอันสั้น

    รายละเอียดสำคัญของ Operation Warp Speed:
    1. เป้าหมาย:
    • พัฒนาวัคซีนโควิด-19 ให้ได้ภายในปี 2020-2021
    • ผลิตวัคซีนอย่างน้อย 300 ล้านโดสสำหรับประชากรสหรัฐ
    • กระจายวัคซีนและอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น เข็มฉีดยาและหน้ากากอนามัย อย่างรวดเร็ว

    2. การดำเนินงาน:
    • รัฐบาลให้เงินสนับสนุนหลายพันล้านดอลลาร์แก่บริษัทเภสัชกรรม เช่น Pfizer, Moderna, Johnson & Johnson และ AstraZeneca เพื่อเร่งการวิจัยและพัฒนาวัคซีน
    • ดำเนินการทดสอบทางคลินิกควบคู่ไปกับการผลิตวัคซีน (เพื่อประหยัดเวลา)
    • ประสานงานกับหน่วยงาน เช่น FDA และ CDC เพื่อให้การอนุมัติวัคซีนเป็นไปอย่างรวดเร็วแต่ยังคงปลอดภัย

    3. ผลลัพธ์:
    • วัคซีนจาก Pfizer-BioNTech และ Moderna ได้รับอนุญาตให้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน (Emergency Use Authorization) ในเดือนธันวาคม 2020
    • วัคซีนถูกแจกจ่ายอย่างกว้างขวางในสหรัฐตั้งแต่ต้นปี 2021
    • โครงการช่วยให้สหรัฐสามารถฉีดวัคซีนให้ประชากรได้เร็วกว่าที่คาดไว้

    4. ข้อวิจารณ์:
    • บางฝ่ายวิจารณ์ว่าการเร่งพัฒนาอาจกระทบต่อความโปร่งใสหรือความเชื่อมั่นในวัคซีน
    • การกระจายวัคซีนในช่วงแรกมีปัญหาด้านโลจิสติกส์และการเข้าถึงในบางพื้นที่

    Operation Warp Speed ถือเป็นตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการรับมือวิกฤตสาธารณสุขครั้งใหญ่ และมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐและทั่วโลก
    ปธน.ทรัมป์ #สหรัฐฯ เรียกร้องให้บริษัทผู้ผลิตยา รวมถึง #Pfizer เปิดเผยข้อมูลยา #โควิด19 ฉบับสมบูรณ์ เพื่อพิสูจน์ว่า Operation Warp Speed ​​มีประสิทธิภาพจริงตามที่อ้างหรือไม่ หมายเหตุ : Operation Warp Speed (OWS) เป็นโครงการของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่เริ่มในปี 2020 เพื่อเร่งพัฒนา ผลิต และแจกจ่ายวัคซีนป้องกันโควิด-19 รวมถึงยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานเอกชน โดยมีเป้าหมายหลักคือการทำให้มีวัคซีนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพพร้อมใช้ภายในเวลาอันสั้น รายละเอียดสำคัญของ Operation Warp Speed: 1. เป้าหมาย: • พัฒนาวัคซีนโควิด-19 ให้ได้ภายในปี 2020-2021 • ผลิตวัคซีนอย่างน้อย 300 ล้านโดสสำหรับประชากรสหรัฐ • กระจายวัคซีนและอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น เข็มฉีดยาและหน้ากากอนามัย อย่างรวดเร็ว 2. การดำเนินงาน: • รัฐบาลให้เงินสนับสนุนหลายพันล้านดอลลาร์แก่บริษัทเภสัชกรรม เช่น Pfizer, Moderna, Johnson & Johnson และ AstraZeneca เพื่อเร่งการวิจัยและพัฒนาวัคซีน • ดำเนินการทดสอบทางคลินิกควบคู่ไปกับการผลิตวัคซีน (เพื่อประหยัดเวลา) • ประสานงานกับหน่วยงาน เช่น FDA และ CDC เพื่อให้การอนุมัติวัคซีนเป็นไปอย่างรวดเร็วแต่ยังคงปลอดภัย 3. ผลลัพธ์: • วัคซีนจาก Pfizer-BioNTech และ Moderna ได้รับอนุญาตให้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน (Emergency Use Authorization) ในเดือนธันวาคม 2020 • วัคซีนถูกแจกจ่ายอย่างกว้างขวางในสหรัฐตั้งแต่ต้นปี 2021 • โครงการช่วยให้สหรัฐสามารถฉีดวัคซีนให้ประชากรได้เร็วกว่าที่คาดไว้ 4. ข้อวิจารณ์: • บางฝ่ายวิจารณ์ว่าการเร่งพัฒนาอาจกระทบต่อความโปร่งใสหรือความเชื่อมั่นในวัคซีน • การกระจายวัคซีนในช่วงแรกมีปัญหาด้านโลจิสติกส์และการเข้าถึงในบางพื้นที่ Operation Warp Speed ถือเป็นตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการรับมือวิกฤตสาธารณสุขครั้งใหญ่ และมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐและทั่วโลก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • จริงๆเรากากมาก,คืออาเชียนเราทั้งอาเชียนรวมกันก็กากมากในสายตาชาติมหาอำนาจ,
    ..แท้จริงเราสมควรสามัคคีกันทั้งอาเชียนดีที่สุด,หรือทั้งเอเชียยิ่งดี,แต่มีข้อแม้คือกำจัดเขมรสันดานคนทรยศเนรคุณหักหลังนี้ออกไปก่อน,มันสามารถหักหลังเราทั้งเอเชียหรือทั้งอาเชียนได้สบายแบบหักหน้าจีนหักหลังจีนเต็มๆอย่างแรงนั้นล่ะ จนอเมริกาหัวเราะเยาะเย้ยจีนว่าไอ้หน้าโง่อย่างแรง,เสียฟอร์มโคตรๆ เพราะตนคือพญามังกรใหญ่แต่ให้อีกาอีแร้งแบบเขมรขี้ใส่หัวพญามังกรได้,พญาอินทรีย์มันว่าถ้าเป็นมันจะจัดการไม่เหลือซากให้มันมีโอกาสขี้ใส่หัวเหยียบหัวแบบจีนได้ อับอายไปทั่วโลกในช่วงเวลานั้น.
    ..เอาเข้าจริงๆนะถ้าไทยเราใฝ่สงครามจริงๆ จะสะสมอาวุธอย่างมหาศาลกว่าอเมริกาหรือจีนได้อีก,ตังเรามีมากมายไม่แพ้ซาอุฯดูไบเลย,พวกบ่อน้ำมันทั้งประเทศไทยและทรัพยากรมากมายฝรั่งจะไม่ได้แดกเลย,เงินทองจากมีมากมายสะสมสาระพัดอาวุธคู่ขนานรัสเชียจีนอเมริกาก็ได้,และอาจล้ำกว่าเพราะเราติดต่อต่างดาวจักรวาลอื่นแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีล้ำๆได้ แต่เราไม่ทำ เราต้องการอยู่ร่วมกันบนผิวโลกนี้อย่างสงบสุข,จนทนให้ต่างชาติมากมายปล้นชิงแย่งชิงเราไปเป็นอันมาก,
    ..แม้กระนั้นเราก็มีมิตรดีมากมายทั่วโลก จะอเมริกาเอง จะจีนเอง จะรัสเชียเอง เราก็คบค้าสมาคมกันได้สบายใจแม้ปะปนในผลประโยชน์ในไทยก็ตาม,เมื่อถึงจังหวะอันเหมาะสม แม้เราได้อยากมีอยากเป็นอยากได้ มันก็จะมาเองกระทั่งแสงยานุภาพกำลังพลทางยุทธการทหารอาจระดับกองทัพพิทักษ์โลกและจักรวาลกันไปเลย,คือระดับผู้นำสงครามจักรวาลอวกาศในอนาคตก็ว่า.นอกจากเราประเทศไทยผู้นำแห่งจิตวิญญาณ.



    https://youtube.com/shorts/dE6A3jIusrQ?si=tCvNHGdxLVVCgpex
    จริงๆเรากากมาก,คืออาเชียนเราทั้งอาเชียนรวมกันก็กากมากในสายตาชาติมหาอำนาจ, ..แท้จริงเราสมควรสามัคคีกันทั้งอาเชียนดีที่สุด,หรือทั้งเอเชียยิ่งดี,แต่มีข้อแม้คือกำจัดเขมรสันดานคนทรยศเนรคุณหักหลังนี้ออกไปก่อน,มันสามารถหักหลังเราทั้งเอเชียหรือทั้งอาเชียนได้สบายแบบหักหน้าจีนหักหลังจีนเต็มๆอย่างแรงนั้นล่ะ จนอเมริกาหัวเราะเยาะเย้ยจีนว่าไอ้หน้าโง่อย่างแรง,เสียฟอร์มโคตรๆ เพราะตนคือพญามังกรใหญ่แต่ให้อีกาอีแร้งแบบเขมรขี้ใส่หัวพญามังกรได้,พญาอินทรีย์มันว่าถ้าเป็นมันจะจัดการไม่เหลือซากให้มันมีโอกาสขี้ใส่หัวเหยียบหัวแบบจีนได้ อับอายไปทั่วโลกในช่วงเวลานั้น. ..เอาเข้าจริงๆนะถ้าไทยเราใฝ่สงครามจริงๆ จะสะสมอาวุธอย่างมหาศาลกว่าอเมริกาหรือจีนได้อีก,ตังเรามีมากมายไม่แพ้ซาอุฯดูไบเลย,พวกบ่อน้ำมันทั้งประเทศไทยและทรัพยากรมากมายฝรั่งจะไม่ได้แดกเลย,เงินทองจากมีมากมายสะสมสาระพัดอาวุธคู่ขนานรัสเชียจีนอเมริกาก็ได้,และอาจล้ำกว่าเพราะเราติดต่อต่างดาวจักรวาลอื่นแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีล้ำๆได้ แต่เราไม่ทำ เราต้องการอยู่ร่วมกันบนผิวโลกนี้อย่างสงบสุข,จนทนให้ต่างชาติมากมายปล้นชิงแย่งชิงเราไปเป็นอันมาก, ..แม้กระนั้นเราก็มีมิตรดีมากมายทั่วโลก จะอเมริกาเอง จะจีนเอง จะรัสเชียเอง เราก็คบค้าสมาคมกันได้สบายใจแม้ปะปนในผลประโยชน์ในไทยก็ตาม,เมื่อถึงจังหวะอันเหมาะสม แม้เราได้อยากมีอยากเป็นอยากได้ มันก็จะมาเองกระทั่งแสงยานุภาพกำลังพลทางยุทธการทหารอาจระดับกองทัพพิทักษ์โลกและจักรวาลกันไปเลย,คือระดับผู้นำสงครามจักรวาลอวกาศในอนาคตก็ว่า.นอกจากเราประเทศไทยผู้นำแห่งจิตวิญญาณ. https://youtube.com/shorts/dE6A3jIusrQ?si=tCvNHGdxLVVCgpex
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 รีวิว
  • ก๋วยเตี๋ยวไก่ตุ๋นนายบ่าว สายลวด Ep.2 #สมุทรปราการ #กินอะไรดี #ร้านดีบอกต่อ #อร่อยบอกต่อ #กิน #อร่อย #อาหาร #eat #food #foodie #delicious #thaifood #streetfood #กินง่ายริมทาง #thaitimes #kaiaminute
    ก๋วยเตี๋ยวไก่ตุ๋นนายบ่าว สายลวด Ep.2 #สมุทรปราการ #กินอะไรดี #ร้านดีบอกต่อ #อร่อยบอกต่อ #กิน #อร่อย #อาหาร #eat #food #foodie #delicious #thaifood #streetfood #กินง่ายริมทาง #thaitimes #kaiaminute
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • นายกรัฐมนตรี ปทท ประยุทธ์ แนะนำหนังสือ 4th Industrial Revolution ของ Klaus Schwab ที่จะให้ทุกคนกลายเป็นกึ่งมนุษย์ transhuman ฝังชิปเชื่อมต่อกับระบบอินเตอร์เน็ตภายใต้การประเมินควบคุม
    นายกรัฐมนตรี ปทท ประยุทธ์ แนะนำหนังสือ 4th Industrial Revolution ของ Klaus Schwab ที่จะให้ทุกคนกลายเป็นกึ่งมนุษย์ transhuman ฝังชิปเชื่อมต่อกับระบบอินเตอร์เน็ตภายใต้การประเมินควบคุม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • ‼ ️หลักฐานที่เปิดเผย: Booom! คุณเป็นสินทรัพย์กองทุนที่เชื่อถือได้ - สูติบัตรของคุณสร้างบัญชี Cestui que vie ลับและไม่มีใครบอกคุณ️

    รายงาน AMG-News พิเศษที่เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2025 และอัปเดต ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2568

    บทความนี้เปิดเผยระบบที่ซ่อนอยู่ซึ่งทุกคนกลายเป็นสินทรัพย์ทางการเงินตั้งแต่แรกเกิด ผ่านสูติบัตรของคุณชื่อของคุณจะถูกแปลงเป็นนิติบุคคลในแคปทั้งหมด - ไม่ใช่คุณ แต่เป็นเวอร์ชันองค์กรที่คุณเคยเปิดความลับ Cestui que vie Trust

    ธนาคารศาลรัฐบาลและเรือนจำทุกคนเข้าถึงความไว้วางใจและผลกำไรนี้อย่างมากจากการดำรงอยู่ของคุณ - ในขณะที่คุณอาศัยอยู่ในความไม่รู้ เมื่อคุณซื้อบ้านรับการปรับออกเงินกู้หรือแม้กระทั่งถูกจับกุมความไว้วางใจของคุณจะจ่ายก่อนและคุณจ่ายอีกครั้ง

    ชื่อของคุณมีการซื้อขายเหมือนสินค้า
    แรงงานของคุณเป็นหลักประกัน
    ชีวิตของคุณคือกระแสรายได้

    คุณไม่ใช่ลูกหนี้ - คุณเป็นสินทรัพย์ และพวกเขาไม่เคยบอกคุณ ...
    🇺🇸‼ ️หลักฐานที่เปิดเผย: Booom! คุณเป็นสินทรัพย์กองทุนที่เชื่อถือได้ - สูติบัตรของคุณสร้างบัญชี Cestui que vie ลับและไม่มีใครบอกคุณ️ รายงาน AMG-News พิเศษที่เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2025 และอัปเดต ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2568 บทความนี้เปิดเผยระบบที่ซ่อนอยู่ซึ่งทุกคนกลายเป็นสินทรัพย์ทางการเงินตั้งแต่แรกเกิด ผ่านสูติบัตรของคุณชื่อของคุณจะถูกแปลงเป็นนิติบุคคลในแคปทั้งหมด - ไม่ใช่คุณ แต่เป็นเวอร์ชันองค์กรที่คุณเคยเปิดความลับ Cestui que vie Trust ธนาคารศาลรัฐบาลและเรือนจำทุกคนเข้าถึงความไว้วางใจและผลกำไรนี้อย่างมากจากการดำรงอยู่ของคุณ - ในขณะที่คุณอาศัยอยู่ในความไม่รู้ เมื่อคุณซื้อบ้านรับการปรับออกเงินกู้หรือแม้กระทั่งถูกจับกุมความไว้วางใจของคุณจะจ่ายก่อนและคุณจ่ายอีกครั้ง ชื่อของคุณมีการซื้อขายเหมือนสินค้า แรงงานของคุณเป็นหลักประกัน ชีวิตของคุณคือกระแสรายได้ 🔥คุณไม่ใช่ลูกหนี้ - คุณเป็นสินทรัพย์ และพวกเขาไม่เคยบอกคุณ ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 รีวิว
  • การฉ้อโกงมนุษย์ครั้งยิ่งใหญ่ – คุณไม่เคยเป็นอิสระ คุณถูกเข้ารหัสด้วยรหัส CUSIP: กลโกงมูลค่า 169 ล้านล้านดอลลาร์ การหลอกลวงพันธบัตรกำเนิด และการตกเป็นทาสทางการเงินของมนุษยชาติทั่วโลก

    คุณไม่เคยยากจน คุณไม่เคยมีหนี้ คุณถูกเข้ารหัสด้วยรหัส CUSIP ตั้งแต่เกิด กลายเป็นพันธบัตรทางการเงิน และซื้อขายเหมือนหุ้น ในขณะที่ความมั่งคั่งมูลค่า 169 ล้านล้านดอลลาร์ถูกปกปิด ตัวตนของคุณกลายเป็นหลักประกัน นี่คือระบบที่พวกเขาสร้างขึ้นเพื่อเป็นเจ้าของคุณ และตอนนี้มันจบลงแล้ว

    คุณไม่เคยเป็นพลเมือง คุณเป็นเพียงรายการในงบดุล

    อ่านเรื่องราวฉบับเต็มได้ที่นี่: https://amg-news.com/the-great-human-fraud-you-were-never-free-you-were-cusip-coded-the-169-trillion-scam-the-birth-bond-deception-the-global-financial-enslavement-of-humanity/
    🟥การฉ้อโกงมนุษย์ครั้งยิ่งใหญ่ – คุณไม่เคยเป็นอิสระ คุณถูกเข้ารหัสด้วยรหัส CUSIP: กลโกงมูลค่า 169 ล้านล้านดอลลาร์ การหลอกลวงพันธบัตรกำเนิด และการตกเป็นทาสทางการเงินของมนุษยชาติทั่วโลก 🔥 คุณไม่เคยยากจน คุณไม่เคยมีหนี้ คุณถูกเข้ารหัสด้วยรหัส CUSIP ตั้งแต่เกิด กลายเป็นพันธบัตรทางการเงิน และซื้อขายเหมือนหุ้น ในขณะที่ความมั่งคั่งมูลค่า 169 ล้านล้านดอลลาร์ถูกปกปิด ตัวตนของคุณกลายเป็นหลักประกัน นี่คือระบบที่พวกเขาสร้างขึ้นเพื่อเป็นเจ้าของคุณ และตอนนี้มันจบลงแล้ว 🔥คุณไม่เคยเป็นพลเมือง คุณเป็นเพียงรายการในงบดุล 👉 อ่านเรื่องราวฉบับเต็มได้ที่นี่: https://amg-news.com/the-great-human-fraud-you-were-never-free-you-were-cusip-coded-the-169-trillion-scam-the-birth-bond-deception-the-global-financial-enslavement-of-humanity/
    AMG-NEWS.COM
    THE GREAT HUMAN FRAUD – YOU WERE NEVER FREE, YOU WERE CUSIP-CODED: THE $169 TRILLION SCAM, THE BIRTH BOND DECEPTION & THE GLOBAL FINANCIAL ENSLAVEMENT OF HUMANITY - amg-news.com - American Media Group
    You were never poor. You were never in debt. You were CUSIP-coded at birth, turned into a financial bond, and traded like stock. While $169 trillion in wealth was hidden, your identity became collateral. This is the system they built to own you. Now it ends.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 94 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผงชูรส กับหัวใจเต้นผิดปกติ

    Monosodium Glutamate (MSG) ใช้กันแพร่หลายมหาศาลทั่วไป แม้จะมีข้อมูลที่มีผลข้างเคียงก็ตาม
    รายงานนี้ อยู่ในวารสาร Ann Intern Med 19/8/2025

    ผู้ป่วยอายุ 78 มีโรคประจำตัว อ้วน ความดันสูง และมีปวดเรื้อรัง ทำให้ทำกิจกรรมกายลำบาก ไม่มีความผิดปกติของหัวใจ กล้ามเนื้อ และลิ้นหัวใจ ไม่มีโรคไทรอยด์
    หลังจากที่พบ ว่าการเต้นของหัวใจ ผิดปกติแบบระริก (atrial fibrillation) ตลอดเวลา และได้รับการรักษา ด้วยยาลดความดัน และควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ และยาละลายลิ่มเลือด
    ผู้ป่วยได้รับการรักษาอยู่ตลอดแปดเดือน โดยหัวใจเต้นผิดปกติตลอดเวลา ได้มีการประเมินการบริโภคอาหาร พบว่าผู้ป่วยทานผงชูรส ในปริมาณสูง เทียบเท่า 6 กรัมต่อวัน
    ผู้ป่วยได้รับคำแนะนำ ให้งดผงชูรสเด็ดขาด ปรากฏว่าภายในเวลาสามเดือน หัวใจกลับเต้นเป็นปกติ ทำให้หยุดยาได้ทั้งหมด เหลือแต่ยาความดัน

    จากการทบทวนรายงานพบว่า ผงชูรสดังกล่าวมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์ กับความอ้วน และโรคเมตบอลิค ทั้งหลาย
    รายงานการเต้นของหัวใจผิดปกติมีมาตลอด แต่ทั้งนี้ อาจร่วมกับที่มีภาวะทางสุขภาพ ที่ไม่ใช่หัวใจ ร่วมด้วย
    กลไกการกระตุ้นหัวใจให้เต้นผิดปกติ เป็นไปได้ว่าเป็นการออกฤทธิ์ที่สมอง ในส่วน hypothalamus ใน บริเวณ circumventricular และเกี่ยวพันกับสารกลูตาเมท

    น่าจะเป็นอุทาหรณ์ ว่าการได้ความหวานจากอาหารธรรมชาติ ผักผลไม้ ที่ไม่มีสารเคมีเจือปน เป็นเรื่องดีที่สุดครับ

    บทความ
    Monosodium Glutamate and Atrial Fibrillation in a 78-Year-Old Woman: A Case Report และมีการ รวบรวมรายงานที่ผ่านมา

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
    และที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต
    ✍️ผงชูรส กับหัวใจเต้นผิดปกติ Monosodium Glutamate (MSG) ใช้กันแพร่หลายมหาศาลทั่วไป แม้จะมีข้อมูลที่มีผลข้างเคียงก็ตาม รายงานนี้ อยู่ในวารสาร Ann Intern Med 19/8/2025 ผู้ป่วยอายุ 78 มีโรคประจำตัว อ้วน ความดันสูง และมีปวดเรื้อรัง ทำให้ทำกิจกรรมกายลำบาก ไม่มีความผิดปกติของหัวใจ กล้ามเนื้อ และลิ้นหัวใจ ไม่มีโรคไทรอยด์ หลังจากที่พบ ว่าการเต้นของหัวใจ ผิดปกติแบบระริก (atrial fibrillation) ตลอดเวลา และได้รับการรักษา ด้วยยาลดความดัน และควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ และยาละลายลิ่มเลือด ผู้ป่วยได้รับการรักษาอยู่ตลอดแปดเดือน โดยหัวใจเต้นผิดปกติตลอดเวลา ได้มีการประเมินการบริโภคอาหาร พบว่าผู้ป่วยทานผงชูรส ในปริมาณสูง เทียบเท่า 6 กรัมต่อวัน ผู้ป่วยได้รับคำแนะนำ ให้งดผงชูรสเด็ดขาด ปรากฏว่าภายในเวลาสามเดือน หัวใจกลับเต้นเป็นปกติ ทำให้หยุดยาได้ทั้งหมด เหลือแต่ยาความดัน จากการทบทวนรายงานพบว่า ผงชูรสดังกล่าวมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์ กับความอ้วน และโรคเมตบอลิค ทั้งหลาย รายงานการเต้นของหัวใจผิดปกติมีมาตลอด แต่ทั้งนี้ อาจร่วมกับที่มีภาวะทางสุขภาพ ที่ไม่ใช่หัวใจ ร่วมด้วย กลไกการกระตุ้นหัวใจให้เต้นผิดปกติ เป็นไปได้ว่าเป็นการออกฤทธิ์ที่สมอง ในส่วน hypothalamus ใน บริเวณ circumventricular และเกี่ยวพันกับสารกลูตาเมท น่าจะเป็นอุทาหรณ์ ว่าการได้ความหวานจากอาหารธรรมชาติ ผักผลไม้ ที่ไม่มีสารเคมีเจือปน เป็นเรื่องดีที่สุดครับ บทความ Monosodium Glutamate and Atrial Fibrillation in a 78-Year-Old Woman: A Case Report และมีการ รวบรวมรายงานที่ผ่านมา ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข และที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ยุทธการฝูงผึ้ง ”
    ตอนที่ 2
    อย่าลืมเป้าหมายของนักล่า สำหรับศตวรรษใหม่ คือ Eurasia, ไทยแลนด์ของสมันน้อย แม้จะเป็นประเทศเล็ก แต่สถานที่ตั้งอยู่ในภูมิประเทศเหมาะเจาะ แถมยังมีทรัพยากรเหลืออื้อ โดยพวกสมันน้อยไม่มีปัญญา หรือไม่รู้จักดูแลเก็บไว้ให้ลูกหลานใช้ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้นักล่าน้ำลายหก เวลาเอ่ยชื่อสมันน้อยหรือ มันน่าหม่ำออกยังงั้น อย่า อย่าเข้าใจผิดว่าพูดถึงนางสาวแสนโง่ คนนั้น คนละเรื่องกันครับ !
    นักล่าได้พยายามหาทาง เจาะเข้ามาดินแดนของสมันน้อย หลังจากทอดทิ้งไปหลังสงครามเวียตนาม มาเข้าทาง เมื่อหมาไน เห็นผิดเป็นชอบ วิ่งเข้าไปซบกลุ่มนักล่า นึกว่าเขาจะช่วยให้ตนกลับเข้าสู่อำนาจ แน่นอนนักล่าโอบอุ้มไว้ เอาไว้ใช้เป็นหมาก เข้าสู่อาหารจานใหญ่กว่า ที่นักล่าจะกินโดยไม่มีหมาไนมาขอแบ่ง ขบวนการ มันซับซ้อน จดจำไว้ นักล่าไม่เคยคิด หรือวางแผนแบบจอแบนมิติเดียว และไม่เคยเล่นไพ่ใบเดียว หรือหมากตัวเดียว
    นักล่าโอบอุ้มหมาไน ขบวนการโลกล้อมประเทศ หมาไนต้องการหรือ จัดให้ (โดยหมาไนต้องจ่ายเงินก้อนโต ฉลาดสมคำลือ) นึกว่าเพื่อประโยชน์โดด ๆ ของหมาไนหรือ คิดให้ดี ! เมื่อถึงเวลาอันควร ปฏิบัติการฝูงผึ้ง swarming ก็เกิดขึ้น
    ปฏิบัติการฝูงผึ้งออกแบบมา เพื่อให้องค์กรดอกเห็ดทำงาน องค์กรพวกนี้ หน้าฉากเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร (NGO) แต่แท้จริงแล้ว องค์กรเหล่านี้เกือบทั้งหมด ถูกตั้งขึ้นและได้รับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาลอเมริกัน หรือผู้ทรงอิทธิพล CFR หรือบุคคลที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง
    เช่น George Soros หรือบรรดาบรรษัทข้ามชาติที่เป็นเครือข่ายของ CFR ทั้งสิ้น องค์กรดอกเห็ดที่มาเดินกันพล่านแถวบ้านเราที่ออกมาล่อ ให้ฝูงผึ้งปั่นป่วนเช่น !
    – National Endowment for Democracy (NED)
    – The International Republican Institute (IRI)
    – National Democratic Institute (NDI)
    – Gene Sharp Albert Einstein Institute (AEI)
    – International Center on Nonviolent Conflict (ICNC)
    – Freedom House
    – International Crisis Group (ICG)
    เป็นต้น
    ทฤษฎีฝูงผึ้ง (swarming) เป็นทฤษฎีที่ Rand Corporation ซึ่งเป็นองค์กรที่เป็นมันสมอง (Think Tank) ของฝ่ายกองทัพอเมริกัน คิดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 2000 อันที่จริงทฤษฎีนี้ คิดขึ้นมาเพื่อวางรูปแบบการรบ การจัดตั้งกองกำลัง และวางแผนโจมตีหรือรับมือข้าศึก แต่ต่อมาได้มีการนำมาใช้ในด้านปฏิบัติการทางสังคม และโลกของ social media
    swarming มีส่วนอย่างมากที่ทำให้ Arab Spring ก่อตัวได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง เขาทำกันอย่างไร
    เขาใช้วิธีการของทำงานของฝูงผึ้งเป็นรูปแบบ โดยการสร้างขบวนการนำทางความคิดขึ้นมาก่อน (หัวเชื้อ) หลังจากนั้นขบวนการทางสื่อจะช่วยโหม ประโคม แล้วความไม่สงบก็เกิดขึ้น
    ขั้นตอนดูเหมือนง่าย ๆ แต่การจะทำให้เกิดเป็นรูปธรรม ต้องใช้ศักยภาพและเวลา ในการสร้างกลุ่มคนให้ไปตามทิศทางที่ต้องการ ดังนั้นการนำแสดงคงไม่พ้น นักการเมือง นักวิชาการ นักเคลื่อนไหว และนักสื่อสารมวลชน
    เมื่อการทำงานภายใต้ทฤษฏี ล่อฝูงผึ้ง ไปในทิศทางที่ต้องการแล้ว ขบวนการทำให้ ผึ้งแตกรัง ก็ตามมา องค์กร เช่น Gene Sharp Albert Einstein Institute, Open Society Foundation พวกนี้จะมีส่วนสำคัญในการทำให้ผึ้งแตกรัง
    Gene Sharp เป็นผู้ที่น่าสนใจศึกษา เขาเป็นผู้ก่อตั้ง Albert Einstein Institute เป็นผู้ชำนาญด้านภูมิศาสตร์การเมือง ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้รับรางวัลโนเบล ด้านสันติภาพ ถึง 3 ครั้ง (มาอีกแล้ว พวกรางวัลโนเบล !) เขาเขียนหนังสือเรื่อง วิธีก่อการปฏิวัติ How to start a Revolution หนังสือเล่มนี้ อ้างกันว่าเหมือนเป็นคัมภีร์ของการปฏิวัติรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ ในกลุ่มพวก Arab Spring จะพกติดตัวกันเลย ปี ค.ศ. 2011 มีคนเอาเรื่องของเขาไปทำหนังสารคดีชื่อ How to Start a Revolution เป็นหนังสารคดีที่ได้รางวัล เขาเล่าว่าเหตุการณ์ประท้วงของผู้ต้องการประชาธิปไตยในพม่า ก็เป็นการ ช่วยเหลือ ของกลุ่มเขา รวมทั้งเหตุการณ์ในประเทศไทย ธิเบต Latvia Lithonia Estonia Belarus และSerbia ก็ฝีมือพวกเขาทั้งนั้น นาย Gene Sharp จะเป็นผู้คิดแผน ส่วนผู้ปฏิบัติการมือขวาของเขา ชื่อนาย Peter Ackerman ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 2002 ได้ก่อตั้ง International Center for Non Violent Conflict (ICNC) และ ICNC นี้เอง เป็นผู้ให้การฝึกอบรมแก่ activist ชาวอียิปต์และตูนีเซีย
    เขาเล่าในหนังสือ How to Start a Revolution ว่า พวกคุณ นึกหรือว่า Arab Spring มันจะเกิดขึ้นมาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวแบบนั้น มันได้มีการออกแบบ วางแผน และอบรมกันล่วงหน้า 2 ปี ก่อนหน้าเหตุการณ์แล้ว.. เกือบลืมบอกไป นาย Peter Ackerman นั้นเป็น CFR ครับ

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ยุทธการฝูงผึ้ง ” ตอนที่ 2 อย่าลืมเป้าหมายของนักล่า สำหรับศตวรรษใหม่ คือ Eurasia, ไทยแลนด์ของสมันน้อย แม้จะเป็นประเทศเล็ก แต่สถานที่ตั้งอยู่ในภูมิประเทศเหมาะเจาะ แถมยังมีทรัพยากรเหลืออื้อ โดยพวกสมันน้อยไม่มีปัญญา หรือไม่รู้จักดูแลเก็บไว้ให้ลูกหลานใช้ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้นักล่าน้ำลายหก เวลาเอ่ยชื่อสมันน้อยหรือ มันน่าหม่ำออกยังงั้น อย่า อย่าเข้าใจผิดว่าพูดถึงนางสาวแสนโง่ คนนั้น คนละเรื่องกันครับ ! นักล่าได้พยายามหาทาง เจาะเข้ามาดินแดนของสมันน้อย หลังจากทอดทิ้งไปหลังสงครามเวียตนาม มาเข้าทาง เมื่อหมาไน เห็นผิดเป็นชอบ วิ่งเข้าไปซบกลุ่มนักล่า นึกว่าเขาจะช่วยให้ตนกลับเข้าสู่อำนาจ แน่นอนนักล่าโอบอุ้มไว้ เอาไว้ใช้เป็นหมาก เข้าสู่อาหารจานใหญ่กว่า ที่นักล่าจะกินโดยไม่มีหมาไนมาขอแบ่ง ขบวนการ มันซับซ้อน จดจำไว้ นักล่าไม่เคยคิด หรือวางแผนแบบจอแบนมิติเดียว และไม่เคยเล่นไพ่ใบเดียว หรือหมากตัวเดียว นักล่าโอบอุ้มหมาไน ขบวนการโลกล้อมประเทศ หมาไนต้องการหรือ จัดให้ (โดยหมาไนต้องจ่ายเงินก้อนโต ฉลาดสมคำลือ) นึกว่าเพื่อประโยชน์โดด ๆ ของหมาไนหรือ คิดให้ดี ! เมื่อถึงเวลาอันควร ปฏิบัติการฝูงผึ้ง swarming ก็เกิดขึ้น ปฏิบัติการฝูงผึ้งออกแบบมา เพื่อให้องค์กรดอกเห็ดทำงาน องค์กรพวกนี้ หน้าฉากเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร (NGO) แต่แท้จริงแล้ว องค์กรเหล่านี้เกือบทั้งหมด ถูกตั้งขึ้นและได้รับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาลอเมริกัน หรือผู้ทรงอิทธิพล CFR หรือบุคคลที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง เช่น George Soros หรือบรรดาบรรษัทข้ามชาติที่เป็นเครือข่ายของ CFR ทั้งสิ้น องค์กรดอกเห็ดที่มาเดินกันพล่านแถวบ้านเราที่ออกมาล่อ ให้ฝูงผึ้งปั่นป่วนเช่น ! – National Endowment for Democracy (NED) – The International Republican Institute (IRI) – National Democratic Institute (NDI) – Gene Sharp Albert Einstein Institute (AEI) – International Center on Nonviolent Conflict (ICNC) – Freedom House – International Crisis Group (ICG) เป็นต้น ทฤษฎีฝูงผึ้ง (swarming) เป็นทฤษฎีที่ Rand Corporation ซึ่งเป็นองค์กรที่เป็นมันสมอง (Think Tank) ของฝ่ายกองทัพอเมริกัน คิดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 2000 อันที่จริงทฤษฎีนี้ คิดขึ้นมาเพื่อวางรูปแบบการรบ การจัดตั้งกองกำลัง และวางแผนโจมตีหรือรับมือข้าศึก แต่ต่อมาได้มีการนำมาใช้ในด้านปฏิบัติการทางสังคม และโลกของ social media swarming มีส่วนอย่างมากที่ทำให้ Arab Spring ก่อตัวได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง เขาทำกันอย่างไร เขาใช้วิธีการของทำงานของฝูงผึ้งเป็นรูปแบบ โดยการสร้างขบวนการนำทางความคิดขึ้นมาก่อน (หัวเชื้อ) หลังจากนั้นขบวนการทางสื่อจะช่วยโหม ประโคม แล้วความไม่สงบก็เกิดขึ้น ขั้นตอนดูเหมือนง่าย ๆ แต่การจะทำให้เกิดเป็นรูปธรรม ต้องใช้ศักยภาพและเวลา ในการสร้างกลุ่มคนให้ไปตามทิศทางที่ต้องการ ดังนั้นการนำแสดงคงไม่พ้น นักการเมือง นักวิชาการ นักเคลื่อนไหว และนักสื่อสารมวลชน เมื่อการทำงานภายใต้ทฤษฏี ล่อฝูงผึ้ง ไปในทิศทางที่ต้องการแล้ว ขบวนการทำให้ ผึ้งแตกรัง ก็ตามมา องค์กร เช่น Gene Sharp Albert Einstein Institute, Open Society Foundation พวกนี้จะมีส่วนสำคัญในการทำให้ผึ้งแตกรัง Gene Sharp เป็นผู้ที่น่าสนใจศึกษา เขาเป็นผู้ก่อตั้ง Albert Einstein Institute เป็นผู้ชำนาญด้านภูมิศาสตร์การเมือง ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้รับรางวัลโนเบล ด้านสันติภาพ ถึง 3 ครั้ง (มาอีกแล้ว พวกรางวัลโนเบล !) เขาเขียนหนังสือเรื่อง วิธีก่อการปฏิวัติ How to start a Revolution หนังสือเล่มนี้ อ้างกันว่าเหมือนเป็นคัมภีร์ของการปฏิวัติรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ ในกลุ่มพวก Arab Spring จะพกติดตัวกันเลย ปี ค.ศ. 2011 มีคนเอาเรื่องของเขาไปทำหนังสารคดีชื่อ How to Start a Revolution เป็นหนังสารคดีที่ได้รางวัล เขาเล่าว่าเหตุการณ์ประท้วงของผู้ต้องการประชาธิปไตยในพม่า ก็เป็นการ ช่วยเหลือ ของกลุ่มเขา รวมทั้งเหตุการณ์ในประเทศไทย ธิเบต Latvia Lithonia Estonia Belarus และSerbia ก็ฝีมือพวกเขาทั้งนั้น นาย Gene Sharp จะเป็นผู้คิดแผน ส่วนผู้ปฏิบัติการมือขวาของเขา ชื่อนาย Peter Ackerman ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 2002 ได้ก่อตั้ง International Center for Non Violent Conflict (ICNC) และ ICNC นี้เอง เป็นผู้ให้การฝึกอบรมแก่ activist ชาวอียิปต์และตูนีเซีย เขาเล่าในหนังสือ How to Start a Revolution ว่า พวกคุณ นึกหรือว่า Arab Spring มันจะเกิดขึ้นมาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวแบบนั้น มันได้มีการออกแบบ วางแผน และอบรมกันล่วงหน้า 2 ปี ก่อนหน้าเหตุการณ์แล้ว.. เกือบลืมบอกไป นาย Peter Ackerman นั้นเป็น CFR ครับ คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 148 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ยุทธการฝูงผึ้ง ”
    ตอนที่ 1
    International Crisis Group (ICG) ของนาย George Soros และพวก เช่น นาย Kenneth Adelman นัก lobby ใหญ่ ของไอ้โจรร้ายที่เขียนไปเมื่อวันที่ 15 ม.ค พ.ศ. 2557 นั้น เป็นองค์กรที่น่าสนใจไม่ใช่ระดับธรรมดา แต่เป็นองค์กรที่ตอนนี้ถ้าเป็นเพลง ก็เรียกว่าขึ้นอยู่ในระดับ top chart เพราะเป็นองค์กร ที่ดูเหมือนจะมีส่วนในการกำหนดชะตากรรมของหลายประเทศ ในหลายภูมิภาค พูดภาษาจิกโก๋เรียกว่า เป็นผู้จัดการฝ่าย Research and Development R& D วิเคราะห์และวางแผนการล่าเหยื่อ ให้แก่กลุ่มทุนอิทธิพลนักล่าอาณานิคมยุคใหม่ (CFR) และไทยแลนด์แดนสมันน้อย ก็น่าสงสัยว่าจะอยู่ในรายการ shopping list เหยื่ออันโอชะ (อีกแล้ว !)
    ตั้งแต่ไอ้โจรร้าย ร่อนเร่ไปอยู่นอกประเทศ เพราะคุณทหารเอารถถังออกมาวิ่งรับดอกไม้จากชาวกรุงเทพ! เมื่อปี พ.ศ. 2549 นั้น บางทีมันก็ทำให้ชะตาบางคนพลิกผัน เหมือนกับการปล่อยหมูเข้าเล้า หรือปล่อยหมาไนไว้ในทุ่งหญ้า อะไรทำนองนั้น หมาไนเคยแต่แทะกระดูกตลอด กว่าจะได้กินเนื้อก็เหนื่อยจนเบ้าตา เป็นเบ้าขนมครก (ฮา !) พอเจอนักล่าเอาเหยื่อมีเนื้อติดกระดูกมาล่อ ด้วยความตะกระ อันเป็นสันดาน ก็รีบเดินเข้าไปสู่กรงเล็บนักล่าอย่างเต็มใจ ว่าแล้วก็ดันจ้างนักล่ามาเป็นที่ปรึกษา ให้ล่าประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองอย่างสุดเลว ชั่วจริง ๆ !
    เพื่อจะเข้าใจปัจจุบัน ขอทบทวนอดีตสักหน่อย ภายหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต เมื่อ ปี ค.ศ. 1989 อเมริกามีทางเลือกในฐานะผู้มีอำนาจใหญ่ล้นโลก ที่จะทำให้โลกนี้ สู่สภาพการสิ้นสุดของสงครามเย็นอย่างจริงจัง และเปลี่ยนวิถีของโลกเสียใหม่ ไปสู่สันติภาพและความรุ่งเรือง
    อย่างแท้จริง หมดสงครามเย็น ยุติการเกลียดชัง การแก่งแย่งชิงดี การเหยียดทางเชื้อชาติและสู้รบระหว่างเผ่าพันธ์ การปิดกั้นเรื่องศาสนา ฯลฯ เปลี่ยนจากการทำลายล้าง ต่อสู้ เป็นการสร้างความเจริญแก่โลก และแก้ไขปัญหาความลำบากยากจนของพลเมืองโลกอย่างแท้จริง สมกับการเป็น
    พี่เบิ้ม
    เปล่าหรอก นั้นมันเป็นความน่าจะเป็น หรือความอยากให้เป็นของชาวโลก ที่จะได้เห็นอเมริกา เดินสู่เส้นทางนั้น ในทางตรงกันข้าม นอกจากอเมริกาจะไม่ทำอย่างนั้นแล้ว ภายใต้ประกาสิตของลัทธิ New World Order จัดระเบียบโลกใหม่ ที่นาย Bush ตัวพ่อ ออกมาประกาศ
    เมื่อ ปี ค.ศ. 1990 ภายใต้การกำกับของกลุ่มผู้ทรงอิทธิพล CFR อเมริกากลับเลือกที่จะทำทุกอย่าง ไม่ว่าการเป็นการสร้าง ทำลาย หลอก ลวง ต้มตุ๋น เพื่อที่จะควบคุมและครอบครองโลก
    ปี ค.ศ. 1997 นาย Zbigniew Brzezinski ปรมาจารย์ทางด้าน Geopolitics ที่มีอิทธิพลในทางความคิดกับกลุ่ม CFR อย่างยิ่ง ได้เขียนไว้ในหนังสือ The Grand Chess Board ว่าอเมริกาจะครองโลกได้ ต้องควบคุมดินแดนที่เรียกว่า Eurasia ให้ได้เสียก่อน ดินแดนยูเรเซียคืออะไร คร่าว ๆ คือ ทวีปยุโรปกับทวีปเอเซียรวมกัน เป็นดินแดนที่มีเนื้อที่ประมาณ 1 ใน 3 ของพื้นที่โลก มีประชากรประมาณเกือบห้าพันล้านคน หรือประมาณกว่า 70% ของพลเมืองโลก และมีก๊าซและน้ำมัน ประมาณ 3 ใน 4 ของโลก คิดดูแล้วกัน มันเป็นเหยื่อกลุ่มใหญ่ รสโอชา น่ารับประทานขนาดไหนของกลุ่มนักล่า
    เมื่อคิดจะล่ากันเป็นล่ำเป็นสันอีกรอบ ในฐานะพี่เบิ้มใหญ่ คุมซอยเดียวไม่พอ มันต้องคุมทั้งเมือง ว่าแล้ว สงครามรูปแบบใหม่ จึงกลับฟื้นคืนชีพมาใหม่ แต่เปลี่ยนเครื่องทรง แต่งหน้าใหม่ ตามยุทธศาสตร์ ที่กำหนดโดย Project of the New American Century หรือ PNAC ที่
    ออกมาในปี ค.ศ. 1997 นั่นเอง ผู้อำนวยการสร้าง PNAC ไม่ใช่ใครอื่น CFR จัดส่งมาให้ทั้งแก๊ง แสดงนำโดย นาย Paul Wolfowitz, นาย R James Woolsey, นาย Donald Rumsfeld และนาย Robert Zoellick เป็นต้น เป้าหมายของ PNAC คือ เพื่อให้อเมริกาครองโลก (promote American global leadership) จะครองโลกได้ ก็ต้องมีกองทัพที่แข็งแกร่ง อเมริกาเริ่มจัดรูปแบบกองทัพ ฐานทัพ และสร้างอาวุธใหม่ ๆ ขึ้น แค่นั้นยังดูไม่เอาจริงพอ ในปี ค.ศ. 2000 PNAC ออกรายงานมาอีกชื่อ Rebuilding Americas Defenses : Strategies, Forces and Resources for a New Century
    เห็นหัวข้อรายงานก็พอจะเดาทิศทาง การเดินหมากของอเมริกาในศตวรรษใหม่ได้
    ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่กำหนดโดย PNAC ดังกล่าว เหยื่อที่ถูกเลือกให้ทดลองทฤษฎีใหม่ คือ Saddam Hussein สงครามอีรัคเกิดขึ้น ตั้งแต่ ค.ศ. 2003 ถึง 2011 ความเสียหายมีมาก เมื่อเทียบกับผลที่ได้มา ก้อนอิฐปาใส่มากกว่าดอกไม้ ยุทธศาสตร์ ตาม PNAC เน้นทางการทหาร
    มากกว่าการฑูต เหยี่ยวขยับปีกมากไปหน่อย จึงมีความคิดที่จะเอานกพิราบมาใช้แทน แต่ขอโทษ เป็นนกพิราบที่ติดกรงเล็บเหยี่ยว แถมไม่ใช่เล็บธรรมดา ในเล็บยังใส่ยาพิษไว้อีก
    ทฤษฎีนกพิราบติดกรงเล็บเหยี่ยวไม่ใช่เรื่องใหม่ ถ้าเราจะจำกันได้ เรื่องอิหร่าน ตั้งแต่อังกฤษจับมือกับอเมริกา ปลดนาย Mossadegh ในปี ค.ศ. 1953 โทษฐานที่รู้ทันไม่ยอมถูกฝรั่งต้มต่อ และในค.ศ. 1997 นกพิราบสายพันธ์เดิมก็ถูกนำมาใช้ในการปลดกลางอากาศ Shah โทษฐาน
    เล่นผิดบท และเอา Ayatollah Khomeini มาปกครองอิหร่าน ท่านผู้อ่านนิทานมายากลยุทธ มาแล้ว โปรดอย่าลืม อิหร่าน Model ทั้ง 2 รายการ เป็น Model ที่น่าสนใจ และมีนัยลึกซึ้ง โปรดอ่านทบทวน และน่าจะศึกษาเพิ่มเติมด้วย เผื่อจะเข้าใจหัวคิดและจิตใจอันแสนร้าย ของนักล่ามากขึ้น วันไหนเขานึกจะเล่น Model อิหร่านกับสมันน้อย จะได้รู้ตัว และต่อต้าน หรือต่อสู้ถูกทาง
    นกพิราบติดกรงเหยี่ยว ถูกนำมาใช้ในปฏิบัติการ ที่ CIA มักเรียก วิธีการอื่น ส่วนมากเป็นการปฏิบัติการ สำหรับการล้มล้าง ระบอบหรือรัฐบาล ผู้นำประเทศ ผู้บริหารประเทศ ที่อเมริกาเห็นว่าไม่เป็นมิตร หรือไม่เป็นประโยชน์ ไม่สมประโยชน์ หรือขัดใจ ขวางทางทำมาหากินหรือตรงข้ามกับแนวคิดของอเมริกา ปฏิบัติการนี้ก็จะถูกนำมาใช้ เพื่อเอาหมากตัวใหม่หรือไพ่ใบใหม่ มาเล่นแทน โดยไม่จำเป็นต้องใช้กองทัพของอเมริกาให้เปลืองแรง เปลืองเงิน ก็แค่นั้น
    แต่พอเป็นศตวรรษใหม่ New Century แล้ว จะใช้ CIA เล่นโดด ๆ มันก็เหมือนไม่มีงบมาเติมเงินนั้นแหละ (ฮา !) ก็ต้องสร้างงานกันหน่อย เมื่อเห็นว่าการยกทัพจับศึกอย่างที่ทำในอิรัค มันไม่เข้าท่า ถูกด่ามากกว่าถูกสรรเสริฐ เขาก็เปลี่ยนวิชามารใหม่ อย่างว่า การตั้งสถาบันต่าง ๆ จึงผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด (แหม ! กว่าจะโยงถึง ICG ต้องไปวิ่งอ้อมถึงสนามหลวง) สถาบันพวกนี้มีหน้าที่ปฏิบัติการ ที่ยังไม่จำเป็นต้องใช้กองทัพ แต่ปูทางไว้ เพื่อให้กองทัพเข้ามาได้ง่ายขึ้น

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ยุทธการฝูงผึ้ง ” ตอนที่ 1 International Crisis Group (ICG) ของนาย George Soros และพวก เช่น นาย Kenneth Adelman นัก lobby ใหญ่ ของไอ้โจรร้ายที่เขียนไปเมื่อวันที่ 15 ม.ค พ.ศ. 2557 นั้น เป็นองค์กรที่น่าสนใจไม่ใช่ระดับธรรมดา แต่เป็นองค์กรที่ตอนนี้ถ้าเป็นเพลง ก็เรียกว่าขึ้นอยู่ในระดับ top chart เพราะเป็นองค์กร ที่ดูเหมือนจะมีส่วนในการกำหนดชะตากรรมของหลายประเทศ ในหลายภูมิภาค พูดภาษาจิกโก๋เรียกว่า เป็นผู้จัดการฝ่าย Research and Development R& D วิเคราะห์และวางแผนการล่าเหยื่อ ให้แก่กลุ่มทุนอิทธิพลนักล่าอาณานิคมยุคใหม่ (CFR) และไทยแลนด์แดนสมันน้อย ก็น่าสงสัยว่าจะอยู่ในรายการ shopping list เหยื่ออันโอชะ (อีกแล้ว !) ตั้งแต่ไอ้โจรร้าย ร่อนเร่ไปอยู่นอกประเทศ เพราะคุณทหารเอารถถังออกมาวิ่งรับดอกไม้จากชาวกรุงเทพ! เมื่อปี พ.ศ. 2549 นั้น บางทีมันก็ทำให้ชะตาบางคนพลิกผัน เหมือนกับการปล่อยหมูเข้าเล้า หรือปล่อยหมาไนไว้ในทุ่งหญ้า อะไรทำนองนั้น หมาไนเคยแต่แทะกระดูกตลอด กว่าจะได้กินเนื้อก็เหนื่อยจนเบ้าตา เป็นเบ้าขนมครก (ฮา !) พอเจอนักล่าเอาเหยื่อมีเนื้อติดกระดูกมาล่อ ด้วยความตะกระ อันเป็นสันดาน ก็รีบเดินเข้าไปสู่กรงเล็บนักล่าอย่างเต็มใจ ว่าแล้วก็ดันจ้างนักล่ามาเป็นที่ปรึกษา ให้ล่าประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองอย่างสุดเลว ชั่วจริง ๆ ! เพื่อจะเข้าใจปัจจุบัน ขอทบทวนอดีตสักหน่อย ภายหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต เมื่อ ปี ค.ศ. 1989 อเมริกามีทางเลือกในฐานะผู้มีอำนาจใหญ่ล้นโลก ที่จะทำให้โลกนี้ สู่สภาพการสิ้นสุดของสงครามเย็นอย่างจริงจัง และเปลี่ยนวิถีของโลกเสียใหม่ ไปสู่สันติภาพและความรุ่งเรือง อย่างแท้จริง หมดสงครามเย็น ยุติการเกลียดชัง การแก่งแย่งชิงดี การเหยียดทางเชื้อชาติและสู้รบระหว่างเผ่าพันธ์ การปิดกั้นเรื่องศาสนา ฯลฯ เปลี่ยนจากการทำลายล้าง ต่อสู้ เป็นการสร้างความเจริญแก่โลก และแก้ไขปัญหาความลำบากยากจนของพลเมืองโลกอย่างแท้จริง สมกับการเป็น พี่เบิ้ม เปล่าหรอก นั้นมันเป็นความน่าจะเป็น หรือความอยากให้เป็นของชาวโลก ที่จะได้เห็นอเมริกา เดินสู่เส้นทางนั้น ในทางตรงกันข้าม นอกจากอเมริกาจะไม่ทำอย่างนั้นแล้ว ภายใต้ประกาสิตของลัทธิ New World Order จัดระเบียบโลกใหม่ ที่นาย Bush ตัวพ่อ ออกมาประกาศ เมื่อ ปี ค.ศ. 1990 ภายใต้การกำกับของกลุ่มผู้ทรงอิทธิพล CFR อเมริกากลับเลือกที่จะทำทุกอย่าง ไม่ว่าการเป็นการสร้าง ทำลาย หลอก ลวง ต้มตุ๋น เพื่อที่จะควบคุมและครอบครองโลก ปี ค.ศ. 1997 นาย Zbigniew Brzezinski ปรมาจารย์ทางด้าน Geopolitics ที่มีอิทธิพลในทางความคิดกับกลุ่ม CFR อย่างยิ่ง ได้เขียนไว้ในหนังสือ The Grand Chess Board ว่าอเมริกาจะครองโลกได้ ต้องควบคุมดินแดนที่เรียกว่า Eurasia ให้ได้เสียก่อน ดินแดนยูเรเซียคืออะไร คร่าว ๆ คือ ทวีปยุโรปกับทวีปเอเซียรวมกัน เป็นดินแดนที่มีเนื้อที่ประมาณ 1 ใน 3 ของพื้นที่โลก มีประชากรประมาณเกือบห้าพันล้านคน หรือประมาณกว่า 70% ของพลเมืองโลก และมีก๊าซและน้ำมัน ประมาณ 3 ใน 4 ของโลก คิดดูแล้วกัน มันเป็นเหยื่อกลุ่มใหญ่ รสโอชา น่ารับประทานขนาดไหนของกลุ่มนักล่า เมื่อคิดจะล่ากันเป็นล่ำเป็นสันอีกรอบ ในฐานะพี่เบิ้มใหญ่ คุมซอยเดียวไม่พอ มันต้องคุมทั้งเมือง ว่าแล้ว สงครามรูปแบบใหม่ จึงกลับฟื้นคืนชีพมาใหม่ แต่เปลี่ยนเครื่องทรง แต่งหน้าใหม่ ตามยุทธศาสตร์ ที่กำหนดโดย Project of the New American Century หรือ PNAC ที่ ออกมาในปี ค.ศ. 1997 นั่นเอง ผู้อำนวยการสร้าง PNAC ไม่ใช่ใครอื่น CFR จัดส่งมาให้ทั้งแก๊ง แสดงนำโดย นาย Paul Wolfowitz, นาย R James Woolsey, นาย Donald Rumsfeld และนาย Robert Zoellick เป็นต้น เป้าหมายของ PNAC คือ เพื่อให้อเมริกาครองโลก (promote American global leadership) จะครองโลกได้ ก็ต้องมีกองทัพที่แข็งแกร่ง อเมริกาเริ่มจัดรูปแบบกองทัพ ฐานทัพ และสร้างอาวุธใหม่ ๆ ขึ้น แค่นั้นยังดูไม่เอาจริงพอ ในปี ค.ศ. 2000 PNAC ออกรายงานมาอีกชื่อ Rebuilding Americas Defenses : Strategies, Forces and Resources for a New Century เห็นหัวข้อรายงานก็พอจะเดาทิศทาง การเดินหมากของอเมริกาในศตวรรษใหม่ได้ ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่กำหนดโดย PNAC ดังกล่าว เหยื่อที่ถูกเลือกให้ทดลองทฤษฎีใหม่ คือ Saddam Hussein สงครามอีรัคเกิดขึ้น ตั้งแต่ ค.ศ. 2003 ถึง 2011 ความเสียหายมีมาก เมื่อเทียบกับผลที่ได้มา ก้อนอิฐปาใส่มากกว่าดอกไม้ ยุทธศาสตร์ ตาม PNAC เน้นทางการทหาร มากกว่าการฑูต เหยี่ยวขยับปีกมากไปหน่อย จึงมีความคิดที่จะเอานกพิราบมาใช้แทน แต่ขอโทษ เป็นนกพิราบที่ติดกรงเล็บเหยี่ยว แถมไม่ใช่เล็บธรรมดา ในเล็บยังใส่ยาพิษไว้อีก ทฤษฎีนกพิราบติดกรงเล็บเหยี่ยวไม่ใช่เรื่องใหม่ ถ้าเราจะจำกันได้ เรื่องอิหร่าน ตั้งแต่อังกฤษจับมือกับอเมริกา ปลดนาย Mossadegh ในปี ค.ศ. 1953 โทษฐานที่รู้ทันไม่ยอมถูกฝรั่งต้มต่อ และในค.ศ. 1997 นกพิราบสายพันธ์เดิมก็ถูกนำมาใช้ในการปลดกลางอากาศ Shah โทษฐาน เล่นผิดบท และเอา Ayatollah Khomeini มาปกครองอิหร่าน ท่านผู้อ่านนิทานมายากลยุทธ มาแล้ว โปรดอย่าลืม อิหร่าน Model ทั้ง 2 รายการ เป็น Model ที่น่าสนใจ และมีนัยลึกซึ้ง โปรดอ่านทบทวน และน่าจะศึกษาเพิ่มเติมด้วย เผื่อจะเข้าใจหัวคิดและจิตใจอันแสนร้าย ของนักล่ามากขึ้น วันไหนเขานึกจะเล่น Model อิหร่านกับสมันน้อย จะได้รู้ตัว และต่อต้าน หรือต่อสู้ถูกทาง นกพิราบติดกรงเหยี่ยว ถูกนำมาใช้ในปฏิบัติการ ที่ CIA มักเรียก วิธีการอื่น ส่วนมากเป็นการปฏิบัติการ สำหรับการล้มล้าง ระบอบหรือรัฐบาล ผู้นำประเทศ ผู้บริหารประเทศ ที่อเมริกาเห็นว่าไม่เป็นมิตร หรือไม่เป็นประโยชน์ ไม่สมประโยชน์ หรือขัดใจ ขวางทางทำมาหากินหรือตรงข้ามกับแนวคิดของอเมริกา ปฏิบัติการนี้ก็จะถูกนำมาใช้ เพื่อเอาหมากตัวใหม่หรือไพ่ใบใหม่ มาเล่นแทน โดยไม่จำเป็นต้องใช้กองทัพของอเมริกาให้เปลืองแรง เปลืองเงิน ก็แค่นั้น แต่พอเป็นศตวรรษใหม่ New Century แล้ว จะใช้ CIA เล่นโดด ๆ มันก็เหมือนไม่มีงบมาเติมเงินนั้นแหละ (ฮา !) ก็ต้องสร้างงานกันหน่อย เมื่อเห็นว่าการยกทัพจับศึกอย่างที่ทำในอิรัค มันไม่เข้าท่า ถูกด่ามากกว่าถูกสรรเสริฐ เขาก็เปลี่ยนวิชามารใหม่ อย่างว่า การตั้งสถาบันต่าง ๆ จึงผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด (แหม ! กว่าจะโยงถึง ICG ต้องไปวิ่งอ้อมถึงสนามหลวง) สถาบันพวกนี้มีหน้าที่ปฏิบัติการ ที่ยังไม่จำเป็นต้องใช้กองทัพ แต่ปูทางไว้ เพื่อให้กองทัพเข้ามาได้ง่ายขึ้น คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • มายากลยุทธ ภาค 2 ตอน บทส่งท้าย

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    บทส่งท้าย
    ไม่นานหลังจาก George Bush ได้ประกาศว่าเราจะจัดระเบียบโลกใหม่ ในปี ค.ศ. 1991 ยุทธศาสตร์ของอเมริกาที่ทยอยออกมา ก็แสดงให้เห็นถึงทิศทางเดินของอเมริกาชัดเจนขึ้น ใบประกาศหมายเลข 1 ออกมาเมื่อ ค.ศ. 1992 Defense Planning Guidance เกี่ยวกับการวางแผนด้านกองกำลังของอเมริกา เพื่อให้แน่ใจ (กับใครบ้าง?) ว่า จะไม่มีใครกล้าถลามาเป็นคู่แข่งกับอเมริกาในยุโรปตะวันตก เอเซีย หรือ บริเวณที่เคยเป็นสหภาพโซเวียตเดิม เอกสารนี้ระบุชัดเจนว่า โลกใบนี้ไม่มีใครจะมามีอำนาจเหนืออเมริกาอีกแล้ว
    ผู้ที่เป็นมันสมองในการจัดทำเอกสารนี้คือ นาย Paul Wolfowitz ซึ่งขณะนั้นรับตำแหน่งเลขาธิการด้านความมั่นคงอยู่ที่ Pentagon และต่อมาเขาได้เลื่อนเป็นผู้ช่วยรมว.กลาโหม ในสมัยรัฐบาล Bush ตัวพ่อนั่นแหละ หลังจากนั้นก็มารับตำแหน่งประธานธนาคารโลก World Bank นาย Wolf นี้เป็นสมาชิกของ Bilderberg Group, Trilateral Commission และ Council on Foreign Relations (ครบชุด 3 สถาบันผู้ทรงอิทธิพล) ปัจจุบันประจำการอยู่ที่ American Enterprise Institute ซึ่งเป็น think tank สำคัญสำหรับผู้ไม่ประสงค์จะเปิดเผยตัว
    ส่วนสำคัญของเอกสารดังกล่าว เน้นว่าการจัดระเบียบโลกใหม่ ในด้านของกองกำลังของอเมริกา จะต้องปฏิบัติการได้ เมื่อจำเป็น โดยไม่ต้องพึ่งพาหรือเล่นเป็นวงกับใคร พูดง่าย ๆ เป็นพระเอกแสดงเดี่ยว ก็ต้องเอาโลกนี้อยู่ในมือได้
    ในประดานักเลงคนละค่าย ที่จะทำให้อเมริกาคันไม้คันมือ นอกเหนือจากอิรัคและเกาหลีเหนือเจ้าประจำแล้ว ผู้ที่อเมริกาจะต้องจับตาแบบมองแบบไม่กระพริบ คือ จีนและรัสเซีย
    เมื่อ Bill Clinton เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ต่อจาก Bush ตัวพ่อในปี ค.ศ. 1993 สายเหยี่ยวของอเมริกาไม่ได้หุบปีก แต่กลับสยายมากขึ้น ถึงกับคิด Project for New American Century หรือ PNAC อันโด่งดัง ในปี ค.ศ. 2000 เขาได้เสนอรายงาน ชื่อ Rebuilding America’s Defenses : Strategy For Us and Resources for a New Century เป็นการวางแผนสำหรับการขยับขยาย เปลี่ยนรูปแบบของกองกำลังของอเมริกา เพื่อเตรียมตัวสำหรับการเข้าสู่ทรัพยากร และการสงครามในทุกสมรภูมิ ไม่ว่าใหญ่ระดับโลก หรือเล็กระดับประเทศ
    แต่ที่น่าสนใจคือนาย Zbigniew Brzezinski (หวังว่าคงจำชื่อนี้กันได้) ผู้ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของ Trilatleral Commission ให้กับนายโคตรรวย David Rockefeller รวมทั้งเป็นสมาชิก Bilderberg Group และอยู่ในคณะกรรมการของ Amnesty International และ National Endowment for Democracy (ถ้าไม่รู้จักสถาบันหลังนี้ ลองไปถามอาจารย์แถวท่าพระจันทร์ดูได้นะครับ) รวมทั้งเป็น trustee และที่ปรึกษาของ Center for Strategic and International Studies (CSIS) ที่โด่งดังในการเป็นมันสมอง ในการวางนโยบายด้านความมั่นคงระดับสูงให้แก่อเมริกา นาย Brzenzinski นี้ ถือว่าเป็น 1 ให้ผู้กุมชะตาโลก เพราะเขามีอิทธิพลต่อความคิดของพวกนักเล่นกล ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยของอเมริกาอย่างยิ่ง ในหนังสือของเขาชื่อ The Grand Chessboard ที่ออกมาเมื่อ ปี ค.ศ. 1997 บอกว่าสำหรับอเมริกาในอนาคต จงมองไปที่ Eurasia สำหรับอีก 50 ปีข้างหน้า ความเป็นไปของโลก มันจะเริ่มหรือเกี่ยวกับพื้นที่บริเวณ Eurasia นี้แหละ ใครที่ควบคุม Eurasia ได้ ก็เหมือนกับจะควบคุมชะตาโลกได้ปริยาย และนับตั้งแต่นั้นมา นโยบายของอเมริกาก็ดูเหมือนจะไปในทิศทาง ตามที่เข็มทิศยี่ห้อนาย Bzenzinski ชี้ทางเอาไว้ทั้งสิ้น เช่นเดียวกัน กับคำพูดของนาย Kissinger เมื่อเกือบ 50 ปีก่อน


    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 2 ตอน บทส่งท้าย นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” บทส่งท้าย ไม่นานหลังจาก George Bush ได้ประกาศว่าเราจะจัดระเบียบโลกใหม่ ในปี ค.ศ. 1991 ยุทธศาสตร์ของอเมริกาที่ทยอยออกมา ก็แสดงให้เห็นถึงทิศทางเดินของอเมริกาชัดเจนขึ้น ใบประกาศหมายเลข 1 ออกมาเมื่อ ค.ศ. 1992 Defense Planning Guidance เกี่ยวกับการวางแผนด้านกองกำลังของอเมริกา เพื่อให้แน่ใจ (กับใครบ้าง?) ว่า จะไม่มีใครกล้าถลามาเป็นคู่แข่งกับอเมริกาในยุโรปตะวันตก เอเซีย หรือ บริเวณที่เคยเป็นสหภาพโซเวียตเดิม เอกสารนี้ระบุชัดเจนว่า โลกใบนี้ไม่มีใครจะมามีอำนาจเหนืออเมริกาอีกแล้ว ผู้ที่เป็นมันสมองในการจัดทำเอกสารนี้คือ นาย Paul Wolfowitz ซึ่งขณะนั้นรับตำแหน่งเลขาธิการด้านความมั่นคงอยู่ที่ Pentagon และต่อมาเขาได้เลื่อนเป็นผู้ช่วยรมว.กลาโหม ในสมัยรัฐบาล Bush ตัวพ่อนั่นแหละ หลังจากนั้นก็มารับตำแหน่งประธานธนาคารโลก World Bank นาย Wolf นี้เป็นสมาชิกของ Bilderberg Group, Trilateral Commission และ Council on Foreign Relations (ครบชุด 3 สถาบันผู้ทรงอิทธิพล) ปัจจุบันประจำการอยู่ที่ American Enterprise Institute ซึ่งเป็น think tank สำคัญสำหรับผู้ไม่ประสงค์จะเปิดเผยตัว ส่วนสำคัญของเอกสารดังกล่าว เน้นว่าการจัดระเบียบโลกใหม่ ในด้านของกองกำลังของอเมริกา จะต้องปฏิบัติการได้ เมื่อจำเป็น โดยไม่ต้องพึ่งพาหรือเล่นเป็นวงกับใคร พูดง่าย ๆ เป็นพระเอกแสดงเดี่ยว ก็ต้องเอาโลกนี้อยู่ในมือได้ ในประดานักเลงคนละค่าย ที่จะทำให้อเมริกาคันไม้คันมือ นอกเหนือจากอิรัคและเกาหลีเหนือเจ้าประจำแล้ว ผู้ที่อเมริกาจะต้องจับตาแบบมองแบบไม่กระพริบ คือ จีนและรัสเซีย เมื่อ Bill Clinton เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ต่อจาก Bush ตัวพ่อในปี ค.ศ. 1993 สายเหยี่ยวของอเมริกาไม่ได้หุบปีก แต่กลับสยายมากขึ้น ถึงกับคิด Project for New American Century หรือ PNAC อันโด่งดัง ในปี ค.ศ. 2000 เขาได้เสนอรายงาน ชื่อ Rebuilding America’s Defenses : Strategy For Us and Resources for a New Century เป็นการวางแผนสำหรับการขยับขยาย เปลี่ยนรูปแบบของกองกำลังของอเมริกา เพื่อเตรียมตัวสำหรับการเข้าสู่ทรัพยากร และการสงครามในทุกสมรภูมิ ไม่ว่าใหญ่ระดับโลก หรือเล็กระดับประเทศ แต่ที่น่าสนใจคือนาย Zbigniew Brzezinski (หวังว่าคงจำชื่อนี้กันได้) ผู้ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของ Trilatleral Commission ให้กับนายโคตรรวย David Rockefeller รวมทั้งเป็นสมาชิก Bilderberg Group และอยู่ในคณะกรรมการของ Amnesty International และ National Endowment for Democracy (ถ้าไม่รู้จักสถาบันหลังนี้ ลองไปถามอาจารย์แถวท่าพระจันทร์ดูได้นะครับ) รวมทั้งเป็น trustee และที่ปรึกษาของ Center for Strategic and International Studies (CSIS) ที่โด่งดังในการเป็นมันสมอง ในการวางนโยบายด้านความมั่นคงระดับสูงให้แก่อเมริกา นาย Brzenzinski นี้ ถือว่าเป็น 1 ให้ผู้กุมชะตาโลก เพราะเขามีอิทธิพลต่อความคิดของพวกนักเล่นกล ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยของอเมริกาอย่างยิ่ง ในหนังสือของเขาชื่อ The Grand Chessboard ที่ออกมาเมื่อ ปี ค.ศ. 1997 บอกว่าสำหรับอเมริกาในอนาคต จงมองไปที่ Eurasia สำหรับอีก 50 ปีข้างหน้า ความเป็นไปของโลก มันจะเริ่มหรือเกี่ยวกับพื้นที่บริเวณ Eurasia นี้แหละ ใครที่ควบคุม Eurasia ได้ ก็เหมือนกับจะควบคุมชะตาโลกได้ปริยาย และนับตั้งแต่นั้นมา นโยบายของอเมริกาก็ดูเหมือนจะไปในทิศทาง ตามที่เข็มทิศยี่ห้อนาย Bzenzinski ชี้ทางเอาไว้ทั้งสิ้น เช่นเดียวกัน กับคำพูดของนาย Kissinger เมื่อเกือบ 50 ปีก่อน คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ส่วนตัวในเวลานี้มองข้ามอธิปไตยประเทศไทยไปนานแล้ว,
    ..เป้าคือกำจัดฮุนเซนอาชญากรสงครามต่อไทย.
    ..อีกเป้าหมายคือกำจัดประเทศเขมรมิให้เป็นแหล่งฮับสาระพัดชั่วเลวที่ก่อความเดือดร้อนจริงไปทั่วโลกและทั่วอาเชียนร่วมถึงไทยที่มีการหลอกลวงคนไทยสาระพัดรูปแบบเพื่อไปค้าแรงงานทำตัง ค้ามนุษย์ค้าทางเพศค้าอวัยวะ ค้ายาค้าการพนันและเถื่อนๆสาระพัด,การเข้าทำลายเคลียร์ทิ้งประเทศเขมรจึงสำคัญโดยกำจัดตระกูลฮุนเซนก่อนคือฮุนเซนฮุนมาเนตนั้นเอง นั้นคือลาว เวียดนามที่ติดใกล้ต้องเข้าร่วมด้วย เพราะเวลาแบ่งพื้นที่กันจะดูดีกว่า,จีน รัสเชีย อเมริกาฝ่ายดีต้องเข้าร่วมด้วย ,พรมแดนเขมรปิดด่านทุกๆด่านห้ามคนเขมรออก ใครหน้าไหนก็ห้ามออก,เพราะจะตามไล่ล่ากำจัดทิ้งพวกค้ามนุษย์ค้าอวัยวะทั้งหมดจริงทันที,ยิงทิ้งหรือประหารชีวิตสถานเดียวนั้นเองคนพวกนี้รกโลก ทำร้ายทำลายมนุษย์ด้วยกันเองในแดนดินการปกป้องคุ้มครองโดยฮุนเซนประเทศฮุนเซนนี้ กษัตริย์สีหนุสมควรถูกประหารด้วยที่รู้เห็นเป็นใจในการกระทำนี้มิปกป้องคนที่ถูกหลอกลวงมา ร่วมจำกัดอิสระภาพเสรีคนเหล่านี้ สรุปเขมรต้องถูกทำลายไปพวกกับสิ่งชั่วๆเต็มเขมร เป็นภัยร้ายแรงต่อคนไทยและต่อประชาชนทั่วโลก.
    ..ประเทศเขมรต้องถูกกำจัดทำลายทิ้งให้สิ้นซาก.

    https://youtube.com/shorts/Ng9ujsusqFw?si=YeenKTwD5ul6s6sK
    ..ส่วนตัวในเวลานี้มองข้ามอธิปไตยประเทศไทยไปนานแล้ว, ..เป้าคือกำจัดฮุนเซนอาชญากรสงครามต่อไทย. ..อีกเป้าหมายคือกำจัดประเทศเขมรมิให้เป็นแหล่งฮับสาระพัดชั่วเลวที่ก่อความเดือดร้อนจริงไปทั่วโลกและทั่วอาเชียนร่วมถึงไทยที่มีการหลอกลวงคนไทยสาระพัดรูปแบบเพื่อไปค้าแรงงานทำตัง ค้ามนุษย์ค้าทางเพศค้าอวัยวะ ค้ายาค้าการพนันและเถื่อนๆสาระพัด,การเข้าทำลายเคลียร์ทิ้งประเทศเขมรจึงสำคัญโดยกำจัดตระกูลฮุนเซนก่อนคือฮุนเซนฮุนมาเนตนั้นเอง นั้นคือลาว เวียดนามที่ติดใกล้ต้องเข้าร่วมด้วย เพราะเวลาแบ่งพื้นที่กันจะดูดีกว่า,จีน รัสเชีย อเมริกาฝ่ายดีต้องเข้าร่วมด้วย ,พรมแดนเขมรปิดด่านทุกๆด่านห้ามคนเขมรออก ใครหน้าไหนก็ห้ามออก,เพราะจะตามไล่ล่ากำจัดทิ้งพวกค้ามนุษย์ค้าอวัยวะทั้งหมดจริงทันที,ยิงทิ้งหรือประหารชีวิตสถานเดียวนั้นเองคนพวกนี้รกโลก ทำร้ายทำลายมนุษย์ด้วยกันเองในแดนดินการปกป้องคุ้มครองโดยฮุนเซนประเทศฮุนเซนนี้ กษัตริย์สีหนุสมควรถูกประหารด้วยที่รู้เห็นเป็นใจในการกระทำนี้มิปกป้องคนที่ถูกหลอกลวงมา ร่วมจำกัดอิสระภาพเสรีคนเหล่านี้ สรุปเขมรต้องถูกทำลายไปพวกกับสิ่งชั่วๆเต็มเขมร เป็นภัยร้ายแรงต่อคนไทยและต่อประชาชนทั่วโลก. ..ประเทศเขมรต้องถูกกำจัดทำลายทิ้งให้สิ้นซาก. https://youtube.com/shorts/Ng9ujsusqFw?si=YeenKTwD5ul6s6sK
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระทรวงกลาโหมรัสเซีย รายงานการใช้เรือผิวน้ำไร้คนขับ (USV) โจมตีเรือตรวจการณ์ "ซิมเฟโรโพล" (Симферополь) ของยูเครน ที่ปากแม่น้ำดานูบ (Danube) ใกล้เมืองวิลโคโว (Vylkove) ในเขตภูมิภาคโอเดสซา (Odessa) ซึ่งเป็นพรมแดนระหว่างยูเครนและโรมาเนีย

    นับเป็นครั้งแรกที่กองทัพรัสเซีย เผยแพร่คลิป และรายงานอย่างเป็นทางการถึงการใช้เรือเร็วไร้คนขับ ในการโจมตีทางทะเล
    การโจมตีครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการโจมตียูเครนเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณเตือนไปถึงนาโตอีกด้วย ว่ารัสเซียครอบครองเหนือพื้นที่น่านทะเลดำ (Black Sea)

    สังเกตว่าเรือตรวจการณ์ของยูเครนลำดังกล่าวถูกคลุมด้วยตาข่ายป้องกันโดรนทางอากาศ แต่ยูเครนคงไม่คาดคิดว่า รัสเซียจะเริ่มใช้เรือผิวน้ำไร้คนขับ

    เรือโดรนของรัสเซียลำนี้ไม่เพียงแค่เดินทางหลายร้อยกิโลเมตรข้ามทะเลดำเท่านั้น แต่ยังสามารถแล่นเข้าไปในส่วนที่เป็นแม่น้ำดานูบที่มีความคดเคี้ยวอีก 25 กิโลเมตรด้วย!
    กระทรวงกลาโหมรัสเซีย รายงานการใช้เรือผิวน้ำไร้คนขับ (USV) โจมตีเรือตรวจการณ์ "ซิมเฟโรโพล" (Симферополь) ของยูเครน ที่ปากแม่น้ำดานูบ (Danube) ใกล้เมืองวิลโคโว (Vylkove) ในเขตภูมิภาคโอเดสซา (Odessa) ซึ่งเป็นพรมแดนระหว่างยูเครนและโรมาเนีย นับเป็นครั้งแรกที่กองทัพรัสเซีย เผยแพร่คลิป และรายงานอย่างเป็นทางการถึงการใช้เรือเร็วไร้คนขับ ในการโจมตีทางทะเล การโจมตีครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการโจมตียูเครนเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณเตือนไปถึงนาโตอีกด้วย ว่ารัสเซียครอบครองเหนือพื้นที่น่านทะเลดำ (Black Sea) สังเกตว่าเรือตรวจการณ์ของยูเครนลำดังกล่าวถูกคลุมด้วยตาข่ายป้องกันโดรนทางอากาศ แต่ยูเครนคงไม่คาดคิดว่า รัสเซียจะเริ่มใช้เรือผิวน้ำไร้คนขับ เรือโดรนของรัสเซียลำนี้ไม่เพียงแค่เดินทางหลายร้อยกิโลเมตรข้ามทะเลดำเท่านั้น แต่ยังสามารถแล่นเข้าไปในส่วนที่เป็นแม่น้ำดานูบที่มีความคดเคี้ยวอีก 25 กิโลเมตรด้วย!
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sherry Duck Special #1
    Single : ภาพฝันที่ไม่ชัดเจน
    https://youtu.be/POeN6oh0Gdg
    Artist : Mr. Morgan And Shaw Sherry Duck
    Lyric & Melody : Shaw Sherry Duck
    Arrange & Musician : Mr. Morgan
    Saxophone : Mr. Dan
    Vocal & Chorus : Shaw
    Mixed : Mr. Morgan
    Mastering : Shaw Sherry Duck
    Producer : เฮียชอว์ & อ.มอร์แกน
    Edit Video : รวย จัง ชอว์
    Actor : น้องหมวยแอน / หนึ่ง รูมเชคเกอร์
    ขอขอบคุณ : อ.แดน / หนึ่ง Room Shaker / น้องหมวยแอน
    สำนักเพลง ดงเพลง (Dongpleng Record)
    ทีวีภูเก็ต - TV PHUKET
    #ภาพฝันที่ไม่ชัดเจน
    #newsingle #newsongs #Sherryduck #shawsherryduck #ชอว์เชอร์รี่ดั๊ก #ศิลปินนักร้องอัลเทอร์ยุค90 #indieArtist #อินดี้โคตรๆ #ชอว์พิชิต#Alternative #อัลเทอร์เนทีฟ #ศิลปะดนตรีกวีธรรมชาติ #ดงเพลง #DongplengRecord #ทีวีภูเก็ต #tvphuket #morganrockneverdie
    Sherry Duck Special #1 Single : ภาพฝันที่ไม่ชัดเจน https://youtu.be/POeN6oh0Gdg Artist : Mr. Morgan And Shaw Sherry Duck Lyric & Melody : Shaw Sherry Duck Arrange & Musician : Mr. Morgan Saxophone : Mr. Dan Vocal & Chorus : Shaw Mixed : Mr. Morgan Mastering : Shaw Sherry Duck Producer : เฮียชอว์ & อ.มอร์แกน Edit Video : รวย จัง ชอว์ Actor : น้องหมวยแอน / หนึ่ง รูมเชคเกอร์ ขอขอบคุณ : อ.แดน / หนึ่ง Room Shaker / น้องหมวยแอน สำนักเพลง ดงเพลง (Dongpleng Record) ทีวีภูเก็ต - TV PHUKET #ภาพฝันที่ไม่ชัดเจน #newsingle #newsongs #Sherryduck #shawsherryduck #ชอว์เชอร์รี่ดั๊ก #ศิลปินนักร้องอัลเทอร์ยุค90 #indieArtist #อินดี้โคตรๆ #ชอว์พิชิต​ #Alternative #อัลเทอร์เนทีฟ #ศิลปะดนตรีกวีธรรมชาติ #ดงเพลง #DongplengRecord #ทีวีภูเก็ต #tvphuket #morganrockneverdie
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • 19 Rare And Obscure Color Words Unlike Any Others

    Do you know all of your colors? No, we aren’t just talking about red and green. We mean color words like quercitron, puce, and dragon’s blood. There are so many unique and fascinating words that describe shades of color in our language. If you stop at the basics, you might just miss out on some of the most vivid and historically interesting shades that exist. Luckily, we’re here to prevent that. To celebrate all of the colors of the rainbow, and then some, we’ve put together a list of rare color words that are unlike any other. Keep reading for 19 obscure color words you may not have heard before.

    1. dragon’s blood
    This shade of red has a great name, but we’re sorry to disappoint you: it doesn’t actually come from dragons. Dragon’s blood is also sometimes called Pompeian red, and it’s a “dull, grayish red.” The color is associated with the deep-red resin that exudes from the fruit of palms, like the Malaysian palm and the dragon tree. It was first recorded in English in the 1590s.

    2. quercitron
    Quercitron might sound like a new type of robot technology, but it’s actually a shade of yellow. It’s named for the yellow dye produced by the bark of an oak tree that’s native to eastern North America. The word is a combination of the Latin quercus, or “oak,” and citron, “a grayish-green yellow color.”

    3. ultramarine
    If you’re imagining ultramarine as “a deep-blue color,” you are correct. In Medieval Latin, from which this word derives, ultramarinus literally means “beyond the sea.” This is because, historically, pigment from the mineral lapis lazuli was needed to make ultramarine dye, and this mineral had to be imported to Europe from Asia. Ultramarine has been in use in English since the late 1500s.

    4. annatto
    Annatto is a yellowish-red color, named for the dye that can be obtained from the pulp enclosing the seeds of the tree of the same name. This tree is also sometimes called the lipstick tree, and its dye is still used today to color cosmetics, butter, and cheese. The word annatto was borrowed into English from Carib.

    5. Tyrian purple
    Looking for “a vivid, purplish red”? Tyrian purple is your color. Tyrian purple was highly prized during the Byzantine empire, in part because of how difficult it was to obtain. The base to create this shade of purple had to be obtained from the secretions of a predatory sea snail. The term Tyrian purple has been in use in English since the late 1500s.

    6. Mazarine
    Mazarine is “a deep, rich blue,” most commonly associated with textiles and ceramics. The word first entered English between 1665 to 1675, but its origins aren’t fully known. The name may be an homage to a famous Italian cardinal, Cardinal Mazarin, who was culturally influential.

    7. cerulean
    Speaking of shades of blue, what about cerulean? Cerulean is best described as “deep blue; sky blue; azure.” In fact, it comes from the Latin caeruleus, meaning “dark blue.” The word has been in use in English since the mid-1600s, though the artist’s cerulean blue emerged closer to the late 1800s.

    8. greige
    What do you call “a warm beige color with gray undertones”? Greige, of course. This may sound like a trendy compound word that was invented by HGTV in the 2000s, but the color greige has actually been around for a while. Its name was first recorded in English as early as 1925, and it actually comes from the French grège, meaning “raw,” which was used to describe silk.

    9. citreous
    If the word citreous gives you visions of lemons and limes, you’re on the right track. This color is “lemon-yellow” or “greenish-yellow.” As you may have guessed, it is closely associated with citrus. In Latin, citreus means “of the citrus tree.” We’ve been using this term in English since at least 1865.

    10. ponceau
    You might see ponceau during a sunset. It means “a vivid reddish-orange color.” It may also make you think of poppies, as it likely derives from the Old French pouncel, or “poppy.” It was first recorded in English as early as 1825.

    11. sepia
    If you’ve ever used an Instagram filter, you’re probably familiar with sepia. This “brown, grayish brown, or olive brown” is often used in photography to give photos an old-fashioned vibe. The Latin sēpia, from which this word originates, means “cuttlefish” (and this is the creature that secretes the pigment used to create sepia).

    12. gamboge
    Gamboge is a “yellow or yellow-orange” color. It’s named for the yellow color of gum resin that comes from a type of tree native to Cambodia. Gamboge comes from Modern Latin cambogium, which is the Latin version of the place name Cambodia. This distinctive color name first appeared in English in the early 1600s.

    13. lovat
    Lovat doesn’t just describe one color. It means “a grayish blend of colors, especially of green, used in textiles, as for plaids.” First recorded between 1905 and 1910, lovat is likely named after Thomas Alexander Fraser, also known as Lord Lovat, who helped popularize tweeds in muted colors as attire for hunters.

    14. smaragdine
    If something is “emerald-green in color,” you can call it smaragdine. While this term is more rare, smaragd actually means “emerald” in Middle English. It’s likely that English speakers borrowed the term from the Greek smarágdinos, which was probably itself borrowed from Sanskrit marakata. The term has a long history and was first recorded in English as early as 1350.

    15. puce
    In French, puce means “flea” or “flea-colored.” In English, it’s most often used to describe “a dark or brownish purple.” Historically, it may also have been associated with the color of the scab or mark that a flea bite leaves behind. In any case, this creepy, crawly color word has existed in English since the 1780s.

    16. Viridian
    Let’s talk about green things, like Kermit the Frog, grass, or viridian. Viridian is the color of “a long-lasting bluish-green pigment.” Its name comes from the Latin viridi or viridis, which literally means “green.” Viridian entered English in the 1800s.

    17. heliotrope
    Heliotrope may sound like a chemical compound, but it’s actually a color that comes from a plant. It means “a light tint of purple; reddish lavender,” as found on the flowers of several plants belonging to the genus Heliotropium. These plants turn their leaves to the sun, hence their name, which can be traced to the Greek god Helios, or “sun.”

    18. sable
    Sable is another word for the color black. Typically it describes something “very dark or black,” that resembles the fur of an actual sable, an Old World weasel-like mammal. Sable entered English in the late 1200s or early 1300s.

    19. wheaten
    What color is wheaten? It might not surprise you to find out that this color word is pretty literal. It means “of the color of wheat, especially a pale yellow-brown color.” It’s also among the oldest words on our list, appearing in English before the year 900.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    19 Rare And Obscure Color Words Unlike Any Others Do you know all of your colors? No, we aren’t just talking about red and green. We mean color words like quercitron, puce, and dragon’s blood. There are so many unique and fascinating words that describe shades of color in our language. If you stop at the basics, you might just miss out on some of the most vivid and historically interesting shades that exist. Luckily, we’re here to prevent that. To celebrate all of the colors of the rainbow, and then some, we’ve put together a list of rare color words that are unlike any other. Keep reading for 19 obscure color words you may not have heard before. 1. dragon’s blood This shade of red has a great name, but we’re sorry to disappoint you: it doesn’t actually come from dragons. Dragon’s blood is also sometimes called Pompeian red, and it’s a “dull, grayish red.” The color is associated with the deep-red resin that exudes from the fruit of palms, like the Malaysian palm and the dragon tree. It was first recorded in English in the 1590s. 2. quercitron Quercitron might sound like a new type of robot technology, but it’s actually a shade of yellow. It’s named for the yellow dye produced by the bark of an oak tree that’s native to eastern North America. The word is a combination of the Latin quercus, or “oak,” and citron, “a grayish-green yellow color.” 3. ultramarine If you’re imagining ultramarine as “a deep-blue color,” you are correct. In Medieval Latin, from which this word derives, ultramarinus literally means “beyond the sea.” This is because, historically, pigment from the mineral lapis lazuli was needed to make ultramarine dye, and this mineral had to be imported to Europe from Asia. Ultramarine has been in use in English since the late 1500s. 4. annatto Annatto is a yellowish-red color, named for the dye that can be obtained from the pulp enclosing the seeds of the tree of the same name. This tree is also sometimes called the lipstick tree, and its dye is still used today to color cosmetics, butter, and cheese. The word annatto was borrowed into English from Carib. 5. Tyrian purple Looking for “a vivid, purplish red”? Tyrian purple is your color. Tyrian purple was highly prized during the Byzantine empire, in part because of how difficult it was to obtain. The base to create this shade of purple had to be obtained from the secretions of a predatory sea snail. The term Tyrian purple has been in use in English since the late 1500s. 6. Mazarine Mazarine is “a deep, rich blue,” most commonly associated with textiles and ceramics. The word first entered English between 1665 to 1675, but its origins aren’t fully known. The name may be an homage to a famous Italian cardinal, Cardinal Mazarin, who was culturally influential. 7. cerulean Speaking of shades of blue, what about cerulean? Cerulean is best described as “deep blue; sky blue; azure.” In fact, it comes from the Latin caeruleus, meaning “dark blue.” The word has been in use in English since the mid-1600s, though the artist’s cerulean blue emerged closer to the late 1800s. 8. greige What do you call “a warm beige color with gray undertones”? Greige, of course. This may sound like a trendy compound word that was invented by HGTV in the 2000s, but the color greige has actually been around for a while. Its name was first recorded in English as early as 1925, and it actually comes from the French grège, meaning “raw,” which was used to describe silk. 9. citreous If the word citreous gives you visions of lemons and limes, you’re on the right track. This color is “lemon-yellow” or “greenish-yellow.” As you may have guessed, it is closely associated with citrus. In Latin, citreus means “of the citrus tree.” We’ve been using this term in English since at least 1865. 10. ponceau You might see ponceau during a sunset. It means “a vivid reddish-orange color.” It may also make you think of poppies, as it likely derives from the Old French pouncel, or “poppy.” It was first recorded in English as early as 1825. 11. sepia If you’ve ever used an Instagram filter, you’re probably familiar with sepia. This “brown, grayish brown, or olive brown” is often used in photography to give photos an old-fashioned vibe. The Latin sēpia, from which this word originates, means “cuttlefish” (and this is the creature that secretes the pigment used to create sepia). 12. gamboge Gamboge is a “yellow or yellow-orange” color. It’s named for the yellow color of gum resin that comes from a type of tree native to Cambodia. Gamboge comes from Modern Latin cambogium, which is the Latin version of the place name Cambodia. This distinctive color name first appeared in English in the early 1600s. 13. lovat Lovat doesn’t just describe one color. It means “a grayish blend of colors, especially of green, used in textiles, as for plaids.” First recorded between 1905 and 1910, lovat is likely named after Thomas Alexander Fraser, also known as Lord Lovat, who helped popularize tweeds in muted colors as attire for hunters. 14. smaragdine If something is “emerald-green in color,” you can call it smaragdine. While this term is more rare, smaragd actually means “emerald” in Middle English. It’s likely that English speakers borrowed the term from the Greek smarágdinos, which was probably itself borrowed from Sanskrit marakata. The term has a long history and was first recorded in English as early as 1350. 15. puce In French, puce means “flea” or “flea-colored.” In English, it’s most often used to describe “a dark or brownish purple.” Historically, it may also have been associated with the color of the scab or mark that a flea bite leaves behind. In any case, this creepy, crawly color word has existed in English since the 1780s. 16. Viridian Let’s talk about green things, like Kermit the Frog, grass, or viridian. Viridian is the color of “a long-lasting bluish-green pigment.” Its name comes from the Latin viridi or viridis, which literally means “green.” Viridian entered English in the 1800s. 17. heliotrope Heliotrope may sound like a chemical compound, but it’s actually a color that comes from a plant. It means “a light tint of purple; reddish lavender,” as found on the flowers of several plants belonging to the genus Heliotropium. These plants turn their leaves to the sun, hence their name, which can be traced to the Greek god Helios, or “sun.” 18. sable Sable is another word for the color black. Typically it describes something “very dark or black,” that resembles the fur of an actual sable, an Old World weasel-like mammal. Sable entered English in the late 1200s or early 1300s. 19. wheaten What color is wheaten? It might not surprise you to find out that this color word is pretty literal. It means “of the color of wheat, especially a pale yellow-brown color.” It’s also among the oldest words on our list, appearing in English before the year 900. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • ## ธนาคารกลางทั่วโลกถือ ทองคำ มากกว่า US Treasuries ##
    ..
    ..
    Crescat Capital บอกว่า สัดส่วนการถือ ทองคำ ของ ธนาคารกลางทั่วโลกพุ่งแตะ 27% ของทุนสำรองต่างประเทศ สูงสุดในรอบ 29 ปี
    .
    ขณะที่สัดส่วนการถือ พันธบัตรอเมริกา (US Treasuries) ลดลงเหลือแค่ 23% ต่ำสุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงิน 2008
    .
    นี่คือครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1996 ที่ธนาคารกลางโลกถือ ทองคำ มากกว่า พันธบัตรอเมริกา...!!!
    .
    เตรียมตัว พุ่งเพื่อจบ คลื่น 5 ของ 3...???
    .
    ## ธนาคารกลางทั่วโลกถือ ทองคำ มากกว่า US Treasuries ## .. .. Crescat Capital บอกว่า สัดส่วนการถือ ทองคำ ของ ธนาคารกลางทั่วโลกพุ่งแตะ 27% ของทุนสำรองต่างประเทศ สูงสุดในรอบ 29 ปี . ขณะที่สัดส่วนการถือ พันธบัตรอเมริกา (US Treasuries) ลดลงเหลือแค่ 23% ต่ำสุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงิน 2008 . นี่คือครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1996 ที่ธนาคารกลางโลกถือ ทองคำ มากกว่า พันธบัตรอเมริกา...!!! . เตรียมตัว พุ่งเพื่อจบ คลื่น 5 ของ 3...??? . 😁😁😁😁😁😁😁😁😁😁😁😁😁😁
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจ้ปลาเปาโล #โรงพยาบาลเปาโล #สมุทรปราการ #กินอะไรดี #ร้านดีบอกต่อ #อร่อยบอกต่อ #กิน #อร่อย #อาหาร #eat #food #foodie #delicious #thaifood #streetfood #กินง่ายริมทาง #thaitimes #kaiaminute
    เจ้ปลาเปาโล #โรงพยาบาลเปาโล #สมุทรปราการ #กินอะไรดี #ร้านดีบอกต่อ #อร่อยบอกต่อ #กิน #อร่อย #อาหาร #eat #food #foodie #delicious #thaifood #streetfood #กินง่ายริมทาง #thaitimes #kaiaminute
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 101 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 25 : เหยื่อ (2)
    ปี ค.ศ. 1991 อเมริกาโดยประธานาธิบดี GHW Bush ประกาศ “New World Order” การจัดระเบียบโลกใหม่ ประกาศให้โลกรู้ว่า อเมริกากำลังเล่นบทนักล่าจักรวรรดินิยม ยุคใหม่อย่างจริงจัง ไม่ปิดบังเหนียมอายกันแล้ว อเมริกาจะครองโลก และจะทำทุกอย่างที่จะไปสู่เป้าหมายนั้น และเพื่อให้ชัดเจน อำนาจของอเมริกาต้องแผ่ขยายควบคุม โดยเฉพาะกับญี่ปุ่น สภาพยุโรป (EU) และที่สำคัญคือ มังกรที่กำลังโตขึ้นเป็นคู่แข่ง คือจีน
    อเมริกาวางยุทธศาสตร์เบื้องต้นว่าจะต้อง “สร้าง” แผนปฎิบัติการอะไรบ้าง
    – ตั้งเป้าหมายให้รัสเซีย ยุโรปตะวันออก และส่วนอื่น ๆ ของโลกยอมรับกฎกติกาของ IMFและรับว่าดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลัก
    – ควบคุมทุกประเทศที่มีแหล่งพลังงาน หรือแหล่งวัตถุดิบที่สำคัญ
    – สร้างและประกาศให้รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของกองทัพของอเมริกา เอาไว้ใช้กับมันผู้ใดที่คัดค้านหรือท้าทาย กฎ กติกา ของอเมริกา
    กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จตามเป้าหมาย คือ คำที่เรียกว่ากันว่าโลกาภิวัฒน์ (globalization) ในช่วงนั้น ใครไม่รู้จักคำนี้ สมควรไปปลูกกระท่อมอยู่หลังเขา ใครอยากทันสมัยต้องพูดคำว่า โลกาภิวัฒน์ วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร รู้จักจริง ๆ ไหมว่าโลกภิวัฒน์คืออะไร และผลของมันเป็นอย่างไร แต่เราก็ท่องมนต์บ่นหา โลกาภิวัฒน์กันมาตั้งแต่ เขาเอามาหยอดใส่หูเรา เมื่อ 10 กว่าปี มานี้
    โลกาภิวัฒน์จะมีคนเขียนอธิบายว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่สำหรับอเมริกา มันหมายถึง การดำเนินการที่จะไม่มีอะไรมาปิดกั้น อำนาจของอเมริกาได้อีกแล้ว การเมือง เศรษฐกิจ การทหาร ทุกอย่างรวมเป็นพลังอำนาจของอเมริกา ที่จะนำไปใช้กับทุกเป้าหมายและทุกจุดประสงค์ แต่หลังจาก ค.ศ. 1990 เป็นต้นมา เศรษฐกิจของญี่ปุ่นแข็งแรงอย่างยิ่ง และทำท่าจะเป็นผู้นำโลกทางด้านเศรษฐกิจและการธนาคาร แล้วอเมริกาจะดูไปเฉย ๆ ได้อย่างไร ตั้งแต่เป็นประเทศอุตสาหกรรมเต็มรูปแบบในช่วงปี 1960 กว่า เป็นต้นมา ไม่มีใครไม่รู้จัก Sony ไม่มีใครไม่รู้จักรถ Toyota เมื่อตอนที่พวกโคตรรวย Rockefeller ส่งเทียบไปเชิญญี่ปุ่นมาเข้าสมาคม Trilateral Commission น่ะ มันปรารถนาดีเต็มร้อยหรือไร สุภาษิตที่ว่ามีมิตรอยู่ใกล้ แต่ต้องให้ศัตรูอยู่ใกล้กว่าน่ะ ใช้ได้ทุกชาติ ทุกสมัย อเมริกาเอาญี่ปุ่นมาหนีบไว้ ญี่ปุ่นจะได้แหกคอกยากจะก้าวย่างไปทางไหน เจ้าของคอกก็ตามรอยได้ง่ายกว่า แล้วพวกสมันน้อยที่เขาเชิญ ๆ ไป เป็นสมาชิกน่ะ คิดกันในแง่นี้บ้างไหม หรือมัวแต่ภูมิใจว่าเขาให้เกียรติเราอย่างสูง ที่ให้ไปอยู่ในสมาคมชั้นสูงของพวกโคตรรวย !
    อเมริกาได้พยายามให้ญี่ปุ่นลดอัตราดอกเบี้ยมาตลอด มาสำเร็จเอาในปี ค.ศ. 1987 ญี่ปุ่นตกลงลดดอกเบี้ยเงินกู้เหลือเพียง 2.5% จนถึงปี ค.ศ. 1989 แค่ 2 ปี แต่ก็เพียงพอให้เงินราคาถูกไหลเข้าญี่ปุ่น อสังหาริมทรัพย์ญี่ปุ่นเริ่มมีการเปลี่ยนมือหลายรอบ ยิ่งเปลี่ยนมือ ราคายิ่งแพงขึ้น ฟองสบู่ค่อย ๆ ลอยขึ้นมา แล้วเงินเย็นก็เริ่มร้อนสูงขึ้นไป 40% เมื่อเทียบกับดอลล่าร์ ธนาคารชั้นนำของโลก ก็พากันเดินแถวเข้าไปเปิดกิจการในญี่ปุ่น ขบวนการปั่นหุ้น ปั่นทรัพย์สินในญี่ปุ่น เกิดขึ้นอย่างเร่งรีบ แล้วทุกอย่างขึ้นถึงยอดเขาในปลายปี ค.ศ. 1989 แล้ว ก็หมุนย้อนลงไปสู่จุดตกต่ำ เมื่อต้นปี ค.ศ. 2003 มันเกิดขึ้นได้อย่างไร นักวิเคราะห์ชาวญี่ปุ่นพากันเป็นโรคมึน

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 25 : เหยื่อ (2) ปี ค.ศ. 1991 อเมริกาโดยประธานาธิบดี GHW Bush ประกาศ “New World Order” การจัดระเบียบโลกใหม่ ประกาศให้โลกรู้ว่า อเมริกากำลังเล่นบทนักล่าจักรวรรดินิยม ยุคใหม่อย่างจริงจัง ไม่ปิดบังเหนียมอายกันแล้ว อเมริกาจะครองโลก และจะทำทุกอย่างที่จะไปสู่เป้าหมายนั้น และเพื่อให้ชัดเจน อำนาจของอเมริกาต้องแผ่ขยายควบคุม โดยเฉพาะกับญี่ปุ่น สภาพยุโรป (EU) และที่สำคัญคือ มังกรที่กำลังโตขึ้นเป็นคู่แข่ง คือจีน อเมริกาวางยุทธศาสตร์เบื้องต้นว่าจะต้อง “สร้าง” แผนปฎิบัติการอะไรบ้าง – ตั้งเป้าหมายให้รัสเซีย ยุโรปตะวันออก และส่วนอื่น ๆ ของโลกยอมรับกฎกติกาของ IMFและรับว่าดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลัก – ควบคุมทุกประเทศที่มีแหล่งพลังงาน หรือแหล่งวัตถุดิบที่สำคัญ – สร้างและประกาศให้รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของกองทัพของอเมริกา เอาไว้ใช้กับมันผู้ใดที่คัดค้านหรือท้าทาย กฎ กติกา ของอเมริกา กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จตามเป้าหมาย คือ คำที่เรียกว่ากันว่าโลกาภิวัฒน์ (globalization) ในช่วงนั้น ใครไม่รู้จักคำนี้ สมควรไปปลูกกระท่อมอยู่หลังเขา ใครอยากทันสมัยต้องพูดคำว่า โลกาภิวัฒน์ วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร รู้จักจริง ๆ ไหมว่าโลกภิวัฒน์คืออะไร และผลของมันเป็นอย่างไร แต่เราก็ท่องมนต์บ่นหา โลกาภิวัฒน์กันมาตั้งแต่ เขาเอามาหยอดใส่หูเรา เมื่อ 10 กว่าปี มานี้ โลกาภิวัฒน์จะมีคนเขียนอธิบายว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่สำหรับอเมริกา มันหมายถึง การดำเนินการที่จะไม่มีอะไรมาปิดกั้น อำนาจของอเมริกาได้อีกแล้ว การเมือง เศรษฐกิจ การทหาร ทุกอย่างรวมเป็นพลังอำนาจของอเมริกา ที่จะนำไปใช้กับทุกเป้าหมายและทุกจุดประสงค์ แต่หลังจาก ค.ศ. 1990 เป็นต้นมา เศรษฐกิจของญี่ปุ่นแข็งแรงอย่างยิ่ง และทำท่าจะเป็นผู้นำโลกทางด้านเศรษฐกิจและการธนาคาร แล้วอเมริกาจะดูไปเฉย ๆ ได้อย่างไร ตั้งแต่เป็นประเทศอุตสาหกรรมเต็มรูปแบบในช่วงปี 1960 กว่า เป็นต้นมา ไม่มีใครไม่รู้จัก Sony ไม่มีใครไม่รู้จักรถ Toyota เมื่อตอนที่พวกโคตรรวย Rockefeller ส่งเทียบไปเชิญญี่ปุ่นมาเข้าสมาคม Trilateral Commission น่ะ มันปรารถนาดีเต็มร้อยหรือไร สุภาษิตที่ว่ามีมิตรอยู่ใกล้ แต่ต้องให้ศัตรูอยู่ใกล้กว่าน่ะ ใช้ได้ทุกชาติ ทุกสมัย อเมริกาเอาญี่ปุ่นมาหนีบไว้ ญี่ปุ่นจะได้แหกคอกยากจะก้าวย่างไปทางไหน เจ้าของคอกก็ตามรอยได้ง่ายกว่า แล้วพวกสมันน้อยที่เขาเชิญ ๆ ไป เป็นสมาชิกน่ะ คิดกันในแง่นี้บ้างไหม หรือมัวแต่ภูมิใจว่าเขาให้เกียรติเราอย่างสูง ที่ให้ไปอยู่ในสมาคมชั้นสูงของพวกโคตรรวย ! อเมริกาได้พยายามให้ญี่ปุ่นลดอัตราดอกเบี้ยมาตลอด มาสำเร็จเอาในปี ค.ศ. 1987 ญี่ปุ่นตกลงลดดอกเบี้ยเงินกู้เหลือเพียง 2.5% จนถึงปี ค.ศ. 1989 แค่ 2 ปี แต่ก็เพียงพอให้เงินราคาถูกไหลเข้าญี่ปุ่น อสังหาริมทรัพย์ญี่ปุ่นเริ่มมีการเปลี่ยนมือหลายรอบ ยิ่งเปลี่ยนมือ ราคายิ่งแพงขึ้น ฟองสบู่ค่อย ๆ ลอยขึ้นมา แล้วเงินเย็นก็เริ่มร้อนสูงขึ้นไป 40% เมื่อเทียบกับดอลล่าร์ ธนาคารชั้นนำของโลก ก็พากันเดินแถวเข้าไปเปิดกิจการในญี่ปุ่น ขบวนการปั่นหุ้น ปั่นทรัพย์สินในญี่ปุ่น เกิดขึ้นอย่างเร่งรีบ แล้วทุกอย่างขึ้นถึงยอดเขาในปลายปี ค.ศ. 1989 แล้ว ก็หมุนย้อนลงไปสู่จุดตกต่ำ เมื่อต้นปี ค.ศ. 2003 มันเกิดขึ้นได้อย่างไร นักวิเคราะห์ชาวญี่ปุ่นพากันเป็นโรคมึน คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 25 : เหยื่อ (1)
    เมื่อหมดยุคประธานาธิบดี Reagan ในปี ค.ศ. 1988 นาย George H W Bush (ตัวพ่อ) ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป เป็นช่วงที่หมดยุคสงครามเย็น เยอรมันตัดสินใจทุบกำแพง Berlin ออก เยอรมันตะวันออกกับตะวันตก จับมือรวมชาติพัฒนาประเทศด้วยกัน การตัดสินในเช่นนี้ ลึก ๆ แน่นอน ย่อมมีคนคัดจมูก หายใจไม่คล่องอยู่บ้าง ถ้าเศรษฐกิจของเยอรมันแข็งแรงและขยายตัวเต็มยุโรป อำนาจของอเมริกาในยุโรปก็เหมือนถูกท้าทาย นี่คือปฏิกิริยาของอเมริกาที่มีต่อทุกประเทศ ไม่ว่ามิตรหรือศัตรู อเมริกาจะมีปรอทวัดอาการของทุกชาติไว้อย่างถี่ถ้วน ถ้าชาติไหน เริ่มเจริญ ก้าวหน้าหรือมีความสำคัญ หรือเอนตัวผิดองศา ที่อเมริกาเห็นว่าน่าจะกลายเป็นคู่แข่ง หรืออุปสรรคต่ออเมริกาไม่ว่าทางใด ปรอทจะส่งสัญญาณเตือนทันที และกิจกรรมการเล่นกลก็จะเริ่มเกิดขึ้น
    อเมริกามองอาการของเยอรมันเหมือนสมัย ค.ศ. 1970 ช่วงที่อุตสาหกรรมกำลังบูม และความต้องการน้ำมันของประเทศผู้ประกอบกิจการอุตสาหกรรมก็จะสูงตามไปด้วย ค.ศ.นี้ก็ไม่ต่างกัน เยอรมันและชาติที่กำลังทำอุตสาหกรรมก็ต้องหิวน้ำมัน เพราะฉะนั้นอเมริกาต้องรีบหาทาง “กัก” น้ำมันไม่ให้ไปถึงประเทศพวกนั้น คราวนี้ใครจะเป็นเป้าหมายในการเล่นกล เพื่อให้ได้ผลตามที่อเมริกาต้องการ แล้ว Saddam ก็เป็นเหยื่อ หลังจากเปลี้ยมาจากการรบกับอิหร่านเกือบสิบปี ช่วงปี ค.ศ. 1980 – 1988 แผนการก็แบบเดิม ๆ ยุให้เขาตีกันก่อน เพื่อตัวเองจะได้เข้าไปในประเทศเขา (สมันน้อยอ่านตรงนี้ซ้ำ ๆ หน่อยนะ)
    อเมริกาเล่นกล โดยใช้ Kuwait เป็นเหยื่อล่อ Iraq ให้มากินเบ็ด Iraq งับทันที บุกเข้า Kuwait เพราะมีกรณีค้างคาใจกันอยู่หลายเรื่อง ตั้งแต่ร่วมมือกันรบอิหร่านแล้วเบี้ยวหนี้กัน ทะเลาะกันไปมาหลายเรื่อง แต่เรื่องที่ Saddam แค้นคือ Saddam กล่าวหาว่า Kuwait ขะโมยขุดน้ำมันแถวชายแดนของ Iraq แถม Kuwait ยังเกเรผลิตน้ำมันเกินข้อตกลงกันระหว่างประเทศ OPEC ซึ่งทำให้การควบคุมราคาน้ำมันในกลุ่ม OPEC มีปัญหา
    Iraq ตัดสินใจบุกคูเวตวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 1990 กองทัพของ Kuwait ต้านไม่ไหวหนีไปพึ่งใบบุญ Saudi Arabia กับ Bahrain Saddam จึงประกาศเอา Kuwait ผนวกกลับมาเป็นของ Iraq
    อะไรทำให้ Saddam ตัดสินใจทะเลาะกับเพื่อนบ้าน ข่าววงในแจ้งว่า เรื่อง Saddam อยากจะเคี้ยว Kuwait ไม่ได้เป็นความลับอะไร ถึงขนาดฑูตอเมริกา ชื่อคุณนาย April Glaspie ไปเดินถามนายทหารระดับสูงของ Iraq ว่าอะไรกันค้า เตรียมรบอะไรกันค้า เห็นคุณทหาร Iraq ไปอยู่ตามชายแดนติดกับ Kuwait เต็มเลยค่า (นี่ข่าวของคุณนาย April เกี่ยวกับ Iraq นะ ไม่ใช่ของคุณนาย คริสตี้ เรื่องไทยแลนด์ แหม ! แต่มันเจ๋อเหมือนกันจัง) เสร็จแล้วคุณนาย April ก็ออกข่าวว่า เราไม่มีความเห็นเกี่ยวกับความไม่ลงรอยกัน ระหว่าง Iraq กับ Kuwait เราไม่มีความเห็นเกี่ยวกับความขัดแย้ง ระหว่างประเทศอาหรับด้วยกัน (“We have no opinion on the Arab-Arab conflicts”) ที่ยังงี้ละไม่ออกความเห็นนะ คุณนาย ความเห็นพวกฑูตนี้ มันแล้วแต่นายเขาสั่งมา แล้วเราจะต้องไปคอยถามคอยตอบทำไมนะ มันละครชัด ๆ ข่าวว่าการให้สัมภาษณ์ของคุณนาย ทำให้ Saddam เข้าใจว่าอเมริกา ไม่มีปัญหา (หรืออาจจะสนับสนุนด้วยซ้ำ) ที่ Iraq จะบุก Kuwait
    แต่เรื่องมันกลับตาลปัตร หลังจาก Saddam ถล่ม Kuwait ไปได้ 6 เดือน UN ก็ประกาศประฌาม Saddam พร้อมทั้งมีมติเอกฉันท์สั่งให้ Saddam ถอนกองทัพออกมา Saddam เฉย กลางเดือนมกราคม ค.ศ. 1991 Operation Desert Storm ของอเมริกาก็ปฎิบัติการ ชาวเราก็นั่งดูข่าวถ่ายทอดสดทาง CNN เหมือนดูหนังโรง แต่ของจริงเขาถล่มจริง ตายจริง มันเป็นเพียงการเริ่มต้นของการทำลายล้างประเทศ และประชาชนอย่างไม่มีความปราณี อยู่ 12 ปี แม้จะ (หลอกว่า) มี Operation Iraqi Freedom ตามมาให้เมื่อมีนาคม ค.ศ. 2003 จนหลาย ปีให้หลัง ยังไม่เห็นเสรีภาพของชนชาวอิรัค ทุกวันนี้พวกเขายังเรียกร้องหาประชาธิปไตยกันอยู่ เขาถูกย่ำยีจนไม่เหลือ ทั้งทรัพยากร ชีวิตผู้คนและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ไอ้พวกนักสิทธิมนุษย์ของสหประชาชาติ มันหายไปไหนหมด หรือมัวแต่ไปช่วยเขาหาบุคคลที่สมควรได้รับรางวัล Nobel สันติภาพกัน

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 25 : เหยื่อ (1) เมื่อหมดยุคประธานาธิบดี Reagan ในปี ค.ศ. 1988 นาย George H W Bush (ตัวพ่อ) ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป เป็นช่วงที่หมดยุคสงครามเย็น เยอรมันตัดสินใจทุบกำแพง Berlin ออก เยอรมันตะวันออกกับตะวันตก จับมือรวมชาติพัฒนาประเทศด้วยกัน การตัดสินในเช่นนี้ ลึก ๆ แน่นอน ย่อมมีคนคัดจมูก หายใจไม่คล่องอยู่บ้าง ถ้าเศรษฐกิจของเยอรมันแข็งแรงและขยายตัวเต็มยุโรป อำนาจของอเมริกาในยุโรปก็เหมือนถูกท้าทาย นี่คือปฏิกิริยาของอเมริกาที่มีต่อทุกประเทศ ไม่ว่ามิตรหรือศัตรู อเมริกาจะมีปรอทวัดอาการของทุกชาติไว้อย่างถี่ถ้วน ถ้าชาติไหน เริ่มเจริญ ก้าวหน้าหรือมีความสำคัญ หรือเอนตัวผิดองศา ที่อเมริกาเห็นว่าน่าจะกลายเป็นคู่แข่ง หรืออุปสรรคต่ออเมริกาไม่ว่าทางใด ปรอทจะส่งสัญญาณเตือนทันที และกิจกรรมการเล่นกลก็จะเริ่มเกิดขึ้น อเมริกามองอาการของเยอรมันเหมือนสมัย ค.ศ. 1970 ช่วงที่อุตสาหกรรมกำลังบูม และความต้องการน้ำมันของประเทศผู้ประกอบกิจการอุตสาหกรรมก็จะสูงตามไปด้วย ค.ศ.นี้ก็ไม่ต่างกัน เยอรมันและชาติที่กำลังทำอุตสาหกรรมก็ต้องหิวน้ำมัน เพราะฉะนั้นอเมริกาต้องรีบหาทาง “กัก” น้ำมันไม่ให้ไปถึงประเทศพวกนั้น คราวนี้ใครจะเป็นเป้าหมายในการเล่นกล เพื่อให้ได้ผลตามที่อเมริกาต้องการ แล้ว Saddam ก็เป็นเหยื่อ หลังจากเปลี้ยมาจากการรบกับอิหร่านเกือบสิบปี ช่วงปี ค.ศ. 1980 – 1988 แผนการก็แบบเดิม ๆ ยุให้เขาตีกันก่อน เพื่อตัวเองจะได้เข้าไปในประเทศเขา (สมันน้อยอ่านตรงนี้ซ้ำ ๆ หน่อยนะ) อเมริกาเล่นกล โดยใช้ Kuwait เป็นเหยื่อล่อ Iraq ให้มากินเบ็ด Iraq งับทันที บุกเข้า Kuwait เพราะมีกรณีค้างคาใจกันอยู่หลายเรื่อง ตั้งแต่ร่วมมือกันรบอิหร่านแล้วเบี้ยวหนี้กัน ทะเลาะกันไปมาหลายเรื่อง แต่เรื่องที่ Saddam แค้นคือ Saddam กล่าวหาว่า Kuwait ขะโมยขุดน้ำมันแถวชายแดนของ Iraq แถม Kuwait ยังเกเรผลิตน้ำมันเกินข้อตกลงกันระหว่างประเทศ OPEC ซึ่งทำให้การควบคุมราคาน้ำมันในกลุ่ม OPEC มีปัญหา Iraq ตัดสินใจบุกคูเวตวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 1990 กองทัพของ Kuwait ต้านไม่ไหวหนีไปพึ่งใบบุญ Saudi Arabia กับ Bahrain Saddam จึงประกาศเอา Kuwait ผนวกกลับมาเป็นของ Iraq อะไรทำให้ Saddam ตัดสินใจทะเลาะกับเพื่อนบ้าน ข่าววงในแจ้งว่า เรื่อง Saddam อยากจะเคี้ยว Kuwait ไม่ได้เป็นความลับอะไร ถึงขนาดฑูตอเมริกา ชื่อคุณนาย April Glaspie ไปเดินถามนายทหารระดับสูงของ Iraq ว่าอะไรกันค้า เตรียมรบอะไรกันค้า เห็นคุณทหาร Iraq ไปอยู่ตามชายแดนติดกับ Kuwait เต็มเลยค่า (นี่ข่าวของคุณนาย April เกี่ยวกับ Iraq นะ ไม่ใช่ของคุณนาย คริสตี้ เรื่องไทยแลนด์ แหม ! แต่มันเจ๋อเหมือนกันจัง) เสร็จแล้วคุณนาย April ก็ออกข่าวว่า เราไม่มีความเห็นเกี่ยวกับความไม่ลงรอยกัน ระหว่าง Iraq กับ Kuwait เราไม่มีความเห็นเกี่ยวกับความขัดแย้ง ระหว่างประเทศอาหรับด้วยกัน (“We have no opinion on the Arab-Arab conflicts”) ที่ยังงี้ละไม่ออกความเห็นนะ คุณนาย ความเห็นพวกฑูตนี้ มันแล้วแต่นายเขาสั่งมา แล้วเราจะต้องไปคอยถามคอยตอบทำไมนะ มันละครชัด ๆ ข่าวว่าการให้สัมภาษณ์ของคุณนาย ทำให้ Saddam เข้าใจว่าอเมริกา ไม่มีปัญหา (หรืออาจจะสนับสนุนด้วยซ้ำ) ที่ Iraq จะบุก Kuwait แต่เรื่องมันกลับตาลปัตร หลังจาก Saddam ถล่ม Kuwait ไปได้ 6 เดือน UN ก็ประกาศประฌาม Saddam พร้อมทั้งมีมติเอกฉันท์สั่งให้ Saddam ถอนกองทัพออกมา Saddam เฉย กลางเดือนมกราคม ค.ศ. 1991 Operation Desert Storm ของอเมริกาก็ปฎิบัติการ ชาวเราก็นั่งดูข่าวถ่ายทอดสดทาง CNN เหมือนดูหนังโรง แต่ของจริงเขาถล่มจริง ตายจริง มันเป็นเพียงการเริ่มต้นของการทำลายล้างประเทศ และประชาชนอย่างไม่มีความปราณี อยู่ 12 ปี แม้จะ (หลอกว่า) มี Operation Iraqi Freedom ตามมาให้เมื่อมีนาคม ค.ศ. 2003 จนหลาย ปีให้หลัง ยังไม่เห็นเสรีภาพของชนชาวอิรัค ทุกวันนี้พวกเขายังเรียกร้องหาประชาธิปไตยกันอยู่ เขาถูกย่ำยีจนไม่เหลือ ทั้งทรัพยากร ชีวิตผู้คนและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ไอ้พวกนักสิทธิมนุษย์ของสหประชาชาติ มันหายไปไหนหมด หรือมัวแต่ไปช่วยเขาหาบุคคลที่สมควรได้รับรางวัล Nobel สันติภาพกัน คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts