• Google ได้เปิดตัว ฟีเจอร์รักษาความปลอดภัยใหม่สำหรับ Android ซึ่งจะทำให้โทรศัพท์ของคุณ รีบูตอัตโนมัติ หากไม่ได้ใช้งานเป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน โดยฟีเจอร์นี้เป็นส่วนหนึ่งของ Google Play Services update

    ✅ โทรศัพท์ Android จะรีบูตอัตโนมัติหากไม่ได้ใช้งาน 3 วัน
    - ฟีเจอร์นี้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยโดยบังคับให้ผู้ใช้ต้อง ป้อน PIN หลังจากรีบูต
    - ระบบจะไม่อนุญาตให้ใช้ การปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือหรือใบหน้า หลังจากรีบูต

    ✅ การทำงานของระบบล็อก BFU และ AFU
    - โทรศัพท์มี สองสถานะล็อก คือ Before First Unlock (BFU) และ After First Unlock (AFU)
    - ในสถานะ BFU ข้อมูลจะถูกเข้ารหัสอย่างแน่นหนา ทำให้ ไม่สามารถเข้าถึงได้แม้ใช้เครื่องมือแฮกขั้นสูง

    ✅ ผลกระทบต่อการบังคับใช้กฎหมาย
    - ฟีเจอร์นี้อาจทำให้ ตำรวจหรือ FBI มีเวลาจำกัดในการเข้าถึงข้อมูลบนโทรศัพท์ที่ถูกยึดเป็นหลักฐาน
    - Apple ได้เปิดตัวฟีเจอร์คล้ายกันสำหรับ iPhone เมื่อปีที่แล้ว

    ✅ การเปิดใช้งานและข้อจำกัด
    - ฟีเจอร์นี้เป็นส่วนหนึ่งของ Google System release notes เดือนเมษายน 2025
    - ใช้ได้กับ โทรศัพท์และแท็บเล็ต Android แต่ ไม่รองรับ Pixel Watch, Android Auto และทีวี

    https://www.zdnet.com/article/your-android-phone-is-getting-a-new-security-secret-weapon-how-it-works/
    Google ได้เปิดตัว ฟีเจอร์รักษาความปลอดภัยใหม่สำหรับ Android ซึ่งจะทำให้โทรศัพท์ของคุณ รีบูตอัตโนมัติ หากไม่ได้ใช้งานเป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน โดยฟีเจอร์นี้เป็นส่วนหนึ่งของ Google Play Services update ✅ โทรศัพท์ Android จะรีบูตอัตโนมัติหากไม่ได้ใช้งาน 3 วัน - ฟีเจอร์นี้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยโดยบังคับให้ผู้ใช้ต้อง ป้อน PIN หลังจากรีบูต - ระบบจะไม่อนุญาตให้ใช้ การปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือหรือใบหน้า หลังจากรีบูต ✅ การทำงานของระบบล็อก BFU และ AFU - โทรศัพท์มี สองสถานะล็อก คือ Before First Unlock (BFU) และ After First Unlock (AFU) - ในสถานะ BFU ข้อมูลจะถูกเข้ารหัสอย่างแน่นหนา ทำให้ ไม่สามารถเข้าถึงได้แม้ใช้เครื่องมือแฮกขั้นสูง ✅ ผลกระทบต่อการบังคับใช้กฎหมาย - ฟีเจอร์นี้อาจทำให้ ตำรวจหรือ FBI มีเวลาจำกัดในการเข้าถึงข้อมูลบนโทรศัพท์ที่ถูกยึดเป็นหลักฐาน - Apple ได้เปิดตัวฟีเจอร์คล้ายกันสำหรับ iPhone เมื่อปีที่แล้ว ✅ การเปิดใช้งานและข้อจำกัด - ฟีเจอร์นี้เป็นส่วนหนึ่งของ Google System release notes เดือนเมษายน 2025 - ใช้ได้กับ โทรศัพท์และแท็บเล็ต Android แต่ ไม่รองรับ Pixel Watch, Android Auto และทีวี https://www.zdnet.com/article/your-android-phone-is-getting-a-new-security-secret-weapon-how-it-works/
    WWW.ZDNET.COM
    Your Android phone is getting a new security secret weapon - how it works
    This new security feature from Google will make your Android phone more difficult to access if you haven't used it in a while.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 86 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยจาก Trend Micro พบว่า ช่องโหว่ CVE-2024-0132 ใน Nvidia Container Toolkit ยังคงเปิดให้โจมตีได้ แม้ว่าจะได้รับการแก้ไขไปแล้วในเดือนกันยายน 2024 โดยปัญหานี้อาจนำไปสู่การโจมตีแบบ Denial of Service (DoS) บน Docker ที่ทำงานบนระบบ Linux

    ✅ ช่องโหว่ CVE-2024-0132 ยังคงเปิดให้โจมตีได้
    - เป็นช่องโหว่ประเภท Time-of-Check Time-of-Use (TOCTOU) ที่มีคะแนนความรุนแรง CVSS 9/10
    - อาจทำให้ container image ที่ถูกสร้างขึ้นโดยเฉพาะ สามารถเข้าถึง host file system ได้

    ✅ ผลกระทบต่อ Nvidia Container Toolkit และ Docker
    - ช่องโหว่นี้อาจนำไปสู่ container escape attacks ซึ่งทำให้สามารถรันโค้ดบนระบบโฮสต์
    - อาจเกิด ข้อมูลรั่วไหล, การแก้ไขข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต และการโจมตี DoS

    ✅ การโจมตี DoS บน Docker
    - พบว่า Docker บน Linux อาจได้รับผลกระทบจากช่องโหว่นี้
    - เมื่อสร้าง container ใหม่ที่มี multiple mounts ระบบจะสร้าง parent/child paths ที่ไม่ถูกลบออกหลังจาก container ถูกปิด
    - ทำให้ mount table ขยายตัวจนใช้ทรัพยากรระบบจนหมด และทำให้ระบบไม่สามารถสร้าง container ใหม่ได้

    ✅ การแก้ไขและข้อจำกัดของแพตช์
    - Nvidia ออกแพตช์แรกในเดือนกันยายน 2024 แต่พบว่ามีช่องโหว่ CVE-2025-23359 ที่ทำให้สามารถข้ามการป้องกันได้
    - Nvidia ออกแพตช์ใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 แต่ Trend Micro พบว่ายังมีช่องโหว่ที่สามารถใช้โจมตีได้

    ✅ แนวทางป้องกัน
    - Trend Micro แนะนำให้ ปิดการใช้งานฟีเจอร์ "allow-cuda-compat-libs-from-containers"
    - จำกัดการเข้าถึง Docker API เฉพาะบุคลากรที่ได้รับอนุญาต

    https://www.csoonline.com/article/3962744/incomplete-patching-leaves-nvidia-docker-exposed-to-dos-attacks.html
    นักวิจัยจาก Trend Micro พบว่า ช่องโหว่ CVE-2024-0132 ใน Nvidia Container Toolkit ยังคงเปิดให้โจมตีได้ แม้ว่าจะได้รับการแก้ไขไปแล้วในเดือนกันยายน 2024 โดยปัญหานี้อาจนำไปสู่การโจมตีแบบ Denial of Service (DoS) บน Docker ที่ทำงานบนระบบ Linux ✅ ช่องโหว่ CVE-2024-0132 ยังคงเปิดให้โจมตีได้ - เป็นช่องโหว่ประเภท Time-of-Check Time-of-Use (TOCTOU) ที่มีคะแนนความรุนแรง CVSS 9/10 - อาจทำให้ container image ที่ถูกสร้างขึ้นโดยเฉพาะ สามารถเข้าถึง host file system ได้ ✅ ผลกระทบต่อ Nvidia Container Toolkit และ Docker - ช่องโหว่นี้อาจนำไปสู่ container escape attacks ซึ่งทำให้สามารถรันโค้ดบนระบบโฮสต์ - อาจเกิด ข้อมูลรั่วไหล, การแก้ไขข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต และการโจมตี DoS ✅ การโจมตี DoS บน Docker - พบว่า Docker บน Linux อาจได้รับผลกระทบจากช่องโหว่นี้ - เมื่อสร้าง container ใหม่ที่มี multiple mounts ระบบจะสร้าง parent/child paths ที่ไม่ถูกลบออกหลังจาก container ถูกปิด - ทำให้ mount table ขยายตัวจนใช้ทรัพยากรระบบจนหมด และทำให้ระบบไม่สามารถสร้าง container ใหม่ได้ ✅ การแก้ไขและข้อจำกัดของแพตช์ - Nvidia ออกแพตช์แรกในเดือนกันยายน 2024 แต่พบว่ามีช่องโหว่ CVE-2025-23359 ที่ทำให้สามารถข้ามการป้องกันได้ - Nvidia ออกแพตช์ใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 แต่ Trend Micro พบว่ายังมีช่องโหว่ที่สามารถใช้โจมตีได้ ✅ แนวทางป้องกัน - Trend Micro แนะนำให้ ปิดการใช้งานฟีเจอร์ "allow-cuda-compat-libs-from-containers" - จำกัดการเข้าถึง Docker API เฉพาะบุคลากรที่ได้รับอนุญาต https://www.csoonline.com/article/3962744/incomplete-patching-leaves-nvidia-docker-exposed-to-dos-attacks.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Incomplete patching leaves Nvidia, Docker exposed to DOS attacks
    An optional feature issued with the fix can cause a bug rollback, making a secondary DOS issue possible on top of root-level privilege exploitation.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ได้ยืนยันว่ามีปัญหากับ Windows Hello หลังจากติดตั้งอัปเดตความปลอดภัยของ Windows 11 ในเดือนเมษายน 2025 โดยผู้ใช้บางรายพบว่า การเข้าสู่ระบบด้วยใบหน้าและ PIN ไม่สามารถใช้งานได้ หลังจากรีเซ็ตระบบ

    ✅ Windows Hello ไม่ทำงานหลังจากรีเซ็ตระบบ
    - ปัญหานี้เกิดขึ้นหลังจากติดตั้งอัปเดต KB5055523
    - ผู้ใช้ที่เลือก "Keep my Files" ในการรีเซ็ตระบบอาจพบว่า PIN และการตั้งค่าการจดจำใบหน้าหายไป

    ✅ ข้อความแสดงข้อผิดพลาดที่พบ
    - เมื่อพยายามเข้าสู่ระบบ ผู้ใช้จะเห็นข้อความ "Something happened and your PIN isn't available"
    - หากพยายามตั้งค่าการจดจำใบหน้าใหม่ อาจพบข้อความ "Sorry something went wrong with face setup"

    ✅ อุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบ
    - ปัญหานี้พบในอุปกรณ์ที่เปิดใช้งาน System Guard Secure Launch หรือ Dynamic Root of Trust for Measurement (DRTM)
    - ไม่ส่งผลกระทบต่อ Windows 11 เวอร์ชัน 23H2 หรือเก่ากว่า

    ✅ วิธีแก้ไขปัญหาเบื้องต้น
    - ผู้ใช้สามารถ ตั้งค่า PIN ใหม่ ตามคำแนะนำบนหน้าจอ
    - หลังจากนั้นสามารถ ตั้งค่าการจดจำใบหน้าใหม่ ผ่านแอป Settings

    https://www.neowin.net/news/microsoft-confirms-windows-hello-issues-in-latest-windows-11-updates/
    Microsoft ได้ยืนยันว่ามีปัญหากับ Windows Hello หลังจากติดตั้งอัปเดตความปลอดภัยของ Windows 11 ในเดือนเมษายน 2025 โดยผู้ใช้บางรายพบว่า การเข้าสู่ระบบด้วยใบหน้าและ PIN ไม่สามารถใช้งานได้ หลังจากรีเซ็ตระบบ ✅ Windows Hello ไม่ทำงานหลังจากรีเซ็ตระบบ - ปัญหานี้เกิดขึ้นหลังจากติดตั้งอัปเดต KB5055523 - ผู้ใช้ที่เลือก "Keep my Files" ในการรีเซ็ตระบบอาจพบว่า PIN และการตั้งค่าการจดจำใบหน้าหายไป ✅ ข้อความแสดงข้อผิดพลาดที่พบ - เมื่อพยายามเข้าสู่ระบบ ผู้ใช้จะเห็นข้อความ "Something happened and your PIN isn't available" - หากพยายามตั้งค่าการจดจำใบหน้าใหม่ อาจพบข้อความ "Sorry something went wrong with face setup" ✅ อุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบ - ปัญหานี้พบในอุปกรณ์ที่เปิดใช้งาน System Guard Secure Launch หรือ Dynamic Root of Trust for Measurement (DRTM) - ไม่ส่งผลกระทบต่อ Windows 11 เวอร์ชัน 23H2 หรือเก่ากว่า ✅ วิธีแก้ไขปัญหาเบื้องต้น - ผู้ใช้สามารถ ตั้งค่า PIN ใหม่ ตามคำแนะนำบนหน้าจอ - หลังจากนั้นสามารถ ตั้งค่าการจดจำใบหน้าใหม่ ผ่านแอป Settings https://www.neowin.net/news/microsoft-confirms-windows-hello-issues-in-latest-windows-11-updates/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft confirms Windows Hello issues in latest Windows 11 updates
    Recent Windows 11 updates are breaking Windows Hello face sign-in, and Microsoft is now aware of the problem.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • Onsemi ยกเลิกข้อเสนอซื้อกิจการ Allegro MicroSystems มูลค่า 6.9 พันล้านดอลลาร์ หลังจากการเจรจายืดเยื้อหลายเดือน

    ✅ Onsemi ยกเลิกข้อเสนอซื้อ Allegro MicroSystems
    - ข้อเสนอ $35.10 ต่อหุ้น ถูก Allegro ปฏิเสธ
    - CEO ของ Onsemi ระบุว่า Allegro ไม่เต็มใจเจรจา

    ✅ ผลกระทบต่อหุ้นของทั้งสองบริษัท
    - หุ้นของ Allegro ลดลง 12.5% หลังประกาศยกเลิกดีล
    - หุ้นของ Onsemi เพิ่มขึ้น 1%

    ✅ แผนปรับโครงสร้างของ Onsemi
    - ลดพนักงาน 2,400 ตำแหน่ง เพื่อควบคุมต้นทุน
    - มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์

    ℹ️ ความเสี่ยงจากการยกเลิกดีล
    - Onsemi อาจพลาดโอกาสขยายตลาดในอุตสาหกรรมยานยนต์
    - Allegro อาจเผชิญแรงกดดันจากนักลงทุนหลังหุ้นร่วง

    ℹ️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมชิป
    - การแข่งขันในตลาดชิปสำหรับยานยนต์อาจเข้มข้นขึ้น
    - บริษัทอื่นอาจพยายามเข้าซื้อ Allegro ในอนาคต

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/15/onsemi-shelves-69-billion-offer-to-buy-allegro-microsystems
    Onsemi ยกเลิกข้อเสนอซื้อกิจการ Allegro MicroSystems มูลค่า 6.9 พันล้านดอลลาร์ หลังจากการเจรจายืดเยื้อหลายเดือน ✅ Onsemi ยกเลิกข้อเสนอซื้อ Allegro MicroSystems - ข้อเสนอ $35.10 ต่อหุ้น ถูก Allegro ปฏิเสธ - CEO ของ Onsemi ระบุว่า Allegro ไม่เต็มใจเจรจา ✅ ผลกระทบต่อหุ้นของทั้งสองบริษัท - หุ้นของ Allegro ลดลง 12.5% หลังประกาศยกเลิกดีล - หุ้นของ Onsemi เพิ่มขึ้น 1% ✅ แผนปรับโครงสร้างของ Onsemi - ลดพนักงาน 2,400 ตำแหน่ง เพื่อควบคุมต้นทุน - มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ ℹ️ ความเสี่ยงจากการยกเลิกดีล - Onsemi อาจพลาดโอกาสขยายตลาดในอุตสาหกรรมยานยนต์ - Allegro อาจเผชิญแรงกดดันจากนักลงทุนหลังหุ้นร่วง ℹ️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมชิป - การแข่งขันในตลาดชิปสำหรับยานยนต์อาจเข้มข้นขึ้น - บริษัทอื่นอาจพยายามเข้าซื้อ Allegro ในอนาคต https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/15/onsemi-shelves-69-billion-offer-to-buy-allegro-microsystems
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Onsemi shelves $6.9 billion offer to buy Allegro MicroSystems
    (Reuters) -U.S. chipmaker Onsemi scrapped its $6.9 billion offer for smaller rival Allegro MicroSystems on Monday, ending a months-long pursuit that sought to capitalize on a market downturn to boost its footprint in the automotive industry.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์บทความของ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ “คานงัดประเทศไทยหลายประเทศมีการผลักดัน “การปฏิรูปเชิงโครงสร้าง” อย่างจริงจังและต่อเนื่อง จนสามารถพลิกฟื้นตัวเองจากรัฐที่ตามหลัง (Following State) สู่รัฐที่ล้ำหน้า (Forefront State) อย่างจีน สิงค์โปร์ หรือ เกาหลีใต้ ผิดกับประเทศไทย ที่ปัจจุบันยังเป็นเพียงรัฐที่ตามหลัง และกำลังมีแนวโน้มถดถอยไปสู่รัฐที่กำลังล้มเหลว (Falling State)ที่ผ่านมา ประเทศไทยนั้นมีการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง (Great Reform) เพียงครั้งเดียว คือในสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 แต่เงื่อนไขในการเปลี่ยนแปลงในสมัยนั้นกับในยุคปัจจุบันมีความแตกต่างกัน ทั้งเงื่อนไขที่มาจากปัจจัยภายในและภายนอก ในสมัยล้นเกล้าฯ รัชการที่ 5 น้ำหนักจะอยู่ที่การพัฒนาเพื่อไปสู่ความทันสมัย เพื่อที่จะแสดงให้ประชาคมโลกตระหนักว่าประเทศของเรานั้นไม่ได้ล้าหลัง เนื่องจากต้องเผชิญกับการล่าอาณานิคม ประเด็นท้าทายในยุคปัจจุบัน คือจะมุ่งการพัฒนาเพื่อไปสู่ความยั่งยืน ความเท่าเทียมในสังคม และความเท่าทันเทคโนโลยี ได้อย่างไร~แรงเฉื่อยต่อการเปลี่ยนแปลงหลังกระแสการล่าอาณานิคมผ่านพ้นไป ประเทศไทยไม่เคยต้องเผชิญกับแรงกดดันอย่างรุนแรง เราเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่ 1 แล 2 น้อยมาก ดังนั้น ระบบและโครงสร้างเก่า แนวคิดและจารีตนิยมจึงไม่ได้ถูกทำลาย ทำให้อิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชนยังคงอยู่ ระบบคุณค่าดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อการพลิกโฉมประเทศไปสู่สังคมสมัยใหม่ ที่เน้นความเป็นระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบ ตระหนักในหน้าที่พลเมือง มีจิตอาสา กล้าที่จะเสนอความเห็น มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และความเสมอภาคระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชน ยังได้หล่อหลอมคนไทยให้เป็น “ปัจเจกบุคคลที่ไร้บรรทัดฐานและคุณค่าร่วมในสังคม” (Anomic Individualism) สะท้อนผ่านพฤติกรรมตัวใครตัวมัน ไม่ชอบถูกบังคับ ไร้ระเบียบวินัย และขาดความรับผิดชอบ ผลข้างเคียงที่ตามมา คือคนไทยโดยส่วนใหญ่จะเรียกร้องสิทธิมากกว่าหน้าที่ เน้นถูกใจมากกว่าถูกต้อง เน้นมองเพื่อตัวเองมากกว่ามองเพื่อส่วนรวม เน้นชิงสุกก่อนห่ามมากกว่าอดเปรี้ยวไว้กินหวาน เน้นรูปแบบมากกว่าสาระ เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ เน้นมูลค่ามากกว่าคุณค่า และเน้นคอนเนคชั่นมากกว่าเนื้องานความไร้บรรทัดฐานและคุณค่าร่วมในสังคม ทำให้คนไทยโดยส่วนใหญ่มักตัดสินใจเลือกเส้นทางหรือวิธีการที่ “มักง่าย” ทำให้เรื่องที่ “ผิดปกติ” กลายเป็นเรื่อง “ไม่ผิดปกติ” และกระทำลงไปโดยปราศจาก “ความรู้สึกผิด” อาทิ นักการเมืองโกงกินไม่เป็นไร ขอเพียงให้มีผลงานบ้าง การทำปฏิวัติรัฐประหาร การใช้กำลังยุติความขัดแย้ง เชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ ไสยศาสตร์ และความมหัศจรรย์ ไม่รักษาเวลา ขาดความรับผิดชอบในหน้าที่ ทิ้งงานโดยไม่มีเหตุผล เป็นต้น ~ค้นหาจุดคานงัด ทลายวงจรอุบาทว์หากพวกเราไม่คิดแก้ไขปรับเปลี่ยนค่านิยมและพฤติกรรมเหล่านี้ ก็ยากที่ประเทศไทยจะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ประเทศอื่น ๆ ในประชาคมโลกในศตวรรษที่ 21 นี้ได้ในการทลายวงจรอุบาทว์เชิงซ้อน จุดคานงัดของการเปลี่ยนแปลง (Leveraging Point) อาจจะอยู่ทึ่ “การปฏิรูประบบคุณค่า” (Value System Reform) ครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในค่านิยม 2 ชุดหลักด้วยกัน คือชุดที่ 1: อุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยมชุดที่ 2: บริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยมบริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยม เป็นด้านลบของระบอบทุนนิยม แต่ในด้านบวกของระบอบทุนนิยม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแข่งขันอย่างเสรี การยึดธรรมาภิบาล กฎกติกา กลับไม่ได้ถูกสังคมไทยนำมาใช้อย่างเต็มที่ เพราะถูกอิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยมเข้าบดบังระบบคุณค่าทั้ง 2 ชุด ยังคงแทรกซึมลึกอยู่ในเกือบทุกอณูของสังคมไทย เป็น Counter-Productive Value ที่นอกจากจะไม่สอดรับกับรูปแบบการพัฒนาและโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมในโลกปัจจุบัน ยังเป็นอุปสรรคตัวสำคัญที่สุดของการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ระบบคุณค่าทั้งสองชุดได้ทำให้ธรรมาภิบาล โครงสร้าง ตลอดจนพฤติกรรมของผู้คนในสังคม เกิดการบิดเบี้ยวเชิงระบบ ไม่ว่าจะเป็น• การบิดเบี้ยวเชิงการเมือง ที่ก่อให้เกิดการเมืองที่มีผู้มีอิทธิพลครอบงำ และก่อให้เกิดระบอบธนาธิปไตย และระบอบอมาตยาธิปไตย แทนที่จะเป็นระบอบประชาธิปไตย • การบิดเบี้ยวเชิงบริหารราชการแผ่นดิน ที่การบริหารจัดการภาครัฐถูกแทรกแซง บิดเบือน ไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลและระบบคุณธรรม • การบิดเบี้ยวเชิงสังคม ที่ก่อให้เกิด Contra-Individuals มากกว่า Collective Individuals รวมถึงเกิดความกระชับแน่นของคนในกลุ่มเดียวกัน (Bonding) เพิ่มขึ้น ในขณะที่ความสัมพันธ์ของคนต่างกลุ่ม (Bridging) ลดลง เกิดเป็น “สังคมของพวกกู” มากกว่า “สังคมของพวกเรา”• ความบิดเบี้ยวเชิงเศรษฐกิจ ที่ก่อให้เกิดระบบทุนนิยมแบบพวกพ้อง (Crony Capitalism) นำมาสู่ระบบเศรษฐกิจปรสิต (Parasite Economy) และสังคมพึ่งพิงประชานิยม (Dependent Society) • ความบิดเบี้ยวของผู้นำ ที่ก่อให้เกิดการขาดแคลนผู้นำที่เป็นต้นแบบที่ดี มีแต่ผู้นำที่คิดอย่าง พูดอย่าง ทำอย่างอยู่มากมาย เกิดผู้นำที่ใส่ใจในวาระซ่อนเร้นของตน มากกว่า วาระของชาติ• ความบิดเบี้ยวเชิงสถาบัน ที่สถาบันต่าง ๆ ไม่ได้ทำหน้าที่ตามภารกิจอย่างเป็นอิสระ อย่างที่สังคมคาดหวังที่สำคัญ ระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชน ยังก่อให้เกิดความย้อนแย้งระหว่างอำนาจที่แท้จริงและอำนาจทางการ หรือที่เรียกว่า “Power Paradox” กล่าวคือ การที่เรายังมองประชาชนเป็นผู้ถูกปกครอง โดยมีผู้ปกครองคือรัฐ ทั้งที่จริง ๆ แล้วรัฐต้องเป็นผู้รับใช้ประชาชน เป็นความย้อนแย้งระหว่างพฤตินัยและนิตินัยดังนั้น หากปราศจากการปรับเปลี่ยนระบบคุณค่า เพื่อทำให้เกิดความสอดคล้องกับธรรมาภิบาลและโครงสร้างส่วนอื่นๆของสังคม วาระการปฎิรูปต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปการเมือง ปฏิรูประบบราชการ ปฏิรูประบบเศรษฐกิจ จะไม่มีทางตอบโจทย์ประเด็นปัญหาฐานรากที่เกิดขึ้นในสังคมไทย~ประชาธิปไตยเทียม ทุนนิยมพวกพ้อง ระบบเศรษฐกิจปรสิต และสังคมพึ่งพิงรัฐระบบคุณค่าทั้ง 2 ชุด: อุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยม; บริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยม เป็นปฐมบทของการเกิดโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองแบบ Extractive Political Economy ที่มีผู้คนเพียงบางกลุ่ม ได้ประโยชน์จากอำนาจการปกครองและอำนาจทางเศรษฐกิจ โดยความพยายามที่จะกีดกั้น เอารัดเอาเปรียบ และทำให้เกิดการกระจุกตัวของอำนาจและความมั่งคั่ง และนำพาสู่การอุบัติขึ้นของ ประชาธิปไตยเทียม ทุนนิยมพวกพ้อง ระบบเศรษฐกิจปรสิต และสังคมพึ่งพิงรัฐ ในที่สุดโครงสร้าง Extractive Political Economy ได้นำพาประเทศไทยสู่ “ทศวรรษแห่งความสูญเปล่า” เกิดสังคมที่ไม่ Clean & Clear ไม่ Free & Fair และไม่ Care & Share สังคมดังกล่าวนำมาซึ่งความเสื่อมถอยของทุนทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นทุนมนุษย์ที่อ่อนแอ ทุนเศรษฐกิจที่อ่อนด้อย ทุนสังคมที่เปราะบาง ทุนคุณธรรมจริยธรรมที่เสื่อมทราม และทุนทรัพยากรธรรมชาติที่เสื่อมโทรมถึงเวลาปฎิรูประบบคุณค่า เพื่อใช้เป็นจุดคานงัดในการก้าวพ้นกับดัก และปรับเปลี่ยนไทยสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วในโลกที่หนึ่ง”
    รีโพสต์บทความของ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ “คานงัดประเทศไทยหลายประเทศมีการผลักดัน “การปฏิรูปเชิงโครงสร้าง” อย่างจริงจังและต่อเนื่อง จนสามารถพลิกฟื้นตัวเองจากรัฐที่ตามหลัง (Following State) สู่รัฐที่ล้ำหน้า (Forefront State) อย่างจีน สิงค์โปร์ หรือ เกาหลีใต้ ผิดกับประเทศไทย ที่ปัจจุบันยังเป็นเพียงรัฐที่ตามหลัง และกำลังมีแนวโน้มถดถอยไปสู่รัฐที่กำลังล้มเหลว (Falling State)ที่ผ่านมา ประเทศไทยนั้นมีการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง (Great Reform) เพียงครั้งเดียว คือในสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 แต่เงื่อนไขในการเปลี่ยนแปลงในสมัยนั้นกับในยุคปัจจุบันมีความแตกต่างกัน ทั้งเงื่อนไขที่มาจากปัจจัยภายในและภายนอก ในสมัยล้นเกล้าฯ รัชการที่ 5 น้ำหนักจะอยู่ที่การพัฒนาเพื่อไปสู่ความทันสมัย เพื่อที่จะแสดงให้ประชาคมโลกตระหนักว่าประเทศของเรานั้นไม่ได้ล้าหลัง เนื่องจากต้องเผชิญกับการล่าอาณานิคม ประเด็นท้าทายในยุคปัจจุบัน คือจะมุ่งการพัฒนาเพื่อไปสู่ความยั่งยืน ความเท่าเทียมในสังคม และความเท่าทันเทคโนโลยี ได้อย่างไร~แรงเฉื่อยต่อการเปลี่ยนแปลงหลังกระแสการล่าอาณานิคมผ่านพ้นไป ประเทศไทยไม่เคยต้องเผชิญกับแรงกดดันอย่างรุนแรง เราเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่ 1 แล 2 น้อยมาก ดังนั้น ระบบและโครงสร้างเก่า แนวคิดและจารีตนิยมจึงไม่ได้ถูกทำลาย ทำให้อิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชนยังคงอยู่ ระบบคุณค่าดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อการพลิกโฉมประเทศไปสู่สังคมสมัยใหม่ ที่เน้นความเป็นระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบ ตระหนักในหน้าที่พลเมือง มีจิตอาสา กล้าที่จะเสนอความเห็น มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และความเสมอภาคระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชน ยังได้หล่อหลอมคนไทยให้เป็น “ปัจเจกบุคคลที่ไร้บรรทัดฐานและคุณค่าร่วมในสังคม” (Anomic Individualism) สะท้อนผ่านพฤติกรรมตัวใครตัวมัน ไม่ชอบถูกบังคับ ไร้ระเบียบวินัย และขาดความรับผิดชอบ ผลข้างเคียงที่ตามมา คือคนไทยโดยส่วนใหญ่จะเรียกร้องสิทธิมากกว่าหน้าที่ เน้นถูกใจมากกว่าถูกต้อง เน้นมองเพื่อตัวเองมากกว่ามองเพื่อส่วนรวม เน้นชิงสุกก่อนห่ามมากกว่าอดเปรี้ยวไว้กินหวาน เน้นรูปแบบมากกว่าสาระ เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ เน้นมูลค่ามากกว่าคุณค่า และเน้นคอนเนคชั่นมากกว่าเนื้องานความไร้บรรทัดฐานและคุณค่าร่วมในสังคม ทำให้คนไทยโดยส่วนใหญ่มักตัดสินใจเลือกเส้นทางหรือวิธีการที่ “มักง่าย” ทำให้เรื่องที่ “ผิดปกติ” กลายเป็นเรื่อง “ไม่ผิดปกติ” และกระทำลงไปโดยปราศจาก “ความรู้สึกผิด” อาทิ นักการเมืองโกงกินไม่เป็นไร ขอเพียงให้มีผลงานบ้าง การทำปฏิวัติรัฐประหาร การใช้กำลังยุติความขัดแย้ง เชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ ไสยศาสตร์ และความมหัศจรรย์ ไม่รักษาเวลา ขาดความรับผิดชอบในหน้าที่ ทิ้งงานโดยไม่มีเหตุผล เป็นต้น ~ค้นหาจุดคานงัด ทลายวงจรอุบาทว์หากพวกเราไม่คิดแก้ไขปรับเปลี่ยนค่านิยมและพฤติกรรมเหล่านี้ ก็ยากที่ประเทศไทยจะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ประเทศอื่น ๆ ในประชาคมโลกในศตวรรษที่ 21 นี้ได้ในการทลายวงจรอุบาทว์เชิงซ้อน จุดคานงัดของการเปลี่ยนแปลง (Leveraging Point) อาจจะอยู่ทึ่ “การปฏิรูประบบคุณค่า” (Value System Reform) ครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในค่านิยม 2 ชุดหลักด้วยกัน คือชุดที่ 1: อุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยมชุดที่ 2: บริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยมบริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยม เป็นด้านลบของระบอบทุนนิยม แต่ในด้านบวกของระบอบทุนนิยม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแข่งขันอย่างเสรี การยึดธรรมาภิบาล กฎกติกา กลับไม่ได้ถูกสังคมไทยนำมาใช้อย่างเต็มที่ เพราะถูกอิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยมเข้าบดบังระบบคุณค่าทั้ง 2 ชุด ยังคงแทรกซึมลึกอยู่ในเกือบทุกอณูของสังคมไทย เป็น Counter-Productive Value ที่นอกจากจะไม่สอดรับกับรูปแบบการพัฒนาและโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมในโลกปัจจุบัน ยังเป็นอุปสรรคตัวสำคัญที่สุดของการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ระบบคุณค่าทั้งสองชุดได้ทำให้ธรรมาภิบาล โครงสร้าง ตลอดจนพฤติกรรมของผู้คนในสังคม เกิดการบิดเบี้ยวเชิงระบบ ไม่ว่าจะเป็น• การบิดเบี้ยวเชิงการเมือง ที่ก่อให้เกิดการเมืองที่มีผู้มีอิทธิพลครอบงำ และก่อให้เกิดระบอบธนาธิปไตย และระบอบอมาตยาธิปไตย แทนที่จะเป็นระบอบประชาธิปไตย • การบิดเบี้ยวเชิงบริหารราชการแผ่นดิน ที่การบริหารจัดการภาครัฐถูกแทรกแซง บิดเบือน ไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลและระบบคุณธรรม • การบิดเบี้ยวเชิงสังคม ที่ก่อให้เกิด Contra-Individuals มากกว่า Collective Individuals รวมถึงเกิดความกระชับแน่นของคนในกลุ่มเดียวกัน (Bonding) เพิ่มขึ้น ในขณะที่ความสัมพันธ์ของคนต่างกลุ่ม (Bridging) ลดลง เกิดเป็น “สังคมของพวกกู” มากกว่า “สังคมของพวกเรา”• ความบิดเบี้ยวเชิงเศรษฐกิจ ที่ก่อให้เกิดระบบทุนนิยมแบบพวกพ้อง (Crony Capitalism) นำมาสู่ระบบเศรษฐกิจปรสิต (Parasite Economy) และสังคมพึ่งพิงประชานิยม (Dependent Society) • ความบิดเบี้ยวของผู้นำ ที่ก่อให้เกิดการขาดแคลนผู้นำที่เป็นต้นแบบที่ดี มีแต่ผู้นำที่คิดอย่าง พูดอย่าง ทำอย่างอยู่มากมาย เกิดผู้นำที่ใส่ใจในวาระซ่อนเร้นของตน มากกว่า วาระของชาติ• ความบิดเบี้ยวเชิงสถาบัน ที่สถาบันต่าง ๆ ไม่ได้ทำหน้าที่ตามภารกิจอย่างเป็นอิสระ อย่างที่สังคมคาดหวังที่สำคัญ ระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชน ยังก่อให้เกิดความย้อนแย้งระหว่างอำนาจที่แท้จริงและอำนาจทางการ หรือที่เรียกว่า “Power Paradox” กล่าวคือ การที่เรายังมองประชาชนเป็นผู้ถูกปกครอง โดยมีผู้ปกครองคือรัฐ ทั้งที่จริง ๆ แล้วรัฐต้องเป็นผู้รับใช้ประชาชน เป็นความย้อนแย้งระหว่างพฤตินัยและนิตินัยดังนั้น หากปราศจากการปรับเปลี่ยนระบบคุณค่า เพื่อทำให้เกิดความสอดคล้องกับธรรมาภิบาลและโครงสร้างส่วนอื่นๆของสังคม วาระการปฎิรูปต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปการเมือง ปฏิรูประบบราชการ ปฏิรูประบบเศรษฐกิจ จะไม่มีทางตอบโจทย์ประเด็นปัญหาฐานรากที่เกิดขึ้นในสังคมไทย~ประชาธิปไตยเทียม ทุนนิยมพวกพ้อง ระบบเศรษฐกิจปรสิต และสังคมพึ่งพิงรัฐระบบคุณค่าทั้ง 2 ชุด: อุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยม; บริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยม เป็นปฐมบทของการเกิดโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองแบบ Extractive Political Economy ที่มีผู้คนเพียงบางกลุ่ม ได้ประโยชน์จากอำนาจการปกครองและอำนาจทางเศรษฐกิจ โดยความพยายามที่จะกีดกั้น เอารัดเอาเปรียบ และทำให้เกิดการกระจุกตัวของอำนาจและความมั่งคั่ง และนำพาสู่การอุบัติขึ้นของ ประชาธิปไตยเทียม ทุนนิยมพวกพ้อง ระบบเศรษฐกิจปรสิต และสังคมพึ่งพิงรัฐ ในที่สุดโครงสร้าง Extractive Political Economy ได้นำพาประเทศไทยสู่ “ทศวรรษแห่งความสูญเปล่า” เกิดสังคมที่ไม่ Clean & Clear ไม่ Free & Fair และไม่ Care & Share สังคมดังกล่าวนำมาซึ่งความเสื่อมถอยของทุนทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นทุนมนุษย์ที่อ่อนแอ ทุนเศรษฐกิจที่อ่อนด้อย ทุนสังคมที่เปราะบาง ทุนคุณธรรมจริยธรรมที่เสื่อมทราม และทุนทรัพยากรธรรมชาติที่เสื่อมโทรมถึงเวลาปฎิรูประบบคุณค่า เพื่อใช้เป็นจุดคานงัดในการก้าวพ้นกับดัก และปรับเปลี่ยนไทยสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วในโลกที่หนึ่ง”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 277 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เล่าถึงการพัฒนาเทคโนโลยี Broadcast Positioning System (BPS) ซึ่งเป็นระบบที่ใช้สัญญาณโทรทัศน์ดิจิทัล ATSC 3.0 แทนดาวเทียม GPS เพื่อเป็นระบบสำรองในกรณีที่ GPS ถูกโจมตีหรือขัดข้อง

    Broadcast Positioning System (BPS) ถูกออกแบบมาเพื่อใช้สัญญาณโทรทัศน์ดิจิทัลในการให้ข้อมูลตำแหน่งและเวลา โดยมีความแม่นยำในระดับ 100 นาโนวินาที ซึ่งแม้จะน้อยกว่า GPS ที่มีความแม่นยำ 10 นาโนวินาที แต่ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานในบางกรณี อย่างไรก็ตาม การใช้งาน BPS ต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีสัญญาณจากสถานีส่งอย่างน้อย 4 แห่ง และมีความแม่นยำในรัศมีประมาณ 100 เมตร

    เทคโนโลยีนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา โดยคาดว่าจะพร้อมใช้งานในปี 2027 และจะมีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ในปี 2029 นอกจากนี้ BPS ยังสามารถใช้เป็นระบบยืนยันข้อมูลของ GPS ได้ ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในกรณีที่ GPS ถูกโจมตี

    ✅ การพัฒนา Broadcast Positioning System (BPS)
    - ใช้สัญญาณโทรทัศน์ดิจิทัล ATSC 3.0 แทนดาวเทียม GPS
    - มีความแม่นยำในระดับ 100 นาโนวินาที

    ✅ การใช้งานและความพร้อม
    - ต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีสัญญาณจากสถานีส่งอย่างน้อย 4 แห่ง
    - คาดว่าจะพร้อมใช้งานในปี 2027 และเพิ่มฟีเจอร์ในปี 2029

    ✅ การยืนยันข้อมูล GPS
    - BPS สามารถใช้เป็นระบบยืนยันข้อมูลของ GPS
    - ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในกรณีที่ GPS ถูกโจมตี

    ℹ️ ข้อจำกัดของ BPS
    - ความแม่นยำต่ำกว่า GPS และต้องการสถานีส่งสัญญาณหลายแห่ง
    - การใช้งานอาจจำกัดในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณ ATSC 3.0

    ℹ️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    - หากระบบ BPS ถูกโจมตี อาจส่งผลกระทบต่อการใช้งานที่พึ่งพาเทคโนโลยีนี้
    - การพัฒนาระบบสำรองที่มีความปลอดภัยสูงเป็นสิ่งสำคัญ

    https://www.tomshardware.com/service-providers/tv-signal-based-bps-tested-as-fallback-for-gps-digital-tv-infrastructure-could-come-to-the-rescue-if-satellites-are-compromised
    ข่าวนี้เล่าถึงการพัฒนาเทคโนโลยี Broadcast Positioning System (BPS) ซึ่งเป็นระบบที่ใช้สัญญาณโทรทัศน์ดิจิทัล ATSC 3.0 แทนดาวเทียม GPS เพื่อเป็นระบบสำรองในกรณีที่ GPS ถูกโจมตีหรือขัดข้อง Broadcast Positioning System (BPS) ถูกออกแบบมาเพื่อใช้สัญญาณโทรทัศน์ดิจิทัลในการให้ข้อมูลตำแหน่งและเวลา โดยมีความแม่นยำในระดับ 100 นาโนวินาที ซึ่งแม้จะน้อยกว่า GPS ที่มีความแม่นยำ 10 นาโนวินาที แต่ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานในบางกรณี อย่างไรก็ตาม การใช้งาน BPS ต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีสัญญาณจากสถานีส่งอย่างน้อย 4 แห่ง และมีความแม่นยำในรัศมีประมาณ 100 เมตร เทคโนโลยีนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา โดยคาดว่าจะพร้อมใช้งานในปี 2027 และจะมีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ในปี 2029 นอกจากนี้ BPS ยังสามารถใช้เป็นระบบยืนยันข้อมูลของ GPS ได้ ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในกรณีที่ GPS ถูกโจมตี ✅ การพัฒนา Broadcast Positioning System (BPS) - ใช้สัญญาณโทรทัศน์ดิจิทัล ATSC 3.0 แทนดาวเทียม GPS - มีความแม่นยำในระดับ 100 นาโนวินาที ✅ การใช้งานและความพร้อม - ต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีสัญญาณจากสถานีส่งอย่างน้อย 4 แห่ง - คาดว่าจะพร้อมใช้งานในปี 2027 และเพิ่มฟีเจอร์ในปี 2029 ✅ การยืนยันข้อมูล GPS - BPS สามารถใช้เป็นระบบยืนยันข้อมูลของ GPS - ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในกรณีที่ GPS ถูกโจมตี ℹ️ ข้อจำกัดของ BPS - ความแม่นยำต่ำกว่า GPS และต้องการสถานีส่งสัญญาณหลายแห่ง - การใช้งานอาจจำกัดในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณ ATSC 3.0 ℹ️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย - หากระบบ BPS ถูกโจมตี อาจส่งผลกระทบต่อการใช้งานที่พึ่งพาเทคโนโลยีนี้ - การพัฒนาระบบสำรองที่มีความปลอดภัยสูงเป็นสิ่งสำคัญ https://www.tomshardware.com/service-providers/tv-signal-based-bps-tested-as-fallback-for-gps-digital-tv-infrastructure-could-come-to-the-rescue-if-satellites-are-compromised
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • AmigaOS 3.2.3 ได้รับการพัฒนาโดย Hyperion Entertainment ซึ่งยังคงมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงระบบปฏิบัติการนี้ให้ทันสมัย แม้ว่าจะเปิดตัวครั้งแรกในปี 1992 การอัปเดตครั้งนี้รวมถึงการปรับปรุงเครื่องมือ GUI อย่าง ReAction การเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน TextEditor และการปลดล็อกพื้นที่ RAM 12KB ที่เคยถูกสงวนไว้ นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัว ROM รุ่นใหม่ Kickstart 3.2.3 เพื่อรองรับการใช้งานที่ดียิ่งขึ้น

    น่าสนใจที่ AmigaOS 3.2.3 ยังรองรับฮาร์ดแวร์ Amiga รุ่นเก่า เช่น MC68000 และ A500 รวมถึงฮาร์ดแวร์ที่ใช้ Arm accelerators อย่าง PiStorm ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเพลิดเพลินกับระบบปฏิบัติการนี้ได้ทั้งในรูปแบบคลาสสิกและทันสมัย

    ✅ การอัปเดต AmigaOS 3.2.3
    - มีการปรับปรุงและแก้ไขมากกว่า 50 รายการ
    - รวมถึงการปรับปรุง GUI และ TextEditor

    ✅ การเปิดตัว Kickstart 3.2.3 ROM
    - รองรับการใช้งานที่ดียิ่งขึ้นสำหรับฮาร์ดแวร์ Amiga

    ✅ การรองรับฮาร์ดแวร์รุ่นเก่าและใหม่
    - รองรับฮาร์ดแวร์ Amiga รุ่นเก่า เช่น MC68000 และ A500
    - รองรับ Arm accelerators อย่าง PiStorm

    ℹ️ ความท้าทายในการพัฒนา
    - การพัฒนาระบบปฏิบัติการที่มีอายุยาวนานอาจต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี
    - การรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่อาจต้องใช้ทรัพยากรเพิ่มเติม

    ℹ️ ผลกระทบต่อชุมชนผู้ใช้งาน
    - การอัปเดตนี้อาจช่วยฟื้นฟูความสนใจใน AmigaOS
    - ชุมชนผู้ใช้งานอาจต้องปรับตัวกับฟีเจอร์ใหม่

    https://www.tomshardware.com/software/operating-systems/33-year-old-amigaos-for-commodore-computers-gets-an-unexpected-update
    AmigaOS 3.2.3 ได้รับการพัฒนาโดย Hyperion Entertainment ซึ่งยังคงมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงระบบปฏิบัติการนี้ให้ทันสมัย แม้ว่าจะเปิดตัวครั้งแรกในปี 1992 การอัปเดตครั้งนี้รวมถึงการปรับปรุงเครื่องมือ GUI อย่าง ReAction การเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน TextEditor และการปลดล็อกพื้นที่ RAM 12KB ที่เคยถูกสงวนไว้ นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัว ROM รุ่นใหม่ Kickstart 3.2.3 เพื่อรองรับการใช้งานที่ดียิ่งขึ้น น่าสนใจที่ AmigaOS 3.2.3 ยังรองรับฮาร์ดแวร์ Amiga รุ่นเก่า เช่น MC68000 และ A500 รวมถึงฮาร์ดแวร์ที่ใช้ Arm accelerators อย่าง PiStorm ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเพลิดเพลินกับระบบปฏิบัติการนี้ได้ทั้งในรูปแบบคลาสสิกและทันสมัย ✅ การอัปเดต AmigaOS 3.2.3 - มีการปรับปรุงและแก้ไขมากกว่า 50 รายการ - รวมถึงการปรับปรุง GUI และ TextEditor ✅ การเปิดตัว Kickstart 3.2.3 ROM - รองรับการใช้งานที่ดียิ่งขึ้นสำหรับฮาร์ดแวร์ Amiga ✅ การรองรับฮาร์ดแวร์รุ่นเก่าและใหม่ - รองรับฮาร์ดแวร์ Amiga รุ่นเก่า เช่น MC68000 และ A500 - รองรับ Arm accelerators อย่าง PiStorm ℹ️ ความท้าทายในการพัฒนา - การพัฒนาระบบปฏิบัติการที่มีอายุยาวนานอาจต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี - การรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่อาจต้องใช้ทรัพยากรเพิ่มเติม ℹ️ ผลกระทบต่อชุมชนผู้ใช้งาน - การอัปเดตนี้อาจช่วยฟื้นฟูความสนใจใน AmigaOS - ชุมชนผู้ใช้งานอาจต้องปรับตัวกับฟีเจอร์ใหม่ https://www.tomshardware.com/software/operating-systems/33-year-old-amigaos-for-commodore-computers-gets-an-unexpected-update
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    33-year-old AmigaOS for Commodore computers gets an unexpected update
    Classic Motorola 680x0-friendly AmigaOS 3.2.3 released with over 50 fixes and enhancements.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 97 มุมมอง 0 รีวิว
  • Europol ได้ดำเนินการติดตามผลจากปฏิบัติการ Operation Endgame ซึ่งเป็นการปราบปรามเครือข่ายบ็อตเน็ตครั้งใหญ่ในปี 2024 โดยมีการจับกุมผู้ใช้งาน Smokeloader และตรวจค้นบ้านของพวกเขา

    ✅ การติดตามผลจาก Operation Endgame:
    - Europol ได้จับกุมผู้ใช้งาน Smokeloader ซึ่งเป็นบริการมัลแวร์แบบจ่ายเงินเพื่อใช้งาน
    - Smokeloader ถูกใช้ในการโจมตีหลายรูปแบบ เช่น การบันทึกการกดแป้นพิมพ์ การเข้าถึงกล้องเว็บแคม การปล่อยแรนซัมแวร์ และการขุดคริปโต

    ✅ การตรวจสอบฐานข้อมูล:
    - ผู้ใช้งาน Smokeloader ถูกติดตามจากฐานข้อมูลที่ถูกยึดใน Operation Endgame
    - หลายคนให้ความร่วมมือในการตรวจสอบอุปกรณ์ดิจิทัล และบางคนยอมรับว่ามีการขายบริการ Smokeloader ต่อในราคาที่สูงขึ้น

    ✅ การดำเนินการในหลายประเทศ:
    - ปฏิบัติการนี้เกี่ยวข้องกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายหลายแห่ง เช่น FBI, Secret Service, RCMP และตำรวจในยุโรป

    ✅ การดำเนินการในอนาคต:
    - Europol ระบุว่าปฏิบัติการยังไม่สิ้นสุด และจะมีการประกาศการดำเนินการใหม่ในเว็บไซต์ operation-endgame.com

    https://www.techradar.com/pro/security/operation-endgame-follow-up-leads-to-detentions-across-smoakloader-ecosystem
    Europol ได้ดำเนินการติดตามผลจากปฏิบัติการ Operation Endgame ซึ่งเป็นการปราบปรามเครือข่ายบ็อตเน็ตครั้งใหญ่ในปี 2024 โดยมีการจับกุมผู้ใช้งาน Smokeloader และตรวจค้นบ้านของพวกเขา ✅ การติดตามผลจาก Operation Endgame: - Europol ได้จับกุมผู้ใช้งาน Smokeloader ซึ่งเป็นบริการมัลแวร์แบบจ่ายเงินเพื่อใช้งาน - Smokeloader ถูกใช้ในการโจมตีหลายรูปแบบ เช่น การบันทึกการกดแป้นพิมพ์ การเข้าถึงกล้องเว็บแคม การปล่อยแรนซัมแวร์ และการขุดคริปโต ✅ การตรวจสอบฐานข้อมูล: - ผู้ใช้งาน Smokeloader ถูกติดตามจากฐานข้อมูลที่ถูกยึดใน Operation Endgame - หลายคนให้ความร่วมมือในการตรวจสอบอุปกรณ์ดิจิทัล และบางคนยอมรับว่ามีการขายบริการ Smokeloader ต่อในราคาที่สูงขึ้น ✅ การดำเนินการในหลายประเทศ: - ปฏิบัติการนี้เกี่ยวข้องกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายหลายแห่ง เช่น FBI, Secret Service, RCMP และตำรวจในยุโรป ✅ การดำเนินการในอนาคต: - Europol ระบุว่าปฏิบัติการยังไม่สิ้นสุด และจะมีการประกาศการดำเนินการใหม่ในเว็บไซต์ operation-endgame.com https://www.techradar.com/pro/security/operation-endgame-follow-up-leads-to-detentions-across-smoakloader-ecosystem
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้เล่าถึงประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการของการ Overclocking CPU ซึ่งเป็นการปรับแต่งประสิทธิภาพของไมโครโปรเซสเซอร์ให้เกินกว่าความสามารถที่กำหนดไว้ โดยมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาวิธีการตั้งแต่ยุคแรกจนถึงปัจจุบัน

    ✅ การเริ่มต้นของ Overclocking:
    - ในยุคแรก การ Overclocking ใช้วิธีการเปลี่ยน Crystal Clock Oscillators และปรับความเร็วของ System Bus ผ่าน DIP Switches และ Jumpers บนเมนบอร์ด
    - การเพิ่ม Internal Clock Multipliers ช่วยให้การ Overclocking มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ✅ การพัฒนาวิธีการ:
    - การ Overclocking ในยุคปัจจุบันใช้ BIOS-level tuning และซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อน
    - การปรับปรุงด้าน Thermal Management และ Silicon Lottery เป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพ

    ✅ ตัวอย่าง CPU ที่โดดเด่น:
    - Intel Pentium MMX 166: เพิ่มความเร็วจาก 166MHz เป็น 266MHz
    - AMD Athlon XP-M 2500+: เพิ่มความเร็วจาก 1.87GHz เป็น 2.7GHz
    - Intel Core i7 2600K: เพิ่มความเร็วจาก 3.4GHz เป็น 5.0GHz

    ✅ ความนิยมในวงการ:
    - การ Overclocking ยังคงเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ใช้งานที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุดจากฮาร์ดแวร์

    == ข้อเสนอแนะและคำเตือน ==
    ⚠️ ความเสี่ยงด้านความร้อน:
    - การ Overclocking อาจทำให้ CPU ร้อนเกินไปและลดอายุการใช้งาน

    ⚠️ ความเสี่ยงด้านความเสถียร:
    - การปรับแต่งที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้ระบบไม่เสถียรและเกิดปัญหาในการใช้งาน

    ⚠️ การเลือกฮาร์ดแวร์:
    - ผู้ใช้งานควรเลือกฮาร์ดแวร์ที่รองรับการ Overclocking และมีระบบระบายความร้อนที่ดี

    https://www.techspot.com/article/922-memorable-overclocking-friendly-cpus/
    บทความนี้เล่าถึงประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการของการ Overclocking CPU ซึ่งเป็นการปรับแต่งประสิทธิภาพของไมโครโปรเซสเซอร์ให้เกินกว่าความสามารถที่กำหนดไว้ โดยมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาวิธีการตั้งแต่ยุคแรกจนถึงปัจจุบัน ✅ การเริ่มต้นของ Overclocking: - ในยุคแรก การ Overclocking ใช้วิธีการเปลี่ยน Crystal Clock Oscillators และปรับความเร็วของ System Bus ผ่าน DIP Switches และ Jumpers บนเมนบอร์ด - การเพิ่ม Internal Clock Multipliers ช่วยให้การ Overclocking มีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ การพัฒนาวิธีการ: - การ Overclocking ในยุคปัจจุบันใช้ BIOS-level tuning และซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อน - การปรับปรุงด้าน Thermal Management และ Silicon Lottery เป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพ ✅ ตัวอย่าง CPU ที่โดดเด่น: - Intel Pentium MMX 166: เพิ่มความเร็วจาก 166MHz เป็น 266MHz - AMD Athlon XP-M 2500+: เพิ่มความเร็วจาก 1.87GHz เป็น 2.7GHz - Intel Core i7 2600K: เพิ่มความเร็วจาก 3.4GHz เป็น 5.0GHz ✅ ความนิยมในวงการ: - การ Overclocking ยังคงเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ใช้งานที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุดจากฮาร์ดแวร์ == ข้อเสนอแนะและคำเตือน == ⚠️ ความเสี่ยงด้านความร้อน: - การ Overclocking อาจทำให้ CPU ร้อนเกินไปและลดอายุการใช้งาน ⚠️ ความเสี่ยงด้านความเสถียร: - การปรับแต่งที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้ระบบไม่เสถียรและเกิดปัญหาในการใช้งาน ⚠️ การเลือกฮาร์ดแวร์: - ผู้ใช้งานควรเลือกฮาร์ดแวร์ที่รองรับการ Overclocking และมีระบบระบายความร้อนที่ดี https://www.techspot.com/article/922-memorable-overclocking-friendly-cpus/
    WWW.TECHSPOT.COM
    The Most Memorable Overclocking-Friendly CPUs
    Enthusiasts have been pushing the limits of silicon for as long as microprocessors have existed. These are but a few of the landmark processors revered for their...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • nEye Systems ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้านชิปเครือข่ายสำหรับศูนย์ข้อมูล AI ได้รับเงินทุนจำนวน 58 ล้านดอลลาร์ ในรอบการระดมทุนที่นำโดย CapitalG ซึ่งเป็นกองทุนที่ได้รับการสนับสนุนจาก Alphabet โดยชิปที่พัฒนาขึ้นนี้ใช้เทคโนโลยีแสงเพื่อส่งข้อมูลระหว่างชิป AI แทนการใช้สัญญาณไฟฟ้า

    ✅ การระดมทุน:
    - nEye Systems ได้รับเงินทุน 58 ล้านดอลลาร์จาก CapitalG ซึ่งเป็นกองทุนที่สนับสนุนโดย Alphabet

    ✅ เทคโนโลยีที่พัฒนา:
    - ชิปของ nEye ใช้เทคโนโลยีแสง (optical technology) ในการส่งข้อมูลระหว่างชิป AI
    - เทคโนโลยีนี้ช่วยลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล AI

    ✅ ความสำคัญของเทคโนโลยี:
    - การใช้แสงแทนสัญญาณไฟฟ้าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและลดความร้อนในกระบวนการประมวลผลข้อมูล
    - เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจจากทั้งบริษัทใหญ่ เช่น Nvidia และสตาร์ทอัพอื่น ๆ

    ✅ ที่ตั้งของบริษัท:
    - nEye Systems ตั้งอยู่ในเมือง Emeryville รัฐแคลิฟอร์เนีย

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/11/ai-networking-chip-startup-neye-systems-raises-58-million-led-by-alphabet039s-capitalg-fund-
    nEye Systems ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้านชิปเครือข่ายสำหรับศูนย์ข้อมูล AI ได้รับเงินทุนจำนวน 58 ล้านดอลลาร์ ในรอบการระดมทุนที่นำโดย CapitalG ซึ่งเป็นกองทุนที่ได้รับการสนับสนุนจาก Alphabet โดยชิปที่พัฒนาขึ้นนี้ใช้เทคโนโลยีแสงเพื่อส่งข้อมูลระหว่างชิป AI แทนการใช้สัญญาณไฟฟ้า ✅ การระดมทุน: - nEye Systems ได้รับเงินทุน 58 ล้านดอลลาร์จาก CapitalG ซึ่งเป็นกองทุนที่สนับสนุนโดย Alphabet ✅ เทคโนโลยีที่พัฒนา: - ชิปของ nEye ใช้เทคโนโลยีแสง (optical technology) ในการส่งข้อมูลระหว่างชิป AI - เทคโนโลยีนี้ช่วยลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล AI ✅ ความสำคัญของเทคโนโลยี: - การใช้แสงแทนสัญญาณไฟฟ้าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและลดความร้อนในกระบวนการประมวลผลข้อมูล - เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจจากทั้งบริษัทใหญ่ เช่น Nvidia และสตาร์ทอัพอื่น ๆ ✅ ที่ตั้งของบริษัท: - nEye Systems ตั้งอยู่ในเมือง Emeryville รัฐแคลิฟอร์เนีย https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/11/ai-networking-chip-startup-neye-systems-raises-58-million-led-by-alphabet039s-capitalg-fund-
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI networking chip startup nEye Systems raises $58 million, led by Alphabet's CapitalG fund
    SAN FRANCISCO (Reuters) - NEye Systems, a startup developing a new kind of networking chip for artificial intelligence data centers, on Thursday raised $58 million in venture financing in a round led by CapitalG, a growth-stage fund backed by Alphabet.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft รายงานถึงการโจมตีช่องโหว่ใหม่ในระบบปฏิบัติการ Windows ที่เรียกว่า CVE-2025-29824 โดยมีคะแนนความรุนแรงถึง 7.8/10 ช่องโหว่นี้ถูกใช้งานโดยกลุ่มแฮ็กเกอร์ Storm-2460 ที่ใช้ประโยชน์จากบั๊กประเภท Use-After-Free ใน Windows Common Log File System Driver (CLFS)

    == วิธีการทำงานของช่องโหว่ ==
    ✅ การยกระดับสิทธิ์หลังจากเข้าถึงระบบ:
    - ช่องโหว่นี้ไม่สามารถถูกใช้ได้หากไม่มีการเข้าถึงระบบก่อน แต่หลังจากแฮ็กเกอร์สามารถเจาะระบบได้ พวกเขาสามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อยกระดับสิทธิ์และควบคุมระบบในระดับผู้ดูแล

    ✅ PipeMagic และ RansomEXX:
    - แฮ็กเกอร์จะติดตั้งมัลแวร์ PipeMagic ซึ่งเป็น backdoor trojan ที่ช่วยให้พวกเขาติดตั้ง ransomware ได้อย่างง่ายดาย
    - ในกรณีนี้ พวกเขาใช้ ransomware ชื่อ RansomEXX เพื่อเข้ารหัสข้อมูลและเรียกร้องค่าไถ่

    ✅ เป้าหมายการโจมตี:
    - กลุ่ม Storm-2460 เลือกโจมตีองค์กรในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น IT, การเงิน และค้าปลีก โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐฯ, เวเนซุเอลา, สเปน และซาอุดีอาระเบีย

    == คำแนะนำจาก Microsoft ==
    💡 อัปเดตแพตช์ด่วนที่สุด:
    - Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้งานเร่งติดตั้งแพตช์เพื่อป้องกันช่องโหว่ที่อาจถูกใช้ในการโจมตี

    💡 เสริมการป้องกันหลายชั้น:
    - บริษัทต่าง ๆ ควรพิจารณาใช้มาตรการเสริม เช่น ระบบตรวจจับการโจมตี (Intrusion Detection Systems) และการตรวจสอบสิทธิ์ผู้ใช้งานอย่างเข้มงวด

    https://www.techradar.com/pro/security/hackers-exploit-zero-day-common-log-file-system-vulnerability-to-plant-ransomware
    Microsoft รายงานถึงการโจมตีช่องโหว่ใหม่ในระบบปฏิบัติการ Windows ที่เรียกว่า CVE-2025-29824 โดยมีคะแนนความรุนแรงถึง 7.8/10 ช่องโหว่นี้ถูกใช้งานโดยกลุ่มแฮ็กเกอร์ Storm-2460 ที่ใช้ประโยชน์จากบั๊กประเภท Use-After-Free ใน Windows Common Log File System Driver (CLFS) == วิธีการทำงานของช่องโหว่ == ✅ การยกระดับสิทธิ์หลังจากเข้าถึงระบบ: - ช่องโหว่นี้ไม่สามารถถูกใช้ได้หากไม่มีการเข้าถึงระบบก่อน แต่หลังจากแฮ็กเกอร์สามารถเจาะระบบได้ พวกเขาสามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อยกระดับสิทธิ์และควบคุมระบบในระดับผู้ดูแล ✅ PipeMagic และ RansomEXX: - แฮ็กเกอร์จะติดตั้งมัลแวร์ PipeMagic ซึ่งเป็น backdoor trojan ที่ช่วยให้พวกเขาติดตั้ง ransomware ได้อย่างง่ายดาย - ในกรณีนี้ พวกเขาใช้ ransomware ชื่อ RansomEXX เพื่อเข้ารหัสข้อมูลและเรียกร้องค่าไถ่ ✅ เป้าหมายการโจมตี: - กลุ่ม Storm-2460 เลือกโจมตีองค์กรในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น IT, การเงิน และค้าปลีก โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐฯ, เวเนซุเอลา, สเปน และซาอุดีอาระเบีย == คำแนะนำจาก Microsoft == 💡 อัปเดตแพตช์ด่วนที่สุด: - Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้งานเร่งติดตั้งแพตช์เพื่อป้องกันช่องโหว่ที่อาจถูกใช้ในการโจมตี 💡 เสริมการป้องกันหลายชั้น: - บริษัทต่าง ๆ ควรพิจารณาใช้มาตรการเสริม เช่น ระบบตรวจจับการโจมตี (Intrusion Detection Systems) และการตรวจสอบสิทธิ์ผู้ใช้งานอย่างเข้มงวด https://www.techradar.com/pro/security/hackers-exploit-zero-day-common-log-file-system-vulnerability-to-plant-ransomware
    WWW.TECHRADAR.COM
    Hackers exploit zero-day Common Log File System vulnerability to plant ransomware
    A group known as Storm-2460 is using the bug to deploy the RansomEXX variant.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD ได้ประกาศจัดงาน “Advancing AI 2025” ซึ่งจะเป็นทั้งงานประชุมในสถานที่และสตรีมสดในวันที่ 12 มิถุนายน 2025 โดยงานนี้จะนำเสนอวิสัยทัศน์ล่าสุดของ AMD ในโลก AI พร้อมเปิดตัว AMD Instinct GPUs รุ่นถัดไป และความก้าวหน้าในซอฟต์แวร์ ROCm open ecosystem

    ✅ เป้าหมายที่ครอบคลุมกลุ่มต่าง ๆ:
    - AMD ไม่ได้จำกัดการนำเสนอแค่กลุ่มนักพัฒนาเท่านั้น แต่ยังรวมถึง องค์กร hyperscalers, ธุรกิจ, สตาร์ทอัพ และนักพัฒนา AI

    ✅ การเปิดตัวฮาร์ดแวร์ใหม่:
    - AMD Instinct GPUs รุ่นใหม่จะถูกนำเสนอ พร้อมความสามารถที่มุ่งเน้น ประสิทธิภาพในการประมวลผล AI และการพัฒนาโมเดลที่ซับซ้อน

    ✅ ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาเพิ่มขึ้น:
    - ROCm ecosystem จะขยายความร่วมมือ และเพิ่มฟีเจอร์ที่ช่วยนักพัฒนาได้สร้างโซลูชัน AI ได้สะดวกและทรงพลังขึ้น

    ✅ วิสัยทัศน์จาก Dr. Lisa Su:
    - ภายในงาน คุณ Dr. Lisa Su, CEO ของ AMD จะร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์เกี่ยวกับทิศทางของ AI ที่ AMD กำลังสร้างขึ้น พร้อมเปิดเวทีให้ พันธมิตร, ลูกค้า, และนักพัฒนาซอฟต์แวร์ AI ได้ร่วมแสดงมุมมอง

    https://www.techpowerup.com/335245/amd-announces-advancing-ai-2025
    AMD ได้ประกาศจัดงาน “Advancing AI 2025” ซึ่งจะเป็นทั้งงานประชุมในสถานที่และสตรีมสดในวันที่ 12 มิถุนายน 2025 โดยงานนี้จะนำเสนอวิสัยทัศน์ล่าสุดของ AMD ในโลก AI พร้อมเปิดตัว AMD Instinct GPUs รุ่นถัดไป และความก้าวหน้าในซอฟต์แวร์ ROCm open ecosystem ✅ เป้าหมายที่ครอบคลุมกลุ่มต่าง ๆ: - AMD ไม่ได้จำกัดการนำเสนอแค่กลุ่มนักพัฒนาเท่านั้น แต่ยังรวมถึง องค์กร hyperscalers, ธุรกิจ, สตาร์ทอัพ และนักพัฒนา AI ✅ การเปิดตัวฮาร์ดแวร์ใหม่: - AMD Instinct GPUs รุ่นใหม่จะถูกนำเสนอ พร้อมความสามารถที่มุ่งเน้น ประสิทธิภาพในการประมวลผล AI และการพัฒนาโมเดลที่ซับซ้อน ✅ ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาเพิ่มขึ้น: - ROCm ecosystem จะขยายความร่วมมือ และเพิ่มฟีเจอร์ที่ช่วยนักพัฒนาได้สร้างโซลูชัน AI ได้สะดวกและทรงพลังขึ้น ✅ วิสัยทัศน์จาก Dr. Lisa Su: - ภายในงาน คุณ Dr. Lisa Su, CEO ของ AMD จะร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์เกี่ยวกับทิศทางของ AI ที่ AMD กำลังสร้างขึ้น พร้อมเปิดเวทีให้ พันธมิตร, ลูกค้า, และนักพัฒนาซอฟต์แวร์ AI ได้ร่วมแสดงมุมมอง https://www.techpowerup.com/335245/amd-announces-advancing-ai-2025
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    AMD Announces Advancing AI 2025
    Today, AMD (NASDAQ: AMD) announced "Advancing AI 2025," an in-person and livestreamed event on June 12, 2025. The industry event will showcase the company's bold vision for AI, announce the next generation of AMD Instinct GPUs, AMD ROCm open software ecosystem progress, and reveal details on AI solu...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 118 มุมมอง 0 รีวิว
  • Office of the Comptroller of the Currency (OCC) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลธนาคารแห่งชาติในสหรัฐฯ แจ้ง Congress ถึงการเจาะระบบไซเบอร์ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในระบบอีเมลขององค์กร โดยช่องโหว่นี้อนุญาตให้นักโจมตีเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญ รวมถึงอีเมลกว่า

    ✅ วิธีการเจาะระบบ:
    - การโจมตีเริ่มจากการเข้าถึงบัญชีผู้ดูแลระบบในระบบ Office Automation Environment ของ OCC
    - พบพฤติกรรมการเข้าถึงบัญชีผู้ใช้งานในลักษณะผิดปกติเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2025 ซึ่งยืนยันเป็นการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตในวันถัดมา

    ✅ การตอบสนองของ OCC:
    - OCC ได้ปิดการใช้งานบัญชีผู้ดูแลระบบที่ถูกเจาะเข้าถึง และเริ่มต้นโปรโตคอลตอบสนองฉุกเฉินทันที
    - มีการร่วมมือกับ Cybersecurity and Infrastructure Security Agency (CISA) และผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยจากภายนอก เพื่อประเมินความเสียหาย

    ✅ ความเสี่ยงที่ตามมา:
    - เหตุการณ์นี้อาจทำให้องค์กรที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ OCC เสี่ยงต่อการถูกโจมตีไซเบอร์ในอนาคต หากนักโจมตีใช้ข้อมูลจากอีเมลเพื่อเจาะระบบเพิ่มเติม

    == บทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้ ==
    💡 ความจำเป็นในการลงทุนด้านความปลอดภัยไซเบอร์:
    - ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า OCC อาจไม่ได้รับทรัพยากรด้านความปลอดภัยที่เพียงพอ แม้จะเป็นหน่วยงานที่สำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ

    💡 การสร้างระบบที่ปลอดภัยมากขึ้น:
    - มีความจำเป็นในการพัฒนากระบวนการป้องกันที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบที่เกี่ยวข้องกับการเงิน

    https://www.csoonline.com/article/3957698/occ-email-system-breach-described-as-stunning-serious.html
    Office of the Comptroller of the Currency (OCC) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลธนาคารแห่งชาติในสหรัฐฯ แจ้ง Congress ถึงการเจาะระบบไซเบอร์ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในระบบอีเมลขององค์กร โดยช่องโหว่นี้อนุญาตให้นักโจมตีเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญ รวมถึงอีเมลกว่า ✅ วิธีการเจาะระบบ: - การโจมตีเริ่มจากการเข้าถึงบัญชีผู้ดูแลระบบในระบบ Office Automation Environment ของ OCC - พบพฤติกรรมการเข้าถึงบัญชีผู้ใช้งานในลักษณะผิดปกติเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2025 ซึ่งยืนยันเป็นการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตในวันถัดมา ✅ การตอบสนองของ OCC: - OCC ได้ปิดการใช้งานบัญชีผู้ดูแลระบบที่ถูกเจาะเข้าถึง และเริ่มต้นโปรโตคอลตอบสนองฉุกเฉินทันที - มีการร่วมมือกับ Cybersecurity and Infrastructure Security Agency (CISA) และผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยจากภายนอก เพื่อประเมินความเสียหาย ✅ ความเสี่ยงที่ตามมา: - เหตุการณ์นี้อาจทำให้องค์กรที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ OCC เสี่ยงต่อการถูกโจมตีไซเบอร์ในอนาคต หากนักโจมตีใช้ข้อมูลจากอีเมลเพื่อเจาะระบบเพิ่มเติม == บทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้ == 💡 ความจำเป็นในการลงทุนด้านความปลอดภัยไซเบอร์: - ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า OCC อาจไม่ได้รับทรัพยากรด้านความปลอดภัยที่เพียงพอ แม้จะเป็นหน่วยงานที่สำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ 💡 การสร้างระบบที่ปลอดภัยมากขึ้น: - มีความจำเป็นในการพัฒนากระบวนการป้องกันที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบที่เกี่ยวข้องกับการเงิน https://www.csoonline.com/article/3957698/occ-email-system-breach-described-as-stunning-serious.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    US bank regulator’s email system breached
    The agency that regulates all US national banks alerted Congress on Tuesday that hackers had access to staff emails.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 148 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ได้ปล่อยอัปเดต Patch Tuesday สำหรับเดือนเมษายน 2025 โดยแก้ไขช่องโหว่ความปลอดภัยถึง 134 รายการ รวมถึง Zero-Day ที่นักโจมตีไซเบอร์ได้ใช้ประโยชน์เพื่อเข้าถึงสิทธิ์ระดับสูงในระบบ Windows เหตุการณ์นี้เตือนให้ผู้ใช้งานรีบติดตั้งอัปเดตเพื่อป้องกันภัยคุกคาม

    == สิ่งสำคัญในอัปเดตครั้งนี้ ==
    ✅ ช่องโหว่ Zero-Day ที่ต้องรีบแก้ไข:
    - ช่องโหว่ Zero-Day ถูกติดตามในชื่อ CVE-2025-29824 และช่วยให้นักโจมตีสามารถเข้าถึงสิทธิ์การใช้งานระบบ (System Privileges) บน Windows
    - แม้ Microsoft ยังไม่ได้เปิดเผยว่าช่องโหว่นี้ถูกใช้โจมตีในสถานการณ์จริงอย่างไร แต่ความสำคัญของการติดตั้งอัปเดตนี้คือการป้องกันไม่ให้ผู้ใช้ตกเป็นเป้าหมาย

    ✅ รายละเอียดของช่องโหว่ที่ได้รับการแก้ไข:
    - 49 Elevation of Privilege Vulnerabilities
    - 9 Security Feature Bypass Vulnerabilities
    - 31 Remote Code Execution Vulnerabilities
    - 17 Information Disclosure Vulnerabilities
    - 14 Denial of Service Vulnerabilities
    - 3 Spoofing Vulnerabilities

    ✅ คำแนะนำจาก Microsoft: ผู้ใช้ Windows ทุกคนควรรีบติดตั้งแพตช์ใหม่ทันทีที่พร้อมใช้งาน เพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากช่องโหว่เหล่านี้

    https://www.tomsguide.com/computing/online-security/microsoft-just-patched-134-windows-security-flaws-including-a-zero-day-used-by-hackers-update-your-pc-right-now
    Microsoft ได้ปล่อยอัปเดต Patch Tuesday สำหรับเดือนเมษายน 2025 โดยแก้ไขช่องโหว่ความปลอดภัยถึง 134 รายการ รวมถึง Zero-Day ที่นักโจมตีไซเบอร์ได้ใช้ประโยชน์เพื่อเข้าถึงสิทธิ์ระดับสูงในระบบ Windows เหตุการณ์นี้เตือนให้ผู้ใช้งานรีบติดตั้งอัปเดตเพื่อป้องกันภัยคุกคาม == สิ่งสำคัญในอัปเดตครั้งนี้ == ✅ ช่องโหว่ Zero-Day ที่ต้องรีบแก้ไข: - ช่องโหว่ Zero-Day ถูกติดตามในชื่อ CVE-2025-29824 และช่วยให้นักโจมตีสามารถเข้าถึงสิทธิ์การใช้งานระบบ (System Privileges) บน Windows - แม้ Microsoft ยังไม่ได้เปิดเผยว่าช่องโหว่นี้ถูกใช้โจมตีในสถานการณ์จริงอย่างไร แต่ความสำคัญของการติดตั้งอัปเดตนี้คือการป้องกันไม่ให้ผู้ใช้ตกเป็นเป้าหมาย ✅ รายละเอียดของช่องโหว่ที่ได้รับการแก้ไข: - 49 Elevation of Privilege Vulnerabilities - 9 Security Feature Bypass Vulnerabilities - 31 Remote Code Execution Vulnerabilities - 17 Information Disclosure Vulnerabilities - 14 Denial of Service Vulnerabilities - 3 Spoofing Vulnerabilities ✅ คำแนะนำจาก Microsoft: ผู้ใช้ Windows ทุกคนควรรีบติดตั้งแพตช์ใหม่ทันทีที่พร้อมใช้งาน เพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากช่องโหว่เหล่านี้ https://www.tomsguide.com/computing/online-security/microsoft-just-patched-134-windows-security-flaws-including-a-zero-day-used-by-hackers-update-your-pc-right-now
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และไต้หวันสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในวงการไอที โดยแบรนด์อย่าง Razer และ Framework หยุดขายสินค้าบางส่วนในสหรัฐฯ เพื่อรับมือกับผลกระทบจากภาษีนำเข้า ขณะที่ราคาสินค้าในตลาดสหรัฐฯมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นถึง 20%

    ✅ Razer ไม่ใช่รายเดียว: แบรนด์ Framework ซึ่งผลิตแล็ปท็อปแบบปรับแต่งได้ ประกาศหยุดขายสินค้าในสหรัฐฯ เช่นเดียวกัน โดยชี้ว่าภาษี 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากไต้หวัน ทำให้ผลิตภัณฑ์รุ่นราคาประหยัดไม่สามารถทำกำไรได้

    ✅ ผลต่อราคาสินค้าในตลาด: คาดว่าราคาสินค้าไอทีในสหรัฐฯจะเพิ่มขึ้นถึง 20% เมื่อสินค้าก่อนมาตรการภาษีหมดสต็อก ซึ่งแบรนด์อื่นในตลาดเช่น Puget Systems และ Newegg เตรียมวางแผนปรับราคาหลังมาตรการภาษีเริ่มมีผลกระทบ

    https://www.tomshardware.com/laptops/razer-halts-laptop-sales-to-us-consumers-this-response-to-us-tariffs-could-become-commonplace
    สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และไต้หวันสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในวงการไอที โดยแบรนด์อย่าง Razer และ Framework หยุดขายสินค้าบางส่วนในสหรัฐฯ เพื่อรับมือกับผลกระทบจากภาษีนำเข้า ขณะที่ราคาสินค้าในตลาดสหรัฐฯมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นถึง 20% ✅ Razer ไม่ใช่รายเดียว: แบรนด์ Framework ซึ่งผลิตแล็ปท็อปแบบปรับแต่งได้ ประกาศหยุดขายสินค้าในสหรัฐฯ เช่นเดียวกัน โดยชี้ว่าภาษี 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากไต้หวัน ทำให้ผลิตภัณฑ์รุ่นราคาประหยัดไม่สามารถทำกำไรได้ ✅ ผลต่อราคาสินค้าในตลาด: คาดว่าราคาสินค้าไอทีในสหรัฐฯจะเพิ่มขึ้นถึง 20% เมื่อสินค้าก่อนมาตรการภาษีหมดสต็อก ซึ่งแบรนด์อื่นในตลาดเช่น Puget Systems และ Newegg เตรียมวางแผนปรับราคาหลังมาตรการภาษีเริ่มมีผลกระทบ https://www.tomshardware.com/laptops/razer-halts-laptop-sales-to-us-consumers-this-response-to-us-tariffs-could-become-commonplace
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • FreeDOS ระบบปฏิบัติการแบบ command-line ที่พัฒนาโดยได้แรงบันดาลใจจาก MS-DOS ได้เปิดตัวเวอร์ชันใหม่ FreeDOS 1.4 ซึ่งมีฟีเจอร์เด่นหลายอย่างที่ช่วยเพิ่มความเสถียรและประสิทธิภาพของระบบ โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาความเสถียรและการใช้งานที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ที่ต้องการระบบที่เรียบง่ายและยืดหยุ่น

    ✅ การอัปเดต FreeCOM:
    - FreeCOM หรือ Command.com ในเวอร์ชัน FreeDOS ได้รับการปรับปรุงเพิ่มความเสถียรด้วยการแก้ไขบั๊กหลายรายการ รวมถึงการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น การปรับปรุงการรองรับคำสั่งและการแปลภาษา

    ✅ การปรับปรุงตัวติดตั้ง:
    - ระบบติดตั้งได้รับการออกแบบใหม่ให้ดียิ่งขึ้น โดยมีตัวเลือกที่รองรับการใช้งานหลากหลาย เช่น Live CD, Legacy CD, USB และแม้แต่ Floppy Disk ซึ่งเหมาะสำหรับฮาร์ดแวร์เก่าและการใช้งานในเครื่องจำลองเสมือน

    ✅ HTML Help System ใหม่:
    - ระบบช่วยเหลือที่เขียนขึ้นใหม่ทั้งหมดในรูปแบบ HTML ซึ่งเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน พร้อมรองรับหลายภาษา

    ✅ ปรับปรุงโปรแกรมสำคัญ:
    - คำสั่ง Xcopy ถูกพัฒนาให้สามารถคัดลอกไฟล์แบบ recursive ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    - คำสั่ง Move ถูกปรับให้ลดการใช้ stack เพื่อลดโอกาสเกิดปัญหา stack overflow
    - ระบบเครือข่าย mTCP ได้รับการปรับปรุงเพื่อเพิ่มความเสถียรในการเชื่อมต่อ
    - การแก้ไขปัญหาสำคัญใน Fdisk ช่วยป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการจัดการดิสก์

    https://www.tomshardware.com/software/operating-systems/freedos-1-4-released-with-updated-freecom-install-program-and-html-help
    FreeDOS ระบบปฏิบัติการแบบ command-line ที่พัฒนาโดยได้แรงบันดาลใจจาก MS-DOS ได้เปิดตัวเวอร์ชันใหม่ FreeDOS 1.4 ซึ่งมีฟีเจอร์เด่นหลายอย่างที่ช่วยเพิ่มความเสถียรและประสิทธิภาพของระบบ โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาความเสถียรและการใช้งานที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ที่ต้องการระบบที่เรียบง่ายและยืดหยุ่น ✅ การอัปเดต FreeCOM: - FreeCOM หรือ Command.com ในเวอร์ชัน FreeDOS ได้รับการปรับปรุงเพิ่มความเสถียรด้วยการแก้ไขบั๊กหลายรายการ รวมถึงการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น การปรับปรุงการรองรับคำสั่งและการแปลภาษา ✅ การปรับปรุงตัวติดตั้ง: - ระบบติดตั้งได้รับการออกแบบใหม่ให้ดียิ่งขึ้น โดยมีตัวเลือกที่รองรับการใช้งานหลากหลาย เช่น Live CD, Legacy CD, USB และแม้แต่ Floppy Disk ซึ่งเหมาะสำหรับฮาร์ดแวร์เก่าและการใช้งานในเครื่องจำลองเสมือน ✅ HTML Help System ใหม่: - ระบบช่วยเหลือที่เขียนขึ้นใหม่ทั้งหมดในรูปแบบ HTML ซึ่งเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน พร้อมรองรับหลายภาษา ✅ ปรับปรุงโปรแกรมสำคัญ: - คำสั่ง Xcopy ถูกพัฒนาให้สามารถคัดลอกไฟล์แบบ recursive ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น - คำสั่ง Move ถูกปรับให้ลดการใช้ stack เพื่อลดโอกาสเกิดปัญหา stack overflow - ระบบเครือข่าย mTCP ได้รับการปรับปรุงเพื่อเพิ่มความเสถียรในการเชื่อมต่อ - การแก้ไขปัญหาสำคัญใน Fdisk ช่วยป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการจัดการดิสก์ https://www.tomshardware.com/software/operating-systems/freedos-1-4-released-with-updated-freecom-install-program-and-html-help
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    FreeDOS 1.4 released with updated FreeCOM, Install program, and HTML Help
    Updated free command-line OS comes in multiple formats, from Live CDs to USB flash drives and floppy disks.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 118 มุมมอง 0 รีวิว
  • US Office of the Comptroller of the Currency (OCC) หน่วยงานที่กำกับดูแลธนาคารแห่งชาติในสหรัฐฯ ได้เผชิญการโจมตีไซเบอร์อย่างรุนแรงจนเกิดช่องโหว่ในระบบอีเมลเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ทำให้มีการเข้าถึงข้อมูลสำคัญกว่า 150,000 อีเมล เหตุการณ์นี้ถูกจัดว่าเป็นการละเมิดที่มีผลกระทบร้ายแรงต่อความปลอดภัยไซเบอร์

    ✅ จุดเริ่มต้นการละเมิด:
    - OCC พบ พฤติกรรมผิดปกติ ระหว่างบัญชีผู้ดูแลระบบ (Admin) และ Mailbox ของผู้ใช้งานในระบบ
    - การโจมตีนี้ถูกยืนยันว่าเป็น Unauthorized Activity และส่งผลให้มีการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต

    ✅ การตอบสนองของ OCC:
    - หน่วยงานปิดบัญชีผู้ดูแลระบบที่ถูกเจาะระบบทันที
    - เรียกทีมภายนอกมาตรวจสอบปัญหา พร้อมรายงานเหตุการณ์ให้กับ Cybersecurity and Infrastructure Security Agency (CISA)
    - มีการแจ้งข้อมูลต่อสาธารณะเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์

    ✅ บทเรียนที่สำคัญ:
    - มีการตั้งคำถามว่าหน่วยงานที่มีความสำคัญระดับนี้ได้รับ ทรัพยากรที่เพียงพอ ในการป้องกันภัยไซเบอร์หรือไม่ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า IT Team ของหน่วยงานอาจขาดแคลนงบประมาณและบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ

    David Shipley นักวิเคราะห์ความปลอดภัยไซเบอร์ชี้ว่า การละเมิดครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนสำคัญ ที่เน้นย้ำว่าความพยายามในการป้องกันภัยไซเบอร์ในสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับความกดดันมหาศาล ทั้งในด้านการลดทรัพยากรและการจัดการกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

    Shipley กล่าวว่า “การโจมตีที่กล้าหาญแบบนี้ แสดงถึงความพยายามของผู้โจมตีที่มีความมั่นใจอย่างสูง รวมถึงความท้าทายที่ระบบป้องกันต้องเผชิญในการยับยั้งพฤติกรรมดังกล่าว”

    https://www.csoonline.com/article/3957698/occ-email-system-breach-described-as-stunning-serious.html
    US Office of the Comptroller of the Currency (OCC) หน่วยงานที่กำกับดูแลธนาคารแห่งชาติในสหรัฐฯ ได้เผชิญการโจมตีไซเบอร์อย่างรุนแรงจนเกิดช่องโหว่ในระบบอีเมลเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ทำให้มีการเข้าถึงข้อมูลสำคัญกว่า 150,000 อีเมล เหตุการณ์นี้ถูกจัดว่าเป็นการละเมิดที่มีผลกระทบร้ายแรงต่อความปลอดภัยไซเบอร์ ✅ จุดเริ่มต้นการละเมิด: - OCC พบ พฤติกรรมผิดปกติ ระหว่างบัญชีผู้ดูแลระบบ (Admin) และ Mailbox ของผู้ใช้งานในระบบ - การโจมตีนี้ถูกยืนยันว่าเป็น Unauthorized Activity และส่งผลให้มีการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต ✅ การตอบสนองของ OCC: - หน่วยงานปิดบัญชีผู้ดูแลระบบที่ถูกเจาะระบบทันที - เรียกทีมภายนอกมาตรวจสอบปัญหา พร้อมรายงานเหตุการณ์ให้กับ Cybersecurity and Infrastructure Security Agency (CISA) - มีการแจ้งข้อมูลต่อสาธารณะเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ✅ บทเรียนที่สำคัญ: - มีการตั้งคำถามว่าหน่วยงานที่มีความสำคัญระดับนี้ได้รับ ทรัพยากรที่เพียงพอ ในการป้องกันภัยไซเบอร์หรือไม่ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า IT Team ของหน่วยงานอาจขาดแคลนงบประมาณและบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ David Shipley นักวิเคราะห์ความปลอดภัยไซเบอร์ชี้ว่า การละเมิดครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนสำคัญ ที่เน้นย้ำว่าความพยายามในการป้องกันภัยไซเบอร์ในสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับความกดดันมหาศาล ทั้งในด้านการลดทรัพยากรและการจัดการกฎหมายที่เกี่ยวข้อง Shipley กล่าวว่า “การโจมตีที่กล้าหาญแบบนี้ แสดงถึงความพยายามของผู้โจมตีที่มีความมั่นใจอย่างสูง รวมถึงความท้าทายที่ระบบป้องกันต้องเผชิญในการยับยั้งพฤติกรรมดังกล่าว” https://www.csoonline.com/article/3957698/occ-email-system-breach-described-as-stunning-serious.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    OCC email system breach described as ‘stunning, serious’
    Agency that regulates all US national banks alerted Congress Tuesday about ‘unusual interactions’ involving system administrative account.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • HPE พัฒนาระบบใหม่ที่มีถึง 1,152 คอร์ ซึ่งผลักดันให้ Linux รองรับสูงสุดถึง 8,192 คอร์สำหรับการตรวจสอบ CPU ระบบนี้ช่วยเพิ่มศักยภาพในการวิเคราะห์และจัดการการทำงานของ CPU ในงานระดับสูง ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยขยายความสามารถของ Linux และเทคโนโลยีประมวลผลในอนาคต

    ✅ ความท้าทายเดิมและการแก้ไข:
    - Turbostat เป็นเครื่องมือสำหรับตรวจสอบการทำงานของ CPU เช่น ความเร็วคล็อก สถานะพลังงาน และอุณหภูมิ แต่เดิมรองรับคอร์สูงสุดเพียง 1,024 คอร์ ซึ่งเป็นข้อจำกัดสำหรับระบบขนาดใหญ่

    ✅ การเพิ่มการรองรับจำนวนคอร์:
    - การแก้ไขล่าสุดได้เพิ่มการรองรับ CPU สูงสุดเป็น 8,192 คอร์ พร้อมกับการเพิ่มเครื่องมือวิเคราะห์สถานะ Idle CPU และแก้ไขปัญหาในระบบ

    ✅ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์:
    - ระบบ 1,152 คอร์ของ HPE อาจใช้ฮาร์ดแวร์จาก Intel หรือ AMD โดยปัจจุบัน Intel Xeon และ AMD EPYC มีการออกแบบที่รองรับการใช้งานหลายซ็อกเก็ตเพื่อเพิ่มคอร์ แม้จะยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าระบบของ HPE ใช้โซลูชันใด

    == ผลกระทบต่อวงการเทคโนโลยี ==
    ✅ การพัฒนาซอฟต์แวร์:
    - Linux Kernel ต้องปรับตัวเพื่อรองรับระบบฮาร์ดแวร์ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เช่น การเพิ่มฟังก์ชันตรวจสอบและจัดการความเร็วของ CPU

    ✅ ความล้ำหน้าในด้านการประมวลผล:
    - ความสามารถในการรองรับคอร์จำนวนมหาศาลนี้ช่วยเปิดโอกาสในงานที่ต้องใช้การประมวลผลระดับสูง เช่น AI, การจำลองข้อมูล, และระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่

    https://www.tomshardware.com/software/linux/hpes-unnamed-1-152-core-system-pushes-turbostat-to-support-8-192-cores-in-linux-6-15
    HPE พัฒนาระบบใหม่ที่มีถึง 1,152 คอร์ ซึ่งผลักดันให้ Linux รองรับสูงสุดถึง 8,192 คอร์สำหรับการตรวจสอบ CPU ระบบนี้ช่วยเพิ่มศักยภาพในการวิเคราะห์และจัดการการทำงานของ CPU ในงานระดับสูง ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยขยายความสามารถของ Linux และเทคโนโลยีประมวลผลในอนาคต ✅ ความท้าทายเดิมและการแก้ไข: - Turbostat เป็นเครื่องมือสำหรับตรวจสอบการทำงานของ CPU เช่น ความเร็วคล็อก สถานะพลังงาน และอุณหภูมิ แต่เดิมรองรับคอร์สูงสุดเพียง 1,024 คอร์ ซึ่งเป็นข้อจำกัดสำหรับระบบขนาดใหญ่ ✅ การเพิ่มการรองรับจำนวนคอร์: - การแก้ไขล่าสุดได้เพิ่มการรองรับ CPU สูงสุดเป็น 8,192 คอร์ พร้อมกับการเพิ่มเครื่องมือวิเคราะห์สถานะ Idle CPU และแก้ไขปัญหาในระบบ ✅ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์: - ระบบ 1,152 คอร์ของ HPE อาจใช้ฮาร์ดแวร์จาก Intel หรือ AMD โดยปัจจุบัน Intel Xeon และ AMD EPYC มีการออกแบบที่รองรับการใช้งานหลายซ็อกเก็ตเพื่อเพิ่มคอร์ แม้จะยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าระบบของ HPE ใช้โซลูชันใด == ผลกระทบต่อวงการเทคโนโลยี == ✅ การพัฒนาซอฟต์แวร์: - Linux Kernel ต้องปรับตัวเพื่อรองรับระบบฮาร์ดแวร์ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เช่น การเพิ่มฟังก์ชันตรวจสอบและจัดการความเร็วของ CPU ✅ ความล้ำหน้าในด้านการประมวลผล: - ความสามารถในการรองรับคอร์จำนวนมหาศาลนี้ช่วยเปิดโอกาสในงานที่ต้องใช้การประมวลผลระดับสูง เช่น AI, การจำลองข้อมูล, และระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ https://www.tomshardware.com/software/linux/hpes-unnamed-1-152-core-system-pushes-turbostat-to-support-8-192-cores-in-linux-6-15
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันที่ 7 เมษายน 2025 ถือเป็นวันสำคัญที่ Git เครื่องมือจัดการเวอร์ชันชื่อดังในวงการโอเพนซอร์สมีอายุครบ 20 ปี Git ถูกสร้างขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่วันโดย Linus Torvalds และเปิดตัวสู่สาธารณะเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2005 ซึ่งนับตั้งแต่วันนั้นมา มันกลายเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาโอเพนซอร์สทั่วโลก

    ✅ แนวคิดการกระจายตัวที่ล้ำสมัย:
    - หนึ่งในจุดเด่นของ Git คือการเป็น ระบบควบคุมเวอร์ชันแบบกระจายตัว (Distributed Control System) ซึ่งแตกต่างจากระบบแบบรวมศูนย์เดิม ๆ ทำให้ผู้ใช้สามารถพัฒนาโค้ดได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์กลาง

    ✅ รองรับระบบปฏิบัติการหลากหลาย:
    - Git สามารถทำงานได้ทั้งบน Linux, Windows, Android, และ Solaris เป็นต้น ทำให้มันยิ่งแพร่หลายและเหมาะกับการใช้งานในวงกว้าง

    ✅ ที่มาของชื่อ Git:
    - คำว่า "Git" มาจากคำแสลงของอังกฤษที่แปลว่า “คนที่คิดว่าตัวเองถูกเสมอ” ซึ่ง Linus Torvalds ใช้ตั้งชื่อโปรเจกต์นี้เพื่อแสดงถึงตัวตนของเขาเอง

    ✅ การสืบทอดความสำคัญในมือผู้อื่น:
    - แม้ว่า Linus จะเริ่มต้นโครงการนี้ แต่เขาไม่ได้ดูแล Git มาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2005 โดยบทบาทนั้นถูกส่งต่อให้ Junio Hamano ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและดูแล Git ให้ทันสมัยอยู่เสมอ

    ✅ บทบาทของ Git ในโลกโอเพนซอร์ส:
    - Git เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างชุมชนผู้พัฒนาที่มีความคิดสร้างสรรค์ โดยช่วยนักพัฒนาและผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงโปรเจกต์ที่ต้องการความร่วมมือขนาดใหญ่ได้
    - ชุมชนโอเพนซอร์สและการประยุกต์ใช้ เช่น กับ Linux Kernel และโครงการที่เกี่ยวข้องกับ Raspberry Pi ยกให้ Git เป็นหัวใจสำคัญของการทำงานร่วมกัน

    https://www.tomshardware.com/software/git-turns-20-as-we-celebrate-decades-of-open-source-software-distribution
    วันที่ 7 เมษายน 2025 ถือเป็นวันสำคัญที่ Git เครื่องมือจัดการเวอร์ชันชื่อดังในวงการโอเพนซอร์สมีอายุครบ 20 ปี Git ถูกสร้างขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่วันโดย Linus Torvalds และเปิดตัวสู่สาธารณะเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2005 ซึ่งนับตั้งแต่วันนั้นมา มันกลายเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาโอเพนซอร์สทั่วโลก ✅ แนวคิดการกระจายตัวที่ล้ำสมัย: - หนึ่งในจุดเด่นของ Git คือการเป็น ระบบควบคุมเวอร์ชันแบบกระจายตัว (Distributed Control System) ซึ่งแตกต่างจากระบบแบบรวมศูนย์เดิม ๆ ทำให้ผู้ใช้สามารถพัฒนาโค้ดได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์กลาง ✅ รองรับระบบปฏิบัติการหลากหลาย: - Git สามารถทำงานได้ทั้งบน Linux, Windows, Android, และ Solaris เป็นต้น ทำให้มันยิ่งแพร่หลายและเหมาะกับการใช้งานในวงกว้าง ✅ ที่มาของชื่อ Git: - คำว่า "Git" มาจากคำแสลงของอังกฤษที่แปลว่า “คนที่คิดว่าตัวเองถูกเสมอ” ซึ่ง Linus Torvalds ใช้ตั้งชื่อโปรเจกต์นี้เพื่อแสดงถึงตัวตนของเขาเอง ✅ การสืบทอดความสำคัญในมือผู้อื่น: - แม้ว่า Linus จะเริ่มต้นโครงการนี้ แต่เขาไม่ได้ดูแล Git มาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2005 โดยบทบาทนั้นถูกส่งต่อให้ Junio Hamano ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและดูแล Git ให้ทันสมัยอยู่เสมอ ✅ บทบาทของ Git ในโลกโอเพนซอร์ส: - Git เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างชุมชนผู้พัฒนาที่มีความคิดสร้างสรรค์ โดยช่วยนักพัฒนาและผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงโปรเจกต์ที่ต้องการความร่วมมือขนาดใหญ่ได้ - ชุมชนโอเพนซอร์สและการประยุกต์ใช้ เช่น กับ Linux Kernel และโครงการที่เกี่ยวข้องกับ Raspberry Pi ยกให้ Git เป็นหัวใจสำคัญของการทำงานร่วมกัน https://www.tomshardware.com/software/git-turns-20-as-we-celebrate-decades-of-open-source-software-distribution
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • Honda กำลังพัฒนาเทคโนโลยีผลิตพลังงานสะอาดแบบวงปิด ซึ่งใช้แหล่งพลังงานจากน้ำและแสงอาทิตย์ในการสร้างออกซิเจนและไฟฟ้าสำหรับภารกิจในอวกาศ ระบบนี้ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนการขนส่งและการบำรุงรักษา แต่ยังมีศักยภาพในการเป็นแหล่งพลังงานหมุนเวียนสำหรับการตั้งถิ่นฐานในดวงจันทร์ รวมถึงสามารถนำมาประยุกต์ใช้บนโลกเพื่อส่งเสริมพลังงานสะอาดในอนาคต

    == เทคโนโลยีที่ Honda นำเสนอ ==
    ✅ ระบบพลังงานหมุนเวียนแบบวงปิด
    - ระบบนี้ใช้แหล่งพลังงานจาก แสงอาทิตย์และน้ำ เพื่อผลิตออกซิเจนสำหรับการหายใจและไฮโดรเจนสำหรับเป็นเชื้อเพลิงไฟฟ้า
    - ผลพลอยได้จากการผลิตพลังงานคือ น้ำ ซึ่งสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำในระบบ

    ✅ ข้อดีที่ทำให้ระบบเหมาะกับการใช้งานในอวกาศ
    - ระบบนี้มีความ กะทัดรัดและน้ำหนักเบา ช่วยลดต้นทุนการขนส่งสำหรับภารกิจในดวงจันทร์
    - การลดความจำเป็นในกระบวนการบีบอัดเชิงกลทำให้ระบบมีความน่าเชื่อถือและต้องการการบำรุงรักษาน้อยลง

    ✅ การทดสอบในสภาพแรงโน้มถ่วงต่ำ
    - Honda จะทดสอบระบบนี้บน ISS เพื่อดูความสามารถในการใช้งานในสภาพ microgravity ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการใช้งานจริงในอวกาศ

    == เป้าหมายและผลกระทบที่คาดหวัง ==
    ✅ การสนับสนุนภารกิจในดวงจันทร์
    - ระบบนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้เป็นแหล่งพลังงานที่ยั่งยืนสำหรับการตั้งถิ่นฐานระยะยาวในดวงจันทร์

    ✅ ความหวังในด้านพลังงานสะอาดสำหรับโลก
    - Honda วางแผนที่จะนำระบบนี้ไปใช้บนโลก โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์และส่งเสริมพลังงานสะอาด

    ✅ ความร่วมมือกับองค์กรนานาชาติ
    - Sierra Space รับหน้าที่ประสานงานกับ NASA เพื่อขนส่งอุปกรณ์ผ่าน Dream Chaser Spaceplane ในขณะที่ Tec-Masters ให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี ISS

    https://www.techspot.com/news/107432-honda-test-compact-hydrogen-system-space-exploration-iss.html
    Honda กำลังพัฒนาเทคโนโลยีผลิตพลังงานสะอาดแบบวงปิด ซึ่งใช้แหล่งพลังงานจากน้ำและแสงอาทิตย์ในการสร้างออกซิเจนและไฟฟ้าสำหรับภารกิจในอวกาศ ระบบนี้ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนการขนส่งและการบำรุงรักษา แต่ยังมีศักยภาพในการเป็นแหล่งพลังงานหมุนเวียนสำหรับการตั้งถิ่นฐานในดวงจันทร์ รวมถึงสามารถนำมาประยุกต์ใช้บนโลกเพื่อส่งเสริมพลังงานสะอาดในอนาคต == เทคโนโลยีที่ Honda นำเสนอ == ✅ ระบบพลังงานหมุนเวียนแบบวงปิด - ระบบนี้ใช้แหล่งพลังงานจาก แสงอาทิตย์และน้ำ เพื่อผลิตออกซิเจนสำหรับการหายใจและไฮโดรเจนสำหรับเป็นเชื้อเพลิงไฟฟ้า - ผลพลอยได้จากการผลิตพลังงานคือ น้ำ ซึ่งสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำในระบบ ✅ ข้อดีที่ทำให้ระบบเหมาะกับการใช้งานในอวกาศ - ระบบนี้มีความ กะทัดรัดและน้ำหนักเบา ช่วยลดต้นทุนการขนส่งสำหรับภารกิจในดวงจันทร์ - การลดความจำเป็นในกระบวนการบีบอัดเชิงกลทำให้ระบบมีความน่าเชื่อถือและต้องการการบำรุงรักษาน้อยลง ✅ การทดสอบในสภาพแรงโน้มถ่วงต่ำ - Honda จะทดสอบระบบนี้บน ISS เพื่อดูความสามารถในการใช้งานในสภาพ microgravity ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการใช้งานจริงในอวกาศ == เป้าหมายและผลกระทบที่คาดหวัง == ✅ การสนับสนุนภารกิจในดวงจันทร์ - ระบบนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้เป็นแหล่งพลังงานที่ยั่งยืนสำหรับการตั้งถิ่นฐานระยะยาวในดวงจันทร์ ✅ ความหวังในด้านพลังงานสะอาดสำหรับโลก - Honda วางแผนที่จะนำระบบนี้ไปใช้บนโลก โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์และส่งเสริมพลังงานสะอาด ✅ ความร่วมมือกับองค์กรนานาชาติ - Sierra Space รับหน้าที่ประสานงานกับ NASA เพื่อขนส่งอุปกรณ์ผ่าน Dream Chaser Spaceplane ในขณะที่ Tec-Masters ให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี ISS https://www.techspot.com/news/107432-honda-test-compact-hydrogen-system-space-exploration-iss.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Honda to test compact hydrogen system for space exploration on the ISS
    Honda is aiming beyond Earth with plans to test its high-differential pressure water electrolysis system aboard the International Space Station. In partnership with Sierra Space and Tec-Masters,...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • MediaTek เปิดตัว Kompanio Ultra ชิปรุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อนำ AI สู่การใช้งานใน Chromebook ด้วยประสิทธิภาพที่สูงกว่าคู่แข่งเช่น Snapdragon X ชิปรุ่นนี้รองรับการใช้งานแบบ multitasking และการประมวลผล AI บนตัวเครื่องโดยไม่ต้องพึ่งพาอินเทอร์เน็ต นับเป็นก้าวสำคัญของ MediaTek ในการยกระดับตลาด Chromebook

    ✅ พลัง AI ที่เหนือกว่าด้วย 50 TOPS
    - Kompanio Ultra มาพร้อม 8th-generation neural processing unit (NPU) ที่ให้ประสิทธิภาพการประมวลผล AI สูงถึง 50 TOPS (trillion operations per second) ซึ่งมากกว่า Snapdragon X ที่ทำได้ 45 TOPS
    - รองรับงาน AI automation และ enhanced workflows โดยไม่ต้องพึ่งพาอินเทอร์เน็ต

    ✅ สถาปัตยกรรม CPU ใหม่พร้อมความเร็วสูงสุด
    - ใช้ Arm Cortex-X925 core ความเร็วสูงสุดถึง 3.62GHz พร้อมคอร์เสริมอีก 7 คอร์ (Cortex-X4 และ Cortex-A720) ที่ให้ประสิทธิภาพเร็วขึ้น 18% เมื่อเทียบกับชิปรุ่นเรือธงใน Chromebook

    ✅ การรองรับการเชื่อมต่อระดับสูงและการใช้งานแบบ multitasking
    - สนับสนุนหน้าจอหลายจอด้วยความละเอียด 4K สองจอ รวมถึงเสียง Hi-Fi สำหรับการใช้งานเช่น วิดีโอคอล หรือ ดูสื่อมัลติมีเดีย
    - เชื่อมต่อด้วย Wi-Fi 7 ที่มีความเสถียรและระยะสัญญาณที่ดีขึ้น

    ✅ การผลิตด้วยเทคโนโลยี 3nm
    - โปรเซสเซอร์ถูกสร้างด้วยเทคโนโลยี 3nm ที่ให้ ประสิทธิภาพพลังงานสูงขึ้นถึง 50%

    ✅ ความหมายสำหรับตลาด Chromebook:
    - Chromebooks ที่ใช้ Kompanio Ultra อาจกลายเป็นทางเลือกที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับ Copilot+ PC ของ Snapdragon X-powered system

    https://www.neowin.net/news/mediatek-kompanio-ultra-promises-faster-ai-performance-than-qualcomm-snapdragon-x/
    MediaTek เปิดตัว Kompanio Ultra ชิปรุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อนำ AI สู่การใช้งานใน Chromebook ด้วยประสิทธิภาพที่สูงกว่าคู่แข่งเช่น Snapdragon X ชิปรุ่นนี้รองรับการใช้งานแบบ multitasking และการประมวลผล AI บนตัวเครื่องโดยไม่ต้องพึ่งพาอินเทอร์เน็ต นับเป็นก้าวสำคัญของ MediaTek ในการยกระดับตลาด Chromebook ✅ พลัง AI ที่เหนือกว่าด้วย 50 TOPS - Kompanio Ultra มาพร้อม 8th-generation neural processing unit (NPU) ที่ให้ประสิทธิภาพการประมวลผล AI สูงถึง 50 TOPS (trillion operations per second) ซึ่งมากกว่า Snapdragon X ที่ทำได้ 45 TOPS - รองรับงาน AI automation และ enhanced workflows โดยไม่ต้องพึ่งพาอินเทอร์เน็ต ✅ สถาปัตยกรรม CPU ใหม่พร้อมความเร็วสูงสุด - ใช้ Arm Cortex-X925 core ความเร็วสูงสุดถึง 3.62GHz พร้อมคอร์เสริมอีก 7 คอร์ (Cortex-X4 และ Cortex-A720) ที่ให้ประสิทธิภาพเร็วขึ้น 18% เมื่อเทียบกับชิปรุ่นเรือธงใน Chromebook ✅ การรองรับการเชื่อมต่อระดับสูงและการใช้งานแบบ multitasking - สนับสนุนหน้าจอหลายจอด้วยความละเอียด 4K สองจอ รวมถึงเสียง Hi-Fi สำหรับการใช้งานเช่น วิดีโอคอล หรือ ดูสื่อมัลติมีเดีย - เชื่อมต่อด้วย Wi-Fi 7 ที่มีความเสถียรและระยะสัญญาณที่ดีขึ้น ✅ การผลิตด้วยเทคโนโลยี 3nm - โปรเซสเซอร์ถูกสร้างด้วยเทคโนโลยี 3nm ที่ให้ ประสิทธิภาพพลังงานสูงขึ้นถึง 50% ✅ ความหมายสำหรับตลาด Chromebook: - Chromebooks ที่ใช้ Kompanio Ultra อาจกลายเป็นทางเลือกที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับ Copilot+ PC ของ Snapdragon X-powered system https://www.neowin.net/news/mediatek-kompanio-ultra-promises-faster-ai-performance-than-qualcomm-snapdragon-x/
    WWW.NEOWIN.NET
    MediaTek Kompanio Ultra promises faster AI performance than Qualcomm Snapdragon X
    MediaTek launched its new Kompanio Ultra chipset for Chromebook Plus. It claims to beat Qualcomm Snapdragon X Plus in NPU performance.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 0 รีวิว
  • Ivanti Connect Secure VPN ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรงที่เปิดโอกาสให้แฮกเกอร์กลุ่ม UNC5221 จากจีนโจมตีแบบ Remote Code Execution ช่องโหว่นี้ถูกใช้ร่วมกับมัลแวร์รุ่นใหม่ที่สามารถแฝงตัวในระบบได้อย่างแนบเนียน Ivanti ได้ปล่อยแพตช์แก้ไขแล้วและแนะนำให้องค์กรอัปเดตระบบโดยเร็วเพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกเจาะข้อมูล

    ✅ จุดอ่อนที่เปิดโอกาสโจมตีแบบ Remote Code Execution (RCE)
    - ช่องโหว่นี้เกิดจาก ปัญหา buffer overflow ในเวอร์ชัน ICS 9.X และ 22.7R2.5 หรือต่ำกว่า
    - กลุ่มแฮกเกอร์ UNC5221 ใช้ช่องโหว่นี้เพื่อ รันโค้ดจากระยะไกล และแฝงมัลแวร์ในระบบ

    ✅ มัลแวร์รุ่นใหม่ที่ถูกใช้ในโจมตีครั้งนี้
    - พบมัลแวร์ 2 ชนิดคือ TRAILBLAZE (dropper แบบ in-memory) และ BUSHFIRE (backdoor แบบ passive)
    - กลุ่ม UNC5221 ยังใช้มัลแวร์จากระบบ SPAWN ecosystem ในการโจมตีเป้าหมายที่มีช่องโหว่อื่น ๆ

    ✅ การแก้ไขและคำแนะนำจาก Ivanti
    - Ivanti ได้ออกแพตช์สำหรับการแก้ไขในเวอร์ชันล่าสุด ICS 22.7R2.6 และแนะนำให้องค์กรอัปเดตโดยด่วน
    - การล่าช้าในการอัปเดตอาจเสี่ยงต่อการตกเป็นเป้าหมาย เนื่องจากแฮกเกอร์อาจใช้กระบวนการวิศวกรรมย้อนกลับเพื่อสำรวจช่องโหว่

    ✅ กลุ่ม UNC5221 กับการโจมตีต่อเนื่อง
    - กลุ่มนี้เคยใช้ช่องโหว่ใน CVE-2025-0282 และ CVE-2025-0283 เพื่อโจมตี ICS ก่อนหน้านี้ในช่วงเดือนมกราคม
    - การโจมตีเน้นการขโมยข้อมูลสำคัญและเจาะระบบขององค์กรขนาดใหญ่

    https://www.techradar.com/pro/security/ivanti-patches-serious-connect-secure-flaw
    Ivanti Connect Secure VPN ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรงที่เปิดโอกาสให้แฮกเกอร์กลุ่ม UNC5221 จากจีนโจมตีแบบ Remote Code Execution ช่องโหว่นี้ถูกใช้ร่วมกับมัลแวร์รุ่นใหม่ที่สามารถแฝงตัวในระบบได้อย่างแนบเนียน Ivanti ได้ปล่อยแพตช์แก้ไขแล้วและแนะนำให้องค์กรอัปเดตระบบโดยเร็วเพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกเจาะข้อมูล ✅ จุดอ่อนที่เปิดโอกาสโจมตีแบบ Remote Code Execution (RCE) - ช่องโหว่นี้เกิดจาก ปัญหา buffer overflow ในเวอร์ชัน ICS 9.X และ 22.7R2.5 หรือต่ำกว่า - กลุ่มแฮกเกอร์ UNC5221 ใช้ช่องโหว่นี้เพื่อ รันโค้ดจากระยะไกล และแฝงมัลแวร์ในระบบ ✅ มัลแวร์รุ่นใหม่ที่ถูกใช้ในโจมตีครั้งนี้ - พบมัลแวร์ 2 ชนิดคือ TRAILBLAZE (dropper แบบ in-memory) และ BUSHFIRE (backdoor แบบ passive) - กลุ่ม UNC5221 ยังใช้มัลแวร์จากระบบ SPAWN ecosystem ในการโจมตีเป้าหมายที่มีช่องโหว่อื่น ๆ ✅ การแก้ไขและคำแนะนำจาก Ivanti - Ivanti ได้ออกแพตช์สำหรับการแก้ไขในเวอร์ชันล่าสุด ICS 22.7R2.6 และแนะนำให้องค์กรอัปเดตโดยด่วน - การล่าช้าในการอัปเดตอาจเสี่ยงต่อการตกเป็นเป้าหมาย เนื่องจากแฮกเกอร์อาจใช้กระบวนการวิศวกรรมย้อนกลับเพื่อสำรวจช่องโหว่ ✅ กลุ่ม UNC5221 กับการโจมตีต่อเนื่อง - กลุ่มนี้เคยใช้ช่องโหว่ใน CVE-2025-0282 และ CVE-2025-0283 เพื่อโจมตี ICS ก่อนหน้านี้ในช่วงเดือนมกราคม - การโจมตีเน้นการขโมยข้อมูลสำคัญและเจาะระบบขององค์กรขนาดใหญ่ https://www.techradar.com/pro/security/ivanti-patches-serious-connect-secure-flaw
    WWW.TECHRADAR.COM
    Ivanti patches serious Connect Secure flaw
    A new critical severity bug was being used by Chinese actors
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • MangoBoost และ AMD Instinct MI300X GPUs สร้างสถิติใหม่ในมาตรฐาน MLPerf Inference ด้วยผลลัพธ์ที่เหนือกว่าระบบ H100 จาก NVIDIA ทั้งในด้านประสิทธิภาพและต้นทุน ซอฟต์แวร์ Mango LLMBoost ไม่เพียงแต่รองรับการวิเคราะห์ AI ที่รวดเร็วเท่านั้น แต่ยังใช้งานได้ง่ายทั้งในองค์กรและคลาวด์ ความร่วมมือระหว่าง MangoBoost และ AMD ผลักดันให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่คุ้มค่าและทรงพลังที่สุดในตลาด

    ✅ ประสิทธิภาพที่เหนือชั้น
    - Mango LLMBoost ทำได้ถึง 103,182 tokens ต่อวินาที (TPS) ในโหมด offline inference และ 93,039 TPS ในโหมด server inference
    - ผลลัพธ์เหล่านี้เหนือกว่าการใช้ NVIDIA H100 GPUs ซึ่งทำได้ 82,749 TPS ในการเปรียบเทียบเดียวกัน

    ✅ ประหยัดค่าใช้จ่ายสูงถึง 62%
    - AMD MI300X GPUs มีราคาต่ำกว่า NVIDIA H100 GPUs อย่างมีนัยสำคัญ โดยอยู่ที่ $15,000–$17,000 เมื่อเทียบกับ $32,000–$40,000
    - Mango LLMBoost + MI300X ยังสร้างประสิทธิภาพการวิเคราะห์ต่อ 1,000 ดอลลาร์ สูงกว่า H100-based system ถึง 2.8 เท่า

    ✅ ซอฟต์แวร์ MLOps ที่ปรับขนาดและใช้งานง่าย
    - Mango LLMBoost สนับสนุนโมเดล AI มากกว่า 50 โมเดล เช่น Llama, DeepSeek และ Qwen
    - สามารถใช้งานได้ทั้ง บนคลาวด์และเซิร์ฟเวอร์องค์กร พร้อมระบบ deployment ที่ง่ายเพียง คำสั่งเดียวใน Docker

    ความร่วมมือกับ AMD และก้าวต่อไปของ MangoBoost:
    ✅ การใช้ ROCm Software Stack
    - MangoBoost ร่วมมือกับ AMD เพื่อผลักดันขีดความสามารถของ MI300X GPUs ในการใช้งานแบบ multi-node clusters
    ✅ ความคุ้มค่าด้าน AI Infrastructure
    - MangoBoost ยังมีโซลูชันเสริม เช่น Mango GPUBoost สำหรับงาน training และ inference แบบ multi-node และ Mango StorageBoost สำหรับการจัดการระบบจัดเก็บข้อมูล AI

    https://www.techpowerup.com/335079/mangoboost-achieves-record-breaking-mlperf-inference-v5-0-results-with-amd-instinct-mi300x
    MangoBoost และ AMD Instinct MI300X GPUs สร้างสถิติใหม่ในมาตรฐาน MLPerf Inference ด้วยผลลัพธ์ที่เหนือกว่าระบบ H100 จาก NVIDIA ทั้งในด้านประสิทธิภาพและต้นทุน ซอฟต์แวร์ Mango LLMBoost ไม่เพียงแต่รองรับการวิเคราะห์ AI ที่รวดเร็วเท่านั้น แต่ยังใช้งานได้ง่ายทั้งในองค์กรและคลาวด์ ความร่วมมือระหว่าง MangoBoost และ AMD ผลักดันให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่คุ้มค่าและทรงพลังที่สุดในตลาด ✅ ประสิทธิภาพที่เหนือชั้น - Mango LLMBoost ทำได้ถึง 103,182 tokens ต่อวินาที (TPS) ในโหมด offline inference และ 93,039 TPS ในโหมด server inference - ผลลัพธ์เหล่านี้เหนือกว่าการใช้ NVIDIA H100 GPUs ซึ่งทำได้ 82,749 TPS ในการเปรียบเทียบเดียวกัน ✅ ประหยัดค่าใช้จ่ายสูงถึง 62% - AMD MI300X GPUs มีราคาต่ำกว่า NVIDIA H100 GPUs อย่างมีนัยสำคัญ โดยอยู่ที่ $15,000–$17,000 เมื่อเทียบกับ $32,000–$40,000 - Mango LLMBoost + MI300X ยังสร้างประสิทธิภาพการวิเคราะห์ต่อ 1,000 ดอลลาร์ สูงกว่า H100-based system ถึง 2.8 เท่า ✅ ซอฟต์แวร์ MLOps ที่ปรับขนาดและใช้งานง่าย - Mango LLMBoost สนับสนุนโมเดล AI มากกว่า 50 โมเดล เช่น Llama, DeepSeek และ Qwen - สามารถใช้งานได้ทั้ง บนคลาวด์และเซิร์ฟเวอร์องค์กร พร้อมระบบ deployment ที่ง่ายเพียง คำสั่งเดียวใน Docker ความร่วมมือกับ AMD และก้าวต่อไปของ MangoBoost: ✅ การใช้ ROCm Software Stack - MangoBoost ร่วมมือกับ AMD เพื่อผลักดันขีดความสามารถของ MI300X GPUs ในการใช้งานแบบ multi-node clusters ✅ ความคุ้มค่าด้าน AI Infrastructure - MangoBoost ยังมีโซลูชันเสริม เช่น Mango GPUBoost สำหรับงาน training และ inference แบบ multi-node และ Mango StorageBoost สำหรับการจัดการระบบจัดเก็บข้อมูล AI https://www.techpowerup.com/335079/mangoboost-achieves-record-breaking-mlperf-inference-v5-0-results-with-amd-instinct-mi300x
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    MangoBoost Achieves Record-Breaking MLPerf Inference v5.0 Results with AMD Instinct MI300X
    MangoBoost, a provider of cutting-edge system solutions designed to maximize AI data center efficiency, has set a new industry benchmark with its latest MLPerf Inference v5.0 submission. The company's Mango LLMBoost AI Enterprise MLOps software has demonstrated unparalleled performance on AMD Instin...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 210 มุมมอง 0 รีวิว
  • ธนาคารกลาง 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย, อินเดีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, และสิงคโปร์ ประกาศจัดตั้ง Nexus Global Payments (NGP) บริษัทมหาชนที่ไม่แสวงหาผลกำไรเพื่อสร้างระบบโอนเงินข้ามประเทศแบบทันที (instant payment system - IPS)
    .
    Nexus เป็นโครงการที่ริเริ่มโดย ธนาคารเพื่อการชำระเงินระหว่างประเทศ (Bank for International Settlements - BIS) มีแนวทางที่จะปรับปรุงกระบวนการเชื่อมต่อธนาคารระหว่างประเทศเข้าด้วยกันในรูปแบบที่ทันสมัย ใช้ API ของ ISO 20022 และสร้าง ecosystem ที่เปิดให้มีการโอนเงินข้ามประเทศได้สะดวก โดยคาดว่าหากระบบ Nexus เปิดใช้งานจริง กระบวนการโอนเงินทั้งระบบจะถึงปลายทางภายในเวลา 60 วินาที
    .
    การทำงานภายใน Nexus วางแนวทางการทำงานของผู้ให้บริการแต่ละส่วนเป็นชิ้นแยกกัน เช่น ผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนเงินตรา, ผู้ให้บริการเชื่อมต่อ แต่ละส่วนสามารถคิดค่าบริการของตัวเอง และแสดงให้ผู้ใช้บริการเห็นค่าธรรมเนียมทั้งเส้นได้ทันที ธนาคารต่างๆ สามารถเชื่อมต่อกับ Nexus ได้ง่ายขึ้นเพราะเป็นการเชื่อมต่อจุดเดียวแทนที่จะต้องเชื่อมต่อไปทีละประเทศแบบเดิม
    .
    ตอนนี้ NGP เริ่มกระบวนการคัดเลือกผู้เชี่ยวชาญเข้ามาพัฒนาและดำเนินการแล้ว ส่วน BIS จะเป็นที่ปรึกษาโครงการต่อไป
    .
    https://www.blognone.com/node/145643
    ธนาคารกลาง 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย, อินเดีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, และสิงคโปร์ ประกาศจัดตั้ง Nexus Global Payments (NGP) บริษัทมหาชนที่ไม่แสวงหาผลกำไรเพื่อสร้างระบบโอนเงินข้ามประเทศแบบทันที (instant payment system - IPS) . Nexus เป็นโครงการที่ริเริ่มโดย ธนาคารเพื่อการชำระเงินระหว่างประเทศ (Bank for International Settlements - BIS) มีแนวทางที่จะปรับปรุงกระบวนการเชื่อมต่อธนาคารระหว่างประเทศเข้าด้วยกันในรูปแบบที่ทันสมัย ใช้ API ของ ISO 20022 และสร้าง ecosystem ที่เปิดให้มีการโอนเงินข้ามประเทศได้สะดวก โดยคาดว่าหากระบบ Nexus เปิดใช้งานจริง กระบวนการโอนเงินทั้งระบบจะถึงปลายทางภายในเวลา 60 วินาที . การทำงานภายใน Nexus วางแนวทางการทำงานของผู้ให้บริการแต่ละส่วนเป็นชิ้นแยกกัน เช่น ผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนเงินตรา, ผู้ให้บริการเชื่อมต่อ แต่ละส่วนสามารถคิดค่าบริการของตัวเอง และแสดงให้ผู้ใช้บริการเห็นค่าธรรมเนียมทั้งเส้นได้ทันที ธนาคารต่างๆ สามารถเชื่อมต่อกับ Nexus ได้ง่ายขึ้นเพราะเป็นการเชื่อมต่อจุดเดียวแทนที่จะต้องเชื่อมต่อไปทีละประเทศแบบเดิม . ตอนนี้ NGP เริ่มกระบวนการคัดเลือกผู้เชี่ยวชาญเข้ามาพัฒนาและดำเนินการแล้ว ส่วน BIS จะเป็นที่ปรึกษาโครงการต่อไป . https://www.blognone.com/node/145643
    WWW.BLOGNONE.COM
    ไทย อินเดีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ประกาศตั้งบริษัทกลางสร้างระบบโอนเงินข้ามประเทศแบบทันที
    ธนาคารกลาง 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย, อินเดีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, และสิงคโปร์ ประกาศจัดตั้ง Nexus Global Payments (NGP) บริษัทมหาชนที่ไม่แสวงหา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
  • การขึ้นภาษีนำเข้าพีซีของทรัมป์ทำให้ราคาพีซีในสหรัฐฯ อาจเพิ่มขึ้น 20-25% โดยแบรนด์ที่ประกอบเครื่องในอเมริกาจะได้รับผลกระทบหนัก เนื่องจากต้องนำเข้าชิ้นส่วนจากเอเชีย ซึ่งตอนนี้ถูกเพิ่มภาษีสูงสุดถึง 54% สำหรับสินค้าจากจีน ผู้ผลิตพีซีแบบกำหนดเองเช่น Maingear และ Falcon Northwest ไม่มีทางเลือกนอกจาก ผลักภาระต้นทุนไปยังผู้บริโภค นักวิเคราะห์เตือนว่าการขึ้นภาษีนี้ อาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย

    ✅ แบรนด์ใหญ่เช่น Dell และ HP อาจเลี่ยงผลกระทบได้บางส่วน
    - บริษัทขนาดใหญ่สามารถ ย้ายฐานผลิตไปยังประเทศที่ภาษีต่ำกว่า
    - ผู้ผลิตรายย่อยในสหรัฐฯ ไม่มีทางเลือก ต้องรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น

    ✅ ภาษีเพิ่มขึ้นสูงสุด 54% สำหรับชิ้นส่วนจากจีน
    - จีนได้รับผลกระทบหนักที่สุด โดยถูกเพิ่มภาษีอีก 34% ทำให้รวมเป็น 54%
    - ประเทศอื่นที่ได้รับผลกระทบหนักได้แก่ เวียดนาม (46%), ไต้หวัน (32%) และเกาหลีใต้ (26%)

    ✅ การขาดแคลน GPU อาจรุนแรงขึ้น
    - การที่โรงงานต้อง ย้ายฐานผลิตออกจากจีน กำลังทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลน GPU
    - ซัพพลายเออร์บางรายหยุดการผลิต ทำให้เกิดภาวะขาดตลาดและ FOMO (Fear of Missing Out)

    ✅ อุตสาหกรรมพีซีอาจไม่สามารถดูดซับต้นทุนเพิ่มขึ้นได้
    - ผู้ผลิตพีซีเป็นธุรกิจที่มีกำไรต่ำ ไม่สามารถแบกรับภาษีใหม่ได้โดยไม่ขึ้นราคา
    - คาดว่าผู้บริโภคจะต้องจ่ายเพิ่ม 20-45% ภายในเดือนมิถุนายน 2025

    ✅ สมาคมเทคโนโลยีเตือนว่าภาษีอาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย
    - CEO ของ Consumer Technology Association กล่าวว่า ภาษีเหล่านี้เป็นภาระหนักต่อประชาชนและอาจเร่งให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย

    https://www.tomshardware.com/desktops/gaming-pcs/pc-prices-up-at-least-15-percent-trump-tariffs-may-hurt-u-s-system-integrators-most
    การขึ้นภาษีนำเข้าพีซีของทรัมป์ทำให้ราคาพีซีในสหรัฐฯ อาจเพิ่มขึ้น 20-25% โดยแบรนด์ที่ประกอบเครื่องในอเมริกาจะได้รับผลกระทบหนัก เนื่องจากต้องนำเข้าชิ้นส่วนจากเอเชีย ซึ่งตอนนี้ถูกเพิ่มภาษีสูงสุดถึง 54% สำหรับสินค้าจากจีน ผู้ผลิตพีซีแบบกำหนดเองเช่น Maingear และ Falcon Northwest ไม่มีทางเลือกนอกจาก ผลักภาระต้นทุนไปยังผู้บริโภค นักวิเคราะห์เตือนว่าการขึ้นภาษีนี้ อาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย ✅ แบรนด์ใหญ่เช่น Dell และ HP อาจเลี่ยงผลกระทบได้บางส่วน - บริษัทขนาดใหญ่สามารถ ย้ายฐานผลิตไปยังประเทศที่ภาษีต่ำกว่า - ผู้ผลิตรายย่อยในสหรัฐฯ ไม่มีทางเลือก ต้องรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ✅ ภาษีเพิ่มขึ้นสูงสุด 54% สำหรับชิ้นส่วนจากจีน - จีนได้รับผลกระทบหนักที่สุด โดยถูกเพิ่มภาษีอีก 34% ทำให้รวมเป็น 54% - ประเทศอื่นที่ได้รับผลกระทบหนักได้แก่ เวียดนาม (46%), ไต้หวัน (32%) และเกาหลีใต้ (26%) ✅ การขาดแคลน GPU อาจรุนแรงขึ้น - การที่โรงงานต้อง ย้ายฐานผลิตออกจากจีน กำลังทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลน GPU - ซัพพลายเออร์บางรายหยุดการผลิต ทำให้เกิดภาวะขาดตลาดและ FOMO (Fear of Missing Out) ✅ อุตสาหกรรมพีซีอาจไม่สามารถดูดซับต้นทุนเพิ่มขึ้นได้ - ผู้ผลิตพีซีเป็นธุรกิจที่มีกำไรต่ำ ไม่สามารถแบกรับภาษีใหม่ได้โดยไม่ขึ้นราคา - คาดว่าผู้บริโภคจะต้องจ่ายเพิ่ม 20-45% ภายในเดือนมิถุนายน 2025 ✅ สมาคมเทคโนโลยีเตือนว่าภาษีอาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย - CEO ของ Consumer Technology Association กล่าวว่า ภาษีเหล่านี้เป็นภาระหนักต่อประชาชนและอาจเร่งให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย https://www.tomshardware.com/desktops/gaming-pcs/pc-prices-up-at-least-15-percent-trump-tariffs-may-hurt-u-s-system-integrators-most
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    PC prices up at least 20%: Trump Tariffs may hurt U.S. system integrators most
    Boutique PC builders like Maingear and Falcon Northwest bear the brunt of the costs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 230 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts