• 40 คำคมทรงพลังจากเพลโต ปราชญ์ผู้วางรากฐานปัญญาตะวันตก
    .
    กว่าสองพันสี่ร้อยปีผ่านไป เสียงกังวานแห่งปัญญาของเพลโต (Plato, 428-348 BC) ยังคงก้องกึกในโลกแห่งความคิด Plato เป็นหนึ่งในเป็นผู้วางรากฐานการคิดเชิงปรัชญาให้แก่อารยธรรมตะวันตก จนมีผู้กล่าวว่า "Western philosophy is but a series of footnotes to Plato" (ปรัชญาตะวันตกทั้งมวลเป็นเพียงเชิงอรรถของเพลโต)
    .
    ในฐานะผู้ก่อตั้ง Platonic Academy (สำนักปรัชญาอคาเดมี) สถาบันการศึกษาแห่งแรกของโลกตะวันตก เพลโตได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาที่งอกงามเป็นต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านไปทั่วโลก
    .
    ผลงานอมตะของเพลโตที่ยังคงทรงอิทธิพลจวบจนปัจจุบัน อาทิ "Allegory of the Cave" (อุปมาถ้ำ) ที่เปรียบเทียบมนุษย์ผู้ติดอยู่กับโลกแห่งเงา และ "Theory of Forms" (ทฤษฎีแบบ) ที่เสนอว่าทุกสิ่งในโลกวัตถุล้วนเป็นเพียงเงาสะท้อนของแบบ หรือแม่แบบที่สมบูรณ์แบบในโลกแห่งความคิด
    .
    งานเขียนสำคัญของเขาอย่าง "The Republic" (รัฐ) วางรากฐานแนวคิดทางการเมืองและการปกครอง ขณะที่ "Symposium" (งานเลี้ยงสนทนา) ถกประเด็นความรักและความงามอันเป็นนิรันดร์
    .
    แนวคิดของเพลโตได้หล่อหลอมวิธีคิดของโลกในทุกแขนง ทั้งปรัชญา ศาสนา การเมือง การศึกษา วิทยาศาสตร์ และศิลปะ อิทธิพลของเขาแผ่ขยายจากกรีกโบราณ ผ่านจักรวรรดิโรมัน ผ่านยุคกลาง ผ่านยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา จนถึงโลกสมัยใหม่ ทั้งในโลกตะวันตกและตะวันออก จนกลายเป็นรากฐานสำคัญของอารยธรรมโลก
    .
    40 คำคมของเพลโตที่รวบรวมมานี้สะท้อนถึงความลุ่มลึกทางความคิดที่เชื่อมโยงสวรรค์กับโลก อุดมคติกับความเป็นจริง และชี้นำมนุษย์สู่การแสวงหาสัจธรรมอันสูงสุด
    .
    .
    1. "Music gives a soul to the universe, wings to the mind, flight to the imagination and life to everything."

    "ดนตรีมอบจิตวิญญาณให้จักรวาล มอบปีกให้ความคิด มอบการโบยบินให้จินตนาการ และมอบชีวิตให้ทุกสิ่ง"
    .
    .
    2. "Wise men speak because they have something to say; fools because they have to say something."

    "คนฉลาดพูดเพราะมีสิ่งที่ต้องการจะบอก คนโง่พูดเพราะต้องพูดอะไรสักอย่าง"
    .
    .
    3. "The beginning is the most important part of the work."

    "จุดเริ่มต้นคือส่วนสำคัญที่สุดของงาน"
    .
    .
    4. "No one is more hated than he who speaks the truth."

    "ไม่มีใครถูกเกลียดมากไปกว่าผู้ที่พูดความจริง"
    .
    .
    5. "Necessity is the mother of invention."
    "ความจำเป็นคือบ่อเกิดแห่งการประดิษฐ์คิดค้น"
    .
    .
    6. "Human behavior flows from three main sources: desire, emotion, and knowledge."

    "พฤติกรรมมนุษย์หลั่งไหลมาจากสามแหล่งหลัก: ความปรารถนา อารมณ์ และความรู้"
    .
    .
    7. "The measure of a man is what he does with power."

    "เครื่องวัดคุณค่าของมนุษย์คือสิ่งที่เขาทำเมื่อมีอำนาจ"
    .
    .
    8. "The first and best victory is to conquer self."

    "ชัยชนะแรกและยิ่งใหญ่ที่สุดคือการชนะใจตนเอง"
    .
    .
    9. "The penalty that good men pay for not being interested in politics is to be governed by men worse than themselves."

    "บทลงโทษที่คนดีต้องจ่ายสำหรับการไม่สนใจการเมืองคือการถูกปกครองโดยคนที่เลวร้ายกว่าตน"
    .
    .
    10. "Those who tell the stories rule society."

    "ผู้ที่เล่าเรื่องราวคือผู้ปกครองสังคม"
    .
    .
    11. "No wealth can ever make a bad man at peace with himself."

    "ไม่มีความมั่งคั่งใดจะทำให้คนเลวอยู่อย่างสงบกับตัวเองได้"
    .
    .
    12. "Ignorance, the root and the stem of every evil."

    "ความโง่เขลาคือรากเหง้าและลำต้นของความชั่วร้ายทั้งปวง"
    .
    .
    13. "We can easily forgive a child who is afraid of the dark; the real tragedy of life is when men are afraid of the light."

    "เราให้อภัยเด็กที่กลัวความมืดได้ง่าย แต่โศกนาฏกรรมที่แท้จริงของชีวิตคือเมื่อผู้คนกลัวแสงสว่าง"
    .
    .
    14. "The worst form of injustice is pretended justice."

    "ความอยุติธรรมที่เลวร้ายที่สุดคือความยุติธรรมจอมปลอม"
    .
    .
    15. "Opinion is the medium between knowledge and ignorance."

    "ความคิดเห็นคือสิ่งที่อยู่ระหว่างความรู้และความโง่เขลา"
    .
    .
    16. "Geometry existed before creation."

    "เรขาคณิตมีอยู่ก่อนการสร้างสรรค์"
    .
    .
    17. "Writing is the geometry of the soul."
    "การเขียนคือเรขาคณิตของจิตวิญญาณ"
    .
    .
    18. "Courage is knowing what not to fear."

    "ความกล้าหาญคือการรู้ว่าอะไรไม่ควรกลัว"
    .
    .
    19. "An empty vessel makes the loudest sound, so they that have the least wit are the greatest babblers."

    "ภาชนะที่ว่างเปล่าส่งเสียงดังที่สุด เช่นเดียวกับผู้ที่มีสติปัญญาน้อยที่สุดมักเป็นผู้พูดมากที่สุด"
    .
    .
    20. "Education is teaching our children to desire the right things."

    "การศึกษาคือการสอนลูกหลานของเราให้ปรารถนาในสิ่งที่ถูกต้อง"
    .
    .
    21. "Philosophy is the highest music."

    "ปรัชญาคือดนตรีที่สูงส่งที่สุด"
    .
    .
    22. "There are three classes of men; lovers of wisdom, lovers of honor, and lovers of gain."

    "มนุษย์มีสามประเภท: ผู้รักปัญญา ผู้รักเกียรติยศ และผู้รักผลประโยชน์"
    .
    .
    23. "Do not train a child to learn by force or harshness; but direct them to it by what amuses their minds, so that you may be better able to discover with accuracy the peculiar bent of the genius of each."

    "อย่าฝึกเด็กให้เรียนรู้ด้วยการบังคับหรือความรุนแรง แต่จงชี้นำพวกเขาด้วยสิ่งที่สร้างความเพลิดเพลินให้จิตใจ เพื่อที่คุณจะสามารถค้นพบความโน้มเอียงพิเศษของอัจฉริยภาพในตัวพวกเขาแต่ละคนได้อย่างแม่นยำ"
    .
    .
    24. "You should not honor men more than truth."

    "อย่าให้เกียรติมนุษย์มากกว่าความจริง"
    .
    .
    25. "A hero is born among a hundred, a wise man is found among a thousand, but an accomplished one might not be found even among a hundred thousand men."

    "วีรบุรุษเกิดขึ้นในหนึ่งร้อย ปราชญ์พบได้ในหนึ่งพัน แต่ผู้ที่สมบูรณ์แบบอาจไม่พบแม้ในหนึ่งแสนคน"
    .
    .
    26. "At the touch of love everyone becomes a poet."

    "เมื่อสัมผัสความรัก ทุกคนกลายเป็นกวี"
    .
    .
    27. "There should exist among the citizens neither extreme poverty nor again excessive wealth, for both are productive of great evil."

    "ในหมู่พลเมืองไม่ควรมีทั้งความยากจนสุดขั้วหรือความมั่งคั่งล้นเหลือ เพราะทั้งสองสิ่งล้วนก่อให้เกิดความชั่วร้ายอันใหญ่หลวง"
    .
    .
    28. "As the builders say, the larger stones do not lie well without the lesser."

    "ดังที่ช่างก่อสร้างว่า หินก้อนใหญ่ไม่อาจวางได้ดีหากปราศจากหินก้อนเล็ก"
    .
    .
    29. "The most virtuous are those who content themselves with being virtuous without seeking to appear so."

    "ผู้ที่มีคุณธรรมที่สุดคือผู้ที่พอใจในการมีคุณธรรมโดยไม่พยายามทำให้ดูเหมือนว่ามี"
    .
    .
    30. "For this feeling of wonder shows that you are a philosopher, since wonder is the only beginning of philosophy."

    "ความรู้สึกประหลาดใจนี้แสดงว่าคุณเป็นนักปรัชญา เพราะความประหลาดใจคือจุดเริ่มต้นเพียงหนึ่งเดียวของปรัชญา"
    .
    .
    31. "Courage is a kind of salvation."

    "ความกล้าหาญคือรูปแบบหนึ่งของการหลุดพ้น"
    .
    .
    32. "The highest reach of injustice is to be deemed just when you are not."

    "จุดสูงสุดของความอยุติธรรมคือการถูกมองว่ายุติธรรมทั้งที่ไม่ใช่"
    .
    .
    33. "No science or art considers or enjoins the interest of the stronger or superior, but only the interest of the subject and weaker."

    "ไม่มีวิทยาศาสตร์หรือศิลปะใดพิจารณาหรือบังคับผลประโยชน์ของผู้แข็งแกร่งหรือผู้เหนือกว่า แต่เพียงผลประโยชน์ของผู้อยู่ใต้ปกครองและผู้อ่อนแอกว่า"
    .
    .
    34. "For the uneducated, when they engage in argument about anything, give no thought to the truth about the subject of discussion but are only eager that those present will accept the position they have set forth."

    "สำหรับผู้ไร้การศึกษา เมื่อพวกเขาโต้แย้งเรื่องใดก็ตาม พวกเขาไม่คิดถึงความจริงเกี่ยวกับหัวข้อที่กำลังอภิปราย แต่กระตือรือร้นเพียงให้ผู้ที่อยู่ที่นั่นยอมรับจุดยืนที่พวกเขานำเสนอเท่านั้น"
    .
    .
    35. "Neither do the ignorant seek after wisdom. For herein is the evil of ignorance, that he who is neither good nor wise is nevertheless satisfied with himself: he has no desire for that of which he feels no want."

    "คนโง่เขลาไม่แสวงหาปัญญา เพราะนี่คือความชั่วร้ายของความโง่เขลา ที่ผู้ซึ่งไม่ดีและไม่ฉลาดกลับพอใจในตัวเอง: เขาไม่มีความปรารถนาในสิ่งที่เขารู้สึกว่าไม่ขาด"
    .
    .
    36. "The man who finds that in the course of his life he has done a lot of wrong often wakes up at night in terror, like a child with a nightmare, and his life is full of foreboding: but the man who is conscious of no wrongdoing is filled with cheerfulness and with the comfort of old age."

    "ผู้ที่พบว่าในช่วงชีวิตของเขาได้ทำผิดมากมักตื่นขึ้นมาตอนกลางคืนด้วยความหวาดกลัว เหมือนเด็กที่ฝันร้าย และชีวิตของเขาเต็มไปด้วยลางร้าย แต่ผู้ที่ไม่รู้สึกว่าได้ทำผิดจะเต็มไปด้วยความร่าเริงและความสบายใจในวัยชรา"
    .
    .
    37. "Now early life is very impressible, and children ought not to learn what they will have to unlearn when they grow up; we must therefore have a censorship of nursery tales, banishing some and keeping others."

    "ชีวิตในวัยต้นนั้นรับอิทธิพลได้ง่าย และเด็กๆ ไม่ควรเรียนรู้สิ่งที่พวกเขาจะต้องลืมเมื่อโตขึ้น เราจึงต้องมีการกลั่นกรองนิทานสำหรับเด็ก กำจัดบางเรื่องและเก็บบางเรื่องไว้"
    .
    .
    38. "There's no difficulty in choosing vice in abundance: the road is smooth and it's hardly any distance to where it lives. But the gods have put sweat in the way of goodness, and a long, rough, steep road."

    "ไม่มีความยากลำบากในการเลือกความชั่วที่มีอยู่มากมาย: ถนนราบเรียบและแทบไม่มีระยะทางไปถึงที่อยู่ของมัน แต่เทพเจ้าได้วางเหงื่อไว้ในเส้นทางแห่งความดี และเป็นถนนที่ยาว ขรุขระ และชัน"
    .
    .
    39. "It is not Love absolutely that is good or praiseworthy, but only that Love which impels meant to love aright."

    "ไม่ใช่ความรักทั้งหมดที่ดีหรือน่าสรรเสริญ แต่เป็นเพียงความรักที่ผลักดันให้รักอย่างถูกต้องเท่านั้น"
    .
    .
    40. "Both knowledge and truth are beautiful things, but the good is other and more beautiful than they."

    "ทั้งความรู้และความจริงเป็นสิ่งงดงาม แต่ความดีนั้นแตกต่างและงดงามยิ่งกว่า"
    .
    .
    .
    .
    #SuccessStrategies #Quotes #Plato #Mindset #Politic
    40 คำคมทรงพลังจากเพลโต ปราชญ์ผู้วางรากฐานปัญญาตะวันตก . กว่าสองพันสี่ร้อยปีผ่านไป เสียงกังวานแห่งปัญญาของเพลโต (Plato, 428-348 BC) ยังคงก้องกึกในโลกแห่งความคิด Plato เป็นหนึ่งในเป็นผู้วางรากฐานการคิดเชิงปรัชญาให้แก่อารยธรรมตะวันตก จนมีผู้กล่าวว่า "Western philosophy is but a series of footnotes to Plato" (ปรัชญาตะวันตกทั้งมวลเป็นเพียงเชิงอรรถของเพลโต) . ในฐานะผู้ก่อตั้ง Platonic Academy (สำนักปรัชญาอคาเดมี) สถาบันการศึกษาแห่งแรกของโลกตะวันตก เพลโตได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาที่งอกงามเป็นต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านไปทั่วโลก . ผลงานอมตะของเพลโตที่ยังคงทรงอิทธิพลจวบจนปัจจุบัน อาทิ "Allegory of the Cave" (อุปมาถ้ำ) ที่เปรียบเทียบมนุษย์ผู้ติดอยู่กับโลกแห่งเงา และ "Theory of Forms" (ทฤษฎีแบบ) ที่เสนอว่าทุกสิ่งในโลกวัตถุล้วนเป็นเพียงเงาสะท้อนของแบบ หรือแม่แบบที่สมบูรณ์แบบในโลกแห่งความคิด . งานเขียนสำคัญของเขาอย่าง "The Republic" (รัฐ) วางรากฐานแนวคิดทางการเมืองและการปกครอง ขณะที่ "Symposium" (งานเลี้ยงสนทนา) ถกประเด็นความรักและความงามอันเป็นนิรันดร์ . แนวคิดของเพลโตได้หล่อหลอมวิธีคิดของโลกในทุกแขนง ทั้งปรัชญา ศาสนา การเมือง การศึกษา วิทยาศาสตร์ และศิลปะ อิทธิพลของเขาแผ่ขยายจากกรีกโบราณ ผ่านจักรวรรดิโรมัน ผ่านยุคกลาง ผ่านยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา จนถึงโลกสมัยใหม่ ทั้งในโลกตะวันตกและตะวันออก จนกลายเป็นรากฐานสำคัญของอารยธรรมโลก . 40 คำคมของเพลโตที่รวบรวมมานี้สะท้อนถึงความลุ่มลึกทางความคิดที่เชื่อมโยงสวรรค์กับโลก อุดมคติกับความเป็นจริง และชี้นำมนุษย์สู่การแสวงหาสัจธรรมอันสูงสุด . . 1. "Music gives a soul to the universe, wings to the mind, flight to the imagination and life to everything." "ดนตรีมอบจิตวิญญาณให้จักรวาล มอบปีกให้ความคิด มอบการโบยบินให้จินตนาการ และมอบชีวิตให้ทุกสิ่ง" . . 2. "Wise men speak because they have something to say; fools because they have to say something." "คนฉลาดพูดเพราะมีสิ่งที่ต้องการจะบอก คนโง่พูดเพราะต้องพูดอะไรสักอย่าง" . . 3. "The beginning is the most important part of the work." "จุดเริ่มต้นคือส่วนสำคัญที่สุดของงาน" . . 4. "No one is more hated than he who speaks the truth." "ไม่มีใครถูกเกลียดมากไปกว่าผู้ที่พูดความจริง" . . 5. "Necessity is the mother of invention." "ความจำเป็นคือบ่อเกิดแห่งการประดิษฐ์คิดค้น" . . 6. "Human behavior flows from three main sources: desire, emotion, and knowledge." "พฤติกรรมมนุษย์หลั่งไหลมาจากสามแหล่งหลัก: ความปรารถนา อารมณ์ และความรู้" . . 7. "The measure of a man is what he does with power." "เครื่องวัดคุณค่าของมนุษย์คือสิ่งที่เขาทำเมื่อมีอำนาจ" . . 8. "The first and best victory is to conquer self." "ชัยชนะแรกและยิ่งใหญ่ที่สุดคือการชนะใจตนเอง" . . 9. "The penalty that good men pay for not being interested in politics is to be governed by men worse than themselves." "บทลงโทษที่คนดีต้องจ่ายสำหรับการไม่สนใจการเมืองคือการถูกปกครองโดยคนที่เลวร้ายกว่าตน" . . 10. "Those who tell the stories rule society." "ผู้ที่เล่าเรื่องราวคือผู้ปกครองสังคม" . . 11. "No wealth can ever make a bad man at peace with himself." "ไม่มีความมั่งคั่งใดจะทำให้คนเลวอยู่อย่างสงบกับตัวเองได้" . . 12. "Ignorance, the root and the stem of every evil." "ความโง่เขลาคือรากเหง้าและลำต้นของความชั่วร้ายทั้งปวง" . . 13. "We can easily forgive a child who is afraid of the dark; the real tragedy of life is when men are afraid of the light." "เราให้อภัยเด็กที่กลัวความมืดได้ง่าย แต่โศกนาฏกรรมที่แท้จริงของชีวิตคือเมื่อผู้คนกลัวแสงสว่าง" . . 14. "The worst form of injustice is pretended justice." "ความอยุติธรรมที่เลวร้ายที่สุดคือความยุติธรรมจอมปลอม" . . 15. "Opinion is the medium between knowledge and ignorance." "ความคิดเห็นคือสิ่งที่อยู่ระหว่างความรู้และความโง่เขลา" . . 16. "Geometry existed before creation." "เรขาคณิตมีอยู่ก่อนการสร้างสรรค์" . . 17. "Writing is the geometry of the soul." "การเขียนคือเรขาคณิตของจิตวิญญาณ" . . 18. "Courage is knowing what not to fear." "ความกล้าหาญคือการรู้ว่าอะไรไม่ควรกลัว" . . 19. "An empty vessel makes the loudest sound, so they that have the least wit are the greatest babblers." "ภาชนะที่ว่างเปล่าส่งเสียงดังที่สุด เช่นเดียวกับผู้ที่มีสติปัญญาน้อยที่สุดมักเป็นผู้พูดมากที่สุด" . . 20. "Education is teaching our children to desire the right things." "การศึกษาคือการสอนลูกหลานของเราให้ปรารถนาในสิ่งที่ถูกต้อง" . . 21. "Philosophy is the highest music." "ปรัชญาคือดนตรีที่สูงส่งที่สุด" . . 22. "There are three classes of men; lovers of wisdom, lovers of honor, and lovers of gain." "มนุษย์มีสามประเภท: ผู้รักปัญญา ผู้รักเกียรติยศ และผู้รักผลประโยชน์" . . 23. "Do not train a child to learn by force or harshness; but direct them to it by what amuses their minds, so that you may be better able to discover with accuracy the peculiar bent of the genius of each." "อย่าฝึกเด็กให้เรียนรู้ด้วยการบังคับหรือความรุนแรง แต่จงชี้นำพวกเขาด้วยสิ่งที่สร้างความเพลิดเพลินให้จิตใจ เพื่อที่คุณจะสามารถค้นพบความโน้มเอียงพิเศษของอัจฉริยภาพในตัวพวกเขาแต่ละคนได้อย่างแม่นยำ" . . 24. "You should not honor men more than truth." "อย่าให้เกียรติมนุษย์มากกว่าความจริง" . . 25. "A hero is born among a hundred, a wise man is found among a thousand, but an accomplished one might not be found even among a hundred thousand men." "วีรบุรุษเกิดขึ้นในหนึ่งร้อย ปราชญ์พบได้ในหนึ่งพัน แต่ผู้ที่สมบูรณ์แบบอาจไม่พบแม้ในหนึ่งแสนคน" . . 26. "At the touch of love everyone becomes a poet." "เมื่อสัมผัสความรัก ทุกคนกลายเป็นกวี" . . 27. "There should exist among the citizens neither extreme poverty nor again excessive wealth, for both are productive of great evil." "ในหมู่พลเมืองไม่ควรมีทั้งความยากจนสุดขั้วหรือความมั่งคั่งล้นเหลือ เพราะทั้งสองสิ่งล้วนก่อให้เกิดความชั่วร้ายอันใหญ่หลวง" . . 28. "As the builders say, the larger stones do not lie well without the lesser." "ดังที่ช่างก่อสร้างว่า หินก้อนใหญ่ไม่อาจวางได้ดีหากปราศจากหินก้อนเล็ก" . . 29. "The most virtuous are those who content themselves with being virtuous without seeking to appear so." "ผู้ที่มีคุณธรรมที่สุดคือผู้ที่พอใจในการมีคุณธรรมโดยไม่พยายามทำให้ดูเหมือนว่ามี" . . 30. "For this feeling of wonder shows that you are a philosopher, since wonder is the only beginning of philosophy." "ความรู้สึกประหลาดใจนี้แสดงว่าคุณเป็นนักปรัชญา เพราะความประหลาดใจคือจุดเริ่มต้นเพียงหนึ่งเดียวของปรัชญา" . . 31. "Courage is a kind of salvation." "ความกล้าหาญคือรูปแบบหนึ่งของการหลุดพ้น" . . 32. "The highest reach of injustice is to be deemed just when you are not." "จุดสูงสุดของความอยุติธรรมคือการถูกมองว่ายุติธรรมทั้งที่ไม่ใช่" . . 33. "No science or art considers or enjoins the interest of the stronger or superior, but only the interest of the subject and weaker." "ไม่มีวิทยาศาสตร์หรือศิลปะใดพิจารณาหรือบังคับผลประโยชน์ของผู้แข็งแกร่งหรือผู้เหนือกว่า แต่เพียงผลประโยชน์ของผู้อยู่ใต้ปกครองและผู้อ่อนแอกว่า" . . 34. "For the uneducated, when they engage in argument about anything, give no thought to the truth about the subject of discussion but are only eager that those present will accept the position they have set forth." "สำหรับผู้ไร้การศึกษา เมื่อพวกเขาโต้แย้งเรื่องใดก็ตาม พวกเขาไม่คิดถึงความจริงเกี่ยวกับหัวข้อที่กำลังอภิปราย แต่กระตือรือร้นเพียงให้ผู้ที่อยู่ที่นั่นยอมรับจุดยืนที่พวกเขานำเสนอเท่านั้น" . . 35. "Neither do the ignorant seek after wisdom. For herein is the evil of ignorance, that he who is neither good nor wise is nevertheless satisfied with himself: he has no desire for that of which he feels no want." "คนโง่เขลาไม่แสวงหาปัญญา เพราะนี่คือความชั่วร้ายของความโง่เขลา ที่ผู้ซึ่งไม่ดีและไม่ฉลาดกลับพอใจในตัวเอง: เขาไม่มีความปรารถนาในสิ่งที่เขารู้สึกว่าไม่ขาด" . . 36. "The man who finds that in the course of his life he has done a lot of wrong often wakes up at night in terror, like a child with a nightmare, and his life is full of foreboding: but the man who is conscious of no wrongdoing is filled with cheerfulness and with the comfort of old age." "ผู้ที่พบว่าในช่วงชีวิตของเขาได้ทำผิดมากมักตื่นขึ้นมาตอนกลางคืนด้วยความหวาดกลัว เหมือนเด็กที่ฝันร้าย และชีวิตของเขาเต็มไปด้วยลางร้าย แต่ผู้ที่ไม่รู้สึกว่าได้ทำผิดจะเต็มไปด้วยความร่าเริงและความสบายใจในวัยชรา" . . 37. "Now early life is very impressible, and children ought not to learn what they will have to unlearn when they grow up; we must therefore have a censorship of nursery tales, banishing some and keeping others." "ชีวิตในวัยต้นนั้นรับอิทธิพลได้ง่าย และเด็กๆ ไม่ควรเรียนรู้สิ่งที่พวกเขาจะต้องลืมเมื่อโตขึ้น เราจึงต้องมีการกลั่นกรองนิทานสำหรับเด็ก กำจัดบางเรื่องและเก็บบางเรื่องไว้" . . 38. "There's no difficulty in choosing vice in abundance: the road is smooth and it's hardly any distance to where it lives. But the gods have put sweat in the way of goodness, and a long, rough, steep road." "ไม่มีความยากลำบากในการเลือกความชั่วที่มีอยู่มากมาย: ถนนราบเรียบและแทบไม่มีระยะทางไปถึงที่อยู่ของมัน แต่เทพเจ้าได้วางเหงื่อไว้ในเส้นทางแห่งความดี และเป็นถนนที่ยาว ขรุขระ และชัน" . . 39. "It is not Love absolutely that is good or praiseworthy, but only that Love which impels meant to love aright." "ไม่ใช่ความรักทั้งหมดที่ดีหรือน่าสรรเสริญ แต่เป็นเพียงความรักที่ผลักดันให้รักอย่างถูกต้องเท่านั้น" . . 40. "Both knowledge and truth are beautiful things, but the good is other and more beautiful than they." "ทั้งความรู้และความจริงเป็นสิ่งงดงาม แต่ความดีนั้นแตกต่างและงดงามยิ่งกว่า" . . . . #SuccessStrategies #Quotes #Plato #Mindset #Politic
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 92 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนไทยมาจากไหน
    หลักฐาน บรรพชนคนโบราณ คนไทยมาจากไหน นานมาแล้วมีชนชาติที่ยังไม่เรียกตัวเองว่าไทย อพยพมาจากแผ่นดินที่ เรียกว่ากุมารีกันดัม(Kumari Gundam)ชนชาตินี้อยู่บนทะเลกลางมหาสมุทรอินเดียเมื่อเกิดการปรับรอยเลื่อนแผ่นดินทำให้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุ่นแรง รุนแรงขนาดน้ำท่วมโลกและเกิดสึนามิทำลายแผ่นดินที่เรียกว่าKumarikandamทำให้คนบนแผ่นดินนั้นอพยพหนีภัย ไปรอบมหาสมุทรอินเดียหนีภัยเหมือนผึ้งแตกรัง ประเทศไทยซึ่งอยู่บนขอบมหาสมุทรอินเดียก็เป็นอีกแผ่นดิน ที่ใช่แผ่นดินที่คนโบราณพวกนี้หนีภัยมา เมื่อหนีภัยมาพร้อมมวลน้ำที่เรียกว่ามหาสึนามิที่เกิดตำนานเหตการณ์น้ำท่วมโลก
    คนไทยมาจากไหนมีหลักฐานใหม Kumari Kandam หรือ Lemuria – ทวีปที่จมอยู่ในทะเล
    ครั้งหนึ่งมีดินแดนหรือทวีปในมหาสมุทรอินเดียซึ่งผู้คนอาศัยอยู่ที่นั่น อาณาเขตทางบกเรียกว่า Lemuria หรือ Kumarikkottam หรือ Kumari Kandam แผ่นดินพินาศโดยการจมน้ำในมหาสมุทรเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา เป็นการปรับแผ่นเปลือกโลกครั้งใหญ่ ทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่หลายครั้ง การเกิดแผ่นดินไหวกลางมหาสมุทรครั้งนั้นทำให้เกิดสึนามิขนาดใหญ่มาก ขนาดที่ทำให้แผ่นดินจมหายลงไปในทะเลแค่วันกับคืน ทำให้เกิดตำนานน้ำท่วมโลก ตำนานแอตแลนติส
    จากภัยพิบัติครั้งนั้นทำให้มีการเขียนเรื่องแผ่นดินนี้มาตลอด เพลโตเขียนแอตแลนติส นักธรณีวิทยาหลายคนได้ทำการวิจัยและกล่าวว่าสิ่งมีชีวิตมีต้นกำเนิดมาจาก “ลีมูเรีย” นักวิชาการชาวอังกฤษ วิลเลียม สก็อตต์ เอลเลียต ยืนยันในหนังสือของเขา “The Lost Lemuria” ว่ามีอาณาเขตทางบกในมหาสมุทรอินเดียปัจจุบันและผู้คนอาศัยอยู่ที่นั่น เขายังรวมแผนที่ของ Lemuria ไว้ในหนังสือของเขาด้วย
    แต่หลักฐานอื่นก็มี นักฟื้นฟูทมิฬส่วนใหญ่เชื่อมโยงกับอาณาจักรปันยันที่กล่าวถึงในงานวรรณกรรมทมิฬและสันสกฤต คำว่า "กุมารี กันดัม" ปรากฏครั้งแรกในคันดา ปูรานัม ซึ่งเป็นฉบับภาษาทมิฬของสกันดาปุราณะในศตวรรษที่ 15 ซึ่งเขียนโดยกาจิอัปปา ศิวัจฉริยรา (ค.ศ. 1350 - 1420)
    Kumari Kandam เป็นตำนานทมิฬเกี่ยวกับอารยธรรมโบราณที่ตั้งอยู่ในมหาสมุทรอินเดียแล้วจมลงสู่มหาสมุทร แม้ว่านักเขียนชาวทมิฬหลายคนไม่ได้ระบุวันที่ที่กุมารีกันดัมจมอยู่ใต้น้ำ แต่ใช้วลีเช่น "กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว" หรือ "หลายพันปีก่อน" แต่เรื่องราวดังกล่าวสอดคล้องกับทฤษฎีการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกไม่สนับสนุนการมีอยู่ของแผ่นดินดังกล่าวภายในเวลาหลายพันปีหลัง สามารถสันนิษฐานได้ว่า Kumari Kandam กำลังมีความสัมพันธ์กับ Atlantis หรืออารยธรรมอื่น ๆ ในภายหลังระหว่าง 11,000 ถึง 12,000 ปี BP ซึ่งเป็นจำนวนที่ใกล้เคียงกันโดย Plato ที่พูดถึง Atlantis ที่ 11,600 BP ซึ่งอาจเชื่อมโยงอาณาจักร Pandyan กับ Atlantis
    มีหลักฐานอีกเป็นจำนวนมากที่ถูกทำโดยลูกหลานของบรรพบุรุษของผู้ที่รอดตายมาจากมหาภัยพิบัติครั้งนั้น แต่ถูกมองข้ามและตีความเป็นเรื่องอื่นทำให้ไม่มีคำอธิบายจากหลักฐานนั้น หลักฐานที่เรามีอยู่เราคิดว่าใช่เรื่องเดียวกันก็เป็นหลักฐานจากเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ที่เรียกกว่า เหรียญทวารวดี เหรียญศรีเกษตร เหรียญฟูนัน เงินพดด้วงโบราณ และกลองมโหระทึกโบราณที่มีบนแผ่นดินเอเซียตะวันออกเฉียงใต้นี้
    "คำขอของ เรา คือให้นำความจริงที่แท้จริงมาทำการวิจัยโดยนักธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์ และนักวิชาการ จนกว่าจะถึงเวลานั้นเราต้องรอ"
    เสียดายแทนคนไทย
    ที่มาของคนไทยไม่ได้มีในหนังสือบันทึก?
    "ขอให้คนไทยโชคดีรู้ที่มาของเผ่าพันธุ์ตัวเอง"
    ผลงานภาพ และลิขสิทธิ์ภาพ โดยเพจ : ทราวิฑะ นอกกรอบ
    คนไทยมาจากไหน หลักฐาน บรรพชนคนโบราณ คนไทยมาจากไหน นานมาแล้วมีชนชาติที่ยังไม่เรียกตัวเองว่าไทย อพยพมาจากแผ่นดินที่ เรียกว่ากุมารีกันดัม(Kumari Gundam)ชนชาตินี้อยู่บนทะเลกลางมหาสมุทรอินเดียเมื่อเกิดการปรับรอยเลื่อนแผ่นดินทำให้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุ่นแรง รุนแรงขนาดน้ำท่วมโลกและเกิดสึนามิทำลายแผ่นดินที่เรียกว่าKumarikandamทำให้คนบนแผ่นดินนั้นอพยพหนีภัย ไปรอบมหาสมุทรอินเดียหนีภัยเหมือนผึ้งแตกรัง ประเทศไทยซึ่งอยู่บนขอบมหาสมุทรอินเดียก็เป็นอีกแผ่นดิน ที่ใช่แผ่นดินที่คนโบราณพวกนี้หนีภัยมา เมื่อหนีภัยมาพร้อมมวลน้ำที่เรียกว่ามหาสึนามิที่เกิดตำนานเหตการณ์น้ำท่วมโลก คนไทยมาจากไหนมีหลักฐานใหม Kumari Kandam หรือ Lemuria – ทวีปที่จมอยู่ในทะเล ครั้งหนึ่งมีดินแดนหรือทวีปในมหาสมุทรอินเดียซึ่งผู้คนอาศัยอยู่ที่นั่น อาณาเขตทางบกเรียกว่า Lemuria หรือ Kumarikkottam หรือ Kumari Kandam แผ่นดินพินาศโดยการจมน้ำในมหาสมุทรเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา เป็นการปรับแผ่นเปลือกโลกครั้งใหญ่ ทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่หลายครั้ง การเกิดแผ่นดินไหวกลางมหาสมุทรครั้งนั้นทำให้เกิดสึนามิขนาดใหญ่มาก ขนาดที่ทำให้แผ่นดินจมหายลงไปในทะเลแค่วันกับคืน ทำให้เกิดตำนานน้ำท่วมโลก ตำนานแอตแลนติส จากภัยพิบัติครั้งนั้นทำให้มีการเขียนเรื่องแผ่นดินนี้มาตลอด เพลโตเขียนแอตแลนติส นักธรณีวิทยาหลายคนได้ทำการวิจัยและกล่าวว่าสิ่งมีชีวิตมีต้นกำเนิดมาจาก “ลีมูเรีย” นักวิชาการชาวอังกฤษ วิลเลียม สก็อตต์ เอลเลียต ยืนยันในหนังสือของเขา “The Lost Lemuria” ว่ามีอาณาเขตทางบกในมหาสมุทรอินเดียปัจจุบันและผู้คนอาศัยอยู่ที่นั่น เขายังรวมแผนที่ของ Lemuria ไว้ในหนังสือของเขาด้วย แต่หลักฐานอื่นก็มี นักฟื้นฟูทมิฬส่วนใหญ่เชื่อมโยงกับอาณาจักรปันยันที่กล่าวถึงในงานวรรณกรรมทมิฬและสันสกฤต คำว่า "กุมารี กันดัม" ปรากฏครั้งแรกในคันดา ปูรานัม ซึ่งเป็นฉบับภาษาทมิฬของสกันดาปุราณะในศตวรรษที่ 15 ซึ่งเขียนโดยกาจิอัปปา ศิวัจฉริยรา (ค.ศ. 1350 - 1420) Kumari Kandam เป็นตำนานทมิฬเกี่ยวกับอารยธรรมโบราณที่ตั้งอยู่ในมหาสมุทรอินเดียแล้วจมลงสู่มหาสมุทร แม้ว่านักเขียนชาวทมิฬหลายคนไม่ได้ระบุวันที่ที่กุมารีกันดัมจมอยู่ใต้น้ำ แต่ใช้วลีเช่น "กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว" หรือ "หลายพันปีก่อน" แต่เรื่องราวดังกล่าวสอดคล้องกับทฤษฎีการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกไม่สนับสนุนการมีอยู่ของแผ่นดินดังกล่าวภายในเวลาหลายพันปีหลัง สามารถสันนิษฐานได้ว่า Kumari Kandam กำลังมีความสัมพันธ์กับ Atlantis หรืออารยธรรมอื่น ๆ ในภายหลังระหว่าง 11,000 ถึง 12,000 ปี BP ซึ่งเป็นจำนวนที่ใกล้เคียงกันโดย Plato ที่พูดถึง Atlantis ที่ 11,600 BP ซึ่งอาจเชื่อมโยงอาณาจักร Pandyan กับ Atlantis มีหลักฐานอีกเป็นจำนวนมากที่ถูกทำโดยลูกหลานของบรรพบุรุษของผู้ที่รอดตายมาจากมหาภัยพิบัติครั้งนั้น แต่ถูกมองข้ามและตีความเป็นเรื่องอื่นทำให้ไม่มีคำอธิบายจากหลักฐานนั้น หลักฐานที่เรามีอยู่เราคิดว่าใช่เรื่องเดียวกันก็เป็นหลักฐานจากเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ที่เรียกกว่า เหรียญทวารวดี เหรียญศรีเกษตร เหรียญฟูนัน เงินพดด้วงโบราณ และกลองมโหระทึกโบราณที่มีบนแผ่นดินเอเซียตะวันออกเฉียงใต้นี้ "คำขอของ เรา คือให้นำความจริงที่แท้จริงมาทำการวิจัยโดยนักธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์ และนักวิชาการ จนกว่าจะถึงเวลานั้นเราต้องรอ" เสียดายแทนคนไทย ที่มาของคนไทยไม่ได้มีในหนังสือบันทึก? "ขอให้คนไทยโชคดีรู้ที่มาของเผ่าพันธุ์ตัวเอง" ผลงานภาพ และลิขสิทธิ์ภาพ โดยเพจ : ทราวิฑะ นอกกรอบ
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 269 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาแล้วค่าาาา……มาช้าดีกว่าไม่มา เรื่องพี่ปูเขาเยอะ คนเขียนต้องใช้เวลาเรียบเรียง……นี๊ดดดดดดดดนึงนะคะ……!!!

    ตอนสิบสาม….…ถ้าไม่แน่จริง……อย่ามาขวางทาง เพราะจะเลี้ยงไม่โต……!!!!

    วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2003 เรื่องสำคัญที่ปูตินได้เตรียมพร้อมที่จะลงดาบ……นั่นคือเรื่องเศรษฐกิจของประเทศ
    หลังจากที่ได้คุยกันไปในรอบแรกถึงนโยบายเมื่อครั้งที่เขาได้รับตำแหน่งใหม่ๆ เมื่อมาถึงตอนนี้……หลังจากที่เฝ้าจับตาดูมานานกว่าสองปี เขาเรียกประชุมกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคการเงิน
    ภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด ที่หอประชุม Catherine Hall
    โดยเริ่มต้นว่า……
    “เงินและทรัพย์สินที่พวกคุณที่หามาได้ จะมากมายแค่ไหน……
    ผมจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง คุณก็ทำมาหากินของคุณไป
    แต่มีข้อแม้อย่างเดียว คือ อย่าใช้เงินของคุณ มาเกี่ยวข้องหรือมาเล่นการเมืองโดยเด็ดขาด……และเรื่องสัมปทานทั้งหลาย
    ถ้ามีการฟอกเงินไม่ว่าสกุลไหน หรือถ่ายเทออกไปให้ใคร…
    ผมจะยึดคืนเข้ารัฐ…”

    ประกาสิตของปูตินที่ออกมา ได้กระทบกันระนาว คนหนึ่งในนั้นนั่นคือ Roman Abramovich มหาเศรษฐีที่มีตำแหน่งเป็นผู้ว่าการรัฐ Chukotka (ที่มาจากการเลือกตั้ง อยู่ในตำแหน่ง 2000-2008)
    ซึ่งได้มีการพูดคุยกับปูติน ว่า..ตำแหน่งผู้ว่าที่ได้มานั้น มาจากการที่เขาบริจาคทรัพย์สินที่มีมากมายมหาศาลในการสร้างเมืองที่แสนยากจนให้มาอยู่ดีกินดี เขาคนที่รวยที่สุดคนหนึ่งในรัสเซียที่สร้างตัวมาได้จากการขายเศษเหล็ก จนเป็นหุ้นใหญ่ในบริษัทน้ำมัน Sibneft
    ในกลุ่มของเขา มีเหล่าอภิมหาเศรษฐีที่รวมกลุ่มกัน คือ Badri Patarkatsishvili, Boris Berezovsky, Mikhail Fridman และ Mikhail Khodorkovsky และคนอื่นๆกว่ายี่สิบ ที่มีทรัพย์สินรวมกันแล้ว
    มากกว่างบประมาณประจำปีของหลายประเทศ

    ทุกคน(ส่วนใหญ่คือยิว)เริ่มหวั่นไหว เพราะปูตินได้กล่าวว่า ผมมีทางเลือกให้สองทาง จะเล่นการเมือง หรือ จะค้าขาย พวกคุณจะทำทั้งสองอย่างไม่ได้…
    ว่าแล้ว……ปูตินก็กางบัญชีเก็บภาษีย้อนหลัง (ที่ตรียมไว้)
    ซึ่งทุกคนต้องจ่าย และขอให้เริ่มต้นทำบัญชีให้ตรงตามความเป็นจริง เพราะจากนี้ไป… รัฐบาลจะจัดเจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลและตรวจสอบ

    มีคนเดียว…ที่ตกลงตามคำสั่งทุกประการ นั่นคือ Roman Abramovich….พร้อมจ่าย พร้อมให้ตรวจสอบทุกสิ่ง
    ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วย ……เงียบ
    (แต่หอบเงินหนีไปต่างประเทศ และไปตั้งตัวเป็นศัตรูของปูติน)
    คนที่เสียงดังที่สุด คือ Mikhail Khodorkovsky (หรือจะเรียกว่า MK) คนนี้ เป็นอภิมหาเศรษฐีที่มีอายุเพียง 39 ปี เป็นคนหัวทันสมัย ชื่นชอบนโยบายตะวันตก และมีเส้นสายกับกลุ่มยิวอเมริกันอย่างเปิดเผย เขาเปรียบเสมือน บิล เกตต์ แห่งรัสเซีย

    ระหว่าง MK มหาเศรษฐีสมัยใหม่ พูดจาผ่าซาก กับ ปูติน ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในรัสเซีย จึงเกิดการศรศิลป์ไม่กินกันตั้งแต่นั้นมา
    เพราะ MK เริ่มพูดถึงการคอรัปชั่นที่มีมาตั้งแต่ยุคกอร์บาเชฟ
    ที่ทำให้พวกเขาได้ร่ำรวยกันทุกวันนี้
    และการคอรัปชั่นนั้น มันมีมาตั้งแต่การสอบเข้ารับราชการที่ต้องมีการติดสินบนเจ้าหน้าที่ เพราะใครๆก็อยากเข้ามาทำราชการ ช่องทางหากินเยอะแยะ รวมทั้งเรื่องการเข้าประมูลสัมปทานน้ำมันที่อาร์คติก ที่มีมูลค่าถึง 600 ล้านดอลล่าร์
    เพราะต้องจ่ายเบี้ยบ้ายรายทางให้คนของรัฐหลายหน่วยงาน
    เขายังร่ายยาวต่อไป
    ความหมายคือ เขาไม่เชื่อว่าปูตินจะมาปราบโกง ในเมื่อมันได้หยั่งรากฝังลึกมาตั้งแต่ครั้งที่เป็นคอมมิวนิสต์แล้ว

    ปูตินเดือดจนแทบระเบิด ……แต่เขาพยายามสกัดอารมณ์
    พร้อมกับส่งบัญชีภาษีย้อนหลังให้กับ MK ในรายการธุรกิจน้ำมัน บริษัท Yukos ที่ MK เป็นเจ้าของอยู่
    ผู้รับ……ไม่มีทีท่าสะทกสะท้าน ซ้ำยังพูดเปรยๆว่า
    “ฝ่ายบัญชีท่าจะว่างจัด..!!!”
    เหล่ามหาเศรษฐีกลุ่มนี้ ไม่สามารถที่จะโต้แย้งในเรื่องยอดภาษีจำนวนมหาศาลที่หมกเม็ดไว้นานแสนนานได้ และเห็นว่าทำต่อไปก็ไร้ประโยชน์ เลยเทหุ้นขาย หรือ ไม่จ่าย
    ต่างหนีออกไปอยู่สบายๆที่ยุโรปกันแทบทั้งหมด

    เท่ากับว่า…รัฐบาลของปูตินได้ก้าวเข้าไปเป็นเจ้าของในอุตสาหกรรมที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของประเทศตามเจตนารมณ์ของปูติน ที่ต้องการใช้ทรัพยากรทั้งหมดสร้างเม็ดเงินเพื่อพัฒนาประเทศ

    ในช่วงขณะที่มีการประชุมกับกลุ่มมหาเศรษฐีนั้น คือช่วงที่สหรัฐอเมริกาเข้าบุกอิรัค ที่ปูตินไม่เห็นด้วย
    ปธน. บุชได้ชวนรัสเซียเข้ามาร่วมด้วยในการกำจัด ซัดดัม ฮุสเซน แต่ในประวัติศาสตร์ของรัสเซียที่ผูกพันกับอิรัคมายาวนาน
    หรือแม้ในช่วง 1991 ที่มีสงครามอ่าว รัสเซียก็ยังช่วยซื้อน้ำมันจากอิรัค ในขณะที่ UN ไม่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยอะไรเลย
    ทำให้บุชรู้สึกไม่พอใจในรัสเซีย เพราะ……เห็นว่ารัสเซียเข้าข้างซัดดัม
    โดยเบื้องหลังแล้ว……ปูตินได้แอบส่ง Primakov ไปที่กรุงแบกแดดไปเจรจากับซัดดัมให้ลาออกจากตำแหน่ง
    ซัดดัมรับฟังเงียบๆ แล้วก็เรียกคณะมนตรีเข้ามา พร้อมกับประกาศว่า
    “ฟังนะ ทุกคน……ตอนนี้รัสเซียได้กลายเป็นลูกจ๊อกของอเมริกาไปแล้ว…”
    แต่ลูกจ๊อกคนนี้ คือผู้ที่ส่งยุทโธปกรณ์และเครื่องสกัดขีปนาวุธให้กับอิรักอย่างต่อเนื่อง

    ไม่มีใครรู้ว่า ในสองปีที่ปูตินได้พยายามเป็นญาติดีกับอเมริกา
    นั้น……มันเปล่าประโยชน์จริงๆ และเขาได้เห็นอย่างชัดเจนว่า
    อเมริกา…ไม่ต้องการเป็นมิตร……แต่ต้องการที่จะครอบครอง
    ทั้งโลกแต่ผู้เดียว……!!!

    อเมริกาที่เข้าไปแทรกแซงทุกแห่งหนในโลก ทั้งทางตรง (รุกราน) และทางอ้อม (soft power) แม้แต่ในรัสเซียที่มีทุนของอเมริกาไหลบ่ามาอย่างมากมาย เช่นกลุ่ม Peace Corps,
    AFL-CIO (สหภาพแรงงาน), Chevron, Exxon
    ปูตินสั่งการให้เข้าคุมเข้ม และตรวจสอบแบบไม่ให้กระดิกกระเดี้ย

    ในปี 2003 ที่เขารีบทำการตอกหมุดเรื่องเศรษฐกิจ เพราะจะมีการเตรียมตัวเลือกตั้งในสมัยต่อไป (2004) ที่เขามีศัตรูเพิ่มขึ้น คือ
    MK ที่ได้ใช้เงินซื้อทุกพรรค
    จนต้องเรียกมาคุยกันเป็นการส่วนตัว
    ปูตินได้บอกกับ MK ว่า……เลิกทำตัวเป็นสปอนด์เซ่อร์ใหญ่ของฝ่ายค้านเสียที……!!
    MK ตอบอย่างยะโสว่า……ด๊ายยย เลิกก็ได้ แต่ผมห้ามคนอื่นๆในองค์กรของผมไม่ได้นะ เขาจะสนับสนุนพรรคไหนก็เป็นสิทธิของเขา……!!!

    ได้เลย…ถ้าต้องการแบบนั้น เดือนมิถุนายน ตำรวจได้เข้าทำการจับกุมหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยของบริษัทน้ำมัน Yukos (ของ MK) ด้วยข้อหาเกี่ยวพันกับคดีอาชญากรรม…ที่ต่อมามีการซัดทอดกันไปมาในกลุ่มผู้บริหารของบริษัท (ยังไม่เกี่ยวกับ MK)
    ในการซัดทอดนี้ ได้เป็นข่าวสนุกรายวัน เพราะมีการแฉเรื่องความเป็นมาของแต่ละคนว่า มีตำหนิตรงไหน ด้วยเรื่องอะไร
    กับใคร และเมื่อไหร่
    ซึ่งนำเข้าสู่การจับกุม Platon Lebedev (หุ้นส่วนใหญ่ของ MK)
    ที่ทำให้สองวันต่อมา หุ้นของ Yukos มูลค่ากว่า 7 พันล้านเหรียญ (เทียบเท่า) ตกดิ่งลงเหว
    ส่วน MK ยังทำไม่รู้ ไม่ชี้ ไม่เกี่ยว ยังเดินทางไปโน่นมานี่อย่างปรกติ
    วันที่ 23 ตุลาคม ศาลได้ส่งหมายเรียกให้ MK ไปเข้าให้การในเรื่องภาษี แต่……เขาไม่ปรากฎตัว
    วันที่ 25 ขณะที่กำลังจะเดินทางออกนอกประเทศ และแวะเติมน้ำมันที่ Novosibirsk เขาได้ถูกจับที่สนามบิน และถูกควบคุมตัวกลับสู่มอสโคว์

    การควบคุมตัวของ MK ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับเศรษฐกิจของประเทศ หุ้นตก นักลงทุนหวั่นไหว
    แต่สองเดือนก่อนหน้านี้ปูตินได้ออกหนังสือขึ้นมาจ่ายแจกกับประชาชนในเรื่องของ “กลุ่มทุนที่บั่นทอนประเทศ” โดยอธิบายความเป็นมาที่สร้างความเสียหาย
    พอเกิดเหตุการณ์ขึ้น ปูตินได้ออกรายการทีวี เอาเหตุการณ์ของ Yukos นี้มาเป็นตัวอย่างที่เห็นจริง……และให้สัญญากับประชาชนว่า สัมปทานในเรื่องน้ำมันและพลังงานจะต้องไม่ตกอยู่ในมือของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่จะต้องเป็นของประชาชนทั่วไป…

    ปัญหาต่อมาของปูติน คือ การก่อความไม่สงบในเชเชนที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ในระบบใหม่ นั่นคือ ระเบิดฆ่าตัวตาย ที่เกิดขึ้นที่โน่นที่นี่ ทำให้เกิดความโกลาหลและสูญเสีย และเป็นผลเสียกับรัฐบาล ที่อาจจะเป็นข้อเสียในการโหวต
    นั่นเป็นสิ่งที่เขากังวล

    คืนหนึ่งก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้ง เขานอนไม่หลับ ตื่นไปหยอดบัตรแต่เช้า ซึ่งในวันนั้น Koni สุนัขแสนรักได้ออกลูกมา แปดตัว ข่าวของลูกสุนัขแปดตัวของปูตินดังกลบข่าวเลือกตั้งของฝ่ายค้านไปสนิท
    ในที่สุด พรรค United Russia ของปูตินได้รับคะแนนเป็นส่วนใหญ่ ฝ่ายค้านร่วงไปกว่าคราวที่แล้วกว่าสิบเปอร์เซ็นต์ พรรคที่สนับสนุนโดย MK ได้ไม่ถึงห้าเปอร์เซนต์
    สรุปว่า พรรคของปูตินได้แบบแลนด์สไลด์ 300 ที่นั่ง จากจำนวนที่นั่งในสภา 450 ที่นั่ง

    ที่ปูตินประกาศถึงชัยชนะในครั้งนี้ว่า
    “เป็นการสิ้นสุดของการเมืองในระบบเก่าๆ จากนี้ไปเราจะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ การเมืองใหม่……”

    ~~~พูดถึงการเลือกตั้ง ดิฉันลืมเล่าถึง Anatoly Sobchak
    ผู้ที่มีพระคุณของปูติน ที่ต้องหลบหนีไปยังฝรั่งเศสด้วยความช่วยเหลือของปูตินในปี 1997 นั้น
    ในปี 1999 ที่ปูตินได้รับการแต่งตั้งจากเยลซินให้เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น เขาได้ทำการนิรโทษกรรมให้อนาโตลีกลับคืนสู่รัสเซียอย่างไร้มลทิน ปูตินไปรอรับที่สนามบินที่เซนต์ ปีเตอร์เบอร์ก
    อนาโตลีได้พยายามช่วยงานปูตินในการหาเสียงสู่ประธานาธิบดีในปี 2000
    แต่ในดือนกุมภาพันธ์ เขาเกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลัน
    เสียชีวิต……
    ปูตินได้เข้าไปช่วยในพิธีงานศพตั้งแต่ต้นจนจบ โดยถือเสมอว่า อนาโตลีคือผู้มีพระคุณ….
    และนั่นคือ ครั้งแรก….ที่คนได้เห็นน้ำตาของปูติน….!!!!

    Wiwanda W. Vichit
    มาแล้วค่าาาา……มาช้าดีกว่าไม่มา เรื่องพี่ปูเขาเยอะ คนเขียนต้องใช้เวลาเรียบเรียง……นี๊ดดดดดดดดนึงนะคะ……!!! ตอนสิบสาม….…ถ้าไม่แน่จริง……อย่ามาขวางทาง เพราะจะเลี้ยงไม่โต……!!!! วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2003 เรื่องสำคัญที่ปูตินได้เตรียมพร้อมที่จะลงดาบ……นั่นคือเรื่องเศรษฐกิจของประเทศ หลังจากที่ได้คุยกันไปในรอบแรกถึงนโยบายเมื่อครั้งที่เขาได้รับตำแหน่งใหม่ๆ เมื่อมาถึงตอนนี้……หลังจากที่เฝ้าจับตาดูมานานกว่าสองปี เขาเรียกประชุมกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคการเงิน ภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด ที่หอประชุม Catherine Hall โดยเริ่มต้นว่า…… “เงินและทรัพย์สินที่พวกคุณที่หามาได้ จะมากมายแค่ไหน…… ผมจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง คุณก็ทำมาหากินของคุณไป แต่มีข้อแม้อย่างเดียว คือ อย่าใช้เงินของคุณ มาเกี่ยวข้องหรือมาเล่นการเมืองโดยเด็ดขาด……และเรื่องสัมปทานทั้งหลาย ถ้ามีการฟอกเงินไม่ว่าสกุลไหน หรือถ่ายเทออกไปให้ใคร… ผมจะยึดคืนเข้ารัฐ…” ประกาสิตของปูตินที่ออกมา ได้กระทบกันระนาว คนหนึ่งในนั้นนั่นคือ Roman Abramovich มหาเศรษฐีที่มีตำแหน่งเป็นผู้ว่าการรัฐ Chukotka (ที่มาจากการเลือกตั้ง อยู่ในตำแหน่ง 2000-2008) ซึ่งได้มีการพูดคุยกับปูติน ว่า..ตำแหน่งผู้ว่าที่ได้มานั้น มาจากการที่เขาบริจาคทรัพย์สินที่มีมากมายมหาศาลในการสร้างเมืองที่แสนยากจนให้มาอยู่ดีกินดี เขาคนที่รวยที่สุดคนหนึ่งในรัสเซียที่สร้างตัวมาได้จากการขายเศษเหล็ก จนเป็นหุ้นใหญ่ในบริษัทน้ำมัน Sibneft ในกลุ่มของเขา มีเหล่าอภิมหาเศรษฐีที่รวมกลุ่มกัน คือ Badri Patarkatsishvili, Boris Berezovsky, Mikhail Fridman และ Mikhail Khodorkovsky และคนอื่นๆกว่ายี่สิบ ที่มีทรัพย์สินรวมกันแล้ว มากกว่างบประมาณประจำปีของหลายประเทศ ทุกคน(ส่วนใหญ่คือยิว)เริ่มหวั่นไหว เพราะปูตินได้กล่าวว่า ผมมีทางเลือกให้สองทาง จะเล่นการเมือง หรือ จะค้าขาย พวกคุณจะทำทั้งสองอย่างไม่ได้… ว่าแล้ว……ปูตินก็กางบัญชีเก็บภาษีย้อนหลัง (ที่ตรียมไว้) ซึ่งทุกคนต้องจ่าย และขอให้เริ่มต้นทำบัญชีให้ตรงตามความเป็นจริง เพราะจากนี้ไป… รัฐบาลจะจัดเจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลและตรวจสอบ มีคนเดียว…ที่ตกลงตามคำสั่งทุกประการ นั่นคือ Roman Abramovich….พร้อมจ่าย พร้อมให้ตรวจสอบทุกสิ่ง ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วย ……เงียบ (แต่หอบเงินหนีไปต่างประเทศ และไปตั้งตัวเป็นศัตรูของปูติน) คนที่เสียงดังที่สุด คือ Mikhail Khodorkovsky (หรือจะเรียกว่า MK) คนนี้ เป็นอภิมหาเศรษฐีที่มีอายุเพียง 39 ปี เป็นคนหัวทันสมัย ชื่นชอบนโยบายตะวันตก และมีเส้นสายกับกลุ่มยิวอเมริกันอย่างเปิดเผย เขาเปรียบเสมือน บิล เกตต์ แห่งรัสเซีย ระหว่าง MK มหาเศรษฐีสมัยใหม่ พูดจาผ่าซาก กับ ปูติน ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในรัสเซีย จึงเกิดการศรศิลป์ไม่กินกันตั้งแต่นั้นมา เพราะ MK เริ่มพูดถึงการคอรัปชั่นที่มีมาตั้งแต่ยุคกอร์บาเชฟ ที่ทำให้พวกเขาได้ร่ำรวยกันทุกวันนี้ และการคอรัปชั่นนั้น มันมีมาตั้งแต่การสอบเข้ารับราชการที่ต้องมีการติดสินบนเจ้าหน้าที่ เพราะใครๆก็อยากเข้ามาทำราชการ ช่องทางหากินเยอะแยะ รวมทั้งเรื่องการเข้าประมูลสัมปทานน้ำมันที่อาร์คติก ที่มีมูลค่าถึง 600 ล้านดอลล่าร์ เพราะต้องจ่ายเบี้ยบ้ายรายทางให้คนของรัฐหลายหน่วยงาน เขายังร่ายยาวต่อไป ความหมายคือ เขาไม่เชื่อว่าปูตินจะมาปราบโกง ในเมื่อมันได้หยั่งรากฝังลึกมาตั้งแต่ครั้งที่เป็นคอมมิวนิสต์แล้ว ปูตินเดือดจนแทบระเบิด ……แต่เขาพยายามสกัดอารมณ์ พร้อมกับส่งบัญชีภาษีย้อนหลังให้กับ MK ในรายการธุรกิจน้ำมัน บริษัท Yukos ที่ MK เป็นเจ้าของอยู่ ผู้รับ……ไม่มีทีท่าสะทกสะท้าน ซ้ำยังพูดเปรยๆว่า “ฝ่ายบัญชีท่าจะว่างจัด..!!!” เหล่ามหาเศรษฐีกลุ่มนี้ ไม่สามารถที่จะโต้แย้งในเรื่องยอดภาษีจำนวนมหาศาลที่หมกเม็ดไว้นานแสนนานได้ และเห็นว่าทำต่อไปก็ไร้ประโยชน์ เลยเทหุ้นขาย หรือ ไม่จ่าย ต่างหนีออกไปอยู่สบายๆที่ยุโรปกันแทบทั้งหมด เท่ากับว่า…รัฐบาลของปูตินได้ก้าวเข้าไปเป็นเจ้าของในอุตสาหกรรมที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของประเทศตามเจตนารมณ์ของปูติน ที่ต้องการใช้ทรัพยากรทั้งหมดสร้างเม็ดเงินเพื่อพัฒนาประเทศ ในช่วงขณะที่มีการประชุมกับกลุ่มมหาเศรษฐีนั้น คือช่วงที่สหรัฐอเมริกาเข้าบุกอิรัค ที่ปูตินไม่เห็นด้วย ปธน. บุชได้ชวนรัสเซียเข้ามาร่วมด้วยในการกำจัด ซัดดัม ฮุสเซน แต่ในประวัติศาสตร์ของรัสเซียที่ผูกพันกับอิรัคมายาวนาน หรือแม้ในช่วง 1991 ที่มีสงครามอ่าว รัสเซียก็ยังช่วยซื้อน้ำมันจากอิรัค ในขณะที่ UN ไม่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยอะไรเลย ทำให้บุชรู้สึกไม่พอใจในรัสเซีย เพราะ……เห็นว่ารัสเซียเข้าข้างซัดดัม โดยเบื้องหลังแล้ว……ปูตินได้แอบส่ง Primakov ไปที่กรุงแบกแดดไปเจรจากับซัดดัมให้ลาออกจากตำแหน่ง ซัดดัมรับฟังเงียบๆ แล้วก็เรียกคณะมนตรีเข้ามา พร้อมกับประกาศว่า “ฟังนะ ทุกคน……ตอนนี้รัสเซียได้กลายเป็นลูกจ๊อกของอเมริกาไปแล้ว…” แต่ลูกจ๊อกคนนี้ คือผู้ที่ส่งยุทโธปกรณ์และเครื่องสกัดขีปนาวุธให้กับอิรักอย่างต่อเนื่อง ไม่มีใครรู้ว่า ในสองปีที่ปูตินได้พยายามเป็นญาติดีกับอเมริกา นั้น……มันเปล่าประโยชน์จริงๆ และเขาได้เห็นอย่างชัดเจนว่า อเมริกา…ไม่ต้องการเป็นมิตร……แต่ต้องการที่จะครอบครอง ทั้งโลกแต่ผู้เดียว……!!! อเมริกาที่เข้าไปแทรกแซงทุกแห่งหนในโลก ทั้งทางตรง (รุกราน) และทางอ้อม (soft power) แม้แต่ในรัสเซียที่มีทุนของอเมริกาไหลบ่ามาอย่างมากมาย เช่นกลุ่ม Peace Corps, AFL-CIO (สหภาพแรงงาน), Chevron, Exxon ปูตินสั่งการให้เข้าคุมเข้ม และตรวจสอบแบบไม่ให้กระดิกกระเดี้ย ในปี 2003 ที่เขารีบทำการตอกหมุดเรื่องเศรษฐกิจ เพราะจะมีการเตรียมตัวเลือกตั้งในสมัยต่อไป (2004) ที่เขามีศัตรูเพิ่มขึ้น คือ MK ที่ได้ใช้เงินซื้อทุกพรรค จนต้องเรียกมาคุยกันเป็นการส่วนตัว ปูตินได้บอกกับ MK ว่า……เลิกทำตัวเป็นสปอนด์เซ่อร์ใหญ่ของฝ่ายค้านเสียที……!! MK ตอบอย่างยะโสว่า……ด๊ายยย เลิกก็ได้ แต่ผมห้ามคนอื่นๆในองค์กรของผมไม่ได้นะ เขาจะสนับสนุนพรรคไหนก็เป็นสิทธิของเขา……!!! ได้เลย…ถ้าต้องการแบบนั้น เดือนมิถุนายน ตำรวจได้เข้าทำการจับกุมหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยของบริษัทน้ำมัน Yukos (ของ MK) ด้วยข้อหาเกี่ยวพันกับคดีอาชญากรรม…ที่ต่อมามีการซัดทอดกันไปมาในกลุ่มผู้บริหารของบริษัท (ยังไม่เกี่ยวกับ MK) ในการซัดทอดนี้ ได้เป็นข่าวสนุกรายวัน เพราะมีการแฉเรื่องความเป็นมาของแต่ละคนว่า มีตำหนิตรงไหน ด้วยเรื่องอะไร กับใคร และเมื่อไหร่ ซึ่งนำเข้าสู่การจับกุม Platon Lebedev (หุ้นส่วนใหญ่ของ MK) ที่ทำให้สองวันต่อมา หุ้นของ Yukos มูลค่ากว่า 7 พันล้านเหรียญ (เทียบเท่า) ตกดิ่งลงเหว ส่วน MK ยังทำไม่รู้ ไม่ชี้ ไม่เกี่ยว ยังเดินทางไปโน่นมานี่อย่างปรกติ วันที่ 23 ตุลาคม ศาลได้ส่งหมายเรียกให้ MK ไปเข้าให้การในเรื่องภาษี แต่……เขาไม่ปรากฎตัว วันที่ 25 ขณะที่กำลังจะเดินทางออกนอกประเทศ และแวะเติมน้ำมันที่ Novosibirsk เขาได้ถูกจับที่สนามบิน และถูกควบคุมตัวกลับสู่มอสโคว์ การควบคุมตัวของ MK ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับเศรษฐกิจของประเทศ หุ้นตก นักลงทุนหวั่นไหว แต่สองเดือนก่อนหน้านี้ปูตินได้ออกหนังสือขึ้นมาจ่ายแจกกับประชาชนในเรื่องของ “กลุ่มทุนที่บั่นทอนประเทศ” โดยอธิบายความเป็นมาที่สร้างความเสียหาย พอเกิดเหตุการณ์ขึ้น ปูตินได้ออกรายการทีวี เอาเหตุการณ์ของ Yukos นี้มาเป็นตัวอย่างที่เห็นจริง……และให้สัญญากับประชาชนว่า สัมปทานในเรื่องน้ำมันและพลังงานจะต้องไม่ตกอยู่ในมือของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่จะต้องเป็นของประชาชนทั่วไป… ปัญหาต่อมาของปูติน คือ การก่อความไม่สงบในเชเชนที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ในระบบใหม่ นั่นคือ ระเบิดฆ่าตัวตาย ที่เกิดขึ้นที่โน่นที่นี่ ทำให้เกิดความโกลาหลและสูญเสีย และเป็นผลเสียกับรัฐบาล ที่อาจจะเป็นข้อเสียในการโหวต นั่นเป็นสิ่งที่เขากังวล คืนหนึ่งก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้ง เขานอนไม่หลับ ตื่นไปหยอดบัตรแต่เช้า ซึ่งในวันนั้น Koni สุนัขแสนรักได้ออกลูกมา แปดตัว ข่าวของลูกสุนัขแปดตัวของปูตินดังกลบข่าวเลือกตั้งของฝ่ายค้านไปสนิท ในที่สุด พรรค United Russia ของปูตินได้รับคะแนนเป็นส่วนใหญ่ ฝ่ายค้านร่วงไปกว่าคราวที่แล้วกว่าสิบเปอร์เซ็นต์ พรรคที่สนับสนุนโดย MK ได้ไม่ถึงห้าเปอร์เซนต์ สรุปว่า พรรคของปูตินได้แบบแลนด์สไลด์ 300 ที่นั่ง จากจำนวนที่นั่งในสภา 450 ที่นั่ง ที่ปูตินประกาศถึงชัยชนะในครั้งนี้ว่า “เป็นการสิ้นสุดของการเมืองในระบบเก่าๆ จากนี้ไปเราจะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ การเมืองใหม่……” ~~~พูดถึงการเลือกตั้ง ดิฉันลืมเล่าถึง Anatoly Sobchak ผู้ที่มีพระคุณของปูติน ที่ต้องหลบหนีไปยังฝรั่งเศสด้วยความช่วยเหลือของปูตินในปี 1997 นั้น ในปี 1999 ที่ปูตินได้รับการแต่งตั้งจากเยลซินให้เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น เขาได้ทำการนิรโทษกรรมให้อนาโตลีกลับคืนสู่รัสเซียอย่างไร้มลทิน ปูตินไปรอรับที่สนามบินที่เซนต์ ปีเตอร์เบอร์ก อนาโตลีได้พยายามช่วยงานปูตินในการหาเสียงสู่ประธานาธิบดีในปี 2000 แต่ในดือนกุมภาพันธ์ เขาเกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลัน เสียชีวิต…… ปูตินได้เข้าไปช่วยในพิธีงานศพตั้งแต่ต้นจนจบ โดยถือเสมอว่า อนาโตลีคือผู้มีพระคุณ…. และนั่นคือ ครั้งแรก….ที่คนได้เห็นน้ำตาของปูติน….!!!! Wiwanda W. Vichit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 503 มุมมอง 0 รีวิว
  • ‼️🇷🇺กรอบการโจมตีของกลุ่มเคลื่อนที่ของกลุ่มลาดตระเวนคอซแซค "เทเร็ก" - เครื่องบินรบตรวจสอบการป้องกันของศัตรู ด้วยการจู่โจมอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความตื่นตระหนกในกองทัพยูเครน

    ▪️กลุ่มลาดตระเวนของกองพล Terek Cossack เคลื่อนตัวไปตามแนวหน้าและโจมตีโดยไม่คาดคิด โดยระบุจุดอ่อนในการป้องกันกองทัพของยูเครน และทำให้ผู้บุกรุกเข้าใจผิด
    ▪️ศัตรูสูญเสียอุปกรณ์และบุคลากรจากการโจมตีของคอสแซค พวกเขายังยิงโดรนตก ทำให้กองทัพยูเครนดำเนินการลาดตระเวนได้ยาก ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมาคอสแซคใช้กลยุทธ์การโจมตีอย่างรวดเร็วของกลุ่มเล็ก ๆ ซ้ำซึ่งใช้โดยกองกำลังของ Matvey Platov และ Denis Davydov ในสงครามรักชาติปี 1812 กับผู้ยึดครองชาวฝรั่งเศส
    ‼️🇷🇺กรอบการโจมตีของกลุ่มเคลื่อนที่ของกลุ่มลาดตระเวนคอซแซค "เทเร็ก" - เครื่องบินรบตรวจสอบการป้องกันของศัตรู ด้วยการจู่โจมอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความตื่นตระหนกในกองทัพยูเครน ▪️กลุ่มลาดตระเวนของกองพล Terek Cossack เคลื่อนตัวไปตามแนวหน้าและโจมตีโดยไม่คาดคิด โดยระบุจุดอ่อนในการป้องกันกองทัพของยูเครน และทำให้ผู้บุกรุกเข้าใจผิด ▪️ศัตรูสูญเสียอุปกรณ์และบุคลากรจากการโจมตีของคอสแซค พวกเขายังยิงโดรนตก ทำให้กองทัพยูเครนดำเนินการลาดตระเวนได้ยาก ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมาคอสแซคใช้กลยุทธ์การโจมตีอย่างรวดเร็วของกลุ่มเล็ก ๆ ซ้ำซึ่งใช้โดยกองกำลังของ Matvey Platov และ Denis Davydov ในสงครามรักชาติปี 1812 กับผู้ยึดครองชาวฝรั่งเศส
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 337 มุมมอง 178 0 รีวิว
  • เหล่าติ่งทั้งหลาย…………มาช่วยส่งกำลังใจให้พี่ปูหน่อยเร้วววว……!!!

    ตอนสี่……เข้ามาจนใกล้……แต่ยังไปไม่ถึง……!!!

    และแล้ว ปูตินก็ได้ดินทางมาสู่ Dresden เยอรมันตะวันออกเพียงลำพังในเดือนสิงหาคม 1985 เพราะลุดมิลายังต้องเลี้ยงดูลูกเล็ก มาเรีย (หรือ มาช่า) จนกว่าจะโตอีกนิดนึง
    เขาเข้าเริ่มงานในสำนักงานฝ่ายความมั่นคงของโซเวียต
    ที่เป็นที่ทำงานเดียวกับ KGB
    ปูตินกลายเป็น “Little Volodya” ในหมู่ของเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชา เพราะในหน่วยได้มีชื่อ Vladimir อยู่แล้วสองคน
    คนหนึ่งในหนวด ก็เป็น Mustahios Volodya
    อีกคนหนึ่งร่างยักษ์ ก็เป็น “Big Volodya”
    เขาเริ่มสับสนกับการทำงานในที่นี้ เพราะ เขาไม่ใช่ “Comrade Platov” อย่างควรจะเป็นในระบบของ KGB
    แต่กลายมาเป็น นายทหารธรรมดา ยศพันตรี แปะอกหรา…
    แล้วนี่มันเป็นสายลับชนิดไหนในโลก………!!!

    ต่อมาหลังจากที่เรียนรู้งาน เขาจึงทราบว่า การทำงานแบบอินเตอร์นี้ เขามาอย่างเปิดเผยพร้อมโปรไฟล์ พร้อมพาสปอร์ต
    ก็ต้องเล่นไปตามเกมส์
    งานใต้ดิน……จะแยกออกไปอีกสายหนึ่ง เรียกว่า Stasi (The Ministry for State Security หรือ Staatsischerheitdiest)
    ที่เป็นหน่วยงานของเยอรมันฝ่ายคอมมิวนิสต์ ก่อตั้งในปี 1950
    สำนักงานใหญ่อยู่ที่ Lichtenberg, East Germany
    ที่ทางรัสเซียจะสั่งการลงไปอีกชั้นหนึ่ง ปูตินจึงกลายมาเป็นทหารนั่งออฟฟิศ คอยประสานกับหน่วยสตาซี
    สำนักงานของ Stasi, Dresden ก็อยู่บนชั้นสองในอาคารเดียวกัน หัวหน้าหน่วย ชื่อว่า Horst Böhm
    วันดีคืนดีก็กวักมือชวนกันไปเล่นฟุตบอล แมช ระหว่าง Stasi vs KGB

    การประสานงานนี้ แม้ว่าพันตรีปูตินจะเชี่ยวชาญในภาษาเยอรมัน แต่ปัญหาอื่นๆก็ตามมาคือการสื่อสารภาษาชาวบ้านในชีวิตประจำวัน ศัพท์แสลง ที่เขาไม่คุ้นเคย
    ทางหน่วยสตาซี จึงส่งเจ้าหน้าที่มาเปิดทำการสอนอย่างติวเข้ม
    และอีกปัญหาหนึ่ง คือ เหล่าทหารเกณฑ์โซเวียตที่ได้มาประจำการในเยอรมัน ต่างกันหลุดวินัย เพราะเปรียบเทียบได้ว่า
    มาสู่เมืองสวรรค์ ดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ นุ่กางเกงยีนส์ ดูหนังโป๊
    หรือแม้แต่เหล่านายทหารอีลีทที่มาอยู่ทั้งครอบครัว ก็ใช้จ่ายแบบฟุ้งเฟ้อ เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าสารพัด บางคนก็ส่งกลับไปขายในตลาดมืดที่โซเวียต

    ปูตินจึงเปรียบเสมือนกับได้เข้ามาอยู่ในโลกใหม่ เขาเองได้รับเงินเดือนเป็นเงินสดเทียบเท่า หนึ่งร้อยยูเอสดอลล่าร์ (นับว่ามากโข)
    ใครต่อใครบอกเขาว่า การที่ได้มาประจำการที่นี่ คือ สุดยอดของความสุข แต่สำหรับเขานั้น……มันไม่ใช่..!!

    ลุดมิลาและลูกน้อยได้มาถึงในช่วงปลายปี เธอเปิดประตูอพาร์ตเมนต์เข้ามา พบกับตะกร้าใส่กล้วยหอมวางอยู่บนโต๊ะอาหารโด่เด่………ไม่มีแม้แต่ช่อดอกไม้……!!!
    เพียงแค่นั้น เธอก็พอที่จะรู้แล้วว่า……ทุกอย่างจะไม่ใช่เป็นอย่างที่เคยคิด……!!

    เจ้านายสายตรงของปูติน คือ Colonel Lazar Matveyev ที่เข้ากันได้ดีกับปูตินเป็นปี่เป็นขลุ่ย เพราะมีประวัติการเป็นมาคล้ายๆกัน และชื่นชมในตัวลุดมิลา ที่เป็นหญิงฉลาด คล่องแคล่ว ไหวพริบดี
    ปูตินใช้ชีวิตอย่างง่ายๆสบายๆในเดรสเดน และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาไม่ได้ซ้อมยูโดอย่างที่ทำเป็นประจำ อีกทั้งไม่เคยหยิบจับอะไรในเรื่องงานบ้าน ลุดมิลาได้ตั้งครรภ์ที่สอง
    เธอทำทุกอย่างในบ้าน
    รวมทั้งต้องเอาใจสามีที่ค่อนข้าง”เยอะ” ในเรื่องอาการการกิน
    อะไรที่ไม่ชอบ เขาจะไม่แตะเลย
    พอเธอบ่นเข้า……เขางัดเอาคติของรัสเซียโบราณขึ้นมาพูดลอยๆ……ว่า……ผู้หญิงยิ่งเอาใจ ยิ่งเคยตัว..!!!!
    และเขาไม่เคยจำวันครบรอบแต่งงานได้……
    ตอนที่ลุดมิลาจะต้องไปคลอดลูกคนเล็กนอนโรงพยาบาลต่อด้วยการพักฟื้นหลายวัน
    ปูตินจะต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ทั้งเลี้ยงลูก ทำความสะอาด หุงหา ที่เขาบอกว่าเป็นงานที่หนักที่สุดในชีวิต
    ทั้งนี้ทั้งนั้น หลายคนจับในน้ำเสียงได้ว่า เขาผิดหวังมากที่ไม่ได้ลูกชาย……
    ทั้งคู่ใช้ชีวิตอย่างสบายเพราะได้ออกไปเที่ยวในวันหยุด มีเครื่องซักผ้า มีสเตอริโอ และมีเกมส์ทีวี (รุ่น Atari) เล่น
    แต่ลุดมิลาไม่มีความสุขเท่าที่ควร เพราะเธอไม่มีเพื่อน
    คบคุยกับใครเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้ เหมือนมีคนคอยจับจ้องอยู่ตลอดเวลา สามีก็ไม่เคยเล่าเรื่องอะไรให้ฟังเลย
    แต่ปูตินก็มีเหตุผล……เพราะในหน่วยของเขาก็มีสายลับจากเยอรมันตะวันตกแฝงเข้ามา เท่าที่รู้คือ ล่ามที่เข้ามาทำการแปลให้ เป็นผู้หญิง (จาก BND = Bundesnachrichtendient) ที่มีโค้ดของตัวเองว่า BALCONY ที่เข้ามาทำตัวสนิทสนมกับลุดมิลา จนเธอเชื่อใจ ยอมนินทาสามีให้ฟังว่า เป็นคนเข้มระเบียบ
    มีแอบเจ้าชู้ และชีวิตครอบครัวเริ่มมีปัญหา

    ปี 1986 ที่โซเวียตเริ่มมีปัญหาภายในเพราะสภาพเศรษฐกิจ
    ส่วนภายนอกคือความกดดันจากองค์กร NATO จนท่านผู้นำ
    Mikhail Gorbachev ยอมอ่อนข้อให้ในเรื่องเครียดๆของสงครามเย็น
    ปี 1987 ปูตินได้เลื่อนยศเป็น พันโท และเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการ นั่นหมายถึงเป็นเบอร์สองขององค์กร ใน Dresden ที่ต้องคอยควบคุมพฤติกรรมทุกย่างก้าวของผู้ใต้บังคับบัญชา ที่เข้มถึงขนาดห้ามมีการถ่ายรูปภายในบริเวณ
    สถานการณ์เริ่มอึมครึมในระหว่างกลุ่ม KGB และ Stasi
    เพราะกลุ่มสายลับตะวันตกเริ่มมีบทบาทเข้ามาเกี่ยวข้องทางตะวันออกมากขึ้น มันบ่งบอกถึงสัญญาณอะไรบางอย่าง
    และ……นั่นคือ การลงนามระหว่างโรนัล รีแกน กับ กอร์บาเชฟ ในเรื่องสนธิสัญญาสันติภาพในขีปนาวุธนิวเคลียร์ในยุโรป
    (จำกัดจำนวน ถ้ามีเกิน ทำลายทิ้ง) ที่เกิดขึ้นในเดือนต่อมา

    สัญญาณนั้นชี้ไปในทางทิศที่ว่า สงครามเย็นอาจจะจบสิ้นในไม่ช้า เพราะกอร์บาเชฟได้เห็นแล้วว่าโซเวียตยังล้าหลังจากยุโรปไปมาก ควรจะต้องเปิดใจปรับปรุงให้เป็นคอมมิวนิสต์ที่พัฒนาและยอมรับความจริง
    เพียงแต่……เหล่าสีแดงเข้ม ไม่เข้าใจ และไม่พอใจ เห็นต่างกับนโยบายของท่านผู้นำ
    เมื่อโซเวียตเริ่มอ่อนกำลัง ปี 1989 ฮังการีได้เปิดพรมแดนที่ติดกับออสเตรีย ให้คนต่างเดินทางไปมาหาสู่ได้
    นั่นคือที่มาของความระส่ำระสายในเยอรมันตะวันออก ที่ต่างเรียกร้องให้เปิดพรมแดน รวมทั้งเบอร์ลิน
    มีการเดินขบวนเรียกร้อง มีการลุกฮือก่อการวุ่นวายที่นั่นที่นี่
    ผู้พันปูตินเริ่มรู้สึกว่า หน่วยของเขาเริ่มถูกตัดรอนไปจากมอสโคว์ เพราะไม่ว่าจะส่งรายงานอะไรไปก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมา
    อ่านบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้…?!!

    ในที่สุดกำแพงเบอร์ลินได้ถูกทะลายลงในคืนวันที่ 9 พฤศจิกายน 1989 เกิดการชุมนุมขึ้นในทุกหย่อมหญ้าของแผ่นดิน
    ใน Dresden วันที่ 5 ธันวาคม ที่คนจำนวนร้อยๆได้มุ่งหน้ามาที่สำนักงาน KGB ผู้พันปูตินได้มองเห็นการเคลื่อนตัวมาจากชั้นบนของอาคาร
    จากนั้นไม่กี่ชั่วโมงต่อมา…มวลชนเพิ่มเป็นจำนวนพัน……เมื่อถึงหน้าประตู ทุกคนอยู่ในสภาพคลั่ง โกรธแค้น ขว้างปา ด่าทอ
    เสียงคนตะโกนว่า ……ในอาคารมีช่องทางลับที่จะมุ่งไปสู่โรเมเนีย…มีคุกที่ทรมานนักโทษให้จมน้ำอยู่ครึ่งตัว…
    ตอนนั้น……ผู้พันปูตินขำไม่ออก……กับเรื่องเพ้อเจ้อที่แต่งกันขึ้นมาเพื่อที่จะเกลียดชังโซเวียต
    ที่ขำไม่ออก……เพราะเขาทำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากมอสโคว์
    ซึ่ง……ไม่ว่าจะส่งโทรเลขไปกี่ครั้ง แต่……ไม่มีคำตอบใดๆกลับมา……!!
    ณ. นาทีนั้น เขาได้รู้ได้ทันทีว่า…ไม่มีโซเวียตอีกต่อไป ระบอบระบบทุกอย่างได้ล่มลงหมดแล้ว

    เขาตัดสินใจแต่งเครื่องแบบออกไป ไม่มีอาวุธ (เขาเอาปืนและบัตรประจำตัวสายลับไว้ในเซฟ) ออกพบกับฝูงชนเมื่อเวลาเที่ยงคืน พร้อมกับทหารอีกหยิบมือ เป็นการเจรจาที่มีรั้วเหล็กกั้น
    ฝ่ายมวลชนพยายามที่จะผลักประตูเข้ามา……
    ผู้พันปูตินประกาศด้วยภาษาเยอรมันที่ชัดเจน จนทุกคนประหลาดใจ ว่า…
    “สถานที่นี้เป็นของรัฐบาลโซเวียต ที่ฝ่ายมั่นคงข้างในได้มีการเตรียมพร้อมรับมือด้วยอาวุธ…หากว่ามีการล่วงล้ำเข้ามา
    ทุกคนรอฟังคำสั่งและสัญญาณจากผมเท่านั้น……กรุณารักษาความสงบ……”
    ได้ผลเกินร้อย……ทุกคนสงบลง เสียงโห่ร้องกลายเป็นการสนทนาสู่กันเบาๆ
    แล้ว……ผู้พันปูตินก็เดินหันหลังกลับเข้าไป…!!!

    ทุกอย่างที่ว่ามา……ไม่มีทั้งสิ้น ไม่มีกำลังพล ไม่มีอาวุธ มีแต่เจ้าหน้าที่เด็กๆที่ช่วยกันทำลายเผาเอกสารสำคัญกันทั้งวันทั้งคืน
    แต่……การที่ไม่ได้รับคำตอบใดๆจากมอสโคว์………ยังเป็นฝันร้ายของผู้พันปูตินจนถึงทุกวันนี้……!!!

    เดือนกุมภาพันธ์ 1990 ผู้พันปูตินและลุดมิลาได้เตรียมตัวจัดกระเป๋า หีบห่อสัมภาระกลับสู่โซเวียต เขามีเงินเก็บไม่มากนักจากเงินเดือนที่ได้รับ ข้าวของจะถูกส่งกลับไปทางเรือ ส่วนเขา ลุดมิลาและลูกทั้งสองจะกลับทางรถไฟสู่มอสโคว์
    ระหว่างเดินทางกลับ เสื้อโค้ดและกระเป๋าถือของลุดมิลาถูกขโมยในระหว่างทาง……

    การกลับเข้าสู่ดินแดนของโซเวียตในครั้งนี้ ที่เขาต้องเจอกับความขาดแคลนไปในทุกสิ่ง ผู้คนที่ต้องใช้คูปองสงเคราะห์ในการซื้ออาหาร ข้าวของขาดตลาด การว่างงาน……
    แม้แต่ตัวผู้พันปูตินเอง ตั้งแต่ต้นปี 1990 จนผ่านมาสามเดือนก็ยังไม่ได้รับเงินเดือน……ส่วนอาคารสงเคราะห์ที่จะเป็นที่อยู่อาศัยก็ยังไม่มี เพราะทุกแห่งเต็มไปหมด ถ้าจะรอก็ต้องใช้เวลาเป็นปี
    แต่ตัวปูตินเอง……เขาหมดความมั่นใจในการบริหารงานของรัฐบาลโซเวียต แม้ว่าจะถูกเสนองานใหม่ให้ในมอสโคว์
    ก็ยังปฏิเสธ……เขาอยากกลับไปที่เลนินกราดบ้านเกิด อย่างน้อยก็ไปอยู่กับพ่อแม่ได้…

    ที่เลนินกราด……เขาได้งานใหม่ (แต่ยังเป็น KGB) ในหน้าที่คณบดี ฝ่ายการเมืองต่างประเทศ ที่มหาวิทยาลัย
    เลนินกราด (ที่เขาจบมา) หน้าที่ของเขาคือ ส่ายตาสอดส่องนักศึกษาและคนแปลกหน้า เท่ากับว่า เขาทำหน้าที่เช่นเดียวกับ Oleg Kalugin คนที่เคยนำเขาเข้าสู่ KGB เมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษากฎหมายเมื่อปี 1975
    ปูตินเคยบ่นปรับทุกข์กับเพื่อนรัก Sergei Roldugin ว่าเขาอยากลาออกจากการเป็น KGB
    แต่คำตอบที่ได้รับคือ ……”นายเคยเห็นหรือได้ยินคำว่า อดีตสายลับบ้างไหม……ไม่เคยละซิ เพราะถ้านายเป็น KGB แล้ว นายก็จะเป็นตลอดไป ต่อให้ไม่ได้อยู่ในองค์กร แต่นายก็ยังเป็น……เพราะ……มันคือจิตวิญญาณ……!!!”

    ที่มหาวิทยาลัย มีนักกฎหมายรุ่นพี่ที่จบจากที่เดียวกัน Anatoly Sobchak ที่เป็นผู้ที่เลื่อมใสระบอบประชาธิปไตยโดยใช้กฎหมายบังคับ เขาชอบเล่นการเมือง (เป็นฝ่ายตรงข้ามกับคอมมิวนิสต์)
    อนาโตลี มีความเลื่อมใสในกลุ่มนักกฏหมายไฟแรงที่หนึ่งในนั้น คือ Boris Yeltzin ที่ได้เป็นถึงหนึ่งคณะมนตรีในมอสโคว์
    อนาโตลี ต้องการใช้กฎหมายแบบระบบสากล คือ ไม่ว่าทหาร หรือ KGB ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเช่นคนอื่นๆ หากว่ามีความผิด ดังที่เขาพยายามที่จะขัดค้นในเรื่องการสังหารหมู่ในชนกลุ่มน้อยที่เกิดขึ้นในลิธัวเนีย, อาร์เมเนีย และ อาเซอร์ไบจาน

    อนาโตลี ได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกเทศมนตรี เลนินกราด……
    เขามีความรู้ มีความสามารถทางด้านวิชาการ เป็นนักพูดที่ดี
    แต่ไม่มีประสบการณ์กับชาวบ้าน และ การเป็นนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยในบ้านเมืองที่ยังถูกควบคุมในระบอบคอมมิวนิสต์นั้น มันไม่น่าจะง่าย……
    เขาจึงติดต่อไปที่ Oleg Kalugin หัวหน้าหน่วยสายลับผู้เป็นเพื่อนรัก เพื่อช่วยหาคนที่ไว้ใจได้ รอบรู้ ให้มาช่วยงาน
    โอเลก……ได้ให้รายชื่อไปสองสามคน แต่ อนาโตลี บอกว่า
    มันชัดเจนไปเพราะผู้คนรู้จักแล้ว เขาอยากได้คนที่โนเนม และเป็นคนธรรมดาๆมากกว่า
    ชื่อของ Vladimir Putin จึงถูกเสนอขึ้นไป
    อนาโตลี……รับข้อเสนอนี้ทันที เพราะนอกจากคุณสมบัติล้นเหลือแล้ว ยังเป็นรุ่นน้องที่จบมาจากที่เดียวกันด้วย

    ในเดือนพฤษภาคม ปูตินไปพบกับอนาโตลี ในที่ทำงานที่
    Mariinsky Palace ที่อนาโตลีได้บอกให้เขาเข้ามาทำงานในวันจันทร์ได้เลย……
    ปูติน……ตอบว่า……
    “เดี๋ยวก่อนครับ……ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจ ผมต้องขอเรียนให้ทราบก่อนว่า นอกจากจะเป็นคณบดีที่มหาวิทยาลัยแล้ว……
    งานหลัก……ผมยังเป็น KGB อีกด้วย”

    เป็นการประจันหน้ากันระหว่าง อนาโตลี ผู้ใฝ่ประชาธิปไตย กับ
    วลาดิเมียร์ ปูติน สายลับใต้ดินตัวเก่งของโซเวียต…!!!

    ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงัน……แต่เพียงอึดใจเดียว
    อนาโตลีได้เข้ามาตบบ่าปูติน และบอกว่า…
    “KGB ก็ KGB ซิวะ………ไม่เห็นแปลกตรงไหนเลยนี่………!!!!

    Wiwanda W. Vichit
    เหล่าติ่งทั้งหลาย…………มาช่วยส่งกำลังใจให้พี่ปูหน่อยเร้วววว……!!! ตอนสี่……เข้ามาจนใกล้……แต่ยังไปไม่ถึง……!!! และแล้ว ปูตินก็ได้ดินทางมาสู่ Dresden เยอรมันตะวันออกเพียงลำพังในเดือนสิงหาคม 1985 เพราะลุดมิลายังต้องเลี้ยงดูลูกเล็ก มาเรีย (หรือ มาช่า) จนกว่าจะโตอีกนิดนึง เขาเข้าเริ่มงานในสำนักงานฝ่ายความมั่นคงของโซเวียต ที่เป็นที่ทำงานเดียวกับ KGB ปูตินกลายเป็น “Little Volodya” ในหมู่ของเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชา เพราะในหน่วยได้มีชื่อ Vladimir อยู่แล้วสองคน คนหนึ่งในหนวด ก็เป็น Mustahios Volodya อีกคนหนึ่งร่างยักษ์ ก็เป็น “Big Volodya” เขาเริ่มสับสนกับการทำงานในที่นี้ เพราะ เขาไม่ใช่ “Comrade Platov” อย่างควรจะเป็นในระบบของ KGB แต่กลายมาเป็น นายทหารธรรมดา ยศพันตรี แปะอกหรา… แล้วนี่มันเป็นสายลับชนิดไหนในโลก………!!! ต่อมาหลังจากที่เรียนรู้งาน เขาจึงทราบว่า การทำงานแบบอินเตอร์นี้ เขามาอย่างเปิดเผยพร้อมโปรไฟล์ พร้อมพาสปอร์ต ก็ต้องเล่นไปตามเกมส์ งานใต้ดิน……จะแยกออกไปอีกสายหนึ่ง เรียกว่า Stasi (The Ministry for State Security หรือ Staatsischerheitdiest) ที่เป็นหน่วยงานของเยอรมันฝ่ายคอมมิวนิสต์ ก่อตั้งในปี 1950 สำนักงานใหญ่อยู่ที่ Lichtenberg, East Germany ที่ทางรัสเซียจะสั่งการลงไปอีกชั้นหนึ่ง ปูตินจึงกลายมาเป็นทหารนั่งออฟฟิศ คอยประสานกับหน่วยสตาซี สำนักงานของ Stasi, Dresden ก็อยู่บนชั้นสองในอาคารเดียวกัน หัวหน้าหน่วย ชื่อว่า Horst Böhm วันดีคืนดีก็กวักมือชวนกันไปเล่นฟุตบอล แมช ระหว่าง Stasi vs KGB การประสานงานนี้ แม้ว่าพันตรีปูตินจะเชี่ยวชาญในภาษาเยอรมัน แต่ปัญหาอื่นๆก็ตามมาคือการสื่อสารภาษาชาวบ้านในชีวิตประจำวัน ศัพท์แสลง ที่เขาไม่คุ้นเคย ทางหน่วยสตาซี จึงส่งเจ้าหน้าที่มาเปิดทำการสอนอย่างติวเข้ม และอีกปัญหาหนึ่ง คือ เหล่าทหารเกณฑ์โซเวียตที่ได้มาประจำการในเยอรมัน ต่างกันหลุดวินัย เพราะเปรียบเทียบได้ว่า มาสู่เมืองสวรรค์ ดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ นุ่กางเกงยีนส์ ดูหนังโป๊ หรือแม้แต่เหล่านายทหารอีลีทที่มาอยู่ทั้งครอบครัว ก็ใช้จ่ายแบบฟุ้งเฟ้อ เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าสารพัด บางคนก็ส่งกลับไปขายในตลาดมืดที่โซเวียต ปูตินจึงเปรียบเสมือนกับได้เข้ามาอยู่ในโลกใหม่ เขาเองได้รับเงินเดือนเป็นเงินสดเทียบเท่า หนึ่งร้อยยูเอสดอลล่าร์ (นับว่ามากโข) ใครต่อใครบอกเขาว่า การที่ได้มาประจำการที่นี่ คือ สุดยอดของความสุข แต่สำหรับเขานั้น……มันไม่ใช่..!! ลุดมิลาและลูกน้อยได้มาถึงในช่วงปลายปี เธอเปิดประตูอพาร์ตเมนต์เข้ามา พบกับตะกร้าใส่กล้วยหอมวางอยู่บนโต๊ะอาหารโด่เด่………ไม่มีแม้แต่ช่อดอกไม้……!!! เพียงแค่นั้น เธอก็พอที่จะรู้แล้วว่า……ทุกอย่างจะไม่ใช่เป็นอย่างที่เคยคิด……!! เจ้านายสายตรงของปูติน คือ Colonel Lazar Matveyev ที่เข้ากันได้ดีกับปูตินเป็นปี่เป็นขลุ่ย เพราะมีประวัติการเป็นมาคล้ายๆกัน และชื่นชมในตัวลุดมิลา ที่เป็นหญิงฉลาด คล่องแคล่ว ไหวพริบดี ปูตินใช้ชีวิตอย่างง่ายๆสบายๆในเดรสเดน และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาไม่ได้ซ้อมยูโดอย่างที่ทำเป็นประจำ อีกทั้งไม่เคยหยิบจับอะไรในเรื่องงานบ้าน ลุดมิลาได้ตั้งครรภ์ที่สอง เธอทำทุกอย่างในบ้าน รวมทั้งต้องเอาใจสามีที่ค่อนข้าง”เยอะ” ในเรื่องอาการการกิน อะไรที่ไม่ชอบ เขาจะไม่แตะเลย พอเธอบ่นเข้า……เขางัดเอาคติของรัสเซียโบราณขึ้นมาพูดลอยๆ……ว่า……ผู้หญิงยิ่งเอาใจ ยิ่งเคยตัว..!!!! และเขาไม่เคยจำวันครบรอบแต่งงานได้…… ตอนที่ลุดมิลาจะต้องไปคลอดลูกคนเล็กนอนโรงพยาบาลต่อด้วยการพักฟื้นหลายวัน ปูตินจะต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ทั้งเลี้ยงลูก ทำความสะอาด หุงหา ที่เขาบอกว่าเป็นงานที่หนักที่สุดในชีวิต ทั้งนี้ทั้งนั้น หลายคนจับในน้ำเสียงได้ว่า เขาผิดหวังมากที่ไม่ได้ลูกชาย…… ทั้งคู่ใช้ชีวิตอย่างสบายเพราะได้ออกไปเที่ยวในวันหยุด มีเครื่องซักผ้า มีสเตอริโอ และมีเกมส์ทีวี (รุ่น Atari) เล่น แต่ลุดมิลาไม่มีความสุขเท่าที่ควร เพราะเธอไม่มีเพื่อน คบคุยกับใครเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้ เหมือนมีคนคอยจับจ้องอยู่ตลอดเวลา สามีก็ไม่เคยเล่าเรื่องอะไรให้ฟังเลย แต่ปูตินก็มีเหตุผล……เพราะในหน่วยของเขาก็มีสายลับจากเยอรมันตะวันตกแฝงเข้ามา เท่าที่รู้คือ ล่ามที่เข้ามาทำการแปลให้ เป็นผู้หญิง (จาก BND = Bundesnachrichtendient) ที่มีโค้ดของตัวเองว่า BALCONY ที่เข้ามาทำตัวสนิทสนมกับลุดมิลา จนเธอเชื่อใจ ยอมนินทาสามีให้ฟังว่า เป็นคนเข้มระเบียบ มีแอบเจ้าชู้ และชีวิตครอบครัวเริ่มมีปัญหา ปี 1986 ที่โซเวียตเริ่มมีปัญหาภายในเพราะสภาพเศรษฐกิจ ส่วนภายนอกคือความกดดันจากองค์กร NATO จนท่านผู้นำ Mikhail Gorbachev ยอมอ่อนข้อให้ในเรื่องเครียดๆของสงครามเย็น ปี 1987 ปูตินได้เลื่อนยศเป็น พันโท และเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการ นั่นหมายถึงเป็นเบอร์สองขององค์กร ใน Dresden ที่ต้องคอยควบคุมพฤติกรรมทุกย่างก้าวของผู้ใต้บังคับบัญชา ที่เข้มถึงขนาดห้ามมีการถ่ายรูปภายในบริเวณ สถานการณ์เริ่มอึมครึมในระหว่างกลุ่ม KGB และ Stasi เพราะกลุ่มสายลับตะวันตกเริ่มมีบทบาทเข้ามาเกี่ยวข้องทางตะวันออกมากขึ้น มันบ่งบอกถึงสัญญาณอะไรบางอย่าง และ……นั่นคือ การลงนามระหว่างโรนัล รีแกน กับ กอร์บาเชฟ ในเรื่องสนธิสัญญาสันติภาพในขีปนาวุธนิวเคลียร์ในยุโรป (จำกัดจำนวน ถ้ามีเกิน ทำลายทิ้ง) ที่เกิดขึ้นในเดือนต่อมา สัญญาณนั้นชี้ไปในทางทิศที่ว่า สงครามเย็นอาจจะจบสิ้นในไม่ช้า เพราะกอร์บาเชฟได้เห็นแล้วว่าโซเวียตยังล้าหลังจากยุโรปไปมาก ควรจะต้องเปิดใจปรับปรุงให้เป็นคอมมิวนิสต์ที่พัฒนาและยอมรับความจริง เพียงแต่……เหล่าสีแดงเข้ม ไม่เข้าใจ และไม่พอใจ เห็นต่างกับนโยบายของท่านผู้นำ เมื่อโซเวียตเริ่มอ่อนกำลัง ปี 1989 ฮังการีได้เปิดพรมแดนที่ติดกับออสเตรีย ให้คนต่างเดินทางไปมาหาสู่ได้ นั่นคือที่มาของความระส่ำระสายในเยอรมันตะวันออก ที่ต่างเรียกร้องให้เปิดพรมแดน รวมทั้งเบอร์ลิน มีการเดินขบวนเรียกร้อง มีการลุกฮือก่อการวุ่นวายที่นั่นที่นี่ ผู้พันปูตินเริ่มรู้สึกว่า หน่วยของเขาเริ่มถูกตัดรอนไปจากมอสโคว์ เพราะไม่ว่าจะส่งรายงานอะไรไปก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมา อ่านบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้…?!! ในที่สุดกำแพงเบอร์ลินได้ถูกทะลายลงในคืนวันที่ 9 พฤศจิกายน 1989 เกิดการชุมนุมขึ้นในทุกหย่อมหญ้าของแผ่นดิน ใน Dresden วันที่ 5 ธันวาคม ที่คนจำนวนร้อยๆได้มุ่งหน้ามาที่สำนักงาน KGB ผู้พันปูตินได้มองเห็นการเคลื่อนตัวมาจากชั้นบนของอาคาร จากนั้นไม่กี่ชั่วโมงต่อมา…มวลชนเพิ่มเป็นจำนวนพัน……เมื่อถึงหน้าประตู ทุกคนอยู่ในสภาพคลั่ง โกรธแค้น ขว้างปา ด่าทอ เสียงคนตะโกนว่า ……ในอาคารมีช่องทางลับที่จะมุ่งไปสู่โรเมเนีย…มีคุกที่ทรมานนักโทษให้จมน้ำอยู่ครึ่งตัว… ตอนนั้น……ผู้พันปูตินขำไม่ออก……กับเรื่องเพ้อเจ้อที่แต่งกันขึ้นมาเพื่อที่จะเกลียดชังโซเวียต ที่ขำไม่ออก……เพราะเขาทำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากมอสโคว์ ซึ่ง……ไม่ว่าจะส่งโทรเลขไปกี่ครั้ง แต่……ไม่มีคำตอบใดๆกลับมา……!! ณ. นาทีนั้น เขาได้รู้ได้ทันทีว่า…ไม่มีโซเวียตอีกต่อไป ระบอบระบบทุกอย่างได้ล่มลงหมดแล้ว เขาตัดสินใจแต่งเครื่องแบบออกไป ไม่มีอาวุธ (เขาเอาปืนและบัตรประจำตัวสายลับไว้ในเซฟ) ออกพบกับฝูงชนเมื่อเวลาเที่ยงคืน พร้อมกับทหารอีกหยิบมือ เป็นการเจรจาที่มีรั้วเหล็กกั้น ฝ่ายมวลชนพยายามที่จะผลักประตูเข้ามา…… ผู้พันปูตินประกาศด้วยภาษาเยอรมันที่ชัดเจน จนทุกคนประหลาดใจ ว่า… “สถานที่นี้เป็นของรัฐบาลโซเวียต ที่ฝ่ายมั่นคงข้างในได้มีการเตรียมพร้อมรับมือด้วยอาวุธ…หากว่ามีการล่วงล้ำเข้ามา ทุกคนรอฟังคำสั่งและสัญญาณจากผมเท่านั้น……กรุณารักษาความสงบ……” ได้ผลเกินร้อย……ทุกคนสงบลง เสียงโห่ร้องกลายเป็นการสนทนาสู่กันเบาๆ แล้ว……ผู้พันปูตินก็เดินหันหลังกลับเข้าไป…!!! ทุกอย่างที่ว่ามา……ไม่มีทั้งสิ้น ไม่มีกำลังพล ไม่มีอาวุธ มีแต่เจ้าหน้าที่เด็กๆที่ช่วยกันทำลายเผาเอกสารสำคัญกันทั้งวันทั้งคืน แต่……การที่ไม่ได้รับคำตอบใดๆจากมอสโคว์………ยังเป็นฝันร้ายของผู้พันปูตินจนถึงทุกวันนี้……!!! เดือนกุมภาพันธ์ 1990 ผู้พันปูตินและลุดมิลาได้เตรียมตัวจัดกระเป๋า หีบห่อสัมภาระกลับสู่โซเวียต เขามีเงินเก็บไม่มากนักจากเงินเดือนที่ได้รับ ข้าวของจะถูกส่งกลับไปทางเรือ ส่วนเขา ลุดมิลาและลูกทั้งสองจะกลับทางรถไฟสู่มอสโคว์ ระหว่างเดินทางกลับ เสื้อโค้ดและกระเป๋าถือของลุดมิลาถูกขโมยในระหว่างทาง…… การกลับเข้าสู่ดินแดนของโซเวียตในครั้งนี้ ที่เขาต้องเจอกับความขาดแคลนไปในทุกสิ่ง ผู้คนที่ต้องใช้คูปองสงเคราะห์ในการซื้ออาหาร ข้าวของขาดตลาด การว่างงาน…… แม้แต่ตัวผู้พันปูตินเอง ตั้งแต่ต้นปี 1990 จนผ่านมาสามเดือนก็ยังไม่ได้รับเงินเดือน……ส่วนอาคารสงเคราะห์ที่จะเป็นที่อยู่อาศัยก็ยังไม่มี เพราะทุกแห่งเต็มไปหมด ถ้าจะรอก็ต้องใช้เวลาเป็นปี แต่ตัวปูตินเอง……เขาหมดความมั่นใจในการบริหารงานของรัฐบาลโซเวียต แม้ว่าจะถูกเสนองานใหม่ให้ในมอสโคว์ ก็ยังปฏิเสธ……เขาอยากกลับไปที่เลนินกราดบ้านเกิด อย่างน้อยก็ไปอยู่กับพ่อแม่ได้… ที่เลนินกราด……เขาได้งานใหม่ (แต่ยังเป็น KGB) ในหน้าที่คณบดี ฝ่ายการเมืองต่างประเทศ ที่มหาวิทยาลัย เลนินกราด (ที่เขาจบมา) หน้าที่ของเขาคือ ส่ายตาสอดส่องนักศึกษาและคนแปลกหน้า เท่ากับว่า เขาทำหน้าที่เช่นเดียวกับ Oleg Kalugin คนที่เคยนำเขาเข้าสู่ KGB เมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษากฎหมายเมื่อปี 1975 ปูตินเคยบ่นปรับทุกข์กับเพื่อนรัก Sergei Roldugin ว่าเขาอยากลาออกจากการเป็น KGB แต่คำตอบที่ได้รับคือ ……”นายเคยเห็นหรือได้ยินคำว่า อดีตสายลับบ้างไหม……ไม่เคยละซิ เพราะถ้านายเป็น KGB แล้ว นายก็จะเป็นตลอดไป ต่อให้ไม่ได้อยู่ในองค์กร แต่นายก็ยังเป็น……เพราะ……มันคือจิตวิญญาณ……!!!” ที่มหาวิทยาลัย มีนักกฎหมายรุ่นพี่ที่จบจากที่เดียวกัน Anatoly Sobchak ที่เป็นผู้ที่เลื่อมใสระบอบประชาธิปไตยโดยใช้กฎหมายบังคับ เขาชอบเล่นการเมือง (เป็นฝ่ายตรงข้ามกับคอมมิวนิสต์) อนาโตลี มีความเลื่อมใสในกลุ่มนักกฏหมายไฟแรงที่หนึ่งในนั้น คือ Boris Yeltzin ที่ได้เป็นถึงหนึ่งคณะมนตรีในมอสโคว์ อนาโตลี ต้องการใช้กฎหมายแบบระบบสากล คือ ไม่ว่าทหาร หรือ KGB ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเช่นคนอื่นๆ หากว่ามีความผิด ดังที่เขาพยายามที่จะขัดค้นในเรื่องการสังหารหมู่ในชนกลุ่มน้อยที่เกิดขึ้นในลิธัวเนีย, อาร์เมเนีย และ อาเซอร์ไบจาน อนาโตลี ได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกเทศมนตรี เลนินกราด…… เขามีความรู้ มีความสามารถทางด้านวิชาการ เป็นนักพูดที่ดี แต่ไม่มีประสบการณ์กับชาวบ้าน และ การเป็นนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยในบ้านเมืองที่ยังถูกควบคุมในระบอบคอมมิวนิสต์นั้น มันไม่น่าจะง่าย…… เขาจึงติดต่อไปที่ Oleg Kalugin หัวหน้าหน่วยสายลับผู้เป็นเพื่อนรัก เพื่อช่วยหาคนที่ไว้ใจได้ รอบรู้ ให้มาช่วยงาน โอเลก……ได้ให้รายชื่อไปสองสามคน แต่ อนาโตลี บอกว่า มันชัดเจนไปเพราะผู้คนรู้จักแล้ว เขาอยากได้คนที่โนเนม และเป็นคนธรรมดาๆมากกว่า ชื่อของ Vladimir Putin จึงถูกเสนอขึ้นไป อนาโตลี……รับข้อเสนอนี้ทันที เพราะนอกจากคุณสมบัติล้นเหลือแล้ว ยังเป็นรุ่นน้องที่จบมาจากที่เดียวกันด้วย ในเดือนพฤษภาคม ปูตินไปพบกับอนาโตลี ในที่ทำงานที่ Mariinsky Palace ที่อนาโตลีได้บอกให้เขาเข้ามาทำงานในวันจันทร์ได้เลย…… ปูติน……ตอบว่า…… “เดี๋ยวก่อนครับ……ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจ ผมต้องขอเรียนให้ทราบก่อนว่า นอกจากจะเป็นคณบดีที่มหาวิทยาลัยแล้ว…… งานหลัก……ผมยังเป็น KGB อีกด้วย” เป็นการประจันหน้ากันระหว่าง อนาโตลี ผู้ใฝ่ประชาธิปไตย กับ วลาดิเมียร์ ปูติน สายลับใต้ดินตัวเก่งของโซเวียต…!!! ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงัน……แต่เพียงอึดใจเดียว อนาโตลีได้เข้ามาตบบ่าปูติน และบอกว่า… “KGB ก็ KGB ซิวะ………ไม่เห็นแปลกตรงไหนเลยนี่………!!!! Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3042 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขอเชิญเหล่า FC ทั้งหลาย มาร่วมในงานมงคลสมรสของพี่ปูค่าาาา……!!!!

    ตอนสาม เริ่มชีวิตครอบครัว เพื่อเดินออกสู่โลกกว้าง ไปตามหาความฝัน………!!!

    เริ่มอารัมภบท คือ……ไม่ต้องกระจองอแงกันนะ เพราะคราวนี้จะต้องเล่าละเอียดในเนื้อหาของการสละโสดหน่อย เพราะทุกบททุกตอนในดีเทล คือ ความเป็นตัวตนของปูตินในวันนี้….

    หลังจากการที่ล้มเลิกการแต่งงานในคราวนั้น ปูตินยังทำตัวเหมือนเดิม ยังอยู่กับพ่อแม่ที่ยังเห็นเขาเป็นลูกแหง่ จนตัวเขาเองก็คิดว่า อาจจะอยู่เป็นโสดไปจนตาย…
    แต่ในเดือน มีนาคม 1980 ที่เขาได้รู้จักสาวอีกนางหนึ่ง นามว่า
    Ludmila Shkrebneva แอร์โฮสเตสสาวของสายการบินแห่งชาติ Aeroflot ที่ต้องประจำอยู่ที่ Kaliningrad (พื้นที่เก่าของของปรัสเซีย ที่โซเวียตยึดไว้หลังจากที่ชนะสงครามกับนาซี
    ลุดมิลา สาวงามวัย 22 ที่เผอิญ Galina เพื่อนสาวของเธอที่เป็นแอร์ด้วยกัน เป็นแฟนของ Andrei เพื่อนของปูติน
    ทีนี้ สองสาว ได้มาที่เลนินกราด เพื่อที่จะเข้าชมละคร Andrei จึงชวนปูตินไปด้วย จะได้ครบคู่ไม่เขิน

    เมื่อพบกันครั้งแรก ลุดมิลาไม่ได้สนใจในตัวของปูตินเลย เพราะเขาเป็นคนเงียบๆ เหมือนไม่ค่อยมีสังคม เธอเคยเล่าว่า
    ผู้ชายแบบนี้ถ้าไปเจอตามถนน…ก็จะมองผ่านทะลุไปเลยเชียว
    ในระหว่างพักครึ่งของการแสดง ลุดมิลาได้ถามเขาถึงการแสดงดนตรีในคืนต่อไป ว่า เขามีทางที่จะหาบัตรชมมาให้ได้หรือไม่?
    ปูตินรับปาก และหามาให้ได้จริงๆ และทั้งสี่คนได้ไปร่วมทีมกันอีกในคืนต่อมา……
    ก่อนจากกัน……ปูตินได้เขียนเบอร์โทรศัพท์ให้กับลุดมิลา
    ท่ามกลางความตะลึงพรึงเพริดของอังเดร

    ส่งสองสาวเสร็จแล้ว ระหว่างทางกลับบ้าน อังเดร ได้ถามขึ้นว่า “นึกยังไงถึงเที่ยวแจกเบอร์โทรศัพท์ล่ะ ปรกตินายไม่เคยให้เบอร์ใครนี่..?”

    แต่ก็ได้ผล เพราะเมื่อลุดมิลาบินกลับไปแล้ว เธอโทรหาเขา……
    และได้บินมาที่เลนินกราดอีกครั้งในเดือนกรกฎาคม คราวนี้ทั้งคู่เริ่มออกเดทกันเป็นเรื่องเป็นราว
    ลุดมิลาเริ่มคิดที่จะย้ายกลับมาอยู่ในเลนินกราด เพื่ออยู่ใกล้กับคนรัก……
    ปูตินขอข้อแลกเปลี่ยน……นั่นคือ ขอให้เธอกลับไปเรียนหนังสือ
    เนื่องจากเธอได้พักการเรียนไว้ครึ่งๆกลางๆเพื่อที่จะไปทำงานกับสายการบิน เขาต้องการให้เธอกลับไปสานต่อ
    ซึ่งลุดมิลาได้ทำตามความประสงค์ของคนรัก เธอไปลงเรียนในวิชาปรัชญาที่สถาบันเดียวกันกับปูติน Leningrad State University …

    ความสัมพันธ์เป็นไปเหมือนกับคู่รักอื่นๆ มีการทะเลาะกัน
    ที่หนักสุด คือ ลุดมิลาบินกลับไปที่คาลินินกราด
    แต่ปูตินตามไปง้องอน จนกลับมาดังเดิม
    ปูตินทำตัวเป็นผู้นำในทุกเรื่อง เขาขี้หึง เขาสั่ง สั่ง และสั่ง
    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เขาชนะใจลุดมิลาเพราะความที่เขาเป็นคนโรแมนติก ไม่ขี้เหนียว พาเธอไปเที่ยวทุกที่ที่อยากไป เช่นไปเล่นสกี ไปเที่ยวชนบท แต่มีข้อแลกเปลี่ยนเล็กๆน้อยๆ เช่น
    ลุดมิลาต้องไปเรียนพิมพ์ดีด

    เขาพาเธอไปพบกับมาเรีย ผู้มารดา แต่เหมือนเคมีจะไม่ค่อยถูกกัน เนื่องจาก มาเรียยังปักใจชอบลุดมิลาแฟนเก่าของปูติน เพราะเธออ่อนหวาน เรียบร้อย
    มาเรียรีบเล่าให้ลุดมิลาฟังถึงเรื่องปูตินเคยมีแฟนที่มีชื่อลุดมิลาเหมือนกัน แต่คนนั้นน่ะ……เขาเรียบร้อยยยย !!!

    ลุดมิลาไม่เคยรู้ในเรื่องงานที่แท้จริงของปูติน เพราะเท่าที่เธอทราบเหมือนคนอื่นๆ คือ เป็นการทำงานกับหน่วยมั่นคง ป้องกันอาชญากรรม ที่อยู่ในสายงานของกลาโหม (สายลับส่วนใหญ่จะใช้แบบนี้)
    หลายครั้งที่เธอถามเขาเรื่องงาน เขามักตอบติดตลกว่า
    เช้าไปตกปลา……บ่ายกินปลา…
    เมื่อถึงปี 1981 ที่เป็นแฟนกันมาร่วมปีครึ่ง เธอถึงได้ทราบว่า
    เขาคือ KGB ที่ทำให้เธอรู้สึกภูมิใจในตัวเขาขึ้นมาอีกอักโข
    และพลอยเข้าใจในความเป็นเผด็จการของเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง

    ในที่สุด เดือนเมษายน 1983 วันสำคัญที่สุดในชีวิตของลูกผู้หญิงก็ได้มาถึง ที่ปูตินได้เริ่มต้นด้วยประโยคว่า
    “นี่ก็สามปีครึ่งที่เราคบหากัน……คุณตัดสินใจได้หรือยัง…?”
    “ได้แล้วค่ะ คือ ตกลงค่ะ”
    “ดีเลย……ผมรักคุณ เราจะแต่งงานกันนะ”
    พิธีสมรสได้จัดขึ้นในสามเดือนต่อมา ที่ภัตราคารลอยน้ำใกล้ๆกับมหาวิทยาลัย ในวันที่ 28 กรกฎาคม
    มีเพื่อนๆมาร่วมประมาณยี่สิบคน
    คืนต่อมา……ได้จัดขึ้นที่ห้องจัดเลี้ยงในโรงแรม Moscow

    สามีภรรยาคู่ใหม่ไปดื่มน้ำผึ่งพระจันทร์ที่ยูเครน เริ่มจากขับรถไปที่
    Kyiv, Moldova, Lviv, western Ukraine, Nikolayev และ Crimea ที่เขาทั้งสองใช้เวลาอยู่ที่ Yalta ถึงสิบสองวัน
    ปูตินมีความสุขมาก เพราะ ไครเมียเปรียบเสมือนสวรรค์บนดินสำหรับเขาเสมอมา
    ขากลับ เขาทั้งสองผ่านเข้าทางมอสโคว์ เพราะปูตินจะต้องแวะไปรายงานตัว
    เขาทั้งสอง ชายวัย 30 หญิง 25 ได้เริ่มต้นชีวิตครอบครัวในอพาร์ตเมนต์สองห้องนอน บนถนน Stachek Lane อย่างมีความสุข

    แต่……Igor Antonov (เพื่อนคนหนึ่งของปูติน) ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการแต่งงานในครั้งนี้ว่า เพราะปูตินไม่มีทางเลือกอื่นๆแล้ว นอกจากจะต้องสร้างครอบครัว เพราะหน้าที่การงานกำลังจะถึงทางตัน ถ้าสายลับ KGB ที่จะต้องออกไปรับหน้าที่ในต่างประเทศ หรือเลื่อนตำแหน่ง จะต้องมีวุฒิภาวะตามที่ KGB กำหนด เพราะหลังจากที่ปูตินแต่งงาน เขาได้เลื่อนยศเป็นพันตรี และได้ถูกส่งไปเรียนเพิ่มเติมในหน่วยปฏิบัติงานต่างประเทศที่ The Red Banner Institute, Moscow
    ที่เป็นสถาบันที่จัดว่าสำหรับชนชั้นปกครอง ผู้อบรมต้องเป็นรัสเชี่ยนชั้นธรรมดา (ลูกผู้ดีไม่รับ) เท่านั้น ไม่มียิว ไม่มีตาร์ต้าร์ หรือ เชเชน หรือ มองโกล
    ห้ามพิธีทางศาสนาทุกชนิด และ…ไม่มีการใช้เส้นใดๆ
    ปูตินเป็นคนเดียว จากเลนินกราดที่ได้รับเลือกให้เข้าไปรับการอบรม
    The Red Banner Institute (หรือปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อว่า The Academy of Foreign Intelligence) นี้ ตั้งอยู่ในกลางป่าที่ค่อนข้างลึกลับในชายกรุงมอสโคว์ หลักสูตรมีตั้งแต่ หนึ่งถึงสามปี
    ลุดมิลาได้เริ่มตั้งครรภ์แรก จึงยังอยู่ในเลนินกราด
    ส่วนปูติน ที่ต้องเรียนรู้ทุกอย่างในศาสตร์ของการเป็นสายลับ
    ในชื่อใหม่ว่า “Platov” ที่แม้แต่เพื่อนผู้รับการอบรมด้วยคน
    ไม่มีใครรู้จักชื่อจริงของกันและกัน ทุกคนจะได้รับชื่อเฉพาะกิจ

    ปูติน ก้าวเข้าไปในชั้นเรียนวันแรก ด้วยเครื่องแต่งกายที่เป็นสูทสามชิ้น (คือมีเสื้อกั๊กเพิ่มข้างใน)
    เรียกเสียงฮาได้จากครูผู้ฝึก ที่ถามว่า
    “คอมราดพลานอฟ นายจะมาเดินแบบหรือไง…?”
    ผู้ที่ให้อบรมทั้งหมด ต่างล้วนเป็นชั้นกระทิสุดยอดของสายลับ
    ที่มีผลงานที่น่าประทับใจ
    ทุกคนที่จะเดินออกจากสถาบันนี้ คือพร้อมที่จะไปเป็นสายลับข้ามชาติได้ทุกแห่งหนในโลก………!!!

    ในขณะนั้นลุดมิลาได้คลอดทารกเพศหญิง ที่ปูตินตั้งชื่อให้ว่า มาเรีย (ไว้ล่วงหน้า เพราะให้เหมือนกับชื่อย่า) Sergei Roldugin เพื่อนรัก ได้ช่วยรับเป็นภาระดูแลให้ รวมทั้งเป็นพ่อทูนหัวให้กับมาเรีย
    ปูตินจึงขอลากลับไปเลนินกราดเพื่อเยี่ยมเยียนเมียและลูกในช่วงวันหยุด ครั้งหนึ่งในการเดินทาง เขาได้เกิดการชกต่อยกับแก๊งอันธพาลในสถานีรถใต้ดิน
    คราวนี้เรียกว่าลุยกันเละ เพราะปูตินถึงกับแขนหัก อีกฝ่ายหนึ่งแทบเอาชีวิตไม่รอด
    และนี่คือ “ความเสี่ยง” ต่ออนาคตการงานของเขาโดยตรง เพราะหากว่าเกิดเขาเป็นอะไรขึ้นมา ทุกอย่างคือจบ…

    แต่โชคยังเป็นของเขา เพราะเขาได้รับมอบหมายหน้าที่ทันทีที่เสร็จสิ้นจากการอบรม ให้ไปประจำการอยู่ที่เมือง Dresden,
    East Germany
    และนี่คือการเดินทางทางออกนอกประเทศเป็นครั้งแรก ของ ปูตินในวัย 33 ปี

    ขออธิบายเพิ่มเติมค่ะ ว่า ในหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ถือเอาวันที่ 8 พฤษภาคม 1945 หลังจากนั้นในฐานะของผู้แพ้สงครามให้กับกองทัพสัมพันธมิตร คือ อเมริกา, อังกฤษและ โซเวียต รัสเซีย (ฝรั่งเศส เขาไม่นับ แต่ก็ไม่ปฏิเสธในการมีส่วนร่วม) ที่ได้ทำการตกลงกันไว้ล่วงหน้าระหว่างผู้นำทั้งสามประเทศ ที่ Yalta ที่ตกลงกันในการแบ่งสันปันส่วนในแผ่นดินของเยอรมันนี

    ขั้นตอนในการแบ่งได้มาย่อยยิบกันอีกในการประชุมที่ Potsdam Conference ว่าจะเฉือนเยอรมันออกเป็นสี่ส่วน
    แบ่งกันคนละส่วน อังกฤษได้ทางตะวันตกเฉียงเหนือ,
    ฝรั่งเศส ได้ทางตะวันตกเฉียงใต้, อเมริกา ได้ตะวันออกเฉียงใต้ และโซเวียตไัด้ทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นส่วนใหญ่

    ส่วนเบอร์ลินเมืองหลวงก็เช่นกัน ตามที่แบ่งกันนั้น เบอร์ลินตกอยู่ในส่วนของโซเวียต และเพื่อความเป็นธรรมจึง แบ่งออกมาเป็นสี่ส่วน แบ่งกันไปคนละส่วน แต่สภาพของเหมือนกับเบอร์ลินเป็นไข่แดง ที่อยู่กลางโซเวียตที่เป็นไข่ขาว
    ส่วนที่เป็นของโซเวียต คือ เบอร์ลินตะวันออกก็จะมีกำแพงกั้นอาณาเขต ที่เราเรียกว่า กำแพงเบอร์ลิน ……

    ดังนั้น โซเวียตจึงมีหน่วยงานด้านความปลอดภัยอยู่ประจำในเขตต่างๆ ที่แม้ว่าจะเป็นคอมมิวนิสต์แต่ก็มีการเตรียมตัวที่ดี
    เพราะเขาได้ทำการปั้นเด็กๆรุ่นที่เกิดหลังสงคราม ให้เติบโตขึ้นมาอย่างพร้อมรับมือ เช่นการให้เรียนภาษาต่างๆ
    ปูตินสามารถพูดภาษาเยอรมันได้เข้าขั้นระดับการทูต เพราะเรียนมาตั้งแต่ชั้นประถม
    เด็กอื่นๆที่มีแวว ก็ต้องเรียนภาษาอื่นๆอย่างเอาจริงเอาจัง
    เรื่องเรียนเป็นเรื่องที่สำคัญมากในครอบครัวของชาวโซเวียต
    เพราะผู้ปกครองเด็กที่แท้จริง คือ รัฐบาล…

    เช่นปูตินได้ผลักดันให้ลุดมิลากลับไปเรียนจนจบ และ เรียนสารพัดเพิ่มเติม เพื่อที่จะได้เตรียมตัวมาเป็น หลังบ้านของข้าราชการ, นักการเมือง หรือ ผู้นำได้อย่างสมศักดิ์ศรี
    เพราะปูติน……ไม่ได้มีความหวังว่าจะหยุดอนาคตไว้ที่การเป็นสายลับเท่านั้น…

    อาจมีอธิบายนอกเรื่องเยอะหน่อยนะคะ เพราะเชื่อว่ายังมีผู้อ่านอีกมากที่ไม่ใช่ baby boomer อย่างผู้เขียน เก็บเอาไว้เป็นความรู้ค่าาาา ……

    Wiwanda W. Vichit
    ขอเชิญเหล่า FC ทั้งหลาย มาร่วมในงานมงคลสมรสของพี่ปูค่าาาา……!!!! ตอนสาม เริ่มชีวิตครอบครัว เพื่อเดินออกสู่โลกกว้าง ไปตามหาความฝัน………!!! เริ่มอารัมภบท คือ……ไม่ต้องกระจองอแงกันนะ เพราะคราวนี้จะต้องเล่าละเอียดในเนื้อหาของการสละโสดหน่อย เพราะทุกบททุกตอนในดีเทล คือ ความเป็นตัวตนของปูตินในวันนี้…. หลังจากการที่ล้มเลิกการแต่งงานในคราวนั้น ปูตินยังทำตัวเหมือนเดิม ยังอยู่กับพ่อแม่ที่ยังเห็นเขาเป็นลูกแหง่ จนตัวเขาเองก็คิดว่า อาจจะอยู่เป็นโสดไปจนตาย… แต่ในเดือน มีนาคม 1980 ที่เขาได้รู้จักสาวอีกนางหนึ่ง นามว่า Ludmila Shkrebneva แอร์โฮสเตสสาวของสายการบินแห่งชาติ Aeroflot ที่ต้องประจำอยู่ที่ Kaliningrad (พื้นที่เก่าของของปรัสเซีย ที่โซเวียตยึดไว้หลังจากที่ชนะสงครามกับนาซี ลุดมิลา สาวงามวัย 22 ที่เผอิญ Galina เพื่อนสาวของเธอที่เป็นแอร์ด้วยกัน เป็นแฟนของ Andrei เพื่อนของปูติน ทีนี้ สองสาว ได้มาที่เลนินกราด เพื่อที่จะเข้าชมละคร Andrei จึงชวนปูตินไปด้วย จะได้ครบคู่ไม่เขิน เมื่อพบกันครั้งแรก ลุดมิลาไม่ได้สนใจในตัวของปูตินเลย เพราะเขาเป็นคนเงียบๆ เหมือนไม่ค่อยมีสังคม เธอเคยเล่าว่า ผู้ชายแบบนี้ถ้าไปเจอตามถนน…ก็จะมองผ่านทะลุไปเลยเชียว ในระหว่างพักครึ่งของการแสดง ลุดมิลาได้ถามเขาถึงการแสดงดนตรีในคืนต่อไป ว่า เขามีทางที่จะหาบัตรชมมาให้ได้หรือไม่? ปูตินรับปาก และหามาให้ได้จริงๆ และทั้งสี่คนได้ไปร่วมทีมกันอีกในคืนต่อมา…… ก่อนจากกัน……ปูตินได้เขียนเบอร์โทรศัพท์ให้กับลุดมิลา ท่ามกลางความตะลึงพรึงเพริดของอังเดร ส่งสองสาวเสร็จแล้ว ระหว่างทางกลับบ้าน อังเดร ได้ถามขึ้นว่า “นึกยังไงถึงเที่ยวแจกเบอร์โทรศัพท์ล่ะ ปรกตินายไม่เคยให้เบอร์ใครนี่..?” แต่ก็ได้ผล เพราะเมื่อลุดมิลาบินกลับไปแล้ว เธอโทรหาเขา…… และได้บินมาที่เลนินกราดอีกครั้งในเดือนกรกฎาคม คราวนี้ทั้งคู่เริ่มออกเดทกันเป็นเรื่องเป็นราว ลุดมิลาเริ่มคิดที่จะย้ายกลับมาอยู่ในเลนินกราด เพื่ออยู่ใกล้กับคนรัก…… ปูตินขอข้อแลกเปลี่ยน……นั่นคือ ขอให้เธอกลับไปเรียนหนังสือ เนื่องจากเธอได้พักการเรียนไว้ครึ่งๆกลางๆเพื่อที่จะไปทำงานกับสายการบิน เขาต้องการให้เธอกลับไปสานต่อ ซึ่งลุดมิลาได้ทำตามความประสงค์ของคนรัก เธอไปลงเรียนในวิชาปรัชญาที่สถาบันเดียวกันกับปูติน Leningrad State University … ความสัมพันธ์เป็นไปเหมือนกับคู่รักอื่นๆ มีการทะเลาะกัน ที่หนักสุด คือ ลุดมิลาบินกลับไปที่คาลินินกราด แต่ปูตินตามไปง้องอน จนกลับมาดังเดิม ปูตินทำตัวเป็นผู้นำในทุกเรื่อง เขาขี้หึง เขาสั่ง สั่ง และสั่ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เขาชนะใจลุดมิลาเพราะความที่เขาเป็นคนโรแมนติก ไม่ขี้เหนียว พาเธอไปเที่ยวทุกที่ที่อยากไป เช่นไปเล่นสกี ไปเที่ยวชนบท แต่มีข้อแลกเปลี่ยนเล็กๆน้อยๆ เช่น ลุดมิลาต้องไปเรียนพิมพ์ดีด เขาพาเธอไปพบกับมาเรีย ผู้มารดา แต่เหมือนเคมีจะไม่ค่อยถูกกัน เนื่องจาก มาเรียยังปักใจชอบลุดมิลาแฟนเก่าของปูติน เพราะเธออ่อนหวาน เรียบร้อย มาเรียรีบเล่าให้ลุดมิลาฟังถึงเรื่องปูตินเคยมีแฟนที่มีชื่อลุดมิลาเหมือนกัน แต่คนนั้นน่ะ……เขาเรียบร้อยยยย !!! ลุดมิลาไม่เคยรู้ในเรื่องงานที่แท้จริงของปูติน เพราะเท่าที่เธอทราบเหมือนคนอื่นๆ คือ เป็นการทำงานกับหน่วยมั่นคง ป้องกันอาชญากรรม ที่อยู่ในสายงานของกลาโหม (สายลับส่วนใหญ่จะใช้แบบนี้) หลายครั้งที่เธอถามเขาเรื่องงาน เขามักตอบติดตลกว่า เช้าไปตกปลา……บ่ายกินปลา… เมื่อถึงปี 1981 ที่เป็นแฟนกันมาร่วมปีครึ่ง เธอถึงได้ทราบว่า เขาคือ KGB ที่ทำให้เธอรู้สึกภูมิใจในตัวเขาขึ้นมาอีกอักโข และพลอยเข้าใจในความเป็นเผด็จการของเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง ในที่สุด เดือนเมษายน 1983 วันสำคัญที่สุดในชีวิตของลูกผู้หญิงก็ได้มาถึง ที่ปูตินได้เริ่มต้นด้วยประโยคว่า “นี่ก็สามปีครึ่งที่เราคบหากัน……คุณตัดสินใจได้หรือยัง…?” “ได้แล้วค่ะ คือ ตกลงค่ะ” “ดีเลย……ผมรักคุณ เราจะแต่งงานกันนะ” พิธีสมรสได้จัดขึ้นในสามเดือนต่อมา ที่ภัตราคารลอยน้ำใกล้ๆกับมหาวิทยาลัย ในวันที่ 28 กรกฎาคม มีเพื่อนๆมาร่วมประมาณยี่สิบคน คืนต่อมา……ได้จัดขึ้นที่ห้องจัดเลี้ยงในโรงแรม Moscow สามีภรรยาคู่ใหม่ไปดื่มน้ำผึ่งพระจันทร์ที่ยูเครน เริ่มจากขับรถไปที่ Kyiv, Moldova, Lviv, western Ukraine, Nikolayev และ Crimea ที่เขาทั้งสองใช้เวลาอยู่ที่ Yalta ถึงสิบสองวัน ปูตินมีความสุขมาก เพราะ ไครเมียเปรียบเสมือนสวรรค์บนดินสำหรับเขาเสมอมา ขากลับ เขาทั้งสองผ่านเข้าทางมอสโคว์ เพราะปูตินจะต้องแวะไปรายงานตัว เขาทั้งสอง ชายวัย 30 หญิง 25 ได้เริ่มต้นชีวิตครอบครัวในอพาร์ตเมนต์สองห้องนอน บนถนน Stachek Lane อย่างมีความสุข แต่……Igor Antonov (เพื่อนคนหนึ่งของปูติน) ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการแต่งงานในครั้งนี้ว่า เพราะปูตินไม่มีทางเลือกอื่นๆแล้ว นอกจากจะต้องสร้างครอบครัว เพราะหน้าที่การงานกำลังจะถึงทางตัน ถ้าสายลับ KGB ที่จะต้องออกไปรับหน้าที่ในต่างประเทศ หรือเลื่อนตำแหน่ง จะต้องมีวุฒิภาวะตามที่ KGB กำหนด เพราะหลังจากที่ปูตินแต่งงาน เขาได้เลื่อนยศเป็นพันตรี และได้ถูกส่งไปเรียนเพิ่มเติมในหน่วยปฏิบัติงานต่างประเทศที่ The Red Banner Institute, Moscow ที่เป็นสถาบันที่จัดว่าสำหรับชนชั้นปกครอง ผู้อบรมต้องเป็นรัสเชี่ยนชั้นธรรมดา (ลูกผู้ดีไม่รับ) เท่านั้น ไม่มียิว ไม่มีตาร์ต้าร์ หรือ เชเชน หรือ มองโกล ห้ามพิธีทางศาสนาทุกชนิด และ…ไม่มีการใช้เส้นใดๆ ปูตินเป็นคนเดียว จากเลนินกราดที่ได้รับเลือกให้เข้าไปรับการอบรม The Red Banner Institute (หรือปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อว่า The Academy of Foreign Intelligence) นี้ ตั้งอยู่ในกลางป่าที่ค่อนข้างลึกลับในชายกรุงมอสโคว์ หลักสูตรมีตั้งแต่ หนึ่งถึงสามปี ลุดมิลาได้เริ่มตั้งครรภ์แรก จึงยังอยู่ในเลนินกราด ส่วนปูติน ที่ต้องเรียนรู้ทุกอย่างในศาสตร์ของการเป็นสายลับ ในชื่อใหม่ว่า “Platov” ที่แม้แต่เพื่อนผู้รับการอบรมด้วยคน ไม่มีใครรู้จักชื่อจริงของกันและกัน ทุกคนจะได้รับชื่อเฉพาะกิจ ปูติน ก้าวเข้าไปในชั้นเรียนวันแรก ด้วยเครื่องแต่งกายที่เป็นสูทสามชิ้น (คือมีเสื้อกั๊กเพิ่มข้างใน) เรียกเสียงฮาได้จากครูผู้ฝึก ที่ถามว่า “คอมราดพลานอฟ นายจะมาเดินแบบหรือไง…?” ผู้ที่ให้อบรมทั้งหมด ต่างล้วนเป็นชั้นกระทิสุดยอดของสายลับ ที่มีผลงานที่น่าประทับใจ ทุกคนที่จะเดินออกจากสถาบันนี้ คือพร้อมที่จะไปเป็นสายลับข้ามชาติได้ทุกแห่งหนในโลก………!!! ในขณะนั้นลุดมิลาได้คลอดทารกเพศหญิง ที่ปูตินตั้งชื่อให้ว่า มาเรีย (ไว้ล่วงหน้า เพราะให้เหมือนกับชื่อย่า) Sergei Roldugin เพื่อนรัก ได้ช่วยรับเป็นภาระดูแลให้ รวมทั้งเป็นพ่อทูนหัวให้กับมาเรีย ปูตินจึงขอลากลับไปเลนินกราดเพื่อเยี่ยมเยียนเมียและลูกในช่วงวันหยุด ครั้งหนึ่งในการเดินทาง เขาได้เกิดการชกต่อยกับแก๊งอันธพาลในสถานีรถใต้ดิน คราวนี้เรียกว่าลุยกันเละ เพราะปูตินถึงกับแขนหัก อีกฝ่ายหนึ่งแทบเอาชีวิตไม่รอด และนี่คือ “ความเสี่ยง” ต่ออนาคตการงานของเขาโดยตรง เพราะหากว่าเกิดเขาเป็นอะไรขึ้นมา ทุกอย่างคือจบ… แต่โชคยังเป็นของเขา เพราะเขาได้รับมอบหมายหน้าที่ทันทีที่เสร็จสิ้นจากการอบรม ให้ไปประจำการอยู่ที่เมือง Dresden, East Germany และนี่คือการเดินทางทางออกนอกประเทศเป็นครั้งแรก ของ ปูตินในวัย 33 ปี ขออธิบายเพิ่มเติมค่ะ ว่า ในหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ถือเอาวันที่ 8 พฤษภาคม 1945 หลังจากนั้นในฐานะของผู้แพ้สงครามให้กับกองทัพสัมพันธมิตร คือ อเมริกา, อังกฤษและ โซเวียต รัสเซีย (ฝรั่งเศส เขาไม่นับ แต่ก็ไม่ปฏิเสธในการมีส่วนร่วม) ที่ได้ทำการตกลงกันไว้ล่วงหน้าระหว่างผู้นำทั้งสามประเทศ ที่ Yalta ที่ตกลงกันในการแบ่งสันปันส่วนในแผ่นดินของเยอรมันนี ขั้นตอนในการแบ่งได้มาย่อยยิบกันอีกในการประชุมที่ Potsdam Conference ว่าจะเฉือนเยอรมันออกเป็นสี่ส่วน แบ่งกันคนละส่วน อังกฤษได้ทางตะวันตกเฉียงเหนือ, ฝรั่งเศส ได้ทางตะวันตกเฉียงใต้, อเมริกา ได้ตะวันออกเฉียงใต้ และโซเวียตไัด้ทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นส่วนใหญ่ ส่วนเบอร์ลินเมืองหลวงก็เช่นกัน ตามที่แบ่งกันนั้น เบอร์ลินตกอยู่ในส่วนของโซเวียต และเพื่อความเป็นธรรมจึง แบ่งออกมาเป็นสี่ส่วน แบ่งกันไปคนละส่วน แต่สภาพของเหมือนกับเบอร์ลินเป็นไข่แดง ที่อยู่กลางโซเวียตที่เป็นไข่ขาว ส่วนที่เป็นของโซเวียต คือ เบอร์ลินตะวันออกก็จะมีกำแพงกั้นอาณาเขต ที่เราเรียกว่า กำแพงเบอร์ลิน …… ดังนั้น โซเวียตจึงมีหน่วยงานด้านความปลอดภัยอยู่ประจำในเขตต่างๆ ที่แม้ว่าจะเป็นคอมมิวนิสต์แต่ก็มีการเตรียมตัวที่ดี เพราะเขาได้ทำการปั้นเด็กๆรุ่นที่เกิดหลังสงคราม ให้เติบโตขึ้นมาอย่างพร้อมรับมือ เช่นการให้เรียนภาษาต่างๆ ปูตินสามารถพูดภาษาเยอรมันได้เข้าขั้นระดับการทูต เพราะเรียนมาตั้งแต่ชั้นประถม เด็กอื่นๆที่มีแวว ก็ต้องเรียนภาษาอื่นๆอย่างเอาจริงเอาจัง เรื่องเรียนเป็นเรื่องที่สำคัญมากในครอบครัวของชาวโซเวียต เพราะผู้ปกครองเด็กที่แท้จริง คือ รัฐบาล… เช่นปูตินได้ผลักดันให้ลุดมิลากลับไปเรียนจนจบ และ เรียนสารพัดเพิ่มเติม เพื่อที่จะได้เตรียมตัวมาเป็น หลังบ้านของข้าราชการ, นักการเมือง หรือ ผู้นำได้อย่างสมศักดิ์ศรี เพราะปูติน……ไม่ได้มีความหวังว่าจะหยุดอนาคตไว้ที่การเป็นสายลับเท่านั้น… อาจมีอธิบายนอกเรื่องเยอะหน่อยนะคะ เพราะเชื่อว่ายังมีผู้อ่านอีกมากที่ไม่ใช่ baby boomer อย่างผู้เขียน เก็บเอาไว้เป็นความรู้ค่าาาา …… Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 828 มุมมอง 0 รีวิว
  • Greek Words For Love That Will Make Your Heart Soar

    What is love? People have had a hard time answering that question for a lot longer than you might think. In Ancient Greece, love was a concept pondered over by some of history’s most famous philosophers, including Plato and Aristotle. Greek philosophers attempted to explain love rationally and often categorized the different kinds of love people could feel. Because we love them so much, we brought together some Greek words—and a Latin one, for good measure—for the different kinds of love you might find out there.


    eros
    Original Greek: ἔρως (érōs)

    Eros is physical love or sexual desire. Eros is the type of love that involves passion, lust, and/or romance.

    Examples of eros would be the love felt between, well, lovers. Eros is the sensual love between people who are sexually attracted to each other. In the Bible, eros was synonymous with “marital love” because husbands and wives were supposed to be the only people having sex. Eros was also the name of a love god in Greek mythology—better known by his Roman name, Cupid—and was the guy responsible for shooting magic arrows at people to make them fall in love.

    The word eros is still used in psychology today to refer to sexual desire or the libido. The words erotic and erogenous, which both have to do with sexual desire or arousal, are derived from eros.


    philia
    Original Greek: ϕιλία (philía)

    Philia is affectionate love. Philia is the type of love that involves friendship.

    Philia is the kind of love that strong friends feel toward each other. However, it doesn’t stop there. The Greek philosopher Plato thought that philia was an even greater love than eros and that the strongest loving relationships were ones where philia led to eros: a “friends become lovers” situation. Our concept of platonic love—love that isn’t based on physical attraction—comes from this Platonic philosophy.

    The word philia is related to the word philosophy through the combining form philo-. Philia itself is the source of the combining forms -philia, -phile, and -phily, all three of which are used to indicate a figurative love or affinity for something.


    agape
    Original Greek: ἀγάπη (agápē)

    Agape is often defined as unconditional, sacrificial love. Agape is the kind of love that is felt by a person willing to do anything for another, including sacrificing themselves, without expecting anything in return. Philosophically, agape has also been defined as the selfless love that a person feels for strangers and humanity as a whole. Agape is the love that allows heroic people to sacrifice themselves to save strangers they have never met.

    Did you know ... ?
    Agape is a major term in the Christian Bible, which is why it is often defined as “Christian love.” In the New Testament, agape is the word used to describe the love that God has for humanity and the love humanity has for God. Agape was also the love that Jesus Christ felt for humanity, which explains why he was willing to sacrifice himself.


    storge
    Original Greek: στοργή (storgé)

    Storge is familial love. Storge is the natural love that family members have for one another.

    Of all of the types of love, storge might be the easiest to understand. It is the type of love that parents feel toward their children and vice versa. Storge also describes the love that siblings feel towards each other, and the love felt by even more distant kin relationships, such as a grandparent for a grandchild or an uncle toward a niece.


    mania
    Original Greek: μανία (manía)

    Mania is obsessive love. Mania is the kind of “love” that a stalker feels toward their victim.

    As a type of love, mania is not good, and the Greeks knew this as well as we do. Mania is excessive love that reaches the point of obsession or madness. Mania describes what a jilted lover feels when they are extremely jealous of a rival or the unhealthy obsession that can result from mental illness.

    The Greek mania is the source of the English word mania and similar words like maniac and manic. It is also the source of the combining form -mania, which is often used in words that refer to obsessive behavior such as pyromania and egomania.


    ludus
    Original Latin: Bucking the trend, the word ludus comes from Latin rather than Greek. In Latin, lūdus means “game” or “play,” which fits with the type of love it refers to. One possible Greek equivalent is the word ερωτοτροπία, meaning “courtship.”

    Ludus is playful, noncommittal love. Ludus covers things like flirting, seduction, and casual sex.

    Ludus means “play” or “game” in Latin, and that pretty much explains what ludus is: love as a game. When it comes to ludus, a person is not looking for a committed relationship. People who are after ludus are just looking to have fun or view sex as a prize to be won. A “friends with benefits” situation would be an example of a relationship built on ludus: neither partner is interested in commitment. Of course, ludus may eventually result in eros—and hopefully not mania—if feelings of passion or romance emerge during the relationship.

    The Latin lūdus is related to the playful words ludic and ludicrous.


    pragma
    Original Greek: πράγμα (prágma)

    Pragma is practical love. Pragma is love based on duty, obligation, or logic.

    Pragma is the unsexy love that you might find in the political, arranged marriages throughout history. This businesslike love is seen in relationships where practicality takes precedence over sex and romance. For example, two people may be in a relationship because of financial reasons or because they have more to lose by breaking up than staying together.

    Pragma may even involve a person tolerating or ignoring their partner’s infidelity, as was common in politically motivated royal marriages in much of world history. Pragma may not sound all that great to many, but it is possible for pragma to coexist alongside other types of love, such as ludus or even eros.

    As you might have guessed, pragma is related to pragmatic, a word that is all about practicality.


    philautia
    Original Greek: ϕιλαυτία (philautía)

    Philautia is self-love. No, not that kind. Philautia refers to how a person views themselves and how they feel about their own body and mind.

    The modern equivalent of philautia would be something like self-esteem (good) or hubris (bad). People with high self-esteem, pride in themselves, or a positive body image practice a healthy version of philautia. Of course, philautia has a dark side, too. Egomaniacal narcissists who think they are better than everybody else are also an example of philautia, but not in a healthy way. The duality of philautia just goes to show that love, even self-love, can often get pretty complicated.

    Copyright 2024, XAKKHRA, All Rights Reserved.
    Greek Words For Love That Will Make Your Heart Soar What is love? People have had a hard time answering that question for a lot longer than you might think. In Ancient Greece, love was a concept pondered over by some of history’s most famous philosophers, including Plato and Aristotle. Greek philosophers attempted to explain love rationally and often categorized the different kinds of love people could feel. Because we love them so much, we brought together some Greek words—and a Latin one, for good measure—for the different kinds of love you might find out there. eros Original Greek: ἔρως (érōs) Eros is physical love or sexual desire. Eros is the type of love that involves passion, lust, and/or romance. Examples of eros would be the love felt between, well, lovers. Eros is the sensual love between people who are sexually attracted to each other. In the Bible, eros was synonymous with “marital love” because husbands and wives were supposed to be the only people having sex. Eros was also the name of a love god in Greek mythology—better known by his Roman name, Cupid—and was the guy responsible for shooting magic arrows at people to make them fall in love. The word eros is still used in psychology today to refer to sexual desire or the libido. The words erotic and erogenous, which both have to do with sexual desire or arousal, are derived from eros. philia Original Greek: ϕιλία (philía) Philia is affectionate love. Philia is the type of love that involves friendship. Philia is the kind of love that strong friends feel toward each other. However, it doesn’t stop there. The Greek philosopher Plato thought that philia was an even greater love than eros and that the strongest loving relationships were ones where philia led to eros: a “friends become lovers” situation. Our concept of platonic love—love that isn’t based on physical attraction—comes from this Platonic philosophy. The word philia is related to the word philosophy through the combining form philo-. Philia itself is the source of the combining forms -philia, -phile, and -phily, all three of which are used to indicate a figurative love or affinity for something. agape Original Greek: ἀγάπη (agápē) Agape is often defined as unconditional, sacrificial love. Agape is the kind of love that is felt by a person willing to do anything for another, including sacrificing themselves, without expecting anything in return. Philosophically, agape has also been defined as the selfless love that a person feels for strangers and humanity as a whole. Agape is the love that allows heroic people to sacrifice themselves to save strangers they have never met. Did you know ... ? Agape is a major term in the Christian Bible, which is why it is often defined as “Christian love.” In the New Testament, agape is the word used to describe the love that God has for humanity and the love humanity has for God. Agape was also the love that Jesus Christ felt for humanity, which explains why he was willing to sacrifice himself. storge Original Greek: στοργή (storgé) Storge is familial love. Storge is the natural love that family members have for one another. Of all of the types of love, storge might be the easiest to understand. It is the type of love that parents feel toward their children and vice versa. Storge also describes the love that siblings feel towards each other, and the love felt by even more distant kin relationships, such as a grandparent for a grandchild or an uncle toward a niece. mania Original Greek: μανία (manía) Mania is obsessive love. Mania is the kind of “love” that a stalker feels toward their victim. As a type of love, mania is not good, and the Greeks knew this as well as we do. Mania is excessive love that reaches the point of obsession or madness. Mania describes what a jilted lover feels when they are extremely jealous of a rival or the unhealthy obsession that can result from mental illness. The Greek mania is the source of the English word mania and similar words like maniac and manic. It is also the source of the combining form -mania, which is often used in words that refer to obsessive behavior such as pyromania and egomania. ludus Original Latin: Bucking the trend, the word ludus comes from Latin rather than Greek. In Latin, lūdus means “game” or “play,” which fits with the type of love it refers to. One possible Greek equivalent is the word ερωτοτροπία, meaning “courtship.” Ludus is playful, noncommittal love. Ludus covers things like flirting, seduction, and casual sex. Ludus means “play” or “game” in Latin, and that pretty much explains what ludus is: love as a game. When it comes to ludus, a person is not looking for a committed relationship. People who are after ludus are just looking to have fun or view sex as a prize to be won. A “friends with benefits” situation would be an example of a relationship built on ludus: neither partner is interested in commitment. Of course, ludus may eventually result in eros—and hopefully not mania—if feelings of passion or romance emerge during the relationship. The Latin lūdus is related to the playful words ludic and ludicrous. pragma Original Greek: πράγμα (prágma) Pragma is practical love. Pragma is love based on duty, obligation, or logic. Pragma is the unsexy love that you might find in the political, arranged marriages throughout history. This businesslike love is seen in relationships where practicality takes precedence over sex and romance. For example, two people may be in a relationship because of financial reasons or because they have more to lose by breaking up than staying together. Pragma may even involve a person tolerating or ignoring their partner’s infidelity, as was common in politically motivated royal marriages in much of world history. Pragma may not sound all that great to many, but it is possible for pragma to coexist alongside other types of love, such as ludus or even eros. As you might have guessed, pragma is related to pragmatic, a word that is all about practicality. philautia Original Greek: ϕιλαυτία (philautía) Philautia is self-love. No, not that kind. Philautia refers to how a person views themselves and how they feel about their own body and mind. The modern equivalent of philautia would be something like self-esteem (good) or hubris (bad). People with high self-esteem, pride in themselves, or a positive body image practice a healthy version of philautia. Of course, philautia has a dark side, too. Egomaniacal narcissists who think they are better than everybody else are also an example of philautia, but not in a healthy way. The duality of philautia just goes to show that love, even self-love, can often get pretty complicated. Copyright 2024, XAKKHRA, All Rights Reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 684 มุมมอง 0 รีวิว