• “เจาะลึก at:// — โปรโตคอลใหม่ที่เปลี่ยนโฉมการเชื่อมโยงข้อมูลบนเว็บให้เป็นของผู้ใช้จริง”

    ในยุคที่ข้อมูลส่วนตัวถูกผูกติดกับแพลตฟอร์มกลางอย่าง Facebook หรือ Twitter โปรโตคอลใหม่ชื่อว่า AT Protocol กำลังเสนอแนวทางที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง โดยให้ผู้ใช้เป็นเจ้าของข้อมูลของตัวเองอย่างแท้จริง ผ่านระบบ URI แบบใหม่ที่เรียกว่า at://

    บทความจาก Overreacted ได้อธิบายการทำงานของ at:// อย่างละเอียด โดยเปรียบเทียบกับ https:// ที่เราใช้กันทั่วไป ซึ่งในระบบเดิม “authority” หรือเจ้าของข้อมูลคือเซิร์ฟเวอร์ที่โฮสต์ข้อมูลนั้น แต่ใน at:// ผู้ใช้คือ authority — หมายความว่า URI จะระบุว่าใครเป็นเจ้าของข้อมูล ไม่ใช่ใครเป็นผู้โฮสต์

    ตัวอย่างเช่น at://ruuuuu.de/app.bsky.feed.post/3lzy2ji4nms2z เป็น URI ที่ชี้ไปยังโพสต์หนึ่งในระบบ Bluesky ซึ่งข้อมูลจริงจะถูกโฮสต์อยู่ที่เซิร์ฟเวอร์ที่ผู้ใช้เลือกเอง และสามารถเปลี่ยนได้โดยไม่กระทบกับ URI เดิม หากต้องการเข้าถึง JSON ที่อยู่เบื้องหลัง URI นี้ จะต้องผ่าน 3 ขั้นตอน:

    1️⃣ แปลง handle (เช่น ruuuuu.de) เป็น identity ที่ไม่เปลี่ยนแปลง (DID)
    2️⃣ ใช้ DID เพื่อค้นหาเซิร์ฟเวอร์ที่โฮสต์ข้อมูล
    3️⃣ ดึง JSON จากเซิร์ฟเวอร์นั้นผ่าน API

    DID มีสองแบบหลักคือ did:web และ did:plc โดยแบบแรกผูกกับโดเมนเว็บ เช่น iam.ruuuuu.de ส่วนแบบหลังเป็นระบบ ledger กลางที่ไม่ขึ้นกับโดเมนใด ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องกังวลเรื่องการหมดอายุโดเมนหรือการเปลี่ยนแปลง DNS

    เมื่อได้ DID แล้ว จะสามารถดึง “DID Document” ซึ่งเป็นเหมือนพาสปอร์ตดิจิทัลของผู้ใช้ โดยระบุว่า handle ไหนที่ใช้, public key ที่ใช้เซ็นข้อมูล, และเซิร์ฟเวอร์ที่โฮสต์ข้อมูล เช่น blacksky.app หรือ morel.us-east.host.bsky.network

    การออกแบบนี้ทำให้ข้อมูลของผู้ใช้สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องเปลี่ยน URI หรือสูญเสียลิงก์ระหว่างข้อมูล และช่วยให้แอปต่าง ๆ สามารถแสดงข้อมูลเดียวกันได้โดยไม่ต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มกลาง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AT Protocol ใช้ URI แบบ at:// ที่ให้ผู้ใช้เป็นเจ้าของข้อมูล
    URI เช่น at://ruuuuu.de/app.bsky.feed.post/3lzy2ji4nms2z ชี้ไปยัง JSON ที่โฮสต์โดยผู้ใช้
    การเข้าถึงข้อมูลต้องผ่าน 3 ขั้นตอน: handle → DID → hosting → JSON
    DID มีสองแบบหลักคือ did:web และ did:plc
    DID Document ระบุ handle, public key และเซิร์ฟเวอร์ที่โฮสต์ข้อมูล
    ระบบนี้ช่วยให้ข้อมูลเคลื่อนย้ายได้โดยไม่สูญเสียลิงก์
    แอปต่าง ๆ สามารถใช้ข้อมูลเดียวกันได้โดยไม่ต้องพึ่งแพลตฟอร์มกลาง
    at:// ที่ใช้ DID เป็น “permalink” ที่ไม่เปลี่ยนแปลง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    DID (Decentralized Identifier) เป็นมาตรฐานที่กำหนดโดย W3C สำหรับการระบุตัวตนแบบไม่รวมศูนย์
    did:web ใช้โดเมนเว็บในการระบุตัวตน แต่เสี่ยงต่อการหมดอายุหรือโดเมนถูกยึด
    did:plc ใช้ระบบ ledger กลางที่ไม่ขึ้นกับโดเมนใด
    JSON ที่ถูกเรียกใช้ผ่าน at:// เป็นข้อมูลดิบ ไม่ใช่ UI หรือหน้าเว็บ
    SDK และ cache เช่น QuickDID ช่วยให้การ resolve URI เร็วขึ้นในแอปจริง

    คำเตือนและข้อจำกัด
    URI ที่ใช้ handle อาจเปลี่ยนแปลงได้ หากผู้ใช้เปลี่ยนชื่อหรือโดเมน
    หากใช้ did:web แล้วโดเมนหมดอายุ ผู้ใช้จะสูญเสียการควบคุมข้อมูล
    การ resolve URI ต้องใช้ DNS และ HTTPS ซึ่งอาจช้าในระบบขนาดใหญ่
    ผู้ใช้ต้องเข้าใจโครงสร้าง URI และ DID เพื่อใช้งานอย่างถูกต้อง
    การเปลี่ยน hosting ต้องอัปเดต DID Document ให้ตรงกัน ไม่เช่นนั้นข้อมูลจะไม่ถูกเรียกได้

    https://overreacted.io/where-its-at/
    🔗 “เจาะลึก at:// — โปรโตคอลใหม่ที่เปลี่ยนโฉมการเชื่อมโยงข้อมูลบนเว็บให้เป็นของผู้ใช้จริง” ในยุคที่ข้อมูลส่วนตัวถูกผูกติดกับแพลตฟอร์มกลางอย่าง Facebook หรือ Twitter โปรโตคอลใหม่ชื่อว่า AT Protocol กำลังเสนอแนวทางที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง โดยให้ผู้ใช้เป็นเจ้าของข้อมูลของตัวเองอย่างแท้จริง ผ่านระบบ URI แบบใหม่ที่เรียกว่า at:// บทความจาก Overreacted ได้อธิบายการทำงานของ at:// อย่างละเอียด โดยเปรียบเทียบกับ https:// ที่เราใช้กันทั่วไป ซึ่งในระบบเดิม “authority” หรือเจ้าของข้อมูลคือเซิร์ฟเวอร์ที่โฮสต์ข้อมูลนั้น แต่ใน at:// ผู้ใช้คือ authority — หมายความว่า URI จะระบุว่าใครเป็นเจ้าของข้อมูล ไม่ใช่ใครเป็นผู้โฮสต์ ตัวอย่างเช่น at://ruuuuu.de/app.bsky.feed.post/3lzy2ji4nms2z เป็น URI ที่ชี้ไปยังโพสต์หนึ่งในระบบ Bluesky ซึ่งข้อมูลจริงจะถูกโฮสต์อยู่ที่เซิร์ฟเวอร์ที่ผู้ใช้เลือกเอง และสามารถเปลี่ยนได้โดยไม่กระทบกับ URI เดิม หากต้องการเข้าถึง JSON ที่อยู่เบื้องหลัง URI นี้ จะต้องผ่าน 3 ขั้นตอน: 1️⃣ แปลง handle (เช่น ruuuuu.de) เป็น identity ที่ไม่เปลี่ยนแปลง (DID) 2️⃣ ใช้ DID เพื่อค้นหาเซิร์ฟเวอร์ที่โฮสต์ข้อมูล 3️⃣ ดึง JSON จากเซิร์ฟเวอร์นั้นผ่าน API DID มีสองแบบหลักคือ did:web และ did:plc โดยแบบแรกผูกกับโดเมนเว็บ เช่น iam.ruuuuu.de ส่วนแบบหลังเป็นระบบ ledger กลางที่ไม่ขึ้นกับโดเมนใด ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องกังวลเรื่องการหมดอายุโดเมนหรือการเปลี่ยนแปลง DNS เมื่อได้ DID แล้ว จะสามารถดึง “DID Document” ซึ่งเป็นเหมือนพาสปอร์ตดิจิทัลของผู้ใช้ โดยระบุว่า handle ไหนที่ใช้, public key ที่ใช้เซ็นข้อมูล, และเซิร์ฟเวอร์ที่โฮสต์ข้อมูล เช่น blacksky.app หรือ morel.us-east.host.bsky.network การออกแบบนี้ทำให้ข้อมูลของผู้ใช้สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องเปลี่ยน URI หรือสูญเสียลิงก์ระหว่างข้อมูล และช่วยให้แอปต่าง ๆ สามารถแสดงข้อมูลเดียวกันได้โดยไม่ต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มกลาง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AT Protocol ใช้ URI แบบ at:// ที่ให้ผู้ใช้เป็นเจ้าของข้อมูล ➡️ URI เช่น at://ruuuuu.de/app.bsky.feed.post/3lzy2ji4nms2z ชี้ไปยัง JSON ที่โฮสต์โดยผู้ใช้ ➡️ การเข้าถึงข้อมูลต้องผ่าน 3 ขั้นตอน: handle → DID → hosting → JSON ➡️ DID มีสองแบบหลักคือ did:web และ did:plc ➡️ DID Document ระบุ handle, public key และเซิร์ฟเวอร์ที่โฮสต์ข้อมูล ➡️ ระบบนี้ช่วยให้ข้อมูลเคลื่อนย้ายได้โดยไม่สูญเสียลิงก์ ➡️ แอปต่าง ๆ สามารถใช้ข้อมูลเดียวกันได้โดยไม่ต้องพึ่งแพลตฟอร์มกลาง ➡️ at:// ที่ใช้ DID เป็น “permalink” ที่ไม่เปลี่ยนแปลง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ DID (Decentralized Identifier) เป็นมาตรฐานที่กำหนดโดย W3C สำหรับการระบุตัวตนแบบไม่รวมศูนย์ ➡️ did:web ใช้โดเมนเว็บในการระบุตัวตน แต่เสี่ยงต่อการหมดอายุหรือโดเมนถูกยึด ➡️ did:plc ใช้ระบบ ledger กลางที่ไม่ขึ้นกับโดเมนใด ➡️ JSON ที่ถูกเรียกใช้ผ่าน at:// เป็นข้อมูลดิบ ไม่ใช่ UI หรือหน้าเว็บ ➡️ SDK และ cache เช่น QuickDID ช่วยให้การ resolve URI เร็วขึ้นในแอปจริง ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ URI ที่ใช้ handle อาจเปลี่ยนแปลงได้ หากผู้ใช้เปลี่ยนชื่อหรือโดเมน ⛔ หากใช้ did:web แล้วโดเมนหมดอายุ ผู้ใช้จะสูญเสียการควบคุมข้อมูล ⛔ การ resolve URI ต้องใช้ DNS และ HTTPS ซึ่งอาจช้าในระบบขนาดใหญ่ ⛔ ผู้ใช้ต้องเข้าใจโครงสร้าง URI และ DID เพื่อใช้งานอย่างถูกต้อง ⛔ การเปลี่ยน hosting ต้องอัปเดต DID Document ให้ตรงกัน ไม่เช่นนั้นข้อมูลจะไม่ถูกเรียกได้ https://overreacted.io/where-its-at/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 258 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Open Social: ปลดล็อกโลกโซเชียลจากคุกของแพลตฟอร์ม — เมื่อข้อมูลของคุณกลับมาอยู่ในมือคุณอีกครั้ง”

    สามสิบห้าปีก่อน โลกไอทีเคยตั้งคำถามว่า “โอเพ่นซอร์สจะอยู่รอดได้จริงหรือ?” วันนี้คำตอบชัดเจนแล้ว — โอเพ่นซอร์สกลายเป็นรากฐานของโครงสร้างดิจิทัลทั่วโลก และตอนนี้ เรากำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนอีกครั้ง กับสิ่งที่เรียกว่า “Open Social” ซึ่งอาจเป็นการปฏิวัติวงการโซเชียลมีเดียแบบเดียวกับที่โอเพ่นซอร์สเคยทำกับซอฟต์แวร์

    แนวคิดของ Open Social คือการนำ “ความเป็นเจ้าของข้อมูล” กลับคืนสู่ผู้ใช้ โดยใช้โปรโตคอลใหม่ชื่อว่า AT Protocol ซึ่งพัฒนาโดยทีม Bluesky (อดีตทีมของ Jack Dorsey) เพื่อให้ผู้ใช้สามารถควบคุมข้อมูลของตนเองได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นโพสต์ ไลก์ ความสัมพันธ์ หรือโปรไฟล์ — ทุกอย่างจะถูกเก็บไว้ใน “repository ส่วนตัว” ที่ผู้ใช้สามารถย้าย เปลี่ยน หรือจัดการได้ตามใจ โดยไม่ต้องพึ่งแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่ง

    ต่างจากโซเชียลมีเดียแบบเดิมที่ข้อมูลของคุณกลายเป็น “แถวในฐานข้อมูลของบริษัท” ซึ่งคุณไม่สามารถย้ายออกได้โดยไม่สูญเสียเครือข่ายและประวัติทั้งหมด Open Social ทำให้ข้อมูลของคุณกลายเป็น “เว็บของ JSON ที่มีลิงก์เชื่อมโยงกัน” เหมือนกับเว็บ HTML ที่คุณสามารถย้ายโฮสต์ได้โดยไม่เสียลิงก์หรือผู้ติดตาม

    ยิ่งไปกว่านั้น แอปต่าง ๆ ที่ใช้ AT Protocol สามารถ “piggyback” ข้อมูลจากกันและกันได้ เช่น แอป Tangled สามารถดึงรูปโปรไฟล์จาก Bluesky โดยไม่ต้องเรียก API เพราะข้อมูลนั้นอยู่ใน repository ของผู้ใช้ และเปิดให้เข้าถึงได้โดยตรง

    การรวมข้อมูลจากหลายแอปใน repository เดียว ทำให้เกิด “multiverse ของโซเชียล” ที่แอปใหม่สามารถใช้ข้อมูลเก่าได้ทันที ลดปัญหา cold start และเปิดโอกาสให้ผู้ใช้มีอิสระในการเลือกแอปโดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ทุกครั้ง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Open Social คือแนวคิดใหม่ที่ให้ผู้ใช้เป็นเจ้าของข้อมูลโซเชียลของตนเอง
    ใช้ AT Protocol ซึ่งเป็นโปรโตคอลแบบโอเพ่นซอร์สที่พัฒนาโดยทีม Bluesky
    ข้อมูลของผู้ใช้ถูกเก็บใน repository ส่วนตัวที่สามารถย้ายหรือเปลี่ยนโฮสต์ได้
    แอปต่าง ๆ สามารถ piggyback ข้อมูลจากกันและกันได้โดยไม่ต้องเรียก API
    ข้อมูลใน repository ถูกจัดเก็บเป็น JSON ที่มี URI แบบ at:// สำหรับการเชื่อมโยง
    การเปลี่ยนโฮสต์ไม่ทำให้ลิงก์เสียหรือสูญเสียผู้ติดตาม
    แอปใหม่สามารถใช้ข้อมูลเก่าจาก repository เพื่อลดปัญหา cold start
    มีการพัฒนา relay และระบบ indexing เพื่อรองรับการ aggregate ข้อมูลจากหลาย repository
    ข้อมูลทุกชิ้นถูกลงนามแบบ cryptographic เพื่อความปลอดภัยและความถูกต้อง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Bluesky มีผู้ใช้มากกว่า 30 ล้านคน และเติบโตอย่างรวดเร็วหลังจาก X เปลี่ยนนโยบาย
    Project Liberty และ Free Our Feeds ร่วมมือกันเพื่อกระจายอำนาจของ AT Protocol ผ่าน blockchain ชื่อ Frequency
    AT Protocol ถูกออกแบบให้รองรับการเปลี่ยนโฮสต์และการควบคุมข้อมูลโดยผู้ใช้
    การรวมข้อมูลจากหลายแอปใน repository เดียวช่วยให้เกิดการ remix และ reuse ได้ง่าย
    โซเชียลแบบเปิดช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกปิดแอปหรือเปลี่ยนนโยบายโดยไม่แจ้งล่วงหน้า

    https://overreacted.io/open-social/
    🌐 “Open Social: ปลดล็อกโลกโซเชียลจากคุกของแพลตฟอร์ม — เมื่อข้อมูลของคุณกลับมาอยู่ในมือคุณอีกครั้ง” สามสิบห้าปีก่อน โลกไอทีเคยตั้งคำถามว่า “โอเพ่นซอร์สจะอยู่รอดได้จริงหรือ?” วันนี้คำตอบชัดเจนแล้ว — โอเพ่นซอร์สกลายเป็นรากฐานของโครงสร้างดิจิทัลทั่วโลก และตอนนี้ เรากำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนอีกครั้ง กับสิ่งที่เรียกว่า “Open Social” ซึ่งอาจเป็นการปฏิวัติวงการโซเชียลมีเดียแบบเดียวกับที่โอเพ่นซอร์สเคยทำกับซอฟต์แวร์ แนวคิดของ Open Social คือการนำ “ความเป็นเจ้าของข้อมูล” กลับคืนสู่ผู้ใช้ โดยใช้โปรโตคอลใหม่ชื่อว่า AT Protocol ซึ่งพัฒนาโดยทีม Bluesky (อดีตทีมของ Jack Dorsey) เพื่อให้ผู้ใช้สามารถควบคุมข้อมูลของตนเองได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นโพสต์ ไลก์ ความสัมพันธ์ หรือโปรไฟล์ — ทุกอย่างจะถูกเก็บไว้ใน “repository ส่วนตัว” ที่ผู้ใช้สามารถย้าย เปลี่ยน หรือจัดการได้ตามใจ โดยไม่ต้องพึ่งแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่ง ต่างจากโซเชียลมีเดียแบบเดิมที่ข้อมูลของคุณกลายเป็น “แถวในฐานข้อมูลของบริษัท” ซึ่งคุณไม่สามารถย้ายออกได้โดยไม่สูญเสียเครือข่ายและประวัติทั้งหมด Open Social ทำให้ข้อมูลของคุณกลายเป็น “เว็บของ JSON ที่มีลิงก์เชื่อมโยงกัน” เหมือนกับเว็บ HTML ที่คุณสามารถย้ายโฮสต์ได้โดยไม่เสียลิงก์หรือผู้ติดตาม ยิ่งไปกว่านั้น แอปต่าง ๆ ที่ใช้ AT Protocol สามารถ “piggyback” ข้อมูลจากกันและกันได้ เช่น แอป Tangled สามารถดึงรูปโปรไฟล์จาก Bluesky โดยไม่ต้องเรียก API เพราะข้อมูลนั้นอยู่ใน repository ของผู้ใช้ และเปิดให้เข้าถึงได้โดยตรง การรวมข้อมูลจากหลายแอปใน repository เดียว ทำให้เกิด “multiverse ของโซเชียล” ที่แอปใหม่สามารถใช้ข้อมูลเก่าได้ทันที ลดปัญหา cold start และเปิดโอกาสให้ผู้ใช้มีอิสระในการเลือกแอปโดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ทุกครั้ง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Open Social คือแนวคิดใหม่ที่ให้ผู้ใช้เป็นเจ้าของข้อมูลโซเชียลของตนเอง ➡️ ใช้ AT Protocol ซึ่งเป็นโปรโตคอลแบบโอเพ่นซอร์สที่พัฒนาโดยทีม Bluesky ➡️ ข้อมูลของผู้ใช้ถูกเก็บใน repository ส่วนตัวที่สามารถย้ายหรือเปลี่ยนโฮสต์ได้ ➡️ แอปต่าง ๆ สามารถ piggyback ข้อมูลจากกันและกันได้โดยไม่ต้องเรียก API ➡️ ข้อมูลใน repository ถูกจัดเก็บเป็น JSON ที่มี URI แบบ at:// สำหรับการเชื่อมโยง ➡️ การเปลี่ยนโฮสต์ไม่ทำให้ลิงก์เสียหรือสูญเสียผู้ติดตาม ➡️ แอปใหม่สามารถใช้ข้อมูลเก่าจาก repository เพื่อลดปัญหา cold start ➡️ มีการพัฒนา relay และระบบ indexing เพื่อรองรับการ aggregate ข้อมูลจากหลาย repository ➡️ ข้อมูลทุกชิ้นถูกลงนามแบบ cryptographic เพื่อความปลอดภัยและความถูกต้อง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Bluesky มีผู้ใช้มากกว่า 30 ล้านคน และเติบโตอย่างรวดเร็วหลังจาก X เปลี่ยนนโยบาย ➡️ Project Liberty และ Free Our Feeds ร่วมมือกันเพื่อกระจายอำนาจของ AT Protocol ผ่าน blockchain ชื่อ Frequency ➡️ AT Protocol ถูกออกแบบให้รองรับการเปลี่ยนโฮสต์และการควบคุมข้อมูลโดยผู้ใช้ ➡️ การรวมข้อมูลจากหลายแอปใน repository เดียวช่วยให้เกิดการ remix และ reuse ได้ง่าย ➡️ โซเชียลแบบเปิดช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกปิดแอปหรือเปลี่ยนนโยบายโดยไม่แจ้งล่วงหน้า https://overreacted.io/open-social/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 244 มุมมอง 0 รีวิว
  • ระวัง OVERREACT ศาลสหรัฐสั่งยกเลิกภาษีทรัมป์ 29/05/68 #คุยคุ้ยหุ้น #ภาษีทรัมป์ #OVERREACT #ตลาดหุ้น #เศรษฐกิจ
    ระวัง OVERREACT ศาลสหรัฐสั่งยกเลิกภาษีทรัมป์ 29/05/68 #คุยคุ้ยหุ้น #ภาษีทรัมป์ #OVERREACT #ตลาดหุ้น #เศรษฐกิจ
    Like
    Haha
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 661 มุมมอง 21 0 รีวิว