• เหยื่อติดคอ ตอนที่ 8
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อติดคอ”
    ตอนที่ 8 (ตอนจบ)

    ตั้งแต่อเมริกาบีบให้สหประชาชาติคว่ำบาตรอิหร่าน ตั้งแต่ปี ค.ศ.2006 อิหร่านก็เปิดประตูรับแขกตะวันตกน้อยลง โดยเฉพาะสัญชาติอเมริกัน สมน้ำหน้า ! เขาไม่รับให้เข้าไปเดินเล่นในประเทศ แล้วคุยผ่านคนกลาง มันจะน่าเชื่อถือได้มากหรือน้อย อิหร่านทำตัวต่างกับสมันน้อย ที่เปิดมันหมดทั้งประตูหน้า ประตูหลัง หน้าต่างมีกี่บานเปิดถ่างมันหมด ข้อมูลทุกอย่างก็ไหลเหมือนท่อแตก ทำให้การวางแผนควบคุม (ไม่อยากใช้คำว่า เขมือบหรือขม้ำ มันแสลงใจกัน) สมันน้อย จึงเหมือนแค่ปลอกกล้วยให้ลิงกิน

    ตั้งแต่รบกับอินเดียนแดงชนะ ได้แผ่นดินเขามาครอง อเมริกาเคยรบข้าศึก หรือ ศัตรูในประเทศตัวเองบ้างไหม คำตอบคือไม่เคยเลย เคยแต่รบกันเอง เดินดาหน้าเป็นแถว ยิงปืนใส่กัน สมัยสงครามกลางเมืองเหนือใต้หลายร้อยปีมาแล้ว นอกนั้นอเมริการบนอกบ้านทั้งสิ้น แล้วการรบของอเมริกาที่นอกบ้านเป็นอย่างไร ที่เกาหลี เวียตนาม อาฟกานีสถาน และอิรัก รวมทั้งหลายแห่งในอาฟริกา ล้วนเป็นการรบกับประเทศที่ด้อยกว่าทั้งด้านอาวุธและฝีมือ อเมริกาใช้เวลา อาวุธ และกำลังพล เหมือนขี่ช้างไปจับตั๊กแตน และผลลัพธ์ ถ้าไม่แพ้น๊อกเช่นที่เวียตนาม ก็แพ้คะแนนในการรบทุกแห่ง ยกเว้นอาฟริกา ที่เหมือนรบกับคนใกล้ตาย อันนี้เป็นคำกล่าวของนายทหารอเมริกันเอง แล้วอิหร่านเป็นตั๊กแตนแน่หรือ ถ้าเป็นตั๊กแตน ก็ตั๊กแตนติดนิวเคลียร์ ดูเอาจากรายงานของคณะทำงานฉบับวันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ.2006 ก็คงจะพอเดากันออก

    อเมริกาที่ใครๆคิดว่าแน่ คิดว่าใหญ่ เป็นพี่เบิ้มครองโลกหมายเลขหนึ่ง ดูเหมือนจะเก่งทางสร้างภาพผ่านสื่อ เอะอะก็ขู่จะเอากองทัพไปถล่มเขา เห็นลมพัดใบตองแห้งเป็นไม่ได้ ต้องออกเสียง แต่ก็ยังมีหลายคนในแดนสมันน้อย ที่กลัวพี่เบิ้มใบตองแห้ง จนไม่กล้าขยับหนี คงเพราะถูกครอบด้วยกระป๋องสี่เหลี่ยมติดตายอยู่ที่หัว หรืออิ่มจนพูดไม่ออก เฮ้อ! เหนื่อยใจ! ไม่เบื่อกระป๋องสี่เหลี่ยม คิดถอดออกบ้างหรือไงครับ…!?

    ถึงอิหร่านจะถูกจับเป็นเหยื่อ มาเป็นเวลานานกว่า 100 ปี แต่ไม่ได้หม่ายความว่า เมื่อตกเป็นเหยื่อแล้ว จะต้องเป็นเหยื่อเขาไปตลอดกาล เหยื่อที่อ่อนแอเท่านั้นที่คิดเช่นนั้น อิหร่านบอกว่าข้อเสนอของคาวบอย Bush เมื่อกลางปี ค.ศ.2006 เหมือนกับให้รัฐบาลอิหร่านไปเลียเกือกบู๊ทของ Bush ต่อหน้าสาธารณะ และเป็นการจบสิ้นศักดิ์ศรีทางการ เมืองของอิหร่าน “ Bush might as well have offered the Iranian regime a chance to lick his boots in public and commit political suicide…”

    เดือนตุลาคม ค.ศ.2007 คุณพี่ปูตินทำให้โลกอ้าปากค้าง มองตาไม่กระพริบ คุณพี่เดินทางไปอิหร่านอย่างเป็นทางการในฐานะหัวหน้ารัฐบาลของรัสเซีย หลังจากรัสเซียไม่ได้ไปเยี่ยมเยือนอิหร่านมา 60 ปี คุณพี่ประกาศในการไปเยี่ยมอิหร่านว่า รัสเซียจะปกป้องอิหร่านจากการคุกคามของอเมริกา เหมือนเป็นทางการเตือนผ่านไปในอากาศ ข้ามทวีปไปถึงคาวบอย Bush ว่า “โปรดระวัง” เตือนมา 7 ปีมาแล้ว การเตือนนี้จะยังมีผลอยู่หรือไม่ น่าติดตาม

    เสียงเตือนของคุณพี่ปูติน ถูกแปลงเป็นการเร่งเครื่อง คาวบอยอเมริกันเหมือนถูกหยามหน้า Pentagon รายงานว่า มีการหารือกันถึงการวางแผนจะให้ของขวัญอิหร่าน จะเอาแบบ “a broad bombing attack” ทิ้งระเบิดแบบปูพรมทั่วไปทั้งเตหะราน หรือเอาแบบ “surgical” ส่งให้เฉพาะกองทัพของอิหร่านดีนะ เรือรบจำนวนกว่าครึ่งของกองทัพเรืออเมริกา ถูกสั่งให้พร้อมเคลื่อนที่ประชิดอิหร่าน หน่วยงานความมั่นคงของอเมริกา National Security Strategy ออกข่าวในเดือนกันยายน ค.ศ. 2006 ว่า “เราอาจจะไม่เคยเจอประเทศใดเพียงประเทศเดียว ที่ท้าทายเราได้มากเท่าอิหร่าน !” เป็นคำพูดที่น่ากลัวมาก จากหน่วยงานความมั่นคง ของนักล่าใบตองแห้ง
    เจ้าหน้าที่อเมริกันบันทึกว่า การแข่งขันระหว่างอเมริกา รัสเซีย ได้เริ่มต้นใหม่อีกแล้ว การแข่งขันนี้ไม่ใช่แค่เรื่องนิวเคลียร์ของอิหร่าน แต่มันเป็นการแข่งขันชิงตำแหน่ง แชมป์โลก ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และการทหารในตะวันออกกลาง และเลยไปกว่านั้น แต่นับจากวันนั้นถึงวันนี้ มันก็มีแต่การคว่ำบาตรกับการส่งเสียงใส่ใบตองแห้ง พี่เบิ้มอเมริกายังไม่ขยับเข้าไปใกล้เหยื่อชื่ออิหร่านมากกว่านั้น ยังปล่อยให้คาคออยู่อย่างนั้น

    จะเป็นพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก ต้องมีอุปกรณ์พร้อมอย่างน้อย 3 อย่าง อาวุธหนัก ทุนหนา และน้ำมันแน่น (ถัง) มันเป็นส่วนผสมที่เสริมสร้างกันเอง ดังนั้นอเมริกาต้อง “ได้” ตะวันออกกลาง ที่มีแหล่งน้ำมันกว่าครึ่งของโลก แต่จะได้ตะวันออกกลางอยู่ในมือเบ็ดเสร็จ ต้องจัดการเอาซาอุดิอารเบีย และอิหร่าน 2 ประเทศใหญ่ของตะวันออกกลาง มาอยู่ในกรงเลี้ยงให้เชื่อง

    ซาอุดิอารเบียติดอาหารยี่ห้อกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์จนอิ่มแปร้ เกาะนิ่ง แม้บางครั้งจะออกอาการกระสับกระส่าย แต่ไม่ออกฤทธิ์ ตรงกันข้ามกับเหยื่อชื่ออิหร่าน

    อิหร่านดิ้นรน ออกแรง เพื่อให้หลุดจากกรงเหยื่อมานาน และอเมริกาก็ใช้สารพัดกับดัก ไม้เสี้ยม ไม้เสียบเพื่อให้เหยื่อเชื่องอยู่มือ อเมริกาคิดว่าเหยื่อทุกรายในตะวัน ออกกลาง (และดูเหมือนจะทั้งโลก !) จะชอบอาหารยี่ห้อเดียวกัน อาจจะใช่ แต่ไม่แน่ว่าจะเสมอไป และตลอดไป เมื่อหมดหนทางทำให้เหยื่อเชื่อง อเมริกาก็ตัดสินใจทำลายเหยื่ออย่างเหี้ยมโหด

    อิหร่านไม่หวังจะเป็นเหยื่อตลอดกาล แต่จะสู้โดยลำพัง ไม่แน่ว่าจะหลุดจากกรงได้ อิหร่านรู้จักสร้างแนวร่วม อิรัก เลบานอน และซีเรีย ซึ่งค่อยๆย้ายที่มายืนแถวเดียวกับอิหร่าน แต่ที่สำคัญ อิหร่านรู้จักแยกว่าใครคือเพื่อน และใครคือศัตรู

    สำหรับรัสเซียและจีน เพื่อไม่ให้อเมริกาครอบครองตะวันออกกลางทั้งหมด ซึ่งจะทำให้ทั้งรัสเซียและจีนเสียเปรียบ และอาจจะถึงเสียหาย จึงมีแต่จะต้องสนันสนุนอิหร่านให้เข้มแข็ง ให้เป็นไม้ขวางที่หนักและเคลื่อนย้ายยาก เหมือนท่อนซุงขวางทาง ไม่ให้อเมริกาก้าวครอบตะวันออก กลางทั้งหมดได้ง่ายๆ ยิ่งบวกอิรัก ซีเรีย และเลบานอน เข้าไปด้วย 4 ประเทศ รวมเป็นเสี้ยวพระจันทร์ อเมริกาเห็นแล้วก็คงหนาว ขบวนการเข้าไปในอิรัก ฉายหนังโหดซ้ำซากรอบหลังนี้ และการทำลายซีเรีย ซึ่งไม่น่าต้องถามว่าฝีมือใคร

    นับตั้งแต่คุณพี่ปูติน เดินเข้าไปจับมือกับอิหร่านเมื่อ 7 ปี ที่แล้ว สัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับอิหร่าน รวมทั้งจีน ดูเหมือนยิ่งกระชับและชิดแน่น การสนับสนุนร่วมมือระหว่าง 3 ประเทศ มีทั้งเปิดเผยและปิดลับ มันเป็นการเปิดทางให้เหยื่อก้าวย่างออกจากกรงอย่างเด็ดเดี่ยวและมั่นใจ

    อิหร่านถูกเหล่านักล่าตะวันตก ขูดเลือดเอาน้ำมันมากว่า 70 ปี จนถึงทุกวันนี้ก็ยังถูกขูดอยู่ ผ่านสงครามโลกมา 2 ครั้ง ก็ยังถูกหลอก ถูกย่ำยี จนศักดิ์ศรีของประเทศและประชาชนกร่อนแห้ง จากถูกอังกฤษขูดเลือด มาถูกอเมริกาเลาะเนื้อเถือกระดูกต่อ คนอิหร่านยอมลำบาก แต่ไม่ยอมก้มหัวเป็นเหยื่ออีกต่อไป

    เมื่อเหยื่อรายสำคัญ ตัดสินใจเลือกเดินออกจากกรง อเมริกาจะปล่อยมือ เปิดกรงให้ง่ายๆเช่นนั้นหรือ อเมริกาน่าจะคิดหนัก แต่ดูเหมือนเสียง “โปรดระวัง” ของคุณพี่ปูตินจะลอยลมมาผ่านข้ามไปอีกฟากหนึ่งของโลก..….ให้อเมริกาได้ยิน…..อีกรอบหนึ่ง

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    25 กันยายน 2557
    เหยื่อติดคอ ตอนที่ 8 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อติดคอ” ตอนที่ 8 (ตอนจบ) ตั้งแต่อเมริกาบีบให้สหประชาชาติคว่ำบาตรอิหร่าน ตั้งแต่ปี ค.ศ.2006 อิหร่านก็เปิดประตูรับแขกตะวันตกน้อยลง โดยเฉพาะสัญชาติอเมริกัน สมน้ำหน้า ! เขาไม่รับให้เข้าไปเดินเล่นในประเทศ แล้วคุยผ่านคนกลาง มันจะน่าเชื่อถือได้มากหรือน้อย อิหร่านทำตัวต่างกับสมันน้อย ที่เปิดมันหมดทั้งประตูหน้า ประตูหลัง หน้าต่างมีกี่บานเปิดถ่างมันหมด ข้อมูลทุกอย่างก็ไหลเหมือนท่อแตก ทำให้การวางแผนควบคุม (ไม่อยากใช้คำว่า เขมือบหรือขม้ำ มันแสลงใจกัน) สมันน้อย จึงเหมือนแค่ปลอกกล้วยให้ลิงกิน ตั้งแต่รบกับอินเดียนแดงชนะ ได้แผ่นดินเขามาครอง อเมริกาเคยรบข้าศึก หรือ ศัตรูในประเทศตัวเองบ้างไหม คำตอบคือไม่เคยเลย เคยแต่รบกันเอง เดินดาหน้าเป็นแถว ยิงปืนใส่กัน สมัยสงครามกลางเมืองเหนือใต้หลายร้อยปีมาแล้ว นอกนั้นอเมริการบนอกบ้านทั้งสิ้น แล้วการรบของอเมริกาที่นอกบ้านเป็นอย่างไร ที่เกาหลี เวียตนาม อาฟกานีสถาน และอิรัก รวมทั้งหลายแห่งในอาฟริกา ล้วนเป็นการรบกับประเทศที่ด้อยกว่าทั้งด้านอาวุธและฝีมือ อเมริกาใช้เวลา อาวุธ และกำลังพล เหมือนขี่ช้างไปจับตั๊กแตน และผลลัพธ์ ถ้าไม่แพ้น๊อกเช่นที่เวียตนาม ก็แพ้คะแนนในการรบทุกแห่ง ยกเว้นอาฟริกา ที่เหมือนรบกับคนใกล้ตาย อันนี้เป็นคำกล่าวของนายทหารอเมริกันเอง แล้วอิหร่านเป็นตั๊กแตนแน่หรือ ถ้าเป็นตั๊กแตน ก็ตั๊กแตนติดนิวเคลียร์ ดูเอาจากรายงานของคณะทำงานฉบับวันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ.2006 ก็คงจะพอเดากันออก อเมริกาที่ใครๆคิดว่าแน่ คิดว่าใหญ่ เป็นพี่เบิ้มครองโลกหมายเลขหนึ่ง ดูเหมือนจะเก่งทางสร้างภาพผ่านสื่อ เอะอะก็ขู่จะเอากองทัพไปถล่มเขา เห็นลมพัดใบตองแห้งเป็นไม่ได้ ต้องออกเสียง แต่ก็ยังมีหลายคนในแดนสมันน้อย ที่กลัวพี่เบิ้มใบตองแห้ง จนไม่กล้าขยับหนี คงเพราะถูกครอบด้วยกระป๋องสี่เหลี่ยมติดตายอยู่ที่หัว หรืออิ่มจนพูดไม่ออก เฮ้อ! เหนื่อยใจ! ไม่เบื่อกระป๋องสี่เหลี่ยม คิดถอดออกบ้างหรือไงครับ…!? ถึงอิหร่านจะถูกจับเป็นเหยื่อ มาเป็นเวลานานกว่า 100 ปี แต่ไม่ได้หม่ายความว่า เมื่อตกเป็นเหยื่อแล้ว จะต้องเป็นเหยื่อเขาไปตลอดกาล เหยื่อที่อ่อนแอเท่านั้นที่คิดเช่นนั้น อิหร่านบอกว่าข้อเสนอของคาวบอย Bush เมื่อกลางปี ค.ศ.2006 เหมือนกับให้รัฐบาลอิหร่านไปเลียเกือกบู๊ทของ Bush ต่อหน้าสาธารณะ และเป็นการจบสิ้นศักดิ์ศรีทางการ เมืองของอิหร่าน “ Bush might as well have offered the Iranian regime a chance to lick his boots in public and commit political suicide…” เดือนตุลาคม ค.ศ.2007 คุณพี่ปูตินทำให้โลกอ้าปากค้าง มองตาไม่กระพริบ คุณพี่เดินทางไปอิหร่านอย่างเป็นทางการในฐานะหัวหน้ารัฐบาลของรัสเซีย หลังจากรัสเซียไม่ได้ไปเยี่ยมเยือนอิหร่านมา 60 ปี คุณพี่ประกาศในการไปเยี่ยมอิหร่านว่า รัสเซียจะปกป้องอิหร่านจากการคุกคามของอเมริกา เหมือนเป็นทางการเตือนผ่านไปในอากาศ ข้ามทวีปไปถึงคาวบอย Bush ว่า “โปรดระวัง” เตือนมา 7 ปีมาแล้ว การเตือนนี้จะยังมีผลอยู่หรือไม่ น่าติดตาม เสียงเตือนของคุณพี่ปูติน ถูกแปลงเป็นการเร่งเครื่อง คาวบอยอเมริกันเหมือนถูกหยามหน้า Pentagon รายงานว่า มีการหารือกันถึงการวางแผนจะให้ของขวัญอิหร่าน จะเอาแบบ “a broad bombing attack” ทิ้งระเบิดแบบปูพรมทั่วไปทั้งเตหะราน หรือเอาแบบ “surgical” ส่งให้เฉพาะกองทัพของอิหร่านดีนะ เรือรบจำนวนกว่าครึ่งของกองทัพเรืออเมริกา ถูกสั่งให้พร้อมเคลื่อนที่ประชิดอิหร่าน หน่วยงานความมั่นคงของอเมริกา National Security Strategy ออกข่าวในเดือนกันยายน ค.ศ. 2006 ว่า “เราอาจจะไม่เคยเจอประเทศใดเพียงประเทศเดียว ที่ท้าทายเราได้มากเท่าอิหร่าน !” เป็นคำพูดที่น่ากลัวมาก จากหน่วยงานความมั่นคง ของนักล่าใบตองแห้ง เจ้าหน้าที่อเมริกันบันทึกว่า การแข่งขันระหว่างอเมริกา รัสเซีย ได้เริ่มต้นใหม่อีกแล้ว การแข่งขันนี้ไม่ใช่แค่เรื่องนิวเคลียร์ของอิหร่าน แต่มันเป็นการแข่งขันชิงตำแหน่ง แชมป์โลก ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และการทหารในตะวันออกกลาง และเลยไปกว่านั้น แต่นับจากวันนั้นถึงวันนี้ มันก็มีแต่การคว่ำบาตรกับการส่งเสียงใส่ใบตองแห้ง พี่เบิ้มอเมริกายังไม่ขยับเข้าไปใกล้เหยื่อชื่ออิหร่านมากกว่านั้น ยังปล่อยให้คาคออยู่อย่างนั้น จะเป็นพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก ต้องมีอุปกรณ์พร้อมอย่างน้อย 3 อย่าง อาวุธหนัก ทุนหนา และน้ำมันแน่น (ถัง) มันเป็นส่วนผสมที่เสริมสร้างกันเอง ดังนั้นอเมริกาต้อง “ได้” ตะวันออกกลาง ที่มีแหล่งน้ำมันกว่าครึ่งของโลก แต่จะได้ตะวันออกกลางอยู่ในมือเบ็ดเสร็จ ต้องจัดการเอาซาอุดิอารเบีย และอิหร่าน 2 ประเทศใหญ่ของตะวันออกกลาง มาอยู่ในกรงเลี้ยงให้เชื่อง ซาอุดิอารเบียติดอาหารยี่ห้อกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์จนอิ่มแปร้ เกาะนิ่ง แม้บางครั้งจะออกอาการกระสับกระส่าย แต่ไม่ออกฤทธิ์ ตรงกันข้ามกับเหยื่อชื่ออิหร่าน อิหร่านดิ้นรน ออกแรง เพื่อให้หลุดจากกรงเหยื่อมานาน และอเมริกาก็ใช้สารพัดกับดัก ไม้เสี้ยม ไม้เสียบเพื่อให้เหยื่อเชื่องอยู่มือ อเมริกาคิดว่าเหยื่อทุกรายในตะวัน ออกกลาง (และดูเหมือนจะทั้งโลก !) จะชอบอาหารยี่ห้อเดียวกัน อาจจะใช่ แต่ไม่แน่ว่าจะเสมอไป และตลอดไป เมื่อหมดหนทางทำให้เหยื่อเชื่อง อเมริกาก็ตัดสินใจทำลายเหยื่ออย่างเหี้ยมโหด อิหร่านไม่หวังจะเป็นเหยื่อตลอดกาล แต่จะสู้โดยลำพัง ไม่แน่ว่าจะหลุดจากกรงได้ อิหร่านรู้จักสร้างแนวร่วม อิรัก เลบานอน และซีเรีย ซึ่งค่อยๆย้ายที่มายืนแถวเดียวกับอิหร่าน แต่ที่สำคัญ อิหร่านรู้จักแยกว่าใครคือเพื่อน และใครคือศัตรู สำหรับรัสเซียและจีน เพื่อไม่ให้อเมริกาครอบครองตะวันออกกลางทั้งหมด ซึ่งจะทำให้ทั้งรัสเซียและจีนเสียเปรียบ และอาจจะถึงเสียหาย จึงมีแต่จะต้องสนันสนุนอิหร่านให้เข้มแข็ง ให้เป็นไม้ขวางที่หนักและเคลื่อนย้ายยาก เหมือนท่อนซุงขวางทาง ไม่ให้อเมริกาก้าวครอบตะวันออก กลางทั้งหมดได้ง่ายๆ ยิ่งบวกอิรัก ซีเรีย และเลบานอน เข้าไปด้วย 4 ประเทศ รวมเป็นเสี้ยวพระจันทร์ อเมริกาเห็นแล้วก็คงหนาว ขบวนการเข้าไปในอิรัก ฉายหนังโหดซ้ำซากรอบหลังนี้ และการทำลายซีเรีย ซึ่งไม่น่าต้องถามว่าฝีมือใคร นับตั้งแต่คุณพี่ปูติน เดินเข้าไปจับมือกับอิหร่านเมื่อ 7 ปี ที่แล้ว สัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับอิหร่าน รวมทั้งจีน ดูเหมือนยิ่งกระชับและชิดแน่น การสนับสนุนร่วมมือระหว่าง 3 ประเทศ มีทั้งเปิดเผยและปิดลับ มันเป็นการเปิดทางให้เหยื่อก้าวย่างออกจากกรงอย่างเด็ดเดี่ยวและมั่นใจ อิหร่านถูกเหล่านักล่าตะวันตก ขูดเลือดเอาน้ำมันมากว่า 70 ปี จนถึงทุกวันนี้ก็ยังถูกขูดอยู่ ผ่านสงครามโลกมา 2 ครั้ง ก็ยังถูกหลอก ถูกย่ำยี จนศักดิ์ศรีของประเทศและประชาชนกร่อนแห้ง จากถูกอังกฤษขูดเลือด มาถูกอเมริกาเลาะเนื้อเถือกระดูกต่อ คนอิหร่านยอมลำบาก แต่ไม่ยอมก้มหัวเป็นเหยื่ออีกต่อไป เมื่อเหยื่อรายสำคัญ ตัดสินใจเลือกเดินออกจากกรง อเมริกาจะปล่อยมือ เปิดกรงให้ง่ายๆเช่นนั้นหรือ อเมริกาน่าจะคิดหนัก แต่ดูเหมือนเสียง “โปรดระวัง” ของคุณพี่ปูตินจะลอยลมมาผ่านข้ามไปอีกฟากหนึ่งของโลก..….ให้อเมริกาได้ยิน…..อีกรอบหนึ่ง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 25 กันยายน 2557
    0 Comments 0 Shares 64 Views 0 Reviews
  • รู้จัก 'ดร.เอ้ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์' หัวหน้าพรรคไทยก้าวใหม่ ชูการศึกษาพัฒนาคน พัฒนาประเทศ
    https://www.thai-tai.tv/news/21819/
    .
    #ไทยไท #ไทยก้าวใหม่ #ดรเอ้ #สุชัชวีร์ #การศึกษา #MIT #วิศวกรรมอุโมงค์
    รู้จัก 'ดร.เอ้ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์' หัวหน้าพรรคไทยก้าวใหม่ ชูการศึกษาพัฒนาคน พัฒนาประเทศ https://www.thai-tai.tv/news/21819/ . #ไทยไท #ไทยก้าวใหม่ #ดรเอ้ #สุชัชวีร์ #การศึกษา #MIT #วิศวกรรมอุโมงค์
    0 Comments 0 Shares 20 Views 0 Reviews
  • “เมื่อเส้นตรงกลายเป็นเรื่องเล่า — คู่มือภาพประกอบ Linear Algebra ที่ทำให้คณิตศาสตร์เข้าใจง่ายขึ้น (และมีดราม่าเล็ก ๆ ด้วย)”

    Aditya Bhargava ผู้เขียนหนังสือยอดนิยม “Grokking Algorithms” กลับมาอีกครั้งในปี 2025 พร้อมผลงานใหม่ “An Illustrated Introduction to Linear Algebra” ที่ตั้งใจจะเปลี่ยนภาพจำของวิชาคณิตศาสตร์ที่หลายคนเคยกลัว ให้กลายเป็นเรื่องเล่าที่เข้าใจง่ายผ่านภาพประกอบและตัวอย่างจากชีวิตประจำวัน

    หนังสือเล่มนี้ใช้แนวทาง “visual-first” โดยเริ่มต้นจากการอธิบายแนวคิดพื้นฐานของเวกเตอร์ เมทริกซ์ และการแปลงเชิงเส้น ผ่านภาพวาดและสถานการณ์จำลอง เช่น การวางแผนมื้ออาหาร การแลกเหรียญ หรือการจัดการทรัพยากร ซึ่งช่วยให้ผู้อ่านเห็นภาพและเข้าใจความหมายของการคำนวณเชิงเส้นในบริบทจริง

    อย่างไรก็ตาม หนังสือก็ไม่รอดจากเสียงวิจารณ์ โดยเฉพาะการเลือกนำเสนอ “Gaussian Elimination” ตั้งแต่ต้นเล่ม ก่อนที่จะสร้างพื้นฐานด้านภาพและความเข้าใจเชิงเรขาคณิต หลายคนมองว่าเป็นการ “ข้ามขั้น” และทำให้ผู้อ่านสับสน โดยเฉพาะเมื่อใช้ตัวแปร x และ y สลับบทบาทในหลายบริบท เช่น บางครั้งแทนอาหาร บางครั้งแทนสารอาหาร

    แม้จะมีข้อถกเถียง แต่หลายเสียงก็ชื่นชมแนวทางการสอนที่ใช้ภาพประกอบและตัวอย่างจริง โดยเฉพาะในยุคที่ Linear Algebra กลายเป็นพื้นฐานของ Machine Learning และ AI การมีสื่อที่เข้าถึงง่ายจึงเป็นสิ่งจำเป็น

    ข้อมูลสำคัญจากเนื้อหา
    หนังสือ “An Illustrated Introduction to Linear Algebra” เขียนโดย Aditya Bhargava
    ใช้ภาพประกอบและตัวอย่างจากชีวิตจริง เช่น เหรียญ อาหาร และสารอาหาร
    เน้นการอธิบายแนวคิดเวกเตอร์ เมทริกซ์ และการแปลงเชิงเส้น
    มีการนำเสนอ Gaussian Elimination ตั้งแต่ต้นเล่ม
    ตัวแปร x และ y ถูกใช้ในหลายบริบท ทำให้บางคนสับสน
    หนังสือได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้เรียนที่ไม่ถนัดคณิตศาสตร์
    เป็นสื่อที่เชื่อมโยง Linear Algebra กับการใช้งานจริงใน AI และ ML

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gaussian Elimination คือวิธีแก้ระบบสมการเชิงเส้นโดยใช้การแปลงเมทริกซ์
    Linear Algebra เป็นพื้นฐานของการทำงานของ neural networks และการลดมิติข้อมูล
    Gilbert Strang จาก MIT เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการสอน Linear Algebra แบบ intuitive
    ช่อง YouTube อย่าง 3Blue1Brown ใช้ภาพเคลื่อนไหวเพื่ออธิบาย Linear Algebra ได้อย่างน่าทึ่ง
    การใช้ภาพและเรื่องเล่าช่วยลดความกลัวคณิตศาสตร์ในกลุ่มผู้เรียนสายศิลป์และมนุษย์ศาสตร์

    https://www.ducktyped.org/p/an-illustrated-introduction-to-linear
    📘 “เมื่อเส้นตรงกลายเป็นเรื่องเล่า — คู่มือภาพประกอบ Linear Algebra ที่ทำให้คณิตศาสตร์เข้าใจง่ายขึ้น (และมีดราม่าเล็ก ๆ ด้วย)” Aditya Bhargava ผู้เขียนหนังสือยอดนิยม “Grokking Algorithms” กลับมาอีกครั้งในปี 2025 พร้อมผลงานใหม่ “An Illustrated Introduction to Linear Algebra” ที่ตั้งใจจะเปลี่ยนภาพจำของวิชาคณิตศาสตร์ที่หลายคนเคยกลัว ให้กลายเป็นเรื่องเล่าที่เข้าใจง่ายผ่านภาพประกอบและตัวอย่างจากชีวิตประจำวัน หนังสือเล่มนี้ใช้แนวทาง “visual-first” โดยเริ่มต้นจากการอธิบายแนวคิดพื้นฐานของเวกเตอร์ เมทริกซ์ และการแปลงเชิงเส้น ผ่านภาพวาดและสถานการณ์จำลอง เช่น การวางแผนมื้ออาหาร การแลกเหรียญ หรือการจัดการทรัพยากร ซึ่งช่วยให้ผู้อ่านเห็นภาพและเข้าใจความหมายของการคำนวณเชิงเส้นในบริบทจริง อย่างไรก็ตาม หนังสือก็ไม่รอดจากเสียงวิจารณ์ โดยเฉพาะการเลือกนำเสนอ “Gaussian Elimination” ตั้งแต่ต้นเล่ม ก่อนที่จะสร้างพื้นฐานด้านภาพและความเข้าใจเชิงเรขาคณิต หลายคนมองว่าเป็นการ “ข้ามขั้น” และทำให้ผู้อ่านสับสน โดยเฉพาะเมื่อใช้ตัวแปร x และ y สลับบทบาทในหลายบริบท เช่น บางครั้งแทนอาหาร บางครั้งแทนสารอาหาร แม้จะมีข้อถกเถียง แต่หลายเสียงก็ชื่นชมแนวทางการสอนที่ใช้ภาพประกอบและตัวอย่างจริง โดยเฉพาะในยุคที่ Linear Algebra กลายเป็นพื้นฐานของ Machine Learning และ AI การมีสื่อที่เข้าถึงง่ายจึงเป็นสิ่งจำเป็น ✅ ข้อมูลสำคัญจากเนื้อหา ➡️ หนังสือ “An Illustrated Introduction to Linear Algebra” เขียนโดย Aditya Bhargava ➡️ ใช้ภาพประกอบและตัวอย่างจากชีวิตจริง เช่น เหรียญ อาหาร และสารอาหาร ➡️ เน้นการอธิบายแนวคิดเวกเตอร์ เมทริกซ์ และการแปลงเชิงเส้น ➡️ มีการนำเสนอ Gaussian Elimination ตั้งแต่ต้นเล่ม ➡️ ตัวแปร x และ y ถูกใช้ในหลายบริบท ทำให้บางคนสับสน ➡️ หนังสือได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้เรียนที่ไม่ถนัดคณิตศาสตร์ ➡️ เป็นสื่อที่เชื่อมโยง Linear Algebra กับการใช้งานจริงใน AI และ ML ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gaussian Elimination คือวิธีแก้ระบบสมการเชิงเส้นโดยใช้การแปลงเมทริกซ์ ➡️ Linear Algebra เป็นพื้นฐานของการทำงานของ neural networks และการลดมิติข้อมูล ➡️ Gilbert Strang จาก MIT เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการสอน Linear Algebra แบบ intuitive ➡️ ช่อง YouTube อย่าง 3Blue1Brown ใช้ภาพเคลื่อนไหวเพื่ออธิบาย Linear Algebra ได้อย่างน่าทึ่ง ➡️ การใช้ภาพและเรื่องเล่าช่วยลดความกลัวคณิตศาสตร์ในกลุ่มผู้เรียนสายศิลป์และมนุษย์ศาสตร์ https://www.ducktyped.org/p/an-illustrated-introduction-to-linear
    0 Comments 0 Shares 47 Views 0 Reviews
  • “Mission:Libre จุดประกายเยาวชนสู่โลกซอฟต์แวร์เสรี — เวทีใหม่ที่เปิดให้เสียงวัยรุ่นกำหนดทิศทางเทคโนโลยี”

    ในโลกที่ซอฟต์แวร์เสรี (Free Software) เป็นรากฐานของความโปร่งใสและเสรีภาพทางดิจิทัล กลุ่มเยาวชนกลับยังมีบทบาทน้อยในการกำหนดทิศทางของการพัฒนา ล่าสุด Carmen-Lisandrette นักเคลื่อนไหวด้านซอฟต์แวร์เสรีจากนิวซีแลนด์ ได้เปิดตัวโครงการ “Mission:Libre” เพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้น

    Mission:Libre เป็นโครงการที่ไม่แสวงหากำไร ก่อตั้งขึ้นในเดือนสิงหาคม 2025 โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างพื้นที่ให้เยาวชนอายุ 13–17 ปี ได้เรียนรู้ พูดคุย และมีส่วนร่วมกับการเคลื่อนไหวด้านซอฟต์แวร์เสรี ผ่านกิจกรรมออนไลน์ เช่น การประชุมกลุ่มย่อย (roundtable discussions) ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 12 และ 14 พฤศจิกายนนี้ ผ่านแพลตฟอร์ม Jitsi

    องค์กรนี้มีโครงสร้างที่โปร่งใส โดยมีข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญที่ห้ามผู้ใดใช้ทรัพย์สินขององค์กรเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว และหากองค์กรต้องยุติการดำเนินงาน ทรัพย์สินทั้งหมดจะถูกส่งต่อไปยังองค์กรซอฟต์แวร์เสรีอื่น ๆ

    กิจกรรมของ Mission:Libre ไม่เพียงเปิดโอกาสให้เยาวชนได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับอนาคตของซอฟต์แวร์เสรี แต่ยังเป็นเวทีให้พวกเขาเสนอสิ่งที่ต้องการเห็นจากขบวนการนี้ เช่น การสนับสนุนการเรียนรู้ การเข้าถึงเครื่องมือโอเพ่นซอร์ส หรือการสร้างชุมชนที่ปลอดภัยสำหรับวัยรุ่น

    ผลจากการประชุมจะถูกสรุปและเผยแพร่ต่อสาธารณะ เพื่อให้เสียงของเยาวชนมีผลต่อทิศทางของการเคลื่อนไหวในอนาคต

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Mission:Libre เป็นโครงการสนับสนุนเยาวชนในขบวนการซอฟต์แวร์เสรี
    ก่อตั้งโดย Carmen-Lisandrette ในเดือนสิงหาคม 2025 ที่นิวซีแลนด์
    ดำเนินการผ่านบริษัท Mission:Libre Limited ที่ไม่แสวงหากำไร
    มีข้อกำหนดห้ามใช้ทรัพย์สินเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว และต้องส่งต่อให้กลุ่มซอฟต์แวร์เสรีหากยุติ
    กิจกรรมแรกคือ roundtable discussions วันที่ 12 และ 14 พฤศจิกายน 2025
    ใช้แพลตฟอร์ม Jitsi สำหรับการประชุมออนไลน์
    เปิดรับเยาวชนอายุ 13–17 ปี เพื่อร่วมแสดงความคิดเห็น
    ผลการประชุมจะถูกสรุปและเผยแพร่ต่อสาธารณะ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ซอฟต์แวร์เสรีเน้นเสรีภาพในการใช้ แก้ไข และแจกจ่ายซอฟต์แวร์
    โครงการอย่าง GNU, Linux และ Firefox เป็นตัวอย่างของซอฟต์แวร์เสรีที่ประสบความสำเร็จ
    Carmen เคยมีบทบาทในชุมชน GNOME และ LibrePlanet มาก่อน
    การมีส่วนร่วมของเยาวชนช่วยสร้างนักพัฒนาและนักเคลื่อนไหวรุ่นใหม่
    การใช้ Jitsi เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและไม่ผูกกับแพลตฟอร์มเชิงพาณิชย์

    https://news.itsfoss.com/mission-libre/
    🌱 “Mission:Libre จุดประกายเยาวชนสู่โลกซอฟต์แวร์เสรี — เวทีใหม่ที่เปิดให้เสียงวัยรุ่นกำหนดทิศทางเทคโนโลยี” ในโลกที่ซอฟต์แวร์เสรี (Free Software) เป็นรากฐานของความโปร่งใสและเสรีภาพทางดิจิทัล กลุ่มเยาวชนกลับยังมีบทบาทน้อยในการกำหนดทิศทางของการพัฒนา ล่าสุด Carmen-Lisandrette นักเคลื่อนไหวด้านซอฟต์แวร์เสรีจากนิวซีแลนด์ ได้เปิดตัวโครงการ “Mission:Libre” เพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้น Mission:Libre เป็นโครงการที่ไม่แสวงหากำไร ก่อตั้งขึ้นในเดือนสิงหาคม 2025 โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างพื้นที่ให้เยาวชนอายุ 13–17 ปี ได้เรียนรู้ พูดคุย และมีส่วนร่วมกับการเคลื่อนไหวด้านซอฟต์แวร์เสรี ผ่านกิจกรรมออนไลน์ เช่น การประชุมกลุ่มย่อย (roundtable discussions) ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 12 และ 14 พฤศจิกายนนี้ ผ่านแพลตฟอร์ม Jitsi องค์กรนี้มีโครงสร้างที่โปร่งใส โดยมีข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญที่ห้ามผู้ใดใช้ทรัพย์สินขององค์กรเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว และหากองค์กรต้องยุติการดำเนินงาน ทรัพย์สินทั้งหมดจะถูกส่งต่อไปยังองค์กรซอฟต์แวร์เสรีอื่น ๆ กิจกรรมของ Mission:Libre ไม่เพียงเปิดโอกาสให้เยาวชนได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับอนาคตของซอฟต์แวร์เสรี แต่ยังเป็นเวทีให้พวกเขาเสนอสิ่งที่ต้องการเห็นจากขบวนการนี้ เช่น การสนับสนุนการเรียนรู้ การเข้าถึงเครื่องมือโอเพ่นซอร์ส หรือการสร้างชุมชนที่ปลอดภัยสำหรับวัยรุ่น ผลจากการประชุมจะถูกสรุปและเผยแพร่ต่อสาธารณะ เพื่อให้เสียงของเยาวชนมีผลต่อทิศทางของการเคลื่อนไหวในอนาคต ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Mission:Libre เป็นโครงการสนับสนุนเยาวชนในขบวนการซอฟต์แวร์เสรี ➡️ ก่อตั้งโดย Carmen-Lisandrette ในเดือนสิงหาคม 2025 ที่นิวซีแลนด์ ➡️ ดำเนินการผ่านบริษัท Mission:Libre Limited ที่ไม่แสวงหากำไร ➡️ มีข้อกำหนดห้ามใช้ทรัพย์สินเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว และต้องส่งต่อให้กลุ่มซอฟต์แวร์เสรีหากยุติ ➡️ กิจกรรมแรกคือ roundtable discussions วันที่ 12 และ 14 พฤศจิกายน 2025 ➡️ ใช้แพลตฟอร์ม Jitsi สำหรับการประชุมออนไลน์ ➡️ เปิดรับเยาวชนอายุ 13–17 ปี เพื่อร่วมแสดงความคิดเห็น ➡️ ผลการประชุมจะถูกสรุปและเผยแพร่ต่อสาธารณะ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ซอฟต์แวร์เสรีเน้นเสรีภาพในการใช้ แก้ไข และแจกจ่ายซอฟต์แวร์ ➡️ โครงการอย่าง GNU, Linux และ Firefox เป็นตัวอย่างของซอฟต์แวร์เสรีที่ประสบความสำเร็จ ➡️ Carmen เคยมีบทบาทในชุมชน GNOME และ LibrePlanet มาก่อน ➡️ การมีส่วนร่วมของเยาวชนช่วยสร้างนักพัฒนาและนักเคลื่อนไหวรุ่นใหม่ ➡️ การใช้ Jitsi เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและไม่ผูกกับแพลตฟอร์มเชิงพาณิชย์ https://news.itsfoss.com/mission-libre/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Mission:Libre: A New Community Building Free Software's Teen Movement
    Teen-focused initiative seeks input on free software's future direction.
    0 Comments 0 Shares 49 Views 0 Reviews
  • เหยื่อติดคอ ตอนที่ 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อติดคอ”
    ตอนที่ 2

    อเมริกาเอาจริงเรื่องอิหร่าน ขนเอาเจ้าหน้าที่ของ CIA เข้ามาตั้งหน่วยงานใหญ่อยู่ในอิหร่าน เกาะติดทุกรายการ ทุกเป้าหมาย โดยเฉพาะเอาเข้าไปคลุกคลีอยู่กับนักการเมือง นักการเงิน และพวกอีลิตของอิห ร่าน Dr. Taqi ชาวอิหร่านสาย CIA รับหน้าที่กล่อมมงกุฎราชกุมาร Abdoreza และนายพล Ali Razmara รายหลังแสดงความสนใจที่จะผูกมิตรจับมือร่วมงานกับอเมริกา เขาบอกกับ Dr. Taqiว่า ถ้าอเมริกาจัดการให้เขาเป็นนายกรัฐมนตรีอิหร่านได้ เขาก็จะตั้งให้ Dr. Taqi เป็นรัฐมนตรีคุมเศรษฐกิจอิหร่าน เราผลัดกันเกาหลังให้กันไงเพื่อน! แล้วเราจะได้วางแผนเขี่ยอังกฤษออกไปจากอิหร่านได้เสียที

    ค.ศ.1950 Shah ก็แต่งตั้งให้นายพล Razmara เป็นนายกรัฐมนตรี

    นายพล Razmara ในฐานะนายกรัฐมนตรี ปลดพวกข้าราชการระดับสูง 400 คนทันที และลงนามในสัญญา “Point Four” กับอเมริกา ซึ่งมีผลให้อเมริกาเข้า ไปมีอิทธิพลในอิหร่านภายใต้เสื้อคลุมการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่ผมเขียนเรื่องอิหร่านนะครับ แม้มันจะดูคล้ายกับเหตุการณ์ในแดนสมันน้อยก็ตาม

    แต่สำหรับเรื่อง Anglo-Persian Oil อะไรคงยังจุกคอท่านนายพล Razmara อยู่ เขาไม่ขยับตามที่อเมริกาต้องการ แถมออกกฏหมายรับรอง Anglo-Persian Oil ให้ควบคุมน้ำมันของอิหร่านต่อ นี่ลองของหรือไง หลังจากนั้นไม่นานท่านนายพล Razmara ก็ถูกฆาตกรรม เก็บลงหีบเรียบร้อย เขาเล่นกันแรงจริง

    สภาผู้แทนอิหร่านหรือที่เรียกว่า Majlis ซึ่ง Col. Schwazkopf มีอิทธิพลครอบอยู่ จึงจับมือ Shah ให้ตั้ง Mohammed Mossadeq เป็นนายกรัฐมนตรีแทนนายพล Razmara

    Mossadeq เป็นนักการเมืองที่มีความสามารถ และเป็นที่นิยมของชาวอิหร่าน เพราะเขาประกาสต่อต้านอิทธิพลของอังกฤษอย่างเปิดเผยมาตลอด จนอังกฤษทนไม่ไหว และขับให้เขาออกนอกประเทศไปตั้งแต่ ปี ค.ศ.1919 แต่ใน ค.ศ.1921 อังกฤษก็สั่งให้ Reza Khan เรียกตัว Mossadeq กลับอิหร่านใหม่ หวังเอาฐานเสียงของ Mossadeq มาสนับสนุน Khan ซึ่งกำลังง่อนแง่น แต่เมื่อ Khan ตั้งตัวเองเป็น Shah ในปี ค.ศ.1925 Mossadeq คัดค้านอย่างรุนแรง และบอกว่า นี่เป็นการยุยงของอังกฤษที่จะทำให้อิหร่านล่ม ความคิดเช่นนี้ของ Mossadeq เข้าทางอเมริกาที่กำลังหาคนไป แซะอังกฤษออกจากอิหร่าน ดังนั้นเมื่อ Mossadeq ได้เป็นนายกรัฐมนตรี สมใจอเมริกา และปฏิบัติการยึด Anglo-Iranian Oil จากอังกฤษ มาเป็นของอิหร่าน จึงไม่ถูกต้านทานจากอเมริกา อเมริกาน่าจะประเมิน Mossadeq พลาด
    การยึด Anglo-Iranian Oil อังกฤษเต้นเป็นเจ้าเข้า โกรธจนเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ กระเทือนยังกับแผ่นดินไหว เตรียมกองทัพจะมาขยี้อิหร่าน อังกฤษซ้อมค้าง ชวนอเมริกาไปขยี้อิหร่านด้วยกัน อเมริกาบอกว่าไม่เห็นด้วยกับการจะใช้กำลังกับอิหร่าน (แหม! ไต๋โผล่เร็วจัง) เจรจากับอิหร่านดีกว่าน่าลูกพี่ อังกฤษไม่ยอม วิ่งจนหัวล้านเปียก ใช้ช่องทางของสหประชาชาติประกาศคว่ำบาตรน้ำมันอิหร่าน และสั่งรวบรวมเด็กในคาถาที่อยู่อิหร่านเตรียมตัวปฏิวัติโค่น Mossadeq อเมริกาไม่เล่นด้วย เราเล่นเองก็ได้ ชาวเกาะชักย๊วะ

    การคว่ำบาตรน้ำมันอิหร่าน ทำให้ตลาดโลกน้ำมันปั่นป่วน หลังจากนั้นก็มีข่าวลือในวอซิงตันว่อนตามโต๊ะทำงานว่า สหภาพโซเวียตฉวยโอกาสนี้ ยุทหารอิหร่านทำการปฏิวัติและส่งเสริมระบอบคอมมิวนิตส์ในอิหร่านเสียเอง ฮื่ม แก้เกมเก่งนะลูกพี่ แบบนี้อเมริกาก็เลิกลั่ก หันไม่ถูกทางเหมือนกัน

    แล้วอเมริกาก็สะดุดกับดักของอังกฤษ หันกลับมากดดัน Mossadeq ให้ประนีประนอมกับอังกฤษ Mossadeq ปฏิเสธ อเมริกาชักไม่ชอบใจที่สั่งขวาหันกับ Mossadeq ไม่ได้ อเมริกายังไม่ตัดสินใจว่าจะจัดการอย่างไรดี ข่าวลือมาอีกรอบ น่าสงสัยว่า Mossadeq จะทำงานร่วมกับสหภาพโซเวียตผ่านพวกคอมมิวนิตส์ในอิหร่าน คราวนี้อเมริกาเป็นฝ่านเต้น เข้าใจเล่นจริงลูกพี่ แล้ว CIA ก็จับมือกับหน่วยราชการลับอังกฤษ MI6 จัดการให้มีการปฏิวัติโค่นล้มรัฐบาล Mossadeq ในปี ค.ศ.1953 CIA เรียกว่า “Operation Ajax”

    Operation Ajax ทำให้ Shah Mohammud Reza Pahlavi กลับมาสู่อำนาจอีกครั้ง และเขารู้ว่าเขาควรจะขอบคุณใคร บ้าง วงการข่าวเล่ากันว่า ในวันครองบัลลังก์ Shah ได้พูดว่ากับนาย Kermit Roosevelt Jr. หัวหน้า CIA ประจำอิหร่านว่า “ขอบคุณพระเจ้า ประชาชนของเรา กองทัพของเรา และท่าน !”

    หลังจาการปฏิวัติ บริษัทน้ำมันที่อิหร่านยึดมาเป็นของรัฐ ใช้ชื่อว่า National Iranian Oil Company ก็จริง แต่การควบคุมการผลิตและการขายน้ำมันอิหร่าน ตกอยู่ในกำมือของกลุ่มบรรษัทน้ำมันข้ามชาติ ซึ่งแน่นอน พ่วงเอา 5 บริษัทยักษ์ใหญ่ของอเมริกาเข้าไปด้วย กลุ่มอเมริกาได้รับหุ้นน้ำมัน หอมชื่นใจไป 40% ส่วนของ Anglo-Iranian Oil ของอังกฤษ ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น British Petroleum หรือ BP ถูกลดลงมาเหลือ 40% ฝรั่งเศสและดัชท์ในฐานะผู้เข้าร่วมแสดงได้ 20% เหลือ 40% ดีกว่าเหลือแต่ถังน้ำมันเปล่าๆ นักล่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ คงรำพึงด้วยความซ้ำใจ

    ผลของการยึดบริษัทน้ำมันมาเป็นของรัฐและแรงกดดันของประชาชน ทำให้ส่วนแบ่งรายได้น้ำมันของอิหร่านเพิ่มขึ้นเป็น 50% แต่อิหร่านไม่ได้รับอนุญาตให้ตรวจสอบสมุดบัญชีบริษัท มันเป็นชัยชนะที่จอมปลอม เหมือนชัยชนะของการต่อสู้โดยประชาชนส่วนใหญ่ ที่สุดท้ายแล้วก็โดนหลอกโดนต้มเหมือนเดิม

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    22 กันยายน 2557
    เหยื่อติดคอ ตอนที่ 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อติดคอ” ตอนที่ 2 อเมริกาเอาจริงเรื่องอิหร่าน ขนเอาเจ้าหน้าที่ของ CIA เข้ามาตั้งหน่วยงานใหญ่อยู่ในอิหร่าน เกาะติดทุกรายการ ทุกเป้าหมาย โดยเฉพาะเอาเข้าไปคลุกคลีอยู่กับนักการเมือง นักการเงิน และพวกอีลิตของอิห ร่าน Dr. Taqi ชาวอิหร่านสาย CIA รับหน้าที่กล่อมมงกุฎราชกุมาร Abdoreza และนายพล Ali Razmara รายหลังแสดงความสนใจที่จะผูกมิตรจับมือร่วมงานกับอเมริกา เขาบอกกับ Dr. Taqiว่า ถ้าอเมริกาจัดการให้เขาเป็นนายกรัฐมนตรีอิหร่านได้ เขาก็จะตั้งให้ Dr. Taqi เป็นรัฐมนตรีคุมเศรษฐกิจอิหร่าน เราผลัดกันเกาหลังให้กันไงเพื่อน! แล้วเราจะได้วางแผนเขี่ยอังกฤษออกไปจากอิหร่านได้เสียที ค.ศ.1950 Shah ก็แต่งตั้งให้นายพล Razmara เป็นนายกรัฐมนตรี นายพล Razmara ในฐานะนายกรัฐมนตรี ปลดพวกข้าราชการระดับสูง 400 คนทันที และลงนามในสัญญา “Point Four” กับอเมริกา ซึ่งมีผลให้อเมริกาเข้า ไปมีอิทธิพลในอิหร่านภายใต้เสื้อคลุมการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่ผมเขียนเรื่องอิหร่านนะครับ แม้มันจะดูคล้ายกับเหตุการณ์ในแดนสมันน้อยก็ตาม แต่สำหรับเรื่อง Anglo-Persian Oil อะไรคงยังจุกคอท่านนายพล Razmara อยู่ เขาไม่ขยับตามที่อเมริกาต้องการ แถมออกกฏหมายรับรอง Anglo-Persian Oil ให้ควบคุมน้ำมันของอิหร่านต่อ นี่ลองของหรือไง หลังจากนั้นไม่นานท่านนายพล Razmara ก็ถูกฆาตกรรม เก็บลงหีบเรียบร้อย เขาเล่นกันแรงจริง สภาผู้แทนอิหร่านหรือที่เรียกว่า Majlis ซึ่ง Col. Schwazkopf มีอิทธิพลครอบอยู่ จึงจับมือ Shah ให้ตั้ง Mohammed Mossadeq เป็นนายกรัฐมนตรีแทนนายพล Razmara Mossadeq เป็นนักการเมืองที่มีความสามารถ และเป็นที่นิยมของชาวอิหร่าน เพราะเขาประกาสต่อต้านอิทธิพลของอังกฤษอย่างเปิดเผยมาตลอด จนอังกฤษทนไม่ไหว และขับให้เขาออกนอกประเทศไปตั้งแต่ ปี ค.ศ.1919 แต่ใน ค.ศ.1921 อังกฤษก็สั่งให้ Reza Khan เรียกตัว Mossadeq กลับอิหร่านใหม่ หวังเอาฐานเสียงของ Mossadeq มาสนับสนุน Khan ซึ่งกำลังง่อนแง่น แต่เมื่อ Khan ตั้งตัวเองเป็น Shah ในปี ค.ศ.1925 Mossadeq คัดค้านอย่างรุนแรง และบอกว่า นี่เป็นการยุยงของอังกฤษที่จะทำให้อิหร่านล่ม ความคิดเช่นนี้ของ Mossadeq เข้าทางอเมริกาที่กำลังหาคนไป แซะอังกฤษออกจากอิหร่าน ดังนั้นเมื่อ Mossadeq ได้เป็นนายกรัฐมนตรี สมใจอเมริกา และปฏิบัติการยึด Anglo-Iranian Oil จากอังกฤษ มาเป็นของอิหร่าน จึงไม่ถูกต้านทานจากอเมริกา อเมริกาน่าจะประเมิน Mossadeq พลาด การยึด Anglo-Iranian Oil อังกฤษเต้นเป็นเจ้าเข้า โกรธจนเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ กระเทือนยังกับแผ่นดินไหว เตรียมกองทัพจะมาขยี้อิหร่าน อังกฤษซ้อมค้าง ชวนอเมริกาไปขยี้อิหร่านด้วยกัน อเมริกาบอกว่าไม่เห็นด้วยกับการจะใช้กำลังกับอิหร่าน (แหม! ไต๋โผล่เร็วจัง) เจรจากับอิหร่านดีกว่าน่าลูกพี่ อังกฤษไม่ยอม วิ่งจนหัวล้านเปียก ใช้ช่องทางของสหประชาชาติประกาศคว่ำบาตรน้ำมันอิหร่าน และสั่งรวบรวมเด็กในคาถาที่อยู่อิหร่านเตรียมตัวปฏิวัติโค่น Mossadeq อเมริกาไม่เล่นด้วย เราเล่นเองก็ได้ ชาวเกาะชักย๊วะ การคว่ำบาตรน้ำมันอิหร่าน ทำให้ตลาดโลกน้ำมันปั่นป่วน หลังจากนั้นก็มีข่าวลือในวอซิงตันว่อนตามโต๊ะทำงานว่า สหภาพโซเวียตฉวยโอกาสนี้ ยุทหารอิหร่านทำการปฏิวัติและส่งเสริมระบอบคอมมิวนิตส์ในอิหร่านเสียเอง ฮื่ม แก้เกมเก่งนะลูกพี่ แบบนี้อเมริกาก็เลิกลั่ก หันไม่ถูกทางเหมือนกัน แล้วอเมริกาก็สะดุดกับดักของอังกฤษ หันกลับมากดดัน Mossadeq ให้ประนีประนอมกับอังกฤษ Mossadeq ปฏิเสธ อเมริกาชักไม่ชอบใจที่สั่งขวาหันกับ Mossadeq ไม่ได้ อเมริกายังไม่ตัดสินใจว่าจะจัดการอย่างไรดี ข่าวลือมาอีกรอบ น่าสงสัยว่า Mossadeq จะทำงานร่วมกับสหภาพโซเวียตผ่านพวกคอมมิวนิตส์ในอิหร่าน คราวนี้อเมริกาเป็นฝ่านเต้น เข้าใจเล่นจริงลูกพี่ แล้ว CIA ก็จับมือกับหน่วยราชการลับอังกฤษ MI6 จัดการให้มีการปฏิวัติโค่นล้มรัฐบาล Mossadeq ในปี ค.ศ.1953 CIA เรียกว่า “Operation Ajax” Operation Ajax ทำให้ Shah Mohammud Reza Pahlavi กลับมาสู่อำนาจอีกครั้ง และเขารู้ว่าเขาควรจะขอบคุณใคร บ้าง วงการข่าวเล่ากันว่า ในวันครองบัลลังก์ Shah ได้พูดว่ากับนาย Kermit Roosevelt Jr. หัวหน้า CIA ประจำอิหร่านว่า “ขอบคุณพระเจ้า ประชาชนของเรา กองทัพของเรา และท่าน !” หลังจาการปฏิวัติ บริษัทน้ำมันที่อิหร่านยึดมาเป็นของรัฐ ใช้ชื่อว่า National Iranian Oil Company ก็จริง แต่การควบคุมการผลิตและการขายน้ำมันอิหร่าน ตกอยู่ในกำมือของกลุ่มบรรษัทน้ำมันข้ามชาติ ซึ่งแน่นอน พ่วงเอา 5 บริษัทยักษ์ใหญ่ของอเมริกาเข้าไปด้วย กลุ่มอเมริกาได้รับหุ้นน้ำมัน หอมชื่นใจไป 40% ส่วนของ Anglo-Iranian Oil ของอังกฤษ ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น British Petroleum หรือ BP ถูกลดลงมาเหลือ 40% ฝรั่งเศสและดัชท์ในฐานะผู้เข้าร่วมแสดงได้ 20% เหลือ 40% ดีกว่าเหลือแต่ถังน้ำมันเปล่าๆ นักล่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ คงรำพึงด้วยความซ้ำใจ ผลของการยึดบริษัทน้ำมันมาเป็นของรัฐและแรงกดดันของประชาชน ทำให้ส่วนแบ่งรายได้น้ำมันของอิหร่านเพิ่มขึ้นเป็น 50% แต่อิหร่านไม่ได้รับอนุญาตให้ตรวจสอบสมุดบัญชีบริษัท มันเป็นชัยชนะที่จอมปลอม เหมือนชัยชนะของการต่อสู้โดยประชาชนส่วนใหญ่ ที่สุดท้ายแล้วก็โดนหลอกโดนต้มเหมือนเดิม สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 22 กันยายน 2557
    0 Comments 0 Shares 111 Views 0 Reviews
  • “Point2 เปิดตัว e-Tube ระบบส่งข้อมูล RF ผ่านพลาสติก — พลิกโฉมการเชื่อมต่อ AI ระดับดาต้าเซ็นเตอร์”

    ในงาน Open Compute Project Global Summit ที่จัดขึ้นในเดือนตุลาคม 2025 ณ เมืองซานโฮเซ่ บริษัท Point2 Technology ได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่ชื่อว่า “e-Tube” ซึ่งเป็นระบบส่งข้อมูลแบบ RF (Radio Frequency) ผ่านพลาสติก waveguide สำหรับการเชื่อมต่อภายในดาต้าเซ็นเตอร์ โดยมุ่งเป้าไปที่การรองรับงาน AI ที่ต้องการความเร็วสูงและพลังงานต่ำ

    e-Tube ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นทางเลือกใหม่แทนสายทองแดงและสายไฟเบอร์ออปติก โดยมีข้อได้เปรียบหลายด้าน เช่น

    ระยะส่งข้อมูลไกลกว่าสายทองแดงถึง 10 เท่า
    ใช้พลังงานน้อยกว่าการเชื่อมต่อแบบออปติกถึง 3 เท่า
    มี latency ต่ำกว่าถึง 1000 เท่า
    ราคาถูกกว่าการเชื่อมต่อแบบออปติกถึง 3 เท่า

    ระบบนี้ใช้การส่งข้อมูลผ่านคลื่นวิทยุในย่าน millimeter wave โดยใช้พลาสติกเป็นตัวนำคลื่น ซึ่งช่วยลดข้อจำกัดจาก skin effect ที่พบในสายทองแดง และไม่ต้องใช้การแปลงสัญญาณแบบ optical-electrical ที่กินพลังงานสูง

    Point2 ได้ร่วมมือกับ Molex และ Foxconn Interconnect Technology (FIT) เพื่อพัฒนา ecosystem ของสายและหัวเชื่อมต่อที่สามารถใช้งานร่วมกับมาตรฐาน OSFP ได้ทันที โดยมีการสาธิตการใช้งานจริงในรูปแบบ OSFP Pluggable Active RF Cable (ARC) สำหรับการเชื่อมต่อระหว่างแร็คและภายในแร็ค

    อีกหนึ่งการใช้งานสำคัญคือการเชื่อมต่อ GPU accelerator ผ่าน backplane ด้วย e-Tube ซึ่งช่วยให้สามารถขยายคลัสเตอร์ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพึ่งสายทองแดงหรือออปติกที่มีข้อจำกัดด้านระยะและพลังงาน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Point2 เปิดตัว e-Tube ระบบส่งข้อมูล RF ผ่านพลาสติก waveguide
    ใช้คลื่น millimeter wave ส่งข้อมูลผ่านพลาสติก dielectric waveguide
    ระยะส่งข้อมูลไกลกว่าสายทองแดงถึง 10 เท่า
    ใช้พลังงานน้อยกว่าการเชื่อมต่อแบบออปติกถึง 3 เท่า
    latency ต่ำกว่าการเชื่อมต่อแบบออปติกถึง 1000 เท่า
    ราคาถูกกว่าการเชื่อมต่อแบบออปติกถึง 3 เท่า
    ไม่ต้องใช้การแปลงสัญญาณ OE conversion แบบ optical
    รองรับความเร็ว 800G / 1.6T / 3.2T ต่อสาย
    ร่วมมือกับ Molex และ FIT พัฒนา ecosystem สำหรับการใช้งานจริง
    รองรับ OSFP form factor และการเชื่อมต่อ GPU ผ่าน backplane

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    millimeter wave เป็นคลื่นวิทยุที่มีความถี่สูง ใช้ใน 5G และ radar
    dielectric waveguide ทำจากพลาสติกทั่วไป แต่มีคุณสมบัติในการนำคลื่น
    skin effect คือปรากฏการณ์ที่กระแสไฟฟ้าไหลเฉพาะผิวของสายทองแดง ทำให้มีข้อจำกัดด้านความเร็ว
    OE conversion คือการแปลงสัญญาณแสงเป็นไฟฟ้า ซึ่งใช้พลังงานสูงและมี latency
    OSFP (Octal Small Form Factor Pluggable) เป็นมาตรฐานหัวเชื่อมต่อสำหรับความเร็วสูงในดาต้าเซ็นเตอร์

    https://www.techpowerup.com/341677/point2-technology-demos-e-tube-rack-scale-rf-transmission-over-plastic-waveguide-for-ai-interconnect
    🔌 “Point2 เปิดตัว e-Tube ระบบส่งข้อมูล RF ผ่านพลาสติก — พลิกโฉมการเชื่อมต่อ AI ระดับดาต้าเซ็นเตอร์” ในงาน Open Compute Project Global Summit ที่จัดขึ้นในเดือนตุลาคม 2025 ณ เมืองซานโฮเซ่ บริษัท Point2 Technology ได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่ชื่อว่า “e-Tube” ซึ่งเป็นระบบส่งข้อมูลแบบ RF (Radio Frequency) ผ่านพลาสติก waveguide สำหรับการเชื่อมต่อภายในดาต้าเซ็นเตอร์ โดยมุ่งเป้าไปที่การรองรับงาน AI ที่ต้องการความเร็วสูงและพลังงานต่ำ e-Tube ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นทางเลือกใหม่แทนสายทองแดงและสายไฟเบอร์ออปติก โดยมีข้อได้เปรียบหลายด้าน เช่น 🔰 ระยะส่งข้อมูลไกลกว่าสายทองแดงถึง 10 เท่า 🔰 ใช้พลังงานน้อยกว่าการเชื่อมต่อแบบออปติกถึง 3 เท่า 🔰 มี latency ต่ำกว่าถึง 1000 เท่า 🔰 ราคาถูกกว่าการเชื่อมต่อแบบออปติกถึง 3 เท่า ระบบนี้ใช้การส่งข้อมูลผ่านคลื่นวิทยุในย่าน millimeter wave โดยใช้พลาสติกเป็นตัวนำคลื่น ซึ่งช่วยลดข้อจำกัดจาก skin effect ที่พบในสายทองแดง และไม่ต้องใช้การแปลงสัญญาณแบบ optical-electrical ที่กินพลังงานสูง Point2 ได้ร่วมมือกับ Molex และ Foxconn Interconnect Technology (FIT) เพื่อพัฒนา ecosystem ของสายและหัวเชื่อมต่อที่สามารถใช้งานร่วมกับมาตรฐาน OSFP ได้ทันที โดยมีการสาธิตการใช้งานจริงในรูปแบบ OSFP Pluggable Active RF Cable (ARC) สำหรับการเชื่อมต่อระหว่างแร็คและภายในแร็ค อีกหนึ่งการใช้งานสำคัญคือการเชื่อมต่อ GPU accelerator ผ่าน backplane ด้วย e-Tube ซึ่งช่วยให้สามารถขยายคลัสเตอร์ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพึ่งสายทองแดงหรือออปติกที่มีข้อจำกัดด้านระยะและพลังงาน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Point2 เปิดตัว e-Tube ระบบส่งข้อมูล RF ผ่านพลาสติก waveguide ➡️ ใช้คลื่น millimeter wave ส่งข้อมูลผ่านพลาสติก dielectric waveguide ➡️ ระยะส่งข้อมูลไกลกว่าสายทองแดงถึง 10 เท่า ➡️ ใช้พลังงานน้อยกว่าการเชื่อมต่อแบบออปติกถึง 3 เท่า ➡️ latency ต่ำกว่าการเชื่อมต่อแบบออปติกถึง 1000 เท่า ➡️ ราคาถูกกว่าการเชื่อมต่อแบบออปติกถึง 3 เท่า ➡️ ไม่ต้องใช้การแปลงสัญญาณ OE conversion แบบ optical ➡️ รองรับความเร็ว 800G / 1.6T / 3.2T ต่อสาย ➡️ ร่วมมือกับ Molex และ FIT พัฒนา ecosystem สำหรับการใช้งานจริง ➡️ รองรับ OSFP form factor และการเชื่อมต่อ GPU ผ่าน backplane ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ millimeter wave เป็นคลื่นวิทยุที่มีความถี่สูง ใช้ใน 5G และ radar ➡️ dielectric waveguide ทำจากพลาสติกทั่วไป แต่มีคุณสมบัติในการนำคลื่น ➡️ skin effect คือปรากฏการณ์ที่กระแสไฟฟ้าไหลเฉพาะผิวของสายทองแดง ทำให้มีข้อจำกัดด้านความเร็ว ➡️ OE conversion คือการแปลงสัญญาณแสงเป็นไฟฟ้า ซึ่งใช้พลังงานสูงและมี latency ➡️ OSFP (Octal Small Form Factor Pluggable) เป็นมาตรฐานหัวเชื่อมต่อสำหรับความเร็วสูงในดาต้าเซ็นเตอร์ https://www.techpowerup.com/341677/point2-technology-demos-e-tube-rack-scale-rf-transmission-over-plastic-waveguide-for-ai-interconnect
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Point2 Technology Demos e-Tube Rack-Scale RF Transmission Over Plastic Waveguide for AI Interconnect
    Point2 Technology, a leading provider of ultra-low-power, low-latency mixed-signal SoC solutions for scalable interconnects in AI data centers, will showcase its latest advancements in e-Tube RF rack-scale data transmission over plastic waveguides at the upcoming Open Compute Project (OCP) Global Su...
    0 Comments 0 Shares 91 Views 0 Reviews
  • “เทคโนโลยีเบื้องหลังภารกิจ Apollo — จากคอมพิวเตอร์ 4KB สู่แรงบันดาลใจแห่งยุคอวกาศ”

    แม้หลายคนจะรู้จัก Apollo 11 ในฐานะภารกิจที่พามนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์เป็นครั้งแรกในปี 1969 แต่เบื้องหลังความสำเร็จนั้นคือการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนในยุคนั้น และกลายเป็นรากฐานของนวัตกรรมที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้

    หนึ่งในหัวใจของภารกิจคือ Apollo Guidance Computer (AGC) ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ onboard ที่ใช้ควบคุมการนำทางและการบินของยาน Apollo โดยมีหน่วยความจำเพียง 74KB ROM และ 4KB RAM เท่านั้น แต่สามารถควบคุมการลงจอดบนดวงจันทร์ได้อย่างแม่นยำ AGC ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับระบบควบคุมในเครื่องบินสมัยใหม่และแม้แต่สมาร์ตโฟนที่เราใช้ทุกวัน

    ชุดอวกาศของนักบิน Apollo ก็เป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าทางวิศวกรรม โดยใช้วัสดุสังเคราะห์ถึง 12 ชนิด รวมเป็น 25 ชั้น เพื่อป้องกันอุณหภูมิสุดขั้วตั้งแต่ -250°F ถึง +230°F พร้อมระบบสนับสนุนชีวิตแบบไร้สาย และซิปสามชั้นที่สร้างซีลกันอากาศได้อย่างสมบูรณ์

    การสื่อสารระหว่างนักบินกับโลกใช้ระบบ S-Band Transponder ซึ่งสามารถส่งข้อมูลเสียง วิดีโอ และชีวภาพผ่านคลื่นวิทยุจากระยะไกลถึง 30,000 ไมล์จากโลก ระบบนี้ยังสามารถติดตามตำแหน่งของยานและส่งข้อมูลภารกิจกลับมายังศูนย์ควบคุม

    ยาน Saturn V ที่ใช้ส่งนักบินขึ้นสู่อวกาศมีความสูงถึง 363 ฟุต สูงกว่ารูปปั้นเทพีเสรีภาพถึง 60 ฟุต และสามารถสร้างแรงขับได้ถึง 7.6 ล้านปอนด์ ถือเป็นจรวดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ เวลานั้น และเป็นต้นแบบของระบบส่งยานในยุคปัจจุบัน เช่น SLS ของ NASA

    สุดท้ายคือ Command Module หรือที่พักของนักบิน ซึ่งมีขนาดเพียง 3.9 เมตร และเป็นส่วนเดียวของยานที่กลับสู่โลกได้ โดยใช้วัสดุอลูมิเนียมแบบรังผึ้งและแผ่นกันความร้อนที่ออกแบบมาเฉพาะ ปัจจุบัน NASA ยังใช้แนวคิดนี้ในยาน Orion ที่จะพานักบินกลับไปยังดวงจันทร์ในภารกิจ Artemis

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Apollo Program ดำเนินตั้งแต่ปี 1962–1972 รวม 14 ภารกิจ
    AGC มีหน่วยความจำ 74KB ROM และ 4KB RAM
    AGC ใช้ควบคุมการบินและการนำทางของยาน Apollo
    ชุดอวกาศใช้วัสดุสังเคราะห์ 12 ชนิด รวม 25 ชั้น
    ป้องกันอุณหภูมิ -250°F ถึง +230°F และมีระบบสนับสนุนชีวิตแบบไร้สาย
    S-Band Transponder ส่งข้อมูลเสียง วิดีโอ และชีวภาพจากระยะ 30,000 ไมล์
    Saturn V สูง 363 ฟุต สร้างแรงขับ 7.6 ล้านปอนด์
    Command Module มีขนาด 3.9 เมตร ใช้วัสดุอลูมิเนียมรังผึ้งและแผ่นกันความร้อน
    NASA ใช้แนวคิด Command Module ในยาน Orion สำหรับภารกิจ Artemis

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    AGC ถูกพัฒนาโดย MIT Instrumentation Lab และใช้ชิป NOR gate แบบเชื่อมด้วยแรงดัน
    ชุดอวกาศ Apollo มีชื่อเฉพาะ เช่น “Sirius” ของ Neil Armstrong
    S-Band Transponder รวมฟังก์ชัน telemetry, voice, video และ tracking ในระบบเดียว
    Saturn V ใช้ในภารกิจ Skylab และเป็นต้นแบบของจรวด heavy-lift ในยุคใหม่
    Command Module “Columbia” เป็นส่วนเดียวที่กลับสู่โลก และสามารถชมแบบ 3D ได้ผ่าน Smithsonian

    https://www.slashgear.com/1462356/apollo-mission-successful-technology/
    🌕 “เทคโนโลยีเบื้องหลังภารกิจ Apollo — จากคอมพิวเตอร์ 4KB สู่แรงบันดาลใจแห่งยุคอวกาศ” แม้หลายคนจะรู้จัก Apollo 11 ในฐานะภารกิจที่พามนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์เป็นครั้งแรกในปี 1969 แต่เบื้องหลังความสำเร็จนั้นคือการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนในยุคนั้น และกลายเป็นรากฐานของนวัตกรรมที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ หนึ่งในหัวใจของภารกิจคือ Apollo Guidance Computer (AGC) ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ onboard ที่ใช้ควบคุมการนำทางและการบินของยาน Apollo โดยมีหน่วยความจำเพียง 74KB ROM และ 4KB RAM เท่านั้น แต่สามารถควบคุมการลงจอดบนดวงจันทร์ได้อย่างแม่นยำ AGC ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับระบบควบคุมในเครื่องบินสมัยใหม่และแม้แต่สมาร์ตโฟนที่เราใช้ทุกวัน ชุดอวกาศของนักบิน Apollo ก็เป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าทางวิศวกรรม โดยใช้วัสดุสังเคราะห์ถึง 12 ชนิด รวมเป็น 25 ชั้น เพื่อป้องกันอุณหภูมิสุดขั้วตั้งแต่ -250°F ถึง +230°F พร้อมระบบสนับสนุนชีวิตแบบไร้สาย และซิปสามชั้นที่สร้างซีลกันอากาศได้อย่างสมบูรณ์ การสื่อสารระหว่างนักบินกับโลกใช้ระบบ S-Band Transponder ซึ่งสามารถส่งข้อมูลเสียง วิดีโอ และชีวภาพผ่านคลื่นวิทยุจากระยะไกลถึง 30,000 ไมล์จากโลก ระบบนี้ยังสามารถติดตามตำแหน่งของยานและส่งข้อมูลภารกิจกลับมายังศูนย์ควบคุม ยาน Saturn V ที่ใช้ส่งนักบินขึ้นสู่อวกาศมีความสูงถึง 363 ฟุต สูงกว่ารูปปั้นเทพีเสรีภาพถึง 60 ฟุต และสามารถสร้างแรงขับได้ถึง 7.6 ล้านปอนด์ ถือเป็นจรวดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ เวลานั้น และเป็นต้นแบบของระบบส่งยานในยุคปัจจุบัน เช่น SLS ของ NASA สุดท้ายคือ Command Module หรือที่พักของนักบิน ซึ่งมีขนาดเพียง 3.9 เมตร และเป็นส่วนเดียวของยานที่กลับสู่โลกได้ โดยใช้วัสดุอลูมิเนียมแบบรังผึ้งและแผ่นกันความร้อนที่ออกแบบมาเฉพาะ ปัจจุบัน NASA ยังใช้แนวคิดนี้ในยาน Orion ที่จะพานักบินกลับไปยังดวงจันทร์ในภารกิจ Artemis ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Apollo Program ดำเนินตั้งแต่ปี 1962–1972 รวม 14 ภารกิจ ➡️ AGC มีหน่วยความจำ 74KB ROM และ 4KB RAM ➡️ AGC ใช้ควบคุมการบินและการนำทางของยาน Apollo ➡️ ชุดอวกาศใช้วัสดุสังเคราะห์ 12 ชนิด รวม 25 ชั้น ➡️ ป้องกันอุณหภูมิ -250°F ถึง +230°F และมีระบบสนับสนุนชีวิตแบบไร้สาย ➡️ S-Band Transponder ส่งข้อมูลเสียง วิดีโอ และชีวภาพจากระยะ 30,000 ไมล์ ➡️ Saturn V สูง 363 ฟุต สร้างแรงขับ 7.6 ล้านปอนด์ ➡️ Command Module มีขนาด 3.9 เมตร ใช้วัสดุอลูมิเนียมรังผึ้งและแผ่นกันความร้อน ➡️ NASA ใช้แนวคิด Command Module ในยาน Orion สำหรับภารกิจ Artemis ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ AGC ถูกพัฒนาโดย MIT Instrumentation Lab และใช้ชิป NOR gate แบบเชื่อมด้วยแรงดัน ➡️ ชุดอวกาศ Apollo มีชื่อเฉพาะ เช่น “Sirius” ของ Neil Armstrong ➡️ S-Band Transponder รวมฟังก์ชัน telemetry, voice, video และ tracking ในระบบเดียว ➡️ Saturn V ใช้ในภารกิจ Skylab และเป็นต้นแบบของจรวด heavy-lift ในยุคใหม่ ➡️ Command Module “Columbia” เป็นส่วนเดียวที่กลับสู่โลก และสามารถชมแบบ 3D ได้ผ่าน Smithsonian https://www.slashgear.com/1462356/apollo-mission-successful-technology/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Giant Leap: The Technology That Made The Apollo Mission Successful - SlashGear
    For many, it's common knowledge that the Apollo 11 mission successfully landed on the moon, but the technology that got them there was way before its time.
    0 Comments 0 Shares 81 Views 0 Reviews
  • “CEO ใหญ่ชี้ AI จะนำไปสู่การทำงานแค่ 3 วันต่อสัปดาห์ — แต่คำถามคือ ใครจะได้ประโยชน์จริง?”

    ในยุคที่ AI กำลังเปลี่ยนโฉมโลกการทำงานอย่างรวดเร็ว บรรดาผู้นำเทคโนโลยีระดับโลกต่างออกมาแสดงความเห็นว่า “การทำงาน 3 วันต่อสัปดาห์” อาจกลายเป็นความจริงในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะเมื่อ AI เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดงานซ้ำซ้อน และปลดล็อกเวลาส่วนตัวให้กับมนุษย์

    Eric Yuan ซีอีโอของ Zoom กล่าวกับ New York Times ว่า “ทุกบริษัทจะสนับสนุนการทำงาน 3 หรือ 4 วันต่อสัปดาห์” เพราะ AI จะช่วยให้ทุกคนมีเวลามากขึ้น ขณะที่ Bill Gates ก็เคยพูดในหลายเวทีว่า AI อาจทำให้มนุษย์ไม่ต้องทำงานเต็มสัปดาห์อีกต่อไป แม้จะเตือนว่าอาชีพที่เคยคิดว่า AI ทำแทนไม่ได้ เช่น แพทย์หรือครู ก็อาจถูกแทนที่ได้

    Jensen Huang จาก Nvidia เปรียบ AI กับการปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยเชื่อว่ามันจะเปลี่ยนพฤติกรรมทางสังคม และอาจนำไปสู่การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ส่วน Jamie Dimon จาก JPMorgan และ Bernie Sanders ก็เคยพูดถึงแนวโน้มนี้เช่นกัน

    แต่ในอีกด้านหนึ่ง หลายงานวิจัยกลับตั้งคำถามว่า AI จะเพิ่มประสิทธิภาพจริงหรือไม่ เช่น รายงานจาก McKinsey พบว่า 80% ของบริษัทที่ใช้ AI ยังไม่สามารถเพิ่มกำไรได้ และ MIT ระบุว่า 95% ของโครงการ AI ในองค์กรล้มเหลว ขณะที่พนักงานจำนวนมากรู้สึกเบื่อหน่ายและหมดแรงจากการต้องแก้ “งานที่ AI ทำผิด” หรือที่เรียกว่า “AI Workslop”

    แม้จะมีความหวังเรื่องการลดวันทำงาน แต่ก็มีคำถามว่า AI จะลดชั่วโมงทำงาน หรือจะลดจำนวนพนักงานกันแน่ เพราะมีบริษัทอย่าง Klarna ที่ปลดพนักงานจำนวนมากเพื่อใช้ AI แทน ก่อนจะพบปัญหาคุณภาพและต้องถอยกลับ ขณะที่ IBM เลิกจ้างฝ่าย HR แต่จ้างเพิ่มในสายงานโปรแกรมเมอร์และฝ่ายขาย

    สุดท้ายแล้ว คำถามสำคัญคือ: AI จะช่วยให้เราทำงานน้อยลง หรือแค่ทำให้เราทำงานหนักขึ้นในเวลาที่สั้นลง?

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Eric Yuan (Zoom) เชื่อว่าทุกบริษัทจะสนับสนุนการทำงาน 3–4 วันต่อสัปดาห์
    Bill Gates เคยพูดว่า AI อาจทำให้มนุษย์ทำงานแค่ 3 วันต่อสัปดาห์
    Jensen Huang (Nvidia) เปรียบ AI กับการปฏิวัติอุตสาหกรรม และเชื่อว่าจะเปลี่ยนพฤติกรรมสังคม
    Jamie Dimon และ Bernie Sanders ก็เคยพูดถึงแนวโน้มการลดวันทำงาน
    รายงานจาก McKinsey พบว่า 80% ของบริษัทที่ใช้ AI ยังไม่เพิ่มกำไร
    MIT ระบุว่า 95% ของโครงการ AI ในองค์กรล้มเหลว
    พนักงานบางส่วนรู้สึกเบื่อและหมดแรงจากการแก้งานที่ AI ทำผิด
    Klarna ปลดพนักงานจำนวนมากเพื่อใช้ AI ก่อนจะพบปัญหาคุณภาพ
    IBM เลิกจ้างฝ่าย HR แต่จ้างเพิ่มในสายงานเทคโนโลยี
    รายงานจาก Tech.co ระบุว่า 93% ของบริษัทที่ใช้ AI เปิดรับแนวคิดการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การทดลองทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ในหลายประเทศพบว่าพนักงานมีความสุขและประสิทธิภาพดีขึ้น
    AI สามารถช่วยลดงานซ้ำซ้อน เช่น การจัดการเอกสาร การตอบอีเมล หรือการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น
    แนวคิด “digital twin” อาจช่วยให้พนักงานมีตัวแทน AI ทำงานแทนในบางส่วน
    การลดวันทำงานอาจช่วยลดภาวะหมดไฟ (burnout) และเพิ่มคุณภาพชีวิต
    การใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยการฝึกอบรมและการปรับโครงสร้างองค์กร

    https://www.slashgear.com/1984496/eric-yuan-bill-gates-ceo-three-day-work-week-thanks-to-ai/
    🧠 “CEO ใหญ่ชี้ AI จะนำไปสู่การทำงานแค่ 3 วันต่อสัปดาห์ — แต่คำถามคือ ใครจะได้ประโยชน์จริง?” ในยุคที่ AI กำลังเปลี่ยนโฉมโลกการทำงานอย่างรวดเร็ว บรรดาผู้นำเทคโนโลยีระดับโลกต่างออกมาแสดงความเห็นว่า “การทำงาน 3 วันต่อสัปดาห์” อาจกลายเป็นความจริงในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะเมื่อ AI เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดงานซ้ำซ้อน และปลดล็อกเวลาส่วนตัวให้กับมนุษย์ Eric Yuan ซีอีโอของ Zoom กล่าวกับ New York Times ว่า “ทุกบริษัทจะสนับสนุนการทำงาน 3 หรือ 4 วันต่อสัปดาห์” เพราะ AI จะช่วยให้ทุกคนมีเวลามากขึ้น ขณะที่ Bill Gates ก็เคยพูดในหลายเวทีว่า AI อาจทำให้มนุษย์ไม่ต้องทำงานเต็มสัปดาห์อีกต่อไป แม้จะเตือนว่าอาชีพที่เคยคิดว่า AI ทำแทนไม่ได้ เช่น แพทย์หรือครู ก็อาจถูกแทนที่ได้ Jensen Huang จาก Nvidia เปรียบ AI กับการปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยเชื่อว่ามันจะเปลี่ยนพฤติกรรมทางสังคม และอาจนำไปสู่การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ส่วน Jamie Dimon จาก JPMorgan และ Bernie Sanders ก็เคยพูดถึงแนวโน้มนี้เช่นกัน แต่ในอีกด้านหนึ่ง หลายงานวิจัยกลับตั้งคำถามว่า AI จะเพิ่มประสิทธิภาพจริงหรือไม่ เช่น รายงานจาก McKinsey พบว่า 80% ของบริษัทที่ใช้ AI ยังไม่สามารถเพิ่มกำไรได้ และ MIT ระบุว่า 95% ของโครงการ AI ในองค์กรล้มเหลว ขณะที่พนักงานจำนวนมากรู้สึกเบื่อหน่ายและหมดแรงจากการต้องแก้ “งานที่ AI ทำผิด” หรือที่เรียกว่า “AI Workslop” แม้จะมีความหวังเรื่องการลดวันทำงาน แต่ก็มีคำถามว่า AI จะลดชั่วโมงทำงาน หรือจะลดจำนวนพนักงานกันแน่ เพราะมีบริษัทอย่าง Klarna ที่ปลดพนักงานจำนวนมากเพื่อใช้ AI แทน ก่อนจะพบปัญหาคุณภาพและต้องถอยกลับ ขณะที่ IBM เลิกจ้างฝ่าย HR แต่จ้างเพิ่มในสายงานโปรแกรมเมอร์และฝ่ายขาย สุดท้ายแล้ว คำถามสำคัญคือ: AI จะช่วยให้เราทำงานน้อยลง หรือแค่ทำให้เราทำงานหนักขึ้นในเวลาที่สั้นลง? ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Eric Yuan (Zoom) เชื่อว่าทุกบริษัทจะสนับสนุนการทำงาน 3–4 วันต่อสัปดาห์ ➡️ Bill Gates เคยพูดว่า AI อาจทำให้มนุษย์ทำงานแค่ 3 วันต่อสัปดาห์ ➡️ Jensen Huang (Nvidia) เปรียบ AI กับการปฏิวัติอุตสาหกรรม และเชื่อว่าจะเปลี่ยนพฤติกรรมสังคม ➡️ Jamie Dimon และ Bernie Sanders ก็เคยพูดถึงแนวโน้มการลดวันทำงาน ➡️ รายงานจาก McKinsey พบว่า 80% ของบริษัทที่ใช้ AI ยังไม่เพิ่มกำไร ➡️ MIT ระบุว่า 95% ของโครงการ AI ในองค์กรล้มเหลว ➡️ พนักงานบางส่วนรู้สึกเบื่อและหมดแรงจากการแก้งานที่ AI ทำผิด ➡️ Klarna ปลดพนักงานจำนวนมากเพื่อใช้ AI ก่อนจะพบปัญหาคุณภาพ ➡️ IBM เลิกจ้างฝ่าย HR แต่จ้างเพิ่มในสายงานเทคโนโลยี ➡️ รายงานจาก Tech.co ระบุว่า 93% ของบริษัทที่ใช้ AI เปิดรับแนวคิดการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การทดลองทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ในหลายประเทศพบว่าพนักงานมีความสุขและประสิทธิภาพดีขึ้น ➡️ AI สามารถช่วยลดงานซ้ำซ้อน เช่น การจัดการเอกสาร การตอบอีเมล หรือการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ➡️ แนวคิด “digital twin” อาจช่วยให้พนักงานมีตัวแทน AI ทำงานแทนในบางส่วน ➡️ การลดวันทำงานอาจช่วยลดภาวะหมดไฟ (burnout) และเพิ่มคุณภาพชีวิต ➡️ การใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยการฝึกอบรมและการปรับโครงสร้างองค์กร https://www.slashgear.com/1984496/eric-yuan-bill-gates-ceo-three-day-work-week-thanks-to-ai/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    These Big Tech CEOs Think A 3-Day Work Week Is Coming, Thanks To AI - SlashGear
    AI promises productivity gains, and one way that could manifest is by shortening the work week. These tech CEOs think it'll happen, but others are skeptical.
    0 Comments 0 Shares 91 Views 0 Reviews
  • “Jensen Huang ชี้ช่างไฟและช่างประปาจะเป็นฮีโร่แห่งยุค AI — เมื่อการสร้างศูนย์ข้อมูลกลายเป็นภารกิจระดับชาติ”

    ในขณะที่หลายคนกังวลว่า AI จะเข้ามาแทนที่งานมนุษย์ Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia กลับมองต่างออกไป เขาเชื่อว่า “งานช่างฝีมือ” อย่างช่างไฟฟ้าและช่างประปาจะกลายเป็นกลุ่มอาชีพที่มีความต้องการสูงที่สุดในยุค AI โดยเฉพาะในช่วงที่โลกกำลังเร่งสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดมหึมาเพื่อรองรับการประมวลผลของโมเดลอัจฉริยะ

    Huang กล่าวในบทสัมภาษณ์กับ Channel 4 News ว่า “เราจะต้องการช่างไฟฟ้า ช่างประปา และช่างไม้เป็นจำนวนหลายแสนคน เพื่อสร้างโรงงานและศูนย์ข้อมูลเหล่านี้” พร้อมย้ำว่าเศรษฐกิจทุกประเทศจะเห็นการเติบโตของภาคแรงงานฝีมืออย่างชัดเจน

    การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ไม่ใช่เรื่องเล็ก — Huang ระบุว่าการลงทุนจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทุกปี และจะดำเนินต่อเนื่องไปอีกเป็นทศวรรษ โดยเฉพาะในสหราชอาณาจักรที่เขาเชื่อว่าจะกลายเป็นศูนย์กลางของการขยายโครงสร้าง AI

    ไม่ใช่แค่ Huang ที่มองเห็นปัญหานี้ Larry Fink ซีอีโอของ BlackRock ก็เคยเตือนว่า “เรากำลังจะขาดช่างไฟฟ้าอย่างรุนแรง” และ Brad Smith จาก Microsoft ก็ชี้ว่าการขยายศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับวิกฤตแรงงานฝีมืออย่างหนัก

    เพื่อแก้ปัญหา Google ได้ลงทุนหลายล้านดอลลาร์ในโครงการฝึกอบรมช่างไฟฟ้า โดยมีเป้าหมายผลิตแรงงานใหม่กว่า 130,000 คนภายในไม่กี่ปีข้างหน้า ขณะที่การวิเคราะห์จาก CSIS ระบุว่า สหรัฐฯ ต้องการแรงงานฝีมือเพิ่มอีกกว่า 140,000 คนภายในปี 2030 ซึ่งไม่สามารถบรรลุได้หากไม่ปรับปรุงระบบการฝึกอบรมและการออกใบอนุญาต

    แม้จะมีคำเตือนจากหลายฝ่ายว่า AI จะทำให้พนักงานออฟฟิศจำนวนมากตกงาน แต่ Huang กลับมองว่า “คนจะไม่ถูกแทนที่ด้วย AI แต่จะถูกแทนที่ด้วยคนที่ใช้ AI ได้” และหากเขาอายุ 20 ปีอีกครั้ง เขาจะเลือกเรียนสายวิทยาศาสตร์กายภาพมากกว่าวิทยาการคอมพิวเตอร์

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Jensen Huang เชื่อว่าช่างไฟฟ้าและช่างประปาจะเป็นอาชีพที่เติบโตมากที่สุดในยุค AI
    การสร้างศูนย์ข้อมูลต้องใช้แรงงานฝีมือหลายแสนคนทั่วโลก
    การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทุกปี
    สหราชอาณาจักรจะเป็นศูนย์กลางการขยายโครงสร้าง AI ในทศวรรษหน้า
    Larry Fink และ Brad Smith เตือนถึงวิกฤตแรงงานฝีมือในสหรัฐฯ
    Google ลงทุนฝึกอบรมช่างไฟฟ้า 130,000 คนเพื่อรองรับความต้องการ
    CSIS ระบุว่าต้องเพิ่มแรงงานฝีมืออีก 140,000 คนภายในปี 2030
    Huang มองว่า AI จะเปลี่ยนทุกงาน แต่คนที่ใช้ AI ได้จะเป็นผู้ได้เปรียบ
    เขาแนะนำให้คนรุ่นใหม่หันไปเรียนสายวิทยาศาสตร์กายภาพ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การสร้างศูนย์ข้อมูลขนาด 250,000 ตารางฟุตต้องใช้แรงงานก่อสร้างถึง 1,500 คน
    งานช่างฝีมือในศูนย์ข้อมูลมีรายได้เฉลี่ยมากกว่า $100,000 ต่อปี
    การขาดแรงงานฝีมือเกิดจากการลดการฝึกอบรมและนโยบายตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มงวด
    การขยายศูนย์ข้อมูลทั่วโลกอาจใช้เงินลงทุนรวมกว่า $7 ล้านล้านภายในปี 2030
    การสร้างงานในศูนย์ข้อมูลหนึ่งแห่งสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรอบได้ถึง 3.5 เท่า

    https://www.slashgear.com/1987555/nvidia-ceo-ai-trade-jobs-electrians-plumbers/
    🔧 “Jensen Huang ชี้ช่างไฟและช่างประปาจะเป็นฮีโร่แห่งยุค AI — เมื่อการสร้างศูนย์ข้อมูลกลายเป็นภารกิจระดับชาติ” ในขณะที่หลายคนกังวลว่า AI จะเข้ามาแทนที่งานมนุษย์ Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia กลับมองต่างออกไป เขาเชื่อว่า “งานช่างฝีมือ” อย่างช่างไฟฟ้าและช่างประปาจะกลายเป็นกลุ่มอาชีพที่มีความต้องการสูงที่สุดในยุค AI โดยเฉพาะในช่วงที่โลกกำลังเร่งสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดมหึมาเพื่อรองรับการประมวลผลของโมเดลอัจฉริยะ Huang กล่าวในบทสัมภาษณ์กับ Channel 4 News ว่า “เราจะต้องการช่างไฟฟ้า ช่างประปา และช่างไม้เป็นจำนวนหลายแสนคน เพื่อสร้างโรงงานและศูนย์ข้อมูลเหล่านี้” พร้อมย้ำว่าเศรษฐกิจทุกประเทศจะเห็นการเติบโตของภาคแรงงานฝีมืออย่างชัดเจน การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ไม่ใช่เรื่องเล็ก — Huang ระบุว่าการลงทุนจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทุกปี และจะดำเนินต่อเนื่องไปอีกเป็นทศวรรษ โดยเฉพาะในสหราชอาณาจักรที่เขาเชื่อว่าจะกลายเป็นศูนย์กลางของการขยายโครงสร้าง AI ไม่ใช่แค่ Huang ที่มองเห็นปัญหานี้ Larry Fink ซีอีโอของ BlackRock ก็เคยเตือนว่า “เรากำลังจะขาดช่างไฟฟ้าอย่างรุนแรง” และ Brad Smith จาก Microsoft ก็ชี้ว่าการขยายศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับวิกฤตแรงงานฝีมืออย่างหนัก เพื่อแก้ปัญหา Google ได้ลงทุนหลายล้านดอลลาร์ในโครงการฝึกอบรมช่างไฟฟ้า โดยมีเป้าหมายผลิตแรงงานใหม่กว่า 130,000 คนภายในไม่กี่ปีข้างหน้า ขณะที่การวิเคราะห์จาก CSIS ระบุว่า สหรัฐฯ ต้องการแรงงานฝีมือเพิ่มอีกกว่า 140,000 คนภายในปี 2030 ซึ่งไม่สามารถบรรลุได้หากไม่ปรับปรุงระบบการฝึกอบรมและการออกใบอนุญาต แม้จะมีคำเตือนจากหลายฝ่ายว่า AI จะทำให้พนักงานออฟฟิศจำนวนมากตกงาน แต่ Huang กลับมองว่า “คนจะไม่ถูกแทนที่ด้วย AI แต่จะถูกแทนที่ด้วยคนที่ใช้ AI ได้” และหากเขาอายุ 20 ปีอีกครั้ง เขาจะเลือกเรียนสายวิทยาศาสตร์กายภาพมากกว่าวิทยาการคอมพิวเตอร์ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Jensen Huang เชื่อว่าช่างไฟฟ้าและช่างประปาจะเป็นอาชีพที่เติบโตมากที่สุดในยุค AI ➡️ การสร้างศูนย์ข้อมูลต้องใช้แรงงานฝีมือหลายแสนคนทั่วโลก ➡️ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทุกปี ➡️ สหราชอาณาจักรจะเป็นศูนย์กลางการขยายโครงสร้าง AI ในทศวรรษหน้า ➡️ Larry Fink และ Brad Smith เตือนถึงวิกฤตแรงงานฝีมือในสหรัฐฯ ➡️ Google ลงทุนฝึกอบรมช่างไฟฟ้า 130,000 คนเพื่อรองรับความต้องการ ➡️ CSIS ระบุว่าต้องเพิ่มแรงงานฝีมืออีก 140,000 คนภายในปี 2030 ➡️ Huang มองว่า AI จะเปลี่ยนทุกงาน แต่คนที่ใช้ AI ได้จะเป็นผู้ได้เปรียบ ➡️ เขาแนะนำให้คนรุ่นใหม่หันไปเรียนสายวิทยาศาสตร์กายภาพ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การสร้างศูนย์ข้อมูลขนาด 250,000 ตารางฟุตต้องใช้แรงงานก่อสร้างถึง 1,500 คน ➡️ งานช่างฝีมือในศูนย์ข้อมูลมีรายได้เฉลี่ยมากกว่า $100,000 ต่อปี ➡️ การขาดแรงงานฝีมือเกิดจากการลดการฝึกอบรมและนโยบายตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มงวด ➡️ การขยายศูนย์ข้อมูลทั่วโลกอาจใช้เงินลงทุนรวมกว่า $7 ล้านล้านภายในปี 2030 ➡️ การสร้างงานในศูนย์ข้อมูลหนึ่งแห่งสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรอบได้ถึง 3.5 เท่า https://www.slashgear.com/1987555/nvidia-ceo-ai-trade-jobs-electrians-plumbers/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Nvidia CEO Says These Two Trade Jobs Will Be Crucial To The AI Boom - SlashGear
    Nvidia CEO Jensen Huang says trades like electricians and plumbers will be crucial in building the data center infrastructure behind the AI boom.
    0 Comments 0 Shares 99 Views 0 Reviews
  • “AI เขียนรีวิวพนักงานและอีเมลเลิกจ้างแทนผู้จัดการ — เมื่อความเห็นอกเห็นใจถูกแทนที่ด้วยความแม่นยำเชิงกล”

    ผลสำรวจล่าสุดจาก ZeroBounce เผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวัฒนธรรมองค์กรของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการสื่อสารภายในที่เริ่มพึ่งพา AI อย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ช่วยเขียนอีเมลทั่วไป แต่รวมถึงการร่างรีวิวประเมินผลพนักงาน และแม้แต่ข้อความเลิกจ้าง

    กว่า 41% ของผู้จัดการยอมรับว่าเคยใช้ AI ในการเขียนหรือปรับแต่งรีวิวพนักงาน และ 17% ยอมรับว่าเคยใช้ AI ในการร่างอีเมลเลิกจ้าง ซึ่งทำให้เกิดคำถามด้านจริยธรรมและความเห็นอกเห็นใจในที่ทำงาน เพราะพนักงานจำนวนมากรู้สึกว่าเนื้อหาที่ได้รับนั้น “เย็นชา” และ “ไม่มีความเป็นมนุษย์”

    ในฝั่งพนักงานเอง 24% ใช้ AI เป็นประจำในการเขียนหรือแก้ไขอีเมล โดยเฉพาะในสายงานเทคโนโลยี และ 35% เคยใช้ AI ในการร่างข้อความที่มีความอ่อนไหว เช่น การขอเลื่อนงาน การแจ้งปัญหา หรือการตอบกลับหัวหน้า บางคนถึงขั้นรู้สึกว่า “เขียนเองไม่เป็นแล้ว” หากไม่มี AI ช่วย

    ที่น่าตกใจคือ 26% ของพนักงานสงสัยว่ารีวิวประเมินผลที่ได้รับนั้นเขียนโดย AI และ 16% ของผู้ที่ถูกเลิกจ้างเชื่อว่าอีเมลแจ้งเลิกจ้างนั้นไม่ได้เขียนโดยมนุษย์ โดย 20% ยอมรับว่า “ร้องไห้” เมื่ออ่านข้อความที่ไร้ความรู้สึกนั้น

    แม้ผู้จัดการบางคนจะมองว่า AI ช่วยให้การสื่อสารชัดเจนขึ้น แต่พนักงานจำนวนมากกลับรู้สึกว่า “ความจริงใจหายไป” และการใช้ภาษาที่เหมือนกันทุกข้อความทำให้รู้สึกว่าองค์กรไม่เห็นคุณค่าของแต่ละคน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    41% ของผู้จัดการใช้ AI เขียนหรือปรับแต่งรีวิวประเมินผลพนักงาน
    17% ของผู้จัดการใช้ AI เขียนอีเมลเลิกจ้าง
    24% ของพนักงานใช้ AI เป็นประจำในการเขียนหรือแก้ไขอีเมล
    35% เคยใช้ AI ในการร่างข้อความที่มีความอ่อนไหว
    26% สงสัยว่ารีวิวที่ได้รับเขียนโดย AI
    16% ของผู้ถูกเลิกจ้างเชื่อว่าอีเมลแจ้งเลิกจ้างเขียนโดย AI
    20% ของผู้ถูกเลิกจ้างร้องไห้เมื่ออ่านข้อความที่ไร้ความรู้สึก
    พนักงานบางคนรู้สึกว่าไม่สามารถเขียนข้อความเองได้หากไม่มี AI
    ผู้จัดการส่วนใหญ่มั่นใจว่าใช้ AI ได้ดีกว่าพนักงาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    AI ช่วยลดแรงกดดันในการเขียนข้อความในที่ทำงาน โดยเฉพาะในบริบทที่เป็นทางการ
    การใช้ AI ในการสื่อสารภายในองค์กรเริ่มกลายเป็นเรื่องปกติในหลายอุตสาหกรรม
    การเขียนข้อความเลิกจ้างด้วย AI อาจลดความเครียดของผู้จัดการ แต่เพิ่มความเจ็บปวดให้พนักงาน
    การใช้ภาษาที่เหมือนกันทุกข้อความทำให้พนักงานรู้สึกว่าองค์กรไม่ใส่ใจ
    หลายองค์กรเริ่มตั้งนโยบายให้มีการตรวจสอบและปรับแต่งข้อความจาก AI ก่อนส่งจริง

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/huge-numbers-of-managers-admit-to-using-ai-to-convincingly-draft-or-revise-performance-reviews-and-i-fear-it-will-only-accelerate-the-death-of-traditional-hr
    🤖 “AI เขียนรีวิวพนักงานและอีเมลเลิกจ้างแทนผู้จัดการ — เมื่อความเห็นอกเห็นใจถูกแทนที่ด้วยความแม่นยำเชิงกล” ผลสำรวจล่าสุดจาก ZeroBounce เผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวัฒนธรรมองค์กรของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการสื่อสารภายในที่เริ่มพึ่งพา AI อย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ช่วยเขียนอีเมลทั่วไป แต่รวมถึงการร่างรีวิวประเมินผลพนักงาน และแม้แต่ข้อความเลิกจ้าง กว่า 41% ของผู้จัดการยอมรับว่าเคยใช้ AI ในการเขียนหรือปรับแต่งรีวิวพนักงาน และ 17% ยอมรับว่าเคยใช้ AI ในการร่างอีเมลเลิกจ้าง ซึ่งทำให้เกิดคำถามด้านจริยธรรมและความเห็นอกเห็นใจในที่ทำงาน เพราะพนักงานจำนวนมากรู้สึกว่าเนื้อหาที่ได้รับนั้น “เย็นชา” และ “ไม่มีความเป็นมนุษย์” ในฝั่งพนักงานเอง 24% ใช้ AI เป็นประจำในการเขียนหรือแก้ไขอีเมล โดยเฉพาะในสายงานเทคโนโลยี และ 35% เคยใช้ AI ในการร่างข้อความที่มีความอ่อนไหว เช่น การขอเลื่อนงาน การแจ้งปัญหา หรือการตอบกลับหัวหน้า บางคนถึงขั้นรู้สึกว่า “เขียนเองไม่เป็นแล้ว” หากไม่มี AI ช่วย ที่น่าตกใจคือ 26% ของพนักงานสงสัยว่ารีวิวประเมินผลที่ได้รับนั้นเขียนโดย AI และ 16% ของผู้ที่ถูกเลิกจ้างเชื่อว่าอีเมลแจ้งเลิกจ้างนั้นไม่ได้เขียนโดยมนุษย์ โดย 20% ยอมรับว่า “ร้องไห้” เมื่ออ่านข้อความที่ไร้ความรู้สึกนั้น แม้ผู้จัดการบางคนจะมองว่า AI ช่วยให้การสื่อสารชัดเจนขึ้น แต่พนักงานจำนวนมากกลับรู้สึกว่า “ความจริงใจหายไป” และการใช้ภาษาที่เหมือนกันทุกข้อความทำให้รู้สึกว่าองค์กรไม่เห็นคุณค่าของแต่ละคน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ 41% ของผู้จัดการใช้ AI เขียนหรือปรับแต่งรีวิวประเมินผลพนักงาน ➡️ 17% ของผู้จัดการใช้ AI เขียนอีเมลเลิกจ้าง ➡️ 24% ของพนักงานใช้ AI เป็นประจำในการเขียนหรือแก้ไขอีเมล ➡️ 35% เคยใช้ AI ในการร่างข้อความที่มีความอ่อนไหว ➡️ 26% สงสัยว่ารีวิวที่ได้รับเขียนโดย AI ➡️ 16% ของผู้ถูกเลิกจ้างเชื่อว่าอีเมลแจ้งเลิกจ้างเขียนโดย AI ➡️ 20% ของผู้ถูกเลิกจ้างร้องไห้เมื่ออ่านข้อความที่ไร้ความรู้สึก ➡️ พนักงานบางคนรู้สึกว่าไม่สามารถเขียนข้อความเองได้หากไม่มี AI ➡️ ผู้จัดการส่วนใหญ่มั่นใจว่าใช้ AI ได้ดีกว่าพนักงาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ AI ช่วยลดแรงกดดันในการเขียนข้อความในที่ทำงาน โดยเฉพาะในบริบทที่เป็นทางการ ➡️ การใช้ AI ในการสื่อสารภายในองค์กรเริ่มกลายเป็นเรื่องปกติในหลายอุตสาหกรรม ➡️ การเขียนข้อความเลิกจ้างด้วย AI อาจลดความเครียดของผู้จัดการ แต่เพิ่มความเจ็บปวดให้พนักงาน ➡️ การใช้ภาษาที่เหมือนกันทุกข้อความทำให้พนักงานรู้สึกว่าองค์กรไม่ใส่ใจ ➡️ หลายองค์กรเริ่มตั้งนโยบายให้มีการตรวจสอบและปรับแต่งข้อความจาก AI ก่อนส่งจริง https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/huge-numbers-of-managers-admit-to-using-ai-to-convincingly-draft-or-revise-performance-reviews-and-i-fear-it-will-only-accelerate-the-death-of-traditional-hr
    0 Comments 0 Shares 159 Views 0 Reviews
  • “Personal Data Storage — เมื่อข้อมูลของคุณไม่ควรถูกครอบครองโดยใครนอกจากตัวคุณเอง”

    ในยุคที่ข้อมูลส่วนตัวกลายเป็นสินค้าของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ แนวคิด “Personal Data Storage” หรือการเก็บข้อมูลส่วนตัวในพื้นที่ที่ผู้ใช้ควบคุมเอง กำลังกลับมาเป็นกระแสอีกครั้ง โดยมีนักคิดอย่าง Sir Tim Berners-Lee ผู้สร้างเวิลด์ไวด์เว็บ เป็นผู้ผลักดันแนวทางนี้ผ่านโปรโตคอลชื่อ Solid

    Solid คือระบบที่ให้ผู้ใช้เก็บข้อมูลของตนเองไว้ใน “Pod” หรือพื้นที่จัดเก็บข้อมูลส่วนตัว ซึ่งสามารถเลือกได้ว่าจะเก็บไว้ในเครื่องของตนเอง หรือในเซิร์ฟเวอร์ที่เชื่อถือได้ เช่น สหกรณ์ข้อมูล (Data Coop) หรือองค์กรที่ดำเนินงานแบบโปร่งใสและไม่แสวงหากำไร

    แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ — ย้อนกลับไปปี 2009 Berners-Lee เคยเสนอ “Socially Aware Cloud Storage” ที่ให้ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลผ่าน URI และระบบสิทธิ์แบบกระจาย แต่ในยุคนั้นยังไม่มีแรงผลักดันมากพอ จนกระทั่งเกิดวิกฤติความเป็นส่วนตัวหลายครั้งในช่วงปี 2010s ทำให้แนวคิด Solid ได้รับการสนับสนุนมากขึ้น

    นอกจาก Solid ยังมี AT Protocol ที่พัฒนาโดยทีม Bluesky ซึ่งเน้นการสร้างเครือข่ายสังคมแบบเปิด โดยให้ผู้ใช้เป็นเจ้าของข้อมูลของตนเอง เช่น การใช้โดเมนส่วนตัวเป็น “internet handle” (@alice.com) และเก็บข้อมูลโพสต์ ไลก์ และการติดตามไว้ใน “Personal Data Server” ที่ผู้ใช้ควบคุมได้

    แนวทางนี้กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการอิสระจากแพลตฟอร์มแบบปิด เช่น Facebook หรือ Twitter โดยมีการตั้งองค์กรร่วมดูแลข้อมูล เช่น Blacksky, Tangled และ Northsky ซึ่งทำหน้าที่คล้ายสหกรณ์ข้อมูลที่ผู้ใช้เป็นเจ้าของร่วมกัน

    เป้าหมายของแนวคิดนี้คือการเปลี่ยนบทสนทนาเรื่อง “สิทธิ์ในการดาวน์โหลดข้อมูลจากแพลตฟอร์ม” ไปสู่ “สิทธิ์ในการให้แพลตฟอร์มเข้าถึงข้อมูลของเรา” — และเฉพาะเมื่อเราอนุญาตเท่านั้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Personal Data Storage คือแนวคิดที่ให้ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลของตนเอง
    Solid Protocol พัฒนาโดย Tim Berners-Lee เพื่อให้ผู้ใช้เก็บข้อมูลใน Pod ส่วนตัว
    AT Protocol โดย Bluesky ใช้แนวทางคล้ายกัน โดยให้ผู้ใช้มี “internet handle” เป็นของตนเอง
    ข้อมูลผู้ใช้ เช่น โพสต์ ไลก์ และการติดตาม ถูกเก็บไว้ใน Personal Data Server
    ผู้ใช้สามารถเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่เชื่อถือได้ เช่น สหกรณ์ข้อมูลหรือองค์กรชุมชน
    แนวคิดนี้เปลี่ยนจากการให้แพลตฟอร์มเก็บข้อมูล ไปสู่การให้ผู้ใช้เป็นเจ้าของข้อมูล
    มีองค์กรร่วมดูแลข้อมูล เช่น Blacksky, Tangled, Northsky ที่ดำเนินงานแบบโปร่งใส
    Solid และ AT Protocol เป็นตัวอย่างของการสร้าง Open Social Web ที่ผู้ใช้ควบคุมได้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Solid ใช้ระบบสิทธิ์แบบ declarative เช่น “Alice สามารถอ่านไฟล์นี้”
    AT Protocol ใช้โดเมนเป็นตัวแทนตัวตน เช่น @bob.com
    สหกรณ์ข้อมูล (Data Coop) คล้ายกับสหกรณ์เครดิตในระบบธนาคาร
    การเก็บข้อมูลใน Pod ช่วยลดความเสี่ยงจากการละเมิดความเป็นส่วนตัว
    แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรอย่าง ODI และ MIT

    https://blog.muni.town/personal-data-storage-idea/
    🔐 “Personal Data Storage — เมื่อข้อมูลของคุณไม่ควรถูกครอบครองโดยใครนอกจากตัวคุณเอง” ในยุคที่ข้อมูลส่วนตัวกลายเป็นสินค้าของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ แนวคิด “Personal Data Storage” หรือการเก็บข้อมูลส่วนตัวในพื้นที่ที่ผู้ใช้ควบคุมเอง กำลังกลับมาเป็นกระแสอีกครั้ง โดยมีนักคิดอย่าง Sir Tim Berners-Lee ผู้สร้างเวิลด์ไวด์เว็บ เป็นผู้ผลักดันแนวทางนี้ผ่านโปรโตคอลชื่อ Solid Solid คือระบบที่ให้ผู้ใช้เก็บข้อมูลของตนเองไว้ใน “Pod” หรือพื้นที่จัดเก็บข้อมูลส่วนตัว ซึ่งสามารถเลือกได้ว่าจะเก็บไว้ในเครื่องของตนเอง หรือในเซิร์ฟเวอร์ที่เชื่อถือได้ เช่น สหกรณ์ข้อมูล (Data Coop) หรือองค์กรที่ดำเนินงานแบบโปร่งใสและไม่แสวงหากำไร แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ — ย้อนกลับไปปี 2009 Berners-Lee เคยเสนอ “Socially Aware Cloud Storage” ที่ให้ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลผ่าน URI และระบบสิทธิ์แบบกระจาย แต่ในยุคนั้นยังไม่มีแรงผลักดันมากพอ จนกระทั่งเกิดวิกฤติความเป็นส่วนตัวหลายครั้งในช่วงปี 2010s ทำให้แนวคิด Solid ได้รับการสนับสนุนมากขึ้น นอกจาก Solid ยังมี AT Protocol ที่พัฒนาโดยทีม Bluesky ซึ่งเน้นการสร้างเครือข่ายสังคมแบบเปิด โดยให้ผู้ใช้เป็นเจ้าของข้อมูลของตนเอง เช่น การใช้โดเมนส่วนตัวเป็น “internet handle” (@alice.com) และเก็บข้อมูลโพสต์ ไลก์ และการติดตามไว้ใน “Personal Data Server” ที่ผู้ใช้ควบคุมได้ แนวทางนี้กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการอิสระจากแพลตฟอร์มแบบปิด เช่น Facebook หรือ Twitter โดยมีการตั้งองค์กรร่วมดูแลข้อมูล เช่น Blacksky, Tangled และ Northsky ซึ่งทำหน้าที่คล้ายสหกรณ์ข้อมูลที่ผู้ใช้เป็นเจ้าของร่วมกัน เป้าหมายของแนวคิดนี้คือการเปลี่ยนบทสนทนาเรื่อง “สิทธิ์ในการดาวน์โหลดข้อมูลจากแพลตฟอร์ม” ไปสู่ “สิทธิ์ในการให้แพลตฟอร์มเข้าถึงข้อมูลของเรา” — และเฉพาะเมื่อเราอนุญาตเท่านั้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Personal Data Storage คือแนวคิดที่ให้ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลของตนเอง ➡️ Solid Protocol พัฒนาโดย Tim Berners-Lee เพื่อให้ผู้ใช้เก็บข้อมูลใน Pod ส่วนตัว ➡️ AT Protocol โดย Bluesky ใช้แนวทางคล้ายกัน โดยให้ผู้ใช้มี “internet handle” เป็นของตนเอง ➡️ ข้อมูลผู้ใช้ เช่น โพสต์ ไลก์ และการติดตาม ถูกเก็บไว้ใน Personal Data Server ➡️ ผู้ใช้สามารถเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่เชื่อถือได้ เช่น สหกรณ์ข้อมูลหรือองค์กรชุมชน ➡️ แนวคิดนี้เปลี่ยนจากการให้แพลตฟอร์มเก็บข้อมูล ไปสู่การให้ผู้ใช้เป็นเจ้าของข้อมูล ➡️ มีองค์กรร่วมดูแลข้อมูล เช่น Blacksky, Tangled, Northsky ที่ดำเนินงานแบบโปร่งใส ➡️ Solid และ AT Protocol เป็นตัวอย่างของการสร้าง Open Social Web ที่ผู้ใช้ควบคุมได้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Solid ใช้ระบบสิทธิ์แบบ declarative เช่น “Alice สามารถอ่านไฟล์นี้” ➡️ AT Protocol ใช้โดเมนเป็นตัวแทนตัวตน เช่น @bob.com ➡️ สหกรณ์ข้อมูล (Data Coop) คล้ายกับสหกรณ์เครดิตในระบบธนาคาร ➡️ การเก็บข้อมูลใน Pod ช่วยลดความเสี่ยงจากการละเมิดความเป็นส่วนตัว ➡️ แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรอย่าง ODI และ MIT https://blog.muni.town/personal-data-storage-idea/
    BLOG.MUNI.TOWN
    Personal data storage is an idea whose time has come
    Data Ownership as a conversation changes when data resides primarily with people-governed institutions rather than corporations.
    0 Comments 0 Shares 148 Views 0 Reviews
  • เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 2 – อิรัก 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 2”
    อิรัก 2
ในที่สุดชาวอิรัก ก็ทนเห็นประเทศตัวเอง เป็นหุ่นเชิดของอังกฤษต่อไปอีกไม่ไหว จึงเริ่มบีบกษัตริย์ Faisal ให้เจรจากับอังกฤษ ลดอำนาจการปกครองอังกฤษในอิรักลงบ้าง อย่าให้มันออกหน้าออกตาขนาดนี้เลย การเจรจาใช้เวลาอยู่หลายปี ในที่สุด Anglo – Iraqi Treaty ก็คลอดในปี ค.ศ. 1930 Faisal ไม่ได้เป็นคนมาลงนามในสัญญานี้ ส่งใบลาป่วย อ้างว่าไส้ติ่งอักเสบกระทันหัน
    Treaty นี้ ก็ยังให้สิทธิพิเศษแก่คนอังกฤษ ที่เป็นตัวแทนรัฐบาลอังกฤษ และลูกจ้างรัฐบาลอังกฤษ ที่อังกฤษส่งมาทำงานในอิรักเหมือนเดิม ที่ดูเหมือนเปลี่ยนไป คือ ข้อตกลงนี้ระบุว่างานบริหารภายในประเทศ ให้เป็นความรับผิดชอบของกษัตริย์ Faisal ส่วนอังกฤษจะรับผิดชอบ ดูแลปกป้องอิรัก จากการจู่โจมภายนอก (แหม ! มันคลับคล้ายเหมือนสัญญาอะไรหนอ ที่สมันน้อยไปทำไว้กับใครเขาทำนองนี้ เมื่อ 60 กว่าปีก่อน)
    และเพื่อให้อังกฤษสามารถปกป้องอิรักได้เต็มที่ อิรักก็จะต้องให้อังกฤษเช่าสนามบิน โดยไม่คิดค่าเช่า สัญญานี้มีอายุ 25 ปี และจะมีผลต่อเมื่ออิรัก ได้เข้าไปเป็นสมาชิกของสันนิบาตชาติ League of Nations ในฐานะประเทศเอกราช
    อิรักขมักเขม้นทำการบ้าน โดยความหวังที่จะเป็นเอกราช ปลดแอกอังกฤษออกจากบ่า ค.ศ. 1932 สันนิบาตชาติ ซึ่งคุมโดยขาใหญ่ที่ชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 (ก็อังกฤษกับฝรั่งเศสนั่นแหละ !) ก็รับอิรักเข้าเป็นสมาชิก คงใช้เวลานานหน่อยกว่าอิรักจะรู้ตัวว่า เขาแค่เปลี่ยนยี่ห้อหม้อต้มเหยื่อเท่านั้นเอง จะหม้อต้มยี่ห้อไหน ก็ผลิตมาจากโรงงานเดียวกัน
    แต่อิรักไม่ใช่ชาติที่จะยอม งอมืออยู่อย่างนั้น พวกเขาเดินหน้า หาทางหักกับอังกฤษต่อไป รัฐบาลอิรักพยายามแข็งข้อกับอังกฤษอยู่หลายรอบ ครั้งสำคัญคือ ค.ศ. 1941 สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มมาใกล้ตัว สภาอิรักลงมติไม่สนับสนุนอังกฤษ ในการประกาศสงครามกับเยอรมัน !
    อังกฤษเหมือนโดนตีแซกหน้า! ยกทัพเต็มอัตรามาเต็มเมืองอิรัก แล้วปลดรัฐบาลอิรักที่มาจากการ เลือกตั้ง เอานักการเมืองที่ฝักฝ่าย อังกฤษเข้ามาเป็นรัฐบาลแทน กษัตริย์ Faisal ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนอีก ตอนที่เซ็นสัญญา Anglo-Iraq : Treaty ก็ส่งใบลาป่วยว่าใส้ติ่งอักเสบส่งตัวแทนมา คราวนี้ไม่รู้อะไรอักเสบ
    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบ ความสงบในอิรักยิ่งหายาก ชาวอิรักต้องการเป็นอิสระจากแอกของอังกฤษ พวกเขาผลัดเปลี่ยนกันต่อต้านและต่อสู้ แต่กำลังอาวุธมันต่างกัน และที่สำคัญหนอนบ่อนไส้ ที่เป็นชาวอิรัก ที่อังกฤษชุบเลี้ยงไว้ให้ทำงาน ยังมีอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญๆ
    แต่ในที่สุดราชวงศ์ Hashemite ที่น่าสงสาร ถูกหลอก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็ถูกโค่นในปี ค.ศ. 1958 อังกฤษปล่อยมือจากการชักหุ่น หุ่นไม่มีเชือกชัก ตกพลั่กลงพื้น กษัตริย์ และราชวงศ์ Hashemite ถูกจับติดคุก และถูกตัดสินประหารชีวิตในที่สุด โดยอังกฤษไม่ยื่นมือ ไม่เหลียวมามอง ได้แต่เก็บของ รีบกลับเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ของตนอย่างรีบด่วน อย่างเดียว
    แต่ฉากสุดท้ายนี้ มันน่าคิด อยู่ดี ๆ กษัตริย์ Hussein แห่งจอร์แดน ซึ่งเป็นญาติสนิทของ Faisal และเป็นหุ่นเชิดของอังกฤษเช่นเดียวกัน เกิดประสาทว่าพวกที่ลุกฮือ ไล่ฝรั่งตะวันตกที่เลบานอน จะเลยเถิดเข้ามาถึงจอร์แดนด้วย ขอแรงอิรักส่งกองทัพมาช่วยไล่หน่อยเถิด บรรดาทหารหาญของอิรัก จึงจัดแจงแต่งเครื่องแบบติดอาวุธกองทัพ มุ่งหน้าจะไปจอร์แดน
    แต่แล้วท่านนายพลคนหนึ่ง Colonel Abd as Salaam Arif ก็สั่งให้กองทัพเลี้ยวกลับมาสู่แบกแดด ส่องปืนใหญ่มาที่วังของ Hashemite เป็นการปฏิวัติของทหารอิรักชนิดไม่เสียเลือดเนื้อ ไม่มีผู้ต่อต้าน และไม่มีผู้รู้ตัว ขุนนางอิรัก Nuri as Said ที่เป็นขุนคอยพยักให้อังกฤษถูกจับก่อนเพื่อน ระหว่างที่พยายามจะหนี โดยปลอมตัวเป็นผู้หญิง หลังจากนั้นพวกกษัตริย์และราชวงศ์ก็โดนรวบตัว ชาวอิรักต่างไปชุมนุมอยู่หน้าสถานทูตอังกฤษ ด่าทอ ขว้างปา พวกเขามองว่า อังกฤษกับ Hashemite เป็นตัวแทนของกันและกัน
    เป็นการจบฉากของชาวเกาะผู้ยิ่งใหญ่ในอิรัก ที่ไม่สวยงามตั้งแต่เริ่มต้นวันแรก จนถึงวันสุดท้าย
    ผมจะไม่แปลกใจเลย ถ้าเหตุการณ์รุนแรง ที่กำลังดำเนินอยู่ในอิรักขณะนี้ โดยเฉพาะที่ Mosul ถึงขนาดที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษ มายืนแถลงเมื่อไม่นานมานี้ เลื่อนอันดับภัยจากผู้ก่อการร้าย ในอังกฤษขึ้นสูงถึงระดับรุนแรง (Severe) เนื่องจากเหตุการณ์ในอิรักและซีเรีย มันจะมีรากยาวฝั่งลึก ย้อนไปได้ถึง 100 ปี
    แม้อังกฤษจะเก็บของกลับเกาะไปแล้ว แต่อังกฤษได้ทิ้งพิษร้ายค้างอยู่ในอิรัก มันมาจากแผนการต้ม การเคี้ยวเหยื่อ ตั้งแต่ต้น มันเป็นแผนที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่าง เผ่าพันธ์และธรรมเนียมประเพณีทางศาสนา อย่างน่าสงสารของเหยื่อ
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
12 ก.ย. 57
    เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 2 – อิรัก 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 2” อิรัก 2
ในที่สุดชาวอิรัก ก็ทนเห็นประเทศตัวเอง เป็นหุ่นเชิดของอังกฤษต่อไปอีกไม่ไหว จึงเริ่มบีบกษัตริย์ Faisal ให้เจรจากับอังกฤษ ลดอำนาจการปกครองอังกฤษในอิรักลงบ้าง อย่าให้มันออกหน้าออกตาขนาดนี้เลย การเจรจาใช้เวลาอยู่หลายปี ในที่สุด Anglo – Iraqi Treaty ก็คลอดในปี ค.ศ. 1930 Faisal ไม่ได้เป็นคนมาลงนามในสัญญานี้ ส่งใบลาป่วย อ้างว่าไส้ติ่งอักเสบกระทันหัน Treaty นี้ ก็ยังให้สิทธิพิเศษแก่คนอังกฤษ ที่เป็นตัวแทนรัฐบาลอังกฤษ และลูกจ้างรัฐบาลอังกฤษ ที่อังกฤษส่งมาทำงานในอิรักเหมือนเดิม ที่ดูเหมือนเปลี่ยนไป คือ ข้อตกลงนี้ระบุว่างานบริหารภายในประเทศ ให้เป็นความรับผิดชอบของกษัตริย์ Faisal ส่วนอังกฤษจะรับผิดชอบ ดูแลปกป้องอิรัก จากการจู่โจมภายนอก (แหม ! มันคลับคล้ายเหมือนสัญญาอะไรหนอ ที่สมันน้อยไปทำไว้กับใครเขาทำนองนี้ เมื่อ 60 กว่าปีก่อน) และเพื่อให้อังกฤษสามารถปกป้องอิรักได้เต็มที่ อิรักก็จะต้องให้อังกฤษเช่าสนามบิน โดยไม่คิดค่าเช่า สัญญานี้มีอายุ 25 ปี และจะมีผลต่อเมื่ออิรัก ได้เข้าไปเป็นสมาชิกของสันนิบาตชาติ League of Nations ในฐานะประเทศเอกราช อิรักขมักเขม้นทำการบ้าน โดยความหวังที่จะเป็นเอกราช ปลดแอกอังกฤษออกจากบ่า ค.ศ. 1932 สันนิบาตชาติ ซึ่งคุมโดยขาใหญ่ที่ชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 (ก็อังกฤษกับฝรั่งเศสนั่นแหละ !) ก็รับอิรักเข้าเป็นสมาชิก คงใช้เวลานานหน่อยกว่าอิรักจะรู้ตัวว่า เขาแค่เปลี่ยนยี่ห้อหม้อต้มเหยื่อเท่านั้นเอง จะหม้อต้มยี่ห้อไหน ก็ผลิตมาจากโรงงานเดียวกัน แต่อิรักไม่ใช่ชาติที่จะยอม งอมืออยู่อย่างนั้น พวกเขาเดินหน้า หาทางหักกับอังกฤษต่อไป รัฐบาลอิรักพยายามแข็งข้อกับอังกฤษอยู่หลายรอบ ครั้งสำคัญคือ ค.ศ. 1941 สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มมาใกล้ตัว สภาอิรักลงมติไม่สนับสนุนอังกฤษ ในการประกาศสงครามกับเยอรมัน ! อังกฤษเหมือนโดนตีแซกหน้า! ยกทัพเต็มอัตรามาเต็มเมืองอิรัก แล้วปลดรัฐบาลอิรักที่มาจากการ เลือกตั้ง เอานักการเมืองที่ฝักฝ่าย อังกฤษเข้ามาเป็นรัฐบาลแทน กษัตริย์ Faisal ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนอีก ตอนที่เซ็นสัญญา Anglo-Iraq : Treaty ก็ส่งใบลาป่วยว่าใส้ติ่งอักเสบส่งตัวแทนมา คราวนี้ไม่รู้อะไรอักเสบ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบ ความสงบในอิรักยิ่งหายาก ชาวอิรักต้องการเป็นอิสระจากแอกของอังกฤษ พวกเขาผลัดเปลี่ยนกันต่อต้านและต่อสู้ แต่กำลังอาวุธมันต่างกัน และที่สำคัญหนอนบ่อนไส้ ที่เป็นชาวอิรัก ที่อังกฤษชุบเลี้ยงไว้ให้ทำงาน ยังมีอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญๆ แต่ในที่สุดราชวงศ์ Hashemite ที่น่าสงสาร ถูกหลอก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็ถูกโค่นในปี ค.ศ. 1958 อังกฤษปล่อยมือจากการชักหุ่น หุ่นไม่มีเชือกชัก ตกพลั่กลงพื้น กษัตริย์ และราชวงศ์ Hashemite ถูกจับติดคุก และถูกตัดสินประหารชีวิตในที่สุด โดยอังกฤษไม่ยื่นมือ ไม่เหลียวมามอง ได้แต่เก็บของ รีบกลับเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ของตนอย่างรีบด่วน อย่างเดียว แต่ฉากสุดท้ายนี้ มันน่าคิด อยู่ดี ๆ กษัตริย์ Hussein แห่งจอร์แดน ซึ่งเป็นญาติสนิทของ Faisal และเป็นหุ่นเชิดของอังกฤษเช่นเดียวกัน เกิดประสาทว่าพวกที่ลุกฮือ ไล่ฝรั่งตะวันตกที่เลบานอน จะเลยเถิดเข้ามาถึงจอร์แดนด้วย ขอแรงอิรักส่งกองทัพมาช่วยไล่หน่อยเถิด บรรดาทหารหาญของอิรัก จึงจัดแจงแต่งเครื่องแบบติดอาวุธกองทัพ มุ่งหน้าจะไปจอร์แดน แต่แล้วท่านนายพลคนหนึ่ง Colonel Abd as Salaam Arif ก็สั่งให้กองทัพเลี้ยวกลับมาสู่แบกแดด ส่องปืนใหญ่มาที่วังของ Hashemite เป็นการปฏิวัติของทหารอิรักชนิดไม่เสียเลือดเนื้อ ไม่มีผู้ต่อต้าน และไม่มีผู้รู้ตัว ขุนนางอิรัก Nuri as Said ที่เป็นขุนคอยพยักให้อังกฤษถูกจับก่อนเพื่อน ระหว่างที่พยายามจะหนี โดยปลอมตัวเป็นผู้หญิง หลังจากนั้นพวกกษัตริย์และราชวงศ์ก็โดนรวบตัว ชาวอิรักต่างไปชุมนุมอยู่หน้าสถานทูตอังกฤษ ด่าทอ ขว้างปา พวกเขามองว่า อังกฤษกับ Hashemite เป็นตัวแทนของกันและกัน เป็นการจบฉากของชาวเกาะผู้ยิ่งใหญ่ในอิรัก ที่ไม่สวยงามตั้งแต่เริ่มต้นวันแรก จนถึงวันสุดท้าย ผมจะไม่แปลกใจเลย ถ้าเหตุการณ์รุนแรง ที่กำลังดำเนินอยู่ในอิรักขณะนี้ โดยเฉพาะที่ Mosul ถึงขนาดที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษ มายืนแถลงเมื่อไม่นานมานี้ เลื่อนอันดับภัยจากผู้ก่อการร้าย ในอังกฤษขึ้นสูงถึงระดับรุนแรง (Severe) เนื่องจากเหตุการณ์ในอิรักและซีเรีย มันจะมีรากยาวฝั่งลึก ย้อนไปได้ถึง 100 ปี แม้อังกฤษจะเก็บของกลับเกาะไปแล้ว แต่อังกฤษได้ทิ้งพิษร้ายค้างอยู่ในอิรัก มันมาจากแผนการต้ม การเคี้ยวเหยื่อ ตั้งแต่ต้น มันเป็นแผนที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่าง เผ่าพันธ์และธรรมเนียมประเพณีทางศาสนา อย่างน่าสงสารของเหยื่อ สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
12 ก.ย. 57
    0 Comments 0 Shares 275 Views 0 Reviews
  • เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 2 – อิรัก 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 2”
    อิรัก 1
ระหว่างที่ฝรั่งตะวันตกผู้ชนะสงคราม กำลังวุ่นอยู่กับการแบ่งสมบัติที่ไปได้ มาจากการหลอกต้มเหยื่อ เหยื่อก็นั่งเหม่อ มึนงง สับสน ตกลงพวกเราจะได้เป็นเจ้าของดินแดนไหมหนอ อย่าว่าจะเป็นเจ้าของเลย จะมีที่ให้หย่อนก้น ปักหลักตั้งกระโจม ตรงไหนก็ยังไม่รู้เล้ย
    ข้อตกลงที่ปารีส Paris Conference และโดยสันนิบาตชาติ ที่ตกลงจะแบ่งดินแดนของเหยื่อ ระหว่างผู้ล่า ทำท่าจะล่ม
    ข้อตกลงที่ตุรกี จะยอมตัดทิ้งดินแดนหลายส่วน ซึ่งลงนามโดยซากของรัฐบาลออตโตมาน ในที่สุด ก็ไม่ได้รับการยินยอมจากพวกยังเตอร์ก ที่เริ่มก่อการและปฏิวัติแยกตุรกีออกมาเป็นรัฐอิสระหลังจากสงครามโลกจบลง
    แต่อังกฤษกับฝรั่งเศสก็ยังเดินหน้าแบ่งสมบัติกันต่อ อย่างไม่ลงตัว ฝรั่งเศสบอก อังกฤษตกลงอะไรแล้วเบี้ยวตลอด ก็คงจะจริง นาน ๆ ผมจะเห็นด้วยกับฝรั่งเศสเสียที เห็นด้วย แต่ไม่ได้เห็นใจนะครับ
    ในที่สุดอังกฤษก็ตัดใจ บอกให้ฝรั่งเศสเอาซีเรียกับเลบานอนไปก็แล้วกัน
    แต่ขณะนั้น Faisal ลูกชายของ Sharif Hussein ยังปักหลักผู้ที่เมืองดามัสกัส หลังจากอุตส่าห์ไปยึดเมืองมาให้เขาเบี้ยว อังกฤษบอกอยู่ไปเถอะ พวกท่านออกแรงนี่หนา เป็นรางวัลปลอบใจอย่างจอมปลอม หลังจากโกหกตอแหล ไม่หาอาณาจักรอาหรับให้ Sharif Hussein
    อังกฤษปล่อยให้ Faisal ตั้งกระโจม อยู่กลางเมืองดามัสกัส เหมือนอังกฤษจะรู้ว่า ต่อไปดามัสกัสจะเป็นของใคร ยืมมือคนอื่นฆ่ามิตร เป็นอีกสันดานที่ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ถนัดทำ !
    แล้วมันก็เป็นไปตามแผนของชาวเกาะ เมื่อฝรั่งเศสเข้าไปในดามัสกัส สิ่งแรกที่ฝรั่งเศสทำคือ บอกไม่รับรู้ เรื่องการตั้งกระโจมอยู่กลางดามัสกัสของ Faisal นั่นมันเป็นเรื่องของอังกฤษ เราไม่เคยไปตกลงอะไรกับท่านฝรั่งเศสไม่เคยเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นจงรีบขนของขึ้นอูฐย้ายออกไป ด่วน !
    Faisal หน้าตก อพยพหอบลูกจูงหลาน บริวารอีกหลายร้อย แถวยาวไปตามเนินทราย มุ่งหน้าไปปาเลสไตน์ที่อังกฤษดูแลอยู่ หวังจะให้อังกฤษช่วย
    อึ่ม ! เข้าทาง ! อิรัก กำลังวุ่นวาย อังกฤษจะออกหน้าก็กระไรอยู่ เดี๋ยวจะหาว่ามาล่าอาณานิคมอีก แค่เอาบ่อน้ำมันเขาไป ชาวบ้านก็นินทาจมหูแล้ว อังกฤษบอก Faisal เอางี้ เดี๋ยวเราจะจัดการให้ท่านเป็นกษัตริย์ ปกครองอิรักแล้วกัน โอ้ ! ในที่สุดเพื่อนก็ไม่ทิ้งเรา Faisal รำพึงเสียงเครือ
    อิรักต้องมีคนปกครอง แต่ถ้าเป็นชาวอิรัก อำนาจอังกฤษในอิรักอาจจะน้อยล ง จะไว้ใจได้แค่ไหน สู้เอาคนต่างถิ่น ต่างเผ่ามาปกครองดีกว่า Faisal น่าจะเหมาะสม แม้จะเป็นอาหรับด้วยกัน แต่ต่างเผ่าพันธ์กัน ชาวอิรักก็มอง Faisal เหมือนคนต่างชาติ ที่แย่กว่านั้น ชาวอิรักมอง Faisal ว่าเป็นหุ่น เป็นขี้ข้าฝรั่ง ยิ่งรังเกียจ Faisal หนักขึ้น และนั่นแหละ Faisal จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในสายตาของอังกฤษ เพราะ Faisal จะปกครองอิรักโดยลำพังไม่ได้ ต้องพึ่งอังกฤษตลอดไป คนอิรักก็ไม่รับ Faisal และ Faisal ก็ใช้คนอิรักไม่ได้เต็มที่ ที่ปรึกษาชาวอังกฤษจึงเต็มอิรักไปหมด
    เมื่อทุกอย่างเข้าทางตามแผน อังกฤษก็อพยพเหมือนกัน แต่เป็นการอพยพ เอากลุ่มที่ปรึกษาชาวอังกฤษ เข้าไปเต็มเมืองอิรัก จริง ๆ ก็คือการเข้าไปปกครองอิรัก เหมือนอิรักเป็นอาณานิคม รูปแบบใหม่นั่นแหละ แต่คราวนี้ แม้อิรักจะไม่ได้เป็นกล่องดวง ใจ แบบอินเดีย แต่ก็มีของมีค่ามหาศาล ยังไม่รู้ว่า มหาศาลขนาดไหน ฝั่งตัวอยู่ใต้ดิน เผลอๆ อาจจะมีค่ามากกว่า อินเดีย กล่องดวงใจเสียอีก อังกฤษจำเป็นต้องอยู่ในอิรักให้นานที่สุด และมั่นคงที่สุด กว่ายักษ์ใต้ดินจะเติบโตใช้สอยดังใจหวัง
    ราชวงศ์ Hashemite ของ Faisal จึงเป็นเหมือนหุ่นเชิดของอังกฤษ แม้จะบอกว่าเป็นประเทศเอกราช แต่ผู้เชี่ยวชาญอังกฤษ ที่ปรึกษาอังกฤษ เป็นผู้ปกครองอิรักโดยพฤตินัย คนอังกฤษไปอยู่อิรัก ขนทั้งคนและระบบอังกฤษติดตัวตามไปหมด ตั้งแต่ตั้งโรงเรียนแบบอังกฤษ บ้านช่องการเป็นอยู่อย่างอังกฤษ เด็ก ๆ ลูกที่ปรึกษา ก็ต้องมีพี่เลี้ยง (nanny) แบบลูกผู้ดีที่เกาะอังกฤษเขาทำกัน nanny ชาวพื้นเมืองหน้าดำ ใส่เอี้ยม คลุมหัว คอยเดินตามเช็ดมือเช็ดเท้าให้คุณหนูผมทอง ฯลฯ
    นอกเหนือจากการบริหารประเทศแล้ว อังกฤษยังตั้งฐานทัพ และสนามบินไว้ที่อิรัก ทั้งหมดเป็นการอำนวยความสดวก และการป้องกัน ให้การขุดเจาะน้ำมันของ The Turkish Petroleum Company ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Iraqi Petroleum Company ซึ่งถือหุ้นโดย Anglo – Persian Oil Company ที่อังกฤษมอบหมายให้หน้าที่เสมือนเป็นข้าหลวงใหญ่ของอังกฤษประจำอิรักอีกด้วย เดินไปอย่างราบรื่นไม่มีสดุด ไม่มีติดขัด
    Turkish Petroleum ทำเงินให้อังกฤษมากมาย รวมทั้งรัฐบาลอิรักด้วย แต่แทนที่รัฐบาลอิรัก จะนำไปปรับปรุงประเทศ กลับนำไปใช้ในการซื้ออาวุธให้กองทัพของอิรัก ซึ่งอยู่ในความดูแลของกองทหารอังกฤษ ประชาชนชาวอิรักก็หน้าแห้ง ท้องกิ่ว เหมือนเดิม
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
12 ก.ย. 57
    เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 2 – อิรัก 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 2” อิรัก 1
ระหว่างที่ฝรั่งตะวันตกผู้ชนะสงคราม กำลังวุ่นอยู่กับการแบ่งสมบัติที่ไปได้ มาจากการหลอกต้มเหยื่อ เหยื่อก็นั่งเหม่อ มึนงง สับสน ตกลงพวกเราจะได้เป็นเจ้าของดินแดนไหมหนอ อย่าว่าจะเป็นเจ้าของเลย จะมีที่ให้หย่อนก้น ปักหลักตั้งกระโจม ตรงไหนก็ยังไม่รู้เล้ย ข้อตกลงที่ปารีส Paris Conference และโดยสันนิบาตชาติ ที่ตกลงจะแบ่งดินแดนของเหยื่อ ระหว่างผู้ล่า ทำท่าจะล่ม ข้อตกลงที่ตุรกี จะยอมตัดทิ้งดินแดนหลายส่วน ซึ่งลงนามโดยซากของรัฐบาลออตโตมาน ในที่สุด ก็ไม่ได้รับการยินยอมจากพวกยังเตอร์ก ที่เริ่มก่อการและปฏิวัติแยกตุรกีออกมาเป็นรัฐอิสระหลังจากสงครามโลกจบลง แต่อังกฤษกับฝรั่งเศสก็ยังเดินหน้าแบ่งสมบัติกันต่อ อย่างไม่ลงตัว ฝรั่งเศสบอก อังกฤษตกลงอะไรแล้วเบี้ยวตลอด ก็คงจะจริง นาน ๆ ผมจะเห็นด้วยกับฝรั่งเศสเสียที เห็นด้วย แต่ไม่ได้เห็นใจนะครับ ในที่สุดอังกฤษก็ตัดใจ บอกให้ฝรั่งเศสเอาซีเรียกับเลบานอนไปก็แล้วกัน แต่ขณะนั้น Faisal ลูกชายของ Sharif Hussein ยังปักหลักผู้ที่เมืองดามัสกัส หลังจากอุตส่าห์ไปยึดเมืองมาให้เขาเบี้ยว อังกฤษบอกอยู่ไปเถอะ พวกท่านออกแรงนี่หนา เป็นรางวัลปลอบใจอย่างจอมปลอม หลังจากโกหกตอแหล ไม่หาอาณาจักรอาหรับให้ Sharif Hussein อังกฤษปล่อยให้ Faisal ตั้งกระโจม อยู่กลางเมืองดามัสกัส เหมือนอังกฤษจะรู้ว่า ต่อไปดามัสกัสจะเป็นของใคร ยืมมือคนอื่นฆ่ามิตร เป็นอีกสันดานที่ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ถนัดทำ ! แล้วมันก็เป็นไปตามแผนของชาวเกาะ เมื่อฝรั่งเศสเข้าไปในดามัสกัส สิ่งแรกที่ฝรั่งเศสทำคือ บอกไม่รับรู้ เรื่องการตั้งกระโจมอยู่กลางดามัสกัสของ Faisal นั่นมันเป็นเรื่องของอังกฤษ เราไม่เคยไปตกลงอะไรกับท่านฝรั่งเศสไม่เคยเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นจงรีบขนของขึ้นอูฐย้ายออกไป ด่วน ! Faisal หน้าตก อพยพหอบลูกจูงหลาน บริวารอีกหลายร้อย แถวยาวไปตามเนินทราย มุ่งหน้าไปปาเลสไตน์ที่อังกฤษดูแลอยู่ หวังจะให้อังกฤษช่วย อึ่ม ! เข้าทาง ! อิรัก กำลังวุ่นวาย อังกฤษจะออกหน้าก็กระไรอยู่ เดี๋ยวจะหาว่ามาล่าอาณานิคมอีก แค่เอาบ่อน้ำมันเขาไป ชาวบ้านก็นินทาจมหูแล้ว อังกฤษบอก Faisal เอางี้ เดี๋ยวเราจะจัดการให้ท่านเป็นกษัตริย์ ปกครองอิรักแล้วกัน โอ้ ! ในที่สุดเพื่อนก็ไม่ทิ้งเรา Faisal รำพึงเสียงเครือ อิรักต้องมีคนปกครอง แต่ถ้าเป็นชาวอิรัก อำนาจอังกฤษในอิรักอาจจะน้อยล ง จะไว้ใจได้แค่ไหน สู้เอาคนต่างถิ่น ต่างเผ่ามาปกครองดีกว่า Faisal น่าจะเหมาะสม แม้จะเป็นอาหรับด้วยกัน แต่ต่างเผ่าพันธ์กัน ชาวอิรักก็มอง Faisal เหมือนคนต่างชาติ ที่แย่กว่านั้น ชาวอิรักมอง Faisal ว่าเป็นหุ่น เป็นขี้ข้าฝรั่ง ยิ่งรังเกียจ Faisal หนักขึ้น และนั่นแหละ Faisal จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในสายตาของอังกฤษ เพราะ Faisal จะปกครองอิรักโดยลำพังไม่ได้ ต้องพึ่งอังกฤษตลอดไป คนอิรักก็ไม่รับ Faisal และ Faisal ก็ใช้คนอิรักไม่ได้เต็มที่ ที่ปรึกษาชาวอังกฤษจึงเต็มอิรักไปหมด เมื่อทุกอย่างเข้าทางตามแผน อังกฤษก็อพยพเหมือนกัน แต่เป็นการอพยพ เอากลุ่มที่ปรึกษาชาวอังกฤษ เข้าไปเต็มเมืองอิรัก จริง ๆ ก็คือการเข้าไปปกครองอิรัก เหมือนอิรักเป็นอาณานิคม รูปแบบใหม่นั่นแหละ แต่คราวนี้ แม้อิรักจะไม่ได้เป็นกล่องดวง ใจ แบบอินเดีย แต่ก็มีของมีค่ามหาศาล ยังไม่รู้ว่า มหาศาลขนาดไหน ฝั่งตัวอยู่ใต้ดิน เผลอๆ อาจจะมีค่ามากกว่า อินเดีย กล่องดวงใจเสียอีก อังกฤษจำเป็นต้องอยู่ในอิรักให้นานที่สุด และมั่นคงที่สุด กว่ายักษ์ใต้ดินจะเติบโตใช้สอยดังใจหวัง ราชวงศ์ Hashemite ของ Faisal จึงเป็นเหมือนหุ่นเชิดของอังกฤษ แม้จะบอกว่าเป็นประเทศเอกราช แต่ผู้เชี่ยวชาญอังกฤษ ที่ปรึกษาอังกฤษ เป็นผู้ปกครองอิรักโดยพฤตินัย คนอังกฤษไปอยู่อิรัก ขนทั้งคนและระบบอังกฤษติดตัวตามไปหมด ตั้งแต่ตั้งโรงเรียนแบบอังกฤษ บ้านช่องการเป็นอยู่อย่างอังกฤษ เด็ก ๆ ลูกที่ปรึกษา ก็ต้องมีพี่เลี้ยง (nanny) แบบลูกผู้ดีที่เกาะอังกฤษเขาทำกัน nanny ชาวพื้นเมืองหน้าดำ ใส่เอี้ยม คลุมหัว คอยเดินตามเช็ดมือเช็ดเท้าให้คุณหนูผมทอง ฯลฯ นอกเหนือจากการบริหารประเทศแล้ว อังกฤษยังตั้งฐานทัพ และสนามบินไว้ที่อิรัก ทั้งหมดเป็นการอำนวยความสดวก และการป้องกัน ให้การขุดเจาะน้ำมันของ The Turkish Petroleum Company ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Iraqi Petroleum Company ซึ่งถือหุ้นโดย Anglo – Persian Oil Company ที่อังกฤษมอบหมายให้หน้าที่เสมือนเป็นข้าหลวงใหญ่ของอังกฤษประจำอิรักอีกด้วย เดินไปอย่างราบรื่นไม่มีสดุด ไม่มีติดขัด Turkish Petroleum ทำเงินให้อังกฤษมากมาย รวมทั้งรัฐบาลอิรักด้วย แต่แทนที่รัฐบาลอิรัก จะนำไปปรับปรุงประเทศ กลับนำไปใช้ในการซื้ออาวุธให้กองทัพของอิรัก ซึ่งอยู่ในความดูแลของกองทหารอังกฤษ ประชาชนชาวอิรักก็หน้าแห้ง ท้องกิ่ว เหมือนเดิม สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
12 ก.ย. 57
    0 Comments 0 Shares 254 Views 0 Reviews
  • “5G ยังไม่สุด แต่ 6G กำลังมา — Qualcomm, Verizon และ Meta ร่วมวางรากฐานสู่ยุค AI แบบไร้รอยต่อ”

    แม้ 5G จะยังไม่เข้าถึงศักยภาพเต็มที่ในหลายประเทศ แต่โลกเทคโนโลยีก็ไม่รอช้า ล่าสุด Qualcomm ได้ประกาศในงาน Snapdragon Summit 2025 ว่า “6G” กำลังถูกพัฒนาอย่างจริงจัง และจะเริ่มมีอุปกรณ์ “pre-commercial” ออกมาในปี 2028 ก่อนจะเข้าสู่การใช้งานจริงในช่วงปี 2030

    Cristiano Amon ซีอีโอของ Qualcomm ระบุว่า 6G จะไม่ใช่แค่การเชื่อมต่อที่เร็วขึ้น แต่จะเป็น “โครงสร้างพื้นฐานของยุค AI” โดยอุปกรณ์จะไม่ใช่แค่โทรศัพท์อีกต่อไป แต่จะเป็นศูนย์กลางของระบบที่ประกอบด้วยสมาร์ตวอทช์, แว่นตาอัจฉริยะ, รถยนต์ และอุปกรณ์ edge computing ที่ทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์

    6G จะต้องใช้สถาปัตยกรรมใหม่ทั้งหมด ทั้งระบบหน่วยความจำและหน่วยประมวลผลแบบ neural processing unit เพื่อรองรับการทำงานของ AI agent ที่จะมาแทนแอปพลิเคชันแบบเดิม เช่น การจัดการปฏิทิน, การจองร้านอาหาร, การส่งอีเมล — ทั้งหมดจะถูกจัดการโดย AI ที่เข้าใจบริบทและความต้องการของผู้ใช้

    Verizon ก็ได้จัดงาน 6G Innovation Forum ร่วมกับ Meta, Samsung, Ericsson และ Nokia เพื่อกำหนด use case ใหม่ ๆ เช่น การใช้แว่นตาเป็นอินเทอร์เฟซหลัก, การเชื่อมต่อ edge-cloud แบบไร้รอยต่อ และการใช้ข้อมูลจากเซนเซอร์เพื่อสร้างระบบที่ “เข้าใจ” ผู้ใช้มากกว่าที่เคย

    แม้จะยังไม่มีมาตรฐาน 6G อย่างเป็นทางการ แต่ 3GPP ได้เริ่มศึกษาแล้วใน Release 20 และคาดว่า Release 21 จะเป็นจุดเริ่มต้นของมาตรฐาน 6G ที่แท้จริงในช่วงปลายทศวรรษนี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Qualcomm ประกาศว่าอุปกรณ์ 6G แบบ pre-commercial จะเริ่มออกในปี 2028
    6G จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานของยุค AI โดยเน้น edge computing และ AI agent
    อุปกรณ์จะทำงานร่วมกัน เช่น สมาร์ตวอทช์, แว่นตา, รถยนต์ และโทรศัพท์
    6G ต้องใช้สถาปัตยกรรมใหม่ เช่น neural processing unit และ memory system แบบใหม่
    Verizon จัดงาน 6G Innovation Forum ร่วมกับ Meta, Samsung, Ericsson และ Nokia
    3GPP เริ่มศึกษา 6G แล้วใน Release 20 และจะมีมาตรฐานใน Release 21
    Qualcomm ร่วมมือกับ Google, Adobe, Asus, HP, Lenovo และ Razer เพื่อสร้าง ecosystem ใหม่
    AI agent จะมาแทนแอปแบบเดิม โดยเข้าใจเจตนาและบริบทของผู้ใช้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    5G Advanced จะเป็นรากฐานของ 6G โดยเน้น latency ต่ำและการเชื่อมต่อแบบ context-aware
    Snapdragon Cockpit Elite platform ของ Qualcomm ถูกใช้ในรถยนต์เพื่อสร้างประสบการณ์ AI
    Edge AI ช่วยให้ประมวลผลได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องพึ่ง cloud ลดความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว
    แว่นตาอัจฉริยะ เช่น Meta Ray-Ban และ Xreal Project Aura จะเป็นอุปกรณ์หลักในยุค 6G
    ตลาด edge AI และอุปกรณ์เชื่อมต่อคาดว่าจะมีมูลค่ากว่า $200 พันล้านดอลลาร์ในทศวรรษหน้า

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/04/5g-hasnt-yet-hit-its-stride-but-6g-is-already-on-the-horizon
    📡 “5G ยังไม่สุด แต่ 6G กำลังมา — Qualcomm, Verizon และ Meta ร่วมวางรากฐานสู่ยุค AI แบบไร้รอยต่อ” แม้ 5G จะยังไม่เข้าถึงศักยภาพเต็มที่ในหลายประเทศ แต่โลกเทคโนโลยีก็ไม่รอช้า ล่าสุด Qualcomm ได้ประกาศในงาน Snapdragon Summit 2025 ว่า “6G” กำลังถูกพัฒนาอย่างจริงจัง และจะเริ่มมีอุปกรณ์ “pre-commercial” ออกมาในปี 2028 ก่อนจะเข้าสู่การใช้งานจริงในช่วงปี 2030 Cristiano Amon ซีอีโอของ Qualcomm ระบุว่า 6G จะไม่ใช่แค่การเชื่อมต่อที่เร็วขึ้น แต่จะเป็น “โครงสร้างพื้นฐานของยุค AI” โดยอุปกรณ์จะไม่ใช่แค่โทรศัพท์อีกต่อไป แต่จะเป็นศูนย์กลางของระบบที่ประกอบด้วยสมาร์ตวอทช์, แว่นตาอัจฉริยะ, รถยนต์ และอุปกรณ์ edge computing ที่ทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ 6G จะต้องใช้สถาปัตยกรรมใหม่ทั้งหมด ทั้งระบบหน่วยความจำและหน่วยประมวลผลแบบ neural processing unit เพื่อรองรับการทำงานของ AI agent ที่จะมาแทนแอปพลิเคชันแบบเดิม เช่น การจัดการปฏิทิน, การจองร้านอาหาร, การส่งอีเมล — ทั้งหมดจะถูกจัดการโดย AI ที่เข้าใจบริบทและความต้องการของผู้ใช้ Verizon ก็ได้จัดงาน 6G Innovation Forum ร่วมกับ Meta, Samsung, Ericsson และ Nokia เพื่อกำหนด use case ใหม่ ๆ เช่น การใช้แว่นตาเป็นอินเทอร์เฟซหลัก, การเชื่อมต่อ edge-cloud แบบไร้รอยต่อ และการใช้ข้อมูลจากเซนเซอร์เพื่อสร้างระบบที่ “เข้าใจ” ผู้ใช้มากกว่าที่เคย แม้จะยังไม่มีมาตรฐาน 6G อย่างเป็นทางการ แต่ 3GPP ได้เริ่มศึกษาแล้วใน Release 20 และคาดว่า Release 21 จะเป็นจุดเริ่มต้นของมาตรฐาน 6G ที่แท้จริงในช่วงปลายทศวรรษนี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Qualcomm ประกาศว่าอุปกรณ์ 6G แบบ pre-commercial จะเริ่มออกในปี 2028 ➡️ 6G จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานของยุค AI โดยเน้น edge computing และ AI agent ➡️ อุปกรณ์จะทำงานร่วมกัน เช่น สมาร์ตวอทช์, แว่นตา, รถยนต์ และโทรศัพท์ ➡️ 6G ต้องใช้สถาปัตยกรรมใหม่ เช่น neural processing unit และ memory system แบบใหม่ ➡️ Verizon จัดงาน 6G Innovation Forum ร่วมกับ Meta, Samsung, Ericsson และ Nokia ➡️ 3GPP เริ่มศึกษา 6G แล้วใน Release 20 และจะมีมาตรฐานใน Release 21 ➡️ Qualcomm ร่วมมือกับ Google, Adobe, Asus, HP, Lenovo และ Razer เพื่อสร้าง ecosystem ใหม่ ➡️ AI agent จะมาแทนแอปแบบเดิม โดยเข้าใจเจตนาและบริบทของผู้ใช้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ 5G Advanced จะเป็นรากฐานของ 6G โดยเน้น latency ต่ำและการเชื่อมต่อแบบ context-aware ➡️ Snapdragon Cockpit Elite platform ของ Qualcomm ถูกใช้ในรถยนต์เพื่อสร้างประสบการณ์ AI ➡️ Edge AI ช่วยให้ประมวลผลได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องพึ่ง cloud ลดความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว ➡️ แว่นตาอัจฉริยะ เช่น Meta Ray-Ban และ Xreal Project Aura จะเป็นอุปกรณ์หลักในยุค 6G ➡️ ตลาด edge AI และอุปกรณ์เชื่อมต่อคาดว่าจะมีมูลค่ากว่า $200 พันล้านดอลลาร์ในทศวรรษหน้า https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/04/5g-hasnt-yet-hit-its-stride-but-6g-is-already-on-the-horizon
    WWW.THESTAR.COM.MY
    5G hasn’t yet hit its stride, but 6G is already on the horizon
    The companies that power telecom providers are already laying the groundwork for 6G communications.
    0 Comments 0 Shares 208 Views 0 Reviews
  • “Harvard–MIT สร้างควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่รันต่อเนื่อง 2 ชั่วโมง — แก้ปัญหา atom loss ด้วยเลเซอร์ล้ำยุค พร้อมเปิดทางสู่ระบบที่รัน ‘ตลอดกาล’ ภายใน 3 ปี”

    ในโลกของควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่เคยถูกจำกัดด้วยเวลาใช้งานเพียงไม่กี่วินาที ทีมวิจัยจาก Harvard และ MIT ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ — ควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่สามารถรันต่อเนื่องได้มากกว่า 2 ชั่วโมง โดยไม่ต้องรีสตาร์ทหรือโหลดข้อมูลใหม่ ถือเป็นการเพิ่มระยะเวลาการทำงานมากกว่า 55,000% เมื่อเทียบกับระบบเดิมที่รันได้เพียงไม่กี่มิลลิวินาที

    หัวใจของความสำเร็จนี้คือการแก้ปัญหา “atom loss” ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ควอนตัมคอมพิวเตอร์ล่มเร็ว โดยทีมวิจัยได้พัฒนาเทคนิคใหม่ที่ใช้เลเซอร์ควบคุมอะตอม ได้แก่ “optical lattice conveyor belts” และ “optical tweezers” เพื่อเติมอะตอมใหม่เข้าไปในระบบอย่างต่อเนื่องโดยไม่ทำลายข้อมูลเดิมที่เก็บไว้ใน qubit

    ระบบใหม่นี้สามารถเติมอะตอมได้ถึง 300,000 ตัวต่อวินาที และรองรับ qubit ได้มากถึง 3,000 ตัว ซึ่งถือเป็นการเปิดประตูสู่ควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่สามารถรันได้ “ตลอดกาล” โดยนักวิจัยคาดว่าจะสามารถสร้างระบบที่รันได้ไม่จำกัดภายใน 3 ปีข้างหน้า จากเดิมที่เคยประเมินว่าอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5 ปี

    แม้จะยังไม่พร้อมสำหรับการใช้งานในบ้านหรือสำนักงานทั่วไป แต่เทคโนโลยีนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงวงการวิทยาศาสตร์ การเงิน การแพทย์ และการเข้ารหัสข้อมูลอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อระบบสามารถรักษาข้อมูลควอนตัมได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่สูญเสียความแม่นยำ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Harvard และ MIT สร้างควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่รันต่อเนื่องได้มากกว่า 2 ชั่วโมง
    ใช้เทคนิค optical lattice conveyor belts และ optical tweezers เพื่อเติมอะตอมใหม่
    ระบบรองรับ qubit ได้มากถึง 3,000 ตัว และเติมอะตอมได้ 300,000 ตัวต่อวินาที
    แก้ปัญหา atom loss ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการล่มของระบบควอนตัม
    นักวิจัยคาดว่าจะสร้างระบบที่รันได้ “ตลอดกาล” ภายใน 3 ปี
    ระบบนี้ใช้ neutral atoms ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่มีเสถียรภาพสูง
    การทดลองนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Nature และได้รับการยอมรับในวงการ
    ทีมวิจัยร่วมมือกับ QuEra Computing ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพจาก Harvard–MIT

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Qubit คือหน่วยข้อมูลในควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่สามารถอยู่ในสถานะ 0 และ 1 พร้อมกัน
    Quantum entanglement ทำให้การเพิ่ม qubit ส่งผลต่อพลังการประมวลผลแบบทวีคูณ
    Optical tweezers คือเลเซอร์ที่ใช้จับและจัดเรียงอะตอมในตำแหน่งที่แม่นยำ
    Optical lattice คือคลื่นแสงที่สร้างโครงสร้างคล้ายตะแกรงเพื่อวางอะตอม
    ควอนตัมคอมพิวเตอร์มีศักยภาพในการแก้ปัญหาที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำได้ เช่น การจำลองโมเลกุลหรือการเข้ารหัสระดับสูง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/quantum-computing/harvard-researchers-hail-quantum-computing-breakthrough-with-machine-that-can-run-for-two-hours-atomic-loss-quashed-by-experimental-design-systems-that-can-run-forever-just-3-years-away
    🧠⚛️ “Harvard–MIT สร้างควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่รันต่อเนื่อง 2 ชั่วโมง — แก้ปัญหา atom loss ด้วยเลเซอร์ล้ำยุค พร้อมเปิดทางสู่ระบบที่รัน ‘ตลอดกาล’ ภายใน 3 ปี” ในโลกของควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่เคยถูกจำกัดด้วยเวลาใช้งานเพียงไม่กี่วินาที ทีมวิจัยจาก Harvard และ MIT ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ — ควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่สามารถรันต่อเนื่องได้มากกว่า 2 ชั่วโมง โดยไม่ต้องรีสตาร์ทหรือโหลดข้อมูลใหม่ ถือเป็นการเพิ่มระยะเวลาการทำงานมากกว่า 55,000% เมื่อเทียบกับระบบเดิมที่รันได้เพียงไม่กี่มิลลิวินาที หัวใจของความสำเร็จนี้คือการแก้ปัญหา “atom loss” ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ควอนตัมคอมพิวเตอร์ล่มเร็ว โดยทีมวิจัยได้พัฒนาเทคนิคใหม่ที่ใช้เลเซอร์ควบคุมอะตอม ได้แก่ “optical lattice conveyor belts” และ “optical tweezers” เพื่อเติมอะตอมใหม่เข้าไปในระบบอย่างต่อเนื่องโดยไม่ทำลายข้อมูลเดิมที่เก็บไว้ใน qubit ระบบใหม่นี้สามารถเติมอะตอมได้ถึง 300,000 ตัวต่อวินาที และรองรับ qubit ได้มากถึง 3,000 ตัว ซึ่งถือเป็นการเปิดประตูสู่ควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่สามารถรันได้ “ตลอดกาล” โดยนักวิจัยคาดว่าจะสามารถสร้างระบบที่รันได้ไม่จำกัดภายใน 3 ปีข้างหน้า จากเดิมที่เคยประเมินว่าอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5 ปี แม้จะยังไม่พร้อมสำหรับการใช้งานในบ้านหรือสำนักงานทั่วไป แต่เทคโนโลยีนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงวงการวิทยาศาสตร์ การเงิน การแพทย์ และการเข้ารหัสข้อมูลอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อระบบสามารถรักษาข้อมูลควอนตัมได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่สูญเสียความแม่นยำ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Harvard และ MIT สร้างควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่รันต่อเนื่องได้มากกว่า 2 ชั่วโมง ➡️ ใช้เทคนิค optical lattice conveyor belts และ optical tweezers เพื่อเติมอะตอมใหม่ ➡️ ระบบรองรับ qubit ได้มากถึง 3,000 ตัว และเติมอะตอมได้ 300,000 ตัวต่อวินาที ➡️ แก้ปัญหา atom loss ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการล่มของระบบควอนตัม ➡️ นักวิจัยคาดว่าจะสร้างระบบที่รันได้ “ตลอดกาล” ภายใน 3 ปี ➡️ ระบบนี้ใช้ neutral atoms ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่มีเสถียรภาพสูง ➡️ การทดลองนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Nature และได้รับการยอมรับในวงการ ➡️ ทีมวิจัยร่วมมือกับ QuEra Computing ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพจาก Harvard–MIT ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Qubit คือหน่วยข้อมูลในควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่สามารถอยู่ในสถานะ 0 และ 1 พร้อมกัน ➡️ Quantum entanglement ทำให้การเพิ่ม qubit ส่งผลต่อพลังการประมวลผลแบบทวีคูณ ➡️ Optical tweezers คือเลเซอร์ที่ใช้จับและจัดเรียงอะตอมในตำแหน่งที่แม่นยำ ➡️ Optical lattice คือคลื่นแสงที่สร้างโครงสร้างคล้ายตะแกรงเพื่อวางอะตอม ➡️ ควอนตัมคอมพิวเตอร์มีศักยภาพในการแก้ปัญหาที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำได้ เช่น การจำลองโมเลกุลหรือการเข้ารหัสระดับสูง https://www.tomshardware.com/tech-industry/quantum-computing/harvard-researchers-hail-quantum-computing-breakthrough-with-machine-that-can-run-for-two-hours-atomic-loss-quashed-by-experimental-design-systems-that-can-run-forever-just-3-years-away
    0 Comments 0 Shares 182 Views 0 Reviews
  • Highlight Words In Action : September 2025

    acrimony noun: sharpness, harshness, or bitterness of nature, speech, disposition, etc.

    From the headlines: European trade ministers gathered on July 14 to discuss the new U.S. tariffs, aiming to ease the acrimony between the EU and the Trump administration. While they planned potential countermeasures against the 30 percent tariffs, which they deemed “unacceptable,” they were united in favor of pursuing a negotiated agreement with the U.S. to maintain stable trade ties.

    adamant
    adjective: utterly unyielding in attitude or opinion in spite of all appeals, urgings, etc.

    From the headlines: Mars, the maker of M&M’s, Skittles, and other popular candies, remains adamant that it will only stop using synthetic dyes in its candy if legally required. While other food companies have announced plans to phase out artificial colors in items like Lucky Charms, Jell-O, and Kool-Aid, some candy manufacturers are holding firm. They argue that natural alternatives cost more and don’t deliver the same vibrant colors.

    aerial
    adjective: existing, living, growing, or operating in the air

    From the headlines: On June 29, Russia launched its largest aerial assault of the war in Ukraine, firing more missiles than in any previous attack since the beginning of the war in 2022. The strikes hit multiple Ukrainian cities, injuring at least a dozen people and damaging key infrastructure.

    autonomous
    adjective: existing as an independent entity

    From the headlines: Robots competed in a fully autonomous soccer tournament in Beijing, with four teams of three humanoid robots each operating solely under AI control. Although the idea was innovative, the robots had trouble with basic actions like kicking and staying balanced. Tsinghua University’s THU Robotics team clinched the championship by scoring five goals in the final round.

    bioluminescent
    adjective: pertaining to the production of light by living organisms

    From the headlines: A new research project will try to interpret the meaning of fireflies’ blinking. Scientists in Colorado enlisted the help of citizen observers to record videos of the bioluminescent insects at dusk. Researchers will eventually make a 3D map of where the glowing lights flash over time. While they know firefly blinks follow a deliberate pattern and are used to attract a mate, experts believe there is more to learn.

    bodega
    noun: a small, independent or family-owned grocery store, usually located in a densely populated urban environment

    From the headlines: A recent crime spree in New York City has targeted bodega ATMs. Thefts of cash machines have increased over the past five years, and New York’s small corner stores have been hit particularly hard. Three people are suspected of stealing almost $600,000 over six months by breaking into independent convenience stores, removing their ATMs, and driving away with them in stolen cars.

    contretemps
    noun: an inopportune occurrence; an embarrassing mischance

    From the headlines: After a contretemps between the Quebec Board of the French Language and Montreal’s transit agency, new rules grudgingly allow the use of the word “go” when cheering sports teams. The Board had objected to a Montreal Canadiens ad campaign that read “Go! Canadiens Go!” Tasked with preserving the province’s French heritage, the Board had been insisting on replacing the signs with “Allez! Canadiens Allez!”

    decorum
    noun: dignified propriety of behavior, speech, dress, etc.

    From the headlines: La Scala has introduced a new dress code requiring attendees to “choose clothing in keeping with the decorum of the theatre.” The renowned Milan opera house is codifying its long-standing policy discouraging attire like flip-flops, shorts, and tank tops. Guests are now expected to dress with elegance, honoring both the opera house’s refined ambiance and its storied cultural legacy.

    driftwood
    noun: pieces of trees that are floating on a body of water or have been washed ashore

    From the headlines: In rural Alaska, residents of some villages and small towns are continuing a long tradition by using driftwood for fuel and as energy-efficient siding for their homes. The pieces of wood, worn smooth by ocean waves or currents in rivers and streams, have been used this way by Indigenous Alaskans for thousands of years. Communities save money and protect the environment by reusing old trees or boards found floating in the water instead of buying lumber and logs.

    eavesdrop
    verb: to listen secretly to a private conversation

    From the headlines: Ecologists have found that long-billed curlews and other grassland nesters routinely eavesdrop on prairie dogs to dodge predators. Sharing a habitat where hawks, eagles, foxes, and other Great Plains animals lurk, the birds capitalize on the rodents’ warning calls. After eavesdropping on these distinctive calls, the curlews and other birds crouch or camouflage themselves until the threat has passed.

    emulate
    verb: to imitate with effort to equal or surpass

    From the headlines: Inspired by Paris’s recent success, cities across the globe are preparing to emulate its efforts to restore polluted urban rivers for public use. After a hundred-year swimming ban, Parisians can now take a dip in the once-contaminated Seine, thanks to more than a billion dollars spent on upgrades like sewer improvements and rainwater storage. Cities such as Berlin, Boston, New York, and London are developing similar plans to clean their waterways and make them safe for swimming once again.

    estuary
    noun: the part of the mouth or lower course of a river in which the river’s current meets the sea’s tide

    From the headlines: Florida Governor Ron DeSantis signed a bill that will ban oil drilling on the Apalachicola River. The river’s estuary is home to many endangered plants and animals, including the world’s largest stand of tupelo trees. The inlet is also the most important site in the state’s oyster industry. Environmentalists and fishermen supported the bill and pushed DeSantis to sign it.

    Fun fact: A Latin word meaning “boiling of the sea” is the root of estuary.

    gentrification
    noun: the buying and renovation of property in urban neighborhoods in a way that often displaces low-income families and small businesses

    From the headlines: Protesters in Mexico City say they’re angry about gentrification caused by large numbers of foreigners moving there since 2020. Locals say they have seen formerly affordable housing prices skyrocket as the numbers of short-term rentals and expats increase. Airbnb listings in the city have exploded to over 20,000, and Americans have arrived in particularly large numbers to buy and renovate houses. In the process, they say these factors have driven up costs for everyone, including local residents.

    hedonism
    noun: the doctrine that pleasure or happiness is the highest good

    From the headlines: Researchers say there are six traits that make someone seem “cool” to others, including extroversion, power, and embracing hedonism. An American Psychological Association study surveyed 6,000 people in 12 countries and found a sharp division between people seen as “good” versus “cool.” Being hedonistic, for example, didn’t make someone seem “good,” but focusing on one’s own happiness and pleasure was strongly associated with appearing “cool.”

    kayak
    verb: to travel by a traditional Inuit or Yupik canoe with a skin cover on a light framework, or by a small boat resembling this

    From the headlines: Several dozen Native American teens who spent a month kayaking the length of the Klamath River reached their destination. The group paddled their long, narrow boats about 300 miles, from Oregon to California, to celebrate the removal of four dams. The waterway holds a deep significance to Native American tribes, and many of the teens learned to kayak specifically to participate in the long paddle.

    larceny
    noun: the wrongful taking of someone’s property or goods

    From the headlines: Atlanta police have identified a suspect in the theft of hard drives holding unreleased Beyoncé songs. Setlists and plans for concert footage were also stolen when the alleged thief broke into a vehicle rented by the singer’s team. The larceny occurred during a stop on her Cowboy Carter tour.

    linchpin
    noun: something that holds the various elements of a complicated structure together

    From the headlines: The Department of Defense will stop supplying meteorologists with satellite data, which experts describe as a linchpin of storm modeling. Forecasts for hurricanes rely heavily on this military satellite feed to track storm paths and determine when people should evacuate.

    matcha
    noun: finely ground tea leaf powder used to make tea or as a flavoring, or the tea made from it

    From the headlines: The worldwide demand for matcha is causing severe shortages and higher prices. The bright green, grassy-flavored, powdered tea has a long history in Japan, but its popularity in other countries has exploded in recent years. Drinks and baked goods made with matcha have become wildly popular, causing Japanese tea growers to struggle to keep up with the demand.

    meteorite
    noun: a mass of stone or metal that has reached the earth from outer space

    From the headlines: On July 16, a bidder paid $4.3 million to own a chunk of Mars. The rare Martian meteorite, which weighs about 54 pounds, is the largest meteor fragment ever found on Earth that’s known to come from the red planet. Out of approximately 77,000 confirmed meteorites, only 400 were originally part of Mars. This one, named NWA 16788, was found in the Sahara Desert after its 140-million-mile journey through space.

    monastery
    noun: a residence occupied by a community of persons, especially monks, living in seclusion under religious vows

    From the headlines: Tens of thousands of books are being removed from a medieval Hungarian monastery to save them from a beetle infestation. The Pannonhalma Archabbey contains Hungary’s oldest library and some of the country’s most ancient and valuable books and written records. The monastery was founded 1,000 years ago by Benedictines, and about fifty monks live there today, practicing religious contemplation and solitude.

    nuptials
    noun: a marriage ceremony, or a social event accompanying one

    From the headlines: Protesters took to the streets in Venice as Amazon founder Jeff Bezos and Lauren Sanchez held their nuptials on a Venetian island, complete with 200 guests and three days of extravagant celebrations. Locals expressed outrage, saying the event placed additional strain on a city already struggling with overtourism and environmental fragility.

    offering
    noun: something presented to a deity as a symbol of devotion

    From the headlines: Archaeologists discovered about 2,000 pottery offerings on the Greek island of Kythnos. Historians said the clay figures, which represent children, women, and animals, had been left by devoted worshippers over the centuries. Two ancient temples once stood on the site, as well as a pit where the objects given as gifts to the gods were eventually thrown away to make room for new offerings.

    parody
    noun: a humorous or satirical imitation of a serious piece of writing or art

    From the headlines: Weird Al Yankovic, famed for his clever musical parodies, performed to a sold-out crowd at Madison Square Garden in New York, marking his first show at the iconic 20,000-seat venue. Over his forty-year career, Yankovic has become the most recognizable figure in the parody genre, with hits such as “Like a Surgeon,” a spoof of Madonna’s “Like a Virgin,” and “I Love Rocky Road,” a playful take on “I Love Rock ‘n Roll.”

    perennial
    adjective: arising repeatedly or always existing

    From the headlines: Joey Chestnut, the perennial champion of the Nathan’s Famous Hot Dog Eating Contest, reclaimed his crown this year after missing last year’s competition. He was sidelined in 2024 due to a sponsorship deal with a vegan meat brand, but prior to that, Chestnut had claimed victory in 16 of the past 17 contests. He still holds the world record for devouring 76 hot dogs and buns in just 10 minutes in 2021.

    philanthropist
    noun: someone who makes charitable donations

    From the headlines: Warren Buffett said he would donate $6 billion to five charitable foundations. The businessman and philanthropist, whose net worth is approximately $145 billion, has previously given more than $50 billion to the aforementioned foundations. While Buffet’s children will decide how to give away the rest of his fortune after his death, he said that more than 99 percent of it will have to be used philanthropically.

    plunder
    verb: to take wrongfully, as by pillage, robbery, or fraud

    From the headlines: Experts assumed that a Stradivarius violin plundered after World War II had been lost or destroyed; now it appears to have resurfaced. The 316-year-old instrument was stolen from a Berlin bank safe during the chaos at the end of the war, and the family who owned it searched for decades before giving up. An image of the looted violin, which is valued at millions of dollars, was discovered among photos of Stradivarius instruments from a 2018 Tokyo exhibition.

    risotto
    noun: a dish of rice cooked with broth and flavored with grated cheese and other ingredients

    From the headlines: The short-grain Italian rice that’s used to make risotto is under threat from an unusual culprit: flamingos. Flocks of the birds are settling into northern Italian rice paddies instead of their usual nesting grounds. By stirring the shallow water and rooting for mollusks, the flamingos are destroying many valuable rice crops.

    skittish
    adjective: easily frightened or extremely cautious

    From the headlines: Economists report that despite a low unemployment rate, employers are increasingly skittish about hiring, leaving many recent college graduates struggling to find jobs. Numerous tech companies, consulting firms, and federal agencies are cutting back or freezing hiring, while other industries are hesitant to increase payroll expenses. Furthermore, fewer workers are quitting, limiting job openings even more.

    synthetic
    adjective: pertaining to compounds formed through a chemical process by human agency, as opposed to those of natural origin

    From the headlines: The J.M. Smucker Company has announced it will phase out synthetic dyes from its jams and other offerings. While many of its products are already made without artificial colors, some, including sugar-free jams and Hostess snacks like Twinkies and Snoballs, still rely on them. The company intends to use naturally sourced dyes by 2027.

    tandem
    adverb: one following or behind the other

    From the headlines: Researchers were surprised by video evidence of animals that are normally at odds traveling in tandem. A night-vision camera recorded an ocelot traveling peacefully behind an opossum — a surprise, since ocelots usually prey on opossums. Later footage showed the opossum trailing the ocelot as it prowled. Other researchers have since reported at least three additional examples of such behavior.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    Highlight Words In Action : September 2025 acrimony noun: sharpness, harshness, or bitterness of nature, speech, disposition, etc. From the headlines: European trade ministers gathered on July 14 to discuss the new U.S. tariffs, aiming to ease the acrimony between the EU and the Trump administration. While they planned potential countermeasures against the 30 percent tariffs, which they deemed “unacceptable,” they were united in favor of pursuing a negotiated agreement with the U.S. to maintain stable trade ties. adamant adjective: utterly unyielding in attitude or opinion in spite of all appeals, urgings, etc. From the headlines: Mars, the maker of M&M’s, Skittles, and other popular candies, remains adamant that it will only stop using synthetic dyes in its candy if legally required. While other food companies have announced plans to phase out artificial colors in items like Lucky Charms, Jell-O, and Kool-Aid, some candy manufacturers are holding firm. They argue that natural alternatives cost more and don’t deliver the same vibrant colors. aerial adjective: existing, living, growing, or operating in the air From the headlines: On June 29, Russia launched its largest aerial assault of the war in Ukraine, firing more missiles than in any previous attack since the beginning of the war in 2022. The strikes hit multiple Ukrainian cities, injuring at least a dozen people and damaging key infrastructure. autonomous adjective: existing as an independent entity From the headlines: Robots competed in a fully autonomous soccer tournament in Beijing, with four teams of three humanoid robots each operating solely under AI control. Although the idea was innovative, the robots had trouble with basic actions like kicking and staying balanced. Tsinghua University’s THU Robotics team clinched the championship by scoring five goals in the final round. bioluminescent adjective: pertaining to the production of light by living organisms From the headlines: A new research project will try to interpret the meaning of fireflies’ blinking. Scientists in Colorado enlisted the help of citizen observers to record videos of the bioluminescent insects at dusk. Researchers will eventually make a 3D map of where the glowing lights flash over time. While they know firefly blinks follow a deliberate pattern and are used to attract a mate, experts believe there is more to learn. bodega noun: a small, independent or family-owned grocery store, usually located in a densely populated urban environment From the headlines: A recent crime spree in New York City has targeted bodega ATMs. Thefts of cash machines have increased over the past five years, and New York’s small corner stores have been hit particularly hard. Three people are suspected of stealing almost $600,000 over six months by breaking into independent convenience stores, removing their ATMs, and driving away with them in stolen cars. contretemps noun: an inopportune occurrence; an embarrassing mischance From the headlines: After a contretemps between the Quebec Board of the French Language and Montreal’s transit agency, new rules grudgingly allow the use of the word “go” when cheering sports teams. The Board had objected to a Montreal Canadiens ad campaign that read “Go! Canadiens Go!” Tasked with preserving the province’s French heritage, the Board had been insisting on replacing the signs with “Allez! Canadiens Allez!” decorum noun: dignified propriety of behavior, speech, dress, etc. From the headlines: La Scala has introduced a new dress code requiring attendees to “choose clothing in keeping with the decorum of the theatre.” The renowned Milan opera house is codifying its long-standing policy discouraging attire like flip-flops, shorts, and tank tops. Guests are now expected to dress with elegance, honoring both the opera house’s refined ambiance and its storied cultural legacy. driftwood noun: pieces of trees that are floating on a body of water or have been washed ashore From the headlines: In rural Alaska, residents of some villages and small towns are continuing a long tradition by using driftwood for fuel and as energy-efficient siding for their homes. The pieces of wood, worn smooth by ocean waves or currents in rivers and streams, have been used this way by Indigenous Alaskans for thousands of years. Communities save money and protect the environment by reusing old trees or boards found floating in the water instead of buying lumber and logs. eavesdrop verb: to listen secretly to a private conversation From the headlines: Ecologists have found that long-billed curlews and other grassland nesters routinely eavesdrop on prairie dogs to dodge predators. Sharing a habitat where hawks, eagles, foxes, and other Great Plains animals lurk, the birds capitalize on the rodents’ warning calls. After eavesdropping on these distinctive calls, the curlews and other birds crouch or camouflage themselves until the threat has passed. emulate verb: to imitate with effort to equal or surpass From the headlines: Inspired by Paris’s recent success, cities across the globe are preparing to emulate its efforts to restore polluted urban rivers for public use. After a hundred-year swimming ban, Parisians can now take a dip in the once-contaminated Seine, thanks to more than a billion dollars spent on upgrades like sewer improvements and rainwater storage. Cities such as Berlin, Boston, New York, and London are developing similar plans to clean their waterways and make them safe for swimming once again. estuary noun: the part of the mouth or lower course of a river in which the river’s current meets the sea’s tide From the headlines: Florida Governor Ron DeSantis signed a bill that will ban oil drilling on the Apalachicola River. The river’s estuary is home to many endangered plants and animals, including the world’s largest stand of tupelo trees. The inlet is also the most important site in the state’s oyster industry. Environmentalists and fishermen supported the bill and pushed DeSantis to sign it. Fun fact: A Latin word meaning “boiling of the sea” is the root of estuary. gentrification noun: the buying and renovation of property in urban neighborhoods in a way that often displaces low-income families and small businesses From the headlines: Protesters in Mexico City say they’re angry about gentrification caused by large numbers of foreigners moving there since 2020. Locals say they have seen formerly affordable housing prices skyrocket as the numbers of short-term rentals and expats increase. Airbnb listings in the city have exploded to over 20,000, and Americans have arrived in particularly large numbers to buy and renovate houses. In the process, they say these factors have driven up costs for everyone, including local residents. hedonism noun: the doctrine that pleasure or happiness is the highest good From the headlines: Researchers say there are six traits that make someone seem “cool” to others, including extroversion, power, and embracing hedonism. An American Psychological Association study surveyed 6,000 people in 12 countries and found a sharp division between people seen as “good” versus “cool.” Being hedonistic, for example, didn’t make someone seem “good,” but focusing on one’s own happiness and pleasure was strongly associated with appearing “cool.” kayak verb: to travel by a traditional Inuit or Yupik canoe with a skin cover on a light framework, or by a small boat resembling this From the headlines: Several dozen Native American teens who spent a month kayaking the length of the Klamath River reached their destination. The group paddled their long, narrow boats about 300 miles, from Oregon to California, to celebrate the removal of four dams. The waterway holds a deep significance to Native American tribes, and many of the teens learned to kayak specifically to participate in the long paddle. larceny noun: the wrongful taking of someone’s property or goods From the headlines: Atlanta police have identified a suspect in the theft of hard drives holding unreleased Beyoncé songs. Setlists and plans for concert footage were also stolen when the alleged thief broke into a vehicle rented by the singer’s team. The larceny occurred during a stop on her Cowboy Carter tour. linchpin noun: something that holds the various elements of a complicated structure together From the headlines: The Department of Defense will stop supplying meteorologists with satellite data, which experts describe as a linchpin of storm modeling. Forecasts for hurricanes rely heavily on this military satellite feed to track storm paths and determine when people should evacuate. matcha noun: finely ground tea leaf powder used to make tea or as a flavoring, or the tea made from it From the headlines: The worldwide demand for matcha is causing severe shortages and higher prices. The bright green, grassy-flavored, powdered tea has a long history in Japan, but its popularity in other countries has exploded in recent years. Drinks and baked goods made with matcha have become wildly popular, causing Japanese tea growers to struggle to keep up with the demand. meteorite noun: a mass of stone or metal that has reached the earth from outer space From the headlines: On July 16, a bidder paid $4.3 million to own a chunk of Mars. The rare Martian meteorite, which weighs about 54 pounds, is the largest meteor fragment ever found on Earth that’s known to come from the red planet. Out of approximately 77,000 confirmed meteorites, only 400 were originally part of Mars. This one, named NWA 16788, was found in the Sahara Desert after its 140-million-mile journey through space. monastery noun: a residence occupied by a community of persons, especially monks, living in seclusion under religious vows From the headlines: Tens of thousands of books are being removed from a medieval Hungarian monastery to save them from a beetle infestation. The Pannonhalma Archabbey contains Hungary’s oldest library and some of the country’s most ancient and valuable books and written records. The monastery was founded 1,000 years ago by Benedictines, and about fifty monks live there today, practicing religious contemplation and solitude. nuptials noun: a marriage ceremony, or a social event accompanying one From the headlines: Protesters took to the streets in Venice as Amazon founder Jeff Bezos and Lauren Sanchez held their nuptials on a Venetian island, complete with 200 guests and three days of extravagant celebrations. Locals expressed outrage, saying the event placed additional strain on a city already struggling with overtourism and environmental fragility. offering noun: something presented to a deity as a symbol of devotion From the headlines: Archaeologists discovered about 2,000 pottery offerings on the Greek island of Kythnos. Historians said the clay figures, which represent children, women, and animals, had been left by devoted worshippers over the centuries. Two ancient temples once stood on the site, as well as a pit where the objects given as gifts to the gods were eventually thrown away to make room for new offerings. parody noun: a humorous or satirical imitation of a serious piece of writing or art From the headlines: Weird Al Yankovic, famed for his clever musical parodies, performed to a sold-out crowd at Madison Square Garden in New York, marking his first show at the iconic 20,000-seat venue. Over his forty-year career, Yankovic has become the most recognizable figure in the parody genre, with hits such as “Like a Surgeon,” a spoof of Madonna’s “Like a Virgin,” and “I Love Rocky Road,” a playful take on “I Love Rock ‘n Roll.” perennial adjective: arising repeatedly or always existing From the headlines: Joey Chestnut, the perennial champion of the Nathan’s Famous Hot Dog Eating Contest, reclaimed his crown this year after missing last year’s competition. He was sidelined in 2024 due to a sponsorship deal with a vegan meat brand, but prior to that, Chestnut had claimed victory in 16 of the past 17 contests. He still holds the world record for devouring 76 hot dogs and buns in just 10 minutes in 2021. philanthropist noun: someone who makes charitable donations From the headlines: Warren Buffett said he would donate $6 billion to five charitable foundations. The businessman and philanthropist, whose net worth is approximately $145 billion, has previously given more than $50 billion to the aforementioned foundations. While Buffet’s children will decide how to give away the rest of his fortune after his death, he said that more than 99 percent of it will have to be used philanthropically. plunder verb: to take wrongfully, as by pillage, robbery, or fraud From the headlines: Experts assumed that a Stradivarius violin plundered after World War II had been lost or destroyed; now it appears to have resurfaced. The 316-year-old instrument was stolen from a Berlin bank safe during the chaos at the end of the war, and the family who owned it searched for decades before giving up. An image of the looted violin, which is valued at millions of dollars, was discovered among photos of Stradivarius instruments from a 2018 Tokyo exhibition. risotto noun: a dish of rice cooked with broth and flavored with grated cheese and other ingredients From the headlines: The short-grain Italian rice that’s used to make risotto is under threat from an unusual culprit: flamingos. Flocks of the birds are settling into northern Italian rice paddies instead of their usual nesting grounds. By stirring the shallow water and rooting for mollusks, the flamingos are destroying many valuable rice crops. skittish adjective: easily frightened or extremely cautious From the headlines: Economists report that despite a low unemployment rate, employers are increasingly skittish about hiring, leaving many recent college graduates struggling to find jobs. Numerous tech companies, consulting firms, and federal agencies are cutting back or freezing hiring, while other industries are hesitant to increase payroll expenses. Furthermore, fewer workers are quitting, limiting job openings even more. synthetic adjective: pertaining to compounds formed through a chemical process by human agency, as opposed to those of natural origin From the headlines: The J.M. Smucker Company has announced it will phase out synthetic dyes from its jams and other offerings. While many of its products are already made without artificial colors, some, including sugar-free jams and Hostess snacks like Twinkies and Snoballs, still rely on them. The company intends to use naturally sourced dyes by 2027. tandem adverb: one following or behind the other From the headlines: Researchers were surprised by video evidence of animals that are normally at odds traveling in tandem. A night-vision camera recorded an ocelot traveling peacefully behind an opossum — a surprise, since ocelots usually prey on opossums. Later footage showed the opossum trailing the ocelot as it prowled. Other researchers have since reported at least three additional examples of such behavior. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 Comments 0 Shares 400 Views 0 Reviews
  • “Euclyd เปิดตัว CRAFTWERK — ชิป AI ขนาดฝ่ามือที่แรงกว่า Nvidia ด้วย 16,384 คอร์ และแบนด์วิดธ์ 8PB/s”

    ในงาน KISACO Infrastructure Summit 2025 ที่ซานตาคลารา สตาร์ทอัพจากยุโรปชื่อ Euclyd ได้เปิดตัวชิป AI รุ่นใหม่ชื่อว่า “CRAFTWERK” ซึ่งสร้างความฮือฮาในวงการด้วยสเปกที่เหนือกว่าชิปจากบริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Nvidia และ Intel อย่างชัดเจน

    CRAFTWERK เป็นชิปแบบ SiP (System-in-Package) ขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ แต่ภายในบรรจุ SIMD processor ถึง 16,384 คอร์ พร้อมหน่วยความจำแบบใหม่ที่เรียกว่า UBM (Ultra Bandwidth Memory) ขนาด 1TB ซึ่งสามารถส่งข้อมูลได้เร็วถึง 8,000TB/s หรือ 8PB/s — เร็วกว่าหน่วยความจำ HBM ที่ Nvidia ใช้อย่างมาก

    ด้านการประมวลผล CRAFTWERK ให้พลังสูงถึง 8 PFLOPS ใน FP16 และ 32 PFLOPS ใน FP4 ซึ่งเหมาะกับงาน AI inference โดยเฉพาะแบบ agentic AI ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและการจัดการพลังงานที่ดี

    นอกจากนี้ Euclyd ยังเปิดตัว CRAFTWERK STATION CWS 32 ซึ่งเป็นระบบ rack-scale ที่รวมชิป CRAFTWERK 32 ตัวเข้าด้วยกัน ให้พลังรวมถึง 1.024 exaflops และหน่วยความจำรวม 32TB โดยสามารถสร้าง token ได้ถึง 7.68 ล้านต่อวินาทีในโหมดหลายผู้ใช้ และใช้พลังงานเพียง 125kW ซึ่งถือว่าประหยัดกว่าระบบทั่วไปถึง 100 เท่า

    บริษัทตั้งอยู่ใน Eindhoven ประเทศเนเธอร์แลนด์ และมีสำนักงานในซานโฮเซ่ สหรัฐฯ โดยได้รับการสนับสนุนจากบุคคลสำคัญในวงการ เช่น Peter Wennink อดีต CEO ของ ASML และ Federico Faggin ผู้คิดค้นไมโครโปรเซสเซอร์

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Euclyd เปิดตัวชิป AI CRAFTWERK ที่งาน KISACO Summit 2025
    ชิปมี 16,384 SIMD คอร์ และหน่วยความจำ UBM ขนาด 1TB
    แบนด์วิดธ์ของ UBM สูงถึง 8PB/s เร็วกว่าหน่วยความจำ HBM ของ Nvidia
    ให้พลังประมวลผล 8 PFLOPS (FP16) และ 32 PFLOPS (FP4)
    CRAFTWERK STATION CWS 32 รวมชิป 32 ตัว ให้พลังรวม 1.024 exaflops
    สร้าง token ได้ 7.68 ล้านต่อวินาที ใช้พลังงานเพียง 125kW
    ประสิทธิภาพด้านพลังงานและต้นทุนต่อ token ดีกว่าระบบทั่วไปถึง 100 เท่า
    บริษัทมีสำนักงานในเนเธอร์แลนด์และสหรัฐฯ ได้รับการสนับสนุนจากอดีตผู้บริหาร ASML และผู้คิดค้นไมโครโปรเซสเซอร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    FP4 เป็นรูปแบบความแม่นยำต่ำที่เหมาะกับงาน inference โดยเฉพาะ LLM
    SIMD (Single Instruction, Multiple Data) เหมาะกับงานที่ต้องประมวลผลข้อมูลจำนวนมากพร้อมกัน
    UBM เป็นหน่วยความจำที่ออกแบบมาเฉพาะ ไม่ใช้เทคโนโลยีจาก HBM หรือ SRAM
    การใช้ SiP ขนาดเล็กช่วยลดความซับซ้อนในการเชื่อมต่อและการจัดการพลังงาน
    Euclyd ใช้แนวคิด “Crafted Compute” ที่ออกแบบทุกส่วนตั้งแต่ processor ถึง packaging

    https://www.techradar.com/pro/obscure-eu-ai-startup-outs-massive-chip-that-has-16-384-simd-processors-and-1tb-of-memory-thats-even-faster-than-nvidias-hbm-euclyds-ubm-has-8pb-s-bandwidth-32pf-fp4-compute-performance-and-some-iconic-backers
    🚀 “Euclyd เปิดตัว CRAFTWERK — ชิป AI ขนาดฝ่ามือที่แรงกว่า Nvidia ด้วย 16,384 คอร์ และแบนด์วิดธ์ 8PB/s” ในงาน KISACO Infrastructure Summit 2025 ที่ซานตาคลารา สตาร์ทอัพจากยุโรปชื่อ Euclyd ได้เปิดตัวชิป AI รุ่นใหม่ชื่อว่า “CRAFTWERK” ซึ่งสร้างความฮือฮาในวงการด้วยสเปกที่เหนือกว่าชิปจากบริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Nvidia และ Intel อย่างชัดเจน CRAFTWERK เป็นชิปแบบ SiP (System-in-Package) ขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ แต่ภายในบรรจุ SIMD processor ถึง 16,384 คอร์ พร้อมหน่วยความจำแบบใหม่ที่เรียกว่า UBM (Ultra Bandwidth Memory) ขนาด 1TB ซึ่งสามารถส่งข้อมูลได้เร็วถึง 8,000TB/s หรือ 8PB/s — เร็วกว่าหน่วยความจำ HBM ที่ Nvidia ใช้อย่างมาก ด้านการประมวลผล CRAFTWERK ให้พลังสูงถึง 8 PFLOPS ใน FP16 และ 32 PFLOPS ใน FP4 ซึ่งเหมาะกับงาน AI inference โดยเฉพาะแบบ agentic AI ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและการจัดการพลังงานที่ดี นอกจากนี้ Euclyd ยังเปิดตัว CRAFTWERK STATION CWS 32 ซึ่งเป็นระบบ rack-scale ที่รวมชิป CRAFTWERK 32 ตัวเข้าด้วยกัน ให้พลังรวมถึง 1.024 exaflops และหน่วยความจำรวม 32TB โดยสามารถสร้าง token ได้ถึง 7.68 ล้านต่อวินาทีในโหมดหลายผู้ใช้ และใช้พลังงานเพียง 125kW ซึ่งถือว่าประหยัดกว่าระบบทั่วไปถึง 100 เท่า บริษัทตั้งอยู่ใน Eindhoven ประเทศเนเธอร์แลนด์ และมีสำนักงานในซานโฮเซ่ สหรัฐฯ โดยได้รับการสนับสนุนจากบุคคลสำคัญในวงการ เช่น Peter Wennink อดีต CEO ของ ASML และ Federico Faggin ผู้คิดค้นไมโครโปรเซสเซอร์ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Euclyd เปิดตัวชิป AI CRAFTWERK ที่งาน KISACO Summit 2025 ➡️ ชิปมี 16,384 SIMD คอร์ และหน่วยความจำ UBM ขนาด 1TB ➡️ แบนด์วิดธ์ของ UBM สูงถึง 8PB/s เร็วกว่าหน่วยความจำ HBM ของ Nvidia ➡️ ให้พลังประมวลผล 8 PFLOPS (FP16) และ 32 PFLOPS (FP4) ➡️ CRAFTWERK STATION CWS 32 รวมชิป 32 ตัว ให้พลังรวม 1.024 exaflops ➡️ สร้าง token ได้ 7.68 ล้านต่อวินาที ใช้พลังงานเพียง 125kW ➡️ ประสิทธิภาพด้านพลังงานและต้นทุนต่อ token ดีกว่าระบบทั่วไปถึง 100 เท่า ➡️ บริษัทมีสำนักงานในเนเธอร์แลนด์และสหรัฐฯ ได้รับการสนับสนุนจากอดีตผู้บริหาร ASML และผู้คิดค้นไมโครโปรเซสเซอร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ FP4 เป็นรูปแบบความแม่นยำต่ำที่เหมาะกับงาน inference โดยเฉพาะ LLM ➡️ SIMD (Single Instruction, Multiple Data) เหมาะกับงานที่ต้องประมวลผลข้อมูลจำนวนมากพร้อมกัน ➡️ UBM เป็นหน่วยความจำที่ออกแบบมาเฉพาะ ไม่ใช้เทคโนโลยีจาก HBM หรือ SRAM ➡️ การใช้ SiP ขนาดเล็กช่วยลดความซับซ้อนในการเชื่อมต่อและการจัดการพลังงาน ➡️ Euclyd ใช้แนวคิด “Crafted Compute” ที่ออกแบบทุกส่วนตั้งแต่ processor ถึง packaging https://www.techradar.com/pro/obscure-eu-ai-startup-outs-massive-chip-that-has-16-384-simd-processors-and-1tb-of-memory-thats-even-faster-than-nvidias-hbm-euclyds-ubm-has-8pb-s-bandwidth-32pf-fp4-compute-performance-and-some-iconic-backers
    0 Comments 0 Shares 208 Views 0 Reviews
  • “Fedora เปิดร่างนโยบาย Vibe Coding — เมื่อ AI กลายเป็นผู้ช่วยในโอเพ่นซอร์ส แต่ไม่ใช่ผู้ตัดสิน”

    Fedora Project ซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักของโลกโอเพ่นซอร์ส ได้เปิดร่างนโยบายใหม่ว่าด้วยการใช้เครื่องมือ AI ในการพัฒนาโค้ด โดยเน้นแนวคิด “Vibe Coding” ที่ให้ AI เป็นผู้ช่วยในการสร้างสรรค์ แต่ยังคงให้มนุษย์เป็นผู้รับผิดชอบหลักในทุกขั้นตอนของการพัฒนา

    ร่างนโยบายนี้เป็นผลจากการปรึกษาหารือกับชุมชนตลอดหนึ่งปีเต็ม เริ่มจากการสำรวจความคิดเห็นในช่วงฤดูร้อนปี 2024 และนำมาสู่การกำหนดแนวทาง 4 ด้านหลัก ได้แก่ การใช้ AI ในการเขียนโค้ด, การรีวิว, การจัดการโครงการ และการใช้ข้อมูล

    สำหรับผู้พัฒนาโค้ดที่ใช้ AI ช่วยงาน Fedora ระบุชัดว่า “คุณต้องรับผิดชอบทุกบรรทัดที่ส่งเข้าไป” โดย AI ถือเป็นเพียงข้อเสนอ ไม่ใช่โค้ดสุดท้าย ผู้ใช้ต้องตรวจสอบ ทดสอบ และเข้าใจสิ่งที่ตนเองส่งเข้าไป และหาก AI มีส่วนช่วยอย่างมีนัยสำคัญ ควรระบุไว้ใน commit message เพื่อความโปร่งใส

    ในส่วนของผู้รีวิว แม้จะสามารถใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ได้ แต่ไม่สามารถใช้ AI ตัดสินใจแทนมนุษย์ได้ การอนุมัติสุดท้ายต้องมาจากคนจริงเท่านั้น

    ด้านการจัดการโครงการ Fedora ห้ามใช้ AI ในการตัดสินเรื่องจรรยาบรรณ การอนุมัติทุน การคัดเลือกหัวข้อสัมมนา หรือการแต่งตั้งผู้นำ และหากมีฟีเจอร์ AI ที่ส่งข้อมูลออกไปยังบริการภายนอก ต้องให้ผู้ใช้ opt-in เท่านั้น

    ในทางกลับกัน Fedora สนับสนุนการแพ็กเกจเครื่องมือ AI และเฟรมเวิร์กต่าง ๆ ให้ใช้งานได้ในระบบ Fedora ตราบใดที่ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านลิขสิทธิ์และการจัดการแพ็กเกจ

    ร่างนโยบายนี้เปิดให้ชุมชนแสดงความคิดเห็นเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ก่อนจะเข้าสู่การลงคะแนนอย่างเป็นทางการโดย Fedora Council ผ่านระบบ ticket voting

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Fedora เปิดร่างนโยบายการใช้ AI ในการพัฒนาโค้ดแบบ Vibe Coding
    ผู้ใช้ AI ต้องรับผิดชอบโค้ดทั้งหมดที่ส่งเข้าไป ไม่ใช่ปล่อยให้ AI ตัดสินใจแทน
    หาก AI มีส่วนช่วยอย่างมีนัยสำคัญ ควรระบุไว้ใน commit message
    ผู้รีวิวสามารถใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ได้ แต่ไม่สามารถใช้ AI ตัดสินใจแทนมนุษย์
    ห้ามใช้ AI ในการตัดสินเรื่องจรรยาบรรณ ทุน สัมมนา หรือการแต่งตั้งผู้นำ
    ฟีเจอร์ AI ที่ส่งข้อมูลออกไปต้องให้ผู้ใช้ opt-in เท่านั้น
    Fedora สนับสนุนการแพ็กเกจเครื่องมือ AI หากปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านลิขสิทธิ์
    ห้ามใช้การ scrape ข้อมูลจาก Fedora อย่างหนักจนกระทบโครงสร้างพื้นฐาน
    ร่างนโยบายเปิดให้ชุมชนแสดงความคิดเห็น 2 สัปดาห์ก่อนลงคะแนน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    “Vibe Coding” เป็นแนวคิดที่ให้ AI เป็นผู้ช่วยสร้างสรรค์ ไม่ใช่ผู้ควบคุม
    หลายโครงการโอเพ่นซอร์สเริ่มใช้ AI เช่น GitHub Copilot, Sourcery, Log Detective
    การระบุ Assisted-by: ใน commit message เป็นแนวทางใหม่ที่หลายโครงการเริ่มใช้
    การใช้ AI ในการรีวิวโค้ดยังมีข้อจำกัดด้านคุณภาพและความเข้าใจบริบท
    Fedora เป็น upstream ของ Red Hat และมีอิทธิพลต่อระบบ Linux ทั่วโลก

    https://news.itsfoss.com/fedora-ai-guidelines/
    🧠 “Fedora เปิดร่างนโยบาย Vibe Coding — เมื่อ AI กลายเป็นผู้ช่วยในโอเพ่นซอร์ส แต่ไม่ใช่ผู้ตัดสิน” Fedora Project ซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักของโลกโอเพ่นซอร์ส ได้เปิดร่างนโยบายใหม่ว่าด้วยการใช้เครื่องมือ AI ในการพัฒนาโค้ด โดยเน้นแนวคิด “Vibe Coding” ที่ให้ AI เป็นผู้ช่วยในการสร้างสรรค์ แต่ยังคงให้มนุษย์เป็นผู้รับผิดชอบหลักในทุกขั้นตอนของการพัฒนา ร่างนโยบายนี้เป็นผลจากการปรึกษาหารือกับชุมชนตลอดหนึ่งปีเต็ม เริ่มจากการสำรวจความคิดเห็นในช่วงฤดูร้อนปี 2024 และนำมาสู่การกำหนดแนวทาง 4 ด้านหลัก ได้แก่ การใช้ AI ในการเขียนโค้ด, การรีวิว, การจัดการโครงการ และการใช้ข้อมูล สำหรับผู้พัฒนาโค้ดที่ใช้ AI ช่วยงาน Fedora ระบุชัดว่า “คุณต้องรับผิดชอบทุกบรรทัดที่ส่งเข้าไป” โดย AI ถือเป็นเพียงข้อเสนอ ไม่ใช่โค้ดสุดท้าย ผู้ใช้ต้องตรวจสอบ ทดสอบ และเข้าใจสิ่งที่ตนเองส่งเข้าไป และหาก AI มีส่วนช่วยอย่างมีนัยสำคัญ ควรระบุไว้ใน commit message เพื่อความโปร่งใส ในส่วนของผู้รีวิว แม้จะสามารถใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ได้ แต่ไม่สามารถใช้ AI ตัดสินใจแทนมนุษย์ได้ การอนุมัติสุดท้ายต้องมาจากคนจริงเท่านั้น ด้านการจัดการโครงการ Fedora ห้ามใช้ AI ในการตัดสินเรื่องจรรยาบรรณ การอนุมัติทุน การคัดเลือกหัวข้อสัมมนา หรือการแต่งตั้งผู้นำ และหากมีฟีเจอร์ AI ที่ส่งข้อมูลออกไปยังบริการภายนอก ต้องให้ผู้ใช้ opt-in เท่านั้น ในทางกลับกัน Fedora สนับสนุนการแพ็กเกจเครื่องมือ AI และเฟรมเวิร์กต่าง ๆ ให้ใช้งานได้ในระบบ Fedora ตราบใดที่ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านลิขสิทธิ์และการจัดการแพ็กเกจ ร่างนโยบายนี้เปิดให้ชุมชนแสดงความคิดเห็นเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ก่อนจะเข้าสู่การลงคะแนนอย่างเป็นทางการโดย Fedora Council ผ่านระบบ ticket voting ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Fedora เปิดร่างนโยบายการใช้ AI ในการพัฒนาโค้ดแบบ Vibe Coding ➡️ ผู้ใช้ AI ต้องรับผิดชอบโค้ดทั้งหมดที่ส่งเข้าไป ไม่ใช่ปล่อยให้ AI ตัดสินใจแทน ➡️ หาก AI มีส่วนช่วยอย่างมีนัยสำคัญ ควรระบุไว้ใน commit message ➡️ ผู้รีวิวสามารถใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ได้ แต่ไม่สามารถใช้ AI ตัดสินใจแทนมนุษย์ ➡️ ห้ามใช้ AI ในการตัดสินเรื่องจรรยาบรรณ ทุน สัมมนา หรือการแต่งตั้งผู้นำ ➡️ ฟีเจอร์ AI ที่ส่งข้อมูลออกไปต้องให้ผู้ใช้ opt-in เท่านั้น ➡️ Fedora สนับสนุนการแพ็กเกจเครื่องมือ AI หากปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านลิขสิทธิ์ ➡️ ห้ามใช้การ scrape ข้อมูลจาก Fedora อย่างหนักจนกระทบโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ ร่างนโยบายเปิดให้ชุมชนแสดงความคิดเห็น 2 สัปดาห์ก่อนลงคะแนน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ “Vibe Coding” เป็นแนวคิดที่ให้ AI เป็นผู้ช่วยสร้างสรรค์ ไม่ใช่ผู้ควบคุม ➡️ หลายโครงการโอเพ่นซอร์สเริ่มใช้ AI เช่น GitHub Copilot, Sourcery, Log Detective ➡️ การระบุ Assisted-by: ใน commit message เป็นแนวทางใหม่ที่หลายโครงการเริ่มใช้ ➡️ การใช้ AI ในการรีวิวโค้ดยังมีข้อจำกัดด้านคุณภาพและความเข้าใจบริบท ➡️ Fedora เป็น upstream ของ Red Hat และมีอิทธิพลต่อระบบ Linux ทั่วโลก https://news.itsfoss.com/fedora-ai-guidelines/
    0 Comments 0 Shares 166 Views 0 Reviews
  • “DeepSeek-V3.2-Exp เปิดตัวแล้ว — โมเดล AI จีนที่ท้าชน OpenAI ด้วยประสิทธิภาพสูงและต้นทุนต่ำ”

    DeepSeek บริษัท AI จากเมืองหางโจว ประเทศจีน ได้เปิดตัวโมเดลใหม่ชื่อว่า DeepSeek-V3.2-Exp ซึ่งถูกระบุว่าเป็น “ขั้นกลาง” ก่อนเข้าสู่สถาปัตยกรรมรุ่นถัดไปที่บริษัทกำลังพัฒนาอยู่ โมเดลนี้ถูกปล่อยผ่านแพลตฟอร์ม Hugging Face และถือเป็นการทดลองเชิงเทคนิคที่มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการฝึกและการประมวลผลข้อความยาว โดยไม่เน้นการไล่คะแนนบน leaderboard แบบเดิม

    จุดเด่นของ V3.2-Exp คือการใช้กลไกใหม่ที่เรียกว่า DeepSeek Sparse Attention (DSA) ซึ่งช่วยลดต้นทุนการคำนวณอย่างมาก และยังคงคุณภาพของผลลัพธ์ไว้ใกล้เคียงกับรุ่นก่อนหน้าอย่าง V3.1-Terminus โดยทีมงานได้ตั้งค่าการฝึกให้เหมือนกันทุกประการ เพื่อพิสูจน์ว่า “ความเร็วและประสิทธิภาพ” คือสิ่งที่พัฒนาได้จริง โดยไม่ต้องแลกกับคุณภาพ

    นอกจากนี้ DeepSeek ยังประกาศลดราคาการใช้งาน API ลงกว่า 50% เพื่อแข่งขันกับคู่แข่งทั้งในประเทศ เช่น Alibaba Qwen และระดับโลกอย่าง OpenAI ซึ่งถือเป็นการเปิดศึกด้านราคาในตลาดโมเดลภาษาอย่างชัดเจน

    แม้โมเดลนี้จะยังไม่ใช่รุ่น “next-gen” ที่หลายคนรอคอย แต่ก็ถือเป็นการกลับมาอย่างมั่นใจของ DeepSeek หลังจากโมเดล R2 ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากปัญหาด้านฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะการฝึกบนชิป Ascend ของ Huawei ที่ไม่สามารถทำงานได้ตามเป้า ทำให้ต้องกลับมาใช้ Nvidia อีกครั้ง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    DeepSeek เปิดตัวโมเดลใหม่ชื่อ DeepSeek-V3.2-Exp บน Hugging Face
    เป็นการทดลองเพื่อเตรียมเข้าสู่สถาปัตยกรรมรุ่นถัดไปของบริษัท
    ใช้กลไก DeepSeek Sparse Attention (DSA) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลข้อความยาว
    ตั้งค่าการฝึกเหมือนกับ V3.1-Terminus เพื่อพิสูจน์ว่า DSA ให้ผลลัพธ์เทียบเท่าแต่เร็วกว่า
    ลดราคาการใช้งาน API ลงกว่า 50% เพื่อแข่งขันกับ Alibaba และ OpenAI
    ไม่เน้นการไล่คะแนน benchmark แต่เน้นการพิสูจน์ประสิทธิภาพจริง
    โมเดลเปิดให้ใช้งานแบบ open-source ภายใต้ MIT License
    มีการปล่อย kernel สำหรับงานวิจัยและการใช้งานประสิทธิภาพสูง
    เป็นการกลับมาอีกครั้งหลังจากโมเดล R2 ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Sparse Attention เป็นเทคนิคที่ช่วยลดการคำนวณในโมเดล Transformer โดยเลือกเฉพาะข้อมูลสำคัญ
    Hugging Face เป็นแพลตฟอร์มที่นักพัฒนา AI ทั่วโลกใช้ในการเผยแพร่และทดลองโมเดล
    การลดราคาการใช้งาน API เป็นกลยุทธ์ที่ใช้บ่อยในการเปิดตลาดใหม่หรือแย่งส่วนแบ่งจากคู่แข่ง
    DeepSeek เคยสร้างความฮือฮาใน Silicon Valley ด้วยโมเดล V3 และ R1 ที่มีประสิทธิภาพสูง
    ปัญหาการฝึกบนชิป Ascend ของ Huawei สะท้อนความท้าทายของจีนในการพึ่งพาฮาร์ดแวร์ภายในประเทศ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/29/deepseek-releases-model-it-calls-039intermediate-step039-towards-039next-generation-architecture039
    🧠 “DeepSeek-V3.2-Exp เปิดตัวแล้ว — โมเดล AI จีนที่ท้าชน OpenAI ด้วยประสิทธิภาพสูงและต้นทุนต่ำ” DeepSeek บริษัท AI จากเมืองหางโจว ประเทศจีน ได้เปิดตัวโมเดลใหม่ชื่อว่า DeepSeek-V3.2-Exp ซึ่งถูกระบุว่าเป็น “ขั้นกลาง” ก่อนเข้าสู่สถาปัตยกรรมรุ่นถัดไปที่บริษัทกำลังพัฒนาอยู่ โมเดลนี้ถูกปล่อยผ่านแพลตฟอร์ม Hugging Face และถือเป็นการทดลองเชิงเทคนิคที่มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการฝึกและการประมวลผลข้อความยาว โดยไม่เน้นการไล่คะแนนบน leaderboard แบบเดิม จุดเด่นของ V3.2-Exp คือการใช้กลไกใหม่ที่เรียกว่า DeepSeek Sparse Attention (DSA) ซึ่งช่วยลดต้นทุนการคำนวณอย่างมาก และยังคงคุณภาพของผลลัพธ์ไว้ใกล้เคียงกับรุ่นก่อนหน้าอย่าง V3.1-Terminus โดยทีมงานได้ตั้งค่าการฝึกให้เหมือนกันทุกประการ เพื่อพิสูจน์ว่า “ความเร็วและประสิทธิภาพ” คือสิ่งที่พัฒนาได้จริง โดยไม่ต้องแลกกับคุณภาพ นอกจากนี้ DeepSeek ยังประกาศลดราคาการใช้งาน API ลงกว่า 50% เพื่อแข่งขันกับคู่แข่งทั้งในประเทศ เช่น Alibaba Qwen และระดับโลกอย่าง OpenAI ซึ่งถือเป็นการเปิดศึกด้านราคาในตลาดโมเดลภาษาอย่างชัดเจน แม้โมเดลนี้จะยังไม่ใช่รุ่น “next-gen” ที่หลายคนรอคอย แต่ก็ถือเป็นการกลับมาอย่างมั่นใจของ DeepSeek หลังจากโมเดล R2 ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากปัญหาด้านฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะการฝึกบนชิป Ascend ของ Huawei ที่ไม่สามารถทำงานได้ตามเป้า ทำให้ต้องกลับมาใช้ Nvidia อีกครั้ง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ DeepSeek เปิดตัวโมเดลใหม่ชื่อ DeepSeek-V3.2-Exp บน Hugging Face ➡️ เป็นการทดลองเพื่อเตรียมเข้าสู่สถาปัตยกรรมรุ่นถัดไปของบริษัท ➡️ ใช้กลไก DeepSeek Sparse Attention (DSA) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลข้อความยาว ➡️ ตั้งค่าการฝึกเหมือนกับ V3.1-Terminus เพื่อพิสูจน์ว่า DSA ให้ผลลัพธ์เทียบเท่าแต่เร็วกว่า ➡️ ลดราคาการใช้งาน API ลงกว่า 50% เพื่อแข่งขันกับ Alibaba และ OpenAI ➡️ ไม่เน้นการไล่คะแนน benchmark แต่เน้นการพิสูจน์ประสิทธิภาพจริง ➡️ โมเดลเปิดให้ใช้งานแบบ open-source ภายใต้ MIT License ➡️ มีการปล่อย kernel สำหรับงานวิจัยและการใช้งานประสิทธิภาพสูง ➡️ เป็นการกลับมาอีกครั้งหลังจากโมเดล R2 ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Sparse Attention เป็นเทคนิคที่ช่วยลดการคำนวณในโมเดล Transformer โดยเลือกเฉพาะข้อมูลสำคัญ ➡️ Hugging Face เป็นแพลตฟอร์มที่นักพัฒนา AI ทั่วโลกใช้ในการเผยแพร่และทดลองโมเดล ➡️ การลดราคาการใช้งาน API เป็นกลยุทธ์ที่ใช้บ่อยในการเปิดตลาดใหม่หรือแย่งส่วนแบ่งจากคู่แข่ง ➡️ DeepSeek เคยสร้างความฮือฮาใน Silicon Valley ด้วยโมเดล V3 และ R1 ที่มีประสิทธิภาพสูง ➡️ ปัญหาการฝึกบนชิป Ascend ของ Huawei สะท้อนความท้าทายของจีนในการพึ่งพาฮาร์ดแวร์ภายในประเทศ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/29/deepseek-releases-model-it-calls-039intermediate-step039-towards-039next-generation-architecture039
    WWW.THESTAR.COM.MY
    DeepSeek releases model it calls 'intermediate step' towards 'next-generation architecture'
    BEIJING (Reuters) -Chinese AI developer DeepSeek has released its latest model which it said was an "experimental release" that was more efficient to train and better at processing long sequences of text than previous iterations.
    0 Comments 0 Shares 219 Views 0 Reviews
  • “Linux Kernel 6.17 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — ยกระดับความปลอดภัย รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ พร้อมฟีเจอร์ล้ำยุคสำหรับยุค AI และ Cloud”

    Linus Torvalds ประกาศเปิดตัว Linux Kernel 6.17 อย่างเป็นทางการเมื่อปลายเดือนกันยายน 2025 โดยเวอร์ชันนี้มาพร้อมกับการปรับปรุงครั้งใหญ่ทั้งด้านความปลอดภัย การรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ และฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์การใช้งานในยุคที่ระบบปฏิบัติการต้องรองรับงานหนักระดับเซิร์ฟเวอร์และคลาวด์

    หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือการเพิ่มฟีเจอร์ “Attack Vector Controls” ซึ่งช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถจัดการการป้องกันช่องโหว่ CPU ได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องตั้งค่าทีละรายการ แต่สามารถเลือกปิดหรือเปิดการป้องกันตามประเภทของการโจมตี เช่น user-to-kernel หรือ guest-to-host ได้ในบรรทัดเดียว

    ด้านฮาร์ดแวร์ Linux 6.17 รองรับเทคโนโลยีใหม่จากหลายค่าย เช่น:

    ARM: Branch Record Buffer Extension (BRBE) และ GICv5 สำหรับ KVM
    AMD: Hardware Feedback Interface (HFI) และ ACP 7.2 SoundWire
    Intel: Wildcat Lake, Bartlett Lake-S, Panther Lake Xe3 graphics, IPU7 driver
    Apple: SMC driver สำหรับรีบูต Mac M1/M2 ด้วย mainline kernel

    ยังมีการรองรับอุปกรณ์ใหม่อีกมาก เช่น Raspberry Pi 5 RP1 chip, Argon40 Fan HAT, Touch Bar บน MacBook Pro, และ OneXPlayer X1 Pro

    ในด้านระบบไฟล์และเน็ตเวิร์ก มีการเพิ่ม:
    Large-folio support สำหรับ Btrfs
    Metadata compression สำหรับ EROFS
    Scalability ที่ดีขึ้นสำหรับ EXT4
    รองรับ DualPI2 congestion control และ TCP_MAXSEG สำหรับ multipath TCP

    นอกจากนี้ยังมีการเพิ่ม live patching สำหรับ AArch64, proxy execution, และระบบ tracepoint สำหรับ User-Mode Linux รวมถึงการปรับปรุงระบบจัดการหน่วยความจำด้วยโมดูล DAMON_STAT

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Linux Kernel 6.17 เปิดตัวอย่างเป็นทางการโดย Linus Torvalds
    เพิ่มฟีเจอร์ Attack Vector Controls สำหรับจัดการการป้องกันช่องโหว่ CPU
    รองรับ ARM BRBE, GICv5, AMD HFI, Intel Wildcat Lake และ Apple SMC driver
    รองรับอุปกรณ์ใหม่ เช่น Raspberry Pi 5 RP1, Argon40 Fan HAT, Touch Bar บน MacBook Pro
    รองรับ codec HEVC และ VP9 ผ่าน Qualcomm Iris decoder บน V4L2
    เพิ่ม live patching สำหรับ AArch64 และ proxy execution
    รองรับระบบไฟล์ใหม่ เช่น Btrfs, EXT4, EROFS ด้วยฟีเจอร์ใหม่
    ปรับปรุงระบบเน็ตเวิร์ก เช่น DualPI2, TCP_MAXSEG, IPv6 force_forwarding
    เพิ่ม driver สำหรับ Framework Laptop 13, ASUS Commercial, HP EliteBook

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Attack Vector Controls แบ่งการป้องกันออกเป็น 5 ประเภท เช่น user-to-user, guest-to-guest
    สามารถตั้งค่าการป้องกันผ่าน GRUB ด้วยพารามิเตอร์เดียว เช่น mitigations=auto,no_user_kernel
    การรองรับ Intel Xe3 graphics บ่งบอกถึงความพร้อมของ Core Ultra Series 3
    DAMON_STAT ช่วยให้การตรวจสอบการใช้หน่วยความจำง่ายขึ้นและแม่นยำขึ้น
    การรองรับ SoundWire บน AMD ACP 7.2 ช่วยให้เสียงบนโน้ตบุ๊ค AMD ดีขึ้น

    https://9to5linux.com/linux-kernel-6-17-officially-released-this-is-whats-new
    🐧 “Linux Kernel 6.17 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — ยกระดับความปลอดภัย รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ พร้อมฟีเจอร์ล้ำยุคสำหรับยุค AI และ Cloud” Linus Torvalds ประกาศเปิดตัว Linux Kernel 6.17 อย่างเป็นทางการเมื่อปลายเดือนกันยายน 2025 โดยเวอร์ชันนี้มาพร้อมกับการปรับปรุงครั้งใหญ่ทั้งด้านความปลอดภัย การรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ และฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์การใช้งานในยุคที่ระบบปฏิบัติการต้องรองรับงานหนักระดับเซิร์ฟเวอร์และคลาวด์ หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือการเพิ่มฟีเจอร์ “Attack Vector Controls” ซึ่งช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถจัดการการป้องกันช่องโหว่ CPU ได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องตั้งค่าทีละรายการ แต่สามารถเลือกปิดหรือเปิดการป้องกันตามประเภทของการโจมตี เช่น user-to-kernel หรือ guest-to-host ได้ในบรรทัดเดียว ด้านฮาร์ดแวร์ Linux 6.17 รองรับเทคโนโลยีใหม่จากหลายค่าย เช่น: 🗝️ ARM: Branch Record Buffer Extension (BRBE) และ GICv5 สำหรับ KVM 🗝️ AMD: Hardware Feedback Interface (HFI) และ ACP 7.2 SoundWire 🗝️ Intel: Wildcat Lake, Bartlett Lake-S, Panther Lake Xe3 graphics, IPU7 driver 🗝️ Apple: SMC driver สำหรับรีบูต Mac M1/M2 ด้วย mainline kernel ยังมีการรองรับอุปกรณ์ใหม่อีกมาก เช่น Raspberry Pi 5 RP1 chip, Argon40 Fan HAT, Touch Bar บน MacBook Pro, และ OneXPlayer X1 Pro ในด้านระบบไฟล์และเน็ตเวิร์ก มีการเพิ่ม: 🗝️ Large-folio support สำหรับ Btrfs 🗝️ Metadata compression สำหรับ EROFS 🗝️ Scalability ที่ดีขึ้นสำหรับ EXT4 🗝️ รองรับ DualPI2 congestion control และ TCP_MAXSEG สำหรับ multipath TCP นอกจากนี้ยังมีการเพิ่ม live patching สำหรับ AArch64, proxy execution, และระบบ tracepoint สำหรับ User-Mode Linux รวมถึงการปรับปรุงระบบจัดการหน่วยความจำด้วยโมดูล DAMON_STAT ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Linux Kernel 6.17 เปิดตัวอย่างเป็นทางการโดย Linus Torvalds ➡️ เพิ่มฟีเจอร์ Attack Vector Controls สำหรับจัดการการป้องกันช่องโหว่ CPU ➡️ รองรับ ARM BRBE, GICv5, AMD HFI, Intel Wildcat Lake และ Apple SMC driver ➡️ รองรับอุปกรณ์ใหม่ เช่น Raspberry Pi 5 RP1, Argon40 Fan HAT, Touch Bar บน MacBook Pro ➡️ รองรับ codec HEVC และ VP9 ผ่าน Qualcomm Iris decoder บน V4L2 ➡️ เพิ่ม live patching สำหรับ AArch64 และ proxy execution ➡️ รองรับระบบไฟล์ใหม่ เช่น Btrfs, EXT4, EROFS ด้วยฟีเจอร์ใหม่ ➡️ ปรับปรุงระบบเน็ตเวิร์ก เช่น DualPI2, TCP_MAXSEG, IPv6 force_forwarding ➡️ เพิ่ม driver สำหรับ Framework Laptop 13, ASUS Commercial, HP EliteBook ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Attack Vector Controls แบ่งการป้องกันออกเป็น 5 ประเภท เช่น user-to-user, guest-to-guest ➡️ สามารถตั้งค่าการป้องกันผ่าน GRUB ด้วยพารามิเตอร์เดียว เช่น mitigations=auto,no_user_kernel ➡️ การรองรับ Intel Xe3 graphics บ่งบอกถึงความพร้อมของ Core Ultra Series 3 ➡️ DAMON_STAT ช่วยให้การตรวจสอบการใช้หน่วยความจำง่ายขึ้นและแม่นยำขึ้น ➡️ การรองรับ SoundWire บน AMD ACP 7.2 ช่วยให้เสียงบนโน้ตบุ๊ค AMD ดีขึ้น https://9to5linux.com/linux-kernel-6-17-officially-released-this-is-whats-new
    9TO5LINUX.COM
    Linux Kernel 6.17 Officially Released, This Is What’s New - 9to5Linux
    Linux kernel 6.17 is now available for download with new features, enhanced hardware support, networking improvements, and other changes.
    0 Comments 0 Shares 231 Views 0 Reviews
  • บทเพลงแห่งความขัดแย้งที่กลายเป็นอมตะ: เรื่องราวเบื้องหลังเพลง 'I Can't Tell You Why' โดย Eagles

    ในช่วงปลายยุค 70 วงดนตรีร็อกชื่อดังอย่าง Eagles ได้ก้าวสู่จุดสูงสุดของความสำเร็จระดับโลกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนจากอัลบั้มยอดเยี่ยม Hotel California (1976) อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นี้กลับนำมาซึ่งแรงกดดันมหาศาลและความขัดแย้งที่ร้าวลึกภายในวง โดยเฉพาะระหว่างแกนนำอย่าง Don Henley และ Glenn Frey

    ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดนี้ การบันทึกเสียงอัลบั้มถัดมา The Long Run (1979) จึงเป็นกระบวนการที่ยาวนานและยากลำบาก ทีมงานของค่ายเพลงถึงกับเรียกมันว่า “The Long One” หรือ “สิ่งที่ยาวนาน” ซึ่ง Don Henley เองก็ยอมรับในภายหลังว่าอัลบั้มนี้โดยรวมแล้ว “ไม่ใช่แผ่นเสียงที่ดีนัก” เพราะสมาชิกวงต่าง “หมดไฟ” และ “ตึงเครียด” จนเกินไป

    แต่ท่ามกลางความวุ่นวายดังกล่าว บทเพลงบัลลาดสุดคลาสสิกอย่าง “I Can't Tell You Why” ได้ถือกำเนิดขึ้นและกลายเป็นข้อยกเว้นที่โดดเด่น เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่วงสามารถบันทึกเสร็จสมบูรณ์สำหรับอัลบั้มนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาอันสั้นที่ Eagles สามารถกลับมาร่วมงานกันได้อย่างสร้างสรรค์ ก่อนที่ความขัดแย้งภายในจะกลับมาอีกครั้งและนำไปสู่การยุบวงในที่สุด เพลงนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงเพลงฮิต แต่เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความสามารถอันน่าทึ่งของวงในการสร้างสรรค์งานศิลปะที่สวยงามและลงตัวจากสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะพังทลาย

    เรื่องราวเริ่มขึ้นพร้อมกับการเข้ามาของ Timothy B. Schmit มือเบสคนใหม่ที่แทน Randy Meisner ในปี 1977 Schmit ได้นำไอเดียเพลงจากประสบการณ์ส่วนตัวมาเสนอ และร่วมแต่งกับ Frey และ Henley ภายในไม่กี่คืนที่ทำงานกันยันเช้า

    เรื่องราวของเพลงนี้เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับการเข้ามาของ Timothy B. Schmit มือเบสคนใหม่ผู้มากประสบการณ์จากวง Poco ที่เข้ามาแทน Randy Meisner ซึ่งลาออกไปในปี 1977 Schmit เข้ามาในฐานะคนวงนอก ผู้ที่ตั้งใจ “ทำทุกอย่างเพื่อรักษาสันติภาพ” และช่วยให้สถานการณ์ภายในวงดีขึ้น เขาได้นำไอเดียตั้งต้นของเพลงที่เขาบอกว่า “อิงจากประสบการณ์ส่วนตัว” มาเสนอต่อ Frey และ Henley เพื่อเป็นเพลงเดี่ยวเพลงแรกของเขาใน Eagles ทั้งสามคนได้ร่วมกันแต่งเพลงนี้อย่างรวดเร็วในช่วง “ไม่กี่คืนที่ทำงานกันยันเช้า” จนได้ผลงานที่สมบูรณ์ Don Henley และ Glenn Frey ต้องการนำเสนอ Timothy B. Schmit ด้วยเสียงที่แตกต่างจากดนตรีคันทรี่ร็อกที่เขาเคยทำ โดย Frey ที่มี “รากฐานลึกซึ้งในดนตรีโซล” ได้แนะนำ Schmit อย่างชัดเจนว่า “คุณสามารถร้องเพลงแบบ Smokey Robinson ได้” และให้เปลี่ยนมาทำ “เพลงแนว R&B” แทน ขณะที่ Henley ก็กล่าวเสริมว่าเพลงนี้มีสไตล์แบบ “Al Green ชัดๆ”

    ในด้านองค์ประกอบทางดนตรี Frey ยังมีบทบาทสำคัญในการเรียบเรียง โดย Timothy B. Schmit ถึงกับเรียกเขาว่า "The Lone Arranger" (ผู้เรียบเรียงเพียงหนึ่งเดียว) เนื่องจากความสามารถในการจัดการพาร์ทดนตรีต่างๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะท่อนโซโล่กีตาร์ที่ไพเราะและโดดเด่นในเพลงนี้ที่ Frey เป็นผู้บรรเลงเอง นอกจากนี้ Joe Walsh ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างบรรยากาศของเพลงด้วยการเล่นคีย์บอร์ดทั้งหมด ทั้ง Hammond organ, Fender Rhodes electric piano และ ARP String Synthesizer ทั้งหมดนี้ได้หลอมรวมกันเป็นงานบัลลาดที่แตกต่างจากเพลงร็อกและคันทรี่-ร็อกที่แข็งกร้าวของวง 7 และได้รับการยกย่องว่าเป็นเพลงที่ “มีจิตวิญญาณมากที่สุด” ของ Eagles

    เนื้อเพลงของ “I Can't Tell You Why” สะท้อนถึงความรู้สึกที่สับสนและเจ็บปวดในความสัมพันธ์ได้อย่างลึกซึ้ง มันเล่าเรื่องราวของคนที่ต้องการจะเดินจากไปแต่กลับถูกดึงดูดให้กลับมาเสมอ และไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แม้จะอิงจากประสบการณ์ส่วนตัวของ Schmit แต่เขาก็ยืนยันว่ามันถ่ายทอด “แก่นสากลของความรัก, ความไม่แน่นอน และการสื่อสารที่ล้มเหลว” ได้อย่างครอบคลุม ด้านเสียงร้องนำโดย Timothy B. Schmit ซึ่งถูกบรรยายว่าเป็นเสียง “ใสกังวาน” และ “เสียงสูงแบบเจ็บปวด” ได้เพิ่มมิติที่ลึกซึ้งและคุณภาพที่น่าจดจำให้กับเพลง เพลงนี้ถือเป็นเพลงแรกที่ Eagles ให้ Schmit ร้องนำอย่างเต็มตัว ซึ่งทำให้เขาได้สร้างเอกลักษณ์ทางเสียงของตนเองได้อย่างชัดเจนและเป็นที่จดจำในฐานะนักร้องนำอีกคนหนึ่งของวง

    หลังจากที่ถูกปล่อยออกมาในฐานะซิงเกิลที่สามในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 1980 เพลง “I Can't Tell You Why” ก็ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว โดยขึ้นไปถึงอันดับ 8 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ในเดือนเมษายน 1980 และขึ้นไปถึงอันดับ 3 บนชาร์ต Adult Contemporary ความสำเร็จนี้ทำให้เป็นเพลงท็อป 10 เพลงที่สามติดต่อกันจากอัลบั้ม The Long Run และที่สำคัญที่สุด มันยังกลายเป็นเพลงท็อป 10 เพลงสุดท้ายของ Eagles บนชาร์ต Billboard Hot 100 ก่อนที่พวกเขาจะประกาศยุบวงในเวลาต่อมา แม้จะไม่ได้เป็นเพลงที่ทำยอดขายสูงสุดเท่ากับเพลงยอดนิยมอื่นๆ แต่ “I Can't Tell You Why” ได้กลายเป็นเพลงโปรดของแฟนๆ และเป็น “ช่วงเวลาไฮไลต์” สำหรับ Timothy B. Schmit ในการแสดงสด เพลงนี้อยู่ในอันดับที่ 9 ของเพลงที่ถูกเล่นมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของวง นอกจากนี้ เพลงยังได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์ โดย

    Billboard จัดให้เพลงนี้อยู่ในอันดับ 6 ของผลงาน Eagles ที่ดีที่สุด (2017) และ Rolling Stone ให้อันดับ 11 (2019)

    ความสำคัญของเพลงนี้ยังคงดำเนินต่อไปผ่านเพลงคัฟเวอร์จำนวนมากที่สะท้อนถึงความหลากหลายทางดนตรี ตัวอย่างที่โดดเด่น ได้แก่

    วง R&B อย่าง Brownstone ที่นำเพลงนี้มาทำใหม่ในรูปแบบอาร์แอนด์บีร่วมสมัยในปี 1995 ซึ่งเวอร์ชันของพวกเขาขึ้นถึงอันดับ 54 บน Billboard Hot 100 และอันดับ 22 บนชาร์ต Hot R&B ศิลปินเพลงคันทรี่

    ศิลปินเพลงคันทรี่ Vince Gill ก็เคยนำเพลงนี้ไปคัฟเวอร์ในปี 1993 โดยมี Timothy B. Schmit มาร่วมร้องประสานให้ด้วย ซึ่งเวอร์ชันนี้สามารถไต่ขึ้นไปถึงอันดับ 42 บนชาร์ต Hot Country Songs

    นอกจากนี้ ศิลปินแจ๊สอย่าง Diana Krall ก็ได้นำเพลงนี้ไปตีความใหม่ในแนวแจ๊สอันนุ่มนวลสำหรับอัลบั้ม Wallflower ของเธอในปี 2015 ซึ่งเวอร์ชันนี้ขึ้นไปถึงอันดับ 10 บนชาร์ต Billboard Smooth Jazz การที่เพลงสามารถถูกนำไปคัฟเวอร์ในหลากหลายแนวเพลง แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเนื้อหาและโครงสร้างทางดนตรีของเพลงต้นฉบับ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ “I Can't Tell You Why” ยังคงเป็นเพลงที่โดดเด่นและมีอิทธิพลเหนือกาลเวลา

    “I Can't Tell You Why” จึงเป็นตัวอย่างที่หาได้ยากของบทเพลงที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งอย่างรุนแรงแต่กลับกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสมานฉันท์และการสร้างสรรค์อันยอดเยี่ยม เพลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นเพลงฮิตที่ประสบความสำเร็จทางพาณิชย์เท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นเพลงที่เชื่อมโยง Eagles เข้ากับยุคใหม่ ด้วยการแนะนำสมาชิกใหม่และสำรวจแนวเพลงที่ไม่เคยทำมาก่อน และในขณะเดียวกัน ก็เป็นเพลงท็อป 10 เพลงสุดท้ายของวงในยุคนั้น ท้ายที่สุด “I Can't Tell You Why” ยังคงเป็นหนึ่งในบัลลาดที่สำคัญและได้รับความนิยมสูงสุดของ Eagles เพราะเรื่องราวที่ซับซ้อนและย้อนแย้งที่อยู่เบื้องหลังการกำเนิดของมัน เพลงนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า แม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด Eagles ก็ยังสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่ไร้กาลเวลาซึ่งยังคงดึงดูดและสะท้อนความรู้สึกของผู้ฟังมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://youtu.be/Odcn6qk94bs
    🎶 บทเพลงแห่งความขัดแย้งที่กลายเป็นอมตะ: เรื่องราวเบื้องหลังเพลง 'I Can't Tell You Why' โดย Eagles ✨ ในช่วงปลายยุค 70 วงดนตรีร็อกชื่อดังอย่าง Eagles ได้ก้าวสู่จุดสูงสุดของความสำเร็จระดับโลกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนจากอัลบั้มยอดเยี่ยม Hotel California (1976) อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นี้กลับนำมาซึ่งแรงกดดันมหาศาลและความขัดแย้งที่ร้าวลึกภายในวง โดยเฉพาะระหว่างแกนนำอย่าง Don Henley และ Glenn Frey 💿 ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดนี้ การบันทึกเสียงอัลบั้มถัดมา The Long Run (1979) จึงเป็นกระบวนการที่ยาวนานและยากลำบาก ทีมงานของค่ายเพลงถึงกับเรียกมันว่า “The Long One” หรือ “สิ่งที่ยาวนาน” ซึ่ง Don Henley เองก็ยอมรับในภายหลังว่าอัลบั้มนี้โดยรวมแล้ว “ไม่ใช่แผ่นเสียงที่ดีนัก” เพราะสมาชิกวงต่าง “หมดไฟ” และ “ตึงเครียด” จนเกินไป ❤️ แต่ท่ามกลางความวุ่นวายดังกล่าว บทเพลงบัลลาดสุดคลาสสิกอย่าง “I Can't Tell You Why” ได้ถือกำเนิดขึ้นและกลายเป็นข้อยกเว้นที่โดดเด่น เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่วงสามารถบันทึกเสร็จสมบูรณ์สำหรับอัลบั้มนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาอันสั้นที่ Eagles สามารถกลับมาร่วมงานกันได้อย่างสร้างสรรค์ ก่อนที่ความขัดแย้งภายในจะกลับมาอีกครั้งและนำไปสู่การยุบวงในที่สุด เพลงนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงเพลงฮิต แต่เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความสามารถอันน่าทึ่งของวงในการสร้างสรรค์งานศิลปะที่สวยงามและลงตัวจากสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะพังทลาย 👤 เรื่องราวเริ่มขึ้นพร้อมกับการเข้ามาของ Timothy B. Schmit มือเบสคนใหม่ที่แทน Randy Meisner ในปี 1977 Schmit ได้นำไอเดียเพลงจากประสบการณ์ส่วนตัวมาเสนอ และร่วมแต่งกับ Frey และ Henley ภายในไม่กี่คืนที่ทำงานกันยันเช้า 🎤 เรื่องราวของเพลงนี้เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับการเข้ามาของ Timothy B. Schmit มือเบสคนใหม่ผู้มากประสบการณ์จากวง Poco ที่เข้ามาแทน Randy Meisner ซึ่งลาออกไปในปี 1977 Schmit เข้ามาในฐานะคนวงนอก ผู้ที่ตั้งใจ “ทำทุกอย่างเพื่อรักษาสันติภาพ” และช่วยให้สถานการณ์ภายในวงดีขึ้น เขาได้นำไอเดียตั้งต้นของเพลงที่เขาบอกว่า “อิงจากประสบการณ์ส่วนตัว” มาเสนอต่อ Frey และ Henley เพื่อเป็นเพลงเดี่ยวเพลงแรกของเขาใน Eagles ทั้งสามคนได้ร่วมกันแต่งเพลงนี้อย่างรวดเร็วในช่วง “ไม่กี่คืนที่ทำงานกันยันเช้า” จนได้ผลงานที่สมบูรณ์ Don Henley และ Glenn Frey ต้องการนำเสนอ Timothy B. Schmit ด้วยเสียงที่แตกต่างจากดนตรีคันทรี่ร็อกที่เขาเคยทำ โดย Frey ที่มี “รากฐานลึกซึ้งในดนตรีโซล” ได้แนะนำ Schmit อย่างชัดเจนว่า “คุณสามารถร้องเพลงแบบ Smokey Robinson ได้” และให้เปลี่ยนมาทำ “เพลงแนว R&B” แทน ขณะที่ Henley ก็กล่าวเสริมว่าเพลงนี้มีสไตล์แบบ “Al Green ชัดๆ” 🎸 ในด้านองค์ประกอบทางดนตรี Frey ยังมีบทบาทสำคัญในการเรียบเรียง โดย Timothy B. Schmit ถึงกับเรียกเขาว่า "The Lone Arranger" (ผู้เรียบเรียงเพียงหนึ่งเดียว) เนื่องจากความสามารถในการจัดการพาร์ทดนตรีต่างๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะท่อนโซโล่กีตาร์ที่ไพเราะและโดดเด่นในเพลงนี้ที่ Frey เป็นผู้บรรเลงเอง นอกจากนี้ Joe Walsh ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างบรรยากาศของเพลงด้วยการเล่นคีย์บอร์ดทั้งหมด ทั้ง Hammond organ, Fender Rhodes electric piano และ ARP String Synthesizer ทั้งหมดนี้ได้หลอมรวมกันเป็นงานบัลลาดที่แตกต่างจากเพลงร็อกและคันทรี่-ร็อกที่แข็งกร้าวของวง 7 และได้รับการยกย่องว่าเป็นเพลงที่ “มีจิตวิญญาณมากที่สุด” ของ Eagles 💔 เนื้อเพลงของ “I Can't Tell You Why” สะท้อนถึงความรู้สึกที่สับสนและเจ็บปวดในความสัมพันธ์ได้อย่างลึกซึ้ง มันเล่าเรื่องราวของคนที่ต้องการจะเดินจากไปแต่กลับถูกดึงดูดให้กลับมาเสมอ และไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แม้จะอิงจากประสบการณ์ส่วนตัวของ Schmit แต่เขาก็ยืนยันว่ามันถ่ายทอด “แก่นสากลของความรัก, ความไม่แน่นอน และการสื่อสารที่ล้มเหลว” ได้อย่างครอบคลุม ด้านเสียงร้องนำโดย Timothy B. Schmit ซึ่งถูกบรรยายว่าเป็นเสียง “ใสกังวาน” และ “เสียงสูงแบบเจ็บปวด” ได้เพิ่มมิติที่ลึกซึ้งและคุณภาพที่น่าจดจำให้กับเพลง เพลงนี้ถือเป็นเพลงแรกที่ Eagles ให้ Schmit ร้องนำอย่างเต็มตัว ซึ่งทำให้เขาได้สร้างเอกลักษณ์ทางเสียงของตนเองได้อย่างชัดเจนและเป็นที่จดจำในฐานะนักร้องนำอีกคนหนึ่งของวง 📀 หลังจากที่ถูกปล่อยออกมาในฐานะซิงเกิลที่สามในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 1980 เพลง “I Can't Tell You Why” ก็ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว โดยขึ้นไปถึงอันดับ 8 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ในเดือนเมษายน 1980 และขึ้นไปถึงอันดับ 3 บนชาร์ต Adult Contemporary ความสำเร็จนี้ทำให้เป็นเพลงท็อป 10 เพลงที่สามติดต่อกันจากอัลบั้ม The Long Run และที่สำคัญที่สุด มันยังกลายเป็นเพลงท็อป 10 เพลงสุดท้ายของ Eagles บนชาร์ต Billboard Hot 100 ก่อนที่พวกเขาจะประกาศยุบวงในเวลาต่อมา แม้จะไม่ได้เป็นเพลงที่ทำยอดขายสูงสุดเท่ากับเพลงยอดนิยมอื่นๆ แต่ “I Can't Tell You Why” ได้กลายเป็นเพลงโปรดของแฟนๆ และเป็น “ช่วงเวลาไฮไลต์” สำหรับ Timothy B. Schmit ในการแสดงสด เพลงนี้อยู่ในอันดับที่ 9 ของเพลงที่ถูกเล่นมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของวง นอกจากนี้ เพลงยังได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์ โดย 🏆 Billboard จัดให้เพลงนี้อยู่ในอันดับ 6 ของผลงาน Eagles ที่ดีที่สุด (2017) และ Rolling Stone ให้อันดับ 11 (2019) 🎵 ความสำคัญของเพลงนี้ยังคงดำเนินต่อไปผ่านเพลงคัฟเวอร์จำนวนมากที่สะท้อนถึงความหลากหลายทางดนตรี ตัวอย่างที่โดดเด่น ได้แก่ 🎤 วง R&B อย่าง Brownstone ที่นำเพลงนี้มาทำใหม่ในรูปแบบอาร์แอนด์บีร่วมสมัยในปี 1995 ซึ่งเวอร์ชันของพวกเขาขึ้นถึงอันดับ 54 บน Billboard Hot 100 และอันดับ 22 บนชาร์ต Hot R&B ศิลปินเพลงคันทรี่ 🎧 🎤 ศิลปินเพลงคันทรี่ Vince Gill ก็เคยนำเพลงนี้ไปคัฟเวอร์ในปี 1993 โดยมี Timothy B. Schmit มาร่วมร้องประสานให้ด้วย ซึ่งเวอร์ชันนี้สามารถไต่ขึ้นไปถึงอันดับ 42 บนชาร์ต Hot Country Songs 🤠 🎤 นอกจากนี้ ศิลปินแจ๊สอย่าง Diana Krall ก็ได้นำเพลงนี้ไปตีความใหม่ในแนวแจ๊สอันนุ่มนวลสำหรับอัลบั้ม Wallflower ของเธอในปี 2015 ซึ่งเวอร์ชันนี้ขึ้นไปถึงอันดับ 10 บนชาร์ต Billboard Smooth Jazz การที่เพลงสามารถถูกนำไปคัฟเวอร์ในหลากหลายแนวเพลง แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเนื้อหาและโครงสร้างทางดนตรีของเพลงต้นฉบับ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ “I Can't Tell You Why” ยังคงเป็นเพลงที่โดดเด่นและมีอิทธิพลเหนือกาลเวลา 🎹 ⌛ 🌟 “I Can't Tell You Why” จึงเป็นตัวอย่างที่หาได้ยากของบทเพลงที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งอย่างรุนแรงแต่กลับกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสมานฉันท์และการสร้างสรรค์อันยอดเยี่ยม เพลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นเพลงฮิตที่ประสบความสำเร็จทางพาณิชย์เท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นเพลงที่เชื่อมโยง Eagles เข้ากับยุคใหม่ ด้วยการแนะนำสมาชิกใหม่และสำรวจแนวเพลงที่ไม่เคยทำมาก่อน และในขณะเดียวกัน ก็เป็นเพลงท็อป 10 เพลงสุดท้ายของวงในยุคนั้น ท้ายที่สุด “I Can't Tell You Why” ยังคงเป็นหนึ่งในบัลลาดที่สำคัญและได้รับความนิยมสูงสุดของ Eagles เพราะเรื่องราวที่ซับซ้อนและย้อนแย้งที่อยู่เบื้องหลังการกำเนิดของมัน เพลงนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า แม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด Eagles ก็ยังสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่ไร้กาลเวลาซึ่งยังคงดึงดูดและสะท้อนความรู้สึกของผู้ฟังมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ 🌈 #ลุงเล่าหลานฟัง https://youtu.be/Odcn6qk94bs
    0 Comments 0 Shares 298 Views 0 Reviews
  • 'ดร.เอ้ สุชัชวีร์' ตอกย้ำความผูกพันกับเยาวชน พร้อมสนับสนุนทุกกิจกรรมมหาวิทยาลัย
    https://www.thai-tai.tv/news/21655/
    .
    #ไทยไท #สุชัชวีร์ #พี่เอ้ #KMITL #ลาดกระบัง #มหาวิทยาลัย #การเมือง #นักศึกษา #แรงบันดาลใจ
    'ดร.เอ้ สุชัชวีร์' ตอกย้ำความผูกพันกับเยาวชน พร้อมสนับสนุนทุกกิจกรรมมหาวิทยาลัย https://www.thai-tai.tv/news/21655/ . #ไทยไท #สุชัชวีร์ #พี่เอ้ #KMITL #ลาดกระบัง #มหาวิทยาลัย #การเมือง #นักศึกษา #แรงบันดาลใจ
    0 Comments 0 Shares 157 Views 0 Reviews
  • ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว ตอนที่ 8 – โรงเรียน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว”
    ตอนที่ 8 “โรงเรียน”
    จากบันทึกความทรงจำของ Osman Nuri Gunds อดีตหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง Turkish Intelligence Service (MIT) ของตุรกี สาขา Istanbul ระบุว่า นาย Gulen ตั้งโรงเรียนสอนภาษาอยู่หลายบริเวณของโลก เช่นที่ Central Asia ซึ่งทำหน้าที่เป็นฉากบังหน้า ให้แก่การปฏิบัติงานของ CIA ประมาณ 130 รายการ ที่ Uzbekistan และ Kyrgystan ครูสอนภาษาอังกฤษของโรงเรียนทำหน้าที่จารกรรมให้รัฐบาลอเมริกา ควบคู่ไปกับการสอนภาษา “Bridges of Freindship” เป็นชื่อรหัสของการปฎิบัติการเหล่านี้
    เรื่องโรงเรียนของนาย Gulen นี้ ได้มีการเปิดเผยอีกมากมาย โดย Cibel Edmonds ซึ่งเขียนไว้ในบันทึกความทรงจำ ของเธอ ชื่อ Classified Woman : Sibel Edmonds Story (หมายเหตุ : ไปหามาอ่านกันนะครับ น่าสนใจมาก) Edmonds เป็นอดีต FBI ทำหน้าที่เป็นผู้ชำนาญด้านการแปล และต่อมาเป็นผู้ที่มีชื่อโด่งดังมาก รู้จักกันในนาม American Whistle blowers (อเมริกันผู้เป่านักหวีด) ในเรื่องความมั่นคงของประเทศ
    Edmond เล่าว่า กุญแจสำคัญที่โยง Gulen กับ CIA คือ นาย Graham Fuller CIA ตัวใหญ่เป้ง ตำแหน่งนักวิเคราะห์ ข่าวกรอง ประจำ Rand Corporation (หวังว่าท่านผู้อ่าน คงจะจำได้ ผมได้เล่าเรื่อง Rand Corporation นี่ไว้ในนิทานหลายเรื่อง ทบทวนสั้นๆว่า เป็นหน่วยงานของรัฐบาลอเมริกัน ที่มีหน้าที่ ดูแลด้านความมั่นคงของประเทศ ตั้งแต่ วิเคราะห์วางแผน ไปจนถึงปฏิบัติการ รวมทั้งเก็บกวาดในบ้านคนอื่น ที่อเมริกาอยากทำลาย หรือไปทำรกในบ้านคนอื่น ที่อเมริกาอยากให้บ้านนั้นเละครับ)
    นาย Fuller นั้น เป็นอดีตหัวหน้า CIA ในกรุง Kabul และเป็นรองประธานของ National Intelligence Council นี่มันเหยี่ยวตัวใหญ่เลยน่ะนี่ และไม่ใช่เหยี่ยวตัวใหญ่ธรรมดา แต่เป็นเหยี่ยวกรงเล็บติดจรวดพิฆาตด้วย
    นาย Fuller อยู่ฝ่ายปฎิบัติการนานกว่า 20 ปี ในตุรกี เลบาบอน ซาอุดิอารเบีย เยเมน อาฟกานิสถาน และฮ่องกง ในปี ค.ศ. 1982 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลด้านข่าวกรองของ CIA ในแถบ Near East และ South Asia และในปี ค.ศ. 1986 รัฐบาล Reagan ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นรองประธาน Nation Intelligence Council ซึ่งรับผิดชอบการวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ระดับประเทศ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
    เมื่อปี ค.ศ. 2013 นี้เอง เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า Boston Marathon bombs ในการวิ่งมาราธอนที่ Boston และมีการวางระเบิดที่เส้นชัย มีเด็กตาย 1 คน และคนเจ็บประมาณ 140 กว่าคน FBI จับตัวผู้ต้องสงสัยได้ 1 คน ชื่อ Rushan Tsarnacv ซึ่งมีลุงช่างพูดออกมาให้ข่าวต่าง ๆ ว่าหลานฉันไม่เกี่ยว คงจะพอจำลุงช่างพูดนั้นกันได้ ลุงคนนั้นบังเอิญแต่งงานกับ Samantha ซึ่งเป็นลูกสาวของนาย Graham Fuller ครับ
    Edmonds ระบุไว้ในบทความของเธอว่า เมื่อนาย Gulen ยื่นคำขอเข้ามาอยู่ในอเมริกา ผู้ให้คำรับรอง นาย Gulen กับทางการอเมริกา คือ นาย Graham Fuller โดยนาย Fuller เขียนจดหมายไปถึง FBI และ US Dept of Homeland Security รับรองว่า Gulen ไม่มีการกระทำที่เป็นภัยต่ออเมริกา ด้วยคำรับรองนี้ Gulen จึงอยู่ในอเมริกาได้จนทุกวันนี้
    อีกคนหนึ่งที่ให้คำรับรอง นาย Gulen คือ นาย Morton Abramowitz จำชื่อนี้กันได้ไหมครับ เขาเป็นอดีต CIA ฝ่ายปฎิบัติการประจำตุรกีและต่อมาได้เป็นฑูตที่ตุรกี ช่วงปี ค.ศ.1989 – 1991 ก่อนหน้านั้น เคยเป็นฑูตประจำราชอาณาจักรไทย ช่วงปี ค.ศ. 1978 – 1981 ตำแหน่งหลังการเกษียณจากกระทรวงต่างประเทศอเมริกา คือ เป็นประธานของ Carnegie Endowment for International Peace (1991 – 1997)
    สถาบันนี้ทำอะไร เคยเล่าแล้ว เขียนซ้ำเดี๋ยวโดยท่านผู้อ่าน Inbox เข้ามาต่อว่าอีกว่า ทำไมเขียนซ้ำ ไม่ชอบอ่านซ้ำ แหม ! ก็อ่านข้ามไม่ได้หรือครับ คนที่เขาจำไม่ได้อยากอ่านซ้ำก็มีนะครับ อยากอ่านเรื่องความเลวของนาย Abramowitz ยาวกว่านี้ ช่วยกลับไปอ่านนิทาน สิงห์โตหอน นะครับ แถมให้ว่าเขาเป็นนัก lobblyist ตัวสำคัญ ให้ไอ้หมาในโจรร้าย ส่วนไอ้ Robert Amsterdam มันแค่ระดับกระจอก ไม่ใช่ตัวใหญ่ ตัวสำคัญอะไร เอาไว้ออกแขกล่อให้สื่อไทยกับคนไทยด่าเล่น ผิดเป้าเท่านั้นเอง โยงกันมาให้เห็นถึงขนาดนี้ หวังว่าคงมองเห็นความเลวร้ายของอเมริกา ไอ้หมาใน และความสัมพันธ์ ของพวกมัน
    เรื่องโรงเรียนของนาย Gulen ยังไม่จบแค่นั้น ยังมีโรงเรียนของ Gulen ที่รัสเซีย Chechnya และแถบ Dagestam เพื่อเป็นฉากหน้าให้แก่กลุ่ม Jihadist ตั้งแต่ ค.ศ. 1991 ต่อมาถูกคุณพี่ปูตินกวาดล้างเรียบ ไล่กระเด็นออกไปหมด รัฐบาลรัสเซียสั่งปิดโรงเรียนของ Gulun และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในรัสเซีย แถมขับไล่ชาวตุรกีประมาณ 20 คน ที่เป็นสาวกของ Gulen ออกไปจากประเทศ ช่วงปี ค.ศ. 2002 – 2004 อีกด้วย
    ปี ค.ศ. 1999 Uzbekistan ปิดโรงเรียน Gulen ที่ Madreasas และจับสื่อ 8 คน ที่จบจากโรงเรียน Gulen ข้อหา จัดตั้งองค์การสอนศาสนาอย่างไม่ถูกต้อง และมีกิจกรรมส่อไปในทางสร้างความรุนแรง
    Edmaonds ได้เล่าถึงการปฎิบัติการของอเมริกาในเอเซียกลาง ว่ามันเริ่มมาหลายสิบปีแล้วอย่างผิดกฎหมาย เพื่อเข้าไปให้ถึงแหล่งน้ำมันและกองทัพในเอเซียกลาง โดยใช้ การปฎิบัติการของตุรกีร่วมมือกับพวกซาอุและปากีสถาน ใช้วัตถุประสงค์เรื่องศาสนาอิสลามบังหน้า และผู้ที่ทำหน้าที่เป็นเจ้าของฉากและโรงแสดง ก็คือ โรงเรียนของ Gulen นั่นเอง ซึ่งขยายไปจากตุรกีเข้าไปในเอเซียกลาง จนถึงรัสเซียและจีนเรียบร้อยแล้ว
    เรื่องนาย Gulen/ Fuller/ Abramowitz นี้ จึงเป็นเรื่องที่นาย Erdogan คงจะมองผ่าน ๆ ไม่ได้ เขาน่าจะเจอของแข็งจริงจากอเมริกา !
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
21 กค. 2557
    ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว ตอนที่ 8 – โรงเรียน นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว” ตอนที่ 8 “โรงเรียน” จากบันทึกความทรงจำของ Osman Nuri Gunds อดีตหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง Turkish Intelligence Service (MIT) ของตุรกี สาขา Istanbul ระบุว่า นาย Gulen ตั้งโรงเรียนสอนภาษาอยู่หลายบริเวณของโลก เช่นที่ Central Asia ซึ่งทำหน้าที่เป็นฉากบังหน้า ให้แก่การปฏิบัติงานของ CIA ประมาณ 130 รายการ ที่ Uzbekistan และ Kyrgystan ครูสอนภาษาอังกฤษของโรงเรียนทำหน้าที่จารกรรมให้รัฐบาลอเมริกา ควบคู่ไปกับการสอนภาษา “Bridges of Freindship” เป็นชื่อรหัสของการปฎิบัติการเหล่านี้ เรื่องโรงเรียนของนาย Gulen นี้ ได้มีการเปิดเผยอีกมากมาย โดย Cibel Edmonds ซึ่งเขียนไว้ในบันทึกความทรงจำ ของเธอ ชื่อ Classified Woman : Sibel Edmonds Story (หมายเหตุ : ไปหามาอ่านกันนะครับ น่าสนใจมาก) Edmonds เป็นอดีต FBI ทำหน้าที่เป็นผู้ชำนาญด้านการแปล และต่อมาเป็นผู้ที่มีชื่อโด่งดังมาก รู้จักกันในนาม American Whistle blowers (อเมริกันผู้เป่านักหวีด) ในเรื่องความมั่นคงของประเทศ Edmond เล่าว่า กุญแจสำคัญที่โยง Gulen กับ CIA คือ นาย Graham Fuller CIA ตัวใหญ่เป้ง ตำแหน่งนักวิเคราะห์ ข่าวกรอง ประจำ Rand Corporation (หวังว่าท่านผู้อ่าน คงจะจำได้ ผมได้เล่าเรื่อง Rand Corporation นี่ไว้ในนิทานหลายเรื่อง ทบทวนสั้นๆว่า เป็นหน่วยงานของรัฐบาลอเมริกัน ที่มีหน้าที่ ดูแลด้านความมั่นคงของประเทศ ตั้งแต่ วิเคราะห์วางแผน ไปจนถึงปฏิบัติการ รวมทั้งเก็บกวาดในบ้านคนอื่น ที่อเมริกาอยากทำลาย หรือไปทำรกในบ้านคนอื่น ที่อเมริกาอยากให้บ้านนั้นเละครับ) นาย Fuller นั้น เป็นอดีตหัวหน้า CIA ในกรุง Kabul และเป็นรองประธานของ National Intelligence Council นี่มันเหยี่ยวตัวใหญ่เลยน่ะนี่ และไม่ใช่เหยี่ยวตัวใหญ่ธรรมดา แต่เป็นเหยี่ยวกรงเล็บติดจรวดพิฆาตด้วย นาย Fuller อยู่ฝ่ายปฎิบัติการนานกว่า 20 ปี ในตุรกี เลบาบอน ซาอุดิอารเบีย เยเมน อาฟกานิสถาน และฮ่องกง ในปี ค.ศ. 1982 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลด้านข่าวกรองของ CIA ในแถบ Near East และ South Asia และในปี ค.ศ. 1986 รัฐบาล Reagan ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นรองประธาน Nation Intelligence Council ซึ่งรับผิดชอบการวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ระดับประเทศ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อปี ค.ศ. 2013 นี้เอง เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า Boston Marathon bombs ในการวิ่งมาราธอนที่ Boston และมีการวางระเบิดที่เส้นชัย มีเด็กตาย 1 คน และคนเจ็บประมาณ 140 กว่าคน FBI จับตัวผู้ต้องสงสัยได้ 1 คน ชื่อ Rushan Tsarnacv ซึ่งมีลุงช่างพูดออกมาให้ข่าวต่าง ๆ ว่าหลานฉันไม่เกี่ยว คงจะพอจำลุงช่างพูดนั้นกันได้ ลุงคนนั้นบังเอิญแต่งงานกับ Samantha ซึ่งเป็นลูกสาวของนาย Graham Fuller ครับ Edmonds ระบุไว้ในบทความของเธอว่า เมื่อนาย Gulen ยื่นคำขอเข้ามาอยู่ในอเมริกา ผู้ให้คำรับรอง นาย Gulen กับทางการอเมริกา คือ นาย Graham Fuller โดยนาย Fuller เขียนจดหมายไปถึง FBI และ US Dept of Homeland Security รับรองว่า Gulen ไม่มีการกระทำที่เป็นภัยต่ออเมริกา ด้วยคำรับรองนี้ Gulen จึงอยู่ในอเมริกาได้จนทุกวันนี้ อีกคนหนึ่งที่ให้คำรับรอง นาย Gulen คือ นาย Morton Abramowitz จำชื่อนี้กันได้ไหมครับ เขาเป็นอดีต CIA ฝ่ายปฎิบัติการประจำตุรกีและต่อมาได้เป็นฑูตที่ตุรกี ช่วงปี ค.ศ.1989 – 1991 ก่อนหน้านั้น เคยเป็นฑูตประจำราชอาณาจักรไทย ช่วงปี ค.ศ. 1978 – 1981 ตำแหน่งหลังการเกษียณจากกระทรวงต่างประเทศอเมริกา คือ เป็นประธานของ Carnegie Endowment for International Peace (1991 – 1997) สถาบันนี้ทำอะไร เคยเล่าแล้ว เขียนซ้ำเดี๋ยวโดยท่านผู้อ่าน Inbox เข้ามาต่อว่าอีกว่า ทำไมเขียนซ้ำ ไม่ชอบอ่านซ้ำ แหม ! ก็อ่านข้ามไม่ได้หรือครับ คนที่เขาจำไม่ได้อยากอ่านซ้ำก็มีนะครับ อยากอ่านเรื่องความเลวของนาย Abramowitz ยาวกว่านี้ ช่วยกลับไปอ่านนิทาน สิงห์โตหอน นะครับ แถมให้ว่าเขาเป็นนัก lobblyist ตัวสำคัญ ให้ไอ้หมาในโจรร้าย ส่วนไอ้ Robert Amsterdam มันแค่ระดับกระจอก ไม่ใช่ตัวใหญ่ ตัวสำคัญอะไร เอาไว้ออกแขกล่อให้สื่อไทยกับคนไทยด่าเล่น ผิดเป้าเท่านั้นเอง โยงกันมาให้เห็นถึงขนาดนี้ หวังว่าคงมองเห็นความเลวร้ายของอเมริกา ไอ้หมาใน และความสัมพันธ์ ของพวกมัน เรื่องโรงเรียนของนาย Gulen ยังไม่จบแค่นั้น ยังมีโรงเรียนของ Gulen ที่รัสเซีย Chechnya และแถบ Dagestam เพื่อเป็นฉากหน้าให้แก่กลุ่ม Jihadist ตั้งแต่ ค.ศ. 1991 ต่อมาถูกคุณพี่ปูตินกวาดล้างเรียบ ไล่กระเด็นออกไปหมด รัฐบาลรัสเซียสั่งปิดโรงเรียนของ Gulun และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในรัสเซีย แถมขับไล่ชาวตุรกีประมาณ 20 คน ที่เป็นสาวกของ Gulen ออกไปจากประเทศ ช่วงปี ค.ศ. 2002 – 2004 อีกด้วย ปี ค.ศ. 1999 Uzbekistan ปิดโรงเรียน Gulen ที่ Madreasas และจับสื่อ 8 คน ที่จบจากโรงเรียน Gulen ข้อหา จัดตั้งองค์การสอนศาสนาอย่างไม่ถูกต้อง และมีกิจกรรมส่อไปในทางสร้างความรุนแรง Edmaonds ได้เล่าถึงการปฎิบัติการของอเมริกาในเอเซียกลาง ว่ามันเริ่มมาหลายสิบปีแล้วอย่างผิดกฎหมาย เพื่อเข้าไปให้ถึงแหล่งน้ำมันและกองทัพในเอเซียกลาง โดยใช้ การปฎิบัติการของตุรกีร่วมมือกับพวกซาอุและปากีสถาน ใช้วัตถุประสงค์เรื่องศาสนาอิสลามบังหน้า และผู้ที่ทำหน้าที่เป็นเจ้าของฉากและโรงแสดง ก็คือ โรงเรียนของ Gulen นั่นเอง ซึ่งขยายไปจากตุรกีเข้าไปในเอเซียกลาง จนถึงรัสเซียและจีนเรียบร้อยแล้ว เรื่องนาย Gulen/ Fuller/ Abramowitz นี้ จึงเป็นเรื่องที่นาย Erdogan คงจะมองผ่าน ๆ ไม่ได้ เขาน่าจะเจอของแข็งจริงจากอเมริกา ! สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
21 กค. 2557
    0 Comments 0 Shares 310 Views 0 Reviews
  • “AI ทำให้เราฉลาดขึ้น หรือแค่ขี้เกียจขึ้น? เมื่อ ChatGPT กลายเป็นยาชาแห่งยุคดิจิทัล”

    บทความจาก The Star โดย Christopher Ketcham ได้จุดประกายคำถามสำคัญว่า “AI โดยเฉพาะ ChatGPT กำลังทำให้เราฉลาดขึ้น หรือแค่ทำให้สมองเราเสื่อมลง?” โดยอ้างอิงงานวิจัยหลายฉบับที่ชี้ว่า การพึ่งพาเครื่องมือ AI มากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อความสามารถในการคิดวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง และลดการมีส่วนร่วมของสมองในระดับโครงสร้าง

    ผู้เขียนเปรียบเทียบการใช้ AI กับการขี่จักรยานไฟฟ้า — เร็วขึ้น สบายขึ้น แต่สูญเสียความแข็งแรงของร่างกาย เช่นเดียวกับสมองที่อ่อนแรงลงเมื่อปล่อยให้เครื่องมือคิดแทนเรา งานวิจัยจาก MIT พบว่า ผู้ใช้ ChatGPT ในการเขียนเรียงความมีการเชื่อมต่อของสมองต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับผู้ใช้ search engine และผู้ที่เขียนด้วยตนเองโดยไม่ใช้เครื่องมือใด ๆ

    นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ใช้ AI มีแนวโน้มที่จะ “offload” ความคิดของตนเองให้กับเครื่องมือ ทำให้เกิดภาวะ “cognitive debt” หรือหนี้ทางปัญญา ซึ่งสะสมและส่งผลต่อความสามารถในการเรียนรู้ในระยะยาว โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนที่สมองยังอยู่ในช่วงพัฒนา

    แม้ AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในบางด้าน เช่น การค้นหาข้อมูลหรือการจัดการงาน แต่การใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการคิดด้วยตนเองอาจนำไปสู่ผลกระทบเชิงพฤติกรรม เช่น การขาดแรงจูงใจ ความรู้สึกเป็นเจ้าของงานลดลง และการพึ่งพาเครื่องมือมากเกินไปจนไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    บทความชี้ว่า AI โดยเฉพาะ ChatGPT อาจทำให้ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ลดลง
    งานวิจัยจาก MIT พบว่า ผู้ใช้ ChatGPT มีการเชื่อมต่อของสมองต่ำที่สุดเมื่อเขียนเรียงความ
    ผู้ใช้ AI มีแนวโน้มเกิดภาวะ “cognitive offloading” หรือการปล่อยให้เครื่องมือคิดแทน
    เกิดภาวะ “cognitive debt” หรือหนี้ทางปัญญาเมื่อใช้ AI ต่อเนื่อง
    กลุ่มเยาวชนมีความเสี่ยงสูงที่สุดต่อผลกระทบทางสมองจากการใช้ AI
    ผู้ใช้ AI มีความรู้สึกเป็นเจ้าของงานต่ำ และจำเนื้อหาที่เขียนเองไม่ได้
    งานวิจัยจาก Microsoft และ Carnegie Mellon พบว่า AI ลดทักษะการแก้ปัญหาอย่างอิสระ
    การใช้ AI มากเกินไปอาจนำไปสู่การพึ่งพาเครื่องมือในระยะยาว
    จำนวนผู้ใช้ ChatGPT เพิ่มจาก 50 ล้านในปี 2023 เป็น 800 ล้านในกลางปี 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การใช้ AI ในการเรียนรู้ควรมีการกำกับดูแลและออกแบบให้ส่งเสริมการคิด ไม่ใช่แทนที่
    หลายมหาวิทยาลัยเริ่มออกนโยบายจำกัดการใช้ AI ในการทำงานวิชาการ
    การฝึกสมองผ่านการเขียนด้วยตนเองช่วยเพิ่มการเชื่อมต่อของสมองในหลายส่วน
    การใช้ search engine ยังมีการมีส่วนร่วมของสมองมากกว่า AI แต่ต่ำกว่าการคิดด้วยตนเอง
    นักวิจัยเสนอให้ใช้ AI เป็นเครื่องมือเสริม ไม่ใช่เครื่องมือหลักในการเรียนรู้

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/27/opinion-the-internet-made-us-stupid-ai-promises-to-make-it-worse
    🧠 “AI ทำให้เราฉลาดขึ้น หรือแค่ขี้เกียจขึ้น? เมื่อ ChatGPT กลายเป็นยาชาแห่งยุคดิจิทัล” บทความจาก The Star โดย Christopher Ketcham ได้จุดประกายคำถามสำคัญว่า “AI โดยเฉพาะ ChatGPT กำลังทำให้เราฉลาดขึ้น หรือแค่ทำให้สมองเราเสื่อมลง?” โดยอ้างอิงงานวิจัยหลายฉบับที่ชี้ว่า การพึ่งพาเครื่องมือ AI มากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อความสามารถในการคิดวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง และลดการมีส่วนร่วมของสมองในระดับโครงสร้าง ผู้เขียนเปรียบเทียบการใช้ AI กับการขี่จักรยานไฟฟ้า — เร็วขึ้น สบายขึ้น แต่สูญเสียความแข็งแรงของร่างกาย เช่นเดียวกับสมองที่อ่อนแรงลงเมื่อปล่อยให้เครื่องมือคิดแทนเรา งานวิจัยจาก MIT พบว่า ผู้ใช้ ChatGPT ในการเขียนเรียงความมีการเชื่อมต่อของสมองต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับผู้ใช้ search engine และผู้ที่เขียนด้วยตนเองโดยไม่ใช้เครื่องมือใด ๆ นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ใช้ AI มีแนวโน้มที่จะ “offload” ความคิดของตนเองให้กับเครื่องมือ ทำให้เกิดภาวะ “cognitive debt” หรือหนี้ทางปัญญา ซึ่งสะสมและส่งผลต่อความสามารถในการเรียนรู้ในระยะยาว โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนที่สมองยังอยู่ในช่วงพัฒนา แม้ AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในบางด้าน เช่น การค้นหาข้อมูลหรือการจัดการงาน แต่การใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการคิดด้วยตนเองอาจนำไปสู่ผลกระทบเชิงพฤติกรรม เช่น การขาดแรงจูงใจ ความรู้สึกเป็นเจ้าของงานลดลง และการพึ่งพาเครื่องมือมากเกินไปจนไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ บทความชี้ว่า AI โดยเฉพาะ ChatGPT อาจทำให้ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ลดลง ➡️ งานวิจัยจาก MIT พบว่า ผู้ใช้ ChatGPT มีการเชื่อมต่อของสมองต่ำที่สุดเมื่อเขียนเรียงความ ➡️ ผู้ใช้ AI มีแนวโน้มเกิดภาวะ “cognitive offloading” หรือการปล่อยให้เครื่องมือคิดแทน ➡️ เกิดภาวะ “cognitive debt” หรือหนี้ทางปัญญาเมื่อใช้ AI ต่อเนื่อง ➡️ กลุ่มเยาวชนมีความเสี่ยงสูงที่สุดต่อผลกระทบทางสมองจากการใช้ AI ➡️ ผู้ใช้ AI มีความรู้สึกเป็นเจ้าของงานต่ำ และจำเนื้อหาที่เขียนเองไม่ได้ ➡️ งานวิจัยจาก Microsoft และ Carnegie Mellon พบว่า AI ลดทักษะการแก้ปัญหาอย่างอิสระ ➡️ การใช้ AI มากเกินไปอาจนำไปสู่การพึ่งพาเครื่องมือในระยะยาว ➡️ จำนวนผู้ใช้ ChatGPT เพิ่มจาก 50 ล้านในปี 2023 เป็น 800 ล้านในกลางปี 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การใช้ AI ในการเรียนรู้ควรมีการกำกับดูแลและออกแบบให้ส่งเสริมการคิด ไม่ใช่แทนที่ ➡️ หลายมหาวิทยาลัยเริ่มออกนโยบายจำกัดการใช้ AI ในการทำงานวิชาการ ➡️ การฝึกสมองผ่านการเขียนด้วยตนเองช่วยเพิ่มการเชื่อมต่อของสมองในหลายส่วน ➡️ การใช้ search engine ยังมีการมีส่วนร่วมของสมองมากกว่า AI แต่ต่ำกว่าการคิดด้วยตนเอง ➡️ นักวิจัยเสนอให้ใช้ AI เป็นเครื่องมือเสริม ไม่ใช่เครื่องมือหลักในการเรียนรู้ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/27/opinion-the-internet-made-us-stupid-ai-promises-to-make-it-worse
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Opinion: The Internet made us stupid. AI promises to make it worse
    In this telling, AI is a brain-rotting narcotic; the heavier the use, the greater the addiction, the more damage done.
    0 Comments 0 Shares 231 Views 0 Reviews
  • “WebScreen: จอเสริมอัจฉริยะสำหรับเกมเมอร์และสายสร้างสรรค์ — เล็กแต่ล้ำ เปิดให้ปรับแต่งได้เต็มที่”

    ในยุคที่การแจ้งเตือนและข้อมูลไหลเข้ามาไม่หยุด WebScreen คืออุปกรณ์ใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณ “ไม่พลาดสิ่งสำคัญ” โดยไม่ต้องละสายตาจากงานหรือเกมที่กำลังเล่นอยู่ โดยมันคือจอ AMOLED ขนาดเล็กเพียง 1.9–2.1 นิ้ว ที่วางบนขอบจอหลักของคุณ และแสดงข้อมูลแบบเรียลไทม์ เช่น สถิติระบบ, การแจ้งเตือน Discord, ปฏิทิน, หรือแม้แต่ข้อความจาก Twitch

    WebScreen พัฒนาโดย HW Media Lab โดยมี Pedro Martin และ Eleo Basili เป็นผู้ออกแบบหลัก ใช้ชิป ESP32-S3 เป็นหัวใจหลักของระบบ รองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB-C, Wi-Fi และ Bluetooth ทำให้สามารถใช้งานได้กับทั้ง Linux, Windows และ macOS

    ความโดดเด่นของ WebScreen คือความสามารถในการรันแอป JavaScript จาก microSD card ได้โดยตรง ผู้ใช้สามารถสร้าง widget ส่วนตัว เช่น ตัวจับเวลา Pomodoro, แจ้งเตือนสุขภาพ, หรือแม้แต่แดชบอร์ดสำหรับ stream ได้อย่างอิสระ และยังมีแผนเปิดตัว “WebScreen Marketplace” สำหรับแชร์แอปและสกินต่าง ๆ ระหว่างผู้ใช้

    ตัวเครื่องมีขนาดเบาเพียง 53 กรัม ติดตั้งง่ายด้วยขาตั้ง 1/4 นิ้ว และยังสามารถติดกล้องเว็บแคมไว้ด้านบนได้อีกด้วย ตัวเคสสามารถพิมพ์ 3D ได้เองจากไฟล์ที่เปิดให้ดาวน์โหลดฟรี และปรับแต่งได้ตามใจชอบ

    WebScreen เปิดให้สนับสนุนผ่าน Crowd Supply ในราคา $99 โดยเป็นโครงการโอเพ่นซอร์สเต็มรูปแบบ ทั้งฮาร์ดแวร์ เฟิร์มแวร์ และไฟล์ออกแบบทั้งหมดเผยแพร่บน GitHub ภายใต้ MIT License เพื่อให้ชุมชนสามารถร่วมพัฒนาและปรับแต่งได้อย่างอิสระ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    WebScreen เป็นจอเสริมขนาดเล็กสำหรับแสดงการแจ้งเตือนและข้อมูลแบบเรียลไทม์
    ใช้จอ AMOLED ขนาด 1.9–2.1 นิ้ว ความละเอียด 240×536 พิกเซล
    ขับเคลื่อนด้วยชิป ESP32-S3 รองรับ USB-C, Wi-Fi และ Bluetooth
    รองรับการรันแอป JavaScript จาก microSD card โดยไม่ต้องแฟลชเฟิร์มแวร์
    มีขาตั้ง 1/4 นิ้ว และช่องติดตั้งเว็บแคมด้านบน
    เคสสามารถพิมพ์ 3D ได้จากไฟล์ที่เปิดให้ดาวน์โหลดฟรี
    เปิดให้สนับสนุนผ่าน Crowd Supply ในราคา $99 จนถึง 5 พฤศจิกายน 2025
    โครงการเป็นโอเพ่นซอร์สเต็มรูปแบบ เผยแพร่ภายใต้ MIT License
    มีแผนเปิดตัว WebScreen Marketplace สำหรับแชร์แอปและสกิน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ESP32-S3 เป็นชิปที่นิยมในงาน IoT และ embedded systems เพราะมี Wi-Fi/BLE และประสิทธิภาพสูง
    การใช้ JavaScript บน microcontroller ช่วยให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถพัฒนา widget ได้ง่าย
    การแสดงผลแบบ AMOLED ให้สีสันสดใสและประหยัดพลังงาน
    WebScreen เหมาะสำหรับเกมเมอร์, สตรีมเมอร์, และผู้ทำงานที่ต้องการข้อมูลเสริมโดยไม่รบกวนหน้าจอหลัก
    การเปิดโค้ดทั้งหมดช่วยให้ชุมชนสามารถพัฒนา plugin หรือปรับแต่ง hardware ได้อย่างอิสระ

    https://news.itsfoss.com/webscreen/
    🖥️ “WebScreen: จอเสริมอัจฉริยะสำหรับเกมเมอร์และสายสร้างสรรค์ — เล็กแต่ล้ำ เปิดให้ปรับแต่งได้เต็มที่” ในยุคที่การแจ้งเตือนและข้อมูลไหลเข้ามาไม่หยุด WebScreen คืออุปกรณ์ใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณ “ไม่พลาดสิ่งสำคัญ” โดยไม่ต้องละสายตาจากงานหรือเกมที่กำลังเล่นอยู่ โดยมันคือจอ AMOLED ขนาดเล็กเพียง 1.9–2.1 นิ้ว ที่วางบนขอบจอหลักของคุณ และแสดงข้อมูลแบบเรียลไทม์ เช่น สถิติระบบ, การแจ้งเตือน Discord, ปฏิทิน, หรือแม้แต่ข้อความจาก Twitch WebScreen พัฒนาโดย HW Media Lab โดยมี Pedro Martin และ Eleo Basili เป็นผู้ออกแบบหลัก ใช้ชิป ESP32-S3 เป็นหัวใจหลักของระบบ รองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB-C, Wi-Fi และ Bluetooth ทำให้สามารถใช้งานได้กับทั้ง Linux, Windows และ macOS ความโดดเด่นของ WebScreen คือความสามารถในการรันแอป JavaScript จาก microSD card ได้โดยตรง ผู้ใช้สามารถสร้าง widget ส่วนตัว เช่น ตัวจับเวลา Pomodoro, แจ้งเตือนสุขภาพ, หรือแม้แต่แดชบอร์ดสำหรับ stream ได้อย่างอิสระ และยังมีแผนเปิดตัว “WebScreen Marketplace” สำหรับแชร์แอปและสกินต่าง ๆ ระหว่างผู้ใช้ ตัวเครื่องมีขนาดเบาเพียง 53 กรัม ติดตั้งง่ายด้วยขาตั้ง 1/4 นิ้ว และยังสามารถติดกล้องเว็บแคมไว้ด้านบนได้อีกด้วย ตัวเคสสามารถพิมพ์ 3D ได้เองจากไฟล์ที่เปิดให้ดาวน์โหลดฟรี และปรับแต่งได้ตามใจชอบ WebScreen เปิดให้สนับสนุนผ่าน Crowd Supply ในราคา $99 โดยเป็นโครงการโอเพ่นซอร์สเต็มรูปแบบ ทั้งฮาร์ดแวร์ เฟิร์มแวร์ และไฟล์ออกแบบทั้งหมดเผยแพร่บน GitHub ภายใต้ MIT License เพื่อให้ชุมชนสามารถร่วมพัฒนาและปรับแต่งได้อย่างอิสระ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ WebScreen เป็นจอเสริมขนาดเล็กสำหรับแสดงการแจ้งเตือนและข้อมูลแบบเรียลไทม์ ➡️ ใช้จอ AMOLED ขนาด 1.9–2.1 นิ้ว ความละเอียด 240×536 พิกเซล ➡️ ขับเคลื่อนด้วยชิป ESP32-S3 รองรับ USB-C, Wi-Fi และ Bluetooth ➡️ รองรับการรันแอป JavaScript จาก microSD card โดยไม่ต้องแฟลชเฟิร์มแวร์ ➡️ มีขาตั้ง 1/4 นิ้ว และช่องติดตั้งเว็บแคมด้านบน ➡️ เคสสามารถพิมพ์ 3D ได้จากไฟล์ที่เปิดให้ดาวน์โหลดฟรี ➡️ เปิดให้สนับสนุนผ่าน Crowd Supply ในราคา $99 จนถึง 5 พฤศจิกายน 2025 ➡️ โครงการเป็นโอเพ่นซอร์สเต็มรูปแบบ เผยแพร่ภายใต้ MIT License ➡️ มีแผนเปิดตัว WebScreen Marketplace สำหรับแชร์แอปและสกิน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ESP32-S3 เป็นชิปที่นิยมในงาน IoT และ embedded systems เพราะมี Wi-Fi/BLE และประสิทธิภาพสูง ➡️ การใช้ JavaScript บน microcontroller ช่วยให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถพัฒนา widget ได้ง่าย ➡️ การแสดงผลแบบ AMOLED ให้สีสันสดใสและประหยัดพลังงาน ➡️ WebScreen เหมาะสำหรับเกมเมอร์, สตรีมเมอร์, และผู้ทำงานที่ต้องการข้อมูลเสริมโดยไม่รบกวนหน้าจอหลัก ➡️ การเปิดโค้ดทั้งหมดช่วยให้ชุมชนสามารถพัฒนา plugin หรือปรับแต่ง hardware ได้อย่างอิสระ https://news.itsfoss.com/webscreen/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Meet WebScreen: A Hackable Secondary Display for Gamers and Creators
    A customizable, open source monitor for delivering notifications, stats, and reminders.
    0 Comments 0 Shares 214 Views 0 Reviews
More Results