• “5 สุดยอดแกดเจ็ตแห่งปี 2025 — บางชิ้นไม่ใหม่ แต่ ‘สมบูรณ์แบบ’ จนต้องยกนิ้วให้”

    ปี 2025 เป็นปีที่เทคโนโลยีไม่ได้แค่ “ใหม่” แต่หลายแบรนด์เลือกที่จะ “ปรับปรุงของเดิมให้ดีที่สุด” และผลลัพธ์คือแกดเจ็ตที่ทั้งคุ้นเคยและน่าทึ่ง SlashGear ได้คัดเลือก 5 แกดเจ็ตที่โดดเด่นที่สุดแห่งปี ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องนวัตกรรม แต่คือการออกแบบที่เข้าใจผู้ใช้จริง ๆ

    เริ่มจาก Nintendo Switch 2 ที่แม้จะไม่เปลี่ยนแปลงมากนักจากรุ่นแรก แต่กลับขายได้ถึง 6 ล้านเครื่องภายในไม่กี่เดือน เพราะมันแก้ปัญหาเดิมได้หมด — เล่นเกม AAA ได้ลื่นขึ้น, Joy-Con แน่นขึ้นและใช้เป็นเมาส์ได้, แม้จะยังมี Joy-Con drift และต้องซื้อ microSD Express เพิ่ม แต่ก็ถือว่า “สมบูรณ์แบบในสิ่งที่มันเป็น”

    ต่อมา iPhone Air ที่บางเฉียบจนหลายคนคิดว่าเป็นแค่โชว์ดีไซน์ แต่กลับทนทานเกินคาด — ทดสอบแรงกดถึง 215 ปอนด์ถึงจะแตก และรอดจากการตก 200 ฟุตได้แบบหน้าจอไม่พัง แม้จะมีข้อเสียเรื่องกล้องเดียว, ลำโพงเดียว, USB ช้า และ GPU อ่อน แต่ก็เป็นต้นแบบของมือถือยุคใหม่ที่เบาและใช้งานได้นาน

    Sony WH-1000XM6 คือการแก้ไขข้อผิดพลาดจากรุ่น XM5 — กลับมาใช้ดีไซน์พับได้, ปรับคุณภาพเสียงและไมค์ให้ดีขึ้น, เพิ่มปุ่มที่ใช้งานง่ายขึ้น และเปลี่ยนเคสให้ใช้แม่เหล็กแทนซิป แม้แบตยังอยู่ที่ 30 ชั่วโมงเหมือนเดิม แต่คุณภาพโดยรวมถือว่า “พร้อมใช้งานยาว ๆ อีก 10 ปี”

    Legion Go S (SteamOS Edition) คือเครื่องเกมพกพาที่ไม่ใช้ Windows แต่ใช้ SteamOS โดยตรง — ทำให้เล่นเกมลื่นกว่า, ใช้ทรัพยากรน้อยกว่า และเป็นครั้งแรกที่แบรนด์ใหญ่อย่าง Lenovo ส่งเครื่อง Linux ออกสู่ตลาดโดยตรง ถือเป็นก้าวสำคัญของวงการ handheld gaming

    สุดท้าย 8BitDo Ultimate 2 Wireless Controller ที่แม้จะเป็นรุ่นอัปเกรดเล็ก ๆ แต่กลับใส่ฟีเจอร์มาเต็ม — ปุ่มเสริม, trigger lock, dock ชาร์จแบบ low-latency, joystick แบบ TMR และ Hall-effect ที่แม่นยำและประหยัดพลังงาน ใช้ได้กับทุกแพลตฟอร์ม และราคาลดเหลือเพียง $30 ในบางช่วง

    https://www.slashgear.com/1982586/coolest-gadgets-released-2025/
    🧩 “5 สุดยอดแกดเจ็ตแห่งปี 2025 — บางชิ้นไม่ใหม่ แต่ ‘สมบูรณ์แบบ’ จนต้องยกนิ้วให้” ปี 2025 เป็นปีที่เทคโนโลยีไม่ได้แค่ “ใหม่” แต่หลายแบรนด์เลือกที่จะ “ปรับปรุงของเดิมให้ดีที่สุด” และผลลัพธ์คือแกดเจ็ตที่ทั้งคุ้นเคยและน่าทึ่ง SlashGear ได้คัดเลือก 5 แกดเจ็ตที่โดดเด่นที่สุดแห่งปี ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องนวัตกรรม แต่คือการออกแบบที่เข้าใจผู้ใช้จริง ๆ 🔰 เริ่มจาก Nintendo Switch 2 ที่แม้จะไม่เปลี่ยนแปลงมากนักจากรุ่นแรก แต่กลับขายได้ถึง 6 ล้านเครื่องภายในไม่กี่เดือน เพราะมันแก้ปัญหาเดิมได้หมด — เล่นเกม AAA ได้ลื่นขึ้น, Joy-Con แน่นขึ้นและใช้เป็นเมาส์ได้, แม้จะยังมี Joy-Con drift และต้องซื้อ microSD Express เพิ่ม แต่ก็ถือว่า “สมบูรณ์แบบในสิ่งที่มันเป็น” 🔰 ต่อมา iPhone Air ที่บางเฉียบจนหลายคนคิดว่าเป็นแค่โชว์ดีไซน์ แต่กลับทนทานเกินคาด — ทดสอบแรงกดถึง 215 ปอนด์ถึงจะแตก และรอดจากการตก 200 ฟุตได้แบบหน้าจอไม่พัง แม้จะมีข้อเสียเรื่องกล้องเดียว, ลำโพงเดียว, USB ช้า และ GPU อ่อน แต่ก็เป็นต้นแบบของมือถือยุคใหม่ที่เบาและใช้งานได้นาน 🔰 Sony WH-1000XM6 คือการแก้ไขข้อผิดพลาดจากรุ่น XM5 — กลับมาใช้ดีไซน์พับได้, ปรับคุณภาพเสียงและไมค์ให้ดีขึ้น, เพิ่มปุ่มที่ใช้งานง่ายขึ้น และเปลี่ยนเคสให้ใช้แม่เหล็กแทนซิป แม้แบตยังอยู่ที่ 30 ชั่วโมงเหมือนเดิม แต่คุณภาพโดยรวมถือว่า “พร้อมใช้งานยาว ๆ อีก 10 ปี” 🔰 Legion Go S (SteamOS Edition) คือเครื่องเกมพกพาที่ไม่ใช้ Windows แต่ใช้ SteamOS โดยตรง — ทำให้เล่นเกมลื่นกว่า, ใช้ทรัพยากรน้อยกว่า และเป็นครั้งแรกที่แบรนด์ใหญ่อย่าง Lenovo ส่งเครื่อง Linux ออกสู่ตลาดโดยตรง ถือเป็นก้าวสำคัญของวงการ handheld gaming 🔰 สุดท้าย 8BitDo Ultimate 2 Wireless Controller ที่แม้จะเป็นรุ่นอัปเกรดเล็ก ๆ แต่กลับใส่ฟีเจอร์มาเต็ม — ปุ่มเสริม, trigger lock, dock ชาร์จแบบ low-latency, joystick แบบ TMR และ Hall-effect ที่แม่นยำและประหยัดพลังงาน ใช้ได้กับทุกแพลตฟอร์ม และราคาลดเหลือเพียง $30 ในบางช่วง https://www.slashgear.com/1982586/coolest-gadgets-released-2025/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Of The Coolest Gadgets Released In 2025 - SlashGear
    A look at five standout gadgets released in 2025, from powerful handhelds to next-gen audio and ultra-thin phones that push design limits.
    0 Comments 0 Shares 96 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/r4nRJ2t50Xg?si=4B6Sem6Ddpv_j798
    https://youtu.be/r4nRJ2t50Xg?si=4B6Sem6Ddpv_j798
    0 Comments 0 Shares 33 Views 0 Reviews
  • “OpenSSL แพตช์ช่องโหว่ 3 รายการ — เสี่ยง RCE, Side-Channel และ Crash จาก IPv6 ‘no_proxy’”

    OpenSSL ซึ่งเป็นไลบรารีเข้ารหัสที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก ได้ออกแพตช์อัปเดตเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2025 เพื่อแก้ไขช่องโหว่ความปลอดภัย 3 รายการที่ส่งผลกระทบต่อทุกเวอร์ชันหลัก ตั้งแต่ 1.0.2 ถึง 3.5 โดยมีระดับความรุนแรงตั้งแต่ Low ถึง Moderate แต่มีผลกระทบที่อาจร้ายแรงในบางบริบท

    ช่องโหว่แรก (CVE-2025-9230) เป็นการอ่านและเขียนข้อมูลนอกขอบเขต (Out-of-Bounds Read & Write) ในกระบวนการถอดรหัส CMS ที่ใช้การเข้ารหัสแบบรหัสผ่าน (PWRI) ซึ่งอาจนำไปสู่การ crash หรือแม้แต่การรันโค้ดจากผู้โจมตีได้ แม้โอกาสในการโจมตีจะต่ำ เพราะ CMS แบบ PWRI ใช้น้อยมากในโลกจริง แต่ช่องโหว่นี้ยังคงถูกจัดว่า “Moderate” และส่งผลต่อทุกเวอร์ชันหลักของ OpenSSL

    ช่องโหว่ที่สอง (CVE-2025-9231) เป็นการโจมตีแบบ Timing Side-Channel บนแพลตฟอร์ม ARM64 ที่ใช้ SM2 algorithm ซึ่งอาจเปิดช่องให้ผู้โจมตีสามารถวัดเวลาและกู้คืน private key ได้จากระยะไกลในบางกรณี โดยเฉพาะเมื่อมีการใช้ provider แบบ custom ที่รองรับ SM2

    ช่องโหว่สุดท้าย (CVE-2025-9232) เป็นการอ่านข้อมูลนอกขอบเขตใน HTTP client API เมื่อมีการตั้งค่า no_proxy และใช้ URL ที่มี IPv6 ซึ่งอาจทำให้แอปพลิเคชัน crash ได้ แม้จะมีโอกาสโจมตีต่ำ แต่ก็ส่งผลต่อระบบที่ใช้ OCSP และ CMP ที่อิง HTTP client ของ OpenSSL

    OpenSSL ได้ออกแพตช์สำหรับเวอร์ชัน 3.5.4, 3.4.3, 3.3.5, 3.2.6, 3.0.18, 1.1.1zd และ 1.0.2zm โดยแนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันความเสี่ยง แม้ FIPS module จะไม่ได้รับผลกระทบ แต่โค้ดที่อยู่ภายนอกยังคงเสี่ยงต่อการโจมตี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    OpenSSL ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ 3 รายการเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2025
    CVE-2025-9230: Out-of-Bounds Read & Write ในการถอดรหัส CMS แบบ PWRI
    CVE-2025-9231: Timing Side-Channel ใน SM2 บน ARM64 อาจกู้คืน private key ได้
    CVE-2025-9232: Out-of-Bounds Read ใน HTTP client เมื่อใช้ no_proxy กับ IPv6
    ช่องโหว่ทั้งหมดส่งผลต่อเวอร์ชัน 1.0.2 ถึง 3.5 ของ OpenSSL
    แพตช์ใหม่ได้แก่เวอร์ชัน 3.5.4, 3.4.3, 3.3.5, 3.2.6, 3.0.18, 1.1.1zd และ 1.0.2zm
    FIPS module ไม่ได้รับผลกระทบ เพราะโค้ดที่มีช่องโหว่อยู่ภายนอก boundary

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SM2 เป็นอัลกอริธึมเข้ารหัสที่ใช้ในประเทศจีน และไม่เป็นมาตรฐาน TLS ทั่วไป
    Timing Side-Channel เป็นเทคนิคที่ใช้วัดเวลาการประมวลผลเพื่อกู้ข้อมูลลับ
    CMS (Cryptographic Message Syntax) ใช้ในระบบอีเมลและเอกสารที่เข้ารหัส
    no_proxy เป็น environment variable ที่ใช้ควบคุมการ bypass proxy ใน HTTP client
    OCSP และ CMP เป็นโปรโตคอลที่ใช้ตรวจสอบใบรับรองดิจิทัลในระบบ PKI

    https://securityonline.info/openssl-patches-three-flaws-timing-side-channel-rce-risk-and-memory-corruption-affect-all-versions/
    🔐 “OpenSSL แพตช์ช่องโหว่ 3 รายการ — เสี่ยง RCE, Side-Channel และ Crash จาก IPv6 ‘no_proxy’” OpenSSL ซึ่งเป็นไลบรารีเข้ารหัสที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก ได้ออกแพตช์อัปเดตเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2025 เพื่อแก้ไขช่องโหว่ความปลอดภัย 3 รายการที่ส่งผลกระทบต่อทุกเวอร์ชันหลัก ตั้งแต่ 1.0.2 ถึง 3.5 โดยมีระดับความรุนแรงตั้งแต่ Low ถึง Moderate แต่มีผลกระทบที่อาจร้ายแรงในบางบริบท ช่องโหว่แรก (CVE-2025-9230) เป็นการอ่านและเขียนข้อมูลนอกขอบเขต (Out-of-Bounds Read & Write) ในกระบวนการถอดรหัส CMS ที่ใช้การเข้ารหัสแบบรหัสผ่าน (PWRI) ซึ่งอาจนำไปสู่การ crash หรือแม้แต่การรันโค้ดจากผู้โจมตีได้ แม้โอกาสในการโจมตีจะต่ำ เพราะ CMS แบบ PWRI ใช้น้อยมากในโลกจริง แต่ช่องโหว่นี้ยังคงถูกจัดว่า “Moderate” และส่งผลต่อทุกเวอร์ชันหลักของ OpenSSL ช่องโหว่ที่สอง (CVE-2025-9231) เป็นการโจมตีแบบ Timing Side-Channel บนแพลตฟอร์ม ARM64 ที่ใช้ SM2 algorithm ซึ่งอาจเปิดช่องให้ผู้โจมตีสามารถวัดเวลาและกู้คืน private key ได้จากระยะไกลในบางกรณี โดยเฉพาะเมื่อมีการใช้ provider แบบ custom ที่รองรับ SM2 ช่องโหว่สุดท้าย (CVE-2025-9232) เป็นการอ่านข้อมูลนอกขอบเขตใน HTTP client API เมื่อมีการตั้งค่า no_proxy และใช้ URL ที่มี IPv6 ซึ่งอาจทำให้แอปพลิเคชัน crash ได้ แม้จะมีโอกาสโจมตีต่ำ แต่ก็ส่งผลต่อระบบที่ใช้ OCSP และ CMP ที่อิง HTTP client ของ OpenSSL OpenSSL ได้ออกแพตช์สำหรับเวอร์ชัน 3.5.4, 3.4.3, 3.3.5, 3.2.6, 3.0.18, 1.1.1zd และ 1.0.2zm โดยแนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันความเสี่ยง แม้ FIPS module จะไม่ได้รับผลกระทบ แต่โค้ดที่อยู่ภายนอกยังคงเสี่ยงต่อการโจมตี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ OpenSSL ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ 3 รายการเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2025 ➡️ CVE-2025-9230: Out-of-Bounds Read & Write ในการถอดรหัส CMS แบบ PWRI ➡️ CVE-2025-9231: Timing Side-Channel ใน SM2 บน ARM64 อาจกู้คืน private key ได้ ➡️ CVE-2025-9232: Out-of-Bounds Read ใน HTTP client เมื่อใช้ no_proxy กับ IPv6 ➡️ ช่องโหว่ทั้งหมดส่งผลต่อเวอร์ชัน 1.0.2 ถึง 3.5 ของ OpenSSL ➡️ แพตช์ใหม่ได้แก่เวอร์ชัน 3.5.4, 3.4.3, 3.3.5, 3.2.6, 3.0.18, 1.1.1zd และ 1.0.2zm ➡️ FIPS module ไม่ได้รับผลกระทบ เพราะโค้ดที่มีช่องโหว่อยู่ภายนอก boundary ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SM2 เป็นอัลกอริธึมเข้ารหัสที่ใช้ในประเทศจีน และไม่เป็นมาตรฐาน TLS ทั่วไป ➡️ Timing Side-Channel เป็นเทคนิคที่ใช้วัดเวลาการประมวลผลเพื่อกู้ข้อมูลลับ ➡️ CMS (Cryptographic Message Syntax) ใช้ในระบบอีเมลและเอกสารที่เข้ารหัส ➡️ no_proxy เป็น environment variable ที่ใช้ควบคุมการ bypass proxy ใน HTTP client ➡️ OCSP และ CMP เป็นโปรโตคอลที่ใช้ตรวจสอบใบรับรองดิจิทัลในระบบ PKI https://securityonline.info/openssl-patches-three-flaws-timing-side-channel-rce-risk-and-memory-corruption-affect-all-versions/
    SECURITYONLINE.INFO
    OpenSSL Patches Three Flaws: Timing Side-Channel RCE Risk and Memory Corruption Affect All Versions
    OpenSSL patches three flaws, including CVE-2025-9230 (RCE/DoS risk) and a SM2 timing side-channel (CVE-2025-9231) that could allow private key recovery on ARM64.
    0 Comments 0 Shares 113 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/hi1oit6vV2o?si=dM67PfM-Oums4QUe
    https://youtu.be/hi1oit6vV2o?si=dM67PfM-Oums4QUe
    0 Comments 0 Shares 35 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/nKm6gA6QZ2k?si=VDo28Y7MFDExv3X9
    https://youtu.be/nKm6gA6QZ2k?si=VDo28Y7MFDExv3X9
    0 Comments 0 Shares 36 Views 0 Reviews
  • “Calibre 8.11 เพิ่มฟีเจอร์ ‘Ask AI’ ถามคำศัพท์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ — เมื่อการอ่านอีบุ๊กกลายเป็นประสบการณ์ที่ฉลาดขึ้น”

    Calibre โปรแกรมจัดการอีบุ๊กยอดนิยมแบบโอเพ่นซอร์ส ได้ออกเวอร์ชันใหม่ 8.11 โดยมีฟีเจอร์เด่นที่น่าสนใจคือ “Ask AI” ซึ่งถูกเพิ่มเข้าไปในแถบ Dictionary Lookup ของโปรแกรมอ่านอีบุ๊ก ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกข้อความในหนังสือ แล้วถาม AI ได้ทันทีว่าเนื้อหานั้นหมายถึงอะไร หรือมีบริบทอย่างไร

    ฟีเจอร์นี้รองรับโมเดล AI หลากหลายจากผู้ให้บริการฟรี เช่น Google, OpenRouter, GitHub หรือแม้แต่การใช้งานแบบ local ผ่าน Ollama โดยผู้ใช้ต้องตั้งค่าเองก่อนใช้งาน ซึ่งหมายความว่า Calibre จะไม่โหลดโค้ด AI ใด ๆ หากผู้ใช้ไม่เปิดใช้งานเอง

    นอกจากนั้น Calibre 8.11 ยังเพิ่มตัวเลือกใน Preferences ให้แสดงคีย์ลัดของแต่ละหมวดใน tooltip เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเรียนรู้การใช้งานได้เร็วขึ้น และมีการปรับปรุงแหล่งข่าวหลายแห่ง เช่น The New York Times, The Economist และ New York Review of Books

    ด้านการแก้ไขบั๊กก็มีหลายรายการ เช่น ปัญหาในการเพิ่ม icon rule ใน Tag browser, การแปลงไฟล์ PDB ที่มี header ผิดรูปแบบ, และการเซ็น DLL บน Windows ที่ต้องเซ็นทั้ง .dll และ .pyd เพื่อให้ระบบยอมรับ

    ในส่วนของ E-book Viewer ก็ได้รับการปรับปรุงเช่นกัน เช่น การแก้ไขปัญหา highlight ซ้ำซ้อน, การจัดการ footnote popup ด้วยปุ่ม Esc, และการแก้ลิงก์ที่ไม่ทำงานในหนังสือขนาดใหญ่

    Calibre 8.11 พร้อมให้ดาวน์โหลดแล้วทั้งแบบ binary สำหรับ Linux 64-bit และ ARM64 รวมถึงเวอร์ชัน Flatpak บน Flathub.

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Calibre 8.11 เพิ่มฟีเจอร์ “Ask AI” ในแถบ Dictionary Lookup
    รองรับโมเดล AI จาก Google, OpenRouter, GitHub และ Ollama แบบ local
    ฟีเจอร์ AI จะไม่ถูกโหลดจนกว่าผู้ใช้จะตั้งค่าเอง
    เพิ่มตัวเลือกแสดงคีย์ลัดใน tooltip ของ Preferences
    ปรับปรุงแหล่งข่าว เช่น NYT, Economist, El Diplo, NYRB
    แก้บั๊กใน Tag browser, PDB conversion, และ DLL signing บน Windows
    ปรับปรุง E-book Viewer เช่น highlight, footnote popup, และลิงก์ในหนังสือขนาดใหญ่
    รองรับการดาวน์โหลดแบบ binary สำหรับ Linux 64-bit และ ARM64
    สามารถติดตั้งผ่าน Flatpak บน Flathub ได้ทันที

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Ollama เป็นระบบรันโมเดล AI แบบ local ที่เน้นความเป็นส่วนตัว
    OpenRouter เป็นแพลตฟอร์มที่รวมโมเดล AI จากหลายค่ายไว้ในที่เดียว
    การใช้ AI ในการอ่านหนังสือช่วยให้เข้าใจบริบทเชิงลึก เช่น ความหมายแฝงหรือการอ้างอิง
    Calibre เป็นหนึ่งในโปรแกรมจัดการอีบุ๊กที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก Linux
    การแสดงคีย์ลัดใน tooltip ช่วยลด learning curve สำหรับผู้ใช้ใหม่

    https://9to5linux.com/calibre-8-11-e-book-manager-adds-an-ask-ai-tab-to-the-dictionary-lookup-panel
    📚 “Calibre 8.11 เพิ่มฟีเจอร์ ‘Ask AI’ ถามคำศัพท์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ — เมื่อการอ่านอีบุ๊กกลายเป็นประสบการณ์ที่ฉลาดขึ้น” Calibre โปรแกรมจัดการอีบุ๊กยอดนิยมแบบโอเพ่นซอร์ส ได้ออกเวอร์ชันใหม่ 8.11 โดยมีฟีเจอร์เด่นที่น่าสนใจคือ “Ask AI” ซึ่งถูกเพิ่มเข้าไปในแถบ Dictionary Lookup ของโปรแกรมอ่านอีบุ๊ก ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกข้อความในหนังสือ แล้วถาม AI ได้ทันทีว่าเนื้อหานั้นหมายถึงอะไร หรือมีบริบทอย่างไร ฟีเจอร์นี้รองรับโมเดล AI หลากหลายจากผู้ให้บริการฟรี เช่น Google, OpenRouter, GitHub หรือแม้แต่การใช้งานแบบ local ผ่าน Ollama โดยผู้ใช้ต้องตั้งค่าเองก่อนใช้งาน ซึ่งหมายความว่า Calibre จะไม่โหลดโค้ด AI ใด ๆ หากผู้ใช้ไม่เปิดใช้งานเอง นอกจากนั้น Calibre 8.11 ยังเพิ่มตัวเลือกใน Preferences ให้แสดงคีย์ลัดของแต่ละหมวดใน tooltip เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเรียนรู้การใช้งานได้เร็วขึ้น และมีการปรับปรุงแหล่งข่าวหลายแห่ง เช่น The New York Times, The Economist และ New York Review of Books ด้านการแก้ไขบั๊กก็มีหลายรายการ เช่น ปัญหาในการเพิ่ม icon rule ใน Tag browser, การแปลงไฟล์ PDB ที่มี header ผิดรูปแบบ, และการเซ็น DLL บน Windows ที่ต้องเซ็นทั้ง .dll และ .pyd เพื่อให้ระบบยอมรับ ในส่วนของ E-book Viewer ก็ได้รับการปรับปรุงเช่นกัน เช่น การแก้ไขปัญหา highlight ซ้ำซ้อน, การจัดการ footnote popup ด้วยปุ่ม Esc, และการแก้ลิงก์ที่ไม่ทำงานในหนังสือขนาดใหญ่ Calibre 8.11 พร้อมให้ดาวน์โหลดแล้วทั้งแบบ binary สำหรับ Linux 64-bit และ ARM64 รวมถึงเวอร์ชัน Flatpak บน Flathub. ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Calibre 8.11 เพิ่มฟีเจอร์ “Ask AI” ในแถบ Dictionary Lookup ➡️ รองรับโมเดล AI จาก Google, OpenRouter, GitHub และ Ollama แบบ local ➡️ ฟีเจอร์ AI จะไม่ถูกโหลดจนกว่าผู้ใช้จะตั้งค่าเอง ➡️ เพิ่มตัวเลือกแสดงคีย์ลัดใน tooltip ของ Preferences ➡️ ปรับปรุงแหล่งข่าว เช่น NYT, Economist, El Diplo, NYRB ➡️ แก้บั๊กใน Tag browser, PDB conversion, และ DLL signing บน Windows ➡️ ปรับปรุง E-book Viewer เช่น highlight, footnote popup, และลิงก์ในหนังสือขนาดใหญ่ ➡️ รองรับการดาวน์โหลดแบบ binary สำหรับ Linux 64-bit และ ARM64 ➡️ สามารถติดตั้งผ่าน Flatpak บน Flathub ได้ทันที ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Ollama เป็นระบบรันโมเดล AI แบบ local ที่เน้นความเป็นส่วนตัว ➡️ OpenRouter เป็นแพลตฟอร์มที่รวมโมเดล AI จากหลายค่ายไว้ในที่เดียว ➡️ การใช้ AI ในการอ่านหนังสือช่วยให้เข้าใจบริบทเชิงลึก เช่น ความหมายแฝงหรือการอ้างอิง ➡️ Calibre เป็นหนึ่งในโปรแกรมจัดการอีบุ๊กที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก Linux ➡️ การแสดงคีย์ลัดใน tooltip ช่วยลด learning curve สำหรับผู้ใช้ใหม่ https://9to5linux.com/calibre-8-11-e-book-manager-adds-an-ask-ai-tab-to-the-dictionary-lookup-panel
    9TO5LINUX.COM
    Calibre 8.11 E-Book Manager Adds an "Ask AI" Tab to the Dictionary Lookup Panel - 9to5Linux
    Calibre 8.11 open-source e-book management software is now available for download with an "Ask AI" tab to the dictionary lookup panel.
    0 Comments 0 Shares 161 Views 0 Reviews
  • “Kali Linux 2025.3 เปิดตัวพร้อม 10 เครื่องมือใหม่ — ยุติการสนับสนุน Raspberry Pi รุ่นเก่า เดินหน้าสู่ยุค ARM64 และ RISC-V”

    Kali Linux เวอร์ชัน 2025.3 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 โดย Offensive Security ซึ่งเป็นทีมพัฒนาหลักของดิสโทรสายเจาะระบบที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก โดยเวอร์ชันนี้มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงสำคัญหลายด้าน ทั้งการเพิ่มเครื่องมือใหม่, การปรับปรุงระบบไร้สาย, และการยุติการสนับสนุนอุปกรณ์รุ่นเก่า

    หนึ่งในไฮไลต์คือการเพิ่มเครื่องมือใหม่ถึง 10 รายการ เช่น Caido สำหรับตรวจสอบความปลอดภัยเว็บ, Gemini CLI ซึ่งเป็น AI agent แบบโอเพ่นซอร์ส, Krbrelayx สำหรับโจมตี Kerberos และ llm-tools-nmap ที่ใช้ AI ในการสแกนเครือข่าย นอกจากนี้ยังมีเครื่องมืออย่าง patchleaks และ vwifi-dkms ที่ช่วยสร้างเครือข่าย Wi-Fi จำลองเพื่อทดสอบระบบ

    ด้านการใช้งานไร้สาย Kali ได้นำ Nexmon กลับมาอีกครั้ง ซึ่งช่วยให้สามารถใช้งาน monitor mode และ packet injection บนชิป Broadcom และ Cypress ได้ รวมถึงรองรับการ์ด Wi-Fi บน Raspberry Pi 5 อย่างเต็มรูปแบบ

    สำหรับผู้ใช้เดสก์ท็อป Kali ได้ปรับปรุงปลั๊กอิน VPN-IP บน Xfce ให้สามารถเลือกอินเทอร์เฟซเครือข่ายที่ต้องการตรวจสอบได้อย่างแม่นยำมากขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่มีการเชื่อมต่อ VPN หลายตัว

    แต่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดคือ Kali ประกาศยุติการสนับสนุนสถาปัตยกรรม ARMel ซึ่งหมายความว่าอุปกรณ์รุ่นเก่าอย่าง Raspberry Pi 1 และ Zero W จะไม่สามารถใช้งาน Kali เวอร์ชันใหม่ได้อีกต่อไป โดยทีมงานระบุว่าเป็นการตามรอย Debian ที่เลิกสนับสนุน ARMel และจะนำทรัพยากรไปพัฒนาเวอร์ชัน ARM64 และ RISC-V แทน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Kali Linux 2025.3 เปิดตัวพร้อมเครื่องมือใหม่ 10 รายการ
    เครื่องมือเด่น ได้แก่ Caido, Gemini CLI, Krbrelayx, llm-tools-nmap
    นำ Nexmon กลับมา รองรับ monitor mode และ packet injection บน Raspberry Pi 5
    ปรับปรุงปลั๊กอิน VPN-IP บน Xfce ให้เลือกอินเทอร์เฟซได้แม่นยำ
    ยุติการสนับสนุนสถาปัตยกรรม ARMel เช่น Raspberry Pi 1 และ Zero W
    ตามรอย Debian ที่เลิกสนับสนุน ARMel หลังเวอร์ชัน “Trixie”
    ทรัพยากรจะถูกนำไปพัฒนา ARM64 และ RISC-V แทน
    มีการอัปเดตไลบรารี, BusyBox, Gradle, Java และแก้ปัญหา boot animation
    Android shell ได้รับการปรับปรุง รองรับ API 34+ พร้อมสคริปต์ bootkali และ killkali

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ARMel เป็นสถาปัตยกรรมที่ใช้ในอุปกรณ์ ARM รุ่นเก่า มีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพและหน่วยความจำ
    Raspberry Pi Zero W มี RAM เพียง 512MB และไม่เหมาะกับงานเจาะระบบสมัยใหม่
    RISC-V กำลังได้รับความนิยมในวงการโอเพ่นซอร์ส เพราะไม่มีข้อจำกัดด้านสิทธิบัตร
    Nexmon เป็นเฟิร์มแวร์ที่ช่วยปลดล็อกฟีเจอร์ Wi-Fi ที่ถูกปิดไว้ในไดรเวอร์มาตรฐาน
    Kali NetHunter ก็ได้รับการอัปเดตให้รองรับอุปกรณ์ราคาประหยัดที่สามารถทำ monitor mode ได้

    https://news.itsfoss.com/kali-linux-2025-3-release/
    🛠️ “Kali Linux 2025.3 เปิดตัวพร้อม 10 เครื่องมือใหม่ — ยุติการสนับสนุน Raspberry Pi รุ่นเก่า เดินหน้าสู่ยุค ARM64 และ RISC-V” Kali Linux เวอร์ชัน 2025.3 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 โดย Offensive Security ซึ่งเป็นทีมพัฒนาหลักของดิสโทรสายเจาะระบบที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก โดยเวอร์ชันนี้มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงสำคัญหลายด้าน ทั้งการเพิ่มเครื่องมือใหม่, การปรับปรุงระบบไร้สาย, และการยุติการสนับสนุนอุปกรณ์รุ่นเก่า หนึ่งในไฮไลต์คือการเพิ่มเครื่องมือใหม่ถึง 10 รายการ เช่น Caido สำหรับตรวจสอบความปลอดภัยเว็บ, Gemini CLI ซึ่งเป็น AI agent แบบโอเพ่นซอร์ส, Krbrelayx สำหรับโจมตี Kerberos และ llm-tools-nmap ที่ใช้ AI ในการสแกนเครือข่าย นอกจากนี้ยังมีเครื่องมืออย่าง patchleaks และ vwifi-dkms ที่ช่วยสร้างเครือข่าย Wi-Fi จำลองเพื่อทดสอบระบบ ด้านการใช้งานไร้สาย Kali ได้นำ Nexmon กลับมาอีกครั้ง ซึ่งช่วยให้สามารถใช้งาน monitor mode และ packet injection บนชิป Broadcom และ Cypress ได้ รวมถึงรองรับการ์ด Wi-Fi บน Raspberry Pi 5 อย่างเต็มรูปแบบ สำหรับผู้ใช้เดสก์ท็อป Kali ได้ปรับปรุงปลั๊กอิน VPN-IP บน Xfce ให้สามารถเลือกอินเทอร์เฟซเครือข่ายที่ต้องการตรวจสอบได้อย่างแม่นยำมากขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่มีการเชื่อมต่อ VPN หลายตัว แต่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดคือ Kali ประกาศยุติการสนับสนุนสถาปัตยกรรม ARMel ซึ่งหมายความว่าอุปกรณ์รุ่นเก่าอย่าง Raspberry Pi 1 และ Zero W จะไม่สามารถใช้งาน Kali เวอร์ชันใหม่ได้อีกต่อไป โดยทีมงานระบุว่าเป็นการตามรอย Debian ที่เลิกสนับสนุน ARMel และจะนำทรัพยากรไปพัฒนาเวอร์ชัน ARM64 และ RISC-V แทน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Kali Linux 2025.3 เปิดตัวพร้อมเครื่องมือใหม่ 10 รายการ ➡️ เครื่องมือเด่น ได้แก่ Caido, Gemini CLI, Krbrelayx, llm-tools-nmap ➡️ นำ Nexmon กลับมา รองรับ monitor mode และ packet injection บน Raspberry Pi 5 ➡️ ปรับปรุงปลั๊กอิน VPN-IP บน Xfce ให้เลือกอินเทอร์เฟซได้แม่นยำ ➡️ ยุติการสนับสนุนสถาปัตยกรรม ARMel เช่น Raspberry Pi 1 และ Zero W ➡️ ตามรอย Debian ที่เลิกสนับสนุน ARMel หลังเวอร์ชัน “Trixie” ➡️ ทรัพยากรจะถูกนำไปพัฒนา ARM64 และ RISC-V แทน ➡️ มีการอัปเดตไลบรารี, BusyBox, Gradle, Java และแก้ปัญหา boot animation ➡️ Android shell ได้รับการปรับปรุง รองรับ API 34+ พร้อมสคริปต์ bootkali และ killkali ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ARMel เป็นสถาปัตยกรรมที่ใช้ในอุปกรณ์ ARM รุ่นเก่า มีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพและหน่วยความจำ ➡️ Raspberry Pi Zero W มี RAM เพียง 512MB และไม่เหมาะกับงานเจาะระบบสมัยใหม่ ➡️ RISC-V กำลังได้รับความนิยมในวงการโอเพ่นซอร์ส เพราะไม่มีข้อจำกัดด้านสิทธิบัตร ➡️ Nexmon เป็นเฟิร์มแวร์ที่ช่วยปลดล็อกฟีเจอร์ Wi-Fi ที่ถูกปิดไว้ในไดรเวอร์มาตรฐาน ➡️ Kali NetHunter ก็ได้รับการอัปเดตให้รองรับอุปกรณ์ราคาประหยัดที่สามารถทำ monitor mode ได้ https://news.itsfoss.com/kali-linux-2025-3-release/
    0 Comments 0 Shares 175 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/ZmM7m67lTvw?si=JR0yCVyDyGAvZ9QY
    https://youtu.be/ZmM7m67lTvw?si=JR0yCVyDyGAvZ9QY
    0 Comments 0 Shares 55 Views 0 Reviews
  • “Apple Silicon ทำให้คนเสียนิสัย — แต่ Framework ก็ยังมีที่ในใจ: บันทึกความรักและความหงุดหงิดจาก Simon Hartcher”

    Simon Hartcher นักพัฒนาและผู้ใช้งานโน้ตบุ๊กสายเทคโนโลยี ได้เขียนบทความสะท้อนความรู้สึกที่มีต่อสองโลกของแล็ปท็อป — ฝั่งหนึ่งคือ MacBook M1 Pro ที่ใช้ Apple Silicon ซึ่งเขายกให้เป็น “เครื่องที่ทำให้เขาเสียนิสัย” เพราะแบตเตอรี่อึดจนลืมชาร์จ อีกฝั่งคือ Framework 13 ที่ใช้ AMD Ryzen 7840HS ซึ่งแม้จะมีอุดมการณ์ที่น่าชื่นชม แต่กลับทำให้เขาหงุดหงิดกับแบตเตอรี่ที่หมดเร็วเกินไป

    Simon เล่าว่า MacBook ของเขาอยู่ในกระเป๋า 3 สัปดาห์โดยไม่เปิดเครื่องเลย แต่เมื่อหยิบออกมา กลับยังมีแบตเหลือถึง 90% ทั้งที่ไม่ได้ปิดเครื่อง แค่พับฝาไว้ ในทางกลับกัน Framework 13 ที่เขาใช้งานไม่บ่อย กลับหมดแบตทุกครั้งที่เปิดใช้งาน โดยเฉพาะเมื่อปล่อยไว้ในโหมด suspend ซึ่งมีรายงานว่าอาจสูญเสียแบตถึง 3–4% ต่อชั่วโมง

    แม้เขาจะเปลี่ยนระบบปฏิบัติการจาก Fedora Workstation ไปเป็น Arch Linux และสุดท้ายกลับมาใช้ Fedora Silverblue ซึ่งเขาชื่นชอบมาก แต่ปัญหาแบตเตอรี่ก็ยังอยู่ เขายอมรับว่า Framework ไม่ใช่เครื่องเดียวที่มีปัญหานี้ แต่เป็นปัญหาของโน้ตบุ๊ก x86 ทั่วไปที่ยังไม่สามารถเทียบชั้น Apple Silicon ได้ในเรื่องการจัดการพลังงาน

    Simon ยังตั้งคำถามว่า หาก Framework เปิดตัวเมนบอร์ด ARM64 เขาควรเปลี่ยนเลยหรือไม่ เพราะดูเหมือนว่า Apple Silicon ที่ใช้ ARM64 คือหัวใจของความอึดของแบตเตอรี่ แต่เขาก็รู้ดีว่าการเปลี่ยนไปใช้ ARM ไม่ใช่เรื่องง่าย และยังมีข้อจำกัดด้านซอฟต์แวร์และความเข้ากันได้

    สุดท้าย เขายืนยันว่าเขายังรัก Framework และจะยังใช้งานต่อไป แม้จะต้องเสียบปลั๊กไว้ตลอดเวลา เพื่อให้พร้อมใช้งานเมื่อเขาต้องการ

    ข้อมูลสำคัญจากบทความ
    MacBook M1 Pro ของ Simon อยู่ในโหมดพับฝา 3 สัปดาห์ ยังมีแบตเหลือ 90%
    Framework 13 ที่ใช้ AMD Ryzen 7840HS หมดแบตทุกครั้งที่เปิดใช้งานหลังพักไว้
    โหมด suspend บน Framework อาจสูญเสียแบต 3–4% ต่อชั่วโมง
    Simon ใช้ Fedora Silverblue ซึ่งเขาชื่นชอบมากกว่าระบบอื่น
    เขายังรัก Framework แม้จะมีปัญหาเรื่องแบตเตอรี่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Apple Silicon ใช้สถาปัตยกรรม ARM64 ซึ่งมีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูง
    Windows บน ARM เริ่มมีความเสถียรมากขึ้นในปี 2025 โดยรองรับแอปหลักแบบ native
    AMD Ryzen AI 300 series สัญญาว่าจะมีแบตเตอรี่ “หลายวัน” แต่ยังไม่เห็นผลชัดเจนบน Linux
    การจัดการพลังงานบน Linux ยังเป็นความท้าทาย โดยเฉพาะกับฮาร์ดแวร์ใหม่
    Framework มีแผนเปิดตัวเมนบอร์ด ARM ในอนาคต แต่ยังไม่มีรายละเอียดแน่ชัด

    https://simonhartcher.com/posts/2025-09-22-why-im-spoiled-by-apple-silicon-but-still-love-framework/
    🔋 “Apple Silicon ทำให้คนเสียนิสัย — แต่ Framework ก็ยังมีที่ในใจ: บันทึกความรักและความหงุดหงิดจาก Simon Hartcher” Simon Hartcher นักพัฒนาและผู้ใช้งานโน้ตบุ๊กสายเทคโนโลยี ได้เขียนบทความสะท้อนความรู้สึกที่มีต่อสองโลกของแล็ปท็อป — ฝั่งหนึ่งคือ MacBook M1 Pro ที่ใช้ Apple Silicon ซึ่งเขายกให้เป็น “เครื่องที่ทำให้เขาเสียนิสัย” เพราะแบตเตอรี่อึดจนลืมชาร์จ อีกฝั่งคือ Framework 13 ที่ใช้ AMD Ryzen 7840HS ซึ่งแม้จะมีอุดมการณ์ที่น่าชื่นชม แต่กลับทำให้เขาหงุดหงิดกับแบตเตอรี่ที่หมดเร็วเกินไป Simon เล่าว่า MacBook ของเขาอยู่ในกระเป๋า 3 สัปดาห์โดยไม่เปิดเครื่องเลย แต่เมื่อหยิบออกมา กลับยังมีแบตเหลือถึง 90% ทั้งที่ไม่ได้ปิดเครื่อง แค่พับฝาไว้ ในทางกลับกัน Framework 13 ที่เขาใช้งานไม่บ่อย กลับหมดแบตทุกครั้งที่เปิดใช้งาน โดยเฉพาะเมื่อปล่อยไว้ในโหมด suspend ซึ่งมีรายงานว่าอาจสูญเสียแบตถึง 3–4% ต่อชั่วโมง แม้เขาจะเปลี่ยนระบบปฏิบัติการจาก Fedora Workstation ไปเป็น Arch Linux และสุดท้ายกลับมาใช้ Fedora Silverblue ซึ่งเขาชื่นชอบมาก แต่ปัญหาแบตเตอรี่ก็ยังอยู่ เขายอมรับว่า Framework ไม่ใช่เครื่องเดียวที่มีปัญหานี้ แต่เป็นปัญหาของโน้ตบุ๊ก x86 ทั่วไปที่ยังไม่สามารถเทียบชั้น Apple Silicon ได้ในเรื่องการจัดการพลังงาน Simon ยังตั้งคำถามว่า หาก Framework เปิดตัวเมนบอร์ด ARM64 เขาควรเปลี่ยนเลยหรือไม่ เพราะดูเหมือนว่า Apple Silicon ที่ใช้ ARM64 คือหัวใจของความอึดของแบตเตอรี่ แต่เขาก็รู้ดีว่าการเปลี่ยนไปใช้ ARM ไม่ใช่เรื่องง่าย และยังมีข้อจำกัดด้านซอฟต์แวร์และความเข้ากันได้ สุดท้าย เขายืนยันว่าเขายังรัก Framework และจะยังใช้งานต่อไป แม้จะต้องเสียบปลั๊กไว้ตลอดเวลา เพื่อให้พร้อมใช้งานเมื่อเขาต้องการ ✅ ข้อมูลสำคัญจากบทความ ➡️ MacBook M1 Pro ของ Simon อยู่ในโหมดพับฝา 3 สัปดาห์ ยังมีแบตเหลือ 90% ➡️ Framework 13 ที่ใช้ AMD Ryzen 7840HS หมดแบตทุกครั้งที่เปิดใช้งานหลังพักไว้ ➡️ โหมด suspend บน Framework อาจสูญเสียแบต 3–4% ต่อชั่วโมง ➡️ Simon ใช้ Fedora Silverblue ซึ่งเขาชื่นชอบมากกว่าระบบอื่น ➡️ เขายังรัก Framework แม้จะมีปัญหาเรื่องแบตเตอรี่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Apple Silicon ใช้สถาปัตยกรรม ARM64 ซึ่งมีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูง ➡️ Windows บน ARM เริ่มมีความเสถียรมากขึ้นในปี 2025 โดยรองรับแอปหลักแบบ native ➡️ AMD Ryzen AI 300 series สัญญาว่าจะมีแบตเตอรี่ “หลายวัน” แต่ยังไม่เห็นผลชัดเจนบน Linux ➡️ การจัดการพลังงานบน Linux ยังเป็นความท้าทาย โดยเฉพาะกับฮาร์ดแวร์ใหม่ ➡️ Framework มีแผนเปิดตัวเมนบอร์ด ARM ในอนาคต แต่ยังไม่มีรายละเอียดแน่ชัด https://simonhartcher.com/posts/2025-09-22-why-im-spoiled-by-apple-silicon-but-still-love-framework/
    SIMONHARTCHER.COM
    Why I'm Spoiled By Apple Silicon (But Still Love Framework) | Simon Hartcher
    A personal comparison of battery life between my MacBook M1 Pro and Framework 13
    0 Comments 0 Shares 213 Views 0 Reviews
  • “เกมพังเพราะ Microsoft ‘ใส่ชื่อไว้ในลิสต์’ — เมื่อ DXGI Detour ทำ ARM64 Crash แบบไร้คำอธิบาย”

    นักพัฒนาเกม Space Station 14 ได้แชร์ประสบการณ์การดีบักสุดโกลาหลบน Windows ARM64 ที่นำไปสู่การค้นพบว่า Microsoft แอบใส่ชื่อ executable ของเกมไว้ใน “ลิสต์พิเศษ” ซึ่งทำให้ระบบ DXGI บน Windows 11 ติดตั้ง detour เข้าไปในฟังก์ชัน GetDC() และทำให้เกม crash ทันทีเมื่อเปิดหน้าต่างที่สอง

    เรื่องเริ่มจากการพอร์ตเกมไปยัง ARM64 โดยใช้ SDL3 และ ANGLE เพื่อรองรับ OpenGL บน Windows ARM64 แต่เมื่อรันเกมผ่าน launcher ที่รวมทั้ง x64 และ ARM64 กลับพบว่าเกม crash โดยไม่มี log ใด ๆ เลย หลังจากใช้ WinDbg ดีบักอย่างหนัก พบว่า crash เกิดใน USER32!GetDC ซึ่งเป็นฟังก์ชันพื้นฐานของ Win32

    เมื่อเจาะลึกลงไป พบว่า DXGI!My_GetDC ได้ติดตั้ง detour เข้าไปใน GetDC() เพื่อบังคับใช้ “flip model” ซึ่งเป็นฟีเจอร์ใหม่ของ Windows 11 ที่ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแสดงผลใน windowed mode โดยเฉพาะกับเกมเก่า แต่ปัญหาคือฟีเจอร์นี้ไม่เคยถูกทดสอบกับเกม ARM64 มาก่อน

    สิ่งที่น่าตกใจคือ crash เกิดเฉพาะเมื่อ executable มีชื่อว่า SS14.Loader.exe เท่านั้น หากเปลี่ยนชื่อไฟล์ เกมจะไม่ crash ซึ่งหมายความว่า Microsoft ใช้ “ลิสต์ชื่อเกม” ที่ฝังอยู่ใน Windows เพื่อบังคับใช้ฟีเจอร์นี้กับบางเกมโดยเฉพาะ และ Space Station 14 ถูกใส่เข้าไปโดยไม่รู้ตัว

    นักพัฒนาพยายามหาทางแก้ เช่น ปิดฟีเจอร์ใน Settings หรือเปลี่ยนชื่อไฟล์ แต่ก็เจอข้อจำกัดจาก Steamworks ที่ไม่รองรับ ARM64 ทำให้ไม่สามารถใช้ชื่ออื่นได้ในระบบจริง สุดท้ายจึงต้องเลื่อนการรองรับ Windows ARM64 ออกไปจนกว่าบั๊กจะถูกแก้ หรือจนกว่าจะเปลี่ยน renderer ไปใช้ DirectX แทน OpenGL

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เกม Space Station 14 crash บน Windows ARM64 เมื่อใช้ชื่อไฟล์ SS14.Loader.exe
    Crash เกิดในฟังก์ชัน USER32!GetDC ซึ่งถูก DXGI ติดตั้ง detour เข้าไป
    Detour นี้เป็นส่วนหนึ่งของฟีเจอร์ “Optimizations for windowed games” บน Windows 11
    ฟีเจอร์นี้บังคับใช้ “flip model” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแสดงผล

    การดีบักและการค้นพบ
    ใช้ WinDbg ดีบัก พบว่า stack trace แสดง DXGI!My_GetDC เป็นจุดเริ่มของปัญหา
    การเปลี่ยนชื่อ executable ทำให้เกมไม่ crash อีก
    Microsoft ใช้ลิสต์ชื่อเกมเพื่อบังคับใช้ฟีเจอร์นี้กับบางเกมโดยเฉพาะ
    ฟีเจอร์นี้ไม่เคยถูกทดสอบกับเกม ARM64 มาก่อน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    “flip model” เป็นเทคนิคใหม่ที่ใช้ใน DirectX เพื่อแทน bitblt model แบบเก่า
    ANGLE ใช้ SWAP_EFFECT_SEQUENTIAL ซึ่งไม่รองรับ flip model โดยตรง
    OpenGL บน Windows ARM64 ใช้ Mesa บน D3D12 ซึ่งมีบั๊กด้านกราฟิก
    WinDbg บน ARM64 ยังมีข้อจำกัดในการดีบัก .NET และ C# stack trace

    https://slugcat.systems/post/25-09-21-dxgi-debugging-microsoft-put-me-on-a-list/
    🧠 “เกมพังเพราะ Microsoft ‘ใส่ชื่อไว้ในลิสต์’ — เมื่อ DXGI Detour ทำ ARM64 Crash แบบไร้คำอธิบาย” นักพัฒนาเกม Space Station 14 ได้แชร์ประสบการณ์การดีบักสุดโกลาหลบน Windows ARM64 ที่นำไปสู่การค้นพบว่า Microsoft แอบใส่ชื่อ executable ของเกมไว้ใน “ลิสต์พิเศษ” ซึ่งทำให้ระบบ DXGI บน Windows 11 ติดตั้ง detour เข้าไปในฟังก์ชัน GetDC() และทำให้เกม crash ทันทีเมื่อเปิดหน้าต่างที่สอง เรื่องเริ่มจากการพอร์ตเกมไปยัง ARM64 โดยใช้ SDL3 และ ANGLE เพื่อรองรับ OpenGL บน Windows ARM64 แต่เมื่อรันเกมผ่าน launcher ที่รวมทั้ง x64 และ ARM64 กลับพบว่าเกม crash โดยไม่มี log ใด ๆ เลย หลังจากใช้ WinDbg ดีบักอย่างหนัก พบว่า crash เกิดใน USER32!GetDC ซึ่งเป็นฟังก์ชันพื้นฐานของ Win32 เมื่อเจาะลึกลงไป พบว่า DXGI!My_GetDC ได้ติดตั้ง detour เข้าไปใน GetDC() เพื่อบังคับใช้ “flip model” ซึ่งเป็นฟีเจอร์ใหม่ของ Windows 11 ที่ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแสดงผลใน windowed mode โดยเฉพาะกับเกมเก่า แต่ปัญหาคือฟีเจอร์นี้ไม่เคยถูกทดสอบกับเกม ARM64 มาก่อน สิ่งที่น่าตกใจคือ crash เกิดเฉพาะเมื่อ executable มีชื่อว่า SS14.Loader.exe เท่านั้น หากเปลี่ยนชื่อไฟล์ เกมจะไม่ crash ซึ่งหมายความว่า Microsoft ใช้ “ลิสต์ชื่อเกม” ที่ฝังอยู่ใน Windows เพื่อบังคับใช้ฟีเจอร์นี้กับบางเกมโดยเฉพาะ และ Space Station 14 ถูกใส่เข้าไปโดยไม่รู้ตัว นักพัฒนาพยายามหาทางแก้ เช่น ปิดฟีเจอร์ใน Settings หรือเปลี่ยนชื่อไฟล์ แต่ก็เจอข้อจำกัดจาก Steamworks ที่ไม่รองรับ ARM64 ทำให้ไม่สามารถใช้ชื่ออื่นได้ในระบบจริง สุดท้ายจึงต้องเลื่อนการรองรับ Windows ARM64 ออกไปจนกว่าบั๊กจะถูกแก้ หรือจนกว่าจะเปลี่ยน renderer ไปใช้ DirectX แทน OpenGL ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เกม Space Station 14 crash บน Windows ARM64 เมื่อใช้ชื่อไฟล์ SS14.Loader.exe ➡️ Crash เกิดในฟังก์ชัน USER32!GetDC ซึ่งถูก DXGI ติดตั้ง detour เข้าไป ➡️ Detour นี้เป็นส่วนหนึ่งของฟีเจอร์ “Optimizations for windowed games” บน Windows 11 ➡️ ฟีเจอร์นี้บังคับใช้ “flip model” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแสดงผล ✅ การดีบักและการค้นพบ ➡️ ใช้ WinDbg ดีบัก พบว่า stack trace แสดง DXGI!My_GetDC เป็นจุดเริ่มของปัญหา ➡️ การเปลี่ยนชื่อ executable ทำให้เกมไม่ crash อีก ➡️ Microsoft ใช้ลิสต์ชื่อเกมเพื่อบังคับใช้ฟีเจอร์นี้กับบางเกมโดยเฉพาะ ➡️ ฟีเจอร์นี้ไม่เคยถูกทดสอบกับเกม ARM64 มาก่อน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ “flip model” เป็นเทคนิคใหม่ที่ใช้ใน DirectX เพื่อแทน bitblt model แบบเก่า ➡️ ANGLE ใช้ SWAP_EFFECT_SEQUENTIAL ซึ่งไม่รองรับ flip model โดยตรง ➡️ OpenGL บน Windows ARM64 ใช้ Mesa บน D3D12 ซึ่งมีบั๊กด้านกราฟิก ➡️ WinDbg บน ARM64 ยังมีข้อจำกัดในการดีบัก .NET และ C# stack trace https://slugcat.systems/post/25-09-21-dxgi-debugging-microsoft-put-me-on-a-list/
    SLUGCAT.SYSTEMS
    DXGI debugging: Microsoft put me on a list
    Why does Space Station 14 crash with ANGLE on ARM64? 6 hours later…
    0 Comments 0 Shares 120 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/2kGaRH-0M6Y?si=KI7eXCDaoCIZbw2w
    https://youtu.be/2kGaRH-0M6Y?si=KI7eXCDaoCIZbw2w
    0 Comments 0 Shares 32 Views 0 Reviews
  • TSMC 2nm มาแรง! ลูกค้าแห่จองล่วงหน้าเพียบ — AI และ HPC แย่งชิงกำลังผลิตก่อนเปิดสายการผลิตจริง

    TSMC ผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลกจากไต้หวัน กำลังเตรียมเปิดสายการผลิตระดับ 2 นาโนเมตร (2nm) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุดในอุตสาหกรรม ณ ขณะนี้ โดยมีรายงานว่า TSMC ได้รับคำสั่งจองจากลูกค้าถึง 15 รายแล้ว และในจำนวนนี้มีถึง 10 รายที่มุ่งเน้นการใช้งานด้าน HPC (High Performance Computing) เช่น AI, Cloud และเซิร์ฟเวอร์ระดับองค์กร2

    แม้ Apple จะยังคงเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุด โดยจองกำลังผลิตมากกว่าครึ่งของทั้งหมดสำหรับชิป A20, M6 และ R2 ที่จะใช้ใน iPhone, MacBook และ Vision Pro รุ่นถัดไป แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการที่บริษัทด้าน AI อย่าง Google, Amazon, Broadcom และ OpenAI ก็เข้ามาจองพื้นที่ผลิตสำหรับชิป ASIC แบบ custom ที่ใช้ในงาน AI โดยเฉพาะ

    NVIDIA และ AMD ก็ไม่พลาด โดยเตรียมใช้ 2nm สำหรับ GPU รุ่นใหม่ เช่น Rubin Ultra และ Instinct MI450 ซึ่งจะเป็นหัวใจของระบบ AI และ HPC ในยุคถัดไป ขณะที่ MediaTek และ Qualcomm ก็เตรียมใช้ในสมาร์ตโฟนระดับเรือธงเช่นกัน

    สิ่งที่ทำให้ 2nm ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วคือโครงสร้างราคาที่น่าสนใจ และประสิทธิภาพที่สูงกว่ารุ่น 3nm อย่างชัดเจน โดย TSMC คาดว่าจะเริ่มผลิตจำนวนมากในครึ่งหลังของปี 2026 และชิปจากลูกค้ารายแรกจะเริ่มเข้าสู่ตลาดในต้นปี 2027

    TSMC ได้รับคำสั่งจอง 2nm จากลูกค้าแล้ว 15 ราย
    10 รายเน้นใช้งานด้าน HPC เช่น AI, Cloud, เซิร์ฟเวอร์
    แสดงถึงแนวโน้มที่เปลี่ยนจากมือถือสู่การประมวลผลขั้นสูง

    Apple จองกำลังผลิตมากกว่าครึ่งของทั้งหมด
    ใช้กับชิป A20, M6 และ R2 สำหรับ iPhone, Mac และ Vision Pro
    เตรียมใช้เทคโนโลยี WMCM แทน InFO เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น

    ลูกค้า HPC รายใหญ่เข้าร่วม เช่น Google, Amazon, Broadcom, OpenAI
    มุ่งพัฒนาชิป ASIC สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ
    ต้องการประสิทธิภาพสูงและการประหยัดพลังงาน

    NVIDIA และ AMD เตรียมใช้ 2nm สำหรับ GPU รุ่นใหม่
    Rubin Ultra และ Instinct MI450 จะใช้เทคโนโลยีนี้
    เป็นหัวใจของระบบ AI และ HPC ยุคถัดไป

    MediaTek และ Qualcomm ใช้ในสมาร์ตโฟนระดับเรือธง
    Dimensity 9600 และ Snapdragon รุ่นถัดไป
    คาดว่าจะเริ่มผลิตปลายปี 2026

    โครงสร้างราคาของ 2nm ดึงดูดลูกค้าจำนวนมาก
    ถูกกว่า 3nm ในบางกรณี / ประสิทธิภาพสูงกว่า
    ทำให้การผลิต ramp-up เร็วกว่ารุ่นก่อนหน้า

    https://wccftech.com/tsmc-2nm-process-has-reportedly-secured-up-to-fifteen-customers/
    📰 TSMC 2nm มาแรง! ลูกค้าแห่จองล่วงหน้าเพียบ — AI และ HPC แย่งชิงกำลังผลิตก่อนเปิดสายการผลิตจริง TSMC ผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลกจากไต้หวัน กำลังเตรียมเปิดสายการผลิตระดับ 2 นาโนเมตร (2nm) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุดในอุตสาหกรรม ณ ขณะนี้ โดยมีรายงานว่า TSMC ได้รับคำสั่งจองจากลูกค้าถึง 15 รายแล้ว และในจำนวนนี้มีถึง 10 รายที่มุ่งเน้นการใช้งานด้าน HPC (High Performance Computing) เช่น AI, Cloud และเซิร์ฟเวอร์ระดับองค์กร2 แม้ Apple จะยังคงเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุด โดยจองกำลังผลิตมากกว่าครึ่งของทั้งหมดสำหรับชิป A20, M6 และ R2 ที่จะใช้ใน iPhone, MacBook และ Vision Pro รุ่นถัดไป แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการที่บริษัทด้าน AI อย่าง Google, Amazon, Broadcom และ OpenAI ก็เข้ามาจองพื้นที่ผลิตสำหรับชิป ASIC แบบ custom ที่ใช้ในงาน AI โดยเฉพาะ NVIDIA และ AMD ก็ไม่พลาด โดยเตรียมใช้ 2nm สำหรับ GPU รุ่นใหม่ เช่น Rubin Ultra และ Instinct MI450 ซึ่งจะเป็นหัวใจของระบบ AI และ HPC ในยุคถัดไป ขณะที่ MediaTek และ Qualcomm ก็เตรียมใช้ในสมาร์ตโฟนระดับเรือธงเช่นกัน สิ่งที่ทำให้ 2nm ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วคือโครงสร้างราคาที่น่าสนใจ และประสิทธิภาพที่สูงกว่ารุ่น 3nm อย่างชัดเจน โดย TSMC คาดว่าจะเริ่มผลิตจำนวนมากในครึ่งหลังของปี 2026 และชิปจากลูกค้ารายแรกจะเริ่มเข้าสู่ตลาดในต้นปี 2027 ✅ TSMC ได้รับคำสั่งจอง 2nm จากลูกค้าแล้ว 15 ราย ➡️ 10 รายเน้นใช้งานด้าน HPC เช่น AI, Cloud, เซิร์ฟเวอร์ ➡️ แสดงถึงแนวโน้มที่เปลี่ยนจากมือถือสู่การประมวลผลขั้นสูง ✅ Apple จองกำลังผลิตมากกว่าครึ่งของทั้งหมด ➡️ ใช้กับชิป A20, M6 และ R2 สำหรับ iPhone, Mac และ Vision Pro ➡️ เตรียมใช้เทคโนโลยี WMCM แทน InFO เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น ✅ ลูกค้า HPC รายใหญ่เข้าร่วม เช่น Google, Amazon, Broadcom, OpenAI ➡️ มุ่งพัฒนาชิป ASIC สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ ➡️ ต้องการประสิทธิภาพสูงและการประหยัดพลังงาน ✅ NVIDIA และ AMD เตรียมใช้ 2nm สำหรับ GPU รุ่นใหม่ ➡️ Rubin Ultra และ Instinct MI450 จะใช้เทคโนโลยีนี้ ➡️ เป็นหัวใจของระบบ AI และ HPC ยุคถัดไป ✅ MediaTek และ Qualcomm ใช้ในสมาร์ตโฟนระดับเรือธง ➡️ Dimensity 9600 และ Snapdragon รุ่นถัดไป ➡️ คาดว่าจะเริ่มผลิตปลายปี 2026 ✅ โครงสร้างราคาของ 2nm ดึงดูดลูกค้าจำนวนมาก ➡️ ถูกกว่า 3nm ในบางกรณี / ประสิทธิภาพสูงกว่า ➡️ ทำให้การผลิต ramp-up เร็วกว่ารุ่นก่อนหน้า https://wccftech.com/tsmc-2nm-process-has-reportedly-secured-up-to-fifteen-customers/
    WCCFTECH.COM
    TSMC's 2nm Process Has Reportedly Secured up to Fifteen Customers, Ten of Which Will Use It for HPC Products, Indicating Phenomenal Demand
    TSMC's N2 process is witnessing massive demand, and it is revealed that the Taiwan giant has secured fifteen customers for their 2nm node.
    0 Comments 0 Shares 177 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/04eTF4PVhAI?si=JNMOu_YeN73SMM69
    https://youtu.be/04eTF4PVhAI?si=JNMOu_YeN73SMM69
    0 Comments 0 Shares 57 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/2sm6kAroO-g?si=syhYIJH5HxFasFOb
    https://youtu.be/2sm6kAroO-g?si=syhYIJH5HxFasFOb
    0 Comments 0 Shares 40 Views 0 Reviews
  • https://youtube.com/shorts/rzm63V3dU3s?si=jx-qP6NeudIUbJmK
    https://youtube.com/shorts/rzm63V3dU3s?si=jx-qP6NeudIUbJmK
    0 Comments 0 Shares 66 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/hc4Vm6TzwA8?si=2ho3s2WbLJQiywCC
    https://youtu.be/hc4Vm6TzwA8?si=2ho3s2WbLJQiywCC
    0 Comments 0 Shares 82 Views 0 Reviews
  • “Kodi 22 ‘Piers’ มาแล้ว! รองรับ HDR บน Wayland และ OpenGL พร้อมฟีเจอร์ใหม่เพียบทั้งเกม หนัง และระบบเสียง”

    ถ้าคุณเป็นสายดูหนัง เล่นเกม หรือใช้ Kodi เป็นศูนย์กลางความบันเทิงในบ้าน — เวอร์ชันใหม่ที่กำลังจะมาในชื่อ Kodi 22 “Piers” คือการอัปเกรดครั้งใหญ่ที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะผู้ใช้ Linux เพราะมันมาพร้อมฟีเจอร์ที่รอคอยมานาน: รองรับ HDR บน Wayland และ HDR passthrough บน OpenGL

    Kodi 22 ได้เพิ่มการรองรับ Wayland Color Management Protocol ซึ่งทำให้สามารถแสดงภาพ HDR ได้บนระบบที่ใช้ Wayland compositor ที่รองรับ — ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับผู้ใช้ Linux ที่ต้องการคุณภาพภาพระดับสูงโดยไม่ต้องพึ่ง X11 อีกต่อไป

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงด้านเกม เช่น รองรับ shader, ปรับปรุงการใช้เมาส์และคีย์บอร์ด, และการเรนเดอร์แบบ front-to-back บน OpenGL เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ รวมถึงการลดการใช้หน่วยความจำสำหรับ texture แบบ single และ dual channel

    ฝั่งวิดีโอและเสียงก็ไม่น้อยหน้า: Kodi 22 รองรับ FFmpeg 7, เพิ่มระบบ chapter สำหรับ audiobook, ปรับปรุงเมนูเลือกตอนใน Blu-ray, และเพิ่มระบบจัดการ Movie Versions/Extras แบบใหม่ที่แสดง artwork และข้อมูลได้ละเอียดขึ้น

    สำหรับ Android ก็รองรับ Android 15 และ page size 16KB พร้อมฟีเจอร์แชร์ไฟล์กับแอปอื่น ส่วน LG webOS ก็มี unified media pipeline ใหม่ และ Windows ARM64 ก็เริ่มรองรับแล้วเช่นกัน

    ด้าน PVR (Personal Video Recorder) มีการเพิ่ม Recently Added Channels, widget ใหม่, ระบบ Custom Timers, และปรับปรุงการค้นหา EPG รวมถึงการจัดกลุ่มช่องรายการ

    สุดท้ายคือการปรับปรุงด้านเครือข่าย เช่น การแสดง SMB directory ขนาดใหญ่ได้เร็วขึ้น, รองรับ SMB 2.0 ที่ไม่มีฟีเจอร์ “large MTU”, และเชื่อมต่อกับ Windows SMB server ที่ไม่มีรหัสผ่านได้ดีขึ้น

    การรองรับ HDR และกราฟิกบน Linux
    รองรับ HDR passthrough บน OpenGL
    รองรับ HDR บน Wayland ผ่าน Wayland Color Management Protocol
    ปรับปรุงการเรนเดอร์แบบ front-to-back บน OpenGL(ES)
    ลดการใช้หน่วยความจำสำหรับ texture แบบ single และ dual channel

    ฟีเจอร์ใหม่ด้านวิดีโอและเสียง
    รองรับ FFmpeg 7
    เพิ่มระบบ audiobook chapter
    ปรับปรุง Movie Versions/Extras และ Blu-ray episode menu
    เพิ่มระบบจัดการ artwork และข้อมูลตอนใน Blu-ray

    ฟีเจอร์ด้านเกม
    รองรับ shader สำหรับเกม
    ปรับปรุงการใช้เมาส์และคีย์บอร์ด
    ปรับปรุงคุณภาพ texture สำหรับอุปกรณ์ช้า

    การรองรับแพลตฟอร์มต่างๆ
    Android รองรับ Android 15 และ page size 16KB
    LG webOS มี unified media pipeline ใหม่
    Windows รองรับ ARM64 desktop และ Python 3.13
    รองรับการแชร์ไฟล์กับแอปอื่นบน Android

    การปรับปรุงระบบ PVR
    เพิ่ม Recently Added Channels และ widget ใหม่
    เพิ่ม Providers window และ Custom Timers
    ปรับปรุงการจัดกลุ่มช่อง, การค้นหา, และการบันทึก

    การปรับปรุงด้านเครือข่าย
    แสดง SMB directory ขนาดใหญ่ได้เร็วขึ้น
    รองรับ SMB 2.0 ที่ไม่มีฟีเจอร์ large MTU
    เชื่อมต่อกับ Windows SMB server ที่ไม่มีรหัสผ่านได้ดีขึ้น

    การรองรับอุปกรณ์เสริม
    ปรับปรุงการใช้งาน OSMC Remote
    รองรับ Pulse-Eight CEC adapter และ Flirc receiver

    https://9to5linux.com/kodi-22-piers-promises-hdr-passthrough-on-opengl-and-hdr-on-wayland
    🎬 “Kodi 22 ‘Piers’ มาแล้ว! รองรับ HDR บน Wayland และ OpenGL พร้อมฟีเจอร์ใหม่เพียบทั้งเกม หนัง และระบบเสียง” ถ้าคุณเป็นสายดูหนัง เล่นเกม หรือใช้ Kodi เป็นศูนย์กลางความบันเทิงในบ้าน — เวอร์ชันใหม่ที่กำลังจะมาในชื่อ Kodi 22 “Piers” คือการอัปเกรดครั้งใหญ่ที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะผู้ใช้ Linux เพราะมันมาพร้อมฟีเจอร์ที่รอคอยมานาน: รองรับ HDR บน Wayland และ HDR passthrough บน OpenGL Kodi 22 ได้เพิ่มการรองรับ Wayland Color Management Protocol ซึ่งทำให้สามารถแสดงภาพ HDR ได้บนระบบที่ใช้ Wayland compositor ที่รองรับ — ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับผู้ใช้ Linux ที่ต้องการคุณภาพภาพระดับสูงโดยไม่ต้องพึ่ง X11 อีกต่อไป นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงด้านเกม เช่น รองรับ shader, ปรับปรุงการใช้เมาส์และคีย์บอร์ด, และการเรนเดอร์แบบ front-to-back บน OpenGL เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ รวมถึงการลดการใช้หน่วยความจำสำหรับ texture แบบ single และ dual channel ฝั่งวิดีโอและเสียงก็ไม่น้อยหน้า: Kodi 22 รองรับ FFmpeg 7, เพิ่มระบบ chapter สำหรับ audiobook, ปรับปรุงเมนูเลือกตอนใน Blu-ray, และเพิ่มระบบจัดการ Movie Versions/Extras แบบใหม่ที่แสดง artwork และข้อมูลได้ละเอียดขึ้น สำหรับ Android ก็รองรับ Android 15 และ page size 16KB พร้อมฟีเจอร์แชร์ไฟล์กับแอปอื่น ส่วน LG webOS ก็มี unified media pipeline ใหม่ และ Windows ARM64 ก็เริ่มรองรับแล้วเช่นกัน ด้าน PVR (Personal Video Recorder) มีการเพิ่ม Recently Added Channels, widget ใหม่, ระบบ Custom Timers, และปรับปรุงการค้นหา EPG รวมถึงการจัดกลุ่มช่องรายการ สุดท้ายคือการปรับปรุงด้านเครือข่าย เช่น การแสดง SMB directory ขนาดใหญ่ได้เร็วขึ้น, รองรับ SMB 2.0 ที่ไม่มีฟีเจอร์ “large MTU”, และเชื่อมต่อกับ Windows SMB server ที่ไม่มีรหัสผ่านได้ดีขึ้น ✅ การรองรับ HDR และกราฟิกบน Linux ➡️ รองรับ HDR passthrough บน OpenGL ➡️ รองรับ HDR บน Wayland ผ่าน Wayland Color Management Protocol ➡️ ปรับปรุงการเรนเดอร์แบบ front-to-back บน OpenGL(ES) ➡️ ลดการใช้หน่วยความจำสำหรับ texture แบบ single และ dual channel ✅ ฟีเจอร์ใหม่ด้านวิดีโอและเสียง ➡️ รองรับ FFmpeg 7 ➡️ เพิ่มระบบ audiobook chapter ➡️ ปรับปรุง Movie Versions/Extras และ Blu-ray episode menu ➡️ เพิ่มระบบจัดการ artwork และข้อมูลตอนใน Blu-ray ✅ ฟีเจอร์ด้านเกม ➡️ รองรับ shader สำหรับเกม ➡️ ปรับปรุงการใช้เมาส์และคีย์บอร์ด ➡️ ปรับปรุงคุณภาพ texture สำหรับอุปกรณ์ช้า ✅ การรองรับแพลตฟอร์มต่างๆ ➡️ Android รองรับ Android 15 และ page size 16KB ➡️ LG webOS มี unified media pipeline ใหม่ ➡️ Windows รองรับ ARM64 desktop และ Python 3.13 ➡️ รองรับการแชร์ไฟล์กับแอปอื่นบน Android ✅ การปรับปรุงระบบ PVR ➡️ เพิ่ม Recently Added Channels และ widget ใหม่ ➡️ เพิ่ม Providers window และ Custom Timers ➡️ ปรับปรุงการจัดกลุ่มช่อง, การค้นหา, และการบันทึก ✅ การปรับปรุงด้านเครือข่าย ➡️ แสดง SMB directory ขนาดใหญ่ได้เร็วขึ้น ➡️ รองรับ SMB 2.0 ที่ไม่มีฟีเจอร์ large MTU ➡️ เชื่อมต่อกับ Windows SMB server ที่ไม่มีรหัสผ่านได้ดีขึ้น ✅ การรองรับอุปกรณ์เสริม ➡️ ปรับปรุงการใช้งาน OSMC Remote ➡️ รองรับ Pulse-Eight CEC adapter และ Flirc receiver https://9to5linux.com/kodi-22-piers-promises-hdr-passthrough-on-opengl-and-hdr-on-wayland
    9TO5LINUX.COM
    Kodi 22 "Piers" Promises HDR Passthrough on OpenGL and HDR on Wayland - 9to5Linux
    Kodi 22 "Piers" open-source media center is now available for public testing promising HDR on Wayland support for Linux systems.
    0 Comments 0 Shares 237 Views 0 Reviews
  • “Debian 13.1 ‘Trixie’ มาแล้ว! อัปเดตแรกของดิสโทรสายเสถียร พร้อม 71 แพตช์บั๊กและ 16 ช่องโหว่ความปลอดภัย”

    ถ้าคุณเป็นสาย Linux ที่รักความเสถียรและความปลอดภัยเป็นหลัก — ข่าวนี้คือสิ่งที่คุณรอคอย: Debian 13.1 “Trixie” ได้รับการปล่อยออกมาอย่างเป็นทางการแล้วในวันที่ 6 กันยายน 2025 โดยเป็นอัปเดตแรกของ Debian 13 ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนก่อน

    Debian 13.1 ไม่ใช่เวอร์ชันใหม่ แต่เป็น “point release” ที่รวมการแก้ไขบั๊กจำนวน 71 รายการ และอัปเดตด้านความปลอดภัยอีก 16 รายการ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถติดตั้งระบบได้จาก ISO ที่ใหม่กว่า โดยไม่ต้องดาวน์โหลดแพตช์จำนวนมากหลังติดตั้ง

    สำหรับผู้ใช้ที่ติดตั้ง Debian 13 ไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลด ISO ใหม่ เพียงแค่รันคำสั่ง sudo apt update && sudo apt full-upgrade ก็จะได้รับอัปเดตทั้งหมดทันที

    Debian 13.1 รองรับสถาปัตยกรรมหลากหลาย เช่น amd64, arm64, riscv64, ppc64el, s390x และ armhf โดยมี Live ISO สำหรับ 64-bit ที่มาพร้อมเดสก์ท็อปยอดนิยม เช่น KDE Plasma 6.3, GNOME 48, Xfce 4.20, Cinnamon 6.4, LXQt 2.1, MATE 1.26.1 และ LXDE 13 รวมถึงรุ่น “Junior” ที่ใช้ IceWM และรุ่น “Standard” ที่ไม่มี GUI

    นอกจากนี้ Debian ยังปล่อย Debian 12.12 “Bookworm” ออกมาพร้อมกัน โดยมีการแก้ไขบั๊กถึง 135 รายการ และอัปเดตความปลอดภัยอีก 83 รายการ — สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดูแลทั้งเวอร์ชันใหม่และเก่าอย่างต่อเนื่อง

    การเปิดตัว Debian 13.1 “Trixie”
    เป็น point release แรกของ Debian 13
    รวม 71 bug fixes และ 16 security updates
    ปล่อยออกมาเพื่อให้ผู้ใช้ติดตั้งจาก ISO ที่อัปเดตแล้ว

    วิธีอัปเดตสำหรับผู้ใช้เดิม
    ใช้คำสั่ง sudo apt update && sudo apt full-upgrade
    ไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลด ISO ใหม่
    สามารถตรวจสอบเวอร์ชันด้วย cat /etc/debian_version

    สถาปัตยกรรมและเดสก์ท็อปที่รองรับ
    รองรับ amd64, arm64, riscv64, ppc64el, s390x, armhf
    Live ISO มีเฉพาะสำหรับ 64-bit
    เดสก์ท็อปที่มีให้เลือก: KDE, GNOME, Xfce, Cinnamon, LXQt, MATE, LXDE
    รุ่น Junior ใช้ IceWM และรุ่น Standard ไม่มี GUI

    การอัปเดต Debian 12.12 “Bookworm”
    รวม 135 bug fixes และ 83 security updates
    เป็นการดูแลเวอร์ชันก่อนหน้าอย่างต่อเนื่อง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Debian เป็นหนึ่งในดิสโทรที่มีอายุยาวนานที่สุดในโลก Linux
    ใช้เป็นฐานให้กับดิสโทรยอดนิยม เช่น Ubuntu, Kali Linux และ Raspbian
    จุดเด่นคือความเสถียร ความปลอดภัย และการควบคุมแพ็กเกจแบบละเอียด

    https://9to5linux.com/debian-13-1-trixie-released-with-71-bug-fixes-and-16-security-updates
    🐧 “Debian 13.1 ‘Trixie’ มาแล้ว! อัปเดตแรกของดิสโทรสายเสถียร พร้อม 71 แพตช์บั๊กและ 16 ช่องโหว่ความปลอดภัย” ถ้าคุณเป็นสาย Linux ที่รักความเสถียรและความปลอดภัยเป็นหลัก — ข่าวนี้คือสิ่งที่คุณรอคอย: Debian 13.1 “Trixie” ได้รับการปล่อยออกมาอย่างเป็นทางการแล้วในวันที่ 6 กันยายน 2025 โดยเป็นอัปเดตแรกของ Debian 13 ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนก่อน Debian 13.1 ไม่ใช่เวอร์ชันใหม่ แต่เป็น “point release” ที่รวมการแก้ไขบั๊กจำนวน 71 รายการ และอัปเดตด้านความปลอดภัยอีก 16 รายการ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถติดตั้งระบบได้จาก ISO ที่ใหม่กว่า โดยไม่ต้องดาวน์โหลดแพตช์จำนวนมากหลังติดตั้ง สำหรับผู้ใช้ที่ติดตั้ง Debian 13 ไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลด ISO ใหม่ เพียงแค่รันคำสั่ง sudo apt update && sudo apt full-upgrade ก็จะได้รับอัปเดตทั้งหมดทันที Debian 13.1 รองรับสถาปัตยกรรมหลากหลาย เช่น amd64, arm64, riscv64, ppc64el, s390x และ armhf โดยมี Live ISO สำหรับ 64-bit ที่มาพร้อมเดสก์ท็อปยอดนิยม เช่น KDE Plasma 6.3, GNOME 48, Xfce 4.20, Cinnamon 6.4, LXQt 2.1, MATE 1.26.1 และ LXDE 13 รวมถึงรุ่น “Junior” ที่ใช้ IceWM และรุ่น “Standard” ที่ไม่มี GUI นอกจากนี้ Debian ยังปล่อย Debian 12.12 “Bookworm” ออกมาพร้อมกัน โดยมีการแก้ไขบั๊กถึง 135 รายการ และอัปเดตความปลอดภัยอีก 83 รายการ — สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดูแลทั้งเวอร์ชันใหม่และเก่าอย่างต่อเนื่อง ✅ การเปิดตัว Debian 13.1 “Trixie” ➡️ เป็น point release แรกของ Debian 13 ➡️ รวม 71 bug fixes และ 16 security updates ➡️ ปล่อยออกมาเพื่อให้ผู้ใช้ติดตั้งจาก ISO ที่อัปเดตแล้ว ✅ วิธีอัปเดตสำหรับผู้ใช้เดิม ➡️ ใช้คำสั่ง sudo apt update && sudo apt full-upgrade ➡️ ไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลด ISO ใหม่ ➡️ สามารถตรวจสอบเวอร์ชันด้วย cat /etc/debian_version ✅ สถาปัตยกรรมและเดสก์ท็อปที่รองรับ ➡️ รองรับ amd64, arm64, riscv64, ppc64el, s390x, armhf ➡️ Live ISO มีเฉพาะสำหรับ 64-bit ➡️ เดสก์ท็อปที่มีให้เลือก: KDE, GNOME, Xfce, Cinnamon, LXQt, MATE, LXDE ➡️ รุ่น Junior ใช้ IceWM และรุ่น Standard ไม่มี GUI ✅ การอัปเดต Debian 12.12 “Bookworm” ➡️ รวม 135 bug fixes และ 83 security updates ➡️ เป็นการดูแลเวอร์ชันก่อนหน้าอย่างต่อเนื่อง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Debian เป็นหนึ่งในดิสโทรที่มีอายุยาวนานที่สุดในโลก Linux ➡️ ใช้เป็นฐานให้กับดิสโทรยอดนิยม เช่น Ubuntu, Kali Linux และ Raspbian ➡️ จุดเด่นคือความเสถียร ความปลอดภัย และการควบคุมแพ็กเกจแบบละเอียด https://9to5linux.com/debian-13-1-trixie-released-with-71-bug-fixes-and-16-security-updates
    9TO5LINUX.COM
    Debian 13.1 “Trixie” Released with 71 Bug Fixes and 16 Security Updates - 9to5Linux
    Debian 13.1 is now available for download as a new point release to Debian 13 “Trixie” with 71 bug fixes and 16 security updates.
    0 Comments 0 Shares 211 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/6Jj7demcOn4?si=uCh_uM6YbtzlbYHr
    https://youtu.be/6Jj7demcOn4?si=uCh_uM6YbtzlbYHr
    0 Comments 0 Shares 122 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/Kwm9m6E4nG0?si=vFQOIxnFVT11xFg6
    https://youtu.be/Kwm9m6E4nG0?si=vFQOIxnFVT11xFg6
    0 Comments 0 Shares 32 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/QfgVhE1M6ns?si=yBe8X4UCXYcm9cId
    https://youtu.be/QfgVhE1M6ns?si=yBe8X4UCXYcm9cId
    0 Comments 0 Shares 104 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/qTD5e_bm66s?si=eoLmY8_44665tBqK
    https://youtu.be/qTD5e_bm66s?si=eoLmY8_44665tBqK
    0 Comments 0 Shares 51 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/J5Jm6Dy9T6I?si=cn4cRUIyocp1xxFI
    https://youtu.be/J5Jm6Dy9T6I?si=cn4cRUIyocp1xxFI
    0 Comments 0 Shares 56 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/uUM6U2nnmVk?si=YAXISJweoNvMjojY
    https://youtu.be/uUM6U2nnmVk?si=YAXISJweoNvMjojY
    0 Comments 0 Shares 55 Views 0 Reviews
  • สภาแบบนี้มีไว้ทำไม.,ถึงเวลายึดอำนาจล้างระบบเหี้ยๆนี้จริงๆจังๆเถอะ.

    ..ผบ.ทหารสูงสุดเรา ประสานทุกๆเหล่าทัพเราเถอะ,ภัยอันตรายใหญ่หลวงรอเราจัดการอยู่เบื้องหน้า พวกนี้ไส้ศึกขัดขวางทหารไทยเราในการกำจัดศัตรูก็เหี้ยพอแล้ว สาระพัดดึงแขนดึงขาขัดขวางจังหวะทหารไทยเราตลอด,บวกทหารนายพลเลวชั่วก็ไม่น้อย,ถ้าทหารยังไม่จัดการเมื่อพิจารณาดีแล้วว่าไร้ทางออกของบ้านของเมืองจริงๆ,กระแสหักมุมทัังหมดจะมาที่ผบ.ทหารสูงสุดมิใช่ผบ.เหล่าทัพใดๆเลย.

    https://youtube.com/watch?v=wpbdHHV2lLE&si=deQE386tM6Z2if3H
    สภาแบบนี้มีไว้ทำไม.,ถึงเวลายึดอำนาจล้างระบบเหี้ยๆนี้จริงๆจังๆเถอะ. ..ผบ.ทหารสูงสุดเรา ประสานทุกๆเหล่าทัพเราเถอะ,ภัยอันตรายใหญ่หลวงรอเราจัดการอยู่เบื้องหน้า พวกนี้ไส้ศึกขัดขวางทหารไทยเราในการกำจัดศัตรูก็เหี้ยพอแล้ว สาระพัดดึงแขนดึงขาขัดขวางจังหวะทหารไทยเราตลอด,บวกทหารนายพลเลวชั่วก็ไม่น้อย,ถ้าทหารยังไม่จัดการเมื่อพิจารณาดีแล้วว่าไร้ทางออกของบ้านของเมืองจริงๆ,กระแสหักมุมทัังหมดจะมาที่ผบ.ทหารสูงสุดมิใช่ผบ.เหล่าทัพใดๆเลย. https://youtube.com/watch?v=wpbdHHV2lLE&si=deQE386tM6Z2if3H
    0 Comments 0 Shares 154 Views 0 Reviews
More Results