• Amazon ยุติโครงการ “commingling” หลังเสียงร้องเรียนสะสมหลายปี — จุดเปลี่ยนสำคัญเพื่อปกป้องแบรนด์และผู้บริโภค

    ในงานประชุม Accelerate ประจำปี 2025 ที่ซีแอตเทิล Amazon ประกาศยุติโครงการ “commingling” ซึ่งเป็นระบบที่รวมสินค้าชนิดเดียวกันจากผู้ขายหลายรายไว้ภายใต้บาร์โค้ดเดียวกัน โดยไม่สนว่าใครเป็นผู้จัดส่งจริง แม้จะช่วยให้จัดการคลังสินค้าได้รวดเร็วและประหยัดพื้นที่ แต่ระบบนี้กลับเปิดช่องให้สินค้าปลอม หมดอายุ หรือเสียหายถูกส่งถึงมือลูกค้าโดยไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้

    แบรนด์ต่าง ๆ เช่น Johnson & Johnson เคยถอนสินค้าจาก Amazon ชั่วคราวตั้งแต่ปี 2013 เพราะไม่สามารถควบคุมคุณภาพได้ ขณะที่ผู้ขายจำนวนมากต้องเสียเงินกว่า 600 ล้านดอลลาร์ต่อปีเพื่อ “re-stickering” หรือแปะบาร์โค้ดใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกนำไปปะปนกับสินค้าจากผู้ขายอื่น

    การยุติโครงการ commingling สะท้อนถึงแนวทางใหม่ของ Amazon ที่เน้นความร่วมมือกับแบรนด์โดยตรง เช่น การกลับมาร่วมงานกับ Nike หลังห่างหายไปตั้งแต่ปี 2019 และลดบทบาทของผู้ขายแบบ reseller ที่ไม่สามารถรับประกันคุณภาพสินค้าได้

    แม้ Amazon จะเปิดตัวเครื่องมือ AI ใหม่สำหรับผู้ขายในงานเดียวกัน แต่สิ่งที่ได้รับเสียงปรบมือมากที่สุดกลับเป็นการประกาศยุติ commingling ซึ่งผู้ขายมองว่าเป็นการฟังเสียงของพวกเขาอย่างแท้จริง

    Amazon ประกาศยุติโครงการ commingling ในปี 2025
    เป็นระบบที่รวมสินค้าจากผู้ขายหลายรายไว้ภายใต้บาร์โค้ดเดียว
    ช่วยให้จัดการคลังสินค้าเร็วขึ้น แต่มีปัญหาเรื่องคุณภาพสินค้า

    แบรนด์ร้องเรียนเรื่องสินค้าปลอมและหมดอายุ
    Johnson & Johnson เคยถอนสินค้าจาก Amazon ในปี 2013
    ผู้ขายต้องเสียเงินกว่า $600 ล้านต่อปีเพื่อหลีกเลี่ยงการปะปน

    Amazon เปลี่ยนแนวทางไปสู่ความร่วมมือกับแบรนด์โดยตรง
    กลับมาร่วมงานกับ Nike หลังหยุดไปตั้งแต่ปี 2019
    ลดบทบาทของ reseller ที่ไม่สามารถควบคุมคุณภาพสินค้า

    เครื่องมือ AI ใหม่สำหรับผู้ขายถูกเปิดตัวในงานเดียวกัน
    ช่วยจัดการ ticket, ค่าธรรมเนียมคลังสินค้า และแนะนำการปรับปรุง
    แต่การยุติ commingling ได้รับความสนใจมากกว่า

    ระบบโลจิสติกส์ของ Amazon พัฒนาแล้ว
    สามารถเก็บสินค้าใกล้ลูกค้าได้มากขึ้น
    ลดความจำเป็นในการรวมสินค้าจากหลายแหล่ง

    https://www.modernretail.co/operations/amazon-to-end-commingling-program-after-years-of-complaints-from-brands-and-sellers/
    📰 Amazon ยุติโครงการ “commingling” หลังเสียงร้องเรียนสะสมหลายปี — จุดเปลี่ยนสำคัญเพื่อปกป้องแบรนด์และผู้บริโภค ในงานประชุม Accelerate ประจำปี 2025 ที่ซีแอตเทิล Amazon ประกาศยุติโครงการ “commingling” ซึ่งเป็นระบบที่รวมสินค้าชนิดเดียวกันจากผู้ขายหลายรายไว้ภายใต้บาร์โค้ดเดียวกัน โดยไม่สนว่าใครเป็นผู้จัดส่งจริง แม้จะช่วยให้จัดการคลังสินค้าได้รวดเร็วและประหยัดพื้นที่ แต่ระบบนี้กลับเปิดช่องให้สินค้าปลอม หมดอายุ หรือเสียหายถูกส่งถึงมือลูกค้าโดยไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้ แบรนด์ต่าง ๆ เช่น Johnson & Johnson เคยถอนสินค้าจาก Amazon ชั่วคราวตั้งแต่ปี 2013 เพราะไม่สามารถควบคุมคุณภาพได้ ขณะที่ผู้ขายจำนวนมากต้องเสียเงินกว่า 600 ล้านดอลลาร์ต่อปีเพื่อ “re-stickering” หรือแปะบาร์โค้ดใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกนำไปปะปนกับสินค้าจากผู้ขายอื่น การยุติโครงการ commingling สะท้อนถึงแนวทางใหม่ของ Amazon ที่เน้นความร่วมมือกับแบรนด์โดยตรง เช่น การกลับมาร่วมงานกับ Nike หลังห่างหายไปตั้งแต่ปี 2019 และลดบทบาทของผู้ขายแบบ reseller ที่ไม่สามารถรับประกันคุณภาพสินค้าได้ แม้ Amazon จะเปิดตัวเครื่องมือ AI ใหม่สำหรับผู้ขายในงานเดียวกัน แต่สิ่งที่ได้รับเสียงปรบมือมากที่สุดกลับเป็นการประกาศยุติ commingling ซึ่งผู้ขายมองว่าเป็นการฟังเสียงของพวกเขาอย่างแท้จริง ✅ Amazon ประกาศยุติโครงการ commingling ในปี 2025 ➡️ เป็นระบบที่รวมสินค้าจากผู้ขายหลายรายไว้ภายใต้บาร์โค้ดเดียว ➡️ ช่วยให้จัดการคลังสินค้าเร็วขึ้น แต่มีปัญหาเรื่องคุณภาพสินค้า ✅ แบรนด์ร้องเรียนเรื่องสินค้าปลอมและหมดอายุ ➡️ Johnson & Johnson เคยถอนสินค้าจาก Amazon ในปี 2013 ➡️ ผู้ขายต้องเสียเงินกว่า $600 ล้านต่อปีเพื่อหลีกเลี่ยงการปะปน ✅ Amazon เปลี่ยนแนวทางไปสู่ความร่วมมือกับแบรนด์โดยตรง ➡️ กลับมาร่วมงานกับ Nike หลังหยุดไปตั้งแต่ปี 2019 ➡️ ลดบทบาทของ reseller ที่ไม่สามารถควบคุมคุณภาพสินค้า ✅ เครื่องมือ AI ใหม่สำหรับผู้ขายถูกเปิดตัวในงานเดียวกัน ➡️ ช่วยจัดการ ticket, ค่าธรรมเนียมคลังสินค้า และแนะนำการปรับปรุง ➡️ แต่การยุติ commingling ได้รับความสนใจมากกว่า ✅ ระบบโลจิสติกส์ของ Amazon พัฒนาแล้ว ➡️ สามารถเก็บสินค้าใกล้ลูกค้าได้มากขึ้น ➡️ ลดความจำเป็นในการรวมสินค้าจากหลายแหล่ง https://www.modernretail.co/operations/amazon-to-end-commingling-program-after-years-of-complaints-from-brands-and-sellers/
    WWW.MODERNRETAIL.CO
    Amazon to end commingling program after years of complaints from brands and sellers
    Amazon revealed at its annual Accelerate seller conference in Seattle that it is shutting down its long-running “commingling” program.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
  • “GPT-3 กับ 12,000 มิติแห่งความหมาย — เมื่อคณิตศาสตร์ช่วยให้โมเดลภาษาเข้าใจโลกได้ลึกกว่าที่คิด”

    บทความโดย Nicholas Yoder ได้เปิดเผยเบื้องหลังของคำถามที่ดูเหมือนง่ายแต่ลึกซึ้ง: “โมเดลภาษาอย่าง GPT-3 ที่มี embedding space เพียง 12,288 มิติ สามารถเก็บข้อมูลนับพันล้านแนวคิดได้อย่างไร?” คำตอบไม่ได้อยู่แค่ในวิศวกรรม แต่ซ่อนอยู่ในเรขาคณิตมิติสูงและทฤษฎีคณิตศาสตร์ที่ชื่อว่า Johnson–Lindenstrauss lemma

    ในโลกของเวกเตอร์ การจัดเรียงแบบ “orthogonal” (ตั้งฉาก) มีข้อจำกัด — N มิติสามารถรองรับได้แค่ N เวกเตอร์ที่ตั้งฉากกันเท่านั้น แต่ถ้าเรายอมให้เวกเตอร์มีมุมใกล้เคียง 90° เช่น 85–95° หรือที่เรียกว่า “quasi-orthogonal” ความจุของพื้นที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

    Yoder ได้ทดลองสร้างเวกเตอร์ 10,000 ตัวในพื้นที่ 100 มิติ โดยใช้ loss function ที่ดูเรียบง่าย แต่กลับเจอปัญหา “Gradient Trap” และ “99% Solution” ซึ่งทำให้เวกเตอร์บางตัวติดอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม แม้จะดูดีในเชิงสถิติ เขาจึงปรับ loss function ให้ลงโทษเวกเตอร์ที่มี dot product สูงขึ้นแบบ exponential และพบว่าแม้จะตั้งเป้ามุมใกล้ 90° แต่ผลลัพธ์จริงกลับอยู่ที่ ~76.5° ซึ่งนำไปสู่การค้นพบขีดจำกัดใหม่ของการบรรจุเวกเตอร์ในมิติสูง

    จากนั้น Yoder ได้เชื่อมโยงกับ Johnson–Lindenstrauss lemma ซึ่งระบุว่าเราสามารถฉายข้อมูลจากมิติสูงไปยังมิติต่ำได้โดยไม่เสียโครงสร้างระยะห่างมากนัก โดยจำนวนมิติที่ต้องใช้จะเพิ่มขึ้นแบบลอการิทึมตามจำนวนจุดที่ต้องการฉาย — ทำให้การลดมิติในงานจริง เช่น การจัดการข้อมูลลูกค้า หรือ embedding คำในโมเดลภาษา เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    เขายังเสนอสูตรประมาณจำนวนเวกเตอร์ที่สามารถจัดวางในพื้นที่ embedding ได้ตามมุมที่ยอมรับได้ เช่น ที่มุม 89° GPT-3 สามารถรองรับได้ ~10⁸ เวกเตอร์ แต่ถ้ายอมลดมุมลงเหลือ 85° จะสามารถรองรับได้มากกว่า 10²⁰⁰ เวกเตอร์ — มากกว่าจำนวนอะตอมในจักรวาลเสียอีก

    ข้อมูลสำคัญจากบทความ
    GPT-3 มี embedding space ขนาด 12,288 มิติ แต่สามารถเก็บแนวคิดได้มหาศาล
    การใช้ quasi-orthogonal vectors (มุมใกล้ 90°) ช่วยเพิ่มความจุของพื้นที่
    การทดลองพบว่า loss function แบบเดิมมีปัญหา gradient trap และ 99% solution
    การปรับ loss function แบบ exponential ช่วยให้เวกเตอร์จัดเรียงได้ดีขึ้น

    การเชื่อมโยงกับทฤษฎี JL lemma
    JL lemma ระบุว่าเราสามารถฉายข้อมูลจากมิติสูงไปยังมิติต่ำโดยรักษาระยะห่างได้
    จำนวนมิติที่ต้องใช้เพิ่มขึ้นแบบ log(N)/ε² ตามจำนวนจุดและความคลาดเคลื่อนที่ยอมรับ
    ใช้ในงานจริง เช่น การลดมิติของข้อมูลลูกค้า หรือ embedding คำในโมเดลภาษา
    การทดลองพบว่า embedding space สามารถรองรับเวกเตอร์ได้มากกว่าที่คาด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Hadamard matrix และ BCH coding เป็นเทคนิคที่ใช้ในการฉายข้อมูลแบบมีประสิทธิภาพ
    uIP และ SLIP เป็นโปรโตคอลที่ใช้ใน embedded system ที่มีหน่วยความจำจำกัด
    GPT-3 ใช้ embedding space ขนาด 12,288 มิติ ซึ่งถือว่าเล็กเมื่อเทียบกับจำนวนแนวคิดที่ต้องรองรับ
    การจัดเรียงเวกเตอร์ในมิติสูงมีความสัมพันธ์กับ sphere packing และ geometry แบบ non-Euclidean

    https://nickyoder.com/johnson-lindenstrauss/
    🧠 “GPT-3 กับ 12,000 มิติแห่งความหมาย — เมื่อคณิตศาสตร์ช่วยให้โมเดลภาษาเข้าใจโลกได้ลึกกว่าที่คิด” บทความโดย Nicholas Yoder ได้เปิดเผยเบื้องหลังของคำถามที่ดูเหมือนง่ายแต่ลึกซึ้ง: “โมเดลภาษาอย่าง GPT-3 ที่มี embedding space เพียง 12,288 มิติ สามารถเก็บข้อมูลนับพันล้านแนวคิดได้อย่างไร?” คำตอบไม่ได้อยู่แค่ในวิศวกรรม แต่ซ่อนอยู่ในเรขาคณิตมิติสูงและทฤษฎีคณิตศาสตร์ที่ชื่อว่า Johnson–Lindenstrauss lemma ในโลกของเวกเตอร์ การจัดเรียงแบบ “orthogonal” (ตั้งฉาก) มีข้อจำกัด — N มิติสามารถรองรับได้แค่ N เวกเตอร์ที่ตั้งฉากกันเท่านั้น แต่ถ้าเรายอมให้เวกเตอร์มีมุมใกล้เคียง 90° เช่น 85–95° หรือที่เรียกว่า “quasi-orthogonal” ความจุของพื้นที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล Yoder ได้ทดลองสร้างเวกเตอร์ 10,000 ตัวในพื้นที่ 100 มิติ โดยใช้ loss function ที่ดูเรียบง่าย แต่กลับเจอปัญหา “Gradient Trap” และ “99% Solution” ซึ่งทำให้เวกเตอร์บางตัวติดอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม แม้จะดูดีในเชิงสถิติ เขาจึงปรับ loss function ให้ลงโทษเวกเตอร์ที่มี dot product สูงขึ้นแบบ exponential และพบว่าแม้จะตั้งเป้ามุมใกล้ 90° แต่ผลลัพธ์จริงกลับอยู่ที่ ~76.5° ซึ่งนำไปสู่การค้นพบขีดจำกัดใหม่ของการบรรจุเวกเตอร์ในมิติสูง จากนั้น Yoder ได้เชื่อมโยงกับ Johnson–Lindenstrauss lemma ซึ่งระบุว่าเราสามารถฉายข้อมูลจากมิติสูงไปยังมิติต่ำได้โดยไม่เสียโครงสร้างระยะห่างมากนัก โดยจำนวนมิติที่ต้องใช้จะเพิ่มขึ้นแบบลอการิทึมตามจำนวนจุดที่ต้องการฉาย — ทำให้การลดมิติในงานจริง เช่น การจัดการข้อมูลลูกค้า หรือ embedding คำในโมเดลภาษา เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ เขายังเสนอสูตรประมาณจำนวนเวกเตอร์ที่สามารถจัดวางในพื้นที่ embedding ได้ตามมุมที่ยอมรับได้ เช่น ที่มุม 89° GPT-3 สามารถรองรับได้ ~10⁸ เวกเตอร์ แต่ถ้ายอมลดมุมลงเหลือ 85° จะสามารถรองรับได้มากกว่า 10²⁰⁰ เวกเตอร์ — มากกว่าจำนวนอะตอมในจักรวาลเสียอีก ✅ ข้อมูลสำคัญจากบทความ ➡️ GPT-3 มี embedding space ขนาด 12,288 มิติ แต่สามารถเก็บแนวคิดได้มหาศาล ➡️ การใช้ quasi-orthogonal vectors (มุมใกล้ 90°) ช่วยเพิ่มความจุของพื้นที่ ➡️ การทดลองพบว่า loss function แบบเดิมมีปัญหา gradient trap และ 99% solution ➡️ การปรับ loss function แบบ exponential ช่วยให้เวกเตอร์จัดเรียงได้ดีขึ้น ✅ การเชื่อมโยงกับทฤษฎี JL lemma ➡️ JL lemma ระบุว่าเราสามารถฉายข้อมูลจากมิติสูงไปยังมิติต่ำโดยรักษาระยะห่างได้ ➡️ จำนวนมิติที่ต้องใช้เพิ่มขึ้นแบบ log(N)/ε² ตามจำนวนจุดและความคลาดเคลื่อนที่ยอมรับ ➡️ ใช้ในงานจริง เช่น การลดมิติของข้อมูลลูกค้า หรือ embedding คำในโมเดลภาษา ➡️ การทดลองพบว่า embedding space สามารถรองรับเวกเตอร์ได้มากกว่าที่คาด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Hadamard matrix และ BCH coding เป็นเทคนิคที่ใช้ในการฉายข้อมูลแบบมีประสิทธิภาพ ➡️ uIP และ SLIP เป็นโปรโตคอลที่ใช้ใน embedded system ที่มีหน่วยความจำจำกัด ➡️ GPT-3 ใช้ embedding space ขนาด 12,288 มิติ ซึ่งถือว่าเล็กเมื่อเทียบกับจำนวนแนวคิดที่ต้องรองรับ ➡️ การจัดเรียงเวกเตอร์ในมิติสูงมีความสัมพันธ์กับ sphere packing และ geometry แบบ non-Euclidean https://nickyoder.com/johnson-lindenstrauss/
    NICKYODER.COM
    Beyond Orthogonality: How Language Models Pack Billions of Concepts into 12,000 Dimensions
    In a recent 3Blue1Brown video series on transformer models, Grant Sanderson posed a fascinating question: How can a relatively modest embedding space of 12,288 dimensions (GPT-3) accommodate millions of distinct real-world concepts? The answer lies at the intersection of high-dimensional geometry and a remarkable mathematical result known as the
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 242 มุมมอง 0 รีวิว
  • แหกคอก ตอนที่ 9 – สร้างคอก
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 9 : สร้างคอก
    เมื่อมีใบสั่งออกมาว่า อเมริกาจะต้องเป็นผู้ครองโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พี่เลี้ยงก็เริ่มเตรียมการ จะให้นักล่าครองโลก ไปแต่หัวได้อย่างไร แขนขามือเท้าก็ต้องไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องมีการจัดเตรียมหลักสูตรการศึกษา ภายใน ประเทศเสียใหม่ เพื่อเตรียมตัว พวก technocrat และพวกชนชั้นระดับสูงในสังคม elites ให้เข้าใจให้รู้จักกันไว้ว่า ระดับประเทศเขาจะทำอะไร เมื่ออเมริกาจะควบคุม Grand Area ก็จำเป็นต้องมีการศึกษาเกี่ยวกับ area พวกนี้ไว้ ให้รู้ว่าอยู่ที่ไหน ผู้คนมีหน้าตาอย่างไร มีอะไรน่าขะโมย น่าเคี้ยวบ้าง ไม่ใช่พูดถึง area ไหน แล้วนั่งเซ่อ ยังขี่ช้างอยู่หรือเปล่า งูบ้านยูแยะไหม แบบนั้นไม่เอานะ หลักสูตรและโครงการศึกษาที่เรียกว่า Area Studies จึงเกิดขึ้น โดยการนำเอาปัญญาชน นักวิชาการ นักผู้เชี่ยวชาญจากทุกแหล่ง มาช่วยจัดสร้างหลักสูตร สำหรับ Area Studies นี้ และนาย Kenneth ตัวแสบของเรา จึงน่าจะได้รับภาระกิจให้ไปเป็นนักสำรวจรุ่นแรกๆ ที่นำข้อมูลมาร่วมในการจัดทำหลักสูตร Area Studies นี้ด้วย
    มูลนิธิ Rockefeller รับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้าง ใหญ่ ในการจับอเมริกามาแต่งตัว แต่งหน้าใหม่ (ทำ face lift !) จากอยู่ในสังคมแบบสันโดษ isolist society เปลี่ยนมาเป็นอยู่ในสังคมโลก globalist society (จริงๆ จะกำหนดสังคมโลกใหม่น่ะ แต่มันต้องค่อยๆ ทำ จากคุณลุงวัย 60 พุงห้อย กล้ามเหี่ยว เป็นหนุ่มแน่นกล้ามท้องเรียงเป็นตับ มันต้องใช้เวลาสร้างนะ)
    ขบวนการแต่งตัวใหม่ให้อเมริกา เริ่มดำเนินการโดย CFR มาตั้งแต่ ค.ศ.1921 เป็นต้นมา แต่มาเห็นเด่นชัด เมื่อมีการศึกษา War and Peace Studies ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างทีม CFR กับทีม State Department โดยมูลนิธิ Rockefeller เป็นผู้อุปถัมภ์ควักกระเป๋าจ่ายเองทั้งหมด นอกจากนี้มูลนิธิยังให้ทำการศึกษาวิจัยอีกหลายโครงการ ในช่วง ค.ศ.1930 – 1940 ในช่วงนักล่าตั้งไข่หัดเดิน เพื่อช่วยให้ผู้บริหารของรัฐบาลระดับวางนโยบายและฝ่ายวิชาการ มีความเข้าใจเกี่ยวกับสังคมโลกและเป้าหมายการครองโลกของอเมริกาในทิศทางเดียวกัน
    นอกจากนี้ระหว่างปี ค.ศ.1927-1945 มูลนิธิยังตั้ง study group เพื่อเตรียมออกสิ่งพิมพ์ ซึ่งจำเป็นต้องใช้มากในช่วงเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้ การจัดทำสิ่งพิมพ์ publications นี้ ก็เป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง CFR กับ State Department อีกเช่นเดียวกัน นาย William P. Bundy ถึงกับเอ่ยปากว่ายังไม่เคยมีหน่วยงานเอกชนใด ก็มีโอกาสทำงานกับฝ่ายรัฐอย่างใกล้ชิดเช่นนี้มาก่อนเลย ในประวัติศาสตร์ของอเมริกา (ตกลงใครเป็นผู้นำประเทศกันแน่ รัฐบาลหรือ CFR ?) นาย Bundy ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เด็กในคาถาที่ CFR แอบส่งมาประกบรัฐบาลตั้งแต่ต้น ต่อมาปี ค.ศ.1950 เขาได้เป็นนักวิเคราะห์สังกัดหน่วยงาน CIA และเป็นที่ปรึกษาให้ประธานาธิบดี Kennedy และเป็นผช.รมว.ใน State Department เป็นผู้ดูแลงานด้าน East Asian and Pacific Affairs ในสมัยรัฐบาล Lyndon Johnson ทำให้เขากลายเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของประธานาธิบดี ในการตัดสินใจในสมัยสงครามเวี ยตนาม เมื่อนาย David Rockefeller ลงมาคุม CFR เต็มตัวในตำแหน่งประธาน CFR เมื่อปี ค.ศ.1970 เขาได้ขอ (สั่ง !) ให้นาย William Bundy มาเป็นบรรณาธิการนิตยสาร Foreign Affairs ของ CFR ซึ่งเป็นนิตยสารที่ได้รับการยอมรับและมีอิทธิพลสูงมากในวง การเมืองระหว่างประเทศ นาย Bundy ทำหน้าที่นี้อยู่ตั้งแต่ปี 1972 ถึง 1984 ส่วนพี่ชายของเขา นาย McGeorge Bundy ก็มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงให้แก่ประธานาธิบดี Kennedy ประธานาธิบดี Johnson รวมทั้งรับตำแหน่งเป็นประธานมูลนิธิ Ford ด้วย ตั้งแต่ ค.ศ.1966-1979 (เอาว่าเด็กในคาถาของ CFR เข้ายึดตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลเกือบหมด)
    นอกจากจัดหลักสูตรติวเข้มให้กับสังคมระดับไข่แดงแล้ว มูลนิธิ Rockefeller ก็ได้เตรียมการสำหรับสังคมระดับไข่ขาวด้วย เพื่อให้สังคมทั่วไปรู้จักการก้าวเข้าไปสู่สังคมนานาชาติของอเมริกา โดยเขาตั้ง Foreign Policy Association (FPA) และ Institute of Pacifics Relations (IPR) ซึ่งมีหน้าที่หลักในการสร้างความเห็นของมวลชน (เริ่มรายการฟอกย้อม ความคิดคนในประเทศก่อน) โดยย้อมความคิดทางสิ่งพิมพ์หนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง ให้ตั้งแต่ระดับเด็กนักเรียนมัธยม นักศึกษาในมหาวิทยาลัย ครู โรงเรียน สหภาพ นักธุรกิจ และสมาคมสตรีทั้งหลาย และสังคมทั่วไป โครงการนี้เพื่อสนับสนุนนโยบายต่างประเทศ ยุคใหม่ของอเมริกานั่นแหละ แต่ขณะเดียวกัน ทางมูลนิธิได้ระบุไว้ในการเสนอโครงการนี้ว่า เป็นโครงการที่ไม่มีวัตถุประสงค์ในทางการเมือง (เขาเขียนกันอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ !)
    คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    แหกคอก ตอนที่ 9 – สร้างคอก นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 9 : สร้างคอก เมื่อมีใบสั่งออกมาว่า อเมริกาจะต้องเป็นผู้ครองโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พี่เลี้ยงก็เริ่มเตรียมการ จะให้นักล่าครองโลก ไปแต่หัวได้อย่างไร แขนขามือเท้าก็ต้องไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องมีการจัดเตรียมหลักสูตรการศึกษา ภายใน ประเทศเสียใหม่ เพื่อเตรียมตัว พวก technocrat และพวกชนชั้นระดับสูงในสังคม elites ให้เข้าใจให้รู้จักกันไว้ว่า ระดับประเทศเขาจะทำอะไร เมื่ออเมริกาจะควบคุม Grand Area ก็จำเป็นต้องมีการศึกษาเกี่ยวกับ area พวกนี้ไว้ ให้รู้ว่าอยู่ที่ไหน ผู้คนมีหน้าตาอย่างไร มีอะไรน่าขะโมย น่าเคี้ยวบ้าง ไม่ใช่พูดถึง area ไหน แล้วนั่งเซ่อ ยังขี่ช้างอยู่หรือเปล่า งูบ้านยูแยะไหม แบบนั้นไม่เอานะ หลักสูตรและโครงการศึกษาที่เรียกว่า Area Studies จึงเกิดขึ้น โดยการนำเอาปัญญาชน นักวิชาการ นักผู้เชี่ยวชาญจากทุกแหล่ง มาช่วยจัดสร้างหลักสูตร สำหรับ Area Studies นี้ และนาย Kenneth ตัวแสบของเรา จึงน่าจะได้รับภาระกิจให้ไปเป็นนักสำรวจรุ่นแรกๆ ที่นำข้อมูลมาร่วมในการจัดทำหลักสูตร Area Studies นี้ด้วย มูลนิธิ Rockefeller รับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้าง ใหญ่ ในการจับอเมริกามาแต่งตัว แต่งหน้าใหม่ (ทำ face lift !) จากอยู่ในสังคมแบบสันโดษ isolist society เปลี่ยนมาเป็นอยู่ในสังคมโลก globalist society (จริงๆ จะกำหนดสังคมโลกใหม่น่ะ แต่มันต้องค่อยๆ ทำ จากคุณลุงวัย 60 พุงห้อย กล้ามเหี่ยว เป็นหนุ่มแน่นกล้ามท้องเรียงเป็นตับ มันต้องใช้เวลาสร้างนะ) ขบวนการแต่งตัวใหม่ให้อเมริกา เริ่มดำเนินการโดย CFR มาตั้งแต่ ค.ศ.1921 เป็นต้นมา แต่มาเห็นเด่นชัด เมื่อมีการศึกษา War and Peace Studies ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างทีม CFR กับทีม State Department โดยมูลนิธิ Rockefeller เป็นผู้อุปถัมภ์ควักกระเป๋าจ่ายเองทั้งหมด นอกจากนี้มูลนิธิยังให้ทำการศึกษาวิจัยอีกหลายโครงการ ในช่วง ค.ศ.1930 – 1940 ในช่วงนักล่าตั้งไข่หัดเดิน เพื่อช่วยให้ผู้บริหารของรัฐบาลระดับวางนโยบายและฝ่ายวิชาการ มีความเข้าใจเกี่ยวกับสังคมโลกและเป้าหมายการครองโลกของอเมริกาในทิศทางเดียวกัน นอกจากนี้ระหว่างปี ค.ศ.1927-1945 มูลนิธิยังตั้ง study group เพื่อเตรียมออกสิ่งพิมพ์ ซึ่งจำเป็นต้องใช้มากในช่วงเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้ การจัดทำสิ่งพิมพ์ publications นี้ ก็เป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง CFR กับ State Department อีกเช่นเดียวกัน นาย William P. Bundy ถึงกับเอ่ยปากว่ายังไม่เคยมีหน่วยงานเอกชนใด ก็มีโอกาสทำงานกับฝ่ายรัฐอย่างใกล้ชิดเช่นนี้มาก่อนเลย ในประวัติศาสตร์ของอเมริกา (ตกลงใครเป็นผู้นำประเทศกันแน่ รัฐบาลหรือ CFR ?) นาย Bundy ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เด็กในคาถาที่ CFR แอบส่งมาประกบรัฐบาลตั้งแต่ต้น ต่อมาปี ค.ศ.1950 เขาได้เป็นนักวิเคราะห์สังกัดหน่วยงาน CIA และเป็นที่ปรึกษาให้ประธานาธิบดี Kennedy และเป็นผช.รมว.ใน State Department เป็นผู้ดูแลงานด้าน East Asian and Pacific Affairs ในสมัยรัฐบาล Lyndon Johnson ทำให้เขากลายเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของประธานาธิบดี ในการตัดสินใจในสมัยสงครามเวี ยตนาม เมื่อนาย David Rockefeller ลงมาคุม CFR เต็มตัวในตำแหน่งประธาน CFR เมื่อปี ค.ศ.1970 เขาได้ขอ (สั่ง !) ให้นาย William Bundy มาเป็นบรรณาธิการนิตยสาร Foreign Affairs ของ CFR ซึ่งเป็นนิตยสารที่ได้รับการยอมรับและมีอิทธิพลสูงมากในวง การเมืองระหว่างประเทศ นาย Bundy ทำหน้าที่นี้อยู่ตั้งแต่ปี 1972 ถึง 1984 ส่วนพี่ชายของเขา นาย McGeorge Bundy ก็มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงให้แก่ประธานาธิบดี Kennedy ประธานาธิบดี Johnson รวมทั้งรับตำแหน่งเป็นประธานมูลนิธิ Ford ด้วย ตั้งแต่ ค.ศ.1966-1979 (เอาว่าเด็กในคาถาของ CFR เข้ายึดตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลเกือบหมด) นอกจากจัดหลักสูตรติวเข้มให้กับสังคมระดับไข่แดงแล้ว มูลนิธิ Rockefeller ก็ได้เตรียมการสำหรับสังคมระดับไข่ขาวด้วย เพื่อให้สังคมทั่วไปรู้จักการก้าวเข้าไปสู่สังคมนานาชาติของอเมริกา โดยเขาตั้ง Foreign Policy Association (FPA) และ Institute of Pacifics Relations (IPR) ซึ่งมีหน้าที่หลักในการสร้างความเห็นของมวลชน (เริ่มรายการฟอกย้อม ความคิดคนในประเทศก่อน) โดยย้อมความคิดทางสิ่งพิมพ์หนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง ให้ตั้งแต่ระดับเด็กนักเรียนมัธยม นักศึกษาในมหาวิทยาลัย ครู โรงเรียน สหภาพ นักธุรกิจ และสมาคมสตรีทั้งหลาย และสังคมทั่วไป โครงการนี้เพื่อสนับสนุนนโยบายต่างประเทศ ยุคใหม่ของอเมริกานั่นแหละ แต่ขณะเดียวกัน ทางมูลนิธิได้ระบุไว้ในการเสนอโครงการนี้ว่า เป็นโครงการที่ไม่มีวัตถุประสงค์ในทางการเมือง (เขาเขียนกันอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ !) คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 322 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 14
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 14 (ตอนจบ)
    หลังจากนาย Kenneth จัดอบรมหลักสูตรปรับพื้นสนามล่าได้ประมาณ
2 ปี วันหนึ่งในปี ค.ศ.1963 นาย Alexis Johnson ก็เข้ามาเยี่ยมระหว่างการฝึกอบรมและประกาศว่านาย Kenneth ทำหน้าที่ปรับพื้นสนามล่าได้ผล เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงจะให้นาย Kenneth ไปทำหน้าที่สำคัญกว่านั้น โดยเป็น Dean of Area Studies for the Foreign Service Institute ซึ่งเป็นการสร้างหลักสูตรสำหรับโปรแกรมต่างๆ ทั่วโลก เป็นงานนั่งโต๊ะ ซึ่งนาย Kenneth บอกว่าไม่รู้ตัวเลย ว่าเขาถูกปลดจากที่ยืนบนแท่นที่ มีไฟส่อง ไปนั่งโต๊ะทำงานในมุมมืด แต่งานมันมีมุมลึกกว่าเดิม ถึงจะลึกยังไง คงไม่สบกับอารมณ์ของนาย Kenneth ซึ่งชอบเสนอหน้า เขาทนนั่งทำงานอยู่ที่สถาบันนี้อยู่ 2,3 ปี จึงออกไปทำงานเป็นศาสตราจารย์เต็ม ตัวใน American University ตามคำชวนของนาย Ernest Griffith แห่ง Council for American Learned Studies ตกลง ใครนะเป็นเจ้าของ มิชชั่นนารี จากเมืองตรัง
    นาย Griffith ขอให้เขาตั้งสถาบันเอเซีย ท้ังตะวันออกเฉียงใต้และเอเซียใต้ที่ American University ซึ่งนาย Kenneth ก็ตกลง เขาคิดหลักสูตรและให้มีการสอนทั้งภาษา ไทย พม่า เวียตนาม ฮินดู และอินโดนีเซีย ฯลฯ หลังจากนั้นมหาวิทยาลัยดังๆ ต่างๆ ในอเมริกา ต่างพากันตั้งสถาบันทำนองนี้กันหมด ครอบคลุมไปหลาย area เครื่องมือนักล่าแพร่หลายและใช้การได้อย่างดี นาย Kenneth (หรือคนสร้างนาย Kenneth ? ) เป็นคนมองเห็นการณ์ไกลจริง
    และก็สถาบันแบบนี้แหละ ที่ ประมาณ 6,7 ปีมานี้ ไอ้โจรร้ายได้ส่งพวกอาจารย์นักบิด(เบือน)รุ่นใหญ่ ไปเป็นหัวหน้าภาควิชา โดยการสนับสนุนให้ทุนก้อนใหญ่ และการร่วมมือของพวกนักล่า ไปปรับหลักสูตรใหม่ โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับสถาบัน หลังจากน้ัน บทความที่บิดเบือนเกี่ยวกับสถาบัน เขียนโดยสมุนนักล่า และ ขี้ข้าโจร ก็ทยอยกันออกมา จนถึงทุกวันนี้ และตอนนี้ก็กำลังโหมฟืนเพิ่มไฟ นักล่าและไอ้โจรร้าย ทำทุกวิถีทางที่จะเขย่าเสาหลักให้คลอน การครอบครองแดนสมันน้อยจะได้ง่ายขึ้น เลิกสงสัยกันได้ว่า เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร
    อเมริกาซึ่งเคยรู้จักเมืองไทยแบบลางเลือน รู้แค่ว่าเมืองไทยมีแต่คนฝาแฝดตัวติดกัน รู้จักสถาบันกษัตริย์ของไทยผ่านสายตา ของนางพี่เลี้ยงที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและเพ้อเจ้อ เช่น นาง Anna Leonowens ก็ได้ค่อยๆเริ่มเปลี่ยนไป คงต้องยอมรับว่า ฝีมือกระล่อนและความเป็นนักฉวยโอกาสของนาย Kenneth ได้ผล ทำให้เครื่องมือนักล่าประเภทนี้ขึ้นอันดับ อเมริกาติดใจดัดแปลงเครื่องมือชนิดนี้ไปเรื่อๆ นาย Kenneth มาเป็นมิชชั่นนารี อาสามาทำงานในเมืองไทยเอง หรือจะมาด้วยเหตุผลอื่น เรายังไม่สามารถพิสูจน์ได้ชัด แต่ก็ต้องยอมรับว่าเครื่องมือนักล่าเช่นนี้ ได้ผลอย่างชนิดเหลือเชื่อ การเรียนภาษาไทยจนเข้าใจและอ่านได้ ถึงขนาดอ่านขาดว่าม้าตัวเต็งชื่อสฤษดิ์จะเข้าวิน ทำให้อเมริกาเดินงานได้ตามแผนที่วางไว้เกือบทุกอย่าง แบบนี้จะมีหรือที่ อเมริกาจะไม่เก็บเครื่องมือชนิดนี้ไว้ใช้ต่อ แค่ดัดแปลงใส่ app ใหม่ๆเข้าไปเรื่อยๆเท่านั้น
    สถาบันเอเซียศึกษาไม่ว่าอยู่ใน เมืองไทย หรือในอเมริกา มาจากไหน หนังสือเกือบ 2000 เล่ม และแผ่นที่หอบไป ขยายผลได้มากมาย มูลนิธิต่างๆ เช่น Asia Foundation ….. ได้ถูกนำมาก่อตั้งในเมืองไทยมีทั้งแบบโจ๋งครึ่ม และปกปิด ครูบาอาจารย์หรือ ให้ทุนมันเข้าไป จะได้ไปรับวัฒนธรรมทางความคิดของอเมริกากลับเข้ามา เหตุการณ์ ค.ศ.1960 ที่ประธานาธิบดี Kennedy ฉุนขาดจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก ผ่านมากว่า 50 ปี เรารู้กันบ้างไหมว่าเขาเอานาย Kenneth 1,2,3….. ถึง 1000 มาไว้บ้านเรากี่คนแล้ว ยกตัวอย่างเช่น นาย Kenneth รุ่นใหม่ ชื่อพี่เจฟ เข้ามาเป็น Peace Corp อยู่ทางใต้ (เดินตามรอยกันมาเดี๊ยะเชียวนะ ! ) ตั้งแต่ยังแน่นหนุ่ม ตอนนั้นทั้งเหี่ยวทั้งล้านก็ยังอยู่เมืองไทย เข้าออกในที่สูงที่ลับที่แจ้ง บนเวทีลุงกำนันก็ไปขึ้นมาแล้ว ขนพรรคพวกมาอยู่ข้างเวทีเกือบทุกวัน สมัยหนึ่ง 3-4 ปีมาแล้วถึงกับจัดงานหาทุนให้พรรคการเมืองเก่าแก่พรรคหนึ่ง (ไม่เข็ดเรื่อง Lotus Project หรือไง ต้องให้แฉกันมากกว่านี้มั๊ย ? ท่านใดอ่านแล้วงงก็ไปหาอ่านกันต่อในนิทานเรื่องจิ๊กโก๋ปากซอยนะครับ) ยังมีทุนการศึกษาต่างๆ เช่น American Field Service (AFS) ที่ให้แก่นักเรียนชั้น ม. ปลาย ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยไปอยู่กับครอบครัวอเมริกัน ตั้งแต่สมัยสงครามเวียตนาม หลายๆคน เดี๋ยวนี้ก็ยังเข้มแข็งจัดงานเฉลิมฉลองมิตรไมตรีความเข้าใจอันดีของ 2 ประเทศอยู่ทุกปี ขนาดโดนเขาด่า เขามาแทรกแซงประเทศ คนพวกนี้ก็เหมือนจะเห็นบุญคุณของ 1 ปี ที่ไปอยู่กับเขามากกว่าแผ่นดินเกิดของตนเอง
    นี่ยังไม่ได้พูดถึงครูบาอาจารย์ ที่ได้ทุนไปเรียนปริญญาตรี โท เอก ของ Asia Foundation, Fulbright, Ford Foundation, Rockefeller ฯลฯ อาจารย์ต่างๆเหล่านี้ กลับมาสอนในมหาวิทยาลัยไทย แต่จัดหลักสูตรใหม่ตามที่ผู้ให้ทุนต้องการ เขารู้จักเรามากว่า 50 ปีแล้วจากที่แทบจะไม่มีใครในบ้านเมืองเขาได้ยินชื่อเมืองเราเลย จนเดี๋ยวนี้เขารู้จักเมืองเราทุกตารางนิ้ว รู้จักและใช้คนของเราทำงานเพื่อ ประโยชน์ของเขา เขาติดตามเราทุกย่างก้าว ครอบงำความคิด วัฒนธรรม การศึกษา ฯลฯ เราเกือบทุกเรื่อง โดยเราไม่รู้ตัว หรือรู้ตัว แต่ไม่รู้สึก ไม่ฉุกคิด ไม่เฉลียวใจ ไม่รับรู้ ไม่หวงแหน นี่ขนาดเขาใช้เครื่องมือล่าระดับง่ามไม้เล็กๆ เขายังกวาดข้อมูล นำไปใช้เป็นต้นแบบเครื่องมือล่าให้แม่นยำขึ้นไปอีก แล้วถ้าเราเจอเครื่องมือล่าประเภทหัวเจาะ ไม่ว่าเป็นประเภทหัวเจาะผมทอง หรือผมดำสัญชาติไทยแต่ใจเป็นอื่น ซึ่งก็มีอยู่ไม่น้อยในบ้านเรา และอาจจะกำลังถูกนำมาใช้งานเร็วๆนี้ แล้วเราจะนั่งไม่รู้ไม่ชี้ต่อไปหรือครับ

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 14 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 14 (ตอนจบ) หลังจากนาย Kenneth จัดอบรมหลักสูตรปรับพื้นสนามล่าได้ประมาณ
2 ปี วันหนึ่งในปี ค.ศ.1963 นาย Alexis Johnson ก็เข้ามาเยี่ยมระหว่างการฝึกอบรมและประกาศว่านาย Kenneth ทำหน้าที่ปรับพื้นสนามล่าได้ผล เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงจะให้นาย Kenneth ไปทำหน้าที่สำคัญกว่านั้น โดยเป็น Dean of Area Studies for the Foreign Service Institute ซึ่งเป็นการสร้างหลักสูตรสำหรับโปรแกรมต่างๆ ทั่วโลก เป็นงานนั่งโต๊ะ ซึ่งนาย Kenneth บอกว่าไม่รู้ตัวเลย ว่าเขาถูกปลดจากที่ยืนบนแท่นที่ มีไฟส่อง ไปนั่งโต๊ะทำงานในมุมมืด แต่งานมันมีมุมลึกกว่าเดิม ถึงจะลึกยังไง คงไม่สบกับอารมณ์ของนาย Kenneth ซึ่งชอบเสนอหน้า เขาทนนั่งทำงานอยู่ที่สถาบันนี้อยู่ 2,3 ปี จึงออกไปทำงานเป็นศาสตราจารย์เต็ม ตัวใน American University ตามคำชวนของนาย Ernest Griffith แห่ง Council for American Learned Studies ตกลง ใครนะเป็นเจ้าของ มิชชั่นนารี จากเมืองตรัง นาย Griffith ขอให้เขาตั้งสถาบันเอเซีย ท้ังตะวันออกเฉียงใต้และเอเซียใต้ที่ American University ซึ่งนาย Kenneth ก็ตกลง เขาคิดหลักสูตรและให้มีการสอนทั้งภาษา ไทย พม่า เวียตนาม ฮินดู และอินโดนีเซีย ฯลฯ หลังจากนั้นมหาวิทยาลัยดังๆ ต่างๆ ในอเมริกา ต่างพากันตั้งสถาบันทำนองนี้กันหมด ครอบคลุมไปหลาย area เครื่องมือนักล่าแพร่หลายและใช้การได้อย่างดี นาย Kenneth (หรือคนสร้างนาย Kenneth ? ) เป็นคนมองเห็นการณ์ไกลจริง และก็สถาบันแบบนี้แหละ ที่ ประมาณ 6,7 ปีมานี้ ไอ้โจรร้ายได้ส่งพวกอาจารย์นักบิด(เบือน)รุ่นใหญ่ ไปเป็นหัวหน้าภาควิชา โดยการสนับสนุนให้ทุนก้อนใหญ่ และการร่วมมือของพวกนักล่า ไปปรับหลักสูตรใหม่ โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับสถาบัน หลังจากน้ัน บทความที่บิดเบือนเกี่ยวกับสถาบัน เขียนโดยสมุนนักล่า และ ขี้ข้าโจร ก็ทยอยกันออกมา จนถึงทุกวันนี้ และตอนนี้ก็กำลังโหมฟืนเพิ่มไฟ นักล่าและไอ้โจรร้าย ทำทุกวิถีทางที่จะเขย่าเสาหลักให้คลอน การครอบครองแดนสมันน้อยจะได้ง่ายขึ้น เลิกสงสัยกันได้ว่า เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร อเมริกาซึ่งเคยรู้จักเมืองไทยแบบลางเลือน รู้แค่ว่าเมืองไทยมีแต่คนฝาแฝดตัวติดกัน รู้จักสถาบันกษัตริย์ของไทยผ่านสายตา ของนางพี่เลี้ยงที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและเพ้อเจ้อ เช่น นาง Anna Leonowens ก็ได้ค่อยๆเริ่มเปลี่ยนไป คงต้องยอมรับว่า ฝีมือกระล่อนและความเป็นนักฉวยโอกาสของนาย Kenneth ได้ผล ทำให้เครื่องมือนักล่าประเภทนี้ขึ้นอันดับ อเมริกาติดใจดัดแปลงเครื่องมือชนิดนี้ไปเรื่อๆ นาย Kenneth มาเป็นมิชชั่นนารี อาสามาทำงานในเมืองไทยเอง หรือจะมาด้วยเหตุผลอื่น เรายังไม่สามารถพิสูจน์ได้ชัด แต่ก็ต้องยอมรับว่าเครื่องมือนักล่าเช่นนี้ ได้ผลอย่างชนิดเหลือเชื่อ การเรียนภาษาไทยจนเข้าใจและอ่านได้ ถึงขนาดอ่านขาดว่าม้าตัวเต็งชื่อสฤษดิ์จะเข้าวิน ทำให้อเมริกาเดินงานได้ตามแผนที่วางไว้เกือบทุกอย่าง แบบนี้จะมีหรือที่ อเมริกาจะไม่เก็บเครื่องมือชนิดนี้ไว้ใช้ต่อ แค่ดัดแปลงใส่ app ใหม่ๆเข้าไปเรื่อยๆเท่านั้น สถาบันเอเซียศึกษาไม่ว่าอยู่ใน เมืองไทย หรือในอเมริกา มาจากไหน หนังสือเกือบ 2000 เล่ม และแผ่นที่หอบไป ขยายผลได้มากมาย มูลนิธิต่างๆ เช่น Asia Foundation ….. ได้ถูกนำมาก่อตั้งในเมืองไทยมีทั้งแบบโจ๋งครึ่ม และปกปิด ครูบาอาจารย์หรือ ให้ทุนมันเข้าไป จะได้ไปรับวัฒนธรรมทางความคิดของอเมริกากลับเข้ามา เหตุการณ์ ค.ศ.1960 ที่ประธานาธิบดี Kennedy ฉุนขาดจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก ผ่านมากว่า 50 ปี เรารู้กันบ้างไหมว่าเขาเอานาย Kenneth 1,2,3….. ถึง 1000 มาไว้บ้านเรากี่คนแล้ว ยกตัวอย่างเช่น นาย Kenneth รุ่นใหม่ ชื่อพี่เจฟ เข้ามาเป็น Peace Corp อยู่ทางใต้ (เดินตามรอยกันมาเดี๊ยะเชียวนะ ! ) ตั้งแต่ยังแน่นหนุ่ม ตอนนั้นทั้งเหี่ยวทั้งล้านก็ยังอยู่เมืองไทย เข้าออกในที่สูงที่ลับที่แจ้ง บนเวทีลุงกำนันก็ไปขึ้นมาแล้ว ขนพรรคพวกมาอยู่ข้างเวทีเกือบทุกวัน สมัยหนึ่ง 3-4 ปีมาแล้วถึงกับจัดงานหาทุนให้พรรคการเมืองเก่าแก่พรรคหนึ่ง (ไม่เข็ดเรื่อง Lotus Project หรือไง ต้องให้แฉกันมากกว่านี้มั๊ย ? ท่านใดอ่านแล้วงงก็ไปหาอ่านกันต่อในนิทานเรื่องจิ๊กโก๋ปากซอยนะครับ) ยังมีทุนการศึกษาต่างๆ เช่น American Field Service (AFS) ที่ให้แก่นักเรียนชั้น ม. ปลาย ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยไปอยู่กับครอบครัวอเมริกัน ตั้งแต่สมัยสงครามเวียตนาม หลายๆคน เดี๋ยวนี้ก็ยังเข้มแข็งจัดงานเฉลิมฉลองมิตรไมตรีความเข้าใจอันดีของ 2 ประเทศอยู่ทุกปี ขนาดโดนเขาด่า เขามาแทรกแซงประเทศ คนพวกนี้ก็เหมือนจะเห็นบุญคุณของ 1 ปี ที่ไปอยู่กับเขามากกว่าแผ่นดินเกิดของตนเอง นี่ยังไม่ได้พูดถึงครูบาอาจารย์ ที่ได้ทุนไปเรียนปริญญาตรี โท เอก ของ Asia Foundation, Fulbright, Ford Foundation, Rockefeller ฯลฯ อาจารย์ต่างๆเหล่านี้ กลับมาสอนในมหาวิทยาลัยไทย แต่จัดหลักสูตรใหม่ตามที่ผู้ให้ทุนต้องการ เขารู้จักเรามากว่า 50 ปีแล้วจากที่แทบจะไม่มีใครในบ้านเมืองเขาได้ยินชื่อเมืองเราเลย จนเดี๋ยวนี้เขารู้จักเมืองเราทุกตารางนิ้ว รู้จักและใช้คนของเราทำงานเพื่อ ประโยชน์ของเขา เขาติดตามเราทุกย่างก้าว ครอบงำความคิด วัฒนธรรม การศึกษา ฯลฯ เราเกือบทุกเรื่อง โดยเราไม่รู้ตัว หรือรู้ตัว แต่ไม่รู้สึก ไม่ฉุกคิด ไม่เฉลียวใจ ไม่รับรู้ ไม่หวงแหน นี่ขนาดเขาใช้เครื่องมือล่าระดับง่ามไม้เล็กๆ เขายังกวาดข้อมูล นำไปใช้เป็นต้นแบบเครื่องมือล่าให้แม่นยำขึ้นไปอีก แล้วถ้าเราเจอเครื่องมือล่าประเภทหัวเจาะ ไม่ว่าเป็นประเภทหัวเจาะผมทอง หรือผมดำสัญชาติไทยแต่ใจเป็นอื่น ซึ่งก็มีอยู่ไม่น้อยในบ้านเรา และอาจจะกำลังถูกนำมาใช้งานเร็วๆนี้ แล้วเราจะนั่งไม่รู้ไม่ชี้ต่อไปหรือครับ คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 360 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 12
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 12
    ประมาณปี พ.ศ.1960 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของรัฐบาลEisenhower นาย Kenneth ขออนุญาตกระทรวงต่างประเทศอเม ริกา เดินทางมาสำรวจเมืองไทย และแถบอินโดจีนอีกรอบ (!!!) ตอนนั้น นาย Alexis Johnson เป็นฑูต และ นาย Leonard Unger เป็นผู้ช่วยฑูต ทั้ง 2 คนเป็นคนฉลาดรู้จักเมืองไทยอย่างดี เข้ ากับทหารไทยได้แบบคอหอยกับลูกกระเดือก โดยเฉพาะนาย Unger เมื่อมาถึงปรากฏว่าจอมพลสฤษดิ์ส่งนายทหารคนสนิทมารับนาย Kenneth ถึงสนามบิน จอมพลสฤษดิ์ถามเขาว่า มาทำไม นาย Kenneth บอกจะมาดูสถานการณ์ในลาวสักหน่อย หลังจากนั้นจะไปกัมพูชา ไซ่ง่อนและพม่า นาย Kenneth บอกว่า จริงๆจะมาตรวจการบ้านด้วยว่าเงินช่วยเหลือทางทหาร Military Assistance Program (MAP) ที่อเมริกาให้แต่ละประเทศ ได้ผลมากน้อยแค่ไหน จอมพลสฤษดิ์บอกว่ากลับมาแล้ว มาเล่าให้ฟังกันด้วย ปรากฎว่าส่วนใหญ่ได้ผล ยกเว้นแต่ลาว ซึ่งอเมริกาให้เงินช่วยเหลือมากกว่าไทยเสียอีก แต่อเมริกาทำท่าจะเสียลาวให้แก่คอมมิวนิสต์ (และในที่สุดก็เสียจริงๆ ! ) โดยอาจจะมีการปฏิวัติโดยลาวแดงเร็วๆนี้ ขากลับ นาย Kenneth ก็รายงานเรื่องลาวอาจมีการปฏิวัติให้จอมพลสฤษดิ์ทราบ แล้วก็เดินทางต่อลงมาที่สิงค์โปร์
    ที่สิงคโปร์ เขาได้พบกับเศรษฐีสิงคโปร์คนหนึ่งชื่อ Ko Geng Hsui ซึ่งเป็นกระเป๋าใหญ่ให้แก่นาย Lee Kwan Yew และภายหลังได้เป็นรัฐมนตรีกลาโหม นาย Ko ต้องการให้นาย Kenneth ช่วยตั้งสถาบันเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ในมหาวิทยาลัยสิงคโปร์ให้ ภายหลังนาย Kenneth ได้ลางานจากรัฐบาลอเมริกัน 1 ปี เพื่อมาจัดตั้งสถาบันนี้ให้สิงคโปร์ โดยเอาชาวยิวชื่อ Harry Benda จากมหาวิทยาลัย Yale มาช่วย สิงคโปร์จึงเป็นประเทศแรกในแถบนี้ ที่มีสถาบันการศึกษาลงลึกอย่างจริงจังเกี่ยวกับเอเซียอาคเณย์ ตกลงสิงคโปร์ไม่ได้ลอกเลียนแค่งานสงกรานต์ไปจากบ้านเรา แต่ลอกหลายอย่างรวมทั้งวิชาความรู้เกี่ยวกับภูมิภาคนี้ สิงคโปร์ประเทศที่ไม่มีรากไม่มีเหง้า ไม่มีวัฒนธรรม ประเพณีของตนเอง แต่มีคนไทยหลายคนปลาบปลื้มกับความเจริญของสิงคโปร์ จนถึงขนาดอยากให้เมืองไทยเป็นเหมือนสิงคโปร์ เศร้าครับ!
    เมื่อนาย Kenneth กลับมาถึงวอซิงตัน การเลือกตั้งประธานาธิบดีกำลังเข้มข้น แล้วนาย Kennedy ก็ชนะการเลือกตั้ง ขณะเดียวกันลาวก็อาการทรุดตามที่นาย Kenneth คาด รัฐบาล Kennedy เข้ามารับตำแหน่งใหม่ๆ ยังจับต้นไม่ชนปลาย นาย Mc Geroge Bundy จอมแสบที่ปรึกษาด้านความมั่นคง ของประธานาธิบดี Kennedy ถึงจะแสนรู้อย่างไร มาใหม่ๆก็มึนรับประทาน แนะนำสั่งการอะไรไม่ถูก ได้แต่เรียกให้นาย Kenneth ให้มาสรุปสถานการณ์ในลาวให้รัฐบาลฟังก่อนตัดสินใจ ทุกอย่างอลเวงไปหมด และนี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ ประธานธิบดี Kennedy ฉุนขาด ประกาศว่าหน่วยงาน National Security Council ทำงานไม่ได้ผล (คงไม่ให้ราคานาย Kenneth สักเท่าไหร่) ถ้าเขายุบหน่วยงานนี้ได้เขาจะยุบแล้ว เพียงแต่ต้องไปขออนุมัติจากสภาสูง ต้องออกกฏหมาย ฯลฯ ดังนั้นเขาจึงสั่ง “แขวน” พนักงานทุกคนในหน่วยงานรวมทั้งนาย Kenneth ด้วย และได้ยกเครื่องการทำงานสภาความมั่นคงเสียใหม่
    หลังจากโดนแขวนอยู่หลายเดือน นาย Kenneth ก็เดินแกว่งไปตามหน่วยงานต่างๆ เพื่อหาที่ลง เพราะแม้จะมีเงินเดือนกิน แต่ไม่มีเก้าอี้นั่งชูคอ แบบรัฐบาลก่อนๆ มันก็ทำให้เขาเสียรังวัดไปพอสมควร จะโม้อะไร โอ้อวดอะไร อย่างเมื่อก่อนก็ไม่ถนัดปาก ก็คนโดนแขวนอยู่มันจะให้โม้อะไร ไหว จนวันหนึ่ง นาย Walt Rostow ซึ่งเป็นผู้ช่วยของนาย McGeorge Bundy และรู้จักกับนาย Kenneth ตั้งแต่สมัยทำงานอยู่ OSS เป็นลูกน้องนาย Donovan มาด้วยกัน ก็ติดต่อนาย Kenneth บอกว่ามีงานให้ทำแล้ว ประธานาธิบดี Kennedy เห็นว่าเจ้าหน้าที่ของอเมริกาไม่ว่าทหาร หรือพลเรือน เมื่อจะต้องไปปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่เมืองใด ควรรู้เรื่องเมืองนั้นอย่างดี ไม่ใช่ไปแบบยืนหน้าเซ่อ ร้องเพลงรำวงวันคริสตมาสให้ชาวบ้านฟัง (สงสัยคุณนายเคนนี่ฑูตอเมริกาคนปัจจุบัน คงไม่เคยได้รับการอบรมอะไรเลยก่อนมาประจำเมืองไทย คุณนายถึงได้ทำตัวทุเรศปานนั้น) จึงมอบหมายให้นาย Kenneth เป็นผู้จัดการหลักสูตรอบรม เกี่ยวกับการต่อต้านเหตุการณ์ไม่สงบ (Counter Insurgency) ชื่อเต็มก็คือการต่อต้านความไม่สงบ อันเกิดจากภัยคอมมิวนิสต์ในโลกที่ 3 นั่นแหละ เป็นหลักสูตรที่จัดรวมให้สมุนนักล่าไม่ว่าจะอยู่ในเครื่องแบบใด นาย Kenneth บอกไม่มีปัญหาขอให้จัดงบแบบไม่อั้นมาแล้วกัน นักล่ากำลังฟิต เพราะฉะนั้น เท่าไรเท่ากัน จัดไปเลยย
    นาย Kenneth สารภาพว่า แรกๆ เขาก็ยังงงว่าจะทำได้อย่างไร เขาไม่ใช่ทหาร ไม่รู้เรื่องการรบ แต่เขารู้จักประเทศต่างๆ ที่คอมมิวนิสต์กำลังคุกคาม เขาจึงนำประสพการณ์ ข้อมูลที่เขาได้จากการที่เขาเคยอยู่ในเมืองไทยและการเดินทางไปสถานที่ต่างๆ และเจอผู้คนในประเทศเหล่านั้น ไม่ว่าจะระดับรัฐบาล ผู้นำประเทศ หรือชาวบ้านทั่วไป บวกกับข้อมูลจากหนังสืออีกเกือบ 2,000 เล่ม ที่เขาสะสมไว้ เอามาผสมปนเปแบบตอแหล ทำเป็นหลักสูตรสำหรับการอบรมประมาณ 2 เดือน เป็นการติวเข้มสมุนนักล่า
    ปรากฎว่าการตอแหลได้ผลดีเกินคาด เจ้านายสั่งให้เพิ่มบริเวณพื้นที่การอบรม จากครอบคลุมเฉพาะแถบเอเซีย เพิ่มลาตินอเมริกา อาฟริกา และตะวันออกกลางเข้าไปด้วย นี่มันกำลังทำสนามนักล่าขนาดใหญ่ครอบคลุมโลกนี่หว่า นักล่าหน้าใหม่มาแรงจริงๆ แต่นาย Kenneth มีภูมิมีพื้นแค่แถบอินโดจีน แต่คนพันธ์นาย Kenneth ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เสียเหลี่ยมมิชชันนารีจากเมืองตรังหมด โม้เอาไว้เยอะ เขาบอกไม่มีปัญหา เขาไปกว้านเอาอาจารย์ตามมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ ที่มีผู้เชี่ยวชาญตามที่เจ้านายต้องการ มาช่วยกันสร้างหลักสูตรปรับพื้น สนามนักล่าจนสำเร็จ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกไม่ถึง 15 ปี อเมริกานักล่าหน้าใหม่ ก็พร้อมที่ลงสนามล่า ที่ได้ส่งสมุนไปปรับพื้นทำสนาม เตรียมไว้ตามแผน โดยการอนุเคราะห์ของผู้ถูกล่าเองเสียหลายส่วน! น่าเศร้าใจจนต้องหยุดพักเขียนไปหลายวัน

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 12 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 12 ประมาณปี พ.ศ.1960 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของรัฐบาลEisenhower นาย Kenneth ขออนุญาตกระทรวงต่างประเทศอเม ริกา เดินทางมาสำรวจเมืองไทย และแถบอินโดจีนอีกรอบ (!!!) ตอนนั้น นาย Alexis Johnson เป็นฑูต และ นาย Leonard Unger เป็นผู้ช่วยฑูต ทั้ง 2 คนเป็นคนฉลาดรู้จักเมืองไทยอย่างดี เข้ ากับทหารไทยได้แบบคอหอยกับลูกกระเดือก โดยเฉพาะนาย Unger เมื่อมาถึงปรากฏว่าจอมพลสฤษดิ์ส่งนายทหารคนสนิทมารับนาย Kenneth ถึงสนามบิน จอมพลสฤษดิ์ถามเขาว่า มาทำไม นาย Kenneth บอกจะมาดูสถานการณ์ในลาวสักหน่อย หลังจากนั้นจะไปกัมพูชา ไซ่ง่อนและพม่า นาย Kenneth บอกว่า จริงๆจะมาตรวจการบ้านด้วยว่าเงินช่วยเหลือทางทหาร Military Assistance Program (MAP) ที่อเมริกาให้แต่ละประเทศ ได้ผลมากน้อยแค่ไหน จอมพลสฤษดิ์บอกว่ากลับมาแล้ว มาเล่าให้ฟังกันด้วย ปรากฎว่าส่วนใหญ่ได้ผล ยกเว้นแต่ลาว ซึ่งอเมริกาให้เงินช่วยเหลือมากกว่าไทยเสียอีก แต่อเมริกาทำท่าจะเสียลาวให้แก่คอมมิวนิสต์ (และในที่สุดก็เสียจริงๆ ! ) โดยอาจจะมีการปฏิวัติโดยลาวแดงเร็วๆนี้ ขากลับ นาย Kenneth ก็รายงานเรื่องลาวอาจมีการปฏิวัติให้จอมพลสฤษดิ์ทราบ แล้วก็เดินทางต่อลงมาที่สิงค์โปร์ ที่สิงคโปร์ เขาได้พบกับเศรษฐีสิงคโปร์คนหนึ่งชื่อ Ko Geng Hsui ซึ่งเป็นกระเป๋าใหญ่ให้แก่นาย Lee Kwan Yew และภายหลังได้เป็นรัฐมนตรีกลาโหม นาย Ko ต้องการให้นาย Kenneth ช่วยตั้งสถาบันเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ในมหาวิทยาลัยสิงคโปร์ให้ ภายหลังนาย Kenneth ได้ลางานจากรัฐบาลอเมริกัน 1 ปี เพื่อมาจัดตั้งสถาบันนี้ให้สิงคโปร์ โดยเอาชาวยิวชื่อ Harry Benda จากมหาวิทยาลัย Yale มาช่วย สิงคโปร์จึงเป็นประเทศแรกในแถบนี้ ที่มีสถาบันการศึกษาลงลึกอย่างจริงจังเกี่ยวกับเอเซียอาคเณย์ ตกลงสิงคโปร์ไม่ได้ลอกเลียนแค่งานสงกรานต์ไปจากบ้านเรา แต่ลอกหลายอย่างรวมทั้งวิชาความรู้เกี่ยวกับภูมิภาคนี้ สิงคโปร์ประเทศที่ไม่มีรากไม่มีเหง้า ไม่มีวัฒนธรรม ประเพณีของตนเอง แต่มีคนไทยหลายคนปลาบปลื้มกับความเจริญของสิงคโปร์ จนถึงขนาดอยากให้เมืองไทยเป็นเหมือนสิงคโปร์ เศร้าครับ! เมื่อนาย Kenneth กลับมาถึงวอซิงตัน การเลือกตั้งประธานาธิบดีกำลังเข้มข้น แล้วนาย Kennedy ก็ชนะการเลือกตั้ง ขณะเดียวกันลาวก็อาการทรุดตามที่นาย Kenneth คาด รัฐบาล Kennedy เข้ามารับตำแหน่งใหม่ๆ ยังจับต้นไม่ชนปลาย นาย Mc Geroge Bundy จอมแสบที่ปรึกษาด้านความมั่นคง ของประธานาธิบดี Kennedy ถึงจะแสนรู้อย่างไร มาใหม่ๆก็มึนรับประทาน แนะนำสั่งการอะไรไม่ถูก ได้แต่เรียกให้นาย Kenneth ให้มาสรุปสถานการณ์ในลาวให้รัฐบาลฟังก่อนตัดสินใจ ทุกอย่างอลเวงไปหมด และนี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ ประธานธิบดี Kennedy ฉุนขาด ประกาศว่าหน่วยงาน National Security Council ทำงานไม่ได้ผล (คงไม่ให้ราคานาย Kenneth สักเท่าไหร่) ถ้าเขายุบหน่วยงานนี้ได้เขาจะยุบแล้ว เพียงแต่ต้องไปขออนุมัติจากสภาสูง ต้องออกกฏหมาย ฯลฯ ดังนั้นเขาจึงสั่ง “แขวน” พนักงานทุกคนในหน่วยงานรวมทั้งนาย Kenneth ด้วย และได้ยกเครื่องการทำงานสภาความมั่นคงเสียใหม่ หลังจากโดนแขวนอยู่หลายเดือน นาย Kenneth ก็เดินแกว่งไปตามหน่วยงานต่างๆ เพื่อหาที่ลง เพราะแม้จะมีเงินเดือนกิน แต่ไม่มีเก้าอี้นั่งชูคอ แบบรัฐบาลก่อนๆ มันก็ทำให้เขาเสียรังวัดไปพอสมควร จะโม้อะไร โอ้อวดอะไร อย่างเมื่อก่อนก็ไม่ถนัดปาก ก็คนโดนแขวนอยู่มันจะให้โม้อะไร ไหว จนวันหนึ่ง นาย Walt Rostow ซึ่งเป็นผู้ช่วยของนาย McGeorge Bundy และรู้จักกับนาย Kenneth ตั้งแต่สมัยทำงานอยู่ OSS เป็นลูกน้องนาย Donovan มาด้วยกัน ก็ติดต่อนาย Kenneth บอกว่ามีงานให้ทำแล้ว ประธานาธิบดี Kennedy เห็นว่าเจ้าหน้าที่ของอเมริกาไม่ว่าทหาร หรือพลเรือน เมื่อจะต้องไปปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่เมืองใด ควรรู้เรื่องเมืองนั้นอย่างดี ไม่ใช่ไปแบบยืนหน้าเซ่อ ร้องเพลงรำวงวันคริสตมาสให้ชาวบ้านฟัง (สงสัยคุณนายเคนนี่ฑูตอเมริกาคนปัจจุบัน คงไม่เคยได้รับการอบรมอะไรเลยก่อนมาประจำเมืองไทย คุณนายถึงได้ทำตัวทุเรศปานนั้น) จึงมอบหมายให้นาย Kenneth เป็นผู้จัดการหลักสูตรอบรม เกี่ยวกับการต่อต้านเหตุการณ์ไม่สงบ (Counter Insurgency) ชื่อเต็มก็คือการต่อต้านความไม่สงบ อันเกิดจากภัยคอมมิวนิสต์ในโลกที่ 3 นั่นแหละ เป็นหลักสูตรที่จัดรวมให้สมุนนักล่าไม่ว่าจะอยู่ในเครื่องแบบใด นาย Kenneth บอกไม่มีปัญหาขอให้จัดงบแบบไม่อั้นมาแล้วกัน นักล่ากำลังฟิต เพราะฉะนั้น เท่าไรเท่ากัน จัดไปเลยย นาย Kenneth สารภาพว่า แรกๆ เขาก็ยังงงว่าจะทำได้อย่างไร เขาไม่ใช่ทหาร ไม่รู้เรื่องการรบ แต่เขารู้จักประเทศต่างๆ ที่คอมมิวนิสต์กำลังคุกคาม เขาจึงนำประสพการณ์ ข้อมูลที่เขาได้จากการที่เขาเคยอยู่ในเมืองไทยและการเดินทางไปสถานที่ต่างๆ และเจอผู้คนในประเทศเหล่านั้น ไม่ว่าจะระดับรัฐบาล ผู้นำประเทศ หรือชาวบ้านทั่วไป บวกกับข้อมูลจากหนังสืออีกเกือบ 2,000 เล่ม ที่เขาสะสมไว้ เอามาผสมปนเปแบบตอแหล ทำเป็นหลักสูตรสำหรับการอบรมประมาณ 2 เดือน เป็นการติวเข้มสมุนนักล่า ปรากฎว่าการตอแหลได้ผลดีเกินคาด เจ้านายสั่งให้เพิ่มบริเวณพื้นที่การอบรม จากครอบคลุมเฉพาะแถบเอเซีย เพิ่มลาตินอเมริกา อาฟริกา และตะวันออกกลางเข้าไปด้วย นี่มันกำลังทำสนามนักล่าขนาดใหญ่ครอบคลุมโลกนี่หว่า นักล่าหน้าใหม่มาแรงจริงๆ แต่นาย Kenneth มีภูมิมีพื้นแค่แถบอินโดจีน แต่คนพันธ์นาย Kenneth ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เสียเหลี่ยมมิชชันนารีจากเมืองตรังหมด โม้เอาไว้เยอะ เขาบอกไม่มีปัญหา เขาไปกว้านเอาอาจารย์ตามมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ ที่มีผู้เชี่ยวชาญตามที่เจ้านายต้องการ มาช่วยกันสร้างหลักสูตรปรับพื้น สนามนักล่าจนสำเร็จ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกไม่ถึง 15 ปี อเมริกานักล่าหน้าใหม่ ก็พร้อมที่ลงสนามล่า ที่ได้ส่งสมุนไปปรับพื้นทำสนาม เตรียมไว้ตามแผน โดยการอนุเคราะห์ของผู้ถูกล่าเองเสียหลายส่วน! น่าเศร้าใจจนต้องหยุดพักเขียนไปหลายวัน คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 432 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Intel ปรับโครงสร้างผู้บริหารครั้งใหญ่! Michelle Holthaus อำลาหลังรับใช้บริษัทกว่า 30 ปี”

    ลองจินตนาการว่าคุณเป็นหนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเทคโนโลยีที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกอย่าง Intel แล้ววันหนึ่งคุณต้องตัดสินใจอำลาตำแหน่ง หลังจากร่วมสร้างและขับเคลื่อนองค์กรมากว่า 30 ปี — นั่นคือเรื่องราวของ Michelle Johnston Holthaus ผู้บริหารฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Intel ที่เพิ่งประกาศลาออกท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโครงสร้างผู้บริหารของบริษัท

    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan พยายามพลิกฟื้น Intel จากภาวะตกต่ำ โดยมีเป้าหมายชัดเจนคือ “ลดชั้นการบริหาร” และ “เร่งการตัดสินใจ” เพื่อให้ทีมพัฒนาชิปสามารถรายงานตรงถึงตัวเขาได้ทันที

    Michelle Holthaus เคยดำรงตำแหน่ง interim co-CEO หลังจาก Pat Gelsinger ถูกปลด และยังเคยเป็นหัวหน้าฝ่าย Client Computing Group และ Chief Revenue Officer มาก่อน เธอจะยังคงอยู่ในบทบาทที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้

    นอกจากการอำลาของ Holthaus ยังมีการแต่งตั้งผู้บริหารใหม่หลายตำแหน่ง เช่น Kevork Kechichian จาก Arm มารับตำแหน่งหัวหน้ากลุ่ม Data Center, Srinivasan Iyengar รับหน้าที่สร้างกลุ่ม Central Engineering ใหม่ และ Jim Johnson ขึ้นเป็นหัวหน้ากลุ่ม Client Computing อย่างเป็นทางการ

    การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดี Donald Trump ประกาศแผนเข้าถือหุ้น 10% ใน Intel และเรียกร้องให้ Tan ลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากข้อขัดแย้งทางผลประโยชน์ — ทำให้สถานการณ์ของ Intel ยิ่งตึงเครียดมากขึ้น

    การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูงของ Intel
    Michelle Holthaus อำลาหลังทำงานกับ Intel มากกว่า 30 ปี
    เคยดำรงตำแหน่ง interim co-CEO และหัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์
    จะยังคงอยู่ในบทบาทที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ในช่วงเปลี่ยนผ่าน
    CEO Lip-Bu Tan ปรับโครงสร้างให้ทีมชิปรายงานตรงถึงตัวเอง

    การแต่งตั้งผู้บริหารใหม่
    Kevork Kechichian จาก Arm รับตำแหน่งหัวหน้ากลุ่ม Data Center
    Srinivasan Iyengar นำทีม Central Engineering และธุรกิจ custom silicon
    Jim Johnson ขึ้นเป็นหัวหน้ากลุ่ม Client Computing อย่างเป็นทางการ
    Naga Chandrasekaran ขยายบทบาทใน Intel Foundry ให้ครอบคลุม Foundry Services

    บริบททางการเมืองและเศรษฐกิจ
    รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศถือหุ้น 10% ใน Intel เพื่อควบคุมเชิงยุทธศาสตร์
    ประธานาธิบดี Trump เรียกร้องให้ CEO Tan ลาออกจากตำแหน่ง
    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากตลาดและภาครัฐ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/09/intel-product-chief-michelle-holthaus-to-leave-company
    🔄 “Intel ปรับโครงสร้างผู้บริหารครั้งใหญ่! Michelle Holthaus อำลาหลังรับใช้บริษัทกว่า 30 ปี” ลองจินตนาการว่าคุณเป็นหนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเทคโนโลยีที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกอย่าง Intel แล้ววันหนึ่งคุณต้องตัดสินใจอำลาตำแหน่ง หลังจากร่วมสร้างและขับเคลื่อนองค์กรมากว่า 30 ปี — นั่นคือเรื่องราวของ Michelle Johnston Holthaus ผู้บริหารฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Intel ที่เพิ่งประกาศลาออกท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโครงสร้างผู้บริหารของบริษัท การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan พยายามพลิกฟื้น Intel จากภาวะตกต่ำ โดยมีเป้าหมายชัดเจนคือ “ลดชั้นการบริหาร” และ “เร่งการตัดสินใจ” เพื่อให้ทีมพัฒนาชิปสามารถรายงานตรงถึงตัวเขาได้ทันที Michelle Holthaus เคยดำรงตำแหน่ง interim co-CEO หลังจาก Pat Gelsinger ถูกปลด และยังเคยเป็นหัวหน้าฝ่าย Client Computing Group และ Chief Revenue Officer มาก่อน เธอจะยังคงอยู่ในบทบาทที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ นอกจากการอำลาของ Holthaus ยังมีการแต่งตั้งผู้บริหารใหม่หลายตำแหน่ง เช่น Kevork Kechichian จาก Arm มารับตำแหน่งหัวหน้ากลุ่ม Data Center, Srinivasan Iyengar รับหน้าที่สร้างกลุ่ม Central Engineering ใหม่ และ Jim Johnson ขึ้นเป็นหัวหน้ากลุ่ม Client Computing อย่างเป็นทางการ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดี Donald Trump ประกาศแผนเข้าถือหุ้น 10% ใน Intel และเรียกร้องให้ Tan ลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากข้อขัดแย้งทางผลประโยชน์ — ทำให้สถานการณ์ของ Intel ยิ่งตึงเครียดมากขึ้น ✅ การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูงของ Intel ➡️ Michelle Holthaus อำลาหลังทำงานกับ Intel มากกว่า 30 ปี ➡️ เคยดำรงตำแหน่ง interim co-CEO และหัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ ➡️ จะยังคงอยู่ในบทบาทที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ➡️ CEO Lip-Bu Tan ปรับโครงสร้างให้ทีมชิปรายงานตรงถึงตัวเอง ✅ การแต่งตั้งผู้บริหารใหม่ ➡️ Kevork Kechichian จาก Arm รับตำแหน่งหัวหน้ากลุ่ม Data Center ➡️ Srinivasan Iyengar นำทีม Central Engineering และธุรกิจ custom silicon ➡️ Jim Johnson ขึ้นเป็นหัวหน้ากลุ่ม Client Computing อย่างเป็นทางการ ➡️ Naga Chandrasekaran ขยายบทบาทใน Intel Foundry ให้ครอบคลุม Foundry Services ✅ บริบททางการเมืองและเศรษฐกิจ ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศถือหุ้น 10% ใน Intel เพื่อควบคุมเชิงยุทธศาสตร์ ➡️ ประธานาธิบดี Trump เรียกร้องให้ CEO Tan ลาออกจากตำแหน่ง ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากตลาดและภาครัฐ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/09/intel-product-chief-michelle-holthaus-to-leave-company
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Intel announces key executive shake-up, says products chief Holthaus will exit
    (Reuters) - Intel announced a series of top executive changes on Monday, including the departure of products chief Michelle Johnston Holthaus, at a time when CEO Lip-Bu Tan intensifies efforts to turn around the struggling U.S. chipmaker.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 257 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปธน.ทรัมป์ #สหรัฐฯ เรียกร้องให้บริษัทผู้ผลิตยา รวมถึง #Pfizer เปิดเผยข้อมูลยา #โควิด19 ฉบับสมบูรณ์ เพื่อพิสูจน์ว่า Operation Warp Speed ​​มีประสิทธิภาพจริงตามที่อ้างหรือไม่

    หมายเหตุ : Operation Warp Speed (OWS) เป็นโครงการของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่เริ่มในปี 2020 เพื่อเร่งพัฒนา ผลิต และแจกจ่ายวัคซีนป้องกันโควิด-19 รวมถึงยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานเอกชน โดยมีเป้าหมายหลักคือการทำให้มีวัคซีนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพพร้อมใช้ภายในเวลาอันสั้น

    รายละเอียดสำคัญของ Operation Warp Speed:
    1. เป้าหมาย:
    • พัฒนาวัคซีนโควิด-19 ให้ได้ภายในปี 2020-2021
    • ผลิตวัคซีนอย่างน้อย 300 ล้านโดสสำหรับประชากรสหรัฐ
    • กระจายวัคซีนและอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น เข็มฉีดยาและหน้ากากอนามัย อย่างรวดเร็ว

    2. การดำเนินงาน:
    • รัฐบาลให้เงินสนับสนุนหลายพันล้านดอลลาร์แก่บริษัทเภสัชกรรม เช่น Pfizer, Moderna, Johnson & Johnson และ AstraZeneca เพื่อเร่งการวิจัยและพัฒนาวัคซีน
    • ดำเนินการทดสอบทางคลินิกควบคู่ไปกับการผลิตวัคซีน (เพื่อประหยัดเวลา)
    • ประสานงานกับหน่วยงาน เช่น FDA และ CDC เพื่อให้การอนุมัติวัคซีนเป็นไปอย่างรวดเร็วแต่ยังคงปลอดภัย

    3. ผลลัพธ์:
    • วัคซีนจาก Pfizer-BioNTech และ Moderna ได้รับอนุญาตให้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน (Emergency Use Authorization) ในเดือนธันวาคม 2020
    • วัคซีนถูกแจกจ่ายอย่างกว้างขวางในสหรัฐตั้งแต่ต้นปี 2021
    • โครงการช่วยให้สหรัฐสามารถฉีดวัคซีนให้ประชากรได้เร็วกว่าที่คาดไว้

    4. ข้อวิจารณ์:
    • บางฝ่ายวิจารณ์ว่าการเร่งพัฒนาอาจกระทบต่อความโปร่งใสหรือความเชื่อมั่นในวัคซีน
    • การกระจายวัคซีนในช่วงแรกมีปัญหาด้านโลจิสติกส์และการเข้าถึงในบางพื้นที่

    Operation Warp Speed ถือเป็นตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการรับมือวิกฤตสาธารณสุขครั้งใหญ่ และมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐและทั่วโลก
    ปธน.ทรัมป์ #สหรัฐฯ เรียกร้องให้บริษัทผู้ผลิตยา รวมถึง #Pfizer เปิดเผยข้อมูลยา #โควิด19 ฉบับสมบูรณ์ เพื่อพิสูจน์ว่า Operation Warp Speed ​​มีประสิทธิภาพจริงตามที่อ้างหรือไม่ หมายเหตุ : Operation Warp Speed (OWS) เป็นโครงการของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่เริ่มในปี 2020 เพื่อเร่งพัฒนา ผลิต และแจกจ่ายวัคซีนป้องกันโควิด-19 รวมถึงยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานเอกชน โดยมีเป้าหมายหลักคือการทำให้มีวัคซีนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพพร้อมใช้ภายในเวลาอันสั้น รายละเอียดสำคัญของ Operation Warp Speed: 1. เป้าหมาย: • พัฒนาวัคซีนโควิด-19 ให้ได้ภายในปี 2020-2021 • ผลิตวัคซีนอย่างน้อย 300 ล้านโดสสำหรับประชากรสหรัฐ • กระจายวัคซีนและอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น เข็มฉีดยาและหน้ากากอนามัย อย่างรวดเร็ว 2. การดำเนินงาน: • รัฐบาลให้เงินสนับสนุนหลายพันล้านดอลลาร์แก่บริษัทเภสัชกรรม เช่น Pfizer, Moderna, Johnson & Johnson และ AstraZeneca เพื่อเร่งการวิจัยและพัฒนาวัคซีน • ดำเนินการทดสอบทางคลินิกควบคู่ไปกับการผลิตวัคซีน (เพื่อประหยัดเวลา) • ประสานงานกับหน่วยงาน เช่น FDA และ CDC เพื่อให้การอนุมัติวัคซีนเป็นไปอย่างรวดเร็วแต่ยังคงปลอดภัย 3. ผลลัพธ์: • วัคซีนจาก Pfizer-BioNTech และ Moderna ได้รับอนุญาตให้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน (Emergency Use Authorization) ในเดือนธันวาคม 2020 • วัคซีนถูกแจกจ่ายอย่างกว้างขวางในสหรัฐตั้งแต่ต้นปี 2021 • โครงการช่วยให้สหรัฐสามารถฉีดวัคซีนให้ประชากรได้เร็วกว่าที่คาดไว้ 4. ข้อวิจารณ์: • บางฝ่ายวิจารณ์ว่าการเร่งพัฒนาอาจกระทบต่อความโปร่งใสหรือความเชื่อมั่นในวัคซีน • การกระจายวัคซีนในช่วงแรกมีปัญหาด้านโลจิสติกส์และการเข้าถึงในบางพื้นที่ Operation Warp Speed ถือเป็นตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการรับมือวิกฤตสาธารณสุขครั้งใหญ่ และมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐและทั่วโลก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 460 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกเสรีภาพข้อมูล: Wikipedia แพ้คดี Online Safety Act แต่ยังไม่หมดหวัง

    ในเดือนสิงหาคม 2025 Wikipedia แพ้คดีในศาลสูงแห่งสหราชอาณาจักร หลังจาก Wikimedia Foundation ยื่นขอให้มีการพิจารณากฎหมาย Online Safety Act (OSA) โดยเฉพาะกฎเกณฑ์ที่อาจทำให้ Wikipedia ถูกจัดอยู่ใน “Category 1” ซึ่งเป็นกลุ่มเว็บไซต์ที่ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับเข้มงวดที่สุด เช่น การยืนยันตัวตนผู้ใช้

    Wikimedia โต้แย้งว่ากฎนี้ออกแบบมาเพื่อควบคุมแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียขนาดใหญ่ แต่กลับใช้เกณฑ์ที่กว้างเกินไปจนรวม Wikipedia ซึ่งเป็นเว็บไซต์สารานุกรมที่ดำเนินการโดยอาสาสมัคร ไม่มีกำไร และไม่มีโฆษณา

    แม้ศาลจะไม่รับคำร้องในครั้งนี้ แต่ผู้พิพากษา Jeremy Johnson ระบุชัดว่า “นี่ไม่ใช่ใบอนุญาตให้ Ofcom และรัฐบาลดำเนินการโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อ Wikipedia” และเปิดช่องให้ Wikimedia ยื่นคำร้องใหม่ได้ หาก Ofcom ตัดสินว่า Wikipedia เป็น Category 1 จริง

    หาก Wikipedia ถูกจัดอยู่ใน Category 1 จะต้องยืนยันตัวตนผู้ใช้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้บางคนเสี่ยงต่อการถูกติดตาม ฟ้องร้อง หรือแม้แต่ถูกจับในประเทศที่ไม่เปิดกว้างด้านเสรีภาพข้อมูล และอาจต้องลดจำนวนผู้ใช้ในสหราชอาณาจักรลงถึง 75% เพื่อหลีกเลี่ยงข้อบังคับนี้

    Wikipedia แพ้คดีในศาลสูงสหราชอาณาจักรเกี่ยวกับ Online Safety Act
    คดีเกี่ยวกับการจัดประเภทเว็บไซต์ภายใต้กฎหมายใหม่

    Wikimedia Foundation คัดค้านการจัด Wikipedia เป็น Category 1
    เพราะจะต้องยืนยันตัวตนผู้ใช้และปฏิบัติตามข้อบังคับเข้มงวด

    ศาลไม่รับคำร้อง แต่เปิดช่องให้ยื่นใหม่ได้หาก Ofcom ตัดสินว่า Wikipedia เป็น Category 1
    ผู้พิพากษาระบุว่าไม่ใช่ “ใบอนุญาตให้ดำเนินการโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบ”

    หากถูกจัดเป็น Category 1 Wikipedia อาจต้องลดจำนวนผู้ใช้ใน UK ลง 75%
    หรือปิดฟีเจอร์สำคัญบางอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงข้อบังคับ

    Wikimedia เตือนว่าการยืนยันตัวตนอาจทำให้ผู้ใช้เสี่ยงต่อการถูกละเมิดสิทธิ
    เช่น การถูกติดตาม ฟ้องร้อง หรือถูกจับในบางประเทศ

    Online Safety Act มีเป้าหมายเพื่อปกป้องเด็กและลบเนื้อหาผิดกฎหมาย
    แต่ถูกวิจารณ์ว่าอาจละเมิดเสรีภาพในการแสดงออก

    Category 1 ครอบคลุมแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ เช่น Facebook, YouTube, X
    แต่ Wikipedia ไม่ใช่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและไม่มีโฆษณา

    Wikipedia มีผู้ใช้ทั่วโลกกว่า 260,000 คนที่เป็นอาสาสมัคร
    การยืนยันตัวตนอาจทำให้หลายคนไม่กล้าเข้าร่วม

    กฎหมายให้อำนาจรัฐในการแทรกแซง Ofcom ได้โดยตรง
    ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการรวมศูนย์อำนาจและเปิดช่องให้ควบคุมเนื้อหาออนไลน์

    https://www.bbc.com/news/articles/cjr11qqvvwlo
    📚⚖️ เรื่องเล่าจากโลกเสรีภาพข้อมูล: Wikipedia แพ้คดี Online Safety Act แต่ยังไม่หมดหวัง ในเดือนสิงหาคม 2025 Wikipedia แพ้คดีในศาลสูงแห่งสหราชอาณาจักร หลังจาก Wikimedia Foundation ยื่นขอให้มีการพิจารณากฎหมาย Online Safety Act (OSA) โดยเฉพาะกฎเกณฑ์ที่อาจทำให้ Wikipedia ถูกจัดอยู่ใน “Category 1” ซึ่งเป็นกลุ่มเว็บไซต์ที่ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับเข้มงวดที่สุด เช่น การยืนยันตัวตนผู้ใช้ Wikimedia โต้แย้งว่ากฎนี้ออกแบบมาเพื่อควบคุมแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียขนาดใหญ่ แต่กลับใช้เกณฑ์ที่กว้างเกินไปจนรวม Wikipedia ซึ่งเป็นเว็บไซต์สารานุกรมที่ดำเนินการโดยอาสาสมัคร ไม่มีกำไร และไม่มีโฆษณา แม้ศาลจะไม่รับคำร้องในครั้งนี้ แต่ผู้พิพากษา Jeremy Johnson ระบุชัดว่า “นี่ไม่ใช่ใบอนุญาตให้ Ofcom และรัฐบาลดำเนินการโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อ Wikipedia” และเปิดช่องให้ Wikimedia ยื่นคำร้องใหม่ได้ หาก Ofcom ตัดสินว่า Wikipedia เป็น Category 1 จริง หาก Wikipedia ถูกจัดอยู่ใน Category 1 จะต้องยืนยันตัวตนผู้ใช้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้บางคนเสี่ยงต่อการถูกติดตาม ฟ้องร้อง หรือแม้แต่ถูกจับในประเทศที่ไม่เปิดกว้างด้านเสรีภาพข้อมูล และอาจต้องลดจำนวนผู้ใช้ในสหราชอาณาจักรลงถึง 75% เพื่อหลีกเลี่ยงข้อบังคับนี้ ✅ Wikipedia แพ้คดีในศาลสูงสหราชอาณาจักรเกี่ยวกับ Online Safety Act ➡️ คดีเกี่ยวกับการจัดประเภทเว็บไซต์ภายใต้กฎหมายใหม่ ✅ Wikimedia Foundation คัดค้านการจัด Wikipedia เป็น Category 1 ➡️ เพราะจะต้องยืนยันตัวตนผู้ใช้และปฏิบัติตามข้อบังคับเข้มงวด ✅ ศาลไม่รับคำร้อง แต่เปิดช่องให้ยื่นใหม่ได้หาก Ofcom ตัดสินว่า Wikipedia เป็น Category 1 ➡️ ผู้พิพากษาระบุว่าไม่ใช่ “ใบอนุญาตให้ดำเนินการโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบ” ✅ หากถูกจัดเป็น Category 1 Wikipedia อาจต้องลดจำนวนผู้ใช้ใน UK ลง 75% ➡️ หรือปิดฟีเจอร์สำคัญบางอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงข้อบังคับ ✅ Wikimedia เตือนว่าการยืนยันตัวตนอาจทำให้ผู้ใช้เสี่ยงต่อการถูกละเมิดสิทธิ ➡️ เช่น การถูกติดตาม ฟ้องร้อง หรือถูกจับในบางประเทศ ✅ Online Safety Act มีเป้าหมายเพื่อปกป้องเด็กและลบเนื้อหาผิดกฎหมาย ➡️ แต่ถูกวิจารณ์ว่าอาจละเมิดเสรีภาพในการแสดงออก ✅ Category 1 ครอบคลุมแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ เช่น Facebook, YouTube, X ➡️ แต่ Wikipedia ไม่ใช่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและไม่มีโฆษณา ✅ Wikipedia มีผู้ใช้ทั่วโลกกว่า 260,000 คนที่เป็นอาสาสมัคร ➡️ การยืนยันตัวตนอาจทำให้หลายคนไม่กล้าเข้าร่วม ✅ กฎหมายให้อำนาจรัฐในการแทรกแซง Ofcom ได้โดยตรง ➡️ ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการรวมศูนย์อำนาจและเปิดช่องให้ควบคุมเนื้อหาออนไลน์ https://www.bbc.com/news/articles/cjr11qqvvwlo
    WWW.BBC.COM
    Wikipedia loses challenge against Online Safety Act verification rules
    The Wikimedia Foundation says the new rules could threaten user privacy and safety.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 369 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวดี⭐️⭐️
    HHS และกระทรวงการต่างประเทศ: สหรัฐอเมริกาปฏิเสธการแก้ไขกฎระเบียบด้านสุขภาพระหว่างประเทศ

    วอชิงตัน—18 กรกฎาคม 2568—
    วันนี้ นายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์แห่งสหรัฐอเมริกา และ นายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ร่วมว่าสหรัฐอเมริกาไม่ยอมรับการแก้ไขข้อบังคับด้านสุขภาพระหว่างประเทศ (IHR) ปี 2567 ขององค์การอนามัยโลก (WHO) อย่างเป็นทางการกฎหมายสุขภาพระหว่างประเทศฉบับแก้ไขนี้จะทำให้ WHO สามารถสั่งปิดประเทศทั่วโลก จำกัดการเดินทาง หรือมาตรการอื่นใดที่ WHO เห็นสมควร เพื่อรับมือกับ “ความเสี่ยงด้านสาธารณสุขที่อาจเกิดขึ้น” ที่คลุมเครือ กฎระเบียบเหล่านี้จะมีผลผูกพันหากไม่ได้รับการปฏิเสธภายในวันที่ 19 กรกฎาคม 2568 โดยไม่คำนึงถึงการถอนตัวของสหรัฐอเมริกาจาก WHO-
    “การแก้ไขเพิ่มเติมกฎอนามัยระหว่างประเทศที่เสนอขึ้นนี้เปิดโอกาสให้เกิดการจัดการเรื่องเล่า การโฆษณาชวนเชื่อ และการเซ็นเซอร์แบบที่เราพบเห็นในช่วงการระบาดของโควิด-19” รัฐมนตรีเคนเนดีกล่าว

    “สหรัฐอเมริกาสามารถร่วมมือกับประเทศอื่นๆ โดยไม่กระทบต่อเสรีภาพพลเมืองของเรา โดยไม่บ่อนทำลายรัฐธรรมนูญของเรา และโดยไม่สูญเสียอำนาจอธิปไตยอันล้ำค่าของอเมริกาไป”
    รัฐมนตรีเคนเนดียังเผยแพร่วิดีโอ ด้วยอธิบายการกระทำดังกล่าวให้ชาวอเมริกันทราบ“
    คำศัพท์ที่ใช้ตลอดทั้งฉบับแก้ไขเพิ่มเติมกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ. 2567 นั้นคลุมเครือและกว้างเกินไป ซึ่งอาจส่งผลต่อการตอบสนองระหว่างประเทศที่ประสานงานโดยองค์การอนามัยโลก ซึ่งมุ่งเน้นไปที่ประเด็นทางการเมือง เช่น ความสามัคคี มากกว่าการดำเนินการอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ” รัฐมนตรีรูบิโอกล่าว

    “หน่วยงานของเราได้ดำเนินการอย่างชัดเจนมาโดยตลอดและจะยังคงดำเนินการต่อไป นั่นคือ เราจะให้ความสำคัญกับชาวอเมริกันเป็นอันดับแรกในทุกการกระทำของเรา และเราจะไม่ยอมให้มีนโยบายระหว่างประเทศที่ละเมิดสิทธิในการพูด ความเป็นส่วนตัว หรือเสรีภาพส่วนบุคคลของชาวอเมริกัน”เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2567 สมัชชาอนามัยโลก (WHA) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดของ WHO ได้นำข้อบังคับสุขภาพระหว่างประเทศฉบับแก้ไขมาใช้โดยผ่านกระบวนการเร่งรีบ ขาดการอภิปรายและการรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะอย่างเพียงพอคำชื่นชมต่อการกระทำในวันนี้จากสมาชิกรัฐสภา:การระบาดใหญ่ของโควิด-19 เผยให้เห็นว่าความไร้ประสิทธิภาพและการคอร์รัปชันขององค์การอนามัยโลก
    เรียกร้องให้มีการปฏิรูปอย่างครอบคลุม แทนที่จะจัดการกับนโยบายสาธารณสุขที่ย่ำแย่ในช่วงโควิด องค์การอนามัยโลกกลับต้องการให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎระเบียบสุขภาพระหว่างประเทศและสนธิสัญญาโรคระบาดเพื่อประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขในประเทศสมาชิก ซึ่งอาจรวมถึงการตอบสนองที่เข้มงวดแต่ล้มเหลว เช่น การปิดธุรกิจและโรงเรียน และคำสั่งให้ฉีดวัคซีน ตั้งแต่ปี 2565 ผมได้นำร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการไม่เตรียมความพร้อมรับมือโรคระบาดขององค์การอนามัยโลกโดยปราศจากการอนุมัติจากวุฒิสภาซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านร่างไปเมื่อปีที่แล้ว สหรัฐอเมริกาจะไม่อนุญาตให้องค์การอนามัยโลกใช้ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขเพื่อทำลายล้างประเทศชาติ ผมสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจของรัฐบาลทรัมป์ที่จะปฏิเสธการแก้ไขเพิ่มเติมของกฎหมายอนามัยระหว่างประเทศ (IHR)”
    วุฒิสมาชิกรอน จอห์นสันกล่าว

    “นโยบายสาธารณสุขของอเมริกาเป็นของชาวอเมริกัน และไม่ควรถูกกำหนดโดยนักโลกาภิวัตน์ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งในองค์การอนามัยโลกหรือสหประชาชาติ WHO ได้แสดงให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่า WHO ไม่สามารถไว้วางใจได้ และผมรู้สึกขอบคุณที่รัฐบาลทรัมป์ยังคงยืนหยัดอย่างเข้มแข็งเพื่อปกป้องอธิปไตยของอเมริกา” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทอม ทิฟฟานี กล่าว

    “สหรัฐอเมริกาต้องไม่สละอำนาจอธิปไตยของเราให้แก่องค์กรหรือหน่วยงานระหว่างประเทศใดๆ ทั้งสิ้น ผมขอชื่นชมรัฐมนตรีเคนเนดีและรัฐมนตรีรูบิโอที่ปฏิเสธการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับสุขภาพระหว่างประเทศ (IHR) ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ไม่รอบคอบ ผมสนับสนุนให้สหรัฐฯ ถอนตัวจาก WHO และตัดงบประมาณองค์กรที่กระหายอำนาจของตนมานานแล้ว กฎหมายของผม HR 401 ซึ่งนำเสนอครั้งแรกในรัฐสภาชุดที่ 117 ถือเป็นการกระทำเช่นนั้น ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมพันธกิจของอเมริกาต้องมาก่อนและเสรีภาพด้านการดูแลสุขภาพ WHO ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ได้สูญเสียความน่าเชื่อถือที่อาจเกิดขึ้นในช่วงการระบาดของโควิด-19 และเราต้องมั่นใจว่าจะไม่มีรัฐบาลชุดใดในอนาคตที่จะมอบความชอบธรรมหรืออำนาจใดๆ ให้แก่พวกเขาเหนือสุขภาพของชาวอเมริกัน” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชิป รอยกล่าว

    “รัฐมนตรีเคนเนดีและประธานาธิบดีทรัมป์ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก WHO เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ปราศจากความรับผิดชอบ ซึ่งมอบสิทธิเสรีภาพด้านการดูแลสุขภาพของประชาชนให้กับข้าราชการที่ทุจริต ผมรู้สึกขอบคุณรัฐมนตรีเคนเนดีที่ยืนหยัดอย่างมั่นคงต่อข้อตกลงโรคระบาดของ WHO ซึ่งจะปกป้องเสรีภาพด้านสุขภาพและความเป็นส่วนตัวของชาวอเมริกัน เรามาทำให้อเมริกายิ่งใหญ่และมีสุขภาพดีอีกครั้งกันเถอะ” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแอนดี บิ๊กส์ กล่าว

    การประกาศในวันนี้ถือเป็นการดำเนินการล่าสุดของรัฐมนตรีเคนเนดีและ HHS ในการให้ WHOรับผิดชอบ

    HHS & State Department: The United States Rejects Amendments to International Health Regulations

    WASHINGTON—JULY 18, 2025—U.S. Health and Human Services Secretary Robert F. Kennedy, Jr. and Secretary of State Marco Rubio today issued a Joint Statement of formal rejection by the United States of the 2024 International Heath Regulations (IHR) Amendments by the World Health Organization (WHO).The amended IHR would give the WHO the ability to order global lockdowns, travel restrictions, or any other measures it sees fit to respond to nebulous “potential public health risks.” These regulations are set to become binding if not rejected by July 19, 2025, regardless of the United States’ withdrawal from the WHO.“The proposed amendments to the International Health Regulations open the door to the kind of narrative management, propaganda, and censorship that we saw during the COVID pandemic,” Secretary Kennedy said. “The United States can cooperate with other nations without jeopardizing our civil liberties, without undermining our Constitution, and without ceding away America’s treasured sovereignty.”Secretary Kennedy also released a video explaining the action to the American people.“Terminology throughout the amendments to the 2024 International Health Regulations is vague and broad, risking WHO-coordinated international responses that focus on political issues like solidarity, rather than rapid and effective actions,” Secretary Rubio said. “Our Agencies have been and will continue to be clear: we will put Americans first in all our actions and we will not tolerate international policies that infringe on Americans’ speech, privacy, or personal liberties.”On June 1, 2024, the World Health Assembly (WHA), the highest decision-making body of the WHO, adopted a revised version of the International Health Regulations through a rushed process lacking sufficient debate and public input.Praise for today’s action from members of Congress:“The COVID-19 pandemic exposed how the incompetency and corruption at the WHO demands comprehensive reforms. Instead of addressing its disastrous public health policies during COVID, the WHO wants International Health Regulation amendments and a pandemic treaty to declare public health emergencies in member states, which could include failed draconian responses like business and school closures and vaccine mandates. Since 2022, I have led the No WHO Pandemic Preparedness Treaty Without Senate Approval Act, which the House passed last year. The United States will not allow the WHO to use public health emergencies to devastate our nation. I fully support the Trump administration’s decision to reject the IHR amendments,” said Senator Ron Johnson.“America’s public health policy belongs to the American people and should never be dictated by unelected globalists at the WHO or the UN. Time and time again, the WHO has demonstrated it cannot be trusted, and I am grateful that the Trump administration is standing strong to protect American sovereignty,” said Congressman Tom Tiffany.“The United States must never cede our sovereignty to any international entity or organization. I applaud Secretary Kennedy and Secretary Rubio for rejecting the World Health Organization’s (WHO) ill-advised International Health Regulations (IHR) amendments. I have long supported the U.S. withdrawing from the WHO and defunding their power-hungry organization. My legislation, H.R. 401, first introduced in the 117th Congress, does just that while advancing the mission statements of America First and Healthcare Freedom. The WHO, a widely discredited international organization, lost any potential credibility during the COVID-19 pandemic, and we must ensure no future administration grants them any legitimacy or further power over the health of Americans," said Congressman Chip Roy.“Secretary Kennedy and President Trump have proven their commitment to putting America First. WHO is an unaccountable international organization that hands individuals’ healthcare freedoms to corrupt bureaucrats. I’m thankful for Secretary Kennedy’s firm stance against WHO’s Pandemic Agreement that will protect Americans’ health freedom and privacy. Let’s Make America Great and Healthy Again,” said Congressman Andy Biggs.Today’s announcement is the latest action by Secretary Kennedy and HHS to hold the WHO accountable.
    https://www.hhs.gov/press-room/state-department-hhs-rejects-amendments-to-international-health-regulations.html
    July 18, 2025
    ☘️🌿 ข่าวดี⭐️⭐️ HHS และกระทรวงการต่างประเทศ: สหรัฐอเมริกาปฏิเสธการแก้ไขกฎระเบียบด้านสุขภาพระหว่างประเทศ วอชิงตัน—18 กรกฎาคม 2568— วันนี้ นายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์แห่งสหรัฐอเมริกา และ นายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ร่วมว่าสหรัฐอเมริกาไม่ยอมรับการแก้ไขข้อบังคับด้านสุขภาพระหว่างประเทศ (IHR) ปี 2567 ขององค์การอนามัยโลก (WHO) อย่างเป็นทางการกฎหมายสุขภาพระหว่างประเทศฉบับแก้ไขนี้จะทำให้ WHO สามารถสั่งปิดประเทศทั่วโลก จำกัดการเดินทาง หรือมาตรการอื่นใดที่ WHO เห็นสมควร เพื่อรับมือกับ “ความเสี่ยงด้านสาธารณสุขที่อาจเกิดขึ้น” ที่คลุมเครือ กฎระเบียบเหล่านี้จะมีผลผูกพันหากไม่ได้รับการปฏิเสธภายในวันที่ 19 กรกฎาคม 2568 โดยไม่คำนึงถึงการถอนตัวของสหรัฐอเมริกาจาก WHO- “การแก้ไขเพิ่มเติมกฎอนามัยระหว่างประเทศที่เสนอขึ้นนี้เปิดโอกาสให้เกิดการจัดการเรื่องเล่า การโฆษณาชวนเชื่อ และการเซ็นเซอร์แบบที่เราพบเห็นในช่วงการระบาดของโควิด-19” รัฐมนตรีเคนเนดีกล่าว “สหรัฐอเมริกาสามารถร่วมมือกับประเทศอื่นๆ โดยไม่กระทบต่อเสรีภาพพลเมืองของเรา โดยไม่บ่อนทำลายรัฐธรรมนูญของเรา และโดยไม่สูญเสียอำนาจอธิปไตยอันล้ำค่าของอเมริกาไป” รัฐมนตรีเคนเนดียังเผยแพร่วิดีโอ ด้วยอธิบายการกระทำดังกล่าวให้ชาวอเมริกันทราบ“ คำศัพท์ที่ใช้ตลอดทั้งฉบับแก้ไขเพิ่มเติมกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ. 2567 นั้นคลุมเครือและกว้างเกินไป ซึ่งอาจส่งผลต่อการตอบสนองระหว่างประเทศที่ประสานงานโดยองค์การอนามัยโลก ซึ่งมุ่งเน้นไปที่ประเด็นทางการเมือง เช่น ความสามัคคี มากกว่าการดำเนินการอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ” รัฐมนตรีรูบิโอกล่าว “หน่วยงานของเราได้ดำเนินการอย่างชัดเจนมาโดยตลอดและจะยังคงดำเนินการต่อไป นั่นคือ เราจะให้ความสำคัญกับชาวอเมริกันเป็นอันดับแรกในทุกการกระทำของเรา และเราจะไม่ยอมให้มีนโยบายระหว่างประเทศที่ละเมิดสิทธิในการพูด ความเป็นส่วนตัว หรือเสรีภาพส่วนบุคคลของชาวอเมริกัน”เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2567 สมัชชาอนามัยโลก (WHA) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดของ WHO ได้นำข้อบังคับสุขภาพระหว่างประเทศฉบับแก้ไขมาใช้โดยผ่านกระบวนการเร่งรีบ ขาดการอภิปรายและการรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะอย่างเพียงพอคำชื่นชมต่อการกระทำในวันนี้จากสมาชิกรัฐสภา:การระบาดใหญ่ของโควิด-19 เผยให้เห็นว่าความไร้ประสิทธิภาพและการคอร์รัปชันขององค์การอนามัยโลก เรียกร้องให้มีการปฏิรูปอย่างครอบคลุม แทนที่จะจัดการกับนโยบายสาธารณสุขที่ย่ำแย่ในช่วงโควิด องค์การอนามัยโลกกลับต้องการให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎระเบียบสุขภาพระหว่างประเทศและสนธิสัญญาโรคระบาดเพื่อประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขในประเทศสมาชิก ซึ่งอาจรวมถึงการตอบสนองที่เข้มงวดแต่ล้มเหลว เช่น การปิดธุรกิจและโรงเรียน และคำสั่งให้ฉีดวัคซีน ตั้งแต่ปี 2565 ผมได้นำร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการไม่เตรียมความพร้อมรับมือโรคระบาดขององค์การอนามัยโลกโดยปราศจากการอนุมัติจากวุฒิสภาซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านร่างไปเมื่อปีที่แล้ว สหรัฐอเมริกาจะไม่อนุญาตให้องค์การอนามัยโลกใช้ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขเพื่อทำลายล้างประเทศชาติ ผมสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจของรัฐบาลทรัมป์ที่จะปฏิเสธการแก้ไขเพิ่มเติมของกฎหมายอนามัยระหว่างประเทศ (IHR)” วุฒิสมาชิกรอน จอห์นสันกล่าว “นโยบายสาธารณสุขของอเมริกาเป็นของชาวอเมริกัน และไม่ควรถูกกำหนดโดยนักโลกาภิวัตน์ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งในองค์การอนามัยโลกหรือสหประชาชาติ WHO ได้แสดงให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่า WHO ไม่สามารถไว้วางใจได้ และผมรู้สึกขอบคุณที่รัฐบาลทรัมป์ยังคงยืนหยัดอย่างเข้มแข็งเพื่อปกป้องอธิปไตยของอเมริกา” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทอม ทิฟฟานี กล่าว “สหรัฐอเมริกาต้องไม่สละอำนาจอธิปไตยของเราให้แก่องค์กรหรือหน่วยงานระหว่างประเทศใดๆ ทั้งสิ้น ผมขอชื่นชมรัฐมนตรีเคนเนดีและรัฐมนตรีรูบิโอที่ปฏิเสธการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับสุขภาพระหว่างประเทศ (IHR) ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ไม่รอบคอบ ผมสนับสนุนให้สหรัฐฯ ถอนตัวจาก WHO และตัดงบประมาณองค์กรที่กระหายอำนาจของตนมานานแล้ว กฎหมายของผม HR 401 ซึ่งนำเสนอครั้งแรกในรัฐสภาชุดที่ 117 ถือเป็นการกระทำเช่นนั้น ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมพันธกิจของอเมริกาต้องมาก่อนและเสรีภาพด้านการดูแลสุขภาพ WHO ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ได้สูญเสียความน่าเชื่อถือที่อาจเกิดขึ้นในช่วงการระบาดของโควิด-19 และเราต้องมั่นใจว่าจะไม่มีรัฐบาลชุดใดในอนาคตที่จะมอบความชอบธรรมหรืออำนาจใดๆ ให้แก่พวกเขาเหนือสุขภาพของชาวอเมริกัน” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชิป รอยกล่าว “รัฐมนตรีเคนเนดีและประธานาธิบดีทรัมป์ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก WHO เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ปราศจากความรับผิดชอบ ซึ่งมอบสิทธิเสรีภาพด้านการดูแลสุขภาพของประชาชนให้กับข้าราชการที่ทุจริต ผมรู้สึกขอบคุณรัฐมนตรีเคนเนดีที่ยืนหยัดอย่างมั่นคงต่อข้อตกลงโรคระบาดของ WHO ซึ่งจะปกป้องเสรีภาพด้านสุขภาพและความเป็นส่วนตัวของชาวอเมริกัน เรามาทำให้อเมริกายิ่งใหญ่และมีสุขภาพดีอีกครั้งกันเถอะ” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแอนดี บิ๊กส์ กล่าว การประกาศในวันนี้ถือเป็นการดำเนินการล่าสุดของรัฐมนตรีเคนเนดีและ HHS ในการให้ WHOรับผิดชอบ HHS & State Department: The United States Rejects Amendments to International Health Regulations WASHINGTON—JULY 18, 2025—U.S. Health and Human Services Secretary Robert F. Kennedy, Jr. and Secretary of State Marco Rubio today issued a Joint Statement of formal rejection by the United States of the 2024 International Heath Regulations (IHR) Amendments by the World Health Organization (WHO).The amended IHR would give the WHO the ability to order global lockdowns, travel restrictions, or any other measures it sees fit to respond to nebulous “potential public health risks.” These regulations are set to become binding if not rejected by July 19, 2025, regardless of the United States’ withdrawal from the WHO.“The proposed amendments to the International Health Regulations open the door to the kind of narrative management, propaganda, and censorship that we saw during the COVID pandemic,” Secretary Kennedy said. “The United States can cooperate with other nations without jeopardizing our civil liberties, without undermining our Constitution, and without ceding away America’s treasured sovereignty.”Secretary Kennedy also released a video explaining the action to the American people.“Terminology throughout the amendments to the 2024 International Health Regulations is vague and broad, risking WHO-coordinated international responses that focus on political issues like solidarity, rather than rapid and effective actions,” Secretary Rubio said. “Our Agencies have been and will continue to be clear: we will put Americans first in all our actions and we will not tolerate international policies that infringe on Americans’ speech, privacy, or personal liberties.”On June 1, 2024, the World Health Assembly (WHA), the highest decision-making body of the WHO, adopted a revised version of the International Health Regulations through a rushed process lacking sufficient debate and public input.Praise for today’s action from members of Congress:“The COVID-19 pandemic exposed how the incompetency and corruption at the WHO demands comprehensive reforms. Instead of addressing its disastrous public health policies during COVID, the WHO wants International Health Regulation amendments and a pandemic treaty to declare public health emergencies in member states, which could include failed draconian responses like business and school closures and vaccine mandates. Since 2022, I have led the No WHO Pandemic Preparedness Treaty Without Senate Approval Act, which the House passed last year. The United States will not allow the WHO to use public health emergencies to devastate our nation. I fully support the Trump administration’s decision to reject the IHR amendments,” said Senator Ron Johnson.“America’s public health policy belongs to the American people and should never be dictated by unelected globalists at the WHO or the UN. Time and time again, the WHO has demonstrated it cannot be trusted, and I am grateful that the Trump administration is standing strong to protect American sovereignty,” said Congressman Tom Tiffany.“The United States must never cede our sovereignty to any international entity or organization. I applaud Secretary Kennedy and Secretary Rubio for rejecting the World Health Organization’s (WHO) ill-advised International Health Regulations (IHR) amendments. I have long supported the U.S. withdrawing from the WHO and defunding their power-hungry organization. My legislation, H.R. 401, first introduced in the 117th Congress, does just that while advancing the mission statements of America First and Healthcare Freedom. The WHO, a widely discredited international organization, lost any potential credibility during the COVID-19 pandemic, and we must ensure no future administration grants them any legitimacy or further power over the health of Americans," said Congressman Chip Roy.“Secretary Kennedy and President Trump have proven their commitment to putting America First. WHO is an unaccountable international organization that hands individuals’ healthcare freedoms to corrupt bureaucrats. I’m thankful for Secretary Kennedy’s firm stance against WHO’s Pandemic Agreement that will protect Americans’ health freedom and privacy. Let’s Make America Great and Healthy Again,” said Congressman Andy Biggs.Today’s announcement is the latest action by Secretary Kennedy and HHS to hold the WHO accountable. https://www.hhs.gov/press-room/state-department-hhs-rejects-amendments-to-international-health-regulations.html July 18, 2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 931 มุมมอง 0 รีวิว
  • จำคดีที่นักเขียนหลายคนฟ้องว่า AI เอางานเขาไปสอนบอตโดยไม่ได้รับอนุญาตไหมครับ? หนึ่งในคดีนั้นคือกลุ่มนักเขียนอย่าง Andrea Bartz, Charles Graeber และ Kirk Johnson ฟ้องบริษัท Anthropic ว่าเอาหนังสือของพวกเขาไปใช้ฝึก AI โดยไม่ได้จ่ายหรือขออนุญาต

    แต่ตอนนี้ ผู้พิพากษา William Alsup แห่งศาล San Francisco ตัดสินว่า “การฝึก Claude ด้วยเนื้อหาหนังสือบางส่วนแบบมีจุดมุ่งหมายเพื่อเรียนรู้–สร้างสิ่งใหม่” นั้น ถือว่าเป็น Fair Use ซึ่งเป็นกฎหมายในสหรัฐที่ยอมให้ใช้ลิขสิทธิ์ได้ในบางกรณี เช่น งานวิจัย วิจารณ์ หรือใช้ในลักษณะ transformative

    แต่...ผู้พิพากษายังระบุชัดว่า “การโหลดและเก็บไฟล์หนังสือเถื่อนเป็นล้านเล่ม” เพื่อรวมไว้ใน Central Library นั้น ละเมิดลิขสิทธิ์แน่นอน — และ Anthropic ต้องขึ้นศาลในเดือนธันวาคมนี้ เพื่อตัดสินจำนวนเงินชดเชย (อาจสูงถึง $150,000 ต่อเล่ม หากเข้าข่ายเจตนา)

    นี่เป็นคำตัดสินแรกของสหรัฐในเรื่อง “AI + Fair Use” และน่าจะมีผลกระทบต่อคดีอื่น ๆ ที่ OpenAI, Meta, Microsoft กำลังโดนฟ้องจากนักเขียน, สำนักข่าว, และเจ้าของเนื้อหามากมายเลยครับ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/24/anthropic-wins-key-ruling-on-ai-in-authors039-copyright-lawsuit
    จำคดีที่นักเขียนหลายคนฟ้องว่า AI เอางานเขาไปสอนบอตโดยไม่ได้รับอนุญาตไหมครับ? หนึ่งในคดีนั้นคือกลุ่มนักเขียนอย่าง Andrea Bartz, Charles Graeber และ Kirk Johnson ฟ้องบริษัท Anthropic ว่าเอาหนังสือของพวกเขาไปใช้ฝึก AI โดยไม่ได้จ่ายหรือขออนุญาต แต่ตอนนี้ ผู้พิพากษา William Alsup แห่งศาล San Francisco ตัดสินว่า “การฝึก Claude ด้วยเนื้อหาหนังสือบางส่วนแบบมีจุดมุ่งหมายเพื่อเรียนรู้–สร้างสิ่งใหม่” นั้น ถือว่าเป็น Fair Use ซึ่งเป็นกฎหมายในสหรัฐที่ยอมให้ใช้ลิขสิทธิ์ได้ในบางกรณี เช่น งานวิจัย วิจารณ์ หรือใช้ในลักษณะ transformative แต่...ผู้พิพากษายังระบุชัดว่า “การโหลดและเก็บไฟล์หนังสือเถื่อนเป็นล้านเล่ม” เพื่อรวมไว้ใน Central Library นั้น ละเมิดลิขสิทธิ์แน่นอน — และ Anthropic ต้องขึ้นศาลในเดือนธันวาคมนี้ เพื่อตัดสินจำนวนเงินชดเชย (อาจสูงถึง $150,000 ต่อเล่ม หากเข้าข่ายเจตนา) นี่เป็นคำตัดสินแรกของสหรัฐในเรื่อง “AI + Fair Use” และน่าจะมีผลกระทบต่อคดีอื่น ๆ ที่ OpenAI, Meta, Microsoft กำลังโดนฟ้องจากนักเขียน, สำนักข่าว, และเจ้าของเนื้อหามากมายเลยครับ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/24/anthropic-wins-key-ruling-on-ai-in-authors039-copyright-lawsuit
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Anthropic wins key US ruling on AI training in authors' copyright lawsuit
    (Reuters) -A federal judge in San Francisco ruled late on Monday that Anthropic's use of books without permission to train its artificial intelligence system was legal under U.S. copyright law.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 269 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้กล่าวถึง การใช้ AI เพื่อช่วยชะลอวัยและส่งเสริมสุขภาพ โดยเปรียบเทียบคำแนะนำจาก AI หลายตัว เช่น ChatGPT, Copilot, Gemini และ Claude AI เพื่อดูว่าแต่ละระบบให้คำแนะนำอย่างไรเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและการชะลอวัย

    นักเขียนได้ตั้งคำถามว่า "วิธีที่ดีที่สุดในการชะลอวัยคืออะไร?" และพบว่า AI แต่ละตัวให้คำตอบที่แตกต่างกันไป เช่น ChatGPT เน้นการออกกำลังกายและโภชนาการ, Copilot เน้นการดูแลสุขภาพจิตและการมีสังคม, Claude AI ให้คำตอบเชิงวิชาการเกี่ยวกับโภชนาการและการจัดการความเครียด, และ Gemini เน้นย้ำว่าควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพ

    นอกจากนี้ บทความยังกล่าวถึง Bryan Johnson นักธุรกิจที่ลงทุนมหาศาลเพื่อยืดอายุขัยของตัวเอง โดยใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลร่างกายของเขาเพื่อปรับปรุงสุขภาพ

    AI หลายตัวให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและการชะลอวัย
    - ChatGPT เน้น การออกกำลังกายและโภชนาการ
    - Copilot เน้น สุขภาพจิตและการมีสังคม
    - Claude AI ให้คำตอบเชิงวิชาการเกี่ยวกับ โภชนาการและการจัดการความเครียด
    - Gemini เน้นย้ำว่า ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพ

    Bryan Johnson ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลร่างกายเพื่อปรับปรุงสุขภาพ
    - เชื่อว่า AI อาจให้คำแนะนำที่ดีกว่าแพทย์ในอนาคต
    - ลงทุนมหาศาลเพื่อ ยืดอายุขัยของตัวเอง

    AI อาจมีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพในอนาคต
    - อาจช่วย วิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพและให้คำแนะนำเฉพาะบุคคล
    - อาจเปลี่ยนแปลงแนวคิดเกี่ยวกับ ศาสนาและการดูแลร่างกาย

    AI ไม่สามารถแทนที่แพทย์ได้ในปัจจุบัน
    - AI อาจให้คำแนะนำทั่วไป แต่ ไม่สามารถวินิจฉัยโรคหรือให้คำปรึกษาทางการแพทย์ได้

    ข้อมูลที่ AI ใช้อาจไม่เหมาะกับทุกคน
    - AI ไม่สามารถรู้ข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคล เช่น อาการแพ้หรือข้อจำกัดทางร่างกาย

    แนวโน้มของการพัฒนาในอนาคต
    - หาก AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพได้แม่นยำขึ้น อาจทำให้ การดูแลสุขภาพมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/i-asked-chatgpt-gemini-and-other-ais-how-to-combat-aging-and-only-one-did-the-right-thing
    บทความนี้กล่าวถึง การใช้ AI เพื่อช่วยชะลอวัยและส่งเสริมสุขภาพ โดยเปรียบเทียบคำแนะนำจาก AI หลายตัว เช่น ChatGPT, Copilot, Gemini และ Claude AI เพื่อดูว่าแต่ละระบบให้คำแนะนำอย่างไรเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและการชะลอวัย นักเขียนได้ตั้งคำถามว่า "วิธีที่ดีที่สุดในการชะลอวัยคืออะไร?" และพบว่า AI แต่ละตัวให้คำตอบที่แตกต่างกันไป เช่น ChatGPT เน้นการออกกำลังกายและโภชนาการ, Copilot เน้นการดูแลสุขภาพจิตและการมีสังคม, Claude AI ให้คำตอบเชิงวิชาการเกี่ยวกับโภชนาการและการจัดการความเครียด, และ Gemini เน้นย้ำว่าควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพ นอกจากนี้ บทความยังกล่าวถึง Bryan Johnson นักธุรกิจที่ลงทุนมหาศาลเพื่อยืดอายุขัยของตัวเอง โดยใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลร่างกายของเขาเพื่อปรับปรุงสุขภาพ ✅ AI หลายตัวให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและการชะลอวัย - ChatGPT เน้น การออกกำลังกายและโภชนาการ - Copilot เน้น สุขภาพจิตและการมีสังคม - Claude AI ให้คำตอบเชิงวิชาการเกี่ยวกับ โภชนาการและการจัดการความเครียด - Gemini เน้นย้ำว่า ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพ ✅ Bryan Johnson ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลร่างกายเพื่อปรับปรุงสุขภาพ - เชื่อว่า AI อาจให้คำแนะนำที่ดีกว่าแพทย์ในอนาคต - ลงทุนมหาศาลเพื่อ ยืดอายุขัยของตัวเอง ✅ AI อาจมีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพในอนาคต - อาจช่วย วิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพและให้คำแนะนำเฉพาะบุคคล - อาจเปลี่ยนแปลงแนวคิดเกี่ยวกับ ศาสนาและการดูแลร่างกาย ℹ️ AI ไม่สามารถแทนที่แพทย์ได้ในปัจจุบัน - AI อาจให้คำแนะนำทั่วไป แต่ ไม่สามารถวินิจฉัยโรคหรือให้คำปรึกษาทางการแพทย์ได้ ℹ️ ข้อมูลที่ AI ใช้อาจไม่เหมาะกับทุกคน - AI ไม่สามารถรู้ข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคล เช่น อาการแพ้หรือข้อจำกัดทางร่างกาย ℹ️ แนวโน้มของการพัฒนาในอนาคต - หาก AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพได้แม่นยำขึ้น อาจทำให้ การดูแลสุขภาพมีประสิทธิภาพมากขึ้น https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/i-asked-chatgpt-gemini-and-other-ais-how-to-combat-aging-and-only-one-did-the-right-thing
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 584 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีเทรนด์ใหม่ที่กำลังเป็นไวรัลในโลกออนไลน์เกี่ยวกับการใช้ ChatGPT เพื่อสร้างภาพซ้ำ ๆ โดยผู้ใช้บน Reddit ได้ทดลองให้ AI สร้างภาพของ Dwayne "The Rock" Johnson ซ้ำถึง 101 ครั้ง ซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายกลายเป็น งานศิลปะแนวแอบสแตรกต์ ที่แทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม

    เทรนด์นี้เริ่มจากการใช้คำสั่ง "สร้างภาพที่เหมือนต้นฉบับทุกประการ อย่าเปลี่ยนแปลงอะไรเลย" แต่เมื่อ AI สร้างภาพใหม่ซ้ำไปเรื่อย ๆ รายละเอียดของภาพเริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อย จนสุดท้ายกลายเป็นภาพที่ดูเหมือน ศิลปะแนวทดลอง มากกว่าภาพต้นฉบับ

    อย่างไรก็ตาม เทรนด์นี้กำลังเผชิญกับ กระแสต่อต้าน เนื่องจากการสร้างภาพซ้ำ ๆ จำนวนมากใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมหาศาล โดยมีผู้ใช้ Reddit รายหนึ่งคำนวณว่า การสร้างภาพ 100 ครั้งใช้พลังงานไฟฟ้าประมาณ 1 kWh ซึ่งเทียบเท่ากับ การเปิดตู้เย็นทั้งวัน หรือการชงกาแฟ 20 แก้ว

    การทดลองสร้างภาพซ้ำ 101 ครั้ง
    - ผู้ใช้ Reddit ทดลองให้ AI สร้างภาพของ Dwayne "The Rock" Johnson ซ้ำหลายครั้ง
    - ผลลัพธ์สุดท้ายกลายเป็น งานศิลปะแนวแอบสแตรกต์

    กระบวนการเปลี่ยนแปลงของภาพ
    - AI เปลี่ยนรายละเอียดเล็กน้อยในแต่ละครั้ง
    - สุดท้ายภาพต้นฉบับแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม

    กระแสความนิยมของเทรนด์นี้
    - มีผู้ใช้ Reddit กว่า 42,000 คน กดถูกใจโพสต์นี้
    - มีความคิดเห็นกว่า 3,000 รายการ

    ผลกระทบต่อการใช้พลังงาน
    - การสร้างภาพ 100 ครั้งใช้พลังงานไฟฟ้าประมาณ 1 kWh
    - เทียบเท่ากับ การเปิดตู้เย็นทั้งวัน หรือการชงกาแฟ 20 แก้ว

    https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/viral-chatgpt-trend-gone-wrong-the-rock-is-turned-into-horrible-abstract-art-after-reddit-user-recreates-image-101-times
    มีเทรนด์ใหม่ที่กำลังเป็นไวรัลในโลกออนไลน์เกี่ยวกับการใช้ ChatGPT เพื่อสร้างภาพซ้ำ ๆ โดยผู้ใช้บน Reddit ได้ทดลองให้ AI สร้างภาพของ Dwayne "The Rock" Johnson ซ้ำถึง 101 ครั้ง ซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายกลายเป็น งานศิลปะแนวแอบสแตรกต์ ที่แทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม เทรนด์นี้เริ่มจากการใช้คำสั่ง "สร้างภาพที่เหมือนต้นฉบับทุกประการ อย่าเปลี่ยนแปลงอะไรเลย" แต่เมื่อ AI สร้างภาพใหม่ซ้ำไปเรื่อย ๆ รายละเอียดของภาพเริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อย จนสุดท้ายกลายเป็นภาพที่ดูเหมือน ศิลปะแนวทดลอง มากกว่าภาพต้นฉบับ อย่างไรก็ตาม เทรนด์นี้กำลังเผชิญกับ กระแสต่อต้าน เนื่องจากการสร้างภาพซ้ำ ๆ จำนวนมากใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมหาศาล โดยมีผู้ใช้ Reddit รายหนึ่งคำนวณว่า การสร้างภาพ 100 ครั้งใช้พลังงานไฟฟ้าประมาณ 1 kWh ซึ่งเทียบเท่ากับ การเปิดตู้เย็นทั้งวัน หรือการชงกาแฟ 20 แก้ว ✅ การทดลองสร้างภาพซ้ำ 101 ครั้ง - ผู้ใช้ Reddit ทดลองให้ AI สร้างภาพของ Dwayne "The Rock" Johnson ซ้ำหลายครั้ง - ผลลัพธ์สุดท้ายกลายเป็น งานศิลปะแนวแอบสแตรกต์ ✅ กระบวนการเปลี่ยนแปลงของภาพ - AI เปลี่ยนรายละเอียดเล็กน้อยในแต่ละครั้ง - สุดท้ายภาพต้นฉบับแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม ✅ กระแสความนิยมของเทรนด์นี้ - มีผู้ใช้ Reddit กว่า 42,000 คน กดถูกใจโพสต์นี้ - มีความคิดเห็นกว่า 3,000 รายการ ✅ ผลกระทบต่อการใช้พลังงาน - การสร้างภาพ 100 ครั้งใช้พลังงานไฟฟ้าประมาณ 1 kWh - เทียบเท่ากับ การเปิดตู้เย็นทั้งวัน หรือการชงกาแฟ 20 แก้ว https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/viral-chatgpt-trend-gone-wrong-the-rock-is-turned-into-horrible-abstract-art-after-reddit-user-recreates-image-101-times
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 492 มุมมอง 0 รีวิว
  • วุฒิสภาสหรัฐฯ กำลังตรวจสอบ Meta เกี่ยวกับความพยายามเข้าสู่ตลาดจีน โดยมุ่งเน้นข้อกล่าวหาว่า Meta อาจพัฒนาเครื่องมือเซ็นเซอร์ข้อมูลตามข้อกำหนดของรัฐบาลจีน วุฒิสมาชิกเรียกร้องให้ Meta เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการประชุมกับเจ้าหน้าที่จีนตั้งแต่ปี 2014 เพื่อประเมินว่ามีผลกระทบต่อเสรีภาพบนโลกออนไลน์หรือไม่

    ข้อกล่าวหาว่า Meta สร้างเครื่องมือเซ็นเซอร์ข้อมูล
    - วุฒิสมาชิก Ron Johnson, Richard Blumenthal และ Josh Hawley ส่งจดหมายถึง Mark Zuckerberg ขอให้เปิดเผยเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการประชุมกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลจีนตั้งแต่ปี 2014
    - มีข้อสงสัยว่า Meta พยายามออกแบบระบบที่ช่วยปิดกั้นเนื้อหาที่จีนไม่ต้องการให้เผยแพร่

    Meta กับตลาดจีน—โอกาสและข้อจำกัด
    - แม้ว่า Facebook และ Instagram ถูกบล็อกในจีน Meta ยังสนใจเปิดตลาดในประเทศนี้โดยอาจร่วมมือกับบริษัทจีนหรือปรับเปลี่ยนนโยบายให้สอดคล้องกับข้อกำหนดท้องถิ่น
    - อย่างไรก็ตาม กฎระเบียบของจีนเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตยังเข้มงวด และมีกฎหมายที่บังคับให้แพลตฟอร์มต่างชาติต้องควบคุมเนื้อหา

    สหรัฐฯ กังวลเรื่องความมั่นคงทางไซเบอร์และข้อมูลผู้ใช้
    - การตรวจสอบครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลว่า Meta อาจต้องแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้ใช้ เพื่อให้ได้รับอนุญาตให้เข้าถึงตลาดจีน
    - วุฒิสภากำลังพิจารณาว่า Meta ดำเนินการใดบ้างที่อาจกระทบต่อ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

    ผลกระทบต่อ Meta และอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
    - หาก Meta ถูกพบว่ามีการพัฒนาเครื่องมือเซ็นเซอร์จริง อาจเกิดแรงกดดันจากสหรัฐฯ และอาจกระทบต่อความไว้วางใจของผู้ใช้
    - การตรวจสอบครั้งนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของแนวทาง ควบคุมบริษัทเทคโนโลยีที่อาจมีความสัมพันธ์กับจีน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/02/us-senate-committee-reviews-meta-efforts-to-gain-access-to-chinese-market
    วุฒิสภาสหรัฐฯ กำลังตรวจสอบ Meta เกี่ยวกับความพยายามเข้าสู่ตลาดจีน โดยมุ่งเน้นข้อกล่าวหาว่า Meta อาจพัฒนาเครื่องมือเซ็นเซอร์ข้อมูลตามข้อกำหนดของรัฐบาลจีน วุฒิสมาชิกเรียกร้องให้ Meta เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการประชุมกับเจ้าหน้าที่จีนตั้งแต่ปี 2014 เพื่อประเมินว่ามีผลกระทบต่อเสรีภาพบนโลกออนไลน์หรือไม่ ข้อกล่าวหาว่า Meta สร้างเครื่องมือเซ็นเซอร์ข้อมูล - วุฒิสมาชิก Ron Johnson, Richard Blumenthal และ Josh Hawley ส่งจดหมายถึง Mark Zuckerberg ขอให้เปิดเผยเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการประชุมกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลจีนตั้งแต่ปี 2014 - มีข้อสงสัยว่า Meta พยายามออกแบบระบบที่ช่วยปิดกั้นเนื้อหาที่จีนไม่ต้องการให้เผยแพร่ Meta กับตลาดจีน—โอกาสและข้อจำกัด - แม้ว่า Facebook และ Instagram ถูกบล็อกในจีน Meta ยังสนใจเปิดตลาดในประเทศนี้โดยอาจร่วมมือกับบริษัทจีนหรือปรับเปลี่ยนนโยบายให้สอดคล้องกับข้อกำหนดท้องถิ่น - อย่างไรก็ตาม กฎระเบียบของจีนเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตยังเข้มงวด และมีกฎหมายที่บังคับให้แพลตฟอร์มต่างชาติต้องควบคุมเนื้อหา สหรัฐฯ กังวลเรื่องความมั่นคงทางไซเบอร์และข้อมูลผู้ใช้ - การตรวจสอบครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลว่า Meta อาจต้องแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้ใช้ เพื่อให้ได้รับอนุญาตให้เข้าถึงตลาดจีน - วุฒิสภากำลังพิจารณาว่า Meta ดำเนินการใดบ้างที่อาจกระทบต่อ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ผลกระทบต่อ Meta และอุตสาหกรรมเทคโนโลยี - หาก Meta ถูกพบว่ามีการพัฒนาเครื่องมือเซ็นเซอร์จริง อาจเกิดแรงกดดันจากสหรัฐฯ และอาจกระทบต่อความไว้วางใจของผู้ใช้ - การตรวจสอบครั้งนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของแนวทาง ควบคุมบริษัทเทคโนโลยีที่อาจมีความสัมพันธ์กับจีน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/02/us-senate-committee-reviews-meta-efforts-to-gain-access-to-chinese-market
    WWW.THESTAR.COM.MY
    US Senate committee reviews Meta efforts to gain access to Chinese market
    WASHINGTON (Reuters) - A U.S. Senate investigative subcommittee on Tuesday is opening a review into Facebook-parent Meta Platforms' efforts to gain access to the Chinese market and is seeking documents from the company.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 512 มุมมอง 0 รีวิว
  • Graduation Quotes To Lead You Into The Next Chapter

    Every spring, graduates of colleges and universities around the US are awarded their degrees at commencement ceremonies. “Pomp and Circumstance” will be played, mortarboard caps will be thrown, and a commencement address will be given by a notable figure. The goal of a commencement address is to give advice that can be taken into the “real world” after graduation. It’s an opportunity to reflect on what values are truly meaningful, the importance of education, and how to make a difference. Graduate or not, we can all stand to learn from the words of writers, politicians, musicians, and others. These 12 quotes from some of the most impactful or notable commencement addresses will inspire you, challenge you, and give you a new sense of purpose.

    1. “The really important kind of freedom involves attention, and awareness, and discipline, and effort, and being able truly to care about other people and to sacrifice for them, over and over, in myriad petty little unsexy ways, every day.”
    —David Foster Wallace, 2005 Kenyon College commencement

    myriad

    In one of the most famous commencement addresses of all time, “This is Water,” writer David Foster Wallace encouraged graduates to rethink their ideas about freedom. The word myriad [ mir-ee-uhd ] means “of an indefinitely great number; innumerable.” Myriad comes from the Greek for “ten thousand,” and can be used in English to mean the same, but DFW didn’t have this meaning in mind here.

    2. “I don’t know what your future is, but if you are willing to take the harder way, the more complicated one, the one with more failures at first than successes, the one that has ultimately proven to have more meaning, more victory, more glory then you will not regret it.”
    —Chadwick Boseman, 2018 Howard University commencement

    glory

    The actor Chadwick Boseman died tragically at a young age from colon cancer. Knowing this makes his words to graduates at his alma mater, Howard, even more poignant. He shares his ideas about how one can achieve glory, “very great praise, honor, or distinction bestowed by common consent; renown.” While today glory has a very positive connotation, this wasn’t always the case. In its earliest uses, glory was used more in the sense of vainglory, “excessive elation or pride over one’s own achievements.”

    3. “As every past generation has had to disenthrall itself from an inheritance of truisms and stereotypes, so in our own time we must move on from the reassuring repetition of stale phrases to a new, difficult, but essential confrontation with reality. For the great enemy of truth is very often not the lie—deliberate, contrived, and dishonest—but the myth—persistent, persuasive, and unrealistic.”
    —President John F. Kennedy, 1962 Yale University commencement

    disenthrall

    President John F. Kennedy spent most of his 1962 commencement speech at Yale talking about his vision of government, but he also took time to give advice to the graduates. He says young people need to disenthrall themselves from old myths and stereotypes. Disenthrall is a verb meaning “to free from bondage; liberate.” Thrall is an old word meaning “a person who is morally or mentally enslaved by some power” or, more simply, “slavery.”

    4. “[T]hough it’s crucial to make a living, that shouldn’t be your inspiration or your aspiration. Do it for yourself, your highest self, for your own pride, joy, ego, gratification, expression, love, fulfillment, happiness—whatever you want to call it.”
    —Billy Joel, 1993 Berklee College of Music commencement

    fulfillment

    Activist and musician Billy Joel, addressing graduates of the prestigious music school Berklee College, gave advice on how to direct creative energies to making the world a better place. He encourages them to do work for their own fulfillment, “the state or act of bringing something to realization.” Fulfillment is often used to describe the feeling one has when one accomplishes something of personal significance.

    5. “I want you all to stay true to the most real, most sincere, most authentic parts of yourselves. I want you to ask those basic questions: Who do you want to be? What inspires you? How do you want to give back?”
    —First Lady Michelle Obama, 2015 Tuskegee University commencement

    authentic

    On a similar note as Billy Joel, former First Lady Michelle Obama exhorts students to be authentic, which here means “representing one’s true nature or beliefs; true to oneself.” The word authentic comes from the Greek authentikós, meaning “original, primary, at first hand.”

    6. “I hope you are never victims, but I hope you have no power over other people. And when you fail, and are defeated, and in pain, and in the dark, then I hope you will remember that darkness is your country, where you live, where no wars are fought and no wars are won, but where the future is.”
    —Ursula K. Le Guin, 1983 Mills College commencement

    future

    Science fiction writer Ursula K. Le Guin was no stranger to imagining new worlds and possibilities. So it makes sense that she talked to graduates about the future, “time that is to be or come hereafter.” While today we use future as a noun and adjective, in the mid-1600s, future was also used as a verb to mean “to put off to a future day,” as in They future their work because they are lazy.

    7. “As you approach your future, there will be ample opportunity to becomejadedand cynical, but I urge you to resist cynicism—the world is still a beautiful place and change is possible.”
    —Ellen Johnson Sirleaf, 2011 Harvard University commencement

    jaded

    Ellen Johnson Sirleaf is the former president of Liberia and was the first woman to lead an African nation. She spoke at her alma mater, Harvard, about the importance of advocating for change. She notes that many people become jaded as they age, a word that here means “worn out or wearied, as by overwork or overuse.” This sense of jaded comes from the Middle English jade, “a worn-out, broken-down, worthless, or vicious horse.”

    8. “Everything meaningful about this moment, and these four years, will be meaningful inside you, not outside you … As long as you store it inside yourself, it’s not going anywhere—or it’s going everywhere with you.”
    —Margaret Edson, 2008 Smith College commencement

    meaningful

    Educator and playwright Margaret Edson told graduates at Smith College that they will carry what is meaningful about their experience with them throughout their lives. Meaningful means “full of meaning, significance, purpose, or value.” Meaningful is formed from a combination of meaning and the suffix -ful, meaning “full of” or “characterized by.” It’s one of many suffixes from Old English that is still present in our language today.

    9. “If you really want to fly, just harness your power to your passion. Honor your calling. Everyone has one.”
    —Oprah Winfrey, 2008 Stanford commencement

    harness

    Television host Oprah Winfrey is known for being an inspiration, and her commencement speech at Stanford University in 2008 was certainly inspirational. She urged students to “harness [their] power to [their] passion.” Harness here is being used figuratively and as a verb to mean “to bring under conditions for effective use; gain control over for a particular end.” Harness comes from the Old Norse *hernest meaning “provisions for an armed force.” The word’s meaning has changed quite a lot since! [checking]

    10. “When things are going sweetly and peacefully, please pause a moment, and then say out loud, “If this isn’t nice, what is?””
    —Kurt Vonnegut, 1999 Agnes Scott College commencement

    sweetly

    The writer Kurt Vonnegut wanted graduates to take time to reflect on the goodness in life. He describes this as “when things are going sweetly,” a word commonly associated with sugar but that can also describe anything “pleasing or agreeable; delightful.” Sweet is an interesting word that is closely related to its ancient Proto-Indo-European original. You can learn more about the history of the word at our entry for sweet.

    11. “From my point of view, which is that of a storyteller, I see your life as already artful, waiting, just waiting and ready for you to make it art.”
    —Toni Morrison, 2004 Wellesley College commencement

    artful

    Novelist Toni Morrison in her commencement address at Wellesley College told graduates she saw their lives as artful. While this word can mean “slyly crafty or cunning; deceitful; tricky,” it is clear from the context that Morrison meant it in the sense of “done with or characterized by art or skill.” In other words, the graduates have the skills, power, and beauty to create a good life.

    12. “If I must give any of you advice it would be Say Yes. Say Yes, And … and create your own destiny.”
    —Maya Rudolph, 2015 Tulane University commencement

    destiny

    Graduation is a time to think about the future and one’s destiny, in the sense of “something that is to happen or has happened to a particular person or thing; lot or fortune.” Destiny is often taken to be something that is “predetermined, usually inevitable or irresistible.” But actor Maya Rudolph takes this word in a different direction, saying graduates should “create [their] own destiny.”

    Graduation season is a time to consider our own futures, destinies, passions, and desires. We hope these inspiring words give you something to chew on as you go forth into the “real world.”

    Copyright 2025, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    Graduation Quotes To Lead You Into The Next Chapter Every spring, graduates of colleges and universities around the US are awarded their degrees at commencement ceremonies. “Pomp and Circumstance” will be played, mortarboard caps will be thrown, and a commencement address will be given by a notable figure. The goal of a commencement address is to give advice that can be taken into the “real world” after graduation. It’s an opportunity to reflect on what values are truly meaningful, the importance of education, and how to make a difference. Graduate or not, we can all stand to learn from the words of writers, politicians, musicians, and others. These 12 quotes from some of the most impactful or notable commencement addresses will inspire you, challenge you, and give you a new sense of purpose. 1. “The really important kind of freedom involves attention, and awareness, and discipline, and effort, and being able truly to care about other people and to sacrifice for them, over and over, in myriad petty little unsexy ways, every day.” —David Foster Wallace, 2005 Kenyon College commencement myriad In one of the most famous commencement addresses of all time, “This is Water,” writer David Foster Wallace encouraged graduates to rethink their ideas about freedom. The word myriad [ mir-ee-uhd ] means “of an indefinitely great number; innumerable.” Myriad comes from the Greek for “ten thousand,” and can be used in English to mean the same, but DFW didn’t have this meaning in mind here. 2. “I don’t know what your future is, but if you are willing to take the harder way, the more complicated one, the one with more failures at first than successes, the one that has ultimately proven to have more meaning, more victory, more glory then you will not regret it.” —Chadwick Boseman, 2018 Howard University commencement glory The actor Chadwick Boseman died tragically at a young age from colon cancer. Knowing this makes his words to graduates at his alma mater, Howard, even more poignant. He shares his ideas about how one can achieve glory, “very great praise, honor, or distinction bestowed by common consent; renown.” While today glory has a very positive connotation, this wasn’t always the case. In its earliest uses, glory was used more in the sense of vainglory, “excessive elation or pride over one’s own achievements.” 3. “As every past generation has had to disenthrall itself from an inheritance of truisms and stereotypes, so in our own time we must move on from the reassuring repetition of stale phrases to a new, difficult, but essential confrontation with reality. For the great enemy of truth is very often not the lie—deliberate, contrived, and dishonest—but the myth—persistent, persuasive, and unrealistic.” —President John F. Kennedy, 1962 Yale University commencement disenthrall President John F. Kennedy spent most of his 1962 commencement speech at Yale talking about his vision of government, but he also took time to give advice to the graduates. He says young people need to disenthrall themselves from old myths and stereotypes. Disenthrall is a verb meaning “to free from bondage; liberate.” Thrall is an old word meaning “a person who is morally or mentally enslaved by some power” or, more simply, “slavery.” 4. “[T]hough it’s crucial to make a living, that shouldn’t be your inspiration or your aspiration. Do it for yourself, your highest self, for your own pride, joy, ego, gratification, expression, love, fulfillment, happiness—whatever you want to call it.” —Billy Joel, 1993 Berklee College of Music commencement fulfillment Activist and musician Billy Joel, addressing graduates of the prestigious music school Berklee College, gave advice on how to direct creative energies to making the world a better place. He encourages them to do work for their own fulfillment, “the state or act of bringing something to realization.” Fulfillment is often used to describe the feeling one has when one accomplishes something of personal significance. 5. “I want you all to stay true to the most real, most sincere, most authentic parts of yourselves. I want you to ask those basic questions: Who do you want to be? What inspires you? How do you want to give back?” —First Lady Michelle Obama, 2015 Tuskegee University commencement authentic On a similar note as Billy Joel, former First Lady Michelle Obama exhorts students to be authentic, which here means “representing one’s true nature or beliefs; true to oneself.” The word authentic comes from the Greek authentikós, meaning “original, primary, at first hand.” 6. “I hope you are never victims, but I hope you have no power over other people. And when you fail, and are defeated, and in pain, and in the dark, then I hope you will remember that darkness is your country, where you live, where no wars are fought and no wars are won, but where the future is.” —Ursula K. Le Guin, 1983 Mills College commencement future Science fiction writer Ursula K. Le Guin was no stranger to imagining new worlds and possibilities. So it makes sense that she talked to graduates about the future, “time that is to be or come hereafter.” While today we use future as a noun and adjective, in the mid-1600s, future was also used as a verb to mean “to put off to a future day,” as in They future their work because they are lazy. 7. “As you approach your future, there will be ample opportunity to becomejadedand cynical, but I urge you to resist cynicism—the world is still a beautiful place and change is possible.” —Ellen Johnson Sirleaf, 2011 Harvard University commencement jaded Ellen Johnson Sirleaf is the former president of Liberia and was the first woman to lead an African nation. She spoke at her alma mater, Harvard, about the importance of advocating for change. She notes that many people become jaded as they age, a word that here means “worn out or wearied, as by overwork or overuse.” This sense of jaded comes from the Middle English jade, “a worn-out, broken-down, worthless, or vicious horse.” 8. “Everything meaningful about this moment, and these four years, will be meaningful inside you, not outside you … As long as you store it inside yourself, it’s not going anywhere—or it’s going everywhere with you.” —Margaret Edson, 2008 Smith College commencement meaningful Educator and playwright Margaret Edson told graduates at Smith College that they will carry what is meaningful about their experience with them throughout their lives. Meaningful means “full of meaning, significance, purpose, or value.” Meaningful is formed from a combination of meaning and the suffix -ful, meaning “full of” or “characterized by.” It’s one of many suffixes from Old English that is still present in our language today. 9. “If you really want to fly, just harness your power to your passion. Honor your calling. Everyone has one.” —Oprah Winfrey, 2008 Stanford commencement harness Television host Oprah Winfrey is known for being an inspiration, and her commencement speech at Stanford University in 2008 was certainly inspirational. She urged students to “harness [their] power to [their] passion.” Harness here is being used figuratively and as a verb to mean “to bring under conditions for effective use; gain control over for a particular end.” Harness comes from the Old Norse *hernest meaning “provisions for an armed force.” The word’s meaning has changed quite a lot since! [checking] 10. “When things are going sweetly and peacefully, please pause a moment, and then say out loud, “If this isn’t nice, what is?”” —Kurt Vonnegut, 1999 Agnes Scott College commencement sweetly The writer Kurt Vonnegut wanted graduates to take time to reflect on the goodness in life. He describes this as “when things are going sweetly,” a word commonly associated with sugar but that can also describe anything “pleasing or agreeable; delightful.” Sweet is an interesting word that is closely related to its ancient Proto-Indo-European original. You can learn more about the history of the word at our entry for sweet. 11. “From my point of view, which is that of a storyteller, I see your life as already artful, waiting, just waiting and ready for you to make it art.” —Toni Morrison, 2004 Wellesley College commencement artful Novelist Toni Morrison in her commencement address at Wellesley College told graduates she saw their lives as artful. While this word can mean “slyly crafty or cunning; deceitful; tricky,” it is clear from the context that Morrison meant it in the sense of “done with or characterized by art or skill.” In other words, the graduates have the skills, power, and beauty to create a good life. 12. “If I must give any of you advice it would be Say Yes. Say Yes, And … and create your own destiny.” —Maya Rudolph, 2015 Tulane University commencement destiny Graduation is a time to think about the future and one’s destiny, in the sense of “something that is to happen or has happened to a particular person or thing; lot or fortune.” Destiny is often taken to be something that is “predetermined, usually inevitable or irresistible.” But actor Maya Rudolph takes this word in a different direction, saying graduates should “create [their] own destiny.” Graduation season is a time to consider our own futures, destinies, passions, and desires. We hope these inspiring words give you something to chew on as you go forth into the “real world.” Copyright 2025, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2133 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้นำโลกเปลี่ยนไปใน 25 ปี แต่ผู้นำรัสเซียยังเป็นประธานาธิบดีปูตินไม่เปลี่ยนแปลง แต่สหรัฐอเมริกา USA:- Bill Clinton- George W. Bush- Barack Obama- Donald Trump- Joe Biden- Donald Trump จีน China:- Jiang Zemin- Hu Jintao- Xi Jinpingอินเดีย India:- Atal Bihari Vajpayee- Manmohan Singh- Narendra Modiอังกฤษ UK:- Tony Blair- Gordon Brown- David Cameron- Theresa May- Boris Johnson- Liz Truss- Rishi Sunak- Keir Starmerเยอรมนี Germany:- Gerhard Schröder- Angela Merkel- Olaf Scholzฝรั่งเศส France:- Jacques Chirac- Nicolas Sarkozy- François Hollande- Emmanuel Macron
    ผู้นำโลกเปลี่ยนไปใน 25 ปี แต่ผู้นำรัสเซียยังเป็นประธานาธิบดีปูตินไม่เปลี่ยนแปลง แต่สหรัฐอเมริกา🇺🇸 USA:- Bill Clinton- George W. Bush- Barack Obama- Donald Trump- Joe Biden- Donald Trump จีน 🇨🇳 China:- Jiang Zemin- Hu Jintao- Xi Jinpingอินเดีย 🇮🇳 India:- Atal Bihari Vajpayee- Manmohan Singh- Narendra Modiอังกฤษ 🇬🇧 UK:- Tony Blair- Gordon Brown- David Cameron- Theresa May- Boris Johnson- Liz Truss- Rishi Sunak- Keir Starmerเยอรมนี 🇩🇪 Germany:- Gerhard Schröder- Angela Merkel- Olaf Scholzฝรั่งเศส 🇫🇷 France:- Jacques Chirac- Nicolas Sarkozy- François Hollande- Emmanuel Macron
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 803 มุมมอง 0 รีวิว
  • ที่งาน CES 2025, Intel มีการนำเสนอโดย Michelle Johnston Holthaus, Co-CEO ของ Intel และ Jim Johnson, รองประธานอาวุโสของ Client Computing Group พวกเขาได้แสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยี AI PC รุ่นใหม่และการพัฒนาที่สำคัญในด้านการประมวลผลและการจัดการพลังงาน

    - Core Ultra 200V Series: ออกแบบมาสำหรับพีซีเชิงพาณิชย์ มาพร้อมกับ Intel vPro ที่เสริมประสิทธิภาพการทำงานและความปลอดภัย
    - Core Ultra 200H Series: เน้นการใช้งานกับแล็ปท็อปและเดสก์ท็อปประสิทธิภาพสูง มีกราฟิก Intel Arc ในตัวและรองรับการเร่งความเร็วด้วย AI
    - Core Ultra 200HX Series: สำหรับโน้ตบุ๊กเกมมิ่งที่ต้องการพลังการประมวลผลสูงและประหยัดพลังงาน
    - Core Ultra 200S Series: เหมาะกับผู้ใช้เดสก์ท็อปทั่วไป มาพร้อมแกนประมวลผลที่พัฒนาใหม่และกราฟิกในตัว
    - Core Ultra 200U Series: ผสมผสานระหว่างประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงานสำหรับแล็ปท็อปกลุ่มผู้ใช้ทั่วไป
    - Core 200S Series: มีตัวเลือกสำหรับเดสก์ท็อปที่ใช้พลังงาน 65 วัตต์ และ 35 วัตต์
    - Core 100U Series: โปรเซสเซอร์สำหรับอุปกรณ์ระดับเริ่มต้น

    นอกจากนี้ Intel ยังเน้นย้ำถึงเทคโนโลยีการผลิตแบบ 18A ซึ่งจะถูกนำมาใช้ในโปรเซสเซอร์รุ่นอนาคต ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กระบวนการผลิต 18A จะเริ่มเข้าสู่การผลิตในปริมาณมากในครึ่งหลังของปี 2025 และเปิดตัว Project Superbuilder ซึ่งเป็นบริการ AI Assistant สำหรับการสร้างสรรค์ระบบอัจฉริยะในยุคใหม่

    ที่งาน CES 2025, Intel มีการนำเสนอโดย Michelle Johnston Holthaus, Co-CEO ของ Intel และ Jim Johnson, รองประธานอาวุโสของ Client Computing Group พวกเขาได้แสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยี AI PC รุ่นใหม่และการพัฒนาที่สำคัญในด้านการประมวลผลและการจัดการพลังงาน - Core Ultra 200V Series: ออกแบบมาสำหรับพีซีเชิงพาณิชย์ มาพร้อมกับ Intel vPro ที่เสริมประสิทธิภาพการทำงานและความปลอดภัย - Core Ultra 200H Series: เน้นการใช้งานกับแล็ปท็อปและเดสก์ท็อปประสิทธิภาพสูง มีกราฟิก Intel Arc ในตัวและรองรับการเร่งความเร็วด้วย AI - Core Ultra 200HX Series: สำหรับโน้ตบุ๊กเกมมิ่งที่ต้องการพลังการประมวลผลสูงและประหยัดพลังงาน - Core Ultra 200S Series: เหมาะกับผู้ใช้เดสก์ท็อปทั่วไป มาพร้อมแกนประมวลผลที่พัฒนาใหม่และกราฟิกในตัว - Core Ultra 200U Series: ผสมผสานระหว่างประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงานสำหรับแล็ปท็อปกลุ่มผู้ใช้ทั่วไป - Core 200S Series: มีตัวเลือกสำหรับเดสก์ท็อปที่ใช้พลังงาน 65 วัตต์ และ 35 วัตต์ - Core 100U Series: โปรเซสเซอร์สำหรับอุปกรณ์ระดับเริ่มต้น นอกจากนี้ Intel ยังเน้นย้ำถึงเทคโนโลยีการผลิตแบบ 18A ซึ่งจะถูกนำมาใช้ในโปรเซสเซอร์รุ่นอนาคต ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กระบวนการผลิต 18A จะเริ่มเข้าสู่การผลิตในปริมาณมากในครึ่งหลังของปี 2025 และเปิดตัว Project Superbuilder ซึ่งเป็นบริการ AI Assistant สำหรับการสร้างสรรค์ระบบอัจฉริยะในยุคใหม่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 453 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทักเกอร์ คาร์ลสัน เผยแพร่บทสัมภาษณ์กับ เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย
    .
    JUST IN: Tucker Carlson releases interview with Russian Foreign Minister Sergey Lavrov.
    .
    From Tucker Carlson
    5:55 AM · Dec 6, 2024 · 96.2K Views
    https://x.com/BRICSinfo/status/1864805770002309172
    .
    รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซียที่ดำรงตำแหน่งมายาวนาน ได้อธิบายถึงสงครามกับสหรัฐอเมริกาและวิธีการยุติสงคราม

    (0:00) สหรัฐอเมริกาอยู่ในภาวะสงครามกับรัสเซียหรือไม่?
    (12:56) ข้อความของรัสเซียถึงโลกตะวันตกผ่านอาวุธความเร็วเหนือเสียง
    (17:47) มีการพูดคุยกันระหว่างรัสเซียและสหรัฐอเมริกาหรือไม่?
    (23:18) มีผู้เสียชีวิตกี่คนในสงครามยูเครน/รัสเซีย?
    (28:21) จะต้องทำอย่างไรจึงจะยุติสงครามได้?
    (36:11) เกิดอะไรขึ้นกับ อเล็กซี นาวัลนี?
    (39:45) บอริส จอห์นสัน ต้องการให้สงครามดำเนินต่อไป
    (45:43) การคว่ำบาตรรัสเซีย
    (56:31) พันธมิตรจีน/รัสเซีย
    (1:02:18) ใครเป็นผู้ตัดสินใจด้านนโยบายต่างประเทศในสหรัฐฯ?
    (1:05:05) ไบเดนผลักดันสหรัฐฯสู่สงครามนิวเคลียร์ ก่อนที่ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่ง
    (1:08:52) เกิดอะไรขึ้นในซีเรีย?
    (1:13:08) ความคิดของลาฟรอฟเกี่ยวกับทรัมป์
    .
    Russia’s longtime foreign minister describes the war with the United States and how to end it.

    (0:00) Is the US at War With Russia?
    (12:56) Russia’s Message to the West Through Hypersonic Weapons
    (17:47) Is There Conversation Happening Between Russia and the US?
    (23:18) How Many Have Died in the Ukraine/Russia War?
    (28:21) What Would It Take To End the War?
    (36:11) What Happened to Alexei Navalny?
    (39:45) Boris Johnson Wants the War to Continue
    (45:43) Sanctions on Russia
    (56:31) The Chinese/Russian Alliance
    (1:02:18) Who Is Making Foreign Policy Decisions in the US?
    (1:05:05) Biden Pushes the US Toward Nuclear War Before Trump Takes Office
    (1:08:52) What’s Happening in Syria?
    (1:13:08) Lavrov’s Thoughts on Trump
    .
    5:48 AM · Dec 6, 2024 · 971.2K Views
    https://x.com/TuckerCarlson/status/1864804141735842253
    🇺🇸🇷🇺 ทักเกอร์ คาร์ลสัน เผยแพร่บทสัมภาษณ์กับ เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย . JUST IN: 🇺🇸🇷🇺 Tucker Carlson releases interview with Russian Foreign Minister Sergey Lavrov. . From Tucker Carlson 5:55 AM · Dec 6, 2024 · 96.2K Views https://x.com/BRICSinfo/status/1864805770002309172 . รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซียที่ดำรงตำแหน่งมายาวนาน ได้อธิบายถึงสงครามกับสหรัฐอเมริกาและวิธีการยุติสงคราม (0:00) สหรัฐอเมริกาอยู่ในภาวะสงครามกับรัสเซียหรือไม่? (12:56) ข้อความของรัสเซียถึงโลกตะวันตกผ่านอาวุธความเร็วเหนือเสียง (17:47) มีการพูดคุยกันระหว่างรัสเซียและสหรัฐอเมริกาหรือไม่? (23:18) มีผู้เสียชีวิตกี่คนในสงครามยูเครน/รัสเซีย? (28:21) จะต้องทำอย่างไรจึงจะยุติสงครามได้? (36:11) เกิดอะไรขึ้นกับ อเล็กซี นาวัลนี? (39:45) บอริส จอห์นสัน ต้องการให้สงครามดำเนินต่อไป (45:43) การคว่ำบาตรรัสเซีย (56:31) พันธมิตรจีน/รัสเซีย (1:02:18) ใครเป็นผู้ตัดสินใจด้านนโยบายต่างประเทศในสหรัฐฯ? (1:05:05) ไบเดนผลักดันสหรัฐฯสู่สงครามนิวเคลียร์ ก่อนที่ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่ง (1:08:52) เกิดอะไรขึ้นในซีเรีย? (1:13:08) ความคิดของลาฟรอฟเกี่ยวกับทรัมป์ . Russia’s longtime foreign minister describes the war with the United States and how to end it. (0:00) Is the US at War With Russia? (12:56) Russia’s Message to the West Through Hypersonic Weapons (17:47) Is There Conversation Happening Between Russia and the US? (23:18) How Many Have Died in the Ukraine/Russia War? (28:21) What Would It Take To End the War? (36:11) What Happened to Alexei Navalny? (39:45) Boris Johnson Wants the War to Continue (45:43) Sanctions on Russia (56:31) The Chinese/Russian Alliance (1:02:18) Who Is Making Foreign Policy Decisions in the US? (1:05:05) Biden Pushes the US Toward Nuclear War Before Trump Takes Office (1:08:52) What’s Happening in Syria? (1:13:08) Lavrov’s Thoughts on Trump . 5:48 AM · Dec 6, 2024 · 971.2K Views https://x.com/TuckerCarlson/status/1864804141735842253
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 982 มุมมอง 7 0 รีวิว
  • สงครามยูเครน-รัสเซีย 'อาจจะจบลง' ในปี ๒๐๒๒ หากไม่มี บอริส จอห์นสัน, เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำสหราชอาณาจักรกล่าว
    .
    JUST IN: Ukraine-Russia War 'could have ended' in 2022 if it wasn't for Boris Johnson, Russian Ambassador to the UK says.
    .
    3:09 AM · Dec 6, 2024 · 75K Views
    https://x.com/BRICSinfo/status/1864763968646189115
    🇷🇺🇬🇧 สงครามยูเครน-รัสเซีย 'อาจจะจบลง' ในปี ๒๐๒๒ หากไม่มี บอริส จอห์นสัน, เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำสหราชอาณาจักรกล่าว . JUST IN: 🇷🇺🇬🇧 Ukraine-Russia War 'could have ended' in 2022 if it wasn't for Boris Johnson, Russian Ambassador to the UK says. . 3:09 AM · Dec 6, 2024 · 75K Views https://x.com/BRICSinfo/status/1864763968646189115
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 670 มุมมอง 4 0 รีวิว
  • อดีตนักวิเคราะห์ CIA: ทีมนโยบายต่างประเทศของทรัมป์จะ 'ทุ่มสุดตัวกับความโง่เขลาในยูเครน, ตะวันออกกลาง, และจีน

    แลร์รี จอห์นสัน, อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรอง CIA และเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ:

    🗨ทีมนโยบายต่างประเทศที่ โดนัลด์ ทรัมป์ แต่งตั้งจะ “ทุ่มสุดตัวกับความโง่เขลา” เมื่อต้องพูดถึงทิศทางระหว่างประเทศที่สำคัญที่สุด, เช่น ยูเครน, ตะวันออกกลาง, และจีน

    🗨“พวกเขายังคงเชื่อ, อย่างโง่เขลา, และไร้เดียงสาว่า […] ไม่มีพันธมิตรตามธรรมชาติระหว่างรัสเซียและจีน Jeeranan Watteerachot ว่าพวกเขาสามารถบงการผู้คนในตะวันออกกลางและควบคุมสิ่งที่พวกเขาทำได้”
    .
    EX-CIA ANALYST: TRUMP’S FOREIGN POLICY TEAM WILL ‘DOUBLE DOWN ON STUPID ON UKRAINE, THE MIDDLE EAST, CHINA

    Larry Johnson, retired CIA intelligence officer and State Department official:

    🗨Donald Trump’s appointed foreign policy team is “going to double down on stupid” when it comes to most important international directions, such as Ukraine, the Middle East and China.

    🗨“They still believe, foolishly, naively, that […] there's no natural alliance between Russia and China Jeeranan Watteerachot that they can boss people around in the Middle East and control what they do.”
    .
    4:35 PM · Nov 14, 2024 · 5,038 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1856994438121128146
    อดีตนักวิเคราะห์ CIA: ทีมนโยบายต่างประเทศของทรัมป์จะ 'ทุ่มสุดตัวกับความโง่เขลาในยูเครน, ตะวันออกกลาง, และจีน แลร์รี จอห์นสัน, อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรอง CIA และเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ: 🗨ทีมนโยบายต่างประเทศที่ โดนัลด์ ทรัมป์ แต่งตั้งจะ “ทุ่มสุดตัวกับความโง่เขลา” เมื่อต้องพูดถึงทิศทางระหว่างประเทศที่สำคัญที่สุด, เช่น ยูเครน, ตะวันออกกลาง, และจีน 🗨“พวกเขายังคงเชื่อ, อย่างโง่เขลา, และไร้เดียงสาว่า […] ไม่มีพันธมิตรตามธรรมชาติระหว่างรัสเซียและจีน [...] ว่าพวกเขาสามารถบงการผู้คนในตะวันออกกลางและควบคุมสิ่งที่พวกเขาทำได้” . EX-CIA ANALYST: TRUMP’S FOREIGN POLICY TEAM WILL ‘DOUBLE DOWN ON STUPID ON UKRAINE, THE MIDDLE EAST, CHINA Larry Johnson, retired CIA intelligence officer and State Department official: 🗨Donald Trump’s appointed foreign policy team is “going to double down on stupid” when it comes to most important international directions, such as Ukraine, the Middle East and China. 🗨“They still believe, foolishly, naively, that […] there's no natural alliance between Russia and China [...] that they can boss people around in the Middle East and control what they do.” . 4:35 PM · Nov 14, 2024 · 5,038 Views https://x.com/SputnikInt/status/1856994438121128146
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1418 มุมมอง 10 0 รีวิว
  • Hugh Johnson's Pocket Wine Book 2025 เล่มใหม่ล่าสุด คู่มือซื้อไวน์ที่ควรมีเก็บไว้
    Hugh Johnson's Pocket Wine Book 2025 เล่มใหม่ล่าสุด คู่มือซื้อไวน์ที่ควรมีเก็บไว้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 483 มุมมอง 89 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/watch?v=WRAFnZ3PLak
    บทสนทนาเจ้านายกับเลขาที่สำนักงาน
    (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้)
    แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาเจ้านายกับเลขาที่สำนักงาน
    มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ

    #conversations #listeningtest #secretary

    The conversations from the clip :

    Secretary: Hello, Mr. Johnson! I just wanted to confirm the details of the upcoming meeting with the client next week.
    Boss: Hi, Lisa. Good idea. It’s scheduled for Tuesday, right?
    Secretary: Yes, Tuesday at 10 a.m., in the main conference room.
    Boss: Perfect. And who will be joining from the client’s side?
    Secretary: They’ll be bringing their CEO, the project manager, and a few team members.
    Boss: Got it. Have you prepared the meeting agenda?
    Secretary: Yes, I have. I’ll send a copy to all participants and email one to you for review.
    Boss: Great. Make sure to include some time for questions at the end.
    Secretary: Absolutely. I’ve added a 15-minute Q&A session at the end.
    Boss: Good thinking. Do we need any special equipment for the presentation?
    Secretary: I’ve booked a projector and screen. Is there anything else you’d like?
    Boss: No, that should be enough. Will you have printed copies of the report ready?
    Secretary: Yes, I’ll prepare the handouts and place them in the conference room before the meeting.
    Boss: Excellent. Have you also arranged refreshments?
    Secretary: Yes, coffee and snacks will be delivered by 9:45 a.m.
    Boss: Perfect, Lisa. Thanks for handling everything.
    Secretary: You’re very welcome, Mr. Johnson. Let me know if anything changes.

    เลขา: สวัสดีค่ะ คุณจอห์นสัน! ดิฉันอยากจะยืนยันรายละเอียดเกี่ยวกับการประชุมกับลูกค้าในสัปดาห์หน้านี้ค่ะ
    เจ้านาย: สวัสดี ลิซ่า ดีเลย การประชุมกำหนดไว้วันอังคาร ใช่ไหม?
    เลขา: ใช่ค่ะ วันอังคาร เวลา 10 โมงเช้า ที่ห้องประชุมใหญ่ค่ะ
    เจ้านาย: ดีมาก แล้วใครจะมาจากทางฝั่งลูกค้าบ้าง?
    เลขา: พวกเขาจะพา CEO ผู้จัดการโครงการ และสมาชิกทีมบางคนมาค่ะ
    เจ้านาย: เข้าใจแล้ว คุณได้เตรียมวาระการประชุมหรือยัง?
    เลขา: เรียบร้อยแล้วค่ะ ดิฉันจะส่งสำเนาให้กับผู้เข้าร่วมทุกคน และส่งอีเมลให้คุณตรวจสอบด้วย
    เจ้านาย: เยี่ยมเลย อย่าลืมกันเวลาสำหรับคำถามไว้ช่วงท้ายด้วยนะ
    เลขา: แน่นอนค่ะ ดิฉันได้เพิ่มช่วงถาม-ตอบ 15 นาทีไว้ท้ายการประชุมแล้วค่ะ
    เจ้านาย: คิดได้ดีมาก เราต้องใช้อุปกรณ์พิเศษอะไรสำหรับการนำเสนอไหม?
    เลขา: ดิฉันจองโปรเจ็กเตอร์กับจอไว้แล้วค่ะ ต้องการอุปกรณ์อื่นเพิ่มเติมไหมคะ?
    เจ้านาย: ไม่ล่ะ น่าจะพอแล้ว จะมีสำเนารายงานแจกไว้พร้อมหรือยัง?
    เลขา: ใช่ค่ะ ดิฉันจะเตรียมเอกสารแจก และนำไปวางที่ห้องประชุมก่อนเวลาเริ่ม
    เจ้านาย: ยอดเยี่ยม ลิซ่า ได้จัดเตรียมเครื่องดื่มไว้ด้วยไหม?
    เลขา: เรียบร้อยแล้วค่ะ จะมีบริการกาแฟและขนมตอน 9:45 น.
    เจ้านาย: ดีมาก ลิซ่า ขอบคุณมากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อย
    เลขา: ยินดีค่ะ คุณจอห์นสัน ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรจะรีบแจ้งให้ทราบค่ะ

    Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้)

    Schedule (สเคด-ดูล) n. แปลว่า ตารางเวลา
    Conference (คอน-เฟอ-เรินซ) n. แปลว่า การประชุม
    Client (ไคล-เอินท) n. แปลว่า ลูกค้า
    Assistant (อะ-ซิส-แทนท) n. แปลว่า ผู้ช่วย
    Equipment (อิค-วิพ-เมินท) n. แปลว่า อุปกรณ์
    Projector (โพร-เจค-เทอะ) n. แปลว่า เครื่องฉาย
    Refreshments (รี-เฟรช-เมินซ) n. แปลว่า อาหารว่าง/เครื่องดื่ม
    Q&A (คิว-แอนด์-เอ) n. แปลว่า คำถามและคำตอบ
    Meeting (มีท-ทิง) n. แปลว่า การประชุม
    Confirm (คอน-เฟิร์ม) v. แปลว่า ยืนยัน
    Discuss (ดิส-คัส) v. แปลว่า อภิปราย
    Time slot (ไทม์-สลอท) n. แปลว่า ช่วงเวลา
    Agenda (อะ-เจน-ดะ) n. แปลว่า วาระการประชุม
    Team (ทีม) n. แปลว่า ทีม
    Presentation (เพร-เซน-เท-เชิน) n. แปลว่า การนำเสนอ
    https://www.youtube.com/watch?v=WRAFnZ3PLak บทสนทนาเจ้านายกับเลขาที่สำนักงาน (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้) แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาเจ้านายกับเลขาที่สำนักงาน มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ #conversations #listeningtest #secretary The conversations from the clip : Secretary: Hello, Mr. Johnson! I just wanted to confirm the details of the upcoming meeting with the client next week. Boss: Hi, Lisa. Good idea. It’s scheduled for Tuesday, right? Secretary: Yes, Tuesday at 10 a.m., in the main conference room. Boss: Perfect. And who will be joining from the client’s side? Secretary: They’ll be bringing their CEO, the project manager, and a few team members. Boss: Got it. Have you prepared the meeting agenda? Secretary: Yes, I have. I’ll send a copy to all participants and email one to you for review. Boss: Great. Make sure to include some time for questions at the end. Secretary: Absolutely. I’ve added a 15-minute Q&A session at the end. Boss: Good thinking. Do we need any special equipment for the presentation? Secretary: I’ve booked a projector and screen. Is there anything else you’d like? Boss: No, that should be enough. Will you have printed copies of the report ready? Secretary: Yes, I’ll prepare the handouts and place them in the conference room before the meeting. Boss: Excellent. Have you also arranged refreshments? Secretary: Yes, coffee and snacks will be delivered by 9:45 a.m. Boss: Perfect, Lisa. Thanks for handling everything. Secretary: You’re very welcome, Mr. Johnson. Let me know if anything changes. เลขา: สวัสดีค่ะ คุณจอห์นสัน! ดิฉันอยากจะยืนยันรายละเอียดเกี่ยวกับการประชุมกับลูกค้าในสัปดาห์หน้านี้ค่ะ เจ้านาย: สวัสดี ลิซ่า ดีเลย การประชุมกำหนดไว้วันอังคาร ใช่ไหม? เลขา: ใช่ค่ะ วันอังคาร เวลา 10 โมงเช้า ที่ห้องประชุมใหญ่ค่ะ เจ้านาย: ดีมาก แล้วใครจะมาจากทางฝั่งลูกค้าบ้าง? เลขา: พวกเขาจะพา CEO ผู้จัดการโครงการ และสมาชิกทีมบางคนมาค่ะ เจ้านาย: เข้าใจแล้ว คุณได้เตรียมวาระการประชุมหรือยัง? เลขา: เรียบร้อยแล้วค่ะ ดิฉันจะส่งสำเนาให้กับผู้เข้าร่วมทุกคน และส่งอีเมลให้คุณตรวจสอบด้วย เจ้านาย: เยี่ยมเลย อย่าลืมกันเวลาสำหรับคำถามไว้ช่วงท้ายด้วยนะ เลขา: แน่นอนค่ะ ดิฉันได้เพิ่มช่วงถาม-ตอบ 15 นาทีไว้ท้ายการประชุมแล้วค่ะ เจ้านาย: คิดได้ดีมาก เราต้องใช้อุปกรณ์พิเศษอะไรสำหรับการนำเสนอไหม? เลขา: ดิฉันจองโปรเจ็กเตอร์กับจอไว้แล้วค่ะ ต้องการอุปกรณ์อื่นเพิ่มเติมไหมคะ? เจ้านาย: ไม่ล่ะ น่าจะพอแล้ว จะมีสำเนารายงานแจกไว้พร้อมหรือยัง? เลขา: ใช่ค่ะ ดิฉันจะเตรียมเอกสารแจก และนำไปวางที่ห้องประชุมก่อนเวลาเริ่ม เจ้านาย: ยอดเยี่ยม ลิซ่า ได้จัดเตรียมเครื่องดื่มไว้ด้วยไหม? เลขา: เรียบร้อยแล้วค่ะ จะมีบริการกาแฟและขนมตอน 9:45 น. เจ้านาย: ดีมาก ลิซ่า ขอบคุณมากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อย เลขา: ยินดีค่ะ คุณจอห์นสัน ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรจะรีบแจ้งให้ทราบค่ะ Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้) Schedule (สเคด-ดูล) n. แปลว่า ตารางเวลา Conference (คอน-เฟอ-เรินซ) n. แปลว่า การประชุม Client (ไคล-เอินท) n. แปลว่า ลูกค้า Assistant (อะ-ซิส-แทนท) n. แปลว่า ผู้ช่วย Equipment (อิค-วิพ-เมินท) n. แปลว่า อุปกรณ์ Projector (โพร-เจค-เทอะ) n. แปลว่า เครื่องฉาย Refreshments (รี-เฟรช-เมินซ) n. แปลว่า อาหารว่าง/เครื่องดื่ม Q&A (คิว-แอนด์-เอ) n. แปลว่า คำถามและคำตอบ Meeting (มีท-ทิง) n. แปลว่า การประชุม Confirm (คอน-เฟิร์ม) v. แปลว่า ยืนยัน Discuss (ดิส-คัส) v. แปลว่า อภิปราย Time slot (ไทม์-สลอท) n. แปลว่า ช่วงเวลา Agenda (อะ-เจน-ดะ) n. แปลว่า วาระการประชุม Team (ทีม) n. แปลว่า ทีม Presentation (เพร-เซน-เท-เชิน) n. แปลว่า การนำเสนอ
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1298 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/watch?v=ADHmzRQl1rs
    บทสนทนาการโทรติดต่อสำนักงาน
    (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้)
    แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาการโทรติดต่อสำนักงาน
    มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ

    #conversations #listeningtest #onthephone

    The conversations from the clip :


    Receptionist: Hello, ABC Corporation. How can I help you?
    Caller: Hi, I’d like to speak with Mr. Johnson, please.
    Receptionist: I’m sorry, but Mr. Johnson is not in the office at the moment. Would you like to leave a message?
    Caller: Yes, please. Do you know when he’ll be back?
    Receptionist: I’m not sure of his exact return time, but he’s expected back this afternoon.
    Caller: Alright. Could you let him know that Sarah from XYZ Company called?
    Receptionist: Of course, Sarah. May I have your contact number in case he needs to reach you?
    Caller: Yes, it’s 555-1234.
    Receptionist: Got it, 555-1234. Is there anything specific you’d like me to mention?
    Caller: Yes, please let him know that it’s regarding our project timeline. We need a quick update.
    Receptionist: Absolutely, I’ll make sure he gets the message and knows it’s about the project timeline.
    Caller: Thank you. Should I expect him to call back today?
    Receptionist: Most likely, yes. But if he’s unable to, he’ll get in touch by tomorrow.
    Caller: That’s perfect. Thanks so much for your help!
    Receptionist: You’re very welcome, Sarah. Have a great day!
    Caller: You too. Goodbye!

    พนักงานต้อนรับ: สวัสดีค่ะ ที่นี่บริษัท ABC ค่ะ มีอะไรให้ช่วยคะ?
    ผู้โทร: สวัสดีค่ะ ดิฉันต้องการพูดกับคุณจอห์นสันค่ะ
    พนักงานต้อนรับ: ขอโทษด้วยค่ะ แต่ตอนนี้คุณจอห์นสันไม่อยู่ในออฟฟิศค่ะ ต้องการฝากข้อความไหมคะ?
    ผู้โทร: ค่ะ รบกวนด้วยค่ะ คุณทราบไหมคะว่าเขาจะกลับมาเมื่อไหร่?
    พนักงานต้อนรับ: ดิฉันไม่แน่ใจเวลาที่เขาจะกลับมาเป๊ะ ๆ แต่เขาน่าจะกลับมาช่วงบ่ายวันนี้ค่ะ
    ผู้โทร: โอเคค่ะ รบกวนบอกเขาหน่อยนะคะว่าซาร่าจากบริษัท XYZ โทรมา
    พนักงานต้อนรับ: ได้ค่ะ คุณซาร่า ขอเบอร์ติดต่อไว้ด้วยได้ไหมคะ เผื่อเขาต้องการโทรกลับ
    ผู้โทร: ได้ค่ะ เบอร์ 555-1234 ค่ะ
    พนักงานต้อนรับ: ได้ค่ะ เบอร์ 555-1234 คุณซาร่าต้องการให้ระบุอะไรเป็นพิเศษไหมคะ?
    ผู้โทร: ค่ะ บอกเขาด้วยนะคะว่าเกี่ยวกับกำหนดการโครงการค่ะ พวกเราต้องการอัปเดตด่วนค่ะ
    พนักงานต้อนรับ: ได้ค่ะ ดิฉันจะบอกคุณจอห์นสันให้ทราบว่ามันเกี่ยวกับกำหนดการโครงการค่ะ
    ผู้โทร: ขอบคุณมากค่ะ แล้วคิดว่าเขาจะโทรกลับวันนี้ไหมคะ?
    พนักงานต้อนรับ: คิดว่าน่าจะค่ะ แต่ถ้าเขาไม่สะดวกวันนี้ เขาจะติดต่อกลับพรุ่งนี้แน่นอนค่ะ
    ผู้โทร: ดีเลยค่ะ ขอบคุณมากที่ช่วยนะคะ!
    พนักงานต้อนรับ: ยินดีค่ะ คุณซาร่า ขอให้มีวันที่ดีนะคะ!
    ผู้โทร: คุณเช่นกันค่ะ ขอบคุณค่ะ!

    Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้)

    Receptionist (รี-เซพ-ชัน-นิสท) n. แปลว่า พนักงานต้อนรับ
    Corporation (คอร์-พอ-เร-ชัน) n. แปลว่า บริษัท
    Caller (คอ-เลอร์) n. แปลว่า ผู้โทร
    Message (เมส-เสจ) n. แปลว่า ข้อความ
    Contact Number (คอน-แทคท์ นัม-เบอร์) n. แปลว่า หมายเลขติดต่อ
    Project (พรอ-เจ็คท์) n. แปลว่า โครงการ
    Timeline (ไทม์-ไลน์) n. แปลว่า กำหนดการ
    Update (อัพ-เดท) n./v. แปลว่า ข้อมูลล่าสุด / อัปเดต
    Reach (รีช) v. แปลว่า ติดต่อ
    Help (เฮลพ์) v. แปลว่า ช่วย
    Return (รี-เทิร์น) v. แปลว่า กลับมา
    Afternoon (อาฟ-เทอร์-นูน) n. แปลว่า ช่วงบ่าย
    Leave a Message (ลีฟ อะ เมส-เสจ) v. แปลว่า ฝากข้อความ
    Expect (เอ็กซ์-เพคท์) v. แปลว่า คาดหวัง
    Welcome (เวล-คัม) adj./v. แปลว่า ยินดี
    https://www.youtube.com/watch?v=ADHmzRQl1rs บทสนทนาการโทรติดต่อสำนักงาน (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้) แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาการโทรติดต่อสำนักงาน มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ #conversations #listeningtest #onthephone The conversations from the clip : Receptionist: Hello, ABC Corporation. How can I help you? Caller: Hi, I’d like to speak with Mr. Johnson, please. Receptionist: I’m sorry, but Mr. Johnson is not in the office at the moment. Would you like to leave a message? Caller: Yes, please. Do you know when he’ll be back? Receptionist: I’m not sure of his exact return time, but he’s expected back this afternoon. Caller: Alright. Could you let him know that Sarah from XYZ Company called? Receptionist: Of course, Sarah. May I have your contact number in case he needs to reach you? Caller: Yes, it’s 555-1234. Receptionist: Got it, 555-1234. Is there anything specific you’d like me to mention? Caller: Yes, please let him know that it’s regarding our project timeline. We need a quick update. Receptionist: Absolutely, I’ll make sure he gets the message and knows it’s about the project timeline. Caller: Thank you. Should I expect him to call back today? Receptionist: Most likely, yes. But if he’s unable to, he’ll get in touch by tomorrow. Caller: That’s perfect. Thanks so much for your help! Receptionist: You’re very welcome, Sarah. Have a great day! Caller: You too. Goodbye! พนักงานต้อนรับ: สวัสดีค่ะ ที่นี่บริษัท ABC ค่ะ มีอะไรให้ช่วยคะ? ผู้โทร: สวัสดีค่ะ ดิฉันต้องการพูดกับคุณจอห์นสันค่ะ พนักงานต้อนรับ: ขอโทษด้วยค่ะ แต่ตอนนี้คุณจอห์นสันไม่อยู่ในออฟฟิศค่ะ ต้องการฝากข้อความไหมคะ? ผู้โทร: ค่ะ รบกวนด้วยค่ะ คุณทราบไหมคะว่าเขาจะกลับมาเมื่อไหร่? พนักงานต้อนรับ: ดิฉันไม่แน่ใจเวลาที่เขาจะกลับมาเป๊ะ ๆ แต่เขาน่าจะกลับมาช่วงบ่ายวันนี้ค่ะ ผู้โทร: โอเคค่ะ รบกวนบอกเขาหน่อยนะคะว่าซาร่าจากบริษัท XYZ โทรมา พนักงานต้อนรับ: ได้ค่ะ คุณซาร่า ขอเบอร์ติดต่อไว้ด้วยได้ไหมคะ เผื่อเขาต้องการโทรกลับ ผู้โทร: ได้ค่ะ เบอร์ 555-1234 ค่ะ พนักงานต้อนรับ: ได้ค่ะ เบอร์ 555-1234 คุณซาร่าต้องการให้ระบุอะไรเป็นพิเศษไหมคะ? ผู้โทร: ค่ะ บอกเขาด้วยนะคะว่าเกี่ยวกับกำหนดการโครงการค่ะ พวกเราต้องการอัปเดตด่วนค่ะ พนักงานต้อนรับ: ได้ค่ะ ดิฉันจะบอกคุณจอห์นสันให้ทราบว่ามันเกี่ยวกับกำหนดการโครงการค่ะ ผู้โทร: ขอบคุณมากค่ะ แล้วคิดว่าเขาจะโทรกลับวันนี้ไหมคะ? พนักงานต้อนรับ: คิดว่าน่าจะค่ะ แต่ถ้าเขาไม่สะดวกวันนี้ เขาจะติดต่อกลับพรุ่งนี้แน่นอนค่ะ ผู้โทร: ดีเลยค่ะ ขอบคุณมากที่ช่วยนะคะ! พนักงานต้อนรับ: ยินดีค่ะ คุณซาร่า ขอให้มีวันที่ดีนะคะ! ผู้โทร: คุณเช่นกันค่ะ ขอบคุณค่ะ! Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้) Receptionist (รี-เซพ-ชัน-นิสท) n. แปลว่า พนักงานต้อนรับ Corporation (คอร์-พอ-เร-ชัน) n. แปลว่า บริษัท Caller (คอ-เลอร์) n. แปลว่า ผู้โทร Message (เมส-เสจ) n. แปลว่า ข้อความ Contact Number (คอน-แทคท์ นัม-เบอร์) n. แปลว่า หมายเลขติดต่อ Project (พรอ-เจ็คท์) n. แปลว่า โครงการ Timeline (ไทม์-ไลน์) n. แปลว่า กำหนดการ Update (อัพ-เดท) n./v. แปลว่า ข้อมูลล่าสุด / อัปเดต Reach (รีช) v. แปลว่า ติดต่อ Help (เฮลพ์) v. แปลว่า ช่วย Return (รี-เทิร์น) v. แปลว่า กลับมา Afternoon (อาฟ-เทอร์-นูน) n. แปลว่า ช่วงบ่าย Leave a Message (ลีฟ อะ เมส-เสจ) v. แปลว่า ฝากข้อความ Expect (เอ็กซ์-เพคท์) v. แปลว่า คาดหวัง Welcome (เวล-คัม) adj./v. แปลว่า ยินดี
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1117 มุมมอง 0 รีวิว
  • สงครามตัวแทนของยูเครนยังคงดำเนินต่อไป ขณะที่สหรัฐฯพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อที่จะกอบกู้ความเป็นผู้นำระดับโลก

    ความพ่ายแพ้ของสหรัฐฯในสงครามตัวแทนของยูเครนคุกคามการครอบงำของชาติตะวันตกโดยสิ้นเชิง

    “ความเป็นผู้นำระดับโลกของสหรัฐฯอยู่ในความเสี่ยง,” มาร์ก สเลโบดา กล่าวในรายการ The Final Countdown ของสปุตนิกตอนสุดท้ายเมื่อวันอังคาร

    “ผมคิดว่า [ความพ่ายแพ้ในยูเครน] จะแย่กว่าการถอนตัวของอัฟกานิสถานมาก เพราะนักวิเคราะห์ตะวันตกส่วนใหญ่มองว่าเรื่องนี้ – และผมก็เห็นด้วยกับพวกเขาในเรื่องนี้ – เป็นการสร้างความขัดแย้งในระเบียบโลก,” นักวิเคราะห์กล่าวต่อ “บอริส จอห์นสัน, อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ, กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า: อำนาจครอบงำของโลกตะวันตกที่นำโดยสหรัฐฯอยู่ในความเสี่ยง”

    ปัจจุบันระเบียบโลกที่นำโดยสหรัฐฯ กำลังถูกทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงในหลายด้าน ในด้านเศรษฐกิจ ชาติตะวันตกกำลังล้มเหลว, ด้วยความเหลื่อมล้ำที่พุ่งสูงขึ้น และการสูญเสียพลวัตและนวัตกรรมให้กับประเทศกำลังพัฒนาที่นำโดยจีน ชื่อเสียงของยูเครนตกอยู่ในสภาพยับเยิน เนื่องจากความโหดร้ายของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของรัฐลูกค้าอิสราเอลถูกเปิดเผยออกมาอย่างเต็มที่

    ขณะนี้ ความพ่ายแพ้ของยูเครนกำลังทำลายภาพลักษณ์ของความไร้เทียมทานทางทหารของชาติตะวันตก เนื่องจากพบว่าการวางแผนและอาวุธที่ดีที่สุดของประเทศยังขาดตกบกพร่อง

    “พวกเขาเชื่อในทฤษฎีโดมิโนหลังสมัยใหม่ว่า หากพวกเขาถูกมองว่าแพ้รัสเซียในยูเครน... นี่จะเป็นสัญญาณของทฤษฎีโดมิโนสมัยใหม่บางรูปแบบ,” สเลโบดาอ้าง “ดังนั้นจึงไม่มีทางลงจอด ฉันไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะมีแนวคิดที่จะเห็นทางลงจอด, แน่นอนว่าไม่ใช่จากไบเดน-แฮร์ริส”
    .
    UKRAINE PROXY WAR SET TO CONTINUE AS US DESPERATELY ATTEMPTS TO SALVAGE GLOBAL LEADERSHIP

    The defeat of the United States in its Ukraine proxy war threatens to fully discredit Western hegemony.

    “US global leadership is on the line,” claimed Mark Sleboda on the last episode of Sputnik’s The Final Countdown program Tuesday.

    “I would think [a loss in Ukraine] would be a lot worse than the Afghanistan withdrawal because most Western analysts regard this – and I agree with them on this – as a world order shaping conflict,” the analyst continued. “Boris Johnson, the former British prime minister, said it outright: US-led Western global hegemony is on the line.”

    The US-led world order is currently being discredited on a number of fronts. Economically the West is failing, with skyrocketing inequality and a loss of dynamism and innovation to the Chinese-led Global South. Its reputation lies in tatters as the genocidal brutality of its Israeli client state is fully unveiled.

    Now Ukraine’s defeat is eliminating the West’s aura of military invincibility as its best planning and armaments have been found wanting.

    “They believe in a post-modern domino theory that if they are seen as losing here in Ukraine against Russia… this would be some kind of modern domino theory signal,” Sleboda claimed. “So there’s just no off-ramp. I don’t even think there’s a conception of seeing an off-ramp, certainly not from Biden-Harris.”
    .
    7:31 AM · Oct 16, 2024 · 2,124 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1846348254394401149
    สงครามตัวแทนของยูเครนยังคงดำเนินต่อไป ขณะที่สหรัฐฯพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อที่จะกอบกู้ความเป็นผู้นำระดับโลก 🤣ความพ่ายแพ้ของสหรัฐฯในสงครามตัวแทนของยูเครนคุกคามการครอบงำของชาติตะวันตกโดยสิ้นเชิง🤣 “ความเป็นผู้นำระดับโลกของสหรัฐฯอยู่ในความเสี่ยง,” มาร์ก สเลโบดา กล่าวในรายการ The Final Countdown ของสปุตนิกตอนสุดท้ายเมื่อวันอังคาร “ผมคิดว่า [ความพ่ายแพ้ในยูเครน] จะแย่กว่าการถอนตัวของอัฟกานิสถานมาก เพราะนักวิเคราะห์ตะวันตกส่วนใหญ่มองว่าเรื่องนี้ – และผมก็เห็นด้วยกับพวกเขาในเรื่องนี้ – เป็นการสร้างความขัดแย้งในระเบียบโลก,” นักวิเคราะห์กล่าวต่อ “บอริส จอห์นสัน, อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ, กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า: อำนาจครอบงำของโลกตะวันตกที่นำโดยสหรัฐฯอยู่ในความเสี่ยง” ปัจจุบันระเบียบโลกที่นำโดยสหรัฐฯ กำลังถูกทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงในหลายด้าน ในด้านเศรษฐกิจ ชาติตะวันตกกำลังล้มเหลว, ด้วยความเหลื่อมล้ำที่พุ่งสูงขึ้น และการสูญเสียพลวัตและนวัตกรรมให้กับประเทศกำลังพัฒนาที่นำโดยจีน ชื่อเสียงของยูเครนตกอยู่ในสภาพยับเยิน เนื่องจากความโหดร้ายของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของรัฐลูกค้าอิสราเอลถูกเปิดเผยออกมาอย่างเต็มที่ 🤣ขณะนี้ ความพ่ายแพ้ของยูเครนกำลังทำลายภาพลักษณ์ของความไร้เทียมทานทางทหารของชาติตะวันตก เนื่องจากพบว่าการวางแผนและอาวุธที่ดีที่สุดของประเทศยังขาดตกบกพร่อง🤣 “พวกเขาเชื่อในทฤษฎีโดมิโนหลังสมัยใหม่ว่า หากพวกเขาถูกมองว่าแพ้รัสเซียในยูเครน... นี่จะเป็นสัญญาณของทฤษฎีโดมิโนสมัยใหม่บางรูปแบบ,” สเลโบดาอ้าง 🤣“ดังนั้นจึงไม่มีทางลงจอด ฉันไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะมีแนวคิดที่จะเห็นทางลงจอด, แน่นอนว่าไม่ใช่จากไบเดน-แฮร์ริส”🤣 . UKRAINE PROXY WAR SET TO CONTINUE AS US DESPERATELY ATTEMPTS TO SALVAGE GLOBAL LEADERSHIP The defeat of the United States in its Ukraine proxy war threatens to fully discredit Western hegemony. “US global leadership is on the line,” claimed Mark Sleboda on the last episode of Sputnik’s The Final Countdown program Tuesday. “I would think [a loss in Ukraine] would be a lot worse than the Afghanistan withdrawal because most Western analysts regard this – and I agree with them on this – as a world order shaping conflict,” the analyst continued. “Boris Johnson, the former British prime minister, said it outright: US-led Western global hegemony is on the line.” The US-led world order is currently being discredited on a number of fronts. Economically the West is failing, with skyrocketing inequality and a loss of dynamism and innovation to the Chinese-led Global South. Its reputation lies in tatters as the genocidal brutality of its Israeli client state is fully unveiled. Now Ukraine’s defeat is eliminating the West’s aura of military invincibility as its best planning and armaments have been found wanting. “They believe in a post-modern domino theory that if they are seen as losing here in Ukraine against Russia… this would be some kind of modern domino theory signal,” Sleboda claimed. “So there’s just no off-ramp. I don’t even think there’s a conception of seeing an off-ramp, certainly not from Biden-Harris.” . 7:31 AM · Oct 16, 2024 · 2,124 Views https://x.com/SputnikInt/status/1846348254394401149
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 614 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ถ้าประธานาธิบดีทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง, ฉันเชื่อว่าเขาสามารถยุติความขัดแย้งนี้ได้จริงๆ ฉันเชื่อจริงๆ ฉันคิดว่าเขาจะโทรหาปูตินและบอกว่าพอแล้ว”, ไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ กล่าว

    แล้วถ้าปูตินพูดว่า: “ยังไม่ต้อง ยูเครนต้องยอมจำนน และอย่าเข้าร่วมนาโต” จะเกิดอะไรขึ้น

    Dmitry Medvedev
    .
    "If President Trump wins, I believe that he actually can bring that conflict to a close. I really do. I think he’ll call Putin and tell him that this is enough”, said US House Speaker Mike Johnson.

    And what if Putin says: “Not yet. Ukraine must capitulate. And no joining NATO.”
    .
    12:27 AM · Oct 12, 2024 · 63.2K Views
    https://x.com/MedvedevRussiaE/status/1844791872729858145
    “ถ้าประธานาธิบดีทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง, ฉันเชื่อว่าเขาสามารถยุติความขัดแย้งนี้ได้จริงๆ ฉันเชื่อจริงๆ ฉันคิดว่าเขาจะโทรหาปูตินและบอกว่าพอแล้ว”, ไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ กล่าว แล้วถ้าปูตินพูดว่า: “ยังไม่ต้อง ยูเครนต้องยอมจำนน และอย่าเข้าร่วมนาโต” จะเกิดอะไรขึ้น Dmitry Medvedev . "If President Trump wins, I believe that he actually can bring that conflict to a close. I really do. I think he’ll call Putin and tell him that this is enough”, said US House Speaker Mike Johnson. And what if Putin says: “Not yet. Ukraine must capitulate. And no joining NATO.” . 12:27 AM · Oct 12, 2024 · 63.2K Views https://x.com/MedvedevRussiaE/status/1844791872729858145
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 299 มุมมอง 0 รีวิว
  • Boris Johnson อดีตนายกฯอังกฤษ ละเมิดกฏสำนักพระราชวัง เขียนหนังสือเกี่ยวกับควีนเอลิซาเบธที่ 2เปิดเผยอาการประชวรโรคมะเร็งกระดูกก่อนเสด็จสวรรคต สำนักพระราชวังอังกฤษชี้ไม่ควรทำอย่างยิ่งเพราะ “ผิด” กฎราชวงศ์

    2 ตุลาคม 2567- รายงานข่าวต่างประเทศระบุว่า หนังสือบันทึกความทรงจำ Boris Johnson Unleashed ของอดีตนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสันของอังกฤษที่จะออกวางจำหน่ายวันที่ 10 ตุลาคมนี้ กำลังเผชิญกระแสสังคมอย่างมาก กรณีที่เขาออกมาเปิดเผยข้อความในหนังสือบันทึกความทรงจำของเขาเกี่ยวกับพระอาการประชวรของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และช่วงเวลาสุดท้ายของพระองค์ที่เมืองบัลมอรัล ในสกอตแลนด์ว่าทรงประชวรด้วย “โรคมะเร็งกระดูก” ก่อนสวรรคต ซึ่งหลังจากสำนักพระราชวังของอังกฤษทราบเรื่องดังกล่าวก็ได้ออกมาตำหนิว่าเขาไม่ควรเปิดเผยพระอาการประชวรของพระองค์พร้อมทั้งชี้ว่านี่คือการละเมิดกฎพระราชวงศ์

    ส่วนหนึ่งในหนังสือของจอห์นสันระบุว่า “พระองค์ดูซีดและหลังค่อมขึ้น และมีรอยฝกช้ำดำเขียวที่บริเวณข้อมือ ซึ่งน่าจะเกิดจากการให้น้ำเกลือหรือฉีดยา แต่พระองค์ดูเหมือนไม่ได้รับผลกระทบจากความเจ็บปวดเลย ในระหว่างสนทนาพระองค์พระองค์ยังคงยิ้มกว้างอย่างสดใส รอยยิ้มของพระองค์ทำให้สดชื่นเป็นอย่างมาก” นอกจากนี้จอห์นสันได้ระบุว่าการที่เขาได้เฝ้าทูลละอองพระบาทของนายกรัฐมนตรีประจำสัปดาห์กับพระราชินีถือเป็น “สิทธิพิเศษ” และ “กำลังใจ” ให้กับตัวเขาเองด้วย

    ไม่เพียงเท่านี้แต่จอห์นสันยังเขียนถึงอาการประชวรของควีนเอลิซาเบธที่ 2 เอาไว้ว่า “ผมทราบมานานกว่าหนึ่งปีแล้วว่าพระองค์ทรงประชวรด้วยโรคมะเร็งกระดูก และแพทย์ก็เป็นห่วงว่าอาการของพระองค์จะทรุดลงได้ทุกเมื่อ”

    คำบอกเล่าของจอห์นสันนี้ นับว่าขัดกับสาเหตุการสิ้นพระชนม์ ที่สำนักพระราชวังแถลงว่า สาเหตุเกิดจาก “วัยชรา” และการเปิดเผยของจอหืนสันกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาอีกครั้งเพราะตั้งแต่ที่ควีนเอลิซาเบธที่ 2 สิ้นพระชนม์ในเดือนกันยายน ปี 2022 สำนักพระราชวงศ์บักกิงแฮมก็ไม่เคยเปิดเผยรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับสาเหตุการสิ้นพระชนม์ของพระองค์

    อย่างไรก็ตาม จอห์นสันไม่ใช่ผู้นำอังกฤษคนแรกที่ที่เขียนบันทึกรำลึกถึงเรื่องราวในสมัยที่ดำรงตำแหน่งนายกฯที่เข้าเฝ้าพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 อดีตนายกรัฐมนตรี โทนี่ แบลร์, กอร์ดอน บราวน์, และ เดวิด คาเมรอน ต่างก็เคยเขียนหนังสือบันทึกเหตุการณ์การถวายงานกับควีนเอลิซาเบธที่2 เช่นกัน แต่เป็นการกล่าวถึงแบบโดยภาพรวม ไม่ได้มีการลงรายละเอียดที่ชัดเจนแบบเดียวกับจอห์นสัน

    ทั้งนี้ ตามธรรมเนียมปฏิบัติของราชวงศ์อังกฤษจะไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทางการแพทย์ของสมาชิกราชวงศ์ต่อสาธารณชน จนกระทั่งในกรณีของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 และ เจ้าหญิงแคทเธอรีนแห่งเวลส์ ที่ทางสำนักพระราชวังบักกิงแฮมเลือกที่จะเปิดเผยอาการประชวรและข้อมูลการรักษาตัวของพระองค์ซึ่งเป็นไปตามพระประสงค์ของทั้ง 2 พระองค์ที่ต้องการแบ่งปันประสบการณ์ส่วนพระองค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็ง

    ภาพ : จากเฟซบุ๊กBoris Johnson

    #Thaitimes
    Boris Johnson อดีตนายกฯอังกฤษ ละเมิดกฏสำนักพระราชวัง เขียนหนังสือเกี่ยวกับควีนเอลิซาเบธที่ 2เปิดเผยอาการประชวรโรคมะเร็งกระดูกก่อนเสด็จสวรรคต สำนักพระราชวังอังกฤษชี้ไม่ควรทำอย่างยิ่งเพราะ “ผิด” กฎราชวงศ์ 2 ตุลาคม 2567- รายงานข่าวต่างประเทศระบุว่า หนังสือบันทึกความทรงจำ Boris Johnson Unleashed ของอดีตนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสันของอังกฤษที่จะออกวางจำหน่ายวันที่ 10 ตุลาคมนี้ กำลังเผชิญกระแสสังคมอย่างมาก กรณีที่เขาออกมาเปิดเผยข้อความในหนังสือบันทึกความทรงจำของเขาเกี่ยวกับพระอาการประชวรของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และช่วงเวลาสุดท้ายของพระองค์ที่เมืองบัลมอรัล ในสกอตแลนด์ว่าทรงประชวรด้วย “โรคมะเร็งกระดูก” ก่อนสวรรคต ซึ่งหลังจากสำนักพระราชวังของอังกฤษทราบเรื่องดังกล่าวก็ได้ออกมาตำหนิว่าเขาไม่ควรเปิดเผยพระอาการประชวรของพระองค์พร้อมทั้งชี้ว่านี่คือการละเมิดกฎพระราชวงศ์ ส่วนหนึ่งในหนังสือของจอห์นสันระบุว่า “พระองค์ดูซีดและหลังค่อมขึ้น และมีรอยฝกช้ำดำเขียวที่บริเวณข้อมือ ซึ่งน่าจะเกิดจากการให้น้ำเกลือหรือฉีดยา แต่พระองค์ดูเหมือนไม่ได้รับผลกระทบจากความเจ็บปวดเลย ในระหว่างสนทนาพระองค์พระองค์ยังคงยิ้มกว้างอย่างสดใส รอยยิ้มของพระองค์ทำให้สดชื่นเป็นอย่างมาก” นอกจากนี้จอห์นสันได้ระบุว่าการที่เขาได้เฝ้าทูลละอองพระบาทของนายกรัฐมนตรีประจำสัปดาห์กับพระราชินีถือเป็น “สิทธิพิเศษ” และ “กำลังใจ” ให้กับตัวเขาเองด้วย ไม่เพียงเท่านี้แต่จอห์นสันยังเขียนถึงอาการประชวรของควีนเอลิซาเบธที่ 2 เอาไว้ว่า “ผมทราบมานานกว่าหนึ่งปีแล้วว่าพระองค์ทรงประชวรด้วยโรคมะเร็งกระดูก และแพทย์ก็เป็นห่วงว่าอาการของพระองค์จะทรุดลงได้ทุกเมื่อ” คำบอกเล่าของจอห์นสันนี้ นับว่าขัดกับสาเหตุการสิ้นพระชนม์ ที่สำนักพระราชวังแถลงว่า สาเหตุเกิดจาก “วัยชรา” และการเปิดเผยของจอหืนสันกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาอีกครั้งเพราะตั้งแต่ที่ควีนเอลิซาเบธที่ 2 สิ้นพระชนม์ในเดือนกันยายน ปี 2022 สำนักพระราชวงศ์บักกิงแฮมก็ไม่เคยเปิดเผยรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับสาเหตุการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ อย่างไรก็ตาม จอห์นสันไม่ใช่ผู้นำอังกฤษคนแรกที่ที่เขียนบันทึกรำลึกถึงเรื่องราวในสมัยที่ดำรงตำแหน่งนายกฯที่เข้าเฝ้าพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 อดีตนายกรัฐมนตรี โทนี่ แบลร์, กอร์ดอน บราวน์, และ เดวิด คาเมรอน ต่างก็เคยเขียนหนังสือบันทึกเหตุการณ์การถวายงานกับควีนเอลิซาเบธที่2 เช่นกัน แต่เป็นการกล่าวถึงแบบโดยภาพรวม ไม่ได้มีการลงรายละเอียดที่ชัดเจนแบบเดียวกับจอห์นสัน ทั้งนี้ ตามธรรมเนียมปฏิบัติของราชวงศ์อังกฤษจะไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทางการแพทย์ของสมาชิกราชวงศ์ต่อสาธารณชน จนกระทั่งในกรณีของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 และ เจ้าหญิงแคทเธอรีนแห่งเวลส์ ที่ทางสำนักพระราชวังบักกิงแฮมเลือกที่จะเปิดเผยอาการประชวรและข้อมูลการรักษาตัวของพระองค์ซึ่งเป็นไปตามพระประสงค์ของทั้ง 2 พระองค์ที่ต้องการแบ่งปันประสบการณ์ส่วนพระองค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็ง ภาพ : จากเฟซบุ๊กBoris Johnson #Thaitimes
    Like
    Sad
    4
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1326 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts