• ข่าวใหญ่: “อนาคตไร้รหัสผ่าน…อาจไม่เคยมาถึงจริง”

    ลองจินตนาการโลกที่เราไม่ต้องจำรหัสผ่านอีกต่อไป ใช้เพียงใบหน้า ลายนิ้วมือ หรือกุญแจดิจิทัลในการเข้าถึงทุกระบบ ฟังดูเหมือนฝันที่ใกล้จะเป็นจริง แต่บทความล่าสุดชี้ให้เห็นว่า การเดินทางสู่โลกไร้รหัสผ่านยังเต็มไปด้วยอุปสรรค และอาจไม่สามารถทำได้ครบ 100% ในเร็ววัน

    เล่าเรื่องให้ฟัง
    องค์กรทั่วโลกพยายามผลักดันระบบ “Passwordless Authentication” มานานกว่าทศวรรษ เพราะรหัสผ่านคือจุดอ่อนที่ถูกโจมตีง่ายที่สุด แต่ความจริงคือ หลายระบบเก่า (Legacy Systems) ไม่เคยถูกออกแบบมาให้รองรับอะไรนอกจากรหัสผ่าน ทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องยาก

    แม้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น FIDO2, Passkeys, Biometrics จะช่วยได้มาก แต่ก็ยังมี “พื้นที่ดื้อรหัสผ่าน” ประมาณ 15% ที่ไม่สามารถแทนที่ได้ง่าย เช่น ระบบควบคุมอุตสาหกรรม, IoT, หรือแอปที่เขียนขึ้นเองในองค์กร

    ผู้เชี่ยวชาญบางรายเปรียบเทียบว่า การเปลี่ยนไปใช้ระบบไร้รหัสผ่านก็เหมือนการเดินทางสู่ Zero Trust Model — ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงทันที แต่เป็นการเดินทางหลายปีที่ต้องค่อย ๆ ปรับทีละขั้นตอน

    นอกจากนี้ยังมีประเด็นสำคัญที่หลายคนมองข้าม: แม้ระบบจะไร้รหัสผ่าน แต่ขั้นตอน “การสมัครและกู้คืนบัญชี” มักยังต้องใช้รหัสผ่านหรือ SMS OTP ซึ่งกลายเป็นช่องโหว่ใหม่ที่แฮกเกอร์สามารถเจาะเข้ามาได้

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ อย่าง Microsoft และ Google กำลังผลักดัน Passkeys อย่างจริงจัง โดยใช้การเข้ารหัสคู่กุญแจ (Public/Private Key) ที่ไม่สามารถถูกขโมยได้ง่ายเหมือนรหัสผ่าน
    องค์กรด้านความปลอดภัยไซเบอร์เตือนว่า การใช้ Biometrics เช่น ลายนิ้วมือหรือใบหน้า แม้สะดวก แต่ก็มีความเสี่ยงหากข้อมูลชีวมิติรั่วไหล เพราะไม่สามารถ “เปลี่ยน” เหมือนรหัสผ่านได้
    หลายประเทศเริ่มออกกฎบังคับให้ระบบสำคัญต้องรองรับการยืนยันตัวตนแบบไร้รหัสผ่าน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดการโจมตีแบบ Phishing

    การนำระบบไร้รหัสผ่านมาใช้ยังไม่สมบูรณ์
    องค์กรส่วนใหญ่ทำได้เพียง 75–85% ของระบบทั้งหมด
    ระบบเก่าและ IoT คืออุปสรรคใหญ่

    เทคโนโลยีที่ใช้แทนรหัสผ่าน
    FIDO2, Passkeys, Biometrics (ใบหน้า, ลายนิ้วมือ, ม่านตา)
    แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน

    กลยุทธ์การนำไปใช้
    เริ่มจากผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูง เช่น Admin และวิศวกร
    ใช้ VPN หรือ Reverse Proxy เพื่อเชื่อมระบบเก่าเข้ากับระบบใหม่

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    ขั้นตอนสมัครและกู้คืนบัญชีมักยังใช้รหัสผ่านหรือ OTP ซึ่งเป็นช่องโหว่
    Biometrics หากรั่วไหลไม่สามารถเปลี่ยนใหม่ได้เหมือนรหัสผ่าน
    การมีหลายระบบ Passwordless พร้อมกันอาจสร้างช่องโหว่ใหม่ให้แฮกเกอร์

    https://www.csoonline.com/article/4085426/your-passwordless-future-may-never-fully-arrive.html
    🔐 ข่าวใหญ่: “อนาคตไร้รหัสผ่าน…อาจไม่เคยมาถึงจริง” ลองจินตนาการโลกที่เราไม่ต้องจำรหัสผ่านอีกต่อไป ใช้เพียงใบหน้า ลายนิ้วมือ หรือกุญแจดิจิทัลในการเข้าถึงทุกระบบ ฟังดูเหมือนฝันที่ใกล้จะเป็นจริง แต่บทความล่าสุดชี้ให้เห็นว่า การเดินทางสู่โลกไร้รหัสผ่านยังเต็มไปด้วยอุปสรรค และอาจไม่สามารถทำได้ครบ 100% ในเร็ววัน 📖 เล่าเรื่องให้ฟัง องค์กรทั่วโลกพยายามผลักดันระบบ “Passwordless Authentication” มานานกว่าทศวรรษ เพราะรหัสผ่านคือจุดอ่อนที่ถูกโจมตีง่ายที่สุด แต่ความจริงคือ หลายระบบเก่า (Legacy Systems) ไม่เคยถูกออกแบบมาให้รองรับอะไรนอกจากรหัสผ่าน ทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องยาก แม้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น FIDO2, Passkeys, Biometrics จะช่วยได้มาก แต่ก็ยังมี “พื้นที่ดื้อรหัสผ่าน” ประมาณ 15% ที่ไม่สามารถแทนที่ได้ง่าย เช่น ระบบควบคุมอุตสาหกรรม, IoT, หรือแอปที่เขียนขึ้นเองในองค์กร ผู้เชี่ยวชาญบางรายเปรียบเทียบว่า การเปลี่ยนไปใช้ระบบไร้รหัสผ่านก็เหมือนการเดินทางสู่ Zero Trust Model — ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงทันที แต่เป็นการเดินทางหลายปีที่ต้องค่อย ๆ ปรับทีละขั้นตอน นอกจากนี้ยังมีประเด็นสำคัญที่หลายคนมองข้าม: แม้ระบบจะไร้รหัสผ่าน แต่ขั้นตอน “การสมัครและกู้คืนบัญชี” มักยังต้องใช้รหัสผ่านหรือ SMS OTP ซึ่งกลายเป็นช่องโหว่ใหม่ที่แฮกเกอร์สามารถเจาะเข้ามาได้ 🧩 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 🔰 บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ อย่าง Microsoft และ Google กำลังผลักดัน Passkeys อย่างจริงจัง โดยใช้การเข้ารหัสคู่กุญแจ (Public/Private Key) ที่ไม่สามารถถูกขโมยได้ง่ายเหมือนรหัสผ่าน 🔰 องค์กรด้านความปลอดภัยไซเบอร์เตือนว่า การใช้ Biometrics เช่น ลายนิ้วมือหรือใบหน้า แม้สะดวก แต่ก็มีความเสี่ยงหากข้อมูลชีวมิติรั่วไหล เพราะไม่สามารถ “เปลี่ยน” เหมือนรหัสผ่านได้ 🔰 หลายประเทศเริ่มออกกฎบังคับให้ระบบสำคัญต้องรองรับการยืนยันตัวตนแบบไร้รหัสผ่าน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดการโจมตีแบบ Phishing ✅ การนำระบบไร้รหัสผ่านมาใช้ยังไม่สมบูรณ์ ➡️ องค์กรส่วนใหญ่ทำได้เพียง 75–85% ของระบบทั้งหมด ➡️ ระบบเก่าและ IoT คืออุปสรรคใหญ่ ✅ เทคโนโลยีที่ใช้แทนรหัสผ่าน ➡️ FIDO2, Passkeys, Biometrics (ใบหน้า, ลายนิ้วมือ, ม่านตา) ➡️ แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน ✅ กลยุทธ์การนำไปใช้ ➡️ เริ่มจากผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูง เช่น Admin และวิศวกร ➡️ ใช้ VPN หรือ Reverse Proxy เพื่อเชื่อมระบบเก่าเข้ากับระบบใหม่ ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ ขั้นตอนสมัครและกู้คืนบัญชีมักยังใช้รหัสผ่านหรือ OTP ซึ่งเป็นช่องโหว่ ⛔ Biometrics หากรั่วไหลไม่สามารถเปลี่ยนใหม่ได้เหมือนรหัสผ่าน ⛔ การมีหลายระบบ Passwordless พร้อมกันอาจสร้างช่องโหว่ใหม่ให้แฮกเกอร์ https://www.csoonline.com/article/4085426/your-passwordless-future-may-never-fully-arrive.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Your passwordless future may never fully arrive
    As a concept, passwordless authentication has all but been universally embraced. In practice, though, CISOs find it difficult to deploy — especially that last 15%. Fortunately, creative workarounds are arising.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายกฯ อนุทิน สั่ง กต.-กลาโหม "ประท้วงถึงที่สุด" ปมทหารไทยเหยียบกับระเบิดที่ห้วยตามาเรีย สังเวย ขาที่ 7
    https://www.thai-tai.tv/news/22291/
    .
    #ไทยไท #อนุทิน #ทหารเหยียบกับระเบิด #ห้วยตามาเรีย #ประท้วงIOT #ศรีสะเกษ
    นายกฯ อนุทิน สั่ง กต.-กลาโหม "ประท้วงถึงที่สุด" ปมทหารไทยเหยียบกับระเบิดที่ห้วยตามาเรีย สังเวย ขาที่ 7 https://www.thai-tai.tv/news/22291/ . #ไทยไท #อนุทิน #ทหารเหยียบกับระเบิด #ห้วยตามาเรีย #ประท้วงIOT #ศรีสะเกษ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อนุทิน" สั่ง กลาโหม-กต.ประท้วง เหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด ขณะลาดตระเวนชายแดน ไปยัง IOT กำชับดำเนินการให้ถึงที่สุด สั่งเร่งช่วยเหลือ และรายงานความคืบหน้าต่อเนื่อง

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000107212

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    "อนุทิน" สั่ง กลาโหม-กต.ประท้วง เหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด ขณะลาดตระเวนชายแดน ไปยัง IOT กำชับดำเนินการให้ถึงที่สุด สั่งเร่งช่วยเหลือ และรายงานความคืบหน้าต่อเนื่อง อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000107212 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    Like
    3
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 256 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple เตรียมยกระดับฟีเจอร์ดาวเทียมบน iPhone – ไม่ใช่แค่ SOS แต่รวมถึงการส่งข้อความและบริการใหม่ในอนาคต

    Apple กำลังพัฒนาเทคโนโลยีดาวเทียมบน iPhone ให้ก้าวข้ามการใช้งานฉุกเฉินแบบเดิม โดยมีแผนเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น การส่งข้อความผ่านดาวเทียม และบริการที่อาจเกี่ยวข้องกับการนำทางหรือข้อมูลตำแหน่งแบบเรียลไทม์ในอนาคต

    จาก SOS สู่การสื่อสารเต็มรูปแบบ Apple เปิดตัวฟีเจอร์ “Emergency SOS via Satellite” ตั้งแต่ iPhone 14 ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือในพื้นที่ไม่มีสัญญาณมือถือ โดยใช้เครือข่ายดาวเทียม Globalstar

    ตอนนี้ Apple กำลังขยายขอบเขตของเทคโนโลยีนี้ให้ครอบคลุมการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น เช่น:
    การส่งข้อความผ่านดาวเทียมแบบสองทาง
    การแชร์ตำแหน่งแบบเรียลไทม์
    การรับข้อมูลสภาพอากาศหรือการแจ้งเตือนภัยพิบัติ

    การลงทุนและพันธมิตร Apple ได้ลงทุนกว่า 450 ล้านดอลลาร์ ในโครงสร้างพื้นฐานดาวเทียม โดยเฉพาะกับ Globalstar ซึ่งเป็นพันธมิตรหลักในการให้บริการสัญญาณดาวเทียมสำหรับ iPhone

    อนาคตของการเชื่อมต่อไร้สัญญาณ Apple อาจกำลังวางรากฐานสำหรับบริการที่ไม่ต้องพึ่งเครือข่ายมือถือเลย เช่น:
    การสื่อสารในพื้นที่ห่างไกลหรือกลางทะเล
    การใช้งานในสถานการณ์ฉุกเฉินระดับประเทศ
    การเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT ผ่านดาวเทียม

    https://wccftech.com/apple-moving-beyond-connectivity-to-bring-new-satellite-based-features-to-iphones/
    📡 Apple เตรียมยกระดับฟีเจอร์ดาวเทียมบน iPhone – ไม่ใช่แค่ SOS แต่รวมถึงการส่งข้อความและบริการใหม่ในอนาคต Apple กำลังพัฒนาเทคโนโลยีดาวเทียมบน iPhone ให้ก้าวข้ามการใช้งานฉุกเฉินแบบเดิม โดยมีแผนเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น การส่งข้อความผ่านดาวเทียม และบริการที่อาจเกี่ยวข้องกับการนำทางหรือข้อมูลตำแหน่งแบบเรียลไทม์ในอนาคต ✅ จาก SOS สู่การสื่อสารเต็มรูปแบบ Apple เปิดตัวฟีเจอร์ “Emergency SOS via Satellite” ตั้งแต่ iPhone 14 ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือในพื้นที่ไม่มีสัญญาณมือถือ โดยใช้เครือข่ายดาวเทียม Globalstar ตอนนี้ Apple กำลังขยายขอบเขตของเทคโนโลยีนี้ให้ครอบคลุมการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น เช่น: 🎗️ การส่งข้อความผ่านดาวเทียมแบบสองทาง 🎗️ การแชร์ตำแหน่งแบบเรียลไทม์ 🎗️ การรับข้อมูลสภาพอากาศหรือการแจ้งเตือนภัยพิบัติ ✅ การลงทุนและพันธมิตร Apple ได้ลงทุนกว่า 450 ล้านดอลลาร์ ในโครงสร้างพื้นฐานดาวเทียม โดยเฉพาะกับ Globalstar ซึ่งเป็นพันธมิตรหลักในการให้บริการสัญญาณดาวเทียมสำหรับ iPhone ✅ อนาคตของการเชื่อมต่อไร้สัญญาณ Apple อาจกำลังวางรากฐานสำหรับบริการที่ไม่ต้องพึ่งเครือข่ายมือถือเลย เช่น: 🎗️ การสื่อสารในพื้นที่ห่างไกลหรือกลางทะเล 🎗️ การใช้งานในสถานการณ์ฉุกเฉินระดับประเทศ 🎗️ การเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT ผ่านดาวเทียม https://wccftech.com/apple-moving-beyond-connectivity-to-bring-new-satellite-based-features-to-iphones/
    WCCFTECH.COM
    iPhone's Satellite Connection Is About to Get 5 New Features, And They're Not Just for Emergencies
    Apple is moving beyond equipping its iPhones with satellite connectivity, and plans to introduce five new satellite-based features shortly.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ทะลุขีดจำกัด! DDR5 ทำลายสถิติโลกใหม่ที่ 13,211 MT/s”

    สถิติโลกใหม่! DDR5 ทะลุ 13,211 MT/s ด้วยเมนบอร์ด Z890 AORUS Tachyon ICE โอเวอร์คล็อกเกอร์ AiMax ทำลายสถิติโลก DDR5 ด้วยความเร็ว 13,211 MT/s โดยใช้เมนบอร์ด GIGABYTE Z890 AORUS Tachyon ICE และระบบระบายความร้อนด้วยไนโตรเจนเหลว

    ในเวลาเพียงไม่กี่วันหลังจากสถิติเก่าถูกตั้งไว้ที่ 13,153 MT/s โดยโอเวอร์คล็อกเกอร์ชื่อ Saltycroissant ล่าสุด AiMax ได้ทำลายสถิติอีกครั้งด้วยความเร็ว 13,211 MT/s ซึ่งถือเป็นความเร็วสูงสุดที่ DDR5 เคยทำได้บนแพลตฟอร์มทั่วไป

    การโอเวอร์คล็อกครั้งนี้ใช้เมนบอร์ด GIGABYTE Z890 AORUS Tachyon ICE ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในเมนบอร์ดที่ออกแบบมาเพื่อการโอเวอร์คล็อกหน่วยความจำโดยเฉพาะ โดย AiMax ใช้แรม Patriot Viper Xtreme 5 ขนาด 24GB ร่วมกับ Intel Core Ultra 7 265K และระบบระบายความร้อนด้วย ไนโตรเจนเหลว ทั้ง CPU และ RAM

    แม้ความเร็วจะเพิ่มขึ้นเพียง 58 MT/s จากสถิติก่อนหน้า แต่การรักษาค่า latency ที่ CL68-127-127-127-2 ถือว่าเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่ง เพราะ latency มักจะเพิ่มขึ้นเมื่อความเร็วสูงขึ้น

    การโอเวอร์คล็อกระดับนี้ต้องใช้การตั้งค่าหน่วยความจำแบบ single-channel เพื่อความเสถียร และต้องอาศัยวงจรเมนบอร์ดที่ยอดเยี่ยม รวมถึงคอนโทรลเลอร์หน่วยความจำที่แข็งแกร่ง

    AiMax ทำลายสถิติ DDR5 ที่ 13,211 MT/s
    ใช้เมนบอร์ด GIGABYTE Z890 AORUS Tachyon ICE
    ใช้แรม Patriot Viper Xtreme 5 ขนาด 24GB
    ใช้ CPU Intel Core Ultra 7 265K
    ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยไนโตรเจนเหลว

    ความสำเร็จด้านเทคนิค
    ความเร็วสูงสุดที่ DDR5 เคยทำได้บนแพลตฟอร์มทั่วไป
    latency ยังคงอยู่ที่ CL68-127-127-127-2
    ใช้การตั้งค่าแบบ single-channel เพื่อความเสถียร

    ความโดดเด่นของเมนบอร์ด Z890 AORUS Tachyon ICE
    ได้รับการยอมรับในวงการโอเวอร์คล็อก
    มีวงจรที่ออกแบบมาเพื่อรองรับความเร็วสูง
    มีผู้ใช้หลายรายติดอันดับ Top 10 ด้วยเมนบอร์ดรุ่นนี้

    https://wccftech.com/ddr5-overclocking-world-record-broken-again-13211-mt-s-using-z890-aorus-tachyon-ice/
    🚀 “ทะลุขีดจำกัด! DDR5 ทำลายสถิติโลกใหม่ที่ 13,211 MT/s” สถิติโลกใหม่! DDR5 ทะลุ 13,211 MT/s ด้วยเมนบอร์ด Z890 AORUS Tachyon ICE โอเวอร์คล็อกเกอร์ AiMax ทำลายสถิติโลก DDR5 ด้วยความเร็ว 13,211 MT/s โดยใช้เมนบอร์ด GIGABYTE Z890 AORUS Tachyon ICE และระบบระบายความร้อนด้วยไนโตรเจนเหลว ในเวลาเพียงไม่กี่วันหลังจากสถิติเก่าถูกตั้งไว้ที่ 13,153 MT/s โดยโอเวอร์คล็อกเกอร์ชื่อ Saltycroissant ล่าสุด AiMax ได้ทำลายสถิติอีกครั้งด้วยความเร็ว 13,211 MT/s ซึ่งถือเป็นความเร็วสูงสุดที่ DDR5 เคยทำได้บนแพลตฟอร์มทั่วไป การโอเวอร์คล็อกครั้งนี้ใช้เมนบอร์ด GIGABYTE Z890 AORUS Tachyon ICE ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในเมนบอร์ดที่ออกแบบมาเพื่อการโอเวอร์คล็อกหน่วยความจำโดยเฉพาะ โดย AiMax ใช้แรม Patriot Viper Xtreme 5 ขนาด 24GB ร่วมกับ Intel Core Ultra 7 265K และระบบระบายความร้อนด้วย ไนโตรเจนเหลว ทั้ง CPU และ RAM แม้ความเร็วจะเพิ่มขึ้นเพียง 58 MT/s จากสถิติก่อนหน้า แต่การรักษาค่า latency ที่ CL68-127-127-127-2 ถือว่าเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่ง เพราะ latency มักจะเพิ่มขึ้นเมื่อความเร็วสูงขึ้น การโอเวอร์คล็อกระดับนี้ต้องใช้การตั้งค่าหน่วยความจำแบบ single-channel เพื่อความเสถียร และต้องอาศัยวงจรเมนบอร์ดที่ยอดเยี่ยม รวมถึงคอนโทรลเลอร์หน่วยความจำที่แข็งแกร่ง ✅ AiMax ทำลายสถิติ DDR5 ที่ 13,211 MT/s ➡️ ใช้เมนบอร์ด GIGABYTE Z890 AORUS Tachyon ICE ➡️ ใช้แรม Patriot Viper Xtreme 5 ขนาด 24GB ➡️ ใช้ CPU Intel Core Ultra 7 265K ➡️ ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยไนโตรเจนเหลว ✅ ความสำเร็จด้านเทคนิค ➡️ ความเร็วสูงสุดที่ DDR5 เคยทำได้บนแพลตฟอร์มทั่วไป ➡️ latency ยังคงอยู่ที่ CL68-127-127-127-2 ➡️ ใช้การตั้งค่าแบบ single-channel เพื่อความเสถียร ✅ ความโดดเด่นของเมนบอร์ด Z890 AORUS Tachyon ICE ➡️ ได้รับการยอมรับในวงการโอเวอร์คล็อก ➡️ มีวงจรที่ออกแบบมาเพื่อรองรับความเร็วสูง ➡️ มีผู้ใช้หลายรายติดอันดับ Top 10 ด้วยเมนบอร์ดรุ่นนี้ https://wccftech.com/ddr5-overclocking-world-record-broken-again-13211-mt-s-using-z890-aorus-tachyon-ice/
    WCCFTECH.COM
    DDR5 Overclocking World Record Broken Again; 13211 MT/s Using Z890 AORUS Tachyon ICE
    A new overclocker just made history by reaching a whopping 13211 MT/s using his DDR5 Patriot memory on GIGABYTE Z890 Aorus Tachyon ICE.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แอป Android อันตราย 239 ตัวถูกดาวน์โหลดกว่า 42 ล้านครั้ง – เสี่ยงสูญเงินจากมือถือ!”

    รายงานล่าสุดจาก Zscaler เผยว่าแฮกเกอร์กำลังใช้แอป Android ปลอมที่ดูเหมือนเครื่องมือทำงานทั่วไป เช่น productivity หรือ workflow apps เพื่อเจาะระบบผู้ใช้ผ่านช่องทาง mobile payment โดยไม่เน้นขโมยข้อมูลบัตรเครดิตแบบเดิม แต่ใช้เทคนิคใหม่ เช่น phishing, smishing, และ SIM-swapping เพื่อหลอกให้โอนเงินหรือเข้าถึงบัญชีสำคัญ

    แอปเหล่านี้ถูกดาวน์โหลดรวมกันกว่า 42 ล้านครั้ง บน Google Play โดยมีเป้าหมายหลักคือผู้ใช้ในอินเดีย, สหรัฐฯ และแคนาดา ซึ่งเป็นประเทศที่มีอัตราการโจมตีสูงที่สุด

    ภัยคุกคามที่เปลี่ยนรูปแบบ
    การโจมตีผ่านมือถือเพิ่มขึ้น 67% จากปีที่แล้ว
    Adware กลายเป็นมัลแวร์หลัก คิดเป็น 69% ของการตรวจพบทั้งหมด
    กลุ่ม “Joker” ลดลงเหลือ 23% แต่กลุ่มใหม่อย่าง Anatsa และ Xnotice กำลังเติบโต
    อุปกรณ์ IoT เช่น router และ Android TV box ก็ถูกโจมตีมากขึ้น โดยเฉพาะในอินเดียและบราซิล

    รายงานจาก Zscaler
    พบแอป Android อันตราย 239 ตัวบน Google Play
    ถูกดาวน์โหลดรวมกว่า 42 ล้านครั้ง
    แอปปลอมเป็นเครื่องมือทำงานทั่วไปเพื่อหลอกผู้ใช้

    รูปแบบการโจมตีใหม่
    เน้น mobile payment fraud แทนการขโมยบัตรเครดิต
    ใช้ phishing, smishing, SIM-swapping และ social engineering
    กลุ่มมัลแวร์ใหม่กำลังเติบโต เช่น Anatsa และ Xnotice

    สถานการณ์ในอุตสาหกรรม
    Adware คิดเป็น 69% ของมัลแวร์ทั้งหมด
    กลุ่ม “Joker” ลดลงเหลือ 23%
    อุปกรณ์ IoT เช่น router และ Android TV box ถูกโจมตีมากขึ้น

    ประเทศเป้าหมายหลัก
    อินเดีย: 26% ของการโจมตีมือถือ
    สหรัฐฯ: 15%
    แคนาดา: 14%
    สหรัฐฯ ยังเป็นเป้าหมายหลักใน IoT คิดเป็น 54.1% ของทราฟฟิกมัลแวร์

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Android
    อย่าดาวน์โหลดแอปจากลิงก์ในข้อความ, โซเชียลมีเดีย หรือ job portal
    ตรวจสอบสิทธิ์การเข้าถึงของแอปก่อนติดตั้ง
    เปิด Google Play Protect และสแกนด้วยตนเองเป็นระยะ
    หลีกเลี่ยงการติดตั้งแอปที่ไม่จำเป็น แม้จะดูน่าเชื่อถือ

    https://www.techradar.com/pro/security/watch-out-these-malicious-android-apps-have-been-downloaded-42-million-times-and-could-leave-you-seriously-out-of-pocket
    📱💸 “แอป Android อันตราย 239 ตัวถูกดาวน์โหลดกว่า 42 ล้านครั้ง – เสี่ยงสูญเงินจากมือถือ!” รายงานล่าสุดจาก Zscaler เผยว่าแฮกเกอร์กำลังใช้แอป Android ปลอมที่ดูเหมือนเครื่องมือทำงานทั่วไป เช่น productivity หรือ workflow apps เพื่อเจาะระบบผู้ใช้ผ่านช่องทาง mobile payment โดยไม่เน้นขโมยข้อมูลบัตรเครดิตแบบเดิม แต่ใช้เทคนิคใหม่ เช่น phishing, smishing, และ SIM-swapping เพื่อหลอกให้โอนเงินหรือเข้าถึงบัญชีสำคัญ แอปเหล่านี้ถูกดาวน์โหลดรวมกันกว่า 42 ล้านครั้ง บน Google Play โดยมีเป้าหมายหลักคือผู้ใช้ในอินเดีย, สหรัฐฯ และแคนาดา ซึ่งเป็นประเทศที่มีอัตราการโจมตีสูงที่สุด 🧠 ภัยคุกคามที่เปลี่ยนรูปแบบ 🎗️ การโจมตีผ่านมือถือเพิ่มขึ้น 67% จากปีที่แล้ว 🎗️ Adware กลายเป็นมัลแวร์หลัก คิดเป็น 69% ของการตรวจพบทั้งหมด 🎗️ กลุ่ม “Joker” ลดลงเหลือ 23% แต่กลุ่มใหม่อย่าง Anatsa และ Xnotice กำลังเติบโต 🎗️ อุปกรณ์ IoT เช่น router และ Android TV box ก็ถูกโจมตีมากขึ้น โดยเฉพาะในอินเดียและบราซิล ✅ รายงานจาก Zscaler ➡️ พบแอป Android อันตราย 239 ตัวบน Google Play ➡️ ถูกดาวน์โหลดรวมกว่า 42 ล้านครั้ง ➡️ แอปปลอมเป็นเครื่องมือทำงานทั่วไปเพื่อหลอกผู้ใช้ ✅ รูปแบบการโจมตีใหม่ ➡️ เน้น mobile payment fraud แทนการขโมยบัตรเครดิต ➡️ ใช้ phishing, smishing, SIM-swapping และ social engineering ➡️ กลุ่มมัลแวร์ใหม่กำลังเติบโต เช่น Anatsa และ Xnotice ✅ สถานการณ์ในอุตสาหกรรม ➡️ Adware คิดเป็น 69% ของมัลแวร์ทั้งหมด ➡️ กลุ่ม “Joker” ลดลงเหลือ 23% ➡️ อุปกรณ์ IoT เช่น router และ Android TV box ถูกโจมตีมากขึ้น ✅ ประเทศเป้าหมายหลัก ➡️ อินเดีย: 26% ของการโจมตีมือถือ ➡️ สหรัฐฯ: 15% ➡️ แคนาดา: 14% ➡️ สหรัฐฯ ยังเป็นเป้าหมายหลักใน IoT คิดเป็น 54.1% ของทราฟฟิกมัลแวร์ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Android ⛔ อย่าดาวน์โหลดแอปจากลิงก์ในข้อความ, โซเชียลมีเดีย หรือ job portal ⛔ ตรวจสอบสิทธิ์การเข้าถึงของแอปก่อนติดตั้ง ⛔ เปิด Google Play Protect และสแกนด้วยตนเองเป็นระยะ ⛔ หลีกเลี่ยงการติดตั้งแอปที่ไม่จำเป็น แม้จะดูน่าเชื่อถือ https://www.techradar.com/pro/security/watch-out-these-malicious-android-apps-have-been-downloaded-42-million-times-and-could-leave-you-seriously-out-of-pocket
    WWW.TECHRADAR.COM
    A dangerous rise in Android malware hits critical industries
    Hidden Android threats sweep through millions of devices
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฟังก์ชันคอลใน LLMs: ก้าวกระโดดจากผู้ช่วยพูดคุย สู่เอเจนต์อัจฉริยะที่ลงมือทำได้จริง

    ลองจินตนาการว่า AI ไม่ได้แค่ตอบคำถาม แต่สามารถ “เรียกใช้ฟังก์ชัน” เพื่อดึงข้อมูลจริง ทำงานแทนคุณ หรือจัดการกระบวนการซับซ้อนได้เอง นี่คือพลังของ “Function Calling” ใน LLMs ที่กำลังเปลี่ยนเกมของวงการ AI อย่างแท้จริง!

    ก่อนหน้านี้ LLMs อย่าง GPT หรือ LLaMA ทำได้แค่ “พูดคุย” หรือ “เขียนข้อความ” แต่ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลจริงหรือทำงานจริงได้ เช่น ถ้าคุณถามว่า “ตอนนี้อากาศที่โตเกียวเป็นยังไง” มันก็จะเดา หรือบอกว่าไม่รู้

    แต่ด้วย “Function Calling” โมเดลสามารถเข้าใจว่า “อ๋อ! ต้องเรียกฟังก์ชัน get_weather(“Tokyo”)” แล้วให้โค้ดของคุณไปดึงข้อมูลจริงมาให้มันตอบกลับอย่างชาญฉลาด

    นี่คือการเปลี่ยน LLM จาก “นักพูด” เป็น “นักปฏิบัติ” ที่สามารถ:
    ดึงข้อมูลเรียลไทม์
    เรียก API ภายนอก
    สั่งงาน เช่น ส่งอีเมล จองร้านอาหาร
    ควบคุมอุปกรณ์ IoT
    ประมวลผลข้อมูลหรือคำนวณอย่างแม่นยำ
    วางแผนและจัดการเวิร์กโฟลว์หลายขั้นตอน

    ความสามารถใหม่ของ LLMs
    Function Calling ช่วยให้โมเดลเรียกใช้ฟังก์ชันภายนอกได้
    โมเดลไม่รันฟังก์ชันเอง แต่สร้างคำสั่งให้โค้ดของคุณรันแทน

    ขั้นตอนการทำงานของ Function Calling
    นิยามฟังก์ชันที่โมเดลสามารถเรียกใช้ (ชื่อ, พารามิเตอร์, คำอธิบาย)
    ส่งข้อความผู้ใช้ + รายการฟังก์ชันให้โมเดล
    โมเดลตัดสินใจว่าจะเรียกฟังก์ชันหรือไม่
    โค้ดของคุณรันฟังก์ชันและส่งผลลัพธ์กลับ
    โมเดลตอบกลับด้วยข้อมูลที่ได้

    ตัวอย่างการใช้งานจริง
    ดึงข้อมูลเรียลไทม์ เช่น สภาพอากาศ, ราคาหุ้น, ข่าว
    สอบถามฐานข้อมูล เช่น สถานะคำสั่งซื้อ
    สั่งงาน เช่น สร้างนัดหมาย, ส่งอีเมล
    จัดการเวิร์กโฟลว์หลายขั้นตอน เช่น จองร้านอาหาร
    คำนวณทางการเงิน เช่น ดอกเบี้ย, ภาษี
    เชื่อมต่อ API ภายนอก เช่น ระบบแปลภาษา, ระบบชำระเงิน

    แนวทางการใช้งาน
    ใช้ JSON Schema เพื่อกำหนดฟังก์ชัน
    ตรวจสอบความถูกต้องของพารามิเตอร์ก่อนรัน
    แยกฟังก์ชันให้เล็กและเฉพาะเจาะจง
    ใช้ enum เพื่อจำกัดค่าที่รับได้
    ใส่ระบบยืนยันสิทธิ์ก่อนรันคำสั่งสำคัญ

    โมเดลที่รองรับ Function Calling
    GPT-3.5, GPT-4 จาก OpenAI
    LLaMA 3.1 (โดยเฉพาะรุ่น 70B)
    Mistral, Qwen และโมเดลโอเพ่นซอร์สอื่นที่รองรับ tools

    https://securityonline.info/unlocking-function-calling-in-llms-and-why-its-a-big-deal/
    🧠 ฟังก์ชันคอลใน LLMs: ก้าวกระโดดจากผู้ช่วยพูดคุย สู่เอเจนต์อัจฉริยะที่ลงมือทำได้จริง ลองจินตนาการว่า AI ไม่ได้แค่ตอบคำถาม แต่สามารถ “เรียกใช้ฟังก์ชัน” เพื่อดึงข้อมูลจริง ทำงานแทนคุณ หรือจัดการกระบวนการซับซ้อนได้เอง นี่คือพลังของ “Function Calling” ใน LLMs ที่กำลังเปลี่ยนเกมของวงการ AI อย่างแท้จริง! ก่อนหน้านี้ LLMs อย่าง GPT หรือ LLaMA ทำได้แค่ “พูดคุย” หรือ “เขียนข้อความ” แต่ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลจริงหรือทำงานจริงได้ เช่น ถ้าคุณถามว่า “ตอนนี้อากาศที่โตเกียวเป็นยังไง” มันก็จะเดา หรือบอกว่าไม่รู้ แต่ด้วย “Function Calling” โมเดลสามารถเข้าใจว่า “อ๋อ! ต้องเรียกฟังก์ชัน get_weather(“Tokyo”)” แล้วให้โค้ดของคุณไปดึงข้อมูลจริงมาให้มันตอบกลับอย่างชาญฉลาด นี่คือการเปลี่ยน LLM จาก “นักพูด” เป็น “นักปฏิบัติ” ที่สามารถ: 💠 ดึงข้อมูลเรียลไทม์ 💠 เรียก API ภายนอก 💠 สั่งงาน เช่น ส่งอีเมล จองร้านอาหาร 💠 ควบคุมอุปกรณ์ IoT 💠 ประมวลผลข้อมูลหรือคำนวณอย่างแม่นยำ 💠 วางแผนและจัดการเวิร์กโฟลว์หลายขั้นตอน ✅ ความสามารถใหม่ของ LLMs ➡️ Function Calling ช่วยให้โมเดลเรียกใช้ฟังก์ชันภายนอกได้ ➡️ โมเดลไม่รันฟังก์ชันเอง แต่สร้างคำสั่งให้โค้ดของคุณรันแทน ✅ ขั้นตอนการทำงานของ Function Calling ➡️ นิยามฟังก์ชันที่โมเดลสามารถเรียกใช้ (ชื่อ, พารามิเตอร์, คำอธิบาย) ➡️ ส่งข้อความผู้ใช้ + รายการฟังก์ชันให้โมเดล ➡️ โมเดลตัดสินใจว่าจะเรียกฟังก์ชันหรือไม่ ➡️ โค้ดของคุณรันฟังก์ชันและส่งผลลัพธ์กลับ ➡️ โมเดลตอบกลับด้วยข้อมูลที่ได้ ✅ ตัวอย่างการใช้งานจริง ➡️ ดึงข้อมูลเรียลไทม์ เช่น สภาพอากาศ, ราคาหุ้น, ข่าว ➡️ สอบถามฐานข้อมูล เช่น สถานะคำสั่งซื้อ ➡️ สั่งงาน เช่น สร้างนัดหมาย, ส่งอีเมล ➡️ จัดการเวิร์กโฟลว์หลายขั้นตอน เช่น จองร้านอาหาร ➡️ คำนวณทางการเงิน เช่น ดอกเบี้ย, ภาษี ➡️ เชื่อมต่อ API ภายนอก เช่น ระบบแปลภาษา, ระบบชำระเงิน ✅ แนวทางการใช้งาน ➡️ ใช้ JSON Schema เพื่อกำหนดฟังก์ชัน ➡️ ตรวจสอบความถูกต้องของพารามิเตอร์ก่อนรัน ➡️ แยกฟังก์ชันให้เล็กและเฉพาะเจาะจง ➡️ ใช้ enum เพื่อจำกัดค่าที่รับได้ ➡️ ใส่ระบบยืนยันสิทธิ์ก่อนรันคำสั่งสำคัญ ✅ โมเดลที่รองรับ Function Calling ➡️ GPT-3.5, GPT-4 จาก OpenAI ➡️ LLaMA 3.1 (โดยเฉพาะรุ่น 70B) ➡️ Mistral, Qwen และโมเดลโอเพ่นซอร์สอื่นที่รองรับ tools https://securityonline.info/unlocking-function-calling-in-llms-and-why-its-a-big-deal/
    SECURITYONLINE.INFO
    Unlocking Function Calling in LLMs (And Why It's a Big Deal)
    Large language models can generate impressive text, answer questions, and engage in conversation. But until recently, they existed
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 64 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Solarpunk แอฟริกา – เมื่ออนาคตไม่รอใคร”

    ลองจินตนาการว่าไฟฟ้าไม่เคยมาเยือนบ้านคุณเลยตลอดชีวิต แล้ววันหนึ่งคุณได้แสงสว่างจากแผงโซลาร์ที่ผ่อนได้ผ่านมือถือ… นี่คือเรื่องจริงของผู้คนกว่า 600 ล้านคนในแอฟริกา ที่ไม่ได้รอให้รัฐบาลหรือธนาคารโลกมาสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้ แต่ลุกขึ้นมาสร้างมันเองผ่านโมเดล Solarpunk ที่กำลังเปลี่ยนโลก

    ในขณะที่โลกพัฒนาแล้วกำลังถกเถียงเรื่องพลังงานสะอาด แอฟริกากำลังลงมือทำจริง ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีราคาถูก การเงินดิจิทัล และโมเดลธุรกิจแบบจ่ายรายวัน (PAYG) ที่ทำให้พลังงานแสงอาทิตย์เข้าถึงได้แม้กับคนที่มีรายได้เพียง $2 ต่อวัน

    ในอดีต การขยายสายไฟฟ้าไปยังพื้นที่ชนบทต้องใช้เงินมหาศาลและเวลานานหลายสิบปี แต่วันนี้ บริษัทสตาร์ทอัพในแอฟริกาอย่าง Sun King และ SunCulture กลับสามารถติดตั้งระบบโซลาร์ให้เกษตรกรได้ภายในไม่กี่วัน ด้วยเงินดาวน์เพียง $100 และจ่ายรายวันผ่านมือถือ

    ระบบเหล่านี้มาพร้อม IoT ที่สามารถตัดไฟหากไม่จ่าย และเปิดไฟเมื่อชำระเงิน ทำให้เกิดวินัยทางการเงิน และอัตราการชำระหนี้สูงถึง 90% ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศที่มีระบบธนาคารเต็มรูปแบบเสียอีก

    ที่น่าทึ่งคือ โมเดลนี้ไม่เพียงให้แสงสว่าง แต่ยังเปลี่ยนชีวิต:
    เกษตรกรสามารถใช้ปั๊มน้ำพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อเพิ่มผลผลิต 3-5 เท่า
    เด็กๆ อ่านหนังสือตอนกลางคืนได้
    ผู้หญิงไม่ต้องสูดควันจากเตาเผาดีเซลหรือถ่านอีกต่อไป

    และทั้งหมดนี้ยังสามารถขายคาร์บอนเครดิตได้อีกด้วย ทำให้ต้นทุนลดลง และขยายตลาดได้มากขึ้น

    สรุปเนื้อหาสำคัญ
    แอฟริกากำลังสร้างโครงสร้างพื้นฐานพลังงานใหม่ด้วยตัวเอง
    ใช้โมเดล Pay-As-You-Go (PAYG) ผ่านมือถือ
    ระบบโซลาร์ติดตั้งง่าย จ่ายรายวันผ่าน M-PESA
    มี IoT ควบคุมการเปิด-ปิดไฟตามการชำระเงิน
    อัตราการชำระหนี้สูงกว่า 90%
    บริษัท Sun King และ SunCulture มีส่วนแบ่งตลาดกว่า 50%
    ปั๊มน้ำโซลาร์ช่วยเพิ่มรายได้เกษตรกรจาก $600 เป็น $14,000 ต่อเอเคอร์
    คาร์บอนเครดิตช่วยลดต้นทุนลง 25-40%
    มีการลงทุนล่วงหน้าโดยองค์กรต่างประเทศ เช่น British International Investment

    การขยายโมเดลนี้ยังมีความเสี่ยง
    ความผันผวนของค่าเงินในประเทศต่างๆ
    ความเสี่ยงด้านนโยบายจากรัฐบาล
    ความผันผวนของราคาคาร์บอนเครดิต
    ความซับซ้อนในการบำรุงรักษาอุปกรณ์
    ความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติหรือความไม่มั่นคงทางการเมือง

    ถ้าโมเดลนี้ขยายไปยังเอเชียใต้ ลาตินอเมริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกที่ไม่ต้องรอ “สายไฟ” อีกต่อไป แต่ใช้แสงแดดเป็นตัวนำทางสู่อนาคต

    https://climatedrift.substack.com/p/why-solarpunk-is-already-happening
    ☀️ “Solarpunk แอฟริกา – เมื่ออนาคตไม่รอใคร” ลองจินตนาการว่าไฟฟ้าไม่เคยมาเยือนบ้านคุณเลยตลอดชีวิต แล้ววันหนึ่งคุณได้แสงสว่างจากแผงโซลาร์ที่ผ่อนได้ผ่านมือถือ… นี่คือเรื่องจริงของผู้คนกว่า 600 ล้านคนในแอฟริกา ที่ไม่ได้รอให้รัฐบาลหรือธนาคารโลกมาสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้ แต่ลุกขึ้นมาสร้างมันเองผ่านโมเดล Solarpunk ที่กำลังเปลี่ยนโลก ในขณะที่โลกพัฒนาแล้วกำลังถกเถียงเรื่องพลังงานสะอาด แอฟริกากำลังลงมือทำจริง ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีราคาถูก การเงินดิจิทัล และโมเดลธุรกิจแบบจ่ายรายวัน (PAYG) ที่ทำให้พลังงานแสงอาทิตย์เข้าถึงได้แม้กับคนที่มีรายได้เพียง $2 ต่อวัน ในอดีต การขยายสายไฟฟ้าไปยังพื้นที่ชนบทต้องใช้เงินมหาศาลและเวลานานหลายสิบปี แต่วันนี้ บริษัทสตาร์ทอัพในแอฟริกาอย่าง Sun King และ SunCulture กลับสามารถติดตั้งระบบโซลาร์ให้เกษตรกรได้ภายในไม่กี่วัน ด้วยเงินดาวน์เพียง $100 และจ่ายรายวันผ่านมือถือ ระบบเหล่านี้มาพร้อม IoT ที่สามารถตัดไฟหากไม่จ่าย และเปิดไฟเมื่อชำระเงิน ทำให้เกิดวินัยทางการเงิน และอัตราการชำระหนี้สูงถึง 90% ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศที่มีระบบธนาคารเต็มรูปแบบเสียอีก ที่น่าทึ่งคือ โมเดลนี้ไม่เพียงให้แสงสว่าง แต่ยังเปลี่ยนชีวิต: 📍 เกษตรกรสามารถใช้ปั๊มน้ำพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อเพิ่มผลผลิต 3-5 เท่า 📍 เด็กๆ อ่านหนังสือตอนกลางคืนได้ 📍 ผู้หญิงไม่ต้องสูดควันจากเตาเผาดีเซลหรือถ่านอีกต่อไป และทั้งหมดนี้ยังสามารถขายคาร์บอนเครดิตได้อีกด้วย ทำให้ต้นทุนลดลง และขยายตลาดได้มากขึ้น 📌 สรุปเนื้อหาสำคัญ ✅ แอฟริกากำลังสร้างโครงสร้างพื้นฐานพลังงานใหม่ด้วยตัวเอง ➡️ ใช้โมเดล Pay-As-You-Go (PAYG) ผ่านมือถือ ➡️ ระบบโซลาร์ติดตั้งง่าย จ่ายรายวันผ่าน M-PESA ➡️ มี IoT ควบคุมการเปิด-ปิดไฟตามการชำระเงิน ➡️ อัตราการชำระหนี้สูงกว่า 90% ➡️ บริษัท Sun King และ SunCulture มีส่วนแบ่งตลาดกว่า 50% ➡️ ปั๊มน้ำโซลาร์ช่วยเพิ่มรายได้เกษตรกรจาก $600 เป็น $14,000 ต่อเอเคอร์ ➡️ คาร์บอนเครดิตช่วยลดต้นทุนลง 25-40% ➡️ มีการลงทุนล่วงหน้าโดยองค์กรต่างประเทศ เช่น British International Investment ‼️ การขยายโมเดลนี้ยังมีความเสี่ยง ⛔ ความผันผวนของค่าเงินในประเทศต่างๆ ⛔ ความเสี่ยงด้านนโยบายจากรัฐบาล ⛔ ความผันผวนของราคาคาร์บอนเครดิต ⛔ ความซับซ้อนในการบำรุงรักษาอุปกรณ์ ⛔ ความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติหรือความไม่มั่นคงทางการเมือง ถ้าโมเดลนี้ขยายไปยังเอเชียใต้ ลาตินอเมริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกที่ไม่ต้องรอ “สายไฟ” อีกต่อไป แต่ใช้แสงแดดเป็นตัวนำทางสู่อนาคต https://climatedrift.substack.com/p/why-solarpunk-is-already-happening
    CLIMATEDRIFT.SUBSTACK.COM
    Why Solarpunk is already happening in Africa
    Or: How Africa is building the future by skipping the past
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 175 มุมมอง 0 รีวิว
  • CISA เตือนภัย! ช่องโหว่ร้ายแรงในกล้อง Survision LPR เสี่ยงถูกยึดระบบโดยไม่ต้องล็อกอิน

    วันนี้มีเรื่องเล่าที่คนทำงานด้านความปลอดภัยไซเบอร์ต้องฟังให้ดี เพราะ CISA (Cybersecurity and Infrastructure Security Agency) ได้ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ระดับ “วิกฤต” ในกล้องวงจรปิดอัจฉริยะ Survision LPR (License Plate Recognition) ที่ใช้กันแพร่หลายในระบบจราจรและการจัดการที่จอดรถทั่วโลก

    ช่องโหว่นี้มีรหัส CVE-2025-12108 และได้คะแนน CVSS สูงถึง 9.8 ซึ่งหมายถึง “อันตรายขั้นสุด” เพราะมันเปิดช่องให้ผู้ไม่หวังดีสามารถเข้าถึงระบบได้ “โดยไม่ต้องล็อกอิน” หรือยืนยันตัวตนใดๆ ทั้งสิ้น!

    กล้อง Survision LPR มีระบบตั้งค่าผ่าน wizard ที่ “ไม่บังคับให้ใส่รหัสผ่าน” โดยค่าเริ่มต้น ทำให้ใครก็ตามที่เข้าถึงระบบสามารถปรับแต่งการทำงานของกล้องได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนการตั้งค่าเครือข่าย การจัดเก็บข้อมูล หรือแม้แต่การควบคุมการทำงานของกล้องทั้งหมด

    CISA ระบุว่า ช่องโหว่นี้เข้าข่าย CWE-306: Missing Authentication for Critical Function ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่อันตรายมากในระบบที่ควบคุมอุปกรณ์สำคัญ

    แม้ยังไม่มีรายงานการโจมตีจริงในตอนนี้ แต่ CISA และ Survision แนะนำให้ผู้ใช้งานรีบอัปเดตเฟิร์มแวร์เป็นเวอร์ชัน 3.5 ซึ่งเพิ่มระบบล็อกอินและการตรวจสอบสิทธิ์แบบใหม่ รวมถึงแนะนำให้เปิดใช้การยืนยันตัวตนด้วย certificate และกำหนดสิทธิ์ผู้ใช้งานให้จำกัดที่สุดเท่าที่จะทำได้

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    กล้อง LPR ถูกใช้ในระบบ Smart City, การจัดการจราจร, และระบบรักษาความปลอดภัยในพื้นที่สำคัญ เช่น สนามบินและสถานีขนส่ง
    ช่องโหว่แบบ “ไม่มีการตรวจสอบตัวตน” เป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่ถูกใช้บ่อยที่สุดในการโจมตีแบบ IoT Hijacking
    การโจมตีผ่านอุปกรณ์ IoT เช่นกล้องวงจรปิดสามารถนำไปสู่การสร้าง botnet หรือใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการเจาะระบบเครือข่ายองค์กร

    รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-12108
    คะแนน CVSS 9.8 ระดับ “Critical”
    เกิดจากการไม่บังคับใช้รหัสผ่านใน wizard ตั้งค่า
    เข้าข่าย CWE-306: Missing Authentication for Critical Function
    ส่งผลให้ผู้ไม่หวังดีสามารถเข้าถึงระบบได้ทันที

    กลุ่มผู้ใช้งานที่ได้รับผลกระทบ
    หน่วยงานรัฐและเทศบาลที่ใช้กล้อง LPR
    ผู้ให้บริการที่จอดรถอัจฉริยะ
    ระบบตรวจจับป้ายทะเบียนในสนามบินและสถานีขนส่ง

    แนวทางแก้ไขจาก Survision และ CISA
    อัปเดตเฟิร์มแวร์เป็น v3.5 เพื่อเปิดใช้ระบบล็อกอิน
    กำหนดสิทธิ์ผู้ใช้งานให้จำกัด
    เปิดใช้การยืนยันตัวตนด้วย certificate
    สำหรับเวอร์ชันเก่า ให้เปิดใช้ “lock password” ใน security parameters

    คำเตือนสำหรับผู้ดูแลระบบ
    หากยังใช้เฟิร์มแวร์เวอร์ชันเก่า อุปกรณ์อาจถูกยึดระบบได้ทันที
    อย่าปล่อยให้ระบบเปิด wizard โดยไม่มีการล็อกอิน
    ควรตรวจสอบการตั้งค่าความปลอดภัยของอุปกรณ์ทั้งหมด
    อย่ารอให้เกิดการโจมตีจริงก่อนจึงค่อยอัปเดต

    เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ช่องโหว่เล็กๆ ในกล้องวงจรปิด แต่มันคือ “ประตูหลัง” ที่เปิดให้ใครก็ได้เข้ามาควบคุมระบบของคุณโดยไม่ต้องเคาะ… และถ้าไม่รีบปิดประตูนี้ อาจต้องจ่ายแพงกว่าที่คิด.

    https://securityonline.info/cisa-warns-critical-survision-lpr-camera-flaw-cve-2025-12108-cvss-9-8-allows-unauthenticated-takeover/
    📸 CISA เตือนภัย! ช่องโหว่ร้ายแรงในกล้อง Survision LPR เสี่ยงถูกยึดระบบโดยไม่ต้องล็อกอิน วันนี้มีเรื่องเล่าที่คนทำงานด้านความปลอดภัยไซเบอร์ต้องฟังให้ดี เพราะ CISA (Cybersecurity and Infrastructure Security Agency) ได้ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ระดับ “วิกฤต” ในกล้องวงจรปิดอัจฉริยะ Survision LPR (License Plate Recognition) ที่ใช้กันแพร่หลายในระบบจราจรและการจัดการที่จอดรถทั่วโลก ช่องโหว่นี้มีรหัส CVE-2025-12108 และได้คะแนน CVSS สูงถึง 9.8 ซึ่งหมายถึง “อันตรายขั้นสุด” เพราะมันเปิดช่องให้ผู้ไม่หวังดีสามารถเข้าถึงระบบได้ “โดยไม่ต้องล็อกอิน” หรือยืนยันตัวตนใดๆ ทั้งสิ้น! กล้อง Survision LPR มีระบบตั้งค่าผ่าน wizard ที่ “ไม่บังคับให้ใส่รหัสผ่าน” โดยค่าเริ่มต้น ทำให้ใครก็ตามที่เข้าถึงระบบสามารถปรับแต่งการทำงานของกล้องได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนการตั้งค่าเครือข่าย การจัดเก็บข้อมูล หรือแม้แต่การควบคุมการทำงานของกล้องทั้งหมด CISA ระบุว่า ช่องโหว่นี้เข้าข่าย CWE-306: Missing Authentication for Critical Function ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่อันตรายมากในระบบที่ควบคุมอุปกรณ์สำคัญ แม้ยังไม่มีรายงานการโจมตีจริงในตอนนี้ แต่ CISA และ Survision แนะนำให้ผู้ใช้งานรีบอัปเดตเฟิร์มแวร์เป็นเวอร์ชัน 3.5 ซึ่งเพิ่มระบบล็อกอินและการตรวจสอบสิทธิ์แบบใหม่ รวมถึงแนะนำให้เปิดใช้การยืนยันตัวตนด้วย certificate และกำหนดสิทธิ์ผู้ใช้งานให้จำกัดที่สุดเท่าที่จะทำได้ 📚 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 🔖 กล้อง LPR ถูกใช้ในระบบ Smart City, การจัดการจราจร, และระบบรักษาความปลอดภัยในพื้นที่สำคัญ เช่น สนามบินและสถานีขนส่ง 🔖 ช่องโหว่แบบ “ไม่มีการตรวจสอบตัวตน” เป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่ถูกใช้บ่อยที่สุดในการโจมตีแบบ IoT Hijacking 🔖 การโจมตีผ่านอุปกรณ์ IoT เช่นกล้องวงจรปิดสามารถนำไปสู่การสร้าง botnet หรือใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการเจาะระบบเครือข่ายองค์กร ✅ รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-12108 ➡️ คะแนน CVSS 9.8 ระดับ “Critical” ➡️ เกิดจากการไม่บังคับใช้รหัสผ่านใน wizard ตั้งค่า ➡️ เข้าข่าย CWE-306: Missing Authentication for Critical Function ➡️ ส่งผลให้ผู้ไม่หวังดีสามารถเข้าถึงระบบได้ทันที ✅ กลุ่มผู้ใช้งานที่ได้รับผลกระทบ ➡️ หน่วยงานรัฐและเทศบาลที่ใช้กล้อง LPR ➡️ ผู้ให้บริการที่จอดรถอัจฉริยะ ➡️ ระบบตรวจจับป้ายทะเบียนในสนามบินและสถานีขนส่ง ✅ แนวทางแก้ไขจาก Survision และ CISA ➡️ อัปเดตเฟิร์มแวร์เป็น v3.5 เพื่อเปิดใช้ระบบล็อกอิน ➡️ กำหนดสิทธิ์ผู้ใช้งานให้จำกัด ➡️ เปิดใช้การยืนยันตัวตนด้วย certificate ➡️ สำหรับเวอร์ชันเก่า ให้เปิดใช้ “lock password” ใน security parameters ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ดูแลระบบ ⛔ หากยังใช้เฟิร์มแวร์เวอร์ชันเก่า อุปกรณ์อาจถูกยึดระบบได้ทันที ⛔ อย่าปล่อยให้ระบบเปิด wizard โดยไม่มีการล็อกอิน ⛔ ควรตรวจสอบการตั้งค่าความปลอดภัยของอุปกรณ์ทั้งหมด ⛔ อย่ารอให้เกิดการโจมตีจริงก่อนจึงค่อยอัปเดต เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ช่องโหว่เล็กๆ ในกล้องวงจรปิด แต่มันคือ “ประตูหลัง” ที่เปิดให้ใครก็ได้เข้ามาควบคุมระบบของคุณโดยไม่ต้องเคาะ… และถ้าไม่รีบปิดประตูนี้ อาจต้องจ่ายแพงกว่าที่คิด. https://securityonline.info/cisa-warns-critical-survision-lpr-camera-flaw-cve-2025-12108-cvss-9-8-allows-unauthenticated-takeover/
    SECURITYONLINE.INFO
    CISA Warns: Critical Survision LPR Camera Flaw (CVE-2025-12108, CVSS 9.8) Allows Unauthenticated Takeover
    CISA warned of a Critical Auth Bypass flaw (CVE-2025-12108, CVSS 9.8) in Survision LPR Cameras. The lack of password enforcement allows unauthenticated attackers to gain full system access.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • Grinn เปิดตัว GenioBoard — บอร์ดคอมพิวเตอร์จิ๋วที่พร้อมลุยงาน AI และ IoT ทันที!

    Grinn บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านโซลูชัน IoT และ embedded systems ได้เปิดตัว GenioBoard ซึ่งเป็นบอร์ดคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กแต่ทรงพลัง ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ผลิตอุปกรณ์ฝังตัว (OEMs) พัฒนาโปรเจกต์ AI ได้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องเริ่มจากศูนย์

    “GenioBoard — บอร์ดเล็กที่คิดใหญ่”

    ในยุคที่การแข่งขันด้าน AI และ IoT รุนแรงขึ้นทุกวัน ผู้ผลิตอุปกรณ์ฝังตัวต้องเร่งพัฒนาให้ทันตลาดที่เปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมที่ใช้เวลาหลายปีในการพัฒนา ตอนนี้เหลือเพียงไม่กี่เดือน และนั่นคือเหตุผลที่ Grinn เปิดตัว GenioBoard — บอร์ดคอมพิวเตอร์ขนาด 87 x 56 มม. ที่มาพร้อมทุกสิ่งที่นักพัฒนาต้องการ

    GenioBoard รองรับระบบปฏิบัติการ Linux ทั้งแบบ Yocto และ Debian พร้อมระบบรักษาความปลอดภัย Thistle Security Platform ที่ใช้ชิป Infineon OPTIGA Trust M เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายไซเบอร์ของยุโรป นอกจากนี้ยังมีอินเทอร์เฟซครบครัน เช่น HDMI, DisplayPort, USB-A 2.0/3.0, USB-C, Ethernet และ CSI สำหรับกล้อง

    สิ่งที่โดดเด่นคือความยืดหยุ่นในการต่อยอด — นักพัฒนาสามารถเพิ่มโมดูล AI accelerator หรือการเชื่อมต่อไร้สายผ่าน M.2 ได้ทันที และหากต้องการปรับแต่งบอร์ดเอง Grinn ก็เปิดเผย CAD และ schematic ให้ชุมชนใช้งานได้อย่างอิสระ

    GenioBoard คือบอร์ดคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กจาก Grinn
    ขนาด 87 x 56 มม. พร้อมอินเทอร์เฟซครบครัน
    ใช้ระบบปฏิบัติการ Linux (Yocto หรือ Debian)

    รองรับงาน AI และ IoT ได้ทันที
    ใช้ MediaTek Genio SOM ที่มี Arm Cortex-A, GPU และ NPU
    มีระบบรักษาความปลอดภัย Thistle Security Platform

    ออกแบบเพื่อความยืดหยุ่นสูง
    รองรับการเชื่อมต่อ AI accelerator และโมดูลไร้สายผ่าน M.2
    เปิดเผย CAD และ schematic ให้ชุมชนพัฒนาเพิ่มเติม

    เหมาะสำหรับ OEMs ที่ต้องการลดเวลาในการพัฒนา
    ใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องสร้างฮาร์ดแวร์ใหม่
    ช่วยให้ทีมพัฒนามุ่งเน้นที่ซอฟต์แวร์หลักของตน

    คำเตือนสำหรับผู้เริ่มต้น
    ต้องมีความเข้าใจด้าน embedded systems และ Linux
    การใช้งานอาจซับซ้อนกว่าบอร์ดทั่วไป เช่น Raspberry Pi

    คำเตือนด้านการนำไปผลิตจริง
    ต้องตรวจสอบการรองรับมาตรฐานอุตสาหกรรมเพิ่มเติม
    การปรับแต่งบอร์ดอาจต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทาง

    https://www.techpowerup.com/342629/grinn-announces-genioboard-sbc
    🧠💡 Grinn เปิดตัว GenioBoard — บอร์ดคอมพิวเตอร์จิ๋วที่พร้อมลุยงาน AI และ IoT ทันที! Grinn บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านโซลูชัน IoT และ embedded systems ได้เปิดตัว GenioBoard ซึ่งเป็นบอร์ดคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กแต่ทรงพลัง ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ผลิตอุปกรณ์ฝังตัว (OEMs) พัฒนาโปรเจกต์ AI ได้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ 🧩 “GenioBoard — บอร์ดเล็กที่คิดใหญ่” ในยุคที่การแข่งขันด้าน AI และ IoT รุนแรงขึ้นทุกวัน ผู้ผลิตอุปกรณ์ฝังตัวต้องเร่งพัฒนาให้ทันตลาดที่เปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมที่ใช้เวลาหลายปีในการพัฒนา ตอนนี้เหลือเพียงไม่กี่เดือน และนั่นคือเหตุผลที่ Grinn เปิดตัว GenioBoard — บอร์ดคอมพิวเตอร์ขนาด 87 x 56 มม. ที่มาพร้อมทุกสิ่งที่นักพัฒนาต้องการ GenioBoard รองรับระบบปฏิบัติการ Linux ทั้งแบบ Yocto และ Debian พร้อมระบบรักษาความปลอดภัย Thistle Security Platform ที่ใช้ชิป Infineon OPTIGA Trust M เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายไซเบอร์ของยุโรป นอกจากนี้ยังมีอินเทอร์เฟซครบครัน เช่น HDMI, DisplayPort, USB-A 2.0/3.0, USB-C, Ethernet และ CSI สำหรับกล้อง สิ่งที่โดดเด่นคือความยืดหยุ่นในการต่อยอด — นักพัฒนาสามารถเพิ่มโมดูล AI accelerator หรือการเชื่อมต่อไร้สายผ่าน M.2 ได้ทันที และหากต้องการปรับแต่งบอร์ดเอง Grinn ก็เปิดเผย CAD และ schematic ให้ชุมชนใช้งานได้อย่างอิสระ ✅ GenioBoard คือบอร์ดคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กจาก Grinn ➡️ ขนาด 87 x 56 มม. พร้อมอินเทอร์เฟซครบครัน ➡️ ใช้ระบบปฏิบัติการ Linux (Yocto หรือ Debian) ✅ รองรับงาน AI และ IoT ได้ทันที ➡️ ใช้ MediaTek Genio SOM ที่มี Arm Cortex-A, GPU และ NPU ➡️ มีระบบรักษาความปลอดภัย Thistle Security Platform ✅ ออกแบบเพื่อความยืดหยุ่นสูง ➡️ รองรับการเชื่อมต่อ AI accelerator และโมดูลไร้สายผ่าน M.2 ➡️ เปิดเผย CAD และ schematic ให้ชุมชนพัฒนาเพิ่มเติม ✅ เหมาะสำหรับ OEMs ที่ต้องการลดเวลาในการพัฒนา ➡️ ใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องสร้างฮาร์ดแวร์ใหม่ ➡️ ช่วยให้ทีมพัฒนามุ่งเน้นที่ซอฟต์แวร์หลักของตน ‼️ คำเตือนสำหรับผู้เริ่มต้น ⛔ ต้องมีความเข้าใจด้าน embedded systems และ Linux ⛔ การใช้งานอาจซับซ้อนกว่าบอร์ดทั่วไป เช่น Raspberry Pi ‼️ คำเตือนด้านการนำไปผลิตจริง ⛔ ต้องตรวจสอบการรองรับมาตรฐานอุตสาหกรรมเพิ่มเติม ⛔ การปรับแต่งบอร์ดอาจต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทาง https://www.techpowerup.com/342629/grinn-announces-genioboard-sbc
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Grinn Announces GenioBoard SBC
    Grinn, a full-cycle technology company specializing in the design and development of advanced IoT and embedded solutions, today launched a compact but powerful single-board computer (SBC) which will help embedded device manufacturers to meet the mounting pressure to take sophisticated and AI-ready n...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 123 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Huawei เปิดตัวพีซีสายเลือดจีนแท้! ใช้ชิป Kirin 9000X และระบบปฏิบัติการท้องถิ่นแทน Windows”

    ในยุคที่เทคโนโลยีกลายเป็นสนามแข่งขันระดับโลก Huawei กำลังเดินเกมรุกด้วยการเปิดตัวคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะรุ่นใหม่ในตลาดจีน — Qingyun W515y และ W585y ที่ใช้ชิป Kirin 9000X ซึ่งพัฒนาโดย HiSilicon และระบบปฏิบัติการที่ไม่ใช่ Windows แต่เป็น Tongxin UOS V20 หรือ Galaxy Kylin V10 ซึ่งล้วนเป็นระบบที่พัฒนาขึ้นภายในประเทศจีน

    แม้ Huawei ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเต็มของชิป Kirin 9000X แต่มีข้อมูลว่าเป็นชิปแบบ 8 คอร์ 16 เธรด ความเร็วพื้นฐาน 2.5GHz และใช้สถาปัตยกรรม Arm พร้อม GPU Mali-G78 แบบ 24 คอร์ ซึ่งถือว่าเป็นการต่อยอดจาก Kirin 9000C รุ่นก่อนหน้า

    ตัวเครื่องยังรองรับหน่วยความจำ LPDDR5x แบบ quad-channel และมีพอร์ตเชื่อมต่อครบครันทั้ง USB-C, USB-A, HDMI, VGA และ Ethernet โดยมีน้ำหนักเบากว่ารุ่นก่อนเล็กน้อย และมาพร้อมคีย์บอร์ดและเมาส์แบบมีสาย

    ที่น่าสนใจคือ Huawei เลือกไม่ใช้ HarmonyOS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่บริษัทพยายามผลักดันในอุปกรณ์อื่นๆ แต่กลับเลือกใช้ระบบ Linux ที่ปรับแต่งโดยบริษัทท้องถิ่นแทน ซึ่งอาจสะท้อนถึงความพยายามในการสร้างความเป็นอิสระทางเทคโนโลยีจากตะวันตก

    Huawei เปิดตัวพีซีรุ่นใหม่ในตลาดจีน
    รุ่น Qingyun W515y และ W585y
    ใช้ชิป Kirin 9000X ที่พัฒนาโดย HiSilicon

    ระบบปฏิบัติการไม่ใช่ Windows
    เลือกใช้ Tongxin UOS V20 หรือ Galaxy Kylin V10
    ทั้งสองระบบเป็น Linux ที่พัฒนาโดยบริษัทจีน

    สเปกฮาร์ดแวร์ที่น่าสนใจ
    หน่วยความจำ LPDDR5x แบบ quad-channel
    พอร์ตเชื่อมต่อครบทั้ง USB-C, HDMI, VGA และ Ethernet
    น้ำหนักเบากว่ารุ่นก่อนเล็กน้อย

    ไม่ใช้ HarmonyOS แม้เป็นระบบของ Huawei เอง
    อาจสะท้อนถึงการเลือกใช้ระบบที่เหมาะกับงานองค์กรหรือภาครัฐ
    HarmonyOS ยังเน้นอุปกรณ์พกพาและ IoT มากกว่า

    คำเตือนด้านการใช้งานเชิงพาณิชย์
    ยังไม่มีข้อมูลเรื่องราคาและวันวางจำหน่าย
    อาจไม่รองรับซอฟต์แวร์ตะวันตกบางตัว เช่น Microsoft Office หรือ Adobe

    คำเตือนด้านความเข้ากันได้
    ระบบปฏิบัติการแบบ Linux อาจมีข้อจำกัดในการใช้งานทั่วไป
    ผู้ใช้ทั่วไปอาจต้องปรับตัวกับอินเทอร์เฟซและแอปพลิเคชันที่ไม่คุ้นเคย

    https://www.tomshardware.com/pc-components/huawei-launches-new-homegrown-pcs-domestic-chinese-cpus-and-os-power-new-devices
    🖥️🐉 “Huawei เปิดตัวพีซีสายเลือดจีนแท้! ใช้ชิป Kirin 9000X และระบบปฏิบัติการท้องถิ่นแทน Windows” ในยุคที่เทคโนโลยีกลายเป็นสนามแข่งขันระดับโลก Huawei กำลังเดินเกมรุกด้วยการเปิดตัวคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะรุ่นใหม่ในตลาดจีน — Qingyun W515y และ W585y ที่ใช้ชิป Kirin 9000X ซึ่งพัฒนาโดย HiSilicon และระบบปฏิบัติการที่ไม่ใช่ Windows แต่เป็น Tongxin UOS V20 หรือ Galaxy Kylin V10 ซึ่งล้วนเป็นระบบที่พัฒนาขึ้นภายในประเทศจีน แม้ Huawei ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเต็มของชิป Kirin 9000X แต่มีข้อมูลว่าเป็นชิปแบบ 8 คอร์ 16 เธรด ความเร็วพื้นฐาน 2.5GHz และใช้สถาปัตยกรรม Arm พร้อม GPU Mali-G78 แบบ 24 คอร์ ซึ่งถือว่าเป็นการต่อยอดจาก Kirin 9000C รุ่นก่อนหน้า ตัวเครื่องยังรองรับหน่วยความจำ LPDDR5x แบบ quad-channel และมีพอร์ตเชื่อมต่อครบครันทั้ง USB-C, USB-A, HDMI, VGA และ Ethernet โดยมีน้ำหนักเบากว่ารุ่นก่อนเล็กน้อย และมาพร้อมคีย์บอร์ดและเมาส์แบบมีสาย ที่น่าสนใจคือ Huawei เลือกไม่ใช้ HarmonyOS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่บริษัทพยายามผลักดันในอุปกรณ์อื่นๆ แต่กลับเลือกใช้ระบบ Linux ที่ปรับแต่งโดยบริษัทท้องถิ่นแทน ซึ่งอาจสะท้อนถึงความพยายามในการสร้างความเป็นอิสระทางเทคโนโลยีจากตะวันตก ✅ Huawei เปิดตัวพีซีรุ่นใหม่ในตลาดจีน ➡️ รุ่น Qingyun W515y และ W585y ➡️ ใช้ชิป Kirin 9000X ที่พัฒนาโดย HiSilicon ✅ ระบบปฏิบัติการไม่ใช่ Windows ➡️ เลือกใช้ Tongxin UOS V20 หรือ Galaxy Kylin V10 ➡️ ทั้งสองระบบเป็น Linux ที่พัฒนาโดยบริษัทจีน ✅ สเปกฮาร์ดแวร์ที่น่าสนใจ ➡️ หน่วยความจำ LPDDR5x แบบ quad-channel ➡️ พอร์ตเชื่อมต่อครบทั้ง USB-C, HDMI, VGA และ Ethernet ➡️ น้ำหนักเบากว่ารุ่นก่อนเล็กน้อย ✅ ไม่ใช้ HarmonyOS แม้เป็นระบบของ Huawei เอง ➡️ อาจสะท้อนถึงการเลือกใช้ระบบที่เหมาะกับงานองค์กรหรือภาครัฐ ➡️ HarmonyOS ยังเน้นอุปกรณ์พกพาและ IoT มากกว่า ‼️ คำเตือนด้านการใช้งานเชิงพาณิชย์ ⛔ ยังไม่มีข้อมูลเรื่องราคาและวันวางจำหน่าย ⛔ อาจไม่รองรับซอฟต์แวร์ตะวันตกบางตัว เช่น Microsoft Office หรือ Adobe ‼️ คำเตือนด้านความเข้ากันได้ ⛔ ระบบปฏิบัติการแบบ Linux อาจมีข้อจำกัดในการใช้งานทั่วไป ⛔ ผู้ใช้ทั่วไปอาจต้องปรับตัวกับอินเทอร์เฟซและแอปพลิเคชันที่ไม่คุ้นเคย https://www.tomshardware.com/pc-components/huawei-launches-new-homegrown-pcs-domestic-chinese-cpus-and-os-power-new-devices
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • สงครามข้อมูลในบ้าน: วิศวกรแฮกเครื่องดูดฝุ่นอัจฉริยะ หลังถูกบริษัทสั่ง “ฆ่าระยะไกล” เพราะไม่ยอมส่งข้อมูล

    เรื่องนี้เริ่มจากความสงสัยของวิศวกรรายหนึ่งที่พบว่าเครื่องดูดฝุ่น iLife A11 ของเขาส่งข้อมูลกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทโดยไม่ได้รับความยินยอม เมื่อเขาบล็อกการส่งข้อมูลเหล่านั้น เครื่องกลับ “ตายสนิท” และไม่สามารถเปิดใช้งานได้อีกเลย แม้จะส่งซ่อมหลายครั้งก็ยังกลับมาเสียเหมือนเดิม จนเขาต้องลงมือแฮกเองเพื่อปลุกมันให้กลับมาทำงานอีกครั้ง

    Harishankar วิศวกรผู้ใช้ iLife A11 สังเกตว่าเครื่องดูดฝุ่นของเขาส่งข้อมูลอย่างต่อเนื่องไปยังเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท เขาจึงบล็อก IP ของเซิร์ฟเวอร์ telemetry แต่ยังเปิดให้เครื่องอัปเดตเฟิร์มแวร์ได้ตามปกติ

    ไม่นานหลังจากนั้น เครื่องกลับไม่สามารถเปิดใช้งานได้อีกเลย แม้จะส่งไปยังศูนย์บริการหลายครั้ง ช่างก็เปิดเครื่องได้ตามปกติ แต่เมื่อกลับมาใช้งานที่บ้าน เครื่องก็ “ตาย” อีกครั้ง

    Harishankar จึงตัดสินใจแฮกเครื่องเอง โดยพบว่า A11 ใช้ชิป AllWinner A33 และระบบปฏิบัติการ TinaLinux พร้อมไมโครคอนโทรลเลอร์ GD32F103 เขาเขียนสคริปต์ Python เพื่อควบคุมเซ็นเซอร์ต่างๆ และสร้างจอยสติ๊ก Raspberry Pi เพื่อบังคับเครื่องด้วยมือ

    เมื่อเจาะลึกไปยังระบบ เขาพบว่าเครื่องมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย เช่น Android Debug Bridge ที่ไม่มีการตั้งรหัสผ่าน และยังใช้ Google Cartographer เพื่อสร้างแผนที่บ้านแบบ 3D แล้วส่งข้อมูลทั้งหมดกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท

    ที่น่าตกใจคือ เขาพบคำสั่ง “kill” ที่ตรงกับเวลาที่เครื่องหยุดทำงานพอดี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเครื่องถูก “ฆ่าระยะไกล” เพราะไม่สามารถส่งข้อมูลได้ตามที่บริษัทต้องการ

    วิศวกรพบว่าเครื่องดูดฝุ่นส่งข้อมูลกลับบริษัทโดยไม่ได้รับอนุญาต
    ข้อมูลรวมถึงแผนที่บ้านแบบ 3D จาก Google Cartographer
    ใช้ Android Debug Bridge ที่ไม่มีรหัสผ่าน

    เมื่อบล็อกเซิร์ฟเวอร์ telemetry เครื่องกลับไม่สามารถเปิดใช้งานได้
    ส่งซ่อมหลายครั้งแต่กลับมาเสียอีก
    พบคำสั่ง “kill” ในระบบที่ตรงกับเวลาที่เครื่องหยุดทำงาน

    วิศวกรแฮกเครื่องด้วยฮาร์ดแวร์และสคริปต์ Python
    ใช้ Raspberry Pi ควบคุมเซ็นเซอร์
    ยืนยันว่าไม่มีปัญหาด้านฮาร์ดแวร์

    เครื่องกลับมาทำงานได้เมื่อรีเซ็ตเฟิร์มแวร์และไม่บล็อกเซิร์ฟเวอร์
    แสดงว่า kill command ถูกส่งจากบริษัท
    เป็นการลงโทษหรือบังคับให้ส่งข้อมูล

    อุปกรณ์ IoT อาจถูกควบคุมจากระยะไกลโดยผู้ผลิต
    หากบล็อกการส่งข้อมูล อุปกรณ์อาจถูก “ฆ่า”
    ผู้ใช้ไม่มีสิทธิ์ควบคุมข้อมูลของตัวเอง

    ความปลอดภัยของอุปกรณ์อัจฉริยะยังมีช่องโหว่
    ไม่มีการเข้ารหัสหรือรหัสผ่านในระบบสำคัญ
    ข้อมูลส่วนตัวอาจถูกส่งออกโดยไม่รู้ตัว

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/manufacturer-issues-remote-kill-command-to-nuke-smart-vacuum-after-engineer-blocks-it-from-collecting-data-user-revives-it-with-custom-hardware-and-python-scripts-to-run-offline
    🧹 สงครามข้อมูลในบ้าน: วิศวกรแฮกเครื่องดูดฝุ่นอัจฉริยะ หลังถูกบริษัทสั่ง “ฆ่าระยะไกล” เพราะไม่ยอมส่งข้อมูล เรื่องนี้เริ่มจากความสงสัยของวิศวกรรายหนึ่งที่พบว่าเครื่องดูดฝุ่น iLife A11 ของเขาส่งข้อมูลกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทโดยไม่ได้รับความยินยอม เมื่อเขาบล็อกการส่งข้อมูลเหล่านั้น เครื่องกลับ “ตายสนิท” และไม่สามารถเปิดใช้งานได้อีกเลย แม้จะส่งซ่อมหลายครั้งก็ยังกลับมาเสียเหมือนเดิม จนเขาต้องลงมือแฮกเองเพื่อปลุกมันให้กลับมาทำงานอีกครั้ง Harishankar วิศวกรผู้ใช้ iLife A11 สังเกตว่าเครื่องดูดฝุ่นของเขาส่งข้อมูลอย่างต่อเนื่องไปยังเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท เขาจึงบล็อก IP ของเซิร์ฟเวอร์ telemetry แต่ยังเปิดให้เครื่องอัปเดตเฟิร์มแวร์ได้ตามปกติ ไม่นานหลังจากนั้น เครื่องกลับไม่สามารถเปิดใช้งานได้อีกเลย แม้จะส่งไปยังศูนย์บริการหลายครั้ง ช่างก็เปิดเครื่องได้ตามปกติ แต่เมื่อกลับมาใช้งานที่บ้าน เครื่องก็ “ตาย” อีกครั้ง Harishankar จึงตัดสินใจแฮกเครื่องเอง โดยพบว่า A11 ใช้ชิป AllWinner A33 และระบบปฏิบัติการ TinaLinux พร้อมไมโครคอนโทรลเลอร์ GD32F103 เขาเขียนสคริปต์ Python เพื่อควบคุมเซ็นเซอร์ต่างๆ และสร้างจอยสติ๊ก Raspberry Pi เพื่อบังคับเครื่องด้วยมือ เมื่อเจาะลึกไปยังระบบ เขาพบว่าเครื่องมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย เช่น Android Debug Bridge ที่ไม่มีการตั้งรหัสผ่าน และยังใช้ Google Cartographer เพื่อสร้างแผนที่บ้านแบบ 3D แล้วส่งข้อมูลทั้งหมดกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท ที่น่าตกใจคือ เขาพบคำสั่ง “kill” ที่ตรงกับเวลาที่เครื่องหยุดทำงานพอดี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเครื่องถูก “ฆ่าระยะไกล” เพราะไม่สามารถส่งข้อมูลได้ตามที่บริษัทต้องการ ✅ วิศวกรพบว่าเครื่องดูดฝุ่นส่งข้อมูลกลับบริษัทโดยไม่ได้รับอนุญาต ➡️ ข้อมูลรวมถึงแผนที่บ้านแบบ 3D จาก Google Cartographer ➡️ ใช้ Android Debug Bridge ที่ไม่มีรหัสผ่าน ✅ เมื่อบล็อกเซิร์ฟเวอร์ telemetry เครื่องกลับไม่สามารถเปิดใช้งานได้ ➡️ ส่งซ่อมหลายครั้งแต่กลับมาเสียอีก ➡️ พบคำสั่ง “kill” ในระบบที่ตรงกับเวลาที่เครื่องหยุดทำงาน ✅ วิศวกรแฮกเครื่องด้วยฮาร์ดแวร์และสคริปต์ Python ➡️ ใช้ Raspberry Pi ควบคุมเซ็นเซอร์ ➡️ ยืนยันว่าไม่มีปัญหาด้านฮาร์ดแวร์ ✅ เครื่องกลับมาทำงานได้เมื่อรีเซ็ตเฟิร์มแวร์และไม่บล็อกเซิร์ฟเวอร์ ➡️ แสดงว่า kill command ถูกส่งจากบริษัท ➡️ เป็นการลงโทษหรือบังคับให้ส่งข้อมูล ‼️ อุปกรณ์ IoT อาจถูกควบคุมจากระยะไกลโดยผู้ผลิต ⛔ หากบล็อกการส่งข้อมูล อุปกรณ์อาจถูก “ฆ่า” ⛔ ผู้ใช้ไม่มีสิทธิ์ควบคุมข้อมูลของตัวเอง ‼️ ความปลอดภัยของอุปกรณ์อัจฉริยะยังมีช่องโหว่ ⛔ ไม่มีการเข้ารหัสหรือรหัสผ่านในระบบสำคัญ ⛔ ข้อมูลส่วนตัวอาจถูกส่งออกโดยไม่รู้ตัว https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/manufacturer-issues-remote-kill-command-to-nuke-smart-vacuum-after-engineer-blocks-it-from-collecting-data-user-revives-it-with-custom-hardware-and-python-scripts-to-run-offline
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 252 มุมมอง 0 รีวิว
  • “มาเลเซียผลักดันอาเซียนขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงสู่ไซเบอร์สเปซ”

    ที่ประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2025 กลายเป็นเวทีสำคัญที่มาเลเซียใช้เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกอาเซียนขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงจากทะเลไปสู่โลกไซเบอร์

    รัฐมนตรีกลาโหมมาเลเซีย นายโมฮัมหมัด คาเลด นอร์ดิน กล่าวเปิดประชุมว่า “ภัยคุกคามในยุคนี้ไม่จำกัดแค่พรมแดนหรือภูมิประเทศอีกต่อไป” พร้อมเตือนว่า การโจมตีทางไซเบอร์สามารถทำลายโครงสร้างพื้นฐาน ล้มรัฐบาล และสร้างความปั่นป่วนในสังคมได้ไม่แพ้ภัยทางทะเล

    การประชุมครั้งนี้ยังมีการหารือร่วมกับประเทศคู่เจรจา เช่น สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย โดยมีรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ และจีนเข้าร่วมด้วย

    นอกจากนี้ มาเลเซียยังเสนอให้จัดตั้งทีมสังเกตการณ์อาเซียนเพื่อช่วยเหลือไทยและกัมพูชาในการแก้ไขปัญหาชายแดน และย้ำถึงความมุ่งมั่นของอาเซียนในการผลักดันสันติภาพในเมียนมา ซึ่งยังเผชิญกับวิกฤติหลังรัฐประหารในปี 2021

    ในมุมที่น่าสนใจเพิ่มเติม โลกไซเบอร์กลายเป็นสนามรบใหม่ที่ไม่มีเส้นแบ่งพรมแดน และการโจมตีไม่จำเป็นต้องใช้กำลังทหาร แต่ใช้ “ข้อมูล” และ “ช่องโหว่” เป็นอาวุธ การร่วมมือระดับภูมิภาคจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยี AI และ IoT ทำให้ระบบต่างๆ เชื่อมโยงกันมากขึ้น

    มาเลเซียเสนอขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงจากทะเลสู่ไซเบอร์
    ภัยไซเบอร์สามารถทำลายโครงสร้างพื้นฐานและเสถียรภาพของประเทศ
    การโจมตีทางไซเบอร์มีผลกระทบเทียบเท่าการรุกรานทางทหาร
    มาเลเซียชี้ว่า “ภัยคุกคามวันนี้ไร้พรมแดน”

    การประชุมมีประเทศคู่เจรจาเข้าร่วมหลายชาติ
    สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย
    รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ และจีนเข้าร่วมประชุมโดยตรง

    มาเลเซียเสนอจัดตั้งทีมสังเกตการณ์อาเซียนช่วยไทย-กัมพูชา
    เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาชายแดนระหว่างสองประเทศ
    ข้อตกลงหยุดยิงได้รับการรับรองโดยผู้นำสหรัฐฯ และมาเลเซีย

    อาเซียนยังคงผลักดันสันติภาพในเมียนมา
    เรียกร้องให้เมียนมากลับสู่แนวทางตามฉันทามติ 5 ข้อ
    ผู้นำทหารเมียนมายังถูกกีดกันจากการประชุมอาเซียน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/31/malaysia-urges-asean-to-expand-defense-cooperation-in-cyberspace
    🛡️ “มาเลเซียผลักดันอาเซียนขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงสู่ไซเบอร์สเปซ” ที่ประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2025 กลายเป็นเวทีสำคัญที่มาเลเซียใช้เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกอาเซียนขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงจากทะเลไปสู่โลกไซเบอร์ รัฐมนตรีกลาโหมมาเลเซีย นายโมฮัมหมัด คาเลด นอร์ดิน กล่าวเปิดประชุมว่า “ภัยคุกคามในยุคนี้ไม่จำกัดแค่พรมแดนหรือภูมิประเทศอีกต่อไป” พร้อมเตือนว่า การโจมตีทางไซเบอร์สามารถทำลายโครงสร้างพื้นฐาน ล้มรัฐบาล และสร้างความปั่นป่วนในสังคมได้ไม่แพ้ภัยทางทะเล การประชุมครั้งนี้ยังมีการหารือร่วมกับประเทศคู่เจรจา เช่น สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย โดยมีรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ และจีนเข้าร่วมด้วย นอกจากนี้ มาเลเซียยังเสนอให้จัดตั้งทีมสังเกตการณ์อาเซียนเพื่อช่วยเหลือไทยและกัมพูชาในการแก้ไขปัญหาชายแดน และย้ำถึงความมุ่งมั่นของอาเซียนในการผลักดันสันติภาพในเมียนมา ซึ่งยังเผชิญกับวิกฤติหลังรัฐประหารในปี 2021 ในมุมที่น่าสนใจเพิ่มเติม โลกไซเบอร์กลายเป็นสนามรบใหม่ที่ไม่มีเส้นแบ่งพรมแดน และการโจมตีไม่จำเป็นต้องใช้กำลังทหาร แต่ใช้ “ข้อมูล” และ “ช่องโหว่” เป็นอาวุธ การร่วมมือระดับภูมิภาคจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยี AI และ IoT ทำให้ระบบต่างๆ เชื่อมโยงกันมากขึ้น ✅ มาเลเซียเสนอขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงจากทะเลสู่ไซเบอร์ ➡️ ภัยไซเบอร์สามารถทำลายโครงสร้างพื้นฐานและเสถียรภาพของประเทศ ➡️ การโจมตีทางไซเบอร์มีผลกระทบเทียบเท่าการรุกรานทางทหาร ➡️ มาเลเซียชี้ว่า “ภัยคุกคามวันนี้ไร้พรมแดน” ✅ การประชุมมีประเทศคู่เจรจาเข้าร่วมหลายชาติ ➡️ สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย ➡️ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ และจีนเข้าร่วมประชุมโดยตรง ✅ มาเลเซียเสนอจัดตั้งทีมสังเกตการณ์อาเซียนช่วยไทย-กัมพูชา ➡️ เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาชายแดนระหว่างสองประเทศ ➡️ ข้อตกลงหยุดยิงได้รับการรับรองโดยผู้นำสหรัฐฯ และมาเลเซีย ✅ อาเซียนยังคงผลักดันสันติภาพในเมียนมา ➡️ เรียกร้องให้เมียนมากลับสู่แนวทางตามฉันทามติ 5 ข้อ ➡️ ผู้นำทหารเมียนมายังถูกกีดกันจากการประชุมอาเซียน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/31/malaysia-urges-asean-to-expand-defense-cooperation-in-cyberspace
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Malaysia urges Asean to expand defense cooperation in cyberspace
    Malaysia called on Oct 31 for fellow members of the Association of South-East Asian Nations to extend their security partnerships from the high seas to cyberspace at an annual meeting of the bloc's defense ministers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 289 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ตู้เย็นก็มีโฆษณา” – Samsung เปิดทางโฆษณาบน Smart Fridge รุ่นแพง

    Samsung ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ตู้เย็นอัจฉริยะ Family Hub และ Bespoke ที่มีหน้าจอสัมผัสจะเริ่มแสดงโฆษณาในหน้าจอผ่านการอัปเดตซอฟต์แวร์เร็ว ๆ นี้ โดยเฉพาะรุ่นที่มีราคาสูงถึง $3,499 ก็ไม่เว้น

    แม้ก่อนหน้านี้จะมีการทดลองแสดงโฆษณาในบางประเทศ แต่ครั้งนี้ถือเป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในระดับสากล โดย Samsung ระบุว่าโฆษณาจะช่วย “ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้” และ “แนะนำผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง” ผ่าน SmartThings ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มควบคุมอุปกรณ์อัจฉริยะของบริษัท

    ผู้ใช้สามารถเลือกปิดโฆษณาบางประเภทได้ แต่ไม่สามารถปิดทั้งหมดได้ และยังไม่มีการเสนอรุ่น “ไม่มีโฆษณา” แม้จะเป็นสินค้าระดับพรีเมียม

    การเปลี่ยนแปลงจาก Samsung
    ตู้เย็น Family Hub และ Bespoke จะเริ่มแสดงโฆษณาบนหน้าจอ
    โฆษณาจะมาจาก SmartThings และแสดงในหน้า Home Screen
    ผู้ใช้สามารถเลือกปิดบางโฆษณาได้ แต่ไม่ทั้งหมด
    ไม่มีรุ่น “ไม่มีโฆษณา” แม้จะเป็นสินค้าราคา $3,499

    เหตุผลของบริษัท
    Samsung ระบุว่าโฆษณาจะช่วย “ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้”
    ใช้เพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้
    เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การสร้างรายได้จากอุปกรณ์ IoT

    คำเตือนและข้อควรพิจารณา
    ผู้ใช้ไม่มีทางเลือกในการซื้อรุ่นที่ไม่มีโฆษณา
    โฆษณาอาจปรากฏแม้ในอุปกรณ์ที่ไม่ได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา
    การแสดงโฆษณาในอุปกรณ์ที่ซื้อขาดอาจสร้างความไม่พอใจ
    อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการแสดงโฆษณาในเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ เช่น เตาอบ เครื่องซักผ้า หรือเครื่องปรับอากาศ

    https://arstechnica.com/gadgets/2025/10/samsung-makes-ads-on-3499-smart-fridges-official-with-upcoming-software-update/
    🧊📺 “ตู้เย็นก็มีโฆษณา” – Samsung เปิดทางโฆษณาบน Smart Fridge รุ่นแพง Samsung ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ตู้เย็นอัจฉริยะ Family Hub และ Bespoke ที่มีหน้าจอสัมผัสจะเริ่มแสดงโฆษณาในหน้าจอผ่านการอัปเดตซอฟต์แวร์เร็ว ๆ นี้ โดยเฉพาะรุ่นที่มีราคาสูงถึง $3,499 ก็ไม่เว้น แม้ก่อนหน้านี้จะมีการทดลองแสดงโฆษณาในบางประเทศ แต่ครั้งนี้ถือเป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในระดับสากล โดย Samsung ระบุว่าโฆษณาจะช่วย “ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้” และ “แนะนำผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง” ผ่าน SmartThings ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มควบคุมอุปกรณ์อัจฉริยะของบริษัท ผู้ใช้สามารถเลือกปิดโฆษณาบางประเภทได้ แต่ไม่สามารถปิดทั้งหมดได้ และยังไม่มีการเสนอรุ่น “ไม่มีโฆษณา” แม้จะเป็นสินค้าระดับพรีเมียม ✅ การเปลี่ยนแปลงจาก Samsung ➡️ ตู้เย็น Family Hub และ Bespoke จะเริ่มแสดงโฆษณาบนหน้าจอ ➡️ โฆษณาจะมาจาก SmartThings และแสดงในหน้า Home Screen ➡️ ผู้ใช้สามารถเลือกปิดบางโฆษณาได้ แต่ไม่ทั้งหมด ➡️ ไม่มีรุ่น “ไม่มีโฆษณา” แม้จะเป็นสินค้าราคา $3,499 ✅ เหตุผลของบริษัท ➡️ Samsung ระบุว่าโฆษณาจะช่วย “ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้” ➡️ ใช้เพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้ ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การสร้างรายได้จากอุปกรณ์ IoT ‼️ คำเตือนและข้อควรพิจารณา ⛔ ผู้ใช้ไม่มีทางเลือกในการซื้อรุ่นที่ไม่มีโฆษณา ⛔ โฆษณาอาจปรากฏแม้ในอุปกรณ์ที่ไม่ได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ⛔ การแสดงโฆษณาในอุปกรณ์ที่ซื้อขาดอาจสร้างความไม่พอใจ ⛔ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการแสดงโฆษณาในเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ เช่น เตาอบ เครื่องซักผ้า หรือเครื่องปรับอากาศ https://arstechnica.com/gadgets/2025/10/samsung-makes-ads-on-3499-smart-fridges-official-with-upcoming-software-update/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 158 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Clonezilla Live 3.3.0-33 มาแล้ว! รองรับการโคลน MTD และ eMMC พร้อมเครื่องมือใหม่เพียบ”

    Clonezilla Live เวอร์ชัน 3.3.0-33 เพิ่งเปิดตัว โดยเป็นระบบ live OS สำหรับการโคลนดิสก์และพาร์ทิชันที่อิงจาก Debian และใช้ Linux kernel 6.16 จุดเด่นของเวอร์ชันนี้คือการเพิ่มการรองรับการโคลนอุปกรณ์ MTD block และ eMMC boot ในโหมดผู้เชี่ยวชาญ (expert mode) ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับงาน embedded system และอุปกรณ์ IoT

    นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือใหม่ชื่อว่า ocs-blkdev-sorter ที่ช่วยให้ udev สร้าง alias block device ใน /dev/ocs-disks/ ได้สะดวกขึ้น และ ocs-live-time-sync สำหรับซิงค์เวลาในระบบผ่าน ocs-live-netcfg

    ยังมีการเพิ่มตัวเลือก -uoab ใน ocs-sr และ ocs-live-feed-img เพื่อให้เลือก alias block device ได้จาก UI แบบข้อความ และเครื่องมือใหม่อีกหลายตัว เช่น ocs-cmd-screen-sample, ocs-live-gen-ubrd, และ ocs-blk-dev-info ที่ให้ข้อมูล block device ในรูปแบบ JSON

    ด้านระบบยังมีการเพิ่มแพ็กเกจสำคัญ เช่น atd, cron, upower, และ dhcpcd-base รวมถึงปรับปรุงการตั้งค่า locale และ keymap ให้เลือกได้จาก shell login โดยใช้ fbterm เป็นค่าเริ่มต้น

    สุดท้าย Clonezilla Live 3.3.0-33 ยังอัปเดตสคริปต์ต่าง ๆ เช่น ocs-iso-2-onie, ocs-cvt-dev, และ ocs-live-swap-kernel เพื่อรองรับการใช้งานที่ซับซ้อนมากขึ้น พร้อมปรับปรุงประสิทธิภาพและแก้บั๊กหลายจุด

    ความสามารถใหม่ใน Clonezilla Live 3.3.0-33
    รองรับการโคลน MTD block และ eMMC boot device ใน expert mode
    เพิ่ม ocs-blkdev-sorter สำหรับสร้าง alias block device
    เพิ่ม ocs-live-time-sync สำหรับซิงค์เวลา
    เพิ่ม ocs-cmd-screen-sample และ ocs-live-gen-ubrd
    เพิ่ม ocs-blk-dev-info สำหรับแสดงข้อมูล block device แบบ JSON

    การปรับปรุงระบบและ UI
    เพิ่มตัวเลือก -uoab ใน UI แบบข้อความ
    ปรับ locale และ keymap ให้เลือกจาก shell login ด้วย fbterm
    ปรับปรุง ocs-iso-2-onie, ocs-cvt-dev, ocs-live-swap-kernel
    เพิ่มการรองรับ CPU architecture ในชื่อไฟล์ ISO/ZIP
    ปรับปรุงการแสดงผลของ ocs-scan-disk และ ocs-get-dev-info

    แพ็กเกจและระบบพื้นฐาน
    เพิ่มแพ็กเกจ atd, cron, upower, dhcpcd-base
    ใช้ Debian Sid (ณ วันที่ 17 ต.ค. 2025) เป็นฐานระบบ
    อัปเดต Partclone เป็นเวอร์ชัน 0.3.38 (แก้บั๊กเกี่ยวกับ btrfs)
    ปรับ grub.cfg ให้ใช้ efitextmode 0
    เพิ่มกลไกตั้งค่า timezone จาก BIOS หากไม่มีอินเทอร์เน็ต

    https://9to5linux.com/clonezilla-live-3-3-0-33-adds-support-for-cloning-mtd-block-and-emmc-boot-devices
    💾 “Clonezilla Live 3.3.0-33 มาแล้ว! รองรับการโคลน MTD และ eMMC พร้อมเครื่องมือใหม่เพียบ” Clonezilla Live เวอร์ชัน 3.3.0-33 เพิ่งเปิดตัว โดยเป็นระบบ live OS สำหรับการโคลนดิสก์และพาร์ทิชันที่อิงจาก Debian และใช้ Linux kernel 6.16 จุดเด่นของเวอร์ชันนี้คือการเพิ่มการรองรับการโคลนอุปกรณ์ MTD block และ eMMC boot ในโหมดผู้เชี่ยวชาญ (expert mode) ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับงาน embedded system และอุปกรณ์ IoT นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือใหม่ชื่อว่า ocs-blkdev-sorter ที่ช่วยให้ udev สร้าง alias block device ใน /dev/ocs-disks/ ได้สะดวกขึ้น และ ocs-live-time-sync สำหรับซิงค์เวลาในระบบผ่าน ocs-live-netcfg ยังมีการเพิ่มตัวเลือก -uoab ใน ocs-sr และ ocs-live-feed-img เพื่อให้เลือก alias block device ได้จาก UI แบบข้อความ และเครื่องมือใหม่อีกหลายตัว เช่น ocs-cmd-screen-sample, ocs-live-gen-ubrd, และ ocs-blk-dev-info ที่ให้ข้อมูล block device ในรูปแบบ JSON ด้านระบบยังมีการเพิ่มแพ็กเกจสำคัญ เช่น atd, cron, upower, และ dhcpcd-base รวมถึงปรับปรุงการตั้งค่า locale และ keymap ให้เลือกได้จาก shell login โดยใช้ fbterm เป็นค่าเริ่มต้น สุดท้าย Clonezilla Live 3.3.0-33 ยังอัปเดตสคริปต์ต่าง ๆ เช่น ocs-iso-2-onie, ocs-cvt-dev, และ ocs-live-swap-kernel เพื่อรองรับการใช้งานที่ซับซ้อนมากขึ้น พร้อมปรับปรุงประสิทธิภาพและแก้บั๊กหลายจุด ✅ ความสามารถใหม่ใน Clonezilla Live 3.3.0-33 ➡️ รองรับการโคลน MTD block และ eMMC boot device ใน expert mode ➡️ เพิ่ม ocs-blkdev-sorter สำหรับสร้าง alias block device ➡️ เพิ่ม ocs-live-time-sync สำหรับซิงค์เวลา ➡️ เพิ่ม ocs-cmd-screen-sample และ ocs-live-gen-ubrd ➡️ เพิ่ม ocs-blk-dev-info สำหรับแสดงข้อมูล block device แบบ JSON ✅ การปรับปรุงระบบและ UI ➡️ เพิ่มตัวเลือก -uoab ใน UI แบบข้อความ ➡️ ปรับ locale และ keymap ให้เลือกจาก shell login ด้วย fbterm ➡️ ปรับปรุง ocs-iso-2-onie, ocs-cvt-dev, ocs-live-swap-kernel ➡️ เพิ่มการรองรับ CPU architecture ในชื่อไฟล์ ISO/ZIP ➡️ ปรับปรุงการแสดงผลของ ocs-scan-disk และ ocs-get-dev-info ✅ แพ็กเกจและระบบพื้นฐาน ➡️ เพิ่มแพ็กเกจ atd, cron, upower, dhcpcd-base ➡️ ใช้ Debian Sid (ณ วันที่ 17 ต.ค. 2025) เป็นฐานระบบ ➡️ อัปเดต Partclone เป็นเวอร์ชัน 0.3.38 (แก้บั๊กเกี่ยวกับ btrfs) ➡️ ปรับ grub.cfg ให้ใช้ efitextmode 0 ➡️ เพิ่มกลไกตั้งค่า timezone จาก BIOS หากไม่มีอินเทอร์เน็ต https://9to5linux.com/clonezilla-live-3-3-0-33-adds-support-for-cloning-mtd-block-and-emmc-boot-devices
    9TO5LINUX.COM
    Clonezilla Live 3.3.0-33 Adds Support for Cloning MTD Block and eMMC Boot Devices - 9to5Linux
    Clonezilla Live 3.3.0-33 open-source and free disk cloning/imaging tool is now available for download with various changes and updated components.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • “APU แบบ Compute-in-Memory จาก GSI ทำงานเร็วเท่ากับ GPU แต่ใช้พลังงานน้อยกว่า 98%” — เมื่อการประมวลผลแบบใหม่อาจเปลี่ยนเกม AI ทั้งในหุ่นยนต์, IoT และอวกาศ

    GSI Technology ร่วมกับทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัย Cornell เผยผลการทดสอบ APU (Associative Processing Unit) รุ่น Gemini-I ซึ่งใช้สถาปัตยกรรม Compute-in-Memory (CIM) ในการประมวลผล AI โดยไม่ต้องแยกหน่วยความจำออกจากหน่วยคำนวณเหมือน CPU หรือ GPU แบบเดิม

    ผลการทดสอบ Retrieval-Augmented Generation (RAG) บนชุดข้อมูลขนาด 10–200 GB พบว่า Gemini-I มีประสิทธิภาพเทียบเท่า NVIDIA A6000 GPU แต่ใช้พลังงานน้อยกว่าถึง 98% และเร็วกว่า CPU ทั่วไปถึง 80% ในงานค้นคืนข้อมูล

    เทคโนโลยีนี้เหมาะกับงานที่ต้องการประสิทธิภาพต่อวัตต์สูง เช่น:

    หุ่นยนต์และโดรนที่ใช้ Edge AI
    อุปกรณ์ IoT ที่มีข้อจำกัดด้านพลังงาน
    ระบบป้องกันประเทศและอวกาศที่ต้องการความเย็นต่ำและความเร็วสูง

    GSI ยังเผยว่า Gemini-II ซึ่งเป็นรุ่นถัดไปจะเร็วขึ้นอีก 10 เท่า และ Plato ซึ่งอยู่ในขั้นพัฒนา จะเน้นงาน embedded edge ที่ใช้พลังงานต่ำแต่ต้องการความสามารถสูง

    Gemini-I APU จาก GSI ใช้สถาปัตยกรรม Compute-in-Memory
    รวมหน่วยความจำและประมวลผลไว้ในชิปเดียว

    ประสิทธิภาพเทียบเท่า NVIDIA A6000 GPU ในงาน RAG
    แต่ใช้พลังงานน้อยกว่าถึง 98%

    เร็วกว่า CPU ทั่วไปถึง 80% ในงาน retrieval
    เหมาะกับงาน AI ที่ต้องการความเร็วและประหยัดพลังงาน

    Gemini-II จะเร็วขึ้นอีก 10 เท่าและลด latency
    เหมาะกับงาน memory-intensive

    Plato จะเน้น embedded edge AI ที่ใช้พลังงานต่ำ
    เช่น หุ่นยนต์, IoT, อุปกรณ์พกพา

    งานวิจัยตีพิมพ์ใน ACM และนำเสนอที่งาน Micro '25
    เป็นการประเมินเชิงลึกครั้งแรกของอุปกรณ์ CIM เชิงพาณิชย์

    https://www.techpowerup.com/342054/compute-in-memory-apu-achieves-gpu-class-ai-performance-at-a-fraction-of-the-energy-cost
    ⚡ “APU แบบ Compute-in-Memory จาก GSI ทำงานเร็วเท่ากับ GPU แต่ใช้พลังงานน้อยกว่า 98%” — เมื่อการประมวลผลแบบใหม่อาจเปลี่ยนเกม AI ทั้งในหุ่นยนต์, IoT และอวกาศ GSI Technology ร่วมกับทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัย Cornell เผยผลการทดสอบ APU (Associative Processing Unit) รุ่น Gemini-I ซึ่งใช้สถาปัตยกรรม Compute-in-Memory (CIM) ในการประมวลผล AI โดยไม่ต้องแยกหน่วยความจำออกจากหน่วยคำนวณเหมือน CPU หรือ GPU แบบเดิม ผลการทดสอบ Retrieval-Augmented Generation (RAG) บนชุดข้อมูลขนาด 10–200 GB พบว่า Gemini-I มีประสิทธิภาพเทียบเท่า NVIDIA A6000 GPU แต่ใช้พลังงานน้อยกว่าถึง 98% และเร็วกว่า CPU ทั่วไปถึง 80% ในงานค้นคืนข้อมูล เทคโนโลยีนี้เหมาะกับงานที่ต้องการประสิทธิภาพต่อวัตต์สูง เช่น: 🔋 หุ่นยนต์และโดรนที่ใช้ Edge AI 🔋 อุปกรณ์ IoT ที่มีข้อจำกัดด้านพลังงาน 🔋 ระบบป้องกันประเทศและอวกาศที่ต้องการความเย็นต่ำและความเร็วสูง GSI ยังเผยว่า Gemini-II ซึ่งเป็นรุ่นถัดไปจะเร็วขึ้นอีก 10 เท่า และ Plato ซึ่งอยู่ในขั้นพัฒนา จะเน้นงาน embedded edge ที่ใช้พลังงานต่ำแต่ต้องการความสามารถสูง ✅ Gemini-I APU จาก GSI ใช้สถาปัตยกรรม Compute-in-Memory ➡️ รวมหน่วยความจำและประมวลผลไว้ในชิปเดียว ✅ ประสิทธิภาพเทียบเท่า NVIDIA A6000 GPU ในงาน RAG ➡️ แต่ใช้พลังงานน้อยกว่าถึง 98% ✅ เร็วกว่า CPU ทั่วไปถึง 80% ในงาน retrieval ➡️ เหมาะกับงาน AI ที่ต้องการความเร็วและประหยัดพลังงาน ✅ Gemini-II จะเร็วขึ้นอีก 10 เท่าและลด latency ➡️ เหมาะกับงาน memory-intensive ✅ Plato จะเน้น embedded edge AI ที่ใช้พลังงานต่ำ ➡️ เช่น หุ่นยนต์, IoT, อุปกรณ์พกพา ✅ งานวิจัยตีพิมพ์ใน ACM และนำเสนอที่งาน Micro '25 ➡️ เป็นการประเมินเชิงลึกครั้งแรกของอุปกรณ์ CIM เชิงพาณิชย์ https://www.techpowerup.com/342054/compute-in-memory-apu-achieves-gpu-class-ai-performance-at-a-fraction-of-the-energy-cost
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Compute-In-Memory APU Achieves GPU-Class AI Performance at a Fraction of the Energy Cost
    GSI Technology, Inc. (Nasdaq: GSIT), the inventor of the Associative Processing Unit (APU), a paradigm shift in artificial intelligence (AI) and high-performance compute (HPC) processing providing true compute-in-memory technology, announced the publication of a paper led by researchers at Cornell U...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Palantir vs Nvidia: เมื่อสงครามเศรษฐกิจกลายเป็นสนามความคิดเรื่องจีน"

    Shyam Sankar ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ Palantir ได้ออกบทความแสดงความเห็นใน Wall Street Journal โดยกล่าวถึงความจำเป็นที่สหรัฐฯ ต้องยอมรับว่า “เรามีปัญหา” กับการพึ่งพาจีนในด้านเทคโนโลยีและการผลิต พร้อมวิจารณ์แนวคิดที่ต่อต้าน “China hawks” ว่าเป็นการทำตัวเป็น “useful idiots” หรือคนที่ถูกใช้โดยไม่รู้ตัว

    บทความของ Sankar ถูกมองว่าเป็นการตอบโต้ทางอ้อมต่อ Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ที่เคยกล่าวว่า “China hawk” ไม่ใช่ตราแห่งเกียรติ แต่เป็น “ตราแห่งความอับอาย” และเสนอว่า “เราควรอยู่ร่วมกันได้” มากกว่าจะเลือกข้างแบบสุดโต่ง

    Sankar ชี้ว่าแนวคิดแบบ Huang เป็นการปฏิเสธความจริงที่ว่าเรากำลังอยู่ในสงครามเศรษฐกิจ และทุกการซื้อขายหรือการลงทุนคือการเลือกข้างในระบบที่แข่งขันกันอย่างเข้มข้น เขาเตือนว่า หากสหรัฐฯ ไม่เริ่มสร้างทางเลือกใหม่และลดการพึ่งพาจีน เราอาจถูกบีบให้ยอมตามข้อเรียกร้องของปักกิ่งในอนาคต

    มุมมองของ Shyam Sankar (Palantir CTO)
    สหรัฐฯ ต้องยอมรับว่าการพึ่งพาจีนเป็นปัญหา
    การปฏิเสธความจริงคือการทำตัวเป็น “useful idiots”
    ทุกการซื้อขายคือการเลือกข้างในสงครามเศรษฐกิจ

    การตอบโต้แนวคิดของ Jensen Huang (Nvidia CEO)
    Huang เคยกล่าวว่า “China hawk” เป็นตราแห่งความอับอาย
    เสนอแนวทาง “us and them” แทน “us vs them”
    สนับสนุนการขายชิปให้จีนเพื่อสร้างมาตรฐานเทคโนโลยีของสหรัฐฯ

    คำเตือนจาก Sankar
    การเชื่อใน “การขึ้นอย่างสันติ” ของจีนคือการหลอกตัวเอง
    บริษัทอเมริกันกำลังสนับสนุนการเติบโตของจีนโดยไม่รู้ตัว
    หากไม่สร้าง supply chain ทางเลือก สหรัฐฯ จะไม่มีอำนาจต่อรองในอนาคต

    ตัวอย่างบริษัทที่ลงทุนในจีน
    Apple, Tesla, Intel, GM, P&G, Coca-Cola
    การลงทุนมหาศาลทำให้จีนกลายเป็นผู้ผลิตระดับโลก
    ไม่ใช่แค่แรงงานราคาถูก แต่เป็น supply chain ที่ครบวงจร

    แนวทางที่ Sankar เสนอ
    สหรัฐฯ ต้องฟื้นฟูฐานการผลิตของตัวเอง
    ไม่จำเป็นต้องหยุดค้าขายกับจีน แต่ต้องมีทางเลือก
    ต้องยอมรับความเจ็บปวดระยะสั้นเพื่ออธิปไตยระยะยาว

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:
    ความหมายของ “useful idiot” ในบริบทสงครามเย็น
    เป็นคำที่ใช้เรียกคนที่ถูกใช้โดยฝ่ายตรงข้ามโดยไม่รู้ตัว
    มักใช้ในบริบทการเมืองและอุดมการณ์

    ความท้าทายของการลดการพึ่งพาจีน
    จีนมี supply chain ที่ครบวงจรและยากจะทดแทน
    การสร้างระบบใหม่ต้องใช้เวลาและเงินมหาศาล
    ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/palantir-chief-takes-a-jab-at-nvidia-ceo-jensen-huang-says-people-decrying-china-hawks-are-useful-idiots-the-first-step-to-ending-our-dependence-on-china-is-admitting-we-have-a-problem
    🥷 "Palantir vs Nvidia: เมื่อสงครามเศรษฐกิจกลายเป็นสนามความคิดเรื่องจีน" Shyam Sankar ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ Palantir ได้ออกบทความแสดงความเห็นใน Wall Street Journal โดยกล่าวถึงความจำเป็นที่สหรัฐฯ ต้องยอมรับว่า “เรามีปัญหา” กับการพึ่งพาจีนในด้านเทคโนโลยีและการผลิต พร้อมวิจารณ์แนวคิดที่ต่อต้าน “China hawks” ว่าเป็นการทำตัวเป็น “useful idiots” หรือคนที่ถูกใช้โดยไม่รู้ตัว บทความของ Sankar ถูกมองว่าเป็นการตอบโต้ทางอ้อมต่อ Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ที่เคยกล่าวว่า “China hawk” ไม่ใช่ตราแห่งเกียรติ แต่เป็น “ตราแห่งความอับอาย” และเสนอว่า “เราควรอยู่ร่วมกันได้” มากกว่าจะเลือกข้างแบบสุดโต่ง Sankar ชี้ว่าแนวคิดแบบ Huang เป็นการปฏิเสธความจริงที่ว่าเรากำลังอยู่ในสงครามเศรษฐกิจ และทุกการซื้อขายหรือการลงทุนคือการเลือกข้างในระบบที่แข่งขันกันอย่างเข้มข้น เขาเตือนว่า หากสหรัฐฯ ไม่เริ่มสร้างทางเลือกใหม่และลดการพึ่งพาจีน เราอาจถูกบีบให้ยอมตามข้อเรียกร้องของปักกิ่งในอนาคต ✅ มุมมองของ Shyam Sankar (Palantir CTO) ➡️ สหรัฐฯ ต้องยอมรับว่าการพึ่งพาจีนเป็นปัญหา ➡️ การปฏิเสธความจริงคือการทำตัวเป็น “useful idiots” ➡️ ทุกการซื้อขายคือการเลือกข้างในสงครามเศรษฐกิจ ✅ การตอบโต้แนวคิดของ Jensen Huang (Nvidia CEO) ➡️ Huang เคยกล่าวว่า “China hawk” เป็นตราแห่งความอับอาย ➡️ เสนอแนวทาง “us and them” แทน “us vs them” ➡️ สนับสนุนการขายชิปให้จีนเพื่อสร้างมาตรฐานเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ‼️ คำเตือนจาก Sankar ⛔ การเชื่อใน “การขึ้นอย่างสันติ” ของจีนคือการหลอกตัวเอง ⛔ บริษัทอเมริกันกำลังสนับสนุนการเติบโตของจีนโดยไม่รู้ตัว ⛔ หากไม่สร้าง supply chain ทางเลือก สหรัฐฯ จะไม่มีอำนาจต่อรองในอนาคต ✅ ตัวอย่างบริษัทที่ลงทุนในจีน ➡️ Apple, Tesla, Intel, GM, P&G, Coca-Cola ➡️ การลงทุนมหาศาลทำให้จีนกลายเป็นผู้ผลิตระดับโลก ➡️ ไม่ใช่แค่แรงงานราคาถูก แต่เป็น supply chain ที่ครบวงจร ✅ แนวทางที่ Sankar เสนอ ➡️ สหรัฐฯ ต้องฟื้นฟูฐานการผลิตของตัวเอง ➡️ ไม่จำเป็นต้องหยุดค้าขายกับจีน แต่ต้องมีทางเลือก ➡️ ต้องยอมรับความเจ็บปวดระยะสั้นเพื่ออธิปไตยระยะยาว 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ ความหมายของ “useful idiot” ในบริบทสงครามเย็น ➡️ เป็นคำที่ใช้เรียกคนที่ถูกใช้โดยฝ่ายตรงข้ามโดยไม่รู้ตัว ➡️ มักใช้ในบริบทการเมืองและอุดมการณ์ ✅ ความท้าทายของการลดการพึ่งพาจีน ➡️ จีนมี supply chain ที่ครบวงจรและยากจะทดแทน ➡️ การสร้างระบบใหม่ต้องใช้เวลาและเงินมหาศาล ➡️ ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/palantir-chief-takes-a-jab-at-nvidia-ceo-jensen-huang-says-people-decrying-china-hawks-are-useful-idiots-the-first-step-to-ending-our-dependence-on-china-is-admitting-we-have-a-problem
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 302 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Neural Engine คืออะไร? ต่างจาก GPU อย่างไร?” — เมื่อชิป AI กลายเป็นหัวใจของอุปกรณ์ยุคใหม่ และ NPU คือผู้เล่นตัวจริง

    บทความจาก SlashGear อธิบายว่า Neural Engine หรือ NPU (Neural Processing Unit) คือชิปเฉพาะทางที่ออกแบบมาเพื่อเร่งการประมวลผลด้าน AI และ machine learning โดยเฉพาะ ต่างจาก CPU ที่เน้นงานเชิงตรรกะ และ GPU ที่เน้นงานกราฟิกและการคำนวณแบบขนาน

    Apple เป็นหนึ่งในบริษัทแรกที่นำ Neural Engine มาใช้ใน iPhone X ปี 2017 เพื่อช่วยงาน Face ID และการเรียนรู้ของ Siri ปัจจุบัน NPU ถูกฝังอยู่ในอุปกรณ์หลากหลาย เช่น สมาร์ตโฟน, แท็บเล็ต, คอมพิวเตอร์ และแม้แต่ IoT

    NPU มีจำนวนคอร์มากกว่า CPU และออกแบบมาเพื่อการคำนวณซ้ำ ๆ เช่น matrix multiplication ซึ่งเป็นหัวใจของ neural networks นอกจากนี้ยังมีหน่วยความจำในตัว (on-chip memory) เพื่อลด latency และเพิ่มประสิทธิภาพ

    GPU ก็สามารถใช้ประมวลผล AI ได้เช่นกัน โดยเฉพาะในระดับ data center เช่นที่ OpenAI ใช้ GPU จาก NVIDIA และ AMD แต่ GPU ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อ AI โดยตรง จึงใช้พลังงานมากกว่าและมีประสิทธิภาพต่ำกว่า NPU ในงานเฉพาะทาง

    ในอุปกรณ์พกพา เช่น iPhone 16 หรือ Pixel 10 NPU ถูกใช้เพื่อรันฟีเจอร์ AI แบบ local เช่น live translation, image generation และ call transcribing โดยไม่ต้องพึ่ง cloud

    Neural Engine หรือ NPU คือชิปเฉพาะทางสำหรับงาน AI
    เช่น Face ID, Siri, live translation, image generation

    NPU มีจำนวนคอร์มากกว่า CPU และออกแบบเพื่อ matrix multiplication
    เหมาะกับงาน neural networks และ machine learning

    มีหน่วยความจำในตัวเพื่อลด latency และเพิ่มประสิทธิภาพ
    ทำให้เร็วและประหยัดพลังงานกว่า GPU

    GPU ก็สามารถใช้ประมวลผล AI ได้
    โดยเฉพาะในระดับ data center เช่น OpenAI ใช้ GPU cluster

    GPU ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อ AI โดยตรง
    ใช้พลังงานมากกว่าและมีประสิทธิภาพต่ำกว่า NPU ในงานเฉพาะทาง

    อุปกรณ์พกพาใช้ NPU เพื่อรันฟีเจอร์ AI แบบ local
    ไม่ต้องพึ่ง cloud เช่น iPhone 16 และ Pixel 10

    https://www.slashgear.com/1997513/what-is-a-neural-engine-how-npu-different-than-gpu/
    🧠 “Neural Engine คืออะไร? ต่างจาก GPU อย่างไร?” — เมื่อชิป AI กลายเป็นหัวใจของอุปกรณ์ยุคใหม่ และ NPU คือผู้เล่นตัวจริง บทความจาก SlashGear อธิบายว่า Neural Engine หรือ NPU (Neural Processing Unit) คือชิปเฉพาะทางที่ออกแบบมาเพื่อเร่งการประมวลผลด้าน AI และ machine learning โดยเฉพาะ ต่างจาก CPU ที่เน้นงานเชิงตรรกะ และ GPU ที่เน้นงานกราฟิกและการคำนวณแบบขนาน Apple เป็นหนึ่งในบริษัทแรกที่นำ Neural Engine มาใช้ใน iPhone X ปี 2017 เพื่อช่วยงาน Face ID และการเรียนรู้ของ Siri ปัจจุบัน NPU ถูกฝังอยู่ในอุปกรณ์หลากหลาย เช่น สมาร์ตโฟน, แท็บเล็ต, คอมพิวเตอร์ และแม้แต่ IoT NPU มีจำนวนคอร์มากกว่า CPU และออกแบบมาเพื่อการคำนวณซ้ำ ๆ เช่น matrix multiplication ซึ่งเป็นหัวใจของ neural networks นอกจากนี้ยังมีหน่วยความจำในตัว (on-chip memory) เพื่อลด latency และเพิ่มประสิทธิภาพ GPU ก็สามารถใช้ประมวลผล AI ได้เช่นกัน โดยเฉพาะในระดับ data center เช่นที่ OpenAI ใช้ GPU จาก NVIDIA และ AMD แต่ GPU ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อ AI โดยตรง จึงใช้พลังงานมากกว่าและมีประสิทธิภาพต่ำกว่า NPU ในงานเฉพาะทาง ในอุปกรณ์พกพา เช่น iPhone 16 หรือ Pixel 10 NPU ถูกใช้เพื่อรันฟีเจอร์ AI แบบ local เช่น live translation, image generation และ call transcribing โดยไม่ต้องพึ่ง cloud ✅ Neural Engine หรือ NPU คือชิปเฉพาะทางสำหรับงาน AI ➡️ เช่น Face ID, Siri, live translation, image generation ✅ NPU มีจำนวนคอร์มากกว่า CPU และออกแบบเพื่อ matrix multiplication ➡️ เหมาะกับงาน neural networks และ machine learning ✅ มีหน่วยความจำในตัวเพื่อลด latency และเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ ทำให้เร็วและประหยัดพลังงานกว่า GPU ✅ GPU ก็สามารถใช้ประมวลผล AI ได้ ➡️ โดยเฉพาะในระดับ data center เช่น OpenAI ใช้ GPU cluster ✅ GPU ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อ AI โดยตรง ➡️ ใช้พลังงานมากกว่าและมีประสิทธิภาพต่ำกว่า NPU ในงานเฉพาะทาง ✅ อุปกรณ์พกพาใช้ NPU เพื่อรันฟีเจอร์ AI แบบ local ➡️ ไม่ต้องพึ่ง cloud เช่น iPhone 16 และ Pixel 10 https://www.slashgear.com/1997513/what-is-a-neural-engine-how-npu-different-than-gpu/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    What Is A Neural Engine & How Do NPUs Differ From GPUs? - SlashGear
    When it comes to tech, most don't think too much about how things like NPUs and GPUs work. But the differences between them is more important than you think.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 259 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Spring อุดช่องโหว่ SpEL และ STOMP CSRF — ป้องกันการรั่วไหลข้อมูลและการแฮ็ก WebSocket” — เมื่อเฟรมเวิร์กยอดนิยมของ Java ต้องรีบออกแพตช์เพื่อหยุดการโจมตีแบบใหม่

    ทีม Spring ของ VMware Tanzu ได้ออกแพตช์ด่วนสำหรับช่องโหว่ 2 รายการที่ส่งผลกระทบต่อ Spring Cloud Gateway และ Spring Framework ซึ่งอาจเปิดช่องให้แฮ็กเกอร์เข้าถึงข้อมูลลับ หรือส่งข้อความ WebSocket โดยไม่ได้รับอนุญาต

    ช่องโหว่แรกคือ CVE-2025-41253 เกิดจากการใช้ Spring Expression Language (SpEL) ในการกำหนด route ของแอปพลิเคชัน Spring Cloud Gateway Server Webflux โดยหากเปิด actuator endpoint แบบไม่ปลอดภัย และอนุญาตให้บุคคลภายนอกกำหนด route ได้ ก็อาจทำให้แฮ็กเกอร์อ่าน environment variables, system properties หรือแม้แต่ token และ API key ได้จาก runtime environment

    ช่องโหว่ที่สองคือ CVE-2025-41254 เกิดใน Spring Framework ที่ใช้ STOMP over WebSocket ซึ่งอาจถูกใช้เพื่อส่งข้อความโดยไม่ผ่านการตรวจสอบ CSRF ทำให้แฮ็กเกอร์สามารถสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์แบบ real-time ได้โดยไม่ต้องมีสิทธิ์

    Spring ได้ออกแพตช์สำหรับทั้งสองช่องโหว่แล้ว โดยแนะนำให้ผู้ใช้ที่ไม่สามารถอัปเดตทันที ให้ปิดการเข้าถึง actuator endpoint หรือเพิ่มการป้องกันให้ปลอดภัยมากขึ้น

    Spring ออกแพตช์สำหรับช่องโหว่ CVE-2025-41253 และ CVE-2025-41254
    ส่งผลกระทบต่อ Spring Cloud Gateway และ Spring Framework

    CVE-2025-41253 เกิดจากการใช้ SpEL ใน route configuration
    อาจทำให้แฮ็กเกอร์อ่านข้อมูลลับจาก environment ได้

    เงื่อนไขที่ทำให้เกิดช่องโหว่: ใช้ Webflux, เปิด actuator endpoint, และอนุญาตให้กำหนด route ด้วย SpEL
    ไม่ส่งผลกับ WebMVC

    CVE-2025-41254 เกิดจาก STOMP over WebSocket ที่ไม่ตรวจสอบ CSRF
    อาจถูกใช้ส่งข้อความโดยไม่ได้รับอนุญาต

    Spring ออกแพตช์ในเวอร์ชัน OSS และ Commercial หลายรุ่น
    เช่น 4.3.2, 4.2.6, 6.2.12, 5.3.46 เป็นต้น

    มีคำแนะนำสำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถอัปเดตทันที
    เช่น ปิด actuator endpoint หรือเพิ่มการป้องกัน

    แอปที่เปิด actuator endpoint โดยไม่ป้องกันมีความเสี่ยงสูง
    อาจถูกใช้เพื่ออ่านข้อมูลลับจากระบบ

    STOMP over WebSocket ที่ไม่ตรวจสอบ CSRF อาจถูกใช้โจมตีแบบ real-time
    เหมาะกับระบบแชต, dashboard หรือ IoT ที่มีความอ่อนไหว

    ผู้ใช้ Spring รุ่นเก่าอาจยังไม่ได้รับแพตช์
    ต้องอัปเกรดหรือใช้วิธีป้องกันชั่วคราว

    การใช้ SpEL โดยไม่จำกัดสิทธิ์อาจเปิดช่องให้รันคำสั่งอันตราย
    ควรจำกัดการเข้าถึงและตรวจสอบ route configuration อย่างเข้มงวด

    https://securityonline.info/spring-patches-two-flaws-spel-injection-cve-2025-41253-leaks-secrets-stomp-csrf-bypasses-websocket-security/
    🛡️ “Spring อุดช่องโหว่ SpEL และ STOMP CSRF — ป้องกันการรั่วไหลข้อมูลและการแฮ็ก WebSocket” — เมื่อเฟรมเวิร์กยอดนิยมของ Java ต้องรีบออกแพตช์เพื่อหยุดการโจมตีแบบใหม่ ทีม Spring ของ VMware Tanzu ได้ออกแพตช์ด่วนสำหรับช่องโหว่ 2 รายการที่ส่งผลกระทบต่อ Spring Cloud Gateway และ Spring Framework ซึ่งอาจเปิดช่องให้แฮ็กเกอร์เข้าถึงข้อมูลลับ หรือส่งข้อความ WebSocket โดยไม่ได้รับอนุญาต ช่องโหว่แรกคือ CVE-2025-41253 เกิดจากการใช้ Spring Expression Language (SpEL) ในการกำหนด route ของแอปพลิเคชัน Spring Cloud Gateway Server Webflux โดยหากเปิด actuator endpoint แบบไม่ปลอดภัย และอนุญาตให้บุคคลภายนอกกำหนด route ได้ ก็อาจทำให้แฮ็กเกอร์อ่าน environment variables, system properties หรือแม้แต่ token และ API key ได้จาก runtime environment ช่องโหว่ที่สองคือ CVE-2025-41254 เกิดใน Spring Framework ที่ใช้ STOMP over WebSocket ซึ่งอาจถูกใช้เพื่อส่งข้อความโดยไม่ผ่านการตรวจสอบ CSRF ทำให้แฮ็กเกอร์สามารถสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์แบบ real-time ได้โดยไม่ต้องมีสิทธิ์ Spring ได้ออกแพตช์สำหรับทั้งสองช่องโหว่แล้ว โดยแนะนำให้ผู้ใช้ที่ไม่สามารถอัปเดตทันที ให้ปิดการเข้าถึง actuator endpoint หรือเพิ่มการป้องกันให้ปลอดภัยมากขึ้น ✅ Spring ออกแพตช์สำหรับช่องโหว่ CVE-2025-41253 และ CVE-2025-41254 ➡️ ส่งผลกระทบต่อ Spring Cloud Gateway และ Spring Framework ✅ CVE-2025-41253 เกิดจากการใช้ SpEL ใน route configuration ➡️ อาจทำให้แฮ็กเกอร์อ่านข้อมูลลับจาก environment ได้ ✅ เงื่อนไขที่ทำให้เกิดช่องโหว่: ใช้ Webflux, เปิด actuator endpoint, และอนุญาตให้กำหนด route ด้วย SpEL ➡️ ไม่ส่งผลกับ WebMVC ✅ CVE-2025-41254 เกิดจาก STOMP over WebSocket ที่ไม่ตรวจสอบ CSRF ➡️ อาจถูกใช้ส่งข้อความโดยไม่ได้รับอนุญาต ✅ Spring ออกแพตช์ในเวอร์ชัน OSS และ Commercial หลายรุ่น ➡️ เช่น 4.3.2, 4.2.6, 6.2.12, 5.3.46 เป็นต้น ✅ มีคำแนะนำสำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถอัปเดตทันที ➡️ เช่น ปิด actuator endpoint หรือเพิ่มการป้องกัน ‼️ แอปที่เปิด actuator endpoint โดยไม่ป้องกันมีความเสี่ยงสูง ⛔ อาจถูกใช้เพื่ออ่านข้อมูลลับจากระบบ ‼️ STOMP over WebSocket ที่ไม่ตรวจสอบ CSRF อาจถูกใช้โจมตีแบบ real-time ⛔ เหมาะกับระบบแชต, dashboard หรือ IoT ที่มีความอ่อนไหว ‼️ ผู้ใช้ Spring รุ่นเก่าอาจยังไม่ได้รับแพตช์ ⛔ ต้องอัปเกรดหรือใช้วิธีป้องกันชั่วคราว ‼️ การใช้ SpEL โดยไม่จำกัดสิทธิ์อาจเปิดช่องให้รันคำสั่งอันตราย ⛔ ควรจำกัดการเข้าถึงและตรวจสอบ route configuration อย่างเข้มงวด https://securityonline.info/spring-patches-two-flaws-spel-injection-cve-2025-41253-leaks-secrets-stomp-csrf-bypasses-websocket-security/
    SECURITYONLINE.INFO
    Spring Patches Two Flaws: SpEL Injection (CVE-2025-41253) Leaks Secrets, STOMP CSRF Bypasses WebSocket Security
    Spring fixed two flaws: CVE-2025-41253 allows SpEL injection in Cloud Gateway to expose secrets, and CVE-2025-41254 allows STOMP CSRF to send unauthorized WebSocket messages. Update immediately.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • “TSMC ทำสถิติรายได้สูงสุดไตรมาสล่าสุด” — แรงหนุนจาก AI และ HPC ดันรายได้ทะลุ $33.1 พันล้าน

    TSMC รายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุดด้วยรายได้สูงถึง $33.1 พันล้าน ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดของบริษัท โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากความต้องการชิปสำหรับ AI และโครงสร้างพื้นฐาน HPC ที่คิดเป็นสองในสามของรายได้ทั้งหมด

    รายได้เพิ่มขึ้น 40.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน และ 10.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ $14.77 พันล้าน และอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 59.5% แม้จะมีต้นทุนจากการขยายโรงงานในญี่ปุ่นและสหรัฐฯ

    TSMC เริ่มรับรู้รายได้จากชิป Apple รุ่นใหม่ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี N3P เช่น A19 และ M5-series ซึ่งใช้ใน iPhone 17 และ Mac รุ่นล่าสุด โดยเทคโนโลยีระดับ 3nm คิดเป็น 23% ของรายได้ wafer ทั้งหมด

    กลุ่ม HPC ยังคงเป็นผู้นำด้านรายได้ที่ 57% ตามด้วยสมาร์ตโฟน 30%, ยานยนต์ 5% และ IoT 5% โดย TSMC คาดว่าความต้องการชิป AI จะยังคงแข็งแกร่งไปจนถึงปี 2025

    ข้อมูลในข่าว
    TSMC รายงานรายได้ไตรมาสล่าสุดที่ $33.1 พันล้าน
    เพิ่มขึ้น 40.8% จากปีก่อน และ 10.1% จากไตรมาสก่อน
    กำไรสุทธิอยู่ที่ $14.77 พันล้าน
    อัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 59.5%
    รายได้หลักมาจากชิป AI และ HPC คิดเป็นสองในสามของรายได้
    เริ่มรับรู้รายได้จากชิป Apple รุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี N3P
    เทคโนโลยีระดับ 3nm คิดเป็น 23% ของรายได้ wafer
    กลุ่ม HPC มีสัดส่วนรายได้ 57%, สมาร์ตโฟน 30%, ยานยนต์ 5%, IoT 5%
    TSMC คาดว่าความต้องการชิป AI จะยังคงแข็งแกร่งไปจนถึงปี 2025
    มีการขยายโรงงานในญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลต่อต้นทุน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-posts-record-quarter-results-as-skyrocketing-ai-and-hpc-demand-drives-two-thirds-of-revenue-company-pulls-in-usd33-1-billion
    📈 “TSMC ทำสถิติรายได้สูงสุดไตรมาสล่าสุด” — แรงหนุนจาก AI และ HPC ดันรายได้ทะลุ $33.1 พันล้าน TSMC รายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุดด้วยรายได้สูงถึง $33.1 พันล้าน ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดของบริษัท โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากความต้องการชิปสำหรับ AI และโครงสร้างพื้นฐาน HPC ที่คิดเป็นสองในสามของรายได้ทั้งหมด รายได้เพิ่มขึ้น 40.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน และ 10.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ $14.77 พันล้าน และอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 59.5% แม้จะมีต้นทุนจากการขยายโรงงานในญี่ปุ่นและสหรัฐฯ TSMC เริ่มรับรู้รายได้จากชิป Apple รุ่นใหม่ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี N3P เช่น A19 และ M5-series ซึ่งใช้ใน iPhone 17 และ Mac รุ่นล่าสุด โดยเทคโนโลยีระดับ 3nm คิดเป็น 23% ของรายได้ wafer ทั้งหมด กลุ่ม HPC ยังคงเป็นผู้นำด้านรายได้ที่ 57% ตามด้วยสมาร์ตโฟน 30%, ยานยนต์ 5% และ IoT 5% โดย TSMC คาดว่าความต้องการชิป AI จะยังคงแข็งแกร่งไปจนถึงปี 2025 ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ TSMC รายงานรายได้ไตรมาสล่าสุดที่ $33.1 พันล้าน ➡️ เพิ่มขึ้น 40.8% จากปีก่อน และ 10.1% จากไตรมาสก่อน ➡️ กำไรสุทธิอยู่ที่ $14.77 พันล้าน ➡️ อัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 59.5% ➡️ รายได้หลักมาจากชิป AI และ HPC คิดเป็นสองในสามของรายได้ ➡️ เริ่มรับรู้รายได้จากชิป Apple รุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี N3P ➡️ เทคโนโลยีระดับ 3nm คิดเป็น 23% ของรายได้ wafer ➡️ กลุ่ม HPC มีสัดส่วนรายได้ 57%, สมาร์ตโฟน 30%, ยานยนต์ 5%, IoT 5% ➡️ TSMC คาดว่าความต้องการชิป AI จะยังคงแข็งแกร่งไปจนถึงปี 2025 ➡️ มีการขยายโรงงานในญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลต่อต้นทุน https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-posts-record-quarter-results-as-skyrocketing-ai-and-hpc-demand-drives-two-thirds-of-revenue-company-pulls-in-usd33-1-billion
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 211 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Synaptics เปิดตัว Astra SL2600” — โปรเซสเซอร์ Edge AI ยุคใหม่ที่รวมพลังมัลติโหมดและ RISC-V เพื่อโลก IoT อัจฉริยะ

    Synaptics ประกาศเปิดตัว Astra SL2600 Series โปรเซสเซอร์ Edge AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับอุปกรณ์อัจฉริยะในยุค Internet of Things (IoT) โดยเน้นการประมวลผลแบบมัลติโหมด (multimodal) ที่รวมภาพ เสียง เซ็นเซอร์ และข้อมูลเครือข่ายไว้ในชิปเดียว

    ชิป SL2610 ซึ่งเป็นรุ่นแรกในซีรีส์นี้ ใช้แพลตฟอร์ม Torq Edge AI ที่รวมสถาปัตยกรรม NPU แบบ RISC-V จาก Coral ของ Google พร้อมคอมไพเลอร์แบบ open-source (IREE/MLIR) เพื่อให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชัน AI ได้อย่างยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ

    SL2610 ยังรวม Arm Cortex-A55, Cortex-M52 พร้อม Helium และ Mali GPU เพื่อรองรับงานประมวลผลทั่วไปและกราฟิก พร้อมระบบความปลอดภัยในตัว เช่น root of trust, threat detection และ crypto coprocessor สำหรับงาน AI ที่ต้องการความปลอดภัยสูง

    ซีรีส์นี้มีทั้งหมด 5 รุ่นย่อย: SL2611, SL2613, SL2615, SL2617 และ SL2619 ซึ่งออกแบบให้ pin-to-pin compatible เพื่อให้ง่ายต่อการเปลี่ยนรุ่นตามความต้องการของอุปกรณ์ ตั้งแต่แบบใช้แบตเตอรี่ไปจนถึงระบบวิชั่นอุตสาหกรรม

    ชิปยังรองรับการเชื่อมต่อผ่าน Synaptics Veros Connectivity เช่น Wi-Fi 6/6E/7, Bluetooth/BLE, Thread และ UWB เพื่อให้การพัฒนาอุปกรณ์ IoT เป็นไปอย่างรวดเร็วและครบวงจร

    Synaptics ได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรระดับโลก เช่น Google, Cisco, Sonos, Garmin, Deutsche Telekom และ Arm ซึ่งต่างยืนยันถึงความสามารถของ Astra SL2600 ในการผลักดันนวัตกรรม Edge AI

    ข้อมูลในข่าว
    Synaptics เปิดตัว Astra SL2600 Series โปรเซสเซอร์ Edge AI รุ่นใหม่
    SL2610 ใช้แพลตฟอร์ม Torq Edge AI ที่รวม Coral NPU จาก Google
    ใช้คอมไพเลอร์ open-source IREE/MLIR เพื่อความยืดหยุ่นในการพัฒนา
    รวม Arm Cortex-A55, Cortex-M52 พร้อม Helium และ Mali GPU
    มีระบบความปลอดภัยในตัว เช่น root of trust และ crypto coprocessor
    มี 5 รุ่นย่อย: SL2611, SL2613, SL2615, SL2617, SL2619 ที่ pin-to-pin compatible
    รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Veros Connectivity: Wi-Fi 6/6E/7, BT/BLE, Thread, UWB
    เหมาะสำหรับอุปกรณ์ IoT เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, ระบบอัตโนมัติ, UAV, เกม, POS, หุ่นยนต์
    ได้รับความร่วมมือจาก Google, Cisco, Sonos, Garmin, Deutsche Telekom และ Arm
    ชิปเริ่มส่งตัวอย่างให้ลูกค้าแล้ว และจะวางจำหน่ายทั่วไปในไตรมาส 2 ปี 2026

    https://www.techpowerup.com/341933/synaptics-launches-the-next-generation-of-astra-multimodal-genai-edge-processors
    🧠 “Synaptics เปิดตัว Astra SL2600” — โปรเซสเซอร์ Edge AI ยุคใหม่ที่รวมพลังมัลติโหมดและ RISC-V เพื่อโลก IoT อัจฉริยะ Synaptics ประกาศเปิดตัว Astra SL2600 Series โปรเซสเซอร์ Edge AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับอุปกรณ์อัจฉริยะในยุค Internet of Things (IoT) โดยเน้นการประมวลผลแบบมัลติโหมด (multimodal) ที่รวมภาพ เสียง เซ็นเซอร์ และข้อมูลเครือข่ายไว้ในชิปเดียว ชิป SL2610 ซึ่งเป็นรุ่นแรกในซีรีส์นี้ ใช้แพลตฟอร์ม Torq Edge AI ที่รวมสถาปัตยกรรม NPU แบบ RISC-V จาก Coral ของ Google พร้อมคอมไพเลอร์แบบ open-source (IREE/MLIR) เพื่อให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชัน AI ได้อย่างยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ SL2610 ยังรวม Arm Cortex-A55, Cortex-M52 พร้อม Helium และ Mali GPU เพื่อรองรับงานประมวลผลทั่วไปและกราฟิก พร้อมระบบความปลอดภัยในตัว เช่น root of trust, threat detection และ crypto coprocessor สำหรับงาน AI ที่ต้องการความปลอดภัยสูง ซีรีส์นี้มีทั้งหมด 5 รุ่นย่อย: SL2611, SL2613, SL2615, SL2617 และ SL2619 ซึ่งออกแบบให้ pin-to-pin compatible เพื่อให้ง่ายต่อการเปลี่ยนรุ่นตามความต้องการของอุปกรณ์ ตั้งแต่แบบใช้แบตเตอรี่ไปจนถึงระบบวิชั่นอุตสาหกรรม ชิปยังรองรับการเชื่อมต่อผ่าน Synaptics Veros Connectivity เช่น Wi-Fi 6/6E/7, Bluetooth/BLE, Thread และ UWB เพื่อให้การพัฒนาอุปกรณ์ IoT เป็นไปอย่างรวดเร็วและครบวงจร Synaptics ได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรระดับโลก เช่น Google, Cisco, Sonos, Garmin, Deutsche Telekom และ Arm ซึ่งต่างยืนยันถึงความสามารถของ Astra SL2600 ในการผลักดันนวัตกรรม Edge AI ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Synaptics เปิดตัว Astra SL2600 Series โปรเซสเซอร์ Edge AI รุ่นใหม่ ➡️ SL2610 ใช้แพลตฟอร์ม Torq Edge AI ที่รวม Coral NPU จาก Google ➡️ ใช้คอมไพเลอร์ open-source IREE/MLIR เพื่อความยืดหยุ่นในการพัฒนา ➡️ รวม Arm Cortex-A55, Cortex-M52 พร้อม Helium และ Mali GPU ➡️ มีระบบความปลอดภัยในตัว เช่น root of trust และ crypto coprocessor ➡️ มี 5 รุ่นย่อย: SL2611, SL2613, SL2615, SL2617, SL2619 ที่ pin-to-pin compatible ➡️ รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Veros Connectivity: Wi-Fi 6/6E/7, BT/BLE, Thread, UWB ➡️ เหมาะสำหรับอุปกรณ์ IoT เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, ระบบอัตโนมัติ, UAV, เกม, POS, หุ่นยนต์ ➡️ ได้รับความร่วมมือจาก Google, Cisco, Sonos, Garmin, Deutsche Telekom และ Arm ➡️ ชิปเริ่มส่งตัวอย่างให้ลูกค้าแล้ว และจะวางจำหน่ายทั่วไปในไตรมาส 2 ปี 2026 https://www.techpowerup.com/341933/synaptics-launches-the-next-generation-of-astra-multimodal-genai-edge-processors
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Synaptics Launches the Next Generation of Astra Multimodal GenAI Edge Processors
    Synaptics Incorporated (Nasdaq: SYNA), announces the new Astra SL2600 Series of multimodal Edge AI processors designed to deliver exceptional power and performance. The Astra SL2600 series enables a new generation of cost-effective intelligent devices that make the cognitive Internet of Things (IoT)...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 208 มุมมอง 0 รีวิว
  • “UbuCon India ครั้งแรก! รวมพลังชุมชน Ubuntu และ FOSS ที่ Bengaluru — จุดเริ่มต้นใหม่ของโอเพ่นซอร์สในอินเดีย”

    อินเดียกำลังจะมีงาน UbuCon ครั้งแรกในประวัติศาสตร์! งานนี้จัดขึ้นโดยกลุ่ม Ubuntu India LoCo ซึ่งเป็นชุมชนท้องถิ่นที่ส่งเสริมการใช้ Ubuntu และซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส (FOSS) ในภูมิภาคของตน โดยงานจะจัดขึ้นวันที่ 15–16 พฤศจิกายน 2025 ที่สถาบัน Indian Institute of Science (IISc) เมือง Bengaluru

    UbuCon เป็นงานสัมมนาแบบอาสาสมัครที่เน้นชุมชน ไม่ใช่งานโชว์ของบริษัท โดยมีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงนักพัฒนา ผู้ใช้ และผู้สนับสนุน FOSS ให้มาแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างเครือข่ายร่วมกัน

    หัวข้อที่จะพูดถึงในงานมีหลากหลาย ตั้งแต่ desktop environments, cloud infrastructure, IoT, documentation ไปจนถึง AI โดยมี It’s FOSS เป็นพันธมิตรสื่ออย่างเป็นทางการของงานนี้

    UbuCon India 2025 เป็นงาน UbuCon ครั้งแรกในอินเดีย
    จัดโดยกลุ่ม Ubuntu India LoCo

    งานจัดขึ้นวันที่ 15–16 พฤศจิกายน 2025
    สถานที่คือ IISc Bengaluru

    เป็นงานที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน ไม่ใช่บริษัท
    เน้นการแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างเครือข่าย

    หัวข้อในงานครอบคลุมหลายด้านของเทคโนโลยี FOSS
    เช่น desktop, cloud, IoT, documentation, AI

    It’s FOSS เป็นพันธมิตรสื่ออย่างเป็นทางการ
    เตรียมรายงานข่าวและบทวิเคราะห์จากงาน

    เปิดให้ลงทะเบียนผ่าน KonfHub พร้อมส่วนลดสำหรับนักเรียน
    ราคาบัตรเข้าร่วมงานอยู่ในระดับที่เข้าถึงได้

    https://news.itsfoss.com/events/first-ubucon-india/
    🐧 “UbuCon India ครั้งแรก! รวมพลังชุมชน Ubuntu และ FOSS ที่ Bengaluru — จุดเริ่มต้นใหม่ของโอเพ่นซอร์สในอินเดีย” อินเดียกำลังจะมีงาน UbuCon ครั้งแรกในประวัติศาสตร์! งานนี้จัดขึ้นโดยกลุ่ม Ubuntu India LoCo ซึ่งเป็นชุมชนท้องถิ่นที่ส่งเสริมการใช้ Ubuntu และซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส (FOSS) ในภูมิภาคของตน โดยงานจะจัดขึ้นวันที่ 15–16 พฤศจิกายน 2025 ที่สถาบัน Indian Institute of Science (IISc) เมือง Bengaluru UbuCon เป็นงานสัมมนาแบบอาสาสมัครที่เน้นชุมชน ไม่ใช่งานโชว์ของบริษัท โดยมีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงนักพัฒนา ผู้ใช้ และผู้สนับสนุน FOSS ให้มาแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างเครือข่ายร่วมกัน หัวข้อที่จะพูดถึงในงานมีหลากหลาย ตั้งแต่ desktop environments, cloud infrastructure, IoT, documentation ไปจนถึง AI โดยมี It’s FOSS เป็นพันธมิตรสื่ออย่างเป็นทางการของงานนี้ ✅ UbuCon India 2025 เป็นงาน UbuCon ครั้งแรกในอินเดีย ➡️ จัดโดยกลุ่ม Ubuntu India LoCo ✅ งานจัดขึ้นวันที่ 15–16 พฤศจิกายน 2025 ➡️ สถานที่คือ IISc Bengaluru ✅ เป็นงานที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน ไม่ใช่บริษัท ➡️ เน้นการแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างเครือข่าย ✅ หัวข้อในงานครอบคลุมหลายด้านของเทคโนโลยี FOSS ➡️ เช่น desktop, cloud, IoT, documentation, AI ✅ It’s FOSS เป็นพันธมิตรสื่ออย่างเป็นทางการ ➡️ เตรียมรายงานข่าวและบทวิเคราะห์จากงาน ✅ เปิดให้ลงทะเบียนผ่าน KonfHub พร้อมส่วนลดสำหรับนักเรียน ➡️ ราคาบัตรเข้าร่วมงานอยู่ในระดับที่เข้าถึงได้ https://news.itsfoss.com/events/first-ubucon-india/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 189 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Gcore ป้องกัน DDoS ระดับ 6 Tbps ได้สำเร็จ — บอทเน็ต AISURU โจมตีโครงสร้างพื้นฐานเกมแบบสายฟ้าแลบ”

    Gcore ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์และความปลอดภัยระดับโลก เปิดเผยว่าได้ป้องกันการโจมตีแบบ DDoS ที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ โดยมีปริมาณข้อมูลพุ่งสูงถึง 6 Tbps และอัตราแพ็กเกตสูงถึง 5.3 พันล้านแพ็กเกตต่อวินาที (Bpps) การโจมตีนี้ใช้โปรโตคอล UDP และมีลักษณะเป็น short-burst flood ที่กินเวลาราว 30–45 วินาที

    เป้าหมายของการโจมตีคือผู้ให้บริการโฮสติ้งในอุตสาหกรรมเกม แต่ลักษณะของการโจมตีชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่กว้างขึ้นของการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทั่วโลก โดยเฉพาะจากบอทเน็ต AISURU ซึ่งมีต้นทางหลักจากบราซิล (51%) และสหรัฐอเมริกา (23.7%)

    Gcore ระบุว่าการโจมตีลักษณะนี้ไม่เพียงแต่ต้องการทำให้ระบบล่ม แต่ยังเป็นการ “ทดสอบความทนทาน” ของระบบก่อนการโจมตีที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นในอนาคต

    Gcore ป้องกัน DDoS ขนาด 6 Tbps ได้สำเร็จ
    อัตราแพ็กเกตสูงถึง 5.3 Bpps

    การโจมตีใช้โปรโตคอล UDP แบบ volumetric flood
    ลักษณะเป็น short-burst flood 30–45 วินาที

    เป้าหมายคือผู้ให้บริการโฮสติ้งในอุตสาหกรรมเกม
    แต่ลักษณะการโจมตีชี้ถึงแนวโน้มที่กว้างขึ้น

    แหล่งที่มาหลักของทราฟฟิกคือบราซิล (51%) และสหรัฐฯ (23.7%)
    รวมกันคิดเป็นเกือบ 75% ของทราฟฟิกทั้งหมด

    บอทเน็ตที่ใช้คือ AISURU
    เคยเกี่ยวข้องกับการโจมตีระดับสูงหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา

    Gcore ใช้โครงสร้างพื้นฐานกว่า 210 PoPs และระบบกรองที่รองรับ 200 Tbps
    ป้องกันการโจมตีได้โดยไม่มีการหยุดให้บริการ

    รายงาน Gcore Radar Q1–Q2 2025 พบว่า DDoS เพิ่มขึ้น 41% ในไตรมาสเดียว
    การโจมตีที่พุ่งเป้าไปยังบริษัทเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นเป็น 30% ของทั้งหมด

    การโจมตีแบบ short-burst flood อาจไม่ถูกตรวจจับโดยระบบทั่วไป
    เพราะเกิดขึ้นเร็วและจบก่อนระบบจะตอบสนอง

    โครงสร้างพื้นฐานที่ไม่มีระบบป้องกันแบบ adaptive อาจล่มได้ทันที
    โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเกม, โฮสติ้ง และองค์กรขนาดใหญ่

    บอทเน็ต AISURU ใช้อุปกรณ์ที่มีความปลอดภัยต่ำในภูมิภาคที่มีความหนาแน่นสูง
    เช่น บราซิลและสหรัฐฯ ซึ่งมีอุปกรณ์ IoT จำนวนมาก

    การโจมตีลักษณะนี้อาจเป็นเพียงการเริ่มต้นของแคมเปญที่ใหญ่กว่า
    อาจมีการโจมตีแบบ multi-vector หรือเจาะระบบในขั้นต่อไป

    การพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานแบบรวมศูนย์โดยไม่มี edge filtering
    อาจทำให้ระบบล่มก่อนถึงศูนย์ข้อมูลหลัก

    https://securityonline.info/gcore-mitigates-record-breaking-6-tbps-ddos-attack/
    🌐 “Gcore ป้องกัน DDoS ระดับ 6 Tbps ได้สำเร็จ — บอทเน็ต AISURU โจมตีโครงสร้างพื้นฐานเกมแบบสายฟ้าแลบ” Gcore ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์และความปลอดภัยระดับโลก เปิดเผยว่าได้ป้องกันการโจมตีแบบ DDoS ที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ โดยมีปริมาณข้อมูลพุ่งสูงถึง 6 Tbps และอัตราแพ็กเกตสูงถึง 5.3 พันล้านแพ็กเกตต่อวินาที (Bpps) การโจมตีนี้ใช้โปรโตคอล UDP และมีลักษณะเป็น short-burst flood ที่กินเวลาราว 30–45 วินาที เป้าหมายของการโจมตีคือผู้ให้บริการโฮสติ้งในอุตสาหกรรมเกม แต่ลักษณะของการโจมตีชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่กว้างขึ้นของการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทั่วโลก โดยเฉพาะจากบอทเน็ต AISURU ซึ่งมีต้นทางหลักจากบราซิล (51%) และสหรัฐอเมริกา (23.7%) Gcore ระบุว่าการโจมตีลักษณะนี้ไม่เพียงแต่ต้องการทำให้ระบบล่ม แต่ยังเป็นการ “ทดสอบความทนทาน” ของระบบก่อนการโจมตีที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นในอนาคต ✅ Gcore ป้องกัน DDoS ขนาด 6 Tbps ได้สำเร็จ ➡️ อัตราแพ็กเกตสูงถึง 5.3 Bpps ✅ การโจมตีใช้โปรโตคอล UDP แบบ volumetric flood ➡️ ลักษณะเป็น short-burst flood 30–45 วินาที ✅ เป้าหมายคือผู้ให้บริการโฮสติ้งในอุตสาหกรรมเกม ➡️ แต่ลักษณะการโจมตีชี้ถึงแนวโน้มที่กว้างขึ้น ✅ แหล่งที่มาหลักของทราฟฟิกคือบราซิล (51%) และสหรัฐฯ (23.7%) ➡️ รวมกันคิดเป็นเกือบ 75% ของทราฟฟิกทั้งหมด ✅ บอทเน็ตที่ใช้คือ AISURU ➡️ เคยเกี่ยวข้องกับการโจมตีระดับสูงหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา ✅ Gcore ใช้โครงสร้างพื้นฐานกว่า 210 PoPs และระบบกรองที่รองรับ 200 Tbps ➡️ ป้องกันการโจมตีได้โดยไม่มีการหยุดให้บริการ ✅ รายงาน Gcore Radar Q1–Q2 2025 พบว่า DDoS เพิ่มขึ้น 41% ในไตรมาสเดียว ➡️ การโจมตีที่พุ่งเป้าไปยังบริษัทเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นเป็น 30% ของทั้งหมด ‼️ การโจมตีแบบ short-burst flood อาจไม่ถูกตรวจจับโดยระบบทั่วไป ⛔ เพราะเกิดขึ้นเร็วและจบก่อนระบบจะตอบสนอง ‼️ โครงสร้างพื้นฐานที่ไม่มีระบบป้องกันแบบ adaptive อาจล่มได้ทันที ⛔ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเกม, โฮสติ้ง และองค์กรขนาดใหญ่ ‼️ บอทเน็ต AISURU ใช้อุปกรณ์ที่มีความปลอดภัยต่ำในภูมิภาคที่มีความหนาแน่นสูง ⛔ เช่น บราซิลและสหรัฐฯ ซึ่งมีอุปกรณ์ IoT จำนวนมาก ‼️ การโจมตีลักษณะนี้อาจเป็นเพียงการเริ่มต้นของแคมเปญที่ใหญ่กว่า ⛔ อาจมีการโจมตีแบบ multi-vector หรือเจาะระบบในขั้นต่อไป ‼️ การพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานแบบรวมศูนย์โดยไม่มี edge filtering ⛔ อาจทำให้ระบบล่มก่อนถึงศูนย์ข้อมูลหลัก https://securityonline.info/gcore-mitigates-record-breaking-6-tbps-ddos-attack/
    SECURITYONLINE.INFO
    Gcore Mitigates Record-Breaking 6 Tbps DDoS Attack
    Luxembourg, Luxembourg, 14th October 2025, CyberNewsWire
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • รมว.กลาโหม ปัดตอบ ปม "กัน จอมพลัง" เปิดเสียงหลอนชายแดน โยนให้ถามแม่ทัพภาคที่ 1
    https://www.thai-tai.tv/news/21892/
    .
    #ไทยไท #ณัฐพลนาคพาณิชย์ #รมวกลาโหม #กันจอมพลัง #เสียงผีชายแดน #IOT #กองทัพ
    รมว.กลาโหม ปัดตอบ ปม "กัน จอมพลัง" เปิดเสียงหลอนชายแดน โยนให้ถามแม่ทัพภาคที่ 1 https://www.thai-tai.tv/news/21892/ . #ไทยไท #ณัฐพลนาคพาณิชย์ #รมวกลาโหม #กันจอมพลัง #เสียงผีชายแดน #IOT #กองทัพ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • “TDK เปิดตัวชิป AI แบบแอนะล็อก – เรียนรู้แบบเรียลไทม์ ท้าทายมนุษย์ในเกมเป่ายิ้งฉุบ!”

    จากอดีตที่เคยเป็นแบรนด์เทปเสียงในยุค 80s วันนี้ TDK กลับมาอีกครั้งในบทบาทใหม่ ด้วยการเปิดตัว “ชิป AI แบบแอนะล็อก” ที่สามารถเรียนรู้แบบเรียลไทม์ และถึงขั้นสามารถทำนายการเคลื่อนไหวของมนุษย์ในเกมเป่ายิ้งฉุบได้อย่างแม่นยำ

    ชิปนี้ถูกพัฒนาโดย TDK ร่วมกับมหาวิทยาลัยฮอกไกโด โดยใช้แนวคิด “reservoir computing” ซึ่งเลียนแบบการทำงานของสมองมนุษย์ โดยเฉพาะสมองส่วน cerebellum ที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลข้อมูลแบบต่อเนื่องและการตอบสนองอย่างรวดเร็ว

    แตกต่างจากโมเดล deep learning ทั่วไปที่ต้องพึ่งพาการประมวลผลบนคลาวด์และชุดข้อมูลขนาดใหญ่ ชิปนี้ใช้วงจรแอนะล็อกในการประมวลผลสัญญาณแบบธรรมชาติ เช่น การแพร่กระจายของคลื่น ทำให้สามารถเรียนรู้และตอบสนองได้ทันทีด้วยพลังงานต่ำมาก

    TDK เตรียมนำชิปนี้ไปโชว์ในงาน CEATEC 2025 ที่ญี่ปุ่น โดยจะมีอุปกรณ์สาธิตที่ติดตั้งเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวของนิ้ว และใช้ชิป AI ในการทำนายว่าผู้เล่นจะออก “ค้อน กรรไกร หรือกระดาษ” ก่อนที่เขาจะทันได้ออกมือจริง ๆ

    จุดเด่นของชิป AI แบบแอนะล็อกจาก TDK
    ใช้แนวคิด reservoir computing ที่เลียนแบบสมองส่วน cerebellum
    ประมวลผลข้อมูลแบบ time-series ด้วยความเร็วสูงและพลังงานต่ำ
    ไม่ต้องพึ่งคลาวด์หรือชุดข้อมูลขนาดใหญ่
    เหมาะกับงาน edge computing เช่น อุปกรณ์สวมใส่, IoT, ระบบอัตโนมัติ

    การสาธิตในงาน CEATEC 2025
    อุปกรณ์ติดตั้งเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวของนิ้ว
    ใช้ชิป AI ทำนายการออกมือในเกมเป่ายิ้งฉุบแบบเรียลไทม์
    แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเรียนรู้และตอบสนองทันที

    ความร่วมมือและเป้าหมายของ TDK
    พัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยฮอกไกโด
    ต้องการผลักดัน reservoir computing สู่การใช้งานเชิงพาณิชย์
    เตรียมนำไปใช้ในแบรนด์ SensEI และธุรกิจระบบเซนเซอร์ของ TDK

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    reservoir computing ยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องการการพิสูจน์ในระดับอุตสาหกรรม
    การประยุกต์ใช้งานจริงอาจต้องปรับแต่งให้เหมาะกับแต่ละอุปกรณ์
    ความแม่นยำในการทำนายยังขึ้นอยู่กับคุณภาพของเซนเซอร์และการเรียนรู้
    การแข่งขันจากเทคโนโลยี AI แบบดิจิทัลที่มี ecosystem แข็งแรงกว่า

    https://www.techradar.com/pro/remember-audio-tapes-from-tdk-they-just-developed-an-analog-reservoir-ai-chip-that-does-real-time-learning-and-will-even-challenge-humans-at-a-game-of-rock-paper-scissors
    💾 “TDK เปิดตัวชิป AI แบบแอนะล็อก – เรียนรู้แบบเรียลไทม์ ท้าทายมนุษย์ในเกมเป่ายิ้งฉุบ!” จากอดีตที่เคยเป็นแบรนด์เทปเสียงในยุค 80s วันนี้ TDK กลับมาอีกครั้งในบทบาทใหม่ ด้วยการเปิดตัว “ชิป AI แบบแอนะล็อก” ที่สามารถเรียนรู้แบบเรียลไทม์ และถึงขั้นสามารถทำนายการเคลื่อนไหวของมนุษย์ในเกมเป่ายิ้งฉุบได้อย่างแม่นยำ ชิปนี้ถูกพัฒนาโดย TDK ร่วมกับมหาวิทยาลัยฮอกไกโด โดยใช้แนวคิด “reservoir computing” ซึ่งเลียนแบบการทำงานของสมองมนุษย์ โดยเฉพาะสมองส่วน cerebellum ที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลข้อมูลแบบต่อเนื่องและการตอบสนองอย่างรวดเร็ว แตกต่างจากโมเดล deep learning ทั่วไปที่ต้องพึ่งพาการประมวลผลบนคลาวด์และชุดข้อมูลขนาดใหญ่ ชิปนี้ใช้วงจรแอนะล็อกในการประมวลผลสัญญาณแบบธรรมชาติ เช่น การแพร่กระจายของคลื่น ทำให้สามารถเรียนรู้และตอบสนองได้ทันทีด้วยพลังงานต่ำมาก TDK เตรียมนำชิปนี้ไปโชว์ในงาน CEATEC 2025 ที่ญี่ปุ่น โดยจะมีอุปกรณ์สาธิตที่ติดตั้งเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวของนิ้ว และใช้ชิป AI ในการทำนายว่าผู้เล่นจะออก “ค้อน กรรไกร หรือกระดาษ” ก่อนที่เขาจะทันได้ออกมือจริง ๆ ✅ จุดเด่นของชิป AI แบบแอนะล็อกจาก TDK ➡️ ใช้แนวคิด reservoir computing ที่เลียนแบบสมองส่วน cerebellum ➡️ ประมวลผลข้อมูลแบบ time-series ด้วยความเร็วสูงและพลังงานต่ำ ➡️ ไม่ต้องพึ่งคลาวด์หรือชุดข้อมูลขนาดใหญ่ ➡️ เหมาะกับงาน edge computing เช่น อุปกรณ์สวมใส่, IoT, ระบบอัตโนมัติ ✅ การสาธิตในงาน CEATEC 2025 ➡️ อุปกรณ์ติดตั้งเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวของนิ้ว ➡️ ใช้ชิป AI ทำนายการออกมือในเกมเป่ายิ้งฉุบแบบเรียลไทม์ ➡️ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเรียนรู้และตอบสนองทันที ✅ ความร่วมมือและเป้าหมายของ TDK ➡️ พัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยฮอกไกโด ➡️ ต้องการผลักดัน reservoir computing สู่การใช้งานเชิงพาณิชย์ ➡️ เตรียมนำไปใช้ในแบรนด์ SensEI และธุรกิจระบบเซนเซอร์ของ TDK ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ reservoir computing ยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องการการพิสูจน์ในระดับอุตสาหกรรม ⛔ การประยุกต์ใช้งานจริงอาจต้องปรับแต่งให้เหมาะกับแต่ละอุปกรณ์ ⛔ ความแม่นยำในการทำนายยังขึ้นอยู่กับคุณภาพของเซนเซอร์และการเรียนรู้ ⛔ การแข่งขันจากเทคโนโลยี AI แบบดิจิทัลที่มี ecosystem แข็งแรงกว่า https://www.techradar.com/pro/remember-audio-tapes-from-tdk-they-just-developed-an-analog-reservoir-ai-chip-that-does-real-time-learning-and-will-even-challenge-humans-at-a-game-of-rock-paper-scissors
    WWW.TECHRADAR.COM
    TDK unveils analog AI chip that learns fast and predicts moves
    The chip mimics brain function for robotics and human-machine interfaces
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 234 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts