• GRAND SWITZERLAND TOUR
    เดินทางโดย: QR-กาตาร์แอร์เวย์
    จำนวนวัน: 8 วัน 5 คืน
    เดินทาง: ต.ค. 68 - มี.ค. 69
    ราคาเริ่มต้น: 97,900 บาท

    รายละเอียดทัวร์:
    * บริการอาหารครบทุกมื้อ (อาหารไทยรสจัดจ้าน , พิซซ่าอิตาเลียนต้นตำรับ )
    * คณะออกเดินทาง 20 ท่านขึ้นไป

    สถานที่ท่องเที่ยว:
    * โลซานน์
    * ปราสาทชิลลอง
    * เซอร์แมท
    * นั่งรถไฟไต่เขาสู่กอนเนอร์แกต
    * ปราสาทเบลลินโซนา
    * รถไฟสายโรแมนติก เบอร์นิน่าเอกซ์เพรส
    * เมืองเก่าวาดุซ
    * กรุงเบิร์น
    * นั่งรถไฟชมวิวพิชิตยอดเขาจุงเฟรา
    * นั่งกระเช้า THE V-CABLEWAY

    ข้อมูลเพิ่มเติม:
    * ทัวร์เหมาะสำหรับคนรักธรรมชาติและการผจญภัย
    * ราคาไม่รวมค่าธรรมเนียมวีซ่าและค่าใช้จ่ายส่วนตัว

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/e31759

    ดูทัวร์สวิตเซอร์แลนด์|สวิสทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/fd5054

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #ทัวร์สวิตเซอร์แลนด์|สวิส #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #SwitzerlandTour #GrandSwitzerland #TravelWithQR #RomanticTrain #SwissAdventure #ทัวร์สวิสเซอร์แลนด์ #ท่องเที่ยว #ทัวร์ยุโรป
    GRAND SWITZERLAND TOUR 🇨🇭✨ เดินทางโดย: QR-กาตาร์แอร์เวย์ ✈️ จำนวนวัน: 8 วัน 5 คืน ⏳ เดินทาง: ต.ค. 68 - มี.ค. 69 🗓️ ราคาเริ่มต้น: 97,900 บาท 💸 รายละเอียดทัวร์: * บริการอาหารครบทุกมื้อ 🍽️ (อาหารไทยรสจัดจ้าน 🌶️, พิซซ่าอิตาเลียนต้นตำรับ 🍕) * คณะออกเดินทาง 20 ท่านขึ้นไป 👥 สถานที่ท่องเที่ยว: * โลซานน์ 🏙️ * ปราสาทชิลลอง 🏰 * เซอร์แมท 🏔️ * นั่งรถไฟไต่เขาสู่กอนเนอร์แกต 🚂 * ปราสาทเบลลินโซนา 🏰 * รถไฟสายโรแมนติก เบอร์นิน่าเอกซ์เพรส 🚞 * เมืองเก่าวาดุซ 🏛️ * กรุงเบิร์น 🏙️ * นั่งรถไฟชมวิวพิชิตยอดเขาจุงเฟรา 🚆 * นั่งกระเช้า THE V-CABLEWAY 🚠 ข้อมูลเพิ่มเติม: * ทัวร์เหมาะสำหรับคนรักธรรมชาติและการผจญภัย 🌲 * ราคาไม่รวมค่าธรรมเนียมวีซ่าและค่าใช้จ่ายส่วนตัว ✨ ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/e31759 ดูทัวร์สวิตเซอร์แลนด์|สวิสทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/fd5054 LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์สวิตเซอร์แลนด์|สวิส #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #SwitzerlandTour #GrandSwitzerland #TravelWithQR #RomanticTrain #SwissAdventure #ทัวร์สวิสเซอร์แลนด์ #ท่องเที่ยว #ทัวร์ยุโรป
    0 Comments 0 Shares 4 Views 0 Reviews
  • YouTube ทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ: ปกป้องเยาวชนหรือรุกล้ำความเป็นส่วนตัว?

    YouTube เริ่มทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ โดยไม่พึ่งข้อมูลวันเกิดที่ผู้ใช้กรอกเอง แต่ใช้พฤติกรรมการใช้งาน เช่น ประเภทวิดีโอที่ดู, คำค้นหา, และอายุบัญชี เพื่อประเมินว่าเป็นผู้ใหญ่หรือเยาวชน หากระบบ AI ประเมินว่าเป็นเยาวชน YouTube จะปิดโฆษณาแบบเจาะกลุ่ม, เปิดฟีเจอร์ดูแลสุขภาพดิจิทัล และจำกัดการดูเนื้อหาบางประเภทโดยอัตโนมัติ

    แม้เป้าหมายคือการปกป้องเยาวชนจากเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิส่วนบุคคลเตือนว่า ระบบนี้อาจละเมิดความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพในการแสดงออก โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้ที่ถูกประเมินผิดต้องส่งบัตรประชาชน, บัตรเครดิต หรือภาพถ่ายตนเองเพื่อยืนยันอายุ ซึ่งอาจเปิดช่องให้เกิดการเก็บข้อมูลส่วนตัวโดยไม่มีความโปร่งใส

    ระบบนี้ยังส่งผลกระทบต่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เน้นกลุ่มวัยรุ่น เพราะโฆษณาแบบเจาะกลุ่มจะถูกปิด และเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอาจถูกจำกัดการเข้าถึง

    YouTube ทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ
    ใช้พฤติกรรมการใช้งานแทนข้อมูลวันเกิดที่ผู้ใช้กรอก

    หากระบบประเมินว่าเป็นเยาวชน จะปิดโฆษณาแบบเจาะกลุ่ม
    พร้อมเปิดฟีเจอร์ดูแลสุขภาพดิจิทัล และจำกัดเนื้อหาบางประเภท

    ระบบนี้เคยใช้ในอังกฤษและออสเตรเลียมาก่อน
    และกำลังขยายสู่สหรัฐฯ ตามแรงกดดันจากกฎหมายความปลอดภัยออนไลน์

    ผู้ใช้ที่ถูกประเมินผิดต้องยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชนหรือภาพถ่าย
    เพื่อขอสิทธิ์เข้าถึงเนื้อหาที่ถูกจำกัด

    ธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เน้นกลุ่มวัยรุ่นจะได้รับผลกระทบ
    เพราะโฆษณาและเนื้อหาถูกจำกัดการเข้าถึง

    ระบบนี้อาจขยายไปยังบริการอื่นของ Google เช่น Google Ads และ Google Play
    ส่งผลต่อกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลโดยรวม

    การตรวจสอบอายุด้วย AI เป็นแนวทางใหม่ที่หลายแพลตฟอร์มเริ่มนำมาใช้
    เช่น TikTok และ Instagram ก็เริ่มใช้ระบบคล้ายกัน

    กฎหมาย Online Safety Act ในอังกฤษบังคับให้แพลตฟอร์มปกป้องเยาวชนจากเนื้อหาผู้ใหญ่
    เป็นแรงผลักดันให้ YouTube ปรับระบบในประเทศอื่น

    การใช้ AI ประเมินอายุช่วยลดการพึ่งพาข้อมูลส่วนตัวโดยตรง
    แต่ต้องมีความแม่นยำสูงเพื่อไม่ให้เกิดการประเมินผิด

    การจำกัดเนื้อหาสำหรับเยาวชนอาจช่วยลดผลกระทบด้านสุขภาพจิต
    โดยเฉพาะเนื้อหาที่กระตุ้นความเครียดหรือพฤติกรรมเสี่ยง

    https://wccftech.com/youtube-tests-ai-powered-age-verification-in-the-u-s-to-safeguard-teens/
    🧠🔞 YouTube ทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ: ปกป้องเยาวชนหรือรุกล้ำความเป็นส่วนตัว? YouTube เริ่มทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ โดยไม่พึ่งข้อมูลวันเกิดที่ผู้ใช้กรอกเอง แต่ใช้พฤติกรรมการใช้งาน เช่น ประเภทวิดีโอที่ดู, คำค้นหา, และอายุบัญชี เพื่อประเมินว่าเป็นผู้ใหญ่หรือเยาวชน หากระบบ AI ประเมินว่าเป็นเยาวชน YouTube จะปิดโฆษณาแบบเจาะกลุ่ม, เปิดฟีเจอร์ดูแลสุขภาพดิจิทัล และจำกัดการดูเนื้อหาบางประเภทโดยอัตโนมัติ แม้เป้าหมายคือการปกป้องเยาวชนจากเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิส่วนบุคคลเตือนว่า ระบบนี้อาจละเมิดความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพในการแสดงออก โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้ที่ถูกประเมินผิดต้องส่งบัตรประชาชน, บัตรเครดิต หรือภาพถ่ายตนเองเพื่อยืนยันอายุ ซึ่งอาจเปิดช่องให้เกิดการเก็บข้อมูลส่วนตัวโดยไม่มีความโปร่งใส ระบบนี้ยังส่งผลกระทบต่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เน้นกลุ่มวัยรุ่น เพราะโฆษณาแบบเจาะกลุ่มจะถูกปิด และเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอาจถูกจำกัดการเข้าถึง ✅ YouTube ทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ ➡️ ใช้พฤติกรรมการใช้งานแทนข้อมูลวันเกิดที่ผู้ใช้กรอก ✅ หากระบบประเมินว่าเป็นเยาวชน จะปิดโฆษณาแบบเจาะกลุ่ม ➡️ พร้อมเปิดฟีเจอร์ดูแลสุขภาพดิจิทัล และจำกัดเนื้อหาบางประเภท ✅ ระบบนี้เคยใช้ในอังกฤษและออสเตรเลียมาก่อน ➡️ และกำลังขยายสู่สหรัฐฯ ตามแรงกดดันจากกฎหมายความปลอดภัยออนไลน์ ✅ ผู้ใช้ที่ถูกประเมินผิดต้องยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชนหรือภาพถ่าย ➡️ เพื่อขอสิทธิ์เข้าถึงเนื้อหาที่ถูกจำกัด ✅ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เน้นกลุ่มวัยรุ่นจะได้รับผลกระทบ ➡️ เพราะโฆษณาและเนื้อหาถูกจำกัดการเข้าถึง ✅ ระบบนี้อาจขยายไปยังบริการอื่นของ Google เช่น Google Ads และ Google Play ➡️ ส่งผลต่อกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลโดยรวม ✅ การตรวจสอบอายุด้วย AI เป็นแนวทางใหม่ที่หลายแพลตฟอร์มเริ่มนำมาใช้ ➡️ เช่น TikTok และ Instagram ก็เริ่มใช้ระบบคล้ายกัน ✅ กฎหมาย Online Safety Act ในอังกฤษบังคับให้แพลตฟอร์มปกป้องเยาวชนจากเนื้อหาผู้ใหญ่ ➡️ เป็นแรงผลักดันให้ YouTube ปรับระบบในประเทศอื่น ✅ การใช้ AI ประเมินอายุช่วยลดการพึ่งพาข้อมูลส่วนตัวโดยตรง ➡️ แต่ต้องมีความแม่นยำสูงเพื่อไม่ให้เกิดการประเมินผิด ✅ การจำกัดเนื้อหาสำหรับเยาวชนอาจช่วยลดผลกระทบด้านสุขภาพจิต ➡️ โดยเฉพาะเนื้อหาที่กระตุ้นความเครียดหรือพฤติกรรมเสี่ยง https://wccftech.com/youtube-tests-ai-powered-age-verification-in-the-u-s-to-safeguard-teens/
    WCCFTECH.COM
    YouTube Tests AI-Powered Age Verification In The U.S. To Safeguard Teens While Navigating Privacy And Free Speech Challenges
    YouTube is testing a new age-verification system in the U.S. that relies on the technology to distinguish adults and minors
    0 Comments 0 Shares 42 Views 0 Reviews
  • Claude เพิ่มฟีเจอร์ความจำแบบเลือกได้: AI ที่จำได้เฉพาะเมื่อคุณอนุญาต

    Anthropic เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่สำหรับ Claude chatbot ที่เรียกว่า “on-demand memory” ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถให้ Claude จำบทสนทนาเก่า ๆ ได้ แต่เฉพาะเมื่อผู้ใช้ร้องขอเท่านั้น ต่างจาก ChatGPT หรือ Google Gemini ที่เก็บข้อมูลโดยอัตโนมัติ Claude จะไม่ย้อนดูบทสนทนาเก่าเลย หากคุณไม่สั่งให้มันทำ

    ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้ก่อนในกลุ่มผู้ใช้แบบเสียเงิน ได้แก่ Max, Team และ Enterprise โดยสามารถใช้งานได้ทั้งบนเว็บ เดสก์ท็อป และมือถือ ผู้ใช้สามารถสั่งให้ Claude ค้นหาบทสนทนาเก่า เช่น “เราคุยเรื่องโปรเจกต์ X ไว้ว่าอย่างไร” แล้ว Claude จะดึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาให้

    Anthropic เน้นว่า Claude ไม่ได้สร้างโปรไฟล์ผู้ใช้ และไม่มีการจดจำแบบถาวร เว้นแต่ผู้ใช้จะสั่งให้จำ และหากต้องการลบความจำ ก็ต้องลบบทสนทนานั้นทั้งหมด ไม่มีระบบเลือกจำเฉพาะบางส่วน

    แนวทางนี้สะท้อนหลักการ “มนุษย์ต้องควบคุม AI” ที่ Anthropic ยึดถือ โดยให้ผู้ใช้เป็นผู้กำหนดขอบเขตของความจำอย่างชัดเจน

    Claude เพิ่มฟีเจอร์ “on-demand memory” สำหรับผู้ใช้แบบเสียเงิน
    ได้แก่ Max, Team และ Enterprise บนเว็บ เดสก์ท็อป และมือถือ

    Claude จะจำบทสนทนาเก่าเฉพาะเมื่อผู้ใช้ร้องขอ
    ต่างจาก ChatGPT และ Gemini ที่จำโดยอัตโนมัติ

    ผู้ใช้สามารถสั่งให้ Claude ค้นหาบทสนทนาเก่าเพื่อใช้ต่อยอด
    เช่น “เราคุยเรื่องโปรเจกต์ X ไว้ว่าอย่างไร”

    Claude ไม่สร้างโปรไฟล์ผู้ใช้หรือจำข้อมูลส่วนตัว
    เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

    หากต้องการลบความจำ ต้องลบบทสนทนาทั้งชุด
    ยังไม่มีระบบเลือกจำเฉพาะบางส่วน

    ฟีเจอร์นี้ออกแบบตามหลักความปลอดภัยของ Anthropic
    เน้นให้ผู้ใช้ควบคุม AI ได้เต็มที่

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/claude/you-can-now-give-claude-access-to-memories-of-previous-conversations-but-only-if-you-want-to
    🧠💬 Claude เพิ่มฟีเจอร์ความจำแบบเลือกได้: AI ที่จำได้เฉพาะเมื่อคุณอนุญาต Anthropic เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่สำหรับ Claude chatbot ที่เรียกว่า “on-demand memory” ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถให้ Claude จำบทสนทนาเก่า ๆ ได้ แต่เฉพาะเมื่อผู้ใช้ร้องขอเท่านั้น ต่างจาก ChatGPT หรือ Google Gemini ที่เก็บข้อมูลโดยอัตโนมัติ Claude จะไม่ย้อนดูบทสนทนาเก่าเลย หากคุณไม่สั่งให้มันทำ ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้ก่อนในกลุ่มผู้ใช้แบบเสียเงิน ได้แก่ Max, Team และ Enterprise โดยสามารถใช้งานได้ทั้งบนเว็บ เดสก์ท็อป และมือถือ ผู้ใช้สามารถสั่งให้ Claude ค้นหาบทสนทนาเก่า เช่น “เราคุยเรื่องโปรเจกต์ X ไว้ว่าอย่างไร” แล้ว Claude จะดึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาให้ Anthropic เน้นว่า Claude ไม่ได้สร้างโปรไฟล์ผู้ใช้ และไม่มีการจดจำแบบถาวร เว้นแต่ผู้ใช้จะสั่งให้จำ และหากต้องการลบความจำ ก็ต้องลบบทสนทนานั้นทั้งหมด ไม่มีระบบเลือกจำเฉพาะบางส่วน แนวทางนี้สะท้อนหลักการ “มนุษย์ต้องควบคุม AI” ที่ Anthropic ยึดถือ โดยให้ผู้ใช้เป็นผู้กำหนดขอบเขตของความจำอย่างชัดเจน ✅ Claude เพิ่มฟีเจอร์ “on-demand memory” สำหรับผู้ใช้แบบเสียเงิน ➡️ ได้แก่ Max, Team และ Enterprise บนเว็บ เดสก์ท็อป และมือถือ ✅ Claude จะจำบทสนทนาเก่าเฉพาะเมื่อผู้ใช้ร้องขอ ➡️ ต่างจาก ChatGPT และ Gemini ที่จำโดยอัตโนมัติ ✅ ผู้ใช้สามารถสั่งให้ Claude ค้นหาบทสนทนาเก่าเพื่อใช้ต่อยอด ➡️ เช่น “เราคุยเรื่องโปรเจกต์ X ไว้ว่าอย่างไร” ✅ Claude ไม่สร้างโปรไฟล์ผู้ใช้หรือจำข้อมูลส่วนตัว ➡️ เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ✅ หากต้องการลบความจำ ต้องลบบทสนทนาทั้งชุด ➡️ ยังไม่มีระบบเลือกจำเฉพาะบางส่วน ✅ ฟีเจอร์นี้ออกแบบตามหลักความปลอดภัยของ Anthropic ➡️ เน้นให้ผู้ใช้ควบคุม AI ได้เต็มที่ https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/claude/you-can-now-give-claude-access-to-memories-of-previous-conversations-but-only-if-you-want-to
    0 Comments 0 Shares 24 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่ CVE-2025-53786 ใน Microsoft Exchange Hybrid: เมื่อแฮกเกอร์สามารถข้ามจากเซิร์ฟเวอร์ภายในสู่คลาวด์ได้โดยไม่ทิ้งร่องรอย

    ในเดือนสิงหาคม 2025 Microsoft ได้แจ้งเตือนถึงช่องโหว่ระดับสูงในระบบ Exchange Hybrid ที่ชื่อว่า CVE-2025-53786 ซึ่งเกิดจากการตั้งค่าการเชื่อมโยงระหว่าง Exchange Server ภายในองค์กร (on-premises) กับ Exchange Online บน Microsoft 365 โดยใช้ service principal ร่วมกัน

    ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีที่ได้สิทธิ์ admin บน Exchange Server ภายใน สามารถข้ามไปควบคุม Exchange Online ได้โดยไม่ทิ้ง log หรือร่องรอยที่ตรวจสอบได้ผ่านระบบ auditing บนคลาวด์

    แม้จะยังไม่มีการโจมตีจริงในขณะนี้ แต่มีเซิร์ฟเวอร์กว่า 29,000 เครื่องทั่วโลกที่ยังไม่ได้ติดตั้งแพตช์ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ เยอรมนี และรัสเซีย ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบ “silent privilege escalation”

    Microsoft และ CISA ได้ออกคำแนะนำให้ผู้ดูแลระบบรีบติดตั้ง hotfix เดือนเมษายน 2025 และเปลี่ยนไปใช้ Exchange Hybrid App แบบ dedicated พร้อมรีเซ็ต keyCredentials ของ service principal เดิม

    ช่องโหว่ CVE-2025-53786 เป็นช่องโหว่ระดับสูงใน Exchange Hybrid
    มีคะแนน CVSS 8.0 และเปิดทางให้ privilege escalation แบบไร้ร่องรอย

    เกิดจากการใช้ service principal ร่วมกันระหว่าง Exchange Server และ Exchange Online
    ทำให้แฮกเกอร์สามารถข้ามจากระบบภายในไปยังคลาวด์ได้

    มีเซิร์ฟเวอร์กว่า 29,000 เครื่องที่ยังไม่ได้ติดตั้งแพตช์
    รวมถึง 7,200 เครื่องในสหรัฐฯ และ 6,700 เครื่องในเยอรมนี

    Microsoft แนะนำให้ติดตั้ง hotfix เดือนเมษายน 2025
    และเปลี่ยนไปใช้ Exchange Hybrid App แบบ dedicated

    CISA ออก Emergency Directive ให้รีบดำเนินการตามคำแนะนำ
    รวมถึงการรีเซ็ต keyCredentials และตรวจสอบด้วย Exchange Health Checker

    Microsoft วางแผนบล็อกการใช้งาน Exchange Web Services ผ่าน service principal เดิม
    เพื่อบังคับให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้ระบบใหม่ภายในตุลาคม 2025

    https://www.techradar.com/pro/security/thousands-of-microsoft-exchange-servers-remain-unpatched-against-major-threat-heres-what-to-do-to-stay-safe
    🛡️📧 ช่องโหว่ CVE-2025-53786 ใน Microsoft Exchange Hybrid: เมื่อแฮกเกอร์สามารถข้ามจากเซิร์ฟเวอร์ภายในสู่คลาวด์ได้โดยไม่ทิ้งร่องรอย ในเดือนสิงหาคม 2025 Microsoft ได้แจ้งเตือนถึงช่องโหว่ระดับสูงในระบบ Exchange Hybrid ที่ชื่อว่า CVE-2025-53786 ซึ่งเกิดจากการตั้งค่าการเชื่อมโยงระหว่าง Exchange Server ภายในองค์กร (on-premises) กับ Exchange Online บน Microsoft 365 โดยใช้ service principal ร่วมกัน ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีที่ได้สิทธิ์ admin บน Exchange Server ภายใน สามารถข้ามไปควบคุม Exchange Online ได้โดยไม่ทิ้ง log หรือร่องรอยที่ตรวจสอบได้ผ่านระบบ auditing บนคลาวด์ แม้จะยังไม่มีการโจมตีจริงในขณะนี้ แต่มีเซิร์ฟเวอร์กว่า 29,000 เครื่องทั่วโลกที่ยังไม่ได้ติดตั้งแพตช์ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ เยอรมนี และรัสเซีย ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบ “silent privilege escalation” Microsoft และ CISA ได้ออกคำแนะนำให้ผู้ดูแลระบบรีบติดตั้ง hotfix เดือนเมษายน 2025 และเปลี่ยนไปใช้ Exchange Hybrid App แบบ dedicated พร้อมรีเซ็ต keyCredentials ของ service principal เดิม ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-53786 เป็นช่องโหว่ระดับสูงใน Exchange Hybrid ➡️ มีคะแนน CVSS 8.0 และเปิดทางให้ privilege escalation แบบไร้ร่องรอย ✅ เกิดจากการใช้ service principal ร่วมกันระหว่าง Exchange Server และ Exchange Online ➡️ ทำให้แฮกเกอร์สามารถข้ามจากระบบภายในไปยังคลาวด์ได้ ✅ มีเซิร์ฟเวอร์กว่า 29,000 เครื่องที่ยังไม่ได้ติดตั้งแพตช์ ➡️ รวมถึง 7,200 เครื่องในสหรัฐฯ และ 6,700 เครื่องในเยอรมนี ✅ Microsoft แนะนำให้ติดตั้ง hotfix เดือนเมษายน 2025 ➡️ และเปลี่ยนไปใช้ Exchange Hybrid App แบบ dedicated ✅ CISA ออก Emergency Directive ให้รีบดำเนินการตามคำแนะนำ ➡️ รวมถึงการรีเซ็ต keyCredentials และตรวจสอบด้วย Exchange Health Checker ✅ Microsoft วางแผนบล็อกการใช้งาน Exchange Web Services ผ่าน service principal เดิม ➡️ เพื่อบังคับให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้ระบบใหม่ภายในตุลาคม 2025 https://www.techradar.com/pro/security/thousands-of-microsoft-exchange-servers-remain-unpatched-against-major-threat-heres-what-to-do-to-stay-safe
    0 Comments 0 Shares 36 Views 0 Reviews
  • เซบู – ออสลอบ – โบโฮล 4 วัน 3 คืน
    บินสบายกับ Cebu Pacific (5J) ✈
    พ.ย. 68 – มี.ค. 69
    เริ่มต้นเพียง 32,900.-

    ว่ายน้ำกับฉลามวาฬแบบใกล้ชิด
    🏝 ดำน้ำตื้นสัมผัสความงามเกาะสุมิลอน
    🏞 ชมช็อกโกแลตฮิลส์สุดมหัศจรรย์
    เจอลิงทาร์เซียร์ตัวจิ๋วสุดน่ารัก
    เยี่ยมชมโบสถ์ Baclayon อายุกว่า 400 ปี

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/ea78e1

    ดูทัวร์ฟิลิปปินส์ทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/364063

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #ทัวร์ฟิลิปปินส์ #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #Cebu #Oslob #Bohol #ฟิลิปปินส์ #ฉลามวาฬ #ChocolateHills #Tarsier #เที่ยวต่างประเทศ #ทัวร์ฟิลิปปินส์ #ทะเลสวยน้ำใส
    🐋🌴 เซบู – ออสลอบ – โบโฮล 4 วัน 3 คืน บินสบายกับ Cebu Pacific (5J) ✈ พ.ย. 68 – มี.ค. 69 เริ่มต้นเพียง 32,900.- 🌊 ว่ายน้ำกับฉลามวาฬแบบใกล้ชิด 🏝 ดำน้ำตื้นสัมผัสความงามเกาะสุมิลอน 🏞 ชมช็อกโกแลตฮิลส์สุดมหัศจรรย์ 🐒 เจอลิงทาร์เซียร์ตัวจิ๋วสุดน่ารัก ⛪ เยี่ยมชมโบสถ์ Baclayon อายุกว่า 400 ปี ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/ea78e1 ดูทัวร์ฟิลิปปินส์ทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/364063 LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์ฟิลิปปินส์ #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #Cebu #Oslob #Bohol #ฟิลิปปินส์ #ฉลามวาฬ #ChocolateHills #Tarsier #เที่ยวต่างประเทศ #ทัวร์ฟิลิปปินส์ #ทะเลสวยน้ำใส
    0 Comments 0 Shares 30 Views 0 Reviews
  • เมื่อ AI เขียนโค้ดได้เก่งกว่ามนุษย์ แล้วนักพัฒนาจะอยู่ตรงไหนในโลกใหม่ของการเขียนโปรแกรม?

    ผลสำรวจจาก Clutch และ Stack Overflow ปี 2025 เผยว่า 53% ของนักพัฒนามองว่า AI โดยเฉพาะ LLMs (Large Language Models) สามารถเขียนโค้ดได้ดีกว่ามนุษย์ทั่วไป และ 80% ใช้ AI coding tools เป็นส่วนหนึ่งของ workflow ประจำวัน

    แม้จะมีความนิยมเพิ่มขึ้น แต่ความเชื่อมั่นกลับลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยมีเพียง 29% ที่เชื่อมั่นในความถูกต้องของโค้ดที่ AI สร้างขึ้น และ 45% ระบุว่า “โค้ดที่เกือบถูก” จาก AI เป็นปัญหาหลัก เพราะมันสร้าง bug ที่ยากต่อการตรวจจับ

    นักพัฒนาหลายคนยังคงใช้ AI เพราะมันช่วยเพิ่ม productivity ได้จริง โดยเฉพาะในงานที่ซ้ำซาก เช่น boilerplate code หรือการแปลงโครงสร้างข้อมูล แต่เมื่อพูดถึงงานที่ซับซ้อน เช่น system architecture หรือ security-critical code นักพัฒนายังต้องการ “มนุษย์อีกคน” เพื่อช่วยตรวจสอบ

    GitHub CEO ยังกล่าวว่า “นักพัฒนาในอนาคตไม่ใช่คนพิมพ์โค้ด แต่เป็น creative director ของโค้ด” และคาดว่า 90% ของการเขียนโค้ดจะถูก AI ทำแทนภายใน 5 ปี

    53% ของนักพัฒนาเชื่อว่า AI เขียนโค้ดได้ดีกว่ามนุษย์
    โดยเฉพาะในงานที่ซ้ำซากและโครงสร้างพื้นฐาน

    80% ของนักพัฒนาใช้ AI coding tools เป็นประจำ
    เช่น GitHub Copilot, Amazon CodeWhisperer, ChatGPT

    45% ระบุว่า “โค้ดที่เกือบถูก” จาก AI เป็นปัญหาหลัก
    สร้าง bug ที่ยากต่อการตรวจจับ โดยเฉพาะสำหรับนักพัฒนาใหม่

    75% ของนักพัฒนาเลือกถามมนุษย์เมื่อไม่มั่นใจในคำตอบของ AI
    แสดงถึงความต้องการ human verification ในระบบที่สำคัญ

    GitHub คาดว่า 90% ของโค้ดจะถูก AI เขียนภายใน 5 ปี
    นักพัฒนาต้องเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ออกแบบและควบคุมคุณภาพ

    79% เชื่อว่าทักษะด้าน AI จะกลายเป็นข้อกำหนดพื้นฐานของนักพัฒนา
    และ 45% มองว่า AI จะลดอุปสรรคสำหรับนักพัฒนาใหม่

    Stack Overflow พบว่า 46% ของนักพัฒนาไม่เชื่อมั่นในความถูกต้องของ AI
    โดยเฉพาะในงานที่ซับซ้อนหรือมีความเสี่ยงสูง

    “Vibe coding” หรือการใช้ prompt สร้างแอปทั้งตัวยังไม่เป็นที่ยอมรับ
    72% ของนักพัฒนาไม่ใช้แนวทางนี้ในงานจริง

    AI coding tools ช่วยให้เรียนรู้ภาษาใหม่และเทคนิคใหม่ได้เร็วขึ้น
    44% ของนักพัฒนาใช้ AI เพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ในปีที่ผ่านมา

    การใช้ AI อย่างมีสติ เช่น “sparring partner” ช่วยพัฒนาทักษะได้จริง
    ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นผู้ช่วยในการคิดและแก้ปัญหา

    โค้ดจาก AI ที่ “เกือบถูก” อาจสร้าง bug ที่ยากต่อการตรวจสอบ
    โดยเฉพาะในระบบที่มีความเสี่ยงสูง เช่น security หรือ backend

    ความเชื่อมั่นใน AI ลดลงจาก 40% เหลือเพียง 29% ในปี 2025
    แสดงถึงความกังวลเรื่องคุณภาพและความน่าเชื่อถือ

    นักพัฒนาใหม่อาจพึ่ง AI มากเกินไปจนขาดความเข้าใจพื้นฐาน
    เสี่ยงต่อการสร้างระบบที่ไม่มีความมั่นคงหรือยืดหยุ่น

    ตลาดงานระดับเริ่มต้นอาจหายไปเมื่อ AI เขียนโค้ดแทน
    หากไม่มีการฝึกฝนและพัฒนา นักพัฒนาอาจถูกแทนที่โดยสมบูรณ์

    https://www.techradar.com/pro/are-you-better-at-coding-than-ai-developers-dont-think-so
    🧠💻 เมื่อ AI เขียนโค้ดได้เก่งกว่ามนุษย์ แล้วนักพัฒนาจะอยู่ตรงไหนในโลกใหม่ของการเขียนโปรแกรม? ผลสำรวจจาก Clutch และ Stack Overflow ปี 2025 เผยว่า 53% ของนักพัฒนามองว่า AI โดยเฉพาะ LLMs (Large Language Models) สามารถเขียนโค้ดได้ดีกว่ามนุษย์ทั่วไป และ 80% ใช้ AI coding tools เป็นส่วนหนึ่งของ workflow ประจำวัน แม้จะมีความนิยมเพิ่มขึ้น แต่ความเชื่อมั่นกลับลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยมีเพียง 29% ที่เชื่อมั่นในความถูกต้องของโค้ดที่ AI สร้างขึ้น และ 45% ระบุว่า “โค้ดที่เกือบถูก” จาก AI เป็นปัญหาหลัก เพราะมันสร้าง bug ที่ยากต่อการตรวจจับ นักพัฒนาหลายคนยังคงใช้ AI เพราะมันช่วยเพิ่ม productivity ได้จริง โดยเฉพาะในงานที่ซ้ำซาก เช่น boilerplate code หรือการแปลงโครงสร้างข้อมูล แต่เมื่อพูดถึงงานที่ซับซ้อน เช่น system architecture หรือ security-critical code นักพัฒนายังต้องการ “มนุษย์อีกคน” เพื่อช่วยตรวจสอบ GitHub CEO ยังกล่าวว่า “นักพัฒนาในอนาคตไม่ใช่คนพิมพ์โค้ด แต่เป็น creative director ของโค้ด” และคาดว่า 90% ของการเขียนโค้ดจะถูก AI ทำแทนภายใน 5 ปี ✅ 53% ของนักพัฒนาเชื่อว่า AI เขียนโค้ดได้ดีกว่ามนุษย์ ➡️ โดยเฉพาะในงานที่ซ้ำซากและโครงสร้างพื้นฐาน ✅ 80% ของนักพัฒนาใช้ AI coding tools เป็นประจำ ➡️ เช่น GitHub Copilot, Amazon CodeWhisperer, ChatGPT ✅ 45% ระบุว่า “โค้ดที่เกือบถูก” จาก AI เป็นปัญหาหลัก ➡️ สร้าง bug ที่ยากต่อการตรวจจับ โดยเฉพาะสำหรับนักพัฒนาใหม่ ✅ 75% ของนักพัฒนาเลือกถามมนุษย์เมื่อไม่มั่นใจในคำตอบของ AI ➡️ แสดงถึงความต้องการ human verification ในระบบที่สำคัญ ✅ GitHub คาดว่า 90% ของโค้ดจะถูก AI เขียนภายใน 5 ปี ➡️ นักพัฒนาต้องเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ออกแบบและควบคุมคุณภาพ ✅ 79% เชื่อว่าทักษะด้าน AI จะกลายเป็นข้อกำหนดพื้นฐานของนักพัฒนา ➡️ และ 45% มองว่า AI จะลดอุปสรรคสำหรับนักพัฒนาใหม่ ✅ Stack Overflow พบว่า 46% ของนักพัฒนาไม่เชื่อมั่นในความถูกต้องของ AI ➡️ โดยเฉพาะในงานที่ซับซ้อนหรือมีความเสี่ยงสูง ✅ “Vibe coding” หรือการใช้ prompt สร้างแอปทั้งตัวยังไม่เป็นที่ยอมรับ ➡️ 72% ของนักพัฒนาไม่ใช้แนวทางนี้ในงานจริง ✅ AI coding tools ช่วยให้เรียนรู้ภาษาใหม่และเทคนิคใหม่ได้เร็วขึ้น ➡️ 44% ของนักพัฒนาใช้ AI เพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ในปีที่ผ่านมา ✅ การใช้ AI อย่างมีสติ เช่น “sparring partner” ช่วยพัฒนาทักษะได้จริง ➡️ ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นผู้ช่วยในการคิดและแก้ปัญหา ‼️ โค้ดจาก AI ที่ “เกือบถูก” อาจสร้าง bug ที่ยากต่อการตรวจสอบ ⛔ โดยเฉพาะในระบบที่มีความเสี่ยงสูง เช่น security หรือ backend ‼️ ความเชื่อมั่นใน AI ลดลงจาก 40% เหลือเพียง 29% ในปี 2025 ⛔ แสดงถึงความกังวลเรื่องคุณภาพและความน่าเชื่อถือ ‼️ นักพัฒนาใหม่อาจพึ่ง AI มากเกินไปจนขาดความเข้าใจพื้นฐาน ⛔ เสี่ยงต่อการสร้างระบบที่ไม่มีความมั่นคงหรือยืดหยุ่น ‼️ ตลาดงานระดับเริ่มต้นอาจหายไปเมื่อ AI เขียนโค้ดแทน ⛔ หากไม่มีการฝึกฝนและพัฒนา นักพัฒนาอาจถูกแทนที่โดยสมบูรณ์ https://www.techradar.com/pro/are-you-better-at-coding-than-ai-developers-dont-think-so
    0 Comments 0 Shares 37 Views 0 Reviews
  • Apple M5 กับ LMC: ก้าวแรกสู่ยุค CoWoS และชิปหลายชั้นที่ทรงพลังยิ่งขึ้น

    Apple กำลังเตรียมเปิดตัวชิป M5 สำหรับ Mac รุ่นใหม่ในปี 2026 โดยมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญด้านการบรรจุชิป (packaging) ด้วยการใช้วัสดุใหม่ที่เรียกว่า LMC หรือ Liquid Molding Compound ซึ่งจะช่วยให้ชิปมีความแข็งแรงมากขึ้น ระบายความร้อนได้ดีขึ้น และรองรับการออกแบบแบบ multi-die ที่ซับซ้อนมากขึ้นในอนาคต

    วัสดุ LMC นี้จะถูกผลิตโดย Eternal Materials จากไต้หวัน ซึ่งสามารถเอาชนะผู้ผลิตจากญี่ปุ่นที่ครองตลาดมานานอย่าง Namics และ Nagase ได้สำเร็จ โดย TSMC ได้ผ่านการรับรองคุณภาพของ LMC แล้ว และกำลังทดสอบเพื่อใช้งานร่วมกับเทคโนโลยี CoWoS (Chip-on-Wafer-on-Substrate) ซึ่งเป็นระบบการบรรจุชิปขั้นสูงที่ใช้ในชิป AI และ HPC ระดับสูง

    แม้ว่า M5 จะยังไม่ใช้ CoWoS เต็มรูปแบบ แต่การเลือกใช้ LMC ที่รองรับ CoWoS ได้ถือเป็นการวางรากฐานสำหรับชิป M6 และ M7 ในอนาคต ที่อาจใช้ CoWoS หรือแม้แต่ CoPoS (Chip-on-Package-on-Substrate) ซึ่งรองรับการวางชิปหลายตัวในแพ็กเกจเดียว เพิ่มทั้งประสิทธิภาพและแบนด์วิดท์

    Apple เลือกใช้ LMC สำหรับชิป M5 ใน Mac รุ่นปี 2026
    เป็นวัสดุใหม่ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและการระบายความร้อน

    Eternal Materials จากไต้หวันเป็นผู้ผลิต LMC รายเดียวที่ได้รับเลือก
    เอาชนะผู้ผลิตจากญี่ปุ่นที่ครองตลาดมานาน

    TSMC ผ่านการรับรองคุณภาพของ LMC และกำลังทดสอบร่วมกับ CoWoS
    เตรียมใช้งานจริงในปี 2026 และขยายบทบาทในปี 2027–2028

    CoWoS คือเทคโนโลยีการบรรจุชิปที่ใช้ในชิป AI และ HPC
    รองรับการวางชิปหลายตัวในแพ็กเกจเดียว เพิ่มแบนด์วิดท์และประสิทธิภาพ

    สำหรับ iPhone A20 จะใช้ MUF (Molding Underfill) แบบใหม่
    ลดขั้นตอนการผลิตและเพิ่ม yield โดยใช้แพ็กเกจ WMCM (Wafer-level Multi-Chip Module)

    Apple วางแผนใช้ CoPoS ในอนาคต ซึ่งจะเพิ่มการใช้ LMC อีก 30%
    รองรับการออกแบบชิปที่ซับซ้อนและมี footprint ใหญ่ขึ้น

    https://www.techpowerup.com/339870/apple-m5-silicon-adopts-lmc-packaging-paving-the-way-for-cowos
    🧠🔧 Apple M5 กับ LMC: ก้าวแรกสู่ยุค CoWoS และชิปหลายชั้นที่ทรงพลังยิ่งขึ้น Apple กำลังเตรียมเปิดตัวชิป M5 สำหรับ Mac รุ่นใหม่ในปี 2026 โดยมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญด้านการบรรจุชิป (packaging) ด้วยการใช้วัสดุใหม่ที่เรียกว่า LMC หรือ Liquid Molding Compound ซึ่งจะช่วยให้ชิปมีความแข็งแรงมากขึ้น ระบายความร้อนได้ดีขึ้น และรองรับการออกแบบแบบ multi-die ที่ซับซ้อนมากขึ้นในอนาคต วัสดุ LMC นี้จะถูกผลิตโดย Eternal Materials จากไต้หวัน ซึ่งสามารถเอาชนะผู้ผลิตจากญี่ปุ่นที่ครองตลาดมานานอย่าง Namics และ Nagase ได้สำเร็จ โดย TSMC ได้ผ่านการรับรองคุณภาพของ LMC แล้ว และกำลังทดสอบเพื่อใช้งานร่วมกับเทคโนโลยี CoWoS (Chip-on-Wafer-on-Substrate) ซึ่งเป็นระบบการบรรจุชิปขั้นสูงที่ใช้ในชิป AI และ HPC ระดับสูง แม้ว่า M5 จะยังไม่ใช้ CoWoS เต็มรูปแบบ แต่การเลือกใช้ LMC ที่รองรับ CoWoS ได้ถือเป็นการวางรากฐานสำหรับชิป M6 และ M7 ในอนาคต ที่อาจใช้ CoWoS หรือแม้แต่ CoPoS (Chip-on-Package-on-Substrate) ซึ่งรองรับการวางชิปหลายตัวในแพ็กเกจเดียว เพิ่มทั้งประสิทธิภาพและแบนด์วิดท์ ✅ Apple เลือกใช้ LMC สำหรับชิป M5 ใน Mac รุ่นปี 2026 ➡️ เป็นวัสดุใหม่ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและการระบายความร้อน ✅ Eternal Materials จากไต้หวันเป็นผู้ผลิต LMC รายเดียวที่ได้รับเลือก ➡️ เอาชนะผู้ผลิตจากญี่ปุ่นที่ครองตลาดมานาน ✅ TSMC ผ่านการรับรองคุณภาพของ LMC และกำลังทดสอบร่วมกับ CoWoS ➡️ เตรียมใช้งานจริงในปี 2026 และขยายบทบาทในปี 2027–2028 ✅ CoWoS คือเทคโนโลยีการบรรจุชิปที่ใช้ในชิป AI และ HPC ➡️ รองรับการวางชิปหลายตัวในแพ็กเกจเดียว เพิ่มแบนด์วิดท์และประสิทธิภาพ ✅ สำหรับ iPhone A20 จะใช้ MUF (Molding Underfill) แบบใหม่ ➡️ ลดขั้นตอนการผลิตและเพิ่ม yield โดยใช้แพ็กเกจ WMCM (Wafer-level Multi-Chip Module) ✅ Apple วางแผนใช้ CoPoS ในอนาคต ซึ่งจะเพิ่มการใช้ LMC อีก 30% ➡️ รองรับการออกแบบชิปที่ซับซ้อนและมี footprint ใหญ่ขึ้น https://www.techpowerup.com/339870/apple-m5-silicon-adopts-lmc-packaging-paving-the-way-for-cowos
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Apple M5 Silicon Adopts LMC Packaging, Paving the Way for CoWoS
    According to the well-known Apple insider Ming-Chi Kuo, Apple has reworked a part of its semiconductor supply chain by awarding Taiwan's Eternal Materials exclusive roles in supplying key packaging compounds for its 2026 iPhone and Mac processors. Eternal will supply molding underfill, known as MUF,...
    0 Comments 0 Shares 29 Views 0 Reviews
  • Arm Neural Technology: ปฏิวัติกราฟิกมือถือด้วย AI ที่เร็วขึ้น คมขึ้น และประหยัดพลังงาน

    ในงาน SIGGRAPH 2025 Arm ได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่ชื่อว่า “Arm Neural Technology” ซึ่งเป็นการนำ neural accelerator มาใส่ใน GPU สำหรับมือถือโดยตรง เพื่อให้สามารถประมวลผลกราฟิกด้วย AI ได้แบบ real-time โดยไม่ต้องพึ่ง cloud หรือเซิร์ฟเวอร์ภายนอก

    เทคโนโลยีนี้ช่วยลดภาระงานของ GPU ได้ถึง 50% โดยเฉพาะในงานที่ใช้กราฟิกหนัก เช่น เกมมือถือระดับ AAA, กล้องอัจฉริยะ, และแอป productivity ที่ต้องการภาพคมชัดและเฟรมเรตสูง โดยไม่กินแบตเตอรี่เพิ่ม

    Arm ยังเปิดตัว Neural Graphics Development Kit ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือแบบ open-source สำหรับนักพัฒนา ที่สามารถเริ่มใช้งานได้ทันทีแม้ฮาร์ดแวร์จะยังไม่วางขาย โดยมีปลั๊กอินสำหรับ Unreal Engine, emulator บน PC, และโมเดล AI ที่เปิดให้โหลดผ่าน GitHub และ Hugging Face

    หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือ Neural Super Sampling (NSS) ที่สามารถ upscale ภาพจาก 540p เป็น 1080p ได้ในเวลาเพียง 4 มิลลิวินาทีต่อเฟรม โดยยังคงรายละเอียดของพื้นผิว แสง และการเคลื่อนไหวไว้ได้ใกล้เคียงภาพต้นฉบับ

    ในปี 2026 Arm จะขยายเทคโนโลยีนี้ไปยังฟีเจอร์ใหม่ เช่น Neural Frame Rate Upscaling และ Neural Denoising สำหรับ ray tracing บนมือถือ ซึ่งจะเปิดให้ใช้งานก่อนฮาร์ดแวร์จริงวางจำหน่าย

    Arm เปิดตัว Neural Technology ในงาน SIGGRAPH 2025
    นำ neural accelerator มาใส่ใน GPU มือถือโดยตรง

    ลดภาระงานของ GPU ได้ถึง 50% สำหรับงานกราฟิกหนัก
    เช่น เกมมือถือ กล้องอัจฉริยะ และแอป productivity

    เปิดตัว Neural Graphics Development Kit สำหรับนักพัฒนา
    มีปลั๊กอิน Unreal Engine, emulator, และโมเดล AI แบบ open-source

    ฟีเจอร์ Neural Super Sampling (NSS) upscale ภาพจาก 540p เป็น 1080p
    ใช้เวลาเพียง 4 มิลลิวินาทีต่อเฟรม

    NSS ช่วยรักษารายละเอียดพื้นผิว แสง และการเคลื่อนไหว
    ลดการใช้พลังงานและเพิ่มเฟรมเรตได้ตามต้องการ

    ปี 2026 จะมีฟีเจอร์ใหม่ เช่น Frame Rate Upscaling และ Denoising
    รองรับ ray tracing บนมือถือแบบ real-time

    https://www.techpowerup.com/339861/arm-neural-technology-delivers-smarter-sharper-more-efficient-mobile-graphics-for-developers
    🧠📱 Arm Neural Technology: ปฏิวัติกราฟิกมือถือด้วย AI ที่เร็วขึ้น คมขึ้น และประหยัดพลังงาน ในงาน SIGGRAPH 2025 Arm ได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่ชื่อว่า “Arm Neural Technology” ซึ่งเป็นการนำ neural accelerator มาใส่ใน GPU สำหรับมือถือโดยตรง เพื่อให้สามารถประมวลผลกราฟิกด้วย AI ได้แบบ real-time โดยไม่ต้องพึ่ง cloud หรือเซิร์ฟเวอร์ภายนอก เทคโนโลยีนี้ช่วยลดภาระงานของ GPU ได้ถึง 50% โดยเฉพาะในงานที่ใช้กราฟิกหนัก เช่น เกมมือถือระดับ AAA, กล้องอัจฉริยะ, และแอป productivity ที่ต้องการภาพคมชัดและเฟรมเรตสูง โดยไม่กินแบตเตอรี่เพิ่ม Arm ยังเปิดตัว Neural Graphics Development Kit ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือแบบ open-source สำหรับนักพัฒนา ที่สามารถเริ่มใช้งานได้ทันทีแม้ฮาร์ดแวร์จะยังไม่วางขาย โดยมีปลั๊กอินสำหรับ Unreal Engine, emulator บน PC, และโมเดล AI ที่เปิดให้โหลดผ่าน GitHub และ Hugging Face หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือ Neural Super Sampling (NSS) ที่สามารถ upscale ภาพจาก 540p เป็น 1080p ได้ในเวลาเพียง 4 มิลลิวินาทีต่อเฟรม โดยยังคงรายละเอียดของพื้นผิว แสง และการเคลื่อนไหวไว้ได้ใกล้เคียงภาพต้นฉบับ ในปี 2026 Arm จะขยายเทคโนโลยีนี้ไปยังฟีเจอร์ใหม่ เช่น Neural Frame Rate Upscaling และ Neural Denoising สำหรับ ray tracing บนมือถือ ซึ่งจะเปิดให้ใช้งานก่อนฮาร์ดแวร์จริงวางจำหน่าย ✅ Arm เปิดตัว Neural Technology ในงาน SIGGRAPH 2025 ➡️ นำ neural accelerator มาใส่ใน GPU มือถือโดยตรง ✅ ลดภาระงานของ GPU ได้ถึง 50% สำหรับงานกราฟิกหนัก ➡️ เช่น เกมมือถือ กล้องอัจฉริยะ และแอป productivity ✅ เปิดตัว Neural Graphics Development Kit สำหรับนักพัฒนา ➡️ มีปลั๊กอิน Unreal Engine, emulator, และโมเดล AI แบบ open-source ✅ ฟีเจอร์ Neural Super Sampling (NSS) upscale ภาพจาก 540p เป็น 1080p ➡️ ใช้เวลาเพียง 4 มิลลิวินาทีต่อเฟรม ✅ NSS ช่วยรักษารายละเอียดพื้นผิว แสง และการเคลื่อนไหว ➡️ ลดการใช้พลังงานและเพิ่มเฟรมเรตได้ตามต้องการ ✅ ปี 2026 จะมีฟีเจอร์ใหม่ เช่น Frame Rate Upscaling และ Denoising ➡️ รองรับ ray tracing บนมือถือแบบ real-time https://www.techpowerup.com/339861/arm-neural-technology-delivers-smarter-sharper-more-efficient-mobile-graphics-for-developers
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Arm Neural Technology Delivers Smarter, Sharper, More Efficient Mobile Graphics for Developers
    On-device AI is transforming workloads everywhere, from mobile gaming to productivity tools to intelligent cameras. This is driving demand for stunning visuals, high frame rates and smarter features - without draining battery or adding friction. Announced today at SIGGRAPH, Arm neural technology is ...
    0 Comments 0 Shares 19 Views 0 Reviews
  • เมื่อรัฐบาลอังกฤษขอให้ประชาชนลบอีเมลและรูปภาพ เพื่อช่วยประหยัดน้ำในช่วงภัยแล้ง

    ในช่วงฤดูร้อนปี 2025 อังกฤษเผชิญกับภัยแล้งครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 1976 โดยมี 5 พื้นที่เข้าสู่สถานะ “ภัยแล้ง” อย่างเป็นทางการ และอีก 6 พื้นที่มีสภาพอากาศแห้งต่อเนื่อง รัฐบาลจึงประกาศให้สถานการณ์นี้เป็น “เหตุการณ์ระดับชาติ” และขอให้ประชาชนร่วมมือกันลดการใช้น้ำ

    มาตรการทั่วไปที่แนะนำ ได้แก่ การลดเวลาการอาบน้ำ, ไม่รดน้ำสนามหญ้า, ใช้น้ำฝนรดต้นไม้, และซ่อมแซมห้องน้ำที่รั่ว แต่สิ่งที่สร้างความงุนงงคือคำแนะนำให้ “ลบอีเมลและรูปภาพเก่า” เพราะ “ศูนย์ข้อมูลใช้ปริมาณน้ำมหาศาลในการระบายความร้อน”

    แม้จะมีข้อเท็จจริงว่าศูนย์ข้อมูลบางแห่งใช้ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายชี้ว่า การลบข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ทั่วไปแทบไม่มีผลต่อการลดการใช้น้ำในภาพรวม และอาจใช้พลังงานมากกว่าการเก็บไว้เฉย ๆ ด้วยซ้ำ

    นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตว่า ข้อมูลของผู้ใช้ชาวอังกฤษจำนวนมากถูกเก็บไว้ในศูนย์ข้อมูลต่างประเทศ ซึ่งหมายความว่าการลบข้อมูลอาจไม่ได้ช่วยลดการใช้น้ำในอังกฤษเลย

    รัฐบาลอังกฤษประกาศภัยแล้งเป็น “เหตุการณ์ระดับชาติ”
    หลังจาก 6 เดือนที่แห้งแล้งที่สุดนับตั้งแต่ปี 1976

    5 พื้นที่ในอังกฤษเข้าสู่สถานะภัยแล้ง และอีก 6 พื้นที่มีสภาพแห้งต่อเนื่อง
    ระดับน้ำในแม่น้ำและอ่างเก็บน้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง

    รัฐบาลแนะนำให้ประชาชนลบอีเมลและรูปภาพเก่า
    โดยอ้างว่า “ศูนย์ข้อมูลใช้ปริมาณน้ำมหาศาลในการระบายความร้อน”

    มาตรการอื่นที่แนะนำ ได้แก่ ลดเวลาการอาบน้ำ, ใช้น้ำฝน, ซ่อมห้องน้ำรั่ว
    เป็นวิธีที่มีผลต่อการลดการใช้น้ำโดยตรง

    ศูนย์ข้อมูลบางแห่งใช้ระบบ evaporative cooling ที่ใช้น้ำ
    โดยเฉพาะศูนย์ขนาดใหญ่ที่มีการประมวลผลสูง

    ศูนย์ข้อมูลขนาด 1 เมกะวัตต์อาจใช้น้ำถึง 26 ล้านลิตรต่อปี
    เทียบเท่าการใช้น้ำของเมืองขนาดกลาง

    การลบข้อมูลจาก cloud อาจใช้พลังงานมากกว่าการเก็บไว้เฉย ๆ
    เพราะต้องมีการประมวลผลและยืนยันการลบ

    ข้อมูลของผู้ใช้ในอังกฤษอาจถูกเก็บไว้ในศูนย์ข้อมูลต่างประเทศ
    ไม่มีข้อบังคับให้เก็บข้อมูลภายในประเทศ

    การลดการใช้ AI และการประมวลผลขนาดใหญ่มีผลต่อการลดการใช้น้ำมากกว่า
    เช่น การลดการใช้โมเดล generative AI ที่ใช้พลังงานสูง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/uk-government-inexplicably-tells-citizens-to-delete-old-emails-and-pictures-to-save-water-during-national-drought-data-centres-require-vast-amounts-of-water-to-cool-their-systems
    💧📂 เมื่อรัฐบาลอังกฤษขอให้ประชาชนลบอีเมลและรูปภาพ เพื่อช่วยประหยัดน้ำในช่วงภัยแล้ง ในช่วงฤดูร้อนปี 2025 อังกฤษเผชิญกับภัยแล้งครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 1976 โดยมี 5 พื้นที่เข้าสู่สถานะ “ภัยแล้ง” อย่างเป็นทางการ และอีก 6 พื้นที่มีสภาพอากาศแห้งต่อเนื่อง รัฐบาลจึงประกาศให้สถานการณ์นี้เป็น “เหตุการณ์ระดับชาติ” และขอให้ประชาชนร่วมมือกันลดการใช้น้ำ มาตรการทั่วไปที่แนะนำ ได้แก่ การลดเวลาการอาบน้ำ, ไม่รดน้ำสนามหญ้า, ใช้น้ำฝนรดต้นไม้, และซ่อมแซมห้องน้ำที่รั่ว แต่สิ่งที่สร้างความงุนงงคือคำแนะนำให้ “ลบอีเมลและรูปภาพเก่า” เพราะ “ศูนย์ข้อมูลใช้ปริมาณน้ำมหาศาลในการระบายความร้อน” แม้จะมีข้อเท็จจริงว่าศูนย์ข้อมูลบางแห่งใช้ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายชี้ว่า การลบข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ทั่วไปแทบไม่มีผลต่อการลดการใช้น้ำในภาพรวม และอาจใช้พลังงานมากกว่าการเก็บไว้เฉย ๆ ด้วยซ้ำ นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตว่า ข้อมูลของผู้ใช้ชาวอังกฤษจำนวนมากถูกเก็บไว้ในศูนย์ข้อมูลต่างประเทศ ซึ่งหมายความว่าการลบข้อมูลอาจไม่ได้ช่วยลดการใช้น้ำในอังกฤษเลย ✅ รัฐบาลอังกฤษประกาศภัยแล้งเป็น “เหตุการณ์ระดับชาติ” ➡️ หลังจาก 6 เดือนที่แห้งแล้งที่สุดนับตั้งแต่ปี 1976 ✅ 5 พื้นที่ในอังกฤษเข้าสู่สถานะภัยแล้ง และอีก 6 พื้นที่มีสภาพแห้งต่อเนื่อง ➡️ ระดับน้ำในแม่น้ำและอ่างเก็บน้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง ✅ รัฐบาลแนะนำให้ประชาชนลบอีเมลและรูปภาพเก่า ➡️ โดยอ้างว่า “ศูนย์ข้อมูลใช้ปริมาณน้ำมหาศาลในการระบายความร้อน” ✅ มาตรการอื่นที่แนะนำ ได้แก่ ลดเวลาการอาบน้ำ, ใช้น้ำฝน, ซ่อมห้องน้ำรั่ว ➡️ เป็นวิธีที่มีผลต่อการลดการใช้น้ำโดยตรง ✅ ศูนย์ข้อมูลบางแห่งใช้ระบบ evaporative cooling ที่ใช้น้ำ ➡️ โดยเฉพาะศูนย์ขนาดใหญ่ที่มีการประมวลผลสูง ✅ ศูนย์ข้อมูลขนาด 1 เมกะวัตต์อาจใช้น้ำถึง 26 ล้านลิตรต่อปี ➡️ เทียบเท่าการใช้น้ำของเมืองขนาดกลาง ✅ การลบข้อมูลจาก cloud อาจใช้พลังงานมากกว่าการเก็บไว้เฉย ๆ ➡️ เพราะต้องมีการประมวลผลและยืนยันการลบ ✅ ข้อมูลของผู้ใช้ในอังกฤษอาจถูกเก็บไว้ในศูนย์ข้อมูลต่างประเทศ ➡️ ไม่มีข้อบังคับให้เก็บข้อมูลภายในประเทศ ✅ การลดการใช้ AI และการประมวลผลขนาดใหญ่มีผลต่อการลดการใช้น้ำมากกว่า ➡️ เช่น การลดการใช้โมเดล generative AI ที่ใช้พลังงานสูง https://www.tomshardware.com/tech-industry/uk-government-inexplicably-tells-citizens-to-delete-old-emails-and-pictures-to-save-water-during-national-drought-data-centres-require-vast-amounts-of-water-to-cool-their-systems
    0 Comments 0 Shares 27 Views 0 Reviews
  • RX 9060: การ์ดลับจาก AMD ที่แรงเกินคาด แม้จะยังขายแค่ในเครื่อง OEM

    AMD เปิดตัว Radeon RX 9060 แบบเงียบ ๆ โดยไม่มีวางขายแยก แต่ใส่มาในเครื่องพีซี OEM ที่จำหน่ายในบางประเทศ เช่น เกาหลีใต้ ซึ่ง YouTuber ชื่อ Technosaurus ได้แกะเครื่องออกมาและทดสอบประสิทธิภาพของการ์ดนี้อย่างละเอียด

    RX 9060 ใช้ชิป Navi 44 แบบลดสเปก มี 28 compute units, 1,792 shaders, 28 ray tracing cores และแรม GDDR6 ขนาด 8GB บนบัส 128-bit ความเร็วใกล้ 3 GHz ใช้พลังงานเพียง 135W และมาในรูปแบบการ์ดขนาดเล็กจาก Sapphire

    ผลการทดสอบในเกมระดับ AAA ที่ความละเอียด 1080p พบว่า RX 9060 มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ RTX 5060 โดยช้ากว่าเพียง 2% และห่างจาก RX 9060 XT แค่ 6% แต่กลับแรงกว่า RTX 5050 ถึง 20% ซึ่งถือว่าเป็นการ์ดที่คุ้มค่ามากสำหรับเกมเมอร์สายประหยัด

    ในด้าน benchmark เช่น 3DMark Time Spy และ Fire Strike ก็แสดงผลลัพธ์ที่เหนือกว่า RTX 5050 อย่างชัดเจน และใกล้เคียงกับ RTX 5060 ทั้งในด้านเกมและ productivity

    อย่างไรก็ตาม RX 9060 ยังมีข้อจำกัดคือแรมแค่ 8GB ซึ่งอาจไม่เพียงพอสำหรับเกมรุ่นใหม่ที่ใช้ ray tracing หรือ texture ขนาดใหญ่ และ AMD ยังไม่มีแผนวางขายแยกในตลาดทั่วไป

    AMD เปิดตัว RX 9060 แบบ OEM เท่านั้น ยังไม่มีขายแยก
    พบในเครื่องพีซี OEM บางประเทศ เช่น เกาหลีใต้

    ใช้ชิป Navi 44 แบบลดสเปก มี 28 CUs และแรม 8GB GDDR6
    ความเร็วใกล้ 3 GHz ใช้พลังงาน 135W

    ประสิทธิภาพใกล้เคียง RTX 5060 และ RX 9060 XT
    ช้ากว่า RTX 5060 เพียง 2% และ RX 9060 XT แค่ 6%

    แรงกว่า RTX 5050 ถึง 20% ในเกมระดับ AAA
    เช่น Cyberpunk 2077, God of War, Warhammer 40K

    ผล benchmark ใน 3DMark สูงกว่า RTX 5050 อย่างชัดเจน
    Time Spy: 14,132 คะแนน, Fire Strike: 35,511 คะแนน

    ประสิทธิภาพเสถียรแม้ใช้กับ CPU ระดับกลาง
    เช่น Ryzen 5 7500F ก็ยังได้เฟรมเรตใกล้เคียง Ryzen 7 9800X3D

    RX 9060 อาจผลิตจากชิปที่มี yield ต่ำของรุ่น XT แล้วปิดบาง core
    เป็นวิธีลดต้นทุนและใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า

    RX 9060 XT รุ่น 16GB มีประสิทธิภาพสูงกว่า แต่กินไฟมากกว่า
    เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการเล่นเกมในระดับ ultra หรือ ray tracing

    ตลาดการ์ดจอระดับกลางกำลังแข่งขันกันดุเดือด
    โดยเฉพาะระหว่าง AMD RX 9060 XT และ Nvidia RTX 5060

    การ์ด OEM มักมีราคาถูกกว่าแต่ไม่สามารถซื้อแยกได้
    เหมาะกับผู้ที่ซื้อเครื่องพีซีแบบ prebuilt

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amds-new-rx-9060-ripped-out-of-oem-pc-and-benchmarked-beats-the-rtx-5050-by-20-percent-basically-ties-the-rtx-5060-in-gaming-and-productivity
    🎮⚙️ RX 9060: การ์ดลับจาก AMD ที่แรงเกินคาด แม้จะยังขายแค่ในเครื่อง OEM AMD เปิดตัว Radeon RX 9060 แบบเงียบ ๆ โดยไม่มีวางขายแยก แต่ใส่มาในเครื่องพีซี OEM ที่จำหน่ายในบางประเทศ เช่น เกาหลีใต้ ซึ่ง YouTuber ชื่อ Technosaurus ได้แกะเครื่องออกมาและทดสอบประสิทธิภาพของการ์ดนี้อย่างละเอียด RX 9060 ใช้ชิป Navi 44 แบบลดสเปก มี 28 compute units, 1,792 shaders, 28 ray tracing cores และแรม GDDR6 ขนาด 8GB บนบัส 128-bit ความเร็วใกล้ 3 GHz ใช้พลังงานเพียง 135W และมาในรูปแบบการ์ดขนาดเล็กจาก Sapphire ผลการทดสอบในเกมระดับ AAA ที่ความละเอียด 1080p พบว่า RX 9060 มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ RTX 5060 โดยช้ากว่าเพียง 2% และห่างจาก RX 9060 XT แค่ 6% แต่กลับแรงกว่า RTX 5050 ถึง 20% ซึ่งถือว่าเป็นการ์ดที่คุ้มค่ามากสำหรับเกมเมอร์สายประหยัด ในด้าน benchmark เช่น 3DMark Time Spy และ Fire Strike ก็แสดงผลลัพธ์ที่เหนือกว่า RTX 5050 อย่างชัดเจน และใกล้เคียงกับ RTX 5060 ทั้งในด้านเกมและ productivity อย่างไรก็ตาม RX 9060 ยังมีข้อจำกัดคือแรมแค่ 8GB ซึ่งอาจไม่เพียงพอสำหรับเกมรุ่นใหม่ที่ใช้ ray tracing หรือ texture ขนาดใหญ่ และ AMD ยังไม่มีแผนวางขายแยกในตลาดทั่วไป ✅ AMD เปิดตัว RX 9060 แบบ OEM เท่านั้น ยังไม่มีขายแยก ➡️ พบในเครื่องพีซี OEM บางประเทศ เช่น เกาหลีใต้ ✅ ใช้ชิป Navi 44 แบบลดสเปก มี 28 CUs และแรม 8GB GDDR6 ➡️ ความเร็วใกล้ 3 GHz ใช้พลังงาน 135W ✅ ประสิทธิภาพใกล้เคียง RTX 5060 และ RX 9060 XT ➡️ ช้ากว่า RTX 5060 เพียง 2% และ RX 9060 XT แค่ 6% ✅ แรงกว่า RTX 5050 ถึง 20% ในเกมระดับ AAA ➡️ เช่น Cyberpunk 2077, God of War, Warhammer 40K ✅ ผล benchmark ใน 3DMark สูงกว่า RTX 5050 อย่างชัดเจน ➡️ Time Spy: 14,132 คะแนน, Fire Strike: 35,511 คะแนน ✅ ประสิทธิภาพเสถียรแม้ใช้กับ CPU ระดับกลาง ➡️ เช่น Ryzen 5 7500F ก็ยังได้เฟรมเรตใกล้เคียง Ryzen 7 9800X3D ✅ RX 9060 อาจผลิตจากชิปที่มี yield ต่ำของรุ่น XT แล้วปิดบาง core ➡️ เป็นวิธีลดต้นทุนและใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า ✅ RX 9060 XT รุ่น 16GB มีประสิทธิภาพสูงกว่า แต่กินไฟมากกว่า ➡️ เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการเล่นเกมในระดับ ultra หรือ ray tracing ✅ ตลาดการ์ดจอระดับกลางกำลังแข่งขันกันดุเดือด ➡️ โดยเฉพาะระหว่าง AMD RX 9060 XT และ Nvidia RTX 5060 ✅ การ์ด OEM มักมีราคาถูกกว่าแต่ไม่สามารถซื้อแยกได้ ➡️ เหมาะกับผู้ที่ซื้อเครื่องพีซีแบบ prebuilt https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amds-new-rx-9060-ripped-out-of-oem-pc-and-benchmarked-beats-the-rtx-5050-by-20-percent-basically-ties-the-rtx-5060-in-gaming-and-productivity
    0 Comments 0 Shares 42 Views 0 Reviews
  • Starbucks เกาหลีใต้ขอคืนพื้นที่: ห้ามตั้งออฟฟิศในร้านกาแฟ

    ในเกาหลีใต้ การใช้ร้านกาแฟเป็นพื้นที่ทำงานหรือเรียนกลายเป็นวัฒนธรรมที่แพร่หลายจน Starbucks ต้องออกมาตรการใหม่ทั่วประเทศ โดยติดป้ายประกาศห้ามลูกค้านำอุปกรณ์สำนักงานมาใช้ในร้าน เช่น คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ เครื่องพิมพ์ ปลั๊กพ่วงหลายช่อง และฉากกั้นส่วนตัว

    กลุ่มลูกค้าที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ถูกเรียกว่า “คากงจก” (cagongjok) ซึ่งเป็นคำผสมระหว่าง “คาเฟ่” กับ “กงบู” (เรียน) หมายถึงคนที่ใช้ร้านกาแฟเป็นพื้นที่ทำงานหรือเรียนเป็นเวลานาน โดยบางคนถึงขั้นนำเครื่องพิมพ์มาเสียบปลั๊กของร้าน หรือสร้างบูธส่วนตัวด้วยฉากกั้น

    Starbucks ระบุว่ามาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อให้ร้านสะดวกสำหรับลูกค้าทุกคน และลดความเสี่ยงจากการสูญหายหรือขโมยทรัพย์สิน โดยพนักงานจะคอยแจ้งเตือนลูกค้าที่ใช้พื้นที่เกินความจำเป็น หรือทิ้งของไว้บนโต๊ะนานเกินไป

    ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลาง “คาเฟ่บูม” ในเกาหลีใต้ ซึ่งมีร้านกาแฟมากกว่า 100,000 แห่งทั่วประเทศ และการใช้ร้านกาแฟเป็นพื้นที่ทำงานก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่การนั่งนานเกินไปอาจทำให้ร้านขาดทุน เพราะกาแฟหนึ่งแก้วครอบคลุมค่าใช้ที่นั่งได้เพียง 1 ชั่วโมง 42 นาทีเท่านั้น

    https://www.tomshardware.com/software/social-media/korean-starbucks-bans-desktop-pcs-printers-and-office-partitions-power-strips-also-forbidden-in-crackdown-on-industrious-customers
    ☕🖥️ Starbucks เกาหลีใต้ขอคืนพื้นที่: ห้ามตั้งออฟฟิศในร้านกาแฟ ในเกาหลีใต้ การใช้ร้านกาแฟเป็นพื้นที่ทำงานหรือเรียนกลายเป็นวัฒนธรรมที่แพร่หลายจน Starbucks ต้องออกมาตรการใหม่ทั่วประเทศ โดยติดป้ายประกาศห้ามลูกค้านำอุปกรณ์สำนักงานมาใช้ในร้าน เช่น คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ เครื่องพิมพ์ ปลั๊กพ่วงหลายช่อง และฉากกั้นส่วนตัว กลุ่มลูกค้าที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ถูกเรียกว่า “คากงจก” (cagongjok) ซึ่งเป็นคำผสมระหว่าง “คาเฟ่” กับ “กงบู” (เรียน) หมายถึงคนที่ใช้ร้านกาแฟเป็นพื้นที่ทำงานหรือเรียนเป็นเวลานาน โดยบางคนถึงขั้นนำเครื่องพิมพ์มาเสียบปลั๊กของร้าน หรือสร้างบูธส่วนตัวด้วยฉากกั้น Starbucks ระบุว่ามาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อให้ร้านสะดวกสำหรับลูกค้าทุกคน และลดความเสี่ยงจากการสูญหายหรือขโมยทรัพย์สิน โดยพนักงานจะคอยแจ้งเตือนลูกค้าที่ใช้พื้นที่เกินความจำเป็น หรือทิ้งของไว้บนโต๊ะนานเกินไป ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลาง “คาเฟ่บูม” ในเกาหลีใต้ ซึ่งมีร้านกาแฟมากกว่า 100,000 แห่งทั่วประเทศ และการใช้ร้านกาแฟเป็นพื้นที่ทำงานก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่การนั่งนานเกินไปอาจทำให้ร้านขาดทุน เพราะกาแฟหนึ่งแก้วครอบคลุมค่าใช้ที่นั่งได้เพียง 1 ชั่วโมง 42 นาทีเท่านั้น https://www.tomshardware.com/software/social-media/korean-starbucks-bans-desktop-pcs-printers-and-office-partitions-power-strips-also-forbidden-in-crackdown-on-industrious-customers
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Korean Starbucks bans desktop PCs, printers, and office partitions — power strips also forbidden in crackdown on industrious customers
    A new ‘Guide to comfortable use of the store’ asks café visitors to stop bringing in ‘Personal desktops, printers, power strips, partitions, etc.’
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 Reviews
  • Cyberdeck สุดล้ำจาก Sector 07: สองจอสัมผัส หมุนได้ ใช้ Raspberry Pi 5 และพิมพ์ 3D ได้เอง

    Sector 07 นักพัฒนาและนักสร้างสรรค์สาย DIY ได้ออกแบบ Cyberdeck ที่ไม่เหมือนใคร—มีจอสัมผัสสองจอขนาด 9 นิ้วที่หมุนได้อิสระทั้งแนวตั้งและแนวนอน พร้อมเคสที่พิมพ์ 3D ได้เอง และขับเคลื่อนด้วย Raspberry Pi 5

    Cyberdeck นี้เริ่มต้นจากแพลตฟอร์มทดลองเล็ก ๆ แต่กลายเป็นเครื่องมือเต็มรูปแบบสำหรับการพัฒนา การทดลอง และการใช้งานทั่วไป โดยมีพอร์ต GPIO และ I2C ให้ใช้งานภายนอก พร้อม USB hub ภายในสำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริม

    ตัวเคสถูกออกแบบให้พิมพ์ได้ง่าย และมีไฟล์ STL พร้อมให้ดาวน์โหลดบน GitHub รวมถึงซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้ทุกอย่างทำงานร่วมกันได้ทันที

    นอกจากความล้ำด้านดีไซน์แล้ว ยังเปิดให้ผู้ใช้เปลี่ยนจาก Raspberry Pi 5 เป็น Pi 4 ได้ และเลือกใช้ระบบปฏิบัติการที่ต้องการ เช่น Raspberry Pi OS หรือ Linux distro อื่น ๆ

    Cyberdeck ถูกออกแบบโดย Sector 07 และใช้ Raspberry Pi 5 เป็นแกนหลัก
    รองรับการเปลี่ยนเป็น Pi 4 ได้ตามต้องการ

    มีจอสัมผัส 9 นิ้ว 2 จอที่หมุนได้อิสระทั้งแนวตั้งและแนวนอน
    ช่วยให้ใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ

    เคสสามารถพิมพ์ 3D ได้เองจากไฟล์ STL ที่แจกฟรี
    พร้อมซอฟต์แวร์บน GitHub ที่ช่วยให้ใช้งานได้ทันที

    มี USB hub ภายในและพอร์ต GPIO/I2C สำหรับการทดลอง
    เหมาะกับงานพัฒนาและการเรียนรู้ด้านอิเล็กทรอนิกส์

    รองรับระบบปฏิบัติการหลากหลาย เช่น Raspberry Pi OS
    เปิดโอกาสให้ปรับแต่งตามความต้องการของผู้ใช้

    เป็นโปรเจกต์ open-source ที่เน้นการเรียนรู้และการแบ่งปัน
    ส่งเสริมชุมชน maker และนักพัฒนา DIY

    https://www.tomshardware.com/3d-printing/this-futuristic-3d-printed-cyberdeck-has-two-swiveling-touchscreens-and-its-powered-by-a-raspberry-pi-5
    🧠🖥️ Cyberdeck สุดล้ำจาก Sector 07: สองจอสัมผัส หมุนได้ ใช้ Raspberry Pi 5 และพิมพ์ 3D ได้เอง Sector 07 นักพัฒนาและนักสร้างสรรค์สาย DIY ได้ออกแบบ Cyberdeck ที่ไม่เหมือนใคร—มีจอสัมผัสสองจอขนาด 9 นิ้วที่หมุนได้อิสระทั้งแนวตั้งและแนวนอน พร้อมเคสที่พิมพ์ 3D ได้เอง และขับเคลื่อนด้วย Raspberry Pi 5 Cyberdeck นี้เริ่มต้นจากแพลตฟอร์มทดลองเล็ก ๆ แต่กลายเป็นเครื่องมือเต็มรูปแบบสำหรับการพัฒนา การทดลอง และการใช้งานทั่วไป โดยมีพอร์ต GPIO และ I2C ให้ใช้งานภายนอก พร้อม USB hub ภายในสำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริม ตัวเคสถูกออกแบบให้พิมพ์ได้ง่าย และมีไฟล์ STL พร้อมให้ดาวน์โหลดบน GitHub รวมถึงซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้ทุกอย่างทำงานร่วมกันได้ทันที นอกจากความล้ำด้านดีไซน์แล้ว ยังเปิดให้ผู้ใช้เปลี่ยนจาก Raspberry Pi 5 เป็น Pi 4 ได้ และเลือกใช้ระบบปฏิบัติการที่ต้องการ เช่น Raspberry Pi OS หรือ Linux distro อื่น ๆ ✅ Cyberdeck ถูกออกแบบโดย Sector 07 และใช้ Raspberry Pi 5 เป็นแกนหลัก ➡️ รองรับการเปลี่ยนเป็น Pi 4 ได้ตามต้องการ ✅ มีจอสัมผัส 9 นิ้ว 2 จอที่หมุนได้อิสระทั้งแนวตั้งและแนวนอน ➡️ ช่วยให้ใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ✅ เคสสามารถพิมพ์ 3D ได้เองจากไฟล์ STL ที่แจกฟรี ➡️ พร้อมซอฟต์แวร์บน GitHub ที่ช่วยให้ใช้งานได้ทันที ✅ มี USB hub ภายในและพอร์ต GPIO/I2C สำหรับการทดลอง ➡️ เหมาะกับงานพัฒนาและการเรียนรู้ด้านอิเล็กทรอนิกส์ ✅ รองรับระบบปฏิบัติการหลากหลาย เช่น Raspberry Pi OS ➡️ เปิดโอกาสให้ปรับแต่งตามความต้องการของผู้ใช้ ✅ เป็นโปรเจกต์ open-source ที่เน้นการเรียนรู้และการแบ่งปัน ➡️ ส่งเสริมชุมชน maker และนักพัฒนา DIY https://www.tomshardware.com/3d-printing/this-futuristic-3d-printed-cyberdeck-has-two-swiveling-touchscreens-and-its-powered-by-a-raspberry-pi-5
    0 Comments 0 Shares 24 Views 0 Reviews
  • GENIUS Act: เมื่อ Stablecoin กลายเป็นเรื่องจริงจัง และธนาคารก็อยากออกเหรียญเอง

    หลังจากหลายปีที่สหรัฐฯ ลังเลกับคริปโต ในเดือนกรกฎาคม 2025 ประธานาธิบดี Donald Trump ได้ลงนามในกฎหมาย GENIUS Act ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับแรกที่กำหนดกรอบการกำกับดูแล Stablecoin อย่างเป็นทางการในระดับประเทศ

    Stablecoin คือเหรียญดิจิทัลที่มีมูลค่าผูกกับเงินดอลลาร์แบบ 1:1 และถูกใช้เพื่อการชำระเงินที่รวดเร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ โดยเฉพาะในการโอนเงินข้ามประเทศ ซึ่งเดิมทีถูกมองว่าเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการฟอกเงินและอาชญากรรมไซเบอร์

    แต่ GENIUS Act ได้เปลี่ยนภาพนั้น โดยเปิดทางให้ธนาคารและบริษัทเอกชนสามารถออก Stablecoin ได้อย่างถูกกฎหมาย หากผ่านการตรวจสอบด้าน KYC และ AML อย่างเข้มงวด

    ธนาคารใหญ่ เช่น Bank of America และ Citigroup เริ่มเตรียมออกเหรียญของตัวเอง ขณะที่บริษัทเทคโนโลยี เช่น Walmart, Amazon และ Stripe ก็กำลังพิจารณาใช้ Stablecoin เพื่อการชำระเงินและการจัดการภายในองค์กร

    แม้จะมีกรอบกฎหมายแล้ว แต่การอนุมัติยังต้องใช้เวลา และบริษัทต้องพิสูจน์ว่าเหรียญของตนมีวัตถุประสงค์ชัดเจน เช่น ใช้เพื่อดึงดูดลูกค้า หรือใช้ภายในระบบการเงินขององค์กร

    GENIUS Act เป็นกฎหมายฉบับแรกของสหรัฐฯ ที่กำกับดูแล Stablecoin
    ลงนามโดยประธานาธิบดี Trump เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2025

    ธนาคารและบริษัทเอกชนสามารถออก Stablecoin ได้ หากผ่านการตรวจสอบ KYC และ AML
    ธนาคารมีข้อได้เปรียบเพราะมีระบบเหล่านี้อยู่แล้ว

    บริษัทเทคโนโลยี เช่น Walmart และ Amazon กำลังพิจารณาออกเหรียญของตัวเอง
    เพื่อใช้ในการชำระเงินหรือจัดการภายในองค์กร

    Stablecoin ต้องระบุวัตถุประสงค์การใช้งานอย่างชัดเจน
    เช่น ใช้เพื่อดึงดูดลูกค้า หรือเพื่อการชำระเงินแบบรวดเร็ว

    GENIUS Act ระบุว่า Stablecoin ที่ออกบนบล็อกเชนแบบเปิดไม่สามารถถูกปฏิเสธโดยอัตโนมัติ
    เป็นการสนับสนุนการใช้ Ethereum และเครือข่าย permissionless

    ธนาคารต้องปรับการคำนวณสภาพคล่อง หากถือ Stablecoin บนงบดุล
    เพราะแม้จะผูกกับดอลลาร์ แต่ยังมีความเสี่ยงจากการล่มของเหรียญ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/stablecoins-gain-critical-mass-after-genius-act-cements-rules-banks-and-companies-rush-to-register-new-coins
    💵🔗 GENIUS Act: เมื่อ Stablecoin กลายเป็นเรื่องจริงจัง และธนาคารก็อยากออกเหรียญเอง หลังจากหลายปีที่สหรัฐฯ ลังเลกับคริปโต ในเดือนกรกฎาคม 2025 ประธานาธิบดี Donald Trump ได้ลงนามในกฎหมาย GENIUS Act ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับแรกที่กำหนดกรอบการกำกับดูแล Stablecoin อย่างเป็นทางการในระดับประเทศ Stablecoin คือเหรียญดิจิทัลที่มีมูลค่าผูกกับเงินดอลลาร์แบบ 1:1 และถูกใช้เพื่อการชำระเงินที่รวดเร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ โดยเฉพาะในการโอนเงินข้ามประเทศ ซึ่งเดิมทีถูกมองว่าเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการฟอกเงินและอาชญากรรมไซเบอร์ แต่ GENIUS Act ได้เปลี่ยนภาพนั้น โดยเปิดทางให้ธนาคารและบริษัทเอกชนสามารถออก Stablecoin ได้อย่างถูกกฎหมาย หากผ่านการตรวจสอบด้าน KYC และ AML อย่างเข้มงวด ธนาคารใหญ่ เช่น Bank of America และ Citigroup เริ่มเตรียมออกเหรียญของตัวเอง ขณะที่บริษัทเทคโนโลยี เช่น Walmart, Amazon และ Stripe ก็กำลังพิจารณาใช้ Stablecoin เพื่อการชำระเงินและการจัดการภายในองค์กร แม้จะมีกรอบกฎหมายแล้ว แต่การอนุมัติยังต้องใช้เวลา และบริษัทต้องพิสูจน์ว่าเหรียญของตนมีวัตถุประสงค์ชัดเจน เช่น ใช้เพื่อดึงดูดลูกค้า หรือใช้ภายในระบบการเงินขององค์กร ✅ GENIUS Act เป็นกฎหมายฉบับแรกของสหรัฐฯ ที่กำกับดูแล Stablecoin ➡️ ลงนามโดยประธานาธิบดี Trump เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2025 ✅ ธนาคารและบริษัทเอกชนสามารถออก Stablecoin ได้ หากผ่านการตรวจสอบ KYC และ AML ➡️ ธนาคารมีข้อได้เปรียบเพราะมีระบบเหล่านี้อยู่แล้ว ✅ บริษัทเทคโนโลยี เช่น Walmart และ Amazon กำลังพิจารณาออกเหรียญของตัวเอง ➡️ เพื่อใช้ในการชำระเงินหรือจัดการภายในองค์กร ✅ Stablecoin ต้องระบุวัตถุประสงค์การใช้งานอย่างชัดเจน ➡️ เช่น ใช้เพื่อดึงดูดลูกค้า หรือเพื่อการชำระเงินแบบรวดเร็ว ✅ GENIUS Act ระบุว่า Stablecoin ที่ออกบนบล็อกเชนแบบเปิดไม่สามารถถูกปฏิเสธโดยอัตโนมัติ ➡️ เป็นการสนับสนุนการใช้ Ethereum และเครือข่าย permissionless ✅ ธนาคารต้องปรับการคำนวณสภาพคล่อง หากถือ Stablecoin บนงบดุล ➡️ เพราะแม้จะผูกกับดอลลาร์ แต่ยังมีความเสี่ยงจากการล่มของเหรียญ https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/stablecoins-gain-critical-mass-after-genius-act-cements-rules-banks-and-companies-rush-to-register-new-coins
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Stablecoins gain critical mass after GENIUS Act cements rules — banks and companies rush to register new coins
    Though full adoption may take years as more regulation is required to outline how they will be used.
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 Reviews
  • ## ชื่อเท่ แต่ มีอำนาจ จริง หรือ ไม่...??? ##
    ..
    ..
    พระราชบัญญัติการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล พ.ศ.2562 คืออะไร ทำไมแชร์กันว่อนช่วงนี้...???
    .
    พยายามอธิบายให้ได้เนื้อหาแบบไม่ยาวมากเกินไปคือ...
    .
    หลักใหญ่ใจความ พรบ.นี้ ได้มีการจัดตั้ง ศูนย์อำนายการผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ขึ้นมา
    .
    ซึ่งอำนาจและหน้าที่หลักของ "นปท." คือ
    .
    1.กำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนงานด้านความมั่นคงทางทะเล เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและแผนระดับชาติที่เกี่ยวข้อง
    .
    2.ให้คำแนะนำ ปรึกษา และสนับสนุนการดำเนินงาน ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (เช่น ศรชล. และอื่น ๆ)
    .
    3.ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน ในด้านต่าง ๆ และ เสนอรายงานผลต่อ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และคณะรัฐมนตรี
    .
    4.นอกจากนี้ นปท. ยังมีอำนาจ เรียกประชุมร่วมกับคณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เมื่อจำเป็น เพื่อพิจารณาประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการรักษาผลประโยชน์ชาติ(ประชุม ถก แลกเปลี่ยน ในเชิงเสนอแนะ)
    ....
    ....
    สุดท้าย จะเห็นได้ว่า ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทาง ซึ่งชื่อเท่มาก ไม่มีอะไร มากไปกว่า...
    .
    หน่วยงานหนึ่ง ที่มีหน้าที่ ดำเนินการต่างๆ ให้สอดคล้องกับ นโยบายของนักการเมืองเบื้องบน และหรือ กระทรวงการต่างประเทศ และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
    .
    ทำได้แค่ เสนอข้อมูล ให้คำแนะนำ ติดตาม-ประเมินผล แค่นั้น
    .
    ไม่ได้มีหน้าที่ คาน หรือ คัดง้าง ไม่มีกฎหมายข้อให้ให้อำนาจ ในการโต้แย้ง ยับยั้ง หาก รัฐบาล หรือ กระทรวงการต่างประเทศกระทำผิด ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อ ผลประโยชน์ของประเทศชาติแต่อย่างใด...!!!
    .
    พูดง่ายๆ คือ หน่วยงานปฏิบัติการ ตามคำสั่ง ตามนโยบายของ รัฐบาล...
    .
    อำนาจที่มี ไม่ได้เท่เหมือนชื่อ...!!!
    .
    หาก นักการเมืองขายชาติ ก็โต้แย้ง คัดค้าน ทำอะไรไม่ได้...!!!
    ....
    ....
    ผมคิดว่าตัวเองพอเข้าใจที่มาที่ไปของ การเขียนโพสเรื่องนี้ครับ...
    .
    อย่าอวยกันขนาดนั้นเลยครับ ต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงด้วย...!!!
    .
    ไม่งั้น "ทีมอวย" จะต่างอะไรกับ มาลี และ ฮุนเซน หล่ะครับ...???
    .

    ....
    ....
    ถ้าอยากสกัด เขมร จริง ยกเลิก MOU43-MOU44-JC44 คือทางออกครับ
    .
    https://www.naewna.com/politic/906142?fbclid=IwQ0xDSwMI-ZNjbGNrAwakRmV4dG4DYWVtAjEwAGJyaWQRMU44ZFlpaFRqMHhOT3c1bDkBHnHzvN8SfGcG8c7FdtCH44q4c5JWQHQkycw28_tsv4u0cdPKWRSRc7qd4fsM_aem_pRLgNZlXgTqmABx0ecgerw
    ## ชื่อเท่ แต่ มีอำนาจ จริง หรือ ไม่...??? ## .. .. พระราชบัญญัติการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล พ.ศ.2562 คืออะไร ทำไมแชร์กันว่อนช่วงนี้...??? . พยายามอธิบายให้ได้เนื้อหาแบบไม่ยาวมากเกินไปคือ... . หลักใหญ่ใจความ พรบ.นี้ ได้มีการจัดตั้ง ศูนย์อำนายการผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ขึ้นมา . ซึ่งอำนาจและหน้าที่หลักของ "นปท." คือ . 1.กำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนงานด้านความมั่นคงทางทะเล เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและแผนระดับชาติที่เกี่ยวข้อง . 2.ให้คำแนะนำ ปรึกษา และสนับสนุนการดำเนินงาน ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (เช่น ศรชล. และอื่น ๆ) . 3.ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน ในด้านต่าง ๆ และ เสนอรายงานผลต่อ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และคณะรัฐมนตรี . 4.นอกจากนี้ นปท. ยังมีอำนาจ เรียกประชุมร่วมกับคณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เมื่อจำเป็น เพื่อพิจารณาประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการรักษาผลประโยชน์ชาติ(ประชุม ถก แลกเปลี่ยน ในเชิงเสนอแนะ) .... .... สุดท้าย จะเห็นได้ว่า ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทาง ซึ่งชื่อเท่มาก ไม่มีอะไร มากไปกว่า... . หน่วยงานหนึ่ง ที่มีหน้าที่ ดำเนินการต่างๆ ให้สอดคล้องกับ นโยบายของนักการเมืองเบื้องบน และหรือ กระทรวงการต่างประเทศ และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง . ทำได้แค่ เสนอข้อมูล ให้คำแนะนำ ติดตาม-ประเมินผล แค่นั้น . ไม่ได้มีหน้าที่ คาน หรือ คัดง้าง ไม่มีกฎหมายข้อให้ให้อำนาจ ในการโต้แย้ง ยับยั้ง หาก รัฐบาล หรือ กระทรวงการต่างประเทศกระทำผิด ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อ ผลประโยชน์ของประเทศชาติแต่อย่างใด...!!! . พูดง่ายๆ คือ หน่วยงานปฏิบัติการ ตามคำสั่ง ตามนโยบายของ รัฐบาล... . อำนาจที่มี ไม่ได้เท่เหมือนชื่อ...!!! . หาก นักการเมืองขายชาติ ก็โต้แย้ง คัดค้าน ทำอะไรไม่ได้...!!! .... .... ผมคิดว่าตัวเองพอเข้าใจที่มาที่ไปของ การเขียนโพสเรื่องนี้ครับ... . อย่าอวยกันขนาดนั้นเลยครับ ต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงด้วย...!!! . ไม่งั้น "ทีมอวย" จะต่างอะไรกับ มาลี และ ฮุนเซน หล่ะครับ...??? . 😓😓😓😓😓😓😓😓 .... .... ถ้าอยากสกัด เขมร จริง ยกเลิก MOU43-MOU44-JC44 คือทางออกครับ . https://www.naewna.com/politic/906142?fbclid=IwQ0xDSwMI-ZNjbGNrAwakRmV4dG4DYWVtAjEwAGJyaWQRMU44ZFlpaFRqMHhOT3c1bDkBHnHzvN8SfGcG8c7FdtCH44q4c5JWQHQkycw28_tsv4u0cdPKWRSRc7qd4fsM_aem_pRLgNZlXgTqmABx0ecgerw
    WWW.NAEWNA.COM
    ‘เสธ.นิด’เปิดอีกความจริง!‘บิ๊กตู่’คลอดกฎหมาย สกัดเขมือบทรัพยากรทางทะเล ด้วย MOU 44
    ‘เสธ.นิด’เปิดอีกความจริง!‘บิ๊กตู่’คลอดกฎหมาย สกัดเขมือบทรัพยากรทางทะเล ด้วย MOU 44
    0 Comments 0 Shares 25 Views 0 Reviews
  • เมื่อชิปกลายเป็นภาษี: Nvidia และ AMD ต้องจ่าย 15% รายได้จากการขายชิป AI ให้จีน

    ในสงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ชิป AI กลายเป็นอาวุธสำคัญ และตอนนี้สองยักษ์ใหญ่แห่งวงการ—Nvidia และ AMD—ต้องจ่าย “ค่าผ่านทาง” ให้รัฐบาลสหรัฐฯ ถึง 15% ของรายได้จากการขายชิป AI ให้จีน

    เรื่องเริ่มจากการที่สหรัฐฯ เคยจำกัดการส่งออกชิปขั้นสูงไปยังจีน ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง โดยเฉพาะชิปที่มีศักยภาพในการใช้งานทางทหาร แต่เมื่อ Huawei ของจีนเริ่มพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองอย่างรวดเร็ว รัฐบาลสหรัฐฯ จึงกลับลำ เปิดทางให้ Nvidia ส่งออกชิป H20 และ AMD ส่ง MI308 ไปยังจีนได้อีกครั้ง—แต่ต้องจ่ายภาษีพิเศษ

    ชิปเหล่านี้ถูกออกแบบให้ “ลดความสามารถ” ลงจากรุ่นเรือธง เพื่อให้ผ่านข้อจำกัดด้านการส่งออก แต่ยังคงเป็น AI accelerator ที่ทรงพลังสำหรับงานประมวลผลหนัก เช่น การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่

    แม้จะได้สิทธิ์กลับมาขาย แต่ Nvidia เคยประเมินว่าแค่ข้อจำกัดเดิมก็ทำให้สูญรายได้ถึง 5.5 พันล้านดอลลาร์ ส่วน AMD ก็อาจเสียหายถึง 800 ล้านดอลลาร์

    ขณะเดียวกัน ฝ่ายนิติบัญญัติในสหรัฐฯ กำลังเสนอให้ชิป AI ที่ขายให้ต่างประเทศต้องมีระบบติดตามตำแหน่งในตัว เพื่อป้องกันการนำไปใช้ในทางทหารหรือการจารกรรม

    Nvidia และ AMD ต้องจ่าย 15% ของรายได้จากการขายชิป AI ให้จีน
    เป็นข้อตกลงใหม่กับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อแลกกับสิทธิ์ในการส่งออก

    ชิปที่เกี่ยวข้องคือ Nvidia H20 และ AMD MI308
    ถูกออกแบบให้ลดความสามารถลงเพื่อผ่านข้อจำกัดด้านการส่งออก

    ชิปเหล่านี้เป็น AI accelerator สำหรับงานประมวลผลหนัก
    เช่น การฝึกโมเดล AI และการคำนวณเชิงลึก

    Nvidia เคยประเมินว่าข้อจำกัดเดิมทำให้สูญรายได้ถึง 5.5 พันล้านดอลลาร์
    ส่วน AMD อาจเสียหายถึง 800 ล้านดอลลาร์

    รัฐบาลสหรัฐฯ เคยห้ามส่งออกชิปขั้นสูงไปยังจีนด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง
    แต่กลับลำในเดือนกรกฎาคม 2025 เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน

    Huawei ของจีนกำลังพัฒนาเทคโนโลยีชิปอย่างรวดเร็ว
    เป็นแรงกดดันให้สหรัฐฯ ต้องปรับนโยบาย

    มีข้อเสนอให้ชิป AI ที่ส่งออกต้องมีระบบติดตามตำแหน่งในตัว
    เพื่อป้องกันการนำไปใช้ในทางทหารหรือการจารกรรม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/13/the-semiconductors-costing-nvidia-amd-dearly
    💸⚙️ เมื่อชิปกลายเป็นภาษี: Nvidia และ AMD ต้องจ่าย 15% รายได้จากการขายชิป AI ให้จีน ในสงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ชิป AI กลายเป็นอาวุธสำคัญ และตอนนี้สองยักษ์ใหญ่แห่งวงการ—Nvidia และ AMD—ต้องจ่าย “ค่าผ่านทาง” ให้รัฐบาลสหรัฐฯ ถึง 15% ของรายได้จากการขายชิป AI ให้จีน เรื่องเริ่มจากการที่สหรัฐฯ เคยจำกัดการส่งออกชิปขั้นสูงไปยังจีน ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง โดยเฉพาะชิปที่มีศักยภาพในการใช้งานทางทหาร แต่เมื่อ Huawei ของจีนเริ่มพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองอย่างรวดเร็ว รัฐบาลสหรัฐฯ จึงกลับลำ เปิดทางให้ Nvidia ส่งออกชิป H20 และ AMD ส่ง MI308 ไปยังจีนได้อีกครั้ง—แต่ต้องจ่ายภาษีพิเศษ ชิปเหล่านี้ถูกออกแบบให้ “ลดความสามารถ” ลงจากรุ่นเรือธง เพื่อให้ผ่านข้อจำกัดด้านการส่งออก แต่ยังคงเป็น AI accelerator ที่ทรงพลังสำหรับงานประมวลผลหนัก เช่น การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ แม้จะได้สิทธิ์กลับมาขาย แต่ Nvidia เคยประเมินว่าแค่ข้อจำกัดเดิมก็ทำให้สูญรายได้ถึง 5.5 พันล้านดอลลาร์ ส่วน AMD ก็อาจเสียหายถึง 800 ล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกัน ฝ่ายนิติบัญญัติในสหรัฐฯ กำลังเสนอให้ชิป AI ที่ขายให้ต่างประเทศต้องมีระบบติดตามตำแหน่งในตัว เพื่อป้องกันการนำไปใช้ในทางทหารหรือการจารกรรม ✅ Nvidia และ AMD ต้องจ่าย 15% ของรายได้จากการขายชิป AI ให้จีน ➡️ เป็นข้อตกลงใหม่กับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อแลกกับสิทธิ์ในการส่งออก ✅ ชิปที่เกี่ยวข้องคือ Nvidia H20 และ AMD MI308 ➡️ ถูกออกแบบให้ลดความสามารถลงเพื่อผ่านข้อจำกัดด้านการส่งออก ✅ ชิปเหล่านี้เป็น AI accelerator สำหรับงานประมวลผลหนัก ➡️ เช่น การฝึกโมเดล AI และการคำนวณเชิงลึก ✅ Nvidia เคยประเมินว่าข้อจำกัดเดิมทำให้สูญรายได้ถึง 5.5 พันล้านดอลลาร์ ➡️ ส่วน AMD อาจเสียหายถึง 800 ล้านดอลลาร์ ✅ รัฐบาลสหรัฐฯ เคยห้ามส่งออกชิปขั้นสูงไปยังจีนด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง ➡️ แต่กลับลำในเดือนกรกฎาคม 2025 เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน ✅ Huawei ของจีนกำลังพัฒนาเทคโนโลยีชิปอย่างรวดเร็ว ➡️ เป็นแรงกดดันให้สหรัฐฯ ต้องปรับนโยบาย ✅ มีข้อเสนอให้ชิป AI ที่ส่งออกต้องมีระบบติดตามตำแหน่งในตัว ➡️ เพื่อป้องกันการนำไปใช้ในทางทหารหรือการจารกรรม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/13/the-semiconductors-costing-nvidia-amd-dearly
    WWW.THESTAR.COM.MY
    The semiconductors costing Nvidia, AMD dearly
    Nvidia and other US chip companies have lobbied against the tough restrictions in recent years on selling cutting-edge semiconductors to China.
    0 Comments 0 Shares 20 Views 0 Reviews
  • Patch Tuesday สิงหาคม 2025: Microsoft อุดช่องโหว่ 107 รายการ รวมถึง 13 ช่องโหว่ร้ายแรงแบบ RCE

    Microsoft ปล่อยอัปเดตความปลอดภัยประจำเดือนสิงหาคม 2025 หรือที่เรียกว่า “Patch Tuesday” ซึ่งคราวนี้มีการแก้ไขช่องโหว่ถึง 107 รายการ โดย 13 รายการถูกจัดเป็น “Critical” หรือร้ายแรงที่สุด โดยเฉพาะช่องโหว่แบบ Remote Code Execution (RCE) ที่สามารถให้แฮกเกอร์รันโค้ดจากระยะไกลได้โดยไม่ต้องมีการโต้ตอบจากผู้ใช้

    หนึ่งในช่องโหว่ที่น่ากังวลคือใน Windows Graphics Component (CVE-2025-50165) ที่เปิดช่องให้รันโค้ดผ่านการ dereference pointer ที่ไม่ปลอดภัย และใน DirectX Graphics Kernel (CVE-2025-50176) ที่เกิดจาก type confusion ซึ่งอาจนำไปสู่การเข้าควบคุมระบบโดยผู้ใช้ที่ได้รับสิทธิ์แล้ว

    ช่องโหว่ใน Microsoft Message Queuing (MSMQ) (CVE-2025-50177) ก็ยังคงเป็นปัญหาเรื้อรัง โดยเปิดโอกาสให้ผู้โจมตีที่ไม่ได้รับการยืนยันตัวตนสามารถรันโค้ดได้หากชนะ race condition

    นอกจากนี้ยังมีช่องโหว่ใน Microsoft Office และ Word ที่สามารถถูกโจมตีได้เพียงแค่เปิดไฟล์เอกสารที่เป็นอันตราย เช่น CVE-2025-53731 และ CVE-2025-53784 รวมถึงช่องโหว่ใน GDI+, Hyper-V, NTLM และ Azure ที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเผยข้อมูลและการยกระดับสิทธิ์

    Microsoft แก้ไขช่องโหว่ 107 รายการใน Patch Tuesday สิงหาคม 2025
    รวมถึง 13 ช่องโหว่ระดับ Critical ที่ต้องรีบอัปเดตทันที

    ช่องโหว่ RCE หลายรายการสามารถรันโค้ดโดยไม่ต้องโต้ตอบจากผู้ใช้
    เช่นใน Windows Graphics Component, DirectX, MSMQ, Office, Word

    ช่องโหว่ใน Windows NTLM (CVE-2025-53778) อาจให้สิทธิ์ SYSTEM
    เป็นการยกระดับสิทธิ์ที่ร้ายแรงในระบบเครือข่าย

    ช่องโหว่ใน Azure Virtual Machines และ Stack Hub เปิดเผยข้อมูลสำคัญ
    เสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูลในระบบคลาวด์

    ช่องโหว่ใน Hyper-V อาจทำให้ VM ถูกควบคุมจากภายนอก
    ส่งผลต่อองค์กรที่ใช้ virtualized environment

    ช่องโหว่ใน Microsoft Word สามารถถูกโจมตีผ่าน Preview Pane
    ไม่ต้องเปิดไฟล์ก็สามารถถูกโจมตีได้

    Microsoft แก้ไขช่องโหว่ zero-day ใน Windows Kerberos (CVE-2025-53779)
    อาจให้ผู้โจมตียกระดับสิทธิ์เป็น domain admin

    RCE และ EoP เป็นช่องโหว่ที่ถูกใช้บ่อยที่สุดในการโจมตีจริง
    เพราะสามารถควบคุมระบบและขยายสิทธิ์ได้

    ช่องโหว่ใน Kerberos กระทบต่อระบบ Active Directory โดยตรง
    เสี่ยงต่อการถูกควบคุมทั้ง domain และ forest

    การโจมตีผ่าน MSMQ และ GDI+ เป็นเทคนิคที่ใช้กันมานาน
    แต่ยังคงพบช่องโหว่ใหม่ในระบบเหล่านี้

    การโจมตีผ่านเอกสาร Office ยังคงเป็นช่องทางยอดนิยม
    เพราะผู้ใช้มักเปิดไฟล์โดยไม่ตรวจสอบความปลอดภัย

    https://hackread.com/patch-tuesday-microsoft-fixes-vulnerabilities-rce-flaws/
    🛡️💻 Patch Tuesday สิงหาคม 2025: Microsoft อุดช่องโหว่ 107 รายการ รวมถึง 13 ช่องโหว่ร้ายแรงแบบ RCE Microsoft ปล่อยอัปเดตความปลอดภัยประจำเดือนสิงหาคม 2025 หรือที่เรียกว่า “Patch Tuesday” ซึ่งคราวนี้มีการแก้ไขช่องโหว่ถึง 107 รายการ โดย 13 รายการถูกจัดเป็น “Critical” หรือร้ายแรงที่สุด โดยเฉพาะช่องโหว่แบบ Remote Code Execution (RCE) ที่สามารถให้แฮกเกอร์รันโค้ดจากระยะไกลได้โดยไม่ต้องมีการโต้ตอบจากผู้ใช้ หนึ่งในช่องโหว่ที่น่ากังวลคือใน Windows Graphics Component (CVE-2025-50165) ที่เปิดช่องให้รันโค้ดผ่านการ dereference pointer ที่ไม่ปลอดภัย และใน DirectX Graphics Kernel (CVE-2025-50176) ที่เกิดจาก type confusion ซึ่งอาจนำไปสู่การเข้าควบคุมระบบโดยผู้ใช้ที่ได้รับสิทธิ์แล้ว ช่องโหว่ใน Microsoft Message Queuing (MSMQ) (CVE-2025-50177) ก็ยังคงเป็นปัญหาเรื้อรัง โดยเปิดโอกาสให้ผู้โจมตีที่ไม่ได้รับการยืนยันตัวตนสามารถรันโค้ดได้หากชนะ race condition นอกจากนี้ยังมีช่องโหว่ใน Microsoft Office และ Word ที่สามารถถูกโจมตีได้เพียงแค่เปิดไฟล์เอกสารที่เป็นอันตราย เช่น CVE-2025-53731 และ CVE-2025-53784 รวมถึงช่องโหว่ใน GDI+, Hyper-V, NTLM และ Azure ที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเผยข้อมูลและการยกระดับสิทธิ์ ✅ Microsoft แก้ไขช่องโหว่ 107 รายการใน Patch Tuesday สิงหาคม 2025 ➡️ รวมถึง 13 ช่องโหว่ระดับ Critical ที่ต้องรีบอัปเดตทันที ✅ ช่องโหว่ RCE หลายรายการสามารถรันโค้ดโดยไม่ต้องโต้ตอบจากผู้ใช้ ➡️ เช่นใน Windows Graphics Component, DirectX, MSMQ, Office, Word ✅ ช่องโหว่ใน Windows NTLM (CVE-2025-53778) อาจให้สิทธิ์ SYSTEM ➡️ เป็นการยกระดับสิทธิ์ที่ร้ายแรงในระบบเครือข่าย ✅ ช่องโหว่ใน Azure Virtual Machines และ Stack Hub เปิดเผยข้อมูลสำคัญ ➡️ เสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูลในระบบคลาวด์ ✅ ช่องโหว่ใน Hyper-V อาจทำให้ VM ถูกควบคุมจากภายนอก ➡️ ส่งผลต่อองค์กรที่ใช้ virtualized environment ✅ ช่องโหว่ใน Microsoft Word สามารถถูกโจมตีผ่าน Preview Pane ➡️ ไม่ต้องเปิดไฟล์ก็สามารถถูกโจมตีได้ ✅ Microsoft แก้ไขช่องโหว่ zero-day ใน Windows Kerberos (CVE-2025-53779) ➡️ อาจให้ผู้โจมตียกระดับสิทธิ์เป็น domain admin ✅ RCE และ EoP เป็นช่องโหว่ที่ถูกใช้บ่อยที่สุดในการโจมตีจริง ➡️ เพราะสามารถควบคุมระบบและขยายสิทธิ์ได้ ✅ ช่องโหว่ใน Kerberos กระทบต่อระบบ Active Directory โดยตรง ➡️ เสี่ยงต่อการถูกควบคุมทั้ง domain และ forest ✅ การโจมตีผ่าน MSMQ และ GDI+ เป็นเทคนิคที่ใช้กันมานาน ➡️ แต่ยังคงพบช่องโหว่ใหม่ในระบบเหล่านี้ ✅ การโจมตีผ่านเอกสาร Office ยังคงเป็นช่องทางยอดนิยม ➡️ เพราะผู้ใช้มักเปิดไฟล์โดยไม่ตรวจสอบความปลอดภัย https://hackread.com/patch-tuesday-microsoft-fixes-vulnerabilities-rce-flaws/
    HACKREAD.COM
    Patch Tuesday: Microsoft Fixes 107 Vulnerabilities, Including 13 RCE Flaws
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 25 Views 0 Reviews
  • Claude Sonnet 4 กับพลังความจำระดับเทพ: รองรับ context ได้ถึง 1 ล้าน tokens

    ลองจินตนาการว่า AI สามารถจำบทสนทนาเก่า ๆ ได้ทั้งหมด หรือวิเคราะห์โค้ดทั้งโปรเจกต์ที่มีหลายหมื่นบรรทัดในครั้งเดียว—นั่นคือสิ่งที่ Claude Sonnet 4 ทำได้แล้ววันนี้!

    Anthropic ประกาศอัปเกรดโมเดล Claude Sonnet 4 ให้รองรับ context ได้ถึง 1 ล้าน tokens ผ่าน API ซึ่งมากกว่ารุ่นก่อนถึง 5 เท่า จากเดิมแค่ 200K tokens การอัปเกรดนี้เปิดประตูให้ AI ทำงานกับข้อมูลขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น:
    - วิเคราะห์โค้ดทั้งระบบ รวมถึงไฟล์ทดสอบและเอกสารประกอบ
    - สังเคราะห์เอกสารจำนวนมาก เช่น สัญญากฎหมายหรืองานวิจัย
    - สร้าง agent ที่เข้าใจบริบทหลายขั้นตอนและเครื่องมือจำนวนมาก

    ลูกค้าอย่าง Bolt.new และ iGent AI ต่างยืนยันว่า Claude Sonnet 4 ช่วยให้การพัฒนาโค้ดแม่นยำขึ้น และสามารถทำงานแบบอัตโนมัติในระดับ production ได้จริง

    อย่างไรก็ตาม ความสามารถนี้ยังจำกัดเฉพาะผู้ใช้ API ระดับ Tier 4 และมีราคาที่สูงขึ้นเมื่อใช้เกิน 200K tokens โดยมีระบบ prompt caching และ batch processing ช่วยลดต้นทุนได้ถึง 50%

    https://www.anthropic.com/news/1m-context
    🧠✨ Claude Sonnet 4 กับพลังความจำระดับเทพ: รองรับ context ได้ถึง 1 ล้าน tokens ลองจินตนาการว่า AI สามารถจำบทสนทนาเก่า ๆ ได้ทั้งหมด หรือวิเคราะห์โค้ดทั้งโปรเจกต์ที่มีหลายหมื่นบรรทัดในครั้งเดียว—นั่นคือสิ่งที่ Claude Sonnet 4 ทำได้แล้ววันนี้! Anthropic ประกาศอัปเกรดโมเดล Claude Sonnet 4 ให้รองรับ context ได้ถึง 1 ล้าน tokens ผ่าน API ซึ่งมากกว่ารุ่นก่อนถึง 5 เท่า จากเดิมแค่ 200K tokens การอัปเกรดนี้เปิดประตูให้ AI ทำงานกับข้อมูลขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น: - วิเคราะห์โค้ดทั้งระบบ รวมถึงไฟล์ทดสอบและเอกสารประกอบ - สังเคราะห์เอกสารจำนวนมาก เช่น สัญญากฎหมายหรืองานวิจัย - สร้าง agent ที่เข้าใจบริบทหลายขั้นตอนและเครื่องมือจำนวนมาก ลูกค้าอย่าง Bolt.new และ iGent AI ต่างยืนยันว่า Claude Sonnet 4 ช่วยให้การพัฒนาโค้ดแม่นยำขึ้น และสามารถทำงานแบบอัตโนมัติในระดับ production ได้จริง อย่างไรก็ตาม ความสามารถนี้ยังจำกัดเฉพาะผู้ใช้ API ระดับ Tier 4 และมีราคาที่สูงขึ้นเมื่อใช้เกิน 200K tokens โดยมีระบบ prompt caching และ batch processing ช่วยลดต้นทุนได้ถึง 50% https://www.anthropic.com/news/1m-context
    WWW.ANTHROPIC.COM
    Claude Sonnet 4 now supports 1M tokens of context
    Claude Sonnet 4 now supports up to 1 million tokens of context on the Anthropic API—a 5x increase.
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากความตั้งใจล้วน ๆ: สร้างเว็บเสิร์ชเอนจินจากศูนย์ใน 2 เดือน ด้วย embedding 3 พันล้านรายการ

    Wilson Lin นักพัฒนาสายเดี่ยวตัดสินใจท้าทายตัวเองด้วยโปรเจกต์สุดโหด—สร้างเว็บเสิร์ชเอนจินจากศูนย์ภายในเวลาแค่ 2 เดือน โดยไม่มีโครงสร้างพื้นฐาน ไม่มีทีม และไม่มีประสบการณ์ด้าน search engine มาก่อน จุดเริ่มต้นของเขาคือความไม่พอใจต่อเสิร์ชเอนจินปัจจุบันที่เต็มไปด้วย SEO spam และผลลัพธ์ที่ไม่ตรงกับความต้องการจริง

    เขาเลือกใช้โมเดล SBERT เพื่อสร้าง neural embeddings กว่า 3 พันล้านรายการ โดยใช้ GPU ถึง 200 ตัว และสร้าง index จากหน้าเว็บกว่า 280 ล้านหน้า ด้วยระบบ crawler ที่สามารถดึงข้อมูลได้ถึง 50,000 หน้า/วินาที

    ระบบ backend ใช้ RocksDB และ HNSW ที่ถูกแบ่ง shard บน 200 คอร์, RAM 4 TB และ SSD 82 TB โดยมี latency เฉลี่ยต่อคำค้นอยู่ที่ประมาณ 500 มิลลิวินาที

    เขายังออกแบบระบบให้รองรับ query ที่ซับซ้อน เช่น “ฉันอยากใช้ S3 แทน Postgres แต่ต้องการ tag คอมเมนต์กับไฟล์ในอีก column” ซึ่ง search engine ทั่วไปไม่สามารถตอบได้ แต่ระบบของเขาสามารถเข้าใจบริบทและตอบได้อย่างแม่นยำ

    Wilson Lin สร้างเว็บเสิร์ชเอนจินจากศูนย์ภายใน 2 เดือน
    ใช้ GPU 200 ตัวสร้าง SBERT embeddings กว่า 3 พันล้านรายการ

    ระบบ crawler ดึงข้อมูลได้ 50,000 หน้า/วินาที
    สร้าง index จากหน้าเว็บกว่า 280 ล้านหน้า

    ใช้ RocksDB และ HNSW บน 200 คอร์, RAM 4 TB, SSD 82 TB
    latency เฉลี่ยต่อ query อยู่ที่ 500 มิลลิวินาที

    รองรับ query ซับซ้อนที่ search engine ทั่วไปไม่เข้าใจ
    เช่นคำถามที่มีบริบทหลายชั้นและความหมายแฝง

    มีระบบ semantic context และ statement chaining เพื่อเข้าใจความหมาย
    ช่วยให้ผลลัพธ์ตรงกับเจตนาของผู้ใช้มากขึ้น

    เปิดให้ทดลองใช้งานผ่าน live demo
    เป็นตัวอย่างของ search engine ที่ไม่พึ่ง keyword matching

    Semantic search ใช้ vector embeddings เพื่อเข้าใจความหมายของข้อความ
    ต่างจาก keyword search ที่จับคำตรงตัว

    การสร้าง search engine ต้องใช้ความรู้หลายด้าน
    เช่น NLP, ML, distributed systems, performance engineering

    ระบบ semantic search สามารถเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างคำ
    เช่น “dog” กับ “puppy” หรือ “laptop” กับ “computer”

    การสร้าง golden dataset สำหรับ training เป็นความท้าทายใหญ่
    เพราะต้องมีข้อมูลที่สะท้อนความหมายจริงของคำค้น

    https://blog.wilsonl.in/search-engine/
    🔍🧠 เรื่องเล่าจากความตั้งใจล้วน ๆ: สร้างเว็บเสิร์ชเอนจินจากศูนย์ใน 2 เดือน ด้วย embedding 3 พันล้านรายการ Wilson Lin นักพัฒนาสายเดี่ยวตัดสินใจท้าทายตัวเองด้วยโปรเจกต์สุดโหด—สร้างเว็บเสิร์ชเอนจินจากศูนย์ภายในเวลาแค่ 2 เดือน โดยไม่มีโครงสร้างพื้นฐาน ไม่มีทีม และไม่มีประสบการณ์ด้าน search engine มาก่อน จุดเริ่มต้นของเขาคือความไม่พอใจต่อเสิร์ชเอนจินปัจจุบันที่เต็มไปด้วย SEO spam และผลลัพธ์ที่ไม่ตรงกับความต้องการจริง เขาเลือกใช้โมเดล SBERT เพื่อสร้าง neural embeddings กว่า 3 พันล้านรายการ โดยใช้ GPU ถึง 200 ตัว และสร้าง index จากหน้าเว็บกว่า 280 ล้านหน้า ด้วยระบบ crawler ที่สามารถดึงข้อมูลได้ถึง 50,000 หน้า/วินาที ระบบ backend ใช้ RocksDB และ HNSW ที่ถูกแบ่ง shard บน 200 คอร์, RAM 4 TB และ SSD 82 TB โดยมี latency เฉลี่ยต่อคำค้นอยู่ที่ประมาณ 500 มิลลิวินาที เขายังออกแบบระบบให้รองรับ query ที่ซับซ้อน เช่น “ฉันอยากใช้ S3 แทน Postgres แต่ต้องการ tag คอมเมนต์กับไฟล์ในอีก column” ซึ่ง search engine ทั่วไปไม่สามารถตอบได้ แต่ระบบของเขาสามารถเข้าใจบริบทและตอบได้อย่างแม่นยำ ✅ Wilson Lin สร้างเว็บเสิร์ชเอนจินจากศูนย์ภายใน 2 เดือน ➡️ ใช้ GPU 200 ตัวสร้าง SBERT embeddings กว่า 3 พันล้านรายการ ✅ ระบบ crawler ดึงข้อมูลได้ 50,000 หน้า/วินาที ➡️ สร้าง index จากหน้าเว็บกว่า 280 ล้านหน้า ✅ ใช้ RocksDB และ HNSW บน 200 คอร์, RAM 4 TB, SSD 82 TB ➡️ latency เฉลี่ยต่อ query อยู่ที่ 500 มิลลิวินาที ✅ รองรับ query ซับซ้อนที่ search engine ทั่วไปไม่เข้าใจ ➡️ เช่นคำถามที่มีบริบทหลายชั้นและความหมายแฝง ✅ มีระบบ semantic context และ statement chaining เพื่อเข้าใจความหมาย ➡️ ช่วยให้ผลลัพธ์ตรงกับเจตนาของผู้ใช้มากขึ้น ✅ เปิดให้ทดลองใช้งานผ่าน live demo ➡️ เป็นตัวอย่างของ search engine ที่ไม่พึ่ง keyword matching ✅ Semantic search ใช้ vector embeddings เพื่อเข้าใจความหมายของข้อความ ➡️ ต่างจาก keyword search ที่จับคำตรงตัว ✅ การสร้าง search engine ต้องใช้ความรู้หลายด้าน ➡️ เช่น NLP, ML, distributed systems, performance engineering ✅ ระบบ semantic search สามารถเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างคำ ➡️ เช่น “dog” กับ “puppy” หรือ “laptop” กับ “computer” ✅ การสร้าง golden dataset สำหรับ training เป็นความท้าทายใหญ่ ➡️ เพราะต้องมีข้อมูลที่สะท้อนความหมายจริงของคำค้น https://blog.wilsonl.in/search-engine/
    0 Comments 0 Shares 20 Views 0 Reviews
  • ตอน 16
    จิ๊กโก๋๋ประกบติดไทยแลนด์สยามเมืองยิ้ม ตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงสงครามเวียตนามเลิก (ค.ศ.1950 – 1976) เพราะแผนของจิ๊กโก๋๋ ฉากหน้า กูเป็นจิ๊กโก๋๋ใหญ่ ปกป้องชาวซอย ที่ถูกจิ๊กโก๋๋ตาตี่หน้าเหลือง คือ ระบอบคอมมิวนิสต์ แผ่ขยายมากลืนกินประชาชาติแถบนี้
    แต่ฉากของจริง คือ ไอ้จิ๊กโก๋๋ผมทอง มันกลัวว่า ไอ้ตาตี่มันจะมาชิงลูกค้าเราไป เราจะยอมมันได้ไง หมดสงครามเวียตนาม ความต้องการใช้ไทยแลนด์ แดนสยามก็หยุดลงชั่วคราว
    จิ๊กโก๋๋จำเป็นต้องไปหากินซอยอื่น เพราะว่า การใช้น้ำมันทั่วโลกกำลังพุ่งแรงจากการขยายตัวของอุตสาหกรรม หรือพูดให้ชัดจากทุนนิยมที่เร่งขยายตัว
    จิ๊กโก๋๋ก็ต้องหาทางเอาน้ำมัน มาเป็นของตนเองให้มากที่สุด ก็เลยไปขุดเผือกขุดน้ำมันแถวบ้านคุณอาที่มีน้ำมัน จำได้ไหม แล้วก็เผ่นไปยุ่งถึงอเมริกาใต้ เกิดเรื่องอิหร่าน คอนทร้า (Iran Contra) จนวุ่นไปหมด
    มันไปหมดทุกแห่งที่จะล้วงกระเป๋าเขาได้ มาจนถึงปี ค.ศ.1997 จิ๊กโก๋๋เองขนาดล้วงกระเป๋าเขามา 50 ปี ก็จนเป็นเหมือนกัน เกิดภาวะเศรษฐกิจตกสะเก็ด การเพ่นพ่านของจิ๊กโก๋๋ ก็สงบลงเล็กน้อย เพราะมัวแต่จัดระเบียบบ้านตัวเอง
    ขณะเดียวกันประเทศที่ได้เอกราชใหม่ๆ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่น อินเดีย หรือประเทศที่เปลี่ยน แปลงวิธีบริหารประเทศของตัวเอง เช่น ประเทศจีน ก็ก้มหน้าก้มตาพัฒนาประเทศตัวเอง อย่างเร่งรีบ แต่เงียบเชียบ
    อเมริกาไม่เคยเห็นคนอื่นอยู่ในสายตา จับมืออยู่กันแต่ในกลุ่มหัว 3 เกลอหัวแข็งเท่านั้น บวกเอาญาติโยม และพวกฝ่ายผมทองเข้าไปด้วยเฉพาะที่ เห็นว่าพอจะคุยกันรู้เรื่อง ถึงได้เกิด EU สหภาพยุโรป G7, G8 อะไรนู่น เอาญี่ปุ่นตาตี่ไปรวมด้วย (เพราะเป็นภาระของสหรัฐโดยตรง ก็ทะลึ่งไปบอมบ์เขานี่นะ ก็เลยต้องพ่วงเป็นลูก บุญธรรมไปด้วยตลอดเวลา) ที่เหลือมันเหยื่อนักล่านักล้วงทั้งนั้นแหละ
    อเมริกาเมินภูมิภาคแถบนี้ไปนาน เพราะคิดว่าเหลือแต่ซากหลังสงครามเวียตนาม เหมือนแถบยุโรปตะวันออกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
    หันมาอีกที ต๊กกะใจ ว้าย ตาเถร ไอ้ตาตี่ทำไมมันโตเร็วกลายเป็น อาเฮียพุงพลุ้ยเดินโปรยเงินไปทั่ว จีนโตเร็วและทำท่าจะโตไปเรื่อยๆ บวกกับอินเดียและที่รวมตัวกันเรียกว่า กลุ่มประเทศที่เกิดใหม่ทางเศรษฐกิจ คือ กลุ่ม BRICS บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน อาฟริกาใต้
    คิดง่ายๆ แค่จีนกับอินเดียรวมกันมีประชากร 3 พันกว่าล้านคน ทั้งโลกนี้มีประชากร 7 พันกว่าล้านคน แค่ 2 ประเทศ ก็เกือบครึ่งโลกแล้ว กำลังซื้อมันจะขนาดไหน แค่นัดกระทืบเท้าพร้อมกัน โลกก็เอียงแล้ว (น่าลองดูนะ ซ่ามากๆ ก็ถล่มมันชะเลย)
    จิ๊กโก๋๋คิดแล้วก็หัวหมุนกลับ หันมาไทยแลนด์แดนสยามอีกครั้ง ในปี พ.ศ.2542 /ค.ศ.1999 ตรงกับปีที่เศรษฐกิจจีนเริ่มโตอย่างชัดเจน
    แล้วทำไงดีล่ะ ตัวทิ้งเค้าไปตั้งนาน อยู่ๆ จะกลับมา จ้ะๆ จ๋าๆ เหมือนเดิมกันง่ายๆ แบบนั้น เค้าไม่ใช่ หญิงคนชั่วเร่ขายชาตินะยะ แล้วตัวจำได้มั้ย ตอนเค้าตูดขาดเหลือแต่คลัง เงินไม่มีให้คงไว้น่ะ เพราะรัฐบาลน้าจิ๋ว กะรัฐบาลปี๋ชวนทำซะบักโกรกน่ะ เขาส่งอ้ายน้อยไปหาตัว ตัวทำอะไรกับเขา เขาจำได้นะ ให้ไอ้ IMF มันโหดกะเค้ายังไง ไปถามพวกเจ้าของธนาคาร หวั่งหลี ล่ำซำ หรือคุณป๋าประชัยแห่ง TPI หรือเฮียหวัดเจ้าของวลี ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ดูก็แล้วกันว่าหายช้ำหรือยัง
    อเมริกาจะกลับมาภูมิภาคนี้ใหม่ ก็ต้องกลับมาแบบไม่ให้เสียเชิง ไม่เสียฟอร์มนักทฤษฎี นักสร้างฉาก ลองทายดูซิ จิ๊กโก๋๋จะกลับมาแบบไหน กลับมาแบบเท่ห์ๆ น่ะ ฮา
    ช่วงสงครามเวียตนาม อเมริกาคบกับทหารไทย นักวิ่งผลัดจนรู้เช่นเห็นชาติ ว่าชอบกินอาหารจานด่วนแบบไหน หลอกล่อ ต่อรอง เห่กล่อม อย่างไร ถึงจะไม่งอแง พอเลิกใช้บริการนักวิ่งผลัด พี่เบิ้มก็ไปใช้พวกเด็กในคาถา good boy technocrat
    ดังนั้นเวลาหวนกลับ มันก็ไม่พ้นประตู 2 ช่องนี่แหละ จะพูดกับใครรู้เรื่องไปกว่าพวกที่เคยมือ รู้ใจกัน
    ว่าแล้วจิ๊กโก๋๋ก็เรียก good boy มาสัมภาษณ์ทีละคน โดยทำเป็นเชิญมาทานข้าวบ้าง ดื่มน้ำชาบ้าง ไล่ไปตั้งกะใหญ่โต ระดับองคมนตรี ข้าราชการ นักวิชาการ นักการเมืองทุกค่าย นักธุรกิจ จนถึงสื่อ
    ถามทุกเรื่องลับแบบเจาะลึก ท่านต่างๆ ก็ช่างตอบกันดีนัก อย่างกะขึ้นสังกัดกับเขา บางเรื่องเป็นเรื่องในบ้านเราแท้ๆ ไม่เห็นเกี่ยวกับคนนอกเลย ก็ตอบเขาเอา ตอบเอา (ขอขอบคุณ อภินันทนาการ เอกสารรั่ววิกิลีกส์ ทำให้รู้ว่า ใครช่างจ้อ ขนาดไหน)
    นอกจากนี้ก็ให้พวกซี ในคราบเจ้าหน้าที่สถานทูต เดินไปตามงานเลี้ยงไฮโซต่างๆ เก็บข่าวทุกวัน ใครกำลังขึ้น ใครกำลังลง พระราชวงศ์จะเป็นอย่างไร ใบไม้ใบไหนกำลังออกใหม่ ใบไหนกำลังจะร่วง ถามมันไปหมดทุกเรื่องนะแหละ
    เขาเล่ากันว่าสถานทูตสหรัฐในไทยนะใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก อันดับ 1 อยู่ที่อียิปต์ ที่ประเทศไทยนี้มีพนักงานประจำการอยู่กว่า 2 พันคน และที่ไม่ประจำอีกกว่า 2 พันคน โว้ย! มันเอามาทำไรแยะขนาดนี้ กะจะนับใบไม้ทุกใบหรือไงวะ ก็คงตกค้างตั้งกะสมัยรบสงครามเวียตนามน่ะนะ ตอนนั้นใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์ กลางบัญชาการรบ ก็จะให้พวกพี่เขาไปอยู่ที่ไหนล่ะ แถบนี้ ใครมันจะเจริญ แถมแสงสีเสียงครบแบบไทยแลนด์ล่ะ
    หลังจากทั้งซัก ทั้งฟอก เด็กในคาถา เดินสำรวจตามงานหรู ไม่ว่าของราชการ ไฮโซ สปอร์ตคลับฯลฯ หลายรอบ พี่เบิ้มก็ถอนใจ
    อู้ย จากไปไม่เท่าไหร่ ไม่คุมเอง ทำไม ไทยแลนด์ มันไม่ใช่แดนสยามเมืองยิ้ม อย่างเมื่อก่อนนะ นี่มันดันกลายเป็นสนามประลองกีฬาสีนี่นา แต่กีฬาสีนี้มันหนักน่ะ ใครจะอยู่ใครจะไป ไอยังไม่แน่ใจ
    อย่ากระนั้นเลย เอาที่แน่ๆ กลับไปที่นักกีฬาวิ่งผลัดดีกว่า เออ! เพิ่งนึกออก บ้านเรานี่มันนักกีฬาแยะนะ ไม่วิ่งผลัด ก็กีฬาสี 5 5 5
    อเมริกาส่งแม่ทัพเรือภาคที่ 7 ที่ประจำอยู่ที่โอกินาวาของลูกกะเป๋ง มาเยี่ยมไทยแลนด์ ทบทวนความ สัมพันธ์ที่มีมานานกว่า 50 ปี เรียกว่าเป็นมิตรรักระดับเดียวกับ พวกนาโต (NATO) ร่วมซ้อมรบด้วยกัน ทุกปีในนามของคอบบร้า โกลด์ (Cobra Gold) ขึ้นบกทีไร น้องหนูแถวพัทยา ภูเก็ตก็แฮ้ปปี้กระดี้กระด้า นอกจากนั้นในช่วงเกิดเหตุการณ์ ซึนามิ ไทยแลนด์ก็ใจดีให้ใช้อู่ตะเภาเป็นสนามบินที่ใช้ในการช่วยบรรเทาทุก แต่ข่าวที่ไม่เปิดเผยคือ ช่วงรัฐบาลทักษิณ ไทยเราอนุญาตให้เครื่องบินอเมริกัน บินขึ้นลงจากอู่ตะเภาเพื่อไปปฏิบัติการรบในอิรักและอาฟกานิสถานด้วยนะ (สมันน้อยไม่เข็ด!)
    แล้วอเมริกาทำไมถึงอยากกลับมายุ่งในภูมิภาคนี้ใหม่ โดยเฉพาะเข้ามาเดินกร่างในไทยแลนด์เหมือน เดิม แค่เรื่องอาเฮีย จากนั่งแทะเม็ดกวยจี๋ กลายเป็นเจ้าสัวกระเป๋าหนัก มันเกี่ยวอะไรกะสมันน้อยด้วยล่ะ

    คนเล่านิทาน
    ตอน 16 จิ๊กโก๋๋ประกบติดไทยแลนด์สยามเมืองยิ้ม ตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงสงครามเวียตนามเลิก (ค.ศ.1950 – 1976) เพราะแผนของจิ๊กโก๋๋ ฉากหน้า กูเป็นจิ๊กโก๋๋ใหญ่ ปกป้องชาวซอย ที่ถูกจิ๊กโก๋๋ตาตี่หน้าเหลือง คือ ระบอบคอมมิวนิสต์ แผ่ขยายมากลืนกินประชาชาติแถบนี้ แต่ฉากของจริง คือ ไอ้จิ๊กโก๋๋ผมทอง มันกลัวว่า ไอ้ตาตี่มันจะมาชิงลูกค้าเราไป เราจะยอมมันได้ไง หมดสงครามเวียตนาม ความต้องการใช้ไทยแลนด์ แดนสยามก็หยุดลงชั่วคราว จิ๊กโก๋๋จำเป็นต้องไปหากินซอยอื่น เพราะว่า การใช้น้ำมันทั่วโลกกำลังพุ่งแรงจากการขยายตัวของอุตสาหกรรม หรือพูดให้ชัดจากทุนนิยมที่เร่งขยายตัว จิ๊กโก๋๋ก็ต้องหาทางเอาน้ำมัน มาเป็นของตนเองให้มากที่สุด ก็เลยไปขุดเผือกขุดน้ำมันแถวบ้านคุณอาที่มีน้ำมัน จำได้ไหม แล้วก็เผ่นไปยุ่งถึงอเมริกาใต้ เกิดเรื่องอิหร่าน คอนทร้า (Iran Contra) จนวุ่นไปหมด มันไปหมดทุกแห่งที่จะล้วงกระเป๋าเขาได้ มาจนถึงปี ค.ศ.1997 จิ๊กโก๋๋เองขนาดล้วงกระเป๋าเขามา 50 ปี ก็จนเป็นเหมือนกัน เกิดภาวะเศรษฐกิจตกสะเก็ด การเพ่นพ่านของจิ๊กโก๋๋ ก็สงบลงเล็กน้อย เพราะมัวแต่จัดระเบียบบ้านตัวเอง ขณะเดียวกันประเทศที่ได้เอกราชใหม่ๆ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่น อินเดีย หรือประเทศที่เปลี่ยน แปลงวิธีบริหารประเทศของตัวเอง เช่น ประเทศจีน ก็ก้มหน้าก้มตาพัฒนาประเทศตัวเอง อย่างเร่งรีบ แต่เงียบเชียบ อเมริกาไม่เคยเห็นคนอื่นอยู่ในสายตา จับมืออยู่กันแต่ในกลุ่มหัว 3 เกลอหัวแข็งเท่านั้น บวกเอาญาติโยม และพวกฝ่ายผมทองเข้าไปด้วยเฉพาะที่ เห็นว่าพอจะคุยกันรู้เรื่อง ถึงได้เกิด EU สหภาพยุโรป G7, G8 อะไรนู่น เอาญี่ปุ่นตาตี่ไปรวมด้วย (เพราะเป็นภาระของสหรัฐโดยตรง ก็ทะลึ่งไปบอมบ์เขานี่นะ ก็เลยต้องพ่วงเป็นลูก บุญธรรมไปด้วยตลอดเวลา) ที่เหลือมันเหยื่อนักล่านักล้วงทั้งนั้นแหละ อเมริกาเมินภูมิภาคแถบนี้ไปนาน เพราะคิดว่าเหลือแต่ซากหลังสงครามเวียตนาม เหมือนแถบยุโรปตะวันออกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หันมาอีกที ต๊กกะใจ ว้าย ตาเถร ไอ้ตาตี่ทำไมมันโตเร็วกลายเป็น อาเฮียพุงพลุ้ยเดินโปรยเงินไปทั่ว จีนโตเร็วและทำท่าจะโตไปเรื่อยๆ บวกกับอินเดียและที่รวมตัวกันเรียกว่า กลุ่มประเทศที่เกิดใหม่ทางเศรษฐกิจ คือ กลุ่ม BRICS บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน อาฟริกาใต้ คิดง่ายๆ แค่จีนกับอินเดียรวมกันมีประชากร 3 พันกว่าล้านคน ทั้งโลกนี้มีประชากร 7 พันกว่าล้านคน แค่ 2 ประเทศ ก็เกือบครึ่งโลกแล้ว กำลังซื้อมันจะขนาดไหน แค่นัดกระทืบเท้าพร้อมกัน โลกก็เอียงแล้ว (น่าลองดูนะ ซ่ามากๆ ก็ถล่มมันชะเลย) จิ๊กโก๋๋คิดแล้วก็หัวหมุนกลับ หันมาไทยแลนด์แดนสยามอีกครั้ง ในปี พ.ศ.2542 /ค.ศ.1999 ตรงกับปีที่เศรษฐกิจจีนเริ่มโตอย่างชัดเจน แล้วทำไงดีล่ะ ตัวทิ้งเค้าไปตั้งนาน อยู่ๆ จะกลับมา จ้ะๆ จ๋าๆ เหมือนเดิมกันง่ายๆ แบบนั้น เค้าไม่ใช่ หญิงคนชั่วเร่ขายชาตินะยะ แล้วตัวจำได้มั้ย ตอนเค้าตูดขาดเหลือแต่คลัง เงินไม่มีให้คงไว้น่ะ เพราะรัฐบาลน้าจิ๋ว กะรัฐบาลปี๋ชวนทำซะบักโกรกน่ะ เขาส่งอ้ายน้อยไปหาตัว ตัวทำอะไรกับเขา เขาจำได้นะ ให้ไอ้ IMF มันโหดกะเค้ายังไง ไปถามพวกเจ้าของธนาคาร หวั่งหลี ล่ำซำ หรือคุณป๋าประชัยแห่ง TPI หรือเฮียหวัดเจ้าของวลี ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ดูก็แล้วกันว่าหายช้ำหรือยัง อเมริกาจะกลับมาภูมิภาคนี้ใหม่ ก็ต้องกลับมาแบบไม่ให้เสียเชิง ไม่เสียฟอร์มนักทฤษฎี นักสร้างฉาก ลองทายดูซิ จิ๊กโก๋๋จะกลับมาแบบไหน กลับมาแบบเท่ห์ๆ น่ะ ฮา ช่วงสงครามเวียตนาม อเมริกาคบกับทหารไทย นักวิ่งผลัดจนรู้เช่นเห็นชาติ ว่าชอบกินอาหารจานด่วนแบบไหน หลอกล่อ ต่อรอง เห่กล่อม อย่างไร ถึงจะไม่งอแง พอเลิกใช้บริการนักวิ่งผลัด พี่เบิ้มก็ไปใช้พวกเด็กในคาถา good boy technocrat ดังนั้นเวลาหวนกลับ มันก็ไม่พ้นประตู 2 ช่องนี่แหละ จะพูดกับใครรู้เรื่องไปกว่าพวกที่เคยมือ รู้ใจกัน ว่าแล้วจิ๊กโก๋๋ก็เรียก good boy มาสัมภาษณ์ทีละคน โดยทำเป็นเชิญมาทานข้าวบ้าง ดื่มน้ำชาบ้าง ไล่ไปตั้งกะใหญ่โต ระดับองคมนตรี ข้าราชการ นักวิชาการ นักการเมืองทุกค่าย นักธุรกิจ จนถึงสื่อ ถามทุกเรื่องลับแบบเจาะลึก ท่านต่างๆ ก็ช่างตอบกันดีนัก อย่างกะขึ้นสังกัดกับเขา บางเรื่องเป็นเรื่องในบ้านเราแท้ๆ ไม่เห็นเกี่ยวกับคนนอกเลย ก็ตอบเขาเอา ตอบเอา (ขอขอบคุณ อภินันทนาการ เอกสารรั่ววิกิลีกส์ ทำให้รู้ว่า ใครช่างจ้อ ขนาดไหน) นอกจากนี้ก็ให้พวกซี ในคราบเจ้าหน้าที่สถานทูต เดินไปตามงานเลี้ยงไฮโซต่างๆ เก็บข่าวทุกวัน ใครกำลังขึ้น ใครกำลังลง พระราชวงศ์จะเป็นอย่างไร ใบไม้ใบไหนกำลังออกใหม่ ใบไหนกำลังจะร่วง ถามมันไปหมดทุกเรื่องนะแหละ เขาเล่ากันว่าสถานทูตสหรัฐในไทยนะใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก อันดับ 1 อยู่ที่อียิปต์ ที่ประเทศไทยนี้มีพนักงานประจำการอยู่กว่า 2 พันคน และที่ไม่ประจำอีกกว่า 2 พันคน โว้ย! มันเอามาทำไรแยะขนาดนี้ กะจะนับใบไม้ทุกใบหรือไงวะ ก็คงตกค้างตั้งกะสมัยรบสงครามเวียตนามน่ะนะ ตอนนั้นใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์ กลางบัญชาการรบ ก็จะให้พวกพี่เขาไปอยู่ที่ไหนล่ะ แถบนี้ ใครมันจะเจริญ แถมแสงสีเสียงครบแบบไทยแลนด์ล่ะ หลังจากทั้งซัก ทั้งฟอก เด็กในคาถา เดินสำรวจตามงานหรู ไม่ว่าของราชการ ไฮโซ สปอร์ตคลับฯลฯ หลายรอบ พี่เบิ้มก็ถอนใจ อู้ย จากไปไม่เท่าไหร่ ไม่คุมเอง ทำไม ไทยแลนด์ มันไม่ใช่แดนสยามเมืองยิ้ม อย่างเมื่อก่อนนะ นี่มันดันกลายเป็นสนามประลองกีฬาสีนี่นา แต่กีฬาสีนี้มันหนักน่ะ ใครจะอยู่ใครจะไป ไอยังไม่แน่ใจ อย่ากระนั้นเลย เอาที่แน่ๆ กลับไปที่นักกีฬาวิ่งผลัดดีกว่า เออ! เพิ่งนึกออก บ้านเรานี่มันนักกีฬาแยะนะ ไม่วิ่งผลัด ก็กีฬาสี 5 5 5 อเมริกาส่งแม่ทัพเรือภาคที่ 7 ที่ประจำอยู่ที่โอกินาวาของลูกกะเป๋ง มาเยี่ยมไทยแลนด์ ทบทวนความ สัมพันธ์ที่มีมานานกว่า 50 ปี เรียกว่าเป็นมิตรรักระดับเดียวกับ พวกนาโต (NATO) ร่วมซ้อมรบด้วยกัน ทุกปีในนามของคอบบร้า โกลด์ (Cobra Gold) ขึ้นบกทีไร น้องหนูแถวพัทยา ภูเก็ตก็แฮ้ปปี้กระดี้กระด้า นอกจากนั้นในช่วงเกิดเหตุการณ์ ซึนามิ ไทยแลนด์ก็ใจดีให้ใช้อู่ตะเภาเป็นสนามบินที่ใช้ในการช่วยบรรเทาทุก แต่ข่าวที่ไม่เปิดเผยคือ ช่วงรัฐบาลทักษิณ ไทยเราอนุญาตให้เครื่องบินอเมริกัน บินขึ้นลงจากอู่ตะเภาเพื่อไปปฏิบัติการรบในอิรักและอาฟกานิสถานด้วยนะ (สมันน้อยไม่เข็ด!) แล้วอเมริกาทำไมถึงอยากกลับมายุ่งในภูมิภาคนี้ใหม่ โดยเฉพาะเข้ามาเดินกร่างในไทยแลนด์เหมือน เดิม แค่เรื่องอาเฮีย จากนั่งแทะเม็ดกวยจี๋ กลายเป็นเจ้าสัวกระเป๋าหนัก มันเกี่ยวอะไรกะสมันน้อยด้วยล่ะ คนเล่านิทาน
    2 Comments 0 Shares 134 Views 0 Reviews

  • มีบริษัทยักษ์ใหญ่สามแห่ง ได้แก่ BlackRock, State Street และ Vanguard

    ตอนนี้พวกเขาตัดสินใจซื้อบ้านทุกหลังในอเมริกา... พวกเขาพยายามซื้อทุกอย่างจริงๆ

    แลร์รี ฟิงค์ ซีอีโอของ BlackRock เป็นหนึ่งในคณะกรรมการของ World Economic Forum และพวกเขากล่าวว่าเราต้องการ Great Reset ครั้งนี้ ซึ่งก็คือคุณจะไม่ได้เป็นเจ้าของอะไรเลยและคุณจะมีความสุข

    และเนื่องจากพวกเขามีบัญชีธนาคารมหาศาล... ลูกๆ ของคุณจึงไม่มีโอกาสซื้อบ้านหลังนั้น เพราะพวกเขาไม่สามารถแข่งขันกับ BlackRock ได้
    มีบริษัทยักษ์ใหญ่สามแห่ง ได้แก่ BlackRock, State Street และ Vanguard ตอนนี้พวกเขาตัดสินใจซื้อบ้านทุกหลังในอเมริกา... พวกเขาพยายามซื้อทุกอย่างจริงๆ แลร์รี ฟิงค์ ซีอีโอของ BlackRock เป็นหนึ่งในคณะกรรมการของ World Economic Forum และพวกเขากล่าวว่าเราต้องการ Great Reset ครั้งนี้ ซึ่งก็คือคุณจะไม่ได้เป็นเจ้าของอะไรเลยและคุณจะมีความสุข และเนื่องจากพวกเขามีบัญชีธนาคารมหาศาล... ลูกๆ ของคุณจึงไม่มีโอกาสซื้อบ้านหลังนั้น เพราะพวกเขาไม่สามารถแข่งขันกับ BlackRock ได้
    0 Comments 0 Shares 64 Views 0 Reviews
  • เมื่อภาพลวงตากลายเป็นกับดัก: Deepfake Steve Wozniak กับกลโกง Bitcoin ที่สื่อยังพลาด

    ลองจินตนาการว่าเห็นคลิปของ Steve Wozniak ผู้ร่วมก่อตั้ง Apple พูดถึง Bitcoin พร้อมข้อความว่า “ส่งมา 1 BTC แล้วจะได้คืน 2 BTC” — หลายคนหลงเชื่อ เพราะภาพนั้นดูจริง เสียงนั้นเหมือน และชื่อ Wozniak ก็มีน้ำหนักพอจะทำให้คนไว้ใจ

    แต่ทั้งหมดนั้นคือกลโกงที่ใช้ deepfake และภาพเก่าของ Wozniak มาตัดต่อหลอกลวง โดยมีเหยื่อจำนวนมากสูญเงินไปถึงขั้นหมดตัว

    CBS News ได้เชิญ Wozniak มาพูดถึงเรื่องนี้ในรายการ แต่กลับพลาดอย่างแรง—ใช้ภาพหุ่นยนต์จาก Disney EPCOT ที่ดูคล้าย Wozniak แทนภาพจริง ทำให้ประเด็นเรื่อง “ภาพปลอม” กลายเป็นเรื่องจริงในรายการข่าวเอง

    Wozniak เคยฟ้อง YouTube ตั้งแต่ปี 2020 ฐานปล่อยให้มีคลิปหลอกลวงใช้ภาพเขา แต่คดีถูกยกฟ้องในปี 2021 เพราะกฎหมาย Section 230 ที่คุ้มครองแพลตฟอร์มจากความรับผิดชอบต่อเนื้อหาผู้ใช้

    เขาและภรรยา Janet Hill เล่าว่าเหยื่อบางคนถึงขั้นส่งอีเมลมาถามว่า “เมื่อไหร่จะได้เงินคืน” เพราะเชื่อว่า Wozniak เป็นคนรับเงินไปจริง ๆ

    สิ่งที่น่ากังวลคือ deepfake และการปลอมแปลงตัวตนดิจิทัลกำลังระบาดไปทั่ว Elon Musk, Jeff Bezos ก็เคยถูกใช้ภาพหลอกลวงในลักษณะเดียวกัน และแพลตฟอร์มอย่าง YouTube, Meta, X ยังถูกวิจารณ์ว่าควบคุมเนื้อหาไม่ทัน

    Steve Wozniak ถูกใช้ภาพและเสียงปลอมเพื่อหลอกลวง Bitcoin
    เหยื่อถูกหลอกให้ส่งเงินโดยสัญญาว่าจะได้คืนสองเท่า

    CBS เชิญ Wozniak มาเล่าเรื่อง แต่ใช้ภาพหุ่นยนต์ Disney แทนภาพจริง
    กลายเป็นการตอกย้ำปัญหาภาพปลอมในสื่อ

    Wozniak เคยฟ้อง YouTube ฐานปล่อยคลิปหลอกลวงในปี 2020
    คดีถูกยกฟ้องในปี 2021 เพราะกฎหมาย Section 230

    ภรรยา Wozniak ได้รับอีเมลจากเหยื่อที่เชื่อว่าเขาเป็นผู้รับเงิน
    แสดงให้เห็นว่าผู้คนเชื่อภาพปลอมอย่างจริงจัง

    Deepfake และการปลอมแปลงตัวตนดิจิทัลกำลังระบาด
    Elon Musk และ Jeff Bezos ก็เคยถูกใช้ภาพในกลโกงคล้ายกัน

    CBS เตือนให้ผู้ชมระวังและตรวจสอบความจริงของเนื้อหาดิจิทัล
    ไม่ควรเชื่อภาพหรือเสียงเพียงอย่างเดียว

    FBI รายงานว่าปี 2024 มีผู้เสียหายจากกลโกงออนไลน์กว่า $9.3 พันล้าน
    ตัวเลขจริงอาจสูงกว่านี้มาก

    Deepfake ถูกใช้ในกลโกงคริปโตสูงถึง 40% ของมูลค่าการหลอกลวง
    เป็นเครื่องมือหลักของแฮกเกอร์ยุคใหม่

    Google ลบโฆษณาหลอกลวงกว่า 5.1 พันล้านรายการในปีเดียว
    แต่ยังมีช่องโหว่ให้โฆษณาหลอกลวงเล็ดลอด

    นักการเมืองในอังกฤษเรียกร้องให้ควบคุมโฆษณาออนไลน์เหมือนทีวี
    เพื่อปิดช่องโหว่ที่ผู้ไม่หวังดีใช้หลอกลวง

    https://wccftech.com/cbs-reveals-bitcoin-scams-exploiting-steve-wozniaks-image-but-accidentally-features-disney-animatronic/
    🎭💸 เมื่อภาพลวงตากลายเป็นกับดัก: Deepfake Steve Wozniak กับกลโกง Bitcoin ที่สื่อยังพลาด ลองจินตนาการว่าเห็นคลิปของ Steve Wozniak ผู้ร่วมก่อตั้ง Apple พูดถึง Bitcoin พร้อมข้อความว่า “ส่งมา 1 BTC แล้วจะได้คืน 2 BTC” — หลายคนหลงเชื่อ เพราะภาพนั้นดูจริง เสียงนั้นเหมือน และชื่อ Wozniak ก็มีน้ำหนักพอจะทำให้คนไว้ใจ แต่ทั้งหมดนั้นคือกลโกงที่ใช้ deepfake และภาพเก่าของ Wozniak มาตัดต่อหลอกลวง โดยมีเหยื่อจำนวนมากสูญเงินไปถึงขั้นหมดตัว CBS News ได้เชิญ Wozniak มาพูดถึงเรื่องนี้ในรายการ แต่กลับพลาดอย่างแรง—ใช้ภาพหุ่นยนต์จาก Disney EPCOT ที่ดูคล้าย Wozniak แทนภาพจริง ทำให้ประเด็นเรื่อง “ภาพปลอม” กลายเป็นเรื่องจริงในรายการข่าวเอง Wozniak เคยฟ้อง YouTube ตั้งแต่ปี 2020 ฐานปล่อยให้มีคลิปหลอกลวงใช้ภาพเขา แต่คดีถูกยกฟ้องในปี 2021 เพราะกฎหมาย Section 230 ที่คุ้มครองแพลตฟอร์มจากความรับผิดชอบต่อเนื้อหาผู้ใช้ เขาและภรรยา Janet Hill เล่าว่าเหยื่อบางคนถึงขั้นส่งอีเมลมาถามว่า “เมื่อไหร่จะได้เงินคืน” เพราะเชื่อว่า Wozniak เป็นคนรับเงินไปจริง ๆ สิ่งที่น่ากังวลคือ deepfake และการปลอมแปลงตัวตนดิจิทัลกำลังระบาดไปทั่ว Elon Musk, Jeff Bezos ก็เคยถูกใช้ภาพหลอกลวงในลักษณะเดียวกัน และแพลตฟอร์มอย่าง YouTube, Meta, X ยังถูกวิจารณ์ว่าควบคุมเนื้อหาไม่ทัน ✅ Steve Wozniak ถูกใช้ภาพและเสียงปลอมเพื่อหลอกลวง Bitcoin ➡️ เหยื่อถูกหลอกให้ส่งเงินโดยสัญญาว่าจะได้คืนสองเท่า ✅ CBS เชิญ Wozniak มาเล่าเรื่อง แต่ใช้ภาพหุ่นยนต์ Disney แทนภาพจริง ➡️ กลายเป็นการตอกย้ำปัญหาภาพปลอมในสื่อ ✅ Wozniak เคยฟ้อง YouTube ฐานปล่อยคลิปหลอกลวงในปี 2020 ➡️ คดีถูกยกฟ้องในปี 2021 เพราะกฎหมาย Section 230 ✅ ภรรยา Wozniak ได้รับอีเมลจากเหยื่อที่เชื่อว่าเขาเป็นผู้รับเงิน ➡️ แสดงให้เห็นว่าผู้คนเชื่อภาพปลอมอย่างจริงจัง ✅ Deepfake และการปลอมแปลงตัวตนดิจิทัลกำลังระบาด ➡️ Elon Musk และ Jeff Bezos ก็เคยถูกใช้ภาพในกลโกงคล้ายกัน ✅ CBS เตือนให้ผู้ชมระวังและตรวจสอบความจริงของเนื้อหาดิจิทัล ➡️ ไม่ควรเชื่อภาพหรือเสียงเพียงอย่างเดียว ✅ FBI รายงานว่าปี 2024 มีผู้เสียหายจากกลโกงออนไลน์กว่า $9.3 พันล้าน ➡️ ตัวเลขจริงอาจสูงกว่านี้มาก ✅ Deepfake ถูกใช้ในกลโกงคริปโตสูงถึง 40% ของมูลค่าการหลอกลวง ➡️ เป็นเครื่องมือหลักของแฮกเกอร์ยุคใหม่ ✅ Google ลบโฆษณาหลอกลวงกว่า 5.1 พันล้านรายการในปีเดียว ➡️ แต่ยังมีช่องโหว่ให้โฆษณาหลอกลวงเล็ดลอด ✅ นักการเมืองในอังกฤษเรียกร้องให้ควบคุมโฆษณาออนไลน์เหมือนทีวี ➡️ เพื่อปิดช่องโหว่ที่ผู้ไม่หวังดีใช้หลอกลวง https://wccftech.com/cbs-reveals-bitcoin-scams-exploiting-steve-wozniaks-image-but-accidentally-features-disney-animatronic/
    WCCFTECH.COM
    CBS Unmasks Bitcoin Scams Using Deepfake Steve Wozniak, Accidentally Showcases Disney Animatronic, Exposing the Growing Digital Identity Fraud Threat
    Steve Wozniak shared about internet scammers and deepfakes on CBS only to have the news outlet feature a fake image of him.
    0 Comments 0 Shares 127 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากห้องแล็บสู่โลกออนไลน์: เมื่อเครื่องมือแพทย์กลายเป็นช่องโหว่ให้ข้อมูลหลุด

    ลองจินตนาการว่า MRI หรือ X-ray ที่คุณเพิ่งตรวจ ถูกเก็บไว้ในระบบที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยไม่มีรหัสผ่าน หรือใช้รหัสง่าย ๆ อย่าง “123456” แล้วข้อมูลนั้น—รวมถึงชื่อ เบอร์โทร และผลตรวจ—หลุดออกไปให้ใครก็ได้เห็น

    นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในตอนนี้ จากการค้นพบของนักวิจัยจาก Modat ที่สแกนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั่วโลก และพบว่ามีมากกว่า 1.2 ล้านเครื่องที่ตั้งค่าผิดพลาด ทำให้ข้อมูลหลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจ

    ข้อมูลที่หลุดไม่ใช่แค่ภาพสแกนสมองหรือผลเลือด แต่ยังรวมถึงข้อมูลส่วนตัวที่สามารถนำไปใช้หลอกลวง หรือแม้แต่แบล็กเมล์ผู้ป่วยได้ เช่น ขู่จะเปิดเผยโรคที่เป็นให้ครอบครัวรู้ หากไม่จ่ายเงิน

    ที่น่าตกใจคือ อุปกรณ์เหล่านี้ส่วนใหญ่ตั้งค่าให้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตั้งแต่โรงงาน โดยไม่มีความจำเป็นทางคลินิก และโรงพยาบาลจำนวนมากไม่เคยเปลี่ยนรหัสผ่านเริ่มต้น หรืออัปเดตระบบเลย

    นอกจากการขโมยข้อมูล ยังมีความเสี่ยงที่แฮกเกอร์จะ “แก้ไข” ข้อมูล เช่น เปลี่ยนผลตรวจ หรือเพิ่มขนาดยาที่สั่งจ่าย ซึ่งอาจส่งผลต่อชีวิตผู้ป่วยโดยตรง

    พบอุปกรณ์ทางการแพทย์กว่า 1.2 ล้านเครื่องที่ตั้งค่าผิดพลาด
    ทำให้ข้อมูลหลุดออกสู่สาธารณะโดยไม่ตั้งใจ

    ข้อมูลที่หลุดรวมถึง MRI, X-ray, ผลเลือด และข้อมูลส่วนตัว
    เช่น ชื่อ เบอร์โทร และหมายเลขผู้ป่วย

    บางอุปกรณ์ไม่มีรหัสผ่าน หรือใช้รหัสง่าย ๆ เช่น “admin” หรือ “123456”
    ทำให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย

    ข้อมูลที่หลุดอาจถูกใช้แบล็กเมล์หรือหลอกลวงผู้ป่วย
    เช่น ส่งอีเมลปลอมจากโรงพยาบาลเพื่อขโมยข้อมูลเพิ่มเติม

    ประเทศที่มีอุปกรณ์หลุดมากที่สุดคือสหรัฐฯ, แอฟริกาใต้, ออสเตรเลีย, บราซิล และเยอรมนี
    รวมกันมากกว่า 600,000 เครื่อง

    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้แนวทาง proactive security
    เช่น ตรวจสอบอุปกรณ์ทั้งหมดและจัดการช่องโหว่ล่วงหน้า

    https://www.techradar.com/pro/security/mri-scans-x-rays-and-more-leaked-online-in-major-breach-over-a-million-healthcare-devices-affected-heres-what-we-know
    🧠💥 เรื่องเล่าจากห้องแล็บสู่โลกออนไลน์: เมื่อเครื่องมือแพทย์กลายเป็นช่องโหว่ให้ข้อมูลหลุด ลองจินตนาการว่า MRI หรือ X-ray ที่คุณเพิ่งตรวจ ถูกเก็บไว้ในระบบที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยไม่มีรหัสผ่าน หรือใช้รหัสง่าย ๆ อย่าง “123456” แล้วข้อมูลนั้น—รวมถึงชื่อ เบอร์โทร และผลตรวจ—หลุดออกไปให้ใครก็ได้เห็น นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในตอนนี้ จากการค้นพบของนักวิจัยจาก Modat ที่สแกนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั่วโลก และพบว่ามีมากกว่า 1.2 ล้านเครื่องที่ตั้งค่าผิดพลาด ทำให้ข้อมูลหลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจ ข้อมูลที่หลุดไม่ใช่แค่ภาพสแกนสมองหรือผลเลือด แต่ยังรวมถึงข้อมูลส่วนตัวที่สามารถนำไปใช้หลอกลวง หรือแม้แต่แบล็กเมล์ผู้ป่วยได้ เช่น ขู่จะเปิดเผยโรคที่เป็นให้ครอบครัวรู้ หากไม่จ่ายเงิน ที่น่าตกใจคือ อุปกรณ์เหล่านี้ส่วนใหญ่ตั้งค่าให้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตั้งแต่โรงงาน โดยไม่มีความจำเป็นทางคลินิก และโรงพยาบาลจำนวนมากไม่เคยเปลี่ยนรหัสผ่านเริ่มต้น หรืออัปเดตระบบเลย นอกจากการขโมยข้อมูล ยังมีความเสี่ยงที่แฮกเกอร์จะ “แก้ไข” ข้อมูล เช่น เปลี่ยนผลตรวจ หรือเพิ่มขนาดยาที่สั่งจ่าย ซึ่งอาจส่งผลต่อชีวิตผู้ป่วยโดยตรง ✅ พบอุปกรณ์ทางการแพทย์กว่า 1.2 ล้านเครื่องที่ตั้งค่าผิดพลาด ➡️ ทำให้ข้อมูลหลุดออกสู่สาธารณะโดยไม่ตั้งใจ ✅ ข้อมูลที่หลุดรวมถึง MRI, X-ray, ผลเลือด และข้อมูลส่วนตัว ➡️ เช่น ชื่อ เบอร์โทร และหมายเลขผู้ป่วย ✅ บางอุปกรณ์ไม่มีรหัสผ่าน หรือใช้รหัสง่าย ๆ เช่น “admin” หรือ “123456” ➡️ ทำให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย ✅ ข้อมูลที่หลุดอาจถูกใช้แบล็กเมล์หรือหลอกลวงผู้ป่วย ➡️ เช่น ส่งอีเมลปลอมจากโรงพยาบาลเพื่อขโมยข้อมูลเพิ่มเติม ✅ ประเทศที่มีอุปกรณ์หลุดมากที่สุดคือสหรัฐฯ, แอฟริกาใต้, ออสเตรเลีย, บราซิล และเยอรมนี ➡️ รวมกันมากกว่า 600,000 เครื่อง ✅ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้แนวทาง proactive security ➡️ เช่น ตรวจสอบอุปกรณ์ทั้งหมดและจัดการช่องโหว่ล่วงหน้า https://www.techradar.com/pro/security/mri-scans-x-rays-and-more-leaked-online-in-major-breach-over-a-million-healthcare-devices-affected-heres-what-we-know
    0 Comments 0 Shares 95 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกปลอมที่เหมือนจริง: เมื่อ AI ถูกใช้สร้างเว็บรัฐบาลปลอมเพื่อหลอกประชาชน

    ในบราซิล นักวิจัยจาก ThreatLabz พบว่ามีการใช้ Generative AI สร้างเว็บไซต์ปลอมที่เลียนแบบเว็บของหน่วยงานรัฐบาลอย่างแนบเนียน โดยเฉพาะเว็บไซต์ของกรมการขนส่งและกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งถูกใช้เพื่อหลอกขโมยข้อมูลส่วนตัวและเงินจากประชาชน

    เว็บไซต์ปลอมเหล่านี้มีหน้าตาเหมือนของจริงแทบทุกจุด ยกเว้นแค่ URL ที่เปลี่ยนเล็กน้อย เช่น “govbrs[.]com” แทนที่จะเป็น “gov.br” และยังใช้เทคนิค SEO poisoning เพื่อดันอันดับใน Google ให้ขึ้นมาอยู่บนสุด ทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าเป็นเว็บจริง

    เมื่อเหยื่อเข้าเว็บ พวกเขาจะถูกขอให้กรอกหมายเลข CPF (คล้ายเลขบัตรประชาชน) และข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ ก่อนจะถูกหลอกให้จ่ายเงินผ่านระบบ Pix ซึ่งเงินจะถูกส่งตรงไปยังบัญชีของแฮกเกอร์

    ที่น่าตกใจคือ โค้ดของเว็บไซต์ปลอมเหล่านี้มีลักษณะเหมือนถูกสร้างโดย AI เช่น Deepsite AI โดยมีการใช้ TailwindCSS และคำอธิบายโค้ดที่เป็น template ซึ่งบ่งชี้ว่าแฮกเกอร์ใช้ prompt เพื่อสั่งให้ AI “สร้างเว็บที่เหมือนของจริง”

    แฮกเกอร์ใช้ Generative AI สร้างเว็บไซต์ปลอมเลียนแบบเว็บรัฐบาลบราซิล
    เช่น เว็บกรมการขนส่งและกระทรวงศึกษาธิการ

    ใช้ URL ปลอมที่คล้ายของจริง เช่น govbrs[.]com
    ทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าเป็นเว็บทางการ

    ใช้เทคนิค SEO poisoning เพื่อดันเว็บปลอมขึ้นอันดับต้น ๆ
    เพิ่มความน่าเชื่อถือและโอกาสในการหลอกเหยื่อ

    เหยื่อต้องกรอกหมายเลข CPF และข้อมูลส่วนตัว
    ก่อนถูกหลอกให้จ่ายเงินผ่านระบบ Pix

    โค้ดของเว็บปลอมมีลักษณะเหมือนถูกสร้างโดย AI เช่น Deepsite
    มีการใช้ TailwindCSS และคำอธิบายโค้ดแบบ template

    นักวิจัยเตือนว่าแม้ตอนนี้จะขโมยเงินไม่มาก แต่มีศักยภาพในการสร้างความเสียหายมหาศาล
    แนะนำให้ใช้ Zero Trust architecture และ best practices เพื่อป้องกัน

    https://www.techradar.com/pro/security/hackers-are-now-mimicking-government-websites-using-ai-everything-you-need-to-know-to-stay-safe
    🌐🕵️‍♂️ เรื่องเล่าจากโลกปลอมที่เหมือนจริง: เมื่อ AI ถูกใช้สร้างเว็บรัฐบาลปลอมเพื่อหลอกประชาชน ในบราซิล นักวิจัยจาก ThreatLabz พบว่ามีการใช้ Generative AI สร้างเว็บไซต์ปลอมที่เลียนแบบเว็บของหน่วยงานรัฐบาลอย่างแนบเนียน โดยเฉพาะเว็บไซต์ของกรมการขนส่งและกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งถูกใช้เพื่อหลอกขโมยข้อมูลส่วนตัวและเงินจากประชาชน เว็บไซต์ปลอมเหล่านี้มีหน้าตาเหมือนของจริงแทบทุกจุด ยกเว้นแค่ URL ที่เปลี่ยนเล็กน้อย เช่น “govbrs[.]com” แทนที่จะเป็น “gov.br” และยังใช้เทคนิค SEO poisoning เพื่อดันอันดับใน Google ให้ขึ้นมาอยู่บนสุด ทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าเป็นเว็บจริง เมื่อเหยื่อเข้าเว็บ พวกเขาจะถูกขอให้กรอกหมายเลข CPF (คล้ายเลขบัตรประชาชน) และข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ ก่อนจะถูกหลอกให้จ่ายเงินผ่านระบบ Pix ซึ่งเงินจะถูกส่งตรงไปยังบัญชีของแฮกเกอร์ ที่น่าตกใจคือ โค้ดของเว็บไซต์ปลอมเหล่านี้มีลักษณะเหมือนถูกสร้างโดย AI เช่น Deepsite AI โดยมีการใช้ TailwindCSS และคำอธิบายโค้ดที่เป็น template ซึ่งบ่งชี้ว่าแฮกเกอร์ใช้ prompt เพื่อสั่งให้ AI “สร้างเว็บที่เหมือนของจริง” ✅ แฮกเกอร์ใช้ Generative AI สร้างเว็บไซต์ปลอมเลียนแบบเว็บรัฐบาลบราซิล ➡️ เช่น เว็บกรมการขนส่งและกระทรวงศึกษาธิการ ✅ ใช้ URL ปลอมที่คล้ายของจริง เช่น govbrs[.]com ➡️ ทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าเป็นเว็บทางการ ✅ ใช้เทคนิค SEO poisoning เพื่อดันเว็บปลอมขึ้นอันดับต้น ๆ ➡️ เพิ่มความน่าเชื่อถือและโอกาสในการหลอกเหยื่อ ✅ เหยื่อต้องกรอกหมายเลข CPF และข้อมูลส่วนตัว ➡️ ก่อนถูกหลอกให้จ่ายเงินผ่านระบบ Pix ✅ โค้ดของเว็บปลอมมีลักษณะเหมือนถูกสร้างโดย AI เช่น Deepsite ➡️ มีการใช้ TailwindCSS และคำอธิบายโค้ดแบบ template ✅ นักวิจัยเตือนว่าแม้ตอนนี้จะขโมยเงินไม่มาก แต่มีศักยภาพในการสร้างความเสียหายมหาศาล ➡️ แนะนำให้ใช้ Zero Trust architecture และ best practices เพื่อป้องกัน https://www.techradar.com/pro/security/hackers-are-now-mimicking-government-websites-using-ai-everything-you-need-to-know-to-stay-safe
    WWW.TECHRADAR.COM
    Hackers are now mimicking government websites using AI - everything you need to know to stay safe
    Multiple Brazilian government sites were cloned, and more could be on the way
    0 Comments 0 Shares 91 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโรงงาน Intel: เมื่อยักษ์ใหญ่ต้องสู้เพื่อความอยู่รอด

    Intel เคยเป็นผู้นำในโลกของชิปคอมพิวเตอร์ แต่วันนี้กลับต้องเผชิญกับแรงกดดันรอบด้าน ทั้งจากคู่แข่งอย่าง TSMC และ AMD, ปัญหาด้านเทคโนโลยีการผลิต, ความล้มเหลวในการออกแบบชิปใหม่, และแรงกดดันทางการเมืองและการเงิน

    หนึ่งในความหวังของ Intel คือเทคโนโลยีการผลิตใหม่ที่เรียกว่า “18A” ซึ่งเป็นกระบวนการระดับ 1.8 นาโนเมตร ที่มาพร้อมนวัตกรรม RibbonFET และ PowerVia เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน แต่การผลิตจริงกลับเต็มไปด้วยปัญหา “yield” หรืออัตราชิปที่ใช้งานได้ต่ำมาก บางช่วงอยู่ที่เพียง 5–10% เท่านั้น ซึ่งห่างไกลจากเป้าหมาย 70–80% ที่จำเป็นต่อการทำกำไร

    Intel จึงต้องชะลอการเปิดตัวชิป Panther Lake ที่ใช้ 18A ไปเป็นปี 2026 และอาจต้องหันไปพัฒนาเทคโนโลยีใหม่อย่าง “14A” แทน หากไม่สามารถดึงลูกค้าภายนอกมาใช้บริการ foundry ได้

    ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายใต้ยุทธศาสตร์ IDM 2.0 ที่เปิดตัวในปี 2021 โดยอดีต CEO Pat Gelsinger ซึ่งตั้งเป้าให้ Intel กลับมาเป็นผู้นำด้านการผลิตชิปอีกครั้ง ทั้งในสหรัฐฯ และยุโรป แต่การเปลี่ยนแปลงนี้กลับนำไปสู่การปลดพนักงานกว่า 25,000 คน และการยกเลิกโครงการโรงงานหลายแห่งในเยอรมนีและโปแลนด์

    CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan จึงต้องนำพา Intel ผ่านช่วงเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลง ด้วยปรัชญา “ไม่มีเช็คเปล่า” และการเน้นผลลัพธ์มากกว่าการตลาด

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/all-the-pains-of-intel-from-cpu-design-and-process-technologies-to-internal-clashes-and-political-pressure
    🧠⚙️ เรื่องเล่าจากโรงงาน Intel: เมื่อยักษ์ใหญ่ต้องสู้เพื่อความอยู่รอด Intel เคยเป็นผู้นำในโลกของชิปคอมพิวเตอร์ แต่วันนี้กลับต้องเผชิญกับแรงกดดันรอบด้าน ทั้งจากคู่แข่งอย่าง TSMC และ AMD, ปัญหาด้านเทคโนโลยีการผลิต, ความล้มเหลวในการออกแบบชิปใหม่, และแรงกดดันทางการเมืองและการเงิน หนึ่งในความหวังของ Intel คือเทคโนโลยีการผลิตใหม่ที่เรียกว่า “18A” ซึ่งเป็นกระบวนการระดับ 1.8 นาโนเมตร ที่มาพร้อมนวัตกรรม RibbonFET และ PowerVia เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน แต่การผลิตจริงกลับเต็มไปด้วยปัญหา “yield” หรืออัตราชิปที่ใช้งานได้ต่ำมาก บางช่วงอยู่ที่เพียง 5–10% เท่านั้น ซึ่งห่างไกลจากเป้าหมาย 70–80% ที่จำเป็นต่อการทำกำไร Intel จึงต้องชะลอการเปิดตัวชิป Panther Lake ที่ใช้ 18A ไปเป็นปี 2026 และอาจต้องหันไปพัฒนาเทคโนโลยีใหม่อย่าง “14A” แทน หากไม่สามารถดึงลูกค้าภายนอกมาใช้บริการ foundry ได้ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายใต้ยุทธศาสตร์ IDM 2.0 ที่เปิดตัวในปี 2021 โดยอดีต CEO Pat Gelsinger ซึ่งตั้งเป้าให้ Intel กลับมาเป็นผู้นำด้านการผลิตชิปอีกครั้ง ทั้งในสหรัฐฯ และยุโรป แต่การเปลี่ยนแปลงนี้กลับนำไปสู่การปลดพนักงานกว่า 25,000 คน และการยกเลิกโครงการโรงงานหลายแห่งในเยอรมนีและโปแลนด์ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan จึงต้องนำพา Intel ผ่านช่วงเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลง ด้วยปรัชญา “ไม่มีเช็คเปล่า” และการเน้นผลลัพธ์มากกว่าการตลาด https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/all-the-pains-of-intel-from-cpu-design-and-process-technologies-to-internal-clashes-and-political-pressure
    0 Comments 0 Shares 92 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากชั้นในของชิป: CT scan เผยความลับของ Intel 386 ที่ซ่อนอยู่ใต้เซรามิก

    ในยุคที่ชิปสมัยใหม่มีขนาดเล็กลงและซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ Ken Shirriff นักวิจัยด้านฮาร์ดแวร์ได้ใช้เทคโนโลยี CT scan เพื่อเปิดเผยโครงสร้างภายในของ Intel 386—ชิประดับตำนานจากยุค 1980 ที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ x86 แบบ 32 บิต

    แม้ภายนอกจะดูเหมือนเซรามิกสีเทาพร้อมขา 132 ขา แต่ภายในกลับซ่อนวิศวกรรมระดับสูงไว้มากมาย โดย CT scan ให้ภาพ X-ray หลายร้อยชั้นที่สามารถรวมเป็นโมเดล 3D เพื่อหมุน ดู และ “ลอก” ชั้นต่าง ๆ ได้แบบดิจิทัล

    สิ่งที่พบมีตั้งแต่สายทองคำขนาด 35 ไมโครเมตรที่เชื่อมระหว่าง die กับแผงวงจร ไปจนถึงโครงสร้างวงจร 6 ชั้นที่ซ่อนอยู่ภายในเซรามิก ซึ่งประกอบด้วย 2 ชั้นสำหรับสัญญาณ และ 4 ชั้นสำหรับพลังงานและกราวด์ โดยใช้เทคนิค “single-row double-shelf bonding” เพื่อเพิ่มความหนาแน่นของการเชื่อมต่อ

    นอกจากนี้ยังพบสายไฟข้างชิปที่ใช้ในขั้นตอนชุบทอง ซึ่งปกติจะไม่ปรากฏให้เห็น รวมถึงการออกแบบที่รองรับการกระจายความร้อนด้วยอีพ็อกซีผสมเงินใต้ die เพื่อให้ชิปทำงานได้เสถียร

    ที่น่าสนใจคือ มีขาบางขาในแพ็กเกจที่ระบุว่า “No Connect” แต่จริง ๆ แล้วมีการเชื่อมต่อภายใน die ซึ่งอาจใช้สำหรับการทดสอบหรือฟังก์ชันลับที่ Intel ไม่เคยเปิดเผย

    Ken Shirriff ใช้ CT scan สำรวจโครงสร้างภายในของ Intel 386 CPU
    สร้างโมเดล 3D ที่สามารถหมุนและลอกชั้นต่าง ๆ ได้แบบดิจิทัล

    พบสายทองคำขนาด 35 µm เชื่อมระหว่าง die กับแผงวงจร
    บางจุดมีถึง 5 เส้นเพื่อรองรับกระแสไฟสูง

    แพ็กเกจภายในเป็นวงจร 6 ชั้น: 2 ชั้นสัญญาณ + 4 ชั้นพลังงาน
    ใช้เทคนิค “single-row double-shelf bonding” เพื่อเพิ่มความหนาแน่น

    พบสายไฟด้านข้างที่ใช้ชุบทองในขั้นตอนการผลิต
    ยืนยันด้วยการขัดเซรามิกให้ตรงกับภาพ CT

    ใต้ die มีอีพ็อกซีผสมเงินเพื่อระบายความร้อนและเชื่อมกราวด์
    ช่วยให้ชิปทำงานได้เสถียรภายใต้โหลด

    พบขา “No Connect” ที่มีการเชื่อมต่อภายใน die จริง
    อาจใช้สำหรับการทดสอบหรือฟังก์ชันลับของ Intel

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/ct-scan-peels-back-the-layers-of-time-to-reveal-the-engineering-within-intels-iconic-386-cpu-exposing-intricate-pin-mapping-hidden-power-planes-and-more
    🔬💾 เรื่องเล่าจากชั้นในของชิป: CT scan เผยความลับของ Intel 386 ที่ซ่อนอยู่ใต้เซรามิก ในยุคที่ชิปสมัยใหม่มีขนาดเล็กลงและซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ Ken Shirriff นักวิจัยด้านฮาร์ดแวร์ได้ใช้เทคโนโลยี CT scan เพื่อเปิดเผยโครงสร้างภายในของ Intel 386—ชิประดับตำนานจากยุค 1980 ที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ x86 แบบ 32 บิต แม้ภายนอกจะดูเหมือนเซรามิกสีเทาพร้อมขา 132 ขา แต่ภายในกลับซ่อนวิศวกรรมระดับสูงไว้มากมาย โดย CT scan ให้ภาพ X-ray หลายร้อยชั้นที่สามารถรวมเป็นโมเดล 3D เพื่อหมุน ดู และ “ลอก” ชั้นต่าง ๆ ได้แบบดิจิทัล สิ่งที่พบมีตั้งแต่สายทองคำขนาด 35 ไมโครเมตรที่เชื่อมระหว่าง die กับแผงวงจร ไปจนถึงโครงสร้างวงจร 6 ชั้นที่ซ่อนอยู่ภายในเซรามิก ซึ่งประกอบด้วย 2 ชั้นสำหรับสัญญาณ และ 4 ชั้นสำหรับพลังงานและกราวด์ โดยใช้เทคนิค “single-row double-shelf bonding” เพื่อเพิ่มความหนาแน่นของการเชื่อมต่อ นอกจากนี้ยังพบสายไฟข้างชิปที่ใช้ในขั้นตอนชุบทอง ซึ่งปกติจะไม่ปรากฏให้เห็น รวมถึงการออกแบบที่รองรับการกระจายความร้อนด้วยอีพ็อกซีผสมเงินใต้ die เพื่อให้ชิปทำงานได้เสถียร ที่น่าสนใจคือ มีขาบางขาในแพ็กเกจที่ระบุว่า “No Connect” แต่จริง ๆ แล้วมีการเชื่อมต่อภายใน die ซึ่งอาจใช้สำหรับการทดสอบหรือฟังก์ชันลับที่ Intel ไม่เคยเปิดเผย ✅ Ken Shirriff ใช้ CT scan สำรวจโครงสร้างภายในของ Intel 386 CPU ➡️ สร้างโมเดล 3D ที่สามารถหมุนและลอกชั้นต่าง ๆ ได้แบบดิจิทัล ✅ พบสายทองคำขนาด 35 µm เชื่อมระหว่าง die กับแผงวงจร ➡️ บางจุดมีถึง 5 เส้นเพื่อรองรับกระแสไฟสูง ✅ แพ็กเกจภายในเป็นวงจร 6 ชั้น: 2 ชั้นสัญญาณ + 4 ชั้นพลังงาน ➡️ ใช้เทคนิค “single-row double-shelf bonding” เพื่อเพิ่มความหนาแน่น ✅ พบสายไฟด้านข้างที่ใช้ชุบทองในขั้นตอนการผลิต ➡️ ยืนยันด้วยการขัดเซรามิกให้ตรงกับภาพ CT ✅ ใต้ die มีอีพ็อกซีผสมเงินเพื่อระบายความร้อนและเชื่อมกราวด์ ➡️ ช่วยให้ชิปทำงานได้เสถียรภายใต้โหลด ✅ พบขา “No Connect” ที่มีการเชื่อมต่อภายใน die จริง ➡️ อาจใช้สำหรับการทดสอบหรือฟังก์ชันลับของ Intel https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/ct-scan-peels-back-the-layers-of-time-to-reveal-the-engineering-within-intels-iconic-386-cpu-exposing-intricate-pin-mapping-hidden-power-planes-and-more
    0 Comments 0 Shares 90 Views 0 Reviews
More Results