• มานั่งย้อนไปวันนั้น คิดว่า มึนหัวเพราะทานข้าวช้า .. ก็คง #น้ำตาลตก เนอะ

    #GenY
    มานั่งย้อนไปวันนั้น คิดว่า มึนหัวเพราะทานข้าวช้า .. ก็คง #น้ำตาลตก เนอะ #GenY
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 0 รีวิว
  • การประชุมสุดยอด BRICS ที่เมืองคาซาน ประเทศรัสเซีย ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ภายในงานมีการเปิดตัว "ธนบัตรจำลอง" BRICS ที่ออกแบบพิเศษ

    ด้านหน้าเป็นธงชาติ 5 ประเทศผู้ก่อตั้ง BRICS (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน แอฟริกาใต้) เรียงเป็นวงกลม ส่วนด้านหลังเป็นธงชาติของประเทศที่สนใจเข้าร่วม พร้อมระบุข้อความ "BRICS New Development Bank" สะท้อนความพยายามสร้างทางเลือกใหม่ เพื่อท้าทายดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางสถานะดอลลาร์ที่เสื่อมถอยจากภาระหนี้และการถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

    ประธานาธิบดีปูตินยืนยันชัดเจนว่า ในขณะนี้ ไม่มีแผนในการใช้สกุลเงินร่วมกันแบบยูโร โดยธนบัตรดังกล่าวมีไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของ “การทำงานร่วมกัน” ของประเทศ BRICS"

    "ลวดลายและรูปแบบของธนบัตร BRICS ที่ถูกใช้ในเชิงสัญลักษณ์นี้ เป็นตัวแทนของความเสมอภาคและพหุขั้ว" เอฟเกนี เฟโดรอฟ(Evgeny Fedorov) ซีอีโอของ ARM-Registr ซึ่งเป็นบริษัทที่ออกแบบธนบัตร กล่าว

    เฟโดรอฟยังกล่าวเสริมอีกว่า ธนบัตรด้านหน้าจะมีรูปธงสมาชิก BRICS เริ่มต้นห้าประเทศ ส่วนด้านหลังจะมีรูปภาพของธงประเทศที่เข้าร่วมการประชุมซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละครั้ง

    ธนบัตร BRICS ในการประชุมมีสามรูปแบบคือ ใบละ 200 100 และ 50
    การประชุมสุดยอด BRICS ที่เมืองคาซาน ประเทศรัสเซีย ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ภายในงานมีการเปิดตัว "ธนบัตรจำลอง" BRICS ที่ออกแบบพิเศษ ด้านหน้าเป็นธงชาติ 5 ประเทศผู้ก่อตั้ง BRICS (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน แอฟริกาใต้) เรียงเป็นวงกลม ส่วนด้านหลังเป็นธงชาติของประเทศที่สนใจเข้าร่วม พร้อมระบุข้อความ "BRICS New Development Bank" สะท้อนความพยายามสร้างทางเลือกใหม่ เพื่อท้าทายดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางสถานะดอลลาร์ที่เสื่อมถอยจากภาระหนี้และการถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ประธานาธิบดีปูตินยืนยันชัดเจนว่า ในขณะนี้ ไม่มีแผนในการใช้สกุลเงินร่วมกันแบบยูโร โดยธนบัตรดังกล่าวมีไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของ “การทำงานร่วมกัน” ของประเทศ BRICS" "ลวดลายและรูปแบบของธนบัตร BRICS ที่ถูกใช้ในเชิงสัญลักษณ์นี้ เป็นตัวแทนของความเสมอภาคและพหุขั้ว" เอฟเกนี เฟโดรอฟ(Evgeny Fedorov) ซีอีโอของ ARM-Registr ซึ่งเป็นบริษัทที่ออกแบบธนบัตร กล่าว เฟโดรอฟยังกล่าวเสริมอีกว่า ธนบัตรด้านหน้าจะมีรูปธงสมาชิก BRICS เริ่มต้นห้าประเทศ ส่วนด้านหลังจะมีรูปภาพของธงประเทศที่เข้าร่วมการประชุมซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละครั้ง ธนบัตร BRICS ในการประชุมมีสามรูปแบบคือ ใบละ 200 100 และ 50
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
  • จะบอกติ่งๆทั้งหลายว่า……โหด……มัน……ฮานิดหน่อย ไม่มีใครเกินพี่ปูคนนี้….

    ตอนสิบสอง……สู่บัลลังก์อำนาจ ด้วยการผ่านอุปสรรคที่เกิดขึ้นรายวัน……ไม่ว่าบู๊……ว่าบุ๋น……!!!

    ประธานาธิบดีบุชได้โทรกลับมา ปูตินได้แสดงความเสียใจและเศร้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างจริงใจ
    ความโกรธ ความชังอเมริกันที่นาโต้ไปบอมบ์ที่ Kosovo ก็พักไว้ก่อน
    ประชาชนชาวรัสเซียได้นำดอกไม้ไปวางเพื่อแสดงความเสียใจที่หน้าสถานทูตอเมริกาเป็นกองพะเนิน
    ปูตินได้ย้ำกับปธน. บุช ว่า……
    “ในช่วงเวลาที่วุ่นวาย โหดร้ายเช่นนี้ ……เราจะยืนหยัดสู้ไปด้วยกัน……”
    ที่ลึกๆแล้ว……ปูตินมีความประทับใจในประธานาธิบดีบุชอยู่เป็นทุน
    เนื่องจากตอนที่บุชหาเสียงในปี 1999 (คู่แข่งคือ นาย Al Gore)
    เขาได้ประกาศนโยบายว่า ……จะไม่ยุ่งกับสงครามเชเชน..…

    เมื่อทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ทั้งคู่จึงได้พบกันเป็นครั้วแรกใน เดือนมิถุนายน
    2001 ที่ Ljubljana, Slovenia
    คราวนี้ต่างคนต่างเตรียมตัวมาดี ในการ(แอบ) อ่านประวัติส่วนตัวของคู่สนทนากันมา เช่น
    ปูตินชวนบุชคุยถึงเรื่องรักบี้ (เพราะเป็นกีฬาโปรดสมัยหนุ่ม)
    แต่บุชมาเหนือกว่า……เขาถามปูตินถึงเรื่อง”กางเขน” ที่ถูกไฟไหม้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น้อยคนจะทราบ
    เล่นเอาปูติน…งงไปพักนึง(นับว่าการข่าวของอเมริกันนั้น เชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง

    ต่อภายหลังเมื่อมีคนถามบุช…ว่า คิดว่าคนอย่างปูตินเป็นอย่างไร?
    เขาตอบว่า เป็นคนตรงไปตรงมา เป็นคนที่มั่นคงกับการเห็นชาติพัฒนาไปในทางที่ดี ผมชอบเขานะ……ได้เขิญเขามาเที่ยวที่บ้านไร่ในเท็กซัสด้วย”
    ทั้งๆที่งานนี้……มีแต่คนสงสัยว่า จะเชื่อปูตินได้ยังไง ในเมื่อ KGB เก่าพวกนี้
    เขาไม่เคยพูดความจริงอะไรกับใคร……

    ในช่วงของการขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ปูตินเดินทางไปทั่วรัสเซีย
    และอีก 18 ประเทศ ที่มีลุดมิลาเคียงคู่ไปด้วย เป็นการประกาศกลายๆ
    ว่าโลกได้ปลอดจากสงครามเย็นไปแล้ว และตอนนี้รัสเซียพร้อมที่จะเปิดกว้างกับการที่จะก้าวสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาอย่างเต็มสูบ

    ในปี 2001 ปูตินปิดหน่วยงาน(โซเวียต) ที่ คิวบา, เวียดนาม
    พร้อมทั้งหันมาพัฒนากองทัพเต็มรูปแบบ และเพิ่มประสิทธิภาพทางฝั่งเหนือของคอร์เคซัส ในการที่จะส่ายตาหากลุ่มอิสลามหัวรุนแรง

    หลังจากวิกฤต 9/11 ปูตินอ่อนข้อให้กับการขยายเขตแดนของนาโต้ ที่ก้าวเข้ามากวาด Lithuania, Latvia, Estonia ที่อยู่ติดกับรัสเซีย
    บางครั้งปูตินยังเคยบอกว่า……รัสเซียเองก็สนใจที่จะเข้าร่วมในนาโต้ด้วยเช่นกัน (ไม่รู้ว่าประชด หรือ พูดจริง)
    อเมริกาได้เปิดฉากทำสงครามล้างแค้นกับกลุ่มอัลเคดะห์ และ กลุ่มตาลีบัน
    ในอาฟกานิสถาน ในเดือนตุลาคม ที่ปูตินได้ช่วยทั้งเงินและอาวุธ
    ช่วยกองทัพอัฟกันในการต่อต้านกับตาลีบัน
    และได้โอนอ่อน…ไม่ขัดขวางเมื่อกองทัพอเมริกันมาตั้งฐานที่ Uzbekistan และ Kyrgyzstan
    ซึ่งนี่คือประวัติศาสตร์ครั้งแรกที่กองทัพอเมริกันได้เข้ามาเหยียบในแผ่นดินฝั่งนี้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง

    หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุกับเรือดำน้ำ Kursk ปูตินได้หันมาจี้เรื่องกองทัพด้วยตัวเอง เขาปลดพวกนายพลเช้าชามเย็นชามออกไปเป็นแผง
    เพิ่มเงินเดือนให้กับทหารรุ่นใหม่ พร้อมสวัสดิการอัดแน่น
    ทำเพลงชาติให้มีเนื้อเพลงคำร้อง ให้ทันสมัย ให้พ้นไปจากเงาของโซเวียต
    เพราะตอนที่นักกีฬารัสเซียไปแข่งในโอลิมปิคที่ซิดนีย์ ในปี 2000
    ได้เหรียญมากันทุกชนิด แต่เวลาขึ้นแท่นรับเหรียญ ไม่สามารถร้องเพลงชาติได้ เพราะมีแต่ดนตรี
    ชาวรัสเชี่ยนเริ่มมีชีวิตชีวากับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ และชื่นชมปูตินที่เขาได้พูดถึงก้าวใหม่นี้ว่า
    “ใครก็ตามที่ไม่รู้สึกรู้สมกับความล่มสลายของโซเวียต คือคนไม่มีหัวใจ
    และใครก็ตามที่ไม่อยากก้าวไปข้างหน้า…คือคนไม่มีสมอง…”

    การปฏิวัติทางด้านกองทัพ เขาได้แต่งตั้ง Sergei Ivanov (KGB เพื่อนเก่าและร่วมมหาวิทยาลัย เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ และ สวีดิช)
    ขึ้นมาคุมกำลัง เป็น รัฐมนตรีกลาโหม
    และฝ่ายงบประมาณกองทัพ คือ Lyubov Kudelina เพื่อมาดูแลเรื่องเงิน
    ส่วนนายพลที่มีประวัติมือไม่สะอาด เช่นYevgeny Adamov (สมัยเยลซิน)
    ที่มีส่วนพัวพันกับเปอร์เซ็นต์ในงบสร้างฐานนิวเคลียร์ พร้อมกับคนอื่นๆ
    ถูกส่งเข้าเก็บกรุนายพลที่ไร้สมรรถภาพ…

    รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ อิวานอฟ ทำงานเร็วทันใจ เพียงสามวันหลังจากเหตุการณ์ 9/11 เขาได้ส่งสัญญาณให้ปูตินทราบว่า อเมริกากำลังขยายกำลังของนาโต้เข้ามาในส่วนของฝั่งชายขอบเอเซียกลาง (กลุ่มประเทศที่ลงท้ายด้วยคำว่า สถาน ทั้งหลาย)
    แต่ปูติน……มองเห็นว่า การสร้างสัมพันธภาพอันดีกับบุช คือสิ่งจำเป็น
    อย่างอื่นค่อยมาว่ากันทีหลัง…
    และการที่จะสร้างสัมพันธไมตรีอันดี อย่างแรกเลยที่เขาจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยการเรียนภาษาอังกฤษวันละหนึ่งชั่วโมงที่สถาบัน
    American Diplomacy and Commerce และเขาได้ใช้เป็นครั้งแรกในการสนทนากับบุช ในภาษาอังกฤษสำเนียงรัสเซียปนเยอรมันว่า
    “ผมเห็นว่าคุณตั้งชื่อลูกสาวตามชื่อแม่ และ แม่ยายของคุณ……”
    “นั่นซิ…ก็ผมมันเป็นนักการเมืองชั้นเยี่ยมไงล่ะ..”
    “เออ……ใช่จริงๆ เพราะของผมก็เหมือนกัน..”
    แล้วสองคนก็หัวเราะเฮฮากันไป

    สองคนนี้ได้พบกันอีกครั้งเมื่อการประชุม Asia-Pacific Economic Cooperation Summit ที่เซี่ยงไฮ้ ในเดือนตุลาคม
    และได้คุยกันถึงเรื่องการสร้าง(จำนวน) ซ้อม(ยิง) นิวเคลียร์ที่ยังไม่ชัดเจน
    ที่ทำให้ประธานาธิบดีบุช ต้องเชิญปูตินไปยังทำเนียบขาว สหรัฐอเมริกาในเดือน พฤศจิกายน
    เขาได้ไปเยี่ยมไร่ของบุชที่เท๊กซัสเป็นการส่วนตัว มีการเลี้ยงปิ้งย่าง บาร์บีคิว ปูตินได้กล่าวว่า
    “ผมไม่เคยไปเยี่ยมเยียนผู้คนไหนถึงในบ้านเลย…นับว่าเป็นโชคดีที่ได้มาถึงที่นี่ “
    และเขาได้ไปดูตึกที่ถล่มทลายและได้แสดงความอาลัย

    แต่.…เพียงสามอาทิตย์ต่อมา บุชได้โทรศัพท์มาถึงปูติน บอกว่า
    นโยบายทางเพนตากอนได้มีมติให้อเมริกาถอนตัวไม่เข้าร่วมกับโครงการ
    ABM (Anti-Ballistic Missile)
    เท่ากับว่า….ปูตินถูกอเมริกาเทอย่างหน้าตาเฉย…ทั้งๆที่เริ่มต้นทำท่าจะดี..

    การก่อกวนในเชเชนหลังจากสงครามยังไม่หยุด กลุ่มหัวรุนแรงได้เริ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่ปูตินได้ประกาศว่า ต้องยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขเท่านั้น
    จึงทำให้เกิดคลื่นใต้น้ำเป็นขบวนการใต้ดิน
    ที่ทำให้เกิดการจับคนดูเป็นตัวประกันที่ โรงละคร Palace of Culture ในกรุงมอสโคว์ วันที่ 24 ตุลาคม 2002 ที่กำลังแสดงละครย้อนยุคที่ทุ่มทุนสร้างมหาศาล บัตรใบละ 15 ดอลล่าร์ (เทียบเท่า ที่นับว่าแพงมาก)
    โดยกลุ่มผู้ก่อการร้ายแต่งกายเป็นคนงาน ขึ้นไปบนเวที
    ท่ามกลางความสับสนของคนดู ที่คิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง
    แต่.…คณะผู้ก่อการร้ายในการนำของ Movsar Barayev** ได้กราดกระสุน AK-47 ขึ้นไปบนเพดาน และประกาศว่า ประตูทุกบานได้มีสลักระเบิดผูกติดอยู่
    ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดเสื้อคลุมสีดำ ได้ก้าวเข้ามาอยู่กลางกลุ่มคนดู
    และเปิดเสื้อคลุมให้เห็นว่า ข้างในนั้น ร่างของเธอได้ผูกติดระเบิดเอาไว้
    พร้อมที่จะดึงสลัก หากว่า……มีเจ้าหน้าที่จู่โจมเข้ามา
    ทั้งประกาศก้องว่า….ในนามพระอัลลาห์ พวกเราตายหนึ่ง แต่จะเกิดร้อย
    และถ้าใครมีโทรศัพท์……ให้โทรไปบอกครอบครัวได้เลยว่า
    ต้องตายเพราะสงครามเชเชน และถ้าอยากรอด……หนทางเดียวคือรัสเซียต้องถอนทัพออกไป เลิกสงครามทันที…!!!

    ปูตินอยู่ในสภาพที่หลังชนกำแพง จากที่กองทัพทำสงครามยืดเยื้อในเชเชน……หน่วย FSB ที่ทำงานประสาอะไรปล่อยให้ผู้ก่อการร้ายเข้ามาถึงในมอสโคว์
    เขายกเลิกแผนการเดินทางทั้งหมด (ที่จะไป เยอรมัน,โปรตุเกส และ เม๊กซิโก)
    เรียกหน่วยข่าวกรอง บรรดาสายลับทั้งหลาย และตัวหัวหน้า Nikolai Patrushev เข้ามาพบโดยด่วน เตรียมการบุกโรงละคร
    เรียกหน่วยคอมมานโดให้เตรียมพร้อม
    คนค้าน……คือ นายกรัฐมนตรี Mikhaïl Kasyanov ด้วยเกรงว่าการทำอย่างนี้เสี่ยงเกินไป ผู้บริสุทธิ์อาจจะได้รับเคราะห์
    ปูตินบอกว่า “ถ้าป๊อด……ก็ออกไปห่างๆเลย……”
    เขาได้ส่งท่านนายกรัฐมนตรีมิเกล ออกไปประชุมแทนในตามรายชื่อประเทศ…จะได้ไม่ต้องมารับรู้อะไร

    ข้างในโรงละคร…ในกลุ่มคนดู ก็มีบุคคลสำคัญหลายคนในหลายวงการ
    ส่วนผู้ที่ได้ถูกปล่อยตัวออกมา คือ กลุ่มเด็กเล็กจำนวน 39 คน ที่ได้ให้การว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยรุ่น ที่เติบโตมากับสงครามในคอร์เคซัส ไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะยังไม่รู้เรื่องราวอะไรมากนัก
    เมื่อถูกถามว่า “ที่อยากให้เลิกสงคราม หมายความว่าอะไร..เพื่อ..?”
    คนกลุ่มนั้น ตอบไม่ได้ ลังเล ไม่แน่ใจ……
    ในวันที่สองของการจับตัวประกัน ที่ทุกคนเริ่มอ่อนล้า หิวโหย กระหาย
    วิตก……
    กลุ่มก่อการร้ายได้สังหารคนไปหลายคน ที่พยายามหาทางออก
    เจ้าหน้าที่ได้เจรจาขอให้มีการส่งอาหารและน้ำได้สำเร็จ

    ตีห้าของวันรุ่งขึ้น ขณะที่ทุกคนกำลังหลับ อ่อนแรง เตรียมพร้อมกับการที่จะเจรจาในตอนสิบโมงเช้า ตามที่เครมลินได้ส่งข่าวมา
    ทางหน่วยคอมมานโดที่ได้เจาะอุโมงค์ใต้ดินเข้าไปจากอาคารข้างๆ และได้ติดไมโครโฟนดักฟังจนรู้ตำแหน่งของผู้ก่อการร้าย
    กังวลที่สุด คือ อาคารทั้งหลังอาจจะระเบิดขึ้นมาได้
    ปูตินได้สั่งการเด็ดขาดว่า……จับตายทั้งหมดเท่านั้น……!!
    การใช้ ยาสลบ fentanyl ที่เป็นอาวุธชนิดหนึ่งของ FSB ได้ทำการแสดงฝีมือ คือ ฉีดส่งเข้าไปในท่อระบายอากาศ ที่ทำให้ทุกคนหลับแบบร่วงผล็อย
    แต่กลุ่มที่ระวังอยู่ด้านนอก มีการปะทะดุเดือด กลุ่มผู้ก่อการร้าย 41 คน
    มีกระสุนเจาะที่สมอง…… ตัวหัวหน้า Barayev ได้ถูกสังหารในวันคล้ายวันเกิดของตัวเอง
    แต่ตัวประกันได้เสียชีวิตไปกว่าร้อยคน จากการโดนสังหารของผู้ก่อการร้าย และ บางคนเสียชีวิตเพราะสารยาสลบ เพราะมีอายุ และสุขภาพที่ไม่ดี

    ปูตินได้ออกโทรทัศน์ เพื่อทำการขอโทษประชาชนที่เขาไม่สามารถรักษาชีวิตได้ทุกคน ……แต่รัสเซียจะไม่ยอมให้หน้าไหนมาหยาม..!!

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันได้บอกกับปูตินว่าสงครามได้มาในรูปแบบใหม่
    ที่ได้ก้าวล่วงเข้ามาก่อกวนในประเทศ และที่นอกประเทศในขอบชายแดน
    ก็ขยายวงขึ้นเพราะการได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มที่ต้องการแบ่งแยกแผ่นดิน ปูตินไม่มีทางอื่น นอกจากต้องหักเท่านั้น……ไม่มีงอ
    ข่าวนี้……ทำให้ Aslan Maskhadov หัวหน้ากบฎเชเชนที่ได้ใช้ตัวแทนในโคเปนเฮเกน มาเสนอการเจรจาสันติภาพแบบไม่มีเงื่อนไข
    แต่ทางเครมลิน……ปฏิเสธ ไม่เจรจา แถมยังประกาศจับตัวแทนเจรจา Ahmed Zakayev(อดีตรองนายกรัฐมนตรีเชเชน และ เป็นฝ่ายโปรกบฏ)
    เดนมาร์ก……จับตัวให้ แต่ไม่ส่งให้รัสเซีย เพราะข้อกล่าวหาทางรัสเซียที่พัวพันไปในเรื่องโรงละครด้วย

    คนที่ออกมารับหน้าในเรื่องโรงละคร คือ Shamil Basayev**(หัวหน้าใหญ่กลุ่มกบฏเชเชน) ที่ออกมาประกาศกร้าวว่า “นี่คือบทเรียนที่รัสเซียสมควรได้รับ..”
    ปูตินรับคำขู่ด้วยการขานรับ เล่นงานเชเชนหนักขึ้น
    ฝ่ายโลกเสรีได้ยิงคำถามในเรื่องการใช้อาวุธด้วยการฝังทุ่นระเบิดไปทั่ว
    เขาตอบว่า “ ในวินาทีนี้ ใครก็ตามที่นับถือศาสนาคริสต์ ล้วนแต่ตกอยู่ในอันตราย แต่ถ้าจะเปลี่ยนเป็นมุสลิม……ก็ไม่รอด เพราะเขาเชื่อว่าการตายคือการไปพบพระเจ้า…ไม่ใช่หรือ……?!!
    และต่อด้วยภาษานักเลงสุดๆ กับนักข่าวที่ถาม (จนบางคนไม่กล้าแปล…)
    ว่า……

    “ ถ้าคุณตัดสินใจอยากจะเป็นมุสลิมอย่างที่พวกเขาเป็น และพร้อมที่จะไปพบกับพระเจ้า…ขอเชิญไปที่มอสโคว์ เพราะพวกเราไม่ใช่ประชาธิปไตยเต็มตัว และรับรองได้ว่า เรามีสารพัดวิธีที่คุณจะไม่เติบโตต่อไปอีก………”

    **Shamil Basayev ผู้ก่อการร้ายตัวยง ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ร้ายที่ทั้งโลกต้องการตัว เขาเป็นคนวางแผนเรื่องโรงละคร และการวางระเบิดเครื่องบินรัสเซีย เขาได้ถูกสังหารด้วยระเบิดกับดักที่มากับรถบรรทุก ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2006

    Wiwanda W. Vichit
    จะบอกติ่งๆทั้งหลายว่า……โหด……มัน……ฮานิดหน่อย ไม่มีใครเกินพี่ปูคนนี้…. ตอนสิบสอง……สู่บัลลังก์อำนาจ ด้วยการผ่านอุปสรรคที่เกิดขึ้นรายวัน……ไม่ว่าบู๊……ว่าบุ๋น……!!! ประธานาธิบดีบุชได้โทรกลับมา ปูตินได้แสดงความเสียใจและเศร้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างจริงใจ ความโกรธ ความชังอเมริกันที่นาโต้ไปบอมบ์ที่ Kosovo ก็พักไว้ก่อน ประชาชนชาวรัสเซียได้นำดอกไม้ไปวางเพื่อแสดงความเสียใจที่หน้าสถานทูตอเมริกาเป็นกองพะเนิน ปูตินได้ย้ำกับปธน. บุช ว่า…… “ในช่วงเวลาที่วุ่นวาย โหดร้ายเช่นนี้ ……เราจะยืนหยัดสู้ไปด้วยกัน……” ที่ลึกๆแล้ว……ปูตินมีความประทับใจในประธานาธิบดีบุชอยู่เป็นทุน เนื่องจากตอนที่บุชหาเสียงในปี 1999 (คู่แข่งคือ นาย Al Gore) เขาได้ประกาศนโยบายว่า ……จะไม่ยุ่งกับสงครามเชเชน..… เมื่อทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ทั้งคู่จึงได้พบกันเป็นครั้วแรกใน เดือนมิถุนายน 2001 ที่ Ljubljana, Slovenia คราวนี้ต่างคนต่างเตรียมตัวมาดี ในการ(แอบ) อ่านประวัติส่วนตัวของคู่สนทนากันมา เช่น ปูตินชวนบุชคุยถึงเรื่องรักบี้ (เพราะเป็นกีฬาโปรดสมัยหนุ่ม) แต่บุชมาเหนือกว่า……เขาถามปูตินถึงเรื่อง”กางเขน” ที่ถูกไฟไหม้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น้อยคนจะทราบ เล่นเอาปูติน…งงไปพักนึง(นับว่าการข่าวของอเมริกันนั้น เชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง ต่อภายหลังเมื่อมีคนถามบุช…ว่า คิดว่าคนอย่างปูตินเป็นอย่างไร? เขาตอบว่า เป็นคนตรงไปตรงมา เป็นคนที่มั่นคงกับการเห็นชาติพัฒนาไปในทางที่ดี ผมชอบเขานะ……ได้เขิญเขามาเที่ยวที่บ้านไร่ในเท็กซัสด้วย” ทั้งๆที่งานนี้……มีแต่คนสงสัยว่า จะเชื่อปูตินได้ยังไง ในเมื่อ KGB เก่าพวกนี้ เขาไม่เคยพูดความจริงอะไรกับใคร…… ในช่วงของการขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ปูตินเดินทางไปทั่วรัสเซีย และอีก 18 ประเทศ ที่มีลุดมิลาเคียงคู่ไปด้วย เป็นการประกาศกลายๆ ว่าโลกได้ปลอดจากสงครามเย็นไปแล้ว และตอนนี้รัสเซียพร้อมที่จะเปิดกว้างกับการที่จะก้าวสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาอย่างเต็มสูบ ในปี 2001 ปูตินปิดหน่วยงาน(โซเวียต) ที่ คิวบา, เวียดนาม พร้อมทั้งหันมาพัฒนากองทัพเต็มรูปแบบ และเพิ่มประสิทธิภาพทางฝั่งเหนือของคอร์เคซัส ในการที่จะส่ายตาหากลุ่มอิสลามหัวรุนแรง หลังจากวิกฤต 9/11 ปูตินอ่อนข้อให้กับการขยายเขตแดนของนาโต้ ที่ก้าวเข้ามากวาด Lithuania, Latvia, Estonia ที่อยู่ติดกับรัสเซีย บางครั้งปูตินยังเคยบอกว่า……รัสเซียเองก็สนใจที่จะเข้าร่วมในนาโต้ด้วยเช่นกัน (ไม่รู้ว่าประชด หรือ พูดจริง) อเมริกาได้เปิดฉากทำสงครามล้างแค้นกับกลุ่มอัลเคดะห์ และ กลุ่มตาลีบัน ในอาฟกานิสถาน ในเดือนตุลาคม ที่ปูตินได้ช่วยทั้งเงินและอาวุธ ช่วยกองทัพอัฟกันในการต่อต้านกับตาลีบัน และได้โอนอ่อน…ไม่ขัดขวางเมื่อกองทัพอเมริกันมาตั้งฐานที่ Uzbekistan และ Kyrgyzstan ซึ่งนี่คือประวัติศาสตร์ครั้งแรกที่กองทัพอเมริกันได้เข้ามาเหยียบในแผ่นดินฝั่งนี้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุกับเรือดำน้ำ Kursk ปูตินได้หันมาจี้เรื่องกองทัพด้วยตัวเอง เขาปลดพวกนายพลเช้าชามเย็นชามออกไปเป็นแผง เพิ่มเงินเดือนให้กับทหารรุ่นใหม่ พร้อมสวัสดิการอัดแน่น ทำเพลงชาติให้มีเนื้อเพลงคำร้อง ให้ทันสมัย ให้พ้นไปจากเงาของโซเวียต เพราะตอนที่นักกีฬารัสเซียไปแข่งในโอลิมปิคที่ซิดนีย์ ในปี 2000 ได้เหรียญมากันทุกชนิด แต่เวลาขึ้นแท่นรับเหรียญ ไม่สามารถร้องเพลงชาติได้ เพราะมีแต่ดนตรี ชาวรัสเชี่ยนเริ่มมีชีวิตชีวากับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ และชื่นชมปูตินที่เขาได้พูดถึงก้าวใหม่นี้ว่า “ใครก็ตามที่ไม่รู้สึกรู้สมกับความล่มสลายของโซเวียต คือคนไม่มีหัวใจ และใครก็ตามที่ไม่อยากก้าวไปข้างหน้า…คือคนไม่มีสมอง…” การปฏิวัติทางด้านกองทัพ เขาได้แต่งตั้ง Sergei Ivanov (KGB เพื่อนเก่าและร่วมมหาวิทยาลัย เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ และ สวีดิช) ขึ้นมาคุมกำลัง เป็น รัฐมนตรีกลาโหม และฝ่ายงบประมาณกองทัพ คือ Lyubov Kudelina เพื่อมาดูแลเรื่องเงิน ส่วนนายพลที่มีประวัติมือไม่สะอาด เช่นYevgeny Adamov (สมัยเยลซิน) ที่มีส่วนพัวพันกับเปอร์เซ็นต์ในงบสร้างฐานนิวเคลียร์ พร้อมกับคนอื่นๆ ถูกส่งเข้าเก็บกรุนายพลที่ไร้สมรรถภาพ… รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ อิวานอฟ ทำงานเร็วทันใจ เพียงสามวันหลังจากเหตุการณ์ 9/11 เขาได้ส่งสัญญาณให้ปูตินทราบว่า อเมริกากำลังขยายกำลังของนาโต้เข้ามาในส่วนของฝั่งชายขอบเอเซียกลาง (กลุ่มประเทศที่ลงท้ายด้วยคำว่า สถาน ทั้งหลาย) แต่ปูติน……มองเห็นว่า การสร้างสัมพันธภาพอันดีกับบุช คือสิ่งจำเป็น อย่างอื่นค่อยมาว่ากันทีหลัง… และการที่จะสร้างสัมพันธไมตรีอันดี อย่างแรกเลยที่เขาจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยการเรียนภาษาอังกฤษวันละหนึ่งชั่วโมงที่สถาบัน American Diplomacy and Commerce และเขาได้ใช้เป็นครั้งแรกในการสนทนากับบุช ในภาษาอังกฤษสำเนียงรัสเซียปนเยอรมันว่า “ผมเห็นว่าคุณตั้งชื่อลูกสาวตามชื่อแม่ และ แม่ยายของคุณ……” “นั่นซิ…ก็ผมมันเป็นนักการเมืองชั้นเยี่ยมไงล่ะ..” “เออ……ใช่จริงๆ เพราะของผมก็เหมือนกัน..” แล้วสองคนก็หัวเราะเฮฮากันไป สองคนนี้ได้พบกันอีกครั้งเมื่อการประชุม Asia-Pacific Economic Cooperation Summit ที่เซี่ยงไฮ้ ในเดือนตุลาคม และได้คุยกันถึงเรื่องการสร้าง(จำนวน) ซ้อม(ยิง) นิวเคลียร์ที่ยังไม่ชัดเจน ที่ทำให้ประธานาธิบดีบุช ต้องเชิญปูตินไปยังทำเนียบขาว สหรัฐอเมริกาในเดือน พฤศจิกายน เขาได้ไปเยี่ยมไร่ของบุชที่เท๊กซัสเป็นการส่วนตัว มีการเลี้ยงปิ้งย่าง บาร์บีคิว ปูตินได้กล่าวว่า “ผมไม่เคยไปเยี่ยมเยียนผู้คนไหนถึงในบ้านเลย…นับว่าเป็นโชคดีที่ได้มาถึงที่นี่ “ และเขาได้ไปดูตึกที่ถล่มทลายและได้แสดงความอาลัย แต่.…เพียงสามอาทิตย์ต่อมา บุชได้โทรศัพท์มาถึงปูติน บอกว่า นโยบายทางเพนตากอนได้มีมติให้อเมริกาถอนตัวไม่เข้าร่วมกับโครงการ ABM (Anti-Ballistic Missile) เท่ากับว่า….ปูตินถูกอเมริกาเทอย่างหน้าตาเฉย…ทั้งๆที่เริ่มต้นทำท่าจะดี.. การก่อกวนในเชเชนหลังจากสงครามยังไม่หยุด กลุ่มหัวรุนแรงได้เริ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่ปูตินได้ประกาศว่า ต้องยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขเท่านั้น จึงทำให้เกิดคลื่นใต้น้ำเป็นขบวนการใต้ดิน ที่ทำให้เกิดการจับคนดูเป็นตัวประกันที่ โรงละคร Palace of Culture ในกรุงมอสโคว์ วันที่ 24 ตุลาคม 2002 ที่กำลังแสดงละครย้อนยุคที่ทุ่มทุนสร้างมหาศาล บัตรใบละ 15 ดอลล่าร์ (เทียบเท่า ที่นับว่าแพงมาก) โดยกลุ่มผู้ก่อการร้ายแต่งกายเป็นคนงาน ขึ้นไปบนเวที ท่ามกลางความสับสนของคนดู ที่คิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง แต่.…คณะผู้ก่อการร้ายในการนำของ Movsar Barayev** ได้กราดกระสุน AK-47 ขึ้นไปบนเพดาน และประกาศว่า ประตูทุกบานได้มีสลักระเบิดผูกติดอยู่ ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดเสื้อคลุมสีดำ ได้ก้าวเข้ามาอยู่กลางกลุ่มคนดู และเปิดเสื้อคลุมให้เห็นว่า ข้างในนั้น ร่างของเธอได้ผูกติดระเบิดเอาไว้ พร้อมที่จะดึงสลัก หากว่า……มีเจ้าหน้าที่จู่โจมเข้ามา ทั้งประกาศก้องว่า….ในนามพระอัลลาห์ พวกเราตายหนึ่ง แต่จะเกิดร้อย และถ้าใครมีโทรศัพท์……ให้โทรไปบอกครอบครัวได้เลยว่า ต้องตายเพราะสงครามเชเชน และถ้าอยากรอด……หนทางเดียวคือรัสเซียต้องถอนทัพออกไป เลิกสงครามทันที…!!! ปูตินอยู่ในสภาพที่หลังชนกำแพง จากที่กองทัพทำสงครามยืดเยื้อในเชเชน……หน่วย FSB ที่ทำงานประสาอะไรปล่อยให้ผู้ก่อการร้ายเข้ามาถึงในมอสโคว์ เขายกเลิกแผนการเดินทางทั้งหมด (ที่จะไป เยอรมัน,โปรตุเกส และ เม๊กซิโก) เรียกหน่วยข่าวกรอง บรรดาสายลับทั้งหลาย และตัวหัวหน้า Nikolai Patrushev เข้ามาพบโดยด่วน เตรียมการบุกโรงละคร เรียกหน่วยคอมมานโดให้เตรียมพร้อม คนค้าน……คือ นายกรัฐมนตรี Mikhaïl Kasyanov ด้วยเกรงว่าการทำอย่างนี้เสี่ยงเกินไป ผู้บริสุทธิ์อาจจะได้รับเคราะห์ ปูตินบอกว่า “ถ้าป๊อด……ก็ออกไปห่างๆเลย……” เขาได้ส่งท่านนายกรัฐมนตรีมิเกล ออกไปประชุมแทนในตามรายชื่อประเทศ…จะได้ไม่ต้องมารับรู้อะไร ข้างในโรงละคร…ในกลุ่มคนดู ก็มีบุคคลสำคัญหลายคนในหลายวงการ ส่วนผู้ที่ได้ถูกปล่อยตัวออกมา คือ กลุ่มเด็กเล็กจำนวน 39 คน ที่ได้ให้การว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยรุ่น ที่เติบโตมากับสงครามในคอร์เคซัส ไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะยังไม่รู้เรื่องราวอะไรมากนัก เมื่อถูกถามว่า “ที่อยากให้เลิกสงคราม หมายความว่าอะไร..เพื่อ..?” คนกลุ่มนั้น ตอบไม่ได้ ลังเล ไม่แน่ใจ…… ในวันที่สองของการจับตัวประกัน ที่ทุกคนเริ่มอ่อนล้า หิวโหย กระหาย วิตก…… กลุ่มก่อการร้ายได้สังหารคนไปหลายคน ที่พยายามหาทางออก เจ้าหน้าที่ได้เจรจาขอให้มีการส่งอาหารและน้ำได้สำเร็จ ตีห้าของวันรุ่งขึ้น ขณะที่ทุกคนกำลังหลับ อ่อนแรง เตรียมพร้อมกับการที่จะเจรจาในตอนสิบโมงเช้า ตามที่เครมลินได้ส่งข่าวมา ทางหน่วยคอมมานโดที่ได้เจาะอุโมงค์ใต้ดินเข้าไปจากอาคารข้างๆ และได้ติดไมโครโฟนดักฟังจนรู้ตำแหน่งของผู้ก่อการร้าย กังวลที่สุด คือ อาคารทั้งหลังอาจจะระเบิดขึ้นมาได้ ปูตินได้สั่งการเด็ดขาดว่า……จับตายทั้งหมดเท่านั้น……!! การใช้ ยาสลบ fentanyl ที่เป็นอาวุธชนิดหนึ่งของ FSB ได้ทำการแสดงฝีมือ คือ ฉีดส่งเข้าไปในท่อระบายอากาศ ที่ทำให้ทุกคนหลับแบบร่วงผล็อย แต่กลุ่มที่ระวังอยู่ด้านนอก มีการปะทะดุเดือด กลุ่มผู้ก่อการร้าย 41 คน มีกระสุนเจาะที่สมอง…… ตัวหัวหน้า Barayev ได้ถูกสังหารในวันคล้ายวันเกิดของตัวเอง แต่ตัวประกันได้เสียชีวิตไปกว่าร้อยคน จากการโดนสังหารของผู้ก่อการร้าย และ บางคนเสียชีวิตเพราะสารยาสลบ เพราะมีอายุ และสุขภาพที่ไม่ดี ปูตินได้ออกโทรทัศน์ เพื่อทำการขอโทษประชาชนที่เขาไม่สามารถรักษาชีวิตได้ทุกคน ……แต่รัสเซียจะไม่ยอมให้หน้าไหนมาหยาม..!! เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันได้บอกกับปูตินว่าสงครามได้มาในรูปแบบใหม่ ที่ได้ก้าวล่วงเข้ามาก่อกวนในประเทศ และที่นอกประเทศในขอบชายแดน ก็ขยายวงขึ้นเพราะการได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มที่ต้องการแบ่งแยกแผ่นดิน ปูตินไม่มีทางอื่น นอกจากต้องหักเท่านั้น……ไม่มีงอ ข่าวนี้……ทำให้ Aslan Maskhadov หัวหน้ากบฎเชเชนที่ได้ใช้ตัวแทนในโคเปนเฮเกน มาเสนอการเจรจาสันติภาพแบบไม่มีเงื่อนไข แต่ทางเครมลิน……ปฏิเสธ ไม่เจรจา แถมยังประกาศจับตัวแทนเจรจา Ahmed Zakayev(อดีตรองนายกรัฐมนตรีเชเชน และ เป็นฝ่ายโปรกบฏ) เดนมาร์ก……จับตัวให้ แต่ไม่ส่งให้รัสเซีย เพราะข้อกล่าวหาทางรัสเซียที่พัวพันไปในเรื่องโรงละครด้วย คนที่ออกมารับหน้าในเรื่องโรงละคร คือ Shamil Basayev**(หัวหน้าใหญ่กลุ่มกบฏเชเชน) ที่ออกมาประกาศกร้าวว่า “นี่คือบทเรียนที่รัสเซียสมควรได้รับ..” ปูตินรับคำขู่ด้วยการขานรับ เล่นงานเชเชนหนักขึ้น ฝ่ายโลกเสรีได้ยิงคำถามในเรื่องการใช้อาวุธด้วยการฝังทุ่นระเบิดไปทั่ว เขาตอบว่า “ ในวินาทีนี้ ใครก็ตามที่นับถือศาสนาคริสต์ ล้วนแต่ตกอยู่ในอันตราย แต่ถ้าจะเปลี่ยนเป็นมุสลิม……ก็ไม่รอด เพราะเขาเชื่อว่าการตายคือการไปพบพระเจ้า…ไม่ใช่หรือ……?!! และต่อด้วยภาษานักเลงสุดๆ กับนักข่าวที่ถาม (จนบางคนไม่กล้าแปล…) ว่า…… “ ถ้าคุณตัดสินใจอยากจะเป็นมุสลิมอย่างที่พวกเขาเป็น และพร้อมที่จะไปพบกับพระเจ้า…ขอเชิญไปที่มอสโคว์ เพราะพวกเราไม่ใช่ประชาธิปไตยเต็มตัว และรับรองได้ว่า เรามีสารพัดวิธีที่คุณจะไม่เติบโตต่อไปอีก………” **Shamil Basayev ผู้ก่อการร้ายตัวยง ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ร้ายที่ทั้งโลกต้องการตัว เขาเป็นคนวางแผนเรื่องโรงละคร และการวางระเบิดเครื่องบินรัสเซีย เขาได้ถูกสังหารด้วยระเบิดกับดักที่มากับรถบรรทุก ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2006 Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1400 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาร่วมแสดงความยินดีกับท่านนายกรัฐมนตรีพี่ปูหน่อยค่าาาา….ติ่งขาาาาา……!!!!

    ตอนเก้า………บุญหล่นทับ……จนนักเลงสายลับรับแทบไม่ทัน……!!!

    จากกรณีท่านอัยการ ทำให้มีการปลดออกอีกหลายคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง บางคนก็มีการไว้หน้า เช่น เสนอให้ไปทำงานที่สถานทูตที่เดนมาร์คบ้าง ฟินแลนด์บ้าง
    และเยลซินได้มอบหมายให้ปูตินดูแลรับผิดชอบในฝ่ายอารักขาส่วนตัวควบคู่ไปกับเป็นผู้อำนวยการของ FSB
    ปูตินได้ถือโอกาสนี้…ขออำนาจเด็ดขาดในการบริหารงานและตัดสินใจ
    ซึ่งเขาก็ได้ตามนั้น
    นั่นเท่ากับ……ปูตินได้เข้ามาอยู่ใน”วงใน” ของเยลซินไปโดยปริยาย ในระยะเวลาเพียงสองปีครึ่งของการทำงานในมอสโคว์
    แต่เวลาในการผงาดของปูติน มันเป็นเวลาเดียวกันกับความอ่อนเปลี้ยของเยลซิน ที่รุมเร้าด้วยสุขภาพ และความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีกกับการทำงานที่ไร้ประสิทธิภาพของทีมที่เลือกมา

    วันที่ 5 มีนาคม 1999 ได้เกิดเหตุขึ้น นายพล Gennady Shpigun แห่งกระทรวงกลาโหม ที่ได้มีภาระกิจที่เมือง Grozny, Chechen (Chechen Republic of Ichkeria) ได้ถูกลักพาตัวไปเมื่อทันที่ที่ถึงสนามบิน โดยกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ใส่หน้ากากคลุมหน้าคลุมตา พร้อมอาวุธเต็มพิกัด
    โดยปรกติสถานะการณ์ในเชเชนนั้น ร้อนระอุมาตั้งแต่หลังจากที่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นเอกราชในปี 1991 จากรัสเซีย แต่ก็เป็นแบบครึ่งๆกลางๆ
    การต่อต้านจึงลุกฮือขึ้นอีก ในปี 1993 เยลซินจึงให้นายพล Lebed ขี้เก๊กยกทัพไปปราบ
    แต่ปรากฏว่าแพ้ยับกลับมาในปี 1996
    ทางเชเชนก็เสียหายไม่น้อย บ้านเมืองพังพินาศ
    ทำได้แค่สงบศึก ต่างคนต่างอยู่
    เพราะต่างก็เสียทหารไปจำนวนมาก แต่รัสเซียยังคอยแทรกแซง หรือกำไว้แบบหลวม……
    จึงได้เกิดขบวนการต่อต้านรัสเซีย ที่ก่อความไม่สงบ มีการจับตัวคนนั้นคนนี้ไปบ่อยๆ
    เพียงแต่คราวนี้เหิมเกริม……อุกอาจจับตัวรัฐมนตรีกลาโหมไป พร้อมเรียกร้องค่าไถ่ตัวถึง สิบห้าล้านยูเอสดอลล่าร์
    ตามาด้วยการระเบิดที่ใจกลางเมือง Vladikavkas ทางคอเคซัส มีคนตายถึง 60 คน

    เยลซินสั่งการให้ปูตินและ Seigei Stepashin นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งมาหมาดๆ ( แทน Yevgeny Primakov) ให้ไปดูสถานะการณ์ที่เมือง Vladikavkas โดยด่วน
    เพื่อไปพบกับ Aslan Maskhadov ประธานาธิบดีเชเชนที่ยังมีสัมพันธภาพที่ดีกับรัสเซีย
    การไปพบครั้งนี้ อัสลานได้มีทีท่าแปลกๆ เขาพูดว่า
    “ได้ข่าวมาว่า ทางรัสเซียได้มอบหมายให้”หน่วยงานพิเศษ” จะเข้ามาปฎิบัติการสังหารผม เพื่อที่จะได้เป็นข้ออ้างที่จะประกาศเป็นสถานะการณ์ฉุกเฉิน แล้วยกทัพเข้ามาควบคุมพื้นที่ ……”
    ปูตินได้ยินดังนั้น…โกรธจนหูกระดิก เพราะไอ้หน่วยงานพิเศษที่ว่านั้น มันก็หมายถึง FSB ที่เขาดูแลอยู่
    และอีกประการหนึ่ง ในเรื่องที่รัสเซียแพ้สงครามในเชเชนทั้งๆที่มีกำลังมากกว่าถึงสามเท่านั้น มันก็น่าอับอายพออยู่แล้ว
    เป็นอันว่า….เรื่องการเจรจานั้น……เลิกคิดไปได้เลย
    ถึงแม้ว่า……จะตระหนักดีในความจริงที่ว่า รัสเซียจะไม่ได้รบกับกบฏเชเชน แต่…มันอาจจะเป็นการรบกับ NATO ศัตรูดั้งเดิมก็ได้
    ที่ทำให้ปูตินต้องหาทางเจรจากับเยลซิน……

    ฝ่ายกลาโหมได้ตั้งรับแนวปะทะ ฝ่ายกบฏเชเชนได้ล่วงล้ำไปใน Dagestan และได้รับข่าวร้ายว่าได้พบกับร่างที่หมดลมหายใจของนายพล Shpigun ที่ถูกลักพาตัวไปแล้ว

    ทางกองทัพรัสเซียได้ทำการเตรียมการมาตั้งแต่เดือนมีนาคม
    ปูตินได้เดินทางไปพบกับกองกำลังของรัสเซียที่รัฐดาเกสถาน
    หลายครั้งเพื่อความมั่นใจว่า แม่ทัพ Anatoly Kvashnin มีความพร้อม

    วันที่ 5 สิงหาคม เยลซินได้มีคำสั่งให้ปูตินเข้าพบในบ้านพัก
    ชายขอบกรุงมอสโคว์
    พอนั่งลงเสร็จ เยลซินได้จ้องหน้าปูติน และกล่าวขึ้นมาว่า
    “ฉันตัดสินใจแล้วนะ ที่เรียกเธอมาในวันนี้ คือ ฉันอยากจะแต่งตั้งเธอให้เป็นนายกรัฐมนตรี…”
    ปูตินเงียบไปอึดใจหนึ่ง ฟังเยลซินได้บรรยายปัญหาของภาระของรัสเซียแบกไว้ในคอเคซัส
    ให้ปูตินฟัง ถึงเรื่อง เศรษฐกิจ สภาพเงินเฟ้อ และที่เขากังวลเป็นอย่างมากคือ ปัญหาของโครงสร้างและบุคลากรสภาที่ไม่แข็งแรงพอกับการที่จะมีเลือกตั้งในสี่เดือนข้างหน้า
    เขาเคยมีความหวังกับ Yury Luzhkov หรือไม่ก็ Yevgeny Primakov
    แต่ต้องมาพบกับหลังบ้านของ Luzhkov ทำธุรกิจที่อิงการเมือง
    จนร่ำรวยมหาศาล ในขณะที่บ้านเมืองยังอยู่ในสภาพอดมื้อกินมื้อ
    แถมตัวสามี Yury ก็เถียงแทนเมียฉอดๆ ว่า
    “ก็ชั้นทำงานให้กับเครมลิน…ไม่ได้ทำเพื่อชาติ…”

    เยลซินถามขึ้นมาว่า
    “เธอจะทำได้ไหม ทำในสิ่งที่ฉันต้องการที่จะเห็น นั่นคือ พาประเทศชาติของเราให้เจริญอยู่ยงอย่างแข็งแรงต่อไป..”
    ปูตินอึกอัก “กระผมไม่แน่ใจ เรื่องงาน กระผมไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น
    แต่ถ้าจะต้องไปหาเสียง……ไปโฆษณาตัวเอง กระผมไม่ชอบ”
    “นั่นไม่ต้องห่วงอะไรทั้งสิ้น เป็นธุระของทางเราเอง”
    “ถ้าเช่นนั้น ก็แล้วแต่ท่านจะกรุณา…”
    “ไม่ต้องกังวล เธอเตรียมตัวไว้ได้เลย เพราะเธอจะไปไกลกว่านี้แน่นอน”

    วันที่ 9 สิงหาคม เยลซินได้ออกทีวี ประกาศว่า
    “เราได้เลือกได้บุคคลที่เหมาะสมที่จะมาทำงานรับใช้ประเทศชาติแล้ว ขอให้ท่านเชื่อใจได้เลยว่า เขาเป็นคนที่มีประสบการณ์อย่างมากมาย
    และมีความสามารถเหลือล้น”

    ข่าวนี้ได้สร้างความฮือฮาประหลาดใจกับทุกคนในเครมลิน ที่ส่วนใหญ่มองไปในด้านลบ เพราะ ปูตินไอ้หน้าจืดเนี่ยนะ………นายกรัฐมนตรี ?!!!
    มีประสบการณ์อะไรมา……นี่เท่ากับว่าส่งมาลงนรก หมดอนาคตต่อไปเชียว
    อย่างมากก็สามเดือน จะถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้…?!!
    ช่วงนั้นเป็นช่วงที่หนักหน่วงของปูติน เพราะวลาดิเมียร์ผู้พ่ออยู่ในสภาพเจ็บหนัก ที่เขาต้องไปเยี่ยมเดือนละครั้งหรือสองครั้ง ส่วนมาเรีย มารดาได้จากไปเมื่อสองปีที่แล้ว
    และทุกครั้งที่พ่อเห็นเขา…พ่อจะพูดว่า ….”ลูกชายของพ่อ เจ้าช่างเหมือนกับซาร์เลยเชียวนะ……”
    วลาดิเมียร์ได้ถึงแก่กรรมในวันที่ 2 สิงหาคม ไม่ทันที่จะได้รับรู้ว่าลูกชายจะได้เป็นถึงนายกรัฐมนตรีในกาลอันใกล้

    ปูตินเองก็มานั่งทบทวนดู ว่า อนาคตเขาอาจจะไม่ต่างไปจากเหล่าอดีตนายกรัฐมนตรีคนอื่นๆของเยลซิน ที่ล้วนมีอายุราชการสั้น สามเดือน หกเดือน เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นกับ Stepashin, Ptimakov และ Kiriyenko
    แต่อีกใจหนึ่ง เขาก็คิดว่า ช่างมันประไร เขามีอายุเพียงสี่สิบหก
    และจะได้รับงานที่เป็นการท้าทายความสามารถ มีอำนาจเด็ดขาด
    ที่จะได้ทำในสิ่งที่อยากทำ โดยเฉพาะเรื่องสงครามที่เชเชน ที่เขาจะต้องกู้ชื่อเสียงกลับมาให้ได้ …
    เท่ากับว่า……เขาไม่ได้ลงทุนอะไรเลย และเขาได้คิดถึงในสมัยที่ยังเป็นเด็กหนุ่มที่วิ่งเข้าวิ่งออกในอาคารสงเคราะห์ ที่ไม่เคยกลัวใคร
    ไม่เคยรอเสียเวลาในการถกเถียง….เปิดฉากปะทะก่อนทุกครั้ง…
    และครั้งนี้…ในคอเคซัส….เขาจะไปให้พวกมันเห็นว่านรกมีจริงงงง……!!!

    ปูตินได้รับการผ่านในการเสนอชื่อในสภาเพื่อเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 16 สิงหาคม
    สิ่งแรกที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่หมาดๆทำ คือ แต่งตัวลำลอง บินไปชายแดนเชเชน ไปพบปะพูดคุยกับทหารหาญ ไปมอบเหรียญกล้าหาญ

    ทางฝ่ายกบฏเชเชนได้ทำการท้าทายอำนาจใหม่อย่างเหิมเกริม นั่นคือการวางระเบิดอพาร์ตเมนต์ในเมือง Volgodonsk มีคนเสียชีวิตนับสิบ

    วันที่ 23 สิงหาคม ฝูงบินจากรัสเซียส่งเข้าไปถล่มถึงกลางกรุง Grozny
    ถล่มโรงกลั่นน้ำมันจนราบเป็นหน้ากลอง เป็นการถล่มแบบนอกตำรายุทธการ เพราะมาแบบล้างแค้นสถานเดียว
    ปูตินอยู่สังเกตการณ์ทั้งหมด มีนักข่าวไปถามว่า
    “บอมบ์เพื่อหวังผลอะไร..?”
    ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน เพราะปูตินพูดจาด้วยภาษานักเลงแบบที่ได้ยินตามมุมถนน เขาตอบว่า
    “เบื่อโคตรๆ ที่ต้องมาตอบอะไรซ้ำซากแบบนี้ เราถล่มเฉพาะจุดที่เรารู้ว่าพวกไอ้เลวนั่นมันสุมหัวอยู่กัน โทษทีนะ ถ้าพบว่ามันนั่งอยู่ในส้วม ก็จะส่งมันลงท่อไปตรงนั้นเลย…”

    หลังจากที่ถล่มจนราบแล้ว วันที่ 29 กันยายน ปูตินได้ถามกับ ประธานาธิบดีเชเชน Aslan Maskhadov ว่า..
    “ถ้านายพร้อมที่จะเจรจา……เรามีทางเลือกให้สถานเดียวคือ ส่งตัวไอ้อาชญากรสงคราม Basayev กับ Khattab และไอ้พวกหัวกระทิตามบัญชีรายชื่อทั้งหลายมา และ นี่ไม่ใช่ข้อแลกเปลี่ยน……แต่เป็นคำสั่ง..!!”
    ทางอัสลาน ก็ได้แต่ปฏิเสธ บอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการวางระเบิด……
    และเรื่องที่จะส่งตัว คนพวกนั้นก็ทำไม่ได้อีก เพราะมันจะกลายเป็นการหักหลังกัน…”
    คือสรุปว่า….เขาเลือกที่จะอยู่ตรงข้ามกับรัสเซีย

    วันรุ่งขึ้น…กองทัพรัสเซียกว่า แปดหมื่นนายบุกประชิดเชเชน มีสำรองไว้อีก 93,000 แทบจะเป็นขนาดเดียวกันกับที่รัสเซียบุกอาฟกานิสถาน ที่ใหญ่กว่าเชเชนสี่สิบเท่า…
    วันที่ 1 ตุลาคม รัสเซียไม่ยอมรับรัฐบาลของอัสลาน
    วันที่ 5 ตุลาคม…รัสเซียเข้าครองพื้นที่กว่าครึ่งของทางเหนือ และ วันต่อมาก็ข้ามแม่น้ำไปยังเมืองหลวง Grozny
    ปูตินไม่ยอมเสียกำลังทหารในการบุก
    เขาให้สัมภาษณ์ว่า……
    เราใช้การส่งฝูงบินโจมตีเป็นส่วนใหญ่ ส่วนทหาร เอาไว้เข้าตามเก็บกวาดให้เรียบ เพราะการรบสมัยใหม่นี้
    มีเครื่องทุ่นแรงเยอะ ไม่ใช่อย่างสมัยสงครามโลก……”
    นักข่าวถามว่า “ ถ้าฝูงบินไม่สำเร็จผลล่ะ……”
    “เราก็ชนะอยู่ดี………เพราะในตำราของเรา……ไม่มีคำว่า…ถ้า……”

    *** สงครามเชเชนครั้งนี้คือครั้งที่สอง จาก ครั้งแรกในปี1996
    ครั้งนี้เริ่มในวันที่ 7 สิงหาคม 1999 ถึง 30 เมษายน 2000
    ที่รัสเซียได้ชัยชนะ……
    แต่ยังมีการปราบปรามกลุ่มต่อต้าน ที่มารูปของการก่อวินาศกรรมอีก ตั้งแต่ ปี 2000-2009 ที่หัวหน้าใหญ่อย่าง Aslan Maskhadov (อดีตประธานาธิบดี) ที่หนีไปอยู่ในถ้ำ ยังถูกตามเก็บจนหมด ส่วนเหล่าลูกน้องก็สลายตัวไปปนอยู่ในกลุ่มของ ISIS
    บัดนี้ คือ สาธารณรัฐเชเชน (หรือ เซซเนีย) คือ สาธารณรัฐหนึ่งของรัสเซีย ที่มี นายกรัฐมนตรี คือ Ramzan Kadyrov เป็นลูกชายของอดีตประธานาธิบดีคนแรกของเชเชน Akhmad Kadyrov ที่ได้มีโอกาสเป็น ประธานาธิบดีเพียงไม่กี่เดือน ก็ถูกลอบสังหาร..

    NATO ได้ยื่นมือเข้ามาตามเคยในการที่จะเรียกร้องหาความยุติธรรม และเรื่องเจรจาสงบศึก ทางรัสเซียก็ย้อนกลับไปว่า แล้วกองทัพนาโต้ที่เข้าไปบอมบ์ Kosovo เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน (1999) มีชาวยูโกสลาฟตายกว่า 500 คน
    ไหนล่ะ…ความยุติธรรม……???

    Wiwanda W. Vichit
    มาร่วมแสดงความยินดีกับท่านนายกรัฐมนตรีพี่ปูหน่อยค่าาาา….ติ่งขาาาาา……!!!! ตอนเก้า………บุญหล่นทับ……จนนักเลงสายลับรับแทบไม่ทัน……!!! จากกรณีท่านอัยการ ทำให้มีการปลดออกอีกหลายคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง บางคนก็มีการไว้หน้า เช่น เสนอให้ไปทำงานที่สถานทูตที่เดนมาร์คบ้าง ฟินแลนด์บ้าง และเยลซินได้มอบหมายให้ปูตินดูแลรับผิดชอบในฝ่ายอารักขาส่วนตัวควบคู่ไปกับเป็นผู้อำนวยการของ FSB ปูตินได้ถือโอกาสนี้…ขออำนาจเด็ดขาดในการบริหารงานและตัดสินใจ ซึ่งเขาก็ได้ตามนั้น นั่นเท่ากับ……ปูตินได้เข้ามาอยู่ใน”วงใน” ของเยลซินไปโดยปริยาย ในระยะเวลาเพียงสองปีครึ่งของการทำงานในมอสโคว์ แต่เวลาในการผงาดของปูติน มันเป็นเวลาเดียวกันกับความอ่อนเปลี้ยของเยลซิน ที่รุมเร้าด้วยสุขภาพ และความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีกกับการทำงานที่ไร้ประสิทธิภาพของทีมที่เลือกมา วันที่ 5 มีนาคม 1999 ได้เกิดเหตุขึ้น นายพล Gennady Shpigun แห่งกระทรวงกลาโหม ที่ได้มีภาระกิจที่เมือง Grozny, Chechen (Chechen Republic of Ichkeria) ได้ถูกลักพาตัวไปเมื่อทันที่ที่ถึงสนามบิน โดยกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ใส่หน้ากากคลุมหน้าคลุมตา พร้อมอาวุธเต็มพิกัด โดยปรกติสถานะการณ์ในเชเชนนั้น ร้อนระอุมาตั้งแต่หลังจากที่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นเอกราชในปี 1991 จากรัสเซีย แต่ก็เป็นแบบครึ่งๆกลางๆ การต่อต้านจึงลุกฮือขึ้นอีก ในปี 1993 เยลซินจึงให้นายพล Lebed ขี้เก๊กยกทัพไปปราบ แต่ปรากฏว่าแพ้ยับกลับมาในปี 1996 ทางเชเชนก็เสียหายไม่น้อย บ้านเมืองพังพินาศ ทำได้แค่สงบศึก ต่างคนต่างอยู่ เพราะต่างก็เสียทหารไปจำนวนมาก แต่รัสเซียยังคอยแทรกแซง หรือกำไว้แบบหลวม…… จึงได้เกิดขบวนการต่อต้านรัสเซีย ที่ก่อความไม่สงบ มีการจับตัวคนนั้นคนนี้ไปบ่อยๆ เพียงแต่คราวนี้เหิมเกริม……อุกอาจจับตัวรัฐมนตรีกลาโหมไป พร้อมเรียกร้องค่าไถ่ตัวถึง สิบห้าล้านยูเอสดอลล่าร์ ตามาด้วยการระเบิดที่ใจกลางเมือง Vladikavkas ทางคอเคซัส มีคนตายถึง 60 คน เยลซินสั่งการให้ปูตินและ Seigei Stepashin นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งมาหมาดๆ ( แทน Yevgeny Primakov) ให้ไปดูสถานะการณ์ที่เมือง Vladikavkas โดยด่วน เพื่อไปพบกับ Aslan Maskhadov ประธานาธิบดีเชเชนที่ยังมีสัมพันธภาพที่ดีกับรัสเซีย การไปพบครั้งนี้ อัสลานได้มีทีท่าแปลกๆ เขาพูดว่า “ได้ข่าวมาว่า ทางรัสเซียได้มอบหมายให้”หน่วยงานพิเศษ” จะเข้ามาปฎิบัติการสังหารผม เพื่อที่จะได้เป็นข้ออ้างที่จะประกาศเป็นสถานะการณ์ฉุกเฉิน แล้วยกทัพเข้ามาควบคุมพื้นที่ ……” ปูตินได้ยินดังนั้น…โกรธจนหูกระดิก เพราะไอ้หน่วยงานพิเศษที่ว่านั้น มันก็หมายถึง FSB ที่เขาดูแลอยู่ และอีกประการหนึ่ง ในเรื่องที่รัสเซียแพ้สงครามในเชเชนทั้งๆที่มีกำลังมากกว่าถึงสามเท่านั้น มันก็น่าอับอายพออยู่แล้ว เป็นอันว่า….เรื่องการเจรจานั้น……เลิกคิดไปได้เลย ถึงแม้ว่า……จะตระหนักดีในความจริงที่ว่า รัสเซียจะไม่ได้รบกับกบฏเชเชน แต่…มันอาจจะเป็นการรบกับ NATO ศัตรูดั้งเดิมก็ได้ ที่ทำให้ปูตินต้องหาทางเจรจากับเยลซิน…… ฝ่ายกลาโหมได้ตั้งรับแนวปะทะ ฝ่ายกบฏเชเชนได้ล่วงล้ำไปใน Dagestan และได้รับข่าวร้ายว่าได้พบกับร่างที่หมดลมหายใจของนายพล Shpigun ที่ถูกลักพาตัวไปแล้ว ทางกองทัพรัสเซียได้ทำการเตรียมการมาตั้งแต่เดือนมีนาคม ปูตินได้เดินทางไปพบกับกองกำลังของรัสเซียที่รัฐดาเกสถาน หลายครั้งเพื่อความมั่นใจว่า แม่ทัพ Anatoly Kvashnin มีความพร้อม วันที่ 5 สิงหาคม เยลซินได้มีคำสั่งให้ปูตินเข้าพบในบ้านพัก ชายขอบกรุงมอสโคว์ พอนั่งลงเสร็จ เยลซินได้จ้องหน้าปูติน และกล่าวขึ้นมาว่า “ฉันตัดสินใจแล้วนะ ที่เรียกเธอมาในวันนี้ คือ ฉันอยากจะแต่งตั้งเธอให้เป็นนายกรัฐมนตรี…” ปูตินเงียบไปอึดใจหนึ่ง ฟังเยลซินได้บรรยายปัญหาของภาระของรัสเซียแบกไว้ในคอเคซัส ให้ปูตินฟัง ถึงเรื่อง เศรษฐกิจ สภาพเงินเฟ้อ และที่เขากังวลเป็นอย่างมากคือ ปัญหาของโครงสร้างและบุคลากรสภาที่ไม่แข็งแรงพอกับการที่จะมีเลือกตั้งในสี่เดือนข้างหน้า เขาเคยมีความหวังกับ Yury Luzhkov หรือไม่ก็ Yevgeny Primakov แต่ต้องมาพบกับหลังบ้านของ Luzhkov ทำธุรกิจที่อิงการเมือง จนร่ำรวยมหาศาล ในขณะที่บ้านเมืองยังอยู่ในสภาพอดมื้อกินมื้อ แถมตัวสามี Yury ก็เถียงแทนเมียฉอดๆ ว่า “ก็ชั้นทำงานให้กับเครมลิน…ไม่ได้ทำเพื่อชาติ…” เยลซินถามขึ้นมาว่า “เธอจะทำได้ไหม ทำในสิ่งที่ฉันต้องการที่จะเห็น นั่นคือ พาประเทศชาติของเราให้เจริญอยู่ยงอย่างแข็งแรงต่อไป..” ปูตินอึกอัก “กระผมไม่แน่ใจ เรื่องงาน กระผมไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น แต่ถ้าจะต้องไปหาเสียง……ไปโฆษณาตัวเอง กระผมไม่ชอบ” “นั่นไม่ต้องห่วงอะไรทั้งสิ้น เป็นธุระของทางเราเอง” “ถ้าเช่นนั้น ก็แล้วแต่ท่านจะกรุณา…” “ไม่ต้องกังวล เธอเตรียมตัวไว้ได้เลย เพราะเธอจะไปไกลกว่านี้แน่นอน” วันที่ 9 สิงหาคม เยลซินได้ออกทีวี ประกาศว่า “เราได้เลือกได้บุคคลที่เหมาะสมที่จะมาทำงานรับใช้ประเทศชาติแล้ว ขอให้ท่านเชื่อใจได้เลยว่า เขาเป็นคนที่มีประสบการณ์อย่างมากมาย และมีความสามารถเหลือล้น” ข่าวนี้ได้สร้างความฮือฮาประหลาดใจกับทุกคนในเครมลิน ที่ส่วนใหญ่มองไปในด้านลบ เพราะ ปูตินไอ้หน้าจืดเนี่ยนะ………นายกรัฐมนตรี ?!!! มีประสบการณ์อะไรมา……นี่เท่ากับว่าส่งมาลงนรก หมดอนาคตต่อไปเชียว อย่างมากก็สามเดือน จะถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้…?!! ช่วงนั้นเป็นช่วงที่หนักหน่วงของปูติน เพราะวลาดิเมียร์ผู้พ่ออยู่ในสภาพเจ็บหนัก ที่เขาต้องไปเยี่ยมเดือนละครั้งหรือสองครั้ง ส่วนมาเรีย มารดาได้จากไปเมื่อสองปีที่แล้ว และทุกครั้งที่พ่อเห็นเขา…พ่อจะพูดว่า ….”ลูกชายของพ่อ เจ้าช่างเหมือนกับซาร์เลยเชียวนะ……” วลาดิเมียร์ได้ถึงแก่กรรมในวันที่ 2 สิงหาคม ไม่ทันที่จะได้รับรู้ว่าลูกชายจะได้เป็นถึงนายกรัฐมนตรีในกาลอันใกล้ ปูตินเองก็มานั่งทบทวนดู ว่า อนาคตเขาอาจจะไม่ต่างไปจากเหล่าอดีตนายกรัฐมนตรีคนอื่นๆของเยลซิน ที่ล้วนมีอายุราชการสั้น สามเดือน หกเดือน เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นกับ Stepashin, Ptimakov และ Kiriyenko แต่อีกใจหนึ่ง เขาก็คิดว่า ช่างมันประไร เขามีอายุเพียงสี่สิบหก และจะได้รับงานที่เป็นการท้าทายความสามารถ มีอำนาจเด็ดขาด ที่จะได้ทำในสิ่งที่อยากทำ โดยเฉพาะเรื่องสงครามที่เชเชน ที่เขาจะต้องกู้ชื่อเสียงกลับมาให้ได้ … เท่ากับว่า……เขาไม่ได้ลงทุนอะไรเลย และเขาได้คิดถึงในสมัยที่ยังเป็นเด็กหนุ่มที่วิ่งเข้าวิ่งออกในอาคารสงเคราะห์ ที่ไม่เคยกลัวใคร ไม่เคยรอเสียเวลาในการถกเถียง….เปิดฉากปะทะก่อนทุกครั้ง… และครั้งนี้…ในคอเคซัส….เขาจะไปให้พวกมันเห็นว่านรกมีจริงงงง……!!! ปูตินได้รับการผ่านในการเสนอชื่อในสภาเพื่อเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 16 สิงหาคม สิ่งแรกที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่หมาดๆทำ คือ แต่งตัวลำลอง บินไปชายแดนเชเชน ไปพบปะพูดคุยกับทหารหาญ ไปมอบเหรียญกล้าหาญ ทางฝ่ายกบฏเชเชนได้ทำการท้าทายอำนาจใหม่อย่างเหิมเกริม นั่นคือการวางระเบิดอพาร์ตเมนต์ในเมือง Volgodonsk มีคนเสียชีวิตนับสิบ วันที่ 23 สิงหาคม ฝูงบินจากรัสเซียส่งเข้าไปถล่มถึงกลางกรุง Grozny ถล่มโรงกลั่นน้ำมันจนราบเป็นหน้ากลอง เป็นการถล่มแบบนอกตำรายุทธการ เพราะมาแบบล้างแค้นสถานเดียว ปูตินอยู่สังเกตการณ์ทั้งหมด มีนักข่าวไปถามว่า “บอมบ์เพื่อหวังผลอะไร..?” ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน เพราะปูตินพูดจาด้วยภาษานักเลงแบบที่ได้ยินตามมุมถนน เขาตอบว่า “เบื่อโคตรๆ ที่ต้องมาตอบอะไรซ้ำซากแบบนี้ เราถล่มเฉพาะจุดที่เรารู้ว่าพวกไอ้เลวนั่นมันสุมหัวอยู่กัน โทษทีนะ ถ้าพบว่ามันนั่งอยู่ในส้วม ก็จะส่งมันลงท่อไปตรงนั้นเลย…” หลังจากที่ถล่มจนราบแล้ว วันที่ 29 กันยายน ปูตินได้ถามกับ ประธานาธิบดีเชเชน Aslan Maskhadov ว่า.. “ถ้านายพร้อมที่จะเจรจา……เรามีทางเลือกให้สถานเดียวคือ ส่งตัวไอ้อาชญากรสงคราม Basayev กับ Khattab และไอ้พวกหัวกระทิตามบัญชีรายชื่อทั้งหลายมา และ นี่ไม่ใช่ข้อแลกเปลี่ยน……แต่เป็นคำสั่ง..!!” ทางอัสลาน ก็ได้แต่ปฏิเสธ บอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการวางระเบิด…… และเรื่องที่จะส่งตัว คนพวกนั้นก็ทำไม่ได้อีก เพราะมันจะกลายเป็นการหักหลังกัน…” คือสรุปว่า….เขาเลือกที่จะอยู่ตรงข้ามกับรัสเซีย วันรุ่งขึ้น…กองทัพรัสเซียกว่า แปดหมื่นนายบุกประชิดเชเชน มีสำรองไว้อีก 93,000 แทบจะเป็นขนาดเดียวกันกับที่รัสเซียบุกอาฟกานิสถาน ที่ใหญ่กว่าเชเชนสี่สิบเท่า… วันที่ 1 ตุลาคม รัสเซียไม่ยอมรับรัฐบาลของอัสลาน วันที่ 5 ตุลาคม…รัสเซียเข้าครองพื้นที่กว่าครึ่งของทางเหนือ และ วันต่อมาก็ข้ามแม่น้ำไปยังเมืองหลวง Grozny ปูตินไม่ยอมเสียกำลังทหารในการบุก เขาให้สัมภาษณ์ว่า…… เราใช้การส่งฝูงบินโจมตีเป็นส่วนใหญ่ ส่วนทหาร เอาไว้เข้าตามเก็บกวาดให้เรียบ เพราะการรบสมัยใหม่นี้ มีเครื่องทุ่นแรงเยอะ ไม่ใช่อย่างสมัยสงครามโลก……” นักข่าวถามว่า “ ถ้าฝูงบินไม่สำเร็จผลล่ะ……” “เราก็ชนะอยู่ดี………เพราะในตำราของเรา……ไม่มีคำว่า…ถ้า……” *** สงครามเชเชนครั้งนี้คือครั้งที่สอง จาก ครั้งแรกในปี1996 ครั้งนี้เริ่มในวันที่ 7 สิงหาคม 1999 ถึง 30 เมษายน 2000 ที่รัสเซียได้ชัยชนะ…… แต่ยังมีการปราบปรามกลุ่มต่อต้าน ที่มารูปของการก่อวินาศกรรมอีก ตั้งแต่ ปี 2000-2009 ที่หัวหน้าใหญ่อย่าง Aslan Maskhadov (อดีตประธานาธิบดี) ที่หนีไปอยู่ในถ้ำ ยังถูกตามเก็บจนหมด ส่วนเหล่าลูกน้องก็สลายตัวไปปนอยู่ในกลุ่มของ ISIS บัดนี้ คือ สาธารณรัฐเชเชน (หรือ เซซเนีย) คือ สาธารณรัฐหนึ่งของรัสเซีย ที่มี นายกรัฐมนตรี คือ Ramzan Kadyrov เป็นลูกชายของอดีตประธานาธิบดีคนแรกของเชเชน Akhmad Kadyrov ที่ได้มีโอกาสเป็น ประธานาธิบดีเพียงไม่กี่เดือน ก็ถูกลอบสังหาร.. NATO ได้ยื่นมือเข้ามาตามเคยในการที่จะเรียกร้องหาความยุติธรรม และเรื่องเจรจาสงบศึก ทางรัสเซียก็ย้อนกลับไปว่า แล้วกองทัพนาโต้ที่เข้าไปบอมบ์ Kosovo เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน (1999) มีชาวยูโกสลาฟตายกว่า 500 คน ไหนล่ะ…ความยุติธรรม……??? Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 948 มุมมอง 0 รีวิว
  • ได้ยินเสียงเหมือนมีคนมาคอยหน้าวิก……แต่งองค์ทรงเครื่องพี่ปูเสร็จแล้วค่าาาา…………เชิด…!!!!!!

    ตอนแปด…………มารไม่มี……บารมีไม่เกิด……!!!

    ท่านนายกฯหนุ่ม Kiriyenko ได้พาปูตินไปที่ สำนักงานใหญ่ FSB ที่ตั้งอยู่บนถนน Lubyanka, Moscow ในวันที่ 27 กรกฎาคม 1998 เพื่อไปทำความรู้จักกับ
    Nikolai Kovalyov ผู้อำนวยการคนเก่าที่เพิ่งรู้ตัวว่าถูกปลดออกจากตำแหน่งก็เพราะทีวีออกข่าว ท่านนายกฯได้กล่าวสั้นๆว่า “เปลี่ยนสถานะการณ์……ก็ต้องเปลี่ยนคน……”
    นิโคไล……รับสภาพการเปลี่ยนนั้นได้ดี เขาพาปูตินไปที่ห้องทำงานและได้มอบเอกสารลับทั้งหมดให้ และย้ำว่า เอกสารพวกนี้เป็นยิ่งกว่าอาวุธ……

    การปรับตำแหน่งใหม่แบบก้าวกระโดดนี้ เป็นเรื่องใหญ่มาก
    ทุกคนพุ่งความสนใจไปยัง วลาดิเมียร์ ปูติน ……ใครๆก็อยากรู้ว่า เขาเป็นใคร……มาได้อย่างไร?
    สองวันต่อมา ปูตินจึงได้อนุญาตให้หนังสือพิมพ์ Kommersant เข้ามาทำการสัมภาษณ์ เพื่อที่จะบอกวัตถุประสงค์หลักในการทำงาน
    เขาให้การสัมภาษณ์ว่า……เขามุ่งไปที่การทำงานที่มีประสิทธิภาพที่เขาหวังว่าจะได้รับจากผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคน และองค์กรนี้จะไม่ตกเป็นเครื่องมือของนักการเมือง หรือ พวกสุดโต่งทุกสายพันธุ์ และจะระวังเข้มในเรื่องการแทรกแซงของสายลับต่างชาติ
    เมื่อถูกถามเรื่องใช้อินเตอร์เน็ต (สอดแนมประชาชน)
    คำตอบคือ ไม่ถึงขนาดนั้น……แต่ต้องเข้าใจด้วยว่า การใช้อินเทอร์เน็ตมันก็คือความมั่นคงของชาติอีกโสดหนึ่ง……

    การมาของปูตินได้สร้างความหวั่นไหวไปทั้งองค์กร โดยเฉพาะพวกกลุ่มสายลับเก่าสมัยยุค KGB โอนมาเป็น FSB ที่มองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร เพราะมาจากถิ่นอื่น (เลนินกราด) ยังอายุน้อย และเป็นแค่ “พันโท”
    (โดยปรกติต้องเป็นนายพล) สุดท้าย คือ สถานภาพของปูตินในยามนั้น
    เขาคือนายทหารนอกประจำการ

    ทั้งหมดนี้……ทำให้เกิดความท้าทายและลองดี รวมทั้งคอยดูว่าจะไปรอดหรือไม่……!!!

    วันที่ 1 สิงหาคม หลังจากที่เยลซินกลับมาจากการพักร้อน เขาเรียกให้ปูตินเข้าพบเพื่อถามไถ่ความคืบหน้า และได้เสนอหลักการว่า ควรจะต้องทำงานอย่างตรงไปตรงมา อย่าใช้ระบบการเมืองในการปกครอง
    เยลซินอยากให้ปูตินกลับเข้าไปรับราชการใหม่ โดยเสนอยศพลตรีให้……
    แต่ปูตินปฏิเสธ เพราะเขาคิดถึงอดีตในวันที่เขาลาออก เป็นวันเดียวกับวันนี้ คือ 1 สิงหาคม (1991) มันไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องแบกยศเอาไว้
    เขาจึงบอกว่า
    “ผมอยากเป็นประชาชนธรรมดาดีกว่า ไม่ต้องมีพรรคมีพวก ไม่ต้องเห็นแก่หน้าใคร ในการที่จะควบคุมองค์กรขนาดนี้ หัวโขนไม่ใช่สิ่งจำเป็น”
    สรุปว่า……ปูตินคือผู้อำนายการคนแรกและคนสุดท้ายของ FSB ที่เป็นคนธรรมดา……!!!

    งานแรก……เขาจัดห้องที่ทำงานในห้องอื่นที่ไม่ใช่ห้องเดิมตามตำแหน่ง
    แต่เขาได้จัดห้องนั้นให้เป็นพิพิธภัณฑ์ เพราะมันเป็นห้องที่เคยเป็นที่ทำงานของ Lavrenty Beria (จอมเชือดในยุคสตาลิน)
    ต่อมา คือ การตัดงบ จาก สายลับหกพันนาย เหลือ สี่พันนาย
    แผนกไหน……ไม่มีผลงาน ยุบ……

    วันที่ 20 สิงหาคม เขาได้ทำงานยังไม่ถึงเดือน นักข่าวจากเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก นาย Anatoly Levin ผันตัวมาเป็นบรรณาธิการและเจ้าของได้เปิดตัวหนังสือพิมพ์ใหม่ ในชื่อว่า Legal Petersburg Today
    ตัวนายเลวินเอง……ไม่มีเงินทองอะไรที่จะมาเป็นทุนรอน แต่เขามีผู้สนับสนุนรายใหญ่ คือ Boris Berezovsky ที่เป็นมหาเศรษฐีที่คอยจับจ้องเกาะติดผู้มีอำนาจเพื่อผลประโยชน์ เขาทำทุกอย่างเพื่อที่จะใช้เป็นอาวุธ (ทั้ง soft และ direct power)
    เขาใช้เลวิน เพื่อที่จะเป็นกระบอกเสียงในการดิสเครดิตทุกคนที่ขวางเส้นทางเขา หรือ เพื่อที่จะใช้ให้มาสยบในอำนาจของเขา

    เลวินเล่นข่าวใหญ่ประเดิมทันที พาดหัวว่า “ วลาดิเมียร์ ปูติน คนเหนือกฏหมาย สู่ FSB” ในเนื้อข่าว คือการโจมตีที่ อนาโตลีที่ได้หลบหนีออกไปนอกประเทศได้ เพราะการช่วยเหลือของ ปูติน ที่ปัจจุบันได้ดิบได้ดีมาเป็นผู้อำนวยการ FSB
    หลังจากนั้นก็มีข่าวออกมาว่า มีลูกน้องของปูตินได้เข้าไปพบปะเจรจากับบก.ฝ่ายข่าว ซึ่งได้บอกไปว่า เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาของคนหนังสือพิมพ์ ไม่กี่วัน คนก็ลืม…!!

    แต่เผอิญว่า.……มันไม่เงียบ เพราะ ค่ำวันหนึ่ง เลวินกลับไปที่อพาร์ตเมนต์
    เขาแวะไปเปิดตู้จดหมาย ทันใดนั้น มีชายสองคนพุ่งตัวมาจากทางด้านหลัง กระหน่ำตีเขาด้วยท่อนเหล็ก และปล่อยให้นอนจมกองเลือดอยู่ที่หน้าอพาร์ตเมนต์……
    เขาถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล และเสียชีวิตในสองวันต่อมา

    เหตุอุบัติแบบนี้……ในเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก มีเกิดขึ้นรายวัน เพราะเป็นดงมาเฟีย แต่เรื่องมันไม่เงียบ……เพราะเลวินเป็นนักข่าว สมาคมนักข่าวจึงถือเป็นเรื่องใหญ่ในการคุกคามเสรีภาพสื่อ
    ชื่อของ ปูติน และ บอริส เกี่ยวกับเรื่องฆาตกรรมนี้บนหน้าหนึ่งอยู่หลายวัน
    (นี่เป็นแค่ปฐมฤกษ์………จะมีตามอีกเรื่อยๆ…)
    เพียงแต่……ไม่มีใครสามารถหาเส้นสายที่จะโยงไปถึงปูตินว่ามีส่วนเกี่ยวข้องได้

    สามวันหลังจากที่เลวินได้จากโลกนี้ไป สภาพเศรษฐกิจของรัสเซียล้มครืนลงจริงๆ หลังจากที่จวนเจียนไหวคลอนมาเรื่อยๆ จนสุดที่จะยื้อ
    ในวันที่ 21 สิงหาคม สภามีมติขอให้เยลซินลาออก…
    แต่เยลซิน…ยังวางเฉย เขาปลดนายกฯหนุ่ม คิริเยงโก ออกจากตำแหน่งในสองวันต่อมา หวังที่จะทอนกระแส..
    แล้วเยลซินคิดที่จะเอาอดีตนายกรัฐมนตรี Viktor Chernomydrin มาเป็นนายกรัฐมนตรีขัดตาทัพ
    แต่ข่าวว่าจะมีการปฏิวัตเริ่มหนาหู ฝ่ายโปรคอมมิวนิสต์ที่ช่วยกันกระจาย สร้างข่าวลวงรายวันและใช้โอกาสนี้ กล่าวโทษยิว พร้อมส่งคำอาฆาต
    มีข่าวว่าฝ่ายความมั่นคงทั้งหมดได้มีการเตรียมพร้อม ในการรับมือ
    ประชาชนเริ่มแตกตื่น หวาดกลัว

    วันที่ 1 กันยายน ปูติน พร้อมหน่วยFSB ที่ยืนเรียงรายอยู่เป็นฉากหลังประกาศออกทีวีว่า
    “ไม่มีการเตรียมพร้อมอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างปรกติ แต่ใครก็ตามที่ทำตัวเป็นพิษเป็นภัยกับความมั่นคงและฝ่าฝืนกฎหมาย ผมไม่รับรองในความปลอดภัย……”

    วันที่ 11 กันยายน สภามีมติที่จะให้นาย Yevgeny Primakov อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศมานั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
    พรีมาคอฟ คืออดีตนักข่าวที่ทำงานในตะวันออกกลางมานานถึงสิบสี่ปี และได้ทำงานให้กับ KGB ในสายต่างประเทศ ทั้งที่ตะวันออกกลางและอเมริกา หลังจากที่โซเวียตได้สลายตัวลงในปี 1991
    เขาได้มารับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ
    การที่ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ เขาคิดที่จะรื้อฟื้นโครงสร้างยุทธการสามเหลี่ยม……คือ รัสเซีย จีน อินเดีย เพื่อที่จะถ่วงดุลย์อำนาจกับสหรัฐอเมริกา
    ทฤษฎีนี้……เขาได้เขียนไว้นานแล้ว ในชื่อว่า Primakov doctrine…!!
    แต่การที่จะทำงานได้สำเร็จ เขาจะต้องมีแรงสนับสนุนจาก FSB
    (เพราะนี่คือ……สงครามเย็น)
    หากแต่……เขายังไม่แน่ใจกับปูตินและทีมที่มาจาก เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก
    ว่าเขาจะพึ่งพาทำงานด้วยได้มากน้อยแค่ไหน……

    ส่วนปูติน……ต้องเจอกับศึกหนักอีกครั้ง ในวันที่ 17 พฤศจิกายน
    มีกลุ่มชายกลุ่มหนึ่ง จำนวนหกคน สี่คนใส่หน้ากากดำใส่แว่น ส่วนอีกสองคน เปิดหน้าตาชัดเจน คือ Aleksandr Litvitnenko และ Mikhaïl Trepashkin ทั้งหมดทั้งที่ปิดหน้าและไม่ปิด คือ เจ้าหน้าที่ในหน่วย FSB
    ที่ได้เปิดการจัดรายการพบปะนักข่าว……เพื่อที่จะแฉ ชี้ความผิดในองค์กร
    ที่ทำงานว่ามีการคอร์รัปชั่น มีขบวนการสร้างความแตกแยก มีการทำอาชญากรรม มีการเกี่ยวข้องกับกลุ่มมาเฟีย…
    แต่เรื่องนี้……ไม่ได้เกี่ยวข้องกับปูตินโดยตรง เพราะเป็นเหตุที่เกิดขึ้นก่อนที่เขามารับตำแหน่ง
    ที่เกี่ยวข้องเต็มๆ คือ อเล็กซานเดอร์ ได้เป็นตัวแทนที่นำเสนอว่า เขาได้พยายามหาทางเจรจากับปูตินแล้ว แต่ไม่สามารถพบได้
    ส่งเอกสารไปกี่ชุด……ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ ไม่เคยสนใจ และไม่ช่วยแก้ไขปัญหา……

    สองอาทิตย์ต่อมา ปูตินได้เรียกอเล็กซานเดอร์ไปพบที่ห้องทำงาน
    ที่เขาไปพบพร้อมเอกสารปึกโต เข้าไปพบว่า ปูตินนั่งอยู่คนเดียวในห้องทำงาน ไม่มีผู้ช่วยอยู่ด้วยเหมือนเช่นเคย
    ปูตินลุกขึ้นมาจับมือทักทาย คุยด้วย ปรกติ
    แต่อเล็กซานเดอร์ไปเล่าให้ภรรยาฟังว่า………ผมเห็นแววตาเขาชัดเจนเลย ว่า เขาเกลียดผม……!!

    วันที่ 19 พฤศจิกายน ปูตินออกรายการในโทรทัศน์ เพื่อแถลงในการข้อพิสูจน์หาความเป็นจริงจากเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชน
    ว่า ไม่พบหลักฐานที่สามารถบ่งบอกได้ชัดเจน ทุกอย่างเป็นเพียงปากคำ
    พล็อตเรื่องออกแนวนิยายเด็ก การกระทำก็เป็นเด็ก เพราะเรียกประชุมนักข่าว ใส่หน้ากาก แต่บอกชื่อเสียงเรียงนาม………(สาบานว่าเป็นสายลับ……)
    ที่ขำๆ คือ ตบท้าย…ปูตินเล่าว่า อดีตภรรยาของหนึ่งในสี่คนที่ใส่หน้ากาก หลังจากวันพบปะกับนักข่าวในวันนั้น โทรมาหาปูติน บอกว่า
    “ท่านคะ ช่วยทวงค่าเลี้ยงดูจากไอ้นั่นให้หน่อย ไม่ได้จ่ายมาหลายเดือนแล้ว……”
    ปูติน…เลยบอกว่า “ตรงนี้ต่างหาก……ที่ผิดกฎหมายเต็มๆ”

    เยลซินเรียกปูตินเข้าพบ……เพื่อถามถึงเรื่องนี้
    ปูตินเลยเปิดอกพูด…บอกว่า ถ้าคนในองค์กรจะทำความผิด มันก็เป็นอีหรอบเดียวกันกับกลุ่มคนในรัฐบาลเท่าที่เห็นอยู่ในวันนี้ แต่……สิ่งที่อเล็กซานเดอร์และพวกทำลงไป (ที่จัดแถลงข่าว) นั่นถือเป็นความผิดที่ร้ายแรงต่อสัตยาบันของหน่วยงาน เพราะ หน้าที่ของหน่วยงานคือต้องรักษาความลับขององค์กร ถ้ามีปัญหา……ก็ต้องแก้ไขในองค์กร
    ไม่ใช่ไปเที่ยวป่าวประกาศ……

    ปูตินรู้ตัวดีว่า จะหาคนรักหรือพวกพ้องคนยาก เพราะเขาได้วางระบบเข้ม ตั้งแต่เรื่องการลดเจ้าหน้าที่ การใส่ร้ายป้ายสี การขัดขาขัดแข้ง
    และที่ร้ายคือ……ข่าวจาก เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ที่ส่งมาว่า
    Galina Starovoitova นักเคลื่อนไหวสาวเพื่อสิทธิของชนกลุ่มน้อย ได้ถูกสังหารไปเมื่อไม่กี่วันนี้
    หล่อนมีส่วนเกี่ยวข้องกับปูติน ก็คือเรื่องที่ขานรับกับเลวินในกรณีที่กล่าวหาว่า ปูตินได้ทำผิดกฏหมายในเรื่องช่วยเหลืออนาโตลีให้หนีคดีออกไปยังฝรั่งเศส
    ที่พลอยทำให้ปูติน……อยู่ในกลุ่มผู้ต้องสงสัยไปด้วย

    วันที่ 15 ธันวาคม ที่ปูตินได้พบกับเยลซินอีกครั้ง ที่จะหารือกันเรื่องของการฆาตกรรมนี้ ……และเรื่องกระแสการต่อต้านบอริส และเรื่องงานของปูตินที่หลายคนไม่พอใจเพราะต้องตกงาน……
    ปูตินจึงสรุปให้เยลซินฟังว่า……ข่าวลือทั้งหลายนั้น มาจากวงในของท่านทั้งหมด มันมาทุกรูปแบบ แบบโยนหินถามทางบ้าง หรือโยนลงบนหัวชาวบ้านบ้าง เพราะไม่มีใครรักษากฎระเบียบ การควบคุมก็หย่อนยาน
    และที่ออกข่าวลวงๆกันทุกวันนี้ ก็เพราะทุกคนกลัว กลัวที่จะต้องถูกตรวจสอบ และกระผมจะเรียนท่านให้ทราบตรงนี้เลย ว่า เมื่อไหร่ที่ท่านลงจากตำแหน่ง……ผมก็ขอลาออก…!!!

    แต่……ก่อนที่ท่านจะจากไป และก่อนที่ปูตินจะลาออก……ก็ต้องแสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์กันก่อน
    ในช่วงนั้นรัฐบาลของเยลซินกำลังโดนไล่บี้ในเรื่องทุจริต สินบน ที่ทีมอัยการนำโดย Yuri Skuratov เป็นหัวหน้าทีมในการสอบสวน เพราะเยลซินจะหมดวาระในปีรุ่งขึ้น คือ ปี 2000
    นั่นหมายถึงทุกคนจะต้องโดนคดีกันระนาวเพราะในช่วงที่เศรษฐกิจเสื่อมถอยนั้น รัฐบาลของเยลซินได้ทำทุกอย่างที่จะผันเงิน แม้แต่เงินของ IMF ก็ใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์
    รวมทั้งหน่วยงาน FSB ทั้งระบบด้วย
    ถึงแม้อาจจะไม่เกี่ยวกับปูตินเท่าไหร่ในฐานะที่มาทีหลัง
    แต่……เรื่องนี้เกี่ยวกับหน่วยงานภาษีของอิตาลี, สวิตเซอร์แลนด์ และ คาริบเบียนด้วย……
    เดือนมกราคม 1999 วันหนึ่งก่อนที่ท่านอัยการยูริจะนำเอกสารทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการศาล
    คืนนั้น……สถานีโทรทัศน์แห่งชาติได้ออกรายการ “สามคนบนเตียง” ที่มีความยาวร่วมชั่วโมงสู่สายตาของประชาชน ที่มีทั้งหนุ่มสาว เด็กเล็ก คนชรา……
    เป็นกิจกรรมบนเตียงของชายหนึ่ง หญิงสอง แม้ว่าจะไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ (ขาว-ดำ) แต่พอเห็นได้ว่า ฝ่ายชายคือ ท่านอัยการยูริ
    และมีเสียงสนทนาด้วย……หนึ่งในสองสาว ถามว่า “คุณชื่ออะไร?”
    ฝ่ายชายตอบว่า…”ยูรา” (เป็นชื่อเล่นของ ยูริ)

    วันต่อมา เยลซินจึงเรียกยูริขึ้นพบ ถามถึงเรื่องกิจกรรมสามคนผัวเมีย……ผลคือ ท่านอัยการต้องเซ็นใบลาออกตรงนั้นเลย……
    เรื่องการที่จะเอาผิดเยลซินก็จบลงแค่นั้น…

    ทั้งหมดคือฝีมือของหน่วยงาน “Kompromat” ในสังกัดของ FSB ของปูตินที่มีหน้าที่ในการ blackmail โดยเฉพาะ…!!

    Wiwanda W. Vichit
    ได้ยินเสียงเหมือนมีคนมาคอยหน้าวิก……แต่งองค์ทรงเครื่องพี่ปูเสร็จแล้วค่าาาา…………เชิด…!!!!!! ตอนแปด…………มารไม่มี……บารมีไม่เกิด……!!! ท่านนายกฯหนุ่ม Kiriyenko ได้พาปูตินไปที่ สำนักงานใหญ่ FSB ที่ตั้งอยู่บนถนน Lubyanka, Moscow ในวันที่ 27 กรกฎาคม 1998 เพื่อไปทำความรู้จักกับ Nikolai Kovalyov ผู้อำนวยการคนเก่าที่เพิ่งรู้ตัวว่าถูกปลดออกจากตำแหน่งก็เพราะทีวีออกข่าว ท่านนายกฯได้กล่าวสั้นๆว่า “เปลี่ยนสถานะการณ์……ก็ต้องเปลี่ยนคน……” นิโคไล……รับสภาพการเปลี่ยนนั้นได้ดี เขาพาปูตินไปที่ห้องทำงานและได้มอบเอกสารลับทั้งหมดให้ และย้ำว่า เอกสารพวกนี้เป็นยิ่งกว่าอาวุธ…… การปรับตำแหน่งใหม่แบบก้าวกระโดดนี้ เป็นเรื่องใหญ่มาก ทุกคนพุ่งความสนใจไปยัง วลาดิเมียร์ ปูติน ……ใครๆก็อยากรู้ว่า เขาเป็นใคร……มาได้อย่างไร? สองวันต่อมา ปูตินจึงได้อนุญาตให้หนังสือพิมพ์ Kommersant เข้ามาทำการสัมภาษณ์ เพื่อที่จะบอกวัตถุประสงค์หลักในการทำงาน เขาให้การสัมภาษณ์ว่า……เขามุ่งไปที่การทำงานที่มีประสิทธิภาพที่เขาหวังว่าจะได้รับจากผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคน และองค์กรนี้จะไม่ตกเป็นเครื่องมือของนักการเมือง หรือ พวกสุดโต่งทุกสายพันธุ์ และจะระวังเข้มในเรื่องการแทรกแซงของสายลับต่างชาติ เมื่อถูกถามเรื่องใช้อินเตอร์เน็ต (สอดแนมประชาชน) คำตอบคือ ไม่ถึงขนาดนั้น……แต่ต้องเข้าใจด้วยว่า การใช้อินเทอร์เน็ตมันก็คือความมั่นคงของชาติอีกโสดหนึ่ง…… การมาของปูตินได้สร้างความหวั่นไหวไปทั้งองค์กร โดยเฉพาะพวกกลุ่มสายลับเก่าสมัยยุค KGB โอนมาเป็น FSB ที่มองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร เพราะมาจากถิ่นอื่น (เลนินกราด) ยังอายุน้อย และเป็นแค่ “พันโท” (โดยปรกติต้องเป็นนายพล) สุดท้าย คือ สถานภาพของปูตินในยามนั้น เขาคือนายทหารนอกประจำการ ทั้งหมดนี้……ทำให้เกิดความท้าทายและลองดี รวมทั้งคอยดูว่าจะไปรอดหรือไม่……!!! วันที่ 1 สิงหาคม หลังจากที่เยลซินกลับมาจากการพักร้อน เขาเรียกให้ปูตินเข้าพบเพื่อถามไถ่ความคืบหน้า และได้เสนอหลักการว่า ควรจะต้องทำงานอย่างตรงไปตรงมา อย่าใช้ระบบการเมืองในการปกครอง เยลซินอยากให้ปูตินกลับเข้าไปรับราชการใหม่ โดยเสนอยศพลตรีให้…… แต่ปูตินปฏิเสธ เพราะเขาคิดถึงอดีตในวันที่เขาลาออก เป็นวันเดียวกับวันนี้ คือ 1 สิงหาคม (1991) มันไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องแบกยศเอาไว้ เขาจึงบอกว่า “ผมอยากเป็นประชาชนธรรมดาดีกว่า ไม่ต้องมีพรรคมีพวก ไม่ต้องเห็นแก่หน้าใคร ในการที่จะควบคุมองค์กรขนาดนี้ หัวโขนไม่ใช่สิ่งจำเป็น” สรุปว่า……ปูตินคือผู้อำนายการคนแรกและคนสุดท้ายของ FSB ที่เป็นคนธรรมดา……!!! งานแรก……เขาจัดห้องที่ทำงานในห้องอื่นที่ไม่ใช่ห้องเดิมตามตำแหน่ง แต่เขาได้จัดห้องนั้นให้เป็นพิพิธภัณฑ์ เพราะมันเป็นห้องที่เคยเป็นที่ทำงานของ Lavrenty Beria (จอมเชือดในยุคสตาลิน) ต่อมา คือ การตัดงบ จาก สายลับหกพันนาย เหลือ สี่พันนาย แผนกไหน……ไม่มีผลงาน ยุบ…… วันที่ 20 สิงหาคม เขาได้ทำงานยังไม่ถึงเดือน นักข่าวจากเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก นาย Anatoly Levin ผันตัวมาเป็นบรรณาธิการและเจ้าของได้เปิดตัวหนังสือพิมพ์ใหม่ ในชื่อว่า Legal Petersburg Today ตัวนายเลวินเอง……ไม่มีเงินทองอะไรที่จะมาเป็นทุนรอน แต่เขามีผู้สนับสนุนรายใหญ่ คือ Boris Berezovsky ที่เป็นมหาเศรษฐีที่คอยจับจ้องเกาะติดผู้มีอำนาจเพื่อผลประโยชน์ เขาทำทุกอย่างเพื่อที่จะใช้เป็นอาวุธ (ทั้ง soft และ direct power) เขาใช้เลวิน เพื่อที่จะเป็นกระบอกเสียงในการดิสเครดิตทุกคนที่ขวางเส้นทางเขา หรือ เพื่อที่จะใช้ให้มาสยบในอำนาจของเขา เลวินเล่นข่าวใหญ่ประเดิมทันที พาดหัวว่า “ วลาดิเมียร์ ปูติน คนเหนือกฏหมาย สู่ FSB” ในเนื้อข่าว คือการโจมตีที่ อนาโตลีที่ได้หลบหนีออกไปนอกประเทศได้ เพราะการช่วยเหลือของ ปูติน ที่ปัจจุบันได้ดิบได้ดีมาเป็นผู้อำนวยการ FSB หลังจากนั้นก็มีข่าวออกมาว่า มีลูกน้องของปูตินได้เข้าไปพบปะเจรจากับบก.ฝ่ายข่าว ซึ่งได้บอกไปว่า เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาของคนหนังสือพิมพ์ ไม่กี่วัน คนก็ลืม…!! แต่เผอิญว่า.……มันไม่เงียบ เพราะ ค่ำวันหนึ่ง เลวินกลับไปที่อพาร์ตเมนต์ เขาแวะไปเปิดตู้จดหมาย ทันใดนั้น มีชายสองคนพุ่งตัวมาจากทางด้านหลัง กระหน่ำตีเขาด้วยท่อนเหล็ก และปล่อยให้นอนจมกองเลือดอยู่ที่หน้าอพาร์ตเมนต์…… เขาถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล และเสียชีวิตในสองวันต่อมา เหตุอุบัติแบบนี้……ในเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก มีเกิดขึ้นรายวัน เพราะเป็นดงมาเฟีย แต่เรื่องมันไม่เงียบ……เพราะเลวินเป็นนักข่าว สมาคมนักข่าวจึงถือเป็นเรื่องใหญ่ในการคุกคามเสรีภาพสื่อ ชื่อของ ปูติน และ บอริส เกี่ยวกับเรื่องฆาตกรรมนี้บนหน้าหนึ่งอยู่หลายวัน (นี่เป็นแค่ปฐมฤกษ์………จะมีตามอีกเรื่อยๆ…) เพียงแต่……ไม่มีใครสามารถหาเส้นสายที่จะโยงไปถึงปูตินว่ามีส่วนเกี่ยวข้องได้ สามวันหลังจากที่เลวินได้จากโลกนี้ไป สภาพเศรษฐกิจของรัสเซียล้มครืนลงจริงๆ หลังจากที่จวนเจียนไหวคลอนมาเรื่อยๆ จนสุดที่จะยื้อ ในวันที่ 21 สิงหาคม สภามีมติขอให้เยลซินลาออก… แต่เยลซิน…ยังวางเฉย เขาปลดนายกฯหนุ่ม คิริเยงโก ออกจากตำแหน่งในสองวันต่อมา หวังที่จะทอนกระแส.. แล้วเยลซินคิดที่จะเอาอดีตนายกรัฐมนตรี Viktor Chernomydrin มาเป็นนายกรัฐมนตรีขัดตาทัพ แต่ข่าวว่าจะมีการปฏิวัตเริ่มหนาหู ฝ่ายโปรคอมมิวนิสต์ที่ช่วยกันกระจาย สร้างข่าวลวงรายวันและใช้โอกาสนี้ กล่าวโทษยิว พร้อมส่งคำอาฆาต มีข่าวว่าฝ่ายความมั่นคงทั้งหมดได้มีการเตรียมพร้อม ในการรับมือ ประชาชนเริ่มแตกตื่น หวาดกลัว วันที่ 1 กันยายน ปูติน พร้อมหน่วยFSB ที่ยืนเรียงรายอยู่เป็นฉากหลังประกาศออกทีวีว่า “ไม่มีการเตรียมพร้อมอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างปรกติ แต่ใครก็ตามที่ทำตัวเป็นพิษเป็นภัยกับความมั่นคงและฝ่าฝืนกฎหมาย ผมไม่รับรองในความปลอดภัย……” วันที่ 11 กันยายน สภามีมติที่จะให้นาย Yevgeny Primakov อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศมานั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พรีมาคอฟ คืออดีตนักข่าวที่ทำงานในตะวันออกกลางมานานถึงสิบสี่ปี และได้ทำงานให้กับ KGB ในสายต่างประเทศ ทั้งที่ตะวันออกกลางและอเมริกา หลังจากที่โซเวียตได้สลายตัวลงในปี 1991 เขาได้มารับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ การที่ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ เขาคิดที่จะรื้อฟื้นโครงสร้างยุทธการสามเหลี่ยม……คือ รัสเซีย จีน อินเดีย เพื่อที่จะถ่วงดุลย์อำนาจกับสหรัฐอเมริกา ทฤษฎีนี้……เขาได้เขียนไว้นานแล้ว ในชื่อว่า Primakov doctrine…!! แต่การที่จะทำงานได้สำเร็จ เขาจะต้องมีแรงสนับสนุนจาก FSB (เพราะนี่คือ……สงครามเย็น) หากแต่……เขายังไม่แน่ใจกับปูตินและทีมที่มาจาก เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ว่าเขาจะพึ่งพาทำงานด้วยได้มากน้อยแค่ไหน…… ส่วนปูติน……ต้องเจอกับศึกหนักอีกครั้ง ในวันที่ 17 พฤศจิกายน มีกลุ่มชายกลุ่มหนึ่ง จำนวนหกคน สี่คนใส่หน้ากากดำใส่แว่น ส่วนอีกสองคน เปิดหน้าตาชัดเจน คือ Aleksandr Litvitnenko และ Mikhaïl Trepashkin ทั้งหมดทั้งที่ปิดหน้าและไม่ปิด คือ เจ้าหน้าที่ในหน่วย FSB ที่ได้เปิดการจัดรายการพบปะนักข่าว……เพื่อที่จะแฉ ชี้ความผิดในองค์กร ที่ทำงานว่ามีการคอร์รัปชั่น มีขบวนการสร้างความแตกแยก มีการทำอาชญากรรม มีการเกี่ยวข้องกับกลุ่มมาเฟีย… แต่เรื่องนี้……ไม่ได้เกี่ยวข้องกับปูตินโดยตรง เพราะเป็นเหตุที่เกิดขึ้นก่อนที่เขามารับตำแหน่ง ที่เกี่ยวข้องเต็มๆ คือ อเล็กซานเดอร์ ได้เป็นตัวแทนที่นำเสนอว่า เขาได้พยายามหาทางเจรจากับปูตินแล้ว แต่ไม่สามารถพบได้ ส่งเอกสารไปกี่ชุด……ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ ไม่เคยสนใจ และไม่ช่วยแก้ไขปัญหา…… สองอาทิตย์ต่อมา ปูตินได้เรียกอเล็กซานเดอร์ไปพบที่ห้องทำงาน ที่เขาไปพบพร้อมเอกสารปึกโต เข้าไปพบว่า ปูตินนั่งอยู่คนเดียวในห้องทำงาน ไม่มีผู้ช่วยอยู่ด้วยเหมือนเช่นเคย ปูตินลุกขึ้นมาจับมือทักทาย คุยด้วย ปรกติ แต่อเล็กซานเดอร์ไปเล่าให้ภรรยาฟังว่า………ผมเห็นแววตาเขาชัดเจนเลย ว่า เขาเกลียดผม……!! วันที่ 19 พฤศจิกายน ปูตินออกรายการในโทรทัศน์ เพื่อแถลงในการข้อพิสูจน์หาความเป็นจริงจากเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ว่า ไม่พบหลักฐานที่สามารถบ่งบอกได้ชัดเจน ทุกอย่างเป็นเพียงปากคำ พล็อตเรื่องออกแนวนิยายเด็ก การกระทำก็เป็นเด็ก เพราะเรียกประชุมนักข่าว ใส่หน้ากาก แต่บอกชื่อเสียงเรียงนาม………(สาบานว่าเป็นสายลับ……) ที่ขำๆ คือ ตบท้าย…ปูตินเล่าว่า อดีตภรรยาของหนึ่งในสี่คนที่ใส่หน้ากาก หลังจากวันพบปะกับนักข่าวในวันนั้น โทรมาหาปูติน บอกว่า “ท่านคะ ช่วยทวงค่าเลี้ยงดูจากไอ้นั่นให้หน่อย ไม่ได้จ่ายมาหลายเดือนแล้ว……” ปูติน…เลยบอกว่า “ตรงนี้ต่างหาก……ที่ผิดกฎหมายเต็มๆ” เยลซินเรียกปูตินเข้าพบ……เพื่อถามถึงเรื่องนี้ ปูตินเลยเปิดอกพูด…บอกว่า ถ้าคนในองค์กรจะทำความผิด มันก็เป็นอีหรอบเดียวกันกับกลุ่มคนในรัฐบาลเท่าที่เห็นอยู่ในวันนี้ แต่……สิ่งที่อเล็กซานเดอร์และพวกทำลงไป (ที่จัดแถลงข่าว) นั่นถือเป็นความผิดที่ร้ายแรงต่อสัตยาบันของหน่วยงาน เพราะ หน้าที่ของหน่วยงานคือต้องรักษาความลับขององค์กร ถ้ามีปัญหา……ก็ต้องแก้ไขในองค์กร ไม่ใช่ไปเที่ยวป่าวประกาศ…… ปูตินรู้ตัวดีว่า จะหาคนรักหรือพวกพ้องคนยาก เพราะเขาได้วางระบบเข้ม ตั้งแต่เรื่องการลดเจ้าหน้าที่ การใส่ร้ายป้ายสี การขัดขาขัดแข้ง และที่ร้ายคือ……ข่าวจาก เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ที่ส่งมาว่า Galina Starovoitova นักเคลื่อนไหวสาวเพื่อสิทธิของชนกลุ่มน้อย ได้ถูกสังหารไปเมื่อไม่กี่วันนี้ หล่อนมีส่วนเกี่ยวข้องกับปูติน ก็คือเรื่องที่ขานรับกับเลวินในกรณีที่กล่าวหาว่า ปูตินได้ทำผิดกฏหมายในเรื่องช่วยเหลืออนาโตลีให้หนีคดีออกไปยังฝรั่งเศส ที่พลอยทำให้ปูติน……อยู่ในกลุ่มผู้ต้องสงสัยไปด้วย วันที่ 15 ธันวาคม ที่ปูตินได้พบกับเยลซินอีกครั้ง ที่จะหารือกันเรื่องของการฆาตกรรมนี้ ……และเรื่องกระแสการต่อต้านบอริส และเรื่องงานของปูตินที่หลายคนไม่พอใจเพราะต้องตกงาน…… ปูตินจึงสรุปให้เยลซินฟังว่า……ข่าวลือทั้งหลายนั้น มาจากวงในของท่านทั้งหมด มันมาทุกรูปแบบ แบบโยนหินถามทางบ้าง หรือโยนลงบนหัวชาวบ้านบ้าง เพราะไม่มีใครรักษากฎระเบียบ การควบคุมก็หย่อนยาน และที่ออกข่าวลวงๆกันทุกวันนี้ ก็เพราะทุกคนกลัว กลัวที่จะต้องถูกตรวจสอบ และกระผมจะเรียนท่านให้ทราบตรงนี้เลย ว่า เมื่อไหร่ที่ท่านลงจากตำแหน่ง……ผมก็ขอลาออก…!!! แต่……ก่อนที่ท่านจะจากไป และก่อนที่ปูตินจะลาออก……ก็ต้องแสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์กันก่อน ในช่วงนั้นรัฐบาลของเยลซินกำลังโดนไล่บี้ในเรื่องทุจริต สินบน ที่ทีมอัยการนำโดย Yuri Skuratov เป็นหัวหน้าทีมในการสอบสวน เพราะเยลซินจะหมดวาระในปีรุ่งขึ้น คือ ปี 2000 นั่นหมายถึงทุกคนจะต้องโดนคดีกันระนาวเพราะในช่วงที่เศรษฐกิจเสื่อมถอยนั้น รัฐบาลของเยลซินได้ทำทุกอย่างที่จะผันเงิน แม้แต่เงินของ IMF ก็ใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์ รวมทั้งหน่วยงาน FSB ทั้งระบบด้วย ถึงแม้อาจจะไม่เกี่ยวกับปูตินเท่าไหร่ในฐานะที่มาทีหลัง แต่……เรื่องนี้เกี่ยวกับหน่วยงานภาษีของอิตาลี, สวิตเซอร์แลนด์ และ คาริบเบียนด้วย…… เดือนมกราคม 1999 วันหนึ่งก่อนที่ท่านอัยการยูริจะนำเอกสารทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการศาล คืนนั้น……สถานีโทรทัศน์แห่งชาติได้ออกรายการ “สามคนบนเตียง” ที่มีความยาวร่วมชั่วโมงสู่สายตาของประชาชน ที่มีทั้งหนุ่มสาว เด็กเล็ก คนชรา…… เป็นกิจกรรมบนเตียงของชายหนึ่ง หญิงสอง แม้ว่าจะไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ (ขาว-ดำ) แต่พอเห็นได้ว่า ฝ่ายชายคือ ท่านอัยการยูริ และมีเสียงสนทนาด้วย……หนึ่งในสองสาว ถามว่า “คุณชื่ออะไร?” ฝ่ายชายตอบว่า…”ยูรา” (เป็นชื่อเล่นของ ยูริ) วันต่อมา เยลซินจึงเรียกยูริขึ้นพบ ถามถึงเรื่องกิจกรรมสามคนผัวเมีย……ผลคือ ท่านอัยการต้องเซ็นใบลาออกตรงนั้นเลย…… เรื่องการที่จะเอาผิดเยลซินก็จบลงแค่นั้น… ทั้งหมดคือฝีมือของหน่วยงาน “Kompromat” ในสังกัดของ FSB ของปูตินที่มีหน้าที่ในการ blackmail โดยเฉพาะ…!! Wiwanda W. Vichit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1327 มุมมอง 0 รีวิว