• หลุดข้อมูล Galaxy Book6 Pro ใช้ Intel Core Ultra Series 3 (Panther Lake) พร้อม iGPU Xe3 รุ่นใหม่!

    Samsung เตรียมเปิดตัว Galaxy Book6 Pro รุ่นใหม่ที่ใช้ซีพียู Intel Panther Lake Core Ultra Series 3 ซึ่งมาพร้อม iGPU Xe3 ที่แรงระดับ RTX 3050 และรองรับฟีเจอร์ AI เต็มรูปแบบ คาดเปิดตัวในช่วงต้นปี 2026

    ข้อมูลหลุดจาก Geekbench เผยว่า Galaxy Book6 Pro รุ่นใหม่จะใช้ซีพียู Intel Core Ultra 5 234V ซึ่งเป็นหนึ่งในรุ่นของแพลตฟอร์ม Panther Lake ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี Intel 18A อันล้ำสมัย โดยมีสเปกเบื้องต้นดังนี้:

    12-core CPU: 4 P-Cores + 8 E-Cores
    iGPU Xe3: 8 Xe cores พร้อมสถาปัตยกรรมใหม่
    NPU: รองรับฟีเจอร์ AI PC เต็มรูปแบบ
    Base clock: 3.8 GHz
    คะแนน Geekbench 6:
      • Single-core: 1,842
      • Multi-core: 9,628

    แม้คะแนนจะยังไม่สูงเท่ารุ่น Lunar Lake ที่ใช้ Core Ultra 7 268V แต่ก็ถือว่าแรงพอสำหรับงานทั่วไป, การเล่นเกมระดับกลาง และการประมวลผล AI เช่นการรัน LLM หรือ Copilot แบบออฟไลน์

    Galaxy Book6 Pro รุ่นใหม่นี้ยังคงดีไซน์บางเบาแบบ ultrabook แต่จะมีการปรับปรุงระบบระบายความร้อนและแบตเตอรี่ให้รองรับการทำงานของ NPU และ iGPU ที่ใช้พลังงานมากขึ้น

    ข้อมูลจากการหลุด Geekbench
    ใช้ Intel Core Ultra 5 234V (Panther Lake)
    12-core: 4P + 8E
    Base clock 3.8 GHz
    คะแนน Geekbench 6: 1,842 / 9,628

    จุดเด่นของ Panther Lake
    ผลิตด้วย Intel 18A node
    iGPU Xe3 รุ่นใหม่ แรงระดับ RTX 3050
    รองรับฟีเจอร์ AI PC ผ่าน NPU
    ประสิทธิภาพดีขึ้นในงาน AI และกราฟิก

    Galaxy Book6 Pro รุ่นใหม่
    ดีไซน์บางเบาแบบ ultrabook
    ปรับปรุงระบบระบายความร้อนและแบตเตอรี่
    คาดเปิดตัวต้นปี 2026

    https://wccftech.com/samsung-galaxy-book6-pro-intel-core-ultra-series-3-panther-lake-cpu-leak/
    🧠💻 หลุดข้อมูล Galaxy Book6 Pro ใช้ Intel Core Ultra Series 3 (Panther Lake) พร้อม iGPU Xe3 รุ่นใหม่! Samsung เตรียมเปิดตัว Galaxy Book6 Pro รุ่นใหม่ที่ใช้ซีพียู Intel Panther Lake Core Ultra Series 3 ซึ่งมาพร้อม iGPU Xe3 ที่แรงระดับ RTX 3050 และรองรับฟีเจอร์ AI เต็มรูปแบบ คาดเปิดตัวในช่วงต้นปี 2026 ข้อมูลหลุดจาก Geekbench เผยว่า Galaxy Book6 Pro รุ่นใหม่จะใช้ซีพียู Intel Core Ultra 5 234V ซึ่งเป็นหนึ่งในรุ่นของแพลตฟอร์ม Panther Lake ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี Intel 18A อันล้ำสมัย โดยมีสเปกเบื้องต้นดังนี้: 🎗️ 12-core CPU: 4 P-Cores + 8 E-Cores 🎗️ iGPU Xe3: 8 Xe cores พร้อมสถาปัตยกรรมใหม่ 🎗️ NPU: รองรับฟีเจอร์ AI PC เต็มรูปแบบ 🎗️ Base clock: 3.8 GHz 🎗️ คะแนน Geekbench 6:   • Single-core: 1,842   • Multi-core: 9,628 แม้คะแนนจะยังไม่สูงเท่ารุ่น Lunar Lake ที่ใช้ Core Ultra 7 268V แต่ก็ถือว่าแรงพอสำหรับงานทั่วไป, การเล่นเกมระดับกลาง และการประมวลผล AI เช่นการรัน LLM หรือ Copilot แบบออฟไลน์ Galaxy Book6 Pro รุ่นใหม่นี้ยังคงดีไซน์บางเบาแบบ ultrabook แต่จะมีการปรับปรุงระบบระบายความร้อนและแบตเตอรี่ให้รองรับการทำงานของ NPU และ iGPU ที่ใช้พลังงานมากขึ้น ✅ ข้อมูลจากการหลุด Geekbench ➡️ ใช้ Intel Core Ultra 5 234V (Panther Lake) ➡️ 12-core: 4P + 8E ➡️ Base clock 3.8 GHz ➡️ คะแนน Geekbench 6: 1,842 / 9,628 ✅ จุดเด่นของ Panther Lake ➡️ ผลิตด้วย Intel 18A node ➡️ iGPU Xe3 รุ่นใหม่ แรงระดับ RTX 3050 ➡️ รองรับฟีเจอร์ AI PC ผ่าน NPU ➡️ ประสิทธิภาพดีขึ้นในงาน AI และกราฟิก ✅ Galaxy Book6 Pro รุ่นใหม่ ➡️ ดีไซน์บางเบาแบบ ultrabook ➡️ ปรับปรุงระบบระบายความร้อนและแบตเตอรี่ ➡️ คาดเปิดตัวต้นปี 2026 https://wccftech.com/samsung-galaxy-book6-pro-intel-core-ultra-series-3-panther-lake-cpu-leak/
    WCCFTECH.COM
    Samsung Galaxy Book6 Pro With Intel Core Ultra Series 3 "Panther Lake" CPU Leaks Out
    Samsung's upcoming Galaxy Book6 Pro featuring the Intel Core Ultra Series 3 "Panther Lake" CPU has leaked out.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • Radeon 8060S โชว์พลัง! เกมเมอร์ตะลึงกับ iGPU บน Ryzen AI Max 395+ เล่นเกม 1080p ลื่นไหลทุกค่าย

    YouTuber ชื่อดัง RandomGaminginHD ได้ทดสอบ Minisforum MS-S1 Max ที่ใช้ APU รุ่นท็อป Ryzen AI Max 395+ พร้อม iGPU Radeon 8060S และผลลัพธ์ก็เกินคาด: เล่นเกม AAA ที่ 1080p ได้อย่างลื่นไหลโดยไม่ต้องใช้การ์ดจอแยก!

    Ryzen AI Max 395+ ถูกออกแบบมาเพื่อประมวลผลงาน AI แต่กลับกลายเป็น “สัตว์ร้าย” ด้านเกม ด้วย iGPU Radeon 8060S ที่มี 40 CUs และ 2,560 shader cores มากกว่า PlayStation 5 เสียอีก! แถมยังจับคู่กับ LPDDR5X บัส 256-bit ทำให้ประสิทธิภาพเทียบชั้น RTX 4060 ได้ในบางกรณี

    RandomGaminginHD ทดสอบเกมดังหลายเกมที่ 1080p และผลลัพธ์น่าทึ่ง:
    Counter Strike 2: 263 FPS
    Kingdom Come Deliverance 2: 90 FPS
    Red Dead Redemption 2: 82 FPS
    Battlefield 6: 86 FPS
    Cyberpunk 2077 (RT Ultra): 45 FPS
    GTA 5 Enhanced: 77 FPS
    Marvel Rivals: 79 FPS
    Elden Ring: 60 FPS (เต็มเพดานเกม)
    Borderlands 4: 55 FPS
    Outer Worlds 2: 65 FPS

    แม้บางเกมจะใช้การตั้งค่ากราฟิกต่ำหรือปิดฟีเจอร์บางอย่าง เช่น global illumination หรือ ray tracing แต่ก็ยังให้ประสบการณ์เล่นเกมที่ดีเกินคาดสำหรับ iGPU

    Ryzen AI Max 395+ ยังสามารถรัน LLM ขนาดใหญ่ได้ และมีประสิทธิภาพด้าน AI สูงกว่า RTX 4090 ถึง 2 เท่าในด้าน tokens per second ซึ่งทำให้มันกลายเป็น APU ที่ “เกินตัว” ทั้งด้านเกมและงาน AI

    Ryzen AI Max 395+ มาพร้อม iGPU Radeon 8060S
    มี 40 CUs และ 2,560 shader cores
    ใช้ LPDDR5X บัส 256-bit
    ประสิทธิภาพเทียบชั้น RTX 4060 ในบางกรณี

    จุดเด่นของ APU Ryzen AI Max 395+
    รัน LLM ได้ดีเยี่ยม
    ประสิทธิภาพด้าน AI สูงกว่า RTX 4090 ถึง 2 เท่า
    เหมาะกับงาน AI และเกมในเครื่องขนาดเล็ก

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/strix-halo-radeon-8060s-benchmarked-in-games-delivers-butter-smooth-1080p-performance-ryzen-ai-max-395-apu-is-a-pretty-solid-gaming-offering
    🎮🔥 Radeon 8060S โชว์พลัง! เกมเมอร์ตะลึงกับ iGPU บน Ryzen AI Max 395+ เล่นเกม 1080p ลื่นไหลทุกค่าย YouTuber ชื่อดัง RandomGaminginHD ได้ทดสอบ Minisforum MS-S1 Max ที่ใช้ APU รุ่นท็อป Ryzen AI Max 395+ พร้อม iGPU Radeon 8060S และผลลัพธ์ก็เกินคาด: เล่นเกม AAA ที่ 1080p ได้อย่างลื่นไหลโดยไม่ต้องใช้การ์ดจอแยก! Ryzen AI Max 395+ ถูกออกแบบมาเพื่อประมวลผลงาน AI แต่กลับกลายเป็น “สัตว์ร้าย” ด้านเกม ด้วย iGPU Radeon 8060S ที่มี 40 CUs และ 2,560 shader cores มากกว่า PlayStation 5 เสียอีก! แถมยังจับคู่กับ LPDDR5X บัส 256-bit ทำให้ประสิทธิภาพเทียบชั้น RTX 4060 ได้ในบางกรณี RandomGaminginHD ทดสอบเกมดังหลายเกมที่ 1080p และผลลัพธ์น่าทึ่ง: 🎗️ Counter Strike 2: 263 FPS 🎗️ Kingdom Come Deliverance 2: 90 FPS 🎗️ Red Dead Redemption 2: 82 FPS 🎗️ Battlefield 6: 86 FPS 🎗️ Cyberpunk 2077 (RT Ultra): 45 FPS 🎗️ GTA 5 Enhanced: 77 FPS 🎗️ Marvel Rivals: 79 FPS 🎗️ Elden Ring: 60 FPS (เต็มเพดานเกม) 🎗️ Borderlands 4: 55 FPS 🎗️ Outer Worlds 2: 65 FPS แม้บางเกมจะใช้การตั้งค่ากราฟิกต่ำหรือปิดฟีเจอร์บางอย่าง เช่น global illumination หรือ ray tracing แต่ก็ยังให้ประสบการณ์เล่นเกมที่ดีเกินคาดสำหรับ iGPU Ryzen AI Max 395+ ยังสามารถรัน LLM ขนาดใหญ่ได้ และมีประสิทธิภาพด้าน AI สูงกว่า RTX 4090 ถึง 2 เท่าในด้าน tokens per second ซึ่งทำให้มันกลายเป็น APU ที่ “เกินตัว” ทั้งด้านเกมและงาน AI ✅ Ryzen AI Max 395+ มาพร้อม iGPU Radeon 8060S ➡️ มี 40 CUs และ 2,560 shader cores ➡️ ใช้ LPDDR5X บัส 256-bit ➡️ ประสิทธิภาพเทียบชั้น RTX 4060 ในบางกรณี ✅ จุดเด่นของ APU Ryzen AI Max 395+ ➡️ รัน LLM ได้ดีเยี่ยม ➡️ ประสิทธิภาพด้าน AI สูงกว่า RTX 4090 ถึง 2 เท่า ➡️ เหมาะกับงาน AI และเกมในเครื่องขนาดเล็ก https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/strix-halo-radeon-8060s-benchmarked-in-games-delivers-butter-smooth-1080p-performance-ryzen-ai-max-395-apu-is-a-pretty-solid-gaming-offering
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 รีวิว
  • อินเทอร์เน็ตล่มทั่วโลก! Microsoft Azure ป่วนหนัก กระทบบริการนับสิบ

    เหตุการณ์ที่หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็น AWS ล่ม กลับกลายเป็นความผิดพลาดจาก Microsoft Azure ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อบริการออนไลน์ทั่วโลก ตั้งแต่ Xbox, Outlook, Google Cloud ไปจนถึงสายการบินและธนาคาร

    วันที่ 29 ตุลาคม 2025 เวลา 16:00 UTC Microsoft Azure เริ่มมีปัญหาที่ระบบ Azure Front Door (AFD) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการจัดการทราฟฟิก ส่งผลให้ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึง Azure Portal และบริการอื่น ๆ ได้ตามปกติ

    ในช่วงแรก หลายคนเข้าใจว่า AWS เป็นต้นเหตุ เพราะ Downdetector แสดงสัญญาณผิดปกติคล้ายกับเหตุการณ์ AWS ล่มเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ในที่สุด Microsoft ก็ออกมายืนยันว่า Azure คือผู้ก่อเหตุครั้งนี้

    ผลกระทบลุกลามไปทั่วโลก ทั้งในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร บริการที่ได้รับผลกระทบมีทั้ง Microsoft 365, Xbox, Minecraft, Outlook, Google Cloud, Zoom, Starbucks, ธนาคาร และแม้แต่สายการบินอย่าง Alaska Airlines ที่ต้องให้ผู้โดยสารเช็กอินด้วยตนเองที่สนามบิน

    Microsoft ระบุว่า สาเหตุเกิดจากการเปลี่ยนแปลงค่าคอนฟิกโดยไม่ตั้งใจ และกำลังดำเนินการแก้ไขโดยการย้อนกลับไปใช้ค่าคอนฟิกเดิม พร้อมบล็อกการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดชั่วคราว

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันเดียวกับที่ Microsoft มีกำหนดจัดประชุมรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส ยิ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นไปอีก

    นี่คือบทเรียนสำคัญว่า “อินเทอร์เน็ตไม่ได้แข็งแกร่งเท่าที่เราคิด” และในโลกที่ทุกอย่างเชื่อมโยงกัน ความผิดพลาดเล็ก ๆ อาจกลายเป็นหายนะระดับโลกได้ในพริบตา

    Microsoft Azure ล่มทั่วโลกจากปัญหา Azure Front Door
    เริ่มต้นเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2025 เวลา 16:00 UTC
    ส่งผลให้บริการหลายตัวไม่สามารถเข้าถึงได้
    Microsoft ยืนยันว่าเป็นการเปลี่ยนค่าคอนฟิกโดยไม่ตั้งใจ

    บริการที่ได้รับผลกระทบ
    Microsoft 365, Xbox, Minecraft, Outlook
    Google Cloud, Zoom, Starbucks, Capital One
    สายการบิน Alaska Airlines และ Hawaiian Airlines
    ธนาคารในสหราชอาณาจักร เช่น NatWest, Nationwide, RBS

    การแก้ไขของ Microsoft
    ย้อนกลับค่าคอนฟิกไปยังสถานะเดิม
    บล็อกการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดชั่วคราว
    แนะนำให้ใช้ Azure Traffic Manager เป็นทางเลือกในการ failover

    ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ
    ความล้มเหลวของ Azure ส่งผลกระทบถึง DNS และ CDN
    แสดงให้เห็นถึงช่องโหว่ด้านความยืดหยุ่นของโครงสร้างพื้นฐาน

    ความเสี่ยงจากการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์เพียงเจ้าเดียว
    เมื่อระบบล่ม อาจกระทบบริการหลายล้านคนพร้อมกัน
    ธุรกิจที่ไม่มีแผนสำรองอาจสูญเสียรายได้มหาศาล

    การตั้งค่าระบบโดยไม่มีการตรวจสอบหลายชั้น
    การเปลี่ยนแปลงค่าคอนฟิกเพียงครั้งเดียวอาจสร้างผลกระทบระดับโลก
    ควรมีระบบตรวจสอบและจำลองผลก่อนใช้งานจริง

    https://www.tomshardware.com/news/live/aws-outage-strikes-again-colossal-internet-breakdown-strikes-again
    🌐💥 อินเทอร์เน็ตล่มทั่วโลก! Microsoft Azure ป่วนหนัก กระทบบริการนับสิบ เหตุการณ์ที่หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็น AWS ล่ม กลับกลายเป็นความผิดพลาดจาก Microsoft Azure ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อบริการออนไลน์ทั่วโลก ตั้งแต่ Xbox, Outlook, Google Cloud ไปจนถึงสายการบินและธนาคาร วันที่ 29 ตุลาคม 2025 เวลา 16:00 UTC Microsoft Azure เริ่มมีปัญหาที่ระบบ Azure Front Door (AFD) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการจัดการทราฟฟิก ส่งผลให้ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึง Azure Portal และบริการอื่น ๆ ได้ตามปกติ ในช่วงแรก หลายคนเข้าใจว่า AWS เป็นต้นเหตุ เพราะ Downdetector แสดงสัญญาณผิดปกติคล้ายกับเหตุการณ์ AWS ล่มเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ในที่สุด Microsoft ก็ออกมายืนยันว่า Azure คือผู้ก่อเหตุครั้งนี้ ผลกระทบลุกลามไปทั่วโลก ทั้งในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร บริการที่ได้รับผลกระทบมีทั้ง Microsoft 365, Xbox, Minecraft, Outlook, Google Cloud, Zoom, Starbucks, ธนาคาร และแม้แต่สายการบินอย่าง Alaska Airlines ที่ต้องให้ผู้โดยสารเช็กอินด้วยตนเองที่สนามบิน Microsoft ระบุว่า สาเหตุเกิดจากการเปลี่ยนแปลงค่าคอนฟิกโดยไม่ตั้งใจ และกำลังดำเนินการแก้ไขโดยการย้อนกลับไปใช้ค่าคอนฟิกเดิม พร้อมบล็อกการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดชั่วคราว เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันเดียวกับที่ Microsoft มีกำหนดจัดประชุมรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส ยิ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นไปอีก นี่คือบทเรียนสำคัญว่า “อินเทอร์เน็ตไม่ได้แข็งแกร่งเท่าที่เราคิด” และในโลกที่ทุกอย่างเชื่อมโยงกัน ความผิดพลาดเล็ก ๆ อาจกลายเป็นหายนะระดับโลกได้ในพริบตา ✅ Microsoft Azure ล่มทั่วโลกจากปัญหา Azure Front Door ➡️ เริ่มต้นเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2025 เวลา 16:00 UTC ➡️ ส่งผลให้บริการหลายตัวไม่สามารถเข้าถึงได้ ➡️ Microsoft ยืนยันว่าเป็นการเปลี่ยนค่าคอนฟิกโดยไม่ตั้งใจ ✅ บริการที่ได้รับผลกระทบ ➡️ Microsoft 365, Xbox, Minecraft, Outlook ➡️ Google Cloud, Zoom, Starbucks, Capital One ➡️ สายการบิน Alaska Airlines และ Hawaiian Airlines ➡️ ธนาคารในสหราชอาณาจักร เช่น NatWest, Nationwide, RBS ✅ การแก้ไขของ Microsoft ➡️ ย้อนกลับค่าคอนฟิกไปยังสถานะเดิม ➡️ บล็อกการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดชั่วคราว ➡️ แนะนำให้ใช้ Azure Traffic Manager เป็นทางเลือกในการ failover ✅ ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ ความล้มเหลวของ Azure ส่งผลกระทบถึง DNS และ CDN ➡️ แสดงให้เห็นถึงช่องโหว่ด้านความยืดหยุ่นของโครงสร้างพื้นฐาน ‼️ ความเสี่ยงจากการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์เพียงเจ้าเดียว ⛔ เมื่อระบบล่ม อาจกระทบบริการหลายล้านคนพร้อมกัน ⛔ ธุรกิจที่ไม่มีแผนสำรองอาจสูญเสียรายได้มหาศาล ‼️ การตั้งค่าระบบโดยไม่มีการตรวจสอบหลายชั้น ⛔ การเปลี่ยนแปลงค่าคอนฟิกเพียงครั้งเดียวอาจสร้างผลกระทบระดับโลก ⛔ ควรมีระบบตรวจสอบและจำลองผลก่อนใช้งานจริง https://www.tomshardware.com/news/live/aws-outage-strikes-again-colossal-internet-breakdown-strikes-again
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
  • “987654321 / 123456789 ≈ 8” — เมื่อเลขเรียงกลายเป็นเวทมนตร์ทางคณิตศาสตร์

    John D. Cook ได้หยิบยกตัวเลขที่ดูธรรมดาอย่าง 987654321 และ 123456789 มาหารกัน แล้วพบว่าได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับเลข 8 อย่างน่าทึ่ง — คือ 8.0000000729 ซึ่งนำไปสู่การตั้งคำถามว่า “มีอะไรพิเศษในเลขฐาน 10 หรือไม่?”

    ลองจินตนาการว่าคุณเอาตัวเลขที่เรียงจากมากไปน้อย (9 ถึง 1) มาหารด้วยตัวเลขที่เรียงจากน้อยไปมาก (1 ถึง 9) แล้วได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับจำนวนเต็ม — นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลจากโครงสร้างของเลขในแต่ละฐาน

    Cook ทดลองกับเลขในฐานอื่น เช่น:
    ฐาน 6: 54321₆ / 12345₆ ≈ 4.00268
    ฐาน 16: 0xFEDCBA987654321 / 0x123456789ABCDEF ≈ 14

    จากนั้นเขาสร้างสูตรทั่วไปโดยนิยาม:
    num(b): ตัวเลขที่เรียงจากมากไปน้อยในฐาน b
    denom(b): ตัวเลขที่เรียงจากน้อยไปมากในฐาน b

    ผลลัพธ์คือ:
    num(b) / denom(b) ≈ b − 2 + (b − 1)³ / bᵇ

    ซึ่งหมายความว่าในทุกฐาน b > 2 การหารตัวเลขเรียงกลับกับเรียงตรงจะให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับ b − 2 เสมอ และเศษส่วนที่เหลือจะเล็กมาก — เล็กจน floating point ในคอมพิวเตอร์อาจมองไม่เห็น!

    การทดลองตัวเลขเรียงในฐาน 10
    987654321 / 123456789 ≈ 8.0000000729
    ใกล้เคียงกับ 8 + 9³ / 10¹⁰

    การทดลองในฐานอื่น
    ฐาน 6: ผลลัพธ์ ≈ 4.00268
    ฐาน 16: ผลลัพธ์ ≈ 14

    นิยามทั่วไปของตัวเลขเรียง
    num(b): ตัวเลขเรียงจากมากไปน้อยในฐาน b
    denom(b): ตัวเลขเรียงจากน้อยไปมากในฐาน b

    สูตรประมาณค่า
    num(b) / denom(b) ≈ b − 2 + (b − 1)³ / bᵇ
    เศษส่วนที่เหลือ ≈ 1 / bᵇ⁻²

    การพิสูจน์ด้วย Python
    ใช้การคำนวณเชิงโปรแกรมแทนการพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์
    ตรวจสอบความถูกต้องของสูตรในฐานตั้งแต่ 3 ถึง 1000

    คำเตือนสำหรับการใช้ floating point
    floating point มีความแม่นยำจำกัด (53 bits)
    อาจมองไม่เห็นเศษส่วนเล็กมากในผลลัพธ์

    https://www.johndcook.com/blog/2025/10/26/987654321/
    🔢 “987654321 / 123456789 ≈ 8” — เมื่อเลขเรียงกลายเป็นเวทมนตร์ทางคณิตศาสตร์ John D. Cook ได้หยิบยกตัวเลขที่ดูธรรมดาอย่าง 987654321 และ 123456789 มาหารกัน แล้วพบว่าได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับเลข 8 อย่างน่าทึ่ง — คือ 8.0000000729 ซึ่งนำไปสู่การตั้งคำถามว่า “มีอะไรพิเศษในเลขฐาน 10 หรือไม่?” ลองจินตนาการว่าคุณเอาตัวเลขที่เรียงจากมากไปน้อย (9 ถึง 1) มาหารด้วยตัวเลขที่เรียงจากน้อยไปมาก (1 ถึง 9) แล้วได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับจำนวนเต็ม — นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลจากโครงสร้างของเลขในแต่ละฐาน Cook ทดลองกับเลขในฐานอื่น เช่น: 📍 ฐาน 6: 54321₆ / 12345₆ ≈ 4.00268 📍 ฐาน 16: 0xFEDCBA987654321 / 0x123456789ABCDEF ≈ 14 จากนั้นเขาสร้างสูตรทั่วไปโดยนิยาม: 📍 num(b): ตัวเลขที่เรียงจากมากไปน้อยในฐาน b 📍 denom(b): ตัวเลขที่เรียงจากน้อยไปมากในฐาน b ผลลัพธ์คือ: 📍 num(b) / denom(b) ≈ b − 2 + (b − 1)³ / bᵇ ซึ่งหมายความว่าในทุกฐาน b > 2 การหารตัวเลขเรียงกลับกับเรียงตรงจะให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับ b − 2 เสมอ และเศษส่วนที่เหลือจะเล็กมาก — เล็กจน floating point ในคอมพิวเตอร์อาจมองไม่เห็น! ✅ การทดลองตัวเลขเรียงในฐาน 10 ➡️ 987654321 / 123456789 ≈ 8.0000000729 ➡️ ใกล้เคียงกับ 8 + 9³ / 10¹⁰ ✅ การทดลองในฐานอื่น ➡️ ฐาน 6: ผลลัพธ์ ≈ 4.00268 ➡️ ฐาน 16: ผลลัพธ์ ≈ 14 ✅ นิยามทั่วไปของตัวเลขเรียง ➡️ num(b): ตัวเลขเรียงจากมากไปน้อยในฐาน b ➡️ denom(b): ตัวเลขเรียงจากน้อยไปมากในฐาน b ✅ สูตรประมาณค่า ➡️ num(b) / denom(b) ≈ b − 2 + (b − 1)³ / bᵇ ➡️ เศษส่วนที่เหลือ ≈ 1 / bᵇ⁻² ✅ การพิสูจน์ด้วย Python ➡️ ใช้การคำนวณเชิงโปรแกรมแทนการพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์ ➡️ ตรวจสอบความถูกต้องของสูตรในฐานตั้งแต่ 3 ถึง 1000 ‼️ คำเตือนสำหรับการใช้ floating point ⛔ floating point มีความแม่นยำจำกัด (53 bits) ⛔ อาจมองไม่เห็นเศษส่วนเล็กมากในผลลัพธ์ https://www.johndcook.com/blog/2025/10/26/987654321/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 รีวิว
  • “OpenWrt อุดช่องโหว่ร้ายแรงสองรายการ – เสี่ยง RCE และเจาะหน่วยความจำเคอร์เนลผ่าน DSL Driver”

    ลองจินตนาการว่าเราใช้เราเตอร์ที่รัน OpenWrt ซึ่งเป็นเฟิร์มแวร์ยอดนิยมสำหรับอุปกรณ์ฝังตัว แล้ววันหนึ่งมีคนสามารถส่งคำสั่งจากระยะไกลเพื่อควบคุมระบบ หรือแม้แต่เจาะเข้าไปอ่านและเขียนหน่วยความจำเคอร์เนลได้… นี่คือสิ่งที่ช่องโหว่ล่าสุดใน OpenWrt อาจทำให้เกิดขึ้นได้

    เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2025 OpenWrt ได้ออกแพตช์เพื่อแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงสองรายการ ได้แก่:

    CVE-2025-62526: ช่องโหว่ Heap Buffer Overflow ใน ubusd ซึ่งเป็น daemon สำหรับการสื่อสารระหว่างโปรเซสใน OpenWrt

    CVE-2025-62525: ช่องโหว่ในไดรเวอร์ ltq-ptm ที่ใช้ในอุปกรณ์ DSL บางรุ่น ทำให้ผู้ใช้สามารถอ่านและเขียนหน่วยความจำเคอร์เนลได้

    ช่องโหว่แรกเปิดให้ผู้โจมตีสามารถส่งข้อความที่ออกแบบมาเฉพาะผ่าน ubus โดยไม่ต้องผ่านการตรวจสอบสิทธิ์ใด ๆ เพราะโค้ดที่เปราะบางทำงานก่อนการตรวจสอบ ACL ทำให้สามารถรันโค้ดในบริบทของ daemon ได้ทันที

    ช่องโหว่ที่สองเปิดให้ผู้ใช้ในระบบสามารถใช้ ioctl เพื่อเข้าถึงหน่วยความจำเคอร์เนล ซึ่งอาจนำไปสู่การหลบหนีจาก sandbox เช่น ujail ได้

    OpenWrt ได้แก้ไขช่องโหว่เหล่านี้ในเวอร์ชัน 24.10.4 และ snapshot builds หลังวันที่ 15–18 ตุลาคม 2025 โดยเวอร์ชันเก่าเช่น 22.03 และ 23.05 จะไม่ได้รับการสนับสนุนอีกต่อไป

    ช่องโหว่ CVE-2025-62526 – ubusd Heap Buffer Overflow
    เกิดในโค้ดการ parse event registration
    ทำงานก่อนการตรวจสอบ ACL
    เปิดช่องให้รันโค้ดในบริบทของ daemon
    ส่งผลให้ bypass ACL ได้ด้วย

    ช่องโหว่ CVE-2025-62525 – Kernel Memory Leak ผ่าน ltq-ptm
    ใช้ ioctl เพื่ออ่าน/เขียนหน่วยความจำเคอร์เนล
    กระทบอุปกรณ์ที่ใช้ SoC เช่น xrx200, danube, amazon
    ใช้ในโหมด PTM (VDSL) ไม่กระทบ ATM หรือ VRX518

    การแก้ไขโดย OpenWrt
    แก้ไขในเวอร์ชัน 24.10.4 และ snapshot builds หลัง 15–18 ต.ค. 2025
    เวอร์ชัน 22.03 และ 23.05 ไม่ได้รับการสนับสนุนแล้ว

    ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
    การควบคุมระบบจากระยะไกล (RCE)
    การหลบหนีจาก sandbox เช่น ujail
    การเข้าถึงข้อมูลลับในหน่วยความจำเคอร์เนล

    https://securityonline.info/openwrt-patches-ubusd-rce-flaw-cve-2025-62526-and-kernel-memory-leak-cve-2025-62525-in-dsl-driver/
    📰 “OpenWrt อุดช่องโหว่ร้ายแรงสองรายการ – เสี่ยง RCE และเจาะหน่วยความจำเคอร์เนลผ่าน DSL Driver” ลองจินตนาการว่าเราใช้เราเตอร์ที่รัน OpenWrt ซึ่งเป็นเฟิร์มแวร์ยอดนิยมสำหรับอุปกรณ์ฝังตัว แล้ววันหนึ่งมีคนสามารถส่งคำสั่งจากระยะไกลเพื่อควบคุมระบบ หรือแม้แต่เจาะเข้าไปอ่านและเขียนหน่วยความจำเคอร์เนลได้… นี่คือสิ่งที่ช่องโหว่ล่าสุดใน OpenWrt อาจทำให้เกิดขึ้นได้ เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2025 OpenWrt ได้ออกแพตช์เพื่อแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงสองรายการ ได้แก่: 🪲 CVE-2025-62526: ช่องโหว่ Heap Buffer Overflow ใน ubusd ซึ่งเป็น daemon สำหรับการสื่อสารระหว่างโปรเซสใน OpenWrt 🪲 CVE-2025-62525: ช่องโหว่ในไดรเวอร์ ltq-ptm ที่ใช้ในอุปกรณ์ DSL บางรุ่น ทำให้ผู้ใช้สามารถอ่านและเขียนหน่วยความจำเคอร์เนลได้ ช่องโหว่แรกเปิดให้ผู้โจมตีสามารถส่งข้อความที่ออกแบบมาเฉพาะผ่าน ubus โดยไม่ต้องผ่านการตรวจสอบสิทธิ์ใด ๆ เพราะโค้ดที่เปราะบางทำงานก่อนการตรวจสอบ ACL ทำให้สามารถรันโค้ดในบริบทของ daemon ได้ทันที ช่องโหว่ที่สองเปิดให้ผู้ใช้ในระบบสามารถใช้ ioctl เพื่อเข้าถึงหน่วยความจำเคอร์เนล ซึ่งอาจนำไปสู่การหลบหนีจาก sandbox เช่น ujail ได้ OpenWrt ได้แก้ไขช่องโหว่เหล่านี้ในเวอร์ชัน 24.10.4 และ snapshot builds หลังวันที่ 15–18 ตุลาคม 2025 โดยเวอร์ชันเก่าเช่น 22.03 และ 23.05 จะไม่ได้รับการสนับสนุนอีกต่อไป ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-62526 – ubusd Heap Buffer Overflow ➡️ เกิดในโค้ดการ parse event registration ➡️ ทำงานก่อนการตรวจสอบ ACL ➡️ เปิดช่องให้รันโค้ดในบริบทของ daemon ➡️ ส่งผลให้ bypass ACL ได้ด้วย ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-62525 – Kernel Memory Leak ผ่าน ltq-ptm ➡️ ใช้ ioctl เพื่ออ่าน/เขียนหน่วยความจำเคอร์เนล ➡️ กระทบอุปกรณ์ที่ใช้ SoC เช่น xrx200, danube, amazon ➡️ ใช้ในโหมด PTM (VDSL) ไม่กระทบ ATM หรือ VRX518 ✅ การแก้ไขโดย OpenWrt ➡️ แก้ไขในเวอร์ชัน 24.10.4 และ snapshot builds หลัง 15–18 ต.ค. 2025 ➡️ เวอร์ชัน 22.03 และ 23.05 ไม่ได้รับการสนับสนุนแล้ว ✅ ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ➡️ การควบคุมระบบจากระยะไกล (RCE) ➡️ การหลบหนีจาก sandbox เช่น ujail ➡️ การเข้าถึงข้อมูลลับในหน่วยความจำเคอร์เนล https://securityonline.info/openwrt-patches-ubusd-rce-flaw-cve-2025-62526-and-kernel-memory-leak-cve-2025-62525-in-dsl-driver/
    SECURITYONLINE.INFO
    OpenWrt Patches ubusd RCE Flaw (CVE-2025-62526) and Kernel Memory Leak (CVE-2025-62525) in DSL Driver
    OpenWrt released v24.10.4 to fix two high-severity flaws: CVE-2025-62526 allows RCE via a heap buffer overflow in ubusd, and CVE-2025-62525 leaks kernel memory via a DSL driver.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • :STK-6:
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 36 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Intel Core Ultra 200S Plus หลุดสเปก! Arrow Lake Refresh แรงทะลุชาร์ต – พร้อมชน Ryzen Zen 5”

    Intel เตรียมเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในตระกูล Core Ultra 200S Plus ที่ใช้ชื่อว่า “Arrow Lake Refresh” ซึ่งจะเปิดตัวต้นปี 2026 โดยมีสองรุ่นที่หลุดข้อมูลออกมาแล้ว คือ Core Ultra 9 290K Plus และ Core Ultra 7 270K Plus

    จุดเด่นของซีรีส์นี้คือการเพิ่มจำนวนคอร์ในบางรุ่น และเพิ่มความเร็วสัญญาณนาฬิกาในรุ่นอื่น ๆ โดยยังใช้ซ็อกเก็ต LGA 1851 เหมือนเดิม พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า “200S Plus Boost” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้สูสีกับ Ryzen Zen 5 จาก AMD

    Core Ultra 7 270K Plus มี 24 คอร์ (8 Performance + 16 Efficient) มากกว่ารุ่นก่อนหน้า 265K ที่มีแค่ 20 คอร์ พร้อมแคช L3 ขนาด 36MB และความเร็วบูสต์ที่ 5.50GHz เท่ากับรุ่นเดิม แต่ประสิทธิภาพโดยรวมดีขึ้น โดยทำคะแนน Geekbench 6 ได้ 3205 คะแนนแบบ single-core และ 22,206 คะแนนแบบ multi-core ซึ่งใกล้เคียงกับรุ่นท็อปอย่าง Core Ultra 9 285K

    ส่วน Core Ultra 9 290K Plus ยังไม่มีข้อมูลเต็ม แต่คาดว่าจะใช้คอนฟิก 24 คอร์เหมือนเดิม เพิ่มความเร็วและ TDP เพื่อดันประสิทธิภาพให้สูงขึ้นอีก

    ทั้งสองรุ่นถูกทดสอบในระบบ OEM ของ Lenovo ที่ใช้แรม DDR5 48GB ความเร็ว 7200MT/s และการ์ดจอ RTX 5090D ซึ่งเป็นสเปกระดับสูงที่ช่วยให้ซีพียูแสดงศักยภาพได้เต็มที่

    Intel ยังมีแผนเปิดตัว Nova Lake-S ในปีหน้า ซึ่งจะใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954 และเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสายเดสก์ท็อป

    สเปกและประสิทธิภาพของ Arrow Lake Refresh
    Core Ultra 7 270K Plus มี 24 คอร์ (8P + 16E)
    เพิ่มจากรุ่นก่อนหน้า 265K ที่มี 20 คอร์
    แคช L3 ขนาด 36MB มากกว่ารุ่นเดิม
    ความเร็วบูสต์ 5.50GHz เท่ากับรุ่นก่อน
    คะแนน Geekbench 6: 3205 (ST) และ 22,206 (MT)
    ทดสอบในระบบ Lenovo OEM พร้อมแรม DDR5 7200MT/s
    ใช้ซ็อกเก็ต LGA 1851 เหมือนรุ่นก่อน
    มีฟีเจอร์ใหม่ “200S Plus Boost” เพิ่มประสิทธิภาพ
    Core Ultra 9 290K Plus คาดว่าจะเพิ่มความเร็วและ TDP
    เตรียมเปิดตัวต้นปี 2026

    แผนอนาคตของ Intel
    เตรียมเปิดตัว Nova Lake-S ในปีหน้า
    ใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954
    เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสายเดสก์ท็อป
    Arrow Lake Refresh อาจเป็นรุ่นสุดท้ายของ LGA 1851

    https://wccftech.com/intel-core-ultra-200s-plus-arrow-lake-refresh-cpus-leak-9-290k-plus-7-270k-plus-benchmark/
    🚀 “Intel Core Ultra 200S Plus หลุดสเปก! Arrow Lake Refresh แรงทะลุชาร์ต – พร้อมชน Ryzen Zen 5” Intel เตรียมเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในตระกูล Core Ultra 200S Plus ที่ใช้ชื่อว่า “Arrow Lake Refresh” ซึ่งจะเปิดตัวต้นปี 2026 โดยมีสองรุ่นที่หลุดข้อมูลออกมาแล้ว คือ Core Ultra 9 290K Plus และ Core Ultra 7 270K Plus จุดเด่นของซีรีส์นี้คือการเพิ่มจำนวนคอร์ในบางรุ่น และเพิ่มความเร็วสัญญาณนาฬิกาในรุ่นอื่น ๆ โดยยังใช้ซ็อกเก็ต LGA 1851 เหมือนเดิม พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า “200S Plus Boost” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้สูสีกับ Ryzen Zen 5 จาก AMD Core Ultra 7 270K Plus มี 24 คอร์ (8 Performance + 16 Efficient) มากกว่ารุ่นก่อนหน้า 265K ที่มีแค่ 20 คอร์ พร้อมแคช L3 ขนาด 36MB และความเร็วบูสต์ที่ 5.50GHz เท่ากับรุ่นเดิม แต่ประสิทธิภาพโดยรวมดีขึ้น โดยทำคะแนน Geekbench 6 ได้ 3205 คะแนนแบบ single-core และ 22,206 คะแนนแบบ multi-core ซึ่งใกล้เคียงกับรุ่นท็อปอย่าง Core Ultra 9 285K ส่วน Core Ultra 9 290K Plus ยังไม่มีข้อมูลเต็ม แต่คาดว่าจะใช้คอนฟิก 24 คอร์เหมือนเดิม เพิ่มความเร็วและ TDP เพื่อดันประสิทธิภาพให้สูงขึ้นอีก ทั้งสองรุ่นถูกทดสอบในระบบ OEM ของ Lenovo ที่ใช้แรม DDR5 48GB ความเร็ว 7200MT/s และการ์ดจอ RTX 5090D ซึ่งเป็นสเปกระดับสูงที่ช่วยให้ซีพียูแสดงศักยภาพได้เต็มที่ Intel ยังมีแผนเปิดตัว Nova Lake-S ในปีหน้า ซึ่งจะใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954 และเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสายเดสก์ท็อป ✅ สเปกและประสิทธิภาพของ Arrow Lake Refresh ➡️ Core Ultra 7 270K Plus มี 24 คอร์ (8P + 16E) ➡️ เพิ่มจากรุ่นก่อนหน้า 265K ที่มี 20 คอร์ ➡️ แคช L3 ขนาด 36MB มากกว่ารุ่นเดิม ➡️ ความเร็วบูสต์ 5.50GHz เท่ากับรุ่นก่อน ➡️ คะแนน Geekbench 6: 3205 (ST) และ 22,206 (MT) ➡️ ทดสอบในระบบ Lenovo OEM พร้อมแรม DDR5 7200MT/s ➡️ ใช้ซ็อกเก็ต LGA 1851 เหมือนรุ่นก่อน ➡️ มีฟีเจอร์ใหม่ “200S Plus Boost” เพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ Core Ultra 9 290K Plus คาดว่าจะเพิ่มความเร็วและ TDP ➡️ เตรียมเปิดตัวต้นปี 2026 ✅ แผนอนาคตของ Intel ➡️ เตรียมเปิดตัว Nova Lake-S ในปีหน้า ➡️ ใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954 ➡️ เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสายเดสก์ท็อป ➡️ Arrow Lake Refresh อาจเป็นรุ่นสุดท้ายของ LGA 1851 https://wccftech.com/intel-core-ultra-200s-plus-arrow-lake-refresh-cpus-leak-9-290k-plus-7-270k-plus-benchmark/
    WCCFTECH.COM
    Intel Core Ultra 200S Plus "Arrow Lake Refresh" CPUs Leak: Flagship Is Ultra 9 290K Plus, Ultra 7 270K Plus Benchmarked
    Intel's upcoming Core Ultra 200S Plus "Arrow Lake Refresh" CPUs, such as the Ultra 9 290K Plus & Ultra 7 270K Plus, have leaked.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Fujitsu A77-K3 — แล็ปท็อป 16 นิ้วที่ยังมี DVD Drive ในปี 2026” — เมื่อการยึดมั่นในสื่อแบบดั้งเดิมกลายเป็นจุดขายในยุคที่ทุกคนวิ่งเข้าหาคลาวด์

    Fujitsu เปิดตัวโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ FMV Note A77-K3 ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่รุ่นที่ยังคงมี “DVD Drive” ในปี 2026 โดยออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ที่ต้องการความมั่นคง, ความสามารถในการเชื่อมต่อแบบครบครัน และการใช้งานระยะยาว โดยไม่เน้นความบางเบาเหมือนโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ ๆ

    A77-K3 มาพร้อมหน้าจอ WUXGA ขนาด 16 นิ้ว อัตราส่วน 16:10 ขอบบาง ใช้ชิป Intel Core i5-1335U, RAM DDR5 16GB และ SSD 256GB โดยมีพอร์ตเชื่อมต่อครบครัน เช่น USB4, USB 3.2, HDMI, LAN, SD Card และ Wi-Fi 7

    จุดเด่นคือการมี optical drive สำหรับอ่านแผ่น DVD ซึ่งหายากมากในโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ และเหมาะกับผู้ใช้ที่ยังต้องการเข้าถึงข้อมูลจากแผ่นเก่า เช่น ซอฟต์แวร์, เอกสาร, หรือสื่อการเรียนรู้

    นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย เช่น กล้องที่รองรับ Windows Hello พร้อมม่านปิดกล้องแบบกายภาพ และคีย์บอร์ดที่มีปุ่มลัดสำหรับเปิดเบราว์เซอร์หรือแอปช่วยเหลือ

    น้ำหนักประมาณ 1.9 กิโลกรัม ถือว่าหนักเมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ที่เน้นความเบา แต่ Fujitsu มองว่าความมั่นคงและการใช้งานที่หลากหลายสำคัญกว่า

    Fujitsu เปิดตัว FMV Note A77-K3 พร้อม DVD Drive ในปี 2026
    เป็นหนึ่งในไม่กี่รุ่นที่ยังรองรับ optical disk

    หน้าจอ WUXGA ขนาด 16 นิ้ว อัตราส่วน 16:10
    ขอบบาง เหมาะกับงาน productivity

    ใช้ Intel Core i5-1335U, RAM DDR5 16GB, SSD 256GB
    รองรับงานทั่วไปได้ดี

    มีพอร์ตเชื่อมต่อครบ เช่น USB4, HDMI, LAN, SD Card
    รองรับการใช้งานแบบมืออาชีพ

    รองรับ Wi-Fi 7 และ Windows Hello พร้อมม่านปิดกล้อง
    เพิ่มความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว

    คีย์บอร์ดมีปุ่มลัดสำหรับเปิดเบราว์เซอร์และแอปช่วยเหลือ
    เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการความสะดวก

    น้ำหนักประมาณ 1.9 กิโลกรัม
    ไม่เน้นความเบา แต่เน้นความมั่นคงและการเชื่อมต่อ

    https://www.techradar.com/pro/its-almost-2026-and-fujitsu-is-doing-its-best-to-save-optical-disks-the-a77-k3-is-a-16-inch-13th-gen-core-i5-laptop-with-a-dvd-drive
    💽 “Fujitsu A77-K3 — แล็ปท็อป 16 นิ้วที่ยังมี DVD Drive ในปี 2026” — เมื่อการยึดมั่นในสื่อแบบดั้งเดิมกลายเป็นจุดขายในยุคที่ทุกคนวิ่งเข้าหาคลาวด์ Fujitsu เปิดตัวโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ FMV Note A77-K3 ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่รุ่นที่ยังคงมี “DVD Drive” ในปี 2026 โดยออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ที่ต้องการความมั่นคง, ความสามารถในการเชื่อมต่อแบบครบครัน และการใช้งานระยะยาว โดยไม่เน้นความบางเบาเหมือนโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ ๆ A77-K3 มาพร้อมหน้าจอ WUXGA ขนาด 16 นิ้ว อัตราส่วน 16:10 ขอบบาง ใช้ชิป Intel Core i5-1335U, RAM DDR5 16GB และ SSD 256GB โดยมีพอร์ตเชื่อมต่อครบครัน เช่น USB4, USB 3.2, HDMI, LAN, SD Card และ Wi-Fi 7 จุดเด่นคือการมี optical drive สำหรับอ่านแผ่น DVD ซึ่งหายากมากในโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ และเหมาะกับผู้ใช้ที่ยังต้องการเข้าถึงข้อมูลจากแผ่นเก่า เช่น ซอฟต์แวร์, เอกสาร, หรือสื่อการเรียนรู้ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย เช่น กล้องที่รองรับ Windows Hello พร้อมม่านปิดกล้องแบบกายภาพ และคีย์บอร์ดที่มีปุ่มลัดสำหรับเปิดเบราว์เซอร์หรือแอปช่วยเหลือ น้ำหนักประมาณ 1.9 กิโลกรัม ถือว่าหนักเมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ที่เน้นความเบา แต่ Fujitsu มองว่าความมั่นคงและการใช้งานที่หลากหลายสำคัญกว่า ✅ Fujitsu เปิดตัว FMV Note A77-K3 พร้อม DVD Drive ในปี 2026 ➡️ เป็นหนึ่งในไม่กี่รุ่นที่ยังรองรับ optical disk ✅ หน้าจอ WUXGA ขนาด 16 นิ้ว อัตราส่วน 16:10 ➡️ ขอบบาง เหมาะกับงาน productivity ✅ ใช้ Intel Core i5-1335U, RAM DDR5 16GB, SSD 256GB ➡️ รองรับงานทั่วไปได้ดี ✅ มีพอร์ตเชื่อมต่อครบ เช่น USB4, HDMI, LAN, SD Card ➡️ รองรับการใช้งานแบบมืออาชีพ ✅ รองรับ Wi-Fi 7 และ Windows Hello พร้อมม่านปิดกล้อง ➡️ เพิ่มความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ✅ คีย์บอร์ดมีปุ่มลัดสำหรับเปิดเบราว์เซอร์และแอปช่วยเหลือ ➡️ เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการความสะดวก ✅ น้ำหนักประมาณ 1.9 กิโลกรัม ➡️ ไม่เน้นความเบา แต่เน้นความมั่นคงและการเชื่อมต่อ https://www.techradar.com/pro/its-almost-2026-and-fujitsu-is-doing-its-best-to-save-optical-disks-the-a77-k3-is-a-16-inch-13th-gen-core-i5-laptop-with-a-dvd-drive
    WWW.TECHRADAR.COM
    Fujitsu just launched a 16-inch laptop that sports an optical drive
    Optical drive usage may be dropping, yet Fujitsu refuses to let them die
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 175 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Flax Typhoon ฝัง Web Shell ใน ArcGIS SOE” — แฮกเกอร์จีนเข้าถึงระบบนานกว่า 1 ปีโดยใช้ซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้เป็นช่องทางลับ

    กลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนชื่อ “Flax Typhoon” หรือ “Ethereal Panda” ถูกเปิดโปงว่าใช้เทคนิคใหม่ในการแทรกซึมระบบองค์กรผ่าน ArcGIS โดยเปลี่ยน Java Server Object Extension (SOE) ที่ถูกต้องตามมาตรฐานให้กลายเป็น Web Shell แบบลับ ซึ่งสามารถควบคุมระบบได้โดยไม่ถูกตรวจจับ

    การโจมตีนี้กินเวลานานกว่า 12 เดือน โดยแฮกเกอร์ฝัง SOE ที่มี access key แบบ hardcoded ลงในระบบ และฝังไว้ในไฟล์ backup เพื่อให้กลับมาได้แม้ระบบจะถูกกู้คืนแล้วก็ตาม

    หลังจากเข้าถึงระบบผ่านบัญชีผู้ดูแล ArcGIS ที่ถูกขโมย พวกเขาใช้คำสั่ง base64 ที่ดูเหมือนคำสั่งปกติของ ArcGIS เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ และใช้ API ของ ArcGIS ในการรันคำสั่ง PowerShell สร้าง VPN bridge ลับผ่านไฟล์ “bridge.exe” ที่ถูกแปลงชื่อจาก SoftEther VPN

    สุดท้าย Flax Typhoon พยายามเข้าถึง workstation ของ IT เพื่อขโมยข้อมูลจาก SAM และ LSA โดยใช้ RemoteRegistry และสร้างไฟล์ pass.txt.lnk เพื่อเก็บรหัสผ่าน

    ReliaQuest ซึ่งเป็นผู้เปิดเผยการโจมตีนี้ ระบุว่า Flax Typhoon มีแนวโน้มจะยังคงแฝงตัวอยู่ในเครือข่ายอื่น ๆ และมักทำงานในช่วงเวลาตรงกับเวลาทำการของจีน (00:00–06:00 UTC)

    ข้อมูลในข่าว
    Flax Typhoon เป็นกลุ่ม APT ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน
    ใช้ ArcGIS SOE ที่ถูกต้องตามมาตรฐานแปลงเป็น Web Shell
    Web Shell มี access key แบบ hardcoded และฝังใน backup เพื่อความคงอยู่
    เข้าถึงระบบผ่านบัญชีผู้ดูแล ArcGIS ที่ถูกขโมย
    ใช้คำสั่ง base64 ผ่าน API เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ
    สร้าง VPN bridge ลับผ่านไฟล์ bridge.exe ที่แปลงชื่อจาก SoftEther VPN
    พยายามเข้าถึง workstation ของ IT เพื่อขโมย SAM และ LSA secrets
    สร้างไฟล์ pass.txt.lnk เพื่อเก็บรหัสผ่าน
    ReliaQuest ระบุว่า Flax Typhoon มีแนวโน้มยังแฝงตัวในเครือข่ายอื่น
    เวลาทำงานของกลุ่มตรงกับเวลาทำการของจีน (00:00–06:00 UTC)

    https://securityonline.info/china-backed-flax-typhoon-apt-maintained-year-long-access-by-turning-arcgis-soe-into-web-shell-backdoor/
    🌪️ “Flax Typhoon ฝัง Web Shell ใน ArcGIS SOE” — แฮกเกอร์จีนเข้าถึงระบบนานกว่า 1 ปีโดยใช้ซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้เป็นช่องทางลับ กลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนชื่อ “Flax Typhoon” หรือ “Ethereal Panda” ถูกเปิดโปงว่าใช้เทคนิคใหม่ในการแทรกซึมระบบองค์กรผ่าน ArcGIS โดยเปลี่ยน Java Server Object Extension (SOE) ที่ถูกต้องตามมาตรฐานให้กลายเป็น Web Shell แบบลับ ซึ่งสามารถควบคุมระบบได้โดยไม่ถูกตรวจจับ การโจมตีนี้กินเวลานานกว่า 12 เดือน โดยแฮกเกอร์ฝัง SOE ที่มี access key แบบ hardcoded ลงในระบบ และฝังไว้ในไฟล์ backup เพื่อให้กลับมาได้แม้ระบบจะถูกกู้คืนแล้วก็ตาม หลังจากเข้าถึงระบบผ่านบัญชีผู้ดูแล ArcGIS ที่ถูกขโมย พวกเขาใช้คำสั่ง base64 ที่ดูเหมือนคำสั่งปกติของ ArcGIS เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ และใช้ API ของ ArcGIS ในการรันคำสั่ง PowerShell สร้าง VPN bridge ลับผ่านไฟล์ “bridge.exe” ที่ถูกแปลงชื่อจาก SoftEther VPN สุดท้าย Flax Typhoon พยายามเข้าถึง workstation ของ IT เพื่อขโมยข้อมูลจาก SAM และ LSA โดยใช้ RemoteRegistry และสร้างไฟล์ pass.txt.lnk เพื่อเก็บรหัสผ่าน ReliaQuest ซึ่งเป็นผู้เปิดเผยการโจมตีนี้ ระบุว่า Flax Typhoon มีแนวโน้มจะยังคงแฝงตัวอยู่ในเครือข่ายอื่น ๆ และมักทำงานในช่วงเวลาตรงกับเวลาทำการของจีน (00:00–06:00 UTC) ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Flax Typhoon เป็นกลุ่ม APT ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน ➡️ ใช้ ArcGIS SOE ที่ถูกต้องตามมาตรฐานแปลงเป็น Web Shell ➡️ Web Shell มี access key แบบ hardcoded และฝังใน backup เพื่อความคงอยู่ ➡️ เข้าถึงระบบผ่านบัญชีผู้ดูแล ArcGIS ที่ถูกขโมย ➡️ ใช้คำสั่ง base64 ผ่าน API เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ➡️ สร้าง VPN bridge ลับผ่านไฟล์ bridge.exe ที่แปลงชื่อจาก SoftEther VPN ➡️ พยายามเข้าถึง workstation ของ IT เพื่อขโมย SAM และ LSA secrets ➡️ สร้างไฟล์ pass.txt.lnk เพื่อเก็บรหัสผ่าน ➡️ ReliaQuest ระบุว่า Flax Typhoon มีแนวโน้มยังแฝงตัวในเครือข่ายอื่น ➡️ เวลาทำงานของกลุ่มตรงกับเวลาทำการของจีน (00:00–06:00 UTC) https://securityonline.info/china-backed-flax-typhoon-apt-maintained-year-long-access-by-turning-arcgis-soe-into-web-shell-backdoor/
    SECURITYONLINE.INFO
    China-Backed Flax Typhoon APT Maintained Year-Long Access by Turning ArcGIS SOE into Web Shell Backdoor
    ReliaQuest exposed Flax Typhoon for a year-long breach, where the China-backed APT turned a legitimate ArcGIS Java SOE into a web shell and embedded it in backups to ensure persistence.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “Bitcoin ร่วง 5.5% เหลือ 114,505 ดอลลาร์ — สะท้อนความผันผวนในตลาดคริปโต”

    เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา Bitcoin ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลก ได้ปรับตัวลดลงประมาณ 5.5% โดยราคาล่าสุดอยู่ที่ 114,505 ดอลลาร์สหรัฐ ณ เวลา 20:58 GMT หรือ 16:58 ET ตามรายงานของ Reuters การลดลงครั้งนี้สะท้อนถึงความผันผวนที่ยังคงอยู่ในตลาดคริปโตเคอร์เรนซี แม้จะมีการฟื้นตัวในช่วงก่อนหน้านี้

    การเคลื่อนไหวของราคา Bitcoin มักได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย เช่น การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก และการปรับตัวของนักลงทุนต่อข่าวสารในวงการเทคโนโลยีและการเงิน

    นอกจากนี้ การลดลงของ Bitcoin ยังอาจส่งผลต่อราคาของคริปโตอื่นๆ เช่น Ethereum, Solana และ BNB ซึ่งมักเคลื่อนไหวตามทิศทางของ Bitcoin โดยรวม

    สถานการณ์ล่าสุดของ Bitcoin
    ราคาลดลง 5.5% เหลือ 114,505 ดอลลาร์สหรัฐ
    เวลารายงานคือ 20:58 GMT วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2025

    ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อราคา
    ความผันผวนของตลาดคริปโตโดยรวม
    การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของธนาคารกลาง
    ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก

    ผลกระทบต่อคริปโตอื่นๆ
    Ethereum, Solana, BNB อาจได้รับผลกระทบตามทิศทางของ Bitcoin
    นักลงทุนอาจปรับพอร์ตหรือชะลอการลงทุนในช่วงที่ตลาดผันผวน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Bitcoin มีจำนวนจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญ ทำให้มีลักษณะ deflationary
    ตลาดคริปโตเปิดตลอด 24 ชั่วโมง และมีความผันผวนสูงกว่าตลาดหุ้นทั่วไป
    การลงทุนในคริปโตควรมีการศึกษาความเสี่ยงอย่างรอบคอบ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/11/bitcoin-down-55-at-114505
    🪙 หัวข้อข่าว: “Bitcoin ร่วง 5.5% เหลือ 114,505 ดอลลาร์ — สะท้อนความผันผวนในตลาดคริปโต” เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา Bitcoin ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลก ได้ปรับตัวลดลงประมาณ 5.5% โดยราคาล่าสุดอยู่ที่ 114,505 ดอลลาร์สหรัฐ ณ เวลา 20:58 GMT หรือ 16:58 ET ตามรายงานของ Reuters การลดลงครั้งนี้สะท้อนถึงความผันผวนที่ยังคงอยู่ในตลาดคริปโตเคอร์เรนซี แม้จะมีการฟื้นตัวในช่วงก่อนหน้านี้ การเคลื่อนไหวของราคา Bitcoin มักได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย เช่น การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก และการปรับตัวของนักลงทุนต่อข่าวสารในวงการเทคโนโลยีและการเงิน นอกจากนี้ การลดลงของ Bitcoin ยังอาจส่งผลต่อราคาของคริปโตอื่นๆ เช่น Ethereum, Solana และ BNB ซึ่งมักเคลื่อนไหวตามทิศทางของ Bitcoin โดยรวม ✅ สถานการณ์ล่าสุดของ Bitcoin ➡️ ราคาลดลง 5.5% เหลือ 114,505 ดอลลาร์สหรัฐ ➡️ เวลารายงานคือ 20:58 GMT วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2025 ✅ ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อราคา ➡️ ความผันผวนของตลาดคริปโตโดยรวม ➡️ การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของธนาคารกลาง ➡️ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก ✅ ผลกระทบต่อคริปโตอื่นๆ ➡️ Ethereum, Solana, BNB อาจได้รับผลกระทบตามทิศทางของ Bitcoin ➡️ นักลงทุนอาจปรับพอร์ตหรือชะลอการลงทุนในช่วงที่ตลาดผันผวน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Bitcoin มีจำนวนจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญ ทำให้มีลักษณะ deflationary ➡️ ตลาดคริปโตเปิดตลอด 24 ชั่วโมง และมีความผันผวนสูงกว่าตลาดหุ้นทั่วไป ➡️ การลงทุนในคริปโตควรมีการศึกษาความเสี่ยงอย่างรอบคอบ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/11/bitcoin-down-55-at-114505
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Bitcoin down 5.5% at $114,505
    (Reuters) -Bitcoin, the world's largest cryptocurrency by market value, was down by around 5.5% at $114,505 at 1658 ET (2058 GMT) on Friday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 230 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🛜 “Wireguard FPGA — ปฏิวัติความปลอดภัยเครือข่ายด้วยฮาร์ดแวร์โอเพนซอร์สราคาประหยัด”

    ในยุคที่ความปลอดภัยของข้อมูลกลายเป็นเรื่องสำคัญระดับโลก การเชื่อมต่อเครือข่ายผ่าน VPN กลายเป็นสิ่งจำเป็น แต่โซลูชันแบบเดิมอย่าง OpenVPN หรือ IPSec เริ่มล้าหลัง ทั้งในด้านประสิทธิภาพและความซับซ้อนในการจัดการ นี่คือจุดเริ่มต้นของโครงการ “Wireguard FPGA” ที่มุ่งสร้างระบบ VPN แบบฮาร์ดแวร์เต็มรูปแบบ ด้วยความเร็วระดับสายไฟ (wire-speed) บน FPGA ราคาประหยัด พร้อมเปิดซอร์สให้ทุกคนเข้าถึงได้

    โครงการนี้ใช้ Artix-7 FPGA ซึ่งรองรับเครื่องมือโอเพนซอร์ส และเขียนโค้ดทั้งหมดด้วย Verilog/SystemVerilog โดยไม่พึ่งพา IP แบบปิดหรือเครื่องมือเชิงพาณิชย์ จุดเด่นคือการออกแบบระบบให้ทำงานแบบ self-contained ไม่ต้องพึ่งพา PC host และสามารถจัดการการเข้ารหัสแบบ ChaCha20-Poly1305 ได้ในระดับฮาร์ดแวร์

    ทีมงานเบื้องหลังเคยมีส่วนร่วมในโครงการ Blackwire ซึ่งเป็นฮาร์ดแวร์ VPN ความเร็ว 100Gbps แต่มีข้อจำกัดด้านราคาและเครื่องมือที่ใช้ ทำให้ Wireguard FPGA ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยมีแผนพัฒนาเป็นหลายเฟส ตั้งแต่การสร้างต้นแบบ ไปจนถึงการทดสอบจริง และการเพิ่มฟีเจอร์ควบคุมการไหลของข้อมูล


    เป้าหมายของโครงการ Wireguard FPGA
    สร้างระบบ VPN แบบฮาร์ดแวร์ที่เร็วระดับสายไฟ
    ใช้ Artix-7 FPGA ราคาประหยัดและเครื่องมือโอเพนซอร์ส
    เขียนโค้ดด้วย Verilog/SystemVerilog ทั้งหมด

    ความแตกต่างจากโครงการ Blackwire
    Blackwire ใช้ Alveo U50 ที่มีราคาสูงและเครื่องมือ Vivado แบบปิด
    Wireguard FPGA ไม่พึ่งพา PC host และใช้โค้ดที่เข้าถึงได้ง่าย
    Blackwire เปิดซอร์สเพราะปัญหาทางการเงิน ไม่ใช่เจตนาเดิม

    สถาปัตยกรรมระบบ
    แบ่งเป็น Control Plane (ซอฟต์แวร์บน RISC-V CPU) และ Data Plane (ฮาร์ดแวร์เข้ารหัส)
    ใช้ CSR-based HAL ในการเชื่อมต่อระหว่างสองส่วน
    รองรับการเข้ารหัส/ถอดรหัสด้วย ChaCha20-Poly1305 ในฮาร์ดแวร์

    การพัฒนาแบบหลายเฟส
    Phase 1: สร้างต้นแบบและทดสอบพื้นฐาน
    Phase 2: สร้าง datapath และรวม IP เข้าด้วยกัน
    Phase 3: พัฒนาเฟิร์มแวร์ควบคุมบน RISC-V
    Phase 4: จัดการ VPN tunnel แบบครบวงจร
    Phase 5: ทดสอบจริงและพอร์ตไปยัง OpenXC7
    Phase 6: เพิ่มโมดูลควบคุมการไหลของข้อมูล

    เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้
    ใช้ Verilator, cocoTB, VProc ISS ในการจำลอง
    ใช้ IP จากโครงการอื่น เช่น Corundum, Cookie Cutter SOC
    ใช้ระบบ co-simulation HAL ที่สร้างจาก SystemRDL

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ChaCha20-Poly1305 เป็นอัลกอริธึม AEAD ที่ใช้ใน Wireguard ตาม RFC7539
    Curve25519 ใช้สำหรับแลกเปลี่ยนคีย์แบบ ECDH
    OpenXC7 เป็นเครื่องมือโอเพนซอร์สสำหรับ FPGA ตระกูล Xilinx Series7

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    Artix-7 ไม่รองรับ High-Performance I/O ทำให้จำกัดความเร็วที่ 600MHz
    เครื่องมือโอเพนซอร์สยังไม่สมบูรณ์ อาจมีปัญหา timing closure และ routing
    การจำลองระบบขนาดใหญ่ต้องใช้ทรัพยากรสูงและอาจไม่เหมาะกับทุกคน
    การพอร์ตไปยัง OpenXC7 ยังมีปัญหา crash และไม่มี timing-driven STA

    https://github.com/chili-chips-ba/wireguard-fpga
    🛜 “Wireguard FPGA — ปฏิวัติความปลอดภัยเครือข่ายด้วยฮาร์ดแวร์โอเพนซอร์สราคาประหยัด” ในยุคที่ความปลอดภัยของข้อมูลกลายเป็นเรื่องสำคัญระดับโลก การเชื่อมต่อเครือข่ายผ่าน VPN กลายเป็นสิ่งจำเป็น แต่โซลูชันแบบเดิมอย่าง OpenVPN หรือ IPSec เริ่มล้าหลัง ทั้งในด้านประสิทธิภาพและความซับซ้อนในการจัดการ นี่คือจุดเริ่มต้นของโครงการ “Wireguard FPGA” ที่มุ่งสร้างระบบ VPN แบบฮาร์ดแวร์เต็มรูปแบบ ด้วยความเร็วระดับสายไฟ (wire-speed) บน FPGA ราคาประหยัด พร้อมเปิดซอร์สให้ทุกคนเข้าถึงได้ โครงการนี้ใช้ Artix-7 FPGA ซึ่งรองรับเครื่องมือโอเพนซอร์ส และเขียนโค้ดทั้งหมดด้วย Verilog/SystemVerilog โดยไม่พึ่งพา IP แบบปิดหรือเครื่องมือเชิงพาณิชย์ จุดเด่นคือการออกแบบระบบให้ทำงานแบบ self-contained ไม่ต้องพึ่งพา PC host และสามารถจัดการการเข้ารหัสแบบ ChaCha20-Poly1305 ได้ในระดับฮาร์ดแวร์ ทีมงานเบื้องหลังเคยมีส่วนร่วมในโครงการ Blackwire ซึ่งเป็นฮาร์ดแวร์ VPN ความเร็ว 100Gbps แต่มีข้อจำกัดด้านราคาและเครื่องมือที่ใช้ ทำให้ Wireguard FPGA ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยมีแผนพัฒนาเป็นหลายเฟส ตั้งแต่การสร้างต้นแบบ ไปจนถึงการทดสอบจริง และการเพิ่มฟีเจอร์ควบคุมการไหลของข้อมูล ✅ เป้าหมายของโครงการ Wireguard FPGA ➡️ สร้างระบบ VPN แบบฮาร์ดแวร์ที่เร็วระดับสายไฟ ➡️ ใช้ Artix-7 FPGA ราคาประหยัดและเครื่องมือโอเพนซอร์ส ➡️ เขียนโค้ดด้วย Verilog/SystemVerilog ทั้งหมด ✅ ความแตกต่างจากโครงการ Blackwire ➡️ Blackwire ใช้ Alveo U50 ที่มีราคาสูงและเครื่องมือ Vivado แบบปิด ➡️ Wireguard FPGA ไม่พึ่งพา PC host และใช้โค้ดที่เข้าถึงได้ง่าย ➡️ Blackwire เปิดซอร์สเพราะปัญหาทางการเงิน ไม่ใช่เจตนาเดิม ✅ สถาปัตยกรรมระบบ ➡️ แบ่งเป็น Control Plane (ซอฟต์แวร์บน RISC-V CPU) และ Data Plane (ฮาร์ดแวร์เข้ารหัส) ➡️ ใช้ CSR-based HAL ในการเชื่อมต่อระหว่างสองส่วน ➡️ รองรับการเข้ารหัส/ถอดรหัสด้วย ChaCha20-Poly1305 ในฮาร์ดแวร์ ✅ การพัฒนาแบบหลายเฟส ➡️ Phase 1: สร้างต้นแบบและทดสอบพื้นฐาน ➡️ Phase 2: สร้าง datapath และรวม IP เข้าด้วยกัน ➡️ Phase 3: พัฒนาเฟิร์มแวร์ควบคุมบน RISC-V ➡️ Phase 4: จัดการ VPN tunnel แบบครบวงจร ➡️ Phase 5: ทดสอบจริงและพอร์ตไปยัง OpenXC7 ➡️ Phase 6: เพิ่มโมดูลควบคุมการไหลของข้อมูล ✅ เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้ ➡️ ใช้ Verilator, cocoTB, VProc ISS ในการจำลอง ➡️ ใช้ IP จากโครงการอื่น เช่น Corundum, Cookie Cutter SOC ➡️ ใช้ระบบ co-simulation HAL ที่สร้างจาก SystemRDL ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ChaCha20-Poly1305 เป็นอัลกอริธึม AEAD ที่ใช้ใน Wireguard ตาม RFC7539 ➡️ Curve25519 ใช้สำหรับแลกเปลี่ยนคีย์แบบ ECDH ➡️ OpenXC7 เป็นเครื่องมือโอเพนซอร์สสำหรับ FPGA ตระกูล Xilinx Series7 ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ Artix-7 ไม่รองรับ High-Performance I/O ทำให้จำกัดความเร็วที่ 600MHz ⛔ เครื่องมือโอเพนซอร์สยังไม่สมบูรณ์ อาจมีปัญหา timing closure และ routing ⛔ การจำลองระบบขนาดใหญ่ต้องใช้ทรัพยากรสูงและอาจไม่เหมาะกับทุกคน ⛔ การพอร์ตไปยัง OpenXC7 ยังมีปัญหา crash และไม่มี timing-driven STA https://github.com/chili-chips-ba/wireguard-fpga
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
  • “System76 เปิดตัว Oryx Pro รุ่นใหม่ — แล็ปท็อป Linux เครื่องแรกที่มาพร้อม COSMIC Desktop เต็มรูปแบบ”

    System76 ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ Linux ชื่อดังจากสหรัฐฯ ประกาศเปิดตัว Oryx Pro รุ่นใหม่ล่าสุดในเดือนตุลาคม 2025 ซึ่งถือเป็นแล็ปท็อปเครื่องแรกที่มาพร้อม COSMIC Desktop เวอร์ชันเบต้า ติดตั้งบน Pop!_OS 24.04 LTS โดยตรง ถือเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนา Linux Desktop ที่ออกแบบมาเพื่อประสบการณ์ผู้ใช้ที่ลื่นไหลและทันสมัย

    Oryx Pro รุ่นใหม่นี้มาพร้อมสเปกระดับสูงที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้านวิศวกรรม การพัฒนา AI และการเล่นเกม โดยใช้ชิป AMD Ryzen AI 9 HX 370 แบบ 12 คอร์ 24 เธรด ความเร็วสูงสุด 5.1GHz พร้อมกราฟิก NVIDIA GeForce RTX 5070 และรองรับ RAM สูงสุดถึง 96GB DDR5 ความเร็ว 5600MHz รวมถึงพื้นที่เก็บข้อมูลแบบ M.2 PCIe Gen4 สูงสุด 8TB

    หน้าจอขนาด 16 นิ้วแบบ 2K matte มีอัตราส่วน 16:10 และรีเฟรชเรตสูงถึง 240Hz เหมาะสำหรับงานกราฟิกและการเล่นเกมที่ต้องการความแม่นยำสูง ส่วนระบบเชื่อมต่อก็จัดเต็มด้วย Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.4, USB 4 Type-C, HDMI, DisplayPort, microSD card reader และช่องหูฟัง 3.5 มม.

    COSMIC Desktop ซึ่งเป็นผลงานพัฒนาโดย System76 เอง ถูกออกแบบใหม่ทั้งหมดโดยใช้ Rust และ GTK4 เพื่อให้มีความเร็ว ความเสถียร และความสามารถในการปรับแต่งสูง โดยเน้นการใช้งานแบบ keyboard-centric และ workflow ที่ไม่รบกวนผู้ใช้

    Oryx Pro ยังสามารถเลือกติดตั้ง Ubuntu 24.04 LTS ได้แทน Pop!_OS หากผู้ใช้ต้องการ และเปิดให้สั่งซื้อแล้วผ่านเว็บไซต์ของ System76 โดยมีราคาเริ่มต้นที่ $2,599 USD

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Oryx Pro เป็นแล็ปท็อป Linux เครื่องแรกที่มาพร้อม COSMIC Desktop เวอร์ชันเบต้า
    ติดตั้ง Pop!_OS 24.04 LTS โดยตรง หรือเลือก Ubuntu 24.04 LTS ได้
    ใช้ชิป AMD Ryzen AI 9 HX 370 แบบ 12 คอร์ 24 เธรด ความเร็วสูงสุด 5.1GHz
    กราฟิก NVIDIA GeForce RTX 5070 รองรับงาน AI และเกมระดับสูง
    RAM สูงสุด 96GB DDR5 5600MHz และ SSD สูงสุด 8TB M.2 PCIe Gen4
    หน้าจอ 16 นิ้ว 2K matte อัตราส่วน 16:10 รีเฟรชเรต 240Hz
    ระบบเชื่อมต่อครบครัน: Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.4, USB 4, HDMI, DisplayPort ฯลฯ
    มีแบตเตอรี่ 80Wh, คีย์บอร์ดมีไฟ backlit พร้อม NumPad, กล้อง HD 1MP
    COSMIC Desktop พัฒนาโดย System76 ด้วยภาษา Rust และ GTK4
    เปิดให้สั่งซื้อแล้วผ่านเว็บไซต์ System76 ราคาเริ่มต้น $2,599 USD

    https://9to5linux.com/system76s-oryx-pro-is-the-first-linux-laptop-to-ship-with-the-cosmic-desktop
    💻 “System76 เปิดตัว Oryx Pro รุ่นใหม่ — แล็ปท็อป Linux เครื่องแรกที่มาพร้อม COSMIC Desktop เต็มรูปแบบ” System76 ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ Linux ชื่อดังจากสหรัฐฯ ประกาศเปิดตัว Oryx Pro รุ่นใหม่ล่าสุดในเดือนตุลาคม 2025 ซึ่งถือเป็นแล็ปท็อปเครื่องแรกที่มาพร้อม COSMIC Desktop เวอร์ชันเบต้า ติดตั้งบน Pop!_OS 24.04 LTS โดยตรง ถือเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนา Linux Desktop ที่ออกแบบมาเพื่อประสบการณ์ผู้ใช้ที่ลื่นไหลและทันสมัย Oryx Pro รุ่นใหม่นี้มาพร้อมสเปกระดับสูงที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้านวิศวกรรม การพัฒนา AI และการเล่นเกม โดยใช้ชิป AMD Ryzen AI 9 HX 370 แบบ 12 คอร์ 24 เธรด ความเร็วสูงสุด 5.1GHz พร้อมกราฟิก NVIDIA GeForce RTX 5070 และรองรับ RAM สูงสุดถึง 96GB DDR5 ความเร็ว 5600MHz รวมถึงพื้นที่เก็บข้อมูลแบบ M.2 PCIe Gen4 สูงสุด 8TB หน้าจอขนาด 16 นิ้วแบบ 2K matte มีอัตราส่วน 16:10 และรีเฟรชเรตสูงถึง 240Hz เหมาะสำหรับงานกราฟิกและการเล่นเกมที่ต้องการความแม่นยำสูง ส่วนระบบเชื่อมต่อก็จัดเต็มด้วย Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.4, USB 4 Type-C, HDMI, DisplayPort, microSD card reader และช่องหูฟัง 3.5 มม. COSMIC Desktop ซึ่งเป็นผลงานพัฒนาโดย System76 เอง ถูกออกแบบใหม่ทั้งหมดโดยใช้ Rust และ GTK4 เพื่อให้มีความเร็ว ความเสถียร และความสามารถในการปรับแต่งสูง โดยเน้นการใช้งานแบบ keyboard-centric และ workflow ที่ไม่รบกวนผู้ใช้ Oryx Pro ยังสามารถเลือกติดตั้ง Ubuntu 24.04 LTS ได้แทน Pop!_OS หากผู้ใช้ต้องการ และเปิดให้สั่งซื้อแล้วผ่านเว็บไซต์ของ System76 โดยมีราคาเริ่มต้นที่ $2,599 USD ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Oryx Pro เป็นแล็ปท็อป Linux เครื่องแรกที่มาพร้อม COSMIC Desktop เวอร์ชันเบต้า ➡️ ติดตั้ง Pop!_OS 24.04 LTS โดยตรง หรือเลือก Ubuntu 24.04 LTS ได้ ➡️ ใช้ชิป AMD Ryzen AI 9 HX 370 แบบ 12 คอร์ 24 เธรด ความเร็วสูงสุด 5.1GHz ➡️ กราฟิก NVIDIA GeForce RTX 5070 รองรับงาน AI และเกมระดับสูง ➡️ RAM สูงสุด 96GB DDR5 5600MHz และ SSD สูงสุด 8TB M.2 PCIe Gen4 ➡️ หน้าจอ 16 นิ้ว 2K matte อัตราส่วน 16:10 รีเฟรชเรต 240Hz ➡️ ระบบเชื่อมต่อครบครัน: Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.4, USB 4, HDMI, DisplayPort ฯลฯ ➡️ มีแบตเตอรี่ 80Wh, คีย์บอร์ดมีไฟ backlit พร้อม NumPad, กล้อง HD 1MP ➡️ COSMIC Desktop พัฒนาโดย System76 ด้วยภาษา Rust และ GTK4 ➡️ เปิดให้สั่งซื้อแล้วผ่านเว็บไซต์ System76 ราคาเริ่มต้น $2,599 USD https://9to5linux.com/system76s-oryx-pro-is-the-first-linux-laptop-to-ship-with-the-cosmic-desktop
    9TO5LINUX.COM
    System76's Oryx Pro Is the First Linux Laptop to Ship with the COSMIC Desktop - 9to5Linux
    System76 announces a new Oryx Pro laptop that comes preinstalled with the COSMIC Beta desktop environment on top of Pop!_OS 24.04 LTS.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 214 มุมมอง 0 รีวิว
  • “SpaceX เตรียมปล่อยดาวเทียม Starlink กลุ่มใหม่ — พร้อมทดสอบ Starship ครั้งที่ 5 เพื่อภารกิจสู่ดวงจันทร์และดาวอังคาร”

    หลังจากเพิ่งปล่อยดาวเทียม Starlink ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน SpaceX ก็ไม่รอช้า เตรียมภารกิจใหม่ในวันที่ 3 ตุลาคม 2025 โดยจะปล่อยจรวด Falcon 9 จากฐานยิง SLC-4E ที่ Vandenberg Space Force Base รัฐแคลิฟอร์เนีย เวลา 6:00 น. PDT (13:00 UTC) ภารกิจนี้มีชื่อว่า Starlink Group 11-39 ซึ่งจะนำดาวเทียม Starlink V2 Mini จำนวน 28 ดวงเข้าสู่วงโคจรระดับต่ำที่ความสูงประมาณ 595 กิโลเมตร

    แม้จะเป็นภารกิจลำดับที่ 39 ของกลุ่มนี้ แต่จริง ๆ แล้วนี่คือการปล่อยครั้งที่ 15 สำหรับวงโคจรเฉพาะนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมประสิทธิภาพและขยายพื้นที่ครอบคลุมของเครือข่ายอินเทอร์เน็ต Starlink ที่ปัจจุบันมีดาวเทียมทำงานอยู่แล้วกว่า 8,460 ดวงทั่วโลก

    หลังจากปล่อยดาวเทียมแล้ว บูสเตอร์ขั้นแรกของ Falcon 9 จะพยายามลงจอดบนเรือโดรน “Of Course I Still Love You” ที่ลอยอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งอาจทำให้เกิดเสียงโซนิคบูมในพื้นที่ Santa Barbara, San Luis Obispo และ Ventura

    นอกจากภารกิจ Starlink แล้ว SpaceX ยังเตรียมทดสอบจรวด Starship ครั้งที่ 5 ในวันที่ 13 ตุลาคม 2025 จากฐาน Starbase ในรัฐเท็กซัส โดยจรวด Starship ถือเป็นจรวดที่ทรงพลังที่สุดในโลก และเป็นหัวใจของแผนการพามนุษย์กลับไปดวงจันทร์และเดินทางสู่ดาวอังคารในอนาคต

    การทดสอบครั้งก่อนในเดือนสิงหาคมประสบความสำเร็จ ขณะที่การทดสอบในเดือนมิถุนายนจบลงด้วยการระเบิด แต่ Elon Musk ยืนยันว่าจะเร่งรอบการทดสอบให้เร็วขึ้น หลังได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล

    ผู้สนใจสามารถติดตามการถ่ายทอดสดได้ผ่านเว็บไซต์ SpaceX, แอป X TV หรือบัญชี @SpaceX บนแพลตฟอร์ม X โดยการถ่ายทอดจะเริ่มประมาณ 5 นาทีก่อนปล่อยจรวด และสามารถใช้เครื่องมืออย่าง Satellite Tracker, SkySafari หรือ Stellarium เพื่อติดตามตำแหน่งของดาวเทียม Starlink ได้แบบเรียลไทม์

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    SpaceX เตรียมปล่อยจรวด Falcon 9 ภารกิจ Starlink Group 11-39 วันที่ 3 ตุลาคม 2025
    ปล่อยจากฐาน SLC-4E ที่ Vandenberg Space Force Base เวลา 6:00 น. PDT
    บรรทุกดาวเทียม Starlink V2 Mini จำนวน 28 ดวง เข้าสู่วงโคจรต่ำที่ 595 กม.
    เป็นการปล่อยครั้งที่ 15 สำหรับวงโคจรเฉพาะนี้ แม้จะเป็นภารกิจลำดับที่ 39
    ปัจจุบันมีดาวเทียม Starlink ทำงานอยู่แล้วกว่า 8,460 ดวง
    บูสเตอร์ขั้นแรกจะลงจอดบนเรือโดรน “Of Course I Still Love You” ในมหาสมุทรแปซิฟิก
    อาจเกิดเสียงโซนิคบูมในพื้นที่ Santa Barbara, San Luis Obispo และ Ventura
    SpaceX เตรียมทดสอบจรวด Starship ครั้งที่ 5 วันที่ 13 ตุลาคม 2025 ที่ Starbase, Texas
    Starship เป็นจรวดที่ทรงพลังที่สุดในโลก ใช้สำหรับภารกิจดวงจันทร์และดาวอังคาร
    การถ่ายทอดสดสามารถดูได้ผ่านเว็บไซต์ SpaceX, แอป X TV และบัญชี @SpaceX

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Starlink V2 Mini มีขนาดเล็กลงแต่ประสิทธิภาพสูงขึ้น รองรับการเชื่อมต่อในพื้นที่ห่างไกล
    เรือโดรน “Of Course I Still Love You” เป็นหนึ่งในระบบลงจอดอัตโนมัติของ SpaceX
    Starship มีความสูงกว่า 120 เมตร และสามารถบรรทุกน้ำหนักได้มากกว่า 100 ตัน
    การทดสอบ Starship เป็นขั้นตอนสำคัญก่อนภารกิจ Artemis ของ NASA
    การติดตามดาวเทียม Starlink สามารถทำได้ผ่านแอปมือถือและเว็บไซต์เฉพาะทาง

    https://www.slashgear.com/1984666/how-to-see-when-and-where-next-spacex-launch-is/
    🚀 “SpaceX เตรียมปล่อยดาวเทียม Starlink กลุ่มใหม่ — พร้อมทดสอบ Starship ครั้งที่ 5 เพื่อภารกิจสู่ดวงจันทร์และดาวอังคาร” หลังจากเพิ่งปล่อยดาวเทียม Starlink ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน SpaceX ก็ไม่รอช้า เตรียมภารกิจใหม่ในวันที่ 3 ตุลาคม 2025 โดยจะปล่อยจรวด Falcon 9 จากฐานยิง SLC-4E ที่ Vandenberg Space Force Base รัฐแคลิฟอร์เนีย เวลา 6:00 น. PDT (13:00 UTC) ภารกิจนี้มีชื่อว่า Starlink Group 11-39 ซึ่งจะนำดาวเทียม Starlink V2 Mini จำนวน 28 ดวงเข้าสู่วงโคจรระดับต่ำที่ความสูงประมาณ 595 กิโลเมตร แม้จะเป็นภารกิจลำดับที่ 39 ของกลุ่มนี้ แต่จริง ๆ แล้วนี่คือการปล่อยครั้งที่ 15 สำหรับวงโคจรเฉพาะนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมประสิทธิภาพและขยายพื้นที่ครอบคลุมของเครือข่ายอินเทอร์เน็ต Starlink ที่ปัจจุบันมีดาวเทียมทำงานอยู่แล้วกว่า 8,460 ดวงทั่วโลก หลังจากปล่อยดาวเทียมแล้ว บูสเตอร์ขั้นแรกของ Falcon 9 จะพยายามลงจอดบนเรือโดรน “Of Course I Still Love You” ที่ลอยอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งอาจทำให้เกิดเสียงโซนิคบูมในพื้นที่ Santa Barbara, San Luis Obispo และ Ventura นอกจากภารกิจ Starlink แล้ว SpaceX ยังเตรียมทดสอบจรวด Starship ครั้งที่ 5 ในวันที่ 13 ตุลาคม 2025 จากฐาน Starbase ในรัฐเท็กซัส โดยจรวด Starship ถือเป็นจรวดที่ทรงพลังที่สุดในโลก และเป็นหัวใจของแผนการพามนุษย์กลับไปดวงจันทร์และเดินทางสู่ดาวอังคารในอนาคต การทดสอบครั้งก่อนในเดือนสิงหาคมประสบความสำเร็จ ขณะที่การทดสอบในเดือนมิถุนายนจบลงด้วยการระเบิด แต่ Elon Musk ยืนยันว่าจะเร่งรอบการทดสอบให้เร็วขึ้น หลังได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล ผู้สนใจสามารถติดตามการถ่ายทอดสดได้ผ่านเว็บไซต์ SpaceX, แอป X TV หรือบัญชี @SpaceX บนแพลตฟอร์ม X โดยการถ่ายทอดจะเริ่มประมาณ 5 นาทีก่อนปล่อยจรวด และสามารถใช้เครื่องมืออย่าง Satellite Tracker, SkySafari หรือ Stellarium เพื่อติดตามตำแหน่งของดาวเทียม Starlink ได้แบบเรียลไทม์ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ SpaceX เตรียมปล่อยจรวด Falcon 9 ภารกิจ Starlink Group 11-39 วันที่ 3 ตุลาคม 2025 ➡️ ปล่อยจากฐาน SLC-4E ที่ Vandenberg Space Force Base เวลา 6:00 น. PDT ➡️ บรรทุกดาวเทียม Starlink V2 Mini จำนวน 28 ดวง เข้าสู่วงโคจรต่ำที่ 595 กม. ➡️ เป็นการปล่อยครั้งที่ 15 สำหรับวงโคจรเฉพาะนี้ แม้จะเป็นภารกิจลำดับที่ 39 ➡️ ปัจจุบันมีดาวเทียม Starlink ทำงานอยู่แล้วกว่า 8,460 ดวง ➡️ บูสเตอร์ขั้นแรกจะลงจอดบนเรือโดรน “Of Course I Still Love You” ในมหาสมุทรแปซิฟิก ➡️ อาจเกิดเสียงโซนิคบูมในพื้นที่ Santa Barbara, San Luis Obispo และ Ventura ➡️ SpaceX เตรียมทดสอบจรวด Starship ครั้งที่ 5 วันที่ 13 ตุลาคม 2025 ที่ Starbase, Texas ➡️ Starship เป็นจรวดที่ทรงพลังที่สุดในโลก ใช้สำหรับภารกิจดวงจันทร์และดาวอังคาร ➡️ การถ่ายทอดสดสามารถดูได้ผ่านเว็บไซต์ SpaceX, แอป X TV และบัญชี @SpaceX ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Starlink V2 Mini มีขนาดเล็กลงแต่ประสิทธิภาพสูงขึ้น รองรับการเชื่อมต่อในพื้นที่ห่างไกล ➡️ เรือโดรน “Of Course I Still Love You” เป็นหนึ่งในระบบลงจอดอัตโนมัติของ SpaceX ➡️ Starship มีความสูงกว่า 120 เมตร และสามารถบรรทุกน้ำหนักได้มากกว่า 100 ตัน ➡️ การทดสอบ Starship เป็นขั้นตอนสำคัญก่อนภารกิจ Artemis ของ NASA ➡️ การติดตามดาวเทียม Starlink สามารถทำได้ผ่านแอปมือถือและเว็บไซต์เฉพาะทาง https://www.slashgear.com/1984666/how-to-see-when-and-where-next-spacex-launch-is/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Interested In Seeing The Next SpaceX Launch? Here's What We Know About When And Where It Is - SlashGear
    SpaceX’s next Falcon 9 launch is scheduled for Oct. 3, 2025, from Vandenberg SFB in California, carrying 28 Starlink V2 Mini satellites.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 297 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Chrome 141 อัปเดตด่วน! อุดช่องโหว่ WebGPU และ Video เสี่ยงถูกโจมตีระดับโค้ด — ผู้ใช้ทุกระบบควรรีบอัปเดตทันที”

    Google ได้ปล่อยอัปเดต Chrome 141 สู่ช่องทาง Stable สำหรับผู้ใช้บน Windows, macOS และ Linux โดยเวอร์ชันนี้มาพร้อมการแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัยถึง 21 รายการ ซึ่งรวมถึงช่องโหว่ระดับร้ายแรง 2 จุดที่อาจเปิดทางให้ผู้โจมตีเข้าควบคุมระบบผ่านการจัดการหน่วยความจำผิดพลาด

    ช่องโหว่แรกคือ CVE-2025-11205 ซึ่งเป็น heap buffer overflow ใน WebGPU — เทคโนโลยีที่ใช้เร่งกราฟิกและการเรนเดอร์บนเว็บสมัยใหม่ ช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดย Atte Kettunen จาก OUSPG และได้รับเงินรางวัลถึง $25,000 ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในการอัปเดตครั้งนี้ ช่องโหว่นี้สามารถนำไปสู่การเข้าถึงหน่วยความจำนอกขอบเขต และเปิดทางให้ผู้โจมตีรันโค้ดอันตรายหรือทำให้เบราว์เซอร์ล่มได้

    ช่องโหว่ที่สองคือ CVE-2025-11206 ซึ่งเป็น heap buffer overflow ในระบบ Video ของ Chrome โดยนักวิจัย Elias Hohl ช่องโหว่นี้แม้จะรุนแรงน้อยกว่า WebGPU แต่ก็สามารถถูกใช้เพื่อควบคุมหน่วยความจำระหว่างการเล่นวิดีโอ และอาจนำไปสู่การโจมตีหรือทำให้เบราว์เซอร์ไม่เสถียร

    นอกจากช่องโหว่หลักทั้งสองแล้ว Chrome 141 ยังแก้ไขช่องโหว่ระดับกลางและต่ำอีกหลายรายการ เช่น การรั่วไหลข้อมูลผ่าน side-channel ใน Storage และ Tab, การ implement ที่ไม่เหมาะสมใน Media และ Omnibox รวมถึงข้อผิดพลาดใน V8 JavaScript engine ที่อาจเปิดช่องให้รันโค้ดผ่านเว็บเพจที่ออกแบบมาเฉพาะ

    Google แนะนำให้ผู้ใช้ทุกระบบอัปเดต Chrome เป็นเวอร์ชัน 141.0.7390.54 (Linux) หรือ 141.0.7390.54/55 (Windows และ Mac) โดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากช่องโหว่ที่ถูกเปิดเผยแล้ว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Chrome 141 อัปเดตเพื่อแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัย 21 รายการ
    CVE-2025-11205: heap buffer overflow ใน WebGPU เสี่ยงรันโค้ดอันตราย
    CVE-2025-11206: heap buffer overflow ใน Video component เสี่ยงทำให้เบราว์เซอร์ล่ม
    ช่องโหว่ WebGPU ได้รับรางวัล $25,000 จาก Google
    ช่องโหว่ Video ได้รับรางวัล $4,000
    Chrome 141 แก้ไขช่องโหว่ใน Storage, Media, Omnibox และ V8 JavaScript engine
    เวอร์ชันที่ปล่อยคือ 141.0.7390.54 สำหรับ Linux และ 54/55 สำหรับ Windows/Mac
    Google แนะนำให้อัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    WebGPU เป็น API ใหม่ที่ใช้เร่งกราฟิกในเว็บแอป เช่น เกมและแอป 3D
    Heap buffer overflow เป็นช่องโหว่ที่เกิดจากการเขียนข้อมูลเกินขอบเขตหน่วยความจำ
    Side-channel attack สามารถใช้วิเคราะห์พฤติกรรมระบบเพื่อขโมยข้อมูล
    V8 เป็น engine ที่รัน JavaScript ใน Chrome และมีบทบาทสำคัญในความปลอดภัย
    Google ใช้ระบบ AI ภายในชื่อ Big Sleep เพื่อช่วยตรวจจับช่องโหว่ในโค้ด

    https://securityonline.info/chrome-141-stable-channel-update-patches-high-severity-vulnerabilities-cve-2025-11205-cve-2025-11206/
    🛡️ “Chrome 141 อัปเดตด่วน! อุดช่องโหว่ WebGPU และ Video เสี่ยงถูกโจมตีระดับโค้ด — ผู้ใช้ทุกระบบควรรีบอัปเดตทันที” Google ได้ปล่อยอัปเดต Chrome 141 สู่ช่องทาง Stable สำหรับผู้ใช้บน Windows, macOS และ Linux โดยเวอร์ชันนี้มาพร้อมการแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัยถึง 21 รายการ ซึ่งรวมถึงช่องโหว่ระดับร้ายแรง 2 จุดที่อาจเปิดทางให้ผู้โจมตีเข้าควบคุมระบบผ่านการจัดการหน่วยความจำผิดพลาด ช่องโหว่แรกคือ CVE-2025-11205 ซึ่งเป็น heap buffer overflow ใน WebGPU — เทคโนโลยีที่ใช้เร่งกราฟิกและการเรนเดอร์บนเว็บสมัยใหม่ ช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดย Atte Kettunen จาก OUSPG และได้รับเงินรางวัลถึง $25,000 ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในการอัปเดตครั้งนี้ ช่องโหว่นี้สามารถนำไปสู่การเข้าถึงหน่วยความจำนอกขอบเขต และเปิดทางให้ผู้โจมตีรันโค้ดอันตรายหรือทำให้เบราว์เซอร์ล่มได้ ช่องโหว่ที่สองคือ CVE-2025-11206 ซึ่งเป็น heap buffer overflow ในระบบ Video ของ Chrome โดยนักวิจัย Elias Hohl ช่องโหว่นี้แม้จะรุนแรงน้อยกว่า WebGPU แต่ก็สามารถถูกใช้เพื่อควบคุมหน่วยความจำระหว่างการเล่นวิดีโอ และอาจนำไปสู่การโจมตีหรือทำให้เบราว์เซอร์ไม่เสถียร นอกจากช่องโหว่หลักทั้งสองแล้ว Chrome 141 ยังแก้ไขช่องโหว่ระดับกลางและต่ำอีกหลายรายการ เช่น การรั่วไหลข้อมูลผ่าน side-channel ใน Storage และ Tab, การ implement ที่ไม่เหมาะสมใน Media และ Omnibox รวมถึงข้อผิดพลาดใน V8 JavaScript engine ที่อาจเปิดช่องให้รันโค้ดผ่านเว็บเพจที่ออกแบบมาเฉพาะ Google แนะนำให้ผู้ใช้ทุกระบบอัปเดต Chrome เป็นเวอร์ชัน 141.0.7390.54 (Linux) หรือ 141.0.7390.54/55 (Windows และ Mac) โดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากช่องโหว่ที่ถูกเปิดเผยแล้ว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Chrome 141 อัปเดตเพื่อแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัย 21 รายการ ➡️ CVE-2025-11205: heap buffer overflow ใน WebGPU เสี่ยงรันโค้ดอันตราย ➡️ CVE-2025-11206: heap buffer overflow ใน Video component เสี่ยงทำให้เบราว์เซอร์ล่ม ➡️ ช่องโหว่ WebGPU ได้รับรางวัล $25,000 จาก Google ➡️ ช่องโหว่ Video ได้รับรางวัล $4,000 ➡️ Chrome 141 แก้ไขช่องโหว่ใน Storage, Media, Omnibox และ V8 JavaScript engine ➡️ เวอร์ชันที่ปล่อยคือ 141.0.7390.54 สำหรับ Linux และ 54/55 สำหรับ Windows/Mac ➡️ Google แนะนำให้อัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ WebGPU เป็น API ใหม่ที่ใช้เร่งกราฟิกในเว็บแอป เช่น เกมและแอป 3D ➡️ Heap buffer overflow เป็นช่องโหว่ที่เกิดจากการเขียนข้อมูลเกินขอบเขตหน่วยความจำ ➡️ Side-channel attack สามารถใช้วิเคราะห์พฤติกรรมระบบเพื่อขโมยข้อมูล ➡️ V8 เป็น engine ที่รัน JavaScript ใน Chrome และมีบทบาทสำคัญในความปลอดภัย ➡️ Google ใช้ระบบ AI ภายในชื่อ Big Sleep เพื่อช่วยตรวจจับช่องโหว่ในโค้ด https://securityonline.info/chrome-141-stable-channel-update-patches-high-severity-vulnerabilities-cve-2025-11205-cve-2025-11206/
    SECURITYONLINE.INFO
    Chrome 141 Stable Channel Update Patches High-Severity Vulnerabilities (CVE-2025-11205 & CVE-2025-11206)
    Google promoted Chrome 141 to Stable, patching 21 flaws including a High-severity Heap Buffer Overflow (CVE-2025-11205) in WebGPU that could lead to RCE.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 251 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก 6:2 เดินหน้าวินิจฉัยคดี 'ภูมิธรรม-ทวี' ปมใช้ DSI แทรกแซงการเลือกตั้ง สว. ขัดหลักจริยธรรม
    https://www.thai-tai.tv/news/21689/
    .
    #ศาลรัฐธรรมนูญ #ภูมิธรรมเวชยชัย #ทวีสอดส่อง #สว #DSI #แทรกแซงการเมือง #มาตรฐานจริยธรรม #ความซื่อสัตย์สุจริต

    ศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก 6:2 เดินหน้าวินิจฉัยคดี 'ภูมิธรรม-ทวี' ปมใช้ DSI แทรกแซงการเลือกตั้ง สว. ขัดหลักจริยธรรม https://www.thai-tai.tv/news/21689/ . #ศาลรัฐธรรมนูญ #ภูมิธรรมเวชยชัย #ทวีสอดส่อง #สว #DSI #แทรกแซงการเมือง #มาตรฐานจริยธรรม #ความซื่อสัตย์สุจริต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 267 มุมมอง 0 รีวิว
  • “รัสเซียเปิดแผนสร้างเครื่อง EUV Lithography แบบใหม่ถึงปี 2037 — หวังล้ม ASML ด้วยเทคโนโลยี 11.2nm ที่ไม่เหมือนใคร”

    สถาบันฟิสิกส์โครงสร้างจุลภาคแห่ง Russian Academy of Sciences ได้เปิดเผยแผนการพัฒนาเครื่อง EUV Lithography แบบใหม่ที่ใช้ความยาวคลื่น 11.2 นาโนเมตร ซึ่งแตกต่างจากมาตรฐานอุตสาหกรรมที่ใช้ 13.5 นาโนเมตรของ ASML โดยแผนนี้ครอบคลุมตั้งแต่ปี 2026 ถึง 2037 และแบ่งออกเป็น 3 ระยะหลัก ตั้งเป้าสร้างเครื่องผลิตชิปที่มีความละเอียดสูงแต่ต้นทุนต่ำ เพื่อใช้ในโรงงานขนาดเล็กและตลาดที่ถูกกีดกันจากระบบของ ASML

    สิ่งที่โดดเด่นคือ รัสเซียเลือกใช้เลเซอร์แบบ solid-state ร่วมกับพลาสมาจากแก๊สซีนอน แทนการใช้หยดดีบุกแบบ ASML ซึ่งช่วยลดเศษซากที่ทำลาย photomask และลดความซับซ้อนของระบบ โดยใช้กระจกสะท้อนแสงที่ทำจากรูทีเนียมและเบริลเลียม ซึ่งสามารถสะท้อนแสงที่ความยาวคลื่น 11.2nm ได้ดี

    แผนพัฒนาแบ่งเป็น 3 ระยะ:

    ปี 2026–2028: เครื่องรุ่นแรก รองรับการผลิตที่ระดับ 40nm ใช้กระจก 2 ชิ้น ความแม่นยำ 10nm throughput 5 แผ่นต่อชั่วโมง
    ปี 2029–2032: เครื่องรุ่นสอง รองรับ 28nm (อาจถึง 14nm) ใช้กระจก 4 ชิ้น ความแม่นยำ 5nm throughput 50 แผ่นต่อชั่วโมง
    ปี 2033–2036: เครื่องรุ่นสาม รองรับต่ำกว่า 10nm ใช้กระจก 6 ชิ้น ความแม่นยำ 2nm throughput 100 แผ่นต่อชั่วโมง

    แม้แผนนี้จะดูทะเยอทะยาน แต่ยังไม่มีการพิสูจน์ว่าเทคโนโลยีนี้จะสามารถใช้งานเชิงพาณิชย์ได้จริง และยังต้องสร้าง ecosystem ใหม่ทั้งหมด เช่น กระจกเฉพาะ, เครื่องขัด, photoresist, และซอฟต์แวร์ออกแบบชิปที่รองรับความยาวคลื่น 11.2nm

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    รัสเซียเปิดแผนพัฒนาเครื่อง EUV Lithography ความยาวคลื่น 11.2nm ถึงปี 2037
    ใช้เลเซอร์ solid-state และพลาสมาจากแก๊สซีนอน แทนหยดดีบุกแบบ ASML
    ใช้กระจกสะท้อนแสงจากรูทีเนียมและเบริลเลียม (Ru/Be)
    เครื่องรุ่นแรก (2026–2028) รองรับ 40nm ความแม่นยำ 10nm throughput 5 แผ่น/ชม.
    เครื่องรุ่นสอง (2029–2032) รองรับ 28nm ความแม่นยำ 5nm throughput 50 แผ่น/ชม.
    เครื่องรุ่นสาม (2033–2036) รองรับต่ำกว่า 10nm ความแม่นยำ 2nm throughput 100 แผ่น/ชม.
    ระบบนี้ไม่ใช้ immersion fluid และ multi-patterning เหมือน DUV
    ตั้งเป้าให้เครื่องมีต้นทุนต่ำกว่า ASML Twinscan NXE และ EXE
    เหมาะกับโรงงานขนาดเล็กและตลาดที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบของ ASML

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ASML เป็นผู้ผลิตเครื่อง EUV รายเดียวในโลกที่ใช้ความยาวคลื่น 13.5nm
    การใช้ความยาวคลื่น 11.2nm อาจเพิ่มความละเอียดได้ถึง 20%
    การใช้แก๊สซีนอนช่วยลดการปนเปื้อนและยืดอายุ photomask และ pellicle
    เครื่องรุ่นต้นแบบของรัสเซียตั้งเป้าผลิต 60 แผ่นขนาด 200mm ต่อชั่วโมง และ 300mm ในอนาคต2
    การสร้าง ecosystem ใหม่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 ปี และยังไม่มี timeline ที่ชัดเจน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/russia-outlines-euv-litho-chipmaking-tool-roadmap-through-2037-country-eyes-replacing-duv-with-euv-but-plans-appear-unrealistic
    🔬 “รัสเซียเปิดแผนสร้างเครื่อง EUV Lithography แบบใหม่ถึงปี 2037 — หวังล้ม ASML ด้วยเทคโนโลยี 11.2nm ที่ไม่เหมือนใคร” สถาบันฟิสิกส์โครงสร้างจุลภาคแห่ง Russian Academy of Sciences ได้เปิดเผยแผนการพัฒนาเครื่อง EUV Lithography แบบใหม่ที่ใช้ความยาวคลื่น 11.2 นาโนเมตร ซึ่งแตกต่างจากมาตรฐานอุตสาหกรรมที่ใช้ 13.5 นาโนเมตรของ ASML โดยแผนนี้ครอบคลุมตั้งแต่ปี 2026 ถึง 2037 และแบ่งออกเป็น 3 ระยะหลัก ตั้งเป้าสร้างเครื่องผลิตชิปที่มีความละเอียดสูงแต่ต้นทุนต่ำ เพื่อใช้ในโรงงานขนาดเล็กและตลาดที่ถูกกีดกันจากระบบของ ASML สิ่งที่โดดเด่นคือ รัสเซียเลือกใช้เลเซอร์แบบ solid-state ร่วมกับพลาสมาจากแก๊สซีนอน แทนการใช้หยดดีบุกแบบ ASML ซึ่งช่วยลดเศษซากที่ทำลาย photomask และลดความซับซ้อนของระบบ โดยใช้กระจกสะท้อนแสงที่ทำจากรูทีเนียมและเบริลเลียม ซึ่งสามารถสะท้อนแสงที่ความยาวคลื่น 11.2nm ได้ดี แผนพัฒนาแบ่งเป็น 3 ระยะ: 🗝️ ปี 2026–2028: เครื่องรุ่นแรก รองรับการผลิตที่ระดับ 40nm ใช้กระจก 2 ชิ้น ความแม่นยำ 10nm throughput 5 แผ่นต่อชั่วโมง 🗝️ ปี 2029–2032: เครื่องรุ่นสอง รองรับ 28nm (อาจถึง 14nm) ใช้กระจก 4 ชิ้น ความแม่นยำ 5nm throughput 50 แผ่นต่อชั่วโมง 🗝️ ปี 2033–2036: เครื่องรุ่นสาม รองรับต่ำกว่า 10nm ใช้กระจก 6 ชิ้น ความแม่นยำ 2nm throughput 100 แผ่นต่อชั่วโมง แม้แผนนี้จะดูทะเยอทะยาน แต่ยังไม่มีการพิสูจน์ว่าเทคโนโลยีนี้จะสามารถใช้งานเชิงพาณิชย์ได้จริง และยังต้องสร้าง ecosystem ใหม่ทั้งหมด เช่น กระจกเฉพาะ, เครื่องขัด, photoresist, และซอฟต์แวร์ออกแบบชิปที่รองรับความยาวคลื่น 11.2nm ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ รัสเซียเปิดแผนพัฒนาเครื่อง EUV Lithography ความยาวคลื่น 11.2nm ถึงปี 2037 ➡️ ใช้เลเซอร์ solid-state และพลาสมาจากแก๊สซีนอน แทนหยดดีบุกแบบ ASML ➡️ ใช้กระจกสะท้อนแสงจากรูทีเนียมและเบริลเลียม (Ru/Be) ➡️ เครื่องรุ่นแรก (2026–2028) รองรับ 40nm ความแม่นยำ 10nm throughput 5 แผ่น/ชม. ➡️ เครื่องรุ่นสอง (2029–2032) รองรับ 28nm ความแม่นยำ 5nm throughput 50 แผ่น/ชม. ➡️ เครื่องรุ่นสาม (2033–2036) รองรับต่ำกว่า 10nm ความแม่นยำ 2nm throughput 100 แผ่น/ชม. ➡️ ระบบนี้ไม่ใช้ immersion fluid และ multi-patterning เหมือน DUV ➡️ ตั้งเป้าให้เครื่องมีต้นทุนต่ำกว่า ASML Twinscan NXE และ EXE ➡️ เหมาะกับโรงงานขนาดเล็กและตลาดที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบของ ASML ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ASML เป็นผู้ผลิตเครื่อง EUV รายเดียวในโลกที่ใช้ความยาวคลื่น 13.5nm ➡️ การใช้ความยาวคลื่น 11.2nm อาจเพิ่มความละเอียดได้ถึง 20% ➡️ การใช้แก๊สซีนอนช่วยลดการปนเปื้อนและยืดอายุ photomask และ pellicle ➡️ เครื่องรุ่นต้นแบบของรัสเซียตั้งเป้าผลิต 60 แผ่นขนาด 200mm ต่อชั่วโมง และ 300mm ในอนาคต2 ➡️ การสร้าง ecosystem ใหม่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 ปี และยังไม่มี timeline ที่ชัดเจน https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/russia-outlines-euv-litho-chipmaking-tool-roadmap-through-2037-country-eyes-replacing-duv-with-euv-but-plans-appear-unrealistic
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 256 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดูดวง 12 นักษัตร เดือนตุลาคม 2568
    คำทำนาย พื้นดวงชะตา ของคนที่เกิดในแต่ละนักษัตร ทั้ง 12 ราศี ในเดือนตุลาคม 2568 ว่าพื้นดวงชะตาของแต่ละคนมี การเปลี่ยนแปลงทางด้านบวกหรือด้านลบอย่างไร เรื่องใดโดดเด่น และ เรื่องใดต้องระมัดระวังปรับปรุงแก้ไข
    ในเดือน ตุลาคมเป็นเดือน เปี้ยสุกนักษัตร จอ พลังดิน ธาตุไฟ ตามหลักโป้ยหยี่ซีเถียวโหราศาสตร์จีน พลังธาตุของปีมะเส็งเสริมพลังธาตุของเดือนจอทำให้มีพลังส่งเสริมในทางที่ดี
    ส่งผลให้สถานะการณ์ในเดือนนี้เรื่องที่เป็นปัญหาติดขัด ได้รับการแก้ไขให้คลี่คลาย ธุรกิจการค้าขยายตัวช่วย ส่งผลดีต่อธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ นายหน้า ซื้อมาขายไป การลงทุนตลาดหุ้น การโรงแรม แหล่งท่องเที่ยว
    ในเดือนนี้ คนที่เกิดในนักษัตรที่มีพลังธาตุสอดคล้องกับเดือน จอ จะได้รับผลดีและหากนักษัตรใด มีพื้นดวงขัดแย้ง ก็ต้องระวังผลเสียที่เข้ากระทบ เช่นกัน

    https://youtu.be/sZ8CbhCQCFk

    ดูดวง 12 นักษัตร เดือนตุลาคม 2568

    00:00 บทนำ
    01:21 ดวง ปีชวด (หนู)
    03:02 ดวง ปีฉลู (วัว)
    04:53 ดวง ปีขาล (เสือ)
    06:55 ดวง ปีเถาะ (กระต่าย)
    08:52 ดวง ปีมะโรง (งูใหญ่)
    10:46 ดวง ปีมะเส็ง (งูเล็ก)
    12:42 ดวง ปีมะเมีย (ม้า)
    15:15 ดวง ปีมะแม (แพะ)
    17:21 ดวง ปีวอก (ลิง)
    19:26 ดวง ปีระกา (ไก่)
    21:49 ดวง ปีจอ (หมา)
    24:00 ดวง ปีกุน (หมู)
    คำทำนายนี้มีผล ตั้งแต่วันที่ วันที่ 8 ตุลาคมถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2568

    ดูดวง 12 นักษัตร เดือนตุลาคม 2568 คำทำนาย พื้นดวงชะตา ของคนที่เกิดในแต่ละนักษัตร ทั้ง 12 ราศี ในเดือนตุลาคม 2568 ว่าพื้นดวงชะตาของแต่ละคนมี การเปลี่ยนแปลงทางด้านบวกหรือด้านลบอย่างไร เรื่องใดโดดเด่น และ เรื่องใดต้องระมัดระวังปรับปรุงแก้ไข ในเดือน ตุลาคมเป็นเดือน เปี้ยสุกนักษัตร จอ พลังดิน ธาตุไฟ ตามหลักโป้ยหยี่ซีเถียวโหราศาสตร์จีน พลังธาตุของปีมะเส็งเสริมพลังธาตุของเดือนจอทำให้มีพลังส่งเสริมในทางที่ดี ส่งผลให้สถานะการณ์ในเดือนนี้เรื่องที่เป็นปัญหาติดขัด ได้รับการแก้ไขให้คลี่คลาย ธุรกิจการค้าขยายตัวช่วย ส่งผลดีต่อธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ นายหน้า ซื้อมาขายไป การลงทุนตลาดหุ้น การโรงแรม แหล่งท่องเที่ยว ในเดือนนี้ คนที่เกิดในนักษัตรที่มีพลังธาตุสอดคล้องกับเดือน จอ จะได้รับผลดีและหากนักษัตรใด มีพื้นดวงขัดแย้ง ก็ต้องระวังผลเสียที่เข้ากระทบ เช่นกัน https://youtu.be/sZ8CbhCQCFk ดูดวง 12 นักษัตร เดือนตุลาคม 2568 00:00 บทนำ 01:21 ดวง ปีชวด (หนู) 03:02 ดวง ปีฉลู (วัว) 04:53 ดวง ปีขาล (เสือ) 06:55 ดวง ปีเถาะ (กระต่าย) 08:52 ดวง ปีมะโรง (งูใหญ่) 10:46 ดวง ปีมะเส็ง (งูเล็ก) 12:42 ดวง ปีมะเมีย (ม้า) 15:15 ดวง ปีมะแม (แพะ) 17:21 ดวง ปีวอก (ลิง) 19:26 ดวง ปีระกา (ไก่) 21:49 ดวง ปีจอ (หมา) 24:00 ดวง ปีกุน (หมู) คำทำนายนี้มีผล ตั้งแต่วันที่ วันที่ 8 ตุลาคมถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2568
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 454 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโน้ตบุ๊กธรรมดาถึง MAX16: เมื่อผู้ผลิตจีนกล้าทำสิ่งที่แบรนด์ใหญ่ยังไม่กล้าขาย

    ผู้ผลิตจากจีนเปิดตัวแล็ปท็อปสามจอรุ่นใหม่ที่มีชื่อเรียกไม่แน่นอน—บางแห่งเรียกว่า MAX16 บางแห่งไม่มีชื่อเลย—โดยวางขายผ่านแพลตฟอร์มอย่าง Aliexpress และ Alibaba ด้วยราคาที่เริ่มต้นเพียง $700 สำหรับรุ่น Core i7-1260P และสูงสุดประมาณ $1,200 สำหรับรุ่น Core i7-1270P

    ตัวเครื่องประกอบด้วยหน้าจอหลักขนาด 16 นิ้ว และจอเสริมสองข้างขนาด 10.5 นิ้ว ซึ่งพับเก็บได้ผ่านบานพับแบบฝัง ทำให้เมื่อกางออกจะได้พื้นที่ใช้งานเทียบเท่าจอขนาด 29.5 นิ้ว เหมาะกับงานที่ต้องเปิดหลายหน้าต่างพร้อมกัน เช่น coding, data analysis หรือการเทรดหุ้น

    แม้จะดูใหญ่ แต่ขนาดเมื่อพับเก็บอยู่ที่ 374 × 261 × 28 มม. และน้ำหนัก 2.6 กก.—หนักกว่าคอมทั่วไป แต่เบากว่าการพกโน้ตบุ๊กพร้อมจอเสริมสองตัว

    สเปกภายในถือว่า “กลาง ๆ” โดยใช้ Intel Core i7 Gen 12 (P-series), RAM DDR4 สูงสุด 64GB, SSD PCIe 4.0 และแบตเตอรี่ 77Wh พร้อมพอร์ตครบครัน เช่น USB-A, USB-C, HDMI, LAN และช่องหูฟัง 3.5 มม.

    จุดที่น่าสนใจคือมีการระบุว่า “รองรับ eGPU” แต่ไม่มีพอร์ต Thunderbolt, USB4 หรือ OCuLink ทำให้การใช้งานจริงอาจต้องใช้ dock ผ่าน M.2 slot ซึ่งไม่สะดวกและอาจไม่เสถียรนัก

    นอกจากนี้ยังมีความคลุมเครือในข้อมูล เช่น บางหน้าระบุว่าใช้ Wi-Fi 6 แต่บางแห่งไม่ระบุเลย และชื่อรุ่นก็ไม่ชัดเจน ทำให้ผู้ซื้ออาจต้องเสี่ยงกับความไม่แน่นอนของสินค้า

    สเปกและการออกแบบของแล็ปท็อปสามจอ
    หน้าจอหลัก 16 นิ้ว + จอเสริม 10.5 นิ้ว × 2 = พื้นที่ใช้งาน 29.5 นิ้ว
    ขนาดเมื่อพับ 374 × 261 × 28 มม. น้ำหนัก 2.6 กก.
    ใช้ Intel Core i7-1260P หรือ i7-1270P, RAM DDR4 สูงสุด 64GB

    ฟีเจอร์และการใช้งาน
    รองรับ PCIe 4.0 SSD ผ่าน M.2 2280 slot
    แบตเตอรี่ 77Wh ใช้งานได้ประมาณ 8 ชั่วโมง
    มีพอร์ต USB-A × 3, USB-C × 1, HDMI, LAN, ช่องหูฟัง และ fingerprint scanner

    ความน่าสนใจด้านราคา
    เริ่มต้นที่ $700 สำหรับรุ่น i7-1260P
    รุ่นสูงสุด i7-1270P อยู่ที่ประมาณ $1,200
    ถือว่าราคาถูกมากเมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊กที่มีจอเสริมในตัว

    https://www.techradar.com/pro/crazy-laptop-manufacturer-designed-the-best-3-screen-notebook-ever-and-it-is-far-cheaper-than-youd-expect-i-want-one
    🎙️ เรื่องเล่าจากโน้ตบุ๊กธรรมดาถึง MAX16: เมื่อผู้ผลิตจีนกล้าทำสิ่งที่แบรนด์ใหญ่ยังไม่กล้าขาย ผู้ผลิตจากจีนเปิดตัวแล็ปท็อปสามจอรุ่นใหม่ที่มีชื่อเรียกไม่แน่นอน—บางแห่งเรียกว่า MAX16 บางแห่งไม่มีชื่อเลย—โดยวางขายผ่านแพลตฟอร์มอย่าง Aliexpress และ Alibaba ด้วยราคาที่เริ่มต้นเพียง $700 สำหรับรุ่น Core i7-1260P และสูงสุดประมาณ $1,200 สำหรับรุ่น Core i7-1270P ตัวเครื่องประกอบด้วยหน้าจอหลักขนาด 16 นิ้ว และจอเสริมสองข้างขนาด 10.5 นิ้ว ซึ่งพับเก็บได้ผ่านบานพับแบบฝัง ทำให้เมื่อกางออกจะได้พื้นที่ใช้งานเทียบเท่าจอขนาด 29.5 นิ้ว เหมาะกับงานที่ต้องเปิดหลายหน้าต่างพร้อมกัน เช่น coding, data analysis หรือการเทรดหุ้น แม้จะดูใหญ่ แต่ขนาดเมื่อพับเก็บอยู่ที่ 374 × 261 × 28 มม. และน้ำหนัก 2.6 กก.—หนักกว่าคอมทั่วไป แต่เบากว่าการพกโน้ตบุ๊กพร้อมจอเสริมสองตัว สเปกภายในถือว่า “กลาง ๆ” โดยใช้ Intel Core i7 Gen 12 (P-series), RAM DDR4 สูงสุด 64GB, SSD PCIe 4.0 และแบตเตอรี่ 77Wh พร้อมพอร์ตครบครัน เช่น USB-A, USB-C, HDMI, LAN และช่องหูฟัง 3.5 มม. จุดที่น่าสนใจคือมีการระบุว่า “รองรับ eGPU” แต่ไม่มีพอร์ต Thunderbolt, USB4 หรือ OCuLink ทำให้การใช้งานจริงอาจต้องใช้ dock ผ่าน M.2 slot ซึ่งไม่สะดวกและอาจไม่เสถียรนัก นอกจากนี้ยังมีความคลุมเครือในข้อมูล เช่น บางหน้าระบุว่าใช้ Wi-Fi 6 แต่บางแห่งไม่ระบุเลย และชื่อรุ่นก็ไม่ชัดเจน ทำให้ผู้ซื้ออาจต้องเสี่ยงกับความไม่แน่นอนของสินค้า ✅ สเปกและการออกแบบของแล็ปท็อปสามจอ ➡️ หน้าจอหลัก 16 นิ้ว + จอเสริม 10.5 นิ้ว × 2 = พื้นที่ใช้งาน 29.5 นิ้ว ➡️ ขนาดเมื่อพับ 374 × 261 × 28 มม. น้ำหนัก 2.6 กก. ➡️ ใช้ Intel Core i7-1260P หรือ i7-1270P, RAM DDR4 สูงสุด 64GB ✅ ฟีเจอร์และการใช้งาน ➡️ รองรับ PCIe 4.0 SSD ผ่าน M.2 2280 slot ➡️ แบตเตอรี่ 77Wh ใช้งานได้ประมาณ 8 ชั่วโมง ➡️ มีพอร์ต USB-A × 3, USB-C × 1, HDMI, LAN, ช่องหูฟัง และ fingerprint scanner ✅ ความน่าสนใจด้านราคา ➡️ เริ่มต้นที่ $700 สำหรับรุ่น i7-1260P ➡️ รุ่นสูงสุด i7-1270P อยู่ที่ประมาณ $1,200 ➡️ ถือว่าราคาถูกมากเมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊กที่มีจอเสริมในตัว https://www.techradar.com/pro/crazy-laptop-manufacturer-designed-the-best-3-screen-notebook-ever-and-it-is-far-cheaper-than-youd-expect-i-want-one
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 261 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข้อความปลอมถึง iOS 26: เมื่อ Apple ตัดสินใจเปลี่ยนวิธีจัดการกับข้อความหลอกลวงอย่างจริงจัง

    Apple ออกคำเตือนล่าสุดถึงผู้ใช้ iPhone ทุกคนว่า หากได้รับข้อความที่อ้างว่าเป็นค่าปรับจราจร, ค่าทางด่วนที่ยังไม่จ่าย, หรือพัสดุที่ยังไม่ส่ง—ให้ลบและไม่ตอบกลับทันที เพราะข้อความเหล่านี้คือ smishing หรือ phishing ผ่าน SMS ที่ออกแบบมาเพื่อหลอกให้คุณคลิกลิงก์หรือแม้แต่ตอบกลับ เพื่อเปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลในเครื่อง เช่น รหัสผ่าน, ข้อมูลบัตรเครดิต, หรือแม้แต่บัญชีธนาคาร

    เพื่อรับมือกับภัยนี้ Apple เตรียมเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในแอป Messages พร้อมกับ iOS 26 ซึ่งจะจัดข้อความออกเป็น 4 หมวด ได้แก่ Messages, Unknown Senders, Spam และ Recently Deleted โดยข้อความในหมวด Spam จะถูก “ปิดการคลิก” และ “ปิดการตอบกลับ” โดยอัตโนมัติ ผู้ใช้จะต้องย้ายข้อความกลับไปยังโฟลเดอร์หลักก่อนจึงจะสามารถตอบกลับได้

    ฟีเจอร์นี้ออกแบบมาเพื่อเพิ่ม “แรงเสียดทาน” (friction) ในการตอบกลับข้อความหลอกลวง ซึ่งช่วยลดโอกาสที่ผู้ใช้จะตกเป็นเหยื่อโดยไม่ตั้งใจ และยังช่วยป้องกันไม่ให้แฮกเกอร์รู้ว่าหมายเลขนั้นยังใช้งานอยู่

    นอกจากนี้ Apple ยังเปิดให้ผู้ใช้เลือกว่าจะเปิดหรือปิดระบบกรองข้อความอัตโนมัติ และสามารถ “Mark as Known” เพื่อย้ายผู้ส่งจากโฟลเดอร์ Unknown ไปยังโฟลเดอร์หลักได้ หากมั่นใจว่าเป็นผู้ติดต่อจริง

    FBI ก็ออกคำเตือนเสริมว่า อย่าตอบกลับหรือส่งข้อมูลส่วนตัวให้กับคนที่คุณรู้จักแค่ผ่านออนไลน์หรือโทรศัพท์ และควรตั้งคำลับกับคนในครอบครัวเพื่อใช้ยืนยันตัวตนในกรณีฉุกเฉิน

    ลักษณะของข้อความหลอกลวง (Smishing)
    มักอ้างว่าเป็นค่าปรับ, ค่าทางด่วน, หรือพัสดุที่ยังไม่ส่ง
    มีลิงก์หรือข้อความที่กระตุ้นให้คลิกหรือตอบกลับ
    เป้าหมายคือการขโมยข้อมูลส่วนตัวและการเข้าถึงเครื่องของผู้ใช้

    ฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26
    แอป Messages แบ่งข้อความเป็น 4 หมวด: Messages, Unknown Senders, Spam, Recently Deleted
    ข้อความใน Spam จะถูกปิดการคลิกและตอบกลับ
    ผู้ใช้ต้องย้ายข้อความกลับไปยังโฟลเดอร์หลักก่อนจึงจะตอบกลับได้

    การตั้งค่าที่ผู้ใช้สามารถปรับได้
    เปิดหรือปิดระบบกรองข้อความอัตโนมัติ
    ใช้ “Mark as Known” เพื่อย้ายผู้ส่งไปยังโฟลเดอร์หลัก
    ไม่มีการแจ้งเตือนสำหรับข้อความในโฟลเดอร์ Spam และ Unknown โดยค่าเริ่มต้น

    คำแนะนำจาก FBI
    อย่าแชร์ข้อมูลส่วนตัวกับคนที่รู้จักแค่ผ่านออนไลน์หรือโทรศัพท์
    อย่าส่งเงิน, บัตรของขวัญ, หรือคริปโตให้กับคนที่ไม่รู้จัก
    ตั้งคำลับกับครอบครัวเพื่อยืนยันตัวตนในกรณีฉุกเฉิน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/07/apple-warns-all-iphone-users-to-delete-and-ignore-these-messages-right-away
    🎙️ เรื่องเล่าจากข้อความปลอมถึง iOS 26: เมื่อ Apple ตัดสินใจเปลี่ยนวิธีจัดการกับข้อความหลอกลวงอย่างจริงจัง Apple ออกคำเตือนล่าสุดถึงผู้ใช้ iPhone ทุกคนว่า หากได้รับข้อความที่อ้างว่าเป็นค่าปรับจราจร, ค่าทางด่วนที่ยังไม่จ่าย, หรือพัสดุที่ยังไม่ส่ง—ให้ลบและไม่ตอบกลับทันที เพราะข้อความเหล่านี้คือ smishing หรือ phishing ผ่าน SMS ที่ออกแบบมาเพื่อหลอกให้คุณคลิกลิงก์หรือแม้แต่ตอบกลับ เพื่อเปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลในเครื่อง เช่น รหัสผ่าน, ข้อมูลบัตรเครดิต, หรือแม้แต่บัญชีธนาคาร เพื่อรับมือกับภัยนี้ Apple เตรียมเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในแอป Messages พร้อมกับ iOS 26 ซึ่งจะจัดข้อความออกเป็น 4 หมวด ได้แก่ Messages, Unknown Senders, Spam และ Recently Deleted โดยข้อความในหมวด Spam จะถูก “ปิดการคลิก” และ “ปิดการตอบกลับ” โดยอัตโนมัติ ผู้ใช้จะต้องย้ายข้อความกลับไปยังโฟลเดอร์หลักก่อนจึงจะสามารถตอบกลับได้ ฟีเจอร์นี้ออกแบบมาเพื่อเพิ่ม “แรงเสียดทาน” (friction) ในการตอบกลับข้อความหลอกลวง ซึ่งช่วยลดโอกาสที่ผู้ใช้จะตกเป็นเหยื่อโดยไม่ตั้งใจ และยังช่วยป้องกันไม่ให้แฮกเกอร์รู้ว่าหมายเลขนั้นยังใช้งานอยู่ นอกจากนี้ Apple ยังเปิดให้ผู้ใช้เลือกว่าจะเปิดหรือปิดระบบกรองข้อความอัตโนมัติ และสามารถ “Mark as Known” เพื่อย้ายผู้ส่งจากโฟลเดอร์ Unknown ไปยังโฟลเดอร์หลักได้ หากมั่นใจว่าเป็นผู้ติดต่อจริง FBI ก็ออกคำเตือนเสริมว่า อย่าตอบกลับหรือส่งข้อมูลส่วนตัวให้กับคนที่คุณรู้จักแค่ผ่านออนไลน์หรือโทรศัพท์ และควรตั้งคำลับกับคนในครอบครัวเพื่อใช้ยืนยันตัวตนในกรณีฉุกเฉิน ✅ ลักษณะของข้อความหลอกลวง (Smishing) ➡️ มักอ้างว่าเป็นค่าปรับ, ค่าทางด่วน, หรือพัสดุที่ยังไม่ส่ง ➡️ มีลิงก์หรือข้อความที่กระตุ้นให้คลิกหรือตอบกลับ ➡️ เป้าหมายคือการขโมยข้อมูลส่วนตัวและการเข้าถึงเครื่องของผู้ใช้ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26 ➡️ แอป Messages แบ่งข้อความเป็น 4 หมวด: Messages, Unknown Senders, Spam, Recently Deleted ➡️ ข้อความใน Spam จะถูกปิดการคลิกและตอบกลับ ➡️ ผู้ใช้ต้องย้ายข้อความกลับไปยังโฟลเดอร์หลักก่อนจึงจะตอบกลับได้ ✅ การตั้งค่าที่ผู้ใช้สามารถปรับได้ ➡️ เปิดหรือปิดระบบกรองข้อความอัตโนมัติ ➡️ ใช้ “Mark as Known” เพื่อย้ายผู้ส่งไปยังโฟลเดอร์หลัก ➡️ ไม่มีการแจ้งเตือนสำหรับข้อความในโฟลเดอร์ Spam และ Unknown โดยค่าเริ่มต้น ✅ คำแนะนำจาก FBI ➡️ อย่าแชร์ข้อมูลส่วนตัวกับคนที่รู้จักแค่ผ่านออนไลน์หรือโทรศัพท์ ➡️ อย่าส่งเงิน, บัตรของขวัญ, หรือคริปโตให้กับคนที่ไม่รู้จัก ➡️ ตั้งคำลับกับครอบครัวเพื่อยืนยันตัวตนในกรณีฉุกเฉิน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/07/apple-warns-all-iphone-users-to-delete-and-ignore-these-messages-right-away
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Apple warns all iPhone users to delete and ignore these messages right away
    The scam messages can include claims of unpaid road tolls, undelivered packages and/or claims of traffic offences.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 300 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก daemon ถึง daemonless: เมื่อความปลอดภัยกลายเป็นเหตุผลหลักในการเปลี่ยนเครื่องมือ

    Dominik Szymański วิศวกร DevOps ได้เขียนบันทึกการเปลี่ยนผ่านจาก Docker ไปสู่ Podman หลังจากพบว่า Docker ซึ่งเคยเป็นเครื่องมือที่ “ทุกคนใช้” กลับมีจุดอ่อนที่ซ่อนอยู่ในสถาปัตยกรรม—โดยเฉพาะ daemon ที่รันด้วยสิทธิ์ root ตลอดเวลา

    Docker ใช้สถาปัตยกรรมแบบ client-server โดย CLI จะสื่อสารกับ dockerd ซึ่งเป็น daemon ที่รันอยู่เบื้องหลัง และควบคุมทุก container บนระบบ หาก daemon นี้ถูกโจมตีหรือมีช่องโหว่ เช่น CVE-2019-5736 หรือ CVE-2024-21626 ก็อาจนำไปสู่การเข้าถึงระบบ host ได้ทันที

    Podman เลือกแนวทางตรงข้าม—ไม่มี daemon เลย ทุกคำสั่งที่รันจะสร้าง container เป็น child process ของผู้ใช้โดยตรง และทำงานภายใต้สิทธิ์ของ user นั้น ทำให้แม้ container จะถูกโจมตี ก็ไม่สามารถเข้าถึงระบบ host ได้ในระดับ root

    นอกจากเรื่องความปลอดภัยแล้ว Podman ยังมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจ เช่น การสร้าง systemd unit file อัตโนมัติ, การจัดการ pod แบบ native ที่สามารถแปลงเป็น Kubernetes YAML ได้ทันที, และการแยกเครื่องมือเฉพาะทาง เช่น Buildah สำหรับ build image และ Skopeo สำหรับจัดการ registry

    การเปลี่ยนจาก Docker ไป Podman ไม่ได้ยากอย่างที่คิด เพราะ Podman ใช้ CLI แบบเดียวกับ Docker และรองรับ Dockerfile เดิมได้ทันที แค่ alias docker=podman ก็สามารถใช้งานได้เหมือนเดิม

    Dominik ยังแชร์ประสบการณ์การย้าย FastAPI ไป Podman โดยใช้ rootless container, systemd integration และ pod สำหรับจัดการ multi-service ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และพบว่า resource usage บน dashboard ดูสะอาดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

    สถาปัตยกรรมของ Docker และ Podman
    Docker ใช้ daemon ที่รันด้วย root privileges ตลอดเวลา
    Podman ไม่มี daemon และรัน container เป็น child process ของ user
    ลด single point of failure และลด surface ของการโจมตี

    ช่องโหว่ด้านความปลอดภัยของ Docker
    CVE-2019-5736: container escape ผ่าน runC
    CVE-2022-0847 “Dirty Pipe”: เขียนไฟล์ read-only บน kernel
    CVE-2024-21626: fd leak และ cwd escape บน runC
    แคมเปญ cryptojacking ผ่าน Docker API ที่เปิดเผย

    ฟีเจอร์เด่นของ Podman
    สร้าง systemd unit file ด้วย podman generate systemd
    รองรับ pod แบบ native และแปลงเป็น Kubernetes YAML ได้
    ใช้ Buildah และ Skopeo สำหรับงานเฉพาะทาง
    rootless container เป็นค่าเริ่มต้น เพิ่มความปลอดภัย

    การย้ายจาก Docker ไป Podman
    CLI เหมือนกัน: podman run, podman build, podman ps
    Dockerfile เดิมใช้งานได้ทันที
    รองรับ Docker Compose ผ่าน podman-compose หรือแปลงเป็น Kubernetes

    ประสบการณ์ใช้งานจริง
    ระบบเสถียรขึ้นเมื่อไม่มี daemon
    dashboard แสดงการใช้ resource ได้ชัดเจนขึ้น
    เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องรับผิดชอบด้านความปลอดภัยโดยตรง

    https://codesmash.dev/why-i-ditched-docker-for-podman-and-you-should-too
    🎙️ เรื่องเล่าจาก daemon ถึง daemonless: เมื่อความปลอดภัยกลายเป็นเหตุผลหลักในการเปลี่ยนเครื่องมือ Dominik Szymański วิศวกร DevOps ได้เขียนบันทึกการเปลี่ยนผ่านจาก Docker ไปสู่ Podman หลังจากพบว่า Docker ซึ่งเคยเป็นเครื่องมือที่ “ทุกคนใช้” กลับมีจุดอ่อนที่ซ่อนอยู่ในสถาปัตยกรรม—โดยเฉพาะ daemon ที่รันด้วยสิทธิ์ root ตลอดเวลา Docker ใช้สถาปัตยกรรมแบบ client-server โดย CLI จะสื่อสารกับ dockerd ซึ่งเป็น daemon ที่รันอยู่เบื้องหลัง และควบคุมทุก container บนระบบ หาก daemon นี้ถูกโจมตีหรือมีช่องโหว่ เช่น CVE-2019-5736 หรือ CVE-2024-21626 ก็อาจนำไปสู่การเข้าถึงระบบ host ได้ทันที Podman เลือกแนวทางตรงข้าม—ไม่มี daemon เลย ทุกคำสั่งที่รันจะสร้าง container เป็น child process ของผู้ใช้โดยตรง และทำงานภายใต้สิทธิ์ของ user นั้น ทำให้แม้ container จะถูกโจมตี ก็ไม่สามารถเข้าถึงระบบ host ได้ในระดับ root นอกจากเรื่องความปลอดภัยแล้ว Podman ยังมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจ เช่น การสร้าง systemd unit file อัตโนมัติ, การจัดการ pod แบบ native ที่สามารถแปลงเป็น Kubernetes YAML ได้ทันที, และการแยกเครื่องมือเฉพาะทาง เช่น Buildah สำหรับ build image และ Skopeo สำหรับจัดการ registry การเปลี่ยนจาก Docker ไป Podman ไม่ได้ยากอย่างที่คิด เพราะ Podman ใช้ CLI แบบเดียวกับ Docker และรองรับ Dockerfile เดิมได้ทันที แค่ alias docker=podman ก็สามารถใช้งานได้เหมือนเดิม Dominik ยังแชร์ประสบการณ์การย้าย FastAPI ไป Podman โดยใช้ rootless container, systemd integration และ pod สำหรับจัดการ multi-service ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และพบว่า resource usage บน dashboard ดูสะอาดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ✅ สถาปัตยกรรมของ Docker และ Podman ➡️ Docker ใช้ daemon ที่รันด้วย root privileges ตลอดเวลา ➡️ Podman ไม่มี daemon และรัน container เป็น child process ของ user ➡️ ลด single point of failure และลด surface ของการโจมตี ✅ ช่องโหว่ด้านความปลอดภัยของ Docker ➡️ CVE-2019-5736: container escape ผ่าน runC ➡️ CVE-2022-0847 “Dirty Pipe”: เขียนไฟล์ read-only บน kernel ➡️ CVE-2024-21626: fd leak และ cwd escape บน runC ➡️ แคมเปญ cryptojacking ผ่าน Docker API ที่เปิดเผย ✅ ฟีเจอร์เด่นของ Podman ➡️ สร้าง systemd unit file ด้วย podman generate systemd ➡️ รองรับ pod แบบ native และแปลงเป็น Kubernetes YAML ได้ ➡️ ใช้ Buildah และ Skopeo สำหรับงานเฉพาะทาง ➡️ rootless container เป็นค่าเริ่มต้น เพิ่มความปลอดภัย ✅ การย้ายจาก Docker ไป Podman ➡️ CLI เหมือนกัน: podman run, podman build, podman ps ➡️ Dockerfile เดิมใช้งานได้ทันที ➡️ รองรับ Docker Compose ผ่าน podman-compose หรือแปลงเป็น Kubernetes ✅ ประสบการณ์ใช้งานจริง ➡️ ระบบเสถียรขึ้นเมื่อไม่มี daemon ➡️ dashboard แสดงการใช้ resource ได้ชัดเจนขึ้น ➡️ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องรับผิดชอบด้านความปลอดภัยโดยตรง https://codesmash.dev/why-i-ditched-docker-for-podman-and-you-should-too
    CODESMASH.DEV
    Switching from Docker to Podman
    Podman offers better security, uses fewer resources, and integrates seamlessly with Linux and Kubernetes, making it a superior Docker alternative
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 259 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Nova Lake-S ถึง Zen 6: เมื่อ HWiNFO กลายเป็นผู้เปิดประตูสู่ยุคใหม่ของ CPU สายเดสก์ท็อป

    ใน release notes ของ HWiNFO เวอร์ชัน 8.31 มีการระบุว่าซอฟต์แวร์จะรองรับแพลตฟอร์มใหม่จากทั้ง Intel และ AMD โดยฝั่ง Intel คือ Nova Lake-S ซึ่งเป็นซีพียูเดสก์ท็อปที่ใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954 และมีรุ่นสูงสุดถึง 52 คอร์ ส่วนฝั่ง AMD คือ “Next-Gen Platform” ที่คาดว่าจะเป็นซีรีส์ 900 สำหรับ Zen 6 บนซ็อกเก็ต AM5 เช่นเดิม

    Nova Lake-S ถูกออกแบบมาให้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดของ Intel ในรอบหลายปี โดยใช้สถาปัตยกรรมแบบ multi-tile ที่ประกอบด้วย 16 P-cores, 32 E-cores และ 4 LP-E cores รวมเป็น 52 คอร์ในรุ่นสูงสุด โดยไม่มี SMT บน P-core และใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบผสมระหว่าง Intel 14A และ TSMC N2 สำหรับบางส่วนของ SoC

    ซ็อกเก็ต LGA 1954 มีขนาดเท่ากับ LGA 1700 เดิม (45 × 37.5 มม.) แต่เพิ่มจำนวนขาเพื่อรองรับพลังงานและแบนด์วิดธ์ที่สูงขึ้น พร้อมเปิดตัวคู่กับชิปเซ็ต 900-series เช่น Z990 และ H970 ที่รองรับ DDR5-6400+, Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4 และ Thunderbolt 5

    ฝั่ง AMD ก็ไม่น้อยหน้า โดย Zen 6 จะใช้ CCD บน TSMC N2P และ IOD บน N3P ซึ่งเป็นเทคโนโลยีระดับ 2nm และ 3nm ตามลำดับ โดยยังคงใช้ซ็อกเก็ต AM5 และคาดว่าจะเปิดตัวพร้อมกับเมนบอร์ดซีรีส์ 900 เช่น X970, B950 และ B940 ในช่วงครึ่งหลังของปี 2026

    การที่ HWiNFO เพิ่มการรองรับล่วงหน้า แสดงให้เห็นว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้ใกล้เข้าสู่ช่วง Pre-QS หรือการทดสอบก่อนผลิตจริง และจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันรอบใหม่ระหว่าง Intel และ AMD ในตลาดเดสก์ท็อประดับสูง

    การอัปเดตของ HWiNFO
    เวอร์ชัน 8.31 จะรองรับ Intel Nova Lake-S และ AMD Next-Gen Platform
    เป็นครั้งแรกที่ Nova Lake-S ถูกระบุใน release notes ของซอฟต์แวร์

    Intel Nova Lake-S และซ็อกเก็ต LGA 1954
    ใช้สถาปัตยกรรม multi-tile: 16 P-cores + 32 E-cores + 4 LP-E cores
    ไม่มี SMT บน P-core และใช้ Intel 14A + TSMC N2
    ซ็อกเก็ต LGA 1954 มีขนาดเท่าเดิมแต่เพิ่มจำนวนขา
    เปิดตัวพร้อมชิปเซ็ต Z990, H970 รองรับ DDR5-6400+, Wi-Fi 7, Thunderbolt 5

    AMD Zen 6 และแพลตฟอร์ม 900-series
    ใช้ CCD บน TSMC N2P และ IOD บน N3P
    ยังคงใช้ซ็อกเก็ต AM5 และเปิดตัวพร้อม X970, B950, B940
    คาดว่าจะเปิดตัวในครึ่งหลังของปี 2026

    ความหมายต่อวงการเดสก์ท็อป
    เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งด้านสถาปัตยกรรมและ I/O
    HWiNFO เตรียมพร้อมสำหรับการตรวจสอบสเปกและการทดสอบเบื้องต้น
    จุดเริ่มต้นของการแข่งขันรอบใหม่ระหว่าง Intel และ AMD

    https://wccftech.com/hwinfo-to-add-support-for-nova-lake-s-and-next-gen-amd-platform-likely-hinting-towards-amd-900-series-for-zen-6/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Nova Lake-S ถึง Zen 6: เมื่อ HWiNFO กลายเป็นผู้เปิดประตูสู่ยุคใหม่ของ CPU สายเดสก์ท็อป ใน release notes ของ HWiNFO เวอร์ชัน 8.31 มีการระบุว่าซอฟต์แวร์จะรองรับแพลตฟอร์มใหม่จากทั้ง Intel และ AMD โดยฝั่ง Intel คือ Nova Lake-S ซึ่งเป็นซีพียูเดสก์ท็อปที่ใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954 และมีรุ่นสูงสุดถึง 52 คอร์ ส่วนฝั่ง AMD คือ “Next-Gen Platform” ที่คาดว่าจะเป็นซีรีส์ 900 สำหรับ Zen 6 บนซ็อกเก็ต AM5 เช่นเดิม Nova Lake-S ถูกออกแบบมาให้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดของ Intel ในรอบหลายปี โดยใช้สถาปัตยกรรมแบบ multi-tile ที่ประกอบด้วย 16 P-cores, 32 E-cores และ 4 LP-E cores รวมเป็น 52 คอร์ในรุ่นสูงสุด โดยไม่มี SMT บน P-core และใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบผสมระหว่าง Intel 14A และ TSMC N2 สำหรับบางส่วนของ SoC ซ็อกเก็ต LGA 1954 มีขนาดเท่ากับ LGA 1700 เดิม (45 × 37.5 มม.) แต่เพิ่มจำนวนขาเพื่อรองรับพลังงานและแบนด์วิดธ์ที่สูงขึ้น พร้อมเปิดตัวคู่กับชิปเซ็ต 900-series เช่น Z990 และ H970 ที่รองรับ DDR5-6400+, Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4 และ Thunderbolt 5 ฝั่ง AMD ก็ไม่น้อยหน้า โดย Zen 6 จะใช้ CCD บน TSMC N2P และ IOD บน N3P ซึ่งเป็นเทคโนโลยีระดับ 2nm และ 3nm ตามลำดับ โดยยังคงใช้ซ็อกเก็ต AM5 และคาดว่าจะเปิดตัวพร้อมกับเมนบอร์ดซีรีส์ 900 เช่น X970, B950 และ B940 ในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 การที่ HWiNFO เพิ่มการรองรับล่วงหน้า แสดงให้เห็นว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้ใกล้เข้าสู่ช่วง Pre-QS หรือการทดสอบก่อนผลิตจริง และจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันรอบใหม่ระหว่าง Intel และ AMD ในตลาดเดสก์ท็อประดับสูง ✅ การอัปเดตของ HWiNFO ➡️ เวอร์ชัน 8.31 จะรองรับ Intel Nova Lake-S และ AMD Next-Gen Platform ➡️ เป็นครั้งแรกที่ Nova Lake-S ถูกระบุใน release notes ของซอฟต์แวร์ ✅ Intel Nova Lake-S และซ็อกเก็ต LGA 1954 ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม multi-tile: 16 P-cores + 32 E-cores + 4 LP-E cores ➡️ ไม่มี SMT บน P-core และใช้ Intel 14A + TSMC N2 ➡️ ซ็อกเก็ต LGA 1954 มีขนาดเท่าเดิมแต่เพิ่มจำนวนขา ➡️ เปิดตัวพร้อมชิปเซ็ต Z990, H970 รองรับ DDR5-6400+, Wi-Fi 7, Thunderbolt 5 ✅ AMD Zen 6 และแพลตฟอร์ม 900-series ➡️ ใช้ CCD บน TSMC N2P และ IOD บน N3P ➡️ ยังคงใช้ซ็อกเก็ต AM5 และเปิดตัวพร้อม X970, B950, B940 ➡️ คาดว่าจะเปิดตัวในครึ่งหลังของปี 2026 ✅ ความหมายต่อวงการเดสก์ท็อป ➡️ เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งด้านสถาปัตยกรรมและ I/O ➡️ HWiNFO เตรียมพร้อมสำหรับการตรวจสอบสเปกและการทดสอบเบื้องต้น ➡️ จุดเริ่มต้นของการแข่งขันรอบใหม่ระหว่าง Intel และ AMD https://wccftech.com/hwinfo-to-add-support-for-nova-lake-s-and-next-gen-amd-platform-likely-hinting-towards-amd-900-series-for-zen-6/
    WCCFTECH.COM
    HWiNFO To Add Support For Nova Lake-S And "Next-Gen" AMD Platform, Likely Hinting Towards AMD 900-Series For Zen 6
    The upcoming HWiNFO version 8.31 will add support for the next-gen Intel Nova Lake-S and AMD's next-gen platform support.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 263 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก MI500 UAL256: เมื่อ AMD เตรียมปล่อยระบบ AI ที่ใหญ่กว่า Nvidia ถึง 78% และอาจเปลี่ยนเกมการประมวลผลทั้งหมด

    AMD กำลังเตรียมเปิดตัว “MI500 Scale Up MegaPod” ในปี 2027 ซึ่งเป็นระบบ rack-scale ที่ประกอบด้วย 256 Instinct MI500-series GPU และ 64 EPYC Verano CPU โดยใช้สถาปัตยกรรมใหม่ชื่อ UAL256 ที่เชื่อมโยงกันผ่าน UALink switch tray ทั้งหมด 18 ชุดในแร็คกลาง

    ระบบนี้จะมีขนาดใหญ่กว่ารุ่น Helios ที่จะเปิดตัวในปี 2026 ซึ่งมีเพียง 72 GPU และยังใหญ่กว่าระบบ NVL576 ของ Nvidia ที่ใช้ Rubin Ultra GPU เพียง 144 ตัว โดย AMD MegaPod มีจำนวน GPU มากกว่าถึง 78%

    แม้จะยังไม่มีตัวเลขประสิทธิภาพอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่า MI500 จะใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 2nm (N2P) จาก TSMC พร้อมเทคนิค CoWoS-L และ backside power delivery เพื่อเพิ่มความหนาแน่นและลดการใช้พลังงาน ส่วน Verano CPU ก็จะใช้ Zen 6 หรือ Zen 7 ที่มี core count สูงและ bandwidth มากขึ้น

    AMD ยังเน้นการใช้ liquid cooling ทั้งใน compute tray และ networking tray เพื่อรองรับความร้อนจาก GPU ที่ใช้พลังงานสูงขึ้นเรื่อย ๆ และจะเปิดตัวพร้อมกับ ROCm 7 ที่รองรับ FP8 และ Flash Attention 3 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเทรนและ inference

    สเปกของ AMD MI500 MegaPod
    ใช้ 256 Instinct MI500 GPU และ 64 EPYC Verano CPU
    แบ่งเป็น 64 compute tray และ 18 UALink switch tray
    ใช้สถาปัตยกรรม UAL256 แบบ 3 แร็คเชื่อมโยงกัน

    เทคโนโลยีที่ใช้ใน MI500 และ Verano
    MI500 ใช้ TSMC N2P node และ CoWoS-L packaging
    Verano CPU ใช้ Zen 6 หรือ Zen 7 พร้อม bandwidth สูง
    รองรับ ROCm 7, FP8, Flash Attention 3

    การเปรียบเทียบกับ Nvidia NVL576
    NVL576 ใช้ 144 Rubin Ultra GPU พร้อม 147TB HBM4 และ 14,400 FP4 PFLOPS
    AMD MegaPod มีจำนวน GPU มากกว่าถึง 78%
    ยังไม่มีตัวเลข FP4 หรือ HBM4 bandwidth ของ AMD อย่างเป็นทางการ

    การออกแบบเพื่อประสิทธิภาพและความเย็น
    ใช้ liquid cooling ทั้ง compute และ networking tray
    ออกแบบเพื่อรองรับการใช้พลังงานสูงและความร้อนจาก GPU รุ่นใหม่
    เน้น scalability และ energy efficiency สำหรับ data center ขนาดใหญ่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amd-preps-mega-pod-with-256-instinct-mi500-gpus-verano-cpus-leak-suggests-platform-with-better-scalability-than-nvidia-will-arrive-in-2027
    🎙️ เรื่องเล่าจาก MI500 UAL256: เมื่อ AMD เตรียมปล่อยระบบ AI ที่ใหญ่กว่า Nvidia ถึง 78% และอาจเปลี่ยนเกมการประมวลผลทั้งหมด AMD กำลังเตรียมเปิดตัว “MI500 Scale Up MegaPod” ในปี 2027 ซึ่งเป็นระบบ rack-scale ที่ประกอบด้วย 256 Instinct MI500-series GPU และ 64 EPYC Verano CPU โดยใช้สถาปัตยกรรมใหม่ชื่อ UAL256 ที่เชื่อมโยงกันผ่าน UALink switch tray ทั้งหมด 18 ชุดในแร็คกลาง ระบบนี้จะมีขนาดใหญ่กว่ารุ่น Helios ที่จะเปิดตัวในปี 2026 ซึ่งมีเพียง 72 GPU และยังใหญ่กว่าระบบ NVL576 ของ Nvidia ที่ใช้ Rubin Ultra GPU เพียง 144 ตัว โดย AMD MegaPod มีจำนวน GPU มากกว่าถึง 78% แม้จะยังไม่มีตัวเลขประสิทธิภาพอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่า MI500 จะใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 2nm (N2P) จาก TSMC พร้อมเทคนิค CoWoS-L และ backside power delivery เพื่อเพิ่มความหนาแน่นและลดการใช้พลังงาน ส่วน Verano CPU ก็จะใช้ Zen 6 หรือ Zen 7 ที่มี core count สูงและ bandwidth มากขึ้น AMD ยังเน้นการใช้ liquid cooling ทั้งใน compute tray และ networking tray เพื่อรองรับความร้อนจาก GPU ที่ใช้พลังงานสูงขึ้นเรื่อย ๆ และจะเปิดตัวพร้อมกับ ROCm 7 ที่รองรับ FP8 และ Flash Attention 3 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเทรนและ inference ✅ สเปกของ AMD MI500 MegaPod ➡️ ใช้ 256 Instinct MI500 GPU และ 64 EPYC Verano CPU ➡️ แบ่งเป็น 64 compute tray และ 18 UALink switch tray ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม UAL256 แบบ 3 แร็คเชื่อมโยงกัน ✅ เทคโนโลยีที่ใช้ใน MI500 และ Verano ➡️ MI500 ใช้ TSMC N2P node และ CoWoS-L packaging ➡️ Verano CPU ใช้ Zen 6 หรือ Zen 7 พร้อม bandwidth สูง ➡️ รองรับ ROCm 7, FP8, Flash Attention 3 ✅ การเปรียบเทียบกับ Nvidia NVL576 ➡️ NVL576 ใช้ 144 Rubin Ultra GPU พร้อม 147TB HBM4 และ 14,400 FP4 PFLOPS ➡️ AMD MegaPod มีจำนวน GPU มากกว่าถึง 78% ➡️ ยังไม่มีตัวเลข FP4 หรือ HBM4 bandwidth ของ AMD อย่างเป็นทางการ ✅ การออกแบบเพื่อประสิทธิภาพและความเย็น ➡️ ใช้ liquid cooling ทั้ง compute และ networking tray ➡️ ออกแบบเพื่อรองรับการใช้พลังงานสูงและความร้อนจาก GPU รุ่นใหม่ ➡️ เน้น scalability และ energy efficiency สำหรับ data center ขนาดใหญ่ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amd-preps-mega-pod-with-256-instinct-mi500-gpus-verano-cpus-leak-suggests-platform-with-better-scalability-than-nvidia-will-arrive-in-2027
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 251 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก UAL256: เมื่อ AMD สร้างระบบ rack-scale ที่ไม่ใช่แค่แรง แต่ “เชื่อมโยงทุกอย่าง” ด้วย Ultra Ethernet และ Vulcano switch

    แม้ AMD ยังไม่เปิดตัว Instinct MI400 อย่างเป็นทางการ แต่บริษัทก็เริ่มเผยโครงสร้างของรุ่นถัดไป—Instinct MI500 UAL256 ซึ่งเป็น rack-scale system รุ่นที่สอง ต่อจาก MI450X “Helios” ที่จะเปิดตัวในปี 2026

    ในระบบ UAL256 แต่ละ compute node จะประกอบด้วย 1 CPU รหัส “Verano” ที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 7 และ 4 GPU รุ่น MI500 โดยรวมแล้ว Mega Pod หนึ่งชุดจะมี 64 CPU และ 256 GPU กระจายอยู่ในสองแร็คหลัก (32-node ต่อแร็ค) และเชื่อมต่อกันด้วยแร็คกลางที่มี 18 networking trays

    แต่ละ tray จะใช้ Vulcano switch ASICs จำนวน 4 ตัว ที่รองรับ throughput ระดับ 800G ต่อ tray และผลิตบนเทคโนโลยี 3nm ของ TSMC ซึ่งถือเป็นการยกระดับการเชื่อมต่อภายใน rack-scale system อย่างแท้จริง

    Verano CPU จะใช้ Socket SP7 และรองรับ PCIe Gen 6, UALink และ Ultra Ethernet ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ AMD กำลังผลักดันให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานของ AI/HPC ในยุคถัดไป โดยยังไม่ยืนยันว่าจะเพิ่มจำนวนคอร์เกิน 256 cores ต่อแพ็กเกจเหมือน Venice หรือไม่

    โครงสร้างของ Instinct MI500 UAL256
    ประกอบด้วย 64 Verano CPUs และ 256 MI500 GPUs
    แบ่งเป็นสองแร็คหลัก (32-node ต่อแร็ค) และแร็คกลางสำหรับ networking
    ใช้ Vulcano switch ASICs ที่รองรับ 800G throughput ต่อ tray

    สถาปัตยกรรมของ Verano CPU
    ใช้ Zen 7 microarchitecture ที่เน้น IPC และ instruction set ใหม่
    ยังคงใช้ Socket SP7 และรองรับ PCIe Gen 6, UALink, Ultra Ethernet
    ยังไม่ยืนยันว่าจะเพิ่ม core count เกิน 256 cores ต่อแพ็กเกจ

    เทคโนโลยีการเชื่อมต่อภายในระบบ
    Vulcano switch ผลิตบน TSMC 3nm node
    รองรับ external throughput ระดับ 800G
    ใช้ Ultra Ethernet เป็นโครงสร้างหลักในการเชื่อมต่อ GPU/CPU

    แผนการเปิดตัว
    MI450X “Helios” จะเปิดตัวในครึ่งหลังของปี 2026
    MI500 UAL256 Mega Pod จะเปิดตัวในปี 2027
    เป็นระบบ rack-scale รุ่นที่สองของ AMD สำหรับ AI และ HPC

    https://www.techpowerup.com/340598/amd-instinct-mi500-ual256-mega-pod-to-scale-up-to-256-gpus-64-verano-cpus
    🎙️ เรื่องเล่าจาก UAL256: เมื่อ AMD สร้างระบบ rack-scale ที่ไม่ใช่แค่แรง แต่ “เชื่อมโยงทุกอย่าง” ด้วย Ultra Ethernet และ Vulcano switch แม้ AMD ยังไม่เปิดตัว Instinct MI400 อย่างเป็นทางการ แต่บริษัทก็เริ่มเผยโครงสร้างของรุ่นถัดไป—Instinct MI500 UAL256 ซึ่งเป็น rack-scale system รุ่นที่สอง ต่อจาก MI450X “Helios” ที่จะเปิดตัวในปี 2026 ในระบบ UAL256 แต่ละ compute node จะประกอบด้วย 1 CPU รหัส “Verano” ที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 7 และ 4 GPU รุ่น MI500 โดยรวมแล้ว Mega Pod หนึ่งชุดจะมี 64 CPU และ 256 GPU กระจายอยู่ในสองแร็คหลัก (32-node ต่อแร็ค) และเชื่อมต่อกันด้วยแร็คกลางที่มี 18 networking trays แต่ละ tray จะใช้ Vulcano switch ASICs จำนวน 4 ตัว ที่รองรับ throughput ระดับ 800G ต่อ tray และผลิตบนเทคโนโลยี 3nm ของ TSMC ซึ่งถือเป็นการยกระดับการเชื่อมต่อภายใน rack-scale system อย่างแท้จริง Verano CPU จะใช้ Socket SP7 และรองรับ PCIe Gen 6, UALink และ Ultra Ethernet ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ AMD กำลังผลักดันให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานของ AI/HPC ในยุคถัดไป โดยยังไม่ยืนยันว่าจะเพิ่มจำนวนคอร์เกิน 256 cores ต่อแพ็กเกจเหมือน Venice หรือไม่ ✅ โครงสร้างของ Instinct MI500 UAL256 ➡️ ประกอบด้วย 64 Verano CPUs และ 256 MI500 GPUs ➡️ แบ่งเป็นสองแร็คหลัก (32-node ต่อแร็ค) และแร็คกลางสำหรับ networking ➡️ ใช้ Vulcano switch ASICs ที่รองรับ 800G throughput ต่อ tray ✅ สถาปัตยกรรมของ Verano CPU ➡️ ใช้ Zen 7 microarchitecture ที่เน้น IPC และ instruction set ใหม่ ➡️ ยังคงใช้ Socket SP7 และรองรับ PCIe Gen 6, UALink, Ultra Ethernet ➡️ ยังไม่ยืนยันว่าจะเพิ่ม core count เกิน 256 cores ต่อแพ็กเกจ ✅ เทคโนโลยีการเชื่อมต่อภายในระบบ ➡️ Vulcano switch ผลิตบน TSMC 3nm node ➡️ รองรับ external throughput ระดับ 800G ➡️ ใช้ Ultra Ethernet เป็นโครงสร้างหลักในการเชื่อมต่อ GPU/CPU ✅ แผนการเปิดตัว ➡️ MI450X “Helios” จะเปิดตัวในครึ่งหลังของปี 2026 ➡️ MI500 UAL256 Mega Pod จะเปิดตัวในปี 2027 ➡️ เป็นระบบ rack-scale รุ่นที่สองของ AMD สำหรับ AI และ HPC https://www.techpowerup.com/340598/amd-instinct-mi500-ual256-mega-pod-to-scale-up-to-256-gpus-64-verano-cpus
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    AMD Instinct MI500 UAL256 Mega Pod to Scale up to 256 GPUs, 64 "Verano" CPUs
    While AMD hasn't launched its upcoming Instinct MI400 series of accelerators yet, the company has started preparing its supply chain for what comes after. Thanks to SemiAnalysis, we have a clearer picture of what AMD's Instinct MI500 UAL256 rack will look like. At the base of each compute node, ther...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 229 มุมมอง 0 รีวิว
  • เอาตรงๆเลยนะ ก็ปลื้มแสดงออกชัดเจนว่าไม่ปลื้มนั้นล่ะ ทั้งบิดเบือนบอกประชาชนที่ไม่รู้อีกว่าในขณะนี้ฝ่ายค้านพรรคประชาชนเขานั้นคนละขั้นชัดเจน แต่ในกูรูตีแผ่แหกความจริงท่านฟันธงไปแล้วตั้งนานว่าทั้งสภาเฮี้ยพวกเดียวกันหมดทั้งฝ่ายค้านที่ว่าด้วย,เสมือนตอนนี้คือละครปาหี่ในการจับมือกันตั้งรัฐบาลมาทำลายชาติเหมือนเดิมจากนายกฯคนที่1และคนที่2ทำภาระกิจพลาดไป,
    ..ปลื้มไม่ปลื้ม,แดงแจ๋ในอดีตกันเลย,อัดแฉโควิดนะทำดีแล้วแต่จิตนอนในจริตใฝ่ทางอกุศลก็ยังเต็มที่ คงผิดหวังเป็นอันมากที่คนที่ตนชอบพรรคที่ตนชอบจากปิดบังสายตาชาวบ้านไว้นานก็เผยตัวตนอีกครั้งแสดงออกการตัดสินของศาลรธน.อย่างเด่นชัด,ผิดเต็มๆจะพูดคุยเชิงอะไรก็ตามเมื่อตนตื่นมารู้ตัวทันทีแล้ว,โหมดสถานะนายกฯตนจะคู่ขนานทันที่หลังตัวเองตื่นนอน,จะกระทำใดๆทั้งทางกายวาจาเช่นสถานะไทบ้านทั่วไปหรือครม.หรือสส.ปกติไม่ได้จนนอนหลับไปอีกครั้งโน้น,ถ้าเป็นคนธรรมดาไปพูดห่าเหวอะไร คุยจนจะยกแผ่นดินประเทศไทยให้บ่อน้ำมันในอ่าวไทยให้แบบสถานะไทบ้านลับๆกัน ประชาชนเขาไม่สนใจหรอกเพราะไม่มีปัญญาอำนาจทำได้จริง,แต่สถานะนายกฯจะพูดจาแสดงออกทางใดๆทั้งทางเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยที่เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติมันผิดสถานะ.

    ..ศาล รธน. ทำสุดยอดแล้ว ส่วนอัตรา6:3 นี้อันตรายมาก ถือว่า3มือที่ลงมตินั้นมีมุมมองที่อันตรายต่ออธิปไตยชาติ ผิดจาก6ลงมติยกมือ ถือว่าท่านเป็นผู้มีศักยภาพด้านความเข้าใจดีของค่าจริงความจริงรู้เหตุรู้ผล อะไรเป็นอะไร ถูกผิด ว่าไปตามถูกผิดแล้วจิตสำนึกดีชั่วที่มนุษย์พึงมีรับรู้เห็นตามความเป็นจริงประกอบ มิใช่อ้างตัวบทกฎหมายที่ตีกรอบจำกัดฝ่ายเดียวซึ่งAIไร้ชีวิตวิญญาณก็ตัดสินลงมติตามตัวบทกฎหมายที่เขียนได้,6ท่านนี้ไม่ผิดหวัง เป็นที่พึ่งพาประชาชนได้ รู้ดีรู้ชั่วรู้ผิดรู้ถูก ถ้ามีสองทางให้เลือกคือขึ้นสวรรค์กับลงนรก ,6ท่านนี้เลือกขึ้นสวรรค์ชัดเจน เป็นผู้มีธรรมกุศลบำรุงใจ อ่านขาดอะไรคือทางเลือกที่ชอบแก่ธรรมนั้น.

    ...ปลื้มตำหนิศาลกลายๆด้วยอคติว่าชนกลุ่มน้อยไม่กี่คนมาตัดสินคนที่มากจากการเลือกตั้ง,แต่ปลื้มไม่บอกค่าจริงที่ว่าอุ๊งอิ๊งพรรคเธอแพ้การเลือกตั้งแต่ต้น บวกนายกฯก็ไม่เลือกตรงจากประชาชนด้วยสิทธิเสนอชื่อนายกฯมาจากพรรคหลักในการจัดตั้งรัฐบาล มีสส.มากตามเกณฑ์กำหนด สส.มาจากประชาชนเลือก,สส.สังกัดพรรค,ซึ่งค่าจริงที่ว่าศาลรธน.จัดการ9:1นั้นถูกแล้ว,ตีความคือศาลรธน.ก็มิได้มาจากประชาชนเลือกตั้งจริง ถูกต้องอีกฝ่าย,อีกฝ่ายคือนายกฯก็มิได้มาจากประชาชนเลือกตั้งตรงเช่นกัน จึงถือว่าเสมอกันชัดเจน,ศาลรธน.มีมากกว่าก็เพื่อเป็นแบบ6:3นี้ล่ะ สามารถอิสระให้ความเป็นธรรมอีกฝ่ายได้ ดวลถูกดวลผิดกันเสรี,หากไม่มีล็อบบี้ศาลมาเกี่ยวข้องด้วยแบบต่างประเทศก็จะดีขึ้นอีก,แบบถุงขนมเป็นกิโลๆตกหน้าศาลข้างห้องศาลแบบข่าวในอดีตในเรื่องอื่นๆนั้นอาจสำเร็จในที่ลับมากมายก็ได้.
    ..
    ..จริงๆรัฐบาลต้องมีแพลตฟอร์มพิเศษเพื่อให้ประชาชนลงมติเรียลไทม์ถอดถอนอำนาจคะแนนเสียงตนเองที่ลงไปได้หากไม่พอใจพฤติกรรมการทำหน้าที่นายกฯ การทำหน้าที่คณะครม.และข้าราชการในระบบราชการไทยเราใดๆ,หรือภาวะพิเศษผิดปกติแบบปัจจุบันที่นายกฯกระทำคลิปหลุดแบบนี้ สามารถมีแพลตฟอร์มพร้อมทันทีให้ประชาชนลงมติร่วมกันทั่วประเทศเรียลไทม์ว่า รัฐบาลชุดคณะนี้สมควรสิ้นอำนาจเลยมั้ย,มีกดปุ่มลงมติเรียลไทม์ ปุ่มที่1ว่า สิ้นอำนาจทั้งรัฐบาล ปุ่มที่2 ไม่สิ้นอำนาจทั้งรัฐบาล ,จากนั้นเปิดทางเลือกให้ประชาชนโหวตลงมติเรียลไทม์ใช้ชื่อบัตรประชาชนตน สแกนใบหน้านิ้วมือออนไลน์ร่วมลงมติเลย,เช่นทั่วประเทศเป็นเอกฉันท์กดปุ่มที่1 ให้สิ้นอำนาจทั้งรัฐบาล กว่า20ล้านรายชื่อบัตรประชาชนให้ถือว่ารัฐบาลชุดนี้พ้นอำนาจตำแหน่งทั้งหมดทันที มีการเลือกตั้งใหม่,นี้ประชาชนต้องมีอำนาจตรงร่วมด้วยแบบนี้ มิใช่ให้สิทธิขาดแค่ตอนกาในคูหาหย่อนบัตรจบเลยมิสามารถตามจัดการสส.ที่ชั่วเลวได้จนมีสิทธิคัดเลือกนายกฯเลวชั่วขึ้นปกครองประเทศ,และประชาชนสามารถใช้แพลตฟอร์มนี้ตั้งหัวข้อมากมายรับเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนแล้วร่วมกันกำจัดนักการเมืองและข้าราชการเลวชั่วผ่านแพลตฟอร์มนี้ได้,แก้ไขกฎหมายก็ได้ เช่นลงมติชื่อขอแก้ไขกฎหมายการเลือกตั้งและสส.สมัครเลือกตั้ง เช่นตั้งหัวข้อว่า ต้องการแก้ไขกฎหมายให้นายกฯมาจากการเลือกตั้งกาโดยตรงจากประชาชนทั่วประเทศหรือไม่ ปุ่มที่1กดต้องการ ปุ่มที่2กดไม่ต้องการ มีประชาชนเกินกว่า10ล้านคนลงมติต้องการผ่านจากเกณฑ์มาตราฐานที่5ล้านเสียงก็ให้มติประชาชนใช้บังคับได้ทันที มีการเขียนกฎหมายใหม่ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของประชาชนทันที,2 หัวข้อว่า สส.ลงสมัครไม่ต้องสังกัดพรรคใดๆก็ได้ต้องการหรือไม่ มติประชาชนกดปุ่มกว่า10ล้านคนก็สามารถบังคับใช้ได้,หรือหัวข้อในแพลตฟอร์มนี้ว่า ต้องการยกเลิกกฎหมายค่าปรับ2,000บาทของการไม่สวมหมวกกันน็อคหรือไม่ ปุ่มที่1ต้องการยกเลิกกฎหมายค่าปรับ2,000บาทนี้ ปุ่มที่2ไม่ต้องการยกเลิก ,มติกดปุ่มออกมาว่า ต้องการยกเลิกกฎหมายค่าปรับ2,000บาทกว่า40ล้านคน แสดงว่าประชาชนเห็นด้วยอย่างยิ่ง,นี้คือแพลตฟอร์มพลังอำนาจจริงของปรัชาชนเพื่อปลดล็อกโต้ตอบความอยุติธรรมที่พอดีมีคนชั่วเลวได้แฝงตัวหลุดเข้าไปในระบบอันดีงามของคนไทยเรา,หรือข้าราชการแบบบ้านหนองจานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จนก่อหายนะซึ่งภัยอธิปไตยชาติไทยตน แพลตฟอร์มเรียลไทม์ออนไลน์นี้สามารถให้ประชาชนลงโทษคนไม่ดีในระบบราชการที่ดีเราได้ทันที,เราจึงต้องตัังองค์กรอิสระนี้ขึ้นมาให้ชัดเจนเพื่อเป็นรัฐบาลเงาของภาคประชาชนไทยเราด้วย.

    #รัฐบาลเงาของภาคประชาชน.

    https://youtube.com/watch?v=zuOf3ku4yuk&si=FsJCmk_245FKQSNf
    เอาตรงๆเลยนะ ก็ปลื้มแสดงออกชัดเจนว่าไม่ปลื้มนั้นล่ะ ทั้งบิดเบือนบอกประชาชนที่ไม่รู้อีกว่าในขณะนี้ฝ่ายค้านพรรคประชาชนเขานั้นคนละขั้นชัดเจน แต่ในกูรูตีแผ่แหกความจริงท่านฟันธงไปแล้วตั้งนานว่าทั้งสภาเฮี้ยพวกเดียวกันหมดทั้งฝ่ายค้านที่ว่าด้วย,เสมือนตอนนี้คือละครปาหี่ในการจับมือกันตั้งรัฐบาลมาทำลายชาติเหมือนเดิมจากนายกฯคนที่1และคนที่2ทำภาระกิจพลาดไป, ..ปลื้มไม่ปลื้ม,แดงแจ๋ในอดีตกันเลย,อัดแฉโควิดนะทำดีแล้วแต่จิตนอนในจริตใฝ่ทางอกุศลก็ยังเต็มที่ คงผิดหวังเป็นอันมากที่คนที่ตนชอบพรรคที่ตนชอบจากปิดบังสายตาชาวบ้านไว้นานก็เผยตัวตนอีกครั้งแสดงออกการตัดสินของศาลรธน.อย่างเด่นชัด,ผิดเต็มๆจะพูดคุยเชิงอะไรก็ตามเมื่อตนตื่นมารู้ตัวทันทีแล้ว,โหมดสถานะนายกฯตนจะคู่ขนานทันที่หลังตัวเองตื่นนอน,จะกระทำใดๆทั้งทางกายวาจาเช่นสถานะไทบ้านทั่วไปหรือครม.หรือสส.ปกติไม่ได้จนนอนหลับไปอีกครั้งโน้น,ถ้าเป็นคนธรรมดาไปพูดห่าเหวอะไร คุยจนจะยกแผ่นดินประเทศไทยให้บ่อน้ำมันในอ่าวไทยให้แบบสถานะไทบ้านลับๆกัน ประชาชนเขาไม่สนใจหรอกเพราะไม่มีปัญญาอำนาจทำได้จริง,แต่สถานะนายกฯจะพูดจาแสดงออกทางใดๆทั้งทางเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยที่เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติมันผิดสถานะ. ..ศาล รธน. ทำสุดยอดแล้ว ส่วนอัตรา6:3 นี้อันตรายมาก ถือว่า3มือที่ลงมตินั้นมีมุมมองที่อันตรายต่ออธิปไตยชาติ ผิดจาก6ลงมติยกมือ ถือว่าท่านเป็นผู้มีศักยภาพด้านความเข้าใจดีของค่าจริงความจริงรู้เหตุรู้ผล อะไรเป็นอะไร ถูกผิด ว่าไปตามถูกผิดแล้วจิตสำนึกดีชั่วที่มนุษย์พึงมีรับรู้เห็นตามความเป็นจริงประกอบ มิใช่อ้างตัวบทกฎหมายที่ตีกรอบจำกัดฝ่ายเดียวซึ่งAIไร้ชีวิตวิญญาณก็ตัดสินลงมติตามตัวบทกฎหมายที่เขียนได้,6ท่านนี้ไม่ผิดหวัง เป็นที่พึ่งพาประชาชนได้ รู้ดีรู้ชั่วรู้ผิดรู้ถูก ถ้ามีสองทางให้เลือกคือขึ้นสวรรค์กับลงนรก ,6ท่านนี้เลือกขึ้นสวรรค์ชัดเจน เป็นผู้มีธรรมกุศลบำรุงใจ อ่านขาดอะไรคือทางเลือกที่ชอบแก่ธรรมนั้น. ...ปลื้มตำหนิศาลกลายๆด้วยอคติว่าชนกลุ่มน้อยไม่กี่คนมาตัดสินคนที่มากจากการเลือกตั้ง,แต่ปลื้มไม่บอกค่าจริงที่ว่าอุ๊งอิ๊งพรรคเธอแพ้การเลือกตั้งแต่ต้น บวกนายกฯก็ไม่เลือกตรงจากประชาชนด้วยสิทธิเสนอชื่อนายกฯมาจากพรรคหลักในการจัดตั้งรัฐบาล มีสส.มากตามเกณฑ์กำหนด สส.มาจากประชาชนเลือก,สส.สังกัดพรรค,ซึ่งค่าจริงที่ว่าศาลรธน.จัดการ9:1นั้นถูกแล้ว,ตีความคือศาลรธน.ก็มิได้มาจากประชาชนเลือกตั้งจริง ถูกต้องอีกฝ่าย,อีกฝ่ายคือนายกฯก็มิได้มาจากประชาชนเลือกตั้งตรงเช่นกัน จึงถือว่าเสมอกันชัดเจน,ศาลรธน.มีมากกว่าก็เพื่อเป็นแบบ6:3นี้ล่ะ สามารถอิสระให้ความเป็นธรรมอีกฝ่ายได้ ดวลถูกดวลผิดกันเสรี,หากไม่มีล็อบบี้ศาลมาเกี่ยวข้องด้วยแบบต่างประเทศก็จะดีขึ้นอีก,แบบถุงขนมเป็นกิโลๆตกหน้าศาลข้างห้องศาลแบบข่าวในอดีตในเรื่องอื่นๆนั้นอาจสำเร็จในที่ลับมากมายก็ได้. .. ..จริงๆรัฐบาลต้องมีแพลตฟอร์มพิเศษเพื่อให้ประชาชนลงมติเรียลไทม์ถอดถอนอำนาจคะแนนเสียงตนเองที่ลงไปได้หากไม่พอใจพฤติกรรมการทำหน้าที่นายกฯ การทำหน้าที่คณะครม.และข้าราชการในระบบราชการไทยเราใดๆ,หรือภาวะพิเศษผิดปกติแบบปัจจุบันที่นายกฯกระทำคลิปหลุดแบบนี้ สามารถมีแพลตฟอร์มพร้อมทันทีให้ประชาชนลงมติร่วมกันทั่วประเทศเรียลไทม์ว่า รัฐบาลชุดคณะนี้สมควรสิ้นอำนาจเลยมั้ย,มีกดปุ่มลงมติเรียลไทม์ ปุ่มที่1ว่า สิ้นอำนาจทั้งรัฐบาล ปุ่มที่2 ไม่สิ้นอำนาจทั้งรัฐบาล ,จากนั้นเปิดทางเลือกให้ประชาชนโหวตลงมติเรียลไทม์ใช้ชื่อบัตรประชาชนตน สแกนใบหน้านิ้วมือออนไลน์ร่วมลงมติเลย,เช่นทั่วประเทศเป็นเอกฉันท์กดปุ่มที่1 ให้สิ้นอำนาจทั้งรัฐบาล กว่า20ล้านรายชื่อบัตรประชาชนให้ถือว่ารัฐบาลชุดนี้พ้นอำนาจตำแหน่งทั้งหมดทันที มีการเลือกตั้งใหม่,นี้ประชาชนต้องมีอำนาจตรงร่วมด้วยแบบนี้ มิใช่ให้สิทธิขาดแค่ตอนกาในคูหาหย่อนบัตรจบเลยมิสามารถตามจัดการสส.ที่ชั่วเลวได้จนมีสิทธิคัดเลือกนายกฯเลวชั่วขึ้นปกครองประเทศ,และประชาชนสามารถใช้แพลตฟอร์มนี้ตั้งหัวข้อมากมายรับเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนแล้วร่วมกันกำจัดนักการเมืองและข้าราชการเลวชั่วผ่านแพลตฟอร์มนี้ได้,แก้ไขกฎหมายก็ได้ เช่นลงมติชื่อขอแก้ไขกฎหมายการเลือกตั้งและสส.สมัครเลือกตั้ง เช่นตั้งหัวข้อว่า ต้องการแก้ไขกฎหมายให้นายกฯมาจากการเลือกตั้งกาโดยตรงจากประชาชนทั่วประเทศหรือไม่ ปุ่มที่1กดต้องการ ปุ่มที่2กดไม่ต้องการ มีประชาชนเกินกว่า10ล้านคนลงมติต้องการผ่านจากเกณฑ์มาตราฐานที่5ล้านเสียงก็ให้มติประชาชนใช้บังคับได้ทันที มีการเขียนกฎหมายใหม่ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของประชาชนทันที,2 หัวข้อว่า สส.ลงสมัครไม่ต้องสังกัดพรรคใดๆก็ได้ต้องการหรือไม่ มติประชาชนกดปุ่มกว่า10ล้านคนก็สามารถบังคับใช้ได้,หรือหัวข้อในแพลตฟอร์มนี้ว่า ต้องการยกเลิกกฎหมายค่าปรับ2,000บาทของการไม่สวมหมวกกันน็อคหรือไม่ ปุ่มที่1ต้องการยกเลิกกฎหมายค่าปรับ2,000บาทนี้ ปุ่มที่2ไม่ต้องการยกเลิก ,มติกดปุ่มออกมาว่า ต้องการยกเลิกกฎหมายค่าปรับ2,000บาทกว่า40ล้านคน แสดงว่าประชาชนเห็นด้วยอย่างยิ่ง,นี้คือแพลตฟอร์มพลังอำนาจจริงของปรัชาชนเพื่อปลดล็อกโต้ตอบความอยุติธรรมที่พอดีมีคนชั่วเลวได้แฝงตัวหลุดเข้าไปในระบบอันดีงามของคนไทยเรา,หรือข้าราชการแบบบ้านหนองจานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จนก่อหายนะซึ่งภัยอธิปไตยชาติไทยตน แพลตฟอร์มเรียลไทม์ออนไลน์นี้สามารถให้ประชาชนลงโทษคนไม่ดีในระบบราชการที่ดีเราได้ทันที,เราจึงต้องตัังองค์กรอิสระนี้ขึ้นมาให้ชัดเจนเพื่อเป็นรัฐบาลเงาของภาคประชาชนไทยเราด้วย. #รัฐบาลเงาของภาคประชาชน. https://youtube.com/watch?v=zuOf3ku4yuk&si=FsJCmk_245FKQSNf
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 538 มุมมอง 0 รีวิว
  • Dimensity 9500 vs Snapdragon 8 Elite Gen 2: เปิดตัวก่อนแต่แรงไม่สุด

    MediaTek เตรียมเปิดตัวชิป Dimensity 9500 ก่อน Snapdragon 8 Elite Gen 2 หนึ่งวัน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นกลยุทธ์เพื่อแย่งความสนใจจากตลาด แต่ผลการทดสอบ Geekbench 6 บน Vivo X300 กลับเผยว่า Dimensity 9500 ทำคะแนนได้ต่ำกว่าที่คาดไว้ โดยได้เพียง 2,352 คะแนนในแบบ single-core และ 7,129 คะแนนในแบบ multi-core

    Dimensity 9500 ใช้โครงสร้าง CPU แบบ “1 + 3 + 4” โดยมีคอร์หลักที่เร็วที่สุดอยู่ที่ 4.20GHz ซึ่งสูงกว่าความเร็วที่ใช้ในการทดสอบจริง แต่ยังต่ำกว่าคู่แข่งอย่าง Snapdragon 8 Elite Gen 2 ที่แม้จะลดความเร็วลงเหลือ 4.00GHz ก็ยังทำคะแนนได้ถึง 3,393 และ 11,515 คะแนน—เร็วกว่า Dimensity ถึง 61%

    สาเหตุหนึ่งที่ Snapdragon 8 Elite Gen 2 ทำได้ดีกว่า คือการใช้คอร์แบบ in-house ที่ไม่พึ่งพา ARM โดยตรง ซึ่งให้ประสิทธิภาพต่อวัตต์ที่สูงกว่า และยังมีความยืดหยุ่นในการออกแบบมากขึ้น

    อย่างไรก็ตาม Dimensity 9500 ยังมีจุดเด่นในด้านการประมวลผลแบบ floating-point และคะแนน AnTuTu ที่สูงกว่า Snapdragon 8 Elite Gen 2 ถึง 11% ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าชิปนี้เหมาะกับงานกราฟิกหรือ AI มากกว่าการประมวลผลทั่วไป

    สเปกและโครงสร้างของ Dimensity 9500
    ใช้โครงสร้าง CPU แบบ “1 + 3 + 4”
    คอร์หลักเร็วสุดที่ 4.20GHz แต่ทำงานต่ำกว่าความเร็วจริง
    ใช้ Cortex-X930 และ Cortex-A730 บนสถาปัตยกรรม ARMv9.2-A
    ผลิตด้วยเทคโนโลยี 3nm โดย TSMC

    ผลการทดสอบเบื้องต้น
    Geekbench 6: single-core 2,352 / multi-core 7,129
    Snapdragon 8 Elite Gen 2 ได้คะแนนสูงกว่า 61%
    Dimensity 9500 ทำคะแนน AnTuTu สูงกว่า 11% (3449366 vs 3115282)
    มีประสิทธิภาพด้าน floating-point computation สูงกว่า 41%

    จุดเด่นของ Snapdragon 8 Elite Gen 2
    ใช้คอร์แบบ in-house “Oryon Gen 2” ไม่พึ่ง ARM
    ความเร็วสูงสุด 4.74GHz ในรุ่น Galaxy Edition
    ผลิตด้วยเทคโนโลยี N3P 3nm โดย TSMC
    มี GPU Adreno 840 และ NPU Hexagon รุ่นใหม่

    ความคาดหวังและการใช้งาน
    Dimensity 9500 อาจเหมาะกับงาน AI และกราฟิกมากกว่าการประมวลผลทั่วไป
    Snapdragon 8 Elite Gen 2 เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วสูงแบบต่อเนื่อง
    ทั้งสองชิปรองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6.0, และ 5G ทุกย่านความถี่

    https://wccftech.com/dimensity-9500-latest-single-core-and-multi-core-scores-fail-to-impress/
    🧠 Dimensity 9500 vs Snapdragon 8 Elite Gen 2: เปิดตัวก่อนแต่แรงไม่สุด MediaTek เตรียมเปิดตัวชิป Dimensity 9500 ก่อน Snapdragon 8 Elite Gen 2 หนึ่งวัน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นกลยุทธ์เพื่อแย่งความสนใจจากตลาด แต่ผลการทดสอบ Geekbench 6 บน Vivo X300 กลับเผยว่า Dimensity 9500 ทำคะแนนได้ต่ำกว่าที่คาดไว้ โดยได้เพียง 2,352 คะแนนในแบบ single-core และ 7,129 คะแนนในแบบ multi-core Dimensity 9500 ใช้โครงสร้าง CPU แบบ “1 + 3 + 4” โดยมีคอร์หลักที่เร็วที่สุดอยู่ที่ 4.20GHz ซึ่งสูงกว่าความเร็วที่ใช้ในการทดสอบจริง แต่ยังต่ำกว่าคู่แข่งอย่าง Snapdragon 8 Elite Gen 2 ที่แม้จะลดความเร็วลงเหลือ 4.00GHz ก็ยังทำคะแนนได้ถึง 3,393 และ 11,515 คะแนน—เร็วกว่า Dimensity ถึง 61% สาเหตุหนึ่งที่ Snapdragon 8 Elite Gen 2 ทำได้ดีกว่า คือการใช้คอร์แบบ in-house ที่ไม่พึ่งพา ARM โดยตรง ซึ่งให้ประสิทธิภาพต่อวัตต์ที่สูงกว่า และยังมีความยืดหยุ่นในการออกแบบมากขึ้น อย่างไรก็ตาม Dimensity 9500 ยังมีจุดเด่นในด้านการประมวลผลแบบ floating-point และคะแนน AnTuTu ที่สูงกว่า Snapdragon 8 Elite Gen 2 ถึง 11% ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าชิปนี้เหมาะกับงานกราฟิกหรือ AI มากกว่าการประมวลผลทั่วไป ✅ สเปกและโครงสร้างของ Dimensity 9500 ➡️ ใช้โครงสร้าง CPU แบบ “1 + 3 + 4” ➡️ คอร์หลักเร็วสุดที่ 4.20GHz แต่ทำงานต่ำกว่าความเร็วจริง ➡️ ใช้ Cortex-X930 และ Cortex-A730 บนสถาปัตยกรรม ARMv9.2-A ➡️ ผลิตด้วยเทคโนโลยี 3nm โดย TSMC ✅ ผลการทดสอบเบื้องต้น ➡️ Geekbench 6: single-core 2,352 / multi-core 7,129 ➡️ Snapdragon 8 Elite Gen 2 ได้คะแนนสูงกว่า 61% ➡️ Dimensity 9500 ทำคะแนน AnTuTu สูงกว่า 11% (3449366 vs 3115282) ➡️ มีประสิทธิภาพด้าน floating-point computation สูงกว่า 41% ✅ จุดเด่นของ Snapdragon 8 Elite Gen 2 ➡️ ใช้คอร์แบบ in-house “Oryon Gen 2” ไม่พึ่ง ARM ➡️ ความเร็วสูงสุด 4.74GHz ในรุ่น Galaxy Edition ➡️ ผลิตด้วยเทคโนโลยี N3P 3nm โดย TSMC ➡️ มี GPU Adreno 840 และ NPU Hexagon รุ่นใหม่ ✅ ความคาดหวังและการใช้งาน ➡️ Dimensity 9500 อาจเหมาะกับงาน AI และกราฟิกมากกว่าการประมวลผลทั่วไป ➡️ Snapdragon 8 Elite Gen 2 เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วสูงแบบต่อเนื่อง ➡️ ทั้งสองชิปรองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6.0, และ 5G ทุกย่านความถี่ https://wccftech.com/dimensity-9500-latest-single-core-and-multi-core-scores-fail-to-impress/
    WCCFTECH.COM
    Dimensity 9500 With A ‘1 + 3 + 4’ CPU Cluster And Maximum Clock Speed Of 4.20GHz Fails To Impress In The Latest Benchmark Leak; Snapdragon 8 Elite Gen 2 Up To 61 Percent Faster In The Latest Comparison
    The Snapdragon 8 Elite Gen 2 appears to be significantly faster than the Dimensity 9500, as the latter’s single-core and multi-core results are jaw-dropping
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 289 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts