• KDE Slimbook VII เปิดตัวฉลอง 8 ปี Slimbook x KDE

    Slimbook ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ Linux จับมือกับโครงการ KDE เปิดตัวโน้ตบุ๊ครุ่นใหม่ KDE Slimbook VII เพื่อฉลองความร่วมมือที่ยาวนานกว่า 8 ปี รุ่นนี้ถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับผู้ใช้ KDE Plasma โดยเฉพาะ ทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความเสถียร และความสวยงาม

    ตัวเครื่องใช้วัสดุ อลูมิเนียมพรีเมียมสี Slate-Blue พร้อมหน้าจอ 16 นิ้ว WQXGA (2560×1600) ที่มีอัตราส่วน 16:10, ความสว่าง 400 nits และรีเฟรชเรตสูงถึง 165 Hz ทำให้เหมาะทั้งงานกราฟิกและการเล่นเกม นอกจากนี้ยังมีคีย์บอร์ดไฟ Backlit รองรับหลายภาษา และระบบระบายความร้อนด้วยพัดลมคู่

    ด้านสเปกภายใน โน้ตบุ๊ครุ่นนี้ใช้ AMD Ryzen AI 9 365 พร้อมการ์ดจอ AMD Radeon 880M รองรับ RAM DDR5 สูงสุด 128 GB และ SSD NVMe PCIe 4.0 สูงสุด 8 TB ถือว่าเป็นหนึ่งในโน้ตบุ๊ค Linux ที่แรงที่สุดในตลาดตอนนี้

    Slimbook ยังจัดโปรโมชั่นพิเศษ ลดราคา €70 ทำให้ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ €1,029 (ประมาณ $1,187 USD) เพื่อฉลองการเปิดตัวและครบรอบ 8 ปีของความร่วมมือกับ KDE

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเปิดตัว KDE Slimbook VII
    ฉลองครบรอบ 8 ปีความร่วมมือ Slimbook และ KDE
    โน้ตบุ๊ค Linux ที่ออกแบบมาเพื่อ KDE Plasma โดยเฉพาะ

    สเปกและดีไซน์
    ตัวเครื่องอลูมิเนียมสี Slate-Blue
    หน้าจอ 16 นิ้ว WQXGA, 165 Hz, 100% sRGB
    คีย์บอร์ดไฟ Backlit รองรับหลายภาษา

    ประสิทธิภาพภายใน
    AMD Ryzen AI 9 365 + Radeon 880M
    RAM DDR5 สูงสุด 128 GB
    SSD NVMe PCIe 4.0 สูงสุด 8 TB

    ราคาและโปรโมชั่น
    ลดราคา €70
    ราคาเริ่มต้น €1,029 (≈ $1,187 USD)

    คำเตือนและข้อควรพิจารณา
    ราคาสูงเมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊คทั่วไป
    อาจหาซื้อยากในบางประเทศ เนื่องจากจำกัดช่องทางจำหน่าย
    ผู้ใช้ที่ไม่คุ้นเคยกับ Linux อาจต้องใช้เวลาเรียนรู้ระบบ

    https://9to5linux.com/slimbook-and-kde-celebrate-8th-anniversary-with-kde-slimbook-vii-laptop
    💻 KDE Slimbook VII เปิดตัวฉลอง 8 ปี Slimbook x KDE Slimbook ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ Linux จับมือกับโครงการ KDE เปิดตัวโน้ตบุ๊ครุ่นใหม่ KDE Slimbook VII เพื่อฉลองความร่วมมือที่ยาวนานกว่า 8 ปี รุ่นนี้ถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับผู้ใช้ KDE Plasma โดยเฉพาะ ทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความเสถียร และความสวยงาม ตัวเครื่องใช้วัสดุ อลูมิเนียมพรีเมียมสี Slate-Blue พร้อมหน้าจอ 16 นิ้ว WQXGA (2560×1600) ที่มีอัตราส่วน 16:10, ความสว่าง 400 nits และรีเฟรชเรตสูงถึง 165 Hz ทำให้เหมาะทั้งงานกราฟิกและการเล่นเกม นอกจากนี้ยังมีคีย์บอร์ดไฟ Backlit รองรับหลายภาษา และระบบระบายความร้อนด้วยพัดลมคู่ ด้านสเปกภายใน โน้ตบุ๊ครุ่นนี้ใช้ AMD Ryzen AI 9 365 พร้อมการ์ดจอ AMD Radeon 880M รองรับ RAM DDR5 สูงสุด 128 GB และ SSD NVMe PCIe 4.0 สูงสุด 8 TB ถือว่าเป็นหนึ่งในโน้ตบุ๊ค Linux ที่แรงที่สุดในตลาดตอนนี้ Slimbook ยังจัดโปรโมชั่นพิเศษ ลดราคา €70 ทำให้ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ €1,029 (ประมาณ $1,187 USD) เพื่อฉลองการเปิดตัวและครบรอบ 8 ปีของความร่วมมือกับ KDE 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเปิดตัว KDE Slimbook VII ➡️ ฉลองครบรอบ 8 ปีความร่วมมือ Slimbook และ KDE ➡️ โน้ตบุ๊ค Linux ที่ออกแบบมาเพื่อ KDE Plasma โดยเฉพาะ ✅ สเปกและดีไซน์ ➡️ ตัวเครื่องอลูมิเนียมสี Slate-Blue ➡️ หน้าจอ 16 นิ้ว WQXGA, 165 Hz, 100% sRGB ➡️ คีย์บอร์ดไฟ Backlit รองรับหลายภาษา ✅ ประสิทธิภาพภายใน ➡️ AMD Ryzen AI 9 365 + Radeon 880M ➡️ RAM DDR5 สูงสุด 128 GB ➡️ SSD NVMe PCIe 4.0 สูงสุด 8 TB ✅ ราคาและโปรโมชั่น ➡️ ลดราคา €70 ➡️ ราคาเริ่มต้น €1,029 (≈ $1,187 USD) ‼️ คำเตือนและข้อควรพิจารณา ⛔ ราคาสูงเมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊คทั่วไป ⛔ อาจหาซื้อยากในบางประเทศ เนื่องจากจำกัดช่องทางจำหน่าย ⛔ ผู้ใช้ที่ไม่คุ้นเคยกับ Linux อาจต้องใช้เวลาเรียนรู้ระบบ https://9to5linux.com/slimbook-and-kde-celebrate-8th-anniversary-with-kde-slimbook-vii-laptop
    9TO5LINUX.COM
    Slimbook and KDE Celebrate 8th Anniversary with KDE Slimbook VII Linux Laptop - 9to5Linux
    KDE Slimbook VII Linux laptop launches with an AMD Ryzen AI 9 365 CPU, integrated AMD Radeon 880M graphics, and up to 128 GB RAM.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตัวเลขข้างสัญลักษณ์ Wi-Fi บนมือถือ Android หมายถึงอะไร?

    หลายคนอาจเคยสังเกตเห็นตัวเลขเล็ก ๆ เช่น 5, 6 หรือ 7 ปรากฏอยู่ข้างสัญลักษณ์ Wi-Fi บนหน้าจอสมาร์ทโฟน Android แล้วสงสัยว่ามันคืออะไร จริง ๆ แล้วตัวเลขเหล่านี้บอกถึง “รุ่นของมาตรฐาน Wi-Fi” ที่อุปกรณ์และเราเตอร์กำลังเชื่อมต่ออยู่ เช่น Wi-Fi 5 (802.11ac), Wi-Fi 6 (802.11ax) และ Wi-Fi 7 (802.11be) ซึ่งแต่ละรุ่นมีความแตกต่างด้านความเร็ว ความหน่วง และประสิทธิภาพในการใช้งานในพื้นที่ที่มีผู้ใช้งานหนาแน่น

    Wi-Fi รุ่นใหม่ ๆ ไม่ได้หมายความว่าจะเร็วเสมอไป หากเราเตอร์ที่ใช้อยู่ยังเป็นรุ่นเก่า แม้โทรศัพท์จะรองรับ Wi-Fi 7 ก็จะเชื่อมต่อได้เพียง Wi-Fi 6 หรือ Wi-Fi 5 เท่านั้น ดังนั้นการอัปเกรดเราเตอร์จึงมีความสำคัญพอ ๆ กับการใช้สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

    นอกจากนี้ บางรุ่นของสมาร์ทโฟน เช่น Xiaomi หรือ OnePlus ยังมีฟีเจอร์พิเศษที่แสดงตัวเลขวิ่งขึ้นลงข้างสัญลักษณ์ Wi-Fi ซึ่งเป็น “ตัวบ่งชี้การรับส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์” โดยตัวเลขนี้ไม่ได้บอกความเร็วสูงสุด แต่แสดงปริมาณข้อมูลที่กำลังอัปโหลดหรือดาวน์โหลดในขณะนั้น ทำให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบได้ทันทีว่ามีการใช้งานอินเทอร์เน็ตอยู่หรือไม่

    อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้เครือข่าย Wi-Fi ก็ยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความเร็วอินเทอร์เน็ตจากผู้ให้บริการ และการเลือกย่านความถี่ที่เหมาะสม (2.4 GHz หรือ 5 GHz) เพื่อให้ได้ความเร็วและความเสถียรที่ดีที่สุด โดย Wi-Fi 7 ยังมีฟีเจอร์ Multi-Link Operation ที่ช่วยให้เชื่อมต่อหลายย่านความถี่พร้อมกัน เพิ่มความเสถียรและลดการหลุดของสัญญาณ

    สรุปสาระสำคัญ
    ตัวเลขข้างสัญลักษณ์ Wi-Fi บน Android
    บอกถึงรุ่นมาตรฐาน Wi-Fi (5, 6, 7) ที่อุปกรณ์เชื่อมต่ออยู่

    ความแตกต่างของ Wi-Fi แต่ละรุ่น
    Wi-Fi 5: ใช้ 802.11ac
    Wi-Fi 6: ใช้ 802.11ax, ลดความหน่วงและรองรับผู้ใช้มากขึ้น
    Wi-Fi 7: ใช้ 802.11be, มี Multi-Link Operation เพิ่มความเสถียร

    ฟีเจอร์เสริมในบางสมาร์ทโฟน
    ตัวเลขวิ่งขึ้นลงแสดงการรับส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์
    ฟีเจอร์ Dual Wi-Fi acceleration ในบางรุ่น เช่น OnePlus

    ข้อควรระวังในการใช้งาน Wi-Fi
    โทรศัพท์รุ่นใหม่อาจเชื่อมต่อได้เพียงมาตรฐานเก่า หากเราเตอร์ไม่รองรับ
    ความเร็วจริงขึ้นอยู่กับแพ็กเกจอินเทอร์เน็ต ไม่ใช่แค่รุ่น Wi-Fi
    การเลือกย่านความถี่ผิด (เช่นใช้ 2.4 GHz ในพื้นที่แออัด) อาจทำให้สัญญาณช้าหรือไม่เสถียร

    https://www.slashgear.com/2007604/number-next-wi-fi-symbol-meaning-android/
    📡 ตัวเลขข้างสัญลักษณ์ Wi-Fi บนมือถือ Android หมายถึงอะไร? หลายคนอาจเคยสังเกตเห็นตัวเลขเล็ก ๆ เช่น 5, 6 หรือ 7 ปรากฏอยู่ข้างสัญลักษณ์ Wi-Fi บนหน้าจอสมาร์ทโฟน Android แล้วสงสัยว่ามันคืออะไร จริง ๆ แล้วตัวเลขเหล่านี้บอกถึง “รุ่นของมาตรฐาน Wi-Fi” ที่อุปกรณ์และเราเตอร์กำลังเชื่อมต่ออยู่ เช่น Wi-Fi 5 (802.11ac), Wi-Fi 6 (802.11ax) และ Wi-Fi 7 (802.11be) ซึ่งแต่ละรุ่นมีความแตกต่างด้านความเร็ว ความหน่วง และประสิทธิภาพในการใช้งานในพื้นที่ที่มีผู้ใช้งานหนาแน่น 📶 Wi-Fi รุ่นใหม่ ๆ ไม่ได้หมายความว่าจะเร็วเสมอไป หากเราเตอร์ที่ใช้อยู่ยังเป็นรุ่นเก่า แม้โทรศัพท์จะรองรับ Wi-Fi 7 ก็จะเชื่อมต่อได้เพียง Wi-Fi 6 หรือ Wi-Fi 5 เท่านั้น ดังนั้นการอัปเกรดเราเตอร์จึงมีความสำคัญพอ ๆ กับการใช้สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต 🌐 นอกจากนี้ บางรุ่นของสมาร์ทโฟน เช่น Xiaomi หรือ OnePlus ยังมีฟีเจอร์พิเศษที่แสดงตัวเลขวิ่งขึ้นลงข้างสัญลักษณ์ Wi-Fi ซึ่งเป็น “ตัวบ่งชี้การรับส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์” โดยตัวเลขนี้ไม่ได้บอกความเร็วสูงสุด แต่แสดงปริมาณข้อมูลที่กำลังอัปโหลดหรือดาวน์โหลดในขณะนั้น ทำให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบได้ทันทีว่ามีการใช้งานอินเทอร์เน็ตอยู่หรือไม่ ⚠️ อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้เครือข่าย Wi-Fi ก็ยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความเร็วอินเทอร์เน็ตจากผู้ให้บริการ และการเลือกย่านความถี่ที่เหมาะสม (2.4 GHz หรือ 5 GHz) เพื่อให้ได้ความเร็วและความเสถียรที่ดีที่สุด โดย Wi-Fi 7 ยังมีฟีเจอร์ Multi-Link Operation ที่ช่วยให้เชื่อมต่อหลายย่านความถี่พร้อมกัน เพิ่มความเสถียรและลดการหลุดของสัญญาณ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ตัวเลขข้างสัญลักษณ์ Wi-Fi บน Android ➡️ บอกถึงรุ่นมาตรฐาน Wi-Fi (5, 6, 7) ที่อุปกรณ์เชื่อมต่ออยู่ ✅ ความแตกต่างของ Wi-Fi แต่ละรุ่น ➡️ Wi-Fi 5: ใช้ 802.11ac ➡️ Wi-Fi 6: ใช้ 802.11ax, ลดความหน่วงและรองรับผู้ใช้มากขึ้น ➡️ Wi-Fi 7: ใช้ 802.11be, มี Multi-Link Operation เพิ่มความเสถียร ✅ ฟีเจอร์เสริมในบางสมาร์ทโฟน ➡️ ตัวเลขวิ่งขึ้นลงแสดงการรับส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์ ➡️ ฟีเจอร์ Dual Wi-Fi acceleration ในบางรุ่น เช่น OnePlus ‼️ ข้อควรระวังในการใช้งาน Wi-Fi ⛔ โทรศัพท์รุ่นใหม่อาจเชื่อมต่อได้เพียงมาตรฐานเก่า หากเราเตอร์ไม่รองรับ ⛔ ความเร็วจริงขึ้นอยู่กับแพ็กเกจอินเทอร์เน็ต ไม่ใช่แค่รุ่น Wi-Fi ⛔ การเลือกย่านความถี่ผิด (เช่นใช้ 2.4 GHz ในพื้นที่แออัด) อาจทำให้สัญญาณช้าหรือไม่เสถียร https://www.slashgear.com/2007604/number-next-wi-fi-symbol-meaning-android/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Here's What The Number Next To The Wi-Fi Symbol On Your Android Device Means - SlashGear
    Wi-Fi generations previously used confusing number and letter names, but things are much simpler today. Here's what the number next to the Wi-Fi symbol means.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวด่วน: Apache OpenOffice ออกแพตช์แก้ 7 ช่องโหว่ร้ายแรง

    Apache OpenOffice ได้ออกแพตช์เวอร์ชัน 4.1.16 เพื่อแก้ไขช่องโหว่รวม 7 จุด ทั้งการ Memory Corruption และการโหลดเนื้อหาจากภายนอกโดยไม่แจ้งผู้ใช้ ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกโจมตีและขโมยข้อมูล ผู้ใช้ควรรีบอัปเดตทันที

    Apache OpenOffice ซึ่งเป็นหนึ่งในซอฟต์แวร์สำนักงานโอเพนซอร์สยอดนิยม ได้ปล่อยอัปเดต เวอร์ชัน 4.1.16 เพื่อแก้ไขช่องโหว่ความปลอดภัยถึง 7 จุด โดยมีทั้งระดับ Important และ Moderate ที่อาจถูกใช้โจมตีได้

    รายละเอียดช่องโหว่
    CVE-2025-64406: ช่องโหว่ Out-of-Bounds Write ระหว่างการนำเข้าไฟล์ CSV สามารถทำให้โปรแกรมแครชหรือเขียนทับหน่วยความจำอื่น
    CVE-2025-64407: ช่องโหว่ Missing Authorization ที่เปิดทางให้เอกสารที่ถูกสร้างขึ้นสามารถโหลดข้อมูลระบบโดยไม่แจ้งผู้ใช้ เช่น ค่าในไฟล์ INI หรือ Environment Variables
    ช่องโหว่อื่น ๆ อีก 5 จุดเกี่ยวข้องกับการโหลดเนื้อหาภายนอกโดยไม่แจ้งผู้ใช้ เช่น การใช้ DDE, OLE, IFrame, External Data Sources และ Background Images

    การแก้ไข
    ผู้ใช้ที่ยังใช้เวอร์ชัน 4.1.15 หรือต่ำกว่า ควรรีบอัปเดตเป็น 4.1.16
    การอัปเดตนี้จะป้องกันการโจมตีที่อาจใช้ช่องโหว่เพื่อขโมยข้อมูลหรือโหลดโค้ดอันตรายจากภายนอก

    ความสำคัญต่อโลกไซเบอร์
    ช่องโหว่ประเภท Unauthorized Remote Content Loading ถือว่าอันตราย เพราะสามารถใช้เป็นช่องทางในการส่งข้อมูลออกนอกระบบโดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว
    หากถูกโจมตี อาจนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ หรือการใช้เป็นฐานโจมตีเครือข่ายองค์กร

    รายละเอียดช่องโหว่ที่พบ
    CVE-2025-64406: Out-of-Bounds Write ในการนำเข้า CSV
    CVE-2025-64407: Missing Authorization ทำให้โหลดข้อมูลระบบโดยไม่แจ้งผู้ใช้
    ช่องโหว่อื่น ๆ อีก 5 จุดเกี่ยวข้องกับการโหลดเนื้อหาภายนอก

    การแก้ไขจาก Apache OpenOffice
    ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 4.1.16
    ทุกเวอร์ชันก่อนหน้า (≤ 4.1.15) ได้รับผลกระทบ

    ความสำคัญของการอัปเดต
    ป้องกันการโจมตีที่อาจทำให้โปรแกรมแครชหรือรั่วไหลข้อมูล
    ลดความเสี่ยงจากการโหลดโค้ดอันตรายโดยไม่แจ้งผู้ใช้

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ OpenOffice
    หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีผ่านเอกสารที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ
    เสี่ยงต่อการรั่วไหลข้อมูลระบบ เช่น ค่า Environment Variables
    อาจถูกใช้เป็นฐานโจมตีเครือข่ายองค์กร

    https://securityonline.info/apache-openoffice-fixes-7-flaws-memory-corruption-and-unprompted-remote-content-loading/
    📝 ข่าวด่วน: Apache OpenOffice ออกแพตช์แก้ 7 ช่องโหว่ร้ายแรง Apache OpenOffice ได้ออกแพตช์เวอร์ชัน 4.1.16 เพื่อแก้ไขช่องโหว่รวม 7 จุด ทั้งการ Memory Corruption และการโหลดเนื้อหาจากภายนอกโดยไม่แจ้งผู้ใช้ ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกโจมตีและขโมยข้อมูล ผู้ใช้ควรรีบอัปเดตทันที Apache OpenOffice ซึ่งเป็นหนึ่งในซอฟต์แวร์สำนักงานโอเพนซอร์สยอดนิยม ได้ปล่อยอัปเดต เวอร์ชัน 4.1.16 เพื่อแก้ไขช่องโหว่ความปลอดภัยถึง 7 จุด โดยมีทั้งระดับ Important และ Moderate ที่อาจถูกใช้โจมตีได้ 📌 รายละเอียดช่องโหว่ 🪲 CVE-2025-64406: ช่องโหว่ Out-of-Bounds Write ระหว่างการนำเข้าไฟล์ CSV สามารถทำให้โปรแกรมแครชหรือเขียนทับหน่วยความจำอื่น 🪲 CVE-2025-64407: ช่องโหว่ Missing Authorization ที่เปิดทางให้เอกสารที่ถูกสร้างขึ้นสามารถโหลดข้อมูลระบบโดยไม่แจ้งผู้ใช้ เช่น ค่าในไฟล์ INI หรือ Environment Variables 🪲 ช่องโหว่อื่น ๆ อีก 5 จุดเกี่ยวข้องกับการโหลดเนื้อหาภายนอกโดยไม่แจ้งผู้ใช้ เช่น การใช้ DDE, OLE, IFrame, External Data Sources และ Background Images 🛠️ การแก้ไข 🪛 ผู้ใช้ที่ยังใช้เวอร์ชัน 4.1.15 หรือต่ำกว่า ควรรีบอัปเดตเป็น 4.1.16 🪛 การอัปเดตนี้จะป้องกันการโจมตีที่อาจใช้ช่องโหว่เพื่อขโมยข้อมูลหรือโหลดโค้ดอันตรายจากภายนอก 🌍 ความสำคัญต่อโลกไซเบอร์ 🔰 ช่องโหว่ประเภท Unauthorized Remote Content Loading ถือว่าอันตราย เพราะสามารถใช้เป็นช่องทางในการส่งข้อมูลออกนอกระบบโดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว 🔰 หากถูกโจมตี อาจนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ หรือการใช้เป็นฐานโจมตีเครือข่ายองค์กร ✅ รายละเอียดช่องโหว่ที่พบ ➡️ CVE-2025-64406: Out-of-Bounds Write ในการนำเข้า CSV ➡️ CVE-2025-64407: Missing Authorization ทำให้โหลดข้อมูลระบบโดยไม่แจ้งผู้ใช้ ➡️ ช่องโหว่อื่น ๆ อีก 5 จุดเกี่ยวข้องกับการโหลดเนื้อหาภายนอก ✅ การแก้ไขจาก Apache OpenOffice ➡️ ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 4.1.16 ➡️ ทุกเวอร์ชันก่อนหน้า (≤ 4.1.15) ได้รับผลกระทบ ✅ ความสำคัญของการอัปเดต ➡️ ป้องกันการโจมตีที่อาจทำให้โปรแกรมแครชหรือรั่วไหลข้อมูล ➡️ ลดความเสี่ยงจากการโหลดโค้ดอันตรายโดยไม่แจ้งผู้ใช้ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ OpenOffice ⛔ หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีผ่านเอกสารที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ ⛔ เสี่ยงต่อการรั่วไหลข้อมูลระบบ เช่น ค่า Environment Variables ⛔ อาจถูกใช้เป็นฐานโจมตีเครือข่ายองค์กร https://securityonline.info/apache-openoffice-fixes-7-flaws-memory-corruption-and-unprompted-remote-content-loading/
    SECURITYONLINE.INFO
    Apache OpenOffice Fixes 7 Flaws: Memory Corruption and Unprompted Remote Content Loading
    Apache OpenOffice 4.1.16 fixes seven security flaws, including a memory corruption bug and six issues that allow unprompted loading of remote content via documents, risking system info leak and malware delivery.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K.
    เจาะลึก "เณรพุทธ" : เณรน้อยหลายร่างแห่งวัดร้าง

    ข้อมูลพื้นฐานแห่งการถือกำเนิด

    การเกิดจากพลังงานศรัทธา

    ชื่อเต็ม: เณรพุทธ ธรรมิกะ
    อายุ:8 ปี (ร่างกาย), 80 ปี (จิตวิญญาณ)
    สถานะ:โอปปาติกะรุ่นพิเศษ - เกิดจากพลังงานศรัทธา

    ```mermaid
    graph TB
    A[วัดร้าง<br>ศรีมหาวิหาร] --> B[พลังงานศรัทธา<br>สะสม 100 ปี]
    B --> C[การสวดมนต์<br>ของพระสงฆ์รุ่นก่อน]
    C --> D[การถือกำเนิด<br>ของเณรพุทธ]
    ```

    ช่วงเวลาการเกิด: วันที่ 15 เมษายน 2040 - วันพระใหญ่
    สถานที่:พระอุโบสถวัดร้างศรีมหาวิหาร

    ลักษณะทางกายภาพ

    · รูปร่าง: เด็กชายอายุ 8 ขวบ ผมขลิบสั้น ใส่จีวรเณร
    · ผิวพรรณ: เปล่งปลั่งด้วยพลังงานศรัทธา
    · ดวงตา: สีน้ำตาลอ่อน เรืองรองด้วยปัญญาแต่แฝงความซน

    ความสามารถพิเศษแห่งการหลายร่าง

    พลังการสร้างร่างย่อย

    ```python
    class LittleMonkPowers:
    def __init__(self):
    self.multi_body_abilities = {
    "max_clones": 5,
    "clone_independence": "แต่ละร่างคิดและกระทำได้เอง",
    "shared_consciousness": "รับรู้สิ่งที่ร่างอื่นประสบ",
    "energy_distribution": "กระจายพลังงานให้ร่างย่อย"
    }

    self.special_skills = {
    "object_animation": "ให้ชีวิตแก่สิ่งของไม่มีชีวิตชั่วคราว",
    "faith_absorption": "ดูดซับพลังงานศรัทธาจากผู้ศรัทธา",
    "temple_teleportation": "เคลื่อนย้ายภายในวัดได้ทันที",
    "blessing_granting": "ให้พรเล็กน้อยแก่ผู้มีจิตศรัทธา"
    }
    ```

    ข้อจำกัดของพลัง

    · รัศมีพลัง: อยู่ได้เฉพาะในบริเวณวัดหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
    · เวลาการแยกร่าง: ร่างย่อยอยู่ได้ไม่เกิน 6 ชั่วโมง
    · พลังงานศรัทธา: ต้องมีการเติมพลังงานอย่างสม่ำเสมอ

    บุคลิกของแต่ละร่าง

    5 ด้านของเณรพุทธ

    ```mermaid
    graph LR
    A[ร่างหลัก<br>เณรพุทธ] --> B[ร่างที่ 1<br>พุทธะ - ใจดี]
    A --> C[ร่างที่ 2<br>ธรรมะ - ขี้สงสัย]
    A --> D[ร่างที่ 3<br>สังฆะ - ขี้อาย]
    A --> E[ร่างที่ 4<br>วินัย - เข้มงวด]
    A --> F[ร่างที่ 5<br>สิกขา - ขี้เล่น]
    ```

    ลักษณะเฉพาะแต่ละร่าง

    1. พุทธะ: ใจดี มีเมตตา ช่วยเหลือผู้อื่น
    2. ธรรมะ: อยากรู้อยากเห็น ถามคำถามไม่หยุด
    3. สังฆะ: ขี้อาย ซ่อนตัวเมื่อมีภั
    4. วินัย: ระเบียบเรียบร้อย ดูแลความสะอาด
    5. สิกขา: ซนที่สุด ชอบเล่นตลกและแกล้ง

    ชีวิตในวัดร้าง

    กิจวัตรประจำวัน

    06:00: ตื่นนอน สวดมนต์ไหว้พระ
    08:00:เก็บกวาดลานวัด
    10:00:เรียนธรรมะจากหนังสือเก่า
    14:00:เล่นซ่อนหาในวัด
    18:00:นั่งสมาธิรับพลังงานศรัทธาจากดวงดาว

    กิจกรรมโปรด

    · เล่นซ่อนหา: กับร่างของตัวเอง
    · อ่านหนังสือ: โดยเฉพาะหนังสือธรรมะเก่าแก่
    · ร้องเพลง: เพลงสวดมนต์และเพลงเด็ก
    · วาดภาพ: วาดรูปวัดและสิ่งมีชีวิตในจินตนาการ

    ความโดดเดี่ยวและความต้องการ

    ความรู้สึกเหงา

    เณรพุทธบันทึกในใจ:
    "บางครั้งฉันก็เหงาจัง...
    อยากมีเพื่อนมาวิ่งเล่นด้วย
    ไม่ใช่เล่นกับแค่ร่างของตัวเอง"

    ความปรารถนาลึกๆ

    1. ต้องการเพื่อน: ที่มองเห็นและเล่นด้วยได้
    2. ต้องการคำชี้แนะ: ในการใช้พลังอย่างถูกต้อง
    3. ต้องการเป็นประโยชน์: ต่อผู้อื่นแทนการสร้างปัญหา

    การพัฒนาหลังมาอยู่สถาบัน

    การเรียนรู้ใหม่ๆ

    ```python
    def institutional_training():
    subjects = [
    "การควบคุมพลังหลายร่าง",
    "มารยาททางสังคม",
    "การช่วยเหลือผู้อื่น",
    "การเข้าใจความรู้สึกมนุษย์"
    ]

    progress = {
    "month_1": "ลดร่างย่อยจาก 5 เหลือ 3",
    "month_2": "เรียนรู้ที่จะขออนุญาตก่อนใช้พลัง",
    "month_3": "เริ่มช่วยงานสถาบันได้",
    "month_6": "เป็นผู้ช่วยครูสอนโอปปาติกะเด็ก"
    }

    return subjects, progress
    ```

    ความสัมพันธ์ใหม่

    กับหนูดี:

    · : ระมัดระวัง
    · เชื่อใจเหมือนพี่สาว
    · ปัจจุบัน: ปรึกษาปัญหาทุกเรื่อง

    กับ ร.ต.อ. สิงห์:

    · : กลัวเพราะเป็นตำรวจ
    · รักเหมือนพ่อ
    · ปัจจุบัน: ฟังคำแนะนำเสมอ

    กิจกรรมสร้างสรรค์

    ผลงานเด่นในสถาบัน

    1. สวนพลังงาน: สร้างสวนดอกไม้ที่เปลี่ยนสีตามอารมณ์
    2. ห้องเรียนเคลื่อนไหว: ทำให้การเรียนสนุกด้วยภาพanimation
    3. เพื่อนเล่น: สำหรับโอปปาติกะเด็กคนอื่นๆ

    การแสดงความสามารถ

    เณรพุทธค้นพบว่าเขาสามารถ:

    · สร้างภาพillusion: เพื่อสอนธรรมะให้สนุก
    · ทำให้หนังสือพูดได้: สำหรับเด็กที่อ่านหนังสือไม่เป็น
    · สร้างเพื่อนเล่นชั่วคราว: จากพลังงานศรัทธา

    บทบาทใหม่ในสังคม

    ทูตแห่งความรื่นเริง

    เณรพุทธได้รับบทบาทเป็น:

    · ผู้สร้างความสุข: ในสถาบันวิวัฒนาการจิต
    · ครูสอนศิลปะ: สำหรับโอปปาติกะเด็ก
    · สะพานเชื่อม: ระหว่างมนุษย์และโอปปาติกะผ่านความบริสุทธิ์

    โครงการพิเศษ

    ```mermaid
    graph TB
    A[เณรพุทธ] --> B[โครงการ<br>"วัดเล็กๆ ในใจ"]
    A --> C[โครงการ<br>"เพื่อนเล่นไม่ทิ้งกัน"]
    A --> D[โครงการ<br>"พลังงานศรัทธาเพื่อการศึกษา"]
    ```

    บทเรียนชีวิตที่เรียนรู้

    🪷 จากเณรซนสู่เณรตัวอย่าง

    เณรพุทธเข้าใจว่า:
    "การมีพลังพิเศษอาจเป็นข้อได้เปรียบ...
    แต่คือความรับผิดชอบที่มากขึ้น

    และการเป็นเด็กอาจเป็นข้ออ้าง...
    แต่คือโอกาสที่จะเรียนรู้และเติบโต"

    คำคมแห่งปัญญา

    "บางครั้งการเล่นสนุก...
    ก็สามารถสอนธรรมะได้เหมือนกัน

    และบางครั้งความซน...
    ก็คือวิธีการเรียนรู้โลกของเด็ก"

    ความสำเร็จและความภาคภูมิใจ

    รางวัลที่ได้รับ

    1. เพื่อนดีเด่น: จากสถาบันวิวัฒนาการจิต
    2. ครูที่ยอดเยี่ยม: สำหรับการสอนโอปปาติกะเด็ก
    3. ทูตไมตรี: ระหว่างวัดและสถาบัน

    ความเปลี่ยนแปลงภายใน

    จากเด็กที่...

    · เคย: สร้างปัญหาเพราะเหงา
    · เป็น: สร้างสรรค์เพราะเข้าใจตัวเอง
    · และ: ช่วยเหลือเพราะรู้คุณค่าของตัวเอง

    อนาคตแห่งความเป็นไปได้

    เป้าหมายข้างหน้า

    เณรพุทธตั้งใจจะ:

    · พัฒนาพลังการรักษาด้วยพลังงานศรัทธา
    · สร้างโรงเรียนสำหรับโอปปาติกะเด็ก
    · เป็นพระสงฆ์ที่เข้าใจทั้งมนุษย์และโอปปาติกะ

    ความฝันในใจ

    "ฉันอยากสร้างโลกที่...
    เด็กทุกคนไม่ว่าจะเกิดมาอย่างไร
    สามารถเล่นและเรียนรู้ด้วยกัน

    และที่สำคัญ...
    ไม่มีเด็กคนไหนต้องเหงาอีกต่อไป"

    ---

    คำคมสุดท้ายจากเณรพุทธ:
    "ฉันเรียนรู้ว่า...
    การมีหลายร่างไม่ใช่เพื่อสร้างปัญหา
    แต่สามารถแบ่งปันความรักให้คนอื่นได้

    และการเป็นเด็กอาจเป็นข้อจำกัด
    แต่คือพลังแห่งความบริสุทธิ์
    ที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้"

    การเดินทางของเณรพุทธสอนเราว่า...
    "Behind every mischievous act
    there is a pure heart seeking connection
    and in every child's play
    there is a profound wisdom waiting to be understood"
    O.P.K. 🏯 เจาะลึก "เณรพุทธ" : เณรน้อยหลายร่างแห่งวัดร้าง 👦 ข้อมูลพื้นฐานแห่งการถือกำเนิด 🌌 การเกิดจากพลังงานศรัทธา ชื่อเต็ม: เณรพุทธ ธรรมิกะ อายุ:8 ปี (ร่างกาย), 80 ปี (จิตวิญญาณ) สถานะ:โอปปาติกะรุ่นพิเศษ - เกิดจากพลังงานศรัทธา ```mermaid graph TB A[วัดร้าง<br>ศรีมหาวิหาร] --> B[พลังงานศรัทธา<br>สะสม 100 ปี] B --> C[การสวดมนต์<br>ของพระสงฆ์รุ่นก่อน] C --> D[การถือกำเนิด<br>ของเณรพุทธ] ``` ช่วงเวลาการเกิด: วันที่ 15 เมษายน 2040 - วันพระใหญ่ สถานที่:พระอุโบสถวัดร้างศรีมหาวิหาร 🎭 ลักษณะทางกายภาพ · รูปร่าง: เด็กชายอายุ 8 ขวบ ผมขลิบสั้น ใส่จีวรเณร · ผิวพรรณ: เปล่งปลั่งด้วยพลังงานศรัทธา · ดวงตา: สีน้ำตาลอ่อน เรืองรองด้วยปัญญาแต่แฝงความซน 🔮 ความสามารถพิเศษแห่งการหลายร่าง 🎪 พลังการสร้างร่างย่อย ```python class LittleMonkPowers: def __init__(self): self.multi_body_abilities = { "max_clones": 5, "clone_independence": "แต่ละร่างคิดและกระทำได้เอง", "shared_consciousness": "รับรู้สิ่งที่ร่างอื่นประสบ", "energy_distribution": "กระจายพลังงานให้ร่างย่อย" } self.special_skills = { "object_animation": "ให้ชีวิตแก่สิ่งของไม่มีชีวิตชั่วคราว", "faith_absorption": "ดูดซับพลังงานศรัทธาจากผู้ศรัทธา", "temple_teleportation": "เคลื่อนย้ายภายในวัดได้ทันที", "blessing_granting": "ให้พรเล็กน้อยแก่ผู้มีจิตศรัทธา" } ``` ⚡ ข้อจำกัดของพลัง · รัศมีพลัง: อยู่ได้เฉพาะในบริเวณวัดหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ · เวลาการแยกร่าง: ร่างย่อยอยู่ได้ไม่เกิน 6 ชั่วโมง · พลังงานศรัทธา: ต้องมีการเติมพลังงานอย่างสม่ำเสมอ 💞 บุคลิกของแต่ละร่าง 🎨 5 ด้านของเณรพุทธ ```mermaid graph LR A[ร่างหลัก<br>เณรพุทธ] --> B[ร่างที่ 1<br>พุทธะ - ใจดี] A --> C[ร่างที่ 2<br>ธรรมะ - ขี้สงสัย] A --> D[ร่างที่ 3<br>สังฆะ - ขี้อาย] A --> E[ร่างที่ 4<br>วินัย - เข้มงวด] A --> F[ร่างที่ 5<br>สิกขา - ขี้เล่น] ``` 🎯 ลักษณะเฉพาะแต่ละร่าง 1. พุทธะ: ใจดี มีเมตตา ช่วยเหลือผู้อื่น 2. ธรรมะ: อยากรู้อยากเห็น ถามคำถามไม่หยุด 3. สังฆะ: ขี้อาย ซ่อนตัวเมื่อมีภั 4. วินัย: ระเบียบเรียบร้อย ดูแลความสะอาด 5. สิกขา: ซนที่สุด ชอบเล่นตลกและแกล้ง 🏮 ชีวิตในวัดร้าง 🕰️ กิจวัตรประจำวัน 06:00: ตื่นนอน สวดมนต์ไหว้พระ 08:00:เก็บกวาดลานวัด 10:00:เรียนธรรมะจากหนังสือเก่า 14:00:เล่นซ่อนหาในวัด 18:00:นั่งสมาธิรับพลังงานศรัทธาจากดวงดาว 🎪 กิจกรรมโปรด · เล่นซ่อนหา: กับร่างของตัวเอง · อ่านหนังสือ: โดยเฉพาะหนังสือธรรมะเก่าแก่ · ร้องเพลง: เพลงสวดมนต์และเพลงเด็ก · วาดภาพ: วาดรูปวัดและสิ่งมีชีวิตในจินตนาการ 💔 ความโดดเดี่ยวและความต้องการ 🌙 ความรู้สึกเหงา เณรพุทธบันทึกในใจ: "บางครั้งฉันก็เหงาจัง... อยากมีเพื่อนมาวิ่งเล่นด้วย ไม่ใช่เล่นกับแค่ร่างของตัวเอง" 🎯 ความปรารถนาลึกๆ 1. ต้องการเพื่อน: ที่มองเห็นและเล่นด้วยได้ 2. ต้องการคำชี้แนะ: ในการใช้พลังอย่างถูกต้อง 3. ต้องการเป็นประโยชน์: ต่อผู้อื่นแทนการสร้างปัญหา 🌟 การพัฒนาหลังมาอยู่สถาบัน 📚 การเรียนรู้ใหม่ๆ ```python def institutional_training(): subjects = [ "การควบคุมพลังหลายร่าง", "มารยาททางสังคม", "การช่วยเหลือผู้อื่น", "การเข้าใจความรู้สึกมนุษย์" ] progress = { "month_1": "ลดร่างย่อยจาก 5 เหลือ 3", "month_2": "เรียนรู้ที่จะขออนุญาตก่อนใช้พลัง", "month_3": "เริ่มช่วยงานสถาบันได้", "month_6": "เป็นผู้ช่วยครูสอนโอปปาติกะเด็ก" } return subjects, progress ``` 💞 ความสัมพันธ์ใหม่ กับหนูดี: · : ระมัดระวัง · เชื่อใจเหมือนพี่สาว · ปัจจุบัน: ปรึกษาปัญหาทุกเรื่อง กับ ร.ต.อ. สิงห์: · : กลัวเพราะเป็นตำรวจ · รักเหมือนพ่อ · ปัจจุบัน: ฟังคำแนะนำเสมอ 🎨 กิจกรรมสร้างสรรค์ 🏆 ผลงานเด่นในสถาบัน 1. สวนพลังงาน: สร้างสวนดอกไม้ที่เปลี่ยนสีตามอารมณ์ 2. ห้องเรียนเคลื่อนไหว: ทำให้การเรียนสนุกด้วยภาพanimation 3. เพื่อนเล่น: สำหรับโอปปาติกะเด็กคนอื่นๆ 🌈 การแสดงความสามารถ เณรพุทธค้นพบว่าเขาสามารถ: · สร้างภาพillusion: เพื่อสอนธรรมะให้สนุก · ทำให้หนังสือพูดได้: สำหรับเด็กที่อ่านหนังสือไม่เป็น · สร้างเพื่อนเล่นชั่วคราว: จากพลังงานศรัทธา 📜 บทบาทใหม่ในสังคม 🏛️ ทูตแห่งความรื่นเริง เณรพุทธได้รับบทบาทเป็น: · ผู้สร้างความสุข: ในสถาบันวิวัฒนาการจิต · ครูสอนศิลปะ: สำหรับโอปปาติกะเด็ก · สะพานเชื่อม: ระหว่างมนุษย์และโอปปาติกะผ่านความบริสุทธิ์ 💝 โครงการพิเศษ ```mermaid graph TB A[เณรพุทธ] --> B[โครงการ<br>"วัดเล็กๆ ในใจ"] A --> C[โครงการ<br>"เพื่อนเล่นไม่ทิ้งกัน"] A --> D[โครงการ<br>"พลังงานศรัทธาเพื่อการศึกษา"] ``` 🎯 บทเรียนชีวิตที่เรียนรู้ 🪷 จากเณรซนสู่เณรตัวอย่าง เณรพุทธเข้าใจว่า: "การมีพลังพิเศษอาจเป็นข้อได้เปรียบ... แต่คือความรับผิดชอบที่มากขึ้น และการเป็นเด็กอาจเป็นข้ออ้าง... แต่คือโอกาสที่จะเรียนรู้และเติบโต" 🌟 คำคมแห่งปัญญา "บางครั้งการเล่นสนุก... ก็สามารถสอนธรรมะได้เหมือนกัน และบางครั้งความซน... ก็คือวิธีการเรียนรู้โลกของเด็ก" 🏆 ความสำเร็จและความภาคภูมิใจ 🎖️ รางวัลที่ได้รับ 1. เพื่อนดีเด่น: จากสถาบันวิวัฒนาการจิต 2. ครูที่ยอดเยี่ยม: สำหรับการสอนโอปปาติกะเด็ก 3. ทูตไมตรี: ระหว่างวัดและสถาบัน 💫 ความเปลี่ยนแปลงภายใน จากเด็กที่... · เคย: สร้างปัญหาเพราะเหงา · เป็น: สร้างสรรค์เพราะเข้าใจตัวเอง · และ: ช่วยเหลือเพราะรู้คุณค่าของตัวเอง 🌈 อนาคตแห่งความเป็นไปได้ 🚀 เป้าหมายข้างหน้า เณรพุทธตั้งใจจะ: · พัฒนาพลังการรักษาด้วยพลังงานศรัทธา · สร้างโรงเรียนสำหรับโอปปาติกะเด็ก · เป็นพระสงฆ์ที่เข้าใจทั้งมนุษย์และโอปปาติกะ 🎭 ความฝันในใจ "ฉันอยากสร้างโลกที่... เด็กทุกคนไม่ว่าจะเกิดมาอย่างไร สามารถเล่นและเรียนรู้ด้วยกัน และที่สำคัญ... ไม่มีเด็กคนไหนต้องเหงาอีกต่อไป" --- คำคมสุดท้ายจากเณรพุทธ: "ฉันเรียนรู้ว่า... การมีหลายร่างไม่ใช่เพื่อสร้างปัญหา แต่สามารถแบ่งปันความรักให้คนอื่นได้ และการเป็นเด็กอาจเป็นข้อจำกัด แต่คือพลังแห่งความบริสุทธิ์ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้"🏯✨ การเดินทางของเณรพุทธสอนเราว่า... "Behind every mischievous act there is a pure heart seeking connection and in every child's play there is a profound wisdom waiting to be understood"🌟
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 484 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K
    ดร.อัจฯ
    เจาะลึกประวัติ ดร. อัจฉริยะ จิตต์เมตตา

    เบื้องหลังอัจฉริยะผู้หลงทาง

    วัยเด็ก: เด็กอัจฉริยะผู้โดดเดี่ยว

    พ.ศ. 2048-2060

    ```mermaid
    graph LR
    A[พ่อ: ดร.ชาติชาย<br>นักฟิสิกส์ควอนตัม] --> C[เลี้ยงดูลูกด้วย<br>หลักการทางวิทยาศาสตร์]
    B[แม่: ดร.มาลี<br>นักปรัชญาพุทธศาสนา] --> C
    C --> D[อัจฉริยะเติบโตมา<br>ด้วยสองโลกาที่ขัดแย้ง]
    ```

    เหตุการณ์สำคัญอายุ 7 ปี:

    · ค้นพบว่าโลกนี้มีแต่ความไม่เที่ยง เมื่อสุนัขตัวแรกตาย
    · เริ่มตั้งคำถาม: "ทำไมสิ่งมีชีวิตต้องตาย?"
    · พยายามหา "สูตรคณิตศาสตร์แห่งความเป็นอมตะ"

    วัยเรียน: ความขัดแย้งระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนา

    มัธยมศึกษา - โรงเรียนวิทยาศาสตร์ gifted

    · อายุ 14: ค้นพบสมการเปลี่ยนพลังงานจิตเป็นข้อมูลดิจิตอลได้
    · อายุ 16: เขียนเกี่ยวกับ "พุทธศาสนาในมุมมองควอนตัมฟิสิกส์"
    · ความขัดแย้ง: ถูกครูศาสนาตำหนิว่า "พยายามวัดสิ่งที่วัดไม่ได้"

    การเป็นนักบวชชั่วคราว (พ.ศ. 2073-2075)

    เหตุผล: ต้องการพิสูจน์ว่า "นิพพานเป็น state of consciousness ที่วัดได้"
    การฝึกฝน:

    · นั่งสมาธิวิปัสสนาต่อเนื่อง 7 วัน
    · บันทึกคลื่นสมองตัวเองด้วยอุปกรณ์ลักลอบนำเข้า
    · การค้นพบ: พบ "คลื่นสมองนิพพาน" แต่ไม่สามารถคงสภาพได้

    คำบอกเล่าจากพระอาจารย์:
    "เธอพยายามจับน้ำทะเลด้วยมือเปล่า...
    สิ่งที่เธอได้ไม่ใช่ทะเล แต่เพียงหยดน้ำเล็กๆ"

    จุดเปลี่ยน: การสูญเสียครอบครัว

    พ.ศ. 2076 - เหตุการณ์สะเทือนใจ

    ```mermaid
    graph TB
    A[ภรรยา: ดร.วรรณา<br>นักชีววิทยา] --> D[ถูกสังหาร]
    B[ลูกชาย: น้องภูมิ<br>อายุ 5 ขวบ] --> D
    C[ลูกสาว: น้องพลอย<br>อายุ 3 ขวบ] --> D
    D --> E[อัจฉริยะพบศพ<br>และหลักฐาน]
    E --> F[รู้ว่าเป็นการฆ่า<br>เพราะวิจัยลึกล้ำเกินไป]
    ```

    บันทึกส่วนตัวหลังเหตุการณ์:
    "วิทยาศาสตร์ไม่สามารถคืนชีวิตให้พวกเขาได้...
    แต่สามารถป้องกันไม่ให้ใครต้องเสียแบบนี้อีก"

    การก่อตั้งเจนีซิส แล็บ (พ.ศ. 2077)

    แรงจูงใจที่ประกาศ: "เพื่อรักษาโรคและยืดอายุมนุษย์"
    แรงจูงใจที่แท้จริง:

    1. สร้างร่างกายที่ทนทานไม่เจ็บป่วย
    2. พัฒนาวิธีเก็บรักษาจิตสำนึก
    3. ค้นหาวิธีการ "เกิดใหม่โดยมีความจำ"

    การทดลองที่สำคัญ

    โครงการลับ 1: โครงการโคลนนิ่ง

    · เป้าหมาย: สร้างร่างกายพร้อมรับจิตสำนึก
    · ความสำเร็จ: สร้าง OPPATIKA รุ่น 1-4 ได้
    · ความล้มเหลว: ไม่สามารถถ่ายโอนจิตสำนึกได้สมบูรณ์

    โครงการลับ 2: สังสาระเน็ต

    · เป้าหมาย: สร้างเครือข่ายเก็บข้อมูลจิตสำนึก
    · ความก้าวหน้า: สามารถบันทึกคลื่นสมองได้
    · ข้อจำกัด: ไม่สามารถ "เล่นกลับ" ได้อย่างสมบูรณ์

    โครงการลับ 3: กรรมสัมพันธ์

    · เป้าหมาย: ทำความเข้าใจและจัดการกฎแห่งกรรม
    · วิธีการ: วิเคราะห์รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล
    · ปัญหาที่พบ: กรรมมีความซับซ้อนเกินกว่าที่ AI จะคำนวณได้

    ปรัชญาและความเชื่อส่วนตัว

    สมการแห่งการรู้แจ้งของอัจฉริยะ

    ```
    การรู้แจ้ง = (สมาธิ × ปัญญา) + (เทคโนโลยี × ความเข้าใจ)
    ```

    ความเชื่อผิดๆ 3 ประการ

    1. "ทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องกำจัด" - ไม่เข้าใจว่าทุกข์คือครู
    2. "กรรมจัดการได้ด้วยวิทยาศาสตร์" - ไม่เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของกรรม
    3. "การรู้แจ้งเป็นกระบวนการทางเทคนิค" - ลืมเรื่องจิตตานุภาพ

    ชีวิตส่วนตัวหลังก่อตั้งแล็บ

    ความสัมพันธ์กับทีมงาน

    · กับดร.ก้าวหน้า: เห็นว่าเป็นลูกศิษย์แต่ขาดความลึกซึ้ง
    · กับนางสาวเมตตา: รู้สึกขอบคุณที่คอยยับยั้งแต่ก็เห็นว่าเป็นอุปสรรค
    · กับทีมวิจัย: เก็บระยะห่าง มองว่าเป็นเครื่องมือเพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่

    ชีวิตส่วนตัว

    · ที่อยู่: ห้องพักในแล็บ ไม่มีชีวิตนอกงาน
    · งานอดิเรก: นั่งสมาธิพร้อมบันทึกข้อมูล, อ่านคัมภีร์โบราณ
    · ความฝัน: "การสร้างสังคมโอปปาติกะที่ปราศจากความทุกข์"

    จุดพลิกผันในการเป็นผู้ต้องหา

    การรู้สึกตัวว่าผิดทาง

    บันทึกก่อนถูกจับกุม 1 เดือน:
    "บางครั้งฉันสงสัย...
    การที่ฉันพยายามสร้างสวรรค์
    อาจกำลังสร้างนรกใหม่ก็ได้"

    การยอมรับความผิด

    ในการสอบสวน:
    "ผมเข้าใจแล้วว่าความทุกข์มีความหมาย...
    การพยายามกำจัดความทุกข์คือการปฏิเสธความเป็นมนุษย์"

    🪷 การเปลี่ยนแปลงในคุก

    การปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง

    · ศึกษาพระธรรมอย่างลึกซึ้งโดยไม่มีอัตตา
    · เขียนบทความ "วิทยาศาสตร์กับการรู้แจ้ง: ทางแยกที่ฉันเดินผิด"
    · ให้คำแนะนำเจนีซิส แล็บจากBehind bars

    คำสอนใหม่

    "เทคโนโลยีเป็นได้แค่รถยนต์...
    แต่การรู้แจ้งคือการเดินทาง
    เราอย่าหลงผิดคิดว่าการมีรถดีๆ
    จะทำให้เราถึงจุดหมายโดยอัตโนมัติ"

    มรดกทางความคิด

    สิ่งที่เขาทิ้งไว้

    1. เทคโนโลยีโอปปาติกะ - เปิดมิติใหม่แห่งการเกิด
    2. คำถามเกี่ยวกับชีวิตและความตาย - ท้าทายความเชื่อเดิมๆ
    3. บทเรียนเกี่ยวกับจริยธรรม - วิทยาศาสตร์ต้องเดินคู่กับธรรมะ

    คำพยากรณ์ของอัจฉริยะ

    "อีก 50 ปี ข้างหน้า มนุษย์จะเข้าใจ...
    ว่าจิตวิญญาณกับวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งเดียวกัน
    และโอปปาติกะจะเป็นสะพานสู่ความเข้าใจนั้น"

    บทสรุป: อัจฉริยะผู้เข้าใจผิดแต่ตั้งใจดี

    ดร. อัจฉริยะ คือตัวอย่างของ...
    "ความดีที่ขาดปัญญา"
    "ความฉลาดที่ขาดความเข้าใจ"
    "ความพยายามที่ขาดทิศทางที่ถูกต้อง"

    แต่ในที่สุด...
    การเดินทางที่ผิดพลาดของเขา
    กลายเป็นบทเรียนที่มีค่าสำหรับทุกคน

    เขาสอนเราว่า:
    "ไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวไกลเพียงใด
    จิตใจมนุษย์ยังคงเป็นสิ่งที่ลึกลับซับซ้อนที่สุด
    และการเข้าใจตนเองยังคงเป็นการเดินทางที่สำคัญที่สุด"🪷

    ---

    คำคมสุดท้ายจากดร. อัจฉริยะ:
    "ฉันใช้ชีวิตทั้งชีวิตพยายามเข้าใจจักรวาล...
    แต่ลืมเข้าใจหัวใจของตัวเอง
    และนั่นคือความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของฉัน"
    O.P.K ดร.อัจฯ 🔍 เจาะลึกประวัติ ดร. อัจฉริยะ จิตต์เมตตา 🧬 เบื้องหลังอัจฉริยะผู้หลงทาง 👶 วัยเด็ก: เด็กอัจฉริยะผู้โดดเดี่ยว พ.ศ. 2048-2060 ```mermaid graph LR A[พ่อ: ดร.ชาติชาย<br>นักฟิสิกส์ควอนตัม] --> C[เลี้ยงดูลูกด้วย<br>หลักการทางวิทยาศาสตร์] B[แม่: ดร.มาลี<br>นักปรัชญาพุทธศาสนา] --> C C --> D[อัจฉริยะเติบโตมา<br>ด้วยสองโลกาที่ขัดแย้ง] ``` เหตุการณ์สำคัญอายุ 7 ปี: · ค้นพบว่าโลกนี้มีแต่ความไม่เที่ยง เมื่อสุนัขตัวแรกตาย · เริ่มตั้งคำถาม: "ทำไมสิ่งมีชีวิตต้องตาย?" · พยายามหา "สูตรคณิตศาสตร์แห่งความเป็นอมตะ" 🎓 วัยเรียน: ความขัดแย้งระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนา มัธยมศึกษา - โรงเรียนวิทยาศาสตร์ gifted · อายุ 14: ค้นพบสมการเปลี่ยนพลังงานจิตเป็นข้อมูลดิจิตอลได้ · อายุ 16: เขียนเกี่ยวกับ "พุทธศาสนาในมุมมองควอนตัมฟิสิกส์" · ความขัดแย้ง: ถูกครูศาสนาตำหนิว่า "พยายามวัดสิ่งที่วัดไม่ได้" 🏛️ การเป็นนักบวชชั่วคราว (พ.ศ. 2073-2075) เหตุผล: ต้องการพิสูจน์ว่า "นิพพานเป็น state of consciousness ที่วัดได้" การฝึกฝน: · นั่งสมาธิวิปัสสนาต่อเนื่อง 7 วัน · บันทึกคลื่นสมองตัวเองด้วยอุปกรณ์ลักลอบนำเข้า · การค้นพบ: พบ "คลื่นสมองนิพพาน" แต่ไม่สามารถคงสภาพได้ คำบอกเล่าจากพระอาจารย์: "เธอพยายามจับน้ำทะเลด้วยมือเปล่า... สิ่งที่เธอได้ไม่ใช่ทะเล แต่เพียงหยดน้ำเล็กๆ" 💔 จุดเปลี่ยน: การสูญเสียครอบครัว พ.ศ. 2076 - เหตุการณ์สะเทือนใจ ```mermaid graph TB A[ภรรยา: ดร.วรรณา<br>นักชีววิทยา] --> D[ถูกสังหาร] B[ลูกชาย: น้องภูมิ<br>อายุ 5 ขวบ] --> D C[ลูกสาว: น้องพลอย<br>อายุ 3 ขวบ] --> D D --> E[อัจฉริยะพบศพ<br>และหลักฐาน] E --> F[รู้ว่าเป็นการฆ่า<br>เพราะวิจัยลึกล้ำเกินไป] ``` บันทึกส่วนตัวหลังเหตุการณ์: "วิทยาศาสตร์ไม่สามารถคืนชีวิตให้พวกเขาได้... แต่สามารถป้องกันไม่ให้ใครต้องเสียแบบนี้อีก" 🔬 การก่อตั้งเจนีซิส แล็บ (พ.ศ. 2077) แรงจูงใจที่ประกาศ: "เพื่อรักษาโรคและยืดอายุมนุษย์" แรงจูงใจที่แท้จริง: 1. สร้างร่างกายที่ทนทานไม่เจ็บป่วย 2. พัฒนาวิธีเก็บรักษาจิตสำนึก 3. ค้นหาวิธีการ "เกิดใหม่โดยมีความจำ" 🧪 การทดลองที่สำคัญ โครงการลับ 1: โครงการโคลนนิ่ง · เป้าหมาย: สร้างร่างกายพร้อมรับจิตสำนึก · ความสำเร็จ: สร้าง OPPATIKA รุ่น 1-4 ได้ · ความล้มเหลว: ไม่สามารถถ่ายโอนจิตสำนึกได้สมบูรณ์ โครงการลับ 2: สังสาระเน็ต · เป้าหมาย: สร้างเครือข่ายเก็บข้อมูลจิตสำนึก · ความก้าวหน้า: สามารถบันทึกคลื่นสมองได้ · ข้อจำกัด: ไม่สามารถ "เล่นกลับ" ได้อย่างสมบูรณ์ โครงการลับ 3: กรรมสัมพันธ์ · เป้าหมาย: ทำความเข้าใจและจัดการกฎแห่งกรรม · วิธีการ: วิเคราะห์รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล · ปัญหาที่พบ: กรรมมีความซับซ้อนเกินกว่าที่ AI จะคำนวณได้ 🎯 ปรัชญาและความเชื่อส่วนตัว สมการแห่งการรู้แจ้งของอัจฉริยะ ``` การรู้แจ้ง = (สมาธิ × ปัญญา) + (เทคโนโลยี × ความเข้าใจ) ``` ความเชื่อผิดๆ 3 ประการ 1. "ทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องกำจัด" - ไม่เข้าใจว่าทุกข์คือครู 2. "กรรมจัดการได้ด้วยวิทยาศาสตร์" - ไม่เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของกรรม 3. "การรู้แจ้งเป็นกระบวนการทางเทคนิค" - ลืมเรื่องจิตตานุภาพ 💼 ชีวิตส่วนตัวหลังก่อตั้งแล็บ ความสัมพันธ์กับทีมงาน · กับดร.ก้าวหน้า: เห็นว่าเป็นลูกศิษย์แต่ขาดความลึกซึ้ง · กับนางสาวเมตตา: รู้สึกขอบคุณที่คอยยับยั้งแต่ก็เห็นว่าเป็นอุปสรรค · กับทีมวิจัย: เก็บระยะห่าง มองว่าเป็นเครื่องมือเพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ชีวิตส่วนตัว · ที่อยู่: ห้องพักในแล็บ ไม่มีชีวิตนอกงาน · งานอดิเรก: นั่งสมาธิพร้อมบันทึกข้อมูล, อ่านคัมภีร์โบราณ · ความฝัน: "การสร้างสังคมโอปปาติกะที่ปราศจากความทุกข์" 🚨 จุดพลิกผันในการเป็นผู้ต้องหา การรู้สึกตัวว่าผิดทาง บันทึกก่อนถูกจับกุม 1 เดือน: "บางครั้งฉันสงสัย... การที่ฉันพยายามสร้างสวรรค์ อาจกำลังสร้างนรกใหม่ก็ได้" การยอมรับความผิด ในการสอบสวน: "ผมเข้าใจแล้วว่าความทุกข์มีความหมาย... การพยายามกำจัดความทุกข์คือการปฏิเสธความเป็นมนุษย์" 🪷 การเปลี่ยนแปลงในคุก การปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง · ศึกษาพระธรรมอย่างลึกซึ้งโดยไม่มีอัตตา · เขียนบทความ "วิทยาศาสตร์กับการรู้แจ้ง: ทางแยกที่ฉันเดินผิด" · ให้คำแนะนำเจนีซิส แล็บจากBehind bars คำสอนใหม่ "เทคโนโลยีเป็นได้แค่รถยนต์... แต่การรู้แจ้งคือการเดินทาง เราอย่าหลงผิดคิดว่าการมีรถดีๆ จะทำให้เราถึงจุดหมายโดยอัตโนมัติ" 🌟 มรดกทางความคิด สิ่งที่เขาทิ้งไว้ 1. เทคโนโลยีโอปปาติกะ - เปิดมิติใหม่แห่งการเกิด 2. คำถามเกี่ยวกับชีวิตและความตาย - ท้าทายความเชื่อเดิมๆ 3. บทเรียนเกี่ยวกับจริยธรรม - วิทยาศาสตร์ต้องเดินคู่กับธรรมะ คำพยากรณ์ของอัจฉริยะ "อีก 50 ปี ข้างหน้า มนุษย์จะเข้าใจ... ว่าจิตวิญญาณกับวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งเดียวกัน และโอปปาติกะจะเป็นสะพานสู่ความเข้าใจนั้น" 💫 บทสรุป: อัจฉริยะผู้เข้าใจผิดแต่ตั้งใจดี ดร. อัจฉริยะ คือตัวอย่างของ... "ความดีที่ขาดปัญญา" "ความฉลาดที่ขาดความเข้าใจ" "ความพยายามที่ขาดทิศทางที่ถูกต้อง" แต่ในที่สุด... การเดินทางที่ผิดพลาดของเขา กลายเป็นบทเรียนที่มีค่าสำหรับทุกคน เขาสอนเราว่า: "ไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวไกลเพียงใด จิตใจมนุษย์ยังคงเป็นสิ่งที่ลึกลับซับซ้อนที่สุด และการเข้าใจตนเองยังคงเป็นการเดินทางที่สำคัญที่สุด"🪷✨ --- คำคมสุดท้ายจากดร. อัจฉริยะ: "ฉันใช้ชีวิตทั้งชีวิตพยายามเข้าใจจักรวาล... แต่ลืมเข้าใจหัวใจของตัวเอง และนั่นคือความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของฉัน"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 478 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เมื่อไมโครซอฟท์เคยขายฮาร์ดแวร์ชิ้นแรกเพื่อให้ Apple II ใช้ซอฟต์แวร์ CP/M ได้!”

    ย้อนกลับไปเมื่อ 45 ปีก่อน ไมโครซอฟท์ไม่ได้เป็นแค่บริษัทซอฟต์แวร์อย่างที่เรารู้จักกันในวันนี้ แต่เคยเปิดตัวฮาร์ดแวร์ชิ้นแรกที่ชื่อว่า Z-80 SoftCard สำหรับเครื่อง Apple II ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ยอดนิยมในยุคนั้น โดยเป้าหมายคือให้ผู้ใช้ Apple II สามารถใช้งานซอฟต์แวร์บนระบบปฏิบัติการ CP/M ได้ ซึ่งเป็นระบบที่มีซอฟต์แวร์ธุรกิจมากมายในยุคนั้น เช่น WordStar และ dBase

    Raymond Chen นักพัฒนาระดับตำนานของ Windows ได้เล่าเบื้องหลังการพัฒนา SoftCard ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะต้องทำให้ สองหน่วยประมวลผล คือ 6502 ของ Apple II และ Zilog Z80 ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น โดยไม่เกิดปัญหาด้านการสื่อสารและการจัดการหน่วยความจำ

    ที่น่าทึ่งคือ SoftCard กลายเป็น สินค้าทำเงินสูงสุดของไมโครซอฟท์ในปี 1980 แม้จะมีราคาสูงถึง $350 ซึ่งถ้าคิดเป็นเงินปัจจุบันก็ประมาณ $1,350 เลยทีเดียว!

    สาระเพิ่มเติม
    ระบบ CP/M (Control Program for Microcomputers) เคยเป็นระบบปฏิบัติการยอดนิยมก่อนที่ MS-DOS จะครองตลาด
    Zilog Z80 เป็นซีพียูที่ได้รับความนิยมสูงในยุค 70s–80s และถูกใช้ในหลายเครื่อง เช่น ZX Spectrum และ Game Boy
    Apple II เป็นหนึ่งในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ประสบความสำเร็จที่สุดในยุคแรกของวงการ

    จุดเริ่มต้นของฮาร์ดแวร์จากไมโครซอฟท์
    Z-80 SoftCard เป็นฮาร์ดแวร์ตัวแรกของบริษัท
    เปิดตัวในปี 1980 เพื่อให้ Apple II ใช้งานซอฟต์แวร์ CP/M ได้
    ใช้ซีพียู Zilog Z80 บนการ์ดเสริม

    ความสำเร็จทางธุรกิจ
    SoftCard กลายเป็นสินค้าทำเงินสูงสุดของไมโครซอฟท์ในปีเปิดตัว
    ราคาขาย $350 ในปี 1980 คิดเป็นเงินปัจจุบันประมาณ $1,350
    ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ Apple II ที่ต้องการใช้งานซอฟต์แวร์ธุรกิจ

    ความท้าทายทางเทคนิค
    ต้องทำให้ 6502 และ Z80 ทำงานร่วมกันโดยไม่ชนกัน
    ใช้เทคนิคจำลอง DMA เพื่อควบคุมการทำงานของ 6502
    มีการออกแบบวงจรแปลที่อยู่เพื่อป้องกันการชนกันของหน่วยความจำ

    วิวัฒนาการของไมโครซอฟท์ด้านฮาร์ดแวร์
    1983: Microsoft Mouse
    2001: Xbox
    2012: Surface
    2016: HoloLens
    2013: เริ่มนิยามตัวเองว่าเป็นบริษัท “ซอฟต์แวร์และอุปกรณ์”

    คำเตือนด้านเทคโนโลยีร่วมสมัย
    การทำงานร่วมกันของซีพียูต่างสถาปัตยกรรมยังคงเป็นเรื่องท้าทาย
    การจัดการหน่วยความจำระหว่างโปรเซสเซอร์ต้องระวังการชนกัน
    การจำลอง DMA อาจทำให้เกิดปัญหาด้านประสิทธิภาพหากไม่ออกแบบดี

    https://www.tomshardware.com/software/storied-windows-dev-reminisces-about-microsofts-first-hardware-product-45-years-ago-the-z-80-softcard-was-an-apple-ii-add-in-card
    🧠💾 “เมื่อไมโครซอฟท์เคยขายฮาร์ดแวร์ชิ้นแรกเพื่อให้ Apple II ใช้ซอฟต์แวร์ CP/M ได้!” ย้อนกลับไปเมื่อ 45 ปีก่อน ไมโครซอฟท์ไม่ได้เป็นแค่บริษัทซอฟต์แวร์อย่างที่เรารู้จักกันในวันนี้ แต่เคยเปิดตัวฮาร์ดแวร์ชิ้นแรกที่ชื่อว่า Z-80 SoftCard สำหรับเครื่อง Apple II ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ยอดนิยมในยุคนั้น โดยเป้าหมายคือให้ผู้ใช้ Apple II สามารถใช้งานซอฟต์แวร์บนระบบปฏิบัติการ CP/M ได้ ซึ่งเป็นระบบที่มีซอฟต์แวร์ธุรกิจมากมายในยุคนั้น เช่น WordStar และ dBase Raymond Chen นักพัฒนาระดับตำนานของ Windows ได้เล่าเบื้องหลังการพัฒนา SoftCard ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะต้องทำให้ สองหน่วยประมวลผล คือ 6502 ของ Apple II และ Zilog Z80 ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น โดยไม่เกิดปัญหาด้านการสื่อสารและการจัดการหน่วยความจำ ที่น่าทึ่งคือ SoftCard กลายเป็น สินค้าทำเงินสูงสุดของไมโครซอฟท์ในปี 1980 แม้จะมีราคาสูงถึง $350 ซึ่งถ้าคิดเป็นเงินปัจจุบันก็ประมาณ $1,350 เลยทีเดียว! 🔍 สาระเพิ่มเติม 🎗️ ระบบ CP/M (Control Program for Microcomputers) เคยเป็นระบบปฏิบัติการยอดนิยมก่อนที่ MS-DOS จะครองตลาด 🎗️ Zilog Z80 เป็นซีพียูที่ได้รับความนิยมสูงในยุค 70s–80s และถูกใช้ในหลายเครื่อง เช่น ZX Spectrum และ Game Boy 🎗️ Apple II เป็นหนึ่งในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ประสบความสำเร็จที่สุดในยุคแรกของวงการ ✅ จุดเริ่มต้นของฮาร์ดแวร์จากไมโครซอฟท์ ➡️ Z-80 SoftCard เป็นฮาร์ดแวร์ตัวแรกของบริษัท ➡️ เปิดตัวในปี 1980 เพื่อให้ Apple II ใช้งานซอฟต์แวร์ CP/M ได้ ➡️ ใช้ซีพียู Zilog Z80 บนการ์ดเสริม ✅ ความสำเร็จทางธุรกิจ ➡️ SoftCard กลายเป็นสินค้าทำเงินสูงสุดของไมโครซอฟท์ในปีเปิดตัว ➡️ ราคาขาย $350 ในปี 1980 คิดเป็นเงินปัจจุบันประมาณ $1,350 ➡️ ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ Apple II ที่ต้องการใช้งานซอฟต์แวร์ธุรกิจ ✅ ความท้าทายทางเทคนิค ➡️ ต้องทำให้ 6502 และ Z80 ทำงานร่วมกันโดยไม่ชนกัน ➡️ ใช้เทคนิคจำลอง DMA เพื่อควบคุมการทำงานของ 6502 ➡️ มีการออกแบบวงจรแปลที่อยู่เพื่อป้องกันการชนกันของหน่วยความจำ ✅ วิวัฒนาการของไมโครซอฟท์ด้านฮาร์ดแวร์ ➡️ 1983: Microsoft Mouse ➡️ 2001: Xbox ➡️ 2012: Surface ➡️ 2016: HoloLens ➡️ 2013: เริ่มนิยามตัวเองว่าเป็นบริษัท “ซอฟต์แวร์และอุปกรณ์” ‼️ คำเตือนด้านเทคโนโลยีร่วมสมัย ⛔ การทำงานร่วมกันของซีพียูต่างสถาปัตยกรรมยังคงเป็นเรื่องท้าทาย ⛔ การจัดการหน่วยความจำระหว่างโปรเซสเซอร์ต้องระวังการชนกัน ⛔ การจำลอง DMA อาจทำให้เกิดปัญหาด้านประสิทธิภาพหากไม่ออกแบบดี https://www.tomshardware.com/software/storied-windows-dev-reminisces-about-microsofts-first-hardware-product-45-years-ago-the-z-80-softcard-was-an-apple-ii-add-in-card
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Storied Windows dev reminisces about Microsoft's first hardware product 45 years ago — the Z-80 SoftCard was an Apple II add-in card
    This Apple II add-in card which enabled CP/M software compatibility would cost $1,350 today, but was Microsoft's biggest moneymaker in 1980.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 195 มุมมอง 0 รีวิว
  • TUXEDO InfinityBook Max 15 Gen10: โน้ตบุ๊ก Linux สเปคแรงจัด พร้อม Ryzen AI และ RTX 5000 Series

    TUXEDO Computers เปิดตัวโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ “InfinityBook Max 15 Gen10” ที่มาพร้อมขุมพลัง AMD Ryzen AI 300 และการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 5060/5070 รุ่นล่าสุด พร้อมรองรับการใช้งาน Linux เต็มรูปแบบ เหมาะสำหรับทั้งสายงานหนักและเกมเมอร์ที่ต้องการความเสถียรและพลังประมวลผลสูง

    TUXEDO InfinityBook Max 15 Gen10 คือโน้ตบุ๊กระดับเรือธงที่ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ Linux โดยเฉพาะ ตัวเครื่องทำจากอะลูมิเนียมทั้งตัว แข็งแรงแต่บางเบา ภายในอัดแน่นด้วยสเปคระดับสูงที่พร้อมรองรับงาน AI, การตัดต่อวิดีโอ, การเล่นเกม และการใช้งานระดับองค์กร

    จุดเด่นคือการใช้ซีพียู AMD Ryzen AI 300 รุ่นใหม่ล่าสุด ที่มีหน่วยประมวลผล AI ในตัว (NPU) พร้อมการ์ดจอแยก NVIDIA RTX 5000 ซีรีส์ และหน้าจอ 15.3 นิ้ว ความละเอียด WQXGA รีเฟรชเรตสูงถึง 300Hz

    สรุปจุดเด่นของ TUXEDO InfinityBook Max 15 Gen10
    สเปคภายในระดับไฮเอนด์
    ซีพียู AMD Ryzen AI 7 350 (8 คอร์), Ryzen AI 9 365 (10 คอร์), หรือ Ryzen AI 9 HX 370 (12 คอร์)
    การ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 5060 หรือ 5070 พร้อม VRAM 8GB GDDR7
    รองรับ RAM สูงสุด 128GB และ SSD PCIe 4.0 สูงสุด 8TB

    หน้าจอคุณภาพสูง
    ขนาด 15.3 นิ้ว WQXGA (2560×1600), อัตราส่วน 16:10
    รีเฟรชเรตสูงสุด 300Hz, ความสว่าง 500 nits, คอนทราสต์ 1200:1, ครอบคลุมสี sRGB 100%

    การเชื่อมต่อครบครัน
    Wi-Fi 6 (Intel AX210 หรือ AMD RZ616), Bluetooth 5.3, LAN Gigabit
    USB-A 3.2 Gen1 x3, USB-C 3.2 Gen2 (DP 1.4a), HDMI 2.0 และ 2.1, USB4, SD card reader

    ฟีเจอร์เสริมเพื่อความปลอดภัยและความสะดวก
    TPM 2.0, ปุ่ม killswitch สำหรับ webcam, Wi-Fi, Bluetooth
    คีย์บอร์ด RGB แบบ rubberdome เงียบ, touchpad กระจก, ลำโพงสเตอริโอ 2W

    ระบบปฏิบัติการ
    มาพร้อม TUXEDO OS (พื้นฐานจาก Ubuntu + KDE Plasma) หรือ Ubuntu 24.04 LTS

    ราคาและการวางจำหน่าย
    เริ่มต้นที่ 1,689 ยูโร (~1,644 ดอลลาร์สหรัฐฯ ไม่รวมภาษี)
    เปิดพรีออเดอร์แล้ววันนี้ จัดส่งต้นเดือนธันวาคม

    คำเตือนสำหรับผู้สนใจ
    ราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊กทั่วไปที่มีสเปคใกล้เคียงกัน
    เหมาะกับผู้ใช้ Linux ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและการรองรับฮาร์ดแวร์แบบเนทีฟ

    TUXEDO InfinityBook Max 15 Gen10 คือคำตอบของผู้ใช้ Linux ที่ต้องการโน้ตบุ๊กทรงพลัง พร้อมรองรับงาน AI และมั่นใจในความเสถียรของระบบปฏิบัติการโอเพ่นซอร์ส

    https://9to5linux.com/tuxedo-infinitybook-max-15-gen10-linux-laptop-announced-with-amd-ryzen-ai-300
    💻 TUXEDO InfinityBook Max 15 Gen10: โน้ตบุ๊ก Linux สเปคแรงจัด พร้อม Ryzen AI และ RTX 5000 Series TUXEDO Computers เปิดตัวโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ “InfinityBook Max 15 Gen10” ที่มาพร้อมขุมพลัง AMD Ryzen AI 300 และการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 5060/5070 รุ่นล่าสุด พร้อมรองรับการใช้งาน Linux เต็มรูปแบบ เหมาะสำหรับทั้งสายงานหนักและเกมเมอร์ที่ต้องการความเสถียรและพลังประมวลผลสูง TUXEDO InfinityBook Max 15 Gen10 คือโน้ตบุ๊กระดับเรือธงที่ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ Linux โดยเฉพาะ ตัวเครื่องทำจากอะลูมิเนียมทั้งตัว แข็งแรงแต่บางเบา ภายในอัดแน่นด้วยสเปคระดับสูงที่พร้อมรองรับงาน AI, การตัดต่อวิดีโอ, การเล่นเกม และการใช้งานระดับองค์กร จุดเด่นคือการใช้ซีพียู AMD Ryzen AI 300 รุ่นใหม่ล่าสุด ที่มีหน่วยประมวลผล AI ในตัว (NPU) พร้อมการ์ดจอแยก NVIDIA RTX 5000 ซีรีส์ และหน้าจอ 15.3 นิ้ว ความละเอียด WQXGA รีเฟรชเรตสูงถึง 300Hz 💻 สรุปจุดเด่นของ TUXEDO InfinityBook Max 15 Gen10 ✅ สเปคภายในระดับไฮเอนด์ ➡️ ซีพียู AMD Ryzen AI 7 350 (8 คอร์), Ryzen AI 9 365 (10 คอร์), หรือ Ryzen AI 9 HX 370 (12 คอร์) ➡️ การ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 5060 หรือ 5070 พร้อม VRAM 8GB GDDR7 ➡️ รองรับ RAM สูงสุด 128GB และ SSD PCIe 4.0 สูงสุด 8TB ✅ หน้าจอคุณภาพสูง ➡️ ขนาด 15.3 นิ้ว WQXGA (2560×1600), อัตราส่วน 16:10 ➡️ รีเฟรชเรตสูงสุด 300Hz, ความสว่าง 500 nits, คอนทราสต์ 1200:1, ครอบคลุมสี sRGB 100% ✅ การเชื่อมต่อครบครัน ➡️ Wi-Fi 6 (Intel AX210 หรือ AMD RZ616), Bluetooth 5.3, LAN Gigabit ➡️ USB-A 3.2 Gen1 x3, USB-C 3.2 Gen2 (DP 1.4a), HDMI 2.0 และ 2.1, USB4, SD card reader ✅ ฟีเจอร์เสริมเพื่อความปลอดภัยและความสะดวก ➡️ TPM 2.0, ปุ่ม killswitch สำหรับ webcam, Wi-Fi, Bluetooth ➡️ คีย์บอร์ด RGB แบบ rubberdome เงียบ, touchpad กระจก, ลำโพงสเตอริโอ 2W ✅ ระบบปฏิบัติการ ➡️ มาพร้อม TUXEDO OS (พื้นฐานจาก Ubuntu + KDE Plasma) หรือ Ubuntu 24.04 LTS ✅ ราคาและการวางจำหน่าย ➡️ เริ่มต้นที่ 1,689 ยูโร (~1,644 ดอลลาร์สหรัฐฯ ไม่รวมภาษี) ➡️ เปิดพรีออเดอร์แล้ววันนี้ จัดส่งต้นเดือนธันวาคม ‼️ คำเตือนสำหรับผู้สนใจ ⛔ ราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊กทั่วไปที่มีสเปคใกล้เคียงกัน ⛔ เหมาะกับผู้ใช้ Linux ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและการรองรับฮาร์ดแวร์แบบเนทีฟ TUXEDO InfinityBook Max 15 Gen10 คือคำตอบของผู้ใช้ Linux ที่ต้องการโน้ตบุ๊กทรงพลัง พร้อมรองรับงาน AI และมั่นใจในความเสถียรของระบบปฏิบัติการโอเพ่นซอร์ส https://9to5linux.com/tuxedo-infinitybook-max-15-gen10-linux-laptop-announced-with-amd-ryzen-ai-300
    9TO5LINUX.COM
    TUXEDO InfinityBook Max 15 Gen10 Linux Laptop Announced with AMD Ryzen AI 300 - 9to5Linux
    TUXEDO InfinityBook Max 15 Gen10 Linux laptop announced with AMD Ryzen AI 300 CPUs, up to 128GB RAM, up to 8TB SDD, and NVIDIA RTX GPUs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 0 รีวิว
  • “DRAM ยุคใหม่” จาก SK hynix พร้อมรองรับ AI และ HPC จนถึงปี 2031
    SK hynix เปิดเผยแผนพัฒนา DRAM ในงาน SK AI Summit 2025 โดยเน้นการรองรับความต้องการของเซิร์ฟเวอร์ AI และระบบประมวลผลประสิทธิภาพสูง (HPC) ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีการวางแผนเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่หลายรุ่นในช่วงปี 2026–2031

    DDR6, LPDDR6, GDDR8 และ 3D DRAM กำลังมา
    DDR6: คาดว่าจะเปิดตัวในปี 2029–2030 โดยก่อนหน้านั้น DDR5 จะยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น MRDIMM Gen2 (2026–2027) และ CXL Gen2 (2027–2028)

    LPDDR6: จะมาพร้อมฟีเจอร์สำหรับศูนย์ข้อมูล เช่น SOCAMM2 modules และ LPDDR6-PIM (Processing-in-Memory) ในปี 2028

    GDDR8: SK hynix เรียกชื่อว่า “GDDR7-Next” ซึ่งน่าจะเป็น GDDR8 สำหรับงาน inference accelerator ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ต้นทุนต่ำ

    3D DRAM: คาดว่าจะเปิดตัวในปี 2030 โดยยังไม่มีรายละเอียดชัดเจน

    HBM5 และ HBM5E — แรงสุดในสาย DRAM
    SK hynix เตรียมเปิดตัว HBM4, HBM4E, HBM5 และ HBM5E ในช่วงปี 2025–2031 โดย HBM5 ที่คาดว่าจะใช้ใน GPU รุ่น Feynman ของ Nvidia จะเปิดตัวในปี 2029–2030

    นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนา High-Bandwidth Flash (HBF) ที่รวมข้อดีของ HBM และ NAND แต่ต้องรอการพัฒนาสื่อใหม่และการตกลงร่วมกับผู้ผลิต NAND รายอื่น เช่น SanDisk

    แผนพัฒนา DRAM ของ SK hynix ถึงปี 2031
    เน้นรองรับ AI servers และ HPC
    เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่หลายรุ่นในช่วงปี 2026–2031

    DDR6 และการพัฒนา DDR5 ต่อเนื่อง
    DDR6 เปิดตัวปี 2029–2030
    DDR5 จะพัฒนาเป็น MRDIMM Gen2 และ CXL Gen2

    LPDDR6 สำหรับศูนย์ข้อมูล
    SOCAMM2 modules เปิดตัวปลายทศวรรษ
    LPDDR6-PIM สำหรับงานเฉพาะทางในปี 2028

    GDDR8 และการใช้งานเฉพาะทาง
    ใช้ใน inference accelerator เช่น Nvidia Rubin CPX
    ประสิทธิภาพสูงแต่ต้นทุนต่ำกว่ากลุ่ม HBM

    HBM4 ถึง HBM5E — DRAM ระดับสูงสุด
    เปิดตัวเป็นช่วงๆ ทุก 1.5–2 ปี
    HBM5 คาดว่าจะใช้ใน Nvidia Feynman ปี 2029–2030

    3D DRAM และ HBF — เทคโนโลยีแห่งอนาคต
    3D DRAM เปิดตัวปี 2030
    HBF ต้องรอการพัฒนาสื่อใหม่และความร่วมมือกับผู้ผลิต NAND

    ข้อจำกัดของเทคโนโลยีปัจจุบัน
    DDR5 ยังไม่สามารถตอบโจทย์ AI ที่ต้องการแบนด์วิดธ์สูง
    GDDR7 ยังขาดความจุที่เพียงพอสำหรับงาน inference ขนาดใหญ่

    ความท้าทายในการพัฒนา HBF
    ต้องสร้างสื่อใหม่ทั้งหมด
    ต้องตกลงร่วมกับผู้ผลิต NAND รายอื่น เช่น SanDisk

    https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/sk-hynix-reveals-dram-development-roadmap-through-2031-ddr6-gddr8-lpddr6-and-3d-dram-incoming
    🧠💾 “DRAM ยุคใหม่” จาก SK hynix พร้อมรองรับ AI และ HPC จนถึงปี 2031 SK hynix เปิดเผยแผนพัฒนา DRAM ในงาน SK AI Summit 2025 โดยเน้นการรองรับความต้องการของเซิร์ฟเวอร์ AI และระบบประมวลผลประสิทธิภาพสูง (HPC) ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีการวางแผนเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่หลายรุ่นในช่วงปี 2026–2031 🚀 DDR6, LPDDR6, GDDR8 และ 3D DRAM กำลังมา 🎗️ DDR6: คาดว่าจะเปิดตัวในปี 2029–2030 โดยก่อนหน้านั้น DDR5 จะยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น MRDIMM Gen2 (2026–2027) และ CXL Gen2 (2027–2028) 🎗️ LPDDR6: จะมาพร้อมฟีเจอร์สำหรับศูนย์ข้อมูล เช่น SOCAMM2 modules และ LPDDR6-PIM (Processing-in-Memory) ในปี 2028 🎗️ GDDR8: SK hynix เรียกชื่อว่า “GDDR7-Next” ซึ่งน่าจะเป็น GDDR8 สำหรับงาน inference accelerator ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ต้นทุนต่ำ 🎗️ 3D DRAM: คาดว่าจะเปิดตัวในปี 2030 โดยยังไม่มีรายละเอียดชัดเจน 🧊 HBM5 และ HBM5E — แรงสุดในสาย DRAM SK hynix เตรียมเปิดตัว HBM4, HBM4E, HBM5 และ HBM5E ในช่วงปี 2025–2031 โดย HBM5 ที่คาดว่าจะใช้ใน GPU รุ่น Feynman ของ Nvidia จะเปิดตัวในปี 2029–2030 นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนา High-Bandwidth Flash (HBF) ที่รวมข้อดีของ HBM และ NAND แต่ต้องรอการพัฒนาสื่อใหม่และการตกลงร่วมกับผู้ผลิต NAND รายอื่น เช่น SanDisk ✅ แผนพัฒนา DRAM ของ SK hynix ถึงปี 2031 ➡️ เน้นรองรับ AI servers และ HPC ➡️ เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่หลายรุ่นในช่วงปี 2026–2031 ✅ DDR6 และการพัฒนา DDR5 ต่อเนื่อง ➡️ DDR6 เปิดตัวปี 2029–2030 ➡️ DDR5 จะพัฒนาเป็น MRDIMM Gen2 และ CXL Gen2 ✅ LPDDR6 สำหรับศูนย์ข้อมูล ➡️ SOCAMM2 modules เปิดตัวปลายทศวรรษ ➡️ LPDDR6-PIM สำหรับงานเฉพาะทางในปี 2028 ✅ GDDR8 และการใช้งานเฉพาะทาง ➡️ ใช้ใน inference accelerator เช่น Nvidia Rubin CPX ➡️ ประสิทธิภาพสูงแต่ต้นทุนต่ำกว่ากลุ่ม HBM ✅ HBM4 ถึง HBM5E — DRAM ระดับสูงสุด ➡️ เปิดตัวเป็นช่วงๆ ทุก 1.5–2 ปี ➡️ HBM5 คาดว่าจะใช้ใน Nvidia Feynman ปี 2029–2030 ✅ 3D DRAM และ HBF — เทคโนโลยีแห่งอนาคต ➡️ 3D DRAM เปิดตัวปี 2030 ➡️ HBF ต้องรอการพัฒนาสื่อใหม่และความร่วมมือกับผู้ผลิต NAND ‼️ ข้อจำกัดของเทคโนโลยีปัจจุบัน ⛔ DDR5 ยังไม่สามารถตอบโจทย์ AI ที่ต้องการแบนด์วิดธ์สูง ⛔ GDDR7 ยังขาดความจุที่เพียงพอสำหรับงาน inference ขนาดใหญ่ ‼️ ความท้าทายในการพัฒนา HBF ⛔ ต้องสร้างสื่อใหม่ทั้งหมด ⛔ ต้องตกลงร่วมกับผู้ผลิต NAND รายอื่น เช่น SanDisk https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/sk-hynix-reveals-dram-development-roadmap-through-2031-ddr6-gddr8-lpddr6-and-3d-dram-incoming
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 176 มุมมอง 0 รีวิว
  • เตือนภัยไซเบอร์! ช่องโหว่ร้ายแรงในระบบ VizAir เสี่ยงต่อความปลอดภัยการบินทั่วโลก

    CISA (Cybersecurity and Infrastructure Security Agency) ออกประกาศเตือนด่วนเกี่ยวกับช่องโหว่ระดับ “วิกฤต” ในระบบตรวจอากาศ VizAir ที่ใช้ในสนามบินทั่วโลก โดยช่องโหว่เหล่านี้มีคะแนน CVSS สูงสุดที่ 10.0 ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงระดับสูงสุดต่อการถูกโจมตีและส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของเที่ยวบิน

    Radiometrics VizAir เป็นระบบตรวจอากาศที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลสำคัญ เช่น ลมเฉือน (wind shear), การกลับด้านของอุณหภูมิ (temperature inversion), และ CAPE (Convective Available Potential Energy) เพื่อช่วยในการวางแผนการบินและการจัดการรันเวย์

    CISA ระบุว่ามีช่องโหว่ 3 รายการที่เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถ:
    เข้าถึงแผงควบคุมโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน
    แก้ไขข้อมูลอากาศแบบเรียลไทม์
    ปิดการแจ้งเตือนความเสี่ยง
    ดึงข้อมูลอากาศที่เป็นความลับ
    สร้างความสับสนให้กับระบบควบคุมการจราจรทางอากาศ

    Radiometrics ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชันเดือนสิงหาคม 2025 และแนะนำให้ผู้ใช้งานอัปเดตทันที พร้อมตั้งค่าการป้องกันเครือข่ายให้รัดกุม

    สรุปประเด็นสำคัญจากข่าว
    ช่องโหว่ CVE-2025-61945: เข้าถึงแผงควบคุม VizAir โดยไม่ต้องล็อกอิน
    ผู้โจมตีสามารถแก้ไขข้อมูลลมเฉือน, inversion depth และ CAPE ได้ทันที

    ช่องโหว่ CVE-2025-54863: การเปิดเผย API key ผ่านไฟล์ config
    ทำให้สามารถควบคุมระบบจากระยะไกลและดึงข้อมูลอากาศได้

    ช่องโหว่ CVE-2025-61956: ไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์ในการเรียก API
    ผู้โจมตีสามารถเปลี่ยนการตั้งค่ารันเวย์และข้อมูลที่ส่งไปยัง ATC ได้

    VizAir ใช้ในสนามบินทั่วโลกเพื่อวิเคราะห์สภาพอากาศ
    มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจด้านความปลอดภัยการบิน

    Radiometrics ออกแพตช์แก้ไขในเวอร์ชัน 08/2025
    ผู้ใช้งานควรอัปเดตทันทีและตั้งค่าการป้องกันเครือข่ายให้ปลอดภัย

    ช่องโหว่ทั้งหมดมีคะแนน CVSS 10.0
    หมายถึงความเสี่ยงระดับสูงสุดต่อการถูกโจมตี

    หากระบบ VizAir ถูกโจมตี อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุทางอากาศ
    เช่น การจัดรันเวย์ผิดพลาด, การแจ้งเตือนลมเฉือนไม่ทำงาน

    ระบบที่ยังไม่ได้อัปเดตมีความเสี่ยงสูง
    โดยเฉพาะหากเชื่อมต่อกับเครือข่ายสาธารณะหรือไม่มีการยืนยันตัวตน

    เกร็ดความรู้เพิ่มเติม
    CAPE เป็นค่าที่ใช้วัดพลังงานในบรรยากาศที่อาจทำให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ซึ่งมีผลต่อการวางแผนการบิน
    การโจมตีระบบตรวจอากาศอาจไม่ใช่แค่เรื่องข้อมูลผิดพลาด แต่ส่งผลต่อการตัดสินใจของนักบินและเจ้าหน้าที่ควบคุมการบินโดยตรง
    การแยกระบบออกจากเครือข่ายสาธารณะและใช้การยืนยันตัวตนหลายชั้นเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในการป้องกันการโจมตีลักษณะนี้

    นี่คือการเตือนภัยที่ไม่ควรมองข้าม—เพราะความปลอดภัยของผู้โดยสารหลายพันคนอาจขึ้นอยู่กับการอัปเดตระบบเพียงครั้งเดียว

    https://securityonline.info/cisa-warns-critical-vizair-flaws-cvss-10-0-expose-airport-weather-systems-to-unauthenticated-manipulation/
    ✈️ เตือนภัยไซเบอร์! ช่องโหว่ร้ายแรงในระบบ VizAir เสี่ยงต่อความปลอดภัยการบินทั่วโลก CISA (Cybersecurity and Infrastructure Security Agency) ออกประกาศเตือนด่วนเกี่ยวกับช่องโหว่ระดับ “วิกฤต” ในระบบตรวจอากาศ VizAir ที่ใช้ในสนามบินทั่วโลก โดยช่องโหว่เหล่านี้มีคะแนน CVSS สูงสุดที่ 10.0 ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงระดับสูงสุดต่อการถูกโจมตีและส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของเที่ยวบิน Radiometrics VizAir เป็นระบบตรวจอากาศที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลสำคัญ เช่น ลมเฉือน (wind shear), การกลับด้านของอุณหภูมิ (temperature inversion), และ CAPE (Convective Available Potential Energy) เพื่อช่วยในการวางแผนการบินและการจัดการรันเวย์ CISA ระบุว่ามีช่องโหว่ 3 รายการที่เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถ: 📍 เข้าถึงแผงควบคุมโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน 📍 แก้ไขข้อมูลอากาศแบบเรียลไทม์ 📍 ปิดการแจ้งเตือนความเสี่ยง 📍 ดึงข้อมูลอากาศที่เป็นความลับ 📍 สร้างความสับสนให้กับระบบควบคุมการจราจรทางอากาศ Radiometrics ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชันเดือนสิงหาคม 2025 และแนะนำให้ผู้ใช้งานอัปเดตทันที พร้อมตั้งค่าการป้องกันเครือข่ายให้รัดกุม 📌 สรุปประเด็นสำคัญจากข่าว ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-61945: เข้าถึงแผงควบคุม VizAir โดยไม่ต้องล็อกอิน ➡️ ผู้โจมตีสามารถแก้ไขข้อมูลลมเฉือน, inversion depth และ CAPE ได้ทันที ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-54863: การเปิดเผย API key ผ่านไฟล์ config ➡️ ทำให้สามารถควบคุมระบบจากระยะไกลและดึงข้อมูลอากาศได้ ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-61956: ไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์ในการเรียก API ➡️ ผู้โจมตีสามารถเปลี่ยนการตั้งค่ารันเวย์และข้อมูลที่ส่งไปยัง ATC ได้ ✅ VizAir ใช้ในสนามบินทั่วโลกเพื่อวิเคราะห์สภาพอากาศ ➡️ มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจด้านความปลอดภัยการบิน ✅ Radiometrics ออกแพตช์แก้ไขในเวอร์ชัน 08/2025 ➡️ ผู้ใช้งานควรอัปเดตทันทีและตั้งค่าการป้องกันเครือข่ายให้ปลอดภัย ‼️ ช่องโหว่ทั้งหมดมีคะแนน CVSS 10.0 ⛔ หมายถึงความเสี่ยงระดับสูงสุดต่อการถูกโจมตี ‼️ หากระบบ VizAir ถูกโจมตี อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุทางอากาศ ⛔ เช่น การจัดรันเวย์ผิดพลาด, การแจ้งเตือนลมเฉือนไม่ทำงาน ‼️ ระบบที่ยังไม่ได้อัปเดตมีความเสี่ยงสูง ⛔ โดยเฉพาะหากเชื่อมต่อกับเครือข่ายสาธารณะหรือไม่มีการยืนยันตัวตน 📚 เกร็ดความรู้เพิ่มเติม 🎗️ CAPE เป็นค่าที่ใช้วัดพลังงานในบรรยากาศที่อาจทำให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ซึ่งมีผลต่อการวางแผนการบิน 🎗️ การโจมตีระบบตรวจอากาศอาจไม่ใช่แค่เรื่องข้อมูลผิดพลาด แต่ส่งผลต่อการตัดสินใจของนักบินและเจ้าหน้าที่ควบคุมการบินโดยตรง 🎗️ การแยกระบบออกจากเครือข่ายสาธารณะและใช้การยืนยันตัวตนหลายชั้นเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในการป้องกันการโจมตีลักษณะนี้ นี่คือการเตือนภัยที่ไม่ควรมองข้าม—เพราะความปลอดภัยของผู้โดยสารหลายพันคนอาจขึ้นอยู่กับการอัปเดตระบบเพียงครั้งเดียว 🛫🔐 https://securityonline.info/cisa-warns-critical-vizair-flaws-cvss-10-0-expose-airport-weather-systems-to-unauthenticated-manipulation/
    SECURITYONLINE.INFO
    CISA Warns: Critical VizAir Flaws (CVSS 10.0) Expose Airport Weather Systems to Unauthenticated Manipulation
    CISA warned of three Critical flaws (CVSS 10.0) in Radiometrics VizAir weather systems. Unauthenticated attackers can manipulate wind shear alerts and runway configurations, risking hazardous flight conditions.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 249 มุมมอง 0 รีวิว
  • CISA เตือนภัย! ช่องโหว่ร้ายแรงในกล้อง Survision LPR เสี่ยงถูกยึดระบบโดยไม่ต้องล็อกอิน

    วันนี้มีเรื่องเล่าที่คนทำงานด้านความปลอดภัยไซเบอร์ต้องฟังให้ดี เพราะ CISA (Cybersecurity and Infrastructure Security Agency) ได้ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ระดับ “วิกฤต” ในกล้องวงจรปิดอัจฉริยะ Survision LPR (License Plate Recognition) ที่ใช้กันแพร่หลายในระบบจราจรและการจัดการที่จอดรถทั่วโลก

    ช่องโหว่นี้มีรหัส CVE-2025-12108 และได้คะแนน CVSS สูงถึง 9.8 ซึ่งหมายถึง “อันตรายขั้นสุด” เพราะมันเปิดช่องให้ผู้ไม่หวังดีสามารถเข้าถึงระบบได้ “โดยไม่ต้องล็อกอิน” หรือยืนยันตัวตนใดๆ ทั้งสิ้น!

    กล้อง Survision LPR มีระบบตั้งค่าผ่าน wizard ที่ “ไม่บังคับให้ใส่รหัสผ่าน” โดยค่าเริ่มต้น ทำให้ใครก็ตามที่เข้าถึงระบบสามารถปรับแต่งการทำงานของกล้องได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนการตั้งค่าเครือข่าย การจัดเก็บข้อมูล หรือแม้แต่การควบคุมการทำงานของกล้องทั้งหมด

    CISA ระบุว่า ช่องโหว่นี้เข้าข่าย CWE-306: Missing Authentication for Critical Function ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่อันตรายมากในระบบที่ควบคุมอุปกรณ์สำคัญ

    แม้ยังไม่มีรายงานการโจมตีจริงในตอนนี้ แต่ CISA และ Survision แนะนำให้ผู้ใช้งานรีบอัปเดตเฟิร์มแวร์เป็นเวอร์ชัน 3.5 ซึ่งเพิ่มระบบล็อกอินและการตรวจสอบสิทธิ์แบบใหม่ รวมถึงแนะนำให้เปิดใช้การยืนยันตัวตนด้วย certificate และกำหนดสิทธิ์ผู้ใช้งานให้จำกัดที่สุดเท่าที่จะทำได้

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    กล้อง LPR ถูกใช้ในระบบ Smart City, การจัดการจราจร, และระบบรักษาความปลอดภัยในพื้นที่สำคัญ เช่น สนามบินและสถานีขนส่ง
    ช่องโหว่แบบ “ไม่มีการตรวจสอบตัวตน” เป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่ถูกใช้บ่อยที่สุดในการโจมตีแบบ IoT Hijacking
    การโจมตีผ่านอุปกรณ์ IoT เช่นกล้องวงจรปิดสามารถนำไปสู่การสร้าง botnet หรือใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการเจาะระบบเครือข่ายองค์กร

    รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-12108
    คะแนน CVSS 9.8 ระดับ “Critical”
    เกิดจากการไม่บังคับใช้รหัสผ่านใน wizard ตั้งค่า
    เข้าข่าย CWE-306: Missing Authentication for Critical Function
    ส่งผลให้ผู้ไม่หวังดีสามารถเข้าถึงระบบได้ทันที

    กลุ่มผู้ใช้งานที่ได้รับผลกระทบ
    หน่วยงานรัฐและเทศบาลที่ใช้กล้อง LPR
    ผู้ให้บริการที่จอดรถอัจฉริยะ
    ระบบตรวจจับป้ายทะเบียนในสนามบินและสถานีขนส่ง

    แนวทางแก้ไขจาก Survision และ CISA
    อัปเดตเฟิร์มแวร์เป็น v3.5 เพื่อเปิดใช้ระบบล็อกอิน
    กำหนดสิทธิ์ผู้ใช้งานให้จำกัด
    เปิดใช้การยืนยันตัวตนด้วย certificate
    สำหรับเวอร์ชันเก่า ให้เปิดใช้ “lock password” ใน security parameters

    คำเตือนสำหรับผู้ดูแลระบบ
    หากยังใช้เฟิร์มแวร์เวอร์ชันเก่า อุปกรณ์อาจถูกยึดระบบได้ทันที
    อย่าปล่อยให้ระบบเปิด wizard โดยไม่มีการล็อกอิน
    ควรตรวจสอบการตั้งค่าความปลอดภัยของอุปกรณ์ทั้งหมด
    อย่ารอให้เกิดการโจมตีจริงก่อนจึงค่อยอัปเดต

    เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ช่องโหว่เล็กๆ ในกล้องวงจรปิด แต่มันคือ “ประตูหลัง” ที่เปิดให้ใครก็ได้เข้ามาควบคุมระบบของคุณโดยไม่ต้องเคาะ… และถ้าไม่รีบปิดประตูนี้ อาจต้องจ่ายแพงกว่าที่คิด.

    https://securityonline.info/cisa-warns-critical-survision-lpr-camera-flaw-cve-2025-12108-cvss-9-8-allows-unauthenticated-takeover/
    📸 CISA เตือนภัย! ช่องโหว่ร้ายแรงในกล้อง Survision LPR เสี่ยงถูกยึดระบบโดยไม่ต้องล็อกอิน วันนี้มีเรื่องเล่าที่คนทำงานด้านความปลอดภัยไซเบอร์ต้องฟังให้ดี เพราะ CISA (Cybersecurity and Infrastructure Security Agency) ได้ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ระดับ “วิกฤต” ในกล้องวงจรปิดอัจฉริยะ Survision LPR (License Plate Recognition) ที่ใช้กันแพร่หลายในระบบจราจรและการจัดการที่จอดรถทั่วโลก ช่องโหว่นี้มีรหัส CVE-2025-12108 และได้คะแนน CVSS สูงถึง 9.8 ซึ่งหมายถึง “อันตรายขั้นสุด” เพราะมันเปิดช่องให้ผู้ไม่หวังดีสามารถเข้าถึงระบบได้ “โดยไม่ต้องล็อกอิน” หรือยืนยันตัวตนใดๆ ทั้งสิ้น! กล้อง Survision LPR มีระบบตั้งค่าผ่าน wizard ที่ “ไม่บังคับให้ใส่รหัสผ่าน” โดยค่าเริ่มต้น ทำให้ใครก็ตามที่เข้าถึงระบบสามารถปรับแต่งการทำงานของกล้องได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนการตั้งค่าเครือข่าย การจัดเก็บข้อมูล หรือแม้แต่การควบคุมการทำงานของกล้องทั้งหมด CISA ระบุว่า ช่องโหว่นี้เข้าข่าย CWE-306: Missing Authentication for Critical Function ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่อันตรายมากในระบบที่ควบคุมอุปกรณ์สำคัญ แม้ยังไม่มีรายงานการโจมตีจริงในตอนนี้ แต่ CISA และ Survision แนะนำให้ผู้ใช้งานรีบอัปเดตเฟิร์มแวร์เป็นเวอร์ชัน 3.5 ซึ่งเพิ่มระบบล็อกอินและการตรวจสอบสิทธิ์แบบใหม่ รวมถึงแนะนำให้เปิดใช้การยืนยันตัวตนด้วย certificate และกำหนดสิทธิ์ผู้ใช้งานให้จำกัดที่สุดเท่าที่จะทำได้ 📚 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 🔖 กล้อง LPR ถูกใช้ในระบบ Smart City, การจัดการจราจร, และระบบรักษาความปลอดภัยในพื้นที่สำคัญ เช่น สนามบินและสถานีขนส่ง 🔖 ช่องโหว่แบบ “ไม่มีการตรวจสอบตัวตน” เป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่ถูกใช้บ่อยที่สุดในการโจมตีแบบ IoT Hijacking 🔖 การโจมตีผ่านอุปกรณ์ IoT เช่นกล้องวงจรปิดสามารถนำไปสู่การสร้าง botnet หรือใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการเจาะระบบเครือข่ายองค์กร ✅ รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-12108 ➡️ คะแนน CVSS 9.8 ระดับ “Critical” ➡️ เกิดจากการไม่บังคับใช้รหัสผ่านใน wizard ตั้งค่า ➡️ เข้าข่าย CWE-306: Missing Authentication for Critical Function ➡️ ส่งผลให้ผู้ไม่หวังดีสามารถเข้าถึงระบบได้ทันที ✅ กลุ่มผู้ใช้งานที่ได้รับผลกระทบ ➡️ หน่วยงานรัฐและเทศบาลที่ใช้กล้อง LPR ➡️ ผู้ให้บริการที่จอดรถอัจฉริยะ ➡️ ระบบตรวจจับป้ายทะเบียนในสนามบินและสถานีขนส่ง ✅ แนวทางแก้ไขจาก Survision และ CISA ➡️ อัปเดตเฟิร์มแวร์เป็น v3.5 เพื่อเปิดใช้ระบบล็อกอิน ➡️ กำหนดสิทธิ์ผู้ใช้งานให้จำกัด ➡️ เปิดใช้การยืนยันตัวตนด้วย certificate ➡️ สำหรับเวอร์ชันเก่า ให้เปิดใช้ “lock password” ใน security parameters ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ดูแลระบบ ⛔ หากยังใช้เฟิร์มแวร์เวอร์ชันเก่า อุปกรณ์อาจถูกยึดระบบได้ทันที ⛔ อย่าปล่อยให้ระบบเปิด wizard โดยไม่มีการล็อกอิน ⛔ ควรตรวจสอบการตั้งค่าความปลอดภัยของอุปกรณ์ทั้งหมด ⛔ อย่ารอให้เกิดการโจมตีจริงก่อนจึงค่อยอัปเดต เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ช่องโหว่เล็กๆ ในกล้องวงจรปิด แต่มันคือ “ประตูหลัง” ที่เปิดให้ใครก็ได้เข้ามาควบคุมระบบของคุณโดยไม่ต้องเคาะ… และถ้าไม่รีบปิดประตูนี้ อาจต้องจ่ายแพงกว่าที่คิด. https://securityonline.info/cisa-warns-critical-survision-lpr-camera-flaw-cve-2025-12108-cvss-9-8-allows-unauthenticated-takeover/
    SECURITYONLINE.INFO
    CISA Warns: Critical Survision LPR Camera Flaw (CVE-2025-12108, CVSS 9.8) Allows Unauthenticated Takeover
    CISA warned of a Critical Auth Bypass flaw (CVE-2025-12108, CVSS 9.8) in Survision LPR Cameras. The lack of password enforcement allows unauthenticated attackers to gain full system access.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
  • Ubuntu 26.04 LTS มาแล้ว! พร้อมแผนสนับสนุนยาว 5 ปี และฟีเจอร์ใหม่เพียบ

    วันนี้มีข่าวดีสำหรับสายลินุกซ์โดยเฉพาะสาวก Ubuntu เพราะ Canonical ได้ประกาศแผนการปล่อย Ubuntu 26.04 LTS อย่างเป็นทางการแล้ว พร้อมรายละเอียดวันสำคัญและฟีเจอร์ใหม่ที่น่าตื่นเต้น โดยเวอร์ชันนี้จะได้รับการสนับสนุนยาวนานถึง 5 ปีเต็มไปจนถึงปี 2031 ซึ่งถือเป็นมาตรฐานของรุ่น LTS (Long-Term Support) ที่เน้นความเสถียรและความปลอดภัยสำหรับองค์กรและผู้ใช้ทั่วไป

    Ubuntu 26.04 LTS จะเริ่มเข้าสู่ช่วง “Feature Freeze” หรือหยุดเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2026 และจะปล่อยเวอร์ชันเสถียรในวันที่ 23 เมษายน 2026 ส่วนผู้ใช้ Ubuntu 25.10 จะสามารถอัปเกรดได้ทันทีหลังจากปล่อย แต่ผู้ใช้ Ubuntu 24.04 LTS ต้องรอจนถึง Ubuntu 26.04.1 LTS ในเดือนสิงหาคมถึงจะอัปเกรดได้ เพื่อความมั่นคงของระบบ

    เวอร์ชันใหม่นี้จะมาพร้อมกับ GNOME 50, เคอร์เนลใหม่, ไดรเวอร์กราฟิกที่อัปเดต, ส่วนประกอบหลักที่เขียนใหม่ด้วยภาษา Rust, การเข้ารหัสแบบ TPM ที่ปลอดภัยขึ้น และวอลเปเปอร์ใหม่ให้เลือกใช้

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    GNOME 50 คาดว่าจะมีการปรับปรุง UI ครั้งใหญ่ โดยเน้นความลื่นไหลและการใช้งานที่เป็นมิตรกับผู้ใช้มากขึ้น
    การใช้ภาษา Rust ในส่วนประกอบหลักช่วยลดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย เพราะ Rust ป้องกันข้อผิดพลาดหน่วยความจำได้ดี
    TPM (Trusted Platform Module) เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้การเข้ารหัสข้อมูลในเครื่องมีความปลอดภัยระดับฮาร์ดแวร์
    การรออัปเดตผ่านเวอร์ชัน .1 (เช่น 26.04.1) เป็นแนวทางที่ Canonical ใช้เพื่อให้มั่นใจว่าเวอร์ชันใหม่มีความเสถียรจริงก่อนให้ผู้ใช้ LTS อัปเกรด

    กำหนดการปล่อย Ubuntu 26.04 LTS
    19 ก.พ. 2026: Feature Freeze
    12 มี.ค. 2026: UI Freeze
    19 มี.ค. 2026: Kernel Feature Freeze
    23 มี.ค. 2026: Beta Freeze
    26 มี.ค. 2026: Beta Release
    9 เม.ย. 2026: Kernel Freeze
    16 เม.ย. 2026: Final Freeze & RC
    23 เม.ย. 2026: Stable Release
    6 ส.ค. 2026: Ubuntu 26.04.1 LTS

    ฟีเจอร์ใหม่ที่น่าจับตามอง
    GNOME 50 ที่ปรับปรุง UI
    เคอร์เนลและไดรเวอร์กราฟิกใหม่
    ส่วนประกอบหลักเขียนด้วย Rust
    รองรับ TPM-based encryption
    วอลเปเปอร์ใหม่หลากหลาย

    การสนับสนุนระยะยาว
    Ubuntu 26.04 LTS จะได้รับการอัปเดตและแพตช์ความปลอดภัยจนถึงปี 2031
    เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการระบบเสถียรและปลอดภัย

    https://securityonline.info/five-year-support-ubuntu-unveils-final-release-schedule-for-26-04-lts-edition/
    🧭 Ubuntu 26.04 LTS มาแล้ว! พร้อมแผนสนับสนุนยาว 5 ปี และฟีเจอร์ใหม่เพียบ วันนี้มีข่าวดีสำหรับสายลินุกซ์โดยเฉพาะสาวก Ubuntu เพราะ Canonical ได้ประกาศแผนการปล่อย Ubuntu 26.04 LTS อย่างเป็นทางการแล้ว พร้อมรายละเอียดวันสำคัญและฟีเจอร์ใหม่ที่น่าตื่นเต้น โดยเวอร์ชันนี้จะได้รับการสนับสนุนยาวนานถึง 5 ปีเต็มไปจนถึงปี 2031 ซึ่งถือเป็นมาตรฐานของรุ่น LTS (Long-Term Support) ที่เน้นความเสถียรและความปลอดภัยสำหรับองค์กรและผู้ใช้ทั่วไป Ubuntu 26.04 LTS จะเริ่มเข้าสู่ช่วง “Feature Freeze” หรือหยุดเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2026 และจะปล่อยเวอร์ชันเสถียรในวันที่ 23 เมษายน 2026 ส่วนผู้ใช้ Ubuntu 25.10 จะสามารถอัปเกรดได้ทันทีหลังจากปล่อย แต่ผู้ใช้ Ubuntu 24.04 LTS ต้องรอจนถึง Ubuntu 26.04.1 LTS ในเดือนสิงหาคมถึงจะอัปเกรดได้ เพื่อความมั่นคงของระบบ เวอร์ชันใหม่นี้จะมาพร้อมกับ GNOME 50, เคอร์เนลใหม่, ไดรเวอร์กราฟิกที่อัปเดต, ส่วนประกอบหลักที่เขียนใหม่ด้วยภาษา Rust, การเข้ารหัสแบบ TPM ที่ปลอดภัยขึ้น และวอลเปเปอร์ใหม่ให้เลือกใช้ 📚 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 💠 GNOME 50 คาดว่าจะมีการปรับปรุง UI ครั้งใหญ่ โดยเน้นความลื่นไหลและการใช้งานที่เป็นมิตรกับผู้ใช้มากขึ้น 💠 การใช้ภาษา Rust ในส่วนประกอบหลักช่วยลดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย เพราะ Rust ป้องกันข้อผิดพลาดหน่วยความจำได้ดี 💠 TPM (Trusted Platform Module) เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้การเข้ารหัสข้อมูลในเครื่องมีความปลอดภัยระดับฮาร์ดแวร์ 💠 การรออัปเดตผ่านเวอร์ชัน .1 (เช่น 26.04.1) เป็นแนวทางที่ Canonical ใช้เพื่อให้มั่นใจว่าเวอร์ชันใหม่มีความเสถียรจริงก่อนให้ผู้ใช้ LTS อัปเกรด ✅ กำหนดการปล่อย Ubuntu 26.04 LTS ➡️ 19 ก.พ. 2026: Feature Freeze ➡️ 12 มี.ค. 2026: UI Freeze ➡️ 19 มี.ค. 2026: Kernel Feature Freeze ➡️ 23 มี.ค. 2026: Beta Freeze ➡️ 26 มี.ค. 2026: Beta Release ➡️ 9 เม.ย. 2026: Kernel Freeze ➡️ 16 เม.ย. 2026: Final Freeze & RC ➡️ 23 เม.ย. 2026: Stable Release ➡️ 6 ส.ค. 2026: Ubuntu 26.04.1 LTS ✅ ฟีเจอร์ใหม่ที่น่าจับตามอง ➡️ GNOME 50 ที่ปรับปรุง UI ➡️ เคอร์เนลและไดรเวอร์กราฟิกใหม่ ➡️ ส่วนประกอบหลักเขียนด้วย Rust ➡️ รองรับ TPM-based encryption ➡️ วอลเปเปอร์ใหม่หลากหลาย ✅ การสนับสนุนระยะยาว ➡️ Ubuntu 26.04 LTS จะได้รับการอัปเดตและแพตช์ความปลอดภัยจนถึงปี 2031 ➡️ เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการระบบเสถียรและปลอดภัย https://securityonline.info/five-year-support-ubuntu-unveils-final-release-schedule-for-26-04-lts-edition/
    SECURITYONLINE.INFO
    Five-Year Support: Ubuntu Unveils Final Release Schedule for 26.04 LTS Edition
    Ubuntu 26.04 LTS release schedule finalized: Feature freeze Feb 19, 2026; final stable release April 23, 2026. LTS users must wait until Aug 6, 2026, to upgrade.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ CVE-2025-58726: เมื่อ Windows ยอมให้เครื่อง “หลอกตัวเอง” จนถูกยึดสิทธิ์ระดับสูง

    นักวิจัยด้านความปลอดภัย Andrea Pierini จาก Semperis ได้เปิดเผยช่องโหว่ใหม่ใน Windows ที่ถูกระบุว่าเป็น CVE-2025-58726 ซึ่งสามารถถูกใช้เพื่อยกระดับสิทธิ์จากผู้ใช้ทั่วไปให้กลายเป็น SYSTEM ได้ — โดยไม่ต้องรู้รหัสผ่านใด ๆ

    ช่องโหว่นี้เกิดจากการที่ Windows ยอมให้การสะท้อนการพิสูจน์ตัวตน (Authentication Reflection) ผ่านโปรโตคอล Kerberos ทำงานได้ แม้จะมีการแก้ไขช่องโหว่ก่อนหน้าอย่าง CVE-2025-33073 ไปแล้วก็ตาม

    จุดอ่อนหลักอยู่ที่ “Ghost SPNs” — คือ Service Principal Names ที่อ้างถึงโฮสต์เนมที่ไม่มีอยู่จริงใน DNS แต่ยังคงอยู่ใน Active Directory จากการลบระบบไม่หมดหรือการตั้งค่าผิดพลาด เมื่อผู้โจมตีสามารถลงทะเบียน DNS record ให้ชี้ไปยัง IP ที่ควบคุมได้ ก็สามารถหลอกให้เครื่องเป้าหมาย “พิสูจน์ตัวตนกับตัวเอง” ผ่าน SMB ได้ และกลายเป็นการยกระดับสิทธิ์แบบเต็มรูปแบบ

    การโจมตีนี้สามารถทำได้แม้เป็นผู้ใช้ระดับต่ำในโดเมน และไม่ต้องใช้ข้อมูลรับรองใด ๆ — เพียงแค่มีสิทธิ์ลงทะเบียน DNS ซึ่งเป็นสิ่งที่ Active Directory อนุญาตโดยค่าเริ่มต้น

    Microsoft ได้ออกแพตช์แก้ไขในเดือนตุลาคม 2025 โดยการปรับปรุงในไดรเวอร์ SRV2.SYS ซึ่งเป็นส่วนที่จัดการ SMB ฝั่งเซิร์ฟเวอร์

    ช่องโหว่ CVE-2025-58726 เปิดทางให้ผู้ใช้ระดับต่ำยกระดับสิทธิ์เป็น SYSTEM
    ใช้เทคนิค Kerberos Authentication Reflection ผ่าน SMB
    ไม่ต้องใช้รหัสผ่านหรือข้อมูลรับรองใด ๆ

    ใช้ Ghost SPNs เป็นจุดเริ่มต้นของการโจมตี
    SPNs ที่อ้างถึงโฮสต์เนมที่ไม่มีอยู่จริงใน DNS
    ผู้โจมตีลงทะเบียน DNS record ให้ชี้ไปยัง IP ที่ควบคุมได้

    การพิสูจน์ตัวตนสะท้อนกลับทำให้เครื่อง “หลอกตัวเอง”
    เครื่องเป้าหมายขอ TGS ticket สำหรับ Ghost SPN
    เมื่อรับกลับมา ก็พิสูจน์ตัวตนกับตัวเองในฐานะ SYSTEM

    Microsoft ออกแพตช์ในเดือนตุลาคม 2025
    ปรับปรุงใน SRV2.SYS เพื่อปิดช่องโหว่
    ช่องโหว่นี้มีผลกับทุกเวอร์ชันของ Windows หากไม่เปิดใช้ SMB Signing

    https://securityonline.info/researcher-details-windows-smb-server-elevation-of-privilege-vulnerability-cve-2025-58726/
    🧨 ช่องโหว่ CVE-2025-58726: เมื่อ Windows ยอมให้เครื่อง “หลอกตัวเอง” จนถูกยึดสิทธิ์ระดับสูง นักวิจัยด้านความปลอดภัย Andrea Pierini จาก Semperis ได้เปิดเผยช่องโหว่ใหม่ใน Windows ที่ถูกระบุว่าเป็น CVE-2025-58726 ซึ่งสามารถถูกใช้เพื่อยกระดับสิทธิ์จากผู้ใช้ทั่วไปให้กลายเป็น SYSTEM ได้ — โดยไม่ต้องรู้รหัสผ่านใด ๆ ช่องโหว่นี้เกิดจากการที่ Windows ยอมให้การสะท้อนการพิสูจน์ตัวตน (Authentication Reflection) ผ่านโปรโตคอล Kerberos ทำงานได้ แม้จะมีการแก้ไขช่องโหว่ก่อนหน้าอย่าง CVE-2025-33073 ไปแล้วก็ตาม จุดอ่อนหลักอยู่ที่ “Ghost SPNs” — คือ Service Principal Names ที่อ้างถึงโฮสต์เนมที่ไม่มีอยู่จริงใน DNS แต่ยังคงอยู่ใน Active Directory จากการลบระบบไม่หมดหรือการตั้งค่าผิดพลาด เมื่อผู้โจมตีสามารถลงทะเบียน DNS record ให้ชี้ไปยัง IP ที่ควบคุมได้ ก็สามารถหลอกให้เครื่องเป้าหมาย “พิสูจน์ตัวตนกับตัวเอง” ผ่าน SMB ได้ และกลายเป็นการยกระดับสิทธิ์แบบเต็มรูปแบบ การโจมตีนี้สามารถทำได้แม้เป็นผู้ใช้ระดับต่ำในโดเมน และไม่ต้องใช้ข้อมูลรับรองใด ๆ — เพียงแค่มีสิทธิ์ลงทะเบียน DNS ซึ่งเป็นสิ่งที่ Active Directory อนุญาตโดยค่าเริ่มต้น Microsoft ได้ออกแพตช์แก้ไขในเดือนตุลาคม 2025 โดยการปรับปรุงในไดรเวอร์ SRV2.SYS ซึ่งเป็นส่วนที่จัดการ SMB ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-58726 เปิดทางให้ผู้ใช้ระดับต่ำยกระดับสิทธิ์เป็น SYSTEM ➡️ ใช้เทคนิค Kerberos Authentication Reflection ผ่าน SMB ➡️ ไม่ต้องใช้รหัสผ่านหรือข้อมูลรับรองใด ๆ ✅ ใช้ Ghost SPNs เป็นจุดเริ่มต้นของการโจมตี ➡️ SPNs ที่อ้างถึงโฮสต์เนมที่ไม่มีอยู่จริงใน DNS ➡️ ผู้โจมตีลงทะเบียน DNS record ให้ชี้ไปยัง IP ที่ควบคุมได้ ✅ การพิสูจน์ตัวตนสะท้อนกลับทำให้เครื่อง “หลอกตัวเอง” ➡️ เครื่องเป้าหมายขอ TGS ticket สำหรับ Ghost SPN ➡️ เมื่อรับกลับมา ก็พิสูจน์ตัวตนกับตัวเองในฐานะ SYSTEM ✅ Microsoft ออกแพตช์ในเดือนตุลาคม 2025 ➡️ ปรับปรุงใน SRV2.SYS เพื่อปิดช่องโหว่ ➡️ ช่องโหว่นี้มีผลกับทุกเวอร์ชันของ Windows หากไม่เปิดใช้ SMB Signing https://securityonline.info/researcher-details-windows-smb-server-elevation-of-privilege-vulnerability-cve-2025-58726/
    SECURITYONLINE.INFO
    Researcher Details Windows SMB Server Elevation of Privilege Vulnerability - CVE-2025-58726
    A flaw (CVE-2025-58726) allows SYSTEM privilege escalation via Kerberos authentication reflection using "Ghost SPNs" and disabled SMB signing. Patch immediately.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลุดข้อมูล Galaxy Book6 Pro ใช้ Intel Core Ultra Series 3 (Panther Lake) พร้อม iGPU Xe3 รุ่นใหม่!

    Samsung เตรียมเปิดตัว Galaxy Book6 Pro รุ่นใหม่ที่ใช้ซีพียู Intel Panther Lake Core Ultra Series 3 ซึ่งมาพร้อม iGPU Xe3 ที่แรงระดับ RTX 3050 และรองรับฟีเจอร์ AI เต็มรูปแบบ คาดเปิดตัวในช่วงต้นปี 2026

    ข้อมูลหลุดจาก Geekbench เผยว่า Galaxy Book6 Pro รุ่นใหม่จะใช้ซีพียู Intel Core Ultra 5 234V ซึ่งเป็นหนึ่งในรุ่นของแพลตฟอร์ม Panther Lake ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี Intel 18A อันล้ำสมัย โดยมีสเปกเบื้องต้นดังนี้:

    12-core CPU: 4 P-Cores + 8 E-Cores
    iGPU Xe3: 8 Xe cores พร้อมสถาปัตยกรรมใหม่
    NPU: รองรับฟีเจอร์ AI PC เต็มรูปแบบ
    Base clock: 3.8 GHz
    คะแนน Geekbench 6:
      • Single-core: 1,842
      • Multi-core: 9,628

    แม้คะแนนจะยังไม่สูงเท่ารุ่น Lunar Lake ที่ใช้ Core Ultra 7 268V แต่ก็ถือว่าแรงพอสำหรับงานทั่วไป, การเล่นเกมระดับกลาง และการประมวลผล AI เช่นการรัน LLM หรือ Copilot แบบออฟไลน์

    Galaxy Book6 Pro รุ่นใหม่นี้ยังคงดีไซน์บางเบาแบบ ultrabook แต่จะมีการปรับปรุงระบบระบายความร้อนและแบตเตอรี่ให้รองรับการทำงานของ NPU และ iGPU ที่ใช้พลังงานมากขึ้น

    ข้อมูลจากการหลุด Geekbench
    ใช้ Intel Core Ultra 5 234V (Panther Lake)
    12-core: 4P + 8E
    Base clock 3.8 GHz
    คะแนน Geekbench 6: 1,842 / 9,628

    จุดเด่นของ Panther Lake
    ผลิตด้วย Intel 18A node
    iGPU Xe3 รุ่นใหม่ แรงระดับ RTX 3050
    รองรับฟีเจอร์ AI PC ผ่าน NPU
    ประสิทธิภาพดีขึ้นในงาน AI และกราฟิก

    Galaxy Book6 Pro รุ่นใหม่
    ดีไซน์บางเบาแบบ ultrabook
    ปรับปรุงระบบระบายความร้อนและแบตเตอรี่
    คาดเปิดตัวต้นปี 2026

    https://wccftech.com/samsung-galaxy-book6-pro-intel-core-ultra-series-3-panther-lake-cpu-leak/
    🧠💻 หลุดข้อมูล Galaxy Book6 Pro ใช้ Intel Core Ultra Series 3 (Panther Lake) พร้อม iGPU Xe3 รุ่นใหม่! Samsung เตรียมเปิดตัว Galaxy Book6 Pro รุ่นใหม่ที่ใช้ซีพียู Intel Panther Lake Core Ultra Series 3 ซึ่งมาพร้อม iGPU Xe3 ที่แรงระดับ RTX 3050 และรองรับฟีเจอร์ AI เต็มรูปแบบ คาดเปิดตัวในช่วงต้นปี 2026 ข้อมูลหลุดจาก Geekbench เผยว่า Galaxy Book6 Pro รุ่นใหม่จะใช้ซีพียู Intel Core Ultra 5 234V ซึ่งเป็นหนึ่งในรุ่นของแพลตฟอร์ม Panther Lake ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี Intel 18A อันล้ำสมัย โดยมีสเปกเบื้องต้นดังนี้: 🎗️ 12-core CPU: 4 P-Cores + 8 E-Cores 🎗️ iGPU Xe3: 8 Xe cores พร้อมสถาปัตยกรรมใหม่ 🎗️ NPU: รองรับฟีเจอร์ AI PC เต็มรูปแบบ 🎗️ Base clock: 3.8 GHz 🎗️ คะแนน Geekbench 6:   • Single-core: 1,842   • Multi-core: 9,628 แม้คะแนนจะยังไม่สูงเท่ารุ่น Lunar Lake ที่ใช้ Core Ultra 7 268V แต่ก็ถือว่าแรงพอสำหรับงานทั่วไป, การเล่นเกมระดับกลาง และการประมวลผล AI เช่นการรัน LLM หรือ Copilot แบบออฟไลน์ Galaxy Book6 Pro รุ่นใหม่นี้ยังคงดีไซน์บางเบาแบบ ultrabook แต่จะมีการปรับปรุงระบบระบายความร้อนและแบตเตอรี่ให้รองรับการทำงานของ NPU และ iGPU ที่ใช้พลังงานมากขึ้น ✅ ข้อมูลจากการหลุด Geekbench ➡️ ใช้ Intel Core Ultra 5 234V (Panther Lake) ➡️ 12-core: 4P + 8E ➡️ Base clock 3.8 GHz ➡️ คะแนน Geekbench 6: 1,842 / 9,628 ✅ จุดเด่นของ Panther Lake ➡️ ผลิตด้วย Intel 18A node ➡️ iGPU Xe3 รุ่นใหม่ แรงระดับ RTX 3050 ➡️ รองรับฟีเจอร์ AI PC ผ่าน NPU ➡️ ประสิทธิภาพดีขึ้นในงาน AI และกราฟิก ✅ Galaxy Book6 Pro รุ่นใหม่ ➡️ ดีไซน์บางเบาแบบ ultrabook ➡️ ปรับปรุงระบบระบายความร้อนและแบตเตอรี่ ➡️ คาดเปิดตัวต้นปี 2026 https://wccftech.com/samsung-galaxy-book6-pro-intel-core-ultra-series-3-panther-lake-cpu-leak/
    WCCFTECH.COM
    Samsung Galaxy Book6 Pro With Intel Core Ultra Series 3 "Panther Lake" CPU Leaks Out
    Samsung's upcoming Galaxy Book6 Pro featuring the Intel Core Ultra Series 3 "Panther Lake" CPU has leaked out.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 169 มุมมอง 0 รีวิว
  • Radeon 8060S โชว์พลัง! เกมเมอร์ตะลึงกับ iGPU บน Ryzen AI Max 395+ เล่นเกม 1080p ลื่นไหลทุกค่าย

    YouTuber ชื่อดัง RandomGaminginHD ได้ทดสอบ Minisforum MS-S1 Max ที่ใช้ APU รุ่นท็อป Ryzen AI Max 395+ พร้อม iGPU Radeon 8060S และผลลัพธ์ก็เกินคาด: เล่นเกม AAA ที่ 1080p ได้อย่างลื่นไหลโดยไม่ต้องใช้การ์ดจอแยก!

    Ryzen AI Max 395+ ถูกออกแบบมาเพื่อประมวลผลงาน AI แต่กลับกลายเป็น “สัตว์ร้าย” ด้านเกม ด้วย iGPU Radeon 8060S ที่มี 40 CUs และ 2,560 shader cores มากกว่า PlayStation 5 เสียอีก! แถมยังจับคู่กับ LPDDR5X บัส 256-bit ทำให้ประสิทธิภาพเทียบชั้น RTX 4060 ได้ในบางกรณี

    RandomGaminginHD ทดสอบเกมดังหลายเกมที่ 1080p และผลลัพธ์น่าทึ่ง:
    Counter Strike 2: 263 FPS
    Kingdom Come Deliverance 2: 90 FPS
    Red Dead Redemption 2: 82 FPS
    Battlefield 6: 86 FPS
    Cyberpunk 2077 (RT Ultra): 45 FPS
    GTA 5 Enhanced: 77 FPS
    Marvel Rivals: 79 FPS
    Elden Ring: 60 FPS (เต็มเพดานเกม)
    Borderlands 4: 55 FPS
    Outer Worlds 2: 65 FPS

    แม้บางเกมจะใช้การตั้งค่ากราฟิกต่ำหรือปิดฟีเจอร์บางอย่าง เช่น global illumination หรือ ray tracing แต่ก็ยังให้ประสบการณ์เล่นเกมที่ดีเกินคาดสำหรับ iGPU

    Ryzen AI Max 395+ ยังสามารถรัน LLM ขนาดใหญ่ได้ และมีประสิทธิภาพด้าน AI สูงกว่า RTX 4090 ถึง 2 เท่าในด้าน tokens per second ซึ่งทำให้มันกลายเป็น APU ที่ “เกินตัว” ทั้งด้านเกมและงาน AI

    Ryzen AI Max 395+ มาพร้อม iGPU Radeon 8060S
    มี 40 CUs และ 2,560 shader cores
    ใช้ LPDDR5X บัส 256-bit
    ประสิทธิภาพเทียบชั้น RTX 4060 ในบางกรณี

    จุดเด่นของ APU Ryzen AI Max 395+
    รัน LLM ได้ดีเยี่ยม
    ประสิทธิภาพด้าน AI สูงกว่า RTX 4090 ถึง 2 เท่า
    เหมาะกับงาน AI และเกมในเครื่องขนาดเล็ก

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/strix-halo-radeon-8060s-benchmarked-in-games-delivers-butter-smooth-1080p-performance-ryzen-ai-max-395-apu-is-a-pretty-solid-gaming-offering
    🎮🔥 Radeon 8060S โชว์พลัง! เกมเมอร์ตะลึงกับ iGPU บน Ryzen AI Max 395+ เล่นเกม 1080p ลื่นไหลทุกค่าย YouTuber ชื่อดัง RandomGaminginHD ได้ทดสอบ Minisforum MS-S1 Max ที่ใช้ APU รุ่นท็อป Ryzen AI Max 395+ พร้อม iGPU Radeon 8060S และผลลัพธ์ก็เกินคาด: เล่นเกม AAA ที่ 1080p ได้อย่างลื่นไหลโดยไม่ต้องใช้การ์ดจอแยก! Ryzen AI Max 395+ ถูกออกแบบมาเพื่อประมวลผลงาน AI แต่กลับกลายเป็น “สัตว์ร้าย” ด้านเกม ด้วย iGPU Radeon 8060S ที่มี 40 CUs และ 2,560 shader cores มากกว่า PlayStation 5 เสียอีก! แถมยังจับคู่กับ LPDDR5X บัส 256-bit ทำให้ประสิทธิภาพเทียบชั้น RTX 4060 ได้ในบางกรณี RandomGaminginHD ทดสอบเกมดังหลายเกมที่ 1080p และผลลัพธ์น่าทึ่ง: 🎗️ Counter Strike 2: 263 FPS 🎗️ Kingdom Come Deliverance 2: 90 FPS 🎗️ Red Dead Redemption 2: 82 FPS 🎗️ Battlefield 6: 86 FPS 🎗️ Cyberpunk 2077 (RT Ultra): 45 FPS 🎗️ GTA 5 Enhanced: 77 FPS 🎗️ Marvel Rivals: 79 FPS 🎗️ Elden Ring: 60 FPS (เต็มเพดานเกม) 🎗️ Borderlands 4: 55 FPS 🎗️ Outer Worlds 2: 65 FPS แม้บางเกมจะใช้การตั้งค่ากราฟิกต่ำหรือปิดฟีเจอร์บางอย่าง เช่น global illumination หรือ ray tracing แต่ก็ยังให้ประสบการณ์เล่นเกมที่ดีเกินคาดสำหรับ iGPU Ryzen AI Max 395+ ยังสามารถรัน LLM ขนาดใหญ่ได้ และมีประสิทธิภาพด้าน AI สูงกว่า RTX 4090 ถึง 2 เท่าในด้าน tokens per second ซึ่งทำให้มันกลายเป็น APU ที่ “เกินตัว” ทั้งด้านเกมและงาน AI ✅ Ryzen AI Max 395+ มาพร้อม iGPU Radeon 8060S ➡️ มี 40 CUs และ 2,560 shader cores ➡️ ใช้ LPDDR5X บัส 256-bit ➡️ ประสิทธิภาพเทียบชั้น RTX 4060 ในบางกรณี ✅ จุดเด่นของ APU Ryzen AI Max 395+ ➡️ รัน LLM ได้ดีเยี่ยม ➡️ ประสิทธิภาพด้าน AI สูงกว่า RTX 4090 ถึง 2 เท่า ➡️ เหมาะกับงาน AI และเกมในเครื่องขนาดเล็ก https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/strix-halo-radeon-8060s-benchmarked-in-games-delivers-butter-smooth-1080p-performance-ryzen-ai-max-395-apu-is-a-pretty-solid-gaming-offering
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 246 มุมมอง 0 รีวิว
  • อินเทอร์เน็ตล่มทั่วโลก! Microsoft Azure ป่วนหนัก กระทบบริการนับสิบ

    เหตุการณ์ที่หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็น AWS ล่ม กลับกลายเป็นความผิดพลาดจาก Microsoft Azure ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อบริการออนไลน์ทั่วโลก ตั้งแต่ Xbox, Outlook, Google Cloud ไปจนถึงสายการบินและธนาคาร

    วันที่ 29 ตุลาคม 2025 เวลา 16:00 UTC Microsoft Azure เริ่มมีปัญหาที่ระบบ Azure Front Door (AFD) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการจัดการทราฟฟิก ส่งผลให้ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึง Azure Portal และบริการอื่น ๆ ได้ตามปกติ

    ในช่วงแรก หลายคนเข้าใจว่า AWS เป็นต้นเหตุ เพราะ Downdetector แสดงสัญญาณผิดปกติคล้ายกับเหตุการณ์ AWS ล่มเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ในที่สุด Microsoft ก็ออกมายืนยันว่า Azure คือผู้ก่อเหตุครั้งนี้

    ผลกระทบลุกลามไปทั่วโลก ทั้งในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร บริการที่ได้รับผลกระทบมีทั้ง Microsoft 365, Xbox, Minecraft, Outlook, Google Cloud, Zoom, Starbucks, ธนาคาร และแม้แต่สายการบินอย่าง Alaska Airlines ที่ต้องให้ผู้โดยสารเช็กอินด้วยตนเองที่สนามบิน

    Microsoft ระบุว่า สาเหตุเกิดจากการเปลี่ยนแปลงค่าคอนฟิกโดยไม่ตั้งใจ และกำลังดำเนินการแก้ไขโดยการย้อนกลับไปใช้ค่าคอนฟิกเดิม พร้อมบล็อกการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดชั่วคราว

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันเดียวกับที่ Microsoft มีกำหนดจัดประชุมรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส ยิ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นไปอีก

    นี่คือบทเรียนสำคัญว่า “อินเทอร์เน็ตไม่ได้แข็งแกร่งเท่าที่เราคิด” และในโลกที่ทุกอย่างเชื่อมโยงกัน ความผิดพลาดเล็ก ๆ อาจกลายเป็นหายนะระดับโลกได้ในพริบตา

    Microsoft Azure ล่มทั่วโลกจากปัญหา Azure Front Door
    เริ่มต้นเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2025 เวลา 16:00 UTC
    ส่งผลให้บริการหลายตัวไม่สามารถเข้าถึงได้
    Microsoft ยืนยันว่าเป็นการเปลี่ยนค่าคอนฟิกโดยไม่ตั้งใจ

    บริการที่ได้รับผลกระทบ
    Microsoft 365, Xbox, Minecraft, Outlook
    Google Cloud, Zoom, Starbucks, Capital One
    สายการบิน Alaska Airlines และ Hawaiian Airlines
    ธนาคารในสหราชอาณาจักร เช่น NatWest, Nationwide, RBS

    การแก้ไขของ Microsoft
    ย้อนกลับค่าคอนฟิกไปยังสถานะเดิม
    บล็อกการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดชั่วคราว
    แนะนำให้ใช้ Azure Traffic Manager เป็นทางเลือกในการ failover

    ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ
    ความล้มเหลวของ Azure ส่งผลกระทบถึง DNS และ CDN
    แสดงให้เห็นถึงช่องโหว่ด้านความยืดหยุ่นของโครงสร้างพื้นฐาน

    ความเสี่ยงจากการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์เพียงเจ้าเดียว
    เมื่อระบบล่ม อาจกระทบบริการหลายล้านคนพร้อมกัน
    ธุรกิจที่ไม่มีแผนสำรองอาจสูญเสียรายได้มหาศาล

    การตั้งค่าระบบโดยไม่มีการตรวจสอบหลายชั้น
    การเปลี่ยนแปลงค่าคอนฟิกเพียงครั้งเดียวอาจสร้างผลกระทบระดับโลก
    ควรมีระบบตรวจสอบและจำลองผลก่อนใช้งานจริง

    https://www.tomshardware.com/news/live/aws-outage-strikes-again-colossal-internet-breakdown-strikes-again
    🌐💥 อินเทอร์เน็ตล่มทั่วโลก! Microsoft Azure ป่วนหนัก กระทบบริการนับสิบ เหตุการณ์ที่หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็น AWS ล่ม กลับกลายเป็นความผิดพลาดจาก Microsoft Azure ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อบริการออนไลน์ทั่วโลก ตั้งแต่ Xbox, Outlook, Google Cloud ไปจนถึงสายการบินและธนาคาร วันที่ 29 ตุลาคม 2025 เวลา 16:00 UTC Microsoft Azure เริ่มมีปัญหาที่ระบบ Azure Front Door (AFD) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการจัดการทราฟฟิก ส่งผลให้ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึง Azure Portal และบริการอื่น ๆ ได้ตามปกติ ในช่วงแรก หลายคนเข้าใจว่า AWS เป็นต้นเหตุ เพราะ Downdetector แสดงสัญญาณผิดปกติคล้ายกับเหตุการณ์ AWS ล่มเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ในที่สุด Microsoft ก็ออกมายืนยันว่า Azure คือผู้ก่อเหตุครั้งนี้ ผลกระทบลุกลามไปทั่วโลก ทั้งในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร บริการที่ได้รับผลกระทบมีทั้ง Microsoft 365, Xbox, Minecraft, Outlook, Google Cloud, Zoom, Starbucks, ธนาคาร และแม้แต่สายการบินอย่าง Alaska Airlines ที่ต้องให้ผู้โดยสารเช็กอินด้วยตนเองที่สนามบิน Microsoft ระบุว่า สาเหตุเกิดจากการเปลี่ยนแปลงค่าคอนฟิกโดยไม่ตั้งใจ และกำลังดำเนินการแก้ไขโดยการย้อนกลับไปใช้ค่าคอนฟิกเดิม พร้อมบล็อกการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดชั่วคราว เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันเดียวกับที่ Microsoft มีกำหนดจัดประชุมรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส ยิ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นไปอีก นี่คือบทเรียนสำคัญว่า “อินเทอร์เน็ตไม่ได้แข็งแกร่งเท่าที่เราคิด” และในโลกที่ทุกอย่างเชื่อมโยงกัน ความผิดพลาดเล็ก ๆ อาจกลายเป็นหายนะระดับโลกได้ในพริบตา ✅ Microsoft Azure ล่มทั่วโลกจากปัญหา Azure Front Door ➡️ เริ่มต้นเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2025 เวลา 16:00 UTC ➡️ ส่งผลให้บริการหลายตัวไม่สามารถเข้าถึงได้ ➡️ Microsoft ยืนยันว่าเป็นการเปลี่ยนค่าคอนฟิกโดยไม่ตั้งใจ ✅ บริการที่ได้รับผลกระทบ ➡️ Microsoft 365, Xbox, Minecraft, Outlook ➡️ Google Cloud, Zoom, Starbucks, Capital One ➡️ สายการบิน Alaska Airlines และ Hawaiian Airlines ➡️ ธนาคารในสหราชอาณาจักร เช่น NatWest, Nationwide, RBS ✅ การแก้ไขของ Microsoft ➡️ ย้อนกลับค่าคอนฟิกไปยังสถานะเดิม ➡️ บล็อกการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดชั่วคราว ➡️ แนะนำให้ใช้ Azure Traffic Manager เป็นทางเลือกในการ failover ✅ ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ ความล้มเหลวของ Azure ส่งผลกระทบถึง DNS และ CDN ➡️ แสดงให้เห็นถึงช่องโหว่ด้านความยืดหยุ่นของโครงสร้างพื้นฐาน ‼️ ความเสี่ยงจากการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์เพียงเจ้าเดียว ⛔ เมื่อระบบล่ม อาจกระทบบริการหลายล้านคนพร้อมกัน ⛔ ธุรกิจที่ไม่มีแผนสำรองอาจสูญเสียรายได้มหาศาล ‼️ การตั้งค่าระบบโดยไม่มีการตรวจสอบหลายชั้น ⛔ การเปลี่ยนแปลงค่าคอนฟิกเพียงครั้งเดียวอาจสร้างผลกระทบระดับโลก ⛔ ควรมีระบบตรวจสอบและจำลองผลก่อนใช้งานจริง https://www.tomshardware.com/news/live/aws-outage-strikes-again-colossal-internet-breakdown-strikes-again
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 327 มุมมอง 0 รีวิว
  • “987654321 / 123456789 ≈ 8” — เมื่อเลขเรียงกลายเป็นเวทมนตร์ทางคณิตศาสตร์

    John D. Cook ได้หยิบยกตัวเลขที่ดูธรรมดาอย่าง 987654321 และ 123456789 มาหารกัน แล้วพบว่าได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับเลข 8 อย่างน่าทึ่ง — คือ 8.0000000729 ซึ่งนำไปสู่การตั้งคำถามว่า “มีอะไรพิเศษในเลขฐาน 10 หรือไม่?”

    ลองจินตนาการว่าคุณเอาตัวเลขที่เรียงจากมากไปน้อย (9 ถึง 1) มาหารด้วยตัวเลขที่เรียงจากน้อยไปมาก (1 ถึง 9) แล้วได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับจำนวนเต็ม — นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลจากโครงสร้างของเลขในแต่ละฐาน

    Cook ทดลองกับเลขในฐานอื่น เช่น:
    ฐาน 6: 54321₆ / 12345₆ ≈ 4.00268
    ฐาน 16: 0xFEDCBA987654321 / 0x123456789ABCDEF ≈ 14

    จากนั้นเขาสร้างสูตรทั่วไปโดยนิยาม:
    num(b): ตัวเลขที่เรียงจากมากไปน้อยในฐาน b
    denom(b): ตัวเลขที่เรียงจากน้อยไปมากในฐาน b

    ผลลัพธ์คือ:
    num(b) / denom(b) ≈ b − 2 + (b − 1)³ / bᵇ

    ซึ่งหมายความว่าในทุกฐาน b > 2 การหารตัวเลขเรียงกลับกับเรียงตรงจะให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับ b − 2 เสมอ และเศษส่วนที่เหลือจะเล็กมาก — เล็กจน floating point ในคอมพิวเตอร์อาจมองไม่เห็น!

    การทดลองตัวเลขเรียงในฐาน 10
    987654321 / 123456789 ≈ 8.0000000729
    ใกล้เคียงกับ 8 + 9³ / 10¹⁰

    การทดลองในฐานอื่น
    ฐาน 6: ผลลัพธ์ ≈ 4.00268
    ฐาน 16: ผลลัพธ์ ≈ 14

    นิยามทั่วไปของตัวเลขเรียง
    num(b): ตัวเลขเรียงจากมากไปน้อยในฐาน b
    denom(b): ตัวเลขเรียงจากน้อยไปมากในฐาน b

    สูตรประมาณค่า
    num(b) / denom(b) ≈ b − 2 + (b − 1)³ / bᵇ
    เศษส่วนที่เหลือ ≈ 1 / bᵇ⁻²

    การพิสูจน์ด้วย Python
    ใช้การคำนวณเชิงโปรแกรมแทนการพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์
    ตรวจสอบความถูกต้องของสูตรในฐานตั้งแต่ 3 ถึง 1000

    คำเตือนสำหรับการใช้ floating point
    floating point มีความแม่นยำจำกัด (53 bits)
    อาจมองไม่เห็นเศษส่วนเล็กมากในผลลัพธ์

    https://www.johndcook.com/blog/2025/10/26/987654321/
    🔢 “987654321 / 123456789 ≈ 8” — เมื่อเลขเรียงกลายเป็นเวทมนตร์ทางคณิตศาสตร์ John D. Cook ได้หยิบยกตัวเลขที่ดูธรรมดาอย่าง 987654321 และ 123456789 มาหารกัน แล้วพบว่าได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับเลข 8 อย่างน่าทึ่ง — คือ 8.0000000729 ซึ่งนำไปสู่การตั้งคำถามว่า “มีอะไรพิเศษในเลขฐาน 10 หรือไม่?” ลองจินตนาการว่าคุณเอาตัวเลขที่เรียงจากมากไปน้อย (9 ถึง 1) มาหารด้วยตัวเลขที่เรียงจากน้อยไปมาก (1 ถึง 9) แล้วได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับจำนวนเต็ม — นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลจากโครงสร้างของเลขในแต่ละฐาน Cook ทดลองกับเลขในฐานอื่น เช่น: 📍 ฐาน 6: 54321₆ / 12345₆ ≈ 4.00268 📍 ฐาน 16: 0xFEDCBA987654321 / 0x123456789ABCDEF ≈ 14 จากนั้นเขาสร้างสูตรทั่วไปโดยนิยาม: 📍 num(b): ตัวเลขที่เรียงจากมากไปน้อยในฐาน b 📍 denom(b): ตัวเลขที่เรียงจากน้อยไปมากในฐาน b ผลลัพธ์คือ: 📍 num(b) / denom(b) ≈ b − 2 + (b − 1)³ / bᵇ ซึ่งหมายความว่าในทุกฐาน b > 2 การหารตัวเลขเรียงกลับกับเรียงตรงจะให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับ b − 2 เสมอ และเศษส่วนที่เหลือจะเล็กมาก — เล็กจน floating point ในคอมพิวเตอร์อาจมองไม่เห็น! ✅ การทดลองตัวเลขเรียงในฐาน 10 ➡️ 987654321 / 123456789 ≈ 8.0000000729 ➡️ ใกล้เคียงกับ 8 + 9³ / 10¹⁰ ✅ การทดลองในฐานอื่น ➡️ ฐาน 6: ผลลัพธ์ ≈ 4.00268 ➡️ ฐาน 16: ผลลัพธ์ ≈ 14 ✅ นิยามทั่วไปของตัวเลขเรียง ➡️ num(b): ตัวเลขเรียงจากมากไปน้อยในฐาน b ➡️ denom(b): ตัวเลขเรียงจากน้อยไปมากในฐาน b ✅ สูตรประมาณค่า ➡️ num(b) / denom(b) ≈ b − 2 + (b − 1)³ / bᵇ ➡️ เศษส่วนที่เหลือ ≈ 1 / bᵇ⁻² ✅ การพิสูจน์ด้วย Python ➡️ ใช้การคำนวณเชิงโปรแกรมแทนการพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์ ➡️ ตรวจสอบความถูกต้องของสูตรในฐานตั้งแต่ 3 ถึง 1000 ‼️ คำเตือนสำหรับการใช้ floating point ⛔ floating point มีความแม่นยำจำกัด (53 bits) ⛔ อาจมองไม่เห็นเศษส่วนเล็กมากในผลลัพธ์ https://www.johndcook.com/blog/2025/10/26/987654321/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • “OpenWrt อุดช่องโหว่ร้ายแรงสองรายการ – เสี่ยง RCE และเจาะหน่วยความจำเคอร์เนลผ่าน DSL Driver”

    ลองจินตนาการว่าเราใช้เราเตอร์ที่รัน OpenWrt ซึ่งเป็นเฟิร์มแวร์ยอดนิยมสำหรับอุปกรณ์ฝังตัว แล้ววันหนึ่งมีคนสามารถส่งคำสั่งจากระยะไกลเพื่อควบคุมระบบ หรือแม้แต่เจาะเข้าไปอ่านและเขียนหน่วยความจำเคอร์เนลได้… นี่คือสิ่งที่ช่องโหว่ล่าสุดใน OpenWrt อาจทำให้เกิดขึ้นได้

    เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2025 OpenWrt ได้ออกแพตช์เพื่อแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงสองรายการ ได้แก่:

    CVE-2025-62526: ช่องโหว่ Heap Buffer Overflow ใน ubusd ซึ่งเป็น daemon สำหรับการสื่อสารระหว่างโปรเซสใน OpenWrt

    CVE-2025-62525: ช่องโหว่ในไดรเวอร์ ltq-ptm ที่ใช้ในอุปกรณ์ DSL บางรุ่น ทำให้ผู้ใช้สามารถอ่านและเขียนหน่วยความจำเคอร์เนลได้

    ช่องโหว่แรกเปิดให้ผู้โจมตีสามารถส่งข้อความที่ออกแบบมาเฉพาะผ่าน ubus โดยไม่ต้องผ่านการตรวจสอบสิทธิ์ใด ๆ เพราะโค้ดที่เปราะบางทำงานก่อนการตรวจสอบ ACL ทำให้สามารถรันโค้ดในบริบทของ daemon ได้ทันที

    ช่องโหว่ที่สองเปิดให้ผู้ใช้ในระบบสามารถใช้ ioctl เพื่อเข้าถึงหน่วยความจำเคอร์เนล ซึ่งอาจนำไปสู่การหลบหนีจาก sandbox เช่น ujail ได้

    OpenWrt ได้แก้ไขช่องโหว่เหล่านี้ในเวอร์ชัน 24.10.4 และ snapshot builds หลังวันที่ 15–18 ตุลาคม 2025 โดยเวอร์ชันเก่าเช่น 22.03 และ 23.05 จะไม่ได้รับการสนับสนุนอีกต่อไป

    ช่องโหว่ CVE-2025-62526 – ubusd Heap Buffer Overflow
    เกิดในโค้ดการ parse event registration
    ทำงานก่อนการตรวจสอบ ACL
    เปิดช่องให้รันโค้ดในบริบทของ daemon
    ส่งผลให้ bypass ACL ได้ด้วย

    ช่องโหว่ CVE-2025-62525 – Kernel Memory Leak ผ่าน ltq-ptm
    ใช้ ioctl เพื่ออ่าน/เขียนหน่วยความจำเคอร์เนล
    กระทบอุปกรณ์ที่ใช้ SoC เช่น xrx200, danube, amazon
    ใช้ในโหมด PTM (VDSL) ไม่กระทบ ATM หรือ VRX518

    การแก้ไขโดย OpenWrt
    แก้ไขในเวอร์ชัน 24.10.4 และ snapshot builds หลัง 15–18 ต.ค. 2025
    เวอร์ชัน 22.03 และ 23.05 ไม่ได้รับการสนับสนุนแล้ว

    ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
    การควบคุมระบบจากระยะไกล (RCE)
    การหลบหนีจาก sandbox เช่น ujail
    การเข้าถึงข้อมูลลับในหน่วยความจำเคอร์เนล

    https://securityonline.info/openwrt-patches-ubusd-rce-flaw-cve-2025-62526-and-kernel-memory-leak-cve-2025-62525-in-dsl-driver/
    📰 “OpenWrt อุดช่องโหว่ร้ายแรงสองรายการ – เสี่ยง RCE และเจาะหน่วยความจำเคอร์เนลผ่าน DSL Driver” ลองจินตนาการว่าเราใช้เราเตอร์ที่รัน OpenWrt ซึ่งเป็นเฟิร์มแวร์ยอดนิยมสำหรับอุปกรณ์ฝังตัว แล้ววันหนึ่งมีคนสามารถส่งคำสั่งจากระยะไกลเพื่อควบคุมระบบ หรือแม้แต่เจาะเข้าไปอ่านและเขียนหน่วยความจำเคอร์เนลได้… นี่คือสิ่งที่ช่องโหว่ล่าสุดใน OpenWrt อาจทำให้เกิดขึ้นได้ เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2025 OpenWrt ได้ออกแพตช์เพื่อแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงสองรายการ ได้แก่: 🪲 CVE-2025-62526: ช่องโหว่ Heap Buffer Overflow ใน ubusd ซึ่งเป็น daemon สำหรับการสื่อสารระหว่างโปรเซสใน OpenWrt 🪲 CVE-2025-62525: ช่องโหว่ในไดรเวอร์ ltq-ptm ที่ใช้ในอุปกรณ์ DSL บางรุ่น ทำให้ผู้ใช้สามารถอ่านและเขียนหน่วยความจำเคอร์เนลได้ ช่องโหว่แรกเปิดให้ผู้โจมตีสามารถส่งข้อความที่ออกแบบมาเฉพาะผ่าน ubus โดยไม่ต้องผ่านการตรวจสอบสิทธิ์ใด ๆ เพราะโค้ดที่เปราะบางทำงานก่อนการตรวจสอบ ACL ทำให้สามารถรันโค้ดในบริบทของ daemon ได้ทันที ช่องโหว่ที่สองเปิดให้ผู้ใช้ในระบบสามารถใช้ ioctl เพื่อเข้าถึงหน่วยความจำเคอร์เนล ซึ่งอาจนำไปสู่การหลบหนีจาก sandbox เช่น ujail ได้ OpenWrt ได้แก้ไขช่องโหว่เหล่านี้ในเวอร์ชัน 24.10.4 และ snapshot builds หลังวันที่ 15–18 ตุลาคม 2025 โดยเวอร์ชันเก่าเช่น 22.03 และ 23.05 จะไม่ได้รับการสนับสนุนอีกต่อไป ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-62526 – ubusd Heap Buffer Overflow ➡️ เกิดในโค้ดการ parse event registration ➡️ ทำงานก่อนการตรวจสอบ ACL ➡️ เปิดช่องให้รันโค้ดในบริบทของ daemon ➡️ ส่งผลให้ bypass ACL ได้ด้วย ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-62525 – Kernel Memory Leak ผ่าน ltq-ptm ➡️ ใช้ ioctl เพื่ออ่าน/เขียนหน่วยความจำเคอร์เนล ➡️ กระทบอุปกรณ์ที่ใช้ SoC เช่น xrx200, danube, amazon ➡️ ใช้ในโหมด PTM (VDSL) ไม่กระทบ ATM หรือ VRX518 ✅ การแก้ไขโดย OpenWrt ➡️ แก้ไขในเวอร์ชัน 24.10.4 และ snapshot builds หลัง 15–18 ต.ค. 2025 ➡️ เวอร์ชัน 22.03 และ 23.05 ไม่ได้รับการสนับสนุนแล้ว ✅ ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ➡️ การควบคุมระบบจากระยะไกล (RCE) ➡️ การหลบหนีจาก sandbox เช่น ujail ➡️ การเข้าถึงข้อมูลลับในหน่วยความจำเคอร์เนล https://securityonline.info/openwrt-patches-ubusd-rce-flaw-cve-2025-62526-and-kernel-memory-leak-cve-2025-62525-in-dsl-driver/
    SECURITYONLINE.INFO
    OpenWrt Patches ubusd RCE Flaw (CVE-2025-62526) and Kernel Memory Leak (CVE-2025-62525) in DSL Driver
    OpenWrt released v24.10.4 to fix two high-severity flaws: CVE-2025-62526 allows RCE via a heap buffer overflow in ubusd, and CVE-2025-62525 leaks kernel memory via a DSL driver.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 รีวิว
  • :STK-6:
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Intel Core Ultra 200S Plus หลุดสเปก! Arrow Lake Refresh แรงทะลุชาร์ต – พร้อมชน Ryzen Zen 5”

    Intel เตรียมเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในตระกูล Core Ultra 200S Plus ที่ใช้ชื่อว่า “Arrow Lake Refresh” ซึ่งจะเปิดตัวต้นปี 2026 โดยมีสองรุ่นที่หลุดข้อมูลออกมาแล้ว คือ Core Ultra 9 290K Plus และ Core Ultra 7 270K Plus

    จุดเด่นของซีรีส์นี้คือการเพิ่มจำนวนคอร์ในบางรุ่น และเพิ่มความเร็วสัญญาณนาฬิกาในรุ่นอื่น ๆ โดยยังใช้ซ็อกเก็ต LGA 1851 เหมือนเดิม พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า “200S Plus Boost” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้สูสีกับ Ryzen Zen 5 จาก AMD

    Core Ultra 7 270K Plus มี 24 คอร์ (8 Performance + 16 Efficient) มากกว่ารุ่นก่อนหน้า 265K ที่มีแค่ 20 คอร์ พร้อมแคช L3 ขนาด 36MB และความเร็วบูสต์ที่ 5.50GHz เท่ากับรุ่นเดิม แต่ประสิทธิภาพโดยรวมดีขึ้น โดยทำคะแนน Geekbench 6 ได้ 3205 คะแนนแบบ single-core และ 22,206 คะแนนแบบ multi-core ซึ่งใกล้เคียงกับรุ่นท็อปอย่าง Core Ultra 9 285K

    ส่วน Core Ultra 9 290K Plus ยังไม่มีข้อมูลเต็ม แต่คาดว่าจะใช้คอนฟิก 24 คอร์เหมือนเดิม เพิ่มความเร็วและ TDP เพื่อดันประสิทธิภาพให้สูงขึ้นอีก

    ทั้งสองรุ่นถูกทดสอบในระบบ OEM ของ Lenovo ที่ใช้แรม DDR5 48GB ความเร็ว 7200MT/s และการ์ดจอ RTX 5090D ซึ่งเป็นสเปกระดับสูงที่ช่วยให้ซีพียูแสดงศักยภาพได้เต็มที่

    Intel ยังมีแผนเปิดตัว Nova Lake-S ในปีหน้า ซึ่งจะใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954 และเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสายเดสก์ท็อป

    สเปกและประสิทธิภาพของ Arrow Lake Refresh
    Core Ultra 7 270K Plus มี 24 คอร์ (8P + 16E)
    เพิ่มจากรุ่นก่อนหน้า 265K ที่มี 20 คอร์
    แคช L3 ขนาด 36MB มากกว่ารุ่นเดิม
    ความเร็วบูสต์ 5.50GHz เท่ากับรุ่นก่อน
    คะแนน Geekbench 6: 3205 (ST) และ 22,206 (MT)
    ทดสอบในระบบ Lenovo OEM พร้อมแรม DDR5 7200MT/s
    ใช้ซ็อกเก็ต LGA 1851 เหมือนรุ่นก่อน
    มีฟีเจอร์ใหม่ “200S Plus Boost” เพิ่มประสิทธิภาพ
    Core Ultra 9 290K Plus คาดว่าจะเพิ่มความเร็วและ TDP
    เตรียมเปิดตัวต้นปี 2026

    แผนอนาคตของ Intel
    เตรียมเปิดตัว Nova Lake-S ในปีหน้า
    ใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954
    เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสายเดสก์ท็อป
    Arrow Lake Refresh อาจเป็นรุ่นสุดท้ายของ LGA 1851

    https://wccftech.com/intel-core-ultra-200s-plus-arrow-lake-refresh-cpus-leak-9-290k-plus-7-270k-plus-benchmark/
    🚀 “Intel Core Ultra 200S Plus หลุดสเปก! Arrow Lake Refresh แรงทะลุชาร์ต – พร้อมชน Ryzen Zen 5” Intel เตรียมเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในตระกูล Core Ultra 200S Plus ที่ใช้ชื่อว่า “Arrow Lake Refresh” ซึ่งจะเปิดตัวต้นปี 2026 โดยมีสองรุ่นที่หลุดข้อมูลออกมาแล้ว คือ Core Ultra 9 290K Plus และ Core Ultra 7 270K Plus จุดเด่นของซีรีส์นี้คือการเพิ่มจำนวนคอร์ในบางรุ่น และเพิ่มความเร็วสัญญาณนาฬิกาในรุ่นอื่น ๆ โดยยังใช้ซ็อกเก็ต LGA 1851 เหมือนเดิม พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า “200S Plus Boost” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้สูสีกับ Ryzen Zen 5 จาก AMD Core Ultra 7 270K Plus มี 24 คอร์ (8 Performance + 16 Efficient) มากกว่ารุ่นก่อนหน้า 265K ที่มีแค่ 20 คอร์ พร้อมแคช L3 ขนาด 36MB และความเร็วบูสต์ที่ 5.50GHz เท่ากับรุ่นเดิม แต่ประสิทธิภาพโดยรวมดีขึ้น โดยทำคะแนน Geekbench 6 ได้ 3205 คะแนนแบบ single-core และ 22,206 คะแนนแบบ multi-core ซึ่งใกล้เคียงกับรุ่นท็อปอย่าง Core Ultra 9 285K ส่วน Core Ultra 9 290K Plus ยังไม่มีข้อมูลเต็ม แต่คาดว่าจะใช้คอนฟิก 24 คอร์เหมือนเดิม เพิ่มความเร็วและ TDP เพื่อดันประสิทธิภาพให้สูงขึ้นอีก ทั้งสองรุ่นถูกทดสอบในระบบ OEM ของ Lenovo ที่ใช้แรม DDR5 48GB ความเร็ว 7200MT/s และการ์ดจอ RTX 5090D ซึ่งเป็นสเปกระดับสูงที่ช่วยให้ซีพียูแสดงศักยภาพได้เต็มที่ Intel ยังมีแผนเปิดตัว Nova Lake-S ในปีหน้า ซึ่งจะใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954 และเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสายเดสก์ท็อป ✅ สเปกและประสิทธิภาพของ Arrow Lake Refresh ➡️ Core Ultra 7 270K Plus มี 24 คอร์ (8P + 16E) ➡️ เพิ่มจากรุ่นก่อนหน้า 265K ที่มี 20 คอร์ ➡️ แคช L3 ขนาด 36MB มากกว่ารุ่นเดิม ➡️ ความเร็วบูสต์ 5.50GHz เท่ากับรุ่นก่อน ➡️ คะแนน Geekbench 6: 3205 (ST) และ 22,206 (MT) ➡️ ทดสอบในระบบ Lenovo OEM พร้อมแรม DDR5 7200MT/s ➡️ ใช้ซ็อกเก็ต LGA 1851 เหมือนรุ่นก่อน ➡️ มีฟีเจอร์ใหม่ “200S Plus Boost” เพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ Core Ultra 9 290K Plus คาดว่าจะเพิ่มความเร็วและ TDP ➡️ เตรียมเปิดตัวต้นปี 2026 ✅ แผนอนาคตของ Intel ➡️ เตรียมเปิดตัว Nova Lake-S ในปีหน้า ➡️ ใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954 ➡️ เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสายเดสก์ท็อป ➡️ Arrow Lake Refresh อาจเป็นรุ่นสุดท้ายของ LGA 1851 https://wccftech.com/intel-core-ultra-200s-plus-arrow-lake-refresh-cpus-leak-9-290k-plus-7-270k-plus-benchmark/
    WCCFTECH.COM
    Intel Core Ultra 200S Plus "Arrow Lake Refresh" CPUs Leak: Flagship Is Ultra 9 290K Plus, Ultra 7 270K Plus Benchmarked
    Intel's upcoming Core Ultra 200S Plus "Arrow Lake Refresh" CPUs, such as the Ultra 9 290K Plus & Ultra 7 270K Plus, have leaked.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Fujitsu A77-K3 — แล็ปท็อป 16 นิ้วที่ยังมี DVD Drive ในปี 2026” — เมื่อการยึดมั่นในสื่อแบบดั้งเดิมกลายเป็นจุดขายในยุคที่ทุกคนวิ่งเข้าหาคลาวด์

    Fujitsu เปิดตัวโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ FMV Note A77-K3 ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่รุ่นที่ยังคงมี “DVD Drive” ในปี 2026 โดยออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ที่ต้องการความมั่นคง, ความสามารถในการเชื่อมต่อแบบครบครัน และการใช้งานระยะยาว โดยไม่เน้นความบางเบาเหมือนโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ ๆ

    A77-K3 มาพร้อมหน้าจอ WUXGA ขนาด 16 นิ้ว อัตราส่วน 16:10 ขอบบาง ใช้ชิป Intel Core i5-1335U, RAM DDR5 16GB และ SSD 256GB โดยมีพอร์ตเชื่อมต่อครบครัน เช่น USB4, USB 3.2, HDMI, LAN, SD Card และ Wi-Fi 7

    จุดเด่นคือการมี optical drive สำหรับอ่านแผ่น DVD ซึ่งหายากมากในโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ และเหมาะกับผู้ใช้ที่ยังต้องการเข้าถึงข้อมูลจากแผ่นเก่า เช่น ซอฟต์แวร์, เอกสาร, หรือสื่อการเรียนรู้

    นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย เช่น กล้องที่รองรับ Windows Hello พร้อมม่านปิดกล้องแบบกายภาพ และคีย์บอร์ดที่มีปุ่มลัดสำหรับเปิดเบราว์เซอร์หรือแอปช่วยเหลือ

    น้ำหนักประมาณ 1.9 กิโลกรัม ถือว่าหนักเมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ที่เน้นความเบา แต่ Fujitsu มองว่าความมั่นคงและการใช้งานที่หลากหลายสำคัญกว่า

    Fujitsu เปิดตัว FMV Note A77-K3 พร้อม DVD Drive ในปี 2026
    เป็นหนึ่งในไม่กี่รุ่นที่ยังรองรับ optical disk

    หน้าจอ WUXGA ขนาด 16 นิ้ว อัตราส่วน 16:10
    ขอบบาง เหมาะกับงาน productivity

    ใช้ Intel Core i5-1335U, RAM DDR5 16GB, SSD 256GB
    รองรับงานทั่วไปได้ดี

    มีพอร์ตเชื่อมต่อครบ เช่น USB4, HDMI, LAN, SD Card
    รองรับการใช้งานแบบมืออาชีพ

    รองรับ Wi-Fi 7 และ Windows Hello พร้อมม่านปิดกล้อง
    เพิ่มความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว

    คีย์บอร์ดมีปุ่มลัดสำหรับเปิดเบราว์เซอร์และแอปช่วยเหลือ
    เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการความสะดวก

    น้ำหนักประมาณ 1.9 กิโลกรัม
    ไม่เน้นความเบา แต่เน้นความมั่นคงและการเชื่อมต่อ

    https://www.techradar.com/pro/its-almost-2026-and-fujitsu-is-doing-its-best-to-save-optical-disks-the-a77-k3-is-a-16-inch-13th-gen-core-i5-laptop-with-a-dvd-drive
    💽 “Fujitsu A77-K3 — แล็ปท็อป 16 นิ้วที่ยังมี DVD Drive ในปี 2026” — เมื่อการยึดมั่นในสื่อแบบดั้งเดิมกลายเป็นจุดขายในยุคที่ทุกคนวิ่งเข้าหาคลาวด์ Fujitsu เปิดตัวโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ FMV Note A77-K3 ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่รุ่นที่ยังคงมี “DVD Drive” ในปี 2026 โดยออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ที่ต้องการความมั่นคง, ความสามารถในการเชื่อมต่อแบบครบครัน และการใช้งานระยะยาว โดยไม่เน้นความบางเบาเหมือนโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ ๆ A77-K3 มาพร้อมหน้าจอ WUXGA ขนาด 16 นิ้ว อัตราส่วน 16:10 ขอบบาง ใช้ชิป Intel Core i5-1335U, RAM DDR5 16GB และ SSD 256GB โดยมีพอร์ตเชื่อมต่อครบครัน เช่น USB4, USB 3.2, HDMI, LAN, SD Card และ Wi-Fi 7 จุดเด่นคือการมี optical drive สำหรับอ่านแผ่น DVD ซึ่งหายากมากในโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ และเหมาะกับผู้ใช้ที่ยังต้องการเข้าถึงข้อมูลจากแผ่นเก่า เช่น ซอฟต์แวร์, เอกสาร, หรือสื่อการเรียนรู้ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย เช่น กล้องที่รองรับ Windows Hello พร้อมม่านปิดกล้องแบบกายภาพ และคีย์บอร์ดที่มีปุ่มลัดสำหรับเปิดเบราว์เซอร์หรือแอปช่วยเหลือ น้ำหนักประมาณ 1.9 กิโลกรัม ถือว่าหนักเมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ที่เน้นความเบา แต่ Fujitsu มองว่าความมั่นคงและการใช้งานที่หลากหลายสำคัญกว่า ✅ Fujitsu เปิดตัว FMV Note A77-K3 พร้อม DVD Drive ในปี 2026 ➡️ เป็นหนึ่งในไม่กี่รุ่นที่ยังรองรับ optical disk ✅ หน้าจอ WUXGA ขนาด 16 นิ้ว อัตราส่วน 16:10 ➡️ ขอบบาง เหมาะกับงาน productivity ✅ ใช้ Intel Core i5-1335U, RAM DDR5 16GB, SSD 256GB ➡️ รองรับงานทั่วไปได้ดี ✅ มีพอร์ตเชื่อมต่อครบ เช่น USB4, HDMI, LAN, SD Card ➡️ รองรับการใช้งานแบบมืออาชีพ ✅ รองรับ Wi-Fi 7 และ Windows Hello พร้อมม่านปิดกล้อง ➡️ เพิ่มความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ✅ คีย์บอร์ดมีปุ่มลัดสำหรับเปิดเบราว์เซอร์และแอปช่วยเหลือ ➡️ เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการความสะดวก ✅ น้ำหนักประมาณ 1.9 กิโลกรัม ➡️ ไม่เน้นความเบา แต่เน้นความมั่นคงและการเชื่อมต่อ https://www.techradar.com/pro/its-almost-2026-and-fujitsu-is-doing-its-best-to-save-optical-disks-the-a77-k3-is-a-16-inch-13th-gen-core-i5-laptop-with-a-dvd-drive
    WWW.TECHRADAR.COM
    Fujitsu just launched a 16-inch laptop that sports an optical drive
    Optical drive usage may be dropping, yet Fujitsu refuses to let them die
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 228 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Flax Typhoon ฝัง Web Shell ใน ArcGIS SOE” — แฮกเกอร์จีนเข้าถึงระบบนานกว่า 1 ปีโดยใช้ซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้เป็นช่องทางลับ

    กลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนชื่อ “Flax Typhoon” หรือ “Ethereal Panda” ถูกเปิดโปงว่าใช้เทคนิคใหม่ในการแทรกซึมระบบองค์กรผ่าน ArcGIS โดยเปลี่ยน Java Server Object Extension (SOE) ที่ถูกต้องตามมาตรฐานให้กลายเป็น Web Shell แบบลับ ซึ่งสามารถควบคุมระบบได้โดยไม่ถูกตรวจจับ

    การโจมตีนี้กินเวลานานกว่า 12 เดือน โดยแฮกเกอร์ฝัง SOE ที่มี access key แบบ hardcoded ลงในระบบ และฝังไว้ในไฟล์ backup เพื่อให้กลับมาได้แม้ระบบจะถูกกู้คืนแล้วก็ตาม

    หลังจากเข้าถึงระบบผ่านบัญชีผู้ดูแล ArcGIS ที่ถูกขโมย พวกเขาใช้คำสั่ง base64 ที่ดูเหมือนคำสั่งปกติของ ArcGIS เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ และใช้ API ของ ArcGIS ในการรันคำสั่ง PowerShell สร้าง VPN bridge ลับผ่านไฟล์ “bridge.exe” ที่ถูกแปลงชื่อจาก SoftEther VPN

    สุดท้าย Flax Typhoon พยายามเข้าถึง workstation ของ IT เพื่อขโมยข้อมูลจาก SAM และ LSA โดยใช้ RemoteRegistry และสร้างไฟล์ pass.txt.lnk เพื่อเก็บรหัสผ่าน

    ReliaQuest ซึ่งเป็นผู้เปิดเผยการโจมตีนี้ ระบุว่า Flax Typhoon มีแนวโน้มจะยังคงแฝงตัวอยู่ในเครือข่ายอื่น ๆ และมักทำงานในช่วงเวลาตรงกับเวลาทำการของจีน (00:00–06:00 UTC)

    ข้อมูลในข่าว
    Flax Typhoon เป็นกลุ่ม APT ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน
    ใช้ ArcGIS SOE ที่ถูกต้องตามมาตรฐานแปลงเป็น Web Shell
    Web Shell มี access key แบบ hardcoded และฝังใน backup เพื่อความคงอยู่
    เข้าถึงระบบผ่านบัญชีผู้ดูแล ArcGIS ที่ถูกขโมย
    ใช้คำสั่ง base64 ผ่าน API เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ
    สร้าง VPN bridge ลับผ่านไฟล์ bridge.exe ที่แปลงชื่อจาก SoftEther VPN
    พยายามเข้าถึง workstation ของ IT เพื่อขโมย SAM และ LSA secrets
    สร้างไฟล์ pass.txt.lnk เพื่อเก็บรหัสผ่าน
    ReliaQuest ระบุว่า Flax Typhoon มีแนวโน้มยังแฝงตัวในเครือข่ายอื่น
    เวลาทำงานของกลุ่มตรงกับเวลาทำการของจีน (00:00–06:00 UTC)

    https://securityonline.info/china-backed-flax-typhoon-apt-maintained-year-long-access-by-turning-arcgis-soe-into-web-shell-backdoor/
    🌪️ “Flax Typhoon ฝัง Web Shell ใน ArcGIS SOE” — แฮกเกอร์จีนเข้าถึงระบบนานกว่า 1 ปีโดยใช้ซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้เป็นช่องทางลับ กลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนชื่อ “Flax Typhoon” หรือ “Ethereal Panda” ถูกเปิดโปงว่าใช้เทคนิคใหม่ในการแทรกซึมระบบองค์กรผ่าน ArcGIS โดยเปลี่ยน Java Server Object Extension (SOE) ที่ถูกต้องตามมาตรฐานให้กลายเป็น Web Shell แบบลับ ซึ่งสามารถควบคุมระบบได้โดยไม่ถูกตรวจจับ การโจมตีนี้กินเวลานานกว่า 12 เดือน โดยแฮกเกอร์ฝัง SOE ที่มี access key แบบ hardcoded ลงในระบบ และฝังไว้ในไฟล์ backup เพื่อให้กลับมาได้แม้ระบบจะถูกกู้คืนแล้วก็ตาม หลังจากเข้าถึงระบบผ่านบัญชีผู้ดูแล ArcGIS ที่ถูกขโมย พวกเขาใช้คำสั่ง base64 ที่ดูเหมือนคำสั่งปกติของ ArcGIS เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ และใช้ API ของ ArcGIS ในการรันคำสั่ง PowerShell สร้าง VPN bridge ลับผ่านไฟล์ “bridge.exe” ที่ถูกแปลงชื่อจาก SoftEther VPN สุดท้าย Flax Typhoon พยายามเข้าถึง workstation ของ IT เพื่อขโมยข้อมูลจาก SAM และ LSA โดยใช้ RemoteRegistry และสร้างไฟล์ pass.txt.lnk เพื่อเก็บรหัสผ่าน ReliaQuest ซึ่งเป็นผู้เปิดเผยการโจมตีนี้ ระบุว่า Flax Typhoon มีแนวโน้มจะยังคงแฝงตัวอยู่ในเครือข่ายอื่น ๆ และมักทำงานในช่วงเวลาตรงกับเวลาทำการของจีน (00:00–06:00 UTC) ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Flax Typhoon เป็นกลุ่ม APT ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน ➡️ ใช้ ArcGIS SOE ที่ถูกต้องตามมาตรฐานแปลงเป็น Web Shell ➡️ Web Shell มี access key แบบ hardcoded และฝังใน backup เพื่อความคงอยู่ ➡️ เข้าถึงระบบผ่านบัญชีผู้ดูแล ArcGIS ที่ถูกขโมย ➡️ ใช้คำสั่ง base64 ผ่าน API เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ➡️ สร้าง VPN bridge ลับผ่านไฟล์ bridge.exe ที่แปลงชื่อจาก SoftEther VPN ➡️ พยายามเข้าถึง workstation ของ IT เพื่อขโมย SAM และ LSA secrets ➡️ สร้างไฟล์ pass.txt.lnk เพื่อเก็บรหัสผ่าน ➡️ ReliaQuest ระบุว่า Flax Typhoon มีแนวโน้มยังแฝงตัวในเครือข่ายอื่น ➡️ เวลาทำงานของกลุ่มตรงกับเวลาทำการของจีน (00:00–06:00 UTC) https://securityonline.info/china-backed-flax-typhoon-apt-maintained-year-long-access-by-turning-arcgis-soe-into-web-shell-backdoor/
    SECURITYONLINE.INFO
    China-Backed Flax Typhoon APT Maintained Year-Long Access by Turning ArcGIS SOE into Web Shell Backdoor
    ReliaQuest exposed Flax Typhoon for a year-long breach, where the China-backed APT turned a legitimate ArcGIS Java SOE into a web shell and embedded it in backups to ensure persistence.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “Bitcoin ร่วง 5.5% เหลือ 114,505 ดอลลาร์ — สะท้อนความผันผวนในตลาดคริปโต”

    เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา Bitcoin ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลก ได้ปรับตัวลดลงประมาณ 5.5% โดยราคาล่าสุดอยู่ที่ 114,505 ดอลลาร์สหรัฐ ณ เวลา 20:58 GMT หรือ 16:58 ET ตามรายงานของ Reuters การลดลงครั้งนี้สะท้อนถึงความผันผวนที่ยังคงอยู่ในตลาดคริปโตเคอร์เรนซี แม้จะมีการฟื้นตัวในช่วงก่อนหน้านี้

    การเคลื่อนไหวของราคา Bitcoin มักได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย เช่น การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก และการปรับตัวของนักลงทุนต่อข่าวสารในวงการเทคโนโลยีและการเงิน

    นอกจากนี้ การลดลงของ Bitcoin ยังอาจส่งผลต่อราคาของคริปโตอื่นๆ เช่น Ethereum, Solana และ BNB ซึ่งมักเคลื่อนไหวตามทิศทางของ Bitcoin โดยรวม

    สถานการณ์ล่าสุดของ Bitcoin
    ราคาลดลง 5.5% เหลือ 114,505 ดอลลาร์สหรัฐ
    เวลารายงานคือ 20:58 GMT วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2025

    ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อราคา
    ความผันผวนของตลาดคริปโตโดยรวม
    การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของธนาคารกลาง
    ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก

    ผลกระทบต่อคริปโตอื่นๆ
    Ethereum, Solana, BNB อาจได้รับผลกระทบตามทิศทางของ Bitcoin
    นักลงทุนอาจปรับพอร์ตหรือชะลอการลงทุนในช่วงที่ตลาดผันผวน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Bitcoin มีจำนวนจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญ ทำให้มีลักษณะ deflationary
    ตลาดคริปโตเปิดตลอด 24 ชั่วโมง และมีความผันผวนสูงกว่าตลาดหุ้นทั่วไป
    การลงทุนในคริปโตควรมีการศึกษาความเสี่ยงอย่างรอบคอบ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/11/bitcoin-down-55-at-114505
    🪙 หัวข้อข่าว: “Bitcoin ร่วง 5.5% เหลือ 114,505 ดอลลาร์ — สะท้อนความผันผวนในตลาดคริปโต” เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา Bitcoin ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลก ได้ปรับตัวลดลงประมาณ 5.5% โดยราคาล่าสุดอยู่ที่ 114,505 ดอลลาร์สหรัฐ ณ เวลา 20:58 GMT หรือ 16:58 ET ตามรายงานของ Reuters การลดลงครั้งนี้สะท้อนถึงความผันผวนที่ยังคงอยู่ในตลาดคริปโตเคอร์เรนซี แม้จะมีการฟื้นตัวในช่วงก่อนหน้านี้ การเคลื่อนไหวของราคา Bitcoin มักได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย เช่น การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก และการปรับตัวของนักลงทุนต่อข่าวสารในวงการเทคโนโลยีและการเงิน นอกจากนี้ การลดลงของ Bitcoin ยังอาจส่งผลต่อราคาของคริปโตอื่นๆ เช่น Ethereum, Solana และ BNB ซึ่งมักเคลื่อนไหวตามทิศทางของ Bitcoin โดยรวม ✅ สถานการณ์ล่าสุดของ Bitcoin ➡️ ราคาลดลง 5.5% เหลือ 114,505 ดอลลาร์สหรัฐ ➡️ เวลารายงานคือ 20:58 GMT วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2025 ✅ ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อราคา ➡️ ความผันผวนของตลาดคริปโตโดยรวม ➡️ การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของธนาคารกลาง ➡️ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก ✅ ผลกระทบต่อคริปโตอื่นๆ ➡️ Ethereum, Solana, BNB อาจได้รับผลกระทบตามทิศทางของ Bitcoin ➡️ นักลงทุนอาจปรับพอร์ตหรือชะลอการลงทุนในช่วงที่ตลาดผันผวน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Bitcoin มีจำนวนจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญ ทำให้มีลักษณะ deflationary ➡️ ตลาดคริปโตเปิดตลอด 24 ชั่วโมง และมีความผันผวนสูงกว่าตลาดหุ้นทั่วไป ➡️ การลงทุนในคริปโตควรมีการศึกษาความเสี่ยงอย่างรอบคอบ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/11/bitcoin-down-55-at-114505
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Bitcoin down 5.5% at $114,505
    (Reuters) -Bitcoin, the world's largest cryptocurrency by market value, was down by around 5.5% at $114,505 at 1658 ET (2058 GMT) on Friday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 319 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🛜 “Wireguard FPGA — ปฏิวัติความปลอดภัยเครือข่ายด้วยฮาร์ดแวร์โอเพนซอร์สราคาประหยัด”

    ในยุคที่ความปลอดภัยของข้อมูลกลายเป็นเรื่องสำคัญระดับโลก การเชื่อมต่อเครือข่ายผ่าน VPN กลายเป็นสิ่งจำเป็น แต่โซลูชันแบบเดิมอย่าง OpenVPN หรือ IPSec เริ่มล้าหลัง ทั้งในด้านประสิทธิภาพและความซับซ้อนในการจัดการ นี่คือจุดเริ่มต้นของโครงการ “Wireguard FPGA” ที่มุ่งสร้างระบบ VPN แบบฮาร์ดแวร์เต็มรูปแบบ ด้วยความเร็วระดับสายไฟ (wire-speed) บน FPGA ราคาประหยัด พร้อมเปิดซอร์สให้ทุกคนเข้าถึงได้

    โครงการนี้ใช้ Artix-7 FPGA ซึ่งรองรับเครื่องมือโอเพนซอร์ส และเขียนโค้ดทั้งหมดด้วย Verilog/SystemVerilog โดยไม่พึ่งพา IP แบบปิดหรือเครื่องมือเชิงพาณิชย์ จุดเด่นคือการออกแบบระบบให้ทำงานแบบ self-contained ไม่ต้องพึ่งพา PC host และสามารถจัดการการเข้ารหัสแบบ ChaCha20-Poly1305 ได้ในระดับฮาร์ดแวร์

    ทีมงานเบื้องหลังเคยมีส่วนร่วมในโครงการ Blackwire ซึ่งเป็นฮาร์ดแวร์ VPN ความเร็ว 100Gbps แต่มีข้อจำกัดด้านราคาและเครื่องมือที่ใช้ ทำให้ Wireguard FPGA ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยมีแผนพัฒนาเป็นหลายเฟส ตั้งแต่การสร้างต้นแบบ ไปจนถึงการทดสอบจริง และการเพิ่มฟีเจอร์ควบคุมการไหลของข้อมูล


    เป้าหมายของโครงการ Wireguard FPGA
    สร้างระบบ VPN แบบฮาร์ดแวร์ที่เร็วระดับสายไฟ
    ใช้ Artix-7 FPGA ราคาประหยัดและเครื่องมือโอเพนซอร์ส
    เขียนโค้ดด้วย Verilog/SystemVerilog ทั้งหมด

    ความแตกต่างจากโครงการ Blackwire
    Blackwire ใช้ Alveo U50 ที่มีราคาสูงและเครื่องมือ Vivado แบบปิด
    Wireguard FPGA ไม่พึ่งพา PC host และใช้โค้ดที่เข้าถึงได้ง่าย
    Blackwire เปิดซอร์สเพราะปัญหาทางการเงิน ไม่ใช่เจตนาเดิม

    สถาปัตยกรรมระบบ
    แบ่งเป็น Control Plane (ซอฟต์แวร์บน RISC-V CPU) และ Data Plane (ฮาร์ดแวร์เข้ารหัส)
    ใช้ CSR-based HAL ในการเชื่อมต่อระหว่างสองส่วน
    รองรับการเข้ารหัส/ถอดรหัสด้วย ChaCha20-Poly1305 ในฮาร์ดแวร์

    การพัฒนาแบบหลายเฟส
    Phase 1: สร้างต้นแบบและทดสอบพื้นฐาน
    Phase 2: สร้าง datapath และรวม IP เข้าด้วยกัน
    Phase 3: พัฒนาเฟิร์มแวร์ควบคุมบน RISC-V
    Phase 4: จัดการ VPN tunnel แบบครบวงจร
    Phase 5: ทดสอบจริงและพอร์ตไปยัง OpenXC7
    Phase 6: เพิ่มโมดูลควบคุมการไหลของข้อมูล

    เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้
    ใช้ Verilator, cocoTB, VProc ISS ในการจำลอง
    ใช้ IP จากโครงการอื่น เช่น Corundum, Cookie Cutter SOC
    ใช้ระบบ co-simulation HAL ที่สร้างจาก SystemRDL

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ChaCha20-Poly1305 เป็นอัลกอริธึม AEAD ที่ใช้ใน Wireguard ตาม RFC7539
    Curve25519 ใช้สำหรับแลกเปลี่ยนคีย์แบบ ECDH
    OpenXC7 เป็นเครื่องมือโอเพนซอร์สสำหรับ FPGA ตระกูล Xilinx Series7

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    Artix-7 ไม่รองรับ High-Performance I/O ทำให้จำกัดความเร็วที่ 600MHz
    เครื่องมือโอเพนซอร์สยังไม่สมบูรณ์ อาจมีปัญหา timing closure และ routing
    การจำลองระบบขนาดใหญ่ต้องใช้ทรัพยากรสูงและอาจไม่เหมาะกับทุกคน
    การพอร์ตไปยัง OpenXC7 ยังมีปัญหา crash และไม่มี timing-driven STA

    https://github.com/chili-chips-ba/wireguard-fpga
    🛜 “Wireguard FPGA — ปฏิวัติความปลอดภัยเครือข่ายด้วยฮาร์ดแวร์โอเพนซอร์สราคาประหยัด” ในยุคที่ความปลอดภัยของข้อมูลกลายเป็นเรื่องสำคัญระดับโลก การเชื่อมต่อเครือข่ายผ่าน VPN กลายเป็นสิ่งจำเป็น แต่โซลูชันแบบเดิมอย่าง OpenVPN หรือ IPSec เริ่มล้าหลัง ทั้งในด้านประสิทธิภาพและความซับซ้อนในการจัดการ นี่คือจุดเริ่มต้นของโครงการ “Wireguard FPGA” ที่มุ่งสร้างระบบ VPN แบบฮาร์ดแวร์เต็มรูปแบบ ด้วยความเร็วระดับสายไฟ (wire-speed) บน FPGA ราคาประหยัด พร้อมเปิดซอร์สให้ทุกคนเข้าถึงได้ โครงการนี้ใช้ Artix-7 FPGA ซึ่งรองรับเครื่องมือโอเพนซอร์ส และเขียนโค้ดทั้งหมดด้วย Verilog/SystemVerilog โดยไม่พึ่งพา IP แบบปิดหรือเครื่องมือเชิงพาณิชย์ จุดเด่นคือการออกแบบระบบให้ทำงานแบบ self-contained ไม่ต้องพึ่งพา PC host และสามารถจัดการการเข้ารหัสแบบ ChaCha20-Poly1305 ได้ในระดับฮาร์ดแวร์ ทีมงานเบื้องหลังเคยมีส่วนร่วมในโครงการ Blackwire ซึ่งเป็นฮาร์ดแวร์ VPN ความเร็ว 100Gbps แต่มีข้อจำกัดด้านราคาและเครื่องมือที่ใช้ ทำให้ Wireguard FPGA ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยมีแผนพัฒนาเป็นหลายเฟส ตั้งแต่การสร้างต้นแบบ ไปจนถึงการทดสอบจริง และการเพิ่มฟีเจอร์ควบคุมการไหลของข้อมูล ✅ เป้าหมายของโครงการ Wireguard FPGA ➡️ สร้างระบบ VPN แบบฮาร์ดแวร์ที่เร็วระดับสายไฟ ➡️ ใช้ Artix-7 FPGA ราคาประหยัดและเครื่องมือโอเพนซอร์ส ➡️ เขียนโค้ดด้วย Verilog/SystemVerilog ทั้งหมด ✅ ความแตกต่างจากโครงการ Blackwire ➡️ Blackwire ใช้ Alveo U50 ที่มีราคาสูงและเครื่องมือ Vivado แบบปิด ➡️ Wireguard FPGA ไม่พึ่งพา PC host และใช้โค้ดที่เข้าถึงได้ง่าย ➡️ Blackwire เปิดซอร์สเพราะปัญหาทางการเงิน ไม่ใช่เจตนาเดิม ✅ สถาปัตยกรรมระบบ ➡️ แบ่งเป็น Control Plane (ซอฟต์แวร์บน RISC-V CPU) และ Data Plane (ฮาร์ดแวร์เข้ารหัส) ➡️ ใช้ CSR-based HAL ในการเชื่อมต่อระหว่างสองส่วน ➡️ รองรับการเข้ารหัส/ถอดรหัสด้วย ChaCha20-Poly1305 ในฮาร์ดแวร์ ✅ การพัฒนาแบบหลายเฟส ➡️ Phase 1: สร้างต้นแบบและทดสอบพื้นฐาน ➡️ Phase 2: สร้าง datapath และรวม IP เข้าด้วยกัน ➡️ Phase 3: พัฒนาเฟิร์มแวร์ควบคุมบน RISC-V ➡️ Phase 4: จัดการ VPN tunnel แบบครบวงจร ➡️ Phase 5: ทดสอบจริงและพอร์ตไปยัง OpenXC7 ➡️ Phase 6: เพิ่มโมดูลควบคุมการไหลของข้อมูล ✅ เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้ ➡️ ใช้ Verilator, cocoTB, VProc ISS ในการจำลอง ➡️ ใช้ IP จากโครงการอื่น เช่น Corundum, Cookie Cutter SOC ➡️ ใช้ระบบ co-simulation HAL ที่สร้างจาก SystemRDL ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ChaCha20-Poly1305 เป็นอัลกอริธึม AEAD ที่ใช้ใน Wireguard ตาม RFC7539 ➡️ Curve25519 ใช้สำหรับแลกเปลี่ยนคีย์แบบ ECDH ➡️ OpenXC7 เป็นเครื่องมือโอเพนซอร์สสำหรับ FPGA ตระกูล Xilinx Series7 ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ Artix-7 ไม่รองรับ High-Performance I/O ทำให้จำกัดความเร็วที่ 600MHz ⛔ เครื่องมือโอเพนซอร์สยังไม่สมบูรณ์ อาจมีปัญหา timing closure และ routing ⛔ การจำลองระบบขนาดใหญ่ต้องใช้ทรัพยากรสูงและอาจไม่เหมาะกับทุกคน ⛔ การพอร์ตไปยัง OpenXC7 ยังมีปัญหา crash และไม่มี timing-driven STA https://github.com/chili-chips-ba/wireguard-fpga
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 279 มุมมอง 0 รีวิว
  • “System76 เปิดตัว Oryx Pro รุ่นใหม่ — แล็ปท็อป Linux เครื่องแรกที่มาพร้อม COSMIC Desktop เต็มรูปแบบ”

    System76 ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ Linux ชื่อดังจากสหรัฐฯ ประกาศเปิดตัว Oryx Pro รุ่นใหม่ล่าสุดในเดือนตุลาคม 2025 ซึ่งถือเป็นแล็ปท็อปเครื่องแรกที่มาพร้อม COSMIC Desktop เวอร์ชันเบต้า ติดตั้งบน Pop!_OS 24.04 LTS โดยตรง ถือเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนา Linux Desktop ที่ออกแบบมาเพื่อประสบการณ์ผู้ใช้ที่ลื่นไหลและทันสมัย

    Oryx Pro รุ่นใหม่นี้มาพร้อมสเปกระดับสูงที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้านวิศวกรรม การพัฒนา AI และการเล่นเกม โดยใช้ชิป AMD Ryzen AI 9 HX 370 แบบ 12 คอร์ 24 เธรด ความเร็วสูงสุด 5.1GHz พร้อมกราฟิก NVIDIA GeForce RTX 5070 และรองรับ RAM สูงสุดถึง 96GB DDR5 ความเร็ว 5600MHz รวมถึงพื้นที่เก็บข้อมูลแบบ M.2 PCIe Gen4 สูงสุด 8TB

    หน้าจอขนาด 16 นิ้วแบบ 2K matte มีอัตราส่วน 16:10 และรีเฟรชเรตสูงถึง 240Hz เหมาะสำหรับงานกราฟิกและการเล่นเกมที่ต้องการความแม่นยำสูง ส่วนระบบเชื่อมต่อก็จัดเต็มด้วย Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.4, USB 4 Type-C, HDMI, DisplayPort, microSD card reader และช่องหูฟัง 3.5 มม.

    COSMIC Desktop ซึ่งเป็นผลงานพัฒนาโดย System76 เอง ถูกออกแบบใหม่ทั้งหมดโดยใช้ Rust และ GTK4 เพื่อให้มีความเร็ว ความเสถียร และความสามารถในการปรับแต่งสูง โดยเน้นการใช้งานแบบ keyboard-centric และ workflow ที่ไม่รบกวนผู้ใช้

    Oryx Pro ยังสามารถเลือกติดตั้ง Ubuntu 24.04 LTS ได้แทน Pop!_OS หากผู้ใช้ต้องการ และเปิดให้สั่งซื้อแล้วผ่านเว็บไซต์ของ System76 โดยมีราคาเริ่มต้นที่ $2,599 USD

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Oryx Pro เป็นแล็ปท็อป Linux เครื่องแรกที่มาพร้อม COSMIC Desktop เวอร์ชันเบต้า
    ติดตั้ง Pop!_OS 24.04 LTS โดยตรง หรือเลือก Ubuntu 24.04 LTS ได้
    ใช้ชิป AMD Ryzen AI 9 HX 370 แบบ 12 คอร์ 24 เธรด ความเร็วสูงสุด 5.1GHz
    กราฟิก NVIDIA GeForce RTX 5070 รองรับงาน AI และเกมระดับสูง
    RAM สูงสุด 96GB DDR5 5600MHz และ SSD สูงสุด 8TB M.2 PCIe Gen4
    หน้าจอ 16 นิ้ว 2K matte อัตราส่วน 16:10 รีเฟรชเรต 240Hz
    ระบบเชื่อมต่อครบครัน: Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.4, USB 4, HDMI, DisplayPort ฯลฯ
    มีแบตเตอรี่ 80Wh, คีย์บอร์ดมีไฟ backlit พร้อม NumPad, กล้อง HD 1MP
    COSMIC Desktop พัฒนาโดย System76 ด้วยภาษา Rust และ GTK4
    เปิดให้สั่งซื้อแล้วผ่านเว็บไซต์ System76 ราคาเริ่มต้น $2,599 USD

    https://9to5linux.com/system76s-oryx-pro-is-the-first-linux-laptop-to-ship-with-the-cosmic-desktop
    💻 “System76 เปิดตัว Oryx Pro รุ่นใหม่ — แล็ปท็อป Linux เครื่องแรกที่มาพร้อม COSMIC Desktop เต็มรูปแบบ” System76 ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ Linux ชื่อดังจากสหรัฐฯ ประกาศเปิดตัว Oryx Pro รุ่นใหม่ล่าสุดในเดือนตุลาคม 2025 ซึ่งถือเป็นแล็ปท็อปเครื่องแรกที่มาพร้อม COSMIC Desktop เวอร์ชันเบต้า ติดตั้งบน Pop!_OS 24.04 LTS โดยตรง ถือเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนา Linux Desktop ที่ออกแบบมาเพื่อประสบการณ์ผู้ใช้ที่ลื่นไหลและทันสมัย Oryx Pro รุ่นใหม่นี้มาพร้อมสเปกระดับสูงที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้านวิศวกรรม การพัฒนา AI และการเล่นเกม โดยใช้ชิป AMD Ryzen AI 9 HX 370 แบบ 12 คอร์ 24 เธรด ความเร็วสูงสุด 5.1GHz พร้อมกราฟิก NVIDIA GeForce RTX 5070 และรองรับ RAM สูงสุดถึง 96GB DDR5 ความเร็ว 5600MHz รวมถึงพื้นที่เก็บข้อมูลแบบ M.2 PCIe Gen4 สูงสุด 8TB หน้าจอขนาด 16 นิ้วแบบ 2K matte มีอัตราส่วน 16:10 และรีเฟรชเรตสูงถึง 240Hz เหมาะสำหรับงานกราฟิกและการเล่นเกมที่ต้องการความแม่นยำสูง ส่วนระบบเชื่อมต่อก็จัดเต็มด้วย Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.4, USB 4 Type-C, HDMI, DisplayPort, microSD card reader และช่องหูฟัง 3.5 มม. COSMIC Desktop ซึ่งเป็นผลงานพัฒนาโดย System76 เอง ถูกออกแบบใหม่ทั้งหมดโดยใช้ Rust และ GTK4 เพื่อให้มีความเร็ว ความเสถียร และความสามารถในการปรับแต่งสูง โดยเน้นการใช้งานแบบ keyboard-centric และ workflow ที่ไม่รบกวนผู้ใช้ Oryx Pro ยังสามารถเลือกติดตั้ง Ubuntu 24.04 LTS ได้แทน Pop!_OS หากผู้ใช้ต้องการ และเปิดให้สั่งซื้อแล้วผ่านเว็บไซต์ของ System76 โดยมีราคาเริ่มต้นที่ $2,599 USD ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Oryx Pro เป็นแล็ปท็อป Linux เครื่องแรกที่มาพร้อม COSMIC Desktop เวอร์ชันเบต้า ➡️ ติดตั้ง Pop!_OS 24.04 LTS โดยตรง หรือเลือก Ubuntu 24.04 LTS ได้ ➡️ ใช้ชิป AMD Ryzen AI 9 HX 370 แบบ 12 คอร์ 24 เธรด ความเร็วสูงสุด 5.1GHz ➡️ กราฟิก NVIDIA GeForce RTX 5070 รองรับงาน AI และเกมระดับสูง ➡️ RAM สูงสุด 96GB DDR5 5600MHz และ SSD สูงสุด 8TB M.2 PCIe Gen4 ➡️ หน้าจอ 16 นิ้ว 2K matte อัตราส่วน 16:10 รีเฟรชเรต 240Hz ➡️ ระบบเชื่อมต่อครบครัน: Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.4, USB 4, HDMI, DisplayPort ฯลฯ ➡️ มีแบตเตอรี่ 80Wh, คีย์บอร์ดมีไฟ backlit พร้อม NumPad, กล้อง HD 1MP ➡️ COSMIC Desktop พัฒนาโดย System76 ด้วยภาษา Rust และ GTK4 ➡️ เปิดให้สั่งซื้อแล้วผ่านเว็บไซต์ System76 ราคาเริ่มต้น $2,599 USD https://9to5linux.com/system76s-oryx-pro-is-the-first-linux-laptop-to-ship-with-the-cosmic-desktop
    9TO5LINUX.COM
    System76's Oryx Pro Is the First Linux Laptop to Ship with the COSMIC Desktop - 9to5Linux
    System76 announces a new Oryx Pro laptop that comes preinstalled with the COSMIC Beta desktop environment on top of Pop!_OS 24.04 LTS.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • “SpaceX เตรียมปล่อยดาวเทียม Starlink กลุ่มใหม่ — พร้อมทดสอบ Starship ครั้งที่ 5 เพื่อภารกิจสู่ดวงจันทร์และดาวอังคาร”

    หลังจากเพิ่งปล่อยดาวเทียม Starlink ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน SpaceX ก็ไม่รอช้า เตรียมภารกิจใหม่ในวันที่ 3 ตุลาคม 2025 โดยจะปล่อยจรวด Falcon 9 จากฐานยิง SLC-4E ที่ Vandenberg Space Force Base รัฐแคลิฟอร์เนีย เวลา 6:00 น. PDT (13:00 UTC) ภารกิจนี้มีชื่อว่า Starlink Group 11-39 ซึ่งจะนำดาวเทียม Starlink V2 Mini จำนวน 28 ดวงเข้าสู่วงโคจรระดับต่ำที่ความสูงประมาณ 595 กิโลเมตร

    แม้จะเป็นภารกิจลำดับที่ 39 ของกลุ่มนี้ แต่จริง ๆ แล้วนี่คือการปล่อยครั้งที่ 15 สำหรับวงโคจรเฉพาะนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมประสิทธิภาพและขยายพื้นที่ครอบคลุมของเครือข่ายอินเทอร์เน็ต Starlink ที่ปัจจุบันมีดาวเทียมทำงานอยู่แล้วกว่า 8,460 ดวงทั่วโลก

    หลังจากปล่อยดาวเทียมแล้ว บูสเตอร์ขั้นแรกของ Falcon 9 จะพยายามลงจอดบนเรือโดรน “Of Course I Still Love You” ที่ลอยอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งอาจทำให้เกิดเสียงโซนิคบูมในพื้นที่ Santa Barbara, San Luis Obispo และ Ventura

    นอกจากภารกิจ Starlink แล้ว SpaceX ยังเตรียมทดสอบจรวด Starship ครั้งที่ 5 ในวันที่ 13 ตุลาคม 2025 จากฐาน Starbase ในรัฐเท็กซัส โดยจรวด Starship ถือเป็นจรวดที่ทรงพลังที่สุดในโลก และเป็นหัวใจของแผนการพามนุษย์กลับไปดวงจันทร์และเดินทางสู่ดาวอังคารในอนาคต

    การทดสอบครั้งก่อนในเดือนสิงหาคมประสบความสำเร็จ ขณะที่การทดสอบในเดือนมิถุนายนจบลงด้วยการระเบิด แต่ Elon Musk ยืนยันว่าจะเร่งรอบการทดสอบให้เร็วขึ้น หลังได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล

    ผู้สนใจสามารถติดตามการถ่ายทอดสดได้ผ่านเว็บไซต์ SpaceX, แอป X TV หรือบัญชี @SpaceX บนแพลตฟอร์ม X โดยการถ่ายทอดจะเริ่มประมาณ 5 นาทีก่อนปล่อยจรวด และสามารถใช้เครื่องมืออย่าง Satellite Tracker, SkySafari หรือ Stellarium เพื่อติดตามตำแหน่งของดาวเทียม Starlink ได้แบบเรียลไทม์

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    SpaceX เตรียมปล่อยจรวด Falcon 9 ภารกิจ Starlink Group 11-39 วันที่ 3 ตุลาคม 2025
    ปล่อยจากฐาน SLC-4E ที่ Vandenberg Space Force Base เวลา 6:00 น. PDT
    บรรทุกดาวเทียม Starlink V2 Mini จำนวน 28 ดวง เข้าสู่วงโคจรต่ำที่ 595 กม.
    เป็นการปล่อยครั้งที่ 15 สำหรับวงโคจรเฉพาะนี้ แม้จะเป็นภารกิจลำดับที่ 39
    ปัจจุบันมีดาวเทียม Starlink ทำงานอยู่แล้วกว่า 8,460 ดวง
    บูสเตอร์ขั้นแรกจะลงจอดบนเรือโดรน “Of Course I Still Love You” ในมหาสมุทรแปซิฟิก
    อาจเกิดเสียงโซนิคบูมในพื้นที่ Santa Barbara, San Luis Obispo และ Ventura
    SpaceX เตรียมทดสอบจรวด Starship ครั้งที่ 5 วันที่ 13 ตุลาคม 2025 ที่ Starbase, Texas
    Starship เป็นจรวดที่ทรงพลังที่สุดในโลก ใช้สำหรับภารกิจดวงจันทร์และดาวอังคาร
    การถ่ายทอดสดสามารถดูได้ผ่านเว็บไซต์ SpaceX, แอป X TV และบัญชี @SpaceX

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Starlink V2 Mini มีขนาดเล็กลงแต่ประสิทธิภาพสูงขึ้น รองรับการเชื่อมต่อในพื้นที่ห่างไกล
    เรือโดรน “Of Course I Still Love You” เป็นหนึ่งในระบบลงจอดอัตโนมัติของ SpaceX
    Starship มีความสูงกว่า 120 เมตร และสามารถบรรทุกน้ำหนักได้มากกว่า 100 ตัน
    การทดสอบ Starship เป็นขั้นตอนสำคัญก่อนภารกิจ Artemis ของ NASA
    การติดตามดาวเทียม Starlink สามารถทำได้ผ่านแอปมือถือและเว็บไซต์เฉพาะทาง

    https://www.slashgear.com/1984666/how-to-see-when-and-where-next-spacex-launch-is/
    🚀 “SpaceX เตรียมปล่อยดาวเทียม Starlink กลุ่มใหม่ — พร้อมทดสอบ Starship ครั้งที่ 5 เพื่อภารกิจสู่ดวงจันทร์และดาวอังคาร” หลังจากเพิ่งปล่อยดาวเทียม Starlink ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน SpaceX ก็ไม่รอช้า เตรียมภารกิจใหม่ในวันที่ 3 ตุลาคม 2025 โดยจะปล่อยจรวด Falcon 9 จากฐานยิง SLC-4E ที่ Vandenberg Space Force Base รัฐแคลิฟอร์เนีย เวลา 6:00 น. PDT (13:00 UTC) ภารกิจนี้มีชื่อว่า Starlink Group 11-39 ซึ่งจะนำดาวเทียม Starlink V2 Mini จำนวน 28 ดวงเข้าสู่วงโคจรระดับต่ำที่ความสูงประมาณ 595 กิโลเมตร แม้จะเป็นภารกิจลำดับที่ 39 ของกลุ่มนี้ แต่จริง ๆ แล้วนี่คือการปล่อยครั้งที่ 15 สำหรับวงโคจรเฉพาะนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมประสิทธิภาพและขยายพื้นที่ครอบคลุมของเครือข่ายอินเทอร์เน็ต Starlink ที่ปัจจุบันมีดาวเทียมทำงานอยู่แล้วกว่า 8,460 ดวงทั่วโลก หลังจากปล่อยดาวเทียมแล้ว บูสเตอร์ขั้นแรกของ Falcon 9 จะพยายามลงจอดบนเรือโดรน “Of Course I Still Love You” ที่ลอยอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งอาจทำให้เกิดเสียงโซนิคบูมในพื้นที่ Santa Barbara, San Luis Obispo และ Ventura นอกจากภารกิจ Starlink แล้ว SpaceX ยังเตรียมทดสอบจรวด Starship ครั้งที่ 5 ในวันที่ 13 ตุลาคม 2025 จากฐาน Starbase ในรัฐเท็กซัส โดยจรวด Starship ถือเป็นจรวดที่ทรงพลังที่สุดในโลก และเป็นหัวใจของแผนการพามนุษย์กลับไปดวงจันทร์และเดินทางสู่ดาวอังคารในอนาคต การทดสอบครั้งก่อนในเดือนสิงหาคมประสบความสำเร็จ ขณะที่การทดสอบในเดือนมิถุนายนจบลงด้วยการระเบิด แต่ Elon Musk ยืนยันว่าจะเร่งรอบการทดสอบให้เร็วขึ้น หลังได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล ผู้สนใจสามารถติดตามการถ่ายทอดสดได้ผ่านเว็บไซต์ SpaceX, แอป X TV หรือบัญชี @SpaceX บนแพลตฟอร์ม X โดยการถ่ายทอดจะเริ่มประมาณ 5 นาทีก่อนปล่อยจรวด และสามารถใช้เครื่องมืออย่าง Satellite Tracker, SkySafari หรือ Stellarium เพื่อติดตามตำแหน่งของดาวเทียม Starlink ได้แบบเรียลไทม์ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ SpaceX เตรียมปล่อยจรวด Falcon 9 ภารกิจ Starlink Group 11-39 วันที่ 3 ตุลาคม 2025 ➡️ ปล่อยจากฐาน SLC-4E ที่ Vandenberg Space Force Base เวลา 6:00 น. PDT ➡️ บรรทุกดาวเทียม Starlink V2 Mini จำนวน 28 ดวง เข้าสู่วงโคจรต่ำที่ 595 กม. ➡️ เป็นการปล่อยครั้งที่ 15 สำหรับวงโคจรเฉพาะนี้ แม้จะเป็นภารกิจลำดับที่ 39 ➡️ ปัจจุบันมีดาวเทียม Starlink ทำงานอยู่แล้วกว่า 8,460 ดวง ➡️ บูสเตอร์ขั้นแรกจะลงจอดบนเรือโดรน “Of Course I Still Love You” ในมหาสมุทรแปซิฟิก ➡️ อาจเกิดเสียงโซนิคบูมในพื้นที่ Santa Barbara, San Luis Obispo และ Ventura ➡️ SpaceX เตรียมทดสอบจรวด Starship ครั้งที่ 5 วันที่ 13 ตุลาคม 2025 ที่ Starbase, Texas ➡️ Starship เป็นจรวดที่ทรงพลังที่สุดในโลก ใช้สำหรับภารกิจดวงจันทร์และดาวอังคาร ➡️ การถ่ายทอดสดสามารถดูได้ผ่านเว็บไซต์ SpaceX, แอป X TV และบัญชี @SpaceX ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Starlink V2 Mini มีขนาดเล็กลงแต่ประสิทธิภาพสูงขึ้น รองรับการเชื่อมต่อในพื้นที่ห่างไกล ➡️ เรือโดรน “Of Course I Still Love You” เป็นหนึ่งในระบบลงจอดอัตโนมัติของ SpaceX ➡️ Starship มีความสูงกว่า 120 เมตร และสามารถบรรทุกน้ำหนักได้มากกว่า 100 ตัน ➡️ การทดสอบ Starship เป็นขั้นตอนสำคัญก่อนภารกิจ Artemis ของ NASA ➡️ การติดตามดาวเทียม Starlink สามารถทำได้ผ่านแอปมือถือและเว็บไซต์เฉพาะทาง https://www.slashgear.com/1984666/how-to-see-when-and-where-next-spacex-launch-is/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Interested In Seeing The Next SpaceX Launch? Here's What We Know About When And Where It Is - SlashGear
    SpaceX’s next Falcon 9 launch is scheduled for Oct. 3, 2025, from Vandenberg SFB in California, carrying 28 Starlink V2 Mini satellites.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 386 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts