• “The Case Against pgvector” – เมื่อเวกเตอร์ใน Postgres ไม่ง่ายอย่างที่คิด

    Alex Jacobs เล่าประสบการณ์ตรงจากการพยายามใช้ pgvector ในระบบโปรดักชันจริง เพื่อสร้างระบบค้นหาเอกสารด้วยเวกเตอร์ แต่กลับพบว่าแม้ pgvector จะดูดีในเดโม แต่เมื่อใช้งานจริงกลับเต็มไปด้วยปัญหาทางเทคนิคและการจัดการที่ซับซ้อน

    เขาไม่ได้บอกว่า pgvector “แย่” แต่ชี้ให้เห็นว่า blog ส่วนใหญ่พูดถึงแค่การติดตั้งและ query เบื้องต้น โดยไม่พูดถึงปัญหาเรื่อง index, memory, query planner, และการจัดการข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

    ความเข้าใจผิดจากบล็อกทั่วไป
    ส่วนใหญ่ทดสอบแค่ 10,000 vectors บนเครื่อง local
    ไม่พูดถึงปัญหา memory, index rebuild, หรือ query planner

    ปัญหาเรื่อง Index
    pgvector มี 2 แบบ: IVFFlat และ HNSW
    IVFFlat สร้างเร็วแต่คุณภาพลดลงเมื่อข้อมูลเพิ่ม
    HNSW แม่นยำแต่ใช้ RAM สูงมากและสร้างช้า

    การจัดการข้อมูลใหม่
    การ insert vector ใหม่ทำให้ index เสียสมดุล
    ต้อง rebuild index เป็นระยะ ซึ่งใช้เวลาหลายชั่วโมง
    การ update HNSW graph ทำให้เกิด lock contention

    ปัญหา query planner
    Postgres ไม่เข้าใจ vector search ดีพอ
    การ filter ก่อนหรือหลัง vector search ส่งผลต่อคุณภาพและความเร็ว
    การใช้ LIMIT อาจทำให้ผลลัพธ์ไม่ตรงกับความต้องการ

    การจัดการ metadata
    ต้อง sync vector กับข้อมูลอื่น เช่น title, user_id
    การ rebuild index ทำให้ข้อมูลอาจไม่ตรงกัน

    การทำ hybrid search
    ต้องเขียนเองทั้งหมด เช่น การรวม full-text กับ vector
    ต้อง normalize score และจัดการ ranking ด้วยตัวเอง

    ทางเลือกใหม่: pgvectorscale
    เพิ่ม StreamingDiskANN และ incremental index
    ยังไม่รองรับบน AWS RDS
    เป็นหลักฐานว่า pgvector เดิมยังไม่พร้อมสำหรับโปรดักชัน

    ข้อเสนอจากผู้เขียน
    ใช้ vector database โดยตรง เช่น Pinecone, Weaviate
    ได้ query planner ที่ฉลาดกว่า
    มี hybrid search และ real-time indexing ในตัว
    ราคาถูกกว่าการ over-provision Postgres และจ้างทีม optimize

    อย่าหลงเชื่อ “แค่ใช้ Postgres ก็พอ”
    pgvector ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับ high-velocity ingestion
    ต้องจัดการ memory, index, และ query เองทั้งหมด

    การใช้ HNSW ในโปรดักชัน
    สร้าง index ใช้ RAM มากกว่า 10 GB
    อาจทำให้ database ล่มระหว่างการสร้าง

    การ filter หลัง vector search
    อาจได้ผลลัพธ์ไม่ตรงกับความต้องการ
    ต้อง oversample และ filter เองใน application

    การใช้ pgvector บน RDS
    ไม่สามารถใช้ pgvectorscale ได้
    ต้องจัดการ Postgres เองทั้งหมด

    นี่คือเสียงเตือนจากคนที่เคยเชื่อว่า “รวมทุกอย่างไว้ใน Postgres จะง่ายกว่า” แต่พบว่าในโลกของ vector search—ความง่ายนั้นอาจซ่อนต้นทุนที่สูงกว่าที่คิดไว้มาก.

    https://alex-jacobs.com/posts/the-case-against-pgvector/
    📰 “The Case Against pgvector” – เมื่อเวกเตอร์ใน Postgres ไม่ง่ายอย่างที่คิด Alex Jacobs เล่าประสบการณ์ตรงจากการพยายามใช้ pgvector ในระบบโปรดักชันจริง เพื่อสร้างระบบค้นหาเอกสารด้วยเวกเตอร์ แต่กลับพบว่าแม้ pgvector จะดูดีในเดโม แต่เมื่อใช้งานจริงกลับเต็มไปด้วยปัญหาทางเทคนิคและการจัดการที่ซับซ้อน เขาไม่ได้บอกว่า pgvector “แย่” แต่ชี้ให้เห็นว่า blog ส่วนใหญ่พูดถึงแค่การติดตั้งและ query เบื้องต้น โดยไม่พูดถึงปัญหาเรื่อง index, memory, query planner, และการจัดการข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ✅ ความเข้าใจผิดจากบล็อกทั่วไป ➡️ ส่วนใหญ่ทดสอบแค่ 10,000 vectors บนเครื่อง local ➡️ ไม่พูดถึงปัญหา memory, index rebuild, หรือ query planner ✅ ปัญหาเรื่อง Index ➡️ pgvector มี 2 แบบ: IVFFlat และ HNSW ➡️ IVFFlat สร้างเร็วแต่คุณภาพลดลงเมื่อข้อมูลเพิ่ม ➡️ HNSW แม่นยำแต่ใช้ RAM สูงมากและสร้างช้า ✅ การจัดการข้อมูลใหม่ ➡️ การ insert vector ใหม่ทำให้ index เสียสมดุล ➡️ ต้อง rebuild index เป็นระยะ ซึ่งใช้เวลาหลายชั่วโมง ➡️ การ update HNSW graph ทำให้เกิด lock contention ✅ ปัญหา query planner ➡️ Postgres ไม่เข้าใจ vector search ดีพอ ➡️ การ filter ก่อนหรือหลัง vector search ส่งผลต่อคุณภาพและความเร็ว ➡️ การใช้ LIMIT อาจทำให้ผลลัพธ์ไม่ตรงกับความต้องการ ✅ การจัดการ metadata ➡️ ต้อง sync vector กับข้อมูลอื่น เช่น title, user_id ➡️ การ rebuild index ทำให้ข้อมูลอาจไม่ตรงกัน ✅ การทำ hybrid search ➡️ ต้องเขียนเองทั้งหมด เช่น การรวม full-text กับ vector ➡️ ต้อง normalize score และจัดการ ranking ด้วยตัวเอง ✅ ทางเลือกใหม่: pgvectorscale ➡️ เพิ่ม StreamingDiskANN และ incremental index ➡️ ยังไม่รองรับบน AWS RDS ➡️ เป็นหลักฐานว่า pgvector เดิมยังไม่พร้อมสำหรับโปรดักชัน ✅ ข้อเสนอจากผู้เขียน ➡️ ใช้ vector database โดยตรง เช่น Pinecone, Weaviate ➡️ ได้ query planner ที่ฉลาดกว่า ➡️ มี hybrid search และ real-time indexing ในตัว ➡️ ราคาถูกกว่าการ over-provision Postgres และจ้างทีม optimize ‼️ อย่าหลงเชื่อ “แค่ใช้ Postgres ก็พอ” ⛔ pgvector ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับ high-velocity ingestion ⛔ ต้องจัดการ memory, index, และ query เองทั้งหมด ‼️ การใช้ HNSW ในโปรดักชัน ⛔ สร้าง index ใช้ RAM มากกว่า 10 GB ⛔ อาจทำให้ database ล่มระหว่างการสร้าง ‼️ การ filter หลัง vector search ⛔ อาจได้ผลลัพธ์ไม่ตรงกับความต้องการ ⛔ ต้อง oversample และ filter เองใน application ‼️ การใช้ pgvector บน RDS ⛔ ไม่สามารถใช้ pgvectorscale ได้ ⛔ ต้องจัดการ Postgres เองทั้งหมด นี่คือเสียงเตือนจากคนที่เคยเชื่อว่า “รวมทุกอย่างไว้ใน Postgres จะง่ายกว่า” แต่พบว่าในโลกของ vector search—ความง่ายนั้นอาจซ่อนต้นทุนที่สูงกว่าที่คิดไว้มาก. https://alex-jacobs.com/posts/the-case-against-pgvector/
    ALEX-JACOBS.COM
    The Case Against pgvector | Alex Jacobs
    What happens when you try to run pgvector in production and discover all the things the blog posts conveniently forgot to mention
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • “CISO ข้ามอุตสาหกรรมได้ไหม? ถอดรหัสทักษะที่ยืดหยุ่นและความเสี่ยงที่ต้องรู้”

    ลองจินตนาการว่าคุณเป็น CISO (Chief Information Security Officer) ที่มีประสบการณ์แน่นในสายงานไอทีขององค์กรขนาดใหญ่ วันหนึ่งคุณอยากเปลี่ยนไปทำงานในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น จากสายการเงินไปสายสุขภาพ หรือจากเทคโนโลยีไปค้าปลีก…ฟังดูง่ายใช่ไหม? แต่ในความเป็นจริง มันไม่ง่ายอย่างที่คิด

    หลายคนพบว่าการย้ายข้ามอุตสาหกรรมเป็นเรื่องยาก เพราะผู้บริหารและบริษัทมักมองว่าทักษะของ CISO นั้นเฉพาะเจาะจงกับอุตสาหกรรมเดิม เช่น ถ้าคุณเคยทำในสายธนาคาร ก็จะถูกมองว่าเหมาะกับงานในสายธนาคารเท่านั้น

    แต่ก็มีคนที่ทำได้สำเร็จ เช่น Marc Ashworth จาก First Bank ที่เคยผ่านงานในอุตสาหกรรมอวกาศ สุขภาพ และการเงิน เขาใช้ประสบการณ์จากการเป็นที่ปรึกษาในการสร้างทักษะที่ยืดหยุ่น และสามารถปรับตัวได้กับทุกบริบท

    Tim Youngblood อดีต CISO ของ Dell ก็เช่นกัน เขาเริ่มต้นจากการเป็นที่ปรึกษา KPMG ทำให้ได้สัมผัสกับหลายอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้น และเรียนรู้ว่า “หลักการด้านความปลอดภัยนั้นเหมือนกันทุกที่ ต่างกันแค่บริบท”

    นอกจากนี้ ยังมีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการสรรหาบุคลากรว่า หากคุณไม่มีประสบการณ์ที่ปรึกษา ก็สามารถเริ่มจากการย้ายไปอุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างคล้ายกัน เช่น จากเภสัชกรรมไปสุขภาพ เพราะทั้งสองอยู่ในระบบที่มีการกำกับดูแลสูง

    สิ่งสำคัญคือ “การแสดงให้เห็นว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงในอุตสาหกรรมใหม่ และสามารถจัดการได้” เช่น Michael Meline ที่เคยเป็นตำรวจมาก่อน แล้วเปลี่ยนสายมาเป็นผู้บริหารด้านความปลอดภัยในธุรกิจการเงินและสุขภาพ โดยใช้หลักการบริหารความเสี่ยงเป็นแกนหลัก

    ทักษะที่ถ่ายโอนได้คือหัวใจของการเปลี่ยนอุตสาหกรรม
    การเป็นที่ปรึกษาให้หลายองค์กรช่วยสร้างความเข้าใจในหลายบริบท
    หลักการด้านความปลอดภัยมีความคล้ายกันในหลายอุตสาหกรรม
    การเข้าร่วมกลุ่ม ISACs (Information Sharing and Analysis Centers) ช่วยให้เข้าใจปัญหาเฉพาะของแต่ละอุตสาหกรรม
    การย้ายจากอุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างคล้ายกันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เช่น จากเภสัชกรรมไปสุขภาพ

    การแสดงผลลัพธ์ที่จับต้องได้ช่วยให้ผู้สรรหามองเห็นคุณค่า
    ต้องอธิบายให้ได้ว่าเคยทำอะไร มีผลกระทบอย่างไร และจะนำมาปรับใช้ในบริบทใหม่ได้อย่างไร
    การเข้าใจโครงสร้างองค์กรและภัยคุกคามเฉพาะของอุตสาหกรรมใหม่เป็นสิ่งจำเป็น

    ความเสี่ยงในการถูกมองว่า “เหมาะกับอุตสาหกรรมเดียว”
    อาจทำให้โอกาสในการเปลี่ยนสายงานลดลง
    ผู้บริหารบางคนยังยึดติดกับแนวคิด “อยู่ในสายไหนก็ต้องอยู่ในสายนั้น”

    การไม่เข้าใจความเสี่ยงเฉพาะของอุตสาหกรรมใหม่
    อาจทำให้ขาดความน่าเชื่อถือในการบริหารความปลอดภัย
    ส่งผลต่อการตัดสินใจรับเข้าทำงานในองค์กรใหม่

    ถ้าคุณกำลังคิดจะเปลี่ยนสายงานในระดับ CISO หรือผู้บริหารด้านความปลอดภัย ข้อคิดสำคัญคือ “อย่าขายแค่ตำแหน่งเดิม แต่ต้องขายผลลัพธ์และความเข้าใจในความเสี่ยง” แล้วคุณจะมีโอกาสข้ามอุตสาหกรรมได้อย่างมั่นใจ

    https://www.csoonline.com/article/4079956/tips-for-cisos-switching-between-industries.html
    🧭 “CISO ข้ามอุตสาหกรรมได้ไหม? ถอดรหัสทักษะที่ยืดหยุ่นและความเสี่ยงที่ต้องรู้” ลองจินตนาการว่าคุณเป็น CISO (Chief Information Security Officer) ที่มีประสบการณ์แน่นในสายงานไอทีขององค์กรขนาดใหญ่ วันหนึ่งคุณอยากเปลี่ยนไปทำงานในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น จากสายการเงินไปสายสุขภาพ หรือจากเทคโนโลยีไปค้าปลีก…ฟังดูง่ายใช่ไหม? แต่ในความเป็นจริง มันไม่ง่ายอย่างที่คิด หลายคนพบว่าการย้ายข้ามอุตสาหกรรมเป็นเรื่องยาก เพราะผู้บริหารและบริษัทมักมองว่าทักษะของ CISO นั้นเฉพาะเจาะจงกับอุตสาหกรรมเดิม เช่น ถ้าคุณเคยทำในสายธนาคาร ก็จะถูกมองว่าเหมาะกับงานในสายธนาคารเท่านั้น แต่ก็มีคนที่ทำได้สำเร็จ เช่น Marc Ashworth จาก First Bank ที่เคยผ่านงานในอุตสาหกรรมอวกาศ สุขภาพ และการเงิน เขาใช้ประสบการณ์จากการเป็นที่ปรึกษาในการสร้างทักษะที่ยืดหยุ่น และสามารถปรับตัวได้กับทุกบริบท Tim Youngblood อดีต CISO ของ Dell ก็เช่นกัน เขาเริ่มต้นจากการเป็นที่ปรึกษา KPMG ทำให้ได้สัมผัสกับหลายอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้น และเรียนรู้ว่า “หลักการด้านความปลอดภัยนั้นเหมือนกันทุกที่ ต่างกันแค่บริบท” นอกจากนี้ ยังมีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการสรรหาบุคลากรว่า หากคุณไม่มีประสบการณ์ที่ปรึกษา ก็สามารถเริ่มจากการย้ายไปอุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างคล้ายกัน เช่น จากเภสัชกรรมไปสุขภาพ เพราะทั้งสองอยู่ในระบบที่มีการกำกับดูแลสูง สิ่งสำคัญคือ “การแสดงให้เห็นว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงในอุตสาหกรรมใหม่ และสามารถจัดการได้” เช่น Michael Meline ที่เคยเป็นตำรวจมาก่อน แล้วเปลี่ยนสายมาเป็นผู้บริหารด้านความปลอดภัยในธุรกิจการเงินและสุขภาพ โดยใช้หลักการบริหารความเสี่ยงเป็นแกนหลัก ✅ ทักษะที่ถ่ายโอนได้คือหัวใจของการเปลี่ยนอุตสาหกรรม ➡️ การเป็นที่ปรึกษาให้หลายองค์กรช่วยสร้างความเข้าใจในหลายบริบท ➡️ หลักการด้านความปลอดภัยมีความคล้ายกันในหลายอุตสาหกรรม ➡️ การเข้าร่วมกลุ่ม ISACs (Information Sharing and Analysis Centers) ช่วยให้เข้าใจปัญหาเฉพาะของแต่ละอุตสาหกรรม ➡️ การย้ายจากอุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างคล้ายกันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เช่น จากเภสัชกรรมไปสุขภาพ ✅ การแสดงผลลัพธ์ที่จับต้องได้ช่วยให้ผู้สรรหามองเห็นคุณค่า ➡️ ต้องอธิบายให้ได้ว่าเคยทำอะไร มีผลกระทบอย่างไร และจะนำมาปรับใช้ในบริบทใหม่ได้อย่างไร ➡️ การเข้าใจโครงสร้างองค์กรและภัยคุกคามเฉพาะของอุตสาหกรรมใหม่เป็นสิ่งจำเป็น ‼️ ความเสี่ยงในการถูกมองว่า “เหมาะกับอุตสาหกรรมเดียว” ⛔ อาจทำให้โอกาสในการเปลี่ยนสายงานลดลง ⛔ ผู้บริหารบางคนยังยึดติดกับแนวคิด “อยู่ในสายไหนก็ต้องอยู่ในสายนั้น” ‼️ การไม่เข้าใจความเสี่ยงเฉพาะของอุตสาหกรรมใหม่ ⛔ อาจทำให้ขาดความน่าเชื่อถือในการบริหารความปลอดภัย ⛔ ส่งผลต่อการตัดสินใจรับเข้าทำงานในองค์กรใหม่ ถ้าคุณกำลังคิดจะเปลี่ยนสายงานในระดับ CISO หรือผู้บริหารด้านความปลอดภัย ข้อคิดสำคัญคือ “อย่าขายแค่ตำแหน่งเดิม แต่ต้องขายผลลัพธ์และความเข้าใจในความเสี่ยง” แล้วคุณจะมีโอกาสข้ามอุตสาหกรรมได้อย่างมั่นใจ 💼✨ https://www.csoonline.com/article/4079956/tips-for-cisos-switching-between-industries.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Tips for CISOs switching between industries
    Moving between industries isn’t just about experience, it’s about transferring skills, understanding the business, and managing risk in new environments.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 192 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – บทนำ 3 – 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทนำ

    (3)

    ก่อนปี คศ 1882 โลกรู้จัก น้ำมันเหนียวๆ ดำๆ ที่เรา เรียกว่า ปิโตรเลียมแล้ว แต่ยังไม่รู้จะเอามาใช้ทำอะไรได้บ้าง และยังไม่รู้ว่า มันเป็นของมีค่ามหาศาล ถึงขนาดที่ฝ่ายที่อยากได้ หรือฝ่ายที่ไม่อยากให้ใครได้ไป พร้อมที่จะสร้างเรื่อง เพื่อทำสงครามฆ่าฟันประชาชนเจ้าของประเทศที่เป็นเจ้าของน้ำมันดำๆ เหนียวๆ นี้ ให้ตายเป็นเบือและประเทศเขาพินาศย่อยยับ อย่างไม่รู้สึกผิดและละอายแม้แต่น้อย

    ปี คศ 1853 ชาวเยอรมันชื่อ Stohwasser เป็นผู้ใช้เทคนิค ผลิตน้ำมันตะเกียง จากน้ำมันที่เรียกว่า ” rock oil” เพราะมันจะไหลออกมาจากก้อนหิน ในแหล่งที่มีน้ำมัน เช่นที่ Titusville ที่ รัฐ Pennsyvania หรือ ที่ Baku ของรัสเซีย หรือที่ Galicia ที่ขณะนี้เป็นส่วนหนึ่งของโปแลนด์

    John D Rockefeller คนโคตรรวยตัวแสบของอเมริกา คงได้ยินเรื่องน้ำมันตะเกียงของ เยอรมัน จึงตั้งบริษัทน้ำมัน The Standard Oil Company ขึ้นในปี คศ 1870 เพื่อขายน้ำมันตะเกียงบ้าง รวมทั้งน้ำมัน ที่นำมาใช้ผสมกับตัวยา เพื่อเป็นยารักษาโรค มันเป็นน้ำมันชนิดราคาถูก แต่ก็ทำให้ Rockefeller รวยขึ้นมาเป็นเศรษฐีได้เหมือนกัน เพราะเขาเล่นใช้วิธีผูกขาด และบี้ราคาคูแข่ง จนอยูไม่ได้และต้องขายกิจการให้เขาในราคาถูก ดีกว่าเจ๊งจนไม่เหลือแม้แต่กางเกง

    ดูเหมือนคนขายปุ๋ย ขายไก่แถวบ้านสมันน้อย ก็นำวิธีนี้มาใช้ บี้มันทุกกิจการ คนค้าขายคนเล็ก คนน้อย จึงต้องถอยร่น หร่อยหรอ และหายไปในที่สุด เหลือแต่รายใหญ่ยักษ์ครอบงำเกือบทั้งประเทศ รวย และก็เลว ไม่ต่างกัน

    ในขณะเดียวกับที่ Standard Oil ของ Rockefeller กำลังก้าวหน้า เขมือบคู่แข่งในอเมริกาไปเรื่อยๆ เจ้าพ่อของอีกฝั่งหนึ่งของมหา สมุทรแอตแลนติก ตระกูล Rothschild จมูกไว ก็เข้าไปขุดเจาะน้ำมันที่ Baku ใน Azerbaijun ของรัสเซีย ในปี คศ 1880 Rothschild มีโรงกลั่นน้ำมันใน Baku ประมาณ 200 แห่ง Rothschild ซึ่งมีรากเหง้ามาจากยิว ไม่ได้ไปขุดน้ำมันแต่ลำพัง ขนเอาบรรดาญาติพี่น้องของตระกูล ที่กระจายอยู่ในเมืองต่างๆของยุโรป เข้าไปค้าขาย และขยายพันธ์อยู่ในรัสเซียด้วย เป็นเรื่องที่สร้างความไม่พอใจให้แก่ซาร์นิโคลัสแห่งรัสเซีย ที่แสดงอย่างเปิดเผยว่าไม่ชอบยิว และไม่ชอบใจ Rothschild
    ปี คศ 1882 กัปตัน Fisher แห่งกองทัพเรืออังกฤษ พยายามชักชวน ให้กองทัพเรืออังกฤษ เปลี่ยนเครื่องยนต์เรือรบ จากใช้ถ่านหิน เป็นใช้น้ำมัน ซึ่งจะทำให้เรือรบน้ำหนักเบาลง และวิ่งได้เร็วขึ้น Fisher ไม่ได้เป็นรายแรก ที่คิดติดเครื่องให้เรือวิ่งด้วยน้ำมันแทนถ่านหิน รัสเซียก็ใช้มาแล้ว เป็นเรือกลไฟเติมน้ำมัน ที่รัสเซียเรียกว่า “mazut” วิ่งควันโขมงอยู่บริเวณทะเลสาป Caspain

    กัปตัน Fisher ทำการบ้านอย่างเคร่งเครียด ถึงข้อได้เปรียบ เสียเปรียบ ระหว่างการใช้เครื่องยนต์ ที่ใช้น้ำมันกับใช้ถ่านหิน ในที่สุด กองทัพเรืออังกฤษก็เห็นด้วย ที่จะเปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน เพราะ ถ้าทำสำเร็จ ไม่ใช่แค่กองทัพเรือของอังกฤษจะยิ่งกว่าใหญ่เท่านั้น มันคงจะทำให้ความฝัน ที่จะครองโลกไปตลอดกาลนานของอังกฤษ เป็นความจริงอีกด้วย

    อังกฤษคิดหนัก ฝันนี้จะเป็นจริงได้อย่างไร ในเมื่ออังกฤษไม่มีแหล่งน้ำมันของตนเอง บนเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย แม้แต่แหล่งเดียว

    ส่วนน้ำมันที่ Baku ของรัสเซีย ก็ทำท่าจะมีปัญหาประดังกันมา เรื่องแรก Rothschild ไม่ได้มีจมูกไวคนเดียว Rockefeller ก็มีคนตามดมกลิ่นให้เหมือนกัน ประมาณปี คศ. 1884 Rockefeller จึงเข้าไปใน Baku ช่วงแรก 2 ค่ายแข่งกันขุด แย่งกันขาย ผลปรากฏว่า อาการหนักทั้งคู่ น้ำมันล้นตลาด และราคาตก 2 เจ้าพ่อจึงจับมือตกลงกัน แบ่งเขต แบ่งโควต้ากันเอง ทำเหมือน Baku เป็นที่ดินสาธารณะ ไม่มีเจ้าของ ไม่เห็นหัวซาร์นิโคลัส เจ้าของตัวจริง

    เรื่องเอายิวไปแพร่พันธ์อยูใน รัสเซีย ก็ทำให้ซาร์นิโคลัส เหม็นหน้า Rothschild พอแล้ว นี่ Rothschild รวมหัวกับ Rockefelker ทำข้อตกลง เรื่องการขุดและขายน้ำมันที่ Baku อย่างนี้ ซาร์จะรับไหวหรือ เขาเฉี่ยวหัวเอา เหมือนไม่เห็นหัวเจ้าของ นโยบายส่งยิวออกนอกรัสเซีย จึงเริ่มเป็นรูปธรรม และแน่นอน นโยบายนี้ จึงเป็นการสร้างความขุ่น แค้นเคือง อาฆาต ไว้กับหลายกลุ่ม หลายคน เมื่อโอกาสจะครอบครอง แหล่งน้ำมันที่รัสเซีย ไม่ง่ายอย่างที่คิด อังกฤษจึงต้องหาเสาหลักที่สามต่อไป อย่างเร่งด่วน

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทนำ

    (4)

    ในปี คศ 1902 เป็นที่รู้กันทั่วไปแล้วว่า บริเวณอาณาจักรออตโตมาน ที่เรียกกันว่า เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) คือ อิรัคและคูเวตในปัจจุบันนี้แหละ เต็มไปด้วยแหล่งน้ำมันปิโตรเลียม แต่ละแหล่งจะมีปริมาณมากน้อยแค่ไหน และจะเข้าไปถึงแหล่งได้อย่างไร เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แค่การเจอแหล่งน้ำมันนี้ ก็ทำให้บรรดานักชิงน้ำมัน อยากเป็นเจ้าของปั้ม คิดแผนกันวุ่นไปหมด จนถึงทุกวันนี้ ย้ำ จนถึงทุกวันนี้

    ในที่สุด ปี คศ 1905 อังกฤษ ซึ่งใช้สายลับระดับใกล้เคียง 007 นาย Sidney Reilly ตามสืบจนรู้ว่า นาย William Knox d’Arcy วิศวกรชาวออสเตรเลีย และเป็นนักสำรวจธรณีวิทยาสมัครเล่น ซึ่งมีข่าวว่าเจอน้ำมัน ที่วิหารเก่าแก่แถวเมืองโบราณของอิหร่าน และเทียวไปเทียวมาที่ลอนดอน เพื่อหาเงินกู้มาใช้ในการขุดน้ำมัน ซึ่งโอกาสได้เงินกู้ ริบหรี่มาก
    แต่นาย d’Arcy นับว่ายังมีโชค เนื่องจากเขาเป็นวิศวกร จึงมีโอกาสได้รับใช้ Shah Muzaffar กษัตริย์เปอร์เซีย (อิหร่าน ปัจจุบัน) ซึ่งเพิ่งขึ้นมาครองบัลลังก์ในตอนนั้น และมีความตั้งใจที่จะพัฒนาประ เทศ โดยการสร้างทางรถไฟ ปี คศ 1901 Shah ตอบแทน d’Arcy ในการให้คำปรึกษาต่างๆ ด้วยการให้สัมปทานอายุ 60 ปี ที่จะขุดเจาะแผ่นดินส่วนไหนของเปอร์เซียก็ได้ ขุดเจออะไร ก็ให้ตกเป็นทรัพย์สินของนาย d’Arcy เขาจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้ Shah ไป สองหมื่นเหรียญ พร้อมตกลงแบ่งให้ Shah 16 เปอร์เซนต์ของรายรับที่จะได้ มันเป็นสัมปทาน ที่ตกทอดถึงทายาท และผู้รับโอนด้วย

    สายลับ Reilly ปลอมตัวเป็นพระ เพราะรู้ว่า นาย d’Arcy เป็นคนเคร่งศาสนา เขาเกลี้ยกล่อม หว่านล้อม จนในที่สุด นาย d’Arcy ซึ่งกำลังจะเซ็นสัญญาร่วมทุนกับกลุ่มธนาคารฝรั่งเศส ของพวก Rothschild เปลี่ยนใจ โอนสัมปทานให้พระปลอมแทน นาย d’Arcy คงนึกว่าได้ทำบุญกับพระเจ้า คงคิดไม่ต่างกับพวกที่ทำบุญกับพระปลอม ที่มาจากวัดจานบิน

    ได้แหล่งน้ำมาแล้ว 1 รายการ แต่คงไม่พอ สำหรับจะใช้เพื่อเป็นอาวุธครองโลก อังกฤษสายตายาวไกล มองจ้อง และจองเอาไว้ ทั่วทั้งตะวันออกกลาง โดยเฉพาะแถบ Mosul อังกฤษ รู้ว่าอาจจะต้องใช้เวลาหน่อย แต่ไม่น่าจะนานเกินรอ อังกฤษมีแผนเรียบร้อยแล้ว แค่รอจังหวะเวลาบางเรื่องเท่านั้นเอง

    แต่ใช่ว่ามีแต่อังกฤษ ที่คิดครองแหล่งน้ามัน เยอรมันเองก็คิด อาจจะต่างกันที่วิธีการ หรือกลยุทธ เท่านั้นเอง

    ประมาณปี คศ 1870 อุตสาหกรรมของอังกฤษ นำหน้าเยอรมัน ชนิดทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่น ในความเห็นของอังกฤษขณะนั้น เยอรมันไม่มีทีท่า ว่าจะขึ้นมาเป็นคู่แข่ง เรียกว่าไม่อยู่ในสายตาของอังกฤษ เอาเลย แต่หลังจากนั้นไม่ถึง 30 ปี อุตสาหกรรมของเยอรมัน โตเร็วเกินคาด ไม่ว่าจะเป็นการเดินเรือ การผลิตเหล็ก การไฟฟ้า เครื่องจักร เคมี ปุ๋ย ยารักษาโรคฯลฯ และทำให้เยอรมันเอง ก็ต้องการน้ำมัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิต ในการทำอุตสาหกรรม

    และในขณะนั้น เยอรมัน ก็ไม่ต่างกับอังกฤษ ที่ไม่มีแหล่งน้ำมันของตนเอง เยอรมันต้องพึ่งน้ำมันของ Standard Oil จึงอยู่ในกำมือของ Rockefeller จนหน้าเขียว เยอรมันจะทนหน้าเขียวไปตลอด ก็คงไม่ไหว

    กลุ่มอุตสาหกรรมและการเงินของเยอรมัน นำโดย Deutsche Bank จึงเจรจา กับรัฐบาลของออตโตมาน เพื่อรับสร้างทางรถไฟ ที่จะวิ่งจาก กรุงคอนแสตนติโนเปิล เมืองหลวงของออตโตมาน ข้ามผ่านอนาโตเลีย เป็นเส้นทางที่เยอรมันวางแผน จะให้ไปถึงเมือง แบกแดด เป็นเส้นทางที่ผ่านแหล่งน้ำมันใหญ่ไปตลอดสาย ข่าวนี้ ทำให้อังกฤษเครียดอย่างยิ่ง และถึงกับนอนฝันร้าย เมื่อมีรายงานข่าวว่า ระหว่างสร้างทางรถไฟ สัมพันธ์ระหว่างเยอรมัน กับออตโตมาน ก็กระชับแน่นขึ้น แน่นขึ้น ไปเรื่อยๆ
    สัมพันธ์คงกระชับกันแน่นจริง ในที่สุดออตโตมาน ก็ตกลง ให้เยอรมันสร้างทางรถไฟยาว ไปถึงแบกแดด ทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ยาว 2,500 ไมล์ ฝันร้ายของอังกฤษ กลายเป็นเรื่องจริง และเป็นเรื่องจริงที่ดีเกินความ ฝัน ของเยอรมัน เพราะ ในปี 1912 จากการเจรจาของ Deutsche Bank ออตโตมานเกิดใจดี แถมให้สิทธิ 2 ข้างทาง (right of way) กว้าง 20 กิโลเมตร ยาวตลอดเส้นทางรถไฟ ซึ่งจะไปถึง Mosul หรือ อืรัค ในปัจจุบัน แก่เยอรมัน

    ข่าวนี้ทำให้อังกฤษ ชาวเกาะใหญ่ เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ถึงกับยืนไม่อยู่ เข่าทรุดทิ้งตัวลงอย่างหมดแรง เท้าทั้ง 2 ข้าง จากนิ้วก้อยถึงนิ้วโป้ง ทำท่าจะรับน้ำหนักต่อไปอีกไม่ไหว จะให้ดีแบบนี้ ต้องมี 4 เท้า ถึงจะยืนอยู่ได้

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    21 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – บทนำ 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทนำ (3) ก่อนปี คศ 1882 โลกรู้จัก น้ำมันเหนียวๆ ดำๆ ที่เรา เรียกว่า ปิโตรเลียมแล้ว แต่ยังไม่รู้จะเอามาใช้ทำอะไรได้บ้าง และยังไม่รู้ว่า มันเป็นของมีค่ามหาศาล ถึงขนาดที่ฝ่ายที่อยากได้ หรือฝ่ายที่ไม่อยากให้ใครได้ไป พร้อมที่จะสร้างเรื่อง เพื่อทำสงครามฆ่าฟันประชาชนเจ้าของประเทศที่เป็นเจ้าของน้ำมันดำๆ เหนียวๆ นี้ ให้ตายเป็นเบือและประเทศเขาพินาศย่อยยับ อย่างไม่รู้สึกผิดและละอายแม้แต่น้อย ปี คศ 1853 ชาวเยอรมันชื่อ Stohwasser เป็นผู้ใช้เทคนิค ผลิตน้ำมันตะเกียง จากน้ำมันที่เรียกว่า ” rock oil” เพราะมันจะไหลออกมาจากก้อนหิน ในแหล่งที่มีน้ำมัน เช่นที่ Titusville ที่ รัฐ Pennsyvania หรือ ที่ Baku ของรัสเซีย หรือที่ Galicia ที่ขณะนี้เป็นส่วนหนึ่งของโปแลนด์ John D Rockefeller คนโคตรรวยตัวแสบของอเมริกา คงได้ยินเรื่องน้ำมันตะเกียงของ เยอรมัน จึงตั้งบริษัทน้ำมัน The Standard Oil Company ขึ้นในปี คศ 1870 เพื่อขายน้ำมันตะเกียงบ้าง รวมทั้งน้ำมัน ที่นำมาใช้ผสมกับตัวยา เพื่อเป็นยารักษาโรค มันเป็นน้ำมันชนิดราคาถูก แต่ก็ทำให้ Rockefeller รวยขึ้นมาเป็นเศรษฐีได้เหมือนกัน เพราะเขาเล่นใช้วิธีผูกขาด และบี้ราคาคูแข่ง จนอยูไม่ได้และต้องขายกิจการให้เขาในราคาถูก ดีกว่าเจ๊งจนไม่เหลือแม้แต่กางเกง ดูเหมือนคนขายปุ๋ย ขายไก่แถวบ้านสมันน้อย ก็นำวิธีนี้มาใช้ บี้มันทุกกิจการ คนค้าขายคนเล็ก คนน้อย จึงต้องถอยร่น หร่อยหรอ และหายไปในที่สุด เหลือแต่รายใหญ่ยักษ์ครอบงำเกือบทั้งประเทศ รวย และก็เลว ไม่ต่างกัน ในขณะเดียวกับที่ Standard Oil ของ Rockefeller กำลังก้าวหน้า เขมือบคู่แข่งในอเมริกาไปเรื่อยๆ เจ้าพ่อของอีกฝั่งหนึ่งของมหา สมุทรแอตแลนติก ตระกูล Rothschild จมูกไว ก็เข้าไปขุดเจาะน้ำมันที่ Baku ใน Azerbaijun ของรัสเซีย ในปี คศ 1880 Rothschild มีโรงกลั่นน้ำมันใน Baku ประมาณ 200 แห่ง Rothschild ซึ่งมีรากเหง้ามาจากยิว ไม่ได้ไปขุดน้ำมันแต่ลำพัง ขนเอาบรรดาญาติพี่น้องของตระกูล ที่กระจายอยู่ในเมืองต่างๆของยุโรป เข้าไปค้าขาย และขยายพันธ์อยู่ในรัสเซียด้วย เป็นเรื่องที่สร้างความไม่พอใจให้แก่ซาร์นิโคลัสแห่งรัสเซีย ที่แสดงอย่างเปิดเผยว่าไม่ชอบยิว และไม่ชอบใจ Rothschild ปี คศ 1882 กัปตัน Fisher แห่งกองทัพเรืออังกฤษ พยายามชักชวน ให้กองทัพเรืออังกฤษ เปลี่ยนเครื่องยนต์เรือรบ จากใช้ถ่านหิน เป็นใช้น้ำมัน ซึ่งจะทำให้เรือรบน้ำหนักเบาลง และวิ่งได้เร็วขึ้น Fisher ไม่ได้เป็นรายแรก ที่คิดติดเครื่องให้เรือวิ่งด้วยน้ำมันแทนถ่านหิน รัสเซียก็ใช้มาแล้ว เป็นเรือกลไฟเติมน้ำมัน ที่รัสเซียเรียกว่า “mazut” วิ่งควันโขมงอยู่บริเวณทะเลสาป Caspain กัปตัน Fisher ทำการบ้านอย่างเคร่งเครียด ถึงข้อได้เปรียบ เสียเปรียบ ระหว่างการใช้เครื่องยนต์ ที่ใช้น้ำมันกับใช้ถ่านหิน ในที่สุด กองทัพเรืออังกฤษก็เห็นด้วย ที่จะเปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน เพราะ ถ้าทำสำเร็จ ไม่ใช่แค่กองทัพเรือของอังกฤษจะยิ่งกว่าใหญ่เท่านั้น มันคงจะทำให้ความฝัน ที่จะครองโลกไปตลอดกาลนานของอังกฤษ เป็นความจริงอีกด้วย อังกฤษคิดหนัก ฝันนี้จะเป็นจริงได้อย่างไร ในเมื่ออังกฤษไม่มีแหล่งน้ำมันของตนเอง บนเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย แม้แต่แหล่งเดียว ส่วนน้ำมันที่ Baku ของรัสเซีย ก็ทำท่าจะมีปัญหาประดังกันมา เรื่องแรก Rothschild ไม่ได้มีจมูกไวคนเดียว Rockefeller ก็มีคนตามดมกลิ่นให้เหมือนกัน ประมาณปี คศ. 1884 Rockefeller จึงเข้าไปใน Baku ช่วงแรก 2 ค่ายแข่งกันขุด แย่งกันขาย ผลปรากฏว่า อาการหนักทั้งคู่ น้ำมันล้นตลาด และราคาตก 2 เจ้าพ่อจึงจับมือตกลงกัน แบ่งเขต แบ่งโควต้ากันเอง ทำเหมือน Baku เป็นที่ดินสาธารณะ ไม่มีเจ้าของ ไม่เห็นหัวซาร์นิโคลัส เจ้าของตัวจริง เรื่องเอายิวไปแพร่พันธ์อยูใน รัสเซีย ก็ทำให้ซาร์นิโคลัส เหม็นหน้า Rothschild พอแล้ว นี่ Rothschild รวมหัวกับ Rockefelker ทำข้อตกลง เรื่องการขุดและขายน้ำมันที่ Baku อย่างนี้ ซาร์จะรับไหวหรือ เขาเฉี่ยวหัวเอา เหมือนไม่เห็นหัวเจ้าของ นโยบายส่งยิวออกนอกรัสเซีย จึงเริ่มเป็นรูปธรรม และแน่นอน นโยบายนี้ จึงเป็นการสร้างความขุ่น แค้นเคือง อาฆาต ไว้กับหลายกลุ่ม หลายคน เมื่อโอกาสจะครอบครอง แหล่งน้ำมันที่รัสเซีย ไม่ง่ายอย่างที่คิด อังกฤษจึงต้องหาเสาหลักที่สามต่อไป อย่างเร่งด่วน นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทนำ (4) ในปี คศ 1902 เป็นที่รู้กันทั่วไปแล้วว่า บริเวณอาณาจักรออตโตมาน ที่เรียกกันว่า เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) คือ อิรัคและคูเวตในปัจจุบันนี้แหละ เต็มไปด้วยแหล่งน้ำมันปิโตรเลียม แต่ละแหล่งจะมีปริมาณมากน้อยแค่ไหน และจะเข้าไปถึงแหล่งได้อย่างไร เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แค่การเจอแหล่งน้ำมันนี้ ก็ทำให้บรรดานักชิงน้ำมัน อยากเป็นเจ้าของปั้ม คิดแผนกันวุ่นไปหมด จนถึงทุกวันนี้ ย้ำ จนถึงทุกวันนี้ ในที่สุด ปี คศ 1905 อังกฤษ ซึ่งใช้สายลับระดับใกล้เคียง 007 นาย Sidney Reilly ตามสืบจนรู้ว่า นาย William Knox d’Arcy วิศวกรชาวออสเตรเลีย และเป็นนักสำรวจธรณีวิทยาสมัครเล่น ซึ่งมีข่าวว่าเจอน้ำมัน ที่วิหารเก่าแก่แถวเมืองโบราณของอิหร่าน และเทียวไปเทียวมาที่ลอนดอน เพื่อหาเงินกู้มาใช้ในการขุดน้ำมัน ซึ่งโอกาสได้เงินกู้ ริบหรี่มาก แต่นาย d’Arcy นับว่ายังมีโชค เนื่องจากเขาเป็นวิศวกร จึงมีโอกาสได้รับใช้ Shah Muzaffar กษัตริย์เปอร์เซีย (อิหร่าน ปัจจุบัน) ซึ่งเพิ่งขึ้นมาครองบัลลังก์ในตอนนั้น และมีความตั้งใจที่จะพัฒนาประ เทศ โดยการสร้างทางรถไฟ ปี คศ 1901 Shah ตอบแทน d’Arcy ในการให้คำปรึกษาต่างๆ ด้วยการให้สัมปทานอายุ 60 ปี ที่จะขุดเจาะแผ่นดินส่วนไหนของเปอร์เซียก็ได้ ขุดเจออะไร ก็ให้ตกเป็นทรัพย์สินของนาย d’Arcy เขาจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้ Shah ไป สองหมื่นเหรียญ พร้อมตกลงแบ่งให้ Shah 16 เปอร์เซนต์ของรายรับที่จะได้ มันเป็นสัมปทาน ที่ตกทอดถึงทายาท และผู้รับโอนด้วย สายลับ Reilly ปลอมตัวเป็นพระ เพราะรู้ว่า นาย d’Arcy เป็นคนเคร่งศาสนา เขาเกลี้ยกล่อม หว่านล้อม จนในที่สุด นาย d’Arcy ซึ่งกำลังจะเซ็นสัญญาร่วมทุนกับกลุ่มธนาคารฝรั่งเศส ของพวก Rothschild เปลี่ยนใจ โอนสัมปทานให้พระปลอมแทน นาย d’Arcy คงนึกว่าได้ทำบุญกับพระเจ้า คงคิดไม่ต่างกับพวกที่ทำบุญกับพระปลอม ที่มาจากวัดจานบิน ได้แหล่งน้ำมาแล้ว 1 รายการ แต่คงไม่พอ สำหรับจะใช้เพื่อเป็นอาวุธครองโลก อังกฤษสายตายาวไกล มองจ้อง และจองเอาไว้ ทั่วทั้งตะวันออกกลาง โดยเฉพาะแถบ Mosul อังกฤษ รู้ว่าอาจจะต้องใช้เวลาหน่อย แต่ไม่น่าจะนานเกินรอ อังกฤษมีแผนเรียบร้อยแล้ว แค่รอจังหวะเวลาบางเรื่องเท่านั้นเอง แต่ใช่ว่ามีแต่อังกฤษ ที่คิดครองแหล่งน้ามัน เยอรมันเองก็คิด อาจจะต่างกันที่วิธีการ หรือกลยุทธ เท่านั้นเอง ประมาณปี คศ 1870 อุตสาหกรรมของอังกฤษ นำหน้าเยอรมัน ชนิดทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่น ในความเห็นของอังกฤษขณะนั้น เยอรมันไม่มีทีท่า ว่าจะขึ้นมาเป็นคู่แข่ง เรียกว่าไม่อยู่ในสายตาของอังกฤษ เอาเลย แต่หลังจากนั้นไม่ถึง 30 ปี อุตสาหกรรมของเยอรมัน โตเร็วเกินคาด ไม่ว่าจะเป็นการเดินเรือ การผลิตเหล็ก การไฟฟ้า เครื่องจักร เคมี ปุ๋ย ยารักษาโรคฯลฯ และทำให้เยอรมันเอง ก็ต้องการน้ำมัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิต ในการทำอุตสาหกรรม และในขณะนั้น เยอรมัน ก็ไม่ต่างกับอังกฤษ ที่ไม่มีแหล่งน้ำมันของตนเอง เยอรมันต้องพึ่งน้ำมันของ Standard Oil จึงอยู่ในกำมือของ Rockefeller จนหน้าเขียว เยอรมันจะทนหน้าเขียวไปตลอด ก็คงไม่ไหว กลุ่มอุตสาหกรรมและการเงินของเยอรมัน นำโดย Deutsche Bank จึงเจรจา กับรัฐบาลของออตโตมาน เพื่อรับสร้างทางรถไฟ ที่จะวิ่งจาก กรุงคอนแสตนติโนเปิล เมืองหลวงของออตโตมาน ข้ามผ่านอนาโตเลีย เป็นเส้นทางที่เยอรมันวางแผน จะให้ไปถึงเมือง แบกแดด เป็นเส้นทางที่ผ่านแหล่งน้ำมันใหญ่ไปตลอดสาย ข่าวนี้ ทำให้อังกฤษเครียดอย่างยิ่ง และถึงกับนอนฝันร้าย เมื่อมีรายงานข่าวว่า ระหว่างสร้างทางรถไฟ สัมพันธ์ระหว่างเยอรมัน กับออตโตมาน ก็กระชับแน่นขึ้น แน่นขึ้น ไปเรื่อยๆ สัมพันธ์คงกระชับกันแน่นจริง ในที่สุดออตโตมาน ก็ตกลง ให้เยอรมันสร้างทางรถไฟยาว ไปถึงแบกแดด ทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ยาว 2,500 ไมล์ ฝันร้ายของอังกฤษ กลายเป็นเรื่องจริง และเป็นเรื่องจริงที่ดีเกินความ ฝัน ของเยอรมัน เพราะ ในปี 1912 จากการเจรจาของ Deutsche Bank ออตโตมานเกิดใจดี แถมให้สิทธิ 2 ข้างทาง (right of way) กว้าง 20 กิโลเมตร ยาวตลอดเส้นทางรถไฟ ซึ่งจะไปถึง Mosul หรือ อืรัค ในปัจจุบัน แก่เยอรมัน ข่าวนี้ทำให้อังกฤษ ชาวเกาะใหญ่ เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ถึงกับยืนไม่อยู่ เข่าทรุดทิ้งตัวลงอย่างหมดแรง เท้าทั้ง 2 ข้าง จากนิ้วก้อยถึงนิ้วโป้ง ทำท่าจะรับน้ำหนักต่อไปอีกไม่ไหว จะให้ดีแบบนี้ ต้องมี 4 เท้า ถึงจะยืนอยู่ได้ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 21 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 427 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Local-First Apps ยังไม่เกิดจริง เพราะการ Sync ไม่ง่ายอย่างที่คิด — แต่ SQLite + HLC + CRDT อาจเป็นคำตอบ”

    แอปพลิเคชันแบบ Local-First หรือ Offline-First เคยถูกมองว่าเป็นอนาคตของการใช้งานซอฟต์แวร์ ด้วยคุณสมบัติที่โหลดเร็ว ใช้แบบไม่ต้องต่อเน็ต และให้ความเป็นส่วนตัวสูงสุด แต่ในความเป็นจริง แอปที่รองรับการทำงานแบบออฟไลน์จริง ๆ ยังมีน้อยมาก เพราะการ “ซิงก์ข้อมูล” ระหว่างอุปกรณ์หลายเครื่องนั้นยากกว่าที่คิด

    Marco Bambini ผู้ก่อตั้ง SQLite Cloud อธิบายว่า การสร้างแอปแบบ Local-First คือการสร้างระบบกระจาย (Distributed System) ที่ต้องให้หลายอุปกรณ์สามารถแก้ไขข้อมูลแบบออฟไลน์ และสุดท้ายต้องรวมข้อมูลให้ตรงกันโดยไม่สูญเสียอะไรเลย ซึ่งมีสองปัญหาหลักที่ต้องแก้คือ:

    1️⃣ ลำดับเหตุการณ์ไม่แน่นอน (Unreliable Ordering) อุปกรณ์แต่ละเครื่องมีเวลาไม่ตรงกัน และเหตุการณ์เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน หากนำข้อมูลมารวมโดยไม่จัดลำดับให้ดี อาจเกิดความขัดแย้ง เช่น เครื่อง A ตั้งค่า x = 3 ส่วนเครื่อง B ตั้ง x = 5 แล้วใครควร “ชนะ”?

    วิธีแก้คือ Hybrid Logical Clocks (HLC) — ระบบ timestamp ที่รวมเวลาเครื่องจริงกับตัวนับเหตุการณ์ เพื่อให้สามารถเรียงลำดับเหตุการณ์ได้แม้ไม่มีนาฬิกากลาง

    2️⃣ ความขัดแย้งของข้อมูล (Conflicts) แม้จะจัดลำดับได้แล้ว แต่ถ้าอุปกรณ์สองเครื่องแก้ไขข้อมูลเดียวกัน เช่น ยอดเงินในบัญชี แล้วซิงก์เข้ามา อาจเกิดการเขียนทับและข้อมูลหาย

    วิธีแก้คือ CRDTs (Conflict-Free Replicated Data Types) — โครงสร้างข้อมูลที่สามารถรวมกันได้โดยไม่สูญเสียข้อมูล เช่น ใช้กลยุทธ์ Last-Write-Wins (LWW) ที่ให้ข้อมูลล่าสุดเป็นฝ่ายชนะ

    เพื่อให้ระบบนี้ทำงานได้จริง SQLite ถูกเลือกเป็นฐานข้อมูลหลัก เพราะมีความเสถียร ใช้งานง่าย และมีอยู่ในทุกแพลตฟอร์ม โดย Bambini ได้สร้าง SQLite extension ที่เก็บทุกการเปลี่ยนแปลงเป็น “ข้อความ” พร้อม timestamp จาก HLC และใช้ CRDT ในการตัดสินว่าเปลี่ยนแปลงใดควรนำมาใช้

    ผลลัพธ์คือระบบที่สามารถทำงานออฟไลน์ได้เป็นสัปดาห์โดยไม่สูญเสียข้อมูล และเมื่อกลับมาออนไลน์ก็สามารถรวมข้อมูลได้อย่างแม่นยำโดยไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์กลาง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Local-First Apps ยังไม่แพร่หลายเพราะการซิงก์ข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ทำได้ยาก
    ปัญหาหลักคือการจัดลำดับเหตุการณ์และการแก้ไขความขัดแย้งของข้อมูล
    ใช้ Hybrid Logical Clocks (HLC) เพื่อจัดลำดับเหตุการณ์แบบกระจาย
    ใช้ CRDTs เพื่อรวมข้อมูลโดยไม่สูญเสียหรือเขียนทับกัน

    แนวทางการแก้ปัญหา
    SQLite ถูกใช้เป็นฐานข้อมูลหลักเพราะเสถียรและมีอยู่ทุกแพลตฟอร์ม
    ทุกการเปลี่ยนแปลงถูกเก็บเป็นข้อความพร้อม timestamp
    ใช้กลยุทธ์ Last-Write-Wins (LWW) เพื่อเลือกข้อมูลล่าสุด
    ระบบสามารถทำงานออฟไลน์ได้นานโดยไม่สูญเสียข้อมูล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Turso และ cr-sqlite เป็นตัวอย่างของระบบที่ใช้ SQLite ในการซิงก์แบบ Local-First
    CRDTs ถูกใช้ในระบบ collaboration เช่น Automerge และ Yjs
    HLCs ถูกใช้ในระบบฐานข้อมูลกระจาย เช่น CockroachDB และ Spanner
    Local-First Apps ช่วยลดการพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์กลางและเพิ่มความเป็นส่วนตัว

    https://marcobambini.substack.com/p/why-local-first-apps-havent-become
    📱 “Local-First Apps ยังไม่เกิดจริง เพราะการ Sync ไม่ง่ายอย่างที่คิด — แต่ SQLite + HLC + CRDT อาจเป็นคำตอบ” แอปพลิเคชันแบบ Local-First หรือ Offline-First เคยถูกมองว่าเป็นอนาคตของการใช้งานซอฟต์แวร์ ด้วยคุณสมบัติที่โหลดเร็ว ใช้แบบไม่ต้องต่อเน็ต และให้ความเป็นส่วนตัวสูงสุด แต่ในความเป็นจริง แอปที่รองรับการทำงานแบบออฟไลน์จริง ๆ ยังมีน้อยมาก เพราะการ “ซิงก์ข้อมูล” ระหว่างอุปกรณ์หลายเครื่องนั้นยากกว่าที่คิด Marco Bambini ผู้ก่อตั้ง SQLite Cloud อธิบายว่า การสร้างแอปแบบ Local-First คือการสร้างระบบกระจาย (Distributed System) ที่ต้องให้หลายอุปกรณ์สามารถแก้ไขข้อมูลแบบออฟไลน์ และสุดท้ายต้องรวมข้อมูลให้ตรงกันโดยไม่สูญเสียอะไรเลย ซึ่งมีสองปัญหาหลักที่ต้องแก้คือ: 1️⃣ ลำดับเหตุการณ์ไม่แน่นอน (Unreliable Ordering) อุปกรณ์แต่ละเครื่องมีเวลาไม่ตรงกัน และเหตุการณ์เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน หากนำข้อมูลมารวมโดยไม่จัดลำดับให้ดี อาจเกิดความขัดแย้ง เช่น เครื่อง A ตั้งค่า x = 3 ส่วนเครื่อง B ตั้ง x = 5 แล้วใครควร “ชนะ”? 🔧 วิธีแก้คือ Hybrid Logical Clocks (HLC) — ระบบ timestamp ที่รวมเวลาเครื่องจริงกับตัวนับเหตุการณ์ เพื่อให้สามารถเรียงลำดับเหตุการณ์ได้แม้ไม่มีนาฬิกากลาง 2️⃣ ความขัดแย้งของข้อมูล (Conflicts) แม้จะจัดลำดับได้แล้ว แต่ถ้าอุปกรณ์สองเครื่องแก้ไขข้อมูลเดียวกัน เช่น ยอดเงินในบัญชี แล้วซิงก์เข้ามา อาจเกิดการเขียนทับและข้อมูลหาย 🔧 วิธีแก้คือ CRDTs (Conflict-Free Replicated Data Types) — โครงสร้างข้อมูลที่สามารถรวมกันได้โดยไม่สูญเสียข้อมูล เช่น ใช้กลยุทธ์ Last-Write-Wins (LWW) ที่ให้ข้อมูลล่าสุดเป็นฝ่ายชนะ เพื่อให้ระบบนี้ทำงานได้จริง SQLite ถูกเลือกเป็นฐานข้อมูลหลัก เพราะมีความเสถียร ใช้งานง่าย และมีอยู่ในทุกแพลตฟอร์ม โดย Bambini ได้สร้าง SQLite extension ที่เก็บทุกการเปลี่ยนแปลงเป็น “ข้อความ” พร้อม timestamp จาก HLC และใช้ CRDT ในการตัดสินว่าเปลี่ยนแปลงใดควรนำมาใช้ ผลลัพธ์คือระบบที่สามารถทำงานออฟไลน์ได้เป็นสัปดาห์โดยไม่สูญเสียข้อมูล และเมื่อกลับมาออนไลน์ก็สามารถรวมข้อมูลได้อย่างแม่นยำโดยไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์กลาง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Local-First Apps ยังไม่แพร่หลายเพราะการซิงก์ข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ทำได้ยาก ➡️ ปัญหาหลักคือการจัดลำดับเหตุการณ์และการแก้ไขความขัดแย้งของข้อมูล ➡️ ใช้ Hybrid Logical Clocks (HLC) เพื่อจัดลำดับเหตุการณ์แบบกระจาย ➡️ ใช้ CRDTs เพื่อรวมข้อมูลโดยไม่สูญเสียหรือเขียนทับกัน ✅ แนวทางการแก้ปัญหา ➡️ SQLite ถูกใช้เป็นฐานข้อมูลหลักเพราะเสถียรและมีอยู่ทุกแพลตฟอร์ม ➡️ ทุกการเปลี่ยนแปลงถูกเก็บเป็นข้อความพร้อม timestamp ➡️ ใช้กลยุทธ์ Last-Write-Wins (LWW) เพื่อเลือกข้อมูลล่าสุด ➡️ ระบบสามารถทำงานออฟไลน์ได้นานโดยไม่สูญเสียข้อมูล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Turso และ cr-sqlite เป็นตัวอย่างของระบบที่ใช้ SQLite ในการซิงก์แบบ Local-First ➡️ CRDTs ถูกใช้ในระบบ collaboration เช่น Automerge และ Yjs ➡️ HLCs ถูกใช้ในระบบฐานข้อมูลกระจาย เช่น CockroachDB และ Spanner ➡️ Local-First Apps ช่วยลดการพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์กลางและเพิ่มความเป็นส่วนตัว https://marcobambini.substack.com/p/why-local-first-apps-havent-become
    MARCOBAMBINI.SUBSTACK.COM
    Why Local-First Apps Haven’t Become Popular?
    Offline-first apps promise instant loading and privacy, but in practice, very few apps get offline support because getting sync right is surprisingly hard.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 262 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ว่าแล้ว ไม่ง่ายอย่างที่คิดกับระเบียบราชการ แดกเบี้ยเลี้ยงพลทหารก็มีมาแล้ว,และสาระพัดแดกเล็กใหญ่มีหมด.,ภาพลักษณ์ทหารแย่สุดๆในสายตาประชาชนที่ผ่านๆมา,ทหารผู้น้อยถูกรังแก,จนประชาชนไม่อยากให้ลูกไปเกณฑ์ทหาร,เพราะนายพลและผู้บังคับการฝึกขึ้นไปมีปัญหาทุจริตในสายตาประชาชนมาตลอด,แค่มีดีขึ้นตอนมทภ.2ทำผลงานนี้ล่ะ,
    ..เยียวยาทหารกล้าเราจริงๆเถอะ,ถ้าข่าวนี้จริง แย่มาก,กองทัพไทย ผบ.สส.ผบ.ทบ.ที่บัญชาหน่วยรบตรงภาคพื้นดินต้องทำการนี้ให้กระจ่างชัดรวดเร็ว,นายกฯบวกคลังรักษาการ เป็นเหี้ยอะไรกั้กตังทหารพลีชีพไว้ ออกสื่อดับอนาถเลยนะ.

    https://youtube.com/shorts/sLnvFxZ84z4?si=1w8LYngMFZj-5lo_
    ..ว่าแล้ว ไม่ง่ายอย่างที่คิดกับระเบียบราชการ แดกเบี้ยเลี้ยงพลทหารก็มีมาแล้ว,และสาระพัดแดกเล็กใหญ่มีหมด.,ภาพลักษณ์ทหารแย่สุดๆในสายตาประชาชนที่ผ่านๆมา,ทหารผู้น้อยถูกรังแก,จนประชาชนไม่อยากให้ลูกไปเกณฑ์ทหาร,เพราะนายพลและผู้บังคับการฝึกขึ้นไปมีปัญหาทุจริตในสายตาประชาชนมาตลอด,แค่มีดีขึ้นตอนมทภ.2ทำผลงานนี้ล่ะ, ..เยียวยาทหารกล้าเราจริงๆเถอะ,ถ้าข่าวนี้จริง แย่มาก,กองทัพไทย ผบ.สส.ผบ.ทบ.ที่บัญชาหน่วยรบตรงภาคพื้นดินต้องทำการนี้ให้กระจ่างชัดรวดเร็ว,นายกฯบวกคลังรักษาการ เป็นเหี้ยอะไรกั้กตังทหารพลีชีพไว้ ออกสื่อดับอนาถเลยนะ. https://youtube.com/shorts/sLnvFxZ84z4?si=1w8LYngMFZj-5lo_
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 322 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดภาพ "เบื้องหลังล้อมรั้วฝั่งไทย" มัน...ไม่ง่ายเลย (16/9/68)

    #เบื้องหลังแนวรั้ว
    #ชายแดนไทย
    #ทหารไทย
    #ปกป้องแผ่นดิน
    #ไม่ง่ายอย่างที่คิด
    #ข่าววันนี้
    #News1short
    #ThaiTimes
    #TruthFromThailand
    #CambodiaNoCeasefire
    #Hunsenfiredfirst
    #scambodia
    #news1
    #shorts
    เปิดภาพ "เบื้องหลังล้อมรั้วฝั่งไทย" มัน...ไม่ง่ายเลย (16/9/68) #เบื้องหลังแนวรั้ว #ชายแดนไทย #ทหารไทย #ปกป้องแผ่นดิน #ไม่ง่ายอย่างที่คิด #ข่าววันนี้ #News1short #ThaiTimes #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #scambodia #news1 #shorts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 222 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • แก้รธน. 4 เดือน ยุบสภาฯ ไม่ง่ายอย่างที่คิด ไว้วางใจ ‘แดง-น้ำเงิน’ ไม่ได้ : ถอนหมุดข่าว 02-09-68
    แก้รธน. 4 เดือน ยุบสภาฯ ไม่ง่ายอย่างที่คิด ไว้วางใจ ‘แดง-น้ำเงิน’ ไม่ได้ : ถอนหมุดข่าว 02-09-68
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 223 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • สอยสว.สีน้ำเงินไม่ง่ายอย่างที่คิด

    บทความโดย : สุรวิชช์ วีรวรรณ

    คลิก>> https://mgronline.com/daily/detail/9680000045193
    สอยสว.สีน้ำเงินไม่ง่ายอย่างที่คิด บทความโดย : สุรวิชช์ วีรวรรณ คลิก>> https://mgronline.com/daily/detail/9680000045193
    MGRONLINE.COM
    สอย สว.สีน้ำเงินไม่ง่ายอย่างที่คิด
    ตอนนี้กำลังเปิดศึกสงครามตัวแทนระหว่าง สว.สีน้ำเงินกับดีเอสไอ ลึกๆ แล้วก็คือ ตัวแทนของความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทยที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน เพราะแม้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.กระทรวงยุติธรรมจะอยู่พรรคประชาชาติ แต่เ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 294 มุมมอง 0 รีวิว
  • ญี่ปุ่นไม่หมู! อเมริกางง เจรจาไม่ง่ายอย่างที่คิด!

    รมว คลังญี่ปุ่นขู่ขายทิ้งพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ

    รัฐมนตรีกระทรวงการคลังญี่ปุ่นกล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า ญี่ปุ่นอาจใช้พันธบัตรสหรัฐที่ถือครองมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์เป็นไม้ตายในการเจรจาการค้ากับวอชิงตัน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ญี่ปุ่นกล้าแข็งข้อกับสหรัฐ นับตั้งแต่พ่ายแพ้ในสงครามโลก

    แม้ว่ารัฐมนตรีคลัง คัตสึโนบุ คาโตะ จะไม่ได้บอกว่าจะขายพันธบัตรที่ถืออยู่ แต่คำพูดของเขามีการพูดถึงส่วนนี้ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนทั่วโลกกังวลอย่างมากเกี่ยวกับสิ่งที่ญี่ปุ่นถือครองพันธบัตรสหรัฐมากที่สุด

    นอกจากนี้ สำนักข่าว Nikkei รายงานว่า รัฐบาลญี่ปุ่นไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับการเสนอผ่อนปรนมาตรการภาษีของสหรัฐที่ไม่รวมสินค้ายานยนต์และสินค้าเกษตรอีกด้วยเข้ามาในการผ่อนปรนครั้งนี้อีกด้วย
    ญี่ปุ่นไม่หมู! อเมริกางง เจรจาไม่ง่ายอย่างที่คิด! รมว คลังญี่ปุ่นขู่ขายทิ้งพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังญี่ปุ่นกล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า ญี่ปุ่นอาจใช้พันธบัตรสหรัฐที่ถือครองมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์เป็นไม้ตายในการเจรจาการค้ากับวอชิงตัน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ญี่ปุ่นกล้าแข็งข้อกับสหรัฐ นับตั้งแต่พ่ายแพ้ในสงครามโลก แม้ว่ารัฐมนตรีคลัง คัตสึโนบุ คาโตะ จะไม่ได้บอกว่าจะขายพันธบัตรที่ถืออยู่ แต่คำพูดของเขามีการพูดถึงส่วนนี้ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนทั่วโลกกังวลอย่างมากเกี่ยวกับสิ่งที่ญี่ปุ่นถือครองพันธบัตรสหรัฐมากที่สุด นอกจากนี้ สำนักข่าว Nikkei รายงานว่า รัฐบาลญี่ปุ่นไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับการเสนอผ่อนปรนมาตรการภาษีของสหรัฐที่ไม่รวมสินค้ายานยนต์และสินค้าเกษตรอีกด้วยเข้ามาในการผ่อนปรนครั้งนี้อีกด้วย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 574 มุมมอง 0 รีวิว