• หลังการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างทรัมป์กับปูตินเสร็จสิ้นเมื่อคืนนี้ ยูเครนยังคงเปิดฉากโจมตีไปที่ "โครงสร้างด้านพลังงาน" โดยมีรายงานว่า โดรนของยูเครนโจมตีท่อส่งของสถานีขนถ่ายน้ำมัน Kavkazskaya ใน Kuban ดินแดน Krasnodar ของรัสเซีย

    สถานีขนถ่ายน้ำมัน Kavkazskaya แห่งนี้เป็นจุดขนถ่ายน้ำมันที่สำคัญ ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการขนส่งจากทางรถไฟมีปริมาณเฉลี่ย 6 ล้านตันต่อปี โดยจะเชื่อมต่อเข้ากับสถานีสูบน้ำมันหลักครอพ็อตกินสกายา (Kropotkinskaya oil pumping station) ส่วนหนึ่งของเครือข่ายท่อส่งน้ำมันแคสเปียน (Caspian Pipeline Consortium - CPC)

    CPC เป็นโครงการท่อส่งน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก รับผิดชอบการส่งน้ำมันประมาณ 1% ของทั่วโลก ซึ่งส่งน้ำมันจากคาซัคสถานไปยังทะเลดำ มุ่งหน้าสู่ยุโรปราวๆ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน

    นอกจากนี้ ยังเป็นโครงการลำเลียงน้ำมันระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับรัสเซีย คาซัคสถานและกิจการค้าร่วมของอีกหลายบริษัทน้ำมันชั้นนำของโลก ซึ่งมีการร่วมทุนกันหลายชาติ และหนึ่งในนั้นคือบริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอย่างเชฟรอนและเอ็กซอน โมบิล รวมอยู่ด้วย


    หลังการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างทรัมป์กับปูตินเสร็จสิ้นเมื่อคืนนี้ ยูเครนยังคงเปิดฉากโจมตีไปที่ "โครงสร้างด้านพลังงาน" โดยมีรายงานว่า โดรนของยูเครนโจมตีท่อส่งของสถานีขนถ่ายน้ำมัน Kavkazskaya ใน Kuban ดินแดน Krasnodar ของรัสเซีย สถานีขนถ่ายน้ำมัน Kavkazskaya แห่งนี้เป็นจุดขนถ่ายน้ำมันที่สำคัญ ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการขนส่งจากทางรถไฟมีปริมาณเฉลี่ย 6 ล้านตันต่อปี โดยจะเชื่อมต่อเข้ากับสถานีสูบน้ำมันหลักครอพ็อตกินสกายา (Kropotkinskaya oil pumping station) ส่วนหนึ่งของเครือข่ายท่อส่งน้ำมันแคสเปียน (Caspian Pipeline Consortium - CPC) CPC เป็นโครงการท่อส่งน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก รับผิดชอบการส่งน้ำมันประมาณ 1% ของทั่วโลก ซึ่งส่งน้ำมันจากคาซัคสถานไปยังทะเลดำ มุ่งหน้าสู่ยุโรปราวๆ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน นอกจากนี้ ยังเป็นโครงการลำเลียงน้ำมันระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับรัสเซีย คาซัคสถานและกิจการค้าร่วมของอีกหลายบริษัทน้ำมันชั้นนำของโลก ซึ่งมีการร่วมทุนกันหลายชาติ และหนึ่งในนั้นคือบริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอย่างเชฟรอนและเอ็กซอน โมบิล รวมอยู่ด้วย
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 181 Views 0 Reviews
  • Intel แต่งตั้ง Lip-Bu Tan ผู้เชี่ยวชาญที่เคารพนับถือในวงการเซมิคอนดักเตอร์ เป็น CEO คนใหม่ของ Intel โดยเขาจะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 18 มีนาคม หลังจากที่บริษัทเผชิญกับช่วงเวลาท้าทายที่สุดในประวัติศาสตร์

    Intel เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในผู้ผลิตชิปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทต้องเผชิญกับการแข่งขันอย่างดุเดือดจากคู่แข่ง เช่น AMD และการก้าวขึ้นมาของผู้เล่นในตลาดอย่าง Nvidia ทำให้เกิดแรงกดดันในการฟื้นฟูความสามารถในการแข่งขัน Lip-Bu Tan ซึ่งเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์สูงในอุตสาหกรรมนี้ ถูกมองว่าเหมาะสมที่จะเป็นผู้พลิกฟื้นสถานการณ์

    Lip-Bu Tan เคยเป็นสมาชิกบอร์ดบริหารของ Intel และเป็นผู้ก่อตั้ง Walden International บริษัททุนที่มีชื่อเสียงด้านการลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูง ประสบการณ์และความเข้าใจของเขาทั้งในด้านการผลิตและการจัดการบริษัทด้านเซมิคอนดักเตอร์ ทำให้เขาเป็นตัวเลือกสำคัญที่ Intel หวังว่าจะพาบริษัทออกจากช่วงเวลาที่ท้าทายได้

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/13/who-is-new-intel-ceo-lip-bu-tan
    Intel แต่งตั้ง Lip-Bu Tan ผู้เชี่ยวชาญที่เคารพนับถือในวงการเซมิคอนดักเตอร์ เป็น CEO คนใหม่ของ Intel โดยเขาจะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 18 มีนาคม หลังจากที่บริษัทเผชิญกับช่วงเวลาท้าทายที่สุดในประวัติศาสตร์ Intel เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในผู้ผลิตชิปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทต้องเผชิญกับการแข่งขันอย่างดุเดือดจากคู่แข่ง เช่น AMD และการก้าวขึ้นมาของผู้เล่นในตลาดอย่าง Nvidia ทำให้เกิดแรงกดดันในการฟื้นฟูความสามารถในการแข่งขัน Lip-Bu Tan ซึ่งเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์สูงในอุตสาหกรรมนี้ ถูกมองว่าเหมาะสมที่จะเป็นผู้พลิกฟื้นสถานการณ์ Lip-Bu Tan เคยเป็นสมาชิกบอร์ดบริหารของ Intel และเป็นผู้ก่อตั้ง Walden International บริษัททุนที่มีชื่อเสียงด้านการลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูง ประสบการณ์และความเข้าใจของเขาทั้งในด้านการผลิตและการจัดการบริษัทด้านเซมิคอนดักเตอร์ ทำให้เขาเป็นตัวเลือกสำคัญที่ Intel หวังว่าจะพาบริษัทออกจากช่วงเวลาที่ท้าทายได้ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/13/who-is-new-intel-ceo-lip-bu-tan
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Who is new Intel CEO Lip-Bu Tan?
    (Reuters) - Intel tapped former board member Lip-Bu Tan as its CEO on Wednesday, as the struggling American chipmaking icon attempts to emerge from one of its bleakest periods.
    0 Comments 0 Shares 158 Views 0 Reviews
  • สื่ออเมริกันชื่อดังเปิดฉากรบป้องผลประโยชน์ชี้ สหรัฐฯ เป็นเจ้าสังเวียนส่งออกอาวุธทางการป้องกันประเทศใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมย้ำ “ยุโรปต้องรู้” หลังพยายามผลักดันอุตสาหกรรมการทหารภายในกลุ่มประเทศ EU ไม่พอใจทรัมป์ลอยแพยูเครนกระทบความมั่นคงทั้งยุโรป

    อ่านต่อ..https://sondhitalk.com/detail/9680000023692
    สื่ออเมริกันชื่อดังเปิดฉากรบป้องผลประโยชน์ชี้ สหรัฐฯ เป็นเจ้าสังเวียนส่งออกอาวุธทางการป้องกันประเทศใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมย้ำ “ยุโรปต้องรู้” หลังพยายามผลักดันอุตสาหกรรมการทหารภายในกลุ่มประเทศ EU ไม่พอใจทรัมป์ลอยแพยูเครนกระทบความมั่นคงทั้งยุโรป อ่านต่อ..https://sondhitalk.com/detail/9680000023692
    Like
    Haha
    9
    0 Comments 0 Shares 1874 Views 0 Reviews
  • สหรัฐฯ พร้อมเข้าสู่สงครามกับจีนถ้าจำเป็น จากคำประกาศกร้าวของกระทรวงกลาโหมอเมริกา (เพนตากอน) ความเห็นซึ่งมีขึ้นตามหลังปักกิ่งบอกว่าพร้อมต่อสู้ในทุกรูปแบบของสงคราม ท่ามกลางความเคลื่อนไหวรีดภาษีตอบโต้กันไปมา ที่กำลังลุกลามกลายเป็นสงครามการค้าระหว่าง 2 ชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก
    .
    พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐฯ แสดงจุดยืนของอเมริกาอย่างชัดเจน ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์นิวส์ ในวันพุธ (5 มี.ค.) ตอบโต้สถานทูตจีนประจำอเมริกา ที่บอกว่าปักกิ่งพร้อมต่อสู้ "ในทุกรูปแบบของสงคราม"
    .
    "เราก็พร้อม" เฮกเซธบอก พร้อมระบุ "ใครที่มีสันติภาพมาช้านาน ต้องเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม" ทั้งนี้เขาเน้นย้ำว่านี่คือเหตุผลว่าทำไมสหรัฐฯ ถึงเดินหน้าเสริมความเข้มแข็งด้านการทหาร
    .
    เขากล่าวว่า "เราอยู่ในโลกที่อันตราย เต็มไปด้วยบรรดาประเทศที่มีพลังอำนาจและอิทธิพล ที่มีอุดมการณ์แตกต่างกันอย่างมาก" เฮกเซธระบุ "พวกเขาเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมอย่างรวดเร็ว ปรับปรุงเทคโนโลยีให้มีความทันสมัย พวกเขาต้องการแทนที่สหรัฐฯ"
    .
    อย่างไรก็ตาม เฮกเซธ เน้นว่าการคงไว้ซึ่งความเข้มแข็งทางทหาร คือกุญแจหลักสำหรับหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง "ถ้าเราต้องการปรามสงครามกับจีนหรือชาติอื่นๆ เราจำเป็นต้องเข้มแข็ง"
    .
    รัฐมนตรีกลาโหมรายนี้ระบุด้วยว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีความสำคัญที่ยอดเยี่้ยมกับ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน และกำลังเสาะแสวงหาความร่วมมือกับความเป็นหุ้นส่วนในสิ่งที่เป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม เฮกเซธ เน้นว่าบทบาทของเขาในฐานะรัฐมนตรีกลาโหม จำเป็นต้องรับประกันความพร้อมสำหรับความเป็นไปได้ของการเผชิญหน้าใดๆ
    .
    ความเห็นของเขามีขึ้นหลังจากเมื่อช่วงเย็นวันอังคาร (4 มี.ค.) จีนบอกว่าพวกเขาจะตอบโต้ หากว่าสหรัฐฯ เดินหน้าสงครามการค้าหรือสงครามรีดภาษี ตามหลัง ทรัมป์ ตัดสินใจขึ้นภาษีเท่าตัวสินค้านำเข้าจากจีน จาก 10% เป็น 20% มาตรการนี้มีขึ้นหลังจากรัฐบาลชุดก่อนของทรัมป์ เคยรีดภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ย้อนกลับไปในปี 2018 และ 2019 คิดเป็นมูลค่ากว่า 370,000 ล้านดอลลาร์
    .
    "ถ้าสงครามคือสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นสงครามรีดภาษี สงครามการค้า หรือสงครามรูปแบบอื่นๆ รูปแบบใดก็ตาม เราพร้อมสู้จนถึงจุดจบ" หลิน เจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนระบุในถ้อยแถลง
    .
    ในการตอบโต้อย่างทันควันต่อมาตรการของทรัมป์ ทางปักกิ่งได้แถลงขึ้นภาษีอีก 10% ถึง 15% ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและอาหารต่างๆ ที่นำเข้าจากสหรัฐฯ นอกจากนี้ พวกเขายังกำหนดข้อจำกัดด้านการส่งออกและการลงทุนกับบริษัทต่างๆ ของอเมริกา 25 แห่ง อ้างถึงความกังวลด้านความมั่นคง
    .
    ปักกิ่งยังได้ยื่นฟ้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) กล่าวอ้างว่ามาตรการรรีดภาษีของสหรัฐฯ ละเมิดกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศ และเรียกร้องให้วอชิงตันคลี่คลายข้อพิพาทนี้ผ่านการเจรจา
    .
    ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเคยปะทุขึ้นในปี 2018 ครั้งที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก โดยเขากำหนดมาตรการรีดภาษีสินค้านำเข้าจากจีน อ้างถึงการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่ยุติธรรมและการขโมยทรัพย์สินทางปัญญา ความเคลื่อนไหวกระตุ้นการตอบโต้กันไปมา จนลุกลามบานปลายกระทบต่อตลาดโลกและห่วงโซ่อุปทานโลก
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000021626
    ..............
    Sondhi X
    สหรัฐฯ พร้อมเข้าสู่สงครามกับจีนถ้าจำเป็น จากคำประกาศกร้าวของกระทรวงกลาโหมอเมริกา (เพนตากอน) ความเห็นซึ่งมีขึ้นตามหลังปักกิ่งบอกว่าพร้อมต่อสู้ในทุกรูปแบบของสงคราม ท่ามกลางความเคลื่อนไหวรีดภาษีตอบโต้กันไปมา ที่กำลังลุกลามกลายเป็นสงครามการค้าระหว่าง 2 ชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก . พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐฯ แสดงจุดยืนของอเมริกาอย่างชัดเจน ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์นิวส์ ในวันพุธ (5 มี.ค.) ตอบโต้สถานทูตจีนประจำอเมริกา ที่บอกว่าปักกิ่งพร้อมต่อสู้ "ในทุกรูปแบบของสงคราม" . "เราก็พร้อม" เฮกเซธบอก พร้อมระบุ "ใครที่มีสันติภาพมาช้านาน ต้องเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม" ทั้งนี้เขาเน้นย้ำว่านี่คือเหตุผลว่าทำไมสหรัฐฯ ถึงเดินหน้าเสริมความเข้มแข็งด้านการทหาร . เขากล่าวว่า "เราอยู่ในโลกที่อันตราย เต็มไปด้วยบรรดาประเทศที่มีพลังอำนาจและอิทธิพล ที่มีอุดมการณ์แตกต่างกันอย่างมาก" เฮกเซธระบุ "พวกเขาเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมอย่างรวดเร็ว ปรับปรุงเทคโนโลยีให้มีความทันสมัย พวกเขาต้องการแทนที่สหรัฐฯ" . อย่างไรก็ตาม เฮกเซธ เน้นว่าการคงไว้ซึ่งความเข้มแข็งทางทหาร คือกุญแจหลักสำหรับหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง "ถ้าเราต้องการปรามสงครามกับจีนหรือชาติอื่นๆ เราจำเป็นต้องเข้มแข็ง" . รัฐมนตรีกลาโหมรายนี้ระบุด้วยว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีความสำคัญที่ยอดเยี่้ยมกับ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน และกำลังเสาะแสวงหาความร่วมมือกับความเป็นหุ้นส่วนในสิ่งที่เป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม เฮกเซธ เน้นว่าบทบาทของเขาในฐานะรัฐมนตรีกลาโหม จำเป็นต้องรับประกันความพร้อมสำหรับความเป็นไปได้ของการเผชิญหน้าใดๆ . ความเห็นของเขามีขึ้นหลังจากเมื่อช่วงเย็นวันอังคาร (4 มี.ค.) จีนบอกว่าพวกเขาจะตอบโต้ หากว่าสหรัฐฯ เดินหน้าสงครามการค้าหรือสงครามรีดภาษี ตามหลัง ทรัมป์ ตัดสินใจขึ้นภาษีเท่าตัวสินค้านำเข้าจากจีน จาก 10% เป็น 20% มาตรการนี้มีขึ้นหลังจากรัฐบาลชุดก่อนของทรัมป์ เคยรีดภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ย้อนกลับไปในปี 2018 และ 2019 คิดเป็นมูลค่ากว่า 370,000 ล้านดอลลาร์ . "ถ้าสงครามคือสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นสงครามรีดภาษี สงครามการค้า หรือสงครามรูปแบบอื่นๆ รูปแบบใดก็ตาม เราพร้อมสู้จนถึงจุดจบ" หลิน เจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนระบุในถ้อยแถลง . ในการตอบโต้อย่างทันควันต่อมาตรการของทรัมป์ ทางปักกิ่งได้แถลงขึ้นภาษีอีก 10% ถึง 15% ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและอาหารต่างๆ ที่นำเข้าจากสหรัฐฯ นอกจากนี้ พวกเขายังกำหนดข้อจำกัดด้านการส่งออกและการลงทุนกับบริษัทต่างๆ ของอเมริกา 25 แห่ง อ้างถึงความกังวลด้านความมั่นคง . ปักกิ่งยังได้ยื่นฟ้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) กล่าวอ้างว่ามาตรการรรีดภาษีของสหรัฐฯ ละเมิดกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศ และเรียกร้องให้วอชิงตันคลี่คลายข้อพิพาทนี้ผ่านการเจรจา . ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเคยปะทุขึ้นในปี 2018 ครั้งที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก โดยเขากำหนดมาตรการรีดภาษีสินค้านำเข้าจากจีน อ้างถึงการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่ยุติธรรมและการขโมยทรัพย์สินทางปัญญา ความเคลื่อนไหวกระตุ้นการตอบโต้กันไปมา จนลุกลามบานปลายกระทบต่อตลาดโลกและห่วงโซ่อุปทานโลก . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000021626 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    Wow
    26
    0 Comments 1 Shares 2227 Views 1 Reviews
  • เช้าวันที่ 3 มีนาคม 2568 เวลา 09.30 น. ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (HKEX) กึกก้องไปด้วยเสียงระฆังเมื่อ "มี่เสวี่ยปิงเฉิง" แบรนด์เครื่องดื่มชานมและน้ำแข็งไสที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้เข้าสู่ตลาดหุ้นฮ่องกงอย่างเป็นทางการภายใต้รหัสหุ้น HK02097 โดยเปิดตัวที่ราคา 284.4 ดอลลาร์ฮ่องกงต่อหุ้น ดันมูลค่าบริษัทพุ่งแตะ 1,071 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 4.88 ล้านล้านบาท)

    สิ่งที่แตกต่างจากพิธีเปิดตัวบริษัทจดทะเบียนทั่วไป คือ ผู้ก่อตั้งบริษัท "จางหงเชา" และ "จางหงฝู่" ไม่ได้ปรากฏตัวในพิธี รวมถึงผู้บริหารระดับสูงก็ไม่มีใครขึ้นเวทีเคาะระฆังเปิดตลาด โดยตัวแทนที่ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์กลับเป็น "ราชาหิมะ" มาสคอตประจำแบรนด์ที่เดินขึ้นเวทีพร้อมกับตัวละครอื่นๆ ในแฟรนไชส์

    "ราชาหิมะ" กล่าวระหว่างพิธีว่า "การเข้าตลาดหุ้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น รหัสหุ้น 2097 ไม่ใช่จุดสิ้นสุด" พร้อมกันนี้ ทีมงานได้เปิดเพลงธีมของแบรนด์ซึ่งเป็นเพลงที่ติดหูผู้บริโภคไปทั่วจีน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/china/detail/9680000020914

    #MGROnline #มี่เสวี่ยปิงเฉิง
    เช้าวันที่ 3 มีนาคม 2568 เวลา 09.30 น. ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (HKEX) กึกก้องไปด้วยเสียงระฆังเมื่อ "มี่เสวี่ยปิงเฉิง" แบรนด์เครื่องดื่มชานมและน้ำแข็งไสที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้เข้าสู่ตลาดหุ้นฮ่องกงอย่างเป็นทางการภายใต้รหัสหุ้น HK02097 โดยเปิดตัวที่ราคา 284.4 ดอลลาร์ฮ่องกงต่อหุ้น ดันมูลค่าบริษัทพุ่งแตะ 1,071 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 4.88 ล้านล้านบาท) • สิ่งที่แตกต่างจากพิธีเปิดตัวบริษัทจดทะเบียนทั่วไป คือ ผู้ก่อตั้งบริษัท "จางหงเชา" และ "จางหงฝู่" ไม่ได้ปรากฏตัวในพิธี รวมถึงผู้บริหารระดับสูงก็ไม่มีใครขึ้นเวทีเคาะระฆังเปิดตลาด โดยตัวแทนที่ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์กลับเป็น "ราชาหิมะ" มาสคอตประจำแบรนด์ที่เดินขึ้นเวทีพร้อมกับตัวละครอื่นๆ ในแฟรนไชส์ • "ราชาหิมะ" กล่าวระหว่างพิธีว่า "การเข้าตลาดหุ้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น รหัสหุ้น 2097 ไม่ใช่จุดสิ้นสุด" พร้อมกันนี้ ทีมงานได้เปิดเพลงธีมของแบรนด์ซึ่งเป็นเพลงที่ติดหูผู้บริโภคไปทั่วจีน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/china/detail/9680000020914 • #MGROnline #มี่เสวี่ยปิงเฉิง
    0 Comments 0 Shares 257 Views 0 Reviews
  • Thomas Caulfield ผู้บริหารของ GlobalFoundries ได้พูดในงานประชุมกับนักลงทุนของ Morgan Stanley เกี่ยวกับภาษีศุลกากรที่สหรัฐฯ นำมาใช้กับชิปที่ผลิตในต่างประเทศ เขาแสดงความคิดเห็นว่าภาษีเหล่านี้อาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ผลิตชิปในสหรัฐฯ โดยช่วยเพิ่มความต้องการชิปที่ผลิตในประเทศ ทำให้ลูกค้าหันมาซื้อชิปที่ผลิตในโรงงานในสหรัฐฯ มากขึ้น

    Thomas ยังกล่าวอีกว่า กฎหมาย CHIPS and Science Act ซึ่งมีมูลค่า 52.7 พันล้านดอลลาร์ และเครดิตภาษีสำหรับการลงทุนในอุปกรณ์การผลิตชิป ช่วยเพิ่มกำลังการผลิตชิปในสหรัฐฯ อย่างมาก แต่เขาคิดว่าการใช้แค่กฎหมายนี้หรือเครดิตภาษีเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ ยังจำเป็นต้องมีการใช้ภาษีศุลกากรควบคู่ไปด้วย เพื่อให้สร้างกลไกที่ทำให้ความต้องการชิปในประเทศสูงขึ้น

    ในระหว่างนี้ ประธานาธิบดี Donald Trump ได้จัดแถลงข่าวร่วมกับ Taiwan Semiconductor Manufacturing Co (TSMC) ซึ่งได้ประกาศแผนการลงทุน 100 พันล้านดอลลาร์ในการสร้างโรงงานในสหรัฐฯ สิ่งนี้ทำให้เห็นถึงการที่ TSMC ต้องการเข้ามาในตลาดสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรที่พวกเขาจะต้องเผชิญหากไม่ผลิตชิปในสหรัฐฯ

    Howard Lutnick รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ กล่าวว่า TSMC ตัดสินใจลงทุนในสหรัฐฯ เนื่องจากต้องการเข้าสู่ตลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกและหลีกเลี่ยงภาษีที่อาจต้องเจอหากไม่ผลิตชิปในสหรัฐฯ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/05/globalfoundries-chief-says-tariffs-could-benefit-us-chipmakers
    Thomas Caulfield ผู้บริหารของ GlobalFoundries ได้พูดในงานประชุมกับนักลงทุนของ Morgan Stanley เกี่ยวกับภาษีศุลกากรที่สหรัฐฯ นำมาใช้กับชิปที่ผลิตในต่างประเทศ เขาแสดงความคิดเห็นว่าภาษีเหล่านี้อาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ผลิตชิปในสหรัฐฯ โดยช่วยเพิ่มความต้องการชิปที่ผลิตในประเทศ ทำให้ลูกค้าหันมาซื้อชิปที่ผลิตในโรงงานในสหรัฐฯ มากขึ้น Thomas ยังกล่าวอีกว่า กฎหมาย CHIPS and Science Act ซึ่งมีมูลค่า 52.7 พันล้านดอลลาร์ และเครดิตภาษีสำหรับการลงทุนในอุปกรณ์การผลิตชิป ช่วยเพิ่มกำลังการผลิตชิปในสหรัฐฯ อย่างมาก แต่เขาคิดว่าการใช้แค่กฎหมายนี้หรือเครดิตภาษีเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ ยังจำเป็นต้องมีการใช้ภาษีศุลกากรควบคู่ไปด้วย เพื่อให้สร้างกลไกที่ทำให้ความต้องการชิปในประเทศสูงขึ้น ในระหว่างนี้ ประธานาธิบดี Donald Trump ได้จัดแถลงข่าวร่วมกับ Taiwan Semiconductor Manufacturing Co (TSMC) ซึ่งได้ประกาศแผนการลงทุน 100 พันล้านดอลลาร์ในการสร้างโรงงานในสหรัฐฯ สิ่งนี้ทำให้เห็นถึงการที่ TSMC ต้องการเข้ามาในตลาดสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรที่พวกเขาจะต้องเผชิญหากไม่ผลิตชิปในสหรัฐฯ Howard Lutnick รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ กล่าวว่า TSMC ตัดสินใจลงทุนในสหรัฐฯ เนื่องจากต้องการเข้าสู่ตลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกและหลีกเลี่ยงภาษีที่อาจต้องเจอหากไม่ผลิตชิปในสหรัฐฯ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/05/globalfoundries-chief-says-tariffs-could-benefit-us-chipmakers
    WWW.THESTAR.COM.MY
    GlobalFoundries chief says tariffs could benefit US chipmakers
    (Reuters) - GlobalFoundries Chief Executive Officer Thomas Caulfield said on Tuesday that U.S. tariffs on foreign-made chips could help U.S. chip manufacturers by boosting demand for domestically made chips.
    0 Comments 0 Shares 222 Views 0 Reviews
  • สหรัฐฯกำลังร่างแผนการหนึ่งๆในความเป็นไปได้ที่จะผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรที่กำหนดเล่นงานรัสเซีย ในขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังหาทางฟื้นฟูความสัมพันธ์กับมอสโกและหยุดสงครามในยูเครน รอยเตอร์รายงานอ้างเจ้าหน้าที่อเมริการายหนึ่งและแหล่งข่าวใกล้ชิดกับประเด็นนี้
    .
    แหล่งข่าวเปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า ทำเนียบขาวขอให้กระทรวงต่างประเทศและกระทรวงการคลัง ร่างรายการคว่ำบาตรที่อาจผ่อนปรน เพื่อที่พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯจะได้หยิบยกไปหารือพูดคุยกับพวกผู้แทนของรัสเซียในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ส่วนหนึ่งในการเจรจาอย่างครอบคลุมระหว่างรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับมอสโก ในความพยายามปรับปรุงความสัมพันธ์ทั้งทางการทูตและเศรษฐกิจ
    .
    เวลานี้พวกเจ้าหน้าที่ด้านมาตรการคว่ำบาตรกำลังร่างข้อเสนอหนึ่งๆ สำหรับยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรนิติบุคคลและตัวบุคคลที่ได้รับเลือก ในนั้นรวมถึงกลุ่มผู้มีอำนาจบางส่วนของรัสเซีย แหล่งข่าวระบุ
    .
    สิ่งที่เรียกว่า "เอกสารทางเลือก" มักถูกร่างขึ้นบ่อยครั้งเป็นปกติอยู่แล้วโดยพวกเจ้าหน้าที่ที่ทำงานด้านมาตรการคว่ำบาตร แต่คำขออย่างเฉพาะเจาะจงในครั้งนี้ของทำเนียบขาวในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เน้นย้ำว่า ทรัมป์ และคณะที่ปรึกษาของเขา มีความตั้งใจผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรที่กำหนดเล่นงานรัสเซียจริงๆ ส่วนหนึ่งในว่าที่ข้อตกลงหนึ่งใดกับมอสโก
    .
    ไม่เป็นที่้ชัดเจนว่า วอชิงตันต้องการสิ่งใดแลกเปลี่ยนกับการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตร
    .
    รัสเซีย เป็นหนึ่งในชาติผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก และถ้ามาตรการคว่ำบาตรภาคพลังงานของมอสโกได้รับการผ่อนปรน มันจะช่วยสกัดไม่ให้ราคาเชื้อเพลิงพุ่งสูง ถ้าหากทรัมป์ต้องการเล่นงานภาคการส่งออกน้ำมันของอิหร่าน ชาติสมาชิกโอเปก
    .
    ทำเนียบขาว กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงการคลังสหรัฐฯ รวมถึงสถานทูตรัสเซียประจำวอชิงตัน ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อรายงานข่าวนี้
    .
    เมื่อปีที่แล้ว วังเครมลิน ให้คำนิยามความสัมพันธ์กับรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ว่า "ต่ำว่าศูนย์" เนื่องจาก ไบเดน จากพรรคเดโมแครต ให้การสนับสนุนยูเครนด้วยเงินช่วยเหลือและอาวุธ รวมถึงกำหนดมาตรการคว่ำบาตรหนักหน่วงเล่นงานรัสเซีย ลงโทษกรณีรุกรานยูเครนในปี 2022
    .
    แต่ ทรัมป์ ซึ่งรับปากว่าจะยุติสงครามอย่างรวดเร็ว ได้กลับลำนโยบายของสหรัฐฯ เปิดการเจรจากับมอสโก เริ่มต้นด้วยการพูดคุยทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ และตามด้วยการพบปะหารือกันระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้ง 2 ชาติ ทั้งในซาอุดีอาระเบียและตุรกี
    .
    สหรัฐฯกำหนดมาตรการคว่ำบาตรเล่นงานรัสเซียมาตั้งแต่ที่มอสโกรุกรานยูเครนในปี 2022 ในนั้นรวมถึงมาตรการต่างๆที่เล็งเป้าหมายจำกัดรายได้จากอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอันมหาศาลของประเทศแห่งนี้ และบั่นทอนศักยภาพในการหาทุนในการทำสงคราม
    .
    ทรัมป์ ในเดือนมกราคม ขู่ว่าอาจยกระดับมาตรการคว่ำบาตรเล่นงานรัสเซีย หากว่าปูติน ไม่มีความตั้งใจเจรจายุติสงครามในยูเครน แต่เมื่อเร็วๆนี้ เจ้าหน้าที่รัฐบาลทรัมป์ยอมรับอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรมอสโก
    .
    สกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์บลูมเบิร์ก เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ว่ารัสเซียอาจได้รับการผ่อนปรนการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ แต่ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขามีท่าทีอย่างไรต่อการเจรจาในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า จากนั้นในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ทรัมป์ เน้นย้ำกับพวกผู้สื่อข่าวว่าอาจมีการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย "ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง"
    .
    ทั้งนี้ไม่เป็นที่ชัดเจนว่ามาตรการคว่ำบาตรใด ที่รัฐบาลทรัมป์จะพิจารณายกเลิกเล่นงานรัสเซียเป็นลำดับแรก
    .
    จอห์น สมิธ จากบริษัทกฎหมาย Morrison Foerster และอดีตผู้อำนวยการสำนักงานควบคุมสินทรัพย์ต่างประเทศของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ให้ความเห็นว่า ทรัมป์ อาจออกคำสั่งบริหารฉบับหนึ่ง ที่เปิดทางให้รัฐบาลเริ่มกระบวนการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียบางอย่าง แต่เขาจำเป็นต้องขอความเห็นชอบจากสภาคองเกรสในการยกเลิกการคว่ำบาตรนิติบุคคลบางแห่ง
    .
    นับตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา รัสเซีย เสริมความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจในช่วงเวลาสงคราม ด้วยการเพิ่มการใช้จ่ายด้านการทหารและยกระดับผลผลิตทางอุตสาหกรรม แต่พวกผู้เชี่ยวชาญมองว่าเศรษฐกิจของประเทศแห่งนี้ยังมีความอ่อนแอ และจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้รับการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรจากตะวันตก
    .
    รัสเซียบอกว่าพวกเขาเปิดกว้างสำหรับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยวังเครมลินบอกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่ารัสเซียมีแร่ธาตุแรร์เฮิร์ธมากมาย และเปิดกว้างสำหรับทำข้อตกลงพัฒนาแร่เหล่านี้ หลังจาก ปูติน พูดถึงความเป็นไปได้ที่จะร่วมมือในเรื่องดังกล่าวกับสหรัฐฯ
    .
    แหล่งข่าวเชื่อว่าข้อตกลงทางเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการใดๆ ดูเหมือนจะมีความจำเป็นสำหรับเปิดทางให้สหรัฐฯผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตร
    .
    ที่ผ่านมา ทรัมป์ หาทางบรรลุข้อตกลงแร่ธาตุกับยูเครน ประเทศที่มีแหล่งทรัพยากรแร่มหาศาล ในนั้นรวมถึงแร่แรร์เอิร์ธ ในฐานะเป็นสิ่งตอบแทนชดใช้เงินช่วยเหลือหลายแสนล้านดอลลาร์ที่สหรัฐฯมอให้แก่เคียฟ อย่างไรก็ตามไม่มีการลงนามในข้อตกลง ตามหลังศึกวิวาทะดุเดือดภายในห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาว ระหว่าง ทรัมป์ กับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000020861
    ..............
    Sondhi X
    สหรัฐฯกำลังร่างแผนการหนึ่งๆในความเป็นไปได้ที่จะผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรที่กำหนดเล่นงานรัสเซีย ในขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังหาทางฟื้นฟูความสัมพันธ์กับมอสโกและหยุดสงครามในยูเครน รอยเตอร์รายงานอ้างเจ้าหน้าที่อเมริการายหนึ่งและแหล่งข่าวใกล้ชิดกับประเด็นนี้ . แหล่งข่าวเปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า ทำเนียบขาวขอให้กระทรวงต่างประเทศและกระทรวงการคลัง ร่างรายการคว่ำบาตรที่อาจผ่อนปรน เพื่อที่พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯจะได้หยิบยกไปหารือพูดคุยกับพวกผู้แทนของรัสเซียในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ส่วนหนึ่งในการเจรจาอย่างครอบคลุมระหว่างรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับมอสโก ในความพยายามปรับปรุงความสัมพันธ์ทั้งทางการทูตและเศรษฐกิจ . เวลานี้พวกเจ้าหน้าที่ด้านมาตรการคว่ำบาตรกำลังร่างข้อเสนอหนึ่งๆ สำหรับยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรนิติบุคคลและตัวบุคคลที่ได้รับเลือก ในนั้นรวมถึงกลุ่มผู้มีอำนาจบางส่วนของรัสเซีย แหล่งข่าวระบุ . สิ่งที่เรียกว่า "เอกสารทางเลือก" มักถูกร่างขึ้นบ่อยครั้งเป็นปกติอยู่แล้วโดยพวกเจ้าหน้าที่ที่ทำงานด้านมาตรการคว่ำบาตร แต่คำขออย่างเฉพาะเจาะจงในครั้งนี้ของทำเนียบขาวในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เน้นย้ำว่า ทรัมป์ และคณะที่ปรึกษาของเขา มีความตั้งใจผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรที่กำหนดเล่นงานรัสเซียจริงๆ ส่วนหนึ่งในว่าที่ข้อตกลงหนึ่งใดกับมอสโก . ไม่เป็นที่้ชัดเจนว่า วอชิงตันต้องการสิ่งใดแลกเปลี่ยนกับการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตร . รัสเซีย เป็นหนึ่งในชาติผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก และถ้ามาตรการคว่ำบาตรภาคพลังงานของมอสโกได้รับการผ่อนปรน มันจะช่วยสกัดไม่ให้ราคาเชื้อเพลิงพุ่งสูง ถ้าหากทรัมป์ต้องการเล่นงานภาคการส่งออกน้ำมันของอิหร่าน ชาติสมาชิกโอเปก . ทำเนียบขาว กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงการคลังสหรัฐฯ รวมถึงสถานทูตรัสเซียประจำวอชิงตัน ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อรายงานข่าวนี้ . เมื่อปีที่แล้ว วังเครมลิน ให้คำนิยามความสัมพันธ์กับรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ว่า "ต่ำว่าศูนย์" เนื่องจาก ไบเดน จากพรรคเดโมแครต ให้การสนับสนุนยูเครนด้วยเงินช่วยเหลือและอาวุธ รวมถึงกำหนดมาตรการคว่ำบาตรหนักหน่วงเล่นงานรัสเซีย ลงโทษกรณีรุกรานยูเครนในปี 2022 . แต่ ทรัมป์ ซึ่งรับปากว่าจะยุติสงครามอย่างรวดเร็ว ได้กลับลำนโยบายของสหรัฐฯ เปิดการเจรจากับมอสโก เริ่มต้นด้วยการพูดคุยทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ และตามด้วยการพบปะหารือกันระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้ง 2 ชาติ ทั้งในซาอุดีอาระเบียและตุรกี . สหรัฐฯกำหนดมาตรการคว่ำบาตรเล่นงานรัสเซียมาตั้งแต่ที่มอสโกรุกรานยูเครนในปี 2022 ในนั้นรวมถึงมาตรการต่างๆที่เล็งเป้าหมายจำกัดรายได้จากอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอันมหาศาลของประเทศแห่งนี้ และบั่นทอนศักยภาพในการหาทุนในการทำสงคราม . ทรัมป์ ในเดือนมกราคม ขู่ว่าอาจยกระดับมาตรการคว่ำบาตรเล่นงานรัสเซีย หากว่าปูติน ไม่มีความตั้งใจเจรจายุติสงครามในยูเครน แต่เมื่อเร็วๆนี้ เจ้าหน้าที่รัฐบาลทรัมป์ยอมรับอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรมอสโก . สกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์บลูมเบิร์ก เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ว่ารัสเซียอาจได้รับการผ่อนปรนการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ แต่ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขามีท่าทีอย่างไรต่อการเจรจาในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า จากนั้นในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ทรัมป์ เน้นย้ำกับพวกผู้สื่อข่าวว่าอาจมีการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย "ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง" . ทั้งนี้ไม่เป็นที่ชัดเจนว่ามาตรการคว่ำบาตรใด ที่รัฐบาลทรัมป์จะพิจารณายกเลิกเล่นงานรัสเซียเป็นลำดับแรก . จอห์น สมิธ จากบริษัทกฎหมาย Morrison Foerster และอดีตผู้อำนวยการสำนักงานควบคุมสินทรัพย์ต่างประเทศของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ให้ความเห็นว่า ทรัมป์ อาจออกคำสั่งบริหารฉบับหนึ่ง ที่เปิดทางให้รัฐบาลเริ่มกระบวนการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียบางอย่าง แต่เขาจำเป็นต้องขอความเห็นชอบจากสภาคองเกรสในการยกเลิกการคว่ำบาตรนิติบุคคลบางแห่ง . นับตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา รัสเซีย เสริมความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจในช่วงเวลาสงคราม ด้วยการเพิ่มการใช้จ่ายด้านการทหารและยกระดับผลผลิตทางอุตสาหกรรม แต่พวกผู้เชี่ยวชาญมองว่าเศรษฐกิจของประเทศแห่งนี้ยังมีความอ่อนแอ และจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้รับการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรจากตะวันตก . รัสเซียบอกว่าพวกเขาเปิดกว้างสำหรับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยวังเครมลินบอกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่ารัสเซียมีแร่ธาตุแรร์เฮิร์ธมากมาย และเปิดกว้างสำหรับทำข้อตกลงพัฒนาแร่เหล่านี้ หลังจาก ปูติน พูดถึงความเป็นไปได้ที่จะร่วมมือในเรื่องดังกล่าวกับสหรัฐฯ . แหล่งข่าวเชื่อว่าข้อตกลงทางเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการใดๆ ดูเหมือนจะมีความจำเป็นสำหรับเปิดทางให้สหรัฐฯผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตร . ที่ผ่านมา ทรัมป์ หาทางบรรลุข้อตกลงแร่ธาตุกับยูเครน ประเทศที่มีแหล่งทรัพยากรแร่มหาศาล ในนั้นรวมถึงแร่แรร์เอิร์ธ ในฐานะเป็นสิ่งตอบแทนชดใช้เงินช่วยเหลือหลายแสนล้านดอลลาร์ที่สหรัฐฯมอให้แก่เคียฟ อย่างไรก็ตามไม่มีการลงนามในข้อตกลง ตามหลังศึกวิวาทะดุเดือดภายในห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาว ระหว่าง ทรัมป์ กับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000020861 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    4
    0 Comments 0 Shares 1525 Views 1 Reviews
  • มีข่าวที่น่าสนใจจาก TechSpot เกี่ยวกับการใช้งานเทคโนโลยีเสียง AI แบบเรียลไทม์ในศูนย์บริการลูกค้าของอินเดีย เพื่อปรับเสียงสำเนียงของพนักงานให้เป็นสำเนียงที่ฟังง่ายขึ้น ทำให้ลูกค้าเข้าใจได้ดีขึ้นและเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า

    Teleperformance SE ผู้ให้บริการศูนย์บริการลูกค้ารายใหญ่ที่สุดในโลก กำลังใช้งานระบบ AI ที่ออกแบบมาเพื่อลดเสียงสำเนียงของพนักงานที่พูดภาษาอังกฤษในอินเดียแบบเรียลไทม์ บริษัทเชื่อว่าเทคโนโลยีนี้จะช่วยเพิ่มความเข้าใจของลูกค้าและลดเวลาการจัดการ

    เทคโนโลยีนี้ทำงานโดยใช้การรับรู้เสียงเพื่อจับเสียงของผู้พูด จากนั้นใช้ขั้นตอนการประมวลผลภาษาและการเปลี่ยนสำเนียงเพื่อให้เสียงตรงกับสำเนียงที่กำหนดไว้ ในขณะที่ยังคงรักษาน้ำเสียง อารมณ์ และตัวตนของผู้พูดไว้

    สิ่งที่น่าสนใจคือ ระบบนี้ไม่เพียงแค่ปรับเสียงสำเนียงเท่านั้น แต่ยังมีการใช้เทคโนโลยีลดเสียงรบกวนในพื้นหลังเพื่อให้การสนทนาชัดเจนยิ่งขึ้น บริษัท Teleperformance มีลูกค้าหลายรายที่สำคัญ เช่น Apple, TikTok, และ Samsung Electronics และยังมีแผนลงทุนใน AI ถึง €100 ล้าน ($104 ล้าน) ในปี 2025

    บริษัท Sanas ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพใน Palo Alto ได้พัฒนาเทคโนโลยีนี้หลังจากได้รับการลงทุน $13 ล้านจาก Teleperformance เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ระบบนี้ถูกออกแบบมาเพื่อลดการเลือกปฏิบัติตามเสียงสำเนียง และในขณะเดียวกันยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับศูนย์บริการลูกค้าในที่อื่น ๆ เช่น ฟิลิปปินส์ ที่ขึ้นชื่อด้วยการพูดภาษาอังกฤษคุณภาพสูง

    การพัฒนานี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การลงทุนใน AI ของ Teleperformance ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพของพนักงานและสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับลูกค้า แม้ว่า AI จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้น แต่ Thomas Mackenbrock รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท กล่าวว่าธาตุมนุษย์จะยังคงมีความสำคัญอย่างมากในการสร้างความสัมพันธ์และปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า

    https://www.techspot.com/news/106983-new-ai-voice-technology-alters-accents-indian-call.html
    มีข่าวที่น่าสนใจจาก TechSpot เกี่ยวกับการใช้งานเทคโนโลยีเสียง AI แบบเรียลไทม์ในศูนย์บริการลูกค้าของอินเดีย เพื่อปรับเสียงสำเนียงของพนักงานให้เป็นสำเนียงที่ฟังง่ายขึ้น ทำให้ลูกค้าเข้าใจได้ดีขึ้นและเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า Teleperformance SE ผู้ให้บริการศูนย์บริการลูกค้ารายใหญ่ที่สุดในโลก กำลังใช้งานระบบ AI ที่ออกแบบมาเพื่อลดเสียงสำเนียงของพนักงานที่พูดภาษาอังกฤษในอินเดียแบบเรียลไทม์ บริษัทเชื่อว่าเทคโนโลยีนี้จะช่วยเพิ่มความเข้าใจของลูกค้าและลดเวลาการจัดการ เทคโนโลยีนี้ทำงานโดยใช้การรับรู้เสียงเพื่อจับเสียงของผู้พูด จากนั้นใช้ขั้นตอนการประมวลผลภาษาและการเปลี่ยนสำเนียงเพื่อให้เสียงตรงกับสำเนียงที่กำหนดไว้ ในขณะที่ยังคงรักษาน้ำเสียง อารมณ์ และตัวตนของผู้พูดไว้ สิ่งที่น่าสนใจคือ ระบบนี้ไม่เพียงแค่ปรับเสียงสำเนียงเท่านั้น แต่ยังมีการใช้เทคโนโลยีลดเสียงรบกวนในพื้นหลังเพื่อให้การสนทนาชัดเจนยิ่งขึ้น บริษัท Teleperformance มีลูกค้าหลายรายที่สำคัญ เช่น Apple, TikTok, และ Samsung Electronics และยังมีแผนลงทุนใน AI ถึง €100 ล้าน ($104 ล้าน) ในปี 2025 บริษัท Sanas ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพใน Palo Alto ได้พัฒนาเทคโนโลยีนี้หลังจากได้รับการลงทุน $13 ล้านจาก Teleperformance เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ระบบนี้ถูกออกแบบมาเพื่อลดการเลือกปฏิบัติตามเสียงสำเนียง และในขณะเดียวกันยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับศูนย์บริการลูกค้าในที่อื่น ๆ เช่น ฟิลิปปินส์ ที่ขึ้นชื่อด้วยการพูดภาษาอังกฤษคุณภาพสูง การพัฒนานี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การลงทุนใน AI ของ Teleperformance ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพของพนักงานและสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับลูกค้า แม้ว่า AI จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้น แต่ Thomas Mackenbrock รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท กล่าวว่าธาตุมนุษย์จะยังคงมีความสำคัญอย่างมากในการสร้างความสัมพันธ์และปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า https://www.techspot.com/news/106983-new-ai-voice-technology-alters-accents-indian-call.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Real-time AI voice technology alters accents in Indian call centers for better clarity
    Teleperformance SE, the world's largest call center operator, is implementing an artificial intelligence system designed to soften the accents of English-speaking Indian workers in real-time. The company...
    0 Comments 0 Shares 204 Views 0 Reviews
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เพิ่มความหวังสำหรับการระงับรีดภาษีรอบใหม่สินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาออกไปอีก 1 เดือน บอกว่ามันอาจมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 เมษายน และหยิบยกความเป็นไปได้ของการเรียกเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) 25% กับรถยนต์และสินค้าอื่นๆ จากยุโรป
    .
    อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว ระบุว่าเส้นตายก่อนหน้านี้ของทรัมป์ ในวันที่ 4 มีนาคม สำหรับรีดภาษี 25% สินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา ณ ปัจจุบัน "ยังคงมีผลบังคับใช้" ขึ้นอยู่กับการทบทวนของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต่อความเคลื่อนไหวต่างๆ ของเม็กซิโกและแคนาดา ในการคุ้มกันชายแดนและชะลอกระแสไหลบ่าของผู้อพยพและยาเฟนตานิลเข้าสู่อเมริกา
    .
    ความเห็นที่ก่อความสับสนของทรัมป์ เกิดขึ้นระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นครั้งแรกในวันพุธ (26 ก.พ.) ครั้งที่เขาถูกถามเกี่ยวกับกรอบเวลาของการเริ่มรีดภาษีแคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งเขาตอบกลับมาว่าจะเป็นวันที่ 2 เมษายน
    .
    "ผมจะบอกกับคุณว่า เป็นวันที่ 2 เมษายน ตอนแรกผมจะทำมันในวันที่ 1 เมษายน แต่ผมเชื่อโชคลางเล็กน้อย ผมจะทำมันในวันที่ 2 เมษายน เดินหน้ารีดภาษี แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่เป็นจำนวนมาก" ทรัมป์กล่าว ทั้งนี้ความเห็นของประธานาธิบดีสหรัฐฯ กระตุ้นให้ค่าเงินดอลลาร์แคนาดาและเปโซของเม็กซิโกดีดตัวขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์
    .
    ฟรองซัวส์-ฟิลิปป์ แชมเปญ รัฐมนตรีกระทรวงนวัตกรรมของแคนาดา บอกกับพวกผู้สื่อข่าวว่า แคนาดาจะรอให้ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งพิเศษก่อน แล้วค่อยแสดงปฏิกิริยาใดๆ "ภารกิจของเรา ยังคงเป็นการหลีกเลี่ยงภาษี ขยายเวลาของการระงับ ถ้าเราจำเป็นต้องทำ" เขากล่าว "เราเตรียมพร้อมแล้ว มันเป็นการการตอบโต้อย่างเล็งเป้า อย่างเป็นยุทธศาสตร์และหนักแน่น ถ้าทรัมป์กำหนดรีดภาษี"
    .
    กระทรวงเศรษฐกิจของเม็กซิโก ปฏิเสธแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคำพูดของทรัมป์ แต่ทาง มาร์เซโล เอบราร์ด รัฐมนตรีเศรษฐกิจ มีกำหนดพบปะกับเจมีสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้า และโฮเวิร์ด ลุตนิค รัฐมนตรีพาณิชย์ของสหรัฐฯ ในวันศุกร์ (28 ก.พ.)
    .
    ลุตนิค บอกกับคณะรัฐมนตรีว่าความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับยาเฟนตานิล ถูกระงับเป็นเวลา 30 วัน แต่พาดพิงถึงมาตรการรีดภาษีโดยรวมในวันที่ 2 เมษายน และไม่ได้เจาะจงว่าเส้นตายรีดภาษีเดิมในวันที่ 4 มีนาคม ยังมีผลบังคับใช้หรือไม่
    .
    ทรัมป์ เล็งไว้ในช่วงต้นเดือนเมษายนสำหรับกำหนดมาตรการรีดภาษีตอบโต้ขึ้นภาษีให้เท่ากับอัตราภาษีที่ประเทศอื่นๆ เรียกเก็บกับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ รวมถึงชดเชยข้อจำกัดอื่นๆ ของประเทศคู่ค้าเหล่านั้น ทั้งนี้คณะที่ปรึกษาด้านการค้าของทรัมป์ มองว่าภาษีมูลค่าเพิ่มของบรรดาชาติยุโรปไม่ต่างจากการรีดภาษี
    .
    เมื่อถูกถามว่าเขาตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราภาษีที่้จะเรียกเก็บกับสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรปแล้วหรือไม่ ทรัมป์ตอบว่า "เราได้ตัดสินใจแล้ว และเราจะแถลงเร็วๆ นี้ และมันจะเป็น 25% มันจะเป็นรถยนต์และสิ่งต่างๆ ทั้งหมด"
    .
    เขาบอกว่าสำหรับอียูนั้น เป็นกรณีที่ต่างออกไปจากแคนาดาและเอาเปรียบสหรัฐฯ ในรูปแบบที่ต่างออกไป "พวกเขาไม่ยอมรับรถยนต์ของเรา พวกเขาไม่อ้าแขนรับผลิตภัณฑ์ฟาร์มของเรา" ทรัมป์กล่าว พร้อมระบุว่าอียูก่อตั้งมาเพื่อคาดคั้นสหรัฐฯ
    .
    โฆษกคณะกรรมาธิการยุโรป บอกว่า "อียูจะตอบสนองอย่างหนักแน่นและโดยทันที ต่อขวากนามที่ไม่ยุติธรรมใดๆ ต่อความเสรีและความยุติธรรมทางการค้า ในนั้นรวมถึงการรีดภาษี ที่ท้าทายกฎหมายและนโยบายไม่เลือกปฏิบัติ" พร้อมบอกต่อว่า "สหภาพยุโรปคือตลาดเสรีใหญ่ที่สุดในโลก เราเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับสหรัฐฯ"
    .
    โรเบอร์ตา เมตโซลา ประธานรัฐสภายุโรป มีแผนพบปะกับบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน ในวันพุธ (26 ก.พ.) แต่ไม่มีกำหนดเข้าพูดคุยหารือใดๆ กับพวกเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลทรัมป์
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000019218
    ..............
    Sondhi X
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เพิ่มความหวังสำหรับการระงับรีดภาษีรอบใหม่สินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาออกไปอีก 1 เดือน บอกว่ามันอาจมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 เมษายน และหยิบยกความเป็นไปได้ของการเรียกเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) 25% กับรถยนต์และสินค้าอื่นๆ จากยุโรป . อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว ระบุว่าเส้นตายก่อนหน้านี้ของทรัมป์ ในวันที่ 4 มีนาคม สำหรับรีดภาษี 25% สินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา ณ ปัจจุบัน "ยังคงมีผลบังคับใช้" ขึ้นอยู่กับการทบทวนของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต่อความเคลื่อนไหวต่างๆ ของเม็กซิโกและแคนาดา ในการคุ้มกันชายแดนและชะลอกระแสไหลบ่าของผู้อพยพและยาเฟนตานิลเข้าสู่อเมริกา . ความเห็นที่ก่อความสับสนของทรัมป์ เกิดขึ้นระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นครั้งแรกในวันพุธ (26 ก.พ.) ครั้งที่เขาถูกถามเกี่ยวกับกรอบเวลาของการเริ่มรีดภาษีแคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งเขาตอบกลับมาว่าจะเป็นวันที่ 2 เมษายน . "ผมจะบอกกับคุณว่า เป็นวันที่ 2 เมษายน ตอนแรกผมจะทำมันในวันที่ 1 เมษายน แต่ผมเชื่อโชคลางเล็กน้อย ผมจะทำมันในวันที่ 2 เมษายน เดินหน้ารีดภาษี แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่เป็นจำนวนมาก" ทรัมป์กล่าว ทั้งนี้ความเห็นของประธานาธิบดีสหรัฐฯ กระตุ้นให้ค่าเงินดอลลาร์แคนาดาและเปโซของเม็กซิโกดีดตัวขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ . ฟรองซัวส์-ฟิลิปป์ แชมเปญ รัฐมนตรีกระทรวงนวัตกรรมของแคนาดา บอกกับพวกผู้สื่อข่าวว่า แคนาดาจะรอให้ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งพิเศษก่อน แล้วค่อยแสดงปฏิกิริยาใดๆ "ภารกิจของเรา ยังคงเป็นการหลีกเลี่ยงภาษี ขยายเวลาของการระงับ ถ้าเราจำเป็นต้องทำ" เขากล่าว "เราเตรียมพร้อมแล้ว มันเป็นการการตอบโต้อย่างเล็งเป้า อย่างเป็นยุทธศาสตร์และหนักแน่น ถ้าทรัมป์กำหนดรีดภาษี" . กระทรวงเศรษฐกิจของเม็กซิโก ปฏิเสธแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคำพูดของทรัมป์ แต่ทาง มาร์เซโล เอบราร์ด รัฐมนตรีเศรษฐกิจ มีกำหนดพบปะกับเจมีสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้า และโฮเวิร์ด ลุตนิค รัฐมนตรีพาณิชย์ของสหรัฐฯ ในวันศุกร์ (28 ก.พ.) . ลุตนิค บอกกับคณะรัฐมนตรีว่าความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับยาเฟนตานิล ถูกระงับเป็นเวลา 30 วัน แต่พาดพิงถึงมาตรการรีดภาษีโดยรวมในวันที่ 2 เมษายน และไม่ได้เจาะจงว่าเส้นตายรีดภาษีเดิมในวันที่ 4 มีนาคม ยังมีผลบังคับใช้หรือไม่ . ทรัมป์ เล็งไว้ในช่วงต้นเดือนเมษายนสำหรับกำหนดมาตรการรีดภาษีตอบโต้ขึ้นภาษีให้เท่ากับอัตราภาษีที่ประเทศอื่นๆ เรียกเก็บกับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ รวมถึงชดเชยข้อจำกัดอื่นๆ ของประเทศคู่ค้าเหล่านั้น ทั้งนี้คณะที่ปรึกษาด้านการค้าของทรัมป์ มองว่าภาษีมูลค่าเพิ่มของบรรดาชาติยุโรปไม่ต่างจากการรีดภาษี . เมื่อถูกถามว่าเขาตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราภาษีที่้จะเรียกเก็บกับสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรปแล้วหรือไม่ ทรัมป์ตอบว่า "เราได้ตัดสินใจแล้ว และเราจะแถลงเร็วๆ นี้ และมันจะเป็น 25% มันจะเป็นรถยนต์และสิ่งต่างๆ ทั้งหมด" . เขาบอกว่าสำหรับอียูนั้น เป็นกรณีที่ต่างออกไปจากแคนาดาและเอาเปรียบสหรัฐฯ ในรูปแบบที่ต่างออกไป "พวกเขาไม่ยอมรับรถยนต์ของเรา พวกเขาไม่อ้าแขนรับผลิตภัณฑ์ฟาร์มของเรา" ทรัมป์กล่าว พร้อมระบุว่าอียูก่อตั้งมาเพื่อคาดคั้นสหรัฐฯ . โฆษกคณะกรรมาธิการยุโรป บอกว่า "อียูจะตอบสนองอย่างหนักแน่นและโดยทันที ต่อขวากนามที่ไม่ยุติธรรมใดๆ ต่อความเสรีและความยุติธรรมทางการค้า ในนั้นรวมถึงการรีดภาษี ที่ท้าทายกฎหมายและนโยบายไม่เลือกปฏิบัติ" พร้อมบอกต่อว่า "สหภาพยุโรปคือตลาดเสรีใหญ่ที่สุดในโลก เราเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับสหรัฐฯ" . โรเบอร์ตา เมตโซลา ประธานรัฐสภายุโรป มีแผนพบปะกับบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน ในวันพุธ (26 ก.พ.) แต่ไม่มีกำหนดเข้าพูดคุยหารือใดๆ กับพวกเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลทรัมป์ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000019218 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    13
    0 Comments 0 Shares 2295 Views 0 Reviews
  • จีนโวย ไต้หวันพยายามยกอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ให้อเมริกาเป็น “ของที่ระลึก” โดยขอแลกกับการได้รับสนับสนุนให้เป็นเอกราชจากวอชิงตัน
    .
    ก่อนหน้านี้สื่ออเมริกันรายงานว่า ไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟกเจอริง (ทีเอสเอ็มซี) บริษัทที่เป็นกิจการรับจ้างผลิตชิปแบบมีสัญญาผูกมัดรายใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นซัปพลายเออร์สำคัญของบริษัทมากมาย เช่น แอปเปิล และเอ็นวีเดีย กำลังเจรจาเพื่อเข้าถือหุ้นในอินเทล กิจการเซมิคอนดักเตอร์อเมริกันซึ่งเคยเป็นบิ๊กยักษ์
    .
    ทั้งเอสเอ็มซีและอินเทลต่างไม่ยืนยันข่าวดังกล่าว ขณะที่ทางการไทเปบอกว่า ไม่ได้รับข้อมูลว่า มีการยื่นขออนุญาตลงทุนนอกประเทศจากทีเอสเอ็มซีแต่อย่างใด
    .
    ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยวิจารณ์ว่า ไต้หวันขโมยธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ไปจากอเมริกา และต้องการให้บริษัทแห่งนี้เข้าไปผลิตในอเมริกาเพิ่มขึ้น
    .
    ในนพุธ (26 ก.พ.) ที่ปักกิ่ง จู เฟิงเหลียน โฆษกสำนักงานกิจการไต้หวันของจีน กล่าวระหว่างการแถลงข่าวตามปกติ ว่า คนไต้หวันกังวลว่า ทีเอสเอ็มซีจะกลายเป็นยูไนเต็ด สเตทส์ เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟกเจอริง
    .
    จูเสริมว่า เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว พวกเจ้าหน้าที่พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (ดีพีพี) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของไต้หวัน เร่งเร้ามหาอำนาจต่างชาติโดยใช้อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และบริษัททรงอิทธิพลในท้องถิ่นเป็นเครื่องมือ เพื่อไปสู่เป้าหมายในการพึ่งพิงต่างชาติมาประกาศเอกราชของไต้หวัน และแม้กระทั่งยอมยกบริษัทเหล่านั้นเป็นของที่ระลึกให้ต่างชาติ ทั้งนี้การขายชาติของบุคคลเหล่านั้นก็เป็นสิ่งที่อเมริกาต้องการพอดิบพอดี
    .
    ทางด้านสภากิจการแผ่นดินใหญ่ของไต้หวัน ได้ออกมาแถลงตอบโต้ว่า ทีเอสเอ็มซีเป็นบริษัทไต้หวันที่มีความสำคัญ และเพื่อรับมือความท้าทายจากนโยบายใหม่ของทรัมป์ต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และทีเอสเอ็มซี รัฐบาลจะร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับผู้ประกอบการเพื่อรักษาสถานะผู้นำเทคโนโลยีขั้นสูงของไต้หวัน
    .
    อีกด้านหนึ่ง ในการแถลงข่าวครั้งนี้ จูยังกล่าวหาว่า ไต้หวันปั้นเรื่องให้ร้ายจีนว่า อาจมีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ที่สายเคเบิลสื่อสารใต้ทะเลบริเวณหมู่เกาะเผิงหูขาดเมื่อเร็วๆ นี้
    .
    ทั้งนี้ หน่วยยามฝั่งไต้หวันได้กักเรือสินค้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจีนลำหนึ่งเอาไว้เมื่อวันอังคาร (25 ก.พ.) หลังจากเคเบิลใต้น้ำบริเวณใกล้หมู่เกาะเผิงหู ในช่องแคบไต้หวันขาด
    .
    จูแถลงกับพวกผู้สื่อข่าวว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเคเบิลใต้น้ำบริเวณดังกล่าวเกิดจากอุบัติเหตุทางทะเลทั่วไปที่เกิดขึ้นปีละเป็นร้อยครั้งทั่วโลก ทว่า ขณะที่ยังไม่มีการระบุข้อเท็จจริงพื้นฐานและผู้ที่ต้องรับผิดชอบจากอุบัติเหตุดังกล่าว เจ้าหน้าที่พรรคดีพีพีกลับทำให้สถานการณ์เลวร้ายเกินจริงเพื่อพยายามปลุกปั่นทางการเมือง
    .
    ไต้หวันแสดงความกังวลอย่างมาก หลังจากเรือที่มีความเชื่อมโยงกับจีนก็ถูกสงสัยว่า ทำให้เคเบิลใต้น้ำอีกจุดเสียหายก่อนหน้านี้ กระตุ้นให้กองทัพเรือและหน่วยงานอื่นๆ ของไต้หวันประกาศงยกระดับการปกป้องเคเบิลสื่อสารใต้ทะเลซึ่งมีความสำคัญในการติดต่อระหว่างไต้หวันกับโลกภายนอก
    .
    นอกจากนั้น ไต้หวันยังอ้างอิงเหตุการณ์ทำนองเดียวกันกันนี้ซึ่งเกิดขึ้นในทะเลบอลติก ภายหลังรัสเซียรุกรานยูเครน
    .
    ไม่เพียงเท่านี้ ไต้หวันยังโวยเรื่องที่หน่วยยามฝั่งของจีนออกตรวจการณ์บ่อยครั้งในน่านน้ำรอบหมู่เกาะจินเหมิน ที่อยู่ในความควบคุมของไต้หวัน แต่อยู่ใกล้เมืองเซี่ยเหมิน และกว่างโจวของจีนมาก
    .
    ทว่า จีนยืนยันว่า การตรวจการณ์ดังกล่าวเป็นปฏิบัติการปกติเพื่อบังคับใช้กฎหมายและเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปีที่แล้วตอนที่ชาวจีนสองคนเสียชีวิตขณะพยายามหนีหน่วยยามฝั่งไต้หวันหลังจากเรือของทั้งคู่เข้าสู่น่านน้ำหวงห้ามใกล้หมู่เกาะจินเหมิน
    .
    อย่างไรก็ดี เมื่อวันพุธหน่วยยามฝั่งไต้หวันกล่าวหาว่า จีนตรวจการณ์บริเวณดังกล่าวเฉลี่ยเดือนละ 4 ครั้ง ซึ่งรูปแบบเส้นทางฟ้องว่า เป็นการล่วงละเมิดที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ไม่ใช่การตรวจสอบเพื่อบังคับใช้กฎหมาย และส่งผลกระทบไม่เพียงสถานการณ์ในช่องแคบไต้หวันเท่านั้น แต่ยังบ่อนทำลายสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคด้วย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000019213
    ..............
    Sondhi X
    จีนโวย ไต้หวันพยายามยกอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ให้อเมริกาเป็น “ของที่ระลึก” โดยขอแลกกับการได้รับสนับสนุนให้เป็นเอกราชจากวอชิงตัน . ก่อนหน้านี้สื่ออเมริกันรายงานว่า ไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟกเจอริง (ทีเอสเอ็มซี) บริษัทที่เป็นกิจการรับจ้างผลิตชิปแบบมีสัญญาผูกมัดรายใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นซัปพลายเออร์สำคัญของบริษัทมากมาย เช่น แอปเปิล และเอ็นวีเดีย กำลังเจรจาเพื่อเข้าถือหุ้นในอินเทล กิจการเซมิคอนดักเตอร์อเมริกันซึ่งเคยเป็นบิ๊กยักษ์ . ทั้งเอสเอ็มซีและอินเทลต่างไม่ยืนยันข่าวดังกล่าว ขณะที่ทางการไทเปบอกว่า ไม่ได้รับข้อมูลว่า มีการยื่นขออนุญาตลงทุนนอกประเทศจากทีเอสเอ็มซีแต่อย่างใด . ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยวิจารณ์ว่า ไต้หวันขโมยธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ไปจากอเมริกา และต้องการให้บริษัทแห่งนี้เข้าไปผลิตในอเมริกาเพิ่มขึ้น . ในนพุธ (26 ก.พ.) ที่ปักกิ่ง จู เฟิงเหลียน โฆษกสำนักงานกิจการไต้หวันของจีน กล่าวระหว่างการแถลงข่าวตามปกติ ว่า คนไต้หวันกังวลว่า ทีเอสเอ็มซีจะกลายเป็นยูไนเต็ด สเตทส์ เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟกเจอริง . จูเสริมว่า เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว พวกเจ้าหน้าที่พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (ดีพีพี) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของไต้หวัน เร่งเร้ามหาอำนาจต่างชาติโดยใช้อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และบริษัททรงอิทธิพลในท้องถิ่นเป็นเครื่องมือ เพื่อไปสู่เป้าหมายในการพึ่งพิงต่างชาติมาประกาศเอกราชของไต้หวัน และแม้กระทั่งยอมยกบริษัทเหล่านั้นเป็นของที่ระลึกให้ต่างชาติ ทั้งนี้การขายชาติของบุคคลเหล่านั้นก็เป็นสิ่งที่อเมริกาต้องการพอดิบพอดี . ทางด้านสภากิจการแผ่นดินใหญ่ของไต้หวัน ได้ออกมาแถลงตอบโต้ว่า ทีเอสเอ็มซีเป็นบริษัทไต้หวันที่มีความสำคัญ และเพื่อรับมือความท้าทายจากนโยบายใหม่ของทรัมป์ต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และทีเอสเอ็มซี รัฐบาลจะร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับผู้ประกอบการเพื่อรักษาสถานะผู้นำเทคโนโลยีขั้นสูงของไต้หวัน . อีกด้านหนึ่ง ในการแถลงข่าวครั้งนี้ จูยังกล่าวหาว่า ไต้หวันปั้นเรื่องให้ร้ายจีนว่า อาจมีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ที่สายเคเบิลสื่อสารใต้ทะเลบริเวณหมู่เกาะเผิงหูขาดเมื่อเร็วๆ นี้ . ทั้งนี้ หน่วยยามฝั่งไต้หวันได้กักเรือสินค้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจีนลำหนึ่งเอาไว้เมื่อวันอังคาร (25 ก.พ.) หลังจากเคเบิลใต้น้ำบริเวณใกล้หมู่เกาะเผิงหู ในช่องแคบไต้หวันขาด . จูแถลงกับพวกผู้สื่อข่าวว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเคเบิลใต้น้ำบริเวณดังกล่าวเกิดจากอุบัติเหตุทางทะเลทั่วไปที่เกิดขึ้นปีละเป็นร้อยครั้งทั่วโลก ทว่า ขณะที่ยังไม่มีการระบุข้อเท็จจริงพื้นฐานและผู้ที่ต้องรับผิดชอบจากอุบัติเหตุดังกล่าว เจ้าหน้าที่พรรคดีพีพีกลับทำให้สถานการณ์เลวร้ายเกินจริงเพื่อพยายามปลุกปั่นทางการเมือง . ไต้หวันแสดงความกังวลอย่างมาก หลังจากเรือที่มีความเชื่อมโยงกับจีนก็ถูกสงสัยว่า ทำให้เคเบิลใต้น้ำอีกจุดเสียหายก่อนหน้านี้ กระตุ้นให้กองทัพเรือและหน่วยงานอื่นๆ ของไต้หวันประกาศงยกระดับการปกป้องเคเบิลสื่อสารใต้ทะเลซึ่งมีความสำคัญในการติดต่อระหว่างไต้หวันกับโลกภายนอก . นอกจากนั้น ไต้หวันยังอ้างอิงเหตุการณ์ทำนองเดียวกันกันนี้ซึ่งเกิดขึ้นในทะเลบอลติก ภายหลังรัสเซียรุกรานยูเครน . ไม่เพียงเท่านี้ ไต้หวันยังโวยเรื่องที่หน่วยยามฝั่งของจีนออกตรวจการณ์บ่อยครั้งในน่านน้ำรอบหมู่เกาะจินเหมิน ที่อยู่ในความควบคุมของไต้หวัน แต่อยู่ใกล้เมืองเซี่ยเหมิน และกว่างโจวของจีนมาก . ทว่า จีนยืนยันว่า การตรวจการณ์ดังกล่าวเป็นปฏิบัติการปกติเพื่อบังคับใช้กฎหมายและเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปีที่แล้วตอนที่ชาวจีนสองคนเสียชีวิตขณะพยายามหนีหน่วยยามฝั่งไต้หวันหลังจากเรือของทั้งคู่เข้าสู่น่านน้ำหวงห้ามใกล้หมู่เกาะจินเหมิน . อย่างไรก็ดี เมื่อวันพุธหน่วยยามฝั่งไต้หวันกล่าวหาว่า จีนตรวจการณ์บริเวณดังกล่าวเฉลี่ยเดือนละ 4 ครั้ง ซึ่งรูปแบบเส้นทางฟ้องว่า เป็นการล่วงละเมิดที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ไม่ใช่การตรวจสอบเพื่อบังคับใช้กฎหมาย และส่งผลกระทบไม่เพียงสถานการณ์ในช่องแคบไต้หวันเท่านั้น แต่ยังบ่อนทำลายสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคด้วย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000019213 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    12
    0 Comments 0 Shares 2305 Views 0 Reviews
  • มีรายงานว่าบริษัท Stock Farm Road (SFR) ได้เซ็นสัญญาข้อตกลง (Memorandum of Understanding หรือ MoU) กับผู้ว่าการจังหวัดชอลลาใต้ของเกาหลีใต้เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ศูนย์ข้อมูลนี้จะตั้งอยู่ในมุมตะวันตกเฉียงใต้ของเกาหลีใต้ โดยมีงบประมาณประมาณ 35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีกำลังการผลิตถึง 3 กิกะวัตต์ (GW)

    โครงการนี้ถือเป็นการก้าวสำคัญในวงการเทคโนโลยีและพลังงาน ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่นี้จะมีกำลังการผลิตที่ใหญ่กว่าศูนย์ข้อมูลที่กำลังสร้างทั่วโลก เช่น Sines Data Center ในโปรตุเกสที่มีกำลังการผลิต 1.2 GW และศูนย์ข้อมูล AI ของ Oracle ที่มีกำลังการผลิต 1 GW

    การก่อสร้างศูนย์ข้อมูลนี้มีกำหนดเริ่มต้นในปีนี้ และคาดว่าจะเสร็จสิ้นในปี 2028 ซึ่งระยะเวลาการก่อสร้างนี้สั้นกว่าค่าเฉลี่ยของโครงการศูนย์ข้อมูลที่ใช้เวลาประมาณสี่ปี

    ที่น่าสนใจคือโครงการนี้ไม่ได้เน้นที่ศูนย์ข้อมูลเพียงอย่างเดียว แต่จะรวมถึงการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน การจัดหาอุปกรณ์ และการวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อความยั่งยืนทางเทคโนโลยีในระยะยาว ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญทั้งในระดับจังหวัดและระดับชาติ คาดว่าจะสร้างรายได้เริ่มต้นประมาณ 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และสร้างงานมากกว่า 10,000 ตำแหน่ง

    SFR ก่อตั้งโดย Brian Koo ซึ่งเป็นหลานชายของผู้ก่อตั้ง LG Electronics และ Dr. Amin Badr-El-Din มีแผนที่จะสร้างศูนย์ข้อมูล AI เพิ่มเติมในเอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกาใน 18 เดือนข้างหน้า บริษัทเชื่อว่าการลงทุนเหล่านี้จะช่วยสร้างเทคโนโลยี AI รุ่นต่อไป และจะให้บริการสถาบันหลายแห่ง รวมถึงผู้ให้บริการคลาวด์และนักพัฒนา AI

    สิ่งนี้อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ CEO ของ Microsoft, Satya Nadella กล่าวว่า มีการสร้างระบบ AI มากเกินไปและบริษัทของเขาจะจำกัดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI และหันไปเช่าความจุจากศูนย์ข้อมูลที่มีอยู่ เช่น SFR แทน อย่างไรก็ตาม Microsoft ยังคงใช้เงินจำนวนมหาศาลในการพัฒนา AI รวมถึงการรีสตาร์ทโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Three Mile Island เพื่อจัดหาพลังงานที่ศูนย์ข้อมูลของพวกเขาต้องการ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/worlds-largest-data-center-gets-go-ahead-from-korean-govt-facility-to-require-3-gw-of-power
    มีรายงานว่าบริษัท Stock Farm Road (SFR) ได้เซ็นสัญญาข้อตกลง (Memorandum of Understanding หรือ MoU) กับผู้ว่าการจังหวัดชอลลาใต้ของเกาหลีใต้เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ศูนย์ข้อมูลนี้จะตั้งอยู่ในมุมตะวันตกเฉียงใต้ของเกาหลีใต้ โดยมีงบประมาณประมาณ 35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีกำลังการผลิตถึง 3 กิกะวัตต์ (GW) โครงการนี้ถือเป็นการก้าวสำคัญในวงการเทคโนโลยีและพลังงาน ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่นี้จะมีกำลังการผลิตที่ใหญ่กว่าศูนย์ข้อมูลที่กำลังสร้างทั่วโลก เช่น Sines Data Center ในโปรตุเกสที่มีกำลังการผลิต 1.2 GW และศูนย์ข้อมูล AI ของ Oracle ที่มีกำลังการผลิต 1 GW การก่อสร้างศูนย์ข้อมูลนี้มีกำหนดเริ่มต้นในปีนี้ และคาดว่าจะเสร็จสิ้นในปี 2028 ซึ่งระยะเวลาการก่อสร้างนี้สั้นกว่าค่าเฉลี่ยของโครงการศูนย์ข้อมูลที่ใช้เวลาประมาณสี่ปี ที่น่าสนใจคือโครงการนี้ไม่ได้เน้นที่ศูนย์ข้อมูลเพียงอย่างเดียว แต่จะรวมถึงการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน การจัดหาอุปกรณ์ และการวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อความยั่งยืนทางเทคโนโลยีในระยะยาว ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญทั้งในระดับจังหวัดและระดับชาติ คาดว่าจะสร้างรายได้เริ่มต้นประมาณ 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และสร้างงานมากกว่า 10,000 ตำแหน่ง SFR ก่อตั้งโดย Brian Koo ซึ่งเป็นหลานชายของผู้ก่อตั้ง LG Electronics และ Dr. Amin Badr-El-Din มีแผนที่จะสร้างศูนย์ข้อมูล AI เพิ่มเติมในเอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกาใน 18 เดือนข้างหน้า บริษัทเชื่อว่าการลงทุนเหล่านี้จะช่วยสร้างเทคโนโลยี AI รุ่นต่อไป และจะให้บริการสถาบันหลายแห่ง รวมถึงผู้ให้บริการคลาวด์และนักพัฒนา AI สิ่งนี้อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ CEO ของ Microsoft, Satya Nadella กล่าวว่า มีการสร้างระบบ AI มากเกินไปและบริษัทของเขาจะจำกัดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI และหันไปเช่าความจุจากศูนย์ข้อมูลที่มีอยู่ เช่น SFR แทน อย่างไรก็ตาม Microsoft ยังคงใช้เงินจำนวนมหาศาลในการพัฒนา AI รวมถึงการรีสตาร์ทโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Three Mile Island เพื่อจัดหาพลังงานที่ศูนย์ข้อมูลของพวกเขาต้องการ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/worlds-largest-data-center-gets-go-ahead-from-korean-govt-facility-to-require-3-gw-of-power
    0 Comments 0 Shares 286 Views 0 Reviews
  • วางแผนการเดิน "พระราชวังต้องห้าม" (ปักกิ่ง) ในวันเดียว

    ประวัติ "พระราชวังต้องห้าม" “จื่อจิ้นเฉิง”(紫禁城)
    ‘จื่อ’ (紫)แปลว่า สีม่วง ในวัฒนธรรมจีน หมายถึง ความศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงฐานะอันสูงส่งของฮ่องเต้ อย่างเช่นเวลาที่ฮ่องเต้เสด็จ ราชรถก็จะชูธงสีม่วงขึ้น ดังนั้น สีม่วงจึงใช้เป็นสัญลักษณ์ของราชสำนักอีกด้วย

    ‘จื่อ’ (紫) จากคำว่า จื่อจิ้นเฉิง(紫禁城) มาจาก จื่อเวยซิง(紫薇星)ที่เป็นชื่อดาวเหนือ เป็นเหมือนดาวพระราชา ดังนั้นเลยสื่อได้ว่า คนจีนในสมัยก่อนมองว่า จื่อจิ้นเฉิง หรือ พระราชวังต้องห้าม ถือเป็นศูนย์กลางของโลก และภายหลังจึงเปลี่ยนมาเรียก กู้กง(故宫) ที่มาจากคำว่า 故宫博物馆 หรือแปลว่า พิพิธภัณฑ์พระราชวังต้องห้ามนั่นเอง

    พระราชวังต้องห้ามสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1368 ตรงกับสมัยจักรพรรดิองค์ที่ 3 ของราชวงศ์หมิง หรือจักรพรรดิหย่งเล่อ(永乐)ในตอนนั้นเมืองหลวงของจีนอยู่ที่เมืองหนานจิง(南京)หรือที่เรารู้จักกันว่านานกิง แต่ตอนนั้นฮ่องเต้ต้องการจะย้ายเมืองหลวงมาไว้ที่ปักกิ่ง(北京)

    สาเหตุก็เพราะต้องการถอนรากถอนโคนอำนาจเดิม เลยสร้างพระราชวังนี้ขึ้นมาในเมืองหลวงใหม่อย่างปักกิ่ง เพื่อใช้เป็นที่ประทับของราชวงศ์เท่านั้น ไม่อนุญาตให้ประชาชนคนนอกเข้ามาได้ และนี่ก็เลยเป็นที่มาของคำว่า ‘ต้องห้าม’ ในพระราชวังต้องห้ามนั่นเอง

    ในส่วนของตัวพระราชวังต้องห้าม พระราชวังต้องห้ามถือว่าเป็นหนึ่งในพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในโลก โครงสร้างจะแบ่งเป็น 3 ชั้น คือ ชั้นป้อมปราการที่มีกำแพงสูงกั้นไว้ ชั้นพระราชฐานชั้นนอกที่ฮ่องเต้ใช้ประกอบพิธีต่าง ๆ และสุดท้ายจะเป็นพระราชฐานชั้นใน เป็นที่ประทับของฮ่องเต้และเหล่าสนม

    นางกำนัล รวมแล้ว 9,000 คนและขันทีอีก 70,000 คน เรียกได้ว่าแม้จะพูดว่าห้ามคนนอกเข้า แต่ข้างในก็คนเยอะมาก

    ต่อมาสมัยราชวงศ์ชิง จริง ๆ ราชวงศ์หมิงสร้างพระราชวังต้องห้ามได้อย่างอลังการมากจนภายหลังราชวงศ์ชิงสามารถเข้าไปใช้ต่อได้เลย แต่กับฮ่องเต้บางพระองค์ก็จะไม่ค่อยประทับที่พระราชวังต้องห้าม เพราะราชวงศ์ชิงเป็นชาวแมนจู ซึ่งเป็นชนเผ่าที่อาศัยตามทุ่งหญ้าและป่าเขา ชอบขี่ม้า เลี้ยงสัตว์ พอมาอยู่ในพระราชวังต้องห้ามก็รู้สึกอึดอัด จนต้องไปสร้างพระราชวัง หรือ อุทยานอื่นในการประทับอยู่แทน อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่จะอยู่ที่พระราชวังต้องห้ามแห่งนี้กัน

    สมัยชิงสามารถยกให้เป็นสมัยแห่งการต่อเติมพระราชวังต้องห้ามให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิมได้เลย ที่เด่น ๆ จะเป็นสมัยของฮ่องเต้เฉียนหลง (ในเรื่องหรูอี้แหละ ยุคนั้น) ที่มีการสร้างอุทยานหนิงโซ่วกง (寧壽宮) หรือที่เราเรียกกันว่า สวนเฉียนหลง ไว้ทางตะวันออกเฉียงเหนือของพระราชวังต้องห้าม เพื่อใช้ประทับยามชรา
    เป็นอุทยานที่มีเอกลักษณ์มาก ๆ เพราะทุกอาคารเชื่อมถึงกัน มีภูเขาจำลองที่ประกอบไปด้วยทิวทัศน์ของต้นสน ต้นไผ่ ต้นเหมย อันเป็นสัญลักษณ์ของความสันโดษ ที่พระองค์ตั้งให้เป็นเหมือนแนวคิดหลักของอุทยานแห่งนี้ค่ะ (และนี่จะโยงกับเรื่องที่ว่าทำไมฝรั่งไม่เผาพระราชวังต้องห้าม)

    ไฮไลท์ อื่น ๆ ของพระราชวังต้องห้ามที่ไม่ควรพลาด ได้แก่ ประตูอู่เหมิน(午门)เป็นประตูที่ใหญ่ที่สุดในพระราชวังต้องห้าม ในอดีตที่ประตูนี้เป็นที่รวมตัวกันของข้าราชการฝ่ายพลเรือนและทหารเพื่อฟังพระราชโองการหรือประกาศกำหนดการณ์ต่างๆ

    พระที่นั่งไท่เหอ(太和殿)โด่งดังมาก เพราะถือเป็นพระที่นั่งที่ใหญ่ที่สุดในพระราชวังต้องห้าม เป็นจุดศูนย์กลางและเป็นจุดสูงสุดของพระราชวังแห่งนี้เลย และยังมีอาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในจีนอีกด้วย พระที่นั่งไท่เหอจะใช้ในงานพระราชพิธีสำคัญของราชสำนัก

    จัตุรัสเทียนอันเหมิน(天安门)อยู่ทางทิศเหนือของเขตพระราชวังต้องห้าม (ถ้าเข้าทางประตูอู่เหมินจะเจอเทียนอันเหมินก่อน) จะเห็นได้จากอนุสรณ์สถานประธานเหมาที่ตั้งอยู่อย่างเป็นเอกลักษณ์ในจัตุรัสแห่งนี้ ซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของสาธารณรัฐประชาชนจีน จัตุรัสเทียนอันเหมินเป็นสถานที่ที่สำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองของจีนมากทีเดียว เพราะเป็นอนุสรณ์ถึงความเสียสละเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย


    วางแผนการเดิน "พระราชวังต้องห้าม" (ปักกิ่ง) ในวันเดียว ประวัติ "พระราชวังต้องห้าม" “จื่อจิ้นเฉิง”(紫禁城) ‘จื่อ’ (紫)แปลว่า สีม่วง ในวัฒนธรรมจีน หมายถึง ความศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงฐานะอันสูงส่งของฮ่องเต้ อย่างเช่นเวลาที่ฮ่องเต้เสด็จ ราชรถก็จะชูธงสีม่วงขึ้น ดังนั้น สีม่วงจึงใช้เป็นสัญลักษณ์ของราชสำนักอีกด้วย ‘จื่อ’ (紫) จากคำว่า จื่อจิ้นเฉิง(紫禁城) มาจาก จื่อเวยซิง(紫薇星)ที่เป็นชื่อดาวเหนือ เป็นเหมือนดาวพระราชา ดังนั้นเลยสื่อได้ว่า คนจีนในสมัยก่อนมองว่า จื่อจิ้นเฉิง หรือ พระราชวังต้องห้าม ถือเป็นศูนย์กลางของโลก และภายหลังจึงเปลี่ยนมาเรียก กู้กง(故宫) ที่มาจากคำว่า 故宫博物馆 หรือแปลว่า พิพิธภัณฑ์พระราชวังต้องห้ามนั่นเอง พระราชวังต้องห้ามสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1368 ตรงกับสมัยจักรพรรดิองค์ที่ 3 ของราชวงศ์หมิง หรือจักรพรรดิหย่งเล่อ(永乐)ในตอนนั้นเมืองหลวงของจีนอยู่ที่เมืองหนานจิง(南京)หรือที่เรารู้จักกันว่านานกิง แต่ตอนนั้นฮ่องเต้ต้องการจะย้ายเมืองหลวงมาไว้ที่ปักกิ่ง(北京) สาเหตุก็เพราะต้องการถอนรากถอนโคนอำนาจเดิม เลยสร้างพระราชวังนี้ขึ้นมาในเมืองหลวงใหม่อย่างปักกิ่ง เพื่อใช้เป็นที่ประทับของราชวงศ์เท่านั้น ไม่อนุญาตให้ประชาชนคนนอกเข้ามาได้ และนี่ก็เลยเป็นที่มาของคำว่า ‘ต้องห้าม’ ในพระราชวังต้องห้ามนั่นเอง ในส่วนของตัวพระราชวังต้องห้าม พระราชวังต้องห้ามถือว่าเป็นหนึ่งในพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในโลก โครงสร้างจะแบ่งเป็น 3 ชั้น คือ ชั้นป้อมปราการที่มีกำแพงสูงกั้นไว้ ชั้นพระราชฐานชั้นนอกที่ฮ่องเต้ใช้ประกอบพิธีต่าง ๆ และสุดท้ายจะเป็นพระราชฐานชั้นใน เป็นที่ประทับของฮ่องเต้และเหล่าสนม นางกำนัล รวมแล้ว 9,000 คนและขันทีอีก 70,000 คน เรียกได้ว่าแม้จะพูดว่าห้ามคนนอกเข้า แต่ข้างในก็คนเยอะมาก ต่อมาสมัยราชวงศ์ชิง จริง ๆ ราชวงศ์หมิงสร้างพระราชวังต้องห้ามได้อย่างอลังการมากจนภายหลังราชวงศ์ชิงสามารถเข้าไปใช้ต่อได้เลย แต่กับฮ่องเต้บางพระองค์ก็จะไม่ค่อยประทับที่พระราชวังต้องห้าม เพราะราชวงศ์ชิงเป็นชาวแมนจู ซึ่งเป็นชนเผ่าที่อาศัยตามทุ่งหญ้าและป่าเขา ชอบขี่ม้า เลี้ยงสัตว์ พอมาอยู่ในพระราชวังต้องห้ามก็รู้สึกอึดอัด จนต้องไปสร้างพระราชวัง หรือ อุทยานอื่นในการประทับอยู่แทน อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่จะอยู่ที่พระราชวังต้องห้ามแห่งนี้กัน สมัยชิงสามารถยกให้เป็นสมัยแห่งการต่อเติมพระราชวังต้องห้ามให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิมได้เลย ที่เด่น ๆ จะเป็นสมัยของฮ่องเต้เฉียนหลง (ในเรื่องหรูอี้แหละ ยุคนั้น) ที่มีการสร้างอุทยานหนิงโซ่วกง (寧壽宮) หรือที่เราเรียกกันว่า สวนเฉียนหลง ไว้ทางตะวันออกเฉียงเหนือของพระราชวังต้องห้าม เพื่อใช้ประทับยามชรา เป็นอุทยานที่มีเอกลักษณ์มาก ๆ เพราะทุกอาคารเชื่อมถึงกัน มีภูเขาจำลองที่ประกอบไปด้วยทิวทัศน์ของต้นสน ต้นไผ่ ต้นเหมย อันเป็นสัญลักษณ์ของความสันโดษ ที่พระองค์ตั้งให้เป็นเหมือนแนวคิดหลักของอุทยานแห่งนี้ค่ะ (และนี่จะโยงกับเรื่องที่ว่าทำไมฝรั่งไม่เผาพระราชวังต้องห้าม) ไฮไลท์ อื่น ๆ ของพระราชวังต้องห้ามที่ไม่ควรพลาด ได้แก่ ประตูอู่เหมิน(午门)เป็นประตูที่ใหญ่ที่สุดในพระราชวังต้องห้าม ในอดีตที่ประตูนี้เป็นที่รวมตัวกันของข้าราชการฝ่ายพลเรือนและทหารเพื่อฟังพระราชโองการหรือประกาศกำหนดการณ์ต่างๆ พระที่นั่งไท่เหอ(太和殿)โด่งดังมาก เพราะถือเป็นพระที่นั่งที่ใหญ่ที่สุดในพระราชวังต้องห้าม เป็นจุดศูนย์กลางและเป็นจุดสูงสุดของพระราชวังแห่งนี้เลย และยังมีอาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในจีนอีกด้วย พระที่นั่งไท่เหอจะใช้ในงานพระราชพิธีสำคัญของราชสำนัก จัตุรัสเทียนอันเหมิน(天安门)อยู่ทางทิศเหนือของเขตพระราชวังต้องห้าม (ถ้าเข้าทางประตูอู่เหมินจะเจอเทียนอันเหมินก่อน) จะเห็นได้จากอนุสรณ์สถานประธานเหมาที่ตั้งอยู่อย่างเป็นเอกลักษณ์ในจัตุรัสแห่งนี้ ซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของสาธารณรัฐประชาชนจีน จัตุรัสเทียนอันเหมินเป็นสถานที่ที่สำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองของจีนมากทีเดียว เพราะเป็นอนุสรณ์ถึงความเสียสละเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย
    0 Comments 0 Shares 449 Views 0 Reviews
  • สำนักข่าว CCTV ของรัฐรายงานเมื่อวันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 ว่าจาง หงลี่ อดีตรองประธานธนาคารอุตสาหกรรมและการพาณิชย์แห่งประเทศจีน ถูกศาลพิพากษาให้รับโทษประหารชีวิตแต่รอลงอาญา 2 ปี ฐานความผิดร้ายแรงรับสินบนมูลค่ากว่า 177 ล้านหยวน (24.3 ล้านเหรียญสหรัฐ)โดยจางถูกสอบสวนโดยคณะกรรมการตรวจสอบวินัยกลาง ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลการต่อต้านการทุจริตชั้นนำของจีน เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2023 ต่อมาศาลประชาชนระดับกลางแห่งหางโจวในมณฑลเจ้อเจียงทางตะวันออกพบว่าตั้งแต่ปี 2554 ถึง 2565 จางได้ “ใช้” ตำแหน่งของเขาที่ ICBC ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อพิจารณาจากสินทรัพย์รวม เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่หน่วยงานและบุคคลในการระดมทุนเงินกู้และรักษาตำแหน่งงาน และเขาเองก็ยอมรับสินบนเป็นการตอบแทน ศาลพิพากษาว่าอาชญากรรมร้ายแรงของจางสมควรได้รับโทษประหารชีวิต โดยอ้างถึง “จำนวนเงินสินบนที่มากเป็นพิเศษ สถานการณ์อาชญากรรมร้ายแรง และผลกระทบทางสังคมที่เลวร้าย” ซึ่งก่อให้เกิด “ความสูญเสียครั้งใหญ่” ต่อประเทศและผลประโยชน์ของประชาชนแต่จางได้รับการรอลงอาญาสองปีเนื่องจากเขาให้ความร่วมมือกับทางการ รวมถึงสารภาพความผิดและให้ข้อมูลเกี่ยวกับกรณีสินบนที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน นอกจากนี้จางยังคืนเงินสินบนที่ผิดกฎหมายจำนวนมากอีกด้วย ตามคำกล่าวของศาลทั้งนี้เขาได้ถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิตและถูกยึดทรัพย์สินทั้งหมดhttps://www.scmp.com/news/china/politics/article/3299436/former-icbc-executive-gets-death-sentence-reprieve-taking-us24-million-bribes
    สำนักข่าว CCTV ของรัฐรายงานเมื่อวันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 ว่าจาง หงลี่ อดีตรองประธานธนาคารอุตสาหกรรมและการพาณิชย์แห่งประเทศจีน ถูกศาลพิพากษาให้รับโทษประหารชีวิตแต่รอลงอาญา 2 ปี ฐานความผิดร้ายแรงรับสินบนมูลค่ากว่า 177 ล้านหยวน (24.3 ล้านเหรียญสหรัฐ)โดยจางถูกสอบสวนโดยคณะกรรมการตรวจสอบวินัยกลาง ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลการต่อต้านการทุจริตชั้นนำของจีน เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2023 ต่อมาศาลประชาชนระดับกลางแห่งหางโจวในมณฑลเจ้อเจียงทางตะวันออกพบว่าตั้งแต่ปี 2554 ถึง 2565 จางได้ “ใช้” ตำแหน่งของเขาที่ ICBC ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อพิจารณาจากสินทรัพย์รวม เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่หน่วยงานและบุคคลในการระดมทุนเงินกู้และรักษาตำแหน่งงาน และเขาเองก็ยอมรับสินบนเป็นการตอบแทน ศาลพิพากษาว่าอาชญากรรมร้ายแรงของจางสมควรได้รับโทษประหารชีวิต โดยอ้างถึง “จำนวนเงินสินบนที่มากเป็นพิเศษ สถานการณ์อาชญากรรมร้ายแรง และผลกระทบทางสังคมที่เลวร้าย” ซึ่งก่อให้เกิด “ความสูญเสียครั้งใหญ่” ต่อประเทศและผลประโยชน์ของประชาชนแต่จางได้รับการรอลงอาญาสองปีเนื่องจากเขาให้ความร่วมมือกับทางการ รวมถึงสารภาพความผิดและให้ข้อมูลเกี่ยวกับกรณีสินบนที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน นอกจากนี้จางยังคืนเงินสินบนที่ผิดกฎหมายจำนวนมากอีกด้วย ตามคำกล่าวของศาลทั้งนี้เขาได้ถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิตและถูกยึดทรัพย์สินทั้งหมดhttps://www.scmp.com/news/china/politics/article/3299436/former-icbc-executive-gets-death-sentence-reprieve-taking-us24-million-bribes
    WWW.SCMP.COM
    Former ICBC executive gets death sentence with reprieve for taking bribes
    Zhang Hongli, who was vice-president of the state-owned bank, accepted bribes in exchange for help with loan financing and securing jobs.
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 433 Views 0 Reviews
  • กรณีของ บ่อนคาสิโน ไม่ว่าจะแสดงความเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็ยากที่จะบอกได้ว่าประชาชนทั่วไปได้เข้าใจถึงประโยชน์และโทษอย่างถ่องแท้หรือไม่ หากอายุเราพอๆกัน จะจำได้ว่า “เอ็นเตอเทนเม็นท์คอมเพล็กซ์” (แปลง่ายๆว่าจะให้คนมาประมูลเปิดบ่อนดึงเงินเข้าประเทศ) นั้นถูกเสนอมาตั้งแต่รัฐบาล ทักษิณ ในปี พ.ศ. 2544-2545 แต่กระแสก็แผ่ว ตอนนั้น มีพ่อของ รัฐมนตรีท่องเที่ยว บอกว่าจะให้เอาโรงแรมแอมบาสเดอร์พัทยานั่นแหละเป็นพื้นที่นำร่องเพราะตรงตามความต้องการดี และ ไม่นานกระแสก็แผ่วเพราะภาคประชาสังคมต่อต้านอย่างมาก ปีนี้ปี พ.ศ. 2568 พ่อนายก ก็ยังขุดของเก่ามาขายอีกมั้งๆที่น่าจะมีกรณีศึกษามาแล้วพอสมควรแก่การละ และ วาง

    การที่ประเทศไทย ไม่มีคาสิโนถูกกฎหมายในทุกวันนี้ กอรป กับการที่ ตำรวจกลายเป็นหน่วยงานที่ถูกระบุว่ามีการคอร์รัปชั่นสูงสุด ยกตัวอย่างเป็นกรณีศึกษา ในตอนที่เขียนไว้ข้างต้น ตัรายงานการสำรวจจาก รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ และคณะทำงาน ระบุว่าส่วยตำรวจจากบ่อนการพนันทั่วประเทศในปี พ.ศ. 2544 น่าจะอยู่ระหว่าง 6 พัน 6 ร้อยล้าน ถึง 1 หมื่น 3 พันล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่นับการคอรัปชั่นในรูปแบบอื่นๆอีก ก็เพราะเงินจำนวนมหาศาล นี้เอง ที่ทำให้การฉ้อราษฏร์บังหลวง มันหอมหวานมาก คำถามในเวลานั้นคือถ้ามีบ่อนคาสิโนถูกกฎหมาย ปัญหานี้จะแก้ได้หรือไม่? นี่ยังคงเป็นคำถามเดียวกันที่เราต้องถามในปัจจุบัน ไม่ใช่ ว่าจะลดบ่อนเถื่อนได้หรือไม่ !

    และก็มีไอ้ประเภทชอบอ้างถึง มาเก๊า สิงค์โปร์ ลาสเวกัส (แต่ไม่ยักอ้างถึงฟิลิปปินส์หรือญี่ปุ่น) …ในเรื่องการเปิดเอ็นเตอเทนเม็นท์คอมเพล็กซ์ (บ่อน) - ฟิลิปปินส์ปีที่ผ่านมานี้รัฐบาลบอกว่าภาคอุตสาหกรรมเกมมิ่ง (การพนัน) ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำดีมาก แต่ ..ประชาชนติดการพนันทั้งประเทศ .. ญี่ปุ่นมีกฎหมายดังกล่าวตั้งแต่ ค.ศ. 2016 แต่ถึงปัจจุบันก็ยังมองจากการศึกษาถอดบทเรียนว่าได้ไม่คุ้มเสีย …จีน บอกแล้วประชาชนออกไปเล่นนอกประเทศ มีความเสี่ยง มีค่าใช้จ่าย เป็นกำแพง แต่กลับมาในประเทศห้ามมีเด็ดขาดเพราะการที่ประชาชนติดการพนันสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่ไม่มีคุณภาพ …สิงค์โปร์ กฏหมายต่อต้านคอรัปชั่นรุนแรง กำแพงการเข้าถึงสูง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐและครอบครัวใกล้ชิดห้ามข้องแวะโดยเด็ดขาด…มาเก๊าประเทศมีอะไรนอกจากเอ็นเตอเทนเม็นท์คอมเพล็กซ์? …ลาสเวกัสและการพนันเสรีในสหรัฐ..ดูประเทศเขาตอนนี้สิ รัฐเนวาดาของสหรัฐอเมริกา ที่ตั้งของลาสเวกัส เมืองบ่อนการพนันที่ใหญ่ที่สุดในโลก พบว่าอัตราการฆ่า ตัวตายของรัฐฯ สูงที่สุดในอเมริกา อัตราการล้มละลายสูงถึงร้อยละ 50 หรือที่เมืองเดดวูด รัฐดาโกตา หลังจากให้เปิดคาสิโนเพียง 2 ปี พบการทารุณกรรมเด็กเพิ่มขึ้นร้อยละ 43 การใช้ความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 80 อัตราการฆ่าตัวตายของสามี-ภรรยาที่เล่นพนันสม่ำยิ่งน่าตกใจ มันมากกว่าอัตราเฉลี่ยของทั้งประเทศถึง 150 เท่า!!

    ถ้ามีบ่อนคาสิโนถูกกฎหมาย ปัญหาเหล่านี้ของประเทศไทย ที่ทุกวันนี้ มีแต่ข่าว ลูกฆ่าพ่อ พ่อฆ่าลูก ผัวฆ่าเมีย แม่ฆ่ายกครัว เจ้าหนี้โหดทวงหนี้ฆ่ายกบ้าน จะเพิ่มขึ้นหรือไม่? (หรือทุกวันนี้ มันก็มีแฝงกับบ่อนเถื่อนต่างๆ อยู่แล้ว?)

    ปัจจุบันนี้ เรามีรัฐบาลแบบนี้ เรามีฝ่ายค้านแบบนี้ จะมีหรือไม่มีก็ได้ว่าไหม?
    กรณีของ บ่อนคาสิโน ไม่ว่าจะแสดงความเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็ยากที่จะบอกได้ว่าประชาชนทั่วไปได้เข้าใจถึงประโยชน์และโทษอย่างถ่องแท้หรือไม่ หากอายุเราพอๆกัน จะจำได้ว่า “เอ็นเตอเทนเม็นท์คอมเพล็กซ์” (แปลง่ายๆว่าจะให้คนมาประมูลเปิดบ่อนดึงเงินเข้าประเทศ) นั้นถูกเสนอมาตั้งแต่รัฐบาล ทักษิณ ในปี พ.ศ. 2544-2545 แต่กระแสก็แผ่ว ตอนนั้น มีพ่อของ รัฐมนตรีท่องเที่ยว บอกว่าจะให้เอาโรงแรมแอมบาสเดอร์พัทยานั่นแหละเป็นพื้นที่นำร่องเพราะตรงตามความต้องการดี และ ไม่นานกระแสก็แผ่วเพราะภาคประชาสังคมต่อต้านอย่างมาก ปีนี้ปี พ.ศ. 2568 พ่อนายก ก็ยังขุดของเก่ามาขายอีกมั้งๆที่น่าจะมีกรณีศึกษามาแล้วพอสมควรแก่การละ และ วาง การที่ประเทศไทย ไม่มีคาสิโนถูกกฎหมายในทุกวันนี้ กอรป กับการที่ ตำรวจกลายเป็นหน่วยงานที่ถูกระบุว่ามีการคอร์รัปชั่นสูงสุด ยกตัวอย่างเป็นกรณีศึกษา ในตอนที่เขียนไว้ข้างต้น ตัรายงานการสำรวจจาก รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ และคณะทำงาน ระบุว่าส่วยตำรวจจากบ่อนการพนันทั่วประเทศในปี พ.ศ. 2544 น่าจะอยู่ระหว่าง 6 พัน 6 ร้อยล้าน ถึง 1 หมื่น 3 พันล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่นับการคอรัปชั่นในรูปแบบอื่นๆอีก ก็เพราะเงินจำนวนมหาศาล นี้เอง ที่ทำให้การฉ้อราษฏร์บังหลวง มันหอมหวานมาก คำถามในเวลานั้นคือถ้ามีบ่อนคาสิโนถูกกฎหมาย ปัญหานี้จะแก้ได้หรือไม่? นี่ยังคงเป็นคำถามเดียวกันที่เราต้องถามในปัจจุบัน ไม่ใช่ ว่าจะลดบ่อนเถื่อนได้หรือไม่ ! และก็มีไอ้ประเภทชอบอ้างถึง มาเก๊า สิงค์โปร์ ลาสเวกัส (แต่ไม่ยักอ้างถึงฟิลิปปินส์หรือญี่ปุ่น) …ในเรื่องการเปิดเอ็นเตอเทนเม็นท์คอมเพล็กซ์ (บ่อน) - ฟิลิปปินส์ปีที่ผ่านมานี้รัฐบาลบอกว่าภาคอุตสาหกรรมเกมมิ่ง (การพนัน) ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำดีมาก แต่ ..ประชาชนติดการพนันทั้งประเทศ .. ญี่ปุ่นมีกฎหมายดังกล่าวตั้งแต่ ค.ศ. 2016 แต่ถึงปัจจุบันก็ยังมองจากการศึกษาถอดบทเรียนว่าได้ไม่คุ้มเสีย …จีน บอกแล้วประชาชนออกไปเล่นนอกประเทศ มีความเสี่ยง มีค่าใช้จ่าย เป็นกำแพง แต่กลับมาในประเทศห้ามมีเด็ดขาดเพราะการที่ประชาชนติดการพนันสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่ไม่มีคุณภาพ …สิงค์โปร์ กฏหมายต่อต้านคอรัปชั่นรุนแรง กำแพงการเข้าถึงสูง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐและครอบครัวใกล้ชิดห้ามข้องแวะโดยเด็ดขาด…มาเก๊าประเทศมีอะไรนอกจากเอ็นเตอเทนเม็นท์คอมเพล็กซ์? …ลาสเวกัสและการพนันเสรีในสหรัฐ..ดูประเทศเขาตอนนี้สิ รัฐเนวาดาของสหรัฐอเมริกา ที่ตั้งของลาสเวกัส เมืองบ่อนการพนันที่ใหญ่ที่สุดในโลก พบว่าอัตราการฆ่า ตัวตายของรัฐฯ สูงที่สุดในอเมริกา อัตราการล้มละลายสูงถึงร้อยละ 50 หรือที่เมืองเดดวูด รัฐดาโกตา หลังจากให้เปิดคาสิโนเพียง 2 ปี พบการทารุณกรรมเด็กเพิ่มขึ้นร้อยละ 43 การใช้ความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 80 อัตราการฆ่าตัวตายของสามี-ภรรยาที่เล่นพนันสม่ำยิ่งน่าตกใจ มันมากกว่าอัตราเฉลี่ยของทั้งประเทศถึง 150 เท่า!! ถ้ามีบ่อนคาสิโนถูกกฎหมาย ปัญหาเหล่านี้ของประเทศไทย ที่ทุกวันนี้ มีแต่ข่าว ลูกฆ่าพ่อ พ่อฆ่าลูก ผัวฆ่าเมีย แม่ฆ่ายกครัว เจ้าหนี้โหดทวงหนี้ฆ่ายกบ้าน จะเพิ่มขึ้นหรือไม่? (หรือทุกวันนี้ มันก็มีแฝงกับบ่อนเถื่อนต่างๆ อยู่แล้ว?) ปัจจุบันนี้ เรามีรัฐบาลแบบนี้ เรามีฝ่ายค้านแบบนี้ จะมีหรือไม่มีก็ได้ว่าไหม?
    0 Comments 0 Shares 414 Views 0 Reviews
  • ข่าวนี้เล่าถึงการก่อสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2028 โดยโครงการนี้มีมูลค่ารวมสูงถึง 35 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และจะสร้างงานได้ถึง 10,000 ตำแหน่ง

    ศูนย์ข้อมูลนี้จะถูกสร้างขึ้นในจังหวัด Jeollanam-do และจะมีความจุ 3GW ซึ่งเป็นการก้าวกระโดดที่สำคัญในการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของเกาหลีใต้ โดยคาดว่าจะเพิ่มความจุของศูนย์ข้อมูลแบบ hyper-scale ถึงสามเท่าจากที่มีในปัจจุบัน เช่นของ Microsoft, Google และ Amazon

    โครงการนี้ได้รับการก่อตั้งโดยทายาทของบริษัท LG Electronics Brian Koo และ Dr. Amin Badr-El-Din โดยมีการลงนามบันทึกความเข้าใจกับผู้ว่าราชการจังหวัด Jeollanam-do เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี

    แม้ว่าโครงการนี้จะต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย เช่น การใช้พลังงานและน้ำเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่โครงการนี้สามารถยกระดับเกาหลีใต้ให้เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลก และสร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจให้กับภูมิภาคนี้

    นอกจากนี้ยังมีการเปรียบเทียบกับโครงการของ Meta ในสหรัฐฯ ที่มีมูลค่า 10 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่จะสร้างงานโดยตรงเพียง 500 ตำแหน่งเท่านั้น ซึ่งโครงการของเกาหลีใต้มีการคาดการณ์ว่าจะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจมากมาย

    https://www.techradar.com/pro/security/worlds-largest-mega-data-center-planned-for-south-korea-in-usd35bn-project
    ข่าวนี้เล่าถึงการก่อสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2028 โดยโครงการนี้มีมูลค่ารวมสูงถึง 35 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และจะสร้างงานได้ถึง 10,000 ตำแหน่ง ศูนย์ข้อมูลนี้จะถูกสร้างขึ้นในจังหวัด Jeollanam-do และจะมีความจุ 3GW ซึ่งเป็นการก้าวกระโดดที่สำคัญในการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของเกาหลีใต้ โดยคาดว่าจะเพิ่มความจุของศูนย์ข้อมูลแบบ hyper-scale ถึงสามเท่าจากที่มีในปัจจุบัน เช่นของ Microsoft, Google และ Amazon โครงการนี้ได้รับการก่อตั้งโดยทายาทของบริษัท LG Electronics Brian Koo และ Dr. Amin Badr-El-Din โดยมีการลงนามบันทึกความเข้าใจกับผู้ว่าราชการจังหวัด Jeollanam-do เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี แม้ว่าโครงการนี้จะต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย เช่น การใช้พลังงานและน้ำเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่โครงการนี้สามารถยกระดับเกาหลีใต้ให้เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลก และสร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจให้กับภูมิภาคนี้ นอกจากนี้ยังมีการเปรียบเทียบกับโครงการของ Meta ในสหรัฐฯ ที่มีมูลค่า 10 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่จะสร้างงานโดยตรงเพียง 500 ตำแหน่งเท่านั้น ซึ่งโครงการของเกาหลีใต้มีการคาดการณ์ว่าจะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจมากมาย https://www.techradar.com/pro/security/worlds-largest-mega-data-center-planned-for-south-korea-in-usd35bn-project
    0 Comments 0 Shares 263 Views 0 Reviews
  • ยุโรปก้าวเข้าสู่การแข่งขันด้านปัญญาประดิษฐ์ด้วยแผน InvestAI มูลค่า 207 พันล้านดอลลาร์ สหรัฐฯ เมื่อไม่นานมานี้รัฐบาลใหม่ของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดในการสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในขณะที่จีนก็ได้เปิดตัวบอทแชท DeepSeek ที่เป็นที่ฮือฮาในหมู่บริษัทที่ติดอันดับ Fortune 500 ตอนนี้ยุโรปก็เข้าร่วมแข่งขันด้วยแผน InvestAI ที่จะระเบิดฟองสบู่ AI

    ในงาน AI Action Summit ที่ปารีส ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป Ursula von der Leyen ได้ประกาศแผน InvestAI โดยคาดว่าทางการยุโรปจะจัดสรรหรือ "ระดมทุน" สูงสุดถึง 207 พันล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี AI และแบบจำลองการเรียนรู้ของเครื่องที่เน้นไปทางสหภาพยุโรป เธอยังเน้นว่าบริการที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลสุขภาพ เร่งความเร็วในการวิจัยและนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ และเสริมความแข็งแกร่งในการแข่งขันในระดับโลกของยุโรป

    แผนนี้จะใช้โมเดลความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่คล้ายกับที่สร้าง CERN ซึ่งเป็นสถานที่กำเนิดของ World Wide Web และการสร้าง "โรงงาน AI ขนาดใหญ่" ทั่วทวีปยุโรป ที่แต่ละแห่งจะมี AI accelerators ที่ล้ำสมัยถึง 100,000 ชิ้นซึ่งเกือบสี่เท่าของจำนวนชิป AI ที่ใช้ในโรงงาน AI ปัจจุบัน

    อีกทั้ง Brussels ยังสนับสนุนนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในหลายภาคส่วน เช่น หุ่นยนต์ การดูแลสุขภาพ เทคโนโลยีชีวภาพ และเทคโนโลยีด้านสภาพอากาศผ่านโครงการ GenAI4EU

    https://www.techspot.com/news/106756-europe-funding-200-billion-initiative-build-world-most.html
    ยุโรปก้าวเข้าสู่การแข่งขันด้านปัญญาประดิษฐ์ด้วยแผน InvestAI มูลค่า 207 พันล้านดอลลาร์ สหรัฐฯ เมื่อไม่นานมานี้รัฐบาลใหม่ของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดในการสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในขณะที่จีนก็ได้เปิดตัวบอทแชท DeepSeek ที่เป็นที่ฮือฮาในหมู่บริษัทที่ติดอันดับ Fortune 500 ตอนนี้ยุโรปก็เข้าร่วมแข่งขันด้วยแผน InvestAI ที่จะระเบิดฟองสบู่ AI ในงาน AI Action Summit ที่ปารีส ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป Ursula von der Leyen ได้ประกาศแผน InvestAI โดยคาดว่าทางการยุโรปจะจัดสรรหรือ "ระดมทุน" สูงสุดถึง 207 พันล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี AI และแบบจำลองการเรียนรู้ของเครื่องที่เน้นไปทางสหภาพยุโรป เธอยังเน้นว่าบริการที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลสุขภาพ เร่งความเร็วในการวิจัยและนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ และเสริมความแข็งแกร่งในการแข่งขันในระดับโลกของยุโรป แผนนี้จะใช้โมเดลความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่คล้ายกับที่สร้าง CERN ซึ่งเป็นสถานที่กำเนิดของ World Wide Web และการสร้าง "โรงงาน AI ขนาดใหญ่" ทั่วทวีปยุโรป ที่แต่ละแห่งจะมี AI accelerators ที่ล้ำสมัยถึง 100,000 ชิ้นซึ่งเกือบสี่เท่าของจำนวนชิป AI ที่ใช้ในโรงงาน AI ปัจจุบัน อีกทั้ง Brussels ยังสนับสนุนนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในหลายภาคส่วน เช่น หุ่นยนต์ การดูแลสุขภาพ เทคโนโลยีชีวภาพ และเทคโนโลยีด้านสภาพอากาศผ่านโครงการ GenAI4EU https://www.techspot.com/news/106756-europe-funding-200-billion-initiative-build-world-most.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Europe enters the AI race with $207 billion InvestAI initiative
    Europe has its own "Stargate" program aimed at developing significantly more powerful AI capabilities in the coming years. At the AI Action Summit in Paris, European Commission...
    0 Comments 0 Shares 293 Views 0 Reviews
  • รัสเซียยื่นข้อเสนอเปิดสายการผลิต Sukhoi Su-57 ซึ่งเป็นเครื่องบินขับไล่สเตลธ์รุ่นทันสมัยที่สุดของแดนหมีขาวในแดนภารตะ เพื่อส่งมอบเข้าประจำการในกองทัพอากาศอินเดีย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่สะท้อนถึงการกระชับสัมพันธ์ด้านกลาโหมระหว่าง 2 มหาอำนาจ
    .
    ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา รัสเซียถือเป็นซัปพลายเออร์อาวุธหลักของอินเดียซึ่งเป็นชาติผู้นำเข้าอาวุธรายใหญ่ที่สุดในโลกด้วย และเครื่องบินขับไล่จากแดนหมีขาวก็เป็นองค์ประกอบสำคัญในฝูงบินกองทัพอากาศอินเดีย ทว่าในช่วงไม่กี่ปีมานี้ความสามารถในการส่งออกอาวุธของรัสเซียลดลงไปมากจากผลของสงครามในยูเครน ซึ่งทำให้อินเดียต้องหันไปพึ่งตะวันตกมากขึ้น
    .
    โฆษก Rosoboronexport ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจส่งออกอาวุธของรัสเซียให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า โครงการผลิตเครื่องบินขับไล่ Su-57 อาจเริ่มได้ภายในปีนี้ หากรัฐบาลอินเดียรับข้อเสนอของมอสโก
    .
    กระทรวงกลาโหมอินเดียยังไม่ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมอาวุธรัสเซียและเจ้าหน้าที่อินเดียคนหนึ่งระบุว่า รัสเซียได้ยื่นข้อเสนอแบบไม่เป็นทางการระหว่างพูดคุยกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลอินเดีย และผู้แทนจากบริษัท Hindustan Aeronautics ซึ่งเป็นบริษัทด้านอวกาศและการป้องกันประเทศที่รัฐบาลอินเดียเป็นเจ้าของ
    .
    กองทัพอากาศอินเดียกำลังพยายามหาวิธีเติมเต็มฝูงบินขับไล่ซึ่งปัจจุบันลดลงเหลือเพียง 31 ฝูงบิน จากเป้าหมาย 42 ฝูงบิน ในขณะที่มหาอำนาจคู่แข่งอย่าง “จีน” มีการเพิ่มจำนวนฝูงบินทหารอย่างต่อเนื่อง
    .
    โฆษก Rosoboronexport ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวในงานแสดงการบิน Aero India ที่เมืองบังกาลอร์ว่า การเปิดสายผลิตเครื่องบินรบในอินเดียโดยมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบจะช่วยให้มั่นใจได้ว่า กระบวนการผลิตจะไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการแซงก์ชันรัสเซียของตะวันตก
    .
    เขายังบอกด้วยว่า ในการผลิตเครื่องบินขับไล่ Su-57 อาจจะใช้วิธีปรับปรุงสายการผลิต Sukhoi Su-30 ที่มีอยู่แล้วในอินเดีย ซึ่งปัจจุบันกองทัพอากาศอินเดียมีเครื่องบินรบรุ่นนี้ใช้งานอยู่ทั้งสิ้น 260 ลำ
    .
    ทั้ง Su-57 และเครื่องบินขับไล่ F-35 Lightning II ของค่ายล็อกฮีดมาร์ตินจากสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นคู่แข่งที่มีศักยภาพใกล้เคียงกัน ต่างถูกนำมาแสดงในงาน Aero India ด้วยกันทั้งคู่
    .
    แม้จะได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 5 ที่มีประสิทธิภาพพอฟัดพอเหวี่ยงกับเครื่องบินรบของสหรัฐฯ ทว่า Su-57 ก็เคยประสบปัญหาล่าช้าในช่วงของการพัฒนา และเคยเกิดอุบัติเหตุตกเมื่อปี 2019
    .
    ตามข้อมูลจากบริษัทผู้ผลิต เครื่องบินขับไล่ Su-57 เริ่มเดินสายการผลิตแบบต่อเนื่อง (serial production) เมื่อปี 2022
    .
    ปีที่แล้วรัสเซียได้ส่ง Su-57 ไปเข้าร่วมในงานแสดงการบินที่เมืองจูไห่ของจีน ซึ่งถือเป็นการเปิดตัวในต่างแดนครั้งแรก และยังเป็นการประกาศความร่วมมือระหว่างจีน-รัสเซียให้ชาติตะวันตกได้เห็นกลายๆ ด้วย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000014303
    ..............
    Sondhi X
    รัสเซียยื่นข้อเสนอเปิดสายการผลิต Sukhoi Su-57 ซึ่งเป็นเครื่องบินขับไล่สเตลธ์รุ่นทันสมัยที่สุดของแดนหมีขาวในแดนภารตะ เพื่อส่งมอบเข้าประจำการในกองทัพอากาศอินเดีย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่สะท้อนถึงการกระชับสัมพันธ์ด้านกลาโหมระหว่าง 2 มหาอำนาจ . ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา รัสเซียถือเป็นซัปพลายเออร์อาวุธหลักของอินเดียซึ่งเป็นชาติผู้นำเข้าอาวุธรายใหญ่ที่สุดในโลกด้วย และเครื่องบินขับไล่จากแดนหมีขาวก็เป็นองค์ประกอบสำคัญในฝูงบินกองทัพอากาศอินเดีย ทว่าในช่วงไม่กี่ปีมานี้ความสามารถในการส่งออกอาวุธของรัสเซียลดลงไปมากจากผลของสงครามในยูเครน ซึ่งทำให้อินเดียต้องหันไปพึ่งตะวันตกมากขึ้น . โฆษก Rosoboronexport ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจส่งออกอาวุธของรัสเซียให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า โครงการผลิตเครื่องบินขับไล่ Su-57 อาจเริ่มได้ภายในปีนี้ หากรัฐบาลอินเดียรับข้อเสนอของมอสโก . กระทรวงกลาโหมอินเดียยังไม่ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมอาวุธรัสเซียและเจ้าหน้าที่อินเดียคนหนึ่งระบุว่า รัสเซียได้ยื่นข้อเสนอแบบไม่เป็นทางการระหว่างพูดคุยกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลอินเดีย และผู้แทนจากบริษัท Hindustan Aeronautics ซึ่งเป็นบริษัทด้านอวกาศและการป้องกันประเทศที่รัฐบาลอินเดียเป็นเจ้าของ . กองทัพอากาศอินเดียกำลังพยายามหาวิธีเติมเต็มฝูงบินขับไล่ซึ่งปัจจุบันลดลงเหลือเพียง 31 ฝูงบิน จากเป้าหมาย 42 ฝูงบิน ในขณะที่มหาอำนาจคู่แข่งอย่าง “จีน” มีการเพิ่มจำนวนฝูงบินทหารอย่างต่อเนื่อง . โฆษก Rosoboronexport ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวในงานแสดงการบิน Aero India ที่เมืองบังกาลอร์ว่า การเปิดสายผลิตเครื่องบินรบในอินเดียโดยมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบจะช่วยให้มั่นใจได้ว่า กระบวนการผลิตจะไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการแซงก์ชันรัสเซียของตะวันตก . เขายังบอกด้วยว่า ในการผลิตเครื่องบินขับไล่ Su-57 อาจจะใช้วิธีปรับปรุงสายการผลิต Sukhoi Su-30 ที่มีอยู่แล้วในอินเดีย ซึ่งปัจจุบันกองทัพอากาศอินเดียมีเครื่องบินรบรุ่นนี้ใช้งานอยู่ทั้งสิ้น 260 ลำ . ทั้ง Su-57 และเครื่องบินขับไล่ F-35 Lightning II ของค่ายล็อกฮีดมาร์ตินจากสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นคู่แข่งที่มีศักยภาพใกล้เคียงกัน ต่างถูกนำมาแสดงในงาน Aero India ด้วยกันทั้งคู่ . แม้จะได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 5 ที่มีประสิทธิภาพพอฟัดพอเหวี่ยงกับเครื่องบินรบของสหรัฐฯ ทว่า Su-57 ก็เคยประสบปัญหาล่าช้าในช่วงของการพัฒนา และเคยเกิดอุบัติเหตุตกเมื่อปี 2019 . ตามข้อมูลจากบริษัทผู้ผลิต เครื่องบินขับไล่ Su-57 เริ่มเดินสายการผลิตแบบต่อเนื่อง (serial production) เมื่อปี 2022 . ปีที่แล้วรัสเซียได้ส่ง Su-57 ไปเข้าร่วมในงานแสดงการบินที่เมืองจูไห่ของจีน ซึ่งถือเป็นการเปิดตัวในต่างแดนครั้งแรก และยังเป็นการประกาศความร่วมมือระหว่างจีน-รัสเซียให้ชาติตะวันตกได้เห็นกลายๆ ด้วย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000014303 .............. Sondhi X
    Like
    10
    0 Comments 0 Shares 2103 Views 0 Reviews
  • มีการรายงานข่าวเกี่ยวกับการลดการซื้ออุปกรณ์การผลิตชิปของจีน เนื่องจากบริษัทที่ผลิตเครื่องมือในจีนเองเริ่มเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

    รายงานจาก TechInsights ระบุว่าการลงทุนของจีนในอุปกรณ์การผลิตเซมิคอนดักเตอร์จะลดลงจาก 41 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 เป็น 38 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้ นั่นเป็นการลดลงถึง 3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเกิดจากการคว่ำบาตรการส่งออกที่เข้มงวดขึ้นจากสหรัฐฯ และการมีชิปล้นตลาด

    ถึงแม้ว่าจีนจะลดการลงทุนในอุปกรณ์การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ แต่ประเทศนี้ยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกสำหรับอุปกรณ์การผลิตแผ่นเวเฟอร์ โดยมีไต้หวัน เกาหลีใต้ และสหรัฐฯ ตามมา

    ในปี 2023 บริษัทจีนซื้ออุปกรณ์การผลิตแผ่นเวเฟอร์มูลค่า 36.6 พันล้านดอลลาร์ ในขณะที่บริษัทในเกาหลีใต้ซื้อไป 16.94 พันล้านดอลลาร์ และบริษัทไต้หวันซื้อไป 19.62 พันล้านดอลลาร์ เมื่อเปรียบเทียบกัน บริษัทในสหรัฐฯ ซื้ออุปกรณ์การผลิตแผ่นเวเฟอร์มูลค่าเพียง 12.05 พันล้านดอลลาร์

    การคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ทำให้จีนไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงได้ เช่นเทคโนโลยีที่ใช้สำหรับ AI และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตาม จีนยังคงมีความก้าวหน้าในการผลิตชิปที่ใช้เทคโนโลยีระดับกลาง เช่น เทคโนโลยีการผลิต 28nm, 45nm, 90nm และ 130nm ซึ่งยังคงมีการใช้งานอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์

    นอกจากนี้ ยังมีการเติบโตของผู้ผลิตอุปกรณ์การผลิตในประเทศจีนเช่น AMEC และ Naura ที่ผลิตอุปกรณ์ระดับโลกและมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นในปี 2024

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-will-likely-reduce-purchase-of-chipmaking-tools-this-year-as-homegrown-toolmakers-ramp-up
    มีการรายงานข่าวเกี่ยวกับการลดการซื้ออุปกรณ์การผลิตชิปของจีน เนื่องจากบริษัทที่ผลิตเครื่องมือในจีนเองเริ่มเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว รายงานจาก TechInsights ระบุว่าการลงทุนของจีนในอุปกรณ์การผลิตเซมิคอนดักเตอร์จะลดลงจาก 41 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 เป็น 38 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้ นั่นเป็นการลดลงถึง 3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเกิดจากการคว่ำบาตรการส่งออกที่เข้มงวดขึ้นจากสหรัฐฯ และการมีชิปล้นตลาด ถึงแม้ว่าจีนจะลดการลงทุนในอุปกรณ์การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ แต่ประเทศนี้ยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกสำหรับอุปกรณ์การผลิตแผ่นเวเฟอร์ โดยมีไต้หวัน เกาหลีใต้ และสหรัฐฯ ตามมา ในปี 2023 บริษัทจีนซื้ออุปกรณ์การผลิตแผ่นเวเฟอร์มูลค่า 36.6 พันล้านดอลลาร์ ในขณะที่บริษัทในเกาหลีใต้ซื้อไป 16.94 พันล้านดอลลาร์ และบริษัทไต้หวันซื้อไป 19.62 พันล้านดอลลาร์ เมื่อเปรียบเทียบกัน บริษัทในสหรัฐฯ ซื้ออุปกรณ์การผลิตแผ่นเวเฟอร์มูลค่าเพียง 12.05 พันล้านดอลลาร์ การคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ทำให้จีนไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงได้ เช่นเทคโนโลยีที่ใช้สำหรับ AI และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตาม จีนยังคงมีความก้าวหน้าในการผลิตชิปที่ใช้เทคโนโลยีระดับกลาง เช่น เทคโนโลยีการผลิต 28nm, 45nm, 90nm และ 130nm ซึ่งยังคงมีการใช้งานอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ ยังมีการเติบโตของผู้ผลิตอุปกรณ์การผลิตในประเทศจีนเช่น AMEC และ Naura ที่ผลิตอุปกรณ์ระดับโลกและมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นในปี 2024 https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-will-likely-reduce-purchase-of-chipmaking-tools-this-year-as-homegrown-toolmakers-ramp-up
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    China will likely reduce purchase of chipmaking tools this year as homegrown toolmakers ramp up
    China's investment in semiconductor manufacturing tools is expected to drop by $3 billion.
    0 Comments 0 Shares 200 Views 0 Reviews
  • บทความนี้พูดถึงการพัฒนาล่าสุดของ Cerebras Systems โดยเฉพาะการเปิดตัว DeepSeek R1 ซึ่งเป็นโมเดลภาษาใหญ่ที่ลดต้นทุนการฝึกโมเดลถึง 10 เท่า เมื่อเทียบกับโมเดลที่มีอยู่ในตลาดเช่น OpenAI's GPTo1 ทำให้ AI เข้าถึงได้ง่ายขึ้นและแพร่หลายมากขึ้น

    Andrew Feldman CEO ของ Cerebras อธิบายว่า ความเร็วของระบบ CS-3 ของบริษัทสามารถรัน DeepSeek ได้เร็วกว่าบริษัทอื่น ๆ ถึง 57 เท่า โดยที่ AI โมเดลอื่นอย่าง OpenAI GPTo1 ใช้เวลานานกว่า 22 วินาทีในการทำงานเดียวกันในขณะที่ DeepSeek ที่รันบน Cerebras ใช้เวลาเพียง 1.5 วินาทีเท่านั้น ความเร็วนี้เป็นผลมาจากการใช้เซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก WSE-3 ของบริษัท

    นอกจากนี้ Cerebras ยังเน้นย้ำว่าความสำเร็จของ DeepSeek เป็นชัยชนะใหญ่สำหรับ AI ที่โอเพนซอร์ส เนื่องจากทำให้การพัฒนาโมเดลที่ก้าวหน้าโดยใช้ข้อมูลที่มีอยู่เป็นไปได้ง่ายขึ้น

    นอกเหนือจากประเด็นเทคโนโลยีแล้ว Feldman ยังได้กล่าวถึงความสำคัญของการลดต้นทุนการคำนวณ ซึ่งทำให้ตลาดของ AI ขยายตัวอย่างมาก ทุกครั้งที่ต้นทุนลดลง ตลาดจะใหญ่ขึ้น อย่างเช่นการลดราคาของคอมพิวเตอร์ x86 ที่ทำให้ขายได้มากขึ้นและถูกใช้งานมากขึ้น

    สำหรับอนาคต Feldman คาดการณ์ว่าจะมีการสร้างระบบ AI ที่ใหญ่ขึ้นและมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก

    เปรียบเทียบเหมือนกับที่คุณมีคอมพิวเตอร์หลายเครื่องในบ้าน เช่น โทรศัพท์มือถือ ทีวี เครื่องซักผ้า ฯลฯ การลดต้นทุนการคำนวณจะทำให้ AI แพร่หลายยิ่งขึ้นและเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานที่ไม่สามารถทำได้มาก่อน

    https://www.zdnet.com/article/cerebras-ceo-on-deepseek-every-time-computing-gets-cheaper-the-market-gets-bigger/
    บทความนี้พูดถึงการพัฒนาล่าสุดของ Cerebras Systems โดยเฉพาะการเปิดตัว DeepSeek R1 ซึ่งเป็นโมเดลภาษาใหญ่ที่ลดต้นทุนการฝึกโมเดลถึง 10 เท่า เมื่อเทียบกับโมเดลที่มีอยู่ในตลาดเช่น OpenAI's GPTo1 ทำให้ AI เข้าถึงได้ง่ายขึ้นและแพร่หลายมากขึ้น Andrew Feldman CEO ของ Cerebras อธิบายว่า ความเร็วของระบบ CS-3 ของบริษัทสามารถรัน DeepSeek ได้เร็วกว่าบริษัทอื่น ๆ ถึง 57 เท่า โดยที่ AI โมเดลอื่นอย่าง OpenAI GPTo1 ใช้เวลานานกว่า 22 วินาทีในการทำงานเดียวกันในขณะที่ DeepSeek ที่รันบน Cerebras ใช้เวลาเพียง 1.5 วินาทีเท่านั้น ความเร็วนี้เป็นผลมาจากการใช้เซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก WSE-3 ของบริษัท นอกจากนี้ Cerebras ยังเน้นย้ำว่าความสำเร็จของ DeepSeek เป็นชัยชนะใหญ่สำหรับ AI ที่โอเพนซอร์ส เนื่องจากทำให้การพัฒนาโมเดลที่ก้าวหน้าโดยใช้ข้อมูลที่มีอยู่เป็นไปได้ง่ายขึ้น นอกเหนือจากประเด็นเทคโนโลยีแล้ว Feldman ยังได้กล่าวถึงความสำคัญของการลดต้นทุนการคำนวณ ซึ่งทำให้ตลาดของ AI ขยายตัวอย่างมาก ทุกครั้งที่ต้นทุนลดลง ตลาดจะใหญ่ขึ้น อย่างเช่นการลดราคาของคอมพิวเตอร์ x86 ที่ทำให้ขายได้มากขึ้นและถูกใช้งานมากขึ้น สำหรับอนาคต Feldman คาดการณ์ว่าจะมีการสร้างระบบ AI ที่ใหญ่ขึ้นและมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก เปรียบเทียบเหมือนกับที่คุณมีคอมพิวเตอร์หลายเครื่องในบ้าน เช่น โทรศัพท์มือถือ ทีวี เครื่องซักผ้า ฯลฯ การลดต้นทุนการคำนวณจะทำให้ AI แพร่หลายยิ่งขึ้นและเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานที่ไม่สามารถทำได้มาก่อน https://www.zdnet.com/article/cerebras-ceo-on-deepseek-every-time-computing-gets-cheaper-the-market-gets-bigger/
    WWW.ZDNET.COM
    Cerebras CEO on DeepSeek: Every time computing gets cheaper, the market gets bigger
    The economic breakthrough of DeepSeek's techniques will lead not only to an expansion of AI use but a continued arms race to achieve breakthroughs, says CEO Andrew Feldman.
    0 Comments 0 Shares 251 Views 0 Reviews
  • ถนนจูเชวี่ยแห่งนครฉางอัน

    สวัสดีค่ะ วันนี้มาคุยกันเร็วหน่อยก่อนจะแยกย้ายกันไปฉลองปีใหม่ พูดถึงเทศกาลคริสมาสและปีใหม่ ก็หนีไม่พ้นเรื่องของการซื้อของให้ของขวัญ ทำให้ Storyฯ นึกถึงถนนสายหนึ่งที่มักถูกกล่าวถึงในละครเรื่อง <ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์> เวลาที่นางเอกชวนสาวใช้ไปเดินช้อปปิ้ง

    ถนนสายนี้มีชื่อว่า ถนนจูเชวี่ย (朱雀街 / ถนนวิหคชาด) ซึ่งเป็นชื่อที่ปรากฏบ่อยมากในซีรีส์และนิยายจีน เพราะมันเป็นถนนที่โด่งดังมากแห่งนครฉางอัน และปัจจุบันยังคงมีถนนสายนี้อยู่ที่เมืองซีอัน แต่เรียกจริงๆ ว่าถนนใหญ่จูเชวี่ย (朱雀大街 / Zhuque Avenue)

    ถนนจูเชวี่ยที่เราเห็นในละครหลายเรื่องดูจะเป็นถนนเล็ก สองฟากเรียงรายด้วยแผงขายของ แต่จริงๆ แล้ว ถนนจูเชวี่ยเป็นถนนที่ใหญ่มาก เลยต้องเอารูปประกอบมาเสริมจากละครเรื่อง <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> ซึ่งถูกกล่าวขานยกย่องว่ามีการจำลองผังเมืองนครฉางอันมาอย่างดี

    ‘ฉางอัน’ ชื่อนี้แปลว่าสงบสุขยืนยาว และเมืองฉางอันมีอดีตยาวนานสมชื่อ มันเคยเป็นเมืองหลวงเก่าแก่หลายราชวงศ์ แต่ไม่ได้มีอาณาเขตเท่ากันในทุกยุคสมัย ในสมัยราชวงศ์สุยและถังมีการสร้างพระราชวังขึ้นเพิ่มและขยายอาณาเขตออกไป และในสมัยถังจัดได้ว่าเป็นช่วงที่เรืองรองที่สุดของนครฉางอัน ในช่วงที่เฟื่องฟูที่สุดนั้น นครฉางอันมีประชากรถึง 3 ล้านคน เป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกในสมัยนั้น ใหญ่กว่ากรุงโรมโบราณถึง 7 เท่า เส้นผ่าศูนย์กลางตะวันออก-ตะวันตกของเมืองยาว 9.7 กิโลเมตร เหนือ-ใต้ยาว 8.7 กิโลเมตร

    ต่อมาในสมัยปลายถังมีการหนีข้าศึกย้ายราชธานีไปยังเมืองลั่วหยาง เมืองฉางอันก็ค่อยๆ เสื่อมโทรมลง ในสมัยหมิงมีการบูรณะฉางอันสร้างขึ้นอีกครั้งเป็นเมืองซีอัน แต่ก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่าฉางอันเดิม

    นครฉางอันสมัยถังแบ่งเป็นสองเขตใหญ่ คือฝั่งตะวันออกและตะวันตก มีถนนใหญ่คั่นกลางคือถนนจูเชวี่ย (ดูรูปประกอบ2) พื้นที่ทั้งหมดถูกแบ่งซอยย่อยเป็นเขตเล็กทรงสี่เหลี่ยมเรียกว่า ‘ฟาง’ มีหลายขนาด ยาวประมาณ 500-800 เมตร กว้าง 700-1,000 เมตร แต่ละเขตฟางมีกำแพงและคูระบายน้ำล้อมรอบ และมีประตูเข้าออกของมันเองเพื่อความปลอดภัย โดยประตูจะเปิดในตอนเช้าและปิดในตอนกลางคืน มีทั้งหมดด้วยกัน 108 เขตฟาง (ไม่รวมตลาดอีก 2 ฟาง) จนบางคนเปรียบผังเมืองฉางอันเป็นกระดานหมากล้อม เพื่อนเพจที่ได้ดู <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> น่าจะคุ้นเคยกับภาพของเขตฟางเหล่านี้

    นครฉางอันมีประตูเมือง 12 ประตู (Storyฯ เคยคุยถึงประตูเมืองโบราณแล้วใน https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/581451090649854 ) และประตูเมืองที่สำคัญเพราะเป็นประตูหลักในการเข้าออกเมืองนี้ก็คือประตูทิศใต้ที่มีชื่อว่า ประตูหมิงเต๋อ มันเป็นประตูเมืองประตูเดียวที่มีถึงห้าบาน โดยหนึ่งบานนั้นเป็นประตูที่เปิดใช้เฉพาะยามที่ฮ่องเต้เสด็จเข้าออกเมือง

    ถนนจูเชวี่ยนี้ ทิศใต้จรดประตูเมืองหมิงเต๋อที่กล่าวถึงข้างต้น ส่วนทิศเหนือนั้นจรดประตูเขตพระนครชื่อว่าประตูจูเชวี่ย และเลยผ่านเขตพระนครไปจรดประตูพระราชวังเฉิงเทียน อนึ่ง เขตพระนครหรือหวงเฉิง (皇城 / Royal City) นั้นคือส่วนที่เป็นบริเวณสถานที่ราชการต่างๆ ส่วนเขตพระราชวังหรือกงเฉิง (宫城 / Palace City) นั้นคือเขตที่ประทับของฮ่องเต้และเหล่าเชื้อพระวงศ์ ถนนจูเชวี่ยส่วนที่อยู่ในเขตพระนครนั้นเรียกว่า ถนนเฉิงเทียน ตามชื่อประตู และเป็นที่มาว่าถนนจูเชวี่ยถูกเรียกว่าถนน ‘เทียนเจีย’ (ถนนสวรรค์)

    ถนนจูเชวี่ยแห่งนครฉางอันในสมัยถังนั้น จริงแท้หน้าตาเป็นอย่างไรไม่ปรากฏภาพวาดเปรียบเทียบกับถนนอื่นอย่างชัดเจน แต่มีการขุดพบซากถนนเก่าที่ยืนยันขนาดของมันว่ามีความยาว กว่า 5 กม. ถนนหน้ากว้าง 150 เมตร (รวมคูข้างถนน ถ้าไม่รวมคือประมาณ 129-130 เมตร) และทุกระยะทาง 200 เมตรจะมีการขยายถนนออกไปเล็กน้อย คล้ายเป็นไหล่ทาง มีไว้ให้คนยืนหลบเวลาที่ฮ่องเต้เสด็จผ่าน --- ลองนึกเปรียบเทียบดูว่า ถนนบ้านเราปัจจุบันตามกฎหมายกว้าง 3 เมตร ดังนั้นความกว้างของถนนจูเชวี่ยเทียบเท่าถนนห้าสิบเลนปัจจุบันของเราเลยทีเดียว! ทีนี้เพื่อนเพจคงนึกภาพตามได้ไม่ยากแล้วว่า ในละครที่เราเห็นภาพฮ่องเต้ทรงอวยพรให้แม่ทัพและเหล่ากองกำลังทหารก่อนเดินทัพออกจากพระราชวังนั้น เขามีถนนใหญ่อย่างนี้จริง

    มีคนวิเคราะห์ไว้ว่า ขนาดความกว้างของถนนจูเชวี่ยนี้ เป็นเพราะระยะทางการยิงของธนูธรรมดาในสมัยนั้น ยิงได้ไกลประมาณ 60 เมตร ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของขบวนเสด็จของฮ่องเต้ ถนนจูเชวี่ยจึงต้องมีความกว้างถึง 150 เมตร

    แต่ไม่ใช่ถนนทุกสายที่มีหน้ากว้างขนาดนี้ ถนนสายรองของเมืองมีหน้ากว้างปกติ 40-70 เมตร และถนนเล็กเลียบกำแพงเมืองจะมีหน้ากว้างไม่เกิน 25 เมตร ส่วนถนนระหว่างเขตฟางส่วนใหญ่มีความกว้างเพียงให้รถเกวียนหรือรถม้าสองคันวิ่งสวนกัน

    ถนนจูเชวี่ยใหญ่ขนาดนี้ ใช่ถนนช้อปปิ้งหรือไม่?

    จากบันทึกโบราณ สถานช้อปปิ้งหลักของนครฉางอันคือตลาดตะวันตกและตลาดตะวันออก (ดูรูปผังเมืองที่แปะมา) โดยสินค้าในตลาดตะวันตกส่วนใหญ่เป็นสินค้าพื้นบ้านหรือของนำเข้าจากเมืองอื่นสำหรับชาวบ้านทั่วไป แต่สินค้าในตลาดตะวันออกจากมีราคาสูงขึ้นมาอีก เพราะกลุ่มลูกค้าจะเป็นชนชั้นสูง ส่วนถนนจูเชวี่ยนั้น สองฝั่งฟากส่วนใหญ่เป็นวัดวาอารามและหอชมวิว

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://www.niusnews.com/=P0123ga33
    https://n.znds.com/article/39071.html
    http://v.xiancity.cn/folder11/folder186/2016-11-25/89648.html
    https://m.planning.org.cn/zx_news/9888.htm
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://m.planning.org.cn/zx_news/9888.htm
    https://en.unesco.org/silkroad/content/did-you-know-cosmopolitan-city-changan-eastern-end-silk-roads
    https://i.ifeng.com/c/8NbyjwjSa8B
    https://kknews.cc/history/6o6lop.html
    https://kknews.cc/news/e8orjvn.html
    https://www.gugong.net/zhongguo/tangchao/29679.html

    #ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์ #ฉางอันสิบสองชั่วยาม #ฉางอัน #ถนนจูเชวี่ย #ถนนสวรรค์
    ถนนจูเชวี่ยแห่งนครฉางอัน สวัสดีค่ะ วันนี้มาคุยกันเร็วหน่อยก่อนจะแยกย้ายกันไปฉลองปีใหม่ พูดถึงเทศกาลคริสมาสและปีใหม่ ก็หนีไม่พ้นเรื่องของการซื้อของให้ของขวัญ ทำให้ Storyฯ นึกถึงถนนสายหนึ่งที่มักถูกกล่าวถึงในละครเรื่อง <ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์> เวลาที่นางเอกชวนสาวใช้ไปเดินช้อปปิ้ง ถนนสายนี้มีชื่อว่า ถนนจูเชวี่ย (朱雀街 / ถนนวิหคชาด) ซึ่งเป็นชื่อที่ปรากฏบ่อยมากในซีรีส์และนิยายจีน เพราะมันเป็นถนนที่โด่งดังมากแห่งนครฉางอัน และปัจจุบันยังคงมีถนนสายนี้อยู่ที่เมืองซีอัน แต่เรียกจริงๆ ว่าถนนใหญ่จูเชวี่ย (朱雀大街 / Zhuque Avenue) ถนนจูเชวี่ยที่เราเห็นในละครหลายเรื่องดูจะเป็นถนนเล็ก สองฟากเรียงรายด้วยแผงขายของ แต่จริงๆ แล้ว ถนนจูเชวี่ยเป็นถนนที่ใหญ่มาก เลยต้องเอารูปประกอบมาเสริมจากละครเรื่อง <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> ซึ่งถูกกล่าวขานยกย่องว่ามีการจำลองผังเมืองนครฉางอันมาอย่างดี ‘ฉางอัน’ ชื่อนี้แปลว่าสงบสุขยืนยาว และเมืองฉางอันมีอดีตยาวนานสมชื่อ มันเคยเป็นเมืองหลวงเก่าแก่หลายราชวงศ์ แต่ไม่ได้มีอาณาเขตเท่ากันในทุกยุคสมัย ในสมัยราชวงศ์สุยและถังมีการสร้างพระราชวังขึ้นเพิ่มและขยายอาณาเขตออกไป และในสมัยถังจัดได้ว่าเป็นช่วงที่เรืองรองที่สุดของนครฉางอัน ในช่วงที่เฟื่องฟูที่สุดนั้น นครฉางอันมีประชากรถึง 3 ล้านคน เป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกในสมัยนั้น ใหญ่กว่ากรุงโรมโบราณถึง 7 เท่า เส้นผ่าศูนย์กลางตะวันออก-ตะวันตกของเมืองยาว 9.7 กิโลเมตร เหนือ-ใต้ยาว 8.7 กิโลเมตร ต่อมาในสมัยปลายถังมีการหนีข้าศึกย้ายราชธานีไปยังเมืองลั่วหยาง เมืองฉางอันก็ค่อยๆ เสื่อมโทรมลง ในสมัยหมิงมีการบูรณะฉางอันสร้างขึ้นอีกครั้งเป็นเมืองซีอัน แต่ก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่าฉางอันเดิม นครฉางอันสมัยถังแบ่งเป็นสองเขตใหญ่ คือฝั่งตะวันออกและตะวันตก มีถนนใหญ่คั่นกลางคือถนนจูเชวี่ย (ดูรูปประกอบ2) พื้นที่ทั้งหมดถูกแบ่งซอยย่อยเป็นเขตเล็กทรงสี่เหลี่ยมเรียกว่า ‘ฟาง’ มีหลายขนาด ยาวประมาณ 500-800 เมตร กว้าง 700-1,000 เมตร แต่ละเขตฟางมีกำแพงและคูระบายน้ำล้อมรอบ และมีประตูเข้าออกของมันเองเพื่อความปลอดภัย โดยประตูจะเปิดในตอนเช้าและปิดในตอนกลางคืน มีทั้งหมดด้วยกัน 108 เขตฟาง (ไม่รวมตลาดอีก 2 ฟาง) จนบางคนเปรียบผังเมืองฉางอันเป็นกระดานหมากล้อม เพื่อนเพจที่ได้ดู <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> น่าจะคุ้นเคยกับภาพของเขตฟางเหล่านี้ นครฉางอันมีประตูเมือง 12 ประตู (Storyฯ เคยคุยถึงประตูเมืองโบราณแล้วใน https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/581451090649854 ) และประตูเมืองที่สำคัญเพราะเป็นประตูหลักในการเข้าออกเมืองนี้ก็คือประตูทิศใต้ที่มีชื่อว่า ประตูหมิงเต๋อ มันเป็นประตูเมืองประตูเดียวที่มีถึงห้าบาน โดยหนึ่งบานนั้นเป็นประตูที่เปิดใช้เฉพาะยามที่ฮ่องเต้เสด็จเข้าออกเมือง ถนนจูเชวี่ยนี้ ทิศใต้จรดประตูเมืองหมิงเต๋อที่กล่าวถึงข้างต้น ส่วนทิศเหนือนั้นจรดประตูเขตพระนครชื่อว่าประตูจูเชวี่ย และเลยผ่านเขตพระนครไปจรดประตูพระราชวังเฉิงเทียน อนึ่ง เขตพระนครหรือหวงเฉิง (皇城 / Royal City) นั้นคือส่วนที่เป็นบริเวณสถานที่ราชการต่างๆ ส่วนเขตพระราชวังหรือกงเฉิง (宫城 / Palace City) นั้นคือเขตที่ประทับของฮ่องเต้และเหล่าเชื้อพระวงศ์ ถนนจูเชวี่ยส่วนที่อยู่ในเขตพระนครนั้นเรียกว่า ถนนเฉิงเทียน ตามชื่อประตู และเป็นที่มาว่าถนนจูเชวี่ยถูกเรียกว่าถนน ‘เทียนเจีย’ (ถนนสวรรค์) ถนนจูเชวี่ยแห่งนครฉางอันในสมัยถังนั้น จริงแท้หน้าตาเป็นอย่างไรไม่ปรากฏภาพวาดเปรียบเทียบกับถนนอื่นอย่างชัดเจน แต่มีการขุดพบซากถนนเก่าที่ยืนยันขนาดของมันว่ามีความยาว กว่า 5 กม. ถนนหน้ากว้าง 150 เมตร (รวมคูข้างถนน ถ้าไม่รวมคือประมาณ 129-130 เมตร) และทุกระยะทาง 200 เมตรจะมีการขยายถนนออกไปเล็กน้อย คล้ายเป็นไหล่ทาง มีไว้ให้คนยืนหลบเวลาที่ฮ่องเต้เสด็จผ่าน --- ลองนึกเปรียบเทียบดูว่า ถนนบ้านเราปัจจุบันตามกฎหมายกว้าง 3 เมตร ดังนั้นความกว้างของถนนจูเชวี่ยเทียบเท่าถนนห้าสิบเลนปัจจุบันของเราเลยทีเดียว! ทีนี้เพื่อนเพจคงนึกภาพตามได้ไม่ยากแล้วว่า ในละครที่เราเห็นภาพฮ่องเต้ทรงอวยพรให้แม่ทัพและเหล่ากองกำลังทหารก่อนเดินทัพออกจากพระราชวังนั้น เขามีถนนใหญ่อย่างนี้จริง มีคนวิเคราะห์ไว้ว่า ขนาดความกว้างของถนนจูเชวี่ยนี้ เป็นเพราะระยะทางการยิงของธนูธรรมดาในสมัยนั้น ยิงได้ไกลประมาณ 60 เมตร ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของขบวนเสด็จของฮ่องเต้ ถนนจูเชวี่ยจึงต้องมีความกว้างถึง 150 เมตร แต่ไม่ใช่ถนนทุกสายที่มีหน้ากว้างขนาดนี้ ถนนสายรองของเมืองมีหน้ากว้างปกติ 40-70 เมตร และถนนเล็กเลียบกำแพงเมืองจะมีหน้ากว้างไม่เกิน 25 เมตร ส่วนถนนระหว่างเขตฟางส่วนใหญ่มีความกว้างเพียงให้รถเกวียนหรือรถม้าสองคันวิ่งสวนกัน ถนนจูเชวี่ยใหญ่ขนาดนี้ ใช่ถนนช้อปปิ้งหรือไม่? จากบันทึกโบราณ สถานช้อปปิ้งหลักของนครฉางอันคือตลาดตะวันตกและตลาดตะวันออก (ดูรูปผังเมืองที่แปะมา) โดยสินค้าในตลาดตะวันตกส่วนใหญ่เป็นสินค้าพื้นบ้านหรือของนำเข้าจากเมืองอื่นสำหรับชาวบ้านทั่วไป แต่สินค้าในตลาดตะวันออกจากมีราคาสูงขึ้นมาอีก เพราะกลุ่มลูกค้าจะเป็นชนชั้นสูง ส่วนถนนจูเชวี่ยนั้น สองฝั่งฟากส่วนใหญ่เป็นวัดวาอารามและหอชมวิว (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.niusnews.com/=P0123ga33 https://n.znds.com/article/39071.html http://v.xiancity.cn/folder11/folder186/2016-11-25/89648.html https://m.planning.org.cn/zx_news/9888.htm Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://m.planning.org.cn/zx_news/9888.htm https://en.unesco.org/silkroad/content/did-you-know-cosmopolitan-city-changan-eastern-end-silk-roads https://i.ifeng.com/c/8NbyjwjSa8B https://kknews.cc/history/6o6lop.html https://kknews.cc/news/e8orjvn.html https://www.gugong.net/zhongguo/tangchao/29679.html #ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์ #ฉางอันสิบสองชั่วยาม #ฉางอัน #ถนนจูเชวี่ย #ถนนสวรรค์
    0 Comments 0 Shares 687 Views 0 Reviews
  • TSMC (Taiwan Semiconductor Manufacturing Company) กำลังเร่งความพยายามในการพัฒนาเทคโนโลยีผลิตชิป 1 นาโนเมตร (1nm) ซึ่งคาดว่าจะพร้อมเปิดตัวในปี 2030 โดยบริษัทได้วางแผนสร้างโรงงานผลิตชิปแห่งใหม่ที่ทันสมัยในเมืองไถหนาน (Tainan) ประเทศไต้หวัน โรงงานนี้จะถูกตั้งชื่อว่า "Fab 25" และคาดว่าจะสามารถผลิตเวเฟอร์ขนาด 12 นิ้วได้ด้วยสายการผลิตถึง 6 สาย

    การพัฒนาเทคโนโลยี 1nm ของ TSMC มีเป้าหมายที่จะบรรลุการบรรจุทรานซิสเตอร์ถึงล้านล้าน (trillion) หน่วยในกระบวนการผลิตผ่านชิปหลายชั้นแบบ 3 มิติ (3D-stacked chipsets) การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่นี้มีค่าใช้จ่ายสูงโดยคาดว่าจะเกินหนึ่งล้านล้านวอน หรือประมาณ 32 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

    TSMC ตั้งใจที่จะนำกฎของมัวร์ (Moore's Law) ไปสู่ระดับใหม่ กฎของมัวร์กล่าวว่า จำนวนทรานซิสเตอร์ในชิปจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุก ๆ สองปี ซึ่งจะทำให้ชิปมีประสิทธิภาพสูงขึ้นและขนาดเล็กลง อัตราการผลิตและการจัดหาวัสดุเป็นปัญหาที่สำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่กระบวนการผลิตชิปมีการลดขนาดลงอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

    TSMC เป็นโรงงานผลิตชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปัจจุบัน และมีความได้เปรียบที่ชัดเจนจากการได้รับคำสั่งซื้อชิป AI ของ NVIDIA ที่มีความต้องการสูง ทำให้คู่แข่งอย่าง Samsung และ Intel ไม่สามารถท้าทายได้

    https://wccftech.com/tsmc-accelerates-efforts-to-achieve-1nm-production/
    TSMC (Taiwan Semiconductor Manufacturing Company) กำลังเร่งความพยายามในการพัฒนาเทคโนโลยีผลิตชิป 1 นาโนเมตร (1nm) ซึ่งคาดว่าจะพร้อมเปิดตัวในปี 2030 โดยบริษัทได้วางแผนสร้างโรงงานผลิตชิปแห่งใหม่ที่ทันสมัยในเมืองไถหนาน (Tainan) ประเทศไต้หวัน โรงงานนี้จะถูกตั้งชื่อว่า "Fab 25" และคาดว่าจะสามารถผลิตเวเฟอร์ขนาด 12 นิ้วได้ด้วยสายการผลิตถึง 6 สาย การพัฒนาเทคโนโลยี 1nm ของ TSMC มีเป้าหมายที่จะบรรลุการบรรจุทรานซิสเตอร์ถึงล้านล้าน (trillion) หน่วยในกระบวนการผลิตผ่านชิปหลายชั้นแบบ 3 มิติ (3D-stacked chipsets) การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่นี้มีค่าใช้จ่ายสูงโดยคาดว่าจะเกินหนึ่งล้านล้านวอน หรือประมาณ 32 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ TSMC ตั้งใจที่จะนำกฎของมัวร์ (Moore's Law) ไปสู่ระดับใหม่ กฎของมัวร์กล่าวว่า จำนวนทรานซิสเตอร์ในชิปจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุก ๆ สองปี ซึ่งจะทำให้ชิปมีประสิทธิภาพสูงขึ้นและขนาดเล็กลง อัตราการผลิตและการจัดหาวัสดุเป็นปัญหาที่สำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่กระบวนการผลิตชิปมีการลดขนาดลงอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา TSMC เป็นโรงงานผลิตชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปัจจุบัน และมีความได้เปรียบที่ชัดเจนจากการได้รับคำสั่งซื้อชิป AI ของ NVIDIA ที่มีความต้องการสูง ทำให้คู่แข่งอย่าง Samsung และ Intel ไม่สามารถท้าทายได้ https://wccftech.com/tsmc-accelerates-efforts-to-achieve-1nm-production/
    WCCFTECH.COM
    TSMC Accelerates Efforts To Achieve 1nm Production, Plans To Set Up "Giga Fabs" In Taiwan
    TSMC is now determined to scale up process tech, in order to incorporate the cutting-edge 1nm process in new facilities.
    0 Comments 0 Shares 239 Views 0 Reviews
  • Grayscale Investments ซึ่งเป็นผู้จัดการสินทรัพย์คริปโตที่มีชื่อเสียง เปิดตัวกองทุนที่เน้นการลงทุนใน Dogecoin กองทุนนี้มีชื่อว่า Grayscale Dogecoin Trust และมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าถึง Dogecoin ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีความนิยมเพิ่มขึ้น

    Dogecoin เริ่มต้นจากการเป็น "memecoin" หรือสกุลเงินดิจิทัลที่สร้างขึ้นเพื่อความสนุกสนาน แต่ในปัจจุบันได้กลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้คนที่ไม่ได้รับการบริการจากระบบการเงินแบบดั้งเดิมสามารถเข้าร่วมในระบบการเงินได้ Rayhaneh Sharif-Askary หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์และการวิจัยของ Grayscale กล่าวว่า Dogecoin ช่วยให้กลุ่มคนที่ไม่ได้รับการบริการจากโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินแบบดั้งเดิมสามารถเข้าร่วมในระบบการเงินได้

    กองทุนนี้ออกแบบมาเพื่อติดตามราคาตลาดของ Dogecoin และเปิดให้สมัครสมาชิกสำหรับนักลงทุนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมทั้งบุคคลและสถาบัน. Dogecoin ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเนื่องจากการสนับสนุนจาก Elon Musk CEO ของ Tesla และบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก

    นอกจากนี้ Dogecoin ยังเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าตลาดใหญ่เป็นอันดับแปดของโลก โดยมีมูลค่าตลาดประมาณ 50 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

    การเปิดตัวกองทุนนี้เป็นการตอบสนองต่อความต้องการของนักลงทุนที่ต้องการหาผลตอบแทนจากสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ นอกเหนือจาก Bitcoin ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/01/grayscale-launches-dogecoin-focused-fund-as-altcoin-adoption-picks-up-pace
    Grayscale Investments ซึ่งเป็นผู้จัดการสินทรัพย์คริปโตที่มีชื่อเสียง เปิดตัวกองทุนที่เน้นการลงทุนใน Dogecoin กองทุนนี้มีชื่อว่า Grayscale Dogecoin Trust และมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าถึง Dogecoin ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีความนิยมเพิ่มขึ้น Dogecoin เริ่มต้นจากการเป็น "memecoin" หรือสกุลเงินดิจิทัลที่สร้างขึ้นเพื่อความสนุกสนาน แต่ในปัจจุบันได้กลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้คนที่ไม่ได้รับการบริการจากระบบการเงินแบบดั้งเดิมสามารถเข้าร่วมในระบบการเงินได้ Rayhaneh Sharif-Askary หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์และการวิจัยของ Grayscale กล่าวว่า Dogecoin ช่วยให้กลุ่มคนที่ไม่ได้รับการบริการจากโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินแบบดั้งเดิมสามารถเข้าร่วมในระบบการเงินได้ กองทุนนี้ออกแบบมาเพื่อติดตามราคาตลาดของ Dogecoin และเปิดให้สมัครสมาชิกสำหรับนักลงทุนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมทั้งบุคคลและสถาบัน. Dogecoin ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเนื่องจากการสนับสนุนจาก Elon Musk CEO ของ Tesla และบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก นอกจากนี้ Dogecoin ยังเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าตลาดใหญ่เป็นอันดับแปดของโลก โดยมีมูลค่าตลาดประมาณ 50 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การเปิดตัวกองทุนนี้เป็นการตอบสนองต่อความต้องการของนักลงทุนที่ต้องการหาผลตอบแทนจากสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ นอกเหนือจาก Bitcoin ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/01/grayscale-launches-dogecoin-focused-fund-as-altcoin-adoption-picks-up-pace
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Grayscale launches dogecoin-focused fund as altcoin adoption picks up pace
    (Reuters) - Grayscale Investments said on Friday it was launching an investment fund aimed at dogecoin, as the cryptocurrency asset manager looks to tap into the increasing momentum around alternatives to bitcoin.
    0 Comments 0 Shares 310 Views 0 Reviews
  • Mukesh Ambani บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในอินเดีย กำลังวางแผนสร้างศูนย์ข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีขนาดใหญ่กว่าศูนย์ข้อมูลของ Microsoft ถึงห้าเท่า

    Reliance Group ของ Ambani กำลังพัฒนาโครงการศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ในเมือง Jamnagar รัฐ Gujarat ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงกลั่นน้ำมันและโรงงานปิโตรเคมีหลักของ Reliance ศูนย์ข้อมูลนี้คาดว่าจะมีความจุรวม 3 กิกะวัตต์ ซึ่งจะเพิ่มความจุของศูนย์ข้อมูลในอินเดียอย่างมากจากที่มีอยู่ไม่ถึง 1 กิกะวัตต์ในปัจจุบัน

    ศูนย์ข้อมูลนี้คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2027 โดย Nvidia จะเป็นผู้จัดหา AI chips ที่จำเป็นสำหรับโครงการนี้ Ambani ได้ให้คำมั่นว่าจะใช้พลังงานสีเขียวและพลังงานหมุนเวียนในการขับเคลื่อนศูนย์ข้อมูลนี้ โดยจะรวมเข้ากับโครงการพลังงานแสงอาทิตย์, พลังงานลม, และไฮโดรเจนสีเขียวที่มีอยู่ของ Reliance

    อย่างไรก็ตาม Bloomberg เชื่อว่าการบรรลุความเสถียรของพลังงานอาจต้องใช้พลังงานสำรองจากเชื้อเพลิงฟอสซิลหรือแหล่งพลังงานอื่น ๆ แม้ว่าโฆษกของ Reliance จะปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการ Jamnagar แต่พวกเขาได้ชี้ไปที่คำพูดก่อนหน้านี้ของ Akash Ambani ซีอีโอของ Reliance Jio Infocomm ซึ่งกล่าวว่าบริษัทตั้งเป้าที่จะสร้างศูนย์ข้อมูลนี้ให้เสร็จภายใน 24 เดือน

    https://www.techradar.com/pro/indias-richest-person-wants-to-build-the-worlds-largest-data-center-five-times-the-capacity-of-microsofts-mega-site
    Mukesh Ambani บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในอินเดีย กำลังวางแผนสร้างศูนย์ข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีขนาดใหญ่กว่าศูนย์ข้อมูลของ Microsoft ถึงห้าเท่า Reliance Group ของ Ambani กำลังพัฒนาโครงการศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ในเมือง Jamnagar รัฐ Gujarat ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงกลั่นน้ำมันและโรงงานปิโตรเคมีหลักของ Reliance ศูนย์ข้อมูลนี้คาดว่าจะมีความจุรวม 3 กิกะวัตต์ ซึ่งจะเพิ่มความจุของศูนย์ข้อมูลในอินเดียอย่างมากจากที่มีอยู่ไม่ถึง 1 กิกะวัตต์ในปัจจุบัน ศูนย์ข้อมูลนี้คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2027 โดย Nvidia จะเป็นผู้จัดหา AI chips ที่จำเป็นสำหรับโครงการนี้ Ambani ได้ให้คำมั่นว่าจะใช้พลังงานสีเขียวและพลังงานหมุนเวียนในการขับเคลื่อนศูนย์ข้อมูลนี้ โดยจะรวมเข้ากับโครงการพลังงานแสงอาทิตย์, พลังงานลม, และไฮโดรเจนสีเขียวที่มีอยู่ของ Reliance อย่างไรก็ตาม Bloomberg เชื่อว่าการบรรลุความเสถียรของพลังงานอาจต้องใช้พลังงานสำรองจากเชื้อเพลิงฟอสซิลหรือแหล่งพลังงานอื่น ๆ แม้ว่าโฆษกของ Reliance จะปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการ Jamnagar แต่พวกเขาได้ชี้ไปที่คำพูดก่อนหน้านี้ของ Akash Ambani ซีอีโอของ Reliance Jio Infocomm ซึ่งกล่าวว่าบริษัทตั้งเป้าที่จะสร้างศูนย์ข้อมูลนี้ให้เสร็จภายใน 24 เดือน https://www.techradar.com/pro/indias-richest-person-wants-to-build-the-worlds-largest-data-center-five-times-the-capacity-of-microsofts-mega-site
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 212 Views 0 Reviews
  • บริษัท Mizuno USA ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Mizuno Corporation หนึ่งในผู้ผลิตอุปกรณ์กีฬาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้รับการโจมตีทางไซเบอร์ที่ทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงเครือข่ายของบริษัทได้เป็นเวลาสองเดือน ตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงตุลาคม 2024 โดยแฮกเกอร์ได้ขโมยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าจำนวนมาก

    Mizuno USA ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเมือง Peachtree Corners รัฐจอร์เจีย ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์กีฬาหลากหลายประเภท เช่น กอล์ฟ วิ่ง เบสบอล วอลเลย์บอล ซอฟต์บอล ว่ายน้ำ และเทนนิส ในทวีปอเมริกาเหนือ บริษัทได้ตรวจพบกิจกรรมที่น่าสงสัยในเครือข่ายของตนเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2024 และได้ทำการตรวจสอบพบว่าแฮกเกอร์ได้เข้าถึงระบบบางส่วนและคัดลอกเอกสารที่มีข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต

    ข้อมูลที่ถูกขโมยไปนั้นอาจรวมถึงชื่อ หมายเลขประกันสังคม ข้อมูลบัญชีการเงิน ข้อมูลใบขับขี่ และหมายเลขหนังสือเดินทาง Mizuno USA ได้เสนอการตรวจสอบเครดิตและบริการป้องกันตัวตนฟรีเป็นเวลาหนึ่งปีให้กับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ และแนะนำให้พวกเขาตรวจสอบบัญชีและรายงานเครดิตของตนเพื่อหาสัญญาณของการโจรกรรมข้อมูลและการฉ้อโกง

    การโจมตีนี้ถูกอ้างสิทธิ์โดยกลุ่มแรนซัมแวร์ BianLian ซึ่งได้ขโมยข้อมูลธุรกิจและข้อมูลลูกค้าจำนวนมาก รวมถึงข้อมูลการเงินและทรัพยากรบุคคล สัญญาและข้อตกลงที่เป็นความลับ ความลับทางการค้าและสิทธิบัตร กล่องจดหมาย และการติดต่อทางอีเมลภายในและภายนอก

    https://www.bleepingcomputer.com/news/security/mizuno-usa-says-hackers-stayed-in-its-network-for-two-months/
    บริษัท Mizuno USA ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Mizuno Corporation หนึ่งในผู้ผลิตอุปกรณ์กีฬาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้รับการโจมตีทางไซเบอร์ที่ทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงเครือข่ายของบริษัทได้เป็นเวลาสองเดือน ตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงตุลาคม 2024 โดยแฮกเกอร์ได้ขโมยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าจำนวนมาก Mizuno USA ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเมือง Peachtree Corners รัฐจอร์เจีย ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์กีฬาหลากหลายประเภท เช่น กอล์ฟ วิ่ง เบสบอล วอลเลย์บอล ซอฟต์บอล ว่ายน้ำ และเทนนิส ในทวีปอเมริกาเหนือ บริษัทได้ตรวจพบกิจกรรมที่น่าสงสัยในเครือข่ายของตนเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2024 และได้ทำการตรวจสอบพบว่าแฮกเกอร์ได้เข้าถึงระบบบางส่วนและคัดลอกเอกสารที่มีข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต ข้อมูลที่ถูกขโมยไปนั้นอาจรวมถึงชื่อ หมายเลขประกันสังคม ข้อมูลบัญชีการเงิน ข้อมูลใบขับขี่ และหมายเลขหนังสือเดินทาง Mizuno USA ได้เสนอการตรวจสอบเครดิตและบริการป้องกันตัวตนฟรีเป็นเวลาหนึ่งปีให้กับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ และแนะนำให้พวกเขาตรวจสอบบัญชีและรายงานเครดิตของตนเพื่อหาสัญญาณของการโจรกรรมข้อมูลและการฉ้อโกง การโจมตีนี้ถูกอ้างสิทธิ์โดยกลุ่มแรนซัมแวร์ BianLian ซึ่งได้ขโมยข้อมูลธุรกิจและข้อมูลลูกค้าจำนวนมาก รวมถึงข้อมูลการเงินและทรัพยากรบุคคล สัญญาและข้อตกลงที่เป็นความลับ ความลับทางการค้าและสิทธิบัตร กล่องจดหมาย และการติดต่อทางอีเมลภายในและภายนอก https://www.bleepingcomputer.com/news/security/mizuno-usa-says-hackers-stayed-in-its-network-for-two-months/
    WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COM
    Mizuno USA says hackers stayed in its network for two months
    ​Mizuno USA, a subsidiary of Mizuno Corporation, one of the world's largest sporting goods manufacturers, confirmed in data breach notification letters that unknown attackers stole files from its network between August and October 2024.
    0 Comments 0 Shares 285 Views 0 Reviews
  • ข่าวนี้เกี่ยวกับโครงการก่อสร้างโรงงานประกอบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ของบริษัท Micron Technology ในเมือง Sanand ใกล้กับ Ahmedabad ประเทศอินเดีย โดยโครงการนี้ดำเนินการโดย Tata Projects และคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคม 2025 โรงงานนี้จะเป็นโรงงานประกอบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีพื้นที่ประมาณ 50 เอเคอร์ และมีพนักงานทั้งหมด 3,500 คน1

    โรงงานนี้จะมีบทบาทสำคัญในการทดสอบ บรรจุภัณฑ์ และการทำเครื่องหมายเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นกระบวนการที่สำคัญในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ โครงการนี้จะสร้างงานโดยตรงประมาณ 5,000 ตำแหน่ง และงานทางอ้อมอีก 15,000 ตำแหน่งเมื่อโรงงานเริ่มดำเนินการ โรงงานนี้จะเน้นการแปลงเวเฟอร์เป็นแพ็คเกจวงจรรวมแบบบอลกริด (BGA) โมดูลหน่วยความจำ และไดรฟ์โซลิดสเตต (SSD) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความต้องการสูงในตลาด

    นอกจากนี้ โรงงานนี้ยังมีความสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในอินเดีย ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศในตลาดโลก

    การก่อสร้างโรงงานนี้เริ่มขึ้นในเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว และขณะนี้เสร็จสิ้นไปแล้วประมาณ 60% โดย Tata Projects จะส่งมอบโรงงานให้กับ Micron ภายในสิ้นปี 2025 หลังจากเสร็จสิ้นงานก่อสร้าง งานเครื่องกล งานไฟฟ้า และงานประปาตามแบบที่ Micron กำหนด

    โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงระหว่าง Micron และรัฐบาลรัฐคุชราตในเดือนมิถุนายน 2023 โดยมีมูลค่าโครงการประมาณ 2.75 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

    https://www.techpowerup.com/331898/tata-to-complete-microns-india-chip-facility-by-end-of-2025
    ข่าวนี้เกี่ยวกับโครงการก่อสร้างโรงงานประกอบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ของบริษัท Micron Technology ในเมือง Sanand ใกล้กับ Ahmedabad ประเทศอินเดีย โดยโครงการนี้ดำเนินการโดย Tata Projects และคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคม 2025 โรงงานนี้จะเป็นโรงงานประกอบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีพื้นที่ประมาณ 50 เอเคอร์ และมีพนักงานทั้งหมด 3,500 คน1 โรงงานนี้จะมีบทบาทสำคัญในการทดสอบ บรรจุภัณฑ์ และการทำเครื่องหมายเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นกระบวนการที่สำคัญในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ โครงการนี้จะสร้างงานโดยตรงประมาณ 5,000 ตำแหน่ง และงานทางอ้อมอีก 15,000 ตำแหน่งเมื่อโรงงานเริ่มดำเนินการ โรงงานนี้จะเน้นการแปลงเวเฟอร์เป็นแพ็คเกจวงจรรวมแบบบอลกริด (BGA) โมดูลหน่วยความจำ และไดรฟ์โซลิดสเตต (SSD) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความต้องการสูงในตลาด นอกจากนี้ โรงงานนี้ยังมีความสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในอินเดีย ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศในตลาดโลก การก่อสร้างโรงงานนี้เริ่มขึ้นในเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว และขณะนี้เสร็จสิ้นไปแล้วประมาณ 60% โดย Tata Projects จะส่งมอบโรงงานให้กับ Micron ภายในสิ้นปี 2025 หลังจากเสร็จสิ้นงานก่อสร้าง งานเครื่องกล งานไฟฟ้า และงานประปาตามแบบที่ Micron กำหนด โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงระหว่าง Micron และรัฐบาลรัฐคุชราตในเดือนมิถุนายน 2023 โดยมีมูลค่าโครงการประมาณ 2.75 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ https://www.techpowerup.com/331898/tata-to-complete-microns-india-chip-facility-by-end-of-2025
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Tata to Complete Micron's India Chip Facility by End of 2025
    IndiaTimes reports that Tata Projects announced on Tuesday that Micron Technology's semiconductor assembly and test facility at Sanand near Ahmedabad (India) will be ready by December 2025. Amit Agrawal, Project Director at Tata Projects, said workers have finished 60 percent of India's first semico...
    0 Comments 0 Shares 209 Views 0 Reviews
More Results