• EP.7 วิถีสุพรรณ สร้างสรรค์มั่งคง - สุขนิยาม สยามโสภา (สุพรรณบุรี)
    》》
    https://youtu.be/7ejG-2nRzmo?si=v2auD9FcYL_rSDdi
    《《
    ■ซึ่งเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำของประเทศไทย บนฝั่งแม่น้ำท่าจีน
    》》มีพระพุทธรูปบนผนังหน้าผา ที่สูงใหญ่เป็นหนึ่ง ในที่สุดของโลก
    》》เป็นแหล่งรวบรวมองค์ความรู้ในวิถีของเกษตรกรชาวนา ที่จัดทำได้อย่างน่าสนใจ
    》》สนันสนุนการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ภูมิปัญญาการเลี้ยงควายไทย
    》》ได้รับพระราชทานโครงการบรรเทาปัญหาน้ำท่วม พื้นที่การเกษตร
    》》และยังมีแหล่งเพาะปลูกแห้ว ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
    ■■■■■■■■■■■■
    #TV5HDONLINE#สยามโสภา#วิถีสุพรรณ#เมืองอู่ข้าวอู่น้ำของไทย#ศูนย์อนุรักษ์ควายไทย#เที่ยวจังหวัดสุพรรณบุรี#thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney
    EP.7 วิถีสุพรรณ สร้างสรรค์มั่งคง - สุขนิยาม สยามโสภา (สุพรรณบุรี) 》》 https://youtu.be/7ejG-2nRzmo?si=v2auD9FcYL_rSDdi 《《 ■ซึ่งเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำของประเทศไทย บนฝั่งแม่น้ำท่าจีน 》》มีพระพุทธรูปบนผนังหน้าผา ที่สูงใหญ่เป็นหนึ่ง ในที่สุดของโลก 》》เป็นแหล่งรวบรวมองค์ความรู้ในวิถีของเกษตรกรชาวนา ที่จัดทำได้อย่างน่าสนใจ 》》สนันสนุนการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ภูมิปัญญาการเลี้ยงควายไทย 》》ได้รับพระราชทานโครงการบรรเทาปัญหาน้ำท่วม พื้นที่การเกษตร 》》และยังมีแหล่งเพาะปลูกแห้ว ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ■■■■■■■■■■■■ #TV5HDONLINE​ #สยามโสภา​ #วิถีสุพรรณ​ #เมืองอู่ข้าวอู่น้ำของไทย​ #ศูนย์อนุรักษ์ควายไทย​ #เที่ยวจังหวัดสุพรรณบุรี​ #thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 296 Views 0 Reviews
  • ฟินแลนด์เตรียมส่งคืน“แพนด้ายักษ์คู่”ชื่อ”ลูมิและพีรี“กลับจีน อ้างแบกรับค่าดูแลปีละ1.5ล้านยูโรไม่ไหว

    27 กันยายน 2567- สื่อบีบีซีรายงานข่าวว่าสวนสัตว์อาห์ตารีในประเทศฟินแลนด์ เปิดเผยว่าจะส่งคืน “แพนด้ายักษ์” 2 ตัวกลับไปยังประเทศจีน เร็วกว่ากำหนดส่งคืนถึง 8 ปีเพราะทางสวนสัตว์แบกรับค่าใช้จ่ายมหาศาลไม่ไหว

    “ลูมิ”(Lumi : Jin Bao Bao) และ “พีรี”(Pyry: Hua Bao) แพนด้ายักษ์คู่ผัวตัวเมียที่มาอยู่ที่สวนสัตว์แห่งนี้ตั้งแต่ปี 2561 ตามข้อตกลงคุ้มครองสัตว์ที่ทั้งสองประเทศลงนามกันไว้ โดยจีนจะให้แพนด้าอยู่ในฟินแลนด์เป็นเวลา 15 ปี ถึงปี 2576 แต่สวนสัตว์อาห์ตารีขอส่งคืนในเดือนพ.ย.2567 ที่จะถึงนี้ เพราะพิษเศรษฐกิจค่าเงินเฟ้อในยุโรป ประกอบกับหนี้สินท่วมท้นจากผลพวงของการระบาดของโรคโควิด-19

    รายงานข่าวระบุว่าสวนสัตว์ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายสำหรับดูแลแพนด้ายักษ์สองตัวประมาณ 1.5 ล้านยูโรต่อปี (หรือราวๆ 54 ล้านบาท) ไม่รวมค่าใช้จ่ายในส่วนจัดแสดงอีก 8 ล้านยูโร (ประมาณ 290 ล้านบาท)

    นายมาร์โก ฮาปาโคสกี ผู้อำนวยการสวนสัตว์อาห์ตารี กล่าวว่าค่าดูแลแพนด้ายักษ์ต่อปีสูงกว่าค่าดูแลสัตว์อื่นๆ ทุกชนิดรวมกันเสียอีก การดูแลแพนด้ายังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ดูแลตลอด 24 ชั่วโมง ค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายให้จีนและค่านำเข้าไม้ไผ่

    การตัดสินใจดังกล่าวจึงเป็นผลดีต่อสวนสัตว์เพราะค่าใช้จ่ายดูแลแพนด้ายักษ์นั้นแพงมาก แม้การมีแพนด้าจะดีและน่าเสียดายที่ต้องส่งคืนก็ตาม อีกเหตุผลหนึ่งคือเมื่อปีที่แล้วรัฐบาลฟินแลนด์ไม่อนุมัติเงินอุดหนุนเพราะคิดว่าแพนด้าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวและทำให้สวนสัตว์มีรายได้เพิ่ม แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม

    ด้วยเหตุนี้สวนสัตว์จึงเริ่มเจรจากับหน่วยงานในจีนเมื่อปีที่ผ่านมาและจะส่งแพนด้ากลับบ้านเกิดซึ่งลูมิและพีรีจะต้องกักตัวเป็นเวลา 1 เดือนก่อนเดินทางกลับด้วยเรือ

    ด้านโฆษกกระทรวงการต่างประเทศฟินแลนด์กล่าวว่าการส่งกลับแพนด้าเป็นการตัดสินใจของภาคเอกชนและไม่ได้เกี่ยวข้องกับภาครัฐ ดังนั้นจึงไม่กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างฟินแลนด์และจีน
    ส่วนสถานเอกอัครราชทูตจีนในฟินแลนด์กล่าวว่าจีนพยายามหาทางช่วยเหลือสวนสัตว์แล้ว แต่ในที่สุดก็ได้ข้อตกลงร่วมกันว่าควรส่งกลับจีน

    ทั้งนี้ จีนส่งแพนด้าไปให้สวนสัตว์ในต่างประเทศจัดแสดงเพื่อเป็นการกระชับความสัมพันธ์ทางการค้า ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เรียกได้ว่าเป็น “การทูตเชิงแพนด้า”

    ที่มา https://www.bbc.com/news/articles/cd0z289ervmo

    #Thaitimes
    ฟินแลนด์เตรียมส่งคืน“แพนด้ายักษ์คู่”ชื่อ”ลูมิและพีรี“กลับจีน อ้างแบกรับค่าดูแลปีละ1.5ล้านยูโรไม่ไหว 27 กันยายน 2567- สื่อบีบีซีรายงานข่าวว่าสวนสัตว์อาห์ตารีในประเทศฟินแลนด์ เปิดเผยว่าจะส่งคืน “แพนด้ายักษ์” 2 ตัวกลับไปยังประเทศจีน เร็วกว่ากำหนดส่งคืนถึง 8 ปีเพราะทางสวนสัตว์แบกรับค่าใช้จ่ายมหาศาลไม่ไหว “ลูมิ”(Lumi : Jin Bao Bao) และ “พีรี”(Pyry: Hua Bao) แพนด้ายักษ์คู่ผัวตัวเมียที่มาอยู่ที่สวนสัตว์แห่งนี้ตั้งแต่ปี 2561 ตามข้อตกลงคุ้มครองสัตว์ที่ทั้งสองประเทศลงนามกันไว้ โดยจีนจะให้แพนด้าอยู่ในฟินแลนด์เป็นเวลา 15 ปี ถึงปี 2576 แต่สวนสัตว์อาห์ตารีขอส่งคืนในเดือนพ.ย.2567 ที่จะถึงนี้ เพราะพิษเศรษฐกิจค่าเงินเฟ้อในยุโรป ประกอบกับหนี้สินท่วมท้นจากผลพวงของการระบาดของโรคโควิด-19 รายงานข่าวระบุว่าสวนสัตว์ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายสำหรับดูแลแพนด้ายักษ์สองตัวประมาณ 1.5 ล้านยูโรต่อปี (หรือราวๆ 54 ล้านบาท) ไม่รวมค่าใช้จ่ายในส่วนจัดแสดงอีก 8 ล้านยูโร (ประมาณ 290 ล้านบาท) นายมาร์โก ฮาปาโคสกี ผู้อำนวยการสวนสัตว์อาห์ตารี กล่าวว่าค่าดูแลแพนด้ายักษ์ต่อปีสูงกว่าค่าดูแลสัตว์อื่นๆ ทุกชนิดรวมกันเสียอีก การดูแลแพนด้ายังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ดูแลตลอด 24 ชั่วโมง ค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายให้จีนและค่านำเข้าไม้ไผ่ การตัดสินใจดังกล่าวจึงเป็นผลดีต่อสวนสัตว์เพราะค่าใช้จ่ายดูแลแพนด้ายักษ์นั้นแพงมาก แม้การมีแพนด้าจะดีและน่าเสียดายที่ต้องส่งคืนก็ตาม อีกเหตุผลหนึ่งคือเมื่อปีที่แล้วรัฐบาลฟินแลนด์ไม่อนุมัติเงินอุดหนุนเพราะคิดว่าแพนด้าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวและทำให้สวนสัตว์มีรายได้เพิ่ม แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม ด้วยเหตุนี้สวนสัตว์จึงเริ่มเจรจากับหน่วยงานในจีนเมื่อปีที่ผ่านมาและจะส่งแพนด้ากลับบ้านเกิดซึ่งลูมิและพีรีจะต้องกักตัวเป็นเวลา 1 เดือนก่อนเดินทางกลับด้วยเรือ ด้านโฆษกกระทรวงการต่างประเทศฟินแลนด์กล่าวว่าการส่งกลับแพนด้าเป็นการตัดสินใจของภาคเอกชนและไม่ได้เกี่ยวข้องกับภาครัฐ ดังนั้นจึงไม่กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างฟินแลนด์และจีน ส่วนสถานเอกอัครราชทูตจีนในฟินแลนด์กล่าวว่าจีนพยายามหาทางช่วยเหลือสวนสัตว์แล้ว แต่ในที่สุดก็ได้ข้อตกลงร่วมกันว่าควรส่งกลับจีน ทั้งนี้ จีนส่งแพนด้าไปให้สวนสัตว์ในต่างประเทศจัดแสดงเพื่อเป็นการกระชับความสัมพันธ์ทางการค้า ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เรียกได้ว่าเป็น “การทูตเชิงแพนด้า” ที่มา https://www.bbc.com/news/articles/cd0z289ervmo #Thaitimes
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 703 Views 0 Reviews
  • ติ่งขา……พี่ปูช่างมีพลังเหลือเฟือ ทั้งเล่ห์เหลี่ยม ทุบสั่งสอนและปากร้าย……แหมมมม…แค่ปีกว่าๆเองนะเนี่ยยยย!!!

    ตอนสิบหก………เรื่องรักเพื่อน…ไม่เคยถอย……เรื่องลองดี…ก็ไม่รอให้ท้า…!!!

    ภายในช่วงฤดูร้อนของปี 2005 ระบบการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของรัสเซียได้แน่นกระชับขึ้น หลังจากที่เรียกคืนสัมปทานจากกลุ่มนายทุน (ด้วยวิธีตรวจสอบเรียกเก็บภาษีย้อนหลังแล้ว)
    ส่วนใหญ่ยอมสละเรือ พากันทิ้งแล้วหอบเงินที่มีออกไปนอกประเทศ……
    ส่วน MK (หรือ Mikhail Khodorkovsky) ที่ยังดื้อดึง เพราะมีเส้นสายอยู่รอบโลก ยังคงท้าทายอำนาจ ซึ่งเขาได้รับโทษจำคุกเก้าปี

    เมื่อสัมปทานทั้งหมดได้กลับเข้าสู่รัฐ ปูตินได้เปิดให้บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกอื่นๆเข้ามามีส่วนร่วมในการซื้อหุ้นพลังงาน เพื่อการจูงใจในการลงทุนในภาคอื่นๆ เพราะเขามีโปรเจ็คที่จะสร้างท่อส่งก๊าสไปสู่ยุโรป โดยผ่านทั้งทางบกและลอดใต้ทะเล
    กลุ่มที่หลั่งไหลเข้ามา ก็คือ Citigroup, IBM,Intel, Alcoa, ConocoPhilip, Kraft และเจ้าพ่อยักษ์ใหญ่แห่งวงการสื่อโลก Rupert Murdoch
    ในการประชุมกับบุคคลต่างๆของบริษัทที่กล่าวมา Sanford Weill จาก Citigroup (USA) ได้ถามปูตินตรงๆว่า
    “เส้นทางที่พวกเราจะมาลงทุนนี้ มันต้องผ่านขั้นตอนหรือมีอุปสรรคอะไรบ้าง?”
    ปูตินตอบอย่างชัดเจนว่า…
    “ทางเราไม่มีอะไรมาก เพราะมีกฎหมายระบุชัดเจน ส่วนอุปสรรคที่คุณว่า มันไม่ใช่มาจากรัสเซีย แต่มันเกิดจากทางบ้านคุณ (หมายถึงอเมริกา) ที่บีบคั้นเราในทางการค้าทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการส่งออก, การควบคุมทางอวกาศ, คอมพิวเตอร์ และ ทางการทหาร ซึ่งเป็นการบีบมาตั้งแต่เมื่อครั้วเราเป็นโซเวียต เพื่อเป็นการลงโทษที่โซเวียตมีกฏหมายห้ามไม่ให้ยิว
    ลี้ภัยออกไปอิสราเอล (1974) เมื่อเราได้มาเป็นรัสเซีย กฏหมายข้อนี้ได้ล้มเลิกไป ใครจะไปไหนก็ตามสบาย
    แต่อเมริกายังไม่ยกเลิกการแซงชั่นจนถึงบัดนี้ ไม่ว่าจะเปลี่ยนมากี่ประธานาธิบดี เรื่อง”อุปสรรค” ที่พวกคุณถาม คุณถามผิดคนแล้ว คุณต้องไปถามทางผู้นำขอบคุณจะได้รับคำตอบที่ดีกว่า……”
    คำตอบนี้…เล่นเอาทุกคนสะอึก….!!!

    หลังประชุม มีการถ่ายรูปหมู่ Robert Kraft เจ้าของบริษัท Kraft Group และเป็นเจ้าของทีมฟุตบอล ที่เพิ่งชนะใน Super Bowl เมื่อต้นปี ที่เขาภูมิใจมาก ถึงขนาดสั่งทำแหวนเพชรขึ้นมาเป็นพิเศษ ด้วยเพชรกว่าสองร้อยเม็ดล้อมรอบ สลักชื่อตัวเอง สลัดชื่อทีม……Sanford Weill จึงกระเซ้าว่า ให้เอาแหวนมาอวดปูตินหน่อยซิ
    Kraft จึงค่อยบรรจงควักออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และเปิดกล่องให้ปูตินได้ชม…
    ปูติน…หยิบเอาไปสวมในนิ้วมือ และอุทานว่า
    “นี่มันขนาดเอาไปใช้เป็นอาวุธได้เลยนะ..”
    ช่างภาพกดแฟลชกันระรัว…ยิงไม่นับ
    จากนั้น Kraft จึงยื่นมือไปเพื่อขอคืน แต่ปูตินส่งต่อให้ผู้ติดตามให้เอาไปเก็บ………และกล่าวอำลาไปอย่างหน้าตาเฉย

    Robert Kraft ถึงกับไปไม่เป็น ตามด้วยสติแตก เขารีบติดต่อหา Weill และต่อสายทางไกลไปยังทำเนียบขาว เพื่อที่จะช่วยขอแหวนคืน……
    แต่ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ที่ออกมา มันเป็นการลักษณะของการมอบของขวัญ ที่ใครจะไปกล้าขอคืน……เสียหน้าแย่
    แต่ Kraft ก็ยังเอะอะมะเทิ่งว่า……ก็ผมให้ดูเฉยๆ ตามคำแนะนำของวีลล์ และผมรักมันมาก ตั้งใจทำมาเพื่อเป็นเกียรติยศกับวงศ์ตระกูล…

    ทำเนียบขาวตอบมาสั้นๆว่า….”เอาน่า….ไปสั่งทำใหม่ละกัน..”
    ก็สรุปตามนั้น คราฟท์ได้สั่งทำใหม่มาอีกวงหนึ่ง
    ส่วนวงออริจินัลนั้น ปัจจุบันอยู่ที่ ห้องพิพิธภัณฑ์ของที่ระลึก
    ในหอสมุดที่เครมลิน…

    ~~-นี่คือความเข้าใจผิดระดับผู้นำ……เพราะมันตรงตามโปรโตคอลที่จะเป็นภาพของการถ่ายภาพร่วมกันออกสื่อ มีการมอบของขวัญเพื่อสานสัมพันธไมตรี และเป็นการขอบคุณเจ้าภาพ….ซึ่งทางรัสเซียคงเข้าใจตามนั้น
    ถ้าจะอวดกัน…ควรจะอวดเป็นส่วนตัวในยามคุยถึงเรื่องที่เกี่ยวข้อง
    จากภาพที่เห็น……ใครๆก็ต้องคล้อยตามว่า นั่นคือการมอบของที่ระลึก…
    (ป่านนี้ปูตินคงขำกลิ้งไปแล้ว……)

    งานวางฐานเศรษฐกิจชาติ ได้สำเร็จไปตามแผน นั่นคือ
    Rosneft บริษัทพลังงานที่ใหญ่อันดับสอง ดูแลโดย Igor Sechin
    United Aircraft Corporation ดูแลโดย Sergei Ivanov
    Russian Railways ดูแลโดย Vladimir Yakunin
    Rosoboronexport ดูแลโดย Seigei Chemezov
    Gazprom ดูแลโดย Dmitry Medvedev
    ทั้งหมดนี้ ที่ทำให้เศรษฐกิจของรัสเซียก้าวพุ่ง ภายในปีเดียว
    จนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งใน G8 แบบกระพริบตาไม่ทัน

    มกราคม 2006 นักข่าวได้ถามปูตินว่า
    “ถ้าไม่เป็นประธานาธิบดี ท่านคิดว่าท่านจะมาทำงานในส่วนคุมพลังงานนี้หรือไม่..?”
    คำตอบคือ
    “ขอบคุณที่ชี้ทางหางานให้……แต่ไม่มีทาง ผมไม่มีทักษะในเรื่องธุรกิจเลย หรือ เป็นเพราะว่าเมื่อชาติก่อนไม่เคยทำมาค้าขายก็เป็นได้…”

    เพื่อนเก่าอีกคนหนึ่งที่ต้องพูดถึง คือ สองพี่น้อง Arkady และ Boris Rotenerg ที่เรียนยูโดมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก
    สองพี่น้องนี้ได้เปิดสถานฝึกสอนยูโด และ ยิมที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในปี 1998 ชื่อว่า Yawara-Neva ปูตินรับเป็นประธานกิตติมศักดิ์……ที่สถานฝึกสอนได้ตั้งกลุ่มผู้ที่ฝึกยูโดอย่างจริงจัง
    เรียกว่า “judocracy “
    เมื่อปี 2000 ที่ปูตินได้เป็นประธานาธิบดี เขาจัดการควบคุมโรงกลั่นเหล้าว้อดก้าให้เป็นสัมปทาน และมอบหมายให้ Arkady เป็นคนดูแล ซึ่งไม่นานต่อมา องค์กรโรงกลั่นนี้ได้ขยายไปคุมกิจการเหล้าอื่นๆเกือบทั้งประเทศ จนถึงขั้นตั้งธนาคารของตัวเองได้ ชื่อว่า SMP Bank และมีส่วนร่วมในการลงทุนในท่อก๊าสสู่ยุโรป
    ความสำเร็จเหล่านี้เป็นการยืนยันว่า เขาไม่ได้เอาเพื่อนจากถิ่นเก่ามาช่วยงานเพราะเห็นแก่หน้า……แต่เขาคัดมาเฉพาะคนที่เชื่อใจและมองเห็นในความสามารถ……

    ปูตินเชื่ออะไรหลายๆอย่างที่เป็นเรื่องแปลก เขาคือชนรุ่นโซเวียตแท้ๆตั้งแต่เกิด แต่เขามีความอ่อนไหวกับเรื่องราชาธิปไตยภายใต้ประชาธิปไตย (sovereign democracy)
    ในการบรรยายหรือให้สัมภาษณ์เขามักกล่าวถึง นักปรัชญาทางการเมืองและศาสนา Ivan Ilyin (1883-1954) ที่ต่อต้านบอลเชวิคจนต้องหนีออกไปนอกประเทศ และไปเสียชีวิตที่ สวิตเซอร์แลนด์
    ในบทความของอิวานมักจะเอนเอียงไปทางประชาธิปไตยที่ต้องออกแบบให้เหมาะสมกับฐานรากของประชาชน
    ปูตินได้ใช้บทความของอิวานครั้งหนึ่งในตอนที่เขาขึ้นรับตำแหน่งใหม่ๆว่า
    “เราต้องไม่ลืมว่า รัสเซียเป็นประชาธิปไตยเพราะนั่นคือความต้องการของประชาชน เพื่อที่จะอยู่ร่วมกันสันติสุข เราต้องใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับภูมิภาค จดจำประวัติการความเป็นมา และการให้ความเคารพนับถือซึ่งกันและกัน
    เรามีเอกราชเป็นของตัวเอง เส้นทางข้างหน้าคือการก้าวไปอย่างเสรีด้วยกัน……ด้วยความระมัดระวัง…”

    และอีกคนหนึ่ง คือนักรบพระเจ้าซาร์ General Anton Denikin
    (1872-1947) ที่ต้องพ่ายแพ้ในการรักษาพระราชบัลลังก์ในสงครามกลางเมือง ทั้งๆที่นายพลผู้นี้ถือเป็นยอดอัศวิน (และเป็นนักเขียน) ที่ผ่านสงครามมานับไม่ถ้วน จนต้องลี้ภัยไปอยู่หลายประเทศ ในที่สุดก็ไปเสียชีวิตที่สหรัฐอเมริกา

    เวลาผ่านไปนานแสนนานก็จริง แต่ปูตินได้จัดการนำร่างของคนทั้งสองกลับมาทำพิธีและทำสุสานให้สมเกียรติที่ Donskoy Monastery, Moscow (ด้วยทุนของตัวเอง)

    กลับมาเรื่องการสร้างอำนาจด้วยพลังงาน……ปูตินได้จับมือกับนายรัฐมนตรีเยอรมันนี Gerhard Schröder ที่เป็นเกลอกัน
    ในเรื่องการสร้างท่อก๊าสจากเอเซียสู่ยุโรป ในนาม Nord Stream ที่จะเชื่อมผ่านกลุ่มท่อเก่าของโซเวียตที่ทำไว้ ที่ยูเครน, เบลารุส โปแลนด์ และ สอดผ่านใต้ทะเลบอลติก
    ที่ได้รับการสนับสนุนจากเยอรมันในโครงการนี้ถึงพันล้านยูโร
    (ในสมัยที่เยอรมันนีมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่)
    แต่ด้วยความเป็นคนที่ไม่ทิ้งเพื่อน เพียงหนึ่งอาทิตย์ที่ Gerhard ได้ลงจากตำแหน่ง รัสเซียได้จ้างให้ Gerhard มานั่งเป็นที่ปรึกษาในบริษัท Nord Stream ……รับเละ…!!
    เพราะประธานบริษัท คือ Matthias Warnig เพื่อนเก่าสมัยที่อยู่เดรสเดน

    ทุกการเคลื่อนไหวของปูตินได้สร้างเม็ดเงินสู่ประเทศแบบทำนบแตก
    ปรกติ Gazprom ได้ส่งก๊าสให้ยูเครนในราคาเป็นกันเอง คือ 50$ ต่อ 1000 คิวบิก ที่ยูเครนจะไปขายเท่าไหร่ก็แล้วแต่
    แต่เมื่อการเมืองของยูเครนที่เกิดฝักใฝ่ทางตะวันตก…
    ตัวประธานาธิบดีคนใหม่ก็แสนจะดี๊ด๊ากับกลิ่นไอของประชาธิยไตยสีส้ม
    ปูตินก็เลยเห็นว่า……มันถึงเวลาที่จะขึ้นราคา…เท่ากับว่ากำไรที่เคยได้จะหดหายไป เพราะยูเครนไม่สามารถไปขึ้นราคากับยุโรปได้ เนื่องจากมีสัญญาระยะยาว…
    และหนี้สินที่ให้ค้างคามานาน.……รัสเซียให้เวลาสามเดือน
    ให้เอามาจ่าย

    เมื่อถึงเวลา….เงินไม่มา…ในวันที่ 31 ธันวาคม 2005 เป็นวันสำคัญของการเฉลิมฉลองของฤดูหนาว……รัสเซียตัดก๊าสสั่งสอน
    เดือดร้อนกันไปทั่วทั้งทวีป……กระจองอแงกันไปหมด
    นั่นคือการที่ต้องมาคุยกันใหม่……ทีนี้จะได้รู้บ้างว่า”ใครใหญ่”
    และจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางราคา….

    แต่ก็ไม่นาน……ที่ปูตินเล่นไม้แข็งก็โอนอ่อน เพราะคนที่เดือดร้อนด้วยคือมหามิตร อย่าง ออสเตรีย, ฮังการี
    เขายอมปล่อยก๊าสคืนให้ แต่….จะมีการวางท่อใหม่และราคาที่ขึ้นอยู่กับว่า……รักมาก…รักน้อย….!!

    ทีนี้ก็ถึงการลากมาสับ…รายแรกคือ Victor Yushchenko หรือ VAY ที่ทางรัสเซียได้ออกข่าวว่า ที่เรื่องก๊าสยุ่งเหยิง หนี้สินเพียบแบบนี้ เพราะการบริหารของประธานาธิบดียูเครนคนใหม่ ที่มีส่วนในการรับเงินใต้โต๊ะจากบริษัท RosUkrEnergo
    ปูตินทิ้งท้ายไว้ว่า “ถ้าอยากรู้ มากกว่านี้……ก็ไปถามกันเอง..”

    ~~บริษัทพลังงาน RosUkrEnergo เป็นของรัฐบาลยูเครนที่ Gazprom มีหุ้นครึ่งหนึ่ง ตัวเลขการเงินทางฝั่งยูเครน ไหลไปไหนก็รู้กันหมดว่า VAY เอาไปใช้ในการปฏิบัติการสีส้มจำนวนมหาศาล และในรัฐบาลยูเครน ก็ยังมีเส้นสายคนของปูตินเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ คือ Victor Yanukovych (VFY)

    เครดิตของประธานาธิบดียูเครนที่เพิ่งได้มาหมาดๆ เริ่มสั่นคลอน
    ความมั่นใจว่ามีตะวันตกหนุนหลัง……ชักลังเล………แต่เขาเริ่มเชื่อแล้วว่า……คงจะต้องมีรายการตามมาอีกเป็นหางว่าว………!!!

    Wiwanda W. Vichit
    ติ่งขา……พี่ปูช่างมีพลังเหลือเฟือ ทั้งเล่ห์เหลี่ยม ทุบสั่งสอนและปากร้าย……แหมมมม…แค่ปีกว่าๆเองนะเนี่ยยยย!!! ตอนสิบหก………เรื่องรักเพื่อน…ไม่เคยถอย……เรื่องลองดี…ก็ไม่รอให้ท้า…!!! ภายในช่วงฤดูร้อนของปี 2005 ระบบการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของรัสเซียได้แน่นกระชับขึ้น หลังจากที่เรียกคืนสัมปทานจากกลุ่มนายทุน (ด้วยวิธีตรวจสอบเรียกเก็บภาษีย้อนหลังแล้ว) ส่วนใหญ่ยอมสละเรือ พากันทิ้งแล้วหอบเงินที่มีออกไปนอกประเทศ…… ส่วน MK (หรือ Mikhail Khodorkovsky) ที่ยังดื้อดึง เพราะมีเส้นสายอยู่รอบโลก ยังคงท้าทายอำนาจ ซึ่งเขาได้รับโทษจำคุกเก้าปี เมื่อสัมปทานทั้งหมดได้กลับเข้าสู่รัฐ ปูตินได้เปิดให้บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกอื่นๆเข้ามามีส่วนร่วมในการซื้อหุ้นพลังงาน เพื่อการจูงใจในการลงทุนในภาคอื่นๆ เพราะเขามีโปรเจ็คที่จะสร้างท่อส่งก๊าสไปสู่ยุโรป โดยผ่านทั้งทางบกและลอดใต้ทะเล กลุ่มที่หลั่งไหลเข้ามา ก็คือ Citigroup, IBM,Intel, Alcoa, ConocoPhilip, Kraft และเจ้าพ่อยักษ์ใหญ่แห่งวงการสื่อโลก Rupert Murdoch ในการประชุมกับบุคคลต่างๆของบริษัทที่กล่าวมา Sanford Weill จาก Citigroup (USA) ได้ถามปูตินตรงๆว่า “เส้นทางที่พวกเราจะมาลงทุนนี้ มันต้องผ่านขั้นตอนหรือมีอุปสรรคอะไรบ้าง?” ปูตินตอบอย่างชัดเจนว่า… “ทางเราไม่มีอะไรมาก เพราะมีกฎหมายระบุชัดเจน ส่วนอุปสรรคที่คุณว่า มันไม่ใช่มาจากรัสเซีย แต่มันเกิดจากทางบ้านคุณ (หมายถึงอเมริกา) ที่บีบคั้นเราในทางการค้าทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการส่งออก, การควบคุมทางอวกาศ, คอมพิวเตอร์ และ ทางการทหาร ซึ่งเป็นการบีบมาตั้งแต่เมื่อครั้วเราเป็นโซเวียต เพื่อเป็นการลงโทษที่โซเวียตมีกฏหมายห้ามไม่ให้ยิว ลี้ภัยออกไปอิสราเอล (1974) เมื่อเราได้มาเป็นรัสเซีย กฏหมายข้อนี้ได้ล้มเลิกไป ใครจะไปไหนก็ตามสบาย แต่อเมริกายังไม่ยกเลิกการแซงชั่นจนถึงบัดนี้ ไม่ว่าจะเปลี่ยนมากี่ประธานาธิบดี เรื่อง”อุปสรรค” ที่พวกคุณถาม คุณถามผิดคนแล้ว คุณต้องไปถามทางผู้นำขอบคุณจะได้รับคำตอบที่ดีกว่า……” คำตอบนี้…เล่นเอาทุกคนสะอึก….!!! หลังประชุม มีการถ่ายรูปหมู่ Robert Kraft เจ้าของบริษัท Kraft Group และเป็นเจ้าของทีมฟุตบอล ที่เพิ่งชนะใน Super Bowl เมื่อต้นปี ที่เขาภูมิใจมาก ถึงขนาดสั่งทำแหวนเพชรขึ้นมาเป็นพิเศษ ด้วยเพชรกว่าสองร้อยเม็ดล้อมรอบ สลักชื่อตัวเอง สลัดชื่อทีม……Sanford Weill จึงกระเซ้าว่า ให้เอาแหวนมาอวดปูตินหน่อยซิ Kraft จึงค่อยบรรจงควักออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และเปิดกล่องให้ปูตินได้ชม… ปูติน…หยิบเอาไปสวมในนิ้วมือ และอุทานว่า “นี่มันขนาดเอาไปใช้เป็นอาวุธได้เลยนะ..” ช่างภาพกดแฟลชกันระรัว…ยิงไม่นับ จากนั้น Kraft จึงยื่นมือไปเพื่อขอคืน แต่ปูตินส่งต่อให้ผู้ติดตามให้เอาไปเก็บ………และกล่าวอำลาไปอย่างหน้าตาเฉย Robert Kraft ถึงกับไปไม่เป็น ตามด้วยสติแตก เขารีบติดต่อหา Weill และต่อสายทางไกลไปยังทำเนียบขาว เพื่อที่จะช่วยขอแหวนคืน…… แต่ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ที่ออกมา มันเป็นการลักษณะของการมอบของขวัญ ที่ใครจะไปกล้าขอคืน……เสียหน้าแย่ แต่ Kraft ก็ยังเอะอะมะเทิ่งว่า……ก็ผมให้ดูเฉยๆ ตามคำแนะนำของวีลล์ และผมรักมันมาก ตั้งใจทำมาเพื่อเป็นเกียรติยศกับวงศ์ตระกูล… ทำเนียบขาวตอบมาสั้นๆว่า….”เอาน่า….ไปสั่งทำใหม่ละกัน..” ก็สรุปตามนั้น คราฟท์ได้สั่งทำใหม่มาอีกวงหนึ่ง ส่วนวงออริจินัลนั้น ปัจจุบันอยู่ที่ ห้องพิพิธภัณฑ์ของที่ระลึก ในหอสมุดที่เครมลิน… ~~-นี่คือความเข้าใจผิดระดับผู้นำ……เพราะมันตรงตามโปรโตคอลที่จะเป็นภาพของการถ่ายภาพร่วมกันออกสื่อ มีการมอบของขวัญเพื่อสานสัมพันธไมตรี และเป็นการขอบคุณเจ้าภาพ….ซึ่งทางรัสเซียคงเข้าใจตามนั้น ถ้าจะอวดกัน…ควรจะอวดเป็นส่วนตัวในยามคุยถึงเรื่องที่เกี่ยวข้อง จากภาพที่เห็น……ใครๆก็ต้องคล้อยตามว่า นั่นคือการมอบของที่ระลึก… (ป่านนี้ปูตินคงขำกลิ้งไปแล้ว……) งานวางฐานเศรษฐกิจชาติ ได้สำเร็จไปตามแผน นั่นคือ Rosneft บริษัทพลังงานที่ใหญ่อันดับสอง ดูแลโดย Igor Sechin United Aircraft Corporation ดูแลโดย Sergei Ivanov Russian Railways ดูแลโดย Vladimir Yakunin Rosoboronexport ดูแลโดย Seigei Chemezov Gazprom ดูแลโดย Dmitry Medvedev ทั้งหมดนี้ ที่ทำให้เศรษฐกิจของรัสเซียก้าวพุ่ง ภายในปีเดียว จนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งใน G8 แบบกระพริบตาไม่ทัน มกราคม 2006 นักข่าวได้ถามปูตินว่า “ถ้าไม่เป็นประธานาธิบดี ท่านคิดว่าท่านจะมาทำงานในส่วนคุมพลังงานนี้หรือไม่..?” คำตอบคือ “ขอบคุณที่ชี้ทางหางานให้……แต่ไม่มีทาง ผมไม่มีทักษะในเรื่องธุรกิจเลย หรือ เป็นเพราะว่าเมื่อชาติก่อนไม่เคยทำมาค้าขายก็เป็นได้…” เพื่อนเก่าอีกคนหนึ่งที่ต้องพูดถึง คือ สองพี่น้อง Arkady และ Boris Rotenerg ที่เรียนยูโดมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก สองพี่น้องนี้ได้เปิดสถานฝึกสอนยูโด และ ยิมที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในปี 1998 ชื่อว่า Yawara-Neva ปูตินรับเป็นประธานกิตติมศักดิ์……ที่สถานฝึกสอนได้ตั้งกลุ่มผู้ที่ฝึกยูโดอย่างจริงจัง เรียกว่า “judocracy “ เมื่อปี 2000 ที่ปูตินได้เป็นประธานาธิบดี เขาจัดการควบคุมโรงกลั่นเหล้าว้อดก้าให้เป็นสัมปทาน และมอบหมายให้ Arkady เป็นคนดูแล ซึ่งไม่นานต่อมา องค์กรโรงกลั่นนี้ได้ขยายไปคุมกิจการเหล้าอื่นๆเกือบทั้งประเทศ จนถึงขั้นตั้งธนาคารของตัวเองได้ ชื่อว่า SMP Bank และมีส่วนร่วมในการลงทุนในท่อก๊าสสู่ยุโรป ความสำเร็จเหล่านี้เป็นการยืนยันว่า เขาไม่ได้เอาเพื่อนจากถิ่นเก่ามาช่วยงานเพราะเห็นแก่หน้า……แต่เขาคัดมาเฉพาะคนที่เชื่อใจและมองเห็นในความสามารถ…… ปูตินเชื่ออะไรหลายๆอย่างที่เป็นเรื่องแปลก เขาคือชนรุ่นโซเวียตแท้ๆตั้งแต่เกิด แต่เขามีความอ่อนไหวกับเรื่องราชาธิปไตยภายใต้ประชาธิปไตย (sovereign democracy) ในการบรรยายหรือให้สัมภาษณ์เขามักกล่าวถึง นักปรัชญาทางการเมืองและศาสนา Ivan Ilyin (1883-1954) ที่ต่อต้านบอลเชวิคจนต้องหนีออกไปนอกประเทศ และไปเสียชีวิตที่ สวิตเซอร์แลนด์ ในบทความของอิวานมักจะเอนเอียงไปทางประชาธิปไตยที่ต้องออกแบบให้เหมาะสมกับฐานรากของประชาชน ปูตินได้ใช้บทความของอิวานครั้งหนึ่งในตอนที่เขาขึ้นรับตำแหน่งใหม่ๆว่า “เราต้องไม่ลืมว่า รัสเซียเป็นประชาธิปไตยเพราะนั่นคือความต้องการของประชาชน เพื่อที่จะอยู่ร่วมกันสันติสุข เราต้องใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับภูมิภาค จดจำประวัติการความเป็นมา และการให้ความเคารพนับถือซึ่งกันและกัน เรามีเอกราชเป็นของตัวเอง เส้นทางข้างหน้าคือการก้าวไปอย่างเสรีด้วยกัน……ด้วยความระมัดระวัง…” และอีกคนหนึ่ง คือนักรบพระเจ้าซาร์ General Anton Denikin (1872-1947) ที่ต้องพ่ายแพ้ในการรักษาพระราชบัลลังก์ในสงครามกลางเมือง ทั้งๆที่นายพลผู้นี้ถือเป็นยอดอัศวิน (และเป็นนักเขียน) ที่ผ่านสงครามมานับไม่ถ้วน จนต้องลี้ภัยไปอยู่หลายประเทศ ในที่สุดก็ไปเสียชีวิตที่สหรัฐอเมริกา เวลาผ่านไปนานแสนนานก็จริง แต่ปูตินได้จัดการนำร่างของคนทั้งสองกลับมาทำพิธีและทำสุสานให้สมเกียรติที่ Donskoy Monastery, Moscow (ด้วยทุนของตัวเอง) กลับมาเรื่องการสร้างอำนาจด้วยพลังงาน……ปูตินได้จับมือกับนายรัฐมนตรีเยอรมันนี Gerhard Schröder ที่เป็นเกลอกัน ในเรื่องการสร้างท่อก๊าสจากเอเซียสู่ยุโรป ในนาม Nord Stream ที่จะเชื่อมผ่านกลุ่มท่อเก่าของโซเวียตที่ทำไว้ ที่ยูเครน, เบลารุส โปแลนด์ และ สอดผ่านใต้ทะเลบอลติก ที่ได้รับการสนับสนุนจากเยอรมันในโครงการนี้ถึงพันล้านยูโร (ในสมัยที่เยอรมันนีมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่) แต่ด้วยความเป็นคนที่ไม่ทิ้งเพื่อน เพียงหนึ่งอาทิตย์ที่ Gerhard ได้ลงจากตำแหน่ง รัสเซียได้จ้างให้ Gerhard มานั่งเป็นที่ปรึกษาในบริษัท Nord Stream ……รับเละ…!! เพราะประธานบริษัท คือ Matthias Warnig เพื่อนเก่าสมัยที่อยู่เดรสเดน ทุกการเคลื่อนไหวของปูตินได้สร้างเม็ดเงินสู่ประเทศแบบทำนบแตก ปรกติ Gazprom ได้ส่งก๊าสให้ยูเครนในราคาเป็นกันเอง คือ 50$ ต่อ 1000 คิวบิก ที่ยูเครนจะไปขายเท่าไหร่ก็แล้วแต่ แต่เมื่อการเมืองของยูเครนที่เกิดฝักใฝ่ทางตะวันตก… ตัวประธานาธิบดีคนใหม่ก็แสนจะดี๊ด๊ากับกลิ่นไอของประชาธิยไตยสีส้ม ปูตินก็เลยเห็นว่า……มันถึงเวลาที่จะขึ้นราคา…เท่ากับว่ากำไรที่เคยได้จะหดหายไป เพราะยูเครนไม่สามารถไปขึ้นราคากับยุโรปได้ เนื่องจากมีสัญญาระยะยาว… และหนี้สินที่ให้ค้างคามานาน.……รัสเซียให้เวลาสามเดือน ให้เอามาจ่าย เมื่อถึงเวลา….เงินไม่มา…ในวันที่ 31 ธันวาคม 2005 เป็นวันสำคัญของการเฉลิมฉลองของฤดูหนาว……รัสเซียตัดก๊าสสั่งสอน เดือดร้อนกันไปทั่วทั้งทวีป……กระจองอแงกันไปหมด นั่นคือการที่ต้องมาคุยกันใหม่……ทีนี้จะได้รู้บ้างว่า”ใครใหญ่” และจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางราคา…. แต่ก็ไม่นาน……ที่ปูตินเล่นไม้แข็งก็โอนอ่อน เพราะคนที่เดือดร้อนด้วยคือมหามิตร อย่าง ออสเตรีย, ฮังการี เขายอมปล่อยก๊าสคืนให้ แต่….จะมีการวางท่อใหม่และราคาที่ขึ้นอยู่กับว่า……รักมาก…รักน้อย….!! ทีนี้ก็ถึงการลากมาสับ…รายแรกคือ Victor Yushchenko หรือ VAY ที่ทางรัสเซียได้ออกข่าวว่า ที่เรื่องก๊าสยุ่งเหยิง หนี้สินเพียบแบบนี้ เพราะการบริหารของประธานาธิบดียูเครนคนใหม่ ที่มีส่วนในการรับเงินใต้โต๊ะจากบริษัท RosUkrEnergo ปูตินทิ้งท้ายไว้ว่า “ถ้าอยากรู้ มากกว่านี้……ก็ไปถามกันเอง..” ~~บริษัทพลังงาน RosUkrEnergo เป็นของรัฐบาลยูเครนที่ Gazprom มีหุ้นครึ่งหนึ่ง ตัวเลขการเงินทางฝั่งยูเครน ไหลไปไหนก็รู้กันหมดว่า VAY เอาไปใช้ในการปฏิบัติการสีส้มจำนวนมหาศาล และในรัฐบาลยูเครน ก็ยังมีเส้นสายคนของปูตินเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ คือ Victor Yanukovych (VFY) เครดิตของประธานาธิบดียูเครนที่เพิ่งได้มาหมาดๆ เริ่มสั่นคลอน ความมั่นใจว่ามีตะวันตกหนุนหลัง……ชักลังเล………แต่เขาเริ่มเชื่อแล้วว่า……คงจะต้องมีรายการตามมาอีกเป็นหางว่าว………!!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 115 Views 0 Reviews
  • "Truth is the daughter of time,
    not of authority."
    "ความจริงนั้นเป็นลูกสาวของเวลา
    ไม่ได้เกิดมาจากอำนาจของใคร"
    โดยฟรานซิส เบคอน (Francis Bacon)

    นักปรัชญาการเมืองชาวอังกฤษคนนี้เป็นหนึ่งในผู้วางรากฐานกระบวนการคิดแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific method) ยุคใหม่

    เบคอนเห็นว่า “ความจริงเป็นลูกสาวของกาลเวลา ไม่ใช่ของอำนาจ” แสดงให้เห็นว่าในที่สุดแล้วความจริงจะถูกเปิดเผยผ่านกาลเวลาและประสบการณ์ที่ผ่านไป แทนที่จะถูกบงการโดยผู้มีอำนาจหรือผู้มีอำนาจ

    แนวคิดนี้สื่อถึงว่าแม้ว่าผู้มีอำนาจอาจยืนยันความจริงบางประการ แต่คำกล่าวอ้างเหล่านี้จะต้องได้รับการทดสอบและยืนยันตามกาลเวลา บริบททางประวัติศาสตร์และการสอบสวนอย่างต่อเนื่องมีความสำคัญอย่างยิ่งในการแยกแยะว่าอะไรถูกต้องหรือเป็นจริงอย่างแท้จริง โดยพื้นฐานแล้ว แนวคิดนี้สนับสนุนแนวคิดที่ว่าความจริงถูกค้นพบผ่านกระบวนการสำรวจและหลักฐาน มากกว่าจะได้รับการยอมรับเพียงเพราะประกาศโดยบุคคลที่มีอำนาจเท่านั้น

    #Thaitimes
    "Truth is the daughter of time, not of authority." "ความจริงนั้นเป็นลูกสาวของเวลา ไม่ได้เกิดมาจากอำนาจของใคร" โดยฟรานซิส เบคอน (Francis Bacon) นักปรัชญาการเมืองชาวอังกฤษคนนี้เป็นหนึ่งในผู้วางรากฐานกระบวนการคิดแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific method) ยุคใหม่ เบคอนเห็นว่า “ความจริงเป็นลูกสาวของกาลเวลา ไม่ใช่ของอำนาจ” แสดงให้เห็นว่าในที่สุดแล้วความจริงจะถูกเปิดเผยผ่านกาลเวลาและประสบการณ์ที่ผ่านไป แทนที่จะถูกบงการโดยผู้มีอำนาจหรือผู้มีอำนาจ แนวคิดนี้สื่อถึงว่าแม้ว่าผู้มีอำนาจอาจยืนยันความจริงบางประการ แต่คำกล่าวอ้างเหล่านี้จะต้องได้รับการทดสอบและยืนยันตามกาลเวลา บริบททางประวัติศาสตร์และการสอบสวนอย่างต่อเนื่องมีความสำคัญอย่างยิ่งในการแยกแยะว่าอะไรถูกต้องหรือเป็นจริงอย่างแท้จริง โดยพื้นฐานแล้ว แนวคิดนี้สนับสนุนแนวคิดที่ว่าความจริงถูกค้นพบผ่านกระบวนการสำรวจและหลักฐาน มากกว่าจะได้รับการยอมรับเพียงเพราะประกาศโดยบุคคลที่มีอำนาจเท่านั้น #Thaitimes
    WWW.AZQUOTES.COM
    Francis Bacon Quote
    Truth is the daughter of time, not of authority.
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 782 Views 0 Reviews
  • 🤠#เบื้องหลังทำไมชววอินเดียมีหลากสีผืว ตอน 01.🤠

    ในความประทับใจจดจำของทุกคน โดยทั่วไปแล้วคนอินเดียจะมีผิวคล้ำกว่า จริงๆ แล้วถ้าสังเกตให้ดีจะพบปรากฏการณ์น่าประหลาดใจ จะพบว่ามีคนผิวขาวจำนวนมากในอินเดีย และโดยทั่วไปแล้วคนผิวขาวเหล่านี้จะมีสถานะทางสังคมที่สูงกว่า

    หลายคนมีความอยากรู้อยากเห็น 😎ทำไมอินเดียถึงมีคนผิวขาว? คนผิวขาวเหล่านี้ในอินเดียมาจากไหน?😎

    🤯1. ชาวอารยันผู้พิชิต🤯

    ต้นกำเนิดของคนผิวขาวในอินเดียต้องเริ่มต้นจากประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ของอินเดียก่อน

    ประมาณ 1,500 ปีที่แล้ว ชนเผ่าอารยันโบราณและทรงพลังอาศัยอยู่ใกล้กับเทือกเขาอูราล (Ural)ทางตอนเหนือ

    เนื่องจากชาวอารยันอาศัยอยู่ในสภาพอากาศหนาวเย็นและมีรังสีอัลตราไวโอเลตที่ค่อนข้างอ่อน พวกเขาทั้งหมดจึงสูงและผิวขาว

    หลังจากผ่านหลังจากผ่านการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตอยู่รอดอย่างยากลำบากหลายปี พวกเขาก็กลายเป็นผู้กล้าหาญและดุดันก้าวร้าว และก่อให้เกิดประสิทธิภาพการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง

    เพื่อให้ได้สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่ดีขึ้น ชาวอารยันอพยพไปตลอดทางโดยไม่เคยหยุดเพื่อหาที่ที่ดีที่สุดเพื่อความอยู่รอด พวกเขายึดครองภูดินแดนหนึ่งแล้วดินแดนหนึ่งเล่าด้วยกำลัง และถึงกับสถาปนาจักรวรรดิเปอร์เซียที่ทรงอำนาจอีกด้วย

    อย่างไรก็ตาม ชาวอารยันไม่พอใจกับความเจริญรุ่งเรืองของจักรวรรดิเปอร์เซีย และยังคงขยายอาณาเขตของตนต่อไป หลังจากการเดินทางบุกยึดครองอันยาวนาน พวกเขาก็มาถึงลุ่มแม่น้ำสินธุซึ่งเป็นสถานที่ที่มีความเจริญรุ่งเรืองและมีผลผลิตอุดมสมบูรณ์

    ชาวอารยันอาศัยพลังการรบอันแข็งแกร่งของพวกเขา และการสู้รบขนาดใหญ่ที่โหดร้ายมากมาย ในที่สุดก็เอาชนะชาวดราวิเดียน (Dravidians) ที่ปกครองอินเดียในขณะนั้นได้ในที่สุด และกลายเป็นผู้ปกครองคนใหม่ของอินเดีย

    ชาวอารยันที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มีความรู้สึกเหนือกว่าทางเชื้อชาติอย่างมาก ชาวอารยันเชื่อว่าผิวที่ขาวกระจ่างใสของพวกเขาดูดีกว่า ชาวดราวิเดียน(Dravidians)ในอินเดียมีผิวสีน้ำตาลดูน่าเกลียด และในทางจิตวิทยาแล้ว พวกเขาคิดว่าคนผิวขาวมีเกียรติ

    ผู้ปกครองชาวอารยันกังวลว่าชาวอารยันและชาวอินเดียอยู่ร่วมกันเป็นเวลานานจะสร้างความสับสนให้กับสายเลือดของตน หลังจากการวิเคราะห์โดยละเอียดแล้ว ระบบเชื้อชาติที่เหมาะสมสำหรับการปกครองก็ถูกกำหนดขึ้นเพื่อดำเนินการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ

    ชาวอารยันเกรงว่าเลือดของพวกเขาจะแปดเปื้อน จึงใช้คำสอนของพราหมณ์อธิบายความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์ต่างๆ ลูกทั้งสี่ของพระเจ้าเป็นตัวแทนของสี่เผ่าพันธุ์ และมีระดับสูงและต่ำในบรรดาเผ่าพันธุ์ทั้งหมด

    บุตรที่เติบโตจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าเป็นผู้มีเกียรติที่สุด พวกพราหมณ์ซึ่งเป็นวรรณะแรกซึ่งเป็นผู้ที่มีหน้าที่เประกอบพิธีถวายครื่องบูชาชั้นสูง

    เด็กๆ ที่เติบโตจากอ้อมแขนของเทพเจ้าคือ กษัตริย์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกของราชวงศ์และเจ้าหน้าที่ เด็กที่เติบโตจากขาของเทพเจ้าคือวรรณะที่สาม แพศย์ ซึ่งเป็นคนธรรมดาที่ทำงานด้านการเกษตรและหัตถกรรม เด็กที่เติบโตจากเท้าของเทพเจ้าคือ ศูทร วรรณะที่สี่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทาสและคนรับใช้

    นอกจากนี้ยังมี "วรรณะที่ห้า" ที่ไม่สามารถเรียกว่า "มนุษย์" หรือเรียกรวมกันว่าวรรณะ "จัณฑาล" และหน้าที่หลักของพวกเขาคือการทำความสะอาดสิ่งสกปรก

    ในแรกสุดของคำว่า วรรณะ หมายถึง สีผิว ชาวอารยันที่มีผิวขาวจะตรงกับวรรณะที่สูง และชาวอินเดียพื้นเมืองที่มีผิวสีเข้มจะหมายถึงวรรณะที่ต่ำ

    ในความเป็นจริง ระบบวรรณะเป็นการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ แต่ในขณะนั้นอินเดียซึ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไม่มีความสามารถในการต่อต้านทำได้เพียงยอมรับการแบ่งแยกทางเชื้อชาตินี้เท่านั้น

    ระบบวรรณะกำหนดอย่างเคร่งครัดว่าเฉพาะคนวรรณะเดียวกันเท่านั้นที่สามารถรวมตัวกันและรับประทานอาหารร่วมกันได้ และคนวรรณะล่างไม่สามารถปรากฏตัวได้เมื่อคนวรรณะสูงกว่าเดินทางผ่านไปในที่นั้น

    สิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่อนุญาตให้มีการแต่งงานระหว่างวรรณะที่แตกต่างกัน หากบุคคลในวรรณะที่สูงกว่าแต่งงานกับบุคคลในวรรณะที่ต่ำกว่า เขาจะถูกขับไล่ออกจากวรรณะบน และในกรณีที่ร้ายแรง เขาอาจถูกประหารชีวิต

    🤯2. การบูรณาการของเชื้อชาติอย่างต่อเนื่อง🤯

    ในการปกครองยุคแรกของชาวอารยันอำนาจทางการเมืองค่อนข้างเป็นเอกภาพ แต่เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาก็เริ่มแตกแยกออกเป็นชนเผ่าต่างๆ เพื่อที่จะทำให้มีความแข็งแกร่งขึ้น ชนเผ่าบางเผ่าจะรวมตัวกับชนเผ่าดราวิเดียน (Dravidian)ซึ่งมีศักภาพที่แข็งแกร่งทรงพลังเพื่อร่วมต่อสู้กับชนเผ่าอื่นๆ ที่เป็นศัตรู

    ผู้นำชนเผ่าดราวิเดียน (Dravidian)ซึ่งมีความดีความชอบในการรบเริ่มถูกจัดให้อยู่ในวรรณะสูง และเจ้าหน้าที่ของพวกเขาก็ถูกจัดเป็นวรรณะที่สองด้วย

    ชาวอารยันที่พ่ายแพ้การรบบางส่วนเริ่มถูกถอดออกจากวรรณะบน และถูกบังคับให้กลายเป็นสามัญชนในวรรณะที่สาม

    เพื่อให้ความสัมพันธ์ของพันธมิตรระหว่างชนเผ่ามีความแข็งแกร่งน่าเชื่อถือขึ้น ชาวอารยันวรรณะสูงจึงเริ่มแต่งงานกับชาวดราวิเดียน(Dravidian)วรรณะสูง สายเลือดค่อยๆ สับสนปนเป และเด็กที่มีเชื้อชาติผิวสีแทนก็เริ่มปรากฏตัวขึ้น

    พลเรือนอารยันบางส่วนเริ่มแต่งงานกับชาวดราวิเดียนเพื่อความอยู่รอด ส่งผลให้มีเด็กผสมเชื้อชาติผิวสีแทนจำนวนมาก

    ต่อมาอินเดียถูกยึดครองโดยชาวมาซิโดเนีย (Macedonians) เติร์ก (Turks) มองโกล (Mongols) ฯลฯ สีผิวของเชื้อชาติเหล่านี้อ่อนกว่าสีผิวของชนเผ่าดราวิเดียน(Dravidian)พื้นเมืองในอินเดีย ดังนั้น ผู้คนในวรรณะสูงในอินเดียจึงมีผิวขาวกว่าคนวรรณะต่ำ

    ปัจจุบันนี้ ในบรรดาคนชั้นวรรณะที่ร่ำรวยในอินเดีย ก็มีคนผิวขาวจำนวนมาก สาเหตุที่ผิวไม่ขาวเหมือนคนยุโรปก็เพราะรังสีอัลตราไวโอเลตของอินเดียแรงกว่า และสีผิวจะเข้มขึ้นหลังโดนแดดเผา

    ด้วยการยกเลิกระบบเชื้อชาติในเวลาต่อมา สีผิวจึงไม่สอดคล้องกับวรรณะอีกต่อไป นอกจากนี้ยังมีวรรณะพราหมณ์ผู้สูงศักดิ์ที่มีผิวสีเข้ม และยังมีวรรณะศูทรวรรณะต่ำที่มีผิวขาวอีกด้วย

    ปัจจุบันสีผิวของชาวอินเดียไม่เพียงแต่เป็นสีขาวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสีน้ำตาล สีดำ เป็นต้น โดยรวมแล้วดุแล้วมีความสลับซับซ้อน ผู้คนไม่ได้ตัดสินจากสีผิวเพียงอย่างเดียวในเรื่องวรรณะอีกต่อไป

    🥸โปรดติดตามบทความ#เบื้องหลังทำไมชววอินเดียมีหลากสีผืว ตอน 02ที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🥸

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    🤠#เบื้องหลังทำไมชววอินเดียมีหลากสีผืว ตอน 01.🤠 ในความประทับใจจดจำของทุกคน โดยทั่วไปแล้วคนอินเดียจะมีผิวคล้ำกว่า จริงๆ แล้วถ้าสังเกตให้ดีจะพบปรากฏการณ์น่าประหลาดใจ จะพบว่ามีคนผิวขาวจำนวนมากในอินเดีย และโดยทั่วไปแล้วคนผิวขาวเหล่านี้จะมีสถานะทางสังคมที่สูงกว่า หลายคนมีความอยากรู้อยากเห็น 😎ทำไมอินเดียถึงมีคนผิวขาว? คนผิวขาวเหล่านี้ในอินเดียมาจากไหน?😎 🤯1. ชาวอารยันผู้พิชิต🤯 ต้นกำเนิดของคนผิวขาวในอินเดียต้องเริ่มต้นจากประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ของอินเดียก่อน ประมาณ 1,500 ปีที่แล้ว ชนเผ่าอารยันโบราณและทรงพลังอาศัยอยู่ใกล้กับเทือกเขาอูราล (Ural)ทางตอนเหนือ เนื่องจากชาวอารยันอาศัยอยู่ในสภาพอากาศหนาวเย็นและมีรังสีอัลตราไวโอเลตที่ค่อนข้างอ่อน พวกเขาทั้งหมดจึงสูงและผิวขาว หลังจากผ่านหลังจากผ่านการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตอยู่รอดอย่างยากลำบากหลายปี พวกเขาก็กลายเป็นผู้กล้าหาญและดุดันก้าวร้าว และก่อให้เกิดประสิทธิภาพการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง เพื่อให้ได้สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่ดีขึ้น ชาวอารยันอพยพไปตลอดทางโดยไม่เคยหยุดเพื่อหาที่ที่ดีที่สุดเพื่อความอยู่รอด พวกเขายึดครองภูดินแดนหนึ่งแล้วดินแดนหนึ่งเล่าด้วยกำลัง และถึงกับสถาปนาจักรวรรดิเปอร์เซียที่ทรงอำนาจอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ชาวอารยันไม่พอใจกับความเจริญรุ่งเรืองของจักรวรรดิเปอร์เซีย และยังคงขยายอาณาเขตของตนต่อไป หลังจากการเดินทางบุกยึดครองอันยาวนาน พวกเขาก็มาถึงลุ่มแม่น้ำสินธุซึ่งเป็นสถานที่ที่มีความเจริญรุ่งเรืองและมีผลผลิตอุดมสมบูรณ์ ชาวอารยันอาศัยพลังการรบอันแข็งแกร่งของพวกเขา และการสู้รบขนาดใหญ่ที่โหดร้ายมากมาย ในที่สุดก็เอาชนะชาวดราวิเดียน (Dravidians) ที่ปกครองอินเดียในขณะนั้นได้ในที่สุด และกลายเป็นผู้ปกครองคนใหม่ของอินเดีย ชาวอารยันที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มีความรู้สึกเหนือกว่าทางเชื้อชาติอย่างมาก ชาวอารยันเชื่อว่าผิวที่ขาวกระจ่างใสของพวกเขาดูดีกว่า ชาวดราวิเดียน(Dravidians)ในอินเดียมีผิวสีน้ำตาลดูน่าเกลียด และในทางจิตวิทยาแล้ว พวกเขาคิดว่าคนผิวขาวมีเกียรติ ผู้ปกครองชาวอารยันกังวลว่าชาวอารยันและชาวอินเดียอยู่ร่วมกันเป็นเวลานานจะสร้างความสับสนให้กับสายเลือดของตน หลังจากการวิเคราะห์โดยละเอียดแล้ว ระบบเชื้อชาติที่เหมาะสมสำหรับการปกครองก็ถูกกำหนดขึ้นเพื่อดำเนินการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ ชาวอารยันเกรงว่าเลือดของพวกเขาจะแปดเปื้อน จึงใช้คำสอนของพราหมณ์อธิบายความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์ต่างๆ ลูกทั้งสี่ของพระเจ้าเป็นตัวแทนของสี่เผ่าพันธุ์ และมีระดับสูงและต่ำในบรรดาเผ่าพันธุ์ทั้งหมด บุตรที่เติบโตจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าเป็นผู้มีเกียรติที่สุด พวกพราหมณ์ซึ่งเป็นวรรณะแรกซึ่งเป็นผู้ที่มีหน้าที่เประกอบพิธีถวายครื่องบูชาชั้นสูง เด็กๆ ที่เติบโตจากอ้อมแขนของเทพเจ้าคือ กษัตริย์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกของราชวงศ์และเจ้าหน้าที่ เด็กที่เติบโตจากขาของเทพเจ้าคือวรรณะที่สาม แพศย์ ซึ่งเป็นคนธรรมดาที่ทำงานด้านการเกษตรและหัตถกรรม เด็กที่เติบโตจากเท้าของเทพเจ้าคือ ศูทร วรรณะที่สี่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทาสและคนรับใช้ นอกจากนี้ยังมี "วรรณะที่ห้า" ที่ไม่สามารถเรียกว่า "มนุษย์" หรือเรียกรวมกันว่าวรรณะ "จัณฑาล" และหน้าที่หลักของพวกเขาคือการทำความสะอาดสิ่งสกปรก ในแรกสุดของคำว่า วรรณะ หมายถึง สีผิว ชาวอารยันที่มีผิวขาวจะตรงกับวรรณะที่สูง และชาวอินเดียพื้นเมืองที่มีผิวสีเข้มจะหมายถึงวรรณะที่ต่ำ ในความเป็นจริง ระบบวรรณะเป็นการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ แต่ในขณะนั้นอินเดียซึ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไม่มีความสามารถในการต่อต้านทำได้เพียงยอมรับการแบ่งแยกทางเชื้อชาตินี้เท่านั้น ระบบวรรณะกำหนดอย่างเคร่งครัดว่าเฉพาะคนวรรณะเดียวกันเท่านั้นที่สามารถรวมตัวกันและรับประทานอาหารร่วมกันได้ และคนวรรณะล่างไม่สามารถปรากฏตัวได้เมื่อคนวรรณะสูงกว่าเดินทางผ่านไปในที่นั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่อนุญาตให้มีการแต่งงานระหว่างวรรณะที่แตกต่างกัน หากบุคคลในวรรณะที่สูงกว่าแต่งงานกับบุคคลในวรรณะที่ต่ำกว่า เขาจะถูกขับไล่ออกจากวรรณะบน และในกรณีที่ร้ายแรง เขาอาจถูกประหารชีวิต 🤯2. การบูรณาการของเชื้อชาติอย่างต่อเนื่อง🤯 ในการปกครองยุคแรกของชาวอารยันอำนาจทางการเมืองค่อนข้างเป็นเอกภาพ แต่เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาก็เริ่มแตกแยกออกเป็นชนเผ่าต่างๆ เพื่อที่จะทำให้มีความแข็งแกร่งขึ้น ชนเผ่าบางเผ่าจะรวมตัวกับชนเผ่าดราวิเดียน (Dravidian)ซึ่งมีศักภาพที่แข็งแกร่งทรงพลังเพื่อร่วมต่อสู้กับชนเผ่าอื่นๆ ที่เป็นศัตรู ผู้นำชนเผ่าดราวิเดียน (Dravidian)ซึ่งมีความดีความชอบในการรบเริ่มถูกจัดให้อยู่ในวรรณะสูง และเจ้าหน้าที่ของพวกเขาก็ถูกจัดเป็นวรรณะที่สองด้วย ชาวอารยันที่พ่ายแพ้การรบบางส่วนเริ่มถูกถอดออกจากวรรณะบน และถูกบังคับให้กลายเป็นสามัญชนในวรรณะที่สาม เพื่อให้ความสัมพันธ์ของพันธมิตรระหว่างชนเผ่ามีความแข็งแกร่งน่าเชื่อถือขึ้น ชาวอารยันวรรณะสูงจึงเริ่มแต่งงานกับชาวดราวิเดียน(Dravidian)วรรณะสูง สายเลือดค่อยๆ สับสนปนเป และเด็กที่มีเชื้อชาติผิวสีแทนก็เริ่มปรากฏตัวขึ้น พลเรือนอารยันบางส่วนเริ่มแต่งงานกับชาวดราวิเดียนเพื่อความอยู่รอด ส่งผลให้มีเด็กผสมเชื้อชาติผิวสีแทนจำนวนมาก ต่อมาอินเดียถูกยึดครองโดยชาวมาซิโดเนีย (Macedonians) เติร์ก (Turks) มองโกล (Mongols) ฯลฯ สีผิวของเชื้อชาติเหล่านี้อ่อนกว่าสีผิวของชนเผ่าดราวิเดียน(Dravidian)พื้นเมืองในอินเดีย ดังนั้น ผู้คนในวรรณะสูงในอินเดียจึงมีผิวขาวกว่าคนวรรณะต่ำ ปัจจุบันนี้ ในบรรดาคนชั้นวรรณะที่ร่ำรวยในอินเดีย ก็มีคนผิวขาวจำนวนมาก สาเหตุที่ผิวไม่ขาวเหมือนคนยุโรปก็เพราะรังสีอัลตราไวโอเลตของอินเดียแรงกว่า และสีผิวจะเข้มขึ้นหลังโดนแดดเผา ด้วยการยกเลิกระบบเชื้อชาติในเวลาต่อมา สีผิวจึงไม่สอดคล้องกับวรรณะอีกต่อไป นอกจากนี้ยังมีวรรณะพราหมณ์ผู้สูงศักดิ์ที่มีผิวสีเข้ม และยังมีวรรณะศูทรวรรณะต่ำที่มีผิวขาวอีกด้วย ปัจจุบันสีผิวของชาวอินเดียไม่เพียงแต่เป็นสีขาวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสีน้ำตาล สีดำ เป็นต้น โดยรวมแล้วดุแล้วมีความสลับซับซ้อน ผู้คนไม่ได้ตัดสินจากสีผิวเพียงอย่างเดียวในเรื่องวรรณะอีกต่อไป 🥸โปรดติดตามบทความ#เบื้องหลังทำไมชววอินเดียมีหลากสีผืว ตอน 02ที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🥸 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 Reviews
  • ตอนสิบห้า……พี่ปูเค้าเหมือนมีสิบมือ…รับได้หมดทุกงาน……ติ่งว่ามะ………!!!!!!!

    หลังจากที่ปูตินได้กล่าวแสดงความเสียใจกับโศกนาฏกรรมที่ ได้เกิดขึ้นที่ Beslan ในวันที่ 4 กันยายน (2004)

    ค่ำคืนของวันที่ 5 Viktor Yushchenko ตัวเต็งในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดียูเครนได้เดินทางไปแบบอำพรางตัว
    ไปนัดเจรจากับ นายพล Igor Smeshko ผู้อำนวยการ SBU
    (เทียบเท่ากับ FSB ของรัสเซีย)
    เจ้าภาพที่เป็นทั้งเชฟเตรียมอาหาร คือ รองผู้อำนวยการ SBU
    Volodymyr Satsyuk ที่มีเมนูคือ สลัดกุ้ง พร้อม เบียร์ วอดก้า คอนยัค
    ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย วิตเตอร์กลับถึงบ้านเวลาตีสองของวันต่อมา
    พอสายๆ……เขารู้สึกตัวว่าไม่สบาย ปวดหัวปานระเบิด ไล่ลงมาถึงไขสันหลัง หน้าตาหล่อๆของเขาเริ่มเปลี่ยนสี และมีตุ่มขึ้นเหมือนฝีดาษไปทั่วไปหน้า เจ็บปวดไปทั้งตัว
    วิคเตอร์รู้ได้ทันทีว่าเขาโดนยาพิษ จึงรีบบินไปออสเตรีย ในวันที่ 10 เพื่อเข้ารับการรักษา
    ซึ่งยืนยันแน่นอนว่า เขาได้รับสาร Dioxin เข้าไปเป็นจำนวนมาก จากอาหารอย่างแน่นอน

    การเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันที่ 31 ตุลาคม ที่ประชาชนล้วนแต่อยากจะเปลี่ยนประธานาธิบดีเต็มที่ เพราะนาย Leonid Kuchma ได้นั่งอยู่ในตำแหน่งมานานนับสิบปี เพราะตั้งแต่ 1994 ที่ได้รับเลือกมาเพื่อที่จะจัดระเบียบให้กับยูเครนที่ถือว่าเป็นประเทศใหม่เอี่ยม
    แต่ที่ไหนได้……ยูเครนได้กลายมาเป็นแหล่งคอร์รัปชั่นที่ใหญ่ที่สุด ตามมาด้วย อาชญากรรม และ การค้าของเถื่อน
    ยูเครนเป็นพื้นที่ที่ใหญ่เป็นที่สองของโซเวียต เป็นแหล่งเพาะปลูก แหล่งอุตสาหกรรม ที่บอบช้ำมาตั้งแต่สมัยสตาลิน
    เพราะเพียงแค่แสดงความจำนงค์ว่าอยากจะเป็นเอกเทศเพียงเบาๆ
    สตาลินได้สั่งสอนด้วยวิธียึดอาหารออกไปจากพื้นที่ทั้งหมด จนเกิดเป็นการล้างเผ่าพันธุ์ด้วยวิธีให้อดตาย (Holodomor)
    พอสงครามโลกครั้งที่สอง ยูเครนก็คือสนามรบหน้าด่านในการต้านนาซี ที่สูญเสียทหารไปกว่าสามล้านนาย (หนึ่งในหกของประชากร)
    นี่คือ……ความเจ็บฝังใจของชาวยูเครน

    แต่……นั่นก็คือส่วนหนึ่ง เพราะในพื้นที่ตามภูมิศาสตร์พร้อมประวัติศาสตร์แล้ว ยูเครนก็คือสลาพเผ่าพันธุ์เดียวกันกับรัสเซีย ที่ประชาชนยังถือเป็นพี่เป็นน้องกัน ฝั่งที่ใกล้กับรัสเซียก็ยังสวามิภักดิ์กับรัสเซีย
    ส่วนยูเครเนี่ยนสมัยประชาธิปไตยเบิกบาน ก็มองไกลไปถึงตะวันตก และ ยิ่งเห็นเพื่อนบ้านอย่าง Lithuania, Latvia, Estonia เดินตบแถวเข้าเป็นสมาชิกนาโต้
    และได้เป็นสมาชิกอียูที่แสนโก้หรูอีกเล่า………
    นั่นน่าจะเป็นอนาคตที่สดใสกว่า……ดีไม่ดี……สักวันหนึ่งอาจจะล้มช้างอย่างรัสเซียได้ด้วย

    ประธานาธิบดี Kuchma รู้ดีว่าการเมืองของยูเครนมีทั้งสองฝั่ง
    เขาจึงพยายามเหยียบไว้ทั้งสองแคม เอาใจรัสเซีย และ เป็นมิตรกับนาโต้ ถึงขนาดส่งทหารไปช่วยรบในอิรัค เพื่อล้มล้างซัดดัม ฮุดเซน
    แต่คุชมา……ทำได้แค่หันไปทางทิศทางลม เขาไม่มีความมุ่งมั่นและความสามารถในการที่ควบคุมคน
    ดังนั้น รัฐบาลของคุชมา จึงกลายเป็นสนามเล่นของเหล่ามาเฟียการเมืองที่เข้ามากอบโกยแบบแบ่งกันกิน แบ่งกันใช้

    ดังนั้น จากฐานทางการเมืองที่อ่อนยวบยาบ ประชาธิปไตยที่ยูเครนอยากได้ จึงแทบเป็นไปไม่ได้ ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งเข้ามา
    ฝ่ายตรงข้ามได้ตีกระหน่ำในเรื่องคดีฆาตกรรมนักข่าวคนสำคัญ Georgy Gongadez ที่ถูกอุ้มฆ่าเพราะตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับรัฐบาล เป็นการฆาตกรรมที่มีหลักฐานทิ้งไว้ให้สาวถึงตัวได้มากมาย
    ถึงแม้ว่าคุชมาจะปฎิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ความนิยมของเขาได้ลดลงฮวบฮาบ
    ทุกคนได้เกรงว่า……เขาอาจเปลี่ยนรัฐธรรมนูญหาช่องว่างเพื่อที่จะนั่งในตำแหน่งต่อไป
    การเมืองยูเครนในช่วงนั้น จึงต้องเล่นงานประธานาธิบดีคุชมาแบบถาโถมในทุกเม็ด……จนเขาขยับตัวทำอะไรอื่นไม่ได้
    นอกจากที่จะต้องยอมรับสภาพ……

    ปูตินเฝ้าดูการเป็นไปของยูเครนอย่างใกล้ชิด และไม่ใช่ยูเครนอย่างเดียว เขาได้เกาะติดกับการเมืองที่ Georgia ด้วย
    Georgia เป็นประเทศที่แตกออกไปจากการล่มสลายของโซเวียต (1991) อยู่ทางชายคอเคซัส ที่มีประชากรเพียงห้าล้านคน Eduard Shevardnadze
    เป็นประธานาธิบดี ที่เคยเป็นอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของโซเวียตมาก่อน เขาเป็นหนึ่งในคนสนิทของกอร์บาเชฟ ที่กว่าจะมาเป็นประธานาธิบดีได้ ในปี 1995 ก็ผ่านการลอบสังหารมาถึงสามครั้ง
    ประธานาธิบดี เอดวารด์ กำลังจะหมดวาระในปี 2003
    เดือนพฤศจิกายน มีการก่อหวอดต่อต้าน (ด้วยเกรงว่าจะมีการสืบทอดอำนาจจากรัสเซีย) กลุ่มผู้ต่อต้านออกมาเนืองแน่นบนท้องถนน
    และบุกเข้าไปในสถานที่ราชการ นำโดย Mikhail Saakashvili
    (ที่มี George Soros สนับสนุนทุนอยู่เบื้องหลัง)
    เอดวารด์ ได้โทรหาปูตินเพื่อขอความช่วยเหลือ ซึ่งปูตินได้ส่ง
    ให้ Igor Ivanov บินไปที่เมืองหลวง Tbilisi เพื่อไปดูไม่ให้เกิดเป็นสงครามกลางเมือง
    แต่……ปูตินไม่ต้องการโศกนาฏกรรมติดๆกันหลายรายการจนเกินไป เขาจึงสั่งให้แค่สังเกตุการณ์อย่างใกล้ชิด
    ในที่สุด……เอดวารด์ จึงยอมลาออกเพื่อรักษาความสงบ

    ในเดือนมกราคม 2004 จอร์เจียจึงมีประธานาธิบดีคนใหม่ คือ Mikhail Saakashvili ที่คิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตยที่ใหญ่คับฟ้า สิ่งแรกที่เขาทำคือ บินไปมอสโคว์เพื่อที่จะเจรจาหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องการเมืองกับปูติน
    ซึ่ง……เขาไม่รู้เลยว่า ทางรัสเซียได้จัดอันดับ จอร์เจีย เทียบเท่ากับยูเครน
    อันดับนั้นคือ……พวกสวามิภักดิ์ตะวันตก

    แต่ปูตินไม่ได้เห็นว่า จอร์เจียเป็นสิ่งที่กังวล(ในตอนนั้น) เพราะเขาพุ่งเป้าไปที่ยูเครนมากกว่า เพราะยูเครนเป็นพื้นที่ที่ก่อเกิดของเลือดเนื้อรัสเซียในปัจจุบัน เมื่อครั้งสมัย Vladimir the Great ที่รับศาสนาคริสเตียนเข้ามาในปี 988
    ซาร์วลาดิเมียร์ ได้ตั้งชื่อดินแดนส่วนนี้ว่า Ukraine ที่แปลว่า
    ขอบเขตแดน
    ขอบเขตแดนนี้ได้เปลี่ยนไปมาตามสถานการณ์โลก โปแลนด์เคยล้ำเข้ามาในสมัย Austro-Hungarian , สตาลินได้นำกลับคืนในการทำสนธิสัญญากับฮิตเลอร์ (1939) และยูเครนก็คือส่วนหนึ่งของโซเวียต (Ukraine Soviet Socialist) เป็นเช่นนั้นจน ประธานาธิบดี ครุสเชพ ได้มอบดินแดนเพิ่มให้ คือ ไครเมีย
    ในปี 1954
    ไม่มีใครเคยคาดคิดว่า……สักวันหนึ่ง ยูเครน พร้อมด้วยไครเมียจะหลุดลอยไปจากความเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย

    ในเดือน กรกฎาคม 2004 สามเดือนก่อนที่ยูเครนจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี
    ปูตินได้บินไปที่Yalta (ไครเมีย) เพื่อพบปะกับ Kuchma (ประธานาธิบดี) และ Viktor Yanukovych (นายกรัฐมนตรี)
    ที่พระราชวัง Livadia (ที่เคยเป็นที่พบปะ ระหว่าง เชอร์ชิลล์,
    สตาลิน และ รูสเวลส์)
    ปูตินได้เตือนและกดดันให้คุชมาเลิกทำตัวสอพลอกับพวกตะวันตก โดยเฉพาะกับ NATO ที่ค่อยๆก้าวล่วงเข้ามาทุกที จากที่เป็นชาติสมาชิก 19 ตอนนี้มาเป็น 26 นอกจากจะเก็บกลุ่มยุโรปตะวันออกแล้ว ยังคืบมากวาดเอาฝั่งบอลติกไปด้วย
    ที่ปูตินคิดว่า……น่าจะหยุดได้เพียงแค่นั้น……แต่นี่กำลังมุ่งหน้ามาที่จอร์เจียและยูเครน….ที่เขาจะจะไม่ทนอีกต่อไป!!
    และถ้าจะหมายถึงสงคราม………เขาก็ยินดี………!!!
    ปูตินยังย้ำเสมอว่า ในสัญญาของลูกผู้ชาย ที่กลุ่มนาโต้ได้บอกกับกอร์บาเชพในปี 1989 ว่า นาโต้จะไม่ก้าวคืบเข้าไปในอาณาจักรที่เป็นของโซเวียตแม้แต่คืบเดียว

    มันเป็นคำสั่งที่เป็นการตบหัวทิ่ม แต่ก็มีการลูบหลัง นั่นคือ
    รัสเซีย-ยูเครนจะตั้งบริษัทพลังงานขึ้นมา ชื่อว่า RosUkrEnergo ที่ไม่ชี้แจงชัดว่าใครคือเข้าของ แต่ Gazprom
    จะเป็นเจ้าของครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่ง เป็นเจ้าของโดยผ่านนอมินี
    คือ Raiffeisen International Bank (อยู่ที่ Switzerland)
    ในการดำเนินงานส่งก๊าสผ่านท่อไปขายที่ยุโรปผ่านยูเครน……

    เมื่อคุชมากำลังจะหมดสิ้นวาระ ตัวเต็ง Viktor Andriyovych Yushchenko (จะเรียกว่า VAY เขาเป็นฝ่ายโปรตะวันตก) ก็มาโดนยาพิษที่เร่งทำการรักษากันแบบพลิกตำรา
    เขาได้ประกาศให้ทั่วโลกได้รับรู้ว่า เขาได้รับการประทุษร้ายจากฝ่ายตรงข้ามที่เป็นฝ่ายอำนาจเก่า นั่นคือ พุ่งตรงไปที่คุชมา
    การหาเสียงของเขา มีสัญญลักษณ์เป็น “สีส้ม” และมีฝ่ายทุนที่หนุนหลังคือ Yulia Tymoshenko อภิมหาเศรษฐีสาว เธอมีบทบาทเด่นในทางการเมืองของยูเครน ในการต่อสู้เพื่อตะวันตก โปรนาโต้ ทำหน้าที่หาเสียงอย่างแข็งขันให้กับ VAY ในขณะที่รักษาตัว
    ถ้าจะเทียบเธอ……ก็ใกล้เคียงกับเป็น อองซาน ซูจี แห่งยูเครน

    การเลือกตั้งใกล้เข้ามา ความนิยมในตัว VAY ได้เพิ่มขึ้น
    มันเป็นสัญญาณที่บอกกับปูตินว่า อิทธิพลของตะวันตกกำลังจะล้อมกรอบ บีบรัสเซียให้แคบเข้าไปทุกวัน
    ตั้งแต่โซเวียตล่มสลายไป กลุ่มทุนตะวันตกได้เข้ามามีอิทธิพลในฝั่งตะวันออกหนาตาขึ้น โดยเฉพาะองค์กร NGO ที่ได้มีสาขาในทุกแห่งหน

    ทางรัสเซียได้หนุนหลัง Viktor Yanukovych ( Viktor Fedorovych Yanukovych นายกรัฐมนตรี จะใช้ชื่อย่อว่า VFY)
    ในการลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีด้วย
    การหาเสียงเป็นไปอย่างดุเดือด เหมือนกับว่าประชาชนจะเลือก
    บุช หรือ ปูติน
    ปูตินได้ทำทีไปเยี่ยมเยียนถึงเคียฟ เพราะมีเด็กคนหนึ่ง ได้เขียนจดหมายว่า มีความฝันว่าอยากจะถ่ายรูปกับ Vladimir Vladimirovich……ชาตินี้จะมีโอกาสไหมหนอ?
    ผลคือ เด็กน้อย Andrei ได้ถูกเชิญไปที่ทำเนียบ ไปพบกับปูติน
    ที่ได้ยื่นของขวัญเป็นแลปท๊อปให้ด้วยสีหน้าชื่นมื่น

    การหาเสียงเป็นไปอย่างดุเดือดและสูสี ปูตินบินไปเคียฟบ่อยกว่าปรกติ
    ผลออกมาคือ VFY (โปรรัสเซีย) ได้ 49% และ VAY (โปรตะวันตก) ได้ 46%
    แต่.……ความไม่สงบได้ก่อตัวขึ้น ฝ่ายสีส้มได้ทำการต่อต้านในทุกรูปแบบ มีการนัดชุมนุมที่เข้าขั้นปฏิวัติ ถนนได้เปลี่ยนเป็นทะเลสีส้มแสบตาไปทั้งเมือง
    กลุ่มต่อต้านไม่ยอมรับคะแนนเลือกตั้ง
    ปูตินบินกลับจากจากอเมริกาใต้ เข้าสู่กรุงบลัสเซลส์โดยด่วน เพื่อพบปะกับกลุ่มอียู……ที่ตัวแทนทุกคนได้ลงมติว่าการเลือกตั้งในยูเครนไม่โปร่งใส ……แต่ไม่สนใจที่จะให้มีการตรวจสอบ
    ความสัมพันธ์ทางการค้าพลังงานที่ปูตินพยายามที่จะประสานกับอียูนั้น เหลือริบหรี่…;
    เขาประกาศว่า……เราไม่เคยไปยุ่งกับเรื่องภายในของพวกอียู
    แต่ตอนนี้มันชัดเจนแล้วว่า……พวกคุณได้เข้ามาเสี้ยม แทรกแซงกับการเมืองในประเทศที่อยู่นอกระบบ เพื่อสร้างความร้าวฉานให้พวกเรา……!!

    สภายูเครนเริ่มเห็นแล้วว่าน่าจะรักษาความสงบไว้ไม่ได้
    จึงได้ลงมติให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ
    VFY ได้หลบความวุ่นวายที่อาจนำไปสู่ความเป็นอันตรายต่อตัวเองไปอยู่ที่ Luhansk

    วันที่ 2 ธันวาคม ปูตินได้เรียกคุชมาเข้าไปพบที่มอสโคว์
    ก่อนที่ปูตินจะเดินทางอินเดียในไม่กี่ชั่วโมง เพื่อปรึกษาในเรื่องของการที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ ที่เขาเชื่อว่า ทางฝ่าย VAY น่าจะมาแรง และจะปล่อยไปตามนั้น เพราะไม่เช่นนั้นก็จะต้องมีม็อบชนม็อบ เลือกตั้งกันครั้งที่สาม ที่สี่ ไม่จบไม่สิ้น เสียเวลาเปล่าๆ……ปล่อยไปก่อน……เรายังมีเวลา!!

    ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น VAY ชนะด้วยคะแนน 52% ส่วน VFY 44%
    ที่มีการเฉลิมฉลองกันใหญ่โต
    ชาวสีส้มทุกคนต่างยินดีปรีดาที่จะได้เข้าไปสู่อ้อมอกของตะวันตก เป็นอารยะประเทศ มีที่นั่งในสภายูโรเปี้ยน และ เป็นหนึ่งสมาชิกนาโต้
    และที่สำคัญที่สุด…..คือ ได้เอาชนะปูติน………!!!

    ใครจะไปรู้เล่าว่า……นั่นคือเกมที่ปูตินจะลากมาสับทีละคนเมื่อถึงเวลา………!!

    Wiwanda W. Vichit
    ตอนสิบห้า……พี่ปูเค้าเหมือนมีสิบมือ…รับได้หมดทุกงาน……ติ่งว่ามะ………!!!!!!! หลังจากที่ปูตินได้กล่าวแสดงความเสียใจกับโศกนาฏกรรมที่ ได้เกิดขึ้นที่ Beslan ในวันที่ 4 กันยายน (2004) ค่ำคืนของวันที่ 5 Viktor Yushchenko ตัวเต็งในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดียูเครนได้เดินทางไปแบบอำพรางตัว ไปนัดเจรจากับ นายพล Igor Smeshko ผู้อำนวยการ SBU (เทียบเท่ากับ FSB ของรัสเซีย) เจ้าภาพที่เป็นทั้งเชฟเตรียมอาหาร คือ รองผู้อำนวยการ SBU Volodymyr Satsyuk ที่มีเมนูคือ สลัดกุ้ง พร้อม เบียร์ วอดก้า คอนยัค ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย วิตเตอร์กลับถึงบ้านเวลาตีสองของวันต่อมา พอสายๆ……เขารู้สึกตัวว่าไม่สบาย ปวดหัวปานระเบิด ไล่ลงมาถึงไขสันหลัง หน้าตาหล่อๆของเขาเริ่มเปลี่ยนสี และมีตุ่มขึ้นเหมือนฝีดาษไปทั่วไปหน้า เจ็บปวดไปทั้งตัว วิคเตอร์รู้ได้ทันทีว่าเขาโดนยาพิษ จึงรีบบินไปออสเตรีย ในวันที่ 10 เพื่อเข้ารับการรักษา ซึ่งยืนยันแน่นอนว่า เขาได้รับสาร Dioxin เข้าไปเป็นจำนวนมาก จากอาหารอย่างแน่นอน การเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันที่ 31 ตุลาคม ที่ประชาชนล้วนแต่อยากจะเปลี่ยนประธานาธิบดีเต็มที่ เพราะนาย Leonid Kuchma ได้นั่งอยู่ในตำแหน่งมานานนับสิบปี เพราะตั้งแต่ 1994 ที่ได้รับเลือกมาเพื่อที่จะจัดระเบียบให้กับยูเครนที่ถือว่าเป็นประเทศใหม่เอี่ยม แต่ที่ไหนได้……ยูเครนได้กลายมาเป็นแหล่งคอร์รัปชั่นที่ใหญ่ที่สุด ตามมาด้วย อาชญากรรม และ การค้าของเถื่อน ยูเครนเป็นพื้นที่ที่ใหญ่เป็นที่สองของโซเวียต เป็นแหล่งเพาะปลูก แหล่งอุตสาหกรรม ที่บอบช้ำมาตั้งแต่สมัยสตาลิน เพราะเพียงแค่แสดงความจำนงค์ว่าอยากจะเป็นเอกเทศเพียงเบาๆ สตาลินได้สั่งสอนด้วยวิธียึดอาหารออกไปจากพื้นที่ทั้งหมด จนเกิดเป็นการล้างเผ่าพันธุ์ด้วยวิธีให้อดตาย (Holodomor) พอสงครามโลกครั้งที่สอง ยูเครนก็คือสนามรบหน้าด่านในการต้านนาซี ที่สูญเสียทหารไปกว่าสามล้านนาย (หนึ่งในหกของประชากร) นี่คือ……ความเจ็บฝังใจของชาวยูเครน แต่……นั่นก็คือส่วนหนึ่ง เพราะในพื้นที่ตามภูมิศาสตร์พร้อมประวัติศาสตร์แล้ว ยูเครนก็คือสลาพเผ่าพันธุ์เดียวกันกับรัสเซีย ที่ประชาชนยังถือเป็นพี่เป็นน้องกัน ฝั่งที่ใกล้กับรัสเซียก็ยังสวามิภักดิ์กับรัสเซีย ส่วนยูเครเนี่ยนสมัยประชาธิปไตยเบิกบาน ก็มองไกลไปถึงตะวันตก และ ยิ่งเห็นเพื่อนบ้านอย่าง Lithuania, Latvia, Estonia เดินตบแถวเข้าเป็นสมาชิกนาโต้ และได้เป็นสมาชิกอียูที่แสนโก้หรูอีกเล่า……… นั่นน่าจะเป็นอนาคตที่สดใสกว่า……ดีไม่ดี……สักวันหนึ่งอาจจะล้มช้างอย่างรัสเซียได้ด้วย ประธานาธิบดี Kuchma รู้ดีว่าการเมืองของยูเครนมีทั้งสองฝั่ง เขาจึงพยายามเหยียบไว้ทั้งสองแคม เอาใจรัสเซีย และ เป็นมิตรกับนาโต้ ถึงขนาดส่งทหารไปช่วยรบในอิรัค เพื่อล้มล้างซัดดัม ฮุดเซน แต่คุชมา……ทำได้แค่หันไปทางทิศทางลม เขาไม่มีความมุ่งมั่นและความสามารถในการที่ควบคุมคน ดังนั้น รัฐบาลของคุชมา จึงกลายเป็นสนามเล่นของเหล่ามาเฟียการเมืองที่เข้ามากอบโกยแบบแบ่งกันกิน แบ่งกันใช้ ดังนั้น จากฐานทางการเมืองที่อ่อนยวบยาบ ประชาธิปไตยที่ยูเครนอยากได้ จึงแทบเป็นไปไม่ได้ ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งเข้ามา ฝ่ายตรงข้ามได้ตีกระหน่ำในเรื่องคดีฆาตกรรมนักข่าวคนสำคัญ Georgy Gongadez ที่ถูกอุ้มฆ่าเพราะตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับรัฐบาล เป็นการฆาตกรรมที่มีหลักฐานทิ้งไว้ให้สาวถึงตัวได้มากมาย ถึงแม้ว่าคุชมาจะปฎิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ความนิยมของเขาได้ลดลงฮวบฮาบ ทุกคนได้เกรงว่า……เขาอาจเปลี่ยนรัฐธรรมนูญหาช่องว่างเพื่อที่จะนั่งในตำแหน่งต่อไป การเมืองยูเครนในช่วงนั้น จึงต้องเล่นงานประธานาธิบดีคุชมาแบบถาโถมในทุกเม็ด……จนเขาขยับตัวทำอะไรอื่นไม่ได้ นอกจากที่จะต้องยอมรับสภาพ…… ปูตินเฝ้าดูการเป็นไปของยูเครนอย่างใกล้ชิด และไม่ใช่ยูเครนอย่างเดียว เขาได้เกาะติดกับการเมืองที่ Georgia ด้วย Georgia เป็นประเทศที่แตกออกไปจากการล่มสลายของโซเวียต (1991) อยู่ทางชายคอเคซัส ที่มีประชากรเพียงห้าล้านคน Eduard Shevardnadze เป็นประธานาธิบดี ที่เคยเป็นอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของโซเวียตมาก่อน เขาเป็นหนึ่งในคนสนิทของกอร์บาเชฟ ที่กว่าจะมาเป็นประธานาธิบดีได้ ในปี 1995 ก็ผ่านการลอบสังหารมาถึงสามครั้ง ประธานาธิบดี เอดวารด์ กำลังจะหมดวาระในปี 2003 เดือนพฤศจิกายน มีการก่อหวอดต่อต้าน (ด้วยเกรงว่าจะมีการสืบทอดอำนาจจากรัสเซีย) กลุ่มผู้ต่อต้านออกมาเนืองแน่นบนท้องถนน และบุกเข้าไปในสถานที่ราชการ นำโดย Mikhail Saakashvili (ที่มี George Soros สนับสนุนทุนอยู่เบื้องหลัง) เอดวารด์ ได้โทรหาปูตินเพื่อขอความช่วยเหลือ ซึ่งปูตินได้ส่ง ให้ Igor Ivanov บินไปที่เมืองหลวง Tbilisi เพื่อไปดูไม่ให้เกิดเป็นสงครามกลางเมือง แต่……ปูตินไม่ต้องการโศกนาฏกรรมติดๆกันหลายรายการจนเกินไป เขาจึงสั่งให้แค่สังเกตุการณ์อย่างใกล้ชิด ในที่สุด……เอดวารด์ จึงยอมลาออกเพื่อรักษาความสงบ ในเดือนมกราคม 2004 จอร์เจียจึงมีประธานาธิบดีคนใหม่ คือ Mikhail Saakashvili ที่คิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตยที่ใหญ่คับฟ้า สิ่งแรกที่เขาทำคือ บินไปมอสโคว์เพื่อที่จะเจรจาหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องการเมืองกับปูติน ซึ่ง……เขาไม่รู้เลยว่า ทางรัสเซียได้จัดอันดับ จอร์เจีย เทียบเท่ากับยูเครน อันดับนั้นคือ……พวกสวามิภักดิ์ตะวันตก แต่ปูตินไม่ได้เห็นว่า จอร์เจียเป็นสิ่งที่กังวล(ในตอนนั้น) เพราะเขาพุ่งเป้าไปที่ยูเครนมากกว่า เพราะยูเครนเป็นพื้นที่ที่ก่อเกิดของเลือดเนื้อรัสเซียในปัจจุบัน เมื่อครั้งสมัย Vladimir the Great ที่รับศาสนาคริสเตียนเข้ามาในปี 988 ซาร์วลาดิเมียร์ ได้ตั้งชื่อดินแดนส่วนนี้ว่า Ukraine ที่แปลว่า ขอบเขตแดน ขอบเขตแดนนี้ได้เปลี่ยนไปมาตามสถานการณ์โลก โปแลนด์เคยล้ำเข้ามาในสมัย Austro-Hungarian , สตาลินได้นำกลับคืนในการทำสนธิสัญญากับฮิตเลอร์ (1939) และยูเครนก็คือส่วนหนึ่งของโซเวียต (Ukraine Soviet Socialist) เป็นเช่นนั้นจน ประธานาธิบดี ครุสเชพ ได้มอบดินแดนเพิ่มให้ คือ ไครเมีย ในปี 1954 ไม่มีใครเคยคาดคิดว่า……สักวันหนึ่ง ยูเครน พร้อมด้วยไครเมียจะหลุดลอยไปจากความเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ในเดือน กรกฎาคม 2004 สามเดือนก่อนที่ยูเครนจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี ปูตินได้บินไปที่Yalta (ไครเมีย) เพื่อพบปะกับ Kuchma (ประธานาธิบดี) และ Viktor Yanukovych (นายกรัฐมนตรี) ที่พระราชวัง Livadia (ที่เคยเป็นที่พบปะ ระหว่าง เชอร์ชิลล์, สตาลิน และ รูสเวลส์) ปูตินได้เตือนและกดดันให้คุชมาเลิกทำตัวสอพลอกับพวกตะวันตก โดยเฉพาะกับ NATO ที่ค่อยๆก้าวล่วงเข้ามาทุกที จากที่เป็นชาติสมาชิก 19 ตอนนี้มาเป็น 26 นอกจากจะเก็บกลุ่มยุโรปตะวันออกแล้ว ยังคืบมากวาดเอาฝั่งบอลติกไปด้วย ที่ปูตินคิดว่า……น่าจะหยุดได้เพียงแค่นั้น……แต่นี่กำลังมุ่งหน้ามาที่จอร์เจียและยูเครน….ที่เขาจะจะไม่ทนอีกต่อไป!! และถ้าจะหมายถึงสงคราม………เขาก็ยินดี………!!! ปูตินยังย้ำเสมอว่า ในสัญญาของลูกผู้ชาย ที่กลุ่มนาโต้ได้บอกกับกอร์บาเชพในปี 1989 ว่า นาโต้จะไม่ก้าวคืบเข้าไปในอาณาจักรที่เป็นของโซเวียตแม้แต่คืบเดียว มันเป็นคำสั่งที่เป็นการตบหัวทิ่ม แต่ก็มีการลูบหลัง นั่นคือ รัสเซีย-ยูเครนจะตั้งบริษัทพลังงานขึ้นมา ชื่อว่า RosUkrEnergo ที่ไม่ชี้แจงชัดว่าใครคือเข้าของ แต่ Gazprom จะเป็นเจ้าของครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่ง เป็นเจ้าของโดยผ่านนอมินี คือ Raiffeisen International Bank (อยู่ที่ Switzerland) ในการดำเนินงานส่งก๊าสผ่านท่อไปขายที่ยุโรปผ่านยูเครน…… เมื่อคุชมากำลังจะหมดสิ้นวาระ ตัวเต็ง Viktor Andriyovych Yushchenko (จะเรียกว่า VAY เขาเป็นฝ่ายโปรตะวันตก) ก็มาโดนยาพิษที่เร่งทำการรักษากันแบบพลิกตำรา เขาได้ประกาศให้ทั่วโลกได้รับรู้ว่า เขาได้รับการประทุษร้ายจากฝ่ายตรงข้ามที่เป็นฝ่ายอำนาจเก่า นั่นคือ พุ่งตรงไปที่คุชมา การหาเสียงของเขา มีสัญญลักษณ์เป็น “สีส้ม” และมีฝ่ายทุนที่หนุนหลังคือ Yulia Tymoshenko อภิมหาเศรษฐีสาว เธอมีบทบาทเด่นในทางการเมืองของยูเครน ในการต่อสู้เพื่อตะวันตก โปรนาโต้ ทำหน้าที่หาเสียงอย่างแข็งขันให้กับ VAY ในขณะที่รักษาตัว ถ้าจะเทียบเธอ……ก็ใกล้เคียงกับเป็น อองซาน ซูจี แห่งยูเครน การเลือกตั้งใกล้เข้ามา ความนิยมในตัว VAY ได้เพิ่มขึ้น มันเป็นสัญญาณที่บอกกับปูตินว่า อิทธิพลของตะวันตกกำลังจะล้อมกรอบ บีบรัสเซียให้แคบเข้าไปทุกวัน ตั้งแต่โซเวียตล่มสลายไป กลุ่มทุนตะวันตกได้เข้ามามีอิทธิพลในฝั่งตะวันออกหนาตาขึ้น โดยเฉพาะองค์กร NGO ที่ได้มีสาขาในทุกแห่งหน ทางรัสเซียได้หนุนหลัง Viktor Yanukovych ( Viktor Fedorovych Yanukovych นายกรัฐมนตรี จะใช้ชื่อย่อว่า VFY) ในการลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีด้วย การหาเสียงเป็นไปอย่างดุเดือด เหมือนกับว่าประชาชนจะเลือก บุช หรือ ปูติน ปูตินได้ทำทีไปเยี่ยมเยียนถึงเคียฟ เพราะมีเด็กคนหนึ่ง ได้เขียนจดหมายว่า มีความฝันว่าอยากจะถ่ายรูปกับ Vladimir Vladimirovich……ชาตินี้จะมีโอกาสไหมหนอ? ผลคือ เด็กน้อย Andrei ได้ถูกเชิญไปที่ทำเนียบ ไปพบกับปูติน ที่ได้ยื่นของขวัญเป็นแลปท๊อปให้ด้วยสีหน้าชื่นมื่น การหาเสียงเป็นไปอย่างดุเดือดและสูสี ปูตินบินไปเคียฟบ่อยกว่าปรกติ ผลออกมาคือ VFY (โปรรัสเซีย) ได้ 49% และ VAY (โปรตะวันตก) ได้ 46% แต่.……ความไม่สงบได้ก่อตัวขึ้น ฝ่ายสีส้มได้ทำการต่อต้านในทุกรูปแบบ มีการนัดชุมนุมที่เข้าขั้นปฏิวัติ ถนนได้เปลี่ยนเป็นทะเลสีส้มแสบตาไปทั้งเมือง กลุ่มต่อต้านไม่ยอมรับคะแนนเลือกตั้ง ปูตินบินกลับจากจากอเมริกาใต้ เข้าสู่กรุงบลัสเซลส์โดยด่วน เพื่อพบปะกับกลุ่มอียู……ที่ตัวแทนทุกคนได้ลงมติว่าการเลือกตั้งในยูเครนไม่โปร่งใส ……แต่ไม่สนใจที่จะให้มีการตรวจสอบ ความสัมพันธ์ทางการค้าพลังงานที่ปูตินพยายามที่จะประสานกับอียูนั้น เหลือริบหรี่…; เขาประกาศว่า……เราไม่เคยไปยุ่งกับเรื่องภายในของพวกอียู แต่ตอนนี้มันชัดเจนแล้วว่า……พวกคุณได้เข้ามาเสี้ยม แทรกแซงกับการเมืองในประเทศที่อยู่นอกระบบ เพื่อสร้างความร้าวฉานให้พวกเรา……!! สภายูเครนเริ่มเห็นแล้วว่าน่าจะรักษาความสงบไว้ไม่ได้ จึงได้ลงมติให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ VFY ได้หลบความวุ่นวายที่อาจนำไปสู่ความเป็นอันตรายต่อตัวเองไปอยู่ที่ Luhansk วันที่ 2 ธันวาคม ปูตินได้เรียกคุชมาเข้าไปพบที่มอสโคว์ ก่อนที่ปูตินจะเดินทางอินเดียในไม่กี่ชั่วโมง เพื่อปรึกษาในเรื่องของการที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ ที่เขาเชื่อว่า ทางฝ่าย VAY น่าจะมาแรง และจะปล่อยไปตามนั้น เพราะไม่เช่นนั้นก็จะต้องมีม็อบชนม็อบ เลือกตั้งกันครั้งที่สาม ที่สี่ ไม่จบไม่สิ้น เสียเวลาเปล่าๆ……ปล่อยไปก่อน……เรายังมีเวลา!! ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น VAY ชนะด้วยคะแนน 52% ส่วน VFY 44% ที่มีการเฉลิมฉลองกันใหญ่โต ชาวสีส้มทุกคนต่างยินดีปรีดาที่จะได้เข้าไปสู่อ้อมอกของตะวันตก เป็นอารยะประเทศ มีที่นั่งในสภายูโรเปี้ยน และ เป็นหนึ่งสมาชิกนาโต้ และที่สำคัญที่สุด…..คือ ได้เอาชนะปูติน………!!! ใครจะไปรู้เล่าว่า……นั่นคือเกมที่ปูตินจะลากมาสับทีละคนเมื่อถึงเวลา………!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 451 Views 0 Reviews
  • 🤠#สหรัฐฯ ค่อยๆ เข้ามาแทนที่อังกฤษและกลายเป็นเจ้าโลกได้อย่างไร? #การรื้ออำนาจเจ้าโลกจะมีผลกระทบอะไรบ้าง ตอน 02.🤠

    🤯สาม การพลิกกลับ🤯

    สถานการณ์สงครามโลกที่ไม่ได้เปลี่ยนโครงสร้างโลกทำให้ทางการสหรัฐฯไม่พอใจอย่างมาก หลังจากที่ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน(Woodrow Wilson伍德罗·威尔逊) ลาออกจากตำแหน่ง นโยบายต่างประเทศของรัฐบาลสหรัฐฯ ก็กลับเข้าสู่ลัทธิโดดเดี่ยวอย่างเดิม

    เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 1935 เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดซ้ำในสงครามโลกครั้งที่ 1 สภาคองเกรสแห่งสหรัฐอเมริกาจึงผ่านกฎหมายความเป็นกลาง ซึ่งกำหนดให้มีการคว่ำบาตร "อาวุธ กระสุน และยุทโธปกรณ์" ไปยังประเทศคู่สงครามทั้งหมด และห้ามเรือค้าขายของสหรัฐฯ จากการขนส่งอาวุธไปยังประเทศคู่สงคราม ขบวนการโดดเดี่ยวในสหรัฐอเมริกาถึงจุดสูงสุด

    ในเวลานี้ ท้องฟ้าเหนือยุโรปเต็มไปด้วยเมฆหมอกแห่งสงคราม นโยบายการโอนอ่อนผ่อนตามของอังกฤษและฝรั่งเศสมีส่วนทำให้เกิดความหยิ่งลำพองของเยอรมนีมีความเป็นฟาสซิสต์มากขึ้น ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 นาซีเยอรมนีเปิดการโจมตีแบบสายฟ้าแลบต่อโปแลนด์ และสงครามโลกครั้งที่สองก็ปะทุขึ้น

    ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1940 ฝรั่งเศสซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะมหาอำนาจโดยมีกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปยอมจำนน ในเดือนพฤศจิกายนของปีถัดมา ญี่ปุ่นซึ่งเป็นหนึ่งในมหาอำนาจฝ่ายอักษะได้เปิดฉากโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ต่อสหรัฐอเมริกา และลากสหรัฐอเมริกาเข้าสู่วังวนแห่งสงคราม สงครามโลกครั้งที่สองและสงครามโลกครั้งที่ 1 แตกต่างกันออกไป ในเวลานี้ สหรัฐฯมีบทบาทเป็นผู้นำ โดยควบคุมในแอฟริกาเหนือ แนวรบด้านตะวันตก และสนามรบในมหาสมุทรแปซิฟิก

    ในช่วงสงคราม รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ลืมวางแผนสำหรับรูปแบบโลกหลังสงคราม และไม่ต้องการทำผิดพลาดแบบในสงครามโลกครั้งที่ 1 ซ้ำอีก

    สิ่งแรกที่ต้องจัดการคือเรื่องการครอบงำทางการเงินของโลกที่อังกฤษโดยก่อตั้งขึ้นตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรม

    ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1942 ไวท์( White) ซึ่งในขณะนั้นเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ได้เปิดตัวแผนของไวท์( White) ซึ่งเป็นแผนเศรษฐกิจในช่วงสงคราม

    แผนดังกล่าวรวมถึงการจัดตั้งสถาบันสองแห่ง ได้แก่ กองทุนรักษาเสถียรภาพแห่งชาติ (National Stabilization Fund) และธนาคารเพื่อการบูรณะและพัฒนา (Bank for Reconstruction and Development.) ทั้งสองสถาบันนี้เป็นสถาบันก่อนหน้าของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund)และธนาคารโลก (World Bank.)ในอนาคต

    เพื่อป้องกันอิทธิพลอำนาจทางการเงินของสหรัฐอเมริกาหลังสงครามและปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง สหราชอาณาจักรยังเสนอให้จัดตั้งศูนย์หักบัญชีระหว่างประเทศ (international clearing center) ตาม "ลัทธิเคนส์ (Keynesianism)" และออกแบบระบบการเงินที่มีทองคำเป็นหน่วยการชำระหนี้

    อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้สหราชอาณาจักรมีแรงใจมากล้นแต่ไม่มีกำลังกายเพียงพอ และความแข็งแกร่งทางการทหารและเศรษฐกิจทำให้อังกฤษไม่สามารถแข่งขันกับสหรัฐอเมริกาเพื่อครอบงำทางการเงินได้

    เพียงสองปีหลังจากการเสนอแผนของไวท์( White) ทางการสหรัฐฯ ได้จัดการประชุมการเงินและการเงินแห่งสหประชาชาติ (United Nations Monetary and Financial Conference)ที่เบรตตันวูดส์ (Bretton Woods) ทางการสหรัฐฯมีอำนาจเหนือการเจรจาอย่างท่วมท้น และในที่สุดประเทศต่างๆ ก็ลงนามใน "ข้อตกลงเบรตตันวูดส์ (Bretton Woods Agreement)" อันโด่งดัง

    ข้อตกลงดังกล่าวเชื่อมโยงสกุลเงินของประเทศต่างๆ อย่างเป็นทางการกับดอลลาร์สหรัฐ และสร้างระบบมาตรฐานทองคำที่ดอลลาร์สหรัฐเชื่อมโยงกับทองคำ สำนักงานใหญ่ของกองทุนการเงินแห่งชาติ (National Monetary Fund)ตั้งอยู่ในวอชิงตัน (Washington) เห็นได้ชัดว่าระบบเบรตตันวูดส์ (Bretton Woods system)เป็นข้อตกลงที่ลงนามโดยสหรัฐอเมริกาที่มีอำนาจมากที่สุดและเหล่าบริวารอื่น ๆ ในสภาพแวดล้อมสงครามในขณะนั้น

    แม้ว่าอังกฤษไม่เต็มใจที่จะมอบอำนาจทางการเงินของตนให้กับผู้อื่น แต่ความรุ่งโรจน์ของจักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดินก็สูญสิ้นไปนานแล้ว สหรัฐฯ ขู่ว่าจะปฏิเสธคำขอกู้ยืมของอังกฤษและบังคับให้ทางการอังกฤษยอมรับข้อตกลงดังกล่าว ขณะเดียวกันพวกเขาก็ใช้การล่มสลายของระบบอาณานิคมในอนาคตเป็นข้อแก้ตัวด้วย บังคับให้ฝ่ายอังกฤษละทิ้งระบบจักรวรรดิดั้งเดิมที่ให้การปฏิบัติเระบบสิทธิพิเศษ และใช้เงินปอนด์ที่แปลงสภาพอย่างเสรี

    ในท้ายที่สุด อังกฤษก็ยอมสละอำนาจทางการเงินของตน และสหรัฐฯ ได้ขจัดอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการก้าวไปสู่อำนาจอำนาจของโลก

    🤯4. บทสรุปและการรู้แจ้ง🤯

    อารยธรรมของมนุษย์ดำรงอยู่มานานนับพันปี ในประวัติศาสตร์อันยาวนาน ประเทศที่มีอำนาจเหนือกว่าจำนวนนับไม่ถ้วนได้ถือกำเนิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีระบอบการปกครองใดที่สามารถรักษาความได้เปรียบของตนไว้ได้ตลอดไปในสถานการณ์ระหว่างประเทศที่ซับซ้อน

    ตัวแทนของยุคอาณานิคมตอนต้น - สเปนและโปรตุเกส สเปนใช้ประโยชน์จากยุคแห่งการค้นพบ และยึดครองดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ขนาดใหญ่ในทวีปอเมริกา แต่เขาสูญเสียเรือรบทั้งหมดในการรบทางเรือกับอังกฤษ ผู้ครองอำนาจเจ้าโลกรุ่นแรกจึงจำต้องสละสิทธิทางทะเลแก่สหราชอาณาจักรด้วยประการฉะนี้นี้

    บนพื้นฐานของลัทธิล่าอาณานิคมสเปน อังกฤษได้ก่อตั้งกลุ่มอาณานิคมขึ้น เช่น บริษัทอินเดียตะวันออก และดำเนินกิจกรรมปล้นสะดมขนาดใหญ่ในแอฟริกา เอเชีย และอเมริกา ถือเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับการปฏิวัติอุตสาหกรรมในเวลาต่อมา

    ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สอง บรรดาสุภาพบุรุษผู้สูงศักดิ์ชาวอังกฤษคอยกินบุญเก่าซึ่งมีรายชื่อในสมุดความดีความชอบมุ่งมั่นที่จะรักษาระบบอาณานิคมของตนไว้ โดยไม่สนใจการเพิ่มทวีขึ้นของจิตสำนึกแห่งชาติเผ่าของอาณานิคม และพยายามใช้วิธีการที่ต่ำทรามน่ารังเกียจต่างๆ เพื่อรักษาสถานะที่ว่าอาณาจักรที่ดวงอาทิตย์ไม่เคยตกดินของตนไว้

    ด้วยการผงาดรุ่งเรืองขึ้นของประเทศทุนนิยมเกิดใหม่ และการทำลายล้างเศรษฐกิจของอังกฤษโดยสงครามโลกครั้งที่สอง ในที่สุดอังกฤษก็ถูกบังคับให้สละอำนาจเจ้าโลกของตนในที่สุด สหรัฐฯ ผ่านการปฏิบัติการหลายประการมีการสถาปนาอำนาจนำในหลายแง่มุมซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศตน

    😎ในกระบวนการแย่งชิงอำนาจของอังกฤษโดยสหรัฐอเมริกา การรวมอำนาจทางการเมือง การขยายอาณาเขต การรักษาความสามัคคี และการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นพื้นฐานของการได้รับอำนาจเป็นเจ้าโลก😎

    เมื่อความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและความแข็งแกร่งทางการทหารมีมากกว่าประเทศอื่นๆ มาก การโอนอำนาจก็สามารถเกิดขึ้นได้ในทันที ในช่วงแรกของสงครามโลกครั้งที่สอง การเก็บตัวและสังเกตการณ์อยู่ข้างสนามและการแทรกแซงสงครามในเวลาที่เหมาะสม ล้วนแสดงให้เห็นถึงความเฉียบแหลมทางการเมืองอันยอดเยี่ยมของกลุ่มนักคิดของรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อประเทศในยุโรปไม่สามารถทำได้หากปราศจากการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา การโอนอำนาจเจ้าโลกจะเป็นเรื่องที่สำเร็จแน่นอน

    ในปัจจุบัน ขณะที่การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีครั้งที่สามกำลังจะสิ้นสุดลง และการปฏิวัติอุตสาหกรรมรอบใหม่กำลังจะแตกออก อำนาจของอเมริกาก็มาถึงทางแยกแห่งโชคชะตาเนื่องจากมีเหตุการณ์เป็นตัวเร่งคือเรื่องของการเสริมกำลังทหารและความขัดแย้งภายในของตัวเอง

    สหรัฐฯ ไม่เต็มใจที่จะปล่อยให้จีนดำเนินตามขั้นตอนเดิมพัฒนาในลักษณะที่ไม่สำคัญต่อไป จากยุทธศาสตร์ปิดล้อมด้วย“สายโซ่แห่งดินแดนวงล้อมชั้นแรก” (First Island Chain)รวมกับเครือข่ายพื้นที่แผ่นดินใหญ่ในยุคโอบามา ไปจนถึงสงครามการค้ากับจีนในยุคทรัมป์ และการโจมตีจีนโดยรัฐบริวารในเอเชียในเรื่องต่างๆ จะเห็นได้ว่าความพยายามของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการรักษาสิ่งที่เรียกว่าอำนาจเป็นใหญ่นั้นเปรียบเสมือนนักรบที่ติดอยู่ในสนามประลอง

    ในยุคแห่งความขัดแย้งครั้งใหญ่นี้ การยืนหยัดบนเส้นทางของตัวเองและระวังการแทรกซึมของกองกำลังศัตรูเป็นหนทางที่จะทำลายแผนการสมรู้ร่วมคิดของสหรัฐฯ และอำนาจเจ้าโลกของสหรัฐฯ

    🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    🤠#สหรัฐฯ ค่อยๆ เข้ามาแทนที่อังกฤษและกลายเป็นเจ้าโลกได้อย่างไร? #การรื้ออำนาจเจ้าโลกจะมีผลกระทบอะไรบ้าง ตอน 02.🤠 🤯สาม การพลิกกลับ🤯 สถานการณ์สงครามโลกที่ไม่ได้เปลี่ยนโครงสร้างโลกทำให้ทางการสหรัฐฯไม่พอใจอย่างมาก หลังจากที่ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน(Woodrow Wilson伍德罗·威尔逊) ลาออกจากตำแหน่ง นโยบายต่างประเทศของรัฐบาลสหรัฐฯ ก็กลับเข้าสู่ลัทธิโดดเดี่ยวอย่างเดิม เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 1935 เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดซ้ำในสงครามโลกครั้งที่ 1 สภาคองเกรสแห่งสหรัฐอเมริกาจึงผ่านกฎหมายความเป็นกลาง ซึ่งกำหนดให้มีการคว่ำบาตร "อาวุธ กระสุน และยุทโธปกรณ์" ไปยังประเทศคู่สงครามทั้งหมด และห้ามเรือค้าขายของสหรัฐฯ จากการขนส่งอาวุธไปยังประเทศคู่สงคราม ขบวนการโดดเดี่ยวในสหรัฐอเมริกาถึงจุดสูงสุด ในเวลานี้ ท้องฟ้าเหนือยุโรปเต็มไปด้วยเมฆหมอกแห่งสงคราม นโยบายการโอนอ่อนผ่อนตามของอังกฤษและฝรั่งเศสมีส่วนทำให้เกิดความหยิ่งลำพองของเยอรมนีมีความเป็นฟาสซิสต์มากขึ้น ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 นาซีเยอรมนีเปิดการโจมตีแบบสายฟ้าแลบต่อโปแลนด์ และสงครามโลกครั้งที่สองก็ปะทุขึ้น ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1940 ฝรั่งเศสซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะมหาอำนาจโดยมีกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปยอมจำนน ในเดือนพฤศจิกายนของปีถัดมา ญี่ปุ่นซึ่งเป็นหนึ่งในมหาอำนาจฝ่ายอักษะได้เปิดฉากโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ต่อสหรัฐอเมริกา และลากสหรัฐอเมริกาเข้าสู่วังวนแห่งสงคราม สงครามโลกครั้งที่สองและสงครามโลกครั้งที่ 1 แตกต่างกันออกไป ในเวลานี้ สหรัฐฯมีบทบาทเป็นผู้นำ โดยควบคุมในแอฟริกาเหนือ แนวรบด้านตะวันตก และสนามรบในมหาสมุทรแปซิฟิก ในช่วงสงคราม รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ลืมวางแผนสำหรับรูปแบบโลกหลังสงคราม และไม่ต้องการทำผิดพลาดแบบในสงครามโลกครั้งที่ 1 ซ้ำอีก สิ่งแรกที่ต้องจัดการคือเรื่องการครอบงำทางการเงินของโลกที่อังกฤษโดยก่อตั้งขึ้นตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรม ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1942 ไวท์( White) ซึ่งในขณะนั้นเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ได้เปิดตัวแผนของไวท์( White) ซึ่งเป็นแผนเศรษฐกิจในช่วงสงคราม แผนดังกล่าวรวมถึงการจัดตั้งสถาบันสองแห่ง ได้แก่ กองทุนรักษาเสถียรภาพแห่งชาติ (National Stabilization Fund) และธนาคารเพื่อการบูรณะและพัฒนา (Bank for Reconstruction and Development.) ทั้งสองสถาบันนี้เป็นสถาบันก่อนหน้าของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund)และธนาคารโลก (World Bank.)ในอนาคต เพื่อป้องกันอิทธิพลอำนาจทางการเงินของสหรัฐอเมริกาหลังสงครามและปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง สหราชอาณาจักรยังเสนอให้จัดตั้งศูนย์หักบัญชีระหว่างประเทศ (international clearing center) ตาม "ลัทธิเคนส์ (Keynesianism)" และออกแบบระบบการเงินที่มีทองคำเป็นหน่วยการชำระหนี้ อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้สหราชอาณาจักรมีแรงใจมากล้นแต่ไม่มีกำลังกายเพียงพอ และความแข็งแกร่งทางการทหารและเศรษฐกิจทำให้อังกฤษไม่สามารถแข่งขันกับสหรัฐอเมริกาเพื่อครอบงำทางการเงินได้ เพียงสองปีหลังจากการเสนอแผนของไวท์( White) ทางการสหรัฐฯ ได้จัดการประชุมการเงินและการเงินแห่งสหประชาชาติ (United Nations Monetary and Financial Conference)ที่เบรตตันวูดส์ (Bretton Woods) ทางการสหรัฐฯมีอำนาจเหนือการเจรจาอย่างท่วมท้น และในที่สุดประเทศต่างๆ ก็ลงนามใน "ข้อตกลงเบรตตันวูดส์ (Bretton Woods Agreement)" อันโด่งดัง ข้อตกลงดังกล่าวเชื่อมโยงสกุลเงินของประเทศต่างๆ อย่างเป็นทางการกับดอลลาร์สหรัฐ และสร้างระบบมาตรฐานทองคำที่ดอลลาร์สหรัฐเชื่อมโยงกับทองคำ สำนักงานใหญ่ของกองทุนการเงินแห่งชาติ (National Monetary Fund)ตั้งอยู่ในวอชิงตัน (Washington) เห็นได้ชัดว่าระบบเบรตตันวูดส์ (Bretton Woods system)เป็นข้อตกลงที่ลงนามโดยสหรัฐอเมริกาที่มีอำนาจมากที่สุดและเหล่าบริวารอื่น ๆ ในสภาพแวดล้อมสงครามในขณะนั้น แม้ว่าอังกฤษไม่เต็มใจที่จะมอบอำนาจทางการเงินของตนให้กับผู้อื่น แต่ความรุ่งโรจน์ของจักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดินก็สูญสิ้นไปนานแล้ว สหรัฐฯ ขู่ว่าจะปฏิเสธคำขอกู้ยืมของอังกฤษและบังคับให้ทางการอังกฤษยอมรับข้อตกลงดังกล่าว ขณะเดียวกันพวกเขาก็ใช้การล่มสลายของระบบอาณานิคมในอนาคตเป็นข้อแก้ตัวด้วย บังคับให้ฝ่ายอังกฤษละทิ้งระบบจักรวรรดิดั้งเดิมที่ให้การปฏิบัติเระบบสิทธิพิเศษ และใช้เงินปอนด์ที่แปลงสภาพอย่างเสรี ในท้ายที่สุด อังกฤษก็ยอมสละอำนาจทางการเงินของตน และสหรัฐฯ ได้ขจัดอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการก้าวไปสู่อำนาจอำนาจของโลก 🤯4. บทสรุปและการรู้แจ้ง🤯 อารยธรรมของมนุษย์ดำรงอยู่มานานนับพันปี ในประวัติศาสตร์อันยาวนาน ประเทศที่มีอำนาจเหนือกว่าจำนวนนับไม่ถ้วนได้ถือกำเนิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีระบอบการปกครองใดที่สามารถรักษาความได้เปรียบของตนไว้ได้ตลอดไปในสถานการณ์ระหว่างประเทศที่ซับซ้อน ตัวแทนของยุคอาณานิคมตอนต้น - สเปนและโปรตุเกส สเปนใช้ประโยชน์จากยุคแห่งการค้นพบ และยึดครองดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ขนาดใหญ่ในทวีปอเมริกา แต่เขาสูญเสียเรือรบทั้งหมดในการรบทางเรือกับอังกฤษ ผู้ครองอำนาจเจ้าโลกรุ่นแรกจึงจำต้องสละสิทธิทางทะเลแก่สหราชอาณาจักรด้วยประการฉะนี้นี้ บนพื้นฐานของลัทธิล่าอาณานิคมสเปน อังกฤษได้ก่อตั้งกลุ่มอาณานิคมขึ้น เช่น บริษัทอินเดียตะวันออก และดำเนินกิจกรรมปล้นสะดมขนาดใหญ่ในแอฟริกา เอเชีย และอเมริกา ถือเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับการปฏิวัติอุตสาหกรรมในเวลาต่อมา ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สอง บรรดาสุภาพบุรุษผู้สูงศักดิ์ชาวอังกฤษคอยกินบุญเก่าซึ่งมีรายชื่อในสมุดความดีความชอบมุ่งมั่นที่จะรักษาระบบอาณานิคมของตนไว้ โดยไม่สนใจการเพิ่มทวีขึ้นของจิตสำนึกแห่งชาติเผ่าของอาณานิคม และพยายามใช้วิธีการที่ต่ำทรามน่ารังเกียจต่างๆ เพื่อรักษาสถานะที่ว่าอาณาจักรที่ดวงอาทิตย์ไม่เคยตกดินของตนไว้ ด้วยการผงาดรุ่งเรืองขึ้นของประเทศทุนนิยมเกิดใหม่ และการทำลายล้างเศรษฐกิจของอังกฤษโดยสงครามโลกครั้งที่สอง ในที่สุดอังกฤษก็ถูกบังคับให้สละอำนาจเจ้าโลกของตนในที่สุด สหรัฐฯ ผ่านการปฏิบัติการหลายประการมีการสถาปนาอำนาจนำในหลายแง่มุมซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศตน 😎ในกระบวนการแย่งชิงอำนาจของอังกฤษโดยสหรัฐอเมริกา การรวมอำนาจทางการเมือง การขยายอาณาเขต การรักษาความสามัคคี และการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นพื้นฐานของการได้รับอำนาจเป็นเจ้าโลก😎 เมื่อความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและความแข็งแกร่งทางการทหารมีมากกว่าประเทศอื่นๆ มาก การโอนอำนาจก็สามารถเกิดขึ้นได้ในทันที ในช่วงแรกของสงครามโลกครั้งที่สอง การเก็บตัวและสังเกตการณ์อยู่ข้างสนามและการแทรกแซงสงครามในเวลาที่เหมาะสม ล้วนแสดงให้เห็นถึงความเฉียบแหลมทางการเมืองอันยอดเยี่ยมของกลุ่มนักคิดของรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อประเทศในยุโรปไม่สามารถทำได้หากปราศจากการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา การโอนอำนาจเจ้าโลกจะเป็นเรื่องที่สำเร็จแน่นอน ในปัจจุบัน ขณะที่การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีครั้งที่สามกำลังจะสิ้นสุดลง และการปฏิวัติอุตสาหกรรมรอบใหม่กำลังจะแตกออก อำนาจของอเมริกาก็มาถึงทางแยกแห่งโชคชะตาเนื่องจากมีเหตุการณ์เป็นตัวเร่งคือเรื่องของการเสริมกำลังทหารและความขัดแย้งภายในของตัวเอง สหรัฐฯ ไม่เต็มใจที่จะปล่อยให้จีนดำเนินตามขั้นตอนเดิมพัฒนาในลักษณะที่ไม่สำคัญต่อไป จากยุทธศาสตร์ปิดล้อมด้วย“สายโซ่แห่งดินแดนวงล้อมชั้นแรก” (First Island Chain)รวมกับเครือข่ายพื้นที่แผ่นดินใหญ่ในยุคโอบามา ไปจนถึงสงครามการค้ากับจีนในยุคทรัมป์ และการโจมตีจีนโดยรัฐบริวารในเอเชียในเรื่องต่างๆ จะเห็นได้ว่าความพยายามของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการรักษาสิ่งที่เรียกว่าอำนาจเป็นใหญ่นั้นเปรียบเสมือนนักรบที่ติดอยู่ในสนามประลอง ในยุคแห่งความขัดแย้งครั้งใหญ่นี้ การยืนหยัดบนเส้นทางของตัวเองและระวังการแทรกซึมของกองกำลังศัตรูเป็นหนทางที่จะทำลายแผนการสมรู้ร่วมคิดของสหรัฐฯ และอำนาจเจ้าโลกของสหรัฐฯ 🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 Comments 0 Shares 114 Views 0 Reviews
  • ชาวเน็ตเซ็ง Facebook มีแต่ Feed ขยะ 90% เป็นโพสต์ที่ไม่อยากดู
    .
    แทนที่จะได้เห็นเรื่องราวของเพื่อนหรือครอบครัว ผู้ใช้ Quora.com ชื่อ Leandro Mattos ตั้งกระทู้ถามหาวิธีลบเนื้อหาที่ไม่ได้สนใจและไม่ได้อยากชม โดยบอกว่าจากที่ใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์กนี้มาตั้งแต่ปี 2013 และไม่เคยใช้งานค่ายอื่นเลยมาตลอด 11 ปี แต่ตอนนี้เริ่มคิดจริงจังแล้วว่าจะเลิกใช้งาน
    .
    ผู้ใช้รายนี้ระบุว่าครั้งหนึ่ง facebook เคยเป็นเครือข่ายสังคมที่ดี มีเนื้อหาเฉพาะของแต่ละคน และสำหรับเขาก็เคยเป็นพื้นที่สนุกสนานที่ได้สังสรรค์กับเพื่อนบนเนื้อหาที่เกี่ยวกับเกมในดวงใจ แต่วันนี้ทุกอย่างยิ่งแย่ลง เนื้อหาที่เคยกดติดตามหรือถูกใจไว้นั้นไม่ปรากฏให้เห็นเลย ตรงกันข้ามหน้าฟีดกลับเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่ได้สนใจ และไม่ได้อยากอ่าน
    .
    ปรากฏว่ามีผู้คนมากมายเข้ามาตอบคำถามในทำนองว่า น่าเสียใจที่ขณะนี้ยังไม่มีวิธีแก้ปัญหานี้ได้แบบ 100% ซึ่งหลายคนบอกว่า Facebook เวอร์ชั่นดั้งเดิมนั้นตายไปแล้ว และจะไม่มีทางกลับมา
    .
    บางคนบอกว่าไม่มีคำตอบที่ดีให้กับคำถามนี้เลย เพราะว่าแทบทุกคนต้องพบปัญหาเดียวกัน ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความข้องใจของผู้ใช้ ซึ่งมีความรู้สึกว่าเมื่อใดที่กดไลค์ หรือกดติดตามเพจที่ชื่นชอบ เนื้อหาจากเพจนั้นจะหายวับไป จนอดคิดไม่ได้ว่า Facebook ตั้งใจปิดกั้น ไม่ให้เห็นเนื้อหาเพจนั้น แต่จะเลือกจากเพจอื่น ที่มี "ผู้แชร์เยอะๆ โต้ตอบเยอะๆ" แทน
    .
    ไม่แน่ นี่อาจเป็นกับดักของ Facebook ที่หวังจะเพิ่มรายได้โฆษณามากขึ้น เพราะในมุมของเพจ ผู้สร้างเนื้อหามักต้องการยอดแชร์และโต้ตอบที่คึกคัก ซึ่งการจะทำให้เกิดการแชร์และโต้ตอบได้นั้นก็จะต้องเริ่มจากการทำให้คนเห็นโพสต์ จึงต้องมีการซื้อโฆษณา และเมื่อระบบปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ของ Facebook ได้เห็น ยอดชมจึงจะเพิ่มขึ้น กดดันให้เพจต้องทุ่มงบซื้อโฆษณากับ Facebook ในที่สุด
    .
    สิ่งที่เกิดขึ้นจึงกลายเป็นว่า เนื้อหาจากเพจที่มีเงินซื้อโฆษณา ได้ถูกกระจายไปเต็มหน้าฟีด Facebook จนทำให้เกิดการแชร์มากกว่าเพจที่ไม่ได้ซื้อโฆษณาซึ่งผู้ใช้กดติดตามไว้ สะท้อนให้เห็นเป็นวงจรอุบาทว์ที่ทำให้ 90% ของหน้าฟีด Facebook แนะนำเนื้อหาจากเพจหรือคนที่ผู้ใช้ไม่รู้จัก ไม่ได้สนใจ และไม่ได้อยากจะดู แบบไม่รู้จบ
    .
    Cr : FB CyberBiz Online
    ชาวเน็ตเซ็ง Facebook มีแต่ Feed ขยะ 90% เป็นโพสต์ที่ไม่อยากดู . แทนที่จะได้เห็นเรื่องราวของเพื่อนหรือครอบครัว ผู้ใช้ Quora.com ชื่อ Leandro Mattos ตั้งกระทู้ถามหาวิธีลบเนื้อหาที่ไม่ได้สนใจและไม่ได้อยากชม โดยบอกว่าจากที่ใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์กนี้มาตั้งแต่ปี 2013 และไม่เคยใช้งานค่ายอื่นเลยมาตลอด 11 ปี แต่ตอนนี้เริ่มคิดจริงจังแล้วว่าจะเลิกใช้งาน . ผู้ใช้รายนี้ระบุว่าครั้งหนึ่ง facebook เคยเป็นเครือข่ายสังคมที่ดี มีเนื้อหาเฉพาะของแต่ละคน และสำหรับเขาก็เคยเป็นพื้นที่สนุกสนานที่ได้สังสรรค์กับเพื่อนบนเนื้อหาที่เกี่ยวกับเกมในดวงใจ แต่วันนี้ทุกอย่างยิ่งแย่ลง เนื้อหาที่เคยกดติดตามหรือถูกใจไว้นั้นไม่ปรากฏให้เห็นเลย ตรงกันข้ามหน้าฟีดกลับเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่ได้สนใจ และไม่ได้อยากอ่าน . ปรากฏว่ามีผู้คนมากมายเข้ามาตอบคำถามในทำนองว่า น่าเสียใจที่ขณะนี้ยังไม่มีวิธีแก้ปัญหานี้ได้แบบ 100% ซึ่งหลายคนบอกว่า Facebook เวอร์ชั่นดั้งเดิมนั้นตายไปแล้ว และจะไม่มีทางกลับมา . บางคนบอกว่าไม่มีคำตอบที่ดีให้กับคำถามนี้เลย เพราะว่าแทบทุกคนต้องพบปัญหาเดียวกัน ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความข้องใจของผู้ใช้ ซึ่งมีความรู้สึกว่าเมื่อใดที่กดไลค์ หรือกดติดตามเพจที่ชื่นชอบ เนื้อหาจากเพจนั้นจะหายวับไป จนอดคิดไม่ได้ว่า Facebook ตั้งใจปิดกั้น ไม่ให้เห็นเนื้อหาเพจนั้น แต่จะเลือกจากเพจอื่น ที่มี "ผู้แชร์เยอะๆ โต้ตอบเยอะๆ" แทน . ไม่แน่ นี่อาจเป็นกับดักของ Facebook ที่หวังจะเพิ่มรายได้โฆษณามากขึ้น เพราะในมุมของเพจ ผู้สร้างเนื้อหามักต้องการยอดแชร์และโต้ตอบที่คึกคัก ซึ่งการจะทำให้เกิดการแชร์และโต้ตอบได้นั้นก็จะต้องเริ่มจากการทำให้คนเห็นโพสต์ จึงต้องมีการซื้อโฆษณา และเมื่อระบบปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ของ Facebook ได้เห็น ยอดชมจึงจะเพิ่มขึ้น กดดันให้เพจต้องทุ่มงบซื้อโฆษณากับ Facebook ในที่สุด . สิ่งที่เกิดขึ้นจึงกลายเป็นว่า เนื้อหาจากเพจที่มีเงินซื้อโฆษณา ได้ถูกกระจายไปเต็มหน้าฟีด Facebook จนทำให้เกิดการแชร์มากกว่าเพจที่ไม่ได้ซื้อโฆษณาซึ่งผู้ใช้กดติดตามไว้ สะท้อนให้เห็นเป็นวงจรอุบาทว์ที่ทำให้ 90% ของหน้าฟีด Facebook แนะนำเนื้อหาจากเพจหรือคนที่ผู้ใช้ไม่รู้จัก ไม่ได้สนใจ และไม่ได้อยากจะดู แบบไม่รู้จบ . Cr : FB CyberBiz Online
    Like
    Sad
    12
    1 Comments 0 Shares 185 Views 0 Reviews
  • 🔹️แพ็กคู่ซีรีส์ชุด พิกัดต่อไปใครเป็นศพ❗

    คำเตือน เนื้อหายาวมากถึงมากที่สุด

    1 #พิกัดต่อไปใครเป็นศพ #masqueradehotel

    อ่านจนจบในวันเดียว หนาถึง 547 หน้า ดีที่ขนาดไม่เทอะทะแม้หนาแต่ไม่หนัก ตอนตัดสินใจเลือกยืมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยชมที่สร้างเป็นหนังมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน พออ่านไปได้ไม่กี่หน้าเริ่มรู้สึกฉากช่างคุ้นเคย เนื้อเรื่องเหมือนเคยรู้มาก่อน ทบทวนความทรงจำตนเองจึงค่อยจำได้ว่าคือเรื่องเดียวกับหนังที่ดูจบแล้วชอบมากนั่นเอง แต่ห้วงเวลาที่ชมนั้นไม่เคยทราบว่าสร้างจากนิยายเล่มนี้ ดูเพราะชอบนักแสดงหลักทั้งสองคนเลยคือ ทาคูยะ และมาซามิ และก็ไม่ผิดหวังทั้งคู่แสดงในบทบาทที่ได้รับได้ดีมาก พระนางมีการขัดแย้งในความเห็นอย่างที่เรียกว่าคู่กัด แต่ก็ห่วงใยช่วยเหลือกันมีความน่ารักปนน่าหมั่นไส้ โรงแรมที่ใช้เป็นฉากก็หรูหราโอ่โถงงดงามน่าใช้บริการอย่างมากครับ

    📚วกกลับมาเข้าเรื่องในหนังสือ

    สำนักพิมพ์น้ำพุ ปี พ.ศ.2023 /ราคา 425 บาท
    ฮิงาชิโนะ เคโงะ เขียน
    อภิญญา เตชะบุญไพศาล แปล

    เนื้อหาในเล่มกล่าวถึงชีวิตของพนักงานโรงแรมคอร์เทเชียโตเกียวสุดหรูที่มีนามว่า ยามางิชิ นาโอมิ ซึ่งเป็นตัวเอกที่ดำเนินเรื่องหลักของนิยายเล่มนี้ ที่ฉากแรกปรากฏก็เปิดตัวอย่างสง่างามสมกับความเป็นพนักงานต้อนรับมืออาชีพยิ่ง เพราะมีลูกค้าชายประเภทที่จงใจก่อปัญหาเพื่อหวังจะได้เข้าพักในห้องราคาสูงกว่าที่ตนได้เลือกจองไว้ จนพนักงานยกกระเป๋าที่เข็นของไปให้ ต้องโทร.ลงมาปรึกษาว่าจะทำอย่างไรดี ซึ่งเธอสามารถบริหารจัดการให้ผ่านพ้นสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าลงได้อย่างสวยงาม

    จากนั้นเรื่องจึงนำพาผู้อ่านเข้าสู่ประเด็นของที่มาอันกลายเป็นชื่อเรื่องคือ ทางผู้จัดการใหญ่ที่รับผิดชอบดูแลพนักงานในโรงแรมทั้งหมด ได้รับการติดต่อขอความร่วมมือจากกรมตำรวจนครบาลโตเกียว ในการสืบสวนคดีที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้ ที่มีแนวโน้มเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องโดยคนร้ายรายเดียวกัน

    🏨

    รายละเอียดของคดีคือ มีการพบศพผู้ตาย 3 ราย ในระยะเวลาห่างกันประมาณ 6-7 วันนับจากศพแรก ทราบชื่อผู้ตายทั้งสาม เป็นชาย2หญิง1 สาเหตุเสียชีวิตจากการถูกทำร้ายด้วยการตีจากด้านหลังบ้าง รัดคอบ้าง ทุกรายพบตัวเลขปริศนา2ชุดในจุดเกิดเหตุ ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าเกี่ยวข้องกับการตายของเหยื่อหรือไม่อย่างไร แต่ตำรวจมั่นใจว่าคนร้ายหมายตาที่จะก่อเหตุในครั้งต่อไป โดยเล็งเป้าหมายคือโรงแรมที่นาโอมิทำงานอยู่ ปัญหาใหญ่คือไม่ทราบว่าใครที่คนร้ายหมายจะฆ่า ทำไมถึงเลือกที่นี่ และคนร้ายคือใคร ซึ่งรายละเอียดปลีกย่อยพวกนี้ ฝ่ายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ได้คุยตกลงกันกับผู้จัดการใหญ่ของโรงแรมแล้ว ดังนั้นจึงเรียกตัว หัวหน้าจากหลายฝ่ายให้มาร่วมประชุม ไม่ว่าฝ่ายห้องพัก ฝ่ายเข็นสัมภาระลูกค้าไปส่งห้อง ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และในการนี้นาโอมิยังถูกระบุให้เข้าร่วมประชุมแม้จะเป็นแค่เพียง พนักงานระดับปฏิบัติการณ์ฝ่ายต้อนรับเท่านั้น

    🏨

    เหตุผลเพราะหัวหน้างานไว้วางใจ เชื่อมั่นในคุณสมบัติและประสบการณ์ของเธอจะสามารถเป็นพี่เลี้ยงให้กับตำรวจ ที่จะปลอมเข้ามาเป็นพนักงานเพื่อเฝ้าสังเกตบุคคลที่มาใช้บริการโรงแรม ซึ่งแผนกต้อนรับเองนาโอมิถูกเลือกให้จับคู่กับรองสารวัตรนิตตะ ส่วนแผนกอื่นก็มีตำรวจปลอมตัวเข้าไปด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นก็มีตำรวจส่วนหนึ่งที่ถูกสั่งการให้ปะปนเข้ามาเป็นคนใช้บริการหรือจับตาความเคลื่อนไหวบริเวณโถงรับแขก ห้องอาหาร และอื่นๆ

    🏨

    นั่นคือจุดเริ่มแห่งความหรรษา เพราะนิตตะไม่ชอบอะไรที่เป็นพิธีการ แต่จำใจต้องเชื่อฟังนาโอมิที่อายุน้อยกว่า ตั้งแต่เรื่องชุดพนักงาน ท่าทีการพูดจา บุคลิกภายนอกที่ต้องถูกปรับให้กลายจากความเป็นตำรวจมาเป็นพนักงานต้อนรับให้สมจริงมากที่สุด ทั้งคู่จึงมีการกระทบกระทั่งทางความคิดที่ไม่ตรงกัน จนมีการโต้เถียงบ่อยครั้ง ซึ่งเป็นความบันเทิงประการหนึ่ง ด้วยคู่นี้มีความน่ารัก น่าลุ้น ที่จะกลายมาเป็นคู่ใจในอนาคตได้

    🏨

    ระหว่างนั้น นาโอมิมีข้อสงสัยมากมายหลายประการ เธอมักถามนิตตะที่ทราบรายละเอียดของคดีมากกว่าที่พนักงานโรงแรมทราบ แต่นิตตะไม่บอกเล่าโดยให้เหตุผลว่าเป็นความลับของทางราชการไม่อาจให้คนนอกทราบได้

    งานบริการของนาโอมิยังคงต้องดำเนินต่อไป เกิดปัญหาจากความต้องการของลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาพักเป็นระยะ ซึ่งเธอและนิตตะต้องพยายามแก้ไขสถานการณ์ให้ผ่านพ้น ทำให้ทั้งสองเริ่มมีความเข้าใจและยอมรับในตัวตนและงานของอีกฝ่ายได้ดีขึ้นกว่าเมื่อแรกพบหน้า ลูกค้าบางคนดูไม่น่าไว้ใจและมีท่าทางแปลกจนนิตตะจับตามองเป็นพิเศษ ด้วยสัญชาตญาณของนักสืบ

    🏨

    ขณะที่มีตำรวจวัยเลยกลางคนไปแล้ว ซึ่งเป็นตำรวจในท้องที่เกิดเหตุคนหนึ่งที่รู้จักกับนิตตะ และได้รับการมอบหมายให้เป็นคู่หูสืบคดีก่อนที่นิตตะจะต้องปลอมตัวมาเป็นพนักงานต้อนรับนั้น มีน้ำใจที่อยากจะช่วยเหลือ จึงมักอาสาช่วยสืบเรื่องราวต่าง ๆ จากด้านนอก ตามที่นิตตะมีความสงสัยด้วยอีกทางหนึ่ง

    ในที่สุดนิตตะก็ทนรบเร้าจากนาโอมิไม่ไหว อีกทั้งเริ่มมีความไว้ใจเธอมากขึ้น จนยอมเล่าให้ทราบถึงปริศนาของชุดตัวเลขที่ปรากฏทุกครั้งในสถานที่พบศพอันเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ตำรวจตัดสินใจปะปนเข้ามาในโรงแรม ทำให้เธอเริ่มเกิดความตื่นตัวและทึ่งในความสามารถของเขา รวมถึงมีความกังวลถึงเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้จนส่งผลต่อสุขภาพและงานในหน้าที่ความรับผิดชอบ

    🏨

    อย่างไรก็ตาม สุดท้ายตัวคนร้ายคือคนที่คิดไม่ถึง ซึ่งไม่น่าเชื่อจริง ๆ ว่าจะวางแผนการณ์ได้อย่างแยบยลขนาดนั้น แต่แรงจูงใจในการก่อคดียังรู้สึกว่ามีน้ำหนักน้อยไปสักหน่อย คงเพราะความที่คนร้ายเป็นคนประเภทมีจิตรุนแรงในพื้นนิสัย ทำให้ต้องลุ้นเอาใจช่วยนิตตะและนาโอมิในตอนที่เนื้อเรื่องเปิดเผยให้คนอ่านทราบแล้วว่าเป็นใคร ทั้งสองจะปลอดภัยหรือไม่ จะจับตัวคนร้ายได้ไหม ใครจะถูกฆ่าเป็นรายถัดไปหรือเปล่า ต้องตามอ่านต่อในพิกัดต่อไปใครเป็นศพครับ

    🖋วิจารณ์หลังจบเรื่อง

    เป็นการเล่าในมุมมองบุคคลที่สามคือมุมมองพระเจ้า ฉากหลักตลอดทั้งเรื่องเกิดขึ้นภายในโรงแรม ตัวละครที่มีการเอ่ยชื่อและมีบทบาทสำคัญไม่เยอะจนเกินไป จึงทำให้คนอ่านจดจำและรู้สึกใกล้ชิดกับตัวเอก ไปจนตัวรองที่ถูกกล่าวถึงบ่อย ๆ ได้ไม่ยาก ความจริงในส่วนของคดีที่เกิดในเล่มนี้นั้น พูดตามจริงแล้วไม่ได้มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไร รูปแบบการฆ่าก็ธรรมดาเกินกว่าจะดูน่ากลัวหรือลึกลับ เพียงแต่มีจุดเด่นตรงชุดตัวเลขปริศนาว่าหมายถึงอะไร และชวนน่าสงสัยเล็กน้อยว่าคนร้ายจะฆ่าคนไปทำไม เพราะดูเหมือนตำรวจมีข้อมูลน้อยมาก จนการสืบสวนแทบไม่เดินหน้าไปไหนเลย

    🏨

    เป็นความตั้งใจของผู้เขียนที่คงจะต้องการให้โทนของเรื่องออกมาในลักษณะนี้ คือไม่เน้นที่การสืบสวนคลี่คลายปมเป็นพิเศษ จึงไม่จำเป็นต้องผูกเรื่องราวของคดีที่เกิดขึ้นให้มีความอลังการ จนดึงดูดความสนใจกระหายใคร่รู้ และกระตุ้มต่อมนักสืบของคนอ่านจนพุ่งสูงด้วยความเข้มข้นของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเหยื่อ แต่กลับเลือกที่จะให้ดูเป็นคดีทั่วไป ไม่มีความโชกเลือดหรือบ้าคลั่งของฆาตกรเป็นที่ปรากฏออกมาในบรรยากาศ ซึ่งในแง่นี้ถือว่านักอ่านหลายคนอาจถูกภาพปกของหนังสือหลอกเอาได้ เพราะโทนสีดำแดง กับเลือดเปรอะกระจายบนแผนที่ อีกทั้งชื่อเรื่องชวนค้นหาว่าคงจะดำเนินไปในแนวทางน่าตื่นเต้นกับการตามสืบอะไรทำนองนั้น ซึ่งใครที่คาดหวังมากก็อาจผิดหวังเมื่อพบว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นไปในทิศทางที่ตนคาดว่าจะได้พบเจอ

    🏨

    แต่นี่ไม่มีปัญหากับผม ส่วนตัวชอบมาก แทบไม่ได้สนใจในคดีด้วยซ้ำว่าใครจะเป็นคนร้าย ใครเป็นเป้าหมายที่กำลังจะถูกฆ่า และทำไมต้องฆ่า คืออ่านไปได้เรื่อย ๆ อย่างเพลิดเพลิน ชอบในความที่เนื้อหาเจาะลึกถึงวงการคนโรงแรม ทำให้เราได้รู้ข้อมูลหลายอย่าง สิ่งที่พนักงานต้องแบกรับและพบเจอที่เป็นเรื่องเบื้องลึกเบื้องหลัง ซึ่งคนทั่วไปไม่ค่อยได้คำนึงถึงและไม่เคยมองในมุมของคนทำงานเหล่านั้น จึงเป็นความบันเทิงที่สามารถได้รู้เรื่องราวอินไซด์โดยผ่านการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของนาโอมิ กับประเด็นต่าง ๆ ที่เข้ามามากมาย คล้ายกำลังได้ติดตามดูซีรีส์ชีวิตการทำงานในอาชีพด้านการบริหารโรงแรมดี ๆ สักเรื่องหนึ่ง ซึ่งอดีตเมื่อ 30 กว่าปีก่อน เคยได้รับชมมาบ้างทั้งของญี่ปุ่นและเกาหลี

    🏨

    จุดเด่นในการดำเนินเรื่องคือเราจะได้เห็นพัฒนาการความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นของสองตัวละครหลัก ในระหว่างร่วมกันแก้ไขปัญหา แม้มีความขัดแย้งจากความเห็นมุมมองที่ต่างสถานะบ้างก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ดีเสียอีกทำให้ต่างฝ่ายได้เรียนรู้เพิ่ม เป็นประสบการณ์ใหม่และเปิดมุมมองอีกด้านที่ตนไม่เคยใส่ใจ จนเกิดเป็นความเห็นอกเห็นใจ และเชื่อใจกันโดยไม่รู้ตัว แม้นภายนอกเหมือนไม่ชอบหน้ากันก็ตาม ที่สำคัญคือแม้เรื่องแนวทางการสืบหาตัวคนร้ายเหมือนไม่คืบหน้าไปไหน แต่เมื่อนาโอมิแก้ปัญหาลูกค้าไปทีละเรื่องต่อเนื่องไป ทำให้นิตตะเองสะดุดคิดได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่จะเกี่ยวโยงไปถึงคดีได้อย่างไม่ตั้งใจ บางครั้งคำพูดของนาโอมิเองช่วงสนทนากับนิตตะ ไปจุดประกายให้เขาพลันนึกอะไรได้ขึ้นมาอย่างกะทันหันก็มี รวมถึงคู่หูนายตำรวจท้องที่ผู้มีอายุมากกว่าเขา ก็ยังมีส่วนช่วยอย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน ทำให้เห็นถึงพลังของความช่วยเหลือกันและกันของความเป็นเพื่อน แม้เพิ่งทำความรู้จักกันชั่วระยะเวลาไม่นาน นี่จึงไม่ใช่นิยายสืบสวนที่เน้นความเก่งฉกาจของนักสืบที่รับผิดชอบคดีแบบฉายเดี่ยว แต่ต้องอาศัยความเชื่อใจระหว่างกันในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความเห็นที่มีของตนคนเดียวอาจจะไม่เพียงพอ

    หากพิจารณาให้ดี จะได้เห็นถึงความสำคัญของบุคคลแวดล้อมที่ดูราวกับไม่มีส่วนสำคัญ แต่แท้จริงถ้าไม่ได้ความคิดเห็นหรือความช่วยเหลือของเขา พระเอกของเราก็ยังคงไม่อาจฉุกใจได้คิด จนนำไปสู่การรู้ตัวคนร้ายในช่วงท้ายของเรื่อง

    บทสรุปก่อนจบ มีแนวโน้มให้คนอ่านได้ลุ้นว่านิตตะกับนาโอมิ จะมีความเป็นไปได้ในการเป็นคู่รักหรือไม่ แต่ที่มั่นใจคือน่าจะมีเล่มต่อให้ได้ติดตามกันอย่างแน่นอน.

    .........................................

    2. #พิกัดต่อไปใครเป็นศพตอนลางร้ายใต้หน้ากาก #masqueradeeve

    เล่มที่สองของซีรีส์ ที่ยังคงความสนุกได้ไม่แพ้เล่มแรก แต่ความหนาน้อยลงเหลือ 352 หน้า

    สำนักพิมพ์น้ำพุ ปี พ.ศ.2023 /ราคา 345 บาท
    ฮิงาชิโนะ เคโงะ เขียน
    อภิญญา เตชะบุญไพศาล แปล

    เนื้อหาย่อของเล่มนี้

    ถึงจะออกมาเป็นเล่มที่สองของชุด แต่เหตุการณ์เป็นเรื่องก่อนหน้าคดีในเล่มแรก คือย้อนไปเล่าสมัยที่นาโอมิเพิ่งจะเข้าทำงานใน คอร์เทเชียโตเกียวได้แค่สี่ปี และย้ายแผนกมาอยู่ฝ่ายต้อนรับไม่นาน ยังเห็นถึงความผิดพลาดบกพร่องที่ไม่คล่องตัว ยังไม่มีความเชื่อมั่นในประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญดังภาพที่ปรากฏในเล่มก่อนหน้า ทว่าก็ยังคงบุคลิกที่มุ่งมั่นในการให้บริการ และมีหัวใจในการคิดถึงและเอาใจใส่ต่อลูกค้าทุกคนอย่างซื่อสัตย์

    🏨

    เริ่มต้นมา นาโอมิก็ได้แสดงความสามารถที่ทำให้เห็นถึงความมีไหวพริบปฏิภาณ และช่างสังเกต อันเป็นคุณสมบัติที่ควรต้องมีในคนที่ทำอาชีพเช่นเธอ โดยมีชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งนาโอมิจดจำได้ว่าเป็นอดีตแฟนที่เคยคบหากันชั่วเวลาหนึ่งสมัยที่เธอเรียนมหาวิทยาลัย แต่มีเหตุให้ต้องเลิกราแยกย้ายกันไปคนละเส้นทาง เขามากับชายอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นนักกีฬาเบสบอลอาชีพที่มีชื่อเสียงมาก โดยทำหน้าที่เป็นผจก.ส่วนตัวนักกีฬาชาย แล้วได้เกิดเหตุการณ์ชุลมุนขึ้นในขณะที่ทั้งสองมาพักอยู่ในโรงแรม จนเป็นเหตุให้แฟนเก่าคนนี้โทร.ตามตัวนาโอมิจากหน้าฟรอนต์ให้มาช่วยแก้ไขปัญหา ซึ่งเธอไม่เต็มใจนักแต่ต้องตัดความรู้สึกส่วนตัวออก แล้วสวมหัวใจพนักงานฝ่ายต้อนรับที่ต้องช่วยเหลือบริการแก่ลูกค้าอย่างดีที่สุด ซึ่งสุดท้ายเธอก็สามารถจัดการกับปัญหาให้จบลงด้วยดี

    🏨

    ทางด้านนิตตะนั้น เพิ่งเริ่มต้นอาชีพด้วยการเข้าเป็นน้องใหม่ในสังกัดกรมตำรวจหลังกลับมาจากต่างประเทศไม่นาน โดยมีรุ่นพี่โมโตมิยะ(ปรากฏตัวในเล่มแรกด้วย โดยเป็นหนึ่งที่ปลอมตัวเข้าไปในโรงแรม) ที่เป็นคู่หูและพี่เลี้ยง ซึ่งคดีแรกที่เขาต้องคลี่คลายคือ คดีฆาตกรรมวันไวต์เดย์ โดยตำรวจได้รับแจ้งจากหญิงสาวคนหนึ่งว่าสามีของตนออกไปวิ่งออกกำลังตอนกลางดึกแต่ยังไม่กลับถึงบ้านตามเวลา สุดท้ายมีการพบว่าสามีของเธอกลายเป็นศพอยู่ในสวน ซึ่งเสียชีวิตจากการถูกแทงที่ท้องและหลัง มีอะไรหลายอย่างที่พบในที่เกิดเหตุ รวมถึงข้อมูลที่ตำรวจได้สืบทราบมา ที่รบกวนใจของนิตตะ เขาได้แสดงความสามารถออกมาเป็นที่ปรากฏจนรุ่นพี่ออกจะไม่พอใจและหมั่นไส้อยู่บ้าง ด้วยสิ่งที่นิตตะคาดคะเนและวิเคราะห์ทำให้ตำรวจสามารถพบตัวของผู้ก่อเหตุได้ในเวลาไม่นาน แต่คดีนี้มีอะไรที่ซับซ้อนยิ่งกว่าสิ่งที่ตำรวจรู้

    🏨

    ตัดมาที่การปฏิบัติงานของนาโอมิ ในเหตุการณ์ที่มีกลุ่มชายหลายคน มาจองห้องพักและมีพฤติการณ์ที่ทำให้เธอรู้สึกว่าแปลกพิกล ต่อมาทราบว่าที่แท้คนกลุ่มนี้หวังที่จะมาเฝ้ารอเพื่อจะได้พบเจอกับนักเขียนนิยายที่โด่งดังนามว่า ทาจิบานะ ซากุระซึ่งเขียนแนวประโลมโลก และจะเข้ามาพักที่โรงแรมเพื่อเขียนงานใหม่ เนื่องจากเหล่าสาวกที่ชื่นชอบงานเขียนของซากุระ ไปเห็นรูปที่ถูกระบุว่าเป็นนักเขียนหญิงคนดังในโซเชียลมีเดีย พอเห็นว่าเป็นสาวสวยจึงหาวิธีที่จะได้พบเจอตัวจริงให้ได้ จึงเป็นหน้าที่ของนาโอมิ ที่จะต้องรักษาความเป็นส่วนตัวรวมถึงความปลอดภัยให้แก่ลูกค้าที่มาใช้บริการ ความยุ่งยากจึงเกิดขึ้น

    🏨

    ตอนสุดท้าย นาโอมิได้รับการขอจากผู้จัดการให้ช่วยไปสอนงานให้กับพนักงานแผนกต้อนรับที่สาขาโอซาก้า ซึ่งเพิ่งเปิดโรงแรมได้ไม่นาน เธอจึงต้องไปทำงานอยู่ที่นั่นชั่วระยะเวลาหนึ่งแต่ไม่เกินครึ่งปี ในขณะที่นิตตะมีคดีใหม่ที่ต้องรับผิดชอบกับรุ่นพี่โมโตมิยะ คือการตายของอาจารย์มหาวิทยาลัย ที่กำลังทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องทางสิทยาศาสตร์ โดยพบศพในห้องทำงาน คดีนี้มีผู้ต้องสงสัยที่ตำรวจค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะเป็นบุคคลคนหนึ่ง แต่ทว่าเขากลับมีหลักฐานยืนยันที่อยู่ชัดเจนในช่วงเวลาที่คาดว่าเหยื่อถูกฆ่าตาย ซึ่งเจ้าตัวเข้าใจว่าตนเองรอดพ้นแน่แต่แท้จริงเบื้องหลังยังมีอะไรที่ไม่เป็นดังที่คิด ที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากกว่า

    ในกรณีทีมสืบสวนเอง ผู้ใหญ่ได้สั่งการลงมาให้นิตตะจับคู่กันกับตำรวจหญิงวัยละอ่อน ที่เป็นตำรวจท้องที่มีนามว่า ริสะ ที่ถูกย้ายมาจากแผนกความปลอดภัยชุมชน ให้มาร่วมในทีมเป็นครั้งแรก นิตตะไม่พอใจนักแต่จำใจต้องทำตาม แม้จะดูเหมือนเป็นตำรวจหญิงที่อ่อนต่อโลก พูดเป็นต่อยหอย และขาดไหวพริบม แต่ริสะก็ถือเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีความกระตือรือร้น มุ่งมั่นใส่ใจในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการที่เธอได้รับคำสั่งจากนิตตะให้ไปสืบเช็กข้อมูลจากโรงแรมคอร์เทเชียโอซาก้า เพื่อยืนยันคำพูดจากปากของชายผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในคดี ทำให้ริสะได้พบกับนาโอมิ อันก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมากมาถึงผลลัพธ์ในภายหลัง

    🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ

    เล่มนี้เล่าเรื่องโดยแยกเนื้อหาระหว่างการแก้ปัญหาในโรงแรมของนาโอมิ กับการไขคดีของนิตตะออกจากกันชัดเจนเป็นตอนที่จบในตัว เริ่มจากตอนของนาโอมิก่อน จากนั้นสลับไปเล่าฝั่งนิตตะ แต่ในตอนสุดท้ายจะผนวกสองฝั่งให้เชื่อมถึงกันในคดีที่มีผู้เกี่ยวข้องได้ไปเข้าพักที่โรงแรมคอร์เทเชียโอซาก้าซึ่งนาโอมิกำลังอยู่ในช่วงที่สอนงานให้พนักงานที่นั่น

    ทั้งคู่ไม่ได้พบกันเลย เพราะการพบกันครั้งแรกเกิดขึ้นในเล่มแรก แต่ผู้เขียนมีความสามารถในการผูกโยงเรื่องราวให้คนอ่านรู้สึกเหมือนว่าได้เห็นคนทั้งสองอย่างใกล้ชิด และได้เห็นบุคลิกกับอุปนิสัยส่วนตัวของนาโอมิกับนิตตะมากขึ้น

    นิตตะในเล่มนี้ มีโอกาสได้แสดงฝีมือในการคิดวิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์กับข้อมูลที่ใช้หาตัวคนร้าย ได้เด่นชัดกว่าเล่มแรก สมกับที่เป็นระดับหัวกะทิที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ แต่เราก็จะได้เห็นถึงข้อเสียใหญ่ของเขาที่ไม่น่ารักเช่นกัน คือเป็นคนมั่นใจในความฉลาดของตนมากจนเหมือนดูถูกคนที่ด้อยกว่า โดยเฉพาะความคิดที่เห็นว่าผู้หญิงเป็นตัวถ่วง สู้ผู้ชายไม่ได้ ดังที่นิตตะแสดงออกทางสีหน้าท่าทางและคำพูดต่อเด็กใหม่อย่างริสะ ที่เหมือนเป็นได้แค่ลูกไล่ไร้ประโยชน์ ซึ่งต่างจากนาโอมิ ที่แม้จะมองออกว่าริสะเป็นตำรวจที่ความสามารถไม่ถึงขั้น แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีรำคาญ กลับมองเห็นถึงมุมที่เป็นความอดทน ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคใดของตำรวจหญิงในการพยายามค้นหาความจริงให้ได้ ความมุ่งมั่นของริสะจึงเอาชนะใจของนาโอมิ จนยอมช่วยเหลือด้วยการเปิดเผยเรื่องราวบางส่วนให้ริสะทราบ

    ในส่วนของการคลี่คลายคดี ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนจนเกินไป แต่เล่มนี้จะเน้นไปที่คดีที่น่าจะเป็นที่มาของชื่อตอน (ลางร้ายใต้หน้ากาก) ถึงสองคดีด้วยกันครับ ถ้าได้อ่านแล้วจะเข้าใจ และน่าจะเห็นตรงกันว่าภายใต้หน้ากากที่ภายนอกดูไม่ได้รู้เลยว่าจะกลายเป็นคนร้ายได้ สุดท้ายก็แอบซ่อนความบิดเบี้ยวของใจที่โดนกิเลสเข้าครอบงำได้อย่างน่ากลัว

    ตัวละครในเรื่อง สำหรับเล่มนี้ รู้สึกว่าริสะที่แม้จะมีบทบาทเพียงแค่ช่วงคดีสุดท้ายนั้น เป็นตัวละครที่เขียนมาได้น่าสนใจมาก โผล่มาทีไรก็ทำให้คนอ่านอย่างผมอดขำไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ไปต่อในเล่มอื่น ๆ ของชุดนี้หรือไม่ ส่วนนาโอมินั้นยังคงเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์เช่นเดิม เทียบกับนิตตะแล้วส่วนตัวมีความรู้สึกชอบนาโอมิมากกว่า

    นอกจากนี้ยังชอบตอนจบของเรื่อง ที่มีการโยงถึงเหตุการณ์ที่เป็นต้นตอนำไปสู่ความอาฆาตแค้นของฆาตกรในคดีที่เกิดขึ้นในเล่มแรก สรุปว่าอ่านจบเล่มสองแล้วก็จะไปต่อเหตุการณ์ของเล่มแรกพอดี

    ใครเริ่มอ่านจากเล่มนี้ก่อน สามารถอ่านเล่มแรกต่อเนื่องได้เลย

    📌คำเตือน : สำหรับคนที่ชอบการสืบคดีแบบเข้มข้น มีวิธีการฆ่าที่ค่อนข้างแปลกพิสดารหรือโหดสยอง และมีกลวิธีในการอำพรางซ่อนเร้นที่ไม่ธรรมดา ซีรีส์ชุดนี้อาจไม่ตอบโจทย์ แล้วเลยพาลจะไม่ชอบหรือหมดสนุกได้ง่าย แต่ถ้าชอบแนวได้ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับอาชีพของตัวเอกควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และการไขคดีที่ไม่โลดโผน ชุดนี้น่าจะเป็นที่ชื่นชอบของคุณได้ไม่ยากครับ

    ป.ล. มีปกใหม่ออกมาที่คิดว่าทำได้ดีตรงกับแนวเรื่องและชื่อตอนมากกว่าปกฉบับตีพิมพ์ครั้งแรกด้วย เพราะปกของเล่มสองนี้ดูเหมือนน่าจะโหดมาก แต่เนื้อในไม่ใช่อย่างที่คิด

    ใครอ่านตั้งแต่ต้นมาจนถึงบรรทัดสุดท้ายนี้ได้ขอได้รับความขอบคุณจากผมด้วยครับ

    #thaitimes
    #หนังสือ
    #หนังสือน่าอ่าน
    #นิยายแปล
    #นิยายญี่ปุ่น
    #นิยายสืบสวน
    #สืบสวน
    #คดีฆาตกรรม
    #งานโรงแรม
    #พนักงานต้อนรับ
    #ตำรวจ
    #นักสืบ
    #ลูกค้า
    #งานบริการ
    #อาชีพ
    #ฮิงาชิโนะเคโงะ
    🔹️แพ็กคู่ซีรีส์ชุด พิกัดต่อไปใครเป็นศพ❗ คำเตือน เนื้อหายาวมากถึงมากที่สุด 1 #พิกัดต่อไปใครเป็นศพ #masqueradehotel อ่านจนจบในวันเดียว หนาถึง 547 หน้า ดีที่ขนาดไม่เทอะทะแม้หนาแต่ไม่หนัก ตอนตัดสินใจเลือกยืมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยชมที่สร้างเป็นหนังมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน พออ่านไปได้ไม่กี่หน้าเริ่มรู้สึกฉากช่างคุ้นเคย เนื้อเรื่องเหมือนเคยรู้มาก่อน ทบทวนความทรงจำตนเองจึงค่อยจำได้ว่าคือเรื่องเดียวกับหนังที่ดูจบแล้วชอบมากนั่นเอง แต่ห้วงเวลาที่ชมนั้นไม่เคยทราบว่าสร้างจากนิยายเล่มนี้ ดูเพราะชอบนักแสดงหลักทั้งสองคนเลยคือ ทาคูยะ และมาซามิ และก็ไม่ผิดหวังทั้งคู่แสดงในบทบาทที่ได้รับได้ดีมาก พระนางมีการขัดแย้งในความเห็นอย่างที่เรียกว่าคู่กัด แต่ก็ห่วงใยช่วยเหลือกันมีความน่ารักปนน่าหมั่นไส้ โรงแรมที่ใช้เป็นฉากก็หรูหราโอ่โถงงดงามน่าใช้บริการอย่างมากครับ 📚วกกลับมาเข้าเรื่องในหนังสือ สำนักพิมพ์น้ำพุ ปี พ.ศ.2023 /ราคา 425 บาท ฮิงาชิโนะ เคโงะ เขียน อภิญญา เตชะบุญไพศาล แปล เนื้อหาในเล่มกล่าวถึงชีวิตของพนักงานโรงแรมคอร์เทเชียโตเกียวสุดหรูที่มีนามว่า ยามางิชิ นาโอมิ ซึ่งเป็นตัวเอกที่ดำเนินเรื่องหลักของนิยายเล่มนี้ ที่ฉากแรกปรากฏก็เปิดตัวอย่างสง่างามสมกับความเป็นพนักงานต้อนรับมืออาชีพยิ่ง เพราะมีลูกค้าชายประเภทที่จงใจก่อปัญหาเพื่อหวังจะได้เข้าพักในห้องราคาสูงกว่าที่ตนได้เลือกจองไว้ จนพนักงานยกกระเป๋าที่เข็นของไปให้ ต้องโทร.ลงมาปรึกษาว่าจะทำอย่างไรดี ซึ่งเธอสามารถบริหารจัดการให้ผ่านพ้นสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าลงได้อย่างสวยงาม จากนั้นเรื่องจึงนำพาผู้อ่านเข้าสู่ประเด็นของที่มาอันกลายเป็นชื่อเรื่องคือ ทางผู้จัดการใหญ่ที่รับผิดชอบดูแลพนักงานในโรงแรมทั้งหมด ได้รับการติดต่อขอความร่วมมือจากกรมตำรวจนครบาลโตเกียว ในการสืบสวนคดีที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้ ที่มีแนวโน้มเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องโดยคนร้ายรายเดียวกัน 🏨 รายละเอียดของคดีคือ มีการพบศพผู้ตาย 3 ราย ในระยะเวลาห่างกันประมาณ 6-7 วันนับจากศพแรก ทราบชื่อผู้ตายทั้งสาม เป็นชาย2หญิง1 สาเหตุเสียชีวิตจากการถูกทำร้ายด้วยการตีจากด้านหลังบ้าง รัดคอบ้าง ทุกรายพบตัวเลขปริศนา2ชุดในจุดเกิดเหตุ ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าเกี่ยวข้องกับการตายของเหยื่อหรือไม่อย่างไร แต่ตำรวจมั่นใจว่าคนร้ายหมายตาที่จะก่อเหตุในครั้งต่อไป โดยเล็งเป้าหมายคือโรงแรมที่นาโอมิทำงานอยู่ ปัญหาใหญ่คือไม่ทราบว่าใครที่คนร้ายหมายจะฆ่า ทำไมถึงเลือกที่นี่ และคนร้ายคือใคร ซึ่งรายละเอียดปลีกย่อยพวกนี้ ฝ่ายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ได้คุยตกลงกันกับผู้จัดการใหญ่ของโรงแรมแล้ว ดังนั้นจึงเรียกตัว หัวหน้าจากหลายฝ่ายให้มาร่วมประชุม ไม่ว่าฝ่ายห้องพัก ฝ่ายเข็นสัมภาระลูกค้าไปส่งห้อง ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และในการนี้นาโอมิยังถูกระบุให้เข้าร่วมประชุมแม้จะเป็นแค่เพียง พนักงานระดับปฏิบัติการณ์ฝ่ายต้อนรับเท่านั้น 🏨 เหตุผลเพราะหัวหน้างานไว้วางใจ เชื่อมั่นในคุณสมบัติและประสบการณ์ของเธอจะสามารถเป็นพี่เลี้ยงให้กับตำรวจ ที่จะปลอมเข้ามาเป็นพนักงานเพื่อเฝ้าสังเกตบุคคลที่มาใช้บริการโรงแรม ซึ่งแผนกต้อนรับเองนาโอมิถูกเลือกให้จับคู่กับรองสารวัตรนิตตะ ส่วนแผนกอื่นก็มีตำรวจปลอมตัวเข้าไปด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นก็มีตำรวจส่วนหนึ่งที่ถูกสั่งการให้ปะปนเข้ามาเป็นคนใช้บริการหรือจับตาความเคลื่อนไหวบริเวณโถงรับแขก ห้องอาหาร และอื่นๆ 🏨 นั่นคือจุดเริ่มแห่งความหรรษา เพราะนิตตะไม่ชอบอะไรที่เป็นพิธีการ แต่จำใจต้องเชื่อฟังนาโอมิที่อายุน้อยกว่า ตั้งแต่เรื่องชุดพนักงาน ท่าทีการพูดจา บุคลิกภายนอกที่ต้องถูกปรับให้กลายจากความเป็นตำรวจมาเป็นพนักงานต้อนรับให้สมจริงมากที่สุด ทั้งคู่จึงมีการกระทบกระทั่งทางความคิดที่ไม่ตรงกัน จนมีการโต้เถียงบ่อยครั้ง ซึ่งเป็นความบันเทิงประการหนึ่ง ด้วยคู่นี้มีความน่ารัก น่าลุ้น ที่จะกลายมาเป็นคู่ใจในอนาคตได้ 🏨 ระหว่างนั้น นาโอมิมีข้อสงสัยมากมายหลายประการ เธอมักถามนิตตะที่ทราบรายละเอียดของคดีมากกว่าที่พนักงานโรงแรมทราบ แต่นิตตะไม่บอกเล่าโดยให้เหตุผลว่าเป็นความลับของทางราชการไม่อาจให้คนนอกทราบได้ งานบริการของนาโอมิยังคงต้องดำเนินต่อไป เกิดปัญหาจากความต้องการของลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาพักเป็นระยะ ซึ่งเธอและนิตตะต้องพยายามแก้ไขสถานการณ์ให้ผ่านพ้น ทำให้ทั้งสองเริ่มมีความเข้าใจและยอมรับในตัวตนและงานของอีกฝ่ายได้ดีขึ้นกว่าเมื่อแรกพบหน้า ลูกค้าบางคนดูไม่น่าไว้ใจและมีท่าทางแปลกจนนิตตะจับตามองเป็นพิเศษ ด้วยสัญชาตญาณของนักสืบ 🏨 ขณะที่มีตำรวจวัยเลยกลางคนไปแล้ว ซึ่งเป็นตำรวจในท้องที่เกิดเหตุคนหนึ่งที่รู้จักกับนิตตะ และได้รับการมอบหมายให้เป็นคู่หูสืบคดีก่อนที่นิตตะจะต้องปลอมตัวมาเป็นพนักงานต้อนรับนั้น มีน้ำใจที่อยากจะช่วยเหลือ จึงมักอาสาช่วยสืบเรื่องราวต่าง ๆ จากด้านนอก ตามที่นิตตะมีความสงสัยด้วยอีกทางหนึ่ง ในที่สุดนิตตะก็ทนรบเร้าจากนาโอมิไม่ไหว อีกทั้งเริ่มมีความไว้ใจเธอมากขึ้น จนยอมเล่าให้ทราบถึงปริศนาของชุดตัวเลขที่ปรากฏทุกครั้งในสถานที่พบศพอันเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ตำรวจตัดสินใจปะปนเข้ามาในโรงแรม ทำให้เธอเริ่มเกิดความตื่นตัวและทึ่งในความสามารถของเขา รวมถึงมีความกังวลถึงเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้จนส่งผลต่อสุขภาพและงานในหน้าที่ความรับผิดชอบ 🏨 อย่างไรก็ตาม สุดท้ายตัวคนร้ายคือคนที่คิดไม่ถึง ซึ่งไม่น่าเชื่อจริง ๆ ว่าจะวางแผนการณ์ได้อย่างแยบยลขนาดนั้น แต่แรงจูงใจในการก่อคดียังรู้สึกว่ามีน้ำหนักน้อยไปสักหน่อย คงเพราะความที่คนร้ายเป็นคนประเภทมีจิตรุนแรงในพื้นนิสัย ทำให้ต้องลุ้นเอาใจช่วยนิตตะและนาโอมิในตอนที่เนื้อเรื่องเปิดเผยให้คนอ่านทราบแล้วว่าเป็นใคร ทั้งสองจะปลอดภัยหรือไม่ จะจับตัวคนร้ายได้ไหม ใครจะถูกฆ่าเป็นรายถัดไปหรือเปล่า ต้องตามอ่านต่อในพิกัดต่อไปใครเป็นศพครับ 🖋วิจารณ์หลังจบเรื่อง เป็นการเล่าในมุมมองบุคคลที่สามคือมุมมองพระเจ้า ฉากหลักตลอดทั้งเรื่องเกิดขึ้นภายในโรงแรม ตัวละครที่มีการเอ่ยชื่อและมีบทบาทสำคัญไม่เยอะจนเกินไป จึงทำให้คนอ่านจดจำและรู้สึกใกล้ชิดกับตัวเอก ไปจนตัวรองที่ถูกกล่าวถึงบ่อย ๆ ได้ไม่ยาก ความจริงในส่วนของคดีที่เกิดในเล่มนี้นั้น พูดตามจริงแล้วไม่ได้มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไร รูปแบบการฆ่าก็ธรรมดาเกินกว่าจะดูน่ากลัวหรือลึกลับ เพียงแต่มีจุดเด่นตรงชุดตัวเลขปริศนาว่าหมายถึงอะไร และชวนน่าสงสัยเล็กน้อยว่าคนร้ายจะฆ่าคนไปทำไม เพราะดูเหมือนตำรวจมีข้อมูลน้อยมาก จนการสืบสวนแทบไม่เดินหน้าไปไหนเลย 🏨 เป็นความตั้งใจของผู้เขียนที่คงจะต้องการให้โทนของเรื่องออกมาในลักษณะนี้ คือไม่เน้นที่การสืบสวนคลี่คลายปมเป็นพิเศษ จึงไม่จำเป็นต้องผูกเรื่องราวของคดีที่เกิดขึ้นให้มีความอลังการ จนดึงดูดความสนใจกระหายใคร่รู้ และกระตุ้มต่อมนักสืบของคนอ่านจนพุ่งสูงด้วยความเข้มข้นของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเหยื่อ แต่กลับเลือกที่จะให้ดูเป็นคดีทั่วไป ไม่มีความโชกเลือดหรือบ้าคลั่งของฆาตกรเป็นที่ปรากฏออกมาในบรรยากาศ ซึ่งในแง่นี้ถือว่านักอ่านหลายคนอาจถูกภาพปกของหนังสือหลอกเอาได้ เพราะโทนสีดำแดง กับเลือดเปรอะกระจายบนแผนที่ อีกทั้งชื่อเรื่องชวนค้นหาว่าคงจะดำเนินไปในแนวทางน่าตื่นเต้นกับการตามสืบอะไรทำนองนั้น ซึ่งใครที่คาดหวังมากก็อาจผิดหวังเมื่อพบว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นไปในทิศทางที่ตนคาดว่าจะได้พบเจอ 🏨 แต่นี่ไม่มีปัญหากับผม ส่วนตัวชอบมาก แทบไม่ได้สนใจในคดีด้วยซ้ำว่าใครจะเป็นคนร้าย ใครเป็นเป้าหมายที่กำลังจะถูกฆ่า และทำไมต้องฆ่า คืออ่านไปได้เรื่อย ๆ อย่างเพลิดเพลิน ชอบในความที่เนื้อหาเจาะลึกถึงวงการคนโรงแรม ทำให้เราได้รู้ข้อมูลหลายอย่าง สิ่งที่พนักงานต้องแบกรับและพบเจอที่เป็นเรื่องเบื้องลึกเบื้องหลัง ซึ่งคนทั่วไปไม่ค่อยได้คำนึงถึงและไม่เคยมองในมุมของคนทำงานเหล่านั้น จึงเป็นความบันเทิงที่สามารถได้รู้เรื่องราวอินไซด์โดยผ่านการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของนาโอมิ กับประเด็นต่าง ๆ ที่เข้ามามากมาย คล้ายกำลังได้ติดตามดูซีรีส์ชีวิตการทำงานในอาชีพด้านการบริหารโรงแรมดี ๆ สักเรื่องหนึ่ง ซึ่งอดีตเมื่อ 30 กว่าปีก่อน เคยได้รับชมมาบ้างทั้งของญี่ปุ่นและเกาหลี 🏨 จุดเด่นในการดำเนินเรื่องคือเราจะได้เห็นพัฒนาการความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นของสองตัวละครหลัก ในระหว่างร่วมกันแก้ไขปัญหา แม้มีความขัดแย้งจากความเห็นมุมมองที่ต่างสถานะบ้างก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ดีเสียอีกทำให้ต่างฝ่ายได้เรียนรู้เพิ่ม เป็นประสบการณ์ใหม่และเปิดมุมมองอีกด้านที่ตนไม่เคยใส่ใจ จนเกิดเป็นความเห็นอกเห็นใจ และเชื่อใจกันโดยไม่รู้ตัว แม้นภายนอกเหมือนไม่ชอบหน้ากันก็ตาม ที่สำคัญคือแม้เรื่องแนวทางการสืบหาตัวคนร้ายเหมือนไม่คืบหน้าไปไหน แต่เมื่อนาโอมิแก้ปัญหาลูกค้าไปทีละเรื่องต่อเนื่องไป ทำให้นิตตะเองสะดุดคิดได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่จะเกี่ยวโยงไปถึงคดีได้อย่างไม่ตั้งใจ บางครั้งคำพูดของนาโอมิเองช่วงสนทนากับนิตตะ ไปจุดประกายให้เขาพลันนึกอะไรได้ขึ้นมาอย่างกะทันหันก็มี รวมถึงคู่หูนายตำรวจท้องที่ผู้มีอายุมากกว่าเขา ก็ยังมีส่วนช่วยอย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน ทำให้เห็นถึงพลังของความช่วยเหลือกันและกันของความเป็นเพื่อน แม้เพิ่งทำความรู้จักกันชั่วระยะเวลาไม่นาน นี่จึงไม่ใช่นิยายสืบสวนที่เน้นความเก่งฉกาจของนักสืบที่รับผิดชอบคดีแบบฉายเดี่ยว แต่ต้องอาศัยความเชื่อใจระหว่างกันในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความเห็นที่มีของตนคนเดียวอาจจะไม่เพียงพอ หากพิจารณาให้ดี จะได้เห็นถึงความสำคัญของบุคคลแวดล้อมที่ดูราวกับไม่มีส่วนสำคัญ แต่แท้จริงถ้าไม่ได้ความคิดเห็นหรือความช่วยเหลือของเขา พระเอกของเราก็ยังคงไม่อาจฉุกใจได้คิด จนนำไปสู่การรู้ตัวคนร้ายในช่วงท้ายของเรื่อง บทสรุปก่อนจบ มีแนวโน้มให้คนอ่านได้ลุ้นว่านิตตะกับนาโอมิ จะมีความเป็นไปได้ในการเป็นคู่รักหรือไม่ แต่ที่มั่นใจคือน่าจะมีเล่มต่อให้ได้ติดตามกันอย่างแน่นอน. ......................................... 2. #พิกัดต่อไปใครเป็นศพตอนลางร้ายใต้หน้ากาก #masqueradeeve เล่มที่สองของซีรีส์ ที่ยังคงความสนุกได้ไม่แพ้เล่มแรก แต่ความหนาน้อยลงเหลือ 352 หน้า สำนักพิมพ์น้ำพุ ปี พ.ศ.2023 /ราคา 345 บาท ฮิงาชิโนะ เคโงะ เขียน อภิญญา เตชะบุญไพศาล แปล เนื้อหาย่อของเล่มนี้ ถึงจะออกมาเป็นเล่มที่สองของชุด แต่เหตุการณ์เป็นเรื่องก่อนหน้าคดีในเล่มแรก คือย้อนไปเล่าสมัยที่นาโอมิเพิ่งจะเข้าทำงานใน คอร์เทเชียโตเกียวได้แค่สี่ปี และย้ายแผนกมาอยู่ฝ่ายต้อนรับไม่นาน ยังเห็นถึงความผิดพลาดบกพร่องที่ไม่คล่องตัว ยังไม่มีความเชื่อมั่นในประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญดังภาพที่ปรากฏในเล่มก่อนหน้า ทว่าก็ยังคงบุคลิกที่มุ่งมั่นในการให้บริการ และมีหัวใจในการคิดถึงและเอาใจใส่ต่อลูกค้าทุกคนอย่างซื่อสัตย์ 🏨 เริ่มต้นมา นาโอมิก็ได้แสดงความสามารถที่ทำให้เห็นถึงความมีไหวพริบปฏิภาณ และช่างสังเกต อันเป็นคุณสมบัติที่ควรต้องมีในคนที่ทำอาชีพเช่นเธอ โดยมีชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งนาโอมิจดจำได้ว่าเป็นอดีตแฟนที่เคยคบหากันชั่วเวลาหนึ่งสมัยที่เธอเรียนมหาวิทยาลัย แต่มีเหตุให้ต้องเลิกราแยกย้ายกันไปคนละเส้นทาง เขามากับชายอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นนักกีฬาเบสบอลอาชีพที่มีชื่อเสียงมาก โดยทำหน้าที่เป็นผจก.ส่วนตัวนักกีฬาชาย แล้วได้เกิดเหตุการณ์ชุลมุนขึ้นในขณะที่ทั้งสองมาพักอยู่ในโรงแรม จนเป็นเหตุให้แฟนเก่าคนนี้โทร.ตามตัวนาโอมิจากหน้าฟรอนต์ให้มาช่วยแก้ไขปัญหา ซึ่งเธอไม่เต็มใจนักแต่ต้องตัดความรู้สึกส่วนตัวออก แล้วสวมหัวใจพนักงานฝ่ายต้อนรับที่ต้องช่วยเหลือบริการแก่ลูกค้าอย่างดีที่สุด ซึ่งสุดท้ายเธอก็สามารถจัดการกับปัญหาให้จบลงด้วยดี 🏨 ทางด้านนิตตะนั้น เพิ่งเริ่มต้นอาชีพด้วยการเข้าเป็นน้องใหม่ในสังกัดกรมตำรวจหลังกลับมาจากต่างประเทศไม่นาน โดยมีรุ่นพี่โมโตมิยะ(ปรากฏตัวในเล่มแรกด้วย โดยเป็นหนึ่งที่ปลอมตัวเข้าไปในโรงแรม) ที่เป็นคู่หูและพี่เลี้ยง ซึ่งคดีแรกที่เขาต้องคลี่คลายคือ คดีฆาตกรรมวันไวต์เดย์ โดยตำรวจได้รับแจ้งจากหญิงสาวคนหนึ่งว่าสามีของตนออกไปวิ่งออกกำลังตอนกลางดึกแต่ยังไม่กลับถึงบ้านตามเวลา สุดท้ายมีการพบว่าสามีของเธอกลายเป็นศพอยู่ในสวน ซึ่งเสียชีวิตจากการถูกแทงที่ท้องและหลัง มีอะไรหลายอย่างที่พบในที่เกิดเหตุ รวมถึงข้อมูลที่ตำรวจได้สืบทราบมา ที่รบกวนใจของนิตตะ เขาได้แสดงความสามารถออกมาเป็นที่ปรากฏจนรุ่นพี่ออกจะไม่พอใจและหมั่นไส้อยู่บ้าง ด้วยสิ่งที่นิตตะคาดคะเนและวิเคราะห์ทำให้ตำรวจสามารถพบตัวของผู้ก่อเหตุได้ในเวลาไม่นาน แต่คดีนี้มีอะไรที่ซับซ้อนยิ่งกว่าสิ่งที่ตำรวจรู้ 🏨 ตัดมาที่การปฏิบัติงานของนาโอมิ ในเหตุการณ์ที่มีกลุ่มชายหลายคน มาจองห้องพักและมีพฤติการณ์ที่ทำให้เธอรู้สึกว่าแปลกพิกล ต่อมาทราบว่าที่แท้คนกลุ่มนี้หวังที่จะมาเฝ้ารอเพื่อจะได้พบเจอกับนักเขียนนิยายที่โด่งดังนามว่า ทาจิบานะ ซากุระซึ่งเขียนแนวประโลมโลก และจะเข้ามาพักที่โรงแรมเพื่อเขียนงานใหม่ เนื่องจากเหล่าสาวกที่ชื่นชอบงานเขียนของซากุระ ไปเห็นรูปที่ถูกระบุว่าเป็นนักเขียนหญิงคนดังในโซเชียลมีเดีย พอเห็นว่าเป็นสาวสวยจึงหาวิธีที่จะได้พบเจอตัวจริงให้ได้ จึงเป็นหน้าที่ของนาโอมิ ที่จะต้องรักษาความเป็นส่วนตัวรวมถึงความปลอดภัยให้แก่ลูกค้าที่มาใช้บริการ ความยุ่งยากจึงเกิดขึ้น 🏨 ตอนสุดท้าย นาโอมิได้รับการขอจากผู้จัดการให้ช่วยไปสอนงานให้กับพนักงานแผนกต้อนรับที่สาขาโอซาก้า ซึ่งเพิ่งเปิดโรงแรมได้ไม่นาน เธอจึงต้องไปทำงานอยู่ที่นั่นชั่วระยะเวลาหนึ่งแต่ไม่เกินครึ่งปี ในขณะที่นิตตะมีคดีใหม่ที่ต้องรับผิดชอบกับรุ่นพี่โมโตมิยะ คือการตายของอาจารย์มหาวิทยาลัย ที่กำลังทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องทางสิทยาศาสตร์ โดยพบศพในห้องทำงาน คดีนี้มีผู้ต้องสงสัยที่ตำรวจค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะเป็นบุคคลคนหนึ่ง แต่ทว่าเขากลับมีหลักฐานยืนยันที่อยู่ชัดเจนในช่วงเวลาที่คาดว่าเหยื่อถูกฆ่าตาย ซึ่งเจ้าตัวเข้าใจว่าตนเองรอดพ้นแน่แต่แท้จริงเบื้องหลังยังมีอะไรที่ไม่เป็นดังที่คิด ที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากกว่า ในกรณีทีมสืบสวนเอง ผู้ใหญ่ได้สั่งการลงมาให้นิตตะจับคู่กันกับตำรวจหญิงวัยละอ่อน ที่เป็นตำรวจท้องที่มีนามว่า ริสะ ที่ถูกย้ายมาจากแผนกความปลอดภัยชุมชน ให้มาร่วมในทีมเป็นครั้งแรก นิตตะไม่พอใจนักแต่จำใจต้องทำตาม แม้จะดูเหมือนเป็นตำรวจหญิงที่อ่อนต่อโลก พูดเป็นต่อยหอย และขาดไหวพริบม แต่ริสะก็ถือเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีความกระตือรือร้น มุ่งมั่นใส่ใจในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการที่เธอได้รับคำสั่งจากนิตตะให้ไปสืบเช็กข้อมูลจากโรงแรมคอร์เทเชียโอซาก้า เพื่อยืนยันคำพูดจากปากของชายผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในคดี ทำให้ริสะได้พบกับนาโอมิ อันก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมากมาถึงผลลัพธ์ในภายหลัง 🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ เล่มนี้เล่าเรื่องโดยแยกเนื้อหาระหว่างการแก้ปัญหาในโรงแรมของนาโอมิ กับการไขคดีของนิตตะออกจากกันชัดเจนเป็นตอนที่จบในตัว เริ่มจากตอนของนาโอมิก่อน จากนั้นสลับไปเล่าฝั่งนิตตะ แต่ในตอนสุดท้ายจะผนวกสองฝั่งให้เชื่อมถึงกันในคดีที่มีผู้เกี่ยวข้องได้ไปเข้าพักที่โรงแรมคอร์เทเชียโอซาก้าซึ่งนาโอมิกำลังอยู่ในช่วงที่สอนงานให้พนักงานที่นั่น ทั้งคู่ไม่ได้พบกันเลย เพราะการพบกันครั้งแรกเกิดขึ้นในเล่มแรก แต่ผู้เขียนมีความสามารถในการผูกโยงเรื่องราวให้คนอ่านรู้สึกเหมือนว่าได้เห็นคนทั้งสองอย่างใกล้ชิด และได้เห็นบุคลิกกับอุปนิสัยส่วนตัวของนาโอมิกับนิตตะมากขึ้น นิตตะในเล่มนี้ มีโอกาสได้แสดงฝีมือในการคิดวิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์กับข้อมูลที่ใช้หาตัวคนร้าย ได้เด่นชัดกว่าเล่มแรก สมกับที่เป็นระดับหัวกะทิที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ แต่เราก็จะได้เห็นถึงข้อเสียใหญ่ของเขาที่ไม่น่ารักเช่นกัน คือเป็นคนมั่นใจในความฉลาดของตนมากจนเหมือนดูถูกคนที่ด้อยกว่า โดยเฉพาะความคิดที่เห็นว่าผู้หญิงเป็นตัวถ่วง สู้ผู้ชายไม่ได้ ดังที่นิตตะแสดงออกทางสีหน้าท่าทางและคำพูดต่อเด็กใหม่อย่างริสะ ที่เหมือนเป็นได้แค่ลูกไล่ไร้ประโยชน์ ซึ่งต่างจากนาโอมิ ที่แม้จะมองออกว่าริสะเป็นตำรวจที่ความสามารถไม่ถึงขั้น แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีรำคาญ กลับมองเห็นถึงมุมที่เป็นความอดทน ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคใดของตำรวจหญิงในการพยายามค้นหาความจริงให้ได้ ความมุ่งมั่นของริสะจึงเอาชนะใจของนาโอมิ จนยอมช่วยเหลือด้วยการเปิดเผยเรื่องราวบางส่วนให้ริสะทราบ ในส่วนของการคลี่คลายคดี ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนจนเกินไป แต่เล่มนี้จะเน้นไปที่คดีที่น่าจะเป็นที่มาของชื่อตอน (ลางร้ายใต้หน้ากาก) ถึงสองคดีด้วยกันครับ ถ้าได้อ่านแล้วจะเข้าใจ และน่าจะเห็นตรงกันว่าภายใต้หน้ากากที่ภายนอกดูไม่ได้รู้เลยว่าจะกลายเป็นคนร้ายได้ สุดท้ายก็แอบซ่อนความบิดเบี้ยวของใจที่โดนกิเลสเข้าครอบงำได้อย่างน่ากลัว ตัวละครในเรื่อง สำหรับเล่มนี้ รู้สึกว่าริสะที่แม้จะมีบทบาทเพียงแค่ช่วงคดีสุดท้ายนั้น เป็นตัวละครที่เขียนมาได้น่าสนใจมาก โผล่มาทีไรก็ทำให้คนอ่านอย่างผมอดขำไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ไปต่อในเล่มอื่น ๆ ของชุดนี้หรือไม่ ส่วนนาโอมินั้นยังคงเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์เช่นเดิม เทียบกับนิตตะแล้วส่วนตัวมีความรู้สึกชอบนาโอมิมากกว่า นอกจากนี้ยังชอบตอนจบของเรื่อง ที่มีการโยงถึงเหตุการณ์ที่เป็นต้นตอนำไปสู่ความอาฆาตแค้นของฆาตกรในคดีที่เกิดขึ้นในเล่มแรก สรุปว่าอ่านจบเล่มสองแล้วก็จะไปต่อเหตุการณ์ของเล่มแรกพอดี ใครเริ่มอ่านจากเล่มนี้ก่อน สามารถอ่านเล่มแรกต่อเนื่องได้เลย 📌คำเตือน : สำหรับคนที่ชอบการสืบคดีแบบเข้มข้น มีวิธีการฆ่าที่ค่อนข้างแปลกพิสดารหรือโหดสยอง และมีกลวิธีในการอำพรางซ่อนเร้นที่ไม่ธรรมดา ซีรีส์ชุดนี้อาจไม่ตอบโจทย์ แล้วเลยพาลจะไม่ชอบหรือหมดสนุกได้ง่าย แต่ถ้าชอบแนวได้ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับอาชีพของตัวเอกควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และการไขคดีที่ไม่โลดโผน ชุดนี้น่าจะเป็นที่ชื่นชอบของคุณได้ไม่ยากครับ ป.ล. มีปกใหม่ออกมาที่คิดว่าทำได้ดีตรงกับแนวเรื่องและชื่อตอนมากกว่าปกฉบับตีพิมพ์ครั้งแรกด้วย เพราะปกของเล่มสองนี้ดูเหมือนน่าจะโหดมาก แต่เนื้อในไม่ใช่อย่างที่คิด ใครอ่านตั้งแต่ต้นมาจนถึงบรรทัดสุดท้ายนี้ได้ขอได้รับความขอบคุณจากผมด้วยครับ #thaitimes #หนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #นิยายแปล #นิยายญี่ปุ่น #นิยายสืบสวน #สืบสวน #คดีฆาตกรรม #งานโรงแรม #พนักงานต้อนรับ #ตำรวจ #นักสืบ #ลูกค้า #งานบริการ #อาชีพ #ฮิงาชิโนะเคโงะ
    0 Comments 0 Shares 877 Views 0 Reviews
  • รีโพสต์เรื่องอื้อฉาวโสมมของDiddyเจ้าพ่อบันเทิงคนดังของอเมริกา
    “ปรากฏการณ์ดิ๊ดดี้ (Diddy) สะเทือนสังคมอเมริกันอย่างรุนแรง เพราะมีเซเลบริตี้เข้าไปข้องเกี่ยวมากมาย

    ก่อนจะเกิดเรื่องฉาว ดิ๊ดดี้ มีความสัมพันธ์ดีๆ กับ นักกีฬาระดับโลกหลายคน แต่ในวันนี้ทุกคนตัดความสัมพันธ์ทิ้งหมดแล้ว

    เลอบรอน เจมส์ นักบาสเกตบอลผู้โด่งดัง สนิทสนมกับดิ๊ดดี้ เป็นการส่วนตัว ลูกชายคนเล็กของเขาชื่อ บรีซ เคยไปเที่ยวกับ เจสซี่ และ ดีลีล่า ลูกสาวแฝดของดิ๊ดดี้ และเคยถ่ายคลิปเต้นด้วยกันอีกต่างหาก

    เลอบรอน เคยพูดอินสตาแกรมไลฟ์ ว่า "ทุกคนรู้ว่า ไม่มีปาร์ตี้ไหน จะเหมือนปาร์ตี้ของดิ๊ดดี้" กลายเป็นประโยคไวรัล ที่จะถูกใช้ไปอีกนานต่อจากนี้

    แต่จากความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ล่าสุดเลอบรอน อันฟอลโลว์ดิ๊ดดี้ไปแล้วเรียบร้อย ตัดขาดกันไปเลย ไม่อยากข้องเกี่ยวใดๆ ด้วย

    แพทริก มาโฮมส์ ควอเตอร์แบ็กจากแคนซัส ซิตี้ ชีฟส์ เจ้าของแชมป์ซูเปอร์โบวล์ 3 สมัย ไล่ลบทวีต ที่เคยแฮปปี้เบิร์ธเดย์ ดิ๊ดดี้ พยายามไม่ให้เหลือหลักฐานว่าเคยสนิทกัน (แต่โดนคนแคปเก็บไว้แล้ว)

    เช่นเดียวกับ สเตฟเฟ่น เคอร์รี่ และ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ ก็อันฟอลโลว์ดิ๊ดดี้ ในโซเชียลมีเดียไปแล้วทั้งหมด

    เรื่องราวของดิ๊ดดี้เป็นอย่างไร ทำไมนักกีฬาต้องเลิกติดตามเขา เราจะไปลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่แรก อย่างเข้าใจง่ายนะครับ

    ดิ๊ดดี้ มีชื่อจริงว่า ฌอน คอมบ์ส เขาเป็นคนนิวยอร์ก และเข้าสู่วงการดนตรีตั้งแต่วัยรุ่น และอยู่ในอุตสาหกรรมนี้มา 3 ทศวรรษ ถือเป็นหนึ่งในเลเจนด์ของวงการเพลงแร็พ

    ฌอน คอมบ์ส มีชื่อในวงการหลายชื่อ เช่น Diddy, P.Diddy, Puff Daddy เป็นต้น

    ดิ๊ดดี้ ได้รางวัลใหญ่ๆ ในด้านดนตรีมาแล้ว แทบทุกสถาบัน เช่นแกรมมี่ อวอร์ดส และ MTV Music Awards

    เขามีซิงเกิ้ลขึ้นอันดับ 1 บิลบอร์ด ถึง 3 เพลง โดยหนึ่งในเพลงคลาสสิคที่สุด ที่ทุกคนน่าจะเคยได้ยินแน่นอน คือเพลงชื่อ I'll be missing you แค่อินโทรดังขึ้นมา ก็ติดหูแล้ว (แต่จริงๆ ไปเอาทำนองมาจากเพลงชื่อ Every Breath You Take ของ Police)

    ในปี 1993 ดิ๊ดดี้ เปิดค่ายเพลงชื่อ แบด บอย เรคคอร์ดส และเป็นโปรดิวเซอร์ให้สตาร์ของวงการมาแล้วหลายคน เช่น The Notorious B.I.G. ที่เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนในยุคปัจจุบันก็มี MGK ศิลปินที่ทำเพลงร้อยล้านวิวเป็นว่าเล่น

    ดิ๊ดดี้ ไม่ใช่แค่ทำเพลงเก่งอย่างเดียว แต่ยังมีหัวธุรกิจในระดับสุดยอดอีกด้วย พอมีชื่อเสียงจากฮิปฮอป เขาต่อยอดไปทำแบรนด์เสื้อผ้าชื่อ ฌอน จอห์น ตามด้วยเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ให้กับว็อดก้ายี่ห้อซิร็อค ได้รับส่วนแบ่งยอดขายต่อขวด

    นอกจากนั้น เขายังก่อตั้งสถานีโทรทัศน์ชื่อ Revolt TV เพื่อนำเสนอวัฒนธรรมและดนตรี ของกลุ่มแอฟริกัน อเมริกัน โดยเฉพาะ

    และในที่สุด ปี 2022 ดิ๊ดดี้ ก็มีสินทรัพย์ทะลุ 1 พันล้านดอลลาร์ (32,000 ล้านบาท) กลายเป็นศิลปินฮิปฮอปแค่ไม่กี่คนบนโลก ที่มีรายได้มหาศาลในเลเวลนี้

    ไม่ใช่แค่ความรวย แต่ดิ๊ดดี้ ยังสร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นมา รวมถึงสร้างเครือข่ายของกลุ่มเซเลบริตี้ ที่คอยซัพพอร์ทช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ทำให้ดิ๊ดดี้ ถูกสื่อมวลชน ใช้คำว่า Mogul (ผู้มีอำนาจ, เจ้าพ่อ) ในวงการดนตรี

    ดิ๊ดดี้นั้น ขึ้นชื่อมาก เรื่องการจัดงานปาร์ตี้ ในช่วงปี 1998-2009 เขาจัดงานชื่อ "ไวท์ปาร์ตี้" สังสรรค์เฉพาะกลุ่มคนรวย คนดัง ใส่เสื้อขาวทั้งงาน เป็นปาร์ตี้ที่พวกเซเล็บอยากไปร่วมกันมากๆ

    ชีวิตของเขาก็ดูราบรื่นดี อย่างในปี 2022 เขาจัดงานปาร์ตี้ ฉลองวันเกิดอายุ 53 ปี ที่เบเวอร์ลี่ฮิลส์ คนดังๆ ทั้ง เจย์ซี, ทราวิส สกอตต์, แมรี่ เจ ไบล์ และ คริส บราวน์ ก็มาร่วมงานด้วย ดูแล้ว ชีวิตก็สบายๆ ไม่มีปัญหาอะไร

    ส่วนเรื่องพฤติกรรมส่วนตัวนั้น ในอดีต เขาโดนคดีต่างๆ มาบ้าง เช่น พกพาอาวุธปืน หรือ ทำร้ายร่างกายคนอื่น แต่ก็รอดมาได้ตลอด ไม่เคยต้องติดคุกสักครั้ง

    อย่างไรก็ตาม ชีวิตของดิ๊ดดี้ ต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นับจากวันที่ 16 พฤศจิกายน 2023 เมื่อคาซานดร้า เวนทูร่า หรือ แคสซี่ อดีตแฟนสาวของของเขา ที่เลิกรากันไปแล้ว ไปแจ้งความที่นิวยอร์ก

    แคสซี่ ระบายความในใจทั้งหมดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าช่วงเวลาที่เธอคบหากับดิ๊ดดี้ มีแต่ความทรมาน และโดนทำร้ายร่างกายเป็นว่าเล่น

    เธอบอกว่าเคยโดนดิ๊ดดี้ ทั้งเตะ ทั้งต่อย จนตาเขียวช้ำ เลือดออก และมีแผลทั่วร่างกาย ครั้งหนึ่งเคยโดนต่อยท้องต่อหน้าเพื่อนๆ ของดิ๊ดดี้ด้วย

    นอกจากนั้น ยังใช้อำนาจในการบังคับ และล่อลวง ให้เธอมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายคนอื่น โดยที่ดิ๊ดดี้จะนั่งดูอย่างสนุกสนาน เหมือนกิจกรรมบันเทิง

    ตลอดช่วงที่คบกัน แคสซี่ โดนกระทำมากมาย เช่นบีบคอ ผลักรุนแรงจนกระแทกกำแพง เคยโดนปาไข่ใส่หน้ามาแล้ว เวลาทำอะไรไม่ถูกใจ

    ไม่ใช่แค่ทำร้ายร่างกาย หรือ บังคับเรื่องเพศ แต่ดิ๊ดดี้ ยังมีส่วนพัวพันกับอาชญากรรมหลายอย่าง หนึ่งในนั้น คือการจ้างคนไปเผารถยนต์ ของแรพเปอร์ชื่อ คิด คูดี้ ที่มีข่าวว่าปลื้มแคสซี่

    แล้วไม่ใช่แค่เรื่องที่ตัวเธอโดน แต่แคสซี่ แฉมากกว่านั้น บอกว่า มีปาร์ตี้พิสดาร ที่ดิ๊ดดี้เป็นเจ้าภาพ มีชื่อว่า "freak offs" (ปาร์ตี้หลุดโลก) โดยในงานมีเหล้า มียา สารผิดกฎหมาย และมีการจ้างเด็กเอ็น ทั้งชายและหญิง มามีเซ็กส์กันแบบมั่วสุดๆ และยังมีการถ่ายคลิปเก็บไว้ด้วย โดยไม่สนใจว่า คนในงานจะเต็มใจหรือไม่

    เมื่อโดนแจ้งความใส่ยับแบบนี้ ดิ๊ดดี้ ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เขาว่าจ้างทนายให้มาสู้คดีกับแคสซี่บนศาล คุณมีหลักฐานอะไรก็งัดกันออกมาดู

    หลังจากที่แคสซี่ ทำการแฉดิ๊ดดี้นั้น ในจังหวะใกล้ๆ กัน มีคนออกมาแจ้งความใส่ดิ๊ดดี้รัวๆ แบบต่างกรรมต่างวาระ เช่น

    - จอย ดิกเกอร์สัน-นีล เธออ้างว่า ในสมัยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เธอโดนดิ๊ดดี้ ถ่ายคลิประหว่างใช้กำลังมีเซ็กส์กับเธอ จ่ายนั้นเอาไปส่งต่อให้คนอื่น โดยที่เธอไม่ได้ยินยอม

    - ลิซ่า การ์ดเนอร์ บอกว่าเธอกับเพื่อนถูกชวนไปปาร์ตี้ตอนอายุ 16 และโดนดิ๊ดดี้ กับ เพื่อน ล่อลวงให้มีเซ็กส์ด้วย ทั้งๆ ที่เธอยังเป็นผู้เยาว์

    - ผู้หญิงอีกคนที่ไม่เอ่ยนาม บอกว่าเธอโดนดิ๊ดดี้ กับ ประธานบริษัทแบดบอย เรคคอร์ด ชื่อ ฮาร์ฟ ปิแอร์ และผู้ชายอีกคนหนึ่ง ทำการลงแขก ตอนเธออายุ 17 ปี โดยหลอกล่อว่าจะให้โอกาสทางหน้าที่การงาน

    - ร็อดนีย์ โจนส์ โปรดิวเซอร์ผู้ชาย ที่เคยร่วมงานกับดิ๊ดดี้ บอกว่า โดนกดดันให้ไปมีเซ็กส์กับผู้ชายอีกคนหนึ่งในงานปาร์ตี้ โดยอ้างว่า 'นี่เป็นเรื่องปกติในอุตสาหกรรมดนตรี'

    คดีแล้ว คดีเล่า ที่ค่อยๆ แดงออกมาเรื่อยๆ แต่ดิ๊ดดี้ ไม่ยอมจำนน เขาตั้งใจจะสู้ทุกคดี เพราะแค่พูด ใครก็พูดได้ ไว้มีหลักฐานจะจะ ค่อยคิดจะมาโค่นเขา

    วันที่ 17 พฤษภาคม 2024 สถานี CNN ก็ได้หลักฐานเด็ดในคดี แคสซี่-ดิ๊ดดี้ นั่นคือกล้องวงจรปิด จากโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนทัล ในลอสแองเจลิส

    เป็นจังหวะที่แคสซี่ เดินออกจากห้องพัก เพื่อลงลิฟต์เตรียมจะกลับบ้าน แต่ดิ๊ดดี้ ตื่นขึ้นมาพอดี และเห็นแคสซี่ไม่อยู่ จึงวิ่งใส่ผ้าเช็ดตัว ออกมาตามทางเดินแล้วมาเจอเธอที่ลิฟต์

    เขาต่อยเธอด้วยหมัดขวา ถีบไปอีก 2 ที แล้วเอาแจกันแก้วที่โรงแรมวางประดับเอาไว้ ขว้างใส่ ก่อนจะลากคอกลับเข้าห้องนอน

    เมื่อมีหลักฐานจะแจ้งขนาดนี้ แสดงให้เห็นว่าการใช้กำลังเกิดขึ้นจริง ทำให้ดิ๊ดดี้ก็ต้องออกมายอมรับ และกล่าวคำขอโทษต่อมวลชน

    และจากจุดนั้นเอง ทำให้เซเล็บหลายๆ คน เริ่มอันฟอลโลว์เขา ไม่มีใครอยากจะสนิทชิดเชื้อกับคนที่ใช้ความรุนแรงแบบนี้ คือภาพที่ออกไป มันแย่มาก

    และจากจุดนั้น ก็มีคดีใหม่ๆ ที่ถูกเปิดเผยเรื่อยๆ ประเดประดังเข้ามาใส่ดิ๊ดดี้ จนตั้งตัวไม่ทัน

    - คริสตัล แม็คเคนนีย์ นางแบบสาว อ้างว่าโดนดิ๊ดดี้ ใช้กำลังลากเธอเข้าไปในห้องนำแล้วบังคับให้ทำออรัลเซ็กส์ให้ ในสตูดิโอที่ใช้อัดเพลงในนิวยอร์ก

    - เอพริล แลมพรอส นักศึกษาสถาบันแฟชั่น บอกว่าเธอโดนดิ๊ดดี้บังคับให้ทำการเซ็กส์หมู่

    - อาเดรีย อิงลิช นักแสดงหนังโป๊ บอกว่าเธอโดนล่อหลอกให้แสดงกิจกรรมทางเพศ ระหว่างงานปาร์ตี้ โจมตีดิ๊ดดี้ว่าทำการค้ามนุษย์

    - ดอว์น ริชาร์ดส นักร้องจากวงดานิตี้ เคน ที่เคยร่วมงานกับดิ๊ดดี้ บอกว่า โดนดิ๊ดดี้แอบจับหน้าอก และจับก้นหลายครั้ง ทำแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไร เหมือนเป็นเรื่องปกติ คุณพ่อของดอว์น ริชาร์ดส ขับรถจากบัลติมอร์ มานิวยอร์กเพื่อมาคุยกับดิ๊ดดี้ แต่โดนขู่ว่า "คิดถึงครอบครัวของแกให้ดีเถอะ"

    เมื่อคดียาวเป็นหางว่าวแบบนี้ ทำให้วันที่ 16 กันยายน 2024 ดิ๊ดดี้ โดนตำรวจจับกุมตัว ที่โรงแรมพาร์กไฮแอต ในนิวยอร์ก

    โดยคดีที่ตำรวจให้ความสนใจคือ การจัดปาร์ตี้เบื้องหน้า แต่เบื้องหลังคือขบวนการค้ากาม ค้ามนุษย์ รวมถึงพรากผู้เยาว์ รวมถึงการทำร้ายร่างกาย ที่มีคลิปหลักฐานชัดเจน

    สิ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯ มองอยู่ คือดิ๊ดดี้ อาจทำเรื่องผิดกฎหมายที่ร้ายแรงกว่านั้นอีก เช่น การสร้างองค์กรอาชญากรรมของตัวเองขึ้นมา แล้วมีส่วนในการลักลอบวางเพลิง, การลักพาตัว, การใช้แรงงานทาส, การค้าสารเสพติด และ การติดสินบนเจ้าพนักงาน

    เขาอาจจะไม่ใช่แค่เจ้าพ่อเพลงฮิปฮอปเฉยๆ แต่อาจเป็นผู้มีอิทธิพลของจริงเลยก็ได้

    หลังจากดิ๊ดดี้โดนจับ มีข้อมูลน่าสนใจ ที่ตำรวจค้นพบ ระหว่างการค้นบ้านของดิ๊ดดี้ ที่ลอสแองเจลิส กับ ไมอามี่ ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานปาร์ตี้ freak offs

    ตำรวจพบว่า มีขวดเบบี้ออยล์ มากถึง 1,000 ขวด อยู่ในบ้าน

    แน่นอน คนก็เชื่อมโยงว่า คุณจะซื้อเบบี้ออยล์มาเยอะขนาดนั้นทำไม เหตุผลน่าจะมีอย่างเดียวคือ คงเอาไปใช้ในกิจกรรมทางเพศอย่างบ้าคลั่ง เช่นงาน ปาร์ตี้เซ็กส์ เป็นต้น

    นับจนถึงเมื่อวานนี้ (24 กันยายน) มีคนแจ้งความดิ๊ดดี้ ทั้งหมด 11 คน และมีแนวโน้มที่จะมากขึ้นอีกเรื่อยๆ

    รวมถึงบางคดี ที่น่าสนใจเหมือนกัน เช่น จากัวร์ ไรท์ นักร้องสาวชาวอเมริกัน อ้างว่า ดิ๊ดดี้ ถ่ายคลิปของเซเลบริตี้หลายคนเอาไว้ แล้วไปปล่อยในดาร์กเว็บ ได้เงินมา 500 ล้านดอลลาร์

    นอกจากนั้น ยังมีข่าวลืออีกสารพัด ว่าเขาเคยล่วงละเมิด ศิลปินทั้งชาย และ หญิง มาแล้วหลายคน ซึ่งในจำนวนนั้นก็มีคนที่เป็นซูเปอร์สตาร์ในปัจจุบันด้วย

    สถานการณ์ล่าสุด ดิ๊ดดี้ต้องไปอยู่ในห้องขัง โดยเขายื่นข้อเสนอประกันตัว 50 ล้านดอลลาร์ พร้อมทั้งติด GPS เพื่อการันตีว่าจะไม่หลบหนี แต่ศาลไม่อนุมัติ ทำให้ตอนนี้ดิ๊ดดี้ต้องอยู่ในเรือนจำที่บรู๊คลิน จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง

    สเต็ปต่อไปทนายของดิ๊ดดี้ กำลังเตรียมสู้คดีอย่างเต็มที่ คือมีบางเคสที่ดิ๊ดดี้โดนแน่ๆ เช่นทำร้ายร่างกายแคสซี่ เพราะมีกล้องวงจรปิดชัดเจน

    แต่กับคดีอื่นๆ ที่เขาโดนกล่าวหาว่ากระทำ ก็ต้องมาพิสูจน์กันต่อไป ว่าทำจริงหรือไม่

    สำหรับในวงการกีฬานั้น เรื่องนี้ก็สั่นสะเทือนเช่นกัน เพราะศิลปินฮิปฮ็อป กับนักกีฬาอีลีท มักจะสนิทสนมกัน เช่น เคนดริค ลามาร์ กับ เดมาร์ เดโรซาน สนิทกันถึงขั้นเดโรซานไปเล่นในเอ็มวีให้

    หรือตอนรัสเซลล์ เวสต์บรู๊ก นำทริปเปิ้ลดับเบิ้ลในตำนาน (20 แต้ม, 20 รีบาวด์, 20 แอสซิสต์) เขาอุทิศผลงานนี้ ให้กับแรพเปอร์ ชื่อ นิปซีย์ ผู้ล่วงลับ

    โดยดิ๊ดดี้ อยู่ในวงการมาเกิน 30 ปี รู้จักคนมากมาย และสนิทสนมกับนักกีฬาหลายคน ไปร่วมกิจกรรมกับ NBA ก็บ่อย แต่ถึงตรงนี้ ก็คงไม่มีใครที่พร้อมจะอยู่ซัพพอร์ทเขา เพราะไม่อยากติดร่างแหไปด้วย

    มีคนย้อนไปดูคลิปงานปาร์ตี้ freak offs ที่เผยแพร่ออกมา พบว่า มีนักกีฬาบางคนไปร่วมงานด้วย เช่น เลียวนาร์ด โฟร์เนตต์ รันนิ่งแบ็กชุดแชมป์ NFL ของแทมป้าเบย์ บัคคาเนียร์ ซึ่งโฟร์เนตต์ก็โดนสังคมจับจ้องทันทีว่า ไปมั่วยา มั่วเซ็กส์ หรือทำอะไรผิดกฎหมายหรือเปล่า

    ดังนั้นสิ่งที่นักกีฬาทำตอนนี้คือ เอาตัวออกห่างจากดิ๊ดดี้ให้ไกลที่สุด ไม่ให้เชื่อมโยงกันได้ อะไรที่เคยโพสต์ถึงก็ไล่ลบจนเกลี้ยงทั้งหมด

    สิ่งที่เราเห็นจากเรื่องนี้ คือในวันที่ยิ่งใหญ่ ทำอะไรก็ราบรื่น ผู้คนล้อมหน้าล้อมหลัง แต่ในวันนี้ ที่ความผิดเริ่มแดงออกมาเรื่อยๆ ดิ๊ดดี้ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่มีใครอยากจะร่วม "ปาร์ตี้" ของเขาอีกแล้ว

    และแน่นอน ถ้าพิสูจน์ได้ว่าทำผิดจริง ก็ต้องรับโทษทางกฎหมายกันไป

    บางคนบอกว่า ถ้าทีมทนายไม่เก่งระดับเทพล่ะก็ อิสรภาพวันสุดท้ายของดิ๊ดดี้ อาจจะหมดลงแล้ว และอาจติดคุกในช่วงที่เหลืออยู่ของชีวิต แม้จะมีเงินในบัญชีถึง 1 พันล้านดอลลาร์ก็ตามที”

    ที่มา : เพจวิเคราะห์บอลจริงจัง https://www.facebook.com/share/5f8x3Zx1WzpUs8b5/?mibextid=CTbP7E
    ภาพ

    #Thaitimes
    รีโพสต์เรื่องอื้อฉาวโสมมของDiddyเจ้าพ่อบันเทิงคนดังของอเมริกา “ปรากฏการณ์ดิ๊ดดี้ (Diddy) สะเทือนสังคมอเมริกันอย่างรุนแรง เพราะมีเซเลบริตี้เข้าไปข้องเกี่ยวมากมาย ก่อนจะเกิดเรื่องฉาว ดิ๊ดดี้ มีความสัมพันธ์ดีๆ กับ นักกีฬาระดับโลกหลายคน แต่ในวันนี้ทุกคนตัดความสัมพันธ์ทิ้งหมดแล้ว เลอบรอน เจมส์ นักบาสเกตบอลผู้โด่งดัง สนิทสนมกับดิ๊ดดี้ เป็นการส่วนตัว ลูกชายคนเล็กของเขาชื่อ บรีซ เคยไปเที่ยวกับ เจสซี่ และ ดีลีล่า ลูกสาวแฝดของดิ๊ดดี้ และเคยถ่ายคลิปเต้นด้วยกันอีกต่างหาก เลอบรอน เคยพูดอินสตาแกรมไลฟ์ ว่า "ทุกคนรู้ว่า ไม่มีปาร์ตี้ไหน จะเหมือนปาร์ตี้ของดิ๊ดดี้" กลายเป็นประโยคไวรัล ที่จะถูกใช้ไปอีกนานต่อจากนี้ แต่จากความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ล่าสุดเลอบรอน อันฟอลโลว์ดิ๊ดดี้ไปแล้วเรียบร้อย ตัดขาดกันไปเลย ไม่อยากข้องเกี่ยวใดๆ ด้วย แพทริก มาโฮมส์ ควอเตอร์แบ็กจากแคนซัส ซิตี้ ชีฟส์ เจ้าของแชมป์ซูเปอร์โบวล์ 3 สมัย ไล่ลบทวีต ที่เคยแฮปปี้เบิร์ธเดย์ ดิ๊ดดี้ พยายามไม่ให้เหลือหลักฐานว่าเคยสนิทกัน (แต่โดนคนแคปเก็บไว้แล้ว) เช่นเดียวกับ สเตฟเฟ่น เคอร์รี่ และ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ ก็อันฟอลโลว์ดิ๊ดดี้ ในโซเชียลมีเดียไปแล้วทั้งหมด เรื่องราวของดิ๊ดดี้เป็นอย่างไร ทำไมนักกีฬาต้องเลิกติดตามเขา เราจะไปลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่แรก อย่างเข้าใจง่ายนะครับ ดิ๊ดดี้ มีชื่อจริงว่า ฌอน คอมบ์ส เขาเป็นคนนิวยอร์ก และเข้าสู่วงการดนตรีตั้งแต่วัยรุ่น และอยู่ในอุตสาหกรรมนี้มา 3 ทศวรรษ ถือเป็นหนึ่งในเลเจนด์ของวงการเพลงแร็พ ฌอน คอมบ์ส มีชื่อในวงการหลายชื่อ เช่น Diddy, P.Diddy, Puff Daddy เป็นต้น ดิ๊ดดี้ ได้รางวัลใหญ่ๆ ในด้านดนตรีมาแล้ว แทบทุกสถาบัน เช่นแกรมมี่ อวอร์ดส และ MTV Music Awards เขามีซิงเกิ้ลขึ้นอันดับ 1 บิลบอร์ด ถึง 3 เพลง โดยหนึ่งในเพลงคลาสสิคที่สุด ที่ทุกคนน่าจะเคยได้ยินแน่นอน คือเพลงชื่อ I'll be missing you แค่อินโทรดังขึ้นมา ก็ติดหูแล้ว (แต่จริงๆ ไปเอาทำนองมาจากเพลงชื่อ Every Breath You Take ของ Police) ในปี 1993 ดิ๊ดดี้ เปิดค่ายเพลงชื่อ แบด บอย เรคคอร์ดส และเป็นโปรดิวเซอร์ให้สตาร์ของวงการมาแล้วหลายคน เช่น The Notorious B.I.G. ที่เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนในยุคปัจจุบันก็มี MGK ศิลปินที่ทำเพลงร้อยล้านวิวเป็นว่าเล่น ดิ๊ดดี้ ไม่ใช่แค่ทำเพลงเก่งอย่างเดียว แต่ยังมีหัวธุรกิจในระดับสุดยอดอีกด้วย พอมีชื่อเสียงจากฮิปฮอป เขาต่อยอดไปทำแบรนด์เสื้อผ้าชื่อ ฌอน จอห์น ตามด้วยเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ให้กับว็อดก้ายี่ห้อซิร็อค ได้รับส่วนแบ่งยอดขายต่อขวด นอกจากนั้น เขายังก่อตั้งสถานีโทรทัศน์ชื่อ Revolt TV เพื่อนำเสนอวัฒนธรรมและดนตรี ของกลุ่มแอฟริกัน อเมริกัน โดยเฉพาะ และในที่สุด ปี 2022 ดิ๊ดดี้ ก็มีสินทรัพย์ทะลุ 1 พันล้านดอลลาร์ (32,000 ล้านบาท) กลายเป็นศิลปินฮิปฮอปแค่ไม่กี่คนบนโลก ที่มีรายได้มหาศาลในเลเวลนี้ ไม่ใช่แค่ความรวย แต่ดิ๊ดดี้ ยังสร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นมา รวมถึงสร้างเครือข่ายของกลุ่มเซเลบริตี้ ที่คอยซัพพอร์ทช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ทำให้ดิ๊ดดี้ ถูกสื่อมวลชน ใช้คำว่า Mogul (ผู้มีอำนาจ, เจ้าพ่อ) ในวงการดนตรี ดิ๊ดดี้นั้น ขึ้นชื่อมาก เรื่องการจัดงานปาร์ตี้ ในช่วงปี 1998-2009 เขาจัดงานชื่อ "ไวท์ปาร์ตี้" สังสรรค์เฉพาะกลุ่มคนรวย คนดัง ใส่เสื้อขาวทั้งงาน เป็นปาร์ตี้ที่พวกเซเล็บอยากไปร่วมกันมากๆ ชีวิตของเขาก็ดูราบรื่นดี อย่างในปี 2022 เขาจัดงานปาร์ตี้ ฉลองวันเกิดอายุ 53 ปี ที่เบเวอร์ลี่ฮิลส์ คนดังๆ ทั้ง เจย์ซี, ทราวิส สกอตต์, แมรี่ เจ ไบล์ และ คริส บราวน์ ก็มาร่วมงานด้วย ดูแล้ว ชีวิตก็สบายๆ ไม่มีปัญหาอะไร ส่วนเรื่องพฤติกรรมส่วนตัวนั้น ในอดีต เขาโดนคดีต่างๆ มาบ้าง เช่น พกพาอาวุธปืน หรือ ทำร้ายร่างกายคนอื่น แต่ก็รอดมาได้ตลอด ไม่เคยต้องติดคุกสักครั้ง อย่างไรก็ตาม ชีวิตของดิ๊ดดี้ ต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นับจากวันที่ 16 พฤศจิกายน 2023 เมื่อคาซานดร้า เวนทูร่า หรือ แคสซี่ อดีตแฟนสาวของของเขา ที่เลิกรากันไปแล้ว ไปแจ้งความที่นิวยอร์ก แคสซี่ ระบายความในใจทั้งหมดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าช่วงเวลาที่เธอคบหากับดิ๊ดดี้ มีแต่ความทรมาน และโดนทำร้ายร่างกายเป็นว่าเล่น เธอบอกว่าเคยโดนดิ๊ดดี้ ทั้งเตะ ทั้งต่อย จนตาเขียวช้ำ เลือดออก และมีแผลทั่วร่างกาย ครั้งหนึ่งเคยโดนต่อยท้องต่อหน้าเพื่อนๆ ของดิ๊ดดี้ด้วย นอกจากนั้น ยังใช้อำนาจในการบังคับ และล่อลวง ให้เธอมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายคนอื่น โดยที่ดิ๊ดดี้จะนั่งดูอย่างสนุกสนาน เหมือนกิจกรรมบันเทิง ตลอดช่วงที่คบกัน แคสซี่ โดนกระทำมากมาย เช่นบีบคอ ผลักรุนแรงจนกระแทกกำแพง เคยโดนปาไข่ใส่หน้ามาแล้ว เวลาทำอะไรไม่ถูกใจ ไม่ใช่แค่ทำร้ายร่างกาย หรือ บังคับเรื่องเพศ แต่ดิ๊ดดี้ ยังมีส่วนพัวพันกับอาชญากรรมหลายอย่าง หนึ่งในนั้น คือการจ้างคนไปเผารถยนต์ ของแรพเปอร์ชื่อ คิด คูดี้ ที่มีข่าวว่าปลื้มแคสซี่ แล้วไม่ใช่แค่เรื่องที่ตัวเธอโดน แต่แคสซี่ แฉมากกว่านั้น บอกว่า มีปาร์ตี้พิสดาร ที่ดิ๊ดดี้เป็นเจ้าภาพ มีชื่อว่า "freak offs" (ปาร์ตี้หลุดโลก) โดยในงานมีเหล้า มียา สารผิดกฎหมาย และมีการจ้างเด็กเอ็น ทั้งชายและหญิง มามีเซ็กส์กันแบบมั่วสุดๆ และยังมีการถ่ายคลิปเก็บไว้ด้วย โดยไม่สนใจว่า คนในงานจะเต็มใจหรือไม่ เมื่อโดนแจ้งความใส่ยับแบบนี้ ดิ๊ดดี้ ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เขาว่าจ้างทนายให้มาสู้คดีกับแคสซี่บนศาล คุณมีหลักฐานอะไรก็งัดกันออกมาดู หลังจากที่แคสซี่ ทำการแฉดิ๊ดดี้นั้น ในจังหวะใกล้ๆ กัน มีคนออกมาแจ้งความใส่ดิ๊ดดี้รัวๆ แบบต่างกรรมต่างวาระ เช่น - จอย ดิกเกอร์สัน-นีล เธออ้างว่า ในสมัยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เธอโดนดิ๊ดดี้ ถ่ายคลิประหว่างใช้กำลังมีเซ็กส์กับเธอ จ่ายนั้นเอาไปส่งต่อให้คนอื่น โดยที่เธอไม่ได้ยินยอม - ลิซ่า การ์ดเนอร์ บอกว่าเธอกับเพื่อนถูกชวนไปปาร์ตี้ตอนอายุ 16 และโดนดิ๊ดดี้ กับ เพื่อน ล่อลวงให้มีเซ็กส์ด้วย ทั้งๆ ที่เธอยังเป็นผู้เยาว์ - ผู้หญิงอีกคนที่ไม่เอ่ยนาม บอกว่าเธอโดนดิ๊ดดี้ กับ ประธานบริษัทแบดบอย เรคคอร์ด ชื่อ ฮาร์ฟ ปิแอร์ และผู้ชายอีกคนหนึ่ง ทำการลงแขก ตอนเธออายุ 17 ปี โดยหลอกล่อว่าจะให้โอกาสทางหน้าที่การงาน - ร็อดนีย์ โจนส์ โปรดิวเซอร์ผู้ชาย ที่เคยร่วมงานกับดิ๊ดดี้ บอกว่า โดนกดดันให้ไปมีเซ็กส์กับผู้ชายอีกคนหนึ่งในงานปาร์ตี้ โดยอ้างว่า 'นี่เป็นเรื่องปกติในอุตสาหกรรมดนตรี' คดีแล้ว คดีเล่า ที่ค่อยๆ แดงออกมาเรื่อยๆ แต่ดิ๊ดดี้ ไม่ยอมจำนน เขาตั้งใจจะสู้ทุกคดี เพราะแค่พูด ใครก็พูดได้ ไว้มีหลักฐานจะจะ ค่อยคิดจะมาโค่นเขา วันที่ 17 พฤษภาคม 2024 สถานี CNN ก็ได้หลักฐานเด็ดในคดี แคสซี่-ดิ๊ดดี้ นั่นคือกล้องวงจรปิด จากโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนทัล ในลอสแองเจลิส เป็นจังหวะที่แคสซี่ เดินออกจากห้องพัก เพื่อลงลิฟต์เตรียมจะกลับบ้าน แต่ดิ๊ดดี้ ตื่นขึ้นมาพอดี และเห็นแคสซี่ไม่อยู่ จึงวิ่งใส่ผ้าเช็ดตัว ออกมาตามทางเดินแล้วมาเจอเธอที่ลิฟต์ เขาต่อยเธอด้วยหมัดขวา ถีบไปอีก 2 ที แล้วเอาแจกันแก้วที่โรงแรมวางประดับเอาไว้ ขว้างใส่ ก่อนจะลากคอกลับเข้าห้องนอน เมื่อมีหลักฐานจะแจ้งขนาดนี้ แสดงให้เห็นว่าการใช้กำลังเกิดขึ้นจริง ทำให้ดิ๊ดดี้ก็ต้องออกมายอมรับ และกล่าวคำขอโทษต่อมวลชน และจากจุดนั้นเอง ทำให้เซเล็บหลายๆ คน เริ่มอันฟอลโลว์เขา ไม่มีใครอยากจะสนิทชิดเชื้อกับคนที่ใช้ความรุนแรงแบบนี้ คือภาพที่ออกไป มันแย่มาก และจากจุดนั้น ก็มีคดีใหม่ๆ ที่ถูกเปิดเผยเรื่อยๆ ประเดประดังเข้ามาใส่ดิ๊ดดี้ จนตั้งตัวไม่ทัน - คริสตัล แม็คเคนนีย์ นางแบบสาว อ้างว่าโดนดิ๊ดดี้ ใช้กำลังลากเธอเข้าไปในห้องนำแล้วบังคับให้ทำออรัลเซ็กส์ให้ ในสตูดิโอที่ใช้อัดเพลงในนิวยอร์ก - เอพริล แลมพรอส นักศึกษาสถาบันแฟชั่น บอกว่าเธอโดนดิ๊ดดี้บังคับให้ทำการเซ็กส์หมู่ - อาเดรีย อิงลิช นักแสดงหนังโป๊ บอกว่าเธอโดนล่อหลอกให้แสดงกิจกรรมทางเพศ ระหว่างงานปาร์ตี้ โจมตีดิ๊ดดี้ว่าทำการค้ามนุษย์ - ดอว์น ริชาร์ดส นักร้องจากวงดานิตี้ เคน ที่เคยร่วมงานกับดิ๊ดดี้ บอกว่า โดนดิ๊ดดี้แอบจับหน้าอก และจับก้นหลายครั้ง ทำแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไร เหมือนเป็นเรื่องปกติ คุณพ่อของดอว์น ริชาร์ดส ขับรถจากบัลติมอร์ มานิวยอร์กเพื่อมาคุยกับดิ๊ดดี้ แต่โดนขู่ว่า "คิดถึงครอบครัวของแกให้ดีเถอะ" เมื่อคดียาวเป็นหางว่าวแบบนี้ ทำให้วันที่ 16 กันยายน 2024 ดิ๊ดดี้ โดนตำรวจจับกุมตัว ที่โรงแรมพาร์กไฮแอต ในนิวยอร์ก โดยคดีที่ตำรวจให้ความสนใจคือ การจัดปาร์ตี้เบื้องหน้า แต่เบื้องหลังคือขบวนการค้ากาม ค้ามนุษย์ รวมถึงพรากผู้เยาว์ รวมถึงการทำร้ายร่างกาย ที่มีคลิปหลักฐานชัดเจน สิ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯ มองอยู่ คือดิ๊ดดี้ อาจทำเรื่องผิดกฎหมายที่ร้ายแรงกว่านั้นอีก เช่น การสร้างองค์กรอาชญากรรมของตัวเองขึ้นมา แล้วมีส่วนในการลักลอบวางเพลิง, การลักพาตัว, การใช้แรงงานทาส, การค้าสารเสพติด และ การติดสินบนเจ้าพนักงาน เขาอาจจะไม่ใช่แค่เจ้าพ่อเพลงฮิปฮอปเฉยๆ แต่อาจเป็นผู้มีอิทธิพลของจริงเลยก็ได้ หลังจากดิ๊ดดี้โดนจับ มีข้อมูลน่าสนใจ ที่ตำรวจค้นพบ ระหว่างการค้นบ้านของดิ๊ดดี้ ที่ลอสแองเจลิส กับ ไมอามี่ ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานปาร์ตี้ freak offs ตำรวจพบว่า มีขวดเบบี้ออยล์ มากถึง 1,000 ขวด อยู่ในบ้าน แน่นอน คนก็เชื่อมโยงว่า คุณจะซื้อเบบี้ออยล์มาเยอะขนาดนั้นทำไม เหตุผลน่าจะมีอย่างเดียวคือ คงเอาไปใช้ในกิจกรรมทางเพศอย่างบ้าคลั่ง เช่นงาน ปาร์ตี้เซ็กส์ เป็นต้น นับจนถึงเมื่อวานนี้ (24 กันยายน) มีคนแจ้งความดิ๊ดดี้ ทั้งหมด 11 คน และมีแนวโน้มที่จะมากขึ้นอีกเรื่อยๆ รวมถึงบางคดี ที่น่าสนใจเหมือนกัน เช่น จากัวร์ ไรท์ นักร้องสาวชาวอเมริกัน อ้างว่า ดิ๊ดดี้ ถ่ายคลิปของเซเลบริตี้หลายคนเอาไว้ แล้วไปปล่อยในดาร์กเว็บ ได้เงินมา 500 ล้านดอลลาร์ นอกจากนั้น ยังมีข่าวลืออีกสารพัด ว่าเขาเคยล่วงละเมิด ศิลปินทั้งชาย และ หญิง มาแล้วหลายคน ซึ่งในจำนวนนั้นก็มีคนที่เป็นซูเปอร์สตาร์ในปัจจุบันด้วย สถานการณ์ล่าสุด ดิ๊ดดี้ต้องไปอยู่ในห้องขัง โดยเขายื่นข้อเสนอประกันตัว 50 ล้านดอลลาร์ พร้อมทั้งติด GPS เพื่อการันตีว่าจะไม่หลบหนี แต่ศาลไม่อนุมัติ ทำให้ตอนนี้ดิ๊ดดี้ต้องอยู่ในเรือนจำที่บรู๊คลิน จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง สเต็ปต่อไปทนายของดิ๊ดดี้ กำลังเตรียมสู้คดีอย่างเต็มที่ คือมีบางเคสที่ดิ๊ดดี้โดนแน่ๆ เช่นทำร้ายร่างกายแคสซี่ เพราะมีกล้องวงจรปิดชัดเจน แต่กับคดีอื่นๆ ที่เขาโดนกล่าวหาว่ากระทำ ก็ต้องมาพิสูจน์กันต่อไป ว่าทำจริงหรือไม่ สำหรับในวงการกีฬานั้น เรื่องนี้ก็สั่นสะเทือนเช่นกัน เพราะศิลปินฮิปฮ็อป กับนักกีฬาอีลีท มักจะสนิทสนมกัน เช่น เคนดริค ลามาร์ กับ เดมาร์ เดโรซาน สนิทกันถึงขั้นเดโรซานไปเล่นในเอ็มวีให้ หรือตอนรัสเซลล์ เวสต์บรู๊ก นำทริปเปิ้ลดับเบิ้ลในตำนาน (20 แต้ม, 20 รีบาวด์, 20 แอสซิสต์) เขาอุทิศผลงานนี้ ให้กับแรพเปอร์ ชื่อ นิปซีย์ ผู้ล่วงลับ โดยดิ๊ดดี้ อยู่ในวงการมาเกิน 30 ปี รู้จักคนมากมาย และสนิทสนมกับนักกีฬาหลายคน ไปร่วมกิจกรรมกับ NBA ก็บ่อย แต่ถึงตรงนี้ ก็คงไม่มีใครที่พร้อมจะอยู่ซัพพอร์ทเขา เพราะไม่อยากติดร่างแหไปด้วย มีคนย้อนไปดูคลิปงานปาร์ตี้ freak offs ที่เผยแพร่ออกมา พบว่า มีนักกีฬาบางคนไปร่วมงานด้วย เช่น เลียวนาร์ด โฟร์เนตต์ รันนิ่งแบ็กชุดแชมป์ NFL ของแทมป้าเบย์ บัคคาเนียร์ ซึ่งโฟร์เนตต์ก็โดนสังคมจับจ้องทันทีว่า ไปมั่วยา มั่วเซ็กส์ หรือทำอะไรผิดกฎหมายหรือเปล่า ดังนั้นสิ่งที่นักกีฬาทำตอนนี้คือ เอาตัวออกห่างจากดิ๊ดดี้ให้ไกลที่สุด ไม่ให้เชื่อมโยงกันได้ อะไรที่เคยโพสต์ถึงก็ไล่ลบจนเกลี้ยงทั้งหมด สิ่งที่เราเห็นจากเรื่องนี้ คือในวันที่ยิ่งใหญ่ ทำอะไรก็ราบรื่น ผู้คนล้อมหน้าล้อมหลัง แต่ในวันนี้ ที่ความผิดเริ่มแดงออกมาเรื่อยๆ ดิ๊ดดี้ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่มีใครอยากจะร่วม "ปาร์ตี้" ของเขาอีกแล้ว และแน่นอน ถ้าพิสูจน์ได้ว่าทำผิดจริง ก็ต้องรับโทษทางกฎหมายกันไป บางคนบอกว่า ถ้าทีมทนายไม่เก่งระดับเทพล่ะก็ อิสรภาพวันสุดท้ายของดิ๊ดดี้ อาจจะหมดลงแล้ว และอาจติดคุกในช่วงที่เหลืออยู่ของชีวิต แม้จะมีเงินในบัญชีถึง 1 พันล้านดอลลาร์ก็ตามที” ที่มา : เพจวิเคราะห์บอลจริงจัง https://www.facebook.com/share/5f8x3Zx1WzpUs8b5/?mibextid=CTbP7E ภาพ #Thaitimes
    Like
    1
    2 Comments 0 Shares 809 Views 0 Reviews
  • หัวเลี้ยวแห่งความเป็นใหญ่……หัวต่อแห่งความโหดร้าย………
    ติ่งขา……พี่ปูแบกไว้ทั้งหมด……!!

    ตอนสิบสี่………ปีแห่งประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกและจดจำ…….!!!

    หลังจากที่ปูตินได้ชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกสมัย
    วันที่ 1 กันยายน 2004 ได้เดินทางไปที่ Sochi อีกครั้งเพื่อหวังว่าจะได้พักร่าง พักสมอง เพราะที่ผ่านมาต้องพบปะกับผู้นำประเทศต่างๆจนไม่มีเวลาพักผ่อน เช่น กับ Jacques Chirac (ฝรั่งเศส) Gerhard Schröder (เยอรมัน)
    ผู้คนส่วนใหญ่จะพักร้อนกันในเดือนสิงหาคม……แต่ปูตินไม่ได้พักเลยเพราะกลุ่มกบฏในเชเชนได้ก่อตัวขึ้นในการปฎิบัติการก่อการร้ายที่หนักข้อขึ้นทุกวัน โดยมีตัวการเป็นหญิงสาวสี่คน คือ Rosa Nagayeva และน้องสาว Amanat….โดยมีเพื่อนสาว Satsita Dzhbirkhanova และ Maryam Taburova ที่ร่วมมือกันวางระเบิดก่อความไม่สงบในหลายพื้นที่

    ในวันที่ปิดหีบบัตรลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้น ได้มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อาจเปรียบเสมือนลางร้ายของผู้นำคนใหม่ นั่นคือ ไฟไหม้ที่ อาคาร Manezh ที่ตั้งอยู่ใน Alexsandr Gardens ที่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ตรงข้ามกับเครมลิน ไฟไหม้ลุกลามอย่างรวดเร็ว จนทะลายลงมาทั้งหลัง
    ปูตินได้ยืนมองดูเหตุการณ์อยู่ที่ขั้นบนของสภา การกล่าวคำปราศรัยต้องเลื่อนออกไป เพราะไม่เช่นนั้นฉากหลังของการปราศรัยจะเป็นฉากที่เพลิงลุกไหม้ที่พร่าชีวิตของนักดับเพลิงไปสองนาย……

    เพื่อแสดงสปิริตของความเป็นนักการเมืองประชาธิปไตยรุ่นใหม่ เขาจึงลดกระแสด้วยการปล่อยตัว MK ให้มาสู้คดีหลังจากที่อยู่ในที่คุมขังประมาณห้าเดือน
    และ……นั่นคือการเปิดศึกระหว่าง ผู้ที่มีอำนาจกับผู้ที่มีเงิน (จนถึงทุกวันนี้)

    เป็นช่วงเดียวกันกับที่ปูตินกำลังก้าวขึ้นมาในเส้นทางของนักการเมืองเต็มตัว โดยที่ไม่มีพี่เลี้ยงคอยประกบเหมือนเมื่อก่อน (เยลซิน)
    และนับว่าเป็นปีทดสอบความเป็นผู้นำที่แสนโหด และแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเอาตัวและชาติรอดมาได้อย่างไร..…?!!
    เริ่มจาก กระแสความเคลื่อนไหวในการจับกุม MK อภิมหาเศรษฐีคนดัง
    ที่แม้แต่นายกรัฐมนตรีของเขาเอง Mikhaïl Kesyanov ก็ยังแสดงความไม่พอใจ ถึงกับไปให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ ว่า MK ไม่ได้โกงภาษี…เพียงแต่ใช้ช่องว่างของกฎหมายเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เท่านั้น……

    อย่างไรก็ตาม……ไม่ได้มีใครสนใจกับข้อโต้แย้งของเขานัก เพราะทั้งรัสเซียกำลังตื่นเต้นกับ ราคาน้ำมันส่งออกทะยานขึ้นเกินสิบเท่าของที่เคยได้ จาก หกพันล้าน พุ่งขึ้นมาเป็น แปดหมื่นล้านเหรียญ
    และรัสเซียได้กลายมาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าซาอุดิ อะเรเบีย
    และสินค้าอื่นๆเริ่มมีใบสั่งเข้ามายาวเป็นหางว่าว……
    แต่ปูตินไม่ได้ปล่อยให้ความคิดเห็นคัดค้านของนายกฯผ่านไป
    วันที่ 23 กุมภาพันธุ์ หลังจากการประชุมบอร์ดผ่านไป ปูตินให้ นายกฯ
    คาเซียนอฟ เข้ามาพบ และพูดสั้นๆว่า……
    “ต่อไปนี้……คุณหมดหน้าที่แล้วนะ” เป็นการไล่ออกแบบง่ายๆที่ไม่ต้องมีพิธีรีตอง……
    และ……ไม่มีการประกาศว่า ใครจะมาแทน…ผู้คนก็เดากันไปต่างๆนานา
    ว่าอาจจะเป็นคนนั้นคนนี้ จนอาทิตย์หนึ่งผ่านไป ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่ง คือ
    Mikhaïl Fradkov ที่แสน”โนเนม”จากปีเตอร์สเบอร์ก

    แต่ไม่โนเนมสำหรับปูติน เพราะ MF (Mikhaïl Fradkov) คนนี้เคยเป็นรัฐมนตรีเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ในสมัยเยลซิน เป็นผู้เชี่ยวชาญในหลายภาษา เป็นคนตรง…สมถะ และ ไม่สนใจในการเมือง
    ในขณะที่ปูตินติดต่อไปให้มารับตำแหน่ง ตอนนั้น MF อยู่ที่ Brussels กำลังทำหน้าที่เป็นทูตพานิชย์รัสเซียประจำ EU
    เมื่อเขาบินมาถึงมอสโคว์ในวันต่อมา เพื่อเข้ารับตำแหน่ง นัดข่าวได้ถามถึงนโยบายในการทำงาน เขาตอบสั้นๆว่า
    “ก็ทำตามนโยบายของท่านประธานาธิบดี……”

    วันที่ 1 กันยายน เป็นช่วงเวลาที่เด็กๆกลับเข้าโรงเรียน ที่มีธรรมเนียมที่น่ารัก คือเด็กๆแต่งตัวกันสวยงาม เตรียมของขวัญเล็กๆน้อยๆไปสวัสดีคุณครู
    ผู้ปกครองพากันตื่นเต้น จูงลูก พาหลานไปพบปะสังสรรกันที่หอประชุมโรงเรียนในวันเปิดเทอมวันแรก
    ที่เมือง Beslan, North-Ossetia (คอเคซัส) ก็เช่นกัน เหตุการณ์ที่ควรจะเป็นภาพสวยงามนี้ ได้กลายมาเป็นโศกนาฏกรรม

    ผู้คนประมาณหลายร้อยคนได้ชุมนุมกันที่ลานหน้าโรงเรียน ทันใดนั้น ได้มีรถบรรทุกวิ่งผ่าเข้ามา……ผ่าใบคลุมหลังรถได้เปิดออก กลุ่มผู้ก่อการร้ายได้ตะโกนเรียกพระนาม แล้วกระโดดลงมาพร้อมอาวุธ
    ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน กลุ่มกบฎได้ต้อนทุกคนเข้าไปอยู่ในโรงยิม ……
    กลุ่มกบฏ……มีผู้หญิงสองคนรวมอยู่ด้วย นั่นคือ Maryam Taburova และ Rosa Negayeva

    เป็นการกระทำที่อุกอาจที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะเมื่อวันที่ 9 เดือนพฤษภาที่ผ่านมา……ที่เป็นวันฉลองชัยชนะของรัสเซีย ประธานาธิบดีเชเชน Akhmad Kadyrov ที่เพิ่งรับตำแหน่งสดๆร้อนๆได้ไปเป็นประธานในพิธี ได้ถูกลอบวางระเบิดที่กลางงานจนเสียชีวิต เหลือไว้คือลูกชายวัย 27 Ramzan ที่มีเลือดพ่อเต็มร้อย พร้อมลงสานต่อ แต่อายุยังไม่เข้าเกณฑ์ที่จะเป็นผู้นำ
    จึงต้องคอยไปก่อน ปูตินแต่งตั้งให้ Aslan Maskhadov ขึ้นมาแทนไปก่อน
    แต่กลุ่มกบฏ……ก็ได้ให้คำเตือนมาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า……Ramzan จะเป็นรายต่อไป…เมื่อมีโอกาส…!!

    คราวนี้ที่ Beslan ที่ฝ่ายกบฏได้ยื่นความประสงค์กับปูตินว่า
    กองทัพรัสเซียจะต้องออกไปจากพื้นที่ และประกาศให้เชเชนเป็นเอกราช ซึ่งเชเชนจะร่วมเป็นพันธมิตรและยังคงใช้รูเบิ้ลเป็นสกุลเงินตรา
    เชเชนจะร่วมมือกับรัสเซียในการพัฒนากองกำลังและฟื้นฟูประเทศ (ที่เป็นเอกราช)

    ในนามของพระเจ้า
    ลงชื่อ Shamil Basayev

    ซึ่ง ชามิลตัวหัวหน้า……มาแต่เพียงในนาม ไม่ได้อยู่รวมในกลุ่ม และข้อเสนอนั้น ……เป็นไปไม่ได้ที่ทางรัสเซียจะยอมรับ

    การกักตัวผู้คนจำนวนหลายร้อยในที่ที่จำกัด ได้สร้างความทุกข์ทรมานให้กับเด็กๆอย่างแสนสาหัส เพราะไม่มีอาการ ไม่มีน้ำ
    ผู้ที่ขัดขืนได้ถูกยิงทิ้ง แล้วนำศพโยนออกมาทางหน้าต่าง……จำนวนหลายศพ

    ในที่สุด วันที่สองของการควบคุมตัว ได้มีการเจรจาขอให้ปล่อยเด็กเล็กกว่าสามสิบคนออกมาได้

    วันที่สาม……ฝ่ายเจรจาขอให้มีการนำรถพยาบาลเข้าไปรับศพที่เริ่มบวมออกมาจากสถานที่
    ในเวลาตีหนึ่ง ที่หน่วยพยาบาลสี่คนได้เข้าไปพร้อมรถตามกำหนดการ
    เมื่อไปถึง……เพียงสองนาทีผ่านไป…..ได้เกิดระเบิดขึ้น ที่ทำให้ผนังของโรงยิมได้เปิดออก หลังคาเปิง
    คราวนี้……ฝ่ายกบฏได้เปิดฉากยิงมั่วซั่ว ขว้างระเบิดมือท่ามกลางฝุ่นที่ตลบคลุ้ง
    เป็นการโกลาหลจนสุดบรรยาย เพราะผู้คนส่วนใหญ่ที่เป็นเชลยไม่อยู่ในสภาพที่จะหลบหนีได้ พวกเขาอ่อนเปลี้ยจนเกินไป

    เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไป ทั้งหมดในนั้นเสียชีวิต จำนวนเชลย 334 คน (เด็กโต 186 คน) คอมมานโด 10 คน ผู้ก่อการ 30 คน (ผู้หญิง 2)
    อันเป็นข่าวที่น่าสลดใจไปยังรอบโลก ที่มีการค้นหาความจริง ว่า
    ระเบิดที่เกิดขึ้นนั้น มาจากระเบิดที่ทางฝ่ายคณะผู้ก่อการได้วางสายเอาไว้แล้วเกิดการผิดพลาด…จนเป็นที่มาของโศกนาฏกรรมหมู่
    ปูติน..พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้มีการสูญเสีย เพราะประสบการณ์จากโรงละครที่ทำให้เขาไม่ยอมใช้วิธีการยาสลบพ่นเข้าไป
    เขาหวังในการเจรจา……ที่ควรจะมีการต่อรองกับ Shamil โดยตรง ไม่ผ่านตัวกลาง
    แต่นั่นหมายถึงว่า แม้ว่าเขาจะเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับการสูญเสียครั้งใหญ่เขายังต้องตอบคำถามที่หลั่งไหลเข้ามาจากนักข่าว
    โดยเฉพาะฝ่ายศัตรูที่คอยเล่นงานทิ่มแทง

    วันที่ 13 กันยายน หลังจากที่เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญโลกที่ Beslan
    พวกที่นั่งในสภา 150 ที่นั่งที่ได้รับเลือกตั้งมา (จากต่างพรรค)
    ที่ปูตินเรียกสัมภาษณ์รายคน ถึง จุดมุ่งหมายในความคิดและนโยบายที่มีต่อประเทศ แต่ละรายเพ้อเจ้อในเรื่องของความเป็นประชาธิปไตยที่เอนเอียงไปในทางที่จะให้เอกราชกับเชเชน…

    ปูตินจีงประกาศสั่งระงับการเลือกตั้งท้องถิ่นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นนายอำเภอ หรือ นายกเทศมนตรี ทุกอย่างขะงักกึก………
    เท่ากับว่า มอสโคว์คือศูนย์กลางของการปกครองเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เปรียบได้ว่าการปกครองได้กลับเข้าไปสู่ยุคของคอมมิวนิสต์
    เพราะเขาได้ประกาศว่า……
    “ประชากรชาวรัสเชี่ยนของเรา ยังมีความคิดล้าหลัง ยังไม่ปรับตัวให้ทันกับสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยที่มาถึงพร้อมกับความชั่วร้าย ……เราต้องใช้เวลากับการทำความรู้จักกับมัน……เพราะสิ่งที่จะใช้ได้ผลที่สุดในยามนี้
    คือการยืนค่อนไปทางซ้าย..(ระบอบคอมมิวนิสต์)”

    พรรคฝ่ายซ้ายขานรับกันจ้าละหวั่น และ เสนอตัวกันอย่างแข็งขันในการร่วมมือ …

    ~~~หลังจากการก่อการร้ายของ Shamil Basayev ที่ได้สร้างความเขย่าขวัญนานหลายปี ตั้งแต่วางแผนจับตัวประกันที่โรงละคร และ ที่โรงเรียน
    รวมทั้งที่อื่นๆทั่วรัสเซียนานกว่าสิบปี
    ฝ่าย FSB ได้ถือว่า ชามิล คือ อาชญากรที่ทางแารรัสเซียต้องการตัวที่สุด
    ในที่สุด การ”ล่อซื้อ” ได้เกิดขึ้น ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2006 นั่นคือ การค้าขายอาวุธให้กับกลุ่มผู้ก่อการร้าย ที่เป็นล๊อตขนาดใหญ่ ที่มีจุดรับของที่หมู่บ้าน Ekazhevo
    ชามิล และคณะมารอรับ และเมื่อรถบรรทุกอาวุธที่ว่ามาถึง ระหว่างที่มีการตรวจคุณภาพของกัน รถบรรทุกได้เกิดระเบิดขึ้น คร่าชีวิตของชามิลและคณะนับสิบคน…ตามวัตถุประสงค์ของ FSB ……!!!

    Wiwanda W. Vichit
    หัวเลี้ยวแห่งความเป็นใหญ่……หัวต่อแห่งความโหดร้าย……… ติ่งขา……พี่ปูแบกไว้ทั้งหมด……!! ตอนสิบสี่………ปีแห่งประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกและจดจำ…….!!! หลังจากที่ปูตินได้ชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกสมัย วันที่ 1 กันยายน 2004 ได้เดินทางไปที่ Sochi อีกครั้งเพื่อหวังว่าจะได้พักร่าง พักสมอง เพราะที่ผ่านมาต้องพบปะกับผู้นำประเทศต่างๆจนไม่มีเวลาพักผ่อน เช่น กับ Jacques Chirac (ฝรั่งเศส) Gerhard Schröder (เยอรมัน) ผู้คนส่วนใหญ่จะพักร้อนกันในเดือนสิงหาคม……แต่ปูตินไม่ได้พักเลยเพราะกลุ่มกบฏในเชเชนได้ก่อตัวขึ้นในการปฎิบัติการก่อการร้ายที่หนักข้อขึ้นทุกวัน โดยมีตัวการเป็นหญิงสาวสี่คน คือ Rosa Nagayeva และน้องสาว Amanat….โดยมีเพื่อนสาว Satsita Dzhbirkhanova และ Maryam Taburova ที่ร่วมมือกันวางระเบิดก่อความไม่สงบในหลายพื้นที่ ในวันที่ปิดหีบบัตรลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้น ได้มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อาจเปรียบเสมือนลางร้ายของผู้นำคนใหม่ นั่นคือ ไฟไหม้ที่ อาคาร Manezh ที่ตั้งอยู่ใน Alexsandr Gardens ที่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ตรงข้ามกับเครมลิน ไฟไหม้ลุกลามอย่างรวดเร็ว จนทะลายลงมาทั้งหลัง ปูตินได้ยืนมองดูเหตุการณ์อยู่ที่ขั้นบนของสภา การกล่าวคำปราศรัยต้องเลื่อนออกไป เพราะไม่เช่นนั้นฉากหลังของการปราศรัยจะเป็นฉากที่เพลิงลุกไหม้ที่พร่าชีวิตของนักดับเพลิงไปสองนาย…… เพื่อแสดงสปิริตของความเป็นนักการเมืองประชาธิปไตยรุ่นใหม่ เขาจึงลดกระแสด้วยการปล่อยตัว MK ให้มาสู้คดีหลังจากที่อยู่ในที่คุมขังประมาณห้าเดือน และ……นั่นคือการเปิดศึกระหว่าง ผู้ที่มีอำนาจกับผู้ที่มีเงิน (จนถึงทุกวันนี้) เป็นช่วงเดียวกันกับที่ปูตินกำลังก้าวขึ้นมาในเส้นทางของนักการเมืองเต็มตัว โดยที่ไม่มีพี่เลี้ยงคอยประกบเหมือนเมื่อก่อน (เยลซิน) และนับว่าเป็นปีทดสอบความเป็นผู้นำที่แสนโหด และแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเอาตัวและชาติรอดมาได้อย่างไร..…?!! เริ่มจาก กระแสความเคลื่อนไหวในการจับกุม MK อภิมหาเศรษฐีคนดัง ที่แม้แต่นายกรัฐมนตรีของเขาเอง Mikhaïl Kesyanov ก็ยังแสดงความไม่พอใจ ถึงกับไปให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ ว่า MK ไม่ได้โกงภาษี…เพียงแต่ใช้ช่องว่างของกฎหมายเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เท่านั้น…… อย่างไรก็ตาม……ไม่ได้มีใครสนใจกับข้อโต้แย้งของเขานัก เพราะทั้งรัสเซียกำลังตื่นเต้นกับ ราคาน้ำมันส่งออกทะยานขึ้นเกินสิบเท่าของที่เคยได้ จาก หกพันล้าน พุ่งขึ้นมาเป็น แปดหมื่นล้านเหรียญ และรัสเซียได้กลายมาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าซาอุดิ อะเรเบีย และสินค้าอื่นๆเริ่มมีใบสั่งเข้ามายาวเป็นหางว่าว…… แต่ปูตินไม่ได้ปล่อยให้ความคิดเห็นคัดค้านของนายกฯผ่านไป วันที่ 23 กุมภาพันธุ์ หลังจากการประชุมบอร์ดผ่านไป ปูตินให้ นายกฯ คาเซียนอฟ เข้ามาพบ และพูดสั้นๆว่า…… “ต่อไปนี้……คุณหมดหน้าที่แล้วนะ” เป็นการไล่ออกแบบง่ายๆที่ไม่ต้องมีพิธีรีตอง…… และ……ไม่มีการประกาศว่า ใครจะมาแทน…ผู้คนก็เดากันไปต่างๆนานา ว่าอาจจะเป็นคนนั้นคนนี้ จนอาทิตย์หนึ่งผ่านไป ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่ง คือ Mikhaïl Fradkov ที่แสน”โนเนม”จากปีเตอร์สเบอร์ก แต่ไม่โนเนมสำหรับปูติน เพราะ MF (Mikhaïl Fradkov) คนนี้เคยเป็นรัฐมนตรีเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ในสมัยเยลซิน เป็นผู้เชี่ยวชาญในหลายภาษา เป็นคนตรง…สมถะ และ ไม่สนใจในการเมือง ในขณะที่ปูตินติดต่อไปให้มารับตำแหน่ง ตอนนั้น MF อยู่ที่ Brussels กำลังทำหน้าที่เป็นทูตพานิชย์รัสเซียประจำ EU เมื่อเขาบินมาถึงมอสโคว์ในวันต่อมา เพื่อเข้ารับตำแหน่ง นัดข่าวได้ถามถึงนโยบายในการทำงาน เขาตอบสั้นๆว่า “ก็ทำตามนโยบายของท่านประธานาธิบดี……” วันที่ 1 กันยายน เป็นช่วงเวลาที่เด็กๆกลับเข้าโรงเรียน ที่มีธรรมเนียมที่น่ารัก คือเด็กๆแต่งตัวกันสวยงาม เตรียมของขวัญเล็กๆน้อยๆไปสวัสดีคุณครู ผู้ปกครองพากันตื่นเต้น จูงลูก พาหลานไปพบปะสังสรรกันที่หอประชุมโรงเรียนในวันเปิดเทอมวันแรก ที่เมือง Beslan, North-Ossetia (คอเคซัส) ก็เช่นกัน เหตุการณ์ที่ควรจะเป็นภาพสวยงามนี้ ได้กลายมาเป็นโศกนาฏกรรม ผู้คนประมาณหลายร้อยคนได้ชุมนุมกันที่ลานหน้าโรงเรียน ทันใดนั้น ได้มีรถบรรทุกวิ่งผ่าเข้ามา……ผ่าใบคลุมหลังรถได้เปิดออก กลุ่มผู้ก่อการร้ายได้ตะโกนเรียกพระนาม แล้วกระโดดลงมาพร้อมอาวุธ ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน กลุ่มกบฎได้ต้อนทุกคนเข้าไปอยู่ในโรงยิม …… กลุ่มกบฏ……มีผู้หญิงสองคนรวมอยู่ด้วย นั่นคือ Maryam Taburova และ Rosa Negayeva เป็นการกระทำที่อุกอาจที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะเมื่อวันที่ 9 เดือนพฤษภาที่ผ่านมา……ที่เป็นวันฉลองชัยชนะของรัสเซีย ประธานาธิบดีเชเชน Akhmad Kadyrov ที่เพิ่งรับตำแหน่งสดๆร้อนๆได้ไปเป็นประธานในพิธี ได้ถูกลอบวางระเบิดที่กลางงานจนเสียชีวิต เหลือไว้คือลูกชายวัย 27 Ramzan ที่มีเลือดพ่อเต็มร้อย พร้อมลงสานต่อ แต่อายุยังไม่เข้าเกณฑ์ที่จะเป็นผู้นำ จึงต้องคอยไปก่อน ปูตินแต่งตั้งให้ Aslan Maskhadov ขึ้นมาแทนไปก่อน แต่กลุ่มกบฏ……ก็ได้ให้คำเตือนมาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า……Ramzan จะเป็นรายต่อไป…เมื่อมีโอกาส…!! คราวนี้ที่ Beslan ที่ฝ่ายกบฏได้ยื่นความประสงค์กับปูตินว่า กองทัพรัสเซียจะต้องออกไปจากพื้นที่ และประกาศให้เชเชนเป็นเอกราช ซึ่งเชเชนจะร่วมเป็นพันธมิตรและยังคงใช้รูเบิ้ลเป็นสกุลเงินตรา เชเชนจะร่วมมือกับรัสเซียในการพัฒนากองกำลังและฟื้นฟูประเทศ (ที่เป็นเอกราช) ในนามของพระเจ้า ลงชื่อ Shamil Basayev ซึ่ง ชามิลตัวหัวหน้า……มาแต่เพียงในนาม ไม่ได้อยู่รวมในกลุ่ม และข้อเสนอนั้น ……เป็นไปไม่ได้ที่ทางรัสเซียจะยอมรับ การกักตัวผู้คนจำนวนหลายร้อยในที่ที่จำกัด ได้สร้างความทุกข์ทรมานให้กับเด็กๆอย่างแสนสาหัส เพราะไม่มีอาการ ไม่มีน้ำ ผู้ที่ขัดขืนได้ถูกยิงทิ้ง แล้วนำศพโยนออกมาทางหน้าต่าง……จำนวนหลายศพ ในที่สุด วันที่สองของการควบคุมตัว ได้มีการเจรจาขอให้ปล่อยเด็กเล็กกว่าสามสิบคนออกมาได้ วันที่สาม……ฝ่ายเจรจาขอให้มีการนำรถพยาบาลเข้าไปรับศพที่เริ่มบวมออกมาจากสถานที่ ในเวลาตีหนึ่ง ที่หน่วยพยาบาลสี่คนได้เข้าไปพร้อมรถตามกำหนดการ เมื่อไปถึง……เพียงสองนาทีผ่านไป…..ได้เกิดระเบิดขึ้น ที่ทำให้ผนังของโรงยิมได้เปิดออก หลังคาเปิง คราวนี้……ฝ่ายกบฏได้เปิดฉากยิงมั่วซั่ว ขว้างระเบิดมือท่ามกลางฝุ่นที่ตลบคลุ้ง เป็นการโกลาหลจนสุดบรรยาย เพราะผู้คนส่วนใหญ่ที่เป็นเชลยไม่อยู่ในสภาพที่จะหลบหนีได้ พวกเขาอ่อนเปลี้ยจนเกินไป เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไป ทั้งหมดในนั้นเสียชีวิต จำนวนเชลย 334 คน (เด็กโต 186 คน) คอมมานโด 10 คน ผู้ก่อการ 30 คน (ผู้หญิง 2) อันเป็นข่าวที่น่าสลดใจไปยังรอบโลก ที่มีการค้นหาความจริง ว่า ระเบิดที่เกิดขึ้นนั้น มาจากระเบิดที่ทางฝ่ายคณะผู้ก่อการได้วางสายเอาไว้แล้วเกิดการผิดพลาด…จนเป็นที่มาของโศกนาฏกรรมหมู่ ปูติน..พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้มีการสูญเสีย เพราะประสบการณ์จากโรงละครที่ทำให้เขาไม่ยอมใช้วิธีการยาสลบพ่นเข้าไป เขาหวังในการเจรจา……ที่ควรจะมีการต่อรองกับ Shamil โดยตรง ไม่ผ่านตัวกลาง แต่นั่นหมายถึงว่า แม้ว่าเขาจะเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับการสูญเสียครั้งใหญ่เขายังต้องตอบคำถามที่หลั่งไหลเข้ามาจากนักข่าว โดยเฉพาะฝ่ายศัตรูที่คอยเล่นงานทิ่มแทง วันที่ 13 กันยายน หลังจากที่เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญโลกที่ Beslan พวกที่นั่งในสภา 150 ที่นั่งที่ได้รับเลือกตั้งมา (จากต่างพรรค) ที่ปูตินเรียกสัมภาษณ์รายคน ถึง จุดมุ่งหมายในความคิดและนโยบายที่มีต่อประเทศ แต่ละรายเพ้อเจ้อในเรื่องของความเป็นประชาธิปไตยที่เอนเอียงไปในทางที่จะให้เอกราชกับเชเชน… ปูตินจีงประกาศสั่งระงับการเลือกตั้งท้องถิ่นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นนายอำเภอ หรือ นายกเทศมนตรี ทุกอย่างขะงักกึก……… เท่ากับว่า มอสโคว์คือศูนย์กลางของการปกครองเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เปรียบได้ว่าการปกครองได้กลับเข้าไปสู่ยุคของคอมมิวนิสต์ เพราะเขาได้ประกาศว่า…… “ประชากรชาวรัสเชี่ยนของเรา ยังมีความคิดล้าหลัง ยังไม่ปรับตัวให้ทันกับสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยที่มาถึงพร้อมกับความชั่วร้าย ……เราต้องใช้เวลากับการทำความรู้จักกับมัน……เพราะสิ่งที่จะใช้ได้ผลที่สุดในยามนี้ คือการยืนค่อนไปทางซ้าย..(ระบอบคอมมิวนิสต์)” พรรคฝ่ายซ้ายขานรับกันจ้าละหวั่น และ เสนอตัวกันอย่างแข็งขันในการร่วมมือ … ~~~หลังจากการก่อการร้ายของ Shamil Basayev ที่ได้สร้างความเขย่าขวัญนานหลายปี ตั้งแต่วางแผนจับตัวประกันที่โรงละคร และ ที่โรงเรียน รวมทั้งที่อื่นๆทั่วรัสเซียนานกว่าสิบปี ฝ่าย FSB ได้ถือว่า ชามิล คือ อาชญากรที่ทางแารรัสเซียต้องการตัวที่สุด ในที่สุด การ”ล่อซื้อ” ได้เกิดขึ้น ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2006 นั่นคือ การค้าขายอาวุธให้กับกลุ่มผู้ก่อการร้าย ที่เป็นล๊อตขนาดใหญ่ ที่มีจุดรับของที่หมู่บ้าน Ekazhevo ชามิล และคณะมารอรับ และเมื่อรถบรรทุกอาวุธที่ว่ามาถึง ระหว่างที่มีการตรวจคุณภาพของกัน รถบรรทุกได้เกิดระเบิดขึ้น คร่าชีวิตของชามิลและคณะนับสิบคน…ตามวัตถุประสงค์ของ FSB ……!!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 260 Views 0 Reviews
  • 🤠#สหรัฐฯค่อยๆเข้ามาแทนที่อังกฤษและกลายเป็นเจ้าโลกได้อย่างไร #การรื้ออำนาจเจ้าโลกจะมีผลกระทบอะไรบ้าง ตอน 01.🤠

    ตั้งแต่สมัยโบราณมา การถ่ายโอนและการส่งมอบอำนาจจากฝ่ายหนึ่งไปยังอีกฝ่ายนั้นจะมาพร้อมกับสงครามที่ดุเดือดเสมอ ตัวอย่างเช่น การต่อสู้เพื่อชิงอำนาจทางทะเลระหว่างอังกฤษและสเปน และการต่อสู้เพื่อชิงอำนาจทางทวีประหว่างจักรวรรดิเยอรมันและจักรวรรดิไรช์ที่ 3 ของฝรั่งเศส

    อย่างไรก็ตาม ในการเปลี่ยนแปลงอำนาจเจ้าโลกและในการถ่ายโอนอำนาจครั้งล่าสุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ กล่าวคือ การถ่ายโอนอำนาจระหว่างอังกฤษและสหรัฐอเมริกาไม่ได้เกิดขึ้นในความขัดแย้งโดยตรงขนาดใหญ่ ยกเว้นสงครามระดับภูมิภาคขนาดเล็กระหว่างทั้งสองประเทศ และการส่งมอบอย่างสันติก็บรรลุผลสำเร็จในระดับหนึ่ง

    😎แล้วสหรัฐฯ เข้ามาแทนที่อังกฤษในฐานะผู้นำอันดับหนึ่งของโลกโดยวิธีใด และสิ่งนี้มีผลกระทบอย่างไรต่อการสลายอำนาจนำ?😎

    🤯หนึ่ง จุดเริ่มต้นของอำนาจครอบงำของอังกฤษและความเสื่อมถอย🤯

    ในปีค.ศ. 1815 นโปเลียนพ่ายแพ้ต่อพันธมิตรของยุโรปซึ่งนำโดยนายพลเวลลิงตัน(Wellington)แห่งอังกฤษที่วอเตอร์ลู(Waterloo) นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อังกฤษได้ขจัดอุปสรรคทั้งหมดในทวีปยุโรปและทั่วโลก

    ในช่วงกลางถึงปลายศตวรรษที่ 19 อำนาจของอังกฤษถึงจุดสูงสุด ซึ่งเห็นได้จากการตระหนักถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมในระดับสูงในบริเตนและการขยายอาณานิคมขนาดใหญ่ของจักรวรรดิอังกฤษ

    😎สิ่งที่เรียกว่าอำนาจนำของอังกฤษคือสันติภาพภายใต้จักรวรรดิอังกฤษ ความได้เปรียบประการแรกที่เกิดจากการปฏิวัติทางเทคโนโลยีและการปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้สหราชอาณาจักรมีบทบาทในการลดมิติในสงคราม โดยมีรากฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและอำนาจทางเรือ เป็นการรับประกันที่มั่นคงสำหรับอำนาจเจ้าโลกของอังกฤษ😎

    😎หน่วยงานของจักรวรรดิได้นำประเด็นสำคัญสามประการมาใช้: นโยบายการตรวจสอบและถ่วงดุลของยุโรป การขยายอาณานิคม และความเหนือกว่าทางเรือ ในที่สุดก็กลายเป็นอาณาจักรที่อยู่ยงคงกระพันซึ่งดวงอาทิตย์ไม่เคยตกดิน😎

    ด้วยการพัฒนาด้านการผลิตอย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จที่เกิดจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรกไม่สามารถตอบสนองความต้องการในปัจจุบันขององค์กรได้อีกต่อไป และการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สองก็เกิดขึ้น คราวนี้พระเจ้าไม่ทรงโปรดปรานเช้าช้างสหราชอาณาจักร แต่ทรงนำการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สองให้เกิดขึ้นในโลก โดยมอบให้กับเยอรมนีในทวีปยุโรปและสหรัฐอเมริกาที่อยู่อีกฟากหนึ่งของมหาสมุทร

    อาศัยการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สองเยอรมนีและสหรัฐอเมริกาได้สร้างแบบจำลองของอเมริกันและแบบของเยอรมันที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รัฐบาลของทั้งสองประเทศพัฒนาเศรษฐกิจทุนนิยมอย่างแข็งขัน และสร้างพื้นฐานความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจเพื่อแข่งขันกับอังกฤษเพื่อชิงอำนาจ

    😎อย่างไรก็ตาม ทั้งสองโมเดลมีความแตกต่างกันในนโยบายต่างประเทศ คนเยอรมันกระตือรือร้นที่จะแก้ไขปัญหาด้วยการใช้กำลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของอำนาจทางทะเล เพื่อทำลายการปิดล้อมทางเรือของอังกฤษ กองทัพเรือเยอรมันจึงเปิดการแข่งขันด้านอาวุธทางเรือกับอังกฤษ😎

    😎สหรัฐอเมริกาอยู่ในทวีปอเมริกาและไม่มีแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงเท่ากับเยอรมนี นอกจากนี้ สหรัฐฯ ก็ไม่เต็มใจที่จะทำสงครามกับอังกฤษอีกเช่นกัน เมื่อเทียบผลประโยชน์กับอำนาจเจ้าโลก ทางการสหรัฐฯ จึงสนใจเปิดสวนหลังบ้านในอเมริกาเป็นของตนเองเพื่อแสวงผลประโยชน์มากขึ้น😎

    อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่แท้จริงคืออังกฤษสูญเสียความได้เปรียบทางเศรษฐกิจในการรักษาอำนาจอำนาจเมื่อปลายศตวรรษที่ 19 เยอรมนีและสหรัฐอเมริกาได้แซงหน้าอังกฤษอย่างต่อเนื่องในเชิงเศรษฐกิจ ซึ่งยังเป็นการวางรากฐานทางเศรษฐกิจสำหรับการถ่ายโอนอำนาจในอนาคตด้วย

    🤯สอง ทางตัน🤯

    ในตอนต้นของศตวรรษที่ 20 ความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาอยู่ในอันดับที่ 1 ของโลก ในแง่ของการทหาร แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะไม่ใช่อันดับหนึ่งของโลก แต่ก็ได้เอาชนะสเปนผู้เป็นอาณานิคมเก่าในสงครามสเปน-อเมริกา

    ชัยชนะในสงครามสเปน-อเมริกาทำให้ทางการสหรัฐฯ มั่นใจ ซึ่งทำให้สหรัฐฯ เปลี่ยนยุทธศาสตร์ทางการทูตทั้งหมด อดีตยุทธศาสตร์แผ่นดินใหญ่ของอเมริกาและนโยบายความเป็นกลางในกิจการระหว่างประเทศไม่สามารถตอบสนองความต้องการด้านการพัฒนาของสหรัฐฯ ได้อีกต่อไป และลัทธิเจ้าโลกก็ค่อยๆผงาดสูงขึ้น

    ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1914 เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 รัฐบาลสหรัฐฯ เนื่องจากภายในประเทศมีการแพร่หลายลัทธิโดดเดี่ยวอย่างมาก รัฐบาลสหรัฐฯ จึงแสดงจุดยืนที่เป็นกลางทันที

    อย่างไรก็ตาม สงครามในยุโรปไม่ได้ปล่อยให้สหรัฐอเมริกาอยู่ตามลำพัง การห้ามการค้าของประเทศต่างๆ และการโจมตีตามอำเภอใจต่างๆ ได้ก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างร้ายแรงต่อสหรัฐอเมริกา

    ประธานาธิบดีวิลสัน (Wilson)ของสหรัฐอเมริกาในขณะนั้นตระหนักว่าสหรัฐอเมริกาไม่สามารถปกป้องผลประโยชน์ของยุโรปได้หากปราศจากการแทรกแซงในสนามรบของยุโรป และพฤติกรรมซึ่งดูแล้วชวนทำให้เกิดความสิ้นหวังของทางการเยอรมันได้เร่งการแทรกแซงของสหรัฐฯ ในสงครามให้เร็วขึ้น

    ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1917 หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ สกัดกั้นจดหมายลับสุดยอดที่ส่งจากเยอรมนีไปยังเม็กซิโก เนื้อหาของจดหมายประกอบด้วยเรื่องราวยุทธศาสตร์ระดับโลกในอนาคตของเยอรมนี ซึ่งรวมถึงแผนการจัดวางกำลังในอเมริกาเพื่อช่วยเม็กซิโกฟื้นฟูดินแดนที่ถูกผนวกโดยสหรัฐอเมริกา หลังจากเหตุการณ์นี้ถูกเปิดเผย ความคิดเห็นของสาธารณชนในสหรัฐอเมริกาก็เกิดความโกลาหล และกลุ่มซึ่งแต่เดิมมีความคิดนโยบายโดดเดี่ยวไม่เข้ากับฝ่ายใดก็เริ่มโน้มเข้าหาฝ่ายต้องการทำสงครามมากขึ้น

    เมื่อวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1917 รัฐสภาสหรัฐฯ อนุมัติการทำสงครามกับเยอรมนี แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วสหรัฐฯจะชนะ อย่างไรก็ตาม ข้อเรียกร้องของทางการสหรัฐฯ และแผนสำหรับระเบียบโลกใหม่ล้มเหลว และอำนาจนำแบบดั้งเดิมยังคงยึดครองอย่างมั่นคงโดยกลุ่มประเทศอาณานิคมเก่า

    🤯โปรดติดตามบทความ#สหรัฐฯ ค่อยๆ เข้ามาแทนที่อังกฤษและกลายเป็นเจ้าโลกได้อย่างไร? #การรื้ออำนาจเจ้าโลกจะมีผลกระทบอะไรบ้าง? ตอน 02. ที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    🤠#สหรัฐฯค่อยๆเข้ามาแทนที่อังกฤษและกลายเป็นเจ้าโลกได้อย่างไร #การรื้ออำนาจเจ้าโลกจะมีผลกระทบอะไรบ้าง ตอน 01.🤠 ตั้งแต่สมัยโบราณมา การถ่ายโอนและการส่งมอบอำนาจจากฝ่ายหนึ่งไปยังอีกฝ่ายนั้นจะมาพร้อมกับสงครามที่ดุเดือดเสมอ ตัวอย่างเช่น การต่อสู้เพื่อชิงอำนาจทางทะเลระหว่างอังกฤษและสเปน และการต่อสู้เพื่อชิงอำนาจทางทวีประหว่างจักรวรรดิเยอรมันและจักรวรรดิไรช์ที่ 3 ของฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม ในการเปลี่ยนแปลงอำนาจเจ้าโลกและในการถ่ายโอนอำนาจครั้งล่าสุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ กล่าวคือ การถ่ายโอนอำนาจระหว่างอังกฤษและสหรัฐอเมริกาไม่ได้เกิดขึ้นในความขัดแย้งโดยตรงขนาดใหญ่ ยกเว้นสงครามระดับภูมิภาคขนาดเล็กระหว่างทั้งสองประเทศ และการส่งมอบอย่างสันติก็บรรลุผลสำเร็จในระดับหนึ่ง 😎แล้วสหรัฐฯ เข้ามาแทนที่อังกฤษในฐานะผู้นำอันดับหนึ่งของโลกโดยวิธีใด และสิ่งนี้มีผลกระทบอย่างไรต่อการสลายอำนาจนำ?😎 🤯หนึ่ง จุดเริ่มต้นของอำนาจครอบงำของอังกฤษและความเสื่อมถอย🤯 ในปีค.ศ. 1815 นโปเลียนพ่ายแพ้ต่อพันธมิตรของยุโรปซึ่งนำโดยนายพลเวลลิงตัน(Wellington)แห่งอังกฤษที่วอเตอร์ลู(Waterloo) นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อังกฤษได้ขจัดอุปสรรคทั้งหมดในทวีปยุโรปและทั่วโลก ในช่วงกลางถึงปลายศตวรรษที่ 19 อำนาจของอังกฤษถึงจุดสูงสุด ซึ่งเห็นได้จากการตระหนักถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมในระดับสูงในบริเตนและการขยายอาณานิคมขนาดใหญ่ของจักรวรรดิอังกฤษ 😎สิ่งที่เรียกว่าอำนาจนำของอังกฤษคือสันติภาพภายใต้จักรวรรดิอังกฤษ ความได้เปรียบประการแรกที่เกิดจากการปฏิวัติทางเทคโนโลยีและการปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้สหราชอาณาจักรมีบทบาทในการลดมิติในสงคราม โดยมีรากฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและอำนาจทางเรือ เป็นการรับประกันที่มั่นคงสำหรับอำนาจเจ้าโลกของอังกฤษ😎 😎หน่วยงานของจักรวรรดิได้นำประเด็นสำคัญสามประการมาใช้: นโยบายการตรวจสอบและถ่วงดุลของยุโรป การขยายอาณานิคม และความเหนือกว่าทางเรือ ในที่สุดก็กลายเป็นอาณาจักรที่อยู่ยงคงกระพันซึ่งดวงอาทิตย์ไม่เคยตกดิน😎 ด้วยการพัฒนาด้านการผลิตอย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จที่เกิดจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรกไม่สามารถตอบสนองความต้องการในปัจจุบันขององค์กรได้อีกต่อไป และการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สองก็เกิดขึ้น คราวนี้พระเจ้าไม่ทรงโปรดปรานเช้าช้างสหราชอาณาจักร แต่ทรงนำการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สองให้เกิดขึ้นในโลก โดยมอบให้กับเยอรมนีในทวีปยุโรปและสหรัฐอเมริกาที่อยู่อีกฟากหนึ่งของมหาสมุทร อาศัยการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สองเยอรมนีและสหรัฐอเมริกาได้สร้างแบบจำลองของอเมริกันและแบบของเยอรมันที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รัฐบาลของทั้งสองประเทศพัฒนาเศรษฐกิจทุนนิยมอย่างแข็งขัน และสร้างพื้นฐานความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจเพื่อแข่งขันกับอังกฤษเพื่อชิงอำนาจ 😎อย่างไรก็ตาม ทั้งสองโมเดลมีความแตกต่างกันในนโยบายต่างประเทศ คนเยอรมันกระตือรือร้นที่จะแก้ไขปัญหาด้วยการใช้กำลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของอำนาจทางทะเล เพื่อทำลายการปิดล้อมทางเรือของอังกฤษ กองทัพเรือเยอรมันจึงเปิดการแข่งขันด้านอาวุธทางเรือกับอังกฤษ😎 😎สหรัฐอเมริกาอยู่ในทวีปอเมริกาและไม่มีแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงเท่ากับเยอรมนี นอกจากนี้ สหรัฐฯ ก็ไม่เต็มใจที่จะทำสงครามกับอังกฤษอีกเช่นกัน เมื่อเทียบผลประโยชน์กับอำนาจเจ้าโลก ทางการสหรัฐฯ จึงสนใจเปิดสวนหลังบ้านในอเมริกาเป็นของตนเองเพื่อแสวงผลประโยชน์มากขึ้น😎 อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่แท้จริงคืออังกฤษสูญเสียความได้เปรียบทางเศรษฐกิจในการรักษาอำนาจอำนาจเมื่อปลายศตวรรษที่ 19 เยอรมนีและสหรัฐอเมริกาได้แซงหน้าอังกฤษอย่างต่อเนื่องในเชิงเศรษฐกิจ ซึ่งยังเป็นการวางรากฐานทางเศรษฐกิจสำหรับการถ่ายโอนอำนาจในอนาคตด้วย 🤯สอง ทางตัน🤯 ในตอนต้นของศตวรรษที่ 20 ความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาอยู่ในอันดับที่ 1 ของโลก ในแง่ของการทหาร แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะไม่ใช่อันดับหนึ่งของโลก แต่ก็ได้เอาชนะสเปนผู้เป็นอาณานิคมเก่าในสงครามสเปน-อเมริกา ชัยชนะในสงครามสเปน-อเมริกาทำให้ทางการสหรัฐฯ มั่นใจ ซึ่งทำให้สหรัฐฯ เปลี่ยนยุทธศาสตร์ทางการทูตทั้งหมด อดีตยุทธศาสตร์แผ่นดินใหญ่ของอเมริกาและนโยบายความเป็นกลางในกิจการระหว่างประเทศไม่สามารถตอบสนองความต้องการด้านการพัฒนาของสหรัฐฯ ได้อีกต่อไป และลัทธิเจ้าโลกก็ค่อยๆผงาดสูงขึ้น ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1914 เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 รัฐบาลสหรัฐฯ เนื่องจากภายในประเทศมีการแพร่หลายลัทธิโดดเดี่ยวอย่างมาก รัฐบาลสหรัฐฯ จึงแสดงจุดยืนที่เป็นกลางทันที อย่างไรก็ตาม สงครามในยุโรปไม่ได้ปล่อยให้สหรัฐอเมริกาอยู่ตามลำพัง การห้ามการค้าของประเทศต่างๆ และการโจมตีตามอำเภอใจต่างๆ ได้ก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างร้ายแรงต่อสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีวิลสัน (Wilson)ของสหรัฐอเมริกาในขณะนั้นตระหนักว่าสหรัฐอเมริกาไม่สามารถปกป้องผลประโยชน์ของยุโรปได้หากปราศจากการแทรกแซงในสนามรบของยุโรป และพฤติกรรมซึ่งดูแล้วชวนทำให้เกิดความสิ้นหวังของทางการเยอรมันได้เร่งการแทรกแซงของสหรัฐฯ ในสงครามให้เร็วขึ้น ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1917 หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ สกัดกั้นจดหมายลับสุดยอดที่ส่งจากเยอรมนีไปยังเม็กซิโก เนื้อหาของจดหมายประกอบด้วยเรื่องราวยุทธศาสตร์ระดับโลกในอนาคตของเยอรมนี ซึ่งรวมถึงแผนการจัดวางกำลังในอเมริกาเพื่อช่วยเม็กซิโกฟื้นฟูดินแดนที่ถูกผนวกโดยสหรัฐอเมริกา หลังจากเหตุการณ์นี้ถูกเปิดเผย ความคิดเห็นของสาธารณชนในสหรัฐอเมริกาก็เกิดความโกลาหล และกลุ่มซึ่งแต่เดิมมีความคิดนโยบายโดดเดี่ยวไม่เข้ากับฝ่ายใดก็เริ่มโน้มเข้าหาฝ่ายต้องการทำสงครามมากขึ้น เมื่อวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1917 รัฐสภาสหรัฐฯ อนุมัติการทำสงครามกับเยอรมนี แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วสหรัฐฯจะชนะ อย่างไรก็ตาม ข้อเรียกร้องของทางการสหรัฐฯ และแผนสำหรับระเบียบโลกใหม่ล้มเหลว และอำนาจนำแบบดั้งเดิมยังคงยึดครองอย่างมั่นคงโดยกลุ่มประเทศอาณานิคมเก่า 🤯โปรดติดตามบทความ#สหรัฐฯ ค่อยๆ เข้ามาแทนที่อังกฤษและกลายเป็นเจ้าโลกได้อย่างไร? #การรื้ออำนาจเจ้าโลกจะมีผลกระทบอะไรบ้าง? ตอน 02. ที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 Comments 0 Shares 181 Views 0 Reviews
  • สื่อญี่ปุ่น Nikkei Asia พลาดเรื่อง QR Payment

    ในที่สุดนิกเกอิ เอเชีย (Nikkei Asia) สื่อจากประเทศญี่ปุ่น ยอมแก้ไขเนื้อหาข่าวหัวข้อ "Malaysia and Cambodia lead QR payment expansion in ASEAN" (มาเลเซียและกัมพูชาเป็นผู้นำการขยายตัวของระบบการชำระเงิน QR Payment ในอาเซียน) ซึ่งตีพิมพ์ไปเมื่อวันที่ 18 ก.ย. ที่ผ่านมา เป็น "QR payments expand in Thailand, Malaysia and Cambodia" (การชำระเงินด้วย QR ขยายตัวในประเทศไทย มาเลเซีย และกัมพูชา) เมื่อค่ำวันที่ 24 ก.ย.

    พร้อมกับแก้ไขแผนภูมิหัวข้อ "QR code payments in Southeast Asia" (เปรียบเทียบการชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) จากเดิมไม่มีประเทศไทยอยู่ในการจัดอันดับ เป็นอันดับหนึ่งของแผนภูมิดังกล่าว

    หลังเฟซบุ๊กทางการของธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า การโอนเงินและการชำระเงินผ่านระบบพร้อมเพย์เพิ่มขึ้นจาก 14,800 ล้านครั้งในปี 2022 เป็น 19,900 ล้านครั้งในปี 2023 ส่วนปริมาณธุรกรรมการชำระงินผ่าน QR payment ในประเทศไทยผ่านระบบพร้อมเพย์ เพิ่มขึ้นจาก 2,500 ล้านครั้งในปี 2022 เป็น 5,700 ล้านครั้งในปี 2023 พร้อมกับแนบลิงก์สถิติดังกล่าว กระทั่งเว็บไซต์ Nikkei Asia ได้แก้ไขเนื้อหาและแผนภูมิในที่สุด

    ก่อนหน้านี้ Nikkei Asia ลงแผนภูมิเปรียบเทียบการชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปรากฎว่าจัดอันดับประเทศไทยรั้งท้าย เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กชาวไทยคอมเมนต์ว่าข้อมูลผิด จึงได้ลงแผนภูมิใหม่ โดยไม่มีประเทศไทยอยู่ในการจัดอันดับอีกเลย ผลก็คือคนไทยจำนวนมากไม่พอใจ และธนาคารแห่งประเทศไทยต้องให้ข้อมูลที่แท้จริง จึงยอมแก้ไข

    หากไม่นับเรื่องการเมืองในไทย มีหลายกรณีที่การนำเสนอข่าวของ Nikkei Asia เป็นที่เคลือบแคลงสงสัยของผู้อ่านชาวไทย อาทิ วิจารณ์ค่ายรถยนต์จากจีนว่าเป็นวงจรอุบาทว์ในอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย วิจารณ์ว่าประเทศไทยฟื้นตัวจากโควิด-19 ช้าที่สุด ทำให้เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียวขณะนั้นตอบโต้ และวิจารณ์การเปิดตัวศูนย์การค้าไอคอนสยามในแง่ลบ

    แม้จะแก้ไขข้อมูลที่ถูกต้องในเวลานี้ แต่ผู้อ่านชาวไทยต่างมีภาพจำเรื่องดังกล่าว ย่อมกระทบไปถึงชื่อเสียงในระยะยาว ยิ่งเป็นระบบบอกรับสมาชิก (Subsciption) คือต้องจ่ายเงินก่อน ถึงจะอ่านเนื้อหาข่าวได้ ผู้บริโภคสื่อย่อมลังเลถึงความน่าเชื่อถือ ในฐานะสมาชิก ที่ยอมเสียเงินเพื่อหวังเสพเนื้อหาข่าวที่เชื่อว่ามีคุณภาพ จากสำนักข่าวที่มีชื่อเสียง

    ถือเป็นบทเรียนของคนทำสื่อ ที่ต้องรักษาคุณภาพ ภายใต้การแบกรับความคาดหวังของสมาชิกเป็นเดิมพัน

    #Newskit #NikkeiAsia #BankOfThailand
    สื่อญี่ปุ่น Nikkei Asia พลาดเรื่อง QR Payment ในที่สุดนิกเกอิ เอเชีย (Nikkei Asia) สื่อจากประเทศญี่ปุ่น ยอมแก้ไขเนื้อหาข่าวหัวข้อ "Malaysia and Cambodia lead QR payment expansion in ASEAN" (มาเลเซียและกัมพูชาเป็นผู้นำการขยายตัวของระบบการชำระเงิน QR Payment ในอาเซียน) ซึ่งตีพิมพ์ไปเมื่อวันที่ 18 ก.ย. ที่ผ่านมา เป็น "QR payments expand in Thailand, Malaysia and Cambodia" (การชำระเงินด้วย QR ขยายตัวในประเทศไทย มาเลเซีย และกัมพูชา) เมื่อค่ำวันที่ 24 ก.ย. พร้อมกับแก้ไขแผนภูมิหัวข้อ "QR code payments in Southeast Asia" (เปรียบเทียบการชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) จากเดิมไม่มีประเทศไทยอยู่ในการจัดอันดับ เป็นอันดับหนึ่งของแผนภูมิดังกล่าว หลังเฟซบุ๊กทางการของธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า การโอนเงินและการชำระเงินผ่านระบบพร้อมเพย์เพิ่มขึ้นจาก 14,800 ล้านครั้งในปี 2022 เป็น 19,900 ล้านครั้งในปี 2023 ส่วนปริมาณธุรกรรมการชำระงินผ่าน QR payment ในประเทศไทยผ่านระบบพร้อมเพย์ เพิ่มขึ้นจาก 2,500 ล้านครั้งในปี 2022 เป็น 5,700 ล้านครั้งในปี 2023 พร้อมกับแนบลิงก์สถิติดังกล่าว กระทั่งเว็บไซต์ Nikkei Asia ได้แก้ไขเนื้อหาและแผนภูมิในที่สุด ก่อนหน้านี้ Nikkei Asia ลงแผนภูมิเปรียบเทียบการชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปรากฎว่าจัดอันดับประเทศไทยรั้งท้าย เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กชาวไทยคอมเมนต์ว่าข้อมูลผิด จึงได้ลงแผนภูมิใหม่ โดยไม่มีประเทศไทยอยู่ในการจัดอันดับอีกเลย ผลก็คือคนไทยจำนวนมากไม่พอใจ และธนาคารแห่งประเทศไทยต้องให้ข้อมูลที่แท้จริง จึงยอมแก้ไข หากไม่นับเรื่องการเมืองในไทย มีหลายกรณีที่การนำเสนอข่าวของ Nikkei Asia เป็นที่เคลือบแคลงสงสัยของผู้อ่านชาวไทย อาทิ วิจารณ์ค่ายรถยนต์จากจีนว่าเป็นวงจรอุบาทว์ในอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย วิจารณ์ว่าประเทศไทยฟื้นตัวจากโควิด-19 ช้าที่สุด ทำให้เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียวขณะนั้นตอบโต้ และวิจารณ์การเปิดตัวศูนย์การค้าไอคอนสยามในแง่ลบ แม้จะแก้ไขข้อมูลที่ถูกต้องในเวลานี้ แต่ผู้อ่านชาวไทยต่างมีภาพจำเรื่องดังกล่าว ย่อมกระทบไปถึงชื่อเสียงในระยะยาว ยิ่งเป็นระบบบอกรับสมาชิก (Subsciption) คือต้องจ่ายเงินก่อน ถึงจะอ่านเนื้อหาข่าวได้ ผู้บริโภคสื่อย่อมลังเลถึงความน่าเชื่อถือ ในฐานะสมาชิก ที่ยอมเสียเงินเพื่อหวังเสพเนื้อหาข่าวที่เชื่อว่ามีคุณภาพ จากสำนักข่าวที่มีชื่อเสียง ถือเป็นบทเรียนของคนทำสื่อ ที่ต้องรักษาคุณภาพ ภายใต้การแบกรับความคาดหวังของสมาชิกเป็นเดิมพัน #Newskit #NikkeiAsia #BankOfThailand
    Like
    Sad
    Angry
    7
    1 Comments 0 Shares 288 Views 0 Reviews
  • มาแล้วค่าาาา……มาช้าดีกว่าไม่มา เรื่องพี่ปูเขาเยอะ คนเขียนต้องใช้เวลาเรียบเรียง……นี๊ดดดดดดดดนึงนะคะ……!!!

    ตอนสิบสาม….…ถ้าไม่แน่จริง……อย่ามาขวางทาง เพราะจะเลี้ยงไม่โต……!!!!

    วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2003 เรื่องสำคัญที่ปูตินได้เตรียมพร้อมที่จะลงดาบ……นั่นคือเรื่องเศรษฐกิจของประเทศ
    หลังจากที่ได้คุยกันไปในรอบแรกถึงนโยบายเมื่อครั้งที่เขาได้รับตำแหน่งใหม่ๆ เมื่อมาถึงตอนนี้……หลังจากที่เฝ้าจับตาดูมานานกว่าสองปี เขาเรียกประชุมกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคการเงิน
    ภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด ที่หอประชุม Catherine Hall
    โดยเริ่มต้นว่า……
    “เงินและทรัพย์สินที่พวกคุณที่หามาได้ จะมากมายแค่ไหน……
    ผมจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง คุณก็ทำมาหากินของคุณไป
    แต่มีข้อแม้อย่างเดียว คือ อย่าใช้เงินของคุณ มาเกี่ยวข้องหรือมาเล่นการเมืองโดยเด็ดขาด……และเรื่องสัมปทานทั้งหลาย
    ถ้ามีการฟอกเงินไม่ว่าสกุลไหน หรือถ่ายเทออกไปให้ใคร…
    ผมจะยึดคืนเข้ารัฐ…”

    ประกาสิตของปูตินที่ออกมา ได้กระทบกันระนาว คนหนึ่งในนั้นนั่นคือ Roman Abramovich มหาเศรษฐีที่มีตำแหน่งเป็นผู้ว่าการรัฐ Chukotka (ที่มาจากการเลือกตั้ง อยู่ในตำแหน่ง 2000-2008)
    ซึ่งได้มีการพูดคุยกับปูติน ว่า..ตำแหน่งผู้ว่าที่ได้มานั้น มาจากการที่เขาบริจาคทรัพย์สินที่มีมากมายมหาศาลในการสร้างเมืองที่แสนยากจนให้มาอยู่ดีกินดี เขาคนที่รวยที่สุดคนหนึ่งในรัสเซียที่สร้างตัวมาได้จากการขายเศษเหล็ก จนเป็นหุ้นใหญ่ในบริษัทน้ำมัน Sibneft
    ในกลุ่มของเขา มีเหล่าอภิมหาเศรษฐีที่รวมกลุ่มกัน คือ Badri Patarkatsishvili, Boris Berezovsky, Mikhail Fridman และ Mikhail Khodorkovsky และคนอื่นๆกว่ายี่สิบ ที่มีทรัพย์สินรวมกันแล้ว
    มากกว่างบประมาณประจำปีของหลายประเทศ

    ทุกคน(ส่วนใหญ่คือยิว)เริ่มหวั่นไหว เพราะปูตินได้กล่าวว่า ผมมีทางเลือกให้สองทาง จะเล่นการเมือง หรือ จะค้าขาย พวกคุณจะทำทั้งสองอย่างไม่ได้…
    ว่าแล้ว……ปูตินก็กางบัญชีเก็บภาษีย้อนหลัง (ที่ตรียมไว้)
    ซึ่งทุกคนต้องจ่าย และขอให้เริ่มต้นทำบัญชีให้ตรงตามความเป็นจริง เพราะจากนี้ไป… รัฐบาลจะจัดเจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลและตรวจสอบ

    มีคนเดียว…ที่ตกลงตามคำสั่งทุกประการ นั่นคือ Roman Abramovich….พร้อมจ่าย พร้อมให้ตรวจสอบทุกสิ่ง
    ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วย ……เงียบ
    (แต่หอบเงินหนีไปต่างประเทศ และไปตั้งตัวเป็นศัตรูของปูติน)
    คนที่เสียงดังที่สุด คือ Mikhail Khodorkovsky (หรือจะเรียกว่า MK) คนนี้ เป็นอภิมหาเศรษฐีที่มีอายุเพียง 39 ปี เป็นคนหัวทันสมัย ชื่นชอบนโยบายตะวันตก และมีเส้นสายกับกลุ่มยิวอเมริกันอย่างเปิดเผย เขาเปรียบเสมือน บิล เกตต์ แห่งรัสเซีย

    ระหว่าง MK มหาเศรษฐีสมัยใหม่ พูดจาผ่าซาก กับ ปูติน ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในรัสเซีย จึงเกิดการศรศิลป์ไม่กินกันตั้งแต่นั้นมา
    เพราะ MK เริ่มพูดถึงการคอรัปชั่นที่มีมาตั้งแต่ยุคกอร์บาเชฟ
    ที่ทำให้พวกเขาได้ร่ำรวยกันทุกวันนี้
    และการคอรัปชั่นนั้น มันมีมาตั้งแต่การสอบเข้ารับราชการที่ต้องมีการติดสินบนเจ้าหน้าที่ เพราะใครๆก็อยากเข้ามาทำราชการ ช่องทางหากินเยอะแยะ รวมทั้งเรื่องการเข้าประมูลสัมปทานน้ำมันที่อาร์คติก ที่มีมูลค่าถึง 600 ล้านดอลล่าร์
    เพราะต้องจ่ายเบี้ยบ้ายรายทางให้คนของรัฐหลายหน่วยงาน
    เขายังร่ายยาวต่อไป
    ความหมายคือ เขาไม่เชื่อว่าปูตินจะมาปราบโกง ในเมื่อมันได้หยั่งรากฝังลึกมาตั้งแต่ครั้งที่เป็นคอมมิวนิสต์แล้ว

    ปูตินเดือดจนแทบระเบิด ……แต่เขาพยายามสกัดอารมณ์
    พร้อมกับส่งบัญชีภาษีย้อนหลังให้กับ MK ในรายการธุรกิจน้ำมัน บริษัท Yukos ที่ MK เป็นเจ้าของอยู่
    ผู้รับ……ไม่มีทีท่าสะทกสะท้าน ซ้ำยังพูดเปรยๆว่า
    “ฝ่ายบัญชีท่าจะว่างจัด..!!!”
    เหล่ามหาเศรษฐีกลุ่มนี้ ไม่สามารถที่จะโต้แย้งในเรื่องยอดภาษีจำนวนมหาศาลที่หมกเม็ดไว้นานแสนนานได้ และเห็นว่าทำต่อไปก็ไร้ประโยชน์ เลยเทหุ้นขาย หรือ ไม่จ่าย
    ต่างหนีออกไปอยู่สบายๆที่ยุโรปกันแทบทั้งหมด

    เท่ากับว่า…รัฐบาลของปูตินได้ก้าวเข้าไปเป็นเจ้าของในอุตสาหกรรมที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของประเทศตามเจตนารมณ์ของปูติน ที่ต้องการใช้ทรัพยากรทั้งหมดสร้างเม็ดเงินเพื่อพัฒนาประเทศ

    ในช่วงขณะที่มีการประชุมกับกลุ่มมหาเศรษฐีนั้น คือช่วงที่สหรัฐอเมริกาเข้าบุกอิรัค ที่ปูตินไม่เห็นด้วย
    ปธน. บุชได้ชวนรัสเซียเข้ามาร่วมด้วยในการกำจัด ซัดดัม ฮุสเซน แต่ในประวัติศาสตร์ของรัสเซียที่ผูกพันกับอิรัคมายาวนาน
    หรือแม้ในช่วง 1991 ที่มีสงครามอ่าว รัสเซียก็ยังช่วยซื้อน้ำมันจากอิรัค ในขณะที่ UN ไม่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยอะไรเลย
    ทำให้บุชรู้สึกไม่พอใจในรัสเซีย เพราะ……เห็นว่ารัสเซียเข้าข้างซัดดัม
    โดยเบื้องหลังแล้ว……ปูตินได้แอบส่ง Primakov ไปที่กรุงแบกแดดไปเจรจากับซัดดัมให้ลาออกจากตำแหน่ง
    ซัดดัมรับฟังเงียบๆ แล้วก็เรียกคณะมนตรีเข้ามา พร้อมกับประกาศว่า
    “ฟังนะ ทุกคน……ตอนนี้รัสเซียได้กลายเป็นลูกจ๊อกของอเมริกาไปแล้ว…”
    แต่ลูกจ๊อกคนนี้ คือผู้ที่ส่งยุทโธปกรณ์และเครื่องสกัดขีปนาวุธให้กับอิรักอย่างต่อเนื่อง

    ไม่มีใครรู้ว่า ในสองปีที่ปูตินได้พยายามเป็นญาติดีกับอเมริกา
    นั้น……มันเปล่าประโยชน์จริงๆ และเขาได้เห็นอย่างชัดเจนว่า
    อเมริกา…ไม่ต้องการเป็นมิตร……แต่ต้องการที่จะครอบครอง
    ทั้งโลกแต่ผู้เดียว……!!!

    อเมริกาที่เข้าไปแทรกแซงทุกแห่งหนในโลก ทั้งทางตรง (รุกราน) และทางอ้อม (soft power) แม้แต่ในรัสเซียที่มีทุนของอเมริกาไหลบ่ามาอย่างมากมาย เช่นกลุ่ม Peace Corps,
    AFL-CIO (สหภาพแรงงาน), Chevron, Exxon
    ปูตินสั่งการให้เข้าคุมเข้ม และตรวจสอบแบบไม่ให้กระดิกกระเดี้ย

    ในปี 2003 ที่เขารีบทำการตอกหมุดเรื่องเศรษฐกิจ เพราะจะมีการเตรียมตัวเลือกตั้งในสมัยต่อไป (2004) ที่เขามีศัตรูเพิ่มขึ้น คือ
    MK ที่ได้ใช้เงินซื้อทุกพรรค
    จนต้องเรียกมาคุยกันเป็นการส่วนตัว
    ปูตินได้บอกกับ MK ว่า……เลิกทำตัวเป็นสปอนด์เซ่อร์ใหญ่ของฝ่ายค้านเสียที……!!
    MK ตอบอย่างยะโสว่า……ด๊ายยย เลิกก็ได้ แต่ผมห้ามคนอื่นๆในองค์กรของผมไม่ได้นะ เขาจะสนับสนุนพรรคไหนก็เป็นสิทธิของเขา……!!!

    ได้เลย…ถ้าต้องการแบบนั้น เดือนมิถุนายน ตำรวจได้เข้าทำการจับกุมหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยของบริษัทน้ำมัน Yukos (ของ MK) ด้วยข้อหาเกี่ยวพันกับคดีอาชญากรรม…ที่ต่อมามีการซัดทอดกันไปมาในกลุ่มผู้บริหารของบริษัท (ยังไม่เกี่ยวกับ MK)
    ในการซัดทอดนี้ ได้เป็นข่าวสนุกรายวัน เพราะมีการแฉเรื่องความเป็นมาของแต่ละคนว่า มีตำหนิตรงไหน ด้วยเรื่องอะไร
    กับใคร และเมื่อไหร่
    ซึ่งนำเข้าสู่การจับกุม Platon Lebedev (หุ้นส่วนใหญ่ของ MK)
    ที่ทำให้สองวันต่อมา หุ้นของ Yukos มูลค่ากว่า 7 พันล้านเหรียญ (เทียบเท่า) ตกดิ่งลงเหว
    ส่วน MK ยังทำไม่รู้ ไม่ชี้ ไม่เกี่ยว ยังเดินทางไปโน่นมานี่อย่างปรกติ
    วันที่ 23 ตุลาคม ศาลได้ส่งหมายเรียกให้ MK ไปเข้าให้การในเรื่องภาษี แต่……เขาไม่ปรากฎตัว
    วันที่ 25 ขณะที่กำลังจะเดินทางออกนอกประเทศ และแวะเติมน้ำมันที่ Novosibirsk เขาได้ถูกจับที่สนามบิน และถูกควบคุมตัวกลับสู่มอสโคว์

    การควบคุมตัวของ MK ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับเศรษฐกิจของประเทศ หุ้นตก นักลงทุนหวั่นไหว
    แต่สองเดือนก่อนหน้านี้ปูตินได้ออกหนังสือขึ้นมาจ่ายแจกกับประชาชนในเรื่องของ “กลุ่มทุนที่บั่นทอนประเทศ” โดยอธิบายความเป็นมาที่สร้างความเสียหาย
    พอเกิดเหตุการณ์ขึ้น ปูตินได้ออกรายการทีวี เอาเหตุการณ์ของ Yukos นี้มาเป็นตัวอย่างที่เห็นจริง……และให้สัญญากับประชาชนว่า สัมปทานในเรื่องน้ำมันและพลังงานจะต้องไม่ตกอยู่ในมือของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่จะต้องเป็นของประชาชนทั่วไป…

    ปัญหาต่อมาของปูติน คือ การก่อความไม่สงบในเชเชนที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ในระบบใหม่ นั่นคือ ระเบิดฆ่าตัวตาย ที่เกิดขึ้นที่โน่นที่นี่ ทำให้เกิดความโกลาหลและสูญเสีย และเป็นผลเสียกับรัฐบาล ที่อาจจะเป็นข้อเสียในการโหวต
    นั่นเป็นสิ่งที่เขากังวล

    คืนหนึ่งก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้ง เขานอนไม่หลับ ตื่นไปหยอดบัตรแต่เช้า ซึ่งในวันนั้น Koni สุนัขแสนรักได้ออกลูกมา แปดตัว ข่าวของลูกสุนัขแปดตัวของปูตินดังกลบข่าวเลือกตั้งของฝ่ายค้านไปสนิท
    ในที่สุด พรรค United Russia ของปูตินได้รับคะแนนเป็นส่วนใหญ่ ฝ่ายค้านร่วงไปกว่าคราวที่แล้วกว่าสิบเปอร์เซ็นต์ พรรคที่สนับสนุนโดย MK ได้ไม่ถึงห้าเปอร์เซนต์
    สรุปว่า พรรคของปูตินได้แบบแลนด์สไลด์ 300 ที่นั่ง จากจำนวนที่นั่งในสภา 450 ที่นั่ง

    ที่ปูตินประกาศถึงชัยชนะในครั้งนี้ว่า
    “เป็นการสิ้นสุดของการเมืองในระบบเก่าๆ จากนี้ไปเราจะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ การเมืองใหม่……”

    ~~~พูดถึงการเลือกตั้ง ดิฉันลืมเล่าถึง Anatoly Sobchak
    ผู้ที่มีพระคุณของปูติน ที่ต้องหลบหนีไปยังฝรั่งเศสด้วยความช่วยเหลือของปูตินในปี 1997 นั้น
    ในปี 1999 ที่ปูตินได้รับการแต่งตั้งจากเยลซินให้เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น เขาได้ทำการนิรโทษกรรมให้อนาโตลีกลับคืนสู่รัสเซียอย่างไร้มลทิน ปูตินไปรอรับที่สนามบินที่เซนต์ ปีเตอร์เบอร์ก
    อนาโตลีได้พยายามช่วยงานปูตินในการหาเสียงสู่ประธานาธิบดีในปี 2000
    แต่ในดือนกุมภาพันธ์ เขาเกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลัน
    เสียชีวิต……
    ปูตินได้เข้าไปช่วยในพิธีงานศพตั้งแต่ต้นจนจบ โดยถือเสมอว่า อนาโตลีคือผู้มีพระคุณ….
    และนั่นคือ ครั้งแรก….ที่คนได้เห็นน้ำตาของปูติน….!!!!

    Wiwanda W. Vichit
    มาแล้วค่าาาา……มาช้าดีกว่าไม่มา เรื่องพี่ปูเขาเยอะ คนเขียนต้องใช้เวลาเรียบเรียง……นี๊ดดดดดดดดนึงนะคะ……!!! ตอนสิบสาม….…ถ้าไม่แน่จริง……อย่ามาขวางทาง เพราะจะเลี้ยงไม่โต……!!!! วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2003 เรื่องสำคัญที่ปูตินได้เตรียมพร้อมที่จะลงดาบ……นั่นคือเรื่องเศรษฐกิจของประเทศ หลังจากที่ได้คุยกันไปในรอบแรกถึงนโยบายเมื่อครั้งที่เขาได้รับตำแหน่งใหม่ๆ เมื่อมาถึงตอนนี้……หลังจากที่เฝ้าจับตาดูมานานกว่าสองปี เขาเรียกประชุมกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคการเงิน ภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด ที่หอประชุม Catherine Hall โดยเริ่มต้นว่า…… “เงินและทรัพย์สินที่พวกคุณที่หามาได้ จะมากมายแค่ไหน…… ผมจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง คุณก็ทำมาหากินของคุณไป แต่มีข้อแม้อย่างเดียว คือ อย่าใช้เงินของคุณ มาเกี่ยวข้องหรือมาเล่นการเมืองโดยเด็ดขาด……และเรื่องสัมปทานทั้งหลาย ถ้ามีการฟอกเงินไม่ว่าสกุลไหน หรือถ่ายเทออกไปให้ใคร… ผมจะยึดคืนเข้ารัฐ…” ประกาสิตของปูตินที่ออกมา ได้กระทบกันระนาว คนหนึ่งในนั้นนั่นคือ Roman Abramovich มหาเศรษฐีที่มีตำแหน่งเป็นผู้ว่าการรัฐ Chukotka (ที่มาจากการเลือกตั้ง อยู่ในตำแหน่ง 2000-2008) ซึ่งได้มีการพูดคุยกับปูติน ว่า..ตำแหน่งผู้ว่าที่ได้มานั้น มาจากการที่เขาบริจาคทรัพย์สินที่มีมากมายมหาศาลในการสร้างเมืองที่แสนยากจนให้มาอยู่ดีกินดี เขาคนที่รวยที่สุดคนหนึ่งในรัสเซียที่สร้างตัวมาได้จากการขายเศษเหล็ก จนเป็นหุ้นใหญ่ในบริษัทน้ำมัน Sibneft ในกลุ่มของเขา มีเหล่าอภิมหาเศรษฐีที่รวมกลุ่มกัน คือ Badri Patarkatsishvili, Boris Berezovsky, Mikhail Fridman และ Mikhail Khodorkovsky และคนอื่นๆกว่ายี่สิบ ที่มีทรัพย์สินรวมกันแล้ว มากกว่างบประมาณประจำปีของหลายประเทศ ทุกคน(ส่วนใหญ่คือยิว)เริ่มหวั่นไหว เพราะปูตินได้กล่าวว่า ผมมีทางเลือกให้สองทาง จะเล่นการเมือง หรือ จะค้าขาย พวกคุณจะทำทั้งสองอย่างไม่ได้… ว่าแล้ว……ปูตินก็กางบัญชีเก็บภาษีย้อนหลัง (ที่ตรียมไว้) ซึ่งทุกคนต้องจ่าย และขอให้เริ่มต้นทำบัญชีให้ตรงตามความเป็นจริง เพราะจากนี้ไป… รัฐบาลจะจัดเจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลและตรวจสอบ มีคนเดียว…ที่ตกลงตามคำสั่งทุกประการ นั่นคือ Roman Abramovich….พร้อมจ่าย พร้อมให้ตรวจสอบทุกสิ่ง ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วย ……เงียบ (แต่หอบเงินหนีไปต่างประเทศ และไปตั้งตัวเป็นศัตรูของปูติน) คนที่เสียงดังที่สุด คือ Mikhail Khodorkovsky (หรือจะเรียกว่า MK) คนนี้ เป็นอภิมหาเศรษฐีที่มีอายุเพียง 39 ปี เป็นคนหัวทันสมัย ชื่นชอบนโยบายตะวันตก และมีเส้นสายกับกลุ่มยิวอเมริกันอย่างเปิดเผย เขาเปรียบเสมือน บิล เกตต์ แห่งรัสเซีย ระหว่าง MK มหาเศรษฐีสมัยใหม่ พูดจาผ่าซาก กับ ปูติน ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในรัสเซีย จึงเกิดการศรศิลป์ไม่กินกันตั้งแต่นั้นมา เพราะ MK เริ่มพูดถึงการคอรัปชั่นที่มีมาตั้งแต่ยุคกอร์บาเชฟ ที่ทำให้พวกเขาได้ร่ำรวยกันทุกวันนี้ และการคอรัปชั่นนั้น มันมีมาตั้งแต่การสอบเข้ารับราชการที่ต้องมีการติดสินบนเจ้าหน้าที่ เพราะใครๆก็อยากเข้ามาทำราชการ ช่องทางหากินเยอะแยะ รวมทั้งเรื่องการเข้าประมูลสัมปทานน้ำมันที่อาร์คติก ที่มีมูลค่าถึง 600 ล้านดอลล่าร์ เพราะต้องจ่ายเบี้ยบ้ายรายทางให้คนของรัฐหลายหน่วยงาน เขายังร่ายยาวต่อไป ความหมายคือ เขาไม่เชื่อว่าปูตินจะมาปราบโกง ในเมื่อมันได้หยั่งรากฝังลึกมาตั้งแต่ครั้งที่เป็นคอมมิวนิสต์แล้ว ปูตินเดือดจนแทบระเบิด ……แต่เขาพยายามสกัดอารมณ์ พร้อมกับส่งบัญชีภาษีย้อนหลังให้กับ MK ในรายการธุรกิจน้ำมัน บริษัท Yukos ที่ MK เป็นเจ้าของอยู่ ผู้รับ……ไม่มีทีท่าสะทกสะท้าน ซ้ำยังพูดเปรยๆว่า “ฝ่ายบัญชีท่าจะว่างจัด..!!!” เหล่ามหาเศรษฐีกลุ่มนี้ ไม่สามารถที่จะโต้แย้งในเรื่องยอดภาษีจำนวนมหาศาลที่หมกเม็ดไว้นานแสนนานได้ และเห็นว่าทำต่อไปก็ไร้ประโยชน์ เลยเทหุ้นขาย หรือ ไม่จ่าย ต่างหนีออกไปอยู่สบายๆที่ยุโรปกันแทบทั้งหมด เท่ากับว่า…รัฐบาลของปูตินได้ก้าวเข้าไปเป็นเจ้าของในอุตสาหกรรมที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของประเทศตามเจตนารมณ์ของปูติน ที่ต้องการใช้ทรัพยากรทั้งหมดสร้างเม็ดเงินเพื่อพัฒนาประเทศ ในช่วงขณะที่มีการประชุมกับกลุ่มมหาเศรษฐีนั้น คือช่วงที่สหรัฐอเมริกาเข้าบุกอิรัค ที่ปูตินไม่เห็นด้วย ปธน. บุชได้ชวนรัสเซียเข้ามาร่วมด้วยในการกำจัด ซัดดัม ฮุสเซน แต่ในประวัติศาสตร์ของรัสเซียที่ผูกพันกับอิรัคมายาวนาน หรือแม้ในช่วง 1991 ที่มีสงครามอ่าว รัสเซียก็ยังช่วยซื้อน้ำมันจากอิรัค ในขณะที่ UN ไม่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยอะไรเลย ทำให้บุชรู้สึกไม่พอใจในรัสเซีย เพราะ……เห็นว่ารัสเซียเข้าข้างซัดดัม โดยเบื้องหลังแล้ว……ปูตินได้แอบส่ง Primakov ไปที่กรุงแบกแดดไปเจรจากับซัดดัมให้ลาออกจากตำแหน่ง ซัดดัมรับฟังเงียบๆ แล้วก็เรียกคณะมนตรีเข้ามา พร้อมกับประกาศว่า “ฟังนะ ทุกคน……ตอนนี้รัสเซียได้กลายเป็นลูกจ๊อกของอเมริกาไปแล้ว…” แต่ลูกจ๊อกคนนี้ คือผู้ที่ส่งยุทโธปกรณ์และเครื่องสกัดขีปนาวุธให้กับอิรักอย่างต่อเนื่อง ไม่มีใครรู้ว่า ในสองปีที่ปูตินได้พยายามเป็นญาติดีกับอเมริกา นั้น……มันเปล่าประโยชน์จริงๆ และเขาได้เห็นอย่างชัดเจนว่า อเมริกา…ไม่ต้องการเป็นมิตร……แต่ต้องการที่จะครอบครอง ทั้งโลกแต่ผู้เดียว……!!! อเมริกาที่เข้าไปแทรกแซงทุกแห่งหนในโลก ทั้งทางตรง (รุกราน) และทางอ้อม (soft power) แม้แต่ในรัสเซียที่มีทุนของอเมริกาไหลบ่ามาอย่างมากมาย เช่นกลุ่ม Peace Corps, AFL-CIO (สหภาพแรงงาน), Chevron, Exxon ปูตินสั่งการให้เข้าคุมเข้ม และตรวจสอบแบบไม่ให้กระดิกกระเดี้ย ในปี 2003 ที่เขารีบทำการตอกหมุดเรื่องเศรษฐกิจ เพราะจะมีการเตรียมตัวเลือกตั้งในสมัยต่อไป (2004) ที่เขามีศัตรูเพิ่มขึ้น คือ MK ที่ได้ใช้เงินซื้อทุกพรรค จนต้องเรียกมาคุยกันเป็นการส่วนตัว ปูตินได้บอกกับ MK ว่า……เลิกทำตัวเป็นสปอนด์เซ่อร์ใหญ่ของฝ่ายค้านเสียที……!! MK ตอบอย่างยะโสว่า……ด๊ายยย เลิกก็ได้ แต่ผมห้ามคนอื่นๆในองค์กรของผมไม่ได้นะ เขาจะสนับสนุนพรรคไหนก็เป็นสิทธิของเขา……!!! ได้เลย…ถ้าต้องการแบบนั้น เดือนมิถุนายน ตำรวจได้เข้าทำการจับกุมหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยของบริษัทน้ำมัน Yukos (ของ MK) ด้วยข้อหาเกี่ยวพันกับคดีอาชญากรรม…ที่ต่อมามีการซัดทอดกันไปมาในกลุ่มผู้บริหารของบริษัท (ยังไม่เกี่ยวกับ MK) ในการซัดทอดนี้ ได้เป็นข่าวสนุกรายวัน เพราะมีการแฉเรื่องความเป็นมาของแต่ละคนว่า มีตำหนิตรงไหน ด้วยเรื่องอะไร กับใคร และเมื่อไหร่ ซึ่งนำเข้าสู่การจับกุม Platon Lebedev (หุ้นส่วนใหญ่ของ MK) ที่ทำให้สองวันต่อมา หุ้นของ Yukos มูลค่ากว่า 7 พันล้านเหรียญ (เทียบเท่า) ตกดิ่งลงเหว ส่วน MK ยังทำไม่รู้ ไม่ชี้ ไม่เกี่ยว ยังเดินทางไปโน่นมานี่อย่างปรกติ วันที่ 23 ตุลาคม ศาลได้ส่งหมายเรียกให้ MK ไปเข้าให้การในเรื่องภาษี แต่……เขาไม่ปรากฎตัว วันที่ 25 ขณะที่กำลังจะเดินทางออกนอกประเทศ และแวะเติมน้ำมันที่ Novosibirsk เขาได้ถูกจับที่สนามบิน และถูกควบคุมตัวกลับสู่มอสโคว์ การควบคุมตัวของ MK ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับเศรษฐกิจของประเทศ หุ้นตก นักลงทุนหวั่นไหว แต่สองเดือนก่อนหน้านี้ปูตินได้ออกหนังสือขึ้นมาจ่ายแจกกับประชาชนในเรื่องของ “กลุ่มทุนที่บั่นทอนประเทศ” โดยอธิบายความเป็นมาที่สร้างความเสียหาย พอเกิดเหตุการณ์ขึ้น ปูตินได้ออกรายการทีวี เอาเหตุการณ์ของ Yukos นี้มาเป็นตัวอย่างที่เห็นจริง……และให้สัญญากับประชาชนว่า สัมปทานในเรื่องน้ำมันและพลังงานจะต้องไม่ตกอยู่ในมือของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่จะต้องเป็นของประชาชนทั่วไป… ปัญหาต่อมาของปูติน คือ การก่อความไม่สงบในเชเชนที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ในระบบใหม่ นั่นคือ ระเบิดฆ่าตัวตาย ที่เกิดขึ้นที่โน่นที่นี่ ทำให้เกิดความโกลาหลและสูญเสีย และเป็นผลเสียกับรัฐบาล ที่อาจจะเป็นข้อเสียในการโหวต นั่นเป็นสิ่งที่เขากังวล คืนหนึ่งก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้ง เขานอนไม่หลับ ตื่นไปหยอดบัตรแต่เช้า ซึ่งในวันนั้น Koni สุนัขแสนรักได้ออกลูกมา แปดตัว ข่าวของลูกสุนัขแปดตัวของปูตินดังกลบข่าวเลือกตั้งของฝ่ายค้านไปสนิท ในที่สุด พรรค United Russia ของปูตินได้รับคะแนนเป็นส่วนใหญ่ ฝ่ายค้านร่วงไปกว่าคราวที่แล้วกว่าสิบเปอร์เซ็นต์ พรรคที่สนับสนุนโดย MK ได้ไม่ถึงห้าเปอร์เซนต์ สรุปว่า พรรคของปูตินได้แบบแลนด์สไลด์ 300 ที่นั่ง จากจำนวนที่นั่งในสภา 450 ที่นั่ง ที่ปูตินประกาศถึงชัยชนะในครั้งนี้ว่า “เป็นการสิ้นสุดของการเมืองในระบบเก่าๆ จากนี้ไปเราจะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ การเมืองใหม่……” ~~~พูดถึงการเลือกตั้ง ดิฉันลืมเล่าถึง Anatoly Sobchak ผู้ที่มีพระคุณของปูติน ที่ต้องหลบหนีไปยังฝรั่งเศสด้วยความช่วยเหลือของปูตินในปี 1997 นั้น ในปี 1999 ที่ปูตินได้รับการแต่งตั้งจากเยลซินให้เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น เขาได้ทำการนิรโทษกรรมให้อนาโตลีกลับคืนสู่รัสเซียอย่างไร้มลทิน ปูตินไปรอรับที่สนามบินที่เซนต์ ปีเตอร์เบอร์ก อนาโตลีได้พยายามช่วยงานปูตินในการหาเสียงสู่ประธานาธิบดีในปี 2000 แต่ในดือนกุมภาพันธ์ เขาเกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลัน เสียชีวิต…… ปูตินได้เข้าไปช่วยในพิธีงานศพตั้งแต่ต้นจนจบ โดยถือเสมอว่า อนาโตลีคือผู้มีพระคุณ…. และนั่นคือ ครั้งแรก….ที่คนได้เห็นน้ำตาของปูติน….!!!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 307 Views 0 Reviews
  • 🔥🔥โลกทั้งใบเสี่ยงสูญเสีย จากการแข่งขันระหว่างสหรัฐอเมริกา และจีน
    ในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ เป็นมหาอำนาจ
    และอิทธิพลในระดับโลก

    จุดแข็งเฉพาะตัวของสหรัฐอเมริกาคือกำลังทหารที่แข็งแกร่ง
    และความเต็มใจที่จะให้การรับประกันความปลอดภัยแก่พันธมิตร
    สหรัฐฯ มีข้อตกลงการป้องกันร่วมกันกับ 56 ประเทศทั่วโลก ในยุโรป
    เอเชีย และอเมริกา นอกจากนี้ยังให้ความช่วยเหลือทางทหาร
    ที่สำคัญแก่ประเทศอื่นๆ เช่น อิสราเอลและยูเครนซึ่งไม่ได้เป็น
    พันธมิตรตามสนธิสัญญาอย่างเป็นทางการ

    ในทางตรงกันข้าม จีนมีสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันกับประเทศเดียว
    คือเกาหลีเหนือ ซึ่งต่างจากสหรัฐอเมริกา จีนยังมีข้อพิพาทเรื่อง
    ดินแดนกับเพื่อนบ้านหลายประเทศ ซึ่งมักจะผลักดันให้ประเทศเหล่านี้
    หันไปหาสหรัฐอเมริกา

    จุดแข็งของจีนคือความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน
    ปัจจุบันมี 128 ประเทศที่ทำการค้ากับจีนมากกว่ากับสหรัฐฯ
    ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จีนใช้เงินไปกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์
    ในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในกว่า 140 ประเทศ
    ส่งผลให้จีนกลายเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลก และ
    เป็นมหาอำนาจทางการค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก

    ผลลัพธ์ดังกล่าวจัดแสดงทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นรถไฟความเร็วสูง
    ในอินโดนีเซีย ท่าเรือและสะพานในแอฟริกา หรือทางหลวง
    ระหว่างทวีปที่ข้ามเอเชียกลาง

    แต่ความขัดแย้งที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีน
    ก็ยังมีข้อเสียมากมายเช่นกัน

    การค้าคุ้มครองและการแยกตัวของเศรษฐกิจโลกในที่สุด
    จะส่งผลเสียต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของทุกคน
    การแข่งขันอาวุธครั้งใหม่เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากร
    และเพิ่มความเสี่ยงของสงครามหายนะขึ้นครั้งใหญ่ในโลก

    การแข่งขันระหว่างจีนและสหรัฐฯ ยังทำให้โอกาส
    ที่ทั้งสองประเทศจะทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาในระดับโลก
    ที่คุกคามทุกคน เช่น ปัญญาประดิษฐ์ที่ไม่มีการควบคุม
    และภาวะโลกร้อนที่ไร้การควบคุม น้อยลงไปมาก

    ที่มา : cna

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    🔥🔥โลกทั้งใบเสี่ยงสูญเสีย จากการแข่งขันระหว่างสหรัฐอเมริกา และจีน ในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ เป็นมหาอำนาจ และอิทธิพลในระดับโลก จุดแข็งเฉพาะตัวของสหรัฐอเมริกาคือกำลังทหารที่แข็งแกร่ง และความเต็มใจที่จะให้การรับประกันความปลอดภัยแก่พันธมิตร สหรัฐฯ มีข้อตกลงการป้องกันร่วมกันกับ 56 ประเทศทั่วโลก ในยุโรป เอเชีย และอเมริกา นอกจากนี้ยังให้ความช่วยเหลือทางทหาร ที่สำคัญแก่ประเทศอื่นๆ เช่น อิสราเอลและยูเครนซึ่งไม่ได้เป็น พันธมิตรตามสนธิสัญญาอย่างเป็นทางการ ในทางตรงกันข้าม จีนมีสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันกับประเทศเดียว คือเกาหลีเหนือ ซึ่งต่างจากสหรัฐอเมริกา จีนยังมีข้อพิพาทเรื่อง ดินแดนกับเพื่อนบ้านหลายประเทศ ซึ่งมักจะผลักดันให้ประเทศเหล่านี้ หันไปหาสหรัฐอเมริกา จุดแข็งของจีนคือความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ปัจจุบันมี 128 ประเทศที่ทำการค้ากับจีนมากกว่ากับสหรัฐฯ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จีนใช้เงินไปกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในกว่า 140 ประเทศ ส่งผลให้จีนกลายเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลก และ เป็นมหาอำนาจทางการค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผลลัพธ์ดังกล่าวจัดแสดงทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นรถไฟความเร็วสูง ในอินโดนีเซีย ท่าเรือและสะพานในแอฟริกา หรือทางหลวง ระหว่างทวีปที่ข้ามเอเชียกลาง แต่ความขัดแย้งที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีน ก็ยังมีข้อเสียมากมายเช่นกัน การค้าคุ้มครองและการแยกตัวของเศรษฐกิจโลกในที่สุด จะส่งผลเสียต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของทุกคน การแข่งขันอาวุธครั้งใหม่เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากร และเพิ่มความเสี่ยงของสงครามหายนะขึ้นครั้งใหญ่ในโลก การแข่งขันระหว่างจีนและสหรัฐฯ ยังทำให้โอกาส ที่ทั้งสองประเทศจะทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาในระดับโลก ที่คุกคามทุกคน เช่น ปัญญาประดิษฐ์ที่ไม่มีการควบคุม และภาวะโลกร้อนที่ไร้การควบคุม น้อยลงไปมาก ที่มา : cna #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    2 Comments 0 Shares 1285 Views 0 Reviews
  • 🤠#เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้จะแบ่งแยกประเทศอีกครั้งหรือไม่ ตอน01🤠

    ในปี 1975 เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

    แม้ว่าเวียดนามจะรวมเป็นหนึ่งเดียว แต่เวียดนามก็ค่อย ๆ พัฒนาโครงสร้างอำนาจสูงสุดที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองในทางการเมือง และในช่วงหลายปีที่ผ่านมายังได้ก่อให้เกิดสิ่งที่โลกภายนอกเรียกว่าโครงสร้าง "รถเทียมม้าสี่ตัว"

    สิ่งที่เรียกว่า"รถเทียมม้าสี่ตัว" กล่าวคือ มีสี่คนดำรงตำแหน่งเลขาธิการทั่วไป ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และประธานรัฐสภาเวียดนาม ตามลำดับ และแทบจะไม่มีปรากฏการณ์ทำงวนควบตำแหน่งเกิดขึ้นเลย

    นี่เป็นระบบสมดุลเหนือใต้ที่มีเอกลักษณ์และยังเป็นกฎที่ไม่ได้เขียนไว้สำหรับองค์ประกอบของอำนาจ

    ไม่เพียงเท่านี้ โดยทั่วไปแล้วผู้นำจากทางเหนือจะทำหน้าที่เป็นเลขาธิการทั่วไป เพื่อให้แน่ใจว่าเวียดกงจะไม่เปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเมือง พร้อมทั้งรักษาความสัมพันธ์กับจีนซึ่งเป็นเพื่อนบ้านทางตอนเหนือของประเทศให้มีเสถียรภาพ

    และนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำที่กระตือรือร้นใส่ใจในทางเศรษฐกิจซึ่งมาจากภาคใต้ รับผิดชอบงานเศรษฐกิจและการปฏิรูปเศรษฐกิจ

    โครงสร้างอำนาจนี้ดูมีเสถียรภาพ แต่จริงๆ แล้วเป็นผลมาจากการแลกเปลี่ยนและการประนีประนอมกันหลายครั้งในแวดวงการเมืองเวียดนาม และไม่มีเสถียรภาพมากนัก ในขณะที่การปฏิรูปของเวียดนามยังคงลึกซึ้งยิ่งขึ้น การต่อสู้เพื่ออำนาจและความขัดแย้งระหว่างกลุ่มจะทวีความรุนแรงมากขึ้น

    สิ่งนี้จะมีผลกระทบอย่างมากต่อความแตกต่างระหว่างเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้

    ส่งผลให้เศรษฐกิจการเมืองของเวียดนามแสดงออกถึงความแตกแยก

    ทางตอนเหนือซึ่งมีฮานอยเป็นศูนย์กลางทางการเมือง มีแนวโน้มไปทางลัทธิสังคมนิยมมากกว่า ในขณะที่ทางตอนใต้ที่มีโฮจิมินห์ซิตี้ ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นเมืองไซง่อนเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ และเป็นสังคมทุนนิยมมากกว่า

    โฮจิมินห์ซิตี้ยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของเวียดนามและเป็นแรงผลักดันหลักในการพัฒนาอย่างรวดเร็วของเวียดนาม

    ภูมิทัศน์ทางการเมืองในปัจจุบันในเวียดนามก็เป็นสถานการณ์ที่ขับเคลื่อนด้วย"รถเทียมม้าสี่ตัว"เช่นกัน ในสถานการณ์ที่ต้องคำนึงถึงภาคเหนือและภาคใต้ ทั้งภาคเหนือและภาคใต้มักจะผลัดกันรับผิดชอบดูแลซึ่งกันและกัน ดังนั้นด้วยความแตกต่างอย่างมากระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ,เวียดนามจะแตกแยกอีกไหม?

    ในความเป็นจริง ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 เวียดนามอยู่ในยุคแห่งการแบ่งแยกและการเผชิญหน้าระหว่างเหนือและใต้มาเป็นเวลานาน เนื่องจากการแตกแยกในระยะยาว ช่องว่างและความบาดหมางระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ของเวียดนาม ก็กว้างขึ้นเรื่อยๆ

    หากดูแผนที่ของเวียดนามจะพบว่าภูมิประเทศของเวียดนามนั้นยาวและแคบ เป็นรูปตัว S มีความยาวจากเหนือจรดใต้ 1,600 กิโลเมตร และจุดที่แคบที่สุดจากตะวันออกไปตะวันตกเพียง 50 กิโลเมตร เหมือนงูยาวที่เกาะอยู่ในคาบสมุทรอินโดจีน

    เนื่องจากลำตัวของงูยาวตัวนี้เรียวเกินไป จึงสามารถตัดที่เอวได้อย่างง่ายดาย ทำให้เกิดสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างเหนือและใต้

    ในฐานะเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดของจีน เวียดนามตอนเหนือเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนของจีนมายาวนาน จนกระทั่งสมัยห้าราชวงศ์และสิบอาณาจักร(五代十国) เวียดนามถือโอกาสจากการแตกแยกล่มสลายของจีน ปลดตนเองจากการควบคุมของจีนและสถาปนาประเทศเอกราช

    บางทีอาจเป็นเพราะการแยกทางระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ในระยะยาว เวียดนามยังเผชิญการเผชิญหน้าระหว่างเหนือ-ใต้เช่นเดียวกับราชวงศ์ใต้และราชวงศ์เหนือ(南北朝)ของจีน และไม่ใช่แค่ครั้งเดียว

    ในปีคริสตศักราช 1428 จักรพรรดิเล ท้าย โต๋( Lê Thái Tổ 黎太祖)มีพระนามเดิมว่า เล เหล่ย (Lê Lợi, 黎利)ได้สถาปนาราชวงศ์เหิ่วเล(Later Lê dynasty後黎朝)ขึ้นในเมืองทังล็อง(Thăng Long升龙)ซึ่งปัจจุบันคือฮานอย หนึ่งร้อยปีหลังจากการสถาปนาประเทศ เจ้าหน้าที่ข้าราชการผู้มีอำนาจในราชวงศ์เหิ่วเล(Later Lê dynasty後黎朝)ได้แย่งชิงบัลลังก์ ประกาศตนเป็นจักรพรรดิ์ และสังหารหมู่ตระกูลราชวงศ์ และสถาปนาราชวงศ์ราชวงศ์หมัก (เหนือ)( Nhà Mạc 莫朝)

    แต่ต่อมาขุนนางผู้ภักดี ตระกูลเหงียน(Nguyen阮)แห่งราชวงศ์เหิ่วเล(Later Lê dynasty後黎朝)ได้พบทายาทของราชวงศ์เหิ่วเล(Later Lê dynasty後黎朝)ทางตอนใต้ของเวียดนาม ให้เคารพเขาในฐานะจักรพรรดิ และสถาปนาราชวงศ์ ราชวงศ์เหิ่วเล(Later Lê dynasty後黎朝) ขึ้นมาใหม่ ก่อให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างระบอบการปกครองทางเหนือและทางใต้

    ในช่วงการแบ่งแยกเหนือใต้ ระบอบแบ่งแยกดินแดนในท้องถิ่นก็ประสบกับเหตุการณ์ต่างๆ เช่น การสูญเสียอำนาจและการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองอำนาจทางการเมือง

    ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 เวียดนามก็อยู่ในช่วงแห่งการแบ่งแยกเนื่องจากข้อพิพาทระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ภาคเหนือและภาคใต้ได้ทำสงครามกันหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม เป็นการยากที่จะกำหนดผลลัพธ์ของการแพ้ชนะ และในท้ายที่สุดพวกเขาก็ได้แต่กำหนดเขตแดน ก่อให้เกิดสถานการณ์ของ ภาคใต้ตระกูลเหงียน(Nguyen阮)และภาคเหนือตระกูลตรินห์(Trinh鄭)

    ผู้ปกครองเหงียน (Nguyen阮)ทางตอนใต้เติบโตในช่วงกลางศตวรรษที่ 16 และก่อตั้งขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 การปกครองของพวกเขากินเวลานานถึงสองศตวรรษและใช้มาตรการต่างๆ มากมายในด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และด้านอื่นๆ

    การต่อต้านและการแบ่งแยกโดยพฤตินัยนี้ทำให้ความแตกต่างระหว่างเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้รุนแรงขึ้น และยังส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อการเมือง เศรษฐกิจ และแม้แต่วัฒนธรรมของเวียดนามในรุ่นต่อ ๆ ไป

    เมื่อพูดถึงเวียดนามยังเป็นเช่นนี้ การแบ่งแยกภาคเหนือและภาคใต้ในระยะยาวย่อมนำไปสู่ความแตกต่างในด้านวัฒนธรรมและประเพณีความแตกต่างเหล่านี้สะท้อนถึงความหลากหลายของประเทศในยามสงบอย่างแน่นอน

    อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์ระหว่างประเทศและในประเทศไม่มั่นคง ก็อาจเป็นอันตรายที่ซ่อนอยู่และสามารถถูกเอารัดเอาเปรียบได้ง่ายโดยผู้ที่มีเจตนาร้าย ทำให้เกิดสถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้

    ในยุคปัจจุบัน เวียดนามถูกแบ่งออกเป็นเวียดนามใต้และเวียดนามเหนืออีกครั้ง ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเหนือ-ใต้โดยพฤตินัย

    แต่เช่นเดียวกับจีน เนื่องจากความเคยชินทางประวัติศาสตร์ เวียดนามมีประสบการณ์ในการรวมชาติเหนือและภาคใต้เข้าด้วยกัน พลังการรวมเข้าสู่ศูนย์กลางของชาติในประเทศนั้นแข็งแกร่งมาก และในที่สุดประเทศก็รวมเป็นหนึ่งเดียวในช่วงกลางทศวรรษ 1970

    แม้ว่าจะมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ของเวียดนามเนื่องด้วยเหตุผลทางประวัติศาสตร์ การแทรกแซงของอาณานิคมของยุโรปและการมาถึงของยุคอาณานิคมทำให้การแบ่งแยกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้รุนแรงขึ้น

    ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ชาวฝรั่งเศสมีความสนใจเวียดนามดินแดนมหาสมบัติแห่งนี้ และขยายอาณาเขตอาณานิคมของตนมาถึงที่นี่ ในเวลานั้น รัฐบาลชิง(清)เป็นเจ้านครสมัยศักดินา (Suzerain宗主国) ของเวียดนาม แต่ด้วยการลงนามใน “สนธิสัญญาเทียนจิน (The Treaty of Tianjin中法新約)” รัฐบาลชิง(清)ที่ล้าหลังและไร้ความสามารถถูกบังคับให้สละอำนาจของเจ้านครสมัยศักดินา (suzerainty宗主权)ของตน

    ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1884 ฝรั่งเศสและเวียดนามลงนามในสนธิสัญญาเว้(The Treaty of Huế顺化条约)ซึ่งถือเป็นการล่มสลายของเวียดนามโดยสมบูรณ์ อาณานิคมฝรั่งเศสในอินโดจีน( Indochina印度支那) และการสถาปนาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นจุดเริ่มต้นสู่ยุคอาณานิคมของเวียดนาม

    เพื่อให้ปกครองอาณานิคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ชาวฝรั่งเศสจึงใช้กลยุทธ์ "แบ่งแยกและปกครอง"และแบ่งเวียดนามออกเป็นสามส่วน ได้แก่ เขตแดนตอนเหนือ.....ตังเกี๋ย (Tonkin东京) เขตแดนตอนกลาง.....อันนัม(Annam安南)และเขตแดนตอนใต้.....โคชินชินา(Cochinchina交趾支那)

    ยิ่งไปกว่านั้น เขตแดนตอนใต้ยังเป็นดินแดนที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของฝรั่งเศสโดยตรง เขตแดนตอนกลางเป็นรัฐในอารักขา และเขตแดนตอนเหนือเป็นกึ่งอารักขา

    ตามบทบัญญัติของสนธิสัญญาเว้(The Treaty of Huế顺化条约)ฝรั่งเศสได้จัดตั้ง "ระบบการอารักขา(protectorate保护)" ในตังเกี๋ย (Tonkin东京)และอันนัม(Annam安南) ซึ่งอนุญาตให้ราชวงศ์ตระกูลเหงียน(Nguyen阮)ปกครองในนาม โดยแท้จริงแล้วจักรพรรดิได้กลายเป็นหุ่นเชิดไปแล้ว

    จากมุมมองของระบบการเมืองเวียดนามโดยพื้นฐานแล้วแบ่งออกเป็นสองส่วน ทางใต้เป็นดินแดนภายใต้เขตอำนาจของฝรั่งเศสโดยตรง และทางเหนือเป็นระบอบการปกครองหุ่นเชิดภายใต้การควบคุมของฝรั่งเศส

    ด้วยการแทรกแซงของฝรั่งเศสความแตกต่างระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ของเวียดนามเริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจน ประกอบกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ เช่น ทางตอนเหนือส่วนใหญ่เป็นภูเขา

    ในขณะที่ภาคใต้มีภูมิประเทศที่ราบเรียบ และยังมีอ่าวทะเลธรรมชาติและสวยงามเหมาะกับท่าเรือมากมายหลายแห่ง ส่งผลให้เกิดสถานการณ์ที่กองกำลังต่างชาติที่รุกรานส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในภาคใต้ ในขณะที่กองกำลังต่อต้านแห่งชาติของเวียดนามกระจุกตัวอยู่ที่ภาคเหนือ

    ก่อนการมาถึงของฝรั่งเศส ระบบรัฐของเวียดนามเป็นแบบรวมศูนย์ นอกจากนี้ยังเป็นไปตามแบบอย่างของจีนในการคัดเลือกข้าราชการผ่านระบบการสอบของจักรพรรดิ(科举制) ระบบการศึกษาส่วนใหญ่เป็นการศึกษาแบบโรงเรียนเอกชน และเรื่องของอุดมการณ์ยังคงเป็นวัฒนธรรมขงจื๊อแบบดั้งเดิม

    อย่างไรก็ตาม ด้วยการมาถึงของนักล่าอาณานิคม อุดมการณ์ตัวหลักของเวียดนามก็ได้รับผลกระทบ และความแตกต่างในระดับภูมิภาคก็เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาของการเผชิญหน้าระหว่างเวียดนามใต้และเวียดนามเหนือเมื่อชาวอเมริกันเข้ามาแทรกแซง เนื่องจากระบบการเมืองที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง อุดมการณ์และวัฒนธรรมเหล่านี้ทำให้ความแตกต่างที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

    ดังจะเห็นได้จากคาบสมุทรเกาหลีที่ภาคเหนือและภาคใต้ยังคงมีความขัดแย้งกันอยู่

    หลังจากที่ฝรั่งเศสสถาปนาการปกครองอาณานิคมแล้ว ฝรั่งเศสย่อมดำเนินนโยบายการดูดซึมหลอมสลายอาณานิคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เผยแพร่ความคิดอุดมการณ์และวัฒนธรรมของเจ้านครสมัยศักดินา (Suzerain宗主国) และดำเนินการล่าอาณานิคมทางวัฒนธรรม เพื่อจัดหาอาวุธทางอุดมการณ์อันทรงพลังเพื่อเสริมสร้างและรวบรวมการปกครองให้เข้าด้วยกันของอาณานิคม

    ชาวฝรั่งเศสก็เช่นกัน เพื่อเสริมสร้างการควบคุมเวียดนามและฝึกอบรมนักแปล ฝรั่งเศสได้เปิดโรงเรียนสองภาษาในเวียดนามตอนใต้ และกำหนดนโยบาย "การดูดซึมหลอมสลาย" ขึ้นในปี ค.ศ. 1897 เพื่อเตรียมขยายการศึกษาแนวรูปแบบฝรั่งเศสสมัยใหม่ไปยังทุกหนทุกแห่งของภาคใต้ .

    อย่างไรก็ตาม ทางภาคเหนือยังอยู่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิราชวงศ์ตระกูลเหงียน(Nguyen阮) ดังนั้นการสอบคัดเลือกโดยการสอบของจักรพรรดิ(科举制)แบบดั้งเดิมจึงยังคงถูกนำมาใช้ในภูมิภาคนี้ และการศึกษายังคงขึ้นอยู่กับระบบการสอบของจักรพรรดิ(科举制)เป็นหลัก พลังของการศึกษาสไตล์แบบตะวันตกนั้นยังอ่อนแอมาก

    เป็นที่น่าสังเกตว่าระบบการสอบของจักรพรรดิ(科举制)ของเวียดนามจนกระทั่งปีค.ศ. 1919 จึงค่อยถูกยกเลิก ซึ่งช้ากว่าจีนถึงสิบสี่ปี จากสิ่งเหล่านี้ยังแสดงให้เห็นถึงความแตกแยกและความแตกต่างในด้านการศึกษาระหว่างภาคเหนือและภาคใต้

    ความแตกต่างในระบบการศึกษานี้นำไปสู่ความแตกต่างทางความคิดอุดมการณ์ระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ผลกระทบของความแตกต่างนี้มีมายาวนานและกว้างขวาง

    ในช่วงทศวรรษที่ 1940 เวียดนามตอนใต้ซึ่งได้รับอิทธิพลผลกระทบอย่างลึกซึ้งจากการศึกษาของตะวันตก ลัทธิขงจื๊อแบบคลาสสิกถูกละทิ้งไปนานแล้ว และเริ่มคิดถึงแนวคิดสมัยใหม่ เช่น วิทยาศาสตร์ ความสามารถพิเศษ และอารยธรรม อย่างไรก็ตาม ครอบครัวข้าราชการท้องถิ่นในภาคเหนือยังคงถือว่าลัทธิขงจื๊อเป็นวัฒนธรรมและถือเป็นสมบัติ

    หลังจากที่ชาวอเมริกันรับช่วงต่อจากฝรั่งเศสในฐานะผู้ควบคุมที่แท้จริงของเวียดนามใต้ พวกเขายังคงมุ่งเน้นไปที่การปฏิบัติจริงและความคิดริเริ่มของนักเรียน ส่งเสริมการฝึกฝนผู้มีความสามารถในภาคใต้ ในขณะที่ภาคเหนือเน้นปลูกฝังความรักชาติและการรู้หนังสือการอ่านออกเขียนได้ และเสนอให้เผยแพร่การศึกษาแก่คนส่วนใหญ่ของประชาชนในหมู่คนทำงาน

    กล่าวได้ง่ายๆว่า เวียดนามทางภาคใต้สิ่งที่ดำเนินการคือการศึกษาชั้นยอดระดับหัวกะทิ และมุ่งเน้นไปที่การปลูกฝังความสามารถพิเศษของบุคคล ในขณะที่วัตถุประสงค์หลักของการศึกษาในภาคเหนือคือการเผยแพร่ระดับมาตรฐานการรู้หนังสือ

    ลำดับความสำคัญที่แตกต่างกันระหว่างภาคเหนือและภาคใต้นำไปสู่การขยายความแตกต่างทางอุดมการณ์และวัฒนธรรมระหว่างภาคเหนือและภาคใต้โดยทั่วไป โดยทั่วไปแล้วเวียดนามทางภาคใต้ได้รับอิทธิพลเปลี่ยนแปลงเอนเอียงไปทางตะวันตก ในขณะที่เวียดนามทางภาคเหนือได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากแนวคิดคอมมิวนิสต์ การแตกแยกจากกันและความแตกต่างเช่นนี้ แม้หลังจากการรวมตัวกันของภาคเหนือและภาคใต้อีกครั้ง เนื่องจากความเคยชินเฉื่อยชาและความสนใจทางประวัติศาสตร์รวมทั้งผลประโยขน์ต่างๆ ทั้งสองก็ไม่สามารถเชื่อมโยงกันได้ในเวลาอันสั้น

    ใครก็ตามที่คุ้นเคยกับเวียดนามจะรู้ดีว่าช่องว่างระหว่างเวียดนามเหนือและใต้นั้นค่อนข้างใหญ่ และช่องว่างก็มีแนวโน้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น เวียดนามตอนเหนือส่วนใหณ่เป็นภูเขา ภาคใต้มีภูมิประเทศเป็นที่ราบเรียบ และมีอ่าวทะเลเหมาะกับทำท่าเรือและสถานที่ท่องเที่ยวรีสอร์ทที่ดีเยี่ยมหลายแห่ง ซึ่งทำให้สภาพเงื่อนไขการพัฒนาเศรษฐกิจในภาคใต้โดยธรรมชาติแล้วดีกว่าทางภาคเหนือ

    เช่นเดียวกับจีน โฮจิมินห์ซิตี้ทางตอนใต้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของเวียดนามในฐานะเมืองหลวงของเวียดนามใต้

    ก่อนการรวมตัวของประเทศ โฮจิมินห์ซิตี้เป็นที่รู้จักในนามไซ่ง่อน เป็นศูนย์กลางการปกครองและเขตปกครองหลายแห่งของมหาอำนาจตะวันตก และยังเป็นที่รู้จักในชื่อ "ปารีสน้อยแห่งตะวันออก"

    😎โปรดติดตามบทความ #เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้จะแบ่งแยกประเทศอีกครั้งหรือไม่ ตอน02 ที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า😎

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰


    🤠#เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้จะแบ่งแยกประเทศอีกครั้งหรือไม่ ตอน01🤠 ในปี 1975 เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน แม้ว่าเวียดนามจะรวมเป็นหนึ่งเดียว แต่เวียดนามก็ค่อย ๆ พัฒนาโครงสร้างอำนาจสูงสุดที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองในทางการเมือง และในช่วงหลายปีที่ผ่านมายังได้ก่อให้เกิดสิ่งที่โลกภายนอกเรียกว่าโครงสร้าง "รถเทียมม้าสี่ตัว" สิ่งที่เรียกว่า"รถเทียมม้าสี่ตัว" กล่าวคือ มีสี่คนดำรงตำแหน่งเลขาธิการทั่วไป ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และประธานรัฐสภาเวียดนาม ตามลำดับ และแทบจะไม่มีปรากฏการณ์ทำงวนควบตำแหน่งเกิดขึ้นเลย นี่เป็นระบบสมดุลเหนือใต้ที่มีเอกลักษณ์และยังเป็นกฎที่ไม่ได้เขียนไว้สำหรับองค์ประกอบของอำนาจ ไม่เพียงเท่านี้ โดยทั่วไปแล้วผู้นำจากทางเหนือจะทำหน้าที่เป็นเลขาธิการทั่วไป เพื่อให้แน่ใจว่าเวียดกงจะไม่เปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเมือง พร้อมทั้งรักษาความสัมพันธ์กับจีนซึ่งเป็นเพื่อนบ้านทางตอนเหนือของประเทศให้มีเสถียรภาพ และนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำที่กระตือรือร้นใส่ใจในทางเศรษฐกิจซึ่งมาจากภาคใต้ รับผิดชอบงานเศรษฐกิจและการปฏิรูปเศรษฐกิจ โครงสร้างอำนาจนี้ดูมีเสถียรภาพ แต่จริงๆ แล้วเป็นผลมาจากการแลกเปลี่ยนและการประนีประนอมกันหลายครั้งในแวดวงการเมืองเวียดนาม และไม่มีเสถียรภาพมากนัก ในขณะที่การปฏิรูปของเวียดนามยังคงลึกซึ้งยิ่งขึ้น การต่อสู้เพื่ออำนาจและความขัดแย้งระหว่างกลุ่มจะทวีความรุนแรงมากขึ้น สิ่งนี้จะมีผลกระทบอย่างมากต่อความแตกต่างระหว่างเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ ส่งผลให้เศรษฐกิจการเมืองของเวียดนามแสดงออกถึงความแตกแยก ทางตอนเหนือซึ่งมีฮานอยเป็นศูนย์กลางทางการเมือง มีแนวโน้มไปทางลัทธิสังคมนิยมมากกว่า ในขณะที่ทางตอนใต้ที่มีโฮจิมินห์ซิตี้ ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นเมืองไซง่อนเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ และเป็นสังคมทุนนิยมมากกว่า โฮจิมินห์ซิตี้ยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของเวียดนามและเป็นแรงผลักดันหลักในการพัฒนาอย่างรวดเร็วของเวียดนาม ภูมิทัศน์ทางการเมืองในปัจจุบันในเวียดนามก็เป็นสถานการณ์ที่ขับเคลื่อนด้วย"รถเทียมม้าสี่ตัว"เช่นกัน ในสถานการณ์ที่ต้องคำนึงถึงภาคเหนือและภาคใต้ ทั้งภาคเหนือและภาคใต้มักจะผลัดกันรับผิดชอบดูแลซึ่งกันและกัน ดังนั้นด้วยความแตกต่างอย่างมากระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ,เวียดนามจะแตกแยกอีกไหม? ในความเป็นจริง ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 เวียดนามอยู่ในยุคแห่งการแบ่งแยกและการเผชิญหน้าระหว่างเหนือและใต้มาเป็นเวลานาน เนื่องจากการแตกแยกในระยะยาว ช่องว่างและความบาดหมางระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ของเวียดนาม ก็กว้างขึ้นเรื่อยๆ หากดูแผนที่ของเวียดนามจะพบว่าภูมิประเทศของเวียดนามนั้นยาวและแคบ เป็นรูปตัว S มีความยาวจากเหนือจรดใต้ 1,600 กิโลเมตร และจุดที่แคบที่สุดจากตะวันออกไปตะวันตกเพียง 50 กิโลเมตร เหมือนงูยาวที่เกาะอยู่ในคาบสมุทรอินโดจีน เนื่องจากลำตัวของงูยาวตัวนี้เรียวเกินไป จึงสามารถตัดที่เอวได้อย่างง่ายดาย ทำให้เกิดสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างเหนือและใต้ ในฐานะเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดของจีน เวียดนามตอนเหนือเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนของจีนมายาวนาน จนกระทั่งสมัยห้าราชวงศ์และสิบอาณาจักร(五代十国) เวียดนามถือโอกาสจากการแตกแยกล่มสลายของจีน ปลดตนเองจากการควบคุมของจีนและสถาปนาประเทศเอกราช บางทีอาจเป็นเพราะการแยกทางระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ในระยะยาว เวียดนามยังเผชิญการเผชิญหน้าระหว่างเหนือ-ใต้เช่นเดียวกับราชวงศ์ใต้และราชวงศ์เหนือ(南北朝)ของจีน และไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ในปีคริสตศักราช 1428 จักรพรรดิเล ท้าย โต๋( Lê Thái Tổ 黎太祖)มีพระนามเดิมว่า เล เหล่ย (Lê Lợi, 黎利)ได้สถาปนาราชวงศ์เหิ่วเล(Later Lê dynasty後黎朝)ขึ้นในเมืองทังล็อง(Thăng Long升龙)ซึ่งปัจจุบันคือฮานอย หนึ่งร้อยปีหลังจากการสถาปนาประเทศ เจ้าหน้าที่ข้าราชการผู้มีอำนาจในราชวงศ์เหิ่วเล(Later Lê dynasty後黎朝)ได้แย่งชิงบัลลังก์ ประกาศตนเป็นจักรพรรดิ์ และสังหารหมู่ตระกูลราชวงศ์ และสถาปนาราชวงศ์ราชวงศ์หมัก (เหนือ)( Nhà Mạc 莫朝) แต่ต่อมาขุนนางผู้ภักดี ตระกูลเหงียน(Nguyen阮)แห่งราชวงศ์เหิ่วเล(Later Lê dynasty後黎朝)ได้พบทายาทของราชวงศ์เหิ่วเล(Later Lê dynasty後黎朝)ทางตอนใต้ของเวียดนาม ให้เคารพเขาในฐานะจักรพรรดิ และสถาปนาราชวงศ์ ราชวงศ์เหิ่วเล(Later Lê dynasty後黎朝) ขึ้นมาใหม่ ก่อให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างระบอบการปกครองทางเหนือและทางใต้ ในช่วงการแบ่งแยกเหนือใต้ ระบอบแบ่งแยกดินแดนในท้องถิ่นก็ประสบกับเหตุการณ์ต่างๆ เช่น การสูญเสียอำนาจและการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองอำนาจทางการเมือง ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 เวียดนามก็อยู่ในช่วงแห่งการแบ่งแยกเนื่องจากข้อพิพาทระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ภาคเหนือและภาคใต้ได้ทำสงครามกันหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม เป็นการยากที่จะกำหนดผลลัพธ์ของการแพ้ชนะ และในท้ายที่สุดพวกเขาก็ได้แต่กำหนดเขตแดน ก่อให้เกิดสถานการณ์ของ ภาคใต้ตระกูลเหงียน(Nguyen阮)และภาคเหนือตระกูลตรินห์(Trinh鄭) ผู้ปกครองเหงียน (Nguyen阮)ทางตอนใต้เติบโตในช่วงกลางศตวรรษที่ 16 และก่อตั้งขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 การปกครองของพวกเขากินเวลานานถึงสองศตวรรษและใช้มาตรการต่างๆ มากมายในด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และด้านอื่นๆ การต่อต้านและการแบ่งแยกโดยพฤตินัยนี้ทำให้ความแตกต่างระหว่างเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้รุนแรงขึ้น และยังส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อการเมือง เศรษฐกิจ และแม้แต่วัฒนธรรมของเวียดนามในรุ่นต่อ ๆ ไป เมื่อพูดถึงเวียดนามยังเป็นเช่นนี้ การแบ่งแยกภาคเหนือและภาคใต้ในระยะยาวย่อมนำไปสู่ความแตกต่างในด้านวัฒนธรรมและประเพณีความแตกต่างเหล่านี้สะท้อนถึงความหลากหลายของประเทศในยามสงบอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์ระหว่างประเทศและในประเทศไม่มั่นคง ก็อาจเป็นอันตรายที่ซ่อนอยู่และสามารถถูกเอารัดเอาเปรียบได้ง่ายโดยผู้ที่มีเจตนาร้าย ทำให้เกิดสถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ ในยุคปัจจุบัน เวียดนามถูกแบ่งออกเป็นเวียดนามใต้และเวียดนามเหนืออีกครั้ง ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเหนือ-ใต้โดยพฤตินัย แต่เช่นเดียวกับจีน เนื่องจากความเคยชินทางประวัติศาสตร์ เวียดนามมีประสบการณ์ในการรวมชาติเหนือและภาคใต้เข้าด้วยกัน พลังการรวมเข้าสู่ศูนย์กลางของชาติในประเทศนั้นแข็งแกร่งมาก และในที่สุดประเทศก็รวมเป็นหนึ่งเดียวในช่วงกลางทศวรรษ 1970 แม้ว่าจะมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ของเวียดนามเนื่องด้วยเหตุผลทางประวัติศาสตร์ การแทรกแซงของอาณานิคมของยุโรปและการมาถึงของยุคอาณานิคมทำให้การแบ่งแยกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้รุนแรงขึ้น ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ชาวฝรั่งเศสมีความสนใจเวียดนามดินแดนมหาสมบัติแห่งนี้ และขยายอาณาเขตอาณานิคมของตนมาถึงที่นี่ ในเวลานั้น รัฐบาลชิง(清)เป็นเจ้านครสมัยศักดินา (Suzerain宗主国) ของเวียดนาม แต่ด้วยการลงนามใน “สนธิสัญญาเทียนจิน (The Treaty of Tianjin中法新約)” รัฐบาลชิง(清)ที่ล้าหลังและไร้ความสามารถถูกบังคับให้สละอำนาจของเจ้านครสมัยศักดินา (suzerainty宗主权)ของตน ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1884 ฝรั่งเศสและเวียดนามลงนามในสนธิสัญญาเว้(The Treaty of Huế顺化条约)ซึ่งถือเป็นการล่มสลายของเวียดนามโดยสมบูรณ์ อาณานิคมฝรั่งเศสในอินโดจีน( Indochina印度支那) และการสถาปนาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นจุดเริ่มต้นสู่ยุคอาณานิคมของเวียดนาม เพื่อให้ปกครองอาณานิคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ชาวฝรั่งเศสจึงใช้กลยุทธ์ "แบ่งแยกและปกครอง"และแบ่งเวียดนามออกเป็นสามส่วน ได้แก่ เขตแดนตอนเหนือ.....ตังเกี๋ย (Tonkin东京) เขตแดนตอนกลาง.....อันนัม(Annam安南)และเขตแดนตอนใต้.....โคชินชินา(Cochinchina交趾支那) ยิ่งไปกว่านั้น เขตแดนตอนใต้ยังเป็นดินแดนที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของฝรั่งเศสโดยตรง เขตแดนตอนกลางเป็นรัฐในอารักขา และเขตแดนตอนเหนือเป็นกึ่งอารักขา ตามบทบัญญัติของสนธิสัญญาเว้(The Treaty of Huế顺化条约)ฝรั่งเศสได้จัดตั้ง "ระบบการอารักขา(protectorate保护)" ในตังเกี๋ย (Tonkin东京)และอันนัม(Annam安南) ซึ่งอนุญาตให้ราชวงศ์ตระกูลเหงียน(Nguyen阮)ปกครองในนาม โดยแท้จริงแล้วจักรพรรดิได้กลายเป็นหุ่นเชิดไปแล้ว จากมุมมองของระบบการเมืองเวียดนามโดยพื้นฐานแล้วแบ่งออกเป็นสองส่วน ทางใต้เป็นดินแดนภายใต้เขตอำนาจของฝรั่งเศสโดยตรง และทางเหนือเป็นระบอบการปกครองหุ่นเชิดภายใต้การควบคุมของฝรั่งเศส ด้วยการแทรกแซงของฝรั่งเศสความแตกต่างระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ของเวียดนามเริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจน ประกอบกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ เช่น ทางตอนเหนือส่วนใหญ่เป็นภูเขา ในขณะที่ภาคใต้มีภูมิประเทศที่ราบเรียบ และยังมีอ่าวทะเลธรรมชาติและสวยงามเหมาะกับท่าเรือมากมายหลายแห่ง ส่งผลให้เกิดสถานการณ์ที่กองกำลังต่างชาติที่รุกรานส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในภาคใต้ ในขณะที่กองกำลังต่อต้านแห่งชาติของเวียดนามกระจุกตัวอยู่ที่ภาคเหนือ ก่อนการมาถึงของฝรั่งเศส ระบบรัฐของเวียดนามเป็นแบบรวมศูนย์ นอกจากนี้ยังเป็นไปตามแบบอย่างของจีนในการคัดเลือกข้าราชการผ่านระบบการสอบของจักรพรรดิ(科举制) ระบบการศึกษาส่วนใหญ่เป็นการศึกษาแบบโรงเรียนเอกชน และเรื่องของอุดมการณ์ยังคงเป็นวัฒนธรรมขงจื๊อแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม ด้วยการมาถึงของนักล่าอาณานิคม อุดมการณ์ตัวหลักของเวียดนามก็ได้รับผลกระทบ และความแตกต่างในระดับภูมิภาคก็เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาของการเผชิญหน้าระหว่างเวียดนามใต้และเวียดนามเหนือเมื่อชาวอเมริกันเข้ามาแทรกแซง เนื่องจากระบบการเมืองที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง อุดมการณ์และวัฒนธรรมเหล่านี้ทำให้ความแตกต่างที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ดังจะเห็นได้จากคาบสมุทรเกาหลีที่ภาคเหนือและภาคใต้ยังคงมีความขัดแย้งกันอยู่ หลังจากที่ฝรั่งเศสสถาปนาการปกครองอาณานิคมแล้ว ฝรั่งเศสย่อมดำเนินนโยบายการดูดซึมหลอมสลายอาณานิคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เผยแพร่ความคิดอุดมการณ์และวัฒนธรรมของเจ้านครสมัยศักดินา (Suzerain宗主国) และดำเนินการล่าอาณานิคมทางวัฒนธรรม เพื่อจัดหาอาวุธทางอุดมการณ์อันทรงพลังเพื่อเสริมสร้างและรวบรวมการปกครองให้เข้าด้วยกันของอาณานิคม ชาวฝรั่งเศสก็เช่นกัน เพื่อเสริมสร้างการควบคุมเวียดนามและฝึกอบรมนักแปล ฝรั่งเศสได้เปิดโรงเรียนสองภาษาในเวียดนามตอนใต้ และกำหนดนโยบาย "การดูดซึมหลอมสลาย" ขึ้นในปี ค.ศ. 1897 เพื่อเตรียมขยายการศึกษาแนวรูปแบบฝรั่งเศสสมัยใหม่ไปยังทุกหนทุกแห่งของภาคใต้ . อย่างไรก็ตาม ทางภาคเหนือยังอยู่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิราชวงศ์ตระกูลเหงียน(Nguyen阮) ดังนั้นการสอบคัดเลือกโดยการสอบของจักรพรรดิ(科举制)แบบดั้งเดิมจึงยังคงถูกนำมาใช้ในภูมิภาคนี้ และการศึกษายังคงขึ้นอยู่กับระบบการสอบของจักรพรรดิ(科举制)เป็นหลัก พลังของการศึกษาสไตล์แบบตะวันตกนั้นยังอ่อนแอมาก เป็นที่น่าสังเกตว่าระบบการสอบของจักรพรรดิ(科举制)ของเวียดนามจนกระทั่งปีค.ศ. 1919 จึงค่อยถูกยกเลิก ซึ่งช้ากว่าจีนถึงสิบสี่ปี จากสิ่งเหล่านี้ยังแสดงให้เห็นถึงความแตกแยกและความแตกต่างในด้านการศึกษาระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ความแตกต่างในระบบการศึกษานี้นำไปสู่ความแตกต่างทางความคิดอุดมการณ์ระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ผลกระทบของความแตกต่างนี้มีมายาวนานและกว้างขวาง ในช่วงทศวรรษที่ 1940 เวียดนามตอนใต้ซึ่งได้รับอิทธิพลผลกระทบอย่างลึกซึ้งจากการศึกษาของตะวันตก ลัทธิขงจื๊อแบบคลาสสิกถูกละทิ้งไปนานแล้ว และเริ่มคิดถึงแนวคิดสมัยใหม่ เช่น วิทยาศาสตร์ ความสามารถพิเศษ และอารยธรรม อย่างไรก็ตาม ครอบครัวข้าราชการท้องถิ่นในภาคเหนือยังคงถือว่าลัทธิขงจื๊อเป็นวัฒนธรรมและถือเป็นสมบัติ หลังจากที่ชาวอเมริกันรับช่วงต่อจากฝรั่งเศสในฐานะผู้ควบคุมที่แท้จริงของเวียดนามใต้ พวกเขายังคงมุ่งเน้นไปที่การปฏิบัติจริงและความคิดริเริ่มของนักเรียน ส่งเสริมการฝึกฝนผู้มีความสามารถในภาคใต้ ในขณะที่ภาคเหนือเน้นปลูกฝังความรักชาติและการรู้หนังสือการอ่านออกเขียนได้ และเสนอให้เผยแพร่การศึกษาแก่คนส่วนใหญ่ของประชาชนในหมู่คนทำงาน กล่าวได้ง่ายๆว่า เวียดนามทางภาคใต้สิ่งที่ดำเนินการคือการศึกษาชั้นยอดระดับหัวกะทิ และมุ่งเน้นไปที่การปลูกฝังความสามารถพิเศษของบุคคล ในขณะที่วัตถุประสงค์หลักของการศึกษาในภาคเหนือคือการเผยแพร่ระดับมาตรฐานการรู้หนังสือ ลำดับความสำคัญที่แตกต่างกันระหว่างภาคเหนือและภาคใต้นำไปสู่การขยายความแตกต่างทางอุดมการณ์และวัฒนธรรมระหว่างภาคเหนือและภาคใต้โดยทั่วไป โดยทั่วไปแล้วเวียดนามทางภาคใต้ได้รับอิทธิพลเปลี่ยนแปลงเอนเอียงไปทางตะวันตก ในขณะที่เวียดนามทางภาคเหนือได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากแนวคิดคอมมิวนิสต์ การแตกแยกจากกันและความแตกต่างเช่นนี้ แม้หลังจากการรวมตัวกันของภาคเหนือและภาคใต้อีกครั้ง เนื่องจากความเคยชินเฉื่อยชาและความสนใจทางประวัติศาสตร์รวมทั้งผลประโยขน์ต่างๆ ทั้งสองก็ไม่สามารถเชื่อมโยงกันได้ในเวลาอันสั้น ใครก็ตามที่คุ้นเคยกับเวียดนามจะรู้ดีว่าช่องว่างระหว่างเวียดนามเหนือและใต้นั้นค่อนข้างใหญ่ และช่องว่างก็มีแนวโน้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น เวียดนามตอนเหนือส่วนใหณ่เป็นภูเขา ภาคใต้มีภูมิประเทศเป็นที่ราบเรียบ และมีอ่าวทะเลเหมาะกับทำท่าเรือและสถานที่ท่องเที่ยวรีสอร์ทที่ดีเยี่ยมหลายแห่ง ซึ่งทำให้สภาพเงื่อนไขการพัฒนาเศรษฐกิจในภาคใต้โดยธรรมชาติแล้วดีกว่าทางภาคเหนือ เช่นเดียวกับจีน โฮจิมินห์ซิตี้ทางตอนใต้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของเวียดนามในฐานะเมืองหลวงของเวียดนามใต้ ก่อนการรวมตัวของประเทศ โฮจิมินห์ซิตี้เป็นที่รู้จักในนามไซ่ง่อน เป็นศูนย์กลางการปกครองและเขตปกครองหลายแห่งของมหาอำนาจตะวันตก และยังเป็นที่รู้จักในชื่อ "ปารีสน้อยแห่งตะวันออก" 😎โปรดติดตามบทความ #เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้จะแบ่งแยกประเทศอีกครั้งหรือไม่ ตอน02 ที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า😎 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 Comments 0 Shares 965 Views 0 Reviews
  • ยาฆ่าพยาธิ ฤทธิ์ ต้านไวรัส และ ร่วมต้านมะเร็ง และร่วมรักษาพาร์กินสัน
    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต

    ยาที่ได้รับการรับรองในเรื่องความปลอดภัยและหมดสิทธิบัตร ราคาถูกเข้าถึงได้ทั่ว โดยที่ ปรากฏว่ามีสรรพคุณนอกเหนือจากที่เคยรู้กันและนำมาใช้ในบริบทที่ต่างออกไป เป็นสิ่งที่ควรให้ความสนใจ ในการเป็น repurpose drug

    และอีกทั้งยาพื้นบ้านสมุนไพรไทยและยาแผนตะวันออกรวมทั้งวิธีควบการรักษาอื่นๆควรต้องเปิดใจและ ศึกษาอย่างจริงจังและในที่สุดสามารถร่วมใช้ด้วยกันกับยาแผนปัจจุบันตะวันตก

    ตัวอย่างเช่นยาฆ่าพยาธิ ยา ไอเวอร์เมคตินตัวนี้ Satoshi ōmura และ William C. Campbell ได้รางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาและอายุรกรรม ในปี 2015 ในการคันพบ ว่าเป็นยาที่มีประสิทธิภาพมากในการรักษา โรคพยาธิต่างๆและช่วยชีวิตคนในทวีปแอฟริกาได้มากมาย ในช่วงระยะเวลาต่อมามีการศึกษา ฤทธิ์และกลไกของยาตัวนี้ จนกระทั่งได้พบว่ายาตัวนี้มีสรรพคุณในการยับยั้งการติดเชื้อรวมกระทั่งถึงการรักษาการติดเชื้อไวรัสโดยเฉพาะที่เป็น กลุ่ม RNA อาทิเช่นไวรัสโควิด จนกระทั่งมีการนำมาใช้ใน หลายทวีป ในประเทศอินเดีย แอฟริกา แม้กระทั่ง ในญี่ปุ่น อังกฤษและสหรัฐอเมริกา

    แต่อย่างไรก็ตามได้ถูกต่อต้านอย่างรุนแรงและมีการเซ็นเซอร์รวมทั้งมีการเพิกถอนใบประกอบอาชีพของแพทย์ และองค์กรกลางของสหรัฐ FDA ได้กล่าวดูถูกถากถาง แต่ในที่สุดแพ้คดีต่อศาลสูงสุดของสหรัฐ ให้ลบการประนาม ข้อความในสื่อทั้งหมด ที่ให้ร้ายยาฆ่าพยาธิดังกล่าว และแพทย์ชนะคดี

    เย็นวันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม 2024 คดีในศาลที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยศาลได้ตัดสินให้ FDA ของสหรัฐอเมริกาซึ่งนำโดย Robert Califf ซึ่งเป็นแพทย์โรคหัวใจ ถอดถอนคำกล่าวอ้างที่เป็นเท็จและทำให้เกิดความเข้าใจผิดทั้งหมดเกี่ยวกับยา ivermectin ยานี้เป็นส่วนหนึ่งของการใช้ตามมาตรฐานชุมชนในการดูแลรักษาโรคโควิด-19 โดยมีประวัติความปลอดภัยที่ดีเยี่ยมและหลักฐานคุณประโยชน์ในการศึกษาไม่น้อยกว่า 101 รายการ

    ในช่วงปี 2021 สิ่งที่เรียกว่า"สงครามกับยาไอเวอร์เมกติน" FDA ของสหรัฐอเมริกาได้โพสต์ทวีตอันเป็นเท็จและทำให้เข้าใจผิด และการส่งข้อความสาธารณะเพื่อห้ามปรามแพทย์ เภสัชกร และผู้ป่วยจากการใช้ยา และ ส่งผลให้แพทย์ที่สั่งใช้ถูกสั่งให้ยุติ การทำงาน ถอดถอนใบอนุญาติ และนำมาสู่การฟ้องร้องซึ่ง FDA แพ้ในที่สุด

    ช่วงเวลาก่อนโควิด ระยะที่มีการระบาด และหลังจากที่การระบาดสงบลงมีความสนใจในกลไกของยาฆ่าพยาธิตัวนี้ที่สามารถออกฤทธิ์ต่อมะเร็งหลายชนิดได้ ทั้งในด้านการระงับการเจริญเติบโต การแพร่กระจาย และยับยั้งการสร้างเส้นเลือดที่มาเลี้ยงก้อนมะเร็งต่างๆ ทั้งนี้ยังรวมถึงผ่อนเบา สถานการณ์ดื้อยาของมะเร็งชนิดต่างๆต่อการรักษาและยาเคมีบำบัด และมีการใช้ผสมควบรวมกันทั้งนี้เพื่อควบคุมมะเร็งได้ดีขึ้น

    กลไกสำคัญที่มีการศึกษาไปแล้วนั้น คือความสามารถที่จะทำให้มะเร็งตายโดยกระบวนการ ที่เรียกว่า programmed cell death autophagy และ pyroptosis โดยผ่านเส้นทางของ PAK1 kinase และอื่นๆ

    จุดประสงค์ของการศึกษายานี้กับมะเร็งเพื่อช่วยให้เป็นยาประกอบกับยาเคมีบำบัดเพื่อให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

    ยกตัวอย่างบทความบางส่วนที่ศึกษายาตัวนี้กับมะเร็ง ชนิดต่างๆเช่น
    มะเร็งเต้านมโดยเฉพาะในกลุ่มที่เรียกว่า triple negative โดยทีไม่มี estrogen, progesterone receptor และ human epidermal growth factor receptors 2 (HER2) และเป็นมะเร็งที่เติบโตและลุกลามเร็วที่สุด โดยที่ไอเวอร์เมคตินทำหน้าที่เป็นตัวควบคุม ในระดับเหนือพันธุกรรม (epigenetic regulator) และยังทำให้มะเร็งชนิดนี้กลับมาตอบสนองกับยาปกติ tamoxifen
    การศึกษาหลายรายงานยังพบว่าไอเวอร์เมคติน ช่วยทำให้เซลล์มะเร็งตายได้ดีขึ้นโดยการปรับสภาวะแวดล้อมของเซลล์มะเร็ง(tumor microenvironment )จากการปล่อย high mobility group box-1 protein (HMGB1) ทำให้เกิดปฏิกิริยาทางระบบเซลล์ภูมิคุ้มกันที่ทำให้เกิดการอักเสบและการตายของเซลล์มะเร็ง

    ในส่วนมะเร็งกระเพาะอาหารพบว่าไอเวอเมคติน สามารถ ยับยั้งการ เติบโตของเซลล์ผ่าน Yes-associated protein 1 (YAP1) และกระบวนการนี้ยังใช้อธิบายผลต่อมะเร็งตับ มะเร็งท่อน้ำดี

    และยายังช่วยมะเร็งที่ดื้อ gemcitabine ซึ่งเป็นยาเคมีบำบัดสำหรับรักษา มะเร็งลำไส้ใหญ่ทำให้เกิดเซลล์ตายในกระบวนการapoptosis จากการขัดขวาง Wnt/beta catenin pathway

    นอกจากนั้นยังมีผลช่วยในกรณีของมะเร็งของไต (renal cell carcinoma) โดยไม่กระทบต่อเซลล์ปกติทั้งนี้โดยการขัดขวางหน้าที่ของmitochondria

    ยายังมีส่วนช่วยมะเร็งต่อมลูกหมากโดยที่เพิ่มการออกฤทธิ์ของ ยาต้าน ฮอร์โมนแอนโดเจน enzalutamide และปรับเซลล์มะเร็งที่ดื้อ ยาdocetaxel ให้กลับมาตอบสนองใหม่

    มะเร็งของเม็ดเลือดขาวหรือลูคีเมีย ยาช่วยฆ่ามะเร็ง ในขนาดยาที่ไม่สูง และไม่กระทบเซลล์ปกติ ทั้งนี้โดยการเหนียวนำให้เกิดอนุมูลอิสระ และมีผลส่งเสริมการออกฤทธิ์ของยา cytarabine และ daunorubicin
    นอกจากนั้นยังมีผลกับมะเร็งชนิดไม่เฉียบพลัน chronic myeloid leukemia และช่วยการทำงานของยา dasatinib ให้ดีขึ้น

    มะเร็งปากมดลูกและมะเร็งรังไข่ ยามีส่วนช่วยในการทำให้ยาเคมีบำบัดออกฤทธิ์ได้ดีขึ้นเช่นเดียวกัน
    เนื้องอกสมอง ยามีส่วนช่วยรักษา glioblastoma ผ่านกลไกที่ทำให้เซลล์ตายและยับยั้งการสร้างเส้นเลือดมาเลี้ยงก้อนเนื้องอกและการกระจายของเซลล์มะเร็ง
    อย่างไรก็ตามยาไอเวเมคติน ไม่สามารถผ่านผนังกั้นหลอดเลือดกับสมองได้ดี ดังนั้น อาจเป็นข้อจำกัดในการใช้ยานี้กับเนื้องอกในสมองยกเว้นแต่ว่าต้องสามารถเปิดให้มีรูหรือช่องว่างของผนังกั้นนี้ได้อย่างพอเพียงโดยที่ไม่เกิดขึ้นอย่างถาวร

    มะเร็งในช่วงโพรงจมูกทางด้านหลัง มะเร็งปอด และ มะเร็งร้ายแรงของผิวหนัง melanoma ยาดังกล่าวนี้สามารถช่วยการรักษาที่เป็นมาตรฐานให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น

    ลิงค์ที่แนบแสดงถึงการรายงานประสิทธิภาพและกลไกของยา ต่อเนื้องอกมะเร็งแบบต่างๆ เช่น
    วารสาร

    Nature 2021https://www.nature.com/articles/s41523-021-00229-5
    Nature 2022https://www.nature.com/articles/s41419-022-05182-0
    และวารสารอื่นๆhttps://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S1043661820315152https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7505114/https://www.frontiersin.org/journals/pharmacology/articles/10.3389/fphar.2021.717529/fullhttps://journals.sagepub.com/doi/full/10.1177/09603271221143693https://www.mdpi.com/2079-9721/11/1/49https://www.frontiersin.org/journals/pharmacology/articles/10.3389/fphar.2022.934746/fullhttps://ar.iiarjournals.org/content/39/9/4837

    การศึกษาในสัตว์ทดลองที่ปรับแต่งเป็นมะเร็งที่ไม่มีตัวรับใดๆทั้งสิ้น และเมื่อได้รับ Ivermectin ทำให้ตัวมะเร็งนั้นแสดงตัวให้เห็นและยาฆ่ามะเร็ง immune check point inhibitor แสดงฤทธิ์ได้เต็มที่
    Ivermectin converts cold tumors hot and synergizes with immune checkpoint blockade for treatment of breast cancer

    https://www.nature.com/articles/s41523-021-00229-5

    https://www.frontiersin.org/journals/molecular-neuroscience/articles/10.3389/fnmol.2023.1138798/full

    ในอีกบริบทหนึ่งปรากฏว่ายังสามารถช่วยให้การรักษา พาร์กินสัน มีประสิทธิภาพได้ดียิ่งขึ้นในห้อง ปฏิบัติการ อีกดังรายงานในปี 2024 และเนื่องจากความปลอดภัยแม้ว่าจะใช้ในขณะสูงเป็นเวลาหลายเดือนยังมีทางเป็นไปได้ในการรักษาเยียวยาในมนุษย์

    https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0166432820305039?fr=RR-2&ref=pdf_download&rr=

    IVM is increasing striatal dopamine release through enhanced cholinergic activity on dopamine terminals.

    https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC11025261/

    เหล่านี้เป็นตัวอย่างของยาที่มีสรรพคุณมากหลาย นอกเหนือจากที่ค้นพบตั้งแต่ต้น กลายเป็น ที่เราเรียกว่า repurpose drug

    และน่าจะสะท้อนให้เห็นถึงสภาวการณ์ของสมุนไพรไทย และรวม กันชงและกัญชา ที่ครอบครัวของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยแล้วว่ารักษาไม่ได้และให้ประคับประคองอย่างเดียวได้นำมาใช้เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดทรมานนอนไม่ได้กินไม่ไหว แต่สามารถมีชีวิตอย่างเกือบปกติและใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวโดยทุกคนค่อยๆยอมรับ และในที่สุด แม้ผู้ป่วยจะจากไป แต่ไม่ได้ทนทุกข์ทรมาน

    ทั้งนี้ผู้ป่วยเหล่านี้ต่างได้รับยาแก้ปวดมอร์ฟีนทั้งชนิดกิน ฉีด แต่ไม่สามารถบรรเทาอาการได้ ในขณะเดียวกันมีผู้ป่วยมะเร็งเป็นจำนวนมากที่ได้รับการวินิจฉัยยืนยันชนิดของมะเร็งรวมกระทั่งถึงระยะลุกลามขั้นสุดท้าย
    เมื่อได้ยากันชงกัญชา โดยการให้ที่ถูกต้องและเหมาะสม กลับมีชีวิตยืนยาวได้มากกว่าปกติตามที่คาดคะเนจากการรักษาแบบมาตรฐาน

    ควรหรือไม่ที่จะเริ่มพิจารณาอย่างจริงจังที่จะนำสมุนไพรต่างๆ รวมทั้งการแพทย์แผนตะวันออกเช่นแพทย์แผนจีน เข้ามาศึกษาและยกระดับความเข้าใจรวมทั้งสามารถระบุปฏิกิริยา รวมทั้งข้อห้ามใช้เมื่อใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน ตัวไหนบ้างเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วยและเป็นการประหยัดและทำให้ประชาชนคนป่วยเข้าถึงได้อย่างเต็มที่

    #Thaitimes
    ยาฆ่าพยาธิ ฤทธิ์ ต้านไวรัส และ ร่วมต้านมะเร็ง และร่วมรักษาพาร์กินสัน ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ยาที่ได้รับการรับรองในเรื่องความปลอดภัยและหมดสิทธิบัตร ราคาถูกเข้าถึงได้ทั่ว โดยที่ ปรากฏว่ามีสรรพคุณนอกเหนือจากที่เคยรู้กันและนำมาใช้ในบริบทที่ต่างออกไป เป็นสิ่งที่ควรให้ความสนใจ ในการเป็น repurpose drug และอีกทั้งยาพื้นบ้านสมุนไพรไทยและยาแผนตะวันออกรวมทั้งวิธีควบการรักษาอื่นๆควรต้องเปิดใจและ ศึกษาอย่างจริงจังและในที่สุดสามารถร่วมใช้ด้วยกันกับยาแผนปัจจุบันตะวันตก ตัวอย่างเช่นยาฆ่าพยาธิ ยา ไอเวอร์เมคตินตัวนี้ Satoshi ōmura และ William C. Campbell ได้รางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาและอายุรกรรม ในปี 2015 ในการคันพบ ว่าเป็นยาที่มีประสิทธิภาพมากในการรักษา โรคพยาธิต่างๆและช่วยชีวิตคนในทวีปแอฟริกาได้มากมาย ในช่วงระยะเวลาต่อมามีการศึกษา ฤทธิ์และกลไกของยาตัวนี้ จนกระทั่งได้พบว่ายาตัวนี้มีสรรพคุณในการยับยั้งการติดเชื้อรวมกระทั่งถึงการรักษาการติดเชื้อไวรัสโดยเฉพาะที่เป็น กลุ่ม RNA อาทิเช่นไวรัสโควิด จนกระทั่งมีการนำมาใช้ใน หลายทวีป ในประเทศอินเดีย แอฟริกา แม้กระทั่ง ในญี่ปุ่น อังกฤษและสหรัฐอเมริกา แต่อย่างไรก็ตามได้ถูกต่อต้านอย่างรุนแรงและมีการเซ็นเซอร์รวมทั้งมีการเพิกถอนใบประกอบอาชีพของแพทย์ และองค์กรกลางของสหรัฐ FDA ได้กล่าวดูถูกถากถาง แต่ในที่สุดแพ้คดีต่อศาลสูงสุดของสหรัฐ ให้ลบการประนาม ข้อความในสื่อทั้งหมด ที่ให้ร้ายยาฆ่าพยาธิดังกล่าว และแพทย์ชนะคดี เย็นวันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม 2024 คดีในศาลที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยศาลได้ตัดสินให้ FDA ของสหรัฐอเมริกาซึ่งนำโดย Robert Califf ซึ่งเป็นแพทย์โรคหัวใจ ถอดถอนคำกล่าวอ้างที่เป็นเท็จและทำให้เกิดความเข้าใจผิดทั้งหมดเกี่ยวกับยา ivermectin ยานี้เป็นส่วนหนึ่งของการใช้ตามมาตรฐานชุมชนในการดูแลรักษาโรคโควิด-19 โดยมีประวัติความปลอดภัยที่ดีเยี่ยมและหลักฐานคุณประโยชน์ในการศึกษาไม่น้อยกว่า 101 รายการ ในช่วงปี 2021 สิ่งที่เรียกว่า"สงครามกับยาไอเวอร์เมกติน" FDA ของสหรัฐอเมริกาได้โพสต์ทวีตอันเป็นเท็จและทำให้เข้าใจผิด และการส่งข้อความสาธารณะเพื่อห้ามปรามแพทย์ เภสัชกร และผู้ป่วยจากการใช้ยา และ ส่งผลให้แพทย์ที่สั่งใช้ถูกสั่งให้ยุติ การทำงาน ถอดถอนใบอนุญาติ และนำมาสู่การฟ้องร้องซึ่ง FDA แพ้ในที่สุด ช่วงเวลาก่อนโควิด ระยะที่มีการระบาด และหลังจากที่การระบาดสงบลงมีความสนใจในกลไกของยาฆ่าพยาธิตัวนี้ที่สามารถออกฤทธิ์ต่อมะเร็งหลายชนิดได้ ทั้งในด้านการระงับการเจริญเติบโต การแพร่กระจาย และยับยั้งการสร้างเส้นเลือดที่มาเลี้ยงก้อนมะเร็งต่างๆ ทั้งนี้ยังรวมถึงผ่อนเบา สถานการณ์ดื้อยาของมะเร็งชนิดต่างๆต่อการรักษาและยาเคมีบำบัด และมีการใช้ผสมควบรวมกันทั้งนี้เพื่อควบคุมมะเร็งได้ดีขึ้น กลไกสำคัญที่มีการศึกษาไปแล้วนั้น คือความสามารถที่จะทำให้มะเร็งตายโดยกระบวนการ ที่เรียกว่า programmed cell death autophagy และ pyroptosis โดยผ่านเส้นทางของ PAK1 kinase และอื่นๆ จุดประสงค์ของการศึกษายานี้กับมะเร็งเพื่อช่วยให้เป็นยาประกอบกับยาเคมีบำบัดเพื่อให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างบทความบางส่วนที่ศึกษายาตัวนี้กับมะเร็ง ชนิดต่างๆเช่น มะเร็งเต้านมโดยเฉพาะในกลุ่มที่เรียกว่า triple negative โดยทีไม่มี estrogen, progesterone receptor และ human epidermal growth factor receptors 2 (HER2) และเป็นมะเร็งที่เติบโตและลุกลามเร็วที่สุด โดยที่ไอเวอร์เมคตินทำหน้าที่เป็นตัวควบคุม ในระดับเหนือพันธุกรรม (epigenetic regulator) และยังทำให้มะเร็งชนิดนี้กลับมาตอบสนองกับยาปกติ tamoxifen การศึกษาหลายรายงานยังพบว่าไอเวอร์เมคติน ช่วยทำให้เซลล์มะเร็งตายได้ดีขึ้นโดยการปรับสภาวะแวดล้อมของเซลล์มะเร็ง(tumor microenvironment )จากการปล่อย high mobility group box-1 protein (HMGB1) ทำให้เกิดปฏิกิริยาทางระบบเซลล์ภูมิคุ้มกันที่ทำให้เกิดการอักเสบและการตายของเซลล์มะเร็ง ในส่วนมะเร็งกระเพาะอาหารพบว่าไอเวอเมคติน สามารถ ยับยั้งการ เติบโตของเซลล์ผ่าน Yes-associated protein 1 (YAP1) และกระบวนการนี้ยังใช้อธิบายผลต่อมะเร็งตับ มะเร็งท่อน้ำดี และยายังช่วยมะเร็งที่ดื้อ gemcitabine ซึ่งเป็นยาเคมีบำบัดสำหรับรักษา มะเร็งลำไส้ใหญ่ทำให้เกิดเซลล์ตายในกระบวนการapoptosis จากการขัดขวาง Wnt/beta catenin pathway นอกจากนั้นยังมีผลช่วยในกรณีของมะเร็งของไต (renal cell carcinoma) โดยไม่กระทบต่อเซลล์ปกติทั้งนี้โดยการขัดขวางหน้าที่ของmitochondria ยายังมีส่วนช่วยมะเร็งต่อมลูกหมากโดยที่เพิ่มการออกฤทธิ์ของ ยาต้าน ฮอร์โมนแอนโดเจน enzalutamide และปรับเซลล์มะเร็งที่ดื้อ ยาdocetaxel ให้กลับมาตอบสนองใหม่ มะเร็งของเม็ดเลือดขาวหรือลูคีเมีย ยาช่วยฆ่ามะเร็ง ในขนาดยาที่ไม่สูง และไม่กระทบเซลล์ปกติ ทั้งนี้โดยการเหนียวนำให้เกิดอนุมูลอิสระ และมีผลส่งเสริมการออกฤทธิ์ของยา cytarabine และ daunorubicin นอกจากนั้นยังมีผลกับมะเร็งชนิดไม่เฉียบพลัน chronic myeloid leukemia และช่วยการทำงานของยา dasatinib ให้ดีขึ้น มะเร็งปากมดลูกและมะเร็งรังไข่ ยามีส่วนช่วยในการทำให้ยาเคมีบำบัดออกฤทธิ์ได้ดีขึ้นเช่นเดียวกัน เนื้องอกสมอง ยามีส่วนช่วยรักษา glioblastoma ผ่านกลไกที่ทำให้เซลล์ตายและยับยั้งการสร้างเส้นเลือดมาเลี้ยงก้อนเนื้องอกและการกระจายของเซลล์มะเร็ง อย่างไรก็ตามยาไอเวเมคติน ไม่สามารถผ่านผนังกั้นหลอดเลือดกับสมองได้ดี ดังนั้น อาจเป็นข้อจำกัดในการใช้ยานี้กับเนื้องอกในสมองยกเว้นแต่ว่าต้องสามารถเปิดให้มีรูหรือช่องว่างของผนังกั้นนี้ได้อย่างพอเพียงโดยที่ไม่เกิดขึ้นอย่างถาวร มะเร็งในช่วงโพรงจมูกทางด้านหลัง มะเร็งปอด และ มะเร็งร้ายแรงของผิวหนัง melanoma ยาดังกล่าวนี้สามารถช่วยการรักษาที่เป็นมาตรฐานให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ลิงค์ที่แนบแสดงถึงการรายงานประสิทธิภาพและกลไกของยา ต่อเนื้องอกมะเร็งแบบต่างๆ เช่น วารสาร Nature 2021https://www.nature.com/articles/s41523-021-00229-5 Nature 2022https://www.nature.com/articles/s41419-022-05182-0 และวารสารอื่นๆhttps://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S1043661820315152https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7505114/https://www.frontiersin.org/journals/pharmacology/articles/10.3389/fphar.2021.717529/fullhttps://journals.sagepub.com/doi/full/10.1177/09603271221143693https://www.mdpi.com/2079-9721/11/1/49https://www.frontiersin.org/journals/pharmacology/articles/10.3389/fphar.2022.934746/fullhttps://ar.iiarjournals.org/content/39/9/4837 การศึกษาในสัตว์ทดลองที่ปรับแต่งเป็นมะเร็งที่ไม่มีตัวรับใดๆทั้งสิ้น และเมื่อได้รับ Ivermectin ทำให้ตัวมะเร็งนั้นแสดงตัวให้เห็นและยาฆ่ามะเร็ง immune check point inhibitor แสดงฤทธิ์ได้เต็มที่ Ivermectin converts cold tumors hot and synergizes with immune checkpoint blockade for treatment of breast cancer https://www.nature.com/articles/s41523-021-00229-5 https://www.frontiersin.org/journals/molecular-neuroscience/articles/10.3389/fnmol.2023.1138798/full ในอีกบริบทหนึ่งปรากฏว่ายังสามารถช่วยให้การรักษา พาร์กินสัน มีประสิทธิภาพได้ดียิ่งขึ้นในห้อง ปฏิบัติการ อีกดังรายงานในปี 2024 และเนื่องจากความปลอดภัยแม้ว่าจะใช้ในขณะสูงเป็นเวลาหลายเดือนยังมีทางเป็นไปได้ในการรักษาเยียวยาในมนุษย์ https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0166432820305039?fr=RR-2&ref=pdf_download&rr= IVM is increasing striatal dopamine release through enhanced cholinergic activity on dopamine terminals. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC11025261/ เหล่านี้เป็นตัวอย่างของยาที่มีสรรพคุณมากหลาย นอกเหนือจากที่ค้นพบตั้งแต่ต้น กลายเป็น ที่เราเรียกว่า repurpose drug และน่าจะสะท้อนให้เห็นถึงสภาวการณ์ของสมุนไพรไทย และรวม กันชงและกัญชา ที่ครอบครัวของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยแล้วว่ารักษาไม่ได้และให้ประคับประคองอย่างเดียวได้นำมาใช้เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดทรมานนอนไม่ได้กินไม่ไหว แต่สามารถมีชีวิตอย่างเกือบปกติและใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวโดยทุกคนค่อยๆยอมรับ และในที่สุด แม้ผู้ป่วยจะจากไป แต่ไม่ได้ทนทุกข์ทรมาน ทั้งนี้ผู้ป่วยเหล่านี้ต่างได้รับยาแก้ปวดมอร์ฟีนทั้งชนิดกิน ฉีด แต่ไม่สามารถบรรเทาอาการได้ ในขณะเดียวกันมีผู้ป่วยมะเร็งเป็นจำนวนมากที่ได้รับการวินิจฉัยยืนยันชนิดของมะเร็งรวมกระทั่งถึงระยะลุกลามขั้นสุดท้าย เมื่อได้ยากันชงกัญชา โดยการให้ที่ถูกต้องและเหมาะสม กลับมีชีวิตยืนยาวได้มากกว่าปกติตามที่คาดคะเนจากการรักษาแบบมาตรฐาน ควรหรือไม่ที่จะเริ่มพิจารณาอย่างจริงจังที่จะนำสมุนไพรต่างๆ รวมทั้งการแพทย์แผนตะวันออกเช่นแพทย์แผนจีน เข้ามาศึกษาและยกระดับความเข้าใจรวมทั้งสามารถระบุปฏิกิริยา รวมทั้งข้อห้ามใช้เมื่อใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน ตัวไหนบ้างเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วยและเป็นการประหยัดและทำให้ประชาชนคนป่วยเข้าถึงได้อย่างเต็มที่ #Thaitimes
    WWW.NATURE.COM
    Ivermectin converts cold tumors hot and synergizes with immune checkpoint blockade for treatment of breast cancer - npj Breast Cancer
    npj Breast Cancer - Ivermectin converts cold tumors hot and synergizes with immune checkpoint blockade for treatment of breast cancer
    Like
    Love
    5
    0 Comments 2 Shares 1199 Views 0 Reviews
  • ดาร์วิน นูนเญส ในที่สุดเค้าก็หาทางกลับมายิงให้ลิเวอร์พูลได้เสียทีนะ สวยซะด้วย
    ดาร์วิน นูนเญส ในที่สุดเค้าก็หาทางกลับมายิงให้ลิเวอร์พูลได้เสียทีนะ สวยซะด้วย
    Like
    Angry
    3
    0 Comments 0 Shares 210 Views 129 0 Reviews
  • #แทนคุณแผ่นดิน

    🤠คำนำ🤠

    “ฉันสาบานว่าจะอุทิศด้วยเลือดในกายทั้งหมดของฉันเพื่อรับใช้มาตุภูมิ(我以我血荐轩辕)” นี่เป็นบทประพันธท่อนหนึ่งในถ้อยคำที่เขียนแล้วทำให้หัวใจคุกรุ่นซึ่งเขียนโดยหลู่ซวิ่น(鲁迅)ด้วยความรู้สึกรักชาติ เป็นเวลาหลายพันปีที่ความรักต่อมาตุภูมิเป็นแรงบันดาลใจให้ชาวจีนจำนวนนับไม่ถ้วนต่อสู้เพื่อมาตุภูมิ และเราได้รู้จักผู้รักชาตินับไม่ถ้วนมาตั้งแต่เด็ก อย่างไรก็ตาม ในยุคสมัยที่ต่างกัน การแสดงความรักชาติก็แตกต่างกันไป ในยุคแห่งสงคราม ความรักชาติอาจหมายถึงการเข้าสู่สนามรบ และไม่เสียใจที่ต้องสละชีวิตเพื่อทำลายศัตรูเพื่อมาตุภูมิ ในยุคที่ประเทศสงบสุขประชาชนปลอดภัย ความรักชาติยังหมายถึงการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้สำเร็จและไม่สร้างปัญหาให้กับมาตุภูมิ

    หลังจากการสถาปนาจีนใหม่ ก็ไม่ต้องทนกับความวุ่นวายของสงครามอีกต่อไป และสถานการณ์ความรักชาติก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน สำหรับผู้ประกอบการจำนวนมาก ความรักชาติของพวกเขาสะท้อนให้เห็นจากการใช้ทรัพย์สมบัติของตนเพื่อตอบแทนมาตุภูมิ เคยมีผู้ประกอบการรายหนึ่ง เขาซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินจากต่างประเทศและบริจาคให้กับมาตุภูมิ จากนั้น สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ประกาศให้บริษัทล้มละลาย เกิดอะไรขึ้นกับเขา

    🤠1. ตัดสินใจซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินส่งไปมาตุภูมิบ้านเกิด🤠

    สวี เจิงผิง(徐增平)เคยเป็นทหาร ในปีค.ศ. 1997 เขาเป็นประธานของ Hong Kong Chuanglu Group(香港创律集团)ข่าวที่เขาเห็นโดยบังเอิญทำให้หัวใจของเขาเต้นไหว ปรากฏว่ามีรายงานของสื่อว่ายูเครนต้องการขายเรือบรรทุกเครื่องบินที่ยังสร้างไม่เสร็จ และความรักชาติของเขาก็จุดประกายขึ้นมาทันที เขาตั้งใจจะซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินลำนั้นและมอบให้กับบ้านเกิดมาตุภูมิของเขา

    เนื่องจากเรือบรรทุกเครื่องบินเกี่ยวข้องกับการพัฒนาภารกิจด้านการป้องกันประเทศของประเทศ เรือบรรทุกเครื่องบินยูเครนไม่สามารถซื้อในนามของประเทศได้ เพราะจะทำให้ประเทศอื่นมีโอกาสเข้ามาแทรกแซงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สวี เจิงผิง(徐增平)จึงตัดสินใจซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินด้วยเงินของเขาเอง อย่างไรก็ตาม เรือบรรทุกเครื่องบินถือเป็นอาวุธที่ใช้ในการป้องกันประเทศ รัฐบาลยูเครนจะไม่เห็นด้วยกับการซื้อของเขาโดยไม่มีเหตุผลที่เหมาะสม สวี เจิงผิง(徐增平)จึงเปิดบริษัทบันเทิงภายใต้ชื่อของเขาเอง ซึ่งมีชื่อเต็มว่า Chuanglu Tourism and Entertainment Company(创律旅游娱乐公司) และอ้างว่าเขาซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินด้วยความตั้งใจที่จะเปลี่ยนให้เป็นสถานบันเทิง

    ในปีค.ศ. 1998 สวี เจิงผิง(徐增平)ซึ่งไม่เข้าใจในเรื่องภาษาได้เดินทางมายังยูเครนอย่างมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว เขาเห็นเรือบรรทุกเครื่องบินลำนี้ชื่อ "Varyag" สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าต่อตาเขาคือสถานการณ์เมื่อร้อยปีก่อน เมื่อกิจการทหารเรือของจีนตกต่ำจนขีดต่ำสุด และถูกรังแกโดยประเทศมหาอำนาจอื่น ๆ เขามีความตั้งใจมากขึ้นที่จะมีส่วนร่วมวางพื้นฐานเรื่องเรือบรรทุกเครื่องบินในการพัฒนากองทัพเรือของมาตุภูมิ ที่โต๊ะไวน์ สวี เจิงผิง(徐增平)ไม่สามารถสื่อสารกับบุคคลที่รับผิดชอบฝ่ายยูเครนได้ดี เขาดื่มเหล้าหนัก 6 ปอนด์เพื่อแสดงความมุ่งมั่น ในท้ายที่สุด เขาก็เจรจาเรื่องเรือบรรทุกเครื่องบินได้สำเร็จ

    🤠2. อุปสรรคของการเดินทางกลับมาตุภูมิบ้านเกิดของเรือบรรทุกเครื่องบิน🤠

    ในเวลานั้น ยูเครนตกลงที่จะขายเรือบรรทุกเครื่องบินลำดังกล่าวให้กับ สวี เจิงผิง(徐增平)ในราคา 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐแต่ไม่รวมแบบร่างการออกแบบ สวี เจิงผิง(徐增平)รู้ดีว่าแบบการออกแบบเรือบรรทุกเครื่องบินมีความสำคัญมากกว่าตัวเรือบรรทุกเครื่องบิน การได้แบบดังกล่าวเท่านั้น จึงจะสามารถผลิตเรือบรรทุกเครื่องบินของจีนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ดังนั้นเขาจึงเจรจาอีกครั้ง และหลังจากการเจรจาบางอย่าง สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ซื้อแบบของการออกแบบเรือในราคาสูงถึง 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เดิมทีคิดว่าเรือบรรทุกเครื่องบินสามารถกลับบ้านได้ในเวลานี้ แต่เนื่องจากสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นร่วมมือกัน เรือบรรทุกเครื่องบินจึงเกือบจะไม่สามารถกลับได้

    สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นร่วมกันกดดันยูเครนให้หยุดขายเรือบรรทุกเครื่องบิน เมื่อหมดทางออกยูเครนจึงละทิ้งข้อตกลงทางวาจากับ สวี เจิงผิง(徐增平) และขายเรือบรรทุกเครื่องบินดังกล่าวในรูปแบบของการประมูลแทน เมื่อเห็นว่าเรือบรรทุกเครื่องบินที่เขากำลังจะได้มา แต่คนอื่นก็กำลังจะแย่งชิงเอาไป สวี เจิงผิง(徐增平)ระงับความขุ่นเคืองภายในของเขาและยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้ เขาจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเข้าร่วมการประมูล และได้ประมูลซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินในราคาสูงถึง 20 ล้านเหรียญสหรัฐ

    หลังจากเหตุการณ์นี้ สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ยิ่งระมัดระวังมากขึ้น เพื่อที่จะนำเรือบรรทุกเครื่องบินกลับมาตุภูมิโดยเร็วที่สุด เขาได้จัดการเรื่องเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ของเรือบรรทุกเครื่องบินทันทีและปกป้องแบบของการออกแบบอย่างระมัดระวัง เมื่อเรือบรรทุกเครื่องบินแล่นมุ่งหน้าสู่มาตุภูมิเขารู้สึกตื่นเต้นซาบซึ้งมากจนน้ำตาไหล แต่เมื่อแบบร่างการออกแบบถูกส่งกลับไปยังประเทศจีน ช่างเทคนิคพบว่าแบบร่างนั้นไม่สมบูรณ์และข้อมูลสำคัญจำนวนมากยังขาดหายไป สวี เจิงผิง(徐增平)จึงเดินทางไปยูเครนอีกครั้งเพื่อขอแบบร่างการออกแบบที่สมบูรณ์ นอกจากนี้ ระหว่างทางกลับบ้านมาตุภูมิ ยังถูกรัฐบาลตุรกีเข้าแทรกแซง ทำให้เรือบรรทุกเครื่องบินลำดังกล่าวลอยอยู่ในทะเลเป็นเวลาหนึ่งปี

    🤠3. เรือบรรทุกเครื่องบินมาถึงบ้านมาตุภูมิ และบริษัทล้มละลาย🤠

    ต่อมาการเจรจาระหว่างประเทศจีนกับตุรกีใช้เวลานานกว่าหนึ่งปี ในช่วงเวลานี้ บริษัทเรือลากจูงจำเป็นต้องใช้ค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมท่าเทียบเรือของเรือบรรทุกเครื่องบินก็ต้องจ่ายด้วย ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวมหลายแสนดอลลาร์ บริษัทของ สวี เจิงผิง(徐增平)ไม่สามารถจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้อีกต่อไป ในปี ค.ศ. 2002 เรือบรรทุกเครื่องบินได้แล่นเข้าสู่น่านน้ำของมาตุภูมิและเข้าสู่อ้อมกอดของมาตุภูมิในที่สุด ตั้งแต่การซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินไปจนถึงการส่งกลับจีน ใช้เวลาทั้งหมด 5 ปี และ สวี เจิงผิง(徐增平)ใช้เงินมากกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญสหรัฐ

    เมื่อเรือบรรทุกเครื่องบินเดินทางถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย สวี เจิงผิง(徐增平)ได้ประกาศว่าบริษัทบันเทิงของเขาล้มละลายอย่างเป็นทางการ เดิมทีนี่เป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นเพื่อซื้อเรือบรรทุกเครื่องบิน คำโกหกนี้ปรากฏชัดออกมาในตัวเองทันทีที่เรือบรรทุกเครื่องบินมาถึงบ้านมาตุภูมิ สวี เจิงผิง(徐增平)จึงเปลี่ยนมือและบริจาคเรือบรรทุกเครื่องบินให้กับประเทศ แม้ว่าบริษัทบันเทิงในมาเก๊าจะล้มละลาย แต่ สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ไม่ได้ตกอยู่ในสภาพความยากจน เขายังมีบริษัทอื่นในฮ่องกงและเขายังคงเป็นนักธุรกิจผู้รักชาติ

    “ตี๋น้อยต้องการรับใช้ชาติ ไม่ใช่เพื่อเป็นเจ้าขุนมูลนาย” ผู้รักชาติที่แท้จริงถือว่าความรักชาติเป็นความรับผิดชอบของเขาเอง และไม่สนใจความสำเร็จหรือความล้มเหลวส่วนบุคคล สวี เจิงผิง(徐增平)ก็คือคนเช่นนี้ เขาแสดงมิตรภาพอันลึกซึ้งต่อมาตุภูมิในรูปแบบของเขาเอง และสมควรได้รับความเคารพอย่างสุดซึ้งต่อเขา

    🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    #แทนคุณแผ่นดิน 🤠คำนำ🤠 “ฉันสาบานว่าจะอุทิศด้วยเลือดในกายทั้งหมดของฉันเพื่อรับใช้มาตุภูมิ(我以我血荐轩辕)” นี่เป็นบทประพันธท่อนหนึ่งในถ้อยคำที่เขียนแล้วทำให้หัวใจคุกรุ่นซึ่งเขียนโดยหลู่ซวิ่น(鲁迅)ด้วยความรู้สึกรักชาติ เป็นเวลาหลายพันปีที่ความรักต่อมาตุภูมิเป็นแรงบันดาลใจให้ชาวจีนจำนวนนับไม่ถ้วนต่อสู้เพื่อมาตุภูมิ และเราได้รู้จักผู้รักชาตินับไม่ถ้วนมาตั้งแต่เด็ก อย่างไรก็ตาม ในยุคสมัยที่ต่างกัน การแสดงความรักชาติก็แตกต่างกันไป ในยุคแห่งสงคราม ความรักชาติอาจหมายถึงการเข้าสู่สนามรบ และไม่เสียใจที่ต้องสละชีวิตเพื่อทำลายศัตรูเพื่อมาตุภูมิ ในยุคที่ประเทศสงบสุขประชาชนปลอดภัย ความรักชาติยังหมายถึงการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้สำเร็จและไม่สร้างปัญหาให้กับมาตุภูมิ หลังจากการสถาปนาจีนใหม่ ก็ไม่ต้องทนกับความวุ่นวายของสงครามอีกต่อไป และสถานการณ์ความรักชาติก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน สำหรับผู้ประกอบการจำนวนมาก ความรักชาติของพวกเขาสะท้อนให้เห็นจากการใช้ทรัพย์สมบัติของตนเพื่อตอบแทนมาตุภูมิ เคยมีผู้ประกอบการรายหนึ่ง เขาซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินจากต่างประเทศและบริจาคให้กับมาตุภูมิ จากนั้น สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ประกาศให้บริษัทล้มละลาย เกิดอะไรขึ้นกับเขา 🤠1. ตัดสินใจซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินส่งไปมาตุภูมิบ้านเกิด🤠 สวี เจิงผิง(徐增平)เคยเป็นทหาร ในปีค.ศ. 1997 เขาเป็นประธานของ Hong Kong Chuanglu Group(香港创律集团)ข่าวที่เขาเห็นโดยบังเอิญทำให้หัวใจของเขาเต้นไหว ปรากฏว่ามีรายงานของสื่อว่ายูเครนต้องการขายเรือบรรทุกเครื่องบินที่ยังสร้างไม่เสร็จ และความรักชาติของเขาก็จุดประกายขึ้นมาทันที เขาตั้งใจจะซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินลำนั้นและมอบให้กับบ้านเกิดมาตุภูมิของเขา เนื่องจากเรือบรรทุกเครื่องบินเกี่ยวข้องกับการพัฒนาภารกิจด้านการป้องกันประเทศของประเทศ เรือบรรทุกเครื่องบินยูเครนไม่สามารถซื้อในนามของประเทศได้ เพราะจะทำให้ประเทศอื่นมีโอกาสเข้ามาแทรกแซงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สวี เจิงผิง(徐增平)จึงตัดสินใจซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินด้วยเงินของเขาเอง อย่างไรก็ตาม เรือบรรทุกเครื่องบินถือเป็นอาวุธที่ใช้ในการป้องกันประเทศ รัฐบาลยูเครนจะไม่เห็นด้วยกับการซื้อของเขาโดยไม่มีเหตุผลที่เหมาะสม สวี เจิงผิง(徐增平)จึงเปิดบริษัทบันเทิงภายใต้ชื่อของเขาเอง ซึ่งมีชื่อเต็มว่า Chuanglu Tourism and Entertainment Company(创律旅游娱乐公司) และอ้างว่าเขาซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินด้วยความตั้งใจที่จะเปลี่ยนให้เป็นสถานบันเทิง ในปีค.ศ. 1998 สวี เจิงผิง(徐增平)ซึ่งไม่เข้าใจในเรื่องภาษาได้เดินทางมายังยูเครนอย่างมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว เขาเห็นเรือบรรทุกเครื่องบินลำนี้ชื่อ "Varyag" สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าต่อตาเขาคือสถานการณ์เมื่อร้อยปีก่อน เมื่อกิจการทหารเรือของจีนตกต่ำจนขีดต่ำสุด และถูกรังแกโดยประเทศมหาอำนาจอื่น ๆ เขามีความตั้งใจมากขึ้นที่จะมีส่วนร่วมวางพื้นฐานเรื่องเรือบรรทุกเครื่องบินในการพัฒนากองทัพเรือของมาตุภูมิ ที่โต๊ะไวน์ สวี เจิงผิง(徐增平)ไม่สามารถสื่อสารกับบุคคลที่รับผิดชอบฝ่ายยูเครนได้ดี เขาดื่มเหล้าหนัก 6 ปอนด์เพื่อแสดงความมุ่งมั่น ในท้ายที่สุด เขาก็เจรจาเรื่องเรือบรรทุกเครื่องบินได้สำเร็จ 🤠2. อุปสรรคของการเดินทางกลับมาตุภูมิบ้านเกิดของเรือบรรทุกเครื่องบิน🤠 ในเวลานั้น ยูเครนตกลงที่จะขายเรือบรรทุกเครื่องบินลำดังกล่าวให้กับ สวี เจิงผิง(徐增平)ในราคา 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐแต่ไม่รวมแบบร่างการออกแบบ สวี เจิงผิง(徐增平)รู้ดีว่าแบบการออกแบบเรือบรรทุกเครื่องบินมีความสำคัญมากกว่าตัวเรือบรรทุกเครื่องบิน การได้แบบดังกล่าวเท่านั้น จึงจะสามารถผลิตเรือบรรทุกเครื่องบินของจีนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ดังนั้นเขาจึงเจรจาอีกครั้ง และหลังจากการเจรจาบางอย่าง สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ซื้อแบบของการออกแบบเรือในราคาสูงถึง 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เดิมทีคิดว่าเรือบรรทุกเครื่องบินสามารถกลับบ้านได้ในเวลานี้ แต่เนื่องจากสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นร่วมมือกัน เรือบรรทุกเครื่องบินจึงเกือบจะไม่สามารถกลับได้ สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นร่วมกันกดดันยูเครนให้หยุดขายเรือบรรทุกเครื่องบิน เมื่อหมดทางออกยูเครนจึงละทิ้งข้อตกลงทางวาจากับ สวี เจิงผิง(徐增平) และขายเรือบรรทุกเครื่องบินดังกล่าวในรูปแบบของการประมูลแทน เมื่อเห็นว่าเรือบรรทุกเครื่องบินที่เขากำลังจะได้มา แต่คนอื่นก็กำลังจะแย่งชิงเอาไป สวี เจิงผิง(徐增平)ระงับความขุ่นเคืองภายในของเขาและยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้ เขาจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเข้าร่วมการประมูล และได้ประมูลซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินในราคาสูงถึง 20 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากเหตุการณ์นี้ สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ยิ่งระมัดระวังมากขึ้น เพื่อที่จะนำเรือบรรทุกเครื่องบินกลับมาตุภูมิโดยเร็วที่สุด เขาได้จัดการเรื่องเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ของเรือบรรทุกเครื่องบินทันทีและปกป้องแบบของการออกแบบอย่างระมัดระวัง เมื่อเรือบรรทุกเครื่องบินแล่นมุ่งหน้าสู่มาตุภูมิเขารู้สึกตื่นเต้นซาบซึ้งมากจนน้ำตาไหล แต่เมื่อแบบร่างการออกแบบถูกส่งกลับไปยังประเทศจีน ช่างเทคนิคพบว่าแบบร่างนั้นไม่สมบูรณ์และข้อมูลสำคัญจำนวนมากยังขาดหายไป สวี เจิงผิง(徐增平)จึงเดินทางไปยูเครนอีกครั้งเพื่อขอแบบร่างการออกแบบที่สมบูรณ์ นอกจากนี้ ระหว่างทางกลับบ้านมาตุภูมิ ยังถูกรัฐบาลตุรกีเข้าแทรกแซง ทำให้เรือบรรทุกเครื่องบินลำดังกล่าวลอยอยู่ในทะเลเป็นเวลาหนึ่งปี 🤠3. เรือบรรทุกเครื่องบินมาถึงบ้านมาตุภูมิ และบริษัทล้มละลาย🤠 ต่อมาการเจรจาระหว่างประเทศจีนกับตุรกีใช้เวลานานกว่าหนึ่งปี ในช่วงเวลานี้ บริษัทเรือลากจูงจำเป็นต้องใช้ค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมท่าเทียบเรือของเรือบรรทุกเครื่องบินก็ต้องจ่ายด้วย ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวมหลายแสนดอลลาร์ บริษัทของ สวี เจิงผิง(徐增平)ไม่สามารถจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้อีกต่อไป ในปี ค.ศ. 2002 เรือบรรทุกเครื่องบินได้แล่นเข้าสู่น่านน้ำของมาตุภูมิและเข้าสู่อ้อมกอดของมาตุภูมิในที่สุด ตั้งแต่การซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินไปจนถึงการส่งกลับจีน ใช้เวลาทั้งหมด 5 ปี และ สวี เจิงผิง(徐增平)ใช้เงินมากกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเรือบรรทุกเครื่องบินเดินทางถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย สวี เจิงผิง(徐增平)ได้ประกาศว่าบริษัทบันเทิงของเขาล้มละลายอย่างเป็นทางการ เดิมทีนี่เป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นเพื่อซื้อเรือบรรทุกเครื่องบิน คำโกหกนี้ปรากฏชัดออกมาในตัวเองทันทีที่เรือบรรทุกเครื่องบินมาถึงบ้านมาตุภูมิ สวี เจิงผิง(徐增平)จึงเปลี่ยนมือและบริจาคเรือบรรทุกเครื่องบินให้กับประเทศ แม้ว่าบริษัทบันเทิงในมาเก๊าจะล้มละลาย แต่ สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ไม่ได้ตกอยู่ในสภาพความยากจน เขายังมีบริษัทอื่นในฮ่องกงและเขายังคงเป็นนักธุรกิจผู้รักชาติ “ตี๋น้อยต้องการรับใช้ชาติ ไม่ใช่เพื่อเป็นเจ้าขุนมูลนาย” ผู้รักชาติที่แท้จริงถือว่าความรักชาติเป็นความรับผิดชอบของเขาเอง และไม่สนใจความสำเร็จหรือความล้มเหลวส่วนบุคคล สวี เจิงผิง(徐增平)ก็คือคนเช่นนี้ เขาแสดงมิตรภาพอันลึกซึ้งต่อมาตุภูมิในรูปแบบของเขาเอง และสมควรได้รับความเคารพอย่างสุดซึ้งต่อเขา 🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 Comments 0 Shares 488 Views 0 Reviews
  • คุณติ่งๆทั้งหลายขา….ฉุดไม่อยู่แล้วค่าาาา พี่ปูก้าวขึ้นไปในจุดที่สูงสุดแบบรวดเร็วปานกามนิตหนุ่มนั้นเชียว…

    ตอนสิบ……ปูตินที่ว่าเหนือชั้นแล้ว……เยลซินยิ่งเหนือกว่า……!!!

    จากสายตาของประชาชนทั่วไป นายกรัฐมนตรีปูติน คือ คนที่เยลซินเลือกมานั่งในตำแหน่ง เหมือนอย่างคนอื่นๆที่มาแล้วก็ไป จนผู้คนไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไร แถมไม่สนใจด้วยซ้ำ
    พอเรื่องสงครามที่เชเชนที่มีผลดี ชื่อปูตินก็ดีขึ้นมาหน่อย
    แต่ก็ยังเป็นหน้าใหม่อยู่ดี
    ในผลโพลความนิยมในเดือนตุลาคม กระเตื้องขึ้นมาเป็น 27 เปอร์เซ็นต์ ยังน้อยกว่า Primakov
    นโยบายพรรคการเมือง Unity ของเยลซิน คือ กึ่งสังคมนิยม
    แต่ที่ผ่านๆมา คือการสนับสนุนไปทางทหาร รักษาชายแดน
    เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น ……จึงเชื่อได้ว่า ไม่น่าจะชนะแบบแลนด์สไลด์……
    ในเดือนตุลาคม ที่พอมองเห็นว่า คะแนนของพรรคยังอยู่หลังพรรคฝั่งซ้าย The Fatherland ที่มีฐานเสียงเป็นประชาชนรอบนอกส่วนใหญ่
    พรรคยูนิตี้ของเยลซิน ฐานเสียงคือ มอสโคว์ เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก และเหล่านายทุน (ที่จะไประดมมา……)
    ยกตัวอย่างเช่น Boris Berezovsky**(ที่เยลซินเทไปแล้ว…)
    เขาได้ใช้ความเป็นเจ้าของสถานีวิทยุ โทรทัศน์ ออกข่าว
    โจมตีคู่แข่งอย่าง Luzhkov ในเรื่อง คอร์รัปชั่นกันทั้งครอบครัว
    และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมในหลายคดี
    คนอื่นๆก็ถูกขุดขึ้นมาแฉโพยด้วย เป็นการสกัดไว้ชั้นหนึ่งก่อน
    การกล่าวหานี้ โดยปรกติแล้วมันเป็นยิ่งกว่าการหมิ่นประมาท
    แต่…มักใช้ได้ผลแบบทันตาเห็น (เรื่องคดีไว้ว่ากันทีหลัง…)

    แต่ที่ทุกคนไม่รู้……คือ เยลซินได้ฝากความหวังของรัสเซียทั้งหมดไว้กับนายกรัฐมนตรีที่เพิ่งแกะกล่อง วลาดิเมียร์ ปูติน
    เมื่อช่วงปลายปี 1999 สุขภาพของเยลซินเริ่มถดถอย อีกทั้งเรื่องคดีความทางกฎหมาย เช่นเรื่องไล่อัยการ Skuratov ออกเพราะว่ามีเทปลับสามคนผัวเมีย……
    ซึ่งอัยการฟ้องกลับ……อีกทั้งสาวหาเรื่องอื่นเกี่ยวกับ”วงใน” และ”นายทุน” รวมทั้งการที่ครอบครัวของท่านผู้นำไปมีหุ้นอยู่ที่บริษัท Mabetex ในสวิตเซอร์แลนด์

    เยลซินเหลือเวลาไม่มากนักในการต่อสู้กับเกมชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เพราะสำหรับเขาคือ ไม่มีโอกาสเพราะเป็นสมัยที่สอง และถ้าพรรคอื่นได้มาเป็น……นั่นหมายถึงเขาจะตกอยู่ในที่นั่งลำบาก อย่าหวังว่าจะได้พึ่งพวกเศรษฐีนายทุน เพราะคนพวกนี้มักจะเกาะอยู่กับกลุ่มอำนาจที่อำนวยผลประโยชน์ให้ได้เท่านั้น

    หลังสงครามเชเชน……ปูตินได้รับความนิยมขึ้นมาถึง 40%
    แต่เขาไม่ได้ร่วมเป็นสมาขิกของพรรค Unity
    เพราะเขาต้องการความเป็นอิสระ จากกรอบนโยบาย
    หากแต่…เขาให้ความสนับสนุนโดยการให้สัมภาษณ์ว่า
    “ในฐานะนายกรัฐมนตรี ผมไม่ควรที่จะบอกว่าชื่นชอบพรรคไหนเป็นพิเศษ……แต่ถ้าในฐานะประชาชนคนธรรมดา ผมจะโหวตให้กับยูนิตี้……”

    วันที่ 14 ธันวาคม ก่อนวันเลือกตั้ง 5 วัน และเยลซินได้เรียกให้ปูตินไปพบเป็นการส่วนตัว……เพื่อที่จะบอกแผนการที่ได้ตระเตรียมไว้……

    “ฉันจะลาออกจากตำแหน่งแล้วนะ ปีนี้จะเป็นปีที่สำคัญมากแห่งศตวรรษ มันจะเป็นศตวรรษที่ยิ่งใหญ่ของนาย……วลาดิเมียร์ ปูติน……นายเข้าใจไหม…?”
    ปูตินส่ายหน้า….ไม่เข้าใจ……เพราะที่เคยคุยกันไว้ครั้งที่แล้ว คือ ถ้าเยลซินพ้นจากตำแหน่งไป……เขาก็จะลาออก จบชีวิตทางการเมือง……
    เยลซินกล่าวต่อว่า………
    “นายไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น ฉันได้เตรียมแผนการไว้เรียบร้อยแล้ว นายก็รู้ดีถึงรัฐธรรมนูญในตำแหน่งประธานาธิบดี ที่ว่า
    ถ้าประธานาธิบดีลาออกจากตำแหน่งกลางคัน ก่อนวันเลือกตั้ง
    ผู้ที่จะต้องดำรงตำแหน่งแทน คือ นายกรัฐมนตรี และการเลือกตั้งจะต้องมีขึ้นภายใน 90 วัน…นายเข้าใจหรือยัง…?

    ในเก้าสิบวันนี้แหละ คือ เก้าสิบวันที่นายจะได้ทำหน้าที่ สร้างความเลื่อมใสกับประชาชน เพื่อที่จะครองตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งต่อไป……”

    ปูตินนั่งนิ่งขึง………อยู่ในอาการสับสนปนทึ่ง สักพัก เขาตอบว่า
    “ผมยังไม่แน่ใจกับการที่จะตัดสินใจ เพราะเป้าหมายคือหน้าที่ที่ใหญ่ยิ่ง”

    เยลซินได้พูด(กล่อม) ต่อไปว่า……
    “ฟังนะ ตอนที่ฉันเข้ามาในสนามการเมืองในมอสโคว์ ตอนนั้นฉันอายุห้าสิบกว่าแล้ว ยังทำได้ แล้วหนุ่มๆไฟแรง มุ่งมั่นอย่างนายจะไปได้ไกล และจะดูแลบ้านเมืองไปได้อีกนาน จะรอให้แต่คนแก่มาทำงาน ชาติก็จะยิ่งถอยหลัง ฉันเองก็ไม่เคยคิดว่าจะมานั่งในตำแหน่งนี้ มันไม่ง่าย มันเหนื่อย แต่เราถอยไม่ได้……นายเป็นคนที่เหมาะที่สุด……ว่าไง……ให้คำตอบฉันได้หรือยัง……วลาดิเมียร์ วลาดิมิโรวิช..?”
    ~~”วลาดิเมียร์ วลาดิมิโรวิช คือการเรียกเต็มยศ ที่แปลได้ว่า
    วลาดิเมียร์ บุตรชายนายวลาดิเมียร์…”

    ในที่สุด ปูตินได้ตกลงใจ รับข้อเสนอที่เยลชินบรรจงจัดแต่งให้
    เป็นความลับที่รู้กันแค่สองคน……ในใจความคือ เยลซินต้องการยิงนกหลายตัวในกระสุนนัดเดียว
    การที่ประกาศลาออกของเขานั้น คือ ……กระสุน
    นกตัวที่หนึ่ง คือ การเลือกตั้งที่จะตอนกลางปี คือ เดือนมิถุนายน จะต้องเลื่อนขึ้นมาในเดือนมีนาคม
    นกตัวที่สอง คือ เมื่อปูตินก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีรักษาการ จะได้”แสง” ทั้งหมดจากนอกและในประเทศ ไม่ต้องง้อสื่อไหนๆ ทุกคนย่อมติดตามทำข่าวประธานาธิบดีตามหน้าที่อยู่แล้ว
    นกตัวที่สาม……คือ กลุ่มที่จะล้างแค้นเยลซิน ก็จะหมดโอกาส
    เผลอๆจะถูกล้างเอง…
    นกตัวที่สี่……ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป……ปูตินก็จะได้เป็นประธานาธิบดีต่อไปอย่างแน่นอน เพราะกำลังอยู่ในขาขึ้น
    นกตัวที่ห้า……คือเหล่านายทุนทั้งหลายที่เกาะกินประเทศมาสุมหัวกันอยู่ในเครมลินตั้งแต่สมัยกอร์บาเชฟ จะได้โดนล้างบางเสียที…

    ต้องยกให้เยลซิน………เป็นขงเบ้งแห่งรัสเซีย….!!!!

    วันที่ 19 ธันวาคม 1999 ที่มีการเลือกตั้งผู้แทนเข้าสภา
    พรรคคอมมิวนิสต์ ได้ 24%, พรรคยูนิตี้ของเยลซิน ได้ 23%
    พรรค Luzhkov-Primakov alliance ได้ 13%
    ซึ่งยังต้องมีการเลือกตั้งซ่อม ยังต้องดูบัตรเสีย และต้องผ่านขั้นตอนขบวนพิจารณาทางกฏหมาย ที่จะต้องใช้เวลาในช่วงหลังปีใหม่ไปแล้ว……

    เยลซินได้เตรียมการประกาศลาออกแบบฟ้าผ่าในวันสิ้นปี
    เพราะจะใช้เวลาที่ประธานาธิบดีกล่าวสวัสดีปีใหม่และอวยพรออกทีวี……ในคราวเดียวกัน
    ในเช้าวันนั้น ปูตินได้มาถึงพร้อมทีม ตั้งแต่เวลา 9:30 เพื่อซักซ้อมอัดเทปการอ่านคำรับแถลงการณ์ ที่มีทีท่าเขินอายนิดๆ
    เยลซินได้มีคำสั่งให้ฝ่ายความมั่นคงเตรียมการส่งกระเป๋าที่มี โค้ดสำหรับปุ่มกดนิวเคลียร์ทั้งหลายให้เรียบร้อย เพื่อที่จะส่งมอบให้กับประธานาธิบดีคนใหม่

    เมื่อเวลามาถึง……เที่ยงตรง สถานีโทรทัศน์ Ostankino ได้เตรียมออกอากาศในวาระสำคัญของการเริ่มต้นปี 2000
    ที่ประธานาธิบดีเยลซินได้เริ่มต้นว่า……

    “เพื่อนประชาชนที่รักทั้งหลาย……
    ข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังมามาก กับข่าวลือที่ว่า ข้าพเจ้าหวงอำนาจ
    เกาะติดเก้าอี้ ทั้งหมดเป็นเพียงข่าวลือ ไม่มีความจริงแต่ประการใด ข้าพเจ้าพร้อมที่จะมอบตำแหน่งให้กับผู้ที่รักชาติที่มีความสามารถ

    แต่ข้าพเจ้าต้องขออภัย ขอให้ยกโทษให้กับข้าพเจ้าในสิ่งที่อาจมีความผิดพลาด หรือ สร้างความไม่สบายใจ แต่จากนี้ไป ข้าพเจ้าได้หวังว่า เราจะได้รับแต่สิ่งดีๆ ประเทศชาติแข็งแกร่ง เจริญรุ่งเรือง มากไปกว่าที่ผ่านมา………
    รัสเซียควรเข้าสู่ยุคสองพัน ด้วยนักการเมืองรุ่นใหม่ ไฟแรง
    มีวิสัยทัศน์กระจ่างแจ้ง ในขณะที่ข้าพเจ้าที่มองเห็นตัวเองว่าเป็นคนรุ่นเก่า….จึงขออำลา……และเปิดทางให้เขาก้าวเข้ามา
    สร้างฝันของพวกเราให้เป็นจริง…”

    เยลซินได้กล่าวคำอำลา ด้วยน้ำตาของลูกผู้ชาย………

    ลุดมิลาไม่ได้ดูข่าวทีวี……แต่เพียงห้านาทีจากนั้น มีเพื่อนสาวโทรเข้ามาแสดงความยินดีและอวยพรที่เธอก็แสดงความยินดีตอบ เพราะคิดว่าเป็นการอวยพรวันปีใหม่
    เพื่อนต้องอธิบายให้ฟัง ว่า “สามีเธอน่ะ……เป็นประธานาธิบดีไปแล้ว..”
    ลุดมิลา…ไม่รู้เรื่องอะไรเลย……ปูตินไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังแม้แต่นิด เหมือนอย่างครั้งแรก ที่เช้ายังคุยกันดีๆ จู่ๆตอนบ่ายเขาก็เป็นผู้ว่านครเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก หรือ จากคนตกงาน กลายมาเป็น ผู้อำนวยการ FSB
    เธอก็ไม่แปลกใจอะไร……แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือ ความเป็นอยู่ของครอบครัว ที่เหมือนเธอกลับเข้าสู่ยุคของมาดามสายลับอีกครั้ง ไปไหนก็จะมีทีมอารักขา ลูกๆต้องเรียนที่บ้านกับเหล่าติวเตอร์

    ลุดมิลามีเพื่อนน้อยมาก เพราะเธอไม่สามารถมีสังคมเหมือนคนทั่วไป อดีตเพื่อนสนิทคนหนึ่ง คือ Irene Pietsch เป็นภรรยาของนายธนาคารเยอรมัน ไอรีน ที่ลุดมิลาสามารถปรับทุกข์ได้
    ว่า ชีวิตสมรสของเธอมีปัญหา เธอไม่เคยมีเครดิตการ์ดเหมือนคนอื่นๆ ต้องใช้ชีวิตเหมือนค้างคาวที่ต้องอยู่ในความมืดตลอดเวลา ไม่เคยได้ไปไหนตามที่ต้องการ ไม่สามารถพูดในสิ่งที่ต้องการ เธออยากจะมีชีวิตที่เป็นอิสระเหมือนกับคนอื่นๆ
    ส่วนปูติน……ก็เคยบอกกับไอรีนในช่วงที่เคยไปเที่ยวพักร้อนด้วยกันว่า……

    “ถ้าใครสามารถอยู่กับเมียผมได้ถึงสามอาทิตย์ละก้อ……ผมจะสร้างอนุสาวรีย์ให้อย่างใหญ่เลยเชียว……”

    ลุดมิลา…ได้แต่หวังว่า สามีของเธอจะอยู่ในตำแหน่งในฐานะ
    ประธานาธิบดีรักษาการ ที่มีอายุสามเดือนเท่านั้น……
    เพราะถ้านานกว่านั้น……เธอคงรับไม่ไหว..!!!

    คนอื่นๆก็คงอยู่ไม่ไหวเหมือนกัน หมายถึงคนในเครมลิน
    เพราะนโยบายหลักของปูติน คือ ล้างบางคอร์รัปชั่น และ
    กำจัดเหลือบนายทุนที่เกาะกินอยู่กับรัฐบาลเยลซินมานานแสนนาน
    สอบสวนไปมา ปรากฏว่า มาเฟียตัวแม่……ที่ทำตัวเป็นสายใยชักเปอร์เซ็นต์ เป็นล็อบบี้กินส่วนแบ่ง ไม่ใช่ใครที่ไหน
    แต่ เธอคือ Tatyana Yumasheva ที่เป็นธิดาของอดีตประธานาธิบดีเยลซิน มือปั้นนั่นเอง
    ทาเทียน่า มีตำแหน่งเป็น ที่ปรึกษาคณะรัฐมนตรีในเครมลิน
    และเป็นหนึ่งในวงในที่ประสานทางการเงินกับ Boris Berezovsky และ Roman Abramovich (อดีตเจ้าของทีมเชลซี) รวมทั้งมีส่วนได้ส่วนเสียกับเส้นทางการเงินที่ไหลไปในต่างประเทศ

    ปูตินได้ให้ความกรุณาสูงสุด คือ ไล่เธอออกจากตำแหน่งในเดือนแรกที่เขารับตำแหน่งประธานาธิบดี….!!!!

    Wiwanda W. Vichit
    คุณติ่งๆทั้งหลายขา….ฉุดไม่อยู่แล้วค่าาาา พี่ปูก้าวขึ้นไปในจุดที่สูงสุดแบบรวดเร็วปานกามนิตหนุ่มนั้นเชียว… ตอนสิบ……ปูตินที่ว่าเหนือชั้นแล้ว……เยลซินยิ่งเหนือกว่า……!!! จากสายตาของประชาชนทั่วไป นายกรัฐมนตรีปูติน คือ คนที่เยลซินเลือกมานั่งในตำแหน่ง เหมือนอย่างคนอื่นๆที่มาแล้วก็ไป จนผู้คนไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไร แถมไม่สนใจด้วยซ้ำ พอเรื่องสงครามที่เชเชนที่มีผลดี ชื่อปูตินก็ดีขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังเป็นหน้าใหม่อยู่ดี ในผลโพลความนิยมในเดือนตุลาคม กระเตื้องขึ้นมาเป็น 27 เปอร์เซ็นต์ ยังน้อยกว่า Primakov นโยบายพรรคการเมือง Unity ของเยลซิน คือ กึ่งสังคมนิยม แต่ที่ผ่านๆมา คือการสนับสนุนไปทางทหาร รักษาชายแดน เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น ……จึงเชื่อได้ว่า ไม่น่าจะชนะแบบแลนด์สไลด์…… ในเดือนตุลาคม ที่พอมองเห็นว่า คะแนนของพรรคยังอยู่หลังพรรคฝั่งซ้าย The Fatherland ที่มีฐานเสียงเป็นประชาชนรอบนอกส่วนใหญ่ พรรคยูนิตี้ของเยลซิน ฐานเสียงคือ มอสโคว์ เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก และเหล่านายทุน (ที่จะไประดมมา……) ยกตัวอย่างเช่น Boris Berezovsky**(ที่เยลซินเทไปแล้ว…) เขาได้ใช้ความเป็นเจ้าของสถานีวิทยุ โทรทัศน์ ออกข่าว โจมตีคู่แข่งอย่าง Luzhkov ในเรื่อง คอร์รัปชั่นกันทั้งครอบครัว และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมในหลายคดี คนอื่นๆก็ถูกขุดขึ้นมาแฉโพยด้วย เป็นการสกัดไว้ชั้นหนึ่งก่อน การกล่าวหานี้ โดยปรกติแล้วมันเป็นยิ่งกว่าการหมิ่นประมาท แต่…มักใช้ได้ผลแบบทันตาเห็น (เรื่องคดีไว้ว่ากันทีหลัง…) แต่ที่ทุกคนไม่รู้……คือ เยลซินได้ฝากความหวังของรัสเซียทั้งหมดไว้กับนายกรัฐมนตรีที่เพิ่งแกะกล่อง วลาดิเมียร์ ปูติน เมื่อช่วงปลายปี 1999 สุขภาพของเยลซินเริ่มถดถอย อีกทั้งเรื่องคดีความทางกฎหมาย เช่นเรื่องไล่อัยการ Skuratov ออกเพราะว่ามีเทปลับสามคนผัวเมีย…… ซึ่งอัยการฟ้องกลับ……อีกทั้งสาวหาเรื่องอื่นเกี่ยวกับ”วงใน” และ”นายทุน” รวมทั้งการที่ครอบครัวของท่านผู้นำไปมีหุ้นอยู่ที่บริษัท Mabetex ในสวิตเซอร์แลนด์ เยลซินเหลือเวลาไม่มากนักในการต่อสู้กับเกมชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เพราะสำหรับเขาคือ ไม่มีโอกาสเพราะเป็นสมัยที่สอง และถ้าพรรคอื่นได้มาเป็น……นั่นหมายถึงเขาจะตกอยู่ในที่นั่งลำบาก อย่าหวังว่าจะได้พึ่งพวกเศรษฐีนายทุน เพราะคนพวกนี้มักจะเกาะอยู่กับกลุ่มอำนาจที่อำนวยผลประโยชน์ให้ได้เท่านั้น หลังสงครามเชเชน……ปูตินได้รับความนิยมขึ้นมาถึง 40% แต่เขาไม่ได้ร่วมเป็นสมาขิกของพรรค Unity เพราะเขาต้องการความเป็นอิสระ จากกรอบนโยบาย หากแต่…เขาให้ความสนับสนุนโดยการให้สัมภาษณ์ว่า “ในฐานะนายกรัฐมนตรี ผมไม่ควรที่จะบอกว่าชื่นชอบพรรคไหนเป็นพิเศษ……แต่ถ้าในฐานะประชาชนคนธรรมดา ผมจะโหวตให้กับยูนิตี้……” วันที่ 14 ธันวาคม ก่อนวันเลือกตั้ง 5 วัน และเยลซินได้เรียกให้ปูตินไปพบเป็นการส่วนตัว……เพื่อที่จะบอกแผนการที่ได้ตระเตรียมไว้…… “ฉันจะลาออกจากตำแหน่งแล้วนะ ปีนี้จะเป็นปีที่สำคัญมากแห่งศตวรรษ มันจะเป็นศตวรรษที่ยิ่งใหญ่ของนาย……วลาดิเมียร์ ปูติน……นายเข้าใจไหม…?” ปูตินส่ายหน้า….ไม่เข้าใจ……เพราะที่เคยคุยกันไว้ครั้งที่แล้ว คือ ถ้าเยลซินพ้นจากตำแหน่งไป……เขาก็จะลาออก จบชีวิตทางการเมือง…… เยลซินกล่าวต่อว่า……… “นายไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น ฉันได้เตรียมแผนการไว้เรียบร้อยแล้ว นายก็รู้ดีถึงรัฐธรรมนูญในตำแหน่งประธานาธิบดี ที่ว่า ถ้าประธานาธิบดีลาออกจากตำแหน่งกลางคัน ก่อนวันเลือกตั้ง ผู้ที่จะต้องดำรงตำแหน่งแทน คือ นายกรัฐมนตรี และการเลือกตั้งจะต้องมีขึ้นภายใน 90 วัน…นายเข้าใจหรือยัง…? ในเก้าสิบวันนี้แหละ คือ เก้าสิบวันที่นายจะได้ทำหน้าที่ สร้างความเลื่อมใสกับประชาชน เพื่อที่จะครองตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งต่อไป……” ปูตินนั่งนิ่งขึง………อยู่ในอาการสับสนปนทึ่ง สักพัก เขาตอบว่า “ผมยังไม่แน่ใจกับการที่จะตัดสินใจ เพราะเป้าหมายคือหน้าที่ที่ใหญ่ยิ่ง” เยลซินได้พูด(กล่อม) ต่อไปว่า…… “ฟังนะ ตอนที่ฉันเข้ามาในสนามการเมืองในมอสโคว์ ตอนนั้นฉันอายุห้าสิบกว่าแล้ว ยังทำได้ แล้วหนุ่มๆไฟแรง มุ่งมั่นอย่างนายจะไปได้ไกล และจะดูแลบ้านเมืองไปได้อีกนาน จะรอให้แต่คนแก่มาทำงาน ชาติก็จะยิ่งถอยหลัง ฉันเองก็ไม่เคยคิดว่าจะมานั่งในตำแหน่งนี้ มันไม่ง่าย มันเหนื่อย แต่เราถอยไม่ได้……นายเป็นคนที่เหมาะที่สุด……ว่าไง……ให้คำตอบฉันได้หรือยัง……วลาดิเมียร์ วลาดิมิโรวิช..?” ~~”วลาดิเมียร์ วลาดิมิโรวิช คือการเรียกเต็มยศ ที่แปลได้ว่า วลาดิเมียร์ บุตรชายนายวลาดิเมียร์…” ในที่สุด ปูตินได้ตกลงใจ รับข้อเสนอที่เยลชินบรรจงจัดแต่งให้ เป็นความลับที่รู้กันแค่สองคน……ในใจความคือ เยลซินต้องการยิงนกหลายตัวในกระสุนนัดเดียว การที่ประกาศลาออกของเขานั้น คือ ……กระสุน นกตัวที่หนึ่ง คือ การเลือกตั้งที่จะตอนกลางปี คือ เดือนมิถุนายน จะต้องเลื่อนขึ้นมาในเดือนมีนาคม นกตัวที่สอง คือ เมื่อปูตินก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีรักษาการ จะได้”แสง” ทั้งหมดจากนอกและในประเทศ ไม่ต้องง้อสื่อไหนๆ ทุกคนย่อมติดตามทำข่าวประธานาธิบดีตามหน้าที่อยู่แล้ว นกตัวที่สาม……คือ กลุ่มที่จะล้างแค้นเยลซิน ก็จะหมดโอกาส เผลอๆจะถูกล้างเอง… นกตัวที่สี่……ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป……ปูตินก็จะได้เป็นประธานาธิบดีต่อไปอย่างแน่นอน เพราะกำลังอยู่ในขาขึ้น นกตัวที่ห้า……คือเหล่านายทุนทั้งหลายที่เกาะกินประเทศมาสุมหัวกันอยู่ในเครมลินตั้งแต่สมัยกอร์บาเชฟ จะได้โดนล้างบางเสียที… ต้องยกให้เยลซิน………เป็นขงเบ้งแห่งรัสเซีย….!!!! วันที่ 19 ธันวาคม 1999 ที่มีการเลือกตั้งผู้แทนเข้าสภา พรรคคอมมิวนิสต์ ได้ 24%, พรรคยูนิตี้ของเยลซิน ได้ 23% พรรค Luzhkov-Primakov alliance ได้ 13% ซึ่งยังต้องมีการเลือกตั้งซ่อม ยังต้องดูบัตรเสีย และต้องผ่านขั้นตอนขบวนพิจารณาทางกฏหมาย ที่จะต้องใช้เวลาในช่วงหลังปีใหม่ไปแล้ว…… เยลซินได้เตรียมการประกาศลาออกแบบฟ้าผ่าในวันสิ้นปี เพราะจะใช้เวลาที่ประธานาธิบดีกล่าวสวัสดีปีใหม่และอวยพรออกทีวี……ในคราวเดียวกัน ในเช้าวันนั้น ปูตินได้มาถึงพร้อมทีม ตั้งแต่เวลา 9:30 เพื่อซักซ้อมอัดเทปการอ่านคำรับแถลงการณ์ ที่มีทีท่าเขินอายนิดๆ เยลซินได้มีคำสั่งให้ฝ่ายความมั่นคงเตรียมการส่งกระเป๋าที่มี โค้ดสำหรับปุ่มกดนิวเคลียร์ทั้งหลายให้เรียบร้อย เพื่อที่จะส่งมอบให้กับประธานาธิบดีคนใหม่ เมื่อเวลามาถึง……เที่ยงตรง สถานีโทรทัศน์ Ostankino ได้เตรียมออกอากาศในวาระสำคัญของการเริ่มต้นปี 2000 ที่ประธานาธิบดีเยลซินได้เริ่มต้นว่า…… “เพื่อนประชาชนที่รักทั้งหลาย…… ข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังมามาก กับข่าวลือที่ว่า ข้าพเจ้าหวงอำนาจ เกาะติดเก้าอี้ ทั้งหมดเป็นเพียงข่าวลือ ไม่มีความจริงแต่ประการใด ข้าพเจ้าพร้อมที่จะมอบตำแหน่งให้กับผู้ที่รักชาติที่มีความสามารถ แต่ข้าพเจ้าต้องขออภัย ขอให้ยกโทษให้กับข้าพเจ้าในสิ่งที่อาจมีความผิดพลาด หรือ สร้างความไม่สบายใจ แต่จากนี้ไป ข้าพเจ้าได้หวังว่า เราจะได้รับแต่สิ่งดีๆ ประเทศชาติแข็งแกร่ง เจริญรุ่งเรือง มากไปกว่าที่ผ่านมา……… รัสเซียควรเข้าสู่ยุคสองพัน ด้วยนักการเมืองรุ่นใหม่ ไฟแรง มีวิสัยทัศน์กระจ่างแจ้ง ในขณะที่ข้าพเจ้าที่มองเห็นตัวเองว่าเป็นคนรุ่นเก่า….จึงขออำลา……และเปิดทางให้เขาก้าวเข้ามา สร้างฝันของพวกเราให้เป็นจริง…” เยลซินได้กล่าวคำอำลา ด้วยน้ำตาของลูกผู้ชาย……… ลุดมิลาไม่ได้ดูข่าวทีวี……แต่เพียงห้านาทีจากนั้น มีเพื่อนสาวโทรเข้ามาแสดงความยินดีและอวยพรที่เธอก็แสดงความยินดีตอบ เพราะคิดว่าเป็นการอวยพรวันปีใหม่ เพื่อนต้องอธิบายให้ฟัง ว่า “สามีเธอน่ะ……เป็นประธานาธิบดีไปแล้ว..” ลุดมิลา…ไม่รู้เรื่องอะไรเลย……ปูตินไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังแม้แต่นิด เหมือนอย่างครั้งแรก ที่เช้ายังคุยกันดีๆ จู่ๆตอนบ่ายเขาก็เป็นผู้ว่านครเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก หรือ จากคนตกงาน กลายมาเป็น ผู้อำนวยการ FSB เธอก็ไม่แปลกใจอะไร……แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือ ความเป็นอยู่ของครอบครัว ที่เหมือนเธอกลับเข้าสู่ยุคของมาดามสายลับอีกครั้ง ไปไหนก็จะมีทีมอารักขา ลูกๆต้องเรียนที่บ้านกับเหล่าติวเตอร์ ลุดมิลามีเพื่อนน้อยมาก เพราะเธอไม่สามารถมีสังคมเหมือนคนทั่วไป อดีตเพื่อนสนิทคนหนึ่ง คือ Irene Pietsch เป็นภรรยาของนายธนาคารเยอรมัน ไอรีน ที่ลุดมิลาสามารถปรับทุกข์ได้ ว่า ชีวิตสมรสของเธอมีปัญหา เธอไม่เคยมีเครดิตการ์ดเหมือนคนอื่นๆ ต้องใช้ชีวิตเหมือนค้างคาวที่ต้องอยู่ในความมืดตลอดเวลา ไม่เคยได้ไปไหนตามที่ต้องการ ไม่สามารถพูดในสิ่งที่ต้องการ เธออยากจะมีชีวิตที่เป็นอิสระเหมือนกับคนอื่นๆ ส่วนปูติน……ก็เคยบอกกับไอรีนในช่วงที่เคยไปเที่ยวพักร้อนด้วยกันว่า…… “ถ้าใครสามารถอยู่กับเมียผมได้ถึงสามอาทิตย์ละก้อ……ผมจะสร้างอนุสาวรีย์ให้อย่างใหญ่เลยเชียว……” ลุดมิลา…ได้แต่หวังว่า สามีของเธอจะอยู่ในตำแหน่งในฐานะ ประธานาธิบดีรักษาการ ที่มีอายุสามเดือนเท่านั้น…… เพราะถ้านานกว่านั้น……เธอคงรับไม่ไหว..!!! คนอื่นๆก็คงอยู่ไม่ไหวเหมือนกัน หมายถึงคนในเครมลิน เพราะนโยบายหลักของปูติน คือ ล้างบางคอร์รัปชั่น และ กำจัดเหลือบนายทุนที่เกาะกินอยู่กับรัฐบาลเยลซินมานานแสนนาน สอบสวนไปมา ปรากฏว่า มาเฟียตัวแม่……ที่ทำตัวเป็นสายใยชักเปอร์เซ็นต์ เป็นล็อบบี้กินส่วนแบ่ง ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่ เธอคือ Tatyana Yumasheva ที่เป็นธิดาของอดีตประธานาธิบดีเยลซิน มือปั้นนั่นเอง ทาเทียน่า มีตำแหน่งเป็น ที่ปรึกษาคณะรัฐมนตรีในเครมลิน และเป็นหนึ่งในวงในที่ประสานทางการเงินกับ Boris Berezovsky และ Roman Abramovich (อดีตเจ้าของทีมเชลซี) รวมทั้งมีส่วนได้ส่วนเสียกับเส้นทางการเงินที่ไหลไปในต่างประเทศ ปูตินได้ให้ความกรุณาสูงสุด คือ ไล่เธอออกจากตำแหน่งในเดือนแรกที่เขารับตำแหน่งประธานาธิบดี….!!!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 549 Views 0 Reviews
  • ในที่สุดเราก็หาเมนูภาษาอังกฤษได้แบบงงงงซะด้วย😂😂😂
    ในที่สุดเราก็หาเมนูภาษาอังกฤษได้แบบงงงงซะด้วย😂😂😂
    Haha
    2
    3 Comments 0 Shares 50 Views 0 Reviews
  • ⚡️ในที่สุด NATO ก็ยอมรับว่า วิธีที่เร็วที่สุดในการยุติสงครามยูเครนคือ การที่เซเลนสกีพ่ายแพ้

    ยุติสงคราม เซเลนสกีพ่ายแพ้ จงก้าวต่อไป
    .
    ⚡️NATO finally admits that the quickest way to end the Ukraine war is for Zelensky to lose.

    End the war. Zelensky loses. Move on.
    .
    10:12 PM · Sep 19, 2024 · 219.1K Views
    https://x.com/aussiecossack/status/1836785422107803944
    ⚡️ในที่สุด NATO ก็ยอมรับว่า วิธีที่เร็วที่สุดในการยุติสงครามยูเครนคือ การที่เซเลนสกีพ่ายแพ้ ยุติสงคราม เซเลนสกีพ่ายแพ้ จงก้าวต่อไป . ⚡️NATO finally admits that the quickest way to end the Ukraine war is for Zelensky to lose. End the war. Zelensky loses. Move on. . 10:12 PM · Sep 19, 2024 · 219.1K Views https://x.com/aussiecossack/status/1836785422107803944
    Yay
    1
    0 Comments 0 Shares 377 Views 67 0 Reviews
  • #บทพิสูจน์ความจริงบนเพจคิงส์โพธิ์แดง
    เพจคิงส์โพธิ์แดงคือเพจแรกที่ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลสำคัญ
    เกี่ยวกับ กามิน เอเจนซี่ ขบวนการกลุ่มเงินดาร์คที่ใช้ตต.และการพีเค
    ในการซักอบรีดเงินดาร์คให้ขาวสะอาด เป็น อชญก ข้ามชาติ
    โดยมีคนไทย นำโดย โจมณฑานี ร่วมมือกับจีกามิน และเอเจน ที่เป็นบริษัทของกลุ่มทุนดาร์ค สร้างขบวนการสร้างกระแส
    แต่ดาราชายของไทย คือแน๊กชาลี ได้รับการชี้ชวนจากเอเจนซี่ แต่กลับปฏิเสธ เพราะไม่อยากทำให้คนไทยได้รับความเสียหาย
    แม้ชาลี จะไม่ทราบลึกถึงขนาดว่า พีเค บิ๊กแม็ต เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มทุนดาร์คก็ตาม แต่เพียงแค่การพีเค ต้องทำให้แฟนคลับ ต้องทุ่มเงินเพียงเพื่อให้ตนเองชนะ แน๊กทำไม่ได้ ต่อให้ได้รับผลประโยชน์มากแค่ไหน ก็ไม่เอา
    -จุดนี้คือจุดสำคัญ ที่ทำให้เอเจน กามิน และโจ มองเห็นแล้วว่า ต่อไป แน๊กจะเป็นตัวปัญหาของขบวนการ โจ ในฐานะผู้ดูแลกระแสโซเชียล จึงวางแผนสร้างสตอรี่ ให้แฟนคลับเข้าใจผิดว่า แน๊ก มีปัญหา ด้านจิต เพื่อดิ-ส-เ-ค-ร-ดิ-ต ดาราชาย หากมีการเปิดเผยข้อมูลในอนาคต จะได้ไม่มีคนเชื่อ ซึ่งกระบวนการนี้ทำมานานหลายเดือน จึงได้เห็นปรากฏการทัวร์ลงชาลีมากมาย และอวยกามินอย่างประหลาด
    -ในขณะที่แน๊กชาลี ไม่ยอม พีเค ลักษณะบิ๊กแม๊ต แต่กามิน และเอเจนซี่ รวมถึงโจ กลับปฏิบัติการ จัดบิ๊กแม็ตหลายครั้งและถี่มาก เพื่อสอดไส้เงินดาร์คเข้าระบบ ให้สมดุลกับยอดการเข้าชม โดยแทบไม่ต้องซื้อสติ๊กเกอร์ของขวัญเลยด้วยซ้ำ จากเงินดาร์ค เป็นเหรียญ จากเหรียญเป็นเงินที่มีการตกแต่งบัญชี ว่าได้มาจากค่าของขวัญและนำไปเสียภ-า-ษี-เพื่อให้เงินดาร์คสะอาด
    -เรื่องที่เล่ามานี้ เป็นสิ่งที่เพจคิงส์โพธิ์แดง ได้ทำการเปิดเผยมาก่อนหน้านี้ แต่ โจ มณฑานี กลับให้ขบวนการทั้งยูซผี และกองกำลังที่เป็นลูทีน ว่าเพจคิงส์นำเสนอสิ่งที่มโน วิเคราะห์มั่ว สารพัดตามแบบฉบับโจ และไอโอของกลุ่มเงินดาร์ค-
    -ในที่สุด โมเดลนี้ การซักอบรีดเงินดาร์คให้ขาว ก็ได้ไปถึงทั้งฝั่งยุโรป และตะวันออกกลาง นั่นคือสหรัฐ และตุรกี และได้มีการดำเนินคดีอย่างจริงจัง
    พร้อมเผยแพร่ข้อมูลนี้ สู่ชาวโลก
    -เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ชัดเจนว่า ข้อมูลที่คิงส์โพธิ์แดงให้นั้น เป็นความจริง
    ---------------------------------------------------------
    โดย ทางตุรกี จากตุรกีนิวส์ มีรายละเอียดดังนี้
    "สรุปข่าวย่อ ๆ เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีความกังวลเกี่ยวกับกิจกรรมการฟ-อ-ก-เ-งิ-นบน T..t โดยเฉพาะผ่านฟีเจอร์การถ่ายทอดสดและ
    #การให้ของขวัญทางดิจิทัลในประเทศตุรกี
    #เจ้าหน้าที่พบว่ามีการโอนเงินจำนวนมากผ่านแพลตฟอร์มนี้
    #โดยบางส่วนถูกสงสัยว่ามีความเชื่อมโยงกับกิจกรรมทางอาญา
    #รวมถึงการสนับสนุนทางการเงินให้กับกลุ่มก่อการร้าย
    #ระบบของขวัญดิจิทัลของ T..t
    #ช่วยให้ผู้ใช้สามารถส่งของขวัญเสมือนจริง
    #ซึ่งผู้สร้างเนื้อหาสามารถแลกเป็นเงินจริงได้
    #ทำให้เกิดช่องโหว่ที่อาจใช้สำหรับการฟอกเงิน
    กรณีที่มีชื่อเสียงในตุรกี พบว่า การสืบสวนเกี่ยวกับอินฟลูเอนเซอร์บนโซเชียลมีเดีย รวมถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงอย่าง Dilan และ Engin Polat เผยให้เห็นการโอนเงินจำนวนมากผ่าน T..t ซึ่งมักถูกปลอมแปลงว่าเป็นธุรกรรมทางธุรกิจที่ถูกต้อง อินฟลูเอนเซอร์เหล่านี้ถูกกล่าวหาว่าใช้ระบบการเงินของ T..t เพื่อฟอกเงินผิดกฎหมาย โดยการจำลองการขายสินค้าหรือบริการที่มีมูลค่าสูงและซื้อสินค้าหรูหรา เช่น อสังหาริมทรัพย์และเครื่องประดับ ปัญหานี้ทำให้ T..tต้องเพิ่มมาตรการควบคุมการเงินที่เข้มงวดขึ้น แต่แพลตฟอร์มยังคงถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด
    นอกจากนี้ ธนาคาร HSBC ยังได้ปิดบัญชีที่เกี่ยวข้องT..t เนื่องจากไม่สามารถควบคุมการทำธุรกรรมทางการเงินได้เพียงพอ ซึ่งทำให้หน่วยงานกำกับดูแลในตุรกีและไอร์แลนด์เกิดความกังวลมากขึ้น"
    ส่วนฝั่งสหรัฐ
    ก็ได้เปิดเผยข้อมูลยืนยันเช่นกัน ว่าขบวนการ อชญก ข้ามชาติ
    ใช้ ตต. และการพีเค ในการฟอกจริง
    มีรายละเอียดดังนี้
    "ในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในรัฐยูทาห์ มีการดำเนินการทางกฎหมายต่อ T.. .. T.. ... เกี่ยวกับฟีเจอร์ T.. .. T.. .. LIVE (pk) ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นช่องทางในการทำกิจกรรมผิ..กฎห..าย เช่น ก..รค้า..นุษย์ การขาย..าเ..พติ.. และการฟ-อ-ก-เ-งิ-น ผ่านการใช้สกุลเงินดิจิทัลในแอป ในเดือนมิถุนายน 2024 อัยการสูงสุดของรัฐยูทาห์ได้ยื่นฟ้-อ-ง T..T.. โดยอ้างว่าแพลตฟอร์มนี้ใช้กลวิธีเพื่อห..อกล..งผู้ใช้ให้ทำธุรกรรมผ่านแอป ซึ่งส่งผลให้เกิดการฟ-อ-ก-เ-งิ-น และ T..T..k ยังได้รับประโยชน์จากการเก็บค่าคอมมิ..ชั่นจำนวนมากจากแต่ละธุรกรรมอีกด้วย​"
    ข้อมูลทั้งหมดให้ไปดูในโพสที่พี่คิงส์แยกให้ ทั้งของสหรัฐและตุรกีมีลงไว้ใต้โพสครบถ้วน แหล่งอ้างอิงต่างๆ
    ----------------------------------------------------------
    ดังนั้น คิงส์โพธิ์แดงขอยืนหยัดในการนำเสนอข้อมูลที่เป็นความจริง
    ซึ่งหลายเรื่อง ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
    และในหลายๆประเด็น ก็มีข้อมูลที่สามารถยืนยันได้
    และเมื่อขบวนการเหล่านี้ มีจริง
    โจ และกองทัพไอโอ ก็มีอยู่จริง
    และทุกเรื่องที่เพจคิงส์โพธิ์แดงนำเสนอ
    ล้วนมีที่มาจากความเป็นจริง
    แล้วท่านจะรู้ว่า เพจคิงส์โพธิ์แดง
    กำลังต่อสู้กับอะไร
    ใครพร้อมไปให้สุดกับเพจคิงส์บ้าง ยกมือขึ้น
    แล้วลุยไปด้วยกันครับ
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #บทพิสูจน์ความจริงบนเพจคิงส์โพธิ์แดง เพจคิงส์โพธิ์แดงคือเพจแรกที่ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลสำคัญ เกี่ยวกับ กามิน เอเจนซี่ ขบวนการกลุ่มเงินดาร์คที่ใช้ตต.และการพีเค ในการซักอบรีดเงินดาร์คให้ขาวสะอาด เป็น อชญก ข้ามชาติ โดยมีคนไทย นำโดย โจมณฑานี ร่วมมือกับจีกามิน และเอเจน ที่เป็นบริษัทของกลุ่มทุนดาร์ค สร้างขบวนการสร้างกระแส แต่ดาราชายของไทย คือแน๊กชาลี ได้รับการชี้ชวนจากเอเจนซี่ แต่กลับปฏิเสธ เพราะไม่อยากทำให้คนไทยได้รับความเสียหาย แม้ชาลี จะไม่ทราบลึกถึงขนาดว่า พีเค บิ๊กแม็ต เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มทุนดาร์คก็ตาม แต่เพียงแค่การพีเค ต้องทำให้แฟนคลับ ต้องทุ่มเงินเพียงเพื่อให้ตนเองชนะ แน๊กทำไม่ได้ ต่อให้ได้รับผลประโยชน์มากแค่ไหน ก็ไม่เอา -จุดนี้คือจุดสำคัญ ที่ทำให้เอเจน กามิน และโจ มองเห็นแล้วว่า ต่อไป แน๊กจะเป็นตัวปัญหาของขบวนการ โจ ในฐานะผู้ดูแลกระแสโซเชียล จึงวางแผนสร้างสตอรี่ ให้แฟนคลับเข้าใจผิดว่า แน๊ก มีปัญหา ด้านจิต เพื่อดิ-ส-เ-ค-ร-ดิ-ต ดาราชาย หากมีการเปิดเผยข้อมูลในอนาคต จะได้ไม่มีคนเชื่อ ซึ่งกระบวนการนี้ทำมานานหลายเดือน จึงได้เห็นปรากฏการทัวร์ลงชาลีมากมาย และอวยกามินอย่างประหลาด -ในขณะที่แน๊กชาลี ไม่ยอม พีเค ลักษณะบิ๊กแม๊ต แต่กามิน และเอเจนซี่ รวมถึงโจ กลับปฏิบัติการ จัดบิ๊กแม็ตหลายครั้งและถี่มาก เพื่อสอดไส้เงินดาร์คเข้าระบบ ให้สมดุลกับยอดการเข้าชม โดยแทบไม่ต้องซื้อสติ๊กเกอร์ของขวัญเลยด้วยซ้ำ จากเงินดาร์ค เป็นเหรียญ จากเหรียญเป็นเงินที่มีการตกแต่งบัญชี ว่าได้มาจากค่าของขวัญและนำไปเสียภ-า-ษี-เพื่อให้เงินดาร์คสะอาด -เรื่องที่เล่ามานี้ เป็นสิ่งที่เพจคิงส์โพธิ์แดง ได้ทำการเปิดเผยมาก่อนหน้านี้ แต่ โจ มณฑานี กลับให้ขบวนการทั้งยูซผี และกองกำลังที่เป็นลูทีน ว่าเพจคิงส์นำเสนอสิ่งที่มโน วิเคราะห์มั่ว สารพัดตามแบบฉบับโจ และไอโอของกลุ่มเงินดาร์ค- -ในที่สุด โมเดลนี้ การซักอบรีดเงินดาร์คให้ขาว ก็ได้ไปถึงทั้งฝั่งยุโรป และตะวันออกกลาง นั่นคือสหรัฐ และตุรกี และได้มีการดำเนินคดีอย่างจริงจัง พร้อมเผยแพร่ข้อมูลนี้ สู่ชาวโลก -เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ชัดเจนว่า ข้อมูลที่คิงส์โพธิ์แดงให้นั้น เป็นความจริง --------------------------------------------------------- โดย ทางตุรกี จากตุรกีนิวส์ มีรายละเอียดดังนี้ "สรุปข่าวย่อ ๆ เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีความกังวลเกี่ยวกับกิจกรรมการฟ-อ-ก-เ-งิ-นบน T..t โดยเฉพาะผ่านฟีเจอร์การถ่ายทอดสดและ #การให้ของขวัญทางดิจิทัลในประเทศตุรกี #เจ้าหน้าที่พบว่ามีการโอนเงินจำนวนมากผ่านแพลตฟอร์มนี้ #โดยบางส่วนถูกสงสัยว่ามีความเชื่อมโยงกับกิจกรรมทางอาญา #รวมถึงการสนับสนุนทางการเงินให้กับกลุ่มก่อการร้าย #ระบบของขวัญดิจิทัลของ T..t #ช่วยให้ผู้ใช้สามารถส่งของขวัญเสมือนจริง #ซึ่งผู้สร้างเนื้อหาสามารถแลกเป็นเงินจริงได้ #ทำให้เกิดช่องโหว่ที่อาจใช้สำหรับการฟอกเงิน กรณีที่มีชื่อเสียงในตุรกี พบว่า การสืบสวนเกี่ยวกับอินฟลูเอนเซอร์บนโซเชียลมีเดีย รวมถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงอย่าง Dilan และ Engin Polat เผยให้เห็นการโอนเงินจำนวนมากผ่าน T..t ซึ่งมักถูกปลอมแปลงว่าเป็นธุรกรรมทางธุรกิจที่ถูกต้อง อินฟลูเอนเซอร์เหล่านี้ถูกกล่าวหาว่าใช้ระบบการเงินของ T..t เพื่อฟอกเงินผิดกฎหมาย โดยการจำลองการขายสินค้าหรือบริการที่มีมูลค่าสูงและซื้อสินค้าหรูหรา เช่น อสังหาริมทรัพย์และเครื่องประดับ ปัญหานี้ทำให้ T..tต้องเพิ่มมาตรการควบคุมการเงินที่เข้มงวดขึ้น แต่แพลตฟอร์มยังคงถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ธนาคาร HSBC ยังได้ปิดบัญชีที่เกี่ยวข้องT..t เนื่องจากไม่สามารถควบคุมการทำธุรกรรมทางการเงินได้เพียงพอ ซึ่งทำให้หน่วยงานกำกับดูแลในตุรกีและไอร์แลนด์เกิดความกังวลมากขึ้น" ส่วนฝั่งสหรัฐ ก็ได้เปิดเผยข้อมูลยืนยันเช่นกัน ว่าขบวนการ อชญก ข้ามชาติ ใช้ ตต. และการพีเค ในการฟอกจริง มีรายละเอียดดังนี้ "ในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในรัฐยูทาห์ มีการดำเนินการทางกฎหมายต่อ T.. .. T.. ... เกี่ยวกับฟีเจอร์ T.. .. T.. .. LIVE (pk) ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นช่องทางในการทำกิจกรรมผิ..กฎห..าย เช่น ก..รค้า..นุษย์ การขาย..าเ..พติ.. และการฟ-อ-ก-เ-งิ-น ผ่านการใช้สกุลเงินดิจิทัลในแอป ในเดือนมิถุนายน 2024 อัยการสูงสุดของรัฐยูทาห์ได้ยื่นฟ้-อ-ง T..T.. โดยอ้างว่าแพลตฟอร์มนี้ใช้กลวิธีเพื่อห..อกล..งผู้ใช้ให้ทำธุรกรรมผ่านแอป ซึ่งส่งผลให้เกิดการฟ-อ-ก-เ-งิ-น และ T..T..k ยังได้รับประโยชน์จากการเก็บค่าคอมมิ..ชั่นจำนวนมากจากแต่ละธุรกรรมอีกด้วย​" ข้อมูลทั้งหมดให้ไปดูในโพสที่พี่คิงส์แยกให้ ทั้งของสหรัฐและตุรกีมีลงไว้ใต้โพสครบถ้วน แหล่งอ้างอิงต่างๆ ---------------------------------------------------------- ดังนั้น คิงส์โพธิ์แดงขอยืนหยัดในการนำเสนอข้อมูลที่เป็นความจริง ซึ่งหลายเรื่อง ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ และในหลายๆประเด็น ก็มีข้อมูลที่สามารถยืนยันได้ และเมื่อขบวนการเหล่านี้ มีจริง โจ และกองทัพไอโอ ก็มีอยู่จริง และทุกเรื่องที่เพจคิงส์โพธิ์แดงนำเสนอ ล้วนมีที่มาจากความเป็นจริง แล้วท่านจะรู้ว่า เพจคิงส์โพธิ์แดง กำลังต่อสู้กับอะไร ใครพร้อมไปให้สุดกับเพจคิงส์บ้าง ยกมือขึ้น แล้วลุยไปด้วยกันครับ #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Haha
    Yay
    14
    0 Comments 0 Shares 2739 Views 0 Reviews
  • ๑๓๘) ที่กล่าวว่าอามิสทานเป็นปัจจัยแห่งพระนิพพาน ก็เพราะว่าการให้ทานเป็นการตัดกิเลสร้ายตัวต้นตัวหนึ่ง ที่เราเรียกว่า โลภะ ให้สิ้นไป ให้ทานครั้งหนึ่ง โลภะมันก็แหว่งไปหน่อยหนึ่ง ให้ทาน ๒ ครั้ง ความโลภ โลภแหว่งไปอีกนิดหนึ่ง แหว่งไปทุกครั้ง ๆ ที่เราให้ ในที่สุดถ้าให้บ่อย ๆ ให้ด้วยการมีใจ ไม่ยึดถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรา เป็นของเรา เราให้ด้วยการสงเคราะห์อย่างนี้ชื่อว่าให้ด้วยการบริจาคเป็นการตัดสินใจแท้ของทาน อันนี้องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงกล่าวว่า เป็นกิริยาที่ตัดโลภะความโลภ ถ้าเราตัดโลภะความโลภเสียได้ตัวหนึ่งแล้ว ก็ชื่อว่าใกล้พระนิพพานเข้าไป

    คนที่จะถึงพระนิพพานไม่ได้ก็เพราะมีกิเลสใหญ่ ๓ ตัวประจำอยู่หรือประจำใจ ได้แก่ โลภะ ความโลภหนึ่ง โทสะ ความโกรธหรือการพยาบาท จองล้างจองผลาญหนึ่ง แล้วก็ โมหะ ความหลงหนึ่ง มี ๓ ตัวนี่เท่านั้นที่จะกั้นคนให้เข้าถึงพระนิพพานไม่ได้ ถ้าบุคคลใดทำลายกิเลสทั้ง ๓ ประการนี้ได้หมดเมื่อไร ก็เป็นพระอรหันต์เมื่อนั้น เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วตายแล้วก็เข้าสู่พระนิพพาน เป็นแดนแห่งความสุข หาความทุกข์ไม่ได้ นี่ว่ากันส่วนอามิสทาน ทานที่ ๒

    จากหนังสือ โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๕ หน้าที่ ๖๙ โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน คัดลอกโดย ด.ญ.ปุณยนุช ขจรนิธิพร
    ๑๓๘) ที่กล่าวว่าอามิสทานเป็นปัจจัยแห่งพระนิพพาน ก็เพราะว่าการให้ทานเป็นการตัดกิเลสร้ายตัวต้นตัวหนึ่ง ที่เราเรียกว่า โลภะ ให้สิ้นไป ให้ทานครั้งหนึ่ง โลภะมันก็แหว่งไปหน่อยหนึ่ง ให้ทาน ๒ ครั้ง ความโลภ โลภแหว่งไปอีกนิดหนึ่ง แหว่งไปทุกครั้ง ๆ ที่เราให้ ในที่สุดถ้าให้บ่อย ๆ ให้ด้วยการมีใจ ไม่ยึดถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรา เป็นของเรา เราให้ด้วยการสงเคราะห์อย่างนี้ชื่อว่าให้ด้วยการบริจาคเป็นการตัดสินใจแท้ของทาน อันนี้องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงกล่าวว่า เป็นกิริยาที่ตัดโลภะความโลภ ถ้าเราตัดโลภะความโลภเสียได้ตัวหนึ่งแล้ว ก็ชื่อว่าใกล้พระนิพพานเข้าไป คนที่จะถึงพระนิพพานไม่ได้ก็เพราะมีกิเลสใหญ่ ๓ ตัวประจำอยู่หรือประจำใจ ได้แก่ โลภะ ความโลภหนึ่ง โทสะ ความโกรธหรือการพยาบาท จองล้างจองผลาญหนึ่ง แล้วก็ โมหะ ความหลงหนึ่ง มี ๓ ตัวนี่เท่านั้นที่จะกั้นคนให้เข้าถึงพระนิพพานไม่ได้ ถ้าบุคคลใดทำลายกิเลสทั้ง ๓ ประการนี้ได้หมดเมื่อไร ก็เป็นพระอรหันต์เมื่อนั้น เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วตายแล้วก็เข้าสู่พระนิพพาน เป็นแดนแห่งความสุข หาความทุกข์ไม่ได้ นี่ว่ากันส่วนอามิสทาน ทานที่ ๒ จากหนังสือ โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๕ หน้าที่ ๖๙ โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน คัดลอกโดย ด.ญ.ปุณยนุช ขจรนิธิพร
    0 Comments 1 Shares 235 Views 0 Reviews
  • #กลุ่มเงินดาร์คซักอบรีดเงินผ่านPKและแอพตต.อย่างไร
    เป็นข้อมูลเชิงลึกที่มาแบบไม่รู้ตัว
    โดยมีผู้ใช้เฟสบุ๊ค ได้เข้ามาอธิบายวิธีการ
    จากที่มีคนถามว่าถ้าส่งติ๊กเกอร์โดนหักจะคุ้มเหรอ
    และนี่คือคำตอบ
    "บิ๊กแมต​ ทุกเดือนเลย"
    "เงินดาร์คแลกเป็นเหรียญ​สามารถ​โอนเข้าบัญชี​ให้กัน​ได้เลยทันที..
    ไม่ต้องแลกเป็นของขวัญให้เสียส่วนต่าง.
    แล้วบริษัท​ก็ไปแต่งบัญชี​เอาว่าได้เหรียญจากการแข่งขัน.!!
    ชึ่งระดับกามิจเขาไม่ตรวจหลอกเพราะคนดูนางเยอะระดับหลายหมื่น.. ขอบคุณ​คิงโพธิ์แดง​ ทีทำให้เราเข้าใจ​ สิ่งที่ชาลีพยายามบอกอ้อมๆ​ ว่าบิ๊กแมต​ไม่เป็นธรรม​ชาติ​ แบบนี้เอง"
    จึงไม่แปลกใจ ว่าทำไม โจ ถึงไม่ต้องทำงานทำการ
    และมีงบ จัดทัพในการตอบโต้เรื่องนี้
    อย่างไม่สนใจวิธีการ ทั้งยูซผี และสร้างกลุ่มไอโอ
    ในการแก้เกมส์ได้ทุกวัน
    ฝากบอก โจ มณฑานีด้วยว่า
    โจ เงินบาป มันจะเผาตัวเองในที่สุดนะ
    รอรับ กรรมทำงาน
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #กลุ่มเงินดาร์คซักอบรีดเงินผ่านPKและแอพตต.อย่างไร เป็นข้อมูลเชิงลึกที่มาแบบไม่รู้ตัว โดยมีผู้ใช้เฟสบุ๊ค ได้เข้ามาอธิบายวิธีการ จากที่มีคนถามว่าถ้าส่งติ๊กเกอร์โดนหักจะคุ้มเหรอ และนี่คือคำตอบ "บิ๊กแมต​ ทุกเดือนเลย" "เงินดาร์คแลกเป็นเหรียญ​สามารถ​โอนเข้าบัญชี​ให้กัน​ได้เลยทันที.. ไม่ต้องแลกเป็นของขวัญให้เสียส่วนต่าง. แล้วบริษัท​ก็ไปแต่งบัญชี​เอาว่าได้เหรียญจากการแข่งขัน.!! ชึ่งระดับกามิจเขาไม่ตรวจหลอกเพราะคนดูนางเยอะระดับหลายหมื่น.. ขอบคุณ​คิงโพธิ์แดง​ ทีทำให้เราเข้าใจ​ สิ่งที่ชาลีพยายามบอกอ้อมๆ​ ว่าบิ๊กแมต​ไม่เป็นธรรม​ชาติ​ แบบนี้เอง" จึงไม่แปลกใจ ว่าทำไม โจ ถึงไม่ต้องทำงานทำการ และมีงบ จัดทัพในการตอบโต้เรื่องนี้ อย่างไม่สนใจวิธีการ ทั้งยูซผี และสร้างกลุ่มไอโอ ในการแก้เกมส์ได้ทุกวัน ฝากบอก โจ มณฑานีด้วยว่า โจ เงินบาป มันจะเผาตัวเองในที่สุดนะ รอรับ กรรมทำงาน #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    5
    0 Comments 0 Shares 1253 Views 0 Reviews
  • ติ่งขาาาา……มาช่วยกันเป็นกำลังใจให้พี่ปูหน่อยยยย……กำลังเคว้งคว้างหาที่ลงสวยๆไม่ได้………!!!

    ตอนหก…..……ดวงรุ่งไม่นาน…ต้องหางานใหม่ซะแล้วววว…!!!

    ปูตินทำงานอยู่แค่ในเบื้องหลังของอนาโตลี ในขณะที่เจ้านายใช้เวลาส่วนใหญ่เดินทางระหว่างเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก กับมอสโคว์ เพื่ออยู่ใกล้ชิดกับเยลซิน การทำงานของปูติน จากปากคำของเลขาฯ Marina Yentaltseva ที่บอกว่า

    “เขาเป็นคนจริงจังกับงานมาก แต่ไม่เคยขึ้นเสียงกับใคร……งานที่สั่งมา
    เขาไม่สนใจว่าใครจะเอาไปทำ หรือมีปัญหาอะไร ……แต่ต้องเสร็จตามเวลา……ไม่มีใครรู้เลยว่า เขากำลังคิดอะไร เก็บอารมณ์ดีเป็นที่สุด ครั้งหนึ่งสุนัขสุดที่รักที่บ้าน ถูกรถชนตาย ฉันเอาข่าวไปบอก….เขาพยักหน้านิดนึง
    ไม่มีอากัปกิริยาอะไรมากกว่านั้นเลย……”

    ปูตินทำงานทั้งงานราษฎร์งานหลวง งานราษฎร์คือการที่ต้องขับเคี่ยวกับเหล่าแก๊งค์มาเฟียระดับตลาดล่าง ที่มีมากมายในเมือง โดยเฉพาะยิ่งจะมีบริษัทใหญ่ Golden Gate ที่จะมาทำการสร้างบริษัทส่งออกน้ำมัน โดย Gennady Timchenko เป็นนายทุนใหญ่
    เรื่องอันธพาลกลางเมืองคือเรื่องที่เป็นอุปสรรค ต่อการที่จะพัฒนา
    ดังนั้น ปูตินจึงต้องรีบจัดการส่งลูกสาวทั้งสองคน มาชาและแคทยา ไปที่เยอรมันสักพักหนึ่งเพื่อความปลอดภัย
    เพื่อที่จะจัดการกับพวกอุปสรรคทั้งหลาย (ไม่ทราบว่าวิธีไหน……?)
    แต่ เยนนาดี ได้ดำเนินการธุรกิจอย่างปลอดโปร่งจนเป็นอภิมหาเศรษฐีและเป็นสหายของปูตินจนถึงปัจจุบัน

    นอกจากนั้น งานแจกจ่ายใบอนุญาตการค้าต่างๆ ก็ต้องเร่งมือ เพราะต้องเร่งหาเงินเข้ามาบำรุงท้องถิ่น
    จะหวังพึ่งทางมอสโคว์ก็ริบหรี่ เพราะช่วงเดือน ตุลาคม เกิดการประท้วงใหญ่ ที่มีการจับกุม ทุบตีผู้ประท้วง จนเยลซินก็ประกาศกฎอัยการศึก
    ถึงขนาดต้องใช้รถถังมาควบคุมสถานการณ์

    ความยุ่งยากยืดเยื้อมาจนถึงปี 1993 การทำงานของอนาโตลี ที่มีปูตินเป็นเบื้องหลังให้นั้น เริ่มมีปัญหาจากฝ่ายตรงข้าม เพราะเค้าของการเลือกตั้งใหม่เริ่มมีการเตรียมตัวส่งแคนดิเดทมาร่วมเปิดตัวลงสมัคร และการดิสเครดิต สาดโคลนตามมาเป็นระลอก
    ที่ทำให้ปูตินต้องทำงานทั้งวัน…ต่อไปจนถึงมืดค่ำ

    เช้าวันที่ 23 ตุลาคม ปูตินขับรถไปส่งมาชาที่โรงเรียน
    ลุดมิลาจะต้องพาแคทยาไปซ้อมละครเวที
    ระหว่างที่กำลังขับรถกำลังจะขึ้นสะพาน
    มีรถคันหนึ่งขับผ่าไฟแดงพุ่งเข้าชนอย่างจัง กลางลำ……
    กว่าเธอและลูกสาวจะไปถึงโรงพยาบาลเพราะรอรถพยาบาล ต้องใช้เวลาถึง 45 นาที
    แคทยา ฟกช้ำดำเขียวไปพอประมาณ แต่ลุดมิลากระดูกสันหลังเคลื่อนและมีบาดแผลตามตัว
    มารินา เลขาฯพยายามติดต่อปูติน เธอได้รับเอาแคทยามาดูแล

    แต่เขายังอยู่ในการประชุมกับ Ted Turner และ Jane Fonda (ตอนนั้นเป็นสามีภรรยากัน) ในเรื่องการจัดแข่งกีฬา Goodwill Games ครั้งที่สาม
    ทันทีที่รู้เรื่อง……ปูตินรีบไปที่โรงพยาบาล เพื่อไปถามแพทย์ว่า หนักหนาหรือไม่?
    เมื่อทราบจากแพทย์ว่า กำลังดูแลเป็นอย่างดี…
    เขาก็กลับไปประชุมต่อ……ไม่ได้แวะไปดูลุดมิลาแต่อย่างใด

    มารินาได้เข้ามาดูแลลุดมิลาที่โรงพยาบาลและเด็กๆในช่วงที่รอมารดาของลุดมิลาจะเดินทางมาจากคาลินินกราด
    แม้ว่าหลังจากหนึ่งเดือนในโรงพยาบาลเมื่อออกมา……เธอก็ยังต้องใส่เฝือกอ่อนรัดตัว
    แต่ปูติน……มีความห่วงใย(แบบไม่แสดงออก) ในเรื่องการรักษาเขาไปปรึกษากับ เซอร์เก เพื่อนรักโดยเขาต้องการให้ลุดมิลาไปรักษาตัวต่อในโรงพยาบาลที่เดรสเดน เยอรมัน ที่เป็นที่ที่ดีที่สุด

    แต่ค่ารักษาพยาบาล ค่าเดินทาง เป็นเรื่องที่น่าหนักใจ
    ปัญหาเหล่านั้น……ได้สลายลงด้วยการช่วยเหลือของ Matthias Waring***
    อดีตหัวหน้า Stasi ที่ผันตัวมาเป็นนายธนาคาร Dresdner ในกรุงเซนต์
    โดยได้รับใบอนุญาตจากอนาโตลี (ผ่านปูติน) จนได้มาเปิดธนาคารในเมืองเป็นธนาคารต่างชาติแห่งแรก

    ที่เยอรมันนี ลุดมิลาได้รับการรักษาอย่างดี ในโรงพยาบาลที่ Bad Homburg จนหายเป็นปรกติ

    หลังจากที่มอสโคว์เสร็จสิ้นจากการปราบม็อบไปในปี 1993 นั้น
    สัมพันธภาพระหว่าง อนาโตลีกับเยลซิน เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจาก
    การเลือกตั้งนกยกเทศมนตรีในเมืองต่างๆจะมีขึ้นในในเดือนมีนาคม 1994 ซึ่ง เยลซินเห็นว่า ถ้าอนาโตลีได้รับเลือกอีกสมัยหนึ่ง ก็อาจจะอาจเอื้อมเข้ามาเป็นคู่แข่งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในสมัยต่อไป
    ซึ่งตัวเยลซินเองนั้นไม่เท่าไหร่ แต่คณะคนที่รายล้อมรอบตัวเขา แต่ละคนคือมาเฟียตัวพ่อ ที่ทำหน้าที่เป็นกระเป๋าเงินให้กับพรรค
    คนเหล่านั้น……ต้องการให้เยลซินอยู่ต่อไป หรือถ้าจะมีคนมาแทนก็ต้อวเป็นพรรคพวกของตัวเอง
    อย่าง……อนาโตลี นั้นไม่ใช่……!!

    งานสาดโคลนตามประเพณีเลือกตั้งจึงตามมา อนาโตลีถูกแฉว่าได้ยักยอกทรัพย์ออกนอกประเทศ ได้ทำการคอร์รัปชั่นในใบอนุญาต รวมทั้งการกระจายข่าวลือว่า อนาโตลีได้ติดต่อกับทางนายกรัฐมนตรีเยอรมันเพื่อที่จะโค่นล้มเยลซิน……
    ซึ่งปูตินได้ติดร่างแหไปด้วย เพราะเป็นหนึ่งในทีม
    แต่ในที่สุดเขาก็เคลียร์ตัวเองได้ ……เพราะตรวจสอบได้หมด
    เนื่องจากไม่มีสมบัติอะไร

    เวลาแห่งการหาเสียงมาถึง อนาโตลีต้องพบกับความประหลาดใจ ที่ผู้สมัครเข้าแข่งขันนั้น คือ รองของเขาเอง Vladimir Yakovlev
    ที่ตอนนั้น อนาโตลีมีความรู้สึกว่าโดนหักหลังจากคนใกล้ชิดที่สุด
    พวกกลุ่มทำงานในสำนักงานได้เริ่มแยกฝ่าย ไปตามคนที่ตัวเองถือหาง
    แต่ปูตินยังมั่นคงอยู่กับอนาโตลีไม่เปลี่ยนแปลง…

    การหาเสียงเป็นไปอย่างเข้าข้น เป็นการหาเสียงที่ต้องใช้เงินมากมาย
    ที่อนาโตลีด้อยกว่า เพราะท่อน้ำเลี้ยงจากมอสโคว์เหือดแห้งไปแล้ว
    สรุปว่า โยโกสเลฟ ชนะด้วยคะแนนเฉี่ยวฉิว……
    อนาโตลี มีน้ำใจเป็นนักกีฬาพอ เขาได้ใช้ประโยคเด็ดของ Winston Churchill ในตอนที่แพ้เลือกตั้งในปี 1945 ว่า
    “การที่เราได้ช่วยชาติให้แล้วรอดปลอดภัย……นั่นคือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”

    แต่นั่นหมายถึงว่า เมื่อหมดวาระ(ในไม่กี่เดือนข้างหน้า) ปูตินจะต้องหางานใหม่ทำ เพราะเขาไม่คิดที่จะทำงานกับโยโกสเลฟ ที่จะผันตัวจากเพื่อนร่วมงานมาเป็นนาย……

    ปูตินมีบ้านพักเล็กๆสำหรับพักผ่อนที่นอกเมือง เป็นบังกาโลไม้ธรรมดา ที่อยู่ใกล้กับทะเลสาบ ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้
    เขาและครอบครัวใช้เป็นที่หย่อนใจ ในเดือนสิงหาคม อันเป็นเดือนของการพักร้อนที่งานไม่ค่อยเดิน
    เขาจึงได้เชิญครอบครัวของมารินาไปพักผ่อนด้วยกัน
    พวกผู้หญิงอยู่กันที่ชั้นบน ผู้ชายปูที่นอนกันที่ข้างล่าง…

    ปูตินออกไปว่ายน้ำในทะเลสาบ เมื่อเขาเดินกลับมา เห็นควันไฟพลุ่งออกมาจากตัวบ้าน เปลวไฟกำลังลามขึ้นไปชั้นบน เขารีบวิ่งฝ่าขึ้นไป ส่งเด็กๆลงมาจากระเบียงโดยใช้ผ้าปูที่นอนผูกแทนเชือก ทุกคนออกมาอย่างปลอดภัย
    แต่ทันใดนั้น เขานึกขึ้นได้ว่า กระเป๋าเอกสารที่มีเงินอยู่ราวๆห้าพัน (ดอลล่าร์ โดยประมาณ) อันเป็นเงินก้อนเดียวที่เขามี
    ปูตินรีบวิ่งเข้าไปเอามันออกมา และโรยตัวออกทางระเบียงเช่นกัน
    กว่ารถดับเพลิงจะมาได้ บ้านทั้งหลังก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว
    และเมื่อรถมาถึง……พนักงานดับไฟบอกว่า ไม่มีน้ำ…
    ปูตินโกรธจนตัวสั่น เขาชี้ไปที่ทะเลสาบ……บอกว่า นั่นไง……น้ำ…!!
    ไอ้หมอนั่นตอบกลับมาว่า……สายยางยาวไม่พอ…!!!

    เมื่อค้นหาสาเหตุได้ มาจากเครื่องทำความร้อนที่ชั้นล่าง ที่ได้เกิดช๊อตขึ้นมา……เมื่อทุกอย่างเริ่มเย็นลง
    ปูตินได้เข้าไปคุ้ยหาของที่อาจจะไม่เสียหายมาก เขาได้พบกับก้อนโลหะเล็กๆ ที่ได้หลอมละลายไป นั่นก็คือ กางเขนน้อยที่มาเรียมารดาของเขาได้ให้มา พร้อมกับกำชับว่าให้นำไปขอพรที่พระวิหารในนครเยรูซาเล็ม, อิสราเอล
    ที่ปูตินได้จัดการให้ตามนั้น เมื่อครั้งที่เขาติดตามอนาโตลีไปเยือนเมื่อสามปีที่แล้ว……!!

    ที่มอสโคว์……ปลายปี 1995 เยลซินได้เกิดอาการหัวใจกำเริบ ที่ค่อนข้างน่าตกใจ กลุ่มนายทุนที่รายล้อมรอบตัวเขา รีบตื่นตัวกันจ้าละหวั่น เพราะการเลือกตั้งจะมีขึ้นในไม่กี่เดือนข้างหน้า
    บางคนบอกว่า รีบออกกฎหมายให้เลื่อนการลงคะแนนออกไปก่อน
    บางคนรีบเสนอชื่อแคนดิเดทพวกพ้องของตัวเองที่จะให้มาลงแทน
    บางคนเสนอตัวเอง…
    เยลซินถึงกับบรรลุในสัจธรรม……ว่า…..ทุกคนมาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองทั้งนั้น เขาวางใจใครไม่ได้เลยจริงๆ

    มันก็ต้องเป็นเช่นนั้น เพราะเหล่า Oligarchs พวกนี้คือเหลือบไรที่เกาะตามตัวของท่านผู้นำที่เนรมิตรสัมปทานทั้งแผ่นดินใหักับพวกเขาจนร่ำรวยกันมหาศาล……เขาเหล่านั้นคือ
    1 Boris Berezovsky
    2 Mikhaïl Fridman
    3 Vladimir Gusinsky
    4 Mikhaïl Khodorkovsky
    5 Vladimir Potanin

    (ดิฉันเคยเล่าถึง หมายเลข 1 และ 4 ไปแล้ว …จะนำมาลงให้อีกในคอมเม้นต์)

    สิ่งที่ทุกคนกลัวที่สุด คือ ถ้าเยลซินหลุดไปจากอำนาจ แล้วถ้าคนใหม่มาจากพรรคคอมมิวนิสต์……นั่นหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างจะหายวับไปกับตา
    อาจรวมถึงชีวิต ดังที่เยลซินพูดบ่อยๆว่า มันจะเอาพวกเราไปแขวนคอที่เสาไฟฟ้า……!!
    เหล่ามหาเศรษฐีพวกนั้นเลยระดมทุนกันใหญ่ ว่ากันว่า ถึงสองพันล้านดอลล่าร์……
    สุขภาพของเยลซินก็ยังไม่ดีขึ้น แต่ข่าวที่ออกก็เลือกแต่ส่วนช่วงดีๆ ………………ปกปิดเรื่องการป่วยไข้อย่างสนิท
    ในส่วนตัวของเยลซินเอง……เขาถอดใจแล้ว เขาเริ่มมองหาตัวแทนที่จะมาเป็นผู้นำด้วยตัวเอง
    เขามุ่งไปที่ลักษณะของนายทหาร ที่เข้มแข็ง มุ่งมั่น
    และสามารถเข้ากับทุกกลุ่มได้ คนที่เขาหมายตา
    คือ นายพลหนุ่ม Aleksandr Lebed ที่กะจะมาเอามาเป็นเด็กสร้าง
    เขาจึงเรียกตัวให้มารับหน้าที่เป็น ผู้อำนวยการฝ่ายดูแลความมั่นคงในส่วนของเครมลิน
    หลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งได้วันเดียว นายพลหนุ่ม Alexandr ได้พบกับอดีตนายพลอาวุโส แห่งหน่วย คอสแซค ที่ทักทายเขาด้วยความมีไมตรีว่า…”ทราบว่าคุณก็มาจากกองพันคอสแซคเช่นกัน…ยินดีที่ได้รู้จัก”
    นายพลหนุ่มเชิดใส่……สบัดเสียงตอบไปว่า
    “ทำไมพูดจาเหมือนพวกยิว……!!”

    เยลซินถึงได้รู้ว่า เขาดูคนผิด เพราะนายพลที่เขาวาดภาพถึงนั้น คงมีแต่ในหนังสือที่อ่านสมัยเป็นเด็กๆ……ตอนนี้นายพลพวกนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกยามรักษาความปลอดภัยดีๆนี่เอง

    การเลือกตั้งได้เกิดขึ้น ตัวเยลซินเองก็ต้องแอบไปลงคะแนนในหน่วยใกล้บ้านแต่เช้าตรู่ เพราะเขาป่วยจนแทบเดินไม่ไหว ต้องมีคนคอยประคอง
    แต่อย่างไรเสีย……เขาก็ชนะด้วยคะแนนไม่มากนัก เพราะแรงทุนที่ทุ่มไม่อั้น

    ปูตินได้ช่วยเยลซินหาเสียงอยู่ที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ที่ถือว่าเป็นหน่วยสนับสนุนเล็กๆ ที่ไม่ได้เป็นกลไกสำคัญอะไร
    แต่ที่มอสโคว์……เมื่อเยลซินได้รับเลือกตั้งในครั้งนี้ เขาได้จัดการเอาพวกที่คอยแทงข้างหลังออกไปเป็นแผง ที่ต้องหาคนมาแทนใหม่
    และเขาได้เลือก Alexsei Bolshakov อดีตอัยการแห่งกรุงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก
    เข้าไปรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี รองจาก Viktor Chernomyrdrin
    ซึ่ง Alexsei คนนี้ ได้เป็นผู้นำปูตินเข้าไปพบกับเยลซิน เพราะเขาเลื่อมใสในการทำงาน เฝ้าดูมาตลอด แต่ไม่ได้สนิทกัน

    งานที่ปูตินได้รับการแต่งตั้ง คือ ผู้อำนวยการในฝ่ายมวลชนและประชาสัมพันธ์ ที่ต้องประสานกับ Pavel Borodin
    ที่เผอิญปูตินได้เคยสัมผัสกัน……โดยปาเวลได้ถือเป็นบุญคุณอย่างมากมาย กล่าวคือ
    บุตรสาวของปาเวลเคยเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย เมื่อครั้ง
    ปูตินเป็นคณบดี และได้เกิดป่วยไข้ขึ้นมา ปูตินได้จัดการให้เธอได้พบแพทย์และช่วยเรื่องการทดแทนชั้นเรียนในช่วงการขาดลา……
    ยิ่งพอมาพบกันจริงๆ…ปาเวลยิ่งปลาบปลื้มขอบอกขอบใจ และสะดวกใจที่จะช่วยเหลืองานอย่างเต็มที่

    แต่นั่นหมายถึง……ปูตินจะต้องย้ายไปอยู่ที่มอสโคว์…นี่คือสิ่งเดียวที่เขายังรู้สึกลังเล………!!!

    Wiwanda W. Vichit
    ติ่งขาาาา……มาช่วยกันเป็นกำลังใจให้พี่ปูหน่อยยยย……กำลังเคว้งคว้างหาที่ลงสวยๆไม่ได้………!!! ตอนหก…..……ดวงรุ่งไม่นาน…ต้องหางานใหม่ซะแล้วววว…!!! ปูตินทำงานอยู่แค่ในเบื้องหลังของอนาโตลี ในขณะที่เจ้านายใช้เวลาส่วนใหญ่เดินทางระหว่างเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก กับมอสโคว์ เพื่ออยู่ใกล้ชิดกับเยลซิน การทำงานของปูติน จากปากคำของเลขาฯ Marina Yentaltseva ที่บอกว่า “เขาเป็นคนจริงจังกับงานมาก แต่ไม่เคยขึ้นเสียงกับใคร……งานที่สั่งมา เขาไม่สนใจว่าใครจะเอาไปทำ หรือมีปัญหาอะไร ……แต่ต้องเสร็จตามเวลา……ไม่มีใครรู้เลยว่า เขากำลังคิดอะไร เก็บอารมณ์ดีเป็นที่สุด ครั้งหนึ่งสุนัขสุดที่รักที่บ้าน ถูกรถชนตาย ฉันเอาข่าวไปบอก….เขาพยักหน้านิดนึง ไม่มีอากัปกิริยาอะไรมากกว่านั้นเลย……” ปูตินทำงานทั้งงานราษฎร์งานหลวง งานราษฎร์คือการที่ต้องขับเคี่ยวกับเหล่าแก๊งค์มาเฟียระดับตลาดล่าง ที่มีมากมายในเมือง โดยเฉพาะยิ่งจะมีบริษัทใหญ่ Golden Gate ที่จะมาทำการสร้างบริษัทส่งออกน้ำมัน โดย Gennady Timchenko เป็นนายทุนใหญ่ เรื่องอันธพาลกลางเมืองคือเรื่องที่เป็นอุปสรรค ต่อการที่จะพัฒนา ดังนั้น ปูตินจึงต้องรีบจัดการส่งลูกสาวทั้งสองคน มาชาและแคทยา ไปที่เยอรมันสักพักหนึ่งเพื่อความปลอดภัย เพื่อที่จะจัดการกับพวกอุปสรรคทั้งหลาย (ไม่ทราบว่าวิธีไหน……?) แต่ เยนนาดี ได้ดำเนินการธุรกิจอย่างปลอดโปร่งจนเป็นอภิมหาเศรษฐีและเป็นสหายของปูตินจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้น งานแจกจ่ายใบอนุญาตการค้าต่างๆ ก็ต้องเร่งมือ เพราะต้องเร่งหาเงินเข้ามาบำรุงท้องถิ่น จะหวังพึ่งทางมอสโคว์ก็ริบหรี่ เพราะช่วงเดือน ตุลาคม เกิดการประท้วงใหญ่ ที่มีการจับกุม ทุบตีผู้ประท้วง จนเยลซินก็ประกาศกฎอัยการศึก ถึงขนาดต้องใช้รถถังมาควบคุมสถานการณ์ ความยุ่งยากยืดเยื้อมาจนถึงปี 1993 การทำงานของอนาโตลี ที่มีปูตินเป็นเบื้องหลังให้นั้น เริ่มมีปัญหาจากฝ่ายตรงข้าม เพราะเค้าของการเลือกตั้งใหม่เริ่มมีการเตรียมตัวส่งแคนดิเดทมาร่วมเปิดตัวลงสมัคร และการดิสเครดิต สาดโคลนตามมาเป็นระลอก ที่ทำให้ปูตินต้องทำงานทั้งวัน…ต่อไปจนถึงมืดค่ำ เช้าวันที่ 23 ตุลาคม ปูตินขับรถไปส่งมาชาที่โรงเรียน ลุดมิลาจะต้องพาแคทยาไปซ้อมละครเวที ระหว่างที่กำลังขับรถกำลังจะขึ้นสะพาน มีรถคันหนึ่งขับผ่าไฟแดงพุ่งเข้าชนอย่างจัง กลางลำ…… กว่าเธอและลูกสาวจะไปถึงโรงพยาบาลเพราะรอรถพยาบาล ต้องใช้เวลาถึง 45 นาที แคทยา ฟกช้ำดำเขียวไปพอประมาณ แต่ลุดมิลากระดูกสันหลังเคลื่อนและมีบาดแผลตามตัว มารินา เลขาฯพยายามติดต่อปูติน เธอได้รับเอาแคทยามาดูแล แต่เขายังอยู่ในการประชุมกับ Ted Turner และ Jane Fonda (ตอนนั้นเป็นสามีภรรยากัน) ในเรื่องการจัดแข่งกีฬา Goodwill Games ครั้งที่สาม ทันทีที่รู้เรื่อง……ปูตินรีบไปที่โรงพยาบาล เพื่อไปถามแพทย์ว่า หนักหนาหรือไม่? เมื่อทราบจากแพทย์ว่า กำลังดูแลเป็นอย่างดี… เขาก็กลับไปประชุมต่อ……ไม่ได้แวะไปดูลุดมิลาแต่อย่างใด มารินาได้เข้ามาดูแลลุดมิลาที่โรงพยาบาลและเด็กๆในช่วงที่รอมารดาของลุดมิลาจะเดินทางมาจากคาลินินกราด แม้ว่าหลังจากหนึ่งเดือนในโรงพยาบาลเมื่อออกมา……เธอก็ยังต้องใส่เฝือกอ่อนรัดตัว แต่ปูติน……มีความห่วงใย(แบบไม่แสดงออก) ในเรื่องการรักษาเขาไปปรึกษากับ เซอร์เก เพื่อนรักโดยเขาต้องการให้ลุดมิลาไปรักษาตัวต่อในโรงพยาบาลที่เดรสเดน เยอรมัน ที่เป็นที่ที่ดีที่สุด แต่ค่ารักษาพยาบาล ค่าเดินทาง เป็นเรื่องที่น่าหนักใจ ปัญหาเหล่านั้น……ได้สลายลงด้วยการช่วยเหลือของ Matthias Waring*** อดีตหัวหน้า Stasi ที่ผันตัวมาเป็นนายธนาคาร Dresdner ในกรุงเซนต์ โดยได้รับใบอนุญาตจากอนาโตลี (ผ่านปูติน) จนได้มาเปิดธนาคารในเมืองเป็นธนาคารต่างชาติแห่งแรก ที่เยอรมันนี ลุดมิลาได้รับการรักษาอย่างดี ในโรงพยาบาลที่ Bad Homburg จนหายเป็นปรกติ หลังจากที่มอสโคว์เสร็จสิ้นจากการปราบม็อบไปในปี 1993 นั้น สัมพันธภาพระหว่าง อนาโตลีกับเยลซิน เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจาก การเลือกตั้งนกยกเทศมนตรีในเมืองต่างๆจะมีขึ้นในในเดือนมีนาคม 1994 ซึ่ง เยลซินเห็นว่า ถ้าอนาโตลีได้รับเลือกอีกสมัยหนึ่ง ก็อาจจะอาจเอื้อมเข้ามาเป็นคู่แข่งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในสมัยต่อไป ซึ่งตัวเยลซินเองนั้นไม่เท่าไหร่ แต่คณะคนที่รายล้อมรอบตัวเขา แต่ละคนคือมาเฟียตัวพ่อ ที่ทำหน้าที่เป็นกระเป๋าเงินให้กับพรรค คนเหล่านั้น……ต้องการให้เยลซินอยู่ต่อไป หรือถ้าจะมีคนมาแทนก็ต้อวเป็นพรรคพวกของตัวเอง อย่าง……อนาโตลี นั้นไม่ใช่……!! งานสาดโคลนตามประเพณีเลือกตั้งจึงตามมา อนาโตลีถูกแฉว่าได้ยักยอกทรัพย์ออกนอกประเทศ ได้ทำการคอร์รัปชั่นในใบอนุญาต รวมทั้งการกระจายข่าวลือว่า อนาโตลีได้ติดต่อกับทางนายกรัฐมนตรีเยอรมันเพื่อที่จะโค่นล้มเยลซิน…… ซึ่งปูตินได้ติดร่างแหไปด้วย เพราะเป็นหนึ่งในทีม แต่ในที่สุดเขาก็เคลียร์ตัวเองได้ ……เพราะตรวจสอบได้หมด เนื่องจากไม่มีสมบัติอะไร เวลาแห่งการหาเสียงมาถึง อนาโตลีต้องพบกับความประหลาดใจ ที่ผู้สมัครเข้าแข่งขันนั้น คือ รองของเขาเอง Vladimir Yakovlev ที่ตอนนั้น อนาโตลีมีความรู้สึกว่าโดนหักหลังจากคนใกล้ชิดที่สุด พวกกลุ่มทำงานในสำนักงานได้เริ่มแยกฝ่าย ไปตามคนที่ตัวเองถือหาง แต่ปูตินยังมั่นคงอยู่กับอนาโตลีไม่เปลี่ยนแปลง… การหาเสียงเป็นไปอย่างเข้าข้น เป็นการหาเสียงที่ต้องใช้เงินมากมาย ที่อนาโตลีด้อยกว่า เพราะท่อน้ำเลี้ยงจากมอสโคว์เหือดแห้งไปแล้ว สรุปว่า โยโกสเลฟ ชนะด้วยคะแนนเฉี่ยวฉิว…… อนาโตลี มีน้ำใจเป็นนักกีฬาพอ เขาได้ใช้ประโยคเด็ดของ Winston Churchill ในตอนที่แพ้เลือกตั้งในปี 1945 ว่า “การที่เราได้ช่วยชาติให้แล้วรอดปลอดภัย……นั่นคือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” แต่นั่นหมายถึงว่า เมื่อหมดวาระ(ในไม่กี่เดือนข้างหน้า) ปูตินจะต้องหางานใหม่ทำ เพราะเขาไม่คิดที่จะทำงานกับโยโกสเลฟ ที่จะผันตัวจากเพื่อนร่วมงานมาเป็นนาย…… ปูตินมีบ้านพักเล็กๆสำหรับพักผ่อนที่นอกเมือง เป็นบังกาโลไม้ธรรมดา ที่อยู่ใกล้กับทะเลสาบ ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ เขาและครอบครัวใช้เป็นที่หย่อนใจ ในเดือนสิงหาคม อันเป็นเดือนของการพักร้อนที่งานไม่ค่อยเดิน เขาจึงได้เชิญครอบครัวของมารินาไปพักผ่อนด้วยกัน พวกผู้หญิงอยู่กันที่ชั้นบน ผู้ชายปูที่นอนกันที่ข้างล่าง… ปูตินออกไปว่ายน้ำในทะเลสาบ เมื่อเขาเดินกลับมา เห็นควันไฟพลุ่งออกมาจากตัวบ้าน เปลวไฟกำลังลามขึ้นไปชั้นบน เขารีบวิ่งฝ่าขึ้นไป ส่งเด็กๆลงมาจากระเบียงโดยใช้ผ้าปูที่นอนผูกแทนเชือก ทุกคนออกมาอย่างปลอดภัย แต่ทันใดนั้น เขานึกขึ้นได้ว่า กระเป๋าเอกสารที่มีเงินอยู่ราวๆห้าพัน (ดอลล่าร์ โดยประมาณ) อันเป็นเงินก้อนเดียวที่เขามี ปูตินรีบวิ่งเข้าไปเอามันออกมา และโรยตัวออกทางระเบียงเช่นกัน กว่ารถดับเพลิงจะมาได้ บ้านทั้งหลังก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว และเมื่อรถมาถึง……พนักงานดับไฟบอกว่า ไม่มีน้ำ… ปูตินโกรธจนตัวสั่น เขาชี้ไปที่ทะเลสาบ……บอกว่า นั่นไง……น้ำ…!! ไอ้หมอนั่นตอบกลับมาว่า……สายยางยาวไม่พอ…!!! เมื่อค้นหาสาเหตุได้ มาจากเครื่องทำความร้อนที่ชั้นล่าง ที่ได้เกิดช๊อตขึ้นมา……เมื่อทุกอย่างเริ่มเย็นลง ปูตินได้เข้าไปคุ้ยหาของที่อาจจะไม่เสียหายมาก เขาได้พบกับก้อนโลหะเล็กๆ ที่ได้หลอมละลายไป นั่นก็คือ กางเขนน้อยที่มาเรียมารดาของเขาได้ให้มา พร้อมกับกำชับว่าให้นำไปขอพรที่พระวิหารในนครเยรูซาเล็ม, อิสราเอล ที่ปูตินได้จัดการให้ตามนั้น เมื่อครั้งที่เขาติดตามอนาโตลีไปเยือนเมื่อสามปีที่แล้ว……!! ที่มอสโคว์……ปลายปี 1995 เยลซินได้เกิดอาการหัวใจกำเริบ ที่ค่อนข้างน่าตกใจ กลุ่มนายทุนที่รายล้อมรอบตัวเขา รีบตื่นตัวกันจ้าละหวั่น เพราะการเลือกตั้งจะมีขึ้นในไม่กี่เดือนข้างหน้า บางคนบอกว่า รีบออกกฎหมายให้เลื่อนการลงคะแนนออกไปก่อน บางคนรีบเสนอชื่อแคนดิเดทพวกพ้องของตัวเองที่จะให้มาลงแทน บางคนเสนอตัวเอง… เยลซินถึงกับบรรลุในสัจธรรม……ว่า…..ทุกคนมาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองทั้งนั้น เขาวางใจใครไม่ได้เลยจริงๆ มันก็ต้องเป็นเช่นนั้น เพราะเหล่า Oligarchs พวกนี้คือเหลือบไรที่เกาะตามตัวของท่านผู้นำที่เนรมิตรสัมปทานทั้งแผ่นดินใหักับพวกเขาจนร่ำรวยกันมหาศาล……เขาเหล่านั้นคือ 1 Boris Berezovsky 2 Mikhaïl Fridman 3 Vladimir Gusinsky 4 Mikhaïl Khodorkovsky 5 Vladimir Potanin (ดิฉันเคยเล่าถึง หมายเลข 1 และ 4 ไปแล้ว …จะนำมาลงให้อีกในคอมเม้นต์) สิ่งที่ทุกคนกลัวที่สุด คือ ถ้าเยลซินหลุดไปจากอำนาจ แล้วถ้าคนใหม่มาจากพรรคคอมมิวนิสต์……นั่นหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างจะหายวับไปกับตา อาจรวมถึงชีวิต ดังที่เยลซินพูดบ่อยๆว่า มันจะเอาพวกเราไปแขวนคอที่เสาไฟฟ้า……!! เหล่ามหาเศรษฐีพวกนั้นเลยระดมทุนกันใหญ่ ว่ากันว่า ถึงสองพันล้านดอลล่าร์…… สุขภาพของเยลซินก็ยังไม่ดีขึ้น แต่ข่าวที่ออกก็เลือกแต่ส่วนช่วงดีๆ ………………ปกปิดเรื่องการป่วยไข้อย่างสนิท ในส่วนตัวของเยลซินเอง……เขาถอดใจแล้ว เขาเริ่มมองหาตัวแทนที่จะมาเป็นผู้นำด้วยตัวเอง เขามุ่งไปที่ลักษณะของนายทหาร ที่เข้มแข็ง มุ่งมั่น และสามารถเข้ากับทุกกลุ่มได้ คนที่เขาหมายตา คือ นายพลหนุ่ม Aleksandr Lebed ที่กะจะมาเอามาเป็นเด็กสร้าง เขาจึงเรียกตัวให้มารับหน้าที่เป็น ผู้อำนวยการฝ่ายดูแลความมั่นคงในส่วนของเครมลิน หลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งได้วันเดียว นายพลหนุ่ม Alexandr ได้พบกับอดีตนายพลอาวุโส แห่งหน่วย คอสแซค ที่ทักทายเขาด้วยความมีไมตรีว่า…”ทราบว่าคุณก็มาจากกองพันคอสแซคเช่นกัน…ยินดีที่ได้รู้จัก” นายพลหนุ่มเชิดใส่……สบัดเสียงตอบไปว่า “ทำไมพูดจาเหมือนพวกยิว……!!” เยลซินถึงได้รู้ว่า เขาดูคนผิด เพราะนายพลที่เขาวาดภาพถึงนั้น คงมีแต่ในหนังสือที่อ่านสมัยเป็นเด็กๆ……ตอนนี้นายพลพวกนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกยามรักษาความปลอดภัยดีๆนี่เอง การเลือกตั้งได้เกิดขึ้น ตัวเยลซินเองก็ต้องแอบไปลงคะแนนในหน่วยใกล้บ้านแต่เช้าตรู่ เพราะเขาป่วยจนแทบเดินไม่ไหว ต้องมีคนคอยประคอง แต่อย่างไรเสีย……เขาก็ชนะด้วยคะแนนไม่มากนัก เพราะแรงทุนที่ทุ่มไม่อั้น ปูตินได้ช่วยเยลซินหาเสียงอยู่ที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ที่ถือว่าเป็นหน่วยสนับสนุนเล็กๆ ที่ไม่ได้เป็นกลไกสำคัญอะไร แต่ที่มอสโคว์……เมื่อเยลซินได้รับเลือกตั้งในครั้งนี้ เขาได้จัดการเอาพวกที่คอยแทงข้างหลังออกไปเป็นแผง ที่ต้องหาคนมาแทนใหม่ และเขาได้เลือก Alexsei Bolshakov อดีตอัยการแห่งกรุงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก เข้าไปรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี รองจาก Viktor Chernomyrdrin ซึ่ง Alexsei คนนี้ ได้เป็นผู้นำปูตินเข้าไปพบกับเยลซิน เพราะเขาเลื่อมใสในการทำงาน เฝ้าดูมาตลอด แต่ไม่ได้สนิทกัน งานที่ปูตินได้รับการแต่งตั้ง คือ ผู้อำนวยการในฝ่ายมวลชนและประชาสัมพันธ์ ที่ต้องประสานกับ Pavel Borodin ที่เผอิญปูตินได้เคยสัมผัสกัน……โดยปาเวลได้ถือเป็นบุญคุณอย่างมากมาย กล่าวคือ บุตรสาวของปาเวลเคยเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย เมื่อครั้ง ปูตินเป็นคณบดี และได้เกิดป่วยไข้ขึ้นมา ปูตินได้จัดการให้เธอได้พบแพทย์และช่วยเรื่องการทดแทนชั้นเรียนในช่วงการขาดลา…… ยิ่งพอมาพบกันจริงๆ…ปาเวลยิ่งปลาบปลื้มขอบอกขอบใจ และสะดวกใจที่จะช่วยเหลืองานอย่างเต็มที่ แต่นั่นหมายถึง……ปูตินจะต้องย้ายไปอยู่ที่มอสโคว์…นี่คือสิ่งเดียวที่เขายังรู้สึกลังเล………!!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 666 Views 0 Reviews
  • #ลองเปิดหัวใจแน๊กชาลีมาถึงวันนี้ต้องอดทนกับอะไรบ้าง
    วันนี้คิงส์โพธิ์แดงอยากชวนเพื่อนๆมาร่วมประสบการณ์
    ย้อนดูความจริงกับน้องชายแห่งชาติกับความผิดพลาด
    ที่น้องต้องออกมาขอโทษซ้ำแล้วซ้ำอีก น้องขอโทษอะไร
    น้องต้องเจออะไร และต้องอดทนกับอะไร มาลองไล่กันดู
    1. #อดทนกับการรับรู้ว่านั่นคือการแสดง การที่แน๊กต้องเจอกับการแสดงและสตอรี่ที่กามินสร้างขึ้น นั่งดูนั่งสงสารมาเป็นเดือน กว่าจะตัดสินใจว่าเอาหละ อยากช่วยผู้หญิงคนนี้จัง ช่างน่าสงสารจริงๆ การแสดงที่เต็มไปด้วยความแบ๊ว แม๊จะอายุปาไปสามสิบกว่าปี แต่สร้างภาพลักษณ์ได้ไม่ต่างกับวัยทีน เมื่อรู้ความจริง นี่คือความอดทนที่พูดไม่ได้
    2. #อดทนกับอิลำยองติดแอล บ้านแน๊ก เห็นน้องดูทะเล้น ดูขี้เล่น แต่จะเห็นภาพชัดเจนว่า ที่บ้านเน็ก เป็นบ้านที่มีการเลี้ยงดูน้องมาอย่างดี ความสะอาด และการไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุก และหลายคนรู้ว่าแน๊ก แพ้กลิ่นแอลอย่างมาก ถึงขนาดไอไม่หยุด แต่อิเหวิงกามิจ มันไม่แคร์ จนแน๊กต้องจำทน เอาแอลเข้าบ้าน ทั้งๆที่บ้านหลังนี้ เคยมีแอลเข้ามา นี่คือความอดทนของแน๊กข้อที่สอง
    3. #อดทนกับการแสดง ด้วยความที่แน๊กเชื่อว่า ความรักความจริงใจที่มอบให้อิเหวิง จะสามารถเปลี่ยนให้นางเป็นคนใหม่ได้ โดยไม่รู้ว่า การมาของอิเหวิง หน้าจอมือถือ คือการแสดงที่อิเหวิงเรียกว่า มาทำงาน แต่แน๊กคิดว่านี่คือสิ่งที่จะช่วยให้กามิจมีทุนเรียนต่อ พูดง่ายๆ ยังอินกับภาพเดิม จนทุกอย่างถูกเปิดเผย
    4. #อดทนกับความรู้สึกผิดกับครอบครัว ความเสียใจที่เกินกว่าที่ใครจะนึกถึงคือ การที่กามิจ เล่นกับหัวใจของแฟนคลับยังไม่พอ ยังแสดงจนแม่ชาลี ต้องอดทนกับพฤติกรรม เพียงเพื่อ รักคนที่ลูกชายรัก แฟนเพจคิดว่าการที่ต้องรู้ว่า ตัวเองพาอิห่านจิกสก็อยที่ไหนเข้าบ้าน ทำให้แม่ต้องอดทน มันเจ็บขนาดไหน
    5. #อดทนกับความซกม๊กสก็อยฉกปก ที่บ้านแน๊ก สังเกตุได้ มีความเป็นระเบียบ ความสะอาด จากภาพที่เห็นการแสดง ใครจะคิด ว่าอิเหวิง เป็นคนซกม๊กตามแบบฉบับสก็อยกิมจิ มันคนละภาพ ถ้าเป็นคิงส์โพธิ์แดง เจอไม่ตรงปกแบบนี้ ยันโครมกลับกิมจิไปนานแล้ว แล้วคนรักสะอาดอยา่งแน๊ก ต้องทนกับการไม่อาบน้ำเป็นสัปดาห์สองสัปดาห์ จะอาบน้ำต้องบังคับ ต้องเข็น กลิ่นตัวที่โชย กลิ่นแอลที่ยังคลุ้ง ตื่นมาไม่แปลงฟัน กินส้มตำได้เลย อะไรแบบนี้ นี่คือความอดทนที่แน๊กต้องพยายามเปลี่ยนนางให้เป็นคนที่แฟนคลับคาดหวัง จนในที่สุดแม้กระทั่งในไลฟ์ แน็กบอกแล้วอย่าแดรกแอล แต่อิเหวิงไม่ฟัง จนเห็นภาพเมาปลิ้นกลางไลฟ์ ชาลีก็ทำหน้าเซ็ง แต่ก็ต้องอดทน กลบเกลื่อนความผิดหวัง
    6. #ต้องทนกับการถูกหักหลัง จากคนอย่างโจ จิตเปื่อย ที่เกาะกระแสแน๊กเป็นปลิง ที่ไปสร้างข้อมูลผิดๆ เพียงเพราะแน๊ก ขวางการทำมาหาแดรกของนาง สร้างกลุ่มเพื่อให้ร้าย เลยเถิดไปถึงการทำให้เ-ก-ลี-ย-ด-ชั-ง ไม่ใช่แค่แน๊ก แต่ลามไปถึงหลานตัวน้อยของแน๊ก มาตร้าย พวกทุยสมุน โจ ตกขาว เล่นกันแรงมาก แต่ชาลีอดทน ไม่อยากเอาเรื่อง จนได้ใจ ทำเป็นกิจกรรมการให้ร้ายเป็นล่ำเป็นสัน จนเป็นเหมือนกอง กำลัง ของอิโจ ไว้เล่นงานแน๊ก อันนี้สุดจริง
    7. #ต้องอดทนที่คนใกล้ตัวที่จิตอ่อน หลงตามอิโจไป ถึงขนาดต้องเชิญมาที่บ้าน เพื่ออธิบายความจริง แต่ก่อนหน้านั้น จะเจ็บเบอร์ไหน เดาไม่ถูกเลย ที่ให้เกียรติเชิญมาฟัง และให้ซักถามทุกข้อ ปรากฏทุกคนเข้าใจหมด ยกเว้นอิโจ ที่ไม่จบ ก็วนกลับไปให้ร้ายน้องตามห้องตามกลุ่มแบบที่เคยๆ ไปสร้างความเข้าใจผิด จนสาวกเข้าใจแบบฝังหัวว่า น้องแน๊กเปื่อย ทั้งๆที่อิโจนี่แหละ เปื่อยของจริง
    8. #ต้องอดทนกับการตัดสินใจที่จะตัดอิเหวิงออกจากชีวิต ไม่ใช่เพราะไม่รัก แต่เพราะทนไม่ได้ที่โจ และอิเหวิง ได้สร้างอิทธิพลทางออนไลน์ ดึงคนไทยจิตอ่อน ไปเปย์กันแบบหมดเนื้อหมดตัว เมื่อห้ามไม่ได้ ต้องจำใจ แยกดีกว่า แต่คำว่าแยก มันไม่ได้ง่ายอย่างที่ใครคิด กว่าที่ชาลีจะมูฟออนได้ ก็เพิ่งเมื่อวาน ที่ลั่นออกมาว่า "ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว" นั่นแหละ
    นี่คือสิ่งที่พี่คิงส์ ประเมิน หัวใจของแน๊กที่ต้องอดทน
    จนคิดว่า แน๊ก เอ็งพระเอกไปป่าวฟร๊ะ
    แต่ก็คงเป็นเพราะแบบนี้ คนไทยถึงรักเอ็ง
    แน๊ก ชาลี
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง3
    #ลองเปิดหัวใจแน๊กชาลีมาถึงวันนี้ต้องอดทนกับอะไรบ้าง วันนี้คิงส์โพธิ์แดงอยากชวนเพื่อนๆมาร่วมประสบการณ์ ย้อนดูความจริงกับน้องชายแห่งชาติกับความผิดพลาด ที่น้องต้องออกมาขอโทษซ้ำแล้วซ้ำอีก น้องขอโทษอะไร น้องต้องเจออะไร และต้องอดทนกับอะไร มาลองไล่กันดู 1. #อดทนกับการรับรู้ว่านั่นคือการแสดง การที่แน๊กต้องเจอกับการแสดงและสตอรี่ที่กามินสร้างขึ้น นั่งดูนั่งสงสารมาเป็นเดือน กว่าจะตัดสินใจว่าเอาหละ อยากช่วยผู้หญิงคนนี้จัง ช่างน่าสงสารจริงๆ การแสดงที่เต็มไปด้วยความแบ๊ว แม๊จะอายุปาไปสามสิบกว่าปี แต่สร้างภาพลักษณ์ได้ไม่ต่างกับวัยทีน เมื่อรู้ความจริง นี่คือความอดทนที่พูดไม่ได้ 2. #อดทนกับอิลำยองติดแอล บ้านแน๊ก เห็นน้องดูทะเล้น ดูขี้เล่น แต่จะเห็นภาพชัดเจนว่า ที่บ้านเน็ก เป็นบ้านที่มีการเลี้ยงดูน้องมาอย่างดี ความสะอาด และการไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุก และหลายคนรู้ว่าแน๊ก แพ้กลิ่นแอลอย่างมาก ถึงขนาดไอไม่หยุด แต่อิเหวิงกามิจ มันไม่แคร์ จนแน๊กต้องจำทน เอาแอลเข้าบ้าน ทั้งๆที่บ้านหลังนี้ เคยมีแอลเข้ามา นี่คือความอดทนของแน๊กข้อที่สอง 3. #อดทนกับการแสดง ด้วยความที่แน๊กเชื่อว่า ความรักความจริงใจที่มอบให้อิเหวิง จะสามารถเปลี่ยนให้นางเป็นคนใหม่ได้ โดยไม่รู้ว่า การมาของอิเหวิง หน้าจอมือถือ คือการแสดงที่อิเหวิงเรียกว่า มาทำงาน แต่แน๊กคิดว่านี่คือสิ่งที่จะช่วยให้กามิจมีทุนเรียนต่อ พูดง่ายๆ ยังอินกับภาพเดิม จนทุกอย่างถูกเปิดเผย 4. #อดทนกับความรู้สึกผิดกับครอบครัว ความเสียใจที่เกินกว่าที่ใครจะนึกถึงคือ การที่กามิจ เล่นกับหัวใจของแฟนคลับยังไม่พอ ยังแสดงจนแม่ชาลี ต้องอดทนกับพฤติกรรม เพียงเพื่อ รักคนที่ลูกชายรัก แฟนเพจคิดว่าการที่ต้องรู้ว่า ตัวเองพาอิห่านจิกสก็อยที่ไหนเข้าบ้าน ทำให้แม่ต้องอดทน มันเจ็บขนาดไหน 5. #อดทนกับความซกม๊กสก็อยฉกปก ที่บ้านแน๊ก สังเกตุได้ มีความเป็นระเบียบ ความสะอาด จากภาพที่เห็นการแสดง ใครจะคิด ว่าอิเหวิง เป็นคนซกม๊กตามแบบฉบับสก็อยกิมจิ มันคนละภาพ ถ้าเป็นคิงส์โพธิ์แดง เจอไม่ตรงปกแบบนี้ ยันโครมกลับกิมจิไปนานแล้ว แล้วคนรักสะอาดอยา่งแน๊ก ต้องทนกับการไม่อาบน้ำเป็นสัปดาห์สองสัปดาห์ จะอาบน้ำต้องบังคับ ต้องเข็น กลิ่นตัวที่โชย กลิ่นแอลที่ยังคลุ้ง ตื่นมาไม่แปลงฟัน กินส้มตำได้เลย อะไรแบบนี้ นี่คือความอดทนที่แน๊กต้องพยายามเปลี่ยนนางให้เป็นคนที่แฟนคลับคาดหวัง จนในที่สุดแม้กระทั่งในไลฟ์ แน็กบอกแล้วอย่าแดรกแอล แต่อิเหวิงไม่ฟัง จนเห็นภาพเมาปลิ้นกลางไลฟ์ ชาลีก็ทำหน้าเซ็ง แต่ก็ต้องอดทน กลบเกลื่อนความผิดหวัง 6. #ต้องทนกับการถูกหักหลัง จากคนอย่างโจ จิตเปื่อย ที่เกาะกระแสแน๊กเป็นปลิง ที่ไปสร้างข้อมูลผิดๆ เพียงเพราะแน๊ก ขวางการทำมาหาแดรกของนาง สร้างกลุ่มเพื่อให้ร้าย เลยเถิดไปถึงการทำให้เ-ก-ลี-ย-ด-ชั-ง ไม่ใช่แค่แน๊ก แต่ลามไปถึงหลานตัวน้อยของแน๊ก มาตร้าย พวกทุยสมุน โจ ตกขาว เล่นกันแรงมาก แต่ชาลีอดทน ไม่อยากเอาเรื่อง จนได้ใจ ทำเป็นกิจกรรมการให้ร้ายเป็นล่ำเป็นสัน จนเป็นเหมือนกอง กำลัง ของอิโจ ไว้เล่นงานแน๊ก อันนี้สุดจริง 7. #ต้องอดทนที่คนใกล้ตัวที่จิตอ่อน หลงตามอิโจไป ถึงขนาดต้องเชิญมาที่บ้าน เพื่ออธิบายความจริง แต่ก่อนหน้านั้น จะเจ็บเบอร์ไหน เดาไม่ถูกเลย ที่ให้เกียรติเชิญมาฟัง และให้ซักถามทุกข้อ ปรากฏทุกคนเข้าใจหมด ยกเว้นอิโจ ที่ไม่จบ ก็วนกลับไปให้ร้ายน้องตามห้องตามกลุ่มแบบที่เคยๆ ไปสร้างความเข้าใจผิด จนสาวกเข้าใจแบบฝังหัวว่า น้องแน๊กเปื่อย ทั้งๆที่อิโจนี่แหละ เปื่อยของจริง 8. #ต้องอดทนกับการตัดสินใจที่จะตัดอิเหวิงออกจากชีวิต ไม่ใช่เพราะไม่รัก แต่เพราะทนไม่ได้ที่โจ และอิเหวิง ได้สร้างอิทธิพลทางออนไลน์ ดึงคนไทยจิตอ่อน ไปเปย์กันแบบหมดเนื้อหมดตัว เมื่อห้ามไม่ได้ ต้องจำใจ แยกดีกว่า แต่คำว่าแยก มันไม่ได้ง่ายอย่างที่ใครคิด กว่าที่ชาลีจะมูฟออนได้ ก็เพิ่งเมื่อวาน ที่ลั่นออกมาว่า "ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว" นั่นแหละ นี่คือสิ่งที่พี่คิงส์ ประเมิน หัวใจของแน๊กที่ต้องอดทน จนคิดว่า แน๊ก เอ็งพระเอกไปป่าวฟร๊ะ แต่ก็คงเป็นเพราะแบบนี้ คนไทยถึงรักเอ็ง แน๊ก ชาลี #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2 #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง3
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 2028 Views 0 Reviews
  • #นิยายไทย
    #คู่กรรม2
    #ทมยันตี
    #หนังสือน่าอ่าน
    #thaitimes
    #14ตุลา



    อ่านจบเดือนครึ่งเกือบสองเดือนแล้วสำหรับคู่กรรม2 ของทมยันตี สองเล่ม 702 หน้า สนพ. ณ บ้านวรรณกรรม พิมพ์ที่อ่านนี้เป็นครั้งที่ 9 ปี 2552 (ยืมจากห้องสมุด) ในอดีตเคยอ่านแค่ตอนเดียวสมัยเรื่องนี้พิมพ์ลงในนิตยสาร โลกวลี ช่วงสมัยอยู่มัธยม

    เมื่อดูจากปกในที่ระบุว่ามีการรวมเล่มครั้งแรกปี 2534 เท่ากับว่าเรื่องนี้ปรากฏโฉมสู่สายตานักอ่านมาถึงปัจจุบันรวมเวลา 33 ปีล่วงแล้ว

    เคยชมภาพยนตร์ที่นำแสดงโดย คุณพล ตัณฑเสถียร และคุณศิริลักษณ์ ผ่องโชค เมื่อปี 2539 รู้สึกตอนจบรันทดหดหู่เนื่องจากลูกชายของอังศุมาลินตายเพราะช่วยลูกศิษย์ เลยไม่อยากอ่านหนังสือ แต่เพิ่งจะรู้ข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้เองว่าบทสรุปในหนังสือนั้นต่างไปจากที่ถูกสร้างเป็นหนัง ดังนั้นจึงเกิดแรงใจในการหามาอ่านให้จบสมบูรณ์ หลังจากที่เคยอ่านภาคแรกจบตั้งแต่สามสิบกว่าปีก่อน

    พบคำผิดประปรายในการพิมพ์ครั้งที่ 9 บางคำก็ได้ความรู้เพิ่มเติมว่าสามารถเขียนได้สองแบบ เช่นคำว่า กระแหนะกระแหน ซึ่งเขียนว่า กระแนะกระแหน ก็ได้ ที่ผ่านมาตัวเองคุ้นชินกับการเขียนแบบมี ห นำหน้ามาตลอด พอเห็นว่าในหนังสือใช้เป็นแบบไม่มี ห นำ ยังคิดว่าน่าจะพิมพ์ผิด เมื่อลองค้นจึงค่อยทราบว่าไม่ผิด ซึ่งในเล่มช่วงแรก ก็ไม่มี ห แต่พอช่วงหลังมี ห โผล่มาซะงั้น อดคิดไม่ได้ว่าตกลงจะเลือกใช้แบบไหนก็น่าจะเอาสักทาง ให้เหมือนกันตลอดทั้งเรื่อง

    จากนี้ไปจะยาวมากครับ คงมีคนอ่านไม่มาก ถ้าใครอ่านต่อจนจบได้ขอโปรดรับคำขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย

    ในส่วนเนื้อเรื่องของภาคนี้ ดำเนินต่อจากความตายของโกโบริ คืออังศุมาลินท้องแก่และคลอดลูกชาย ให้ชื่อว่ากลินท์ที่หมายถึงพระอาทิตย์ ชื่อญี่ปุ่น โยอิจิ โยหมายถึงดวงอาทิตย์ อิจิคือลูกคนแรก พ่อของอังศุมาลินยังคงห่วงใยคนรักเก่าและลูกสาวที่บ้านสวน จึงมาบอกข่าวว่าอีกไม่นานญี่ปุ่นคงจะแพ้สงคราม ซึ่งจะส่งผลกระทบมาสู่แม่อร อังศุมาลินและลูกโดยตรง จึงอยากจะช่วยเหลือ แต่แม่อรปฏิเสธ ไม่ใช่แค่คนเป็นพ่อที่ห่วงใย แม้ตาผลตาบัวสองคู่หูคู่หอย ก็หมั่นนำข่าวมาบอกว่าอีกไม่นานพลพรรคจะนัดกันลุกฮือต่อสู้ญี่ปุ่น รวมถึงวนัสที่ได้รับอิสระจากความช่วยเหลือของโกโบริก่อนตาย จึงกลับมาหาอังศุมาลินเพื่อบอกข่าวและถามเธอว่าจะยอมแต่งงานกับเขาไหม เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิด แต่อังศุมาลินปฏิเสธ เธอยินดีที่จะอยู่ดูแลลูกต่อไปในบ้านสวน ไม่ย้ายหนีไปไหนทั้งนั้น แล้วคุณยายแม่ของแม่อร และยายของอังศุมาลิน ก็จากไปเป็นคนแรกของภาคนี้ แต่เป็นการจากอย่างสงบ เตรียมตัวตายอย่างดี ไปถือศีลอยู่วัดไม่ต้องลำบากลูกหลาน

    เวลาผ่านไป ในที่สุดญี่ปุ่นแพ้สงครามพ่อของอังศุมาลินมาบอกทุกคนที่บ้านสวนว่าจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ช่วงบั้นปลายชีวิต ทุกคนร่วมอนุโมทนา หลังบวชท่านต่างจากพระอื่นในวัด ไปอยู่กุฏิเล็กโทรมเพียงรูปเดียว ฉันวันละมื้อ และปฏิบัติเคร่งครัดจนชาวบ้านพากันโจษจันไปทั่วคุ้งน้ำ ด้านเด็กชายกลินท์เจริญวัยขึ้น ได้รับความเอาใจใส่จากแม่ และปู่คือตาผลตาบัวที่อุปโลกน์ตนเอง โดยเล่าเรื่องราวต่างๆของแม่และโกโบริให้กับเด็กชายฟัง ก่อนที่ทั้งคู่จะทยอยตายจากไปเช่นกัน จึงเหลือเพียงแม่อร ที่มักไปอยู่วัดบ่อยเหมือนเช่นทวดของกลินท์ นาน ๆ ครั้งกลินท์จึงได้ติดตามยายกับแม่ไปกราบท่าน กาลล่วงเลยจนเด็กชายเติบใหญ่เป็นหนุ่มวัย 27 ปี ดีกรีอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์ที่ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นที่ชื่นชอบในบรรดาเหล่าลูกศิษย์โดยเฉพาะนักศึกษาหญิง

    ขณะที่เมืองไทยเข้าสู่ช่วงปีที่ในกรุงเทพกำลังเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้านสินค้าและอื่นใดที่มาจากญี่ปุ่น ซึ่งสร้างชาติอย่างรวดเร็วภายหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง โดยเน้นทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้โยอิจิที่มีปมเป็นลูกที่มีเลือดญี่ปุ่นครึ่งหนึ่ง นึกรังเกียจไม่พอใจชาติกำเนิดตนเอง ต่อต้านพ่อที่ตายไปแล้ว และไม่เข้าใจแม่ จึงกลายเป็นคนที่ให้คำแนะนำแก่บรรดาศิษย์หัวรุนแรง ก้าวหน้า ฝักใฝ่ปลดแอกประชาชนจากการเป็นทาสทุนนิยมบริโภคและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น โดยไม่มีใครรู้ความจริงของพ่ออาจารย์

    ทางบ้านสวน แม้โยอิจิจะรักแม่มาก แต่ขณะเดียวกันใจก็ยังไม่ยอมรับพ่อ กลายเป็นเหมือนเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ รั้น และดื้อเงียบ แต่เขาเข้ากันได้อย่างดีกับลุงวนัสที่สนิทสนมมาแต่เด็ก เข้าออกบ้านลุงบ่อย ตั้งแต่กำนันพ่อของวนัสยังมีชีวิตอยู่จนตายไปในเวลาต่อมา วนัสทำธุรกิจหลายอย่าง รวมถึงการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้านเรือนไทยของตนให้เป็นที่ทำงานด้วย วนัสไม่ยอมแต่งงานสักทีตั้งแต่อกหักจากอังศุมาลิน แม้โยอิจิจะรู้ว่าวนัสมีการคบหาทำธุรกิจกับพวกคนญี่ปุ่น เขาไม่เห็นด้วยแต่ก็ยังรักชอบในฐานะลุงเช่นเดิม

    ส่วนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเขาเป็นอาจารย์สอนอยู่นั้น เขาคอยเป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มนิสิตนักศึกษาระดับผู้นำหลายคนที่เรียกร้องรัฐบาลให้บอยคอตคนญี่ปุ่นรวมถึงธุรกิจ สินค้าทุกชนิด โดยที่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าเขามีพ่อเป็นใคร ขณะที่มีอาจารย์สาวคนหนึ่งชื่อ ชิตาภา หน้าตาดี ครอบครัวเป็นชาวจีนมีอันจะกินที่มาตั้งรกรากสร้างตัวจนกลายเป็นมีกิจการค้ารุ่งเรือง มักชอบเข้าหามาชวนเขาสนทนาอยู่บ่อยครั้ง ดูเหมือนเธอจะพึงใจในตัวโยอิจิอยู่บ้าง และน่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น แต่เขาไม่สนใจ มักคุยด้วยไม่นาน และสร้างขอบเขตส่วนตัวที่กันคนอื่นออกไปอยู่วงนอกเสมอ ไม่ยอมให้ใครเข้าถึงความในใจตนได้

    แล้ววันหนึ่งนักศึกษาสาวปีสามรัฐศาสตร์นามว่า ศราวณี ผู้เป็นแกนนำหัวรุนแรงที่ต่อต้านคนญี่ปุ่นและสินค้าญี่ปุ่น รวมถึงต่อต้านรัฐบาลทหารในช่วงนั้น ซึ่งรู้ความจริงเรื่องของพ่อโยอิจิ และมีความคับแค้นจากปมในครอบครัวตนซึ่งแม่ตายตั้งแต่เด็ก ถูกเลี้ยงดูมาจากยายและป้าที่เป็นพี่สาวของแม่ และเข้าใจผิดฝังหัวมาตลอดเกี่ยวกับครอบครัวบ้านสวนของอังศุมาลิน ที่มาแย่งชิงความรักไปจากคุณตาของเธอ เพราะทั้งยายและป้ามักเล่าความหลังโดยบิดความจริงแล้วใส่สีตีไข่ บริภาษแม่อรว่าคือผู้เป็นเมียน้อยที่แย่งความรักไป ทำให้ครอบครัวฝั่งยายลำบาก และโดนแย่งสมบัติไปหมด แม่และป้าจึงโตมาอย่างยากแค้นจนแม่ตายไปและป้าต้องรับเลี้ยงศราวณีต่อมาอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ ทำให้ป้ามักอารมณ์เสียใส่เธอเสมอตั้งแต่เด็กจนโต เพาะเป็นความเกลียดชังต่อครอบครัวฝั่งบ้านสวน ทั้งที่ตัวเองไม่เคยพบหน้าอีกฝ่าย จนเมื่อเข้ามาเป็นนักศึกษาและพบว่าโยอิจิสอนหนังสืออยู่ที่ธรรมศาสตร์ จึงพุ่งความโกรธเกลียดที่ตนเคยได้รับจากป้ามารวมอยู่ที่อาจารย์ทั้งหมด จนกระทั่งบอกความลับเรื่องพ่อของโยอิจิออกไปให้พวกเพื่อนกลุ่มหัวรุนแรงด้วยกันรับรู้

    วันที่พวกเธอและเพื่อนตามตัวให้โยอิจิมาที่ห้องซึ่งเป็นที่รวมพลเพื่อพูดคุยเรื่องจะทำอะไรต่อไป แล้วใครคนหนึ่งได้กล่าวเปิดโปงเรื่องโกโบริ และพูดจาดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติของพ่อ วินาทีนั้นเองโยอิจิกลับเพิ่งเข้าใจหัวใจตนเองเป็นครั้งแรกในชีวิต 27 ปีที่ผ่านมา ว่าแท้จริงเขารักพ่อและเทิดทูนในเกียรติยศของทหารหาญมากแค่ไหน เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาด้วยท่าทีแสดงออกถึงความภูมิใจในสายเลือดแห่งตนด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมพลัง ที่สามารถสยบเสียงโห่ฮาขับไล่ของเหล่านักศึกษาให้สงบลงได้ นั่นคือครั้งแรกเช่นกันที่สร้างความประหลาดใจแกมรู้สึกผิดอยู่เบื้องลึกให้เกิดขึ้นในหัวใจของศราวณี ที่ไม่นึกฝันว่าโยอิจิจะกล้ายอมรับอย่างไม่สะทกสะท้าน

    นับตั้งแต่วันนั้น โยอิจิเหมือนได้รับการปลดล็อกออกจากห้องขังที่ตนเองสร้างขึ้นเพื่อหนีความจริงสุดลึกที่เก็บกดไว้ เขาเข้าใจถึงความรักของแม่อันเป็นที่รักที่มีต่อพ่อชาวญี่ปุ่นอย่างท่วมท้นหัวใจแล้ว พ่อไม่เคยทำสิ่งไม่ดี มีแต่ทำตามหน้าที่ของชายชาติทหารที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้ทำไปด้วยความจงเกลียดจงชัง โยอิจิกลับไปที่บ้านสวนในเย็นวันนั้นอย่างคนที่บาดเจ็บสาหัส ไม่ใช่ทางกาย แต่ได้รับความกระทบกระเทือนทางใจอย่างรุนแรง อังศุมาลินรับรู้ได้ด้วยสายตาและหัวใจของคนเป็นแม่ แม้ไม่รู้ว่าลูกชายพบเจอเรื่องใดมาทำได้แค่ยกสองมือขึ้นโอบกอดถ่ายเทความรักความอบอุ่นที่มีให้กับลูกชายด้วยความเข้าใจอย่างสงบ

    โยอิจิไม่รู้ความจริงว่าศราวณีคือน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง เกิดจากน้องสาวต่างมารดาของอังศุมาลิน มีเพียงอาจารย์ชิตาภาที่ทราบ เพราะเธอเป็นญาติที่มีศักดิ์เป็นคุณน้าของศราวณี แต่ยังไม่อาจเล่าให้เขาฟัง โยอิจิยังคงสงสัยและเคลือบแคลงว่าชิตาภาประสงค์สิ่งใดแน่จึงมักหาเหตุมาใกล้ชิดชวนสนทนากับตน

    ด้วยความรู้สึกผิดเกาะกินจากภายใน รวมถึงปัญหาต่าง ๆ รุมเร้า แม้ใจจะต่อต้านพี่ชายอย่างอาจารย์กลินท์ แต่เบื้องลึกเธอกลับมีความรู้สึกที่ดี รักเคารพในชายคนนี้อย่างไม่รู้ตัว วันหนึ่งโยอิจิพบเธอนั่งซึมอยู่ที่ท่าเรือ เหมือนรอคอยจะพบเขาและตามลงเรือมาที่บ้านสวนด้วย ศราวณีจึงได้พบกับสรวงสวรรค์บ้านเรือนไทยหลังเดียวในย่านนั้นที่ยังคงสภาพเหมือนเดิมกับช่วงเกิดสงคราม ในขณะที่บ้านหลังอื่นเปลี่ยนแปลงไปสร้างตามอย่างต่างชาติหมด เธอพบบรรยากาศที่ร่มรื่นชื่นเย็น สงบสุขอย่างไม่เคยได้รับยามเมื่อกลับถึงบ้านที่อยู่กับป้า ยิ่งเมื่อได้พบเจออังศุมาลิน ภาพที่เคยคิดไว้กลับตรงข้ามกับสิ่งที่เห็นและได้ยินทุกอย่างต่างจากที่ยายและป้าได้พูดใส่หูเธอมาตลอด เธอรู้สึกได้รับความสุข สงบ สบายใจและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเกิด และเริ่มเปลี่ยนความคิดที่มีต่อครอบครัวของโยอิจิ

    ทางด้านหลวงพ่อ หลังจากบวชเพื่อปฏิบัติอย่างเอาจริงอยู่จนล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัย ที่สุดก็มรณภาพอย่างสงบในท่านั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ ทำให้ชาวบ้านโจษจันต่างศรัทธานับถือ จนเจ้าอาวาสและทางกรรมการวัดเห็นเป็นโอกาสในการสร้างเรื่องเรียกคนเข้ามาทำบุญเพิ่ม ด้วยการยกให้หลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทันที ทั้งที่ตอนมีชีวิต ไม่ใคร่สนใจ

    ที่บ้านสวนส่วนใหญ่อังศุมาลินอยู่บ้านคนเดียว ทำงานบ้านดูแลอาหารการกินเตรียมไว้ให้ลูกชาย ทว่าเริ่มมีอาการป่วยที่ค่อย ๆ รุนแรงมากขึ้นจนต้องแอบไปที่ศิริราช โดยมีเจ้าโก๊ะเด็กชายตัวน้อย ลูกของคนจรจัดหญิงชายที่มาขออาศัยอยู่ในสวนด้านหลังบ้านตามไปเป็นเพื่อน พ่อแม่ของโก๊ะนั้นเป็นประเภทไม่ชอบทำมาหากิน ขี้เหล้าเมายา เล่นพนันไปตามเรื่อง อังศุมาลินเคยหวังดีเอ่ยปากแนะนำให้ตั้งตัวขยันทำกินหลายครั้ง แต่ทั้งสองไม่สนใจ เอาแต่เก็บผักผลไม้จากในสวนของแม่อรและอังศุมาลิน มากินและขายด้วยถือวิสาสะว่าเหมือนของตน และมักใช้ให้โก๊ะมาขอเงินจากอังศุมาลินบ่อย ๆ

    ส่วนเหตุการณ์ทางด้านการบ้านการเมืองกลับทวีความรุนแรง คุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ บรรดานักศึกษาต่างรวมตัวกันในสถาบันหลายแห่ง รวมถึงขึ้นเวทีพูดปลุกระดมให้ชาวบ้านฟังและเข้าร่วมสนับสนุนฝ่ายตนมากขึ้น ขณะที่ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลให้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องที่ร่างขึ้น เหตุการณ์ช่วงปี พ.ศ. 2516 เริ่มขมวดปมความขัดแย้งระหว่างฝ่ายผู้บริหารกับฝ่ายนักศึกษา ผ่านสายตาของโยอิจิและชิตาภาที่คอยเฝ้ามองอย่างห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วงในตัวศิษย์ แม้เคยกล่าวเตือนในหลายครั้งให้ศราวณีระมัดระวัง อย่าทำอะไรที่ผลีผลาม หุนหันพลันแล่น แต่อย่างไรเด็กก็คือเด็ก เมื่อเขามีความเชื่อฝังหัวไปทางด้านหนึ่ง ก็ขาดความใคร่ครวญพิจารณาอย่างรอบถ้วน และมองไม่เห็นถึงภัยร้ายที่จะบังเกิดขึ้นในเมื่อทุกสิ่งถูกปลุกเร้าเข้าสู่ห้วงวิกฤต

    สุดท้ายถึงวันแตกหักอันเป็นเหตุการณ์วิปโยคของคนไทยทุกคน จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับโยอิจิ ชิตาภา และศราวณี ในขณะที่อังศุมาลินนั้นก็มีอาการเจ็บป่วยที่มักเหนื่อยง่าย หน้าซีดจะเป็นลมบ่อย แต่ปิดไว้ไม่ให้ลูกชายรู้ ดูเหมือนเวลาชีวิตของเธอจะเหลืออีกไม่มากก่อนจะได้ตามไปอยู่กับโกโบริ สรุปสุดท้ายของนิยายจะลงเอยอย่างไรไปอ่านต่อได้ในคู่กรรม 2 ครับ

    🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ

    มีทั้งส่วนที่ชอบและไม่ชอบ ภาคนี้ต่างไปจากภาคแรกอย่างชนิดเหมือนเป็นนิยายคนละเรื่อง คนละแนวทาง คือภาคแรกมีความเป็นนิยายรักระหว่างรบ ที่มีทั้งปมความรัก ความขัดแย้งในตัวตนกับคนที่คิดว่าคือศัตรูเป็นแกนหลัก เน้นไปทางอารมณ์ความรู้สึกของอังศุมาลินและโกโบริ โดยมีเหตุการณ์น้อยใหญ่ที่เข้ามาสร้างให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกันของทั้งสองเพิ่มขึ้นทีละน้อยจนถึงขั้นรัก แต่ไม่อาจเปิดใจเพราะติดที่กรอบซึ่งถูกสร้างขึ้นจากทั้งอังศุมาลินเอง และสังคมสร้างให้กลายเป็นขื่อคาที่ตรึงรั้งใจไว้ให้มิอาจแสดงออกถึงความรักได้ดังเช่นคู่สามีภรรยาปกติ จนนำไปสู่บทสรุปอันเจ็บปวดและขมขื่นในตอนท้ายเรื่องที่สร้างความจดจำและสะเทือนใจให้กับคนอ่านอย่างยิ่ง กลายเป็นอมตะนิยายรักแห่งโศกนาฏกรรมที่คนไทยรู้จักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง

    มาในภาคนี้ เนื้อหาโครงสร้างหลักกลับเน้นไปที่ความมองโลกของคนเป็นแม่อย่างคนที่ผ่านประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตมาแล้ว และจะเลือกเดินหน้าต่อไปอย่างไรในสถานการณ์ที่คนไทยส่วนใหญ่เกลียดชังญี่ปุ่น ในขณะที่เธอคือภรรยาหม้ายและมีลูกชายสายเลือดที่เกิดจากทหารญี่ปุ่น ตลอดทั้งเล่มนี้ในความรู้สึกส่วนตัว ผมมองว่านี่คือนิยายธรรมะเล่มหนึ่งทีเดียว เพียงแต่ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นคำบรรยายเทศน์ของพระผู้เป็นองค์ธรรมกถึก หากแต่เป็นหนังสือธรรมะที่นำพล็อตของนิยายมาสวม จึงพบได้ในหลายย่อหน้า แทบทุกตอนที่ผู้เขียนสอดแทรกแนวคิดหลักธรรมทางพุทธตามแนวที่ท่านเชื่อเป็นทางที่ถูกตรงลอยอบอวลอยู่ในการบรรยาย เหมือนตัวละครและฉากเหล่านั้นคือตัวแทนหรือเครื่องมือที่ต้องการสื่อสอนธรรมะไปสู่ผู้อ่านอยู่ตลอด โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องราวของความตาย ดังจะเห็นได้จากมีการจากไปของตัวละครเดิมที่มีบทบาทจากภาคแรก คนแล้วคนเล่า เริ่มตั้งแต่คุณยาย ตาผลตาบัว หลวงพ่อ และกำลังใกล้ตายอย่างอังศุมาลิน ทำนองแสดงสัจธรรมชีวิต

    หลายช่วงตอนที่มีการหยิบยกบทกลอนร้อยกรองจากในวรรณคดีไทย หรือที่ผู้เขียนแต่งขึ้น รวมถึงวลี ประโยคภาษาอังกฤษจากบทเพลง บทกวีต่าง ๆ ของทางตะวันตกมาใช้เพื่อสื่อแสดงถึงความรู้สึกของผู้เขียนที่ต้องการสะท้อนผ่านเรื่องราวของเหตุการณ์แวดล้อมรอบตัวโยอิจิ และตัวละครสำคัญ จนบางทีก็ดูมากไป อ่านไปเรื่อย ๆ อดที่จะคิดไม่ได้ว่าเล่มนี้ มีความคล้ายกันกับอีกเล่มของทมยันตีที่มีชื่อว่า จดหมายถึงลูก(ผู้)ชาย ที่เน้นสอนลูกของผู้เขียนเองและคนเป็นลูกชายทุกคน ด้วยการแทรกแนวคิดคำสุภาษิตไว้ในเนื้อหาตลอดเล่ม

    แล้วการเขียนลักษณะนี้ดีหรือไม่อย่างไร?

    คงขึ้นกับความชื่นชอบส่วนบุคคลของผู้อ่านที่มีรสนิยมแตกต่าง ส่วนผมเองนั้นไม่ถึงกับเรียกได้ว่าชอบทว่าก็ไม่ขัดใจมากมาย แต่ยอมรับว่าทมยันตีเป็นหนึ่งในนักเขียนที่มีความไม่ธรรมดาในด้านศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งหาตัวจับยาก แล้วนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนได้เก่งมากคนหนึ่งในเหล่านักเขียนรุ่นเก่า หากจะติบ้างก็คงเป็นความเข้าใจในทางหลักธรรมที่นำมาสอดแทรกไว้ในคู่กรรม2 นั้น ยังเป็นความเข้าใจที่เหมือนเช่นคนปฏิบัติธรรมทั่วไปในไทยเข้าใจกันว่าถูกต้อง คือเน้นการนั่งสมาธิเดินจงกรมว่าคือวิธีที่จะนำไปสู่การลดละกิเลสจนนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ ดังที่ตัวละครหลวงพ่อในเรื่องได้ปฏิบัติและพูดคุยสอนธรรมกับโยอิจิ หรือแม่อร อังศุมาลิน ซึ่งโดยแท้จริงการปฏิบัติควรเน้นไปที่การมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกที่จะจับอาการกิเลสแล้วกำจัดทิ้ง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน หรืออิริยาบถย่อยอื่น ไม่ใช่เพียงแค่ตอนนั่งสมาธิเดินจงกรมเพียงเท่านั้น เพราะในชีวิตจริงมนุษย์ไม่อาจจะบังคับตนให้อยู่เพียงแค่ท่านั่งสมาธิต่อเนื่องยาวนานไปจนชั่วชีวิต

    นอกจากประเด็นที่กล่าวถึงนี้แล้วที่มีความเห็นไม่ตรงกับผู้เขียน ทางด้านอื่นถือว่าผมชอบนิยายเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะการมองโลกที่มองทะลุถึงความเป็นจริงของสังคมไทย ลักษณะนิสัย ที่เจาะลึกให้เห็นว่าแม้นในอดีตสมัยสงครามคนไทยเป็นอย่างไร ปัจจุบันในยุคนี้ก็ยังคงพบเห็นได้ว่าไม่แตกต่างกันนัก จึงถือว่านิยายเล่มนี้ไม่ล้าสมัย โดยเฉพาะด้านการบ้านการเมืองที่ผู้มีอำนาจในฝ่ายรัฐ มักเลือกใช้วิถีทางแห่งความรุนแรงในการสยบปัญหาอยู่เสมอ โดยมีมือที่สามที่คอยฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ ยั่วยุ ปลุกปั่น และล่อลวงให้คู่กรณีระหว่างรัฐกับนักศึกษาและประชาชนปะทะแตกหัก จนเกิดความสูญเสีย อันมีแต่หายนะต่อประเทศชาติ

    ศราวณี คือตัวแทนที่เปรียบให้เห็นเด่นชัด ไม่ว่ายุคใด เหล่าเด็กหนุ่มสาวอนาคตชาติ มักถูกกระตุ้น ให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และปลุกเร้าจุดไฟติดได้โดยง่าย ด้วยพวกเขามีพลังงานล้นเหลือ เมื่อเลือกเชื่อไปทางใดทางหนึ่งแล้ว บางทีก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังโดยไม่ทันได้ใคร่ครวญ ยั้งคิด หรือพิจารณาทัศนียภาพรอบข้างระหว่างทางที่มุ่งไปให้ถี่ถ้วนรอบคอบ จึงมักตกเป็นฝ่ายที่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือให้ไปตายแทนคนบงการแท้จริงเบื้องหลังเสมอ

    และเมื่อเกิดความสูญเสียแล้วก็เป็นเช่นดังอะไหล่เลวที่โดนใช้แล้วทิ้งโดยไร้ความเสียดาย หรือจำเป็นต้องดูแลอย่างใดต่อไป กว่าพวกเขาจะรู้ตัว ความผิดพลาดพลั้งเผลอก็เกิดขึ้นและไปไกลเกินกว่าตนเองจะหยุดยั้ง ควบคุมและแก้ไขสถานการณ์ได้เสียแล้ว ดังจุดจบของตัวละครในเรื่องนี้หลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ความเก่งกล้า ไม่ยอมใคร ไม่ฟังอาจารย์ ความร้อนเร่าเอาแต่ใจ รั้นจะทำในสิ่งที่ตนคิดให้จงได้ ทว่าสุดท้ายกลับกลายพาเพื่อน คนที่ไม่รู้อะไรแต่ก็ตามกันไป ไปพบกับการบาดเจ็บล้มตายต่อหน้าต่อตา ถึงกับกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง หลบหนีตายจ้าละหวั่น กระทบกระเทือนถึงสภาพจิตใจอย่างรุนแรงจนแทบจะกลายเป็นบ้าไป เธอจึงได้รับบาดแผลลึกที่เสียใจก็ไม่ทันแล้ว กับไฟที่ตอนแรกเพียงแค่เหมือนไฟจากปลายก้านไม้ขีดในมือที่ขยับนิดเดียวก็ดับ สุดท้ายมันกลับกลายเป็นไฟกองใหญ่ที่โหมไหม้รวดเร็ว ลามเลียทำลายทุกสิ่งอย่างไม่อาจดับได้ด้วยแค่กำลังตนเอง

    นอกจากนี้ที่ชอบก็มีในส่วนของการใช้ภาพตัวละครในเรื่องอย่างครอบครัวของเจ้าโก๊ะ ที่สะท้อนภาพตัวแทนของชนชั้นล่างได้ชัดเจน ความเหลื่อมล้ำที่เหล่านักศึกษามักนำมาเป็นคำขวัญ ชูประเด็นเพื่อเรียกร้อง และรังเกียจเคียดแค้นเหล่าชนชั้นศักดินา ดังเช่นอาจารย์ชิตาภาที่ครอบครัวเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่มาไทยอย่างเสื่อผืนหมอนใบ แต่ขยันขันแข็งและสร้างตัวจนมีทรัพย์ ร่ำรวยมีอันจะกินและสร้างธุรกิจด้วยการค้าขายขยับขยายฐานะ จนเลื่อนจากชนชั้นแรงงานต่างด้าวมาเป็นพ่อค้าวาณิชย์ที่มีกิจการมากมายและถูกแปะป้ายให้กลายเป็นศักดินาไป จนถูกมองว่าเป็นความผิดความเลวที่เข้ามากอบโกยนั้น หรือแม้แต่วนัสที่เป็นคนไทยแต่มีหัวในทางธุรกิจการค้า จึงติดต่อซื้อขายกับคนต่างชาติอย่างญี่ปุ่นหรือชาวตะวันตกจนมีฐานะเข้าขั้นเศรษฐี ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นพวกเสรีไทย แต่ในภาคนี้เรียกได้ว่าแปะป้ายศักดินาตามความหมายของเหล่านักศึกษาได้เช่นกัน

    หากมองความจริงในอีกแง่มุม ย่อมเห็นได้ว่าคนไทยเองที่เป็นชนชั้นกรรมาชีพจำนวนมากนั้นมีสันดานเป็นอย่างพ่อและแม่ของเจ้าโก๊ะ ที่เอาแต่ชื่นชอบอยู่อย่างสบายไม่ต้องทำการทำงาน วันทั้งวันเอาแต่เมาหัวราน้ำ แม้นมีคนหยิบยื่นความช่วยเหลือหวังให้สร้างตัวเพื่อตั้งตนได้ แต่ก็ไม่กระตือรือร้นสนใจ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ อยากแต่จะขอเขากินไปเรื่อย ๆ อาศัยความเมตตาและมีน้ำใจของครอบครัวแม่อรและอังศุมาลินเป็นเครื่องมือ เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างคนขี้เกียจ รักสบายได้ต่อไป มีเงินก็หมดไปกับเหล้ายาและการพนัน เงินหมดก็ใช้ให้โก๊ะไปไถขอเอาใหม่ ด้วยรู้จุดว่าถ้าให้เด็กมาขออย่างไรก็ได้ นี่ไม่อาจยอมรับว่าไม่ว่าจะในนิยายซึ่งอยู่ในยุคหลังสงคราม หรือปัจจุบันที่ล่วงเลยมาอีกหลายสิบปี ก็ยังมีคนไทยที่เป็นเช่นนี้อีกเป็นจำนวนมาก แล้วจะไปโทษว่าแต่ความเหลื่อมล้ำเพราะชนชั้นได้เช่นไร ในเมื่อตนเองยินดีทำตนให้เป็นไปเช่นนั้น

    อังศุมาลินและโยอิชิคือตัวแทนของชนชั้นกลางที่น่าสนใจ ทั้งสองมีความรู้ตามทันยุคสมัยของความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่หลงใหลปล่อยให้กระแสเชี่ยวแห่งคลื่นทุนนิยมเข้าครอบงำ ยังคงดำเนินชีวิตทั้งรูปแบบ และวิถีตามอย่างวัฒนธรรมอันดีงามในอดีตที่บรรพบุรุษสร้างไว้ ไม่ว่าจะเรือนพักอาศัยที่ไม่รื้อทิ้งหลังเก่าแล้วสร้างใหม่ และพยายามสงวนที่ดินสวนหลังบ้านไว้ปลูกผักปลูกไม้ผลให้พอเก็บกินไม่เดือดร้อน ในขณะครอบครัวอื่นขายที่ให้นายทุน และสร้างบ้านปูนกันไปเกือบหมด

    ภาพความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดเจนนี้เองที่เป็นความงดงาม แม้นลำคลองจะไม่เหมือนเดิม คนไทยทิ้งขยะสิ่งปฏิกูลลงน้ำ ทำลายต้นกำเนิดรากเหง้าสายธารแห่งชีวิตของตนเอง ทำให้ปลา กุ้ง หอย สัตว์น้ำที่เคยมีลดน้อยจนกระทั่งหายไปไม่เหมือนก่อน เมื่อมาถึงยุคสมัยที่เรามีชีวิตอยู่นี้ เราจึงต้องแบกรับผลพวงที่ตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เราไม่ชอบ เราบ่นหรืออาจถึงขั้นก่นด่าคนรุ่นก่อน แต่เราเองก็ละเลยไม่ได้มองกลับเข้ามาในตน ว่าในแต่ละวันได้ทำอะไรที่เป็นไปในทางที่ทำร้าย ทำลายวิถีไทย สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรมและประเพณีอันดีมากน้อยขนาดไหนอย่างไรบ้าง
    #นิยายไทย #คู่กรรม2 #ทมยันตี #หนังสือน่าอ่าน #thaitimes #14ตุลา อ่านจบเดือนครึ่งเกือบสองเดือนแล้วสำหรับคู่กรรม2 ของทมยันตี สองเล่ม 702 หน้า สนพ. ณ บ้านวรรณกรรม พิมพ์ที่อ่านนี้เป็นครั้งที่ 9 ปี 2552 (ยืมจากห้องสมุด) ในอดีตเคยอ่านแค่ตอนเดียวสมัยเรื่องนี้พิมพ์ลงในนิตยสาร โลกวลี ช่วงสมัยอยู่มัธยม เมื่อดูจากปกในที่ระบุว่ามีการรวมเล่มครั้งแรกปี 2534 เท่ากับว่าเรื่องนี้ปรากฏโฉมสู่สายตานักอ่านมาถึงปัจจุบันรวมเวลา 33 ปีล่วงแล้ว เคยชมภาพยนตร์ที่นำแสดงโดย คุณพล ตัณฑเสถียร และคุณศิริลักษณ์ ผ่องโชค เมื่อปี 2539 รู้สึกตอนจบรันทดหดหู่เนื่องจากลูกชายของอังศุมาลินตายเพราะช่วยลูกศิษย์ เลยไม่อยากอ่านหนังสือ แต่เพิ่งจะรู้ข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้เองว่าบทสรุปในหนังสือนั้นต่างไปจากที่ถูกสร้างเป็นหนัง ดังนั้นจึงเกิดแรงใจในการหามาอ่านให้จบสมบูรณ์ หลังจากที่เคยอ่านภาคแรกจบตั้งแต่สามสิบกว่าปีก่อน พบคำผิดประปรายในการพิมพ์ครั้งที่ 9 บางคำก็ได้ความรู้เพิ่มเติมว่าสามารถเขียนได้สองแบบ เช่นคำว่า กระแหนะกระแหน ซึ่งเขียนว่า กระแนะกระแหน ก็ได้ ที่ผ่านมาตัวเองคุ้นชินกับการเขียนแบบมี ห นำหน้ามาตลอด พอเห็นว่าในหนังสือใช้เป็นแบบไม่มี ห นำ ยังคิดว่าน่าจะพิมพ์ผิด เมื่อลองค้นจึงค่อยทราบว่าไม่ผิด ซึ่งในเล่มช่วงแรก ก็ไม่มี ห แต่พอช่วงหลังมี ห โผล่มาซะงั้น อดคิดไม่ได้ว่าตกลงจะเลือกใช้แบบไหนก็น่าจะเอาสักทาง ให้เหมือนกันตลอดทั้งเรื่อง จากนี้ไปจะยาวมากครับ คงมีคนอ่านไม่มาก ถ้าใครอ่านต่อจนจบได้ขอโปรดรับคำขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย ในส่วนเนื้อเรื่องของภาคนี้ ดำเนินต่อจากความตายของโกโบริ คืออังศุมาลินท้องแก่และคลอดลูกชาย ให้ชื่อว่ากลินท์ที่หมายถึงพระอาทิตย์ ชื่อญี่ปุ่น โยอิจิ โยหมายถึงดวงอาทิตย์ อิจิคือลูกคนแรก พ่อของอังศุมาลินยังคงห่วงใยคนรักเก่าและลูกสาวที่บ้านสวน จึงมาบอกข่าวว่าอีกไม่นานญี่ปุ่นคงจะแพ้สงคราม ซึ่งจะส่งผลกระทบมาสู่แม่อร อังศุมาลินและลูกโดยตรง จึงอยากจะช่วยเหลือ แต่แม่อรปฏิเสธ ไม่ใช่แค่คนเป็นพ่อที่ห่วงใย แม้ตาผลตาบัวสองคู่หูคู่หอย ก็หมั่นนำข่าวมาบอกว่าอีกไม่นานพลพรรคจะนัดกันลุกฮือต่อสู้ญี่ปุ่น รวมถึงวนัสที่ได้รับอิสระจากความช่วยเหลือของโกโบริก่อนตาย จึงกลับมาหาอังศุมาลินเพื่อบอกข่าวและถามเธอว่าจะยอมแต่งงานกับเขาไหม เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิด แต่อังศุมาลินปฏิเสธ เธอยินดีที่จะอยู่ดูแลลูกต่อไปในบ้านสวน ไม่ย้ายหนีไปไหนทั้งนั้น แล้วคุณยายแม่ของแม่อร และยายของอังศุมาลิน ก็จากไปเป็นคนแรกของภาคนี้ แต่เป็นการจากอย่างสงบ เตรียมตัวตายอย่างดี ไปถือศีลอยู่วัดไม่ต้องลำบากลูกหลาน เวลาผ่านไป ในที่สุดญี่ปุ่นแพ้สงครามพ่อของอังศุมาลินมาบอกทุกคนที่บ้านสวนว่าจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ช่วงบั้นปลายชีวิต ทุกคนร่วมอนุโมทนา หลังบวชท่านต่างจากพระอื่นในวัด ไปอยู่กุฏิเล็กโทรมเพียงรูปเดียว ฉันวันละมื้อ และปฏิบัติเคร่งครัดจนชาวบ้านพากันโจษจันไปทั่วคุ้งน้ำ ด้านเด็กชายกลินท์เจริญวัยขึ้น ได้รับความเอาใจใส่จากแม่ และปู่คือตาผลตาบัวที่อุปโลกน์ตนเอง โดยเล่าเรื่องราวต่างๆของแม่และโกโบริให้กับเด็กชายฟัง ก่อนที่ทั้งคู่จะทยอยตายจากไปเช่นกัน จึงเหลือเพียงแม่อร ที่มักไปอยู่วัดบ่อยเหมือนเช่นทวดของกลินท์ นาน ๆ ครั้งกลินท์จึงได้ติดตามยายกับแม่ไปกราบท่าน กาลล่วงเลยจนเด็กชายเติบใหญ่เป็นหนุ่มวัย 27 ปี ดีกรีอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์ที่ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นที่ชื่นชอบในบรรดาเหล่าลูกศิษย์โดยเฉพาะนักศึกษาหญิง ขณะที่เมืองไทยเข้าสู่ช่วงปีที่ในกรุงเทพกำลังเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้านสินค้าและอื่นใดที่มาจากญี่ปุ่น ซึ่งสร้างชาติอย่างรวดเร็วภายหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง โดยเน้นทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้โยอิจิที่มีปมเป็นลูกที่มีเลือดญี่ปุ่นครึ่งหนึ่ง นึกรังเกียจไม่พอใจชาติกำเนิดตนเอง ต่อต้านพ่อที่ตายไปแล้ว และไม่เข้าใจแม่ จึงกลายเป็นคนที่ให้คำแนะนำแก่บรรดาศิษย์หัวรุนแรง ก้าวหน้า ฝักใฝ่ปลดแอกประชาชนจากการเป็นทาสทุนนิยมบริโภคและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น โดยไม่มีใครรู้ความจริงของพ่ออาจารย์ ทางบ้านสวน แม้โยอิจิจะรักแม่มาก แต่ขณะเดียวกันใจก็ยังไม่ยอมรับพ่อ กลายเป็นเหมือนเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ รั้น และดื้อเงียบ แต่เขาเข้ากันได้อย่างดีกับลุงวนัสที่สนิทสนมมาแต่เด็ก เข้าออกบ้านลุงบ่อย ตั้งแต่กำนันพ่อของวนัสยังมีชีวิตอยู่จนตายไปในเวลาต่อมา วนัสทำธุรกิจหลายอย่าง รวมถึงการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้านเรือนไทยของตนให้เป็นที่ทำงานด้วย วนัสไม่ยอมแต่งงานสักทีตั้งแต่อกหักจากอังศุมาลิน แม้โยอิจิจะรู้ว่าวนัสมีการคบหาทำธุรกิจกับพวกคนญี่ปุ่น เขาไม่เห็นด้วยแต่ก็ยังรักชอบในฐานะลุงเช่นเดิม ส่วนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเขาเป็นอาจารย์สอนอยู่นั้น เขาคอยเป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มนิสิตนักศึกษาระดับผู้นำหลายคนที่เรียกร้องรัฐบาลให้บอยคอตคนญี่ปุ่นรวมถึงธุรกิจ สินค้าทุกชนิด โดยที่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าเขามีพ่อเป็นใคร ขณะที่มีอาจารย์สาวคนหนึ่งชื่อ ชิตาภา หน้าตาดี ครอบครัวเป็นชาวจีนมีอันจะกินที่มาตั้งรกรากสร้างตัวจนกลายเป็นมีกิจการค้ารุ่งเรือง มักชอบเข้าหามาชวนเขาสนทนาอยู่บ่อยครั้ง ดูเหมือนเธอจะพึงใจในตัวโยอิจิอยู่บ้าง และน่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น แต่เขาไม่สนใจ มักคุยด้วยไม่นาน และสร้างขอบเขตส่วนตัวที่กันคนอื่นออกไปอยู่วงนอกเสมอ ไม่ยอมให้ใครเข้าถึงความในใจตนได้ แล้ววันหนึ่งนักศึกษาสาวปีสามรัฐศาสตร์นามว่า ศราวณี ผู้เป็นแกนนำหัวรุนแรงที่ต่อต้านคนญี่ปุ่นและสินค้าญี่ปุ่น รวมถึงต่อต้านรัฐบาลทหารในช่วงนั้น ซึ่งรู้ความจริงเรื่องของพ่อโยอิจิ และมีความคับแค้นจากปมในครอบครัวตนซึ่งแม่ตายตั้งแต่เด็ก ถูกเลี้ยงดูมาจากยายและป้าที่เป็นพี่สาวของแม่ และเข้าใจผิดฝังหัวมาตลอดเกี่ยวกับครอบครัวบ้านสวนของอังศุมาลิน ที่มาแย่งชิงความรักไปจากคุณตาของเธอ เพราะทั้งยายและป้ามักเล่าความหลังโดยบิดความจริงแล้วใส่สีตีไข่ บริภาษแม่อรว่าคือผู้เป็นเมียน้อยที่แย่งความรักไป ทำให้ครอบครัวฝั่งยายลำบาก และโดนแย่งสมบัติไปหมด แม่และป้าจึงโตมาอย่างยากแค้นจนแม่ตายไปและป้าต้องรับเลี้ยงศราวณีต่อมาอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ ทำให้ป้ามักอารมณ์เสียใส่เธอเสมอตั้งแต่เด็กจนโต เพาะเป็นความเกลียดชังต่อครอบครัวฝั่งบ้านสวน ทั้งที่ตัวเองไม่เคยพบหน้าอีกฝ่าย จนเมื่อเข้ามาเป็นนักศึกษาและพบว่าโยอิจิสอนหนังสืออยู่ที่ธรรมศาสตร์ จึงพุ่งความโกรธเกลียดที่ตนเคยได้รับจากป้ามารวมอยู่ที่อาจารย์ทั้งหมด จนกระทั่งบอกความลับเรื่องพ่อของโยอิจิออกไปให้พวกเพื่อนกลุ่มหัวรุนแรงด้วยกันรับรู้ วันที่พวกเธอและเพื่อนตามตัวให้โยอิจิมาที่ห้องซึ่งเป็นที่รวมพลเพื่อพูดคุยเรื่องจะทำอะไรต่อไป แล้วใครคนหนึ่งได้กล่าวเปิดโปงเรื่องโกโบริ และพูดจาดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติของพ่อ วินาทีนั้นเองโยอิจิกลับเพิ่งเข้าใจหัวใจตนเองเป็นครั้งแรกในชีวิต 27 ปีที่ผ่านมา ว่าแท้จริงเขารักพ่อและเทิดทูนในเกียรติยศของทหารหาญมากแค่ไหน เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาด้วยท่าทีแสดงออกถึงความภูมิใจในสายเลือดแห่งตนด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมพลัง ที่สามารถสยบเสียงโห่ฮาขับไล่ของเหล่านักศึกษาให้สงบลงได้ นั่นคือครั้งแรกเช่นกันที่สร้างความประหลาดใจแกมรู้สึกผิดอยู่เบื้องลึกให้เกิดขึ้นในหัวใจของศราวณี ที่ไม่นึกฝันว่าโยอิจิจะกล้ายอมรับอย่างไม่สะทกสะท้าน นับตั้งแต่วันนั้น โยอิจิเหมือนได้รับการปลดล็อกออกจากห้องขังที่ตนเองสร้างขึ้นเพื่อหนีความจริงสุดลึกที่เก็บกดไว้ เขาเข้าใจถึงความรักของแม่อันเป็นที่รักที่มีต่อพ่อชาวญี่ปุ่นอย่างท่วมท้นหัวใจแล้ว พ่อไม่เคยทำสิ่งไม่ดี มีแต่ทำตามหน้าที่ของชายชาติทหารที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้ทำไปด้วยความจงเกลียดจงชัง โยอิจิกลับไปที่บ้านสวนในเย็นวันนั้นอย่างคนที่บาดเจ็บสาหัส ไม่ใช่ทางกาย แต่ได้รับความกระทบกระเทือนทางใจอย่างรุนแรง อังศุมาลินรับรู้ได้ด้วยสายตาและหัวใจของคนเป็นแม่ แม้ไม่รู้ว่าลูกชายพบเจอเรื่องใดมาทำได้แค่ยกสองมือขึ้นโอบกอดถ่ายเทความรักความอบอุ่นที่มีให้กับลูกชายด้วยความเข้าใจอย่างสงบ โยอิจิไม่รู้ความจริงว่าศราวณีคือน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง เกิดจากน้องสาวต่างมารดาของอังศุมาลิน มีเพียงอาจารย์ชิตาภาที่ทราบ เพราะเธอเป็นญาติที่มีศักดิ์เป็นคุณน้าของศราวณี แต่ยังไม่อาจเล่าให้เขาฟัง โยอิจิยังคงสงสัยและเคลือบแคลงว่าชิตาภาประสงค์สิ่งใดแน่จึงมักหาเหตุมาใกล้ชิดชวนสนทนากับตน ด้วยความรู้สึกผิดเกาะกินจากภายใน รวมถึงปัญหาต่าง ๆ รุมเร้า แม้ใจจะต่อต้านพี่ชายอย่างอาจารย์กลินท์ แต่เบื้องลึกเธอกลับมีความรู้สึกที่ดี รักเคารพในชายคนนี้อย่างไม่รู้ตัว วันหนึ่งโยอิจิพบเธอนั่งซึมอยู่ที่ท่าเรือ เหมือนรอคอยจะพบเขาและตามลงเรือมาที่บ้านสวนด้วย ศราวณีจึงได้พบกับสรวงสวรรค์บ้านเรือนไทยหลังเดียวในย่านนั้นที่ยังคงสภาพเหมือนเดิมกับช่วงเกิดสงคราม ในขณะที่บ้านหลังอื่นเปลี่ยนแปลงไปสร้างตามอย่างต่างชาติหมด เธอพบบรรยากาศที่ร่มรื่นชื่นเย็น สงบสุขอย่างไม่เคยได้รับยามเมื่อกลับถึงบ้านที่อยู่กับป้า ยิ่งเมื่อได้พบเจออังศุมาลิน ภาพที่เคยคิดไว้กลับตรงข้ามกับสิ่งที่เห็นและได้ยินทุกอย่างต่างจากที่ยายและป้าได้พูดใส่หูเธอมาตลอด เธอรู้สึกได้รับความสุข สงบ สบายใจและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเกิด และเริ่มเปลี่ยนความคิดที่มีต่อครอบครัวของโยอิจิ ทางด้านหลวงพ่อ หลังจากบวชเพื่อปฏิบัติอย่างเอาจริงอยู่จนล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัย ที่สุดก็มรณภาพอย่างสงบในท่านั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ ทำให้ชาวบ้านโจษจันต่างศรัทธานับถือ จนเจ้าอาวาสและทางกรรมการวัดเห็นเป็นโอกาสในการสร้างเรื่องเรียกคนเข้ามาทำบุญเพิ่ม ด้วยการยกให้หลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทันที ทั้งที่ตอนมีชีวิต ไม่ใคร่สนใจ ที่บ้านสวนส่วนใหญ่อังศุมาลินอยู่บ้านคนเดียว ทำงานบ้านดูแลอาหารการกินเตรียมไว้ให้ลูกชาย ทว่าเริ่มมีอาการป่วยที่ค่อย ๆ รุนแรงมากขึ้นจนต้องแอบไปที่ศิริราช โดยมีเจ้าโก๊ะเด็กชายตัวน้อย ลูกของคนจรจัดหญิงชายที่มาขออาศัยอยู่ในสวนด้านหลังบ้านตามไปเป็นเพื่อน พ่อแม่ของโก๊ะนั้นเป็นประเภทไม่ชอบทำมาหากิน ขี้เหล้าเมายา เล่นพนันไปตามเรื่อง อังศุมาลินเคยหวังดีเอ่ยปากแนะนำให้ตั้งตัวขยันทำกินหลายครั้ง แต่ทั้งสองไม่สนใจ เอาแต่เก็บผักผลไม้จากในสวนของแม่อรและอังศุมาลิน มากินและขายด้วยถือวิสาสะว่าเหมือนของตน และมักใช้ให้โก๊ะมาขอเงินจากอังศุมาลินบ่อย ๆ ส่วนเหตุการณ์ทางด้านการบ้านการเมืองกลับทวีความรุนแรง คุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ บรรดานักศึกษาต่างรวมตัวกันในสถาบันหลายแห่ง รวมถึงขึ้นเวทีพูดปลุกระดมให้ชาวบ้านฟังและเข้าร่วมสนับสนุนฝ่ายตนมากขึ้น ขณะที่ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลให้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องที่ร่างขึ้น เหตุการณ์ช่วงปี พ.ศ. 2516 เริ่มขมวดปมความขัดแย้งระหว่างฝ่ายผู้บริหารกับฝ่ายนักศึกษา ผ่านสายตาของโยอิจิและชิตาภาที่คอยเฝ้ามองอย่างห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วงในตัวศิษย์ แม้เคยกล่าวเตือนในหลายครั้งให้ศราวณีระมัดระวัง อย่าทำอะไรที่ผลีผลาม หุนหันพลันแล่น แต่อย่างไรเด็กก็คือเด็ก เมื่อเขามีความเชื่อฝังหัวไปทางด้านหนึ่ง ก็ขาดความใคร่ครวญพิจารณาอย่างรอบถ้วน และมองไม่เห็นถึงภัยร้ายที่จะบังเกิดขึ้นในเมื่อทุกสิ่งถูกปลุกเร้าเข้าสู่ห้วงวิกฤต สุดท้ายถึงวันแตกหักอันเป็นเหตุการณ์วิปโยคของคนไทยทุกคน จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับโยอิจิ ชิตาภา และศราวณี ในขณะที่อังศุมาลินนั้นก็มีอาการเจ็บป่วยที่มักเหนื่อยง่าย หน้าซีดจะเป็นลมบ่อย แต่ปิดไว้ไม่ให้ลูกชายรู้ ดูเหมือนเวลาชีวิตของเธอจะเหลืออีกไม่มากก่อนจะได้ตามไปอยู่กับโกโบริ สรุปสุดท้ายของนิยายจะลงเอยอย่างไรไปอ่านต่อได้ในคู่กรรม 2 ครับ 🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ มีทั้งส่วนที่ชอบและไม่ชอบ ภาคนี้ต่างไปจากภาคแรกอย่างชนิดเหมือนเป็นนิยายคนละเรื่อง คนละแนวทาง คือภาคแรกมีความเป็นนิยายรักระหว่างรบ ที่มีทั้งปมความรัก ความขัดแย้งในตัวตนกับคนที่คิดว่าคือศัตรูเป็นแกนหลัก เน้นไปทางอารมณ์ความรู้สึกของอังศุมาลินและโกโบริ โดยมีเหตุการณ์น้อยใหญ่ที่เข้ามาสร้างให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกันของทั้งสองเพิ่มขึ้นทีละน้อยจนถึงขั้นรัก แต่ไม่อาจเปิดใจเพราะติดที่กรอบซึ่งถูกสร้างขึ้นจากทั้งอังศุมาลินเอง และสังคมสร้างให้กลายเป็นขื่อคาที่ตรึงรั้งใจไว้ให้มิอาจแสดงออกถึงความรักได้ดังเช่นคู่สามีภรรยาปกติ จนนำไปสู่บทสรุปอันเจ็บปวดและขมขื่นในตอนท้ายเรื่องที่สร้างความจดจำและสะเทือนใจให้กับคนอ่านอย่างยิ่ง กลายเป็นอมตะนิยายรักแห่งโศกนาฏกรรมที่คนไทยรู้จักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง มาในภาคนี้ เนื้อหาโครงสร้างหลักกลับเน้นไปที่ความมองโลกของคนเป็นแม่อย่างคนที่ผ่านประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตมาแล้ว และจะเลือกเดินหน้าต่อไปอย่างไรในสถานการณ์ที่คนไทยส่วนใหญ่เกลียดชังญี่ปุ่น ในขณะที่เธอคือภรรยาหม้ายและมีลูกชายสายเลือดที่เกิดจากทหารญี่ปุ่น ตลอดทั้งเล่มนี้ในความรู้สึกส่วนตัว ผมมองว่านี่คือนิยายธรรมะเล่มหนึ่งทีเดียว เพียงแต่ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นคำบรรยายเทศน์ของพระผู้เป็นองค์ธรรมกถึก หากแต่เป็นหนังสือธรรมะที่นำพล็อตของนิยายมาสวม จึงพบได้ในหลายย่อหน้า แทบทุกตอนที่ผู้เขียนสอดแทรกแนวคิดหลักธรรมทางพุทธตามแนวที่ท่านเชื่อเป็นทางที่ถูกตรงลอยอบอวลอยู่ในการบรรยาย เหมือนตัวละครและฉากเหล่านั้นคือตัวแทนหรือเครื่องมือที่ต้องการสื่อสอนธรรมะไปสู่ผู้อ่านอยู่ตลอด โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องราวของความตาย ดังจะเห็นได้จากมีการจากไปของตัวละครเดิมที่มีบทบาทจากภาคแรก คนแล้วคนเล่า เริ่มตั้งแต่คุณยาย ตาผลตาบัว หลวงพ่อ และกำลังใกล้ตายอย่างอังศุมาลิน ทำนองแสดงสัจธรรมชีวิต หลายช่วงตอนที่มีการหยิบยกบทกลอนร้อยกรองจากในวรรณคดีไทย หรือที่ผู้เขียนแต่งขึ้น รวมถึงวลี ประโยคภาษาอังกฤษจากบทเพลง บทกวีต่าง ๆ ของทางตะวันตกมาใช้เพื่อสื่อแสดงถึงความรู้สึกของผู้เขียนที่ต้องการสะท้อนผ่านเรื่องราวของเหตุการณ์แวดล้อมรอบตัวโยอิจิ และตัวละครสำคัญ จนบางทีก็ดูมากไป อ่านไปเรื่อย ๆ อดที่จะคิดไม่ได้ว่าเล่มนี้ มีความคล้ายกันกับอีกเล่มของทมยันตีที่มีชื่อว่า จดหมายถึงลูก(ผู้)ชาย ที่เน้นสอนลูกของผู้เขียนเองและคนเป็นลูกชายทุกคน ด้วยการแทรกแนวคิดคำสุภาษิตไว้ในเนื้อหาตลอดเล่ม แล้วการเขียนลักษณะนี้ดีหรือไม่อย่างไร? คงขึ้นกับความชื่นชอบส่วนบุคคลของผู้อ่านที่มีรสนิยมแตกต่าง ส่วนผมเองนั้นไม่ถึงกับเรียกได้ว่าชอบทว่าก็ไม่ขัดใจมากมาย แต่ยอมรับว่าทมยันตีเป็นหนึ่งในนักเขียนที่มีความไม่ธรรมดาในด้านศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งหาตัวจับยาก แล้วนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนได้เก่งมากคนหนึ่งในเหล่านักเขียนรุ่นเก่า หากจะติบ้างก็คงเป็นความเข้าใจในทางหลักธรรมที่นำมาสอดแทรกไว้ในคู่กรรม2 นั้น ยังเป็นความเข้าใจที่เหมือนเช่นคนปฏิบัติธรรมทั่วไปในไทยเข้าใจกันว่าถูกต้อง คือเน้นการนั่งสมาธิเดินจงกรมว่าคือวิธีที่จะนำไปสู่การลดละกิเลสจนนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ ดังที่ตัวละครหลวงพ่อในเรื่องได้ปฏิบัติและพูดคุยสอนธรรมกับโยอิจิ หรือแม่อร อังศุมาลิน ซึ่งโดยแท้จริงการปฏิบัติควรเน้นไปที่การมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกที่จะจับอาการกิเลสแล้วกำจัดทิ้ง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน หรืออิริยาบถย่อยอื่น ไม่ใช่เพียงแค่ตอนนั่งสมาธิเดินจงกรมเพียงเท่านั้น เพราะในชีวิตจริงมนุษย์ไม่อาจจะบังคับตนให้อยู่เพียงแค่ท่านั่งสมาธิต่อเนื่องยาวนานไปจนชั่วชีวิต นอกจากประเด็นที่กล่าวถึงนี้แล้วที่มีความเห็นไม่ตรงกับผู้เขียน ทางด้านอื่นถือว่าผมชอบนิยายเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะการมองโลกที่มองทะลุถึงความเป็นจริงของสังคมไทย ลักษณะนิสัย ที่เจาะลึกให้เห็นว่าแม้นในอดีตสมัยสงครามคนไทยเป็นอย่างไร ปัจจุบันในยุคนี้ก็ยังคงพบเห็นได้ว่าไม่แตกต่างกันนัก จึงถือว่านิยายเล่มนี้ไม่ล้าสมัย โดยเฉพาะด้านการบ้านการเมืองที่ผู้มีอำนาจในฝ่ายรัฐ มักเลือกใช้วิถีทางแห่งความรุนแรงในการสยบปัญหาอยู่เสมอ โดยมีมือที่สามที่คอยฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ ยั่วยุ ปลุกปั่น และล่อลวงให้คู่กรณีระหว่างรัฐกับนักศึกษาและประชาชนปะทะแตกหัก จนเกิดความสูญเสีย อันมีแต่หายนะต่อประเทศชาติ ศราวณี คือตัวแทนที่เปรียบให้เห็นเด่นชัด ไม่ว่ายุคใด เหล่าเด็กหนุ่มสาวอนาคตชาติ มักถูกกระตุ้น ให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และปลุกเร้าจุดไฟติดได้โดยง่าย ด้วยพวกเขามีพลังงานล้นเหลือ เมื่อเลือกเชื่อไปทางใดทางหนึ่งแล้ว บางทีก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังโดยไม่ทันได้ใคร่ครวญ ยั้งคิด หรือพิจารณาทัศนียภาพรอบข้างระหว่างทางที่มุ่งไปให้ถี่ถ้วนรอบคอบ จึงมักตกเป็นฝ่ายที่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือให้ไปตายแทนคนบงการแท้จริงเบื้องหลังเสมอ และเมื่อเกิดความสูญเสียแล้วก็เป็นเช่นดังอะไหล่เลวที่โดนใช้แล้วทิ้งโดยไร้ความเสียดาย หรือจำเป็นต้องดูแลอย่างใดต่อไป กว่าพวกเขาจะรู้ตัว ความผิดพลาดพลั้งเผลอก็เกิดขึ้นและไปไกลเกินกว่าตนเองจะหยุดยั้ง ควบคุมและแก้ไขสถานการณ์ได้เสียแล้ว ดังจุดจบของตัวละครในเรื่องนี้หลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ความเก่งกล้า ไม่ยอมใคร ไม่ฟังอาจารย์ ความร้อนเร่าเอาแต่ใจ รั้นจะทำในสิ่งที่ตนคิดให้จงได้ ทว่าสุดท้ายกลับกลายพาเพื่อน คนที่ไม่รู้อะไรแต่ก็ตามกันไป ไปพบกับการบาดเจ็บล้มตายต่อหน้าต่อตา ถึงกับกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง หลบหนีตายจ้าละหวั่น กระทบกระเทือนถึงสภาพจิตใจอย่างรุนแรงจนแทบจะกลายเป็นบ้าไป เธอจึงได้รับบาดแผลลึกที่เสียใจก็ไม่ทันแล้ว กับไฟที่ตอนแรกเพียงแค่เหมือนไฟจากปลายก้านไม้ขีดในมือที่ขยับนิดเดียวก็ดับ สุดท้ายมันกลับกลายเป็นไฟกองใหญ่ที่โหมไหม้รวดเร็ว ลามเลียทำลายทุกสิ่งอย่างไม่อาจดับได้ด้วยแค่กำลังตนเอง นอกจากนี้ที่ชอบก็มีในส่วนของการใช้ภาพตัวละครในเรื่องอย่างครอบครัวของเจ้าโก๊ะ ที่สะท้อนภาพตัวแทนของชนชั้นล่างได้ชัดเจน ความเหลื่อมล้ำที่เหล่านักศึกษามักนำมาเป็นคำขวัญ ชูประเด็นเพื่อเรียกร้อง และรังเกียจเคียดแค้นเหล่าชนชั้นศักดินา ดังเช่นอาจารย์ชิตาภาที่ครอบครัวเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่มาไทยอย่างเสื่อผืนหมอนใบ แต่ขยันขันแข็งและสร้างตัวจนมีทรัพย์ ร่ำรวยมีอันจะกินและสร้างธุรกิจด้วยการค้าขายขยับขยายฐานะ จนเลื่อนจากชนชั้นแรงงานต่างด้าวมาเป็นพ่อค้าวาณิชย์ที่มีกิจการมากมายและถูกแปะป้ายให้กลายเป็นศักดินาไป จนถูกมองว่าเป็นความผิดความเลวที่เข้ามากอบโกยนั้น หรือแม้แต่วนัสที่เป็นคนไทยแต่มีหัวในทางธุรกิจการค้า จึงติดต่อซื้อขายกับคนต่างชาติอย่างญี่ปุ่นหรือชาวตะวันตกจนมีฐานะเข้าขั้นเศรษฐี ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นพวกเสรีไทย แต่ในภาคนี้เรียกได้ว่าแปะป้ายศักดินาตามความหมายของเหล่านักศึกษาได้เช่นกัน หากมองความจริงในอีกแง่มุม ย่อมเห็นได้ว่าคนไทยเองที่เป็นชนชั้นกรรมาชีพจำนวนมากนั้นมีสันดานเป็นอย่างพ่อและแม่ของเจ้าโก๊ะ ที่เอาแต่ชื่นชอบอยู่อย่างสบายไม่ต้องทำการทำงาน วันทั้งวันเอาแต่เมาหัวราน้ำ แม้นมีคนหยิบยื่นความช่วยเหลือหวังให้สร้างตัวเพื่อตั้งตนได้ แต่ก็ไม่กระตือรือร้นสนใจ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ อยากแต่จะขอเขากินไปเรื่อย ๆ อาศัยความเมตตาและมีน้ำใจของครอบครัวแม่อรและอังศุมาลินเป็นเครื่องมือ เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างคนขี้เกียจ รักสบายได้ต่อไป มีเงินก็หมดไปกับเหล้ายาและการพนัน เงินหมดก็ใช้ให้โก๊ะไปไถขอเอาใหม่ ด้วยรู้จุดว่าถ้าให้เด็กมาขออย่างไรก็ได้ นี่ไม่อาจยอมรับว่าไม่ว่าจะในนิยายซึ่งอยู่ในยุคหลังสงคราม หรือปัจจุบันที่ล่วงเลยมาอีกหลายสิบปี ก็ยังมีคนไทยที่เป็นเช่นนี้อีกเป็นจำนวนมาก แล้วจะไปโทษว่าแต่ความเหลื่อมล้ำเพราะชนชั้นได้เช่นไร ในเมื่อตนเองยินดีทำตนให้เป็นไปเช่นนั้น อังศุมาลินและโยอิชิคือตัวแทนของชนชั้นกลางที่น่าสนใจ ทั้งสองมีความรู้ตามทันยุคสมัยของความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่หลงใหลปล่อยให้กระแสเชี่ยวแห่งคลื่นทุนนิยมเข้าครอบงำ ยังคงดำเนินชีวิตทั้งรูปแบบ และวิถีตามอย่างวัฒนธรรมอันดีงามในอดีตที่บรรพบุรุษสร้างไว้ ไม่ว่าจะเรือนพักอาศัยที่ไม่รื้อทิ้งหลังเก่าแล้วสร้างใหม่ และพยายามสงวนที่ดินสวนหลังบ้านไว้ปลูกผักปลูกไม้ผลให้พอเก็บกินไม่เดือดร้อน ในขณะครอบครัวอื่นขายที่ให้นายทุน และสร้างบ้านปูนกันไปเกือบหมด ภาพความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดเจนนี้เองที่เป็นความงดงาม แม้นลำคลองจะไม่เหมือนเดิม คนไทยทิ้งขยะสิ่งปฏิกูลลงน้ำ ทำลายต้นกำเนิดรากเหง้าสายธารแห่งชีวิตของตนเอง ทำให้ปลา กุ้ง หอย สัตว์น้ำที่เคยมีลดน้อยจนกระทั่งหายไปไม่เหมือนก่อน เมื่อมาถึงยุคสมัยที่เรามีชีวิตอยู่นี้ เราจึงต้องแบกรับผลพวงที่ตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เราไม่ชอบ เราบ่นหรืออาจถึงขั้นก่นด่าคนรุ่นก่อน แต่เราเองก็ละเลยไม่ได้มองกลับเข้ามาในตน ว่าในแต่ละวันได้ทำอะไรที่เป็นไปในทางที่ทำร้าย ทำลายวิถีไทย สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรมและประเพณีอันดีมากน้อยขนาดไหนอย่างไรบ้าง
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 1157 Views 0 Reviews
  • ถูกล้างสมองด้วยประชาธิปไตย-เสรีภาพ-ภราดรภาพ-ที่ไม่เคยมีอยู่จริง จากการหว่านเมล็ดพันธุ์ของ NED ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้องค์กร CIA ของสหรัฐอเมริกา เหมือนกับหลายๆคนในอีกหลายๆประเทศ โดยออกมาประท้วงเพื่อให้เกิดการปฏิวัติสี-ล้มเจ้า-ล้มล้างการปกครองในประเทศไทย...

    ในที่สุดก็หลบลี้หนีคดีไป ในฐานะพลเมืองโลก ของระเบียบโลกใหม่ New World Order...

    ( ...ผมจะเป็นกระบอกเสียงเพื่อนักต่อสู้ทุกคนให้อารยะประเทศได้รับรู้ถึงการกดขี่ การจำกัดสิทธิเสรีภาพผู้เห็นต่างทางการเมืองในประเทศไทย และเรียกร้องอิสรภาพให้กับคนที่ถูกดำเนินคดีจากความเห็นต่าง และเพื่อนผู้ต้องขังคดีทางการเมืองทุกคน ในฐานะพลเมืองโลก... )

    https://www.facebook.com/mike.jadnok/posts/pfbid0FrL6SVYtqWjfFiPphKhBpwAH3YVLiwhRzYQ4r1qcGdEQzsXuRsDwu9pwxhhScZYel
    .
    .
    .
    THE NATIONAL ENDOWMENT FOR DEMOCRACY
    https://www.ned.org/
    .
    About the National Endowment for Democracy
    https://www.ned.org/about/
    ถูกล้างสมองด้วยประชาธิปไตย-เสรีภาพ-ภราดรภาพ-ที่ไม่เคยมีอยู่จริง จากการหว่านเมล็ดพันธุ์ของ NED ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้องค์กร CIA ของสหรัฐอเมริกา เหมือนกับหลายๆคนในอีกหลายๆประเทศ โดยออกมาประท้วงเพื่อให้เกิดการปฏิวัติสี-ล้มเจ้า-ล้มล้างการปกครองในประเทศไทย... ในที่สุดก็หลบลี้หนีคดีไป ในฐานะพลเมืองโลก ของระเบียบโลกใหม่ New World Order... ( ...ผมจะเป็นกระบอกเสียงเพื่อนักต่อสู้ทุกคนให้อารยะประเทศได้รับรู้ถึงการกดขี่ การจำกัดสิทธิเสรีภาพผู้เห็นต่างทางการเมืองในประเทศไทย และเรียกร้องอิสรภาพให้กับคนที่ถูกดำเนินคดีจากความเห็นต่าง และเพื่อนผู้ต้องขังคดีทางการเมืองทุกคน ในฐานะพลเมืองโลก... ) https://www.facebook.com/mike.jadnok/posts/pfbid0FrL6SVYtqWjfFiPphKhBpwAH3YVLiwhRzYQ4r1qcGdEQzsXuRsDwu9pwxhhScZYel . . . THE NATIONAL ENDOWMENT FOR DEMOCRACY https://www.ned.org/ . About the National Endowment for Democracy https://www.ned.org/about/
    Wow
    1
    0 Comments 0 Shares 262 Views 0 Reviews
  • #เห็นจะเป็นเพราะรัก
    #มนันยา
    #เรื่องสั้น
    #ของขวัญ
    #ของขวัญวันคริสต์มาส
    #thaitimes
    #หนังสือน่าอ่าน

    วันก่อนอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเป็นรวมเรื่องสั้นแนวความรัก ในเล่มมี 27 เรื่องแปลจากฝั่งตะวันตกโดยสำนวนของมนันยา มีภาพประกอบสีสวยการ์ตูนแฟชั่นทุกเรื่อง เกือบทุกเรื่องเป็นรักของชายหญิงหลากหลายอาชีพ หลายวัย ที่มีรูปแบบการแสดงออกอย่างชาวตะวันตก ซึ่งส่วนตัวไม่ได้อินมากด้วยความที่แต่ละเรื่องไม่ยาวเท่าไร จึงไม่มีรายละเอียดมากพอจะทำให้รู้สึกเอาใจช่วยไปกับตัวละครในเรื่องนัก มีที่ชอบอยู่บ้าง แต่มีเรื่องหนึ่งประทับใจมากเป็นพิเศษ ทั้งที่ในเนื้อหานั้นไม่มีความรักแบบชายหนุ่มหญิงสาวที่ดิ้นรนแสวงหาคนเพื่อมาอยู่ข้างกายเลย แต่ความรักที่ปรากฏในเรื่องนี้ช่างงดงามและสร้างพลัง ช่วยชุบชูจิตใจให้รู้สึกอบอุ่น และมีหวังต่อโลกใบนี้ขึ้นมาไม่น้อย

    ตอนดังกล่าวนี้คือเรื่องแรกของเล่มที่มีชื่อว่า ของขวัญ

    เรื่องมีว่า ชายสูงวัยที่สูญเสียเมียที่อยู่ด้วยกันมาหลายสิบปีไป ทำให้เขาทนอยู่บ้านเดิมหลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำกับเธอไม่ได้ จึงขายแล้วย้ายมาซื้อบ้านหลังเล็กสำหรับคนเดียว ในตำบลอันห่างไกลริมชายฝั่งซึ่งไร้คนรู้จัก ชอบอยู่เงียบ ๆ ไม่สุงสิงกับใคร ไม่ชอบร่วมกิจกรรมเข้าสังคมโดยเฉพาะในวันคริสต์มาสและช่วงเทศกาลที่เขาไม่ชอบอย่างยิ่ง เห็นเป็นความสิ้นเปลือง มีแต่กินแล้วก็มอบของขวัญให้กัน ทำให้ห่างไกลใจความสำคัญและความหมายแท้จริง เขาไม่เห็นด้วยกับการให้ของตามใจที่เด็กอยากได้ เพราะสร้างนิสัยให้เด็กคิดว่าต้องได้ของขวัญเสมอในวันคริสต์มาส เขาบอกตัวเองว่าไม่ได้เกลียดวันคริสต์มาสอย่างตาเฒ่าสครูจใน A Christmas Carol จนวิญญาณเพื่อนเก่าที่ตายไปชื่อ เจค็อบ มาร์เลย์ ต้องมาเตือน

    วันคริสต์มาสที่จะมาถึงในคืนนั้น ช่วงกลางวันเขาออกไปซื้อของที่สโตร์ห่างไปไม่ไกล ซึ่งคุ้นเคยกับหญิงเจ้าของร้านอยู่บ้างเพราะต้องมาซื้อข้าวของบ่อย ตอนเดินเข้าไปหญิงเจ้าของร้านยิ้มแย้มต้อนรับ ชวนคุยเกี่ยวกับหุ่นจำลองนกแก้วขนาดยักษ์ที่แขวนห้อยอยู่บนเพดานกลางร้านซึ่งมีสีสันสดสวยและปีกยาวใหญ่ เธอบอกว่าจะให้เป็นของขวัญคริสต์มาส สำหรับผู้ที่ซื้อของปอนด์หนึ่งจะได้รับการเขียนชื่อไว้จับสลาก1 ใบ แล้วเธอจะเขียนชื่อลงในบัตรให้เขาด้วย ชายชราที่นึกรังเกียจเจ้านกยักษ์จำต้องเออออไปกับเธอ บอกว่าเขาเป็นคนไร้โชคมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยถูกรางวัลใด ๆ คงไม่มีหวังหรอก

    หลังเขากลับมาบ้านและกำลังพักผ่อนตามสบายนั้น โทรศัพท์จากหญิงเจ้าของร้านดังขึ้น เมื่อเขารับ เธอบอกด้วยความดีใจว่าเขาต้องไม่เชื่อแน่เลยว่าชื่อที่จับสลากได้นกแก้วตัวนั้นก็คือเขา เธอขอให้เขาขับรถมานำของขวัญกลับบ้าน นี่เป็นเหมือนทุกขลาภที่ตนไม่อยากได้แต่ไม่อาจปฏิเสธน้ำใจ ด้วยเธอคือบุคคลหนึ่งในจำนวนน้อยนิดเพียงไม่กี่คนที่เขารู้จัก ต้องรักษาความเป็นเพื่อนที่ดีไว้ จึงจำใจขับรถกลับไปรับนกแก้วยักษ์ขนาด 6 ฟุตตัวนั้น เมื่อเอาเข้าไปไว้ในรถก็เต็มที่ว่างจนชนกระจก เขาใช้ความคิดอย่างหนักว่าจะกำจัดมันได้อย่างไร จะเอาทิ้งทันทีไม่ได้แน่ของใหญ่อย่างนี้ ไม่นานจะรู้ถึงหูเจ้าของร้าน

    ในที่สุดเขานึกออก ตัดสินใจขับรถมุ่งหน้าไปสถานเลี้ยงเด็กซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยร่วมอยู่ในที่ประชุม และมีคนเสนอให้ขายที่ดินว่างเปล่า แต่เขาคัดค้านเพราะจะทำให้เด็ก ๆ ไม่มีพื้นที่วิ่งเล่น เมื่อไปถึงสถานเลี้ยงเด็ก ผู้ดูแลหญิงเอ่ยทักทาย เธอจำได้ว่าชายชราคือบุคคลหนึ่งซึ่งช่วยให้เด็ก ๆ ยังมีพื้นที่กลางแจ้งไว้สันทนาการ เขารีบบอกว่านำนกแก้วยักษ์มามอบให้เป็นของขวัญคริสต์มาสแก่เด็ก ๆ (ทั้งที่ไม่เคยมีความคิดนี้อยู่ในหัวมาก่อน) แต่ผู้ดูแลสาวจำต้องกล่าวปฏิเสธ แม้จะซาบซึ้งในความมีน้ำใจของเขามากเพราะนกนั้นตัวใหญ่เกินไป

    เธอเล่าว่าถ้าเป็นไก่งวงตัวใหญ่ที่กินได้จะรีบรับไว้เลย ด้วยเหตุว่าทางสถานเลี้ยงเด็กไม่มีเงินมากพอจะจัดอาหารเลี้ยงในคืนวันคริสต์มาส ชายชราจึงควักธนบัตรหลายใบที่มีมูลค่ามากพอสมควรยื่นให้ผู้ดูแล พร้อมบอกว่าขอเป็นเจ้าภาพอุปการะการกินเลี้ยงของเด็ก แม้นเธอจะไม่กล้ารับแต่เขายืนยันบอกว่าตนเองมีพอไม่เดือดร้อน และกำชับว่าช่วยจัดอาหารดี ๆ ให้พวกเขาด้วย สุขสันต์วันคริสต์มาสนะ แล้วแบกนกแก้วยักษ์กลับขึ้นรถ ขับต่อไปพลางคิดว่าจะกำจัดมันไปที่ไหนดี

    เขานึกถึงโรงเรียนอนุบาล เด็กเล็กต้องชอบแน่เขามั่นใจ จึงมุ่งหน้าไปถึงโรงเรียน จอดรถและแบกนกยักษ์เข้าไป เขามองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงระเบียงจึงตรงเข้าไปถามว่าเธอคือครูใช่ไหม หญิงสาวบอกชื่อและทักทายชายชรา เธอจำได้ว่าเขาคือคนบริจาคเงินให้โรงเรียนตอนที่จัดซื้อรถมินิบัส เขาแปลกใจที่มีคนจำเรื่องนั้นได้ ความจริงเขาทราบจากหญิงเจ้าของร้านขายของว่าโรงเรียนลำบากในการเดินทางพาเด็กไปว่ายน้ำในสระที่อยู่อีกตำบลซึ่งห่างไกล เขาจำได้ว่าตอนเมียยังมีชีวิตมักพูดว่าถ้าชาวบ้านช่วยโรงเรียนได้ก็ควรช่วย เขาจึงบริจาคช่วยไปโดยไม่คิดอะไร

    ครูสาวจำต้องปฏิเสธนกแก้วยักษ์เช่นกัน เธอบอกว่าโรงเรียนคับแคบไม่มีที่พอจะแขวน ลำพังเด็ก35คนวิ่งไปมาก็แทบแย่แล้ว แต่ยังไม่ทันที่ชายชราจะขนนกกลับ เด็กหลายคนมองมาเห็นเข้าจึงพากันเข้ามารุมล้อมชื่นชมนกแก้วตัวใหญ่ด้วยแววตาเป็นประกาย พลางแข่งกันถามมากมายเช่นว่า

    มันกัดไหมค่ะ

    มันบินได้หรือเปล่าฮะ

    ขอผมดูหน่อย

    ขอหนูจับหน่อยนะคะ

    นุ่มไหมฮะ

    ที่สุดครูก็ไม่สามารถจะห้ามเด็กได้ จึงยอมให้เขานำนกเข้าไปในห้องเรียนครู่หนึ่งเพื่อให้เด็กทุกคนได้ชื่นชม จับต้อง เด็กกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่

    " ซ้วยสวย.. ตัวมันใหญ่นะ.."

    ครูสาวถือโอกาสสอนเรื่องสีโดยถามเด็ก ๆ ว่าส่วนต่าง ๆ ของนกแก้วสีอะไรบ้าง เด็กแต่ละคนพยายามหน่วงเหนี่ยวเวลาให้เขาอยู่นานที่สุด โดยเรียกไปชมต้นไม้ที่เขาทำ งานประดิษฐ์ที่อยากอวด ชายชราชมของทุกชิ้นของเด็ก ๆ ก่อนจะนำนกแก้วยักษ์กลับขึ้นรถและนึกหาสถานที่ใหม่ จะมีที่ไหนอีกหนอ

    เขานึกได้ถึงหญิงที่รับจ้างซักรีดให้ตนที่ยากจนและมีลูก 2 คน เมื่อไปถึงบ้านของเธอก็ได้พบว่าเล็กยังกับรูหนู ไม่มีทางเลยที่จะมีที่ให้แขวนนกได้ แม่ของเด็กพูดว่า จะเป็นของอะไรก็ดีทั้งนั้นถ้าวางใต้ต้นคริสต์มาส แต่สามีเธอตกงานมา 3 สัปดาหืแล้ว เธอพยายามหาเงินจนพอซื้อไก่งวงตัวหนึ่ง และวัตถุดิบทำพายได้สัก 2-3 ชิ้น นั่นคือทั้งหมดที่พอจะมีในคืนคริสต์มาสนี้ สามีไม่ยอมให้กู้ยืมใคร ลูกทั้งสองอยากได้จักรยานมานาน แต่เธอต้องสอนให้เขารู้ว่าการอยากได้ กับการได้รับนั้นต่างกัน

    ชายชราบอกว่าเด้กสองคนนิสัยดี สภาพ มักวิ่งมาเปิดประตูรถให้เขาเสมอ ให้เขาเป็นซานต้าให้เด็ก ๆ แล้วกัน พลางหยิบสมุดเช็กออกมาเขียน บอกกับคนเป็นแม่ว่า ซื้อจักรยานดี ๆ ที่เขาอยากได้ให้พวกเด็กคนละคันนะ หญิงสาวไม่กล้ารับ บอกว่าสามีเธอไม่ชอบให้รับบริจาค เขาเกลียดการขอ ชายชราตัดบทว่าเหลวไหล ให้บอกสามีว่าเขาเป็นคนเคี่ยวเข็ยเองให้รับ เพราะเขาไม่มีลูกเลย จากนั้นก็แบกนกแก้วยักษ์ยัดกลับเข้ารถตรงกลับบ้าน บัดนี้เขาไม่รู้จะเอามันไปให้ใคร ไม่สนใจแล้วว่าเจ้าของร้านที่ให้นกมาจะคิดอย่างไร เขาจะเอามันไปโยนลงถังขยะ แต่ถังก้เล้กเกิน เขาจึงจำใจเอานกตัวนั้นกลับบ้านวางกองไว้ในห้องรับแขก พรุ่งนี้ค่อยหาทาง

    เขาพักผ่อนกินของว่าง ชงกาแฟดื่ม ขระที่ดวงตานกยักษืมองจ้องมาตลอดเวลา สุดท้ายเขาจึงคิดว่าปล่อยมันบนพื้นอย่างนี้คงไม่ดี เพราะไม่อยากถูกจ้อง จึงทำห่วงแล้วเอามันห้อยแขวนไว้ชั่วคราว แล้วเขาก้ได้ยินเสียงบางอย่างนอกบ้าน มองออกไปเห็นรถสถานเลี้ยงเด็กมาจอด เด็ก ๆ กรูลงมายืนร้องเพลง โอ ลิตเติลทาวน์ ออฟ เบธเลเฮม ทำเอาหัวใจเขาแปลบ จึงเปิดประตูให้เด็ก ๆ เข้ามา เด็ก ๆ ร้องไซเลนไนท์ ต่อด้วย วี วิช ยู เอ เมอร์รี คริสต์มาส ชายชราสั่งน้ำมูก ผู้ดูแลบอกว่าเด็ก ๆ อยากมาร้องเพลงเพื่อขอบคุณ ทุกคนเข้าไปจับนกที่ห้อยอยู่ก่อนจะกลับ

    ครู่เดียวต่อมา เด็กชายสองคนมาเคาะประตุด้วยความตื่นเต้น เขาเอาพายมาให้ชายชราพร้อมบอกว่า สวัสดีวันคริสต์มาส แม่เด็กยืนโบกมืออยู่ตรงรั้วและกล่าวประโยคเดียวกับลูกของเธอ ชายชราก้มลงบอกว่า หวังว่าวานต้าจะนำของที่หนุอยากได้มาให้นะ แล้วก็ฉงนใจตัวเองนี่เขากำลังทำให้เด็กเกิดความโลภหรือไม่

    เขากลับเข้าบ้านพร้อมจานพานในมือ คุยกับนกแก้วยักษืว่าเสียใจด้วยนะที่แกกินไม่ได้ ต่อจากนั้นก็มีเสียงเคาะประตูอีก คุรครูจากโรงเรียนอนุบาลและเด็ก 4 คน เธอบอกว่าเด็ก ๆ อยากทำอะไรเพื่อให้เขารู้ว่านกแก้วตัวนั้นวิเศษเพียงใดก้เลยวาดรูปมาให้ แล้วก็สวัสดีวันคริสต์มาส ชายชราซาบซึ้งบอกว่าเข้ามาก่อนสิ เขาจะเอาภาพติดฝาผนัง

    เด็กหญิงคนหนึ่งเข้าไปยืนหน้านก ชื่นชมว่านกสวยอย่างไร และแกใช้ทุกสีในการวาด ถึงตอนครูจะพากลับ เด็กหญิงหันมาเปรยบอกหูคิดว่ามันอยากเป็นเพื่อนกับหนู ชายชราเห็นด้วย เด็กหญิงพูดต่อว่า ถ้าจะเป็นเพื่อนกันก็ต้องรู้จักชื่อด้วย ชายชรานิ่งอึ้ง หันไปมองเจ้านกแก้วยักษ์ เหมือนมันจะมองตอบแล้วส่งกระแสอะไรบางอย่าง เขาคิดว่ารู้แล้วว่านกชื่ออะไรจึงยิ้มให้เด็กน้อย พลางตอบว่า

    มันชื่อเจค็อบจ้ะ ..เจค็อบ มาร์เลย์
    #เห็นจะเป็นเพราะรัก #มนันยา #เรื่องสั้น #ของขวัญ #ของขวัญวันคริสต์มาส #thaitimes #หนังสือน่าอ่าน วันก่อนอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเป็นรวมเรื่องสั้นแนวความรัก ในเล่มมี 27 เรื่องแปลจากฝั่งตะวันตกโดยสำนวนของมนันยา มีภาพประกอบสีสวยการ์ตูนแฟชั่นทุกเรื่อง เกือบทุกเรื่องเป็นรักของชายหญิงหลากหลายอาชีพ หลายวัย ที่มีรูปแบบการแสดงออกอย่างชาวตะวันตก ซึ่งส่วนตัวไม่ได้อินมากด้วยความที่แต่ละเรื่องไม่ยาวเท่าไร จึงไม่มีรายละเอียดมากพอจะทำให้รู้สึกเอาใจช่วยไปกับตัวละครในเรื่องนัก มีที่ชอบอยู่บ้าง แต่มีเรื่องหนึ่งประทับใจมากเป็นพิเศษ ทั้งที่ในเนื้อหานั้นไม่มีความรักแบบชายหนุ่มหญิงสาวที่ดิ้นรนแสวงหาคนเพื่อมาอยู่ข้างกายเลย แต่ความรักที่ปรากฏในเรื่องนี้ช่างงดงามและสร้างพลัง ช่วยชุบชูจิตใจให้รู้สึกอบอุ่น และมีหวังต่อโลกใบนี้ขึ้นมาไม่น้อย ตอนดังกล่าวนี้คือเรื่องแรกของเล่มที่มีชื่อว่า ของขวัญ เรื่องมีว่า ชายสูงวัยที่สูญเสียเมียที่อยู่ด้วยกันมาหลายสิบปีไป ทำให้เขาทนอยู่บ้านเดิมหลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำกับเธอไม่ได้ จึงขายแล้วย้ายมาซื้อบ้านหลังเล็กสำหรับคนเดียว ในตำบลอันห่างไกลริมชายฝั่งซึ่งไร้คนรู้จัก ชอบอยู่เงียบ ๆ ไม่สุงสิงกับใคร ไม่ชอบร่วมกิจกรรมเข้าสังคมโดยเฉพาะในวันคริสต์มาสและช่วงเทศกาลที่เขาไม่ชอบอย่างยิ่ง เห็นเป็นความสิ้นเปลือง มีแต่กินแล้วก็มอบของขวัญให้กัน ทำให้ห่างไกลใจความสำคัญและความหมายแท้จริง เขาไม่เห็นด้วยกับการให้ของตามใจที่เด็กอยากได้ เพราะสร้างนิสัยให้เด็กคิดว่าต้องได้ของขวัญเสมอในวันคริสต์มาส เขาบอกตัวเองว่าไม่ได้เกลียดวันคริสต์มาสอย่างตาเฒ่าสครูจใน A Christmas Carol จนวิญญาณเพื่อนเก่าที่ตายไปชื่อ เจค็อบ มาร์เลย์ ต้องมาเตือน วันคริสต์มาสที่จะมาถึงในคืนนั้น ช่วงกลางวันเขาออกไปซื้อของที่สโตร์ห่างไปไม่ไกล ซึ่งคุ้นเคยกับหญิงเจ้าของร้านอยู่บ้างเพราะต้องมาซื้อข้าวของบ่อย ตอนเดินเข้าไปหญิงเจ้าของร้านยิ้มแย้มต้อนรับ ชวนคุยเกี่ยวกับหุ่นจำลองนกแก้วขนาดยักษ์ที่แขวนห้อยอยู่บนเพดานกลางร้านซึ่งมีสีสันสดสวยและปีกยาวใหญ่ เธอบอกว่าจะให้เป็นของขวัญคริสต์มาส สำหรับผู้ที่ซื้อของปอนด์หนึ่งจะได้รับการเขียนชื่อไว้จับสลาก1 ใบ แล้วเธอจะเขียนชื่อลงในบัตรให้เขาด้วย ชายชราที่นึกรังเกียจเจ้านกยักษ์จำต้องเออออไปกับเธอ บอกว่าเขาเป็นคนไร้โชคมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยถูกรางวัลใด ๆ คงไม่มีหวังหรอก หลังเขากลับมาบ้านและกำลังพักผ่อนตามสบายนั้น โทรศัพท์จากหญิงเจ้าของร้านดังขึ้น เมื่อเขารับ เธอบอกด้วยความดีใจว่าเขาต้องไม่เชื่อแน่เลยว่าชื่อที่จับสลากได้นกแก้วตัวนั้นก็คือเขา เธอขอให้เขาขับรถมานำของขวัญกลับบ้าน นี่เป็นเหมือนทุกขลาภที่ตนไม่อยากได้แต่ไม่อาจปฏิเสธน้ำใจ ด้วยเธอคือบุคคลหนึ่งในจำนวนน้อยนิดเพียงไม่กี่คนที่เขารู้จัก ต้องรักษาความเป็นเพื่อนที่ดีไว้ จึงจำใจขับรถกลับไปรับนกแก้วยักษ์ขนาด 6 ฟุตตัวนั้น เมื่อเอาเข้าไปไว้ในรถก็เต็มที่ว่างจนชนกระจก เขาใช้ความคิดอย่างหนักว่าจะกำจัดมันได้อย่างไร จะเอาทิ้งทันทีไม่ได้แน่ของใหญ่อย่างนี้ ไม่นานจะรู้ถึงหูเจ้าของร้าน ในที่สุดเขานึกออก ตัดสินใจขับรถมุ่งหน้าไปสถานเลี้ยงเด็กซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยร่วมอยู่ในที่ประชุม และมีคนเสนอให้ขายที่ดินว่างเปล่า แต่เขาคัดค้านเพราะจะทำให้เด็ก ๆ ไม่มีพื้นที่วิ่งเล่น เมื่อไปถึงสถานเลี้ยงเด็ก ผู้ดูแลหญิงเอ่ยทักทาย เธอจำได้ว่าชายชราคือบุคคลหนึ่งซึ่งช่วยให้เด็ก ๆ ยังมีพื้นที่กลางแจ้งไว้สันทนาการ เขารีบบอกว่านำนกแก้วยักษ์มามอบให้เป็นของขวัญคริสต์มาสแก่เด็ก ๆ (ทั้งที่ไม่เคยมีความคิดนี้อยู่ในหัวมาก่อน) แต่ผู้ดูแลสาวจำต้องกล่าวปฏิเสธ แม้จะซาบซึ้งในความมีน้ำใจของเขามากเพราะนกนั้นตัวใหญ่เกินไป เธอเล่าว่าถ้าเป็นไก่งวงตัวใหญ่ที่กินได้จะรีบรับไว้เลย ด้วยเหตุว่าทางสถานเลี้ยงเด็กไม่มีเงินมากพอจะจัดอาหารเลี้ยงในคืนวันคริสต์มาส ชายชราจึงควักธนบัตรหลายใบที่มีมูลค่ามากพอสมควรยื่นให้ผู้ดูแล พร้อมบอกว่าขอเป็นเจ้าภาพอุปการะการกินเลี้ยงของเด็ก แม้นเธอจะไม่กล้ารับแต่เขายืนยันบอกว่าตนเองมีพอไม่เดือดร้อน และกำชับว่าช่วยจัดอาหารดี ๆ ให้พวกเขาด้วย สุขสันต์วันคริสต์มาสนะ แล้วแบกนกแก้วยักษ์กลับขึ้นรถ ขับต่อไปพลางคิดว่าจะกำจัดมันไปที่ไหนดี เขานึกถึงโรงเรียนอนุบาล เด็กเล็กต้องชอบแน่เขามั่นใจ จึงมุ่งหน้าไปถึงโรงเรียน จอดรถและแบกนกยักษ์เข้าไป เขามองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงระเบียงจึงตรงเข้าไปถามว่าเธอคือครูใช่ไหม หญิงสาวบอกชื่อและทักทายชายชรา เธอจำได้ว่าเขาคือคนบริจาคเงินให้โรงเรียนตอนที่จัดซื้อรถมินิบัส เขาแปลกใจที่มีคนจำเรื่องนั้นได้ ความจริงเขาทราบจากหญิงเจ้าของร้านขายของว่าโรงเรียนลำบากในการเดินทางพาเด็กไปว่ายน้ำในสระที่อยู่อีกตำบลซึ่งห่างไกล เขาจำได้ว่าตอนเมียยังมีชีวิตมักพูดว่าถ้าชาวบ้านช่วยโรงเรียนได้ก็ควรช่วย เขาจึงบริจาคช่วยไปโดยไม่คิดอะไร ครูสาวจำต้องปฏิเสธนกแก้วยักษ์เช่นกัน เธอบอกว่าโรงเรียนคับแคบไม่มีที่พอจะแขวน ลำพังเด็ก35คนวิ่งไปมาก็แทบแย่แล้ว แต่ยังไม่ทันที่ชายชราจะขนนกกลับ เด็กหลายคนมองมาเห็นเข้าจึงพากันเข้ามารุมล้อมชื่นชมนกแก้วตัวใหญ่ด้วยแววตาเป็นประกาย พลางแข่งกันถามมากมายเช่นว่า มันกัดไหมค่ะ มันบินได้หรือเปล่าฮะ ขอผมดูหน่อย ขอหนูจับหน่อยนะคะ นุ่มไหมฮะ ที่สุดครูก็ไม่สามารถจะห้ามเด็กได้ จึงยอมให้เขานำนกเข้าไปในห้องเรียนครู่หนึ่งเพื่อให้เด็กทุกคนได้ชื่นชม จับต้อง เด็กกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ " ซ้วยสวย.. ตัวมันใหญ่นะ.." ครูสาวถือโอกาสสอนเรื่องสีโดยถามเด็ก ๆ ว่าส่วนต่าง ๆ ของนกแก้วสีอะไรบ้าง เด็กแต่ละคนพยายามหน่วงเหนี่ยวเวลาให้เขาอยู่นานที่สุด โดยเรียกไปชมต้นไม้ที่เขาทำ งานประดิษฐ์ที่อยากอวด ชายชราชมของทุกชิ้นของเด็ก ๆ ก่อนจะนำนกแก้วยักษ์กลับขึ้นรถและนึกหาสถานที่ใหม่ จะมีที่ไหนอีกหนอ เขานึกได้ถึงหญิงที่รับจ้างซักรีดให้ตนที่ยากจนและมีลูก 2 คน เมื่อไปถึงบ้านของเธอก็ได้พบว่าเล็กยังกับรูหนู ไม่มีทางเลยที่จะมีที่ให้แขวนนกได้ แม่ของเด็กพูดว่า จะเป็นของอะไรก็ดีทั้งนั้นถ้าวางใต้ต้นคริสต์มาส แต่สามีเธอตกงานมา 3 สัปดาหืแล้ว เธอพยายามหาเงินจนพอซื้อไก่งวงตัวหนึ่ง และวัตถุดิบทำพายได้สัก 2-3 ชิ้น นั่นคือทั้งหมดที่พอจะมีในคืนคริสต์มาสนี้ สามีไม่ยอมให้กู้ยืมใคร ลูกทั้งสองอยากได้จักรยานมานาน แต่เธอต้องสอนให้เขารู้ว่าการอยากได้ กับการได้รับนั้นต่างกัน ชายชราบอกว่าเด้กสองคนนิสัยดี สภาพ มักวิ่งมาเปิดประตูรถให้เขาเสมอ ให้เขาเป็นซานต้าให้เด็ก ๆ แล้วกัน พลางหยิบสมุดเช็กออกมาเขียน บอกกับคนเป็นแม่ว่า ซื้อจักรยานดี ๆ ที่เขาอยากได้ให้พวกเด็กคนละคันนะ หญิงสาวไม่กล้ารับ บอกว่าสามีเธอไม่ชอบให้รับบริจาค เขาเกลียดการขอ ชายชราตัดบทว่าเหลวไหล ให้บอกสามีว่าเขาเป็นคนเคี่ยวเข็ยเองให้รับ เพราะเขาไม่มีลูกเลย จากนั้นก็แบกนกแก้วยักษ์ยัดกลับเข้ารถตรงกลับบ้าน บัดนี้เขาไม่รู้จะเอามันไปให้ใคร ไม่สนใจแล้วว่าเจ้าของร้านที่ให้นกมาจะคิดอย่างไร เขาจะเอามันไปโยนลงถังขยะ แต่ถังก้เล้กเกิน เขาจึงจำใจเอานกตัวนั้นกลับบ้านวางกองไว้ในห้องรับแขก พรุ่งนี้ค่อยหาทาง เขาพักผ่อนกินของว่าง ชงกาแฟดื่ม ขระที่ดวงตานกยักษืมองจ้องมาตลอดเวลา สุดท้ายเขาจึงคิดว่าปล่อยมันบนพื้นอย่างนี้คงไม่ดี เพราะไม่อยากถูกจ้อง จึงทำห่วงแล้วเอามันห้อยแขวนไว้ชั่วคราว แล้วเขาก้ได้ยินเสียงบางอย่างนอกบ้าน มองออกไปเห็นรถสถานเลี้ยงเด็กมาจอด เด็ก ๆ กรูลงมายืนร้องเพลง โอ ลิตเติลทาวน์ ออฟ เบธเลเฮม ทำเอาหัวใจเขาแปลบ จึงเปิดประตูให้เด็ก ๆ เข้ามา เด็ก ๆ ร้องไซเลนไนท์ ต่อด้วย วี วิช ยู เอ เมอร์รี คริสต์มาส ชายชราสั่งน้ำมูก ผู้ดูแลบอกว่าเด็ก ๆ อยากมาร้องเพลงเพื่อขอบคุณ ทุกคนเข้าไปจับนกที่ห้อยอยู่ก่อนจะกลับ ครู่เดียวต่อมา เด็กชายสองคนมาเคาะประตุด้วยความตื่นเต้น เขาเอาพายมาให้ชายชราพร้อมบอกว่า สวัสดีวันคริสต์มาส แม่เด็กยืนโบกมืออยู่ตรงรั้วและกล่าวประโยคเดียวกับลูกของเธอ ชายชราก้มลงบอกว่า หวังว่าวานต้าจะนำของที่หนุอยากได้มาให้นะ แล้วก็ฉงนใจตัวเองนี่เขากำลังทำให้เด็กเกิดความโลภหรือไม่ เขากลับเข้าบ้านพร้อมจานพานในมือ คุยกับนกแก้วยักษืว่าเสียใจด้วยนะที่แกกินไม่ได้ ต่อจากนั้นก็มีเสียงเคาะประตูอีก คุรครูจากโรงเรียนอนุบาลและเด็ก 4 คน เธอบอกว่าเด็ก ๆ อยากทำอะไรเพื่อให้เขารู้ว่านกแก้วตัวนั้นวิเศษเพียงใดก้เลยวาดรูปมาให้ แล้วก็สวัสดีวันคริสต์มาส ชายชราซาบซึ้งบอกว่าเข้ามาก่อนสิ เขาจะเอาภาพติดฝาผนัง เด็กหญิงคนหนึ่งเข้าไปยืนหน้านก ชื่นชมว่านกสวยอย่างไร และแกใช้ทุกสีในการวาด ถึงตอนครูจะพากลับ เด็กหญิงหันมาเปรยบอกหูคิดว่ามันอยากเป็นเพื่อนกับหนู ชายชราเห็นด้วย เด็กหญิงพูดต่อว่า ถ้าจะเป็นเพื่อนกันก็ต้องรู้จักชื่อด้วย ชายชรานิ่งอึ้ง หันไปมองเจ้านกแก้วยักษ์ เหมือนมันจะมองตอบแล้วส่งกระแสอะไรบางอย่าง เขาคิดว่ารู้แล้วว่านกชื่ออะไรจึงยิ้มให้เด็กน้อย พลางตอบว่า มันชื่อเจค็อบจ้ะ ..เจค็อบ มาร์เลย์
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 766 Views 0 Reviews
  • ธรรมะในนิยายจีนจากเรื่อง แปดเทพอสูรมังกรฟ้า

    .

    ตัวละครเอกตัวหนึ่งของเรื่องที่เป็นตัวละครหลักหนึ่งในสาม คือ องค์ชายต้วนอี้ รัชทายาทแห่งอาณาจักร ต้าหลี่ หรือแถบยูนนานของจีนปัจจุบัน นับเป็นตัวละครที่มีความเป็นบุคคลที่หาได้ยากมากในเหล่าชาวยุทธ หรือตัวเอกในอาณาจักรนิยายจีนมากมายเท่าที่เคยผ่านสมองและสองตามา

    .
    .

    แรกทีเดียวที่ข้าพเจ้าได้อ่านเรื่องนี้ในสมัยเรียนชั้นมัธยมต้น กว่าสามสิบปีมาแล้วนั้น รู้สึกไม่ชอบพระเอกที่ชื่อต้วนอี้นี้เลย ออกจะรำคาญ และเบื่อในความเหลาะแหละ โลเล ใจไม่อยู่กับร่องกับรอย เป็นพวกชอบเพ้อฝัน บัณฑิตที่โง่งมยึดอยู่กับตำราเหมือนนักศึกษาที่จะสอบเป็นจอหงวน ตัดสินใจไม่เด็ดขาด อ่อนแอ รักหยกถนอมบุบผา คือมีความนุ่มนิ่มตุ้งติ้ง สุภาพเรียบร้อย โดยเฉพาะกับสตรีเพศยิ่งเข้ากลุ่มไปสนทนาร่วมด้วยอย่างค่อนข้างกลมกลืนเป็นเนื้อเดียว ไม่สมชายชาตรี

    .
    .

    ฝึกวิชาก็ไม่เอาไหน ทั้งที่มีประสบการณ์ปาฏิหาริย์ โชคนำพาวาสนาส่งให้ได้มีโอกาสไขว่คว้าตำรายุทธ์ หรือร่ำเรียนวิชาสุดยอดฝีมือที่เรียกได้ว่าเป็นยอดวิทยายุทธ์ในใต้หล้า ที่น้อยคนจะได้พานพบ ทว่ากลับเหมือนลิงได้แหวน ไก่ได้พลอย มีของดีกับตัวแต่ไม่ใช้ ไม่ฝึกฝน ปล่อยเสียของไปอย่างเปล่าดาย หรือถ้าฝึกก็อย่างขอไปที หรือเหตุการณ์บังคับ ไม่กระตือรือร้นที่จะพาตนให้กลายเป็นคนเก่ง หรือจอมยุทธ์อันดับหนึ่ง เช่นที่พระเอกควรจะเก่งและควรจะเป็น

    .
    .

    ไม่เหมือนเฉียวฟง ประมุขพรรคกระยาจก ที่แม้นไม่หล่อเหลา แต่มีบุคลิกองอาจกล้าหาญ ฮึกเหิม และมีวิทยายุทธ์สูงส่งเป็นไต้เฮียบ หรือผู้กล้าอันดับหนึ่งในแผ่นดิน ได้รับการยกย่องขนานนามเป็น เฉียวฟงเหนือ มู่หยงใต้ เรียกได้ว่าต้วนอี้เป็นหนึ่งในตัวละครเอกของจักรวาลนิยายกำลังภายในของกิมย้ง ที่ไม่น่าประทับใจเลย

    ทว่า แท้จริงข้าพเจ้ามองต้วนอี้ตื้นเขินเกินไปในเวลานั้น ด้วยวัยที่ยังไม่สามารถวิเคราะห์เรื่องราวได้เหมือนดังปัจจุบัน

    .
    .

    แท้จริง องค์ชายต้วน หรือคุณชายต้วน เป็นตัวละครที่น่ายกย่องในหลายด้าน เขาเป็นผู้ที่มีจิตใจดีงามฝังอยู่ในกมลสันดาน ที่ไม่นิยมการฝึกวิชายุทธ์ ก็เพราะไม่อยากจะเกี่ยวข้องทำร้ายคน ไม่ชอบการเข่นฆ่า พยายามหลีกเลี่ยงอย่างถึงที่สุด โดยกลับไปชอบถึงขั้นหลงใหลในด้านศิลปะแทน ไม่ว่าจะเป็นความรู้ในทางดนตรี บทกวี การเขียนอักษรจีน การวาดภาพ และการเล่นหมากล้อม

    .
    .

    เขามีจิตใจอ่อนโยน แม้กระทั่งกับศัตรูที่คิดจะฆ่าตัวเองให้ตาย แต่เขาก็ไม่ยอมที่จะเป็นฝ่ายกระทำตอบ แม้นในเมื่อตนมีโอกาส ยามศัตรูพลั้งพลาด จนในที่สุดความดีของเขาสามารถเอาชนะใจจอมโฉดอันดับสาม จากสี่จอมโฉด คือ หนานไห่เอ้อเซิน จนยอมเรียกต้วนอี้ว่าอาจารย์ และยอมเป็นศิษย์แม้นด้วยความจำนน จากการแพ้เดิมพันก็ตาม (ถือว่าเป็นจอมโฉดที่มีจิตใจดีงามอยู่หลายส่วน มากกว่าพี่น้องร่วมสาบานคนอื่น โดยเฉพาะความสัตย์ซื่อ)

    .
    .

    นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้ให้โอกาสคนอื่น ไม่เหยียบย่ำซ้ำเติม มีน้ำใจต่อคนแทบทุกชนชั้น เห็นใจแม้กระทั่งคนชั่วที่คนอื่นเกลียด ชอบช่วยเหลือ ชอบคบค้าสมาคมกับคนจำนวนมาก เป็นผู้มีบุคลิกภายนอกที่อาจไม่ต้องใจสาวงามที่ชมชอบบุรุษเข้มแข็ง อีกทั้งก็ไม่ได้หล่อเหลา แม้นจะไม่ขี้เหร่ แต่ด้วยความเป็นคนมาดคุณชายหนอนหนังสือ จึงไม่ได้รับการใส่ใจจากหญิงที่ตนรัก

    .
    .

    โดยรวมแล้ว แม้ต้วนอี้จะมีข้อด้อยหลายประการ แต่ข้อด้อยเหล่านั้น บางข้อก็ถือเป็นข้อดีหากเรามองในอีกแง่มุมหนึ่ง จึงเป็นเรื่องที่ให้แง่คิดกับเราได้ว่า การจะวิเคราะห์หรือมองคนคนหนึ่งให้ทะลุนั้น เราจะมองแต่แค่แง่ใดหรือบางแง่หาได้ไม่ เพราะเบื้องหลังความเป็นมาของแต่ละคนที่บ่มเพาะให้คนคนนั้น กลายเป็นคนที่มีบุคลิก หรืออุปนิสัยเช่นไร เป็นความซับซ้อนหลายชั้น

    ในความเป็นคนดี ก็ยังมีความชั่วแฝงซ่อนอยู่ หรือกระทั่งจอมโฉดชั่วสุดสามานย์ ก็ยังมีมุมที่น่าเห็นใจ น่าสงสาร ไปจนกระทั่งน่ารักอยู่ไม่น้อย สมดังชื่อเรื่องที่มีทั้งเทพและมารอยู่รวมกัน

    .

    แต่ที่เห็นได้ชัดคือ คนที่พยายามอยากได้ในสิ่งที่ตนต้องการ ด้วยการทำทุกวิธีแม้จะต้องผิดต่อมโนธรรม คุณธรรม และศีลธรรม มักจะต้องผิดหวัง

    .

    ทว่าคนที่ยิ่งไม่ต้องการ ยิ่งไม่อยากได้ในสิ่งที่คนอื่นอยาก มักจะเป็นผู้ที่ได้รับในสิ่งซึ่งตนไม่ต้องการอยู่เสมอ

    ดังเช่นชีวิตขององค์ชายต้วนอี้ เป็นต้น ซึ่งได้พบกับความสุขสมหวังในช่วงท้าย ต่างจากมู่หยงฟู่ที่ไขว่คว้าตลอด แต่ต้องสูญสิ้นทุกอย่างจนกลายเป็นบ้า

    ............

    บทความโดย ชลธิศ รมณียางกูร

    ป.ล. ฉบับนิยายที่อ่านเป็นฉบับที่ยังไม่มีการปรับปรุงแก้ไขใหม่โดยผู้แต่งในภายหลัง

    รูปภาพประกอบจากกูเกิ้ล เวอร์ชั่นปี 1982 คุณชายต้วน รับบทโดย ทัง เจิ้นเยี่ย (จีนตัวย่อ: 汤镇业; จีนตัวเต็ม: 湯鎮業; พินอิน: Tāng Zhènyè)ข้อมูลชื่อจีน และคำอ่านจากวิกิพีเดีย

    #แปดเทพอสูรมังกรฟ้า
    #ต้วนอี้
    #นิยายกำลังภายใน
    #นิยายจีน
    #กิมย้ง
    #thaitimes
    #บทวิเคราะห์
    #บทความ
    #ข้อคิด
    #นิยายแปล
    ธรรมะในนิยายจีนจากเรื่อง แปดเทพอสูรมังกรฟ้า . ตัวละครเอกตัวหนึ่งของเรื่องที่เป็นตัวละครหลักหนึ่งในสาม คือ องค์ชายต้วนอี้ รัชทายาทแห่งอาณาจักร ต้าหลี่ หรือแถบยูนนานของจีนปัจจุบัน นับเป็นตัวละครที่มีความเป็นบุคคลที่หาได้ยากมากในเหล่าชาวยุทธ หรือตัวเอกในอาณาจักรนิยายจีนมากมายเท่าที่เคยผ่านสมองและสองตามา . . แรกทีเดียวที่ข้าพเจ้าได้อ่านเรื่องนี้ในสมัยเรียนชั้นมัธยมต้น กว่าสามสิบปีมาแล้วนั้น รู้สึกไม่ชอบพระเอกที่ชื่อต้วนอี้นี้เลย ออกจะรำคาญ และเบื่อในความเหลาะแหละ โลเล ใจไม่อยู่กับร่องกับรอย เป็นพวกชอบเพ้อฝัน บัณฑิตที่โง่งมยึดอยู่กับตำราเหมือนนักศึกษาที่จะสอบเป็นจอหงวน ตัดสินใจไม่เด็ดขาด อ่อนแอ รักหยกถนอมบุบผา คือมีความนุ่มนิ่มตุ้งติ้ง สุภาพเรียบร้อย โดยเฉพาะกับสตรีเพศยิ่งเข้ากลุ่มไปสนทนาร่วมด้วยอย่างค่อนข้างกลมกลืนเป็นเนื้อเดียว ไม่สมชายชาตรี . . ฝึกวิชาก็ไม่เอาไหน ทั้งที่มีประสบการณ์ปาฏิหาริย์ โชคนำพาวาสนาส่งให้ได้มีโอกาสไขว่คว้าตำรายุทธ์ หรือร่ำเรียนวิชาสุดยอดฝีมือที่เรียกได้ว่าเป็นยอดวิทยายุทธ์ในใต้หล้า ที่น้อยคนจะได้พานพบ ทว่ากลับเหมือนลิงได้แหวน ไก่ได้พลอย มีของดีกับตัวแต่ไม่ใช้ ไม่ฝึกฝน ปล่อยเสียของไปอย่างเปล่าดาย หรือถ้าฝึกก็อย่างขอไปที หรือเหตุการณ์บังคับ ไม่กระตือรือร้นที่จะพาตนให้กลายเป็นคนเก่ง หรือจอมยุทธ์อันดับหนึ่ง เช่นที่พระเอกควรจะเก่งและควรจะเป็น . . ไม่เหมือนเฉียวฟง ประมุขพรรคกระยาจก ที่แม้นไม่หล่อเหลา แต่มีบุคลิกองอาจกล้าหาญ ฮึกเหิม และมีวิทยายุทธ์สูงส่งเป็นไต้เฮียบ หรือผู้กล้าอันดับหนึ่งในแผ่นดิน ได้รับการยกย่องขนานนามเป็น เฉียวฟงเหนือ มู่หยงใต้ เรียกได้ว่าต้วนอี้เป็นหนึ่งในตัวละครเอกของจักรวาลนิยายกำลังภายในของกิมย้ง ที่ไม่น่าประทับใจเลย ทว่า แท้จริงข้าพเจ้ามองต้วนอี้ตื้นเขินเกินไปในเวลานั้น ด้วยวัยที่ยังไม่สามารถวิเคราะห์เรื่องราวได้เหมือนดังปัจจุบัน . . แท้จริง องค์ชายต้วน หรือคุณชายต้วน เป็นตัวละครที่น่ายกย่องในหลายด้าน เขาเป็นผู้ที่มีจิตใจดีงามฝังอยู่ในกมลสันดาน ที่ไม่นิยมการฝึกวิชายุทธ์ ก็เพราะไม่อยากจะเกี่ยวข้องทำร้ายคน ไม่ชอบการเข่นฆ่า พยายามหลีกเลี่ยงอย่างถึงที่สุด โดยกลับไปชอบถึงขั้นหลงใหลในด้านศิลปะแทน ไม่ว่าจะเป็นความรู้ในทางดนตรี บทกวี การเขียนอักษรจีน การวาดภาพ และการเล่นหมากล้อม . . เขามีจิตใจอ่อนโยน แม้กระทั่งกับศัตรูที่คิดจะฆ่าตัวเองให้ตาย แต่เขาก็ไม่ยอมที่จะเป็นฝ่ายกระทำตอบ แม้นในเมื่อตนมีโอกาส ยามศัตรูพลั้งพลาด จนในที่สุดความดีของเขาสามารถเอาชนะใจจอมโฉดอันดับสาม จากสี่จอมโฉด คือ หนานไห่เอ้อเซิน จนยอมเรียกต้วนอี้ว่าอาจารย์ และยอมเป็นศิษย์แม้นด้วยความจำนน จากการแพ้เดิมพันก็ตาม (ถือว่าเป็นจอมโฉดที่มีจิตใจดีงามอยู่หลายส่วน มากกว่าพี่น้องร่วมสาบานคนอื่น โดยเฉพาะความสัตย์ซื่อ) . . นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้ให้โอกาสคนอื่น ไม่เหยียบย่ำซ้ำเติม มีน้ำใจต่อคนแทบทุกชนชั้น เห็นใจแม้กระทั่งคนชั่วที่คนอื่นเกลียด ชอบช่วยเหลือ ชอบคบค้าสมาคมกับคนจำนวนมาก เป็นผู้มีบุคลิกภายนอกที่อาจไม่ต้องใจสาวงามที่ชมชอบบุรุษเข้มแข็ง อีกทั้งก็ไม่ได้หล่อเหลา แม้นจะไม่ขี้เหร่ แต่ด้วยความเป็นคนมาดคุณชายหนอนหนังสือ จึงไม่ได้รับการใส่ใจจากหญิงที่ตนรัก . . โดยรวมแล้ว แม้ต้วนอี้จะมีข้อด้อยหลายประการ แต่ข้อด้อยเหล่านั้น บางข้อก็ถือเป็นข้อดีหากเรามองในอีกแง่มุมหนึ่ง จึงเป็นเรื่องที่ให้แง่คิดกับเราได้ว่า การจะวิเคราะห์หรือมองคนคนหนึ่งให้ทะลุนั้น เราจะมองแต่แค่แง่ใดหรือบางแง่หาได้ไม่ เพราะเบื้องหลังความเป็นมาของแต่ละคนที่บ่มเพาะให้คนคนนั้น กลายเป็นคนที่มีบุคลิก หรืออุปนิสัยเช่นไร เป็นความซับซ้อนหลายชั้น ในความเป็นคนดี ก็ยังมีความชั่วแฝงซ่อนอยู่ หรือกระทั่งจอมโฉดชั่วสุดสามานย์ ก็ยังมีมุมที่น่าเห็นใจ น่าสงสาร ไปจนกระทั่งน่ารักอยู่ไม่น้อย สมดังชื่อเรื่องที่มีทั้งเทพและมารอยู่รวมกัน . แต่ที่เห็นได้ชัดคือ คนที่พยายามอยากได้ในสิ่งที่ตนต้องการ ด้วยการทำทุกวิธีแม้จะต้องผิดต่อมโนธรรม คุณธรรม และศีลธรรม มักจะต้องผิดหวัง . ทว่าคนที่ยิ่งไม่ต้องการ ยิ่งไม่อยากได้ในสิ่งที่คนอื่นอยาก มักจะเป็นผู้ที่ได้รับในสิ่งซึ่งตนไม่ต้องการอยู่เสมอ ดังเช่นชีวิตขององค์ชายต้วนอี้ เป็นต้น ซึ่งได้พบกับความสุขสมหวังในช่วงท้าย ต่างจากมู่หยงฟู่ที่ไขว่คว้าตลอด แต่ต้องสูญสิ้นทุกอย่างจนกลายเป็นบ้า ............ บทความโดย ชลธิศ รมณียางกูร ป.ล. ฉบับนิยายที่อ่านเป็นฉบับที่ยังไม่มีการปรับปรุงแก้ไขใหม่โดยผู้แต่งในภายหลัง รูปภาพประกอบจากกูเกิ้ล เวอร์ชั่นปี 1982 คุณชายต้วน รับบทโดย ทัง เจิ้นเยี่ย (จีนตัวย่อ: 汤镇业; จีนตัวเต็ม: 湯鎮業; พินอิน: Tāng Zhènyè)ข้อมูลชื่อจีน และคำอ่านจากวิกิพีเดีย #แปดเทพอสูรมังกรฟ้า #ต้วนอี้ #นิยายกำลังภายใน #นิยายจีน #กิมย้ง #thaitimes #บทวิเคราะห์ #บทความ #ข้อคิด #นิยายแปล
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 597 Views 0 Reviews
  • พากันจูงมือเข้าอ่านริ้วววว………พี่ปูเขากำลังจะรุ่งในสายการเมืองแล้ววว………!!!!

    ตอนห้า…..เมื่อราศีจับ……อะไรๆก็ฉุดไม่อยู่……!!!

    เท่ากับว่า ตอนนี้ปูตินมีสองร่างในบุคคลคนเดียวกัน เขาได้มาเป็นที่ปรึกษาให้กับอนาโตลี แต่ยังคงนั่งทำงานประจำที่มหาวิทยาลัย
    ส่วนที่สำนักงาน KGB. เขาจะแวะเข้าไปเป็นครั้งเป็นคราว
    จนวันหนึ่งในช่วงปลายปี 1990 ที่มีคณาจารย์จาก Saint Petersburg University จาก Florida, USA ได้เข้ามาเยี่ยมเยียนมหาวิทยาลัย
    ในเลนินกราด ในโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และแบบแผนการศึกษา
    ตัวผู้ก่อตั้งซึ่งเป็นอธิการบดี Dr. Carl M. Kuttler jr. ได้เดินทางมาด้วย
    ผู้ที่ทำหน้าที่ต้อนรับ คือ วลาดิเมียร์ ปูติน ที่เป็นผู้ประสานงานทุกอย่าง
    ตั้งแต่ชมมหาวิทยาลัย ไปเที่ยวนอกเมือง ซึ่งตอนนั้นเป็นภาวะที่น้ำมันขาดแคลนในโซเวียต
    รถลีมูซีนของท่านอธิการบดี เกิดน้ำมันหมด……ปูตินสามารถสั่งการให้เจ้าหน้าที่รัฐนำน้ำมันมาเติมให้ถึงที่ได้ด้วย
    คาร์ลจึงแปลกใจมาก……เขาแทบไม่เชื่อว่าคณบดีธรรมดาๆ คนนี้ สามารถตอบคำถามได้หมด ตั้งแต่เรื่องการเมือง เศรษฐกิจ และการต่างประเทศ
    ซ้ำยังเรียกหน่วยงานมาจัดการเรื่องเส้นทางและน้ำมันให้ได้อีก
    ทุกอย่างได้เป็นไปอย่างเรียบร้อย ตลอดทั้งสิบวัน……

    ในคืนเกือบสุดท้ายที่คณะจากอเมริกาจะจากไป มีการจัดเลี้ยงอำลา
    ปูตินจึงนำอนาโตลีไปแนะนำให้รู้จักในฐานะเจ้านาย และ ในฐานะของนายกเทศมนตรีของเมือง
    ระหว่างการสนทนา คาร์ลได้เชื้อเชิญให้อนาโตลีไปเยี่ยมเยียนที่อเมริกาบ้าง
    แต่อนาโตลี คือชาวรัสเชี่ยนแท้ๆ ที่ปากกับใจตรงกัน ได้ตอบกลับไปว่า
    “พวกเราไม่มีทุนรอนขนาดนั้น มันไกลเกินฝัน…”
    คาร์ลก็เป็นอเมริกันสายป๋า……เขาตอบทันทีว่า
    “งั้นผมจะลองไปจัดการหาสปอนเซอร์ให้เอง……โปรดอย่าเป็นกังวล”

    ในที่สุด อนาโตลีและคณะก็ได้ไปเยือนอเมริกาสมใจ ด้วยทุนของ Procter & Gamble และได้เข้าพบกับประธานาธิบดี George H.W. Bush
    เขาได้ดูงานเทศบาลของเมือง Saint Petersburg, Florida **ที่มีนโยบายเข้มโดยไม่มีการอนุญาตให้ตัดต้นไม้ใดๆได้ จนกว่าจะได้รับการอนุมัติจากทางการ
    เมื่ออนาโตลีกลับมาถึงโซเวียต สิ่งแรกที่เขาทำคือ ทำการบรรจุปูตินในทีมงานอย่างเป็นทางการ จากความดีความชอบที่สามารถเชื่อมโยงจนได้ไปอเมริกา
    การทำงานกับอนาโตลี……ปูตินเริ่มมองเห็นอะไรอีกด้านหนึ่งที่เขาไม่ได้มองมาก่อน เช่น เรื่องความเสมอภาค ที่อนาโตลีมักพูดเสมอว่า
    “เราคุ้นเคยกับความรุนแรงมาตั้งแต่เกิด จนเห็นเป็นเรื่องปรกติ เราต้องอยู่อย่างหวาดกลัว ระแวง กับการที่จะมีคนมาคอยจ้องจับ นั่นมันไม่ใช่วิสัยการเป็นอยู่ของมนุษยชน”
    หรือ “ เราไม่จำเป็นต้องไปฆ่าฟันผู้คนกลุ่มหนึ่งให้ตาย
    เพื่อสนองตัญหาของคนอีกกลุ่มหนึ่ง……”

    เขาทั้งสองคนมีความแตกต่างกันอย่างสุดโต่ง อายุต่างกัน (12 ปี)
    นิสัยต่างกัน คนหนึ่งรื่นเริง หัวเราะง่าย อารมณ์ดี
    อีกคนหนึ่ง หน้าเครียด ยิ้มยาก ระวังตัวตลอดเวลา
    แต่อนาโตลี……พยายามผลักดันปูตินให้เข้ามาในวงจรของความคิดใหม่
    ปูตินแยกแยะเรื่องงานได้ดี เขาไม่เคยเออออห่อหมกกับทัศนคติของอนาโตลีที่มีต่อโซเวียต เพราะเขายังเป็น KGB ที่ยังต้องซื่อสัตย์กับงาน
    และเขาได้เห็นว่า งานเทศมนตรีที่อนาโตลีทำอยู่นั้น เป็นการเล่นการเมืองเสียส่วนใหญ่ งานด้านทำนุบำรุงประชาชนในส่วนสาธารณูปโภคมีน้อยมาก……

    ในปีนั้น ปี 1991 เศรษฐกิจของโซเวียตฝืดเคือง ข้าวของทุกอย่างหายไปตลาด ชั้นขายของว่างเปล่า อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน การประท้วงได้เกิดขึ้นตามชายขอบของประเทศ กอร์บาเชฟสั่งให้หน่วยทหารและ KGB เตรียมกำลังให้พร้อม เพื่อที่จะไปปราบม็อบ ผลจากการปะทะ ผู้ต่อต้านเสียชีวิตไป 14 คน
    ลิธัวเนีย…ประกาศท้าทายโซเวียตด้วยการจัดการลงคะแนนเสียงเพื่อขอเป็นอิสระ กอร์บาเชฟไม่ยอมรับมติของการลงคะแนน โดยอ้างว่าผิดกฎหมาย
    แต่กระแสเรียกร้อง เรียกหาความเป็นธรรมเริ่มหนาหูขึ้น

    เดือนเมยายน โซเวียต ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภา ที่มีทั้งฝ่ายคอมมิวนิสต์
    และฝ่ายสังคมนิยม ที่จะต้องชิงที่นั่งกัน ผลที่ได้คือ Boris Yelzin ได้ตำแหน่งประธานสภา อันเป็นที่ไม่พอใจกอร์บาเชฟเป็นอย่างยิ่ง
    เพราะคนละวิสัยทัศน์ และ เขาไม่เข้าใจเลยว่า คนที่ดื่มสุราจัด พูดไม่เป็นภาษามนุษย์ จะมาทำงานใหญ่ได้อย่างไร…
    แต่กระแสนิยมในตัวเยลซินกลับเพิ่มขึ้นทุกวัน จนบดบังรัศมี
    ของกอร์บาเชฟจนหมดสิ้น
    คอมมิวนิสต์อยู่ในกระแสขาลง ……ประชาชนฝ่ายใฝ่สังคมนิยมผสมประชาธิปไตยในสายงานของอนาโตลีทำการเรียกร้องให้เปลี่ยนชื่อเมือง
    จากเลนินกราด……ให้กลับไปเป็นเหมือนก่อนเก่า คือ St. Petersburg ซึ่งได้รับเสียงตอบรับในสภาเกินครึ่ง
    ปูติน……วางตัวเงียบสงบ ตั้งแต่เขาได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในฐานะนักการเมือง เขาได้ลาออกจากการเป็นคณบดีที่มหาวิทยาลัย คอยเฝ้าดูสถานะการณ์ของพรรคการเมืองต่างๆที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด เขาเป็นที่ไว้วางใจของอนาโตลี ถึงขนาดที่เซ็นลงในกระดาษเปล่าให้ปูตินเอาไว้เขียนสั่งงานแทน

    วันที่ 17 สิงหาคม 1991 ปูตินได้พาครอบครัวไปเที่ยววันหยุด
    ที่ฝั่งทะเลบอลติค อนาโตลีไปพักผ่อนที่กึ่งประชุมงานที่ลิธัวเนีย
    ไม่มีใครรู้ว่า วันต่อมา คือวันที่ 18 เป็นวันที่ Gorbachev, Yeltzin และผู้นำจาก Kazakhstan มีการประชุมลับกันในการที่จะปรับเปลี่ยนทอนอำนาจในเครมลิน
    แต่ความลับรั่ว……เพราะการประชุมไม่ได้เกิดขึ้น กอร์บาเชฟได้ถูกควบคุมตัวไปขังในบ้านพักตากอากาศของเขาเอง (house arrest) แบบปฏิวัติเงียบจากกลุ่มต่อต้านภายใน หนึ่งในทีมหัวหน้าปฏิบัติการ คือ Vladimir Kryuchkov ผู้อำนวยการใหญ่ KGB
    และจากนั้น……ทั้งประเทศตกอยู่ในการคุมเข้มของกฏอัยการศึก
    ปูตินทราบข่าวจากการประกาศฉุกเฉินทางโทรทัศน์
    อนาโตลี ทราบข่าวจากโทรศัพท์ที่ปลุกกลางดึก ทำให้เขาต้องรีบบินกลับพร้อมกับผู้ติดตามหนึ่งคน ซึ่งทางคณะประกอบการได้ส่งการ์ดพร้อมอาวุธไปเตรียมควบคุมตัวเขาถึงสามคน
    แต่เมื่อถึงสนามบิน การ์ดสามคนนั่น ไม่ได้ทำตามคำสั่ง แถมยังช่วยดูแลความปลอดภัยให้กับอนาโตลีจนบินกลับถึงมอสโคว์ได้อย่างปลอดภัย

    ปูตินรีบกลับมา เพื่ออยู่ในทีมงานของอนาโตลี เพราะเขารู้สึกเอียนกับการยึดอำนาจแบบนี้ เพราะตลอดชีวิตของเขาก็เจอแต่เหตุการณ์แบบนี้ แล้วผลมันเป็นอย่างไรก็เห็นๆกันอยู่ว่าประเทศได้ย่ำเท้าถอยหลัง ทรุดโทรมลงไปทุกวัน
    เขาตัดสินใจเขียนใบลาออกจาก KGB หลังจากที่ 16 ปีที่ใช้ชีวิตในเส้นทางนั้น พอกันที…
    เป็นไปตามคาด……การปฏิวัติโดยฝ่ายทหารและ KGB ในครั้งนี้ ไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาด เพราะประชาชนไม่ยอมรับ

    เพียงแค่สองวัน กอร์บาเขฟก็ได้รับอิสรภาพออกมาจากบ้านพัก Boris Yeltzin ได้รับความนิยม
    อนาโตลีก็เช่นกัน เขากลายเป็นตัวแทนของความเป็นประชาธิปไตยในเลนินกราด ปูตินก็ถือเป็นโชคที่เข้าข้าง เพราะเขาตัดสินในเลือกถูกฝั่ง……เพราะถ้าเขายังอยู่ในราชการ แน่นอนว่า……เขาคงจบชีวิตราชการที่ศาลทหารอย่างเดียวกับ Vladimir Kryuchkov

    เขาควรจะดีใจ……แต่ตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุด ที่เห็นองค์กร KGB ที่เหมือนจิตวิญญาณศักดิศรีของลูกผู้ชายนั้นได้ล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา……

    ตามคาดคือ Yeltzin ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีของรัสเซีย (ใหม่) เขาได้ทำการยุบกลุ่มพรรคที่นิยมคอมมิวนิสต์
    อนาโตลี ก็ก้าวขึ้นมาเป็นบุคคลสำคัญแห่งเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก และก็ได้ทำการอย่างเดียวกับเยลซิน คือ ไล่บี้กลุ่มคอมมิวนิสต์ เขาได้แต่งตั้งให้ปูตินเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจและการต่างประเทศ โดยมีที่ทำการใหม่ที่หรูหราสมฐานะ
    ภาพของเลนินได้ถูกปลดออกจากทุกห้อง โดยนำภาพของพระเจ้าปีเตอร์มหาราชขึ้นไปแขวนแทน
    ธงแดงที่มีตราฆ้อนเคียว ถูกปลดลงหมด แต่ยังหาธงอื่นแทนไม่ได้ (ผลิตใหม่ยังไม่ทัน เสร็จพร้อมเมื่อ 1 พฤศจิกายน) ปูตินได้สั่งให้ถอนเสาธงออกไปเลย……

    ตอนนั้นเป็นยุคที่ต้องมีสื่อทีวีเพื่อการโปรประกันดา อนาโตลี
    ให้สัมภาษณ์จนแทบไม่มีเวลาหายใจ เขาจึงมอบหมาย
    ให้ปูตินรับช่วงต่อไปแทน ที่เป็นการสัมภาษณ์แบบสด ไม่มีสคริปต์ ที่เขาทำให้ทุกคนทึ่งในความสามารถ เพราะปูตินสามารถตอบทุกอย่างได้แบบมือโปร ด้วยท่าทางที่มั่นใจ และเต็มไปด้วยพลังของการทำงาน
    แต่ในสุดท้ายของการสัมภาษณ์ สื่อได้ถามวนเวียนถึงเรื่องการเป็นสายลับของเขา……
    ปูตินเริ่มรำคาญ ……”ดูคุณจะหาคำอธิบายให้ได้ใช่ไหม?”
    สื่อ “ ก็แน่ละซิ เพราะการที่ได้พบกับอดีต KGB ที่ไม่ได้ปกปิดตัวตนนั้น มันง่ายซะที่ไหน..”
    ปูติน……”คุณไม่มีทางรู้เลยว่า คุณอาจได้พบพวกเขาบ่อยๆแล้วโดยที่คุณไม่รู้ตัว………แต่เขาจะรู้เสมอว่าคุณเป็นใคร…แล้วคุณลองดูในอเมริกา นายจอร์จ บุช ก็คืออดีตซีไอเอ…แล้วไง?”
    สื่อ……”#%&฿$€€”

    หลังจากหมัดเด็ดในการสัมภาษณ์นั้นได้ออกทีวีไป
    อาคันตุกะคนแรกที่เข้ามาพบกับปูตินถึงที่ทำงาน ใน Smolny Institute
    คือ Igor Sechin ***เป็นเพื่อนรุ่นน้องในมหาวิทยาลัย และเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในภาษาโปรตุเกส, ฝรั่งเศส และ อังกฤษ เคยเป็นล่ามให้กับกองทัพ
    และ…..เป็นอดีต KGB เช่นกัน……
    แทบไม่ต้องเดา……อิกอร์ได้เข้ามาเป็นหนึ่งในทีมทำงานเป็นหูเป็นตาให้กับปูติน
    จากนั้น……พรรคพวกเดิมๆที่มีความสามารถอย่างอิกอร์ก็ตบเข้าเข้ามาเสริมกำลัง จนในที่สุด ทั้งออฟฟิศของอนาโตลี
    มีแต่เจ้าหน้าที่ที่เป็นอดีต KGB เป็นส่วนใหญ่

    ปูตินพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส โดยใช้ความสามารถที่มีทั้งหมดตั้งแต่เป็นสายลับ นักกฎหมาย ภาษาเยอรมัน การเมืองและเศรษฐศาสตร์ในการทำงาน เขาเชื่อเสมอว่า รัสเซียสามารถเป็นประเทศที่มีหลักการในการปกครองระบบสังคมนิยมผสมประชาธิปไตยได้ หากประชาชนอยู่ดีกินดี
    เพื่อนที่ใกล้ชิด ที่รู้นิสัยกันดี เขาเอามาทำงานด้วยหมด และทุกคนต่างได้รับผลตอบแทนเข้าขั้นอภิมหาเศรษฐีด้วยกันแทบทั้งนั้น
    แต่.……นั่นหมายความว่า รัฐบาลต้องมีหุ้นอยู่ด้วย.……พร้อมเข้าตรวจสอบได้
    การพัฒนาในเรื่องอุตสาหกรรมพลังงานจะต้องมาเป็นอันดับแรกที่ต้องพัฒนาให้ล้ำที่สุด
    ซึ่งเป็นความคิดที่สอดคล้องกับอนาโตลี ที่ตอนนั้นมีบารมีพอๆกันกับเยลซิน……
    ปูตินกลายเป็นกลไกสำคัญของเหล่าอาคันตุกะที่มาเยี่ยมเยือน และสร้างสัมพันธไมตรีต่างประเทศ ตั้งแต่ รมต. ต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา James Baker,ไปอังกฤษเพื่อพบปะกับ John Major นายกรัฐมนตรี, ไปเยอรมันเพื่อพบกับนายกรัฐมนตรี Helmut Kohl (และทำหน้าที่เป็นล่ำเป็นสัน)
    หรือเมื่อ Henry Kissinger ได้บินมาที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก
    ปูตินไปรับที่สนามบิน และนำไปสู่ที่พัก ในการสนทนากัน
    คิสซิงเจอร์ได้บอกกับปูตินว่า
    “คนที่ทำงานเก่งๆเนี่ย เริ่มต้นมาจากหน่วยราชการลับกันทั้งนั้น”

    ปูตินยิ้มนิดๆ ตอบไปว่า “อย่างผมนี่ไง……..!!”

    **ที่ Florida, USA. มีเมืองที่ชื่อว่า Saint Petersburg เช่นกัน

    ***จำชื่อนี้ไว้นะคะ Igor Sechin เพราะต่อมาเขาคือกลไกสำคัญในการเป็นแขนขาในการทำงาน เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรี เมื่อปูตินเป็นนายกฯ
    อิกอร์ดูแลควบคุมการอุตสาหกรรมแร่ รวมไปถึงพลังงานและเป็น CEO บริษัท Rosneft ก๊าสและน้ำมัน ที่ใหญ่อันดับสามของรัสเซีย
    ตัวเขาเองที่เปรียบเสมือนมือขวาของปูตินจนถึงบัดนี้
    และตะวันตก……ได้ให้สถานะเขาว่า เป็นผู้มีอำนาจที่สองรองลงไปจากปูติน

    หรือแม้แต่ Alexey Miller CEO ของ Gazprom บริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซียก็เป็นเด็กในคาถาของปูติน
    เพราะปั้นมากับมือตั้งแต่เขาเริ่มเลือกเส้นทางสายการเมือง

    Wiwanda W. Vichit
    พากันจูงมือเข้าอ่านริ้วววว………พี่ปูเขากำลังจะรุ่งในสายการเมืองแล้ววว………!!!! ตอนห้า…..เมื่อราศีจับ……อะไรๆก็ฉุดไม่อยู่……!!! เท่ากับว่า ตอนนี้ปูตินมีสองร่างในบุคคลคนเดียวกัน เขาได้มาเป็นที่ปรึกษาให้กับอนาโตลี แต่ยังคงนั่งทำงานประจำที่มหาวิทยาลัย ส่วนที่สำนักงาน KGB. เขาจะแวะเข้าไปเป็นครั้งเป็นคราว จนวันหนึ่งในช่วงปลายปี 1990 ที่มีคณาจารย์จาก Saint Petersburg University จาก Florida, USA ได้เข้ามาเยี่ยมเยียนมหาวิทยาลัย ในเลนินกราด ในโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และแบบแผนการศึกษา ตัวผู้ก่อตั้งซึ่งเป็นอธิการบดี Dr. Carl M. Kuttler jr. ได้เดินทางมาด้วย ผู้ที่ทำหน้าที่ต้อนรับ คือ วลาดิเมียร์ ปูติน ที่เป็นผู้ประสานงานทุกอย่าง ตั้งแต่ชมมหาวิทยาลัย ไปเที่ยวนอกเมือง ซึ่งตอนนั้นเป็นภาวะที่น้ำมันขาดแคลนในโซเวียต รถลีมูซีนของท่านอธิการบดี เกิดน้ำมันหมด……ปูตินสามารถสั่งการให้เจ้าหน้าที่รัฐนำน้ำมันมาเติมให้ถึงที่ได้ด้วย คาร์ลจึงแปลกใจมาก……เขาแทบไม่เชื่อว่าคณบดีธรรมดาๆ คนนี้ สามารถตอบคำถามได้หมด ตั้งแต่เรื่องการเมือง เศรษฐกิจ และการต่างประเทศ ซ้ำยังเรียกหน่วยงานมาจัดการเรื่องเส้นทางและน้ำมันให้ได้อีก ทุกอย่างได้เป็นไปอย่างเรียบร้อย ตลอดทั้งสิบวัน…… ในคืนเกือบสุดท้ายที่คณะจากอเมริกาจะจากไป มีการจัดเลี้ยงอำลา ปูตินจึงนำอนาโตลีไปแนะนำให้รู้จักในฐานะเจ้านาย และ ในฐานะของนายกเทศมนตรีของเมือง ระหว่างการสนทนา คาร์ลได้เชื้อเชิญให้อนาโตลีไปเยี่ยมเยียนที่อเมริกาบ้าง แต่อนาโตลี คือชาวรัสเชี่ยนแท้ๆ ที่ปากกับใจตรงกัน ได้ตอบกลับไปว่า “พวกเราไม่มีทุนรอนขนาดนั้น มันไกลเกินฝัน…” คาร์ลก็เป็นอเมริกันสายป๋า……เขาตอบทันทีว่า “งั้นผมจะลองไปจัดการหาสปอนเซอร์ให้เอง……โปรดอย่าเป็นกังวล” ในที่สุด อนาโตลีและคณะก็ได้ไปเยือนอเมริกาสมใจ ด้วยทุนของ Procter & Gamble และได้เข้าพบกับประธานาธิบดี George H.W. Bush เขาได้ดูงานเทศบาลของเมือง Saint Petersburg, Florida **ที่มีนโยบายเข้มโดยไม่มีการอนุญาตให้ตัดต้นไม้ใดๆได้ จนกว่าจะได้รับการอนุมัติจากทางการ เมื่ออนาโตลีกลับมาถึงโซเวียต สิ่งแรกที่เขาทำคือ ทำการบรรจุปูตินในทีมงานอย่างเป็นทางการ จากความดีความชอบที่สามารถเชื่อมโยงจนได้ไปอเมริกา การทำงานกับอนาโตลี……ปูตินเริ่มมองเห็นอะไรอีกด้านหนึ่งที่เขาไม่ได้มองมาก่อน เช่น เรื่องความเสมอภาค ที่อนาโตลีมักพูดเสมอว่า “เราคุ้นเคยกับความรุนแรงมาตั้งแต่เกิด จนเห็นเป็นเรื่องปรกติ เราต้องอยู่อย่างหวาดกลัว ระแวง กับการที่จะมีคนมาคอยจ้องจับ นั่นมันไม่ใช่วิสัยการเป็นอยู่ของมนุษยชน” หรือ “ เราไม่จำเป็นต้องไปฆ่าฟันผู้คนกลุ่มหนึ่งให้ตาย เพื่อสนองตัญหาของคนอีกกลุ่มหนึ่ง……” เขาทั้งสองคนมีความแตกต่างกันอย่างสุดโต่ง อายุต่างกัน (12 ปี) นิสัยต่างกัน คนหนึ่งรื่นเริง หัวเราะง่าย อารมณ์ดี อีกคนหนึ่ง หน้าเครียด ยิ้มยาก ระวังตัวตลอดเวลา แต่อนาโตลี……พยายามผลักดันปูตินให้เข้ามาในวงจรของความคิดใหม่ ปูตินแยกแยะเรื่องงานได้ดี เขาไม่เคยเออออห่อหมกกับทัศนคติของอนาโตลีที่มีต่อโซเวียต เพราะเขายังเป็น KGB ที่ยังต้องซื่อสัตย์กับงาน และเขาได้เห็นว่า งานเทศมนตรีที่อนาโตลีทำอยู่นั้น เป็นการเล่นการเมืองเสียส่วนใหญ่ งานด้านทำนุบำรุงประชาชนในส่วนสาธารณูปโภคมีน้อยมาก…… ในปีนั้น ปี 1991 เศรษฐกิจของโซเวียตฝืดเคือง ข้าวของทุกอย่างหายไปตลาด ชั้นขายของว่างเปล่า อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน การประท้วงได้เกิดขึ้นตามชายขอบของประเทศ กอร์บาเชฟสั่งให้หน่วยทหารและ KGB เตรียมกำลังให้พร้อม เพื่อที่จะไปปราบม็อบ ผลจากการปะทะ ผู้ต่อต้านเสียชีวิตไป 14 คน ลิธัวเนีย…ประกาศท้าทายโซเวียตด้วยการจัดการลงคะแนนเสียงเพื่อขอเป็นอิสระ กอร์บาเชฟไม่ยอมรับมติของการลงคะแนน โดยอ้างว่าผิดกฎหมาย แต่กระแสเรียกร้อง เรียกหาความเป็นธรรมเริ่มหนาหูขึ้น เดือนเมยายน โซเวียต ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภา ที่มีทั้งฝ่ายคอมมิวนิสต์ และฝ่ายสังคมนิยม ที่จะต้องชิงที่นั่งกัน ผลที่ได้คือ Boris Yelzin ได้ตำแหน่งประธานสภา อันเป็นที่ไม่พอใจกอร์บาเชฟเป็นอย่างยิ่ง เพราะคนละวิสัยทัศน์ และ เขาไม่เข้าใจเลยว่า คนที่ดื่มสุราจัด พูดไม่เป็นภาษามนุษย์ จะมาทำงานใหญ่ได้อย่างไร… แต่กระแสนิยมในตัวเยลซินกลับเพิ่มขึ้นทุกวัน จนบดบังรัศมี ของกอร์บาเชฟจนหมดสิ้น คอมมิวนิสต์อยู่ในกระแสขาลง ……ประชาชนฝ่ายใฝ่สังคมนิยมผสมประชาธิปไตยในสายงานของอนาโตลีทำการเรียกร้องให้เปลี่ยนชื่อเมือง จากเลนินกราด……ให้กลับไปเป็นเหมือนก่อนเก่า คือ St. Petersburg ซึ่งได้รับเสียงตอบรับในสภาเกินครึ่ง ปูติน……วางตัวเงียบสงบ ตั้งแต่เขาได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในฐานะนักการเมือง เขาได้ลาออกจากการเป็นคณบดีที่มหาวิทยาลัย คอยเฝ้าดูสถานะการณ์ของพรรคการเมืองต่างๆที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด เขาเป็นที่ไว้วางใจของอนาโตลี ถึงขนาดที่เซ็นลงในกระดาษเปล่าให้ปูตินเอาไว้เขียนสั่งงานแทน วันที่ 17 สิงหาคม 1991 ปูตินได้พาครอบครัวไปเที่ยววันหยุด ที่ฝั่งทะเลบอลติค อนาโตลีไปพักผ่อนที่กึ่งประชุมงานที่ลิธัวเนีย ไม่มีใครรู้ว่า วันต่อมา คือวันที่ 18 เป็นวันที่ Gorbachev, Yeltzin และผู้นำจาก Kazakhstan มีการประชุมลับกันในการที่จะปรับเปลี่ยนทอนอำนาจในเครมลิน แต่ความลับรั่ว……เพราะการประชุมไม่ได้เกิดขึ้น กอร์บาเชฟได้ถูกควบคุมตัวไปขังในบ้านพักตากอากาศของเขาเอง (house arrest) แบบปฏิวัติเงียบจากกลุ่มต่อต้านภายใน หนึ่งในทีมหัวหน้าปฏิบัติการ คือ Vladimir Kryuchkov ผู้อำนวยการใหญ่ KGB และจากนั้น……ทั้งประเทศตกอยู่ในการคุมเข้มของกฏอัยการศึก ปูตินทราบข่าวจากการประกาศฉุกเฉินทางโทรทัศน์ อนาโตลี ทราบข่าวจากโทรศัพท์ที่ปลุกกลางดึก ทำให้เขาต้องรีบบินกลับพร้อมกับผู้ติดตามหนึ่งคน ซึ่งทางคณะประกอบการได้ส่งการ์ดพร้อมอาวุธไปเตรียมควบคุมตัวเขาถึงสามคน แต่เมื่อถึงสนามบิน การ์ดสามคนนั่น ไม่ได้ทำตามคำสั่ง แถมยังช่วยดูแลความปลอดภัยให้กับอนาโตลีจนบินกลับถึงมอสโคว์ได้อย่างปลอดภัย ปูตินรีบกลับมา เพื่ออยู่ในทีมงานของอนาโตลี เพราะเขารู้สึกเอียนกับการยึดอำนาจแบบนี้ เพราะตลอดชีวิตของเขาก็เจอแต่เหตุการณ์แบบนี้ แล้วผลมันเป็นอย่างไรก็เห็นๆกันอยู่ว่าประเทศได้ย่ำเท้าถอยหลัง ทรุดโทรมลงไปทุกวัน เขาตัดสินใจเขียนใบลาออกจาก KGB หลังจากที่ 16 ปีที่ใช้ชีวิตในเส้นทางนั้น พอกันที… เป็นไปตามคาด……การปฏิวัติโดยฝ่ายทหารและ KGB ในครั้งนี้ ไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาด เพราะประชาชนไม่ยอมรับ เพียงแค่สองวัน กอร์บาเขฟก็ได้รับอิสรภาพออกมาจากบ้านพัก Boris Yeltzin ได้รับความนิยม อนาโตลีก็เช่นกัน เขากลายเป็นตัวแทนของความเป็นประชาธิปไตยในเลนินกราด ปูตินก็ถือเป็นโชคที่เข้าข้าง เพราะเขาตัดสินในเลือกถูกฝั่ง……เพราะถ้าเขายังอยู่ในราชการ แน่นอนว่า……เขาคงจบชีวิตราชการที่ศาลทหารอย่างเดียวกับ Vladimir Kryuchkov เขาควรจะดีใจ……แต่ตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุด ที่เห็นองค์กร KGB ที่เหมือนจิตวิญญาณศักดิศรีของลูกผู้ชายนั้นได้ล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา…… ตามคาดคือ Yeltzin ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีของรัสเซีย (ใหม่) เขาได้ทำการยุบกลุ่มพรรคที่นิยมคอมมิวนิสต์ อนาโตลี ก็ก้าวขึ้นมาเป็นบุคคลสำคัญแห่งเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก และก็ได้ทำการอย่างเดียวกับเยลซิน คือ ไล่บี้กลุ่มคอมมิวนิสต์ เขาได้แต่งตั้งให้ปูตินเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจและการต่างประเทศ โดยมีที่ทำการใหม่ที่หรูหราสมฐานะ ภาพของเลนินได้ถูกปลดออกจากทุกห้อง โดยนำภาพของพระเจ้าปีเตอร์มหาราชขึ้นไปแขวนแทน ธงแดงที่มีตราฆ้อนเคียว ถูกปลดลงหมด แต่ยังหาธงอื่นแทนไม่ได้ (ผลิตใหม่ยังไม่ทัน เสร็จพร้อมเมื่อ 1 พฤศจิกายน) ปูตินได้สั่งให้ถอนเสาธงออกไปเลย…… ตอนนั้นเป็นยุคที่ต้องมีสื่อทีวีเพื่อการโปรประกันดา อนาโตลี ให้สัมภาษณ์จนแทบไม่มีเวลาหายใจ เขาจึงมอบหมาย ให้ปูตินรับช่วงต่อไปแทน ที่เป็นการสัมภาษณ์แบบสด ไม่มีสคริปต์ ที่เขาทำให้ทุกคนทึ่งในความสามารถ เพราะปูตินสามารถตอบทุกอย่างได้แบบมือโปร ด้วยท่าทางที่มั่นใจ และเต็มไปด้วยพลังของการทำงาน แต่ในสุดท้ายของการสัมภาษณ์ สื่อได้ถามวนเวียนถึงเรื่องการเป็นสายลับของเขา…… ปูตินเริ่มรำคาญ ……”ดูคุณจะหาคำอธิบายให้ได้ใช่ไหม?” สื่อ “ ก็แน่ละซิ เพราะการที่ได้พบกับอดีต KGB ที่ไม่ได้ปกปิดตัวตนนั้น มันง่ายซะที่ไหน..” ปูติน……”คุณไม่มีทางรู้เลยว่า คุณอาจได้พบพวกเขาบ่อยๆแล้วโดยที่คุณไม่รู้ตัว………แต่เขาจะรู้เสมอว่าคุณเป็นใคร…แล้วคุณลองดูในอเมริกา นายจอร์จ บุช ก็คืออดีตซีไอเอ…แล้วไง?” สื่อ……”#%&฿$€€” หลังจากหมัดเด็ดในการสัมภาษณ์นั้นได้ออกทีวีไป อาคันตุกะคนแรกที่เข้ามาพบกับปูตินถึงที่ทำงาน ใน Smolny Institute คือ Igor Sechin ***เป็นเพื่อนรุ่นน้องในมหาวิทยาลัย และเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในภาษาโปรตุเกส, ฝรั่งเศส และ อังกฤษ เคยเป็นล่ามให้กับกองทัพ และ…..เป็นอดีต KGB เช่นกัน…… แทบไม่ต้องเดา……อิกอร์ได้เข้ามาเป็นหนึ่งในทีมทำงานเป็นหูเป็นตาให้กับปูติน จากนั้น……พรรคพวกเดิมๆที่มีความสามารถอย่างอิกอร์ก็ตบเข้าเข้ามาเสริมกำลัง จนในที่สุด ทั้งออฟฟิศของอนาโตลี มีแต่เจ้าหน้าที่ที่เป็นอดีต KGB เป็นส่วนใหญ่ ปูตินพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส โดยใช้ความสามารถที่มีทั้งหมดตั้งแต่เป็นสายลับ นักกฎหมาย ภาษาเยอรมัน การเมืองและเศรษฐศาสตร์ในการทำงาน เขาเชื่อเสมอว่า รัสเซียสามารถเป็นประเทศที่มีหลักการในการปกครองระบบสังคมนิยมผสมประชาธิปไตยได้ หากประชาชนอยู่ดีกินดี เพื่อนที่ใกล้ชิด ที่รู้นิสัยกันดี เขาเอามาทำงานด้วยหมด และทุกคนต่างได้รับผลตอบแทนเข้าขั้นอภิมหาเศรษฐีด้วยกันแทบทั้งนั้น แต่.……นั่นหมายความว่า รัฐบาลต้องมีหุ้นอยู่ด้วย.……พร้อมเข้าตรวจสอบได้ การพัฒนาในเรื่องอุตสาหกรรมพลังงานจะต้องมาเป็นอันดับแรกที่ต้องพัฒนาให้ล้ำที่สุด ซึ่งเป็นความคิดที่สอดคล้องกับอนาโตลี ที่ตอนนั้นมีบารมีพอๆกันกับเยลซิน…… ปูตินกลายเป็นกลไกสำคัญของเหล่าอาคันตุกะที่มาเยี่ยมเยือน และสร้างสัมพันธไมตรีต่างประเทศ ตั้งแต่ รมต. ต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา James Baker,ไปอังกฤษเพื่อพบปะกับ John Major นายกรัฐมนตรี, ไปเยอรมันเพื่อพบกับนายกรัฐมนตรี Helmut Kohl (และทำหน้าที่เป็นล่ำเป็นสัน) หรือเมื่อ Henry Kissinger ได้บินมาที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ปูตินไปรับที่สนามบิน และนำไปสู่ที่พัก ในการสนทนากัน คิสซิงเจอร์ได้บอกกับปูตินว่า “คนที่ทำงานเก่งๆเนี่ย เริ่มต้นมาจากหน่วยราชการลับกันทั้งนั้น” ปูตินยิ้มนิดๆ ตอบไปว่า “อย่างผมนี่ไง……..!!” **ที่ Florida, USA. มีเมืองที่ชื่อว่า Saint Petersburg เช่นกัน ***จำชื่อนี้ไว้นะคะ Igor Sechin เพราะต่อมาเขาคือกลไกสำคัญในการเป็นแขนขาในการทำงาน เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรี เมื่อปูตินเป็นนายกฯ อิกอร์ดูแลควบคุมการอุตสาหกรรมแร่ รวมไปถึงพลังงานและเป็น CEO บริษัท Rosneft ก๊าสและน้ำมัน ที่ใหญ่อันดับสามของรัสเซีย ตัวเขาเองที่เปรียบเสมือนมือขวาของปูตินจนถึงบัดนี้ และตะวันตก……ได้ให้สถานะเขาว่า เป็นผู้มีอำนาจที่สองรองลงไปจากปูติน หรือแม้แต่ Alexey Miller CEO ของ Gazprom บริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซียก็เป็นเด็กในคาถาของปูติน เพราะปั้นมากับมือตั้งแต่เขาเริ่มเลือกเส้นทางสายการเมือง Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 718 Views 0 Reviews
  • เหล่าติ่งทั้งหลาย…………มาช่วยส่งกำลังใจให้พี่ปูหน่อยเร้วววว……!!!

    ตอนสี่……เข้ามาจนใกล้……แต่ยังไปไม่ถึง……!!!

    และแล้ว ปูตินก็ได้ดินทางมาสู่ Dresden เยอรมันตะวันออกเพียงลำพังในเดือนสิงหาคม 1985 เพราะลุดมิลายังต้องเลี้ยงดูลูกเล็ก มาเรีย (หรือ มาช่า) จนกว่าจะโตอีกนิดนึง
    เขาเข้าเริ่มงานในสำนักงานฝ่ายความมั่นคงของโซเวียต
    ที่เป็นที่ทำงานเดียวกับ KGB
    ปูตินกลายเป็น “Little Volodya” ในหมู่ของเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชา เพราะในหน่วยได้มีชื่อ Vladimir อยู่แล้วสองคน
    คนหนึ่งในหนวด ก็เป็น Mustahios Volodya
    อีกคนหนึ่งร่างยักษ์ ก็เป็น “Big Volodya”
    เขาเริ่มสับสนกับการทำงานในที่นี้ เพราะ เขาไม่ใช่ “Comrade Platov” อย่างควรจะเป็นในระบบของ KGB
    แต่กลายมาเป็น นายทหารธรรมดา ยศพันตรี แปะอกหรา…
    แล้วนี่มันเป็นสายลับชนิดไหนในโลก………!!!

    ต่อมาหลังจากที่เรียนรู้งาน เขาจึงทราบว่า การทำงานแบบอินเตอร์นี้ เขามาอย่างเปิดเผยพร้อมโปรไฟล์ พร้อมพาสปอร์ต
    ก็ต้องเล่นไปตามเกมส์
    งานใต้ดิน……จะแยกออกไปอีกสายหนึ่ง เรียกว่า Stasi (The Ministry for State Security หรือ Staatsischerheitdiest)
    ที่เป็นหน่วยงานของเยอรมันฝ่ายคอมมิวนิสต์ ก่อตั้งในปี 1950
    สำนักงานใหญ่อยู่ที่ Lichtenberg, East Germany
    ที่ทางรัสเซียจะสั่งการลงไปอีกชั้นหนึ่ง ปูตินจึงกลายมาเป็นทหารนั่งออฟฟิศ คอยประสานกับหน่วยสตาซี
    สำนักงานของ Stasi, Dresden ก็อยู่บนชั้นสองในอาคารเดียวกัน หัวหน้าหน่วย ชื่อว่า Horst Böhm
    วันดีคืนดีก็กวักมือชวนกันไปเล่นฟุตบอล แมช ระหว่าง Stasi vs KGB

    การประสานงานนี้ แม้ว่าพันตรีปูตินจะเชี่ยวชาญในภาษาเยอรมัน แต่ปัญหาอื่นๆก็ตามมาคือการสื่อสารภาษาชาวบ้านในชีวิตประจำวัน ศัพท์แสลง ที่เขาไม่คุ้นเคย
    ทางหน่วยสตาซี จึงส่งเจ้าหน้าที่มาเปิดทำการสอนอย่างติวเข้ม
    และอีกปัญหาหนึ่ง คือ เหล่าทหารเกณฑ์โซเวียตที่ได้มาประจำการในเยอรมัน ต่างกันหลุดวินัย เพราะเปรียบเทียบได้ว่า
    มาสู่เมืองสวรรค์ ดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ นุ่กางเกงยีนส์ ดูหนังโป๊
    หรือแม้แต่เหล่านายทหารอีลีทที่มาอยู่ทั้งครอบครัว ก็ใช้จ่ายแบบฟุ้งเฟ้อ เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าสารพัด บางคนก็ส่งกลับไปขายในตลาดมืดที่โซเวียต

    ปูตินจึงเปรียบเสมือนกับได้เข้ามาอยู่ในโลกใหม่ เขาเองได้รับเงินเดือนเป็นเงินสดเทียบเท่า หนึ่งร้อยยูเอสดอลล่าร์ (นับว่ามากโข)
    ใครต่อใครบอกเขาว่า การที่ได้มาประจำการที่นี่ คือ สุดยอดของความสุข แต่สำหรับเขานั้น……มันไม่ใช่..!!

    ลุดมิลาและลูกน้อยได้มาถึงในช่วงปลายปี เธอเปิดประตูอพาร์ตเมนต์เข้ามา พบกับตะกร้าใส่กล้วยหอมวางอยู่บนโต๊ะอาหารโด่เด่………ไม่มีแม้แต่ช่อดอกไม้……!!!
    เพียงแค่นั้น เธอก็พอที่จะรู้แล้วว่า……ทุกอย่างจะไม่ใช่เป็นอย่างที่เคยคิด……!!

    เจ้านายสายตรงของปูติน คือ Colonel Lazar Matveyev ที่เข้ากันได้ดีกับปูตินเป็นปี่เป็นขลุ่ย เพราะมีประวัติการเป็นมาคล้ายๆกัน และชื่นชมในตัวลุดมิลา ที่เป็นหญิงฉลาด คล่องแคล่ว ไหวพริบดี
    ปูตินใช้ชีวิตอย่างง่ายๆสบายๆในเดรสเดน และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาไม่ได้ซ้อมยูโดอย่างที่ทำเป็นประจำ อีกทั้งไม่เคยหยิบจับอะไรในเรื่องงานบ้าน ลุดมิลาได้ตั้งครรภ์ที่สอง
    เธอทำทุกอย่างในบ้าน
    รวมทั้งต้องเอาใจสามีที่ค่อนข้าง”เยอะ” ในเรื่องอาการการกิน
    อะไรที่ไม่ชอบ เขาจะไม่แตะเลย
    พอเธอบ่นเข้า……เขางัดเอาคติของรัสเซียโบราณขึ้นมาพูดลอยๆ……ว่า……ผู้หญิงยิ่งเอาใจ ยิ่งเคยตัว..!!!!
    และเขาไม่เคยจำวันครบรอบแต่งงานได้……
    ตอนที่ลุดมิลาจะต้องไปคลอดลูกคนเล็กนอนโรงพยาบาลต่อด้วยการพักฟื้นหลายวัน
    ปูตินจะต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ทั้งเลี้ยงลูก ทำความสะอาด หุงหา ที่เขาบอกว่าเป็นงานที่หนักที่สุดในชีวิต
    ทั้งนี้ทั้งนั้น หลายคนจับในน้ำเสียงได้ว่า เขาผิดหวังมากที่ไม่ได้ลูกชาย……
    ทั้งคู่ใช้ชีวิตอย่างสบายเพราะได้ออกไปเที่ยวในวันหยุด มีเครื่องซักผ้า มีสเตอริโอ และมีเกมส์ทีวี (รุ่น Atari) เล่น
    แต่ลุดมิลาไม่มีความสุขเท่าที่ควร เพราะเธอไม่มีเพื่อน
    คบคุยกับใครเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้ เหมือนมีคนคอยจับจ้องอยู่ตลอดเวลา สามีก็ไม่เคยเล่าเรื่องอะไรให้ฟังเลย
    แต่ปูตินก็มีเหตุผล……เพราะในหน่วยของเขาก็มีสายลับจากเยอรมันตะวันตกแฝงเข้ามา เท่าที่รู้คือ ล่ามที่เข้ามาทำการแปลให้ เป็นผู้หญิง (จาก BND = Bundesnachrichtendient) ที่มีโค้ดของตัวเองว่า BALCONY ที่เข้ามาทำตัวสนิทสนมกับลุดมิลา จนเธอเชื่อใจ ยอมนินทาสามีให้ฟังว่า เป็นคนเข้มระเบียบ
    มีแอบเจ้าชู้ และชีวิตครอบครัวเริ่มมีปัญหา

    ปี 1986 ที่โซเวียตเริ่มมีปัญหาภายในเพราะสภาพเศรษฐกิจ
    ส่วนภายนอกคือความกดดันจากองค์กร NATO จนท่านผู้นำ
    Mikhail Gorbachev ยอมอ่อนข้อให้ในเรื่องเครียดๆของสงครามเย็น
    ปี 1987 ปูตินได้เลื่อนยศเป็น พันโท และเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการ นั่นหมายถึงเป็นเบอร์สองขององค์กร ใน Dresden ที่ต้องคอยควบคุมพฤติกรรมทุกย่างก้าวของผู้ใต้บังคับบัญชา ที่เข้มถึงขนาดห้ามมีการถ่ายรูปภายในบริเวณ
    สถานการณ์เริ่มอึมครึมในระหว่างกลุ่ม KGB และ Stasi
    เพราะกลุ่มสายลับตะวันตกเริ่มมีบทบาทเข้ามาเกี่ยวข้องทางตะวันออกมากขึ้น มันบ่งบอกถึงสัญญาณอะไรบางอย่าง
    และ……นั่นคือ การลงนามระหว่างโรนัล รีแกน กับ กอร์บาเชฟ ในเรื่องสนธิสัญญาสันติภาพในขีปนาวุธนิวเคลียร์ในยุโรป
    (จำกัดจำนวน ถ้ามีเกิน ทำลายทิ้ง) ที่เกิดขึ้นในเดือนต่อมา

    สัญญาณนั้นชี้ไปในทางทิศที่ว่า สงครามเย็นอาจจะจบสิ้นในไม่ช้า เพราะกอร์บาเชฟได้เห็นแล้วว่าโซเวียตยังล้าหลังจากยุโรปไปมาก ควรจะต้องเปิดใจปรับปรุงให้เป็นคอมมิวนิสต์ที่พัฒนาและยอมรับความจริง
    เพียงแต่……เหล่าสีแดงเข้ม ไม่เข้าใจ และไม่พอใจ เห็นต่างกับนโยบายของท่านผู้นำ
    เมื่อโซเวียตเริ่มอ่อนกำลัง ปี 1989 ฮังการีได้เปิดพรมแดนที่ติดกับออสเตรีย ให้คนต่างเดินทางไปมาหาสู่ได้
    นั่นคือที่มาของความระส่ำระสายในเยอรมันตะวันออก ที่ต่างเรียกร้องให้เปิดพรมแดน รวมทั้งเบอร์ลิน
    มีการเดินขบวนเรียกร้อง มีการลุกฮือก่อการวุ่นวายที่นั่นที่นี่
    ผู้พันปูตินเริ่มรู้สึกว่า หน่วยของเขาเริ่มถูกตัดรอนไปจากมอสโคว์ เพราะไม่ว่าจะส่งรายงานอะไรไปก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมา
    อ่านบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้…?!!

    ในที่สุดกำแพงเบอร์ลินได้ถูกทะลายลงในคืนวันที่ 9 พฤศจิกายน 1989 เกิดการชุมนุมขึ้นในทุกหย่อมหญ้าของแผ่นดิน
    ใน Dresden วันที่ 5 ธันวาคม ที่คนจำนวนร้อยๆได้มุ่งหน้ามาที่สำนักงาน KGB ผู้พันปูตินได้มองเห็นการเคลื่อนตัวมาจากชั้นบนของอาคาร
    จากนั้นไม่กี่ชั่วโมงต่อมา…มวลชนเพิ่มเป็นจำนวนพัน……เมื่อถึงหน้าประตู ทุกคนอยู่ในสภาพคลั่ง โกรธแค้น ขว้างปา ด่าทอ
    เสียงคนตะโกนว่า ……ในอาคารมีช่องทางลับที่จะมุ่งไปสู่โรเมเนีย…มีคุกที่ทรมานนักโทษให้จมน้ำอยู่ครึ่งตัว…
    ตอนนั้น……ผู้พันปูตินขำไม่ออก……กับเรื่องเพ้อเจ้อที่แต่งกันขึ้นมาเพื่อที่จะเกลียดชังโซเวียต
    ที่ขำไม่ออก……เพราะเขาทำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากมอสโคว์
    ซึ่ง……ไม่ว่าจะส่งโทรเลขไปกี่ครั้ง แต่……ไม่มีคำตอบใดๆกลับมา……!!
    ณ. นาทีนั้น เขาได้รู้ได้ทันทีว่า…ไม่มีโซเวียตอีกต่อไป ระบอบระบบทุกอย่างได้ล่มลงหมดแล้ว

    เขาตัดสินใจแต่งเครื่องแบบออกไป ไม่มีอาวุธ (เขาเอาปืนและบัตรประจำตัวสายลับไว้ในเซฟ) ออกพบกับฝูงชนเมื่อเวลาเที่ยงคืน พร้อมกับทหารอีกหยิบมือ เป็นการเจรจาที่มีรั้วเหล็กกั้น
    ฝ่ายมวลชนพยายามที่จะผลักประตูเข้ามา……
    ผู้พันปูตินประกาศด้วยภาษาเยอรมันที่ชัดเจน จนทุกคนประหลาดใจ ว่า…
    “สถานที่นี้เป็นของรัฐบาลโซเวียต ที่ฝ่ายมั่นคงข้างในได้มีการเตรียมพร้อมรับมือด้วยอาวุธ…หากว่ามีการล่วงล้ำเข้ามา
    ทุกคนรอฟังคำสั่งและสัญญาณจากผมเท่านั้น……กรุณารักษาความสงบ……”
    ได้ผลเกินร้อย……ทุกคนสงบลง เสียงโห่ร้องกลายเป็นการสนทนาสู่กันเบาๆ
    แล้ว……ผู้พันปูตินก็เดินหันหลังกลับเข้าไป…!!!

    ทุกอย่างที่ว่ามา……ไม่มีทั้งสิ้น ไม่มีกำลังพล ไม่มีอาวุธ มีแต่เจ้าหน้าที่เด็กๆที่ช่วยกันทำลายเผาเอกสารสำคัญกันทั้งวันทั้งคืน
    แต่……การที่ไม่ได้รับคำตอบใดๆจากมอสโคว์………ยังเป็นฝันร้ายของผู้พันปูตินจนถึงทุกวันนี้……!!!

    เดือนกุมภาพันธ์ 1990 ผู้พันปูตินและลุดมิลาได้เตรียมตัวจัดกระเป๋า หีบห่อสัมภาระกลับสู่โซเวียต เขามีเงินเก็บไม่มากนักจากเงินเดือนที่ได้รับ ข้าวของจะถูกส่งกลับไปทางเรือ ส่วนเขา ลุดมิลาและลูกทั้งสองจะกลับทางรถไฟสู่มอสโคว์
    ระหว่างเดินทางกลับ เสื้อโค้ดและกระเป๋าถือของลุดมิลาถูกขโมยในระหว่างทาง……

    การกลับเข้าสู่ดินแดนของโซเวียตในครั้งนี้ ที่เขาต้องเจอกับความขาดแคลนไปในทุกสิ่ง ผู้คนที่ต้องใช้คูปองสงเคราะห์ในการซื้ออาหาร ข้าวของขาดตลาด การว่างงาน……
    แม้แต่ตัวผู้พันปูตินเอง ตั้งแต่ต้นปี 1990 จนผ่านมาสามเดือนก็ยังไม่ได้รับเงินเดือน……ส่วนอาคารสงเคราะห์ที่จะเป็นที่อยู่อาศัยก็ยังไม่มี เพราะทุกแห่งเต็มไปหมด ถ้าจะรอก็ต้องใช้เวลาเป็นปี
    แต่ตัวปูตินเอง……เขาหมดความมั่นใจในการบริหารงานของรัฐบาลโซเวียต แม้ว่าจะถูกเสนองานใหม่ให้ในมอสโคว์
    ก็ยังปฏิเสธ……เขาอยากกลับไปที่เลนินกราดบ้านเกิด อย่างน้อยก็ไปอยู่กับพ่อแม่ได้…

    ที่เลนินกราด……เขาได้งานใหม่ (แต่ยังเป็น KGB) ในหน้าที่คณบดี ฝ่ายการเมืองต่างประเทศ ที่มหาวิทยาลัย
    เลนินกราด (ที่เขาจบมา) หน้าที่ของเขาคือ ส่ายตาสอดส่องนักศึกษาและคนแปลกหน้า เท่ากับว่า เขาทำหน้าที่เช่นเดียวกับ Oleg Kalugin คนที่เคยนำเขาเข้าสู่ KGB เมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษากฎหมายเมื่อปี 1975
    ปูตินเคยบ่นปรับทุกข์กับเพื่อนรัก Sergei Roldugin ว่าเขาอยากลาออกจากการเป็น KGB
    แต่คำตอบที่ได้รับคือ ……”นายเคยเห็นหรือได้ยินคำว่า อดีตสายลับบ้างไหม……ไม่เคยละซิ เพราะถ้านายเป็น KGB แล้ว นายก็จะเป็นตลอดไป ต่อให้ไม่ได้อยู่ในองค์กร แต่นายก็ยังเป็น……เพราะ……มันคือจิตวิญญาณ……!!!”

    ที่มหาวิทยาลัย มีนักกฎหมายรุ่นพี่ที่จบจากที่เดียวกัน Anatoly Sobchak ที่เป็นผู้ที่เลื่อมใสระบอบประชาธิปไตยโดยใช้กฎหมายบังคับ เขาชอบเล่นการเมือง (เป็นฝ่ายตรงข้ามกับคอมมิวนิสต์)
    อนาโตลี มีความเลื่อมใสในกลุ่มนักกฏหมายไฟแรงที่หนึ่งในนั้น คือ Boris Yeltzin ที่ได้เป็นถึงหนึ่งคณะมนตรีในมอสโคว์
    อนาโตลี ต้องการใช้กฎหมายแบบระบบสากล คือ ไม่ว่าทหาร หรือ KGB ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเช่นคนอื่นๆ หากว่ามีความผิด ดังที่เขาพยายามที่จะขัดค้นในเรื่องการสังหารหมู่ในชนกลุ่มน้อยที่เกิดขึ้นในลิธัวเนีย, อาร์เมเนีย และ อาเซอร์ไบจาน

    อนาโตลี ได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกเทศมนตรี เลนินกราด……
    เขามีความรู้ มีความสามารถทางด้านวิชาการ เป็นนักพูดที่ดี
    แต่ไม่มีประสบการณ์กับชาวบ้าน และ การเป็นนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยในบ้านเมืองที่ยังถูกควบคุมในระบอบคอมมิวนิสต์นั้น มันไม่น่าจะง่าย……
    เขาจึงติดต่อไปที่ Oleg Kalugin หัวหน้าหน่วยสายลับผู้เป็นเพื่อนรัก เพื่อช่วยหาคนที่ไว้ใจได้ รอบรู้ ให้มาช่วยงาน
    โอเลก……ได้ให้รายชื่อไปสองสามคน แต่ อนาโตลี บอกว่า
    มันชัดเจนไปเพราะผู้คนรู้จักแล้ว เขาอยากได้คนที่โนเนม และเป็นคนธรรมดาๆมากกว่า
    ชื่อของ Vladimir Putin จึงถูกเสนอขึ้นไป
    อนาโตลี……รับข้อเสนอนี้ทันที เพราะนอกจากคุณสมบัติล้นเหลือแล้ว ยังเป็นรุ่นน้องที่จบมาจากที่เดียวกันด้วย

    ในเดือนพฤษภาคม ปูตินไปพบกับอนาโตลี ในที่ทำงานที่
    Mariinsky Palace ที่อนาโตลีได้บอกให้เขาเข้ามาทำงานในวันจันทร์ได้เลย……
    ปูติน……ตอบว่า……
    “เดี๋ยวก่อนครับ……ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจ ผมต้องขอเรียนให้ทราบก่อนว่า นอกจากจะเป็นคณบดีที่มหาวิทยาลัยแล้ว……
    งานหลัก……ผมยังเป็น KGB อีกด้วย”

    เป็นการประจันหน้ากันระหว่าง อนาโตลี ผู้ใฝ่ประชาธิปไตย กับ
    วลาดิเมียร์ ปูติน สายลับใต้ดินตัวเก่งของโซเวียต…!!!

    ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงัน……แต่เพียงอึดใจเดียว
    อนาโตลีได้เข้ามาตบบ่าปูติน และบอกว่า…
    “KGB ก็ KGB ซิวะ………ไม่เห็นแปลกตรงไหนเลยนี่………!!!!

    Wiwanda W. Vichit
    เหล่าติ่งทั้งหลาย…………มาช่วยส่งกำลังใจให้พี่ปูหน่อยเร้วววว……!!! ตอนสี่……เข้ามาจนใกล้……แต่ยังไปไม่ถึง……!!! และแล้ว ปูตินก็ได้ดินทางมาสู่ Dresden เยอรมันตะวันออกเพียงลำพังในเดือนสิงหาคม 1985 เพราะลุดมิลายังต้องเลี้ยงดูลูกเล็ก มาเรีย (หรือ มาช่า) จนกว่าจะโตอีกนิดนึง เขาเข้าเริ่มงานในสำนักงานฝ่ายความมั่นคงของโซเวียต ที่เป็นที่ทำงานเดียวกับ KGB ปูตินกลายเป็น “Little Volodya” ในหมู่ของเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชา เพราะในหน่วยได้มีชื่อ Vladimir อยู่แล้วสองคน คนหนึ่งในหนวด ก็เป็น Mustahios Volodya อีกคนหนึ่งร่างยักษ์ ก็เป็น “Big Volodya” เขาเริ่มสับสนกับการทำงานในที่นี้ เพราะ เขาไม่ใช่ “Comrade Platov” อย่างควรจะเป็นในระบบของ KGB แต่กลายมาเป็น นายทหารธรรมดา ยศพันตรี แปะอกหรา… แล้วนี่มันเป็นสายลับชนิดไหนในโลก………!!! ต่อมาหลังจากที่เรียนรู้งาน เขาจึงทราบว่า การทำงานแบบอินเตอร์นี้ เขามาอย่างเปิดเผยพร้อมโปรไฟล์ พร้อมพาสปอร์ต ก็ต้องเล่นไปตามเกมส์ งานใต้ดิน……จะแยกออกไปอีกสายหนึ่ง เรียกว่า Stasi (The Ministry for State Security หรือ Staatsischerheitdiest) ที่เป็นหน่วยงานของเยอรมันฝ่ายคอมมิวนิสต์ ก่อตั้งในปี 1950 สำนักงานใหญ่อยู่ที่ Lichtenberg, East Germany ที่ทางรัสเซียจะสั่งการลงไปอีกชั้นหนึ่ง ปูตินจึงกลายมาเป็นทหารนั่งออฟฟิศ คอยประสานกับหน่วยสตาซี สำนักงานของ Stasi, Dresden ก็อยู่บนชั้นสองในอาคารเดียวกัน หัวหน้าหน่วย ชื่อว่า Horst Böhm วันดีคืนดีก็กวักมือชวนกันไปเล่นฟุตบอล แมช ระหว่าง Stasi vs KGB การประสานงานนี้ แม้ว่าพันตรีปูตินจะเชี่ยวชาญในภาษาเยอรมัน แต่ปัญหาอื่นๆก็ตามมาคือการสื่อสารภาษาชาวบ้านในชีวิตประจำวัน ศัพท์แสลง ที่เขาไม่คุ้นเคย ทางหน่วยสตาซี จึงส่งเจ้าหน้าที่มาเปิดทำการสอนอย่างติวเข้ม และอีกปัญหาหนึ่ง คือ เหล่าทหารเกณฑ์โซเวียตที่ได้มาประจำการในเยอรมัน ต่างกันหลุดวินัย เพราะเปรียบเทียบได้ว่า มาสู่เมืองสวรรค์ ดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ นุ่กางเกงยีนส์ ดูหนังโป๊ หรือแม้แต่เหล่านายทหารอีลีทที่มาอยู่ทั้งครอบครัว ก็ใช้จ่ายแบบฟุ้งเฟ้อ เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าสารพัด บางคนก็ส่งกลับไปขายในตลาดมืดที่โซเวียต ปูตินจึงเปรียบเสมือนกับได้เข้ามาอยู่ในโลกใหม่ เขาเองได้รับเงินเดือนเป็นเงินสดเทียบเท่า หนึ่งร้อยยูเอสดอลล่าร์ (นับว่ามากโข) ใครต่อใครบอกเขาว่า การที่ได้มาประจำการที่นี่ คือ สุดยอดของความสุข แต่สำหรับเขานั้น……มันไม่ใช่..!! ลุดมิลาและลูกน้อยได้มาถึงในช่วงปลายปี เธอเปิดประตูอพาร์ตเมนต์เข้ามา พบกับตะกร้าใส่กล้วยหอมวางอยู่บนโต๊ะอาหารโด่เด่………ไม่มีแม้แต่ช่อดอกไม้……!!! เพียงแค่นั้น เธอก็พอที่จะรู้แล้วว่า……ทุกอย่างจะไม่ใช่เป็นอย่างที่เคยคิด……!! เจ้านายสายตรงของปูติน คือ Colonel Lazar Matveyev ที่เข้ากันได้ดีกับปูตินเป็นปี่เป็นขลุ่ย เพราะมีประวัติการเป็นมาคล้ายๆกัน และชื่นชมในตัวลุดมิลา ที่เป็นหญิงฉลาด คล่องแคล่ว ไหวพริบดี ปูตินใช้ชีวิตอย่างง่ายๆสบายๆในเดรสเดน และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาไม่ได้ซ้อมยูโดอย่างที่ทำเป็นประจำ อีกทั้งไม่เคยหยิบจับอะไรในเรื่องงานบ้าน ลุดมิลาได้ตั้งครรภ์ที่สอง เธอทำทุกอย่างในบ้าน รวมทั้งต้องเอาใจสามีที่ค่อนข้าง”เยอะ” ในเรื่องอาการการกิน อะไรที่ไม่ชอบ เขาจะไม่แตะเลย พอเธอบ่นเข้า……เขางัดเอาคติของรัสเซียโบราณขึ้นมาพูดลอยๆ……ว่า……ผู้หญิงยิ่งเอาใจ ยิ่งเคยตัว..!!!! และเขาไม่เคยจำวันครบรอบแต่งงานได้…… ตอนที่ลุดมิลาจะต้องไปคลอดลูกคนเล็กนอนโรงพยาบาลต่อด้วยการพักฟื้นหลายวัน ปูตินจะต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ทั้งเลี้ยงลูก ทำความสะอาด หุงหา ที่เขาบอกว่าเป็นงานที่หนักที่สุดในชีวิต ทั้งนี้ทั้งนั้น หลายคนจับในน้ำเสียงได้ว่า เขาผิดหวังมากที่ไม่ได้ลูกชาย…… ทั้งคู่ใช้ชีวิตอย่างสบายเพราะได้ออกไปเที่ยวในวันหยุด มีเครื่องซักผ้า มีสเตอริโอ และมีเกมส์ทีวี (รุ่น Atari) เล่น แต่ลุดมิลาไม่มีความสุขเท่าที่ควร เพราะเธอไม่มีเพื่อน คบคุยกับใครเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้ เหมือนมีคนคอยจับจ้องอยู่ตลอดเวลา สามีก็ไม่เคยเล่าเรื่องอะไรให้ฟังเลย แต่ปูตินก็มีเหตุผล……เพราะในหน่วยของเขาก็มีสายลับจากเยอรมันตะวันตกแฝงเข้ามา เท่าที่รู้คือ ล่ามที่เข้ามาทำการแปลให้ เป็นผู้หญิง (จาก BND = Bundesnachrichtendient) ที่มีโค้ดของตัวเองว่า BALCONY ที่เข้ามาทำตัวสนิทสนมกับลุดมิลา จนเธอเชื่อใจ ยอมนินทาสามีให้ฟังว่า เป็นคนเข้มระเบียบ มีแอบเจ้าชู้ และชีวิตครอบครัวเริ่มมีปัญหา ปี 1986 ที่โซเวียตเริ่มมีปัญหาภายในเพราะสภาพเศรษฐกิจ ส่วนภายนอกคือความกดดันจากองค์กร NATO จนท่านผู้นำ Mikhail Gorbachev ยอมอ่อนข้อให้ในเรื่องเครียดๆของสงครามเย็น ปี 1987 ปูตินได้เลื่อนยศเป็น พันโท และเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการ นั่นหมายถึงเป็นเบอร์สองขององค์กร ใน Dresden ที่ต้องคอยควบคุมพฤติกรรมทุกย่างก้าวของผู้ใต้บังคับบัญชา ที่เข้มถึงขนาดห้ามมีการถ่ายรูปภายในบริเวณ สถานการณ์เริ่มอึมครึมในระหว่างกลุ่ม KGB และ Stasi เพราะกลุ่มสายลับตะวันตกเริ่มมีบทบาทเข้ามาเกี่ยวข้องทางตะวันออกมากขึ้น มันบ่งบอกถึงสัญญาณอะไรบางอย่าง และ……นั่นคือ การลงนามระหว่างโรนัล รีแกน กับ กอร์บาเชฟ ในเรื่องสนธิสัญญาสันติภาพในขีปนาวุธนิวเคลียร์ในยุโรป (จำกัดจำนวน ถ้ามีเกิน ทำลายทิ้ง) ที่เกิดขึ้นในเดือนต่อมา สัญญาณนั้นชี้ไปในทางทิศที่ว่า สงครามเย็นอาจจะจบสิ้นในไม่ช้า เพราะกอร์บาเชฟได้เห็นแล้วว่าโซเวียตยังล้าหลังจากยุโรปไปมาก ควรจะต้องเปิดใจปรับปรุงให้เป็นคอมมิวนิสต์ที่พัฒนาและยอมรับความจริง เพียงแต่……เหล่าสีแดงเข้ม ไม่เข้าใจ และไม่พอใจ เห็นต่างกับนโยบายของท่านผู้นำ เมื่อโซเวียตเริ่มอ่อนกำลัง ปี 1989 ฮังการีได้เปิดพรมแดนที่ติดกับออสเตรีย ให้คนต่างเดินทางไปมาหาสู่ได้ นั่นคือที่มาของความระส่ำระสายในเยอรมันตะวันออก ที่ต่างเรียกร้องให้เปิดพรมแดน รวมทั้งเบอร์ลิน มีการเดินขบวนเรียกร้อง มีการลุกฮือก่อการวุ่นวายที่นั่นที่นี่ ผู้พันปูตินเริ่มรู้สึกว่า หน่วยของเขาเริ่มถูกตัดรอนไปจากมอสโคว์ เพราะไม่ว่าจะส่งรายงานอะไรไปก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมา อ่านบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้…?!! ในที่สุดกำแพงเบอร์ลินได้ถูกทะลายลงในคืนวันที่ 9 พฤศจิกายน 1989 เกิดการชุมนุมขึ้นในทุกหย่อมหญ้าของแผ่นดิน ใน Dresden วันที่ 5 ธันวาคม ที่คนจำนวนร้อยๆได้มุ่งหน้ามาที่สำนักงาน KGB ผู้พันปูตินได้มองเห็นการเคลื่อนตัวมาจากชั้นบนของอาคาร จากนั้นไม่กี่ชั่วโมงต่อมา…มวลชนเพิ่มเป็นจำนวนพัน……เมื่อถึงหน้าประตู ทุกคนอยู่ในสภาพคลั่ง โกรธแค้น ขว้างปา ด่าทอ เสียงคนตะโกนว่า ……ในอาคารมีช่องทางลับที่จะมุ่งไปสู่โรเมเนีย…มีคุกที่ทรมานนักโทษให้จมน้ำอยู่ครึ่งตัว… ตอนนั้น……ผู้พันปูตินขำไม่ออก……กับเรื่องเพ้อเจ้อที่แต่งกันขึ้นมาเพื่อที่จะเกลียดชังโซเวียต ที่ขำไม่ออก……เพราะเขาทำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากมอสโคว์ ซึ่ง……ไม่ว่าจะส่งโทรเลขไปกี่ครั้ง แต่……ไม่มีคำตอบใดๆกลับมา……!! ณ. นาทีนั้น เขาได้รู้ได้ทันทีว่า…ไม่มีโซเวียตอีกต่อไป ระบอบระบบทุกอย่างได้ล่มลงหมดแล้ว เขาตัดสินใจแต่งเครื่องแบบออกไป ไม่มีอาวุธ (เขาเอาปืนและบัตรประจำตัวสายลับไว้ในเซฟ) ออกพบกับฝูงชนเมื่อเวลาเที่ยงคืน พร้อมกับทหารอีกหยิบมือ เป็นการเจรจาที่มีรั้วเหล็กกั้น ฝ่ายมวลชนพยายามที่จะผลักประตูเข้ามา…… ผู้พันปูตินประกาศด้วยภาษาเยอรมันที่ชัดเจน จนทุกคนประหลาดใจ ว่า… “สถานที่นี้เป็นของรัฐบาลโซเวียต ที่ฝ่ายมั่นคงข้างในได้มีการเตรียมพร้อมรับมือด้วยอาวุธ…หากว่ามีการล่วงล้ำเข้ามา ทุกคนรอฟังคำสั่งและสัญญาณจากผมเท่านั้น……กรุณารักษาความสงบ……” ได้ผลเกินร้อย……ทุกคนสงบลง เสียงโห่ร้องกลายเป็นการสนทนาสู่กันเบาๆ แล้ว……ผู้พันปูตินก็เดินหันหลังกลับเข้าไป…!!! ทุกอย่างที่ว่ามา……ไม่มีทั้งสิ้น ไม่มีกำลังพล ไม่มีอาวุธ มีแต่เจ้าหน้าที่เด็กๆที่ช่วยกันทำลายเผาเอกสารสำคัญกันทั้งวันทั้งคืน แต่……การที่ไม่ได้รับคำตอบใดๆจากมอสโคว์………ยังเป็นฝันร้ายของผู้พันปูตินจนถึงทุกวันนี้……!!! เดือนกุมภาพันธ์ 1990 ผู้พันปูตินและลุดมิลาได้เตรียมตัวจัดกระเป๋า หีบห่อสัมภาระกลับสู่โซเวียต เขามีเงินเก็บไม่มากนักจากเงินเดือนที่ได้รับ ข้าวของจะถูกส่งกลับไปทางเรือ ส่วนเขา ลุดมิลาและลูกทั้งสองจะกลับทางรถไฟสู่มอสโคว์ ระหว่างเดินทางกลับ เสื้อโค้ดและกระเป๋าถือของลุดมิลาถูกขโมยในระหว่างทาง…… การกลับเข้าสู่ดินแดนของโซเวียตในครั้งนี้ ที่เขาต้องเจอกับความขาดแคลนไปในทุกสิ่ง ผู้คนที่ต้องใช้คูปองสงเคราะห์ในการซื้ออาหาร ข้าวของขาดตลาด การว่างงาน…… แม้แต่ตัวผู้พันปูตินเอง ตั้งแต่ต้นปี 1990 จนผ่านมาสามเดือนก็ยังไม่ได้รับเงินเดือน……ส่วนอาคารสงเคราะห์ที่จะเป็นที่อยู่อาศัยก็ยังไม่มี เพราะทุกแห่งเต็มไปหมด ถ้าจะรอก็ต้องใช้เวลาเป็นปี แต่ตัวปูตินเอง……เขาหมดความมั่นใจในการบริหารงานของรัฐบาลโซเวียต แม้ว่าจะถูกเสนองานใหม่ให้ในมอสโคว์ ก็ยังปฏิเสธ……เขาอยากกลับไปที่เลนินกราดบ้านเกิด อย่างน้อยก็ไปอยู่กับพ่อแม่ได้… ที่เลนินกราด……เขาได้งานใหม่ (แต่ยังเป็น KGB) ในหน้าที่คณบดี ฝ่ายการเมืองต่างประเทศ ที่มหาวิทยาลัย เลนินกราด (ที่เขาจบมา) หน้าที่ของเขาคือ ส่ายตาสอดส่องนักศึกษาและคนแปลกหน้า เท่ากับว่า เขาทำหน้าที่เช่นเดียวกับ Oleg Kalugin คนที่เคยนำเขาเข้าสู่ KGB เมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษากฎหมายเมื่อปี 1975 ปูตินเคยบ่นปรับทุกข์กับเพื่อนรัก Sergei Roldugin ว่าเขาอยากลาออกจากการเป็น KGB แต่คำตอบที่ได้รับคือ ……”นายเคยเห็นหรือได้ยินคำว่า อดีตสายลับบ้างไหม……ไม่เคยละซิ เพราะถ้านายเป็น KGB แล้ว นายก็จะเป็นตลอดไป ต่อให้ไม่ได้อยู่ในองค์กร แต่นายก็ยังเป็น……เพราะ……มันคือจิตวิญญาณ……!!!” ที่มหาวิทยาลัย มีนักกฎหมายรุ่นพี่ที่จบจากที่เดียวกัน Anatoly Sobchak ที่เป็นผู้ที่เลื่อมใสระบอบประชาธิปไตยโดยใช้กฎหมายบังคับ เขาชอบเล่นการเมือง (เป็นฝ่ายตรงข้ามกับคอมมิวนิสต์) อนาโตลี มีความเลื่อมใสในกลุ่มนักกฏหมายไฟแรงที่หนึ่งในนั้น คือ Boris Yeltzin ที่ได้เป็นถึงหนึ่งคณะมนตรีในมอสโคว์ อนาโตลี ต้องการใช้กฎหมายแบบระบบสากล คือ ไม่ว่าทหาร หรือ KGB ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเช่นคนอื่นๆ หากว่ามีความผิด ดังที่เขาพยายามที่จะขัดค้นในเรื่องการสังหารหมู่ในชนกลุ่มน้อยที่เกิดขึ้นในลิธัวเนีย, อาร์เมเนีย และ อาเซอร์ไบจาน อนาโตลี ได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกเทศมนตรี เลนินกราด…… เขามีความรู้ มีความสามารถทางด้านวิชาการ เป็นนักพูดที่ดี แต่ไม่มีประสบการณ์กับชาวบ้าน และ การเป็นนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยในบ้านเมืองที่ยังถูกควบคุมในระบอบคอมมิวนิสต์นั้น มันไม่น่าจะง่าย…… เขาจึงติดต่อไปที่ Oleg Kalugin หัวหน้าหน่วยสายลับผู้เป็นเพื่อนรัก เพื่อช่วยหาคนที่ไว้ใจได้ รอบรู้ ให้มาช่วยงาน โอเลก……ได้ให้รายชื่อไปสองสามคน แต่ อนาโตลี บอกว่า มันชัดเจนไปเพราะผู้คนรู้จักแล้ว เขาอยากได้คนที่โนเนม และเป็นคนธรรมดาๆมากกว่า ชื่อของ Vladimir Putin จึงถูกเสนอขึ้นไป อนาโตลี……รับข้อเสนอนี้ทันที เพราะนอกจากคุณสมบัติล้นเหลือแล้ว ยังเป็นรุ่นน้องที่จบมาจากที่เดียวกันด้วย ในเดือนพฤษภาคม ปูตินไปพบกับอนาโตลี ในที่ทำงานที่ Mariinsky Palace ที่อนาโตลีได้บอกให้เขาเข้ามาทำงานในวันจันทร์ได้เลย…… ปูติน……ตอบว่า…… “เดี๋ยวก่อนครับ……ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจ ผมต้องขอเรียนให้ทราบก่อนว่า นอกจากจะเป็นคณบดีที่มหาวิทยาลัยแล้ว…… งานหลัก……ผมยังเป็น KGB อีกด้วย” เป็นการประจันหน้ากันระหว่าง อนาโตลี ผู้ใฝ่ประชาธิปไตย กับ วลาดิเมียร์ ปูติน สายลับใต้ดินตัวเก่งของโซเวียต…!!! ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงัน……แต่เพียงอึดใจเดียว อนาโตลีได้เข้ามาตบบ่าปูติน และบอกว่า… “KGB ก็ KGB ซิวะ………ไม่เห็นแปลกตรงไหนเลยนี่………!!!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 2667 Views 0 Reviews
  • ขอเชิญเหล่า FC ทั้งหลาย มาร่วมในงานมงคลสมรสของพี่ปูค่าาาา……!!!!

    ตอนสาม เริ่มชีวิตครอบครัว เพื่อเดินออกสู่โลกกว้าง ไปตามหาความฝัน………!!!

    เริ่มอารัมภบท คือ……ไม่ต้องกระจองอแงกันนะ เพราะคราวนี้จะต้องเล่าละเอียดในเนื้อหาของการสละโสดหน่อย เพราะทุกบททุกตอนในดีเทล คือ ความเป็นตัวตนของปูตินในวันนี้….

    หลังจากการที่ล้มเลิกการแต่งงานในคราวนั้น ปูตินยังทำตัวเหมือนเดิม ยังอยู่กับพ่อแม่ที่ยังเห็นเขาเป็นลูกแหง่ จนตัวเขาเองก็คิดว่า อาจจะอยู่เป็นโสดไปจนตาย…
    แต่ในเดือน มีนาคม 1980 ที่เขาได้รู้จักสาวอีกนางหนึ่ง นามว่า
    Ludmila Shkrebneva แอร์โฮสเตสสาวของสายการบินแห่งชาติ Aeroflot ที่ต้องประจำอยู่ที่ Kaliningrad (พื้นที่เก่าของของปรัสเซีย ที่โซเวียตยึดไว้หลังจากที่ชนะสงครามกับนาซี
    ลุดมิลา สาวงามวัย 22 ที่เผอิญ Galina เพื่อนสาวของเธอที่เป็นแอร์ด้วยกัน เป็นแฟนของ Andrei เพื่อนของปูติน
    ทีนี้ สองสาว ได้มาที่เลนินกราด เพื่อที่จะเข้าชมละคร Andrei จึงชวนปูตินไปด้วย จะได้ครบคู่ไม่เขิน

    เมื่อพบกันครั้งแรก ลุดมิลาไม่ได้สนใจในตัวของปูตินเลย เพราะเขาเป็นคนเงียบๆ เหมือนไม่ค่อยมีสังคม เธอเคยเล่าว่า
    ผู้ชายแบบนี้ถ้าไปเจอตามถนน…ก็จะมองผ่านทะลุไปเลยเชียว
    ในระหว่างพักครึ่งของการแสดง ลุดมิลาได้ถามเขาถึงการแสดงดนตรีในคืนต่อไป ว่า เขามีทางที่จะหาบัตรชมมาให้ได้หรือไม่?
    ปูตินรับปาก และหามาให้ได้จริงๆ และทั้งสี่คนได้ไปร่วมทีมกันอีกในคืนต่อมา……
    ก่อนจากกัน……ปูตินได้เขียนเบอร์โทรศัพท์ให้กับลุดมิลา
    ท่ามกลางความตะลึงพรึงเพริดของอังเดร

    ส่งสองสาวเสร็จแล้ว ระหว่างทางกลับบ้าน อังเดร ได้ถามขึ้นว่า “นึกยังไงถึงเที่ยวแจกเบอร์โทรศัพท์ล่ะ ปรกตินายไม่เคยให้เบอร์ใครนี่..?”

    แต่ก็ได้ผล เพราะเมื่อลุดมิลาบินกลับไปแล้ว เธอโทรหาเขา……
    และได้บินมาที่เลนินกราดอีกครั้งในเดือนกรกฎาคม คราวนี้ทั้งคู่เริ่มออกเดทกันเป็นเรื่องเป็นราว
    ลุดมิลาเริ่มคิดที่จะย้ายกลับมาอยู่ในเลนินกราด เพื่ออยู่ใกล้กับคนรัก……
    ปูตินขอข้อแลกเปลี่ยน……นั่นคือ ขอให้เธอกลับไปเรียนหนังสือ
    เนื่องจากเธอได้พักการเรียนไว้ครึ่งๆกลางๆเพื่อที่จะไปทำงานกับสายการบิน เขาต้องการให้เธอกลับไปสานต่อ
    ซึ่งลุดมิลาได้ทำตามความประสงค์ของคนรัก เธอไปลงเรียนในวิชาปรัชญาที่สถาบันเดียวกันกับปูติน Leningrad State University …

    ความสัมพันธ์เป็นไปเหมือนกับคู่รักอื่นๆ มีการทะเลาะกัน
    ที่หนักสุด คือ ลุดมิลาบินกลับไปที่คาลินินกราด
    แต่ปูตินตามไปง้องอน จนกลับมาดังเดิม
    ปูตินทำตัวเป็นผู้นำในทุกเรื่อง เขาขี้หึง เขาสั่ง สั่ง และสั่ง
    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เขาชนะใจลุดมิลาเพราะความที่เขาเป็นคนโรแมนติก ไม่ขี้เหนียว พาเธอไปเที่ยวทุกที่ที่อยากไป เช่นไปเล่นสกี ไปเที่ยวชนบท แต่มีข้อแลกเปลี่ยนเล็กๆน้อยๆ เช่น
    ลุดมิลาต้องไปเรียนพิมพ์ดีด

    เขาพาเธอไปพบกับมาเรีย ผู้มารดา แต่เหมือนเคมีจะไม่ค่อยถูกกัน เนื่องจาก มาเรียยังปักใจชอบลุดมิลาแฟนเก่าของปูติน เพราะเธออ่อนหวาน เรียบร้อย
    มาเรียรีบเล่าให้ลุดมิลาฟังถึงเรื่องปูตินเคยมีแฟนที่มีชื่อลุดมิลาเหมือนกัน แต่คนนั้นน่ะ……เขาเรียบร้อยยยย !!!

    ลุดมิลาไม่เคยรู้ในเรื่องงานที่แท้จริงของปูติน เพราะเท่าที่เธอทราบเหมือนคนอื่นๆ คือ เป็นการทำงานกับหน่วยมั่นคง ป้องกันอาชญากรรม ที่อยู่ในสายงานของกลาโหม (สายลับส่วนใหญ่จะใช้แบบนี้)
    หลายครั้งที่เธอถามเขาเรื่องงาน เขามักตอบติดตลกว่า
    เช้าไปตกปลา……บ่ายกินปลา…
    เมื่อถึงปี 1981 ที่เป็นแฟนกันมาร่วมปีครึ่ง เธอถึงได้ทราบว่า
    เขาคือ KGB ที่ทำให้เธอรู้สึกภูมิใจในตัวเขาขึ้นมาอีกอักโข
    และพลอยเข้าใจในความเป็นเผด็จการของเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง

    ในที่สุด เดือนเมษายน 1983 วันสำคัญที่สุดในชีวิตของลูกผู้หญิงก็ได้มาถึง ที่ปูตินได้เริ่มต้นด้วยประโยคว่า
    “นี่ก็สามปีครึ่งที่เราคบหากัน……คุณตัดสินใจได้หรือยัง…?”
    “ได้แล้วค่ะ คือ ตกลงค่ะ”
    “ดีเลย……ผมรักคุณ เราจะแต่งงานกันนะ”
    พิธีสมรสได้จัดขึ้นในสามเดือนต่อมา ที่ภัตราคารลอยน้ำใกล้ๆกับมหาวิทยาลัย ในวันที่ 28 กรกฎาคม
    มีเพื่อนๆมาร่วมประมาณยี่สิบคน
    คืนต่อมา……ได้จัดขึ้นที่ห้องจัดเลี้ยงในโรงแรม Moscow

    สามีภรรยาคู่ใหม่ไปดื่มน้ำผึ่งพระจันทร์ที่ยูเครน เริ่มจากขับรถไปที่
    Kyiv, Moldova, Lviv, western Ukraine, Nikolayev และ Crimea ที่เขาทั้งสองใช้เวลาอยู่ที่ Yalta ถึงสิบสองวัน
    ปูตินมีความสุขมาก เพราะ ไครเมียเปรียบเสมือนสวรรค์บนดินสำหรับเขาเสมอมา
    ขากลับ เขาทั้งสองผ่านเข้าทางมอสโคว์ เพราะปูตินจะต้องแวะไปรายงานตัว
    เขาทั้งสอง ชายวัย 30 หญิง 25 ได้เริ่มต้นชีวิตครอบครัวในอพาร์ตเมนต์สองห้องนอน บนถนน Stachek Lane อย่างมีความสุข

    แต่……Igor Antonov (เพื่อนคนหนึ่งของปูติน) ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการแต่งงานในครั้งนี้ว่า เพราะปูตินไม่มีทางเลือกอื่นๆแล้ว นอกจากจะต้องสร้างครอบครัว เพราะหน้าที่การงานกำลังจะถึงทางตัน ถ้าสายลับ KGB ที่จะต้องออกไปรับหน้าที่ในต่างประเทศ หรือเลื่อนตำแหน่ง จะต้องมีวุฒิภาวะตามที่ KGB กำหนด เพราะหลังจากที่ปูตินแต่งงาน เขาได้เลื่อนยศเป็นพันตรี และได้ถูกส่งไปเรียนเพิ่มเติมในหน่วยปฏิบัติงานต่างประเทศที่ The Red Banner Institute, Moscow
    ที่เป็นสถาบันที่จัดว่าสำหรับชนชั้นปกครอง ผู้อบรมต้องเป็นรัสเชี่ยนชั้นธรรมดา (ลูกผู้ดีไม่รับ) เท่านั้น ไม่มียิว ไม่มีตาร์ต้าร์ หรือ เชเชน หรือ มองโกล
    ห้ามพิธีทางศาสนาทุกชนิด และ…ไม่มีการใช้เส้นใดๆ
    ปูตินเป็นคนเดียว จากเลนินกราดที่ได้รับเลือกให้เข้าไปรับการอบรม
    The Red Banner Institute (หรือปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อว่า The Academy of Foreign Intelligence) นี้ ตั้งอยู่ในกลางป่าที่ค่อนข้างลึกลับในชายกรุงมอสโคว์ หลักสูตรมีตั้งแต่ หนึ่งถึงสามปี
    ลุดมิลาได้เริ่มตั้งครรภ์แรก จึงยังอยู่ในเลนินกราด
    ส่วนปูติน ที่ต้องเรียนรู้ทุกอย่างในศาสตร์ของการเป็นสายลับ
    ในชื่อใหม่ว่า “Platov” ที่แม้แต่เพื่อนผู้รับการอบรมด้วยคน
    ไม่มีใครรู้จักชื่อจริงของกันและกัน ทุกคนจะได้รับชื่อเฉพาะกิจ

    ปูติน ก้าวเข้าไปในชั้นเรียนวันแรก ด้วยเครื่องแต่งกายที่เป็นสูทสามชิ้น (คือมีเสื้อกั๊กเพิ่มข้างใน)
    เรียกเสียงฮาได้จากครูผู้ฝึก ที่ถามว่า
    “คอมราดพลานอฟ นายจะมาเดินแบบหรือไง…?”
    ผู้ที่ให้อบรมทั้งหมด ต่างล้วนเป็นชั้นกระทิสุดยอดของสายลับ
    ที่มีผลงานที่น่าประทับใจ
    ทุกคนที่จะเดินออกจากสถาบันนี้ คือพร้อมที่จะไปเป็นสายลับข้ามชาติได้ทุกแห่งหนในโลก………!!!

    ในขณะนั้นลุดมิลาได้คลอดทารกเพศหญิง ที่ปูตินตั้งชื่อให้ว่า มาเรีย (ไว้ล่วงหน้า เพราะให้เหมือนกับชื่อย่า) Sergei Roldugin เพื่อนรัก ได้ช่วยรับเป็นภาระดูแลให้ รวมทั้งเป็นพ่อทูนหัวให้กับมาเรีย
    ปูตินจึงขอลากลับไปเลนินกราดเพื่อเยี่ยมเยียนเมียและลูกในช่วงวันหยุด ครั้งหนึ่งในการเดินทาง เขาได้เกิดการชกต่อยกับแก๊งอันธพาลในสถานีรถใต้ดิน
    คราวนี้เรียกว่าลุยกันเละ เพราะปูตินถึงกับแขนหัก อีกฝ่ายหนึ่งแทบเอาชีวิตไม่รอด
    และนี่คือ “ความเสี่ยง” ต่ออนาคตการงานของเขาโดยตรง เพราะหากว่าเกิดเขาเป็นอะไรขึ้นมา ทุกอย่างคือจบ…

    แต่โชคยังเป็นของเขา เพราะเขาได้รับมอบหมายหน้าที่ทันทีที่เสร็จสิ้นจากการอบรม ให้ไปประจำการอยู่ที่เมือง Dresden,
    East Germany
    และนี่คือการเดินทางทางออกนอกประเทศเป็นครั้งแรก ของ ปูตินในวัย 33 ปี

    ขออธิบายเพิ่มเติมค่ะ ว่า ในหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ถือเอาวันที่ 8 พฤษภาคม 1945 หลังจากนั้นในฐานะของผู้แพ้สงครามให้กับกองทัพสัมพันธมิตร คือ อเมริกา, อังกฤษและ โซเวียต รัสเซีย (ฝรั่งเศส เขาไม่นับ แต่ก็ไม่ปฏิเสธในการมีส่วนร่วม) ที่ได้ทำการตกลงกันไว้ล่วงหน้าระหว่างผู้นำทั้งสามประเทศ ที่ Yalta ที่ตกลงกันในการแบ่งสันปันส่วนในแผ่นดินของเยอรมันนี

    ขั้นตอนในการแบ่งได้มาย่อยยิบกันอีกในการประชุมที่ Potsdam Conference ว่าจะเฉือนเยอรมันออกเป็นสี่ส่วน
    แบ่งกันคนละส่วน อังกฤษได้ทางตะวันตกเฉียงเหนือ,
    ฝรั่งเศส ได้ทางตะวันตกเฉียงใต้, อเมริกา ได้ตะวันออกเฉียงใต้ และโซเวียตไัด้ทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นส่วนใหญ่

    ส่วนเบอร์ลินเมืองหลวงก็เช่นกัน ตามที่แบ่งกันนั้น เบอร์ลินตกอยู่ในส่วนของโซเวียต และเพื่อความเป็นธรรมจึง แบ่งออกมาเป็นสี่ส่วน แบ่งกันไปคนละส่วน แต่สภาพของเหมือนกับเบอร์ลินเป็นไข่แดง ที่อยู่กลางโซเวียตที่เป็นไข่ขาว
    ส่วนที่เป็นของโซเวียต คือ เบอร์ลินตะวันออกก็จะมีกำแพงกั้นอาณาเขต ที่เราเรียกว่า กำแพงเบอร์ลิน ……

    ดังนั้น โซเวียตจึงมีหน่วยงานด้านความปลอดภัยอยู่ประจำในเขตต่างๆ ที่แม้ว่าจะเป็นคอมมิวนิสต์แต่ก็มีการเตรียมตัวที่ดี
    เพราะเขาได้ทำการปั้นเด็กๆรุ่นที่เกิดหลังสงคราม ให้เติบโตขึ้นมาอย่างพร้อมรับมือ เช่นการให้เรียนภาษาต่างๆ
    ปูตินสามารถพูดภาษาเยอรมันได้เข้าขั้นระดับการทูต เพราะเรียนมาตั้งแต่ชั้นประถม
    เด็กอื่นๆที่มีแวว ก็ต้องเรียนภาษาอื่นๆอย่างเอาจริงเอาจัง
    เรื่องเรียนเป็นเรื่องที่สำคัญมากในครอบครัวของชาวโซเวียต
    เพราะผู้ปกครองเด็กที่แท้จริง คือ รัฐบาล…

    เช่นปูตินได้ผลักดันให้ลุดมิลากลับไปเรียนจนจบ และ เรียนสารพัดเพิ่มเติม เพื่อที่จะได้เตรียมตัวมาเป็น หลังบ้านของข้าราชการ, นักการเมือง หรือ ผู้นำได้อย่างสมศักดิ์ศรี
    เพราะปูติน……ไม่ได้มีความหวังว่าจะหยุดอนาคตไว้ที่การเป็นสายลับเท่านั้น…

    อาจมีอธิบายนอกเรื่องเยอะหน่อยนะคะ เพราะเชื่อว่ายังมีผู้อ่านอีกมากที่ไม่ใช่ baby boomer อย่างผู้เขียน เก็บเอาไว้เป็นความรู้ค่าาาา ……

    Wiwanda W. Vichit
    ขอเชิญเหล่า FC ทั้งหลาย มาร่วมในงานมงคลสมรสของพี่ปูค่าาาา……!!!! ตอนสาม เริ่มชีวิตครอบครัว เพื่อเดินออกสู่โลกกว้าง ไปตามหาความฝัน………!!! เริ่มอารัมภบท คือ……ไม่ต้องกระจองอแงกันนะ เพราะคราวนี้จะต้องเล่าละเอียดในเนื้อหาของการสละโสดหน่อย เพราะทุกบททุกตอนในดีเทล คือ ความเป็นตัวตนของปูตินในวันนี้…. หลังจากการที่ล้มเลิกการแต่งงานในคราวนั้น ปูตินยังทำตัวเหมือนเดิม ยังอยู่กับพ่อแม่ที่ยังเห็นเขาเป็นลูกแหง่ จนตัวเขาเองก็คิดว่า อาจจะอยู่เป็นโสดไปจนตาย… แต่ในเดือน มีนาคม 1980 ที่เขาได้รู้จักสาวอีกนางหนึ่ง นามว่า Ludmila Shkrebneva แอร์โฮสเตสสาวของสายการบินแห่งชาติ Aeroflot ที่ต้องประจำอยู่ที่ Kaliningrad (พื้นที่เก่าของของปรัสเซีย ที่โซเวียตยึดไว้หลังจากที่ชนะสงครามกับนาซี ลุดมิลา สาวงามวัย 22 ที่เผอิญ Galina เพื่อนสาวของเธอที่เป็นแอร์ด้วยกัน เป็นแฟนของ Andrei เพื่อนของปูติน ทีนี้ สองสาว ได้มาที่เลนินกราด เพื่อที่จะเข้าชมละคร Andrei จึงชวนปูตินไปด้วย จะได้ครบคู่ไม่เขิน เมื่อพบกันครั้งแรก ลุดมิลาไม่ได้สนใจในตัวของปูตินเลย เพราะเขาเป็นคนเงียบๆ เหมือนไม่ค่อยมีสังคม เธอเคยเล่าว่า ผู้ชายแบบนี้ถ้าไปเจอตามถนน…ก็จะมองผ่านทะลุไปเลยเชียว ในระหว่างพักครึ่งของการแสดง ลุดมิลาได้ถามเขาถึงการแสดงดนตรีในคืนต่อไป ว่า เขามีทางที่จะหาบัตรชมมาให้ได้หรือไม่? ปูตินรับปาก และหามาให้ได้จริงๆ และทั้งสี่คนได้ไปร่วมทีมกันอีกในคืนต่อมา…… ก่อนจากกัน……ปูตินได้เขียนเบอร์โทรศัพท์ให้กับลุดมิลา ท่ามกลางความตะลึงพรึงเพริดของอังเดร ส่งสองสาวเสร็จแล้ว ระหว่างทางกลับบ้าน อังเดร ได้ถามขึ้นว่า “นึกยังไงถึงเที่ยวแจกเบอร์โทรศัพท์ล่ะ ปรกตินายไม่เคยให้เบอร์ใครนี่..?” แต่ก็ได้ผล เพราะเมื่อลุดมิลาบินกลับไปแล้ว เธอโทรหาเขา…… และได้บินมาที่เลนินกราดอีกครั้งในเดือนกรกฎาคม คราวนี้ทั้งคู่เริ่มออกเดทกันเป็นเรื่องเป็นราว ลุดมิลาเริ่มคิดที่จะย้ายกลับมาอยู่ในเลนินกราด เพื่ออยู่ใกล้กับคนรัก…… ปูตินขอข้อแลกเปลี่ยน……นั่นคือ ขอให้เธอกลับไปเรียนหนังสือ เนื่องจากเธอได้พักการเรียนไว้ครึ่งๆกลางๆเพื่อที่จะไปทำงานกับสายการบิน เขาต้องการให้เธอกลับไปสานต่อ ซึ่งลุดมิลาได้ทำตามความประสงค์ของคนรัก เธอไปลงเรียนในวิชาปรัชญาที่สถาบันเดียวกันกับปูติน Leningrad State University … ความสัมพันธ์เป็นไปเหมือนกับคู่รักอื่นๆ มีการทะเลาะกัน ที่หนักสุด คือ ลุดมิลาบินกลับไปที่คาลินินกราด แต่ปูตินตามไปง้องอน จนกลับมาดังเดิม ปูตินทำตัวเป็นผู้นำในทุกเรื่อง เขาขี้หึง เขาสั่ง สั่ง และสั่ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เขาชนะใจลุดมิลาเพราะความที่เขาเป็นคนโรแมนติก ไม่ขี้เหนียว พาเธอไปเที่ยวทุกที่ที่อยากไป เช่นไปเล่นสกี ไปเที่ยวชนบท แต่มีข้อแลกเปลี่ยนเล็กๆน้อยๆ เช่น ลุดมิลาต้องไปเรียนพิมพ์ดีด เขาพาเธอไปพบกับมาเรีย ผู้มารดา แต่เหมือนเคมีจะไม่ค่อยถูกกัน เนื่องจาก มาเรียยังปักใจชอบลุดมิลาแฟนเก่าของปูติน เพราะเธออ่อนหวาน เรียบร้อย มาเรียรีบเล่าให้ลุดมิลาฟังถึงเรื่องปูตินเคยมีแฟนที่มีชื่อลุดมิลาเหมือนกัน แต่คนนั้นน่ะ……เขาเรียบร้อยยยย !!! ลุดมิลาไม่เคยรู้ในเรื่องงานที่แท้จริงของปูติน เพราะเท่าที่เธอทราบเหมือนคนอื่นๆ คือ เป็นการทำงานกับหน่วยมั่นคง ป้องกันอาชญากรรม ที่อยู่ในสายงานของกลาโหม (สายลับส่วนใหญ่จะใช้แบบนี้) หลายครั้งที่เธอถามเขาเรื่องงาน เขามักตอบติดตลกว่า เช้าไปตกปลา……บ่ายกินปลา… เมื่อถึงปี 1981 ที่เป็นแฟนกันมาร่วมปีครึ่ง เธอถึงได้ทราบว่า เขาคือ KGB ที่ทำให้เธอรู้สึกภูมิใจในตัวเขาขึ้นมาอีกอักโข และพลอยเข้าใจในความเป็นเผด็จการของเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง ในที่สุด เดือนเมษายน 1983 วันสำคัญที่สุดในชีวิตของลูกผู้หญิงก็ได้มาถึง ที่ปูตินได้เริ่มต้นด้วยประโยคว่า “นี่ก็สามปีครึ่งที่เราคบหากัน……คุณตัดสินใจได้หรือยัง…?” “ได้แล้วค่ะ คือ ตกลงค่ะ” “ดีเลย……ผมรักคุณ เราจะแต่งงานกันนะ” พิธีสมรสได้จัดขึ้นในสามเดือนต่อมา ที่ภัตราคารลอยน้ำใกล้ๆกับมหาวิทยาลัย ในวันที่ 28 กรกฎาคม มีเพื่อนๆมาร่วมประมาณยี่สิบคน คืนต่อมา……ได้จัดขึ้นที่ห้องจัดเลี้ยงในโรงแรม Moscow สามีภรรยาคู่ใหม่ไปดื่มน้ำผึ่งพระจันทร์ที่ยูเครน เริ่มจากขับรถไปที่ Kyiv, Moldova, Lviv, western Ukraine, Nikolayev และ Crimea ที่เขาทั้งสองใช้เวลาอยู่ที่ Yalta ถึงสิบสองวัน ปูตินมีความสุขมาก เพราะ ไครเมียเปรียบเสมือนสวรรค์บนดินสำหรับเขาเสมอมา ขากลับ เขาทั้งสองผ่านเข้าทางมอสโคว์ เพราะปูตินจะต้องแวะไปรายงานตัว เขาทั้งสอง ชายวัย 30 หญิง 25 ได้เริ่มต้นชีวิตครอบครัวในอพาร์ตเมนต์สองห้องนอน บนถนน Stachek Lane อย่างมีความสุข แต่……Igor Antonov (เพื่อนคนหนึ่งของปูติน) ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการแต่งงานในครั้งนี้ว่า เพราะปูตินไม่มีทางเลือกอื่นๆแล้ว นอกจากจะต้องสร้างครอบครัว เพราะหน้าที่การงานกำลังจะถึงทางตัน ถ้าสายลับ KGB ที่จะต้องออกไปรับหน้าที่ในต่างประเทศ หรือเลื่อนตำแหน่ง จะต้องมีวุฒิภาวะตามที่ KGB กำหนด เพราะหลังจากที่ปูตินแต่งงาน เขาได้เลื่อนยศเป็นพันตรี และได้ถูกส่งไปเรียนเพิ่มเติมในหน่วยปฏิบัติงานต่างประเทศที่ The Red Banner Institute, Moscow ที่เป็นสถาบันที่จัดว่าสำหรับชนชั้นปกครอง ผู้อบรมต้องเป็นรัสเชี่ยนชั้นธรรมดา (ลูกผู้ดีไม่รับ) เท่านั้น ไม่มียิว ไม่มีตาร์ต้าร์ หรือ เชเชน หรือ มองโกล ห้ามพิธีทางศาสนาทุกชนิด และ…ไม่มีการใช้เส้นใดๆ ปูตินเป็นคนเดียว จากเลนินกราดที่ได้รับเลือกให้เข้าไปรับการอบรม The Red Banner Institute (หรือปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อว่า The Academy of Foreign Intelligence) นี้ ตั้งอยู่ในกลางป่าที่ค่อนข้างลึกลับในชายกรุงมอสโคว์ หลักสูตรมีตั้งแต่ หนึ่งถึงสามปี ลุดมิลาได้เริ่มตั้งครรภ์แรก จึงยังอยู่ในเลนินกราด ส่วนปูติน ที่ต้องเรียนรู้ทุกอย่างในศาสตร์ของการเป็นสายลับ ในชื่อใหม่ว่า “Platov” ที่แม้แต่เพื่อนผู้รับการอบรมด้วยคน ไม่มีใครรู้จักชื่อจริงของกันและกัน ทุกคนจะได้รับชื่อเฉพาะกิจ ปูติน ก้าวเข้าไปในชั้นเรียนวันแรก ด้วยเครื่องแต่งกายที่เป็นสูทสามชิ้น (คือมีเสื้อกั๊กเพิ่มข้างใน) เรียกเสียงฮาได้จากครูผู้ฝึก ที่ถามว่า “คอมราดพลานอฟ นายจะมาเดินแบบหรือไง…?” ผู้ที่ให้อบรมทั้งหมด ต่างล้วนเป็นชั้นกระทิสุดยอดของสายลับ ที่มีผลงานที่น่าประทับใจ ทุกคนที่จะเดินออกจากสถาบันนี้ คือพร้อมที่จะไปเป็นสายลับข้ามชาติได้ทุกแห่งหนในโลก………!!! ในขณะนั้นลุดมิลาได้คลอดทารกเพศหญิง ที่ปูตินตั้งชื่อให้ว่า มาเรีย (ไว้ล่วงหน้า เพราะให้เหมือนกับชื่อย่า) Sergei Roldugin เพื่อนรัก ได้ช่วยรับเป็นภาระดูแลให้ รวมทั้งเป็นพ่อทูนหัวให้กับมาเรีย ปูตินจึงขอลากลับไปเลนินกราดเพื่อเยี่ยมเยียนเมียและลูกในช่วงวันหยุด ครั้งหนึ่งในการเดินทาง เขาได้เกิดการชกต่อยกับแก๊งอันธพาลในสถานีรถใต้ดิน คราวนี้เรียกว่าลุยกันเละ เพราะปูตินถึงกับแขนหัก อีกฝ่ายหนึ่งแทบเอาชีวิตไม่รอด และนี่คือ “ความเสี่ยง” ต่ออนาคตการงานของเขาโดยตรง เพราะหากว่าเกิดเขาเป็นอะไรขึ้นมา ทุกอย่างคือจบ… แต่โชคยังเป็นของเขา เพราะเขาได้รับมอบหมายหน้าที่ทันทีที่เสร็จสิ้นจากการอบรม ให้ไปประจำการอยู่ที่เมือง Dresden, East Germany และนี่คือการเดินทางทางออกนอกประเทศเป็นครั้งแรก ของ ปูตินในวัย 33 ปี ขออธิบายเพิ่มเติมค่ะ ว่า ในหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ถือเอาวันที่ 8 พฤษภาคม 1945 หลังจากนั้นในฐานะของผู้แพ้สงครามให้กับกองทัพสัมพันธมิตร คือ อเมริกา, อังกฤษและ โซเวียต รัสเซีย (ฝรั่งเศส เขาไม่นับ แต่ก็ไม่ปฏิเสธในการมีส่วนร่วม) ที่ได้ทำการตกลงกันไว้ล่วงหน้าระหว่างผู้นำทั้งสามประเทศ ที่ Yalta ที่ตกลงกันในการแบ่งสันปันส่วนในแผ่นดินของเยอรมันนี ขั้นตอนในการแบ่งได้มาย่อยยิบกันอีกในการประชุมที่ Potsdam Conference ว่าจะเฉือนเยอรมันออกเป็นสี่ส่วน แบ่งกันคนละส่วน อังกฤษได้ทางตะวันตกเฉียงเหนือ, ฝรั่งเศส ได้ทางตะวันตกเฉียงใต้, อเมริกา ได้ตะวันออกเฉียงใต้ และโซเวียตไัด้ทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นส่วนใหญ่ ส่วนเบอร์ลินเมืองหลวงก็เช่นกัน ตามที่แบ่งกันนั้น เบอร์ลินตกอยู่ในส่วนของโซเวียต และเพื่อความเป็นธรรมจึง แบ่งออกมาเป็นสี่ส่วน แบ่งกันไปคนละส่วน แต่สภาพของเหมือนกับเบอร์ลินเป็นไข่แดง ที่อยู่กลางโซเวียตที่เป็นไข่ขาว ส่วนที่เป็นของโซเวียต คือ เบอร์ลินตะวันออกก็จะมีกำแพงกั้นอาณาเขต ที่เราเรียกว่า กำแพงเบอร์ลิน …… ดังนั้น โซเวียตจึงมีหน่วยงานด้านความปลอดภัยอยู่ประจำในเขตต่างๆ ที่แม้ว่าจะเป็นคอมมิวนิสต์แต่ก็มีการเตรียมตัวที่ดี เพราะเขาได้ทำการปั้นเด็กๆรุ่นที่เกิดหลังสงคราม ให้เติบโตขึ้นมาอย่างพร้อมรับมือ เช่นการให้เรียนภาษาต่างๆ ปูตินสามารถพูดภาษาเยอรมันได้เข้าขั้นระดับการทูต เพราะเรียนมาตั้งแต่ชั้นประถม เด็กอื่นๆที่มีแวว ก็ต้องเรียนภาษาอื่นๆอย่างเอาจริงเอาจัง เรื่องเรียนเป็นเรื่องที่สำคัญมากในครอบครัวของชาวโซเวียต เพราะผู้ปกครองเด็กที่แท้จริง คือ รัฐบาล… เช่นปูตินได้ผลักดันให้ลุดมิลากลับไปเรียนจนจบ และ เรียนสารพัดเพิ่มเติม เพื่อที่จะได้เตรียมตัวมาเป็น หลังบ้านของข้าราชการ, นักการเมือง หรือ ผู้นำได้อย่างสมศักดิ์ศรี เพราะปูติน……ไม่ได้มีความหวังว่าจะหยุดอนาคตไว้ที่การเป็นสายลับเท่านั้น… อาจมีอธิบายนอกเรื่องเยอะหน่อยนะคะ เพราะเชื่อว่ายังมีผู้อ่านอีกมากที่ไม่ใช่ baby boomer อย่างผู้เขียน เก็บเอาไว้เป็นความรู้ค่าาาา …… Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 596 Views 0 Reviews
  • 13-09-67/01 : หมี CNN / "เล่าสู่กันฟัง" EP.7 ตอน "WORLD BALANCE REAL?" ตราชั่งมาแย้ว! กฎหมาหลบไป กฎหมายสนั่นโลก! JOHN KIM เซงเป็ด สัส! อาวุธกูมีเยอะเกิน ใช้ 10 ปี ยังไม่หมด ขนาดผลิตส่งทั่วโลก ยังเหลือบาน ยิงไฮเปอร์โซนิคโชว์เล่นซะงั้น อีโสมขาว อียุ่นปี่ ไบ้แดร๊ก มีเยอะแบ่งให้กูบ้างก็ได้? ปักกิ่งสั่งโชว์ เตรียมต้อนรับเหี้ยอาละวาด เรือรบมรึงน่ะ หายไปไหนหมด เอามาดิ กูกำลังหาเป้าซ้อมมือเล่นอยู่? ละครปาหี่ทำเนียบขาว อีทรัมปป์แรงเกินชิมิ? จับดีเบต เพื่อลดกระแส หายโง่ เพิ่งตาสว่าง อีกมลาแค่เล่นตามสคริปต์ ฉากนี้ ฮอลีวู๊ดจัดให้ หลอกไอ้ควายหน้าโง่มะกันทั้งแผ่นดิน โพลเหรอ? คะแนนนิยมเหรอ FAKE ทั้งนั้น แค่แผนเตรียมแตกอเมริกา จบน่ะ? ปูตินสั่งลุยจริง เคียฟแตก เรือรบเหี้ยมะกันหายวับ 8 ลำ ที่เหลือเผ่นหางจุกตูด กระจอกซะไม่มี ควายอับอายแทน! ของจริงไม่พูดเยอะ ไอ้ที่มรึงเข้ามาได้เนี่ย เค้าเปิดทางล่อให้มรึงเข้ามาตาย ไอ้ควาย! มรึงยิงใส่มอสโคว์ได้แค่ปาหี่ ผิวเผิน เพราะเค้าต้องการให้มรึงติดหล่มยาวไป เหี้ย C มีเหรอไม่รู้ แต่เพื่อรักษาหน้า ถึงแพ้ยับ ก็ต้องบุกต่อ เพราะดอลล่าร์ค้ำคอ หยุดสู้คือดอลล่าร์ตายทันที เกมส์มันมีแค่นี้แหละ ไม่ต้องคิดเยอะ? กลุ่ม BRICS ปักหลักสู้ กลัวที่ไหน? เหี้ยขี้ขลาด ตาขาว ไม่กล้าเข้าใกล้รัศมีขีปนาวุธ เรือบรรทุกเครื่องบินจากอดีตแม่ทัพแนวหน้าเหี้ย ตอนนี้ กลายเป็นขนมกรุบของขั้วใหม่ ยิงทิ้งกันเมามันส์ เป้าใหญ่ขนาดนี้ หลับตายิงยังโดน จะรอดยังไง? เมื่อเรือธงเข้าอู๋ซ่อมซะเยอะ มรึงยังจะเหลือเรือธงไหนมาสู้ได้อีก จะล่อขีปนาวุธแข่งกับเค้า มีเหลือกี่ลูก ลูกนึงราคาเท่าไหร่ ขั้วใหม่มีเป็น 1000000 ลูก ยิง 100 ลูก เท่ากับของมรึงลูกเดียว นี่คือความแตกต่าง สงครามคือใช้เงิน มรึงยิงได้เท่าไหร่กัน จ่ายพอมั้ย? ผลิตของห่วยแต่ตั้งราคาโคตรแพง ใช้งานจริงไม่ได้ นี่แหละ "กระจอกขั้นเทพของจริง" แปซิฟิค ไม่ใช่ของมรึงอีกต่อไป 5 ทวีปเดินตามขั้วใหม่หมดแล้ว มรึงเหลือใครกัน? อียิวคลั่งจัด ไม่เหลือชิ้นดีอะไรอีกแล้ว ความชั่วเด่นชัด ความระยำมาเต็ม แก้ผ้าล่อนจ้อน ถอดหมดเปลือก สันดานสัดเดรัจฉาน ใจหมา ไล่ยิงกราดไปทั่ว ไม่เว้นแม่แต่เจ้าหน้าที่ UN กูละชอบฉิงๆ บทจะเหี้ย เหี้ยได้ใจควายแท้ทรู! แล้วเป็นไง ถูกสอยร่วงระนาว ข่าวไม่เปิดเผย สื่อไม่รายงาน กูสรุปให้ฟังสั้นๆ ชัดๆ ไปเลย เหี้ยยิวและขี้ข้า ตายห่าวันละ 3000 ตัว ทั้งสมรภูมิเยรูซาเล็ม และยูเครน อีกไม่นาน สมรภูมิจะย้ายเข้าอีโปลเต็มตัวแล้ว เพราะนั่นคือเฟด 2 ดอกนี้แหละ คือประตูเปิดทางให้ปูตินเขมือบครึ่งยุโรป เชื่อมท่อแก็สอาร์คติคฉลุย ยูเครนแค่น้ำจิ้ม เนื้อชิ้นใหญ่อยู่ที่ตอนเหนือต่างหากล่ะ ที่มาว่าทำไม อีฟินน์ อีสวิงกิ้ง อีลอนดอน ต้องไปพร้อมกันหมด ไม่ต้องมาหา เดี๋ยวกูไปหามรึงเอง? ดูข่าววันนี้ แล้วปอดตับ หากใช้สมองคิดซักกะหน่อย ควายคงจะมีน้อยกว่านี้ ถล่มค่ายทหาร ถล่มโรงไฟฟ้า ถล่มโครงสร้างพื้นฐาน ถล่มศูนย์บัญชาการ ถล่มคลังแสง ถล่มอีกมากมาย แต่ยังหน้าด้านบอก ตาย 6 ตาย 7 เจ็บ 10 กูเกิดมาก็เพิ่งรู้น่ะเนี่ย ค่ายทหาร คลังแสง ศูนย์บัญชาการรบ มีคนไม่ถึง 10 คน เอาที่มรึงสบายใจ สมองกลวงกันหมดทั้งโลกแล้วเน๊าะ! ยามนี้ ขั้วใหม่ปรับแผนใหม่แล้ว เดินเกมส์เร่ง เร็วขึ้น ขยายอิทธิพลแบบปูพรม ดาหน้าท้ารบแบบไม่มีกั๊ก กล้าก็ออกมา ดีออก? ขี้ข้าเงียบกริบ ช่วงแรกดีแต่เห่า แต่ช่วงนี้ เห่าไม่ออก? ของจริงไม่พูดเยอะ ขนกันออกมาโชว์ให้โลกรับรู้ ว่าอำนาจเปลี่ยนมือแล้ว แค่กองเรือรัสเซีย-จีน ออกมายืดเส้น ยืดสาย ไอ้สัส นี่มันท่วมมหาสมุทรเลยน่ะเนี่ย? มาเป็น 100 ลำ เหี้ยเห็นยังจุกอก แหม! เจ้ามือใหม่ เปิดตัวทั้งที มันต้องขยี้ของเก่าให้จมกองตรีนสิจ๊ะ? AI จีน แม่งสุดติ่ง แมลงหุ่นรบ AI ความสามารถเกินคาดเดา ถามแค่ว่า มรึงต้องใช้กระสุนกี่นัด ถึงจะยิงโดนหุ่นยนต์ AI แมลง 1 ตัว เท่าที่รู้ มันเข้าไปทำลายระบบสื่อสาร เชื่อมต่อ และชี้เป้า นำทาง นำร่องขีปนาวุธทุกชนิด รวมทั้งระเบิดตัวเองได้ กูเห็นแล้วยังรู้เลยว่า "กำจัดโคตรยาก" เหมือนในหนัง บัญญัติ 10 ประการ ฝูงตั๊กกะแตนยงโย่ มากันเป็นล้านตัว ทุกอย่างหายเรียบวุธ สยดสยองฉิบหาย? ยิ่งรัสเซีย ยิ่งแล้วใหญ่ หุ่นยนต์รบ AI อย่างกะในหนัง THE TERMINATOR ไอ้สัส ขนาด JOHN CONNOR ยังต้องเผ่น? อีกไม่นาน มรึงจะได้เห็นเข้าสู่สงคราม STAR WARS แน่นอน แฟนหนังไม่ต้องจินตนาการ ล่อของจริงกันไปเลย? เตรียมกูจะเตรียมดาบไลท์เซเบอร์เตรียมไปตัดหัวเหี้ยเล่น? AMAZING THAILAND ไทยรับมอบรถไฟเก่าอียุ่นปี่ 10 คัน เอามาปรับแต่งใหม่ หรูหราหมาเห่า อียุ่นปี่เห็นยังตาค้าง ไอ้สัส! นี่มันสวรรค์ชัดๆ ช่างไทยแม่งระดับจักรวาล คนไทยมีดีมานานแล้ว เพียงแต่ไม่มีใครบอกมรึง? อยากรู้ไปดูเอง คนไทยหากทำอะไรจริงจัง แม้แต่สวรรค์ ยังต้องหันมามอง? "SRT ROYAL BLOSSOM" งานฝีมือ ฝรั่งแค่ขี้ตรีนคนไทย แต่มันทำให้มรึงด้อยค่าตัวเอง ใครโง่กันล่ะ? ล่าสุด รัสเซียขอบคุณ เหี้ยไอ้อีหน้าโง่ทั้งหลาย ในที่สุด มรึงก็ให้ใบเสร็จกูได้ใช้นุ๊กรสชาเขียวได้ซักกะที หลังเหี้ยมะกัน เหี้ยสิงโตง้อย สั่งยูเครนให้ใช้ขีปนาวุธระยะไกลโจมตีรัสเซียได้ ถามจริง มรึงเหลือกี่ลูก มรึงยิงถึงป่ะ? และที่สำคัญ ปูตินไม่ได้สนยูเครน เพราะมันตายห่าไปนานแล้ว แต่ดีใจที่จะได้ถล่มวอชิงตัน ลอนดอน ให้ราบคาบซักกะที แค่ตอนนี้ แม่งก็จะแตกกันอยู่แล้ว ลงไปดอก รับรอง ถึงใจอีช้อยทั้งโลกชัวร์! ปูติน ไม่ใช่เพื่อนเล่นมรึง! พูดจริง ทำจริง เคยบอกไปแล้วว่า จะไม่มีเตือนครั้งที่ 3 ก่อนจะถึงนายใหญ่ อีโปล อีฟินน์ อีสวิงกิ้ง ต้องไปหมดเกลี้ยงซะก่อน แล้วค่อยปิดฉาก ปิดเกมส์ที่ แผ่นดินแม่เหี้ยจ๊ะ สคริปเค้าจัดมาตามนี้ กูแอบไปเปิดโพยดูมาก่อนแล้ว?

    ปล.เผยวงใน เกจิดัง นักวิชาการ อดีตผู้พิพากษา รู้จุดจบของละครบ้านทรายทองกันหมดแล้ว แต่ยังไม่ถึงเวลาเปิดเผย เอาสั้นๆ "มอ 112" คือจุดตายอีเหลี่ยมชั่ว โอนที่ดินและคุณสมบัตินายกฯคือจุดตายอีลูกสาวร่าน ทำไมต้องรอ 6 เดือน คำตอบคือ "มันจะมาพร้อมกันหมดทุกคดีความขายชาติ" เค้าเรียกล้มกระดานทั้งแผง แฝงบีบจ่ายเงินคืนแผ่นดิน แล้วไสหัวไปซะ เจรจาใต้น้ำกันมันส์หยดติ๋งๆ ด้านขั้วใหม่หนุนหลังสุดตัว ที่มาเหี้ยยังไง ก็ไม่โง่พอที่จะไม่เอาตัวรอด ไม่อิงราคาน้ำมันตลาดโลก เพราะรัสเซีย จีน อิหร่าน พร้อมอุ้ม ถึงได้บอกไงล่ะว่า เหี้ยแค่ไหนก็เปลี่ยนได้ เพราะไม่มีทางเลือก กลียุค คือความไม่แน่นอน ใครที่ยังสงสัยว่าเหี้ยเกาะกินแผ่นดินนี้มายาวนาน มันจะสลัดออกยังไง? เตรียมตัวดู เตรียมใจชมได้เลย อย่าดูถูกพลังแห่งแสง เข้าที่ไหน สะอาดหมดเปลือก ไร้คราบเหี้ยทันที ศาลนำร่อง ทหารนำทาง วังนำหน้า ไม่มีแผ่นดินไหนจะอยู่รอดได้ หากไม่คงไว้ซึ่ง "คุณธรรม" ชี้เป้า 50 ปี เหี้ย เวลาล้างบางแค่ปีเดียว มันจะไปไวมาก โปรดเตรียมกล้องถ่ายสโลโมชั่นไว้ด้วย จะได้ย้อนมาดูรายละเอียดย้อนหลังได้ ภาพศรีธนญชัย 2024 มันเริ่มปรากฎเด่นชัดมากยิ่งขึ้น ธุรกรรมต่างชาติขั้วใหม่ เข้ามามีบทบาทนำมากขึ้น ยิ่งเข้า BRICS ยิ่งเปลี่ยนแปลงเร็ว เงินบาทจะเป็นที่ต้องการของทั้งโลก! โรงงานผลิตโลก สาขาอาเซียน มันจะเป็นใครไปได้อีกล่ะ? เพราะทุกอย่างมันจะมารวมอยู่ที่นี่ "ประเทศไทย" ยามเมื่อสงครามใหญ่เปิดหน้าแลก อาเซียนจะจับมือกัน "เป็นกลาง" จะช่วยเฉพาะด้านมนุษยธรรม ยารักษา อาหาร เครื่องมือช่วยเหลือ แต่จะไม่กระโดดเข้าสงคราม แต่อาเซียนจะพร้อมรับมือ หากใครล้ำเส้น ทั้งหมดเป็นแผนที่รัสเซีย จีน วางตัวอาเซียนให้อยู่วงนอก แค่อย่าแตกแถว อย่าเสือกเข้ามาในเกมส์นี้พอ ที่มาว่าทำไม อีปินส์ อาจถูกอัปเปหิในไม่ช้า หากมรึงยังไม่เปลี่ยนหัวผู้นำใหม่ให้ทันก่อนจะสาย เพราะดูเตอร์เต้ สายเอียงจีนอยู่แล้ว รอเสียบ รอแยกดินแดน มรึงคิดจริงๆ เหรอว่า มีแต่เหี้ย C ที่แทรกแซงชาติขี้ข้าได้ ขั้วใหม่ไม่ได้โง่ มือตรีนมี เค้าก็มีคนที่ส่งไปเสี้ยมขี้ข้าให้หักหลังนายใหญ่อีกทีเช่นกัน ถามสั้นๆ มรึงพร้อมจะตายไปกับมันมั้ยล่ะ? จับตา อีป้อม เตรียมงัดไม้เด้ด เอาคืนอีเหลี่ยม อย่าลืมว่า รัฐบาลผสม มันไม่มีทางเสถียรดอก คดีความแต่ละพรรคที่จะโดน มันถึงขั้นยุบพรรค และตัดสิทธิ์ทางการเมือง อีส้มเน่าตายก่อน อีแดงตามมา แล้วจะเหลือใครจัดตั้งรัฐบาล หากไม่ใช่อดีตพรรคร่วม หมากเกมส์นี้ ปชป.พลาดอย่างแรง ที่กระโดดงับเหยื่อ แต่ใครจะไปรู้ เค้าอาจจะซ้อนแผนอีเหลี่ยมชั่วไว้อีกชั้น เมื่อร่วมรัฐบาลได้ ก็ถอนตัวออกได้เช่นกัน การเมืองมันไม่มีดอกสำเร็จรูป เขี้ยวตันทั้งนั้น ใครจะปล่อยให้เด็กเมื่อวานซืนมาแดร๊กงบแผ่นดินฟรีกันล่ะ? ทหารเค้าปล่อยให้พวกมรึงเข่นฆ่ากันเอง เอาให้สุด แล้วจบที่ "ปฎิวัติ" รัฐบาลแห่งชาติต้องมา รัฐธรรมนูญใหม่ต้องมี นักการเมืองเก่าจะตายห่ากันหมดยกคอก ม้วนเดียวจบ หลังเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ต้นตอของปัญหาคือฝ่ายการเมือง เมื่อปิดจุดตายได้ ทุกอย่างมันจะเดินหน้าของมันเอง งานนี้ "อีป้อม สู้สุดใจขาดดิ้น" เสือเฒ่าไม่ทิ้งลาย ยังไงหากกูไม่ได้ คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ กูจะลากแม่งลงมาให้หมด ทั้งกระดาน!

    หมี CNN(ใกล้สิ้นปี ใกล้วันตัดสิน ใกล้จุดแตกหัก ใกล้ความเป็นจริง ผู้ที่จะอยู่รอดได้ หากไม่รักษามั่นในคุณงามความดี จะถูกแสงชำระล้างไปจนหมดสิ้น แสงไม่เลือกว่ามรึงเป็นใคร แสงเลือกที่มรึงทำอะไรเอาไว้? เหี้ยกลับใจ จะได้เห็น เหี้ยสุดติ่ง แต่ย้ายขั้วจะได้ชม ไม่มีทางรอดอื่น นอกจากย้ายขั้ว ไม่ว่าเกมส์ไทย เกมส์โลก คีย์เดียวกัน เลือกข้างผิด ชีวิตเปลี่ยนทันที วัดสิ)
    13 กย. 67
    11.48 น.

    https://linevoom.line.me/post/1172620400552978014

    https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=hfs0310u
    13-09-67/01 : หมี CNN / "เล่าสู่กันฟัง" EP.7 ตอน "WORLD BALANCE REAL?" ตราชั่งมาแย้ว! กฎหมาหลบไป กฎหมายสนั่นโลก! JOHN KIM เซงเป็ด สัส! อาวุธกูมีเยอะเกิน ใช้ 10 ปี ยังไม่หมด ขนาดผลิตส่งทั่วโลก ยังเหลือบาน ยิงไฮเปอร์โซนิคโชว์เล่นซะงั้น อีโสมขาว อียุ่นปี่ ไบ้แดร๊ก มีเยอะแบ่งให้กูบ้างก็ได้? ปักกิ่งสั่งโชว์ เตรียมต้อนรับเหี้ยอาละวาด เรือรบมรึงน่ะ หายไปไหนหมด เอามาดิ กูกำลังหาเป้าซ้อมมือเล่นอยู่? ละครปาหี่ทำเนียบขาว อีทรัมปป์แรงเกินชิมิ? จับดีเบต เพื่อลดกระแส หายโง่ เพิ่งตาสว่าง อีกมลาแค่เล่นตามสคริปต์ ฉากนี้ ฮอลีวู๊ดจัดให้ หลอกไอ้ควายหน้าโง่มะกันทั้งแผ่นดิน โพลเหรอ? คะแนนนิยมเหรอ FAKE ทั้งนั้น แค่แผนเตรียมแตกอเมริกา จบน่ะ? ปูตินสั่งลุยจริง เคียฟแตก เรือรบเหี้ยมะกันหายวับ 8 ลำ ที่เหลือเผ่นหางจุกตูด กระจอกซะไม่มี ควายอับอายแทน! ของจริงไม่พูดเยอะ ไอ้ที่มรึงเข้ามาได้เนี่ย เค้าเปิดทางล่อให้มรึงเข้ามาตาย ไอ้ควาย! มรึงยิงใส่มอสโคว์ได้แค่ปาหี่ ผิวเผิน เพราะเค้าต้องการให้มรึงติดหล่มยาวไป เหี้ย C มีเหรอไม่รู้ แต่เพื่อรักษาหน้า ถึงแพ้ยับ ก็ต้องบุกต่อ เพราะดอลล่าร์ค้ำคอ หยุดสู้คือดอลล่าร์ตายทันที เกมส์มันมีแค่นี้แหละ ไม่ต้องคิดเยอะ? กลุ่ม BRICS ปักหลักสู้ กลัวที่ไหน? เหี้ยขี้ขลาด ตาขาว ไม่กล้าเข้าใกล้รัศมีขีปนาวุธ เรือบรรทุกเครื่องบินจากอดีตแม่ทัพแนวหน้าเหี้ย ตอนนี้ กลายเป็นขนมกรุบของขั้วใหม่ ยิงทิ้งกันเมามันส์ เป้าใหญ่ขนาดนี้ หลับตายิงยังโดน จะรอดยังไง? เมื่อเรือธงเข้าอู๋ซ่อมซะเยอะ มรึงยังจะเหลือเรือธงไหนมาสู้ได้อีก จะล่อขีปนาวุธแข่งกับเค้า มีเหลือกี่ลูก ลูกนึงราคาเท่าไหร่ ขั้วใหม่มีเป็น 1000000 ลูก ยิง 100 ลูก เท่ากับของมรึงลูกเดียว นี่คือความแตกต่าง สงครามคือใช้เงิน มรึงยิงได้เท่าไหร่กัน จ่ายพอมั้ย? ผลิตของห่วยแต่ตั้งราคาโคตรแพง ใช้งานจริงไม่ได้ นี่แหละ "กระจอกขั้นเทพของจริง" แปซิฟิค ไม่ใช่ของมรึงอีกต่อไป 5 ทวีปเดินตามขั้วใหม่หมดแล้ว มรึงเหลือใครกัน? อียิวคลั่งจัด ไม่เหลือชิ้นดีอะไรอีกแล้ว ความชั่วเด่นชัด ความระยำมาเต็ม แก้ผ้าล่อนจ้อน ถอดหมดเปลือก สันดานสัดเดรัจฉาน ใจหมา ไล่ยิงกราดไปทั่ว ไม่เว้นแม่แต่เจ้าหน้าที่ UN กูละชอบฉิงๆ บทจะเหี้ย เหี้ยได้ใจควายแท้ทรู! แล้วเป็นไง ถูกสอยร่วงระนาว ข่าวไม่เปิดเผย สื่อไม่รายงาน กูสรุปให้ฟังสั้นๆ ชัดๆ ไปเลย เหี้ยยิวและขี้ข้า ตายห่าวันละ 3000 ตัว ทั้งสมรภูมิเยรูซาเล็ม และยูเครน อีกไม่นาน สมรภูมิจะย้ายเข้าอีโปลเต็มตัวแล้ว เพราะนั่นคือเฟด 2 ดอกนี้แหละ คือประตูเปิดทางให้ปูตินเขมือบครึ่งยุโรป เชื่อมท่อแก็สอาร์คติคฉลุย ยูเครนแค่น้ำจิ้ม เนื้อชิ้นใหญ่อยู่ที่ตอนเหนือต่างหากล่ะ ที่มาว่าทำไม อีฟินน์ อีสวิงกิ้ง อีลอนดอน ต้องไปพร้อมกันหมด ไม่ต้องมาหา เดี๋ยวกูไปหามรึงเอง? ดูข่าววันนี้ แล้วปอดตับ หากใช้สมองคิดซักกะหน่อย ควายคงจะมีน้อยกว่านี้ ถล่มค่ายทหาร ถล่มโรงไฟฟ้า ถล่มโครงสร้างพื้นฐาน ถล่มศูนย์บัญชาการ ถล่มคลังแสง ถล่มอีกมากมาย แต่ยังหน้าด้านบอก ตาย 6 ตาย 7 เจ็บ 10 กูเกิดมาก็เพิ่งรู้น่ะเนี่ย ค่ายทหาร คลังแสง ศูนย์บัญชาการรบ มีคนไม่ถึง 10 คน เอาที่มรึงสบายใจ สมองกลวงกันหมดทั้งโลกแล้วเน๊าะ! ยามนี้ ขั้วใหม่ปรับแผนใหม่แล้ว เดินเกมส์เร่ง เร็วขึ้น ขยายอิทธิพลแบบปูพรม ดาหน้าท้ารบแบบไม่มีกั๊ก กล้าก็ออกมา ดีออก? ขี้ข้าเงียบกริบ ช่วงแรกดีแต่เห่า แต่ช่วงนี้ เห่าไม่ออก? ของจริงไม่พูดเยอะ ขนกันออกมาโชว์ให้โลกรับรู้ ว่าอำนาจเปลี่ยนมือแล้ว แค่กองเรือรัสเซีย-จีน ออกมายืดเส้น ยืดสาย ไอ้สัส นี่มันท่วมมหาสมุทรเลยน่ะเนี่ย? มาเป็น 100 ลำ เหี้ยเห็นยังจุกอก แหม! เจ้ามือใหม่ เปิดตัวทั้งที มันต้องขยี้ของเก่าให้จมกองตรีนสิจ๊ะ? AI จีน แม่งสุดติ่ง แมลงหุ่นรบ AI ความสามารถเกินคาดเดา ถามแค่ว่า มรึงต้องใช้กระสุนกี่นัด ถึงจะยิงโดนหุ่นยนต์ AI แมลง 1 ตัว เท่าที่รู้ มันเข้าไปทำลายระบบสื่อสาร เชื่อมต่อ และชี้เป้า นำทาง นำร่องขีปนาวุธทุกชนิด รวมทั้งระเบิดตัวเองได้ กูเห็นแล้วยังรู้เลยว่า "กำจัดโคตรยาก" เหมือนในหนัง บัญญัติ 10 ประการ ฝูงตั๊กกะแตนยงโย่ มากันเป็นล้านตัว ทุกอย่างหายเรียบวุธ สยดสยองฉิบหาย? ยิ่งรัสเซีย ยิ่งแล้วใหญ่ หุ่นยนต์รบ AI อย่างกะในหนัง THE TERMINATOR ไอ้สัส ขนาด JOHN CONNOR ยังต้องเผ่น? อีกไม่นาน มรึงจะได้เห็นเข้าสู่สงคราม STAR WARS แน่นอน แฟนหนังไม่ต้องจินตนาการ ล่อของจริงกันไปเลย? เตรียมกูจะเตรียมดาบไลท์เซเบอร์เตรียมไปตัดหัวเหี้ยเล่น? AMAZING THAILAND ไทยรับมอบรถไฟเก่าอียุ่นปี่ 10 คัน เอามาปรับแต่งใหม่ หรูหราหมาเห่า อียุ่นปี่เห็นยังตาค้าง ไอ้สัส! นี่มันสวรรค์ชัดๆ ช่างไทยแม่งระดับจักรวาล คนไทยมีดีมานานแล้ว เพียงแต่ไม่มีใครบอกมรึง? อยากรู้ไปดูเอง คนไทยหากทำอะไรจริงจัง แม้แต่สวรรค์ ยังต้องหันมามอง? "SRT ROYAL BLOSSOM" งานฝีมือ ฝรั่งแค่ขี้ตรีนคนไทย แต่มันทำให้มรึงด้อยค่าตัวเอง ใครโง่กันล่ะ? ล่าสุด รัสเซียขอบคุณ เหี้ยไอ้อีหน้าโง่ทั้งหลาย ในที่สุด มรึงก็ให้ใบเสร็จกูได้ใช้นุ๊กรสชาเขียวได้ซักกะที หลังเหี้ยมะกัน เหี้ยสิงโตง้อย สั่งยูเครนให้ใช้ขีปนาวุธระยะไกลโจมตีรัสเซียได้ ถามจริง มรึงเหลือกี่ลูก มรึงยิงถึงป่ะ? และที่สำคัญ ปูตินไม่ได้สนยูเครน เพราะมันตายห่าไปนานแล้ว แต่ดีใจที่จะได้ถล่มวอชิงตัน ลอนดอน ให้ราบคาบซักกะที แค่ตอนนี้ แม่งก็จะแตกกันอยู่แล้ว ลงไปดอก รับรอง ถึงใจอีช้อยทั้งโลกชัวร์! ปูติน ไม่ใช่เพื่อนเล่นมรึง! พูดจริง ทำจริง เคยบอกไปแล้วว่า จะไม่มีเตือนครั้งที่ 3 ก่อนจะถึงนายใหญ่ อีโปล อีฟินน์ อีสวิงกิ้ง ต้องไปหมดเกลี้ยงซะก่อน แล้วค่อยปิดฉาก ปิดเกมส์ที่ แผ่นดินแม่เหี้ยจ๊ะ สคริปเค้าจัดมาตามนี้ กูแอบไปเปิดโพยดูมาก่อนแล้ว? ปล.เผยวงใน เกจิดัง นักวิชาการ อดีตผู้พิพากษา รู้จุดจบของละครบ้านทรายทองกันหมดแล้ว แต่ยังไม่ถึงเวลาเปิดเผย เอาสั้นๆ "มอ 112" คือจุดตายอีเหลี่ยมชั่ว โอนที่ดินและคุณสมบัตินายกฯคือจุดตายอีลูกสาวร่าน ทำไมต้องรอ 6 เดือน คำตอบคือ "มันจะมาพร้อมกันหมดทุกคดีความขายชาติ" เค้าเรียกล้มกระดานทั้งแผง แฝงบีบจ่ายเงินคืนแผ่นดิน แล้วไสหัวไปซะ เจรจาใต้น้ำกันมันส์หยดติ๋งๆ ด้านขั้วใหม่หนุนหลังสุดตัว ที่มาเหี้ยยังไง ก็ไม่โง่พอที่จะไม่เอาตัวรอด ไม่อิงราคาน้ำมันตลาดโลก เพราะรัสเซีย จีน อิหร่าน พร้อมอุ้ม ถึงได้บอกไงล่ะว่า เหี้ยแค่ไหนก็เปลี่ยนได้ เพราะไม่มีทางเลือก กลียุค คือความไม่แน่นอน ใครที่ยังสงสัยว่าเหี้ยเกาะกินแผ่นดินนี้มายาวนาน มันจะสลัดออกยังไง? เตรียมตัวดู เตรียมใจชมได้เลย อย่าดูถูกพลังแห่งแสง เข้าที่ไหน สะอาดหมดเปลือก ไร้คราบเหี้ยทันที ศาลนำร่อง ทหารนำทาง วังนำหน้า ไม่มีแผ่นดินไหนจะอยู่รอดได้ หากไม่คงไว้ซึ่ง "คุณธรรม" ชี้เป้า 50 ปี เหี้ย เวลาล้างบางแค่ปีเดียว มันจะไปไวมาก โปรดเตรียมกล้องถ่ายสโลโมชั่นไว้ด้วย จะได้ย้อนมาดูรายละเอียดย้อนหลังได้ ภาพศรีธนญชัย 2024 มันเริ่มปรากฎเด่นชัดมากยิ่งขึ้น ธุรกรรมต่างชาติขั้วใหม่ เข้ามามีบทบาทนำมากขึ้น ยิ่งเข้า BRICS ยิ่งเปลี่ยนแปลงเร็ว เงินบาทจะเป็นที่ต้องการของทั้งโลก! โรงงานผลิตโลก สาขาอาเซียน มันจะเป็นใครไปได้อีกล่ะ? เพราะทุกอย่างมันจะมารวมอยู่ที่นี่ "ประเทศไทย" ยามเมื่อสงครามใหญ่เปิดหน้าแลก อาเซียนจะจับมือกัน "เป็นกลาง" จะช่วยเฉพาะด้านมนุษยธรรม ยารักษา อาหาร เครื่องมือช่วยเหลือ แต่จะไม่กระโดดเข้าสงคราม แต่อาเซียนจะพร้อมรับมือ หากใครล้ำเส้น ทั้งหมดเป็นแผนที่รัสเซีย จีน วางตัวอาเซียนให้อยู่วงนอก แค่อย่าแตกแถว อย่าเสือกเข้ามาในเกมส์นี้พอ ที่มาว่าทำไม อีปินส์ อาจถูกอัปเปหิในไม่ช้า หากมรึงยังไม่เปลี่ยนหัวผู้นำใหม่ให้ทันก่อนจะสาย เพราะดูเตอร์เต้ สายเอียงจีนอยู่แล้ว รอเสียบ รอแยกดินแดน มรึงคิดจริงๆ เหรอว่า มีแต่เหี้ย C ที่แทรกแซงชาติขี้ข้าได้ ขั้วใหม่ไม่ได้โง่ มือตรีนมี เค้าก็มีคนที่ส่งไปเสี้ยมขี้ข้าให้หักหลังนายใหญ่อีกทีเช่นกัน ถามสั้นๆ มรึงพร้อมจะตายไปกับมันมั้ยล่ะ? จับตา อีป้อม เตรียมงัดไม้เด้ด เอาคืนอีเหลี่ยม อย่าลืมว่า รัฐบาลผสม มันไม่มีทางเสถียรดอก คดีความแต่ละพรรคที่จะโดน มันถึงขั้นยุบพรรค และตัดสิทธิ์ทางการเมือง อีส้มเน่าตายก่อน อีแดงตามมา แล้วจะเหลือใครจัดตั้งรัฐบาล หากไม่ใช่อดีตพรรคร่วม หมากเกมส์นี้ ปชป.พลาดอย่างแรง ที่กระโดดงับเหยื่อ แต่ใครจะไปรู้ เค้าอาจจะซ้อนแผนอีเหลี่ยมชั่วไว้อีกชั้น เมื่อร่วมรัฐบาลได้ ก็ถอนตัวออกได้เช่นกัน การเมืองมันไม่มีดอกสำเร็จรูป เขี้ยวตันทั้งนั้น ใครจะปล่อยให้เด็กเมื่อวานซืนมาแดร๊กงบแผ่นดินฟรีกันล่ะ? ทหารเค้าปล่อยให้พวกมรึงเข่นฆ่ากันเอง เอาให้สุด แล้วจบที่ "ปฎิวัติ" รัฐบาลแห่งชาติต้องมา รัฐธรรมนูญใหม่ต้องมี นักการเมืองเก่าจะตายห่ากันหมดยกคอก ม้วนเดียวจบ หลังเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ต้นตอของปัญหาคือฝ่ายการเมือง เมื่อปิดจุดตายได้ ทุกอย่างมันจะเดินหน้าของมันเอง งานนี้ "อีป้อม สู้สุดใจขาดดิ้น" เสือเฒ่าไม่ทิ้งลาย ยังไงหากกูไม่ได้ คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ กูจะลากแม่งลงมาให้หมด ทั้งกระดาน! หมี CNN(ใกล้สิ้นปี ใกล้วันตัดสิน ใกล้จุดแตกหัก ใกล้ความเป็นจริง ผู้ที่จะอยู่รอดได้ หากไม่รักษามั่นในคุณงามความดี จะถูกแสงชำระล้างไปจนหมดสิ้น แสงไม่เลือกว่ามรึงเป็นใคร แสงเลือกที่มรึงทำอะไรเอาไว้? เหี้ยกลับใจ จะได้เห็น เหี้ยสุดติ่ง แต่ย้ายขั้วจะได้ชม ไม่มีทางรอดอื่น นอกจากย้ายขั้ว ไม่ว่าเกมส์ไทย เกมส์โลก คีย์เดียวกัน เลือกข้างผิด ชีวิตเปลี่ยนทันที วัดสิ) 13 กย. 67 11.48 น. https://linevoom.line.me/post/1172620400552978014 https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=hfs0310u
    0 Comments 0 Shares 722 Views 0 Reviews
  • #นิทาน# มีคนรู้จักอยู่คนนึง เล่นพระสารพัดสายมาจนอายุ เข้าเลข 5 ก็ยังหาตัวตนที่ชัดเจน จนคนจดจำว่าเล่นแบบไหนไม่ได้สักที คือ ขายพระหน้าลาย จนในที่สุด เขาก็หา way ของตัวเองเจอ คือ ไปทางสายเครื่องรางทั้งหลาย ตระกรุด ลูกอม และสารพัด เราก็ถามว่า มันยากนะ หลายคนกลัว หลายคนไม่กล้าเล่น เพราะมันชี้ขาดยาก
    ..เขาตอบไว้แบบนี้ ..เพราะแบบนี้แหละ ที่ต้องตั้งตนเป็นสายตรง เพราะคนรู้น้อย ตั้งราคาเพ้อไปเลย หาคู่แข่งยาก หาคนเป็นที่จะมาสวดของเรายาก ถึงสวดมาเครดิตเราแข็งแรงกว่า ก็เฉยๆ ต่างชาติก็เล่น เพราะบางคนเขาไม่เล่นรูปเคารพที่เป็นบุคคล เพราะต่างศาสนา ถ้าเป็นเครื่องรางเป็นสัญลักษณ์อื่นได้ แล้วก็จริง ภายในเวลาไม่นาน สื่อ Social ก็สร้างตัวตนของเขาขึ้นมาในเส้นทางนี้ได้.
    (บุคคลในภาพไม่เกี่ยว)
    #นิทาน# มีคนรู้จักอยู่คนนึง เล่นพระสารพัดสายมาจนอายุ เข้าเลข 5 ก็ยังหาตัวตนที่ชัดเจน จนคนจดจำว่าเล่นแบบไหนไม่ได้สักที คือ ขายพระหน้าลาย จนในที่สุด เขาก็หา way ของตัวเองเจอ คือ ไปทางสายเครื่องรางทั้งหลาย ตระกรุด ลูกอม และสารพัด เราก็ถามว่า มันยากนะ หลายคนกลัว หลายคนไม่กล้าเล่น เพราะมันชี้ขาดยาก ..เขาตอบไว้แบบนี้ ..เพราะแบบนี้แหละ ที่ต้องตั้งตนเป็นสายตรง เพราะคนรู้น้อย ตั้งราคาเพ้อไปเลย หาคู่แข่งยาก หาคนเป็นที่จะมาสวดของเรายาก ถึงสวดมาเครดิตเราแข็งแรงกว่า ก็เฉยๆ ต่างชาติก็เล่น เพราะบางคนเขาไม่เล่นรูปเคารพที่เป็นบุคคล เพราะต่างศาสนา ถ้าเป็นเครื่องรางเป็นสัญลักษณ์อื่นได้ แล้วก็จริง ภายในเวลาไม่นาน สื่อ Social ก็สร้างตัวตนของเขาขึ้นมาในเส้นทางนี้ได้. (บุคคลในภาพไม่เกี่ยว)
    Wow
    1
    0 Comments 0 Shares 158 Views 0 Reviews
  • ฉีดวัคซีนฝีดาษลิงดีหรือไม่ ในยุคไวรัสฝีมือมนุษย์? / ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

    “ไข้ทรพิษ” หรือฝีดาษเป็นโรคติดต่อร้ายแรง มีลักษณะเฉพาะคือมีผื่นขึ้นตามตัว ไข้สูง ปวดศีรษะ ชัก และอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน มีอัตราการเสียชีวิต 30% เกิดจากเชื้อไวรัส แบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ

    1.ไข้ทรพิษชนิดร้ายแรง เกิดจากเชื้อ “วาริโอลา เมเจอร์” (Variola major or classical smallpox)

    2.ไข้ทรพิษชนิดอ่อน ซึ่งมีความรุนแรงน้อยกว่าชนิดแรก เกิดจากเชื้อ “วาริโอลา ไมเนอร์”  (Variola minor or alastrim)[1]

    เว็บไซต์กรมควบคุมโรค สหรัฐอเมริกา ได้รายงานหลักฐานแรกสุดของโรคนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตศักราชในอียิปต์[2] และเมื่อเวลาผ่านไปก็ทยอยลุกลามไปทั่วโลก

    ทั้งนี้เชื้อไวรัสฝีดาษ (Variolar) นี้สามารถแพร่กระจายไปในอากาศ จากละอองสิ่งคัดหลั่งจากคนที่เป็นโรค เช่น น้ำมูก, น้ำลาย หรือจากการสัมผัสกับผิวหนังที่มีแผลฝีดาษ เชื้อนี้มีความคงทนต่อสภาพอากาศ สามารถแพร่ได้ไม่ว่าจะอากาศร้อนหรือหนาว และสามารถติดต่อจากคนไปสู่คนได้โดยง่าย

    อย่างไรก็ตาม การรณรงค์ฉีดวัคซีนกวาดล้างโรคฝีดาษ ตลอดศตวรรษที่ 19-20 โดยการประสานงานขององค์การอนามัยโลก เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2510-2518 ทำให้ผู้ป่วยฝีดาษทั่วโลกลดลงอย่างมาก ตามรายงานขององค์การอนามัยโลกแจ้งว่ามีผู้ป่วยเป็นโรคฝีดาษรายสุดท้าย เกิดขึ้นที่ ประเทศโซมาเลีย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ.2520

    ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศว่า ฝีดาษถูกกวาดล้าง (eradicate) หมดไปจากโลกในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2523[2]

    จึงถือว่าเป็นโรคระบาดที่มนุษย์สามารถเอาชนะได้หลังจากใช้เวลานานกว่า 3,000 ปี

    อย่างไรก็ตามแม้ว่าโรคจะถูกกวาดล้างไปแล้ว แต่เชื้อไวรัสฝีดาษยังถูกเก็บไว้ในห้องปฏิบัติการและอยู่ในความดูแลอย่างเข้มงวดที่ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งชาติ (CDC) เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกาและที่ State Research Centre of Virology and Biotechnology สหพันธ์สาธารณรัฐ รัสเซีย ซึ่งหน่วยงานทั้ง 2 แห่งในประเทศนี้ได้รับอนุญาตจาก WHA ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2542 ให้เป็นที่เก็บไวรัส Variola ที่มีชีวิตเพื่อนำมาใช้ในการศึกษาวิจัยในกรณีที่อาจมีโรคฝีดาษอุบัติใหม่ขึ้นมา[3],[4]

    ซึ่งแปลว่าคนในโลกนี้ควรจะปลอดจากเชื้อฝีดาษไปตลอดกาลแล้ว นับตั้งแต่ปี พ.ศ.​2523 หากไม่มีการรั่วไหล หรือมีวาระซ่อนเร้นในการทำธุรกิจกับชีวิตของมนุษยชาติ จริงหรือไม่?

    อย่างไรก็ตาม ได้มีเหตุการณ์พบขวดทดลองที่มีลักษณะแห้งและแช่แข็งบรรจุเชื้อไข้ทรพิษจำนวน 6 ขวด เก็บอยู่ในกล่องในห้องเก็บของที่มีการควบคุมอุณหภูมิไว้ที่ 5 องศาเซลเซียส ของสถาบันเพื่อสุขภาพแห่งชาติอเมริกา (National Institutes of Health: NIH) ในสังกัดองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) ในเบเธสดา รัฐแมรีแลนด์ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 ที่ผ่านมา[3]

    เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความตระหนกแก่ประชาชนที่ทราบข่าว เนื่องจากความกลัวว่าจะมีการนำเชื้อไข้ทรพิษเป็นอาวุธชีวภาพ ทำให้มีการกำหนดมาตรฐานการเก็บรักษาเชื้อไวรัสไข้ทรพิษหรือฝีดาษ ว่าจะต้องถูกเก็บรักษาไว้ใน BSL-4 หรือแล็บความปลอดภัยด้านชีวภาพระดับ 4[3]

    แต่ห้องเก็บของที่พบกล่องบรรจุขวดเชื้อไวรัสฝีดาษไม่เข้ามาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูง ทำให้มีการสอบสวนที่มาที่ไปของขวดตัวอย่างที่พบและนำเข้าสู่ระบบการทำลายเชื้อ เพื่อให้เกิดความแน่ใจว่าจะไม่มีการนำไปใช้ในทางที่ผิด อันเนื่องมาจากความรุนแรงของโรคที่เคยปรากฏในอดีตที่ผ่านมา[3]

    คำถามที่ตามมามีอยู่ว่าในเมื่อเชื้อฝีดาษหายไปจากโลกกว่า 40 ปี และเชื้อตัวอย่างยังคงหลงเหลืออยู่เพียงแค่ห้องปฏิบัติการ 2 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา กับ รัสเซีย หากฝีดาษจะมีการกลับมาระบาดอีกครั้งในโลก ย่อมต้องถูกตั้งข้อสงสัยว่ามาจากสหรัฐอเมริกา หรือ รัสเซียกันแน่

    ปรากฏในรายงานผลการสอบสวนของกรรมาธิการของวุฒิสภาในสหรัฐอเมริกาฉบับเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2567[5] พบว่าฝีดาษลิงที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ อาจเป็นปัญหาที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่เป็นการประดิษฐ์ขึ้นโดยมนุษย์

    เรื่องดังกล่าวนี้ทำให้ศาสตราจารย์นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ได้โพสต์เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2567[6] นำรายงานผลการสอบสวนดังกล่าว และโพสต์ข้อความว่า

    “ไวรัสฝีดาษตัวใหม่ที่่ทั่วโลกกำลังตื่นตระหนก จากการประกาศขององค์การอนามัยโลกประสานกับองค์กรของสหรัฐฯ และพยายามจะให้มีการสะสมวัคซีนตลอดจนให้มีการใช้ทั่วโลก เป็นการเกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือมีการประดิษฐ์มีการตรวจสอบโดยกรรมาธิการเฉพาะของวุฒิสภาสหรัฐฯ โดยกรรมาธิการดังกล่าวออกรายงาน 73 หน้า ในวันที่ 11 มิถุนายน 2024 เป็นการสอบสวนการทำวิจัยไวรัสฝีดาษลิง ที่มีความเสี่ยงสูงโดยทำให้มีความรุนแรงมากขึ้นและติดต่อได้ง่ายขึ้นระหว่างคนสู่คน

    ขั้นตอนติดต่อส่วนของไวรัสในกลุ่มที่สอง ไปยังกลุ่มที่หนึ่งปรากฏว่าความรุนแรงลดลง

    ดังนั้นเลยมีกระบวนการที่ทำโดยเอาส่วนที่หนึ่งเสียบไปยังกลุ่มที่สองจนได้ผลสำเร็จ มีความรุนแรงมากขึ้นและแพร่ได้เร็ว เกิดการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    สืบจนพบว่าเป็นการอนุมัติทุนในองค์กร NIH NIAID ของสหรัฐฯ ในปี 2015 และรายงานความสำเร็จในปี 2022 ซึ่งในขณะนั้นเอง ก่อให้เกิดความวิตกกังวลของนักวิทยาศาสตร์ทั่วไปถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น

    และนำไปสู่การสืบสวนจนกระทั่งถึงผู้อนุมัติสนับสนุนงานสร้างไวรัสใหม่ คือ ดร.เฟาซี (ดร.แอนโทนี เฟาซี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อระดับแนวหน้าของสหรัฐฯ และหัวหน้าทีมที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขของประธานาธิบดี โจ ไบเดน)

    และเหตุการณ์ที่คล้องจอง คือการฝึกซ้อมรับมือผู้ก่อการร้าย โดยสมมุติว่ามีการใช้อาวุธชีวภาพ คือไวรัสฝีดาษลิงที่ตัดต่อพันธุกรรม ชื่อ Akhmeta ทั้งในปี 2021 และในปี 2022 โดยสร้างฉากทัศน์ เริ่มจากการปล่อยไวรัสจนกระทั่งมีการระบาดทั่วโลกและล้มตายไปหลายร้อยล้านคนและในขณะเดียวกันมีการตระเตรียมยาและวัคซีน

    เหตุการณ์ที่เกิดในปัจจุบันที่มีการติดเชื้อฝีดาษลิงในมนุษย์ที่ง่ายขึ้น เริ่มเกิดขึ้นในปี 2021 และ 2022 และทยอยแพร่ไปทั่วโลก

    จนองค์การอนามัยโลกประกาศเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินและผลักดันให้มีการฉีดวัคซีนทั่วโลก[6]

    ส่วนประเทศไทยได้ปรากฏข้อมูลที่รวมรวมโดยเว็บไซต์ Hfocus รายงานว่าการเกิดโรคฝีดาษในไทยพบหลักฐานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ดังปรากฎในพระราชพงศาวดารสมัยกรุงศรีอยุธยาว่า

    ถึงขนาดว่ามีพระมหากษัตริย์ไทยสวรรคตด้วยฝีดาษ 2 พระองค์  ได้แก่ สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 หน่อพุทธางกูร พระมหากษัตริย์ ลำดับที่ 11 ของกรุงศรีอยุธยา ทรงพระประชวรด้วยโรคไข้ทรพิษ และเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2076 หรือประมาณ 491 ปีที่แล้ว

    อีก 72 ปีต่อมา สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้ประชวรที่เมืองหาง (เมืองห้างหลวง ในรัฐฉาน) เป็นฝีละลอกขึ้นที่พระพักตร์ กลายเป็นพิษ และสวรรคต เมื่อ 25 เมษายน พ.ศ. 2148 ซึ่งตรงกับช่วงศตวรรษที่ 16 มีการระบาดครั้งใหญ่ทั่วโลก และยังมีการระบาดในพ.ศ. 2292 สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ที่ทำให้มีคนตายมาก[3]

    โรคฝีดาษ หรือ ไข้ทรพิษ ในอดีตนั้นมีความร้ายแรง เพราะยังถึงขั้นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาเสด็จสวรรคตถึง 2 พระองค์ได้ จึงมีความแตกต่างจากโรคระบาดชนิดอื่นๆ

    ดังนั้นในเวลาต่อๆมา โรคฝีดาษ หรือ ไข้ทรพิษ จึงเป็นโรคระบาดที่สำคัญที่ต้องมีการพัฒนาอย่างเร่งด่วน ทั้งการป้องกันการเกิดโรคระบาด จนถึงขั้นการรักษาโรค

    ในสมัยรัตนโกสินทร์ มีการระบาดของฝีดาษเช่นกัน จากบันทึกของหมอบรัดเลย์ ที่ระบุว่าในสมัยรัชกาลที่ 3 มีการระบาดของฝีดาษอย่างหนัก ทำให้หมอบรัดเลย์ริเริ่มการปลูกฝีบำบัดโรคฝีดาษเป็นครั้งแรกในไทยในวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2379 โดยใช้เชื้อหนองฝีโคที่นำเข้ามาจากอเมริกา และได้เขียนตำราชื่อ “ตำราปลูกฝีให้กันโรคธระพิศม์ไม่ให้ขึ้นได้” ปรากฏมาจนถึงทุกวันนี้[3]

    ในระยะ พ.ศ. 2460 – 2504 ยังมีการระบาดของฝีดาษเกิดขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2488 – 2489 ช่วงการเกิดสงครามมีการระบาดของฝีดาษครั้งใหญ่สุดเริ่มต้นจากเชลยพม่าที่ทหารญี่ปุ่นจับมาสร้างทางรถไฟสายมรณะข้ามแม่นํ้าแควป่วยเป็นไข้ทรพิษและแพร่ไปยังกลุ่มกรรมกรไทยจากภาคต่างๆที่มารับจ้างทํางานในแถบนั้น เมื่อแยกย้ายกันกลับบ้าน ได้นําโรคกลับไปแพร่ระบาดใหญ่ทั่วประเทศ มีผู้ป่วยมากถึง 62,837 คน และเสียชีวิต 15,621 คน[3]

    การระบาดเกิดขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2502 ทำให้มีผู้ป่วย 1,548 คน ตาย 272 คน และการระบาดครั้งสุดท้ายมีการบันทึกไว้ว่าเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2504 ที่อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย มีผู้ป่วย 34 ราย ตาย 5 ราย โดยรับเชื้อมาจากรัฐเชียงตุงของพม่า ทำให้กระทรวงสาธารณสุขเริ่มโครงการกวาดล้างไข้ทรพิษหรือฝีดาษในประเทศไทย รณรงค์ปลูกฝีป้องกันโรค จนปีพ.ศ. 2523 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศว่าฝีดาษได้ถูกกวาดล้างแล้วจึงหยุดการปลูกฝีป้องกันโรค   และนับแต่นั้นมาไม่เคยปรากฏว่ามีฝีดาษเกิดขึ้นในประเทศไทย[3]

    นี่คือเหตุผลว่าประเทศไทยได้ทำการปลูกฝี เพื่อป้องกันโรคฝีดาษ หรือไข้ทรพิษในปี พ.ศ. 2532 เป็นปีสุดท้าย หรือเมื่อประมาณ 44 ปีที่แล้ว ดังนั้นประชาชนไทยที่อายุมากกว่า 44 ปีขึ้นไป ก็น่าจะได้รับการปลูกฝีไปเกือบทั้งหมดแล้ว

    แต่เมื่อฝีดาษลิงกลับมาระบาดอีกครั้ง ก็ทำให้เกิดคำถามว่าประเทศไทยจะรับมืออย่างไร และเราควรจะฉีดวัคซีนหรือไม่? และคนที่มีอายุเกิน 44 ปี (ซึ่งส่วนใหญ่ได้ปลูกฝีไข้ทรพิษมาแล้ว)จะมีคนติดเชื้อโรคฝีดาษลิงหรือไม่

    โดยวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2567 เว็บไซต์ของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานสถานการณ์ฝีดาษวานร (ฝีดาษลิง)จนถึงปัจจุบันว่า มีผู้ป่วยฝีดาษลิงในประเทศไทย จำนวน 835 ราย เป็นเพศชายเกือบทั้งหมดมากถึง 814 ราย คิดเป็นร้อยละ 97.49 ในขณะที่เป็นเพศหญิง 21 ราย คิดเป็นร้อยละ 2.51 เท่านั้น[7]

    ซึ่งถือว่าโอกาสติดเชื้อฝีดาษลิงในผู้หญิงน้อยมาก

    แต่ที่น่าสนใจคือ กลุ่มคนวัยหนุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ป่วยเป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง เอชไอวี อย่างไรก็ตามกลุ่มคนที่เคยปลูกฝีไข้ทรพิษแล้วยังสามารถติดเชื้อฝีดาษลิงได้อยู่ดีแต่น้อยกว่าคนที่ไม่ได้ปลูกฝี ดังนี้

    ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 0-14 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 2 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.36 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมด

    ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 15-19 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 3 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.24 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย

    ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 20-24 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 81 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 9.70 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย

    ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 25-29 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 172 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.59 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย

    ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 30-39 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 347 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 41.56 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย

    ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 40-49 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 174 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.83 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย ในกลุ่มนี้หากพิจารณาแยกแยะผู้ที่มีอายุ 40-44 ปี ซึ่งไม่เคยได้รับการปลูกฝีมาก่อนมีจำนวน 130 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.65 ในขณะที่ผู้ที่มีอายุมากกว่า 45-49 ที่เชื่อว่าน่าจะได้รับการปลูกฝีแล้วติดเชื้อฝีดาษลิงแล้ว 44 ราย คิดเป็นเพียงร้อยละ 5.27 เท่านั้น

    ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 50-59 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 29 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.47 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย

    ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ติดเชื้อฝีดาษลิง 8 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.95 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย[7]

    จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ในประเทศไทยผู้ที่มีอายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไปซึ่งน่าจะมีการปลูกฝีไข้ทรพิษไปแล้วก็ยังมีโอกาสติดเชื้อฝีดาษลิงได้ เพียงแต่มีสัดส่วนน้อยกว่าประชากรที่ยังไม่เคยได้รับการปลูกฝี คือ ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 44 ปีลงมา มีผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงจำนวน 754 รายคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 90.30 ในขณะที่ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้น (ซึ่งส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดได้รับการปลูกฝีไปแล้ว)มีผู้ป่วยติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งสิ้น 81 รายคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 9.70 ราย

    อย่างไรก็ตามในภาวะดังกล่าว มีคำแถลงจากนายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ความเห็นเอาไว้เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2567 ความว่า

    “โดยจริงๆ วัคซีนไม่จำเป็นต้องฉีดทุกคน ไม่มีการระบาดทั่วไป เพราะอัตราการระบาดต่ำ แต่จะพบในผู้ป่วยเฉพาะ เช่น ผู้ขายบริการทางเพศ และชายรักชาย อีกทั้ง ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากผู้ป่วยเอชไอวี และไม่ทานยาทั้งหมด 13 รายที่ผ่านมา (เชื้อเคลด2)”[8]

    นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ยังได้

    “คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาเห็นว่า เพื่อเป็นการควบคุมโรค แต่เนื่องจากวัคซีนป้องกันฝีดาษวานรยังไม่ได้มีการขึ้นทะเบียนในประเทศไทย ทางกรมควบคุมโรคจึงใช้ มาตรา 13(5) เพื่อการควบคุมโรค ตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510  จะมีการใช้งบประมาณ กรมควบคุมโรค วงเงิน 21 ล้านบาท เพื่อการจัดซื้อวัคซีนดังกล่าว รวม 3,000 โดส  เพื่อฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยง  3 กลุ่ม ประกอบด้วย  

    1. บุคลากรทางการแพทย์ที่เสี่ยงต่อการติดโรค อาทิ ไปสัมผัสเสี่ยงสูง คือ สัมผัสคนติดเชื้อ

    2. กลุ่มไปสัมผัสโรค เสี่ยงว่าจะติดเชื้อ ก็จะฉีดภายใน 4 วัน

    และ3. มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดคนติดเชื้อ เช่น คนในครอบครัวที่ติดเชื้อ ซึ่ง 3 กลุ่มเสี่ยงนี้ กรมควบคุมโรคจะดูแลโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย“[8]

    เรื่องดังกล่าวนี้ทำให้ศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิตให้ความเห็น เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2567 ในเรื่องความพยายามกระพือข่าวให้กลัวเพื่อให้เกิดการระดมฉีดวัคซีน ความว่า

    “กรมควบคุมโรคประกาศแล้ว ฝีดาษลิงอัตราการระบาดต่ำ ทั้งประเทศมีประมาณ 800 ราย และที่เสียชีวิตนั้น เพราะมีติดเชื้อไวรัสเอดส์ และโรคทางเพศสัมพันธ์อื่น การติดตามของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ผู้ติดเชื้อปลอดภัยดี

    วัคซีนขณะนี้ “ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน” และกระทรวงสาธารณสุข จะจัดการให้ฉีดฟรีใน “กลุ่มเสี่ยง” เท่านั้น ได้แก่

    1. บุคลากรทางการแพทย์ที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อ
    2. คนที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อโดยต้องฉีดภายใน 4 วัน

    ทั้งสองกลุ่มนี้ฟรี
    ส่วนกลุ่มที่ต้องเดินทางในพื้นที่เสี่ยงนั้น การฉีดนั้นต้องจ่ายเงิน

    “กลุ่มที่กระพือข่าวให้น่ากลัว โดยไม่ยึดความจริง และอาจทำให้นำไปสู่การค้าวัคซีน ควรต้องจับตามองอย่างเข้มข้น””[9]

    อย่างไรก็ตามแม้ว่าฝีดาษลิงจะเป็นเชื้อที่ยังติดได้ยาก ส่วนใหญ่พบในผู้ป่วยเฉพาะคือ ขายบริการทางเพศ และชายรักชาย อีกทั้งผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากผู้ป่วยเอชไอวีที่ไม่ทานยาทั้งหมด ส่วนการติดนั้นต้องอาศัยการสัมผัสผิวใกล้ชิด อัตราการเสียชีวิตอยู่ในระดับต่ำ คนส่วนใหญ่จึงยังไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนแต่ประการใด

    อย่างไรก็ตามเนื่องจากโรคฝีดาษที่กลับมาระบาดอีกครั้งในรอบ 44 ปี ทำให้ความรู้ในการรักษาผู้ป่วยขาดตอนไป คงเหลือแต่การค้นคว้ากรรมวิธีการรักษาในประวัติศาสตร์ของคนไทยว่าใช้วิธีการรักษาอย่างไร

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า “โรคฝีดาษ” เป็นโรคที่มีความจำเพาะ ถึงขนาดทำให้พระมหากษัตริย์สมัยอยุธยาเสด็จสวรรคตถึง 2 พระองค์

    จึงปรากฏเรื่องของตำรับยาและสมุนไพรที่เกี่ยวกับการรักษา “โรคฝีดาษ” แยกออกมาต่างหากจากโรคระบาดอื่นๆ บันทึกปรากฏอยู่ในแผ่นศิลาจารึกในสมัยรัชกาลที่ 2 ของจารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร[10]-[12] และอยู่ในแผ่นศิลาจารึกในสมัยรัชกาลที่ 3 ในแผ่นศิลาจารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม[10],[13]-[15]

    นอกจากนั้น โรคฝีดาษไม่ใช่เป็นโรคระบาดอื่นๆที่ใช้ “ยาขาว”ที่ใช้กับโรคระบาดหลายชนิดในตำรับยาเดียว ที่ปรากฏในศิลาจารึกในสมัยรัชกาลที่ 3 ในแผ่นศิลาจารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามอีกด้วย[16]

    หลักฐานที่ว่า “โรคฝีดาษ” ไม่ใช่โรคระบาดทั่วไปนั้น จะเห็นได้จากพระคัมภีร์ตักกะศิลาที่บันทึกภูมิปัญญามาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 และบันทึกมาโดยเจ้าพระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) เจ้าเมืองจันทบูร ที่ตกทอดมาถึงตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวงในสมัยรัชกาลที่ 5 หรือตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ในสมัยรัชกาลที่ 5 ไม่พบการกล่าวถึงคำว่า “ฝีดาษ” แต่ประการใด

    แต่ในที่สุดก็ได้พบตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวงในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ระบุคัมภีร์ชื่อ “พระตำหรับแผนฝีดาษ” บันทึกในสมุดไทย มีรายละเอียดจำนวนมากเกี่ยวกับโรคฝีดาษเป็นการเฉพาะ และมีจำนวนมากถึง 3 เล่ม จนไม่สามารถที่จะถ่ายทอดมาให้อ่านในหมดในบทความนี้

    โดย “พระตำหรับแผนฝีดาษ” ในสมัยรัชกาลที่ 5 นั้น มีการกล่าวถึงลักษณะของฝีแต่ละชนิด และจุดที่เกิดฝีว่าบริเวณใดเป็นแล้วไม่เสียชีวิต รวมถึงบริเวณใดจะทำให้เสียชีวิตภายในกี่วัน จึงได้มีการแบ่งแยกวิธีการรักษาอย่างละเอียดยิบ

    อย่างไรก็ตามก็มีวาง “หลักการ“ ถึงวิธีการรักษาโรคฝีดาษปรากฏอยู่ใน ”พระตำหรับแผนฝีดาษ เล่ม 2“ ที่ระบุความตอนหนึ่งว่า

    ”๏ สิทธิการิยะ พระตำราประสะฝีดาษทั้งปวง ถ้าแพทย์ผู้ใดจะรักษาฝีดาษ ถ้าเห็นศีศะรู้ว่าเปนฝีดาษแน่แล้ว ให้กินยาล้อมตับดับพิศม์และให้กินยารุเสีย แลกินยาแปรภายใน พ่นยาแปรภายนอกแลกินยากะทุ้ง…“[17]

    หลังจากนั้นพอวันเวลาเปลี่ยนไปก็มีตำรับยาเฉพาะที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆจนรักษาฝีดาษจนหายในที่สุด

    ซึ่งในโอกาสอันสมควรก็น่าจะมีการรื้อฟื้น ศึกษา พระตำหรับแผนฝีดาษ สมัยรัชกาลที่ 5 แล้วทำการวิจัย พัฒนา เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับโรคฝีดาษในยุคปัจจุบันต่อไป

    ด้วยความปรารถนาดี
    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    12 กันยายน 2567

    อ้างอิง
    [1] Ryan KJ, Ray CG, บ.ก. (2004). Sherris Medical Microbiology (4th ed.). McGraw Hill. pp. 525–28. ISBN 978-0-8385-8529-0.

    [2] CDC, History of Smallpox, 25 July 2017
    https://www.cdc.gov/smallpox/history/history.html

    [3] Hfocus, โรคระบาดร้ายแรงในอดีต ตอนที่ 3 โรคไข้ทรพิษ (ฝีดาษ), วันที่ 26 สิงหาคม 2558
    https://www.hfocus.org/content/2014/08/7977

    [4] World Health Organization, Small Pox, Media Center
    https://web.archive.org/web/20070921235036/http://www.who.int/mediacentre/factsheets/smallpox/en/

    [5] U.S. House of Representatives, Interim Staff Report on Investigation into Risky MPXV Experiment at the National Institute of Allergy and Infectious Diseases, June 14 2024
    https://d1dth6e84htgma.cloudfront.net/Mpox_Memo_Rpt_correction_18e95e3204.pdf?utm_source=substack&utm_medium=email&fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTAAAR0YlqstCXKzOUttRicgqQ6lG00dtMnZ_9pFf4FqtlBbSAyw5uR-tGR6QIM_aem_ZXPXy1XgTiGCTixSJJ-aFg

    [6] ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา, “หมอธีระวัฒน์” เปิดผลสอบสวน “ฝีดาษลิง” ธรรมชาติสร้างหรือมนุษย์ประดิษฐ์, ผู้จัดการออนไลน์, 6 กันยายน 2567
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000082903

    [7] กรมควบคุมโรค, รายงานสถานการณ์โรคติดเชื้อฝีดาษวานร (Mpox), 12 กันยายน 2567
    https://ddc.moph.go.th/monkeypox/dashboard.php

    [8] Hfocus, กรมควบคุมโรค ทุ่มงบ 21 ล้านบาท จัดหา “วัคซีนฝีดาษวานร” 3 พันโดสให้เฉพาะ 3 กลุ่มเสี่ยง, 6 กันยายน 2567
    https://www.hfocus.org/content/2024/09/31577

    [9] ผู้จัดการออนไลน์, “หมอธีระวัฒน์” แนะจับตาพวกกระพือข่าวให้ตื่นกลัวฝีดาษลิง หวังค้าวัคซีน หลังกรมควบคุมโรคยืนยันแล้วอัตราระบาดต่ำ, 7 กันยายน 2567
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000083178

    [10] ผู้จัดการออนไลน์, “ปานเทพ” เผยตำรับยาแก้ “ฝีดาษ” ในศิลาจารึก แนะวิจัยสมุนไพรไทยต่อยอดไว้สู้ “ฝีดาษลิง”, เผยแพร่: 5 กันยายน 2567
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000082615

    [11] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน,จารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร แผ่นที่ 18 ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2557( อัพเดทเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2567)
    https://db.sac.or.th/inscript.../inscribe/image_detail/14798

    [12] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน,จารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร แผ่นที่ 46 (ยาผายเลือด) ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อ โพสต์เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2558
    https://db.sac.or.th/inscript.../inscribe/image_detail/16335

    [13] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม(ว่าด้วยตำรายาวิเศษสรรพคุณสำเร็จแก้สรรพโรคทั้งปวง แผ่นที่ 22 ยาแก้จักษุโรคคือต้อ(5), จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2560
    https://db.sac.or.th/.../file/22-chaksurok-to5-tr2.pdf

    [14] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 7 ท้าวยายม่อม ข่าใหญ่ ข่าลิง กระทือ ไพล กระชาย หอม และกระเทียม) ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2564
    https://db.sac.or.th/.../7-thaoyaimom-khayai-khaling-tr1.pdf

    [15] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม, จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 14 แตงหนู ชิงชี่ บอระเพ็ด ชิงช้าชาลี บอระเพ็ดพุงช้าง ผักปอดตัวเมีย ผักปอดตัวผู้ และพลูแก), จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2567
    https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/17723

    [16] โรงเรียนแพทย์แผนโบราณ วัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์), ตำรายา ศิลาจารึกในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) พระนคร พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้จารึกไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๕ ฉบับสมบูรณ์ ฉบับ พ.ศ.​๒๕๑๖ หน้า ๖๒ - ๖๔

    [17] คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒, ตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวง รัชกาลที่ ๕ เล่ม ๒

    ฉีดวัคซีนฝีดาษลิงดีหรือไม่ ในยุคไวรัสฝีมือมนุษย์? / ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ “ไข้ทรพิษ” หรือฝีดาษเป็นโรคติดต่อร้ายแรง มีลักษณะเฉพาะคือมีผื่นขึ้นตามตัว ไข้สูง ปวดศีรษะ ชัก และอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน มีอัตราการเสียชีวิต 30% เกิดจากเชื้อไวรัส แบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ 1.ไข้ทรพิษชนิดร้ายแรง เกิดจากเชื้อ “วาริโอลา เมเจอร์” (Variola major or classical smallpox) 2.ไข้ทรพิษชนิดอ่อน ซึ่งมีความรุนแรงน้อยกว่าชนิดแรก เกิดจากเชื้อ “วาริโอลา ไมเนอร์”  (Variola minor or alastrim)[1] เว็บไซต์กรมควบคุมโรค สหรัฐอเมริกา ได้รายงานหลักฐานแรกสุดของโรคนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตศักราชในอียิปต์[2] และเมื่อเวลาผ่านไปก็ทยอยลุกลามไปทั่วโลก ทั้งนี้เชื้อไวรัสฝีดาษ (Variolar) นี้สามารถแพร่กระจายไปในอากาศ จากละอองสิ่งคัดหลั่งจากคนที่เป็นโรค เช่น น้ำมูก, น้ำลาย หรือจากการสัมผัสกับผิวหนังที่มีแผลฝีดาษ เชื้อนี้มีความคงทนต่อสภาพอากาศ สามารถแพร่ได้ไม่ว่าจะอากาศร้อนหรือหนาว และสามารถติดต่อจากคนไปสู่คนได้โดยง่าย อย่างไรก็ตาม การรณรงค์ฉีดวัคซีนกวาดล้างโรคฝีดาษ ตลอดศตวรรษที่ 19-20 โดยการประสานงานขององค์การอนามัยโลก เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2510-2518 ทำให้ผู้ป่วยฝีดาษทั่วโลกลดลงอย่างมาก ตามรายงานขององค์การอนามัยโลกแจ้งว่ามีผู้ป่วยเป็นโรคฝีดาษรายสุดท้าย เกิดขึ้นที่ ประเทศโซมาเลีย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ.2520 ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศว่า ฝีดาษถูกกวาดล้าง (eradicate) หมดไปจากโลกในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2523[2] จึงถือว่าเป็นโรคระบาดที่มนุษย์สามารถเอาชนะได้หลังจากใช้เวลานานกว่า 3,000 ปี อย่างไรก็ตามแม้ว่าโรคจะถูกกวาดล้างไปแล้ว แต่เชื้อไวรัสฝีดาษยังถูกเก็บไว้ในห้องปฏิบัติการและอยู่ในความดูแลอย่างเข้มงวดที่ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งชาติ (CDC) เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกาและที่ State Research Centre of Virology and Biotechnology สหพันธ์สาธารณรัฐ รัสเซีย ซึ่งหน่วยงานทั้ง 2 แห่งในประเทศนี้ได้รับอนุญาตจาก WHA ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2542 ให้เป็นที่เก็บไวรัส Variola ที่มีชีวิตเพื่อนำมาใช้ในการศึกษาวิจัยในกรณีที่อาจมีโรคฝีดาษอุบัติใหม่ขึ้นมา[3],[4] ซึ่งแปลว่าคนในโลกนี้ควรจะปลอดจากเชื้อฝีดาษไปตลอดกาลแล้ว นับตั้งแต่ปี พ.ศ.​2523 หากไม่มีการรั่วไหล หรือมีวาระซ่อนเร้นในการทำธุรกิจกับชีวิตของมนุษยชาติ จริงหรือไม่? อย่างไรก็ตาม ได้มีเหตุการณ์พบขวดทดลองที่มีลักษณะแห้งและแช่แข็งบรรจุเชื้อไข้ทรพิษจำนวน 6 ขวด เก็บอยู่ในกล่องในห้องเก็บของที่มีการควบคุมอุณหภูมิไว้ที่ 5 องศาเซลเซียส ของสถาบันเพื่อสุขภาพแห่งชาติอเมริกา (National Institutes of Health: NIH) ในสังกัดองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) ในเบเธสดา รัฐแมรีแลนด์ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 ที่ผ่านมา[3] เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความตระหนกแก่ประชาชนที่ทราบข่าว เนื่องจากความกลัวว่าจะมีการนำเชื้อไข้ทรพิษเป็นอาวุธชีวภาพ ทำให้มีการกำหนดมาตรฐานการเก็บรักษาเชื้อไวรัสไข้ทรพิษหรือฝีดาษ ว่าจะต้องถูกเก็บรักษาไว้ใน BSL-4 หรือแล็บความปลอดภัยด้านชีวภาพระดับ 4[3] แต่ห้องเก็บของที่พบกล่องบรรจุขวดเชื้อไวรัสฝีดาษไม่เข้ามาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูง ทำให้มีการสอบสวนที่มาที่ไปของขวดตัวอย่างที่พบและนำเข้าสู่ระบบการทำลายเชื้อ เพื่อให้เกิดความแน่ใจว่าจะไม่มีการนำไปใช้ในทางที่ผิด อันเนื่องมาจากความรุนแรงของโรคที่เคยปรากฏในอดีตที่ผ่านมา[3] คำถามที่ตามมามีอยู่ว่าในเมื่อเชื้อฝีดาษหายไปจากโลกกว่า 40 ปี และเชื้อตัวอย่างยังคงหลงเหลืออยู่เพียงแค่ห้องปฏิบัติการ 2 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา กับ รัสเซีย หากฝีดาษจะมีการกลับมาระบาดอีกครั้งในโลก ย่อมต้องถูกตั้งข้อสงสัยว่ามาจากสหรัฐอเมริกา หรือ รัสเซียกันแน่ ปรากฏในรายงานผลการสอบสวนของกรรมาธิการของวุฒิสภาในสหรัฐอเมริกาฉบับเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2567[5] พบว่าฝีดาษลิงที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ อาจเป็นปัญหาที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่เป็นการประดิษฐ์ขึ้นโดยมนุษย์ เรื่องดังกล่าวนี้ทำให้ศาสตราจารย์นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ได้โพสต์เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2567[6] นำรายงานผลการสอบสวนดังกล่าว และโพสต์ข้อความว่า “ไวรัสฝีดาษตัวใหม่ที่่ทั่วโลกกำลังตื่นตระหนก จากการประกาศขององค์การอนามัยโลกประสานกับองค์กรของสหรัฐฯ และพยายามจะให้มีการสะสมวัคซีนตลอดจนให้มีการใช้ทั่วโลก เป็นการเกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือมีการประดิษฐ์มีการตรวจสอบโดยกรรมาธิการเฉพาะของวุฒิสภาสหรัฐฯ โดยกรรมาธิการดังกล่าวออกรายงาน 73 หน้า ในวันที่ 11 มิถุนายน 2024 เป็นการสอบสวนการทำวิจัยไวรัสฝีดาษลิง ที่มีความเสี่ยงสูงโดยทำให้มีความรุนแรงมากขึ้นและติดต่อได้ง่ายขึ้นระหว่างคนสู่คน ขั้นตอนติดต่อส่วนของไวรัสในกลุ่มที่สอง ไปยังกลุ่มที่หนึ่งปรากฏว่าความรุนแรงลดลง ดังนั้นเลยมีกระบวนการที่ทำโดยเอาส่วนที่หนึ่งเสียบไปยังกลุ่มที่สองจนได้ผลสำเร็จ มีความรุนแรงมากขึ้นและแพร่ได้เร็ว เกิดการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สืบจนพบว่าเป็นการอนุมัติทุนในองค์กร NIH NIAID ของสหรัฐฯ ในปี 2015 และรายงานความสำเร็จในปี 2022 ซึ่งในขณะนั้นเอง ก่อให้เกิดความวิตกกังวลของนักวิทยาศาสตร์ทั่วไปถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น และนำไปสู่การสืบสวนจนกระทั่งถึงผู้อนุมัติสนับสนุนงานสร้างไวรัสใหม่ คือ ดร.เฟาซี (ดร.แอนโทนี เฟาซี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อระดับแนวหน้าของสหรัฐฯ และหัวหน้าทีมที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขของประธานาธิบดี โจ ไบเดน) และเหตุการณ์ที่คล้องจอง คือการฝึกซ้อมรับมือผู้ก่อการร้าย โดยสมมุติว่ามีการใช้อาวุธชีวภาพ คือไวรัสฝีดาษลิงที่ตัดต่อพันธุกรรม ชื่อ Akhmeta ทั้งในปี 2021 และในปี 2022 โดยสร้างฉากทัศน์ เริ่มจากการปล่อยไวรัสจนกระทั่งมีการระบาดทั่วโลกและล้มตายไปหลายร้อยล้านคนและในขณะเดียวกันมีการตระเตรียมยาและวัคซีน เหตุการณ์ที่เกิดในปัจจุบันที่มีการติดเชื้อฝีดาษลิงในมนุษย์ที่ง่ายขึ้น เริ่มเกิดขึ้นในปี 2021 และ 2022 และทยอยแพร่ไปทั่วโลก จนองค์การอนามัยโลกประกาศเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินและผลักดันให้มีการฉีดวัคซีนทั่วโลก[6] ส่วนประเทศไทยได้ปรากฏข้อมูลที่รวมรวมโดยเว็บไซต์ Hfocus รายงานว่าการเกิดโรคฝีดาษในไทยพบหลักฐานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ดังปรากฎในพระราชพงศาวดารสมัยกรุงศรีอยุธยาว่า ถึงขนาดว่ามีพระมหากษัตริย์ไทยสวรรคตด้วยฝีดาษ 2 พระองค์  ได้แก่ สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 หน่อพุทธางกูร พระมหากษัตริย์ ลำดับที่ 11 ของกรุงศรีอยุธยา ทรงพระประชวรด้วยโรคไข้ทรพิษ และเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2076 หรือประมาณ 491 ปีที่แล้ว อีก 72 ปีต่อมา สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้ประชวรที่เมืองหาง (เมืองห้างหลวง ในรัฐฉาน) เป็นฝีละลอกขึ้นที่พระพักตร์ กลายเป็นพิษ และสวรรคต เมื่อ 25 เมษายน พ.ศ. 2148 ซึ่งตรงกับช่วงศตวรรษที่ 16 มีการระบาดครั้งใหญ่ทั่วโลก และยังมีการระบาดในพ.ศ. 2292 สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ที่ทำให้มีคนตายมาก[3] โรคฝีดาษ หรือ ไข้ทรพิษ ในอดีตนั้นมีความร้ายแรง เพราะยังถึงขั้นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาเสด็จสวรรคตถึง 2 พระองค์ได้ จึงมีความแตกต่างจากโรคระบาดชนิดอื่นๆ ดังนั้นในเวลาต่อๆมา โรคฝีดาษ หรือ ไข้ทรพิษ จึงเป็นโรคระบาดที่สำคัญที่ต้องมีการพัฒนาอย่างเร่งด่วน ทั้งการป้องกันการเกิดโรคระบาด จนถึงขั้นการรักษาโรค ในสมัยรัตนโกสินทร์ มีการระบาดของฝีดาษเช่นกัน จากบันทึกของหมอบรัดเลย์ ที่ระบุว่าในสมัยรัชกาลที่ 3 มีการระบาดของฝีดาษอย่างหนัก ทำให้หมอบรัดเลย์ริเริ่มการปลูกฝีบำบัดโรคฝีดาษเป็นครั้งแรกในไทยในวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2379 โดยใช้เชื้อหนองฝีโคที่นำเข้ามาจากอเมริกา และได้เขียนตำราชื่อ “ตำราปลูกฝีให้กันโรคธระพิศม์ไม่ให้ขึ้นได้” ปรากฏมาจนถึงทุกวันนี้[3] ในระยะ พ.ศ. 2460 – 2504 ยังมีการระบาดของฝีดาษเกิดขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2488 – 2489 ช่วงการเกิดสงครามมีการระบาดของฝีดาษครั้งใหญ่สุดเริ่มต้นจากเชลยพม่าที่ทหารญี่ปุ่นจับมาสร้างทางรถไฟสายมรณะข้ามแม่นํ้าแควป่วยเป็นไข้ทรพิษและแพร่ไปยังกลุ่มกรรมกรไทยจากภาคต่างๆที่มารับจ้างทํางานในแถบนั้น เมื่อแยกย้ายกันกลับบ้าน ได้นําโรคกลับไปแพร่ระบาดใหญ่ทั่วประเทศ มีผู้ป่วยมากถึง 62,837 คน และเสียชีวิต 15,621 คน[3] การระบาดเกิดขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2502 ทำให้มีผู้ป่วย 1,548 คน ตาย 272 คน และการระบาดครั้งสุดท้ายมีการบันทึกไว้ว่าเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2504 ที่อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย มีผู้ป่วย 34 ราย ตาย 5 ราย โดยรับเชื้อมาจากรัฐเชียงตุงของพม่า ทำให้กระทรวงสาธารณสุขเริ่มโครงการกวาดล้างไข้ทรพิษหรือฝีดาษในประเทศไทย รณรงค์ปลูกฝีป้องกันโรค จนปีพ.ศ. 2523 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศว่าฝีดาษได้ถูกกวาดล้างแล้วจึงหยุดการปลูกฝีป้องกันโรค   และนับแต่นั้นมาไม่เคยปรากฏว่ามีฝีดาษเกิดขึ้นในประเทศไทย[3] นี่คือเหตุผลว่าประเทศไทยได้ทำการปลูกฝี เพื่อป้องกันโรคฝีดาษ หรือไข้ทรพิษในปี พ.ศ. 2532 เป็นปีสุดท้าย หรือเมื่อประมาณ 44 ปีที่แล้ว ดังนั้นประชาชนไทยที่อายุมากกว่า 44 ปีขึ้นไป ก็น่าจะได้รับการปลูกฝีไปเกือบทั้งหมดแล้ว แต่เมื่อฝีดาษลิงกลับมาระบาดอีกครั้ง ก็ทำให้เกิดคำถามว่าประเทศไทยจะรับมืออย่างไร และเราควรจะฉีดวัคซีนหรือไม่? และคนที่มีอายุเกิน 44 ปี (ซึ่งส่วนใหญ่ได้ปลูกฝีไข้ทรพิษมาแล้ว)จะมีคนติดเชื้อโรคฝีดาษลิงหรือไม่ โดยวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2567 เว็บไซต์ของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานสถานการณ์ฝีดาษวานร (ฝีดาษลิง)จนถึงปัจจุบันว่า มีผู้ป่วยฝีดาษลิงในประเทศไทย จำนวน 835 ราย เป็นเพศชายเกือบทั้งหมดมากถึง 814 ราย คิดเป็นร้อยละ 97.49 ในขณะที่เป็นเพศหญิง 21 ราย คิดเป็นร้อยละ 2.51 เท่านั้น[7] ซึ่งถือว่าโอกาสติดเชื้อฝีดาษลิงในผู้หญิงน้อยมาก แต่ที่น่าสนใจคือ กลุ่มคนวัยหนุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ป่วยเป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง เอชไอวี อย่างไรก็ตามกลุ่มคนที่เคยปลูกฝีไข้ทรพิษแล้วยังสามารถติดเชื้อฝีดาษลิงได้อยู่ดีแต่น้อยกว่าคนที่ไม่ได้ปลูกฝี ดังนี้ ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 0-14 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 2 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.36 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมด ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 15-19 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 3 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.24 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 20-24 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 81 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 9.70 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 25-29 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 172 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.59 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 30-39 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 347 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 41.56 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 40-49 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 174 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.83 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย ในกลุ่มนี้หากพิจารณาแยกแยะผู้ที่มีอายุ 40-44 ปี ซึ่งไม่เคยได้รับการปลูกฝีมาก่อนมีจำนวน 130 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.65 ในขณะที่ผู้ที่มีอายุมากกว่า 45-49 ที่เชื่อว่าน่าจะได้รับการปลูกฝีแล้วติดเชื้อฝีดาษลิงแล้ว 44 ราย คิดเป็นเพียงร้อยละ 5.27 เท่านั้น ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 50-59 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 29 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.47 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ติดเชื้อฝีดาษลิง 8 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.95 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย[7] จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ในประเทศไทยผู้ที่มีอายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไปซึ่งน่าจะมีการปลูกฝีไข้ทรพิษไปแล้วก็ยังมีโอกาสติดเชื้อฝีดาษลิงได้ เพียงแต่มีสัดส่วนน้อยกว่าประชากรที่ยังไม่เคยได้รับการปลูกฝี คือ ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 44 ปีลงมา มีผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงจำนวน 754 รายคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 90.30 ในขณะที่ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้น (ซึ่งส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดได้รับการปลูกฝีไปแล้ว)มีผู้ป่วยติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งสิ้น 81 รายคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 9.70 ราย อย่างไรก็ตามในภาวะดังกล่าว มีคำแถลงจากนายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ความเห็นเอาไว้เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2567 ความว่า “โดยจริงๆ วัคซีนไม่จำเป็นต้องฉีดทุกคน ไม่มีการระบาดทั่วไป เพราะอัตราการระบาดต่ำ แต่จะพบในผู้ป่วยเฉพาะ เช่น ผู้ขายบริการทางเพศ และชายรักชาย อีกทั้ง ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากผู้ป่วยเอชไอวี และไม่ทานยาทั้งหมด 13 รายที่ผ่านมา (เชื้อเคลด2)”[8] นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ยังได้ “คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาเห็นว่า เพื่อเป็นการควบคุมโรค แต่เนื่องจากวัคซีนป้องกันฝีดาษวานรยังไม่ได้มีการขึ้นทะเบียนในประเทศไทย ทางกรมควบคุมโรคจึงใช้ มาตรา 13(5) เพื่อการควบคุมโรค ตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510  จะมีการใช้งบประมาณ กรมควบคุมโรค วงเงิน 21 ล้านบาท เพื่อการจัดซื้อวัคซีนดังกล่าว รวม 3,000 โดส  เพื่อฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยง  3 กลุ่ม ประกอบด้วย   1. บุคลากรทางการแพทย์ที่เสี่ยงต่อการติดโรค อาทิ ไปสัมผัสเสี่ยงสูง คือ สัมผัสคนติดเชื้อ 2. กลุ่มไปสัมผัสโรค เสี่ยงว่าจะติดเชื้อ ก็จะฉีดภายใน 4 วัน และ3. มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดคนติดเชื้อ เช่น คนในครอบครัวที่ติดเชื้อ ซึ่ง 3 กลุ่มเสี่ยงนี้ กรมควบคุมโรคจะดูแลโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย“[8] เรื่องดังกล่าวนี้ทำให้ศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิตให้ความเห็น เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2567 ในเรื่องความพยายามกระพือข่าวให้กลัวเพื่อให้เกิดการระดมฉีดวัคซีน ความว่า “กรมควบคุมโรคประกาศแล้ว ฝีดาษลิงอัตราการระบาดต่ำ ทั้งประเทศมีประมาณ 800 ราย และที่เสียชีวิตนั้น เพราะมีติดเชื้อไวรัสเอดส์ และโรคทางเพศสัมพันธ์อื่น การติดตามของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ผู้ติดเชื้อปลอดภัยดี วัคซีนขณะนี้ “ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน” และกระทรวงสาธารณสุข จะจัดการให้ฉีดฟรีใน “กลุ่มเสี่ยง” เท่านั้น ได้แก่ 1. บุคลากรทางการแพทย์ที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อ 2. คนที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อโดยต้องฉีดภายใน 4 วัน ทั้งสองกลุ่มนี้ฟรี ส่วนกลุ่มที่ต้องเดินทางในพื้นที่เสี่ยงนั้น การฉีดนั้นต้องจ่ายเงิน “กลุ่มที่กระพือข่าวให้น่ากลัว โดยไม่ยึดความจริง และอาจทำให้นำไปสู่การค้าวัคซีน ควรต้องจับตามองอย่างเข้มข้น””[9] อย่างไรก็ตามแม้ว่าฝีดาษลิงจะเป็นเชื้อที่ยังติดได้ยาก ส่วนใหญ่พบในผู้ป่วยเฉพาะคือ ขายบริการทางเพศ และชายรักชาย อีกทั้งผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากผู้ป่วยเอชไอวีที่ไม่ทานยาทั้งหมด ส่วนการติดนั้นต้องอาศัยการสัมผัสผิวใกล้ชิด อัตราการเสียชีวิตอยู่ในระดับต่ำ คนส่วนใหญ่จึงยังไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนแต่ประการใด อย่างไรก็ตามเนื่องจากโรคฝีดาษที่กลับมาระบาดอีกครั้งในรอบ 44 ปี ทำให้ความรู้ในการรักษาผู้ป่วยขาดตอนไป คงเหลือแต่การค้นคว้ากรรมวิธีการรักษาในประวัติศาสตร์ของคนไทยว่าใช้วิธีการรักษาอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า “โรคฝีดาษ” เป็นโรคที่มีความจำเพาะ ถึงขนาดทำให้พระมหากษัตริย์สมัยอยุธยาเสด็จสวรรคตถึง 2 พระองค์ จึงปรากฏเรื่องของตำรับยาและสมุนไพรที่เกี่ยวกับการรักษา “โรคฝีดาษ” แยกออกมาต่างหากจากโรคระบาดอื่นๆ บันทึกปรากฏอยู่ในแผ่นศิลาจารึกในสมัยรัชกาลที่ 2 ของจารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร[10]-[12] และอยู่ในแผ่นศิลาจารึกในสมัยรัชกาลที่ 3 ในแผ่นศิลาจารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม[10],[13]-[15] นอกจากนั้น โรคฝีดาษไม่ใช่เป็นโรคระบาดอื่นๆที่ใช้ “ยาขาว”ที่ใช้กับโรคระบาดหลายชนิดในตำรับยาเดียว ที่ปรากฏในศิลาจารึกในสมัยรัชกาลที่ 3 ในแผ่นศิลาจารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามอีกด้วย[16] หลักฐานที่ว่า “โรคฝีดาษ” ไม่ใช่โรคระบาดทั่วไปนั้น จะเห็นได้จากพระคัมภีร์ตักกะศิลาที่บันทึกภูมิปัญญามาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 และบันทึกมาโดยเจ้าพระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) เจ้าเมืองจันทบูร ที่ตกทอดมาถึงตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวงในสมัยรัชกาลที่ 5 หรือตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ในสมัยรัชกาลที่ 5 ไม่พบการกล่าวถึงคำว่า “ฝีดาษ” แต่ประการใด แต่ในที่สุดก็ได้พบตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวงในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ระบุคัมภีร์ชื่อ “พระตำหรับแผนฝีดาษ” บันทึกในสมุดไทย มีรายละเอียดจำนวนมากเกี่ยวกับโรคฝีดาษเป็นการเฉพาะ และมีจำนวนมากถึง 3 เล่ม จนไม่สามารถที่จะถ่ายทอดมาให้อ่านในหมดในบทความนี้ โดย “พระตำหรับแผนฝีดาษ” ในสมัยรัชกาลที่ 5 นั้น มีการกล่าวถึงลักษณะของฝีแต่ละชนิด และจุดที่เกิดฝีว่าบริเวณใดเป็นแล้วไม่เสียชีวิต รวมถึงบริเวณใดจะทำให้เสียชีวิตภายในกี่วัน จึงได้มีการแบ่งแยกวิธีการรักษาอย่างละเอียดยิบ อย่างไรก็ตามก็มีวาง “หลักการ“ ถึงวิธีการรักษาโรคฝีดาษปรากฏอยู่ใน ”พระตำหรับแผนฝีดาษ เล่ม 2“ ที่ระบุความตอนหนึ่งว่า ”๏ สิทธิการิยะ พระตำราประสะฝีดาษทั้งปวง ถ้าแพทย์ผู้ใดจะรักษาฝีดาษ ถ้าเห็นศีศะรู้ว่าเปนฝีดาษแน่แล้ว ให้กินยาล้อมตับดับพิศม์และให้กินยารุเสีย แลกินยาแปรภายใน พ่นยาแปรภายนอกแลกินยากะทุ้ง…“[17] หลังจากนั้นพอวันเวลาเปลี่ยนไปก็มีตำรับยาเฉพาะที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆจนรักษาฝีดาษจนหายในที่สุด ซึ่งในโอกาสอันสมควรก็น่าจะมีการรื้อฟื้น ศึกษา พระตำหรับแผนฝีดาษ สมัยรัชกาลที่ 5 แล้วทำการวิจัย พัฒนา เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับโรคฝีดาษในยุคปัจจุบันต่อไป ด้วยความปรารถนาดี ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต 12 กันยายน 2567 อ้างอิง [1] Ryan KJ, Ray CG, บ.ก. (2004). Sherris Medical Microbiology (4th ed.). McGraw Hill. pp. 525–28. ISBN 978-0-8385-8529-0. [2] CDC, History of Smallpox, 25 July 2017 https://www.cdc.gov/smallpox/history/history.html [3] Hfocus, โรคระบาดร้ายแรงในอดีต ตอนที่ 3 โรคไข้ทรพิษ (ฝีดาษ), วันที่ 26 สิงหาคม 2558 https://www.hfocus.org/content/2014/08/7977 [4] World Health Organization, Small Pox, Media Center https://web.archive.org/web/20070921235036/http://www.who.int/mediacentre/factsheets/smallpox/en/ [5] U.S. House of Representatives, Interim Staff Report on Investigation into Risky MPXV Experiment at the National Institute of Allergy and Infectious Diseases, June 14 2024 https://d1dth6e84htgma.cloudfront.net/Mpox_Memo_Rpt_correction_18e95e3204.pdf?utm_source=substack&utm_medium=email&fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTAAAR0YlqstCXKzOUttRicgqQ6lG00dtMnZ_9pFf4FqtlBbSAyw5uR-tGR6QIM_aem_ZXPXy1XgTiGCTixSJJ-aFg [6] ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา, “หมอธีระวัฒน์” เปิดผลสอบสวน “ฝีดาษลิง” ธรรมชาติสร้างหรือมนุษย์ประดิษฐ์, ผู้จัดการออนไลน์, 6 กันยายน 2567 https://mgronline.com/qol/detail/9670000082903 [7] กรมควบคุมโรค, รายงานสถานการณ์โรคติดเชื้อฝีดาษวานร (Mpox), 12 กันยายน 2567 https://ddc.moph.go.th/monkeypox/dashboard.php [8] Hfocus, กรมควบคุมโรค ทุ่มงบ 21 ล้านบาท จัดหา “วัคซีนฝีดาษวานร” 3 พันโดสให้เฉพาะ 3 กลุ่มเสี่ยง, 6 กันยายน 2567 https://www.hfocus.org/content/2024/09/31577 [9] ผู้จัดการออนไลน์, “หมอธีระวัฒน์” แนะจับตาพวกกระพือข่าวให้ตื่นกลัวฝีดาษลิง หวังค้าวัคซีน หลังกรมควบคุมโรคยืนยันแล้วอัตราระบาดต่ำ, 7 กันยายน 2567 https://mgronline.com/qol/detail/9670000083178 [10] ผู้จัดการออนไลน์, “ปานเทพ” เผยตำรับยาแก้ “ฝีดาษ” ในศิลาจารึก แนะวิจัยสมุนไพรไทยต่อยอดไว้สู้ “ฝีดาษลิง”, เผยแพร่: 5 กันยายน 2567 https://mgronline.com/qol/detail/9670000082615 [11] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน,จารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร แผ่นที่ 18 ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2557( อัพเดทเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2567) https://db.sac.or.th/inscript.../inscribe/image_detail/14798 [12] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน,จารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร แผ่นที่ 46 (ยาผายเลือด) ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อ โพสต์เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2558 https://db.sac.or.th/inscript.../inscribe/image_detail/16335 [13] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม(ว่าด้วยตำรายาวิเศษสรรพคุณสำเร็จแก้สรรพโรคทั้งปวง แผ่นที่ 22 ยาแก้จักษุโรคคือต้อ(5), จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2560 https://db.sac.or.th/.../file/22-chaksurok-to5-tr2.pdf [14] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 7 ท้าวยายม่อม ข่าใหญ่ ข่าลิง กระทือ ไพล กระชาย หอม และกระเทียม) ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2564 https://db.sac.or.th/.../7-thaoyaimom-khayai-khaling-tr1.pdf [15] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม, จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 14 แตงหนู ชิงชี่ บอระเพ็ด ชิงช้าชาลี บอระเพ็ดพุงช้าง ผักปอดตัวเมีย ผักปอดตัวผู้ และพลูแก), จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2567 https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/17723 [16] โรงเรียนแพทย์แผนโบราณ วัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์), ตำรายา ศิลาจารึกในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) พระนคร พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้จารึกไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๕ ฉบับสมบูรณ์ ฉบับ พ.ศ.​๒๕๑๖ หน้า ๖๒ - ๖๔ [17] คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒, ตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวง รัชกาลที่ ๕ เล่ม ๒
    Like
    Love
    Yay
    105
    3 Comments 4 Shares 2936 Views 3 Reviews
  • ติ่งพี่ปู……….เชิญทางนี้ค่าาาา……………!!!!

    ตอนสอง………นักศึกษาชั้นดี…ที่…เข้าตาแมวมอง KGB…!!!

    ชีวิตในมหาวิทยาลัยในระยะแรกๆของปูติน เขาค่อนข้างที่จะเป็นเด็กเรียน ไม่เน้นกิจกรรมอื่น นอกจากยังอยู่ในทีมยูโดที่ฝึกมาตั้งแต่เด็กๆ ทางมหาวิทยาลัยได้เสนอให้เขาเป็นหนึ่งในทีมของมหาวิทยาลัย แต่เขาปฏิเสธ เพราะความผูกพันที่มีกับโค้ชคนเก่า
    ความเป็นดาวยูโด ได้นำพาเขาเข้าสู่การแข่งขันในระดับแคว้น

    ในปี 1972 มาเรียโชคดี ได้ถูกรางวัลล๊อตเตอรี่ เป็นรถยนตร์ Zaporozhets คันกระทัดรัด ที่เธอสามารถขายต่อด้วยราคาถึง
    3,500 รูเบิ้ล แต่ความรักลูกมีเหนืออื่นใด เธอไม่ขาย…
    ยกให้กับปูตินเอาไว้ใช้……
    ในยุคนั้น……คนธรรมดาก็หายากที่จะมีรถยนตร์ใช้ แต่นักศึกษาหน้าใหม่ปูติน……ขับรถปร๋อไปปร๋อมา……
    จัดว่าโก้มาก…มีเพื่อนติดสอยห้อยตามไปโน่นมานี่
    และการขับนั้นก็ไม่ธรรมดา……ห้าวไปตามประสาหนุ่มวัยรุ่น
    หากแต่ความเป็นอยู่ยังเหมือนเดิม ในห้องชุดในอาคารสงเคราะห์ที่ต้องแบ่งครึ่งกับเพื่อนบ้าน
    เขาไม่เคยมีห้องนอนส่วนตัว นอกจากการกั้นม่านมุมหนึ่งของห้องเป็นพื้นที่ส่วนตัว

    ภายในปี 1973 เขาได้เดินทางไปแข่งยูโดที่ Moldova, Georgia, Komi และไปใช้ชีวิตช่วงปิดภาคในแค้มป์ที่ Abkhazia (Georgia)
    ในเวลาว่าง ก็ไปรับทำงานพิเศษรับจ้างตัดต้นไม้ เพื่อหาสตังค์ไปซื้อเสื้อกันหนาวอย่างดีที่สามารถใช้ได้นานถึงสิบปีอัฟ

    การใช้ชีวิตกับเพื่อนก็เป็นไปตามวัยที่อยากผจญโลก เขาและเพื่อนๆได้ไปล่องเรือมุ่งหน้าสู่ Odessa ด้วยเงินที่มีเพียงน้อยนิด กับอาหารกระป๋องจำนวนไม่มาก นอนตากแดดตากลม ล่องเรือดูดาวอยู่สองวันสองคืน

    สี่ปีในมหาวิทยาลัย ที่วันหนึ่งเขาได้รับโทรศัพท์จากผู้ที่เขาไม่รู้จักมาก่อน ไม่มีการแนะนำตัวเอง แต่บอกสั้นๆว่า
    “ถึงเวลาที่เราจะต้องคุยกับนายเรื่องงานที่จะต้องมอบหมายให้ทำแล้ว……ไปพบกับเราได้ที่ห้องรับรองที่คณะฯ”
    ปูตินไปตามนัด……เขารอประมาณยี่สิบนาที จนแทบจะแน่ใจว่าโดนหลอก เตรียมตัวกลับ
    จึงปรากฏร่างของชายผู้หนึ่ง…ที่มีท่าทางสุภาพ ขอโทษขอโพยในการล่าช้า ………
    สิ่งที่เขาได้คุยกันนั้น คือ เรื่อง”งาน” ที่ทางราชการได้เฝ้าดูพฤติกรรมของเขามาโดยตลอด และพร้อมที่จะมอบหมายให้
    แต่.…ขั้นตอนต่อไป คือการที่จะต้องไปสัมภาษณ์บิดา มารดา
    รวมทั้งสาวประวัติส่วนตัว ส่วนครอบครัวยาวขึ้นไปสามสี่ชั้น

    ในเดือนมกราคม 1975 เจ้าหน้าที่วัยกลางคน ชื่อว่า Dmitry Gantserov ได้พบกับ Vladimir และ Maria ที่บ้านเป็นการส่วนตัว
    ในการพูดคุย…สังเกตได้ว่า วลาดิเมียร์ผู้พ่อมีความปลาบปลื้มและภูมิใจในตัวบุตรชายมาก เพราะในครอบครัวไม่เคยมีใครได้ร่ำเรียนจนถึงระดับมหาวิทยาลัย
    เมื่อทั้งพ่อและแม่ได้รับการอธิบายถึงเนื้องานและหน้าที่ที่ปูตินน้อยจะได้รับ……
    ผู้พ่อ…ได้หลุดปากเอ่ยเอื้อนความในใจถึงความรักที่มีต่อบุตรชายให้เจ้าหน้าที่ได้รับรู้ว่า
    “ท่านครับ โวโลเดียร์ คือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของผมและภรรยา เขาคือความหวังเดียวที่เรามี ท่านคงทราบแล้วว่า
    เราเคยมีบุตรชายมาก่อนสองคน ที่มาเสียชีวิตเมื่อายุเพียงไม่กี่ขวบ จากการปิดล้อมของเลนินกราด จนเมื่อหมดสงคราม เราได้พยายามมีลูกสืบทอด และ ก็ได้เขามา เราไม่มีความหวังอื่นใดในอนาคตของเราอีกแล้ว นอกจากจะฝากความหวังไว้
    ที่เขาคนเดียว……ผมขอฝากโวโลเดียร์ไว้ในความเมตตาของท่าน……”

    โวโลเดียร์ หรือ ปูตินน้อย ก็เหมือนจะเตรียมตัวกับงานของ KGB มาดี เพราะเขาไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบุหรี่ (เพราะวินัยของนักยูโด) และไม่ใช่อันธพาล (เพราะยังไม่มีโอกาส)
    ไม่เคยประวัติเสียใดๆมาก่อนทั้งในรัสเซีย หรือ นอกเขต(พ่อดุซะขนาดนั้น…)
    เขารู้ดีว่า หน้าที่การทำงานในหน่วยสืบราชการลับนั้น ไม่ใช่ว่ารายได้ดี แต่มันคือหน้าที่ของประชาชนผู้ที่ได้รับเลือกขึ้นมา
    เพื่อที่จะสร้างความปลอดภัยให้กับชาติ

    ในกลางฤดูร้อนของปี 1975 วลาดิเมียร์ ปูติน ได้เข้ารับปริญญา ในตอนนั้น ทางมหาวิทยาลัยได้ประกาศว่า เขาจะต้องไปสอบเอาตั๋วทนาย
    แต่มีเสียงขัดขึ้นมาจากชายคนหนึ่ง ว่า…… คนนี้ไม่ต้อง……
    เพราะมีงานอื่นให้ทำรออยู่แล้ว……

    นั่นคือคำประกาศิต……จากนั้นปูตินได้ก้าวเข้าไปเป็นข้าราชการในหน่วยของ KGB ตามที่สายลับประจำมหาวิทยาลัยได้ตามเฝ้าดูเขาอยู่นานแล้ว
    ปูตินดีใจสุดขีด……เขารีบไปสะกิดเพื่อนรัก Viktor Borisenko
    ให้รีบขึ้นรถ แล้วขับพาไปร้านอาหารเจ้าประจำ และสั่งเหล้าหวานมาจิบคนละแก้ว
    วิคเตอร์……รู้สึกประหลาดใจมาก เพราะเป็นครั้งแรกที่เห็นปูตินดื่มเหล้า……
    และมารู้ทีหลัง หลังจากเวลาที่ผ่านไปนานมาก ว่า
    นั่นคือสิ่งที่ปูตินได้เลี้ยงฉลองให้กับหน้าที่การงานใหม่ ที่เพิ่งได้รับมอบหมาย…

    ในช่วงที่ปูตินได้เข้าไปเป็นเจ้าหน้าที่ฝึกงานนั้น KGB เป็นองค์กรใหญ่มาก เพราะมีทั้งสายใน-นอกประเทศ , หน่วยประจำเส้นชายแดน ศุลกากร, หน่วยรบพิเศษเพื่อรักษาความปลอดภัยให้ผู้นำ, สื่อสาร เจาะโค้ดลับ ดักฟังโทรศัพท์ แถมมีหน่วยสืบสายลับซ้อนสายลับกันเองอีกด้วย……
    หน้าที่แรกขอบเขาคือการทำหน้าที่เป็นเลขานุการให้กับหัวหน้าหน่วยฝ่ายบุคคล ประจำที่สำนักงานใหญ่ในเลนินกราด
    ที่เป็นที่เดียวกับที่เขาเคยเดินเบ๋อบ๋าเข้าไปสมัครเมื่อหลายปีก่อน

    แต่ในคราวนี้ ในวัยเพียง 23 ปี เขาคือหนุ่มน้อยเจ้าหน้าที่ KGB
    ตัวจริง ไม่ใช่ฝันลมๆแล้วๆอย่างแต่ก่อน
    และรายล้อมรอบตัวเขา คือ เหล่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่เก่าแก่ขนาดจดจำเรื่องคุกที่ไซบีเรีย สมัยสตาลินได้นั่นแหละ
    หน้าที่จริงๆของปูติน คือ รับคำสั่ง และ ต้องหูไว ตาไว
    ในตึกหนึ่งของสำนักงาน ที่ติดกับคลอง Okhta ออกสู่แม่น้ำ Neva มีสภาพเป็นโรงเรียน “ยุทธการเรือดำน้ำ” ที่เหล่านักเรียนนายเรือจะต้องมาอยู่ประจำฝึกร่างกาย เรียนวิชาเฉพาะ นานถึงหกเดือนโดยไม่มีการติดต่อกับโลกภายนอกเลย

    สองปีผ่านไปในการทำงานด้านเอกสาร พ่อของเขาได้เกษียณจากงานประจำ (รถไฟ) และได้รับที่อยู่ใหม่ เป็นอาคารสงเคราะห์เช่นเดิม หากแต่ย้ายไปที่ Avtovo ที่อยู่ทางใต้ของเลนินกราด แต่คราวนี้ เป็นห้องที่ใหญ่กว่าเดิม และปูตินได้มีห้องเป็นส่วนตัวในครั้งแรกในชีวิต
    ในย่านที่อยู่อาศัย ค่อนข้างหนาแน่น แม้แต่เจ้าหน้าที่ KGB อย่างปูตินก็ไม่มีสิทธิพิเศษแต่อย่างใด
    สิทธิอย่างเดียวที่เขามี คือ สามารถต่อรอง ทอนอำนาจกับตำรวจได้ในแทบทุกกรณี……และทางองค์กรจะเข้ามาดูแลให้ทั้งหมด……

    เมื่อมีเวลา มีเงินเดือนใช้ ไปโน่นมานี่สะดวกเพราะมีรถใช้
    เพื่อนฝูงเยอะ พ่อไม่คุมเข้มอย่างแต่ก่อน
    งานปะทะกับจิ๊กโก๋ตามสี่แยกก็มีตามมา เช่นครั้งหนึ่งเขาไปกับเพื่อนรัก Sergei Roldugin**
    เหตุเกิดคือ การที่อันธพาลคนหนึ่งทำทีว่ามาไถเงินซื้อบุหรี่ ท่าท่าไม่ดี ปูตินเริ่มก่อน เข้าชาร์ทก่อนจับทุ่มลงไปนอนกลางถนน……
    ทั้งกลุ่มได้เข้ามาหมายรุม ……แต่ ปูตินชี้ไปที่รถ บอกว่า เพื่อนกูเป็นตำรวจ……!!
    ทั้งหมดจึงกระเจิงหายไป
    พอขึ้นรถได้…เซอร์เกปากคอสั่น……บอกว่า
    “เมริงง……กูเป็นนักดนตรีนะ ไม่ใช่ตำรวจ……”

    ตอนนั้นเซอร์เกเองก็ไม่เคยรู้ว่าเพื่อที่คบกันมานานนมนั้น ทำงานทำการอะไร แต่ท้าทายได้ในทุกองค์กร เช่นพาเขาเข้าไปในสถานที่ต้องห้ามต่างๆได้ เช่นชั้นในของในพระวิหารสำคัญ หรือ ที่ทำการรัฐบาลหลายแห่ง และทุกครั้งปูตินจะแนะนำว่าเขาเป็นหมอบ้าง ตำรวจบ้าง……
    จนในที่สุด ปูตินได้บอกกับเขาตามตรงว่า เขาเป็นเจ้าหน้าที่องค์กรหน่วยรักษาความปลอดภัยของประเทศ ที่เซอร์เกเองก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าเป็นงานอะไร
    ปูตินตอบว่า……ช่างเถอะ อย่าไปสนใจเลย เอาเป็นว่า เราเป็นผู้เชี่ยวชาญในการอ่านมนุษย์ก็แล้วกัน…แต่ถ้าไปอยู่ในภาวะที่เลี่ยงการปะทะไม่ได้……เราจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ไม่คอยให้เสียเวลา……”

    ปี 1979 ปูตินได้รับยศเป็นร้อยเอก และได้ถูกส่งไปยัง Felix Dzerzhinsky (เทียบเท่าโรงเรียนเสธ. KGB ) ที่กรุงมอสโคว์
    ที่จะฝึกให้เขาเป็น มนุษย์ผู้มี a warm heart, a cool head and clean hands (หมายถึง ใจแน่ว , สตินิ่ง, มือปฏิบัติการที่ไร้ร่องรอย…)
    พอจบจากหลักสูตรนี้ เขาถูกส่งตัวกลับไปยังเลนินกราด
    เพื่อรับหน้าที่ในด้านการต่างประเทศ คือ สืบหาสายลับที่มาจากต่างแดน เพราะโซเวียตได้เปิดฉากสงครามกับอัฟกานิสถานในตอนปลายปี ที่โซเวียตสนับสนุนรัฐบาลโปรคอมมิวนิสต์ในกรุง Kabul
    (หมายเหตุ รัสเซียได้เสียทหารไปเป็นจำนวนมากในสงครามครั้งนี้…)

    พอเริ่มปี 1980 ที่โรนัล รีแกน ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา สงครามเย็นเริ่มตึงเครียด มีการพูดถึงระเบิดนิวเคลียร์
    โซเวียตมีการตรียมตัวกดปุ่ม ในโค้ดปฏิบัติการว่า RYAN
    ที่เหล่าสายลับทั้งหลายในโลก……ทุกฝ่ายต่างทำงานกันอย่างเต็มสตรีม……
    ปูตินเริ่มอึดอัด เพราะ เขามีอายุ 28 และยังเป็นโสด ซึ่งนับว่าเป็นอุปสรรคที่จะก้าวโตต่อไปในหน้าที่การงาน สำหรับการที่จะไปประจำอยู่ต่างประเทศ (ตามเจตนารมณ์ดั้งเดิม)
    เขาจัดว่าเป็นคนหน้าตาใช้ได้ ฉลาดเฉลียว แต่เรื่องผู้หญิง
    เขากลายเป็นคนไม่ประสีประสา จีบไม่เป็นบางครั้งเข้าขั้นพูดตะกุกตะกัก ติดอ่าง……
    ในช่วงท้ายๆในมหาวิทยาลัย เขามีเพื่อนหญิงคนหนึ่ง ชื่อว่า
    Ludmila Khmarina (คนละคนกับลุดมิลาภริยาที่แต่งงาน) ที่เป็นน้องสาวของเพื่อนรัก ที่เขาได้ขอหมั้น และถึงขั้นที่ไปยื่นคำร้องขอจดทะเบียนสมรส
    ครอบครัวเจ้าสาวไปเตรียมตัดชุดแต่งงาน ตัดสูท เตรียมแหวน

    แต่ในที่สุด ปูตินขอยกเลิกงานทั้งหมด โดยเขาให้เหตุผลว่า
    “เลิกกันตอนนี้ดีกว่า ที่เราทั้งคู่จะต้องทนอยู่ด้วยกันไปในอนาคต..”

    ไม่มีใครทราบเหตุผลที่แท้จริง เพราะปูตินไม่เคยปริปากบอกใคร แต่……เชื่อว่าไม่ใช่ความผิดของฝ่ายชายเพราะเขายังเป็นเพื่อนสนิทกับพี่ชายของฝ่ายหญิงอย่างไม่เปลี่ยนแปลง..!!!!

    ** Sergei Roldugin เป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของปูติน จนถึงทุกวันนี้ เขาเป็นทั้งเพื่อน พ่อสื่อ และพ่อทูนหัวให้กับธิดาของปูติน ฐานะของเขาจากนักดนตรีสีเซลโล่ ปัจจุบันคือ อภิมหาเศรษฐีเข้าขั้นพันล้านคนหนึ่ง

    Wiwanda W. Vichit
    ติ่งพี่ปู……….เชิญทางนี้ค่าาาา……………!!!! ตอนสอง………นักศึกษาชั้นดี…ที่…เข้าตาแมวมอง KGB…!!! ชีวิตในมหาวิทยาลัยในระยะแรกๆของปูติน เขาค่อนข้างที่จะเป็นเด็กเรียน ไม่เน้นกิจกรรมอื่น นอกจากยังอยู่ในทีมยูโดที่ฝึกมาตั้งแต่เด็กๆ ทางมหาวิทยาลัยได้เสนอให้เขาเป็นหนึ่งในทีมของมหาวิทยาลัย แต่เขาปฏิเสธ เพราะความผูกพันที่มีกับโค้ชคนเก่า ความเป็นดาวยูโด ได้นำพาเขาเข้าสู่การแข่งขันในระดับแคว้น ในปี 1972 มาเรียโชคดี ได้ถูกรางวัลล๊อตเตอรี่ เป็นรถยนตร์ Zaporozhets คันกระทัดรัด ที่เธอสามารถขายต่อด้วยราคาถึง 3,500 รูเบิ้ล แต่ความรักลูกมีเหนืออื่นใด เธอไม่ขาย… ยกให้กับปูตินเอาไว้ใช้…… ในยุคนั้น……คนธรรมดาก็หายากที่จะมีรถยนตร์ใช้ แต่นักศึกษาหน้าใหม่ปูติน……ขับรถปร๋อไปปร๋อมา…… จัดว่าโก้มาก…มีเพื่อนติดสอยห้อยตามไปโน่นมานี่ และการขับนั้นก็ไม่ธรรมดา……ห้าวไปตามประสาหนุ่มวัยรุ่น หากแต่ความเป็นอยู่ยังเหมือนเดิม ในห้องชุดในอาคารสงเคราะห์ที่ต้องแบ่งครึ่งกับเพื่อนบ้าน เขาไม่เคยมีห้องนอนส่วนตัว นอกจากการกั้นม่านมุมหนึ่งของห้องเป็นพื้นที่ส่วนตัว ภายในปี 1973 เขาได้เดินทางไปแข่งยูโดที่ Moldova, Georgia, Komi และไปใช้ชีวิตช่วงปิดภาคในแค้มป์ที่ Abkhazia (Georgia) ในเวลาว่าง ก็ไปรับทำงานพิเศษรับจ้างตัดต้นไม้ เพื่อหาสตังค์ไปซื้อเสื้อกันหนาวอย่างดีที่สามารถใช้ได้นานถึงสิบปีอัฟ การใช้ชีวิตกับเพื่อนก็เป็นไปตามวัยที่อยากผจญโลก เขาและเพื่อนๆได้ไปล่องเรือมุ่งหน้าสู่ Odessa ด้วยเงินที่มีเพียงน้อยนิด กับอาหารกระป๋องจำนวนไม่มาก นอนตากแดดตากลม ล่องเรือดูดาวอยู่สองวันสองคืน สี่ปีในมหาวิทยาลัย ที่วันหนึ่งเขาได้รับโทรศัพท์จากผู้ที่เขาไม่รู้จักมาก่อน ไม่มีการแนะนำตัวเอง แต่บอกสั้นๆว่า “ถึงเวลาที่เราจะต้องคุยกับนายเรื่องงานที่จะต้องมอบหมายให้ทำแล้ว……ไปพบกับเราได้ที่ห้องรับรองที่คณะฯ” ปูตินไปตามนัด……เขารอประมาณยี่สิบนาที จนแทบจะแน่ใจว่าโดนหลอก เตรียมตัวกลับ จึงปรากฏร่างของชายผู้หนึ่ง…ที่มีท่าทางสุภาพ ขอโทษขอโพยในการล่าช้า ……… สิ่งที่เขาได้คุยกันนั้น คือ เรื่อง”งาน” ที่ทางราชการได้เฝ้าดูพฤติกรรมของเขามาโดยตลอด และพร้อมที่จะมอบหมายให้ แต่.…ขั้นตอนต่อไป คือการที่จะต้องไปสัมภาษณ์บิดา มารดา รวมทั้งสาวประวัติส่วนตัว ส่วนครอบครัวยาวขึ้นไปสามสี่ชั้น ในเดือนมกราคม 1975 เจ้าหน้าที่วัยกลางคน ชื่อว่า Dmitry Gantserov ได้พบกับ Vladimir และ Maria ที่บ้านเป็นการส่วนตัว ในการพูดคุย…สังเกตได้ว่า วลาดิเมียร์ผู้พ่อมีความปลาบปลื้มและภูมิใจในตัวบุตรชายมาก เพราะในครอบครัวไม่เคยมีใครได้ร่ำเรียนจนถึงระดับมหาวิทยาลัย เมื่อทั้งพ่อและแม่ได้รับการอธิบายถึงเนื้องานและหน้าที่ที่ปูตินน้อยจะได้รับ…… ผู้พ่อ…ได้หลุดปากเอ่ยเอื้อนความในใจถึงความรักที่มีต่อบุตรชายให้เจ้าหน้าที่ได้รับรู้ว่า “ท่านครับ โวโลเดียร์ คือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของผมและภรรยา เขาคือความหวังเดียวที่เรามี ท่านคงทราบแล้วว่า เราเคยมีบุตรชายมาก่อนสองคน ที่มาเสียชีวิตเมื่อายุเพียงไม่กี่ขวบ จากการปิดล้อมของเลนินกราด จนเมื่อหมดสงคราม เราได้พยายามมีลูกสืบทอด และ ก็ได้เขามา เราไม่มีความหวังอื่นใดในอนาคตของเราอีกแล้ว นอกจากจะฝากความหวังไว้ ที่เขาคนเดียว……ผมขอฝากโวโลเดียร์ไว้ในความเมตตาของท่าน……” โวโลเดียร์ หรือ ปูตินน้อย ก็เหมือนจะเตรียมตัวกับงานของ KGB มาดี เพราะเขาไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบุหรี่ (เพราะวินัยของนักยูโด) และไม่ใช่อันธพาล (เพราะยังไม่มีโอกาส) ไม่เคยประวัติเสียใดๆมาก่อนทั้งในรัสเซีย หรือ นอกเขต(พ่อดุซะขนาดนั้น…) เขารู้ดีว่า หน้าที่การทำงานในหน่วยสืบราชการลับนั้น ไม่ใช่ว่ารายได้ดี แต่มันคือหน้าที่ของประชาชนผู้ที่ได้รับเลือกขึ้นมา เพื่อที่จะสร้างความปลอดภัยให้กับชาติ ในกลางฤดูร้อนของปี 1975 วลาดิเมียร์ ปูติน ได้เข้ารับปริญญา ในตอนนั้น ทางมหาวิทยาลัยได้ประกาศว่า เขาจะต้องไปสอบเอาตั๋วทนาย แต่มีเสียงขัดขึ้นมาจากชายคนหนึ่ง ว่า…… คนนี้ไม่ต้อง…… เพราะมีงานอื่นให้ทำรออยู่แล้ว…… นั่นคือคำประกาศิต……จากนั้นปูตินได้ก้าวเข้าไปเป็นข้าราชการในหน่วยของ KGB ตามที่สายลับประจำมหาวิทยาลัยได้ตามเฝ้าดูเขาอยู่นานแล้ว ปูตินดีใจสุดขีด……เขารีบไปสะกิดเพื่อนรัก Viktor Borisenko ให้รีบขึ้นรถ แล้วขับพาไปร้านอาหารเจ้าประจำ และสั่งเหล้าหวานมาจิบคนละแก้ว วิคเตอร์……รู้สึกประหลาดใจมาก เพราะเป็นครั้งแรกที่เห็นปูตินดื่มเหล้า…… และมารู้ทีหลัง หลังจากเวลาที่ผ่านไปนานมาก ว่า นั่นคือสิ่งที่ปูตินได้เลี้ยงฉลองให้กับหน้าที่การงานใหม่ ที่เพิ่งได้รับมอบหมาย… ในช่วงที่ปูตินได้เข้าไปเป็นเจ้าหน้าที่ฝึกงานนั้น KGB เป็นองค์กรใหญ่มาก เพราะมีทั้งสายใน-นอกประเทศ , หน่วยประจำเส้นชายแดน ศุลกากร, หน่วยรบพิเศษเพื่อรักษาความปลอดภัยให้ผู้นำ, สื่อสาร เจาะโค้ดลับ ดักฟังโทรศัพท์ แถมมีหน่วยสืบสายลับซ้อนสายลับกันเองอีกด้วย…… หน้าที่แรกขอบเขาคือการทำหน้าที่เป็นเลขานุการให้กับหัวหน้าหน่วยฝ่ายบุคคล ประจำที่สำนักงานใหญ่ในเลนินกราด ที่เป็นที่เดียวกับที่เขาเคยเดินเบ๋อบ๋าเข้าไปสมัครเมื่อหลายปีก่อน แต่ในคราวนี้ ในวัยเพียง 23 ปี เขาคือหนุ่มน้อยเจ้าหน้าที่ KGB ตัวจริง ไม่ใช่ฝันลมๆแล้วๆอย่างแต่ก่อน และรายล้อมรอบตัวเขา คือ เหล่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่เก่าแก่ขนาดจดจำเรื่องคุกที่ไซบีเรีย สมัยสตาลินได้นั่นแหละ หน้าที่จริงๆของปูติน คือ รับคำสั่ง และ ต้องหูไว ตาไว ในตึกหนึ่งของสำนักงาน ที่ติดกับคลอง Okhta ออกสู่แม่น้ำ Neva มีสภาพเป็นโรงเรียน “ยุทธการเรือดำน้ำ” ที่เหล่านักเรียนนายเรือจะต้องมาอยู่ประจำฝึกร่างกาย เรียนวิชาเฉพาะ นานถึงหกเดือนโดยไม่มีการติดต่อกับโลกภายนอกเลย สองปีผ่านไปในการทำงานด้านเอกสาร พ่อของเขาได้เกษียณจากงานประจำ (รถไฟ) และได้รับที่อยู่ใหม่ เป็นอาคารสงเคราะห์เช่นเดิม หากแต่ย้ายไปที่ Avtovo ที่อยู่ทางใต้ของเลนินกราด แต่คราวนี้ เป็นห้องที่ใหญ่กว่าเดิม และปูตินได้มีห้องเป็นส่วนตัวในครั้งแรกในชีวิต ในย่านที่อยู่อาศัย ค่อนข้างหนาแน่น แม้แต่เจ้าหน้าที่ KGB อย่างปูตินก็ไม่มีสิทธิพิเศษแต่อย่างใด สิทธิอย่างเดียวที่เขามี คือ สามารถต่อรอง ทอนอำนาจกับตำรวจได้ในแทบทุกกรณี……และทางองค์กรจะเข้ามาดูแลให้ทั้งหมด…… เมื่อมีเวลา มีเงินเดือนใช้ ไปโน่นมานี่สะดวกเพราะมีรถใช้ เพื่อนฝูงเยอะ พ่อไม่คุมเข้มอย่างแต่ก่อน งานปะทะกับจิ๊กโก๋ตามสี่แยกก็มีตามมา เช่นครั้งหนึ่งเขาไปกับเพื่อนรัก Sergei Roldugin** เหตุเกิดคือ การที่อันธพาลคนหนึ่งทำทีว่ามาไถเงินซื้อบุหรี่ ท่าท่าไม่ดี ปูตินเริ่มก่อน เข้าชาร์ทก่อนจับทุ่มลงไปนอนกลางถนน…… ทั้งกลุ่มได้เข้ามาหมายรุม ……แต่ ปูตินชี้ไปที่รถ บอกว่า เพื่อนกูเป็นตำรวจ……!! ทั้งหมดจึงกระเจิงหายไป พอขึ้นรถได้…เซอร์เกปากคอสั่น……บอกว่า “เมริงง……กูเป็นนักดนตรีนะ ไม่ใช่ตำรวจ……” ตอนนั้นเซอร์เกเองก็ไม่เคยรู้ว่าเพื่อที่คบกันมานานนมนั้น ทำงานทำการอะไร แต่ท้าทายได้ในทุกองค์กร เช่นพาเขาเข้าไปในสถานที่ต้องห้ามต่างๆได้ เช่นชั้นในของในพระวิหารสำคัญ หรือ ที่ทำการรัฐบาลหลายแห่ง และทุกครั้งปูตินจะแนะนำว่าเขาเป็นหมอบ้าง ตำรวจบ้าง…… จนในที่สุด ปูตินได้บอกกับเขาตามตรงว่า เขาเป็นเจ้าหน้าที่องค์กรหน่วยรักษาความปลอดภัยของประเทศ ที่เซอร์เกเองก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าเป็นงานอะไร ปูตินตอบว่า……ช่างเถอะ อย่าไปสนใจเลย เอาเป็นว่า เราเป็นผู้เชี่ยวชาญในการอ่านมนุษย์ก็แล้วกัน…แต่ถ้าไปอยู่ในภาวะที่เลี่ยงการปะทะไม่ได้……เราจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ไม่คอยให้เสียเวลา……” ปี 1979 ปูตินได้รับยศเป็นร้อยเอก และได้ถูกส่งไปยัง Felix Dzerzhinsky (เทียบเท่าโรงเรียนเสธ. KGB ) ที่กรุงมอสโคว์ ที่จะฝึกให้เขาเป็น มนุษย์ผู้มี a warm heart, a cool head and clean hands (หมายถึง ใจแน่ว , สตินิ่ง, มือปฏิบัติการที่ไร้ร่องรอย…) พอจบจากหลักสูตรนี้ เขาถูกส่งตัวกลับไปยังเลนินกราด เพื่อรับหน้าที่ในด้านการต่างประเทศ คือ สืบหาสายลับที่มาจากต่างแดน เพราะโซเวียตได้เปิดฉากสงครามกับอัฟกานิสถานในตอนปลายปี ที่โซเวียตสนับสนุนรัฐบาลโปรคอมมิวนิสต์ในกรุง Kabul (หมายเหตุ รัสเซียได้เสียทหารไปเป็นจำนวนมากในสงครามครั้งนี้…) พอเริ่มปี 1980 ที่โรนัล รีแกน ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา สงครามเย็นเริ่มตึงเครียด มีการพูดถึงระเบิดนิวเคลียร์ โซเวียตมีการตรียมตัวกดปุ่ม ในโค้ดปฏิบัติการว่า RYAN ที่เหล่าสายลับทั้งหลายในโลก……ทุกฝ่ายต่างทำงานกันอย่างเต็มสตรีม…… ปูตินเริ่มอึดอัด เพราะ เขามีอายุ 28 และยังเป็นโสด ซึ่งนับว่าเป็นอุปสรรคที่จะก้าวโตต่อไปในหน้าที่การงาน สำหรับการที่จะไปประจำอยู่ต่างประเทศ (ตามเจตนารมณ์ดั้งเดิม) เขาจัดว่าเป็นคนหน้าตาใช้ได้ ฉลาดเฉลียว แต่เรื่องผู้หญิง เขากลายเป็นคนไม่ประสีประสา จีบไม่เป็นบางครั้งเข้าขั้นพูดตะกุกตะกัก ติดอ่าง…… ในช่วงท้ายๆในมหาวิทยาลัย เขามีเพื่อนหญิงคนหนึ่ง ชื่อว่า Ludmila Khmarina (คนละคนกับลุดมิลาภริยาที่แต่งงาน) ที่เป็นน้องสาวของเพื่อนรัก ที่เขาได้ขอหมั้น และถึงขั้นที่ไปยื่นคำร้องขอจดทะเบียนสมรส ครอบครัวเจ้าสาวไปเตรียมตัดชุดแต่งงาน ตัดสูท เตรียมแหวน แต่ในที่สุด ปูตินขอยกเลิกงานทั้งหมด โดยเขาให้เหตุผลว่า “เลิกกันตอนนี้ดีกว่า ที่เราทั้งคู่จะต้องทนอยู่ด้วยกันไปในอนาคต..” ไม่มีใครทราบเหตุผลที่แท้จริง เพราะปูตินไม่เคยปริปากบอกใคร แต่……เชื่อว่าไม่ใช่ความผิดของฝ่ายชายเพราะเขายังเป็นเพื่อนสนิทกับพี่ชายของฝ่ายหญิงอย่างไม่เปลี่ยนแปลง..!!!! ** Sergei Roldugin เป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของปูติน จนถึงทุกวันนี้ เขาเป็นทั้งเพื่อน พ่อสื่อ และพ่อทูนหัวให้กับธิดาของปูติน ฐานะของเขาจากนักดนตรีสีเซลโล่ ปัจจุบันคือ อภิมหาเศรษฐีเข้าขั้นพันล้านคนหนึ่ง Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 541 Views 0 Reviews
  • ต่อเรื่องพี่ปูอีกนิด…..แค้นนี้………กี่ปีก็ไม่สาย……!!

    อย่าซีเรียสนะคะ มันไม่ได้ร้ายแรงอะไรอย่างที่จั่วหัวไว้หรอก แต่อยากให้อ่านเป็นบทเรียนสำหรับหญิงๆว่า……จะพูดจะจาอะไรต้องระวังให้มากถึงมากที่สุด
    เพราะมันทำให้ใครคนหนึ่งถึงกับตกจากสวรรค์เลยทันที
    ตกเฉยๆก็คงไม่กระไร……แต่นี่เข้าขั้นอับอายและหาทางกลับแทบไม่ได้เลย

    ดิฉันกำลังพูดถึง คู่เชือดคู่เฉือนแห่งปี มาดาม ฮิลลารี คลินตัน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกาและ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีแห่งรัสเซีย (พูดถึงอีกแล้ว)
    ที่คนทั้งสองศรศิลป์ไม่กินกันตั้งแต่ยังไม่เจอหน้าด้วยซ้ำ เพราะมาดาม คลินตัน
    เธอช่างกระหายสงครามอย่างออกนอกหน้า ไม่ว่าจะมีการสัมภาษณ์ครั้งใด เธอจะต้องพาดพิงถึงการแทรกแซงของรัสเซีย รวมไปถึวการวิจารณ์ปูตินอย่างเปิดเผย
    เมื่อตอนต้นปี 2016 ที่เธอเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต เพื่อชิงประธานาธิบดี เธอใช้การหาเสียงด้วยการโจมตีอีกฝ่ายหนึ่งในเรื่องของความโหดร้ายในสงครามซีเรีย
    ว่า
    “ปูตินเป็นคนที่ไม่มีหัวจิตหัวใจ เพราะเขาเคยเป็นเคจีบีมาก่อน”

    ซึ่งข้อความนี้……ปูตินได้ออกอากาศให้สัมภาษณ์โต้กลับไปว่า
    “คนที่เป็นผู้นำ เขาไม่ได้ใช้หัวใจในการบริหารประเทศ เขาใช้สมอง!!”

    สื่อเองก็ช่างกระไร……ชอบนักที่จะคอยถาม คอยจี้ให้แต่ละฝ่ายออกมาแสดงความเห็นต่อกัน ทางฝ่ายชายมักจะนิ่งๆ ตอบสั้นๆ
    แต่ฝ่ายหญิงมักจะสาวยืดเสมอ มีทั้งประชดประชัน และ ดิสเครคิต
    จนปูตินเริ่มจะเชื่อแล้วว่า การเดินขบวนที่เกิดขึ้นบ่อยๆในรัสเซีย น่าจะเกิดจากการแทรกแซงจากภายนอกแน่นอน เพราะตั้งแต่หลายปีที่ผ่านมา รัสเซียมีการเดินขบวนบ่อยมาก และฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล เช่นสื่ออิสระหัวรุนแรง อย่าง Anna Politkovskaya**

    หรือ นักการเมือง Boris Nemtsov***
    ปี 2014 ที่รัสเซียได้ขยายเชื่อมกับ ไครเมียได้สำเร็จ เพราะตลอดเวลา 10ปีที่ผ่านมา รัสเซียพยายามที่จะต่อติดกับทั้งยุโรปและตะวันออกกลาง
    มาดามคลินตันก็โวยวาย กล่าวหาว่า นั่นคือการกระทำของฮิตเล่อร์ชัดๆ
    และเธอได้พยายามล็อบบี้ขัดขวางทุกวิถีทาง

    นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เรียกว่าไม่เกรงใจกันแล้ว

    จนเถึงคราวที่มาดามคลินตันลงเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ที่ดูเหมือนว่า
    เส้นทางนี้ไม่มีพลาด ยิ่งมาเจอคู่แข่งขันที่เป็นเจ้าพ่อวงการนางงาม ท่าทางวิปลาส พูดจาไม่มีหูรูด……นาย Donald Trump ที่ไม่เคยมีประสบการณ์การทำงานทางการเมืองมาก่อน
    เธอและครอบครัวมั่นใจเต็มร้อย ว่าประชากรชาวอเมริกันเกือบทั้งประเทศอยู่ฝ่ายเธอ
    ขนาด Chelsea ธิดาสาวคนเดียวของเธอ ยังประกาศเปิดตัวเธอบนเวที พร้อมทั้งต่อด้วยว่า The next President of the United States of America..
    เสียงในโพล……ก็มาแบบนั้นจริงๆ

    แต่ที่เครมลิน……ทุกคนเชียร์ทรัมป์……รวมทั้งมั่นใจกันอย่างเต็มที่ว่า ตำแหน่งประธานาธิบดีจะต้องเป็นนายทรัมป์แน่นอน…

    ไม่กี่อาทิตย์ก่อนที่จะมีการลงคะแนนเสียง……สิ่งประหลาดได้เกิดขึ้นทางสื่อออนไลน์ นั่นคือ Wikileaks ที่ได้มีการเปิดเผยข้อความจากอีเมล์ของ
    มาดามคลินตันที่ติดต่อกับผู้คนต่างๆ กว่าร้อยฉบับ ล้วนแต่เป็นสาระสำคัญยิ่ง
    เช่นการสนับสนุนสงคราม, ด่ายิว, รับสินบน, รับเงินสนับสนุนจากแหล่งที่ไม่สุจริต, รับเงินจากต่างประเทศเพื่อแลกกับผลประโยชน์ (ในสมัยที่นั่งกลาโหม)
    ทั้งหมดนี้...มาจากฝีมือใครก็ไม่รู้……แต่ต้องเป็นมือแฮคระดับเทพเท่านั้นที่จะทำได้

    ผลคือ……คะแนนของมาดามที่ว่านำมาลิ่วๆนั้น ตกฮวบลงอย่างน่าใจหาย
    วินาทีสุดท้ายคะแนนของกลุ่มที่รอการตัดสินใจได้เทไปให้ทางนายทรัมป์จนหมด เขาชนะไปแบบเฉือนกันปลายจมูก……
    อเมริกา ได้นายทรัมป์มาเป็นประธานาธิบดี
    มาดามคลินตัน จุกจนพูดไม่ออก……เพราะมันหมายถึงสิ่งที่ตั้งความหวังมาตลอดชีวิตว่าจะเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของประเทศนั้นหายวับไปต่อหน้าต่อตา เพราะอีเมล์จำนวนร้อยฉบับเหล่านั้น มันได้เปิดหน้ากากเธอจนหมดสิ้น……

    วันนั้น……ทางเครมลินได้รอฟังผลการเลือกตั้งเช่นกัน พร้อมเหล้ายาปลาปิ้ง กับแกล้มพร้อม เตรียมฉลองเหมือนจะรู้ว่า รถหมูคว่ำแน่……!!!

    นี่คือการ”เอาคืน” แบบย้อนเกล็ดที่เจ็บแสบที่สุด………ที่ส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นฝีมือของรัสเซีย

    การเอาคืนในระบบปูตินนั้น……มาได้หลายรูปแบบ อย่างที่ยกชื่อมาเป็นตัวอย่างสองคนข้างบน คนแรก

    Anna Politkovskaya อายุ 48 ปีเป็น อเมริกัน-รัสเซีย ทำงานสื่ออิสระในสายของ Human Rights Watch ที่เอาตัวเองเข้าไปคลุกคลีในสนามรบของสงคราม
    Chechen แล้วส่งข่าวรายงานสู่สื่อใหญ่อเมริกา
    เธอได้รับการเตือนแบบเป็นระยะ นับตั้งแต่ถูกวางยาให้ป่วย, คุมขัง แต่ก็ไม่ได้ผล
    ในที่สุด……เธอได้เสียชีวิตจากการถูกลอบสังหารในบริเวณที่พักของเธอเอง
    ในปี 2006
    คาดว่า……ทางรัสเซียคงหมดความอดทนหลังจากที่จับได้ว่า เธอได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนาย Boris Berezovsky เจ้าพ่อสื่อโทรทัศน์ตัวการสำคัญที่หลบหนีไปอยู่ที่อังกฤษ
    หมายเหตุ เรื่องของนาย Boris นี้ ดิฉันเคยเล่าไปแล้ว...

    คนต่อมาคือนาย Boris Nemtsov ที่เคยเป็นอธิบดี (ในรัฐบาลของ ประธานาธิบดี Yeltzin) ที่ต่อต้านปูตินอย่างเปิดเผย อีกทั้งเขาได้พยายามหาพวกจากฝั่งอเมริกาและอังกฤษเพื่อ ช่วยกระจายข่าวต่อ พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า ปูตินคือบุคคลที่รวยที่สุดในโลก มีบ้านราคาพันล้านเหรียญ มีเรือสำราญ และอีกสารพัดที่จะมี
    วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2015 สองวันก่อนที่เขาจะขึ้นเวทีการอภิปรายใหญ่เกี่ยวกับความไม่โปร่งใสของรัฐบาล เวลาเที่ยงคืนเศษ เขากับแฟนสาวเดินข้ามสะพานบริเวณหน้าพระราชวังเครมลิน
    มีรถแล่นผ่านไปอย่างช้าๆ แล้วเขาก็ล้มลงไป……สิ้นใจด้วยกระสุนที่ยิงเข้ากลางหลังสี่นัด
    งานนี้เป็นงานดี ฝีมือเนี๊ยบ……เพราะแฟนสาวที่เดินเคลียคลออยู่ข้างๆนั้น ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาโดนยิง คิดว่าสะดุดอะไรล้มลง...ไม่มียินเสียงอะไรทั้งสิ้น

    ฟังแล้วก็ต้องทำใจนะคะ……นี่คือด้านมืดของมนุษย์ มีพระคุณแล้วก็ต้องมีพระเดช แล้วยังต้องมีการเก็บกวาดสิ่งที่เรียกว่าเสี้ยนหนาม กีดขวางทางเดิน
    ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยกล……ก็ใช้แฮ๊คเคอร์

    แต่พี่รัสเซียนี่ เขาเอามาใช้ทุกอย่าง……ระยะหลังนี่ หนักไปทางยาพิษชนิดที่นักเคมีต้องค้นตำราแก้……

    ขนาดเก่งกล้าสารพัด มาเสียเชิงให้เป็นที่ขบขันได้ จากข่าวเรื่องทองคำแท่ง หนักกว่า 3.4 ตัน ร่วงลงมากจากเครื่องบินขณะที่กำลังวิ่งบนลู่ เพื่อที่จะเหินขึ้นฟ้า เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้
    ชาวบ้านอเมริกันเขาว่า
    “โธ่เอ๊ยย……ขนาดขนทองยังเอาเครื่องบินผุๆมาใช้………ไหนคุยว่าสร้างจรวดไง?”

    Wiwanda W. Vichit
    ต่อเรื่องพี่ปูอีกนิด…..แค้นนี้………กี่ปีก็ไม่สาย……!! อย่าซีเรียสนะคะ มันไม่ได้ร้ายแรงอะไรอย่างที่จั่วหัวไว้หรอก แต่อยากให้อ่านเป็นบทเรียนสำหรับหญิงๆว่า……จะพูดจะจาอะไรต้องระวังให้มากถึงมากที่สุด เพราะมันทำให้ใครคนหนึ่งถึงกับตกจากสวรรค์เลยทันที ตกเฉยๆก็คงไม่กระไร……แต่นี่เข้าขั้นอับอายและหาทางกลับแทบไม่ได้เลย ดิฉันกำลังพูดถึง คู่เชือดคู่เฉือนแห่งปี มาดาม ฮิลลารี คลินตัน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกาและ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีแห่งรัสเซีย (พูดถึงอีกแล้ว) ที่คนทั้งสองศรศิลป์ไม่กินกันตั้งแต่ยังไม่เจอหน้าด้วยซ้ำ เพราะมาดาม คลินตัน เธอช่างกระหายสงครามอย่างออกนอกหน้า ไม่ว่าจะมีการสัมภาษณ์ครั้งใด เธอจะต้องพาดพิงถึงการแทรกแซงของรัสเซีย รวมไปถึวการวิจารณ์ปูตินอย่างเปิดเผย เมื่อตอนต้นปี 2016 ที่เธอเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต เพื่อชิงประธานาธิบดี เธอใช้การหาเสียงด้วยการโจมตีอีกฝ่ายหนึ่งในเรื่องของความโหดร้ายในสงครามซีเรีย ว่า “ปูตินเป็นคนที่ไม่มีหัวจิตหัวใจ เพราะเขาเคยเป็นเคจีบีมาก่อน” ซึ่งข้อความนี้……ปูตินได้ออกอากาศให้สัมภาษณ์โต้กลับไปว่า “คนที่เป็นผู้นำ เขาไม่ได้ใช้หัวใจในการบริหารประเทศ เขาใช้สมอง!!” สื่อเองก็ช่างกระไร……ชอบนักที่จะคอยถาม คอยจี้ให้แต่ละฝ่ายออกมาแสดงความเห็นต่อกัน ทางฝ่ายชายมักจะนิ่งๆ ตอบสั้นๆ แต่ฝ่ายหญิงมักจะสาวยืดเสมอ มีทั้งประชดประชัน และ ดิสเครคิต จนปูตินเริ่มจะเชื่อแล้วว่า การเดินขบวนที่เกิดขึ้นบ่อยๆในรัสเซีย น่าจะเกิดจากการแทรกแซงจากภายนอกแน่นอน เพราะตั้งแต่หลายปีที่ผ่านมา รัสเซียมีการเดินขบวนบ่อยมาก และฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล เช่นสื่ออิสระหัวรุนแรง อย่าง Anna Politkovskaya** หรือ นักการเมือง Boris Nemtsov*** ปี 2014 ที่รัสเซียได้ขยายเชื่อมกับ ไครเมียได้สำเร็จ เพราะตลอดเวลา 10ปีที่ผ่านมา รัสเซียพยายามที่จะต่อติดกับทั้งยุโรปและตะวันออกกลาง มาดามคลินตันก็โวยวาย กล่าวหาว่า นั่นคือการกระทำของฮิตเล่อร์ชัดๆ และเธอได้พยายามล็อบบี้ขัดขวางทุกวิถีทาง นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เรียกว่าไม่เกรงใจกันแล้ว จนเถึงคราวที่มาดามคลินตันลงเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ที่ดูเหมือนว่า เส้นทางนี้ไม่มีพลาด ยิ่งมาเจอคู่แข่งขันที่เป็นเจ้าพ่อวงการนางงาม ท่าทางวิปลาส พูดจาไม่มีหูรูด……นาย Donald Trump ที่ไม่เคยมีประสบการณ์การทำงานทางการเมืองมาก่อน เธอและครอบครัวมั่นใจเต็มร้อย ว่าประชากรชาวอเมริกันเกือบทั้งประเทศอยู่ฝ่ายเธอ ขนาด Chelsea ธิดาสาวคนเดียวของเธอ ยังประกาศเปิดตัวเธอบนเวที พร้อมทั้งต่อด้วยว่า The next President of the United States of America.. เสียงในโพล……ก็มาแบบนั้นจริงๆ แต่ที่เครมลิน……ทุกคนเชียร์ทรัมป์……รวมทั้งมั่นใจกันอย่างเต็มที่ว่า ตำแหน่งประธานาธิบดีจะต้องเป็นนายทรัมป์แน่นอน… ไม่กี่อาทิตย์ก่อนที่จะมีการลงคะแนนเสียง……สิ่งประหลาดได้เกิดขึ้นทางสื่อออนไลน์ นั่นคือ Wikileaks ที่ได้มีการเปิดเผยข้อความจากอีเมล์ของ มาดามคลินตันที่ติดต่อกับผู้คนต่างๆ กว่าร้อยฉบับ ล้วนแต่เป็นสาระสำคัญยิ่ง เช่นการสนับสนุนสงคราม, ด่ายิว, รับสินบน, รับเงินสนับสนุนจากแหล่งที่ไม่สุจริต, รับเงินจากต่างประเทศเพื่อแลกกับผลประโยชน์ (ในสมัยที่นั่งกลาโหม) ทั้งหมดนี้...มาจากฝีมือใครก็ไม่รู้……แต่ต้องเป็นมือแฮคระดับเทพเท่านั้นที่จะทำได้ ผลคือ……คะแนนของมาดามที่ว่านำมาลิ่วๆนั้น ตกฮวบลงอย่างน่าใจหาย วินาทีสุดท้ายคะแนนของกลุ่มที่รอการตัดสินใจได้เทไปให้ทางนายทรัมป์จนหมด เขาชนะไปแบบเฉือนกันปลายจมูก…… อเมริกา ได้นายทรัมป์มาเป็นประธานาธิบดี มาดามคลินตัน จุกจนพูดไม่ออก……เพราะมันหมายถึงสิ่งที่ตั้งความหวังมาตลอดชีวิตว่าจะเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของประเทศนั้นหายวับไปต่อหน้าต่อตา เพราะอีเมล์จำนวนร้อยฉบับเหล่านั้น มันได้เปิดหน้ากากเธอจนหมดสิ้น…… วันนั้น……ทางเครมลินได้รอฟังผลการเลือกตั้งเช่นกัน พร้อมเหล้ายาปลาปิ้ง กับแกล้มพร้อม เตรียมฉลองเหมือนจะรู้ว่า รถหมูคว่ำแน่……!!! นี่คือการ”เอาคืน” แบบย้อนเกล็ดที่เจ็บแสบที่สุด………ที่ส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นฝีมือของรัสเซีย การเอาคืนในระบบปูตินนั้น……มาได้หลายรูปแบบ อย่างที่ยกชื่อมาเป็นตัวอย่างสองคนข้างบน คนแรก Anna Politkovskaya อายุ 48 ปีเป็น อเมริกัน-รัสเซีย ทำงานสื่ออิสระในสายของ Human Rights Watch ที่เอาตัวเองเข้าไปคลุกคลีในสนามรบของสงคราม Chechen แล้วส่งข่าวรายงานสู่สื่อใหญ่อเมริกา เธอได้รับการเตือนแบบเป็นระยะ นับตั้งแต่ถูกวางยาให้ป่วย, คุมขัง แต่ก็ไม่ได้ผล ในที่สุด……เธอได้เสียชีวิตจากการถูกลอบสังหารในบริเวณที่พักของเธอเอง ในปี 2006 คาดว่า……ทางรัสเซียคงหมดความอดทนหลังจากที่จับได้ว่า เธอได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนาย Boris Berezovsky เจ้าพ่อสื่อโทรทัศน์ตัวการสำคัญที่หลบหนีไปอยู่ที่อังกฤษ หมายเหตุ เรื่องของนาย Boris นี้ ดิฉันเคยเล่าไปแล้ว... คนต่อมาคือนาย Boris Nemtsov ที่เคยเป็นอธิบดี (ในรัฐบาลของ ประธานาธิบดี Yeltzin) ที่ต่อต้านปูตินอย่างเปิดเผย อีกทั้งเขาได้พยายามหาพวกจากฝั่งอเมริกาและอังกฤษเพื่อ ช่วยกระจายข่าวต่อ พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า ปูตินคือบุคคลที่รวยที่สุดในโลก มีบ้านราคาพันล้านเหรียญ มีเรือสำราญ และอีกสารพัดที่จะมี วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2015 สองวันก่อนที่เขาจะขึ้นเวทีการอภิปรายใหญ่เกี่ยวกับความไม่โปร่งใสของรัฐบาล เวลาเที่ยงคืนเศษ เขากับแฟนสาวเดินข้ามสะพานบริเวณหน้าพระราชวังเครมลิน มีรถแล่นผ่านไปอย่างช้าๆ แล้วเขาก็ล้มลงไป……สิ้นใจด้วยกระสุนที่ยิงเข้ากลางหลังสี่นัด งานนี้เป็นงานดี ฝีมือเนี๊ยบ……เพราะแฟนสาวที่เดินเคลียคลออยู่ข้างๆนั้น ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาโดนยิง คิดว่าสะดุดอะไรล้มลง...ไม่มียินเสียงอะไรทั้งสิ้น ฟังแล้วก็ต้องทำใจนะคะ……นี่คือด้านมืดของมนุษย์ มีพระคุณแล้วก็ต้องมีพระเดช แล้วยังต้องมีการเก็บกวาดสิ่งที่เรียกว่าเสี้ยนหนาม กีดขวางทางเดิน ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยกล……ก็ใช้แฮ๊คเคอร์ แต่พี่รัสเซียนี่ เขาเอามาใช้ทุกอย่าง……ระยะหลังนี่ หนักไปทางยาพิษชนิดที่นักเคมีต้องค้นตำราแก้…… ขนาดเก่งกล้าสารพัด มาเสียเชิงให้เป็นที่ขบขันได้ จากข่าวเรื่องทองคำแท่ง หนักกว่า 3.4 ตัน ร่วงลงมากจากเครื่องบินขณะที่กำลังวิ่งบนลู่ เพื่อที่จะเหินขึ้นฟ้า เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้ ชาวบ้านอเมริกันเขาว่า “โธ่เอ๊ยย……ขนาดขนทองยังเอาเครื่องบินผุๆมาใช้………ไหนคุยว่าสร้างจรวดไง?” Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 507 Views 0 Reviews
  • "ราเกซ"อดีตพ่อมดการเงินที่ต้องโทษคดีฉ้อโกงธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ BBCจนแบงก์เจ้ง ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ตำรวจเตรียมผลักดันออกนอกประเทศ
    .
    10 กันยายน 2567 -รายงานข่าวแจ้งว่า เช้าวันนี้ ตำรวจกองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ได้ไปรับตัวนายราเกซ สักเสนา (Rakesh Saxena) สัญชาติอินเดีย ผู้ต้องขังในคดียักยอกทรัพย์ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ (บีบีซี) ออกจากเรือนจำ เพื่อผลักดันออกนอกประเทศ
    .
    หลังได้รับพระราชทานอภัยโทษ ตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฏาคม 2567 โดยได้ส่งตัวนายราเกซไปยังกองกำกับการ 3 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (บก.สส.สตม.) เพื่อดำเนินการผลักดันออกนอกประเทศตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ต่อไป
    .
    นับเป็นการปิดฉากชีวิตพ่อมดการเงินในประเทศไทย จากการปล่อยสินเชื่อให้แก่นักธุรกิจและนักการเมืองเพื่อเข้าเทกโอเวอร์บริษัทต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีกำไรจากการซื้อมา-ขายไป จนเกิดหนี้เน่ามากกว่า 80,000 ล้านบาท และเป็นต้นเหตุที่ทำให้บีบีซีปิดกิจการ
    .
    สำหรับนายราเกซ ชาวเมืองอินดอร์ รัฐมัธยประเทศ อดีตโบรกเกอร์ค้าเงิน เป็นผู้ต้องขังคดีหมายเลขแดงที่ อ 4138/2559 ในความผิดฐานพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คดียักยอกทรัพย์ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) หรือ บีบีซี ระหว่างปี 2537-2539 ขณะดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ ซึ่งขณะนั้นคือนายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์
    .
    โดยกระทำการทุจริตอนุมัติวงเงินสินเชื่อเกินบัญชี (โอดี) กับบริษัท สมประสงค์ อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด และเอกชนอื่นร่วม 10 แห่ง เกินกว่า 30 ล้านบาท โดยไม่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากคณะกรรมการสินเชื่อ หรือคณะกรรมการบริหารของธนาคารก่อน อีกทั้งไม่ได้จัดให้มีหลักประกัน ไม่มีการวิเคราะห์ฐานะของลูกหนี้ และความสามารถในการชำระหนี้คืน อันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งธนาคารแห่งประเทศไทย
    .
    นอกจากนี้ จำเลยและพวกยังได้ร่วมกันแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ร่วมกันเบียดบังเอาเงินของธนาคารผู้เสียหาย (บีบีซี) ซึ่งอยู่ในความครอบครองของนายเกริกเกียรติ ไปเป็นของจำเลยกับพวกและนายเกริกเกียรติโดยทุจริต แม้ภายหลังจำเลยกับพวกได้ชดใช้เงินให้แก่ผู้เสียหายบางส่วน แต่คงเหลือเงินที่ยังไม่ได้คืนผู้เสียหาย 353,363,966 บาท
    .
    คดีนี้ต่อสู้กันสามศาล ในที่สุดศาลฎีกามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2565 จำคุกกระทงละ 5 ปี และปรับกระทงละ 500,000 บาท โดยมีสำนวนแรก 60 กระทง สำนวนที่สอง 6 กระทง และสำนวนที่สาม 1 กระทง รวม 67 กระทง รวมจำคุก 335 ปี และปรับ 33,500,000 บาท เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุก 20 ปี และสั่งคืนเงินผู้เสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท
    .
    ก่อนหน้านี้นายราเกซหลบหนีคดีไปยังประเทศแคนาดา ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2539 แม้ทางการไทยได้ประสานงานกับแคนาดาขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน แต่นายราเกซได้ให้ทนายความยื่นคัดค้าน ใช้ระยะเวลาพิจารณาถึง 13 ปี กระทั่งวันที่ 29 ต.ค. 2552 ศาลฎีกาแคนาดามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกา และส่งตัวมาถึงประเทศไทยด้วยเที่ยวบิน TG 615 เมื่อวันที่ 30 ต.ค. 2552
    .
    ต่อมาศาลอาญากรุงเทพใต้ พิพากษาเมื่อปี 2555 จำคุกนายราเกซ 10 ปี และต่อสู้คดีเรื่อยมา กระทั่งคดีถึงที่สุดเมื่อปี 2565 รวมระยะเวลาที่รับโทษในประเทศไทย 15 ปี

    ที่มา https://sondhitalk.com/detail/9670000083928

    #Thaitimes
    "ราเกซ"อดีตพ่อมดการเงินที่ต้องโทษคดีฉ้อโกงธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ BBCจนแบงก์เจ้ง ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ตำรวจเตรียมผลักดันออกนอกประเทศ . 10 กันยายน 2567 -รายงานข่าวแจ้งว่า เช้าวันนี้ ตำรวจกองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ได้ไปรับตัวนายราเกซ สักเสนา (Rakesh Saxena) สัญชาติอินเดีย ผู้ต้องขังในคดียักยอกทรัพย์ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ (บีบีซี) ออกจากเรือนจำ เพื่อผลักดันออกนอกประเทศ . หลังได้รับพระราชทานอภัยโทษ ตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฏาคม 2567 โดยได้ส่งตัวนายราเกซไปยังกองกำกับการ 3 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (บก.สส.สตม.) เพื่อดำเนินการผลักดันออกนอกประเทศตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ต่อไป . นับเป็นการปิดฉากชีวิตพ่อมดการเงินในประเทศไทย จากการปล่อยสินเชื่อให้แก่นักธุรกิจและนักการเมืองเพื่อเข้าเทกโอเวอร์บริษัทต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีกำไรจากการซื้อมา-ขายไป จนเกิดหนี้เน่ามากกว่า 80,000 ล้านบาท และเป็นต้นเหตุที่ทำให้บีบีซีปิดกิจการ . สำหรับนายราเกซ ชาวเมืองอินดอร์ รัฐมัธยประเทศ อดีตโบรกเกอร์ค้าเงิน เป็นผู้ต้องขังคดีหมายเลขแดงที่ อ 4138/2559 ในความผิดฐานพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คดียักยอกทรัพย์ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) หรือ บีบีซี ระหว่างปี 2537-2539 ขณะดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ ซึ่งขณะนั้นคือนายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ . โดยกระทำการทุจริตอนุมัติวงเงินสินเชื่อเกินบัญชี (โอดี) กับบริษัท สมประสงค์ อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด และเอกชนอื่นร่วม 10 แห่ง เกินกว่า 30 ล้านบาท โดยไม่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากคณะกรรมการสินเชื่อ หรือคณะกรรมการบริหารของธนาคารก่อน อีกทั้งไม่ได้จัดให้มีหลักประกัน ไม่มีการวิเคราะห์ฐานะของลูกหนี้ และความสามารถในการชำระหนี้คืน อันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งธนาคารแห่งประเทศไทย . นอกจากนี้ จำเลยและพวกยังได้ร่วมกันแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ร่วมกันเบียดบังเอาเงินของธนาคารผู้เสียหาย (บีบีซี) ซึ่งอยู่ในความครอบครองของนายเกริกเกียรติ ไปเป็นของจำเลยกับพวกและนายเกริกเกียรติโดยทุจริต แม้ภายหลังจำเลยกับพวกได้ชดใช้เงินให้แก่ผู้เสียหายบางส่วน แต่คงเหลือเงินที่ยังไม่ได้คืนผู้เสียหาย 353,363,966 บาท . คดีนี้ต่อสู้กันสามศาล ในที่สุดศาลฎีกามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2565 จำคุกกระทงละ 5 ปี และปรับกระทงละ 500,000 บาท โดยมีสำนวนแรก 60 กระทง สำนวนที่สอง 6 กระทง และสำนวนที่สาม 1 กระทง รวม 67 กระทง รวมจำคุก 335 ปี และปรับ 33,500,000 บาท เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุก 20 ปี และสั่งคืนเงินผู้เสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท . ก่อนหน้านี้นายราเกซหลบหนีคดีไปยังประเทศแคนาดา ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2539 แม้ทางการไทยได้ประสานงานกับแคนาดาขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน แต่นายราเกซได้ให้ทนายความยื่นคัดค้าน ใช้ระยะเวลาพิจารณาถึง 13 ปี กระทั่งวันที่ 29 ต.ค. 2552 ศาลฎีกาแคนาดามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกา และส่งตัวมาถึงประเทศไทยด้วยเที่ยวบิน TG 615 เมื่อวันที่ 30 ต.ค. 2552 . ต่อมาศาลอาญากรุงเทพใต้ พิพากษาเมื่อปี 2555 จำคุกนายราเกซ 10 ปี และต่อสู้คดีเรื่อยมา กระทั่งคดีถึงที่สุดเมื่อปี 2565 รวมระยะเวลาที่รับโทษในประเทศไทย 15 ปี ที่มา https://sondhitalk.com/detail/9670000083928 #Thaitimes
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 1998 Views 0 Reviews
  • มารบันเทพ

    พญามาร เป็นเทพยิ่งใหญ่ระดับสูงสุดแห่งชั้นกามาวจรหรือ เทวดาชั้นที่ 5 ชื่อว่า “ปรนิมมิตวสวัตดี” ท่านชื่อว่า “วัสสวัสดี เทวปุตตมาร” คนไทยมักเรียกว่าพญามาร ท่านเป็นมารที่หล่อขั้น เทพแน่นอน เพราะท่านเป็นทั้งเทพทั้งมาร คำว่า “มาร” แปลว่า นิมิต แห่งความขัดข้อง คอยขัดขวางเหนี่ยวรั้งคนไว้ มิให้พ้นจาก อ้านาจครอบงำาของตน ให้ห่วงหน้าพะวงหลังติดอยู่ในกามสุข ไม่อาจเสียสละออกไปบำเพ็ญคุณความดีที่ยิ่งใหญ่ได้

    ซึ่งมารตนนี้เคยมาเฝ้าพระพุทธเจ้าหลายครั้ง พระองค์ได้เล่าให้ พระอานนท์ฟัง ปรากฏในมหาปรินิพพานสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ ทีฆนิกาย มหาวรรค สรุปว่า

    สมัยที่พระพุทธเจ้ายังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ กำลังหนีออกจาก เมืองกบิลพัสดุเพื่อบรรพชา มาเชื่อว่าวัสสวัดดีมาร ได้เข้ามาห้ามมิให้ ออกมหาภิเนษกรมณ์ แต่พระโพธิสัตว์ได้ปฏิเสธและขับไล่มารไปเสีย

    ต่อมา เมื่อพระโพธิสัตว์ประทับนั่งบนโพธิบัลลังก์ ก่อนจะตรัสรู้ พญามารได้นำเสนามารไปรบกวน แต่ในที่สุดก็พ่ายแพ้แก่ทศบารมี ของพระโพธิสัตว์

    อีกครั้งหนึ่ง สมัยที่ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ณ ต้นอชปาลนิโครธ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ที่อุรุเวลาเสนานิคม

    สามารถอ่านต่อที่เว็บไซต์พระนิพพานได้

    https://www.thenirvanalive.com/2023/03/10/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%95-6/
    มารบันเทพ พญามาร เป็นเทพยิ่งใหญ่ระดับสูงสุดแห่งชั้นกามาวจรหรือ เทวดาชั้นที่ 5 ชื่อว่า “ปรนิมมิตวสวัตดี” ท่านชื่อว่า “วัสสวัสดี เทวปุตตมาร” คนไทยมักเรียกว่าพญามาร ท่านเป็นมารที่หล่อขั้น เทพแน่นอน เพราะท่านเป็นทั้งเทพทั้งมาร คำว่า “มาร” แปลว่า นิมิต แห่งความขัดข้อง คอยขัดขวางเหนี่ยวรั้งคนไว้ มิให้พ้นจาก อ้านาจครอบงำาของตน ให้ห่วงหน้าพะวงหลังติดอยู่ในกามสุข ไม่อาจเสียสละออกไปบำเพ็ญคุณความดีที่ยิ่งใหญ่ได้ ซึ่งมารตนนี้เคยมาเฝ้าพระพุทธเจ้าหลายครั้ง พระองค์ได้เล่าให้ พระอานนท์ฟัง ปรากฏในมหาปรินิพพานสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ ทีฆนิกาย มหาวรรค สรุปว่า สมัยที่พระพุทธเจ้ายังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ กำลังหนีออกจาก เมืองกบิลพัสดุเพื่อบรรพชา มาเชื่อว่าวัสสวัดดีมาร ได้เข้ามาห้ามมิให้ ออกมหาภิเนษกรมณ์ แต่พระโพธิสัตว์ได้ปฏิเสธและขับไล่มารไปเสีย ต่อมา เมื่อพระโพธิสัตว์ประทับนั่งบนโพธิบัลลังก์ ก่อนจะตรัสรู้ พญามารได้นำเสนามารไปรบกวน แต่ในที่สุดก็พ่ายแพ้แก่ทศบารมี ของพระโพธิสัตว์ อีกครั้งหนึ่ง สมัยที่ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ณ ต้นอชปาลนิโครธ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ที่อุรุเวลาเสนานิคม สามารถอ่านต่อที่เว็บไซต์พระนิพพานได้ https://www.thenirvanalive.com/2023/03/10/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%95-6/
    0 Comments 0 Shares 442 Views 0 Reviews
  • ลาก่อนกาดสวนแก้ว ประกาศขาย 3 พันล้าน

    ทำเอาชาวเชียงใหม่ใจหายซ้ำสอง หลังธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ประกาศขายอุทยานการค้ากาดสวนแก้ว อดีตศูนย์การค้าเก่าแก่สูง 10 ชั้น บนเนื้อที่ 27 ไร่ 2 งาน 98 ตารางวา ริมถนนห้วยแก้ว เขตเทศบาลนครเชียงใหม่ ในราคา 3,000 ล้านบาท หลังศูนย์การค้าฯ ปิดให้บริการชั่วคราวเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2565 ที่ผ่านมา แต่ที่สุดแล้วกลายเป็นการปิดถาวร เป็นที่น่าเสียดายแก่ชาวเชียงใหม่ยุค 80 และ 90 ที่เคยมีประสบการณ์กับสถานที่แห่งนี้

    อุทยานการค้ากาดสวนแก้ว เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 29 ก.พ. 2535 ก่อตั้งโดย ร.ต.ท.สุชัย เก่งการค้า อดีตสถาปนิกกรมตำรวจ ที่ผันตัวมาเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยด้านข้างยังมีโรงแรมโลตัสปางสวนแก้ว สูง 13 ชั้น ขนาด 420 ห้อง โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบล้านนา ตัวอาคารก่อด้วยอิฐสีน้ำตาลเข้ม บุผนังด้านนอกอาคารทั้งหลัง จุดเด่นคือห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาแรกในต่างจังหวัด โรงภาพยนตร์วิสต้า ขนาด 7 โรง และโรงละครกาดเธียเตอร์ ชั้น 5 ความจุ 1,500 ที่นั่ง

    แม้จะเป็นศูนย์การค้ายอดนิยมของคนเชียงใหม่ยุคนั้น แต่ด้วยการแข่งขันธุรกิจค้าปลีกที่สูงขึ้น กลุ่มทุนจากส่วนกลาง อาทิ เซ็นทรัลพัฒนา เปิดศูนย์การค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล เชียงใหม่ บริเวณสี่แยกศาลเด็ก เพิ่มเติมจากศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เชียงใหม่ แอร์พอร์ต รวมทั้งกลุ่มเอสเอฟ คอร์ปอเรชั่น เปิดศูนย์การค้าเม-ญ่า ไลฟ์สไตล์ ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ บริเวณสี่แยกรินคำ ไม่นับรวมห้างค้าปลีก คอมมูนิตีมอลล์จำนวนมาก แม้กาดสวนแก้วพยายามรีโนเวตให้ทันสมัย แต่ไม่อาจต้านทานได้

    อีกทั้งสถานการณ์โควิด 19 ตั้งแต่ปลายปี 2562 ไม่มีนักท่องเที่ยว แม้จะช่วยลดค่าเช่า ค่าบริการ ผ่อนผันร้านค้าทุกวิถีทาง พร้อมกับปรับลดค่าใช้จ่ายต่างๆ แต่เนื่องจากการระบาดยังคงยืดเยื้อต่อเนื่อง อีกทั้งภาครัฐไม่มีนโยบายผ่อนปรนหรือช่วยเหลืออีกต่อไป จึงจำเป็นต้องปิดศูนย์การค้าฯ ชั่วคราว แต่ในที่สุดก็กลายเป็นการปิดถาวร

    อนึ่ง ก่อนหน้านี้กรมบังคับคดีเพิ่งประกาศจำหน่ายทรัพย์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ศูนย์การค้าพรอมเมนาดา เชียงใหม่ รีสอร์ตมอลล์ 24 แปลง เนื้อที่ประมาณ 54 ไร่ บริเวณแยกต่างระดับดอนจั่น ถนนวงแหวนรอบสอง ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ 10 กิโลเมตร กำหนดราคาประเมิน 2,058 ล้านบาท จำหน่ายครั้งแรก 21 ต.ค. 2567 หลังศูนย์การค้าฯ ประกาศปิดให้บริการไปเมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2565 และศาลล้มละลายกลาง พิพากษาให้ บริษัท อีซีซี เชียงใหม่ โครงการ 1 จำกัด ล้มละลายเมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2566

    #Newskit #กาดสวนแก้ว #เชียงใหม่
    ลาก่อนกาดสวนแก้ว ประกาศขาย 3 พันล้าน ทำเอาชาวเชียงใหม่ใจหายซ้ำสอง หลังธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ประกาศขายอุทยานการค้ากาดสวนแก้ว อดีตศูนย์การค้าเก่าแก่สูง 10 ชั้น บนเนื้อที่ 27 ไร่ 2 งาน 98 ตารางวา ริมถนนห้วยแก้ว เขตเทศบาลนครเชียงใหม่ ในราคา 3,000 ล้านบาท หลังศูนย์การค้าฯ ปิดให้บริการชั่วคราวเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2565 ที่ผ่านมา แต่ที่สุดแล้วกลายเป็นการปิดถาวร เป็นที่น่าเสียดายแก่ชาวเชียงใหม่ยุค 80 และ 90 ที่เคยมีประสบการณ์กับสถานที่แห่งนี้ อุทยานการค้ากาดสวนแก้ว เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 29 ก.พ. 2535 ก่อตั้งโดย ร.ต.ท.สุชัย เก่งการค้า อดีตสถาปนิกกรมตำรวจ ที่ผันตัวมาเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยด้านข้างยังมีโรงแรมโลตัสปางสวนแก้ว สูง 13 ชั้น ขนาด 420 ห้อง โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบล้านนา ตัวอาคารก่อด้วยอิฐสีน้ำตาลเข้ม บุผนังด้านนอกอาคารทั้งหลัง จุดเด่นคือห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาแรกในต่างจังหวัด โรงภาพยนตร์วิสต้า ขนาด 7 โรง และโรงละครกาดเธียเตอร์ ชั้น 5 ความจุ 1,500 ที่นั่ง แม้จะเป็นศูนย์การค้ายอดนิยมของคนเชียงใหม่ยุคนั้น แต่ด้วยการแข่งขันธุรกิจค้าปลีกที่สูงขึ้น กลุ่มทุนจากส่วนกลาง อาทิ เซ็นทรัลพัฒนา เปิดศูนย์การค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล เชียงใหม่ บริเวณสี่แยกศาลเด็ก เพิ่มเติมจากศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เชียงใหม่ แอร์พอร์ต รวมทั้งกลุ่มเอสเอฟ คอร์ปอเรชั่น เปิดศูนย์การค้าเม-ญ่า ไลฟ์สไตล์ ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ บริเวณสี่แยกรินคำ ไม่นับรวมห้างค้าปลีก คอมมูนิตีมอลล์จำนวนมาก แม้กาดสวนแก้วพยายามรีโนเวตให้ทันสมัย แต่ไม่อาจต้านทานได้ อีกทั้งสถานการณ์โควิด 19 ตั้งแต่ปลายปี 2562 ไม่มีนักท่องเที่ยว แม้จะช่วยลดค่าเช่า ค่าบริการ ผ่อนผันร้านค้าทุกวิถีทาง พร้อมกับปรับลดค่าใช้จ่ายต่างๆ แต่เนื่องจากการระบาดยังคงยืดเยื้อต่อเนื่อง อีกทั้งภาครัฐไม่มีนโยบายผ่อนปรนหรือช่วยเหลืออีกต่อไป จึงจำเป็นต้องปิดศูนย์การค้าฯ ชั่วคราว แต่ในที่สุดก็กลายเป็นการปิดถาวร อนึ่ง ก่อนหน้านี้กรมบังคับคดีเพิ่งประกาศจำหน่ายทรัพย์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ศูนย์การค้าพรอมเมนาดา เชียงใหม่ รีสอร์ตมอลล์ 24 แปลง เนื้อที่ประมาณ 54 ไร่ บริเวณแยกต่างระดับดอนจั่น ถนนวงแหวนรอบสอง ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ 10 กิโลเมตร กำหนดราคาประเมิน 2,058 ล้านบาท จำหน่ายครั้งแรก 21 ต.ค. 2567 หลังศูนย์การค้าฯ ประกาศปิดให้บริการไปเมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2565 และศาลล้มละลายกลาง พิพากษาให้ บริษัท อีซีซี เชียงใหม่ โครงการ 1 จำกัด ล้มละลายเมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2566 #Newskit #กาดสวนแก้ว #เชียงใหม่
    Like
    9
    0 Comments 0 Shares 639 Views 0 Reviews
  • เลือกตั้งปี 2024อาจเป็นครี้งสุดท้ายของสหรัฐ
    มาร์ติน อาร์มสตรองแห่ง armstrongeconomics.com คาดการณ์ว่าการเลือกตั้งในปี 2024ของสหรัฐอาจจะเป็นครั้งสุดท้าย เพราะว่าฝ่ายสนับสนุนทั้งโดนัลด์ ทรัมป์ และกมลา แฮร์ริสจะไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง ซึ่งจะนำไปสู้การฟ้องร้องในศาลทำให้ไม่สามารถรับรองผลการเลือกตั้งได้ และในที่สุดอาจจะนำไปสู่สงครามกลางเมือง
    อาร์มสตรอง บอกว่า ทรัมป์กับแฮร์ริสกำลังกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ทางกฎหมายที่ดุเดือดและน่ารังเกียจ ซึ่งจะทำให้ประเทศสหรัฐแตกแยกอย่างแน่นอน โดยเสริมว่าสื่อกระแสหลักจะทรยศต่อประเทศและทุกสิ่งที่รัฐธรรมนูญอเมริกันเคยยืนหยัด และพวกเขาจะสนับสนุนคนหลบเข้าเมืองที่ผิดกฎหมายและแฮร์รีสทั้งหมดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
    เขาบอกว่าการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นมุ่งหน้าสู่ปี 2032 ซึ่งจะทำลายสังคมตะวันตกในแง่ของการเป็นเมืองหลวงทางการเงินที่มีอิทธิพลต่อระบบการเงินโลก
    “พวกนีโอคอน (Neocon) กำลังทำลายสังคมตะวันตกเพราะความเกลียดชังรัสเซียและจีน ซึ่งส่งผลให้เกิดเมืองหลวงทางการเงินของโลกที่สหรัฐอเมริกายึดครองจากลอนดอนในปี 1918 เนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เราจะสูญเสียสถานภาพนี้ 112 ปีต่อมา เพราะสงครามโลกครั้งที่ 3 และสื่อมวลชนก็ให้กำลังเชียร์ให้เกิด (ครึ่งรอบ 224 ปีของการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง)
    พรรคเดโมแครตได้ส่งข้อความนี้ออกไปบรรดาผู้สนับสนุน:

    “… เรากำลังเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับโครงการคุ้มครองผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพื่อปกป้องทรัมป์และพันธมิตรของเขาที่โจมตีสิทธิในการลงคะแนนเสียงของเรา นั่นเป็นสาเหตุที่เราลงทุนหกหลักในโครงการ Democrats Abroad เพื่อลงทะเบียนและรับคะแนนโหวตจากชาวอเมริกันเกือบ 9 ล้านคนที่อาศัยและรับใช้ในต่างประเทศ และนั่นคือเหตุผลที่เราขยายความพยายามในการจัดงานเสมือนจริงที่ประสบความสำเร็จเพื่อมีส่วนร่วมและระดมอาสาสมัครให้ได้มากที่สุด เพื่อให้คุณสามารถมีส่วนร่วมได้ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนก็ตาม”
    อาร์มสตรอง กล่าวต่อไปว่า จอร์เจียได้นำกฎใหม่สำหรับคณะกรรมการการเลือกตั้งของรัฐมาใช้ โดยอนุญาตให้สมาชิกชะลอการรับรองการเลือกตั้ง ถ้าหากมีการสอบถามเกี่ยวกับความคลาดเคลื่อนของบัตรลงคะแนน ในรัฐแอริโซนา มิชิแกน และเนวาดา ฝ่ายรีพับรีกันได้ผลักดันให้มีการกำจัดรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ไม่ใช่พลเมือง พรรครีพับลิกันในเนวาดายื่นฟ้องเพื่อป้องกันไม่ให้มีการนับบัตรลงคะแนนทางไปรษณีย์หากได้รับหลังวันเลือกตั้ง ถึงกระนั้นพรรคเดโมแครตก็กำลังต่อสู้กับสิ่งนั้นเช่นกัน
    ในรัฐที่ฐานเสียงแกว่งไปมาอย่างจอร์เจีย แอริโซนา มิชิแกน เนวาดา และเพนซิลเวเนีย ผลของการลงคะแนนเสียงที่มีการโต้แย้งอาจจบลงที่ศาลฎีกา มีการปล่อยให้ผู้อพยพเข้าไปในยุโรปและสหรัฐอเมริกาอย่างผิดกฎหมายโดยที่ส่วนใหญ่ไม่ได้ให้อะไรเลยแก่สังคม เพื่อเป้าหมายของลัทธิเผด็จการที่จะควบคุมประชาชน โดยวางแผนที่จะให้พวกอพยพหลบเข้าเมืองลงคะแนนเสียงให้พรรคเดโมแครต
    ผลของการเลือกตั้งครั้งนี้จะมีการโต้แย้งอย่างเผ็ดร้อนจนอาจจะจบลงที่ศาล จากนั้น หากพรรคเดโมแครตหรือพรรครีพับลิกันแต่งตั้งผู้พิพากษาเป็นผู้ตัดสิน ผู้แพ้ก็จะโต้แย้งว่าการตัดสินดังกล่าวเป็นเรื่องทางการเมือง ไม่มีทางหนีพ้นวิกฤตนี้ไปได้ เพราะฝ่ายซ้ายรู้ว่าตนกำลังพ่ายแพ้ และแทนที่จะตั้งคำถามกับปรัชญาแนวทางของตน กลับตั้งใจที่จะชนะทุกวิถีทางที่เป็นไปได้
    ที่การประชุมประชาธิปไตย ไบเดนราดน้ำมันลงบนกองไฟ ซึ่งหากทรัมป์ชนะ นั่นก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย เขากล่าวว่า “นี่จะเป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม” ไบเดนบอกกับฝูงชนในสุนทรพจน์ของเขาว่าเมื่อวันที่ 6 มกราคม “เราเกือบจะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับตัวตนของเราในฐานะประเทศไป และภัยคุกคามนั้น—นี่ไม่ใช่คำพูดเกินจริง—ภัยคุกคามนั้นยังดำรงอยู่”

    IMCT News

    ที่มา https://www.armstrongeconomics.com/international-news/politics/us-2024-may-be-our-last/
    เลือกตั้งปี 2024อาจเป็นครี้งสุดท้ายของสหรัฐ มาร์ติน อาร์มสตรองแห่ง armstrongeconomics.com คาดการณ์ว่าการเลือกตั้งในปี 2024ของสหรัฐอาจจะเป็นครั้งสุดท้าย เพราะว่าฝ่ายสนับสนุนทั้งโดนัลด์ ทรัมป์ และกมลา แฮร์ริสจะไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง ซึ่งจะนำไปสู้การฟ้องร้องในศาลทำให้ไม่สามารถรับรองผลการเลือกตั้งได้ และในที่สุดอาจจะนำไปสู่สงครามกลางเมือง อาร์มสตรอง บอกว่า ทรัมป์กับแฮร์ริสกำลังกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ทางกฎหมายที่ดุเดือดและน่ารังเกียจ ซึ่งจะทำให้ประเทศสหรัฐแตกแยกอย่างแน่นอน โดยเสริมว่าสื่อกระแสหลักจะทรยศต่อประเทศและทุกสิ่งที่รัฐธรรมนูญอเมริกันเคยยืนหยัด และพวกเขาจะสนับสนุนคนหลบเข้าเมืองที่ผิดกฎหมายและแฮร์รีสทั้งหมดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เขาบอกว่าการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นมุ่งหน้าสู่ปี 2032 ซึ่งจะทำลายสังคมตะวันตกในแง่ของการเป็นเมืองหลวงทางการเงินที่มีอิทธิพลต่อระบบการเงินโลก “พวกนีโอคอน (Neocon) กำลังทำลายสังคมตะวันตกเพราะความเกลียดชังรัสเซียและจีน ซึ่งส่งผลให้เกิดเมืองหลวงทางการเงินของโลกที่สหรัฐอเมริกายึดครองจากลอนดอนในปี 1918 เนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เราจะสูญเสียสถานภาพนี้ 112 ปีต่อมา เพราะสงครามโลกครั้งที่ 3 และสื่อมวลชนก็ให้กำลังเชียร์ให้เกิด (ครึ่งรอบ 224 ปีของการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง) พรรคเดโมแครตได้ส่งข้อความนี้ออกไปบรรดาผู้สนับสนุน: “… เรากำลังเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับโครงการคุ้มครองผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพื่อปกป้องทรัมป์และพันธมิตรของเขาที่โจมตีสิทธิในการลงคะแนนเสียงของเรา นั่นเป็นสาเหตุที่เราลงทุนหกหลักในโครงการ Democrats Abroad เพื่อลงทะเบียนและรับคะแนนโหวตจากชาวอเมริกันเกือบ 9 ล้านคนที่อาศัยและรับใช้ในต่างประเทศ และนั่นคือเหตุผลที่เราขยายความพยายามในการจัดงานเสมือนจริงที่ประสบความสำเร็จเพื่อมีส่วนร่วมและระดมอาสาสมัครให้ได้มากที่สุด เพื่อให้คุณสามารถมีส่วนร่วมได้ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนก็ตาม” อาร์มสตรอง กล่าวต่อไปว่า จอร์เจียได้นำกฎใหม่สำหรับคณะกรรมการการเลือกตั้งของรัฐมาใช้ โดยอนุญาตให้สมาชิกชะลอการรับรองการเลือกตั้ง ถ้าหากมีการสอบถามเกี่ยวกับความคลาดเคลื่อนของบัตรลงคะแนน ในรัฐแอริโซนา มิชิแกน และเนวาดา ฝ่ายรีพับรีกันได้ผลักดันให้มีการกำจัดรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ไม่ใช่พลเมือง พรรครีพับลิกันในเนวาดายื่นฟ้องเพื่อป้องกันไม่ให้มีการนับบัตรลงคะแนนทางไปรษณีย์หากได้รับหลังวันเลือกตั้ง ถึงกระนั้นพรรคเดโมแครตก็กำลังต่อสู้กับสิ่งนั้นเช่นกัน ในรัฐที่ฐานเสียงแกว่งไปมาอย่างจอร์เจีย แอริโซนา มิชิแกน เนวาดา และเพนซิลเวเนีย ผลของการลงคะแนนเสียงที่มีการโต้แย้งอาจจบลงที่ศาลฎีกา มีการปล่อยให้ผู้อพยพเข้าไปในยุโรปและสหรัฐอเมริกาอย่างผิดกฎหมายโดยที่ส่วนใหญ่ไม่ได้ให้อะไรเลยแก่สังคม เพื่อเป้าหมายของลัทธิเผด็จการที่จะควบคุมประชาชน โดยวางแผนที่จะให้พวกอพยพหลบเข้าเมืองลงคะแนนเสียงให้พรรคเดโมแครต ผลของการเลือกตั้งครั้งนี้จะมีการโต้แย้งอย่างเผ็ดร้อนจนอาจจะจบลงที่ศาล จากนั้น หากพรรคเดโมแครตหรือพรรครีพับลิกันแต่งตั้งผู้พิพากษาเป็นผู้ตัดสิน ผู้แพ้ก็จะโต้แย้งว่าการตัดสินดังกล่าวเป็นเรื่องทางการเมือง ไม่มีทางหนีพ้นวิกฤตนี้ไปได้ เพราะฝ่ายซ้ายรู้ว่าตนกำลังพ่ายแพ้ และแทนที่จะตั้งคำถามกับปรัชญาแนวทางของตน กลับตั้งใจที่จะชนะทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ ที่การประชุมประชาธิปไตย ไบเดนราดน้ำมันลงบนกองไฟ ซึ่งหากทรัมป์ชนะ นั่นก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย เขากล่าวว่า “นี่จะเป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม” ไบเดนบอกกับฝูงชนในสุนทรพจน์ของเขาว่าเมื่อวันที่ 6 มกราคม “เราเกือบจะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับตัวตนของเราในฐานะประเทศไป และภัยคุกคามนั้น—นี่ไม่ใช่คำพูดเกินจริง—ภัยคุกคามนั้นยังดำรงอยู่” IMCT News ที่มา https://www.armstrongeconomics.com/international-news/politics/us-2024-may-be-our-last/
    WWW.ARMSTRONGECONOMICS.COM
    US 2024 May be Our Last
    This year's election is shaping up to be decided in court rather than the ballot box. Both Donald Trump and Kamala Harris are preparing for what will become a
    Like
    Love
    Wow
    Sad
    36
    1 Comments 1 Shares 1653 Views 0 Reviews
  • SONDHITALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep258 (live)
    กรรมกำลังทำงาน ในที่สุด “สมยศ ตำรวจไซด์ไลน์” ก็ถูกอัยการยื่นฟ้องศาล คดีช่วย “บอส อยู่วิทยา” งานนี้ใครไม่ “อาย” แต่ผม “อาย”
    https://www.youtube.com/watch?v=AjVg0IiFYeA
    SONDHITALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep258 (live) กรรมกำลังทำงาน ในที่สุด “สมยศ ตำรวจไซด์ไลน์” ก็ถูกอัยการยื่นฟ้องศาล คดีช่วย “บอส อยู่วิทยา” งานนี้ใครไม่ “อาย” แต่ผม “อาย” https://www.youtube.com/watch?v=AjVg0IiFYeA
    Like
    Love
    Haha
    Yay
    77
    1 Comments 3 Shares 8751 Views 0 Reviews
  • #ชาลีกามินที่หลายคนอย่างรู้
    รู้แหละติดตามกันเยอะ จะเหล่าให้อ่านกันจะได้เคลีย
    ก็เป็นระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควร ที่หญิงชายคู่นี้
    ได้สร้างรอยยิ้ม ให้บรรยากาศบ้านเมืองได้เบาๆซอฟๆ
    เป็นอะไรที่ คิมีโนโต๊ พอสมควร
    แต่ด้วยความที่แฟนคลับที่รักไปแล้ว
    ไม่อยากจะเชื่อหลายๆอย่างที่เกิดขึ้น
    แต่พี่คิงส์จะประมวลมาให้อ่านกันจะได้ลองพิจารณา
    แล้วจะเคลียใจในที่สุด
    1. ก่อนที่กามินจะห่างกับชาลี ระหว่างที่กามินอยู่กับชาลี กามินไม่รู้ว่าปกติ ชาลีจะมีกล้องวงจรปิดติดไว้รอบบ้าน ในระหว่างที่ยังไม่มีปัญหาอะไรกัน ชาลีเห็นพฤติกรรมบางอย่างลับหลังทางกล้อง รวมถึงได้ยินบทสนทนาที่ถึงกับรับไม่ได้ แต่ด้วยความที่รักไปแล้ว และต้องรับผิดชอบงานในหลายๆอย่างที่ดิลไว้ ก็ต้องอดทน และหวังว่าจะเอาชนะใจกามินได้
    2. วิเคราะห์ว่า กามินเริ่มรู้แล้วว่า บางอย่างที่ไม่ถูกต้อง ชาลีรับรู้แล้ว แต่คิดว่าถึงเวลาต้องทำอะไรซักอย่าง และคนที่อยู่ที่เกาหลีก็สั่งให้กลับทันที
    3. ในขณะที่กามินอ้างว่า ของที่ขนไป พี่คิงส์บอกนะ ไม่ได้ขนแบบกระเป๋าสองใบ แต่ของเยอะมาก ถูกขนขึ้นเรือไป และหลายๆอย่างเป็นของมีค่าที่ไม่ใช่ของกามิน แต่เป็นของชาลีและที่บ้าน หลักฐานทั้งหมดมีอยู่ในกล้องวงจร
    4. ชาลี ได้ให้ทรัพย์สินกับกามิน เพื่อช่วยเหลือครอบครัวกามินไปไม่น้อย
    5. ที่กามินอ้างว่า สงสารพี่ชาย บลาๆๆ คือตั้งแต่มาคู่กับชาลี มีงานเข้ามาต่อเนื่อง ถ้าสงสารก็ส่งเงิน ไม่ได้มีความจำเป็นต้องหนีไปแบบนี้
    6. ชาลี พูดว่า งานนี้หมดตัวเพราะคำว่ารักคำเดียว
    7. งานนี้ไม่ใช่คอนเท้น พอกามินไปที่เกาหลี การแสดงออกที่เป็นตัวตนที่แท้จริงก็ออกมา นั่นคือการเต้นแร้งเต้นกา เย้ยชาลีและเอฟซีคนไทย จนทานกระแสไม่ไหวก็ออกมาบีบน้ำตาเวิ่นเว้อเหมือนเคย
    8. ชาลีได้ดิลงานให้กามินไว้ข้ามปี การที่กามินหนีไป ส่งผลให้ชาลีต้องถูกเจ้าของงานต่างๆฟ้องรัวๆ ถึงขั้นสิ้นเนื้อประดาตัวกันเลยทีเดียว ส่วน อิเหวิงกาฝาก ลอยตัว หอบไปทั้งเงิน ทั้งทรัพย์สินมีค่าของบ้านเน็กชาลี ไม่ต้องรับผิดชอบห่านอะไรเลย ถามว่า มันน่าสงสารตรงไหนฟร๊ะ
    9. ที่เห็นว่า ชาลี พูดอะไรออกมาได้ไม่มาก ด้วยความรู้เยอะของอิเหวิงกามิน พรรคพวกได้เตรียมทนายไว้ ถ้ามีอะไรที่พูดแล้วทำให้อิเหวิงเสียหาย มันจะฟ้องทุกคน สะใจมั๊ยล่ะ
    รอบที่แล้วที่กลับเกาหลีไปแล้วไม่ติดต่อ อันนั้นน่ะของจริง
    คนอย่างอิเหวิง เน็กไม่ใช่สเปคเลย แต่กลับไทยรอบสอง
    ก็แค่กลับมาโกยให้มากที่สุด แล้วค่อยกลับจริงรอบนี้แหละ
    เห็นมั๊ย ไม่ติดต่อชาลีเลย สองสัปดาห์ เพราะการแสดงจบลงแล้วไง
    มิชชั่นคอมพลีท ถ้ามีใจ มันจะทำทุกอย่างเพื่อติดต่อกับคนที่ตัวเองรัก
    นี่มันไม่อะไรเลย เปิดตัวมาก็เต้น
    ที่สำคัญ หาแดรกกับแฟนคลับคนไทยไปเยอะเลยน้า
    จำได้ "ไอฮึ้ง ไอฮึ้ง" จริตแสดงเก่ง น้ำก็ไม่ค่อยอาบ ชาลียังรับได้เลย
    ส่วนที่ยังไม่รู้จริง ไม่แน่ชัด แต่เดานะคือ
    น่าจะมีผัวอยู่แล้วจริงๆ งานจบก็กลับไปหาผัวนั่นแหละ
    ความรักกับชาลีแค่งาน โกยแหลกเอาไปแจกผัวนั่นเอง
    ซึ่งตอนนี้ ที่อิเหวิงไลฟ์บีบน้ำตา เห็นป่ะ พูดถึงรถ ถึงบ้าน
    คือมันมาโกยพอแล้วที่จะสร้างบ้าน ซื้อรถใหม่และมีเงินเก็บใช้จ่ายสบายๆ
    ถ้าแฟนคลับไทยเอะใจนิดเดียวก็จะรู้ว่ามันผิดปกติ
    ทำไม เนกให้เข้าบ้าน เปิดเผยทุกอย่าง
    แต่ทุกครั้งที่อิเหวิงกลับไป ชาลีขอตามไปไม่เคยยอม ลับไปทุกเรื่อง
    ก็เพราะสิ่งที่เป็นจริงกับสิ่งที่อิเหวิงต้องการให้รู้มันไม่เหมือนกันไง
    ล่าสุดอ้างว่ามีพี่ชายน่าสงสาร เพราะขับรถมือสอง 555
    ใครเคยเห็นภาพถ่ายครอบครัวกาฝากซักรูปมั๊ย ไม่เคย
    ชาลีเราก็จริงจังโดดไปเกินร้อย สรุปคนไทยแทบไม่รู้อะไรของกามินเลย
    จริงมั๊ย
    ดังนั้น ใครไปที่ต่อว่าชาลี ตั้งสติดีๆ ว่าใครคือผู้ถูกกระทำกันแน่
    ฝากไว้ให้คิด
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #แน็คชาลี
    #กามิน
    #ชาลีกามินที่หลายคนอย่างรู้ รู้แหละติดตามกันเยอะ จะเหล่าให้อ่านกันจะได้เคลีย ก็เป็นระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควร ที่หญิงชายคู่นี้ ได้สร้างรอยยิ้ม ให้บรรยากาศบ้านเมืองได้เบาๆซอฟๆ เป็นอะไรที่ คิมีโนโต๊ พอสมควร แต่ด้วยความที่แฟนคลับที่รักไปแล้ว ไม่อยากจะเชื่อหลายๆอย่างที่เกิดขึ้น แต่พี่คิงส์จะประมวลมาให้อ่านกันจะได้ลองพิจารณา แล้วจะเคลียใจในที่สุด 1. ก่อนที่กามินจะห่างกับชาลี ระหว่างที่กามินอยู่กับชาลี กามินไม่รู้ว่าปกติ ชาลีจะมีกล้องวงจรปิดติดไว้รอบบ้าน ในระหว่างที่ยังไม่มีปัญหาอะไรกัน ชาลีเห็นพฤติกรรมบางอย่างลับหลังทางกล้อง รวมถึงได้ยินบทสนทนาที่ถึงกับรับไม่ได้ แต่ด้วยความที่รักไปแล้ว และต้องรับผิดชอบงานในหลายๆอย่างที่ดิลไว้ ก็ต้องอดทน และหวังว่าจะเอาชนะใจกามินได้ 2. วิเคราะห์ว่า กามินเริ่มรู้แล้วว่า บางอย่างที่ไม่ถูกต้อง ชาลีรับรู้แล้ว แต่คิดว่าถึงเวลาต้องทำอะไรซักอย่าง และคนที่อยู่ที่เกาหลีก็สั่งให้กลับทันที 3. ในขณะที่กามินอ้างว่า ของที่ขนไป พี่คิงส์บอกนะ ไม่ได้ขนแบบกระเป๋าสองใบ แต่ของเยอะมาก ถูกขนขึ้นเรือไป และหลายๆอย่างเป็นของมีค่าที่ไม่ใช่ของกามิน แต่เป็นของชาลีและที่บ้าน หลักฐานทั้งหมดมีอยู่ในกล้องวงจร 4. ชาลี ได้ให้ทรัพย์สินกับกามิน เพื่อช่วยเหลือครอบครัวกามินไปไม่น้อย 5. ที่กามินอ้างว่า สงสารพี่ชาย บลาๆๆ คือตั้งแต่มาคู่กับชาลี มีงานเข้ามาต่อเนื่อง ถ้าสงสารก็ส่งเงิน ไม่ได้มีความจำเป็นต้องหนีไปแบบนี้ 6. ชาลี พูดว่า งานนี้หมดตัวเพราะคำว่ารักคำเดียว 7. งานนี้ไม่ใช่คอนเท้น พอกามินไปที่เกาหลี การแสดงออกที่เป็นตัวตนที่แท้จริงก็ออกมา นั่นคือการเต้นแร้งเต้นกา เย้ยชาลีและเอฟซีคนไทย จนทานกระแสไม่ไหวก็ออกมาบีบน้ำตาเวิ่นเว้อเหมือนเคย 8. ชาลีได้ดิลงานให้กามินไว้ข้ามปี การที่กามินหนีไป ส่งผลให้ชาลีต้องถูกเจ้าของงานต่างๆฟ้องรัวๆ ถึงขั้นสิ้นเนื้อประดาตัวกันเลยทีเดียว ส่วน อิเหวิงกาฝาก ลอยตัว หอบไปทั้งเงิน ทั้งทรัพย์สินมีค่าของบ้านเน็กชาลี ไม่ต้องรับผิดชอบห่านอะไรเลย ถามว่า มันน่าสงสารตรงไหนฟร๊ะ 9. ที่เห็นว่า ชาลี พูดอะไรออกมาได้ไม่มาก ด้วยความรู้เยอะของอิเหวิงกามิน พรรคพวกได้เตรียมทนายไว้ ถ้ามีอะไรที่พูดแล้วทำให้อิเหวิงเสียหาย มันจะฟ้องทุกคน สะใจมั๊ยล่ะ รอบที่แล้วที่กลับเกาหลีไปแล้วไม่ติดต่อ อันนั้นน่ะของจริง คนอย่างอิเหวิง เน็กไม่ใช่สเปคเลย แต่กลับไทยรอบสอง ก็แค่กลับมาโกยให้มากที่สุด แล้วค่อยกลับจริงรอบนี้แหละ เห็นมั๊ย ไม่ติดต่อชาลีเลย สองสัปดาห์ เพราะการแสดงจบลงแล้วไง มิชชั่นคอมพลีท ถ้ามีใจ มันจะทำทุกอย่างเพื่อติดต่อกับคนที่ตัวเองรัก นี่มันไม่อะไรเลย เปิดตัวมาก็เต้น ที่สำคัญ หาแดรกกับแฟนคลับคนไทยไปเยอะเลยน้า จำได้ "ไอฮึ้ง ไอฮึ้ง" จริตแสดงเก่ง น้ำก็ไม่ค่อยอาบ ชาลียังรับได้เลย ส่วนที่ยังไม่รู้จริง ไม่แน่ชัด แต่เดานะคือ น่าจะมีผัวอยู่แล้วจริงๆ งานจบก็กลับไปหาผัวนั่นแหละ ความรักกับชาลีแค่งาน โกยแหลกเอาไปแจกผัวนั่นเอง ซึ่งตอนนี้ ที่อิเหวิงไลฟ์บีบน้ำตา เห็นป่ะ พูดถึงรถ ถึงบ้าน คือมันมาโกยพอแล้วที่จะสร้างบ้าน ซื้อรถใหม่และมีเงินเก็บใช้จ่ายสบายๆ ถ้าแฟนคลับไทยเอะใจนิดเดียวก็จะรู้ว่ามันผิดปกติ ทำไม เนกให้เข้าบ้าน เปิดเผยทุกอย่าง แต่ทุกครั้งที่อิเหวิงกลับไป ชาลีขอตามไปไม่เคยยอม ลับไปทุกเรื่อง ก็เพราะสิ่งที่เป็นจริงกับสิ่งที่อิเหวิงต้องการให้รู้มันไม่เหมือนกันไง ล่าสุดอ้างว่ามีพี่ชายน่าสงสาร เพราะขับรถมือสอง 555 ใครเคยเห็นภาพถ่ายครอบครัวกาฝากซักรูปมั๊ย ไม่เคย ชาลีเราก็จริงจังโดดไปเกินร้อย สรุปคนไทยแทบไม่รู้อะไรของกามินเลย จริงมั๊ย ดังนั้น ใครไปที่ต่อว่าชาลี ตั้งสติดีๆ ว่าใครคือผู้ถูกกระทำกันแน่ ฝากไว้ให้คิด #คิงส์โพธิ์แดง #แน็คชาลี #กามิน
    Like
    4
    1 Comments 0 Shares 1700 Views 0 Reviews
  • วัคซีนไม่ช่วยป้องกันการเกิดลองโควิด
    5 กันยายน 2024
    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต

    อาการของลองโควิด (long covid) เป็นอาการที่เกิดขึ้นหลังจากที่ติดเชื้อไปแล้วไม่ว่าจะรุนแรงหรืออาการน้อยนิดก็ตาม
    และปรากฏได้หลังจากที่ฉีดวัคซีนไปแล้วโดยเรียกกันว่าเป็นลองวัคซีน หรือ ลองแวกซ์ (long vax) และอาการดำเนินต่อเนื่องยาวนานกว่าสามเดือนและทอดยาวเป็นปี

    โดยออกมาในรูปแบบของ
    • ระบบหัวใจและการหายใจ (cardiorespiratory) เหนื่อยแม้กระทั่งเวลาจะเดิน ยังเดินไม่ไหว ชีพจรและความดันผันผวน สูงลิบสลับกับต่ำเตี้ย จนกระทั่งเป็นลม ต้องนอนหรือนั่งเอนอนตลอดอาการในข้อนี้ ตรวจด้วยเครื่องมือและวิธีการต่างๆกลับไม่พบหรือหาสาเหตุไม่ได้ และในที่สุดถูกส่งไปรักษากับจิตแพทย์
    • ระบบสมองและประสาท รวมจิตอารมณ์ (neuropsychiatric) ทั้งสมองเสื่อม ความจำสั้นเลอะเลือน การนอนผิดปกติ อารมณ์หดหู่ ไปจนกระทั่งถึงอาการกระตุก มีโรคลมชักเกิดขึ้นใหม่ เป็นต้น และเกิดความบกพร่องทางฮอร์โมนการควบคุมประจำเดือน ความต้องการทางเพศจนกระทั่งถึงความล้มเหลวของการมีเพศสัมพันธ์ และภาวะอสุจิน้อยลงหรือผิดปกติ ทั้งนี้มีส่วนของการทำลายที่ระบบสืบพันธุ์โดยตรงด้วยเช่น ลูกอัณฑะ รังไข่ ความแปรปรวนทางด้านฮอร์โมนยังเกิดกับการควบคุมฮอร์โมนที่มาจากสมองส่งมายังต่อมไร้ท่อต่างๆ แต่ทั้งนี้ยังมีกลไกของการแพ้ภูมิตนเองทำให้เกิดเบาหวาน ที่ดื้ออินซูลิน จนกระทั่งถึงกลไกการทำลายตับอ่อนที่ผลิตอินซูลิน
    • ระบบเส้นประสาทกล้ามเนื้อ (neuromuscular) ทั้งชา เจ็บแสบ คัน ตามแขนขาและบริเวณส่วนต่างๆของร่างกาย และ/หรือ มีกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือตะคริว ตามมือแขนขา และส่วนต่างๆของร่างกายแม้กระทั่งใบหน้า
    • ภาวะอักเสบง่าย (proinflammatory) เกิดผื่นตุ่มหนองผมร่วง ปวดข้อเส้นเอ็นกล้ามเนื้อ การอักเสบยังรวมไปถึงลูกตาเปลือกตาหนังตา เจ็บแสบริมฝีปาก กระพุงแก้ม ลิ้นลำคอ ทั้งนี้เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันแปรปรวนเพิ่มสูงมากไปทำร้ายตัวเอง และระบบป้องกันเชื้อโรค ไม่ว่า จะเป็นไวรัสแบคทีเรียก็ตาม และที่ควบคุม เชื้อที่ซ่อนอยู่บกพร่องไม่ว่าจะเป็น เริม งูสวัด
    • ความผิดปกติของระบบหลอดเลือดหัวใจ สมอง และทั่วร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นหลอดเลือดดำหรือแดงก็ตาม เกิดเลือดหนืดข้นผนังหลอดเลือดอักเสบ และกระทบกล้ามเนื้อหัวใจ ก่อให้เกิดเส้นเลือดตันหรือแตกโดยเฉพาะสมอง และกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ หัวใจวายหรือ ทำให้ขัดขวางจังหวะการเต้นของหัวใจเกิดเสียชีวิตกระทันหันทั้งทั้งที่อายุน้อยแข็งแรงสมบูรณ์ไม่มีโรคประจำตัวก็ตามและถ้าสูงวัยและมีโรคประจำตัวด้วยจะยิ่งง่าย เข้าไปอีก
    • ความผิดปกติของการทำงานระบบทางเดินอาหาร เกิดลำไส้หงุดหงิด ท้องผูกอย่างรุนแรง สลับท้องเสีย เป็นผลจากการควบคุม จากสมองผ่านระบบประสาทลงมาอย่างกระเพาะอาหารและลำไส้

    วัคซีนโควิดที่ใช้นั้น มีวัตถุประสงค์ที่จะป้องกันการติดเชื้อ การแพร่เชื้อ และการอาการหนัก เข้าโรงพยาบาลหรือลดอัตราตาย แต่ทั้งหมดนี้ได้รับการยืนยันและเผยแพร่ทั่วไปแล้วว่าไม่สามารถป้องกันได้ (รายละเอียดได้มีการเผยแพร่ก่อนหน้านี้)
    อย่างไรก็ตามยังมีจุดประสงค์ที่จะสามารถลดอาการของลองโควิด ที่จะเกิด ตามมาและสามารถทอดยาวได้เป็นปี
    การศึกษานี้รายงานใน วารสาร open Forum Infectious Diseases ซึ่งเป็นวารสารทางการของ สมาคมโรคติดเชื้อของอเมริกา (IDSA) และ สมาคม HIV เป็น accepted manuscript แล้ว ในเดือน กันยายนนี้
    จากคณะทำงาน Mayo Clinic
    สาระสำคัญนั้นอยู่ที่การรายงานก่อนหน้านี้พบว่าการฉีดวัคซีนนั้นสามารถลดอัตราที่จะเกิดลองโควิดได้ แต่ข้อจำกัดก็คือรายงานเหล่านี้เป็นการสืบจากอาการสอบถาม ซึ่งอาจทำให้คลาดเคลื่อน แต่การศึกษานี้เป็นการยืนยันจากแพทย์ที่ได้ทำการวินิจฉัยวิเคราะห์และมีบันทึก ทางการแพทย์เป็นอิเล็กทรอนิกส์เรคคอร์ด
    การวิเคราะห์นี้ทำจากข้อมูลของผู้ที่ได้รับการยืนยันว่าติดโควิดจำนวนทั้งหมด 41,000 ราย และใช้โมเดลทางสถิติ multi variable logistic regression เพื่อประเมินความสัมพันธ์ระหว่างการฉีดวัคซีนและภาวะการเกิดลอง โควิด ทั้งนี้โดยการควบคุมตัวแปรทั้งหมด เช่นอายุ เพศเชื้อชาติ และโรคประจำตัวที่มีอยู่แล้ว
    ทั้งนี้ผลการศึกษาสามารถยืนยันและสรุปได้ชัดเจนว่าไม่มีความแตกต่างในการเกิดภาวะ ลองโควิด หรือที่เรียกอีกชื่อในทางการแพทย์ post acute sequelae of COVID-19 (PASC) ในระหว่างกลุ่มที่ไม่เคยได้รับวัคซีนเลย กลุ่มที่ได้รับวัคซีน mRNA สองเข็มและกลุ่มที่ได้รับวัคซีนมากกว่าสองเข็ม

    และต่างกับรายงานก่อนหน้านี้อย่างชัดเจนที่สรุปว่าภาวะลองโควิดนั้น ขึ้นอยู่กับสุขภาพหรือโรคประจำตัวก่อนที่ได้รับวัคซีน
    ทั้งนี้ปรากฏว่า ผู้ติดเชื้อทั้งหมดจะมี 6.9% ที่พัฒนาการเกิดภาวะ ลองโควิด
    และประการที่สำคัญยังพบว่าการฉีดวัคซีนนั้นไม่ป้องกันภาวะการเกิดลองโควิด ไม่ว่าเชื้อที่แพร่กระจายในขณะนั้นจะเป็นสายพันธุ์ใดก็ตาม ทั้ง อัลฟ่า เดลต้า และโอไมครอน
    แต่มีข้อสังเกตว่าในสายพันธุ์โอไมครอนนั้นจะเกิดภาวะลองโควิด ต่ำกว่า
    ดังนั้น สามารถที่จะได้หลักฐานข้อมูลว่าวัคซีนนั้นน่าจะไม่สามารถป้องกันการติด การแพร่ การพัฒนาการเกิดอาการหนัก รวมทั้งไม่สามารถป้องกันการเกิดลอง โควิดด้วย
    และที่สำคัญก็คือตัววัคซีนเองนั้นยังทำให้เกิดภาวะลอง วัคซีนได้โดยมีอาการเหมือนกับลองโควิดทุกประการ









    Open Forum Infectious Diseases is published by Oxford University Press on behalf of the Infectious Diseases Society of America (IDSA) and the HIV Medicine Association.

    The study, led by Dr. Melanie D. Swift and her team at Mayo Clinic, analyzed data from over 41,000 patients who tested positive for COVID.
    Researchers used multivariable logistic regression models to evaluate the correlation between vaccination status and long COVID, controlling for factors such as age, sex, race, and comorbidity index.

    According to the study, “No difference in the development of diagnosed PASC was observed between unvaccinated patients, those vaccinated with 2 doses of an mRNA vaccine, and those with >2 doses.”

    In contrast to earlier studies that relied on symptom surveys to assess long COVID risk, this study used electronic health records to track medically diagnosed cases of long COVID.
    “Most studies using symptom surveys found an association between pre-infection vaccination status and PASC symptoms, but studies of medically attended PASC are less common and have reported conflicting findings,” the study explained.
    The researchers found that approximately 6.9% of the patients developed long COVID, with no significant protection offered by the vaccine.

    the study noted that the risk of developing long COVID was lower for those infected during the Omicron variant period.
    However, “No interaction was found between vaccination status and predominant circulating SARS-CoV-2 variant (p=0.79).”



    chrome://external-file/Ofae495.pdf
    วัคซีนไม่ช่วยป้องกันการเกิดลองโควิด 5 กันยายน 2024 ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต อาการของลองโควิด (long covid) เป็นอาการที่เกิดขึ้นหลังจากที่ติดเชื้อไปแล้วไม่ว่าจะรุนแรงหรืออาการน้อยนิดก็ตาม และปรากฏได้หลังจากที่ฉีดวัคซีนไปแล้วโดยเรียกกันว่าเป็นลองวัคซีน หรือ ลองแวกซ์ (long vax) และอาการดำเนินต่อเนื่องยาวนานกว่าสามเดือนและทอดยาวเป็นปี โดยออกมาในรูปแบบของ • ระบบหัวใจและการหายใจ (cardiorespiratory) เหนื่อยแม้กระทั่งเวลาจะเดิน ยังเดินไม่ไหว ชีพจรและความดันผันผวน สูงลิบสลับกับต่ำเตี้ย จนกระทั่งเป็นลม ต้องนอนหรือนั่งเอนอนตลอดอาการในข้อนี้ ตรวจด้วยเครื่องมือและวิธีการต่างๆกลับไม่พบหรือหาสาเหตุไม่ได้ และในที่สุดถูกส่งไปรักษากับจิตแพทย์ • ระบบสมองและประสาท รวมจิตอารมณ์ (neuropsychiatric) ทั้งสมองเสื่อม ความจำสั้นเลอะเลือน การนอนผิดปกติ อารมณ์หดหู่ ไปจนกระทั่งถึงอาการกระตุก มีโรคลมชักเกิดขึ้นใหม่ เป็นต้น และเกิดความบกพร่องทางฮอร์โมนการควบคุมประจำเดือน ความต้องการทางเพศจนกระทั่งถึงความล้มเหลวของการมีเพศสัมพันธ์ และภาวะอสุจิน้อยลงหรือผิดปกติ ทั้งนี้มีส่วนของการทำลายที่ระบบสืบพันธุ์โดยตรงด้วยเช่น ลูกอัณฑะ รังไข่ ความแปรปรวนทางด้านฮอร์โมนยังเกิดกับการควบคุมฮอร์โมนที่มาจากสมองส่งมายังต่อมไร้ท่อต่างๆ แต่ทั้งนี้ยังมีกลไกของการแพ้ภูมิตนเองทำให้เกิดเบาหวาน ที่ดื้ออินซูลิน จนกระทั่งถึงกลไกการทำลายตับอ่อนที่ผลิตอินซูลิน • ระบบเส้นประสาทกล้ามเนื้อ (neuromuscular) ทั้งชา เจ็บแสบ คัน ตามแขนขาและบริเวณส่วนต่างๆของร่างกาย และ/หรือ มีกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือตะคริว ตามมือแขนขา และส่วนต่างๆของร่างกายแม้กระทั่งใบหน้า • ภาวะอักเสบง่าย (proinflammatory) เกิดผื่นตุ่มหนองผมร่วง ปวดข้อเส้นเอ็นกล้ามเนื้อ การอักเสบยังรวมไปถึงลูกตาเปลือกตาหนังตา เจ็บแสบริมฝีปาก กระพุงแก้ม ลิ้นลำคอ ทั้งนี้เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันแปรปรวนเพิ่มสูงมากไปทำร้ายตัวเอง และระบบป้องกันเชื้อโรค ไม่ว่า จะเป็นไวรัสแบคทีเรียก็ตาม และที่ควบคุม เชื้อที่ซ่อนอยู่บกพร่องไม่ว่าจะเป็น เริม งูสวัด • ความผิดปกติของระบบหลอดเลือดหัวใจ สมอง และทั่วร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นหลอดเลือดดำหรือแดงก็ตาม เกิดเลือดหนืดข้นผนังหลอดเลือดอักเสบ และกระทบกล้ามเนื้อหัวใจ ก่อให้เกิดเส้นเลือดตันหรือแตกโดยเฉพาะสมอง และกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ หัวใจวายหรือ ทำให้ขัดขวางจังหวะการเต้นของหัวใจเกิดเสียชีวิตกระทันหันทั้งทั้งที่อายุน้อยแข็งแรงสมบูรณ์ไม่มีโรคประจำตัวก็ตามและถ้าสูงวัยและมีโรคประจำตัวด้วยจะยิ่งง่าย เข้าไปอีก • ความผิดปกติของการทำงานระบบทางเดินอาหาร เกิดลำไส้หงุดหงิด ท้องผูกอย่างรุนแรง สลับท้องเสีย เป็นผลจากการควบคุม จากสมองผ่านระบบประสาทลงมาอย่างกระเพาะอาหารและลำไส้ วัคซีนโควิดที่ใช้นั้น มีวัตถุประสงค์ที่จะป้องกันการติดเชื้อ การแพร่เชื้อ และการอาการหนัก เข้าโรงพยาบาลหรือลดอัตราตาย แต่ทั้งหมดนี้ได้รับการยืนยันและเผยแพร่ทั่วไปแล้วว่าไม่สามารถป้องกันได้ (รายละเอียดได้มีการเผยแพร่ก่อนหน้านี้) อย่างไรก็ตามยังมีจุดประสงค์ที่จะสามารถลดอาการของลองโควิด ที่จะเกิด ตามมาและสามารถทอดยาวได้เป็นปี การศึกษานี้รายงานใน วารสาร open Forum Infectious Diseases ซึ่งเป็นวารสารทางการของ สมาคมโรคติดเชื้อของอเมริกา (IDSA) และ สมาคม HIV เป็น accepted manuscript แล้ว ในเดือน กันยายนนี้ จากคณะทำงาน Mayo Clinic สาระสำคัญนั้นอยู่ที่การรายงานก่อนหน้านี้พบว่าการฉีดวัคซีนนั้นสามารถลดอัตราที่จะเกิดลองโควิดได้ แต่ข้อจำกัดก็คือรายงานเหล่านี้เป็นการสืบจากอาการสอบถาม ซึ่งอาจทำให้คลาดเคลื่อน แต่การศึกษานี้เป็นการยืนยันจากแพทย์ที่ได้ทำการวินิจฉัยวิเคราะห์และมีบันทึก ทางการแพทย์เป็นอิเล็กทรอนิกส์เรคคอร์ด การวิเคราะห์นี้ทำจากข้อมูลของผู้ที่ได้รับการยืนยันว่าติดโควิดจำนวนทั้งหมด 41,000 ราย และใช้โมเดลทางสถิติ multi variable logistic regression เพื่อประเมินความสัมพันธ์ระหว่างการฉีดวัคซีนและภาวะการเกิดลอง โควิด ทั้งนี้โดยการควบคุมตัวแปรทั้งหมด เช่นอายุ เพศเชื้อชาติ และโรคประจำตัวที่มีอยู่แล้ว ทั้งนี้ผลการศึกษาสามารถยืนยันและสรุปได้ชัดเจนว่าไม่มีความแตกต่างในการเกิดภาวะ ลองโควิด หรือที่เรียกอีกชื่อในทางการแพทย์ post acute sequelae of COVID-19 (PASC) ในระหว่างกลุ่มที่ไม่เคยได้รับวัคซีนเลย กลุ่มที่ได้รับวัคซีน mRNA สองเข็มและกลุ่มที่ได้รับวัคซีนมากกว่าสองเข็ม และต่างกับรายงานก่อนหน้านี้อย่างชัดเจนที่สรุปว่าภาวะลองโควิดนั้น ขึ้นอยู่กับสุขภาพหรือโรคประจำตัวก่อนที่ได้รับวัคซีน ทั้งนี้ปรากฏว่า ผู้ติดเชื้อทั้งหมดจะมี 6.9% ที่พัฒนาการเกิดภาวะ ลองโควิด และประการที่สำคัญยังพบว่าการฉีดวัคซีนนั้นไม่ป้องกันภาวะการเกิดลองโควิด ไม่ว่าเชื้อที่แพร่กระจายในขณะนั้นจะเป็นสายพันธุ์ใดก็ตาม ทั้ง อัลฟ่า เดลต้า และโอไมครอน แต่มีข้อสังเกตว่าในสายพันธุ์โอไมครอนนั้นจะเกิดภาวะลองโควิด ต่ำกว่า ดังนั้น สามารถที่จะได้หลักฐานข้อมูลว่าวัคซีนนั้นน่าจะไม่สามารถป้องกันการติด การแพร่ การพัฒนาการเกิดอาการหนัก รวมทั้งไม่สามารถป้องกันการเกิดลอง โควิดด้วย และที่สำคัญก็คือตัววัคซีนเองนั้นยังทำให้เกิดภาวะลอง วัคซีนได้โดยมีอาการเหมือนกับลองโควิดทุกประการ Open Forum Infectious Diseases is published by Oxford University Press on behalf of the Infectious Diseases Society of America (IDSA) and the HIV Medicine Association. The study, led by Dr. Melanie D. Swift and her team at Mayo Clinic, analyzed data from over 41,000 patients who tested positive for COVID. Researchers used multivariable logistic regression models to evaluate the correlation between vaccination status and long COVID, controlling for factors such as age, sex, race, and comorbidity index. According to the study, “No difference in the development of diagnosed PASC was observed between unvaccinated patients, those vaccinated with 2 doses of an mRNA vaccine, and those with >2 doses.” In contrast to earlier studies that relied on symptom surveys to assess long COVID risk, this study used electronic health records to track medically diagnosed cases of long COVID. “Most studies using symptom surveys found an association between pre-infection vaccination status and PASC symptoms, but studies of medically attended PASC are less common and have reported conflicting findings,” the study explained. The researchers found that approximately 6.9% of the patients developed long COVID, with no significant protection offered by the vaccine. the study noted that the risk of developing long COVID was lower for those infected during the Omicron variant period. However, “No interaction was found between vaccination status and predominant circulating SARS-CoV-2 variant (p=0.79).” chrome://external-file/Ofae495.pdf
    Like
    9
    0 Comments 2 Shares 964 Views 0 Reviews
  • สยามพรีเมียมเอาท์เล็ต จากกรุงเทพฯ สู่ภูเก็ต

    หลังจากเปิดให้บริการมานานกว่า 4 ปี ในที่สุด สยามพิวรรธน์ ไซม่อน (Siam Piwat Simon) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างสยามพิวรรธน์ กับไซม่อน บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จากสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศขยายการลงทุนศูนย์การค้าสยาม พรีเมียม เอาท์เล็ต (Siam Premium Outlet) แห่งที่ 2 ที่จังหวัดภูเก็ต แม้จะล่าช้าจากเดิมที่เคยประกาศเมื่อปี 2561 ว่าตั้งเป้า 3 ปี เปิด 3 แห่ง ในกรุงเทพฯ ภาคเหนือ และภาคใต้ ใช้งบลงทุน 1 หมื่นล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 และเศรษฐกิจซบเซา

    แม้จะยังไม่เปิดเผยทำเลว่า สยาม พรีเมียม เอาท์เล็ต แห่งที่ 2 ตั้งอยู่ส่วนใด นอกจากระบุเพียงตั้งอยู่ใจกลางจังหวัดภูเก็ต แต่ได้ตั้งเป้าหมายเปิดให้บริการในปี 2569 หรืออีก 2 ปีข้างหน้า ท่ามกลางการแข่งขันของจำนวนห้างค้าปลีกที่มีมากถึง 14 แห่ง ไฮเปอร์มาร์เก็ตอีก 19 แห่ง รวมทั้งเป็นทำเลจุดหมายสำคัญ ที่กลุ่มผู้ประกอบการทั้งผู้เช่าเดิมในโครงการสยาม พรีเมียม เอาท์เล็ต กรุงเทพ และผู้เช่าใหม่จำนวนมาก ต่างแสดงความต้องการและให้ข้อเสนอแนะให้บริษัทฯ ลงทุนขยายโครงการใหม่

    จุดเด่นของภูเก็ต ถือเป็นเมืองยอดนิยมของนักท่องเที่ยวอันดับ 2 รองจากกรุงเทพฯ เป็นหนึ่งใน Global Destination ของนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติจากทั่วโลก เดินทางเข้าสู่จังหวัดต่อปีไม่ต่ำกว่า 15 ล้านคน มีท่าอากาศยานภูเก็ต รองรับผู้โดยสารได้ถึง 20 ล้านคนต่อปี ค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวค่อนข้างสูง เฉลี่ย 8,355 บาทต่อคนต่อวัน รวมถึงคนไทยในพื้นที่ และชาวต่างชาติที่มาพำนักอยู่เป็นระยะเวลานาน (Expat) มีกำลังซื้อสูง และมีโรงเรียนนานาชาติมากถึง 15 แห่ง

    สำหรับการออกแบบ จะรังสรรค์ภายใต้คอนเซปต์พิเศษที่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะ คํานึงถึงการตอบสนองความต้องการในปัจจุบันและรองรับการเติบโตของภูเก็ตอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งจะมีโครงการสนามบินนานาชาติอันดามัน จ.พังงา ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

    สำหรับศูนย์การค้าสยาม พรีเมียม เอาท์เล็ต กรุงเทพ ตั้งอยู่ริมถนนมอเตอร์เวย์หมายเลข 7 (กรุงเทพฯ-ชลบุรี) เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2563 ประกอบด้วยร้านค้ากว่า 300 ร้าน ทั้งร้านค้าลักชัวรี่แบรนด์ แบรนด์ระดับอินเตอร์เนชั่นแนล และแบรนด์ไทยต่างๆ ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ผลประกอบการในปี 2566 ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผู้เข้าใช้บริการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง และอัตราการเช่าพื้นที่ของโครงการเต็ม 100%

    #Newskit #SiamPiwat #SiamPremiumOutletsPhuket
    สยามพรีเมียมเอาท์เล็ต จากกรุงเทพฯ สู่ภูเก็ต หลังจากเปิดให้บริการมานานกว่า 4 ปี ในที่สุด สยามพิวรรธน์ ไซม่อน (Siam Piwat Simon) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างสยามพิวรรธน์ กับไซม่อน บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จากสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศขยายการลงทุนศูนย์การค้าสยาม พรีเมียม เอาท์เล็ต (Siam Premium Outlet) แห่งที่ 2 ที่จังหวัดภูเก็ต แม้จะล่าช้าจากเดิมที่เคยประกาศเมื่อปี 2561 ว่าตั้งเป้า 3 ปี เปิด 3 แห่ง ในกรุงเทพฯ ภาคเหนือ และภาคใต้ ใช้งบลงทุน 1 หมื่นล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 และเศรษฐกิจซบเซา แม้จะยังไม่เปิดเผยทำเลว่า สยาม พรีเมียม เอาท์เล็ต แห่งที่ 2 ตั้งอยู่ส่วนใด นอกจากระบุเพียงตั้งอยู่ใจกลางจังหวัดภูเก็ต แต่ได้ตั้งเป้าหมายเปิดให้บริการในปี 2569 หรืออีก 2 ปีข้างหน้า ท่ามกลางการแข่งขันของจำนวนห้างค้าปลีกที่มีมากถึง 14 แห่ง ไฮเปอร์มาร์เก็ตอีก 19 แห่ง รวมทั้งเป็นทำเลจุดหมายสำคัญ ที่กลุ่มผู้ประกอบการทั้งผู้เช่าเดิมในโครงการสยาม พรีเมียม เอาท์เล็ต กรุงเทพ และผู้เช่าใหม่จำนวนมาก ต่างแสดงความต้องการและให้ข้อเสนอแนะให้บริษัทฯ ลงทุนขยายโครงการใหม่ จุดเด่นของภูเก็ต ถือเป็นเมืองยอดนิยมของนักท่องเที่ยวอันดับ 2 รองจากกรุงเทพฯ เป็นหนึ่งใน Global Destination ของนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติจากทั่วโลก เดินทางเข้าสู่จังหวัดต่อปีไม่ต่ำกว่า 15 ล้านคน มีท่าอากาศยานภูเก็ต รองรับผู้โดยสารได้ถึง 20 ล้านคนต่อปี ค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวค่อนข้างสูง เฉลี่ย 8,355 บาทต่อคนต่อวัน รวมถึงคนไทยในพื้นที่ และชาวต่างชาติที่มาพำนักอยู่เป็นระยะเวลานาน (Expat) มีกำลังซื้อสูง และมีโรงเรียนนานาชาติมากถึง 15 แห่ง สำหรับการออกแบบ จะรังสรรค์ภายใต้คอนเซปต์พิเศษที่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะ คํานึงถึงการตอบสนองความต้องการในปัจจุบันและรองรับการเติบโตของภูเก็ตอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งจะมีโครงการสนามบินนานาชาติอันดามัน จ.พังงา ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต สำหรับศูนย์การค้าสยาม พรีเมียม เอาท์เล็ต กรุงเทพ ตั้งอยู่ริมถนนมอเตอร์เวย์หมายเลข 7 (กรุงเทพฯ-ชลบุรี) เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2563 ประกอบด้วยร้านค้ากว่า 300 ร้าน ทั้งร้านค้าลักชัวรี่แบรนด์ แบรนด์ระดับอินเตอร์เนชั่นแนล และแบรนด์ไทยต่างๆ ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ผลประกอบการในปี 2566 ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผู้เข้าใช้บริการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง และอัตราการเช่าพื้นที่ของโครงการเต็ม 100% #Newskit #SiamPiwat #SiamPremiumOutletsPhuket
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 741 Views 0 Reviews
  • กลุ่มมุสลิมในสหรัฐฯ บอกกับไบเดนว่า “ให้ปฏิบัติต่อชาวปาเลสเหมือนเป็นมนุษย์”
    สภาความสัมพันธ์อเมริกัน-อิสลาม (CAIR) เรียกร้องให้ไบเดนประณามการดับชีพชายชาวปาเลสวัย 58 ปีจากเขตเวสต์แบงก์ที่ถูกยึดครอง ซึ่งร่างไร้วิญญาณของเขาถูกส่งกลับพร้อมร่องรอยการทรมานที่ชัดเจน หลังจากอยู่ในความควบคุมตัวของเอลเป็นเวลา 2 ชั่วโมง
    นายนิฮาด อาวาด ผู้อำนวยการบริหารระดับชาติของ CAIR กล่าวในแถลงการณ์ว่า "ประธานาธิบดีไบเดนประณามการดับชีพตัวประกันชาวเอลอย่างชัดเจนเช่นเดียวกัน และควรประณามการทรมานและดับชีพชายชาวปาเลสวัย 58 ปีจากเขตเวสต์แบงก์ และการดับชีพหมู่พลเรือนปาเลสหลายหมื่นคน ในกาซาเช่นเดียวกัน "
    “ชีวิตมนุษย์ที่บริสุทธิ์ทุกชีวิตมีความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นชาวปาเลส ชาวเอล หรือชาวอเมริกัน แต่นโยบายและวาทกรรมของรัฐบาลของเรากลับบอกเป็นอย่างอื่น ในที่สุด ประธานาธิบดีไบเดนจะต้องเริ่มปฏิบัติต่อชาวปาเลสในฐานะมนุษย์ที่สมควรได้รับสิทธิเช่นเดียวกับคนอื่นๆ”
    นอกจากนี้ อาวาดยังยินดีต้อนรับคำพูดของไบเดนที่ว่า เนทันยาฮูไม่ได้ทำอะไรมากพอในการปล่อยตัวนักโทษชาวเอลในกาซา แต่กล่าวว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะต้องปฏิบัติให้สมกับคำพูดของเขา
    .
    #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews #สิ่งที่เกิดขึ้นจริงบนโลกใบนี้
    #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง
    -------------------------------
    สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    กลุ่มมุสลิมในสหรัฐฯ บอกกับไบเดนว่า “ให้ปฏิบัติต่อชาวปาเลสเหมือนเป็นมนุษย์” สภาความสัมพันธ์อเมริกัน-อิสลาม (CAIR) เรียกร้องให้ไบเดนประณามการดับชีพชายชาวปาเลสวัย 58 ปีจากเขตเวสต์แบงก์ที่ถูกยึดครอง ซึ่งร่างไร้วิญญาณของเขาถูกส่งกลับพร้อมร่องรอยการทรมานที่ชัดเจน หลังจากอยู่ในความควบคุมตัวของเอลเป็นเวลา 2 ชั่วโมง นายนิฮาด อาวาด ผู้อำนวยการบริหารระดับชาติของ CAIR กล่าวในแถลงการณ์ว่า "ประธานาธิบดีไบเดนประณามการดับชีพตัวประกันชาวเอลอย่างชัดเจนเช่นเดียวกัน และควรประณามการทรมานและดับชีพชายชาวปาเลสวัย 58 ปีจากเขตเวสต์แบงก์ และการดับชีพหมู่พลเรือนปาเลสหลายหมื่นคน ในกาซาเช่นเดียวกัน " “ชีวิตมนุษย์ที่บริสุทธิ์ทุกชีวิตมีความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นชาวปาเลส ชาวเอล หรือชาวอเมริกัน แต่นโยบายและวาทกรรมของรัฐบาลของเรากลับบอกเป็นอย่างอื่น ในที่สุด ประธานาธิบดีไบเดนจะต้องเริ่มปฏิบัติต่อชาวปาเลสในฐานะมนุษย์ที่สมควรได้รับสิทธิเช่นเดียวกับคนอื่นๆ” นอกจากนี้ อาวาดยังยินดีต้อนรับคำพูดของไบเดนที่ว่า เนทันยาฮูไม่ได้ทำอะไรมากพอในการปล่อยตัวนักโทษชาวเอลในกาซา แต่กล่าวว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะต้องปฏิบัติให้สมกับคำพูดของเขา . #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews #สิ่งที่เกิดขึ้นจริงบนโลกใบนี้ #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง ------------------------------- สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 376 Views 0 Reviews
  • พิมพ์เขียวของไวรัสโควิดมาจากโครงการ DEFUSE 2018
    และ PREEMPT
    แต่ที่สำคัญ อีกประการ คือรวมถึงการสร้างไวรัสใหม่เข้าไปติดเชื้อในค้างคาว ในโครงการแรกแต่ต้อง สเปรย์บ่อยๆ
    และในโครงการที่สองให้แพร่ติดในหมู่ค้างคาวเองก่อน แต่หลังจากนั้นให้ค้างคาวปล่อยเชื้อเข้าไปในฝูงอื่น ติดต่อไปเรื่อยๆทางละอองฝอย เป็นการติดเชื้อกันเองเป็นทอดๆ

    นัย ว่า เพื่อให้เป็นวัคซีนของค้างคาวในการป้องกันการแพร่ไวรัสโคโรนา

    โดยตัวที่จะเอามาติดในค้างคาวนั้น เป็นตัวที่จะครอบคลุมไวรัสโคโรนาทั้งหมดที่จะมีวิวัฒนาการสูงสุดแล้ว นั่นคือร้ายแรงที่สุดแล้ว (ทั้งนี้ค้างคาวเมื่อติดเชื้อแล้วไม่เกิดอาการ)

    หลังจากนั้น มีการรวมโครงการทั้งสองเข้าเป็นหนึ่งเดียว คือ
    CREID และในตะวันออกเฉียงใต้ ตือ SEARCH

    โดยในโครงการหลักนี้ที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบันจะทำการหาเชื้อไวรัสที่ใกล้เคียงกับโควิดมากที่สุด และทำการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งตัว และจากนั้นทำการ สร้างไวรัสโควิดใหม่ในห้องทดลองที่ร้ายแรงกว่าเก่า ทั้งนี้รวมการสร้างไวรัสอีโบลาใหม่และสร้างไวรัสนิปาห์ใหม่

    และหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆรวมในประเทศไทย ก็คือการหาไวรัสเหล่านี้ถอดรหัสพันธุกรรมและส่งให้องค์กรต่างประเทศ

    นี่คือ ธุรกิจสร้างไวรัสข้ามชาติให้เกิดเป็นการระบาดทั่วโลก pandemic ซ้ำแล้วซ้ำเล่า วัคซีนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    และคนตายไปเรื่อยๆ

    ข้อมูลเหล่านี้สามารถสืบค้นได้จากการสอบสวนของรัฐสภาสหรัฐที่มีต่อองค์กรและสถาบันที่เกี่ยวข้องในการให้ทุนและการกำเนิดตั้งแต่โควิดเป็นต้นมา และ จากข้อมูลที่ต้องเปิดเผยโดยผ่านทางกฎหมายความโปร่งใสของข้อมูลทำให้ได้รายละเอียดเหล่านี้มา

    ใครทำอยู่ในประเทศไทย สามารถสืบค้นได้จากทุนที่สหรัฐให้โดยผ่านทางองค์กรต่างๆ CDC NIH USAID DARPA DTRA EcoHealth alliance

    ทั้งๆที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
    หวังเพียงแค่ทุน เศษเงินที่โยนมาให้และอ้างว่ามีประโยชน์เป็นวิทยาการชั้นสูง
    แล้วโควิดที่ระบาดไปแล้วปฏิเสธได้หรือว่าไม่ได้เกิดจากการสร้างในลักษณะนี้และปลดปล่อยออกมาโดยตั้งใจหรือตั้งใจก็ตามโดยที่มีวัคซีนจดสิทธิบัตรเรียบร้อยตั้งแต่ปี 2018

    และ NIH ได้รับเงินจากการจดสิทธิบัตรจากบริษัทวัคซีนโดยต้องจ่ายเงินให้ 400 ล้านเหรียญ

    ในขณะที่อีกบริษัทหนึ่งยังอยู่ในระหว่างการ“ไม่ยอมให้เงินต่อ ” โดยที่ได้จ่ายไปแล้วก่อนหน้า

    และถูกเปิดโปงอยู่ขณะนี้ว่า หน่วยงานกลางของประเทศแต่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในลักษณะนี้เป็นเรื่องต้องห้ามหรือไม่ และเป็นเหตุผลในการเซ็นเซอร์ข่าวสารทางด้านลบที่เกี่ยวกับวัคซีนมาตลอดดังที่มีการเปิดเผยเปิดโปงกันจนถึงปัจจุบันนี้

    ข้อมูลในการเก็บค่าต๋ง

    NIH ปฏิเสธที่จะเปิดเผยรายละเอียดข้อตกลง ค่าลิขสิทธิ์วัคซีนโควิด-19

    หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ อ้างว่าไม่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว

    โดยแซคารี สตีเบอร์
    18/4/2024
    ข้อมูลข่าวสารจาก The Epoch Times

    สถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NIH) ปฏิเสธที่จะเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อตกลงที่สถาบันทำเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 กับบริษัทวัคซีน ทั้งนี้ได้รับเงินไปอย่างน้อย 400 ล้านดอลลาร์

    NIH ปฏิเสธที่จะจัดหาเอกสารใดๆ ต่อคำขอ
    ตามกฏหมายข้อมูลความโปร่งใส

    กอร์กา การ์เซีย-มาลีน เจ้าหน้าที่ NIH บอกกับ The Epoch Times ในจดหมาย
    “NIH ระงับบันทึกทั้งหมด อ้างว่าได้รับการปกป้องไม่ให้ปล่อย”

    ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 Moderna ประกาศว่าได้จ่ายเงินจำนวน 400 ล้านดอลลาร์ให้กับ NIH และจะชำระเงินเพิ่มเติมในอนาคต โดยเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงใบอนุญาตสำหรับโปรตีนขัดขวางที่ใช้ในวัคซีนโควิด-19 ของบริษัท

    Epoch Times ได้รับสำเนาของสัญญา ซึ่งยืนยันการชำระเงิน แต่แก้ไขรายละเอียดการชำระเงินในอนาคตใหม่

    จากนั้น The Epoch Times ได้ยื่นคำขอใหม่โดยมองหารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการชำระเงินในอนาคต ซึ่งกล่าวกันว่าขึ้นอยู่กับจำนวนวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่จำหน่ายได้
    นางสาวการ์เซีย-มาลีนกำลังตอบสนองต่อคำขอใหม่

    เจมส์ เลิฟ ผู้อำนวยการ Knowledge Ecology International ที่ไม่แสวงหากำไรกล่าวว่าข้อมูลดังกล่าวควรได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะ

    “NIH ได้ออกแถลงการณ์หลายฉบับเกี่ยวกับข้อพิพาทเรื่องค่าลิขสิทธิ์กับ Moderna และตอนนี้พวกเขาไม่ควรอ้างว่าเป็นข้อมูลที่เป็นความลับบางอย่าง ในเมื่อเกี่ยวกับเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์
    ผลประโยชน์สาธารณะในเรื่องความโปร่ง เป็นเรื่องสำคัญ

    นายเลิฟบอกกับ The Epoch Times ทางอีเมล
    “มีเจ้าหน้าที่ NIH จำนวนมากที่ไม่พอใจกับเรื่องความโปร่งใส” เขากล่าวเสริม

    Epoch Times วางแผนที่จะอุทธรณ์คำตัดสินของ NIH

    NIH เป็นหนึ่งในหน่วยงานของรัฐหลายแห่งที่ได้รับค่าลิขสิทธิ์ เจ้าหน้าที่ที่นั่น ต่อสู้กับความพยายามที่จะรับข้อมูลเกี่ยวกับการชำระเงินเหล่านี้ ในปี 2566 พวกเขาเปิดเผยค่าลิขสิทธิ์จำนวน 325 ล้านดอลลาร์ที่ได้รับจนถึง 2563 หลังจากถูกฟ้อง
    ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่าการจ่ายเงินให้กับหน่วยงานและนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำหลายคนควรหยุดลง
    “ทั้งรัฐบาลและพนักงานของรัฐไม่ควรมีผลประโยชน์ทางการเงินในผลิตภัณฑ์ที่รัฐบาลมีส่วนร่วมในการออกใบอนุญาตหรือการส่งเสริม” Aaron Siri หุ้นส่วนผู้จัดการของ Siri & Glimstad LLP บอกกับ The Epoch Times ทางอีเมล “มันก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่เป็นอันตราย”
    เดินหน้าต่อไป BioNTech

    NIH กำลังพยายามหาเงินเพิ่มเติมจากผู้ผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ตามเอกสารที่ยื่นล่าสุด
    BioNTech ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของไฟเซอร์ กล่าวในรูปแบบที่ NIH แจ้งไว้ล่วงหน้า เนื่องจากจุดยืนของ NIH คือ BioNTech เป็นหนี้เงินจากการขายวัคซีนโควิด-19

    BioNTech กล่าวว่าไม่คิดว่าจะเป็นหนี้เงินของ NIH แต่ "ผลลัพธ์สุดท้ายของเรื่องเหล่านี้ไม่แน่นอน และเราไม่สามารถรับประกันได้ว่าการตีความข้อตกลงใบอนุญาตเหล่านี้จะมีผลเหนือกว่า หรือในที่สุดเราจะไม่ต้องจ่ายบางส่วนหรือทั้งหมด ค่าภาคหลวงและจำนวนเงินที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ที่เป็นข้อพิพาท”
    NIH ไม่ได้ตอบกลับการสอบถามเกี่ยวกับเอกสารที่ยื่นต่อ BioNTech
    NIH เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าได้ออกใบอนุญาตเทคโนโลยีโปรตีนขัดขวางให้กับ BioNTech สำหรับวัคซีนโควิด-19 ของ Pfizer-BioNTech
    Epoch Times ได้ส่งคำขอพระราชบัญญัติเสรีภาพด้านข้อมูลสำหรับการแจ้งการผิดนัดและเอกสารที่เกี่ยวข้อง คำขออื่นจะค้นหาข้อมูลว่า NIH ได้ข่มขู่หรือให้บริการไฟเซอร์ด้วยการแจ้งเตือนที่คล้ายกันหรือไม่
    ไม่ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะได้รับค่าลิขสิทธิ์เท่าใด ก็จะน้อยกว่าที่รัฐบาลสหรัฐฯ จ่ายสำหรับวัคซีนมากเพียงใด รัฐบาลใช้จ่ายไปแล้ว
    กว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์
    พิมพ์เขียวของไวรัสโควิดมาจากโครงการ DEFUSE 2018 และ PREEMPT แต่ที่สำคัญ อีกประการ คือรวมถึงการสร้างไวรัสใหม่เข้าไปติดเชื้อในค้างคาว ในโครงการแรกแต่ต้อง สเปรย์บ่อยๆ และในโครงการที่สองให้แพร่ติดในหมู่ค้างคาวเองก่อน แต่หลังจากนั้นให้ค้างคาวปล่อยเชื้อเข้าไปในฝูงอื่น ติดต่อไปเรื่อยๆทางละอองฝอย เป็นการติดเชื้อกันเองเป็นทอดๆ นัย ว่า เพื่อให้เป็นวัคซีนของค้างคาวในการป้องกันการแพร่ไวรัสโคโรนา โดยตัวที่จะเอามาติดในค้างคาวนั้น เป็นตัวที่จะครอบคลุมไวรัสโคโรนาทั้งหมดที่จะมีวิวัฒนาการสูงสุดแล้ว นั่นคือร้ายแรงที่สุดแล้ว (ทั้งนี้ค้างคาวเมื่อติดเชื้อแล้วไม่เกิดอาการ) หลังจากนั้น มีการรวมโครงการทั้งสองเข้าเป็นหนึ่งเดียว คือ CREID และในตะวันออกเฉียงใต้ ตือ SEARCH โดยในโครงการหลักนี้ที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบันจะทำการหาเชื้อไวรัสที่ใกล้เคียงกับโควิดมากที่สุด และทำการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งตัว และจากนั้นทำการ สร้างไวรัสโควิดใหม่ในห้องทดลองที่ร้ายแรงกว่าเก่า ทั้งนี้รวมการสร้างไวรัสอีโบลาใหม่และสร้างไวรัสนิปาห์ใหม่ และหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆรวมในประเทศไทย ก็คือการหาไวรัสเหล่านี้ถอดรหัสพันธุกรรมและส่งให้องค์กรต่างประเทศ นี่คือ ธุรกิจสร้างไวรัสข้ามชาติให้เกิดเป็นการระบาดทั่วโลก pandemic ซ้ำแล้วซ้ำเล่า วัคซีนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยาซ้ำแล้วซ้ำเล่า และคนตายไปเรื่อยๆ ข้อมูลเหล่านี้สามารถสืบค้นได้จากการสอบสวนของรัฐสภาสหรัฐที่มีต่อองค์กรและสถาบันที่เกี่ยวข้องในการให้ทุนและการกำเนิดตั้งแต่โควิดเป็นต้นมา และ จากข้อมูลที่ต้องเปิดเผยโดยผ่านทางกฎหมายความโปร่งใสของข้อมูลทำให้ได้รายละเอียดเหล่านี้มา ใครทำอยู่ในประเทศไทย สามารถสืบค้นได้จากทุนที่สหรัฐให้โดยผ่านทางองค์กรต่างๆ CDC NIH USAID DARPA DTRA EcoHealth alliance ทั้งๆที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หวังเพียงแค่ทุน เศษเงินที่โยนมาให้และอ้างว่ามีประโยชน์เป็นวิทยาการชั้นสูง แล้วโควิดที่ระบาดไปแล้วปฏิเสธได้หรือว่าไม่ได้เกิดจากการสร้างในลักษณะนี้และปลดปล่อยออกมาโดยตั้งใจหรือตั้งใจก็ตามโดยที่มีวัคซีนจดสิทธิบัตรเรียบร้อยตั้งแต่ปี 2018 และ NIH ได้รับเงินจากการจดสิทธิบัตรจากบริษัทวัคซีนโดยต้องจ่ายเงินให้ 400 ล้านเหรียญ ในขณะที่อีกบริษัทหนึ่งยังอยู่ในระหว่างการ“ไม่ยอมให้เงินต่อ ” โดยที่ได้จ่ายไปแล้วก่อนหน้า และถูกเปิดโปงอยู่ขณะนี้ว่า หน่วยงานกลางของประเทศแต่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในลักษณะนี้เป็นเรื่องต้องห้ามหรือไม่ และเป็นเหตุผลในการเซ็นเซอร์ข่าวสารทางด้านลบที่เกี่ยวกับวัคซีนมาตลอดดังที่มีการเปิดเผยเปิดโปงกันจนถึงปัจจุบันนี้ ข้อมูลในการเก็บค่าต๋ง NIH ปฏิเสธที่จะเปิดเผยรายละเอียดข้อตกลง ค่าลิขสิทธิ์วัคซีนโควิด-19 หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ อ้างว่าไม่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว โดยแซคารี สตีเบอร์ 18/4/2024 ข้อมูลข่าวสารจาก The Epoch Times สถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NIH) ปฏิเสธที่จะเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อตกลงที่สถาบันทำเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 กับบริษัทวัคซีน ทั้งนี้ได้รับเงินไปอย่างน้อย 400 ล้านดอลลาร์ NIH ปฏิเสธที่จะจัดหาเอกสารใดๆ ต่อคำขอ ตามกฏหมายข้อมูลความโปร่งใส กอร์กา การ์เซีย-มาลีน เจ้าหน้าที่ NIH บอกกับ The Epoch Times ในจดหมาย “NIH ระงับบันทึกทั้งหมด อ้างว่าได้รับการปกป้องไม่ให้ปล่อย” ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 Moderna ประกาศว่าได้จ่ายเงินจำนวน 400 ล้านดอลลาร์ให้กับ NIH และจะชำระเงินเพิ่มเติมในอนาคต โดยเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงใบอนุญาตสำหรับโปรตีนขัดขวางที่ใช้ในวัคซีนโควิด-19 ของบริษัท Epoch Times ได้รับสำเนาของสัญญา ซึ่งยืนยันการชำระเงิน แต่แก้ไขรายละเอียดการชำระเงินในอนาคตใหม่ จากนั้น The Epoch Times ได้ยื่นคำขอใหม่โดยมองหารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการชำระเงินในอนาคต ซึ่งกล่าวกันว่าขึ้นอยู่กับจำนวนวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่จำหน่ายได้ นางสาวการ์เซีย-มาลีนกำลังตอบสนองต่อคำขอใหม่ เจมส์ เลิฟ ผู้อำนวยการ Knowledge Ecology International ที่ไม่แสวงหากำไรกล่าวว่าข้อมูลดังกล่าวควรได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะ “NIH ได้ออกแถลงการณ์หลายฉบับเกี่ยวกับข้อพิพาทเรื่องค่าลิขสิทธิ์กับ Moderna และตอนนี้พวกเขาไม่ควรอ้างว่าเป็นข้อมูลที่เป็นความลับบางอย่าง ในเมื่อเกี่ยวกับเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ ผลประโยชน์สาธารณะในเรื่องความโปร่ง เป็นเรื่องสำคัญ นายเลิฟบอกกับ The Epoch Times ทางอีเมล “มีเจ้าหน้าที่ NIH จำนวนมากที่ไม่พอใจกับเรื่องความโปร่งใส” เขากล่าวเสริม Epoch Times วางแผนที่จะอุทธรณ์คำตัดสินของ NIH NIH เป็นหนึ่งในหน่วยงานของรัฐหลายแห่งที่ได้รับค่าลิขสิทธิ์ เจ้าหน้าที่ที่นั่น ต่อสู้กับความพยายามที่จะรับข้อมูลเกี่ยวกับการชำระเงินเหล่านี้ ในปี 2566 พวกเขาเปิดเผยค่าลิขสิทธิ์จำนวน 325 ล้านดอลลาร์ที่ได้รับจนถึง 2563 หลังจากถูกฟ้อง ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่าการจ่ายเงินให้กับหน่วยงานและนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำหลายคนควรหยุดลง “ทั้งรัฐบาลและพนักงานของรัฐไม่ควรมีผลประโยชน์ทางการเงินในผลิตภัณฑ์ที่รัฐบาลมีส่วนร่วมในการออกใบอนุญาตหรือการส่งเสริม” Aaron Siri หุ้นส่วนผู้จัดการของ Siri & Glimstad LLP บอกกับ The Epoch Times ทางอีเมล “มันก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่เป็นอันตราย” เดินหน้าต่อไป BioNTech NIH กำลังพยายามหาเงินเพิ่มเติมจากผู้ผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ตามเอกสารที่ยื่นล่าสุด BioNTech ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของไฟเซอร์ กล่าวในรูปแบบที่ NIH แจ้งไว้ล่วงหน้า เนื่องจากจุดยืนของ NIH คือ BioNTech เป็นหนี้เงินจากการขายวัคซีนโควิด-19 BioNTech กล่าวว่าไม่คิดว่าจะเป็นหนี้เงินของ NIH แต่ "ผลลัพธ์สุดท้ายของเรื่องเหล่านี้ไม่แน่นอน และเราไม่สามารถรับประกันได้ว่าการตีความข้อตกลงใบอนุญาตเหล่านี้จะมีผลเหนือกว่า หรือในที่สุดเราจะไม่ต้องจ่ายบางส่วนหรือทั้งหมด ค่าภาคหลวงและจำนวนเงินที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ที่เป็นข้อพิพาท” NIH ไม่ได้ตอบกลับการสอบถามเกี่ยวกับเอกสารที่ยื่นต่อ BioNTech NIH เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าได้ออกใบอนุญาตเทคโนโลยีโปรตีนขัดขวางให้กับ BioNTech สำหรับวัคซีนโควิด-19 ของ Pfizer-BioNTech Epoch Times ได้ส่งคำขอพระราชบัญญัติเสรีภาพด้านข้อมูลสำหรับการแจ้งการผิดนัดและเอกสารที่เกี่ยวข้อง คำขออื่นจะค้นหาข้อมูลว่า NIH ได้ข่มขู่หรือให้บริการไฟเซอร์ด้วยการแจ้งเตือนที่คล้ายกันหรือไม่ ไม่ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะได้รับค่าลิขสิทธิ์เท่าใด ก็จะน้อยกว่าที่รัฐบาลสหรัฐฯ จ่ายสำหรับวัคซีนมากเพียงใด รัฐบาลใช้จ่ายไปแล้ว กว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์
    Like
    7
    0 Comments 1 Shares 716 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่อง “Château Christophe”
    ตอนที่ 5
    เมื่อความมืดเริ่มเข้ามาปกคลุ มสถานกงสุลที่ Benghazi ในวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2012 Sean Smith ผู้เชี่ยวชาญด้านการข่าว ยังนั่งเล่นเกมส์ Eve Online อยู่หน้าจอ เขาอายุ 34 ปี มาจากกองทัพอากาศและอยู่กระทรวงการต่างประเทศมากว่า 10 ปีแล้ว เมียและลูก 2 คน อยู่ที่ประเทศ Netherlands เขาเป็นคนที่เล่นเกมส์ Eve นี้อย่างติดพันโดยใช้ชื่อว่า vile_rat เขาพิมพ์ถึงคู่เล่นเขา 6 นาที ก่อน 2 ทุ่ม ว่า “สมมุติว่าเรารอดตายจากคืนนี้” มันดูเป็นตลกโหด แต่ Smith ผ่านสถานการณ์หนักกว่า Benghazi มาเยอะแล้ว เขาพิมพ์ข้อความเพิ่ม “เราเห็นตำรวจคนหนึ่งที่ดูแลบริเวณ กำลังถ่ายรูป”
    เขาคงจะหมายความถึง ชาวลิเบียพวกที่เดินตรวจการณ์อยู่รอบบริเวณกงสุล แต่ยังมีการ์ดอีก 9 คน อยู่ในบริเวณกงสุล 5 คนเป็นคนอเมริกันติดอาวุธพร้อม และอีก 4 คน เป็นทหารชาวลิเบียจากหน่วย 17th of February Martyrs Brigade เป็นทหารพวกเดียวกับที่ดูแล Stevens เมื่อเขามาอยู่ที่ Benghazi ในตอนแรก
    สองชั่วโมงต่อมา เวลา 9.40 น. vile_rat พิมพ์ว่า “ฉิบหายแล้ว เสียงปืนยิง” แล้วเขาก็เลิกติดต่อไป
    จากรายงานของเจ้าหน้าที่อาวุโสของกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า เจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยเห็นจากจอที่ monitor ประตูหน้ากงสุลว่ามีกลุ่มคนจำนวนมากติดอาวุธกำลังบุกเข้ามา เป็นคนกลุ่มใหญ่มากจนนับไม่ไหว เขากดปุ่มเตือนภัย คว้าไมค์แล้วตะโกนว่า “ถูกโจมตี ! ถูกโจมตี !”
    เจ้าหน้าที่ดูแลด้านความปลอดภัยอีก 4 คนอยู่ในเรือนใหญ่กับ Stevens และ Smith คนหนึ่งรีบพา Stevens และ Smith เข้าไปที่ส่วนหลังของตึกและปลดแผงเหล็กปิดตึกในส่วนที่เป็นห้องนิรภัย เจ้าหน้าที่อีก 3 คน กระโดดไปคว้าปืนออโตเมติกและเสื้อเกราะ เจ้าหน้าที่ที่อยู่กับ Stevens และ Smith พูดวิทยุบอกว่าพวกเขาปลอดภัยดีและอยู่ในห้องนิรภัย
    ซุ้มทหารด้านหน้าใกล้ประตูทางเข้าเริ่มถูกไฟเผา และผู้โจมตีได้กระจายตัวไปรอบ ๆ บริเวณ พวกเขาพังประตูหน้าเข้ามาได้ และพยายามทำลายล็อคแผ่นเหล็กเพื่อเข้ามายังส่วนใน แต่ทำลายไม่สำเร็จ ฝ่ายเจ้าหน้าที่ของสถานกงสุลซุ่มเงียบอยู่ใต้เงามืด เตรียมพร้อมที่จะยิงถ้ามีใครบุกรุกเข้ามาในห้องนิรภัย แต่ไม่มีใครบุกรุกเข้ามา พวกจู่โจมกลับเอาน้ำมันดีเซลจากซุ้มทหารมาเทราดพื้นและเครื่องเรือน แล้วจุดไฟ หลังจากนั้นทั้งเรือนก็มีแต่ไฟลุกโชน
    ควันไฟผสมน้ำมันผสมเครื่องเรือนที่เริ่มละลาย เริ่มฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณกงสุล ทำให้พวกที่ซ่อนตัวเองอยู่ข้างในเริ่มสำลักควัน Stevens, Smith และผู้คุ้มกันย้ายไปที่ห้องน้ำ พยายามไปที่หน้าต่างที่มีลูกกรงติดอยู่ ควันเริ่มเป็นหมอกสีดำ พวกเขานอนลงกับพื้นพยายามสูดอากาศที่ยังมีหลงเหลืออยู่ในตึก ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจที่จะออกมานอกห้องนิรภัย จึงคลานมาที่ห้องนอนซึ่งมีหน้าต่างที่สามารถเปิดจากในห้องได้
    เจ้าหน้าที่คุ้มกันเริ่มหายใจไม่ออก และมองเห็นไม่ชัดเจนจากควันไฟ เขาพยายามกระโดดออกไปที่ระเบียง โดยเอากระสอบทรายคลุมตัว ยังไม่ทันไรเขาก็เจอไฟไหม้ทั้งตัว และพวกจู่โจมก็โหมยิงใส่เขานับไม่ถ้วน พวกจู่โจมมีเป็นสิบๆคน ทั้ง Stevens และ Smith ไม่ได้ตามเจ้าหน้าที่คุ้มกันไปที่หน้าต่าง เจ้าหน้าที่จึงปืนย้อนกลับมาหาทั้งสองคนใหม่ เขาหาทั้งสองคนไม่เจอ เขากลับออกไปใหม่เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ เขาปีนเข้าปีนออกอยู่หลายรอบ ก็ยังหาทั้งสองคนไม่เจอ คอและปอดเขาแสบไปหมด เขาพยายามปีนบันไดขึ้นไปบนหลังคา และก็หมดสติไปหลังจากที่วิทยุเรียกเจ้าหน้าที่คนอื่นให้มาช่วย
    เจ้าหน้าที่อเมริกันอีก 4 คน ฟังเสียงพูดทางวิทยุเกือบไม่รู้เรื่อง ขณะเดียวกันพวกจู่โจมก็บุกเข้ามาในตึก B ตึกเล็กที่อยู่ในบริเวณ แต่ไม่สามารถฝ่าแท่งกั้นเข้ามายังด้านในของห้องได้ และก็ไม่สามารถผ่านเข้ามาในศูนย์ปฏิบัติการกลางได้
    ที่ตึก B และศูนย์ปฏิบัติการกลางดูเหมือนจะไม่มีโทรศัพท์สายตรง แต่พวกเขามองเห็นควันดำลอยขึ้นมา พวกเขาคิดว่าจะต้องไปที่ห้องนิรภัยของตึกกลางให้ได้ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพยายามเปิดประตูตึกกลาง โดยการโยนระเบิดใส่พวกจู่โจมเพื่อเปิดทาง เขากลับเข้ามาที่ตึก B ใหม่ รวมตัวกับอีก 2 คน แล้วทั้ง 3 ก็ไปที่รถ SUV หุ้มเกราะค่อยๆขับมาที่ตึกกลาง 2 คนพยายามยิงตรึงพวกจู่โจม ขณะที่อีก 1 คนพยายามเข้าไปที่ตึกกลาง เขาควานหา Stevens และ Smith และเมื่อควันหนาขึ้นเขาก็คลานออกมา เขาทำอยู่อย่างนี้จนหมดสภาพ เจ้าหน้าที่อีกคนเข้าไปแทน และก็อีกคน คนหนึ่งเจอ Smith และลากออกมา ปรากฏว่า Smith เสียชีวิตแล้วจากควันไฟ แต่พวกเขาก็ยังหา Stevens ยังไม่เจอ
    หน่วยกำลังเสริมมาถึง (ในรายงานไม่ได้ระบุว่ามาถึงเวลาใด) เจ้าหน้าที่อเมริกัน 6 คน จากหน่วยประจำการที่อยู่ห่างไปประมาณ 1 ไมล์ มาพร้อมด้วยทหารอีก 16 คนจากหน่วยที่ 17th February Martyrs Brigade พวกเขาเข้ามาช่วยเจ้าหน้าที่ที่เหลืออยู่ 1 คน ในศูนย์ปฏิบัติการกลาง ซึ่งพยายามโทรศัพท์เรียกหน่วยเสริมจากทุกแห่งรวมทั้งจาก Tripoli หลังจากนั้นพวกเขารวมตัวกันที่ประตูหน้าและจัดการหาตัว Stevens ใหม่อีกรอบ แต่ก็ยังไม่พบ พวกอเมริกันและทหารลิเบียที่เป็นฝ่ายเดียวกันพยายามจะรักษากงสุลไว้ แต่ไม่สำเร็จ ในที่สุดพวกเขาจำเป็นต้องทิ้งกงสุลและอพยพออกไป เจ้าหน้าที่อัดตัวรวมกันอยู่ในรถ SUV พร้อมด้วยร่างของ Smith
    พวกอเมริกันที่หลบหนีออกมาโดนทั้งไฟเผาและถูกยิง พวกเขาพยายามฝ่าดงกระสุนออกมาจากบริเวณกงสุล รถวิ่งไปตามถนนเพื่อไปยังหน่วยเสริมกำลังของอเมริกัน ระหว่างทางพวกเขายังโดนไล่ยิงและปาระเบิดใส่ ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงหน่วยเสริมกำลังจนได้ พวกเขาเข้าประจำที่และยิงต่อสู้กับพวกจู่โจมต่อ เช้ามืดกองกำลังอเมริกันจาก Tripoli บินมาสมทบ การต่อสู้ยังดำเนินต่อไป พวกอเมริกันเจ็บและตายเพิ่มขึ้น (ในจำนวนผู้ตาย มีเจ้าหน้าที่ CIA อีก 2 คน ชื่อ Tyrone S. Woods และ Glen Doherty เจ้าหน้าที่ Woods คือ คนที่อยู่กับฑูต Stevens ในห้องนิรภัยตอนแรก) ในที่สุดพวกเขาตัดสินใจหนีออกไปจากเมือง พวกเขาได้จัดขบวนรถ SUV วิ่งไปทางสนามบินโดยความช่วยเหลือของทหารลิเบียที่เป็นพวก ในที่สุดก็ขึ้นเครื่องบิน 2 ลำ ออกมาได้หมดตอนเช้ามืดของวันนั้น
    ในที่สุดไฟที่สถานกงสุลก็เริ่มมอด พวกจู่โจมหายไปหมด ชาวลิเบียซึ่งอาจจะเป็นพวกที่ตั้งใจเข้าไปขโมยของ หรือเป็นพวกอยากรู้อยากเห็น พาตัวเข้าไปที่ห้องนิรภัยจนได้ และพวกเขาก็พบ Stevens พวกเขาลากร่าง Stevens ออกมา แบกไปขึ้นรถและนำไปส่งโรงพยาบาล
    แพทย์ฉุกเฉินพยายามช่วยกู้ชีวิต Stevens อยู่ประมาณ 45 นาที แต่ไม่สำเร็จ และไม่สามารถบอกได้ว่าชายคนนี้เป็นใคร เขาเจอมือถือที่กระเป๋าของ Stevens จึงเรียกหมายเลขต่างๆ ซึ่งกลายเป็นการพูดโทรศัพท์ที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก
    คนเล่านิทาน
    7 มิย. 57
    นิทานเรื่อง “Château Christophe” ตอนที่ 5 เมื่อความมืดเริ่มเข้ามาปกคลุ มสถานกงสุลที่ Benghazi ในวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2012 Sean Smith ผู้เชี่ยวชาญด้านการข่าว ยังนั่งเล่นเกมส์ Eve Online อยู่หน้าจอ เขาอายุ 34 ปี มาจากกองทัพอากาศและอยู่กระทรวงการต่างประเทศมากว่า 10 ปีแล้ว เมียและลูก 2 คน อยู่ที่ประเทศ Netherlands เขาเป็นคนที่เล่นเกมส์ Eve นี้อย่างติดพันโดยใช้ชื่อว่า vile_rat เขาพิมพ์ถึงคู่เล่นเขา 6 นาที ก่อน 2 ทุ่ม ว่า “สมมุติว่าเรารอดตายจากคืนนี้” มันดูเป็นตลกโหด แต่ Smith ผ่านสถานการณ์หนักกว่า Benghazi มาเยอะแล้ว เขาพิมพ์ข้อความเพิ่ม “เราเห็นตำรวจคนหนึ่งที่ดูแลบริเวณ กำลังถ่ายรูป” เขาคงจะหมายความถึง ชาวลิเบียพวกที่เดินตรวจการณ์อยู่รอบบริเวณกงสุล แต่ยังมีการ์ดอีก 9 คน อยู่ในบริเวณกงสุล 5 คนเป็นคนอเมริกันติดอาวุธพร้อม และอีก 4 คน เป็นทหารชาวลิเบียจากหน่วย 17th of February Martyrs Brigade เป็นทหารพวกเดียวกับที่ดูแล Stevens เมื่อเขามาอยู่ที่ Benghazi ในตอนแรก สองชั่วโมงต่อมา เวลา 9.40 น. vile_rat พิมพ์ว่า “ฉิบหายแล้ว เสียงปืนยิง” แล้วเขาก็เลิกติดต่อไป จากรายงานของเจ้าหน้าที่อาวุโสของกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า เจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยเห็นจากจอที่ monitor ประตูหน้ากงสุลว่ามีกลุ่มคนจำนวนมากติดอาวุธกำลังบุกเข้ามา เป็นคนกลุ่มใหญ่มากจนนับไม่ไหว เขากดปุ่มเตือนภัย คว้าไมค์แล้วตะโกนว่า “ถูกโจมตี ! ถูกโจมตี !” เจ้าหน้าที่ดูแลด้านความปลอดภัยอีก 4 คนอยู่ในเรือนใหญ่กับ Stevens และ Smith คนหนึ่งรีบพา Stevens และ Smith เข้าไปที่ส่วนหลังของตึกและปลดแผงเหล็กปิดตึกในส่วนที่เป็นห้องนิรภัย เจ้าหน้าที่อีก 3 คน กระโดดไปคว้าปืนออโตเมติกและเสื้อเกราะ เจ้าหน้าที่ที่อยู่กับ Stevens และ Smith พูดวิทยุบอกว่าพวกเขาปลอดภัยดีและอยู่ในห้องนิรภัย ซุ้มทหารด้านหน้าใกล้ประตูทางเข้าเริ่มถูกไฟเผา และผู้โจมตีได้กระจายตัวไปรอบ ๆ บริเวณ พวกเขาพังประตูหน้าเข้ามาได้ และพยายามทำลายล็อคแผ่นเหล็กเพื่อเข้ามายังส่วนใน แต่ทำลายไม่สำเร็จ ฝ่ายเจ้าหน้าที่ของสถานกงสุลซุ่มเงียบอยู่ใต้เงามืด เตรียมพร้อมที่จะยิงถ้ามีใครบุกรุกเข้ามาในห้องนิรภัย แต่ไม่มีใครบุกรุกเข้ามา พวกจู่โจมกลับเอาน้ำมันดีเซลจากซุ้มทหารมาเทราดพื้นและเครื่องเรือน แล้วจุดไฟ หลังจากนั้นทั้งเรือนก็มีแต่ไฟลุกโชน ควันไฟผสมน้ำมันผสมเครื่องเรือนที่เริ่มละลาย เริ่มฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณกงสุล ทำให้พวกที่ซ่อนตัวเองอยู่ข้างในเริ่มสำลักควัน Stevens, Smith และผู้คุ้มกันย้ายไปที่ห้องน้ำ พยายามไปที่หน้าต่างที่มีลูกกรงติดอยู่ ควันเริ่มเป็นหมอกสีดำ พวกเขานอนลงกับพื้นพยายามสูดอากาศที่ยังมีหลงเหลืออยู่ในตึก ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจที่จะออกมานอกห้องนิรภัย จึงคลานมาที่ห้องนอนซึ่งมีหน้าต่างที่สามารถเปิดจากในห้องได้ เจ้าหน้าที่คุ้มกันเริ่มหายใจไม่ออก และมองเห็นไม่ชัดเจนจากควันไฟ เขาพยายามกระโดดออกไปที่ระเบียง โดยเอากระสอบทรายคลุมตัว ยังไม่ทันไรเขาก็เจอไฟไหม้ทั้งตัว และพวกจู่โจมก็โหมยิงใส่เขานับไม่ถ้วน พวกจู่โจมมีเป็นสิบๆคน ทั้ง Stevens และ Smith ไม่ได้ตามเจ้าหน้าที่คุ้มกันไปที่หน้าต่าง เจ้าหน้าที่จึงปืนย้อนกลับมาหาทั้งสองคนใหม่ เขาหาทั้งสองคนไม่เจอ เขากลับออกไปใหม่เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ เขาปีนเข้าปีนออกอยู่หลายรอบ ก็ยังหาทั้งสองคนไม่เจอ คอและปอดเขาแสบไปหมด เขาพยายามปีนบันไดขึ้นไปบนหลังคา และก็หมดสติไปหลังจากที่วิทยุเรียกเจ้าหน้าที่คนอื่นให้มาช่วย เจ้าหน้าที่อเมริกันอีก 4 คน ฟังเสียงพูดทางวิทยุเกือบไม่รู้เรื่อง ขณะเดียวกันพวกจู่โจมก็บุกเข้ามาในตึก B ตึกเล็กที่อยู่ในบริเวณ แต่ไม่สามารถฝ่าแท่งกั้นเข้ามายังด้านในของห้องได้ และก็ไม่สามารถผ่านเข้ามาในศูนย์ปฏิบัติการกลางได้ ที่ตึก B และศูนย์ปฏิบัติการกลางดูเหมือนจะไม่มีโทรศัพท์สายตรง แต่พวกเขามองเห็นควันดำลอยขึ้นมา พวกเขาคิดว่าจะต้องไปที่ห้องนิรภัยของตึกกลางให้ได้ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพยายามเปิดประตูตึกกลาง โดยการโยนระเบิดใส่พวกจู่โจมเพื่อเปิดทาง เขากลับเข้ามาที่ตึก B ใหม่ รวมตัวกับอีก 2 คน แล้วทั้ง 3 ก็ไปที่รถ SUV หุ้มเกราะค่อยๆขับมาที่ตึกกลาง 2 คนพยายามยิงตรึงพวกจู่โจม ขณะที่อีก 1 คนพยายามเข้าไปที่ตึกกลาง เขาควานหา Stevens และ Smith และเมื่อควันหนาขึ้นเขาก็คลานออกมา เขาทำอยู่อย่างนี้จนหมดสภาพ เจ้าหน้าที่อีกคนเข้าไปแทน และก็อีกคน คนหนึ่งเจอ Smith และลากออกมา ปรากฏว่า Smith เสียชีวิตแล้วจากควันไฟ แต่พวกเขาก็ยังหา Stevens ยังไม่เจอ หน่วยกำลังเสริมมาถึง (ในรายงานไม่ได้ระบุว่ามาถึงเวลาใด) เจ้าหน้าที่อเมริกัน 6 คน จากหน่วยประจำการที่อยู่ห่างไปประมาณ 1 ไมล์ มาพร้อมด้วยทหารอีก 16 คนจากหน่วยที่ 17th February Martyrs Brigade พวกเขาเข้ามาช่วยเจ้าหน้าที่ที่เหลืออยู่ 1 คน ในศูนย์ปฏิบัติการกลาง ซึ่งพยายามโทรศัพท์เรียกหน่วยเสริมจากทุกแห่งรวมทั้งจาก Tripoli หลังจากนั้นพวกเขารวมตัวกันที่ประตูหน้าและจัดการหาตัว Stevens ใหม่อีกรอบ แต่ก็ยังไม่พบ พวกอเมริกันและทหารลิเบียที่เป็นฝ่ายเดียวกันพยายามจะรักษากงสุลไว้ แต่ไม่สำเร็จ ในที่สุดพวกเขาจำเป็นต้องทิ้งกงสุลและอพยพออกไป เจ้าหน้าที่อัดตัวรวมกันอยู่ในรถ SUV พร้อมด้วยร่างของ Smith พวกอเมริกันที่หลบหนีออกมาโดนทั้งไฟเผาและถูกยิง พวกเขาพยายามฝ่าดงกระสุนออกมาจากบริเวณกงสุล รถวิ่งไปตามถนนเพื่อไปยังหน่วยเสริมกำลังของอเมริกัน ระหว่างทางพวกเขายังโดนไล่ยิงและปาระเบิดใส่ ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงหน่วยเสริมกำลังจนได้ พวกเขาเข้าประจำที่และยิงต่อสู้กับพวกจู่โจมต่อ เช้ามืดกองกำลังอเมริกันจาก Tripoli บินมาสมทบ การต่อสู้ยังดำเนินต่อไป พวกอเมริกันเจ็บและตายเพิ่มขึ้น (ในจำนวนผู้ตาย มีเจ้าหน้าที่ CIA อีก 2 คน ชื่อ Tyrone S. Woods และ Glen Doherty เจ้าหน้าที่ Woods คือ คนที่อยู่กับฑูต Stevens ในห้องนิรภัยตอนแรก) ในที่สุดพวกเขาตัดสินใจหนีออกไปจากเมือง พวกเขาได้จัดขบวนรถ SUV วิ่งไปทางสนามบินโดยความช่วยเหลือของทหารลิเบียที่เป็นพวก ในที่สุดก็ขึ้นเครื่องบิน 2 ลำ ออกมาได้หมดตอนเช้ามืดของวันนั้น ในที่สุดไฟที่สถานกงสุลก็เริ่มมอด พวกจู่โจมหายไปหมด ชาวลิเบียซึ่งอาจจะเป็นพวกที่ตั้งใจเข้าไปขโมยของ หรือเป็นพวกอยากรู้อยากเห็น พาตัวเข้าไปที่ห้องนิรภัยจนได้ และพวกเขาก็พบ Stevens พวกเขาลากร่าง Stevens ออกมา แบกไปขึ้นรถและนำไปส่งโรงพยาบาล แพทย์ฉุกเฉินพยายามช่วยกู้ชีวิต Stevens อยู่ประมาณ 45 นาที แต่ไม่สำเร็จ และไม่สามารถบอกได้ว่าชายคนนี้เป็นใคร เขาเจอมือถือที่กระเป๋าของ Stevens จึงเรียกหมายเลขต่างๆ ซึ่งกลายเป็นการพูดโทรศัพท์ที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก คนเล่านิทาน 7 มิย. 57
    0 Comments 0 Shares 466 Views 0 Reviews
More Results