• เรื่องเล่า: การเดินทางสู่โลก IoT และบ้านอัจฉริยะ

    วันก่อนผมนั่งคุยกับเพื่อนๆ เรื่องบ้านอัจฉริยะ แล้วก็ย้อนคิดไปว่าจริงๆ แนวคิดนี้มันไม่ใช่เรื่องใหม่เลยนะ หลายคนอาจคิดว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเพราะมี Wi-Fi หรือสมาร์ทโฟน แต่จริงๆ รากของมันมีมาตั้งแต่ร้อยกว่าปีก่อนแล้ว สมัยนั้นคนก็เริ่มคิดอยากควบคุมอะไรจากระยะไกล อย่างในปี 1832 ก็มีการประดิษฐ์โทรเลขแม่เหล็กไฟฟ้า ที่ส่งสัญญาณควบคุมระยะไกลได้ หรือเทอร์โมสแตตแบบกลไกที่ช่วยควบคุมอุณหภูมิบ้าน ซึ่งสำหรับยุคนั้นถือว่าล้ำสุดๆ

    เวลาผ่านมาถึงช่วงปี 1999 ก็มีคนตั้งชื่อให้ความคิดนี้ว่า “Internet of Things” หรือ IoT จุดพลิกผันจริงๆ มันเกิดราวปี 2008-2009 ที่จำนวนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมีมากกว่าจำนวนคนบนโลกแล้ว จากนั้นทุกอย่างก็ระเบิดพลังเต็มที่เพราะมีสมาร์ทโฟน, Wi-Fi และคลาวด์ เข้ามาเสริม พูดง่ายๆ คือบ้านเริ่มมีสมอง คุยกันได้ และคุยกับเราผ่านเน็ตได้ด้วย

    เพื่อนบางคนถามว่าบ้านอัจฉริยะมันทำงานยังไง ผมก็บอกว่ามันเหมือนบ้านมีตา มีมือ และมีสมอง ตาก็คือพวกเซ็นเซอร์ ที่คอยจับว่าอุณหภูมิเท่าไหร่ แสงเพียงพอไหม หรือมีคนเดินผ่านไหม มือก็คือพวกมอเตอร์หรือสวิตช์ไฟ ที่ทำงานตามคำสั่ง ส่วนสมองก็คือศูนย์ควบคุม ที่คิด วิเคราะห์ แล้วสั่งการต่อไป

    ทุกวันนี้บ้านอัจฉริยะก็มีหลายค่ายใหญ่แข่งกัน อย่าง Amazon Alexa ที่รองรับอุปกรณ์ได้เยอะมาก Google Home ที่เก่งเรื่องฟังและเข้าใจภาษามนุษย์ หรือ Apple HomeKit ที่เน้นความปลอดภัย แต่ปัญหาคือแต่ละค่ายก็มีระบบของตัวเอง บางทีอุปกรณ์ไม่คุยกัน ต้องใช้หลายแอปเหมือนต้องพกรีโมทหลายอันอยู่บ้านเดียวกัน

    ในไทยเองกระแสนี้ก็มานะ ตลาด IoT โตเร็วมาก ภาครัฐก็มองว่าเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ โดยเฉพาะในภาคการผลิต และเมืองอัจฉริยะ แต่แน่นอนว่ามันก็ยังมีอุปสรรค อย่างเรื่องความเข้ากันได้ของอุปกรณ์ หรือปัญหาความปลอดภัย เพราะถ้าอุปกรณ์ถูกแฮ็กได้ก็อาจเปิดประตูบ้านเราได้เลย ซึ่งฟังดูน่ากลัวอยู่เหมือนกัน

    ที่น่าสนใจคือ ตอนนี้บ้านอัจฉริยะไม่ได้แค่ “ฟังคำสั่ง” อีกแล้ว แต่เริ่มใช้ AI เข้ามาช่วยตัดสินใจแทนเรา เช่น ตู้เย็นบางรุ่นของ Samsung ใช้ AI คอยสแกนของในตู้ แล้วแนะนำเมนูอาหาร หรือเตือนว่าอะไรใกล้หมดอายุ เครื่องซักผ้ารุ่นใหม่ก็ใช้ AI ปรับรอบหมุนและปริมาณน้ำตามชนิดของผ้า เพื่อให้ซักได้สะอาดและประหยัดพลังงาน หรือแม้แต่ระบบตรวจจับน้ำรั่ว อย่าง Moen Flo ที่เรียนรู้รูปแบบการใช้น้ำในบ้าน แล้วสั่งปิดวาล์วอัตโนมัติถ้าพบว่ามีความผิดปกติ — ป้องกันน้ำท่วมบ้านได้ก่อนที่เราจะรู้ตัวเสียอีก

    อนาคตยังมีสิ่งน่าสนใจรออยู่ อย่างมาตรฐานใหม่ชื่อ Matter ที่ตั้งใจให้ทุกอุปกรณ์คุยกันได้โดยไม่ต้องสนใจยี่ห้อ ไหนจะการเอา AI มาผสมกับเทคโนโลยี Edge Computing ให้บ้านฉลาดพอจะเดาความต้องการของเรา เช่น เห็นฝนกำลังตกก็ปิดหน้าต่างให้เอง หรือเปิดเครื่องฟอกอากาศทันทีเมื่อเซ็นเซอร์จับว่ามีฝุ่น PM 2.5 สูงเกินมาตรฐาน หรือใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างโซลาร์เซลล์ เพื่อให้บ้านยั่งยืนและประหยัดพลังงานมากขึ้น

    คิดไปคิดมา จากบ้านธรรมดาที่มีแต่สวิตช์เปิดไฟ วันนี้เรามีบ้านที่คุยกับเราได้ คิดแทนเราได้ และอีกไม่นานมันจะกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิต เหมือนที่ทุกบ้านมี Wi-Fi ในตอนนี้นั่นแหละ

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    🏠 เรื่องเล่า: การเดินทางสู่โลก IoT และบ้านอัจฉริยะ 🤖 ☕ วันก่อนผมนั่งคุยกับเพื่อนๆ เรื่องบ้านอัจฉริยะ แล้วก็ย้อนคิดไปว่าจริงๆ แนวคิดนี้มันไม่ใช่เรื่องใหม่เลยนะ หลายคนอาจคิดว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเพราะมี Wi-Fi หรือสมาร์ทโฟน 📱 แต่จริงๆ รากของมันมีมาตั้งแต่ร้อยกว่าปีก่อนแล้ว สมัยนั้นคนก็เริ่มคิดอยากควบคุมอะไรจากระยะไกล อย่างในปี 1832 ก็มีการประดิษฐ์โทรเลขแม่เหล็กไฟฟ้า 📡 ที่ส่งสัญญาณควบคุมระยะไกลได้ หรือเทอร์โมสแตตแบบกลไกที่ช่วยควบคุมอุณหภูมิบ้าน ซึ่งสำหรับยุคนั้นถือว่าล้ำสุดๆ เวลาผ่านมาถึงช่วงปี 1999 ก็มีคนตั้งชื่อให้ความคิดนี้ว่า “Internet of Things” หรือ IoT 🌐 จุดพลิกผันจริงๆ มันเกิดราวปี 2008-2009 ที่จำนวนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมีมากกว่าจำนวนคนบนโลกแล้ว จากนั้นทุกอย่างก็ระเบิดพลังเต็มที่เพราะมีสมาร์ทโฟน, Wi-Fi และคลาวด์ ☁️ เข้ามาเสริม พูดง่ายๆ คือบ้านเริ่มมีสมอง คุยกันได้ และคุยกับเราผ่านเน็ตได้ด้วย เพื่อนบางคนถามว่าบ้านอัจฉริยะมันทำงานยังไง ผมก็บอกว่ามันเหมือนบ้านมีตา มีมือ และมีสมอง ตาก็คือพวกเซ็นเซอร์ 👀 ที่คอยจับว่าอุณหภูมิเท่าไหร่ แสงเพียงพอไหม หรือมีคนเดินผ่านไหม มือก็คือพวกมอเตอร์หรือสวิตช์ไฟ 🤖 ที่ทำงานตามคำสั่ง ส่วนสมองก็คือศูนย์ควบคุม 🧠 ที่คิด วิเคราะห์ แล้วสั่งการต่อไป ทุกวันนี้บ้านอัจฉริยะก็มีหลายค่ายใหญ่แข่งกัน อย่าง Amazon Alexa ที่รองรับอุปกรณ์ได้เยอะมาก Google Home ที่เก่งเรื่องฟังและเข้าใจภาษามนุษย์ 🗣️ หรือ Apple HomeKit ที่เน้นความปลอดภัย 🔒 แต่ปัญหาคือแต่ละค่ายก็มีระบบของตัวเอง บางทีอุปกรณ์ไม่คุยกัน ต้องใช้หลายแอปเหมือนต้องพกรีโมทหลายอันอยู่บ้านเดียวกัน ในไทยเองกระแสนี้ก็มานะ 🇹🇭 ตลาด IoT โตเร็วมาก ภาครัฐก็มองว่าเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ โดยเฉพาะในภาคการผลิต 🏭 และเมืองอัจฉริยะ 🏙️ แต่แน่นอนว่ามันก็ยังมีอุปสรรค อย่างเรื่องความเข้ากันได้ของอุปกรณ์ หรือปัญหาความปลอดภัย 🔐 เพราะถ้าอุปกรณ์ถูกแฮ็กได้ก็อาจเปิดประตูบ้านเราได้เลย ซึ่งฟังดูน่ากลัวอยู่เหมือนกัน ที่น่าสนใจคือ ตอนนี้บ้านอัจฉริยะไม่ได้แค่ “ฟังคำสั่ง” อีกแล้ว แต่เริ่มใช้ AI เข้ามาช่วยตัดสินใจแทนเรา เช่น ตู้เย็นบางรุ่นของ Samsung ใช้ AI คอยสแกนของในตู้ 🍎🥦 แล้วแนะนำเมนูอาหาร หรือเตือนว่าอะไรใกล้หมดอายุ เครื่องซักผ้ารุ่นใหม่ก็ใช้ AI ปรับรอบหมุนและปริมาณน้ำตามชนิดของผ้า 👕 เพื่อให้ซักได้สะอาดและประหยัดพลังงาน หรือแม้แต่ระบบตรวจจับน้ำรั่ว 💧 อย่าง Moen Flo ที่เรียนรู้รูปแบบการใช้น้ำในบ้าน แล้วสั่งปิดวาล์วอัตโนมัติถ้าพบว่ามีความผิดปกติ — ป้องกันน้ำท่วมบ้านได้ก่อนที่เราจะรู้ตัวเสียอีก อนาคตยังมีสิ่งน่าสนใจรออยู่ อย่างมาตรฐานใหม่ชื่อ Matter 📜 ที่ตั้งใจให้ทุกอุปกรณ์คุยกันได้โดยไม่ต้องสนใจยี่ห้อ ไหนจะการเอา AI 🤖 มาผสมกับเทคโนโลยี Edge Computing 💻 ให้บ้านฉลาดพอจะเดาความต้องการของเรา เช่น เห็นฝนกำลังตกก็ปิดหน้าต่างให้เอง หรือเปิดเครื่องฟอกอากาศทันทีเมื่อเซ็นเซอร์จับว่ามีฝุ่น PM 2.5 สูงเกินมาตรฐาน หรือใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างโซลาร์เซลล์ 🌞 เพื่อให้บ้านยั่งยืนและประหยัดพลังงานมากขึ้น คิดไปคิดมา จากบ้านธรรมดาที่มีแต่สวิตช์เปิดไฟ วันนี้เรามีบ้านที่คุยกับเราได้ คิดแทนเราได้ และอีกไม่นานมันจะกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิต เหมือนที่ทุกบ้านมี Wi-Fi 📶 ในตอนนี้นั่นแหละ #ลุงเขียนหลานอ่าน
    1 Comments 0 Shares 199 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกโมดิฟาย: Game Boy Color โปร่งใสที่ใช้งานได้จริง—ศิลปะบนวงจร

    Natalie (@natalie_thenerd) นักโมดิฟายคอนโซลแบบ self-taught ได้สร้าง Game Boy Color ที่ไม่เหมือนใคร—ด้วยแผงวงจรโปร่งใส (transparent PCB) ที่ใช้งานได้จริง! เธอออกแบบ schematic เอง และเลือกใช้วัสดุคล้ายอะคริลิกที่ไม่มี ground zone เพื่อให้เห็นลายทองแดงชัดเจน

    แม้จะดูเหมือนของเล่น แต่การ solder บนวัสดุที่มีจุดหลอมต่ำเพียง 200°C ต้องใช้ความระมัดระวังสูง เพราะผิดพลาดนิดเดียวอาจทำให้แผงวงจรเสียหายได้

    เธอประกอบเครื่องด้วยชิ้นส่วนโปร่งใสเกือบทั้งหมด—รวมถึง cartridge reader จากเครื่องจีน และเปลือกใสพร้อมปุ่ม translucent ทำให้ได้เครื่อง Game Boy Color ที่ “เห็นทะลุทุกชั้น” อย่างแท้จริง

    แม้จะเป็นโปรเจกต์ศิลปะที่ไม่ได้ผลิตขาย แต่ก็จุดประกายให้ชุมชน modding สนใจเทคนิคนี้มากขึ้น เช่น การใช้ลายเงินแทนทองแดง หรือเพิ่ม backlight เพื่อความสวยงาม

    ชุมชน modding อย่าง Modded Gameboy Club และโปรเจกต์อย่าง SZ-CGB-L หรือ Ultra Boy Color ต่างก็พัฒนา PCB แบบใหม่ที่รองรับการใช้งานจริง พร้อมปรับแต่งให้เหมาะกับจอ IPS และการใช้งานยุคใหม่

    แต่ความท้าทายยังคงอยู่—PCB โปร่งใสยังเปราะบาง ไม่เหมาะกับการใช้งานหนัก และต้นทุนการผลิตยังสูง ทำให้ยังไม่พร้อมเข้าสู่ตลาด mass production

    Natalie สร้าง Game Boy Color ด้วยแผงวงจรโปร่งใสที่ใช้งานได้จริง
    เธอออกแบบ schematic เองและใช้วัสดุคล้ายอะคริลิก

    ลบ ground zone เพื่อให้เห็นลายทองแดงชัดเจน
    แม้จะสำคัญในอุปกรณ์สมัยใหม่ แต่ไม่เป็นปัญหากับ Game Boy

    PCB มีจุดหลอมต่ำเพียง 200°C ต้อง solder อย่างระวัง
    หากร้อนเกินไปอาจทำให้แผงวงจรเสียหาย

    ใช้ cartridge reader จากเครื่องจีนที่โปร่งใส
    ประกอบกับเปลือกใสและปุ่ม translucent

    เป็นโปรเจกต์ศิลปะ ไม่ได้ผลิตขาย
    สร้างเพื่อความสนุกและความสวยงาม

    ชุมชนเสนอไอเดียเพิ่ม เช่น ลายเงินหรือ backlight
    เพื่อเพิ่มความสวยงามและความโดดเด่น

    https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/self-taught-modder-builds-completely-transparent-game-boy-color-circuit-board-that-actually-works-pcb-looks-stunning-when-matched-with-fully-transparent-shell
    🎮✨ เรื่องเล่าจากโลกโมดิฟาย: Game Boy Color โปร่งใสที่ใช้งานได้จริง—ศิลปะบนวงจร Natalie (@natalie_thenerd) นักโมดิฟายคอนโซลแบบ self-taught ได้สร้าง Game Boy Color ที่ไม่เหมือนใคร—ด้วยแผงวงจรโปร่งใส (transparent PCB) ที่ใช้งานได้จริง! เธอออกแบบ schematic เอง และเลือกใช้วัสดุคล้ายอะคริลิกที่ไม่มี ground zone เพื่อให้เห็นลายทองแดงชัดเจน แม้จะดูเหมือนของเล่น แต่การ solder บนวัสดุที่มีจุดหลอมต่ำเพียง 200°C ต้องใช้ความระมัดระวังสูง เพราะผิดพลาดนิดเดียวอาจทำให้แผงวงจรเสียหายได้ เธอประกอบเครื่องด้วยชิ้นส่วนโปร่งใสเกือบทั้งหมด—รวมถึง cartridge reader จากเครื่องจีน และเปลือกใสพร้อมปุ่ม translucent ทำให้ได้เครื่อง Game Boy Color ที่ “เห็นทะลุทุกชั้น” อย่างแท้จริง แม้จะเป็นโปรเจกต์ศิลปะที่ไม่ได้ผลิตขาย แต่ก็จุดประกายให้ชุมชน modding สนใจเทคนิคนี้มากขึ้น เช่น การใช้ลายเงินแทนทองแดง หรือเพิ่ม backlight เพื่อความสวยงาม ชุมชน modding อย่าง Modded Gameboy Club และโปรเจกต์อย่าง SZ-CGB-L หรือ Ultra Boy Color ต่างก็พัฒนา PCB แบบใหม่ที่รองรับการใช้งานจริง พร้อมปรับแต่งให้เหมาะกับจอ IPS และการใช้งานยุคใหม่ แต่ความท้าทายยังคงอยู่—PCB โปร่งใสยังเปราะบาง ไม่เหมาะกับการใช้งานหนัก และต้นทุนการผลิตยังสูง ทำให้ยังไม่พร้อมเข้าสู่ตลาด mass production ✅ Natalie สร้าง Game Boy Color ด้วยแผงวงจรโปร่งใสที่ใช้งานได้จริง ➡️ เธอออกแบบ schematic เองและใช้วัสดุคล้ายอะคริลิก ✅ ลบ ground zone เพื่อให้เห็นลายทองแดงชัดเจน ➡️ แม้จะสำคัญในอุปกรณ์สมัยใหม่ แต่ไม่เป็นปัญหากับ Game Boy ✅ PCB มีจุดหลอมต่ำเพียง 200°C ต้อง solder อย่างระวัง ➡️ หากร้อนเกินไปอาจทำให้แผงวงจรเสียหาย ✅ ใช้ cartridge reader จากเครื่องจีนที่โปร่งใส ➡️ ประกอบกับเปลือกใสและปุ่ม translucent ✅ เป็นโปรเจกต์ศิลปะ ไม่ได้ผลิตขาย ➡️ สร้างเพื่อความสนุกและความสวยงาม ✅ ชุมชนเสนอไอเดียเพิ่ม เช่น ลายเงินหรือ backlight ➡️ เพื่อเพิ่มความสวยงามและความโดดเด่น https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/self-taught-modder-builds-completely-transparent-game-boy-color-circuit-board-that-actually-works-pcb-looks-stunning-when-matched-with-fully-transparent-shell
    0 Comments 0 Shares 134 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกเซิร์ฟเวอร์: Qualcomm เตรียมบุกตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ด้วย CPU ARM และแร็กเซิร์ฟเวอร์สำหรับ AI

    หลังจากอยู่ในตลาดมือถือมานานหลายปี Qualcomm กำลังเตรียมก้าวครั้งใหญ่สู่โลกดาต้าเซ็นเตอร์ โดยในรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด CEO Cristiano Amon ยืนยันว่าบริษัทกำลังอยู่ใน “ขั้นตอนเจรจาขั้นสูง” กับลูกค้าระดับ hyperscaler เพื่อพัฒนา CPU แบบ ARM สำหรับใช้งานในคลัสเตอร์ AI โดยเฉพาะ

    Qualcomm เคยพยายามเข้าสู่ตลาดเซิร์ฟเวอร์ในอดีต แต่ไม่ประสบความสำเร็จ และถอนตัวไปในปี 2018 เพื่อโฟกัสกับมือถือ แต่ตอนนี้ด้วยการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่เน้น “tokens per watt” และ “tokens per dollar” มากกว่าความแรงเพียว ๆ Qualcomm มองเห็นโอกาสใหม่ในการสร้าง CPU ที่เน้นประสิทธิภาพพลังงานสำหรับงาน inference

    นอกจาก CPU แล้ว Qualcomm ยังพัฒนา accelerator cards และแร็กเซิร์ฟเวอร์เต็มรูปแบบสำหรับ AI โดยใช้เทคโนโลยีจาก Snapdragon และ Dragonwing Edge ซึ่งจะถูกนำไปใช้ในศูนย์ข้อมูลของ Humain บริษัท AI ของรัฐบาลซาอุฯ

    อย่างไรก็ตาม รายได้จากโครงการนี้จะเริ่มในปีงบประมาณ 2028 ซึ่งอาจช้าเกินไปเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Broadcom และ Nvidia ที่มีผลิตภัณฑ์พร้อมใช้งานแล้ว และนักลงทุนก็ยังไม่มั่นใจนัก เพราะราคาหุ้น Qualcomm ร่วงลงหลังประกาศข่าวนี้

    Qualcomm เตรียมเข้าสู่ตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ด้วย CPU ARM สำหรับ hyperscaler
    อยู่ในขั้นตอนเจรจาขั้นสูงกับลูกค้ารายใหญ่

    CPU ใหม่จะเน้นงาน AI inference และประสิทธิภาพพลังงาน
    ใช้เกณฑ์ tokens per watt และ tokens per dollar เป็นตัวชี้วัด

    Qualcomm พัฒนา accelerator cards และแร็กเซิร์ฟเวอร์สำหรับ AI
    ไม่ใช่แค่ขาย CPU แต่สร้างโซลูชันครบวงจร

    รายได้จากโครงการนี้คาดว่าจะเริ่มในปีงบประมาณ 2028
    ยังอยู่ในช่วงต้นของการพัฒนา

    Qualcomm เซ็นสัญญาร่วมมือกับ Humain บริษัท AI ของรัฐบาลซาอุฯ
    เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล edge และ cloud ทั่วโลก

    ใช้เทคโนโลยีจาก Snapdragon และ Dragonwing Edge ในโครงการนี้
    ขยายจากมือถือสู่โครงสร้างพื้นฐาน AI

    ตลาดกำลังเปลี่ยนจาก x86 ไปสู่ ARM-based CPU สำหรับงาน AI
    เพราะ ARM มีประสิทธิภาพพลังงานดีกว่าในงาน inference

    Broadcom และ Nvidia มี accelerator สำหรับ AI ที่พร้อมใช้งานแล้ว
    ทำให้ Qualcomm ต้องเร่งพัฒนาเพื่อไม่ตกขบวน

    Qualcomm เคยล้มเหลวในการพัฒนา CPU เซิร์ฟเวอร์ในปี 2018
    แต่กลับมาใหม่ด้วยแนวทางที่เน้น AI และพลังงาน

    Alphawave IP Group จะถูก Qualcomm เข้าซื้อในปี 2026
    เพื่อเสริมความสามารถด้านการออกแบบระบบดาต้าเซ็นเตอร์

    https://www.techradar.com/pro/is-qualcomm-finally-about-to-take-the-data-center-plunge-report-claims-new-cpus-could-be-on-offer-soon
    🧠🏭 เรื่องเล่าจากโลกเซิร์ฟเวอร์: Qualcomm เตรียมบุกตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ด้วย CPU ARM และแร็กเซิร์ฟเวอร์สำหรับ AI หลังจากอยู่ในตลาดมือถือมานานหลายปี Qualcomm กำลังเตรียมก้าวครั้งใหญ่สู่โลกดาต้าเซ็นเตอร์ โดยในรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด CEO Cristiano Amon ยืนยันว่าบริษัทกำลังอยู่ใน “ขั้นตอนเจรจาขั้นสูง” กับลูกค้าระดับ hyperscaler เพื่อพัฒนา CPU แบบ ARM สำหรับใช้งานในคลัสเตอร์ AI โดยเฉพาะ Qualcomm เคยพยายามเข้าสู่ตลาดเซิร์ฟเวอร์ในอดีต แต่ไม่ประสบความสำเร็จ และถอนตัวไปในปี 2018 เพื่อโฟกัสกับมือถือ แต่ตอนนี้ด้วยการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่เน้น “tokens per watt” และ “tokens per dollar” มากกว่าความแรงเพียว ๆ Qualcomm มองเห็นโอกาสใหม่ในการสร้าง CPU ที่เน้นประสิทธิภาพพลังงานสำหรับงาน inference นอกจาก CPU แล้ว Qualcomm ยังพัฒนา accelerator cards และแร็กเซิร์ฟเวอร์เต็มรูปแบบสำหรับ AI โดยใช้เทคโนโลยีจาก Snapdragon และ Dragonwing Edge ซึ่งจะถูกนำไปใช้ในศูนย์ข้อมูลของ Humain บริษัท AI ของรัฐบาลซาอุฯ อย่างไรก็ตาม รายได้จากโครงการนี้จะเริ่มในปีงบประมาณ 2028 ซึ่งอาจช้าเกินไปเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Broadcom และ Nvidia ที่มีผลิตภัณฑ์พร้อมใช้งานแล้ว และนักลงทุนก็ยังไม่มั่นใจนัก เพราะราคาหุ้น Qualcomm ร่วงลงหลังประกาศข่าวนี้ ✅ Qualcomm เตรียมเข้าสู่ตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ด้วย CPU ARM สำหรับ hyperscaler ➡️ อยู่ในขั้นตอนเจรจาขั้นสูงกับลูกค้ารายใหญ่ ✅ CPU ใหม่จะเน้นงาน AI inference และประสิทธิภาพพลังงาน ➡️ ใช้เกณฑ์ tokens per watt และ tokens per dollar เป็นตัวชี้วัด ✅ Qualcomm พัฒนา accelerator cards และแร็กเซิร์ฟเวอร์สำหรับ AI ➡️ ไม่ใช่แค่ขาย CPU แต่สร้างโซลูชันครบวงจร ✅ รายได้จากโครงการนี้คาดว่าจะเริ่มในปีงบประมาณ 2028 ➡️ ยังอยู่ในช่วงต้นของการพัฒนา ✅ Qualcomm เซ็นสัญญาร่วมมือกับ Humain บริษัท AI ของรัฐบาลซาอุฯ ➡️ เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล edge และ cloud ทั่วโลก ✅ ใช้เทคโนโลยีจาก Snapdragon และ Dragonwing Edge ในโครงการนี้ ➡️ ขยายจากมือถือสู่โครงสร้างพื้นฐาน AI ✅ ตลาดกำลังเปลี่ยนจาก x86 ไปสู่ ARM-based CPU สำหรับงาน AI ➡️ เพราะ ARM มีประสิทธิภาพพลังงานดีกว่าในงาน inference ✅ Broadcom และ Nvidia มี accelerator สำหรับ AI ที่พร้อมใช้งานแล้ว ➡️ ทำให้ Qualcomm ต้องเร่งพัฒนาเพื่อไม่ตกขบวน ✅ Qualcomm เคยล้มเหลวในการพัฒนา CPU เซิร์ฟเวอร์ในปี 2018 ➡️ แต่กลับมาใหม่ด้วยแนวทางที่เน้น AI และพลังงาน ✅ Alphawave IP Group จะถูก Qualcomm เข้าซื้อในปี 2026 ➡️ เพื่อเสริมความสามารถด้านการออกแบบระบบดาต้าเซ็นเตอร์ https://www.techradar.com/pro/is-qualcomm-finally-about-to-take-the-data-center-plunge-report-claims-new-cpus-could-be-on-offer-soon
    0 Comments 0 Shares 186 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกเกม: AMD จับมือ Microsoft สร้างชิปเดียวใช้ได้ทั้ง Xbox, PC และเครื่องพกพา

    ในไตรมาสที่ 2 ปี 2025 AMD ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่กับ Microsoft ในการพัฒนาชิปแบบกึ่งสั่งทำ (semi-custom SoC) สำหรับอุปกรณ์ Xbox รุ่นถัดไป ซึ่งไม่ใช่แค่คอนโซลเท่านั้น แต่รวมถึง PC และเครื่องเล่นเกมแบบพกพาด้วย

    แนวคิดนี้คือการสร้าง “ชิปเดียวใช้ได้ทุกแพลตฟอร์ม” โดยใช้สถาปัตยกรรม x86 “Zen” สำหรับ CPU และ “RDNA” สำหรับ GPU ซึ่งเป็นพื้นฐานเดียวกับที่ใช้ใน Xbox Series X/S และ Ryzen Z2 ที่อยู่ใน ROG Ally รุ่น Xbox

    AMD ระบุว่าชิปใหม่นี้จะช่วยให้ Microsoft สร้าง ecosystem ที่เชื่อมโยงกันระหว่างคอนโซล เครื่องพกพา และ PC ได้อย่างไร้รอยต่อ โดยมีเป้าหมายให้ผู้ใช้สามารถเล่นเกม Xbox ได้ทุกที่ โดยไม่ต้องผูกกับอุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่ง

    แม้จะเป็นก้าวสำคัญ แต่ก็มีข้อกังวล เช่น ชิปแบบนี้อาจถูกบัดกรีติดกับเมนบอร์ด ทำให้ไม่สามารถอัปเกรดได้เหมือน PC แบบประกอบเอง และอาจจำกัดตลาดเฉพาะกลุ่มที่ต้องการความสะดวกมากกว่าความยืดหยุ่น

    AMD และ Microsoft ร่วมพัฒนาชิปกึ่งสั่งทำสำหรับ Xbox รุ่นถัดไป
    ใช้ได้กับคอนโซล PC และเครื่องเล่นเกมพกพา

    ชิปใช้สถาปัตยกรรม Zen สำหรับ CPU และ RDNA สำหรับ GPU
    เป็นพื้นฐานเดียวกับ Xbox Series X/S และ Ryzen Z2

    AMD รายงานรายได้จากกลุ่ม Client และ Gaming เพิ่มขึ้น 71.4%
    โดยเฉพาะยอดขาย Ryzen 9000X3D และ Radeon RX 9000

    Ecosystem ใหม่จะใช้ชิปเดียวกันในหลายอุปกรณ์
    ช่วยให้เกม Xbox เล่นได้ทุกที่อย่างไร้รอยต่อ

    AMD ยังร่วมมือกับ Sony ในการพัฒนา FSR 4 สำหรับ PlayStation
    แสดงถึงบทบาทกลางของ AMD ในอุตสาหกรรมเกม

    Microsoft วางแผนให้ Xbox เป็น “พอร์ตโฟลิโอของอุปกรณ์”
    รวมคอนโซล เครื่องพกพา และ PC ที่ใช้ชิปเดียวกัน

    ชิปใหม่จะรองรับ AI-based rendering และ upscaling
    เพิ่มประสิทธิภาพภาพและเฟรมเรตในเกม

    AMD เตรียมสร้าง roadmap ของชิปเกมที่ใช้ Ryzen และ Radeon
    ครอบคลุมคอนโซล เครื่องพกพา PC และ cloud gaming

    Xbox รุ่นใหม่จะมี backward compatibility กับเกมเก่า
    ช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องซื้อเกมใหม่ซ้ำ

    Ecosystem นี้อาจทำให้ Xbox แข่งกับ PlayStation ได้ในหลายระดับราคา
    ตั้งแต่ $199 สำหรับเครื่องพกพา ไปจนถึง $699 สำหรับคอนโซลระดับสูง

    https://wccftech.com/amd-confirms-developing-custom-chips-microsoft-power-next-gen-xbox-consoles-pcs-handhelds/
    🎮🔧 เรื่องเล่าจากโลกเกม: AMD จับมือ Microsoft สร้างชิปเดียวใช้ได้ทั้ง Xbox, PC และเครื่องพกพา ในไตรมาสที่ 2 ปี 2025 AMD ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่กับ Microsoft ในการพัฒนาชิปแบบกึ่งสั่งทำ (semi-custom SoC) สำหรับอุปกรณ์ Xbox รุ่นถัดไป ซึ่งไม่ใช่แค่คอนโซลเท่านั้น แต่รวมถึง PC และเครื่องเล่นเกมแบบพกพาด้วย แนวคิดนี้คือการสร้าง “ชิปเดียวใช้ได้ทุกแพลตฟอร์ม” โดยใช้สถาปัตยกรรม x86 “Zen” สำหรับ CPU และ “RDNA” สำหรับ GPU ซึ่งเป็นพื้นฐานเดียวกับที่ใช้ใน Xbox Series X/S และ Ryzen Z2 ที่อยู่ใน ROG Ally รุ่น Xbox AMD ระบุว่าชิปใหม่นี้จะช่วยให้ Microsoft สร้าง ecosystem ที่เชื่อมโยงกันระหว่างคอนโซล เครื่องพกพา และ PC ได้อย่างไร้รอยต่อ โดยมีเป้าหมายให้ผู้ใช้สามารถเล่นเกม Xbox ได้ทุกที่ โดยไม่ต้องผูกกับอุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่ง แม้จะเป็นก้าวสำคัญ แต่ก็มีข้อกังวล เช่น ชิปแบบนี้อาจถูกบัดกรีติดกับเมนบอร์ด ทำให้ไม่สามารถอัปเกรดได้เหมือน PC แบบประกอบเอง และอาจจำกัดตลาดเฉพาะกลุ่มที่ต้องการความสะดวกมากกว่าความยืดหยุ่น ✅ AMD และ Microsoft ร่วมพัฒนาชิปกึ่งสั่งทำสำหรับ Xbox รุ่นถัดไป ➡️ ใช้ได้กับคอนโซล PC และเครื่องเล่นเกมพกพา ✅ ชิปใช้สถาปัตยกรรม Zen สำหรับ CPU และ RDNA สำหรับ GPU ➡️ เป็นพื้นฐานเดียวกับ Xbox Series X/S และ Ryzen Z2 ✅ AMD รายงานรายได้จากกลุ่ม Client และ Gaming เพิ่มขึ้น 71.4% ➡️ โดยเฉพาะยอดขาย Ryzen 9000X3D และ Radeon RX 9000 ✅ Ecosystem ใหม่จะใช้ชิปเดียวกันในหลายอุปกรณ์ ➡️ ช่วยให้เกม Xbox เล่นได้ทุกที่อย่างไร้รอยต่อ ✅ AMD ยังร่วมมือกับ Sony ในการพัฒนา FSR 4 สำหรับ PlayStation ➡️ แสดงถึงบทบาทกลางของ AMD ในอุตสาหกรรมเกม ✅ Microsoft วางแผนให้ Xbox เป็น “พอร์ตโฟลิโอของอุปกรณ์” ➡️ รวมคอนโซล เครื่องพกพา และ PC ที่ใช้ชิปเดียวกัน ✅ ชิปใหม่จะรองรับ AI-based rendering และ upscaling ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพภาพและเฟรมเรตในเกม ✅ AMD เตรียมสร้าง roadmap ของชิปเกมที่ใช้ Ryzen และ Radeon ➡️ ครอบคลุมคอนโซล เครื่องพกพา PC และ cloud gaming ✅ Xbox รุ่นใหม่จะมี backward compatibility กับเกมเก่า ➡️ ช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องซื้อเกมใหม่ซ้ำ ✅ Ecosystem นี้อาจทำให้ Xbox แข่งกับ PlayStation ได้ในหลายระดับราคา ➡️ ตั้งแต่ $199 สำหรับเครื่องพกพา ไปจนถึง $699 สำหรับคอนโซลระดับสูง https://wccftech.com/amd-confirms-developing-custom-chips-microsoft-power-next-gen-xbox-consoles-pcs-handhelds/
    WCCFTECH.COM
    AMD Confirms It's Developing Custom Chips With Microsoft: Will Power Next-Gen Xbox Devices Including Consoles, PCs, & Handhelds
    AMD has confirmed the development of custom chips that will power future Microsoft Xbox platforms such as consoles, PCs & handhelds.
    0 Comments 0 Shares 190 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อเกมแห่งโชคต้องพึ่งพาความปลอดภัยระดับ Zero Trust

    ในยุคที่แม้แต่ลอตเตอรี่แห่งชาติยังต้องปรับตัวเข้าสู่โลกดิจิทัล LONACI หรือสำนักงานลอตเตอรี่แห่งชาติของโกตดิวัวร์ ได้จับมือกับสองยักษ์ใหญ่ด้านความปลอดภัยไซเบอร์—AccuKnox และ SecuVerse.ai—เพื่อยกระดับความปลอดภัยของระบบเกมและข้อมูลผู้ใช้อย่างเต็มรูปแบบ

    AccuKnox ซึ่งเป็นผู้นำด้าน Zero Trust CNAPP (Cloud Native Application Protection Platform) ได้ร่วมกับ SecuVerse.ai จากโมร็อกโก เพื่อส่งมอบโซลูชัน ASPM (Application Security Posture Management) ที่ผสานเทคโนโลยี SAST, DAST และ SCA เข้าด้วยกัน พร้อมระบบ AI ที่ช่วยแนะนำวิธีแก้ไขช่องโหว่แบบเจาะจงตามบริบทของแต่ละระบบ

    เป้าหมายของ LONACI คือการรวมเครื่องมือที่กระจัดกระจายให้เป็นแพลตฟอร์มเดียวที่ปลอดภัย โปร่งใส และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เช่น PCI-DSS, ISO 27001 และ GDPR เพื่อรองรับยุทธศาสตร์ดิจิทัลระยะยาวถึงปี 2030

    CNAPP คือแพลตฟอร์มรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจรสำหรับแอปพลิเคชันบนคลาวด์
    ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนาไปจนถึงการใช้งานจริง

    Zero Trust คือแนวคิดที่ไม่เชื่อถือใครโดยอัตโนมัติ
    ทุกการเข้าถึงต้องได้รับการตรวจสอบและอนุญาตอย่างเข้มงวด

    AccuKnox เป็นผู้ร่วมพัฒนา KubeArmor ซึ่งมีการดาวน์โหลดมากกว่า 2 ล้านครั้ง
    เป็นระบบรักษาความปลอดภัย runtime สำหรับ Kubernetes

    การใช้ AI ในระบบความปลอดภัยช่วยลดภาระของทีมงาน
    ทำให้สามารถโฟกัสกับภัยคุกคามที่สำคัญได้มากขึ้น

    LONACI จับมือ AccuKnox และ SecuVerse.ai เพื่อเสริมความปลอดภัยของระบบลอตเตอรี่แห่งชาติ
    เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ดิจิทัล 2025–2030

    โซลูชันที่ใช้คือ ASPM ที่รวม SAST, DAST และ SCA
    ช่วยตรวจสอบความปลอดภัยของโค้ดทั้งแบบสถิตและแบบไดนามิก

    ใช้ AI เพื่อช่วยแนะนำวิธีแก้ไขช่องโหว่แบบอัตโนมัติ
    ลดเวลาในการวิเคราะห์และแก้ไขปัญหา

    มีระบบ SOAR สำหรับจัดการแจ้งเตือนอย่างมีประสิทธิภาพ
    ช่วยให้ทีมรักษาความปลอดภัยตอบสนองได้เร็วขึ้น

    LONACI ต้องการรวมเครื่องมือหลายตัวให้เป็นแพลตฟอร์มเดียว
    เพื่อเพิ่ม ROI และลดความซับซ้อนในการบริหารจัดการ

    AccuKnox มีความสามารถในการปกป้องทั้ง public cloud และ private cloud
    รองรับ Kubernetes, AI/LLM, Edge/IoT และ VM แบบดั้งเดิม

    SecuVerse.ai มีเครือข่ายในแอฟริกาเหนือ ตะวันตก และกลาง
    ให้บริการด้าน AppSec, CloudSec, DataSec และโครงสร้างพื้นฐาน

    https://hackread.com/accuknox-partners-with-secuverse-ai-to-deliver-zero-trust-cnapp-security-for-national-gaming-infrastructure/
    🎰🔐 เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อเกมแห่งโชคต้องพึ่งพาความปลอดภัยระดับ Zero Trust ในยุคที่แม้แต่ลอตเตอรี่แห่งชาติยังต้องปรับตัวเข้าสู่โลกดิจิทัล LONACI หรือสำนักงานลอตเตอรี่แห่งชาติของโกตดิวัวร์ ได้จับมือกับสองยักษ์ใหญ่ด้านความปลอดภัยไซเบอร์—AccuKnox และ SecuVerse.ai—เพื่อยกระดับความปลอดภัยของระบบเกมและข้อมูลผู้ใช้อย่างเต็มรูปแบบ AccuKnox ซึ่งเป็นผู้นำด้าน Zero Trust CNAPP (Cloud Native Application Protection Platform) ได้ร่วมกับ SecuVerse.ai จากโมร็อกโก เพื่อส่งมอบโซลูชัน ASPM (Application Security Posture Management) ที่ผสานเทคโนโลยี SAST, DAST และ SCA เข้าด้วยกัน พร้อมระบบ AI ที่ช่วยแนะนำวิธีแก้ไขช่องโหว่แบบเจาะจงตามบริบทของแต่ละระบบ เป้าหมายของ LONACI คือการรวมเครื่องมือที่กระจัดกระจายให้เป็นแพลตฟอร์มเดียวที่ปลอดภัย โปร่งใส และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เช่น PCI-DSS, ISO 27001 และ GDPR เพื่อรองรับยุทธศาสตร์ดิจิทัลระยะยาวถึงปี 2030 ✅ CNAPP คือแพลตฟอร์มรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจรสำหรับแอปพลิเคชันบนคลาวด์ ➡️ ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนาไปจนถึงการใช้งานจริง ✅ Zero Trust คือแนวคิดที่ไม่เชื่อถือใครโดยอัตโนมัติ ➡️ ทุกการเข้าถึงต้องได้รับการตรวจสอบและอนุญาตอย่างเข้มงวด ✅ AccuKnox เป็นผู้ร่วมพัฒนา KubeArmor ซึ่งมีการดาวน์โหลดมากกว่า 2 ล้านครั้ง ➡️ เป็นระบบรักษาความปลอดภัย runtime สำหรับ Kubernetes ✅ การใช้ AI ในระบบความปลอดภัยช่วยลดภาระของทีมงาน ➡️ ทำให้สามารถโฟกัสกับภัยคุกคามที่สำคัญได้มากขึ้น ✅ LONACI จับมือ AccuKnox และ SecuVerse.ai เพื่อเสริมความปลอดภัยของระบบลอตเตอรี่แห่งชาติ ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ดิจิทัล 2025–2030 ✅ โซลูชันที่ใช้คือ ASPM ที่รวม SAST, DAST และ SCA ➡️ ช่วยตรวจสอบความปลอดภัยของโค้ดทั้งแบบสถิตและแบบไดนามิก ✅ ใช้ AI เพื่อช่วยแนะนำวิธีแก้ไขช่องโหว่แบบอัตโนมัติ ➡️ ลดเวลาในการวิเคราะห์และแก้ไขปัญหา ✅ มีระบบ SOAR สำหรับจัดการแจ้งเตือนอย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ ช่วยให้ทีมรักษาความปลอดภัยตอบสนองได้เร็วขึ้น ✅ LONACI ต้องการรวมเครื่องมือหลายตัวให้เป็นแพลตฟอร์มเดียว ➡️ เพื่อเพิ่ม ROI และลดความซับซ้อนในการบริหารจัดการ ✅ AccuKnox มีความสามารถในการปกป้องทั้ง public cloud และ private cloud ➡️ รองรับ Kubernetes, AI/LLM, Edge/IoT และ VM แบบดั้งเดิม ✅ SecuVerse.ai มีเครือข่ายในแอฟริกาเหนือ ตะวันตก และกลาง ➡️ ให้บริการด้าน AppSec, CloudSec, DataSec และโครงสร้างพื้นฐาน https://hackread.com/accuknox-partners-with-secuverse-ai-to-deliver-zero-trust-cnapp-security-for-national-gaming-infrastructure/
    0 Comments 0 Shares 239 Views 0 Reviews
  • ไฮโซลูกตะกั่ว มั่วโคเคน ไม่อยากพูดถึงเรื่องที่พี่แกตาบอดเลยจริงๆ แกสร้างเหตุปัจจัยไปเรื่อยอะแหละ ตาบอดไม่พอ ใจโคตรมืดบอดยิ่งกว่าตาที่บอดอีก น่าเวทนาจริงๆ ผมเป็นไฮโซลูกกระโปกผมคงไม่ไปสร้างเหตุปัจจัยให้มาพิการ และมาทำพฤติกรรมต่ำทรามสถุนแบบนี้ครับ
    ไฮโซลูกตะกั่ว มั่วโคเคน ไม่อยากพูดถึงเรื่องที่พี่แกตาบอดเลยจริงๆ แกสร้างเหตุปัจจัยไปเรื่อยอะแหละ ตาบอดไม่พอ ใจโคตรมืดบอดยิ่งกว่าตาที่บอดอีก น่าเวทนาจริงๆ ผมเป็นไฮโซลูกกระโปกผมคงไม่ไปสร้างเหตุปัจจัยให้มาพิการ และมาทำพฤติกรรมต่ำทรามสถุนแบบนี้ครับ
    เขาคือใคร “ไฮโซลูกนัท” ไฮโซหนุ่มโปรไฟล์ดี : [News story]

    เปิดประวัติ “ไฮโซลูกนัท” ทายาทหมื่นล้านก่อนถูกจับ
    0 Comments 0 Shares 71 Views 0 0 Reviews
  • “ไฮโซลูกนัท” ได้ประกันตัว! ไม่ต้องนอนคุก ศาลให้ปล่อยชั่วคราว...ตีราคาประกัน 1 แสนบาท...หลังโดนคดีอาวุธปืน-ยาเสพติด
    https://www.thai-tai.tv/news/20825/
    .
    #ไฮโซลูกนัท #ธนัตถ์ธนากิจอำนวย #ยาเสพติด #อาวุธปืน #ข่าวอาชญากรรม #ไทยไท
    “ไฮโซลูกนัท” ได้ประกันตัว! ไม่ต้องนอนคุก ศาลให้ปล่อยชั่วคราว...ตีราคาประกัน 1 แสนบาท...หลังโดนคดีอาวุธปืน-ยาเสพติด https://www.thai-tai.tv/news/20825/ . #ไฮโซลูกนัท #ธนัตถ์ธนากิจอำนวย #ยาเสพติด #อาวุธปืน #ข่าวอาชญากรรม #ไทยไท
    0 Comments 0 Shares 99 Views 0 Reviews
  • เขาคือใคร “ไฮโซลูกนัท” ไฮโซหนุ่มโปรไฟล์ดี : [News story]

    เปิดประวัติ “ไฮโซลูกนัท” ทายาทหมื่นล้านก่อนถูกจับ
    เขาคือใคร “ไฮโซลูกนัท” ไฮโซหนุ่มโปรไฟล์ดี : [News story] เปิดประวัติ “ไฮโซลูกนัท” ทายาทหมื่นล้านก่อนถูกจับ
    Like
    Haha
    4
    0 Comments 1 Shares 472 Views 0 0 Reviews
  • บำบัดยังไงก็ไม่หาย เพราะสันดานสามกับฝังแน่น ละเมิดทุกข้อห้าม ขนาดเหลือตาข้างเดียวนะนี่
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #ไฮโซลูกนัท
    บำบัดยังไงก็ไม่หาย เพราะสันดานสามกับฝังแน่น ละเมิดทุกข้อห้าม ขนาดเหลือตาข้างเดียวนะนี่ #คิงส์โพธิ์แดง #ไฮโซลูกนัท
    Like
    Haha
    2
    0 Comments 0 Shares 168 Views 0 Reviews
  • บุกรวบ "ไฮโซลูกนัท" คาบ้านพัก! ยึดปืน-เครื่องกระสุนอื้อ...พบของกลางยาเสพติดและอุปกรณ์การเสพเพียบ
    https://www.thai-tai.tv/news/20798/
    .
    #ไฮโซลูกนัท #ตำรวจนครบาล #กกดส #ยาเสพติด #อาวุธปืน #ข่าวอาชญากรรม #ไทยไท
    บุกรวบ "ไฮโซลูกนัท" คาบ้านพัก! ยึดปืน-เครื่องกระสุนอื้อ...พบของกลางยาเสพติดและอุปกรณ์การเสพเพียบ https://www.thai-tai.tv/news/20798/ . #ไฮโซลูกนัท #ตำรวจนครบาล #กกดส #ยาเสพติด #อาวุธปืน #ข่าวอาชญากรรม #ไทยไท
    0 Comments 0 Shares 174 Views 0 Reviews
  • ตำรวจสวัสดิภาพเด็กและสตรี บช.น. จับกุมไฮโซลูกนัท ทายาทนักธุรกิจอสังหาฯ ดัง หลังสาวรายหนึ่งโร่แจ้งความถูกบังคับให้เสพยาเสพติด และใช้อาวุธปืนทำร้ายร่างกาย พบอาวุธปืนในบ้านมากถึง 20 กระบอก
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000074809

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    ตำรวจสวัสดิภาพเด็กและสตรี บช.น. จับกุมไฮโซลูกนัท ทายาทนักธุรกิจอสังหาฯ ดัง หลังสาวรายหนึ่งโร่แจ้งความถูกบังคับให้เสพยาเสพติด และใช้อาวุธปืนทำร้ายร่างกาย พบอาวุธปืนในบ้านมากถึง 20 กระบอก . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000074809 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    Angry
    9
    0 Comments 0 Shares 996 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกการค้า: ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีชิปนำเข้า 100% เพื่อผลักดันการผลิตในประเทศ

    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอีกครั้ง ด้วยการประกาศเก็บภาษี 100% สำหรับชิปและเซมิคอนดักเตอร์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่หันมาผลิตในสหรัฐฯ แทนการพึ่งพาการผลิตจากต่างประเทศ เช่น ไต้หวัน จีน หรือเวียดนาม

    อย่างไรก็ตาม บริษัทที่มีการลงทุนในสหรัฐฯ อยู่แล้ว เช่น Apple, NVIDIA, TSMC และ Samsung จะได้รับการยกเว้นภาษี หากสามารถพิสูจน์ได้ว่ากำลังสร้างหรือมีแผนสร้างโรงงานในประเทศจริง โดย Apple ได้ประกาศลงทุนเพิ่มอีก $100 พันล้านในโครงการ American Manufacturing Program ซึ่งรวมถึงโรงงานในเท็กซัสและศูนย์วิจัยในหลายรัฐ

    การเคลื่อนไหวนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแนวทางจากยุคก่อนที่เน้นการให้เงินสนับสนุนผ่าน CHIPS Act มาเป็นการใช้ “ไม้แข็ง” เพื่อบังคับให้บริษัทต่างชาติย้ายฐานการผลิตมาในสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในวงกว้าง เช่น สมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ รถยนต์ไฟฟ้า และคอนโซลเกม

    ทรัมป์ประกาศเก็บภาษี 100% สำหรับชิปนำเข้าจากต่างประเทศ
    ยกเว้นเฉพาะบริษัทที่ผลิตหรือมีแผนสร้างโรงงานในสหรัฐฯ

    Apple ได้รับการยกเว้นภาษีจากการลงทุน $100 พันล้านในโครงการ AMP
    รวมถึงโรงงานในเท็กซัสและการขยายกำลังผลิตในรัฐเคนทักกี

    TSMC ลงทุนรวมกว่า $165 พันล้านในโรงงานที่รัฐแอริโซนา
    เตรียมสร้างโรงงานผลิตชิป 6 แห่งและศูนย์วิจัย

    NVIDIA ประกาศสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI และชิปในรัฐเท็กซัส
    ถือเป็นการ “onshoring” ครั้งใหญ่ของบริษัท

    บริษัทที่ “แค่สัญญา” แต่ไม่ดำเนินการจริงจะถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง
    ทรัมป์ย้ำว่า “ต้องจ่ายแน่นอน” หากไม่ทำตามแผน

    https://wccftech.com/president-trump-to-impose-a-whopping-100-tariff-on-all-chips-coming-into-the-us/
    🇺🇸💥 เรื่องเล่าจากโลกการค้า: ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีชิปนำเข้า 100% เพื่อผลักดันการผลิตในประเทศ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอีกครั้ง ด้วยการประกาศเก็บภาษี 100% สำหรับชิปและเซมิคอนดักเตอร์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่หันมาผลิตในสหรัฐฯ แทนการพึ่งพาการผลิตจากต่างประเทศ เช่น ไต้หวัน จีน หรือเวียดนาม อย่างไรก็ตาม บริษัทที่มีการลงทุนในสหรัฐฯ อยู่แล้ว เช่น Apple, NVIDIA, TSMC และ Samsung จะได้รับการยกเว้นภาษี หากสามารถพิสูจน์ได้ว่ากำลังสร้างหรือมีแผนสร้างโรงงานในประเทศจริง โดย Apple ได้ประกาศลงทุนเพิ่มอีก $100 พันล้านในโครงการ American Manufacturing Program ซึ่งรวมถึงโรงงานในเท็กซัสและศูนย์วิจัยในหลายรัฐ การเคลื่อนไหวนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแนวทางจากยุคก่อนที่เน้นการให้เงินสนับสนุนผ่าน CHIPS Act มาเป็นการใช้ “ไม้แข็ง” เพื่อบังคับให้บริษัทต่างชาติย้ายฐานการผลิตมาในสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในวงกว้าง เช่น สมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ รถยนต์ไฟฟ้า และคอนโซลเกม ✅ ทรัมป์ประกาศเก็บภาษี 100% สำหรับชิปนำเข้าจากต่างประเทศ ➡️ ยกเว้นเฉพาะบริษัทที่ผลิตหรือมีแผนสร้างโรงงานในสหรัฐฯ ✅ Apple ได้รับการยกเว้นภาษีจากการลงทุน $100 พันล้านในโครงการ AMP ➡️ รวมถึงโรงงานในเท็กซัสและการขยายกำลังผลิตในรัฐเคนทักกี ✅ TSMC ลงทุนรวมกว่า $165 พันล้านในโรงงานที่รัฐแอริโซนา ➡️ เตรียมสร้างโรงงานผลิตชิป 6 แห่งและศูนย์วิจัย ✅ NVIDIA ประกาศสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI และชิปในรัฐเท็กซัส ➡️ ถือเป็นการ “onshoring” ครั้งใหญ่ของบริษัท ✅ บริษัทที่ “แค่สัญญา” แต่ไม่ดำเนินการจริงจะถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง ➡️ ทรัมป์ย้ำว่า “ต้องจ่ายแน่นอน” หากไม่ทำตามแผน https://wccftech.com/president-trump-to-impose-a-whopping-100-tariff-on-all-chips-coming-into-the-us/
    WCCFTECH.COM
    President Trump to Impose a Whopping 100% Tariff on All Chips Coming into the US; No Extra Charge on Semiconductors Produced Domestically
    While talking alongside Apple's CEO Tim Cook, Trump has announced a massive chip tariff, a figure that the markets weren't expecting at all.
    0 Comments 0 Shares 228 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกเครื่องพิมพ์: เมื่อ Canon ขายบริการความปลอดภัยหลังโดนเจาะไฟร์วอลล์

    Canon ซึ่งเรารู้จักกันดีในฐานะผู้ผลิตกล้องและเครื่องพิมพ์ ได้เปิดตัวบริการ Subscription Security Services สำหรับองค์กร โดยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องอุปกรณ์ปลายทาง เอกสาร และข้อมูลจากภัยคุกคามไซเบอร์ บริการนี้มีสองระดับคือ Enhanced และ Premium โดยระดับสูงสุดจะมีฟีเจอร์อย่างการตรวจจับภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ การฟื้นฟูอุปกรณ์อย่างรวดเร็ว และการวิเคราะห์ความปลอดภัยเชิงลึก

    แต่การเปิดตัวนี้กลับเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่น่ากังวล เพราะเพียงไม่กี่วันก่อน Microsoft ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงในไดรเวอร์เครื่องพิมพ์ของ Canon (CVE-2025-1268) ซึ่งมีคะแนน CVSS สูงถึง 9.4 และอาจเปิดช่องให้แฮกเกอร์หยุดการพิมพ์หรือรันโค้ดอันตรายได้

    แถมยังมีรายงานว่ามีการขายสิทธิ์เข้าถึงระดับ root ของไฟร์วอลล์ Canon บนฟอรัมใต้ดิน แม้บริษัทจะยังไม่ยืนยัน แต่ก็สร้างความกังวลในวงการอย่างมาก

    การที่ Canon หันมาขายบริการความปลอดภัยจึงถูกมองว่าเป็นทั้งการตอบโต้ต่อความเสี่ยงด้านชื่อเสียง และความพยายามในการเปลี่ยนภาพลักษณ์จากผู้ขายฮาร์ดแวร์เป็นผู้ให้บริการด้านความปลอดภัยแบบครบวงจร

    Canon เปิดตัว Subscription Security Services แบบสองระดับ
    Enhanced มีการอัปเดตเฟิร์มแวร์และแบ็กอัปข้อมูล
    ส่วน Premium มีการตรวจจับภัยคุกคามและฟื้นฟูอุปกรณ์

    บริการนี้เน้นการปกป้องอุปกรณ์ Canon โดยเฉพาะ
    ไม่ใช่แพลตฟอร์ม EPP ทั่วไป แต่เป็นโซลูชันเฉพาะของ Canon

    ช่องโหว่ CVE-2025-1268 ถูกเปิดเผยโดย Microsoft
    มีคะแนน CVSS 9.4 และอาจถูกใช้โจมตีระบบพิมพ์

    Canon ออกคำแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตไดรเวอร์
    โดยเฉพาะในเครื่องพิมพ์สำนักงานและสายการผลิต

    บริการ Premium มีระบบตรวจจับภัยคุกคามแบบเรียลไทม์
    พร้อมระบบฟื้นฟูอุปกรณ์และรายงานความปลอดภัย

    https://www.techradar.com/pro/now-even-your-printer-company-may-want-to-sell-you-endpoint-protection-as-a-subscription-will-others-follow-suit
    🖨️🛡️ เรื่องเล่าจากโลกเครื่องพิมพ์: เมื่อ Canon ขายบริการความปลอดภัยหลังโดนเจาะไฟร์วอลล์ Canon ซึ่งเรารู้จักกันดีในฐานะผู้ผลิตกล้องและเครื่องพิมพ์ ได้เปิดตัวบริการ Subscription Security Services สำหรับองค์กร โดยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องอุปกรณ์ปลายทาง เอกสาร และข้อมูลจากภัยคุกคามไซเบอร์ บริการนี้มีสองระดับคือ Enhanced และ Premium โดยระดับสูงสุดจะมีฟีเจอร์อย่างการตรวจจับภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ การฟื้นฟูอุปกรณ์อย่างรวดเร็ว และการวิเคราะห์ความปลอดภัยเชิงลึก แต่การเปิดตัวนี้กลับเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่น่ากังวล เพราะเพียงไม่กี่วันก่อน Microsoft ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงในไดรเวอร์เครื่องพิมพ์ของ Canon (CVE-2025-1268) ซึ่งมีคะแนน CVSS สูงถึง 9.4 และอาจเปิดช่องให้แฮกเกอร์หยุดการพิมพ์หรือรันโค้ดอันตรายได้ แถมยังมีรายงานว่ามีการขายสิทธิ์เข้าถึงระดับ root ของไฟร์วอลล์ Canon บนฟอรัมใต้ดิน แม้บริษัทจะยังไม่ยืนยัน แต่ก็สร้างความกังวลในวงการอย่างมาก การที่ Canon หันมาขายบริการความปลอดภัยจึงถูกมองว่าเป็นทั้งการตอบโต้ต่อความเสี่ยงด้านชื่อเสียง และความพยายามในการเปลี่ยนภาพลักษณ์จากผู้ขายฮาร์ดแวร์เป็นผู้ให้บริการด้านความปลอดภัยแบบครบวงจร ✅ Canon เปิดตัว Subscription Security Services แบบสองระดับ ➡️ Enhanced มีการอัปเดตเฟิร์มแวร์และแบ็กอัปข้อมูล ➡️ ส่วน Premium มีการตรวจจับภัยคุกคามและฟื้นฟูอุปกรณ์ ✅ บริการนี้เน้นการปกป้องอุปกรณ์ Canon โดยเฉพาะ ➡️ ไม่ใช่แพลตฟอร์ม EPP ทั่วไป แต่เป็นโซลูชันเฉพาะของ Canon ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-1268 ถูกเปิดเผยโดย Microsoft ➡️ มีคะแนน CVSS 9.4 และอาจถูกใช้โจมตีระบบพิมพ์ ✅ Canon ออกคำแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตไดรเวอร์ ➡️ โดยเฉพาะในเครื่องพิมพ์สำนักงานและสายการผลิต ✅ บริการ Premium มีระบบตรวจจับภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ ➡️ พร้อมระบบฟื้นฟูอุปกรณ์และรายงานความปลอดภัย https://www.techradar.com/pro/now-even-your-printer-company-may-want-to-sell-you-endpoint-protection-as-a-subscription-will-others-follow-suit
    0 Comments 0 Shares 161 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: PlayStation 6 กับพลังแห่ง Orion—GPU RDNA 5, CPU Zen 6 และความหวังใหม่ของเกมยุคถัดไป

    แม้ Sony ยังไม่เปิดตัว PlayStation 6 อย่างเป็นทางการ แต่ข้อมูลหลุดจากการนำเสนอของ AMD ในปี 2023 เผยให้เห็นสเปกที่น่าตื่นเต้นของคอนโซลรุ่นถัดไป โดยใช้ APU รหัส “Orion” ที่รวมพลังของ CPU Zen 6 และ GPU RDNA 5

    ตัวเครื่องจะมี 8 คอร์ Zen 6 ที่ความเร็วสูงสุด 3GHz และ GPU ที่มี 40–48 Compute Units ซึ่งแม้จะน้อยกว่า PS5 Pro ที่มี 60 CUs แต่ RDNA 5 มีประสิทธิภาพต่อหน่วยสูงกว่า RDNA 2 อย่างมาก

    PS6 ยังจะใช้หน่วยความจำ GDDR7 ซึ่งเร็วกว่า GDDR6 ใน PS5 Pro และมีเป้าหมายการใช้พลังงานเพียง 160W—ต่ำกว่า PS5 ที่ใช้ 190–220W

    ผลคือ PS6 จะมีประสิทธิภาพด้าน rasterization สูงกว่า PS5 ถึง 3 เท่า และ ray tracing ดีกว่า PS5 Pro อย่างชัดเจน โดยคาดว่าจะเปิดตัวช่วงปลายปี 2027 หรือต้นปี 2028

    PlayStation 6 จะใช้ AMD APU รหัส Orion ที่รวม Zen 6 และ RDNA 5
    CPU 8 คอร์ Zen 6 ความเร็วสูงสุด 3GHz
    GPU RDNA 5 จำนวน 40–48 Compute Units

    ใช้หน่วยความจำ GDDR7 ที่เร็วกว่า GDDR6 ใน PS5 Pro
    เพิ่มแบนด์วิดธ์และลด latency
    รองรับการเล่นเกมระดับ 4K 120FPS และ 8K 60FPS

    เป้าหมายการใช้พลังงานอยู่ที่ 160W ซึ่งต่ำกว่า PS5
    PS5 ใช้พลังงาน 190–220W
    ช่วยลดความร้อนและเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน

    ประสิทธิภาพด้าน rasterization สูงกว่า PS5 ถึง 3 เท่า และดีกว่า PS5 Pro 2 เท่า
    เพิ่มความลื่นไหลของภาพและเฟรมเรต
    รองรับเกมที่ใช้กราฟิกหนักได้ดีขึ้น

    คาดว่าจะเปิดตัวปลายปี 2027 หรือต้นปี 2028
    เริ่มผลิตกลางปี 2027
    ยังไม่มีการกำหนดราคาขาย แต่ผู้ใช้หวังว่าจะใกล้เคียง PS5 ที่ $499

    มีข่าวลือว่า Sony จะเปิดตัวเครื่องพกพาใหม่พร้อมกัน โดยใช้ APU รหัส Canis
    ใช้ Zen 6C 4 คอร์ และ RDNA 5 12–20 CUs
    ใช้พลังงานเพียง 15W พร้อม LPDDR5X-7500

    https://www.techspot.com/news/108903-playstation-6-leaks-suggest-amd-orion-apu-rdna.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: PlayStation 6 กับพลังแห่ง Orion—GPU RDNA 5, CPU Zen 6 และความหวังใหม่ของเกมยุคถัดไป แม้ Sony ยังไม่เปิดตัว PlayStation 6 อย่างเป็นทางการ แต่ข้อมูลหลุดจากการนำเสนอของ AMD ในปี 2023 เผยให้เห็นสเปกที่น่าตื่นเต้นของคอนโซลรุ่นถัดไป โดยใช้ APU รหัส “Orion” ที่รวมพลังของ CPU Zen 6 และ GPU RDNA 5 ตัวเครื่องจะมี 8 คอร์ Zen 6 ที่ความเร็วสูงสุด 3GHz และ GPU ที่มี 40–48 Compute Units ซึ่งแม้จะน้อยกว่า PS5 Pro ที่มี 60 CUs แต่ RDNA 5 มีประสิทธิภาพต่อหน่วยสูงกว่า RDNA 2 อย่างมาก PS6 ยังจะใช้หน่วยความจำ GDDR7 ซึ่งเร็วกว่า GDDR6 ใน PS5 Pro และมีเป้าหมายการใช้พลังงานเพียง 160W—ต่ำกว่า PS5 ที่ใช้ 190–220W ผลคือ PS6 จะมีประสิทธิภาพด้าน rasterization สูงกว่า PS5 ถึง 3 เท่า และ ray tracing ดีกว่า PS5 Pro อย่างชัดเจน โดยคาดว่าจะเปิดตัวช่วงปลายปี 2027 หรือต้นปี 2028 ✅ PlayStation 6 จะใช้ AMD APU รหัส Orion ที่รวม Zen 6 และ RDNA 5 ➡️ CPU 8 คอร์ Zen 6 ความเร็วสูงสุด 3GHz ➡️ GPU RDNA 5 จำนวน 40–48 Compute Units ✅ ใช้หน่วยความจำ GDDR7 ที่เร็วกว่า GDDR6 ใน PS5 Pro ➡️ เพิ่มแบนด์วิดธ์และลด latency ➡️ รองรับการเล่นเกมระดับ 4K 120FPS และ 8K 60FPS ✅ เป้าหมายการใช้พลังงานอยู่ที่ 160W ซึ่งต่ำกว่า PS5 ➡️ PS5 ใช้พลังงาน 190–220W ➡️ ช่วยลดความร้อนและเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน ✅ ประสิทธิภาพด้าน rasterization สูงกว่า PS5 ถึง 3 เท่า และดีกว่า PS5 Pro 2 เท่า ➡️ เพิ่มความลื่นไหลของภาพและเฟรมเรต ➡️ รองรับเกมที่ใช้กราฟิกหนักได้ดีขึ้น ✅ คาดว่าจะเปิดตัวปลายปี 2027 หรือต้นปี 2028 ➡️ เริ่มผลิตกลางปี 2027 ➡️ ยังไม่มีการกำหนดราคาขาย แต่ผู้ใช้หวังว่าจะใกล้เคียง PS5 ที่ $499 ✅ มีข่าวลือว่า Sony จะเปิดตัวเครื่องพกพาใหม่พร้อมกัน โดยใช้ APU รหัส Canis ➡️ ใช้ Zen 6C 4 คอร์ และ RDNA 5 12–20 CUs ➡️ ใช้พลังงานเพียง 15W พร้อม LPDDR5X-7500 https://www.techspot.com/news/108903-playstation-6-leaks-suggest-amd-orion-apu-rdna.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    PlayStation 6 leaks suggest AMD Orion APU with RDNA 5 and Zen 6 cores
    YouTube channel Moore's Law Is Dead claims to have obtained partial spec sheets for both consoles from a leaked AMD presentation. The leak suggests the PS6's Orion...
    0 Comments 0 Shares 125 Views 0 Reviews
  • “พิชัย” แจงสภาฯ ดีลภาษีสหรัฐฯ ยันได้ตัวเลขใกล้เคียงอาเซียน ชี้วิน-วินโซลูชั่น ชดเชยด้วยพลังงาน-สินค้าเกษตร
    https://www.thai-tai.tv/news/20673/
    .
    #ไทยไทด้วย #ภาษีสหรัฐ #พิชัยชุณหวชิร #กระทรวงการคลัง #การค้าระหว่างประเทศ #สภาผู้แทนราษฎร #เศรษฐกิจไทย #ข้าวโพด #พลังงาน #วินวินโซลูชั่น
    “พิชัย” แจงสภาฯ ดีลภาษีสหรัฐฯ ยันได้ตัวเลขใกล้เคียงอาเซียน ชี้วิน-วินโซลูชั่น ชดเชยด้วยพลังงาน-สินค้าเกษตร https://www.thai-tai.tv/news/20673/ . #ไทยไทด้วย #ภาษีสหรัฐ #พิชัยชุณหวชิร #กระทรวงการคลัง #การค้าระหว่างประเทศ #สภาผู้แทนราษฎร #เศรษฐกิจไทย #ข้าวโพด #พลังงาน #วินวินโซลูชั่น
    0 Comments 0 Shares 204 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากอวกาศ: เมื่อแสงอาทิตย์ถูก “ขาย” หลังพระอาทิตย์ตก

    Reflect Orbital วางแผนส่งดาวเทียม 57 ดวงขึ้นสู่วงโคจรต่ำ (600 กม.) โดยแต่ละดวงจะกางแผ่นฟิล์ม Mylar ขนาด 33x33 ฟุต ซึ่งมีน้ำหนักเบา ทนทาน และสะท้อนแสงได้ดี จุดประสงค์คือสะท้อนแสงอาทิตย์ไปยังฟาร์มโซลาร์หรือพื้นที่ที่ต้องการแสงสว่างในเวลากลางคืน

    ผู้ใช้งานสามารถระบุพิกัดเป้าหมายผ่านเว็บไซต์ และระบบจะปรับทิศทางของกระจกให้สะท้อนแสงไปยังจุดนั้นโดยอัตโนมัติ โดยใช้ระบบควบคุมทิศทางขั้นสูง เช่น reaction wheels เพื่อให้แสงตกกระทบอย่างแม่นยำ

    แม้แนวคิดนี้จะน่าตื่นเต้น แต่ก็เผชิญกับความท้าทายทางวิศวกรรม เช่น การปรับตำแหน่งให้ตรงกับการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์และการหมุนของโลก รวมถึงผลกระทบจากเมฆและการกระเจิงของแสงในชั้นบรรยากาศ

    Reflect Orbital พัฒนาเครือข่ายดาวเทียมพร้อมกระจก Mylar เพื่อสะท้อนแสงอาทิตย์กลับมายังโลกในเวลากลางคืน
    ดาวเทียมแต่ละดวงมีน้ำหนักประมาณ 35 ปอนด์ ทำให้ต้นทุนการส่งต่ำ
    กระจก Mylar ขนาด 33x33 ฟุต มีคุณสมบัติสะท้อนแสงสูงและน้ำหนักเบา

    ระบบสามารถปรับทิศทางแสงได้ตามพิกัดที่ผู้ใช้ระบุผ่านเว็บไซต์
    ใช้ระบบควบคุมทิศทางขั้นสูงเพื่อติดตามดวงอาทิตย์และเป้าหมายบนโลก
    แสงจะตกกระทบเฉพาะพื้นที่เป้าหมายในแนวแคบ ลดผลกระทบต่อพื้นที่โดยรอบ

    มีการทดสอบเบื้องต้นด้วยบอลลูนและกระจกขนาดเล็ก
    ผลการทดลองสามารถผลิตพลังงานได้ถึง 500 วัตต์ต่อตารางเมตร
    ประมาณครึ่งหนึ่งของความสว่างจากดวงอาทิตย์จริง

    บริษัทวางแผนปฏิบัติตามกฎการกำจัดขยะอวกาศอย่างเคร่งครัด
    ดาวเทียมต้องถูกนำออกจากวงโคจรภายใน 25 ปีหลังสิ้นสุดภารกิจ
    ลดความเสี่ยงในการเพิ่มขยะอวกาศในระยะยาว

    โครงการได้รับความสนใจจากนักลงทุนและผู้ใช้งานทั่วโลก
    มีผู้ลงทะเบียน “ขอแสง” ผ่านเว็บไซต์แล้วหลายหมื่นราย
    เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาแหล่งพลังงานสะอาดแบบต่อเนื่อง

    การสะท้อนแสงจากอวกาศอาจเพิ่มปัญหา “มลภาวะทางแสง” ในเวลากลางคืน
    ส่งผลกระทบต่อการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์
    อาจรบกวนพฤติกรรมของสัตว์กลางคืนและวงจรชีวภาพของมนุษย์

    ความแม่นยำในการเล็งแสงต้องใช้เทคโนโลยีควบคุมระดับสูง
    การเบี่ยงเบนเล็กน้อยอาจทำให้แสงไม่ตกตรงเป้าหมาย
    เมฆและชั้นบรรยากาศอาจลดประสิทธิภาพของแสงสะท้อน

    การเพิ่มจำนวนดาวเทียมอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อขยะอวกาศ
    หากไม่มีการกำจัดอย่างเหมาะสม อาจรบกวนดาวเทียมอื่น
    ต้องมีระบบติดตามและควบคุมการเคลื่อนที่อย่างเข้มงวด

    ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมยังอยู่ระหว่างการประเมิน
    อาจส่งผลต่อระบบนิเวศที่พึ่งพาวงจรแสงธรรมชาติ
    ต้องมีการร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมก่อนการใช้งานเต็มรูปแบบ

    https://www.techspot.com/news/108849-startup-aims-beam-sunlight-space-using-mirrors.html
    ☀️ เรื่องเล่าจากอวกาศ: เมื่อแสงอาทิตย์ถูก “ขาย” หลังพระอาทิตย์ตก Reflect Orbital วางแผนส่งดาวเทียม 57 ดวงขึ้นสู่วงโคจรต่ำ (600 กม.) โดยแต่ละดวงจะกางแผ่นฟิล์ม Mylar ขนาด 33x33 ฟุต ซึ่งมีน้ำหนักเบา ทนทาน และสะท้อนแสงได้ดี จุดประสงค์คือสะท้อนแสงอาทิตย์ไปยังฟาร์มโซลาร์หรือพื้นที่ที่ต้องการแสงสว่างในเวลากลางคืน ผู้ใช้งานสามารถระบุพิกัดเป้าหมายผ่านเว็บไซต์ และระบบจะปรับทิศทางของกระจกให้สะท้อนแสงไปยังจุดนั้นโดยอัตโนมัติ โดยใช้ระบบควบคุมทิศทางขั้นสูง เช่น reaction wheels เพื่อให้แสงตกกระทบอย่างแม่นยำ แม้แนวคิดนี้จะน่าตื่นเต้น แต่ก็เผชิญกับความท้าทายทางวิศวกรรม เช่น การปรับตำแหน่งให้ตรงกับการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์และการหมุนของโลก รวมถึงผลกระทบจากเมฆและการกระเจิงของแสงในชั้นบรรยากาศ ✅ Reflect Orbital พัฒนาเครือข่ายดาวเทียมพร้อมกระจก Mylar เพื่อสะท้อนแสงอาทิตย์กลับมายังโลกในเวลากลางคืน ➡️ ดาวเทียมแต่ละดวงมีน้ำหนักประมาณ 35 ปอนด์ ทำให้ต้นทุนการส่งต่ำ ➡️ กระจก Mylar ขนาด 33x33 ฟุต มีคุณสมบัติสะท้อนแสงสูงและน้ำหนักเบา ✅ ระบบสามารถปรับทิศทางแสงได้ตามพิกัดที่ผู้ใช้ระบุผ่านเว็บไซต์ ➡️ ใช้ระบบควบคุมทิศทางขั้นสูงเพื่อติดตามดวงอาทิตย์และเป้าหมายบนโลก ➡️ แสงจะตกกระทบเฉพาะพื้นที่เป้าหมายในแนวแคบ ลดผลกระทบต่อพื้นที่โดยรอบ ✅ มีการทดสอบเบื้องต้นด้วยบอลลูนและกระจกขนาดเล็ก ➡️ ผลการทดลองสามารถผลิตพลังงานได้ถึง 500 วัตต์ต่อตารางเมตร ➡️ ประมาณครึ่งหนึ่งของความสว่างจากดวงอาทิตย์จริง ✅ บริษัทวางแผนปฏิบัติตามกฎการกำจัดขยะอวกาศอย่างเคร่งครัด ➡️ ดาวเทียมต้องถูกนำออกจากวงโคจรภายใน 25 ปีหลังสิ้นสุดภารกิจ ➡️ ลดความเสี่ยงในการเพิ่มขยะอวกาศในระยะยาว ✅ โครงการได้รับความสนใจจากนักลงทุนและผู้ใช้งานทั่วโลก ➡️ มีผู้ลงทะเบียน “ขอแสง” ผ่านเว็บไซต์แล้วหลายหมื่นราย ➡️ เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาแหล่งพลังงานสะอาดแบบต่อเนื่อง ‼️ การสะท้อนแสงจากอวกาศอาจเพิ่มปัญหา “มลภาวะทางแสง” ในเวลากลางคืน ⛔ ส่งผลกระทบต่อการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ ⛔ อาจรบกวนพฤติกรรมของสัตว์กลางคืนและวงจรชีวภาพของมนุษย์ ‼️ ความแม่นยำในการเล็งแสงต้องใช้เทคโนโลยีควบคุมระดับสูง ⛔ การเบี่ยงเบนเล็กน้อยอาจทำให้แสงไม่ตกตรงเป้าหมาย ⛔ เมฆและชั้นบรรยากาศอาจลดประสิทธิภาพของแสงสะท้อน ‼️ การเพิ่มจำนวนดาวเทียมอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อขยะอวกาศ ⛔ หากไม่มีการกำจัดอย่างเหมาะสม อาจรบกวนดาวเทียมอื่น ⛔ ต้องมีระบบติดตามและควบคุมการเคลื่อนที่อย่างเข้มงวด ‼️ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมยังอยู่ระหว่างการประเมิน ⛔ อาจส่งผลต่อระบบนิเวศที่พึ่งพาวงจรแสงธรรมชาติ ⛔ ต้องมีการร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมก่อนการใช้งานเต็มรูปแบบ https://www.techspot.com/news/108849-startup-aims-beam-sunlight-space-using-mirrors.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Startup aims to beam sunlight from space using mirrors
    At the heart of Reflect Orbital's project are its Mylar mirrors. Each satellite will unfurl a 33-by-33-foot sheet of lightweight polyester film known for its durability and...
    0 Comments 0 Shares 215 Views 0 Reviews
  • การพัฒนาอินเทอร์เน็ต: จากสายทองแดงสู่ใยแก้ว และไปไกลถึงอวกาศ

    ในยุคปัจจุบันที่โลกเชื่อมต่อกันอย่างแนบแน่น การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสาร การทำงาน การเรียนรู้ หรือการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร อินเทอร์เน็ตได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์ในทุกมิติ แต่การเดินทางของเทคโนโลยีนี้ไม่ได้เริ่มต้นจากความล้ำสมัย หากแต่เริ่มจากโครงสร้างพื้นฐานพื้นฐานอย่างสายทองแดง ก่อนจะพัฒนาไปสู่ใยแก้วนำแสง และก้าวข้ามพรมแดนทางภูมิศาสตร์ด้วยอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม

    จุดเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ตย้อนกลับไปในปี 1969 เมื่อกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกาได้พัฒนาโครงการ ARPANET ซึ่งเป็นเครือข่ายแรกที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์จากหลายสถาบันเข้าด้วยกัน โดยใช้สายโทรศัพท์ทองแดงเป็นโครงข่ายหลัก ความก้าวหน้านี้ได้ปูทางสู่การพัฒนาระบบการสื่อสารผ่านแนวคิดการสลับแพ็กเก็ต ซึ่งเป็นกลไกที่ทำให้ข้อมูลสามารถเดินทางผ่านเครือข่ายได้อย่างยืดหยุ่นและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม สายทองแดงเองก็มีข้อจำกัดมากมาย ทั้งในเรื่องของระยะทาง ความเร็ว และความไวต่อสัญญาณรบกวน

    ในช่วงทศวรรษที่ 1990 การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบ Dial-up ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยอาศัยสายโทรศัพท์ทองแดงร่วมกับโมเด็ม ซึ่งทำหน้าที่แปลงสัญญาณดิจิทัลเป็นอนาล็อก และในทางกลับกัน แม้ว่าจะเป็นการเปิดประตูให้ประชาชนทั่วไปได้สัมผัสกับโลกออนไลน์ แต่ Dial-up ก็เต็มไปด้วยข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็นความเร็วที่ต่ำ การผูกขาดสายโทรศัพท์ระหว่างการใช้งาน หรือการหลุดสัญญาณอย่างสม่ำเสมอ ต่อมาจึงเกิดการพัฒนาเทคโนโลยี DSL (Digital Subscriber Line) ซึ่งสามารถใช้งานโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตได้พร้อมกันบนสายทองแดงเส้นเดียวกัน และให้ความเร็วสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด แม้จะยังอยู่บนโครงข่ายเดิม DSL ก็ช่วยยืดอายุของโครงสร้างพื้นฐานสายทองแดงออกไปได้อีกระยะหนึ่ง

    อย่างไรก็ดี พลังของสายทองแดงมีขีดจำกัดทั้งในเชิงฟิสิกส์และเศรษฐศาสตร์ ปริมาณข้อมูลที่สามารถรับส่งได้ต่อวินาทีนั้นมีข้อจำกัดจากระยะทาง ความต้านทาน และความถี่ของสัญญาณ การพยายามเพิ่มความเร็วผ่านสายทองแดงจึงต้องเผชิญกับปัญหาการลดทอนของสัญญาณ และความเสี่ยงต่อการรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารอบข้างมากขึ้น ซึ่งไม่สอดคล้องกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นแบบทวีคูณของโลกในยุคดิจิทัล

    การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างจึงเกิดขึ้น ด้วยการหันมาใช้ใยแก้วนำแสงเป็นสื่อกลางในการส่งข้อมูล ใยแก้วนำแสงใช้พลังงานแสงแทนกระแสไฟฟ้า จึงสามารถส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูงมาก มีแบนด์วิดท์กว้าง และไม่ไวต่อคลื่นรบกวนภายนอก หลักการทำงานของใยแก้วนำแสงอาศัยปรากฏการณ์สะท้อนกลับหมด (Total Internal Reflection) ที่ทำให้แสงสามารถวิ่งผ่านเส้นใยแก้วได้ในระยะไกลโดยไม่สูญเสียพลังงานมากนัก ใยแก้วนำแสงไม่เพียงแต่เพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อ แต่ยังเพิ่มความปลอดภัย และลดต้นทุนในระยะยาวได้อย่างมีนัยสำคัญ

    ประโยชน์ของใยแก้วนำแสงเห็นได้ชัดในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการสตรีมวิดีโอความละเอียดสูง การประชุมทางไกล การเรียนรู้ออนไลน์ หรือแม้แต่การเล่นเกมผ่านคลาวด์ ความเร็วที่สูงและความเสถียรของเครือข่ายช่วยให้บริการเหล่านี้ทำงานได้อย่างราบรื่น อีกทั้งยังส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังเติบโต และเปิดโอกาสใหม่ๆ ในการพัฒนานวัตกรรมและบริการที่อาศัยการรับส่งข้อมูลจำนวนมากแบบเรียลไทม์

    แม้ว่าใยแก้วนำแสงจะเป็นโซลูชันที่ดูจะ “พร้อมสำหรับอนาคต” แต่ในทางปฏิบัติ การติดตั้งโครงข่ายนี้ยังคงเผชิญกับความท้าทายมากมาย โดยเฉพาะปัญหาในช่วง Last Mile หรือการเชื่อมโยงใยแก้วนำแสงจากสายหลักเข้าสู่บ้านและธุรกิจแต่ละหลัง ซึ่งมักมีต้นทุนสูง ใช้แรงงานผู้เชี่ยวชาญ และต้องอาศัยการวางแผนโครงข่ายอย่างรอบคอบ ความซับซ้อนนี้ทำให้ชุมชนชนบทหรือพื้นที่ห่างไกลถูกมองข้าม จนนำไปสู่ “ช่องว่างทางดิจิทัล” ที่ยังคงปรากฏอยู่ในหลายภูมิภาค

    เพื่อเติมเต็มช่องว่างดังกล่าว เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมได้ถูกพัฒนาขึ้น โดยเฉพาะดาวเทียมในวงโคจรต่ำ (LEO) อย่าง Starlink ที่ให้เวลาแฝงต่ำและความเร็วสูงกว่าเทคโนโลยีดาวเทียมรุ่นก่อน แม้จะมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและความไวต่อสภาพอากาศ แต่การเข้าถึงที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ของดาวเทียมได้สร้างความหวังใหม่สำหรับประชากรที่เคยอยู่นอกขอบเขตของโครงสร้างพื้นฐานแบบมีสาย

    อนาคตของการเชื่อมต่อไม่ได้หยุดอยู่แค่ใยแก้วนำแสงหรือดาวเทียม ปัจจุบันมีการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีล้ำหน้า เช่น Wavelength Division Multiplexing (WDM) ที่ช่วยให้สามารถส่งข้อมูลหลายชุดพร้อมกันในเส้นใยเส้นเดียว หรือ Hollow Core Fiber ที่นำแสงวิ่งผ่านอากาศแทนแกนแก้ว เพิ่มความเร็วและลดเวลาแฝง นอกจากนี้ยังมีแนวคิดอินเทอร์เน็ตควอนตัม (Quantum Internet) ที่ใช้หลักกลศาสตร์ควอนตัมในการสร้างระบบเครือข่ายที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด

    สรุปได้ว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ตไม่ใช่เพียงเรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของผู้คนทั่วโลก อินเทอร์เน็ตที่เร็วขึ้นและเชื่อถือได้มากขึ้น หมายถึงโอกาสที่เปิดกว้างมากขึ้นเช่นกัน การลงทุนในเทคโนโลยีที่ยั่งยืนจึงไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นสำหรับอนาคตที่เชื่อมโยงกันมากยิ่งขึ้นในทุกมิติ

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    🌐 การพัฒนาอินเทอร์เน็ต: จากสายทองแดงสู่ใยแก้ว และไปไกลถึงอวกาศ 🌏 ในยุคปัจจุบันที่โลกเชื่อมต่อกันอย่างแนบแน่น การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสาร การทำงาน การเรียนรู้ หรือการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร อินเทอร์เน็ตได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์ในทุกมิติ แต่การเดินทางของเทคโนโลยีนี้ไม่ได้เริ่มต้นจากความล้ำสมัย หากแต่เริ่มจากโครงสร้างพื้นฐานพื้นฐานอย่างสายทองแดง ก่อนจะพัฒนาไปสู่ใยแก้วนำแสง และก้าวข้ามพรมแดนทางภูมิศาสตร์ด้วยอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม 📞 จุดเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ตย้อนกลับไปในปี 1969 เมื่อกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกาได้พัฒนาโครงการ ARPANET ซึ่งเป็นเครือข่ายแรกที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์จากหลายสถาบันเข้าด้วยกัน โดยใช้สายโทรศัพท์ทองแดงเป็นโครงข่ายหลัก ความก้าวหน้านี้ได้ปูทางสู่การพัฒนาระบบการสื่อสารผ่านแนวคิดการสลับแพ็กเก็ต ซึ่งเป็นกลไกที่ทำให้ข้อมูลสามารถเดินทางผ่านเครือข่ายได้อย่างยืดหยุ่นและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม สายทองแดงเองก็มีข้อจำกัดมากมาย ทั้งในเรื่องของระยะทาง ความเร็ว และความไวต่อสัญญาณรบกวน 🧭 ในช่วงทศวรรษที่ 1990 การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบ Dial-up ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยอาศัยสายโทรศัพท์ทองแดงร่วมกับโมเด็ม ซึ่งทำหน้าที่แปลงสัญญาณดิจิทัลเป็นอนาล็อก และในทางกลับกัน แม้ว่าจะเป็นการเปิดประตูให้ประชาชนทั่วไปได้สัมผัสกับโลกออนไลน์ แต่ Dial-up ก็เต็มไปด้วยข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็นความเร็วที่ต่ำ การผูกขาดสายโทรศัพท์ระหว่างการใช้งาน หรือการหลุดสัญญาณอย่างสม่ำเสมอ ต่อมาจึงเกิดการพัฒนาเทคโนโลยี DSL (Digital Subscriber Line) ซึ่งสามารถใช้งานโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตได้พร้อมกันบนสายทองแดงเส้นเดียวกัน และให้ความเร็วสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด แม้จะยังอยู่บนโครงข่ายเดิม DSL ก็ช่วยยืดอายุของโครงสร้างพื้นฐานสายทองแดงออกไปได้อีกระยะหนึ่ง ⚠️ อย่างไรก็ดี พลังของสายทองแดงมีขีดจำกัดทั้งในเชิงฟิสิกส์และเศรษฐศาสตร์ ปริมาณข้อมูลที่สามารถรับส่งได้ต่อวินาทีนั้นมีข้อจำกัดจากระยะทาง ความต้านทาน และความถี่ของสัญญาณ การพยายามเพิ่มความเร็วผ่านสายทองแดงจึงต้องเผชิญกับปัญหาการลดทอนของสัญญาณ และความเสี่ยงต่อการรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารอบข้างมากขึ้น ซึ่งไม่สอดคล้องกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นแบบทวีคูณของโลกในยุคดิจิทัล 💡 การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างจึงเกิดขึ้น ด้วยการหันมาใช้ใยแก้วนำแสงเป็นสื่อกลางในการส่งข้อมูล ใยแก้วนำแสงใช้พลังงานแสงแทนกระแสไฟฟ้า จึงสามารถส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูงมาก มีแบนด์วิดท์กว้าง และไม่ไวต่อคลื่นรบกวนภายนอก หลักการทำงานของใยแก้วนำแสงอาศัยปรากฏการณ์สะท้อนกลับหมด (Total Internal Reflection) ที่ทำให้แสงสามารถวิ่งผ่านเส้นใยแก้วได้ในระยะไกลโดยไม่สูญเสียพลังงานมากนัก ใยแก้วนำแสงไม่เพียงแต่เพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อ แต่ยังเพิ่มความปลอดภัย และลดต้นทุนในระยะยาวได้อย่างมีนัยสำคัญ 📺 ประโยชน์ของใยแก้วนำแสงเห็นได้ชัดในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการสตรีมวิดีโอความละเอียดสูง การประชุมทางไกล การเรียนรู้ออนไลน์ หรือแม้แต่การเล่นเกมผ่านคลาวด์ ความเร็วที่สูงและความเสถียรของเครือข่ายช่วยให้บริการเหล่านี้ทำงานได้อย่างราบรื่น อีกทั้งยังส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังเติบโต และเปิดโอกาสใหม่ๆ ในการพัฒนานวัตกรรมและบริการที่อาศัยการรับส่งข้อมูลจำนวนมากแบบเรียลไทม์ 🚧 แม้ว่าใยแก้วนำแสงจะเป็นโซลูชันที่ดูจะ “พร้อมสำหรับอนาคต” แต่ในทางปฏิบัติ การติดตั้งโครงข่ายนี้ยังคงเผชิญกับความท้าทายมากมาย โดยเฉพาะปัญหาในช่วง Last Mile หรือการเชื่อมโยงใยแก้วนำแสงจากสายหลักเข้าสู่บ้านและธุรกิจแต่ละหลัง ซึ่งมักมีต้นทุนสูง ใช้แรงงานผู้เชี่ยวชาญ และต้องอาศัยการวางแผนโครงข่ายอย่างรอบคอบ ความซับซ้อนนี้ทำให้ชุมชนชนบทหรือพื้นที่ห่างไกลถูกมองข้าม จนนำไปสู่ “ช่องว่างทางดิจิทัล” ที่ยังคงปรากฏอยู่ในหลายภูมิภาค 🛰️ เพื่อเติมเต็มช่องว่างดังกล่าว เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมได้ถูกพัฒนาขึ้น โดยเฉพาะดาวเทียมในวงโคจรต่ำ (LEO) อย่าง Starlink ที่ให้เวลาแฝงต่ำและความเร็วสูงกว่าเทคโนโลยีดาวเทียมรุ่นก่อน แม้จะมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและความไวต่อสภาพอากาศ แต่การเข้าถึงที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ของดาวเทียมได้สร้างความหวังใหม่สำหรับประชากรที่เคยอยู่นอกขอบเขตของโครงสร้างพื้นฐานแบบมีสาย 🔭 อนาคตของการเชื่อมต่อไม่ได้หยุดอยู่แค่ใยแก้วนำแสงหรือดาวเทียม ปัจจุบันมีการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีล้ำหน้า เช่น Wavelength Division Multiplexing (WDM) ที่ช่วยให้สามารถส่งข้อมูลหลายชุดพร้อมกันในเส้นใยเส้นเดียว หรือ Hollow Core Fiber ที่นำแสงวิ่งผ่านอากาศแทนแกนแก้ว เพิ่มความเร็วและลดเวลาแฝง นอกจากนี้ยังมีแนวคิดอินเทอร์เน็ตควอนตัม (Quantum Internet) ที่ใช้หลักกลศาสตร์ควอนตัมในการสร้างระบบเครือข่ายที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด 📌 สรุปได้ว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ตไม่ใช่เพียงเรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของผู้คนทั่วโลก อินเทอร์เน็ตที่เร็วขึ้นและเชื่อถือได้มากขึ้น หมายถึงโอกาสที่เปิดกว้างมากขึ้นเช่นกัน การลงทุนในเทคโนโลยีที่ยั่งยืนจึงไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นสำหรับอนาคตที่เชื่อมโยงกันมากยิ่งขึ้นในทุกมิติ #ลุงเขียนหลานอ่าน
    1 Comments 0 Shares 289 Views 0 Reviews
  • จาก ย.ย่งฮะเฮง สู่โรงงานคุณ! ส่งมอบเครื่องจักรแปรรูปชุดใหญ่...ด้วยใจ!
    ความสุขของเราคือการเห็นธุรกิจของคุณเติบโต! วันนี้ ย.ย่งฮะเฮง ได้ส่งมอบ เครื่องจักรแปรรูปอาหารหลายเครื่องให้กับลูกค้าคนสำคัญของเรา

    เราใส่ใจในทุกรายละเอียด ตั้งแต่การคัดสรรเครื่องจักรคุณภาพ การทดสอบ ไปจนถึงการจัดส่ง เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องจักรเหล่านี้จะเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณ:

    ผลิตได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด
    ลดภาระงานและต้นทุน
    สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสม่ำเสมอ

    ขอบคุณลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจเราเสมอมา! เราพร้อมเป็นพาร์ทเนอร์ที่สนับสนุนทุกย่างก้าวของความสำเร็จของคุณ
    อยากรู้ว่าเครื่องจักรของเราช่วยอะไรธุรกิจคุณได้บ้าง?
    แวะมาชมเครื่องจักรจริงและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของเราได้ที่ ย.ย่งฮะเฮง! ทีมงานของเราพร้อมให้คำแนะนำอย่างเป็นกันเอง เพื่อให้คุณได้รับโซลูชันที่เหมาะสมที่สุด

    เวลาทำการ:
    จันทร์ - ศุกร์: 8.00 - 17.00 น.
    เสาร์: 8.00 - 16.00 น.

    ช่องทางติดต่อเรา:
    แผนที่ร้าน: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7
    แชทกับเรา:
    Facebook Messenger: m.me/yonghahheng
    LINE OA: @yonghahheng (มี@ข้างหน้า) หรือคลิก https://lin.ee/5H812n9

    โทรสายด่วน:
    02-215-3515-9
    081-3189098

    เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com
    อีเมล: sales@yoryonghahheng.com | yonghahheng@gmail.com

    อย่ารอช้า! โอกาสในการพัฒนาธุรกิจของคุณอยู่แค่เอื้อม!
    #ยย่งฮะเฮง #เครื่องจักรคุณภาพ #คู่คิดธุรกิจ #บริการครบวงจร #ยกระดับการผลิต #โรงงานทันสมัย #ความสำเร็จของคุณคือความสุขของเรา
    จาก ย.ย่งฮะเฮง สู่โรงงานคุณ! ✨ ส่งมอบเครื่องจักรแปรรูปชุดใหญ่...ด้วยใจ! ความสุขของเราคือการเห็นธุรกิจของคุณเติบโต! วันนี้ ย.ย่งฮะเฮง ได้ส่งมอบ เครื่องจักรแปรรูปอาหารหลายเครื่องให้กับลูกค้าคนสำคัญของเรา เราใส่ใจในทุกรายละเอียด ตั้งแต่การคัดสรรเครื่องจักรคุณภาพ การทดสอบ ไปจนถึงการจัดส่ง เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องจักรเหล่านี้จะเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณ: ผลิตได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด ลดภาระงานและต้นทุน สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสม่ำเสมอ ขอบคุณลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจเราเสมอมา! เราพร้อมเป็นพาร์ทเนอร์ที่สนับสนุนทุกย่างก้าวของความสำเร็จของคุณ อยากรู้ว่าเครื่องจักรของเราช่วยอะไรธุรกิจคุณได้บ้าง? แวะมาชมเครื่องจักรจริงและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของเราได้ที่ ย.ย่งฮะเฮง! ทีมงานของเราพร้อมให้คำแนะนำอย่างเป็นกันเอง เพื่อให้คุณได้รับโซลูชันที่เหมาะสมที่สุด เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์: 8.00 - 17.00 น. เสาร์: 8.00 - 16.00 น. ช่องทางติดต่อเรา: แผนที่ร้าน: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7 แชทกับเรา: Facebook Messenger: m.me/yonghahheng LINE OA: @yonghahheng (มี@ข้างหน้า) หรือคลิก https://lin.ee/5H812n9 โทรสายด่วน: 02-215-3515-9 081-3189098 เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com อีเมล: sales@yoryonghahheng.com | yonghahheng@gmail.com อย่ารอช้า! โอกาสในการพัฒนาธุรกิจของคุณอยู่แค่เอื้อม! #ยย่งฮะเฮง #เครื่องจักรคุณภาพ #คู่คิดธุรกิจ #บริการครบวงจร #ยกระดับการผลิต #โรงงานทันสมัย #ความสำเร็จของคุณคือความสุขของเรา
    0 Comments 0 Shares 369 Views 0 Reviews
  • เบื่อไหมกับกองสายไฟ สายเคเบิลที่รกพื้นที่และกำจัดยาก?
    มาถึงจุดเปลี่ยนที่ธุรกิจของคุณต้องมี! ขอแนะนำ เครื่องบดย่อยวัสดุเหลือใช้ Two Shafts Shredder นวัตกรรมล้ำหน้าที่จะช่วยให้การจัดการขยะสายไฟกลายเป็นเรื่องง่าย และสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างไม่น่าเชื่อ!
    ทำไม Two Shafts Shredder ของเราถึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด?
    บดได้ทุกอย่าง... โดยเฉพาะสายไฟและสายเคเบิลทุกชนิด!
    ไม่ว่าจะเป็นสายทองแดง สายอลูมิเนียม สายเคเบิลใยแก้วนำแสง หรือสายโทรศัพท์ที่มีฉนวนหนาขนาดไหน เครื่องของเราก็เอาอยู่! ด้วยระบบใบมีดคู่ที่ทรงพลังและแม่นยำ ทำให้สายไฟและเคเบิลถูกบดย่อยเป็นชิ้นเล็กๆ อย่างสม่ำเสมอพร้อมสำหรับการแยกส่วนหรือรีไซเคิลต่อยอดทันที!
    สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจคุณ!
    การบดย่อยสายไฟอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้คุณสามารถแยกทองแดง อลูมิเนียม หรือวัสดุมีค่าอื่นๆ ออกมาได้อย่างง่ายดาย เพิ่มโอกาสในการขายเศษวัสดุรีไซเคิล สร้างรายได้เสริมให้ธุรกิจของคุณได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ!
    ทนทาน แกร่งทุกงานหนัก!
    ด้วยการออกแบบวิศวกรรมที่แข็งแกร่ง ใบมีดผลิตจากวัสดุคุณภาพสูง ทนทานต่อการสึกหรอ และมอเตอร์คู่กำลังสูง 10 HP (380V x 2 Motors) ทำให้เครื่องของเราพร้อมลุยงานหนักได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ติดขัด!
    ปลอดภัย ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก!
    มีระบบ Emergency Switch เพื่อหยุดการทำงานฉุกเฉิน, Meter แสดงสถานะการทำงาน และฟังก์ชัน Reverse ที่ช่วยแก้ปัญหาวัสดุติดขัดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้การทำงานของคุณราบรื่นและปลอดภัยไร้กังวล!
    นี่คือโอกาสทองที่จะยกระดับธุรกิจของคุณให้เหนือกว่า!
    ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการจัดการขยะที่ไร้ประสิทธิภาพอีกต่อไป! ลงทุนกับ Two Shafts Shredder วันนี้ เพื่อประสิทธิภาพที่ยั่งยืนและผลกำไรที่เพิ่มขึ้น!
    ไม่อยากพลาดโอกาสดีๆ?
    แวะมาชมเครื่องจริงและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของเราได้ที่ ย.ย่งฮะเฮง!
    เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ 8.00-17.00 น. | เสาร์ 8.00-16.00 น.
    คลิกดูแผนที่ร้าน: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7
    รีบติดต่อเราเพื่อรับข้อเสนอสุดพิเศษ ก่อนใคร!
    แชทกับเราได้เลย: m.me/yonghahheng หรือ LINE Business ID: @yonghahheng (มี@ข้างหน้า) / https://lin.ee/5H812n9
    โทรสายด่วน: 02-215-3515-9 | 081-3189098
    เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com
    อีเมล: sales@yoryonghahheng.com | yonghahheng@gmail.com
    #เครื่องบดสายไฟ #เครื่องบดเคเบิล #TwoShaftsShredder #เครื่องบดย่อย #จัดการสายไฟ #รีไซเคิลสายไฟ #เศษสายไฟ #ขยะอิเล็กทรอนิกส์ #eWaste #ยย่งฮะเฮง #เครื่องจักรอุตสาหกรรม #ลดต้นทุน #เพิ่มพื้นที่ #โซลูชั่นขยะ #ธุรกิจรีไซเคิล #โรงงาน #อุตสาหกรรมไฟฟ้า #สายไฟ #สายเคเบิล #บดละเอียด #เครื่องจักรคุณภาพสูง #สร้างรายได้ #สิ่งแวดล้อม #จัดการของเสียอย่างมืออาชีพ #นวัตกรรมเครื่องจักร
    💥 เบื่อไหมกับกองสายไฟ สายเคเบิลที่รกพื้นที่และกำจัดยาก? 💥 มาถึงจุดเปลี่ยนที่ธุรกิจของคุณต้องมี! ขอแนะนำ เครื่องบดย่อยวัสดุเหลือใช้ Two Shafts Shredder นวัตกรรมล้ำหน้าที่จะช่วยให้การจัดการขยะสายไฟกลายเป็นเรื่องง่าย และสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างไม่น่าเชื่อ! ✨ ทำไม Two Shafts Shredder ของเราถึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด? ✨ ✅ บดได้ทุกอย่าง... โดยเฉพาะสายไฟและสายเคเบิลทุกชนิด! ไม่ว่าจะเป็นสายทองแดง สายอลูมิเนียม สายเคเบิลใยแก้วนำแสง หรือสายโทรศัพท์ที่มีฉนวนหนาขนาดไหน เครื่องของเราก็เอาอยู่! ด้วยระบบใบมีดคู่ที่ทรงพลังและแม่นยำ ทำให้สายไฟและเคเบิลถูกบดย่อยเป็นชิ้นเล็กๆ อย่างสม่ำเสมอพร้อมสำหรับการแยกส่วนหรือรีไซเคิลต่อยอดทันที! ✅ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจคุณ! การบดย่อยสายไฟอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้คุณสามารถแยกทองแดง อลูมิเนียม หรือวัสดุมีค่าอื่นๆ ออกมาได้อย่างง่ายดาย เพิ่มโอกาสในการขายเศษวัสดุรีไซเคิล สร้างรายได้เสริมให้ธุรกิจของคุณได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ! ✅ ทนทาน แกร่งทุกงานหนัก! ด้วยการออกแบบวิศวกรรมที่แข็งแกร่ง ใบมีดผลิตจากวัสดุคุณภาพสูง ทนทานต่อการสึกหรอ และมอเตอร์คู่กำลังสูง 10 HP (380V x 2 Motors) ทำให้เครื่องของเราพร้อมลุยงานหนักได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ติดขัด! ✅ ปลอดภัย ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก! มีระบบ Emergency Switch เพื่อหยุดการทำงานฉุกเฉิน, Meter แสดงสถานะการทำงาน และฟังก์ชัน Reverse ที่ช่วยแก้ปัญหาวัสดุติดขัดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้การทำงานของคุณราบรื่นและปลอดภัยไร้กังวล! นี่คือโอกาสทองที่จะยกระดับธุรกิจของคุณให้เหนือกว่า! ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการจัดการขยะที่ไร้ประสิทธิภาพอีกต่อไป! ลงทุนกับ Two Shafts Shredder วันนี้ เพื่อประสิทธิภาพที่ยั่งยืนและผลกำไรที่เพิ่มขึ้น! 📍 ไม่อยากพลาดโอกาสดีๆ? แวะมาชมเครื่องจริงและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของเราได้ที่ ย.ย่งฮะเฮง! เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ 8.00-17.00 น. | เสาร์ 8.00-16.00 น. 🗺️ คลิกดูแผนที่ร้าน: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7 รีบติดต่อเราเพื่อรับข้อเสนอสุดพิเศษ ก่อนใคร! 💬 แชทกับเราได้เลย: m.me/yonghahheng หรือ LINE Business ID: @yonghahheng (มี@ข้างหน้า) / https://lin.ee/5H812n9 📞 โทรสายด่วน: 02-215-3515-9 | 081-3189098 🌐 เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com 📧 อีเมล: sales@yoryonghahheng.com | yonghahheng@gmail.com #เครื่องบดสายไฟ #เครื่องบดเคเบิล #TwoShaftsShredder #เครื่องบดย่อย #จัดการสายไฟ #รีไซเคิลสายไฟ #เศษสายไฟ #ขยะอิเล็กทรอนิกส์ #eWaste #ยย่งฮะเฮง #เครื่องจักรอุตสาหกรรม #ลดต้นทุน #เพิ่มพื้นที่ #โซลูชั่นขยะ #ธุรกิจรีไซเคิล #โรงงาน #อุตสาหกรรมไฟฟ้า #สายไฟ #สายเคเบิล #บดละเอียด #เครื่องจักรคุณภาพสูง #สร้างรายได้ #สิ่งแวดล้อม #จัดการของเสียอย่างมืออาชีพ #นวัตกรรมเครื่องจักร
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 459 Views 0 Reviews
  • แม่ทัพภาคที่ 2 รับมอบโดรนลาดตระเวน มูลค่า 10 ล้านบาท จากมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เสริมภารกิจป้องกันชายแดนไทย-กัมพูชา เผยอุปกรณ์สาธารณูปโภคอื่นๆ อาทิ ห้องน้ำสําเร็จรูปเครื่องปั่นไฟ, แบตเตอรี่, โซลาร์เซลล์ , เสื้อรองในทหารและถุงเท้า เป็นต้น ทางมูลนิธิฯ อยู่ระหว่างเตรียมการจัดหา

    วันนี้ (22 ก.ค.68) เวลา 08.30 น. ณ ห้องรับรอง 211 กองบัญชาการกองทัพบก พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้รับมอบอากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรน (Drone) สำหรับลาดตระเวน มูลค่า 10,190,160 บาท จาก อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน พร้อมด้วย ทนายนิติธร ล้ำเหลือ, คุณจตุพร พรหมพันธุ์ และคุณสมชาย แสวงการ จากกลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการลาดตระเวนของหน่วยทหาร ให้สามารถเฝ้าระวัง ตรวจสอบ และตอบโต้ภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมความปลอดภัยของกำลังพลและสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจในพื้นที่เสี่ยงอย่างยั่งยืนต่อไป

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000068949

    #Thaitimes #MGROnline #โดรนลาดตระเวน #อากาศยานไร้คนขับ #โดรน #สำหรับลาดตระเวน
    แม่ทัพภาคที่ 2 รับมอบโดรนลาดตระเวน มูลค่า 10 ล้านบาท จากมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เสริมภารกิจป้องกันชายแดนไทย-กัมพูชา เผยอุปกรณ์สาธารณูปโภคอื่นๆ อาทิ ห้องน้ำสําเร็จรูปเครื่องปั่นไฟ, แบตเตอรี่, โซลาร์เซลล์ , เสื้อรองในทหารและถุงเท้า เป็นต้น ทางมูลนิธิฯ อยู่ระหว่างเตรียมการจัดหา • วันนี้ (22 ก.ค.68) เวลา 08.30 น. ณ ห้องรับรอง 211 กองบัญชาการกองทัพบก พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้รับมอบอากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรน (Drone) สำหรับลาดตระเวน มูลค่า 10,190,160 บาท จาก อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน พร้อมด้วย ทนายนิติธร ล้ำเหลือ, คุณจตุพร พรหมพันธุ์ และคุณสมชาย แสวงการ จากกลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการลาดตระเวนของหน่วยทหาร ให้สามารถเฝ้าระวัง ตรวจสอบ และตอบโต้ภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมความปลอดภัยของกำลังพลและสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจในพื้นที่เสี่ยงอย่างยั่งยืนต่อไป • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000068949 • #Thaitimes #MGROnline #โดรนลาดตระเวน #อากาศยานไร้คนขับ #โดรน #สำหรับลาดตระเวน
    0 Comments 0 Shares 324 Views 0 Reviews
  • แม่ทัพภาคที่ 2 รับมอบโดรนลาดตระเวน มูลค่า 10 ล้านบาท จากมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เสริมภารกิจป้องกันชายแดนไทย-กัมพูชา เผยอุปกรณ์สาธารณูปโภคอื่นๆ อาทิ ห้องน้ำสําเร็จรูปเครื่องปั่นไฟ, แบตเตอรี่, โซลาร์เซลล์ , เสื้อรองในทหารและถุงเท้า เป็นต้น ทางมูลนิธิฯ อยู่ระหว่างเตรียมการจัดหา

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000068954

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    แม่ทัพภาคที่ 2 รับมอบโดรนลาดตระเวน มูลค่า 10 ล้านบาท จากมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เสริมภารกิจป้องกันชายแดนไทย-กัมพูชา เผยอุปกรณ์สาธารณูปโภคอื่นๆ อาทิ ห้องน้ำสําเร็จรูปเครื่องปั่นไฟ, แบตเตอรี่, โซลาร์เซลล์ , เสื้อรองในทหารและถุงเท้า เป็นต้น ทางมูลนิธิฯ อยู่ระหว่างเตรียมการจัดหา อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000068954 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Love
    6
    0 Comments 0 Shares 379 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากแนวรบความปลอดภัย: ทำไมองค์กรยุคใหม่ถึงหันมาใช้ MDR แทนการสร้าง SOC เอง?

    เมื่อองค์กรเจอกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่ซับซ้อน, การขาดแคลนบุคลากร, และแรงกดดันด้านกฎหมาย — การตั้ง Security Operation Center (SOC) เองกลายเป็นเรื่องยากเกินไป จึงเกิดตลาด MDR ขึ้นเพื่อให้บริษัทผู้เชี่ยวชาญเข้ามาดูแลเต็มระบบตลอด 24 ชั่วโมง

    8 แนวโน้มหลักที่กำลังเปลี่ยนตลาด MDR

    ช่องว่างทักษะเร่งดีมานด์ผู้เชี่ยวชาญภายนอก
    ขาดบุคลากรด้านไซเบอร์ทั่วโลก ทำให้องค์กรต้องพึ่ง MDR เพื่อเฝ้าระวังตลอด 24/7 และรับมือภัยคุกคามแบบมืออาชีพ

    การแปลงสภาพดิจิทัลทำให้พื้นผิวโจมตีซับซ้อนขึ้น
    การทำงานแบบ hybrid, cloud-native, และการใช้ IoT ทำให้ระบบยากต่อการปกป้อง จึงต้องใช้ MDR ที่ปรับขนาดได้และมีผู้เชี่ยวชาญดูแล

    กฎเกณฑ์ด้านความเป็นส่วนตัวผลักดันธุรกิจเล็กเข้าสู่ MDR
    เช่น GDPR, CCPA และ NIS2 บีบให้องค์กรต้องตรวจจับและตอบสนองได้รวดเร็ว — แม้จะไม่มีทีม SOC ภายใน

    การรวม MDR เข้ากับ Zero Trust และ XDR
    สร้างโซลูชันที่ครอบคลุม endpoint, identity, cloud และ network แบบบูรณาการ พร้อมความสามารถในการตอบสนองเชิงบริบท

    การเปลี่ยนผ่านสู่ MDR ที่สร้างบนระบบ Cloud-native
    แทบทุก MDR ยุคใหม่เป็น SaaS ติดตั้งง่าย, ขยายตัวเร็ว, ทำงานร่วมกับ DevOps และ cloud provider ได้ดี เช่น AWS, Azure, GCP

    แนวโน้มใช้ TDIR (Threat Detection, Investigation, Response)
    แทนที่จะใช้ XDR แบบเน้น endpoint อย่างเดียว TDIR ให้ภาพรวมทุก stack และตอบสนองภัยในทุกมิติ

    AI/ML เข้ามาช่วยเพิ่มความแม่นและลดงานหนัก
    ใช้ machine learning ตรวจจับพฤติกรรมแปลก, ลด false positives, ช่วย analyst ตัดสินใจ และจัดลำดับความสำคัญของเหตุการณ์

    ตลาดเริ่มรวมตัวเพื่อสร้างโซลูชันแบบ End-to-End
    มีดีลควบรวมใหญ่ เช่น Sophos ซื้อ Secureworks, Zscaler ซื้อ Red Canary เพื่อสร้างแพลตฟอร์มที่ครอบคลุม endpoint, cloud, identity และ OT

    https://www.csoonline.com/article/4022854/8-trends-transforming-the-mdr-market-today.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากแนวรบความปลอดภัย: ทำไมองค์กรยุคใหม่ถึงหันมาใช้ MDR แทนการสร้าง SOC เอง? เมื่อองค์กรเจอกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่ซับซ้อน, การขาดแคลนบุคลากร, และแรงกดดันด้านกฎหมาย — การตั้ง Security Operation Center (SOC) เองกลายเป็นเรื่องยากเกินไป จึงเกิดตลาด MDR ขึ้นเพื่อให้บริษัทผู้เชี่ยวชาญเข้ามาดูแลเต็มระบบตลอด 24 ชั่วโมง 🔑 8 แนวโน้มหลักที่กำลังเปลี่ยนตลาด MDR ✅ ช่องว่างทักษะเร่งดีมานด์ผู้เชี่ยวชาญภายนอก ➡️ ขาดบุคลากรด้านไซเบอร์ทั่วโลก ทำให้องค์กรต้องพึ่ง MDR เพื่อเฝ้าระวังตลอด 24/7 และรับมือภัยคุกคามแบบมืออาชีพ ✅ การแปลงสภาพดิจิทัลทำให้พื้นผิวโจมตีซับซ้อนขึ้น ➡️ การทำงานแบบ hybrid, cloud-native, และการใช้ IoT ทำให้ระบบยากต่อการปกป้อง จึงต้องใช้ MDR ที่ปรับขนาดได้และมีผู้เชี่ยวชาญดูแล ✅ กฎเกณฑ์ด้านความเป็นส่วนตัวผลักดันธุรกิจเล็กเข้าสู่ MDR ➡️ เช่น GDPR, CCPA และ NIS2 บีบให้องค์กรต้องตรวจจับและตอบสนองได้รวดเร็ว — แม้จะไม่มีทีม SOC ภายใน ✅ การรวม MDR เข้ากับ Zero Trust และ XDR ➡️ สร้างโซลูชันที่ครอบคลุม endpoint, identity, cloud และ network แบบบูรณาการ พร้อมความสามารถในการตอบสนองเชิงบริบท ✅ การเปลี่ยนผ่านสู่ MDR ที่สร้างบนระบบ Cloud-native ➡️ แทบทุก MDR ยุคใหม่เป็น SaaS ติดตั้งง่าย, ขยายตัวเร็ว, ทำงานร่วมกับ DevOps และ cloud provider ได้ดี เช่น AWS, Azure, GCP ✅ แนวโน้มใช้ TDIR (Threat Detection, Investigation, Response) ➡️ แทนที่จะใช้ XDR แบบเน้น endpoint อย่างเดียว TDIR ให้ภาพรวมทุก stack และตอบสนองภัยในทุกมิติ ✅ AI/ML เข้ามาช่วยเพิ่มความแม่นและลดงานหนัก ➡️ ใช้ machine learning ตรวจจับพฤติกรรมแปลก, ลด false positives, ช่วย analyst ตัดสินใจ และจัดลำดับความสำคัญของเหตุการณ์ ✅ ตลาดเริ่มรวมตัวเพื่อสร้างโซลูชันแบบ End-to-End ➡️ มีดีลควบรวมใหญ่ เช่น Sophos ซื้อ Secureworks, Zscaler ซื้อ Red Canary เพื่อสร้างแพลตฟอร์มที่ครอบคลุม endpoint, cloud, identity และ OT https://www.csoonline.com/article/4022854/8-trends-transforming-the-mdr-market-today.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    8 trends transforming the MDR market today
    Skills gaps, increased regulatory pressures, and digital transformation are just a few of the factors pushing the growth of burgeoning managed detection and response (MDR) market.
    0 Comments 0 Shares 214 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกชิปเซ็ต: Broadcom เปิดตัว “Tomahawk Ultra” ชิปเครือข่ายเพื่อเร่งพลัง AI

    ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ต้องการพลังการประมวลผลมหาศาล การเชื่อมต่อระหว่างชิปหลายร้อยตัวให้ทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อกลายเป็นหัวใจสำคัญของระบบ AI ขนาดใหญ่ และนี่คือจุดที่ Broadcom เข้ามาเล่นบทพระเอก

    Broadcom เปิดตัว “Tomahawk Ultra” ชิปเครือข่ายรุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเร่งการประมวลผลข้อมูล AI โดยเฉพาะ โดยชิปนี้จะช่วยให้การเชื่อมโยงระหว่างชิปหลายตัวในระบบ AI เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    แม้ Nvidia จะครองตลาด GPU สำหรับ AI มานาน แต่ Broadcom ก็ไม่ใช่ผู้เล่นหน้าใหม่ เพราะพวกเขาเป็นเบื้องหลังของชิป AI ที่ Google ใช้ในระบบของตัวเอง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในไม่กี่ทางเลือกที่นักพัฒนา AI มองว่า “พอจะสู้ Nvidia ได้”

    Broadcom เปิดตัวชิปเครือข่ายใหม่ชื่อ “Tomahawk Ultra”
    ออกแบบมาเพื่อเร่งการประมวลผลข้อมูลในระบบ AI ขนาดใหญ่

    ชิปนี้ช่วยเชื่อมโยงชิปหลายร้อยตัวให้ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    เหมาะสำหรับระบบ AI ที่ต้องการการประมวลผลแบบกระจาย

    Broadcom เป็นผู้ช่วย Google ในการผลิตชิป AI ของตนเอง
    ถือเป็นหนึ่งในทางเลือกที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้

    การเปิดตัวครั้งนี้เป็นการขยายอิทธิพลของ Broadcom ในตลาด AI
    โดยเน้นที่โครงสร้างพื้นฐานด้านเครือข่ายมากกว่าตัวประมวลผลโดยตรง

    Tomahawk Ultra ยังไม่ใช่ชิปประมวลผล AI โดยตรง
    ต้องใช้ร่วมกับชิปอื่น เช่น GPU หรือ TPU เพื่อให้ระบบ AI ทำงานได้ครบวงจร

    การแข่งขันกับ Nvidia ยังต้องใช้เวลาและการยอมรับจากนักพัฒนา
    Nvidia มี ecosystem ที่แข็งแกร่งและครองตลาดมานาน

    การเปลี่ยนมาใช้โซลูชันของ Broadcom อาจต้องปรับโครงสร้างระบบเดิม
    โดยเฉพาะในองค์กรที่ใช้ GPU ของ Nvidia เป็นหลัก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/15/broadcom-launches-new-tomahawk-ultra-networking-chip-in-ai-battle-against-nvidia
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกชิปเซ็ต: Broadcom เปิดตัว “Tomahawk Ultra” ชิปเครือข่ายเพื่อเร่งพลัง AI ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ต้องการพลังการประมวลผลมหาศาล การเชื่อมต่อระหว่างชิปหลายร้อยตัวให้ทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อกลายเป็นหัวใจสำคัญของระบบ AI ขนาดใหญ่ และนี่คือจุดที่ Broadcom เข้ามาเล่นบทพระเอก Broadcom เปิดตัว “Tomahawk Ultra” ชิปเครือข่ายรุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเร่งการประมวลผลข้อมูล AI โดยเฉพาะ โดยชิปนี้จะช่วยให้การเชื่อมโยงระหว่างชิปหลายตัวในระบบ AI เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แม้ Nvidia จะครองตลาด GPU สำหรับ AI มานาน แต่ Broadcom ก็ไม่ใช่ผู้เล่นหน้าใหม่ เพราะพวกเขาเป็นเบื้องหลังของชิป AI ที่ Google ใช้ในระบบของตัวเอง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในไม่กี่ทางเลือกที่นักพัฒนา AI มองว่า “พอจะสู้ Nvidia ได้” ✅ Broadcom เปิดตัวชิปเครือข่ายใหม่ชื่อ “Tomahawk Ultra” 👉 ออกแบบมาเพื่อเร่งการประมวลผลข้อมูลในระบบ AI ขนาดใหญ่ ✅ ชิปนี้ช่วยเชื่อมโยงชิปหลายร้อยตัวให้ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ 👉 เหมาะสำหรับระบบ AI ที่ต้องการการประมวลผลแบบกระจาย ✅ Broadcom เป็นผู้ช่วย Google ในการผลิตชิป AI ของตนเอง 👉 ถือเป็นหนึ่งในทางเลือกที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้ ✅ การเปิดตัวครั้งนี้เป็นการขยายอิทธิพลของ Broadcom ในตลาด AI 👉 โดยเน้นที่โครงสร้างพื้นฐานด้านเครือข่ายมากกว่าตัวประมวลผลโดยตรง ‼️ Tomahawk Ultra ยังไม่ใช่ชิปประมวลผล AI โดยตรง 👉 ต้องใช้ร่วมกับชิปอื่น เช่น GPU หรือ TPU เพื่อให้ระบบ AI ทำงานได้ครบวงจร ‼️ การแข่งขันกับ Nvidia ยังต้องใช้เวลาและการยอมรับจากนักพัฒนา 👉 Nvidia มี ecosystem ที่แข็งแกร่งและครองตลาดมานาน ‼️ การเปลี่ยนมาใช้โซลูชันของ Broadcom อาจต้องปรับโครงสร้างระบบเดิม 👉 โดยเฉพาะในองค์กรที่ใช้ GPU ของ Nvidia เป็นหลัก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/15/broadcom-launches-new-tomahawk-ultra-networking-chip-in-ai-battle-against-nvidia
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Broadcom launches new Tomahawk Ultra networking chip in AI battle against Nvidia
    SAN FRANCISCO (Reuters) -Broadcom's chip unit unveiled on Tuesday a new networking processor that aims to speed artificial intelligence data crunching, which requires stringing together hundreds of chips that work together.
    0 Comments 0 Shares 273 Views 0 Reviews
  • LG Electronics เตรียมผลิตเครื่อง Hybrid Bonding – ปูทางสู่ยุค HBM4 และ AI ระดับโลก

    LG Electronics ซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านเครื่องใช้ไฟฟ้าและโซลูชัน B2B เช่น HVAC และหุ่นยนต์ กำลังขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ โดยพัฒนาเครื่อง Hybrid Bonding สำหรับการประกอบหน่วยความจำ HBM (High Bandwidth Memory) รุ่นใหม่

    Hybrid Bonding คือเทคนิคการเชื่อมต่อชั้น wafer โดยไม่ใช้การบัดกรีแบบเดิม แต่ใช้การกดแผ่นทองแดงที่ถูกขัดเรียบระดับนาโนเข้าด้วยกันที่อุณหภูมิห้อง ทำให้ได้การเชื่อมต่อที่บางกว่า เย็นกว่า และเร็วกว่าแบบ Thermal Compression Bonding

    เทคโนโลยีนี้จำเป็นสำหรับการผลิต HBM4 และ HBM4E ที่มีการซ้อนชั้น DRAM มากกว่า 12 ชั้น ซึ่งวิธีเดิมไม่สามารถรองรับได้อีกต่อไป

    LG ตั้งเป้าส่งมอบเครื่องผลิตจริงภายในปี 2028 โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัย Seoul National University และเปิดรับนักวิจัยระดับปริญญาเอกจำนวนมากเพื่อเร่งการพัฒนา

    ปัจจุบันมีเพียงบริษัท BESI (เนเธอร์แลนด์) และ Applied Materials (สหรัฐฯ) ที่ผลิตเครื่อง Hybrid Bonding เชิงพาณิชย์ แต่ยังไม่มีฐานในเกาหลีใต้ ทำให้ LG มีโอกาสเป็นผู้เล่นรายแรกในประเทศ

    หาก LG ทำสำเร็จตามแผน เครื่องรุ่นแรกอาจพร้อมใช้งานทันกับการผลิต HBM4E ของ SK hynix และการเปิดสายผลิต HBM4 ของ Samsung ในปี 2028

    ข้อมูลจากข่าว
    - LG Electronics พัฒนาเครื่อง Hybrid Bonding สำหรับการผลิต HBM รุ่นใหม่
    - Hybrid Bonding ใช้การกดแผ่นทองแดงเรียบเข้าด้วยกันที่อุณหภูมิห้อง
    - ให้ผลลัพธ์ที่บางกว่า เย็นกว่า และเร็วกว่า Thermal Compression Bonding
    - จำเป็นสำหรับการผลิต HBM4 และ HBM4E ที่ซ้อนชั้น DRAM มากกว่า 12 ชั้น
    - LG ตั้งเป้าส่งมอบเครื่องผลิตจริงภายในปี 2028
    - ร่วมมือกับ Seoul National University และรับนักวิจัยระดับ PhD
    - ปัจจุบันมีเพียง BESI และ Applied Materials ที่ผลิตเครื่องแบบนี้เชิงพาณิชย์
    - LG อาจเป็นผู้ผลิตรายแรกในเกาหลีใต้ที่เข้าสู่ตลาดนี้
    - เครื่องรุ่นแรกอาจพร้อมใช้งานทันกับการผลิต HBM4E ของ SK hynix และ Samsung

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - LG ยังอยู่ในขั้นพัฒนาเบื้องต้น ต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะผลิตเชิงพาณิชย์
    - การแข่งขันกับบริษัทต่างชาติที่มีประสบการณ์สูงอาจเป็นความท้าทาย
    - หากไม่สามารถพัฒนาเครื่องให้ตรงตามมาตรฐานอุตสาหกรรม อาจเสียโอกาสทางธุรกิจ
    - การพึ่งพาเทคโนโลยีใหม่ต้องมีการทดสอบความเสถียรและความแม่นยำอย่างเข้มงวด
    - ตลาดอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์มีความผันผวนสูง ต้องมีแผนธุรกิจที่ยืดหยุ่น

    https://www.techpowerup.com/338913/lg-electronics-to-enter-semiconductor-equipment-market-with-hybrid-bonding
    LG Electronics เตรียมผลิตเครื่อง Hybrid Bonding – ปูทางสู่ยุค HBM4 และ AI ระดับโลก LG Electronics ซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านเครื่องใช้ไฟฟ้าและโซลูชัน B2B เช่น HVAC และหุ่นยนต์ กำลังขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ โดยพัฒนาเครื่อง Hybrid Bonding สำหรับการประกอบหน่วยความจำ HBM (High Bandwidth Memory) รุ่นใหม่ Hybrid Bonding คือเทคนิคการเชื่อมต่อชั้น wafer โดยไม่ใช้การบัดกรีแบบเดิม แต่ใช้การกดแผ่นทองแดงที่ถูกขัดเรียบระดับนาโนเข้าด้วยกันที่อุณหภูมิห้อง ทำให้ได้การเชื่อมต่อที่บางกว่า เย็นกว่า และเร็วกว่าแบบ Thermal Compression Bonding เทคโนโลยีนี้จำเป็นสำหรับการผลิต HBM4 และ HBM4E ที่มีการซ้อนชั้น DRAM มากกว่า 12 ชั้น ซึ่งวิธีเดิมไม่สามารถรองรับได้อีกต่อไป LG ตั้งเป้าส่งมอบเครื่องผลิตจริงภายในปี 2028 โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัย Seoul National University และเปิดรับนักวิจัยระดับปริญญาเอกจำนวนมากเพื่อเร่งการพัฒนา ปัจจุบันมีเพียงบริษัท BESI (เนเธอร์แลนด์) และ Applied Materials (สหรัฐฯ) ที่ผลิตเครื่อง Hybrid Bonding เชิงพาณิชย์ แต่ยังไม่มีฐานในเกาหลีใต้ ทำให้ LG มีโอกาสเป็นผู้เล่นรายแรกในประเทศ หาก LG ทำสำเร็จตามแผน เครื่องรุ่นแรกอาจพร้อมใช้งานทันกับการผลิต HBM4E ของ SK hynix และการเปิดสายผลิต HBM4 ของ Samsung ในปี 2028 ✅ ข้อมูลจากข่าว - LG Electronics พัฒนาเครื่อง Hybrid Bonding สำหรับการผลิต HBM รุ่นใหม่ - Hybrid Bonding ใช้การกดแผ่นทองแดงเรียบเข้าด้วยกันที่อุณหภูมิห้อง - ให้ผลลัพธ์ที่บางกว่า เย็นกว่า และเร็วกว่า Thermal Compression Bonding - จำเป็นสำหรับการผลิต HBM4 และ HBM4E ที่ซ้อนชั้น DRAM มากกว่า 12 ชั้น - LG ตั้งเป้าส่งมอบเครื่องผลิตจริงภายในปี 2028 - ร่วมมือกับ Seoul National University และรับนักวิจัยระดับ PhD - ปัจจุบันมีเพียง BESI และ Applied Materials ที่ผลิตเครื่องแบบนี้เชิงพาณิชย์ - LG อาจเป็นผู้ผลิตรายแรกในเกาหลีใต้ที่เข้าสู่ตลาดนี้ - เครื่องรุ่นแรกอาจพร้อมใช้งานทันกับการผลิต HBM4E ของ SK hynix และ Samsung ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - LG ยังอยู่ในขั้นพัฒนาเบื้องต้น ต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะผลิตเชิงพาณิชย์ - การแข่งขันกับบริษัทต่างชาติที่มีประสบการณ์สูงอาจเป็นความท้าทาย - หากไม่สามารถพัฒนาเครื่องให้ตรงตามมาตรฐานอุตสาหกรรม อาจเสียโอกาสทางธุรกิจ - การพึ่งพาเทคโนโลยีใหม่ต้องมีการทดสอบความเสถียรและความแม่นยำอย่างเข้มงวด - ตลาดอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์มีความผันผวนสูง ต้องมีแผนธุรกิจที่ยืดหยุ่น https://www.techpowerup.com/338913/lg-electronics-to-enter-semiconductor-equipment-market-with-hybrid-bonding
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    LG Electronics to Enter Semiconductor Equipment Market with Hybrid Bonding
    LG Electronics has quietly launched a plan to become a semiconductor equipment maker. Its Production Technology Research Institute has begun developing a hybrid bonding machine tailored for next-generation high bandwidth memory (HBM), with an internal goal of shipping production units by 2028. Hybri...
    0 Comments 0 Shares 294 Views 0 Reviews
  • วันที่ 9 กรกฎาคม 2025 มีรายงานว่าดาราหนุ่มชื่อดังของเกาหลีใต้ คิมซูฮยอน ได้ขายหนึ่งในสามยูนิตอพาร์ตเมนต์หรูที่ Galleria Foret ย่านซองซูดง กรุงโซล ที่เขาซื้อไว้เมื่อเดือนตุลาคม 2014 ในราคา 3.02 พันล้านวอน โดยขายได้ในราคา 8 พันล้านวอน ทำกำไรถึง 4.98 พันล้านวอน ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ว่าเขาอาจจำเป็นต้องรีบระดมเงินสด เนื่องจากเผชิญคดีฟ้องร้องค่าเสียหายจากบรรดาผู้ว่าจ้างโฆษณา

    ก่อนหน้านี้ ผู้ว่าจ้างรายหนึ่งได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขออายัดทรัพย์ในอพาร์ตเมนต์ของเขาไปแล้ว โดยทนายของคิมซูฮยอนออกมาชี้แจงว่า “ค่าตัวโฆษณาได้จ่ายไปหมดแล้ว แต่เนื่องจากเกิดประเด็นอื้อฉาว ทำให้โฆษณาไม่สามารถใช้งานได้ จึงถูกเรียกร้องค่าเสียหาย” พร้อมระบุว่าหากชื่อเสียงของนักแสดงกลับมาฟื้นตัว คดีเหล่านี้น่าจะยุติเองตามธรรมชาติ

    อย่างไรก็ตาม คดีความกับบรรดาแบรนด์สินค้ายังคงยืดเยื้อ โดย Cuckoo Electronics แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ร่วมงานกับคิมซูฮยอนมากว่า 10 ปี ได้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย 2.03 พันล้านวอน (ราว 54.8 ล้านบาท) อ้างว่าเป็นการละเมิดสัญญาโฆษณา จากกระแสด้านลบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในอดีตของคิมกับนักแสดงผู้ล่วงลับ คิมแซรน นอกจากนี้ Cuckoo Electronics ยังยื่นฟ้องแยกอีกคดี เป็นมูลค่า 850 ล้านวอน (ราว 22.9 ล้านบาท)

    เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม Cuckoo Electronics ได้ยื่นฟ้องต่อศาลเรียกค่าเสียหาย 850 ล้านวอน หลังจากที่ยื่นขออายัดทรัพย์สินของคิมซูฮยอนมูลค่า 100 ล้านวอนไปเมื่อ 24 เมษายน ซึ่งศาลอนุมัติเมื่อ 20 พฤษภาคม ส่งผลให้บัญชีธนาคารและสินเชื่อของเขาถูกอายัด

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000065037

    #Thaitimes #MGROnline #KimSooHyun #김수현 #คิมซูฮยอน
    วันที่ 9 กรกฎาคม 2025 มีรายงานว่าดาราหนุ่มชื่อดังของเกาหลีใต้ คิมซูฮยอน ได้ขายหนึ่งในสามยูนิตอพาร์ตเมนต์หรูที่ Galleria Foret ย่านซองซูดง กรุงโซล ที่เขาซื้อไว้เมื่อเดือนตุลาคม 2014 ในราคา 3.02 พันล้านวอน โดยขายได้ในราคา 8 พันล้านวอน ทำกำไรถึง 4.98 พันล้านวอน ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ว่าเขาอาจจำเป็นต้องรีบระดมเงินสด เนื่องจากเผชิญคดีฟ้องร้องค่าเสียหายจากบรรดาผู้ว่าจ้างโฆษณา • ก่อนหน้านี้ ผู้ว่าจ้างรายหนึ่งได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขออายัดทรัพย์ในอพาร์ตเมนต์ของเขาไปแล้ว โดยทนายของคิมซูฮยอนออกมาชี้แจงว่า “ค่าตัวโฆษณาได้จ่ายไปหมดแล้ว แต่เนื่องจากเกิดประเด็นอื้อฉาว ทำให้โฆษณาไม่สามารถใช้งานได้ จึงถูกเรียกร้องค่าเสียหาย” พร้อมระบุว่าหากชื่อเสียงของนักแสดงกลับมาฟื้นตัว คดีเหล่านี้น่าจะยุติเองตามธรรมชาติ • อย่างไรก็ตาม คดีความกับบรรดาแบรนด์สินค้ายังคงยืดเยื้อ โดย Cuckoo Electronics แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ร่วมงานกับคิมซูฮยอนมากว่า 10 ปี ได้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย 2.03 พันล้านวอน (ราว 54.8 ล้านบาท) อ้างว่าเป็นการละเมิดสัญญาโฆษณา จากกระแสด้านลบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในอดีตของคิมกับนักแสดงผู้ล่วงลับ คิมแซรน นอกจากนี้ Cuckoo Electronics ยังยื่นฟ้องแยกอีกคดี เป็นมูลค่า 850 ล้านวอน (ราว 22.9 ล้านบาท) • เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม Cuckoo Electronics ได้ยื่นฟ้องต่อศาลเรียกค่าเสียหาย 850 ล้านวอน หลังจากที่ยื่นขออายัดทรัพย์สินของคิมซูฮยอนมูลค่า 100 ล้านวอนไปเมื่อ 24 เมษายน ซึ่งศาลอนุมัติเมื่อ 20 พฤษภาคม ส่งผลให้บัญชีธนาคารและสินเชื่อของเขาถูกอายัด • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000065037 • #Thaitimes #MGROnline #KimSooHyun #김수현 #คิมซูฮยอน
    0 Comments 0 Shares 397 Views 0 Reviews
More Results