• Raspberry Pi กับหน้าจอสัมผัส 5 นิ้ว – เล็กลง แต่ยังไม่ใช่คำตอบทั้งหมด

    ในปี 2025 Raspberry Pi ได้เปิดตัวหน้าจอสัมผัสรุ่นใหม่ขนาด 5 นิ้ว ซึ่งเป็นรุ่นย่อส่วนจาก Touch Display 2 ขนาด 7 นิ้วที่เปิดตัวเมื่อปีก่อน โดยมีเป้าหมายเพื่อรองรับโปรเจกต์ขนาดเล็ก เช่น สมาร์ทโฮม คีออสพกพา หรือแดชบอร์ดฝังตัว

    แม้จะมีขนาดเล็กลงและราคาถูกลง (MSRP อยู่ที่ $40) แต่หน้าจอใหม่นี้ยังคงใช้ความละเอียด 720x1280 พิกเซลเหมือนเดิม และไม่ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใด ๆ ทั้งสิ้น ตัวหน้าจอใช้ระบบสัมผัสแบบ capacitive รองรับการสัมผัสหลายจุด (multi-touch) และเชื่อมต่อผ่านพอร์ต DSI โดยไม่ต้องใช้สาย HDMI หรือแหล่งจ่ายไฟแยก

    ข้อดีคือการติดตั้งง่ายมาก – ไม่ต้องปรับแต่งไดรเวอร์หรือแก้ device tree ให้ยุ่งยาก และสามารถใช้งานได้ทันทีบน Raspberry Pi OS หรือแม้แต่ Ubuntu ก็รองรับเช่นกัน

    Raspberry Pi ยังโชว์การใช้ AI ในการช่วยพัฒนาแอปสไลด์โชว์เพื่อสาธิตการทำงานของหน้าจอ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการใช้ AI ในการเขียนโค้ดสามารถช่วยลดเวลาและเพิ่มความแม่นยำได้

    อย่างไรก็ตาม หลายคนตั้งคำถามว่า “การลดขนาดหน้าจอ” เป็นการแก้ปัญหาที่แท้จริงหรือไม่ เพราะความละเอียดยังคงเท่าเดิม และประสบการณ์การสัมผัสยังขึ้นอยู่กับซอฟต์แวร์ที่อาจมีข้อจำกัด

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Raspberry Pi เปิดตัวหน้าจอสัมผัสขนาด 5 นิ้วรุ่นใหม่ในปี 2025
    ใช้ความละเอียด 720x1280 พิกเซล เหมือนรุ่น 7 นิ้ว
    รองรับ multi-touch และเชื่อมต่อผ่าน DSI port โดยไม่ต้องใช้ HDMI
    ติดตั้งง่าย ใช้งานได้ทันทีบน Raspberry Pi OS โดยไม่ต้องปรับแต่งไดรเวอร์
    ใช้พลังงานจาก GPIO 5V ของบอร์ด Raspberry Pi โดยตรง
    เหมาะสำหรับโปรเจกต์ขนาดเล็ก เช่น สมาร์ทโฮม คีออส หรือแดชบอร์ดฝังตัว
    Raspberry Pi ใช้ AI ในการช่วยพัฒนาแอปสาธิตการใช้งานหน้าจอ
    ราคาขายปลีกอยู่ที่ประมาณ $40–$50 แล้วแต่ผู้จัดจำหน่าย
    รองรับการใช้งานบน Ubuntu และ Linux distros อื่น ๆ ด้วย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    หน้าจอใช้ LCD TFT แบบ 24-bit RGB ให้สีสันระดับ “ล้านสี”
    รองรับการสัมผัสพร้อมกัน 5 จุด (five-finger gestures)
    Raspberry Pi ประกาศว่าจะผลิตหน้าจอนี้ต่อเนื่องถึงปี 2030
    SunFounder 10.1 นิ้ว เป็นอีกทางเลือกที่มีความละเอียดสูงกว่า (1280x800) และรองรับ 10-point touch
    หน้าจอ 5 นิ้วเหมาะกับการใช้งานแบบฝังตัวมากกว่าการใช้งานทั่วไป เช่น เขียนบล็อกหรือทำงานเอกสาร

    https://www.techradar.com/pro/time-for-your-next-smart-home-project-raspberry-pi-adds-an-improved-touchscreen-so-its-time-to-get-building
    🎙️ Raspberry Pi กับหน้าจอสัมผัส 5 นิ้ว – เล็กลง แต่ยังไม่ใช่คำตอบทั้งหมด ในปี 2025 Raspberry Pi ได้เปิดตัวหน้าจอสัมผัสรุ่นใหม่ขนาด 5 นิ้ว ซึ่งเป็นรุ่นย่อส่วนจาก Touch Display 2 ขนาด 7 นิ้วที่เปิดตัวเมื่อปีก่อน โดยมีเป้าหมายเพื่อรองรับโปรเจกต์ขนาดเล็ก เช่น สมาร์ทโฮม คีออสพกพา หรือแดชบอร์ดฝังตัว แม้จะมีขนาดเล็กลงและราคาถูกลง (MSRP อยู่ที่ $40) แต่หน้าจอใหม่นี้ยังคงใช้ความละเอียด 720x1280 พิกเซลเหมือนเดิม และไม่ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใด ๆ ทั้งสิ้น ตัวหน้าจอใช้ระบบสัมผัสแบบ capacitive รองรับการสัมผัสหลายจุด (multi-touch) และเชื่อมต่อผ่านพอร์ต DSI โดยไม่ต้องใช้สาย HDMI หรือแหล่งจ่ายไฟแยก ข้อดีคือการติดตั้งง่ายมาก – ไม่ต้องปรับแต่งไดรเวอร์หรือแก้ device tree ให้ยุ่งยาก และสามารถใช้งานได้ทันทีบน Raspberry Pi OS หรือแม้แต่ Ubuntu ก็รองรับเช่นกัน Raspberry Pi ยังโชว์การใช้ AI ในการช่วยพัฒนาแอปสไลด์โชว์เพื่อสาธิตการทำงานของหน้าจอ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการใช้ AI ในการเขียนโค้ดสามารถช่วยลดเวลาและเพิ่มความแม่นยำได้ อย่างไรก็ตาม หลายคนตั้งคำถามว่า “การลดขนาดหน้าจอ” เป็นการแก้ปัญหาที่แท้จริงหรือไม่ เพราะความละเอียดยังคงเท่าเดิม และประสบการณ์การสัมผัสยังขึ้นอยู่กับซอฟต์แวร์ที่อาจมีข้อจำกัด 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Raspberry Pi เปิดตัวหน้าจอสัมผัสขนาด 5 นิ้วรุ่นใหม่ในปี 2025 ➡️ ใช้ความละเอียด 720x1280 พิกเซล เหมือนรุ่น 7 นิ้ว ➡️ รองรับ multi-touch และเชื่อมต่อผ่าน DSI port โดยไม่ต้องใช้ HDMI ➡️ ติดตั้งง่าย ใช้งานได้ทันทีบน Raspberry Pi OS โดยไม่ต้องปรับแต่งไดรเวอร์ ➡️ ใช้พลังงานจาก GPIO 5V ของบอร์ด Raspberry Pi โดยตรง ➡️ เหมาะสำหรับโปรเจกต์ขนาดเล็ก เช่น สมาร์ทโฮม คีออส หรือแดชบอร์ดฝังตัว ➡️ Raspberry Pi ใช้ AI ในการช่วยพัฒนาแอปสาธิตการใช้งานหน้าจอ ➡️ ราคาขายปลีกอยู่ที่ประมาณ $40–$50 แล้วแต่ผู้จัดจำหน่าย ➡️ รองรับการใช้งานบน Ubuntu และ Linux distros อื่น ๆ ด้วย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ หน้าจอใช้ LCD TFT แบบ 24-bit RGB ให้สีสันระดับ “ล้านสี” ➡️ รองรับการสัมผัสพร้อมกัน 5 จุด (five-finger gestures) ➡️ Raspberry Pi ประกาศว่าจะผลิตหน้าจอนี้ต่อเนื่องถึงปี 2030 ➡️ SunFounder 10.1 นิ้ว เป็นอีกทางเลือกที่มีความละเอียดสูงกว่า (1280x800) และรองรับ 10-point touch ➡️ หน้าจอ 5 นิ้วเหมาะกับการใช้งานแบบฝังตัวมากกว่าการใช้งานทั่วไป เช่น เขียนบล็อกหรือทำงานเอกสาร https://www.techradar.com/pro/time-for-your-next-smart-home-project-raspberry-pi-adds-an-improved-touchscreen-so-its-time-to-get-building
    0 Comments 0 Shares 45 Views 0 Reviews
  • เมื่อดีไซน์ลับของ Nissan ถูกขโมย – และภัยไซเบอร์ก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป

    เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2025 กลุ่มแฮกเกอร์ Qilin ได้ออกมาอ้างว่า พวกเขาได้เจาะระบบของ Nissan Creative Box Inc. (CBI) ซึ่งเป็นสตูดิโอออกแบบในโตเกียวที่อยู่ภายใต้บริษัท Nissan Motor Co. และขโมยข้อมูลไปกว่า 4 เทราไบต์ รวมกว่า 405,882 ไฟล์

    ข้อมูลที่ถูกขโมยนั้นไม่ใช่แค่เอกสารทั่วไป แต่รวมถึงไฟล์ออกแบบ 3D, ภาพเรนเดอร์ภายในรถ, สเปรดชีตการเงิน, และภาพการใช้งาน VR ในการออกแบบรถยนต์ ซึ่งเป็นข้อมูลลับที่ใช้ในการพัฒนารถต้นแบบและการวางแผนผลิตภัณฑ์ในอนาคต

    Qilin ขู่ว่าหาก Nissan ไม่ตอบสนองหรือเพิกเฉย พวกเขาจะปล่อยข้อมูลทั้งหมดให้สาธารณะ รวมถึงคู่แข่ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความได้เปรียบทางธุรกิจและชื่อเสียงของ Nissan ในระยะยาว

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Qilin โจมตีองค์กรใหญ่ ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยโจมตี Synnovis ผู้ให้บริการด้านสุขภาพในอังกฤษ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจากการเลื่อนการรักษา และล่าสุดยังโจมตีบริษัทอุตสาหกรรมในเยอรมนีอีกด้วย

    เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงแนวโน้มใหม่ของการโจมตีแบบเจาะจงเป้าหมาย โดยมุ่งเน้นองค์กรที่มีข้อมูลสำคัญและมีผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานระดับโลก

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    กลุ่ม Qilin ransomware อ้างว่าได้ขโมยข้อมูล 4TB จาก Nissan CBI
    ข้อมูลรวมกว่า 405,882 ไฟล์ เช่น ไฟล์ออกแบบ 3D, ภาพเรนเดอร์, สเปรดชีตการเงิน และภาพ VR
    ข้อมูลที่ถูกขโมยเป็นทรัพย์สินทางปัญญาเกี่ยวกับการออกแบบรถยนต์
    Qilin ขู่ว่าจะปล่อยข้อมูลทั้งหมดหาก Nissan ไม่ตอบสนอง
    Nissan CBI เป็นสตูดิโอออกแบบที่ตั้งอยู่ในย่าน Harajuku โตเกียว
    Creative Box เป็นแหล่งพัฒนาแนวคิดรถยนต์ใหม่ เช่น Nissan Nuvu
    Qilin เคยโจมตี Synnovis ในอังกฤษ ส่งผลกระทบต่อการรักษาพยาบาล
    กลุ่มนี้ใช้โมเดล ransomware-as-a-service และมีเป้าหมายระดับองค์กร
    การโจมตีครั้งนี้อาจส่งผลต่อชื่อเสียงและความสามารถในการแข่งขันของ Nissan
    ยังไม่มีคำแถลงอย่างเป็นทางการจาก Nissan ณ เวลาที่รายงาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Qilin ยังโจมตีบริษัท Spohn + Burkhardt ในเยอรมนีในวันเดียวกัน
    นักวิจัยจาก Cybernews ระบุว่า Qilin เลือกเป้าหมายที่มีข้อมูลสำคัญและมีผลกระทบสูง
    การโจมตีแบบนี้มักใช้การเผยแพร่ข้อมูลบางส่วนเพื่อกดดันให้เหยื่อจ่ายค่าไถ่
    Creative Box เป็นหนึ่งในบริษัทในเครือที่สำคัญของ Nissan ในญี่ปุ่น
    การออกแบบรถยนต์เป็นข้อมูลที่มีมูลค่าสูงและมักถูกปกป้องอย่างเข้มงวด

    https://hackread.com/qilin-ransomware-gang-4tb-data-breach-nissan-cbi/
    🎙️ เมื่อดีไซน์ลับของ Nissan ถูกขโมย – และภัยไซเบอร์ก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2025 กลุ่มแฮกเกอร์ Qilin ได้ออกมาอ้างว่า พวกเขาได้เจาะระบบของ Nissan Creative Box Inc. (CBI) ซึ่งเป็นสตูดิโอออกแบบในโตเกียวที่อยู่ภายใต้บริษัท Nissan Motor Co. และขโมยข้อมูลไปกว่า 4 เทราไบต์ รวมกว่า 405,882 ไฟล์ ข้อมูลที่ถูกขโมยนั้นไม่ใช่แค่เอกสารทั่วไป แต่รวมถึงไฟล์ออกแบบ 3D, ภาพเรนเดอร์ภายในรถ, สเปรดชีตการเงิน, และภาพการใช้งาน VR ในการออกแบบรถยนต์ ซึ่งเป็นข้อมูลลับที่ใช้ในการพัฒนารถต้นแบบและการวางแผนผลิตภัณฑ์ในอนาคต Qilin ขู่ว่าหาก Nissan ไม่ตอบสนองหรือเพิกเฉย พวกเขาจะปล่อยข้อมูลทั้งหมดให้สาธารณะ รวมถึงคู่แข่ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความได้เปรียบทางธุรกิจและชื่อเสียงของ Nissan ในระยะยาว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Qilin โจมตีองค์กรใหญ่ ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยโจมตี Synnovis ผู้ให้บริการด้านสุขภาพในอังกฤษ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจากการเลื่อนการรักษา และล่าสุดยังโจมตีบริษัทอุตสาหกรรมในเยอรมนีอีกด้วย เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงแนวโน้มใหม่ของการโจมตีแบบเจาะจงเป้าหมาย โดยมุ่งเน้นองค์กรที่มีข้อมูลสำคัญและมีผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานระดับโลก 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ กลุ่ม Qilin ransomware อ้างว่าได้ขโมยข้อมูล 4TB จาก Nissan CBI ➡️ ข้อมูลรวมกว่า 405,882 ไฟล์ เช่น ไฟล์ออกแบบ 3D, ภาพเรนเดอร์, สเปรดชีตการเงิน และภาพ VR ➡️ ข้อมูลที่ถูกขโมยเป็นทรัพย์สินทางปัญญาเกี่ยวกับการออกแบบรถยนต์ ➡️ Qilin ขู่ว่าจะปล่อยข้อมูลทั้งหมดหาก Nissan ไม่ตอบสนอง ➡️ Nissan CBI เป็นสตูดิโอออกแบบที่ตั้งอยู่ในย่าน Harajuku โตเกียว ➡️ Creative Box เป็นแหล่งพัฒนาแนวคิดรถยนต์ใหม่ เช่น Nissan Nuvu ➡️ Qilin เคยโจมตี Synnovis ในอังกฤษ ส่งผลกระทบต่อการรักษาพยาบาล ➡️ กลุ่มนี้ใช้โมเดล ransomware-as-a-service และมีเป้าหมายระดับองค์กร ➡️ การโจมตีครั้งนี้อาจส่งผลต่อชื่อเสียงและความสามารถในการแข่งขันของ Nissan ➡️ ยังไม่มีคำแถลงอย่างเป็นทางการจาก Nissan ณ เวลาที่รายงาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Qilin ยังโจมตีบริษัท Spohn + Burkhardt ในเยอรมนีในวันเดียวกัน ➡️ นักวิจัยจาก Cybernews ระบุว่า Qilin เลือกเป้าหมายที่มีข้อมูลสำคัญและมีผลกระทบสูง ➡️ การโจมตีแบบนี้มักใช้การเผยแพร่ข้อมูลบางส่วนเพื่อกดดันให้เหยื่อจ่ายค่าไถ่ ➡️ Creative Box เป็นหนึ่งในบริษัทในเครือที่สำคัญของ Nissan ในญี่ปุ่น ➡️ การออกแบบรถยนต์เป็นข้อมูลที่มีมูลค่าสูงและมักถูกปกป้องอย่างเข้มงวด https://hackread.com/qilin-ransomware-gang-4tb-data-breach-nissan-cbi/
    HACKREAD.COM
    Qilin Ransomware Gang Claims 4TB Data Breach at Nissan CBI
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 67 Views 0 Reviews
  • เมื่อซีอีโอ AWS บอกว่า “ไล่เด็กใหม่ออกเพราะ AI” คือความคิดที่โง่ที่สุด

    ในยุคที่ AI กำลังเข้ามาแทนที่งานหลายประเภท หลายองค์กรเริ่มคิดว่า “ถ้า AI ทำงานแทนได้ ก็ไม่ต้องจ้างเด็กใหม่แล้วสิ” แต่ Matt Garman ซีอีโอของ AWS กลับออกมาพูดตรง ๆ ว่า “นั่นคือความคิดที่โง่ที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา”

    เขาให้เหตุผลว่า พนักงานระดับเริ่มต้น (junior staff) คือกลุ่มที่มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด และเป็นกลุ่มที่ “โตมากับ AI” จึงมีความเข้าใจและพร้อมใช้งานเครื่องมือใหม่ ๆ มากที่สุด ถ้าองค์กรไม่จ้างคนรุ่นใหม่เข้ามาเรียนรู้และเติบโต วันหนึ่งจะไม่มีใครเหลือที่เข้าใจวิธีการทำงานจริงเลย

    Garman ยังวิจารณ์แนวคิดที่วัดประสิทธิภาพของ AI ด้วย “จำนวนบรรทัดของโค้ดที่เขียนได้” โดยบอกว่า “มันเป็น metric ที่ไร้สาระ” เพราะโค้ดเยอะไม่ได้แปลว่าดีเสมอไป บางครั้งโค้ดน้อยแต่มีคุณภาพกลับดีกว่า

    เขาเชื่อว่า AI ควรเป็นเครื่องมือช่วยพัฒนา ไม่ใช่เครื่องมือแทนที่ และสิ่งสำคัญที่สุดในยุคนี้คือ “การเรียนรู้ที่จะเรียนรู้” เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมาก การเรียนแค่ทักษะเฉพาะทางอาจไม่พอสำหรับการทำงานระยะยาว

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Matt Garman ซีอีโอ AWS กล่าวว่าการใช้ AI แทนพนักงานระดับเริ่มต้นคือ “ความคิดที่โง่ที่สุด”
    เขาให้เหตุผลว่าเด็กใหม่มีค่าใช้จ่ายต่ำและเข้าใจ AI มากที่สุด
    การไม่จ้างเด็กใหม่จะทำให้องค์กรไม่มีคนที่มีประสบการณ์ในอนาคต
    Garman สนับสนุนให้จ้างเด็กจบใหม่และสอนทักษะการคิดและแก้ปัญหา
    เขาเชื่อว่า AI ควรช่วยในการเรียนรู้ ไม่ใช่แทนที่การเรียนรู้
    เขาวิจารณ์การวัดผล AI ด้วยจำนวนโค้ดว่าเป็น metric ที่ไร้สาระ
    โค้ดมากไม่ได้แปลว่าดี บางครั้งโค้ดน้อยแต่มีคุณภาพกลับดีกว่า
    กว่า 80% ของนักพัฒนาใน AWS ใช้ AI ในงาน เช่น เขียน unit test, เอกสาร, โค้ด และทำงานร่วมกับ AI agent
    การใช้งาน AI ใน AWS เพิ่มขึ้นทุกสัปดาห์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    TechRadar รายงานว่า Gen Z มองว่าเจ้านายไม่เข้าใจประโยชน์ของ AI
    Garman แนะนำให้พนักงานรุ่นใหม่ “เรียนรู้ที่จะเรียนรู้” เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง
    เขาเน้นทักษะการคิดเชิงวิพากษ์, ความคิดสร้างสรรค์ และการแยกปัญหา
    การใช้ AI เพื่อเสริมการเรียนรู้จะช่วยให้พนักงานรุ่นใหม่เติบโตได้เร็วขึ้น
    AWS ใช้เครื่องมือ Kiro เพื่อช่วยในการเขียนโค้ดแบบมีผู้ช่วย

    https://www.theregister.com/2025/08/21/aws_ceo_entry_level_jobs_opinion/
    🎙️ เมื่อซีอีโอ AWS บอกว่า “ไล่เด็กใหม่ออกเพราะ AI” คือความคิดที่โง่ที่สุด ในยุคที่ AI กำลังเข้ามาแทนที่งานหลายประเภท หลายองค์กรเริ่มคิดว่า “ถ้า AI ทำงานแทนได้ ก็ไม่ต้องจ้างเด็กใหม่แล้วสิ” แต่ Matt Garman ซีอีโอของ AWS กลับออกมาพูดตรง ๆ ว่า “นั่นคือความคิดที่โง่ที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา” เขาให้เหตุผลว่า พนักงานระดับเริ่มต้น (junior staff) คือกลุ่มที่มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด และเป็นกลุ่มที่ “โตมากับ AI” จึงมีความเข้าใจและพร้อมใช้งานเครื่องมือใหม่ ๆ มากที่สุด ถ้าองค์กรไม่จ้างคนรุ่นใหม่เข้ามาเรียนรู้และเติบโต วันหนึ่งจะไม่มีใครเหลือที่เข้าใจวิธีการทำงานจริงเลย Garman ยังวิจารณ์แนวคิดที่วัดประสิทธิภาพของ AI ด้วย “จำนวนบรรทัดของโค้ดที่เขียนได้” โดยบอกว่า “มันเป็น metric ที่ไร้สาระ” เพราะโค้ดเยอะไม่ได้แปลว่าดีเสมอไป บางครั้งโค้ดน้อยแต่มีคุณภาพกลับดีกว่า เขาเชื่อว่า AI ควรเป็นเครื่องมือช่วยพัฒนา ไม่ใช่เครื่องมือแทนที่ และสิ่งสำคัญที่สุดในยุคนี้คือ “การเรียนรู้ที่จะเรียนรู้” เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมาก การเรียนแค่ทักษะเฉพาะทางอาจไม่พอสำหรับการทำงานระยะยาว 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Matt Garman ซีอีโอ AWS กล่าวว่าการใช้ AI แทนพนักงานระดับเริ่มต้นคือ “ความคิดที่โง่ที่สุด” ➡️ เขาให้เหตุผลว่าเด็กใหม่มีค่าใช้จ่ายต่ำและเข้าใจ AI มากที่สุด ➡️ การไม่จ้างเด็กใหม่จะทำให้องค์กรไม่มีคนที่มีประสบการณ์ในอนาคต ➡️ Garman สนับสนุนให้จ้างเด็กจบใหม่และสอนทักษะการคิดและแก้ปัญหา ➡️ เขาเชื่อว่า AI ควรช่วยในการเรียนรู้ ไม่ใช่แทนที่การเรียนรู้ ➡️ เขาวิจารณ์การวัดผล AI ด้วยจำนวนโค้ดว่าเป็น metric ที่ไร้สาระ ➡️ โค้ดมากไม่ได้แปลว่าดี บางครั้งโค้ดน้อยแต่มีคุณภาพกลับดีกว่า ➡️ กว่า 80% ของนักพัฒนาใน AWS ใช้ AI ในงาน เช่น เขียน unit test, เอกสาร, โค้ด และทำงานร่วมกับ AI agent ➡️ การใช้งาน AI ใน AWS เพิ่มขึ้นทุกสัปดาห์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ TechRadar รายงานว่า Gen Z มองว่าเจ้านายไม่เข้าใจประโยชน์ของ AI ➡️ Garman แนะนำให้พนักงานรุ่นใหม่ “เรียนรู้ที่จะเรียนรู้” เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ➡️ เขาเน้นทักษะการคิดเชิงวิพากษ์, ความคิดสร้างสรรค์ และการแยกปัญหา ➡️ การใช้ AI เพื่อเสริมการเรียนรู้จะช่วยให้พนักงานรุ่นใหม่เติบโตได้เร็วขึ้น ➡️ AWS ใช้เครื่องมือ Kiro เพื่อช่วยในการเขียนโค้ดแบบมีผู้ช่วย https://www.theregister.com/2025/08/21/aws_ceo_entry_level_jobs_opinion/
    WWW.THEREGISTER.COM
    AWS CEO says AI replacing junior staff is 'dumbest idea'
    : They're cheap and grew up with AI … so you're firing them why?
    0 Comments 0 Shares 64 Views 0 Reviews
  • เมื่อ AI ไม่ได้คืนทุน – 95% ขององค์กรลงทุนไปเปล่า ๆ กับ Generative AI

    ในช่วงสามปีที่ผ่านมา องค์กรทั่วโลกลงทุนไปกว่า $30–40 พันล้านดอลลาร์ในโครงการ Generative AI โดยหวังว่าจะเปลี่ยนแปลงธุรกิจให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่รายงานล่าสุดจาก MIT กลับพบว่า 95% ของโครงการเหล่านี้ “ไม่มีผลตอบแทนที่วัดได้” เลย

    แม้จะมีการนำเครื่องมืออย่าง ChatGPT, Copilot และโมเดลภาษาอื่น ๆ มาใช้ในองค์กรกว่า 80% และมีถึง 40% ที่นำไปใช้งานจริง แต่ส่วนใหญ่กลับใช้แค่ในระดับ “เพิ่มประสิทธิภาพรายบุคคล” เช่น เขียนอีเมลหรือช่วยตอบแชต ไม่ได้ส่งผลต่อรายได้หรือกำไรของบริษัท

    สาเหตุหลักคือ AI เหล่านี้ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับกระบวนการทำงานจริงขององค์กรได้ เช่น ไม่สามารถเรียนรู้จากบริบท, ไม่เก็บ feedback, และไม่พัฒนาเหตุผลข้ามงานได้เหมือนมนุษย์ ทำให้การใช้งานระยะยาวมีต้นทุนสูงแต่ไม่คุ้มค่า

    ในทางกลับกัน โครงการที่ประสบความสำเร็จ (เพียง 5%) มักจะเลือกปัญหาเฉพาะจุด เช่น การจัดการเอกสารหรือการลดค่าใช้จ่ายภายนอก แล้วใช้ AI แบบเฉพาะทางร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ

    MIT ยังพบว่า AI มีประโยชน์สูงสุดในงานหลังบ้าน เช่น การลดการจ้างงานภายนอกหรือการจัดการข้อมูลซ้ำ ๆ แต่กว่า 50% ของงบประมาณกลับถูกใช้ในงานขายและการตลาด ซึ่งยังต้องพึ่งพามนุษย์เป็นหลัก

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    MIT พบว่า 95% ของโครงการ Generative AI ไม่มีผลตอบแทนที่วัดได้
    องค์กรลงทุนรวมกว่า $30–40 พันล้านในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
    80% ขององค์กรทดลองใช้ AI และ 40% นำไปใช้งานจริง
    ส่วนใหญ่ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพรายบุคคล ไม่ใช่ระดับองค์กร
    AI ไม่สามารถปรับตัวกับ workflow จริงขององค์กรได้
    โครงการที่ประสบความสำเร็จมักเลือกปัญหาเฉพาะและใช้เครื่องมือเฉพาะทาง
    AI มีประโยชน์สูงสุดในงานหลังบ้าน เช่น ลดการจ้างงานภายนอก
    กว่า 50% ของงบประมาณ AI ถูกใช้ในงานขายและการตลาด
    2 ใน 3 ของโครงการที่ใช้ผู้ให้บริการ AI เฉพาะทางประสบความสำเร็จ
    องค์กรในอุตสาหกรรมที่มีการกำกับดูแลสูงมักพัฒนา AI เองเพื่อลดความเสี่ยง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ NANDA ของ MIT ชื่อว่า “The GenAI Divide”
    Startups ที่เลือกปัญหาเฉพาะ เช่น การจัดการเอกสาร สามารถสร้างรายได้ $20M ภายในปีเดียว
    AI ยังไม่สามารถแทนที่มนุษย์ในด้านการตัดสินใจหรือการเรียนรู้ข้ามบริบท
    การใช้ AI ในงานขายอาจไม่เหมาะ เพราะผู้ซื้อยังต้องการปฏิสัมพันธ์แบบมนุษย์
    ผลกระทบต่อแรงงานคือการไม่แทนที่ตำแหน่งว่าง มากกว่าการปลดพนักงาน

    https://thedailyadda.com/95-of-companies-see-zero-return-on-30-billion-generative-ai-spend-mit-report-finds/
    🎙️ เมื่อ AI ไม่ได้คืนทุน – 95% ขององค์กรลงทุนไปเปล่า ๆ กับ Generative AI ในช่วงสามปีที่ผ่านมา องค์กรทั่วโลกลงทุนไปกว่า $30–40 พันล้านดอลลาร์ในโครงการ Generative AI โดยหวังว่าจะเปลี่ยนแปลงธุรกิจให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่รายงานล่าสุดจาก MIT กลับพบว่า 95% ของโครงการเหล่านี้ “ไม่มีผลตอบแทนที่วัดได้” เลย แม้จะมีการนำเครื่องมืออย่าง ChatGPT, Copilot และโมเดลภาษาอื่น ๆ มาใช้ในองค์กรกว่า 80% และมีถึง 40% ที่นำไปใช้งานจริง แต่ส่วนใหญ่กลับใช้แค่ในระดับ “เพิ่มประสิทธิภาพรายบุคคล” เช่น เขียนอีเมลหรือช่วยตอบแชต ไม่ได้ส่งผลต่อรายได้หรือกำไรของบริษัท สาเหตุหลักคือ AI เหล่านี้ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับกระบวนการทำงานจริงขององค์กรได้ เช่น ไม่สามารถเรียนรู้จากบริบท, ไม่เก็บ feedback, และไม่พัฒนาเหตุผลข้ามงานได้เหมือนมนุษย์ ทำให้การใช้งานระยะยาวมีต้นทุนสูงแต่ไม่คุ้มค่า ในทางกลับกัน โครงการที่ประสบความสำเร็จ (เพียง 5%) มักจะเลือกปัญหาเฉพาะจุด เช่น การจัดการเอกสารหรือการลดค่าใช้จ่ายภายนอก แล้วใช้ AI แบบเฉพาะทางร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ MIT ยังพบว่า AI มีประโยชน์สูงสุดในงานหลังบ้าน เช่น การลดการจ้างงานภายนอกหรือการจัดการข้อมูลซ้ำ ๆ แต่กว่า 50% ของงบประมาณกลับถูกใช้ในงานขายและการตลาด ซึ่งยังต้องพึ่งพามนุษย์เป็นหลัก 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ MIT พบว่า 95% ของโครงการ Generative AI ไม่มีผลตอบแทนที่วัดได้ ➡️ องค์กรลงทุนรวมกว่า $30–40 พันล้านในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ➡️ 80% ขององค์กรทดลองใช้ AI และ 40% นำไปใช้งานจริง ➡️ ส่วนใหญ่ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพรายบุคคล ไม่ใช่ระดับองค์กร ➡️ AI ไม่สามารถปรับตัวกับ workflow จริงขององค์กรได้ ➡️ โครงการที่ประสบความสำเร็จมักเลือกปัญหาเฉพาะและใช้เครื่องมือเฉพาะทาง ➡️ AI มีประโยชน์สูงสุดในงานหลังบ้าน เช่น ลดการจ้างงานภายนอก ➡️ กว่า 50% ของงบประมาณ AI ถูกใช้ในงานขายและการตลาด ➡️ 2 ใน 3 ของโครงการที่ใช้ผู้ให้บริการ AI เฉพาะทางประสบความสำเร็จ ➡️ องค์กรในอุตสาหกรรมที่มีการกำกับดูแลสูงมักพัฒนา AI เองเพื่อลดความเสี่ยง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ NANDA ของ MIT ชื่อว่า “The GenAI Divide” ➡️ Startups ที่เลือกปัญหาเฉพาะ เช่น การจัดการเอกสาร สามารถสร้างรายได้ $20M ภายในปีเดียว ➡️ AI ยังไม่สามารถแทนที่มนุษย์ในด้านการตัดสินใจหรือการเรียนรู้ข้ามบริบท ➡️ การใช้ AI ในงานขายอาจไม่เหมาะ เพราะผู้ซื้อยังต้องการปฏิสัมพันธ์แบบมนุษย์ ➡️ ผลกระทบต่อแรงงานคือการไม่แทนที่ตำแหน่งว่าง มากกว่าการปลดพนักงาน https://thedailyadda.com/95-of-companies-see-zero-return-on-30-billion-generative-ai-spend-mit-report-finds/
    THEDAILYADDA.COM
    95% of Companies See ‘Zero Return’ on $30 Billion Generative AI Spend, MIT Report Finds
    Over the last three years, companies worldwide have invested between 30 and 40 billion dollars into generative artificial intelligence projects. Yet most of these efforts have brought no real business…
    0 Comments 0 Shares 62 Views 0 Reviews
  • ส่อล่ม ประชุมผู้บริหารระดับสูง RBC ไทย-กัมพูชา ที่อรัญประเทศ จ.สระแก้ว หลังการประชุมระดับเลขาฯ วันนี้เจอเขมรเล่นเกมขอเลื่อนประชุมใหม่เป็นวันพรุ่งนี้ อ้างต้องใช้เวลาตรวจสอบเอกสารเพิ่มเติม

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000079859

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    ส่อล่ม ประชุมผู้บริหารระดับสูง RBC ไทย-กัมพูชา ที่อรัญประเทศ จ.สระแก้ว หลังการประชุมระดับเลขาฯ วันนี้เจอเขมรเล่นเกมขอเลื่อนประชุมใหม่เป็นวันพรุ่งนี้ อ้างต้องใช้เวลาตรวจสอบเอกสารเพิ่มเติม อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000079859 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    Haha
    3
    0 Comments 0 Shares 384 Views 0 Reviews
  • GodRAT – มัลแวร์ที่แฝงตัวในภาพ ส่งผ่าน Skype เพื่อเจาะระบบธุรกิจ

    ในช่วงปลายปี 2024 ถึงต้นปี 2025 นักวิจัยจาก Kaspersky ได้ค้นพบมัลแวร์ตัวใหม่ชื่อว่า “GodRAT” ซึ่งถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์ผ่านแอป Skype เพื่อเจาะระบบของธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SMBs) ในตะวันออกกลางและเอเชีย

    GodRAT ถูกซ่อนไว้ในไฟล์ภาพที่ดูเหมือนเอกสารการเงิน โดยใช้เทคนิค “steganography” เพื่อฝัง shellcode ที่เมื่อเปิดใช้งาน จะดาวน์โหลดมัลแวร์จากเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี

    เมื่อมัลแวร์เข้าสู่ระบบ มันจะเก็บข้อมูลสำคัญ เช่น ระบบปฏิบัติการ ชื่อโฮสต์ รายชื่อโปรแกรมป้องกันไวรัส และบัญชีผู้ใช้ จากนั้นสามารถติดตั้งปลั๊กอินเพิ่มเติม เช่น ตัวขโมยรหัสผ่าน หรือโปรแกรมสำรวจไฟล์ และในบางกรณี ยังมีการติดตั้ง AsyncRAT เพื่อเข้าถึงระบบอย่างถาวร

    นักวิจัยเชื่อว่า GodRAT เป็นวิวัฒนาการของมัลแวร์ AwesomePuppet ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มแฮกเกอร์ Winnti (APT41) โดยมีโค้ดคล้ายกับ Gh0st RAT ซึ่งเป็นมัลแวร์เก่าที่ถูกใช้มานานกว่า 15 ปี

    แม้ว่า Skype จะไม่ใช่ช่องทางหลักในการทำงานอีกต่อไป แต่การใช้แอปที่ไม่ปลอดภัยยังคงเป็นช่องโหว่สำคัญที่องค์กรต้องระวัง

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Kaspersky พบมัลแวร์ใหม่ชื่อ GodRAT ถูกส่งผ่าน Skype ในรูปแบบไฟล์ screensaver
    ใช้เทคนิค steganography ซ่อน shellcode ในภาพที่ดูเหมือนเอกสารการเงิน
    เมื่อเปิดไฟล์ มัลแวร์จะดาวน์โหลดจากเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี
    GodRAT เก็บข้อมูลระบบ เช่น OS, hostname, antivirus, และบัญชีผู้ใช้
    สามารถติดตั้งปลั๊กอินเพิ่มเติม เช่น FileManager และ password stealer
    บางกรณีมีการติดตั้ง AsyncRAT เพื่อเข้าถึงระบบอย่างต่อเนื่อง
    เหยื่อส่วนใหญ่คือ SMBs ใน UAE, ฮ่องกง, จอร์แดน และเลบานอน
    GodRAT เป็นวิวัฒนาการจาก AwesomePuppet และมีโค้ดคล้าย Gh0st RAT
    การโจมตีสิ้นสุดการใช้ Skype ในเดือนมีนาคม 2025 และเปลี่ยนไปใช้ช่องทางอื่น
    Source code ของ GodRAT ถูกพบใน VirusTotal ตั้งแต่กรกฎาคม 2024

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gh0st RAT เป็นมัลแวร์ที่มีต้นกำเนิดจากจีน และถูกใช้โดยกลุ่ม APT มานาน
    Steganography เป็นเทคนิคที่นิยมใช้ในการซ่อนมัลแวร์ในไฟล์ภาพหรือเสียง
    AsyncRAT เป็นเครื่องมือควบคุมระยะไกลที่สามารถขโมยข้อมูลและควบคุมระบบ
    การใช้ Skype ในองค์กรลดลง แต่ยังมีบางธุรกิจที่ใช้เป็นช่องทางสื่อสาร
    การโจมตีลักษณะนี้มักเน้นเป้าหมายที่ไม่มีระบบป้องกันระดับสูง

    https://www.techradar.com/pro/security/still-use-skype-at-work-bad-news-hackers-are-targeting-it-with-dangerous-malware
    🎙️ GodRAT – มัลแวร์ที่แฝงตัวในภาพ ส่งผ่าน Skype เพื่อเจาะระบบธุรกิจ ในช่วงปลายปี 2024 ถึงต้นปี 2025 นักวิจัยจาก Kaspersky ได้ค้นพบมัลแวร์ตัวใหม่ชื่อว่า “GodRAT” ซึ่งถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์ผ่านแอป Skype เพื่อเจาะระบบของธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SMBs) ในตะวันออกกลางและเอเชีย GodRAT ถูกซ่อนไว้ในไฟล์ภาพที่ดูเหมือนเอกสารการเงิน โดยใช้เทคนิค “steganography” เพื่อฝัง shellcode ที่เมื่อเปิดใช้งาน จะดาวน์โหลดมัลแวร์จากเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี เมื่อมัลแวร์เข้าสู่ระบบ มันจะเก็บข้อมูลสำคัญ เช่น ระบบปฏิบัติการ ชื่อโฮสต์ รายชื่อโปรแกรมป้องกันไวรัส และบัญชีผู้ใช้ จากนั้นสามารถติดตั้งปลั๊กอินเพิ่มเติม เช่น ตัวขโมยรหัสผ่าน หรือโปรแกรมสำรวจไฟล์ และในบางกรณี ยังมีการติดตั้ง AsyncRAT เพื่อเข้าถึงระบบอย่างถาวร นักวิจัยเชื่อว่า GodRAT เป็นวิวัฒนาการของมัลแวร์ AwesomePuppet ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มแฮกเกอร์ Winnti (APT41) โดยมีโค้ดคล้ายกับ Gh0st RAT ซึ่งเป็นมัลแวร์เก่าที่ถูกใช้มานานกว่า 15 ปี แม้ว่า Skype จะไม่ใช่ช่องทางหลักในการทำงานอีกต่อไป แต่การใช้แอปที่ไม่ปลอดภัยยังคงเป็นช่องโหว่สำคัญที่องค์กรต้องระวัง 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Kaspersky พบมัลแวร์ใหม่ชื่อ GodRAT ถูกส่งผ่าน Skype ในรูปแบบไฟล์ screensaver ➡️ ใช้เทคนิค steganography ซ่อน shellcode ในภาพที่ดูเหมือนเอกสารการเงิน ➡️ เมื่อเปิดไฟล์ มัลแวร์จะดาวน์โหลดจากเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี ➡️ GodRAT เก็บข้อมูลระบบ เช่น OS, hostname, antivirus, และบัญชีผู้ใช้ ➡️ สามารถติดตั้งปลั๊กอินเพิ่มเติม เช่น FileManager และ password stealer ➡️ บางกรณีมีการติดตั้ง AsyncRAT เพื่อเข้าถึงระบบอย่างต่อเนื่อง ➡️ เหยื่อส่วนใหญ่คือ SMBs ใน UAE, ฮ่องกง, จอร์แดน และเลบานอน ➡️ GodRAT เป็นวิวัฒนาการจาก AwesomePuppet และมีโค้ดคล้าย Gh0st RAT ➡️ การโจมตีสิ้นสุดการใช้ Skype ในเดือนมีนาคม 2025 และเปลี่ยนไปใช้ช่องทางอื่น ➡️ Source code ของ GodRAT ถูกพบใน VirusTotal ตั้งแต่กรกฎาคม 2024 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gh0st RAT เป็นมัลแวร์ที่มีต้นกำเนิดจากจีน และถูกใช้โดยกลุ่ม APT มานาน ➡️ Steganography เป็นเทคนิคที่นิยมใช้ในการซ่อนมัลแวร์ในไฟล์ภาพหรือเสียง ➡️ AsyncRAT เป็นเครื่องมือควบคุมระยะไกลที่สามารถขโมยข้อมูลและควบคุมระบบ ➡️ การใช้ Skype ในองค์กรลดลง แต่ยังมีบางธุรกิจที่ใช้เป็นช่องทางสื่อสาร ➡️ การโจมตีลักษณะนี้มักเน้นเป้าหมายที่ไม่มีระบบป้องกันระดับสูง https://www.techradar.com/pro/security/still-use-skype-at-work-bad-news-hackers-are-targeting-it-with-dangerous-malware
    0 Comments 0 Shares 68 Views 0 Reviews
  • เมื่อ Phison ต้องออกโรงสู้ข่าวปลอม – SSD บน Windows 11 กับความเข้าใจผิดที่อาจสร้างความเสียหาย

    เรื่องเริ่มต้นจากการที่มีรายงานว่าอัปเดตความปลอดภัยของ Windows 11 เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2025 (KB5063878 และ KB5062660) ส่งผลให้ SSD หลายรุ่นเกิดปัญหา โดยเฉพาะเมื่อมีการถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่ ซึ่งสร้างความกังวลให้กับผู้ใช้งานจำนวนมาก

    ในช่วงแรก มีการกล่าวอ้างว่า SSD ที่ใช้คอนโทรลเลอร์ของ Phison เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหลัก แต่ Phison ได้ออกมายืนยันว่าไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ของตนเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ อุปกรณ์จากผู้ผลิตรายอื่นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน

    สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ร้อนแรงขึ้น คือมีเอกสารปลอมที่ถูกเผยแพร่ในหมู่ลูกค้า โดยอ้างว่าเป็นการสื่อสารจาก Phison ซึ่งระบุรุ่นคอนโทรลเลอร์ที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน Phison จึงต้องออกแถลงการณ์ปฏิเสธเอกสารดังกล่าวอย่างหนักแน่น พร้อมดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่อยู่เบื้องหลัง

    Phison ยังยืนยันว่ากำลังร่วมมือกับ Microsoft เพื่อสืบสวนและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนลูกค้าและพันธมิตรอย่างเต็มที่

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    มีรายงานว่าอัปเดต Windows 11 KB5063878 และ KB5062660 ส่งผลให้ SSD หลายรุ่นเกิดปัญหา
    ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อมีการถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่ ทำให้ SSD บางรุ่นล้มเหลว
    มีการกล่าวอ้างว่า SSD ที่ใช้คอนโทรลเลอร์ของ Phison ได้รับผลกระทบหลัก
    Phison ยืนยันว่าอุปกรณ์จากผู้ผลิตรายอื่นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
    มีเอกสารปลอมที่อ้างว่าเป็นการสื่อสารจาก Phison ถูกเผยแพร่ในหมู่ลูกค้า
    เอกสารปลอมระบุรุ่นคอนโทรลเลอร์ที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน
    Phison ปฏิเสธเอกสารดังกล่าวอย่างหนักแน่น และดำเนินการทางกฎหมาย
    Phison กำลังร่วมมือกับ Microsoft เพื่อสืบสวนและแก้ไขปัญหา
    แถลงการณ์อย่างเป็นทางการของ Phison ออกเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2025
    Phison ให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนลูกค้าและพันธมิตรอย่างเต็มที่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ปัญหานี้ไม่จำกัดเฉพาะ SSD แต่ยังส่งผลต่อ HDD บางรุ่นด้วย
    การอัปเดต Windows ที่มีปัญหาอาจส่งผลต่อระบบกู้คืนข้อมูลของผู้ใช้
    ผู้ผลิต SSD รายอื่น เช่น Western Digital ก็พบปัญหาคล้ายกัน
    การเผยแพร่เอกสารปลอมในวงการเทคโนโลยีอาจสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่น
    การสื่อสารอย่างโปร่งใสจากผู้ผลิตเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการวิกฤต

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/phison-takes-legal-action-over-falsified-leaked-document-on-windows-ssd-issues-says-it-continues-to-investigate-reports-of-problems
    🎙️ เมื่อ Phison ต้องออกโรงสู้ข่าวปลอม – SSD บน Windows 11 กับความเข้าใจผิดที่อาจสร้างความเสียหาย เรื่องเริ่มต้นจากการที่มีรายงานว่าอัปเดตความปลอดภัยของ Windows 11 เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2025 (KB5063878 และ KB5062660) ส่งผลให้ SSD หลายรุ่นเกิดปัญหา โดยเฉพาะเมื่อมีการถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่ ซึ่งสร้างความกังวลให้กับผู้ใช้งานจำนวนมาก ในช่วงแรก มีการกล่าวอ้างว่า SSD ที่ใช้คอนโทรลเลอร์ของ Phison เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหลัก แต่ Phison ได้ออกมายืนยันว่าไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ของตนเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ อุปกรณ์จากผู้ผลิตรายอื่นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ร้อนแรงขึ้น คือมีเอกสารปลอมที่ถูกเผยแพร่ในหมู่ลูกค้า โดยอ้างว่าเป็นการสื่อสารจาก Phison ซึ่งระบุรุ่นคอนโทรลเลอร์ที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน Phison จึงต้องออกแถลงการณ์ปฏิเสธเอกสารดังกล่าวอย่างหนักแน่น พร้อมดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่อยู่เบื้องหลัง Phison ยังยืนยันว่ากำลังร่วมมือกับ Microsoft เพื่อสืบสวนและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนลูกค้าและพันธมิตรอย่างเต็มที่ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ มีรายงานว่าอัปเดต Windows 11 KB5063878 และ KB5062660 ส่งผลให้ SSD หลายรุ่นเกิดปัญหา ➡️ ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อมีการถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่ ทำให้ SSD บางรุ่นล้มเหลว ➡️ มีการกล่าวอ้างว่า SSD ที่ใช้คอนโทรลเลอร์ของ Phison ได้รับผลกระทบหลัก ➡️ Phison ยืนยันว่าอุปกรณ์จากผู้ผลิตรายอื่นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ➡️ มีเอกสารปลอมที่อ้างว่าเป็นการสื่อสารจาก Phison ถูกเผยแพร่ในหมู่ลูกค้า ➡️ เอกสารปลอมระบุรุ่นคอนโทรลเลอร์ที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน ➡️ Phison ปฏิเสธเอกสารดังกล่าวอย่างหนักแน่น และดำเนินการทางกฎหมาย ➡️ Phison กำลังร่วมมือกับ Microsoft เพื่อสืบสวนและแก้ไขปัญหา ➡️ แถลงการณ์อย่างเป็นทางการของ Phison ออกเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2025 ➡️ Phison ให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนลูกค้าและพันธมิตรอย่างเต็มที่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ปัญหานี้ไม่จำกัดเฉพาะ SSD แต่ยังส่งผลต่อ HDD บางรุ่นด้วย ➡️ การอัปเดต Windows ที่มีปัญหาอาจส่งผลต่อระบบกู้คืนข้อมูลของผู้ใช้ ➡️ ผู้ผลิต SSD รายอื่น เช่น Western Digital ก็พบปัญหาคล้ายกัน ➡️ การเผยแพร่เอกสารปลอมในวงการเทคโนโลยีอาจสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่น ➡️ การสื่อสารอย่างโปร่งใสจากผู้ผลิตเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการวิกฤต https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/phison-takes-legal-action-over-falsified-leaked-document-on-windows-ssd-issues-says-it-continues-to-investigate-reports-of-problems
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Phison takes legal action over falsified 'leaked' document on Windows SSD issues — says it continues to investigate reports of problems
    "We wish to state unequivocally that the document in question—reproduced below—is neither an official nor unofficial communication from Phison."
    0 Comments 0 Shares 73 Views 0 Reviews
  • AI ไม่ได้ช่วยทุกคน – เมื่อองค์กรลงทุนใน Generative AI แล้วไม่เห็นผล

    แม้ว่า Generative AI จะถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในวงการธุรกิจ แต่รายงานล่าสุดจาก MIT พบว่า 95% ของโครงการนำ AI ไปใช้ในองค์กรไม่สามารถสร้างผลกระทบที่วัดได้ต่อกำไรหรือรายได้เลย

    รายงานนี้อ้างอิงจากการสัมภาษณ์ผู้บริหาร 150 คน, สำรวจพนักงาน 350 คน และวิเคราะห์การใช้งาน AI จริงกว่า 300 กรณี พบว่าโครงการส่วนใหญ่ “ล้มเหลว” ไม่ใช่เพราะโมเดล AI ทำงานผิดพลาด แต่เพราะ AI ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับกระบวนการทำงานที่มีอยู่แล้วในองค์กรได้

    องค์กรส่วนใหญ่ใช้ AI แบบทั่วไป เช่น ChatGPT โดยไม่ปรับให้เข้ากับบริบทเฉพาะของตน ทำให้เกิดช่องว่างการเรียนรู้ระหว่างเครื่องมือกับผู้ใช้ และโครงการก็หยุดชะงักในที่สุด

    ในทางกลับกัน โครงการที่ประสบความสำเร็จ (เพียง 5%) มักจะเลือก “ปัญหาเดียว” ที่ชัดเจน เช่น การจัดการเอกสาร หรือการตอบอีเมล แล้วใช้ AI แบบเฉพาะทางร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ

    MIT ยังพบว่า AI มีประโยชน์สูงสุดในงานหลังบ้าน เช่น การจัดการข้อมูล, การลดการจ้างงานภายนอก และการทำงานซ้ำ ๆ แต่กว่า 50% ของงบประมาณ AI กลับถูกใช้ในงานขายและการตลาด ซึ่งยังต้องพึ่งพามนุษย์เป็นหลัก

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    MIT พบว่า 95% ของโครงการนำ Generative AI ไปใช้ในองค์กรไม่มีผลต่อกำไรหรือรายได้
    รายงานอ้างอิงจากการสัมภาษณ์ 150 คน, สำรวจ 350 คน และวิเคราะห์ 300 กรณี
    สาเหตุหลักคือ AI ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับกระบวนการทำงานขององค์กร
    โครงการที่ประสบความสำเร็จมักเลือกปัญหาเดียวและใช้เครื่องมือเฉพาะทาง
    AI มีประโยชน์สูงสุดในงานหลังบ้าน เช่น การจัดการข้อมูลและงานซ้ำ ๆ
    กว่า 50% ของงบประมาณ AI ถูกใช้ในงานขายและการตลาด ซึ่งไม่เหมาะกับ AI
    โครงการที่ใช้ผู้ให้บริการ AI เฉพาะทางมีอัตราความสำเร็จ 2 ใน 3
    โครงการที่พัฒนา AI ภายในองค์กรมีอัตราความสำเร็จเพียง 1 ใน 3
    องค์กรในอุตสาหกรรมที่มีการกำกับดูแลสูง เช่น การเงินและสุขภาพ มักเลือกพัฒนา AI เอง
    AI ส่งผลต่อแรงงานโดยทำให้ตำแหน่งงานที่ว่างไม่ถูกแทนที่ โดยเฉพาะงานระดับต้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ NANDA ของ MIT ชื่อว่า “The GenAI Divide”
    บริษัทที่ประสบความสำเร็จมักเป็นสตาร์ตอัปที่มีทีมเล็กและเป้าหมายชัดเจน
    การใช้ AI ในงานขายอาจไม่เหมาะ เพราะผู้ซื้อยังเป็นมนุษย์ที่ต้องการปฏิสัมพันธ์
    การใช้ AI ในงานหลังบ้านช่วยลดต้นทุนจากการจ้างงานภายนอกและเอเจนซี่
    การไม่แทนที่ตำแหน่งงานที่ว่างอาจเป็นสัญญาณของการลดแรงงานในระยะยาว
    CEO หลายคนเตือนว่า AI อาจแทนที่งานระดับต้นถึง 50% ภายใน 5 ปี

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/95-percent-of-generative-ai-implementations-in-enterprise-have-no-measurable-impact-on-p-and-l-says-mit-flawed-integration-key-reason-why-ai-projects-underperform
    🧠 AI ไม่ได้ช่วยทุกคน – เมื่อองค์กรลงทุนใน Generative AI แล้วไม่เห็นผล แม้ว่า Generative AI จะถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในวงการธุรกิจ แต่รายงานล่าสุดจาก MIT พบว่า 95% ของโครงการนำ AI ไปใช้ในองค์กรไม่สามารถสร้างผลกระทบที่วัดได้ต่อกำไรหรือรายได้เลย รายงานนี้อ้างอิงจากการสัมภาษณ์ผู้บริหาร 150 คน, สำรวจพนักงาน 350 คน และวิเคราะห์การใช้งาน AI จริงกว่า 300 กรณี พบว่าโครงการส่วนใหญ่ “ล้มเหลว” ไม่ใช่เพราะโมเดล AI ทำงานผิดพลาด แต่เพราะ AI ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับกระบวนการทำงานที่มีอยู่แล้วในองค์กรได้ องค์กรส่วนใหญ่ใช้ AI แบบทั่วไป เช่น ChatGPT โดยไม่ปรับให้เข้ากับบริบทเฉพาะของตน ทำให้เกิดช่องว่างการเรียนรู้ระหว่างเครื่องมือกับผู้ใช้ และโครงการก็หยุดชะงักในที่สุด ในทางกลับกัน โครงการที่ประสบความสำเร็จ (เพียง 5%) มักจะเลือก “ปัญหาเดียว” ที่ชัดเจน เช่น การจัดการเอกสาร หรือการตอบอีเมล แล้วใช้ AI แบบเฉพาะทางร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ MIT ยังพบว่า AI มีประโยชน์สูงสุดในงานหลังบ้าน เช่น การจัดการข้อมูล, การลดการจ้างงานภายนอก และการทำงานซ้ำ ๆ แต่กว่า 50% ของงบประมาณ AI กลับถูกใช้ในงานขายและการตลาด ซึ่งยังต้องพึ่งพามนุษย์เป็นหลัก 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ MIT พบว่า 95% ของโครงการนำ Generative AI ไปใช้ในองค์กรไม่มีผลต่อกำไรหรือรายได้ ➡️ รายงานอ้างอิงจากการสัมภาษณ์ 150 คน, สำรวจ 350 คน และวิเคราะห์ 300 กรณี ➡️ สาเหตุหลักคือ AI ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับกระบวนการทำงานขององค์กร ➡️ โครงการที่ประสบความสำเร็จมักเลือกปัญหาเดียวและใช้เครื่องมือเฉพาะทาง ➡️ AI มีประโยชน์สูงสุดในงานหลังบ้าน เช่น การจัดการข้อมูลและงานซ้ำ ๆ ➡️ กว่า 50% ของงบประมาณ AI ถูกใช้ในงานขายและการตลาด ซึ่งไม่เหมาะกับ AI ➡️ โครงการที่ใช้ผู้ให้บริการ AI เฉพาะทางมีอัตราความสำเร็จ 2 ใน 3 ➡️ โครงการที่พัฒนา AI ภายในองค์กรมีอัตราความสำเร็จเพียง 1 ใน 3 ➡️ องค์กรในอุตสาหกรรมที่มีการกำกับดูแลสูง เช่น การเงินและสุขภาพ มักเลือกพัฒนา AI เอง ➡️ AI ส่งผลต่อแรงงานโดยทำให้ตำแหน่งงานที่ว่างไม่ถูกแทนที่ โดยเฉพาะงานระดับต้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ NANDA ของ MIT ชื่อว่า “The GenAI Divide” ➡️ บริษัทที่ประสบความสำเร็จมักเป็นสตาร์ตอัปที่มีทีมเล็กและเป้าหมายชัดเจน ➡️ การใช้ AI ในงานขายอาจไม่เหมาะ เพราะผู้ซื้อยังเป็นมนุษย์ที่ต้องการปฏิสัมพันธ์ ➡️ การใช้ AI ในงานหลังบ้านช่วยลดต้นทุนจากการจ้างงานภายนอกและเอเจนซี่ ➡️ การไม่แทนที่ตำแหน่งงานที่ว่างอาจเป็นสัญญาณของการลดแรงงานในระยะยาว ➡️ CEO หลายคนเตือนว่า AI อาจแทนที่งานระดับต้นถึง 50% ภายใน 5 ปี https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/95-percent-of-generative-ai-implementations-in-enterprise-have-no-measurable-impact-on-p-and-l-says-mit-flawed-integration-key-reason-why-ai-projects-underperform
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    95% of generative AI implementations in enterprise 'have no measurable impact on P&L', says MIT — flawed integration cited as why AI projects underperform
    AI is a powerful tool, but only if used correctly. | The study shows that AI tools must adjust to the organization’s processes for it to work effectively.
    0 Comments 0 Shares 65 Views 0 Reviews
  • AGENTS.md คืออะไร?

    AGENTS.md เป็นไฟล์ที่คล้ายกับ README แต่เขียนขึ้นเพื่อให้ AI agents เข้าใจโครงสร้างและขั้นตอนของโปรเจกต์ เช่น:

    วิธีติดตั้งและรันโปรเจกต์
    - กฎการเขียนโค้ด (Code style)
    - วิธีการทดสอบระบบ (Testing)
    - แนวทางการส่ง Pull Request
    - ข้อมูลเฉพาะที่มนุษย์อาจไม่ต้องการ แต่ AI ต้องใช้

    ใช้ทำอะไร?
    AGENTS.md ช่วยให้ AI agents เช่น Codex จาก OpenAI, Amp, Jules จาก Google ฯลฯ สามารถ:
    - ให้บริบทของโปรเจกต์: อธิบายโครงสร้างและวัตถุประสงค์ของโปรเจกต์
    - คำสั่งติดตั้งและทดสอบ: เช่น pnpm install, pnpm test เพื่อให้ agent รันได้ทันที
    - แนวทางการเขียนโค้ด: เช่น ใช้ TypeScript แบบ strict, ไม่ใช้ semicolon
    - คำแนะนำการทำงานร่วมกัน: เช่น รูปแบบชื่อ commit หรือ pull request
    - รองรับโปรเจกต์ขนาดใหญ่: สามารถมี AGENTS.md หลายไฟล์ในแต่ละแพ็กเกจย่อย

    เหมาะกับใคร?
    - นักพัฒนาที่ใช้ AI agent ในการช่วยเขียนโค้ด
    - ทีมงานที่มีโปรเจกต์ขนาดใหญ่หรือหลายแพ็กเกจ
    - ผู้ดูแลโปรเจกต์โอเพ่นซอร์สที่ต้องการให้ AI ช่วยงานได้ดีขึ้น

    จุดเด่น
    - ไม่จำเป็นต้องใช้รูปแบบเฉพาะ—เขียนด้วย Markdown ธรรมดา
    - Agent สามารถรันคำสั่งที่ระบุในไฟล์ได้อัตโนมัติ
    - เป็นเอกสารที่สามารถปรับปรุงได้ตลอดเวลา

    https://agents.md/
    🧠 AGENTS.md คืออะไร? AGENTS.md เป็นไฟล์ที่คล้ายกับ README แต่เขียนขึ้นเพื่อให้ AI agents เข้าใจโครงสร้างและขั้นตอนของโปรเจกต์ เช่น: วิธีติดตั้งและรันโปรเจกต์ - กฎการเขียนโค้ด (Code style) - วิธีการทดสอบระบบ (Testing) - แนวทางการส่ง Pull Request - ข้อมูลเฉพาะที่มนุษย์อาจไม่ต้องการ แต่ AI ต้องใช้ 🤖 ใช้ทำอะไร? AGENTS.md ช่วยให้ AI agents เช่น Codex จาก OpenAI, Amp, Jules จาก Google ฯลฯ สามารถ: - ให้บริบทของโปรเจกต์: อธิบายโครงสร้างและวัตถุประสงค์ของโปรเจกต์ - คำสั่งติดตั้งและทดสอบ: เช่น pnpm install, pnpm test เพื่อให้ agent รันได้ทันที - แนวทางการเขียนโค้ด: เช่น ใช้ TypeScript แบบ strict, ไม่ใช้ semicolon - คำแนะนำการทำงานร่วมกัน: เช่น รูปแบบชื่อ commit หรือ pull request - รองรับโปรเจกต์ขนาดใหญ่: สามารถมี AGENTS.md หลายไฟล์ในแต่ละแพ็กเกจย่อย 👨‍💻 เหมาะกับใคร? - นักพัฒนาที่ใช้ AI agent ในการช่วยเขียนโค้ด - ทีมงานที่มีโปรเจกต์ขนาดใหญ่หรือหลายแพ็กเกจ - ผู้ดูแลโปรเจกต์โอเพ่นซอร์สที่ต้องการให้ AI ช่วยงานได้ดีขึ้น ✅ จุดเด่น - ไม่จำเป็นต้องใช้รูปแบบเฉพาะ—เขียนด้วย Markdown ธรรมดา - Agent สามารถรันคำสั่งที่ระบุในไฟล์ได้อัตโนมัติ - เป็นเอกสารที่สามารถปรับปรุงได้ตลอดเวลา https://agents.md/
    AGENTS.MD
    AGENTS.md
    AGENTS.md is a simple, open format for guiding coding agents. Think of it as a README for agents.
    0 Comments 0 Shares 59 Views 0 Reviews
  • Microsoft Entra Private Access – เปลี่ยนการเข้าถึง Active Directory แบบเดิมให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น

    ในยุคที่องค์กรกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ระบบคลาวด์ ความปลอดภัยของระบบภายในองค์กรก็ยังคงเป็นเป้าหมายของแฮกเกอร์ โดยเฉพาะ Active Directory ที่ยังคงถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในหน่วยงานรัฐและองค์กรขนาดใหญ่

    Microsoft จึงเปิดตัว “Entra Private Access” ซึ่งเป็นฟีเจอร์ใหม่ที่นำความสามารถด้าน Conditional Access และ Multi-Factor Authentication (MFA) จากระบบคลาวด์ มาสู่ระบบ Active Directory ที่อยู่ภายในองค์กร (on-premises) โดยใช้แนวคิด Zero Trust Network Access (ZTNA)

    แต่ก่อนจะใช้งานได้ องค์กรต้อง “ล้าง NTLM” ออกจากระบบให้หมด และเปลี่ยนมาใช้ Kerberos แทน เพราะ NTLM เป็นโปรโตคอลเก่าที่มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยสูง

    การติดตั้ง Entra Private Access ต้องมีการกำหนดค่าเครือข่าย เช่น เปิดพอร์ต TCP 1337 บน Firewall, ระบุ Service Principal Name (SPN) ของแอปภายใน และติดตั้ง Private Access Sensor บน Domain Controller รวมถึงต้องใช้เครื่องลูกข่ายที่เป็น Windows 10 ขึ้นไป และเชื่อมต่อกับ Microsoft Entra ID

    แม้จะดูซับซ้อน แต่การเปลี่ยนผ่านนี้จะช่วยให้องค์กรสามารถควบคุมการเข้าถึงระบบภายในได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น ลดการพึ่งพา VPN แบบเดิม และเตรียมพร้อมสู่การป้องกันภัยไซเบอร์ในระดับสูง

    Microsoft เปิดตัว Entra Private Access สำหรับ Active Directory ภายในองค์กร
    ฟีเจอร์นี้นำ Conditional Access และ MFA จากคลาวด์มาใช้กับระบบ on-premises
    ใช้แนวคิด Zero Trust Network Access (ZTNA) เพื่อควบคุมการเข้าถึง
    ต้องลบ NTLM ออกจากระบบและใช้ Kerberos แทนเพื่อใช้งานฟีเจอร์นี้
    เปิดพอร์ต TCP 1337 บน Firewall และกำหนด SPN ของแอปภายใน
    ต้องใช้เครื่องลูกข่าย Windows 10+ ที่เชื่อมต่อกับ Microsoft Entra ID
    รองรับ Windows 10, 11 และ Android ส่วน macOS/iOS ยังอยู่ในช่วงทดลอง
    เอกสารการติดตั้งฉบับเต็มเผยแพร่เมื่อเดือนกรกฎาคม 2025
    สามารถใช้ trial license ทดสอบการติดตั้งแบบ proof of concept ได้

    NTLM เป็นโปรโตคอลเก่าที่มีช่องโหว่ เช่น relay attack และ credential theft
    Kerberos ใช้ระบบ ticket-based authentication ที่ปลอดภัยกว่า
    Zero Trust เป็นแนวคิดที่ไม่เชื่อถืออัตโนมัติแม้จะอยู่ในเครือข่ายองค์กร
    VPN แบบเดิมมีความเสี่ยงจากการถูกเจาะระบบและไม่รองรับการควบคุมแบบละเอียด
    การใช้ SPN ช่วยระบุแอปภายในที่ต้องการป้องกันได้อย่างแม่นยำ
    การบังคับใช้ MFA ช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีด้วยรหัสผ่านที่รั่วไหล

    https://www.csoonline.com/article/4041752/microsoft-entra-private-access-brings-conditional-access-to-on-prem-active-directory.html
    🧠 Microsoft Entra Private Access – เปลี่ยนการเข้าถึง Active Directory แบบเดิมให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น ในยุคที่องค์กรกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ระบบคลาวด์ ความปลอดภัยของระบบภายในองค์กรก็ยังคงเป็นเป้าหมายของแฮกเกอร์ โดยเฉพาะ Active Directory ที่ยังคงถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในหน่วยงานรัฐและองค์กรขนาดใหญ่ Microsoft จึงเปิดตัว “Entra Private Access” ซึ่งเป็นฟีเจอร์ใหม่ที่นำความสามารถด้าน Conditional Access และ Multi-Factor Authentication (MFA) จากระบบคลาวด์ มาสู่ระบบ Active Directory ที่อยู่ภายในองค์กร (on-premises) โดยใช้แนวคิด Zero Trust Network Access (ZTNA) แต่ก่อนจะใช้งานได้ องค์กรต้อง “ล้าง NTLM” ออกจากระบบให้หมด และเปลี่ยนมาใช้ Kerberos แทน เพราะ NTLM เป็นโปรโตคอลเก่าที่มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยสูง การติดตั้ง Entra Private Access ต้องมีการกำหนดค่าเครือข่าย เช่น เปิดพอร์ต TCP 1337 บน Firewall, ระบุ Service Principal Name (SPN) ของแอปภายใน และติดตั้ง Private Access Sensor บน Domain Controller รวมถึงต้องใช้เครื่องลูกข่ายที่เป็น Windows 10 ขึ้นไป และเชื่อมต่อกับ Microsoft Entra ID แม้จะดูซับซ้อน แต่การเปลี่ยนผ่านนี้จะช่วยให้องค์กรสามารถควบคุมการเข้าถึงระบบภายในได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น ลดการพึ่งพา VPN แบบเดิม และเตรียมพร้อมสู่การป้องกันภัยไซเบอร์ในระดับสูง ➡️ Microsoft เปิดตัว Entra Private Access สำหรับ Active Directory ภายในองค์กร ➡️ ฟีเจอร์นี้นำ Conditional Access และ MFA จากคลาวด์มาใช้กับระบบ on-premises ➡️ ใช้แนวคิด Zero Trust Network Access (ZTNA) เพื่อควบคุมการเข้าถึง ➡️ ต้องลบ NTLM ออกจากระบบและใช้ Kerberos แทนเพื่อใช้งานฟีเจอร์นี้ ➡️ เปิดพอร์ต TCP 1337 บน Firewall และกำหนด SPN ของแอปภายใน ➡️ ต้องใช้เครื่องลูกข่าย Windows 10+ ที่เชื่อมต่อกับ Microsoft Entra ID ➡️ รองรับ Windows 10, 11 และ Android ส่วน macOS/iOS ยังอยู่ในช่วงทดลอง ➡️ เอกสารการติดตั้งฉบับเต็มเผยแพร่เมื่อเดือนกรกฎาคม 2025 ➡️ สามารถใช้ trial license ทดสอบการติดตั้งแบบ proof of concept ได้ ➡️ NTLM เป็นโปรโตคอลเก่าที่มีช่องโหว่ เช่น relay attack และ credential theft ➡️ Kerberos ใช้ระบบ ticket-based authentication ที่ปลอดภัยกว่า ➡️ Zero Trust เป็นแนวคิดที่ไม่เชื่อถืออัตโนมัติแม้จะอยู่ในเครือข่ายองค์กร ➡️ VPN แบบเดิมมีความเสี่ยงจากการถูกเจาะระบบและไม่รองรับการควบคุมแบบละเอียด ➡️ การใช้ SPN ช่วยระบุแอปภายในที่ต้องการป้องกันได้อย่างแม่นยำ ➡️ การบังคับใช้ MFA ช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีด้วยรหัสผ่านที่รั่วไหล https://www.csoonline.com/article/4041752/microsoft-entra-private-access-brings-conditional-access-to-on-prem-active-directory.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Microsoft Entra Private Access brings conditional access to on-prem Active Directory
    Microsoft has extended Entra’s powerful access control capabilities to on-premises applications — but you’ll need to rid your network of NTLM to take advantage of adding cloud features to your Active Directory.
    0 Comments 0 Shares 112 Views 0 Reviews
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เรื่องของคนโคตรรวย (สาขาไทย)
    นิทานเรื่องจริง้รื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 5 : เรื่องของคนโคตรรวย (สาขาประเทศไทย ! ?)
    คงมีคนอยากรู้ ว่าแล้วมีสมันน้อยได้รับเชิญ เข้าไปร่วมใน สมาคมคนรวยผู้มีอิทธิพล Trilateral Commission กันบ้างไหมหนอ แหม!
    ไม่อยากบอกเลย เดี๋ยวจะหาว่าคนเล่านิทานเล่นไม่เลิก นี่ก็ว่าตามเอกสารนะ
    ก็มีล่ะซี ดูจากรายชื่อสมาชิกสมาคมคนรวยผู้มีอิทธิพล Trilateral Commission ปี ค.ศ. 2010 ปรากฎมีคนไทย 4 ราย บางชื่อ ไม่น่าเดากันผิด (555)
    1. นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานธนาคาร Exim แห่งประเทศไทย
    2. มรว. เกษมสโมสร เกษมศรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตปลัดกระทรวง ต่างประเทศ
    3. นายอานันท์ ปันยารชุน
    4. นายสารสิน วีระผล
    ชื่อที่ 3 คงไม่ต้องเขียนบรรยายสรรพคุณกันแล้ว ท่านผู้อ่านที่เคยอ่าน นิทานเรื่องจริง เรื่องจิกโก๋ปากซอย คิดเอาเองได้ คนอ่านนิทานฉลาดกันทั้งนั้น
    แต่ชื่อที่ 4 นายสารสิน วีระผล นี่เป็นใคร มาได้ยังไง ตอบสั้น ว่าไม่รู้ แต่มีเอกสารน่าสนใจเกี่ยวกับนายสารสิน อ่านกันแล้ว ไม่รู้จะเห็นคำตอบกันหรือเปล่า
    อย่างที่เคยเล่าไว้ในนิทานจิกโก๋ปากซอย อเมริกาเมินไทยแลนด์ สมันน้อยไปนาน หลังจากสงครามเวียตนามเลิก จะกลับเข้ามาใหม่ ก็ต้องเริ่มกระชับมิตรกับบรรดานักวิ่งผลัด พี่ทหารที่รักทั้งหลาย ดังนั้นในปี ค.ศ. 2010 ช่วงที่อาเฮียแผ่นดินใหญ่ กำลังรวยเอา รวยเอา ท่านแม่ทัพภาค 7 แห่งกองทัพเรืออเมริกัน ที่ประจำอยู่ที่ฐานทัพอเมริกาที่โอกินาวา ทนไม่ไหวต้องรีบนั่งเรือรบมาเช็คว่าบรรดานักวิ่งผลัด ยังอยู่ในกระเป๋าเหมือนเดิมหรือเปล่า
    ที่จะเล่าต่อไปนี้ อภินันทนาการจาก การทำหล่นของ Wikileaks อ่านกันเพลินดี
    “เรื่อง Admiral Willard มาเยือนประเทศไทย
    รายงานเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2010
    โดย เอกอัครราชทูต Eric G. John
    สรุปย่อ ๆ ว่า ท่านนายพล Willard ซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพเรืออเมริกา ประจำภาคพื้นแปซิฟิก ได้มาเยี่ยมประเทศไทย เมื่อระหว่างวันที่ 2 ถึง 7 ธันวาคม ค.ศ. 2010 และได้มีการหารือกับผู้นำฝ่ายไทย ฝ่ายไทยยืนยันว่า จะให้ความร่วมมือกับกองทัพอเมริกัน และถือว่าความช่วยเหลือของอเมริกาทางการทหารเป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่ง และเป็นการดุลอำนาจในภูมิภาคนี้
    ผู้เข้าร่วมประชุมฝ่ายอเมริกา คือ
    – Admiral Willard
etc
    ผู้เข้าร่วมประชุมฝ่ายไทย
    – นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ เวชาชีวะ
    – รมว.กลาโหม ประวิตร วงศ์สุวรรณ
    – รมว.ตปท. กษิต ภิรมย์
    – ผบ.สส ทรงกิตติ จักกาบาตร์
    นอกจากนี้ Admiral Willard ยังได้หารือกับ ผบ.ทบ อนุพงศ์ เผ่าจินดา รองผบ.ทบ ประยุทธ์ จันท์โอชา รองเลขาธิการ นายก อภิสิทธิ และโฆษกรัฐบาล ดร.ปณิธาน วัฒนายากร รองประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัท ซีพี และอดีตนักการทูตระดับสูง นายสารสิน วีระผล และผู้ช่วยบรรณาธิการกลุ่ม Nation Multimedia กวี จงกิจถาวร”
    เขาคุยกันเรื่องการทหาร มีนายกรัฐมนตรีกับนายทหารเข้าร่วมประชุม
กรณี ดร.ปณิธาน นั่นไม่แปลก เพราะเป็นผู้เกี่ยวข้องของรัฐบาลไทย และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงระหว่างประเทศ
กรณีนายกวี แปลก แต่ยังพออธิบายได้ว่าเป็นสื่อ แต่ทำไมต้องเป็นสื่อนี้ และคนนี้ วันหลังต้องหาคำตอบมาแก้ข้อข้องใจ (คนเล่านิทาน)
แต่กรณีที่หาคำอธิบายไม่ได้คือ นายสารสิน วีระผล แห่งซีพีกรุ๊ป ซึ่งทำธุรกิจขายอาหารและเมล็ดพันธ์ุพืช และอื่นๆ อีกมากมาย รวมทั้งเป็นเจ้าของโทรศัพท์ 2 ล้านเลขหมาย (ถ้าท่านใดเคยอ่านนิทานเรื่องจริง เรื่องจิกโก๋ปากซอย คงพอจำเรื่องนี้ได้นะ ถ้าไม่เคยอ่าน ก็น่าจะกลับไปอ่านกันหน่อย บางเรื่องมันต่อกัน เดี๋ยวเห็นภาพไม่ชัด) แล้วนายสารสิน มาเกี่ยวอะไรด้วยในการสนทนา ! ? !
    เอกสาร Wikileaks นี้ ทำหล่นมา2,3 ปีแล้ว ตอนที่อ่านเอกสาร เห็นชื่อนี้ก็แปลกใจ แต่พอเริ่มเขียนนิทานเรื่องนี้ และไปค้นเอกสารที่เกี่ยวข้อง เจอรายชื่อนี้ ว่าอยู่ใน Trilateral Commission ก็เลยไม่แปลกใจเท่าไหร่แล้ว และยิ่งท่านผู้อ่านนิทาน อ่านนิทานเรื่องนี้ต่อไป อาจหายแปลกใจ แต่จะเปลี่ยนเป็นตกใจเลย หรือไม่ก็ดูกันไปแล้วกัน
    สำหรับชื่อหมายเลข 1 นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ได้ลองค้นประวัติดู ได้ความว่าจบ
เศรษฐศาสตร์ ปริญญาเอก จาก John Hopkins มหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกา ผ่านงานมาสารพัด ทั้งด้านธุรกิจและการเงิน เคยดำรงตำแหน่ง รมว.กระทรวงพาณิชย์ และเป็นกรรมการนโยบายการเงิน (กนอ.) และอื่นๆ ยาวเหยียดเขียนไม่ไหว แต่ที่น่าสนใจ คือ เป็นผู้จัดทำการวิจัยแนวนโยบายอุตสาหกรรมและการค้า ซึ่งจะกำหนดในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7 (พ.ศ.2535 – 2539)
    สำหรับหมายเลข 2 มรว.เกษมสโมสร เกษมศรี เคยดำรงตำแหน่งเอกอัครราชฑูตไทย ประจำสาธารณรัฐประชาชนจีน พ.ศ.2518 – 2522 (คนแรก) และตำแหน่งเอกอัครราชฑูตไทย ประจำกรุงวอชิงตัน อเมริกา พ.ศ.2525 – 2529
    ส่วนนายสารสิน วีระผล นั้น เคยรับราชการกระทรวงต่างประเทศ ประจำสถานฑูตไทย ณ กรุงปักกิ่ง พ.ศ.2522 – 2524 ประจำสถานฑูตไทย ณ กรุงโตเกียว พ.ศ.2529 – 2531 และเป็นเอกอัครราชฑูตไทย ประจำกรุงมนิลา พ.ศ.2535 – 2538
    สำหรับหมายเลข 3 นายอานันท์ ปันยารชุน คงไม่ต้องการคำอธิบายกันมาก

    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เรื่องของคนโคตรรวย (สาขาไทย) นิทานเรื่องจริง้รื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 5 : เรื่องของคนโคตรรวย (สาขาประเทศไทย ! ?) คงมีคนอยากรู้ ว่าแล้วมีสมันน้อยได้รับเชิญ เข้าไปร่วมใน สมาคมคนรวยผู้มีอิทธิพล Trilateral Commission กันบ้างไหมหนอ แหม! ไม่อยากบอกเลย เดี๋ยวจะหาว่าคนเล่านิทานเล่นไม่เลิก นี่ก็ว่าตามเอกสารนะ ก็มีล่ะซี ดูจากรายชื่อสมาชิกสมาคมคนรวยผู้มีอิทธิพล Trilateral Commission ปี ค.ศ. 2010 ปรากฎมีคนไทย 4 ราย บางชื่อ ไม่น่าเดากันผิด (555) 1. นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานธนาคาร Exim แห่งประเทศไทย 2. มรว. เกษมสโมสร เกษมศรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตปลัดกระทรวง ต่างประเทศ 3. นายอานันท์ ปันยารชุน 4. นายสารสิน วีระผล ชื่อที่ 3 คงไม่ต้องเขียนบรรยายสรรพคุณกันแล้ว ท่านผู้อ่านที่เคยอ่าน นิทานเรื่องจริง เรื่องจิกโก๋ปากซอย คิดเอาเองได้ คนอ่านนิทานฉลาดกันทั้งนั้น แต่ชื่อที่ 4 นายสารสิน วีระผล นี่เป็นใคร มาได้ยังไง ตอบสั้น ว่าไม่รู้ แต่มีเอกสารน่าสนใจเกี่ยวกับนายสารสิน อ่านกันแล้ว ไม่รู้จะเห็นคำตอบกันหรือเปล่า อย่างที่เคยเล่าไว้ในนิทานจิกโก๋ปากซอย อเมริกาเมินไทยแลนด์ สมันน้อยไปนาน หลังจากสงครามเวียตนามเลิก จะกลับเข้ามาใหม่ ก็ต้องเริ่มกระชับมิตรกับบรรดานักวิ่งผลัด พี่ทหารที่รักทั้งหลาย ดังนั้นในปี ค.ศ. 2010 ช่วงที่อาเฮียแผ่นดินใหญ่ กำลังรวยเอา รวยเอา ท่านแม่ทัพภาค 7 แห่งกองทัพเรืออเมริกัน ที่ประจำอยู่ที่ฐานทัพอเมริกาที่โอกินาวา ทนไม่ไหวต้องรีบนั่งเรือรบมาเช็คว่าบรรดานักวิ่งผลัด ยังอยู่ในกระเป๋าเหมือนเดิมหรือเปล่า ที่จะเล่าต่อไปนี้ อภินันทนาการจาก การทำหล่นของ Wikileaks อ่านกันเพลินดี “เรื่อง Admiral Willard มาเยือนประเทศไทย รายงานเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2010 โดย เอกอัครราชทูต Eric G. John สรุปย่อ ๆ ว่า ท่านนายพล Willard ซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพเรืออเมริกา ประจำภาคพื้นแปซิฟิก ได้มาเยี่ยมประเทศไทย เมื่อระหว่างวันที่ 2 ถึง 7 ธันวาคม ค.ศ. 2010 และได้มีการหารือกับผู้นำฝ่ายไทย ฝ่ายไทยยืนยันว่า จะให้ความร่วมมือกับกองทัพอเมริกัน และถือว่าความช่วยเหลือของอเมริกาทางการทหารเป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่ง และเป็นการดุลอำนาจในภูมิภาคนี้ ผู้เข้าร่วมประชุมฝ่ายอเมริกา คือ – Admiral Willard
etc ผู้เข้าร่วมประชุมฝ่ายไทย – นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ เวชาชีวะ – รมว.กลาโหม ประวิตร วงศ์สุวรรณ – รมว.ตปท. กษิต ภิรมย์ – ผบ.สส ทรงกิตติ จักกาบาตร์ นอกจากนี้ Admiral Willard ยังได้หารือกับ ผบ.ทบ อนุพงศ์ เผ่าจินดา รองผบ.ทบ ประยุทธ์ จันท์โอชา รองเลขาธิการ นายก อภิสิทธิ และโฆษกรัฐบาล ดร.ปณิธาน วัฒนายากร รองประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัท ซีพี และอดีตนักการทูตระดับสูง นายสารสิน วีระผล และผู้ช่วยบรรณาธิการกลุ่ม Nation Multimedia กวี จงกิจถาวร” เขาคุยกันเรื่องการทหาร มีนายกรัฐมนตรีกับนายทหารเข้าร่วมประชุม
กรณี ดร.ปณิธาน นั่นไม่แปลก เพราะเป็นผู้เกี่ยวข้องของรัฐบาลไทย และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงระหว่างประเทศ
กรณีนายกวี แปลก แต่ยังพออธิบายได้ว่าเป็นสื่อ แต่ทำไมต้องเป็นสื่อนี้ และคนนี้ วันหลังต้องหาคำตอบมาแก้ข้อข้องใจ (คนเล่านิทาน)
แต่กรณีที่หาคำอธิบายไม่ได้คือ นายสารสิน วีระผล แห่งซีพีกรุ๊ป ซึ่งทำธุรกิจขายอาหารและเมล็ดพันธ์ุพืช และอื่นๆ อีกมากมาย รวมทั้งเป็นเจ้าของโทรศัพท์ 2 ล้านเลขหมาย (ถ้าท่านใดเคยอ่านนิทานเรื่องจริง เรื่องจิกโก๋ปากซอย คงพอจำเรื่องนี้ได้นะ ถ้าไม่เคยอ่าน ก็น่าจะกลับไปอ่านกันหน่อย บางเรื่องมันต่อกัน เดี๋ยวเห็นภาพไม่ชัด) แล้วนายสารสิน มาเกี่ยวอะไรด้วยในการสนทนา ! ? ! เอกสาร Wikileaks นี้ ทำหล่นมา2,3 ปีแล้ว ตอนที่อ่านเอกสาร เห็นชื่อนี้ก็แปลกใจ แต่พอเริ่มเขียนนิทานเรื่องนี้ และไปค้นเอกสารที่เกี่ยวข้อง เจอรายชื่อนี้ ว่าอยู่ใน Trilateral Commission ก็เลยไม่แปลกใจเท่าไหร่แล้ว และยิ่งท่านผู้อ่านนิทาน อ่านนิทานเรื่องนี้ต่อไป อาจหายแปลกใจ แต่จะเปลี่ยนเป็นตกใจเลย หรือไม่ก็ดูกันไปแล้วกัน สำหรับชื่อหมายเลข 1 นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ได้ลองค้นประวัติดู ได้ความว่าจบ
เศรษฐศาสตร์ ปริญญาเอก จาก John Hopkins มหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกา ผ่านงานมาสารพัด ทั้งด้านธุรกิจและการเงิน เคยดำรงตำแหน่ง รมว.กระทรวงพาณิชย์ และเป็นกรรมการนโยบายการเงิน (กนอ.) และอื่นๆ ยาวเหยียดเขียนไม่ไหว แต่ที่น่าสนใจ คือ เป็นผู้จัดทำการวิจัยแนวนโยบายอุตสาหกรรมและการค้า ซึ่งจะกำหนดในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7 (พ.ศ.2535 – 2539) สำหรับหมายเลข 2 มรว.เกษมสโมสร เกษมศรี เคยดำรงตำแหน่งเอกอัครราชฑูตไทย ประจำสาธารณรัฐประชาชนจีน พ.ศ.2518 – 2522 (คนแรก) และตำแหน่งเอกอัครราชฑูตไทย ประจำกรุงวอชิงตัน อเมริกา พ.ศ.2525 – 2529 ส่วนนายสารสิน วีระผล นั้น เคยรับราชการกระทรวงต่างประเทศ ประจำสถานฑูตไทย ณ กรุงปักกิ่ง พ.ศ.2522 – 2524 ประจำสถานฑูตไทย ณ กรุงโตเกียว พ.ศ.2529 – 2531 และเป็นเอกอัครราชฑูตไทย ประจำกรุงมนิลา พ.ศ.2535 – 2538 สำหรับหมายเลข 3 นายอานันท์ ปันยารชุน คงไม่ต้องการคำอธิบายกันมาก คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 143 Views 0 Reviews
  • Bigme B13: จอ ePaper สีแบบพกพารุ่นแรกของโลกเพื่อสายตาและงานเอกสาร

    Bigme B13 คือจอมอนิเตอร์ขนาด 13.3 นิ้วที่ใช้เทคโนโลยี ePaper สี ซึ่งต่างจากจอ LCD หรือ OLED ตรงที่ให้ภาพเหมือนกระดาษจริง ลดแสงสะท้อนและความเมื่อยล้าของสายตา เหมาะสำหรับการอ่านเอกสาร, แก้ไขข้อความ และท่องเว็บ

    จอนี้มีความละเอียดสูงถึง 3200x2400 พิกเซล อัตราส่วนภาพ 4:3 และรองรับการเชื่อมต่อทั้งแบบสาย (USB-C, HDMI) และไร้สาย (AirPlay, Miracast, DLNA) พร้อมโหมดการใช้งานหลายแบบ เช่น โหมดข้อความ, โหมดภาพ, โหมดวิดีโอ และโหมดเว็บ ที่ปรับ refresh rate และความคมชัดตามลักษณะงาน

    Bigme B13 ยังมีฟีเจอร์เสริม เช่น ระบบปรับแสงหน้าจอได้ทั้งความสว่างและอุณหภูมิสี, ลำโพงคู่ในตัว, ช่องเสียบหูฟัง และขาตั้งแม่เหล็กที่สามารถติดกับแล็ปท็อปเพื่อใช้งานแบบสองจอได้อย่างสะดวก

    แม้จะมีจุดเด่นเรื่องการถนอมสายตาและความพกพาสะดวก แต่จอนี้ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำของสี เช่น การออกแบบกราฟิกหรือการตัดต่อภาพ และราคาก็ยังค่อนข้างสูงที่ $699–$729

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ใช้หน้าจอ Kaleido 3 ซึ่งให้ความละเอียด 300PPI สำหรับขาวดำ และ 150PPI สำหรับสี
    รองรับการเล่นวิดีโอที่ 30Hz ด้วยเทคโนโลยี refresh เฉพาะของ Bigme
    ใช้งานได้กับ Windows, macOS, Android และ iOS รวมถึง Linux บางรุ่น
    มีรีโมตและเคสแถมมาในกล่อง พร้อมบอดี้อลูมิเนียมที่แข็งแรง
    Bigme ยังมีรุ่นจอใหญ่ 25.3 นิ้ว (B251) สำหรับงานระดับมืออาชีพ
    คู่แข่งในตลาด ePaper monitor ได้แก่ Dasung และ Onyx ซึ่งมีรุ่นจำกัด

    https://www.techradar.com/pro/the-worlds-first-portable-color-epaper-monitor-has-gone-on-sale-but-dont-expect-it-to-be-affordable-just-yet
    🧠 Bigme B13: จอ ePaper สีแบบพกพารุ่นแรกของโลกเพื่อสายตาและงานเอกสาร Bigme B13 คือจอมอนิเตอร์ขนาด 13.3 นิ้วที่ใช้เทคโนโลยี ePaper สี ซึ่งต่างจากจอ LCD หรือ OLED ตรงที่ให้ภาพเหมือนกระดาษจริง ลดแสงสะท้อนและความเมื่อยล้าของสายตา เหมาะสำหรับการอ่านเอกสาร, แก้ไขข้อความ และท่องเว็บ จอนี้มีความละเอียดสูงถึง 3200x2400 พิกเซล อัตราส่วนภาพ 4:3 และรองรับการเชื่อมต่อทั้งแบบสาย (USB-C, HDMI) และไร้สาย (AirPlay, Miracast, DLNA) พร้อมโหมดการใช้งานหลายแบบ เช่น โหมดข้อความ, โหมดภาพ, โหมดวิดีโอ และโหมดเว็บ ที่ปรับ refresh rate และความคมชัดตามลักษณะงาน Bigme B13 ยังมีฟีเจอร์เสริม เช่น ระบบปรับแสงหน้าจอได้ทั้งความสว่างและอุณหภูมิสี, ลำโพงคู่ในตัว, ช่องเสียบหูฟัง และขาตั้งแม่เหล็กที่สามารถติดกับแล็ปท็อปเพื่อใช้งานแบบสองจอได้อย่างสะดวก แม้จะมีจุดเด่นเรื่องการถนอมสายตาและความพกพาสะดวก แต่จอนี้ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำของสี เช่น การออกแบบกราฟิกหรือการตัดต่อภาพ และราคาก็ยังค่อนข้างสูงที่ $699–$729 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ใช้หน้าจอ Kaleido 3 ซึ่งให้ความละเอียด 300PPI สำหรับขาวดำ และ 150PPI สำหรับสี ➡️ รองรับการเล่นวิดีโอที่ 30Hz ด้วยเทคโนโลยี refresh เฉพาะของ Bigme ➡️ ใช้งานได้กับ Windows, macOS, Android และ iOS รวมถึง Linux บางรุ่น ➡️ มีรีโมตและเคสแถมมาในกล่อง พร้อมบอดี้อลูมิเนียมที่แข็งแรง ➡️ Bigme ยังมีรุ่นจอใหญ่ 25.3 นิ้ว (B251) สำหรับงานระดับมืออาชีพ ➡️ คู่แข่งในตลาด ePaper monitor ได้แก่ Dasung และ Onyx ซึ่งมีรุ่นจำกัด https://www.techradar.com/pro/the-worlds-first-portable-color-epaper-monitor-has-gone-on-sale-but-dont-expect-it-to-be-affordable-just-yet
    0 Comments 0 Shares 112 Views 0 Reviews
  • ผู้ว่าฯ สงขลาโต้หนังสือด่วนที่สุดเชิญอำนวยความสะดวก รมช.มหาดไทย เป็นของปลอม ยันไม่ได้ลงนามเอง แต่พบลายเซ็นในเอกสารดังกล่าวตรงกับเอกสารราชการที่เคยเผยแพร่ก่อนหน้านี้

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000078656

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    ผู้ว่าฯ สงขลาโต้หนังสือด่วนที่สุดเชิญอำนวยความสะดวก รมช.มหาดไทย เป็นของปลอม ยันไม่ได้ลงนามเอง แต่พบลายเซ็นในเอกสารดังกล่าวตรงกับเอกสารราชการที่เคยเผยแพร่ก่อนหน้านี้ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000078656 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Haha
    Like
    5
    0 Comments 0 Shares 327 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง ” เรื่องมายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 3 : ถุงยางแลกอาหาร
    นาย Kissinger เสนอต่อที่ประชุมที่ดูแลนโยบาย ด้านความมั่นคงของชาติว่าการชลอการเจริญเติบโตของประชากร จะต้องเป็นนโยบายด้านความมั่นคง ในระดับจำเป็นสูงสุดของอเมริกา ที่จะใช้กับหลายประเทศในโลกที่สาม เพราะเศรษฐกิจของอเมริกา จำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าทรัพยากรจากประเทศดังกล่าวเป็นจำนวนมาก และเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี ถ้าปล่อยให้ประเทศเหล่านั้น มีประชากรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็จะกระทบกับความมั่นคงของอเมริกา
    ข้อเสนอของนาย Kissinger ได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวาง จากผู้มีอิทธิพลในการกำหนดนโยบายความมั่นคงของประเทศ เช่น นายพล Alexander Haig นาย Cyrus Vance และนาย Ed Muskie นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับความคิดของอดีตประธาน World Bank คือ นาย Robert Mcnamara ซึ่งบอกว่า ปัญหาเรื่องประชากรล้นโลกนี้ กระทบต่อความมั่นคงของอเมริกา มากกว่าเรื่องระเบิดนิวเคลียร์เสียอีก
    เมื่อได้ไฟเขียวอย่างนั้น นาย Kissinger ก็เดินแผนต่อ แต่ความที่มันเหลี่ยมจัด ถ้าอเมริกาจะทำเรื่องนี้เองอาจตกเป็นเป้า ว่าอเมริกามีความคิดที่จะจำกัดพลเมืองโลก (Depopulation) เป็นพี่เบิ้ม เล่นบทนี้คงไม่สวยแน่ การตอแหลเพื่อชาติ จึงเกิดขึ้น
    อเมริกาในฐานะพี่เบิ้ม จึงได้ยื่นข้อเสนอต่อสหประชาชาติว่า การที่ประเทศยากจน ขาดแคลนอาหาร และไม่สามารถช่วยตัวเองได้ แต่มีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นในอัตราสูง จำเป็นที่โลกจะต้องให้ความสนใจ และสิ่งที่ประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี จะสามารถและควรช่วยได้คือ การให้ความช่วยเหลือทางด้านอาหาร (Food Aids) แต่ประเทศเหล่านั้น ก็ควรที่จะรับรู้ปัญหาของตนเอง และให้ความร่วมมือเป็นการแลกเปลี่ยนกับการช่วยเหลือ ด้วยการดำเนินการชลอการเจริญเติบโตประชากรของตน ด้วยการวางแผนครอบครัว (Family Planning) ฟังแล้วนุ่มหู เหลือเกินนะ
    แต่ถ้าพูดภาษาจิกโก๋ ก็หมายความว่า ไม่อยากอดอยาก ก็อย่ามีลูกมาก ลูกมากจะยากจน อะไรทำนองนี้ คนจนไม่มีทางเลือกมาก จำไว้ แล้วในที่สุด UN ก็รับข้อเสนอของพี่เบิ้ม มาอยู่ในความสนับสนุนเป็นโครงการของ UN โดยมีองค์กรของ UN และประเทศสมาชิกต่าง ๆ ให้ความช่วยเหลืออย่างดี
    แต่ที่อเมริกาไม่ได้แจงต่อ UN คือ ชื่อประเทศเป้าหมาย 13 ประเทศของอเมริกา และประเทศใดอยู่ในกลุ่มใด และที่ยิ่งกว่าแน่ อเมริกาไม่มีวันบอกว่า มีความเกี่ยวโยงกับความต้องการของอเมริกา ต่อทรัพยากรของประเทศเหล่านั้นอย่างไร เอกสารนี้จึงต้องเก็บเป็นเอกสารประเภทลับสุดยอด อยู่ถึง 15 ปี
    แล้วท่านผู้อ่านนิทาน คิดว่าไทยแลนด์ สมันน้อยของเรา อยู่ในประเภทไหน?

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง ” เรื่องมายากลยุทธ ” ตอนที่ 3 : ถุงยางแลกอาหาร นาย Kissinger เสนอต่อที่ประชุมที่ดูแลนโยบาย ด้านความมั่นคงของชาติว่าการชลอการเจริญเติบโตของประชากร จะต้องเป็นนโยบายด้านความมั่นคง ในระดับจำเป็นสูงสุดของอเมริกา ที่จะใช้กับหลายประเทศในโลกที่สาม เพราะเศรษฐกิจของอเมริกา จำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าทรัพยากรจากประเทศดังกล่าวเป็นจำนวนมาก และเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี ถ้าปล่อยให้ประเทศเหล่านั้น มีประชากรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็จะกระทบกับความมั่นคงของอเมริกา ข้อเสนอของนาย Kissinger ได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวาง จากผู้มีอิทธิพลในการกำหนดนโยบายความมั่นคงของประเทศ เช่น นายพล Alexander Haig นาย Cyrus Vance และนาย Ed Muskie นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับความคิดของอดีตประธาน World Bank คือ นาย Robert Mcnamara ซึ่งบอกว่า ปัญหาเรื่องประชากรล้นโลกนี้ กระทบต่อความมั่นคงของอเมริกา มากกว่าเรื่องระเบิดนิวเคลียร์เสียอีก เมื่อได้ไฟเขียวอย่างนั้น นาย Kissinger ก็เดินแผนต่อ แต่ความที่มันเหลี่ยมจัด ถ้าอเมริกาจะทำเรื่องนี้เองอาจตกเป็นเป้า ว่าอเมริกามีความคิดที่จะจำกัดพลเมืองโลก (Depopulation) เป็นพี่เบิ้ม เล่นบทนี้คงไม่สวยแน่ การตอแหลเพื่อชาติ จึงเกิดขึ้น อเมริกาในฐานะพี่เบิ้ม จึงได้ยื่นข้อเสนอต่อสหประชาชาติว่า การที่ประเทศยากจน ขาดแคลนอาหาร และไม่สามารถช่วยตัวเองได้ แต่มีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นในอัตราสูง จำเป็นที่โลกจะต้องให้ความสนใจ และสิ่งที่ประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี จะสามารถและควรช่วยได้คือ การให้ความช่วยเหลือทางด้านอาหาร (Food Aids) แต่ประเทศเหล่านั้น ก็ควรที่จะรับรู้ปัญหาของตนเอง และให้ความร่วมมือเป็นการแลกเปลี่ยนกับการช่วยเหลือ ด้วยการดำเนินการชลอการเจริญเติบโตประชากรของตน ด้วยการวางแผนครอบครัว (Family Planning) ฟังแล้วนุ่มหู เหลือเกินนะ แต่ถ้าพูดภาษาจิกโก๋ ก็หมายความว่า ไม่อยากอดอยาก ก็อย่ามีลูกมาก ลูกมากจะยากจน อะไรทำนองนี้ คนจนไม่มีทางเลือกมาก จำไว้ แล้วในที่สุด UN ก็รับข้อเสนอของพี่เบิ้ม มาอยู่ในความสนับสนุนเป็นโครงการของ UN โดยมีองค์กรของ UN และประเทศสมาชิกต่าง ๆ ให้ความช่วยเหลืออย่างดี แต่ที่อเมริกาไม่ได้แจงต่อ UN คือ ชื่อประเทศเป้าหมาย 13 ประเทศของอเมริกา และประเทศใดอยู่ในกลุ่มใด และที่ยิ่งกว่าแน่ อเมริกาไม่มีวันบอกว่า มีความเกี่ยวโยงกับความต้องการของอเมริกา ต่อทรัพยากรของประเทศเหล่านั้นอย่างไร เอกสารนี้จึงต้องเก็บเป็นเอกสารประเภทลับสุดยอด อยู่ถึง 15 ปี แล้วท่านผู้อ่านนิทาน คิดว่าไทยแลนด์ สมันน้อยของเรา อยู่ในประเภทไหน? คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 132 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 2 : NSSM 200 เอกสารลับซุกลึก (2)
    เอกสารยาวเกือบ 200 หน้า ทำให้เห็นเค้าลางๆ ว่า อเมริกาเป็นห่วงเรื่องการเจริญเติบโตของประชากรโลก เพราะอะไร แหม! ไอ้จิกโก๋ นี่มันไม่โง่นะ มันมองหลายมิติ ทั้งในด้านทรัพยากร ด้านการเมือง ด้านสังคม และด้านความมั่นคงของประเทศ เพราะฉะนั้นจะรู้จักว่าจิกโก๋คิดอย่างไร อย่าทำตัวเป็นพวกจอแบน หรือที่สมัยนี้ เขาเรียกว่าพวกโลกสวยน่ะ
    ในการดำเนินการตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ เอกสารลับซุกลึกนี้ อเมริกาแบ่งประเทศเป้าหมาย 13 ประเทศ เป็น 3 กลุ่ม
    – กลุ่มที่ 1 คือ ประเทศที่ยากจน อัตราการเจริญเติบโตของพลเมืองสูง และไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ ประเทศพวกนี้ก็จะเป็นภาระของอเมริกา ในฐานะพี่เบิ้มและประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี ที่จะต้องเลี้ยงดูและให้ความช่วยเหลือ
    – กลุ่มที่ 2 คือ ประเทศที่ยากจน อัตราการเจริญเติบโตของพลเมืองสูง แต่มีทรัพยากรธรรมชาติมีค่า อยู่ในประเทศดังกล่าว และเป็นทรัพยากรที่อเมริกาต้องการ โดยประเทศดังกล่าวจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม ถ้าประเทศเหล่านี้มีประชากรเพิ่มขึ้นสูง ทรัพยากรของประเทศนั้น ก็อาจจะเหลือไม่เพียงพอกับความต้องการของอเมริกา
    – กลุ่มที่ 3 คือ ประเทศที่ยากจน อัตราการเจริญเติบโตของพลเมืองสูง แต่มีทรัพยากรมีค่าอยู่ในประเทศดังกล่าว และเป็นทรัพยากรที่มีการแข่งขันกันสูงในการครอบครองระหว่างประเทศ และหากประเทศใดได้ครอบครอง ก็จะมีความได้เปรียบ อันเป็นการกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของอเมริกา
    ที่น่าสนใจ ในเอกสารดังกล่าว ระบุไว้ตอนหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องทรัพยากร ว่าปัญหาการเชื่อมโยงระหว่างจำนวนประชากร กับปริมาณของทรัพยากร ในต่างประเทศที่อเมริกาต้องการนั้น อันที่จริงไม่ได้อยู่ที่ความเพียงพอของทรัพยากรอย่างเดียว
    ปัญหาที่สำคัญกว่านั้น คือ การเข้าไปถึงทรัพยากรนั้นมากกว่า (จะเข้าไปขโมยของเขาอย่างไรน่ะ) โดยเฉพาะถ้าการเข้าไปถึง เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเมืองของประเทศเจ้าของทรัพยากรนั้น ซึ่งจะสร้างความยุ่งยาก หรือสร้างเงื่อนไขเกี่ยวกับการสำรวจ การขุดเจาะ การใช้สอย การแบ่งผลประโยชน์ระหว่าง อเมริกากับรัฐบาลของประเทศเจ้าของทรัพยากร
    นอกจากนี้ เอกสารดังกล่าววิเคราะห์ด้วยว่า จำนวนประชากรของแต่ละประเทศ ก็เป็นเหตุปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เกิดปัญหาทางสังคม และการเมืองในแต่ละประเทศ ตัวอย่างเช่น ในประเทศที่พัฒนาแล้ว และฐานะทางเศรษฐกิจดี อัตราการเจริญเติบโตของประชากร จะอยู่ที่ต่ำกว่าร้อยละ 1 ต่อปี และประเทศเหล่านี้ จะมีปัญหาทางสังคมและการเมืองน้อยมาก หรือแทบจะไม่มีเลย ในขณะที่ประเทศที่กำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา อัตราการเจริญเติบโตของประชากรจะอยู่ที่อัตราร้อยละ 2.7 ถึงร้อยละ 3 ต่อปี และประเทศเหล่านี้ จะมีปัญหาสังคมและทางการเมืองสูง
    ข้อเสนอตามเอกสารนี้ระบุว่า การแก้ปัญหาเบื้องต้น ที่น่าจะทำได้ง่ายและได้ผลที่สุด คือ การทำให้อัตราการเติบโตของประชากร ในประเทศเป้าหมาย เหลือศูนย์ และหากยังมีปัญหาทางสังคมและการเมือง ก็จะต้องมีการแก้ไขปัญหาเหล่านั้น โดยวิธีการอื่นต่อไป

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 2 : NSSM 200 เอกสารลับซุกลึก (2) เอกสารยาวเกือบ 200 หน้า ทำให้เห็นเค้าลางๆ ว่า อเมริกาเป็นห่วงเรื่องการเจริญเติบโตของประชากรโลก เพราะอะไร แหม! ไอ้จิกโก๋ นี่มันไม่โง่นะ มันมองหลายมิติ ทั้งในด้านทรัพยากร ด้านการเมือง ด้านสังคม และด้านความมั่นคงของประเทศ เพราะฉะนั้นจะรู้จักว่าจิกโก๋คิดอย่างไร อย่าทำตัวเป็นพวกจอแบน หรือที่สมัยนี้ เขาเรียกว่าพวกโลกสวยน่ะ ในการดำเนินการตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ เอกสารลับซุกลึกนี้ อเมริกาแบ่งประเทศเป้าหมาย 13 ประเทศ เป็น 3 กลุ่ม – กลุ่มที่ 1 คือ ประเทศที่ยากจน อัตราการเจริญเติบโตของพลเมืองสูง และไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ ประเทศพวกนี้ก็จะเป็นภาระของอเมริกา ในฐานะพี่เบิ้มและประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี ที่จะต้องเลี้ยงดูและให้ความช่วยเหลือ – กลุ่มที่ 2 คือ ประเทศที่ยากจน อัตราการเจริญเติบโตของพลเมืองสูง แต่มีทรัพยากรธรรมชาติมีค่า อยู่ในประเทศดังกล่าว และเป็นทรัพยากรที่อเมริกาต้องการ โดยประเทศดังกล่าวจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม ถ้าประเทศเหล่านี้มีประชากรเพิ่มขึ้นสูง ทรัพยากรของประเทศนั้น ก็อาจจะเหลือไม่เพียงพอกับความต้องการของอเมริกา – กลุ่มที่ 3 คือ ประเทศที่ยากจน อัตราการเจริญเติบโตของพลเมืองสูง แต่มีทรัพยากรมีค่าอยู่ในประเทศดังกล่าว และเป็นทรัพยากรที่มีการแข่งขันกันสูงในการครอบครองระหว่างประเทศ และหากประเทศใดได้ครอบครอง ก็จะมีความได้เปรียบ อันเป็นการกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของอเมริกา ที่น่าสนใจ ในเอกสารดังกล่าว ระบุไว้ตอนหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องทรัพยากร ว่าปัญหาการเชื่อมโยงระหว่างจำนวนประชากร กับปริมาณของทรัพยากร ในต่างประเทศที่อเมริกาต้องการนั้น อันที่จริงไม่ได้อยู่ที่ความเพียงพอของทรัพยากรอย่างเดียว ปัญหาที่สำคัญกว่านั้น คือ การเข้าไปถึงทรัพยากรนั้นมากกว่า (จะเข้าไปขโมยของเขาอย่างไรน่ะ) โดยเฉพาะถ้าการเข้าไปถึง เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเมืองของประเทศเจ้าของทรัพยากรนั้น ซึ่งจะสร้างความยุ่งยาก หรือสร้างเงื่อนไขเกี่ยวกับการสำรวจ การขุดเจาะ การใช้สอย การแบ่งผลประโยชน์ระหว่าง อเมริกากับรัฐบาลของประเทศเจ้าของทรัพยากร นอกจากนี้ เอกสารดังกล่าววิเคราะห์ด้วยว่า จำนวนประชากรของแต่ละประเทศ ก็เป็นเหตุปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เกิดปัญหาทางสังคม และการเมืองในแต่ละประเทศ ตัวอย่างเช่น ในประเทศที่พัฒนาแล้ว และฐานะทางเศรษฐกิจดี อัตราการเจริญเติบโตของประชากร จะอยู่ที่ต่ำกว่าร้อยละ 1 ต่อปี และประเทศเหล่านี้ จะมีปัญหาทางสังคมและการเมืองน้อยมาก หรือแทบจะไม่มีเลย ในขณะที่ประเทศที่กำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา อัตราการเจริญเติบโตของประชากรจะอยู่ที่อัตราร้อยละ 2.7 ถึงร้อยละ 3 ต่อปี และประเทศเหล่านี้ จะมีปัญหาสังคมและทางการเมืองสูง ข้อเสนอตามเอกสารนี้ระบุว่า การแก้ปัญหาเบื้องต้น ที่น่าจะทำได้ง่ายและได้ผลที่สุด คือ การทำให้อัตราการเติบโตของประชากร ในประเทศเป้าหมาย เหลือศูนย์ และหากยังมีปัญหาทางสังคมและการเมือง ก็จะต้องมีการแก้ไขปัญหาเหล่านั้น โดยวิธีการอื่นต่อไป คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 110 Views 0 Reviews
  • เขมรตุนทุ่นระเบิด 3.7 พันลูกอ้างใช้ฝึก : [NEWS UPDATE]
    พลตรี วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ชี้แจงข้อเท็จจริงข่าวบิดเบือนในสื่อของฝ่ายกัมพูชาเกี่ยวกับทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) ยืนยัน ทุ่นระเบิดที่กำลังพลไทยเหยียบ เป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 ใหม่ทั้งหมด ถูกวางแบบพร้อมใช้งาน ถอดอุปกรณ์ Safety กลบพรางอย่างแนบเนียน สภาพทุ่นใหม่ ตัวอักษรคมชัด สปริง เข็มแทงชนวน ชิ้นส่วนภายในใหม่สมบูรณ์ ไม่ใช่ทุ่นเก่าตามที่กัมพูชาอ้าง โดยเอกสารรายงานอนุสัญญาออตตาวา ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2024 ระบุชัดเจนกัมพูชาครอบครองทุ่นระเบิด PMN-2 และชนิดอื่น รวมกว่า 3,700 ลูก ไม่ทำลายอ้างใช้ฝึกต่อ แต่ลักลอบนำทุ่น PMN-2 มาวางในเขตอธิปไตยไทย เป็นการละเมิดอนุสัญญาอย่างร้ายแรง สามารถเอาผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศได้



    ไปให้เห็นกับตา

    รอผลประชุม GBC

    ญี่ปุ่นพร้อมร่วมมือ

    รำลึกพะยูน"มาเรียม"
    เขมรตุนทุ่นระเบิด 3.7 พันลูกอ้างใช้ฝึก : [NEWS UPDATE] พลตรี วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ชี้แจงข้อเท็จจริงข่าวบิดเบือนในสื่อของฝ่ายกัมพูชาเกี่ยวกับทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) ยืนยัน ทุ่นระเบิดที่กำลังพลไทยเหยียบ เป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 ใหม่ทั้งหมด ถูกวางแบบพร้อมใช้งาน ถอดอุปกรณ์ Safety กลบพรางอย่างแนบเนียน สภาพทุ่นใหม่ ตัวอักษรคมชัด สปริง เข็มแทงชนวน ชิ้นส่วนภายในใหม่สมบูรณ์ ไม่ใช่ทุ่นเก่าตามที่กัมพูชาอ้าง โดยเอกสารรายงานอนุสัญญาออตตาวา ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2024 ระบุชัดเจนกัมพูชาครอบครองทุ่นระเบิด PMN-2 และชนิดอื่น รวมกว่า 3,700 ลูก ไม่ทำลายอ้างใช้ฝึกต่อ แต่ลักลอบนำทุ่น PMN-2 มาวางในเขตอธิปไตยไทย เป็นการละเมิดอนุสัญญาอย่างร้ายแรง สามารถเอาผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศได้ ไปให้เห็นกับตา รอผลประชุม GBC ญี่ปุ่นพร้อมร่วมมือ รำลึกพะยูน"มาเรียม"
    Like
    Love
    Haha
    Sad
    5
    0 Comments 0 Shares 301 Views 0 0 Reviews
  • นิทานเรื่ิองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 2 : NSSM 200 เอกสารลับซุกลึก (1)
    เมื่อวันที่ 24 เมษายน ค.ศ.1974 นาย Henry Kissinger ได้มีหนังสือแจ้งไปยัง รมว.กลาโหม รมว. การเกษตร ผอ. สำนักงานข่าวกรอง (CIA) ผช.รมว. กลาโหม และผู้บริหารหน่วยงานพัฒนาด้านต่างประเทศ (AID) เกี่ยวกับผลกระทบต่อความมั่นคง และผลประโยชน์ของอเมริกาในต่างประเทศ เนื่องมาจากการเจริญเติบโตของประชากรโลก
    หนังสือดังกล่าวแจ้งว่า ประธานาธิบดี Nixon สั่งให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ ทำการศึกษาเรื่องดังกล่าว โดยใช้วิธีการประมาณการหลายๆ แบบ ในแต่ละแบบจะต้องมีการประเมินถึงอัตราการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะของประเทศที่ยากจน ความต้องการของอเมริกาเกี่ยวกับ การส่งออกสินค้าประเภทอาหาร ปัญหาเกี่ยวกับการค้า ที่อเมริกาอาจจะต้องเผชิญ เนื่องจากการแข่งขันด้านทรัพยากร และความเป็นไปได้ที่การเจริญเติบโตของประชากรดังกล่าวจะเป็นอุปสรรคกับ นโยบายต่างประเทศ และความไม่มั่นคงระหว่างประเทศ
    การศึกษาดังกล่าวจะต้องเสนอวิธีดำเนินการที่เป็นไปได้ สำหรับอเมริกาในการจัดการปัญหาเรื่องการเจริญเติบโตของประชากรโลก โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนา โดยต้องให้ความสำคัญ ในประเด็นต่อไปนี้ด้วย
    – อเมริกาจำเป็นต้องคิดวิธีการใหม่ ๆ หรือไม่ ในการจัดการกับปัญหาดังกล่าว
    – เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่คิดขึ้นมา เพื่อลดการเจริญเติบโต จะต้องได้ผลดีกว่าสภาพที่เป็นอยู่
    – อเมริกาจะให้ความช่วยเหลือในด้านนี้ ผ่านหน่วยงานใด และควรจะเป็นสนธิสัญญาแบบใด คู่สัญญา 2 ฝ่าย หลายฝ่าย หรือแบบลับเฉพาะ
    เขียนมาซะยาว สรุปสั้น ๆ ว่า อเมริกาเป็นห่วงว่า การที่ประเทศจนๆ จะมีอัตราการขยายตัวของพลเมืองเพิ่มสูงเกินไป จะมีผลกระทบกับทรัพยากรของประเทศนั้น และทำให้เป็นปัญหากับความไม่มั่นคงของอเมริกา
    เอะ! เรื่องมันก็ดูธรรมดาๆ ไม่เห็นมีอะไรน่าตื่นเต้นเลย แล้วจะมาเล่าให้เมื่อยมือคนเขียน เมื่อยตาคนอ่านทำไม
    เมื่อได้รับคำสั่งจากนาย Kissinger สภาความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกา (United States National Security) ก็รีบทำการศึกษาวิจัย กว่าจะเสร็จก็เป็นเวลาที่ประธานาธิบดี Nixon หลุดจากตำแหน่ง เพราะคดี Watergate ไปเสียแล้ว นาย Gerald Ford ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแทน มาถึงก็รีบรับไม้ต่อ เอาข้อเสนอตาม บันทึกลับ NSSM 200 ไปประกาศใช้เป็นนโยบายความมั่นคงของประเทศในปี ค.ศ. 1975 และให้อยู่ใต้การกำกับดูแลของนาย Kissinger ซึ่งก็ยังทำหน้าที่เป็น ครมว.ตปท. อยู่เหมือนเดิมร่วมกับนาย Brent Scowcroft (ซึ่งภายหลังได้มาเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประเทศแทนนาย Kissinger) และมี ผอ. CIA ชื่อ นาย George Bush (ตัวพ่อ) เป็นผู้ร่วมทีมกำกับการแสดงกับ รมว.การคลังรมว.กลาโหม และ รมว.การเกษตร
    ประเทศเป้าหมาย ที่อยู่ภายใต้การดำเนินการของ NSSM 200 มี 13 ประเทศ คือ อินเดีย บังคลาเทศ ปากีสถาน อินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ ตุรกี ไนจีเรีย อียิปต์ เอธิโอเปีย เมกซิโก โคลัมเบีย และบราซิล (ไง! เริ่มตาลุกขึ้นมาหน่อยละซี พอเห็นชื่อไทยแลนด์ สมันน้อยตื่นเร็ว!)
    อะไรทำให้นาย Kissinger คิดเรื่องนี้ เสนอนโยบายนี้ และในภายหลังได้กลายเป็นนโยบายระดับประเทศด้านความมั่นคงของอเมริกา อย่างปิดลับถึง 15 ปี และทำไมสมันน้อยถึงได้เข้ารอบไปอยู่ใน 13 ประเทศ กับเขาด้วย อ่านต่อไปน่าพี่น้อง ขืนบอกกันง่ายๆ เดี๋ยวคนอ่านหายหมด เดี๋ยวนี้กว่าจะได้คนอ่านนิทานไม่ง่ายนะ เขาไปร่วมไล่โจรกับลุงกำนันกันหมดแล้ว

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่ิองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 2 : NSSM 200 เอกสารลับซุกลึก (1) เมื่อวันที่ 24 เมษายน ค.ศ.1974 นาย Henry Kissinger ได้มีหนังสือแจ้งไปยัง รมว.กลาโหม รมว. การเกษตร ผอ. สำนักงานข่าวกรอง (CIA) ผช.รมว. กลาโหม และผู้บริหารหน่วยงานพัฒนาด้านต่างประเทศ (AID) เกี่ยวกับผลกระทบต่อความมั่นคง และผลประโยชน์ของอเมริกาในต่างประเทศ เนื่องมาจากการเจริญเติบโตของประชากรโลก หนังสือดังกล่าวแจ้งว่า ประธานาธิบดี Nixon สั่งให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ ทำการศึกษาเรื่องดังกล่าว โดยใช้วิธีการประมาณการหลายๆ แบบ ในแต่ละแบบจะต้องมีการประเมินถึงอัตราการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะของประเทศที่ยากจน ความต้องการของอเมริกาเกี่ยวกับ การส่งออกสินค้าประเภทอาหาร ปัญหาเกี่ยวกับการค้า ที่อเมริกาอาจจะต้องเผชิญ เนื่องจากการแข่งขันด้านทรัพยากร และความเป็นไปได้ที่การเจริญเติบโตของประชากรดังกล่าวจะเป็นอุปสรรคกับ นโยบายต่างประเทศ และความไม่มั่นคงระหว่างประเทศ การศึกษาดังกล่าวจะต้องเสนอวิธีดำเนินการที่เป็นไปได้ สำหรับอเมริกาในการจัดการปัญหาเรื่องการเจริญเติบโตของประชากรโลก โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนา โดยต้องให้ความสำคัญ ในประเด็นต่อไปนี้ด้วย – อเมริกาจำเป็นต้องคิดวิธีการใหม่ ๆ หรือไม่ ในการจัดการกับปัญหาดังกล่าว – เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่คิดขึ้นมา เพื่อลดการเจริญเติบโต จะต้องได้ผลดีกว่าสภาพที่เป็นอยู่ – อเมริกาจะให้ความช่วยเหลือในด้านนี้ ผ่านหน่วยงานใด และควรจะเป็นสนธิสัญญาแบบใด คู่สัญญา 2 ฝ่าย หลายฝ่าย หรือแบบลับเฉพาะ เขียนมาซะยาว สรุปสั้น ๆ ว่า อเมริกาเป็นห่วงว่า การที่ประเทศจนๆ จะมีอัตราการขยายตัวของพลเมืองเพิ่มสูงเกินไป จะมีผลกระทบกับทรัพยากรของประเทศนั้น และทำให้เป็นปัญหากับความไม่มั่นคงของอเมริกา เอะ! เรื่องมันก็ดูธรรมดาๆ ไม่เห็นมีอะไรน่าตื่นเต้นเลย แล้วจะมาเล่าให้เมื่อยมือคนเขียน เมื่อยตาคนอ่านทำไม เมื่อได้รับคำสั่งจากนาย Kissinger สภาความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกา (United States National Security) ก็รีบทำการศึกษาวิจัย กว่าจะเสร็จก็เป็นเวลาที่ประธานาธิบดี Nixon หลุดจากตำแหน่ง เพราะคดี Watergate ไปเสียแล้ว นาย Gerald Ford ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแทน มาถึงก็รีบรับไม้ต่อ เอาข้อเสนอตาม บันทึกลับ NSSM 200 ไปประกาศใช้เป็นนโยบายความมั่นคงของประเทศในปี ค.ศ. 1975 และให้อยู่ใต้การกำกับดูแลของนาย Kissinger ซึ่งก็ยังทำหน้าที่เป็น ครมว.ตปท. อยู่เหมือนเดิมร่วมกับนาย Brent Scowcroft (ซึ่งภายหลังได้มาเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประเทศแทนนาย Kissinger) และมี ผอ. CIA ชื่อ นาย George Bush (ตัวพ่อ) เป็นผู้ร่วมทีมกำกับการแสดงกับ รมว.การคลังรมว.กลาโหม และ รมว.การเกษตร ประเทศเป้าหมาย ที่อยู่ภายใต้การดำเนินการของ NSSM 200 มี 13 ประเทศ คือ อินเดีย บังคลาเทศ ปากีสถาน อินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ ตุรกี ไนจีเรีย อียิปต์ เอธิโอเปีย เมกซิโก โคลัมเบีย และบราซิล (ไง! เริ่มตาลุกขึ้นมาหน่อยละซี พอเห็นชื่อไทยแลนด์ สมันน้อยตื่นเร็ว!) อะไรทำให้นาย Kissinger คิดเรื่องนี้ เสนอนโยบายนี้ และในภายหลังได้กลายเป็นนโยบายระดับประเทศด้านความมั่นคงของอเมริกา อย่างปิดลับถึง 15 ปี และทำไมสมันน้อยถึงได้เข้ารอบไปอยู่ใน 13 ประเทศ กับเขาด้วย อ่านต่อไปน่าพี่น้อง ขืนบอกกันง่ายๆ เดี๋ยวคนอ่านหายหมด เดี๋ยวนี้กว่าจะได้คนอ่านนิทานไม่ง่ายนะ เขาไปร่วมไล่โจรกับลุงกำนันกันหมดแล้ว คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 206 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 1 : อำนาจทำให้คนมีเสน่ห์ ! ? !
    “Control Oil and you control nations;
control food and you control the people”
    “ควบคุมน้ำมันได้ คุณก็ควบคุมชาติต่าง ๆ ได้
ควบคุมอาหารได้ คุณก็ควบคุมประชาชนได้”
    เป็นคำพูดของนาย Henry Kissinger เมื่อช่วง ค.ศ. 1970 พูดมาเกือบ 50 ปีแล้ว แต่ดูเหมือนทิศทางการเมืองระหว่างประเทศจะเป็นไปตามที่นาย Kissinger พูด
    เรื่องบังเอิญหรือล็อกเป้า!
    งั้นมาทำความรู้จักนาย Kissinger กันหน่อย จะได้รู้ว่าเป็นคนขี้โม้ หมอดู หรือคนในรู้จริง
    นาย Kissinger มีชื่อเต็มว่า Henry Alfred Kissinger ตอนเกิดใช้ชื่อว่า Heinz Alfred Kissinger เป็นคนเยอรมัน อเมริกัน เกิดเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1923 ตอนนี้ก็อายุปาเข้าไป 90 ปี นอกจากยังไม่ตายและยังปากเปราะเหมือนเดิม นาย Kissinger เป็นคนตัวเตี้ย และห่างไกลกับคำว่าเป็นคนหน้าตาดี เขาแต่งงานแล้ว 2 ครั้ง ครั้งที่ 2 แต่งกับนาง Nancy ผู้หญิงซึ่งตัวสูงกว่าเขาประมาณเกือบ 1 ฟุต เมื่อสมัยที่นาย Kissinger เรืองอำนาจ นาง Nancy เองซึ่งก็ไม่ใช่คนสวยอะไร จะมีรูปปรากฎอยู่ในนิตยสาร Vogue นานาชาติอยู่เสมอ นิตยสารนี้ นอกจากจะมีแต่รูปนางแบบระดับโลกแล้ว ผู้ที่จะได้มีภาพลงในหนังสือนี้ ก็จะต้องเป็นบุคคลที่สมัยนี้เรียกว่า Celeb คนดังว่างั้นเถอะ ตัวผัวก็ไม่หล่อ คนเป็นเมียก็ไม่สวย แต่ทั้งคู่ดังระเบิด แถมตัวผัวยังมีข่าวเสมอทางด้านส่วนตัวว่าเป็นชายเจ้าชู้ ไม่เร่ขายชาติ แต่ชอบทำลายชาติคนอื่นมากกว่า !
    เมื่อนักข่าวถามว่า ได้ข่าวว่าท่านเจ้าชู้ มีสาวควงเปลี่ยนหน้าบ่อยๆ ท่านทำได้อย่างไรนะ ในเมื่อ ขอโทษ ท่านก็ไม่ใช่คนหล่อ นาย Kissinger ตอบว่า “อำนาจก็ทำให้คนมีเสน่ห์ได้นะ” ฮา
    นาย Kissinger มีอำนาจอย่างไร ถึงทำให้สาวๆ ยอมให้ควงบ่อยๆ แต่จะถึงขนาดจัดส่งขึ้นเครื่องบินไปร่วมร้องเพลงแก้เหงา หรือเปล่ารายงานข่าวไม่ได้บอก
    นาย Kissinger เริ่มทำงานในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประเทศ และต่อมาดำรงตำแหน่ง รมว.กระทรวงต่างประเทศ ในสมัยประธานาธิบดี Richard Nixon และเป็นต่อมาจนถึงสมัยประธานาธิบดี Gerald Ford พูดง่ายๆ เป็นคนสำคัญ ในการกำหนดทิศทางการเมืองของอเมริกาและแน่นอนของโลกด้วยในช่วงปี ค.ศ.1969 ถึง ค.ศ.1977
    ผลงานของนาย Kissinger ที่เด่นๆ ที่ประกาศอย่างเปิดเผยลงใน Google คือ การคลี่คลาย (detente) สงครามเย็นกับสหภาพโซเวียต การเริ่มสร้างสัมพันธ์กับจีน และเริ่มขบวนการเจรจาสันติภาพที่ปารีส ซึ่งเป็นผลให้ยุติสงครามเวียตนาม (ที่อเมริกาเป็นผู้ริเริ่มนั่นแหละ !) ผลงานนี้ ทำให้เขาได้รับรางวัล Nobel สาขาสันติภาพในปี ค.ศ.1973 คู่กับคู่กัด คือ นาย Le Duc Tho จากเวียตนามเหนือ แต่นาย Le Duc Tho ปฏิเสธที่จะรับรางวัล เขาเป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์ ที่ปฏิเสธรางวัล Nobel (เยี่ยม !)
    เป็นการให้รางวัล Nobel สาขาสันติภาพ ที่ติดอันดับ 1 ใน 5 แห่งความอื้อฉาว และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ เนื่องจากสัญญาสันติภาพของจริงกว่าจะได้ลงนาม ในปี ค.ศ. 1975 แต่ผู้เจรจาได้รับรางวัลล่วงหน้า เหมือนล็อตเตอรี่ยังไม่ออก แต่ประกาศแล้วว่าใครถูกรางวัลที่ 1 (เอ้า ตบมือให้ลูกน้องนักเล่นกลกันหน่อย)
    แต่ผลงานของนาย Kissinger ที่ไม่ได้เปิดเผย แต่อยากเล่าให้ฟังคือ “National Security Study Memorandum 200” หรือที่เรียกชื่อย่อว่า NSSM 200 ซึ่งได้จัดทำขึ้น ภายใต้การกำกับและอำนวยการสร้างโดยนาย Kissinger เอง สำเร็จเป็นเอกสารหนาเกือบ 200 หน้า เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1974
    เอกสารนี้เกี่ยวกับอะไรลึกลับซับซ้อนอะไรหนักหนา ถึงขนาดตีตราครั่งว่าจะเปิดเผยได้ โดยคำสั่งของ White House เท่านั้น เก็บแอบซ่อนไว้ 15 ปี สภาความมั่นคงของอเมริกาก็เพิ่งเอามาเปิดให้อ่านกัน เมื่อ ปี ค.ศ. 1989

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ” ตอนที่ 1 : อำนาจทำให้คนมีเสน่ห์ ! ? ! “Control Oil and you control nations;
control food and you control the people” “ควบคุมน้ำมันได้ คุณก็ควบคุมชาติต่าง ๆ ได้
ควบคุมอาหารได้ คุณก็ควบคุมประชาชนได้” เป็นคำพูดของนาย Henry Kissinger เมื่อช่วง ค.ศ. 1970 พูดมาเกือบ 50 ปีแล้ว แต่ดูเหมือนทิศทางการเมืองระหว่างประเทศจะเป็นไปตามที่นาย Kissinger พูด เรื่องบังเอิญหรือล็อกเป้า! งั้นมาทำความรู้จักนาย Kissinger กันหน่อย จะได้รู้ว่าเป็นคนขี้โม้ หมอดู หรือคนในรู้จริง นาย Kissinger มีชื่อเต็มว่า Henry Alfred Kissinger ตอนเกิดใช้ชื่อว่า Heinz Alfred Kissinger เป็นคนเยอรมัน อเมริกัน เกิดเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1923 ตอนนี้ก็อายุปาเข้าไป 90 ปี นอกจากยังไม่ตายและยังปากเปราะเหมือนเดิม นาย Kissinger เป็นคนตัวเตี้ย และห่างไกลกับคำว่าเป็นคนหน้าตาดี เขาแต่งงานแล้ว 2 ครั้ง ครั้งที่ 2 แต่งกับนาง Nancy ผู้หญิงซึ่งตัวสูงกว่าเขาประมาณเกือบ 1 ฟุต เมื่อสมัยที่นาย Kissinger เรืองอำนาจ นาง Nancy เองซึ่งก็ไม่ใช่คนสวยอะไร จะมีรูปปรากฎอยู่ในนิตยสาร Vogue นานาชาติอยู่เสมอ นิตยสารนี้ นอกจากจะมีแต่รูปนางแบบระดับโลกแล้ว ผู้ที่จะได้มีภาพลงในหนังสือนี้ ก็จะต้องเป็นบุคคลที่สมัยนี้เรียกว่า Celeb คนดังว่างั้นเถอะ ตัวผัวก็ไม่หล่อ คนเป็นเมียก็ไม่สวย แต่ทั้งคู่ดังระเบิด แถมตัวผัวยังมีข่าวเสมอทางด้านส่วนตัวว่าเป็นชายเจ้าชู้ ไม่เร่ขายชาติ แต่ชอบทำลายชาติคนอื่นมากกว่า ! เมื่อนักข่าวถามว่า ได้ข่าวว่าท่านเจ้าชู้ มีสาวควงเปลี่ยนหน้าบ่อยๆ ท่านทำได้อย่างไรนะ ในเมื่อ ขอโทษ ท่านก็ไม่ใช่คนหล่อ นาย Kissinger ตอบว่า “อำนาจก็ทำให้คนมีเสน่ห์ได้นะ” ฮา นาย Kissinger มีอำนาจอย่างไร ถึงทำให้สาวๆ ยอมให้ควงบ่อยๆ แต่จะถึงขนาดจัดส่งขึ้นเครื่องบินไปร่วมร้องเพลงแก้เหงา หรือเปล่ารายงานข่าวไม่ได้บอก นาย Kissinger เริ่มทำงานในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประเทศ และต่อมาดำรงตำแหน่ง รมว.กระทรวงต่างประเทศ ในสมัยประธานาธิบดี Richard Nixon และเป็นต่อมาจนถึงสมัยประธานาธิบดี Gerald Ford พูดง่ายๆ เป็นคนสำคัญ ในการกำหนดทิศทางการเมืองของอเมริกาและแน่นอนของโลกด้วยในช่วงปี ค.ศ.1969 ถึง ค.ศ.1977 ผลงานของนาย Kissinger ที่เด่นๆ ที่ประกาศอย่างเปิดเผยลงใน Google คือ การคลี่คลาย (detente) สงครามเย็นกับสหภาพโซเวียต การเริ่มสร้างสัมพันธ์กับจีน และเริ่มขบวนการเจรจาสันติภาพที่ปารีส ซึ่งเป็นผลให้ยุติสงครามเวียตนาม (ที่อเมริกาเป็นผู้ริเริ่มนั่นแหละ !) ผลงานนี้ ทำให้เขาได้รับรางวัล Nobel สาขาสันติภาพในปี ค.ศ.1973 คู่กับคู่กัด คือ นาย Le Duc Tho จากเวียตนามเหนือ แต่นาย Le Duc Tho ปฏิเสธที่จะรับรางวัล เขาเป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์ ที่ปฏิเสธรางวัล Nobel (เยี่ยม !) เป็นการให้รางวัล Nobel สาขาสันติภาพ ที่ติดอันดับ 1 ใน 5 แห่งความอื้อฉาว และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ เนื่องจากสัญญาสันติภาพของจริงกว่าจะได้ลงนาม ในปี ค.ศ. 1975 แต่ผู้เจรจาได้รับรางวัลล่วงหน้า เหมือนล็อตเตอรี่ยังไม่ออก แต่ประกาศแล้วว่าใครถูกรางวัลที่ 1 (เอ้า ตบมือให้ลูกน้องนักเล่นกลกันหน่อย) แต่ผลงานของนาย Kissinger ที่ไม่ได้เปิดเผย แต่อยากเล่าให้ฟังคือ “National Security Study Memorandum 200” หรือที่เรียกชื่อย่อว่า NSSM 200 ซึ่งได้จัดทำขึ้น ภายใต้การกำกับและอำนวยการสร้างโดยนาย Kissinger เอง สำเร็จเป็นเอกสารหนาเกือบ 200 หน้า เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1974 เอกสารนี้เกี่ยวกับอะไรลึกลับซับซ้อนอะไรหนักหนา ถึงขนาดตีตราครั่งว่าจะเปิดเผยได้ โดยคำสั่งของ White House เท่านั้น เก็บแอบซ่อนไว้ 15 ปี สภาความมั่นคงของอเมริกาก็เพิ่งเอามาเปิดให้อ่านกัน เมื่อ ปี ค.ศ. 1989 คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 230 Views 0 Reviews
  • จากชิปสู่ไวน์: เมื่ออดีตวิศวกร Intel ต้องเริ่มต้นใหม่ในไร่องุ่นฝรั่งเศส

    Varun Gupta เคยเป็นวิศวกรการตลาดผลิตภัณฑ์ของ Intel มานานกว่า 10 ปี ก่อนจะย้ายไปทำงานกับ Microsoft ในปี 2020 แต่การย้ายงานครั้งนั้นกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของคดีใหญ่ เมื่อ Intel พบว่าเขานำเอกสารลับกว่า 4,000 ไฟล์ติดตัวไปด้วย

    เอกสารเหล่านั้นมีข้อมูลสำคัญ เช่น กลยุทธ์การตั้งราคาของ Intel และการวิเคราะห์คู่แข่ง ซึ่ง Gupta ใช้ในการเจรจาสัญญาซื้อชิปกับ Intel ในนามของ Microsoft

    หลังจากถูกจับได้ในปี 2021 เขายอมจ่ายเงินชดเชยให้ Intel เป็นจำนวน 40,000 ดอลลาร์ และในปี 2024 ถูกตั้งข้อหาทางอาญาในข้อหาครอบครองข้อมูลลับโดยมิชอบ

    แม้อัยการจะขอให้ศาลลงโทษจำคุก 8 เดือน แต่ผู้พิพากษา Amy Baggio เห็นว่าการสูญเสียชื่อเสียงและอาชีพในวงการเทคโนโลยีเป็นบทเรียนที่รุนแรงพอแล้ว จึงตัดสินให้ Gupta รับโทษคุมประพฤติ 8 เดือน และปรับเงิน 34,472 ดอลลาร์

    Gupta ตัดสินใจย้ายครอบครัวไปฝรั่งเศส และเริ่มเรียนด้านการจัดการไร่องุ่น เพื่อเข้าสู่วงการไวน์อย่างเต็มตัว—จากโลกของชิปสู่โลกขององุ่น

    https://wccftech.com/former-intel-engineer-sentenced-for-trade-secret-theft-will-now-work-in-french-winemaking-industry/
    🧠 จากชิปสู่ไวน์: เมื่ออดีตวิศวกร Intel ต้องเริ่มต้นใหม่ในไร่องุ่นฝรั่งเศส Varun Gupta เคยเป็นวิศวกรการตลาดผลิตภัณฑ์ของ Intel มานานกว่า 10 ปี ก่อนจะย้ายไปทำงานกับ Microsoft ในปี 2020 แต่การย้ายงานครั้งนั้นกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของคดีใหญ่ เมื่อ Intel พบว่าเขานำเอกสารลับกว่า 4,000 ไฟล์ติดตัวไปด้วย เอกสารเหล่านั้นมีข้อมูลสำคัญ เช่น กลยุทธ์การตั้งราคาของ Intel และการวิเคราะห์คู่แข่ง ซึ่ง Gupta ใช้ในการเจรจาสัญญาซื้อชิปกับ Intel ในนามของ Microsoft หลังจากถูกจับได้ในปี 2021 เขายอมจ่ายเงินชดเชยให้ Intel เป็นจำนวน 40,000 ดอลลาร์ และในปี 2024 ถูกตั้งข้อหาทางอาญาในข้อหาครอบครองข้อมูลลับโดยมิชอบ แม้อัยการจะขอให้ศาลลงโทษจำคุก 8 เดือน แต่ผู้พิพากษา Amy Baggio เห็นว่าการสูญเสียชื่อเสียงและอาชีพในวงการเทคโนโลยีเป็นบทเรียนที่รุนแรงพอแล้ว จึงตัดสินให้ Gupta รับโทษคุมประพฤติ 8 เดือน และปรับเงิน 34,472 ดอลลาร์ Gupta ตัดสินใจย้ายครอบครัวไปฝรั่งเศส และเริ่มเรียนด้านการจัดการไร่องุ่น เพื่อเข้าสู่วงการไวน์อย่างเต็มตัว—จากโลกของชิปสู่โลกขององุ่น https://wccftech.com/former-intel-engineer-sentenced-for-trade-secret-theft-will-now-work-in-french-winemaking-industry/
    WCCFTECH.COM
    Former Intel Engineer Sentenced For Trade Secret Theft Will Now Work In French Winemaking Industry
    Varun Gupta, a former Intel employee, received two years' probation and a $34,472 fine for stealing trade secrets.
    0 Comments 0 Shares 165 Views 0 Reviews
  • เมื่อ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นความเสี่ยง: NIST กับกรอบความปลอดภัยใหม่สำหรับยุคปัญญาประดิษฐ์

    ในปี 2025 สถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติของสหรัฐฯ หรือ NIST ได้เปิดตัวเอกสารแนวคิดใหม่ที่ชื่อว่า “Cyber AI Profile” ซึ่งเป็นความพยายามในการสร้างกรอบควบคุมความปลอดภัยเฉพาะสำหรับระบบ AI โดยอิงจากกรอบเดิมที่ใช้กันแพร่หลายอย่าง NIST SP 800-53 และ Cybersecurity Framework (CSF)

    แนวคิดหลักคือการสร้าง “control overlay” หรือชุดควบคุมที่ปรับแต่งให้เหมาะกับเทคโนโลยี AI แต่ละประเภท เช่น generative AI, predictive AI และ agentic AI โดยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องความลับ ความถูกต้อง และความพร้อมใช้งานของข้อมูลในแต่ละกรณี

    NIST ยังเปิดช่องทางให้ผู้เชี่ยวชาญและประชาชนทั่วไปร่วมให้ความเห็นผ่าน Slack และเวิร์กช็อปต่าง ๆ เพื่อพัฒนาแนวทางนี้ให้ครอบคลุมและใช้งานได้จริง โดยเฉพาะในองค์กรที่ต้องรับมือกับ AI ทั้งในฐานะผู้ใช้และผู้พัฒนา

    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายคน เช่น Melissa Ruzzi จาก AppOmni ได้แสดงความกังวลว่าเอกสารนี้ยังขาดรายละเอียดที่จำเป็น เช่น ความแตกต่างระหว่าง AI แบบ supervised กับ unsupervised และการควบคุมตามระดับความอ่อนไหวของข้อมูล เช่น ข้อมูลสุขภาพหรือข้อมูลส่วนบุคคล

    นอกจากนี้ ยังมีเสียงเรียกร้องจากผู้บริหารด้านความปลอดภัย (CISO) ว่าอย่า “สร้างวงล้อใหม่” เพราะองค์กรต่าง ๆ กำลังเผชิญกับภาระด้านความปลอดภัยมากพออยู่แล้ว การเพิ่มกรอบใหม่ควรเชื่อมโยงกับสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่สร้างสิ่งใหม่ที่ต้องเรียนรู้ทั้งหมดอีกครั้ง

    แนวคิดใหม่จาก NIST: Cyber AI Profile
    สร้างกรอบควบคุมความปลอดภัยเฉพาะสำหรับระบบ AI
    อิงจาก NIST SP 800-53 และ Cybersecurity Framework (CSF)
    ใช้ “control overlay” เพื่อปรับแต่งการควบคุมให้เหมาะกับเทคโนโลยี AI แต่ละประเภท

    ประเภทของ AI ที่อยู่ในแนวทาง
    generative AI: สร้างเนื้อหาใหม่ เช่น ChatGPT
    predictive AI: วิเคราะห์แนวโน้ม เช่น การคาดการณ์ยอดขาย
    agentic AI: ระบบที่ตัดสินใจเอง เช่น หุ่นยนต์อัตโนมัติ

    ความร่วมมือและการเปิดรับความคิดเห็น
    เปิด Slack channel ให้ผู้เชี่ยวชาญร่วมแสดงความเห็น
    จัดเวิร์กช็อปเพื่อรับฟังจาก CISO และนักพัฒนา
    เตรียมเผยแพร่ร่างแรกเพื่อรับความคิดเห็นสาธารณะ

    ความเชื่อมโยงกับกรอบเดิม
    ใช้ taxonomy เดิมของ CSF เพื่อไม่ให้เกิดภาระใหม่
    เชื่อมโยงกับ AI Risk Management Framework เพื่อครอบคลุมความเสี่ยงด้านอื่น ๆ

    https://hackread.com/nist-concept-paper-ai-specific-cybersecurity-framework/
    🧠 เมื่อ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นความเสี่ยง: NIST กับกรอบความปลอดภัยใหม่สำหรับยุคปัญญาประดิษฐ์ ในปี 2025 สถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติของสหรัฐฯ หรือ NIST ได้เปิดตัวเอกสารแนวคิดใหม่ที่ชื่อว่า “Cyber AI Profile” ซึ่งเป็นความพยายามในการสร้างกรอบควบคุมความปลอดภัยเฉพาะสำหรับระบบ AI โดยอิงจากกรอบเดิมที่ใช้กันแพร่หลายอย่าง NIST SP 800-53 และ Cybersecurity Framework (CSF) แนวคิดหลักคือการสร้าง “control overlay” หรือชุดควบคุมที่ปรับแต่งให้เหมาะกับเทคโนโลยี AI แต่ละประเภท เช่น generative AI, predictive AI และ agentic AI โดยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องความลับ ความถูกต้อง และความพร้อมใช้งานของข้อมูลในแต่ละกรณี NIST ยังเปิดช่องทางให้ผู้เชี่ยวชาญและประชาชนทั่วไปร่วมให้ความเห็นผ่าน Slack และเวิร์กช็อปต่าง ๆ เพื่อพัฒนาแนวทางนี้ให้ครอบคลุมและใช้งานได้จริง โดยเฉพาะในองค์กรที่ต้องรับมือกับ AI ทั้งในฐานะผู้ใช้และผู้พัฒนา อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายคน เช่น Melissa Ruzzi จาก AppOmni ได้แสดงความกังวลว่าเอกสารนี้ยังขาดรายละเอียดที่จำเป็น เช่น ความแตกต่างระหว่าง AI แบบ supervised กับ unsupervised และการควบคุมตามระดับความอ่อนไหวของข้อมูล เช่น ข้อมูลสุขภาพหรือข้อมูลส่วนบุคคล นอกจากนี้ ยังมีเสียงเรียกร้องจากผู้บริหารด้านความปลอดภัย (CISO) ว่าอย่า “สร้างวงล้อใหม่” เพราะองค์กรต่าง ๆ กำลังเผชิญกับภาระด้านความปลอดภัยมากพออยู่แล้ว การเพิ่มกรอบใหม่ควรเชื่อมโยงกับสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่สร้างสิ่งใหม่ที่ต้องเรียนรู้ทั้งหมดอีกครั้ง ✅ แนวคิดใหม่จาก NIST: Cyber AI Profile ➡️ สร้างกรอบควบคุมความปลอดภัยเฉพาะสำหรับระบบ AI ➡️ อิงจาก NIST SP 800-53 และ Cybersecurity Framework (CSF) ➡️ ใช้ “control overlay” เพื่อปรับแต่งการควบคุมให้เหมาะกับเทคโนโลยี AI แต่ละประเภท ✅ ประเภทของ AI ที่อยู่ในแนวทาง ➡️ generative AI: สร้างเนื้อหาใหม่ เช่น ChatGPT ➡️ predictive AI: วิเคราะห์แนวโน้ม เช่น การคาดการณ์ยอดขาย ➡️ agentic AI: ระบบที่ตัดสินใจเอง เช่น หุ่นยนต์อัตโนมัติ ✅ ความร่วมมือและการเปิดรับความคิดเห็น ➡️ เปิด Slack channel ให้ผู้เชี่ยวชาญร่วมแสดงความเห็น ➡️ จัดเวิร์กช็อปเพื่อรับฟังจาก CISO และนักพัฒนา ➡️ เตรียมเผยแพร่ร่างแรกเพื่อรับความคิดเห็นสาธารณะ ✅ ความเชื่อมโยงกับกรอบเดิม ➡️ ใช้ taxonomy เดิมของ CSF เพื่อไม่ให้เกิดภาระใหม่ ➡️ เชื่อมโยงกับ AI Risk Management Framework เพื่อครอบคลุมความเสี่ยงด้านอื่น ๆ https://hackread.com/nist-concept-paper-ai-specific-cybersecurity-framework/
    HACKREAD.COM
    New NIST Concept Paper Outlines AI-Specific Cybersecurity Framework
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 154 Views 0 Reviews
  • ..กับสันดานคนเขมรต้องรั้วลวดหนามแบบเวียดนามนี้ล่ะ,เวียดนามมันได้จริงๆกับพวกเขมรแบบนี้.ต้นทุนไม่แพงอะไร,เหล็กลวดไทยมีวัตถุดิบ,รัฐสร้างโรงงานผลิตตรงเลยก็ได้,นำเข้าวัตถุดิบปลอดภาษีก็ได้อีก,ห้ามเอกชนรายใดมาวุ่นวายด้วย,หรือหาแดกงบหลวงแม้ตัวนายพลชั่วเลวฝ่ายทหารเองก็ด้วย,เอาจริงๆมันจัดการง่ายจะตายก็ว่า,ถนนลาดยางกิโลเมตรละ1ล้านยังทำได้,แค่800กว่ากิโลเมตรตลอดพรมแดนให้กิโลเมตรละ10ล้านบาทอย่างดีแบบหนาแบบเปลี่ยนสะดวกสบายยกแผงก็ทำได้,รวมก็แค่8,000ล้านบาทเอง,กากมาก,ที่ชดเชยภาษีทรัมป์ที่เป็นข่าวว่าใช้ตังกว่า200,000ล้านบาทใช้ช่วยกิจการเอกชนไทยและโรงงานนายทุนต่างชาติที่มาตั้งฐานผลิตในไทยส่งไปอเมริกามันยังช่วยพวกเหี้ยนี้มากกว่าอีก,200,000ล้านบาทนะถ้าให้แจกแจงรายละเอียดเปิดเผยเอกสารเป็นเว็บสาธารณะว่าใช้จริงไปไหนบ้าง เงิน200,000ล้านบาทนี้ชดเชยเอกชนรายใด โรงงานใดบ้างเป็นกระแสการไหลของเงินสดอย่างชัดเจนคงประชาชนตาสว่างกว่านี้อีก,หรืออดีตงบสร้างถนนหนทางปัจจุบันแบบกูขยายถนนแล้วขยายอีกซ้อมแล้วซ้อมซ้ำซากอีก ทั่วไทยอาจใช้งบตลอดทั้งปีกว่าแสนล้านบาทล่ะ ทำให้มีคุณภาพมาตราขนาดไหนอีกก็ไม่รู้ รถพ่วงเกิน21ตันเหยียบถนนหลวงไม่กี่เที่ยวก็ซ้อมอีกแล้วเป็นต้น,ถนนชาวบ้านไทบ้านรถพ่วงไปเหยียบครั้งเดียวถนนเป็นหลุมเลยพังเลยก็ว่า,จริงๆมาตราฐานถนนทั้งหมดทั่วประเทศต้องเกิน21ตันให้หมดเพราะเอกชนมักง่ายมาก หลายๆถนนชนบททั่วไทยใช้ทางโทมิใช่ทางเอก ลัดทางสั้นตรึม ถนนไทบ้านในชุมชนพังกันมากเพราะมิให้รถเกิน21ตันใช้,แต่เสือกวิ่งเป็นว่าเล่น,รถบรรทุกไทยเยอะมากๆในเวลานี้,ความปลอดภัยชาวบ้านประชาชนอันตรายด้วย,คนขับก็คนจีน คนลาว คนเขมร คนพม่า คนเวียดนามมากกว่าคนไทย,ยิ่งเป็นถนนข้ามแดนง่ายขึ้นเพื่อค้าขายขนส่ง วิ่งกระจายจริงๆ มอไซค์อักเสบและไปวัดไม่น้อย เพราะคนพวกนี้หมายสังหารคนไทยในท้องถนนง่ายๆด้วย ไร้น้ำจิตน้ำใจแบบคนไทย บดเบียด สีใกล้เหี้ยมีหมด.เข้าใต้ท้องมันมีมิใช่น้อยจากนั้นเอาตังตบหัวจบ.

    ..รั้วหนามทำได้สบายแต่เพราะผลประโยชน์ทางการเมืองหรือทางหนีภัยลี้ภัยทางการเมืองตนจะลำบาก สมุนขี้ข้าลูกน้องจะหนีลำบาก ถูกจับได้จะซวยถึงนักการเมืองเดอะแก๊งอิทธิพลสั่งตายใครต่างๆไร้หลบหนีสะดวกทั้งกูและมรึงหากโดนคดีทางการเมืองจากไทย ช่องทางธรรมชาติทั่วรอบไทยจึงละเว้นไม่พยายามสร้าง นัยยะนี้ด้วย อะไรค้าขายเถื่อนๆกูก็ลำบากด้วยเป็นต้น ใครผีบ้าจะสร้างกำแพงตัดแหล่งช่องทางทำเงินทำตังมหาศาลของกู.



    https://www.youtube.com/shorts/lD7tGLBMEDE
    ..กับสันดานคนเขมรต้องรั้วลวดหนามแบบเวียดนามนี้ล่ะ,เวียดนามมันได้จริงๆกับพวกเขมรแบบนี้.ต้นทุนไม่แพงอะไร,เหล็กลวดไทยมีวัตถุดิบ,รัฐสร้างโรงงานผลิตตรงเลยก็ได้,นำเข้าวัตถุดิบปลอดภาษีก็ได้อีก,ห้ามเอกชนรายใดมาวุ่นวายด้วย,หรือหาแดกงบหลวงแม้ตัวนายพลชั่วเลวฝ่ายทหารเองก็ด้วย,เอาจริงๆมันจัดการง่ายจะตายก็ว่า,ถนนลาดยางกิโลเมตรละ1ล้านยังทำได้,แค่800กว่ากิโลเมตรตลอดพรมแดนให้กิโลเมตรละ10ล้านบาทอย่างดีแบบหนาแบบเปลี่ยนสะดวกสบายยกแผงก็ทำได้,รวมก็แค่8,000ล้านบาทเอง,กากมาก,ที่ชดเชยภาษีทรัมป์ที่เป็นข่าวว่าใช้ตังกว่า200,000ล้านบาทใช้ช่วยกิจการเอกชนไทยและโรงงานนายทุนต่างชาติที่มาตั้งฐานผลิตในไทยส่งไปอเมริกามันยังช่วยพวกเหี้ยนี้มากกว่าอีก,200,000ล้านบาทนะถ้าให้แจกแจงรายละเอียดเปิดเผยเอกสารเป็นเว็บสาธารณะว่าใช้จริงไปไหนบ้าง เงิน200,000ล้านบาทนี้ชดเชยเอกชนรายใด โรงงานใดบ้างเป็นกระแสการไหลของเงินสดอย่างชัดเจนคงประชาชนตาสว่างกว่านี้อีก,หรืออดีตงบสร้างถนนหนทางปัจจุบันแบบกูขยายถนนแล้วขยายอีกซ้อมแล้วซ้อมซ้ำซากอีก ทั่วไทยอาจใช้งบตลอดทั้งปีกว่าแสนล้านบาทล่ะ ทำให้มีคุณภาพมาตราขนาดไหนอีกก็ไม่รู้ รถพ่วงเกิน21ตันเหยียบถนนหลวงไม่กี่เที่ยวก็ซ้อมอีกแล้วเป็นต้น,ถนนชาวบ้านไทบ้านรถพ่วงไปเหยียบครั้งเดียวถนนเป็นหลุมเลยพังเลยก็ว่า,จริงๆมาตราฐานถนนทั้งหมดทั่วประเทศต้องเกิน21ตันให้หมดเพราะเอกชนมักง่ายมาก หลายๆถนนชนบททั่วไทยใช้ทางโทมิใช่ทางเอก ลัดทางสั้นตรึม ถนนไทบ้านในชุมชนพังกันมากเพราะมิให้รถเกิน21ตันใช้,แต่เสือกวิ่งเป็นว่าเล่น,รถบรรทุกไทยเยอะมากๆในเวลานี้,ความปลอดภัยชาวบ้านประชาชนอันตรายด้วย,คนขับก็คนจีน คนลาว คนเขมร คนพม่า คนเวียดนามมากกว่าคนไทย,ยิ่งเป็นถนนข้ามแดนง่ายขึ้นเพื่อค้าขายขนส่ง วิ่งกระจายจริงๆ มอไซค์อักเสบและไปวัดไม่น้อย เพราะคนพวกนี้หมายสังหารคนไทยในท้องถนนง่ายๆด้วย ไร้น้ำจิตน้ำใจแบบคนไทย บดเบียด สีใกล้เหี้ยมีหมด.เข้าใต้ท้องมันมีมิใช่น้อยจากนั้นเอาตังตบหัวจบ. ..รั้วหนามทำได้สบายแต่เพราะผลประโยชน์ทางการเมืองหรือทางหนีภัยลี้ภัยทางการเมืองตนจะลำบาก สมุนขี้ข้าลูกน้องจะหนีลำบาก ถูกจับได้จะซวยถึงนักการเมืองเดอะแก๊งอิทธิพลสั่งตายใครต่างๆไร้หลบหนีสะดวกทั้งกูและมรึงหากโดนคดีทางการเมืองจากไทย ช่องทางธรรมชาติทั่วรอบไทยจึงละเว้นไม่พยายามสร้าง นัยยะนี้ด้วย อะไรค้าขายเถื่อนๆกูก็ลำบากด้วยเป็นต้น ใครผีบ้าจะสร้างกำแพงตัดแหล่งช่องทางทำเงินทำตังมหาศาลของกู. https://www.youtube.com/shorts/lD7tGLBMEDE
    0 Comments 0 Shares 219 Views 0 Reviews
  • ArchWiki กับภารกิจปั้นเอกสารให้ Debian — จากตำนานสู่แรงบันดาลใจ

    ในงาน DebConf25 ที่ฝรั่งเศส ทีมผู้ดูแล ArchWiki อย่าง Jakub Klinkovský และ Vladimir Lavallade ได้รับเชิญจาก Debian เพื่อแชร์กลยุทธ์การจัดการเอกสารของ Arch Linux ซึ่งเป็นที่รู้จักในวงการว่า “แหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดแม้คุณจะไม่ได้ใช้ Arch”

    ArchWiki มีจุดแข็งคือเนื้อหาครอบคลุม อัปเดตเร็ว และมีชุมชนที่มีส่วนร่วมสูง โดยใช้หลักการ SWOT วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และภัยคุกคามของระบบเอกสารของตนเอง

    Debian ได้รับแรงบันดาลใจทันที โดยเริ่มเปลี่ยนระบบ wiki จาก MoinMoin ที่ล้าสมัยไปใช้ MediaWiki พร้อมปรับนโยบายการอนุญาตเนื้อหา และตั้ง mailing list ใหม่เพื่อจัดการเอกสารอย่างเป็นระบบ

    แม้ ArchWiki จะมีจุดอ่อน เช่น syntax ที่ซับซ้อนและการพึ่งพา MediaWiki ที่ไม่ยืดหยุ่น แต่ระบบการดูแลเอกสารแบบกระจายอำนาจและการส่งเสริมให้ผู้ใช้มีส่วนร่วม กลับสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ที่แข็งแกร่ง และกลายเป็นต้นแบบให้กับหลาย distro

    ArchWiki ถูกยกให้เป็นแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดในวงการ Linux
    แม้ผู้ใช้จะไม่ได้ใช้ Arch ก็ยังอ้างอิงเอกสารจาก ArchWiki

    Debian เชิญทีม ArchWiki มาแชร์กลยุทธ์ในงาน DebConf25
    นำไปสู่การปฏิรูป wiki ของ Debian โดยเปลี่ยนไปใช้ MediaWiki

    ArchWiki มีมากกว่า 4,000 หน้าเนื้อหา และรวมทั้งหมดเกือบ 30,000 หน้า
    มีผู้แก้ไขกว่า 86,000 คน และมีการแก้ไขเฉลี่ย 2,000 ครั้งต่อเดือน

    หลักการดูแลเนื้อหาของ ArchWiki คือ DRY, atomic editing และการประกาศก่อนเปลี่ยนแปลงใหญ่
    ช่วยรักษาคุณภาพและลดความขัดแย้งในการแก้ไข

    การดูแลเนื้อหาใช้ระบบกระจายอำนาจ
    ผู้ใช้ทั่วไปสามารถตรวจสอบ แก้ไข หรือแจ้งปัญหาได้โดยไม่ต้องเป็น maintainer

    Debian เปลี่ยนนโยบายลิขสิทธิ์เนื้อหา wiki เป็น CC BY-SA 4.0
    เพื่อเปิดให้ชุมชนมีส่วนร่วมและนำไปใช้ต่อได้ง่ายขึ้น

    ArchWiki ใช้ MediaWiki ซึ่งมี API และระบบ template ที่ทรงพลัง
    แม้จะซับซ้อน แต่สามารถปรับแต่งและใช้ร่วมกับ bot ได้ดี

    ArchWiki มีเครื่องมือช่วยแก้ไข เช่น Wiki Monkey และ wiki-scripts
    ช่วยตรวจลิงก์ แก้ markup และปรับปรุงโครงสร้างเนื้อหา

    ArchWiki มีห้อง IRC สำหรับพูดคุยเรื่องการแก้ไข wiki โดยเฉพาะ
    แต่เน้นให้ใช้หน้า talk page เพื่อให้ทุกคนมีส่วนร่วม

    ArchWiki เป็นศูนย์กลางความรู้ที่ผู้ใช้จาก distro อื่นก็เข้ามาใช้
    เช่น Ubuntu หรือ Fedora ก็อ้างอิงจาก ArchWiki เป็นประจำ

    https://lwn.net/SubscriberLink/1032604/73596e0c3ed1945a/
    📚🐧 ArchWiki กับภารกิจปั้นเอกสารให้ Debian — จากตำนานสู่แรงบันดาลใจ ในงาน DebConf25 ที่ฝรั่งเศส ทีมผู้ดูแล ArchWiki อย่าง Jakub Klinkovský และ Vladimir Lavallade ได้รับเชิญจาก Debian เพื่อแชร์กลยุทธ์การจัดการเอกสารของ Arch Linux ซึ่งเป็นที่รู้จักในวงการว่า “แหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดแม้คุณจะไม่ได้ใช้ Arch” ArchWiki มีจุดแข็งคือเนื้อหาครอบคลุม อัปเดตเร็ว และมีชุมชนที่มีส่วนร่วมสูง โดยใช้หลักการ SWOT วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และภัยคุกคามของระบบเอกสารของตนเอง Debian ได้รับแรงบันดาลใจทันที โดยเริ่มเปลี่ยนระบบ wiki จาก MoinMoin ที่ล้าสมัยไปใช้ MediaWiki พร้อมปรับนโยบายการอนุญาตเนื้อหา และตั้ง mailing list ใหม่เพื่อจัดการเอกสารอย่างเป็นระบบ แม้ ArchWiki จะมีจุดอ่อน เช่น syntax ที่ซับซ้อนและการพึ่งพา MediaWiki ที่ไม่ยืดหยุ่น แต่ระบบการดูแลเอกสารแบบกระจายอำนาจและการส่งเสริมให้ผู้ใช้มีส่วนร่วม กลับสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ที่แข็งแกร่ง และกลายเป็นต้นแบบให้กับหลาย distro ✅ ArchWiki ถูกยกให้เป็นแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดในวงการ Linux ➡️ แม้ผู้ใช้จะไม่ได้ใช้ Arch ก็ยังอ้างอิงเอกสารจาก ArchWiki ✅ Debian เชิญทีม ArchWiki มาแชร์กลยุทธ์ในงาน DebConf25 ➡️ นำไปสู่การปฏิรูป wiki ของ Debian โดยเปลี่ยนไปใช้ MediaWiki ✅ ArchWiki มีมากกว่า 4,000 หน้าเนื้อหา และรวมทั้งหมดเกือบ 30,000 หน้า ➡️ มีผู้แก้ไขกว่า 86,000 คน และมีการแก้ไขเฉลี่ย 2,000 ครั้งต่อเดือน ✅ หลักการดูแลเนื้อหาของ ArchWiki คือ DRY, atomic editing และการประกาศก่อนเปลี่ยนแปลงใหญ่ ➡️ ช่วยรักษาคุณภาพและลดความขัดแย้งในการแก้ไข ✅ การดูแลเนื้อหาใช้ระบบกระจายอำนาจ ➡️ ผู้ใช้ทั่วไปสามารถตรวจสอบ แก้ไข หรือแจ้งปัญหาได้โดยไม่ต้องเป็น maintainer ✅ Debian เปลี่ยนนโยบายลิขสิทธิ์เนื้อหา wiki เป็น CC BY-SA 4.0 ➡️ เพื่อเปิดให้ชุมชนมีส่วนร่วมและนำไปใช้ต่อได้ง่ายขึ้น ✅ ArchWiki ใช้ MediaWiki ซึ่งมี API และระบบ template ที่ทรงพลัง ➡️ แม้จะซับซ้อน แต่สามารถปรับแต่งและใช้ร่วมกับ bot ได้ดี ✅ ArchWiki มีเครื่องมือช่วยแก้ไข เช่น Wiki Monkey และ wiki-scripts ➡️ ช่วยตรวจลิงก์ แก้ markup และปรับปรุงโครงสร้างเนื้อหา ✅ ArchWiki มีห้อง IRC สำหรับพูดคุยเรื่องการแก้ไข wiki โดยเฉพาะ ➡️ แต่เน้นให้ใช้หน้า talk page เพื่อให้ทุกคนมีส่วนร่วม ✅ ArchWiki เป็นศูนย์กลางความรู้ที่ผู้ใช้จาก distro อื่นก็เข้ามาใช้ ➡️ เช่น Ubuntu หรือ Fedora ก็อ้างอิงจาก ArchWiki เป็นประจำ https://lwn.net/SubscriberLink/1032604/73596e0c3ed1945a/
    0 Comments 0 Shares 158 Views 0 Reviews

  • ตอน 18
    อเมริกาคิดจะทำอะไร ต้องแน่ใจว่าคุมสถานการณ์ คุมเกมได้เบ็ดเสร็จ เมื่อได้เลือกไทยแลนด์แดนสวรรค์ เป็นแหล่งประทับทรง เพื่อเอาไว้จับจ้อง เตรียมต่อกรกับจีน ถึงจะไม่เป็นงานช้างแบบสู้กับคอมมี่ ตรงไปตรงมา แต่สู้กับอาเฮียตาตี่ที่ กำลังเนื้อหอม แถมจิ๊กโก๋๋ก็ทิ้งสาวไทยไปนาน จะกลับเข้ามาก็ต้องดูดีๆ เสียเชิงอาเฮียนี่มันรับไม่ได้จริงๆ นะ
    และโปรดอย่าลืมสันดานเดิมของจิ๊กโก๋๋นักเลงนักล้วง อเมริกาไม่เคยตีตั๋วใบเดียว ไม่เคยเล่นไพ่หน้าเดียว
    จากรายงานของซีไอเอ ที่เดินสายกันให้ควักไขว้ ออกอาการว่า จิ๊กโก๋๋คิดหนัก จะเลือกใครเป็นร่างทรงดี สมัยสู้คอมมี่ จอมพลคนแปลกเป็นนายก อเมริกาก็สนับสนุน 2 นายพล เอาไว้เป็นตัวเลือกคือ นายพลเผ่า กับ นายพลสฤษดิ์ ทั้งฟูมทั้งฟัก ทั้ง 2 นายพล อยากได้อะไรก็ประเคนให้ทั้งคู่ รอดูจนแน่ใจแล้วก็เคาะโป๊ก หวยออกที่นายพลสฤษดิ์ ให้เป็นผู้นำคนต่อไปของประเทศไทยแลนด์ ภายใต้การชักใยของสหรัฐ
    คราวนี้ก็เหมือนกัน อเมริกามีตัวเลือกแยะขึ้น แต่ยากขึ้น
    มองด้านความแน่นอน สัมพันธ์เก่ามีมาต่อเนื่องกว่า 50 ปี ก็มีกลุ่มนักวิ่งผลัด แต่สมัยนี้จะไปชักใย ให้ขยับขาซ้ายย้ายขาขวา อย่างเมื่อก่อนมันไม่ได้แล้วนะ ก็ดันไปตั้ง Doctrine ของตัวเองสนับสนุนประชาธิปไตยให้บานแฉ่ง แล้วถ้าเอาพี่ทหารนักวิ่งผลัดมา ป.ว. เป็นร่างทรงน่ะ ชาวบ้านเขามินินทาเอาหรือจ๊ะ ว่า ปากว่าตาขยิบ
    จะเป็นตัวเลือกหรือเปล่ายังไม่รู้ แต่เพื่อให่แน่ใจว่านักวิ่งพลัดไม่นอกใจ ปลายปี พ.ศ. 2555/ค.ศ.2012 พี่เบิ้มก็ส่งนายลีออน เพนเนตต้า (Leon Pennetta) รมว กลาโหม มานั่งจับเข่า คุณพี่สุกำพล รมว กลาโหมของไทยตอนนั้น
    อย่าลืมนะ สมันน้อย เราอุ้มเจ้าลงเปลเห่กล่อมมากว่า 50 ปีแล้ว สมันน้อยจะไปเห็นคนอื่นดีกว่าเราได้ยังไง ว่าแล้วจากจับเข่า ก็เปลี่ยนเป็นจับมือสมันน้อย แปะโป้งทำสัญญา ซึ่งแปลงเขียนเป็นแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วม (แหม! อีลูกช่างตะแบง กลัวจะเป็นหนังสือสัญญา ตามมาตรา ม190 ของรัฐธรรมนูญไง) ว่า ด้วยการเป็นหุ้นส่วนร่วมด้านความมั่นคงในศตวรรษที่ 21 ฮั่นแน่ โจ๋งครึ่มจริงๆ
    ไอ้นี่ มันเป็นการส่งสารข้าม(หัว) ไปถึงอาเฮียนี่หว่า ว่านี่เด็กของข้า ลื้ออย่ามาแหยม!
    หลังจากกำชับนักวิ่งพลัดไม่ให้แตกแถวแล้ว คราวนี้ก็ต้องมาดูนักการเมือง ที่จะใช้บริการ ซึ่งตอนนี้ก็มีอยู่ 2 พรรคใหญ่ ระหว่างพรรคแมลงสาบกับพรรคของเหลี่ยมร้าย เอาไงดีล่ะ จิ๊กโก๋๋คิดไม่ตก
    พรรคแมลงสาบนี่ จิ๊กโก๋๋รู้จักดี ตั้งกะสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ปู่เสนีย์เป็นหัวหน้าเสรีไทยฝ่ายสหรัฐ พรรคนี้เคยคิดอย่างไร ทำอย่างไร ตั้งแต่สมัยสงครามโลก เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น สมเป็นพรรคแมลงสาปจริง ๆ หัวสมองอยู่ในกระป๋องสี่เหลี่ยม แก้ไม่หาย อุตส่าห์ปั๊ดตะนา เปลี่ยนหัวหน้าพรรคมาจนเดี๋ยวนี้ได้ good boyหน้าหล่อสายอังกฤษ
    แต่มันก็คิดเป็น ทำเป็น แบบจวนสอบได้ ซะเกือบทุกเรื่อง ขนาดแม่ยกยังลุ้นซะจนจะ ล.ด หลายตลบแล้วจิ๊กโก๋๋จะรับไหวเหร๊อ แต่มันก็ว่าง่ายดีนะ ดูตอนกู้เงิน IMF แล้วกัน 5 5 5 พวกไอรวยมาแยะนะ อ้ายน้อย
    ไม่เอาแมลงสาบแล้วจะเอาใคร
    ก็พรรคของเหลี่ยมร้ายไง เหลี่ยมร้ายไม่สนใจอาณาเขต เหลี่ยมร้ายไม่สนใจพรมแดน เหลี่ยมร้ายไม่สนใจขนบธรรมเนียมประเพณี เหลี่ยมร้ายไม่รู้จักความดีงาม เหลี่ยมร้ายไม่รู้จักคุณค่าของ สถาบัน เหลี่ยมร้ายรู้จักแต่อำนาจ การโกหก การโกงทุกรูปแบบ และทุน ทุน ทุน ไม่ว่าจะเป็น ทุนนิยมเสรี ทุนในชาติ ทุนข้ามชาติ ประชานิยม ฯลฯ ล้วนเป็นเรื่องที่เหลี่ยมรัก เหลี่ยมโปรดทั้งนั้น อืม! น่าสนใจ ความคิดคล้ายๆ กับผู้ใดหนอ
    แถม เหลี่ยมก็เคยปลาบปลื้ม จนลืมตน วิ่งไปเชิญ วิ่งไปซบคุณพ่อจิ๊กโก๋๋ มาหลายหน คุณจิ๊กโก๋๋ตัวลูก จอมกร่าง ยิ่งแล้วใหญ่ เหลี่ยมนับเป็นเพื่อนเลยนะ ลองไปหา cable ทูตอเมริกา (ที่วิกิลีกส์ Wikileaks ขวัญใจผม อภินันทนาการแก่ชาวโลก)
    มันรายงานออกมาจ้อยๆ ว่า เหลี่ยมร้าย ปลื้มจิ๊กโก๋๋ขนาดไหน โดนดุ โดนเตือนก็ไปฟ้องคุณพ่ออเมริกันทุกครั้ง แหม ตัวอยู่ไทย แต่ใจเป็นของคุณพ่อจิ๊กโก๋๋หมดแล้ว แบบนี้ไม่เลือกเป็นร่างทรงก็ใจจืดไปหน่อยนะ…
    แต่จิ๊กโก๋๋ไม่โง่ จะใช้คนอย่างเหลี่ยมร้าย มันต้องป้อนด้วย อำนาจและเงินไปตลอด แล้วมันเกิดทำใหญ่คับเกินฟ้า ชาวประชารับไม่ได้ (ก็กำลังชุมนุมขับไล่โค่นล้มอยู่นี่ไง) จิ๊กโก๋๋ จะควบคุมไหวหรือ เอ๊ะ หรือจะเข้าทาง!
    ดูประธานาธิบดีมากอส พระเจ้าชาห์แห่งอิหร่าน มูบารักของอียิปต์ ฯลฯ เป็นตัวอย่างแล้วกัน เด็กสร้างของ จิ๊กโก๋๋ทั้งนั้น ถึงจุดหนึ่งหมดประโยชน์หรือคุมไม่ได้ จิ๊กโก๋๋ก็จัดการเก็บฉาก ให้กลับบ้านเก่ากันแทบไม่ทัน บางคนแทบไม่มีเวลาแต่งศพให้สวย
    ถ้าเหลี่ยมร้ายบังเอิญโชคดี ได้อ่านนิทานเรื่องนี้ ก็อ่านตอนนี้หลายๆ เที่ยวหน่อยนะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือนกัน ยังไงก็คนเคยเห็นหน้า (ทางจอทีวี ฮา) มาหลายหน แต่หนหลังๆ นี้ บอกกันไม่อ้อมค้อมนะ ดูทุเรศ จริงๆ
    บอกได้เลยว่า การประทับทรงไทยแลนด์ของจิ๊กโก๋๋ครั้งนี้ ไม่ง่ายสะดวกโยธินเหมือนสมัยสงคราม เวียต นาม คราวนั้นบ้านเรายังไม่มีกีฬาสี และสถานการณ์ก็สร้างไว้ชัดเจน ถูกเขาขู่ว่า ถ้าไม่สู้คอมมี่ พวกยูก็อาจไม่มีแผ่น ดินเหลือให้นั่งชนไก่
    แต่ตอนนี้กะตอนนู้น มันไม่เหมือนกันนะ คราวนี้ถ้าขู่ว่าจะให้เลือก ระหว่างจิ๊กโก๋๋ผมทอง กับอาเฮียตาตี่ มันก็ไม่ง่ายนะพี่เบิ้ม ระวังมันจะพลิกล็อก
    คนไทยน่ะ นับดีๆ เผลอๆ มีกว่าครึ่งประเทศ ที่มีเชื้อสายจีนปนอยู่ ถึงแม้เขาจะไปฟอกผิวขาวทำตาโต แต่เชื้อไขข้างใน มันก็ยังเชื้อสายจีนปน ถึงเวลาตรุษจีน ก็เอาเป็ดเอาไก่ไปไหว้เจ้าปิดถนนฉลองกัน แล้วใจคอยูจะให้เขาตัดขาดจากอาม้า อาก๋ง เขาง่าย ๆ หรือ จิ๊กโก๋๋คิดให้ดีๆ
    คราวนี้ถ้าจิ๊กโก๋๋คิดว่า ซอยนี้ต้องเป็นของกูคนเดียว ไม่ให้ใครเข้ามายุ่งด้วย บอกได้คำเดียวว่าเหนื่อย เหนื่อยทั้งจิ๊กโก๋๋ และเหนื่อยทั้งสมันน้อย อเมริกาเหนื่อยอย่างไร สมัยต่อสู้กับระบอบคอมมิวนิสต์ มันขู่ให้เรากลัวว่า ระบอบคอมมิวนิสต์เป็นภัยต่อประชาธิปไตย ประชาชนไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของทรัพย์สิน ทุกอย่างตกเป็นของรัฐ แค่นี้นายทุนเศรษฐีบ้านเราก็หน้าตก หูตูบกันหมดแล้ว ทุกคนต้องทำงานให้คอมมูน เพื่อความเท่าเทียมกัน ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ คนไทยเคยอยู่สบายๆ เช้าอยากลุกก็ลุก ไม่อยากก็นอนจนตะวันตรงท้ายทอย แล้วค่อยขยับก้นย้ายออกมา ก็ไม่มีใครว่า แล้วถ้าเป็นคอมมูน มันจะมาทำท่านอนบิดขี้เกียจอย่างนี้ได้เหรอ
    ขู่แบบนี้เข้าไปทุกวัน พออเมริกาบอกว่า ไอจะกำจัดระบอบนี้ให้ออกไปจากภูมิภาคนี้ ชาวเราก็มองเขาเหมือนเทวดามาโปรด
    แต่ตอนนี้ไม่มีผีคอมมี่ให้สร้างแล้ว ของจริงที่ไทยแลนด์ควรมองคือ อาเฮียตาตี่ ไม่ได้เดินย้ายพุงมาคนเดียว แต่เกี่ยวแขนมากับเพื่อนอีกหลายพันล้านคน ในนามของ BRICS จำได้ไหม บราซิล (Brazil) รัสเซีย (Russia) อินเดีย (India) จีน (China) และแอฟริกาใต้ (South Africa) รวมทั้งหมด เกือบ สามพันล้านคน ตลาดใหญ่นะ
    แถมตอนนี้อาเฮียฟิตจัด ตั้งกลุ่มเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Cooperation Organization) หรือ SCO กับพี่ใหญ่รัสเซียและประเทศแถบรัสเซีย ที่จีนมีอาณาเขตติดต่อกันอยู่ แปลว่าถ้าอเมริกาจะมองว่าจีนเป็นศัตรู ต้องรวมเพื่อนของศัตรู เข้าไปด้วย เข้าใจไหม
    แต่ของจริงอเมริกา มองจีนอย่างไร มีระบุไว้ในเอกสาร The National Strategy Forum Review ปี ค.ศ.2011 ว่า สัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐ ในศตวรรษที่ 21 นับว่าเป็นสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่สำคัญที่สุดในโลก ส่วนหนึ่งสืบเนื่องมาจากการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของจีน และการเสื่อมถอยจากการเป็นผู้นำสุดยอด ของสหรัฐในต่างประเทศ ประกอบกับการที่จีน กำลังพยายามขยายบทบาทในเอเชียแปซิฟิก โดยใช่ว่าจะเห็นพ้องกับนโยบายของสหรัฐเสมอไป ที่สำคัญดูเหมือนว่ากระแสความไม่ไว้ใจและไม่เข้าใจระหว่างประเทศทั้ง 2 จะสูงขึ้นเป็นลำดับอ่านแล้วเป็นงง
    พูดภาษาจิ๊กโก๋๋ ให้เข้าใจง่ายๆดีกว่า สรุปว่า ไอ้จิ๊กโก๋๋มันแสดงอาการหวงรางหญ้า หวงกระดูก

    คนเล่านิทาน
     ตอน 18 อเมริกาคิดจะทำอะไร ต้องแน่ใจว่าคุมสถานการณ์ คุมเกมได้เบ็ดเสร็จ เมื่อได้เลือกไทยแลนด์แดนสวรรค์ เป็นแหล่งประทับทรง เพื่อเอาไว้จับจ้อง เตรียมต่อกรกับจีน ถึงจะไม่เป็นงานช้างแบบสู้กับคอมมี่ ตรงไปตรงมา แต่สู้กับอาเฮียตาตี่ที่ กำลังเนื้อหอม แถมจิ๊กโก๋๋ก็ทิ้งสาวไทยไปนาน จะกลับเข้ามาก็ต้องดูดีๆ เสียเชิงอาเฮียนี่มันรับไม่ได้จริงๆ นะ และโปรดอย่าลืมสันดานเดิมของจิ๊กโก๋๋นักเลงนักล้วง อเมริกาไม่เคยตีตั๋วใบเดียว ไม่เคยเล่นไพ่หน้าเดียว จากรายงานของซีไอเอ ที่เดินสายกันให้ควักไขว้ ออกอาการว่า จิ๊กโก๋๋คิดหนัก จะเลือกใครเป็นร่างทรงดี สมัยสู้คอมมี่ จอมพลคนแปลกเป็นนายก อเมริกาก็สนับสนุน 2 นายพล เอาไว้เป็นตัวเลือกคือ นายพลเผ่า กับ นายพลสฤษดิ์ ทั้งฟูมทั้งฟัก ทั้ง 2 นายพล อยากได้อะไรก็ประเคนให้ทั้งคู่ รอดูจนแน่ใจแล้วก็เคาะโป๊ก หวยออกที่นายพลสฤษดิ์ ให้เป็นผู้นำคนต่อไปของประเทศไทยแลนด์ ภายใต้การชักใยของสหรัฐ คราวนี้ก็เหมือนกัน อเมริกามีตัวเลือกแยะขึ้น แต่ยากขึ้น มองด้านความแน่นอน สัมพันธ์เก่ามีมาต่อเนื่องกว่า 50 ปี ก็มีกลุ่มนักวิ่งผลัด แต่สมัยนี้จะไปชักใย ให้ขยับขาซ้ายย้ายขาขวา อย่างเมื่อก่อนมันไม่ได้แล้วนะ ก็ดันไปตั้ง Doctrine ของตัวเองสนับสนุนประชาธิปไตยให้บานแฉ่ง แล้วถ้าเอาพี่ทหารนักวิ่งผลัดมา ป.ว. เป็นร่างทรงน่ะ ชาวบ้านเขามินินทาเอาหรือจ๊ะ ว่า ปากว่าตาขยิบ จะเป็นตัวเลือกหรือเปล่ายังไม่รู้ แต่เพื่อให่แน่ใจว่านักวิ่งพลัดไม่นอกใจ ปลายปี พ.ศ. 2555/ค.ศ.2012 พี่เบิ้มก็ส่งนายลีออน เพนเนตต้า (Leon Pennetta) รมว กลาโหม มานั่งจับเข่า คุณพี่สุกำพล รมว กลาโหมของไทยตอนนั้น อย่าลืมนะ สมันน้อย เราอุ้มเจ้าลงเปลเห่กล่อมมากว่า 50 ปีแล้ว สมันน้อยจะไปเห็นคนอื่นดีกว่าเราได้ยังไง ว่าแล้วจากจับเข่า ก็เปลี่ยนเป็นจับมือสมันน้อย แปะโป้งทำสัญญา ซึ่งแปลงเขียนเป็นแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วม (แหม! อีลูกช่างตะแบง กลัวจะเป็นหนังสือสัญญา ตามมาตรา ม190 ของรัฐธรรมนูญไง) ว่า ด้วยการเป็นหุ้นส่วนร่วมด้านความมั่นคงในศตวรรษที่ 21 ฮั่นแน่ โจ๋งครึ่มจริงๆ ไอ้นี่ มันเป็นการส่งสารข้าม(หัว) ไปถึงอาเฮียนี่หว่า ว่านี่เด็กของข้า ลื้ออย่ามาแหยม! หลังจากกำชับนักวิ่งพลัดไม่ให้แตกแถวแล้ว คราวนี้ก็ต้องมาดูนักการเมือง ที่จะใช้บริการ ซึ่งตอนนี้ก็มีอยู่ 2 พรรคใหญ่ ระหว่างพรรคแมลงสาบกับพรรคของเหลี่ยมร้าย เอาไงดีล่ะ จิ๊กโก๋๋คิดไม่ตก พรรคแมลงสาบนี่ จิ๊กโก๋๋รู้จักดี ตั้งกะสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ปู่เสนีย์เป็นหัวหน้าเสรีไทยฝ่ายสหรัฐ พรรคนี้เคยคิดอย่างไร ทำอย่างไร ตั้งแต่สมัยสงครามโลก เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น สมเป็นพรรคแมลงสาปจริง ๆ หัวสมองอยู่ในกระป๋องสี่เหลี่ยม แก้ไม่หาย อุตส่าห์ปั๊ดตะนา เปลี่ยนหัวหน้าพรรคมาจนเดี๋ยวนี้ได้ good boyหน้าหล่อสายอังกฤษ แต่มันก็คิดเป็น ทำเป็น แบบจวนสอบได้ ซะเกือบทุกเรื่อง ขนาดแม่ยกยังลุ้นซะจนจะ ล.ด หลายตลบแล้วจิ๊กโก๋๋จะรับไหวเหร๊อ แต่มันก็ว่าง่ายดีนะ ดูตอนกู้เงิน IMF แล้วกัน 5 5 5 พวกไอรวยมาแยะนะ อ้ายน้อย ไม่เอาแมลงสาบแล้วจะเอาใคร ก็พรรคของเหลี่ยมร้ายไง เหลี่ยมร้ายไม่สนใจอาณาเขต เหลี่ยมร้ายไม่สนใจพรมแดน เหลี่ยมร้ายไม่สนใจขนบธรรมเนียมประเพณี เหลี่ยมร้ายไม่รู้จักความดีงาม เหลี่ยมร้ายไม่รู้จักคุณค่าของ สถาบัน เหลี่ยมร้ายรู้จักแต่อำนาจ การโกหก การโกงทุกรูปแบบ และทุน ทุน ทุน ไม่ว่าจะเป็น ทุนนิยมเสรี ทุนในชาติ ทุนข้ามชาติ ประชานิยม ฯลฯ ล้วนเป็นเรื่องที่เหลี่ยมรัก เหลี่ยมโปรดทั้งนั้น อืม! น่าสนใจ ความคิดคล้ายๆ กับผู้ใดหนอ แถม เหลี่ยมก็เคยปลาบปลื้ม จนลืมตน วิ่งไปเชิญ วิ่งไปซบคุณพ่อจิ๊กโก๋๋ มาหลายหน คุณจิ๊กโก๋๋ตัวลูก จอมกร่าง ยิ่งแล้วใหญ่ เหลี่ยมนับเป็นเพื่อนเลยนะ ลองไปหา cable ทูตอเมริกา (ที่วิกิลีกส์ Wikileaks ขวัญใจผม อภินันทนาการแก่ชาวโลก) มันรายงานออกมาจ้อยๆ ว่า เหลี่ยมร้าย ปลื้มจิ๊กโก๋๋ขนาดไหน โดนดุ โดนเตือนก็ไปฟ้องคุณพ่ออเมริกันทุกครั้ง แหม ตัวอยู่ไทย แต่ใจเป็นของคุณพ่อจิ๊กโก๋๋หมดแล้ว แบบนี้ไม่เลือกเป็นร่างทรงก็ใจจืดไปหน่อยนะ… แต่จิ๊กโก๋๋ไม่โง่ จะใช้คนอย่างเหลี่ยมร้าย มันต้องป้อนด้วย อำนาจและเงินไปตลอด แล้วมันเกิดทำใหญ่คับเกินฟ้า ชาวประชารับไม่ได้ (ก็กำลังชุมนุมขับไล่โค่นล้มอยู่นี่ไง) จิ๊กโก๋๋ จะควบคุมไหวหรือ เอ๊ะ หรือจะเข้าทาง! ดูประธานาธิบดีมากอส พระเจ้าชาห์แห่งอิหร่าน มูบารักของอียิปต์ ฯลฯ เป็นตัวอย่างแล้วกัน เด็กสร้างของ จิ๊กโก๋๋ทั้งนั้น ถึงจุดหนึ่งหมดประโยชน์หรือคุมไม่ได้ จิ๊กโก๋๋ก็จัดการเก็บฉาก ให้กลับบ้านเก่ากันแทบไม่ทัน บางคนแทบไม่มีเวลาแต่งศพให้สวย ถ้าเหลี่ยมร้ายบังเอิญโชคดี ได้อ่านนิทานเรื่องนี้ ก็อ่านตอนนี้หลายๆ เที่ยวหน่อยนะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือนกัน ยังไงก็คนเคยเห็นหน้า (ทางจอทีวี ฮา) มาหลายหน แต่หนหลังๆ นี้ บอกกันไม่อ้อมค้อมนะ ดูทุเรศ จริงๆ บอกได้เลยว่า การประทับทรงไทยแลนด์ของจิ๊กโก๋๋ครั้งนี้ ไม่ง่ายสะดวกโยธินเหมือนสมัยสงคราม เวียต นาม คราวนั้นบ้านเรายังไม่มีกีฬาสี และสถานการณ์ก็สร้างไว้ชัดเจน ถูกเขาขู่ว่า ถ้าไม่สู้คอมมี่ พวกยูก็อาจไม่มีแผ่น ดินเหลือให้นั่งชนไก่ แต่ตอนนี้กะตอนนู้น มันไม่เหมือนกันนะ คราวนี้ถ้าขู่ว่าจะให้เลือก ระหว่างจิ๊กโก๋๋ผมทอง กับอาเฮียตาตี่ มันก็ไม่ง่ายนะพี่เบิ้ม ระวังมันจะพลิกล็อก คนไทยน่ะ นับดีๆ เผลอๆ มีกว่าครึ่งประเทศ ที่มีเชื้อสายจีนปนอยู่ ถึงแม้เขาจะไปฟอกผิวขาวทำตาโต แต่เชื้อไขข้างใน มันก็ยังเชื้อสายจีนปน ถึงเวลาตรุษจีน ก็เอาเป็ดเอาไก่ไปไหว้เจ้าปิดถนนฉลองกัน แล้วใจคอยูจะให้เขาตัดขาดจากอาม้า อาก๋ง เขาง่าย ๆ หรือ จิ๊กโก๋๋คิดให้ดีๆ คราวนี้ถ้าจิ๊กโก๋๋คิดว่า ซอยนี้ต้องเป็นของกูคนเดียว ไม่ให้ใครเข้ามายุ่งด้วย บอกได้คำเดียวว่าเหนื่อย เหนื่อยทั้งจิ๊กโก๋๋ และเหนื่อยทั้งสมันน้อย อเมริกาเหนื่อยอย่างไร สมัยต่อสู้กับระบอบคอมมิวนิสต์ มันขู่ให้เรากลัวว่า ระบอบคอมมิวนิสต์เป็นภัยต่อประชาธิปไตย ประชาชนไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของทรัพย์สิน ทุกอย่างตกเป็นของรัฐ แค่นี้นายทุนเศรษฐีบ้านเราก็หน้าตก หูตูบกันหมดแล้ว ทุกคนต้องทำงานให้คอมมูน เพื่อความเท่าเทียมกัน ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ คนไทยเคยอยู่สบายๆ เช้าอยากลุกก็ลุก ไม่อยากก็นอนจนตะวันตรงท้ายทอย แล้วค่อยขยับก้นย้ายออกมา ก็ไม่มีใครว่า แล้วถ้าเป็นคอมมูน มันจะมาทำท่านอนบิดขี้เกียจอย่างนี้ได้เหรอ ขู่แบบนี้เข้าไปทุกวัน พออเมริกาบอกว่า ไอจะกำจัดระบอบนี้ให้ออกไปจากภูมิภาคนี้ ชาวเราก็มองเขาเหมือนเทวดามาโปรด แต่ตอนนี้ไม่มีผีคอมมี่ให้สร้างแล้ว ของจริงที่ไทยแลนด์ควรมองคือ อาเฮียตาตี่ ไม่ได้เดินย้ายพุงมาคนเดียว แต่เกี่ยวแขนมากับเพื่อนอีกหลายพันล้านคน ในนามของ BRICS จำได้ไหม บราซิล (Brazil) รัสเซีย (Russia) อินเดีย (India) จีน (China) และแอฟริกาใต้ (South Africa) รวมทั้งหมด เกือบ สามพันล้านคน ตลาดใหญ่นะ แถมตอนนี้อาเฮียฟิตจัด ตั้งกลุ่มเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Cooperation Organization) หรือ SCO กับพี่ใหญ่รัสเซียและประเทศแถบรัสเซีย ที่จีนมีอาณาเขตติดต่อกันอยู่ แปลว่าถ้าอเมริกาจะมองว่าจีนเป็นศัตรู ต้องรวมเพื่อนของศัตรู เข้าไปด้วย เข้าใจไหม แต่ของจริงอเมริกา มองจีนอย่างไร มีระบุไว้ในเอกสาร The National Strategy Forum Review ปี ค.ศ.2011 ว่า สัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐ ในศตวรรษที่ 21 นับว่าเป็นสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่สำคัญที่สุดในโลก ส่วนหนึ่งสืบเนื่องมาจากการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของจีน และการเสื่อมถอยจากการเป็นผู้นำสุดยอด ของสหรัฐในต่างประเทศ ประกอบกับการที่จีน กำลังพยายามขยายบทบาทในเอเชียแปซิฟิก โดยใช่ว่าจะเห็นพ้องกับนโยบายของสหรัฐเสมอไป ที่สำคัญดูเหมือนว่ากระแสความไม่ไว้ใจและไม่เข้าใจระหว่างประเทศทั้ง 2 จะสูงขึ้นเป็นลำดับอ่านแล้วเป็นงง พูดภาษาจิ๊กโก๋๋ ให้เข้าใจง่ายๆดีกว่า สรุปว่า ไอ้จิ๊กโก๋๋มันแสดงอาการหวงรางหญ้า หวงกระดูก คนเล่านิทาน
    1 Comments 0 Shares 307 Views 0 Reviews
  • เล่าให้ฟังใหม่: คนอังกฤษแห่ใช้ Proxy แทน VPN เพื่อหลบเลี่ยงการยืนยันอายุ — แต่ความปลอดภัยอาจเป็นสิ่งที่ต้องแลก

    หลังจากที่สหราชอาณาจักรเริ่มบังคับใช้กฎหมาย Online Safety Act ซึ่งกำหนดให้เว็บไซต์ต้องมีระบบยืนยันอายุผู้ใช้งาน เช่น การสแกนใบหน้า การใช้บัตรเครดิต หรือการอัปโหลดเอกสารทางราชการ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวนมากเริ่มรู้สึกว่าความเป็นส่วนตัวของตนถูกละเมิด

    ผลคือ มีการหันมาใช้เครื่องมือหลบเลี่ยงการตรวจสอบ เช่น VPN และ proxy อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะ proxy ที่มีการใช้งานเพิ่มขึ้นถึง 88% จากผู้ใช้ในสหราชอาณาจักรในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

    Proxy และ VPN ต่างก็ช่วยซ่อน IP และเข้าถึงเนื้อหาที่ถูกจำกัด แต่ proxy มักไม่มีการเข้ารหัสข้อมูล ทำให้ข้อมูลของผู้ใช้อาจถูกมองเห็นได้โดยผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือบุคคลที่สาม ในขณะที่ VPN มีการเข้ารหัสแบบ end-to-end ซึ่งปลอดภัยกว่า

    แม้ proxy จะมีข้อดีในด้านความเร็ว ความยืดหยุ่น และการหลบเลี่ยงระบบตรวจจับ แต่ก็ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการความปลอดภัยสูง โดยเฉพาะในยุคที่การละเมิดข้อมูลส่วนตัวเกิดขึ้นบ่อยครั้ง

    ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในสหราชอาณาจักรหันมาใช้ proxy เพื่อหลบเลี่ยงการยืนยันอายุ
    การใช้งาน proxy เพิ่มขึ้น 88% และจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้น 65%

    กฎหมาย Online Safety Act บังคับให้เว็บไซต์ต้องตรวจสอบอายุผู้ใช้
    ส่งผลกระทบต่อทั้งเว็บไซต์ผู้ใหญ่และโซเชียลมีเดีย เช่น Reddit และ X

    Proxy ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ใช้กับเว็บไซต์
    ช่วยซ่อน IP และเข้าถึงเนื้อหาที่ถูกจำกัด

    VPN มีการเข้ารหัสข้อมูลแบบ end-to-end
    ปลอดภัยกว่าการใช้ proxy ที่ไม่มีการเข้ารหัส

    บริษัทในสหราชอาณาจักรเริ่มใช้ proxy เพื่อการวิจัยตลาดและการจัดการข้อมูล
    เช่น การติดตามราคาสินค้า การตรวจสอบโฆษณา และการป้องกันบอท

    Proxy มีความยืดหยุ่นสูง เช่น การเปลี่ยน IP แบบไดนามิกและการกำหนดตำแหน่งเฉพาะ
    เหมาะกับงานที่ต้องการควบคุม footprint ดิจิทัล

    https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/brits-are-turning-from-vpns-to-proxies-to-resist-age-verification-but-their-data-may-be-at-risk
    🕵️‍♂️🌐 เล่าให้ฟังใหม่: คนอังกฤษแห่ใช้ Proxy แทน VPN เพื่อหลบเลี่ยงการยืนยันอายุ — แต่ความปลอดภัยอาจเป็นสิ่งที่ต้องแลก หลังจากที่สหราชอาณาจักรเริ่มบังคับใช้กฎหมาย Online Safety Act ซึ่งกำหนดให้เว็บไซต์ต้องมีระบบยืนยันอายุผู้ใช้งาน เช่น การสแกนใบหน้า การใช้บัตรเครดิต หรือการอัปโหลดเอกสารทางราชการ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวนมากเริ่มรู้สึกว่าความเป็นส่วนตัวของตนถูกละเมิด ผลคือ มีการหันมาใช้เครื่องมือหลบเลี่ยงการตรวจสอบ เช่น VPN และ proxy อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะ proxy ที่มีการใช้งานเพิ่มขึ้นถึง 88% จากผู้ใช้ในสหราชอาณาจักรในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา Proxy และ VPN ต่างก็ช่วยซ่อน IP และเข้าถึงเนื้อหาที่ถูกจำกัด แต่ proxy มักไม่มีการเข้ารหัสข้อมูล ทำให้ข้อมูลของผู้ใช้อาจถูกมองเห็นได้โดยผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือบุคคลที่สาม ในขณะที่ VPN มีการเข้ารหัสแบบ end-to-end ซึ่งปลอดภัยกว่า แม้ proxy จะมีข้อดีในด้านความเร็ว ความยืดหยุ่น และการหลบเลี่ยงระบบตรวจจับ แต่ก็ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการความปลอดภัยสูง โดยเฉพาะในยุคที่การละเมิดข้อมูลส่วนตัวเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ✅ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในสหราชอาณาจักรหันมาใช้ proxy เพื่อหลบเลี่ยงการยืนยันอายุ ➡️ การใช้งาน proxy เพิ่มขึ้น 88% และจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้น 65% ✅ กฎหมาย Online Safety Act บังคับให้เว็บไซต์ต้องตรวจสอบอายุผู้ใช้ ➡️ ส่งผลกระทบต่อทั้งเว็บไซต์ผู้ใหญ่และโซเชียลมีเดีย เช่น Reddit และ X ✅ Proxy ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ใช้กับเว็บไซต์ ➡️ ช่วยซ่อน IP และเข้าถึงเนื้อหาที่ถูกจำกัด ✅ VPN มีการเข้ารหัสข้อมูลแบบ end-to-end ➡️ ปลอดภัยกว่าการใช้ proxy ที่ไม่มีการเข้ารหัส ✅ บริษัทในสหราชอาณาจักรเริ่มใช้ proxy เพื่อการวิจัยตลาดและการจัดการข้อมูล ➡️ เช่น การติดตามราคาสินค้า การตรวจสอบโฆษณา และการป้องกันบอท ✅ Proxy มีความยืดหยุ่นสูง เช่น การเปลี่ยน IP แบบไดนามิกและการกำหนดตำแหน่งเฉพาะ ➡️ เหมาะกับงานที่ต้องการควบคุม footprint ดิจิทัล https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/brits-are-turning-from-vpns-to-proxies-to-resist-age-verification-but-their-data-may-be-at-risk
    WWW.TECHRADAR.COM
    Brits are turning from VPNs to proxies to resist age verification – but their data may be at risk
    Decodo, a prominent proxy service, reported a sharp rise in proxy users coming from the UK
    0 Comments 0 Shares 172 Views 0 Reviews
  • ศาลรัฐธรรมนูญให้พยานส่งเอกสารภายใน 15 วัน...คดี "ภูมิธรรม-ทวี" ใช้อำนาจแทรกแซง "ฮั้วเลือกสว."
    https://www.thai-tai.tv/news/20899/
    .
    #ภูมิธรรมเวชยชัย #ทวีสอดส่อง #ศาลรัฐธรรมนูญ #ข่าวการเมือง #การเมืองไทย #ไทยไท

    ศาลรัฐธรรมนูญให้พยานส่งเอกสารภายใน 15 วัน...คดี "ภูมิธรรม-ทวี" ใช้อำนาจแทรกแซง "ฮั้วเลือกสว." https://www.thai-tai.tv/news/20899/ . #ภูมิธรรมเวชยชัย #ทวีสอดส่อง #ศาลรัฐธรรมนูญ #ข่าวการเมือง #การเมืองไทย #ไทยไท
    0 Comments 0 Shares 117 Views 0 Reviews
More Results