• เรื่องเล่าจาก James Watt ถึง Porsche Turbo S: เมื่อหน่วยวัดพลังกลกลายเป็นเรื่องที่ต้องแปลก่อนเข้าใจ

    แรงม้า (horsepower) เป็นหน่วยวัดพลังงานที่ James Watt คิดค้นขึ้นในศตวรรษที่ 18 เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของเครื่องจักรไอน้ำกับแรงของม้า โดยนิยามว่า 1 แรงม้าเท่ากับ 550 ฟุต-ปอนด์ต่อวินาที ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานในสหรัฐฯ

    แต่ในยุโรปกลับใช้ระบบเมตริก โดยนิยาม “แรงม้าเมตริก” หรือ PS (Pferdestärke ในเยอรมัน) และ CV (Cavalli Vapore ในอิตาลี) ว่าเท่ากับ 735.5 วัตต์ ขณะที่แรงม้าแบบอเมริกันเท่ากับ 745.7 วัตต์ ทำให้แรงม้าเมตริกต่ำกว่าประมาณ 1.4% ดังนั้นรถที่มี 100 PS จะเท่ากับประมาณ 98.6 hp แบบอเมริกัน

    ความต่างนี้สร้างความสับสนให้กับผู้ซื้อรถข้ามประเทศ เช่น Bugatti Veyron ที่เปิดตัวด้วยแรงม้า 1,000 PS แต่ในสหรัฐฯ ต้องระบุว่า 986 hp หรือ McLaren 765LT ที่ชื่อรุ่นอิงจาก 765 PS แต่ในอเมริกามีแรงม้าเพียง 755 hp

    เพื่อแก้ปัญหานี้ ผู้ผลิตรถยนต์เริ่มระบุพลังงานในหน่วยกิโลวัตต์ (kW) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล โดย 1 kW เท่ากับ 1,000 วัตต์ หรือประมาณ 1.341 hp และ 1.36 PS เช่น Porsche 911 Turbo S ที่ระบุว่า 478 kW, 641 hp และ 650 PS—ทั้งหมดคือค่าพลังงานเดียวกันแต่ต่างหน่วย

    ในรถยนต์ไฟฟ้า หน่วย kW กลายเป็นมาตรฐานหลัก เช่นมอเตอร์ 100 kW จะให้แรงม้า 134 hp หรือ 136 PS ซึ่งช่วยให้เปรียบเทียบได้ง่ายขึ้นระหว่างตลาดต่างประเทศ

    อย่างไรก็ตาม แม้แรงม้าจะเป็นตัวเลขที่คนชอบพูดถึง แต่ประสิทธิภาพของรถยังขึ้นอยู่กับแรงบิด (torque), น้ำหนัก, อัตราทดเกียร์ และแอโรไดนามิก ซึ่งมีผลต่อการเร่งและการขับขี่มากกว่าแรงม้าเพียงอย่างเดียว

    ความแตกต่างของหน่วยแรงม้า
    แรงม้าแบบอเมริกัน (hp) = 745.7 วัตต์
    แรงม้าเมตริก (PS/CV) = 735.5 วัตต์
    PS ต่ำกว่า hp ประมาณ 1.4%

    ตัวอย่างรถที่ใช้หน่วยต่างกัน
    Bugatti Veyron: 1,000 PS = 986 hp
    McLaren 765LT: 765 PS = 755 hp
    Porsche 911 Turbo S: 478 kW = 641 hp = 650 PS

    การใช้หน่วยกิโลวัตต์ (kW)
    1 kW = 1.341 hp และ 1.36 PS
    รถไฟฟ้าใช้ kW เป็นมาตรฐาน เช่น 100 kW = 134 hp
    ช่วยให้เปรียบเทียบข้ามประเทศได้ง่ายขึ้น

    ปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพรถ
    แรงบิด (torque) มีผลต่อการเร่งมากกว่าแรงม้า
    น้ำหนักรถและอัตราทดเกียร์มีผลต่อความเร็ว
    แอโรไดนามิกช่วยลดแรงต้านและเพิ่มประสิทธิภาพ

    https://www.slashgear.com/1958204/confusing-difference-between-american-european-horsepower/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก James Watt ถึง Porsche Turbo S: เมื่อหน่วยวัดพลังกลกลายเป็นเรื่องที่ต้องแปลก่อนเข้าใจ แรงม้า (horsepower) เป็นหน่วยวัดพลังงานที่ James Watt คิดค้นขึ้นในศตวรรษที่ 18 เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของเครื่องจักรไอน้ำกับแรงของม้า โดยนิยามว่า 1 แรงม้าเท่ากับ 550 ฟุต-ปอนด์ต่อวินาที ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานในสหรัฐฯ แต่ในยุโรปกลับใช้ระบบเมตริก โดยนิยาม “แรงม้าเมตริก” หรือ PS (Pferdestärke ในเยอรมัน) และ CV (Cavalli Vapore ในอิตาลี) ว่าเท่ากับ 735.5 วัตต์ ขณะที่แรงม้าแบบอเมริกันเท่ากับ 745.7 วัตต์ ทำให้แรงม้าเมตริกต่ำกว่าประมาณ 1.4% ดังนั้นรถที่มี 100 PS จะเท่ากับประมาณ 98.6 hp แบบอเมริกัน ความต่างนี้สร้างความสับสนให้กับผู้ซื้อรถข้ามประเทศ เช่น Bugatti Veyron ที่เปิดตัวด้วยแรงม้า 1,000 PS แต่ในสหรัฐฯ ต้องระบุว่า 986 hp หรือ McLaren 765LT ที่ชื่อรุ่นอิงจาก 765 PS แต่ในอเมริกามีแรงม้าเพียง 755 hp เพื่อแก้ปัญหานี้ ผู้ผลิตรถยนต์เริ่มระบุพลังงานในหน่วยกิโลวัตต์ (kW) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล โดย 1 kW เท่ากับ 1,000 วัตต์ หรือประมาณ 1.341 hp และ 1.36 PS เช่น Porsche 911 Turbo S ที่ระบุว่า 478 kW, 641 hp และ 650 PS—ทั้งหมดคือค่าพลังงานเดียวกันแต่ต่างหน่วย ในรถยนต์ไฟฟ้า หน่วย kW กลายเป็นมาตรฐานหลัก เช่นมอเตอร์ 100 kW จะให้แรงม้า 134 hp หรือ 136 PS ซึ่งช่วยให้เปรียบเทียบได้ง่ายขึ้นระหว่างตลาดต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม แม้แรงม้าจะเป็นตัวเลขที่คนชอบพูดถึง แต่ประสิทธิภาพของรถยังขึ้นอยู่กับแรงบิด (torque), น้ำหนัก, อัตราทดเกียร์ และแอโรไดนามิก ซึ่งมีผลต่อการเร่งและการขับขี่มากกว่าแรงม้าเพียงอย่างเดียว ✅ ความแตกต่างของหน่วยแรงม้า ➡️ แรงม้าแบบอเมริกัน (hp) = 745.7 วัตต์ ➡️ แรงม้าเมตริก (PS/CV) = 735.5 วัตต์ ➡️ PS ต่ำกว่า hp ประมาณ 1.4% ✅ ตัวอย่างรถที่ใช้หน่วยต่างกัน ➡️ Bugatti Veyron: 1,000 PS = 986 hp ➡️ McLaren 765LT: 765 PS = 755 hp ➡️ Porsche 911 Turbo S: 478 kW = 641 hp = 650 PS ✅ การใช้หน่วยกิโลวัตต์ (kW) ➡️ 1 kW = 1.341 hp และ 1.36 PS ➡️ รถไฟฟ้าใช้ kW เป็นมาตรฐาน เช่น 100 kW = 134 hp ➡️ ช่วยให้เปรียบเทียบข้ามประเทศได้ง่ายขึ้น ✅ ปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพรถ ➡️ แรงบิด (torque) มีผลต่อการเร่งมากกว่าแรงม้า ➡️ น้ำหนักรถและอัตราทดเกียร์มีผลต่อความเร็ว ➡️ แอโรไดนามิกช่วยลดแรงต้านและเพิ่มประสิทธิภาพ https://www.slashgear.com/1958204/confusing-difference-between-american-european-horsepower/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The Confusing Difference Between American And European Horsepower - SlashGear
    Thanks to differences to the metric and imperial system of measurements, horsepower doesn't mean the exact same thing in all parts of the world.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด”
    ตอนที่ 2
    จะดูว่านักล่ามันใหญ่จริงไหม ดูง่าย ๆ มีชาติไหนบ้างที่สามารถตั้งฐานทัพของตัวเอง
    ไว้ในประเทศอื่นได้บ้าง เอาประเทศที่ว่าใหญ่ ๆ นะ เล็ก ๆ ไม่ต้องเสนอหน้า
    อินเดียเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่แค่ไหน พลเมืองมากเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับอเมริกา
    แขกก็กำลังรวย แอบสร้างอาวุธนิวเคลียร์ (เอ๊ะ ! ที่ยังงี้ทำไมไม่เห็นมีใครเสนอ ส่งหน่วยตรวจสอบจาก UN มาเลยนะ เอ้าคนอ่านนิทานลองคิดหาคำตอบกันเองบ้าง) เกือบมีฐานทัพในบ้านคนอื่น คือ Tajikistan แต่แค่เกือบแปลว่ายังไม่สำเร็จ แขกยังต้มไม่เก่งเท่านักล่า
    แล้วจีนล่ะ อาเฮียรวยจะตาย เศรษฐกิจโตพุ่งพรวดเป็นอันดับ 2 ของดวงดาวนี้ ขยายบ้านสร้างเมือง ไปเซียงไฮ้ นึกว่าไปปารีส (ฮา !) แล้วไง มีไหมฐานทัพในประเทศอื่น ของจริงยังม่ายมี ! มีแต่ข่าวว่าจะไป ตั้งที่เกาะเล็ก ๆ เกาะหนึ่ง แถวหมู่เกาะ
    Seychelles ในมหาสมุทรอินเดีย จิกโก๋บอกโถ ! แค่นี้ยังไม่มีปัญญา อย่ามาทำซ่ากะไอนะ !
    เอ้า ! รัสเซียของพี่ปูจอมอึด ว่าไง มีไหม ! อย่านะ ยุ่งกะจีนเรื่องนึง แต่รัสเซียของพี่ปูนี่ก็อีกเรื่องนึง ไม่จำเป็นอย่ายุ่ง สงครามเย็นน่ะ มันทำให้เหนื่อย ให้จนกันขนาดไหน ยังไม่เข็ดหรือไง ขอโทษ ! นึกว่าพี่ปูไม่มีหรือไง พี่ปูก็มีนะอยู่แถวเอเซียกลาง ฐานเล็ก ๆ 4,5 ฐาน ก็จริงอยู่ แต่ต่อไปอาจจะมีใครตาละห้อยมอง เพราะ the Great Great Game ศึกชิงน้ำมันกำลังเข้มข้นอยู่แถวนั้น
    อังกฤษล่ะ ในฐานะนักล่ารุ่นเก่าต้องรักษาฟอร์ม มีอยู่บ้างในอาฟกานิสถาน และตามเมืองขี้ข้าเก่า ของตนเองประมาณ 10 ฐาน เป็นฐานขนาดเล็กที่เยอรมันกับ Falkland ที่เหลือเป็นขนาดจ้อย ๆ
    ส่วนฝรั่งเศสก็มาฟอร์มเดี๋ยวกับอังกฤษ มีฐานเล็ก จิ๋ว ๆ ตามเมืองขี้ข้าเก่า ประมาณ
    10 ฐาน มีกำลังประจำฐานละไม่กี่ร้อยคน บางฐานมี 15 คน (ฮา !)
    ญี่ปุ่นเองมี 1 ฐานที่ Djiboutiเป็นฐานเล็กเอาไว้สู้กับโจรสลัด
    และอีกประเทศคือ ตุรกีมี 1 ฐาน อยู่ที่ไซปรัส หมดแล้วทั้งโลกนี้นะ
    เบ่งกล้ามกันได้เท่านี้ แล้วจะไปสู้อะไรกับพี่เบิ้มนักล่าหมายเลขหนึ่งได้
    แล้วพี่เบิ้มเองมีเท่าไหร่ อยู่ที่ไหนบ้าง
    รายงานของแต่ละหน่วยงานของอเมริกา บอกตัวเลขไม่เหมือนกัน (ฝรั่งก็แต่งตัวเลข
    เหมือนกันน่า แต่งเก่งด้วย มันชอบเขียนให้ดูยุ่งยาก ต้องเอาบวกมาลบมารวมและมา
    แยกใหม่ อะไรทำนองนี้ ถึงจะได้ของจริง)
    รายงานของ Pentagon ผู้ที่น่าจะมีตัวเลขครบ แต่ไม่มีวันจะบอกความจริงกับโลก
    ตัวเลขของ Pentagon เมื่อปี ค.ศ. 2010 บอกว่าอเมริกามีฐานทัพในต่างประเทศ 662 แห่งใน 38 ประเทศทั่วโลก แปลว่าของจริง ต้องมีมากกว่านั้น คำถามคือมากกว่าอีกเท่าไหร่
    ในปี ค.ศ. 1955 หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 จบไปแล้ว 10 ปี หนังสือพิมพ์ Chicago Daily Tribune สำรวจฐานทัพของอเมริกาแถบยุโรปและแปซิฟิกและรายงานว่า ธงชาติอเมริกันปลิวไสวอยู่บนเสาใน 300 กว่า ฐานทัพที่อยู่ต่างประเทศ ประมาณ 63 ประเทศ เออ ! ปี 1955 มันเข้าไป 63 ประเทศ พอ ค.ศ. 2010 เหลือ 38 ประเทศ ! มึน !
    ปัจจุบัน สรุปจากเอกสารประกอบเกือบ 10 สถาบัน ตัวเลขที่น่าเป็นไปได้ที่สุด คือ อเมริกามีประมาณ 1,077 ฐานทัพในประมาณ 130 ประเทศทั่วโลก !
    โฆษกของ US – led International Security Assistance Force (ISAF) บอกว่าในปี ค.ศ.2010 แค่ในอาฟกานิสถานเอง มีฐานทัพอเมริกาเกือบ 400 แห่ง นี่ยังไม่นับฐานลับ ที่อเมริกามีแอบในอิรักอีกเป็น 100 แห่ง
    สำหรับฐานทัพขนาดใหญ่ของอเมริกาตามรายงานของ Pentagon บอกว่าบางแห่งมีบ้านและโรงเรียนสำหรับครอบครัวทหาร โรงแรมแบบรีสอร์ท (ใช่ ! กระทรวงกลาโหมมีได้ มีปัญหาไหม ? ) ลานเล่นสกี (ใช่ ! มีได้เช่นกัน) และสนามกอล์ฟ ทหารอเมริกาคุยว่า พวกเขามีประมาณ 172 สนามกอล์ฟ ขนาดต่าง ๆ (ใช่ ! มิได้เช่นกัน อิจฉาไหม !)
    ใหญ่เสียขนาดนี้ สยายปีกเหยี่ยวไปทั่วโลก ตอนนี้บอกจะปรับกระบวนยุทธใหม่ มุ่งชิง
    รางวัลใหญ่ในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก ฝ่ายวิเคราะห์ก็ต้องทำการบ้าน อย่าลืม Research and Development หน่วยงานฝ่ายวิเคราะห์และวางแผนของอเมริกา คือ ผู้ทำแผนการล่าเหยื่อนั่นเอง
    คราวนี้ใช้บริการของ Rand Corporation ซึ่งถือว่าเป็น think tank มือเก๋าของ Pentagon เรียกว่าใช้กันมานาน รู้ว่าเจ้านายต้องการให้เขียนอะไร

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด” ตอนที่ 2 จะดูว่านักล่ามันใหญ่จริงไหม ดูง่าย ๆ มีชาติไหนบ้างที่สามารถตั้งฐานทัพของตัวเอง ไว้ในประเทศอื่นได้บ้าง เอาประเทศที่ว่าใหญ่ ๆ นะ เล็ก ๆ ไม่ต้องเสนอหน้า อินเดียเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่แค่ไหน พลเมืองมากเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับอเมริกา แขกก็กำลังรวย แอบสร้างอาวุธนิวเคลียร์ (เอ๊ะ ! ที่ยังงี้ทำไมไม่เห็นมีใครเสนอ ส่งหน่วยตรวจสอบจาก UN มาเลยนะ เอ้าคนอ่านนิทานลองคิดหาคำตอบกันเองบ้าง) เกือบมีฐานทัพในบ้านคนอื่น คือ Tajikistan แต่แค่เกือบแปลว่ายังไม่สำเร็จ แขกยังต้มไม่เก่งเท่านักล่า แล้วจีนล่ะ อาเฮียรวยจะตาย เศรษฐกิจโตพุ่งพรวดเป็นอันดับ 2 ของดวงดาวนี้ ขยายบ้านสร้างเมือง ไปเซียงไฮ้ นึกว่าไปปารีส (ฮา !) แล้วไง มีไหมฐานทัพในประเทศอื่น ของจริงยังม่ายมี ! มีแต่ข่าวว่าจะไป ตั้งที่เกาะเล็ก ๆ เกาะหนึ่ง แถวหมู่เกาะ Seychelles ในมหาสมุทรอินเดีย จิกโก๋บอกโถ ! แค่นี้ยังไม่มีปัญญา อย่ามาทำซ่ากะไอนะ ! เอ้า ! รัสเซียของพี่ปูจอมอึด ว่าไง มีไหม ! อย่านะ ยุ่งกะจีนเรื่องนึง แต่รัสเซียของพี่ปูนี่ก็อีกเรื่องนึง ไม่จำเป็นอย่ายุ่ง สงครามเย็นน่ะ มันทำให้เหนื่อย ให้จนกันขนาดไหน ยังไม่เข็ดหรือไง ขอโทษ ! นึกว่าพี่ปูไม่มีหรือไง พี่ปูก็มีนะอยู่แถวเอเซียกลาง ฐานเล็ก ๆ 4,5 ฐาน ก็จริงอยู่ แต่ต่อไปอาจจะมีใครตาละห้อยมอง เพราะ the Great Great Game ศึกชิงน้ำมันกำลังเข้มข้นอยู่แถวนั้น อังกฤษล่ะ ในฐานะนักล่ารุ่นเก่าต้องรักษาฟอร์ม มีอยู่บ้างในอาฟกานิสถาน และตามเมืองขี้ข้าเก่า ของตนเองประมาณ 10 ฐาน เป็นฐานขนาดเล็กที่เยอรมันกับ Falkland ที่เหลือเป็นขนาดจ้อย ๆ ส่วนฝรั่งเศสก็มาฟอร์มเดี๋ยวกับอังกฤษ มีฐานเล็ก จิ๋ว ๆ ตามเมืองขี้ข้าเก่า ประมาณ 10 ฐาน มีกำลังประจำฐานละไม่กี่ร้อยคน บางฐานมี 15 คน (ฮา !) ญี่ปุ่นเองมี 1 ฐานที่ Djiboutiเป็นฐานเล็กเอาไว้สู้กับโจรสลัด และอีกประเทศคือ ตุรกีมี 1 ฐาน อยู่ที่ไซปรัส หมดแล้วทั้งโลกนี้นะ เบ่งกล้ามกันได้เท่านี้ แล้วจะไปสู้อะไรกับพี่เบิ้มนักล่าหมายเลขหนึ่งได้ แล้วพี่เบิ้มเองมีเท่าไหร่ อยู่ที่ไหนบ้าง รายงานของแต่ละหน่วยงานของอเมริกา บอกตัวเลขไม่เหมือนกัน (ฝรั่งก็แต่งตัวเลข เหมือนกันน่า แต่งเก่งด้วย มันชอบเขียนให้ดูยุ่งยาก ต้องเอาบวกมาลบมารวมและมา แยกใหม่ อะไรทำนองนี้ ถึงจะได้ของจริง) รายงานของ Pentagon ผู้ที่น่าจะมีตัวเลขครบ แต่ไม่มีวันจะบอกความจริงกับโลก ตัวเลขของ Pentagon เมื่อปี ค.ศ. 2010 บอกว่าอเมริกามีฐานทัพในต่างประเทศ 662 แห่งใน 38 ประเทศทั่วโลก แปลว่าของจริง ต้องมีมากกว่านั้น คำถามคือมากกว่าอีกเท่าไหร่ ในปี ค.ศ. 1955 หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 จบไปแล้ว 10 ปี หนังสือพิมพ์ Chicago Daily Tribune สำรวจฐานทัพของอเมริกาแถบยุโรปและแปซิฟิกและรายงานว่า ธงชาติอเมริกันปลิวไสวอยู่บนเสาใน 300 กว่า ฐานทัพที่อยู่ต่างประเทศ ประมาณ 63 ประเทศ เออ ! ปี 1955 มันเข้าไป 63 ประเทศ พอ ค.ศ. 2010 เหลือ 38 ประเทศ ! มึน ! ปัจจุบัน สรุปจากเอกสารประกอบเกือบ 10 สถาบัน ตัวเลขที่น่าเป็นไปได้ที่สุด คือ อเมริกามีประมาณ 1,077 ฐานทัพในประมาณ 130 ประเทศทั่วโลก ! โฆษกของ US – led International Security Assistance Force (ISAF) บอกว่าในปี ค.ศ.2010 แค่ในอาฟกานิสถานเอง มีฐานทัพอเมริกาเกือบ 400 แห่ง นี่ยังไม่นับฐานลับ ที่อเมริกามีแอบในอิรักอีกเป็น 100 แห่ง สำหรับฐานทัพขนาดใหญ่ของอเมริกาตามรายงานของ Pentagon บอกว่าบางแห่งมีบ้านและโรงเรียนสำหรับครอบครัวทหาร โรงแรมแบบรีสอร์ท (ใช่ ! กระทรวงกลาโหมมีได้ มีปัญหาไหม ? ) ลานเล่นสกี (ใช่ ! มีได้เช่นกัน) และสนามกอล์ฟ ทหารอเมริกาคุยว่า พวกเขามีประมาณ 172 สนามกอล์ฟ ขนาดต่าง ๆ (ใช่ ! มิได้เช่นกัน อิจฉาไหม !) ใหญ่เสียขนาดนี้ สยายปีกเหยี่ยวไปทั่วโลก ตอนนี้บอกจะปรับกระบวนยุทธใหม่ มุ่งชิง รางวัลใหญ่ในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก ฝ่ายวิเคราะห์ก็ต้องทำการบ้าน อย่าลืม Research and Development หน่วยงานฝ่ายวิเคราะห์และวางแผนของอเมริกา คือ ผู้ทำแผนการล่าเหยื่อนั่นเอง คราวนี้ใช้บริการของ Rand Corporation ซึ่งถือว่าเป็น think tank มือเก๋าของ Pentagon เรียกว่าใช้กันมานาน รู้ว่าเจ้านายต้องการให้เขียนอะไร คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยุทธการกบกระโดด ตอนที่ 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด”
    ตอนที่ 1
    อเมริกากำลังปรับกระบวนยุทธใหม่ เพื่อมุ่งไปสู่การเป็นศูนย์อำนาจ เป็นสุดยอดนักล่า
(Strategic Pivot) ในภูมิภาค Asia Pacific แต่เพื่อให้ฟังนุ่มหู อเมริกาบอกว่าเป็นการปรับดุลยอำนาจ (Rebalancing) ในภูมิภาคนี้ใหม่ กระบวนยุทธใหม่นี้ นายโอบามา พูดถึงเป็นครั้งแรกที่กรุง Canberra Australia เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2011 หลังจากนั้น อเมริกาเริ่มปฎิบัติการอย่างเงียบ ๆ มาตลอดเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมา เราชาวโลกควรให้ความสนใจกัน เพราะต่อไปนี้
ละครฉากสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการค้า การรบ การคบ การเคี้ยว จะอยู่ตรงแถวนี้แหละ ตรงที่เรียกว่า Asia Pacific
    สิ่งที่อเมริกาเดินหน้าทำเป็นเรื่องแรก ในช่วงปรับกระบวนยุทธ คือ ทำให้ประเทศที่
เรียกว่าเป็นพันธมิตร ทั้งระดับชิดและระดับห่าง แถวภูมิภาค Asia Pacific (Alliances) เชื่อว่าเรายังเป็นก๊วนกันอยู่นะ แม้ตัวจะไกล แต่ใจแนบแน่น เพราะฉะนั้นไอกระดิกนิ้วเรียกเมื่อไหร่ ต้องวิ่งมากันเลยนะ
    อเมริกาลงทุนเดินไปเคาะประตูบ้านเกือบทุกบาน ของพันธมิตร (ลูกหาบ !) จับมือ เขย่าแขน กอดคอ หอมแก้ม ผู้นำเกือบทุกคนในภูมิภาคนี้ โดยใช้นักแสดงนำ เช่น คุณนาย Clintonรมว.ตปท. นาย Robert Gates รมว.กลาโหม นาย Leon Panetta ที่มาเป็นรมว. กลาโหมคนต่อมา รวมทั้งที่ปรึกษาความมั่นคง เช่น นาย Tom Donjion และบรรดาแม่ทัพนายกอง แถวกองทัพภาคที่ 7 ยังถูกเกณฑ์ออกมาเดินสาย ที่สำคัญตัวพระเอกเอง คือ ประธานาธิบดี Obamaก็ไม่เว้น ออกเดินสายเคาะประตูบ้านด้วยเช่นกัน
    – อันดับแรก แน่นอน ญี่ปุ่นลูกเลี้ยง ประเทศที่อเมริกาถล่มเขาซะหายไปทั้งเมือง ทำให้
ต้องกระเตงเลี้ยงกันไปตลอด ทั้งช่วยทั้งใช้ (แต่รู้สึกอย่างหลังจะมากกว่านะ) อเมริกาเข้าไปปรับปรุงยุ่งถึงในมุ้งการเมืองของญี่ปุ่น ได้นายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดมา 1 คน เพื่อให้ดำเนินนโยบายประเทศให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ใหม่ของอเมริกา และเพื่อโชว์ให้โลกเห็นว่าอเมริกาเป็นพ่อพระใจดีใจกว้าง ไม่ได้ทอดทิ้งยามยาก เช่น คราวญี่ปุ่นแผ่นดินไหว เกิดซึนามิและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์รั่ว ในปี ค.ศ. 2011 (จริง ๆ แล้วมันอยากไปดูว่าของจริง ฉ.ห แค่ไหน จะได้คิดย้ายฐานทัพของตัวออกมาน่ะ) อเมริกาก็ช่วยไป แต่งข่าวผ่าน CNN ไป ชาวเราก็ได้เรื่องจริงมาน้อยกว่าเรื่องแต่ง
    – อันดับสอง เกาหลีใต้ อเมริกาพยายามโปรโมทเกาหลีใต้ขึ้นมาแข่งกับญี่ปุ่นนานแล้ว
Toyota แพ้ Hyundai Sony แพ้ Samsung ฝีมือใคร เอ๊ะ ทำได้ไงกับลูกเลี้ยง ก็เพราะอเมริกันต้องการให้เกาหลีใต้แข็งแรง เป็นกำแพงกั้นเกาหลีเหนือ เอาความเจริญใส่เข้าไปมาก ๆ จะได้เห็นความแตกต่าง ๆ ระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ มันจะได้ยากที่จะรวมกัน เดี๋ยวมันจะเอาอย่างเยอรมันตะวันออกกับตะวันตก ไอไม่ใจดีขนาดนั้นหรอก ลงทุนไปแยะ มาถึงตอนนี้ไม่ต้องทำอะไรมาก โปรโมทเข้าไปหนัก ๆ ยูดี ยูเก่ง ยูเจริญ ที่สุดในเอเซีย ใคร ๆ ก็อยากมี look แบบเกาหลีกันทั้งนั้น โอบซ้าย โอบขวา เชียร์กังนัมมันไปเรื่อย ๆ แค่นี้ก็พอถมเถ ชาวเกาหลีใต้ส่วนใหญ่ ก็ใช่ว่าจะอยากไปอยู่กับเด็กแสบของเกาหลีเหนือ คราวนี้พักเรื่องกังนัมสักครู่ แล้วมาคุยกันเรื่องสร้างฐานทัพให้ลูกพี่จอดเรือรบก่อนนะ
    – อันดับสาม ฟิลิปปินส์ ซึ่งอเมริกาเลี้ยงดูมาหลายสิบปี มีอะไรก็ถมให้ไปหมด ขนาด
เศรษฐีโคตรรวย Rockefeller ยังพยายามทั้งผลักทั้งดัน ให้ฟิลิปปินส์เป็นเมืองเอกในเอเซีย ลงทุนตั้งมหาวิทยาลัยให้ทั้งหลัง หน่วยงานสำคัญ ๆ ก็ไปไว้ที่นั่น ADB ไง Asian for DevelopmentBank ลูกของ World Bank สำนักงานใหญ่ก็อยู่ที่นี่แหละ แต่เด็กมันไม่ค่อยรักดี ถ้าไม่โกงกันระเบิด ก็เอาระเบิดมาถล่มกันเองอยู่เรื่อย แต่ก็ยังทิ้งกันไม่ลง ก็ลงทุนสร้างฐานทัพทิ้งไว้ที่เกาะนี้เต็มไปหมด งวดนี้กัดฟันไปคุยกันใหม่ เพราะต้องใช้ฟิลิปปินส์ เป็นม้าใช้ลอยคอไปยันกับจีนแถวทะเลจีนใต้ รื้อฟื้นฐานทัพเก่าที่เคยสร้างไว้มาปัดฝุ่นใช้กันใหม่
    – อันดับสี่ ไทยแลนด์แดนสมันน้อย แหม ! นึกว่าเป็นลูกรักอยู่อันดับหนึ่ง ที่แท้อยู่โหล่
เลย ฉะนั้นอย่างสำคัญตนผิด แต่ขอโทษ คุณพี่ Obama มาเอง เพราะไทยแลนด์เป็นพันธมิตรเก่าแก่ในภูมิภาคนี้ ร่วมรบ หลอกตุ๋นกันมาตั้งกะสมัยสงครามเวียตนาม แต่พักหลังนี้ มันเล่นกีฬาสีกันแยะ จนลูกพี่ชักงง จะชอบจะใช้สีไหนดีนะ เอาที่มันใช้ง่าย ๆ น่ะ มาคราวนี้เลยบีบมือนางสมันน้อยแน่นนาน อย่าลืมนะ นางสาวแสนโง่ ! สัญญาทาสผูกคอของเราสองยังมีอยู่นะ เรียกเมื่อไหร่อย่าทำเป็นไม่รู้เรื่อง เรื่องอื่นไม่รู้เรื่องไม่เป็นไร แต่เรื่องนี้ห้ามโง่นะ ว่าแล้วก็ทำตาเยิ้มใส่กัน ฮา !
    แม้จะใช้นักแสดงนำรุ่นใหญ่ขนาดนั้น แต่ความที่บทมันไม่ชัดเหมือนดูหนังจนจบแล้ว คนดู
ยังไม่แน่ใจว่า เป็นหนังบู๊หรือหนังตลก พระเอกชักปืนจะมายิงผู้ร้ายทีไร ดันยิงเข้าหัวแม่เท้าตัวเองทุกที แบบนั้นแหละ แถมนักแสดงบางคนก็เล่นไม่เนียน ถ้าไม่หน้าใหม่ ก็หน้าโหด ดูอย่างหน้าคุณนาย Clinton ซิ ปากยิ้ม แต่ลูกตายังกะนางสิงห์กำลังจ้องจะขม้ำเหยื่อ ชาวบ้านก็เลยมึน นี่มันเรื่องจริงหรือเปล่านะ ไหนเขาลือกันว่ากระเป๋ายังโหว่อยู่ ไม่ใช่หรือ เงินเดือนจะจ่ายคนทำงานยังไม่พอเลย เป็นข่าวไปทั่วโลก จะ shut down shut up อะไรนั่น นี่มันรายการเกทับบลัฟแหลก ประเภทหน้าไพ่มีคิงแต่ข้างในกบแปดหรือเปล่านะ เล่นมุกนี้แถว Asia Pacific น่ะไม่หมูนะ อาเฮียกับพวกนี่เขาธรรมดาที่ไหน ชาวบ้านเขาก็วิจารณ์กันทั่วโลก (ยกเว้นไทยแลนด์ของสมัย
น้อยแหละ ที่ดีใจหนักหนา พี่เขากลับมาแล้ว)
    ขนาดพวกนักวิเคราะห์บางค่าย เช่น CFR (พวกกันเอง) ยังถามเลยว่ามาทาง Asia
Pacific แน่หรือ แล้วทาง Middle East ว่าอย่างไร มันยัง spring หลุดกันอยู่เลยนะ บางค่ายก็บอกว่า อเมริกาต้องมาทางนี้แหละ เพราะว่าภูมิภาคนี้ ต้องมีอเมริกามายืนผงาด ให้พวกอาเฮียรู้บางว่าใครเป็นใคร เป็นการดุลยอำนาจไงล่ะ แต่ที่แหลได้ใจ คือ นักวิเคราะห์จากค่ายลูกพี่นักล่า Chatham House บอกว่างงกันไปได้ ไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลกใหม่อะไรเลย อเมริกาก็เป็นพี่เบิ้มวนเวียนอยู่ทางนี้มากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว และไม่ว่าจะป็นพรรค Democrat หรือ Republican ทั้ง 2 พรรค ก็มีนโยบายเหมือนกันแหละ (คือให้ใครมาใหญ่กว่าตัวไม่ได้ทั้งนั้น) และที่สำคัญเข้าใจกันให้ถูกนะ อเมริกาไม่เคย “ไปจาก” ภูมิภาคนี้เลยต่างหาก แค่กร่างมากกร่างน้อยเท่านั้นเอง อันหลังนี้คนเขียน นิทานเพิ่มเองครับ
    ทั้งหมดนี้อเมริกาทำทำไม ไม่ต้องถามโหรระดับแม่หมอฟองสนานหรอก คนอ่านนิทาน
ทุกคนตอบได้หมด ถ้าไม่แน่ใจโปรด กลับไปอ่านจิกโก๋ปากซอย หรือยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุกใหม่นะครับ อเมริกาหมุนเข็มทิศมาทางAsia Pacific ด้วยเหตุผล 2 อย่าง เป็นเหตุผลเดิม ๆ ที่ไม่ว่าอเมริกา หรือชาติมหาอำนาจใด หรือชาติเล็กชาติน้อย หรือใครที่มันคิดจะเป็นใหญ่มันก็คิดกันอยู่แค่นี้ทั้งนั้นแหละ “อำนาจกับทุน” สูตรสำเร็จเดิม ๆ จำไม่ได้หรือไง อเมริกามาแถบนี้ เพราะต้องการให้ทุกชาติ โดยเฉพาะจีนจำใส่หัวสมองไว้ว่า อเมริกายังมีอำนาจเต็มเปี่ยม ทั้งในภูมิภาคนี้และในโลกใบนี้ ใครที่คิดว่ารวยแล้วนึกว่าตัวเองใหญ่ แบบอาเฮียเศรษฐีใหม่น่ะ คิดใหม่นะกับอีกอย่างที่อเมริกาต้องการจนน้ำลายไหลฟูมปาก คือ ทรัพยากรที่ยังเหลือเฟืออยู่ในภูมิภาคนี้และกำลังมีการหักเหลี่ยม เล่นเชิงกันอย่างเข้มข้น ทั้งใน Asia Pacific และ Central Asia แต่นิทานวันนี้จะยังไม่เล่าเรื่องทรัพยากรนะครับ จะเน้นกันเรื่องกองทัพกองกำลัง ความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อนักล่า ที่อเมริกากำลังเบ่งให้ดู

    คนเล่านิทาน
    ยุทธการกบกระโดด ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด” ตอนที่ 1 อเมริกากำลังปรับกระบวนยุทธใหม่ เพื่อมุ่งไปสู่การเป็นศูนย์อำนาจ เป็นสุดยอดนักล่า
(Strategic Pivot) ในภูมิภาค Asia Pacific แต่เพื่อให้ฟังนุ่มหู อเมริกาบอกว่าเป็นการปรับดุลยอำนาจ (Rebalancing) ในภูมิภาคนี้ใหม่ กระบวนยุทธใหม่นี้ นายโอบามา พูดถึงเป็นครั้งแรกที่กรุง Canberra Australia เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2011 หลังจากนั้น อเมริกาเริ่มปฎิบัติการอย่างเงียบ ๆ มาตลอดเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมา เราชาวโลกควรให้ความสนใจกัน เพราะต่อไปนี้
ละครฉากสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการค้า การรบ การคบ การเคี้ยว จะอยู่ตรงแถวนี้แหละ ตรงที่เรียกว่า Asia Pacific สิ่งที่อเมริกาเดินหน้าทำเป็นเรื่องแรก ในช่วงปรับกระบวนยุทธ คือ ทำให้ประเทศที่
เรียกว่าเป็นพันธมิตร ทั้งระดับชิดและระดับห่าง แถวภูมิภาค Asia Pacific (Alliances) เชื่อว่าเรายังเป็นก๊วนกันอยู่นะ แม้ตัวจะไกล แต่ใจแนบแน่น เพราะฉะนั้นไอกระดิกนิ้วเรียกเมื่อไหร่ ต้องวิ่งมากันเลยนะ อเมริกาลงทุนเดินไปเคาะประตูบ้านเกือบทุกบาน ของพันธมิตร (ลูกหาบ !) จับมือ เขย่าแขน กอดคอ หอมแก้ม ผู้นำเกือบทุกคนในภูมิภาคนี้ โดยใช้นักแสดงนำ เช่น คุณนาย Clintonรมว.ตปท. นาย Robert Gates รมว.กลาโหม นาย Leon Panetta ที่มาเป็นรมว. กลาโหมคนต่อมา รวมทั้งที่ปรึกษาความมั่นคง เช่น นาย Tom Donjion และบรรดาแม่ทัพนายกอง แถวกองทัพภาคที่ 7 ยังถูกเกณฑ์ออกมาเดินสาย ที่สำคัญตัวพระเอกเอง คือ ประธานาธิบดี Obamaก็ไม่เว้น ออกเดินสายเคาะประตูบ้านด้วยเช่นกัน – อันดับแรก แน่นอน ญี่ปุ่นลูกเลี้ยง ประเทศที่อเมริกาถล่มเขาซะหายไปทั้งเมือง ทำให้
ต้องกระเตงเลี้ยงกันไปตลอด ทั้งช่วยทั้งใช้ (แต่รู้สึกอย่างหลังจะมากกว่านะ) อเมริกาเข้าไปปรับปรุงยุ่งถึงในมุ้งการเมืองของญี่ปุ่น ได้นายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดมา 1 คน เพื่อให้ดำเนินนโยบายประเทศให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ใหม่ของอเมริกา และเพื่อโชว์ให้โลกเห็นว่าอเมริกาเป็นพ่อพระใจดีใจกว้าง ไม่ได้ทอดทิ้งยามยาก เช่น คราวญี่ปุ่นแผ่นดินไหว เกิดซึนามิและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์รั่ว ในปี ค.ศ. 2011 (จริง ๆ แล้วมันอยากไปดูว่าของจริง ฉ.ห แค่ไหน จะได้คิดย้ายฐานทัพของตัวออกมาน่ะ) อเมริกาก็ช่วยไป แต่งข่าวผ่าน CNN ไป ชาวเราก็ได้เรื่องจริงมาน้อยกว่าเรื่องแต่ง – อันดับสอง เกาหลีใต้ อเมริกาพยายามโปรโมทเกาหลีใต้ขึ้นมาแข่งกับญี่ปุ่นนานแล้ว
Toyota แพ้ Hyundai Sony แพ้ Samsung ฝีมือใคร เอ๊ะ ทำได้ไงกับลูกเลี้ยง ก็เพราะอเมริกันต้องการให้เกาหลีใต้แข็งแรง เป็นกำแพงกั้นเกาหลีเหนือ เอาความเจริญใส่เข้าไปมาก ๆ จะได้เห็นความแตกต่าง ๆ ระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ มันจะได้ยากที่จะรวมกัน เดี๋ยวมันจะเอาอย่างเยอรมันตะวันออกกับตะวันตก ไอไม่ใจดีขนาดนั้นหรอก ลงทุนไปแยะ มาถึงตอนนี้ไม่ต้องทำอะไรมาก โปรโมทเข้าไปหนัก ๆ ยูดี ยูเก่ง ยูเจริญ ที่สุดในเอเซีย ใคร ๆ ก็อยากมี look แบบเกาหลีกันทั้งนั้น โอบซ้าย โอบขวา เชียร์กังนัมมันไปเรื่อย ๆ แค่นี้ก็พอถมเถ ชาวเกาหลีใต้ส่วนใหญ่ ก็ใช่ว่าจะอยากไปอยู่กับเด็กแสบของเกาหลีเหนือ คราวนี้พักเรื่องกังนัมสักครู่ แล้วมาคุยกันเรื่องสร้างฐานทัพให้ลูกพี่จอดเรือรบก่อนนะ – อันดับสาม ฟิลิปปินส์ ซึ่งอเมริกาเลี้ยงดูมาหลายสิบปี มีอะไรก็ถมให้ไปหมด ขนาด
เศรษฐีโคตรรวย Rockefeller ยังพยายามทั้งผลักทั้งดัน ให้ฟิลิปปินส์เป็นเมืองเอกในเอเซีย ลงทุนตั้งมหาวิทยาลัยให้ทั้งหลัง หน่วยงานสำคัญ ๆ ก็ไปไว้ที่นั่น ADB ไง Asian for DevelopmentBank ลูกของ World Bank สำนักงานใหญ่ก็อยู่ที่นี่แหละ แต่เด็กมันไม่ค่อยรักดี ถ้าไม่โกงกันระเบิด ก็เอาระเบิดมาถล่มกันเองอยู่เรื่อย แต่ก็ยังทิ้งกันไม่ลง ก็ลงทุนสร้างฐานทัพทิ้งไว้ที่เกาะนี้เต็มไปหมด งวดนี้กัดฟันไปคุยกันใหม่ เพราะต้องใช้ฟิลิปปินส์ เป็นม้าใช้ลอยคอไปยันกับจีนแถวทะเลจีนใต้ รื้อฟื้นฐานทัพเก่าที่เคยสร้างไว้มาปัดฝุ่นใช้กันใหม่ – อันดับสี่ ไทยแลนด์แดนสมันน้อย แหม ! นึกว่าเป็นลูกรักอยู่อันดับหนึ่ง ที่แท้อยู่โหล่
เลย ฉะนั้นอย่างสำคัญตนผิด แต่ขอโทษ คุณพี่ Obama มาเอง เพราะไทยแลนด์เป็นพันธมิตรเก่าแก่ในภูมิภาคนี้ ร่วมรบ หลอกตุ๋นกันมาตั้งกะสมัยสงครามเวียตนาม แต่พักหลังนี้ มันเล่นกีฬาสีกันแยะ จนลูกพี่ชักงง จะชอบจะใช้สีไหนดีนะ เอาที่มันใช้ง่าย ๆ น่ะ มาคราวนี้เลยบีบมือนางสมันน้อยแน่นนาน อย่าลืมนะ นางสาวแสนโง่ ! สัญญาทาสผูกคอของเราสองยังมีอยู่นะ เรียกเมื่อไหร่อย่าทำเป็นไม่รู้เรื่อง เรื่องอื่นไม่รู้เรื่องไม่เป็นไร แต่เรื่องนี้ห้ามโง่นะ ว่าแล้วก็ทำตาเยิ้มใส่กัน ฮา ! แม้จะใช้นักแสดงนำรุ่นใหญ่ขนาดนั้น แต่ความที่บทมันไม่ชัดเหมือนดูหนังจนจบแล้ว คนดู
ยังไม่แน่ใจว่า เป็นหนังบู๊หรือหนังตลก พระเอกชักปืนจะมายิงผู้ร้ายทีไร ดันยิงเข้าหัวแม่เท้าตัวเองทุกที แบบนั้นแหละ แถมนักแสดงบางคนก็เล่นไม่เนียน ถ้าไม่หน้าใหม่ ก็หน้าโหด ดูอย่างหน้าคุณนาย Clinton ซิ ปากยิ้ม แต่ลูกตายังกะนางสิงห์กำลังจ้องจะขม้ำเหยื่อ ชาวบ้านก็เลยมึน นี่มันเรื่องจริงหรือเปล่านะ ไหนเขาลือกันว่ากระเป๋ายังโหว่อยู่ ไม่ใช่หรือ เงินเดือนจะจ่ายคนทำงานยังไม่พอเลย เป็นข่าวไปทั่วโลก จะ shut down shut up อะไรนั่น นี่มันรายการเกทับบลัฟแหลก ประเภทหน้าไพ่มีคิงแต่ข้างในกบแปดหรือเปล่านะ เล่นมุกนี้แถว Asia Pacific น่ะไม่หมูนะ อาเฮียกับพวกนี่เขาธรรมดาที่ไหน ชาวบ้านเขาก็วิจารณ์กันทั่วโลก (ยกเว้นไทยแลนด์ของสมัย
น้อยแหละ ที่ดีใจหนักหนา พี่เขากลับมาแล้ว) ขนาดพวกนักวิเคราะห์บางค่าย เช่น CFR (พวกกันเอง) ยังถามเลยว่ามาทาง Asia
Pacific แน่หรือ แล้วทาง Middle East ว่าอย่างไร มันยัง spring หลุดกันอยู่เลยนะ บางค่ายก็บอกว่า อเมริกาต้องมาทางนี้แหละ เพราะว่าภูมิภาคนี้ ต้องมีอเมริกามายืนผงาด ให้พวกอาเฮียรู้บางว่าใครเป็นใคร เป็นการดุลยอำนาจไงล่ะ แต่ที่แหลได้ใจ คือ นักวิเคราะห์จากค่ายลูกพี่นักล่า Chatham House บอกว่างงกันไปได้ ไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลกใหม่อะไรเลย อเมริกาก็เป็นพี่เบิ้มวนเวียนอยู่ทางนี้มากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว และไม่ว่าจะป็นพรรค Democrat หรือ Republican ทั้ง 2 พรรค ก็มีนโยบายเหมือนกันแหละ (คือให้ใครมาใหญ่กว่าตัวไม่ได้ทั้งนั้น) และที่สำคัญเข้าใจกันให้ถูกนะ อเมริกาไม่เคย “ไปจาก” ภูมิภาคนี้เลยต่างหาก แค่กร่างมากกร่างน้อยเท่านั้นเอง อันหลังนี้คนเขียน นิทานเพิ่มเองครับ ทั้งหมดนี้อเมริกาทำทำไม ไม่ต้องถามโหรระดับแม่หมอฟองสนานหรอก คนอ่านนิทาน
ทุกคนตอบได้หมด ถ้าไม่แน่ใจโปรด กลับไปอ่านจิกโก๋ปากซอย หรือยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุกใหม่นะครับ อเมริกาหมุนเข็มทิศมาทางAsia Pacific ด้วยเหตุผล 2 อย่าง เป็นเหตุผลเดิม ๆ ที่ไม่ว่าอเมริกา หรือชาติมหาอำนาจใด หรือชาติเล็กชาติน้อย หรือใครที่มันคิดจะเป็นใหญ่มันก็คิดกันอยู่แค่นี้ทั้งนั้นแหละ “อำนาจกับทุน” สูตรสำเร็จเดิม ๆ จำไม่ได้หรือไง อเมริกามาแถบนี้ เพราะต้องการให้ทุกชาติ โดยเฉพาะจีนจำใส่หัวสมองไว้ว่า อเมริกายังมีอำนาจเต็มเปี่ยม ทั้งในภูมิภาคนี้และในโลกใบนี้ ใครที่คิดว่ารวยแล้วนึกว่าตัวเองใหญ่ แบบอาเฮียเศรษฐีใหม่น่ะ คิดใหม่นะกับอีกอย่างที่อเมริกาต้องการจนน้ำลายไหลฟูมปาก คือ ทรัพยากรที่ยังเหลือเฟืออยู่ในภูมิภาคนี้และกำลังมีการหักเหลี่ยม เล่นเชิงกันอย่างเข้มข้น ทั้งใน Asia Pacific และ Central Asia แต่นิทานวันนี้จะยังไม่เล่าเรื่องทรัพยากรนะครับ จะเน้นกันเรื่องกองทัพกองกำลัง ความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อนักล่า ที่อเมริกากำลังเบ่งให้ดู คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 25 : เหยื่อ (1)
    เมื่อหมดยุคประธานาธิบดี Reagan ในปี ค.ศ. 1988 นาย George H W Bush (ตัวพ่อ) ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป เป็นช่วงที่หมดยุคสงครามเย็น เยอรมันตัดสินใจทุบกำแพง Berlin ออก เยอรมันตะวันออกกับตะวันตก จับมือรวมชาติพัฒนาประเทศด้วยกัน การตัดสินในเช่นนี้ ลึก ๆ แน่นอน ย่อมมีคนคัดจมูก หายใจไม่คล่องอยู่บ้าง ถ้าเศรษฐกิจของเยอรมันแข็งแรงและขยายตัวเต็มยุโรป อำนาจของอเมริกาในยุโรปก็เหมือนถูกท้าทาย นี่คือปฏิกิริยาของอเมริกาที่มีต่อทุกประเทศ ไม่ว่ามิตรหรือศัตรู อเมริกาจะมีปรอทวัดอาการของทุกชาติไว้อย่างถี่ถ้วน ถ้าชาติไหน เริ่มเจริญ ก้าวหน้าหรือมีความสำคัญ หรือเอนตัวผิดองศา ที่อเมริกาเห็นว่าน่าจะกลายเป็นคู่แข่ง หรืออุปสรรคต่ออเมริกาไม่ว่าทางใด ปรอทจะส่งสัญญาณเตือนทันที และกิจกรรมการเล่นกลก็จะเริ่มเกิดขึ้น
    อเมริกามองอาการของเยอรมันเหมือนสมัย ค.ศ. 1970 ช่วงที่อุตสาหกรรมกำลังบูม และความต้องการน้ำมันของประเทศผู้ประกอบกิจการอุตสาหกรรมก็จะสูงตามไปด้วย ค.ศ.นี้ก็ไม่ต่างกัน เยอรมันและชาติที่กำลังทำอุตสาหกรรมก็ต้องหิวน้ำมัน เพราะฉะนั้นอเมริกาต้องรีบหาทาง “กัก” น้ำมันไม่ให้ไปถึงประเทศพวกนั้น คราวนี้ใครจะเป็นเป้าหมายในการเล่นกล เพื่อให้ได้ผลตามที่อเมริกาต้องการ แล้ว Saddam ก็เป็นเหยื่อ หลังจากเปลี้ยมาจากการรบกับอิหร่านเกือบสิบปี ช่วงปี ค.ศ. 1980 – 1988 แผนการก็แบบเดิม ๆ ยุให้เขาตีกันก่อน เพื่อตัวเองจะได้เข้าไปในประเทศเขา (สมันน้อยอ่านตรงนี้ซ้ำ ๆ หน่อยนะ)
    อเมริกาเล่นกล โดยใช้ Kuwait เป็นเหยื่อล่อ Iraq ให้มากินเบ็ด Iraq งับทันที บุกเข้า Kuwait เพราะมีกรณีค้างคาใจกันอยู่หลายเรื่อง ตั้งแต่ร่วมมือกันรบอิหร่านแล้วเบี้ยวหนี้กัน ทะเลาะกันไปมาหลายเรื่อง แต่เรื่องที่ Saddam แค้นคือ Saddam กล่าวหาว่า Kuwait ขะโมยขุดน้ำมันแถวชายแดนของ Iraq แถม Kuwait ยังเกเรผลิตน้ำมันเกินข้อตกลงกันระหว่างประเทศ OPEC ซึ่งทำให้การควบคุมราคาน้ำมันในกลุ่ม OPEC มีปัญหา
    Iraq ตัดสินใจบุกคูเวตวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 1990 กองทัพของ Kuwait ต้านไม่ไหวหนีไปพึ่งใบบุญ Saudi Arabia กับ Bahrain Saddam จึงประกาศเอา Kuwait ผนวกกลับมาเป็นของ Iraq
    อะไรทำให้ Saddam ตัดสินใจทะเลาะกับเพื่อนบ้าน ข่าววงในแจ้งว่า เรื่อง Saddam อยากจะเคี้ยว Kuwait ไม่ได้เป็นความลับอะไร ถึงขนาดฑูตอเมริกา ชื่อคุณนาย April Glaspie ไปเดินถามนายทหารระดับสูงของ Iraq ว่าอะไรกันค้า เตรียมรบอะไรกันค้า เห็นคุณทหาร Iraq ไปอยู่ตามชายแดนติดกับ Kuwait เต็มเลยค่า (นี่ข่าวของคุณนาย April เกี่ยวกับ Iraq นะ ไม่ใช่ของคุณนาย คริสตี้ เรื่องไทยแลนด์ แหม ! แต่มันเจ๋อเหมือนกันจัง) เสร็จแล้วคุณนาย April ก็ออกข่าวว่า เราไม่มีความเห็นเกี่ยวกับความไม่ลงรอยกัน ระหว่าง Iraq กับ Kuwait เราไม่มีความเห็นเกี่ยวกับความขัดแย้ง ระหว่างประเทศอาหรับด้วยกัน (“We have no opinion on the Arab-Arab conflicts”) ที่ยังงี้ละไม่ออกความเห็นนะ คุณนาย ความเห็นพวกฑูตนี้ มันแล้วแต่นายเขาสั่งมา แล้วเราจะต้องไปคอยถามคอยตอบทำไมนะ มันละครชัด ๆ ข่าวว่าการให้สัมภาษณ์ของคุณนาย ทำให้ Saddam เข้าใจว่าอเมริกา ไม่มีปัญหา (หรืออาจจะสนับสนุนด้วยซ้ำ) ที่ Iraq จะบุก Kuwait
    แต่เรื่องมันกลับตาลปัตร หลังจาก Saddam ถล่ม Kuwait ไปได้ 6 เดือน UN ก็ประกาศประฌาม Saddam พร้อมทั้งมีมติเอกฉันท์สั่งให้ Saddam ถอนกองทัพออกมา Saddam เฉย กลางเดือนมกราคม ค.ศ. 1991 Operation Desert Storm ของอเมริกาก็ปฎิบัติการ ชาวเราก็นั่งดูข่าวถ่ายทอดสดทาง CNN เหมือนดูหนังโรง แต่ของจริงเขาถล่มจริง ตายจริง มันเป็นเพียงการเริ่มต้นของการทำลายล้างประเทศ และประชาชนอย่างไม่มีความปราณี อยู่ 12 ปี แม้จะ (หลอกว่า) มี Operation Iraqi Freedom ตามมาให้เมื่อมีนาคม ค.ศ. 2003 จนหลาย ปีให้หลัง ยังไม่เห็นเสรีภาพของชนชาวอิรัค ทุกวันนี้พวกเขายังเรียกร้องหาประชาธิปไตยกันอยู่ เขาถูกย่ำยีจนไม่เหลือ ทั้งทรัพยากร ชีวิตผู้คนและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ไอ้พวกนักสิทธิมนุษย์ของสหประชาชาติ มันหายไปไหนหมด หรือมัวแต่ไปช่วยเขาหาบุคคลที่สมควรได้รับรางวัล Nobel สันติภาพกัน

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 25 : เหยื่อ (1) เมื่อหมดยุคประธานาธิบดี Reagan ในปี ค.ศ. 1988 นาย George H W Bush (ตัวพ่อ) ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป เป็นช่วงที่หมดยุคสงครามเย็น เยอรมันตัดสินใจทุบกำแพง Berlin ออก เยอรมันตะวันออกกับตะวันตก จับมือรวมชาติพัฒนาประเทศด้วยกัน การตัดสินในเช่นนี้ ลึก ๆ แน่นอน ย่อมมีคนคัดจมูก หายใจไม่คล่องอยู่บ้าง ถ้าเศรษฐกิจของเยอรมันแข็งแรงและขยายตัวเต็มยุโรป อำนาจของอเมริกาในยุโรปก็เหมือนถูกท้าทาย นี่คือปฏิกิริยาของอเมริกาที่มีต่อทุกประเทศ ไม่ว่ามิตรหรือศัตรู อเมริกาจะมีปรอทวัดอาการของทุกชาติไว้อย่างถี่ถ้วน ถ้าชาติไหน เริ่มเจริญ ก้าวหน้าหรือมีความสำคัญ หรือเอนตัวผิดองศา ที่อเมริกาเห็นว่าน่าจะกลายเป็นคู่แข่ง หรืออุปสรรคต่ออเมริกาไม่ว่าทางใด ปรอทจะส่งสัญญาณเตือนทันที และกิจกรรมการเล่นกลก็จะเริ่มเกิดขึ้น อเมริกามองอาการของเยอรมันเหมือนสมัย ค.ศ. 1970 ช่วงที่อุตสาหกรรมกำลังบูม และความต้องการน้ำมันของประเทศผู้ประกอบกิจการอุตสาหกรรมก็จะสูงตามไปด้วย ค.ศ.นี้ก็ไม่ต่างกัน เยอรมันและชาติที่กำลังทำอุตสาหกรรมก็ต้องหิวน้ำมัน เพราะฉะนั้นอเมริกาต้องรีบหาทาง “กัก” น้ำมันไม่ให้ไปถึงประเทศพวกนั้น คราวนี้ใครจะเป็นเป้าหมายในการเล่นกล เพื่อให้ได้ผลตามที่อเมริกาต้องการ แล้ว Saddam ก็เป็นเหยื่อ หลังจากเปลี้ยมาจากการรบกับอิหร่านเกือบสิบปี ช่วงปี ค.ศ. 1980 – 1988 แผนการก็แบบเดิม ๆ ยุให้เขาตีกันก่อน เพื่อตัวเองจะได้เข้าไปในประเทศเขา (สมันน้อยอ่านตรงนี้ซ้ำ ๆ หน่อยนะ) อเมริกาเล่นกล โดยใช้ Kuwait เป็นเหยื่อล่อ Iraq ให้มากินเบ็ด Iraq งับทันที บุกเข้า Kuwait เพราะมีกรณีค้างคาใจกันอยู่หลายเรื่อง ตั้งแต่ร่วมมือกันรบอิหร่านแล้วเบี้ยวหนี้กัน ทะเลาะกันไปมาหลายเรื่อง แต่เรื่องที่ Saddam แค้นคือ Saddam กล่าวหาว่า Kuwait ขะโมยขุดน้ำมันแถวชายแดนของ Iraq แถม Kuwait ยังเกเรผลิตน้ำมันเกินข้อตกลงกันระหว่างประเทศ OPEC ซึ่งทำให้การควบคุมราคาน้ำมันในกลุ่ม OPEC มีปัญหา Iraq ตัดสินใจบุกคูเวตวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 1990 กองทัพของ Kuwait ต้านไม่ไหวหนีไปพึ่งใบบุญ Saudi Arabia กับ Bahrain Saddam จึงประกาศเอา Kuwait ผนวกกลับมาเป็นของ Iraq อะไรทำให้ Saddam ตัดสินใจทะเลาะกับเพื่อนบ้าน ข่าววงในแจ้งว่า เรื่อง Saddam อยากจะเคี้ยว Kuwait ไม่ได้เป็นความลับอะไร ถึงขนาดฑูตอเมริกา ชื่อคุณนาย April Glaspie ไปเดินถามนายทหารระดับสูงของ Iraq ว่าอะไรกันค้า เตรียมรบอะไรกันค้า เห็นคุณทหาร Iraq ไปอยู่ตามชายแดนติดกับ Kuwait เต็มเลยค่า (นี่ข่าวของคุณนาย April เกี่ยวกับ Iraq นะ ไม่ใช่ของคุณนาย คริสตี้ เรื่องไทยแลนด์ แหม ! แต่มันเจ๋อเหมือนกันจัง) เสร็จแล้วคุณนาย April ก็ออกข่าวว่า เราไม่มีความเห็นเกี่ยวกับความไม่ลงรอยกัน ระหว่าง Iraq กับ Kuwait เราไม่มีความเห็นเกี่ยวกับความขัดแย้ง ระหว่างประเทศอาหรับด้วยกัน (“We have no opinion on the Arab-Arab conflicts”) ที่ยังงี้ละไม่ออกความเห็นนะ คุณนาย ความเห็นพวกฑูตนี้ มันแล้วแต่นายเขาสั่งมา แล้วเราจะต้องไปคอยถามคอยตอบทำไมนะ มันละครชัด ๆ ข่าวว่าการให้สัมภาษณ์ของคุณนาย ทำให้ Saddam เข้าใจว่าอเมริกา ไม่มีปัญหา (หรืออาจจะสนับสนุนด้วยซ้ำ) ที่ Iraq จะบุก Kuwait แต่เรื่องมันกลับตาลปัตร หลังจาก Saddam ถล่ม Kuwait ไปได้ 6 เดือน UN ก็ประกาศประฌาม Saddam พร้อมทั้งมีมติเอกฉันท์สั่งให้ Saddam ถอนกองทัพออกมา Saddam เฉย กลางเดือนมกราคม ค.ศ. 1991 Operation Desert Storm ของอเมริกาก็ปฎิบัติการ ชาวเราก็นั่งดูข่าวถ่ายทอดสดทาง CNN เหมือนดูหนังโรง แต่ของจริงเขาถล่มจริง ตายจริง มันเป็นเพียงการเริ่มต้นของการทำลายล้างประเทศ และประชาชนอย่างไม่มีความปราณี อยู่ 12 ปี แม้จะ (หลอกว่า) มี Operation Iraqi Freedom ตามมาให้เมื่อมีนาคม ค.ศ. 2003 จนหลาย ปีให้หลัง ยังไม่เห็นเสรีภาพของชนชาวอิรัค ทุกวันนี้พวกเขายังเรียกร้องหาประชาธิปไตยกันอยู่ เขาถูกย่ำยีจนไม่เหลือ ทั้งทรัพยากร ชีวิตผู้คนและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ไอ้พวกนักสิทธิมนุษย์ของสหประชาชาติ มันหายไปไหนหมด หรือมัวแต่ไปช่วยเขาหาบุคคลที่สมควรได้รับรางวัล Nobel สันติภาพกัน คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 245 มุมมอง 0 รีวิว
  • มายากลยุทธ ภาค 2 ตอน เชือด

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ‘มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 23 : “เชือด”
    หลายประเทศขยาดจากการที่ราคาน้ำมันขึ้นอย่างบ้าเลือด เมื่อตอนปี ค.ศ. 1973 พวกเขาพยายามหาทางพึ่งพาน้ำมันให้น้อยลง ประมาณปี ค.ศ. 1975 Brazil จึงติดต่อเยอรมันให้สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ให้ Mexico ก็สนใจทำตาม เพื่อรักษาน้ำมันที่ตนมีอยู่ไว้ให้นานที่สุด แต่ที่ทำให้นักเล่นกลเริ่มออกอาการ คือ Shah แห่งอิหร่าน มีน้ำมันเยอะแยะ แต่ดันจะเก็บไว้ ไม่ยอมหลวมตัวเอาน้ำมันแลกกับกระดาษอีกต่อไป เตรียมตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ตามแผนที่วางไว้ ปี ค.ศ. 1995 อิหร่านจะมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถึง 20 โรง ทำให้อิหร่านขึ้นเป็นอันดับ 4 ของโลก ที่มีโครงการนิวเคลียร์
    อเมริกาเริ่มนั่งไม่ติด พยายามเจรจาให้เยอรมันยกเลิกสัญญากับอิหร่าน แต่ไม่สำเร็จ อเมริกาไม่มีอำนาจเหนือเยอรมัน ค.ศ. 1978 อเมริกาเหลือทางเลือกทางเดียว ต้องเลิกสนับสนุน Shah หาคนอื่นมาเป็นหุ่นแทน ขณะที่อเมริกากำลังคิดแผนกำจัด Shah Shah ก็เดินเชิดหน้าไปสดุดฝ่าเท้านายท่านเจ้าเก่า British Petroleum (BP) ซึ่งกำลังเจราจาต่อสัญญากับ Shah อีก 25 ปี โดย BP ยื่นเงื่อนไขว่าอิหร่านต้องให้สิทธิพิเศษแก่ BP รายเดียวสำหรับน้ำมันที่อิหร่านจะขุดเจอในอนาคต แต่ไม่ยอมประกันราคาซื้อ (แหม ! สัญญาได้ประโยชน์ขาเดียว แบบนี้เขาเรียกสัญญาทาส) คราวนี้ Shah Rukh Khanข็งข้อบอกไม่เป็นไร เดี๋ยวเราจะไปหาคนซื้อรายอื่นแล้วกัน ยังมีเรียงแถวกันมาอีกแยะ เช่น เยอรมัน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น
    เยอรมันอีกแล้ว ! นายท่านร้อง เจ็บนั้นไม่ลืม ยังจะมีเพิ่มเจ็บนี้อีกนานหรือไง นายท่านไม่รอช้าสั่งตั้งโรงงิ้วทันที มันลืมไปแล้วหรือไง ว่าไปนั่งอยู่บนบัลลังก์นั้นได้อย่างไร ว่าแล้วก็กระทืบเท้า 3 ที เรียกลูกรักมาสั่งความ ไประดมพวกเรากันมา คราวนี้ต้องใช้เด็กหลายคนหน่อย
    แผน 1 ก็เริ่มปฏิบัติการตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1978 นายท่านสั่งให้ไปหาคนมาแทน Shah ก่อน อ่า ! เจอแล้วครับท่านเอาท่าน Ayotolloh Khomeini ไหมครับ เขาเคยเป็นคู่กรณีกันอยู่ ตอนนี้นั่งเฉย ๆ อยู่ที่ฝรั่งเศส
    แล้วแผน 2 ก็เริ่มตามมา นักสร้างฉากนักเล่นกล ค่าย US และ UK พากันจูงมือเข้าไปเดินพล่านในกรุงเตหะราน แล้วข่าวเรื่อง Shah ไม่ประพฤติตัวตามข้อกำหนดของศาสนาอิสลาม ก็ทะยอยตามออกมา ประชาชนก็เริ่มแสดงความไม่พอใจ Shah เริ่มเป็นที่วิพากษ์อย่างรุนแรง (ทั้ง ๆ เรื่องดังกล่าวก็มีมานานแล้ว) เรื่องการทำตัวหรูหราความฟู่ฟ่าของครอบครัว Shah ก็ทะยอยออกมา (ทั้ง ๆ ความจริงก็เป็นมาอย่างนี้นานแล้วเช่นกัน) ข่าวปล่อยเพิ่มเรื่องอีกว่าไปShah เป็นเผด็จการ มีตำรวจลับคอยจับประชาชน ละเมิดสิทธิมนุษยชน สื่อ BBC ก็ประโคมข่าวทุกวัน ทุกวันในขณะเดียวกัน ท่าน Khomeini ก็เริ่มมีการออกความเห็นผ่านสื่อต่างชาติ แต่ข่าวที่ Shah โต้ตอบ ไม่มีออกไปในสื่อ
    การออกข่าวแบบนี้ดำเนินไปได้ไม่เท่าไหร่ ประชาชนลุกขึ้นเดินขบวนขับไล่ Shah เหตุการณ์เริ่มรุนแรงขึ้น ใช้เวลาไม่ถึง 2 เดือน วันที่ 16 มกราคม ค.ศ. 1979 ก็มีคนมาช่วย Shah เก็บกระเป๋าขนของและครอบครัวออกไปจากอิหร่าน แล้วก็มีคนมาเชิญท่าน Ayotolleh Khomeini มาเป็นประมุขประเทศ ล้มบัลลังก์นกยูงของ Shah ลง และสถาปนาอิหร่านเป็นรัฐศาสนา ความวุ่นวายของอิหร่านก็เริ่มสงบ แต่ที่ตามมาคือ British Petroleum และ Royal Dutch Shell ต่างยกเลิกสัญญาซื้อน้ำมันกับอิหร่านเสียหมด
    แค่นั้นมันเบาไปหน่อยไหม กับคนที่ไม่รู้ถี่รู้ห่าง อุตสาห์อุ้มมานั่งบัลลังก์ ชุบเลี้ยงให้ร่ำรวย นอกจากไม่ยอมให้ตุ๋นต่อแล้ว ยังจะไปสมคบกับศัตรู แบบนี้ต้องเอาให้เข็ดหลาบ อเมริกาจัดหนักให้กับอิหร่านจริง ๆ นอกจากยกเลิกสัญญาซื้อขายน้ำมันแล้ว อเมริกายังประกาศคว่ำบาตร ห้ามมิให้มีการซื้อขายน้ำมัน ก๊าซ และผลิตภัณฑ์ประเภทปิโตรเคมีจากอิหร่าน รวมทั้งการทำธุรกรรมทางการเงินกับอิหร่านอีกด้วย ต่อมาก็ห้ามไป ถึงการขนส่ง การประกันภัย เรียกว่าห้ามธุรกิจอเมริกาไปยุ่งเกี่ยวกับอิหร่านเกือบทั้งหมด
    และมันไม่ได้หยุดแค่นั้น อเมริกาใช้อิทธิพลของตนเองที่มีเหนือประเทศต่าง ๆ ทั้งมิตรและคู่ค้า เช่น ออสเตรเลีย แคนนาดา เกาหลี ญี่ปุ่น อิสราเอล (แน่นอนของตาย !) ประเทศในกลุ่มประชาคมยุโรป กลุ่ม BRRICS ให้คว่ำบาตร (sanction) อิหร่านด้วยเช่นกัน การคว่ำบาตรเริ่มต้นมาตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ. 1979 จนบัดนี้ยังไม่เลิก และยังเพิ่มข้อหาไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะข้อหาว่า อิหร่านกำลังสร้างอาวุธนิวเคลียร์ UN มีมติให้ทำการตรวจสอบ ซึ่งถึงเดี๋ยวนี้ก็ ยังไม่มีหลักฐานยืนยันเพียงพอว่าอิหร่านทำเช่นนั้นจริง แต่อิหร่านก็ยังอยู่ได้ ประเทศแม้จะจนถึงขนาด แต่ชาวอิหร่านไม่ยอมอ่อนข้อให้อเมริกา เขาก้มหน้าก้มตาสร้างบ้านเมืองในแบบเขา เมื่อเขาผลิตเครื่องอีเลคโทรนิค
    หรือเครื่องมือในโลกไซเบอร์ได้ อเมริกาก็ประกาศขึ้นบัญชีดำบริษัทผู้ผลิต มันเกี่ยวกับน้ำมันตรงไหนนะ
    อเมริกาทำตัวเป็นนักเลงโต จิกโก๋ปากซอยตัวจริง แต่จิกโก๋คิดแค่นี้หรือ ยี่สิบกว่าปีที่อิหร่านถูกคว่ำบาตร ขายน้ำมันยากเย็น เพราะฉะนั้นดินแดนอิหร่านน้ำมันยังไม่พร่องมาก เพราะยังไม่มีใครกล้ามาแตะ ตอนนี้อิหร่านมีน้ำมัน ก็เหมือนไม่มี เจอการวิธีเล่นกล เสกน้ำมันให้หาย (ค่า) ได้แต่กัดฟันรอเวลาเอาคืน แล้วคอยดูไปเถอะ เมื่อถึงเวลา “อันเหมาะสม” รายแรกที่จะเข้าไปเปิดบ่อน้ำมันใหม่คืออเมริกา อ้าว ! มาแล้วไงคุณโอบามาเริ่มออกข่าวแล้วเมื่อปลายปีที่แล้วว่า จะมีการนัดเจรจาพิจารณาลดหย่อน เงื่อนไขการคว่ำบาตรให้กับอิหร่าน เห็นฝีมือหรือยัง การเล่นกลจาก 2 ค่าย 2 ฝั่งมหาสมุทรแอทแลนติค ! นี่ไม่ใช่เชือดไก่ให้ลิงดู แต่เป็นการเชือดทิ้งจริง ๆ เมื่อหมดประโยชน์ หรือหมากตัวที่ส่งไปเล่นในกระดาน แต่ดันเล่นผิดบทหรือทำให้เกิด cost overrun ! เขาก็เปลี่ยนหมากตัวใหม่ แต่ยังเอามากำกับให้เดิน ในกระดานของเขาเหมือนเดิม


    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 2 ตอน เชือด นิทานเรื่องจริง เรื่อง ‘มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 23 : “เชือด” หลายประเทศขยาดจากการที่ราคาน้ำมันขึ้นอย่างบ้าเลือด เมื่อตอนปี ค.ศ. 1973 พวกเขาพยายามหาทางพึ่งพาน้ำมันให้น้อยลง ประมาณปี ค.ศ. 1975 Brazil จึงติดต่อเยอรมันให้สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ให้ Mexico ก็สนใจทำตาม เพื่อรักษาน้ำมันที่ตนมีอยู่ไว้ให้นานที่สุด แต่ที่ทำให้นักเล่นกลเริ่มออกอาการ คือ Shah แห่งอิหร่าน มีน้ำมันเยอะแยะ แต่ดันจะเก็บไว้ ไม่ยอมหลวมตัวเอาน้ำมันแลกกับกระดาษอีกต่อไป เตรียมตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ตามแผนที่วางไว้ ปี ค.ศ. 1995 อิหร่านจะมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถึง 20 โรง ทำให้อิหร่านขึ้นเป็นอันดับ 4 ของโลก ที่มีโครงการนิวเคลียร์ อเมริกาเริ่มนั่งไม่ติด พยายามเจรจาให้เยอรมันยกเลิกสัญญากับอิหร่าน แต่ไม่สำเร็จ อเมริกาไม่มีอำนาจเหนือเยอรมัน ค.ศ. 1978 อเมริกาเหลือทางเลือกทางเดียว ต้องเลิกสนับสนุน Shah หาคนอื่นมาเป็นหุ่นแทน ขณะที่อเมริกากำลังคิดแผนกำจัด Shah Shah ก็เดินเชิดหน้าไปสดุดฝ่าเท้านายท่านเจ้าเก่า British Petroleum (BP) ซึ่งกำลังเจราจาต่อสัญญากับ Shah อีก 25 ปี โดย BP ยื่นเงื่อนไขว่าอิหร่านต้องให้สิทธิพิเศษแก่ BP รายเดียวสำหรับน้ำมันที่อิหร่านจะขุดเจอในอนาคต แต่ไม่ยอมประกันราคาซื้อ (แหม ! สัญญาได้ประโยชน์ขาเดียว แบบนี้เขาเรียกสัญญาทาส) คราวนี้ Shah Rukh Khanข็งข้อบอกไม่เป็นไร เดี๋ยวเราจะไปหาคนซื้อรายอื่นแล้วกัน ยังมีเรียงแถวกันมาอีกแยะ เช่น เยอรมัน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น เยอรมันอีกแล้ว ! นายท่านร้อง เจ็บนั้นไม่ลืม ยังจะมีเพิ่มเจ็บนี้อีกนานหรือไง นายท่านไม่รอช้าสั่งตั้งโรงงิ้วทันที มันลืมไปแล้วหรือไง ว่าไปนั่งอยู่บนบัลลังก์นั้นได้อย่างไร ว่าแล้วก็กระทืบเท้า 3 ที เรียกลูกรักมาสั่งความ ไประดมพวกเรากันมา คราวนี้ต้องใช้เด็กหลายคนหน่อย แผน 1 ก็เริ่มปฏิบัติการตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1978 นายท่านสั่งให้ไปหาคนมาแทน Shah ก่อน อ่า ! เจอแล้วครับท่านเอาท่าน Ayotolloh Khomeini ไหมครับ เขาเคยเป็นคู่กรณีกันอยู่ ตอนนี้นั่งเฉย ๆ อยู่ที่ฝรั่งเศส แล้วแผน 2 ก็เริ่มตามมา นักสร้างฉากนักเล่นกล ค่าย US และ UK พากันจูงมือเข้าไปเดินพล่านในกรุงเตหะราน แล้วข่าวเรื่อง Shah ไม่ประพฤติตัวตามข้อกำหนดของศาสนาอิสลาม ก็ทะยอยตามออกมา ประชาชนก็เริ่มแสดงความไม่พอใจ Shah เริ่มเป็นที่วิพากษ์อย่างรุนแรง (ทั้ง ๆ เรื่องดังกล่าวก็มีมานานแล้ว) เรื่องการทำตัวหรูหราความฟู่ฟ่าของครอบครัว Shah ก็ทะยอยออกมา (ทั้ง ๆ ความจริงก็เป็นมาอย่างนี้นานแล้วเช่นกัน) ข่าวปล่อยเพิ่มเรื่องอีกว่าไปShah เป็นเผด็จการ มีตำรวจลับคอยจับประชาชน ละเมิดสิทธิมนุษยชน สื่อ BBC ก็ประโคมข่าวทุกวัน ทุกวันในขณะเดียวกัน ท่าน Khomeini ก็เริ่มมีการออกความเห็นผ่านสื่อต่างชาติ แต่ข่าวที่ Shah โต้ตอบ ไม่มีออกไปในสื่อ การออกข่าวแบบนี้ดำเนินไปได้ไม่เท่าไหร่ ประชาชนลุกขึ้นเดินขบวนขับไล่ Shah เหตุการณ์เริ่มรุนแรงขึ้น ใช้เวลาไม่ถึง 2 เดือน วันที่ 16 มกราคม ค.ศ. 1979 ก็มีคนมาช่วย Shah เก็บกระเป๋าขนของและครอบครัวออกไปจากอิหร่าน แล้วก็มีคนมาเชิญท่าน Ayotolleh Khomeini มาเป็นประมุขประเทศ ล้มบัลลังก์นกยูงของ Shah ลง และสถาปนาอิหร่านเป็นรัฐศาสนา ความวุ่นวายของอิหร่านก็เริ่มสงบ แต่ที่ตามมาคือ British Petroleum และ Royal Dutch Shell ต่างยกเลิกสัญญาซื้อน้ำมันกับอิหร่านเสียหมด แค่นั้นมันเบาไปหน่อยไหม กับคนที่ไม่รู้ถี่รู้ห่าง อุตสาห์อุ้มมานั่งบัลลังก์ ชุบเลี้ยงให้ร่ำรวย นอกจากไม่ยอมให้ตุ๋นต่อแล้ว ยังจะไปสมคบกับศัตรู แบบนี้ต้องเอาให้เข็ดหลาบ อเมริกาจัดหนักให้กับอิหร่านจริง ๆ นอกจากยกเลิกสัญญาซื้อขายน้ำมันแล้ว อเมริกายังประกาศคว่ำบาตร ห้ามมิให้มีการซื้อขายน้ำมัน ก๊าซ และผลิตภัณฑ์ประเภทปิโตรเคมีจากอิหร่าน รวมทั้งการทำธุรกรรมทางการเงินกับอิหร่านอีกด้วย ต่อมาก็ห้ามไป ถึงการขนส่ง การประกันภัย เรียกว่าห้ามธุรกิจอเมริกาไปยุ่งเกี่ยวกับอิหร่านเกือบทั้งหมด และมันไม่ได้หยุดแค่นั้น อเมริกาใช้อิทธิพลของตนเองที่มีเหนือประเทศต่าง ๆ ทั้งมิตรและคู่ค้า เช่น ออสเตรเลีย แคนนาดา เกาหลี ญี่ปุ่น อิสราเอล (แน่นอนของตาย !) ประเทศในกลุ่มประชาคมยุโรป กลุ่ม BRRICS ให้คว่ำบาตร (sanction) อิหร่านด้วยเช่นกัน การคว่ำบาตรเริ่มต้นมาตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ. 1979 จนบัดนี้ยังไม่เลิก และยังเพิ่มข้อหาไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะข้อหาว่า อิหร่านกำลังสร้างอาวุธนิวเคลียร์ UN มีมติให้ทำการตรวจสอบ ซึ่งถึงเดี๋ยวนี้ก็ ยังไม่มีหลักฐานยืนยันเพียงพอว่าอิหร่านทำเช่นนั้นจริง แต่อิหร่านก็ยังอยู่ได้ ประเทศแม้จะจนถึงขนาด แต่ชาวอิหร่านไม่ยอมอ่อนข้อให้อเมริกา เขาก้มหน้าก้มตาสร้างบ้านเมืองในแบบเขา เมื่อเขาผลิตเครื่องอีเลคโทรนิค หรือเครื่องมือในโลกไซเบอร์ได้ อเมริกาก็ประกาศขึ้นบัญชีดำบริษัทผู้ผลิต มันเกี่ยวกับน้ำมันตรงไหนนะ อเมริกาทำตัวเป็นนักเลงโต จิกโก๋ปากซอยตัวจริง แต่จิกโก๋คิดแค่นี้หรือ ยี่สิบกว่าปีที่อิหร่านถูกคว่ำบาตร ขายน้ำมันยากเย็น เพราะฉะนั้นดินแดนอิหร่านน้ำมันยังไม่พร่องมาก เพราะยังไม่มีใครกล้ามาแตะ ตอนนี้อิหร่านมีน้ำมัน ก็เหมือนไม่มี เจอการวิธีเล่นกล เสกน้ำมันให้หาย (ค่า) ได้แต่กัดฟันรอเวลาเอาคืน แล้วคอยดูไปเถอะ เมื่อถึงเวลา “อันเหมาะสม” รายแรกที่จะเข้าไปเปิดบ่อน้ำมันใหม่คืออเมริกา อ้าว ! มาแล้วไงคุณโอบามาเริ่มออกข่าวแล้วเมื่อปลายปีที่แล้วว่า จะมีการนัดเจรจาพิจารณาลดหย่อน เงื่อนไขการคว่ำบาตรให้กับอิหร่าน เห็นฝีมือหรือยัง การเล่นกลจาก 2 ค่าย 2 ฝั่งมหาสมุทรแอทแลนติค ! นี่ไม่ใช่เชือดไก่ให้ลิงดู แต่เป็นการเชือดทิ้งจริง ๆ เมื่อหมดประโยชน์ หรือหมากตัวที่ส่งไปเล่นในกระดาน แต่ดันเล่นผิดบทหรือทำให้เกิด cost overrun ! เขาก็เปลี่ยนหมากตัวใหม่ แต่ยังเอามากำกับให้เดิน ในกระดานของเขาเหมือนเดิม คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 268 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฟังข่าวต้นๆ เกี่ยวกับเยอรมันและยุโรปเตรียมเรื่องอาวุธ ความรู้พื้นฐาน ดาวยุค 9 ธาตุไฟหยิน และธุรกิจพวกเศษเหล็ก อ็อกเชื่อมต่อ ไฟหยิน คือไฟขี้เถ้า ให้เริ่มสังเกตและสงสัยว่า อะไรจะเกิด เมื่อมนุษย์ผู้มีความสามารถ กำลังทำลายกัน และทำลายโลก พวกเขาขาดความเมตตาธรรม และปัญญา ในภาษาพุทธศาสนา, ขาดความรักในภาษาศาสนาคริสต์ และบทสะท้อนจากแม่ของแฮรี่ พอตต์เตอร์ คือความรัก

    https://www.youtube.com/live/fC2QqlgQHFs?si=TIFcVH9QgVRADofQ
    ฟังข่าวต้นๆ เกี่ยวกับเยอรมันและยุโรปเตรียมเรื่องอาวุธ ความรู้พื้นฐาน ดาวยุค 9 ธาตุไฟหยิน และธุรกิจพวกเศษเหล็ก อ็อกเชื่อมต่อ ไฟหยิน คือไฟขี้เถ้า ให้เริ่มสังเกตและสงสัยว่า อะไรจะเกิด เมื่อมนุษย์ผู้มีความสามารถ กำลังทำลายกัน และทำลายโลก พวกเขาขาดความเมตตาธรรม และปัญญา ในภาษาพุทธศาสนา, ขาดความรักในภาษาศาสนาคริสต์ และบทสะท้อนจากแม่ของแฮรี่ พอตต์เตอร์ คือความรัก https://www.youtube.com/live/fC2QqlgQHFs?si=TIFcVH9QgVRADofQ
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง”มายากลยุทธ”
    ภาดสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 22 : ปั่นน้ำมัน (1)
    ปี ค.ศ. 1969 อเมริกาเกิดอาการเศรษฐกิจชักกระตุก ทำท่าจะเดินถอยหลังอีก ในขณะที่เศรษฐกิจของยุโรป โดยเฉพาะเยอรมันและญี่ปุ่น พัฒนาและเดินหน้าอย่างรวดเร็ว ทำให้ค่าเงินสกุลของ 2 ประเทศ สูงกว่าค่าเงินดอลล่าร์ ซึ่งผูกไว้กับราคาทองคำ ไอ้ที่แย่ อเมริกาเริ่มเสียดุลย์การค้า ทำให้มีการเททิ้งดอลล่าร์ ทองสำรองก็เหลือเพียง 1 ใน 4 ของจำนวนหนี้ของประเทศ แล้วประธานาธิบดี Nixon ก็ตัดสินใจแบบหักดิบ ในปี ค.ศ. 1971 ยกเลิกการผูกดอลล่าร์ไว้กับทอง ยกเลิกการเปลี่ยนเงินกระดาษมาเป็นทองคำ ปิดหน้าต่างลงกลอนการแลกเปลี่ยนอย่างถาวร
    โลกช็อคกับมาตรการของคุณพี่นิกสัน คุณพี่เครียด หรือคุณพี่เมา !? คุณพี่นิกสันตอนนั้น ก็คงเหมือนคนพระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก โดนบี้รอบข้างจากผลของการเข้าไปทำสงครามเวียตนาม ยังมาเจอเศรษฐกิจเดินถอยหลัง และที่เห็นกำลังมาไว ๆ ก็คือคดีวอเตอร์เกตอันลือชื่อของคุณพี่ เล่นเอาคุณพี่ไปไม่เป็น แล้วจะให้คุณพี่ทำยังไง แกก็ส่งใบลาไปนอนซมระทมทุกข์ ปล่อยให้นาย Kissinger ทำหน้าที่เหมือนเป็นประธานาธิบดีแทน มันเขาล่ะ ! แล้วโลกจะรู้ไหมว่า การตัดเชือกผูกดอลล่าร์ไว้กับทองนะ มันเป็นแผนมายากลแบบสุดยอดของนักเล่นกลเลย แผนนี้เขาวางกันเป็นขั้นตอนแบบบันได 7 ขั้น (3 ขั้น มันน้อยไป) ผู้แต่งเรื่องประกอบและผู้นำการแสดง มือระดับรางวัล Nobel ไม่ใช่รางวัลออสการ์
    ค.ศ. 1969 ภาคอุตสาหกรรมของโลกกำลังบูม อุตสาหกรรมต้องดื่มน้ำมัน ผู้ที่บูมไปด้วย คือ ชาติผู้ผลิตน้ำมัน แน่นอนกลุ่มผู้ค้าน้ำมัน OPEC ก็อู้ฟู้ไปด้วย เขามีข้อตกลงกันตั้งแต่ตอนตั้ง OPEC ว่า การซื้อน้ำมันจะต้องใช้เงินสกุลดอลล่าร์เท่านั้น ชาติไหนจะซื้อน้ำมัน ต้องไปซื้อดอลล่าร์มาก่อน เพื่อเอาไปจ่ายน้ำมัน (ใครนะมันช่างคิดสูตรนี้ !)
    ประเทศผู้ค้าน้ำมัน เช่น ซาอุดิอารเบีย อิหร่าน ฯลฯ เมื่อได้เงินค่าน้ำมัน ก็แน่นอนเอาไปฝากธนาคาร ธนาคารที่รับฝากก็แน่นอนอีกแหละ เป็นพวก Anglo American ธนาคารไหนต้องให้บอกชื่อกันไหม
    ปี ค.ศ. 1973 เดือนพฤษภาคม สมาชิกสมาคมลับ Bilderberg นัดประชุมกัน มีข่าวสำคัญรั่วออกมาจากที่ประชุม แมลงวันวิ่งไล่ตอมข่าว สมาคมนี้น่ะ มันลับอย่างไร สำคัญอย่างไรมา รู้จักกันหน่อย
    Bilderberg Group เป็นสมาคมลับสุดยอด ของบุคคลลับสุดยอด มีสมาชิกโดยการเชิญ ประมาณ 100 กว่าคน จากอเมริกาและยุโรป เรียกว่าเป็นสมาคมผมทองของแท้ ไม่มีด่างดำน้ำตาลเหลืองมาปนเลย ผู้ที่จะได้รับเชิญเป็นสมาชิก หรือมาประชุมก็เป็นพวกอยู่ในระดับสูงสุดของประเทศ เป็นขนมเค็กก็เรียกว่าเป็นพวก cream นั่นแหละ ตั้งขึ้นมาเมื่อปี ค.ศ. 1959 เพื่อจะประสานงานทางความคิด นโยบาย และวัฒนธรรม ระหว่างอเมริกากับยุโรป เพื่อสร้างรวมมือกัน เกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคงระหว่างประเทศ ฟังดูหรูและน่าทึ่งดีนะ
    คนที่เสนอความคิดตั้งสมาคมนี้ คือนาย Jozef Retinger ซึ่งไปคุยกับ Prince Bernhard สวามีของพระราชินี Julianna แห่ง Netherland คุณเจ้าชาย B เห็นด้วยอย่างยิ่ง ถึงกับลงมือไปคุยกับนายกรัฐมนตรี เบลเยี่ยมด้วยตนเอง รวมทั้งคุยกับหัวหน้า CIA ของอเมริกาขณะนั้น ว่าเราต้องร่วมมือกัน เพื่ออนาคตอันก้าวหน้าของพวกผมทอง
    การประชุมครั้งแรกของสมาคมลับ ที่มีเจ้าชาย B เป็นโต้โผ มีผู้เข้าประชุม 50 คน จาก 11 ประเทศในยุโรป และอีก 11 คนจากอเมริกา
    สมาคมลับนี้ยังมีอยู่จนถึงทุกวันนี้ ชื่อเด่น ๆ ที่เข้าร่วมประชุมกับสมาคมอันนี้ มีตั้งแต่ กษัตริย์ Juan Carlos และ Queen Sofia แห่งสเปน Queen Beatrix แห่งเนเทอร์แลนด์ บริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น IBM, Xerox, Royal Dutch Shell, Nokia และ Daimler และระดับผู้บริหารประเทศ เช่น นายกรัฐมนตรีกรีก นาย Kostas Karamanlis นายกรัฐมนตรีฟินแลนด์ นาย Matti Vanhanen รวมถึงนาย Timothy Geithner ของอเมริกา (และ cream ขนมเค้กอีกหลายอันเขียนไม่หวัดไม่ไหว)
    ในปี ค.ศ. 2013 มีการประชุมที่ Watford ประเทศอังกฤษ รายงานแจ้งว่ามีผู้เข้าประชุม แต่ไม่ประสงค์จะออกนาม อาจโผล่มาหลายคน (ลับจริง ๆ !) สำหรับโต้โผใหญ่ คือ เจ้าชาย B นั้น เป็นประธานสมาคมอยู่จนถึงปี ค.ศ. 1976 เป็นปีที่เขาโดนกล่าวหาเป็นข่าวไปทั่วโลก เกี่ยวกับเรื่องรับสินบนจากบริษัท Lockheed ซึ่งเป็นบริษัทขายอาวุธของอเมริกา Bilderberg ถูกวิจารณ์ว่าเป็นสมาคมระดับสูง ที่ใช้บุคคลระดับสูงทำหน้าที่เหมือน Lobbyist ในเรื่องระดับสำคัญอย่างสูง (หลายสูงเลยล่ะ) คงพอมองเห็นภาพ งานหลักของสมาคมนี้กันแล้ว

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง”มายากลยุทธ” ภาดสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 22 : ปั่นน้ำมัน (1) ปี ค.ศ. 1969 อเมริกาเกิดอาการเศรษฐกิจชักกระตุก ทำท่าจะเดินถอยหลังอีก ในขณะที่เศรษฐกิจของยุโรป โดยเฉพาะเยอรมันและญี่ปุ่น พัฒนาและเดินหน้าอย่างรวดเร็ว ทำให้ค่าเงินสกุลของ 2 ประเทศ สูงกว่าค่าเงินดอลล่าร์ ซึ่งผูกไว้กับราคาทองคำ ไอ้ที่แย่ อเมริกาเริ่มเสียดุลย์การค้า ทำให้มีการเททิ้งดอลล่าร์ ทองสำรองก็เหลือเพียง 1 ใน 4 ของจำนวนหนี้ของประเทศ แล้วประธานาธิบดี Nixon ก็ตัดสินใจแบบหักดิบ ในปี ค.ศ. 1971 ยกเลิกการผูกดอลล่าร์ไว้กับทอง ยกเลิกการเปลี่ยนเงินกระดาษมาเป็นทองคำ ปิดหน้าต่างลงกลอนการแลกเปลี่ยนอย่างถาวร โลกช็อคกับมาตรการของคุณพี่นิกสัน คุณพี่เครียด หรือคุณพี่เมา !? คุณพี่นิกสันตอนนั้น ก็คงเหมือนคนพระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก โดนบี้รอบข้างจากผลของการเข้าไปทำสงครามเวียตนาม ยังมาเจอเศรษฐกิจเดินถอยหลัง และที่เห็นกำลังมาไว ๆ ก็คือคดีวอเตอร์เกตอันลือชื่อของคุณพี่ เล่นเอาคุณพี่ไปไม่เป็น แล้วจะให้คุณพี่ทำยังไง แกก็ส่งใบลาไปนอนซมระทมทุกข์ ปล่อยให้นาย Kissinger ทำหน้าที่เหมือนเป็นประธานาธิบดีแทน มันเขาล่ะ ! แล้วโลกจะรู้ไหมว่า การตัดเชือกผูกดอลล่าร์ไว้กับทองนะ มันเป็นแผนมายากลแบบสุดยอดของนักเล่นกลเลย แผนนี้เขาวางกันเป็นขั้นตอนแบบบันได 7 ขั้น (3 ขั้น มันน้อยไป) ผู้แต่งเรื่องประกอบและผู้นำการแสดง มือระดับรางวัล Nobel ไม่ใช่รางวัลออสการ์ ค.ศ. 1969 ภาคอุตสาหกรรมของโลกกำลังบูม อุตสาหกรรมต้องดื่มน้ำมัน ผู้ที่บูมไปด้วย คือ ชาติผู้ผลิตน้ำมัน แน่นอนกลุ่มผู้ค้าน้ำมัน OPEC ก็อู้ฟู้ไปด้วย เขามีข้อตกลงกันตั้งแต่ตอนตั้ง OPEC ว่า การซื้อน้ำมันจะต้องใช้เงินสกุลดอลล่าร์เท่านั้น ชาติไหนจะซื้อน้ำมัน ต้องไปซื้อดอลล่าร์มาก่อน เพื่อเอาไปจ่ายน้ำมัน (ใครนะมันช่างคิดสูตรนี้ !) ประเทศผู้ค้าน้ำมัน เช่น ซาอุดิอารเบีย อิหร่าน ฯลฯ เมื่อได้เงินค่าน้ำมัน ก็แน่นอนเอาไปฝากธนาคาร ธนาคารที่รับฝากก็แน่นอนอีกแหละ เป็นพวก Anglo American ธนาคารไหนต้องให้บอกชื่อกันไหม ปี ค.ศ. 1973 เดือนพฤษภาคม สมาชิกสมาคมลับ Bilderberg นัดประชุมกัน มีข่าวสำคัญรั่วออกมาจากที่ประชุม แมลงวันวิ่งไล่ตอมข่าว สมาคมนี้น่ะ มันลับอย่างไร สำคัญอย่างไรมา รู้จักกันหน่อย Bilderberg Group เป็นสมาคมลับสุดยอด ของบุคคลลับสุดยอด มีสมาชิกโดยการเชิญ ประมาณ 100 กว่าคน จากอเมริกาและยุโรป เรียกว่าเป็นสมาคมผมทองของแท้ ไม่มีด่างดำน้ำตาลเหลืองมาปนเลย ผู้ที่จะได้รับเชิญเป็นสมาชิก หรือมาประชุมก็เป็นพวกอยู่ในระดับสูงสุดของประเทศ เป็นขนมเค็กก็เรียกว่าเป็นพวก cream นั่นแหละ ตั้งขึ้นมาเมื่อปี ค.ศ. 1959 เพื่อจะประสานงานทางความคิด นโยบาย และวัฒนธรรม ระหว่างอเมริกากับยุโรป เพื่อสร้างรวมมือกัน เกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคงระหว่างประเทศ ฟังดูหรูและน่าทึ่งดีนะ คนที่เสนอความคิดตั้งสมาคมนี้ คือนาย Jozef Retinger ซึ่งไปคุยกับ Prince Bernhard สวามีของพระราชินี Julianna แห่ง Netherland คุณเจ้าชาย B เห็นด้วยอย่างยิ่ง ถึงกับลงมือไปคุยกับนายกรัฐมนตรี เบลเยี่ยมด้วยตนเอง รวมทั้งคุยกับหัวหน้า CIA ของอเมริกาขณะนั้น ว่าเราต้องร่วมมือกัน เพื่ออนาคตอันก้าวหน้าของพวกผมทอง การประชุมครั้งแรกของสมาคมลับ ที่มีเจ้าชาย B เป็นโต้โผ มีผู้เข้าประชุม 50 คน จาก 11 ประเทศในยุโรป และอีก 11 คนจากอเมริกา สมาคมลับนี้ยังมีอยู่จนถึงทุกวันนี้ ชื่อเด่น ๆ ที่เข้าร่วมประชุมกับสมาคมอันนี้ มีตั้งแต่ กษัตริย์ Juan Carlos และ Queen Sofia แห่งสเปน Queen Beatrix แห่งเนเทอร์แลนด์ บริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น IBM, Xerox, Royal Dutch Shell, Nokia และ Daimler และระดับผู้บริหารประเทศ เช่น นายกรัฐมนตรีกรีก นาย Kostas Karamanlis นายกรัฐมนตรีฟินแลนด์ นาย Matti Vanhanen รวมถึงนาย Timothy Geithner ของอเมริกา (และ cream ขนมเค้กอีกหลายอันเขียนไม่หวัดไม่ไหว) ในปี ค.ศ. 2013 มีการประชุมที่ Watford ประเทศอังกฤษ รายงานแจ้งว่ามีผู้เข้าประชุม แต่ไม่ประสงค์จะออกนาม อาจโผล่มาหลายคน (ลับจริง ๆ !) สำหรับโต้โผใหญ่ คือ เจ้าชาย B นั้น เป็นประธานสมาคมอยู่จนถึงปี ค.ศ. 1976 เป็นปีที่เขาโดนกล่าวหาเป็นข่าวไปทั่วโลก เกี่ยวกับเรื่องรับสินบนจากบริษัท Lockheed ซึ่งเป็นบริษัทขายอาวุธของอเมริกา Bilderberg ถูกวิจารณ์ว่าเป็นสมาคมระดับสูง ที่ใช้บุคคลระดับสูงทำหน้าที่เหมือน Lobbyist ในเรื่องระดับสำคัญอย่างสูง (หลายสูงเลยล่ะ) คงพอมองเห็นภาพ งานหลักของสมาคมนี้กันแล้ว คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 268 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนที่กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา"เขาเรียกคนเนรคุณเหมือนอสรพิษ ดูแลรักษาพอแข็งแรงก็แว้งกัดคนเลี้ยง#เหมือนชาวนากับงูเห่า ผลักดันออกไปกั้นกำแพงถาวรแบบกำแพงเบอร์ลินที่เยอรมัน
    คนที่กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา"เขาเรียกคนเนรคุณเหมือนอสรพิษ ดูแลรักษาพอแข็งแรงก็แว้งกัดคนเลี้ยง#เหมือนชาวนากับงูเห่า ผลักดันออกไปกั้นกำแพงถาวรแบบกำแพงเบอร์ลินที่เยอรมัน🇩🇪
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 72 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอนเสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 20 : เจ้ามือมาแล้ว
    ย้อนกลับไประหว่างที่สงครามโลกครั้งที่ 1 กำลังขับเคี้ยวกันอยู่ ประธานาธิบดีอเมริกา Woodrow Wilson นั่งบนกำแพงดูทิศทางลม ไม่ต้องการมีส่วนร่วมในสงครามพวกนักธุรกิจเห็นว่ามัวแต่นั่งดูทางลมแบบนั้น มันจะเข้าทางพวกเราหรือ ว่าแล้วพวกเขาก็รวบรวมพรรคพวก ตั้งคณะกำหนดทิศทางลมแทน ชื่อ “The Inquiry” เพื่อทำการศึกษา (ตามโผ !) และแนะนำประธานาธิบดี Wilson ว่า หาก Kaiser และจักรวรรดิเยอรมันล้มคว่ำ โลกนี้ควรจะมีทิศทางในการเดินเกมการเมืองอย่างไร การเสนอแนะของ The Inquiry ทำผ่าน Col. Edward M. House คนสนิทของประธานาธิบดี Wilson ท่านนายพัน House นี้ เป็นตัวสำคัญในการผลักดันให้เกิด Federal Reserve System
    The Inquiry นี้เองที่เป็นต้นกำเนิดของ The Council on Foreign Relations (CFR) ผู้มีอำนาจและอิทธิพลสูงสุด พวกเขาคือคนถือเข็มทิศ กำหนดทิศทางเดินของอเมริกานั่นเอง CFR เริ่มต้นจากการรวมตัวของนักวิชาการและนักการฑูตจากอังกฤษและอเมริกา เขาตกลงกันในที่ประชุมเมื่อพฤษภาคม ค.ศ. 1919 ว่า พวกเราควรจัดให้มีสถาบันร่วมมือกันระหว่างอังกฤษกับอเมริกา เพื่อ “ดูแล” เกี่ยวกับเรื่องระหว่างประเทศ (International Affairs) หลังจากนั้น ใน ค.ศ. 1921 พวกเขาก็ได้ขยายแนวร่วมไปยังกลุ่ม นักกฎหมายและนักการเงิน และร่วมกันตั้ง The Council on Foreign Relations ขึ้นในปี ค.ศ. 1921
    CFR มีเป้าหมายที่จะกำหนดที่ยืนของอเมริกาในโลกเสียใหม่ จากที่ทำแต่อุตสาหกรรมโดยลำพัง อยู่โดดเดี่ยว เปลี่ยนสภาพเป็นตัวกลไกสำคัญ ในการกำหนดทิศทางการเงินระหว่างประเทศ และกำหนดทิศทางการเดินของอเมริกาที่จะก้าวไปสู่การเป็นจักรวรรดิอเมริกา ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านธุรกิจ การเงิน การเมืองระหว่างประเทศ การทหาร สื่อมวลชน และนักวิชาการ ในสังคมระดับสูง และทิศทางดังกล่าวจะต้องทำเป็นนโยบายระดับนานาชาติ โดยมีกลุ่มทุนใหญ่สนับสนุนอยู่ข้างหลัง
    เงินคืออำนาจ อำนาจคือเงิน อย่าถามว่าพวกเขาจะสร้างอำนาจนี้ได้จริงหรือ และเมื่อมีอำนาจแล้วจะใช้อำนาจนี้ไหม จักรวรรดิอเมริกามีจริงหรือไม่ เขาว่าถามแบบนี้ แน่นอน คนถามต้องไม่ใช่เป็นพวก CFR และไม่มีวันได้เป็น ฮา !
    แต่ก่อนจะมีอำนาจ ต้องมีเงินก่อนตามสูตร แล้วนักเล่นกล ก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่อเมริกาจะต้องมีธนาคารกลาง แต่เป็นธนาคารกลางที่พวกเขา ควรเป็น (เจ้ามือ) เจ้าของและควบคุม มันเป็นการร่วมมือกันระหว่างนักการเงิน 2 ฝั่งคาบสมุทร Atlantic
    J P Morgan ร่ายมนต์ให้นักการเมืองฟังว่า เหตุการณ์วิกฤติทางการเงินของอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1907 น่ะ เพราะพวกคุณไม่มีระบบการเงินที่ดี รัฐบาลก็ไม่มีกระเป๋าเงินของตัวเองที่ใหญ่พอ ตอนเกิดเรื่องนะจำได้มั้ย เราน่ะ J P Morgan เป็นคนให้รัฐบาลยืมเงินนะ จะเสียหน้าแบบนั้นอีกเหรอ คำขู่ได้ผลประธานาธิบดี Wilson มือไม้สั่นรีบออก Federal Reserve Act ในปี ค.ศ. 1913 ผลของกฎหมายฉบับนี้ ทำให้อเมริกาถูกควบคุม โดยผู้มีอำนาจทางการเงิน Federal Reserve Bank หรือ “Fed” (เจ้ามือตัวจริง !) ซึ่งรัฐบาลอเมริกาไม่ได้เป็นเจ้าของ แต่ Fed สามารถที่กำหนดหลักเกณฑ์ ในการพิมพ์เงินดอลล่าร์ได้เอง โดยไม่ต้องผ่าน Congress เยี่ยมจริง ๆ!!!

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอนเสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 20 : เจ้ามือมาแล้ว ย้อนกลับไประหว่างที่สงครามโลกครั้งที่ 1 กำลังขับเคี้ยวกันอยู่ ประธานาธิบดีอเมริกา Woodrow Wilson นั่งบนกำแพงดูทิศทางลม ไม่ต้องการมีส่วนร่วมในสงครามพวกนักธุรกิจเห็นว่ามัวแต่นั่งดูทางลมแบบนั้น มันจะเข้าทางพวกเราหรือ ว่าแล้วพวกเขาก็รวบรวมพรรคพวก ตั้งคณะกำหนดทิศทางลมแทน ชื่อ “The Inquiry” เพื่อทำการศึกษา (ตามโผ !) และแนะนำประธานาธิบดี Wilson ว่า หาก Kaiser และจักรวรรดิเยอรมันล้มคว่ำ โลกนี้ควรจะมีทิศทางในการเดินเกมการเมืองอย่างไร การเสนอแนะของ The Inquiry ทำผ่าน Col. Edward M. House คนสนิทของประธานาธิบดี Wilson ท่านนายพัน House นี้ เป็นตัวสำคัญในการผลักดันให้เกิด Federal Reserve System The Inquiry นี้เองที่เป็นต้นกำเนิดของ The Council on Foreign Relations (CFR) ผู้มีอำนาจและอิทธิพลสูงสุด พวกเขาคือคนถือเข็มทิศ กำหนดทิศทางเดินของอเมริกานั่นเอง CFR เริ่มต้นจากการรวมตัวของนักวิชาการและนักการฑูตจากอังกฤษและอเมริกา เขาตกลงกันในที่ประชุมเมื่อพฤษภาคม ค.ศ. 1919 ว่า พวกเราควรจัดให้มีสถาบันร่วมมือกันระหว่างอังกฤษกับอเมริกา เพื่อ “ดูแล” เกี่ยวกับเรื่องระหว่างประเทศ (International Affairs) หลังจากนั้น ใน ค.ศ. 1921 พวกเขาก็ได้ขยายแนวร่วมไปยังกลุ่ม นักกฎหมายและนักการเงิน และร่วมกันตั้ง The Council on Foreign Relations ขึ้นในปี ค.ศ. 1921 CFR มีเป้าหมายที่จะกำหนดที่ยืนของอเมริกาในโลกเสียใหม่ จากที่ทำแต่อุตสาหกรรมโดยลำพัง อยู่โดดเดี่ยว เปลี่ยนสภาพเป็นตัวกลไกสำคัญ ในการกำหนดทิศทางการเงินระหว่างประเทศ และกำหนดทิศทางการเดินของอเมริกาที่จะก้าวไปสู่การเป็นจักรวรรดิอเมริกา ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านธุรกิจ การเงิน การเมืองระหว่างประเทศ การทหาร สื่อมวลชน และนักวิชาการ ในสังคมระดับสูง และทิศทางดังกล่าวจะต้องทำเป็นนโยบายระดับนานาชาติ โดยมีกลุ่มทุนใหญ่สนับสนุนอยู่ข้างหลัง เงินคืออำนาจ อำนาจคือเงิน อย่าถามว่าพวกเขาจะสร้างอำนาจนี้ได้จริงหรือ และเมื่อมีอำนาจแล้วจะใช้อำนาจนี้ไหม จักรวรรดิอเมริกามีจริงหรือไม่ เขาว่าถามแบบนี้ แน่นอน คนถามต้องไม่ใช่เป็นพวก CFR และไม่มีวันได้เป็น ฮา ! แต่ก่อนจะมีอำนาจ ต้องมีเงินก่อนตามสูตร แล้วนักเล่นกล ก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่อเมริกาจะต้องมีธนาคารกลาง แต่เป็นธนาคารกลางที่พวกเขา ควรเป็น (เจ้ามือ) เจ้าของและควบคุม มันเป็นการร่วมมือกันระหว่างนักการเงิน 2 ฝั่งคาบสมุทร Atlantic J P Morgan ร่ายมนต์ให้นักการเมืองฟังว่า เหตุการณ์วิกฤติทางการเงินของอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1907 น่ะ เพราะพวกคุณไม่มีระบบการเงินที่ดี รัฐบาลก็ไม่มีกระเป๋าเงินของตัวเองที่ใหญ่พอ ตอนเกิดเรื่องนะจำได้มั้ย เราน่ะ J P Morgan เป็นคนให้รัฐบาลยืมเงินนะ จะเสียหน้าแบบนั้นอีกเหรอ คำขู่ได้ผลประธานาธิบดี Wilson มือไม้สั่นรีบออก Federal Reserve Act ในปี ค.ศ. 1913 ผลของกฎหมายฉบับนี้ ทำให้อเมริกาถูกควบคุม โดยผู้มีอำนาจทางการเงิน Federal Reserve Bank หรือ “Fed” (เจ้ามือตัวจริง !) ซึ่งรัฐบาลอเมริกาไม่ได้เป็นเจ้าของ แต่ Fed สามารถที่กำหนดหลักเกณฑ์ ในการพิมพ์เงินดอลล่าร์ได้เอง โดยไม่ต้องผ่าน Congress เยี่ยมจริง ๆ!!! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 228 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง มายากลยุทธ
    ภาคสอง เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 18 : สร้างฉาก
    นักเล่นกลไม่ให้เสียเวลา สถานการณ์การเมืองในรัสเซียกำลังวุ่นวาย โอกาสทองมาถึงแล้ว พวกเขาจึงสร้างคอมมี่ตัวพ่อขึ้นในรัสเซีย Trotsky และพวก เข้ามานั่งประชุมวางแผนอยู่ใน New York ปี ค.ศ. 1917 โดยใช้ passport อเมริกา ซึ่งอนุมัติออกโดยประธานาธิบดี Wilson บวกได้วีซ่าเข้าประเทศ
อังกฤษ โดยมีเงื่อนไขว่า ประชุมเสร็จแล้ว รีบกลับไปรัสเซียนะเพื่อน กลับไป “ดำเนินการ” เรื่องการปฏิวัติต่อให้เรียบร้อยนะ ระหว่างเดินทางกลับ Trotsky โดนจับที่ Canada แต่ก็ได้มีการปล่อยตัวอย่างรวดเร็ว หลังจากอังกฤษส่งสาย มากระซิบสั่ง ! เอ้อ ! จับผิดจังหวะนะไอ้น้อง ! 555 ตำรวจฝรั่งก็บื้อเหมือนกัน !
    Trotsky เดินทางต่อทางเรือใน ค.ศ. 1917 มีเพื่อนร่วมทางน่าสนใจ เช่น นักลงทุนจาก Wall Street, คอมมี่สายอเมริกา และบุรุษลึกลับ ชื่อนาย Charles Crane คุณ Crane ไม่ใช่ใครอื่นไกล เป็นลูกของผู้คุมกระเป๋าเงินของพรรค Democrat อเมริกา (มิใช่ ปชป ของพี่ชวนนะคร้าบ !) ตัวคุณ Crane เอง ก็เป็นผู้ช่วยของรมว.ต่างประเทศของอเมริกา ขณะนั้นชื่อ Robert Lansing
    การปฏิวัติในรัสเซีย เริ่มต้นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 กำลังลุยกันอยู่ ตระกูล Morgan และตระกูล Rockefeller สนับสนุนการปฏิวัติในรัสเซีย อย่างปิดไม่มิด เขาใช้สภากาชาดอเมริกาเป็นหน้าฉาก (ดูมันเล่นซี !) แต่คนจ่ายเงิน คือ กรรมการของ Federal Reserve Bank of New York ชื่อนาย William Boyce Thompson ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ใน Chase National Bank ขบวนการสนับสนุนการปฏิวัติในรัสเซีย จริง ๆ แล้ว ก็ประกอบไปด้วย ผู้คนที่เกี่ยวข้องของ Standard Oil และ National City Bank ของนักเล่นกลตระกูล Rockefeller นั่นเอง เมื่อการปฏิวัติประสบผลสำเร็จ National City Bank สาขา Petrograd เป็นธนาคารต่างประเทศ ธนาคารเดียวที่ไม่ถูกคณะปฏิวัติ ยึดเป็นของรัฐ และเมื่อโซเวียตมีแผนปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศ เขาจำเป็นต้องใช้ technology และผู้ชำนาญการจากตปท.เข้ามาช่วย และแน่นอน บริษัทที่ส่งคนไปช่วยก็มาจาก Ford, General Electric, Dupont, Standard Oil, General Motors เป็นต้น และบริษัทเหล่านี้ก็ได้เข้าทำสัญญา ทำธุรกิจในโซเวียตกันถ้วนหน้า และบริษัทพวกนี้ ก็แน่นอนเป็นเครือข่ายของ Morgan และ Rockefeller ทั้งนั้น
    ค.ศ. 1945 สถานการณ์โลกเปลี่ยนไป หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษเป็นแชมป์ หมายเลข 1 จักรภพอังกฤษ แผ่ไปถึง 1 ใน 4 ของพื้นที่โลก แต่ 30 ปีให้หลัง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จักรภพอังกฤษกลายเป็นประวัติศาสตร์ และทำให้อังกฤษต้องหันมาพึ่งลูกรัก ชื่ออเมริกาแทน
    ความสัมพันธ์พิเศษของประเทศไผ่กอเดียวกัน เริ่มตั้งแต่ปฏิบัติการขย่มเยอรมัน จากสนธิสัญญา Versailles หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และจากความร่วมมือในการทำจารกรรมช่วงสงครามโลก ระหว่างหน่วยสืบราชการลับของ CIA (ซึ่งช่วงนั้นยังใช้ชื่อ OSS Office of trategic Services) กับหน่วยสืบราชการลับของอังกฤษ สัมพันธ์ดังกล่าวยังมีอยู่ต่อมาถึงปัจจุบันนี้
    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 น้ำมันสัญชาติ Anglo – American มาแรง ขยายตลาดไปทั่วจากกลไกของ World Bank IMF และการค้าเสรี GATT ซึ่งเกิดขึ้นเพราะข้อตกลง Bretton Wood ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1944 ทั้ง 3 กลไก ได้กำหนดขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าอังกฤษและอเมริกา จะเป็นผู้ควบคุมระบบการเงินและการค้า ทั้ง 2 ประเทศคุมคะแนนเสียงของ 3 กลไก โดยสร้างระบบแลกเปลี่ยนทอง ภายใต้ระบบนี้ เงินสกุลต่าง ๆ ต้องผูกไว้กับดอลล่าร์ และใช้ดอลล่าร์ เป็นตัวเทียบอัตราแลกเปลี่ยนกับทอง 35 ดอลล่าร์ แลกทองได้ 1 ออนซ์ อเมริกาชอบใจเพราะตอนนั้นมีทองอยู่ล้นลิ้นชัก
    ขณะเดียวกันบริษัทยักษ์ใหญ่น้ำมันกับพี่เบิ้มวงการธนาคาร และนักค้าเงินแถว Wall Street ก็จับมือกันเล่นกล ปั่นหุ้นปั่นเงิน ในที่สุดก็ตลาดเงินก็อยู่ในมือของพวกเขา
    ที่น่าสนใจ เช่นเดียวกับการเข้าไปในลาตินอเมริกาของพวกโคตรรวย เขามองหาเป้าหมายและปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง ในเรื่องอาหาร เขาใช้โลกที่ 3 โดยเฉพาะลาตินอเมริกาเป็นเหยือ ในโลกของน้ำมันและการเงินก็มีเหยื่อเช่นเดียวกัน

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง มายากลยุทธ ภาคสอง เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 18 : สร้างฉาก นักเล่นกลไม่ให้เสียเวลา สถานการณ์การเมืองในรัสเซียกำลังวุ่นวาย โอกาสทองมาถึงแล้ว พวกเขาจึงสร้างคอมมี่ตัวพ่อขึ้นในรัสเซีย Trotsky และพวก เข้ามานั่งประชุมวางแผนอยู่ใน New York ปี ค.ศ. 1917 โดยใช้ passport อเมริกา ซึ่งอนุมัติออกโดยประธานาธิบดี Wilson บวกได้วีซ่าเข้าประเทศ
อังกฤษ โดยมีเงื่อนไขว่า ประชุมเสร็จแล้ว รีบกลับไปรัสเซียนะเพื่อน กลับไป “ดำเนินการ” เรื่องการปฏิวัติต่อให้เรียบร้อยนะ ระหว่างเดินทางกลับ Trotsky โดนจับที่ Canada แต่ก็ได้มีการปล่อยตัวอย่างรวดเร็ว หลังจากอังกฤษส่งสาย มากระซิบสั่ง ! เอ้อ ! จับผิดจังหวะนะไอ้น้อง ! 555 ตำรวจฝรั่งก็บื้อเหมือนกัน ! Trotsky เดินทางต่อทางเรือใน ค.ศ. 1917 มีเพื่อนร่วมทางน่าสนใจ เช่น นักลงทุนจาก Wall Street, คอมมี่สายอเมริกา และบุรุษลึกลับ ชื่อนาย Charles Crane คุณ Crane ไม่ใช่ใครอื่นไกล เป็นลูกของผู้คุมกระเป๋าเงินของพรรค Democrat อเมริกา (มิใช่ ปชป ของพี่ชวนนะคร้าบ !) ตัวคุณ Crane เอง ก็เป็นผู้ช่วยของรมว.ต่างประเทศของอเมริกา ขณะนั้นชื่อ Robert Lansing การปฏิวัติในรัสเซีย เริ่มต้นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 กำลังลุยกันอยู่ ตระกูล Morgan และตระกูล Rockefeller สนับสนุนการปฏิวัติในรัสเซีย อย่างปิดไม่มิด เขาใช้สภากาชาดอเมริกาเป็นหน้าฉาก (ดูมันเล่นซี !) แต่คนจ่ายเงิน คือ กรรมการของ Federal Reserve Bank of New York ชื่อนาย William Boyce Thompson ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ใน Chase National Bank ขบวนการสนับสนุนการปฏิวัติในรัสเซีย จริง ๆ แล้ว ก็ประกอบไปด้วย ผู้คนที่เกี่ยวข้องของ Standard Oil และ National City Bank ของนักเล่นกลตระกูล Rockefeller นั่นเอง เมื่อการปฏิวัติประสบผลสำเร็จ National City Bank สาขา Petrograd เป็นธนาคารต่างประเทศ ธนาคารเดียวที่ไม่ถูกคณะปฏิวัติ ยึดเป็นของรัฐ และเมื่อโซเวียตมีแผนปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศ เขาจำเป็นต้องใช้ technology และผู้ชำนาญการจากตปท.เข้ามาช่วย และแน่นอน บริษัทที่ส่งคนไปช่วยก็มาจาก Ford, General Electric, Dupont, Standard Oil, General Motors เป็นต้น และบริษัทเหล่านี้ก็ได้เข้าทำสัญญา ทำธุรกิจในโซเวียตกันถ้วนหน้า และบริษัทพวกนี้ ก็แน่นอนเป็นเครือข่ายของ Morgan และ Rockefeller ทั้งนั้น ค.ศ. 1945 สถานการณ์โลกเปลี่ยนไป หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษเป็นแชมป์ หมายเลข 1 จักรภพอังกฤษ แผ่ไปถึง 1 ใน 4 ของพื้นที่โลก แต่ 30 ปีให้หลัง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จักรภพอังกฤษกลายเป็นประวัติศาสตร์ และทำให้อังกฤษต้องหันมาพึ่งลูกรัก ชื่ออเมริกาแทน ความสัมพันธ์พิเศษของประเทศไผ่กอเดียวกัน เริ่มตั้งแต่ปฏิบัติการขย่มเยอรมัน จากสนธิสัญญา Versailles หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และจากความร่วมมือในการทำจารกรรมช่วงสงครามโลก ระหว่างหน่วยสืบราชการลับของ CIA (ซึ่งช่วงนั้นยังใช้ชื่อ OSS Office of trategic Services) กับหน่วยสืบราชการลับของอังกฤษ สัมพันธ์ดังกล่าวยังมีอยู่ต่อมาถึงปัจจุบันนี้ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 น้ำมันสัญชาติ Anglo – American มาแรง ขยายตลาดไปทั่วจากกลไกของ World Bank IMF และการค้าเสรี GATT ซึ่งเกิดขึ้นเพราะข้อตกลง Bretton Wood ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1944 ทั้ง 3 กลไก ได้กำหนดขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าอังกฤษและอเมริกา จะเป็นผู้ควบคุมระบบการเงินและการค้า ทั้ง 2 ประเทศคุมคะแนนเสียงของ 3 กลไก โดยสร้างระบบแลกเปลี่ยนทอง ภายใต้ระบบนี้ เงินสกุลต่าง ๆ ต้องผูกไว้กับดอลล่าร์ และใช้ดอลล่าร์ เป็นตัวเทียบอัตราแลกเปลี่ยนกับทอง 35 ดอลล่าร์ แลกทองได้ 1 ออนซ์ อเมริกาชอบใจเพราะตอนนั้นมีทองอยู่ล้นลิ้นชัก ขณะเดียวกันบริษัทยักษ์ใหญ่น้ำมันกับพี่เบิ้มวงการธนาคาร และนักค้าเงินแถว Wall Street ก็จับมือกันเล่นกล ปั่นหุ้นปั่นเงิน ในที่สุดก็ตลาดเงินก็อยู่ในมือของพวกเขา ที่น่าสนใจ เช่นเดียวกับการเข้าไปในลาตินอเมริกาของพวกโคตรรวย เขามองหาเป้าหมายและปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง ในเรื่องอาหาร เขาใช้โลกที่ 3 โดยเฉพาะลาตินอเมริกาเป็นเหยือ ในโลกของน้ำมันและการเงินก็มีเหยื่อเช่นเดียวกัน คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 252 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 17 : หลอกยิวกลับบ้าน
    ค.ศ. 1870 น้ำมันของรัสเซียที่แหล่ง Baku ทำท่าจะแซง ความเป็นพี่เบิ้มของ Standard Oil ส่วนตระกูลเศรษฐีโคตรรวยฝั่งยุโรป Rothchild หลังจากส้มหล่น รวยเอารวยเอา จนถือได้ว่ากลางศตวรรษที่ 19 ตระกูลนี้รวยที่สุดในโลก มีสาขาธุรกิจการเงินการธนาคาร แผ่ขยายไปทั่วยุโรป เป็นกลุ่มบรรษัทข้ามชาติของแท้รุ่นแรก นาย Alfonse de Rothchild แอบไปลงทุนในน้ำมันของรัสเซียมาหลายสิบปีเรียบร้อยแล้ว เศรษฐีนี่สงสัยจมูกยาวเป็นพิเศษ ได้กลิ่นเงินก่อนใคร
    ปีค.ศ. 1880 Rothchild มีโรงกลั่นน้ำมันใน Baku ประมาณ 200 แห่ง ไม่แค่นั้น เขาเริ่มส่งน้ำมันไปทั่วยุโรปและตะวันออกไกล ทางรถไฟ Baku – Batumi ทำท่าว่าจะสั้นไปสำหรับการส่งน้ำมัน พวกเขาเริ่มดูเส้นทางใหม่เอี่ยม คลองสุเอช ยาว 4,000 ไมล์ น่าสนใจ ! แต่จะให้ดีต้องมีใครคุมอยู่แถวนั้น แล้วเขาก็วางแผนเรื่อง Palestine เมื่อรัฐบาลอียิปต์ล้มละลายในปี ค.ศ. 1874 รัฐบาลอังกฤษจับมือให้ Rothchild (เอะ หรือ Rothchild จับมือรัฐบาลกันแน่ ?!) ซึ่งหุ้นในบริษัท Suez Canal เวลาประชุมผู้ถือหุ้น ก็นั่งเคียงกับรัฐบาลอังกฤษ มีพระอันดับ เช่น Baring Brothers, Morgan Grenfell และ Lazard Brothers คงเห็นกันแล้วว่า พวกเศรษฐีเขาหาเงินกันยังไง !
    ตระกูล Rothchild ทำธุรกิจขยายไปตามสาขาของครอบครัวตระกูล ที่อยู่ในฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และรัสเซีย เมื่อพระเจ้า Czar ตาย ลูกชายคือ Czar Nicholas ที่ 2 ขึ้นครองราชย์แทน พร้อมกันทำงานที่พ่อเริ่มไว้คือ ผลักดันให้ชาวยิวในรัสเซีย ย้ายออกไปจากรัสเซีย พวกยิวก็มุ่งหน้าไปทางยุโรปตะวันตก ยิวพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นพวกสังคมนิยม เมื่อจะเดินเท้าเข้ายังยุโรปตะวันตก พวกเศรษฐียุโรปก็ย่อมตกใจเป็นธรรมดา โดยเฉพาะพวกที่กำลังนั่งโกยเงินอยู่ในอังกฤษ ถ้ายิวกลุ่มนี้เข้ามาก่อความวุ่นวายแถวลอนดอน ธุรกิจการค้าของเขาก็จะชะงักงัน (เห็นไหม ท่านผู้อ่านนิทาน นักธุรกิจก็คิดเป็นเท่านี้แหละ ใครจะทำอะไร เพื่ออะไร ถูกหรือผิด เขาไม่สนใจ สนใจอย่างเดียว อย่าให้การค้าของเขากระทบแล้ว เหมือนกันหมดทุกชาติ ทุกสมัย !)
    เพราะฉะนั้น Palestine คือ คำตอบ มันเป็นการล็อคสเปค ไอ้ที่อ้างว่าส่งยิวกลับบ้านน่ะ มันข่าวประเภท CNN หรือข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ ของจริงเป็นยังไง อ่านต่อไปท่านผู้อ่านนิทาน
    ตระกูล Rothchilds เป็นที่รู้กันว่า pro ยิว (pro – Zionist) แม้รัสเซียจะเขี่ยยิวออกไปจากประเทศ ไอ้พวกโคตรรวยส้มหล่นนี่ก็ยังต้องทำเป็นไม่เดือดร้อน แถมเข้าไปสนับสนุนรัสเซียต่อ เพราะมันอยากได้น้ำมันเขา เงินทองมันหอมยวนใจ แล้วตระกูลโคตรรวย 2 ฝั่งคาบสมุทร ก็หันมาจับมือกัน ปี ค.ศ. 1895 Rothchilds ก็ทำสัญญากับ Standad Oil ของ Rockefeller เพื่อตกลงแบ่งส่วนครองตลาดน้ำมันโลกกัน พวกมันนึกว่า มันเป็นเจ้าของโลกจริง ๆ
    แต่รัสเซียไม่ได้โง่ มีบ่อน้ำมันอยู่ในมือ จะให้เศรษฐีหลอกรับประทานอยู่ข้างเดียวได้ยังไง รัสเซียจึงวางเงื่อนไข กลับไปที่เศรษฐีส้มหล่น
    จะเอายังไงเพื่อน จะอุ้มยิวหรือจะเอาน้ำมัน เศรษฐีโคตรรวยทำเป็นยัวะ มันไม่เห็นแก่หน้าเราเลยนะ นึกว่ามีอำนาจแล้ว สั่งคนรวยได้หรือ เงินก็ซื้ออำนาจได้เหมือนกันนะ อย่าลืม หลังจากนั้นก็มีข่าวออกมาว่า ตระกูล Rothchild ขายหุ้นทั้งหมดที่ตนมีอยู่ในธุรกิจน้ำมันที่รัสเซีย ให้แก่ Royal Dutch Shell แต่ของจริง คือ Rothchild “ประเมิน” ไว้แล้วว่า การเมืองในรัสเซีย น่าจะเกิดปัญหาในอีกไม่กี่ปี ถือหุ้นน้ำมันไปก็เหนื่อย ขายออกมาทำกำไรก่อนดีกว่า 555 นักเล่นหุ้น ควรดูฝีมือลงทุนของตระกูลนี้ไว้ เผื่อจะส้มหล่นกันบ้าง ตั้งแต่เริ่มแรกจนบัดนี้ เขาเอาอะไรเป็นตัววัด ในการซื้อ การขาย การลงทุน
    แล้วรัสเซียก็เกิดความวุ่นวายในประเทศเป็นระลอก ๆ จริง ๆ ตามที่เศรษฐีส้มหล่น “ประเมิน”
    ปี ค.ศ. 1917 ความวุ่นวายคร้ังนี้ เริ่มมาจากการประท้วงของกรรมกร ที่ทำงานในแหล่งน้ำมันที่ Baku แล้วก็มีกองทัพของ Azerbaijan บุกเข้ามายึดบ่อน้ำมันที่ Baku ระหว่างที่กรรมกรกำลังก่อเหตุนั่นแหละ อ้าว ! โผล่มาจากไหนละ กองทัพ Azerbaijan นี่น่ะ ไม่มีใครรู้ แต่ที่รู้ หลังจาก Azerbaijan ยึด Baku ไปแล้ว ก็มีบริษัทม้ามืดชื่อ SONJ ย่อมาจาก Standard Oil of New Jersey เข้ามาทำสัญญาสำรวจน้ำมันในแถบ Baku แทน ระหว่างเกิดเหตุความวุ่นวาย บริษัทต่างชาติก็วิ่งเข้ามาแย่งซื้อสัมปทานในรัสเซีย หวังจะได้ส้มหล่นบ้าง แต่ไม่ทันเขาหรอก ส่วนใหญ่ก็ตกเป็นของ SONJ ซึ่งบัดนี้ใช้ชื่อว่า Exxon Mobile !
    มาถึงตรงนี้นักธุรกิจอย่าง J D Rockefeller และนักค้าเงินแถว Wall Street อย่าง JP Morgan ก็มองเห็นทางข้างหน้าชัดเจนว่า หนทางที่จะเหมาเข่งธุรกิจการค้า ไม่มีอะไรดีกว่า “เล่นการเมือง” และท่านผู้อ่านนิทานก็คงพอจะมองออกแล้วว่า เขาเล่นกลกันอย่างไร


    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 17 : หลอกยิวกลับบ้าน ค.ศ. 1870 น้ำมันของรัสเซียที่แหล่ง Baku ทำท่าจะแซง ความเป็นพี่เบิ้มของ Standard Oil ส่วนตระกูลเศรษฐีโคตรรวยฝั่งยุโรป Rothchild หลังจากส้มหล่น รวยเอารวยเอา จนถือได้ว่ากลางศตวรรษที่ 19 ตระกูลนี้รวยที่สุดในโลก มีสาขาธุรกิจการเงินการธนาคาร แผ่ขยายไปทั่วยุโรป เป็นกลุ่มบรรษัทข้ามชาติของแท้รุ่นแรก นาย Alfonse de Rothchild แอบไปลงทุนในน้ำมันของรัสเซียมาหลายสิบปีเรียบร้อยแล้ว เศรษฐีนี่สงสัยจมูกยาวเป็นพิเศษ ได้กลิ่นเงินก่อนใคร ปีค.ศ. 1880 Rothchild มีโรงกลั่นน้ำมันใน Baku ประมาณ 200 แห่ง ไม่แค่นั้น เขาเริ่มส่งน้ำมันไปทั่วยุโรปและตะวันออกไกล ทางรถไฟ Baku – Batumi ทำท่าว่าจะสั้นไปสำหรับการส่งน้ำมัน พวกเขาเริ่มดูเส้นทางใหม่เอี่ยม คลองสุเอช ยาว 4,000 ไมล์ น่าสนใจ ! แต่จะให้ดีต้องมีใครคุมอยู่แถวนั้น แล้วเขาก็วางแผนเรื่อง Palestine เมื่อรัฐบาลอียิปต์ล้มละลายในปี ค.ศ. 1874 รัฐบาลอังกฤษจับมือให้ Rothchild (เอะ หรือ Rothchild จับมือรัฐบาลกันแน่ ?!) ซึ่งหุ้นในบริษัท Suez Canal เวลาประชุมผู้ถือหุ้น ก็นั่งเคียงกับรัฐบาลอังกฤษ มีพระอันดับ เช่น Baring Brothers, Morgan Grenfell และ Lazard Brothers คงเห็นกันแล้วว่า พวกเศรษฐีเขาหาเงินกันยังไง ! ตระกูล Rothchild ทำธุรกิจขยายไปตามสาขาของครอบครัวตระกูล ที่อยู่ในฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และรัสเซีย เมื่อพระเจ้า Czar ตาย ลูกชายคือ Czar Nicholas ที่ 2 ขึ้นครองราชย์แทน พร้อมกันทำงานที่พ่อเริ่มไว้คือ ผลักดันให้ชาวยิวในรัสเซีย ย้ายออกไปจากรัสเซีย พวกยิวก็มุ่งหน้าไปทางยุโรปตะวันตก ยิวพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นพวกสังคมนิยม เมื่อจะเดินเท้าเข้ายังยุโรปตะวันตก พวกเศรษฐียุโรปก็ย่อมตกใจเป็นธรรมดา โดยเฉพาะพวกที่กำลังนั่งโกยเงินอยู่ในอังกฤษ ถ้ายิวกลุ่มนี้เข้ามาก่อความวุ่นวายแถวลอนดอน ธุรกิจการค้าของเขาก็จะชะงักงัน (เห็นไหม ท่านผู้อ่านนิทาน นักธุรกิจก็คิดเป็นเท่านี้แหละ ใครจะทำอะไร เพื่ออะไร ถูกหรือผิด เขาไม่สนใจ สนใจอย่างเดียว อย่าให้การค้าของเขากระทบแล้ว เหมือนกันหมดทุกชาติ ทุกสมัย !) เพราะฉะนั้น Palestine คือ คำตอบ มันเป็นการล็อคสเปค ไอ้ที่อ้างว่าส่งยิวกลับบ้านน่ะ มันข่าวประเภท CNN หรือข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ ของจริงเป็นยังไง อ่านต่อไปท่านผู้อ่านนิทาน ตระกูล Rothchilds เป็นที่รู้กันว่า pro ยิว (pro – Zionist) แม้รัสเซียจะเขี่ยยิวออกไปจากประเทศ ไอ้พวกโคตรรวยส้มหล่นนี่ก็ยังต้องทำเป็นไม่เดือดร้อน แถมเข้าไปสนับสนุนรัสเซียต่อ เพราะมันอยากได้น้ำมันเขา เงินทองมันหอมยวนใจ แล้วตระกูลโคตรรวย 2 ฝั่งคาบสมุทร ก็หันมาจับมือกัน ปี ค.ศ. 1895 Rothchilds ก็ทำสัญญากับ Standad Oil ของ Rockefeller เพื่อตกลงแบ่งส่วนครองตลาดน้ำมันโลกกัน พวกมันนึกว่า มันเป็นเจ้าของโลกจริง ๆ แต่รัสเซียไม่ได้โง่ มีบ่อน้ำมันอยู่ในมือ จะให้เศรษฐีหลอกรับประทานอยู่ข้างเดียวได้ยังไง รัสเซียจึงวางเงื่อนไข กลับไปที่เศรษฐีส้มหล่น จะเอายังไงเพื่อน จะอุ้มยิวหรือจะเอาน้ำมัน เศรษฐีโคตรรวยทำเป็นยัวะ มันไม่เห็นแก่หน้าเราเลยนะ นึกว่ามีอำนาจแล้ว สั่งคนรวยได้หรือ เงินก็ซื้ออำนาจได้เหมือนกันนะ อย่าลืม หลังจากนั้นก็มีข่าวออกมาว่า ตระกูล Rothchild ขายหุ้นทั้งหมดที่ตนมีอยู่ในธุรกิจน้ำมันที่รัสเซีย ให้แก่ Royal Dutch Shell แต่ของจริง คือ Rothchild “ประเมิน” ไว้แล้วว่า การเมืองในรัสเซีย น่าจะเกิดปัญหาในอีกไม่กี่ปี ถือหุ้นน้ำมันไปก็เหนื่อย ขายออกมาทำกำไรก่อนดีกว่า 555 นักเล่นหุ้น ควรดูฝีมือลงทุนของตระกูลนี้ไว้ เผื่อจะส้มหล่นกันบ้าง ตั้งแต่เริ่มแรกจนบัดนี้ เขาเอาอะไรเป็นตัววัด ในการซื้อ การขาย การลงทุน แล้วรัสเซียก็เกิดความวุ่นวายในประเทศเป็นระลอก ๆ จริง ๆ ตามที่เศรษฐีส้มหล่น “ประเมิน” ปี ค.ศ. 1917 ความวุ่นวายคร้ังนี้ เริ่มมาจากการประท้วงของกรรมกร ที่ทำงานในแหล่งน้ำมันที่ Baku แล้วก็มีกองทัพของ Azerbaijan บุกเข้ามายึดบ่อน้ำมันที่ Baku ระหว่างที่กรรมกรกำลังก่อเหตุนั่นแหละ อ้าว ! โผล่มาจากไหนละ กองทัพ Azerbaijan นี่น่ะ ไม่มีใครรู้ แต่ที่รู้ หลังจาก Azerbaijan ยึด Baku ไปแล้ว ก็มีบริษัทม้ามืดชื่อ SONJ ย่อมาจาก Standard Oil of New Jersey เข้ามาทำสัญญาสำรวจน้ำมันในแถบ Baku แทน ระหว่างเกิดเหตุความวุ่นวาย บริษัทต่างชาติก็วิ่งเข้ามาแย่งซื้อสัมปทานในรัสเซีย หวังจะได้ส้มหล่นบ้าง แต่ไม่ทันเขาหรอก ส่วนใหญ่ก็ตกเป็นของ SONJ ซึ่งบัดนี้ใช้ชื่อว่า Exxon Mobile ! มาถึงตรงนี้นักธุรกิจอย่าง J D Rockefeller และนักค้าเงินแถว Wall Street อย่าง JP Morgan ก็มองเห็นทางข้างหน้าชัดเจนว่า หนทางที่จะเหมาเข่งธุรกิจการค้า ไม่มีอะไรดีกว่า “เล่นการเมือง” และท่านผู้อ่านนิทานก็คงพอจะมองออกแล้วว่า เขาเล่นกลกันอย่างไร คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 273 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 15 : เซียนกระเป๋าฉีก
    อังกฤษมีแผนที่จะเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมัน ที่อ่าวเปอร์เซีย (Arabian Gulf) แต่ปิดเงียบไม่บอกใคร ปี ค.ศ. 1917 อังกฤษประกาศสนับสนุนให้ชาวยิวได้กลับบ้านเกิดเมืองนอน คือ Palestine รัฐบาลอังกฤษไม่ได้คิดเอง แต่มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลในชนชั้นสูงของอังกฤษ คือ The Royal Institute for International Affairs หรือ Chatham House เป็นมันสมองให้กับรัฐบาลอังกฤษ สนับสนุนให้ชาวยิวกลับไปครอบครอง Palestine แผ่นดินที่ล้อมรอบไปด้วย ประเทศแถบ Balkan และกลุ่มประเทศอาหรับ
    แผนมายากลนี้ เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางระหว่าง ประเทศอาณานิคมของอังกฤษในอาฟริกาใต้ ซึ่งเต็มไปด้วยเหมืองทองและเพชร ข้ามมายังอียิปต์และคลองสุเอช ผ่านอิรัคและคูเวต มาเปอร์เซีย (อิหร่าน) มาถึงตะวันออกทางอินเดีย ซึ่งรวมถึงปากีสถานและบังคลาเทศ มันเป็นแผนที่ลึกซึ้งมาก ถ้าทำสำเร็จหมายถึง การเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมันที่มีค่ามหาศาล ก่อนที่เจ้าของแหล่งน้ำมันเองจะรู้ตัว
    ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ยังไม่เห็นชัดว่าใครจะเป็นแชมป์ครองโลก ระหว่างอังกฤษกับอเมริกา เกมกลยุทธที่ต่างฝ่ายวางกันไว้ ยังไม่ถึงผลสำเร็จ จะครองโลกให้หมดจดต้องใจเย็น ๆ อังกฤษก็มีแก้ว 3 ประการเหมือนกัน ตั้งเข็มทิศไว้ ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 ก่อนอเมริกาจะนึกเอาอย่าง
    – ควบคุมเส้นทางเดินเรือทะเล
– ควบคุมการเงินและการธนาคาร
– ต้องมีทรัพยากร ที่เป็นผลต่อยุทธศาสตร์
    (ไอ้พวกคิดจะครองโลก มันไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่หรอก ท่านผู้อ่านนิทานลองสังเกตดู มันมีกลเล่นไม่กี่แบบหรอก ดูไปแล้วกัน)
    อังกฤษลำพองคิดว่า กำจัดเยอรมันออกไปนอกเส้นทางแล้ว จากเกมที่วางไว้โดยสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่อเมริกายังยืนอยู่ในเส้นทางของน้ำมัน Standard Oil ยังอยู่ดี อังกฤษต้องทำงานหนักขึ้น วางหมากให้ลึกซึ้งขึ้น ในปี ค.ศ. 1921 นาย Winston Churchill เป็นรมต.ว่าการกิจการอาณานิคมของอังกฤษ เขาตั้งหน่วยงานขึ้นใหม่ เพื่อมาดูแลตะวันออกกลางโดยเฉพาะ และเข้าไปควบคุมกิจการของ Anglo Persian Oil ผลคือบริษัทน้ำมันของอเมริกา หมดโอกาสได้สัมปทานน้ำมันในตะวันออกกลาง นี่ขนาดเป็นลูกรักกันนะ แต่เรื่องน้ำมันนี่ ลูกก็ลูกเถอะ อย่าแหยม !
    แต่อเมริกาไม่ใช่มือใหม่ในเรื่องน้ำมัน เพียงแต่ยังไม่อยากทะเลาะกับลูกพี่อย่างอังกฤษ โดยไม่จำเป็น ว่าแล้วจิกโก๋ก็เปลี่ยนทิศไปทาง Mexico, Latin America (ก็ได้วะ !)
    เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนได้ยินเสียงคำราม ค.ศ. 1920 อังกฤษประกาศอย่างภาคภูมิว่า รัฐบาลของอังกฤษจะควบคุมและครอบครอง แหล่งน้ำมันทั้งหมดโดยสิ้นเชิง ! มันกร่างจริง ! ทั้งหมดนี้ใช้มือปฏิบัติการคือ
    – Royal Dutch Shell ซึ่งเป็นคู่แข่งของ Standard Oil ของพวกโคตรรวย Rockefeller
– Anglo Persian Oil Company ซึ่งตกเป็นของอังกฤษและใช้ชื่อใหม่ว่า British Petroleum (ตัด Persia ทิ้งลงถังขยะไป)
– D’ Arcy Exploitation Company ซึ่งดูแลโดยหน่วยสืบราชการลับต่างประเทศของอังกฤษ
– British Controlled Oilfields (BCO) ซึ่งรัฐบาลอังกฤษถือหุ้นอย่างไม่เปิดเผย
    อเมริกาชักเริ่มมองหน้าอังกฤษไม่ติด แต่ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ไม่ใช่แต่ในเรื่องการเมือง ในเรื่องธุรกิจยิ่งหนักกว่า จำไว้
    รัสเซียมีแหล่งน้ำมันใหญ่ที่ Baku ทั้งอังกฤษและอเมริกาต่างพยายามเข้าไปจีบรัสเซีย แต่อังกฤษได้เปรียบกว่า เพราะสภาพภูมิศาสตร์ แต่อเมริกาก็พยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมทุกทาง ที่จะตัดหน้าอังกฤษ แต่แล้วฝันของทั้งอังกฤษและอเมริกาก็สลาย
    หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ก๊วนอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย จับมือกัน บี้เยอรมันในฐานะผู้แพ้สงคราม ตามสนธิสัญญา Versailles เยอรมันต้องสูญเสียแคว้น Alsace – Lorraine ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ กองทัพเรือแตก ทางรถไฟถูกยึด ฯลฯ ทั้งหมดเป็นการบดขยี้ให้เยอรมันเหลือแต่ซาก ฝ่ายอังกฤษ ยื่นข้อเสนอให้เยอรมันตอบภายใน 6 วัน แลกเอานะเยอรมันจะจ่ายเงิน จำนวน 132 พันล้านมาร์คทองคำ หรือจะให้พวกเราเข้าไปยึดแคว้น Ruhr ของยู แน่นอนเยอรมันยอมจ่ายเงิน (แล้วทองของเยอรมันก็ย้ายที่ไปอยู่ที่อังกฤษแทน) ผลที่ตามมาคือ หายนะของเศรษฐกิจและระบบการเงินของเยอรมัน
    แต่พอถึงปี ค.ศ. 1922 เยอรมันกับรัสเซียทำเอาเซียนกระเป๋าฉีก วางแผนขยี้เสียอย่างดี รัสเซียเกิดใจดี ยกหนี้ให้เยอรมัน แลกกับเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมของเยอรมัน เยอรมันรอดตาย นอกจากไม่ตายแล้ว ยังฟื้นขึ้นมาได้อย่างแข็งแกร่ง อย่าประเมินเยอรมันผิด แค้นนี้ต้องชำระ ทำไมรัสเซียถึงเกิดใจดี !?!

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 15 : เซียนกระเป๋าฉีก อังกฤษมีแผนที่จะเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมัน ที่อ่าวเปอร์เซีย (Arabian Gulf) แต่ปิดเงียบไม่บอกใคร ปี ค.ศ. 1917 อังกฤษประกาศสนับสนุนให้ชาวยิวได้กลับบ้านเกิดเมืองนอน คือ Palestine รัฐบาลอังกฤษไม่ได้คิดเอง แต่มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลในชนชั้นสูงของอังกฤษ คือ The Royal Institute for International Affairs หรือ Chatham House เป็นมันสมองให้กับรัฐบาลอังกฤษ สนับสนุนให้ชาวยิวกลับไปครอบครอง Palestine แผ่นดินที่ล้อมรอบไปด้วย ประเทศแถบ Balkan และกลุ่มประเทศอาหรับ แผนมายากลนี้ เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางระหว่าง ประเทศอาณานิคมของอังกฤษในอาฟริกาใต้ ซึ่งเต็มไปด้วยเหมืองทองและเพชร ข้ามมายังอียิปต์และคลองสุเอช ผ่านอิรัคและคูเวต มาเปอร์เซีย (อิหร่าน) มาถึงตะวันออกทางอินเดีย ซึ่งรวมถึงปากีสถานและบังคลาเทศ มันเป็นแผนที่ลึกซึ้งมาก ถ้าทำสำเร็จหมายถึง การเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมันที่มีค่ามหาศาล ก่อนที่เจ้าของแหล่งน้ำมันเองจะรู้ตัว ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ยังไม่เห็นชัดว่าใครจะเป็นแชมป์ครองโลก ระหว่างอังกฤษกับอเมริกา เกมกลยุทธที่ต่างฝ่ายวางกันไว้ ยังไม่ถึงผลสำเร็จ จะครองโลกให้หมดจดต้องใจเย็น ๆ อังกฤษก็มีแก้ว 3 ประการเหมือนกัน ตั้งเข็มทิศไว้ ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 ก่อนอเมริกาจะนึกเอาอย่าง – ควบคุมเส้นทางเดินเรือทะเล
– ควบคุมการเงินและการธนาคาร
– ต้องมีทรัพยากร ที่เป็นผลต่อยุทธศาสตร์ (ไอ้พวกคิดจะครองโลก มันไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่หรอก ท่านผู้อ่านนิทานลองสังเกตดู มันมีกลเล่นไม่กี่แบบหรอก ดูไปแล้วกัน) อังกฤษลำพองคิดว่า กำจัดเยอรมันออกไปนอกเส้นทางแล้ว จากเกมที่วางไว้โดยสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่อเมริกายังยืนอยู่ในเส้นทางของน้ำมัน Standard Oil ยังอยู่ดี อังกฤษต้องทำงานหนักขึ้น วางหมากให้ลึกซึ้งขึ้น ในปี ค.ศ. 1921 นาย Winston Churchill เป็นรมต.ว่าการกิจการอาณานิคมของอังกฤษ เขาตั้งหน่วยงานขึ้นใหม่ เพื่อมาดูแลตะวันออกกลางโดยเฉพาะ และเข้าไปควบคุมกิจการของ Anglo Persian Oil ผลคือบริษัทน้ำมันของอเมริกา หมดโอกาสได้สัมปทานน้ำมันในตะวันออกกลาง นี่ขนาดเป็นลูกรักกันนะ แต่เรื่องน้ำมันนี่ ลูกก็ลูกเถอะ อย่าแหยม ! แต่อเมริกาไม่ใช่มือใหม่ในเรื่องน้ำมัน เพียงแต่ยังไม่อยากทะเลาะกับลูกพี่อย่างอังกฤษ โดยไม่จำเป็น ว่าแล้วจิกโก๋ก็เปลี่ยนทิศไปทาง Mexico, Latin America (ก็ได้วะ !) เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนได้ยินเสียงคำราม ค.ศ. 1920 อังกฤษประกาศอย่างภาคภูมิว่า รัฐบาลของอังกฤษจะควบคุมและครอบครอง แหล่งน้ำมันทั้งหมดโดยสิ้นเชิง ! มันกร่างจริง ! ทั้งหมดนี้ใช้มือปฏิบัติการคือ – Royal Dutch Shell ซึ่งเป็นคู่แข่งของ Standard Oil ของพวกโคตรรวย Rockefeller
– Anglo Persian Oil Company ซึ่งตกเป็นของอังกฤษและใช้ชื่อใหม่ว่า British Petroleum (ตัด Persia ทิ้งลงถังขยะไป)
– D’ Arcy Exploitation Company ซึ่งดูแลโดยหน่วยสืบราชการลับต่างประเทศของอังกฤษ
– British Controlled Oilfields (BCO) ซึ่งรัฐบาลอังกฤษถือหุ้นอย่างไม่เปิดเผย อเมริกาชักเริ่มมองหน้าอังกฤษไม่ติด แต่ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ไม่ใช่แต่ในเรื่องการเมือง ในเรื่องธุรกิจยิ่งหนักกว่า จำไว้ รัสเซียมีแหล่งน้ำมันใหญ่ที่ Baku ทั้งอังกฤษและอเมริกาต่างพยายามเข้าไปจีบรัสเซีย แต่อังกฤษได้เปรียบกว่า เพราะสภาพภูมิศาสตร์ แต่อเมริกาก็พยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมทุกทาง ที่จะตัดหน้าอังกฤษ แต่แล้วฝันของทั้งอังกฤษและอเมริกาก็สลาย หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ก๊วนอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย จับมือกัน บี้เยอรมันในฐานะผู้แพ้สงคราม ตามสนธิสัญญา Versailles เยอรมันต้องสูญเสียแคว้น Alsace – Lorraine ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ กองทัพเรือแตก ทางรถไฟถูกยึด ฯลฯ ทั้งหมดเป็นการบดขยี้ให้เยอรมันเหลือแต่ซาก ฝ่ายอังกฤษ ยื่นข้อเสนอให้เยอรมันตอบภายใน 6 วัน แลกเอานะเยอรมันจะจ่ายเงิน จำนวน 132 พันล้านมาร์คทองคำ หรือจะให้พวกเราเข้าไปยึดแคว้น Ruhr ของยู แน่นอนเยอรมันยอมจ่ายเงิน (แล้วทองของเยอรมันก็ย้ายที่ไปอยู่ที่อังกฤษแทน) ผลที่ตามมาคือ หายนะของเศรษฐกิจและระบบการเงินของเยอรมัน แต่พอถึงปี ค.ศ. 1922 เยอรมันกับรัสเซียทำเอาเซียนกระเป๋าฉีก วางแผนขยี้เสียอย่างดี รัสเซียเกิดใจดี ยกหนี้ให้เยอรมัน แลกกับเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมของเยอรมัน เยอรมันรอดตาย นอกจากไม่ตายแล้ว ยังฟื้นขึ้นมาได้อย่างแข็งแกร่ง อย่าประเมินเยอรมันผิด แค้นนี้ต้องชำระ ทำไมรัสเซียถึงเกิดใจดี !?! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 287 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอนเสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 14 : คู่แค้น
    ช่วงประมาณ ค.ศ. 1908 เปอร์เซีย (หรืออิหร่านในปัจจุบัน) ค้นพบแหล่งน้ำมันในประเทศตนเอง อังกฤษจมูกไวได้กลิ่นก่อนใคร รีบวิ่งเป็นเจ้าแรก เข้าไปตีซี้เข้าทำสัญญาขอสิทธิพิเศษ สำหรับน้ำมันที่จะขุดได้ โดยตั้งบริษัทร่วมกับเปอร์เซีย ชื่อ Anglo Persian Oil Company (APOC) ซึ่งต่อมาภายหลังในปี ค.ศ. 1954 ได้กลายเป็น British Petroleum Company (BP) ผู้ซึ่งเวลานี้มีชื่อเป็นเจ้าของแปลงสัมปทานขุดเจาะน้ำมัน เกือบจะทุกแห่งในโลก รวมทั้งดินแดนของสมันน้อย
    แล้วฝนก็ตกทั่วฟ้า อังกฤษน้ำมันขอดบ่อ เยอรมันก็ใช่ว่าจะไปได้ไกลกว่า ในการศึกชิงน้ำมัน โครงการรถไฟของเยอรมันชักไปไม่ถึงฝั่ง เพราะต้องลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จำเป็นต้องหาเงินพวกมาช่วย เยอรมันกัดฟันหันไปหาอังกฤษ ลูกเข้าเท้าอังกฤษอย่างเหลือเชื่อ อังกฤษรับปากจะช่วย แต่ทำทุกทางที่จะถ่วง แค่นั้นยังไม่ชั่วพอ กลับตัดหน้าเยอรมัน ไปแย่งทำสัญญาเช่าบ่อน้ำมันกับอิรัคและคูเวต การวิ่งแข่งชิงแหล่งน้ำมันเข้มข้นขึ้น เยอรมันไม่รู้ไปทำอีกท่าไหน นอกจากจะได้ทำทางรถไฟสาย Berlin Bagdad แล้ว จักรพรรดิแห่ง Ottoman ยังแถมให้สิทธิในการขุดหาแหล่งน้ำมันและแร่ กว้าง 20 กิโลเมตร 2 ข้างทางขนานกับทางรถไฟ นี่มันทำให้อังกฤษถึงกระอักโลหิต ศึกชิงน้ำมันของจริงเริ่มขึ้นแล้ว ระหว่างมวยคู่อังกฤษกับเยอรมัน
    สงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้ความตั้งใจ ของบริษัทน้ำมันสัญชาติเยอรมันที่จะไม่ขึ้นกับ กลุ่มผลประโยชน์ของตระกูล Rockefeller ชะงักงัน ขณะนั้นอเมริกาผลิตน้ำมันมากกว่า 63% ของน้ำมันโลก รัสเซีย 19% เม็กซิโก 5% และอังกฤษ โดย APOC ยังเป็นละอ่อนหน้าใหม่ในตลาด ตั้งตัวยังไม่
    ติด ผลิตไม่ได้เท่าไหร่ ท่าน Lord Winston Churchill ฮึดสู้ เกลี้ยกล่อมให้รัฐบาลอังกฤษ ซื้อหุ้นข้างมากของ APOC และทำให้กลายมาเป็นต้นกำเนิดของ BP ลูกพี่ใหญ่ในวงการน้ำมันต่อมา
    ถึงตอนนั้นอังกฤษก็ประกาศ กำหนดเป็นยุทธศาสตร์ของประเทศที่จะต้องครอบครองน้ำมัน และทำทุกอย่างที่จะกันเยอรมัน คู่แข่งออกไปจากเส้นทาง แม้จะต้องทำสงครามถ้าจำเป็น เมื่อมียุทธศาสตร์เช่นนี้ อังกฤษก็เริ่มตั้งก๊วนกับฝรั่งเศสกับรัสเซีย เพื่อต่อต้านเยอรมัน ซึ่งจับมืออยู่กับออสเตรียและฮังการี อย่านึกว่าผมทองเหมือนกันจะรักกันตลอดไปนะ เรื่องผลประโยชน์มันไม่เข้าใครออกใคร ยิ่งอย่างพวกผมดำ นึกว่าเขารักเขาอุ้มชู โน่นไปท้ายแถวเลย และเมื่อไหร่เขาใช้จนหมดประโยชน์ เขาก็จัดการห่อใส่ผ้า เอาลงหีบเก็บถาวร เข้าใจไหม ใครที่คิดว่าเขากำลังอุ้ม ยังยืนลอยหน้าลอยตาอยู่นะ พี่เลี้ยงอ่านตอนนี้ให้ฟังหน่อยนะ แต่สงสัยหนูแกก็คงฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดี ฮา
    แผนของอังกฤษเริ่มจะเห็นผล ถึงปี ค.ศ. 1914 สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เกิดขึ้น
    ผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่ต่างกับสงครามอื่น ๆ ฉ.ห กันทั่วหน้า ทำสงครามกัน ทั้ง ๆ ที่รู้ผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ! ผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้อังกฤษล้มละลาย แต่เขาว่าคนล้มอย่าเพิ่งข้าม อังกฤษล้มจริง แต่มันล้มบนฟูก เพราะหลังจากนั้นก็เกิดการสุมหัวรวมตัว กับนักธุรกิจใหญ่ของอเมริกา House of Morgan สร้างกลยุทธกันใหม่ นักเล่นกลไม่ได้มีเจ้าเดียว
    ผลของสงครามโลก ทำให้อาณาจักรใหญ่ 4 แห่ง ย่อยยับ อาณาจักร Ottoman – Turkey, Austria – Hungary, Germany – Russia และรวมทั้งอังกฤษเองด้วย แต่แท้จริง สงครามโลก ครั้งที่ 1 เป็นแผนมายากลของพวกผมทอง สุดกร่าง เพื่อวางแผนจัดสรร การครอบครองแหล่งน้ำมันเสียใหม่ เจ้าของแหล่งน้ำมัน รวมทั้งก๊วนที่เล่นเกมสงครามด้วยกันมา ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ ดูเกมนี้ไม่ทัน


    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอนเสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 14 : คู่แค้น ช่วงประมาณ ค.ศ. 1908 เปอร์เซีย (หรืออิหร่านในปัจจุบัน) ค้นพบแหล่งน้ำมันในประเทศตนเอง อังกฤษจมูกไวได้กลิ่นก่อนใคร รีบวิ่งเป็นเจ้าแรก เข้าไปตีซี้เข้าทำสัญญาขอสิทธิพิเศษ สำหรับน้ำมันที่จะขุดได้ โดยตั้งบริษัทร่วมกับเปอร์เซีย ชื่อ Anglo Persian Oil Company (APOC) ซึ่งต่อมาภายหลังในปี ค.ศ. 1954 ได้กลายเป็น British Petroleum Company (BP) ผู้ซึ่งเวลานี้มีชื่อเป็นเจ้าของแปลงสัมปทานขุดเจาะน้ำมัน เกือบจะทุกแห่งในโลก รวมทั้งดินแดนของสมันน้อย แล้วฝนก็ตกทั่วฟ้า อังกฤษน้ำมันขอดบ่อ เยอรมันก็ใช่ว่าจะไปได้ไกลกว่า ในการศึกชิงน้ำมัน โครงการรถไฟของเยอรมันชักไปไม่ถึงฝั่ง เพราะต้องลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จำเป็นต้องหาเงินพวกมาช่วย เยอรมันกัดฟันหันไปหาอังกฤษ ลูกเข้าเท้าอังกฤษอย่างเหลือเชื่อ อังกฤษรับปากจะช่วย แต่ทำทุกทางที่จะถ่วง แค่นั้นยังไม่ชั่วพอ กลับตัดหน้าเยอรมัน ไปแย่งทำสัญญาเช่าบ่อน้ำมันกับอิรัคและคูเวต การวิ่งแข่งชิงแหล่งน้ำมันเข้มข้นขึ้น เยอรมันไม่รู้ไปทำอีกท่าไหน นอกจากจะได้ทำทางรถไฟสาย Berlin Bagdad แล้ว จักรพรรดิแห่ง Ottoman ยังแถมให้สิทธิในการขุดหาแหล่งน้ำมันและแร่ กว้าง 20 กิโลเมตร 2 ข้างทางขนานกับทางรถไฟ นี่มันทำให้อังกฤษถึงกระอักโลหิต ศึกชิงน้ำมันของจริงเริ่มขึ้นแล้ว ระหว่างมวยคู่อังกฤษกับเยอรมัน สงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้ความตั้งใจ ของบริษัทน้ำมันสัญชาติเยอรมันที่จะไม่ขึ้นกับ กลุ่มผลประโยชน์ของตระกูล Rockefeller ชะงักงัน ขณะนั้นอเมริกาผลิตน้ำมันมากกว่า 63% ของน้ำมันโลก รัสเซีย 19% เม็กซิโก 5% และอังกฤษ โดย APOC ยังเป็นละอ่อนหน้าใหม่ในตลาด ตั้งตัวยังไม่ ติด ผลิตไม่ได้เท่าไหร่ ท่าน Lord Winston Churchill ฮึดสู้ เกลี้ยกล่อมให้รัฐบาลอังกฤษ ซื้อหุ้นข้างมากของ APOC และทำให้กลายมาเป็นต้นกำเนิดของ BP ลูกพี่ใหญ่ในวงการน้ำมันต่อมา ถึงตอนนั้นอังกฤษก็ประกาศ กำหนดเป็นยุทธศาสตร์ของประเทศที่จะต้องครอบครองน้ำมัน และทำทุกอย่างที่จะกันเยอรมัน คู่แข่งออกไปจากเส้นทาง แม้จะต้องทำสงครามถ้าจำเป็น เมื่อมียุทธศาสตร์เช่นนี้ อังกฤษก็เริ่มตั้งก๊วนกับฝรั่งเศสกับรัสเซีย เพื่อต่อต้านเยอรมัน ซึ่งจับมืออยู่กับออสเตรียและฮังการี อย่านึกว่าผมทองเหมือนกันจะรักกันตลอดไปนะ เรื่องผลประโยชน์มันไม่เข้าใครออกใคร ยิ่งอย่างพวกผมดำ นึกว่าเขารักเขาอุ้มชู โน่นไปท้ายแถวเลย และเมื่อไหร่เขาใช้จนหมดประโยชน์ เขาก็จัดการห่อใส่ผ้า เอาลงหีบเก็บถาวร เข้าใจไหม ใครที่คิดว่าเขากำลังอุ้ม ยังยืนลอยหน้าลอยตาอยู่นะ พี่เลี้ยงอ่านตอนนี้ให้ฟังหน่อยนะ แต่สงสัยหนูแกก็คงฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดี ฮา แผนของอังกฤษเริ่มจะเห็นผล ถึงปี ค.ศ. 1914 สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เกิดขึ้น ผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่ต่างกับสงครามอื่น ๆ ฉ.ห กันทั่วหน้า ทำสงครามกัน ทั้ง ๆ ที่รู้ผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ! ผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้อังกฤษล้มละลาย แต่เขาว่าคนล้มอย่าเพิ่งข้าม อังกฤษล้มจริง แต่มันล้มบนฟูก เพราะหลังจากนั้นก็เกิดการสุมหัวรวมตัว กับนักธุรกิจใหญ่ของอเมริกา House of Morgan สร้างกลยุทธกันใหม่ นักเล่นกลไม่ได้มีเจ้าเดียว ผลของสงครามโลก ทำให้อาณาจักรใหญ่ 4 แห่ง ย่อยยับ อาณาจักร Ottoman – Turkey, Austria – Hungary, Germany – Russia และรวมทั้งอังกฤษเองด้วย แต่แท้จริง สงครามโลก ครั้งที่ 1 เป็นแผนมายากลของพวกผมทอง สุดกร่าง เพื่อวางแผนจัดสรร การครอบครองแหล่งน้ำมันเสียใหม่ เจ้าของแหล่งน้ำมัน รวมทั้งก๊วนที่เล่นเกมสงครามด้วยกันมา ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ ดูเกมนี้ไม่ทัน คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 259 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ”
    ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 13 : สิ่งมหัศจรรย์
    ตกลงนาย Kissinger ไม่ได้โม้ แต่พูดเรื่องจริงและไม่ใช่จริงธรรมดา แต่มันเป็นประกาศ บอกทิศทางการเมืองโลก ที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ เป็นอยู่ในปัจจุบันและที่กำลังจะเป็นต่อไปในอนาคต
    คนแรกที่มองเห็นว่าน้ำมันคืออาวุธที่สำคัญ สำหรับผู้ที่จะครองโลก ไม่ใช่นาย Kissinger แต่เป็นนาย Winston Churchill นายกรัฐมนตรีจอมอึดของอังกฤษ ซึ่งได้แถลงต่อรัฐสภาอังกฤษ ตั้งแต่ยังมีตำแหน่งเป็นนายพลเรือ เมื่อ ปี ค.ศ. 1919 ว่า “เราจะต้องพยายามเป็นเจ้าของ หรืออย่างน้อยต้องควบคุมแหล่งน้ำมันให้ได้ ตามจำนวนที่เราต้องการใช้ ไม่ว่าจากแหล่งน้ำมันที่เรามีเอง หรือมีอิทธิพลเหนือ” เรียกว่าเป็นคนมองไกลกว่ามือเอื้อมจริง ๆ
    แล้วเชื่อหรือไม่ว่า สงคราม การรุกราน การขัดแย้ง การอ้างเป็นผู้พิทักษ์ การอ้างเป็นผู้คุ้มครอง ฯลฯ ที่เกิดขึ้นในโลกในศตวรรษที่ผ่านมา และที่เป็นอยู่ขณะนี้ ล้วนเกี่ยวกับเรื่องการแย่งชิงน้ำมันเกือบทั้งสิ้น เพราะน้ำมันเป็นเครื่องมือสำคัญในการครองโลก
    ก่อนที่น้ำมันจะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ที่ทุกชาติแสวงหาและต้องการเป็นเจ้าของ สิ่งมหัศจรรย์รุ่นเก่า คือ “ถ่านหิน” จะทำอุตสาหกรรมได้ ต้องมีถ่านหิน ปลายศตวรรษที่ 19 อุตสาหกรรมเยอรมันพุ่งแซงหน้าอังกฤษ ที่กำลังเริ่มเดินลงเขา การผลิตเหล็กของเยอรมันแซงหน้าอังกฤษ การผลิตยา ปุ๋ยการเกษตร ทุกอย่างแซงหน้าอังกฤษ เพราะเยอรมันมีแหล่งถ่านหิน และเหล็กมหาศาลอยู่ในแคว้น Ruhr ที่สำคัญเยอรมันกำลังคิดการใหญ่วางแผน สร้างทางรถไฟ ยาวเข้าไปในอาณาจักร Ottoman ของตุรกี ปี ค.ศ. 1899 แผนของเยอรมันทำท่าจะเป็นจริง เยอรมันได้ทำข้อตกลงกับตุรกี เพื่อสร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad เป็นการขยายตลาดการค้าของตนไปทางตะวันออก กะจะไปให้ถึง Kuwait มันเป็นเส้นทางที่เร็วที่สุด และถูกที่สุดในการเข้าไปสู่แหล่งน้ำมันมหาศาลในภูมิภาคนั้นอังกฤษไม่ได้ฉลาด เป็นชาติเดียวนะ !
    ข่าวนี้ทำให้อังกฤษเปลี่ยนจากมาดผู้ดี ทำท่าจะตั้งโรงงิ้วแทน จะยอมได้อย่างไร มันหักหน้ากันชัด ๆ อังกฤษถือว่า กองกำลังทางเรือของตนนั้นสุดแข็งแกร่ง เป็นหน้าเป็นตา และที่สำคัญเป็นกลไกที่อังกฤษ ใช้ในการแสดงแสนยานุภาพ ในการเข้าไปยึดประเทศต่างๆ มาเป็นอาณานิคมของตนมาตลอดเวลา แต่เรือจะแล่นได้ นอกจากใช้กำลังคนแล้ว ในสมัยต่อมาต้องใช้เครื่องจักรกล เครื่องจักรกลสมัยก่อน ใช้ถ่านหินจำนวนมหาศาล ซึ่งแน่นอนมันกินน้ำหนักเรือมาก
    ย้อนไปประมาณปี ค.ศ. 1882 เกิดมีนายพลเรือของอังกฤษคนหนึ่ง ซึ่งคิดนอกหัวสี่เหลี่ยม ผิดธรรมเนียมทหาร (เอะ ! หรือทหารหัวสี่เหลี่ยมนี้จะมีเฉพาะบางประเทศ?) ชื่อท่าน Lord Fisher เห็นว่าน้ำมันน่าจะมีคุณสมบัติดีกว่าถ่านหิน เนื่องจากมีน้ำหนักเบากว่า ถ้าอังกฤษจะพัฒนาเปลี่ยนเครื่องจักรกลของกองทัพเรือ จากการใช้ถ่านหินเป็นน้ำมัน จะทำให้อังกฤษสามารถขยายกองทัพเรือได้ถึง 4 เท่า
    นักการเมืองผู้ดีตาถลนออกมานอกเบ้า นี่มันบ้าหรือกินยาผิดวะ เรามีถ่านหินอยู่เต็มประเทศ คนของเราก็ขุดถ่านหินกันจนหน้าดำมะเมี่ยมอย่างนี้ มันจะไปเลิกไปเปลี่ยนได้ยังไง เหมืองถ่านหินเราก็เจ็งหมดซิวุ้ย
    คำทักท้วงแบบนี้เราจะได้ยินเสมอ เวลาที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรจากรูปแบบเดิม ๆ ที่เคยชินกัน ใช้ได้เหรอ ใช่เหรอ ทำได้เหรอ แบบนี้มันต้องน้อยลงบ้างนะ ทุกอย่างมันจะก้าวหน้า ต้องมีคนเริ่มฝันก่อน และที่สำคัญ ทำฝันนั้นให้เป็นความจริง กองทัพเรืออังกฤษไม่สนใจคำทักท้วงของนักการ เมือง กองทัพเขาไม่ได้เชื่อนักการเมืองจนแยกแยะไม่ออก แบบบางประเทศ แต่กลับก้มหน้าก้มตา ออกแบบเปลี่ยนเครื่องจักรกล เพื่อใช้น้ำมันแทนถ่านหิน ใช้เวลาดำเนินการไป 20 ปี กว่าจะสำเร็จ อังกฤษเหมือนวาสนาดี แต่กรรมยังบัง เกิดปัญหาคาดไม่ถึง อังกฤษไม่มีน้ำมันของตัวเองพอ ! อ้าว ! แล้วกัน และจำเป็นต้องรีบหาแหล่งน้ำมันเป็นการด่วน ! ฝันเกือบเป็นจริง แต่ยังไม่สลาย ไม่เป็นไร ท่าน Lord Winston จึงออกมาตั้งเข็มทิศใหม่ให้อังกฤษ เราไปหาน้ำมันกันเร็ว รีบด่วน ทำยังไงก็ได้
    แล้วการล่าอาณานิคมของอังกฤษ เพื่อเข้าไปถึงแหล่งน้ำมันก็ทยอยเกิดขึ้น

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ” ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 13 : สิ่งมหัศจรรย์ ตกลงนาย Kissinger ไม่ได้โม้ แต่พูดเรื่องจริงและไม่ใช่จริงธรรมดา แต่มันเป็นประกาศ บอกทิศทางการเมืองโลก ที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ เป็นอยู่ในปัจจุบันและที่กำลังจะเป็นต่อไปในอนาคต คนแรกที่มองเห็นว่าน้ำมันคืออาวุธที่สำคัญ สำหรับผู้ที่จะครองโลก ไม่ใช่นาย Kissinger แต่เป็นนาย Winston Churchill นายกรัฐมนตรีจอมอึดของอังกฤษ ซึ่งได้แถลงต่อรัฐสภาอังกฤษ ตั้งแต่ยังมีตำแหน่งเป็นนายพลเรือ เมื่อ ปี ค.ศ. 1919 ว่า “เราจะต้องพยายามเป็นเจ้าของ หรืออย่างน้อยต้องควบคุมแหล่งน้ำมันให้ได้ ตามจำนวนที่เราต้องการใช้ ไม่ว่าจากแหล่งน้ำมันที่เรามีเอง หรือมีอิทธิพลเหนือ” เรียกว่าเป็นคนมองไกลกว่ามือเอื้อมจริง ๆ แล้วเชื่อหรือไม่ว่า สงคราม การรุกราน การขัดแย้ง การอ้างเป็นผู้พิทักษ์ การอ้างเป็นผู้คุ้มครอง ฯลฯ ที่เกิดขึ้นในโลกในศตวรรษที่ผ่านมา และที่เป็นอยู่ขณะนี้ ล้วนเกี่ยวกับเรื่องการแย่งชิงน้ำมันเกือบทั้งสิ้น เพราะน้ำมันเป็นเครื่องมือสำคัญในการครองโลก ก่อนที่น้ำมันจะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ที่ทุกชาติแสวงหาและต้องการเป็นเจ้าของ สิ่งมหัศจรรย์รุ่นเก่า คือ “ถ่านหิน” จะทำอุตสาหกรรมได้ ต้องมีถ่านหิน ปลายศตวรรษที่ 19 อุตสาหกรรมเยอรมันพุ่งแซงหน้าอังกฤษ ที่กำลังเริ่มเดินลงเขา การผลิตเหล็กของเยอรมันแซงหน้าอังกฤษ การผลิตยา ปุ๋ยการเกษตร ทุกอย่างแซงหน้าอังกฤษ เพราะเยอรมันมีแหล่งถ่านหิน และเหล็กมหาศาลอยู่ในแคว้น Ruhr ที่สำคัญเยอรมันกำลังคิดการใหญ่วางแผน สร้างทางรถไฟ ยาวเข้าไปในอาณาจักร Ottoman ของตุรกี ปี ค.ศ. 1899 แผนของเยอรมันทำท่าจะเป็นจริง เยอรมันได้ทำข้อตกลงกับตุรกี เพื่อสร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad เป็นการขยายตลาดการค้าของตนไปทางตะวันออก กะจะไปให้ถึง Kuwait มันเป็นเส้นทางที่เร็วที่สุด และถูกที่สุดในการเข้าไปสู่แหล่งน้ำมันมหาศาลในภูมิภาคนั้นอังกฤษไม่ได้ฉลาด เป็นชาติเดียวนะ ! ข่าวนี้ทำให้อังกฤษเปลี่ยนจากมาดผู้ดี ทำท่าจะตั้งโรงงิ้วแทน จะยอมได้อย่างไร มันหักหน้ากันชัด ๆ อังกฤษถือว่า กองกำลังทางเรือของตนนั้นสุดแข็งแกร่ง เป็นหน้าเป็นตา และที่สำคัญเป็นกลไกที่อังกฤษ ใช้ในการแสดงแสนยานุภาพ ในการเข้าไปยึดประเทศต่างๆ มาเป็นอาณานิคมของตนมาตลอดเวลา แต่เรือจะแล่นได้ นอกจากใช้กำลังคนแล้ว ในสมัยต่อมาต้องใช้เครื่องจักรกล เครื่องจักรกลสมัยก่อน ใช้ถ่านหินจำนวนมหาศาล ซึ่งแน่นอนมันกินน้ำหนักเรือมาก ย้อนไปประมาณปี ค.ศ. 1882 เกิดมีนายพลเรือของอังกฤษคนหนึ่ง ซึ่งคิดนอกหัวสี่เหลี่ยม ผิดธรรมเนียมทหาร (เอะ ! หรือทหารหัวสี่เหลี่ยมนี้จะมีเฉพาะบางประเทศ?) ชื่อท่าน Lord Fisher เห็นว่าน้ำมันน่าจะมีคุณสมบัติดีกว่าถ่านหิน เนื่องจากมีน้ำหนักเบากว่า ถ้าอังกฤษจะพัฒนาเปลี่ยนเครื่องจักรกลของกองทัพเรือ จากการใช้ถ่านหินเป็นน้ำมัน จะทำให้อังกฤษสามารถขยายกองทัพเรือได้ถึง 4 เท่า นักการเมืองผู้ดีตาถลนออกมานอกเบ้า นี่มันบ้าหรือกินยาผิดวะ เรามีถ่านหินอยู่เต็มประเทศ คนของเราก็ขุดถ่านหินกันจนหน้าดำมะเมี่ยมอย่างนี้ มันจะไปเลิกไปเปลี่ยนได้ยังไง เหมืองถ่านหินเราก็เจ็งหมดซิวุ้ย คำทักท้วงแบบนี้เราจะได้ยินเสมอ เวลาที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรจากรูปแบบเดิม ๆ ที่เคยชินกัน ใช้ได้เหรอ ใช่เหรอ ทำได้เหรอ แบบนี้มันต้องน้อยลงบ้างนะ ทุกอย่างมันจะก้าวหน้า ต้องมีคนเริ่มฝันก่อน และที่สำคัญ ทำฝันนั้นให้เป็นความจริง กองทัพเรืออังกฤษไม่สนใจคำทักท้วงของนักการ เมือง กองทัพเขาไม่ได้เชื่อนักการเมืองจนแยกแยะไม่ออก แบบบางประเทศ แต่กลับก้มหน้าก้มตา ออกแบบเปลี่ยนเครื่องจักรกล เพื่อใช้น้ำมันแทนถ่านหิน ใช้เวลาดำเนินการไป 20 ปี กว่าจะสำเร็จ อังกฤษเหมือนวาสนาดี แต่กรรมยังบัง เกิดปัญหาคาดไม่ถึง อังกฤษไม่มีน้ำมันของตัวเองพอ ! อ้าว ! แล้วกัน และจำเป็นต้องรีบหาแหล่งน้ำมันเป็นการด่วน ! ฝันเกือบเป็นจริง แต่ยังไม่สลาย ไม่เป็นไร ท่าน Lord Winston จึงออกมาตั้งเข็มทิศใหม่ให้อังกฤษ เราไปหาน้ำมันกันเร็ว รีบด่วน ทำยังไงก็ได้ แล้วการล่าอาณานิคมของอังกฤษ เพื่อเข้าไปถึงแหล่งน้ำมันก็ทยอยเกิดขึ้น คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 240 มุมมอง 0 รีวิว
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน คัดสายพันธ์ุ
    นิทานเรื่ิิองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 11 : คัดสายพันธ์ุ
    สมาคม American Eugenics Society เป็นสมาคมที่มีวัตถุประสงค์สนับสนุนการคัดสายพันธ์ุและทำหมันประชากรที่ เรียกว่ามีสายพันธ์ด้อย (inferior people)
    สายพันธ์ด้อย หมายถึงใคร แน่นอนไม่ใช่พวกผมทอง ตาสีฟ้า แต่เป็นพวกผิวสี เช่น อาฟริกัน พวกผิวเข้มในเอเซีย และลาติน รวมทั้งผู้มีความไม่สมบูรณ์ทางกายและสมอง
    ผู้ที่สนับสนุนเงินทุนให้แก่สมาคมนี้ ได้แก่ Rockefeller, Harriman นายธนาคารจาก J.P Morgan, Mary Duke Biddle ของบริษัทยาสูบใหญ่ etc และอีกหลายคน ๆ ที่เป็นคนรวยในสังคมระดับสูงของอเมริกาและรวมไปถึงพรรคพวกในอีกฝั่ง ของมหาสมุทรคืออังกฤษด้วย คือ English Eugenics Society ซึ่งสมาคมนี้มีสมาชิก เช่น นาย Winston Churchill นาย John Maynard Keynes etc เป็นต้น การสนับสนุนการคัดสายพันธ์ของกลุ่มคนรวยพวกนี้ เริ่มมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1920
    ที่น่าสนใจมูลนิธิ Rockefeller ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่องค์กร Planned Parenthood Federation of American มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1922 องค์กรนี้ เป็นองค์กรลูกของ International Planned Parenthood Federation (IPPF) เช่นเดียวกับ สวท. ของคุณสายรุ้ง
ซึ่งเป็นองค์กรที่มีหัวหอกในการดำเนินงาน ชื่อ Margaret Sanger
    คุณนายเน้นนโยบายการคัดสายพันธ์ุ โดยการคุมกำเนิดและทำหมัน ภายใต้การพรางตัวเรียกว่า วางแผนครอบครัว คุณนายบอกว่า
    ความไม่สมดุลย์ระหว่างอัตราการเกิดของผู้ไม่เหมาะสม (unfit) กับเหมาะสม (fit) เป็นสิ่งที่น่ากวนใจอย่างยิ่งสำหรับความเจริญ ก้าวหน้าของมนุษยชาติ
    ในปี ค.ศ.1933 Dr. Gerhard Wagner แพทย์หัวหน้าหน่วย Association Reichsrzfhere นาซีเยอรมัน ได้ยกย่องคุณนาย Sanger ว่านโยบายควบคุมสายพันธ์ของคุณนายเป็นนโยบายที่เยี่ยมมากน่าถือเป็นตัวอย่าง
    สมาคมวางแผนของคุณสายรุ้ง ก็ได้รับรางวัล Margaret Sanger เมื่อปี พ.ศ.2532
    ขบวนการกำจัดและคัดสายพันธ์ ริเริ่มโดยนาย John D Rockefeller ที่ 3 หรือที่พวกคนรวยอเมริกาจะเรียกเขาว่า J D III ตั้งแต่ ค.ศ.1932
    เขาเหมือนคนบ้า (หรือมันเป็นบ้าจริง ๆ !) คิด ฟุ้ง สร้าน วุ่นวายอยู่กับขบวนการกำจัดและคัดสายพันธ์ุ อยู่หลายสิบปี ถึงขนาดในปี ค.ศ.1952 เขาลงทุนควักกระเป๋าเงินตัวเอง ตั้งสถาบันประชากร (Population Council) ขึ้นที่ นิวยอร์ค เพื่อทำการค้นคว้าอันตรายของการมีประชากรล้นโลก
    สถาบันนี้ใช้เงินไปจำนวนเกือบ 200 ล้านเหรียญ ในช่วง 25 ปี ในการหาวิธีการที่ได้ผลที่สุด ในการลดจำนวนประชากร และสถาบันนี้ได้กลายเป็น สถาบันที่มีอิทธิพลสูงในการเสนอความคิดเกี่ยวกับ การลดจำนวนพลเมือง
(นี่มันฆ่าตัดตอนแบบมายากลนะนี่ !)
    การคัดสายพันธ์ เริ่มเข้มข้น ทำเป็นขั้นตอนในช่วงปี ค.ศ.1950 – 1960 เมื่อตระกูล Rockefeller เข้าไปในแถบลาตินอเมริกา ซึ่งมีพื้นดินอุดมสมบูรณ์
    พวกเขาวางแผน Green Revolution ใช้พืช GMO ขายเมล็ดพันธ์ุพืช ทำลายพื้นดิน ทำลายคุณภาพชีวิตของชาวลาติน ขณะเดียวกันหมัดนี้ยังไม่หนักไม่พอ มันยังเกิดก็ไม่หยุด ขบวนการทำหมัน ก็โหมเข้าไป คนลาตินก็ออกลูกน้อยลงๆ ข้าวโพดสายพันธ์ใหม่ ที่ทดลองปลูกก็มีผู้วิเคราะห์ว่า ถ้ากินเข้าไปมากๆ มีผลทำลายสเปิร์มของผู้ชาย 100%
มันเล่นทั้งฝ่ายหญิง ฝ่ายชาย เลยนะ แต่ภาพที่โลกเห็นเป็นอย่างไร
    มูลนิธิ Rockefeller ใจดี ใจบุญ เห็นพลเมืองเขาแยะ ก็ไปช่วยวางแผนครอบครัว ทำหมัน ชาวไร่ ชาวนา ทำมาหากินได้ผลน้อย เพาะปลูกพืชไร่ได้ปีละครั้ง ได้เงินไม่กี่อัฐ มูลนิธิก็เอาพันธ์ุพืชใหม่ไปให้ใช้ ปลูกมันปีละ 3, 4 หน ขายได้เงินเพิ่มโขอยู่
    ดูแค่นี้ มันก็เห็นแค่นี้


    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน คัดสายพันธ์ุ นิทานเรื่ิิองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 11 : คัดสายพันธ์ุ สมาคม American Eugenics Society เป็นสมาคมที่มีวัตถุประสงค์สนับสนุนการคัดสายพันธ์ุและทำหมันประชากรที่ เรียกว่ามีสายพันธ์ด้อย (inferior people) สายพันธ์ด้อย หมายถึงใคร แน่นอนไม่ใช่พวกผมทอง ตาสีฟ้า แต่เป็นพวกผิวสี เช่น อาฟริกัน พวกผิวเข้มในเอเซีย และลาติน รวมทั้งผู้มีความไม่สมบูรณ์ทางกายและสมอง ผู้ที่สนับสนุนเงินทุนให้แก่สมาคมนี้ ได้แก่ Rockefeller, Harriman นายธนาคารจาก J.P Morgan, Mary Duke Biddle ของบริษัทยาสูบใหญ่ etc และอีกหลายคน ๆ ที่เป็นคนรวยในสังคมระดับสูงของอเมริกาและรวมไปถึงพรรคพวกในอีกฝั่ง ของมหาสมุทรคืออังกฤษด้วย คือ English Eugenics Society ซึ่งสมาคมนี้มีสมาชิก เช่น นาย Winston Churchill นาย John Maynard Keynes etc เป็นต้น การสนับสนุนการคัดสายพันธ์ของกลุ่มคนรวยพวกนี้ เริ่มมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1920 ที่น่าสนใจมูลนิธิ Rockefeller ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่องค์กร Planned Parenthood Federation of American มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1922 องค์กรนี้ เป็นองค์กรลูกของ International Planned Parenthood Federation (IPPF) เช่นเดียวกับ สวท. ของคุณสายรุ้ง
ซึ่งเป็นองค์กรที่มีหัวหอกในการดำเนินงาน ชื่อ Margaret Sanger คุณนายเน้นนโยบายการคัดสายพันธ์ุ โดยการคุมกำเนิดและทำหมัน ภายใต้การพรางตัวเรียกว่า วางแผนครอบครัว คุณนายบอกว่า ความไม่สมดุลย์ระหว่างอัตราการเกิดของผู้ไม่เหมาะสม (unfit) กับเหมาะสม (fit) เป็นสิ่งที่น่ากวนใจอย่างยิ่งสำหรับความเจริญ ก้าวหน้าของมนุษยชาติ ในปี ค.ศ.1933 Dr. Gerhard Wagner แพทย์หัวหน้าหน่วย Association Reichsrzfhere นาซีเยอรมัน ได้ยกย่องคุณนาย Sanger ว่านโยบายควบคุมสายพันธ์ของคุณนายเป็นนโยบายที่เยี่ยมมากน่าถือเป็นตัวอย่าง สมาคมวางแผนของคุณสายรุ้ง ก็ได้รับรางวัล Margaret Sanger เมื่อปี พ.ศ.2532 ขบวนการกำจัดและคัดสายพันธ์ ริเริ่มโดยนาย John D Rockefeller ที่ 3 หรือที่พวกคนรวยอเมริกาจะเรียกเขาว่า J D III ตั้งแต่ ค.ศ.1932 เขาเหมือนคนบ้า (หรือมันเป็นบ้าจริง ๆ !) คิด ฟุ้ง สร้าน วุ่นวายอยู่กับขบวนการกำจัดและคัดสายพันธ์ุ อยู่หลายสิบปี ถึงขนาดในปี ค.ศ.1952 เขาลงทุนควักกระเป๋าเงินตัวเอง ตั้งสถาบันประชากร (Population Council) ขึ้นที่ นิวยอร์ค เพื่อทำการค้นคว้าอันตรายของการมีประชากรล้นโลก สถาบันนี้ใช้เงินไปจำนวนเกือบ 200 ล้านเหรียญ ในช่วง 25 ปี ในการหาวิธีการที่ได้ผลที่สุด ในการลดจำนวนประชากร และสถาบันนี้ได้กลายเป็น สถาบันที่มีอิทธิพลสูงในการเสนอความคิดเกี่ยวกับ การลดจำนวนพลเมือง
(นี่มันฆ่าตัดตอนแบบมายากลนะนี่ !) การคัดสายพันธ์ เริ่มเข้มข้น ทำเป็นขั้นตอนในช่วงปี ค.ศ.1950 – 1960 เมื่อตระกูล Rockefeller เข้าไปในแถบลาตินอเมริกา ซึ่งมีพื้นดินอุดมสมบูรณ์ พวกเขาวางแผน Green Revolution ใช้พืช GMO ขายเมล็ดพันธ์ุพืช ทำลายพื้นดิน ทำลายคุณภาพชีวิตของชาวลาติน ขณะเดียวกันหมัดนี้ยังไม่หนักไม่พอ มันยังเกิดก็ไม่หยุด ขบวนการทำหมัน ก็โหมเข้าไป คนลาตินก็ออกลูกน้อยลงๆ ข้าวโพดสายพันธ์ใหม่ ที่ทดลองปลูกก็มีผู้วิเคราะห์ว่า ถ้ากินเข้าไปมากๆ มีผลทำลายสเปิร์มของผู้ชาย 100%
มันเล่นทั้งฝ่ายหญิง ฝ่ายชาย เลยนะ แต่ภาพที่โลกเห็นเป็นอย่างไร มูลนิธิ Rockefeller ใจดี ใจบุญ เห็นพลเมืองเขาแยะ ก็ไปช่วยวางแผนครอบครัว ทำหมัน ชาวไร่ ชาวนา ทำมาหากินได้ผลน้อย เพาะปลูกพืชไร่ได้ปีละครั้ง ได้เงินไม่กี่อัฐ มูลนิธิก็เอาพันธ์ุพืชใหม่ไปให้ใช้ ปลูกมันปีละ 3, 4 หน ขายได้เงินเพิ่มโขอยู่ ดูแค่นี้ มันก็เห็นแค่นี้ คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 248 มุมมอง 0 รีวิว
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เรื่องของคนโคตรรวย (2)
    นิทานเรื่ิองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 4 : เรื่องของคนโคตรรวย (2)
    เอ้า ! มารู้จักครอบครัวตัวอย่าง (คนโคตรรวย) กันหน่อย ใครเป็นใคร อ่านตอนหลังจะได้ไม่งง ตระกูล Rockefeller เป็นคนอเมริกัน เชื้อสายเยอรมัน ผู้นำครอบครัว ที่ทำให้ตระกูลเขามีอิทธิพล มีสายตายาวไกลมาก (นักมายากลตัวพ่อ) คือ นาย John Davison Rockefeller Senior สมาชิกตระกูลที่สืบทอด DNA ของคุณป๋าจอห์น ที่สำคัญมี
    – John Davison Rockefeller, Junior
    – David Rockefeller
    – Nelson A. Rockefeller
    – Laurence Rockefeller
    – John Davison Rockefeller III
    เมื่อรวยล้นฟ้าและมีอิทธิพลขนาดนี้ กลุ่มตระกูล Rockefeller จะอยู่เฉยได้ยังไง คนรวยมีเงิน ก็อยากมีอำนาจ สูตรสำเร็จเดิม ๆ จึงมีแนวคิดที่จะควบคุมนโยบายเศรษฐกิจการเมือง ของอเมริกาและแน่นอนถ้าคุมอเมริกาได้ก็คุมโลกได้ เพื่อให้รวยขึ้นและมีอำนาจอยู่ในมือมากขึ้นอย่างประมาณมิได้
    แล้วจะทำกันเฉพาะในครอบครัวมันคงไม่ใหญ่พอมั้ง มันก็ต้องโชว์พาว ว่าแล้วพี่น้องตระกูล Rockefeller ก็ทำการคัดเลือก เฉพาะคนรวยและชนชั้นนำในสังคม จำนวน 300 คน จากเพื่อนและพวกของตนที่มีอิทธิพลสูงในวงการต่างๆ ที่อยู่ในอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น และก่อตั้งองค์กรที่เรียกว่า Trilateral Commission ขึ้น เมื่อปี ค.ศ. 1973 เพื่อจะกำหนดทิศทางเดินของโลกเสียใหม่ ตามที่พวกตนต้องการ (ปัจจุบันนี้สมาคมผู้ทรงอิทธิพลมีสมาชิก จากประเทศแถบเอเซียเพิ่มขึ้นด้วย)
    ในจำนวนรายชื่อสมาชิกผู้ก่อตั้ง Trilateral Commission ของ David Rockefeller มีบุคคล เช่น Zbigniew Brzezinski (รายนี้สำคัญ จำกันไว้ให้ดี) และผู้ว่าการรัฐ Georgia คนทำไร่ถั่ว ชื่อ นาย James Earl “Jimmy” Carter (ผู้ซึ่งนาย David Rockefeller สนับสนุนให้เป็นประธานาธิบดี สมัย ค.ศ.1976 แทนนาย Gerald Ford) นาย George H. W Bush (ซึ่งก็ได้เป็นประธานาธิบดี โดยการสนับสนุนของกลุ่มคนรวย แถมยังมีบทบาทที่สำคัญมาก ๆ ต่อมาภายหลังอีกด้วย) Paul Volcker ผู้ซึ่งในสมัยประธานาธิบดี Jimmy Carter ได้แต่งตั้งให้เป็นประธาน Federal Reserve นาย Alan Greenspan ซึ่งแม้ตอนนั้นจะเป็นเพียง นักวาณิชย์ธนกิจอยู่แถว Wall Street แต่มีแววโดดเด่นเข้าตากรรมการ รวมทั้งนายพล Alexander Haig, นาย Cyrus Vance และ นาย Ed Muskie (ทั้ง 3 คน ต่อมาได้รับตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ นายพล Haig ได้เป็นสมัย นาย Ronald Reagan ส่วน 2 คนหลัง เป็นในสมัยประธานาธิบดี Jimmy Carter คนหนึ่งเป็นช่วง ค.ศ. 1977 – 1980 อีกคนเป็นต่อ ค.ศ. 1980 – 1981) อืม! เข้าใจเล่นนะ พวกคนรวย
    ตอนนั้นนาย Brzezinski เพิ่งเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งไม่เป็นที่แพร่หลาย แต่โดนใจพวก Rockefeller อย่างยิ่ง ชื่อ “Between Two Ages: America’s Role in the Technotronic Era พิมพ์ในปี ค.ศ. 1970
    เขาบอกว่า “สังคมควรจะต้องครอบงำ หรือปกครองโดยบุคคล ซึ่งเป็นที่ยอมรับในสังคมระดับสูง (Elites) ซึ่งคนพวกนี้ ต้องไม่ลังเล ที่จะทำให้ได้มา ซึ่งอำนาจทางการเมือง โดยใช้เทคนิคใหม่ ๆ ให้มีอิทธิพลเหนือพฤติกรรมสังคม รวมทั้งการจัดระเบียบสังคม ย้อมพฤติกรรมสังคม ซึ่งจะเป็นการกำหนดและควบคุมสังคมด้วย”
แม่เจ้าโว้ย ยังกะนั่งเขียนอยู่ในใจของนาย David Rockefeller เลยนะ
    นอกจากนี้ในหนังสือดังกล่าว นาย Brzezinski ยังได้เสนอความคิดว่า น่าจะได้มีการจับมือกันระหว่างบรรษัทและธนาคารที่มีอิทธิพลและเครือข่ายข้าม ชาติ ระหว่างนักธุรกิจชั้นนำของยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น เพื่อกำหนดนโยบายการทำธุรกิจร่วมกัน โดยการดำเนินการอย่างเป็นความลับ
    โอ้ย ไอ้หมอนี่ถ้าไม่เอามาใช้เป็นมือขวาก็ต้องมาเป็นมือซ้ายแน่นอน นาย David รำพึง
    แล้วนาย Bazezinski ก็ได้รับเลือกจากนาย David Rockefeller ให้เป็นกรรมการบริหารคนแรกของ Trilateral Commission

    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เรื่องของคนโคตรรวย (2) นิทานเรื่ิองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 4 : เรื่องของคนโคตรรวย (2) เอ้า ! มารู้จักครอบครัวตัวอย่าง (คนโคตรรวย) กันหน่อย ใครเป็นใคร อ่านตอนหลังจะได้ไม่งง ตระกูล Rockefeller เป็นคนอเมริกัน เชื้อสายเยอรมัน ผู้นำครอบครัว ที่ทำให้ตระกูลเขามีอิทธิพล มีสายตายาวไกลมาก (นักมายากลตัวพ่อ) คือ นาย John Davison Rockefeller Senior สมาชิกตระกูลที่สืบทอด DNA ของคุณป๋าจอห์น ที่สำคัญมี – John Davison Rockefeller, Junior – David Rockefeller – Nelson A. Rockefeller – Laurence Rockefeller – John Davison Rockefeller III เมื่อรวยล้นฟ้าและมีอิทธิพลขนาดนี้ กลุ่มตระกูล Rockefeller จะอยู่เฉยได้ยังไง คนรวยมีเงิน ก็อยากมีอำนาจ สูตรสำเร็จเดิม ๆ จึงมีแนวคิดที่จะควบคุมนโยบายเศรษฐกิจการเมือง ของอเมริกาและแน่นอนถ้าคุมอเมริกาได้ก็คุมโลกได้ เพื่อให้รวยขึ้นและมีอำนาจอยู่ในมือมากขึ้นอย่างประมาณมิได้ แล้วจะทำกันเฉพาะในครอบครัวมันคงไม่ใหญ่พอมั้ง มันก็ต้องโชว์พาว ว่าแล้วพี่น้องตระกูล Rockefeller ก็ทำการคัดเลือก เฉพาะคนรวยและชนชั้นนำในสังคม จำนวน 300 คน จากเพื่อนและพวกของตนที่มีอิทธิพลสูงในวงการต่างๆ ที่อยู่ในอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น และก่อตั้งองค์กรที่เรียกว่า Trilateral Commission ขึ้น เมื่อปี ค.ศ. 1973 เพื่อจะกำหนดทิศทางเดินของโลกเสียใหม่ ตามที่พวกตนต้องการ (ปัจจุบันนี้สมาคมผู้ทรงอิทธิพลมีสมาชิก จากประเทศแถบเอเซียเพิ่มขึ้นด้วย) ในจำนวนรายชื่อสมาชิกผู้ก่อตั้ง Trilateral Commission ของ David Rockefeller มีบุคคล เช่น Zbigniew Brzezinski (รายนี้สำคัญ จำกันไว้ให้ดี) และผู้ว่าการรัฐ Georgia คนทำไร่ถั่ว ชื่อ นาย James Earl “Jimmy” Carter (ผู้ซึ่งนาย David Rockefeller สนับสนุนให้เป็นประธานาธิบดี สมัย ค.ศ.1976 แทนนาย Gerald Ford) นาย George H. W Bush (ซึ่งก็ได้เป็นประธานาธิบดี โดยการสนับสนุนของกลุ่มคนรวย แถมยังมีบทบาทที่สำคัญมาก ๆ ต่อมาภายหลังอีกด้วย) Paul Volcker ผู้ซึ่งในสมัยประธานาธิบดี Jimmy Carter ได้แต่งตั้งให้เป็นประธาน Federal Reserve นาย Alan Greenspan ซึ่งแม้ตอนนั้นจะเป็นเพียง นักวาณิชย์ธนกิจอยู่แถว Wall Street แต่มีแววโดดเด่นเข้าตากรรมการ รวมทั้งนายพล Alexander Haig, นาย Cyrus Vance และ นาย Ed Muskie (ทั้ง 3 คน ต่อมาได้รับตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ นายพล Haig ได้เป็นสมัย นาย Ronald Reagan ส่วน 2 คนหลัง เป็นในสมัยประธานาธิบดี Jimmy Carter คนหนึ่งเป็นช่วง ค.ศ. 1977 – 1980 อีกคนเป็นต่อ ค.ศ. 1980 – 1981) อืม! เข้าใจเล่นนะ พวกคนรวย ตอนนั้นนาย Brzezinski เพิ่งเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งไม่เป็นที่แพร่หลาย แต่โดนใจพวก Rockefeller อย่างยิ่ง ชื่อ “Between Two Ages: America’s Role in the Technotronic Era พิมพ์ในปี ค.ศ. 1970 เขาบอกว่า “สังคมควรจะต้องครอบงำ หรือปกครองโดยบุคคล ซึ่งเป็นที่ยอมรับในสังคมระดับสูง (Elites) ซึ่งคนพวกนี้ ต้องไม่ลังเล ที่จะทำให้ได้มา ซึ่งอำนาจทางการเมือง โดยใช้เทคนิคใหม่ ๆ ให้มีอิทธิพลเหนือพฤติกรรมสังคม รวมทั้งการจัดระเบียบสังคม ย้อมพฤติกรรมสังคม ซึ่งจะเป็นการกำหนดและควบคุมสังคมด้วย”
แม่เจ้าโว้ย ยังกะนั่งเขียนอยู่ในใจของนาย David Rockefeller เลยนะ นอกจากนี้ในหนังสือดังกล่าว นาย Brzezinski ยังได้เสนอความคิดว่า น่าจะได้มีการจับมือกันระหว่างบรรษัทและธนาคารที่มีอิทธิพลและเครือข่ายข้าม ชาติ ระหว่างนักธุรกิจชั้นนำของยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น เพื่อกำหนดนโยบายการทำธุรกิจร่วมกัน โดยการดำเนินการอย่างเป็นความลับ โอ้ย ไอ้หมอนี่ถ้าไม่เอามาใช้เป็นมือขวาก็ต้องมาเป็นมือซ้ายแน่นอน นาย David รำพึง แล้วนาย Bazezinski ก็ได้รับเลือกจากนาย David Rockefeller ให้เป็นกรรมการบริหารคนแรกของ Trilateral Commission คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 276 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 1 : อำนาจทำให้คนมีเสน่ห์ ! ? !
    “Control Oil and you control nations;
control food and you control the people”
    “ควบคุมน้ำมันได้ คุณก็ควบคุมชาติต่าง ๆ ได้
ควบคุมอาหารได้ คุณก็ควบคุมประชาชนได้”
    เป็นคำพูดของนาย Henry Kissinger เมื่อช่วง ค.ศ. 1970 พูดมาเกือบ 50 ปีแล้ว แต่ดูเหมือนทิศทางการเมืองระหว่างประเทศจะเป็นไปตามที่นาย Kissinger พูด
    เรื่องบังเอิญหรือล็อกเป้า!
    งั้นมาทำความรู้จักนาย Kissinger กันหน่อย จะได้รู้ว่าเป็นคนขี้โม้ หมอดู หรือคนในรู้จริง
    นาย Kissinger มีชื่อเต็มว่า Henry Alfred Kissinger ตอนเกิดใช้ชื่อว่า Heinz Alfred Kissinger เป็นคนเยอรมัน อเมริกัน เกิดเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1923 ตอนนี้ก็อายุปาเข้าไป 90 ปี นอกจากยังไม่ตายและยังปากเปราะเหมือนเดิม นาย Kissinger เป็นคนตัวเตี้ย และห่างไกลกับคำว่าเป็นคนหน้าตาดี เขาแต่งงานแล้ว 2 ครั้ง ครั้งที่ 2 แต่งกับนาง Nancy ผู้หญิงซึ่งตัวสูงกว่าเขาประมาณเกือบ 1 ฟุต เมื่อสมัยที่นาย Kissinger เรืองอำนาจ นาง Nancy เองซึ่งก็ไม่ใช่คนสวยอะไร จะมีรูปปรากฎอยู่ในนิตยสาร Vogue นานาชาติอยู่เสมอ นิตยสารนี้ นอกจากจะมีแต่รูปนางแบบระดับโลกแล้ว ผู้ที่จะได้มีภาพลงในหนังสือนี้ ก็จะต้องเป็นบุคคลที่สมัยนี้เรียกว่า Celeb คนดังว่างั้นเถอะ ตัวผัวก็ไม่หล่อ คนเป็นเมียก็ไม่สวย แต่ทั้งคู่ดังระเบิด แถมตัวผัวยังมีข่าวเสมอทางด้านส่วนตัวว่าเป็นชายเจ้าชู้ ไม่เร่ขายชาติ แต่ชอบทำลายชาติคนอื่นมากกว่า !
    เมื่อนักข่าวถามว่า ได้ข่าวว่าท่านเจ้าชู้ มีสาวควงเปลี่ยนหน้าบ่อยๆ ท่านทำได้อย่างไรนะ ในเมื่อ ขอโทษ ท่านก็ไม่ใช่คนหล่อ นาย Kissinger ตอบว่า “อำนาจก็ทำให้คนมีเสน่ห์ได้นะ” ฮา
    นาย Kissinger มีอำนาจอย่างไร ถึงทำให้สาวๆ ยอมให้ควงบ่อยๆ แต่จะถึงขนาดจัดส่งขึ้นเครื่องบินไปร่วมร้องเพลงแก้เหงา หรือเปล่ารายงานข่าวไม่ได้บอก
    นาย Kissinger เริ่มทำงานในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประเทศ และต่อมาดำรงตำแหน่ง รมว.กระทรวงต่างประเทศ ในสมัยประธานาธิบดี Richard Nixon และเป็นต่อมาจนถึงสมัยประธานาธิบดี Gerald Ford พูดง่ายๆ เป็นคนสำคัญ ในการกำหนดทิศทางการเมืองของอเมริกาและแน่นอนของโลกด้วยในช่วงปี ค.ศ.1969 ถึง ค.ศ.1977
    ผลงานของนาย Kissinger ที่เด่นๆ ที่ประกาศอย่างเปิดเผยลงใน Google คือ การคลี่คลาย (detente) สงครามเย็นกับสหภาพโซเวียต การเริ่มสร้างสัมพันธ์กับจีน และเริ่มขบวนการเจรจาสันติภาพที่ปารีส ซึ่งเป็นผลให้ยุติสงครามเวียตนาม (ที่อเมริกาเป็นผู้ริเริ่มนั่นแหละ !) ผลงานนี้ ทำให้เขาได้รับรางวัล Nobel สาขาสันติภาพในปี ค.ศ.1973 คู่กับคู่กัด คือ นาย Le Duc Tho จากเวียตนามเหนือ แต่นาย Le Duc Tho ปฏิเสธที่จะรับรางวัล เขาเป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์ ที่ปฏิเสธรางวัล Nobel (เยี่ยม !)
    เป็นการให้รางวัล Nobel สาขาสันติภาพ ที่ติดอันดับ 1 ใน 5 แห่งความอื้อฉาว และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ เนื่องจากสัญญาสันติภาพของจริงกว่าจะได้ลงนาม ในปี ค.ศ. 1975 แต่ผู้เจรจาได้รับรางวัลล่วงหน้า เหมือนล็อตเตอรี่ยังไม่ออก แต่ประกาศแล้วว่าใครถูกรางวัลที่ 1 (เอ้า ตบมือให้ลูกน้องนักเล่นกลกันหน่อย)
    แต่ผลงานของนาย Kissinger ที่ไม่ได้เปิดเผย แต่อยากเล่าให้ฟังคือ “National Security Study Memorandum 200” หรือที่เรียกชื่อย่อว่า NSSM 200 ซึ่งได้จัดทำขึ้น ภายใต้การกำกับและอำนวยการสร้างโดยนาย Kissinger เอง สำเร็จเป็นเอกสารหนาเกือบ 200 หน้า เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1974
    เอกสารนี้เกี่ยวกับอะไรลึกลับซับซ้อนอะไรหนักหนา ถึงขนาดตีตราครั่งว่าจะเปิดเผยได้ โดยคำสั่งของ White House เท่านั้น เก็บแอบซ่อนไว้ 15 ปี สภาความมั่นคงของอเมริกาก็เพิ่งเอามาเปิดให้อ่านกัน เมื่อ ปี ค.ศ. 1989

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ” ตอนที่ 1 : อำนาจทำให้คนมีเสน่ห์ ! ? ! “Control Oil and you control nations;
control food and you control the people” “ควบคุมน้ำมันได้ คุณก็ควบคุมชาติต่าง ๆ ได้
ควบคุมอาหารได้ คุณก็ควบคุมประชาชนได้” เป็นคำพูดของนาย Henry Kissinger เมื่อช่วง ค.ศ. 1970 พูดมาเกือบ 50 ปีแล้ว แต่ดูเหมือนทิศทางการเมืองระหว่างประเทศจะเป็นไปตามที่นาย Kissinger พูด เรื่องบังเอิญหรือล็อกเป้า! งั้นมาทำความรู้จักนาย Kissinger กันหน่อย จะได้รู้ว่าเป็นคนขี้โม้ หมอดู หรือคนในรู้จริง นาย Kissinger มีชื่อเต็มว่า Henry Alfred Kissinger ตอนเกิดใช้ชื่อว่า Heinz Alfred Kissinger เป็นคนเยอรมัน อเมริกัน เกิดเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1923 ตอนนี้ก็อายุปาเข้าไป 90 ปี นอกจากยังไม่ตายและยังปากเปราะเหมือนเดิม นาย Kissinger เป็นคนตัวเตี้ย และห่างไกลกับคำว่าเป็นคนหน้าตาดี เขาแต่งงานแล้ว 2 ครั้ง ครั้งที่ 2 แต่งกับนาง Nancy ผู้หญิงซึ่งตัวสูงกว่าเขาประมาณเกือบ 1 ฟุต เมื่อสมัยที่นาย Kissinger เรืองอำนาจ นาง Nancy เองซึ่งก็ไม่ใช่คนสวยอะไร จะมีรูปปรากฎอยู่ในนิตยสาร Vogue นานาชาติอยู่เสมอ นิตยสารนี้ นอกจากจะมีแต่รูปนางแบบระดับโลกแล้ว ผู้ที่จะได้มีภาพลงในหนังสือนี้ ก็จะต้องเป็นบุคคลที่สมัยนี้เรียกว่า Celeb คนดังว่างั้นเถอะ ตัวผัวก็ไม่หล่อ คนเป็นเมียก็ไม่สวย แต่ทั้งคู่ดังระเบิด แถมตัวผัวยังมีข่าวเสมอทางด้านส่วนตัวว่าเป็นชายเจ้าชู้ ไม่เร่ขายชาติ แต่ชอบทำลายชาติคนอื่นมากกว่า ! เมื่อนักข่าวถามว่า ได้ข่าวว่าท่านเจ้าชู้ มีสาวควงเปลี่ยนหน้าบ่อยๆ ท่านทำได้อย่างไรนะ ในเมื่อ ขอโทษ ท่านก็ไม่ใช่คนหล่อ นาย Kissinger ตอบว่า “อำนาจก็ทำให้คนมีเสน่ห์ได้นะ” ฮา นาย Kissinger มีอำนาจอย่างไร ถึงทำให้สาวๆ ยอมให้ควงบ่อยๆ แต่จะถึงขนาดจัดส่งขึ้นเครื่องบินไปร่วมร้องเพลงแก้เหงา หรือเปล่ารายงานข่าวไม่ได้บอก นาย Kissinger เริ่มทำงานในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประเทศ และต่อมาดำรงตำแหน่ง รมว.กระทรวงต่างประเทศ ในสมัยประธานาธิบดี Richard Nixon และเป็นต่อมาจนถึงสมัยประธานาธิบดี Gerald Ford พูดง่ายๆ เป็นคนสำคัญ ในการกำหนดทิศทางการเมืองของอเมริกาและแน่นอนของโลกด้วยในช่วงปี ค.ศ.1969 ถึง ค.ศ.1977 ผลงานของนาย Kissinger ที่เด่นๆ ที่ประกาศอย่างเปิดเผยลงใน Google คือ การคลี่คลาย (detente) สงครามเย็นกับสหภาพโซเวียต การเริ่มสร้างสัมพันธ์กับจีน และเริ่มขบวนการเจรจาสันติภาพที่ปารีส ซึ่งเป็นผลให้ยุติสงครามเวียตนาม (ที่อเมริกาเป็นผู้ริเริ่มนั่นแหละ !) ผลงานนี้ ทำให้เขาได้รับรางวัล Nobel สาขาสันติภาพในปี ค.ศ.1973 คู่กับคู่กัด คือ นาย Le Duc Tho จากเวียตนามเหนือ แต่นาย Le Duc Tho ปฏิเสธที่จะรับรางวัล เขาเป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์ ที่ปฏิเสธรางวัล Nobel (เยี่ยม !) เป็นการให้รางวัล Nobel สาขาสันติภาพ ที่ติดอันดับ 1 ใน 5 แห่งความอื้อฉาว และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ เนื่องจากสัญญาสันติภาพของจริงกว่าจะได้ลงนาม ในปี ค.ศ. 1975 แต่ผู้เจรจาได้รับรางวัลล่วงหน้า เหมือนล็อตเตอรี่ยังไม่ออก แต่ประกาศแล้วว่าใครถูกรางวัลที่ 1 (เอ้า ตบมือให้ลูกน้องนักเล่นกลกันหน่อย) แต่ผลงานของนาย Kissinger ที่ไม่ได้เปิดเผย แต่อยากเล่าให้ฟังคือ “National Security Study Memorandum 200” หรือที่เรียกชื่อย่อว่า NSSM 200 ซึ่งได้จัดทำขึ้น ภายใต้การกำกับและอำนวยการสร้างโดยนาย Kissinger เอง สำเร็จเป็นเอกสารหนาเกือบ 200 หน้า เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1974 เอกสารนี้เกี่ยวกับอะไรลึกลับซับซ้อนอะไรหนักหนา ถึงขนาดตีตราครั่งว่าจะเปิดเผยได้ โดยคำสั่งของ White House เท่านั้น เก็บแอบซ่อนไว้ 15 ปี สภาความมั่นคงของอเมริกาก็เพิ่งเอามาเปิดให้อ่านกัน เมื่อ ปี ค.ศ. 1989 คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 351 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากห้องสมุดลับ: เมื่อหนังสือเวทมนตร์กว่า 2,000 เล่มถูกปลดปล่อยสู่โลกออนไลน์

    ลองจินตนาการว่าคุณได้เดินเข้าไปในห้องสมุดเก่าแก่กลางกรุงอัมสเตอร์ดัม ที่เต็มไปด้วยหนังสือเวทมนตร์ อัลเคมี โหราศาสตร์ และปรัชญาลึกลับจากยุคก่อนปี 1900… ตอนนี้คุณไม่ต้องจินตนาการอีกต่อไป เพราะ Ritman Library ได้เปิดให้ทุกคนเข้าถึงหนังสือเหล่านี้ผ่านระบบออนไลน์แล้ว!

    ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้จากการสนับสนุนของ Dan Brown ผู้เขียนนิยายชื่อดังอย่าง The Da Vinci Code ที่เคยใช้ห้องสมุดนี้เป็นแรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือ เขาบริจาคเงินกว่า €300,000 เพื่อให้ Ritman Library สามารถสแกนและเผยแพร่หนังสือหายากเหล่านี้ภายใต้โครงการ “Hermetically Open”

    หนังสือกว่า 2,178 เล่มแรกถูกเผยแพร่แล้ว โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับศาสตร์ลี้ลับหลากหลายแขนง เช่น การจับคู่พลังงานระหว่างพืช สัตว์ และดวงดาว, การวิเคราะห์ชื่อและตัวเลข, การแพทย์โบราณ, และบทกวีปรัชญาแบบลึกลับ ซึ่งหลายเล่มเขียนด้วยภาษาละติน เยอรมัน ดัตช์ และฝรั่งเศส

    แม้จะฟังดูเหมือนนิยาย แต่ในอดีตศาสตร์เหล่านี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของวิทยาศาสตร์และปรัชญา เช่น Isaac Newton ก็เคยเขียนสูตรสำหรับ “ศิลานักปราชญ์” และเชื่อในคำทำนายวันสิ้นโลก

    การเปิดคลังหนังสือลี้ลับออนไลน์
    Ritman Library เผยแพร่หนังสือกว่า 2,178 เล่มผ่านระบบออนไลน์
    หนังสือส่วนใหญ่เป็นของก่อนปี 1900 และเกี่ยวข้องกับอัลเคมี โหราศาสตร์ และเวทมนตร์
    โครงการนี้ชื่อว่า “Hermetically Open” เพื่อเปิดโลกแห่งความรู้ลี้ลับให้ทุกคนเข้าถึงได้

    การสนับสนุนจาก Dan Brown
    บริจาคเงินกว่า €300,000 เพื่อสนับสนุนการสแกนและเผยแพร่หนังสือ
    เคยใช้ Ritman Library เป็นแรงบันดาลใจในการเขียนนิยายหลายเรื่อง
    เปิดศูนย์วัฒนธรรมใหม่เพื่อส่งเสริม “การคิดอย่างเสรี” ผ่านศิลปะ วิทยาศาสตร์ และจิตวิญญาณ

    เนื้อหาที่พบในหนังสือ
    การจับคู่พลังงานระหว่างธรรมชาติและจักรวาล
    การวิเคราะห์ชื่อ ตัวเลข และภาษาลึกลับ
    การแพทย์โบราณและการพิมพ์สูตรลับ
    ปรัชญาแบบลึกลับและบทกวีเชิงจิตวิญญาณ

    ความเชื่อมโยงกับวิทยาศาสตร์และปรัชญา
    นักวิทยาศาสตร์ยุคก่อน เช่น Newton ก็ศึกษาอัลเคมีและโหราศาสตร์
    นักปรัชญาอย่าง Henry More พยายามเชื่อมโยงคริสต์ศาสนากับปรัชญากรีกและกลไกธรรมชาติ

    หนังสือหลายเล่มเขียนด้วยภาษาละติน เยอรมัน ดัตช์ และฝรั่งเศส อาจอ่านยากสำหรับผู้ใช้ภาษาอังกฤษ
    ภาษาที่ใช้ในหนังสือเป็นภาษายุคเก่า มีคำศัพท์เฉพาะและรูปแบบการเขียนที่ไม่คุ้นเคย
    ระบบค้นหายังไม่สมบูรณ์ อาจต้องใช้เทคนิคในการกรองหนังสือภาษาอังกฤษ
    ยังไม่มีฟีเจอร์แปลภาษาในระบบออนไลน์ของห้องสมุด

    https://www.openculture.com/2025/08/2178-occult-books-now-digitized-put-online.html
    🧙‍♂️ เรื่องเล่าจากห้องสมุดลับ: เมื่อหนังสือเวทมนตร์กว่า 2,000 เล่มถูกปลดปล่อยสู่โลกออนไลน์ ลองจินตนาการว่าคุณได้เดินเข้าไปในห้องสมุดเก่าแก่กลางกรุงอัมสเตอร์ดัม ที่เต็มไปด้วยหนังสือเวทมนตร์ อัลเคมี โหราศาสตร์ และปรัชญาลึกลับจากยุคก่อนปี 1900… ตอนนี้คุณไม่ต้องจินตนาการอีกต่อไป เพราะ Ritman Library ได้เปิดให้ทุกคนเข้าถึงหนังสือเหล่านี้ผ่านระบบออนไลน์แล้ว! ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้จากการสนับสนุนของ Dan Brown ผู้เขียนนิยายชื่อดังอย่าง The Da Vinci Code ที่เคยใช้ห้องสมุดนี้เป็นแรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือ เขาบริจาคเงินกว่า €300,000 เพื่อให้ Ritman Library สามารถสแกนและเผยแพร่หนังสือหายากเหล่านี้ภายใต้โครงการ “Hermetically Open” หนังสือกว่า 2,178 เล่มแรกถูกเผยแพร่แล้ว โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับศาสตร์ลี้ลับหลากหลายแขนง เช่น การจับคู่พลังงานระหว่างพืช สัตว์ และดวงดาว, การวิเคราะห์ชื่อและตัวเลข, การแพทย์โบราณ, และบทกวีปรัชญาแบบลึกลับ ซึ่งหลายเล่มเขียนด้วยภาษาละติน เยอรมัน ดัตช์ และฝรั่งเศส แม้จะฟังดูเหมือนนิยาย แต่ในอดีตศาสตร์เหล่านี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของวิทยาศาสตร์และปรัชญา เช่น Isaac Newton ก็เคยเขียนสูตรสำหรับ “ศิลานักปราชญ์” และเชื่อในคำทำนายวันสิ้นโลก ✅ การเปิดคลังหนังสือลี้ลับออนไลน์ ➡️ Ritman Library เผยแพร่หนังสือกว่า 2,178 เล่มผ่านระบบออนไลน์ ➡️ หนังสือส่วนใหญ่เป็นของก่อนปี 1900 และเกี่ยวข้องกับอัลเคมี โหราศาสตร์ และเวทมนตร์ ➡️ โครงการนี้ชื่อว่า “Hermetically Open” เพื่อเปิดโลกแห่งความรู้ลี้ลับให้ทุกคนเข้าถึงได้ ✅ การสนับสนุนจาก Dan Brown ➡️ บริจาคเงินกว่า €300,000 เพื่อสนับสนุนการสแกนและเผยแพร่หนังสือ ➡️ เคยใช้ Ritman Library เป็นแรงบันดาลใจในการเขียนนิยายหลายเรื่อง ➡️ เปิดศูนย์วัฒนธรรมใหม่เพื่อส่งเสริม “การคิดอย่างเสรี” ผ่านศิลปะ วิทยาศาสตร์ และจิตวิญญาณ ✅ เนื้อหาที่พบในหนังสือ ➡️ การจับคู่พลังงานระหว่างธรรมชาติและจักรวาล ➡️ การวิเคราะห์ชื่อ ตัวเลข และภาษาลึกลับ ➡️ การแพทย์โบราณและการพิมพ์สูตรลับ ➡️ ปรัชญาแบบลึกลับและบทกวีเชิงจิตวิญญาณ ✅ ความเชื่อมโยงกับวิทยาศาสตร์และปรัชญา ➡️ นักวิทยาศาสตร์ยุคก่อน เช่น Newton ก็ศึกษาอัลเคมีและโหราศาสตร์ ➡️ นักปรัชญาอย่าง Henry More พยายามเชื่อมโยงคริสต์ศาสนากับปรัชญากรีกและกลไกธรรมชาติ ⛔ หนังสือหลายเล่มเขียนด้วยภาษาละติน เยอรมัน ดัตช์ และฝรั่งเศส อาจอ่านยากสำหรับผู้ใช้ภาษาอังกฤษ ⛔ ภาษาที่ใช้ในหนังสือเป็นภาษายุคเก่า มีคำศัพท์เฉพาะและรูปแบบการเขียนที่ไม่คุ้นเคย ⛔ ระบบค้นหายังไม่สมบูรณ์ อาจต้องใช้เทคนิคในการกรองหนังสือภาษาอังกฤษ ⛔ ยังไม่มีฟีเจอร์แปลภาษาในระบบออนไลน์ของห้องสมุด https://www.openculture.com/2025/08/2178-occult-books-now-digitized-put-online.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 263 มุมมอง 0 รีวิว
  • การปะทะระหว่างไทยและกัมพูชาที่ส่งผลทำให้ทหารไทยขาขาดรายวันระหว่างลาดตระเวนจากทุ่นระเบิดสนามแต่รักษาการผู้นำไทยกลับมองเป็นแค่ 'อุบัติเหตุ' รวมถึงปัญหากองทัพภาค 2 ขอรับบริจาคลวดสนามเร่งด่วนที่ไม่เข้าตารัฐบาล สื่อเยอรมันชื่อดังตั้งคำถาม บรรยากาศเหล่านี้กำลังทำไทยไปสู่รัฐประหารครั้งใหม่หรือไม่ระหว่างที่นายกฯตระกูลชิน แพทองธาร ชินวัตร ถูกศาลสั่งหยุดปฎิบัติหน้าที่

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000077397

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    การปะทะระหว่างไทยและกัมพูชาที่ส่งผลทำให้ทหารไทยขาขาดรายวันระหว่างลาดตระเวนจากทุ่นระเบิดสนามแต่รักษาการผู้นำไทยกลับมองเป็นแค่ 'อุบัติเหตุ' รวมถึงปัญหากองทัพภาค 2 ขอรับบริจาคลวดสนามเร่งด่วนที่ไม่เข้าตารัฐบาล สื่อเยอรมันชื่อดังตั้งคำถาม บรรยากาศเหล่านี้กำลังทำไทยไปสู่รัฐประหารครั้งใหม่หรือไม่ระหว่างที่นายกฯตระกูลชิน แพทองธาร ชินวัตร ถูกศาลสั่งหยุดปฎิบัติหน้าที่ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000077397 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    Haha
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 558 มุมมอง 1 รีวิว
  • ล่องเรือสัมผัสเสน่ห์แห่งแม่น้ำไรน์ตอนใต้ บนเรือ A-ROSA
    ดื่มด่ำบรรยากาศสุดโรแมนติกของเมืองเลียบแม่น้ำ พร้อมชมศิลปะ
    สถาปัตยกรรม และวัฒนธรรมที่หลอมรวมระหว่างเยอรมัน ฝรั่งเศส และสวิตเซอร์แลนด์

    🛳 A-ROSA CLEA – Southern Rhine Experience 2025

    🗓 เดินทาง: เม.ย. – ต.ค. 2568

    เส้นทาง : แฟรงก์เฟิร์ต – สเปเยอร์ – สตราสบูร์ก – บาเซิล – ไบรซาค – ไมนซ์ – แฟรงก์เฟิร์ต

    ราคาเริ่มต้นเพียง EUR 1,398 / ท่าน

    แพ็กเกจ Premium All Inclusive ครบจบบนเรือ
    อาหารทุกมื้อ
    ห้องพักบนเรือสุดหรู
    กิจกรรมและความบันเทิงจัดเต็ม

    รหัสแพคเกจทัวร์ : AROP-8D7N-FRA-FRA-2504251
    คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e85d44

    ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696 (Auto)

    #เรือArosaClea #Arosarivercruise #เรือล่องแม่น้ำ #แม่น้ำไรน์ #Mainz #Germany #Speyer #Breisach #Basel #CruiseDomain #thaitimes #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #เที่ยว
    🌊 ล่องเรือสัมผัสเสน่ห์แห่งแม่น้ำไรน์ตอนใต้ บนเรือ A-ROSA 🚢 ดื่มด่ำบรรยากาศสุดโรแมนติกของเมืองเลียบแม่น้ำ พร้อมชมศิลปะ สถาปัตยกรรม และวัฒนธรรมที่หลอมรวมระหว่างเยอรมัน ฝรั่งเศส และสวิตเซอร์แลนด์ 🇩🇪🇫🇷🇨🇭 🛳 A-ROSA CLEA – Southern Rhine Experience 2025 🗓 เดินทาง: เม.ย. – ต.ค. 2568 📍 เส้นทาง : แฟรงก์เฟิร์ต – สเปเยอร์ – สตราสบูร์ก – บาเซิล – ไบรซาค – ไมนซ์ – แฟรงก์เฟิร์ต 💰 ราคาเริ่มต้นเพียง EUR 1,398 / ท่าน ✨ แพ็กเกจ Premium All Inclusive ครบจบบนเรือ ✅ อาหารทุกมื้อ ✅ ห้องพักบนเรือสุดหรู ✅ กิจกรรมและความบันเทิงจัดเต็ม ➡️ รหัสแพคเกจทัวร์ : AROP-8D7N-FRA-FRA-2504251 คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e85d44 ✅ ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 (Auto) #เรือArosaClea #Arosarivercruise #เรือล่องแม่น้ำ #แม่น้ำไรน์ #Mainz #Germany #Speyer #Breisach #Basel #CruiseDomain #thaitimes #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #เที่ยว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 379 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอน 1 :

    กำเนิดจิ๊กโก๋

    เรารู้จักบ้านเมืองเราแค่ไหน เคย ถามตัวเองกันบ้างไหมครับ

    แล้วเคยมีเวลานึกสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมบ้านเมืองเราถึงเละขนาดนี้ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง การศึกษาและสังคม

    เรารู้จักบ้านเมืองของเรา แบบมักง่าย รู้จักผ่านมุมมอง และความคิดของสื่อ ทั้งสื่อไทย และสื่อเทศ และสื่อส่วนใหญ่ ก็ให้ข้อมูลข่าวสาร แบบฟอกย้อม จะโดยตั้งใจเพราะมีใบสั่ง หรือเพราะสมรรถนะของสื่อส่วนใหญ่ ต่ำถึงต่ำมาก แทบทั้งนั้น

    ข้อมูลอีกหลายส่วน ก็มาจากนักวิชาการ ที่ไม่ต่างกับสื่อ ถ้าไม่ขายตัว ก็อธิบายแบบท่องจำ จอแคบ จอแบนไม่มีมิติ มองมุมเดียว เพราะมันง่ายดี

    แล้วเราจะได้ความรู้ ความเข้าใจแบบไหนกัน นี่ยังไม่นับข้อมูลที่เกิดจาก การตอแหลของนักการเมือง และบรรดาข้าราชการ ที่ทำหน้าที่ขี้ข้านักการเมือง

    ซึ่งขอใช้คำว่า บัดซบ จึงจะตรงกับพฤติกรรม

    ตัวเราเองก็เลยติดนิสัย ที่จะมองอะไรแบบมักง่าย

    เมื่อเราไม่รู้ปัญหาที่แท้จริง ก็ไม่มีความเข้าใจจริง แล้วจะหาทางออก จะแก้ปัญหาได้อย่างไร ยิ่งแก้ก็เลยยิ่งพันยุ่งเละเทะ เหมือนลิงแก้แห

    ทำไมเราไม่มาทำความเข้าใจ ทำความรู้จักบ้านเมืองของเราอย่างจริงจังก่อน ด้วยการศึกษาขวนขวายด้วยตัวเอง ไม่ใช่ใช้แค่ตาดูหูฟังเอาจากสื่อจอแบน คำโกหกนักการเมืองหรือนักวิชาการ ประเภทมีความรู้เกินๆ ขาดๆ

    จะเข้าใจปัจจุบัน ก็ต้องรู้จักอดีตหรือประวัติศาสตร์ก่อน ไม่งั้นจะรู้ได้ยังไงว่า ต้นไม้ต้นไหนออกลูกเป็นพิษ

    แล้วก็อย่าทำตัวเป็นม้าแข่ง มองเห็นแต่ลู่วิ่งข้างหน้า หัดมองรอบตัว รู้จักเพื่อนบ้าน รู้จักโลกบ้าง ไม่ใช่จะมีแต่เธอ ฉัน ลูกเรา น้องหมา และน้ำเน่าในทีวี กับจิ้มข้อความไร้สาระ ส่งกันไปมาตามหน้าจอ ประเภท ส่ง 10 คน จะมีโชค

    ก่อนอื่นควรรู้จักโลกกว้างเสียก่อน ประเทศไทยไม่ใช่ตั้งอยู่โดด ๆ ประเทศเดียวเรามีเพื่อนบ้านร่วมทวีป ร่วมโลกอีกแยะ เรารู้จักเพื่อนร่วมโลก หรือ เพื่อนบ้านเราแค่ไหนกัน

    จะอยู่บ้านให้สบายใจ มันก็ควรจะรู้จักเสียหน่อยว่า ใครเป็นใครในซอย มีจิ๊กโก๋๋ยืนกร่าง เบ่งกล้ามอยู่ปากซอยหรือเปล่า ถ้ามีต้องรู้ว่ามันเป็นใคร ฝีไม้ลายมือขนาดไหน ของจริง หรือ ราคาคุย

    งั้นเรามาเริ่มต้น ด้วยการรู้จักจิ๊กโก๋๋ปากซอยกันซะหน่อยดีไหม รู้จักแล้ว จะได้รู้ว่าเราจะอยู่ในซอยนี้แบบไหน อยู่แบบตัวห่อหน้าเหี่ยว หรือ อยู่อย่างสบายใจ นี่บ้านกูนะ จะคบกับชาวซอยด้วยกันอย่าง ไร และแสดงท่าที หรือจัดการอย่างไรดีกับเจ้าจิ๊กโก๋๋ปากซอย

    และจะอ่านนิทานนี้ให้สนุก จะรู้จักโลกกว้าง ต้องรู้จักคาถาการครองโลก

    “อำนาจ คือ ทุน” และ “ทุน คือ อำนาจ”

    จำให้แม่น มันจะทำให้เราเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้

    ประเทศนี้ และทั้งหลาย ทั้งปวง ที่อยู่รอบตัวเราง่ายขึ้น

    สงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเพราะอะไร ประวัติศาสตร์ที่เขาเขียนให้เราเรียน สมัยเป็นนักเรียน เขาก็เขียนให้เราเข้าใจไปว่า มันเป็นเรื่องของการต้องการแผ่อำนาจของประเทศผู้รุกราน และประเทศผู้ถูกรุกรานก็จ๋อยสิ จำเป็นต้องสู้ หรือเข้าสู่สงครามกับเขาไปด้วย เพื่อเอาตัวรอด เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศตน

    แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นอย่างนั้นแน่หรือ กลับไปอ่านคาถาครองโลกข้างต้นสัก 10 เที่ยว แล้วอ่านนิทานนี้ต่อ อาจจะรู้จักประวัติศาสตร์ ในมุมมองใหม่

    สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2482 (ค.ศ.1934) จบเอาปี พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) รวมเวลา 6ปี ตลอดเวลาการสู้รบ เขาใช้ทวีปยุโรปและเอเซียเป็นสนามประลองกำลัง พอเสร็จสงคราม ฝ่ายผู้แพ้สงครามเช่น เยอรมันและญี่ปุ่น ก็ถูกน็อกคาสนามบอบช้ำฉิบหาย ตามประสาผู้แพ้ ส่วนฝ่ายสัมพันธ มิตรผู้ชนะสงครามเช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ยุโรป รัสเซีย และแม้แต่จีน ก็ใช่ว่าจะไม่ยับไม่เยิน แต่ละรายดูไม่จืดเชียว ยืนพิงเชือกเกือบนับ 10 เกือบทั้งนั้น ….มีแต่อเมริกาเท่านั้นแหละ ที่โดนแค่สอยคาง เรือรบล่มไม่กี่ลำ ที่เพิร์ล ฮาเบอร์ (Pearl Harbor) ฮาวาย ส่วนบ้านตัวที่ทวีปอเมริกาปลอดภัยดี ไม่มีบุบไม่มีย่น… แค่นี้ทำเป็นยั๊วะ ถือโอกาสประกาศสงครามกับญี่ปุ่น เข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร (โอกาสทองมา แล้ว) เมื่อชนะสงครามอเมริกาจึงสถาปนาตนเองเป็นจิ๊กโก๋๋คุมซอย เป็นพี่เบิ้มดูแลโลกทั้งใบ นั่นไงมาแล้ว … จิ๊กโก๋๋ปากซอย!

    หลังจากการทำสงครามโลก เศรษฐกิจของแต่ละประเทศก็ตกต่ำล่มจม ความแตกต่างทางสังคมเห็นชัดขึ้น เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนชัดเจน ไม่ต้องเอาแว่นมาขยาย ระบอบคอมมิวนิสต์ จึงเริ่มก่อตัวขึ้น ในบริเวณแถวรัสเซียและยุโรปตะวันออก เมื่อปี พ.ศ.2490 (ค.ศ.1947)

    อเมริกาในฐานะพี่เบิ้ม จึงกำหนดยุทธศาสตร์ปิดล้อม (Containment) ขึ้นมาและประกาศเป็นนโยบาย

    เรียกว่า Truman Doctrine โดยประธานาธิบดีแฮรี่ เอส ทรูแมน (Harry S Truman) (ดื้อ เหี้ยม!)

    เป้าหมายของยุทธศาสตร์นี้ หลักใหญ่มีแค่ 2 เรื่อง คือสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้กับอเมริกาและพวก กับกีดกันไม่ให้สหภาพโซเวียตมีโอกาสยื่นหน้า เข้ามาสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก นี่ล่ะธาตุแท้อเมริกา ร่วมรบด้วยกันมาดีๆ พอถึงเวลาไม่เป็นประชาธิปไตยตามแบบที่ตัวเองต้องการ ก็ออกอาการเหม็นหน้า อย่าเข้ามาใกล้นะ เดี๋ยวจะทำให้คนอื่นเขาติดโรคหมด

    Truman Doctrine นี้ อเมริกาจะใช้คนเดียวก็กลัวเหงา เลยจับประเทศแถวยุโรปมาเข้าร่วมโดย จัดตั้งเป็นองค์กรนาโต (NATO) ขึ้นมา ปัจจุบันมีทั้งหมด 28 ประเทศ กลุ่มประเทศที่ก่อตั้งและ/หรือเป็นประเทศหลักมี อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม แคนาดา เดนมาร์ก ไอซแลนด์ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ กรีซ ตุรกี และเยอรมัน อเมริกาใช้นาโตเป็นขนมล่อยุโรปให้ผูกติดอยู่กับอเมริกามาจนถึงทุกวันนี้

    เริ่มเห็นฝีมือการแบ่งขนม แบ่งค่ายของอเมริกาหรือยัง

    สูตรยอดนิยมของอเมริกา ที่ใช้มาตลอดคือ ล่อให้เหยื่อมารวมตัวกัน (อยู่ในคอก) ก่อนจะได้ดูแลง่าย จำไว้ให้ดี

    ด้านหนึ่ง อเมริกาจะออกหน้า สนับสนุนให้มีการรวมตัวของประชาชาติในเรื่องต่างๆ แต่อีกด้านอเมริกาก็จะสร้างเรื่อง โดยทางตรงหรือทางอ้อม ให้การรวมตัวนั้นมีปัญหา และแตกแยกกันเอง แข่งขันกันเอง ทะเลาะกันเอง เพื่อเป็นการเพิ่มบทบาทของพี่เบิ้ม ให้เป็นที่พึ่งพาขึ้นไปเรื่อยๆ (ต้นตำรับ value added! หรือจะเรียกให้ชัดคือ สร้างภาพ) ลองสังเกตดู

    พร้อมกับการเขยิบฐานะตัวเป็นพี่เบิ้ม อเมริกา ก็เริ่มทำตัวเป็นนักล่าอาณานิคมยุคใหม่ แทนนักล่ารุ่นเก่าที่กำลังนอนเลียแผล

    ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 นักล่าอาณานิคมตัวใหญ่แชมป์เก่าคือ อังกฤษ กร่างถึงขนาดประกาศว่า ดวงอาทิตย์ไม่มีวันตกที่จักรภพอังกฤษ ตามมาติดๆคือ ฝรั่งเศส คู่แค้นของไทย กะจะเขมือบไทยมาตลอด วางแผนมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ แต่ที่อุกอาจสามานย์ ทำให้ไทยเจ็บช้ำจนกรมหลวงชุมพรฯ ต้องสักไว้ก็คือเหตุการณ์ ร.ศ.112 ในสมัยล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 5 หวังว่ายังคงจำกันได้ หรือรู้จักแต่ ม112

    นักล่า ที่มาเงียบๆ คอยเสียบ คอยเสี้ยม แล้วหยิบชิ้นปลามันคือ ฮอลันดา แต่นักล่า รุ่นเก๋าจริงๆ ต้องยกให้ สเปนและโปรตุเกศ แผนลึก อดทน และใจเย็น

    นักล่ายุคใหม่ ไม่ต้องการครอบครองดินแดน แบบนักล่ารุ่นเก่า แต่ต้องการกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์เช่นน้ำมัน และแร่ธาตุสารพัด ของประเทศที่อุดมทรัพยากร แต่ด้อยปัญญา ของประเทศที่ยังไม่พัฒนา โดยเฉพาะในแถบอาเซีย และตะวันออกกลางที่ยังอุดมสมบูรณ์อยู่ ในขณะที่แถวยุโรปเริ่มร่อยหรอ ส่วนอเมริกานั้นยังมีอยู่แยะ แต่งุบงิบแอบเก็บไว้ไม่ให้ใครรู้

    อย่าเข้าใจผิดว่าการล่าอาณานิคมยุคใหม่ จะใช้วิธียกทัพจับศึก ยึดดินแดนกันอย่างเมื่อก่อน รุ่นใหม่ ยุคใหม่นี่เขาทำกันเนียน

    ส่วนเครื่องมือในการล่าอาณานิคมยุคใหม่ เขาใช้ตามคาถายอดนิยม

    อำนาจ คือ ทุน และทุน คือ อำนาจ …

    ยังไม่เข้าใจใช่ไหม งั้นต้องอ่านต่อไป

    รบชนะมาหมาดๆ อำนาจล้นฟ้า บีบให้โลกยกย่องเป็นพี่เบิ้ม จะปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือไปได้ยังไง พี่เบิ้มก็ต้องรีบเหยียด (มือยาวๆ อ้อมไปทั้งโลก โดยใช้วิธีการทั้งหลอก ทั้งล่อ เอาทุนนิยมมาล่อ เอาทุนเสรีมาจูง ให้ทุนมันเคลื่อนไหวอย่างเสรี ไม่มีอะไรมากักไง ไร้พรมแดนไงไม่ดีหรือ นายทุนก็ถลารับ แบบนี้มันก็ล้อมโลกได้โดยไม่รู้ตัวกัน คำว่าโลกาภิวัฒน์จึงเกิดขึ้น ชอบใช้กันนัก รู้ให้ทันแล้วกันว่าโลกาภิวัตน์ คืออะไร และเพื่อใคร

    ทุนนิยมเสรี มันเดินไปเองได้ที่ไหน ก็ต้องหาเครื่องมือให้ทุนมันเดินไปทั่วโลกได้ง่ายๆ เนียนๆ ดังนั้นหน่วย งานระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (UN) ธนาคารโลก (World Bank) IMF WTO ฯลฯ และเหล่าบรรษัทข้ามชาติ ด้านการเงิน การค้า การอุตสาหกรรมต่างๆ จึงเกิดขึ้น หน่วยงานต่างๆ ดังกล่าว มีพี่เบิ้มและพวก เป็นเจ้าของหรือเป็นผู้กำกับทั้งนั้น รู้กันไหม

    สหประชาชาติ (UN) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) จากแนวคิดของผู้ชนะสงครามคือ พี่เบิ้มและอังกฤษคู่หู คือ มีคณะมนตรีถาวร 5 ประเทศ ไม่บอกก็น่าจะเดาออกนะ ว่าใครบ้าง ก็ผู้ชนะสงคราม นั่นแหละคือ อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และจีน (เห็นรายชื่ออย่างนี้ อย่าเพิ่งแปลกใจ ตอนนั้น พี่เบิ้มเขายังวุ่นอยู่กับสร้างบทให้ตัวเองเป็นใหญ่ เลยยังไม่มีเวลา ไปไล่บี้ว่าที่คู่แข่งของตัว)

    ผู้ควักกระเป๋าจ่ายเงินสนับสนุนการดำเนินงานของ UN ก็คือสมาชิก คงพอเดากันได้ว่าใครจ่ายเงินสนับสนุนUN สูงสุด ไม่น่าตอบผิดนะ ก็พี่เบิ้มอเมริกานั่นไง ไม่งั้นจะได้ตำแหน่งเป็นจิ๊กโก๋๋คุมซอยเหรอ

    ธนาคารโลก (World Bank) ก่อตั้งขึ้นพร้อมกับ IMF (International Monetary Fund) ในปี พ.ศ.2487 (ค.ศ.1944) แน่นอน ก็จากแนวคิดของพี่เบิ้ม อเมริกาและอังกฤษอีกนั่นแหละ สำนักงานใหญ่ขอทั้ง 2 องค์กร ตั้งอยู่ที่วอชิงตัน ดี ซี ของพี่เบิ้ม เงินสนับสนุนส่วนใหญ่มาจากประเทศสมาชิก แต่ผู้ที่ควักกระเป๋าหนักที่สุดก็ เหมือนเดิมคือ พี่เบิ้ม อเมริกา คิดกันต่อแล้วกันอย่างนี้ แปลว่า พี่เบิ้มใจดีชะมัดหรือพี่เบิ้มกำลังท่องคาถา อำนาจ คือ ทุน ทุน คือ อำนาจ…. ลงทุนจิ๊บจ๊อย เดี๋ยวก็ได้คืนทั้งโลก 555

    ไปเปิดอากู (Google) ดู แล้วกัน ประธานธนาคารโลกตั้งกะก่อตั้ง (ค.ศ.1946) มาจนถึงปัจจุบัน (ค.ศ.2016) เป็นคนสัญชาติอเมริกันทั้งหมด …อาจมีคนโวย ไม่ใช่นะ คนสุดท้าย เจ้าจิม ยอง คิม (Jim Yong Kim) เป็นเกาหลีต่างหาก …เป็นเกาหลีแต่ถือสัญชาติอเมริกันครับผม …อืม เริ่มเห็นภาพลางๆ บ้างหรือยัง ครับ

    อันที่จริงระบบทุนนิยมมีมานานแล้วนะ แต่การขยายตัวทำได้ช้า เพราะต้องพึ่งการคมนาคมและการสื่อสาร ดังนั้นทุนนิยมยุคโบราณจึงเดินทางโดยเรือ รถไฟ ม้า อูฐ และนกพิราบ (ฮา!) ก็ตอนนั้นยังไม่มีเครื่องบิน โทรเลข โทรศัพท์ มือถือ ดาวเทียม Swift 3จี 4จี Wi-Fi ฯลฯ อะไรนี่นะ

    ทุนนิยมโลกไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขตดินแดน แต่ขึ้นกับศูนย์อำนาจในแต่ละช่วงเวลานั้น เช่น ฮอลันดาเป็นศูนย์ กลางของทุนนิยม สมัยศตวรรษที่ 17 ก็เล่นล่าตั้งกะอินโดนีเซียยันไปถึงอาฟริกา ต่อมาศูนย์อำนาจก็ย้ายไปอยู่ที่อังกฤษ เจ้าของคำกร่างว่า พระอาทิตย์ไม่ตกดินที่อังกฤษ จนมาถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พี่เบิ้มอเมริกา ถึงได้ขึ้นแท่นเป็น นัมเบอร์วัน ของศูนย์อำนาจ ไชโย! ตาไอแล้ว

    อเมริกา คิดเรื่องระบบทุนนิยมและกลไก ที่จะทำให้ตนเป็นศูนย์อำนาจ มาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2

    แต่โอกาสยังไม่อำนวย หวยมาตกก็ตอนศูนย์อำนาจเก่าๆ พากันฉิบหาย หงายท้องหมด หลังสงคราม โลกครั้งที่ 2 นี่แหละ อเมริกาถึงเสนอแผนจัดโครงสร้างระเบียบโลกเสียใหม่ (New World Order) โดยเน้นที่พลังทุนนิยม ก็เป็นเศรษฐีนี่ มีปัญหาไหม ไม่นิยมทุนแล้วจะให้นิยมอะไร

    …อย่าลืมคาถา ทุน คือ อำนาจ อำนาจ คือ ทุน ง่ายๆ ตรงไปตรงมา

    ไม่ว่าจะเรียก New World Order หรือ Pax Americana หรือคำอะไรให้มันดูหรูหราเข้าใจยากจริงๆ แล้วมันก็คือแผนการล่าอาณานิคมยุคใหม่นั่นเอง โดยใช้ระบบทุนนิยม นำหน้าในการล่า เดี๋ยวก็มาถึงทุนนิยมสามานย์น่าใจเย็นไว้โยม

    ทุนจะมีก็ต้องค้าขาย เงินไม่ได้ตกลงมาจากฟ้าเหมือนฝนนะ จะค้าขายก็ต้องมีสินค้า สินค้ามาจากไหน มาจากการผลิต การผลิตต้องมีอะไรเป็นปัจจัย ต้องมีวัตถุดิบซีจ้ะ วัตถุดิบมาจากไหน ก็มาจากทรัพยากร ทรัพยากรมาจากไหน ก็ปล้นหรือต้มเขาเอาซีวุ้ย แหม กว่าจะโยงมาถึงคนเล่านิทานเกือบเป็นลม

    ดังนั้นนักสำรวจทรัพย์ของผู้อื่น ในคราบผู้เชี่ยวชาญ จึงเดินกันว่อน วิ่งกันพล่าน อุ๊ย ประเทศนี้ไอจองนะ ไอจะไปดูเอง เขาน่าสงสารนะ เห็นมีแต่ช้างเดินเต็มป่า วัวควายเต็มทุ่งนา

    ปี ค.ศ.1946 สงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกหมาดๆ อเมริกาส่งผู้เชี่ยวชาญ มาทำการสำรวจสถานะของประเทศไทยและสรุปว่า ไทยแลนด์ เป็นประเทศที่ยังมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ และยังมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจดียิ่ง อย่างเหลือเชื่อ (อย่างเหลือเชื่อนี่ ผมเติมเองครับ เพราะอ่านแล้วเหลือเชื่อ นี่ขนาดบริหารกันไปแดกกันไป ยังแกร่งอย่างนี้เลยนะ ถ้าตั้งอกตั้งใจบริหาร แม่อีหนูเอ๊ย ลูกหลานเราคงเรียนฟรี ถนนคงปูด้วยทองคำ อย่างที่ ท่านอจ.ศึกฤทธิ์ว่าไว้จริงๆ นะ)

    รายงานฉบับดังกล่าว ทำให้อเมริกาน้ำลายเยิ้มเมื่อมองประเทศไทย ไม่ต่างกับที่โอบามา มองคุณนายเอ๋อเมื่อตอนมาสำรวจประเทศไทย เมื่อปลายปี พ.ศ.2555 นั่นแหละ

    แล้วทำอย่างไร อเมริกาถึงจะได้กินอาหารจานอร่อยชื่อ ไทยแลนด์ แดนสวรรค์ สยามเมืองยิ้ม

    ไม่ยาก อเมริกาใหญ่ผงาดมาขนาดนี้ ไม่ใช่ทำเป็นแค่ขี้ม้าไล่ยิงอินเดียนแดงออกจากถิ่นเก่าของเขานะวุ้ย

    คนเล่านิทาน
    ตอน 1 : กำเนิดจิ๊กโก๋ เรารู้จักบ้านเมืองเราแค่ไหน เคย ถามตัวเองกันบ้างไหมครับ แล้วเคยมีเวลานึกสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมบ้านเมืองเราถึงเละขนาดนี้ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง การศึกษาและสังคม เรารู้จักบ้านเมืองของเรา แบบมักง่าย รู้จักผ่านมุมมอง และความคิดของสื่อ ทั้งสื่อไทย และสื่อเทศ และสื่อส่วนใหญ่ ก็ให้ข้อมูลข่าวสาร แบบฟอกย้อม จะโดยตั้งใจเพราะมีใบสั่ง หรือเพราะสมรรถนะของสื่อส่วนใหญ่ ต่ำถึงต่ำมาก แทบทั้งนั้น ข้อมูลอีกหลายส่วน ก็มาจากนักวิชาการ ที่ไม่ต่างกับสื่อ ถ้าไม่ขายตัว ก็อธิบายแบบท่องจำ จอแคบ จอแบนไม่มีมิติ มองมุมเดียว เพราะมันง่ายดี แล้วเราจะได้ความรู้ ความเข้าใจแบบไหนกัน นี่ยังไม่นับข้อมูลที่เกิดจาก การตอแหลของนักการเมือง และบรรดาข้าราชการ ที่ทำหน้าที่ขี้ข้านักการเมือง ซึ่งขอใช้คำว่า บัดซบ จึงจะตรงกับพฤติกรรม ตัวเราเองก็เลยติดนิสัย ที่จะมองอะไรแบบมักง่าย เมื่อเราไม่รู้ปัญหาที่แท้จริง ก็ไม่มีความเข้าใจจริง แล้วจะหาทางออก จะแก้ปัญหาได้อย่างไร ยิ่งแก้ก็เลยยิ่งพันยุ่งเละเทะ เหมือนลิงแก้แห ทำไมเราไม่มาทำความเข้าใจ ทำความรู้จักบ้านเมืองของเราอย่างจริงจังก่อน ด้วยการศึกษาขวนขวายด้วยตัวเอง ไม่ใช่ใช้แค่ตาดูหูฟังเอาจากสื่อจอแบน คำโกหกนักการเมืองหรือนักวิชาการ ประเภทมีความรู้เกินๆ ขาดๆ จะเข้าใจปัจจุบัน ก็ต้องรู้จักอดีตหรือประวัติศาสตร์ก่อน ไม่งั้นจะรู้ได้ยังไงว่า ต้นไม้ต้นไหนออกลูกเป็นพิษ แล้วก็อย่าทำตัวเป็นม้าแข่ง มองเห็นแต่ลู่วิ่งข้างหน้า หัดมองรอบตัว รู้จักเพื่อนบ้าน รู้จักโลกบ้าง ไม่ใช่จะมีแต่เธอ ฉัน ลูกเรา น้องหมา และน้ำเน่าในทีวี กับจิ้มข้อความไร้สาระ ส่งกันไปมาตามหน้าจอ ประเภท ส่ง 10 คน จะมีโชค ก่อนอื่นควรรู้จักโลกกว้างเสียก่อน ประเทศไทยไม่ใช่ตั้งอยู่โดด ๆ ประเทศเดียวเรามีเพื่อนบ้านร่วมทวีป ร่วมโลกอีกแยะ เรารู้จักเพื่อนร่วมโลก หรือ เพื่อนบ้านเราแค่ไหนกัน จะอยู่บ้านให้สบายใจ มันก็ควรจะรู้จักเสียหน่อยว่า ใครเป็นใครในซอย มีจิ๊กโก๋๋ยืนกร่าง เบ่งกล้ามอยู่ปากซอยหรือเปล่า ถ้ามีต้องรู้ว่ามันเป็นใคร ฝีไม้ลายมือขนาดไหน ของจริง หรือ ราคาคุย งั้นเรามาเริ่มต้น ด้วยการรู้จักจิ๊กโก๋๋ปากซอยกันซะหน่อยดีไหม รู้จักแล้ว จะได้รู้ว่าเราจะอยู่ในซอยนี้แบบไหน อยู่แบบตัวห่อหน้าเหี่ยว หรือ อยู่อย่างสบายใจ นี่บ้านกูนะ จะคบกับชาวซอยด้วยกันอย่าง ไร และแสดงท่าที หรือจัดการอย่างไรดีกับเจ้าจิ๊กโก๋๋ปากซอย และจะอ่านนิทานนี้ให้สนุก จะรู้จักโลกกว้าง ต้องรู้จักคาถาการครองโลก “อำนาจ คือ ทุน” และ “ทุน คือ อำนาจ” จำให้แม่น มันจะทำให้เราเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้ ประเทศนี้ และทั้งหลาย ทั้งปวง ที่อยู่รอบตัวเราง่ายขึ้น สงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเพราะอะไร ประวัติศาสตร์ที่เขาเขียนให้เราเรียน สมัยเป็นนักเรียน เขาก็เขียนให้เราเข้าใจไปว่า มันเป็นเรื่องของการต้องการแผ่อำนาจของประเทศผู้รุกราน และประเทศผู้ถูกรุกรานก็จ๋อยสิ จำเป็นต้องสู้ หรือเข้าสู่สงครามกับเขาไปด้วย เพื่อเอาตัวรอด เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศตน แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นอย่างนั้นแน่หรือ กลับไปอ่านคาถาครองโลกข้างต้นสัก 10 เที่ยว แล้วอ่านนิทานนี้ต่อ อาจจะรู้จักประวัติศาสตร์ ในมุมมองใหม่ สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2482 (ค.ศ.1934) จบเอาปี พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) รวมเวลา 6ปี ตลอดเวลาการสู้รบ เขาใช้ทวีปยุโรปและเอเซียเป็นสนามประลองกำลัง พอเสร็จสงคราม ฝ่ายผู้แพ้สงครามเช่น เยอรมันและญี่ปุ่น ก็ถูกน็อกคาสนามบอบช้ำฉิบหาย ตามประสาผู้แพ้ ส่วนฝ่ายสัมพันธ มิตรผู้ชนะสงครามเช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ยุโรป รัสเซีย และแม้แต่จีน ก็ใช่ว่าจะไม่ยับไม่เยิน แต่ละรายดูไม่จืดเชียว ยืนพิงเชือกเกือบนับ 10 เกือบทั้งนั้น ….มีแต่อเมริกาเท่านั้นแหละ ที่โดนแค่สอยคาง เรือรบล่มไม่กี่ลำ ที่เพิร์ล ฮาเบอร์ (Pearl Harbor) ฮาวาย ส่วนบ้านตัวที่ทวีปอเมริกาปลอดภัยดี ไม่มีบุบไม่มีย่น… แค่นี้ทำเป็นยั๊วะ ถือโอกาสประกาศสงครามกับญี่ปุ่น เข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร (โอกาสทองมา แล้ว) เมื่อชนะสงครามอเมริกาจึงสถาปนาตนเองเป็นจิ๊กโก๋๋คุมซอย เป็นพี่เบิ้มดูแลโลกทั้งใบ นั่นไงมาแล้ว … จิ๊กโก๋๋ปากซอย! หลังจากการทำสงครามโลก เศรษฐกิจของแต่ละประเทศก็ตกต่ำล่มจม ความแตกต่างทางสังคมเห็นชัดขึ้น เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนชัดเจน ไม่ต้องเอาแว่นมาขยาย ระบอบคอมมิวนิสต์ จึงเริ่มก่อตัวขึ้น ในบริเวณแถวรัสเซียและยุโรปตะวันออก เมื่อปี พ.ศ.2490 (ค.ศ.1947) อเมริกาในฐานะพี่เบิ้ม จึงกำหนดยุทธศาสตร์ปิดล้อม (Containment) ขึ้นมาและประกาศเป็นนโยบาย เรียกว่า Truman Doctrine โดยประธานาธิบดีแฮรี่ เอส ทรูแมน (Harry S Truman) (ดื้อ เหี้ยม!) เป้าหมายของยุทธศาสตร์นี้ หลักใหญ่มีแค่ 2 เรื่อง คือสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้กับอเมริกาและพวก กับกีดกันไม่ให้สหภาพโซเวียตมีโอกาสยื่นหน้า เข้ามาสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก นี่ล่ะธาตุแท้อเมริกา ร่วมรบด้วยกันมาดีๆ พอถึงเวลาไม่เป็นประชาธิปไตยตามแบบที่ตัวเองต้องการ ก็ออกอาการเหม็นหน้า อย่าเข้ามาใกล้นะ เดี๋ยวจะทำให้คนอื่นเขาติดโรคหมด Truman Doctrine นี้ อเมริกาจะใช้คนเดียวก็กลัวเหงา เลยจับประเทศแถวยุโรปมาเข้าร่วมโดย จัดตั้งเป็นองค์กรนาโต (NATO) ขึ้นมา ปัจจุบันมีทั้งหมด 28 ประเทศ กลุ่มประเทศที่ก่อตั้งและ/หรือเป็นประเทศหลักมี อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม แคนาดา เดนมาร์ก ไอซแลนด์ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ กรีซ ตุรกี และเยอรมัน อเมริกาใช้นาโตเป็นขนมล่อยุโรปให้ผูกติดอยู่กับอเมริกามาจนถึงทุกวันนี้ เริ่มเห็นฝีมือการแบ่งขนม แบ่งค่ายของอเมริกาหรือยัง สูตรยอดนิยมของอเมริกา ที่ใช้มาตลอดคือ ล่อให้เหยื่อมารวมตัวกัน (อยู่ในคอก) ก่อนจะได้ดูแลง่าย จำไว้ให้ดี ด้านหนึ่ง อเมริกาจะออกหน้า สนับสนุนให้มีการรวมตัวของประชาชาติในเรื่องต่างๆ แต่อีกด้านอเมริกาก็จะสร้างเรื่อง โดยทางตรงหรือทางอ้อม ให้การรวมตัวนั้นมีปัญหา และแตกแยกกันเอง แข่งขันกันเอง ทะเลาะกันเอง เพื่อเป็นการเพิ่มบทบาทของพี่เบิ้ม ให้เป็นที่พึ่งพาขึ้นไปเรื่อยๆ (ต้นตำรับ value added! หรือจะเรียกให้ชัดคือ สร้างภาพ) ลองสังเกตดู พร้อมกับการเขยิบฐานะตัวเป็นพี่เบิ้ม อเมริกา ก็เริ่มทำตัวเป็นนักล่าอาณานิคมยุคใหม่ แทนนักล่ารุ่นเก่าที่กำลังนอนเลียแผล ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 นักล่าอาณานิคมตัวใหญ่แชมป์เก่าคือ อังกฤษ กร่างถึงขนาดประกาศว่า ดวงอาทิตย์ไม่มีวันตกที่จักรภพอังกฤษ ตามมาติดๆคือ ฝรั่งเศส คู่แค้นของไทย กะจะเขมือบไทยมาตลอด วางแผนมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ แต่ที่อุกอาจสามานย์ ทำให้ไทยเจ็บช้ำจนกรมหลวงชุมพรฯ ต้องสักไว้ก็คือเหตุการณ์ ร.ศ.112 ในสมัยล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 5 หวังว่ายังคงจำกันได้ หรือรู้จักแต่ ม112 นักล่า ที่มาเงียบๆ คอยเสียบ คอยเสี้ยม แล้วหยิบชิ้นปลามันคือ ฮอลันดา แต่นักล่า รุ่นเก๋าจริงๆ ต้องยกให้ สเปนและโปรตุเกศ แผนลึก อดทน และใจเย็น นักล่ายุคใหม่ ไม่ต้องการครอบครองดินแดน แบบนักล่ารุ่นเก่า แต่ต้องการกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์เช่นน้ำมัน และแร่ธาตุสารพัด ของประเทศที่อุดมทรัพยากร แต่ด้อยปัญญา ของประเทศที่ยังไม่พัฒนา โดยเฉพาะในแถบอาเซีย และตะวันออกกลางที่ยังอุดมสมบูรณ์อยู่ ในขณะที่แถวยุโรปเริ่มร่อยหรอ ส่วนอเมริกานั้นยังมีอยู่แยะ แต่งุบงิบแอบเก็บไว้ไม่ให้ใครรู้ อย่าเข้าใจผิดว่าการล่าอาณานิคมยุคใหม่ จะใช้วิธียกทัพจับศึก ยึดดินแดนกันอย่างเมื่อก่อน รุ่นใหม่ ยุคใหม่นี่เขาทำกันเนียน ส่วนเครื่องมือในการล่าอาณานิคมยุคใหม่ เขาใช้ตามคาถายอดนิยม อำนาจ คือ ทุน และทุน คือ อำนาจ … ยังไม่เข้าใจใช่ไหม งั้นต้องอ่านต่อไป รบชนะมาหมาดๆ อำนาจล้นฟ้า บีบให้โลกยกย่องเป็นพี่เบิ้ม จะปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือไปได้ยังไง พี่เบิ้มก็ต้องรีบเหยียด (มือยาวๆ อ้อมไปทั้งโลก โดยใช้วิธีการทั้งหลอก ทั้งล่อ เอาทุนนิยมมาล่อ เอาทุนเสรีมาจูง ให้ทุนมันเคลื่อนไหวอย่างเสรี ไม่มีอะไรมากักไง ไร้พรมแดนไงไม่ดีหรือ นายทุนก็ถลารับ แบบนี้มันก็ล้อมโลกได้โดยไม่รู้ตัวกัน คำว่าโลกาภิวัฒน์จึงเกิดขึ้น ชอบใช้กันนัก รู้ให้ทันแล้วกันว่าโลกาภิวัตน์ คืออะไร และเพื่อใคร ทุนนิยมเสรี มันเดินไปเองได้ที่ไหน ก็ต้องหาเครื่องมือให้ทุนมันเดินไปทั่วโลกได้ง่ายๆ เนียนๆ ดังนั้นหน่วย งานระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (UN) ธนาคารโลก (World Bank) IMF WTO ฯลฯ และเหล่าบรรษัทข้ามชาติ ด้านการเงิน การค้า การอุตสาหกรรมต่างๆ จึงเกิดขึ้น หน่วยงานต่างๆ ดังกล่าว มีพี่เบิ้มและพวก เป็นเจ้าของหรือเป็นผู้กำกับทั้งนั้น รู้กันไหม สหประชาชาติ (UN) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) จากแนวคิดของผู้ชนะสงครามคือ พี่เบิ้มและอังกฤษคู่หู คือ มีคณะมนตรีถาวร 5 ประเทศ ไม่บอกก็น่าจะเดาออกนะ ว่าใครบ้าง ก็ผู้ชนะสงคราม นั่นแหละคือ อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และจีน (เห็นรายชื่ออย่างนี้ อย่าเพิ่งแปลกใจ ตอนนั้น พี่เบิ้มเขายังวุ่นอยู่กับสร้างบทให้ตัวเองเป็นใหญ่ เลยยังไม่มีเวลา ไปไล่บี้ว่าที่คู่แข่งของตัว) ผู้ควักกระเป๋าจ่ายเงินสนับสนุนการดำเนินงานของ UN ก็คือสมาชิก คงพอเดากันได้ว่าใครจ่ายเงินสนับสนุนUN สูงสุด ไม่น่าตอบผิดนะ ก็พี่เบิ้มอเมริกานั่นไง ไม่งั้นจะได้ตำแหน่งเป็นจิ๊กโก๋๋คุมซอยเหรอ ธนาคารโลก (World Bank) ก่อตั้งขึ้นพร้อมกับ IMF (International Monetary Fund) ในปี พ.ศ.2487 (ค.ศ.1944) แน่นอน ก็จากแนวคิดของพี่เบิ้ม อเมริกาและอังกฤษอีกนั่นแหละ สำนักงานใหญ่ขอทั้ง 2 องค์กร ตั้งอยู่ที่วอชิงตัน ดี ซี ของพี่เบิ้ม เงินสนับสนุนส่วนใหญ่มาจากประเทศสมาชิก แต่ผู้ที่ควักกระเป๋าหนักที่สุดก็ เหมือนเดิมคือ พี่เบิ้ม อเมริกา คิดกันต่อแล้วกันอย่างนี้ แปลว่า พี่เบิ้มใจดีชะมัดหรือพี่เบิ้มกำลังท่องคาถา อำนาจ คือ ทุน ทุน คือ อำนาจ…. ลงทุนจิ๊บจ๊อย เดี๋ยวก็ได้คืนทั้งโลก 555 ไปเปิดอากู (Google) ดู แล้วกัน ประธานธนาคารโลกตั้งกะก่อตั้ง (ค.ศ.1946) มาจนถึงปัจจุบัน (ค.ศ.2016) เป็นคนสัญชาติอเมริกันทั้งหมด …อาจมีคนโวย ไม่ใช่นะ คนสุดท้าย เจ้าจิม ยอง คิม (Jim Yong Kim) เป็นเกาหลีต่างหาก …เป็นเกาหลีแต่ถือสัญชาติอเมริกันครับผม …อืม เริ่มเห็นภาพลางๆ บ้างหรือยัง ครับ อันที่จริงระบบทุนนิยมมีมานานแล้วนะ แต่การขยายตัวทำได้ช้า เพราะต้องพึ่งการคมนาคมและการสื่อสาร ดังนั้นทุนนิยมยุคโบราณจึงเดินทางโดยเรือ รถไฟ ม้า อูฐ และนกพิราบ (ฮา!) ก็ตอนนั้นยังไม่มีเครื่องบิน โทรเลข โทรศัพท์ มือถือ ดาวเทียม Swift 3จี 4จี Wi-Fi ฯลฯ อะไรนี่นะ ทุนนิยมโลกไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขตดินแดน แต่ขึ้นกับศูนย์อำนาจในแต่ละช่วงเวลานั้น เช่น ฮอลันดาเป็นศูนย์ กลางของทุนนิยม สมัยศตวรรษที่ 17 ก็เล่นล่าตั้งกะอินโดนีเซียยันไปถึงอาฟริกา ต่อมาศูนย์อำนาจก็ย้ายไปอยู่ที่อังกฤษ เจ้าของคำกร่างว่า พระอาทิตย์ไม่ตกดินที่อังกฤษ จนมาถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พี่เบิ้มอเมริกา ถึงได้ขึ้นแท่นเป็น นัมเบอร์วัน ของศูนย์อำนาจ ไชโย! ตาไอแล้ว อเมริกา คิดเรื่องระบบทุนนิยมและกลไก ที่จะทำให้ตนเป็นศูนย์อำนาจ มาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่โอกาสยังไม่อำนวย หวยมาตกก็ตอนศูนย์อำนาจเก่าๆ พากันฉิบหาย หงายท้องหมด หลังสงคราม โลกครั้งที่ 2 นี่แหละ อเมริกาถึงเสนอแผนจัดโครงสร้างระเบียบโลกเสียใหม่ (New World Order) โดยเน้นที่พลังทุนนิยม ก็เป็นเศรษฐีนี่ มีปัญหาไหม ไม่นิยมทุนแล้วจะให้นิยมอะไร …อย่าลืมคาถา ทุน คือ อำนาจ อำนาจ คือ ทุน ง่ายๆ ตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะเรียก New World Order หรือ Pax Americana หรือคำอะไรให้มันดูหรูหราเข้าใจยากจริงๆ แล้วมันก็คือแผนการล่าอาณานิคมยุคใหม่นั่นเอง โดยใช้ระบบทุนนิยม นำหน้าในการล่า เดี๋ยวก็มาถึงทุนนิยมสามานย์น่าใจเย็นไว้โยม ทุนจะมีก็ต้องค้าขาย เงินไม่ได้ตกลงมาจากฟ้าเหมือนฝนนะ จะค้าขายก็ต้องมีสินค้า สินค้ามาจากไหน มาจากการผลิต การผลิตต้องมีอะไรเป็นปัจจัย ต้องมีวัตถุดิบซีจ้ะ วัตถุดิบมาจากไหน ก็มาจากทรัพยากร ทรัพยากรมาจากไหน ก็ปล้นหรือต้มเขาเอาซีวุ้ย แหม กว่าจะโยงมาถึงคนเล่านิทานเกือบเป็นลม ดังนั้นนักสำรวจทรัพย์ของผู้อื่น ในคราบผู้เชี่ยวชาญ จึงเดินกันว่อน วิ่งกันพล่าน อุ๊ย ประเทศนี้ไอจองนะ ไอจะไปดูเอง เขาน่าสงสารนะ เห็นมีแต่ช้างเดินเต็มป่า วัวควายเต็มทุ่งนา ปี ค.ศ.1946 สงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกหมาดๆ อเมริกาส่งผู้เชี่ยวชาญ มาทำการสำรวจสถานะของประเทศไทยและสรุปว่า ไทยแลนด์ เป็นประเทศที่ยังมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ และยังมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจดียิ่ง อย่างเหลือเชื่อ (อย่างเหลือเชื่อนี่ ผมเติมเองครับ เพราะอ่านแล้วเหลือเชื่อ นี่ขนาดบริหารกันไปแดกกันไป ยังแกร่งอย่างนี้เลยนะ ถ้าตั้งอกตั้งใจบริหาร แม่อีหนูเอ๊ย ลูกหลานเราคงเรียนฟรี ถนนคงปูด้วยทองคำ อย่างที่ ท่านอจ.ศึกฤทธิ์ว่าไว้จริงๆ นะ) รายงานฉบับดังกล่าว ทำให้อเมริกาน้ำลายเยิ้มเมื่อมองประเทศไทย ไม่ต่างกับที่โอบามา มองคุณนายเอ๋อเมื่อตอนมาสำรวจประเทศไทย เมื่อปลายปี พ.ศ.2555 นั่นแหละ แล้วทำอย่างไร อเมริกาถึงจะได้กินอาหารจานอร่อยชื่อ ไทยแลนด์ แดนสวรรค์ สยามเมืองยิ้ม ไม่ยาก อเมริกาใหญ่ผงาดมาขนาดนี้ ไม่ใช่ทำเป็นแค่ขี้ม้าไล่ยิงอินเดียนแดงออกจากถิ่นเก่าของเขานะวุ้ย คนเล่านิทาน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 547 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯส่งอาวุธนิวเคลียร์มาประจำที่อังกฤษเป็นครั้งแรกในรอบกว่าสิบปีหลังสงครามยูเครนระอุหนัก รัสเซียส่งโดรนโจมตึงสถานีรถไฟใต้ดินเมโทรกรุงเคียฟที่หลบภัยคนจำนวนมากสำลักฝุ่นควันอยู่ใต้ดิน เยอรมันทนไม่ไหวประกาศจะส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศแพทริออต 5 ระบบให้ท่ามกลางข่าวรีบเอาจากคลังแสงกองทัพเยอรมันรวม 2 ระบบส่งเข้ายูเครน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000069133

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    สหรัฐฯส่งอาวุธนิวเคลียร์มาประจำที่อังกฤษเป็นครั้งแรกในรอบกว่าสิบปีหลังสงครามยูเครนระอุหนัก รัสเซียส่งโดรนโจมตึงสถานีรถไฟใต้ดินเมโทรกรุงเคียฟที่หลบภัยคนจำนวนมากสำลักฝุ่นควันอยู่ใต้ดิน เยอรมันทนไม่ไหวประกาศจะส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศแพทริออต 5 ระบบให้ท่ามกลางข่าวรีบเอาจากคลังแสงกองทัพเยอรมันรวม 2 ระบบส่งเข้ายูเครน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000069133 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Sad
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1028 มุมมอง 0 รีวิว
  • 15 อันดับภาษาที่มีคนพูดมากที่สุด

    1. ภาษาอังกฤษ, 1,456 ล้านคน
    2. ภาษาจีนกลาง 1,138 ล้านคน
    3. ภาษาฮินดี, 610 ล้านคน
    4. ภาษาสเปน, 559 ล้านคน
    5. ฝรั่งเศส, 310 ล้านคน
    6. ภาษาอาหรับมาตรฐาน 274 ล้านคน
    7. ภาษาเบงกาลี 273 ล้านคน
    8. โปรตุเกส, 264 ล้านคน
    9. รัสเซีย, 255 ล้าน
    10. อูรดู, 232 ล้านคน
    11. อินโดนีเซีย, 199 ล้านคน
    12. เยอรมัน, 133 ล้านคน
    13. ญี่ปุ่น, 123 ล้านคน
    14. ภาษาพิดจินไนจีเรีย 121 ล้านคน
    15. ภาษาอาหรับอียิปต์, 102 ล้านคน

    เคยสงสัยไหมว่าภาษาใดที่พูดกันมากที่สุดในโลก แม้ว่าปัจจุบันจะมีมากกว่า 7,000 ภาษา แต่ประชากรมากกว่าครึ่งโลกพูดเพียง 23 ภาษาเท่านั้น

    ที่มา: Berlitz Index
    15 อันดับภาษาที่มีคนพูดมากที่สุด 1. 🏴󠁧󠁢󠁥󠁮󠁧󠁿 ภาษาอังกฤษ, 1,456 ล้านคน 2. 🇨🇳 ภาษาจีนกลาง 1,138 ล้านคน 3. 🇮🇳 ภาษาฮินดี, 610 ล้านคน 4. 🇪🇸 ภาษาสเปน, 559 ล้านคน 5. 🇫🇷 ฝรั่งเศส, 310 ล้านคน 6. 🇸🇦 ภาษาอาหรับมาตรฐาน 274 ล้านคน 7. 🇧🇩 ภาษาเบงกาลี 273 ล้านคน 8. 🇵🇹 โปรตุเกส, 264 ล้านคน 9. 🇷🇺 รัสเซีย, 255 ล้าน 10. 🇵🇰 อูรดู, 232 ล้านคน 11. 🇮🇩 อินโดนีเซีย, 199 ล้านคน 12. 🇩🇪 เยอรมัน, 133 ล้านคน 13. 🇯🇵 ญี่ปุ่น, 123 ล้านคน 14. 🌍 ภาษาพิดจินไนจีเรีย 121 ล้านคน 15. 🇪🇬 ภาษาอาหรับอียิปต์, 102 ล้านคน 📌 เคยสงสัยไหมว่าภาษาใดที่พูดกันมากที่สุดในโลก แม้ว่าปัจจุบันจะมีมากกว่า 7,000 ภาษา แต่ประชากรมากกว่าครึ่งโลกพูดเพียง 23 ภาษาเท่านั้น ที่มา: Berlitz Index
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
  • M270 ของเยอรมัน (HIMARS สองล้อติดตาม) เคลื่อนตัวมุ่งหน้าสู่ยูเครน
    M270 ของเยอรมัน (HIMARS สองล้อติดตาม) เคลื่อนตัวมุ่งหน้าสู่ยูเครน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 134 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เมิร์ซ ผู้นำเยอรมัน ยินดีทำตามความต้องการของสหรัฐ โดยประกาศว่ายูเครนกำลังจะได้รับระบบขีปนาวุธโจมตีระยะไกลและการสนับสนุนทางทหารเพิ่มเติมในเร็วๆ นี้

    "เรากำลังทำงานร่วมกับรัฐบาลสหรัฐฯ และรัฐสภาเพื่อสรุปการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องนี้"

    เมิร์ซยังไม่ได้ระบุว่าข๊ปนาวุธพิสัยไกลหมายถึงอะไร
    เมิร์ซ ผู้นำเยอรมัน ยินดีทำตามความต้องการของสหรัฐ โดยประกาศว่ายูเครนกำลังจะได้รับระบบขีปนาวุธโจมตีระยะไกลและการสนับสนุนทางทหารเพิ่มเติมในเร็วๆ นี้ "เรากำลังทำงานร่วมกับรัฐบาลสหรัฐฯ และรัฐสภาเพื่อสรุปการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องนี้" เมิร์ซยังไม่ได้ระบุว่าข๊ปนาวุธพิสัยไกลหมายถึงอะไร
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 216 มุมมอง 0 0 รีวิว
Pages Boosts